title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๓ ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาลพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ผ่านระบบ VDO conference โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธาน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรรมการและเลขานุการ และ ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทําหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ ซึ่งมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม ที่ประชุมมีมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ EIA โครงการด้านคมนาคมและเหมืองแร่ รวมจํานวน ๓ โครงการ ได้แก่ ๑) โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) เชื่อมโยงโครงข่ายระบบขนส่งไปยัง สปป.ลาว และ ๒) โครงการเหมืองแร่เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง จํานวน ๒ แห่ง ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จํากัด และจังหวัดนครราชสีมา ของ นายประสาน ยุวานนท์ ทั้งนี้ ให้เจ้าของโครงการ ต้องดําเนินการตามมาตรการฯ ที่กําหนดในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดําเนินการ และให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุม ได้ให้ความเห็นชอบกับการดําเนินการด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ได้แก่ ร่างข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการอนุรักษ์ คุ้มครองและใช้ประโยชน์ถิ่นอาศัยของชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ที่ถูกคุมคาม และขั้นตอนการเสนอพื้นที่ชุ่มน้ําเข้าร่วมเป็นพื้นที่เครือข่ายนกอพยพในโครงการความร่วมมือพันธมิตรสําหรับการอนุรักษ์นกอพยพและการใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอพยพอย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก – ออสเตรเลีย เพื่อให้การดําเนินงานมีความชัดเจน และสามารถอนุรักษ์ ฟื้นฟู สร้างแรงจูงใจ และส่งเสริมให้หน่วยงานและประชาชนมีความเข้าใจและตื่นตัวในด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศและนําไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563 พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๓ ณ ห้องประชุม ๓๐๑ ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาลพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ผ่านระบบ VDO conference โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รองประธาน นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรรมการและเลขานุการ และ ดร.รวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทําหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ ซึ่งมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม ที่ประชุมมีมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ EIA โครงการด้านคมนาคมและเหมืองแร่ รวมจํานวน ๓ โครงการ ได้แก่ ๑) โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) เชื่อมโยงโครงข่ายระบบขนส่งไปยัง สปป.ลาว และ ๒) โครงการเหมืองแร่เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง จํานวน ๒ แห่ง ในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จํากัด และจังหวัดนครราชสีมา ของ นายประสาน ยุวานนท์ ทั้งนี้ ให้เจ้าของโครงการ ต้องดําเนินการตามมาตรการฯ ที่กําหนดในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรับความเห็นของคณะกรรมการฯ ไปดําเนินการ และให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุม ได้ให้ความเห็นชอบกับการดําเนินการด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ได้แก่ ร่างข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการอนุรักษ์ คุ้มครองและใช้ประโยชน์ถิ่นอาศัยของชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ที่ถูกคุมคาม และขั้นตอนการเสนอพื้นที่ชุ่มน้ําเข้าร่วมเป็นพื้นที่เครือข่ายนกอพยพในโครงการความร่วมมือพันธมิตรสําหรับการอนุรักษ์นกอพยพและการใช้ประโยชน์ถิ่นที่อยู่อาศัยของนกอพยพอย่างยั่งยืนในเส้นทางการบินเอเชียตะวันออก – ออสเตรเลีย เพื่อให้การดําเนินงานมีความชัดเจน และสามารถอนุรักษ์ ฟื้นฟู สร้างแรงจูงใจ และส่งเสริมให้หน่วยงานและประชาชนมีความเข้าใจและตื่นตัวในด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศและนําไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30075
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จัดแคมเปญออมวันละบาท สร้างภูมิคุ้มกันกับ “กองทุนทวีสุข”
วันพุธที่ 12 กันยายน 2561 ธ.ก.ส. จัดแคมเปญออมวันละบาท สร้างภูมิคุ้มกันกับ “กองทุนทวีสุข” ธ.ก.ส.จัดแคมเปญสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. และเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.ที่ขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้เข้าถึงสวัสดิการ ด้วยการออมเงินกับกองทุนทวีสุข เพียงเก็บออมวันละ 1บาท หรือปีละ 365 บาท และฝากต่อเนื่องทุกปี รับดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ธ.ก.ส.จัดแคมเปญสร้างภูมิคุ้มกันให้พี่น้องเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. และเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.ที่ขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้เข้าถึงสวัสดิการ ด้วยการ ออมเงินกับกองทุนทวีสุข เพียงเก็บออมวันละ 1บาท หรือปีละ 365 บาท และฝากต่อเนื่องทุกปี รับดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี พร้อมสวัสดิการมากมาย นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผย ว่า ธนาคารได้เปิดโอกาสให้พี่น้องเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ทุกท่านได้เข้าถึงสวัสดิการ โดยได้มีการขยายอายุจากเดิมผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีอายุตั้งแต่ 20 – 65 ปี เป็นอายุตั้งแต่ 20 – 70 ปี พร้อมกันนี้ยังได้จัดแคมเปญออมเงินวันละบาทกับกองทุนทวีสุข เพื่อสนับสนุนการสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการออม และเปิดโอกาสให้พี่น้องเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้าถึงสวัสดิการ โดยสามารถสะสมเงินออมล่วงหน้าเป็นรายปีได้ เริ่มขั้นต่ําที่ปีละ 365 บาท (ออมวันละ 1 บาท) หรือจะออมปีละ 600 บาท 1,200 บาท 6,000 บาท 12,000 บาท ต่อเนื่องกันทุกปี ตามศักยภาพเพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว ทั้งนี้ เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. และเกษตรกรลูกค้าที่ขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถได้รับสิทธิ์ในการเปิดบัญชีเงินฝากคนละ 1 บัญชี สําหรับผู้ที่เป็นสมาชิกโครงการกองทุนทวีสุขทุกรายจะได้รับดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี พร้อมรับสวัสดิการเมื่อออมเงินต่อเนื่องทุกปี จนถึงอายุ 75 ปี ดังนี้ - ออมเงินปีที่ 1 คุ้มครองประกันอุบัติเหตุ (อบ. 1) - ออมเงินปีที่ 2 คุ้มครองประกันอุบัติเหตุ (อบ.1) และเงินรับขวัญบุตรแรกเกิด - ออมเงินปีที่ 3 คุ้มครองประกันอุบัติเหตุ (อบ.1) เงินรับขวัญบุตรแรกเกิด และเงินช่วยเหลืองานศพกรณีเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ - ออมเงินปีที่ 4 คุ้มครองประกันอุบัติเหตุ (อบ.1) เงินรับขวัญบุตรแรกเกิด เงินช่วยเหลืองานศพกรณีเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และเงินชดเชยเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลกรณีอุบัติเหตุ - ออมเงินปีที่ 5 คุ้มครองประกันอุบัติเหตุ (อบ.1) เงินรับขวัญบุตรแรกเกิด เงินช่วยเหลืองานศพกรณีเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เงินชดเชยเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลกรณีอุบัติเหตุ และการใช้เงินออมเป็นหลักประกันในการกู้เงิน - ออมเงินปีที่ 6 คุ้มครองประกันอุบัติเหตุ (อบ.1) เงินรับขวัญบุตรแรกเกิด เงินช่วยเหลืองานศพกรณีเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เงินชดเชยเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลกรณีอุบัติเหตุ ใช้เงินออมเป็นหลักประกันในการกู้เงิน และเงินชดเชยเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลกรณีเจ็บไข้ได้ป่วย นายอภิรมย์ กล่าวอีกว่า การจัดแคมเปญเงินออมกองทุนทวีสุขในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการออมเงิน สร้างวินัยการออมเงินซึ่งเป็นรากฐานความมั่นคงในการใช้ชีวิต รวมถึงเป็นหลักประกันให้แก่พี่น้องเกษตรกร ให้มีเงินออมไว้ใช้จ่ายเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ พร้อมสวัสดิการในระหว่างการออมเงิน ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถฝากเงิน ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศใกล้บ้านท่าน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. Call Center 0-2555-0555
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จัดแคมเปญออมวันละบาท สร้างภูมิคุ้มกันกับ “กองทุนทวีสุข” วันพุธที่ 12 กันยายน 2561 ธ.ก.ส. จัดแคมเปญออมวันละบาท สร้างภูมิคุ้มกันกับ “กองทุนทวีสุข” ธ.ก.ส.จัดแคมเปญสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. และเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.ที่ขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้เข้าถึงสวัสดิการ ด้วยการออมเงินกับกองทุนทวีสุข เพียงเก็บออมวันละ 1บาท หรือปีละ 365 บาท และฝากต่อเนื่องทุกปี รับดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ธ.ก.ส.จัดแคมเปญสร้างภูมิคุ้มกันให้พี่น้องเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. และเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส.ที่ขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้เข้าถึงสวัสดิการ ด้วยการ ออมเงินกับกองทุนทวีสุข เพียงเก็บออมวันละ 1บาท หรือปีละ 365 บาท และฝากต่อเนื่องทุกปี รับดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี พร้อมสวัสดิการมากมาย นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผย ว่า ธนาคารได้เปิดโอกาสให้พี่น้องเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ทุกท่านได้เข้าถึงสวัสดิการ โดยได้มีการขยายอายุจากเดิมผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีอายุตั้งแต่ 20 – 65 ปี เป็นอายุตั้งแต่ 20 – 70 ปี พร้อมกันนี้ยังได้จัดแคมเปญออมเงินวันละบาทกับกองทุนทวีสุข เพื่อสนับสนุนการสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการออม และเปิดโอกาสให้พี่น้องเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเข้าถึงสวัสดิการ โดยสามารถสะสมเงินออมล่วงหน้าเป็นรายปีได้ เริ่มขั้นต่ําที่ปีละ 365 บาท (ออมวันละ 1 บาท) หรือจะออมปีละ 600 บาท 1,200 บาท 6,000 บาท 12,000 บาท ต่อเนื่องกันทุกปี ตามศักยภาพเพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว ทั้งนี้ เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. และเกษตรกรลูกค้าที่ขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถได้รับสิทธิ์ในการเปิดบัญชีเงินฝากคนละ 1 บัญชี สําหรับผู้ที่เป็นสมาชิกโครงการกองทุนทวีสุขทุกรายจะได้รับดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี พร้อมรับสวัสดิการเมื่อออมเงินต่อเนื่องทุกปี จนถึงอายุ 75 ปี ดังนี้ - ออมเงินปีที่ 1 คุ้มครองประกันอุบัติเหตุ (อบ. 1) - ออมเงินปีที่ 2 คุ้มครองประกันอุบัติเหตุ (อบ.1) และเงินรับขวัญบุตรแรกเกิด - ออมเงินปีที่ 3 คุ้มครองประกันอุบัติเหตุ (อบ.1) เงินรับขวัญบุตรแรกเกิด และเงินช่วยเหลืองานศพกรณีเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ - ออมเงินปีที่ 4 คุ้มครองประกันอุบัติเหตุ (อบ.1) เงินรับขวัญบุตรแรกเกิด เงินช่วยเหลืองานศพกรณีเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และเงินชดเชยเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลกรณีอุบัติเหตุ - ออมเงินปีที่ 5 คุ้มครองประกันอุบัติเหตุ (อบ.1) เงินรับขวัญบุตรแรกเกิด เงินช่วยเหลืองานศพกรณีเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เงินชดเชยเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลกรณีอุบัติเหตุ และการใช้เงินออมเป็นหลักประกันในการกู้เงิน - ออมเงินปีที่ 6 คุ้มครองประกันอุบัติเหตุ (อบ.1) เงินรับขวัญบุตรแรกเกิด เงินช่วยเหลืองานศพกรณีเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เงินชดเชยเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลกรณีอุบัติเหตุ ใช้เงินออมเป็นหลักประกันในการกู้เงิน และเงินชดเชยเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลกรณีเจ็บไข้ได้ป่วย นายอภิรมย์ กล่าวอีกว่า การจัดแคมเปญเงินออมกองทุนทวีสุขในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการออมเงิน สร้างวินัยการออมเงินซึ่งเป็นรากฐานความมั่นคงในการใช้ชีวิต รวมถึงเป็นหลักประกันให้แก่พี่น้องเกษตรกร ให้มีเงินออมไว้ใช้จ่ายเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ พร้อมสวัสดิการในระหว่างการออมเงิน ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถฝากเงิน ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศใกล้บ้านท่าน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. Call Center 0-2555-0555
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15319
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ลาว กระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เข้มร่วมติดตามป้องกันภัยข้ามชาติ รุกขยายผลคุมทะเบียนการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่
วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 ไทย-ลาว กระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เข้มร่วมติดตามป้องกันภัยข้ามชาติ รุกขยายผลคุมทะเบียนการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ไทย-ลาว กระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เข้มร่วมติดตามป้องกันภัยข้ามชาติ รุกขยายผลคุมทะเบียนการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เมื่อ 12 ก.พ. 61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไปเยือนสาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ นครเวียงจันทน์ ตามคําเชิญของรัฐบาล สปป.ลาว เพื่อพัฒนาสัมพันธ์และสานต่อความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกัน โดย พล.อ.ประวิตร และคณะได้เข้าเยี่ยมคาราวะ ฯพณฯ ทองลุน สีลุลิด นรม.สปป.ลาว ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยหารือร่วมกันถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ที่มีพัฒนาการแน่นแฟ้นและเกื้อกูลกันมากขึ้น ทั้งด้านพลังงาน การคมนาคม ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านการทหารโดยเฉพาะความร่วมมือด้านความมั่นคง ที่ต้องรับมือกับการเผชิญหน้า จากภัยยาเสพติด อาชญกรรมข้ามชาติ และการก่อการร้าย หลังจากนั้น ได้เดินทางเข้าพบ ท่าน สอนไช สีพันดอน รองนรม.สปป.ลาว ณ โรงแรมดอนจันทร์ โดยหารือร่วมกัน ถึงแนวทางสานต่อความร่วมมือแก้ปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงที่สําคัญของทั้งสองประเทศ ทั้งปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ การก่อการร้าย และอาชญกรรมข้ามชาติ ซึ่งปัจจุบันใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือกระทําผิดมากขึ้น โดยเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้อง ถึงความจําเป็นต้องจัดทําและพัฒนาระบบข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ร่วมกัน เพื่อร่วมกันตรวจสอบ ติดตามการกระทําผิดที่เป็นปัญหาความมั่นคงของทั้งสองประเทศ ต่อจากนั้น รองนรม.และรมว.กห.และประธาน. กสทช.ได้เป็นผู้แทนฝ่ายไทย ร่วมกับ รองนรม.สปป.ลาว และรมว.กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม กระทําพิธีส่งมอบระบบการลงทะเบียนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้กับสปป.ลาว ซึ่งสามารถใช้เป็นระบบตรวจสอบอัตลักษณ์ของผู้ใช้บริการ ทั้งลายนิ้วมือและใบหน้า ให้ถูกต้องตรงกับบัตรประชาชน ในการแบ่งแยกและติดตามคนบ่ดีและปกป้องคนดีต่อไป โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวเชื่อมั่นว่า ความริเริ่มระหว่าง สปป.ลาว และ ไทยโดยสํานักงาน กสทช. ในการผลักดันการลงทะเบียนผู้ใช้บริการของทั้งสองประเทศให้ทันสมัยและปลอดภัยครั้งนี้ จะเป็นส่วนสําคัญ ของความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ที่จะตามมา. ซึ่งการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงในด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองประเทศและประเทศสมาชิกอาเซียนในภาพรวม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ลาว กระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เข้มร่วมติดตามป้องกันภัยข้ามชาติ รุกขยายผลคุมทะเบียนการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 ไทย-ลาว กระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เข้มร่วมติดตามป้องกันภัยข้ามชาติ รุกขยายผลคุมทะเบียนการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ไทย-ลาว กระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง เข้มร่วมติดตามป้องกันภัยข้ามชาติ รุกขยายผลคุมทะเบียนการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เมื่อ 12 ก.พ. 61 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. พร้อมคณะ ได้เดินทางไปเยือนสาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ นครเวียงจันทน์ ตามคําเชิญของรัฐบาล สปป.ลาว เพื่อพัฒนาสัมพันธ์และสานต่อความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกัน โดย พล.อ.ประวิตร และคณะได้เข้าเยี่ยมคาราวะ ฯพณฯ ทองลุน สีลุลิด นรม.สปป.ลาว ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยหารือร่วมกันถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ที่มีพัฒนาการแน่นแฟ้นและเกื้อกูลกันมากขึ้น ทั้งด้านพลังงาน การคมนาคม ด้านสังคมและวัฒนธรรม ด้านการทหารโดยเฉพาะความร่วมมือด้านความมั่นคง ที่ต้องรับมือกับการเผชิญหน้า จากภัยยาเสพติด อาชญกรรมข้ามชาติ และการก่อการร้าย หลังจากนั้น ได้เดินทางเข้าพบ ท่าน สอนไช สีพันดอน รองนรม.สปป.ลาว ณ โรงแรมดอนจันทร์ โดยหารือร่วมกัน ถึงแนวทางสานต่อความร่วมมือแก้ปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงที่สําคัญของทั้งสองประเทศ ทั้งปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ การก่อการร้าย และอาชญกรรมข้ามชาติ ซึ่งปัจจุบันใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือกระทําผิดมากขึ้น โดยเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้อง ถึงความจําเป็นต้องจัดทําและพัฒนาระบบข้อมูลผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ร่วมกัน เพื่อร่วมกันตรวจสอบ ติดตามการกระทําผิดที่เป็นปัญหาความมั่นคงของทั้งสองประเทศ ต่อจากนั้น รองนรม.และรมว.กห.และประธาน. กสทช.ได้เป็นผู้แทนฝ่ายไทย ร่วมกับ รองนรม.สปป.ลาว และรมว.กระทรวงไปรษณีย์และโทรคมนาคม กระทําพิธีส่งมอบระบบการลงทะเบียนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้กับสปป.ลาว ซึ่งสามารถใช้เป็นระบบตรวจสอบอัตลักษณ์ของผู้ใช้บริการ ทั้งลายนิ้วมือและใบหน้า ให้ถูกต้องตรงกับบัตรประชาชน ในการแบ่งแยกและติดตามคนบ่ดีและปกป้องคนดีต่อไป โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวเชื่อมั่นว่า ความริเริ่มระหว่าง สปป.ลาว และ ไทยโดยสํานักงาน กสทช. ในการผลักดันการลงทะเบียนผู้ใช้บริการของทั้งสองประเทศให้ทันสมัยและปลอดภัยครั้งนี้ จะเป็นส่วนสําคัญ ของความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ที่จะตามมา. ซึ่งการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงในด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองประเทศและประเทศสมาชิกอาเซียนในภาพรวม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10049
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สุดเวิร์ก! ปลูกข้าวโพดหลังนา มีตลาดแน่นอน
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561 ​สุดเวิร์ก! ปลูกข้าวโพดหลังนา มีตลาดแน่นอน -- หลังฤดูปลูก “ข้าว” ชาวนาอาจขาดรายได้ ยิ่งถ้าข้าวที่ออกมาไม่มีคุณภาพ หรือมีมากจนล้นตลาด ในที่สุดราคาก็จะตก มีข้อมูลว่าแต่ละปีตลาดต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ถึงปีละ 8 ล้านตัน แต่เกษตรกรผลิตได้เพียง 5 ล้านตัน ยังขาดอีก 3 ล้านตัน!! "โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา" ของรัฐบาล มาช่วยตอบโจทย์เรื่องนี้ โดยให้สินเชื่อไร่ละ 2,000 บาท รายละไม่เกิน 15 ไร่ อัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.01เป็นเวลา 6 เดือน และมีคนรอรับซื้อแน่นอน ล่าสุดปีนี้ (30 พ.ย. 61) มีเกษตรกรทั่วประเทศสนใจเข้าร่วมแล้ว 86,621 ราย พื้นที่ 748,467 ไร่ มากกว่าปีที่แล้ว ผลที่ได้คือ มีรายได้ต่อจากการทํานา ซึ่งมากกว่าการปลูกข้าวหลายเท่าตัว ปลูกข้าวนาปรังให้ผลผลิตเฉลี่ย 666 กก./ไร่ ต้นทุน 4,895.17 บาท/ไร่ กําไร 306.29 บาท/ไร่ ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,003 กก./ไร่ ต้นทุน 4,624.53 บาท/ไร่ กําไร 3,690.34 บาท/ไร่ เห็นไหม?? !! สําหรับใครที่ยังไม่เคยชิน เพราะต้องเปลี่ยนจากการปลูกข้าวไปเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไม่ต้องห่วง ปรึกษาได้ที่สํานักงานเกษตรทุกแห่งถึง 15 ม.ค.62 หรือจะให้เจ้าหน้าที่ลงไปถึงพื้นที่เขาก็ยินดีนะ... --------------------- ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สุดเวิร์ก! ปลูกข้าวโพดหลังนา มีตลาดแน่นอน วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561 ​สุดเวิร์ก! ปลูกข้าวโพดหลังนา มีตลาดแน่นอน -- หลังฤดูปลูก “ข้าว” ชาวนาอาจขาดรายได้ ยิ่งถ้าข้าวที่ออกมาไม่มีคุณภาพ หรือมีมากจนล้นตลาด ในที่สุดราคาก็จะตก มีข้อมูลว่าแต่ละปีตลาดต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ถึงปีละ 8 ล้านตัน แต่เกษตรกรผลิตได้เพียง 5 ล้านตัน ยังขาดอีก 3 ล้านตัน!! "โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา" ของรัฐบาล มาช่วยตอบโจทย์เรื่องนี้ โดยให้สินเชื่อไร่ละ 2,000 บาท รายละไม่เกิน 15 ไร่ อัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.01เป็นเวลา 6 เดือน และมีคนรอรับซื้อแน่นอน ล่าสุดปีนี้ (30 พ.ย. 61) มีเกษตรกรทั่วประเทศสนใจเข้าร่วมแล้ว 86,621 ราย พื้นที่ 748,467 ไร่ มากกว่าปีที่แล้ว ผลที่ได้คือ มีรายได้ต่อจากการทํานา ซึ่งมากกว่าการปลูกข้าวหลายเท่าตัว ปลูกข้าวนาปรังให้ผลผลิตเฉลี่ย 666 กก./ไร่ ต้นทุน 4,895.17 บาท/ไร่ กําไร 306.29 บาท/ไร่ ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,003 กก./ไร่ ต้นทุน 4,624.53 บาท/ไร่ กําไร 3,690.34 บาท/ไร่ เห็นไหม?? !! สําหรับใครที่ยังไม่เคยชิน เพราะต้องเปลี่ยนจากการปลูกข้าวไปเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไม่ต้องห่วง ปรึกษาได้ที่สํานักงานเกษตรทุกแห่งถึง 15 ม.ค.62 หรือจะให้เจ้าหน้าที่ลงไปถึงพื้นที่เขาก็ยินดีนะ... --------------------- ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17227
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานมหกรรมตลาดนัดผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มสตรีและครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง”
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2561 พม. จัดงานมหกรรมตลาดนัดผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มสตรีและครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง” พม. จัดงานมหกรรมตลาดนัดผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มสตรีและครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง” วันนี้ (13 ก.ย. 61) เวลา 09.00 น. ที่ Hall 4 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรีพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน มหกรรมตลาดนัดผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มสตรีและครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง” จัดโดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ซึ่งมีกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 16 กันยายน 2561 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมพื้นถิ่นฝีมือกลุ่มสตรีและครอบครัวทั่วประเทศ พร้อมทั้ง การจัดแสดงนิทรรศการประเด็นความรุนแรงและวิชาการของภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ให้ความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนาความรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงในทุกรูปแบบ เพื่อลดความรุนแรงในสังคม และการประกวดผลิตภัณฑ์จากกลุ่มอาชีพสตรี พลเอก อนันตพร กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีบทบาทหน้าที่ในการช่วยเหลือดูแลประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายให้มีความเป็นอยู่ที่ดี สถาบันครอบครัวมีความเข้มแข็ง ส่งผลให้สังคมมีความมั่นคง ดังนั้น จําเป็นต้องสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมทางสังคม ผู้ด้อยโอกาสทางสังคมจะต้องได้รับสิทธิ โอกาสและการคุ้มครองอย่างเสมอภาค ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพคนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัญหาความรุนแรงในสังคม ทั้งนี้ ปัญหาความรุนแรงในสังคมมักเริ่มต้นจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว แล้วขยายออกไปสู่ชุมชนและสังคม โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การว่างงาน ความยากจน ปัญหาเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทําให้เกิดความเครียด และนํามาซึ่งความรุนแรง แต่ถ้าหากบุคคลในครอบครัวมีอาชีพที่มั่นคง จะสามารถลดปัญหาความรุนแรงสู่เป้าหมายที่เป็นศูนย์ (Zero Violence) ทั้งนี้ การจัดงานมหกรรมตลาดนัดผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มสตรีและครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง” เป็นการเชื่อมงานด้านอาชีพสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรง ด้วยการสร้างอาชีพ สร้างโอกาสและรายได้ที่มั่นคงให้แก่สตรีและครอบครัว พลเอก อนันตพร กล่าวต่อไปว่า การจัดงานมหกรรมตลาดนัดฯ ครั้งนี้ เป็นการนําสินค้าและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมพื้นถิ่นฝีมือกลุ่มสตรีและครอบครัวทั่วประเทศที่ได้รับการส่งเสริม ฝึกสอน และพัฒนาฝีมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว ทั้ง 8 แห่ง ของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) มาจัดจําหน่ายพร้อมทั้งสาธิตวิธีการผลิต ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สมาชิกในครอบครัวร่วมกันทํา ก่อให้เกิดรายได้ สร้างอาชีพให้มั่นคง สามารถแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้ โดยทางศูนย์เรียนรู้ฯ ได้ให้การสนับสนุนในการเสริมสร้างทักษะอาชีพ เช่น การออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้า การตัดและตกแต่งทรงผม การนวดแผนไทย การโรงแรม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งอาหาร เสื้อผ้า กระเป๋า และของใช้ในครัวเรือน ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาสรรค์สร้างเป็นนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดมูลค่าที่คนส่วนใหญ่สามารถจับจ่ายได้ นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมต่อยอดให้สตรีได้รวมกลุ่มเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตนเองอีกด้วย โดยกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงาน ประกอบด้วย บูธแสดงสินค้าและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอาชีพสตรี จาก 76 จังหวัด จํานวน 200 ร้านค้า บูธร่วมบริการสนับสนุนงานอาชีพ จํานวน 20 บูธ และนิทรรศการยุติความรุนแรง จํานวน 25 บูธ อาทิ พลังเครือข่ายเลิกเหล้ายุติความรุนแรง พลังสุภาพบุรุษหยุดความรุนแรง พลังเครือข่ายองค์กรภาคเอกชนและภาครัฐหยุดความรุนแรง พลังครอบครัวหยุดความรุนแรง พลังเศรษฐกิจและอาชีพหยุดความรุนแรง พลัง NEW GEN หยุดความรุนแรง เป็นต้น อีกทั้งยังมีเวทีการเสวนาเรื่อง “มิติการทํางานของพื้นที่ เพื่อการส่งเสริมสัมพันธภาพ ลดความรุนแรงในครอบครัว” การเล่านิทานเรื่อง “มะปรางหวานกับบ้านบินได้” และพบกับ 2 บุคคลผู้มีชื่อเสียง ได้แก่ คุณศัลยา ผู้เขียนบทฯ และคุณจรรยา ธนาสว่างกุล นักแสดงจากละครบุพเพสันนิวาส จากศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (ศพค.) ซึ่งเป็นกลไกหลักในการทํางานของ สค. รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร ศิลปินดารานักแสดง “ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนผู้ที่สนใจร่วมงานมหกรรมตลาดนัดผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มสตรีและครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง” เพื่อเป็นการสร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง โดยสามารถเลือกชม และเลือกซื้อสินค้าคุณภาพจากกลุ่มสตรีและครอบครัว ซึ่งเป็นการสร้างโอกาส และสร้างรายได้ให้แก่คนในสังคม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป” พลเอก อนันตพร กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานมหกรรมตลาดนัดผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มสตรีและครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง” วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2561 พม. จัดงานมหกรรมตลาดนัดผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มสตรีและครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง” พม. จัดงานมหกรรมตลาดนัดผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มสตรีและครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง” วันนี้ (13 ก.ย. 61) เวลา 09.00 น. ที่ Hall 4 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรีพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน มหกรรมตลาดนัดผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มสตรีและครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง” จัดโดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ซึ่งมีกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 – 16 กันยายน 2561 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงสินค้าและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมพื้นถิ่นฝีมือกลุ่มสตรีและครอบครัวทั่วประเทศ พร้อมทั้ง การจัดแสดงนิทรรศการประเด็นความรุนแรงและวิชาการของภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ให้ความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว นอกจากนี้ ยังมีเวทีเสวนาความรุนแรงในครอบครัวและความรุนแรงในทุกรูปแบบ เพื่อลดความรุนแรงในสังคม และการประกวดผลิตภัณฑ์จากกลุ่มอาชีพสตรี พลเอก อนันตพร กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีบทบาทหน้าที่ในการช่วยเหลือดูแลประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายให้มีความเป็นอยู่ที่ดี สถาบันครอบครัวมีความเข้มแข็ง ส่งผลให้สังคมมีความมั่นคง ดังนั้น จําเป็นต้องสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมทางสังคม ผู้ด้อยโอกาสทางสังคมจะต้องได้รับสิทธิ โอกาสและการคุ้มครองอย่างเสมอภาค ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพคนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัญหาความรุนแรงในสังคม ทั้งนี้ ปัญหาความรุนแรงในสังคมมักเริ่มต้นจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว แล้วขยายออกไปสู่ชุมชนและสังคม โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การว่างงาน ความยากจน ปัญหาเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทําให้เกิดความเครียด และนํามาซึ่งความรุนแรง แต่ถ้าหากบุคคลในครอบครัวมีอาชีพที่มั่นคง จะสามารถลดปัญหาความรุนแรงสู่เป้าหมายที่เป็นศูนย์ (Zero Violence) ทั้งนี้ การจัดงานมหกรรมตลาดนัดผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มสตรีและครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง” เป็นการเชื่อมงานด้านอาชีพสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรง ด้วยการสร้างอาชีพ สร้างโอกาสและรายได้ที่มั่นคงให้แก่สตรีและครอบครัว พลเอก อนันตพร กล่าวต่อไปว่า การจัดงานมหกรรมตลาดนัดฯ ครั้งนี้ เป็นการนําสินค้าและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมพื้นถิ่นฝีมือกลุ่มสตรีและครอบครัวทั่วประเทศที่ได้รับการส่งเสริม ฝึกสอน และพัฒนาฝีมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว ทั้ง 8 แห่ง ของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) มาจัดจําหน่ายพร้อมทั้งสาธิตวิธีการผลิต ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สมาชิกในครอบครัวร่วมกันทํา ก่อให้เกิดรายได้ สร้างอาชีพให้มั่นคง สามารถแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวได้ โดยทางศูนย์เรียนรู้ฯ ได้ให้การสนับสนุนในการเสริมสร้างทักษะอาชีพ เช่น การออกแบบและตัดเย็บเสื้อผ้า การตัดและตกแต่งทรงผม การนวดแผนไทย การโรงแรม และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งอาหาร เสื้อผ้า กระเป๋า และของใช้ในครัวเรือน ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาสรรค์สร้างเป็นนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดมูลค่าที่คนส่วนใหญ่สามารถจับจ่ายได้ นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมต่อยอดให้สตรีได้รวมกลุ่มเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตนเองอีกด้วย โดยกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงาน ประกอบด้วย บูธแสดงสินค้าและจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอาชีพสตรี จาก 76 จังหวัด จํานวน 200 ร้านค้า บูธร่วมบริการสนับสนุนงานอาชีพ จํานวน 20 บูธ และนิทรรศการยุติความรุนแรง จํานวน 25 บูธ อาทิ พลังเครือข่ายเลิกเหล้ายุติความรุนแรง พลังสุภาพบุรุษหยุดความรุนแรง พลังเครือข่ายองค์กรภาคเอกชนและภาครัฐหยุดความรุนแรง พลังครอบครัวหยุดความรุนแรง พลังเศรษฐกิจและอาชีพหยุดความรุนแรง พลัง NEW GEN หยุดความรุนแรง เป็นต้น อีกทั้งยังมีเวทีการเสวนาเรื่อง “มิติการทํางานของพื้นที่ เพื่อการส่งเสริมสัมพันธภาพ ลดความรุนแรงในครอบครัว” การเล่านิทานเรื่อง “มะปรางหวานกับบ้านบินได้” และพบกับ 2 บุคคลผู้มีชื่อเสียง ได้แก่ คุณศัลยา ผู้เขียนบทฯ และคุณจรรยา ธนาสว่างกุล นักแสดงจากละครบุพเพสันนิวาส จากศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (ศพค.) ซึ่งเป็นกลไกหลักในการทํางานของ สค. รวมไปถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยท็อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร ศิลปินดารานักแสดง “ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนผู้ที่สนใจร่วมงานมหกรรมตลาดนัดผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มสตรีและครอบครัว ภายใต้แนวคิด “สร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง” เพื่อเป็นการสร้างอาชีพให้มั่นคง สังคมไทยไร้ความรุนแรง โดยสามารถเลือกชม และเลือกซื้อสินค้าคุณภาพจากกลุ่มสตรีและครอบครัว ซึ่งเป็นการสร้างโอกาส และสร้างรายได้ให้แก่คนในสังคม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป” พลเอก อนันตพร กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15356
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมโรงงานฯ เร่งแก้ปัญหาซากกากอุตสาหกรรม 40,000 ตัน โรงงานร้างจังหวัดระยอง พร้อมเสนอบทลงโทษหนักทั้งจำและปรับผู้ลักลอบทิ้งกาก
วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2560 กรมโรงงานฯ เร่งแก้ปัญหาซากกากอุตสาหกรรม 40,000 ตัน โรงงานร้างจังหวัดระยอง พร้อมเสนอบทลงโทษหนักทั้งจําและปรับผู้ลักลอบทิ้งกาก กรมโรงงานอุตสาหกรรมชี้แจงจากกรณีตัวแทนสิ่งแวดล้อมภาคประชาชนจังหวัดระยอง ร้องเรียนปัญหากองขยะอุตสาหกรรม 40,000 ตัน กรมโรงงานอุตสาหกรรมเร่งติดตามตรวจสอบและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาซากกากอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามกฎหมาย กรุงเทพฯ 30 สิงหาคม 2560 – กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมชี้แจงจากกรณีตัวแทนสิ่งแวดล้อมภาคประชาชนจังหวัดระยอง ร้องเรียนปัญหากองขยะอุตสาหกรรม 40,000 ตัน จากโรงงานแร่ทองแดงที่ถูกปิดกิจการไปแล้วกว่า 10 ปี แต่กองขยะยังคงถูกทิ้งไว้กลางแจ้ง ส่งผลให้เกิดการชะล้างของโลหะหนักในช่วงหน้าฝนแพร่กระจายและปนเปื้อนลงในลําคลองสาธารณะ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมเร่งติดตามตรวจสอบและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาซากกากอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามกฎหมาย อีกทั้งกรณีการเสนอเพิ่มบทลงโทษทั้งจําคุกและปรับสําหรับโรงงานที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาจากสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ประชาชนสามารถร้องเรียนได้ที่ สายด่วนกรมโรงงานอุตสาหกรรม 1564 หรือขอคําปรึกษาแนะนํา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โทร. 0 2202 4018 หรือเข้าไปที่ www.diw.go.th นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากกรณีตัวแทนสิ่งแวดล้อมภาคประชาชนจังหวัดระยอง ร้องเรียนปัญหากองขยะอุตสาหกรรมจากโรงงานแร่ทองแดงในพื้นที่หมู่ 8 ต.มาบข่า อ.นิคมพัฒนา ที่ถูกปิดกิจการไปแล้วกว่า 10 ปี แต่กองขยะอุตสาหกรรมราว 40,000 ตัน ยังคงถูกทิ้งไว้กลางแจ้ง ส่งผลให้เกิดการชะล้างของโลหะหนักในช่วงหน้าฝน แพร่กระจายและปนเปื้อนลงในลําคลองสาธารณะ กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ตรวจสอบแล้วพบว่า กากอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นกากอุตสาหกรรมของบริษัท ไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จํากัด (มหาชน) ซึ่งปัจจุบันกรมบังคับคดีได้ทําการยึดทรัพย์สินต่างๆ ภายในโรงงาน รวมทั้งกากอุตสาหกรรม ตามคําสั่งศาลล้มละลายกลางที่มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ทั้งนี้ กรมบังคับคดีได้มีหนังสือมอบอํานาจให้อุตสาหกรรมจังหวัดระยองเป็นผู้ดําเนินการและจัดประมูลหาผู้รับดําเนินการกองขยะดังกล่าวตามระเบียบพัสดุ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างรอความเห็นชอบจากกรมบังคับคดี โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้เร่งประสานการทํางานร่วมกับสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยองเพื่อให้การจัดการกากอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายและตามหลักวิชาการต่อไป นายมงคล กล่าวต่อว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีแผนการจัดการกากอุตสาหกรรม พ.ศ. 2558 – 2562 โดยมีแผนดําเนินการให้โรงงานทั้งหมดนํากากเข้าเข้าสู่ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างถูกต้อง โดยปัจจุบันมีโรงงานเข้าสู่ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นถึง 42% และอยู่ระหว่างการทบทวนวิธีการประเมินปริมาณกากอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเร่งรัดให้โรงงานอุตสาหกรรมเข้าระบบเป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งนี้ การปรับแก้พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 ได้เสนอเพิ่มบทลงโทษสําหรับโรงงานที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดของกฎหมายว่าด้วยการจัดการกากอุตสาหกรรมและการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม จากเดิมที่มีบทลงโทษปรับสูงสุด 200,000 บาท เสนอเพิ่มโทษทั้งจําคุกและปรับ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาจากสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมโรงงานฯ เร่งแก้ปัญหาซากกากอุตสาหกรรม 40,000 ตัน โรงงานร้างจังหวัดระยอง พร้อมเสนอบทลงโทษหนักทั้งจำและปรับผู้ลักลอบทิ้งกาก วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2560 กรมโรงงานฯ เร่งแก้ปัญหาซากกากอุตสาหกรรม 40,000 ตัน โรงงานร้างจังหวัดระยอง พร้อมเสนอบทลงโทษหนักทั้งจําและปรับผู้ลักลอบทิ้งกาก กรมโรงงานอุตสาหกรรมชี้แจงจากกรณีตัวแทนสิ่งแวดล้อมภาคประชาชนจังหวัดระยอง ร้องเรียนปัญหากองขยะอุตสาหกรรม 40,000 ตัน กรมโรงงานอุตสาหกรรมเร่งติดตามตรวจสอบและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาซากกากอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามกฎหมาย กรุงเทพฯ 30 สิงหาคม 2560 – กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมชี้แจงจากกรณีตัวแทนสิ่งแวดล้อมภาคประชาชนจังหวัดระยอง ร้องเรียนปัญหากองขยะอุตสาหกรรม 40,000 ตัน จากโรงงานแร่ทองแดงที่ถูกปิดกิจการไปแล้วกว่า 10 ปี แต่กองขยะยังคงถูกทิ้งไว้กลางแจ้ง ส่งผลให้เกิดการชะล้างของโลหะหนักในช่วงหน้าฝนแพร่กระจายและปนเปื้อนลงในลําคลองสาธารณะ ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมเร่งติดตามตรวจสอบและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาซากกากอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามกฎหมาย อีกทั้งกรณีการเสนอเพิ่มบทลงโทษทั้งจําคุกและปรับสําหรับโรงงานที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาจากสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ประชาชนสามารถร้องเรียนได้ที่ สายด่วนกรมโรงงานอุตสาหกรรม 1564 หรือขอคําปรึกษาแนะนํา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โทร. 0 2202 4018 หรือเข้าไปที่ www.diw.go.th นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากกรณีตัวแทนสิ่งแวดล้อมภาคประชาชนจังหวัดระยอง ร้องเรียนปัญหากองขยะอุตสาหกรรมจากโรงงานแร่ทองแดงในพื้นที่หมู่ 8 ต.มาบข่า อ.นิคมพัฒนา ที่ถูกปิดกิจการไปแล้วกว่า 10 ปี แต่กองขยะอุตสาหกรรมราว 40,000 ตัน ยังคงถูกทิ้งไว้กลางแจ้ง ส่งผลให้เกิดการชะล้างของโลหะหนักในช่วงหน้าฝน แพร่กระจายและปนเปื้อนลงในลําคลองสาธารณะ กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ตรวจสอบแล้วพบว่า กากอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นกากอุตสาหกรรมของบริษัท ไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี่ จํากัด (มหาชน) ซึ่งปัจจุบันกรมบังคับคดีได้ทําการยึดทรัพย์สินต่างๆ ภายในโรงงาน รวมทั้งกากอุตสาหกรรม ตามคําสั่งศาลล้มละลายกลางที่มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ทั้งนี้ กรมบังคับคดีได้มีหนังสือมอบอํานาจให้อุตสาหกรรมจังหวัดระยองเป็นผู้ดําเนินการและจัดประมูลหาผู้รับดําเนินการกองขยะดังกล่าวตามระเบียบพัสดุ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างรอความเห็นชอบจากกรมบังคับคดี โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้เร่งประสานการทํางานร่วมกับสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยองเพื่อให้การจัดการกากอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายและตามหลักวิชาการต่อไป นายมงคล กล่าวต่อว่า กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีแผนการจัดการกากอุตสาหกรรม พ.ศ. 2558 – 2562 โดยมีแผนดําเนินการให้โรงงานทั้งหมดนํากากเข้าเข้าสู่ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างถูกต้อง โดยปัจจุบันมีโรงงานเข้าสู่ระบบการจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นถึง 42% และอยู่ระหว่างการทบทวนวิธีการประเมินปริมาณกากอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเร่งรัดให้โรงงานอุตสาหกรรมเข้าระบบเป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งนี้ การปรับแก้พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 ได้เสนอเพิ่มบทลงโทษสําหรับโรงงานที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดของกฎหมายว่าด้วยการจัดการกากอุตสาหกรรมและการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม จากเดิมที่มีบทลงโทษปรับสูงสุด 200,000 บาท เสนอเพิ่มโทษทั้งจําคุกและปรับ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาจากสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6357
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าเยี่ยมชม “Keihanna Science City” ในญี่ปุ่น
วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าเยี่ยมชม “Keihanna Science City” ในญี่ปุ่น รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าเยี่ยมชม Keihanna Science City (ชื่อทางการ คือ Kansai Science City) ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2561 เป็นศูนย์กลางของความรู้และการวิจัยเพื่ออนาคต ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ครอบคลุม 3 จังหวัดของญี่ปุ่น (Kyoto, Osaka, Nara) 8 เมือง 12 สาขา clusters โดยใช้หลัก 3 ประสาน (รัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย) ในการวิจัยเพื่อนําไปสู่เชิงพาณิชย์ นอกจากห้องแล็บของเอกชนและมหาวิทยาลัยชั้นนําแล้ว ยังมีจุดเด่นตรงออกแบบให้เป็นพื้นที่อยู่กับชุมชน ไม่แบ่งแยก มีการตั้งชมรมเคฮานาให้ชาวบ้านและบริษัทขนาดเล็กในพื้นที่มาทํา workshop ในเรื่องที่สนใจ ทําให้เกิดไอเดียทางการเกษตรใหม่ๆ เกิดธุรกิจฐานวัฒนธรรม เป็นต้น นอกจากนี้ นายชิเกะมัตซึ (Mr.Shikemasu) ผู้บริหารชาวญี่ปุ่นที่ล่าสุดได้ร่วมงาน STEP ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความสนใจจะขยายผลความร่วมมือกับไทย โดยเฉพาะความร่วมมือด้านเมืองอัจฉริยะ *********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าเยี่ยมชม “Keihanna Science City” ในญี่ปุ่น วันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เข้าเยี่ยมชม “Keihanna Science City” ในญี่ปุ่น รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าเยี่ยมชม Keihanna Science City (ชื่อทางการ คือ Kansai Science City) ณ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2561 เป็นศูนย์กลางของความรู้และการวิจัยเพื่ออนาคต ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ครอบคลุม 3 จังหวัดของญี่ปุ่น (Kyoto, Osaka, Nara) 8 เมือง 12 สาขา clusters โดยใช้หลัก 3 ประสาน (รัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย) ในการวิจัยเพื่อนําไปสู่เชิงพาณิชย์ นอกจากห้องแล็บของเอกชนและมหาวิทยาลัยชั้นนําแล้ว ยังมีจุดเด่นตรงออกแบบให้เป็นพื้นที่อยู่กับชุมชน ไม่แบ่งแยก มีการตั้งชมรมเคฮานาให้ชาวบ้านและบริษัทขนาดเล็กในพื้นที่มาทํา workshop ในเรื่องที่สนใจ ทําให้เกิดไอเดียทางการเกษตรใหม่ๆ เกิดธุรกิจฐานวัฒนธรรม เป็นต้น นอกจากนี้ นายชิเกะมัตซึ (Mr.Shikemasu) ผู้บริหารชาวญี่ปุ่นที่ล่าสุดได้ร่วมงาน STEP ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีความสนใจจะขยายผลความร่วมมือกับไทย โดยเฉพาะความร่วมมือด้านเมืองอัจฉริยะ *********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15979
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม เฝ้าทูลละอองธุลี พระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปในการพระราชทานเพลิงศพ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2562 ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม เฝ้าทูลละอองธุลี พระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปในการพระราชทานเพลิงศพ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม เฝ้าทูลละอองธุลี พระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปในการพระราชทานเพลิงศพ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ วันนี้ (8 ธันวาคม 2562) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณแก่การศพ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเสด็จพระราชดําเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปในการพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีนายสุรพล ชามาตย์ นายภานุวัฒน์ ตริยางกรูศรี รองปลัดกระทรวงกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม เฝ้าทูลละอองธุลี พระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปในการพระราชทานเพลิงศพ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2562 ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม เฝ้าทูลละอองธุลี พระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปในการพระราชทานเพลิงศพ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงอุตสาหกรรม เฝ้าทูลละอองธุลี พระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปในการพระราชทานเพลิงศพ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ วันนี้ (8 ธันวาคม 2562) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณแก่การศพ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมเสด็จพระราชดําเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปในการพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุหลวงหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีนายสุรพล ชามาตย์ นายภานุวัฒน์ ตริยางกรูศรี รองปลัดกระทรวงกระทรวงอุตสาหกรรม นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25093
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​เตรียมพบกับงาน Thailand Taste of Street Food 4.0
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2561 ​เตรียมพบกับงาน Thailand Taste of Street Food 4.0 กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันอาหาร เตรียมจัดงานใหญ่ Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future ‘สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต’ ระหว่างวันที่ 27 - 29 เม.ย. 2561 เวลา 11.00 - 22.00 น. บริเวณพื้นที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันอาหาร เตรียมจัดงานใหญ่ Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future ‘สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต’ ระหว่างวันที่ 27 - 29 เม.ย. 2561 เวลา 11.00 - 22.00 น. บริเวณพื้นที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี พบกองทัพร้านอาหารริมทางเลื่องชื่อกว่า 100 ร้าน จําลองบรรยากาศย่านการค้าดั้งเดิม ตัวอย่างร้านโอทอปริมทางจากทั่วประเทศ ชิมอาหารร้านดังจากโลกโซเชี่ยล Food Truck และกลุ่ม Start Up มากไอเดีย พร้อมโชว์ชุดรถเข็นต้นแบบที่ถูกสุขลักษณะ หวังกระตุ้นตลาดร้านอาหารริมทาง หรือ Street Food ของไทย ที่มีมูลค่าสูงราว 2.7 แสนล้านบาทต่อปีให้ตื่นตัว ได้รับการยกระดับความปลอดภัย คุณภาพ มาตรฐานการผลิตและการบริการ ระดมพี่ใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมสานพลังประชารัฐ จัดอบรมผู้ประกอบการพัฒนาศักยภาพ ต่อยอดสู่การผลิตในภาคอุตสาหกรรม เพื่อขยายเครือข่ายธุรกิจสู่รูปแบบแฟรนไชส์ และส่งออกได้ในอนาคตหนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ชูนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัย เทคโนโลยีการชําระเงิน การสั่งซื้อ/ส่งสินค้า และเตรียมพร้อมสู่ยุค 4.0 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กิจกรรม Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future ‘สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต’มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจบริการอาหารขนาดเล็กให้มีศักยภาพปรับตัวสู่การแปรรูประดับอุตสาหกรรมต่อไปในอนาคต หรือพร้อมปรับตัวสู่เศรษฐกิจฐานบริการที่เข้มแข็งขึ้น รวมทั้ง ให้โอกาสผู้สนใจที่จะเข้ามาเริ่มต้นธุรกิจ(start up) ได้มาศึกษาช่องทางและพบปะผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คําแนะนําในการเริ่มต้นธุรกิจ ทั้งสร้างความเชื่อมั่นภาพลักษณ์ครัวไทยครัวคุณภาพปลอดภัยทุกระดับ "ในปี 2560 มูลค่าจําหน่ายของธุรกิจบริการอาหารในประเทศไทย ประเมินโดย Euro monitor International มีมูลค่า 836,856 ล้านบาท เมื่อพิจารณามูลค่าจําหน่ายของแต่ละประเภท พบว่า Street Food มีสัดส่วนถึง 32.43% หรือราว 2.7 แสนล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 4.3 และยังเติบโตต่อเนื่องโดยคาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 แสนล้านบาท ในปี 2564 คิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.3 ต่อปี รองลงมาเป็นธุรกิจคาเฟ่/บาร์ 29.31% ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 20.43% ฟาสต์ฟู้ดส์ 14.74% ดิลิเวอรี่/ซื้อกลับบ้าน 3.07% และศูนย์อาหารบริการตนเอง 0.03% ตามลําดับ โดยมีผู้ประกอบการ ดําเนินธุรกิจร้านอาหารริมทางประมาณ 103,000 ร้าน มีสัดส่วนร้อยละ 69 ของร้านอาหารทั้งหมด เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปี และมีร้านอาหารริมทางเครือข่ายธุรกิจในรูปแบบ แฟรนไชส์ คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 13 ของร้านอาหารริมทางทั้งหมด โดยมีมูลค่าราว 3.7 หมื่นล้านบาท ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 4.7 ต่อปี ได้แก่ ‘ไก่ย่างห้าดาว’ และ ‘ไก่ทอดห้าดาว’ ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกัน 35% รองลงมาคือ 'ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว' 19% ที่เหลือเป็นรายย่อยอื่นๆ จํานวนมาก” นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า สถาบันอาหาร ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในเรื่องการสนับสนุน และส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหาร และธุรกิจบริการให้เติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการผลักดันให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารก้าวสู่ยุค 4.0 จึงริเริ่มจัดงานดังกล่าวขึ้นเพื่อให้ผู้ประกอบการอาหารริมทางทั่วประเทศ ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและธุรกิจเชื่อมโยง ผู้สนใจเข้าสู่ธุรกิจอาหาร และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมชมงาน แนวคิดการจัดงานประกอบด้วย 1) Chance to the Future สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ สร้างรายได้ 2)The Show of Innovation นวัตกรรมทางธุรกิจ (สังคมไร้เงินสด) การชําระค่าอาหารผ่าน QR Code, การสั่งซื้ออาหารผ่าน Application, Logistic ระบบจัดส่งอาหารด้วยความรวดเร็ว และนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์สําหรับอาหาร 3)Big Brother ‘สานพลังประชารัฐ’ พบหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนขนาดใหญ่ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารพร้อมให้การสนับสนุน เสริมความรู้ และ 4) Business Solution ร่วมหาแนวทางในการดําเนินธุรกิจที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการรายใหม่ หรือรายเดิม “ทั้งนี้ รูปแบบการจัดงานประกอบด้วย 1)จัดกิจกรรมยกระดับและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ อาหารริมทางด้วยการอบรมและการให้องค์ความรู้ในการดําเนินธุรกิจกับผู้ประกอบการอาหารริมทางจํานวน 100 ราย ในหัวข้อต่างๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ 25 – 26 เม.ย. 2561 ณ ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย ประกอบด้วย หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต และการให้บริการตามมาตรฐานความปลอดภัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตอาหาร การนําเทคโนโลยีมาใช้ในการขาย แนวทางการขยายธุรกิจ Street Food 100 ล้าน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการเตรียมความพร้อมสู่ยุค 4.0 พร้อมชมศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมอาหาร Industry Transformation Center รวมทั้งงานบริการด้านอื่น ๆ ของสถาบันอาหารเพื่อการต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมในอนาคต 2) พื้นที่จัดแสดงศักยภาพ ร้านอาหารริมทาง (Street Food) และการจัดแสดงนิทรรศการ โดยใช้พื้นที่บริเวณใต้สะพานพระราม 8 ระหว่างวันที่ 27 - 29 เม.ย. 2561 เวลา 11.00 – 22.00 น. จัดแบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ ดังนี้ โซน Street Food สู่อุตสาหกรรม จัดแสดงศักยภาพของผู้ประกอบการที่มีการพัฒนาต่อยอดจากอาหารริมทางมาสู่รูปแบบของการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม เช่น ไก่ย่างห้าดาว ชายสี่หมี่เกี๊ยว หมูปิ้งเฮียนพ ไส้กรอกแม่ไก่ โซนล้านไลค์ ร้อยล้าน การออกร้านจําหน่ายอาหารที่มีชื่อเสียงจากโซเชียลผ่านการกดไลค์จากคนดูจํานวนมาก โซนจําลองร้านอาหารริมทางย่านการค้าสําคัญ ได้แก่ เยาวราช, วังหลัง-ท่าพระจันทร์,เจริญกรุง-บางรัก, บางลําพู-ข้าวสาร โซน OTOP ริมทาง ตัวอย่างอาหารริมทางจากทั่วประเทศ ที่ได้รับการรับรองความอร่อยจากกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โซน Food Truck ที่กําลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และมีกลุ่ม Start Up จํานวนมาก โซน Food Exhibition เรื่องราวความเป็นมาของอาหาร Street Food ที่ได้รับความนิยม และติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก โซนนิทรรศการและการจัดแสดงชุดรถเข็นต้นแบบ ที่ผลิตและออกแบบตามข้อกําหนดและถูกสุขลักษณะเรื่องวัสดุประกอบรถเข็น ตําแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ เพื่อความปลอดภัย โซนนิทรรศการแนวโน้มบรรจุภัณฑ์อาหารสําหรับ Street Food ที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โซนนิทรรศการของหน่วยงานร่วมดําเนินงาน และผู้สนับสนุนการจัดงานอย่างเป็นทางการ อาทิ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ (จํากัด) มหาชน และบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (จํากัด) มหาชน เป็นต้น โดยมีอีกหลายหน่วยงานร่วมให้การสนับสนุนการจัดงานครั้งนี้ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร องค์การสุรา กรมสรรพสามิต สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) บริษัท ไทยร่วมใจน้ํามันพืช จํากัด และบริษัท อาจจิตต์อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็พเพอร์แอนด์สไปซ์ จํากัด” นายยงวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันศุกร์ที่ 27 เมษายน นี้ เวลา 18.00 น. จะจัดให้มีพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ ณ บริเวณสวนหลวงพระราม 8 เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี โดยจะจัดแสดงนิทรรศการตัวอย่าง Street Food สู่อุตสาหกรรม แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ในอนาคต และผลิตภัณฑ์อาหารริมทางที่นําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เช่น ขนมหม้อแกงกรอบ ขนมจีนน้ํายาปูฟรีซดราย น้ําซอสผัดไทยทิพย์สมัย ทั้งนี้จะจัดเลี้ยงในรูปแบบ Family Dinner เป็นการนําเมนูอาหาร Street Food มาปรุงโดยเชฟชุมพล แจ้งไพร โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 ท่าน ประกอบด้วยคณะทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ แขกผู้มีเกียรติจากภาครัฐและเอกชน ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงการท่องเที่ยว อาหาร โรงแรม สายการบิน สถาบันการศึกษา และสื่อมวลชน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​เตรียมพบกับงาน Thailand Taste of Street Food 4.0 วันศุกร์ที่ 27 เมษายน 2561 ​เตรียมพบกับงาน Thailand Taste of Street Food 4.0 กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันอาหาร เตรียมจัดงานใหญ่ Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future ‘สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต’ ระหว่างวันที่ 27 - 29 เม.ย. 2561 เวลา 11.00 - 22.00 น. บริเวณพื้นที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันอาหาร เตรียมจัดงานใหญ่ Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future ‘สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต’ ระหว่างวันที่ 27 - 29 เม.ย. 2561 เวลา 11.00 - 22.00 น. บริเวณพื้นที่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี พบกองทัพร้านอาหารริมทางเลื่องชื่อกว่า 100 ร้าน จําลองบรรยากาศย่านการค้าดั้งเดิม ตัวอย่างร้านโอทอปริมทางจากทั่วประเทศ ชิมอาหารร้านดังจากโลกโซเชี่ยล Food Truck และกลุ่ม Start Up มากไอเดีย พร้อมโชว์ชุดรถเข็นต้นแบบที่ถูกสุขลักษณะ หวังกระตุ้นตลาดร้านอาหารริมทาง หรือ Street Food ของไทย ที่มีมูลค่าสูงราว 2.7 แสนล้านบาทต่อปีให้ตื่นตัว ได้รับการยกระดับความปลอดภัย คุณภาพ มาตรฐานการผลิตและการบริการ ระดมพี่ใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมสานพลังประชารัฐ จัดอบรมผู้ประกอบการพัฒนาศักยภาพ ต่อยอดสู่การผลิตในภาคอุตสาหกรรม เพื่อขยายเครือข่ายธุรกิจสู่รูปแบบแฟรนไชส์ และส่งออกได้ในอนาคตหนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ชูนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ปลอดภัย เทคโนโลยีการชําระเงิน การสั่งซื้อ/ส่งสินค้า และเตรียมพร้อมสู่ยุค 4.0 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กิจกรรม Thailand : Taste of Street Food 4.0, MAKEOVER Chance to the Future ‘สร้างโอกาสทางธุรกิจสู่อนาคต’มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจบริการอาหารขนาดเล็กให้มีศักยภาพปรับตัวสู่การแปรรูประดับอุตสาหกรรมต่อไปในอนาคต หรือพร้อมปรับตัวสู่เศรษฐกิจฐานบริการที่เข้มแข็งขึ้น รวมทั้ง ให้โอกาสผู้สนใจที่จะเข้ามาเริ่มต้นธุรกิจ(start up) ได้มาศึกษาช่องทางและพบปะผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คําแนะนําในการเริ่มต้นธุรกิจ ทั้งสร้างความเชื่อมั่นภาพลักษณ์ครัวไทยครัวคุณภาพปลอดภัยทุกระดับ "ในปี 2560 มูลค่าจําหน่ายของธุรกิจบริการอาหารในประเทศไทย ประเมินโดย Euro monitor International มีมูลค่า 836,856 ล้านบาท เมื่อพิจารณามูลค่าจําหน่ายของแต่ละประเภท พบว่า Street Food มีสัดส่วนถึง 32.43% หรือราว 2.7 แสนล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 4.3 และยังเติบโตต่อเนื่องโดยคาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 แสนล้านบาท ในปี 2564 คิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.3 ต่อปี รองลงมาเป็นธุรกิจคาเฟ่/บาร์ 29.31% ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 20.43% ฟาสต์ฟู้ดส์ 14.74% ดิลิเวอรี่/ซื้อกลับบ้าน 3.07% และศูนย์อาหารบริการตนเอง 0.03% ตามลําดับ โดยมีผู้ประกอบการ ดําเนินธุรกิจร้านอาหารริมทางประมาณ 103,000 ร้าน มีสัดส่วนร้อยละ 69 ของร้านอาหารทั้งหมด เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปี และมีร้านอาหารริมทางเครือข่ายธุรกิจในรูปแบบ แฟรนไชส์ คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 13 ของร้านอาหารริมทางทั้งหมด โดยมีมูลค่าราว 3.7 หมื่นล้านบาท ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 4.7 ต่อปี ได้แก่ ‘ไก่ย่างห้าดาว’ และ ‘ไก่ทอดห้าดาว’ ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกัน 35% รองลงมาคือ 'ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว' 19% ที่เหลือเป็นรายย่อยอื่นๆ จํานวนมาก” นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันอาหาร กล่าวว่า สถาบันอาหาร ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจในเรื่องการสนับสนุน และส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหาร และธุรกิจบริการให้เติบโตอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการผลักดันให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมอาหารก้าวสู่ยุค 4.0 จึงริเริ่มจัดงานดังกล่าวขึ้นเพื่อให้ผู้ประกอบการอาหารริมทางทั่วประเทศ ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารและธุรกิจเชื่อมโยง ผู้สนใจเข้าสู่ธุรกิจอาหาร และประชาชนทั่วไปเข้าร่วมชมงาน แนวคิดการจัดงานประกอบด้วย 1) Chance to the Future สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ สร้างรายได้ 2)The Show of Innovation นวัตกรรมทางธุรกิจ (สังคมไร้เงินสด) การชําระค่าอาหารผ่าน QR Code, การสั่งซื้ออาหารผ่าน Application, Logistic ระบบจัดส่งอาหารด้วยความรวดเร็ว และนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์สําหรับอาหาร 3)Big Brother ‘สานพลังประชารัฐ’ พบหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนขนาดใหญ่ที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารพร้อมให้การสนับสนุน เสริมความรู้ และ 4) Business Solution ร่วมหาแนวทางในการดําเนินธุรกิจที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการรายใหม่ หรือรายเดิม “ทั้งนี้ รูปแบบการจัดงานประกอบด้วย 1)จัดกิจกรรมยกระดับและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ อาหารริมทางด้วยการอบรมและการให้องค์ความรู้ในการดําเนินธุรกิจกับผู้ประกอบการอาหารริมทางจํานวน 100 ราย ในหัวข้อต่างๆ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ 25 – 26 เม.ย. 2561 ณ ศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย ประกอบด้วย หลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิต และการให้บริการตามมาตรฐานความปลอดภัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตอาหาร การนําเทคโนโลยีมาใช้ในการขาย แนวทางการขยายธุรกิจ Street Food 100 ล้าน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการเตรียมความพร้อมสู่ยุค 4.0 พร้อมชมศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมอาหาร Industry Transformation Center รวมทั้งงานบริการด้านอื่น ๆ ของสถาบันอาหารเพื่อการต่อยอดสู่ภาคอุตสาหกรรมในอนาคต 2) พื้นที่จัดแสดงศักยภาพ ร้านอาหารริมทาง (Street Food) และการจัดแสดงนิทรรศการ โดยใช้พื้นที่บริเวณใต้สะพานพระราม 8 ระหว่างวันที่ 27 - 29 เม.ย. 2561 เวลา 11.00 – 22.00 น. จัดแบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ ดังนี้ โซน Street Food สู่อุตสาหกรรม จัดแสดงศักยภาพของผู้ประกอบการที่มีการพัฒนาต่อยอดจากอาหารริมทางมาสู่รูปแบบของการผลิตในเชิงอุตสาหกรรม เช่น ไก่ย่างห้าดาว ชายสี่หมี่เกี๊ยว หมูปิ้งเฮียนพ ไส้กรอกแม่ไก่ โซนล้านไลค์ ร้อยล้าน การออกร้านจําหน่ายอาหารที่มีชื่อเสียงจากโซเชียลผ่านการกดไลค์จากคนดูจํานวนมาก โซนจําลองร้านอาหารริมทางย่านการค้าสําคัญ ได้แก่ เยาวราช, วังหลัง-ท่าพระจันทร์,เจริญกรุง-บางรัก, บางลําพู-ข้าวสาร โซน OTOP ริมทาง ตัวอย่างอาหารริมทางจากทั่วประเทศ ที่ได้รับการรับรองความอร่อยจากกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โซน Food Truck ที่กําลังได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และมีกลุ่ม Start Up จํานวนมาก โซน Food Exhibition เรื่องราวความเป็นมาของอาหาร Street Food ที่ได้รับความนิยม และติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก โซนนิทรรศการและการจัดแสดงชุดรถเข็นต้นแบบ ที่ผลิตและออกแบบตามข้อกําหนดและถูกสุขลักษณะเรื่องวัสดุประกอบรถเข็น ตําแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ เพื่อความปลอดภัย โซนนิทรรศการแนวโน้มบรรจุภัณฑ์อาหารสําหรับ Street Food ที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โซนนิทรรศการของหน่วยงานร่วมดําเนินงาน และผู้สนับสนุนการจัดงานอย่างเป็นทางการ อาทิ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ (จํากัด) มหาชน และบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (จํากัด) มหาชน เป็นต้น โดยมีอีกหลายหน่วยงานร่วมให้การสนับสนุนการจัดงานครั้งนี้ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร องค์การสุรา กรมสรรพสามิต สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) บริษัท ไทยร่วมใจน้ํามันพืช จํากัด และบริษัท อาจจิตต์อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็พเพอร์แอนด์สไปซ์ จํากัด” นายยงวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันศุกร์ที่ 27 เมษายน นี้ เวลา 18.00 น. จะจัดให้มีพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ ณ บริเวณสวนหลวงพระราม 8 เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี โดยจะจัดแสดงนิทรรศการตัวอย่าง Street Food สู่อุตสาหกรรม แนวโน้มบรรจุภัณฑ์ในอนาคต และผลิตภัณฑ์อาหารริมทางที่นําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เช่น ขนมหม้อแกงกรอบ ขนมจีนน้ํายาปูฟรีซดราย น้ําซอสผัดไทยทิพย์สมัย ทั้งนี้จะจัดเลี้ยงในรูปแบบ Family Dinner เป็นการนําเมนูอาหาร Street Food มาปรุงโดยเชฟชุมพล แจ้งไพร โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 ท่าน ประกอบด้วยคณะทูตานุทูตจากประเทศต่างๆ แขกผู้มีเกียรติจากภาครัฐและเอกชน ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงการท่องเที่ยว อาหาร โรงแรม สายการบิน สถาบันการศึกษา และสื่อมวลชน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11800
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้มีสิทธิเฮลั่น กรมบัญชีกลางเตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกค่ายารักษาโรคไตเพิ่มสิทธิการรักษาที่สถานพยาบาลเอกชน คาดว่าเริ่มใช้ 1 มิ.ย. 63
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้มีสิทธิเฮลั่น กรมบัญชีกลางเตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกค่ายารักษาโรคไตเพิ่มสิทธิการรักษาที่สถานพยาบาลเอกชน คาดว่าเริ่มใช้ 1 มิ.ย. 63 กรมบัญชีกลางเชิญชวนสถานพยาบาลเอกชนสมัครเข้าร่วมโครงการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลทดแทนไตในผู้ป่วยไตเรื้อรังด้วยวิธีไตเทียม เพื่อเป็นทางเลือกและอํานวยความสะดวกให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว พร้อมเตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาล กรมบัญชีกลางเชิญชวนสถานพยาบาลเอกชน สมัครเข้าร่วมโครงการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลทดแทนไตในผู้ป่วยไตเรื้อรังด้วยวิธีไตเทียม เพื่อเป็นทางเลือกและอํานวยความสะดวกให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว พร้อมเตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ให้สามารถเบิกค่ายากระตุ้นเม็ดเลือดแดงและค่าห้องตรวจที่สถานพยาบาลเอกชนได้ นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ดําเนินโครงการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลทดแทนไตในผู้ป่วยไตเรื้อรังด้วยวิธีไตเทียม โดยให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว สามารถเบิกค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในสถานพยาบาลเอกชนได้ เนื่องจากสถานพยาบาลของรัฐมีจํานวนไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรัง ให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีสถานพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯ จํานวน 223 แห่งทั่วประเทศ (โดยผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ต้องการเข้ารับการรักษา สามารถตรวจสอบการให้บริการกับสถานพยาบาลเอกชน ได้จากแอพพลิเคชั่น “CGD iHealthCare” เลือกเมนูสถานพยาบาลที่เข้าร่วม เลือกกลุ่มเฉพาะโรค (ฟอกไต) จากนั้นใส่จังหวัดที่ต้องการค้นหาหรือชื่อสถานพยาบาลที่ต้องการค้นหา “กรมบัญชีกลางได้เตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังด้วยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เพื่อให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังสามารถเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลเอกชนได้สะดวกมากขึ้น โดยได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ตามรายละเอียด ดังนี้ 1. สามารถเบิกค่ายากระตุ้นเม็ดเลือดแดง (Erythropoietin) ที่สถานพยาบาลของเอกชนได้ จากเดิมผู้ป่วยต้องนํายาจากสถานพยาบาลของรัฐไปใช้ในการรักษาที่สถานพยาบาลเอกชน ทําให้คุณภาพของยาลดลง อีกทั้ง ยังเป็นการเพิ่มภาระการจัดเก็บยาให้กับสถานพยาบาลเอกชนด้วย 2. สามารถเบิกค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สถานพยาบาลเอกชนได้ จากเดิมที่ไม่สามารถเบิกได้ เพื่อให้คุณภาพในการรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าว โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าวในตอนท้ายว่า หลักเกณฑ์ฯ ที่จะปรับปรุงดังกล่าว น่าจะเริ่มถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป สําหรับสถานพยาบาลเอกชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ดังกล่าว ให้ส่งหนังสือแจ้งความประสงค์มาที่กรมบัญชีกลาง โดยระบุจํานวนเครื่องไตเทียมสําหรับผู้ป่วยฟอกเลือด สถานที่ตั้งของหน่วยไตเทียม วัน และเวลาที่เปิดให้บริการ พร้อมใบรับรองมาตรฐานการรักษาจากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้มีสิทธิเฮลั่น กรมบัญชีกลางเตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกค่ายารักษาโรคไตเพิ่มสิทธิการรักษาที่สถานพยาบาลเอกชน คาดว่าเริ่มใช้ 1 มิ.ย. 63 วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ผู้มีสิทธิเฮลั่น กรมบัญชีกลางเตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกค่ายารักษาโรคไตเพิ่มสิทธิการรักษาที่สถานพยาบาลเอกชน คาดว่าเริ่มใช้ 1 มิ.ย. 63 กรมบัญชีกลางเชิญชวนสถานพยาบาลเอกชนสมัครเข้าร่วมโครงการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลทดแทนไตในผู้ป่วยไตเรื้อรังด้วยวิธีไตเทียม เพื่อเป็นทางเลือกและอํานวยความสะดวกให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว พร้อมเตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาล กรมบัญชีกลางเชิญชวนสถานพยาบาลเอกชน สมัครเข้าร่วมโครงการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลทดแทนไตในผู้ป่วยไตเรื้อรังด้วยวิธีไตเทียม เพื่อเป็นทางเลือกและอํานวยความสะดวกให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว พร้อมเตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ให้สามารถเบิกค่ายากระตุ้นเม็ดเลือดแดงและค่าห้องตรวจที่สถานพยาบาลเอกชนได้ นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ดําเนินโครงการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลทดแทนไตในผู้ป่วยไตเรื้อรังด้วยวิธีไตเทียม โดยให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัว สามารถเบิกค่าฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในสถานพยาบาลเอกชนได้ เนื่องจากสถานพยาบาลของรัฐมีจํานวนไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรัง ให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีสถานพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการฯ จํานวน 223 แห่งทั่วประเทศ (โดยผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ต้องการเข้ารับการรักษา สามารถตรวจสอบการให้บริการกับสถานพยาบาลเอกชน ได้จากแอพพลิเคชั่น “CGD iHealthCare” เลือกเมนูสถานพยาบาลที่เข้าร่วม เลือกกลุ่มเฉพาะโรค (ฟอกไต) จากนั้นใส่จังหวัดที่ต้องการค้นหาหรือชื่อสถานพยาบาลที่ต้องการค้นหา “กรมบัญชีกลางได้เตรียมปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังด้วยวิธีการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม เพื่อให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังสามารถเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลเอกชนได้สะดวกมากขึ้น โดยได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ตามรายละเอียด ดังนี้ 1. สามารถเบิกค่ายากระตุ้นเม็ดเลือดแดง (Erythropoietin) ที่สถานพยาบาลของเอกชนได้ จากเดิมผู้ป่วยต้องนํายาจากสถานพยาบาลของรัฐไปใช้ในการรักษาที่สถานพยาบาลเอกชน ทําให้คุณภาพของยาลดลง อีกทั้ง ยังเป็นการเพิ่มภาระการจัดเก็บยาให้กับสถานพยาบาลเอกชนด้วย 2. สามารถเบิกค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สถานพยาบาลเอกชนได้ จากเดิมที่ไม่สามารถเบิกได้ เพื่อให้คุณภาพในการรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ” โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าว โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าวในตอนท้ายว่า หลักเกณฑ์ฯ ที่จะปรับปรุงดังกล่าว น่าจะเริ่มถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป สําหรับสถานพยาบาลเอกชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ดังกล่าว ให้ส่งหนังสือแจ้งความประสงค์มาที่กรมบัญชีกลาง โดยระบุจํานวนเครื่องไตเทียมสําหรับผู้ป่วยฟอกเลือด สถานที่ตั้งของหน่วยไตเทียม วัน และเวลาที่เปิดให้บริการ พร้อมใบรับรองมาตรฐานการรักษาจากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26691
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นราพัฒน์” ขึ้นพิจิตรเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการประกันรายได้เกษตรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63
วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562 “นราพัฒน์” ขึ้นพิจิตรเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการประกันรายได้เกษตรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 ผู้ช่วยรัฐมนตรีเกษตรฯ “นราพัฒน์” ขึ้นพิจิตรเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการประกันรายได้เกษตรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 จ่ายครั้งแรก 15 ต.ค. นี้ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2562 นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมการประชาสัมพันธ์ชี้แจงมาตรการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/2563 รอบที่ 1 ณ CK Convention Hall ศูนย์ประชุมจังหวัดพิจิตร ว่า กระทรวงเกษตรฯ เร่งชี้แจงหลักเกณฑ์ โครงการ เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากมาตรการประกันรายได้ โดยมีตัวแทนเกษตรกรเข้าร่วมการสัมมนาจากจังหวัดภาคเหนือตอนล่างกว่า 300 กว่าราย ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ เร่ง kick off มาตรการประกันรายได้ใน 5 พืชชนิดหลัก ได้แก่ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ํามัน มันสําปะหลัง และข้าวโพด สําหรับสินค้าข้าว รัฐบาลประกันรายได้ 5 ชนิดข้าวเปลือก โดยจะกําหนดราคาเป้าหมายซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรควรได้รับตามราคาตลาดเฉลี่ยทุก 15 วัน ได้แก่ 1) ข้าวหอมมะลิ 15,000 บาทต่อตัน ไม่เกินครัวเรือนละ 14 ตัน 2) ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 บาทต่อตัน ไม่เกินครัวเรือนละ 16 ตัน 3) ข้าวเจ้า 10,000 บาทต่อตัน ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ตัน 4) ข้าวหอมประทุม 11,000 บาทต่อตัน ไม่เกินครัวเรือนละ 25 ตัน และ 5) ข้าวเหนียว 12,000 บาทต่อตัน ไม่เกินครัวเรือนละ 16 ตัน ทั้งนี้ เกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ สําหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้มุ่งเน้นการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวที่มีคุณภาพ ปลอดภัย เพื่อการแข่งขันในตลาดโลก อีกทั้งยังสนับสนุนการลดต้นทุนและพัฒนาระบบการเก็บรักษาพืชผลทางการเกษตรให้มีคุณภาพ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ จะทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และจะใช้ทุกช่องทางเพื่อเพิ่มตลาดให้พี่น้องเกษตรกรทั้งในระบบออนไลน์และออฟไลน์ต่อไป "ขอสร้างความมั่นใจว่ามาตรการประกันรายได้จะเป็นหลักประกันเบื้องต้นให้พี่น้องเกษตรกรทํานาแล้วไม่ขาดทุน นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯยังมีมาตรการเสริม เพื่อผลักดันราคาสินค้าเกษตรให้มีราคาสูงขึ้นอีกด้วย" นายนราพัฒน์ กล่าว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นราพัฒน์” ขึ้นพิจิตรเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการประกันรายได้เกษตรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2562 “นราพัฒน์” ขึ้นพิจิตรเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการประกันรายได้เกษตรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 ผู้ช่วยรัฐมนตรีเกษตรฯ “นราพัฒน์” ขึ้นพิจิตรเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการประกันรายได้เกษตรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 จ่ายครั้งแรก 15 ต.ค. นี้ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2562 นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมการประชาสัมพันธ์ชี้แจงมาตรการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/2563 รอบที่ 1 ณ CK Convention Hall ศูนย์ประชุมจังหวัดพิจิตร ว่า กระทรวงเกษตรฯ เร่งชี้แจงหลักเกณฑ์ โครงการ เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากมาตรการประกันรายได้ โดยมีตัวแทนเกษตรกรเข้าร่วมการสัมมนาจากจังหวัดภาคเหนือตอนล่างกว่า 300 กว่าราย ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ เร่ง kick off มาตรการประกันรายได้ใน 5 พืชชนิดหลัก ได้แก่ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ํามัน มันสําปะหลัง และข้าวโพด สําหรับสินค้าข้าว รัฐบาลประกันรายได้ 5 ชนิดข้าวเปลือก โดยจะกําหนดราคาเป้าหมายซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรควรได้รับตามราคาตลาดเฉลี่ยทุก 15 วัน ได้แก่ 1) ข้าวหอมมะลิ 15,000 บาทต่อตัน ไม่เกินครัวเรือนละ 14 ตัน 2) ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 บาทต่อตัน ไม่เกินครัวเรือนละ 16 ตัน 3) ข้าวเจ้า 10,000 บาทต่อตัน ไม่เกินครัวเรือนละ 30 ตัน 4) ข้าวหอมประทุม 11,000 บาทต่อตัน ไม่เกินครัวเรือนละ 25 ตัน และ 5) ข้าวเหนียว 12,000 บาทต่อตัน ไม่เกินครัวเรือนละ 16 ตัน ทั้งนี้ เกษตรกรต้องขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ สําหรับในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ ได้มุ่งเน้นการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกข้าวที่มีคุณภาพ ปลอดภัย เพื่อการแข่งขันในตลาดโลก อีกทั้งยังสนับสนุนการลดต้นทุนและพัฒนาระบบการเก็บรักษาพืชผลทางการเกษตรให้มีคุณภาพ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ จะทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และจะใช้ทุกช่องทางเพื่อเพิ่มตลาดให้พี่น้องเกษตรกรทั้งในระบบออนไลน์และออฟไลน์ต่อไป "ขอสร้างความมั่นใจว่ามาตรการประกันรายได้จะเป็นหลักประกันเบื้องต้นให้พี่น้องเกษตรกรทํานาแล้วไม่ขาดทุน นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯยังมีมาตรการเสริม เพื่อผลักดันราคาสินค้าเกษตรให้มีราคาสูงขึ้นอีกด้วย" นายนราพัฒน์ กล่าว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23665
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"บิ๊กอู๋" ตั้งเป้าพัฒนาฝีมือสูงวัย 7.7 หมื่นคน เอกชนขานรับนโยบายจ้างงานผู้สูงอายุ
วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561 "บิ๊กอู๋" ตั้งเป้าพัฒนาฝีมือสูงวัย 7.7 หมื่นคน เอกชนขานรับนโยบายจ้างงานผู้สูงอายุ รมว.แรงงาน หารือร่วมรัฐ เอกชน ขับเคลื่อนการจ้างงานผู้สูงอายุตามแนวทางประชารัฐ ตั้งเป้า ปี 2561 ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทํา 15,600 คน ทํางานแบบมีนายจ้าง รับไปทําที่บ้าน และอาชีพอิสระ พร้อมพัฒนาทักษะฝีมือผู้สูงอายุเพิ่มเพื่อให้สามารถทํางานได้ 77,000 คน รมว.แรงงาน หารือร่วมรัฐ เอกชน ขับเคลื่อนการจ้างงานผู้สูงอายุตามแนวทางประชารัฐ ตั้งเป้า ปี 2561 ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทํา 15,600 คน ทํางานแบบมีนายจ้าง รับไปทําที่บ้าน และอาชีพอิสระ พร้อมพัฒนาทักษะฝีมือผู้สูงอายุเพิ่มเพื่อให้สามารถทํางานได้ 77,000 คน พร้อมเดินหน้าปรับปรุงกฎหมายให้สอดรับกับความต้องการของผู้สูงอายุและภาคเอกชน ออกมาตรการจูงใจเอกชนหันมาจ้างงานสูงอายุเพิ่ม เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงาน “สานพลังประชารัฐ สร้างงาน สร้างอาชีพรองรับสังคมผู้สูงอายุ” ณ ห้องประชุมเทียนอัชกุล ชั้น 10 กรมการจัดหางาน เพื่อร่วมกันหารือถึงแนวทางในการส่งเสริมการมีงานทําแก่ผู้สูงอายุ และความต้องการของภาคเอกชนที่จะให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการส่งเสริมการมีงานทําผู้สูงอายุ โดยมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมประชุม โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า วันนี้เรื่องผู้สูงอายุเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีอยู่จํานวน 11 กว่าล้านคน ซึ่งเป็นวาระสําคัญของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนทั้งในเรื่องของการจ้างงานผู้สูงอายุ ที่อยู่อาศัย สินเชื่อรวมทั้งการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ได้มีเป้าหมายดําเนินการส่งเสริมการมีงานทําของผู้สูงอายุจํานวน 15,600 คน ทั้งการทํางานแบบมีนายจ้าง การรับงานไปทําที่บ้าน และอาชีพอิสระ รวมทั้งมีเป้าหมายในการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่ผู้สูงอายุเพื่อให้สามารถทํางานได้จํานวน 77,000 คน พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวต่อว่า ในระยะต่อไปกระทรวงแรงงาน จะพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.การจ้างงานผู้สูงอายุ การกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํารายชั่วโมงของผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันจะมีการกําหนดมาตรการทางภาษีเพื่อให้สามารถจูงใจภาคเอกชนในการจ้างงานผู้สูงอายุเพิ่ม ทั้งนี้ ในปี 2562 ระบบการจ้างงานผู้สูงอายุจะมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งตําแหน่งงาน ประเภทของงาน ลักษณะงานที่ผู้สูงอายุสามารถทําได้ การพัฒนาทักษะฝีมือ การคุ้มครองและหลักประกันทางสังคมโดยกระทรวงแรงงานจะดําเนินการตามแผนปฏิบัติการพร้อมกับการแก้ไขกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องควบคู่กันไปกับภาคเอกชนในหลายสถานประกอบการที่ได้มีการจ้างงานผู้สูงอายุก่อนหน้านี้ไปบ้างแล้ว เพื่อให้การส่งเสริมการมีงานทําของผู้สูงอายุมีประสิทธิภาพและเห็นผลเป็นรูปธรรม อาทิ การกําหนดอัตราค่าจ้างรายชั่วโมง ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบาย บริการจัดหางาน จ้างงานผู้สูงอายุในภาครัฐ ขยายโอกาสการมีงานทํา ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุในอาชีพที่เหมาะสมกับวัยและประสบการณ์ ฝึกอาชีพและพัฒนาเพิ่มทักษะฝีมือแรงงานผู้สูงอายุ ส่งเสริมสิทธิสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานผู้สูงอายุ รวมทั้งสร้างหลักประกันทางสังคม เป็นต้น ---------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/ 14 มิถุนายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"บิ๊กอู๋" ตั้งเป้าพัฒนาฝีมือสูงวัย 7.7 หมื่นคน เอกชนขานรับนโยบายจ้างงานผู้สูงอายุ วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561 "บิ๊กอู๋" ตั้งเป้าพัฒนาฝีมือสูงวัย 7.7 หมื่นคน เอกชนขานรับนโยบายจ้างงานผู้สูงอายุ รมว.แรงงาน หารือร่วมรัฐ เอกชน ขับเคลื่อนการจ้างงานผู้สูงอายุตามแนวทางประชารัฐ ตั้งเป้า ปี 2561 ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทํา 15,600 คน ทํางานแบบมีนายจ้าง รับไปทําที่บ้าน และอาชีพอิสระ พร้อมพัฒนาทักษะฝีมือผู้สูงอายุเพิ่มเพื่อให้สามารถทํางานได้ 77,000 คน รมว.แรงงาน หารือร่วมรัฐ เอกชน ขับเคลื่อนการจ้างงานผู้สูงอายุตามแนวทางประชารัฐ ตั้งเป้า ปี 2561 ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทํา 15,600 คน ทํางานแบบมีนายจ้าง รับไปทําที่บ้าน และอาชีพอิสระ พร้อมพัฒนาทักษะฝีมือผู้สูงอายุเพิ่มเพื่อให้สามารถทํางานได้ 77,000 คน พร้อมเดินหน้าปรับปรุงกฎหมายให้สอดรับกับความต้องการของผู้สูงอายุและภาคเอกชน ออกมาตรการจูงใจเอกชนหันมาจ้างงานสูงอายุเพิ่ม เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงาน “สานพลังประชารัฐ สร้างงาน สร้างอาชีพรองรับสังคมผู้สูงอายุ” ณ ห้องประชุมเทียนอัชกุล ชั้น 10 กรมการจัดหางาน เพื่อร่วมกันหารือถึงแนวทางในการส่งเสริมการมีงานทําแก่ผู้สูงอายุ และความต้องการของภาคเอกชนที่จะให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการส่งเสริมการมีงานทําผู้สูงอายุ โดยมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมประชุม โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า วันนี้เรื่องผู้สูงอายุเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีอยู่จํานวน 11 กว่าล้านคน ซึ่งเป็นวาระสําคัญของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนทั้งในเรื่องของการจ้างงานผู้สูงอายุ ที่อยู่อาศัย สินเชื่อรวมทั้งการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ได้มีเป้าหมายดําเนินการส่งเสริมการมีงานทําของผู้สูงอายุจํานวน 15,600 คน ทั้งการทํางานแบบมีนายจ้าง การรับงานไปทําที่บ้าน และอาชีพอิสระ รวมทั้งมีเป้าหมายในการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่ผู้สูงอายุเพื่อให้สามารถทํางานได้จํานวน 77,000 คน พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวต่อว่า ในระยะต่อไปกระทรวงแรงงาน จะพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.การจ้างงานผู้สูงอายุ การกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ํารายชั่วโมงของผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันจะมีการกําหนดมาตรการทางภาษีเพื่อให้สามารถจูงใจภาคเอกชนในการจ้างงานผู้สูงอายุเพิ่ม ทั้งนี้ ในปี 2562 ระบบการจ้างงานผู้สูงอายุจะมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งตําแหน่งงาน ประเภทของงาน ลักษณะงานที่ผู้สูงอายุสามารถทําได้ การพัฒนาทักษะฝีมือ การคุ้มครองและหลักประกันทางสังคมโดยกระทรวงแรงงานจะดําเนินการตามแผนปฏิบัติการพร้อมกับการแก้ไขกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องควบคู่กันไปกับภาคเอกชนในหลายสถานประกอบการที่ได้มีการจ้างงานผู้สูงอายุก่อนหน้านี้ไปบ้างแล้ว เพื่อให้การส่งเสริมการมีงานทําของผู้สูงอายุมีประสิทธิภาพและเห็นผลเป็นรูปธรรม อาทิ การกําหนดอัตราค่าจ้างรายชั่วโมง ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบาย บริการจัดหางาน จ้างงานผู้สูงอายุในภาครัฐ ขยายโอกาสการมีงานทํา ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุในอาชีพที่เหมาะสมกับวัยและประสบการณ์ ฝึกอาชีพและพัฒนาเพิ่มทักษะฝีมือแรงงานผู้สูงอายุ ส่งเสริมสิทธิสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานผู้สูงอายุ รวมทั้งสร้างหลักประกันทางสังคม เป็นต้น ---------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/ 14 มิถุนายน 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13043
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยปลื้มได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกประจำของคณะประศาสน์การ ILO ด้วยคะแนนสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560 ไทยปลื้มได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกประจําของคณะประศาสน์การ ILO ด้วยคะแนนสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รมว.แรงงาน เดินทางเข้าร่วมการประชุมประจําปีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ 106 ซึ่งมีสมาชิกเข้าร่วมประชุม 169 ประเทศ ในเดือนมิถุนายน 2560 พร้อมคณะผู้แทนจากฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้างของไทย โดยในวันที่ 12 มิถุนายน 2560 ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกคณะประศาสน์การ ซึ่งจากการลงคะแนนเพื่อเลือกผู้แทนเป็นคณะกรรมการบริหารสูงสุดของ ILO ในตําแหน่งสมาชิกประจํา (Regular Member) สําหรับวาระปี 2560 – 2563 ปรากฏว่าประเทศไทยได้รับความไว้วางใจจากการทํางานที่ผ่านมา จึงได้รับเสียงสนับสนุนจํานวน 230 เสียง จากผู้แทนฝ่ายรัฐบาลที่เข้าร่วมลงคะแนน 251 เสียง ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สําหรับ ประเทศที่ได้รับเลือกตั้ง รองลงมา คือ เกาหลีใต้ (229 เสียง) บาห์เรนและอิหร่าน (223 เสียง) คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่กําหนดนโยบายและบริหารองค์การแรงงานระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังจะมีบทบาทนําในอนุภูมิภาคอาเซียน ในฐานะผู้ประสานงานอาเซียนในกรอบเวทีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ทั้งนี้ จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่การประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ 330 ในวันที่ 17 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไป สําหรับการประชุมในวันที่ 13 มิถุนายน 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจะกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมใหญ่ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ในการบริหารแรงงาน ในหัวข้อ “ข้อริเริ่มสีเขียว” และจะเข้าพบ Mr. Guy Ryder ผู้อํานวยการใหญ่ ILO เพื่อมอบสัตยาบันสารอนุสัญญา ฉบับที่ 111 ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและอาชีพด้วย -------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ – ข่าว/ 13 มิถุนายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยปลื้มได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกประจำของคณะประศาสน์การ ILO ด้วยคะแนนสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560 ไทยปลื้มได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกประจําของคณะประศาสน์การ ILO ด้วยคะแนนสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รมว.แรงงาน เดินทางเข้าร่วมการประชุมประจําปีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ 106 ซึ่งมีสมาชิกเข้าร่วมประชุม 169 ประเทศ ในเดือนมิถุนายน 2560 พร้อมคณะผู้แทนจากฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายลูกจ้างของไทย โดยในวันที่ 12 มิถุนายน 2560 ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกคณะประศาสน์การ ซึ่งจากการลงคะแนนเพื่อเลือกผู้แทนเป็นคณะกรรมการบริหารสูงสุดของ ILO ในตําแหน่งสมาชิกประจํา (Regular Member) สําหรับวาระปี 2560 – 2563 ปรากฏว่าประเทศไทยได้รับความไว้วางใจจากการทํางานที่ผ่านมา จึงได้รับเสียงสนับสนุนจํานวน 230 เสียง จากผู้แทนฝ่ายรัฐบาลที่เข้าร่วมลงคะแนน 251 เสียง ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สําหรับ ประเทศที่ได้รับเลือกตั้ง รองลงมา คือ เกาหลีใต้ (229 เสียง) บาห์เรนและอิหร่าน (223 เสียง) คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่กําหนดนโยบายและบริหารองค์การแรงงานระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังจะมีบทบาทนําในอนุภูมิภาคอาเซียน ในฐานะผู้ประสานงานอาเซียนในกรอบเวทีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ทั้งนี้ จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่การประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ 330 ในวันที่ 17 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไป สําหรับการประชุมในวันที่ 13 มิถุนายน 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจะกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมใหญ่ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ในการบริหารแรงงาน ในหัวข้อ “ข้อริเริ่มสีเขียว” และจะเข้าพบ Mr. Guy Ryder ผู้อํานวยการใหญ่ ILO เพื่อมอบสัตยาบันสารอนุสัญญา ฉบับที่ 111 ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและอาชีพด้วย -------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ – ข่าว/ 13 มิถุนายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4471
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561 สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561 เวลา 20.15 น. เนื่องในโอกาส วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 63 พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน ศกนี้ พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าได้พร้อมเพรียงกัน เทิดพระเกียรติและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจด้วยพระปรีชาสามารถและพระวิริยะอุตสาหะล้ําเลิศ เพื่ออํานวยประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนได้น้อมนําความเป็นไทยและทรงเป็นแบบอย่างการบําเพ็ญพระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตรอันงดงาม โดยทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคคลบาท สมเด็จพระบรมชนกนาถในการสร้างสรรค์และอนุรักษ์มรดกของชาติ ให้ยั่งยืนสืบสานต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนคนไทยทุกคน พร้อมใจกันรําลึกพระเกียรติคุณ และ พระราชภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ได้ทรงบําเพ็ญและจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย พร้อมทั้งสนับสนุน การอนุรักษ์ความเป็นไทยด้วยการแต่งกายแบบไทย ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมถือว่าเป็นกุศโลบายที่น่าส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อให้ชนรุ่นหลังได้สัมผัส และภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (23 มี.ค. 61) นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงคุณอํานาจ พรหมภินันท์ นักวิ่ง ทางดิ่ง วัย 66 ปี จากประเทศไทย ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมรายการวิ่งขึ้นหอไอเฟล ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทย ให้ความสนใจในการออกกําลังกายมากขึ้น จะสังเกตได้ว่ารายการวิ่งมีทั้งระยะฟันรัน มินิมาราธอน ฮาฟท์มาราธอนและมาราธอน ตลอดทุกสัปดาห์ ทั้งนี้ ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับงานวิ่งมาราธอนที่จัดขึ้นในเมืองใหญ่ ทั่วโลกและได้การยอมรับมากที่สุด เรียกว่าระดับ Majors รวมทั้งสิ้น 6 สนาม ได้แก่ 1) Boston จัดมา 121 ปี 2) New York City 48 ปี 3) Berlin 44 ปี 4) Chicago 41 ปี 5) London 37 ปี และ 6) Tokyo 36 ปี รวมถึงสนามอื่น ๆ ที่มีนักวิ่งจากทั่วโลกเข้าร่วม ไม่ต่ํากว่า 35,000 สนามใหญ่ ๆ อย่าง New York City Marathon มีคนวิ่งจบ 50,000 กว่าคน มากกว่าโอลิมปิกที่มีนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน ราว 11,000 คน เป็นต้น สําหรับการสร้างความเข้าใจ ประกอบด้วยการทําประมงพื้นบ้าน ประมงพาณิชย์ ในน่านน้ํา นอกน่านน้ํา ทั้งประมงในประเทศและประมงต่างประเทศ บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและสร้างระบบกลไกการบริหารจัดการที่ยั่งยืน เน้นการให้ความรู้ ฝึกใช้เทคโนโลยี สร้างอาชีพ เข้าสู่ตลาด online และตอบโจทย์ความต้องของประชาชน วันที่ 1 เมษายนของทุกปี เป็นวันข้าราชการพลเรือน และยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ว่าบําบัดทุกข์ บํารุงสุข สําหรับการพัฒนาศักยภาพด้วยการให้หลักคิด มีความเป็นผู้นํา ให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ร่วมมือกันแก้ปัญหาการปฏิรูประบบราชการ การบริหารราชการแผ่นดิน ควรคํานึงถึงการเรียกร้องให้เกิดการกระจายอํานาจ สิ่งสําคัญ คือ ประชาชนจะต้องพัฒนาตนเอง รวมถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้เกิดการบูรณาการอย่างแท้จริงจึงจะพัฒนาประเทศได้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สําหรับโครงการจัดหารถเมล์ NGV เริ่มมาตั้งแต่ปี 2549 เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 61 ขสมก.สามารถเปิดตัวรถเมล์ NGV 100 คันแรก โดยเริ่มให้บริการ 5 เส้นทางในกรุงเทพและปริมณฑล รับมอบจนครบ 489 ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มิ.ย. 61) และจะจัดหาต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ การให้บริการในปัจจุบัน ใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2534 แต่ยังคงมีความจําเป็น และนายกรัฐมนตรีมองเห็นความสําคัญถึงประชาชนผู้ที่มีรายได้น้อย รัฐจึงจัดหาบริการสาธารณะให้กับประชาชน ให้มีความสะดวกสบายและทั่วถึง เพื่อยกระดับการให้บริการได้ดียิ่งขึ้น อีกด้วย ในปัจจุบันมีการตรวจสอบจากภาคประชาชน สื่อมวลชน และสื่อโซเชียล ที่ช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ พร้อมทั้ง รัฐบาลเปิดช่องทางรับเรื่องราวร้องเรียนต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ได้กําหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ โดยให้เกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ กระบวนการยุติธรรม และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจแก่ประชาชน สําหรับการพัฒนาประเทศ และความเข้าใจของระบบภาษี ซึ่งเป็นรายได้ของภาครัฐ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อากรขาเข้า รวมถึงภาษีที่ท้องถิ่น โดยจัดเก็บจากประชาชน รวมถึงภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ที่จัดเก็บจากผู้ประกอบการ ทั้งหมดนี้ ถือเป็นรายได้ของภาครัฐที่จะถูกจัดสรรลงไปเป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ให้ได้อย่างสมดุลเพื่อที่จะลดความเหลื่อมล้ํา และยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลได้จัดทําเว็ปไซต์ “ภาษีอยู่ไหน” เพื่อประชาสัมพันธ์รายละเอียดต่าง ๆ และทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบ และให้ข้อเสนอแนะกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ต่อไป ในช่วงวันที่ 26 มีนาคม ถึง 4 เมษายนนี้ เป็นช่วงที่คณะทํางานธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่ประกอบไปด้วยคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชน บรรษัทข้ามชาติ และองค์กรธุรกิจอื่น ๆ ของสหประชาชาติ ได้เดินทางมาเยือนไทยตามคําเชิญของทางการไทย เพื่อหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล ในประเด็นของการดําเนินธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจไทย เพื่อทําความเข้าใจร่วมกันในประเด็นสิทธิมนุษยชนทั้งในส่วนหลักปฏิบัติสากล และการดําเนินงานในประเทศไทย พร้อมทั้งตระหนักรู้ของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมของไทย ตลอดจนเพิ่มการมีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable development) ซึ่งรัฐบาล ได้ประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็น “วาระแห่งชาติ” และเชื่อมโยงกับการขับเคลื่อน Thailand 4.0 และการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความห่วงใยและการเตรียมการต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ําคุ้มค่า ชีวาปลอดภัย” ขอให้ใช้รถ ใช้ถนน ด้วยความระมัดระวัง ให้ปลอดภัย “ดื่มไม่ขับ ง่วงก็ไม่ฝืน” และดูแลทั้งรถให้พร้อม ขับขี่มีน้ําใจกับผู้ร่วมทางและรักษาวินัยจราจร ทุกคน ถึงช้า ย่อมปลอดภัย ดีกว่า ............................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561 วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561 สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561 เวลา 20.15 น. เนื่องในโอกาส วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 63 พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน ศกนี้ พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าได้พร้อมเพรียงกัน เทิดพระเกียรติและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจด้วยพระปรีชาสามารถและพระวิริยะอุตสาหะล้ําเลิศ เพื่ออํานวยประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนได้น้อมนําความเป็นไทยและทรงเป็นแบบอย่างการบําเพ็ญพระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตรอันงดงาม โดยทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคคลบาท สมเด็จพระบรมชนกนาถในการสร้างสรรค์และอนุรักษ์มรดกของชาติ ให้ยั่งยืนสืบสานต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนคนไทยทุกคน พร้อมใจกันรําลึกพระเกียรติคุณ และ พระราชภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ได้ทรงบําเพ็ญและจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย พร้อมทั้งสนับสนุน การอนุรักษ์ความเป็นไทยด้วยการแต่งกายแบบไทย ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมถือว่าเป็นกุศโลบายที่น่าส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อให้ชนรุ่นหลังได้สัมผัส และภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (23 มี.ค. 61) นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงคุณอํานาจ พรหมภินันท์ นักวิ่ง ทางดิ่ง วัย 66 ปี จากประเทศไทย ที่ได้รับเชิญเข้าร่วมรายการวิ่งขึ้นหอไอเฟล ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทย ให้ความสนใจในการออกกําลังกายมากขึ้น จะสังเกตได้ว่ารายการวิ่งมีทั้งระยะฟันรัน มินิมาราธอน ฮาฟท์มาราธอนและมาราธอน ตลอดทุกสัปดาห์ ทั้งนี้ ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับงานวิ่งมาราธอนที่จัดขึ้นในเมืองใหญ่ ทั่วโลกและได้การยอมรับมากที่สุด เรียกว่าระดับ Majors รวมทั้งสิ้น 6 สนาม ได้แก่ 1) Boston จัดมา 121 ปี 2) New York City 48 ปี 3) Berlin 44 ปี 4) Chicago 41 ปี 5) London 37 ปี และ 6) Tokyo 36 ปี รวมถึงสนามอื่น ๆ ที่มีนักวิ่งจากทั่วโลกเข้าร่วม ไม่ต่ํากว่า 35,000 สนามใหญ่ ๆ อย่าง New York City Marathon มีคนวิ่งจบ 50,000 กว่าคน มากกว่าโอลิมปิกที่มีนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน ราว 11,000 คน เป็นต้น สําหรับการสร้างความเข้าใจ ประกอบด้วยการทําประมงพื้นบ้าน ประมงพาณิชย์ ในน่านน้ํา นอกน่านน้ํา ทั้งประมงในประเทศและประมงต่างประเทศ บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและสร้างระบบกลไกการบริหารจัดการที่ยั่งยืน เน้นการให้ความรู้ ฝึกใช้เทคโนโลยี สร้างอาชีพ เข้าสู่ตลาด online และตอบโจทย์ความต้องของประชาชน วันที่ 1 เมษายนของทุกปี เป็นวันข้าราชการพลเรือน และยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ว่าบําบัดทุกข์ บํารุงสุข สําหรับการพัฒนาศักยภาพด้วยการให้หลักคิด มีความเป็นผู้นํา ให้เกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ร่วมมือกันแก้ปัญหาการปฏิรูประบบราชการ การบริหารราชการแผ่นดิน ควรคํานึงถึงการเรียกร้องให้เกิดการกระจายอํานาจ สิ่งสําคัญ คือ ประชาชนจะต้องพัฒนาตนเอง รวมถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้เกิดการบูรณาการอย่างแท้จริงจึงจะพัฒนาประเทศได้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สําหรับโครงการจัดหารถเมล์ NGV เริ่มมาตั้งแต่ปี 2549 เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 61 ขสมก.สามารถเปิดตัวรถเมล์ NGV 100 คันแรก โดยเริ่มให้บริการ 5 เส้นทางในกรุงเทพและปริมณฑล รับมอบจนครบ 489 ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มิ.ย. 61) และจะจัดหาต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ การให้บริการในปัจจุบัน ใช้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2534 แต่ยังคงมีความจําเป็น และนายกรัฐมนตรีมองเห็นความสําคัญถึงประชาชนผู้ที่มีรายได้น้อย รัฐจึงจัดหาบริการสาธารณะให้กับประชาชน ให้มีความสะดวกสบายและทั่วถึง เพื่อยกระดับการให้บริการได้ดียิ่งขึ้น อีกด้วย ในปัจจุบันมีการตรวจสอบจากภาคประชาชน สื่อมวลชน และสื่อโซเชียล ที่ช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ พร้อมทั้ง รัฐบาลเปิดช่องทางรับเรื่องราวร้องเรียนต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ได้กําหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการ โดยให้เกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ กระบวนการยุติธรรม และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจแก่ประชาชน สําหรับการพัฒนาประเทศ และความเข้าใจของระบบภาษี ซึ่งเป็นรายได้ของภาครัฐ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อากรขาเข้า รวมถึงภาษีที่ท้องถิ่น โดยจัดเก็บจากประชาชน รวมถึงภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร ที่จัดเก็บจากผู้ประกอบการ ทั้งหมดนี้ ถือเป็นรายได้ของภาครัฐที่จะถูกจัดสรรลงไปเป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ให้ได้อย่างสมดุลเพื่อที่จะลดความเหลื่อมล้ํา และยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลได้จัดทําเว็ปไซต์ “ภาษีอยู่ไหน” เพื่อประชาสัมพันธ์รายละเอียดต่าง ๆ และทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบ และให้ข้อเสนอแนะกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ต่อไป ในช่วงวันที่ 26 มีนาคม ถึง 4 เมษายนนี้ เป็นช่วงที่คณะทํางานธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่ประกอบไปด้วยคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชน บรรษัทข้ามชาติ และองค์กรธุรกิจอื่น ๆ ของสหประชาชาติ ได้เดินทางมาเยือนไทยตามคําเชิญของทางการไทย เพื่อหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูล ในประเด็นของการดําเนินธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจไทย เพื่อทําความเข้าใจร่วมกันในประเด็นสิทธิมนุษยชนทั้งในส่วนหลักปฏิบัติสากล และการดําเนินงานในประเทศไทย พร้อมทั้งตระหนักรู้ของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมของไทย ตลอดจนเพิ่มการมีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable development) ซึ่งรัฐบาล ได้ประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็น “วาระแห่งชาติ” และเชื่อมโยงกับการขับเคลื่อน Thailand 4.0 และการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความห่วงใยและการเตรียมการต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์วิถีไทย ใช้น้ําคุ้มค่า ชีวาปลอดภัย” ขอให้ใช้รถ ใช้ถนน ด้วยความระมัดระวัง ให้ปลอดภัย “ดื่มไม่ขับ ง่วงก็ไม่ฝืน” และดูแลทั้งรถให้พร้อม ขับขี่มีน้ําใจกับผู้ร่วมทางและรักษาวินัยจราจร ทุกคน ถึงช้า ย่อมปลอดภัย ดีกว่า ............................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11227
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวนเชิญเที่ยวงาน “เถลิงศกสุขสันต์ มหาสงกรานต์ ตำนานไทย”
วันพุธที่ 11 เมษายน 2561 ชวนเชิญเที่ยวงาน “เถลิงศกสุขสันต์ มหาสงกรานต์ ตํานานไทย” รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมงาน “เถลิงศกสุขสันต์ มหาสงกรานต์ ตํานานไทย” ชวนเชิญเที่ยวงาน “เถลิงศกสุขสันต์ มหาสงกรานต์ ตํานานไทย” ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมงาน “เถลิงศกสุขสันต์ มหาสงกรานต์ ตํานานไทย” ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานดังกล่าวขึ้น เพื่อสืบสานศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของชาติ จนถึงวันที่ 8 เม.ย.61 ตั้งแต่เวลา 14.00 – 21.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า โดยภายในงานจะมีนิทรรศการความรู้ การแข่งขันก่อพระเจดีย์ทรายชิงโล่พระราชทาน การแสดงทางวัฒนธรรมและการละเล่นโบราณ เช่น โมงครุ่ม กุลาตีไม้ โขน ดนตรีไทย การสาธิตการปรุงเครื่องหอม ภายในบรรยากาศของความเป็นไทย โดยขอความร่วมมือแต่งกายชุดไทย ชุดผ้าลายดอก หรือชุดสุภาพ และไปร่วมงานได้ในวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวนเชิญเที่ยวงาน “เถลิงศกสุขสันต์ มหาสงกรานต์ ตำนานไทย” วันพุธที่ 11 เมษายน 2561 ชวนเชิญเที่ยวงาน “เถลิงศกสุขสันต์ มหาสงกรานต์ ตํานานไทย” รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมงาน “เถลิงศกสุขสันต์ มหาสงกรานต์ ตํานานไทย” ชวนเชิญเที่ยวงาน “เถลิงศกสุขสันต์ มหาสงกรานต์ ตํานานไทย” ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมงาน “เถลิงศกสุขสันต์ มหาสงกรานต์ ตํานานไทย” ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานดังกล่าวขึ้น เพื่อสืบสานศิลปวัฒนธรรม และประเพณีอันดีงามของชาติ จนถึงวันที่ 8 เม.ย.61 ตั้งแต่เวลา 14.00 – 21.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่า โดยภายในงานจะมีนิทรรศการความรู้ การแข่งขันก่อพระเจดีย์ทรายชิงโล่พระราชทาน การแสดงทางวัฒนธรรมและการละเล่นโบราณ เช่น โมงครุ่ม กุลาตีไม้ โขน ดนตรีไทย การสาธิตการปรุงเครื่องหอม ภายในบรรยากาศของความเป็นไทย โดยขอความร่วมมือแต่งกายชุดไทย ชุดผ้าลายดอก หรือชุดสุภาพ และไปร่วมงานได้ในวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11469
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการนำร่องเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสำหรับผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดสงขลา
วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2560 โครงการนําร่องเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดสงขลา กระทรวงการคลังได้ดําเนินโครงการนําร่องเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่สามต่อเนื่องจากจังหวัดนครราชสีมาและสุพรรณบุรี ที่มีการจัดโครงการต้นแบบของการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อย นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงการคลังได้ดําเนินโครงการนําร่องเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่สามต่อเนื่องจากจังหวัดนครราชสีมาและสุพรรณบุรี ที่มีการจัดโครงการต้นแบบของการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยเพื่อขยายผลไปยังจังหวัดอื่นทั่วประเทศต่อไป ในการดําเนินโครงการดังกล่าว กระทรวงการคลังได้นําส่งรายชื่อผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบในจังหวัดสงขลา จากฐานข้อมูลผู้มีสิทธิ์ในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 ซึ่งมีจํานวน 30,052 คน และมีมูลหนี้นอกระบบ รวมเป็นเงิน 1,778.33 ล้านบาท (เฉลี่ย 59,175 บาทต่อคน) ให้กับธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อให้ติดต่อนําลูกหนี้นอกระบบแต่ละรายมาเข้าสู่กลไกการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ประกอบด้วย การให้คําปรึกษาไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบ พิจารณาช่วยเหลือด้านสินเชื่อและดูแลฟื้นฟูศักยภาพการหารายได้ ซึ่งเป็นกลไกการทํางานของจุดให้คําปรึกษาปัญหาหนี้นอกระบบประจําจังหวัดสงขลา และคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการหารายได้ของลูกหนี้นอกระบบประจําจังหวัดสงขลา กระทรวงการคลังยังได้จัดกิจกรรมสําหรับผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับการช่วยเหลือด้านสินเชื่อตามกระบวนการดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้ได้รับการต่อยอดการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างครบวงจรในด้านการเสริมสร้างวินัยทางการเงินและการประกอบอาชีพ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมบุรีศรีภู บูติกโฮเต็ล อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีกิจกรรม ประกอบด้วย การให้คําปรึกษาทางการเงินของธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. การให้คําปรึกษาทางกฎหมายของสํานักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสงขลา การประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) กิจกรรมสาธิตอาชีพ 6 อาชีพ การอบรมหัวข้อ “การจัดทําบัญชีครัวเรือน” โดยวิทยากรจากธนาคารออมสิน การอบรมหัวข้อ “แนวทางการหารายได้เสริม” โดยวิทยากรจาก ธ.ก.ส. กิจกรรมส่งเสริมการออม หัวข้อ “ออมสบาย ได้บํานาญ กับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)” และการบรรยายความรู้เพื่อประชาสัมพันธ์ประโยชน์ของโครงการบริจาคเงินเบี้ยยังชีพเข้ากองทุนผู้สูงอายุโดยวิทยากรจากสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ภายในงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ให้เกียรติมอบนโยบายเรื่อง “แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อย” โดยกล่าวว่า จากการที่รัฐบาลได้กําหนดให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ กระทรวงการคลังจึงได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาคีทุกภาคส่วนในการขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ และเร่งแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเร่งด่วนให้กับผู้มีรายได้น้อย อย่างไรก็ดี ได้มุ่งหวังให้ลูกหนี้นอกระบบที่ได้รับ ความช่วยเหลือไกล่เกลี่ยหนี้สินหรือได้รับสินเชื่อไปแล้วรักษาวินัยในการใช้จ่ายและชําระหนี้ มีการทําบัญชีครัวเรือน สะสมเงินออม และน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดําเนินชีวิต เพื่อไม่กลับไปเป็นหนี้นอกระบบ และหลุดพ้นจากปัญหาความยากจน ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมกันมอบใบอนุญาตการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้แก่ผู้ประกอบการในจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง จํานวน 4 ราย และมอบสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินสําหรับผู้มีรายได้น้อยที่มีปัญหาหนี้นอกระบบในจังหวัดสงขลา จํานวน 3,337 ราย เป็นเงิน 150.48 ล้านบาท นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยังได้เดินทางไปร่วมเปิดโครงการ "ตลาดไร้เงินสดกิมหยง" อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการเพื่อสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ของรัฐบาล โดยคณะผู้บริหารการคลังประจําจังหวัดสงขลา และสถาบันการเงินของรัฐ ร่วมกับเทศบาลนครหาดใหญ่ ได้ส่งเสริมให้ร้านค้าในตลาดกิมหยงกว่า 200 ร้านค้า เข้าร่วมทําธุรกรรมรับชําระเงินค่าซื้อสินค้าและบริการผ่าน QR Code ซึ่งช่วยอํานวยความสะดวกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถซื้อสินค้าแบบไร้เงินสดกับร้านค้าต่าง ๆ อย่างสะดวก ปลอดภัย ทั้งนี้ กระทรวงการคลังยังได้จัดให้มีตลาด/ศูนย์อาหารไร้เงินสดในจังหวัดสงขลาขึ้นอีก 2 แห่ง ได้แก่ ตลาดเกษตรของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และศูนย์อาหารกลางของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย อนึ่ง กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างขยายจํานวนถนน/ตลาด/ศูนย์อาหารไร้เงินสดให้แพร่หลายครบทุกจังหวัดโดยเร็ว สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทรศัพท์สายด่วน 1359
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการนำร่องเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสำหรับผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดสงขลา วันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2560 โครงการนําร่องเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดสงขลา กระทรวงการคลังได้ดําเนินโครงการนําร่องเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่สามต่อเนื่องจากจังหวัดนครราชสีมาและสุพรรณบุรี ที่มีการจัดโครงการต้นแบบของการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อย นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงการคลังได้ดําเนินโครงการนําร่องเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดสงขลา ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่สามต่อเนื่องจากจังหวัดนครราชสีมาและสุพรรณบุรี ที่มีการจัดโครงการต้นแบบของการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยเพื่อขยายผลไปยังจังหวัดอื่นทั่วประเทศต่อไป ในการดําเนินโครงการดังกล่าว กระทรวงการคลังได้นําส่งรายชื่อผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบในจังหวัดสงขลา จากฐานข้อมูลผู้มีสิทธิ์ในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 ซึ่งมีจํานวน 30,052 คน และมีมูลหนี้นอกระบบ รวมเป็นเงิน 1,778.33 ล้านบาท (เฉลี่ย 59,175 บาทต่อคน) ให้กับธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อให้ติดต่อนําลูกหนี้นอกระบบแต่ละรายมาเข้าสู่กลไกการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ประกอบด้วย การให้คําปรึกษาไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบ พิจารณาช่วยเหลือด้านสินเชื่อและดูแลฟื้นฟูศักยภาพการหารายได้ ซึ่งเป็นกลไกการทํางานของจุดให้คําปรึกษาปัญหาหนี้นอกระบบประจําจังหวัดสงขลา และคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการหารายได้ของลูกหนี้นอกระบบประจําจังหวัดสงขลา กระทรวงการคลังยังได้จัดกิจกรรมสําหรับผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับการช่วยเหลือด้านสินเชื่อตามกระบวนการดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้ได้รับการต่อยอดการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างครบวงจรในด้านการเสริมสร้างวินัยทางการเงินและการประกอบอาชีพ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมบุรีศรีภู บูติกโฮเต็ล อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีกิจกรรม ประกอบด้วย การให้คําปรึกษาทางการเงินของธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. การให้คําปรึกษาทางกฎหมายของสํานักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดสงขลา การประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) กิจกรรมสาธิตอาชีพ 6 อาชีพ การอบรมหัวข้อ “การจัดทําบัญชีครัวเรือน” โดยวิทยากรจากธนาคารออมสิน การอบรมหัวข้อ “แนวทางการหารายได้เสริม” โดยวิทยากรจาก ธ.ก.ส. กิจกรรมส่งเสริมการออม หัวข้อ “ออมสบาย ได้บํานาญ กับกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)” และการบรรยายความรู้เพื่อประชาสัมพันธ์ประโยชน์ของโครงการบริจาคเงินเบี้ยยังชีพเข้ากองทุนผู้สูงอายุโดยวิทยากรจากสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ภายในงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ให้เกียรติมอบนโยบายเรื่อง “แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อย” โดยกล่าวว่า จากการที่รัฐบาลได้กําหนดให้การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ กระทรวงการคลังจึงได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาคีทุกภาคส่วนในการขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ และเร่งแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเร่งด่วนให้กับผู้มีรายได้น้อย อย่างไรก็ดี ได้มุ่งหวังให้ลูกหนี้นอกระบบที่ได้รับ ความช่วยเหลือไกล่เกลี่ยหนี้สินหรือได้รับสินเชื่อไปแล้วรักษาวินัยในการใช้จ่ายและชําระหนี้ มีการทําบัญชีครัวเรือน สะสมเงินออม และน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดําเนินชีวิต เพื่อไม่กลับไปเป็นหนี้นอกระบบ และหลุดพ้นจากปัญหาความยากจน ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมกันมอบใบอนุญาตการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้แก่ผู้ประกอบการในจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง จํานวน 4 ราย และมอบสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินสําหรับผู้มีรายได้น้อยที่มีปัญหาหนี้นอกระบบในจังหวัดสงขลา จํานวน 3,337 ราย เป็นเงิน 150.48 ล้านบาท นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยังได้เดินทางไปร่วมเปิดโครงการ "ตลาดไร้เงินสดกิมหยง" อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการเพื่อสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ของรัฐบาล โดยคณะผู้บริหารการคลังประจําจังหวัดสงขลา และสถาบันการเงินของรัฐ ร่วมกับเทศบาลนครหาดใหญ่ ได้ส่งเสริมให้ร้านค้าในตลาดกิมหยงกว่า 200 ร้านค้า เข้าร่วมทําธุรกรรมรับชําระเงินค่าซื้อสินค้าและบริการผ่าน QR Code ซึ่งช่วยอํานวยความสะดวกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถซื้อสินค้าแบบไร้เงินสดกับร้านค้าต่าง ๆ อย่างสะดวก ปลอดภัย ทั้งนี้ กระทรวงการคลังยังได้จัดให้มีตลาด/ศูนย์อาหารไร้เงินสดในจังหวัดสงขลาขึ้นอีก 2 แห่ง ได้แก่ ตลาดเกษตรของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และศูนย์อาหารกลางของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย อนึ่ง กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างขยายจํานวนถนน/ตลาด/ศูนย์อาหารไร้เงินสดให้แพร่หลายครบทุกจังหวัดโดยเร็ว สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทรศัพท์สายด่วน 1359
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8379
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีสัมมนา YEAR END SEMINAR 2019
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562 กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีสัมมนา YEAR END SEMINAR 2019 กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีสัมมนา YEAR END SEMINAR 2019 “สืบสานศาสตร์พระราชา บูรณาการงานวิจัยและนวัตกรรม” เน้นคุณภาพงานวิจัยด้านการผลิตพืช บูรณาการขยายผลสู่เกษตรกร นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนา YEAR END SEMINAR 2019 กรมวิชาการเกษตร ภายใต้แนวคิด “สืบสานศาสตร์พระราชา บูรณาการงานวิจัยและนวัตกรรม” ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ว่า ในปี 2562 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สานต่อนโยบายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร พร้อมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลตามนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง เน้นให้ความช่วยเหลือเกษตรกรเชิงรุก การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อม การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร มุ่งพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ทั้งด้านคุณภาพและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ โดยนําหลักการบริหารจัดการสินค้าเกษตรที่สําคัญแบบครบวงจรร่วมกับการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมองค์ความรู้ ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาเกษตรกร การพัฒนานักวิจัย การบริหารจัดการสร้างการรับรู้ โดยเน้นการทํางานแบบบูรณาการกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นรากฐานสําคัญของการพัฒนาการเกษตรอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เป้าหมายหลักของนโยบายการตลาดนําการผลิต เป็นหนึ่งในมาตรการขับเคลื่อนให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตได้ตรงตามความต้องการของตลาดรับซื้อที่แน่นอน และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันสินค้าเกษตร ซึ่งจําเป็นต้องอาศัยการนําผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการเกษตรนําไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการผลิตสินค้าเกษตรออกสู่ท้องตลาด ซึ่งกรมวิชาการเกษตรจะต้องส่งเสริมให้นักวิจัยผลิตผลงานวิจัยพันธุ์พืชใหม่ และนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการเกษตร ที่สามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืช เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและตรงตามความต้องการของตลาดในระดับสากล อันจะนําไปสู่การใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติได้ “ศาสตร์ของพระราชา เป็นศาสตร์ที่มีความยั่งยืนและไม่ทําลายธรรมชาติ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้น้อมนํามาบูรณาการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่เกษตรกร โดยผสมผสานให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ดี การต่อยอดงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรโดยมากจะเป็นภาคเอกชน ดังนั้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภาครัฐจึงควรสนับสนุนให้นํางานวิจัยและนวัตกรรมของกรมวิชาการเกษตรมาต่อยอดในการพัฒนาสินค้าสหกรณ์ในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในทัองถิ่นอย่างยั่งยืน” นางสาวมนัญญา กล่าว ด้าน นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิชาการเกษตรได้มุ่งมั่นพัฒนางานด้านการวิจัยพัฒนาพืชและเครื่องจักรกลการเกษตร ตามภารกิจหลักภายใต้ภารกิจด้านพัฒนาการผลิตของกระทรวงเกษตรฯ โดยผลการดําเนินงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรทําให้ได้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการผลิตพืชที่ตรงตามความต้องการของตลาดสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเกษตรของไทย และยังเป็นการช่วยตอบโจทย์แก้ไขปัญหาการปลูกพืชของเกษตรกรไทยมาโดยตลอด การสัมมนาในครั้งนี้ ได้จัดให้มีพิธีมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณบุคลากรผู้ทําคุณประโยชน์ดีและมีผลงานเด่นของกรมวิชาการเกษตร และงานวิจัยที่ได้รับรางวัลจากหน่วยงานภายนอก อาทิ โครงการพัฒนาการส่งเสริมการเกษตรการปลูกมันสําปะหลัง (อุบลโมเดล) รับรางวัลเลิศรัฐสาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประจําปี พ.ศ.2562 ประเภทรางวัลสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม (Effective Change) ระดับดี จากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งผลงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรต่างก็เป็นที่ยอมรับของเกษตรกรทั่วประเทศและทุกหน่วยงานมาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นผลงานวิจัยอันทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีสัมมนา YEAR END SEMINAR 2019 วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562 กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีสัมมนา YEAR END SEMINAR 2019 กระทรวงเกษตรฯ เปิดเวทีสัมมนา YEAR END SEMINAR 2019 “สืบสานศาสตร์พระราชา บูรณาการงานวิจัยและนวัตกรรม” เน้นคุณภาพงานวิจัยด้านการผลิตพืช บูรณาการขยายผลสู่เกษตรกร นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนา YEAR END SEMINAR 2019 กรมวิชาการเกษตร ภายใต้แนวคิด “สืบสานศาสตร์พระราชา บูรณาการงานวิจัยและนวัตกรรม” ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ว่า ในปี 2562 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สานต่อนโยบายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร พร้อมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลตามนโยบายหลัก 12 ด้าน และนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง เน้นให้ความช่วยเหลือเกษตรกรเชิงรุก การจัดเตรียมมาตรการรองรับภัยแล้งและอุทกภัย การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและรักษาสิ่งแวดล้อม การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร มุ่งพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ทั้งด้านคุณภาพและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ โดยนําหลักการบริหารจัดการสินค้าเกษตรที่สําคัญแบบครบวงจรร่วมกับการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมองค์ความรู้ ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาเกษตรกร การพัฒนานักวิจัย การบริหารจัดการสร้างการรับรู้ โดยเน้นการทํางานแบบบูรณาการกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นรากฐานสําคัญของการพัฒนาการเกษตรอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เป้าหมายหลักของนโยบายการตลาดนําการผลิต เป็นหนึ่งในมาตรการขับเคลื่อนให้เกษตรกรสามารถวางแผนการผลิตได้ตรงตามความต้องการของตลาดรับซื้อที่แน่นอน และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันสินค้าเกษตร ซึ่งจําเป็นต้องอาศัยการนําผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านการเกษตรนําไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการผลิตสินค้าเกษตรออกสู่ท้องตลาด ซึ่งกรมวิชาการเกษตรจะต้องส่งเสริมให้นักวิจัยผลิตผลงานวิจัยพันธุ์พืชใหม่ และนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการเกษตร ที่สามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพืช เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐานและตรงตามความต้องการของตลาดในระดับสากล อันจะนําไปสู่การใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติได้ “ศาสตร์ของพระราชา เป็นศาสตร์ที่มีความยั่งยืนและไม่ทําลายธรรมชาติ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้น้อมนํามาบูรณาการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่เกษตรกร โดยผสมผสานให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ดี การต่อยอดงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรโดยมากจะเป็นภาคเอกชน ดังนั้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภาครัฐจึงควรสนับสนุนให้นํางานวิจัยและนวัตกรรมของกรมวิชาการเกษตรมาต่อยอดในการพัฒนาสินค้าสหกรณ์ในจังหวัดต่าง ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในทัองถิ่นอย่างยั่งยืน” นางสาวมนัญญา กล่าว ด้าน นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมวิชาการเกษตรได้มุ่งมั่นพัฒนางานด้านการวิจัยพัฒนาพืชและเครื่องจักรกลการเกษตร ตามภารกิจหลักภายใต้ภารกิจด้านพัฒนาการผลิตของกระทรวงเกษตรฯ โดยผลการดําเนินงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรทําให้ได้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการผลิตพืชที่ตรงตามความต้องการของตลาดสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเกษตรของไทย และยังเป็นการช่วยตอบโจทย์แก้ไขปัญหาการปลูกพืชของเกษตรกรไทยมาโดยตลอด การสัมมนาในครั้งนี้ ได้จัดให้มีพิธีมอบรางวัลประกาศเกียรติคุณบุคลากรผู้ทําคุณประโยชน์ดีและมีผลงานเด่นของกรมวิชาการเกษตร และงานวิจัยที่ได้รับรางวัลจากหน่วยงานภายนอก อาทิ โครงการพัฒนาการส่งเสริมการเกษตรการปลูกมันสําปะหลัง (อุบลโมเดล) รับรางวัลเลิศรัฐสาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประจําปี พ.ศ.2562 ประเภทรางวัลสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม (Effective Change) ระดับดี จากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งผลงานวิจัยของกรมวิชาการเกษตรต่างก็เป็นที่ยอมรับของเกษตรกรทั่วประเทศและทุกหน่วยงานมาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นผลงานวิจัยอันทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23415
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เชือด 51 ตัวแทน/นายหน้าประกันภัยทำผิดกฎหมายสังเวยปีไก่ พร้อมยกระดับมาตรการคุมเข้มคนกลางประกันภัยต้อนรับปี 2561
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 คปภ. เชือด 51 ตัวแทน/นายหน้าประกันภัยทําผิดกฎหมายสังเวยปีไก่ พร้อมยกระดับมาตรการคุมเข้มคนกลางประกันภัยต้อนรับปี 2561 สํานักงาน คปภ. เพิกถอนใบอนุญาตของคนกลางประกันภัยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2560 มีการเพิกถอนใบอนุญาตตัวแทน/นายหน้าประกันภัยประเภทบุคคลธรรมดาไปแล้วทั้งสิ้น 50 ราย และประเภทนิติบุคคล จํานวน 1 บริษัท ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา สํานักงาน คปภ. ให้ความสําคัญอย่างยิ่งเกี่ยวกับการกํากับคุณภาพของตัวแทน/นายหน้าประกันภัย ตั้งแต่กระบวนการก่อนการขาย การเสนอขายตลอดจนการให้บริการหลังการขาย อีกทั้งยังมีระบบการจัดอบรม การสอบ และการขอต่ออายุเพื่อขอรับใบอนุญาตเป็นตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ เนื่องจากถือเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด สําหรับการเพิกถอนใบอนุญาตของคนกลางประกันภัยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2560 มีการเพิกถอนใบอนุญาตตัวแทน/นายหน้าประกันภัยประเภทบุคคลธรรมดาไปแล้วทั้งสิ้น 50 ราย โดยมีสาเหตุจากการรับชําระเงินค่าเบี้ยประกันภัยจากผู้เอาประกันภัย แต่ไม่นําส่งบริษัทประกันภัย การกระทําการทุจริตการสอบการชักชวน/ชี้ช่องให้ทําสัญญาประกันภัย โดยไม่อธิบายเงื่อนไข การยินยอมให้ผู้อื่นเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย โดยไม่มีใบอนุญาต และการปลอมรายมือในใบรับมอบกรมธรรม์ประกันภัย และมีการเพิกถอนใบอนุญาตนายหน้าประกันภัยประเภทนิติบุคคล จํานวน 1 บริษัท เนื่องจากมีนายหน้ากระทําการแทนน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนด ไม่ยื่นรายงานงบการเงิน/งบรายไตรมาส และไม่ยื่นรายงานผลของการประกอบธุรกิจและเงินกองทุนตามแบบ รปว. สําหรับสถิติการรับประกันชีวิตจําแนกตามช่องทางการขายสะสมระหว่างเดือนมกราคม – ตุลาคม 2560 พบว่าช่องทางการขายที่ทํารายได้ 3 อันดับแรกคือ ช่องทางการขายผ่านตัวแทน มีเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรง 236,815 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 48.16 ขยายตัวร้อยละ 5.43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามมาด้วยช่องทางการขายผ่านธนาคาร มีเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรง 223,263 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45.40 ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 11.46 และช่องทางการขายผ่านนายหน้า มีเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรง 14,190 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.89 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 17.29 สําหรับการรับประกันวินาศภัย ช่องทางการขายที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรกคือ ช่องทางการขายผ่านนายหน้ามีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 104,664 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 58.15 ขยายตัวร้อยละ 7.66 ตามมาด้วยช่องทางการขายผ่านตัวแทนมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 26,276 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.60 หดตัวร้อยละ 7.17 และช่องทางการขายผ่านธนาคาร มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 23,241 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.91 ขยายตัวร้อยละ 3.21 ทั้งนี้ สํานักงาน คปภ. ยังคงเข้มงวดเกี่ยวกับมาตรฐานในการกํากับดูแลการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านช่องทางการขายต่างๆ และยังคงเฉียบขาดในการดําเนินการตรวจสอบและพิจารณาลงโทษอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นยกระดับมาตรฐานคนกลางประกันภัยให้มีความโปร่งใสและเป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยในปีที่ผ่านมาสายตรวจสอบคนกลางประกันภัยของ สํานักงาน คปภ. ได้ดําเนินการตรวจสอบในเชิงรุกพร้อมทั้งรายงานผลการตรวจสอบนายหน้าประกันภัย นิติบุคคล ประจําปี 2560 โดยแบ่งเป็นการตรวจสอบ 2 ประเภท ประกอบด้วย การตรวจสอบการปฏิบัติงานของนายหน้าประกันภัย ประเภทนิติบุคคล ณ ที่ทําการบริษัท (Annual Examination) จํานวน 40 บริษัท ซึ่งผลการตรวจสอบพบกรณีปฏิบัติไม่สอดคล้องกับกฎหมายจํานวน 29 บริษัทได้แก่ ไม่ยื่นรายงานผลการประกอบธุรกินายหน้าประกันวินาศภัยในส่วนงบการเงินประจําปี 2559 จัดทําสมุดทะเบียนไม่เป็นไปตามแบบที่ สํานักงาน คปภ. กําหนด ไม่แจ้งเปลี่ยนแปลงนายหน้ากระทําการแทน ไม่ทําหนังสือถึงธนาคารเพื่อให้ความยินยอมให้นายทะเบียนตรวจสอบบัญชีรับจ่ายเบี้ยประกันภัย และดํารงเงินกองทุนไม่ครบตลอดระยะเวลาที่ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันภัย ซึ่งได้แจ้งให้ทั้ง 29 บริษัทดําเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กําหนด แต่มี 1 บริษัทในจํานวน 29 บริษัทที่ไม่สามารถดําเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กําหนด เนื่องจากกระทําความผิดในหลายประเด็น ประกอบด้วยมีจํานวนนายหน้ากระทําการแทนน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนด ย้ายสํานักงานแต่ไม่แจ้งนายทะเบียนภายใน 5 วัน จัดทําสมุดทะเบียนไม่เป็นไปตามแบบที่สํานักงาน คปภ. กําหนด ไม่ยื่นรายงานผลการประกอบธุรกิจและเงินกองทุนตามแบบ รปว. และการนําส่งงบการเงินไม่มีการยื่นรายงานไตรมาส 3-4/2558 ไตรมาส 3-4/2559 และไตรมาส 1/2560 ซึ่งบริษัทไม่สามารถแก้ไขประเด็นความผิดได้ทุกข้อตามระยะเวลาที่กําหนด จึงนํามาสู่การเพิกถอนใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันภัยประเภทนิติบุคคล ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2560 การตรวจสอบการปฏิบัติงานของนายหน้าประกันภัย ประเภทนิติบุคคลเป็นการเฉพาะ นอกเหนือจากการตรวจสอบประจําปี (Target Examination) จํานวน 9 บริษัท โดยได้มีการสุ่มตรวจโดยการโทรศัพท์ไปยังบริษัท ตรวจสอบเกี่ยวกับสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ ทั้งที่เผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ เว็บไซต์ และหนังสือพิมพ์ ซึ่งผลคือไม่พบประเด็นความผิดตามกฎหมาย แต่จากการตรวจสอบข้อมูลทางทะเบียนนายหน้านิติบุคคลพบประเด็นความผิดคือกรรมการบริษัทได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันภัยประเภทการจัดการประกันวินาศภัยโดยตรงและใบอนุญาตยังมีผลบังคับแต่บริษัทไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันภัย จึงได้ทํางานในเชิงบูรณาการโดยประสานงานกับกองปราบปราม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ นําประชาชนผู้เสียหายเข้าแจ้งความเพื่อดําเนินคดีตามกฎหมายกับบริษัทไปแล้วเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560 พร้อมทั้งยังได้ดําเนินการตรวจสอบตามหนังสือร้องเรียนจากผู้เสียหายที่ได้แจ้งยกเลิกการทําประกันภัยรถยนต์แต่ยังไม่ได้รับค่าเบี้ยประกันภัยคืนจากบริษัท ซึ่งได้มีการประสานไปยังบริษัททําการคืนเงินค่าเบี้ยประกันภัยแก่ผู้ร้องเรียนเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2560 “ในปี 2561 สํานักงาน คปภ. มีนโยบายจะเพิ่มความเข้มข้นในการกํากับดูแลคนกลางประกันภัยซึ่งเป็นช่องทางที่สําคัญในการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัยโดยจะมีการปรับปรุงกติกาในการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยตลอดจนระบบตรวจสอบการปฏิบัติงานของคนกลางประกันภัยเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในกระบวนการขายและการดูแลกรณีเกิดปัญหาเรื่องประกันภัย ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบและออกสุ่มตรวจสํานักงานตัวแทนและสํานักงานนายหน้าประกันภัย โดยจะมีการบูรณาการการทํางานร่วมกันทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้สายตรวจสอบคนกลางประกันภัยได้เสนอแผนการตรวจประจําปี 2561 มาให้พิจารณาและได้เห็นชอบแล้ว” เลขาธิการ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เชือด 51 ตัวแทน/นายหน้าประกันภัยทำผิดกฎหมายสังเวยปีไก่ พร้อมยกระดับมาตรการคุมเข้มคนกลางประกันภัยต้อนรับปี 2561 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 คปภ. เชือด 51 ตัวแทน/นายหน้าประกันภัยทําผิดกฎหมายสังเวยปีไก่ พร้อมยกระดับมาตรการคุมเข้มคนกลางประกันภัยต้อนรับปี 2561 สํานักงาน คปภ. เพิกถอนใบอนุญาตของคนกลางประกันภัยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2560 มีการเพิกถอนใบอนุญาตตัวแทน/นายหน้าประกันภัยประเภทบุคคลธรรมดาไปแล้วทั้งสิ้น 50 ราย และประเภทนิติบุคคล จํานวน 1 บริษัท ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา สํานักงาน คปภ. ให้ความสําคัญอย่างยิ่งเกี่ยวกับการกํากับคุณภาพของตัวแทน/นายหน้าประกันภัย ตั้งแต่กระบวนการก่อนการขาย การเสนอขายตลอดจนการให้บริการหลังการขาย อีกทั้งยังมีระบบการจัดอบรม การสอบ และการขอต่ออายุเพื่อขอรับใบอนุญาตเป็นตัวแทน/นายหน้าประกันภัยที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ เนื่องจากถือเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด สําหรับการเพิกถอนใบอนุญาตของคนกลางประกันภัยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2560 มีการเพิกถอนใบอนุญาตตัวแทน/นายหน้าประกันภัยประเภทบุคคลธรรมดาไปแล้วทั้งสิ้น 50 ราย โดยมีสาเหตุจากการรับชําระเงินค่าเบี้ยประกันภัยจากผู้เอาประกันภัย แต่ไม่นําส่งบริษัทประกันภัย การกระทําการทุจริตการสอบการชักชวน/ชี้ช่องให้ทําสัญญาประกันภัย โดยไม่อธิบายเงื่อนไข การยินยอมให้ผู้อื่นเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย โดยไม่มีใบอนุญาต และการปลอมรายมือในใบรับมอบกรมธรรม์ประกันภัย และมีการเพิกถอนใบอนุญาตนายหน้าประกันภัยประเภทนิติบุคคล จํานวน 1 บริษัท เนื่องจากมีนายหน้ากระทําการแทนน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนด ไม่ยื่นรายงานงบการเงิน/งบรายไตรมาส และไม่ยื่นรายงานผลของการประกอบธุรกิจและเงินกองทุนตามแบบ รปว. สําหรับสถิติการรับประกันชีวิตจําแนกตามช่องทางการขายสะสมระหว่างเดือนมกราคม – ตุลาคม 2560 พบว่าช่องทางการขายที่ทํารายได้ 3 อันดับแรกคือ ช่องทางการขายผ่านตัวแทน มีเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรง 236,815 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 48.16 ขยายตัวร้อยละ 5.43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามมาด้วยช่องทางการขายผ่านธนาคาร มีเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรง 223,263 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45.40 ขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 11.46 และช่องทางการขายผ่านนายหน้า มีเบี้ยประกันชีวิตรับโดยตรง 14,190 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.89 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 17.29 สําหรับการรับประกันวินาศภัย ช่องทางการขายที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับแรกคือ ช่องทางการขายผ่านนายหน้ามีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 104,664 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 58.15 ขยายตัวร้อยละ 7.66 ตามมาด้วยช่องทางการขายผ่านตัวแทนมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 26,276 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 14.60 หดตัวร้อยละ 7.17 และช่องทางการขายผ่านธนาคาร มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 23,241 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.91 ขยายตัวร้อยละ 3.21 ทั้งนี้ สํานักงาน คปภ. ยังคงเข้มงวดเกี่ยวกับมาตรฐานในการกํากับดูแลการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัยผ่านช่องทางการขายต่างๆ และยังคงเฉียบขาดในการดําเนินการตรวจสอบและพิจารณาลงโทษอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นยกระดับมาตรฐานคนกลางประกันภัยให้มีความโปร่งใสและเป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยในปีที่ผ่านมาสายตรวจสอบคนกลางประกันภัยของ สํานักงาน คปภ. ได้ดําเนินการตรวจสอบในเชิงรุกพร้อมทั้งรายงานผลการตรวจสอบนายหน้าประกันภัย นิติบุคคล ประจําปี 2560 โดยแบ่งเป็นการตรวจสอบ 2 ประเภท ประกอบด้วย การตรวจสอบการปฏิบัติงานของนายหน้าประกันภัย ประเภทนิติบุคคล ณ ที่ทําการบริษัท (Annual Examination) จํานวน 40 บริษัท ซึ่งผลการตรวจสอบพบกรณีปฏิบัติไม่สอดคล้องกับกฎหมายจํานวน 29 บริษัทได้แก่ ไม่ยื่นรายงานผลการประกอบธุรกินายหน้าประกันวินาศภัยในส่วนงบการเงินประจําปี 2559 จัดทําสมุดทะเบียนไม่เป็นไปตามแบบที่ สํานักงาน คปภ. กําหนด ไม่แจ้งเปลี่ยนแปลงนายหน้ากระทําการแทน ไม่ทําหนังสือถึงธนาคารเพื่อให้ความยินยอมให้นายทะเบียนตรวจสอบบัญชีรับจ่ายเบี้ยประกันภัย และดํารงเงินกองทุนไม่ครบตลอดระยะเวลาที่ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันภัย ซึ่งได้แจ้งให้ทั้ง 29 บริษัทดําเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กําหนด แต่มี 1 บริษัทในจํานวน 29 บริษัทที่ไม่สามารถดําเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กําหนด เนื่องจากกระทําความผิดในหลายประเด็น ประกอบด้วยมีจํานวนนายหน้ากระทําการแทนน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนด ย้ายสํานักงานแต่ไม่แจ้งนายทะเบียนภายใน 5 วัน จัดทําสมุดทะเบียนไม่เป็นไปตามแบบที่สํานักงาน คปภ. กําหนด ไม่ยื่นรายงานผลการประกอบธุรกิจและเงินกองทุนตามแบบ รปว. และการนําส่งงบการเงินไม่มีการยื่นรายงานไตรมาส 3-4/2558 ไตรมาส 3-4/2559 และไตรมาส 1/2560 ซึ่งบริษัทไม่สามารถแก้ไขประเด็นความผิดได้ทุกข้อตามระยะเวลาที่กําหนด จึงนํามาสู่การเพิกถอนใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันภัยประเภทนิติบุคคล ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2560 การตรวจสอบการปฏิบัติงานของนายหน้าประกันภัย ประเภทนิติบุคคลเป็นการเฉพาะ นอกเหนือจากการตรวจสอบประจําปี (Target Examination) จํานวน 9 บริษัท โดยได้มีการสุ่มตรวจโดยการโทรศัพท์ไปยังบริษัท ตรวจสอบเกี่ยวกับสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ ทั้งที่เผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ เว็บไซต์ และหนังสือพิมพ์ ซึ่งผลคือไม่พบประเด็นความผิดตามกฎหมาย แต่จากการตรวจสอบข้อมูลทางทะเบียนนายหน้านิติบุคคลพบประเด็นความผิดคือกรรมการบริษัทได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันภัยประเภทการจัดการประกันวินาศภัยโดยตรงและใบอนุญาตยังมีผลบังคับแต่บริษัทไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าประกันภัย จึงได้ทํางานในเชิงบูรณาการโดยประสานงานกับกองปราบปราม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ นําประชาชนผู้เสียหายเข้าแจ้งความเพื่อดําเนินคดีตามกฎหมายกับบริษัทไปแล้วเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560 พร้อมทั้งยังได้ดําเนินการตรวจสอบตามหนังสือร้องเรียนจากผู้เสียหายที่ได้แจ้งยกเลิกการทําประกันภัยรถยนต์แต่ยังไม่ได้รับค่าเบี้ยประกันภัยคืนจากบริษัท ซึ่งได้มีการประสานไปยังบริษัททําการคืนเงินค่าเบี้ยประกันภัยแก่ผู้ร้องเรียนเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2560 “ในปี 2561 สํานักงาน คปภ. มีนโยบายจะเพิ่มความเข้มข้นในการกํากับดูแลคนกลางประกันภัยซึ่งเป็นช่องทางที่สําคัญในการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัยโดยจะมีการปรับปรุงกติกาในการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยตลอดจนระบบตรวจสอบการปฏิบัติงานของคนกลางประกันภัยเพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในกระบวนการขายและการดูแลกรณีเกิดปัญหาเรื่องประกันภัย ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบและออกสุ่มตรวจสํานักงานตัวแทนและสํานักงานนายหน้าประกันภัย โดยจะมีการบูรณาการการทํางานร่วมกันทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้สายตรวจสอบคนกลางประกันภัยได้เสนอแผนการตรวจประจําปี 2561 มาให้พิจารณาและได้เห็นชอบแล้ว” เลขาธิการ กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9196
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลให้ความสำคัญกับการบริหารงบประมาณภาครัฐ
วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560 รัฐบาลให้ความสําคัญกับการบริหารงบประมาณภาครัฐ การปรับปรุงระบบบริหารการทํางานให้มีความทันสมัย ไม่ซ้ําซ้อน จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการทํางานลงได้ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณรัฐได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลให้ความสําคัญกับการบริหารและจัดสรรงบประมาณประจําปี โดยยกเลิกโครงการที่ล้าสมัย มีความซ้ําซ้อนกันระหว่างหน่วยงาน หรือไม่ตรงความต้องการของประเทศ และวางแผนเงิน คน และงาน ให้สอดคล้องกัน เพื่อให้แต่ละหน่วยงานทํางานประสานกันข้ามหน่วยงานได้ง่าย รวมทั้งยังสร้างกลไกเพื่อป้องกันการทุจริตในโครงการต่าง ๆ และส่งเสริมให้ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า เช่น การตั้งคณะกรรมการคุณธรรม การลงนามในสัญญาคุณธรรม การปรับปรุงพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง การจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นต้น โดยมุ่งหวังให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูป และการสร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรม ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลให้ความสำคัญกับการบริหารงบประมาณภาครัฐ วันศุกร์ที่ 7 กรกฎาคม 2560 รัฐบาลให้ความสําคัญกับการบริหารงบประมาณภาครัฐ การปรับปรุงระบบบริหารการทํางานให้มีความทันสมัย ไม่ซ้ําซ้อน จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการทํางานลงได้ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณรัฐได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลให้ความสําคัญกับการบริหารและจัดสรรงบประมาณประจําปี โดยยกเลิกโครงการที่ล้าสมัย มีความซ้ําซ้อนกันระหว่างหน่วยงาน หรือไม่ตรงความต้องการของประเทศ และวางแผนเงิน คน และงาน ให้สอดคล้องกัน เพื่อให้แต่ละหน่วยงานทํางานประสานกันข้ามหน่วยงานได้ง่าย รวมทั้งยังสร้างกลไกเพื่อป้องกันการทุจริตในโครงการต่าง ๆ และส่งเสริมให้ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า เช่น การตั้งคณะกรรมการคุณธรรม การลงนามในสัญญาคุณธรรม การปรับปรุงพ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง การจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นต้น โดยมุ่งหวังให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูป และการสร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดผลสําเร็จเป็นรูปธรรม ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5070
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ คุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 [กระทรวงคมนาคม]
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ คุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 [กระทรวงคมนาคม] รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ยังคงคุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการอํานวยความสะดวกในระบบรถไฟฟ้า เพื่อช่วยอํานวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยในการใช้บริการให้แก่ผู้โดยสาร พร้อมขอความร่วมมือผู้โดยสารเหลื่อมเวลาในการเดินทาง นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น แต่บริษัทก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และยังคงเข้มงวดในมาตรการ ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่บริษัทได้ดําเนินการมาตลอดอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการตั้งจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิผู้โดยสารที่มาใช้บริการก่อนเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้า , จัดเจ้าหน้าที่ทําความสะอาดทั้งในพื้นที่สถานีรถไฟฟ้า และภายในขบวนรถ , จัดเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ และเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดตลอดเวลาเพื่อให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที นอกจากนั้นบริษัทยังให้ความสําคัญกับความเข้มงวดในการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) โดยขอความร่วมมือผู้โดยสารปฏิบัติตามแนวทางต่างๆ ได้แก่ ขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารเว้นระยะห่าง 2 เมตรขณะรอซื้อตั๋วโดยสาร และตรวจวัดอุณหภูมิ , ขอความร่วมมือผู้โดยสารยืนในระยะห่างที่เหมาะสมขณะใช้ลิฟต์ และบันไดเลื่อน , ขอความร่วมมือผู้โดยสารทุกท่านสวมใส่หน้ากากอนามัยก่อนเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้า ,ขอความร่วมมือผู้โดยสารสร้างระยะห่างในขบวนรถไฟฟ้าอย่างน้อย 1 เมตรตลอดการเดินทาง , ขอความร่วมมือผู้โดยสารรอรถไฟฟ้าขบวนถัดไปในกรณีที่มีผู้โดยสารหนาแน่ภายในขบวน , ดําเนินการจํากัดปริมาณผู้โดยสารที่จะขึ้นสู่ชั้นชานชาลาและภายในขบวนรถไฟฟ้า (Group Release) โดยกําหนดพื้นที่ในการยืนรอห่างกัน 1 เมตร โดยเพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารสอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดฯ บริษัทยังได้ดําเนินมาตรการอํานวยความสะดวกต่างๆได้แก่ การเพิ่มขบวนรถเสริมจํานวน 14 เที่ยวต่อวันในวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น หรือหากมีผู้โดยสารใช้บริการหนาแน่นมากก็จะพิจารณาเพิ่มเติมขบวนรถเสริม เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้บริการของผู้โดยสารได้ รวมทั้งขอแนะนําให้ผู้โดยสารเลือกใช้บัตรสมาร์ทพาสแทนการใช้เหรียญโดยสารในการเดินทาง ซึ่งบริษัทมีการปรับลดค่าโดยสารนอกช่วงเวลาเร่งด่วน (Off Peak Hour) วันจันทร์-ศุกร์ ใน 3 ช่วงเวลา ได้แก่ 05.30-07.00 น., 10.00-17.00 น. และ 20.00-24.00 น. (ปัจจุบันให้บริการ 05.30 - 22.30 น.) ให้แก่ผู้โดยสารที่ถือบัตรสมาร์ทพาสประเภทบุคคลทั่วไป (Adult Card) จากอัตราค่าโดยสารปกติ 15-45 บาท เหลือ 15-25 บาท ตลอดสาย และเพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกในการใช้บริการเพิ่มมากขึ้น จึงขอความร่วมมือผู้โดยสารเหลื่อมเวลาในการเดินทาง เพื่อลดความหนาแน่นของผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้า และช่วยให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกในการเดินทางมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมีความห่วงใยต่อผู้โดยสาร จึงกิจกรรมมอบยามดม Peppermint black inhaler กลิ่นยูคาลิปตัส ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจให้แก่ผู้โดยสารที่ถือบัตรสมาร์ทพาสทุกประเภท ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2563 ซึ่งผู้โดยสารสามารถขอรับได้ที่ห้อง Information แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีพญาไท หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข Call Center 1690 หรือ www.srtet.co.th , www.facebook.com/AirportRailLink และ Twitter : Airport Rail Link
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ คุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 [กระทรวงคมนาคม] วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563 รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ คุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 [กระทรวงคมนาคม] รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ยังคงคุมเข้มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการอํานวยความสะดวกในระบบรถไฟฟ้า เพื่อช่วยอํานวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยในการใช้บริการให้แก่ผู้โดยสาร พร้อมขอความร่วมมือผู้โดยสารเหลื่อมเวลาในการเดินทาง นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น แต่บริษัทก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และยังคงเข้มงวดในมาตรการ ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่บริษัทได้ดําเนินการมาตลอดอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการตั้งจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิผู้โดยสารที่มาใช้บริการก่อนเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้า , จัดเจ้าหน้าที่ทําความสะอาดทั้งในพื้นที่สถานีรถไฟฟ้า และภายในขบวนรถ , จัดเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์ และเฝ้าระวังสถานการณ์การแพร่ระบาดตลอดเวลาเพื่อให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที นอกจากนั้นบริษัทยังให้ความสําคัญกับความเข้มงวดในการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) โดยขอความร่วมมือผู้โดยสารปฏิบัติตามแนวทางต่างๆ ได้แก่ ขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารเว้นระยะห่าง 2 เมตรขณะรอซื้อตั๋วโดยสาร และตรวจวัดอุณหภูมิ , ขอความร่วมมือผู้โดยสารยืนในระยะห่างที่เหมาะสมขณะใช้ลิฟต์ และบันไดเลื่อน , ขอความร่วมมือผู้โดยสารทุกท่านสวมใส่หน้ากากอนามัยก่อนเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้า ,ขอความร่วมมือผู้โดยสารสร้างระยะห่างในขบวนรถไฟฟ้าอย่างน้อย 1 เมตรตลอดการเดินทาง , ขอความร่วมมือผู้โดยสารรอรถไฟฟ้าขบวนถัดไปในกรณีที่มีผู้โดยสารหนาแน่ภายในขบวน , ดําเนินการจํากัดปริมาณผู้โดยสารที่จะขึ้นสู่ชั้นชานชาลาและภายในขบวนรถไฟฟ้า (Group Release) โดยกําหนดพื้นที่ในการยืนรอห่างกัน 1 เมตร โดยเพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารสอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดฯ บริษัทยังได้ดําเนินมาตรการอํานวยความสะดวกต่างๆได้แก่ การเพิ่มขบวนรถเสริมจํานวน 14 เที่ยวต่อวันในวันจันทร์-ศุกร์ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช้า-เย็น หรือหากมีผู้โดยสารใช้บริการหนาแน่นมากก็จะพิจารณาเพิ่มเติมขบวนรถเสริม เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้บริการของผู้โดยสารได้ รวมทั้งขอแนะนําให้ผู้โดยสารเลือกใช้บัตรสมาร์ทพาสแทนการใช้เหรียญโดยสารในการเดินทาง ซึ่งบริษัทมีการปรับลดค่าโดยสารนอกช่วงเวลาเร่งด่วน (Off Peak Hour) วันจันทร์-ศุกร์ ใน 3 ช่วงเวลา ได้แก่ 05.30-07.00 น., 10.00-17.00 น. และ 20.00-24.00 น. (ปัจจุบันให้บริการ 05.30 - 22.30 น.) ให้แก่ผู้โดยสารที่ถือบัตรสมาร์ทพาสประเภทบุคคลทั่วไป (Adult Card) จากอัตราค่าโดยสารปกติ 15-45 บาท เหลือ 15-25 บาท ตลอดสาย และเพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกในการใช้บริการเพิ่มมากขึ้น จึงขอความร่วมมือผู้โดยสารเหลื่อมเวลาในการเดินทาง เพื่อลดความหนาแน่นของผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้า และช่วยให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกในการเดินทางมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมีความห่วงใยต่อผู้โดยสาร จึงกิจกรรมมอบยามดม Peppermint black inhaler กลิ่นยูคาลิปตัส ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินหายใจให้แก่ผู้โดยสารที่ถือบัตรสมาร์ทพาสทุกประเภท ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2563 ซึ่งผู้โดยสารสามารถขอรับได้ที่ห้อง Information แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีพญาไท หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่หมายเลข Call Center 1690 หรือ www.srtet.co.th , www.facebook.com/AirportRailLink และ Twitter : Airport Rail Link
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31507
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ หนุน บวร On Tour ชุมชนคุณธรรมฯ วัดนาหนอง ราชบุรี นำพลัง “บวร” ขับเคลื่อนสังคมสงบสุข ส่งเสริมวิถีชีวิตไท-ยวน
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563 รมว.วธ หนุน บวร On Tour ชุมชนคุณธรรมฯ วัดนาหนอง ราชบุรี นําพลัง “บวร” ขับเคลื่อนสังคมสงบสุข ส่งเสริมวิถีชีวิตไท-ยวน รมว.วธ หนุน บวร On Tour ชุมชนคุณธรรมฯ วัดนาหนอง ราชบุรี นําพลัง “บวร” ขับเคลื่อนสังคมสงบสุข ส่งเสริมวิถีชีวิตไท-ยวน ชูแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม-ประเพณี สร้างรายได้สินค้าวัฒนธรรม ผ้าจก-ต๋าหลาดไท-ยวน รมว.วธ หนุน บวร On Tour ชุมชนคุณธรรมฯ วัดนาหนอง ราชบุรี นําพลัง “บวร” ขับเคลื่อนสังคมสงบสุข ส่งเสริมวิถีชีวิตไท-ยวน ชูแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม-ประเพณี สร้างรายได้สินค้าวัฒนธรรม ผ้าจก-ต๋าหลาดไท-ยวน เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ ที่จังหวัดราชบุรี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เดินทางไปติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาฯ “บวร On Tour” ของชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ณ ชุมชนคุณธรรมวัดนาหนอง ต.ดอนแร่ อ.เมืองราชบุรี จ.ราชบุรี โดยมี พระครูวินัยธรอํานาจ อนุภทฺโท เจ้าอาวาสวัดนาหนอง นายชยาวุธ จันทร นายชยาวุธ จันทร ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี หัวหน้าส่วนราชการ จ.ราชบุรี ผู้นํา “บวร” ชุมชนคุณธรรมวัดนาหนอง คณะกรรมการ เด็กและเยาวชน ให้การต้อนรับ โดยนายสาโรจน์ มูลพวก รองนายกองค์การบริหารส่วนตําบลดอนแร่ ผู้แทนพลังบวร บรรยายสรุปกระบวนการ และปัจจัยแห่งความสําเร็จที่ชุมชนภาคภูมิใจในการขับเคลื่อนชุมชนตามแนวทางคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร จากนั้นเยี่ยมชมศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านราชบุรี นิทรรศการการทอผ้าจกของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ยวน ชมไร่แสวงสุข (เกษตรอินทรีย์/โฮมสเตย์) สะพานไม้ไผ่ (สระบัว-นาข้าว) และชมวิถีวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ยวน ณ ต๋าหลาดไท-ยวน นายอิทธิพล กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นําหลักการ “บวร : บ้าน วัด โรงเรียน” ไปขับเคลื่อนและดําเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ และเข้าถึงโครงการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ซึ่งเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดําเนินงานของชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วัดสําโรงเกียรติ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งนับว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับนโยบายดังกล่าวเป็นอย่างมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล วธ. จึงเดินหน้าขับเคลื่อนการดําเนินงานชุมชนคุณธรรมฯ อย่างต่อเนื่อง โดยจัดโครงการ บวร On Tour เพื่อพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาเพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืนทั่วประเทศ โดยเริ่มต้นที่ชุมชนต้นแบบนําร่องจังหวัดละ ๑ ชุมชน รวม ๗๖ ชุมชน และพร้อมขยายเป้าหมายเป็น ๑,๐๐๐ ชุมชน ภายในปลายปีนี้ ซึ่งชุมชนคุณธรรมวัดนาหนอง จ.ราชบุรี เป็น ๑ ใน ๗๖ ชุมชนต้นแบบนําร่องที่มีความโดดเด่นใน ๓ มิติ คือ ศาสนา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และประเพณีวัฒนธรรม ประชาชนส่วนใหญ่สืบเชื้อสายไท-ยวน มีการสืบสาน และอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นของตนไว้ให้คงอยู่ เช่น ภาษา อาหาร ประเพณี และการแต่งกาย มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยจัดกิจกรรมทําบุญตักบาตร รักษาศีลทุกวันพระ และจัดปฏิบัติธรรมในช่วงวันวิสาขบูชา วันสําคัญทางศาสนาและวันสําคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างสม่ําเสมอเป็นประจําทุกปี นอกจากนี้ มีการจัดตั้งศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านราชบุรี วัดนาหนอง เพื่อเป็นศูนย์กลางในการจําหน่ายผ้าจก ผ้าพื้นเมืองของคนในชุมชน โดยผ้าทอไทยวน เป็นผ้าทอที่มีความประณีต สวยงาม และมีความเป็นเอกลักษณ์ทําให้ผ้าทอไท-ยวนของ จ.ราชบุรี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง รวมทั้งมีการจัดตั้งต๋าหลาดไท-ยวน วัดนาหนอง เป็นแหล่งจับจ่ายใช้สอยสินค้าพื้นเมือง สินค้าการเกษตรของคนในชุมชน เพื่อส่งเสริมให้คนในชุมชนนําสินค้ามาจําหน่าย เช่น พืชผักสวนครัว อาหาร ซึ่งจะเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนในชุมชน นอกจากนี้มีการจัดงานวัฒนธรรมและประเพณีเป็นประจําทุกปี เช่น ประเพณีบุญเดือน ๓ (ตักบาตรข้าวต้มมัด) ประเพณีที่ ๑ ปีมีครั้งเดียว ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษมากว่า ๘๒ ปี ประเพณีตักบาตรเทโว สงกรานต์ ถวายสลากภัตแด่พระสงฆ์ ซึ่งทําให้ชุมชนสงบสุขไม่มีปัญหาต่างๆ เช่น ยาเสพติด ลักขโมย อาชญากรรม เกิดขึ้นในชุมชน นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า ปัจจุบันชุมชนคุณธรรมวัดนาหนอง มีจุดเด่นที่เป็นไฮไลท์ หรือ เสน่ห์ของชุมชนฯ ซึ่งจะทําให้นักท่องเที่ยวสนใจที่จะมาเที่ยวในชุมชนฯ คือ มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีที่โดดเด่น อาทิ จุดชมรอยพระพุทธบาทบนเขาวัดนาหนอง สะพานไม้ไผ่ (สระบัว-นาข้าว) มีโฮมสเตย์ ที่พัก และโรงแรม ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าพักได้ในชุมชน หรือชุมชนใกล้เคียง โดยมีบรรยากาศแบบท้องถิ่น สัมผัสกลิ่นอายธรรมชาติ และร่วมทําอาหารชาติพันธุ์กับเจ้าของบ้าน นอกจากนี้มีเส้นทางการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวที่สําคัญของชุมชน อําเภอ จังหวัดอื่นๆ อาทิ กาดวิถีชุมชนคูบัว อ.เมือง ตลาดนัดโอ๊ะป่อย อ.สวนผึ้ง ตลาดน้ําดําเนินสะดวก อ.ดําเนินฯ พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน อ.โพธาราม และอุทยานหินเขางู อ.เมือง เป็นต้น ซึ่งนับเป็นชุมชนคุณธรรมฯ ที่มีความพร้อมและโดดเด่นในทุกด้าน นับเป็นตัวอย่างในการสร้างสังคมแห่งความสงบสุขอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ หนุน บวร On Tour ชุมชนคุณธรรมฯ วัดนาหนอง ราชบุรี นำพลัง “บวร” ขับเคลื่อนสังคมสงบสุข ส่งเสริมวิถีชีวิตไท-ยวน วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563 รมว.วธ หนุน บวร On Tour ชุมชนคุณธรรมฯ วัดนาหนอง ราชบุรี นําพลัง “บวร” ขับเคลื่อนสังคมสงบสุข ส่งเสริมวิถีชีวิตไท-ยวน รมว.วธ หนุน บวร On Tour ชุมชนคุณธรรมฯ วัดนาหนอง ราชบุรี นําพลัง “บวร” ขับเคลื่อนสังคมสงบสุข ส่งเสริมวิถีชีวิตไท-ยวน ชูแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม-ประเพณี สร้างรายได้สินค้าวัฒนธรรม ผ้าจก-ต๋าหลาดไท-ยวน รมว.วธ หนุน บวร On Tour ชุมชนคุณธรรมฯ วัดนาหนอง ราชบุรี นําพลัง “บวร” ขับเคลื่อนสังคมสงบสุข ส่งเสริมวิถีชีวิตไท-ยวน ชูแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม-ประเพณี สร้างรายได้สินค้าวัฒนธรรม ผ้าจก-ต๋าหลาดไท-ยวน เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๓ ที่จังหวัดราชบุรี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เดินทางไปติดตามความคืบหน้าโครงการพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาฯ “บวร On Tour” ของชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ณ ชุมชนคุณธรรมวัดนาหนอง ต.ดอนแร่ อ.เมืองราชบุรี จ.ราชบุรี โดยมี พระครูวินัยธรอํานาจ อนุภทฺโท เจ้าอาวาสวัดนาหนอง นายชยาวุธ จันทร นายชยาวุธ จันทร ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี หัวหน้าส่วนราชการ จ.ราชบุรี ผู้นํา “บวร” ชุมชนคุณธรรมวัดนาหนอง คณะกรรมการ เด็กและเยาวชน ให้การต้อนรับ โดยนายสาโรจน์ มูลพวก รองนายกองค์การบริหารส่วนตําบลดอนแร่ ผู้แทนพลังบวร บรรยายสรุปกระบวนการ และปัจจัยแห่งความสําเร็จที่ชุมชนภาคภูมิใจในการขับเคลื่อนชุมชนตามแนวทางคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร จากนั้นเยี่ยมชมศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านราชบุรี นิทรรศการการทอผ้าจกของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ยวน ชมไร่แสวงสุข (เกษตรอินทรีย์/โฮมสเตย์) สะพานไม้ไผ่ (สระบัว-นาข้าว) และชมวิถีวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ยวน ณ ต๋าหลาดไท-ยวน นายอิทธิพล กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นําหลักการ “บวร : บ้าน วัด โรงเรียน” ไปขับเคลื่อนและดําเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ และเข้าถึงโครงการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ซึ่งเมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดําเนินงานของชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วัดสําโรงเกียรติ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งนับว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับนโยบายดังกล่าวเป็นอย่างมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมนโยบายดังกล่าวของรัฐบาล วธ. จึงเดินหน้าขับเคลื่อนการดําเนินงานชุมชนคุณธรรมฯ อย่างต่อเนื่อง โดยจัดโครงการ บวร On Tour เพื่อพัฒนาต่อยอดทุนทางวัฒนธรรมตามรอยศาสตร์พระราชาเพื่อชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืนทั่วประเทศ โดยเริ่มต้นที่ชุมชนต้นแบบนําร่องจังหวัดละ ๑ ชุมชน รวม ๗๖ ชุมชน และพร้อมขยายเป้าหมายเป็น ๑,๐๐๐ ชุมชน ภายในปลายปีนี้ ซึ่งชุมชนคุณธรรมวัดนาหนอง จ.ราชบุรี เป็น ๑ ใน ๗๖ ชุมชนต้นแบบนําร่องที่มีความโดดเด่นใน ๓ มิติ คือ ศาสนา ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และประเพณีวัฒนธรรม ประชาชนส่วนใหญ่สืบเชื้อสายไท-ยวน มีการสืบสาน และอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นของตนไว้ให้คงอยู่ เช่น ภาษา อาหาร ประเพณี และการแต่งกาย มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยจัดกิจกรรมทําบุญตักบาตร รักษาศีลทุกวันพระ และจัดปฏิบัติธรรมในช่วงวันวิสาขบูชา วันสําคัญทางศาสนาและวันสําคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างสม่ําเสมอเป็นประจําทุกปี นอกจากนี้ มีการจัดตั้งศูนย์หัตถกรรมพื้นบ้านราชบุรี วัดนาหนอง เพื่อเป็นศูนย์กลางในการจําหน่ายผ้าจก ผ้าพื้นเมืองของคนในชุมชน โดยผ้าทอไทยวน เป็นผ้าทอที่มีความประณีต สวยงาม และมีความเป็นเอกลักษณ์ทําให้ผ้าทอไท-ยวนของ จ.ราชบุรี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง รวมทั้งมีการจัดตั้งต๋าหลาดไท-ยวน วัดนาหนอง เป็นแหล่งจับจ่ายใช้สอยสินค้าพื้นเมือง สินค้าการเกษตรของคนในชุมชน เพื่อส่งเสริมให้คนในชุมชนนําสินค้ามาจําหน่าย เช่น พืชผักสวนครัว อาหาร ซึ่งจะเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนในชุมชน นอกจากนี้มีการจัดงานวัฒนธรรมและประเพณีเป็นประจําทุกปี เช่น ประเพณีบุญเดือน ๓ (ตักบาตรข้าวต้มมัด) ประเพณีที่ ๑ ปีมีครั้งเดียว ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษมากว่า ๘๒ ปี ประเพณีตักบาตรเทโว สงกรานต์ ถวายสลากภัตแด่พระสงฆ์ ซึ่งทําให้ชุมชนสงบสุขไม่มีปัญหาต่างๆ เช่น ยาเสพติด ลักขโมย อาชญากรรม เกิดขึ้นในชุมชน นายอิทธิพล กล่าวอีกว่า ปัจจุบันชุมชนคุณธรรมวัดนาหนอง มีจุดเด่นที่เป็นไฮไลท์ หรือ เสน่ห์ของชุมชนฯ ซึ่งจะทําให้นักท่องเที่ยวสนใจที่จะมาเที่ยวในชุมชนฯ คือ มีแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม ประเพณีที่โดดเด่น อาทิ จุดชมรอยพระพุทธบาทบนเขาวัดนาหนอง สะพานไม้ไผ่ (สระบัว-นาข้าว) มีโฮมสเตย์ ที่พัก และโรงแรม ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้าพักได้ในชุมชน หรือชุมชนใกล้เคียง โดยมีบรรยากาศแบบท้องถิ่น สัมผัสกลิ่นอายธรรมชาติ และร่วมทําอาหารชาติพันธุ์กับเจ้าของบ้าน นอกจากนี้มีเส้นทางการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวที่สําคัญของชุมชน อําเภอ จังหวัดอื่นๆ อาทิ กาดวิถีชุมชนคูบัว อ.เมือง ตลาดนัดโอ๊ะป่อย อ.สวนผึ้ง ตลาดน้ําดําเนินสะดวก อ.ดําเนินฯ พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน อ.โพธาราม และอุทยานหินเขางู อ.เมือง เป็นต้น ซึ่งนับเป็นชุมชนคุณธรรมฯ ที่มีความพร้อมและโดดเด่นในทุกด้าน นับเป็นตัวอย่างในการสร้างสังคมแห่งความสงบสุขอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34002
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ยืดอายุให้ต่างด้าวทำงานได้อีก 3 เดือน สืบเนื่องจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงแรงงาน]
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 ก.แรงงาน ยืดอายุให้ต่างด้าวทํางานได้อีก 3 เดือน สืบเนื่องจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงแรงงาน] คณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว (คบต.) เห็นชอบการผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าวที่การอนุญาตทํางานสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 สามารถอยู่ต่อในราชอาณาจักร และทํางานได้ต่อไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดย กระทรวงแรงงานและมหาดไทย จะออกประกาศ วันที่ 20 มีนาคม 2563 ที่ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการ การทํางานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 2/2563 โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกูล อธิบดีกรมการจัดหางาน คณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เป็นต้น หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมฯว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่มีการแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ซึ่งรัฐบาลได้มีมาตรการป้องกัน โดยให้ปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยงหรือสถานที่ที่มีประชาชนเป็นจํานวนมากชั่วคราว ส่งผลให้นายจ้างที่ต้องพาแรงงานต่างด้าวมายื่นขอรับใบอนุญาตทํางานภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 อาจสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด กระทรวงแรงงานได้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการแพร่ระบาด โดยออกประกาศกระทรวงแรงงาน ปรับปรุงรูปแบบการดําเนินการของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ และเพื่อให้สอดคล้องกับการดําเนินการในศูนย์ฯ ที่ประชุมฯ จึงมีมติเห็นชอบมาตรการให้แรงงานต่างด้าวและผู้ติดตาม สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 และให้แรงงานต่างด้าวสามารถทํางานได้ต่อไปถึงวันที่ 30มิถุนายน 2563 โดยให้กระทรวงแรงงานออกประกาศกระทรวงแรงงานเพื่อผ่อนผันให้แรงงานที่การอนุญาตทํางานสิ้นสุด สามารถทํางานได้ต่อไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ไปพลางก่อน และใช้บัญชีรายชื่อ (Name list) ที่กรมการจัดหางานออกให้แทนใบอนุญาตทํางานไปพลางก่อน และกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เพื่อผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวที่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปจนได้ถึง 30 มิถุนายน 2563 และยกเว้นค่าเปรียบเทียบปรับการอยู่เกินกําหนด (Over Stay) นอกจากนี้ ยังขยายอายุใบรับรองแพทย์ ให้มีอายุ 90 วัน โดยจะนําผลการประชุมเข้าสู่การพิจารณาของครม. ต่อไป และในระหว่างนี้ ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการ รอฟังข่าวสารจากทางหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ยืดอายุให้ต่างด้าวทำงานได้อีก 3 เดือน สืบเนื่องจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงแรงงาน] วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 ก.แรงงาน ยืดอายุให้ต่างด้าวทํางานได้อีก 3 เดือน สืบเนื่องจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงแรงงาน] คณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว (คบต.) เห็นชอบการผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าวที่การอนุญาตทํางานสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 สามารถอยู่ต่อในราชอาณาจักร และทํางานได้ต่อไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดย กระทรวงแรงงานและมหาดไทย จะออกประกาศ วันที่ 20 มีนาคม 2563 ที่ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการ การทํางานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 2/2563 โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกูล อธิบดีกรมการจัดหางาน คณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ เป็นต้น หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมฯว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่มีการแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ซึ่งรัฐบาลได้มีมาตรการป้องกัน โดยให้ปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยงหรือสถานที่ที่มีประชาชนเป็นจํานวนมากชั่วคราว ส่งผลให้นายจ้างที่ต้องพาแรงงานต่างด้าวมายื่นขอรับใบอนุญาตทํางานภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 อาจสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด กระทรวงแรงงานได้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการแพร่ระบาด โดยออกประกาศกระทรวงแรงงาน ปรับปรุงรูปแบบการดําเนินการของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ และเพื่อให้สอดคล้องกับการดําเนินการในศูนย์ฯ ที่ประชุมฯ จึงมีมติเห็นชอบมาตรการให้แรงงานต่างด้าวและผู้ติดตาม สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 และให้แรงงานต่างด้าวสามารถทํางานได้ต่อไปถึงวันที่ 30มิถุนายน 2563 โดยให้กระทรวงแรงงานออกประกาศกระทรวงแรงงานเพื่อผ่อนผันให้แรงงานที่การอนุญาตทํางานสิ้นสุด สามารถทํางานได้ต่อไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ไปพลางก่อน และใช้บัญชีรายชื่อ (Name list) ที่กรมการจัดหางานออกให้แทนใบอนุญาตทํางานไปพลางก่อน และกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เพื่อผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวที่การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปจนได้ถึง 30 มิถุนายน 2563 และยกเว้นค่าเปรียบเทียบปรับการอยู่เกินกําหนด (Over Stay) นอกจากนี้ ยังขยายอายุใบรับรองแพทย์ ให้มีอายุ 90 วัน โดยจะนําผลการประชุมเข้าสู่การพิจารณาของครม. ต่อไป และในระหว่างนี้ ขอให้นายจ้าง/สถานประกอบการ รอฟังข่าวสารจากทางหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27588
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯภานุวัฒน์ ร่วมพิธีลงนาม MOU ระหว่าง สอจ.สงขลา กับ 62 โรงงาน ในลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา พร้อมมอบทุ่นกักขยะลอยน้ำ
วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2562 รองปลัดฯภานุวัฒน์ ร่วมพิธีลงนาม MOU ระหว่าง สอจ.สงขลา กับ 62 โรงงาน ในลุ่มน้ําคลองอู่ตะเภา พร้อมมอบทุ่นกักขยะลอยน้ํา นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง "โครงการจิตอาสา รักษ์แม่น้ํา"ระหว่างสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลาและโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในลุ่มน้ําคลองอู่ตะเภา ณ โรงแรมลีการ์เด้น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562 เวลา 11.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง "โครงการจิตอาสา รักษ์แม่น้ํา"ระหว่างสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลาและโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในลุ่มน้ําคลองอู่ตะเภา จํานวน 62 โรงงาน เพื่อลดมลภาวะจากการประกอบกิจการและส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในชุมชน โดยมีนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายสุระ เพชรพิรุณ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาการในตําแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายธนบูรณ์ เซ่งง่าย อุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา ร่วมงานดังกล่าว ณ โรงแรมลีการ์เด้น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จากนั้น เวลา13.00 น. รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ พร้อมคณะ ร่วมพิธีมอบทุ่นกักขยะลอยน้ํา SCG-MDCR Litter Trap ให้แก่เทศบาลเมืองคลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา เจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผู้บริหารเอสซีจี ร่วมส่งมอบด้วย ณ วัดคลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯภานุวัฒน์ ร่วมพิธีลงนาม MOU ระหว่าง สอจ.สงขลา กับ 62 โรงงาน ในลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา พร้อมมอบทุ่นกักขยะลอยน้ำ วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2562 รองปลัดฯภานุวัฒน์ ร่วมพิธีลงนาม MOU ระหว่าง สอจ.สงขลา กับ 62 โรงงาน ในลุ่มน้ําคลองอู่ตะเภา พร้อมมอบทุ่นกักขยะลอยน้ํา นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง "โครงการจิตอาสา รักษ์แม่น้ํา"ระหว่างสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลาและโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในลุ่มน้ําคลองอู่ตะเภา ณ โรงแรมลีการ์เด้น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562 เวลา 11.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง "โครงการจิตอาสา รักษ์แม่น้ํา"ระหว่างสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลาและโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในลุ่มน้ําคลองอู่ตะเภา จํานวน 62 โรงงาน เพื่อลดมลภาวะจากการประกอบกิจการและส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในชุมชน โดยมีนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายสุระ เพชรพิรุณ รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ รักษาการในตําแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายธนบูรณ์ เซ่งง่าย อุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา ร่วมงานดังกล่าว ณ โรงแรมลีการ์เด้น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จากนั้น เวลา13.00 น. รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ พร้อมคณะ ร่วมพิธีมอบทุ่นกักขยะลอยน้ํา SCG-MDCR Litter Trap ให้แก่เทศบาลเมืองคลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา เจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผู้บริหารเอสซีจี ร่วมส่งมอบด้วย ณ วัดคลองแห อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25385
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท.สั่งด่วนเพิ่มช่องทางรับฟังความคิดเห็นต่อคำถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงมากขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560 รมว.มท.สั่งด่วนเพิ่มช่องทางรับฟังความคิดเห็นต่อคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงมากขึ้น รมว.มท.สั่งด่วนเพิ่มช่องทางรับฟังความคิดเห็นต่อคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงมากขึ้น วันนี้ (14 มิ.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทย นายประยูร รัตนเสนีย์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 โดยมีคําถาม 4 ข้อ เพื่อรับทราบความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนผ่านศูนย์ดํารงธรรมทุกจังหวัด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งจังหวัด รวมทั้งขอความร่วมมือกรุงเทพมหานครและสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดสถานที่รับฟังความคิดเห็นต่อคําถาม 4 ข้อดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ณ ศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ ศูนย์บริการประชาชน สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (1111) ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กรุงเทพมหานคร และศูนย์บริการประชาชนสํานักงานเขตทุกเขต รวม 1,007 แห่ง ซึ่งตลอด 3 วันที่เปิดรับความคิดเห็น มีพี่น้องประชาชนให้ความสนใจเดินทางเข้าร่วมตอบคําถามและแสดงความคิดเห็นกันอย่างต่อเนื่อง โดยสําหรับยอดรวมประชาชนที่เดินทางเข้าร่วมตอบคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 12-14 มิถุนายน มีทั้งสิ้น 27,804 ราย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีดําริให้เพิ่มช่องทางการรับฟังความคิดเห็นต่อคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี เพื่ออํานวยความสะดวกในการตอบคําถามและแสดงความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไป ณ สถานที่ดังต่อไปนี้ ในส่วนภูมิภาค เปิดให้บริการรับฟังความคิดเห็นต่อคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรีเพิ่ม ณ ศูนย์บริการร่วมจังหวัด (One Stop Service) ซึ่งมีที่ตั้งให้บริการประชาชนอยู่ในบริเวณห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศ จํานวน 47 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เปิดให้บริการรับฟังความคิดเห็นฯ ณ จุดบริการด่วนมหานคร (Bangkok Express Service) ซึ่งมีที่ตั้งในห้างสรรพสินค้าและสถานีรถไฟฟ้า จํานวน 12 จุด รวมทั้ง ณ โรงเรียนและศูนย์บริการสาธารณสุขในสังกัดกรุงเทพมหานคร และอาจจะขยายไปยังโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยเล็งเห็นถึงความสําคัญในการอํานวยความสะดวกและเพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนในการแสดงความคิดเห็นต่อข้อคําถาม 4 ข้อ ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถเดินทางเข้าแสดงความคิดเห็น ณ สถานที่ที่ให้บริการเพิ่มเติมได้ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน นี้ ในช่วงเวลาตามที่สถานที่นั้น ๆ เปิดให้บริการ โดยผู้แสดงความคิดเห็นจะต้องแสดงบัตรประจําตัวประชาชน และกรอกข้อมูลหมายเลขบัตรประจําตัวประชาชน 13 หลัก และรายการอื่น ๆ ตามแบบสอบถามความคิดเห็นฯ พร้อมลงลายมือชื่อผู้แสดงความคิดเห็น. ครั้งที่ 88/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท.สั่งด่วนเพิ่มช่องทางรับฟังความคิดเห็นต่อคำถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงมากขึ้น วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560 รมว.มท.สั่งด่วนเพิ่มช่องทางรับฟังความคิดเห็นต่อคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงมากขึ้น รมว.มท.สั่งด่วนเพิ่มช่องทางรับฟังความคิดเห็นต่อคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงมากขึ้น วันนี้ (14 มิ.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทย นายประยูร รัตนเสนีย์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 โดยมีคําถาม 4 ข้อ เพื่อรับทราบความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนผ่านศูนย์ดํารงธรรมทุกจังหวัด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งจังหวัด รวมทั้งขอความร่วมมือกรุงเทพมหานครและสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดสถานที่รับฟังความคิดเห็นต่อคําถาม 4 ข้อดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ณ ศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ ศูนย์บริการประชาชน สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (1111) ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กรุงเทพมหานคร และศูนย์บริการประชาชนสํานักงานเขตทุกเขต รวม 1,007 แห่ง ซึ่งตลอด 3 วันที่เปิดรับความคิดเห็น มีพี่น้องประชาชนให้ความสนใจเดินทางเข้าร่วมตอบคําถามและแสดงความคิดเห็นกันอย่างต่อเนื่อง โดยสําหรับยอดรวมประชาชนที่เดินทางเข้าร่วมตอบคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 12-14 มิถุนายน มีทั้งสิ้น 27,804 ราย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีดําริให้เพิ่มช่องทางการรับฟังความคิดเห็นต่อคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรี เพื่ออํานวยความสะดวกในการตอบคําถามและแสดงความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไป ณ สถานที่ดังต่อไปนี้ ในส่วนภูมิภาค เปิดให้บริการรับฟังความคิดเห็นต่อคําถาม 4 ข้อของนายกรัฐมนตรีเพิ่ม ณ ศูนย์บริการร่วมจังหวัด (One Stop Service) ซึ่งมีที่ตั้งให้บริการประชาชนอยู่ในบริเวณห้างสรรพสินค้า และศูนย์การค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศ จํานวน 47 แห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เปิดให้บริการรับฟังความคิดเห็นฯ ณ จุดบริการด่วนมหานคร (Bangkok Express Service) ซึ่งมีที่ตั้งในห้างสรรพสินค้าและสถานีรถไฟฟ้า จํานวน 12 จุด รวมทั้ง ณ โรงเรียนและศูนย์บริการสาธารณสุขในสังกัดกรุงเทพมหานคร และอาจจะขยายไปยังโรงพยาบาลในสังกัดกรุงเทพมหานคร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยเล็งเห็นถึงความสําคัญในการอํานวยความสะดวกและเพิ่มช่องทางการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนในการแสดงความคิดเห็นต่อข้อคําถาม 4 ข้อ ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถเดินทางเข้าแสดงความคิดเห็น ณ สถานที่ที่ให้บริการเพิ่มเติมได้ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน นี้ ในช่วงเวลาตามที่สถานที่นั้น ๆ เปิดให้บริการ โดยผู้แสดงความคิดเห็นจะต้องแสดงบัตรประจําตัวประชาชน และกรอกข้อมูลหมายเลขบัตรประจําตัวประชาชน 13 หลัก และรายการอื่น ๆ ตามแบบสอบถามความคิดเห็นฯ พร้อมลงลายมือชื่อผู้แสดงความคิดเห็น. ครั้งที่ 88/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4540
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีทีเอสฯ ยืนยัน ข้อความ/สแปม ที่พบในระบบไอโอเอส ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ "ไทยชนะ" ประสานบริษัท แอปเปิล ให้เร่งแก้ไข
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีทีเอสฯ ยืนยัน ข้อความ/สแปม ที่พบในระบบไอโอเอส ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ "ไทยชนะ" ประสานบริษัท แอปเปิล ให้เร่งแก้ไข ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีทีเอสฯ ยืนยัน ข้อความ/สแปม ที่พบในระบบไอโอเอส ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ "ไทยชนะ" ประสานบริษัท แอปเปิล ให้เร่งแก้ไข วันนี้ (1 มิ.ย. 63) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อโควิด-19 ชี้แจงรายละเอียดการใช้งานแพลตฟอร์มที่เปิดให้ลงทะเบียน และ แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ที่สามารถดาวน์โหลดได้แล้ว เพื่อช่วยอํานวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจําวันมากขึ้น สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าว คนไทยให้ความร่วมมือใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” กว่า 18.5 ล้านคน โดยมีจํานวนกิจการ/กิจกรรม ลงทะเบียนร้านค้า 133,694 ร้าน พร้อมกันนี้ยังมียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ผ่านผู้ใช้โทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์ 125,773 คน รวมถึงจํานวนการใช้งานของระบบเช็คอิน/เช็คเอาท์ มีทั้งหมดประมาณ 90 ล้านครั้ง ซึ่งหลังการเปิดให้ใช้บริการ “ไทยชนะ” บนแอปพลิเคชันแล้ว ทําให้อัตราส่วนเช็คอินต่อเช็คเอาท์จากเดิมร้อยละ 56 เพิ่มเป็นร้อยละ 92 ด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวขอความร่วมมือร้านค้าในปั๊มน้ํามัน ทั้ง ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ร่วมลงทะเบียน “ไทยชนะ” หลังการผ่อนคลายมาตรการระยะ 3 ทําให้สามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนจะสามารถสแกน QR Code เก็บประวัติการเดินทาง ในทุกสถานที่ที่ใช้บริการ สะดวกต่อการสอบสวนโรค จะยิ่งทําให้ง่ายต่อการจํากัดกลุ่มเสี่ยงในการตรวจหาผู้ป่วยเชื้อไวรัสโควิด-19 โอกาสนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ยืนยันกรณีประชาชนหลายคนที่ใช้โทรศัพท์ระบบไอโอเอส ได้รับข้อความสแปมทาง iMessage ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เนื่องจากข้อมูล “ไทยชนะ” ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมและกํากับอย่างปลอดภัยโดยกรมควบคุมโรค ซึ่งระบบ iMessage ต่างจากระบบ SMS เพราะไม่จําเป็นต้องมีเบอร์โทรศัพท์เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตก็สามารถส่งข้อความได้ขณะนี้ได้ประสานไปยัง บริษัท แอปเปิล เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา พร้อมแนะนําให้ประชาชนลบข้อความและรีพอร์ตข้อความไปทางยังบริษัท แอปเปิล ด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้ความมั่นใจว่า แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บนระบบแอนดรอยด์เก็บข้อมูลแค่การเช็คอิน/เช็คเอาท์ ในสถานที่ต่าง ๆ เท่านั้น ไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวด้านอื่น สําหรับผู้ใช้บริการระบบไอโอเอส จะเร่งประสานเพื่อให้สามารถดาวน์โหลดได้โดยเร็ว .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีทีเอสฯ ยืนยัน ข้อความ/สแปม ที่พบในระบบไอโอเอส ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ "ไทยชนะ" ประสานบริษัท แอปเปิล ให้เร่งแก้ไข วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีทีเอสฯ ยืนยัน ข้อความ/สแปม ที่พบในระบบไอโอเอส ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ "ไทยชนะ" ประสานบริษัท แอปเปิล ให้เร่งแก้ไข ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีทีเอสฯ ยืนยัน ข้อความ/สแปม ที่พบในระบบไอโอเอส ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ "ไทยชนะ" ประสานบริษัท แอปเปิล ให้เร่งแก้ไข วันนี้ (1 มิ.ย. 63) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อโควิด-19 ชี้แจงรายละเอียดการใช้งานแพลตฟอร์มที่เปิดให้ลงทะเบียน และ แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ที่สามารถดาวน์โหลดได้แล้ว เพื่อช่วยอํานวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจําวันมากขึ้น สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าว คนไทยให้ความร่วมมือใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” กว่า 18.5 ล้านคน โดยมีจํานวนกิจการ/กิจกรรม ลงทะเบียนร้านค้า 133,694 ร้าน พร้อมกันนี้ยังมียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ผ่านผู้ใช้โทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์ 125,773 คน รวมถึงจํานวนการใช้งานของระบบเช็คอิน/เช็คเอาท์ มีทั้งหมดประมาณ 90 ล้านครั้ง ซึ่งหลังการเปิดให้ใช้บริการ “ไทยชนะ” บนแอปพลิเคชันแล้ว ทําให้อัตราส่วนเช็คอินต่อเช็คเอาท์จากเดิมร้อยละ 56 เพิ่มเป็นร้อยละ 92 ด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวขอความร่วมมือร้านค้าในปั๊มน้ํามัน ทั้ง ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ร่วมลงทะเบียน “ไทยชนะ” หลังการผ่อนคลายมาตรการระยะ 3 ทําให้สามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนจะสามารถสแกน QR Code เก็บประวัติการเดินทาง ในทุกสถานที่ที่ใช้บริการ สะดวกต่อการสอบสวนโรค จะยิ่งทําให้ง่ายต่อการจํากัดกลุ่มเสี่ยงในการตรวจหาผู้ป่วยเชื้อไวรัสโควิด-19 โอกาสนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ยืนยันกรณีประชาชนหลายคนที่ใช้โทรศัพท์ระบบไอโอเอส ได้รับข้อความสแปมทาง iMessage ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เนื่องจากข้อมูล “ไทยชนะ” ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมและกํากับอย่างปลอดภัยโดยกรมควบคุมโรค ซึ่งระบบ iMessage ต่างจากระบบ SMS เพราะไม่จําเป็นต้องมีเบอร์โทรศัพท์เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตก็สามารถส่งข้อความได้ขณะนี้ได้ประสานไปยัง บริษัท แอปเปิล เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา พร้อมแนะนําให้ประชาชนลบข้อความและรีพอร์ตข้อความไปทางยังบริษัท แอปเปิล ด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้ความมั่นใจว่า แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บนระบบแอนดรอยด์เก็บข้อมูลแค่การเช็คอิน/เช็คเอาท์ ในสถานที่ต่าง ๆ เท่านั้น ไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวด้านอื่น สําหรับผู้ใช้บริการระบบไอโอเอส จะเร่งประสานเพื่อให้สามารถดาวน์โหลดได้โดยเร็ว .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31782
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เตรียมลงนาม MOU ยกระดับพ่อครัวแม่ครัวนำธุรกิจอาหารไทยสู่มาตรฐานโลก
วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 ก.แรงงาน เตรียมลงนาม MOU ยกระดับพ่อครัวแม่ครัวนําธุรกิจอาหารไทยสู่มาตรฐานโลก ก.แรงงาน ร่วมมือหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน กําหนดแนวทางส่งเสริมและขับเคลื่อนนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก เสริมสร้างเอกลักษณ์อาหารไทย เตรียมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สถาบันวิชาการด้านอาหาร และผู้ประกอบการธุรกิจอาหารไทย ก.แรงงาน ร่วมมือหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน กําหนดแนวทางส่งเสริมและขับเคลื่อนนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก เสริมสร้างเอกลักษณ์อาหารไทย เตรียมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สถาบันวิชาการด้านอาหาร และผู้ประกอบการธุรกิจอาหารไทย เพิ่มศักยภาพแรงงานเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งยกระดับร้านอาหารไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมแนวทางการส่งเสริมและขับเคลื่อนนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนาทักษะฝีมือพ่อครัวแม่ครัวไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ประกอบกับรัฐบาลให้ความสําคัญต่อการยกระดับมาตรฐานอาหารไทยให้ได้มาตรฐานสากล จึงกําหนดให้นโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกเป็นนโยบายสําคัญที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหารของภูมิภาคอาเซียนและของโลก โดยให้มีกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐานตั้งแต่กระบวนการผลิตขั้นต้นจนถึงการเสริมสร้างเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้ผู้บริโภคได้รับรู้วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไทย ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่า การหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อสร้างความเข้มแข็งต่ออุตสาหกรรมอาหารไทยให้มีแนวทางส่งเสริมและยกระดับฝีมือพ่อครัวแม่ครัวไทยสู่ครัวโลกเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้ร่วมกันพิจารณา (ร่าง) กรอบการดําเนินงานของแต่ละหน่วยงาน ก่อนที่จะลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในวันที่ 25 กันยายน 2560 ณ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก สําหรับกรอบการดําเนินงานของกระทรวงแรงงาน จะให้การสนับสนุนการจัดฝึกอบรมแก่แรงงานเพื่อให้มีทักษะฝีมือตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน สามารถไปประกอบอาชีพพ่อครัวแม่ครัวไทยทั้งในและต่างประเทศได้ รวมทั้งดําเนินการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน การพัฒนาทักษะด้านภาษา และการส่งเสริมการมีงานทําอีกด้วย การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้เพื่อพัฒนาศักยภาพกําลังแรงงานด้านมาตรฐานอาหารไทย รวมทั้งยกระดับร้านอาหารไทยทั้งในและต่างประเทศให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมถึงนักศึกษาให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือสูงขึ้น สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน เป็นกําลังแรงงานที่มีคุณภาพต่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจที่จะเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ----------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ กัณติภณ คูสมิทธิ์ - ภาพ/ 12 กันยายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เตรียมลงนาม MOU ยกระดับพ่อครัวแม่ครัวนำธุรกิจอาหารไทยสู่มาตรฐานโลก วันอังคารที่ 12 กันยายน 2560 ก.แรงงาน เตรียมลงนาม MOU ยกระดับพ่อครัวแม่ครัวนําธุรกิจอาหารไทยสู่มาตรฐานโลก ก.แรงงาน ร่วมมือหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน กําหนดแนวทางส่งเสริมและขับเคลื่อนนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก เสริมสร้างเอกลักษณ์อาหารไทย เตรียมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สถาบันวิชาการด้านอาหาร และผู้ประกอบการธุรกิจอาหารไทย ก.แรงงาน ร่วมมือหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน กําหนดแนวทางส่งเสริมและขับเคลื่อนนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก เสริมสร้างเอกลักษณ์อาหารไทย เตรียมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สถาบันวิชาการด้านอาหาร และผู้ประกอบการธุรกิจอาหารไทย เพิ่มศักยภาพแรงงานเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งยกระดับร้านอาหารไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมแนวทางการส่งเสริมและขับเคลื่อนนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก ณ ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ ชั้น 10 กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพัฒนาทักษะฝีมือพ่อครัวแม่ครัวไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ประกอบกับรัฐบาลให้ความสําคัญต่อการยกระดับมาตรฐานอาหารไทยให้ได้มาตรฐานสากล จึงกําหนดให้นโยบายครัวไทยสู่ครัวโลกเป็นนโยบายสําคัญที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านอาหารของภูมิภาคอาเซียนและของโลก โดยให้มีกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐานตั้งแต่กระบวนการผลิตขั้นต้นจนถึงการเสริมสร้างเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้ผู้บริโภคได้รับรู้วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไทย ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อว่า การหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเพื่อสร้างความเข้มแข็งต่ออุตสาหกรรมอาหารไทยให้มีแนวทางส่งเสริมและยกระดับฝีมือพ่อครัวแม่ครัวไทยสู่ครัวโลกเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้ร่วมกันพิจารณา (ร่าง) กรอบการดําเนินงานของแต่ละหน่วยงาน ก่อนที่จะลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในวันที่ 25 กันยายน 2560 ณ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก สําหรับกรอบการดําเนินงานของกระทรวงแรงงาน จะให้การสนับสนุนการจัดฝึกอบรมแก่แรงงานเพื่อให้มีทักษะฝีมือตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน สามารถไปประกอบอาชีพพ่อครัวแม่ครัวไทยทั้งในและต่างประเทศได้ รวมทั้งดําเนินการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน การพัฒนาทักษะด้านภาษา และการส่งเสริมการมีงานทําอีกด้วย การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้เพื่อพัฒนาศักยภาพกําลังแรงงานด้านมาตรฐานอาหารไทย รวมทั้งยกระดับร้านอาหารไทยทั้งในและต่างประเทศให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมถึงนักศึกษาให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือสูงขึ้น สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน เป็นกําลังแรงงานที่มีคุณภาพต่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจที่จะเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ----------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ กัณติภณ คูสมิทธิ์ - ภาพ/ 12 กันยายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6625
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมสภาสถาบันการพลศึกษา ครั้งที่ 4/2561
วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2561 รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมสภาสถาบันการพลศึกษา ครั้งที่ 4/2561 รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมสภาสถาบันการพลศึกษา ครั้งที่ 4/2561 พร้อมรับทราบรายงานผลการดําเนินงาน ซึ่งปฏิบัติตามคู่มือการประกันคุณภาพการศึกษาตามหลักเกณฑ์มาตรฐาน วันนี้ (22 สิงหาคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภาสถาบันการพลศึกษา ครั้งที่ 4/2561 สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมรับทราบรายงานผลการดําเนินงานตามนโยบายสภาสถาบันการพลศึกษา ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ตามหลักการประกันคุณภาพกาศึกษาภายในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2560 โดยโรงเรียนกีฬาในสังกัดสถาบันการพลศึกษาได้ดําเนินงานตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาและพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่องตามวงรอบที่ 4 (พ.ศ. 2560 – พ.ศ. 2563) โดยปฏิบัติตามคู่มือการประกันคุณภาพการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ดําเนินการจัดทํา ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน ดังนี้ มาตรฐานที่ 1. คุณภาพของผู้เรียน มาตรฐานที่ 2. กระบวนการบริหารและจัดการของผู้บริหารสถานศึกษา มาตรฐานที่ 3. กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ และมาตรฐานที่ 4. ระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในที่มีประสิทธิผล .......................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมสภาสถาบันการพลศึกษา ครั้งที่ 4/2561 วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2561 รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมสภาสถาบันการพลศึกษา ครั้งที่ 4/2561 รอง นรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมสภาสถาบันการพลศึกษา ครั้งที่ 4/2561 พร้อมรับทราบรายงานผลการดําเนินงาน ซึ่งปฏิบัติตามคู่มือการประกันคุณภาพการศึกษาตามหลักเกณฑ์มาตรฐาน วันนี้ (22 สิงหาคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภาสถาบันการพลศึกษา ครั้งที่ 4/2561 สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมรับทราบรายงานผลการดําเนินงานตามนโยบายสภาสถาบันการพลศึกษา ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ตามหลักการประกันคุณภาพกาศึกษาภายในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2560 โดยโรงเรียนกีฬาในสังกัดสถาบันการพลศึกษาได้ดําเนินงานตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาและพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่องตามวงรอบที่ 4 (พ.ศ. 2560 – พ.ศ. 2563) โดยปฏิบัติตามคู่มือการประกันคุณภาพการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ดําเนินการจัดทํา ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน ดังนี้ มาตรฐานที่ 1. คุณภาพของผู้เรียน มาตรฐานที่ 2. กระบวนการบริหารและจัดการของผู้บริหารสถานศึกษา มาตรฐานที่ 3. กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ และมาตรฐานที่ 4. ระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายในที่มีประสิทธิผล .......................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14820
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมคิดดึงธุรกิจจีนจับคู่ไทยครั้งใหญ่ ขยายโอกาสการค้าการลงทุน
วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2560 สมคิดดึงธุรกิจจีนจับคู่ไทยครั้งใหญ่ ขยายโอกาสการค้าการลงทุน สมคิดโชว์ผลงานเยือนจีนปี 59 ดึง ธนาคารแห่งประเทศจีน นําคณะนักธุรกิจจับคู่นักลงทุนไทย และขยายโอกาสการค้าการลงทุน และเน้นกลุ่ม S-Curve ด้านบีโอไอเตรียมนําคณะธุรกิจจีน และญีปุ่นดูลู่ทางการลงทุนในพื้นที่อีอีซี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน “Thailand Cross Border Trade & Investment Conference” หรือ การประชุมเจรจาจับคู่ธุรกิจไทย-จีน จัดโดย ธนาคารแห่งประเทศจีน(Bank of China)และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ว่า การจัดงานในวันนี้เป็นผลสําเร็จจากการที่ได้มีโอกาสไปเยือนกรุงปักกิ่ง สาธารณะรัฐประชาชนจีน เมื่อปลายปี2559ที่ผ่านมา และได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศจีน จึงได้เชิญชวนให้ธนาคารมาจัดงานในรูปแบบของการเจรจาจับคู่ธุรกิจครั้งใหญ่ในประเทศไทยโดยเฉพาะบริษัทจากจีนใน 10กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือS-Curveซึ่งจะช่วยให้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาด้านนวัตกรรม และนําพาประเทศไทยก้าวสู่ ไทยแลนด์4.0 โดยธนาคารแห่งประเทศจีน เป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สําคัญ และมีบริษัทจีนจากทั่วโลกเป็นลูกค้า กิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจที่เกิดขึ้นจึงเป็นการสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนร่วมกันของนักธุรกิจจากประเทศจีนกับนักธุรกิจไทย รวมทั้งผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)ของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นพลังสําคัญของความร่วมมือกันสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และเป็นพลังขับเคลื่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยและจีน “ธนาคารได้นําลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจจากประเทศจีนเดินทางมาเข้าร่วมเจรจาจับคู่ธุรกิจกับนักธุรกิจไทย ซึ่งในวันนี้มีผู้ร่วมเจรจาจับคู่รวมกว่า1,000คน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี เชื่อมโยงให้ภาคธุรกิจทั้งสองประเทศให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น และเราได้เชิญชวนให้นักธุรกิจจีนพิจารณาการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี และจะเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาค และเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับนโยบายOne Belt One Roadของจีน”นายสมคิด กล่าว นับตั้งแต่ปี2014จีนเป็นประเทศคู่ค้าและตลาดนําเข้าที่ใหญ่ที่สุดของไทย และในปี2016จีนเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุดลําดับที่2มีจํานวนทั้งสิ้น81โครงการ รวมมูลค่ากว่า52,700ล้านบาท ด้านนางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)เปิดเผยว่า นอกจากการมาจับคู่ธุรกิจและดูลู่ทางการลงทุนในไทยแล้ว บีโอไอยังจะนําคณะของธนาคารแห่งประเทศจีนไปเยี่ยมชมพื้นที่อีอีซี และรับฟังนโยบายส่งเสริมการลงทุน ซึ่งนักธุรกิจจีนส่วนใหญ่ให้ความสนใจต่อแผนการเตรียมพื้นที่การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ ของภาครัฐ นอกจากนี้ สํานักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครโอซาก้า (บีโอไอโอซาก้า) ยังได้นําคณะนักลงทุนญี่ปุ่นจํานวน 100 ราย จากอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ พลังงานแสงอาทิตย์และภาคขนส่งเข้าร่วมกิจกรรมสร้างเครือข่ายการลงทุนและกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ โดยมีสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย สมาคมอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ไทยสมาพันธ์สมาคมอุตสาหกรรมสนับสนุนและกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพเข้าร่วม นอกจากนั้นยังรับฟังรายละเอียดของนโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนฉบับแก้ไข และพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนในประเทศไทย เลขาบีโอไอกล่าวด้วยว่า คณะนักลงทุนจากโอซาก้า ได้ลงพื้นที่สํารวจโอกาสการลงทุนในภาคตะวันออก โดยให้ความสนใจ กับพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี )เป็นพิเศษ เพราะมีความโดดเด่นด้านภูมิศาสตร์และเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพจากการสนับสนุนของรัฐบาล ทั้งนี้ ในปี 2559 มีโครงการลงทุนจากญี่ปุ่นยื่นขอรับส่งเสริมจํานวน 264 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 57,466 ล้านบาท *************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมคิดดึงธุรกิจจีนจับคู่ไทยครั้งใหญ่ ขยายโอกาสการค้าการลงทุน วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม 2560 สมคิดดึงธุรกิจจีนจับคู่ไทยครั้งใหญ่ ขยายโอกาสการค้าการลงทุน สมคิดโชว์ผลงานเยือนจีนปี 59 ดึง ธนาคารแห่งประเทศจีน นําคณะนักธุรกิจจับคู่นักลงทุนไทย และขยายโอกาสการค้าการลงทุน และเน้นกลุ่ม S-Curve ด้านบีโอไอเตรียมนําคณะธุรกิจจีน และญีปุ่นดูลู่ทางการลงทุนในพื้นที่อีอีซี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน “Thailand Cross Border Trade & Investment Conference” หรือ การประชุมเจรจาจับคู่ธุรกิจไทย-จีน จัดโดย ธนาคารแห่งประเทศจีน(Bank of China)และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ว่า การจัดงานในวันนี้เป็นผลสําเร็จจากการที่ได้มีโอกาสไปเยือนกรุงปักกิ่ง สาธารณะรัฐประชาชนจีน เมื่อปลายปี2559ที่ผ่านมา และได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศจีน จึงได้เชิญชวนให้ธนาคารมาจัดงานในรูปแบบของการเจรจาจับคู่ธุรกิจครั้งใหญ่ในประเทศไทยโดยเฉพาะบริษัทจากจีนใน 10กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือS-Curveซึ่งจะช่วยให้ประกอบการไทยสามารถพัฒนาด้านนวัตกรรม และนําพาประเทศไทยก้าวสู่ ไทยแลนด์4.0 โดยธนาคารแห่งประเทศจีน เป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สําคัญ และมีบริษัทจีนจากทั่วโลกเป็นลูกค้า กิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจที่เกิดขึ้นจึงเป็นการสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนร่วมกันของนักธุรกิจจากประเทศจีนกับนักธุรกิจไทย รวมทั้งผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)ของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นพลังสําคัญของความร่วมมือกันสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และเป็นพลังขับเคลื่อนในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยและจีน “ธนาคารได้นําลูกค้าที่เป็นนักธุรกิจจากประเทศจีนเดินทางมาเข้าร่วมเจรจาจับคู่ธุรกิจกับนักธุรกิจไทย ซึ่งในวันนี้มีผู้ร่วมเจรจาจับคู่รวมกว่า1,000คน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี เชื่อมโยงให้ภาคธุรกิจทั้งสองประเทศให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น และเราได้เชิญชวนให้นักธุรกิจจีนพิจารณาการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี และจะเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาค และเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับนโยบายOne Belt One Roadของจีน”นายสมคิด กล่าว นับตั้งแต่ปี2014จีนเป็นประเทศคู่ค้าและตลาดนําเข้าที่ใหญ่ที่สุดของไทย และในปี2016จีนเป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุดลําดับที่2มีจํานวนทั้งสิ้น81โครงการ รวมมูลค่ากว่า52,700ล้านบาท ด้านนางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)เปิดเผยว่า นอกจากการมาจับคู่ธุรกิจและดูลู่ทางการลงทุนในไทยแล้ว บีโอไอยังจะนําคณะของธนาคารแห่งประเทศจีนไปเยี่ยมชมพื้นที่อีอีซี และรับฟังนโยบายส่งเสริมการลงทุน ซึ่งนักธุรกิจจีนส่วนใหญ่ให้ความสนใจต่อแผนการเตรียมพื้นที่การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานต่างๆ ของภาครัฐ นอกจากนี้ สํานักงานเศรษฐกิจการลงทุน ณ นครโอซาก้า (บีโอไอโอซาก้า) ยังได้นําคณะนักลงทุนญี่ปุ่นจํานวน 100 ราย จากอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ พลังงานแสงอาทิตย์และภาคขนส่งเข้าร่วมกิจกรรมสร้างเครือข่ายการลงทุนและกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ โดยมีสมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย สมาคมอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ไทยสมาพันธ์สมาคมอุตสาหกรรมสนับสนุนและกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์และสุขภาพเข้าร่วม นอกจากนั้นยังรับฟังรายละเอียดของนโยบายส่งเสริมการลงทุนใหม่ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนฉบับแก้ไข และพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสําหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนในประเทศไทย เลขาบีโอไอกล่าวด้วยว่า คณะนักลงทุนจากโอซาก้า ได้ลงพื้นที่สํารวจโอกาสการลงทุนในภาคตะวันออก โดยให้ความสนใจ กับพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี )เป็นพิเศษ เพราะมีความโดดเด่นด้านภูมิศาสตร์และเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพจากการสนับสนุนของรัฐบาล ทั้งนี้ ในปี 2559 มีโครงการลงทุนจากญี่ปุ่นยื่นขอรับส่งเสริมจํานวน 264 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 57,466 ล้านบาท *************************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3902
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. จัดกิจกรรม "รวมใจภักดิ์ รักแม่เที่ยงแท้ยุติธรรม" ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559 ยธ. จัดกิจกรรม "รวมใจภักดิ์ รักแม่เที่ยงแท้ยุติธรรม" ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ยธ. จัดกิจกรรม "รวมใจภักดิ์ รักแม่เที่ยงแท้ยุติธรรม" ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ นางนฤมล ช่วงรังษี รองเลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในฐานะผู้บริหารงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมของกระทรวงยุติธรรม (CEO) ประจําวันนี้ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เยี่ยมชมตลาดคลองผดุงกรุงเกษม "รวมใจภักดิ์ รักแม่เที่ยงแท้ยุติธรรม" จัดโดยกระทรวงยุติธรรม เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ อีกทั้งเพื่อจําหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์จากหน่วยงานในสังกัด การบริการให้คําปรึกษาทางด้านกฎหมายแก่ประชาชน เพื่อนําความยุติธรรมสู่ประชาชน ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล โดยการจัดงานจะจัดถึงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๙
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. จัดกิจกรรม "รวมใจภักดิ์ รักแม่เที่ยงแท้ยุติธรรม" ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559 ยธ. จัดกิจกรรม "รวมใจภักดิ์ รักแม่เที่ยงแท้ยุติธรรม" ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ยธ. จัดกิจกรรม "รวมใจภักดิ์ รักแม่เที่ยงแท้ยุติธรรม" ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ นางนฤมล ช่วงรังษี รองเลขาธิการ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในฐานะผู้บริหารงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมของกระทรวงยุติธรรม (CEO) ประจําวันนี้ พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม เยี่ยมชมตลาดคลองผดุงกรุงเกษม "รวมใจภักดิ์ รักแม่เที่ยงแท้ยุติธรรม" จัดโดยกระทรวงยุติธรรม เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ อีกทั้งเพื่อจําหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์จากหน่วยงานในสังกัด การบริการให้คําปรึกษาทางด้านกฎหมายแก่ประชาชน เพื่อนําความยุติธรรมสู่ประชาชน ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล โดยการจัดงานจะจัดถึงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๙
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/117
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าว องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ถอดประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าว องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ถอดประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายจุฬา สุขมานพ ผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย แถลงข่าวเรื่อง องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ถอดประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านการบิน เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560 เวลา 10.30 น. ณ อาคารสโมสรและหอประชุมกระทรวงคมนาคม โดยมี นายกฤชเทพ สิมลี รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม ผู้บริหารสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ผู้แทนบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด และสื่อมวลชน ร่วมการแถลงข่าว นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า ตามที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้เข้ามาตรวจสอบการกํากับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนในช่วงเดือนมกราคม 2558 ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่า ประเทศไทยมีความบกพร่องเกี่ยวกับกระบวนการออกใบรับรองผู้ดําเนินการเดินอากาศ โดยมีข้อบกพร่องที่มีนัยสําคัญต่อความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน (SSC) จํานวน 33 ข้อ และต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2558 ได้ประกาศติดธงแดงประเทศไทยบนเว็บไซต์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าไทยยังไม่มีการกํากับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนอย่างเพียงพอภายใต้มาตรฐานของ ICAO กระทรวงคมนาคม และ กพท. ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เกิดความเชื่อมั่นและเชื่อถือจากกิจการการบินพลเรือนทั่วโลก โดยได้แก้ไขข้อบกพร่อง 33 ข้อดังกล่าว ทบทวนการตรวจประเมินการออกใบรับรองผู้ดําเนินการเดินอากาศใหม่ทั้งหมด 28 สายการบิน ที่ทําการบินระหว่างประเทศ แก้ไขกฎหมายการเดินอากาศใหม่ และพัฒนาบุคลากรที่มีความขาดแคลน เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ประเทศไทยได้ตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรกับ ICAO ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว พร้อมทั้งได้ยื่นขอตรวจประเมินใหม่เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2560 และ ICAO ได้ส่งคณะผู้ตรวจประเมินจาก ICAO มาตรวจประเมินด้านปฏิบัติการการบินและความเหมาะสมของการเดินอากาศใหม่ระหว่างวันที่ 20 - 27 กันยายน 2560 ซึ่ง ICAO ได้ประกาศถอดประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน (ปลดธงแดง) ตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา โดย นายอรุณ มิชรา ผู้อํานวยการสํานักงานภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิกของ ICAO ณ กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานผลการตรวจประเมิน และได้รับการยืนยันจากผู้อํานวยการสํานักงานภูมิภาคเอเซีย - แปซิฟิกของ ICAO ณ กรุงเทพมหานคร แล้วว่า ICAO ได้มีมติปลดธงแดงประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นับเป็นความภาคภูมิใจสําหรับประเทศโดยส่วนรวม ที่ได้รับความไว้วางใจจาก ICAO ที่ปลดธงแดงให้กับประเทศไทยในครั้งนี้ แสดงถึงความเชื่อมั่นของ ICAO และนานาประเทศที่มีต่อ กพท. ที่ได้ทําหน้าที่กํากับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน และความเหมาะสมของการเดินอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานของ ICAO ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของสายการบินของไทย และที่สําคัญอย่างยิ่งคือ การสร้างความมั่นใจในการพัฒนามาตรฐานการกํากับดูแลและการสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรกํากับดูแล รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินเพื่อก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคในอนาคตอย่างมั่นใจ กระทรวงคมนาคม ขอกราบขอบพระคุณนายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้ความไว้วางใจให้กระทรวงคมนาคม และ กพท. ซึ่งเป็นหน่วยงานทางการและเป็นผู้แทนรัฐบาลในองค์การ การบินพลเรือนระหว่างประเทศ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาและปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐานของ ICAO และขอขอบคุณ นายอรุณ มิชรา ผู้อํานวยการสํานักงานภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิกของ ICAO ณ กรุงเทพมหานคร ที่ได้ให้คําแนะนําและประสานงานอย่างดียิ่ง และหน่วยงานสนับสนุนอื่นที่สําคัญ ได้แก่ ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน (ศบปพ.) และกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้ทํางานร่วมกันอย่างทุ่มเททั้งกําลังกาย กําลังใจ สติปัญญา และเสียสละเวลาส่วนตัว เพื่อปฏิบัติภารกิจสําคัญของชาติในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนจนเป็นที่ยอมรับของ ICAO นอกจากนี้ ขอขอบคุณทุกสายการบินที่ได้รับใบรับรองผู้ดําเนินการเดินอากาศแล้ว และอยู่ระหว่างดําเนินการ ที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามมาตรฐานใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดบินระหว่างประเทศเป็นการชั่วคราวในระหว่างการยื่นขอตรวจประเมินจาก ICAO ซึ่งถือว่าเป็นผู้เสียสละ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม และขอบคุณทุกกําลังใจจากพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนที่มีต่อกระทรวงคมนาคม และ กพท. ตลอดมาในการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนของประเทศไทย ทั้งนี้ กพท. จะเร่งดําเนินการให้เป็นไปตามแผนงานที่ได้กําหนดร่วมกันต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าว องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ถอดประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าว องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ถอดประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายจุฬา สุขมานพ ผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย แถลงข่าวเรื่อง องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ถอดประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านการบิน เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560 เวลา 10.30 น. ณ อาคารสโมสรและหอประชุมกระทรวงคมนาคม โดยมี นายกฤชเทพ สิมลี รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม ผู้บริหารสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ผู้แทนบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด และสื่อมวลชน ร่วมการแถลงข่าว นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า ตามที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้เข้ามาตรวจสอบการกํากับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนในช่วงเดือนมกราคม 2558 ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่า ประเทศไทยมีความบกพร่องเกี่ยวกับกระบวนการออกใบรับรองผู้ดําเนินการเดินอากาศ โดยมีข้อบกพร่องที่มีนัยสําคัญต่อความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน (SSC) จํานวน 33 ข้อ และต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2558 ได้ประกาศติดธงแดงประเทศไทยบนเว็บไซต์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าไทยยังไม่มีการกํากับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนอย่างเพียงพอภายใต้มาตรฐานของ ICAO กระทรวงคมนาคม และ กพท. ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เกิดความเชื่อมั่นและเชื่อถือจากกิจการการบินพลเรือนทั่วโลก โดยได้แก้ไขข้อบกพร่อง 33 ข้อดังกล่าว ทบทวนการตรวจประเมินการออกใบรับรองผู้ดําเนินการเดินอากาศใหม่ทั้งหมด 28 สายการบิน ที่ทําการบินระหว่างประเทศ แก้ไขกฎหมายการเดินอากาศใหม่ และพัฒนาบุคลากรที่มีความขาดแคลน เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ประเทศไทยได้ตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรกับ ICAO ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว พร้อมทั้งได้ยื่นขอตรวจประเมินใหม่เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2560 และ ICAO ได้ส่งคณะผู้ตรวจประเมินจาก ICAO มาตรวจประเมินด้านปฏิบัติการการบินและความเหมาะสมของการเดินอากาศใหม่ระหว่างวันที่ 20 - 27 กันยายน 2560 ซึ่ง ICAO ได้ประกาศถอดประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน (ปลดธงแดง) ตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา โดย นายอรุณ มิชรา ผู้อํานวยการสํานักงานภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิกของ ICAO ณ กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อรายงานผลการตรวจประเมิน และได้รับการยืนยันจากผู้อํานวยการสํานักงานภูมิภาคเอเซีย - แปซิฟิกของ ICAO ณ กรุงเทพมหานคร แล้วว่า ICAO ได้มีมติปลดธงแดงประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นับเป็นความภาคภูมิใจสําหรับประเทศโดยส่วนรวม ที่ได้รับความไว้วางใจจาก ICAO ที่ปลดธงแดงให้กับประเทศไทยในครั้งนี้ แสดงถึงความเชื่อมั่นของ ICAO และนานาประเทศที่มีต่อ กพท. ที่ได้ทําหน้าที่กํากับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน และความเหมาะสมของการเดินอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานของ ICAO ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของสายการบินของไทย และที่สําคัญอย่างยิ่งคือ การสร้างความมั่นใจในการพัฒนามาตรฐานการกํากับดูแลและการสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรกํากับดูแล รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินเพื่อก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคในอนาคตอย่างมั่นใจ กระทรวงคมนาคม ขอกราบขอบพระคุณนายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้ความไว้วางใจให้กระทรวงคมนาคม และ กพท. ซึ่งเป็นหน่วยงานทางการและเป็นผู้แทนรัฐบาลในองค์การ การบินพลเรือนระหว่างประเทศ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาและปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐานของ ICAO และขอขอบคุณ นายอรุณ มิชรา ผู้อํานวยการสํานักงานภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิกของ ICAO ณ กรุงเทพมหานคร ที่ได้ให้คําแนะนําและประสานงานอย่างดียิ่ง และหน่วยงานสนับสนุนอื่นที่สําคัญ ได้แก่ ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน (ศบปพ.) และกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้ทํางานร่วมกันอย่างทุ่มเททั้งกําลังกาย กําลังใจ สติปัญญา และเสียสละเวลาส่วนตัว เพื่อปฏิบัติภารกิจสําคัญของชาติในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนจนเป็นที่ยอมรับของ ICAO นอกจากนี้ ขอขอบคุณทุกสายการบินที่ได้รับใบรับรองผู้ดําเนินการเดินอากาศแล้ว และอยู่ระหว่างดําเนินการ ที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามมาตรฐานใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดบินระหว่างประเทศเป็นการชั่วคราวในระหว่างการยื่นขอตรวจประเมินจาก ICAO ซึ่งถือว่าเป็นผู้เสียสละ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม และขอบคุณทุกกําลังใจจากพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนที่มีต่อกระทรวงคมนาคม และ กพท. ตลอดมาในการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนของประเทศไทย ทั้งนี้ กพท. จะเร่งดําเนินการให้เป็นไปตามแผนงานที่ได้กําหนดร่วมกันต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7280
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีทีเอสฯ ยืนยัน ข้อความ/สแปม ที่พบในระบบไอโอเอส ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ "ไทยชนะ" ประสานบริษัท แอปเปิล ให้เร่งแก้ไข
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีทีเอสฯ ยืนยัน ข้อความ/สแปม ที่พบในระบบไอโอเอส ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ "ไทยชนะ" ประสานบริษัท แอปเปิล ให้เร่งแก้ไข ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีทีเอสฯ ยืนยัน ข้อความ/สแปม ที่พบในระบบไอโอเอส ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ "ไทยชนะ" ประสานบริษัท แอปเปิล ให้เร่งแก้ไข วันนี้ (1 มิ.ย. 63) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อโควิด-19 ชี้แจงรายละเอียดการใช้งานแพลตฟอร์มที่เปิดให้ลงทะเบียน และ แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ที่สามารถดาวน์โหลดได้แล้ว เพื่อช่วยอํานวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจําวันมากขึ้น สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าว คนไทยให้ความร่วมมือใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” กว่า 18.5 ล้านคน โดยมีจํานวนกิจการ/กิจกรรม ลงทะเบียนร้านค้า 133,694 ร้าน พร้อมกันนี้ยังมียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ผ่านผู้ใช้โทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์ 125,773 คน รวมถึงจํานวนการใช้งานของระบบเช็คอิน/เช็คเอาท์ มีทั้งหมดประมาณ 90 ล้านครั้ง ซึ่งหลังการเปิดให้ใช้บริการ “ไทยชนะ” บนแอปพลิเคชันแล้ว ทําให้อัตราส่วนเช็คอินต่อเช็คเอาท์จากเดิมร้อยละ 56 เพิ่มเป็นร้อยละ 92 ด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวขอความร่วมมือร้านค้าในปั๊มน้ํามัน ทั้ง ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ร่วมลงทะเบียน “ไทยชนะ” หลังการผ่อนคลายมาตรการระยะ 3 ทําให้สามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนจะสามารถสแกน QR Code เก็บประวัติการเดินทาง ในทุกสถานที่ที่ใช้บริการ สะดวกต่อการสอบสวนโรค จะยิ่งทําให้ง่ายต่อการจํากัดกลุ่มเสี่ยงในการตรวจหาผู้ป่วยเชื้อไวรัสโควิด-19 โอกาสนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ยืนยันกรณีประชาชนหลายคนที่ใช้โทรศัพท์ระบบไอโอเอส ได้รับข้อความสแปมทาง iMessage ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เนื่องจากข้อมูล “ไทยชนะ” ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมและกํากับอย่างปลอดภัยโดยกรมควบคุมโรค ซึ่งระบบ iMessage ต่างจากระบบ SMS เพราะไม่จําเป็นต้องมีเบอร์โทรศัพท์เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตก็สามารถส่งข้อความได้ขณะนี้ได้ประสานไปยัง บริษัท แอปเปิล เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา พร้อมแนะนําให้ประชาชนลบข้อความและรีพอร์ตข้อความไปทางยังบริษัท แอปเปิล ด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้ความมั่นใจว่า แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บนระบบแอนดรอยด์เก็บข้อมูลแค่การเช็คอิน/เช็คเอาท์ ในสถานที่ต่าง ๆ เท่านั้น ไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวด้านอื่น สําหรับผู้ใช้บริการระบบไอโอเอส จะเร่งประสานเพื่อให้สามารถดาวน์โหลดได้โดยเร็ว .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีทีเอสฯ ยืนยัน ข้อความ/สแปม ที่พบในระบบไอโอเอส ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ "ไทยชนะ" ประสานบริษัท แอปเปิล ให้เร่งแก้ไข วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีทีเอสฯ ยืนยัน ข้อความ/สแปม ที่พบในระบบไอโอเอส ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ "ไทยชนะ" ประสานบริษัท แอปเปิล ให้เร่งแก้ไข ผู้ตรวจราชการกระทรวงดีทีเอสฯ ยืนยัน ข้อความ/สแปม ที่พบในระบบไอโอเอส ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ "ไทยชนะ" ประสานบริษัท แอปเปิล ให้เร่งแก้ไข วันนี้ (1 มิ.ย. 63) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อโควิด-19 ชี้แจงรายละเอียดการใช้งานแพลตฟอร์มที่เปิดให้ลงทะเบียน และ แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ที่สามารถดาวน์โหลดได้แล้ว เพื่อช่วยอํานวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจําวันมากขึ้น สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าว คนไทยให้ความร่วมมือใช้แพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” กว่า 18.5 ล้านคน โดยมีจํานวนกิจการ/กิจกรรม ลงทะเบียนร้านค้า 133,694 ร้าน พร้อมกันนี้ยังมียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ผ่านผู้ใช้โทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์ 125,773 คน รวมถึงจํานวนการใช้งานของระบบเช็คอิน/เช็คเอาท์ มีทั้งหมดประมาณ 90 ล้านครั้ง ซึ่งหลังการเปิดให้ใช้บริการ “ไทยชนะ” บนแอปพลิเคชันแล้ว ทําให้อัตราส่วนเช็คอินต่อเช็คเอาท์จากเดิมร้อยละ 56 เพิ่มเป็นร้อยละ 92 ด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวขอความร่วมมือร้านค้าในปั๊มน้ํามัน ทั้ง ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ร่วมลงทะเบียน “ไทยชนะ” หลังการผ่อนคลายมาตรการระยะ 3 ทําให้สามารถเดินทางข้ามจังหวัดได้ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนจะสามารถสแกน QR Code เก็บประวัติการเดินทาง ในทุกสถานที่ที่ใช้บริการ สะดวกต่อการสอบสวนโรค จะยิ่งทําให้ง่ายต่อการจํากัดกลุ่มเสี่ยงในการตรวจหาผู้ป่วยเชื้อไวรัสโควิด-19 โอกาสนี้ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ยืนยันกรณีประชาชนหลายคนที่ใช้โทรศัพท์ระบบไอโอเอส ได้รับข้อความสแปมทาง iMessage ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” เนื่องจากข้อมูล “ไทยชนะ” ทั้งหมดจะอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมและกํากับอย่างปลอดภัยโดยกรมควบคุมโรค ซึ่งระบบ iMessage ต่างจากระบบ SMS เพราะไม่จําเป็นต้องมีเบอร์โทรศัพท์เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตก็สามารถส่งข้อความได้ขณะนี้ได้ประสานไปยัง บริษัท แอปเปิล เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา พร้อมแนะนําให้ประชาชนลบข้อความและรีพอร์ตข้อความไปทางยังบริษัท แอปเปิล ด้วย ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้ความมั่นใจว่า แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บนระบบแอนดรอยด์เก็บข้อมูลแค่การเช็คอิน/เช็คเอาท์ ในสถานที่ต่าง ๆ เท่านั้น ไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวด้านอื่น สําหรับผู้ใช้บริการระบบไอโอเอส จะเร่งประสานเพื่อให้สามารถดาวน์โหลดได้โดยเร็ว .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31784
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีรับมือโควิด-19 เมื่อต้องออกจากบ้าน
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563 วิธีรับมือโควิด-19 เมื่อต้องออกจากบ้าน มีวิธีปฏิบัติอย่างไรบ้างนะ วิธีรับมือโควิด-19 เมื่อต้องออกนอกบ้าน 1.ใช้มาตรการเว้นระยะห่าง 2.เลี่ยงการสัมผัสจุดเสี่ยงเชื้อโรค 3.เตรียมอุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรค 4.ล้างมือทําความสะอาดเป็นประจํา 5.ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอยู่เสมอ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีรับมือโควิด-19 เมื่อต้องออกจากบ้าน วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563 วิธีรับมือโควิด-19 เมื่อต้องออกจากบ้าน มีวิธีปฏิบัติอย่างไรบ้างนะ วิธีรับมือโควิด-19 เมื่อต้องออกนอกบ้าน 1.ใช้มาตรการเว้นระยะห่าง 2.เลี่ยงการสัมผัสจุดเสี่ยงเชื้อโรค 3.เตรียมอุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรค 4.ล้างมือทําความสะอาดเป็นประจํา 5.ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอยู่เสมอ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31659
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อภ.เร่งจัดหาหน้ากาก N95 และชุด PPE ต่อเนื่อง ชนิดละประมาณ 5 ล้านชิ้น
วันเสาร์ที่ 18 เมษายน 2563 อภ.เร่งจัดหาหน้ากาก N95 และชุด PPE ต่อเนื่อง ชนิดละประมาณ 5 ล้านชิ้น อภ. จัดหาหน้ากาก N95 และชุด PPE ต่อเนื่อง ชนิดละประมาณ 5 ล้านชิ้น เพื่อสํารองและจัดส่งให้บุคลากรทางการแพทย์มีใช้อย่างเพียงพอ พร้อมเชิญชวนผู้ผลิตและตัวแทนจําหน่าย ร่วมเสนอผลิตภัณฑ์ สร้างความมั่นใจต่อบุคลากรทางการแพทย์ ลดความผันผวนของตลาดอุปกรณ์และเวชภั อภ. จัดหาหน้ากาก N95 และชุด PPE ต่อเนื่อง ชนิดละประมาณ 5 ล้านชิ้น เพื่อสํารองและจัดส่งให้บุคลากรทางการแพทย์มีใช้อย่างเพียงพอ พร้อมเชิญชวนผู้ผลิตและตัวแทนจําหน่าย ร่วมเสนอผลิตภัณฑ์ สร้างความมั่นใจต่อบุคลากรทางการแพทย์ ลดความผันผวนของตลาดอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดเผยว่า ช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม อภ. มีเป้าหมายจัดซื้อเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ป้องกันโรค COVID-19 ประกอบด้วย หน้ากากอนามัย N95 และชุดป้องกันตนเอง PPE เกรดทางการแพทย์ ชนิดละประมาณ 6.67 แสนชิ้น พร้อมจัดหาอย่างต่อเนื่องชนิดละประมาณ 5 ล้านชิ้น เพื่อสํารองและจัดส่งให้บุคลากรทางการแพทย์มีใช้อย่างเพียงพอ โดยตั้งแต่วันที่ 2 -15 เมษายน 2563 ได้จัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ดังนี้หน้ากากอนามัยSurgical Maskที่จัดซื้อและให้บริษัทไปรษณีย์ไทยเป็นผู้กระจายไปแล้วประมาณ 21.4 ล้านชิ้นหน้ากากอนามัยN95จัดสรรให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ไปแล้วและคงสํารองอยู่ที่โรงพยาบาลต่าง ๆประมาณ 2.28 แสนชิ้น รอจัดสรรและสํารองกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนที่ อภ.ประมาณ 8.7 หมื่นชิ้น ชุดPPE (Coverall/Surgical Gown)พร้อมอุปกรณ์จําเป็นครบชุด จัดสรรให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ไปแล้วและคงสํารองอยู่ที่โรงพยาบาลต่าง ๆ ประมาณ 2.46 แสนชิ้น รอจัดสรรและสํารองกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนที่อภ.ประมาณ 1.1 หมื่นชุดและยาฟาวิพิราเวียร์จัดซื้อมาแล้วทั้งสิ้น 1.87 แสนเม็ด ได้ให้บุคลากรทางการแพทย์นําไปใช้แล้ว 5.45 หมื่นเม็ด และคงสํารองอยู่ที่โรงพยาบาลต่าง ๆ ประมาณ 3.06 หมื่นเม็ด รอจัดสรรและสํารองกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนที่อภ.ประมาณ 1.01 แสนเม็ด ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ได้จัดซื้อจากแหล่งผลิตทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่สามารถจัดหาให้ได้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ และขณะนี้ได้ปรับแนวทางการสั่งซื้อโดยขอให้สถานทูตจีนเป็นผู้ประสานเจรจาในการจัดหา เพื่อสร้างความมั่นใจทั้งในเรื่องคุณภาพ ราคา และความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม อภ.เปิดกว้างให้ผู้ผลิต/ ตัวแทนจําหน่าย (Supplier)หน้ากากอนามัย N95 /ชุด PPE ทั้งในและต่างประเทศ ที่มีศักยภาพและผลิตภัณฑ์ผ่านการรับรองคุณภาพจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เข้ารับการคัดเลือกขึ้นทะเบียนเป็นผู้ผลิตและจําหน่าย ของ อภ.(GPO- COVID -19 Approved Vendor List) ซึ่งจะทําให้มีแหล่งในการจัดหาและสํารองเวชภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ช่วยลดความผันผวนของตลาด ให้การจัดหาเป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ส่วนการตัดเย็บผลิตชุด PPE แบบซักใช้ซ้ําได้หรือชุดเสื้อคลุมแขนยาวกันน้ําชนิดใช้ซ้ําได้ (Reusable Isolation Gown) ใช้เองภายในประเทศจํานวน 40,000 ชุด นั้น ล่าสุด (วันที่ 17 เมษายน 63 ) ได้ประชุมร่วมกับสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และสหพันธ์อุตสาหกรรมสิ่งทอแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยผู้แทนจาก 12 บริษัทที่ผ่านเกณฑ์จาก อย. ทําความเข้าใจเรื่องคุณภาพการตัดเย็บ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพการซักซ้ํา และจะทดสอบอีกครั้งหลังตัดเย็บเรียบร้อยแล้ว หากผ่านการทดสอบแล้ว จะตัดเย็บเพื่อส่งมอบต่อไป ซึ่งคาดว่าจะทําให้มี ชุดPPE แบบ Isolation Gown ทดแทนได้ถึง 800,000 ชุด และจะทยอยตัดเย็บให้เพียงพอใช้ในประเทศ ทั้งนี้ ผู้ผลิตและตัวแทนจําหน่าย อุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่สนใจร่วมงานกับอภ. รวมทั้งหน่วยงานหรือประชาชนที่ต้องการทราบรายละเอียดผลการดําเนินงาน สถานะการรับและจัดส่งทรัพยากรและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ อภ. ดูแลรับผิดชอบ ได้ที่เว็บไซต์www.gpo.or.th **************************** 18 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อภ.เร่งจัดหาหน้ากาก N95 และชุด PPE ต่อเนื่อง ชนิดละประมาณ 5 ล้านชิ้น วันเสาร์ที่ 18 เมษายน 2563 อภ.เร่งจัดหาหน้ากาก N95 และชุด PPE ต่อเนื่อง ชนิดละประมาณ 5 ล้านชิ้น อภ. จัดหาหน้ากาก N95 และชุด PPE ต่อเนื่อง ชนิดละประมาณ 5 ล้านชิ้น เพื่อสํารองและจัดส่งให้บุคลากรทางการแพทย์มีใช้อย่างเพียงพอ พร้อมเชิญชวนผู้ผลิตและตัวแทนจําหน่าย ร่วมเสนอผลิตภัณฑ์ สร้างความมั่นใจต่อบุคลากรทางการแพทย์ ลดความผันผวนของตลาดอุปกรณ์และเวชภั อภ. จัดหาหน้ากาก N95 และชุด PPE ต่อเนื่อง ชนิดละประมาณ 5 ล้านชิ้น เพื่อสํารองและจัดส่งให้บุคลากรทางการแพทย์มีใช้อย่างเพียงพอ พร้อมเชิญชวนผู้ผลิตและตัวแทนจําหน่าย ร่วมเสนอผลิตภัณฑ์ สร้างความมั่นใจต่อบุคลากรทางการแพทย์ ลดความผันผวนของตลาดอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดเผยว่า ช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม อภ. มีเป้าหมายจัดซื้อเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ป้องกันโรค COVID-19 ประกอบด้วย หน้ากากอนามัย N95 และชุดป้องกันตนเอง PPE เกรดทางการแพทย์ ชนิดละประมาณ 6.67 แสนชิ้น พร้อมจัดหาอย่างต่อเนื่องชนิดละประมาณ 5 ล้านชิ้น เพื่อสํารองและจัดส่งให้บุคลากรทางการแพทย์มีใช้อย่างเพียงพอ โดยตั้งแต่วันที่ 2 -15 เมษายน 2563 ได้จัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ดังนี้หน้ากากอนามัยSurgical Maskที่จัดซื้อและให้บริษัทไปรษณีย์ไทยเป็นผู้กระจายไปแล้วประมาณ 21.4 ล้านชิ้นหน้ากากอนามัยN95จัดสรรให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ไปแล้วและคงสํารองอยู่ที่โรงพยาบาลต่าง ๆประมาณ 2.28 แสนชิ้น รอจัดสรรและสํารองกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนที่ อภ.ประมาณ 8.7 หมื่นชิ้น ชุดPPE (Coverall/Surgical Gown)พร้อมอุปกรณ์จําเป็นครบชุด จัดสรรให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ไปแล้วและคงสํารองอยู่ที่โรงพยาบาลต่าง ๆ ประมาณ 2.46 แสนชิ้น รอจัดสรรและสํารองกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนที่อภ.ประมาณ 1.1 หมื่นชุดและยาฟาวิพิราเวียร์จัดซื้อมาแล้วทั้งสิ้น 1.87 แสนเม็ด ได้ให้บุคลากรทางการแพทย์นําไปใช้แล้ว 5.45 หมื่นเม็ด และคงสํารองอยู่ที่โรงพยาบาลต่าง ๆ ประมาณ 3.06 หมื่นเม็ด รอจัดสรรและสํารองกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนที่อภ.ประมาณ 1.01 แสนเม็ด ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ได้จัดซื้อจากแหล่งผลิตทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นแหล่งผลิตใหญ่ที่สามารถจัดหาให้ได้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ และขณะนี้ได้ปรับแนวทางการสั่งซื้อโดยขอให้สถานทูตจีนเป็นผู้ประสานเจรจาในการจัดหา เพื่อสร้างความมั่นใจทั้งในเรื่องคุณภาพ ราคา และความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม อภ.เปิดกว้างให้ผู้ผลิต/ ตัวแทนจําหน่าย (Supplier)หน้ากากอนามัย N95 /ชุด PPE ทั้งในและต่างประเทศ ที่มีศักยภาพและผลิตภัณฑ์ผ่านการรับรองคุณภาพจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เข้ารับการคัดเลือกขึ้นทะเบียนเป็นผู้ผลิตและจําหน่าย ของ อภ.(GPO- COVID -19 Approved Vendor List) ซึ่งจะทําให้มีแหล่งในการจัดหาและสํารองเวชภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ช่วยลดความผันผวนของตลาด ให้การจัดหาเป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ส่วนการตัดเย็บผลิตชุด PPE แบบซักใช้ซ้ําได้หรือชุดเสื้อคลุมแขนยาวกันน้ําชนิดใช้ซ้ําได้ (Reusable Isolation Gown) ใช้เองภายในประเทศจํานวน 40,000 ชุด นั้น ล่าสุด (วันที่ 17 เมษายน 63 ) ได้ประชุมร่วมกับสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และสหพันธ์อุตสาหกรรมสิ่งทอแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยผู้แทนจาก 12 บริษัทที่ผ่านเกณฑ์จาก อย. ทําความเข้าใจเรื่องคุณภาพการตัดเย็บ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพการซักซ้ํา และจะทดสอบอีกครั้งหลังตัดเย็บเรียบร้อยแล้ว หากผ่านการทดสอบแล้ว จะตัดเย็บเพื่อส่งมอบต่อไป ซึ่งคาดว่าจะทําให้มี ชุดPPE แบบ Isolation Gown ทดแทนได้ถึง 800,000 ชุด และจะทยอยตัดเย็บให้เพียงพอใช้ในประเทศ ทั้งนี้ ผู้ผลิตและตัวแทนจําหน่าย อุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่สนใจร่วมงานกับอภ. รวมทั้งหน่วยงานหรือประชาชนที่ต้องการทราบรายละเอียดผลการดําเนินงาน สถานะการรับและจัดส่งทรัพยากรและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ อภ. ดูแลรับผิดชอบ ได้ที่เว็บไซต์www.gpo.or.th **************************** 18 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29319
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.ยุติธรรม-แรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ให้กำลังใจผู้ต้องขังฝึกอาชีพในสถานประกอบการ ส่งเสริมการมีงานทำหลังพ้นโทษ
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 รมว.ยุติธรรม-แรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ให้กําลังใจผู้ต้องขังฝึกอาชีพในสถานประกอบการ ส่งเสริมการมีงานทําหลังพ้นโทษ รมว.ยุติธรรม-แรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ให้กําลังใจผู้ต้องขังฝึกอาชีพในสถานประกอบการ ส่งเสริมการมีงานทําหลังพ้นโทษ ในวันศุกร์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ บริษัท เกรทวอลล (๑๙๘๘) จํากัด จังหวัดปทุมธานี พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรรม และกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ต้องขังชั้นดีที่ออกมาฝึกทักษะอาชีพในสถานประกอบการ โดยมี ดร.พินิจ บุญเลิศ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และผู้บริหาร บริษัท เกรทวอลล (๑๙๘๘) จํากัด ให้การต้อนรับ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ เป็นการติดตามและขับเคลื่อนการส่งเสริมการมีงานทําหลังจากที่ได้มีการจัดทําบันทึกข้อตกลง ว่าด้วยการประสานความร่วมมือ ภายใต้ “โครงการประชารัฐ ร่วมสร้างงาน สร้างอาชีพผู้ต้องขัง” เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ ทัณฑสถานบําบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างกรมราชทัณฑ์ กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้ต้องขัง ตลอดจนเป็นการเตรียมความพร้อมด้านทักษะฝีมือแรงงาน รวมถึงสร้างรายได้ ให้เป็นทุนนําไปประกอบอาชีพภายหลังการพ้นโทษ และไม่หวนกลับไปกระทําผิดซ้ําอีก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- รมว.ยุติธรรม-แรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ให้กำลังใจผู้ต้องขังฝึกอาชีพในสถานประกอบการ ส่งเสริมการมีงานทำหลังพ้นโทษ วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 รมว.ยุติธรรม-แรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ให้กําลังใจผู้ต้องขังฝึกอาชีพในสถานประกอบการ ส่งเสริมการมีงานทําหลังพ้นโทษ รมว.ยุติธรรม-แรงงาน ลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ให้กําลังใจผู้ต้องขังฝึกอาชีพในสถานประกอบการ ส่งเสริมการมีงานทําหลังพ้นโทษ ในวันศุกร์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ บริษัท เกรทวอลล (๑๙๘๘) จํากัด จังหวัดปทุมธานี พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรรม และกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ต้องขังชั้นดีที่ออกมาฝึกทักษะอาชีพในสถานประกอบการ โดยมี ดร.พินิจ บุญเลิศ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และผู้บริหาร บริษัท เกรทวอลล (๑๙๘๘) จํากัด ให้การต้อนรับ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ เป็นการติดตามและขับเคลื่อนการส่งเสริมการมีงานทําหลังจากที่ได้มีการจัดทําบันทึกข้อตกลง ว่าด้วยการประสานความร่วมมือ ภายใต้ “โครงการประชารัฐ ร่วมสร้างงาน สร้างอาชีพผู้ต้องขัง” เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ ทัณฑสถานบําบัดพิเศษจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างกรมราชทัณฑ์ กรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ผู้ต้องขัง ตลอดจนเป็นการเตรียมความพร้อมด้านทักษะฝีมือแรงงาน รวมถึงสร้างรายได้ ให้เป็นทุนนําไปประกอบอาชีพภายหลังการพ้นโทษ และไม่หวนกลับไปกระทําผิดซ้ําอีก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13087
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายการตลาดนำการผลิตในภาคการเกษตร
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561 นโยบายการตลาดนําการผลิตในภาคการเกษตร เป็นแนวคิดด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรแบบใหม่ เพื่อให้ปริมาณการผลิตและความต้องการสินค้าเกษตรเกิดความสมดุลกัน โดยสนับสนุนให้เกษตรกรเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน สหกรณ์การเกษตร และผู้ค้า นโยบายการตลาดนําการผลิตในภาคการเกษตร ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลใช้นโยบายการตลาดนําการผลิตในภาคการเกษตร ซึ่งเป็นแนวคิดด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรแบบใหม่ เพื่อให้ปริมาณการผลิตและความต้องการสินค้าเกษตรเกิดความสมดุลกัน โดยสนับสนุนให้เกษตรกรเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน สหกรณ์การเกษตร และผู้ค้า ซึ่งดําเนินงานคืบหน้าแล้วหลายโครงการ เช่น การส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ พื้นที่ 3.72 ล้านไร่ สร้างมูลค่าผลผลิตรวม 6,075 ล้านบาท การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ปลูกข้าวอินทรีย์ 120,000 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมกว่า 36,000 ราย ช่วยให้ต้นทุนลดลงและขายข้าวได้ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป ตันละ 2,000 - 8,000 บาท รวมทั้งยังเพิ่มช่องทางการจัดจําหน่ายสินค้าเกษตรใน 38 จังหวัด สร้างมูลค่ารวมกว่า 400 ล้านบาท เป็นต้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายการตลาดนำการผลิตในภาคการเกษตร วันจันทร์ที่ 30 เมษายน 2561 นโยบายการตลาดนําการผลิตในภาคการเกษตร เป็นแนวคิดด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรแบบใหม่ เพื่อให้ปริมาณการผลิตและความต้องการสินค้าเกษตรเกิดความสมดุลกัน โดยสนับสนุนให้เกษตรกรเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน สหกรณ์การเกษตร และผู้ค้า นโยบายการตลาดนําการผลิตในภาคการเกษตร ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลใช้นโยบายการตลาดนําการผลิตในภาคการเกษตร ซึ่งเป็นแนวคิดด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรแบบใหม่ เพื่อให้ปริมาณการผลิตและความต้องการสินค้าเกษตรเกิดความสมดุลกัน โดยสนับสนุนให้เกษตรกรเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน สหกรณ์การเกษตร และผู้ค้า ซึ่งดําเนินงานคืบหน้าแล้วหลายโครงการ เช่น การส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ พื้นที่ 3.72 ล้านไร่ สร้างมูลค่าผลผลิตรวม 6,075 ล้านบาท การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ปลูกข้าวอินทรีย์ 120,000 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมกว่า 36,000 ราย ช่วยให้ต้นทุนลดลงและขายข้าวได้ราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป ตันละ 2,000 - 8,000 บาท รวมทั้งยังเพิ่มช่องทางการจัดจําหน่ายสินค้าเกษตรใน 38 จังหวัด สร้างมูลค่ารวมกว่า 400 ล้านบาท เป็นต้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11843
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ยืนยันการจ่ายเงินเยียวยารอบเดียว 3,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบาง 20 ก.ค. นี้
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563 พม. ยืนยันการจ่ายเงินเยียวยารอบเดียว 3,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบาง 20 ก.ค. นี้ พม. ยืนยันการจ่ายเงินเยียวยารอบเดียว 3,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบาง 20 ก.ค. นี้ วันนี้ (20 ก.ค. 63) เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กทม.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยว่า กรณีการจ่ายเงินเยียวยา 3,000 บาท สําหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019หรือโควิด-19 ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดําเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยการจ่ายเงินเยียวยาโดยตรงรายละ 1,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเติมจากเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เบี้ยความพิการ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 รวมเป็นเงิน 3,000 บาท มีจํานวนทั้งหมด 6,781,881 ราย ประกอบด้วย 1. เด็กที่ได้รับสิทธิโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จํานวน 1,394,756 ราย 2. ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จํานวน 4,056,596 ราย และ 3. คนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ จํานวน 1,330,529 ราย นายจุติกล่าวต่อไปว่า ในวันนี้ กรมบัญชีกลาง ได้จ่ายเงินเยียวยา 3,000 บาท สําหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019หรือโควิด-19 เข้าบัญชีของผู้มีสิทธิทั้งสามกลุ่มแล้ว โดยกลุ่มเปราะบางทั้งสามกลุ่ม ที่มีสิทธิรับเงินเยียวยา 3,000 บาท ต้องมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1. เป็นผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิการช่วยเหลือเยียวยาจากมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงแรงงาน (สํานักงานประกันสังคม) 2. เป็นกลุ่มที่อยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวง พม. ซึ่งได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องมีการลงทะเบียนในการขอรับสิทธิ์อีก โดยหากท่านได้รับเงินอุดหนุนในเดือนพฤษภาคม 2563 จากช่องทางการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือในรูปแบบเงินสดถือว่าท่านมีสิทธิ์ตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวง พม. และ 3) ต้องเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งนี้ สําหรับผู้ที่จะได้รับเงินเยียวยาในรูปแบบเงินสดนั้น ทางกรมบัญชีกลางได้โอนเงินเข้าไปยังบัญชีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แล้ว ซึ่งหลังจากนี้ อปท. จะรีบดําเนินจ่ายเงินแก่กลุ่มเป้าหมายที่รับเงินอุดหนุนรายเดือนเป็นเงินสดอยู่เดิมโดยเร็วที่สุด ไม่เกิน 15 วันทําการ ในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ์หรือมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด หรือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ยืนยันการจ่ายเงินเยียวยารอบเดียว 3,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบาง 20 ก.ค. นี้ วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563 พม. ยืนยันการจ่ายเงินเยียวยารอบเดียว 3,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบาง 20 ก.ค. นี้ พม. ยืนยันการจ่ายเงินเยียวยารอบเดียว 3,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบาง 20 ก.ค. นี้ วันนี้ (20 ก.ค. 63) เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กทม.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยว่า กรณีการจ่ายเงินเยียวยา 3,000 บาท สําหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019หรือโควิด-19 ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดําเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยการจ่ายเงินเยียวยาโดยตรงรายละ 1,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเติมจากเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เบี้ยความพิการ และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 รวมเป็นเงิน 3,000 บาท มีจํานวนทั้งหมด 6,781,881 ราย ประกอบด้วย 1. เด็กที่ได้รับสิทธิโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จํานวน 1,394,756 ราย 2. ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จํานวน 4,056,596 ราย และ 3. คนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ จํานวน 1,330,529 ราย นายจุติกล่าวต่อไปว่า ในวันนี้ กรมบัญชีกลาง ได้จ่ายเงินเยียวยา 3,000 บาท สําหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019หรือโควิด-19 เข้าบัญชีของผู้มีสิทธิทั้งสามกลุ่มแล้ว โดยกลุ่มเปราะบางทั้งสามกลุ่ม ที่มีสิทธิรับเงินเยียวยา 3,000 บาท ต้องมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ 1. เป็นผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิการช่วยเหลือเยียวยาจากมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงแรงงาน (สํานักงานประกันสังคม) 2. เป็นกลุ่มที่อยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวง พม. ซึ่งได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนอยู่แล้ว จึงไม่ต้องมีการลงทะเบียนในการขอรับสิทธิ์อีก โดยหากท่านได้รับเงินอุดหนุนในเดือนพฤษภาคม 2563 จากช่องทางการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือในรูปแบบเงินสดถือว่าท่านมีสิทธิ์ตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของกระทรวง พม. และ 3) ต้องเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งนี้ สําหรับผู้ที่จะได้รับเงินเยียวยาในรูปแบบเงินสดนั้น ทางกรมบัญชีกลางได้โอนเงินเข้าไปยังบัญชีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แล้ว ซึ่งหลังจากนี้ อปท. จะรีบดําเนินจ่ายเงินแก่กลุ่มเป้าหมายที่รับเงินอุดหนุนรายเดือนเป็นเงินสดอยู่เดิมโดยเร็วที่สุด ไม่เกิน 15 วันทําการ ในกรณีที่ไม่ได้รับสิทธิ์หรือมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด หรือ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33529
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 2/2560
วันพุธที่ 5 เมษายน 2560 รอง นรม.วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 2/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ. .... และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการกําหนดขั้นตอนกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ. ..... วันนี้ (5 เม.ย. 60) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 2/2560 ซึ่งมีสาระสําคัญสรุป ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ. .... และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการกําหนดขั้นตอนกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ. ..... โดยร่างแผนดังกล่าวประกอบด้วย ยุทธศาสตร์สําคัญ 7 ประการ ได้แก่ (1) ยุทธศาสตร์การถ่ายโอนภารกิจเพื่อส่งเสริมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระและเป็นหน่วยงานหลักในการจัดบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ (2) ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงินการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อกระจายอํานาจทางการเงินให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยเน้นการพัฒนาแหล่งรายได้แก่ อปท. (3) ยุทธศาสตร์การถ่ายโอนบุคลากรจากภาครัฐให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและการพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อรองรับการกระจายอํานาจ ทั้งยึดแนวทาง “งานไป เงินไปและตําแหน่งไป” (4) ยุทธศาสตร์การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันเอง หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน (5) ยุทธศาสตร์เสริมสร้างและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน ท้องถิ่น และภาคประชาสังคม (6) ยุทธศาสตร์ระบบการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อติดตามและประเมินผลการถ่ายโอนภารกิจ งบประมาณและการจัดบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและเป็นประโยชน์กับประชาชนในท้องถิ่น และ (7) ยุทธศาสตร์การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ โดยจะมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มบทบาทหน้าที่และอํานาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนตําบลคันธาราษฎร์ คืนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 213 ช่วงระหว่างกิโลเมตร 14-020 ถึงกิโลเมตร 5+535 ระยะทาง 1.515 กิโลเมตร คืนให้แก่กรมทางหลวง เป็นกรณีพิเศษ เพื่อประโยชน์ในการสัญจรของประชาชน และลดปัญหาอุบัติเหตุจากการจราจร เนื่องจากสภาพถนนเดิมขณะถ่ายโอนฯ เป็นถนนสายรอง แต่ปัจจุบันสถานการณ์และข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปเป็นถนนสายหลักที่เชื่อมระหว่างจังหวัดมหาสารคาม กาฬสินธุ์ และภูมิภาคใกล้เคียง ******************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 2/2560 วันพุธที่ 5 เมษายน 2560 รอง นรม.วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 2/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ. .... และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการกําหนดขั้นตอนกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ. ..... วันนี้ (5 เม.ย. 60) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 2/2560 ซึ่งมีสาระสําคัญสรุป ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ. .... และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการกําหนดขั้นตอนกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ. ..... โดยร่างแผนดังกล่าวประกอบด้วย ยุทธศาสตร์สําคัญ 7 ประการ ได้แก่ (1) ยุทธศาสตร์การถ่ายโอนภารกิจเพื่อส่งเสริมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระและเป็นหน่วยงานหลักในการจัดบริการสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ (2) ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงินการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อกระจายอํานาจทางการเงินให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยเน้นการพัฒนาแหล่งรายได้แก่ อปท. (3) ยุทธศาสตร์การถ่ายโอนบุคลากรจากภาครัฐให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและการพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อรองรับการกระจายอํานาจ ทั้งยึดแนวทาง “งานไป เงินไปและตําแหน่งไป” (4) ยุทธศาสตร์การส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันเอง หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน (5) ยุทธศาสตร์เสริมสร้างและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน ท้องถิ่น และภาคประชาสังคม (6) ยุทธศาสตร์ระบบการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อติดตามและประเมินผลการถ่ายโอนภารกิจ งบประมาณและการจัดบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและเป็นประโยชน์กับประชาชนในท้องถิ่น และ (7) ยุทธศาสตร์การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ โดยจะมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มบทบาทหน้าที่และอํานาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถจัดบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบให้องค์กรปกครองส่วนตําบลคันธาราษฎร์ คืนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 213 ช่วงระหว่างกิโลเมตร 14-020 ถึงกิโลเมตร 5+535 ระยะทาง 1.515 กิโลเมตร คืนให้แก่กรมทางหลวง เป็นกรณีพิเศษ เพื่อประโยชน์ในการสัญจรของประชาชน และลดปัญหาอุบัติเหตุจากการจราจร เนื่องจากสภาพถนนเดิมขณะถ่ายโอนฯ เป็นถนนสายรอง แต่ปัจจุบันสถานการณ์และข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปเป็นถนนสายหลักที่เชื่อมระหว่างจังหวัดมหาสารคาม กาฬสินธุ์ และภูมิภาคใกล้เคียง ******************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2897
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” เปิดงานโครงการประชารัฐ 4 สร้าง “สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้”
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561 “พาณิชย์” เปิดงานโครงการประชารัฐ 4 สร้าง “สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้” ยันเดินหน้าให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ผู้ผลิตชุมชน สร้างองค์ความรู้ สนับสนุนแหล่งเงินทุนและหาตลาดทั้งในและต่างประเทศ ช่วยคนตัวเล็กค้าขาย ลดค่าครองชีพผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระบุกําลังขยายไปสู่การใช้แอพฯ มือถือ เปิดโอกาสร้านค้ารายย่อยเข้าร่วมโครงการ พร้อมจัดงานธงฟ้าจําหน่ายสินค้าราคาถูกลดค่าครองชีพ นายวิเชียร ชวลิต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการเป็นประธานเปิดงาน โครงการประชารัฐ โดยการขับเคลื่อนไทยนิยม ยั่งยืน “สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้” เพื่อจังหวัดพัทลุง ปัตตานี และนราธิวาส เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องประชุมโนรา โรงพยาบาลพัทลุง อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะการดูแลผู้มีรายได้น้อยและการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งได้ดําเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินการตามนโยบายรัฐบาล และได้เดินหน้าในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก มีเป้าหมายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ผู้บริโภค เกษตรกร และผู้ประกอบการชุมชนให้มีความกินดี อยู่ดี เพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มคุณภาพชีวิต จึงเป็นที่มาของการจัดโครงการในครั้งนี้ โดยได้มุ่งเน้นการจัดงานช่วยเหลือใน 10 จังหวัดที่มีรายได้น้อยที่สุดของประเทศ และครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ต่อจากจังหวัดอํานาจเจริญและบุรีรัมย์ นายวิเชียรฯ กล่าวด้วยว่า การจัดงานที่จังหวัดพัทลุง กระทรวงพาณิชย์ได้นําอาชีพแบบง่ายๆ และมีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก อาทิ การทําก๋วยเตี๋ยว และกล้วยแขกขั้นเทพ โดยมุ่งไปสู่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และประชาชนผู้สนใจที่ต้องการมีอาชีพเสริม จํานวน 200 คน รวมทั้งจัดอบรมเบื้องต้นการส่งออกและขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านให้แก่ผู้ประกอบการจังหวัดพัทลุง ปัตตานี และนราธิวาส จํานวน 100 คน ทั้งนี้การอบรมในครั้งนี้จะทําให้ประชาชนและผู้ประกอบการมีอาชีพเพิ่มมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ภายในงานโครงการประชารัฐ 4 สร้าง มีประชาชนให้ความสนใจมาสอบถามเกี่ยวกับ การจดลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้า การเริ่มต้นธุรกิจ การหาตลาดและคู่ค้า มาตรการความช่วยเหลือจากธนาคารของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธนาคาร SME) โดยเฉพาะการนําเสนอวงเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยปลอดดอกเบี้ยในปีแรก หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ได้นํากลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพและการประกอบธุรกิจเบื้องต้นมาจัดแสดงเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและประชาชนที่มีความประสงค์ในการเพิ่มศักยภาพเพื่อสร้างรายได้ อาทิ น้ําพริกกะลา ผลิตภัณฑ์เสริมความงามจากขมิ้นชัน รวมทั้งยังมีการนําสินค้าชุมชนจากจังหวัดพัทลุง ปัตตานี นราธิวาส อาทิ ผลิตภัณฑ์ข้าวไรซ์เบอรี่ ชาชัก ผลิตภัณฑ์น้ํามันจากถั่วดาวอินคา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ได้ให้บริการคําปรึกษาทางธุรกิจ และได้ส่งเสริมอาชีพจากสมุนไพร ในส่วนของ ธกส. ได้นํามาตรการส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนมาให้คําแนะนํา เพื่อพัฒนาไปสู่การท่องเที่ยวนวัตวิถี ดึงภูมิปัญญาและวิถีชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ท้องถิ่นในจังหวัดพัทลุง นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมจับคู่ธุรกิจกับห้างโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ ได้แก่ เซ็นทรัล บิ๊กซี และแม็คโคร กับผู้ประกอบการรายย่อยจาก 4 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง ตรัง ปัตตานี และนราธิวาส โดยสินค้าที่ผู้ประกอบการนํามาจับคู่ธุรกิจ เช่น ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสุกร หมอนยางพารา กาแฟข้าวสังข์หยด ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกล้วย ขนมปั้นขลิบ เครื่องแกง ลูกหยี ส้มแขกแปรรูป อาหารทะเลแห้งและแปรรูป ข้าวเกรียบ เค้กมะพร้าว ขนมเปี๊ยะ ขณะดียวกัน เพื่อเป็นการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนชาวจังหวัดพัทลุง และจังหวัดใกล้เคียง กระทรวงฯ ได้จัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ ระหว่างวันที่ 6-9 กรกฎาคม 2561 โดยนําสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นต่อการดํารงชีพมาจําหน่ายในราคาพิเศษ ถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป “กระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่า โครงการประชารัฐ 4 สร้าง คือ สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้ เพื่อจังหวัดพัทลุง นราธิวาส และปัตตานี ที่นํามาจัดระหว่างวันที่ 6-9 กรกฎาคมนี้ จะสร้างความเข้าใจและตื่นตัวให้พี่น้องประชาชนมาเยี่ยมชมงาน เกี่ยวกับมาตรการและการส่งเสริมของรัฐบาลในการมีอาชีพเสริม หรือทางเลือกในการประกอบธุรกิจใหม่ๆ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง ซึ่งจะส่งผลให้พี่น้องประชาชนมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดกระบวนความคิดในมิติใหม่ในการพัฒนาและพึ่งพาตนเอง สร้างงาน สร้างอาชีพ ตลอดจนส่งเสริมรวมทั้งเกิดการรวมตัวของประชาชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในท้องถิ่นของตน สร้างรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายวิเชียรกล่าวทิ้งท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” เปิดงานโครงการประชารัฐ 4 สร้าง “สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้” วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561 “พาณิชย์” เปิดงานโครงการประชารัฐ 4 สร้าง “สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้” ยันเดินหน้าให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ผู้ผลิตชุมชน สร้างองค์ความรู้ สนับสนุนแหล่งเงินทุนและหาตลาดทั้งในและต่างประเทศ ช่วยคนตัวเล็กค้าขาย ลดค่าครองชีพผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระบุกําลังขยายไปสู่การใช้แอพฯ มือถือ เปิดโอกาสร้านค้ารายย่อยเข้าร่วมโครงการ พร้อมจัดงานธงฟ้าจําหน่ายสินค้าราคาถูกลดค่าครองชีพ นายวิเชียร ชวลิต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการเป็นประธานเปิดงาน โครงการประชารัฐ โดยการขับเคลื่อนไทยนิยม ยั่งยืน “สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้” เพื่อจังหวัดพัทลุง ปัตตานี และนราธิวาส เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องประชุมโนรา โรงพยาบาลพัทลุง อําเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง ว่า รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะการดูแลผู้มีรายได้น้อยและการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งได้ดําเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้ดําเนินการตามนโยบายรัฐบาล และได้เดินหน้าในการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก มีเป้าหมายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ผู้บริโภค เกษตรกร และผู้ประกอบการชุมชนให้มีความกินดี อยู่ดี เพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มคุณภาพชีวิต จึงเป็นที่มาของการจัดโครงการในครั้งนี้ โดยได้มุ่งเน้นการจัดงานช่วยเหลือใน 10 จังหวัดที่มีรายได้น้อยที่สุดของประเทศ และครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ต่อจากจังหวัดอํานาจเจริญและบุรีรัมย์ นายวิเชียรฯ กล่าวด้วยว่า การจัดงานที่จังหวัดพัทลุง กระทรวงพาณิชย์ได้นําอาชีพแบบง่ายๆ และมีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก อาทิ การทําก๋วยเตี๋ยว และกล้วยแขกขั้นเทพ โดยมุ่งไปสู่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และประชาชนผู้สนใจที่ต้องการมีอาชีพเสริม จํานวน 200 คน รวมทั้งจัดอบรมเบื้องต้นการส่งออกและขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านให้แก่ผู้ประกอบการจังหวัดพัทลุง ปัตตานี และนราธิวาส จํานวน 100 คน ทั้งนี้การอบรมในครั้งนี้จะทําให้ประชาชนและผู้ประกอบการมีอาชีพเพิ่มมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ภายในงานโครงการประชารัฐ 4 สร้าง มีประชาชนให้ความสนใจมาสอบถามเกี่ยวกับ การจดลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้า การเริ่มต้นธุรกิจ การหาตลาดและคู่ค้า มาตรการความช่วยเหลือจากธนาคารของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธนาคาร SME) โดยเฉพาะการนําเสนอวงเงินช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยปลอดดอกเบี้ยในปีแรก หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ได้นํากลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพและการประกอบธุรกิจเบื้องต้นมาจัดแสดงเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและประชาชนที่มีความประสงค์ในการเพิ่มศักยภาพเพื่อสร้างรายได้ อาทิ น้ําพริกกะลา ผลิตภัณฑ์เสริมความงามจากขมิ้นชัน รวมทั้งยังมีการนําสินค้าชุมชนจากจังหวัดพัทลุง ปัตตานี นราธิวาส อาทิ ผลิตภัณฑ์ข้าวไรซ์เบอรี่ ชาชัก ผลิตภัณฑ์น้ํามันจากถั่วดาวอินคา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ได้ให้บริการคําปรึกษาทางธุรกิจ และได้ส่งเสริมอาชีพจากสมุนไพร ในส่วนของ ธกส. ได้นํามาตรการส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนมาให้คําแนะนํา เพื่อพัฒนาไปสู่การท่องเที่ยวนวัตวิถี ดึงภูมิปัญญาและวิถีชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ท้องถิ่นในจังหวัดพัทลุง นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมจับคู่ธุรกิจกับห้างโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ ได้แก่ เซ็นทรัล บิ๊กซี และแม็คโคร กับผู้ประกอบการรายย่อยจาก 4 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง ตรัง ปัตตานี และนราธิวาส โดยสินค้าที่ผู้ประกอบการนํามาจับคู่ธุรกิจ เช่น ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าว ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสุกร หมอนยางพารา กาแฟข้าวสังข์หยด ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกล้วย ขนมปั้นขลิบ เครื่องแกง ลูกหยี ส้มแขกแปรรูป อาหารทะเลแห้งและแปรรูป ข้าวเกรียบ เค้กมะพร้าว ขนมเปี๊ยะ ขณะดียวกัน เพื่อเป็นการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนชาวจังหวัดพัทลุง และจังหวัดใกล้เคียง กระทรวงฯ ได้จัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ ระหว่างวันที่ 6-9 กรกฎาคม 2561 โดยนําสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็นต่อการดํารงชีพมาจําหน่ายในราคาพิเศษ ถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป “กระทรวงพาณิชย์มั่นใจว่า โครงการประชารัฐ 4 สร้าง คือ สร้างงาน สร้างตลาด สร้างโอกาส สร้างรายได้ เพื่อจังหวัดพัทลุง นราธิวาส และปัตตานี ที่นํามาจัดระหว่างวันที่ 6-9 กรกฎาคมนี้ จะสร้างความเข้าใจและตื่นตัวให้พี่น้องประชาชนมาเยี่ยมชมงาน เกี่ยวกับมาตรการและการส่งเสริมของรัฐบาลในการมีอาชีพเสริม หรือทางเลือกในการประกอบธุรกิจใหม่ๆ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง ซึ่งจะส่งผลให้พี่น้องประชาชนมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดกระบวนความคิดในมิติใหม่ในการพัฒนาและพึ่งพาตนเอง สร้างงาน สร้างอาชีพ ตลอดจนส่งเสริมรวมทั้งเกิดการรวมตัวของประชาชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในท้องถิ่นของตน สร้างรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายวิเชียรกล่าวทิ้งท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13691
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK สนับสนุนกลุ่มบริษัท โพลีเพล็กซ์ สร้างโรงงานผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกแห่งใหม่ในอินโดนีเซีย
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 EXIM BANK สนับสนุนกลุ่มบริษัท โพลีเพล็กซ์ สร้างโรงงานผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกแห่งใหม่ในอินโดนีเซีย EXIM BANK ร่วมลงนามกับกลุ่มบริษัท โพลีเพล็กซ์ ในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จํานวน 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ พีที. โพลีเพล็กซ์ ฟิล์ม อินโดนีเซีย นําไปใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกในอินโดนีเซีย นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมลงนามกับนายปราเนย์ โกธารี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โพลีเพล็กซ์ ในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จํานวน 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ พีที. โพลีเพล็กซ์ ฟิล์ม อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท โพลีเพล็กซ์ ผู้ผลิตและส่งออกแผ่นฟิล์มพลาสติกรายใหญ่ของไทย นําไปใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกในอินโดนีเซีย เพื่อเพิ่มกําลังการผลิตอีก 44,000 ตันต่อปี รองรับความต้องการซื้อที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และรองรับการส่งออกไปยังต่างประเทศ อาทิ เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ณ EXIM BANK สํานักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 การสนับสนุนทางการเงินให้กลุ่มบริษัท โพลีเพล็กซ์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกพลาสติกฟิล์มรายใหญ่ของไทยสําหรับใช้เป็นบรรจุภัณฑ์อาหาร วัสดุห่อหุ้มทางไฟฟ้า และการใช้งานอื่นๆ ในเชิงอุตสาหกรรม ก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 6 ของกลุ่มบริษัทในอินโดนีเซีย (ปัจจุบันมีโรงงานอยู่ที่อินเดีย สหรัฐฯ ตุรกี และไทย จํานวนรวม 5 แห่ง กําลังการผลิตรวม 214,800 ตันต่อปี) ในครั้งนี้ เป็นไปโดยสอดคล้องกับภารกิจของธนาคารที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้มากขึ้นในโลกการค้ายุคใหม่ที่ใช้การลงทุนนําการค้า (Investment-induced trade) EXIM BANK จึงพร้อมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายการลงทุนเข้าไปสร้างฐานการผลิตในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเพื่อเจาะตลาดและสร้างช่องทางการค้าที่หลากหลายยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพมีโอกาสเติบโตไปสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติตามแนวทางของประเทศพัฒนาแล้ว สร้างรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศของไทยและเป็นต้นแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตและธุรกิจการค้าการลงทุนของไทยในโลกยุคใหม่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141, 1144 EXIM Thailand Finances Polyplex Group’s Construction of New PET Film Plant in Indonesia Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), jointly with Mr. Pranay Kothari, Group CEO of Polyplex Group, signed a financial facility agreement worth 55 million US dollars, committing EXIM Thailand to support the construction of a new PET film plant of PT. Polyplex Films Indonesia Co., Ltd., a subsidiary of Polyplex Group, on September 5, 2018 at EXIM Thailand’s Head Office. The new plant, located in Indonesia with a production capacity of 44,000 tons/year, was established to meet greater demand for PET film in ASEAN’s largest market and will export its products to other countries such as South Korea, the US and the EU. Polyplex Group is a leading Thai manufacturer and exporter of PET film products which are used mainly in food packaging, electrical insulation and other industrial end-use segments. This credit facility to finance the construction of Polyplex Group’s sixth plant (in addition to the existing five plants in India, the US, Turkey and Thailand with a combined PET film production capacity of 214,800 tons/year) is in line with EXIM Thailand’s mission to enhance Thai entrepreneurs’ competitiveness in investment-induced trade of the new era. The Bank is ready to support Thai entrepreneurs’ investment in and construction of production bases overseas to penetrate targeted markets and build more diversified trade channels. This aims to nurture the growth of high-potential Thai entrepreneurs so that they could subsequently become multi-national companies like in developed countries, generate foreign exchange income for the country, paving the way to develop manufacturing industries and trade and investment in the new business world. For further information, please contact Corporate Communication Division, Secretary and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141, 1144
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK สนับสนุนกลุ่มบริษัท โพลีเพล็กซ์ สร้างโรงงานผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกแห่งใหม่ในอินโดนีเซีย วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561 EXIM BANK สนับสนุนกลุ่มบริษัท โพลีเพล็กซ์ สร้างโรงงานผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกแห่งใหม่ในอินโดนีเซีย EXIM BANK ร่วมลงนามกับกลุ่มบริษัท โพลีเพล็กซ์ ในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จํานวน 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ พีที. โพลีเพล็กซ์ ฟิล์ม อินโดนีเซีย นําไปใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกในอินโดนีเซีย นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ร่วมลงนามกับนายปราเนย์ โกธารี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โพลีเพล็กซ์ ในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ EXIM BANK จํานวน 55 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ พีที. โพลีเพล็กซ์ ฟิล์ม อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท โพลีเพล็กซ์ ผู้ผลิตและส่งออกแผ่นฟิล์มพลาสติกรายใหญ่ของไทย นําไปใช้ลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตแผ่นฟิล์มพลาสติกในอินโดนีเซีย เพื่อเพิ่มกําลังการผลิตอีก 44,000 ตันต่อปี รองรับความต้องการซื้อที่เพิ่มมากขึ้นในตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน และรองรับการส่งออกไปยังต่างประเทศ อาทิ เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ณ EXIM BANK สํานักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 การสนับสนุนทางการเงินให้กลุ่มบริษัท โพลีเพล็กซ์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกพลาสติกฟิล์มรายใหญ่ของไทยสําหรับใช้เป็นบรรจุภัณฑ์อาหาร วัสดุห่อหุ้มทางไฟฟ้า และการใช้งานอื่นๆ ในเชิงอุตสาหกรรม ก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 6 ของกลุ่มบริษัทในอินโดนีเซีย (ปัจจุบันมีโรงงานอยู่ที่อินเดีย สหรัฐฯ ตุรกี และไทย จํานวนรวม 5 แห่ง กําลังการผลิตรวม 214,800 ตันต่อปี) ในครั้งนี้ เป็นไปโดยสอดคล้องกับภารกิจของธนาคารที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้มากขึ้นในโลกการค้ายุคใหม่ที่ใช้การลงทุนนําการค้า (Investment-induced trade) EXIM BANK จึงพร้อมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายการลงทุนเข้าไปสร้างฐานการผลิตในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเพื่อเจาะตลาดและสร้างช่องทางการค้าที่หลากหลายยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพมีโอกาสเติบโตไปสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติตามแนวทางของประเทศพัฒนาแล้ว สร้างรายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศของไทยและเป็นต้นแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตและธุรกิจการค้าการลงทุนของไทยในโลกยุคใหม่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141, 1144 EXIM Thailand Finances Polyplex Group’s Construction of New PET Film Plant in Indonesia Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), jointly with Mr. Pranay Kothari, Group CEO of Polyplex Group, signed a financial facility agreement worth 55 million US dollars, committing EXIM Thailand to support the construction of a new PET film plant of PT. Polyplex Films Indonesia Co., Ltd., a subsidiary of Polyplex Group, on September 5, 2018 at EXIM Thailand’s Head Office. The new plant, located in Indonesia with a production capacity of 44,000 tons/year, was established to meet greater demand for PET film in ASEAN’s largest market and will export its products to other countries such as South Korea, the US and the EU. Polyplex Group is a leading Thai manufacturer and exporter of PET film products which are used mainly in food packaging, electrical insulation and other industrial end-use segments. This credit facility to finance the construction of Polyplex Group’s sixth plant (in addition to the existing five plants in India, the US, Turkey and Thailand with a combined PET film production capacity of 214,800 tons/year) is in line with EXIM Thailand’s mission to enhance Thai entrepreneurs’ competitiveness in investment-induced trade of the new era. The Bank is ready to support Thai entrepreneurs’ investment in and construction of production bases overseas to penetrate targeted markets and build more diversified trade channels. This aims to nurture the growth of high-potential Thai entrepreneurs so that they could subsequently become multi-national companies like in developed countries, generate foreign exchange income for the country, paving the way to develop manufacturing industries and trade and investment in the new business world. For further information, please contact Corporate Communication Division, Secretary and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141, 1144
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15196
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ร่วมกับ เครือบริษัท เนชั่นฯ หารือเกี่ยวกับปัญหาและการบริหารจัดการขยะในลุ่มแม่เจ้าพระยา
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 รมว.ทส. ร่วมกับ เครือบริษัท เนชั่นฯ หารือเกี่ยวกับปัญหาและการบริหารจัดการขยะในลุ่มแม่เจ้าพระยา รมว.ทส. ร่วมกับ เครือบริษัท เนชั่นฯ หารือเกี่ยวกับปัญหาและการบริหารจัดการขยะในลุ่มแม่เจ้าพระยา รมว.ทส. ร่วมกับ เครือบริษัท เนชั่นฯหารือเกี่ยวกับปัญหาและการบริหารจัดการขยะในลุ่มแม่เจ้าพระยา วันที่ 17 มีนาคม 2563นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับผู้บริหารเครือบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) ประชุมหารือเกี่ยวกับปัญหาและการบริหารจัดการขยะในลุ่มแม่เจ้าพระยา เพื่อป้องกันไม่ให้ไหลลงสู่ทะเลอย่างเป็นรูปธรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ร่วมกับ เครือบริษัท เนชั่นฯ หารือเกี่ยวกับปัญหาและการบริหารจัดการขยะในลุ่มแม่เจ้าพระยา วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 รมว.ทส. ร่วมกับ เครือบริษัท เนชั่นฯ หารือเกี่ยวกับปัญหาและการบริหารจัดการขยะในลุ่มแม่เจ้าพระยา รมว.ทส. ร่วมกับ เครือบริษัท เนชั่นฯ หารือเกี่ยวกับปัญหาและการบริหารจัดการขยะในลุ่มแม่เจ้าพระยา รมว.ทส. ร่วมกับ เครือบริษัท เนชั่นฯหารือเกี่ยวกับปัญหาและการบริหารจัดการขยะในลุ่มแม่เจ้าพระยา วันที่ 17 มีนาคม 2563นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับผู้บริหารเครือบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) ประชุมหารือเกี่ยวกับปัญหาและการบริหารจัดการขยะในลุ่มแม่เจ้าพระยา เพื่อป้องกันไม่ให้ไหลลงสู่ทะเลอย่างเป็นรูปธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27470
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยนำกลุ่ม GSP Alliance ผลักดันสหรัฐต่ออายุสิทธิ GSP
วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ไทยนํากลุ่ม GSP Alliance ผลักดันสหรัฐต่ออายุสิทธิ GSP นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สํานักงานพาณิชย์ ในต่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน ในฐานะประธานกลุ่ม GSP Alliance ที่มีประเทศสมาชิกที่ได้รับสิทธิ GSP 27 ประเทศ ประชุมหารือในการดําเนินการแสดงเจตนารมณ์เพื่อให้รัฐสภาสหรัฐฯ ต่ออายุกฎหมายโครงการพิจารณาการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (Generalized System of Preferences: GSP) ที่กําลังจะหมดอายุ ในสิ้นปีนี้ออกไป โดยเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา สพต. ณ กรุงวอชิงตันได้จัดประชุมกลุ่ม GSP Alliance ซึ่งมีสมาชิกเข้าร่วมประชุม 20 ประเทศ โดยประเทศสมาชิกเห็นพ้องที่จะร่วมกันผลักดันให้สหรัฐฯ ต่ออายุโครงการ GSP ที่จะสิ้นสุดลงในปี 2560 นี้โดยเร็ว ซึ่งประเทศสมาชิกจะร่วมกันลงนามในหนังสือถึงคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันการต่ออายุโครงการ GSP นอกจากนี้ ในวันที่ 14 - 15 พฤศจิกายน นี้ ไทยจะเป็นผู้นํากลุ่ม GSP Alliance ในการพบหารือกับคณะกรรมาธิการ Senate Finance committee เพื่อให้ข้อเท็จจริงและโน้มน้าวให้พิจารณาต่ออายุสิทธิ GSP นอกจากนี้ ในการประชุมครั้งนี้ สพต.วอชิงตันได้เชิญนาย Erland Herfindahl Deputy Assistant USTR for GSP และประธานคณะอนุกรรมาธิการ GSP มาร่วมหารือและชี้แจงในประเด็นที่สํานักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) ประกาศเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาการให้สิทธิ GSP โดยจะมีการทํา Country assessment เพิ่มเติมในทุก 3 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศที่ได้รับสิทธิ GSP มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่จะได้รับสิทธินี้ โดยในปีแรกจะเริ่มทบทวนประเทศในภูมิภาคเอเชียก่อนเป็นกลุ่มแรก และจะใช้เวลาในแต่ละประเทศประมาณ 1 ปี คาดว่าในขณะนี้มี 2 ประเทศในเอเชียที่ USTRให้ความสนใจ คือ อินเดียและไทยทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ GSP สหรัฐฯ มากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากอินเดีย โดยในปี 2559 ไทยใช้สิทธิ GSP มูลค่า 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ ร้อยละ 70 ของรายการสินค้าที่ได้ GSP ซึ่งปัจจุบันไทยได้รับสิทธิ GSP ในสินค้ากว่า 3,400 รายการ อาทิ ชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศถุงมือทําจากยาง เป็นต้น กลุ่ม GSP Alliance เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันตั้งแต่ปี 2554 ของประเทศที่ได้รับสิทธิ GSP จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 27 ประเทศ จากประเทศที่ได้รับสิทธิ 120 ประเทศ โดยมีไทยเป็นผู้นํา และมีการพบปะกันอยู่เสมอเพื่อร่วมมือกันให้ได้รับการต่ออายุสิทธิ GSP อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สินค้าส่งออกได้รับการยกเว้นภาษีนําเข้ามาในสหรัฐฯ และมีความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากได้รับยกเว้นภาษีนําเข้า
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยนำกลุ่ม GSP Alliance ผลักดันสหรัฐต่ออายุสิทธิ GSP วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ไทยนํากลุ่ม GSP Alliance ผลักดันสหรัฐต่ออายุสิทธิ GSP นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สํานักงานพาณิชย์ ในต่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน ในฐานะประธานกลุ่ม GSP Alliance ที่มีประเทศสมาชิกที่ได้รับสิทธิ GSP 27 ประเทศ ประชุมหารือในการดําเนินการแสดงเจตนารมณ์เพื่อให้รัฐสภาสหรัฐฯ ต่ออายุกฎหมายโครงการพิจารณาการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (Generalized System of Preferences: GSP) ที่กําลังจะหมดอายุ ในสิ้นปีนี้ออกไป โดยเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา สพต. ณ กรุงวอชิงตันได้จัดประชุมกลุ่ม GSP Alliance ซึ่งมีสมาชิกเข้าร่วมประชุม 20 ประเทศ โดยประเทศสมาชิกเห็นพ้องที่จะร่วมกันผลักดันให้สหรัฐฯ ต่ออายุโครงการ GSP ที่จะสิ้นสุดลงในปี 2560 นี้โดยเร็ว ซึ่งประเทศสมาชิกจะร่วมกันลงนามในหนังสือถึงคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องเพื่อผลักดันการต่ออายุโครงการ GSP นอกจากนี้ ในวันที่ 14 - 15 พฤศจิกายน นี้ ไทยจะเป็นผู้นํากลุ่ม GSP Alliance ในการพบหารือกับคณะกรรมาธิการ Senate Finance committee เพื่อให้ข้อเท็จจริงและโน้มน้าวให้พิจารณาต่ออายุสิทธิ GSP นอกจากนี้ ในการประชุมครั้งนี้ สพต.วอชิงตันได้เชิญนาย Erland Herfindahl Deputy Assistant USTR for GSP และประธานคณะอนุกรรมาธิการ GSP มาร่วมหารือและชี้แจงในประเด็นที่สํานักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) ประกาศเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาการให้สิทธิ GSP โดยจะมีการทํา Country assessment เพิ่มเติมในทุก 3 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศที่ได้รับสิทธิ GSP มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่จะได้รับสิทธินี้ โดยในปีแรกจะเริ่มทบทวนประเทศในภูมิภาคเอเชียก่อนเป็นกลุ่มแรก และจะใช้เวลาในแต่ละประเทศประมาณ 1 ปี คาดว่าในขณะนี้มี 2 ประเทศในเอเชียที่ USTRให้ความสนใจ คือ อินเดียและไทยทั้งนี้ ไทยเป็นประเทศที่มีมูลค่าการใช้สิทธิ GSP สหรัฐฯ มากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากอินเดีย โดยในปี 2559 ไทยใช้สิทธิ GSP มูลค่า 3.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ ร้อยละ 70 ของรายการสินค้าที่ได้ GSP ซึ่งปัจจุบันไทยได้รับสิทธิ GSP ในสินค้ากว่า 3,400 รายการ อาทิ ชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศถุงมือทําจากยาง เป็นต้น กลุ่ม GSP Alliance เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันตั้งแต่ปี 2554 ของประเทศที่ได้รับสิทธิ GSP จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิก 27 ประเทศ จากประเทศที่ได้รับสิทธิ 120 ประเทศ โดยมีไทยเป็นผู้นํา และมีการพบปะกันอยู่เสมอเพื่อร่วมมือกันให้ได้รับการต่ออายุสิทธิ GSP อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สินค้าส่งออกได้รับการยกเว้นภาษีนําเข้ามาในสหรัฐฯ และมีความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากได้รับยกเว้นภาษีนําเข้า
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8030
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สศช. ชี้แจงข้อโต้แย้ง ตัวเลขผลสำรวจปัญหาความยากจนในประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 สศช. ชี้แจงข้อโต้แย้ง ตัวเลขผลสํารวจปัญหาความยากจนในประเทศไทย สศช. ชี้แจงข้อโต้แย้ง ตัวเลขผลสํารวจปัญหาความยากจนในประเทศไทย วันที่ 11 ธันวาคม 2560 นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชี้แจงกรณีข้อโต้แย้งตัวเลขผลสํารวจปัญหาความยากจนในประเทศไทย ดังต่อไปนี้ รัฐบาลและธนาคารโลกใช้เส้นความยากจนที่คํานวณโดยหลักวิชาการในการพิจารณาถึงจํานวนคนจน โดยที่ธนาคารโลกใช้เกณฑ์ 1.9 ดอลลาร์ สรอ.ต่อคนต่อวัน (หรือประมาณ 2,000 บาทต่อคนต่อเดือน) และประเทศไทยใช้เกณฑ์ 2,667 บาทต่อคนต่อเดือน • วิธีการคํานวณเส้นความยากจนเพื่อวัดระดับความยากจนใช้หลักแนวคิดวิชาการและประเภทของข้อมูลที่เป็นสากล และประเทศต่าง ๆ ใช้ในแนวทางเดียวกัน คือ การยึดหลักรายได้หรือรายจ่าย ขั้นต่ําสุดที่เพียงพอต่อการดํารงชีพของประชาชนแต่ละคน ควบคู่ไปกับการใช้โครงสร้างของครัวเรือน ได้แก่ สมาชิก เพศ และวัย และพื้นที่ ในการพิจารณาถึงองค์ประกอบการใช้จ่ายด้วย • ฐานข้อมูลที่ใช้ในการคํานวณเส้นความยากจนนั้น ใช้ข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (Socio-economic survey) ซึ่งเป็นการสํารวจสถานะความเป็นอยู่ของครัวเรือนทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และอื่น ๆ ที่ได้มีการดําเนินการจัดเก็บข้อมูลต่อเนื่องทุกปี และเป็นการสํารวจที่มีการเก็บข้อมูลตัวอย่างขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีตัวอย่างการสํารวจประมาณ 45,000 ครัวเรือน และประชากร 125,346 คน • ธนาคารโลก ได้ใช้เส้นความยากจนที่ระดับ 1.9 ดอลลาร์ สรอ.ต่อคนต่อวัน หรือประมาณ 2,000 บาทต่อคนต่อเดือน ทั้งนี้เกณฑ์ของธนาคารโลกดังกล่าวอยู่บนฐานที่เทียบกับความเท่าเทียมกันของอํานาจซื้อ (PPP) ปี 2554 เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบความยากจนของนานาประเทศได้ และหากใช้เกณฑ์การวัดดังกล่าวสัดส่วนความยากจนของไทยจะอยู่ที่ร้อยละ 0.04 สําหรับประเทศไทยใช้เกณฑ์เส้นความยากจนที่ 2,667 บาทต่อคนต่อเดือน (ปี 2559) และสัดส่วนความยากจนเท่ากับร้อยละ 8.6 รัฐบาลตระหนักดีว่าการที่ประเมินสถานการณ์ความยากจนของประเทศให้สามารถสะท้อนสถานการณ์ที่แท้จริงได้นั้น จําเป็นต้องใช้ตัวชี้วัดจากหลายด้านมาประกอบกัน ดังนั้น นอกจากการใช้เส้นความยากจนซึ่งเป็นการวัดในรูปแบบตัวเงิน (รายจ่าย) ในการระบุจํานวนคนจนแล้วรัฐบาล โดย สศช. ยังได้พิจารณาตัวชี้วัดสถานการณ์ความยากจนในด้านมิติอื่นที่มิได้อยู่ในรูปแบบของตัวเงินแต่สะท้อนการมีโอกาสทางสังคมและการเข้าถึงบริการของภาครัฐ มาร่วมในการวัดด้วย ได้แก่ ดัชนีความก้าวหน้าคน ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนการเข้าถึงโอกาสทางสังคมและการเข้าถึงบริการภาครัฐในด้านต่าง ๆ เช่น สุขภาพ การศึกษา ที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม คมนาคมและการสื่อสาร เป็นต้น ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความจนเงิน จนโอกาส และสภาพแวดล้อมการดําเนินชีวิต ในการจัดทํานโยบายในแก้ปัญหาความยากจนและช่วยเหลือคนจน ดังนั้น ในการจัดทํานโยบายเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและการช่วยเหลือคนจน จึงใช้เครื่องมือหลายอย่างประกอบกัน โดยเส้นความยากจนจะช่วยบ่งบอกความยากจนที่ว่ามีผู้ที่ยากจนเป็นจํานวนมากน้อยเพียงใด ซึ่งรัฐบาลจะนําข้อมูลอื่นที่สะท้อนการดํารงชีพในมิติของการมีโอกาสและการเข้าถึงบริการของประชาชนมาพิจารณาประกอบด้วย ในขณะเดียวกันข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการภาครัฐจะถูกกนํามาใช้ประกอบเพื่อการระบุ ตรวจสอบ ติดตาม ในการที่จะออกแบบเครื่องมือการให้ความช่วยเหลือ (มาตรการ) ได้สอดคล้อง / ตรงกับลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่มาลงทะเบียน รวมทั้งสามารถบริหารจัดการที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงกลุ่มได้ด้วย ข้อเท็จจริงสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย • ในปัจจุบันประเทศไทยใช้เส้นความยากจนที่เป็นทางการคือ 2,667 บาทต่อคนต่อเดือน หากมองย้อนไปในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่าปัญหาความยากจนในภาพรวมของประเทศไทยลดลงมาก โดยจํานวนคนจนได้ลดลงประมาณ 28 ล้านคนในช่วงเวลาดังกล่าว จากจํานวนผู้ยากจน 34.1 ล้านคนในปี 2531 เหลือเพียง 5.8 ล้านคนในปี 2559 สัดส่วนคนจนลดลงจากร้อยละ 65.2 เป็นเพียงร้อยละ 8.6 ในปี 2559 • เมื่อพิจารณารวม “คนจน” และ “ผู้ที่เกือบจน” พบว่ามีแนวโน้มลดลงมากจาก 39.2 ล้านคนในปี 2531 เหลือเพียง 11.6 ล้านคนในปี 2559 โดยความยากจนยังกระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ มีสัดส่วนร้อยละ 12.96 12.35 และ 9.83 ของประชากรในแต่ละภาคตามลําดับ และจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด 10 ลําดับแรกในปี 2559 โดยเรียงลําดับจากสัดส่วนคนจนสูงที่สุดดังนี้ แม่ฮ่องสอน นราธิวาส ปัตตานี กาฬิสินธ์ นครพนม ชัยนาท ตาก บุรีรัมย์ อํานาจเจริญ น่าน ตามลําดับ (รายละเอียดสามารถดูได้จากเอกสาร “รายงานการวิเคราห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ําในประเทศไทย 2559” http://social.nesdb.go.th/social/) ----------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สศช. ชี้แจงข้อโต้แย้ง ตัวเลขผลสำรวจปัญหาความยากจนในประเทศไทย วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 สศช. ชี้แจงข้อโต้แย้ง ตัวเลขผลสํารวจปัญหาความยากจนในประเทศไทย สศช. ชี้แจงข้อโต้แย้ง ตัวเลขผลสํารวจปัญหาความยากจนในประเทศไทย วันที่ 11 ธันวาคม 2560 นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ชี้แจงกรณีข้อโต้แย้งตัวเลขผลสํารวจปัญหาความยากจนในประเทศไทย ดังต่อไปนี้ รัฐบาลและธนาคารโลกใช้เส้นความยากจนที่คํานวณโดยหลักวิชาการในการพิจารณาถึงจํานวนคนจน โดยที่ธนาคารโลกใช้เกณฑ์ 1.9 ดอลลาร์ สรอ.ต่อคนต่อวัน (หรือประมาณ 2,000 บาทต่อคนต่อเดือน) และประเทศไทยใช้เกณฑ์ 2,667 บาทต่อคนต่อเดือน • วิธีการคํานวณเส้นความยากจนเพื่อวัดระดับความยากจนใช้หลักแนวคิดวิชาการและประเภทของข้อมูลที่เป็นสากล และประเทศต่าง ๆ ใช้ในแนวทางเดียวกัน คือ การยึดหลักรายได้หรือรายจ่าย ขั้นต่ําสุดที่เพียงพอต่อการดํารงชีพของประชาชนแต่ละคน ควบคู่ไปกับการใช้โครงสร้างของครัวเรือน ได้แก่ สมาชิก เพศ และวัย และพื้นที่ ในการพิจารณาถึงองค์ประกอบการใช้จ่ายด้วย • ฐานข้อมูลที่ใช้ในการคํานวณเส้นความยากจนนั้น ใช้ข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (Socio-economic survey) ซึ่งเป็นการสํารวจสถานะความเป็นอยู่ของครัวเรือนทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และอื่น ๆ ที่ได้มีการดําเนินการจัดเก็บข้อมูลต่อเนื่องทุกปี และเป็นการสํารวจที่มีการเก็บข้อมูลตัวอย่างขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีตัวอย่างการสํารวจประมาณ 45,000 ครัวเรือน และประชากร 125,346 คน • ธนาคารโลก ได้ใช้เส้นความยากจนที่ระดับ 1.9 ดอลลาร์ สรอ.ต่อคนต่อวัน หรือประมาณ 2,000 บาทต่อคนต่อเดือน ทั้งนี้เกณฑ์ของธนาคารโลกดังกล่าวอยู่บนฐานที่เทียบกับความเท่าเทียมกันของอํานาจซื้อ (PPP) ปี 2554 เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบความยากจนของนานาประเทศได้ และหากใช้เกณฑ์การวัดดังกล่าวสัดส่วนความยากจนของไทยจะอยู่ที่ร้อยละ 0.04 สําหรับประเทศไทยใช้เกณฑ์เส้นความยากจนที่ 2,667 บาทต่อคนต่อเดือน (ปี 2559) และสัดส่วนความยากจนเท่ากับร้อยละ 8.6 รัฐบาลตระหนักดีว่าการที่ประเมินสถานการณ์ความยากจนของประเทศให้สามารถสะท้อนสถานการณ์ที่แท้จริงได้นั้น จําเป็นต้องใช้ตัวชี้วัดจากหลายด้านมาประกอบกัน ดังนั้น นอกจากการใช้เส้นความยากจนซึ่งเป็นการวัดในรูปแบบตัวเงิน (รายจ่าย) ในการระบุจํานวนคนจนแล้วรัฐบาล โดย สศช. ยังได้พิจารณาตัวชี้วัดสถานการณ์ความยากจนในด้านมิติอื่นที่มิได้อยู่ในรูปแบบของตัวเงินแต่สะท้อนการมีโอกาสทางสังคมและการเข้าถึงบริการของภาครัฐ มาร่วมในการวัดด้วย ได้แก่ ดัชนีความก้าวหน้าคน ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนการเข้าถึงโอกาสทางสังคมและการเข้าถึงบริการภาครัฐในด้านต่าง ๆ เช่น สุขภาพ การศึกษา ที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม คมนาคมและการสื่อสาร เป็นต้น ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความจนเงิน จนโอกาส และสภาพแวดล้อมการดําเนินชีวิต ในการจัดทํานโยบายในแก้ปัญหาความยากจนและช่วยเหลือคนจน ดังนั้น ในการจัดทํานโยบายเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและการช่วยเหลือคนจน จึงใช้เครื่องมือหลายอย่างประกอบกัน โดยเส้นความยากจนจะช่วยบ่งบอกความยากจนที่ว่ามีผู้ที่ยากจนเป็นจํานวนมากน้อยเพียงใด ซึ่งรัฐบาลจะนําข้อมูลอื่นที่สะท้อนการดํารงชีพในมิติของการมีโอกาสและการเข้าถึงบริการของประชาชนมาพิจารณาประกอบด้วย ในขณะเดียวกันข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการภาครัฐจะถูกกนํามาใช้ประกอบเพื่อการระบุ ตรวจสอบ ติดตาม ในการที่จะออกแบบเครื่องมือการให้ความช่วยเหลือ (มาตรการ) ได้สอดคล้อง / ตรงกับลักษณะของกลุ่มเป้าหมายที่มาลงทะเบียน รวมทั้งสามารถบริหารจัดการที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงกลุ่มได้ด้วย ข้อเท็จจริงสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย • ในปัจจุบันประเทศไทยใช้เส้นความยากจนที่เป็นทางการคือ 2,667 บาทต่อคนต่อเดือน หากมองย้อนไปในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา พบว่าปัญหาความยากจนในภาพรวมของประเทศไทยลดลงมาก โดยจํานวนคนจนได้ลดลงประมาณ 28 ล้านคนในช่วงเวลาดังกล่าว จากจํานวนผู้ยากจน 34.1 ล้านคนในปี 2531 เหลือเพียง 5.8 ล้านคนในปี 2559 สัดส่วนคนจนลดลงจากร้อยละ 65.2 เป็นเพียงร้อยละ 8.6 ในปี 2559 • เมื่อพิจารณารวม “คนจน” และ “ผู้ที่เกือบจน” พบว่ามีแนวโน้มลดลงมากจาก 39.2 ล้านคนในปี 2531 เหลือเพียง 11.6 ล้านคนในปี 2559 โดยความยากจนยังกระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ มีสัดส่วนร้อยละ 12.96 12.35 และ 9.83 ของประชากรในแต่ละภาคตามลําดับ และจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด 10 ลําดับแรกในปี 2559 โดยเรียงลําดับจากสัดส่วนคนจนสูงที่สุดดังนี้ แม่ฮ่องสอน นราธิวาส ปัตตานี กาฬิสินธ์ นครพนม ชัยนาท ตาก บุรีรัมย์ อํานาจเจริญ น่าน ตามลําดับ (รายละเอียดสามารถดูได้จากเอกสาร “รายงานการวิเคราห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ําในประเทศไทย 2559” http://social.nesdb.go.th/social/) ----------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8709
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมควบคุมมลพิษยืนยัน กรมควบคุมมลพิษดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่คลิตี้มาโดยตลอด
วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2560 อธิบดีกรมควบคุมมลพิษยืนยัน กรมควบคุมมลพิษดําเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่คลิตี้มาโดยตลอด อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ชี้แจงกรณีที่มีข่าวกรมควบคุมมลพิษไม่เร่งดําเนินการฟื้นฟูลําห้วยคลิตี้ และการฟื้นฟูที่อยู่ในระหว่างดําเนินการไม่เป็นการกําจัดมลพิษ ยืนยันกรมควบคุมมลพิษดําเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่คลิตี้มาโดยตลอด วันที่ 18 ต.ค.60 นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ชี้แจงกรณีที่นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อํานวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนาได้ให้ข่าวว่า ตั้งแต่บริษัทตะกั่วคอนเซ็นเตรทส์ประเทศไทย จํากัด ปล่อยของเสียจากการแต่งแร่ลงสู่ลําห้วยคลิตี้ เป็นเหตุให้ชาวกะเหรี่ยง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เจ็บป่วยและเสียชีวิต ซึ่งหลังศาลปกครองสูงสุดมีคําพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษเร่งดําเนินการฟื้นฟูห้วยคลิตี้ภายใน 90 วัน แต่กรมควบคุมมลพิษใช้เวลากว่า 4 ปี ใน 2 ประเด็น ได้แก่ 1. กรมควบคุมมลพิษรับเรื่องร้องเรียนและลงพื้นที่ตรวจสอบตั้งแต่เมษายน 2541 และมีแผนฟื้นฟูลําห้วยคลิตี้แต่กลับไม่ดําเนินการโดยอ้างว่าจะปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟู และ 2. การไม่กําจัดมลพิษและการฝังกลบในพื้นที่ป่า ส่งผลให้ลําห้วยคลิตี้ไม่ปราศจากมลพิษ และน้ําที่ปนเปื้อนสารตะกั่วจะไหลลงสู่แม่น้ําแม่กลอง ซึ่งผันลงสู่คลองมหาสวัสดิ์ เพื่อเป็นน้ําดิบที่นําไปผลิตน้ําประปาให้คนกรุงเทพฯ และคนฝั่งตะวันตกและไหลลงสู่อ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สําคัญที่สุดของประเทศ นั้น อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ได้ชี้แจงในส่วนของประเด็นที่ 1 ว่า (1) ตั้งแต่ได้มีคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 กรมควบคุมมลพิษได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่คลิตี้มาโดยตลอด โดยได้จัดทําแผนการดําเนินงานแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วบริเวณห้วยคลิตี้ ซึ่งมีกิจกรรมประกอบด้วย การจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ฟ้องคดี การติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการประชาสัมพันธ์ข้อมูล การจัดทําฝายดักตะกอน การขุดรื้อหลุมฝังกลบตะกอนริมลําห้วย และการป้องกันการปนเปื้อนสารตะกั่วลงสู่ลําห้วยคลิตี้จากพื้นที่เสี่ยง พร้อมทั้งได้ลงพื้นที่เพื่อชี้แจงกระบวนการทํางานและประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องให้ชาวบ้านคลิตี้รับทราบ และได้รายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานตามแผนการดําเนินงานดังกล่าวให้กับสํานักงานศาลปกครองทราบมาอย่างต่อเนื่องทุก 4 เดือน ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 (2) ในส่วนของการฟื้นฟูลําห้วยคลิตี้นั้นกรมควบคุมมลพิษได้ว่าจ้างบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ดําเนินโครงการ ภายใต้งบประมาณ 454 ล้านบาท ซึ่งกําหนดการเข้าพื้นที่เพื่อเริ่มดําเนินการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป โดยมีระยะเวลาการดําเนินการฟื้นฟูตามสัญญา 1,000 วัน (3) ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินงานของโครงการดังกล่าว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ซึ่งจะนําไปสู่การยอมรับและความเชื่อมั่นในผลการดําเนินงาน กรมควบคุมมลพิษได้แต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อติดตามการดําเนินโครงการฟื้นฟูลําห้วยคลิตี้ ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้มีการประชุมชี้แจงแนวทางการดําเนินการฟื้นฟูให้คณะกรรมการทราบเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2560 (4) นับตั้งแต่ได้มีคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด กรมควบคุมมลพิษได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยขอนแก่นเพื่อศึกษาแนวทางการฟื้นฟูลําห้วยคลิตี้ และผ่านการพิจารณาของคณะทํางานด้านวิชาการซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากหน่วยงานและสถาบันการศึกษา นํามาสู่การตั้งงบประมาณเพื่อดําเนินโครงการฟื้นฟูลําห้วยคลิตี้ ตลอดจนคัดเลือกผู้รับจ้างตามระเบียบของทางราชการเพื่อเข้ามาดําเนินโครงการในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ชี้แจงในประเด็นที่ 2 ว่า (1) ปัจจัยที่สําคัญของการฟื้นฟูพื้นที่คลิตี้คือการที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งศักยภาพแร่ตะกั่ว กรมควบคุมมลพิษจึงได้เลือกใช้แนวทางการขุดลอกด้วยระบบปิดและบรรจุตะกอนที่ปนเปื้อนลงในหลุมฝังกลบแบบปลอดภัยซึ่งเป็นวิธีการที่เป็นไปตามมาตรฐานสากลในการฟื้นฟูการปนเปื้อนซึ่งได้ผ่านการศึกษาและพิจารณาของนักวิชาการแล้วตามที่ได้ชี้แจงข้างต้น (2) การเลือกพื้นที่ก่อสร้างหลุมฝังกลบแบบปลอดภัยบริเวณใกล้กับเหมืองตะกั่วเดิมเป็นเสมือนเป็นการนําตะกั่วกลับไปสู่ที่อยู่เดิม โดยได้มีการศึกษาสภาพทางธรณีวิทยาของพื้นที่และกําหนดให้มีบ่อสังเกตการณ์เพื่อให้มีความมั่นใจได้ว่าตะกั่วที่บรรจุในหลุมฝังกลบดังกล่าวจะไม่ไปส่งผลกระทบต่อประชาชน (3) กรมควบคุมมลพิษได้ติดตรวจสอบคุณภาพน้ําและตะกอนดินท้องน้ําบริเวณอ่างเก็บน้ําเขื่อนศรีนครินทร์ แม่น้ําแควใหญ่ และแม่น้ําแม่กลอง มาอย่างต่อเนื่องซึ่งไม่พบว่ามีปัญหาการปนเปื้อนของตะกั่วตามที่กล่าวอ้างโดยเฉพาะบริเวณแม่น้ําแม่กลองในปัจจุบันมีปริมาณตะกั่วในน้ําน้อยกว่า 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งต่ํากว่าที่มาตรฐานคุณภาพน้ําในแหล่งน้ําผิวดินซึ่งกําหนดไว้ที่ 0.05 มิลลิกรัมต่อลิตร ----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมควบคุมมลพิษยืนยัน กรมควบคุมมลพิษดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่คลิตี้มาโดยตลอด วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2560 อธิบดีกรมควบคุมมลพิษยืนยัน กรมควบคุมมลพิษดําเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่คลิตี้มาโดยตลอด อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ชี้แจงกรณีที่มีข่าวกรมควบคุมมลพิษไม่เร่งดําเนินการฟื้นฟูลําห้วยคลิตี้ และการฟื้นฟูที่อยู่ในระหว่างดําเนินการไม่เป็นการกําจัดมลพิษ ยืนยันกรมควบคุมมลพิษดําเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่คลิตี้มาโดยตลอด วันที่ 18 ต.ค.60 นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ชี้แจงกรณีที่นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อํานวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนาได้ให้ข่าวว่า ตั้งแต่บริษัทตะกั่วคอนเซ็นเตรทส์ประเทศไทย จํากัด ปล่อยของเสียจากการแต่งแร่ลงสู่ลําห้วยคลิตี้ เป็นเหตุให้ชาวกะเหรี่ยง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เจ็บป่วยและเสียชีวิต ซึ่งหลังศาลปกครองสูงสุดมีคําพิพากษาให้กรมควบคุมมลพิษเร่งดําเนินการฟื้นฟูห้วยคลิตี้ภายใน 90 วัน แต่กรมควบคุมมลพิษใช้เวลากว่า 4 ปี ใน 2 ประเด็น ได้แก่ 1. กรมควบคุมมลพิษรับเรื่องร้องเรียนและลงพื้นที่ตรวจสอบตั้งแต่เมษายน 2541 และมีแผนฟื้นฟูลําห้วยคลิตี้แต่กลับไม่ดําเนินการโดยอ้างว่าจะปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟู และ 2. การไม่กําจัดมลพิษและการฝังกลบในพื้นที่ป่า ส่งผลให้ลําห้วยคลิตี้ไม่ปราศจากมลพิษ และน้ําที่ปนเปื้อนสารตะกั่วจะไหลลงสู่แม่น้ําแม่กลอง ซึ่งผันลงสู่คลองมหาสวัสดิ์ เพื่อเป็นน้ําดิบที่นําไปผลิตน้ําประปาให้คนกรุงเทพฯ และคนฝั่งตะวันตกและไหลลงสู่อ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สําคัญที่สุดของประเทศ นั้น อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ได้ชี้แจงในส่วนของประเด็นที่ 1 ว่า (1) ตั้งแต่ได้มีคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 กรมควบคุมมลพิษได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่คลิตี้มาโดยตลอด โดยได้จัดทําแผนการดําเนินงานแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารตะกั่วบริเวณห้วยคลิตี้ ซึ่งมีกิจกรรมประกอบด้วย การจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ฟ้องคดี การติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการประชาสัมพันธ์ข้อมูล การจัดทําฝายดักตะกอน การขุดรื้อหลุมฝังกลบตะกอนริมลําห้วย และการป้องกันการปนเปื้อนสารตะกั่วลงสู่ลําห้วยคลิตี้จากพื้นที่เสี่ยง พร้อมทั้งได้ลงพื้นที่เพื่อชี้แจงกระบวนการทํางานและประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องให้ชาวบ้านคลิตี้รับทราบ และได้รายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานตามแผนการดําเนินงานดังกล่าวให้กับสํานักงานศาลปกครองทราบมาอย่างต่อเนื่องทุก 4 เดือน ครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 (2) ในส่วนของการฟื้นฟูลําห้วยคลิตี้นั้นกรมควบคุมมลพิษได้ว่าจ้างบริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ดําเนินโครงการ ภายใต้งบประมาณ 454 ล้านบาท ซึ่งกําหนดการเข้าพื้นที่เพื่อเริ่มดําเนินการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป โดยมีระยะเวลาการดําเนินการฟื้นฟูตามสัญญา 1,000 วัน (3) ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินงานของโครงการดังกล่าว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ซึ่งจะนําไปสู่การยอมรับและความเชื่อมั่นในผลการดําเนินงาน กรมควบคุมมลพิษได้แต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาคีเพื่อติดตามการดําเนินโครงการฟื้นฟูลําห้วยคลิตี้ ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้มีการประชุมชี้แจงแนวทางการดําเนินการฟื้นฟูให้คณะกรรมการทราบเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2560 (4) นับตั้งแต่ได้มีคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด กรมควบคุมมลพิษได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยขอนแก่นเพื่อศึกษาแนวทางการฟื้นฟูลําห้วยคลิตี้ และผ่านการพิจารณาของคณะทํางานด้านวิชาการซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากหน่วยงานและสถาบันการศึกษา นํามาสู่การตั้งงบประมาณเพื่อดําเนินโครงการฟื้นฟูลําห้วยคลิตี้ ตลอดจนคัดเลือกผู้รับจ้างตามระเบียบของทางราชการเพื่อเข้ามาดําเนินโครงการในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ชี้แจงในประเด็นที่ 2 ว่า (1) ปัจจัยที่สําคัญของการฟื้นฟูพื้นที่คลิตี้คือการที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งศักยภาพแร่ตะกั่ว กรมควบคุมมลพิษจึงได้เลือกใช้แนวทางการขุดลอกด้วยระบบปิดและบรรจุตะกอนที่ปนเปื้อนลงในหลุมฝังกลบแบบปลอดภัยซึ่งเป็นวิธีการที่เป็นไปตามมาตรฐานสากลในการฟื้นฟูการปนเปื้อนซึ่งได้ผ่านการศึกษาและพิจารณาของนักวิชาการแล้วตามที่ได้ชี้แจงข้างต้น (2) การเลือกพื้นที่ก่อสร้างหลุมฝังกลบแบบปลอดภัยบริเวณใกล้กับเหมืองตะกั่วเดิมเป็นเสมือนเป็นการนําตะกั่วกลับไปสู่ที่อยู่เดิม โดยได้มีการศึกษาสภาพทางธรณีวิทยาของพื้นที่และกําหนดให้มีบ่อสังเกตการณ์เพื่อให้มีความมั่นใจได้ว่าตะกั่วที่บรรจุในหลุมฝังกลบดังกล่าวจะไม่ไปส่งผลกระทบต่อประชาชน (3) กรมควบคุมมลพิษได้ติดตรวจสอบคุณภาพน้ําและตะกอนดินท้องน้ําบริเวณอ่างเก็บน้ําเขื่อนศรีนครินทร์ แม่น้ําแควใหญ่ และแม่น้ําแม่กลอง มาอย่างต่อเนื่องซึ่งไม่พบว่ามีปัญหาการปนเปื้อนของตะกั่วตามที่กล่าวอ้างโดยเฉพาะบริเวณแม่น้ําแม่กลองในปัจจุบันมีปริมาณตะกั่วในน้ําน้อยกว่า 0.01 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งต่ํากว่าที่มาตรฐานคุณภาพน้ําในแหล่งน้ําผิวดินซึ่งกําหนดไว้ที่ 0.05 มิลลิกรัมต่อลิตร ----------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7508
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-UNESCO จัดสัมมนาเปิดตัว "รายงานการติดตามผลการศึกษาทั่วโลก ประจำปี 2559 การศึกษาเพื่อมนุษย์และโลกของเรา
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 UNESCO จัดสัมมนาเปิดตัว "รายงานการติดตามผลการศึกษาทั่วโลก ประจําปี 2559 การศึกษาเพื่อมนุษย์และโลกของเรา ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายสดุดีและถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9: "การสืบสานพระราชปณิธานสู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน" ในการสัมมนาเปิดตัว "รายงานการติดตามผลการศึกษาทั่วโลก ประจําปี 2559 การศึกษาเพื่อมนุษย์และโลกของเรา: สร้างสรรค์อนาคตให้ยั่งยืนเพื่อปวงชน: National Launch of the 2016 Global Education Monitoring Report" เมื่อวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ โดยมีนายควาง-โจ คิม ผู้อํานวยการสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ และสํานักงานเพื่อการศึกษาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก, ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นางมากิ ฮายาชิกาวะ หัวหน้าแผนการศึกษาที่มีคุณภาพโดยรวม สํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ, นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, ผู้แทนหน่วยงานภาคการศึกษา, ผู้แทนสถาบันการศึกษา ตลอดจนองค์กรพัฒนาเอกชน เข้าร่วมงาน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นที่รักและเคารพของปวงชนชาวไทย เพราะพระองค์มีต้นแบบที่งดงามคือสมเด็จย่า การสืบสานพระราชปณิธานของในหลวง รัชกาลที่ 9 สู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน จึงเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันมุ่งมั่นปฏิบัติ แม้ว่าเราจะเสียขวัญและเสียกําลังใจไปมากพอสมควรจากการเสด็จสวรรคตของพระองค์ แต่ประเทศไทยต้องดําเนินต่อไป เราจึงต้องไม่ท้อแท้ ไม่เคว้งคว้าง อย่ามัวแต่เศร้าโศกเสียใจ ต้องร่วมกันพัฒนาประเทศ อีกทั้งการน้อมนํากระแสพระราชดํารัสของในหลวง รัชกาลที่ 9 ใส่เกล้าฯ นําไปสู่การปฏิบัติ จะทําให้พระองค์ท่านไม่เสด็จจากพวกเราไปไหนพระองค์ท่านจะประทับสถิตเสถียรอยู่ในดวงใจของปวงชนชาวไทยตลอดไป การจัดงานของยูเนสโกในครั้งนี้ เป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง ที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะได้นําข้อมูลต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ขอให้ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ด้วยการห่วงใยลูกหลานเยาวชน มีความเมตตายิ่ง กรุณายิ่ง ร่วมกันสร้างชาติให้ยั่งยืนเพื่ออนาคตในวันข้างหน้า และขอให้ทุกคนหา Idol หรือต้นแบบในการดํารงชีวิต เพราะหากไม่มีแบบอย่างก็จะทําให้หลงทางในการดําเนินชีวิตได้ นายควาง-โจ คิม ผู้อํานวยการสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯกล่าวถึงรายงานการติดตามผลการศึกษาทั่วโลกปี 2559 ว่าเป็นรายงานประจําปีขององค์การยูเนสโก และเป็นรายงานฉบับแรกของชุดรายงาน 15 ปี เพื่อติดตามดูการจัดการศึกษาของประเทศต่างๆ และประเมินดูว่าโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษาในปี ค.ศ.2030 ที่จะสร้างหลักประกันให้การศึกษามีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน รวมทั้งการส่งเสริมให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาตลอดชีวิตมีความเป็นไปได้มากน้อยอย่างไร การประเมินนี้เป็นเครื่องมือของยูเนสโก ในการกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกได้พัฒนาปรับปรุงหรือแก้ไขปัญหาทางด้านการศึกษาของแต่ละประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายในปีค.ศ.2030 ซึ่งรายงานดังกล่าว ระบุว่า 1. ในโลกใบนี้ (190 ประเทศ) ยังมีเด็กและเยาวชนรวม 263 ล้านคน ที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนในจํานวนนี้ 61 ล้านคน ไม่ได้เข้าโรงเรียนระดับประถมศึกษา, 60 ล้านคน ไม่ได้เข้าโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และ 142 ล้านคน ไม่ได้เข้าโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แม้แต่กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง (พัฒนาแล้ว) ก็ยังไม่สามารถบรรลุผลให้เยาวชนของตนเองเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาได้ทุกคน 2. ในด้านการศึกษาระบุว่า สิ่งที่นํามาใช้ในห้องเรียน เช่น ตํารา สื่อการเรียนต่าง ๆ รวมทั้งกระบวนการจัดการเรียนการสอน มีส่วนสําคัญต่อคุณภาพการศึกษาซึ่งในประเทศที่ยากจนนักเรียน 3 คน ต้องใช้หนังสือร่วมกันเพียง 1 เล่มเท่านั้น ในขณะที่ครูส่วนใหญ่ใช้เวลาในห้องเรียนเพียงร้อยละ 60-65 เท่านั้นในการทุ่มเทให้กับการเรียนการสอน และยังมีปัญหาเรื่องความเท่าเทียมทางการศึกษา โดยเฉพาะเรื่องเพศสภาพ ความพิการ และการย้ายถิ่น 3. การวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของโลกซึ่งวัดเฉพาะการเรียนรู้ทางการอ่านและความรู้ทางคณิตศาสตร์ ก็ยังมีข้อสงสัยในเรื่องเนื้อหาที่จะมาประเมินมาตรฐานของเครื่องมือ และเกณฑ์ที่จะใช้ในการประเมิน อย่างไรก็ตาม มีคําถามว่าการวัดผลสัมฤทธิ์ดังกล่าวเหมาะสมและจําเป็นต่อการดํารงชีวิตอย่างไร และจะนําผลประเมินที่ได้ไปใช้ประโยชน์อย่างไร 4. ด้านปฐมวัย มีเพียง 50 ประเทศจาก 190 ประเทศเท่านั้น ที่กําหนดให้ระดับการศึกษาปฐมวัยเป็นการศึกษาภาคบังคับและในจํานวน 50 ประเทศมี 38 ประเทศที่กําหนดว่าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งพบว่าร้อยละ 80 ของเด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาที่สมวัย ซึ่งปัจจัยสําคัญในการพัฒนาเด็กคือสภาพแวดล้อมที่บ้านโดยเฉพาะบ้านที่มีกิจกรรมทําร่วมกันและบ้านที่มีหนังสือตั้งแต่ 3-10 เล่มขึ้นไป 5. ด้านอาชีวศึกษา มี 140 ประเทศที่มีกรอบคุณวุฒิแห่งชาติซึ่งจะมีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีพในระดับอาชีวศึกษา เพราะจะช่วยให้ผู้เรียน ผู้จัดการศึกษา และนายจ้าง หันมาสนใจกับผลสัมฤทธิ์ และความสามารถทางการปฏิบัติมากกว่าคุณวุฒิ 6. การอุดมศึกษา พบว่ามีคนเรียนอุดมศึกษามากขึ้นเป็น 207 ล้านคนในปี ค.ศ.2015และผู้ที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษามีปัจจัยสําคัญคือรายได้ของผู้เรียน หรือฐานะทางการเงินของครอบครัว ในส่วนของคุณภาพการอุดมศึกษา วัดกันเพียงการจัดลําดับของมหาวิทยาลัย ซึ่งสนใจเฉพาะการวิจัยมากกว่าคุณภาพการสอนและการเรียนรู้ของผู้เรียน 7. ด้านทักษะการทํางานพบว่าทักษะการรู้หนังสือทําให้คนได้รับโอกาสการทํางานสูงขึ้นเกือบสองเท่า ในขณะที่ทักษะทาง ICT มีความจําเป็นมากขึ้นที่ผู้เรียนในทุกระดับต้องพัฒนา ทั้งนี้ ยังไม่มีหลักฐานใดที่ระบุว่าต้องพัฒนาทักษะที่เชื่อว่าจําเป็น เช่น ความเพียรพยายาม ความคิดสร้างสรรค์ การควบคุมอารมณ์ หรือทักษะทางสังคม 8. การรู้หนังสือและการคิดคํานวณเป็นเป้าหมายของการพัฒนาการศึกษาโลกโดยมีข้อสังเกตว่า การรู้หนังสือไม่ใช่เป็นเพียงชุดของทักษะขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงทักษะการรู้หนังสือเพื่อนําไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง สังคม และเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับทักษะการคิดคํานวณ พบว่ามีผู้ใหญ่ที่ยังขาดทักษะการอ่านออกเขียนได้ในระดับที่ใช้งานได้จริง ซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิง 9. แม้ว่าแต่ละประเทศจะรับรู้และเห็นชอบว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน และความเป็นพลเมืองโลกมีความสําคัญและจําเป็นที่จะต้องทําให้คนในประเทศตระหนักรู้ในประเด็นนี้แต่กลับพบว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลกไม่ได้บรรจุเรื่องนี้ไว้ในหลักสูตร และมีครูเพียงร้อยละ 8 เท่านั้นที่รู้และเข้าใจในเรื่องนี้ 10. ห้องเรียนที่แออัดและการมีครูไม่เพียงพอยังคงเป็นปัญหาทั่วโลก นอกจากนี้ รายงานฉบับนี้ได้เสนอแนวโน้มการศึกษาของโลกต่อการบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามวาระการศึกษาปี ค.ศ.2030 โดยการศึกษาจะเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังส่งเสริมให้คนมีบทบาทต่อการพัฒนาโลกในบริบทต่าง ๆ อาทิ การรักษาสภาพแวดล้อม การรับมือกับภัยพิบัติ การขจัดความยากจนและลดความเหลื่อมล้ํา การสร้างสันติภาพ เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-UNESCO จัดสัมมนาเปิดตัว "รายงานการติดตามผลการศึกษาทั่วโลก ประจำปี 2559 การศึกษาเพื่อมนุษย์และโลกของเรา วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 UNESCO จัดสัมมนาเปิดตัว "รายงานการติดตามผลการศึกษาทั่วโลก ประจําปี 2559 การศึกษาเพื่อมนุษย์และโลกของเรา ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายสดุดีและถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9: "การสืบสานพระราชปณิธานสู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน" ในการสัมมนาเปิดตัว "รายงานการติดตามผลการศึกษาทั่วโลก ประจําปี 2559 การศึกษาเพื่อมนุษย์และโลกของเรา: สร้างสรรค์อนาคตให้ยั่งยืนเพื่อปวงชน: National Launch of the 2016 Global Education Monitoring Report" เมื่อวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 ณ โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ โดยมีนายควาง-โจ คิม ผู้อํานวยการสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ และสํานักงานเพื่อการศึกษาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก, ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นางมากิ ฮายาชิกาวะ หัวหน้าแผนการศึกษาที่มีคุณภาพโดยรวม สํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ, นายชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, ผู้แทนหน่วยงานภาคการศึกษา, ผู้แทนสถาบันการศึกษา ตลอดจนองค์กรพัฒนาเอกชน เข้าร่วมงาน ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นที่รักและเคารพของปวงชนชาวไทย เพราะพระองค์มีต้นแบบที่งดงามคือสมเด็จย่า การสืบสานพระราชปณิธานของในหลวง รัชกาลที่ 9 สู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืน จึงเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันมุ่งมั่นปฏิบัติ แม้ว่าเราจะเสียขวัญและเสียกําลังใจไปมากพอสมควรจากการเสด็จสวรรคตของพระองค์ แต่ประเทศไทยต้องดําเนินต่อไป เราจึงต้องไม่ท้อแท้ ไม่เคว้งคว้าง อย่ามัวแต่เศร้าโศกเสียใจ ต้องร่วมกันพัฒนาประเทศ อีกทั้งการน้อมนํากระแสพระราชดํารัสของในหลวง รัชกาลที่ 9 ใส่เกล้าฯ นําไปสู่การปฏิบัติ จะทําให้พระองค์ท่านไม่เสด็จจากพวกเราไปไหนพระองค์ท่านจะประทับสถิตเสถียรอยู่ในดวงใจของปวงชนชาวไทยตลอดไป การจัดงานของยูเนสโกในครั้งนี้ เป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง ที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะได้นําข้อมูลต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ขอให้ผู้ที่เป็นครูบาอาจารย์เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ด้วยการห่วงใยลูกหลานเยาวชน มีความเมตตายิ่ง กรุณายิ่ง ร่วมกันสร้างชาติให้ยั่งยืนเพื่ออนาคตในวันข้างหน้า และขอให้ทุกคนหา Idol หรือต้นแบบในการดํารงชีวิต เพราะหากไม่มีแบบอย่างก็จะทําให้หลงทางในการดําเนินชีวิตได้ นายควาง-โจ คิม ผู้อํานวยการสํานักงานยูเนสโก กรุงเทพฯกล่าวถึงรายงานการติดตามผลการศึกษาทั่วโลกปี 2559 ว่าเป็นรายงานประจําปีขององค์การยูเนสโก และเป็นรายงานฉบับแรกของชุดรายงาน 15 ปี เพื่อติดตามดูการจัดการศึกษาของประเทศต่างๆ และประเมินดูว่าโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษาในปี ค.ศ.2030 ที่จะสร้างหลักประกันให้การศึกษามีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน รวมทั้งการส่งเสริมให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาตลอดชีวิตมีความเป็นไปได้มากน้อยอย่างไร การประเมินนี้เป็นเครื่องมือของยูเนสโก ในการกระตุ้นให้ประเทศสมาชิกได้พัฒนาปรับปรุงหรือแก้ไขปัญหาทางด้านการศึกษาของแต่ละประเทศ เพื่อบรรลุเป้าหมายในปีค.ศ.2030 ซึ่งรายงานดังกล่าว ระบุว่า 1. ในโลกใบนี้ (190 ประเทศ) ยังมีเด็กและเยาวชนรวม 263 ล้านคน ที่ไม่ได้เข้าโรงเรียนในจํานวนนี้ 61 ล้านคน ไม่ได้เข้าโรงเรียนระดับประถมศึกษา, 60 ล้านคน ไม่ได้เข้าโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และ 142 ล้านคน ไม่ได้เข้าโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แม้แต่กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง (พัฒนาแล้ว) ก็ยังไม่สามารถบรรลุผลให้เยาวชนของตนเองเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาได้ทุกคน 2. ในด้านการศึกษาระบุว่า สิ่งที่นํามาใช้ในห้องเรียน เช่น ตํารา สื่อการเรียนต่าง ๆ รวมทั้งกระบวนการจัดการเรียนการสอน มีส่วนสําคัญต่อคุณภาพการศึกษาซึ่งในประเทศที่ยากจนนักเรียน 3 คน ต้องใช้หนังสือร่วมกันเพียง 1 เล่มเท่านั้น ในขณะที่ครูส่วนใหญ่ใช้เวลาในห้องเรียนเพียงร้อยละ 60-65 เท่านั้นในการทุ่มเทให้กับการเรียนการสอน และยังมีปัญหาเรื่องความเท่าเทียมทางการศึกษา โดยเฉพาะเรื่องเพศสภาพ ความพิการ และการย้ายถิ่น 3. การวัดผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของโลกซึ่งวัดเฉพาะการเรียนรู้ทางการอ่านและความรู้ทางคณิตศาสตร์ ก็ยังมีข้อสงสัยในเรื่องเนื้อหาที่จะมาประเมินมาตรฐานของเครื่องมือ และเกณฑ์ที่จะใช้ในการประเมิน อย่างไรก็ตาม มีคําถามว่าการวัดผลสัมฤทธิ์ดังกล่าวเหมาะสมและจําเป็นต่อการดํารงชีวิตอย่างไร และจะนําผลประเมินที่ได้ไปใช้ประโยชน์อย่างไร 4. ด้านปฐมวัย มีเพียง 50 ประเทศจาก 190 ประเทศเท่านั้น ที่กําหนดให้ระดับการศึกษาปฐมวัยเป็นการศึกษาภาคบังคับและในจํานวน 50 ประเทศมี 38 ประเทศที่กําหนดว่าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อีกทั้งพบว่าร้อยละ 80 ของเด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาที่สมวัย ซึ่งปัจจัยสําคัญในการพัฒนาเด็กคือสภาพแวดล้อมที่บ้านโดยเฉพาะบ้านที่มีกิจกรรมทําร่วมกันและบ้านที่มีหนังสือตั้งแต่ 3-10 เล่มขึ้นไป 5. ด้านอาชีวศึกษา มี 140 ประเทศที่มีกรอบคุณวุฒิแห่งชาติซึ่งจะมีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีพในระดับอาชีวศึกษา เพราะจะช่วยให้ผู้เรียน ผู้จัดการศึกษา และนายจ้าง หันมาสนใจกับผลสัมฤทธิ์ และความสามารถทางการปฏิบัติมากกว่าคุณวุฒิ 6. การอุดมศึกษา พบว่ามีคนเรียนอุดมศึกษามากขึ้นเป็น 207 ล้านคนในปี ค.ศ.2015และผู้ที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษามีปัจจัยสําคัญคือรายได้ของผู้เรียน หรือฐานะทางการเงินของครอบครัว ในส่วนของคุณภาพการอุดมศึกษา วัดกันเพียงการจัดลําดับของมหาวิทยาลัย ซึ่งสนใจเฉพาะการวิจัยมากกว่าคุณภาพการสอนและการเรียนรู้ของผู้เรียน 7. ด้านทักษะการทํางานพบว่าทักษะการรู้หนังสือทําให้คนได้รับโอกาสการทํางานสูงขึ้นเกือบสองเท่า ในขณะที่ทักษะทาง ICT มีความจําเป็นมากขึ้นที่ผู้เรียนในทุกระดับต้องพัฒนา ทั้งนี้ ยังไม่มีหลักฐานใดที่ระบุว่าต้องพัฒนาทักษะที่เชื่อว่าจําเป็น เช่น ความเพียรพยายาม ความคิดสร้างสรรค์ การควบคุมอารมณ์ หรือทักษะทางสังคม 8. การรู้หนังสือและการคิดคํานวณเป็นเป้าหมายของการพัฒนาการศึกษาโลกโดยมีข้อสังเกตว่า การรู้หนังสือไม่ใช่เป็นเพียงชุดของทักษะขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงทักษะการรู้หนังสือเพื่อนําไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง สังคม และเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับทักษะการคิดคํานวณ พบว่ามีผู้ใหญ่ที่ยังขาดทักษะการอ่านออกเขียนได้ในระดับที่ใช้งานได้จริง ซึ่งส่วนมากเป็นผู้หญิง 9. แม้ว่าแต่ละประเทศจะรับรู้และเห็นชอบว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน และความเป็นพลเมืองโลกมีความสําคัญและจําเป็นที่จะต้องทําให้คนในประเทศตระหนักรู้ในประเด็นนี้แต่กลับพบว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลกไม่ได้บรรจุเรื่องนี้ไว้ในหลักสูตร และมีครูเพียงร้อยละ 8 เท่านั้นที่รู้และเข้าใจในเรื่องนี้ 10. ห้องเรียนที่แออัดและการมีครูไม่เพียงพอยังคงเป็นปัญหาทั่วโลก นอกจากนี้ รายงานฉบับนี้ได้เสนอแนวโน้มการศึกษาของโลกต่อการบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามวาระการศึกษาปี ค.ศ.2030 โดยการศึกษาจะเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนทั้งการศึกษาในระบบและนอกระบบเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังส่งเสริมให้คนมีบทบาทต่อการพัฒนาโลกในบริบทต่าง ๆ อาทิ การรักษาสภาพแวดล้อม การรับมือกับภัยพิบัติ การขจัดความยากจนและลดความเหลื่อมล้ํา การสร้างสันติภาพ เป็นต้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1831
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563 ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 ควรปฏิบัติตัวอย่างไรดีนะ ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563 ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19 ควรปฏิบัติตัวอย่างไรดีนะ ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันไวรัสโควิด-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27345
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางมอบรางวัลทุนหมุนเวียน ประจำปี 2561 ชูนโยบายเชื่อมโยงรัฐกับประชาชน สู่ไทยนิยมยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม 2561 กรมบัญชีกลางมอบรางวัลทุนหมุนเวียน ประจําปี 2561 ชูนโยบายเชื่อมโยงรัฐกับประชาชน สู่ไทยนิยมยั่งยืน กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2561 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมและสนับสนุนทุนหมุนเวียนให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา และพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีในทุกๆ ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2561 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมและสนับสนุนทุนหมุนเวียนให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา และพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีในทุกๆ ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ผ่านโครงการไทยนิยมยั่งยืน เพื่อมุ่งไปสู่การพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคงต่อไป นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลังพิธีมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2561 โดยได้รับเกียรติจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล “ทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2561” ในวันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม 2561 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ว่า กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่นเป็นประจําทุกปี ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ 11 แล้ว รัฐบาล ให้ความสําคัญกับการนําทุนหมุนเวียนไปใช้เป็นเครื่องมือสําคัญของภาครัฐในการตอบสนองนโยบายด้านต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารและพัฒนาประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนและส่งเสริมให้ทุนหมุนเวียนสามารถดําเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีบทบาทสําคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเท่าเทียมกัน การสร้างโอกาสและพัฒนาอาชีพแก่เกษตรกรให้ยั่งยืน การจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน เพิ่มศักยภาพและพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมสําหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกรที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านกองทุนต่าง ๆ เช่น กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน กองทุนการท่าอากาศยานอู่ตะเภา กองทุนส่งเสริมการให้เอกชนลงทุนในกิจการของรัฐ กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น และเพื่อให้การดําเนินงานในทุกบทบาทภารกิจของทุนหมุนเวียนเห็นผลเป็นรูปธรรม และสามารถพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการ จึงจําเป็นต้องมีการประเมินผลการปฏิบัติงาน ทุนหมุนเวียนทุกแห่งต่างมีเป้าหมายในการดําเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง ซึ่งทุนหมุนเวียนนับว่าเป็นส่วนสําคัญในการส่งเสริม ผลักดัน กระตุ้น รวมทั้งพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนนําไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ํา เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน สมดังเจตนารมณ์ที่ว่า ทุนหมุนเวียน 4.0 เชื่อมโยงรัฐกับประชาชน สู่ไทยนิยมยั่งยืน อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า การมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น เป็นกลไกสําคัญหนึ่งในการสร้างแรงขับเคลื่อนที่สําคัญต่อการพัฒนาทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการดําเนินงานให้เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน ซึ่งจะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติต่อไป ในวันนี้มีทุนหมุนเวียนที่ได้รับรางวัลประจําปี 2561 จํานวนทั้งสิ้น 10 รางวัล จาก 5 ประเภทรางวัล ดังนี้ 1. รางวัลผลการดําเนินงานดีเด่น เป็นรางวัลสําหรับทุนหมุนเวียนที่มีผลการดําเนินงานโดยรวมดีเด่น สามารถดําเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่กําหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล บรรลุเป้าหมายตามภารกิจ จํานวน 4 ทุน ได้แก่ 1) กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2) เงินทุนหมุนเวียนการบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน และการทําของ 3) กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ และ 4) กองทุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 2. รางวัลการพัฒนาดีเด่น เป็นรางวัลสําหรับทุนหมุนเวียนที่มีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการดําเนินงานตามเป้าหมายหรือมาตรฐานที่กําหนดไว้ให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบ่งเป็น - ประเภทดีเด่น ไม่มีทุนหมุนเวียนได้รับรางวัล - ประเภทชมเชย จํานวน 2 ทุน ได้แก่ 1) เงินทุนหมุนเวียนยาเสพติด และ 2) เงินทุนหมุนเวียนเพื่อจัดทําแผ่นป้ายทะเบียนรถ 3. รางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น เป็นรางวัลสําหรับทุนหมุนเวียนที่มีการจัดการบริหารพัฒนา และปรับปรุงองค์กรที่ครอบคลุมตามกรอบการประเมินด้านที่ 4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน จํานวน 2 ทุน ได้แก่ 1) กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และ 2) กองทุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 4. รางวัลทุนหมุนเวียนเกียรติยศ เป็นรางวัลที่ยกย่องชมเชยให้กับทุนหมุนเวียนที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีผลการดําเนินงานในระดับดีเด่นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี จํานวน 1 ทุน ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการวิจัย 5. รางวัลผู้บริหารทุนหมุนเวียนดีเด่น เป็นรางวัลที่ยกย่องผู้บริหารทุนหมุนเวียนที่มีผลงานผ่านการประเมินของคณะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียนในระดับดีขึ้นไป ซึ่งเป็นรางวัลที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จํานวน 1 ทุน ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการวิจัย อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางมุ่งพัฒนาการบริหารจัดการของทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปี 2562 จะมีการกําหนดตัวชี้วัดให้ทุนหมุนเวียนพัฒนาตนเองเข้าสู่สังคมไร้เงินสด เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในเรื่องดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางมอบรางวัลทุนหมุนเวียน ประจำปี 2561 ชูนโยบายเชื่อมโยงรัฐกับประชาชน สู่ไทยนิยมยั่งยืน วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม 2561 กรมบัญชีกลางมอบรางวัลทุนหมุนเวียน ประจําปี 2561 ชูนโยบายเชื่อมโยงรัฐกับประชาชน สู่ไทยนิยมยั่งยืน กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2561 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมและสนับสนุนทุนหมุนเวียนให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา และพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีในทุกๆ ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2561 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมและสนับสนุนทุนหมุนเวียนให้ความช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา และพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีในทุกๆ ด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ผ่านโครงการไทยนิยมยั่งยืน เพื่อมุ่งไปสู่การพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคงต่อไป นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลังพิธีมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2561 โดยได้รับเกียรติจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล “ทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2561” ในวันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม 2561 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ว่า กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่นเป็นประจําทุกปี ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ 11 แล้ว รัฐบาล ให้ความสําคัญกับการนําทุนหมุนเวียนไปใช้เป็นเครื่องมือสําคัญของภาครัฐในการตอบสนองนโยบายด้านต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารและพัฒนาประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนและส่งเสริมให้ทุนหมุนเวียนสามารถดําเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีบทบาทสําคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิต ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างเท่าเทียมกัน การสร้างโอกาสและพัฒนาอาชีพแก่เกษตรกรให้ยั่งยืน การจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงิน เพิ่มศักยภาพและพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมสําหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกรที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านกองทุนต่าง ๆ เช่น กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน กองทุนการท่าอากาศยานอู่ตะเภา กองทุนส่งเสริมการให้เอกชนลงทุนในกิจการของรัฐ กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น และเพื่อให้การดําเนินงานในทุกบทบาทภารกิจของทุนหมุนเวียนเห็นผลเป็นรูปธรรม และสามารถพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหารจัดการ จึงจําเป็นต้องมีการประเมินผลการปฏิบัติงาน ทุนหมุนเวียนทุกแห่งต่างมีเป้าหมายในการดําเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง ซึ่งทุนหมุนเวียนนับว่าเป็นส่วนสําคัญในการส่งเสริม ผลักดัน กระตุ้น รวมทั้งพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนนําไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างมั่นคง ลดความเหลื่อมล้ํา เพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน สมดังเจตนารมณ์ที่ว่า ทุนหมุนเวียน 4.0 เชื่อมโยงรัฐกับประชาชน สู่ไทยนิยมยั่งยืน อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า การมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น เป็นกลไกสําคัญหนึ่งในการสร้างแรงขับเคลื่อนที่สําคัญต่อการพัฒนาทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการดําเนินงานให้เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน ซึ่งจะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติต่อไป ในวันนี้มีทุนหมุนเวียนที่ได้รับรางวัลประจําปี 2561 จํานวนทั้งสิ้น 10 รางวัล จาก 5 ประเภทรางวัล ดังนี้ 1. รางวัลผลการดําเนินงานดีเด่น เป็นรางวัลสําหรับทุนหมุนเวียนที่มีผลการดําเนินงานโดยรวมดีเด่น สามารถดําเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่กําหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล บรรลุเป้าหมายตามภารกิจ จํานวน 4 ทุน ได้แก่ 1) กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2) เงินทุนหมุนเวียนการบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน และการทําของ 3) กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ และ 4) กองทุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 2. รางวัลการพัฒนาดีเด่น เป็นรางวัลสําหรับทุนหมุนเวียนที่มีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการดําเนินงานตามเป้าหมายหรือมาตรฐานที่กําหนดไว้ให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบ่งเป็น - ประเภทดีเด่น ไม่มีทุนหมุนเวียนได้รับรางวัล - ประเภทชมเชย จํานวน 2 ทุน ได้แก่ 1) เงินทุนหมุนเวียนยาเสพติด และ 2) เงินทุนหมุนเวียนเพื่อจัดทําแผ่นป้ายทะเบียนรถ 3. รางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น เป็นรางวัลสําหรับทุนหมุนเวียนที่มีการจัดการบริหารพัฒนา และปรับปรุงองค์กรที่ครอบคลุมตามกรอบการประเมินด้านที่ 4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน จํานวน 2 ทุน ได้แก่ 1) กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และ 2) กองทุนการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 4. รางวัลทุนหมุนเวียนเกียรติยศ เป็นรางวัลที่ยกย่องชมเชยให้กับทุนหมุนเวียนที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีผลการดําเนินงานในระดับดีเด่นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี จํานวน 1 ทุน ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการวิจัย 5. รางวัลผู้บริหารทุนหมุนเวียนดีเด่น เป็นรางวัลที่ยกย่องผู้บริหารทุนหมุนเวียนที่มีผลงานผ่านการประเมินของคณะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียนในระดับดีขึ้นไป ซึ่งเป็นรางวัลที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จํานวน 1 ทุน ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการวิจัย อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางมุ่งพัฒนาการบริหารจัดการของทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปี 2562 จะมีการกําหนดตัวชี้วัดให้ทุนหมุนเวียนพัฒนาตนเองเข้าสู่สังคมไร้เงินสด เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในเรื่องดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืนต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14489
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมกับผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC) เปิดตัว "สื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุ
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562 พม. ร่วมกับผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC) เปิดตัว "สื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุ พม. ร่วมกับผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC) เปิดตัว "สื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียน" วันนี้ (25 พ.ย. 62) เวลา 10.30 น. ที่ห้องจุมภฏ - พันธุ์ทิพย์ ชั้น 4 อาคารประชาธิปก-รําไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดตัว "สื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียน" (The Launch of ASEAN Campaign in Support of the ASEAN RPA on EVAW and the Bohol Trafficking in Persons Work Plans) ด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กับผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์การขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ระดับอาเซียน เนื่องในเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งตรงกับเดือนพฤศจิกายนของทุกปี นางสาวสราญภัทร กล่าวว่า ปัจจุบัน ปัญหาความรุนแรงในสังคมมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะ ความรุนแรงต่อสตรี ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่ส่งผลกระทบต่อทุกมิติในชีวิต อีกทั้งทําให้ สตรีไม่สามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเต็มที่และเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ซึ่งอาจนําไปสู่กระบวนการค้ามนุษย์ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีความพยายาม อย่างมากในการขจัดความรุนแรงต่อสตรี แต่ความก้าวหน้าในเรื่องดังกล่าวยังคงมีให้เห็นน้อยมาก ดังนั้น ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนจึงเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือกันเพื่อขจัดความรุนแรงต่อสตรีให้หมดสิ้นไปจากสังคม นางสาวสราญภัทร กล่าวต่อไปว่า การจัดทําสื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียน นับเป็นความก้าวหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการป้องกันและเฝ้าระวังไม่ให้เกิดปัญหาความรุนแรงต่อสตรีและปัญหาการค้ามนุษย์ อีกทั้งยังเป็นการช่วยให้ผู้ประสบปัญหาได้รับรู้ช่องทางในการขอคําปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือ กรณีที่ประสบปัญหา และคาดหวังว่า จะมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และนําไปใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึงใน 10 ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน ซึ่งการจัดทําสื่อรณรงค์เป็นโครงการภายใต้แผนการทํางานระดับภูมิภาคของคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วย การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC) ซึ่งมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก 16 ประเด็น โดยมีประเด็นเร่งด่วนและสําคัญของภูมิภาคอาเซียน 2 ประเด็น คือ 1) ประเด็นว่าด้วยเรื่องการขจัดความรุนแรงต่อสตรี และ 2) การยุติการค้ามนุษย์ ซึ่งในวันนี้ ได้กําหนดเปิดตัวสื่อรณรงค์ฯ ณ ประเทศไทย โดยกระทรวง พม. ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ 2 ประเด็นดังกล่าว และได้แต่งตั้งคณะทํางานร่วมกันพิจารณาการจัดทําสื่อรณรงค์ฯ ขึ้น ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวง พม. กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ มูลนิธิเพื่อความเสมอภาคทางสังคม มูลนิธิผู้หญิง มูลนิธิความร่วมมือเพื่อต้านการค้าหญิง (GAATW) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และองค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN Women) โดยมีผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีของคณะกรรมาธิการ ACWC เป็นประธาน การจัดทําสื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียนถือเป็นอีกหนึ่ง นางสาวสราญภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า "สื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียน" เป็นสื่อต้นแบบสําหรับใช้เปิดตัวในประเทศไทย เพื่อเป็นโครงการนําร่องที่ให้หน่วยงาน องค์กร และเครือข่ายที่สนใจ ทั้งในระดับประเทศ และประชาคมอาเซียน ร่วมลงนามเห็นชอบ โดยจะมีการเปิดตัวสื่อรณรงค์ฯ โดยพร้อมเพรียงกัน ทั้งในระดับประเทศไทยและประชาคมอาเซียน เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2562 ซึ่งตรงกับวันผู้ย้ายถิ่นสากล ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมเป็นเครือข่ายเพื่อขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ให้หมดไปจากประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมกับผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC) เปิดตัว "สื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุ วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562 พม. ร่วมกับผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC) เปิดตัว "สื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุ พม. ร่วมกับผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC) เปิดตัว "สื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียน" วันนี้ (25 พ.ย. 62) เวลา 10.30 น. ที่ห้องจุมภฏ - พันธุ์ทิพย์ ชั้น 4 อาคารประชาธิปก-รําไพพรรณี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดตัว "สื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียน" (The Launch of ASEAN Campaign in Support of the ASEAN RPA on EVAW and the Bohol Trafficking in Persons Work Plans) ด้วยความร่วมมือระหว่างกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) กับผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์การขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ระดับอาเซียน เนื่องในเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งตรงกับเดือนพฤศจิกายนของทุกปี นางสาวสราญภัทร กล่าวว่า ปัจจุบัน ปัญหาความรุนแรงในสังคมมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะ ความรุนแรงต่อสตรี ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่ส่งผลกระทบต่อทุกมิติในชีวิต อีกทั้งทําให้ สตรีไม่สามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเต็มที่และเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ซึ่งอาจนําไปสู่กระบวนการค้ามนุษย์ ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีความพยายาม อย่างมากในการขจัดความรุนแรงต่อสตรี แต่ความก้าวหน้าในเรื่องดังกล่าวยังคงมีให้เห็นน้อยมาก ดังนั้น ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนจึงเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือกันเพื่อขจัดความรุนแรงต่อสตรีให้หมดสิ้นไปจากสังคม นางสาวสราญภัทร กล่าวต่อไปว่า การจัดทําสื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียน นับเป็นความก้าวหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการป้องกันและเฝ้าระวังไม่ให้เกิดปัญหาความรุนแรงต่อสตรีและปัญหาการค้ามนุษย์ อีกทั้งยังเป็นการช่วยให้ผู้ประสบปัญหาได้รับรู้ช่องทางในการขอคําปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือ กรณีที่ประสบปัญหา และคาดหวังว่า จะมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และนําไปใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึงใน 10 ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียน ซึ่งการจัดทําสื่อรณรงค์เป็นโครงการภายใต้แผนการทํางานระดับภูมิภาคของคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วย การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC) ซึ่งมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก 16 ประเด็น โดยมีประเด็นเร่งด่วนและสําคัญของภูมิภาคอาเซียน 2 ประเด็น คือ 1) ประเด็นว่าด้วยเรื่องการขจัดความรุนแรงต่อสตรี และ 2) การยุติการค้ามนุษย์ ซึ่งในวันนี้ ได้กําหนดเปิดตัวสื่อรณรงค์ฯ ณ ประเทศไทย โดยกระทรวง พม. ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ 2 ประเด็นดังกล่าว และได้แต่งตั้งคณะทํางานร่วมกันพิจารณาการจัดทําสื่อรณรงค์ฯ ขึ้น ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวง พม. กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ มูลนิธิเพื่อความเสมอภาคทางสังคม มูลนิธิผู้หญิง มูลนิธิความร่วมมือเพื่อต้านการค้าหญิง (GAATW) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และองค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (UN Women) โดยมีผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีของคณะกรรมาธิการ ACWC เป็นประธาน การจัดทําสื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียนถือเป็นอีกหนึ่ง นางสาวสราญภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า "สื่อเพื่อรณรงค์ขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียน" เป็นสื่อต้นแบบสําหรับใช้เปิดตัวในประเทศไทย เพื่อเป็นโครงการนําร่องที่ให้หน่วยงาน องค์กร และเครือข่ายที่สนใจ ทั้งในระดับประเทศ และประชาคมอาเซียน ร่วมลงนามเห็นชอบ โดยจะมีการเปิดตัวสื่อรณรงค์ฯ โดยพร้อมเพรียงกัน ทั้งในระดับประเทศไทยและประชาคมอาเซียน เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2562 ซึ่งตรงกับวันผู้ย้ายถิ่นสากล ทั้งนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมเป็นเครือข่ายเพื่อขจัดความรุนแรงต่อสตรีและการต่อต้านการค้ามนุษย์ให้หมดไปจากประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24815
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว.พัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อการจำหน่าย ผัก/ผลไม้ ออนไลน์ นำร่องขนส่ง “มะม่วง” ช่วยลดความเสียหาย เพิ่มช่องทางจำหน่ายผลผลิตการเกษตร
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 วว.พัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่าย ผัก/ผลไม้ ออนไลน์ นําร่องขนส่ง “มะม่วง” ช่วยลดความเสียหาย เพิ่มช่องทางจําหน่ายผลผลิตการเกษตร วว.พัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่าย ผัก/ผลไม้ ออนไลน์ นําร่องขนส่ง “มะม่วง” ช่วยลดความเสียหาย เพิ่มช่องทางจําหน่ายผลผลิตการเกษตร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โชว์นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่ายผักและผลไม้ออนไลน์ ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ นําร่องขนส่ง “มะม่วง” รองรับปริมาณผลผลิตล้นตลาดกว่า 20,000 ตัน ระบุจุดเด่นช่วยลดความเสียหาย บรรจุภัณฑ์แข็งแรง รองรับน้ําหนักผลผลิตได้ 5 กิโลกรัมต่อกล่อง สามารถเรียงซ้อนได้ถึง 14 ชั้น ผลิตจากกระดาษลูกฟูก 5 ชั้นที่มีการดูดซึมน้ําต่ํา เก็บในห้องเย็นที่มีความชื้นสูงได้ ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว. โดย ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) นําร่องในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่ายผักและผลไม้สดออนไลน์ เพื่อช่วยลดความเสียหายของผลิตผลสดในระหว่างการขนส่งขนถ่าย และสืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด 19 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการส่งออกและขนส่ง ทั้งยังส่งผลต่อการบริโภคภายในประเทศ ทําให้มีผลผลิตทางเกษตรที่มีคุณภาพสูงในประเทศจํานวนมากที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวทันเวลา ส่งผลให้เกิดความสูญเสียเป็นจํานวนมาก เนื่องจากไม่มีตลาดรองรับ จึงมีความจําเป็นอย่างเร่งด่วนในการจัดหาหรือเพิ่มช่องทางจําหน่ายผลผลิตทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร “...การตลาดออนไลน์เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เกษตรกรหรือผู้ผลิต พยายามจะขายสินค้าด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาและข้อจํากัดหลายประการ เช่น ยังไม่มีบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานในการป้องกันความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรจุภัณฑ์มีขนาดบรรจุที่มากเกินไป ทําให้สิ้นเปลืองค่าขนส่ง บริษัทขนส่งบางรายปฏิเสธการขนส่งผักและผลไม้สดที่เป็นสินค้าที่เน่าเสียได้ง่าย วว. โดยศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) ในฐานะหน่วยงานกลางรับผิดชอบการบรรจุหีบห่อของชาติ เล็งเห็นความจําเป็นอย่างเร่งด่วนในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์มาตรฐาน เพื่อใช้ในการบรรจุผลิตผลสดสําหรับการจําหน่ายสินค้าออนไลน์ เพื่อช่วยลดความเสียหายในระหว่างขนส่งขนถ่ายจากเกษตรกรจนถึงมือผู้บริโภค โดยมีการนําร่องออกแบบโครงสร้างกล่องบรรจุมะม่วง ที่คาดว่าในปีนี้จะมีมะม่วงน้ําดอกไม้สีทองล้นตลาดในปริมาณมากถึง 20,000 ตัน เนื่องจากไม่สามารถส่งออกไปตลาดหลัก เช่น เกาหลีและญี่ปุ่นได้ ในขณะที่ตลาดในประเทศก็มีจํากัด...” ผู้ว่าการ วว. กล่าว ดร.พัชทรา มณีสินธุ์ ผู้อํานวยการ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย วว. กล่าวเพิ่มเติมว่า บรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่ายผลมะม่วงสดออนไลน์ที่ วว. ได้พัฒนาขึ้น มีจุดเด่นหลายประการที่ช่วยส่งเสริมการจําหน่ายสินค้าออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ผู้บริโภค ได้แก่ มีความแข็งแรง สามารถรองรับน้ําหนักผลผลิตได้ 5 กิโลกรัมต่อกล่อง รับน้ําหนักการเรียงซ้อนได้ถึง 14 ชั้น เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายและรักษาคุณภาพของผลิตผล หากกล่องเกิดการยุบตัวในระหว่างการขนส่งและเก็บรักษา ซึ่งจะทําให้เกิดความเสียหายได้ มีการเจาะช่องระบายอากาศอย่างเหมาะสม เพียงพอต่อการหายใจและคายน้ําของผลมะม่วง จึงช่วยลดการสะสมความร้อนและความชื้นภายในกล่อง ช่วยให้ยืดอายุการเก็บได้ นอกจากนี้บรรจุภัณฑ์ยังผลิตจากกระดาษลูกฟูก 5 ชั้น ที่มีการดูดซึมน้ําต่ํา ทําให้รักษาความแข็งแรงของกล่องไว้ได้อย่างเหมาะสม แม้ว่าจะเก็บในห้องเย็นที่มีความชื้นสูง อีกทั้งรูปแบบและขนาดของกล่อง (50x30 เซ็นติเมตร) ยังมีความเหมาะสม ช่วยประหยัดพื้นที่ ทั้งเพื่อเก็บรักษา ขนส่งและขนถ่าย มีขนาดบรรจุที่เหมาะสม สอดคล้องกับระบบลําเลียงขนส่ง ในส่วนกราฟิกของกล่องออกแบบพิมพ์สีเดียว เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ให้ข้อมูลรายละเอียดที่จําเป็นของสินค้า เช่น ชื่อสินค้า น้ําหนักบรรจุ เกรด แหล่งผลิตหรือที่มา เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ออกแบบให้ใช้กล่องที่มีขนาดมาตรฐานเพียงขนาดเดียว เพื่อให้สามารถบรรจุมะม่วงทุกเกรดที่มีขนาดผลแตกต่างกันได้ เพียงแต่ใช้แผ่นกั้น เพื่อลดการเคลื่อนที่ของผลมะม่วงภายหลังการบรรจุ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) วว. เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์แห่งชาติ มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์ และงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร เพื่อรองรับความต้องการของทุกภาคส่วน สนใจขอรับบริการโปรดติดต่อได้ที่ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย วว. (บางเขน) เลขที่ 196 ถ.พหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร 2579 1121 ต่อ 3101, 3208, 081 702 8377 E-mail :TPC-tistr@tistr.or.th ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว.พัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อการจำหน่าย ผัก/ผลไม้ ออนไลน์ นำร่องขนส่ง “มะม่วง” ช่วยลดความเสียหาย เพิ่มช่องทางจำหน่ายผลผลิตการเกษตร วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 วว.พัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่าย ผัก/ผลไม้ ออนไลน์ นําร่องขนส่ง “มะม่วง” ช่วยลดความเสียหาย เพิ่มช่องทางจําหน่ายผลผลิตการเกษตร วว.พัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่าย ผัก/ผลไม้ ออนไลน์ นําร่องขนส่ง “มะม่วง” ช่วยลดความเสียหาย เพิ่มช่องทางจําหน่ายผลผลิตการเกษตร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โชว์นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่ายผักและผลไม้ออนไลน์ ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ นําร่องขนส่ง “มะม่วง” รองรับปริมาณผลผลิตล้นตลาดกว่า 20,000 ตัน ระบุจุดเด่นช่วยลดความเสียหาย บรรจุภัณฑ์แข็งแรง รองรับน้ําหนักผลผลิตได้ 5 กิโลกรัมต่อกล่อง สามารถเรียงซ้อนได้ถึง 14 ชั้น ผลิตจากกระดาษลูกฟูก 5 ชั้นที่มีการดูดซึมน้ําต่ํา เก็บในห้องเย็นที่มีความชื้นสูงได้ ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า วว. โดย ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) นําร่องในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่ายผักและผลไม้สดออนไลน์ เพื่อช่วยลดความเสียหายของผลิตผลสดในระหว่างการขนส่งขนถ่าย และสืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด 19 ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการส่งออกและขนส่ง ทั้งยังส่งผลต่อการบริโภคภายในประเทศ ทําให้มีผลผลิตทางเกษตรที่มีคุณภาพสูงในประเทศจํานวนมากที่ไม่ได้เก็บเกี่ยวทันเวลา ส่งผลให้เกิดความสูญเสียเป็นจํานวนมาก เนื่องจากไม่มีตลาดรองรับ จึงมีความจําเป็นอย่างเร่งด่วนในการจัดหาหรือเพิ่มช่องทางจําหน่ายผลผลิตทางการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร “...การตลาดออนไลน์เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เกษตรกรหรือผู้ผลิต พยายามจะขายสินค้าด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาและข้อจํากัดหลายประการ เช่น ยังไม่มีบรรจุภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานในการป้องกันความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรจุภัณฑ์มีขนาดบรรจุที่มากเกินไป ทําให้สิ้นเปลืองค่าขนส่ง บริษัทขนส่งบางรายปฏิเสธการขนส่งผักและผลไม้สดที่เป็นสินค้าที่เน่าเสียได้ง่าย วว. โดยศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) ในฐานะหน่วยงานกลางรับผิดชอบการบรรจุหีบห่อของชาติ เล็งเห็นความจําเป็นอย่างเร่งด่วนในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์มาตรฐาน เพื่อใช้ในการบรรจุผลิตผลสดสําหรับการจําหน่ายสินค้าออนไลน์ เพื่อช่วยลดความเสียหายในระหว่างขนส่งขนถ่ายจากเกษตรกรจนถึงมือผู้บริโภค โดยมีการนําร่องออกแบบโครงสร้างกล่องบรรจุมะม่วง ที่คาดว่าในปีนี้จะมีมะม่วงน้ําดอกไม้สีทองล้นตลาดในปริมาณมากถึง 20,000 ตัน เนื่องจากไม่สามารถส่งออกไปตลาดหลัก เช่น เกาหลีและญี่ปุ่นได้ ในขณะที่ตลาดในประเทศก็มีจํากัด...” ผู้ว่าการ วว. กล่าว ดร.พัชทรา มณีสินธุ์ ผู้อํานวยการ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย วว. กล่าวเพิ่มเติมว่า บรรจุภัณฑ์เพื่อการจําหน่ายผลมะม่วงสดออนไลน์ที่ วว. ได้พัฒนาขึ้น มีจุดเด่นหลายประการที่ช่วยส่งเสริมการจําหน่ายสินค้าออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ผู้บริโภค ได้แก่ มีความแข็งแรง สามารถรองรับน้ําหนักผลผลิตได้ 5 กิโลกรัมต่อกล่อง รับน้ําหนักการเรียงซ้อนได้ถึง 14 ชั้น เพื่อช่วยป้องกันความเสียหายและรักษาคุณภาพของผลิตผล หากกล่องเกิดการยุบตัวในระหว่างการขนส่งและเก็บรักษา ซึ่งจะทําให้เกิดความเสียหายได้ มีการเจาะช่องระบายอากาศอย่างเหมาะสม เพียงพอต่อการหายใจและคายน้ําของผลมะม่วง จึงช่วยลดการสะสมความร้อนและความชื้นภายในกล่อง ช่วยให้ยืดอายุการเก็บได้ นอกจากนี้บรรจุภัณฑ์ยังผลิตจากกระดาษลูกฟูก 5 ชั้น ที่มีการดูดซึมน้ําต่ํา ทําให้รักษาความแข็งแรงของกล่องไว้ได้อย่างเหมาะสม แม้ว่าจะเก็บในห้องเย็นที่มีความชื้นสูง อีกทั้งรูปแบบและขนาดของกล่อง (50x30 เซ็นติเมตร) ยังมีความเหมาะสม ช่วยประหยัดพื้นที่ ทั้งเพื่อเก็บรักษา ขนส่งและขนถ่าย มีขนาดบรรจุที่เหมาะสม สอดคล้องกับระบบลําเลียงขนส่ง ในส่วนกราฟิกของกล่องออกแบบพิมพ์สีเดียว เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ให้ข้อมูลรายละเอียดที่จําเป็นของสินค้า เช่น ชื่อสินค้า น้ําหนักบรรจุ เกรด แหล่งผลิตหรือที่มา เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ออกแบบให้ใช้กล่องที่มีขนาดมาตรฐานเพียงขนาดเดียว เพื่อให้สามารถบรรจุมะม่วงทุกเกรดที่มีขนาดผลแตกต่างกันได้ เพียงแต่ใช้แผ่นกั้น เพื่อลดการเคลื่อนที่ของผลมะม่วงภายหลังการบรรจุ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย (ศบท.) วว. เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์แห่งชาติ มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีด้านบรรจุภัณฑ์ และงานบริการวิเคราะห์ทดสอบด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร เพื่อรองรับความต้องการของทุกภาคส่วน สนใจขอรับบริการโปรดติดต่อได้ที่ ศูนย์การบรรจุหีบห่อไทย วว. (บางเขน) เลขที่ 196 ถ.พหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร 2579 1121 ต่อ 3101, 3208, 081 702 8377 E-mail :TPC-tistr@tistr.or.th ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33030
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ฮ่องกง ร่วมยกระดับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจระหว่างกันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562 ไทย-ฮ่องกง ร่วมยกระดับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจระหว่างกันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไทย-ฮ่องกง ร่วมยกระดับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจระหว่างกันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม วันนี้ (29 พ.ย.62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทําเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ นางแคร์รี หล่ํา ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมเป็นประธานการประชุมระดับสูงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างไทย-เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ครั้งที่ 1 โดยมีคณะรัฐมนตรีประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีต่อการเยือนไทยครั้งนี้ของผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นและความสัมพันธ์ที่มีพลวัตระหว่างกัน ทั้งนี้ไทยให้กําลังใจและหวังว่ารัฐบาลฮ่องกงจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ในฮ่องกงด้วยดี รวมถึงเชื่อมั่นว่าด้วยพื้นฐานที่มั่นคงทางเศรษฐกิจและศักยภาพของฮ่องกง จะทําให้ฮ่องกงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่าการประชุมฯ ครั้งนี้จะเป็นก้าวสําคัญในการกําหนดแนวทางและเป้าหมายของความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งนับเป็นมิติใหม่ในความสัมพันธ์ ไทย - ฮ่องกง เนื่องจากจะเป็นกลไกเชิงนโยบายที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมหารือกัน โดยที่ประชุมฯ เห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. ด้านการค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายยืนยันว่าจะร่วมมือกันผลักดันให้มูลค่าการค้าไทยและฮ่องกงบรรลุเป้าหมาย 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 ตามที่ทั้งสองฝ่ายได้ตั้งเป้าไว้ เมื่อปี 2560 พร้อมทั้งเริ่มหารือในเบื้องต้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดทําความตกลงการค้าเสรีไทย - ฮ่องกง และการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุนของภาคเอกชนให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน 2. ด้านการลงทุนและการโยกย้ายฐานการผลิต ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนในการสร้างเครือข่าย การแลกเปลี่ยนการเยือน และการร่วมกิจกรรมระหว่างกัน โดยมุ่งยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการทั้งสองฝ่าย 3. ด้านการเงิน ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันขับเคลื่อนการเชื่อมโยงตลาดหลักทรัพย์และตลาดทุนของกันและกัน ผ่านผลิตภัณฑ์การลงทุนชนิดใหม่ ๆ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกํากับดูแลตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลการตลาด โดยเฉพาะการทํา regulatory mapping ซึ่งจะปูทางไปสู่ผลิตภัณฑ์ด้านการเงินใหม่ ๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนสีเขียว (ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) 4. ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยที่คนไทยและฮ่องกงต่างมี “พลังแห่งความสร้างสรรค์” (creative power) อยู่มาก อาทิ ในด้านภาพยนตร์ ละคร โฆษณา การออกแบบ สองฝ่ายจึงจะร่วมกันพัฒนาและเสริมสร้างให้มีการใช้พลังนั้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะมีการจัดทําแผนงานร่วมกันต่อไป 5. ด้านการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (Start-up) ด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี ทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความสําคัญของการสร้างระบบนิเวศของการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และได้รับทราบถึงพัฒนาการที่เป็นรูปธรรมระหว่าง Hong Kong Cyberport และ Innospace Thailand และแสดงความพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือในลักษณะดังกล่าวให้มีมากยิ่งขึ้น โดยจะร่วมกันสนับสนุนการดําเนินการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ การทําวิจัยร่วม เพื่อส่งเสริมให้ Start-up เข้าสู่ตลาดโลกได้ง่ายขึ้น ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายยืนยันความพร้อมในการร่วมมือกันทํางานอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเชื่อมั่นว่าการประชุมฯ ในวันนี้จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันในทุกมิติแก่ทั้งไทยและฮ่องกง รวมทั้งภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม โดยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ รองนายกรัฐมนตรีและผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน และร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงต่างๆ อีก 5 ฉบับ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์กับศูนย์การออกแบบฮ่องกง บันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์กับสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง บันทึกความเข้าใจระหว่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับสหพันธ์อุตสาหกรรมฮ่องกง บันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทยกับสหพันธ์อุตสาหกรรมฮ่องกง บันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติกับอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้ร่วมกันแถลงข่าว ณ โถงกลางตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ฮ่องกง ร่วมยกระดับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจระหว่างกันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562 ไทย-ฮ่องกง ร่วมยกระดับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจระหว่างกันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไทย-ฮ่องกง ร่วมยกระดับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจระหว่างกันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม วันนี้ (29 พ.ย.62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทําเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ นางแคร์รี หล่ํา ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมเป็นประธานการประชุมระดับสูงว่าด้วยความร่วมมือระหว่างไทย-เขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ครั้งที่ 1 โดยมีคณะรัฐมนตรีประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมด้วย สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีต่อการเยือนไทยครั้งนี้ของผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นและความสัมพันธ์ที่มีพลวัตระหว่างกัน ทั้งนี้ไทยให้กําลังใจและหวังว่ารัฐบาลฮ่องกงจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ในฮ่องกงด้วยดี รวมถึงเชื่อมั่นว่าด้วยพื้นฐานที่มั่นคงทางเศรษฐกิจและศักยภาพของฮ่องกง จะทําให้ฮ่องกงแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่าการประชุมฯ ครั้งนี้จะเป็นก้าวสําคัญในการกําหนดแนวทางและเป้าหมายของความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งนับเป็นมิติใหม่ในความสัมพันธ์ ไทย - ฮ่องกง เนื่องจากจะเป็นกลไกเชิงนโยบายที่ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนร่วมหารือกัน โดยที่ประชุมฯ เห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. ด้านการค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายยืนยันว่าจะร่วมมือกันผลักดันให้มูลค่าการค้าไทยและฮ่องกงบรรลุเป้าหมาย 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 ตามที่ทั้งสองฝ่ายได้ตั้งเป้าไว้ เมื่อปี 2560 พร้อมทั้งเริ่มหารือในเบื้องต้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดทําความตกลงการค้าเสรีไทย - ฮ่องกง และการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุนของภาคเอกชนให้สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน 2. ด้านการลงทุนและการโยกย้ายฐานการผลิต ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนในการสร้างเครือข่าย การแลกเปลี่ยนการเยือน และการร่วมกิจกรรมระหว่างกัน โดยมุ่งยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการทั้งสองฝ่าย 3. ด้านการเงิน ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันขับเคลื่อนการเชื่อมโยงตลาดหลักทรัพย์และตลาดทุนของกันและกัน ผ่านผลิตภัณฑ์การลงทุนชนิดใหม่ ๆ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกํากับดูแลตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลการตลาด โดยเฉพาะการทํา regulatory mapping ซึ่งจะปูทางไปสู่ผลิตภัณฑ์ด้านการเงินใหม่ ๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนสีเขียว (ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) 4. ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยที่คนไทยและฮ่องกงต่างมี “พลังแห่งความสร้างสรรค์” (creative power) อยู่มาก อาทิ ในด้านภาพยนตร์ ละคร โฆษณา การออกแบบ สองฝ่ายจึงจะร่วมกันพัฒนาและเสริมสร้างให้มีการใช้พลังนั้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะมีการจัดทําแผนงานร่วมกันต่อไป 5. ด้านการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (Start-up) ด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี ทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงความสําคัญของการสร้างระบบนิเวศของการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม และได้รับทราบถึงพัฒนาการที่เป็นรูปธรรมระหว่าง Hong Kong Cyberport และ Innospace Thailand และแสดงความพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือในลักษณะดังกล่าวให้มีมากยิ่งขึ้น โดยจะร่วมกันสนับสนุนการดําเนินการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ การทําวิจัยร่วม เพื่อส่งเสริมให้ Start-up เข้าสู่ตลาดโลกได้ง่ายขึ้น ในตอนท้าย ทั้งสองฝ่ายยืนยันความพร้อมในการร่วมมือกันทํางานอย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเชื่อมั่นว่าการประชุมฯ ในวันนี้จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันในทุกมิติแก่ทั้งไทยและฮ่องกง รวมทั้งภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม โดยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ รองนายกรัฐมนตรีและผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน และร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงต่างๆ อีก 5 ฉบับ ได้แก่ บันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์กับศูนย์การออกแบบฮ่องกง บันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์กับสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง บันทึกความเข้าใจระหว่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับสหพันธ์อุตสาหกรรมฮ่องกง บันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทยกับสหพันธ์อุตสาหกรรมฮ่องกง บันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติกับอุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้ร่วมกันแถลงข่าว ณ โถงกลางตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24927
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ยืนยันเตรียมสถานที่ State/Local Quarantine พร้อมรองรับคนไทยต่างแดนกลับประเทศ มั่นใจอำนวยความสะดวกคนไทยเดินทางกลับ 200 คน/วัน ได้เต็มศักยภาพ
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. ยืนยันเตรียมสถานที่ State/Local Quarantine พร้อมรองรับคนไทยต่างแดนกลับประเทศ มั่นใจอํานวยความสะดวกคนไทยเดินทางกลับ 200 คน/วัน ได้เต็มศักยภาพ โฆษก ศบค. ยืนยันเตรียมสถานที่ State/Local Quarantine พร้อมรองรับคนไทยต่างแดนกลับประเทศ มั่นใจอํานวยความสะดวกคนไทยเดินทางกลับ 200 คน/วัน ได้เต็มศักยภาพ วันนี้ (17 เม.ย. 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในนามโฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้ โฆษก ศบค. ตอบถึงข้อห่วงใยจากประชาชนและผู้ปกครองนักเรียนกลุ่ม AFS ที่จะเดินทางกลับสู่ประเทศไทยภายในช่วงเวลา 17 – 19 เม.ย. 63 นี้ รวมถึงคนไทยที่จะเดินทางกลับมาจากกลุ่มประเทศอื่น ๆ ว่า ศบค. ได้มีการประชุมหารือถึงมาตรการรองรับผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งการปฏิบัติงานมีหลายขั้นตอนด้วยกัน ขั้นตอนแรกต้องมีรายชื่อของผู้ที่ต้องการเดินทางกลับมา โดยกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้จัดลําดับในการเดินทางกลับ ขั้นตอนที่สองคือต้องมีเที่ยวบินที่ยังให้บริการ เนื่องจากขณะนี้หลายประเทศได้งดการเดินทางเข้า – ออก แล้ว แต่ประเทศไทยยังมีบางสายการบินที่ให้บริการส่งสินค้าหรือเที่ยวบินที่รับผู้โดยสารที่ต่อเครื่องกลับประเทศ โดยสถาบันการบินพลเรือนจะดูแลเที่ยวบินทั้งหมดนี้ และขั้นตอนสุดท้ายคือการจัดเตรียมพื้นที่เพื่อเป็น State Quarantine โดยกระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงกลาโหมจัดหาดําเนินการ ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์จากกระทรวงสาธารณสุขจําเป็นต้องเข้ามาร่วมปฏิบัติงาน ดูแลผู้ที่เดินทางกลับมา จําเป็นปฏิบัติตามทั้ง 3 ขั้นตอน เพื่อให้มีความรอบคอบ โฆษก ศบค. ย้ําความพร้อมในการจัดพื้นที่เพื่อเป็น State Quarantine กระจายไปในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงจังหวัดทางภาคตะวันออก รวมทั้งยังมีพื้นที่ Local Quarantine ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่กลุ่มนักเรียน AFS และผู้ที่เดินทางกลับมา เพื่อที่จะไม่ให้มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งการจํากัดการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยไม่เกินวันละ 200 คนนั้น เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างเต็มศักยภาพ โฆษก ศบค. ขอยืนยันว่าพื้นที่เพื่อ State Quarantine นั้นเพียงพอ มีมาตรการรองรับอย่างมีประสิทธิภาพ โฆษก ศบค. ยังชี้แจงการติดตามอาการหรือเรียกตรวจหาเชื้อจากผู้ป่วยซ้ํา และมาตรการในการแก้ไขปัญหากรณีการปกปิดข้อมูลของผู้ป่วยว่า ตามหลักการของผู้ติดเชื้อที่หายเป็นปกติจะมีภูมิคุ้มกันของโรคโดยไม่จําเป็นต้องตรวจหาเชื้อซ้ํา เพราะขณะที่รักษาตัวอยู่จะมีการตรวจหาเชื้อจนกว่าผลจะออกมาว่าไม่พบเชื้อแล้ว ซึ่งขณะนี้ได้มีการเรียกตัวผู้ป่วยที่หายเป็นปกติกลับเข้ามาเนื่องจากสภากาชาด ต้องการพลาสม่าที่มีภูมิคุ้มกันเพื่อนําไปช่วยเหลือผู้ป่วยอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ โฆษก ศบค. ได้กล่าวถึงมาตรการในการแก้ไขปัญหากรณีการปกปิดข้อมูลของผู้ป่วย ว่า ข้อมูลและประวัติต่าง ๆ ของผู้ป่วยมีความสําคัญเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยทุกคนต้องให้ความร่วมมือ ซื่อสัตย์ และจริงใจ ถ้าหากต้องการที่จะหายเป็นปกติ ต้องให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงกับบุคลากรทางการแพทย์เพื่อหาแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง หากปกปิดข้อมูลหรือจงใจทําให้เกิดความเสียหายจะต้องได้รับการดําเนินคดี บางกรณีที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็จะต้องมีการตรวจสอบเป็นรายบุคคลไป ในตอนท้าย โฆษก ศบค. กล่าวฝากข้อความสั้นๆ ว่า “ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก” คือ การประมาทแม้แต่เพียงเล็กน้อย เกิดขึ้นจากใครคนใดคนหนึ่งก็ตามแต่ อาจจะทําให้ความเสียหายเกิดขึ้นมากมาย ขอให้ประชาชนทุกคนจงไม่ประมาท ซึ่งจะทําให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและรอดพ้นจากช่วงวิกฤตนี้ไปได้ ........................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ยืนยันเตรียมสถานที่ State/Local Quarantine พร้อมรองรับคนไทยต่างแดนกลับประเทศ มั่นใจอำนวยความสะดวกคนไทยเดินทางกลับ 200 คน/วัน ได้เต็มศักยภาพ วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. ยืนยันเตรียมสถานที่ State/Local Quarantine พร้อมรองรับคนไทยต่างแดนกลับประเทศ มั่นใจอํานวยความสะดวกคนไทยเดินทางกลับ 200 คน/วัน ได้เต็มศักยภาพ โฆษก ศบค. ยืนยันเตรียมสถานที่ State/Local Quarantine พร้อมรองรับคนไทยต่างแดนกลับประเทศ มั่นใจอํานวยความสะดวกคนไทยเดินทางกลับ 200 คน/วัน ได้เต็มศักยภาพ วันนี้ (17 เม.ย. 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในนามโฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้ โฆษก ศบค. ตอบถึงข้อห่วงใยจากประชาชนและผู้ปกครองนักเรียนกลุ่ม AFS ที่จะเดินทางกลับสู่ประเทศไทยภายในช่วงเวลา 17 – 19 เม.ย. 63 นี้ รวมถึงคนไทยที่จะเดินทางกลับมาจากกลุ่มประเทศอื่น ๆ ว่า ศบค. ได้มีการประชุมหารือถึงมาตรการรองรับผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งการปฏิบัติงานมีหลายขั้นตอนด้วยกัน ขั้นตอนแรกต้องมีรายชื่อของผู้ที่ต้องการเดินทางกลับมา โดยกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้จัดลําดับในการเดินทางกลับ ขั้นตอนที่สองคือต้องมีเที่ยวบินที่ยังให้บริการ เนื่องจากขณะนี้หลายประเทศได้งดการเดินทางเข้า – ออก แล้ว แต่ประเทศไทยยังมีบางสายการบินที่ให้บริการส่งสินค้าหรือเที่ยวบินที่รับผู้โดยสารที่ต่อเครื่องกลับประเทศ โดยสถาบันการบินพลเรือนจะดูแลเที่ยวบินทั้งหมดนี้ และขั้นตอนสุดท้ายคือการจัดเตรียมพื้นที่เพื่อเป็น State Quarantine โดยกระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงกลาโหมจัดหาดําเนินการ ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์จากกระทรวงสาธารณสุขจําเป็นต้องเข้ามาร่วมปฏิบัติงาน ดูแลผู้ที่เดินทางกลับมา จําเป็นปฏิบัติตามทั้ง 3 ขั้นตอน เพื่อให้มีความรอบคอบ โฆษก ศบค. ย้ําความพร้อมในการจัดพื้นที่เพื่อเป็น State Quarantine กระจายไปในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงจังหวัดทางภาคตะวันออก รวมทั้งยังมีพื้นที่ Local Quarantine ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่กลุ่มนักเรียน AFS และผู้ที่เดินทางกลับมา เพื่อที่จะไม่ให้มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งการจํากัดการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยไม่เกินวันละ 200 คนนั้น เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างเต็มศักยภาพ โฆษก ศบค. ขอยืนยันว่าพื้นที่เพื่อ State Quarantine นั้นเพียงพอ มีมาตรการรองรับอย่างมีประสิทธิภาพ โฆษก ศบค. ยังชี้แจงการติดตามอาการหรือเรียกตรวจหาเชื้อจากผู้ป่วยซ้ํา และมาตรการในการแก้ไขปัญหากรณีการปกปิดข้อมูลของผู้ป่วยว่า ตามหลักการของผู้ติดเชื้อที่หายเป็นปกติจะมีภูมิคุ้มกันของโรคโดยไม่จําเป็นต้องตรวจหาเชื้อซ้ํา เพราะขณะที่รักษาตัวอยู่จะมีการตรวจหาเชื้อจนกว่าผลจะออกมาว่าไม่พบเชื้อแล้ว ซึ่งขณะนี้ได้มีการเรียกตัวผู้ป่วยที่หายเป็นปกติกลับเข้ามาเนื่องจากสภากาชาด ต้องการพลาสม่าที่มีภูมิคุ้มกันเพื่อนําไปช่วยเหลือผู้ป่วยอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ โฆษก ศบค. ได้กล่าวถึงมาตรการในการแก้ไขปัญหากรณีการปกปิดข้อมูลของผู้ป่วย ว่า ข้อมูลและประวัติต่าง ๆ ของผู้ป่วยมีความสําคัญเป็นอย่างมาก ผู้ป่วยทุกคนต้องให้ความร่วมมือ ซื่อสัตย์ และจริงใจ ถ้าหากต้องการที่จะหายเป็นปกติ ต้องให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงกับบุคลากรทางการแพทย์เพื่อหาแนวทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง หากปกปิดข้อมูลหรือจงใจทําให้เกิดความเสียหายจะต้องได้รับการดําเนินคดี บางกรณีที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็จะต้องมีการตรวจสอบเป็นรายบุคคลไป ในตอนท้าย โฆษก ศบค. กล่าวฝากข้อความสั้นๆ ว่า “ไม่ประมาท การ์ดอย่าตก” คือ การประมาทแม้แต่เพียงเล็กน้อย เกิดขึ้นจากใครคนใดคนหนึ่งก็ตามแต่ อาจจะทําให้ความเสียหายเกิดขึ้นมากมาย ขอให้ประชาชนทุกคนจงไม่ประมาท ซึ่งจะทําให้เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและรอดพ้นจากช่วงวิกฤตนี้ไปได้ ........................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29260
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5 หน่วยงาน ลงนามความร่วมมืองานให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหา/จำเลยคดียาเสพติด
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563 5 หน่วยงาน ลงนามความร่วมมืองานให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหา/จําเลยคดียาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานศาลยุติธรรม สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ลงนามความร่วมมือเพื่อการดําเนินงานให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหาหรือจําเลยคดียาเสพติดในระบบศา ระทรวงสาธารณสุข สํานักงานศาลยุติธรรม สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ลงนามความร่วมมือเพื่อการดําเนินงานให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหาหรือจําเลยคดียาเสพติดในระบบศาล วันนี้ (30 มกราคม 2563) ที่ห้องประชุมสํานักงานศาลยุติธรรม นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการดําเนินงานให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหาหรือจําเลยคดียาเสพติดในระบบศาล กับสํานักงานศาลยุติธรรม สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธี นายแพทย์สุขุม กล่าวว่า รัฐบาลได้กําหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ยึดหลักผู้เสพคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบําบัดรักษาให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม เน้นการบูรณาการการทํางานทุกภาคส่วน เพื่อลดระดับของปัญหายาเสพติดโดยเร็ว โดยเปิดคลินิกให้คําปรึกษาด้านจิตสังคม แก้ไข บําบัด ฟื้นฟู ผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือคดีที่มีโทษไม่ร้ายแรง เพื่อลดโอกาสการกระทําผิดซ้ํา และสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจให้แก่ผู้ติดยาเสพติดที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะสนับสนุนด้านวิชาการเพื่อพัฒนาระบบบริการในคลินิก พัฒนาองค์ความรู้ให้แก่บุคลากรศาล และผู้ให้คําปรึกษาด้านจิตสังคม พัฒนาระบบส่งต่อการเข้ารับการรักษาสถานพยาบาลในสังกัด และเสริมสร้างเครือข่ายการให้บริการในการเชื่อมโยงการดูแลอย่างทั่วถึง ************************************** 30 มกราคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5 หน่วยงาน ลงนามความร่วมมืองานให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหา/จำเลยคดียาเสพติด วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563 5 หน่วยงาน ลงนามความร่วมมืองานให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหา/จําเลยคดียาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานศาลยุติธรรม สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ลงนามความร่วมมือเพื่อการดําเนินงานให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหาหรือจําเลยคดียาเสพติดในระบบศา ระทรวงสาธารณสุข สํานักงานศาลยุติธรรม สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ลงนามความร่วมมือเพื่อการดําเนินงานให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหาหรือจําเลยคดียาเสพติดในระบบศาล วันนี้ (30 มกราคม 2563) ที่ห้องประชุมสํานักงานศาลยุติธรรม นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการดําเนินงานให้คําปรึกษาด้านจิตสังคมแก่ผู้ต้องหาหรือจําเลยคดียาเสพติดในระบบศาล กับสํานักงานศาลยุติธรรม สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธี นายแพทย์สุขุม กล่าวว่า รัฐบาลได้กําหนดให้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ ยึดหลักผู้เสพคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบําบัดรักษาให้กลับมาเป็นคนดีของสังคม เน้นการบูรณาการการทํางานทุกภาคส่วน เพื่อลดระดับของปัญหายาเสพติดโดยเร็ว โดยเปิดคลินิกให้คําปรึกษาด้านจิตสังคม แก้ไข บําบัด ฟื้นฟู ผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือคดีที่มีโทษไม่ร้ายแรง เพื่อลดโอกาสการกระทําผิดซ้ํา และสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจให้แก่ผู้ติดยาเสพติดที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขจะสนับสนุนด้านวิชาการเพื่อพัฒนาระบบบริการในคลินิก พัฒนาองค์ความรู้ให้แก่บุคลากรศาล และผู้ให้คําปรึกษาด้านจิตสังคม พัฒนาระบบส่งต่อการเข้ารับการรักษาสถานพยาบาลในสังกัด และเสริมสร้างเครือข่ายการให้บริการในการเชื่อมโยงการดูแลอย่างทั่วถึง ************************************** 30 มกราคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26167
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จับมือ ยุติธรรมและสำนักงานอัยการสูงสุด วางกรอบการสร้างการรับรู้ประชาชน เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน
วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561 มหาดไทย จับมือ ยุติธรรมและสํานักงานอัยการสูงสุด วางกรอบการสร้างการรับรู้ประชาชน เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน มหาดไทย จับมือ ยุติธรรมและสํานักงานอัยการสูงสุด วางกรอบการสร้างการรับรู้ประชาชนเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน วันนี้ (13 มี.ค. 2561) เวลา 14.00 น. ที่กระทรวงมหาดไทย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานการหารือเพื่อจัดทํากรอบเนื้อหา ในการสร้างการรับรู้เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ร่วมกับผู้แทนกระทรวงยุติธรรมและผู้แทนสํานักงานอัยการสูงสุด นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้หารือร่วมกับนางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายศักดาช่วงรังษี เลขานุการอัยการสูงสุด และนายกรุณา พันธุ์เพ็ชรเลขานุการรองอัยการสูงสุด ผู้แทนสํานักงานอัยการสูงสุดเพื่อจัดทํากรอบเนื้อหาการสร้างการรับรู้เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนมีความรู้เท่าทันป้องกันปัญหาการถูกหลอกลวงตามกรอบหลักการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในประเด็นที่ 4 วิถีไทยพอเพียง และประเด็นที่ 5 รู้สิทธิ รู้หน้าที่รู้กฎหมาย ซึ่งกําหนดลงพื้นที่เพื่อสร้างการรับรู้ ในเรื่องดังกล่าวในครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 21 มีนาคม – 10 เมษายน 2561 และ ครั้งที่ 3ระหว่างวันที่ 11 – 30 เมษายน 2561 ทั้งนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนสํานักงานอัยการสูงสุดได้ร่วมเสนอแนะ และพิจารณากรอบการจัดทําเนื้อหาประกอบด้วย ประเภทรูปแบบพฤติกรรมการหลอกลวงประชาชน วิธีการ/แนวทางการป้องกันและกฎหมายที่ประชาชนควรรู้เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงเพื่อจัดทําข้อมูลให้แก่ทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน ระดับจังหวัด/กทม./อําเภอนําไปถ่ายทอดสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่ ในท้ายสุด รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวถึงการพิจารณาจัดทํากรอบเนื้อหาเพิ่มเติมในการสร้างการรับรู้เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงเนื่องจากเป็นการส่งเสริมการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนสร้างการมีเหตุมีผล เกิดความพอประมาณซึ่งสอดคล้องกับการส่งเสริมการดํารงชีวิตโดยนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ และการให้ความรู้ประชาชนเรื่องสิทธิ หน้าที่ และการเป็นพลเมืองที่ดีอันจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนและป้องกันปัญหาการหลอกลวงในพื้นที่. ครั้งที่ 59/2561 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย จับมือ ยุติธรรมและสำนักงานอัยการสูงสุด วางกรอบการสร้างการรับรู้ประชาชน เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน วันพุธที่ 14 มีนาคม 2561 มหาดไทย จับมือ ยุติธรรมและสํานักงานอัยการสูงสุด วางกรอบการสร้างการรับรู้ประชาชน เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน มหาดไทย จับมือ ยุติธรรมและสํานักงานอัยการสูงสุด วางกรอบการสร้างการรับรู้ประชาชนเพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน วันนี้ (13 มี.ค. 2561) เวลา 14.00 น. ที่กระทรวงมหาดไทย นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานการหารือเพื่อจัดทํากรอบเนื้อหา ในการสร้างการรับรู้เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ร่วมกับผู้แทนกระทรวงยุติธรรมและผู้แทนสํานักงานอัยการสูงสุด นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้หารือร่วมกับนางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายศักดาช่วงรังษี เลขานุการอัยการสูงสุด และนายกรุณา พันธุ์เพ็ชรเลขานุการรองอัยการสูงสุด ผู้แทนสํานักงานอัยการสูงสุดเพื่อจัดทํากรอบเนื้อหาการสร้างการรับรู้เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนมีความรู้เท่าทันป้องกันปัญหาการถูกหลอกลวงตามกรอบหลักการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในประเด็นที่ 4 วิถีไทยพอเพียง และประเด็นที่ 5 รู้สิทธิ รู้หน้าที่รู้กฎหมาย ซึ่งกําหนดลงพื้นที่เพื่อสร้างการรับรู้ ในเรื่องดังกล่าวในครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 21 มีนาคม – 10 เมษายน 2561 และ ครั้งที่ 3ระหว่างวันที่ 11 – 30 เมษายน 2561 ทั้งนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนสํานักงานอัยการสูงสุดได้ร่วมเสนอแนะ และพิจารณากรอบการจัดทําเนื้อหาประกอบด้วย ประเภทรูปแบบพฤติกรรมการหลอกลวงประชาชน วิธีการ/แนวทางการป้องกันและกฎหมายที่ประชาชนควรรู้เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงเพื่อจัดทําข้อมูลให้แก่ทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน ระดับจังหวัด/กทม./อําเภอนําไปถ่ายทอดสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่ ในท้ายสุด รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวถึงการพิจารณาจัดทํากรอบเนื้อหาเพิ่มเติมในการสร้างการรับรู้เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกลวงเนื่องจากเป็นการส่งเสริมการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนสร้างการมีเหตุมีผล เกิดความพอประมาณซึ่งสอดคล้องกับการส่งเสริมการดํารงชีวิตโดยนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ และการให้ความรู้ประชาชนเรื่องสิทธิ หน้าที่ และการเป็นพลเมืองที่ดีอันจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนและป้องกันปัญหาการหลอกลวงในพื้นที่. ครั้งที่ 59/2561 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10746
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK แถลงผลการดำเนินงานเดือนมกราคม-กันยายน 2561
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561 EXIM BANK แถลงผลการดําเนินงานเดือนมกราคม-กันยายน 2561 EXIM BANK แถลงผลการดําเนินงานเดือนมกราคม-กันยายน 2561 สนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายการค้าและการลงทุนในตลาดโลกโตอย่างต่อเนื่อง EXIM BANK แถลงผลการดําเนินงานเดือนมกราคม-กันยายน 2561 สนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายการค้าและการลงทุนในตลาดโลกโตอย่างต่อเนื่อง EXIM BANK เปิดเผยผลการดําเนินงานในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2561 สนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายการค้าและการลงทุนในตลาดโลกโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อคงค้างขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.81% เป็นจํานวน 95,817 ล้านบาท โดยกว่า 40% เป็นเงินให้สินเชื่อคงค้างแก่ SMEs นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่าในปี 2561 EXIM BANK มีการพัฒนารูปแบบการดําเนินธุรกิจรวมทั้งพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นไปตามแผนแม่บท EXIM BANK 10 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดย EXIM BANK มุ่งมั่นส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยโดยการให้สินเชื่อ ค้ําประกัน รับประกันความเสี่ยง และบริการที่เกี่ยวเนื่อง ขณะเดียวกันได้ดําเนินตามนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้มากขึ้น โดยสนับสนุนให้เข้าถึงบริการทางการเงินเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ทั้งทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ทําให้ผลการดําเนินงานของ EXIM BANK เป็นที่น่าพอใจ กรรมการผู้จัดการเปิดเผยต่อไปว่า ผลการดําเนินงานของ EXIM BANK ในรอบ 9 เดือนของปี 2561 โดยมีเงินให้สินเชื่อคงค้าง 95,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,880 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.81 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 29,732 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 66,085 ล้านบาท โดย ธสน. มีการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และขนาดใหญ่ (L) เพิ่มขึ้น ทําให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 131,474 ล้านบาท โดยในจํานวนนี้เป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs เท่ากับ 74,740 ล้านบาท และ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 มีเงินให้สินเชื่อคงค้างแก่ SMEs เท่ากับ 38,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งหมดนี้เป็นผลให้ ธสน. มีกําไรสุทธิ 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นายพิศิษฐ์กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมีการบริหารจัดการสินเชื่อด้อยคุณภาพให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs Ratio) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 อยู่ที่ 3.80% ลดลง 0.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพจํานวน 3,643 ล้านบาท และมีเงินสํารองหนี้สงสัยจะสูญจํานวน 8,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,246 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นสํารองหนี้พึงกันตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจํานวน 4,058 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินสํารองที่กันไว้แล้วต่อสํารองหนี้พึงกัน 220.02% ทําให้ EXIM BANK ยังคงดํารงฐานะการเงินที่มั่นคง สําหรับการให้บริการประกันการส่งออกเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชําระเงินจากคู่ค้าในต่างประเทศ ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย ทั้งในตลาดการค้าเดิมและตลาดใหม่ ในไตรมาส 3 ปี 2561 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุนเท่ากับ 64,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,894 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs จํานวน 11,604 ล้านบาท หรือ 17.91% ของปริมาณธุรกิจสะสมรวม การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศ ปัจจุบัน EXIM BANK มีวงเงินให้การสนับสนุนสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 66,718 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2561 จํานวน 38,218 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังตลาดใหม่ (New Frontiers) โดยเฉพาะ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 มีเงินให้สินเชื่อคงค้างจํานวน 29,197 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2560 เท่ากับ 1,302 ล้านบาท ทั้งนี้ EXIM BANK มีแผนเปิดสํานักงานผู้แทน (Representative Office) ในกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มเติมจากที่ได้เปิดสํานักงานผู้แทนในต่างประเทศแห่งแรกในย่างกุ้ง เมื่อปี 2560 และแห่งที่ 2 ในเวียงจันทน์ สปป.ลาว ซึ่งจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2561 จากนั้นปี 2562 จะดําเนินการเปิดสํานักงานผู้แทนในพนมเปญ กัมพูชาต่อไป เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศคู่ค้าหลักในกลุ่มประเทศ CLMV และเพิ่มสัดส่วนการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการไทย “EXIM BANK ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรและยุทธศาสตร์การค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีในการบริหารจัดการและบริการทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถเป็นที่พึ่งของผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยในตลาดโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา” นายพิศิษฐ์กล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร EXIM BANK สํานักงานใหญ่ โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141, 1144 EXIM Thailand Announces Operating Results for January-September 2018Enhancing Support for Thai Entrepreneurs’ Trade and Investment Expansion Globally EXIM Thailand announced its operating results for January-September 2018, achieving its target in supporting Thai entrepreneurs’ trade and investment expansion globally with an increase in outstanding loans by 12.81% year-on-year to total 95,817 million baht, of which over 40% was outstanding SME loans. Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that, in 2018, EXIM Thailand continued to move forward with its business model development and organizational transformation from the previous year. This has been in line with its 10-year enterprise plan aiming to support Thailand’s long-term economic development and drive the 20-year national strategy to enhance the country’s competitiveness. EXIM Thailand has remained steadfast in promoting and supporting Thai entrepreneurs through rendering of credit, guarantee and insurance facilities as well as other relevant services, while responding to the government policy to extend greater support for SMEs so that they can better access financial sources and accordingly facilitate their international trade and investment with competitive advantage. EXIM Thailand has consequently been able to achieve satisfactory operating results. EXIM Thailand President further said that, in the first nine months of 2018, the Bank’s total outstanding loans amounted to 95,817 million baht, a 10,880 million baht or 12.81% growth year-on-year, comprising 29,732 million baht in trade finance and 66,085 million baht in investment finance. Provision of credit facilities to SMEs and large enterprises has expanded, contributing to a business turnover of 131,474 million baht, of which 74,740 million baht came from SMEs. As of the end of September 2018, outstanding SME loans amounted to 38,351 million baht, representing a 6.86% year-on-year growth. This contributed to the Bank’s net profit of 1,102 million baht, up by 8.48% year-on-year. Mr. Pisit added that EXIM Thailand had efficiently managed non-performing loans (NPLs). As a result, its NPLs ratio as of the end of September 2018 stood at 3.80%, a 0.16% decline year-on-year, with NPLs amounting to 3,643 million baht. Allowance for doubtful accounts was 8,928 million baht, a 1,246 million baht increase from the corresponding period of the previous year. Of the total allowance, 4,058 million baht was minimum provisioning requirement by the Bank of Thailand, which represented a ratio of loan loss provision against the regulatory requirement of 220.02%, hence enabling the Bank to maintain a strong financial status. In performing as an export credit insurance agency to safeguard Thai exporters against risk of foreign trade partners’ non-payment and boost their confidence and competitive advantage in both existing and new frontier markets, in the third quarter of 2018, EXIM Thailand recorded 64,793 million baht in export credit and investment insurance business turnover, up by 13,894 million baht year-on-year, and of which 11,604 million baht came from SMEs’ exports, representing 17.91% of the Bank’s accumulated insurance business turnover. As for support of Thai entrepreneurs’ international trade and investment, EXIM Thailand currently has a total accumulated loan approval amount of 66,718 million baht for international projects, with outstanding loans accounting for 38,218 million baht as of the end of September 2018. The Bank has also consistently promoted Thai trade and investment expansion to new frontiers, particularly the CLMV (Cambodia, Lao PDR, Myanmar and Vietnam) which are high potential markets for Thai entrepreneurs. As of the end of September 2018, outstanding loans amounted to 29,197 million baht, which was a 1,302 million baht growth from the end of 2017. EXIM Thailand has planned to open more representative offices in the CLMV in addition to those duly opened and in operation. Its first international representative office was opened in Yangon City of Myanmar in 2017 and the second one in Vientiane City of Lao PDR, the official opening ceremony of which will be held in November 2018. Another representative office will be opened in 2019 in Phnom Penh City of Cambodia. This aims to promote Thai entrepreneurs’ trade and investment with their counterparts in the CLMV with the increase in business volume and proportion. “We will forge ahead with our initiatives to drive the organization and trade and investment strategy focusing on continued development of financial service and management technologies and through integrated collaboration with public and private business alliances both at home and overseas. We aspire to be a source on which Thai exporters and investors can rely in their business endeavors amid the changing global business circumstances of the new era,” added Mr. Pisit. For further information, please contact Corporate Communication Division, Secretary and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141, 1144
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK แถลงผลการดำเนินงานเดือนมกราคม-กันยายน 2561 วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561 EXIM BANK แถลงผลการดําเนินงานเดือนมกราคม-กันยายน 2561 EXIM BANK แถลงผลการดําเนินงานเดือนมกราคม-กันยายน 2561 สนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายการค้าและการลงทุนในตลาดโลกโตอย่างต่อเนื่อง EXIM BANK แถลงผลการดําเนินงานเดือนมกราคม-กันยายน 2561 สนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายการค้าและการลงทุนในตลาดโลกโตอย่างต่อเนื่อง EXIM BANK เปิดเผยผลการดําเนินงานในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2561 สนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายการค้าและการลงทุนในตลาดโลกโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อคงค้างขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.81% เป็นจํานวน 95,817 ล้านบาท โดยกว่า 40% เป็นเงินให้สินเชื่อคงค้างแก่ SMEs นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่าในปี 2561 EXIM BANK มีการพัฒนารูปแบบการดําเนินธุรกิจรวมทั้งพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นไปตามแผนแม่บท EXIM BANK 10 ปี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดย EXIM BANK มุ่งมั่นส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยโดยการให้สินเชื่อ ค้ําประกัน รับประกันความเสี่ยง และบริการที่เกี่ยวเนื่อง ขณะเดียวกันได้ดําเนินตามนโยบายรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้มากขึ้น โดยสนับสนุนให้เข้าถึงบริการทางการเงินเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ทั้งทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ทําให้ผลการดําเนินงานของ EXIM BANK เป็นที่น่าพอใจ กรรมการผู้จัดการเปิดเผยต่อไปว่า ผลการดําเนินงานของ EXIM BANK ในรอบ 9 เดือนของปี 2561 โดยมีเงินให้สินเชื่อคงค้าง 95,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10,880 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.81 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 29,732 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 66,085 ล้านบาท โดย ธสน. มีการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และขนาดใหญ่ (L) เพิ่มขึ้น ทําให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 131,474 ล้านบาท โดยในจํานวนนี้เป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs เท่ากับ 74,740 ล้านบาท และ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 มีเงินให้สินเชื่อคงค้างแก่ SMEs เท่ากับ 38,351 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งหมดนี้เป็นผลให้ ธสน. มีกําไรสุทธิ 1,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นายพิศิษฐ์กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ EXIM BANK ยังมีการบริหารจัดการสินเชื่อด้อยคุณภาพให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs Ratio) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 อยู่ที่ 3.80% ลดลง 0.16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพจํานวน 3,643 ล้านบาท และมีเงินสํารองหนี้สงสัยจะสูญจํานวน 8,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,246 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นสํารองหนี้พึงกันตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจํานวน 4,058 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินสํารองที่กันไว้แล้วต่อสํารองหนี้พึงกัน 220.02% ทําให้ EXIM BANK ยังคงดํารงฐานะการเงินที่มั่นคง สําหรับการให้บริการประกันการส่งออกเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชําระเงินจากคู่ค้าในต่างประเทศ ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย ทั้งในตลาดการค้าเดิมและตลาดใหม่ ในไตรมาส 3 ปี 2561 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและประกันความเสี่ยงการลงทุนเท่ากับ 64,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,894 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs จํานวน 11,604 ล้านบาท หรือ 17.91% ของปริมาณธุรกิจสะสมรวม การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศ ปัจจุบัน EXIM BANK มีวงเงินให้การสนับสนุนสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 66,718 ล้านบาท และมีเงินให้สินเชื่อคงค้าง ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2561 จํานวน 38,218 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังตลาดใหม่ (New Frontiers) โดยเฉพาะ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 มีเงินให้สินเชื่อคงค้างจํานวน 29,197 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2560 เท่ากับ 1,302 ล้านบาท ทั้งนี้ EXIM BANK มีแผนเปิดสํานักงานผู้แทน (Representative Office) ในกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มเติมจากที่ได้เปิดสํานักงานผู้แทนในต่างประเทศแห่งแรกในย่างกุ้ง เมื่อปี 2560 และแห่งที่ 2 ในเวียงจันทน์ สปป.ลาว ซึ่งจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน 2561 จากนั้นปี 2562 จะดําเนินการเปิดสํานักงานผู้แทนในพนมเปญ กัมพูชาต่อไป เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศคู่ค้าหลักในกลุ่มประเทศ CLMV และเพิ่มสัดส่วนการค้าและการลงทุนของผู้ประกอบการไทย “EXIM BANK ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรและยุทธศาสตร์การค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีในการบริหารจัดการและบริการทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถเป็นที่พึ่งของผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยในตลาดโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา” นายพิศิษฐ์กล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายเลขานุการและสื่อสารองค์กร EXIM BANK สํานักงานใหญ่ โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141, 1144 EXIM Thailand Announces Operating Results for January-September 2018Enhancing Support for Thai Entrepreneurs’ Trade and Investment Expansion Globally EXIM Thailand announced its operating results for January-September 2018, achieving its target in supporting Thai entrepreneurs’ trade and investment expansion globally with an increase in outstanding loans by 12.81% year-on-year to total 95,817 million baht, of which over 40% was outstanding SME loans. Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that, in 2018, EXIM Thailand continued to move forward with its business model development and organizational transformation from the previous year. This has been in line with its 10-year enterprise plan aiming to support Thailand’s long-term economic development and drive the 20-year national strategy to enhance the country’s competitiveness. EXIM Thailand has remained steadfast in promoting and supporting Thai entrepreneurs through rendering of credit, guarantee and insurance facilities as well as other relevant services, while responding to the government policy to extend greater support for SMEs so that they can better access financial sources and accordingly facilitate their international trade and investment with competitive advantage. EXIM Thailand has consequently been able to achieve satisfactory operating results. EXIM Thailand President further said that, in the first nine months of 2018, the Bank’s total outstanding loans amounted to 95,817 million baht, a 10,880 million baht or 12.81% growth year-on-year, comprising 29,732 million baht in trade finance and 66,085 million baht in investment finance. Provision of credit facilities to SMEs and large enterprises has expanded, contributing to a business turnover of 131,474 million baht, of which 74,740 million baht came from SMEs. As of the end of September 2018, outstanding SME loans amounted to 38,351 million baht, representing a 6.86% year-on-year growth. This contributed to the Bank’s net profit of 1,102 million baht, up by 8.48% year-on-year. Mr. Pisit added that EXIM Thailand had efficiently managed non-performing loans (NPLs). As a result, its NPLs ratio as of the end of September 2018 stood at 3.80%, a 0.16% decline year-on-year, with NPLs amounting to 3,643 million baht. Allowance for doubtful accounts was 8,928 million baht, a 1,246 million baht increase from the corresponding period of the previous year. Of the total allowance, 4,058 million baht was minimum provisioning requirement by the Bank of Thailand, which represented a ratio of loan loss provision against the regulatory requirement of 220.02%, hence enabling the Bank to maintain a strong financial status. In performing as an export credit insurance agency to safeguard Thai exporters against risk of foreign trade partners’ non-payment and boost their confidence and competitive advantage in both existing and new frontier markets, in the third quarter of 2018, EXIM Thailand recorded 64,793 million baht in export credit and investment insurance business turnover, up by 13,894 million baht year-on-year, and of which 11,604 million baht came from SMEs’ exports, representing 17.91% of the Bank’s accumulated insurance business turnover. As for support of Thai entrepreneurs’ international trade and investment, EXIM Thailand currently has a total accumulated loan approval amount of 66,718 million baht for international projects, with outstanding loans accounting for 38,218 million baht as of the end of September 2018. The Bank has also consistently promoted Thai trade and investment expansion to new frontiers, particularly the CLMV (Cambodia, Lao PDR, Myanmar and Vietnam) which are high potential markets for Thai entrepreneurs. As of the end of September 2018, outstanding loans amounted to 29,197 million baht, which was a 1,302 million baht growth from the end of 2017. EXIM Thailand has planned to open more representative offices in the CLMV in addition to those duly opened and in operation. Its first international representative office was opened in Yangon City of Myanmar in 2017 and the second one in Vientiane City of Lao PDR, the official opening ceremony of which will be held in November 2018. Another representative office will be opened in 2019 in Phnom Penh City of Cambodia. This aims to promote Thai entrepreneurs’ trade and investment with their counterparts in the CLMV with the increase in business volume and proportion. “We will forge ahead with our initiatives to drive the organization and trade and investment strategy focusing on continued development of financial service and management technologies and through integrated collaboration with public and private business alliances both at home and overseas. We aspire to be a source on which Thai exporters and investors can rely in their business endeavors amid the changing global business circumstances of the new era,” added Mr. Pisit. For further information, please contact Corporate Communication Division, Secretary and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141, 1144
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16398
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางชี้แจง หลักเกณฑ์เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา ตามสวัสดิการข้าราชการ
วันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561 กรมบัญชีกลางชี้แจง หลักเกณฑ์เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา ตามสวัสดิการข้าราชการ อธิบดีกรมบัญชีกลางแจง กําหนดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา เพื่อให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เกิดประโยชน์และปลอดภัยกับผู้ป่วย เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ชี้แจงผลกระทบจากหลักเกณฑ์เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งฯ ตามสวัสดิการข้าราชการ ตามที่พลตรีหญิง พูลศรี เปาวรัตน์ นายกสมาคมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ กล่าวว่าจากกรณีที่กรมบัญชีกลางออกหลักเกณฑ์เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาตามสวัสดิการข้าราชการ สําหรับยา 9 รายการเท่านั้น ซึ่งคําสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้มา 3-4 เดือน ส่งผลให้ข้าราชการที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากบางรายถูกเปลี่ยนยาจนเกิดผลข้างเคียง ขณะที่บางรายประสบปัญหาด้านการเงิน เพราะต้องสํารองเงินไปก่อน แล้วยังไม่สามารถเบิกได้ ดังนั้น จึงเรียกร้องให้ยุติคําสั่งดังกล่าวและเร่งแก้ไขปัญหา พร้อมเสนอแนะให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผู้ป่วยโรคมะเร็งเหมือนกับกองทุนโรคเอดส์ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ขอชี้แจงว่า การที่กรมบัญชีกลางได้กําหนดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เกิดประโยชน์และปลอดภัยกับผู้ป่วย - กรณีที่อ้างว่า เบิกจ่ายตรงได้เพียง 9 รายการ และหลังจากมีผลบังคับใช้มา 3-4 เดือน ส่งผลให้ข้าราชการที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากบางรายถูกเปลี่ยนยาจนเกิดผลข้างเคียง ขอชี้แจงว่า การกําหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อผู้ป่วยรายเดิม ที่อยู่ระหว่างการรักษาและยังสามารถเบิกจ่ายตรงได้จนสิ้นสุดการรักษา และเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ปลอดภัย กรมบัญชีกลางได้กําหนดให้มีระบบลงทะเบียนแพทย์และผู้ป่วย (ระบบ OCPA) ก่อนการใช้ยา เนื่องจากยาดังกล่าวเป็นยาอันตราย อาจทําให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงรุนแรง เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ หากใช้ยากับผู้ป่วยที่มีภาวะไม่เหมาะสม เช่น ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ป่วยที่มีร่างกายอ่อนแอมาก ในส่วนของยาอื่นที่เป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติและยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติยังคงเบิกค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงได้ ยกเว้นยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติบางรายการที่ห้ามเบิกจ่ายตรงเท่านั้น รายการยาที่ห้ามเบิกจ่ายตรงเป็นการพิจารณากลั่นกรองข้อมูลจากคณะทํางาน ซึ่งประกอบไปด้วย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย สมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย เป็นต้น โดยคํานึงถึงคุณภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มค่าในการใช้ยาดังกล่าวก่อนการรักษา โดยยาที่ห้ามเบิกจ่ายตรงเป็นยาที่สามารถใช้ยาอื่นหรือการรักษาอื่นทดแทนได้ เช่น ยา Vinorebine oral ที่ใช้รักษามะเร็งเต้านมและปอด สามารถใช้ยา Vinorebine IV ซึ่งอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติทดแทนได้ ยา Afatinib และ Erlotinib ที่ใช้รักษามะเร็งปอด สามารถใช้ยา Gefitinib ที่อยู่ในระบบ OCPA ทดแทนได้ เป็นต้น - จากที่กล่าวอ้างว่า ผู้มีสิทธิบางรายประสบปัญหาด้านการเงิน เพราะต้องทดรองเงินไปก่อน แล้วยังไม่สามารถเบิกได้นั้น ขอชี้แจงว่า โดยหลักการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลมี 2 วิธี คือ 1. ให้ผู้มีสิทธิทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลแล้วนําใบเสร็จไปเบิกค่ารักษาพยาบาลกับต้นสังกัด และ 2. เบิกค่ารักษาพยาบาลผ่านระบบเบิกจ่ายตรง ดังนั้น การทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน จึงไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่กําหนดขึ้นใหม่ อย่างไรก็ดี กรมบัญชีกลางจะมีการพิจารณาปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายสําหรับยาที่ห้ามเบิกจ่ายตรง โดยเบื้องต้นกรมบัญชีกลางได้มีการหารือแนวทางดําเนินการร่วมกับผู้แทนอุตสาหกรรมยา เพื่อกําหนดแนวทางดําเนินการให้ผู้ป่วยเข้าถึงยานวัตกรรมที่จําเป็นต่อการรักษาโดยให้สามารถเบิกค่ายาในระบบเบิกจ่ายตรงได้อย่างสมเหตุผล ทั้งนี้ ทางผู้แทนอุตสาหกรรมยา ยินดีให้ความร่วมมือกับภาครัฐและพร้อมจะจัดทําข้อเสนอให้คณะทํางานพิจารณาและกําหนดเป็นหลักเกณฑ์ต่อไป --------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางชี้แจง หลักเกณฑ์เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา ตามสวัสดิการข้าราชการ วันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561 กรมบัญชีกลางชี้แจง หลักเกณฑ์เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา ตามสวัสดิการข้าราชการ อธิบดีกรมบัญชีกลางแจง กําหนดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา เพื่อให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เกิดประโยชน์และปลอดภัยกับผู้ป่วย เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ชี้แจงผลกระทบจากหลักเกณฑ์เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งฯ ตามสวัสดิการข้าราชการ ตามที่พลตรีหญิง พูลศรี เปาวรัตน์ นายกสมาคมพิทักษ์สิทธิข้าราชการ กล่าวว่าจากกรณีที่กรมบัญชีกลางออกหลักเกณฑ์เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาตามสวัสดิการข้าราชการ สําหรับยา 9 รายการเท่านั้น ซึ่งคําสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้มา 3-4 เดือน ส่งผลให้ข้าราชการที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากบางรายถูกเปลี่ยนยาจนเกิดผลข้างเคียง ขณะที่บางรายประสบปัญหาด้านการเงิน เพราะต้องสํารองเงินไปก่อน แล้วยังไม่สามารถเบิกได้ ดังนั้น จึงเรียกร้องให้ยุติคําสั่งดังกล่าวและเร่งแก้ไขปัญหา พร้อมเสนอแนะให้มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อเยียวยาผู้ป่วยโรคมะเร็งเหมือนกับกองทุนโรคเอดส์ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ขอชี้แจงว่า การที่กรมบัญชีกลางได้กําหนดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เกิดประโยชน์และปลอดภัยกับผู้ป่วย - กรณีที่อ้างว่า เบิกจ่ายตรงได้เพียง 9 รายการ และหลังจากมีผลบังคับใช้มา 3-4 เดือน ส่งผลให้ข้าราชการที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากบางรายถูกเปลี่ยนยาจนเกิดผลข้างเคียง ขอชี้แจงว่า การกําหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อผู้ป่วยรายเดิม ที่อยู่ระหว่างการรักษาและยังสามารถเบิกจ่ายตรงได้จนสิ้นสุดการรักษา และเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ปลอดภัย กรมบัญชีกลางได้กําหนดให้มีระบบลงทะเบียนแพทย์และผู้ป่วย (ระบบ OCPA) ก่อนการใช้ยา เนื่องจากยาดังกล่าวเป็นยาอันตราย อาจทําให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงรุนแรง เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ หากใช้ยากับผู้ป่วยที่มีภาวะไม่เหมาะสม เช่น ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ป่วยที่มีร่างกายอ่อนแอมาก ในส่วนของยาอื่นที่เป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติและยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติยังคงเบิกค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงได้ ยกเว้นยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติบางรายการที่ห้ามเบิกจ่ายตรงเท่านั้น รายการยาที่ห้ามเบิกจ่ายตรงเป็นการพิจารณากลั่นกรองข้อมูลจากคณะทํางาน ซึ่งประกอบไปด้วย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย สมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย เป็นต้น โดยคํานึงถึงคุณภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มค่าในการใช้ยาดังกล่าวก่อนการรักษา โดยยาที่ห้ามเบิกจ่ายตรงเป็นยาที่สามารถใช้ยาอื่นหรือการรักษาอื่นทดแทนได้ เช่น ยา Vinorebine oral ที่ใช้รักษามะเร็งเต้านมและปอด สามารถใช้ยา Vinorebine IV ซึ่งอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติทดแทนได้ ยา Afatinib และ Erlotinib ที่ใช้รักษามะเร็งปอด สามารถใช้ยา Gefitinib ที่อยู่ในระบบ OCPA ทดแทนได้ เป็นต้น - จากที่กล่าวอ้างว่า ผู้มีสิทธิบางรายประสบปัญหาด้านการเงิน เพราะต้องทดรองเงินไปก่อน แล้วยังไม่สามารถเบิกได้นั้น ขอชี้แจงว่า โดยหลักการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลมี 2 วิธี คือ 1. ให้ผู้มีสิทธิทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลแล้วนําใบเสร็จไปเบิกค่ารักษาพยาบาลกับต้นสังกัด และ 2. เบิกค่ารักษาพยาบาลผ่านระบบเบิกจ่ายตรง ดังนั้น การทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน จึงไม่ใช่หลักเกณฑ์ที่กําหนดขึ้นใหม่ อย่างไรก็ดี กรมบัญชีกลางจะมีการพิจารณาปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายสําหรับยาที่ห้ามเบิกจ่ายตรง โดยเบื้องต้นกรมบัญชีกลางได้มีการหารือแนวทางดําเนินการร่วมกับผู้แทนอุตสาหกรรมยา เพื่อกําหนดแนวทางดําเนินการให้ผู้ป่วยเข้าถึงยานวัตกรรมที่จําเป็นต่อการรักษาโดยให้สามารถเบิกค่ายาในระบบเบิกจ่ายตรงได้อย่างสมเหตุผล ทั้งนี้ ทางผู้แทนอุตสาหกรรมยา ยินดีให้ความร่วมมือกับภาครัฐและพร้อมจะจัดทําข้อเสนอให้คณะทํางานพิจารณาและกําหนดเป็นหลักเกณฑ์ต่อไป --------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14259
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ จัดเวทีรวมพลคน “ศพก.-แปลงใหญ่” ทั่วประเทศ
วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560 เกษตรฯ จัดเวทีรวมพลคน “ศพก.-แปลงใหญ่” ทั่วประเทศ เกษตรฯ จัดเวทีรวมพลคน “ศพก.-แปลงใหญ่” ทั่วประเทศ ชี้ปี 61 เร่งขยายผลเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ช่วยลดต้นทุน เพิ่มปริมาณผลผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตรงตามความต้องการของตลาด และยกระดับรายได้ของเกษตรกรเพิ่มสูงขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสการแข่งขัน พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากการที่กรมส่งเสริมการเกษตรได้ดําเนินการพัฒนา ศพก. มาตั้งแต่ปี 2558 ปัจจุบันมี ศพก. ทั้งหมด 882 ศูนย์ สามารถแบ่งพืชตามลักษณะพื้นที่ ประกอบด้วย ข้าว 450 ศูนย์ พืชไร่ 78 ศูนย์ พืชผัก 31 ศูนย์ ไร่นาสวนผสม/เกษตรผสมผสาน 78 ศูนย์ ไม้ผล 139 ศูนย์ ยางพารา 52 ศูนย์ ปาล์มน้ํามัน 44 ศูนย์ และอื่นๆ 10 ศูนย์ ซึ่งได้ขยายผลเป็นแปลงใหญ่ทั้งหมด นอกจากนั้น ยังสร้างเครือข่ายอีกกว่า 10,523 ศูนย์ อาทิ ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน ศูนย์เรียนรู้ด้านการจัดการดิน ศูนย์เรียนรู้ด้านประมง ศูนย์ข้าวชุมชน ศูนย์เรียนรู้ด้านพืชไร่ ศูนย์เรียนรู้ด้านไม้ผล ศูนย์เรียนรู้ด้านแมลงเศรษฐกิจ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์เรียนรู้ด้านเศรษฐกิจการเกษตร ศูนย์เรียนรู้ด้านบัญชี ศูนย์เรียนรู้ด้านชลประทาน ศูนย์เรียนรู้ด้านหม่อนไหม เป็นต้น ขณะเดียวกันยังได้อบรมเกษตรกรผู้นําอีกกว่า 44,100 รายทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพและสร้างความเข้มแข็งให้เป็นเกษตรกรผู้นําในชุมชน ซึ่งนับเป็นพลังสําคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนขยายผลการส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ และผลักดันภาคเกษตรของไทยให้มีความมั่นคง และช่วยเพิ่มศักยภาพให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลก อย่างไรก็ตาม ในระหว่างวันที่ 21-23 กันยายน 2560 นี้ กรมส่งเสริมการเกษตรได้นัดรวมพลคน ศพก. และแปลงใหญ่จากทั่วประเทศ ภายใต้ “โครงการเชื่อมโยงเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) สู่การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่” ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ซิตี้ จอมเทียน จังหวัดชลบุรี ทั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจแนวทางขับเคลื่อนพร้อมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานของ ศพก. งานส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ และโครงการ 9101 ตามร้อยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมีเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมผลักดันภาคเกษตรไทยก้าวไกลสู่ระดับสากล เบื้องต้นคาดว่า จะมีประธานกรรมการ ศพก. ผู้แทนเกษตรกรแปลงใหญ่ และผู้สนใจเข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 2,000 คน นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวอีกว่า ในงานดังกล่าวฯ จะมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ ศพก. ภายใต้แนวคิด “ศพก.ในฝัน” โดยจําลองศาลาเรียนรู้และจัดแสดงกรณีตัวอย่าง ศพก.ที่มีผลงานโดดเด่น พร้อมจําลองฐานเรียนรู้และแปลงเรียนรู้ อาทิ การปรับปรุงดิน การใช้สาร ชีวภัณฑ์ การผลิตพืชปลอดภัย การใช้น้ําหมักชีวภาพ และการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า ตลอดจนแสดงผลผลิตของ ศพก.ต้นแบบ ทั้งยังจัดแสดงนิทรรศการผลการดําเนินงานส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ 10 กลุ่มสินค้า พร้อมโชว์ผลงานแปลงใหญ่ที่โดดเด่นระดับประเทศที่ได้รับรางวัล เช่น แปลงใหญ่ปาล์มน้ํามัน ตําบลกะลาเส อําเภอสิเกา จังหวัดตรัง โคนมแปลงใหญ่ ตําบลลําพญากลาง อําเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี แปลงใหญ่ข้าว ตําบลผักไหม อําเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ แปลงใหญ่ลําไย ตําบลพญาแก้ว อําเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน และการถอดบทเรียนเกษตรแปลงใหญ่ 5 ปัจจัยสู่ความสําเร็จ นอกจากนั้น ยังจัดแสดงนิทรรศการโครงการ 9101 ตามร้อยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมีเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนด้วย เช่น การผลิตพืชและพันธุ์พืช การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การจัดการศัตรูพืช ฟาร์มชุมชน การแปรรูปผลผลิตและผลิตภัณฑ์การเกษตร รวมถึงด้านปศุสัตว์ และประมง เป็นต้น ปี 2561 นี้ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีนโยบายและวางเป้าหมายให้ “เป็นปีแห่งการยกระดับคน การบริหารจัดการมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่เกษตร 4.0” โดยให้ทุกหน่วยงานบูรณาการขับเคลื่อนการทํางานให้สอดรับกับนโยบายการปฏิรูปภาคการเกษตร ในส่วนของกรมส่งเสริมการเกษตรได้มีแผนเร่งต่อยอดขยายผลและเชื่อมโยงเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรสู่การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ โดยมุ่งให้ ศพก. เป็นช่องทางการเรียนรู้ผ่านเกษตรกรต้นแบบซึ่งเป็นเจ้าของแปลงเรียนรู้ หลักสูตรการเรียนรู้และฐานการเรียนรู้ พร้อมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของตนเอง และให้ ศพก. ขยายผลไปสู่แปลงใหญ่ทั่วประเทศ “ปัจจุบันสถานการณ์โลกมีความเคลื่อนไหวและเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแข่งขันด้านราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงกลไกการค้าที่เน้นคุณภาพความปลอดภัย และมีระบบตรวจสอบและควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด ดังนั้น เกษตรกรจําเป็นต้องปรับตัวให้พร้อมรับมือ และภาคการเกษตรต้องมีส่วนร่วมแสดงพลังเพื่อให้ก้าวทันเทคโนโลยีในการผลิตที่ต้องสร้างกลยุทธ์ สร้างจุดเด่นของสินค้า ใช้ตลาดนําการผลิต และสร้างเครือข่ายในแต่ละพื้นที่ ทั้งยังต้องมีความรู้ทันสถานการณ์ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดบวกและพยายามฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรค และต้องมีการพัฒนาความรู้อยู่ตลอดเวลา และสามารถถ่ายทอดแนะนําความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในพื้นที่ได้” อธิบดี กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ จัดเวทีรวมพลคน “ศพก.-แปลงใหญ่” ทั่วประเทศ วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2560 เกษตรฯ จัดเวทีรวมพลคน “ศพก.-แปลงใหญ่” ทั่วประเทศ เกษตรฯ จัดเวทีรวมพลคน “ศพก.-แปลงใหญ่” ทั่วประเทศ ชี้ปี 61 เร่งขยายผลเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ช่วยลดต้นทุน เพิ่มปริมาณผลผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ตรงตามความต้องการของตลาด และยกระดับรายได้ของเกษตรกรเพิ่มสูงขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสการแข่งขัน พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากการที่กรมส่งเสริมการเกษตรได้ดําเนินการพัฒนา ศพก. มาตั้งแต่ปี 2558 ปัจจุบันมี ศพก. ทั้งหมด 882 ศูนย์ สามารถแบ่งพืชตามลักษณะพื้นที่ ประกอบด้วย ข้าว 450 ศูนย์ พืชไร่ 78 ศูนย์ พืชผัก 31 ศูนย์ ไร่นาสวนผสม/เกษตรผสมผสาน 78 ศูนย์ ไม้ผล 139 ศูนย์ ยางพารา 52 ศูนย์ ปาล์มน้ํามัน 44 ศูนย์ และอื่นๆ 10 ศูนย์ ซึ่งได้ขยายผลเป็นแปลงใหญ่ทั้งหมด นอกจากนั้น ยังสร้างเครือข่ายอีกกว่า 10,523 ศูนย์ อาทิ ศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชน ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน ศูนย์เรียนรู้ด้านการจัดการดิน ศูนย์เรียนรู้ด้านประมง ศูนย์ข้าวชุมชน ศูนย์เรียนรู้ด้านพืชไร่ ศูนย์เรียนรู้ด้านไม้ผล ศูนย์เรียนรู้ด้านแมลงเศรษฐกิจ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์เรียนรู้ด้านเศรษฐกิจการเกษตร ศูนย์เรียนรู้ด้านบัญชี ศูนย์เรียนรู้ด้านชลประทาน ศูนย์เรียนรู้ด้านหม่อนไหม เป็นต้น ขณะเดียวกันยังได้อบรมเกษตรกรผู้นําอีกกว่า 44,100 รายทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพและสร้างความเข้มแข็งให้เป็นเกษตรกรผู้นําในชุมชน ซึ่งนับเป็นพลังสําคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนขยายผลการส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ และผลักดันภาคเกษตรของไทยให้มีความมั่นคง และช่วยเพิ่มศักยภาพให้สินค้าเกษตรไทยสามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลก อย่างไรก็ตาม ในระหว่างวันที่ 21-23 กันยายน 2560 นี้ กรมส่งเสริมการเกษตรได้นัดรวมพลคน ศพก. และแปลงใหญ่จากทั่วประเทศ ภายใต้ “โครงการเชื่อมโยงเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) สู่การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่” ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ซิตี้ จอมเทียน จังหวัดชลบุรี ทั้งนี้ เพื่อสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจแนวทางขับเคลื่อนพร้อมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานของ ศพก. งานส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ และโครงการ 9101 ตามร้อยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมีเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมผลักดันภาคเกษตรไทยก้าวไกลสู่ระดับสากล เบื้องต้นคาดว่า จะมีประธานกรรมการ ศพก. ผู้แทนเกษตรกรแปลงใหญ่ และผู้สนใจเข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 2,000 คน นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวอีกว่า ในงานดังกล่าวฯ จะมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ ศพก. ภายใต้แนวคิด “ศพก.ในฝัน” โดยจําลองศาลาเรียนรู้และจัดแสดงกรณีตัวอย่าง ศพก.ที่มีผลงานโดดเด่น พร้อมจําลองฐานเรียนรู้และแปลงเรียนรู้ อาทิ การปรับปรุงดิน การใช้สาร ชีวภัณฑ์ การผลิตพืชปลอดภัย การใช้น้ําหมักชีวภาพ และการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า ตลอดจนแสดงผลผลิตของ ศพก.ต้นแบบ ทั้งยังจัดแสดงนิทรรศการผลการดําเนินงานส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ 10 กลุ่มสินค้า พร้อมโชว์ผลงานแปลงใหญ่ที่โดดเด่นระดับประเทศที่ได้รับรางวัล เช่น แปลงใหญ่ปาล์มน้ํามัน ตําบลกะลาเส อําเภอสิเกา จังหวัดตรัง โคนมแปลงใหญ่ ตําบลลําพญากลาง อําเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี แปลงใหญ่ข้าว ตําบลผักไหม อําเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ แปลงใหญ่ลําไย ตําบลพญาแก้ว อําเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน และการถอดบทเรียนเกษตรแปลงใหญ่ 5 ปัจจัยสู่ความสําเร็จ นอกจากนั้น ยังจัดแสดงนิทรรศการโครงการ 9101 ตามร้อยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมีเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนด้วย เช่น การผลิตพืชและพันธุ์พืช การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ การจัดการศัตรูพืช ฟาร์มชุมชน การแปรรูปผลผลิตและผลิตภัณฑ์การเกษตร รวมถึงด้านปศุสัตว์ และประมง เป็นต้น ปี 2561 นี้ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีนโยบายและวางเป้าหมายให้ “เป็นปีแห่งการยกระดับคน การบริหารจัดการมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่เกษตร 4.0” โดยให้ทุกหน่วยงานบูรณาการขับเคลื่อนการทํางานให้สอดรับกับนโยบายการปฏิรูปภาคการเกษตร ในส่วนของกรมส่งเสริมการเกษตรได้มีแผนเร่งต่อยอดขยายผลและเชื่อมโยงเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรสู่การส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ โดยมุ่งให้ ศพก. เป็นช่องทางการเรียนรู้ผ่านเกษตรกรต้นแบบซึ่งเป็นเจ้าของแปลงเรียนรู้ หลักสูตรการเรียนรู้และฐานการเรียนรู้ พร้อมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนของตนเอง และให้ ศพก. ขยายผลไปสู่แปลงใหญ่ทั่วประเทศ “ปัจจุบันสถานการณ์โลกมีความเคลื่อนไหวและเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแข่งขันด้านราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงกลไกการค้าที่เน้นคุณภาพความปลอดภัย และมีระบบตรวจสอบและควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด ดังนั้น เกษตรกรจําเป็นต้องปรับตัวให้พร้อมรับมือ และภาคการเกษตรต้องมีส่วนร่วมแสดงพลังเพื่อให้ก้าวทันเทคโนโลยีในการผลิตที่ต้องสร้างกลยุทธ์ สร้างจุดเด่นของสินค้า ใช้ตลาดนําการผลิต และสร้างเครือข่ายในแต่ละพื้นที่ ทั้งยังต้องมีความรู้ทันสถานการณ์ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดบวกและพยายามฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรค และต้องมีการพัฒนาความรู้อยู่ตลอดเวลา และสามารถถ่ายทอดแนะนําความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรในพื้นที่ได้” อธิบดี กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6894
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๓ มิถุนายน วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี
วันพุธที่ 3 มิถุนายน 2563 ๓ มิถุนายน วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ข้าราชการ พนักงานราชการและลูกจ้าง สังกัดกระทรวงกลาโหม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๓ มิถุนายน วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี วันพุธที่ 3 มิถุนายน 2563 ๓ มิถุนายน วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ข้าราชการ พนักงานราชการและลูกจ้าง สังกัดกระทรวงกลาโหม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31876
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เผยไม่กังวลผลตัดสินข้าวโลก ปี 2018
วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 กระทรวงเกษตรฯ เผยไม่กังวลผลตัดสินข้าวโลก ปี 2018 กระทรวงเกษตรฯ เผยไม่กังวลผลตัดสินข้าวโลก ปี 2018 ยันคุณภาพข้าวหอมมะลิไทยไม่แพ้ชาติใด ไม่มีผลกระทบต่ออนาคตแน่นอน นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีที่มีการประกวดข้าวโลกปี 2018 ในการประชุมสัมมนาข้าวโลก (World Rice Conference2018) ณ ประเทศเวียดนาม ซึ่งผลการประกวดปรากฎว่าข้าวหอมมะลิกัมพูชามาลีอังกอร์ ได้อันดับ 1 ในขณะที่ข้าวหอมมะลิไทยได้อันดับ 2 และข้าวหอมมะลิเวียดนามพันธุ์ST24 ได้อันดับ 3 ว่า การประกวดดังกล่าวเริ่มมาตั้งแต่ปี 2552 ที่เมืองเซบู ฟิลิปปินส์เป็นครั้งแรก ซึ่งในครั้งนี้นข้าวหอมมะลิไทยได้รางวันอันดับ 1 และจัดต่อเนื่องทุกปี ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 10 สําหรับข้าวหอมมะลิไทยได้รับรางวัลอันดับ 1 จํานวน 5 ครั้ง โดยผลัดกันได้รางวัลกับประเทศกัมพูชา และสหรัฐอเมริกามาตลอด ซึ่งปีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าวหอมมะลิไทยได้อันดับ 2 “การประกวดดังกล่าวเป็นการจัดของสมาคมผู้ค้าข้าวระหว่างประเทศที่เชิญชวนพ่อค้าเอกชนหรือสมาคมค้าข้าวของแต่ละประเทศส่งเข้าประกวด ดังนั้นบางปีก็จะมีผู้ส่งเข้าประกวดมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับความสมัครใจและความพร้อมของแต่ละบริษัทหรือสมาคมที่จะส่งเข้าประกวดด้วย ดังนั้น ผลการประกวดจึงไม่น่ามีผลต่ออนาคตข้าวหอมมะลิไทยตามที่หลายฝ่ายกังวลประกอบกับรองอธิบดีกรมการข้าวได้พูดคุยกับนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ ก็ได้ยืนยัน ว่า การได้รางวัลที่ 1 ของข้าวหอมมะลิมาลีอังกอร์ ไม่ส่งผลกระทบต่อการค้า/ส่งออกข้าวไทยแต่อย่างใด” นายกฤษฎา กล่าว รัฐมนตรีเกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ในขณะนี้ เน้นการดูแลรักษาระดับราคาข้าวไทยให้ราคาขายต้องไม่ต่ํากว่าต้นทุนการผลิตเพื่อให้ชาวนาไทยมีรายได้เพียงพอต่อการใช้จ่ายควบคู่ไปกับการสนับสนุนการทําเกษตรอย่างอื่นในพื้นที่นาที่ไม่เหมาะสมหรือในพื้นที่ผลิตข้าวส่วนเกินความต้องการของตลาดไปปลูกพืชอื่นๆ หรือทําการเกษตรกรรมอย่างอื่นที่มีรายได้มากกว่าหรือเท่ากับการปลูกข้าวเพื่อรักษาปริมาณผลผลิตข้าวไทยไม่ให้ล้นตลาด (Over Supply)ซึ่งจะทําให้ราคาข้าวตกต่ําเป็นปัญหาให้ชาวนามาร้องเรียนขอรับความช่วยเหลือจากทางราชการด้วยโครงการใช้งบประมาณจํานวนมากๆ เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ทั้งนี้ ได้มอบหมายนโยบายเน้นย้ําให้กรมการข้าวและกรมวิชาการเกษตรให้ทําการศึกษและวิจัยข้าวไทยอยู่เป็นระยะๆ เพื่อนําผลสรุปของการศึกษาวิจัยมาปรับปรุงพันธุ์ข้าวไทยและการบํารุงรักษาคุณภาพข้าวไทยให้ได้รับความนิยมจากตลาดและผู้บริโภคไว้ด้วย กลุ่มงานโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews60@gmail.com moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เผยไม่กังวลผลตัดสินข้าวโลก ปี 2018 วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 กระทรวงเกษตรฯ เผยไม่กังวลผลตัดสินข้าวโลก ปี 2018 กระทรวงเกษตรฯ เผยไม่กังวลผลตัดสินข้าวโลก ปี 2018 ยันคุณภาพข้าวหอมมะลิไทยไม่แพ้ชาติใด ไม่มีผลกระทบต่ออนาคตแน่นอน นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกรณีที่มีการประกวดข้าวโลกปี 2018 ในการประชุมสัมมนาข้าวโลก (World Rice Conference2018) ณ ประเทศเวียดนาม ซึ่งผลการประกวดปรากฎว่าข้าวหอมมะลิกัมพูชามาลีอังกอร์ ได้อันดับ 1 ในขณะที่ข้าวหอมมะลิไทยได้อันดับ 2 และข้าวหอมมะลิเวียดนามพันธุ์ST24 ได้อันดับ 3 ว่า การประกวดดังกล่าวเริ่มมาตั้งแต่ปี 2552 ที่เมืองเซบู ฟิลิปปินส์เป็นครั้งแรก ซึ่งในครั้งนี้นข้าวหอมมะลิไทยได้รางวันอันดับ 1 และจัดต่อเนื่องทุกปี ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 10 สําหรับข้าวหอมมะลิไทยได้รับรางวัลอันดับ 1 จํานวน 5 ครั้ง โดยผลัดกันได้รางวัลกับประเทศกัมพูชา และสหรัฐอเมริกามาตลอด ซึ่งปีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าวหอมมะลิไทยได้อันดับ 2 “การประกวดดังกล่าวเป็นการจัดของสมาคมผู้ค้าข้าวระหว่างประเทศที่เชิญชวนพ่อค้าเอกชนหรือสมาคมค้าข้าวของแต่ละประเทศส่งเข้าประกวด ดังนั้นบางปีก็จะมีผู้ส่งเข้าประกวดมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับความสมัครใจและความพร้อมของแต่ละบริษัทหรือสมาคมที่จะส่งเข้าประกวดด้วย ดังนั้น ผลการประกวดจึงไม่น่ามีผลต่ออนาคตข้าวหอมมะลิไทยตามที่หลายฝ่ายกังวลประกอบกับรองอธิบดีกรมการข้าวได้พูดคุยกับนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ ก็ได้ยืนยัน ว่า การได้รางวัลที่ 1 ของข้าวหอมมะลิมาลีอังกอร์ ไม่ส่งผลกระทบต่อการค้า/ส่งออกข้าวไทยแต่อย่างใด” นายกฤษฎา กล่าว รัฐมนตรีเกษตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นโยบายของกระทรวงเกษตรฯ ในขณะนี้ เน้นการดูแลรักษาระดับราคาข้าวไทยให้ราคาขายต้องไม่ต่ํากว่าต้นทุนการผลิตเพื่อให้ชาวนาไทยมีรายได้เพียงพอต่อการใช้จ่ายควบคู่ไปกับการสนับสนุนการทําเกษตรอย่างอื่นในพื้นที่นาที่ไม่เหมาะสมหรือในพื้นที่ผลิตข้าวส่วนเกินความต้องการของตลาดไปปลูกพืชอื่นๆ หรือทําการเกษตรกรรมอย่างอื่นที่มีรายได้มากกว่าหรือเท่ากับการปลูกข้าวเพื่อรักษาปริมาณผลผลิตข้าวไทยไม่ให้ล้นตลาด (Over Supply)ซึ่งจะทําให้ราคาข้าวตกต่ําเป็นปัญหาให้ชาวนามาร้องเรียนขอรับความช่วยเหลือจากทางราชการด้วยโครงการใช้งบประมาณจํานวนมากๆ เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ทั้งนี้ ได้มอบหมายนโยบายเน้นย้ําให้กรมการข้าวและกรมวิชาการเกษตรให้ทําการศึกษและวิจัยข้าวไทยอยู่เป็นระยะๆ เพื่อนําผลสรุปของการศึกษาวิจัยมาปรับปรุงพันธุ์ข้าวไทยและการบํารุงรักษาคุณภาพข้าวไทยให้ได้รับความนิยมจากตลาดและผู้บริโภคไว้ด้วย กลุ่มงานโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews60@gmail.com moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16267
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดบีโอไอเตรียมออกมาตรการส่งเสริมเทคโนโลยี เพิ่มสิทธิประโยชน์การลงทุนเทคโนโลยีเป้าหมาย และเห็นชอบส่งเสริมการลงทุน 4 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นกว่าล้านบาท
วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 บอร์ดบีโอไอเตรียมออกมาตรการส่งเสริมเทคโนโลยี เพิ่มสิทธิประโยชน์การลงทุนเทคโนโลยีเป้าหมาย และเห็นชอบส่งเสริมการลงทุน 4 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นกว่าล้านบาท นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยบอร์ดบีโอไอเตรียมออกมาตรการส่งเสริมเทคโนโลยี เพิ่มสิทธิประโยชน์การลงทุนเทคโนโลยีเป้าหมาย และเห็นชอบส่งเสริมการลงทุน 4 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นกว่าล้านบาท วันนี้ (8 ก.พ.60) เวลา 09.00 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 1/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ เข้าร่วมด้วย ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคุณเจน นําชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ร่วมแถลงผลการประชุมสรุปดังนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณาหารือการเตรียมความพร้อมด้านกําลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายและ Thailand 4.0 โดยได้เตรียมการในการดําเนินการดึงดูดทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะฝีมือสูง (Talents) จากต่างประเทศ เช่น การอํานวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทํางาน โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากําหนดรูปแบบการทํางานเพื่อกําหนดระยะเวลาการให้วีซ่าและใบอนุญาตทํางานสําหรับกลุ่มประเภท EX ให้มีระยะเวลาที่สอดคล้องกัน การกําหนดนิยามและการตีความคําว่า “การทํางาน” การพัฒนาระบบการแจ้งอยู่ในราชอาณาจักรทุก 90 วัน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เป็นหน่วยงานกลางในการจัดตั้งหน่วยงานภายในขึ้นมารับผิดชอบการดําเนินงานเรื่องการดึงดูด Talents จากต่างประเทศโดยดําเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยให้ศึกษารูปแบบการดําเนินงานและเครื่องมือในการดึงดูด Talents ของประเทศต่าง ๆ เพื่อนํามาปรับใช้ให้เหมาะกับการดําเนินการดังกล่าวของประเทศต่อไป พร้อมทั้ง ที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้บีโอไอออกมาตรการพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี (Technology-based Incentives) เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วยมาตรการย่อย คือ 1. การส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย (Core Technologies) ซึ่งจะมีการพิจารณาให้สิทธิประโยชน์เป็นพิเศษกับการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมายที่ประเทศไทยมีศักยภาพ โดยมีเงื่อนไขเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีร่วมกับสถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิจัย ทั้งนี้ การลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมายแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย (Targeted Core Technologies) 4 กลุ่ม คือ ไบโอเทคโนโลยี, นาโนเทคโนโลยี, Advanced Materials Technology (เทคโนโลยีการผลิตวัสดุขั้นสูง) และ ดิจิทัล เทคโนโลยี 2) กลุ่มบริการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย (Enabling Services) ซึ่งหมายถึงกิจการบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงที่จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย ได้แก่ การวิจัยพัฒนา สถานฝึกฝนวิชาชีพ (เฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการออกแบบทางวิศวกรรม บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ และบริการสอบเทียบมาตรฐาน โดยกิจการใน 2 กลุ่มดังกล่าวจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10 ปี และสามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการได้อีก 1-3 ปี รวมแล้วสูงสุดไม่เกิน 13 ปี 2. การยกเว้นอากรนําเข้าเพื่อนํามาใช้ในการวิจัยและพัฒนา เช่น วัสดุต้นแบบ สารเคมี พืชหรือสัตว์ เป็นต้น 3. ปรับเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based incentives) สําหรับกิจการผลิตทั่วไปที่ได้สิทธิตามหลักเกณฑ์ปกติ ถ้าลงทุนเพิ่มด้านพัฒนาเทคโนโลยีหรือพัฒนาบุคลากร จะให้เพิ่มค่าใช้จ่ายดังกล่าวเพื่อนํามารวมเป็นมูลค่าภาษีที่ได้ยกเว้น จากเดิม 100% เป็น 200% และหากเป็นค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยพัฒนาให้เพิ่มเป็น 300% อีกทั้งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้บีโอไอออกมาตรการช่วยเหลือกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนและได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยให้ได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรที่นําเข้ามาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหายจากอุทกภัย ทั้งเครื่องจักรใหม่หรือใช้แล้วจากต่างประเทศ ซึ่งมีอายุไม่เกิน 10 ปี นับแต่ปีที่ผลิตถึงปีที่นําเข้า โดยต้องยื่นขอสิทธินําเข้าเครื่องจักรภายในวันที่ 29 ธันวาคม 2560 สําหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายใน EEC (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง) เน้นส่งเสริมกิจการที่จะยกระดับพื้นที่ EEC ได้แก่ อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง กิจการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และโลจิสติกส์ กิจการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว กิจการวิจัยและพัฒนา และบริการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี โดยเพิ่มสิทธิลดหย่อน CIT 50% อีก 5 ปี สําหรับกิจการในกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (กลุ่มA) โดยกําหนดให้จังหวัดใน EEC เป็นเขตส่งเสริมการลงทุนและต้องยื่นคําขอรับการส่งเสริมภายในปี 2560 นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้การส่งเสริมการลงทุนรวม 4 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 25,297 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) บริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส ( ประเทศไทย ) จํากัด ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการผลิตยางเรเดียล (RADIAL TIRE) เงินลงทุนทั้งสิ้น 12,384 ล้านบาท โครงการนี้ช่วยส่งเสริมการใช้วัตถุดิบยางในประเทศ และมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ ตั้งโครงการที่ จังหวัดระยอง 2) บริษัท ขนส่งน้ํามันทางท่อ จํากัด ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการขนส่งทางท่อ เงินลงทุนทั้งสิ้น 8,000 ล้านบาท โครงการนี้จะให้บริการขนส่งน้ํามันทางท่อประมาณ 9,000 ล้านลิตรต่อปี เพื่อรองรับการขยายตัวสําหรับการขนส่งน้ํามันทางท่อ ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งน้ํามันของประเทศ ซึ่งแนวท่อจะผ่านพื้นที่ 10 จังหวัดจากภาคกลางไปยังภาคเหนือ 3) บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จํากัด (มหาชน) จํากัด ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการผลิตเชื้อเพลิงจากกากอุตสาหกรรม (Refuse Derived Fuel) เงินลงทุนทั้งสิ้น 312.5 ล้านบาท กําลังการผลิตประมาณ 108,000 ตันต่อปี ตั้งโครงการที่ จังหวัดสระบุรี 4) มูลนิธิหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร ได้รับการส่งเสริมกิจการศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรม (หอชมเมือง) เงินลงทุนทั้งสิ้น 4,600.5 ล้านบาท โครงการนี้ จะเป็นหอชมเมืองความสูงประมาณ 459 เมตร มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 22,056 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่ราชพัสดุริมแม่น้ําเจ้าพระยา มีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และจะเป็นถาวรวัตถุซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของกรุงเทพมหานคร รวมทั้ง บีโอไอเตรียมจัดกิจกรรมเพื่อพลิกโฉมประเทศสู่ “Thailand 4.0” ในวันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีกิจกรรมภายในงานที่น่าสนใจ อาทิ งานสัมมนา Opportunity Thailand สัมมนาย่อยรายอุตสาหกรรม New S-Curve กิจกรรมแสดงศักยภาพผู้ประกอบการไทยอุตสาหกรรม New S-Curve ตลอดจน Business Matching ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 3,000 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารคนไทย ผู้แทนสถานทูต หอการค้าต่างประเทศ ผู้บริหารต่างชาติ สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ขณะเดียวกันในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 จะมีการประชุม Honorary Investment Advisors (HIA) ครั้งที่ 2 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากทั่วโลก ซึ่งเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน (HIA) ที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติที่มีการลงทุนแล้วในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางการปฏิรูปประเทศไทย อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเน้นย้ําในที่ประชุมโดยเฉพาะบีโอไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ต่อจากนี้ไปการบริหารการขับเคลื่อนประเทศและยุทธศาสตร์ปฏิรูประเทศจะต้องดูในเรื่องของมิติพื้นที่ทั้ง 6 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ (ภาคใต้ตอนบนและจังหวัดชายแดนภาคใต้รวมทั้ง จ.สตูลและจ.สงขลา) ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ซึ่งยุทธศาสตร์ของ 6 ภูมิภาคจะต้องดําเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกระทรวง และสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศในทุกด้านรองรับการเข้าสู่ Thailand 4.0 ตามเป้าหมายที่รัฐบาลกําหนด ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดบีโอไอเตรียมออกมาตรการส่งเสริมเทคโนโลยี เพิ่มสิทธิประโยชน์การลงทุนเทคโนโลยีเป้าหมาย และเห็นชอบส่งเสริมการลงทุน 4 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นกว่าล้านบาท วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2560 บอร์ดบีโอไอเตรียมออกมาตรการส่งเสริมเทคโนโลยี เพิ่มสิทธิประโยชน์การลงทุนเทคโนโลยีเป้าหมาย และเห็นชอบส่งเสริมการลงทุน 4 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นกว่าล้านบาท นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยบอร์ดบีโอไอเตรียมออกมาตรการส่งเสริมเทคโนโลยี เพิ่มสิทธิประโยชน์การลงทุนเทคโนโลยีเป้าหมาย และเห็นชอบส่งเสริมการลงทุน 4 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นกว่าล้านบาท วันนี้ (8 ก.พ.60) เวลา 09.00 น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 1/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ เข้าร่วมด้วย ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคุณเจน นําชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ร่วมแถลงผลการประชุมสรุปดังนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีการพิจารณาหารือการเตรียมความพร้อมด้านกําลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายและ Thailand 4.0 โดยได้เตรียมการในการดําเนินการดึงดูดทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะฝีมือสูง (Talents) จากต่างประเทศ เช่น การอํานวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทํางาน โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากําหนดรูปแบบการทํางานเพื่อกําหนดระยะเวลาการให้วีซ่าและใบอนุญาตทํางานสําหรับกลุ่มประเภท EX ให้มีระยะเวลาที่สอดคล้องกัน การกําหนดนิยามและการตีความคําว่า “การทํางาน” การพัฒนาระบบการแจ้งอยู่ในราชอาณาจักรทุก 90 วัน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เป็นหน่วยงานกลางในการจัดตั้งหน่วยงานภายในขึ้นมารับผิดชอบการดําเนินงานเรื่องการดึงดูด Talents จากต่างประเทศโดยดําเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยให้ศึกษารูปแบบการดําเนินงานและเครื่องมือในการดึงดูด Talents ของประเทศต่าง ๆ เพื่อนํามาปรับใช้ให้เหมาะกับการดําเนินการดังกล่าวของประเทศต่อไป พร้อมทั้ง ที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้บีโอไอออกมาตรการพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี (Technology-based Incentives) เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ “ประเทศไทย 4.0” และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วยมาตรการย่อย คือ 1. การส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย (Core Technologies) ซึ่งจะมีการพิจารณาให้สิทธิประโยชน์เป็นพิเศษกับการลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมายที่ประเทศไทยมีศักยภาพ โดยมีเงื่อนไขเรื่องการถ่ายทอดเทคโนโลยีร่วมกับสถาบันการศึกษาหรือสถาบันวิจัย ทั้งนี้ การลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมายแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย (Targeted Core Technologies) 4 กลุ่ม คือ ไบโอเทคโนโลยี, นาโนเทคโนโลยี, Advanced Materials Technology (เทคโนโลยีการผลิตวัสดุขั้นสูง) และ ดิจิทัล เทคโนโลยี 2) กลุ่มบริการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย (Enabling Services) ซึ่งหมายถึงกิจการบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงที่จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย ได้แก่ การวิจัยพัฒนา สถานฝึกฝนวิชาชีพ (เฉพาะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการออกแบบทางวิศวกรรม บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ และบริการสอบเทียบมาตรฐาน โดยกิจการใน 2 กลุ่มดังกล่าวจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 10 ปี และสามารถขอรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมตามคุณค่าของโครงการได้อีก 1-3 ปี รวมแล้วสูงสุดไม่เกิน 13 ปี 2. การยกเว้นอากรนําเข้าเพื่อนํามาใช้ในการวิจัยและพัฒนา เช่น วัสดุต้นแบบ สารเคมี พืชหรือสัตว์ เป็นต้น 3. ปรับเกณฑ์การให้สิทธิประโยชน์ตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based incentives) สําหรับกิจการผลิตทั่วไปที่ได้สิทธิตามหลักเกณฑ์ปกติ ถ้าลงทุนเพิ่มด้านพัฒนาเทคโนโลยีหรือพัฒนาบุคลากร จะให้เพิ่มค่าใช้จ่ายดังกล่าวเพื่อนํามารวมเป็นมูลค่าภาษีที่ได้ยกเว้น จากเดิม 100% เป็น 200% และหากเป็นค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยพัฒนาให้เพิ่มเป็น 300% อีกทั้งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้บีโอไอออกมาตรการช่วยเหลือกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนและได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยให้ได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรที่นําเข้ามาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหายจากอุทกภัย ทั้งเครื่องจักรใหม่หรือใช้แล้วจากต่างประเทศ ซึ่งมีอายุไม่เกิน 10 ปี นับแต่ปีที่ผลิตถึงปีที่นําเข้า โดยต้องยื่นขอสิทธินําเข้าเครื่องจักรภายในวันที่ 29 ธันวาคม 2560 สําหรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายใน EEC (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง) เน้นส่งเสริมกิจการที่จะยกระดับพื้นที่ EEC ได้แก่ อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง กิจการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และโลจิสติกส์ กิจการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว กิจการวิจัยและพัฒนา และบริการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี โดยเพิ่มสิทธิลดหย่อน CIT 50% อีก 5 ปี สําหรับกิจการในกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (กลุ่มA) โดยกําหนดให้จังหวัดใน EEC เป็นเขตส่งเสริมการลงทุนและต้องยื่นคําขอรับการส่งเสริมภายในปี 2560 นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้การส่งเสริมการลงทุนรวม 4 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 25,297 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) บริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส ( ประเทศไทย ) จํากัด ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการผลิตยางเรเดียล (RADIAL TIRE) เงินลงทุนทั้งสิ้น 12,384 ล้านบาท โครงการนี้ช่วยส่งเสริมการใช้วัตถุดิบยางในประเทศ และมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย ตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบคลัสเตอร์ ตั้งโครงการที่ จังหวัดระยอง 2) บริษัท ขนส่งน้ํามันทางท่อ จํากัด ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการขนส่งทางท่อ เงินลงทุนทั้งสิ้น 8,000 ล้านบาท โครงการนี้จะให้บริการขนส่งน้ํามันทางท่อประมาณ 9,000 ล้านลิตรต่อปี เพื่อรองรับการขยายตัวสําหรับการขนส่งน้ํามันทางท่อ ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งน้ํามันของประเทศ ซึ่งแนวท่อจะผ่านพื้นที่ 10 จังหวัดจากภาคกลางไปยังภาคเหนือ 3) บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จํากัด (มหาชน) จํากัด ได้รับการส่งเสริมขยายกิจการผลิตเชื้อเพลิงจากกากอุตสาหกรรม (Refuse Derived Fuel) เงินลงทุนทั้งสิ้น 312.5 ล้านบาท กําลังการผลิตประมาณ 108,000 ตันต่อปี ตั้งโครงการที่ จังหวัดสระบุรี 4) มูลนิธิหอชมเมืองกรุงเทพมหานคร ได้รับการส่งเสริมกิจการศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรม (หอชมเมือง) เงินลงทุนทั้งสิ้น 4,600.5 ล้านบาท โครงการนี้ จะเป็นหอชมเมืองความสูงประมาณ 459 เมตร มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 22,056 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่ราชพัสดุริมแม่น้ําเจ้าพระยา มีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และจะเป็นถาวรวัตถุซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของกรุงเทพมหานคร รวมทั้ง บีโอไอเตรียมจัดกิจกรรมเพื่อพลิกโฉมประเทศสู่ “Thailand 4.0” ในวันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีกิจกรรมภายในงานที่น่าสนใจ อาทิ งานสัมมนา Opportunity Thailand สัมมนาย่อยรายอุตสาหกรรม New S-Curve กิจกรรมแสดงศักยภาพผู้ประกอบการไทยอุตสาหกรรม New S-Curve ตลอดจน Business Matching ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 3,000 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารคนไทย ผู้แทนสถานทูต หอการค้าต่างประเทศ ผู้บริหารต่างชาติ สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ขณะเดียวกันในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 จะมีการประชุม Honorary Investment Advisors (HIA) ครั้งที่ 2 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากทั่วโลก ซึ่งเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน (HIA) ที่เป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติที่มีการลงทุนแล้วในประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางการปฏิรูปประเทศไทย อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเน้นย้ําในที่ประชุมโดยเฉพาะบีโอไอและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ต่อจากนี้ไปการบริหารการขับเคลื่อนประเทศและยุทธศาสตร์ปฏิรูประเทศจะต้องดูในเรื่องของมิติพื้นที่ทั้ง 6 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ (ภาคใต้ตอนบนและจังหวัดชายแดนภาคใต้รวมทั้ง จ.สตูลและจ.สงขลา) ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ซึ่งยุทธศาสตร์ของ 6 ภูมิภาคจะต้องดําเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกระทรวง และสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศในทุกด้านรองรับการเข้าสู่ Thailand 4.0 ตามเป้าหมายที่รัฐบาลกําหนด ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1781
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังติดตามประเมินเศรษฐกิจใกล้ชิด พร้อมพิจารณามาตรการดูแลเศรษฐกิจอย่างเหมาะสมต่อไป
วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงการคลังติดตามประเมินเศรษฐกิจใกล้ชิด พร้อมพิจารณามาตรการดูแลเศรษฐกิจอย่างเหมาะสมต่อไป ในวันนี้สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ประกาศอัตราการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมของไทยในไตรมาส 4 ปี 2562 ว่าขยายตัวที่ร้อยละ 1.6 และเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2562 ขยายตัวได้ที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี ขยายตัวชะลอลงจากปี 2561 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อปี นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “ในวันนี้สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ประกาศอัตราการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมของไทยในไตรมาส 4 ปี 2562 ว่าขยายตัวที่ร้อยละ 1.6 และเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2562 ขยายตัวได้ที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี ขยายตัวชะลอลงจากปี 2561 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อปี โดยสาเหตุหลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ที่ขยายตัวชะลอลงมาจาก (1) มูลค่าการส่งออกสินค้า ที่หดตัวร้อยละ -4.9 เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ทรงตัวร้อยละ 0.0 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว (2) ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวในระดับสูง โดยเฉพาะในหมวดยานยนต์จากการลดสายการผลิตรถยนต์รุ่นเดิมเพื่อรอเปลี่ยนโมเดลรถยนต์รุ่นใหม่ และหมวดน้ํามันปิโตรเลียมจากการปิดซ่อมบํารุงโรงกลั่นชั่วคราวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเลียมหลายแห่ง ซึ่งในปัจจุบันได้กลับมาดําเนินการผลิตตามปกติแล้ว ดังนั้น ผลกระทบต่อผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นถือเป็นปัจจัยชั่วคราว และ (3) การลงทุนภาครัฐจะชะลอตัว โดยมีสาเหตุมาจากความล่าช้าของการบังคับใช้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2563 อย่างไรก็ดี พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2563 ได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา แล้ว ขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจยังคงเบิกจ่ายได้ดี เป็นผลมาจากกระทรวงการคลังได้มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง โดยให้รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายให้เร็วขึ้นในส่วนโครงการที่สามารถดําเนินการได้ก่อน (Front-Loaded) เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ปี 2562 โดย ในช่วงดังกล่าว รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรัฐวิสาหกิจที่เบิกจ่ายได้ดี ได้แก่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบทางเศรษฐกิจที่ขยายตัว เช่น การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เช่น มาตรการชิมช้อปใช้ และมาตรการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีผลต่อการบริโภคภาคเอกชนให้กลับมาฟื้นตัวและมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาการที่กระทรวงการคลังออกมาตรการเพื่อดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์เมื่อเดือนธันวาคม 2562 สําหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะทําให้จํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงรายได้ของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ในการนี้ กระทรวงการคลังจึงได้มีการดําเนินมาตรการการเงินการคลังเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ปี 2563 โดยจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวผ่านสถาบันการเงินของรัฐ แบ่งเบาภาระให้ผู้ประกอบกิจการโรงแรมสามารถหักรายจ่ายสําหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายในการปรับปรุงกิจการโรงแรมเป็นจํานวน 1.5 เท่า ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยการให้หน่วยงานสามารถหักรายจ่ายสําหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายในจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศเป็นจํานวน 2 เท่า รวมถึงบรรเทาผลกระทบให้แก่ประชาชนผู้เสียภาษี โดยการขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปเป็นภายในเดือนมิถุนายน 2563 กระทรวงการคลังได้มีการดําเนินมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนภายในประเทศปี 2563 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยและกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ ซึ่งประกอบด้วยมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาและปรับปรุงการผลิตสินค้าให้มีศักยภาพสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถก้าวผ่านสถานการณ์ดังกล่าวไปได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และมีความพร้อมที่จะดําเนินมาตรการดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีพื้นฐานแข็งแกร่ง ไม่มีแรงกดดันด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งอัตราเงินเฟ้อต่ํา ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และฐานะทางการคลังสะท้อนจากหนี้สาธารณะต่อ GDP เพียงร้อยละ 41.3 ถือว่ายังอยู่ในระดับที่เข้มแข็งมาก สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงการคลังติดตามประเมินเศรษฐกิจใกล้ชิด พร้อมพิจารณามาตรการดูแลเศรษฐกิจอย่างเหมาะสมต่อไป วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงการคลังติดตามประเมินเศรษฐกิจใกล้ชิด พร้อมพิจารณามาตรการดูแลเศรษฐกิจอย่างเหมาะสมต่อไป ในวันนี้สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ประกาศอัตราการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมของไทยในไตรมาส 4 ปี 2562 ว่าขยายตัวที่ร้อยละ 1.6 และเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2562 ขยายตัวได้ที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี ขยายตัวชะลอลงจากปี 2561 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อปี นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “ในวันนี้สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ประกาศอัตราการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมของไทยในไตรมาส 4 ปี 2562 ว่าขยายตัวที่ร้อยละ 1.6 และเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2562 ขยายตัวได้ที่ร้อยละ 2.4 ต่อปี ขยายตัวชะลอลงจากปี 2561 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 ต่อปี โดยสาเหตุหลักของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ที่ขยายตัวชะลอลงมาจาก (1) มูลค่าการส่งออกสินค้า ที่หดตัวร้อยละ -4.9 เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ทรงตัวร้อยละ 0.0 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว (2) ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวในระดับสูง โดยเฉพาะในหมวดยานยนต์จากการลดสายการผลิตรถยนต์รุ่นเดิมเพื่อรอเปลี่ยนโมเดลรถยนต์รุ่นใหม่ และหมวดน้ํามันปิโตรเลียมจากการปิดซ่อมบํารุงโรงกลั่นชั่วคราวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเลียมหลายแห่ง ซึ่งในปัจจุบันได้กลับมาดําเนินการผลิตตามปกติแล้ว ดังนั้น ผลกระทบต่อผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นถือเป็นปัจจัยชั่วคราว และ (3) การลงทุนภาครัฐจะชะลอตัว โดยมีสาเหตุมาจากความล่าช้าของการบังคับใช้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2563 อย่างไรก็ดี พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2563 ได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา แล้ว ขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจยังคงเบิกจ่ายได้ดี เป็นผลมาจากกระทรวงการคลังได้มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง โดยให้รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายให้เร็วขึ้นในส่วนโครงการที่สามารถดําเนินการได้ก่อน (Front-Loaded) เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ปี 2562 โดย ในช่วงดังกล่าว รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรัฐวิสาหกิจที่เบิกจ่ายได้ดี ได้แก่ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบทางเศรษฐกิจที่ขยายตัว เช่น การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เช่น มาตรการชิมช้อปใช้ และมาตรการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีผลต่อการบริโภคภาคเอกชนให้กลับมาฟื้นตัวและมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจาการที่กระทรวงการคลังออกมาตรการเพื่อดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์เมื่อเดือนธันวาคม 2562 สําหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะทําให้จํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงรายได้ของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ในการนี้ กระทรวงการคลังจึงได้มีการดําเนินมาตรการการเงินการคลังเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจการท่องเที่ยว ปี 2563 โดยจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวผ่านสถาบันการเงินของรัฐ แบ่งเบาภาระให้ผู้ประกอบกิจการโรงแรมสามารถหักรายจ่ายสําหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายในการปรับปรุงกิจการโรงแรมเป็นจํานวน 1.5 เท่า ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยการให้หน่วยงานสามารถหักรายจ่ายสําหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายในจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศเป็นจํานวน 2 เท่า รวมถึงบรรเทาผลกระทบให้แก่ประชาชนผู้เสียภาษี โดยการขยายกําหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปเป็นภายในเดือนมิถุนายน 2563 กระทรวงการคลังได้มีการดําเนินมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนภายในประเทศปี 2563 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยและกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ ซึ่งประกอบด้วยมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร และมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาและปรับปรุงการผลิตสินค้าให้มีศักยภาพสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถก้าวผ่านสถานการณ์ดังกล่าวไปได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และมีความพร้อมที่จะดําเนินมาตรการดูแลเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีพื้นฐานแข็งแกร่ง ไม่มีแรงกดดันด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งอัตราเงินเฟ้อต่ํา ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล และฐานะทางการคลังสะท้อนจากหนี้สาธารณะต่อ GDP เพียงร้อยละ 41.3 ถือว่ายังอยู่ในระดับที่เข้มแข็งมาก สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3223
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ เตรียมจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย ครั้งที่ 12”
วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560 ก.เกษตรฯ เตรียมจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตํานานไหมไทย ครั้งที่ 12” กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตํานานไหมไทย ครั้งที่ 12” ประจําปี 2560 มุ่งสืบสานภูมิปัญญา ยกระดับมาตรฐานหม่อนไหมไทยสู่สากล นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังแถลงข่าวการจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตํานานไหมไทย ครั้งที่ 12” ประจําปี 2560 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมหม่อนไหม กําหนดจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตํานานไหมไทย ครั้งที่ 12” ประจําปี 2560 ภายใต้แนวคิด “สืบสานภูมิปัญญา พัฒนามาตรฐานหม่อนไหม” ระหว่างวันที่ 13 - 17 กรกฎาคม 2560 ณ ฮอลล์ 3 - 4 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และร่วมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงทุ่มเทเสียสละอุทิศพระวรกายในการส่งเสริมอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ทําให้เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความมั่นคงในอาชีพ และก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมไหมไทยจนเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเป็นการอนุรักษ์สืบสานอาชีพด้านหม่อนไหม ช่วยสนับสนุนส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นของเกษตรกรไทยต่อไป "การจัดงานในครั้งนี้ จะทําให้ผู้ผลิตได้ทราบข้อมูลการขอรับใบรับรองการใช้สัญลักษณ์นกยูงในการรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยและทราบความต้องการของตลาด เพื่อจะผลิตสินค้าได้ตรงความต้องการของตลาด ส่วนผู้บริโภคสินค้าผ้าไหมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจะมีความเชื่อมั่นในผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน นอกจากนี้ ยังเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สัญลักษณ์ตรานกยูงพระราชทานให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังให้คนไทยได้เกิดความภูมิใจและร่วมมือกันรักษาชื่อเสียงผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยไว้ให้มีคุณภาพมาตรฐาน ซึ่งเป็นการสนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ในการอนุรักษ์และคุ้มครองไหมไทยไว้เป็นสมบัติของชาติสืบไป" นายธีรภัทร กล่าว ด้าน นางสุดารัตน์ วัชรคุปต์ เหล่าวิชยา อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับรูปแบบการจัดงาน จะมีทั้งนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การทอผ้า นิทรรศการตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน ประกอบด้วย ตรานกยูงพระราชทานสีทอง สีเงิน สีน้ําเงิน และสีเขียว ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้เป็นสัญลักษณ์รับรองคุณภาพผ้าไหมไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ปัจจุบันได้จดทะเบียนแล้ว 35 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ยังจัดแสดงผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานที่ชนะการประกวดระดับประเทศและกิจกรรมที่น่าสนใจอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้ การจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตํานานไหมไทย ครั้งที่ 12” ประจําปี 2560 มีนิทรรศการและกิจกรรม เช่น นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 การจัดแสดงผลงานที่ชนะเลิศการประกวดเส้นไหม ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน และผลิตภัณฑ์ หม่อนไหมประจําปี 2560 นิทรรศการเกี่ยวกับหม่อนไหมและการสาธิตและจัดแสดง “ของแปลกไหม” รวมถึงการแสดงผลิตภัณฑ์หม่อนไหม และการออกร้านจําหน่ายผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ไหมไทยที่มีคุณภาพจํานวน 200 ร้านจากทั่วประเทศ กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@opsmoac.go.th moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ เตรียมจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย ครั้งที่ 12” วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2560 ก.เกษตรฯ เตรียมจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตํานานไหมไทย ครั้งที่ 12” กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตํานานไหมไทย ครั้งที่ 12” ประจําปี 2560 มุ่งสืบสานภูมิปัญญา ยกระดับมาตรฐานหม่อนไหมไทยสู่สากล นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังแถลงข่าวการจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตํานานไหมไทย ครั้งที่ 12” ประจําปี 2560 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมหม่อนไหม กําหนดจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตํานานไหมไทย ครั้งที่ 12” ประจําปี 2560 ภายใต้แนวคิด “สืบสานภูมิปัญญา พัฒนามาตรฐานหม่อนไหม” ระหว่างวันที่ 13 - 17 กรกฎาคม 2560 ณ ฮอลล์ 3 - 4 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และร่วมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ทรงทุ่มเทเสียสละอุทิศพระวรกายในการส่งเสริมอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ทําให้เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความมั่นคงในอาชีพ และก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมไหมไทยจนเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนเป็นการอนุรักษ์สืบสานอาชีพด้านหม่อนไหม ช่วยสนับสนุนส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นของเกษตรกรไทยต่อไป "การจัดงานในครั้งนี้ จะทําให้ผู้ผลิตได้ทราบข้อมูลการขอรับใบรับรองการใช้สัญลักษณ์นกยูงในการรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยและทราบความต้องการของตลาด เพื่อจะผลิตสินค้าได้ตรงความต้องการของตลาด ส่วนผู้บริโภคสินค้าผ้าไหมทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศจะมีความเชื่อมั่นในผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน นอกจากนี้ ยังเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สัญลักษณ์ตรานกยูงพระราชทานให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังให้คนไทยได้เกิดความภูมิใจและร่วมมือกันรักษาชื่อเสียงผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยไว้ให้มีคุณภาพมาตรฐาน ซึ่งเป็นการสนองพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ในการอนุรักษ์และคุ้มครองไหมไทยไว้เป็นสมบัติของชาติสืบไป" นายธีรภัทร กล่าว ด้าน นางสุดารัตน์ วัชรคุปต์ เหล่าวิชยา อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับรูปแบบการจัดงาน จะมีทั้งนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การทอผ้า นิทรรศการตราสัญลักษณ์นกยูงพระราชทาน ประกอบด้วย ตรานกยูงพระราชทานสีทอง สีเงิน สีน้ําเงิน และสีเขียว ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้เป็นสัญลักษณ์รับรองคุณภาพผ้าไหมไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ปัจจุบันได้จดทะเบียนแล้ว 35 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ ยังจัดแสดงผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานที่ชนะการประกวดระดับประเทศและกิจกรรมที่น่าสนใจอื่น ๆ ด้วย ทั้งนี้ การจัดงาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตํานานไหมไทย ครั้งที่ 12” ประจําปี 2560 มีนิทรรศการและกิจกรรม เช่น นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 การจัดแสดงผลงานที่ชนะเลิศการประกวดเส้นไหม ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน และผลิตภัณฑ์ หม่อนไหมประจําปี 2560 นิทรรศการเกี่ยวกับหม่อนไหมและการสาธิตและจัดแสดง “ของแปลกไหม” รวมถึงการแสดงผลิตภัณฑ์หม่อนไหม และการออกร้านจําหน่ายผ้าไหมและผลิตภัณฑ์ไหมไทยที่มีคุณภาพจํานวน 200 ร้านจากทั่วประเทศ กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@opsmoac.go.th moac58@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5032
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน สร้างความเข้าใจการทำสัญญาจ้าง การจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเล ตาม กม. คุ้มครองแรงงานแก่นายจ้าง
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 ก.แรงงาน สร้างความเข้าใจการทําสัญญาจ้าง การจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเล ตาม กม. คุ้มครองแรงงานแก่นายจ้าง ก.แรงงาน จัดโครงการประชุมชี้แจง เรื่อง การทําสัญญาจ้างและการจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเล เพื่อให้นายจ้างในกิจการประมงทะเล ได้มีความรู้ ความเข้าใจในการทําสัญญาจ้างและการจ่ายเงินผ่านธนาคาร นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการประชุมชี้แจง เรื่อง การทําสัญญาจ้างและการจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเล เพื่อแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม รุ่นที่ 2 ณ เดอะเกรซ อัมพวา รีสอร์ท อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม วันนี้ (16 มี.ค. 61) โดยกล่าวว่า “สืบเนื่องจากแบบสัญญาจ้างที่กําหนดไว้ในกฎหมาย ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือนโดยจ่ายผ่านบัญชีธนาคาร และนายจ้างเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน ซึ่งต้องบัญญัติแบบให้สอดคล้องกับมาตรา 82 ของพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 เพื่อให้นายจ้างในกิจการประมงทะเล ได้มีความรู้ ความเข้าใจในการทําสัญญาจ้างและการจ่ายเงินผ่านธนาคาร กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จึงให้กองคุ้มครองแรงงานจัดโครงการประชุมชี้แจง เรื่อง การทําสัญญาจ้างและการจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเล ในวันนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการทําสัญญาจ้าง และการจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเลตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีแนวทางดําเนินงานที่สอดคล้องกับข้อกฎหมายและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ในการแก้ไขปัญหา อุปสรรค เพื่อสร้างการร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing)” โดยโครงการนี้มีผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากภาครัฐ ธนาคารพาณิชย์ สมาคมประมง ผู้ประกอบการประมงทะเล แรงงานประมงทะเลในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร จํานวน 260 คน ระยะเวลาการประชุมจํานวน 1 วัน และได้เชิญวิทยากรผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มาบรรยายให้ความรู้ เรื่อง กฎหมายคุ้มครองแรงงาน แบบสัญญาจ้างลูกจ้างประมง การจัดทําบัญชีการจ่ายค่าจ้าง และการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในสถานประกอบกิจการประมงทะเล ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมประชุม โดยมีการซักถามปัญหาและอุปสรรคตลอดการประชุมอีกด้วย +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว 16 มีนาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน สร้างความเข้าใจการทำสัญญาจ้าง การจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเล ตาม กม. คุ้มครองแรงงานแก่นายจ้าง วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 ก.แรงงาน สร้างความเข้าใจการทําสัญญาจ้าง การจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเล ตาม กม. คุ้มครองแรงงานแก่นายจ้าง ก.แรงงาน จัดโครงการประชุมชี้แจง เรื่อง การทําสัญญาจ้างและการจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเล เพื่อให้นายจ้างในกิจการประมงทะเล ได้มีความรู้ ความเข้าใจในการทําสัญญาจ้างและการจ่ายเงินผ่านธนาคาร นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการประชุมชี้แจง เรื่อง การทําสัญญาจ้างและการจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเล เพื่อแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม รุ่นที่ 2 ณ เดอะเกรซ อัมพวา รีสอร์ท อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม วันนี้ (16 มี.ค. 61) โดยกล่าวว่า “สืบเนื่องจากแบบสัญญาจ้างที่กําหนดไว้ในกฎหมาย ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือนโดยจ่ายผ่านบัญชีธนาคาร และนายจ้างเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมในการโอนเงิน ซึ่งต้องบัญญัติแบบให้สอดคล้องกับมาตรา 82 ของพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 เพื่อให้นายจ้างในกิจการประมงทะเล ได้มีความรู้ ความเข้าใจในการทําสัญญาจ้างและการจ่ายเงินผ่านธนาคาร กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จึงให้กองคุ้มครองแรงงานจัดโครงการประชุมชี้แจง เรื่อง การทําสัญญาจ้างและการจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเล ในวันนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการทําสัญญาจ้าง และการจ่ายค่าจ้างแรงงานประมงทะเลตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้มีแนวทางดําเนินงานที่สอดคล้องกับข้อกฎหมายและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ในการแก้ไขปัญหา อุปสรรค เพื่อสร้างการร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing)” โดยโครงการนี้มีผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากภาครัฐ ธนาคารพาณิชย์ สมาคมประมง ผู้ประกอบการประมงทะเล แรงงานประมงทะเลในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ตราด ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร จํานวน 260 คน ระยะเวลาการประชุมจํานวน 1 วัน และได้เชิญวิทยากรผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มาบรรยายให้ความรู้ เรื่อง กฎหมายคุ้มครองแรงงาน แบบสัญญาจ้างลูกจ้างประมง การจัดทําบัญชีการจ่ายค่าจ้าง และการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในสถานประกอบกิจการประมงทะเล ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมประชุม โดยมีการซักถามปัญหาและอุปสรรคตลอดการประชุมอีกด้วย +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว 16 มีนาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10835
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม.เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ถูกพ่อแท้ๆล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.นครราชสีมา
วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561 พม.เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ถูกพ่อแท้ๆล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.นครราชสีมา พม.เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ถูกพ่อแท้ๆล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.นครราชสีมา วันนี้ (20 มิ.ย. 61) เวลา 08.30 น.นางสาวอุษณี กังวารจิตต์ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รอง ปพม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 87/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ จากกรณีหญิงรายหนึ่งพาหลานสาววัย 8 ขวบ เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตํารวจว่าหลานสาวถูกพ่อแท้ๆบังคับข่มขืนกระทําชําเราหลายครั้ง จนเด็กหญิงเกิดอาการซึมเศร้า และร้องไห้บ่อยครั้ง ด้านแม่ของเด็กรับสารภาพว่าทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ไม่กล้าดําเนินการใดๆ เนื่องจากเกรงว่าจะถูกสามีทําร้ายร่างกายเหมือนที่เคยประสบมาก่อน ที่จังหวัดพิษณุโลก และกรณีชายวัย 55 ปี เป็นครูสอนดนตรีพื้นบ้าน ที่ก่อเหตุบังคับข่มขืนกระทําชําเราเด็กนักเรียนหญิงวัย 13 ปี ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.พิษณุโลก และ พมจ.กาฬสินธุ์ พร้อมทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของทั้ง 2 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงทั้ง 2 คนอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมให้การดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และขอความร่วมมือผู้ปกครองและบุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้อง หากพบเบาะแสการกระทําความรุนแรงต่อเด็กในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โทรฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป อีกกรณีหญิงชราวัย 88 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็ง นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาศัยอยู่กับลูกสาว 2 คน ทั้ง 3 ชีวิต อาศัยในบ้านไม้สภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ครอบครัวมีฐานะยากจน รายได้ไม่เพียงพอค่ารักษาพยาบาล ที่จังหวัดนครราชสีมา นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครราชสีมา (พมจ.นครราชสีมา) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของหญิงชราอย่างใกล้ชิด และดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ รวมทั้ง ให้คําแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิ ตามกฎหมายตามความเหมาะสม รวมทั้ง ให้คําแนะนําแก่ครอบครัวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคง สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ในระยะยาวต่อไป สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ กรณีหนุ่มพิการสู้ชีวิตวัย 27 ปี รับจ้างลอกเปลือกต้นหอม อาศัยอยู่ในบ้านเก่าทรุดโทรม จังหวัดเพชรบุรี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อมอบเงินสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พร้อมประสานการช่วยเหลือ ในเรื่องการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ได้วางแผนให้ความช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม.เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ถูกพ่อแท้ๆล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.นครราชสีมา วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2561 พม.เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ถูกพ่อแท้ๆล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.นครราชสีมา พม.เร่งเยียวยาจิตใจเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ถูกพ่อแท้ๆล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคม ที่ จ.นครราชสีมา วันนี้ (20 มิ.ย. 61) เวลา 08.30 น.นางสาวอุษณี กังวารจิตต์ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รอง ปพม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 87/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ จากกรณีหญิงรายหนึ่งพาหลานสาววัย 8 ขวบ เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตํารวจว่าหลานสาวถูกพ่อแท้ๆบังคับข่มขืนกระทําชําเราหลายครั้ง จนเด็กหญิงเกิดอาการซึมเศร้า และร้องไห้บ่อยครั้ง ด้านแม่ของเด็กรับสารภาพว่าทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ไม่กล้าดําเนินการใดๆ เนื่องจากเกรงว่าจะถูกสามีทําร้ายร่างกายเหมือนที่เคยประสบมาก่อน ที่จังหวัดพิษณุโลก และกรณีชายวัย 55 ปี เป็นครูสอนดนตรีพื้นบ้าน ที่ก่อเหตุบังคับข่มขืนกระทําชําเราเด็กนักเรียนหญิงวัย 13 ปี ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.พิษณุโลก และ พมจ.กาฬสินธุ์ พร้อมทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของทั้ง 2 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กหญิงทั้ง 2 คนอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ กระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมให้การดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และขอความร่วมมือผู้ปกครองและบุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้อง หากพบเบาะแสการกระทําความรุนแรงต่อเด็กในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โทรฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป อีกกรณีหญิงชราวัย 88 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็ง นอนป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาศัยอยู่กับลูกสาว 2 คน ทั้ง 3 ชีวิต อาศัยในบ้านไม้สภาพเก่าทรุดโทรมใกล้ผุพัง ครอบครัวมีฐานะยากจน รายได้ไม่เพียงพอค่ารักษาพยาบาล ที่จังหวัดนครราชสีมา นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครราชสีมา (พมจ.นครราชสีมา) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจด้านผู้สูงอายุของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของหญิงชราอย่างใกล้ชิด และดูแลเรื่องการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้มั่นคง แข็งแรง และถูกสุขลักษณะ รวมทั้ง ให้คําแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคม เพื่อขอรับสิทธิ ตามกฎหมายตามความเหมาะสม รวมทั้ง ให้คําแนะนําแก่ครอบครัวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคง สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ในระยะยาวต่อไป สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ กรณีหนุ่มพิการสู้ชีวิตวัย 27 ปี รับจ้างลอกเปลือกต้นหอม อาศัยอยู่ในบ้านเก่าทรุดโทรม จังหวัดเพชรบุรี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อมอบเงินสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พร้อมประสานการช่วยเหลือ ในเรื่องการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ได้วางแผนให้ความช่วยเหลือในระยะยาวต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13207
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ออกมาตรการดูแลพนักงานจากผลกระทบฝุ่นละออง PM 2.5
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 ธ.ก.ส. ออกมาตรการดูแลพนักงานจากผลกระทบฝุ่นละออง PM 2.5 ธ.ก.ส. ออกมาตรการจัดการกับภาวะฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน โดยทําการฉีดพ่นละอองน้ําบนดาดฟ้าอาคาร ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน เพื่อลดปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ออกมาตรการจัดการกับภาวะฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน โดยทําการฉีดพ่นละอองน้ําบนดาดฟ้าอาคาร ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน เพื่อลดปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน พร้อมทั้งทําการปิดหน้าต่างทุกชั้น เพื่อลดการนําอากาศภายนอกสู่อาคาร มีการตรวจวัดคุณภาพอากาศเป็นประจํา และรณรงค์ให้พนักงานลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ เช่น ลดการใช้รถยนต์ดีเซล และดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถ เป็นต้น สําหรับน้ําที่ฉีดพ่นออกไปส่วนหนึ่งจะไหลกลับสู่ระบบบําบัดน้ําเพื่อใช้รดต้นไม้ต่อไป นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังมีมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ฝุ่นดังกล่าวโดยให้พนักงานในกลุ่มที่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น สตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจําตัวเกี่ยวกับทางเดินหายใจหรือผู้ที่มีบุตรที่ยังเป็นผู้เยาว์ สามารถแจ้งขออนุญาตปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักอาศัยได้ ทั้งนี้ ธ.ก.ส.ให้ความสําคัญและห่วงใยในสวัสดิภาพและสุขภาพของบุคลากร จึงได้เร่งดําเนินตามมาตรการดังกล่าวและจะมีการประเมินสถานการณ์เป็นระยะจนกว่าภาวะฝุ่นละอองจะกลับสู่สภาวะปกติต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ออกมาตรการดูแลพนักงานจากผลกระทบฝุ่นละออง PM 2.5 วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 ธ.ก.ส. ออกมาตรการดูแลพนักงานจากผลกระทบฝุ่นละออง PM 2.5 ธ.ก.ส. ออกมาตรการจัดการกับภาวะฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน โดยทําการฉีดพ่นละอองน้ําบนดาดฟ้าอาคาร ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน เพื่อลดปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ออกมาตรการจัดการกับภาวะฝุ่นละออง PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน โดยทําการฉีดพ่นละอองน้ําบนดาดฟ้าอาคาร ธ.ก.ส. สํานักงานใหญ่ บางเขน เพื่อลดปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกินค่ามาตรฐาน พร้อมทั้งทําการปิดหน้าต่างทุกชั้น เพื่อลดการนําอากาศภายนอกสู่อาคาร มีการตรวจวัดคุณภาพอากาศเป็นประจํา และรณรงค์ให้พนักงานลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ เช่น ลดการใช้รถยนต์ดีเซล และดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถ เป็นต้น สําหรับน้ําที่ฉีดพ่นออกไปส่วนหนึ่งจะไหลกลับสู่ระบบบําบัดน้ําเพื่อใช้รดต้นไม้ต่อไป นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังมีมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ฝุ่นดังกล่าวโดยให้พนักงานในกลุ่มที่มีความเสี่ยงหรือได้รับผลกระทบ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น สตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจําตัวเกี่ยวกับทางเดินหายใจหรือผู้ที่มีบุตรที่ยังเป็นผู้เยาว์ สามารถแจ้งขออนุญาตปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักอาศัยได้ ทั้งนี้ ธ.ก.ส.ให้ความสําคัญและห่วงใยในสวัสดิภาพและสุขภาพของบุคลากร จึงได้เร่งดําเนินตามมาตรการดังกล่าวและจะมีการประเมินสถานการณ์เป็นระยะจนกว่าภาวะฝุ่นละอองจะกลับสู่สภาวะปกติต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18550
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.ลงพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เปิดโครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และเปิดฝายมีชีวิต พร้อมร่วมปลูกต้นไม้โครงการ “ป่ารักษ์น้ำโลใหญ่ชัยภูมิ” จังหวัดชัยภูมิ
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561 นรม.ลงพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เปิดโครงการอ่างเก็บน้ําลําสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ และเปิดฝายมีชีวิต พร้อมร่วมปลูกต้นไม้โครงการ “ป่ารักษ์น้ําโลใหญ่ชัยภูมิ” จังหวัดชัยภูมิ นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เปิดโครงการอ่างเก็บน้ําลําสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ และเปิดฝายมีชีวิต พร้อมร่วมปลูกต้นไม้โครงการ “ป่ารักษ์น้ําโลใหญ่ชัยภูมิ” จังหวัดชัยภูมิ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 3 ธันวาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีกําหนดเดินทางไปจังหวัดชัยภูมิ เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอ่างเก็บน้ําลําสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ ตําบลหนองแวง อําเภอหนองบัวแดง และเปิดฝาย ลําดับที่ 111 เปิดระบบกระจายน้ําพลังงานแสงอาทิตย์ และปลูกต้นไม้ตามโครงการ “ป่ารักษ์น้ําโลใหญ่ชัยภูมิ” อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ดังนี้ เวลา 07.15 น. นายกรัฐมนตรีออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังพื้นที่ก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ําลําสะพุง ตําบลหนองแวง อําเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอ่างเก็บน้ําลําสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ และรับฟังบรรยายสรุปแนวทางการขับเคลื่อนโครงการสําคัญ และรูปแบบบูรณาการหน่วยงานในการแก้ปัญหาเรื่องน้ําในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เยี่ยมชมนิทรรศการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ และการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตร ทั้งนี้ โครงการอ่างเก็บน้ําลําสะพุง เป็นโครงการประเภทอ่างเก็บกักน้ํา ขนาดความจุ 32.00 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ ประชาชนในพื้นที่จะมีน้ําเพียงพอเพื่อการอุปโภคบริโภค และยังสามารถจัดส่งน้ําเข้าพื้นที่ชลประทานได้ถึง 38,400 ไร่ เพิ่มพื้นที่ชลประทานช่วงฤดูฝน 24,000 ไร่ และช่วงฤดูแล้ง 14,400 ไร่ มีประชาชนได้รับประโยชน์ 14,160 ครัวเรือนหรือ 87,600 คน โดยประมาณการดําเนินการโครงการดังกล่าวนี้ ภายใต้แนวทางศาสตร์พระราชาด้านการบริหารจัดการน้ํา เพื่อประโยชน์ในทุกมิติอย่างแท้จริง ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติตาดโดน ตําบลท่าหินโงม อําเภอเมืองชัยภูมิ ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้นกําเนิดลําน้ําสาขาต่าง ๆ ที่ไหลผ่านจังหวัดชัยภูมิ เพื่อไหลลงสู่แม่น้ําชี หล่อเลี้ยงชุมชนอีสานในอีกหลายจังหวัด อย่างไรก็ตาม ภายในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติตาดโตน ยังคงมีประชาชนจํานวนหนึ่งอาศัยอยู่และทํากิน ทําให้มีแนวโน้มในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศป่าไม้ ระบบนิเวศแหล่งน้ํา ซึ่งจะส่งผลกระทบความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติของประเทศในอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีเปิดฝาย ลําดับที่ 111 และเปิดระบบกระจายน้ํา พลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมปลูกต้นรวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจํารัชกาลที่ 10 ภายใต้โครงการ “ป่ารักษ์น้ําโล่ใหญ่ชัยภูมิ” ในพื้นที่ปลูกป่าทดแทน ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง เยี่ยมชมนิทรรศเกี่ยวกับการจัดการสัตว์ป่าและการจัดการไฟป่าพร้อมทั้งพบปะกับประชาชนก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร -------------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.ลงพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เปิดโครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และเปิดฝายมีชีวิต พร้อมร่วมปลูกต้นไม้โครงการ “ป่ารักษ์น้ำโลใหญ่ชัยภูมิ” จังหวัดชัยภูมิ วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561 นรม.ลงพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เปิดโครงการอ่างเก็บน้ําลําสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ และเปิดฝายมีชีวิต พร้อมร่วมปลูกต้นไม้โครงการ “ป่ารักษ์น้ําโลใหญ่ชัยภูมิ” จังหวัดชัยภูมิ นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เปิดโครงการอ่างเก็บน้ําลําสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ และเปิดฝายมีชีวิต พร้อมร่วมปลูกต้นไม้โครงการ “ป่ารักษ์น้ําโลใหญ่ชัยภูมิ” จังหวัดชัยภูมิ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 3 ธันวาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมีกําหนดเดินทางไปจังหวัดชัยภูมิ เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอ่างเก็บน้ําลําสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ ตําบลหนองแวง อําเภอหนองบัวแดง และเปิดฝาย ลําดับที่ 111 เปิดระบบกระจายน้ําพลังงานแสงอาทิตย์ และปลูกต้นไม้ตามโครงการ “ป่ารักษ์น้ําโลใหญ่ชัยภูมิ” อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ดังนี้ เวลา 07.15 น. นายกรัฐมนตรีออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังพื้นที่ก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ําลําสะพุง ตําบลหนองแวง อําเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอ่างเก็บน้ําลําสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ และรับฟังบรรยายสรุปแนวทางการขับเคลื่อนโครงการสําคัญ และรูปแบบบูรณาการหน่วยงานในการแก้ปัญหาเรื่องน้ําในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ เยี่ยมชมนิทรรศการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ และการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตร ทั้งนี้ โครงการอ่างเก็บน้ําลําสะพุง เป็นโครงการประเภทอ่างเก็บกักน้ํา ขนาดความจุ 32.00 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ ประชาชนในพื้นที่จะมีน้ําเพียงพอเพื่อการอุปโภคบริโภค และยังสามารถจัดส่งน้ําเข้าพื้นที่ชลประทานได้ถึง 38,400 ไร่ เพิ่มพื้นที่ชลประทานช่วงฤดูฝน 24,000 ไร่ และช่วงฤดูแล้ง 14,400 ไร่ มีประชาชนได้รับประโยชน์ 14,160 ครัวเรือนหรือ 87,600 คน โดยประมาณการดําเนินการโครงการดังกล่าวนี้ ภายใต้แนวทางศาสตร์พระราชาด้านการบริหารจัดการน้ํา เพื่อประโยชน์ในทุกมิติอย่างแท้จริง ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังอุทยานแห่งชาติตาดโดน ตําบลท่าหินโงม อําเภอเมืองชัยภูมิ ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้นกําเนิดลําน้ําสาขาต่าง ๆ ที่ไหลผ่านจังหวัดชัยภูมิ เพื่อไหลลงสู่แม่น้ําชี หล่อเลี้ยงชุมชนอีสานในอีกหลายจังหวัด อย่างไรก็ตาม ภายในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติตาดโตน ยังคงมีประชาชนจํานวนหนึ่งอาศัยอยู่และทํากิน ทําให้มีแนวโน้มในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศป่าไม้ ระบบนิเวศแหล่งน้ํา ซึ่งจะส่งผลกระทบความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติของประเทศในอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีเปิดฝาย ลําดับที่ 111 และเปิดระบบกระจายน้ํา พลังงานแสงอาทิตย์ พร้อมปลูกต้นรวงผึ้ง ซึ่งเป็นต้นไม้ประจํารัชกาลที่ 10 ภายใต้โครงการ “ป่ารักษ์น้ําโล่ใหญ่ชัยภูมิ” ในพื้นที่ปลูกป่าทดแทน ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง เยี่ยมชมนิทรรศเกี่ยวกับการจัดการสัตว์ป่าและการจัดการไฟป่าพร้อมทั้งพบปะกับประชาชนก่อนเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร -------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17220
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล จัดบริการประชาชน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561 รัฐบาล จัดบริการประชาชน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน 20 กระทรวงร่วมจัดบริการประชาชน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน และจัดนิทรรศการเผยแพร่ผลงาน ตามยุทธศาสตร์ชาติ อาทิ บริการทางการแพทย์ บริการต่ออายุใบขับขี่ บริการจัดทําหนังสือเดินทาง การรับเรื่องราวร้องทุกข์ 20 กระทรวงร่วมจัดบริการประชาชน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน และจัดนิทรรศการเผยแพร่ผลงานตามยุทธศาสตร์ชาติ อาทิ บริการทางการแพทย์ บริการต่ออายุใบขับขี่ บริการจัดทําหนังสือเดินทาง การรับเรื่องราวร้องทุกข์ วันนี้ (2 เมษายน 2561) ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดการแสดงนิทรรศการ “ข้าราชการพลเรือนกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ” และการบริการประชาชน ในงานวันข้าราชการพลเรือน ประจําปี พ.ศ.2561 ซึ่งในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดงาน ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทย ได้เริ่มใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2471 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2472 และกําหนดให้วันที่ 1 เมษายนของทุกปีเป็นวันข้าราชการพลเรือน เพื่อรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงวางรากฐานระเบียบข้าราชการพลเรือนสมัยใหม่ของไทย และเพื่อปลูกจิตสํานึกให้ข้าราชการมีความภาคภูมิใจในความเป็นข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกิดความตระหนักถึงหน้าที่ในการทํางานเพื่อประชาชน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมและจริยธรรม รวมทั้งมีการพัฒนาตนเอง ปรับเปลี่ยนการทํางานและวิธีคิด ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 สําหรับการแสดงนิทรรศการและการบริการประชาชนในวันนี้ เป็นกิจกรรมหนึ่งของการจัดงานข้าราชการพลเรือน เพื่อเผยแพร่ผลงานของข้าราชการและส่วนราชการต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ด้านความมั่นคง การสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน การสร้างโอกาสและความเท่าเทียมกันทางสังคม การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รวมทั้งมีการจัดบริการแก่ประชาชนที่มาร่วมงานของส่วนราชการ อาทิ การให้บริการทางการแพทย์ บริการต่ออายุใบขับขี่ บริการจัดทําหนังสือเดินทาง การรับเรื่องราวร้องทุกข์ บริการข้อมูลเกี่ยวกับทุนรัฐบาล ให้คําปรึกษาด้านกฎหมาย การแนะแนวอาชีพ การจําหน่ายสินค้าธงฟ้า เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล จัดบริการประชาชน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561 รัฐบาล จัดบริการประชาชน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน 20 กระทรวงร่วมจัดบริการประชาชน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน และจัดนิทรรศการเผยแพร่ผลงาน ตามยุทธศาสตร์ชาติ อาทิ บริการทางการแพทย์ บริการต่ออายุใบขับขี่ บริการจัดทําหนังสือเดินทาง การรับเรื่องราวร้องทุกข์ 20 กระทรวงร่วมจัดบริการประชาชน เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน และจัดนิทรรศการเผยแพร่ผลงานตามยุทธศาสตร์ชาติ อาทิ บริการทางการแพทย์ บริการต่ออายุใบขับขี่ บริการจัดทําหนังสือเดินทาง การรับเรื่องราวร้องทุกข์ วันนี้ (2 เมษายน 2561) ที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดการแสดงนิทรรศการ “ข้าราชการพลเรือนกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ” และการบริการประชาชน ในงานวันข้าราชการพลเรือน ประจําปี พ.ศ.2561 ซึ่งในปีนี้ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดงาน ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทย ได้เริ่มใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2471 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2472 และกําหนดให้วันที่ 1 เมษายนของทุกปีเป็นวันข้าราชการพลเรือน เพื่อรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงวางรากฐานระเบียบข้าราชการพลเรือนสมัยใหม่ของไทย และเพื่อปลูกจิตสํานึกให้ข้าราชการมีความภาคภูมิใจในความเป็นข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เกิดความตระหนักถึงหน้าที่ในการทํางานเพื่อประชาชน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมและจริยธรรม รวมทั้งมีการพัฒนาตนเอง ปรับเปลี่ยนการทํางานและวิธีคิด ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 สําหรับการแสดงนิทรรศการและการบริการประชาชนในวันนี้ เป็นกิจกรรมหนึ่งของการจัดงานข้าราชการพลเรือน เพื่อเผยแพร่ผลงานของข้าราชการและส่วนราชการต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ด้านความมั่นคง การสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน การสร้างโอกาสและความเท่าเทียมกันทางสังคม การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ รวมทั้งมีการจัดบริการแก่ประชาชนที่มาร่วมงานของส่วนราชการ อาทิ การให้บริการทางการแพทย์ บริการต่ออายุใบขับขี่ บริการจัดทําหนังสือเดินทาง การรับเรื่องราวร้องทุกข์ บริการข้อมูลเกี่ยวกับทุนรัฐบาล ให้คําปรึกษาด้านกฎหมาย การแนะแนวอาชีพ การจําหน่ายสินค้าธงฟ้า เป็นต้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11263
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงประเด็นกำลังซื้อทรุดหนักสุดรอบ 10 ปี
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 ชี้แจงประเด็นกําลังซื้อทรุดหนักสุดรอบ 10 ปี “ภาพรวมเศรษฐกิจไทยด้านการบริโภคภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 4 ปี 2560 ขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยในรายละเอียดพบว่า สินค้าอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวได้ที่ร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบก จากข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 ว่า กําลังซื้อทรุดหนักสุดรอบ 10 ปี โดยตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ Fast Moving Consumer Goods (FMCG) ตกต่ํามาโดยตลอด ในปี 2560 หดตัวร้อยละ -0.4 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่หดตัว ร้อยละ -2.4 จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รายได้ผู้บริโภคคงที่ ขณะที่หนี้ครัวเรือนปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงว่า ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์เป็นการอ้างอิงผลการศึกษาของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งสะท้อนความคิดเห็นของผู้บริโภคบางกลุ่มที่อาจไม่ครอบคลุมทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น การประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจที่เหมาะสมจําเป็นต้องใช้ข้อมูลตัวเลขที่เกิดขึ้นของทั้งระบบเศรษฐกิจ อันสามารถสะท้อนได้จากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีการรวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยมีรายละเอียดสรุป ได้ดังนี้ 1. ข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากปี 2557 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.8 มาสู่ปี 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 พบว่า การบริโภคภาคเอกชนมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.5 โดยประเภทสินค้าที่มีการขยายตัวได้ดี ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 แบ่งเป็นการบริโภคอาหารขยายตัวที่ร้อยละ 1.8 และการบริโภคเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 สัญญาณ การขยายตัวดังกล่าวยังสอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายภายในประเทศ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.1 และข้อมูลการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่ม หักชาและกาแฟ เดือนตุลาคม 2560 – กุมภาพันธ์ 2561 จัดเก็บได้ 7,969 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 1,236 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.36 อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มการใส่ใจสุขภาพของคนในปัจจุบันอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคสินค้า โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ําตาลสูง นอกจากนี้ การที่ผู้มีรายได้น้อยใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่นในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ น่าจะส่งผลให้การบริโภคผ่านช่องทางปกติอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อลดลง โดยจากข้อมูลเบื้องต้นของกรมบัญชีกลาง พบว่า ผู้มีรายได้น้อยใช้บัตรสวัสดิการไปซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการเมื่อเดือนตุลาคม 2560 – มกราคม 2561 มูลค่ารวม 20,665 ล้านบาท 2. ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในระยะ 4 ปีที่ผ่านมา สะท้อนจาก (1) เศรษฐกิจไทยในปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องและสูงสุดในรอบ 5 ปี (2) ภาวะ เงินเฟ้อไทยในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับต่ํา สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ในปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี โดยเป็นระดับต่ํากว่าร้อยละ 1.0 ต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน และ (3) สถานการณ์หนี้ภาคครัวเรือนของไทย มีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง 7 ไตรมาสติดต่อกัน โดยล่าสุด ในไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 77.35 ของ GDP สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3256 โทรสาร 0 2298 5602
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงประเด็นกำลังซื้อทรุดหนักสุดรอบ 10 ปี วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 ชี้แจงประเด็นกําลังซื้อทรุดหนักสุดรอบ 10 ปี “ภาพรวมเศรษฐกิจไทยด้านการบริโภคภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 4 ปี 2560 ขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยในรายละเอียดพบว่า สินค้าอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวได้ที่ร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบก จากข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 ว่า กําลังซื้อทรุดหนักสุดรอบ 10 ปี โดยตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ Fast Moving Consumer Goods (FMCG) ตกต่ํามาโดยตลอด ในปี 2560 หดตัวร้อยละ -0.4 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่หดตัว ร้อยละ -2.4 จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รายได้ผู้บริโภคคงที่ ขณะที่หนี้ครัวเรือนปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงว่า ข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์เป็นการอ้างอิงผลการศึกษาของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งสะท้อนความคิดเห็นของผู้บริโภคบางกลุ่มที่อาจไม่ครอบคลุมทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ ดังนั้น การประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจที่เหมาะสมจําเป็นต้องใช้ข้อมูลตัวเลขที่เกิดขึ้นของทั้งระบบเศรษฐกิจ อันสามารถสะท้อนได้จากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีการรวบรวมข้อมูลเศรษฐกิจครอบคลุมทุกภาคส่วน โดยมีรายละเอียดสรุป ได้ดังนี้ 1. ข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า การบริโภคภาคเอกชนในภาพรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากปี 2557 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.8 มาสู่ปี 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 โดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 พบว่า การบริโภคภาคเอกชนมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.5 โดยประเภทสินค้าที่มีการขยายตัวได้ดี ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวที่ร้อยละ 2.2 แบ่งเป็นการบริโภคอาหารขยายตัวที่ร้อยละ 1.8 และการบริโภคเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 สัญญาณ การขยายตัวดังกล่าวยังสอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการใช้จ่ายภายในประเทศ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.1 และข้อมูลการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่ม หักชาและกาแฟ เดือนตุลาคม 2560 – กุมภาพันธ์ 2561 จัดเก็บได้ 7,969 ล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้ว 1,236 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.36 อย่างไรก็ดี จากแนวโน้มการใส่ใจสุขภาพของคนในปัจจุบันอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคสินค้า โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ําตาลสูง นอกจากนี้ การที่ผู้มีรายได้น้อยใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านอื่นในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ น่าจะส่งผลให้การบริโภคผ่านช่องทางปกติอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อลดลง โดยจากข้อมูลเบื้องต้นของกรมบัญชีกลาง พบว่า ผู้มีรายได้น้อยใช้บัตรสวัสดิการไปซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐ ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการเมื่อเดือนตุลาคม 2560 – มกราคม 2561 มูลค่ารวม 20,665 ล้านบาท 2. ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในระยะ 4 ปีที่ผ่านมา สะท้อนจาก (1) เศรษฐกิจไทยในปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.9 โดยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องและสูงสุดในรอบ 5 ปี (2) ภาวะ เงินเฟ้อไทยในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับต่ํา สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ในปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี โดยเป็นระดับต่ํากว่าร้อยละ 1.0 ต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน และ (3) สถานการณ์หนี้ภาคครัวเรือนของไทย มีแนวโน้มลดลง สะท้อนจากระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง 7 ไตรมาสติดต่อกัน โดยล่าสุด ในไตรมาส 3 ปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 77.35 ของ GDP สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3256 โทรสาร 0 2298 5602
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10829
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์และการให้บริการสื่อของกรมประชาสัมพันธ์
วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม 2560 กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์และการให้บริการสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์และการให้บริการสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ วันนี้ (11 กรกฎาคม 2560) นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์และการให้บริการสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับกรมประชาสัมพันธ์ โดยมีส่วนราชการร่วมบูรณาการแผนการดําเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์และให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อให้ภารกิจของทุกภาคส่วนบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ถนนวิภาวดีรังสิต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์และการให้บริการสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม 2560 กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์และการให้บริการสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์และการให้บริการสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ วันนี้ (11 กรกฎาคม 2560) นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์และการให้บริการสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับกรมประชาสัมพันธ์ โดยมีส่วนราชการร่วมบูรณาการแผนการดําเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์และให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อให้ภารกิจของทุกภาคส่วนบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ถนนวิภาวดีรังสิต
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5148
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานเสวนาเรื่อง “บทบาทวิศวกรกับ New S-Curve”
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2560 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานเสวนาเรื่อง “บทบาทวิศวกรกับ New S-Curve” รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมงานเสวนาเรื่อง “บทบาทวิศวกรกับ New S-Curve” และบรรยายพิเศษในหัวข้อ “บทบาทวิศวกรกับ New S-Curve” โดยคณะอนุกรรมการสวัสดิการและสมาชิกสัมพันธ์ สภาวิศวกร จัดขึ้นเพื่อให้วิศวกรไทยได้รับรู้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการนําไปใช้งานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวมถึงรับทราบนโยบายแนวทางการดําเนินงานของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ณ ห้องคอนเวนชั่น ฮอลล์ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ ********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานเสวนาเรื่อง “บทบาทวิศวกรกับ New S-Curve” วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2560 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมงานเสวนาเรื่อง “บทบาทวิศวกรกับ New S-Curve” รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมงานเสวนาเรื่อง “บทบาทวิศวกรกับ New S-Curve” และบรรยายพิเศษในหัวข้อ “บทบาทวิศวกรกับ New S-Curve” โดยคณะอนุกรรมการสวัสดิการและสมาชิกสัมพันธ์ สภาวิศวกร จัดขึ้นเพื่อให้วิศวกรไทยได้รับรู้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการนําไปใช้งานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวมถึงรับทราบนโยบายแนวทางการดําเนินงานของภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ณ ห้องคอนเวนชั่น ฮอลล์ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ ********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6239
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ)
วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561 ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ วันนี้ (30 ม.ค. 61 ) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และดําเนินการต่อไปได้ กค. เสนอว่า 1.ปัจจุบันนายจ้างที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างสามารถนํารายจ่ายค่าจ้างมาหักเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ตามจํานวนที่จ่ายไปจริง (1 เท่า)เนื่องจากเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ สามารถพิสูจน์ตัวตนของผู้รับเงินได้ และไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (9) (13) และ (18) แห่งประมวลรัษฎากร 2. โดยที่รัฐบาลมีนโยบายปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกจ้างให้สามารถดํารงชีวิตอยู่ได้ตามสมควร เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นนโยบายดังกล่าวได้ส่งผลทําให้ต้นทุนการผลิต ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการของผู้ประกอบการสูงเพิ่มขึ้นดังนั้น เพื่อบรรเทาภาระให้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ําตามนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว จึงสมควรกําหนดมาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา โดยให้สามารถนํารายจ่ายค่าจ้างรายวันที่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างมาหักเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ เป็นจํานวน 1.15 เท่าของค่าจ้างรายวันที่จ่ายให้แก่ลูกจ้าง สําหรับค่าจ้างรายวันที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างไปตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 3. กค. ได้ดําเนินการวิเคราะห์ผลกระทบของมาตรการในเรื่องนี้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 แล้ว ซึ่งมาตรการดังกล่าวข้างต้นจะมีผลกระทบ ดังนี้ 3.1 เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกจ้างให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และเป็นการส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบมากขึ้น 3.2คาดว่ามาตรการในเรื่องนี้จะทําให้ภาครัฐจะสูญเสียรายได้ประมาณ 5,400 ล้านบาทแต่อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาภาระให้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีต้นทุนแรงงานเป็นส่วนสําคัญในการประกอบกิจการให้มีศักยภาพในการแข่งขันในประเทศได้อย่างยั่งยืน และจูงใจให้นายจ้างได้มีส่วนร่วมในการดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น สาระสําคัญของพระราชกฤษฎีกา กําหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับเงินได้เป็นจํานวนร้อยละ 15ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้างให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชี ไม่เกิน 100 ล้านบาท และมีการจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ทั้งนี้ สําหรับค่าจ้างรายวันที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างไปตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ 1.ค่าจ้างรายวันหมายถึง เงินค่าจ้างที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทํางานตามสัญญาจ้างสําหรับระยะเวลาการทํางานปกติเป็นรายวัน โดยค่าจ้างรายวันที่จ่ายให้แก่ลูกจ้าง ไม่รวมถึงค่าล่วงเวลา เบี้ยเลี้ยง ประโยชน์อื่นใดที่คํานวณได้เป็นเงินภาษีอากรที่ผู้จ่ายออกแทนให้ ที่ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงาน 2.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขดังนี้ 2.1 อัตราค่าจ้างรายวันที่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างไปตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ต้องสูงกว่าอัตราค่าจ้างรายวันเดิมที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นได้กําหนดและประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไป หรือที่ได้มีการจ่ายค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้างก่อนวันที่1 เมษายน 2561 2.2 ต้องไม่เป็นรายจ่ายค่าจ้างที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ) วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561 ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ วันนี้ (30 ม.ค. 61 ) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และดําเนินการต่อไปได้ กค. เสนอว่า 1.ปัจจุบันนายจ้างที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างสามารถนํารายจ่ายค่าจ้างมาหักเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ตามจํานวนที่จ่ายไปจริง (1 เท่า)เนื่องจากเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ สามารถพิสูจน์ตัวตนของผู้รับเงินได้ และไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (9) (13) และ (18) แห่งประมวลรัษฎากร 2. โดยที่รัฐบาลมีนโยบายปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ําเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกจ้างให้สามารถดํารงชีวิตอยู่ได้ตามสมควร เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่ และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นนโยบายดังกล่าวได้ส่งผลทําให้ต้นทุนการผลิต ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการของผู้ประกอบการสูงเพิ่มขึ้นดังนั้น เพื่อบรรเทาภาระให้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ําตามนโยบายของรัฐบาลดังกล่าว จึงสมควรกําหนดมาตรการภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา โดยให้สามารถนํารายจ่ายค่าจ้างรายวันที่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างมาหักเป็นรายจ่ายในการคํานวณกําไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ เป็นจํานวน 1.15 เท่าของค่าจ้างรายวันที่จ่ายให้แก่ลูกจ้าง สําหรับค่าจ้างรายวันที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างไปตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 3. กค. ได้ดําเนินการวิเคราะห์ผลกระทบของมาตรการในเรื่องนี้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 แล้ว ซึ่งมาตรการดังกล่าวข้างต้นจะมีผลกระทบ ดังนี้ 3.1 เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกจ้างให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และเป็นการส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบมากขึ้น 3.2คาดว่ามาตรการในเรื่องนี้จะทําให้ภาครัฐจะสูญเสียรายได้ประมาณ 5,400 ล้านบาทแต่อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาภาระให้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีต้นทุนแรงงานเป็นส่วนสําคัญในการประกอบกิจการให้มีศักยภาพในการแข่งขันในประเทศได้อย่างยั่งยืน และจูงใจให้นายจ้างได้มีส่วนร่วมในการดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น สาระสําคัญของพระราชกฤษฎีกา กําหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสําหรับเงินได้เป็นจํานวนร้อยละ 15ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้างให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการในรอบระยะเวลาบัญชี ไม่เกิน 100 ล้านบาท และมีการจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ทั้งนี้ สําหรับค่าจ้างรายวันที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างไปตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ 1.ค่าจ้างรายวันหมายถึง เงินค่าจ้างที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทํางานตามสัญญาจ้างสําหรับระยะเวลาการทํางานปกติเป็นรายวัน โดยค่าจ้างรายวันที่จ่ายให้แก่ลูกจ้าง ไม่รวมถึงค่าล่วงเวลา เบี้ยเลี้ยง ประโยชน์อื่นใดที่คํานวณได้เป็นเงินภาษีอากรที่ผู้จ่ายออกแทนให้ ที่ได้รับเนื่องจากการจ้างแรงงาน 2.บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขดังนี้ 2.1 อัตราค่าจ้างรายวันที่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างไปตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 ต้องสูงกว่าอัตราค่าจ้างรายวันเดิมที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นได้กําหนดและประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไป หรือที่ได้มีการจ่ายค่าจ้างรายวันให้แก่ลูกจ้างก่อนวันที่1 เมษายน 2561 2.2 ต้องไม่เป็นรายจ่ายค่าจ้างที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9717
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ประจำเดือนกรกฎาคม 2561
วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561 รายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ประจําเดือนกรกฎาคม 2561 โฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) (คณะกรรมการฯ) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจําเดือนกรกฎาคม 2561 นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) (คณะกรรมการฯ) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจําเดือนกรกฎาคม 2561 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ ดังนี้ 1. จํานวนวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ในประเทศไทย 1.1 จํานวน Startup ที่ลงทะเบียนกับ http://startupthailand.org ของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ จํานวน 1,700 ราย 1.2 จํานวนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่ (SMEs/New Startup) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 658) พ.ศ. 2561 เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับกําไรสุทธิของ SMEs/New Startup เป็นระยะเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2561 มียอดรวมของ SMEs/New Startup เข้ามาจดทะเบียนและยื่นขอรับการรับรองกับสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แล้วจํานวน 155 ราย ได้รับการรับรองจาก สวทช. แล้วจํานวน 100 ราย และได้ขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับกรมสรรพากรแล้วจํานวน 83 ราย โดยมีกิจการได้รับการรับรองเพิ่มขึ้นจํานวน 1 ราย และขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้นจํานวน 1 ราย 1.3 จํานวน Startup ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านการร่วมลงทุนกับธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2561 มียอดรวมของการอนุมัติการร่วมลงทุนใน Startup แล้ว 44 ราย วงเงินรวม 1,212.3 ล้านบาท โดยมี Startup 11 ราย ที่ได้มีการร่วมลงทุนแล้ว คิดเป็นเงินร่วมลงทุน 276 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว มี Startup ที่ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้น โดยมีกิจการ Startup ที่ได้รับอนุมัติการร่วมลงทุนเพิ่มจํานวน 4 ราย วงเงิน 164.8 ล้านบาท 2. จํานวนกลุ่มนักลงทุนในประเทศไทย 2.1 จํานวนกลุ่มนักลงทุนที่ลงทะเบียนกับ Web Portal ปัจจุบันมีกลุ่มนักลงทุนเข้าลงทะเบียนบนเว็บไซต์ http://startupthailand.org แล้วจํานวน 400 ราย 2.2 กิจการเงินร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) และทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน (Private Equity Trust: PE Trust) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 636) พ.ศ. 2560 เพื่อขอรับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลและรายได้จากการโอนหุ้นของบริษัทเป้าหมาย เป็นระยะเวลา 10 รอบระยะเวลาบัญชี ในเดือนกรกฎาคม 2561 พบว่า ผู้จดแจ้งการเป็น VC และ PE Trust กับสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ยังมีจํานวนทั้งสิ้น 32 ราย 3. ความเคลื่อนไหวที่สําคัญในเดือนกรกฎาคม 2561 3.1 การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาด้านมายเซ็ตการประกอบการ ครั้งที่ 5 คณะกรรมการฯ ร่วมกับสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมบัญชีกลาง และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาด้านมายเซ็ตการประกอบการ (การฝึกอบรมฯ) ครั้งที่ 5 ในระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมแคนทารี โคราช จังหวัดนครราชสีมา โดยมีผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมทั้งหมด 44 ท่าน เป็นครูจากโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ Startup Club จํานวน 31 ท่าน จาก 17 สถาบัน จาก 10 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคตะวันออก ได้แก่ ชัยภูมิ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา ปราจีนบุรี สระแก้ว นครนายก และสระบุรี และผู้แทนคณะผู้บริหารการคลังประจําจังหวัด (คบจ.) จํานวน 13 ท่าน สําหรับการฝึกอบรมฯ ครั้งที่ 6 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 - 28 สิงหาคม 2561 ที่จังหวัดนครสวรรค์ สําหรับ คบจ. และคุณครูสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ Startup Club ในภาคตะวันตกและภาคกลางตอนบน 3.2 งาน SPARK 2 Demo Day Pitching สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติร่วมกับ AGW Group ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนจากประเทศอิสราเอล จัดงาน “Spark 2 Demo Day” ในวันที่ 26 กรกฏาคม 2561 ณ โรงแรม Bangkok Marriott Hotel Sukhumvit มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ Startup ที่ได้รับการบ่มเพาะและผ่านการคัดเลือกจากโครงการ SPARK Global Accelerator Program Batch 2 จํานวน 12 ทีม เข้าร่วม Pitching ในงาน โดยทีมที่ได้รับการคัดเลือกและเข้าร่วม Pitching ส่วนใหญ่จะเป็น Startup ที่ทําธุรกิจเกี่ยวกับแพลตฟอร์มหรือแอพพลิเคชั่นทางออนไลน์เป็นหลัก ทั้งนี้ ผู้ชนะในงานจะได้รับการสนับสนุนเงินทุนในการเดินทางไปศึกษาดูงาน DLD Tel Aviv 2018 พร้อมทั้งพบปะนักลงทุนและบริษัทกองทุนร่วมลงทุน รวมถึงสัมผัสบรรยากาศของ Startup Nation ณ เมืองเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ส่วนนโยบายระบบการลงทุน สํานักนโยบายการออมและการลงทุน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3649, 3654
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการดำเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ประจำเดือนกรกฎาคม 2561 วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561 รายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ประจําเดือนกรกฎาคม 2561 โฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) (คณะกรรมการฯ) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจําเดือนกรกฎาคม 2561 นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานความคืบหน้าการดําเนินการของคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee: NSC) (คณะกรรมการฯ) ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการฯ ประจําเดือนกรกฎาคม 2561 โดยมีรายละเอียด สรุปได้ ดังนี้ 1. จํานวนวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ในประเทศไทย 1.1 จํานวน Startup ที่ลงทะเบียนกับ http://startupthailand.org ของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ จํานวน 1,700 ราย 1.2 จํานวนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรายใหม่ (SMEs/New Startup) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 658) พ.ศ. 2561 เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้สําหรับกําไรสุทธิของ SMEs/New Startup เป็นระยะเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2561 มียอดรวมของ SMEs/New Startup เข้ามาจดทะเบียนและยื่นขอรับการรับรองกับสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แล้วจํานวน 155 ราย ได้รับการรับรองจาก สวทช. แล้วจํานวน 100 ราย และได้ขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับกรมสรรพากรแล้วจํานวน 83 ราย โดยมีกิจการได้รับการรับรองเพิ่มขึ้นจํานวน 1 ราย และขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้นจํานวน 1 ราย 1.3 จํานวน Startup ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านการร่วมลงทุนกับธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2561 มียอดรวมของการอนุมัติการร่วมลงทุนใน Startup แล้ว 44 ราย วงเงินรวม 1,212.3 ล้านบาท โดยมี Startup 11 ราย ที่ได้มีการร่วมลงทุนแล้ว คิดเป็นเงินร่วมลงทุน 276 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว มี Startup ที่ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้น โดยมีกิจการ Startup ที่ได้รับอนุมัติการร่วมลงทุนเพิ่มจํานวน 4 ราย วงเงิน 164.8 ล้านบาท 2. จํานวนกลุ่มนักลงทุนในประเทศไทย 2.1 จํานวนกลุ่มนักลงทุนที่ลงทะเบียนกับ Web Portal ปัจจุบันมีกลุ่มนักลงทุนเข้าลงทะเบียนบนเว็บไซต์ http://startupthailand.org แล้วจํานวน 400 ราย 2.2 กิจการเงินร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) และทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน (Private Equity Trust: PE Trust) ที่ขอรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 636) พ.ศ. 2560 เพื่อขอรับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้จากเงินปันผลและรายได้จากการโอนหุ้นของบริษัทเป้าหมาย เป็นระยะเวลา 10 รอบระยะเวลาบัญชี ในเดือนกรกฎาคม 2561 พบว่า ผู้จดแจ้งการเป็น VC และ PE Trust กับสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ยังมีจํานวนทั้งสิ้น 32 ราย 3. ความเคลื่อนไหวที่สําคัญในเดือนกรกฎาคม 2561 3.1 การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาด้านมายเซ็ตการประกอบการ ครั้งที่ 5 คณะกรรมการฯ ร่วมกับสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมบัญชีกลาง และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร จัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการพัฒนาครูและบุคลากรในสถาบันการศึกษาระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษาด้านมายเซ็ตการประกอบการ (การฝึกอบรมฯ) ครั้งที่ 5 ในระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมแคนทารี โคราช จังหวัดนครราชสีมา โดยมีผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมทั้งหมด 44 ท่าน เป็นครูจากโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ Startup Club จํานวน 31 ท่าน จาก 17 สถาบัน จาก 10 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคตะวันออก ได้แก่ ชัยภูมิ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา ปราจีนบุรี สระแก้ว นครนายก และสระบุรี และผู้แทนคณะผู้บริหารการคลังประจําจังหวัด (คบจ.) จํานวน 13 ท่าน สําหรับการฝึกอบรมฯ ครั้งที่ 6 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 - 28 สิงหาคม 2561 ที่จังหวัดนครสวรรค์ สําหรับ คบจ. และคุณครูสถาบันการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ Startup Club ในภาคตะวันตกและภาคกลางตอนบน 3.2 งาน SPARK 2 Demo Day Pitching สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติร่วมกับ AGW Group ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนจากประเทศอิสราเอล จัดงาน “Spark 2 Demo Day” ในวันที่ 26 กรกฏาคม 2561 ณ โรงแรม Bangkok Marriott Hotel Sukhumvit มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ Startup ที่ได้รับการบ่มเพาะและผ่านการคัดเลือกจากโครงการ SPARK Global Accelerator Program Batch 2 จํานวน 12 ทีม เข้าร่วม Pitching ในงาน โดยทีมที่ได้รับการคัดเลือกและเข้าร่วม Pitching ส่วนใหญ่จะเป็น Startup ที่ทําธุรกิจเกี่ยวกับแพลตฟอร์มหรือแอพพลิเคชั่นทางออนไลน์เป็นหลัก ทั้งนี้ ผู้ชนะในงานจะได้รับการสนับสนุนเงินทุนในการเดินทางไปศึกษาดูงาน DLD Tel Aviv 2018 พร้อมทั้งพบปะนักลงทุนและบริษัทกองทุนร่วมลงทุน รวมถึงสัมผัสบรรยากาศของ Startup Nation ณ เมืองเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ส่วนนโยบายระบบการลงทุน สํานักนโยบายการออมและการลงทุน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3649, 3654
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14512
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยชี้ 5G และวิกฤต COVID-19 นำสู่การเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรม Healthcare [กระทรวงคลัง]
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 กรุงไทยชี้ 5G และวิกฤต COVID-19 นําสู่การเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรม Healthcare [กระทรวงคลัง] ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเทคโนโลยี5GและวิกฤตCOVID-19 จะปฏิวัติการดําเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมสู่รูปแบบอัจฉริยะ ผลักดันอุตสาหกรรม Healthcare พลิกโฉมสู่รูปแบบ Smart Healthcare เต็มรูปแบบ ยกระดับประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพสู่มิติใหม่ๆ ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเทคโนโลยี5GและวิกฤตCOVID-19 จะปฏิวัติการดําเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมสู่รูปแบบอัจฉริยะ ผลักดันอุตสาหกรรม Healthcare พลิกโฉมสู่รูปแบบ Smart Healthcare เต็มรูปแบบ ยกระดับประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพสู่มิติใหม่ๆ แก้ปัญหาข้อจํากัดด้านความเพียงพอและการกระจุกตัวของบุคลากรทางการแพทย์รับมือสังคมผู้สูงอายุ และมีส่วนช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยลงปีละ 7-11.5% ดร.พชรพจน์ นันทรามาศผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่ากระแสเทคโนโลยี 5G มาแรงและหลายประเทศได้เริ่มใช้งานในเชิงพาณิชย์ไปแล้ว สําหรับประเทศไทย คาดว่าการใช้งาน 5G จะคึกคักใน 1-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และจังหวัดต้นแบบของ SmartCityเนื่องจาก5Gจะทําให้เทคโนโลยีต่างๆทรงพลังโดยเร็วกว่า 4G ได้ถึง 20 เท่า และรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่าถึง 10 เท่า ที่สําคัญวิกฤตCOVID-19เป็นจุดเปลี่ยนสําคัญที่ผลักดันให้ผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ เปิดรับและเรียนรู้เทคโนโลยีเร็วขึ้น ตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เช่น การปฏิบัติงานทางไกล การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotics& Automation)โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม Healthcare ซึ่งเป็นแนวหน้าในการสู้กับ COVID-19 และไทยกําลังเผชิญกับความท้าทายของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ และการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง “5G จะก่อให้เกิดอุปกรณ์ใหม่ๆจํานวนมหาศาลในชีวิตประจําวัน ที่เชื่อมต่อกันด้วยInternetและจะปฏิวัติการดําเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมสู่รูปแบบอัจฉริยะ (Smart Business) ซึ่งในอุตสาหกรรม Healthcare จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพสู่มิติใหม่ๆ แก้ปัญหาข้อจํากัดด้านความเพียงพอและการกระจุกตัวของบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีแพทย์เพียง 6 คนต่อประชากร1 หมื่นคน ลดผลกระทบต่อคุณภาพและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 8% จนอยู่ที่ 5.8 แสนล้านบาท หากมีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี5Gจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศลงได้ปีละ 7-11.5%” นายณัฐพร ศรีทอง ผู้ร่วมทําวิจัย กล่าวเสริมว่า 5G จะทําให้เกิด Smart Healthcare อย่างแท้จริง เนื่องจากผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถสื่อสารกันแบบ Real Time ข้อมูลต่างๆจะถูกรวมศูนย์อย่างเป็นระบบ และทําให้ศูนย์กลางการดูแลสุขภาพถูกถ่ายโอนจากบุคลากรทางการแพทย์สู่ผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับบริการดูแลสุขภาพในรูปแบบ 4 P คือ สามารถคาดการณ์ปัญหาสุขภาพ (Predictive) ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive)ออกแบบให้เฉพาะเจาะจงแต่ละบุคคล (Personalized) รวมทั้งผู้ป่วยมีส่วนดูแลสุขภาพมากขึ้น (Participatory) ผ่านการตรวจตราและเฝ้าระวังสุขภาพผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยแอปพลิเคชันและอุปกรณ์สวมใส่ต่างๆ(Wearable Medical Device)ซึ่งงานวิจัยในต่างประเทศพบว่าตลาด wearableจะเติบโตปีละ 28%ขณะที่ตลาดการปรึกษาด้านสุขภาพทางไกลจะเติบโตปีละ 18.9% และโดยรวมตลาด Internet of Medical Things (IoMT) จะเติบโตปีละ 27.6% “ภาครัฐและเอกชนไทยในระบบนิเวศของอุตสาหกรรม Healthcare ต้องเตรียมพร้อมและปรับตัว เช่น สร้างบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี วางระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสมร่วมลงทุนกับ Strategic Partnersเพื่อยกระดับการให้บริการนําเสนอบริการ m-Health หรือ Mobile Healthบริการปรึกษาแพทย์ทางไกลผ่านแพลตฟอร์มโรงพยาบาล ซึ่งมีความน่าเชื่อถือผนวกกับHealthTechStartupซึ่งมีจุดเด่นด้านนวัตกรรมและความคล่องตัวสูง ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์ ผู้ผลิตและจําหน่ายอุปกรณ์สวมใส่รวมถึงผู้ให้บริการวางระบบโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูล ตลอดจนผสานกับหน่วยงานภาครัฐ ประกันสังคม บริษัทประกัน และธนาคารพาณิชย์เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลและระบบการจ่ายค่ารักษาพยาบาล”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยชี้ 5G และวิกฤต COVID-19 นำสู่การเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรม Healthcare [กระทรวงคลัง] วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 กรุงไทยชี้ 5G และวิกฤต COVID-19 นําสู่การเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรม Healthcare [กระทรวงคลัง] ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเทคโนโลยี5GและวิกฤตCOVID-19 จะปฏิวัติการดําเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมสู่รูปแบบอัจฉริยะ ผลักดันอุตสาหกรรม Healthcare พลิกโฉมสู่รูปแบบ Smart Healthcare เต็มรูปแบบ ยกระดับประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพสู่มิติใหม่ๆ ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเทคโนโลยี5GและวิกฤตCOVID-19 จะปฏิวัติการดําเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมสู่รูปแบบอัจฉริยะ ผลักดันอุตสาหกรรม Healthcare พลิกโฉมสู่รูปแบบ Smart Healthcare เต็มรูปแบบ ยกระดับประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพสู่มิติใหม่ๆ แก้ปัญหาข้อจํากัดด้านความเพียงพอและการกระจุกตัวของบุคลากรทางการแพทย์รับมือสังคมผู้สูงอายุ และมีส่วนช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยลงปีละ 7-11.5% ดร.พชรพจน์ นันทรามาศผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่ากระแสเทคโนโลยี 5G มาแรงและหลายประเทศได้เริ่มใช้งานในเชิงพาณิชย์ไปแล้ว สําหรับประเทศไทย คาดว่าการใช้งาน 5G จะคึกคักใน 1-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และจังหวัดต้นแบบของ SmartCityเนื่องจาก5Gจะทําให้เทคโนโลยีต่างๆทรงพลังโดยเร็วกว่า 4G ได้ถึง 20 เท่า และรองรับอุปกรณ์ได้มากกว่าถึง 10 เท่า ที่สําคัญวิกฤตCOVID-19เป็นจุดเปลี่ยนสําคัญที่ผลักดันให้ผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ เปิดรับและเรียนรู้เทคโนโลยีเร็วขึ้น ตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เช่น การปฏิบัติงานทางไกล การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotics& Automation)โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม Healthcare ซึ่งเป็นแนวหน้าในการสู้กับ COVID-19 และไทยกําลังเผชิญกับความท้าทายของการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ และการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง “5G จะก่อให้เกิดอุปกรณ์ใหม่ๆจํานวนมหาศาลในชีวิตประจําวัน ที่เชื่อมต่อกันด้วยInternetและจะปฏิวัติการดําเนินธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมสู่รูปแบบอัจฉริยะ (Smart Business) ซึ่งในอุตสาหกรรม Healthcare จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพสู่มิติใหม่ๆ แก้ปัญหาข้อจํากัดด้านความเพียงพอและการกระจุกตัวของบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีแพทย์เพียง 6 คนต่อประชากร1 หมื่นคน ลดผลกระทบต่อคุณภาพและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 8% จนอยู่ที่ 5.8 แสนล้านบาท หากมีการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี5Gจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศลงได้ปีละ 7-11.5%” นายณัฐพร ศรีทอง ผู้ร่วมทําวิจัย กล่าวเสริมว่า 5G จะทําให้เกิด Smart Healthcare อย่างแท้จริง เนื่องจากผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์สามารถสื่อสารกันแบบ Real Time ข้อมูลต่างๆจะถูกรวมศูนย์อย่างเป็นระบบ และทําให้ศูนย์กลางการดูแลสุขภาพถูกถ่ายโอนจากบุคลากรทางการแพทย์สู่ผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับบริการดูแลสุขภาพในรูปแบบ 4 P คือ สามารถคาดการณ์ปัญหาสุขภาพ (Predictive) ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive)ออกแบบให้เฉพาะเจาะจงแต่ละบุคคล (Personalized) รวมทั้งผู้ป่วยมีส่วนดูแลสุขภาพมากขึ้น (Participatory) ผ่านการตรวจตราและเฝ้าระวังสุขภาพผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยแอปพลิเคชันและอุปกรณ์สวมใส่ต่างๆ(Wearable Medical Device)ซึ่งงานวิจัยในต่างประเทศพบว่าตลาด wearableจะเติบโตปีละ 28%ขณะที่ตลาดการปรึกษาด้านสุขภาพทางไกลจะเติบโตปีละ 18.9% และโดยรวมตลาด Internet of Medical Things (IoMT) จะเติบโตปีละ 27.6% “ภาครัฐและเอกชนไทยในระบบนิเวศของอุตสาหกรรม Healthcare ต้องเตรียมพร้อมและปรับตัว เช่น สร้างบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี วางระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยและปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสมร่วมลงทุนกับ Strategic Partnersเพื่อยกระดับการให้บริการนําเสนอบริการ m-Health หรือ Mobile Healthบริการปรึกษาแพทย์ทางไกลผ่านแพลตฟอร์มโรงพยาบาล ซึ่งมีความน่าเชื่อถือผนวกกับHealthTechStartupซึ่งมีจุดเด่นด้านนวัตกรรมและความคล่องตัวสูง ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีทางการแพทย์ ผู้ผลิตและจําหน่ายอุปกรณ์สวมใส่รวมถึงผู้ให้บริการวางระบบโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูล ตลอดจนผสานกับหน่วยงานภาครัฐ ประกันสังคม บริษัทประกัน และธนาคารพาณิชย์เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลและระบบการจ่ายค่ารักษาพยาบาล”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย พร้อมทั้งเยี่ยมและให้กำลังใจผู้สูงอายุ คนพิการ และเด็กที่ประสบปัญหาทางสังคม ที่จังหวัดหนองคาย
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561 รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย พร้อมทั้งเยี่ยมและให้กําลังใจผู้สูงอายุ คนพิการ และเด็กที่ประสบปัญหาทางสังคม ที่จังหวัดหนองคาย รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย พร้อมทั้งเยี่ยมและให้กําลังใจผู้สูงอายุ คนพิการ และเด็กที่ประสบปัญหาทางสังคม ที่จังหวัดหนองคาย วันนี้ (14 ก.ย. 61) เวลา 14.30 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย พร้อมทั้งเยี่ยมเยียนให้กําลังใจผู้สูงอายุ คนพิการ และเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ประสบปัญหาทางสังคม นอกจากนี้ยังร่วมประชุมเวทีชาวบ้าน โดยพบปะ พูดคุย รับฟังข้อเสนอและข้อคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ ณ วัดโพนคํา (บ้านผักขะ) อําเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย พลเอก อนันตพรกล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย พบว่าได้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2498 ต่อมาได้ตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง ในท้องที่อําเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย พ.ศ. 2512 ขึ้น และยกเลิกโดยได้ตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในท้องที่ อําเภอบึงกาฬ และอําเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย พ.ศ. 2518 ขึ้น ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2518 ปัจจุบันนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย มีแนวเขตพื้นที่ครอบคลุม 2 จังหวัด คือ จังหวัดหนองคาย และจังหวัดบึงกาฬ ซึ่งจัดตั้งตามพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 รวมทั้งหมด 4 อําเภอ 11 ตําบล 75 หมู่บ้าน มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 151,250 ไร่ ประชากรในเขตนิคม 40,959 คน 12,971 ครัวเรือน เป็นสมาชิกนิคม จํานวนทั้งสิ้น 10,311 คน สําหรับภารกิจของนิคมสร้างตนเองฯ คือจัดที่ดินเพียงการครองชีพให้แก่สมาชิกนิคมสร้างตนเอง เพื่อการมีที่อยู่อาศัย มีอาชีพ และมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของตนเอง ตลอดจนตรวจสอบข้อเท็จจริง แก้ไขข้อร้องเรียน และแก้ไขข้อพิพาทในพื้นที่นิคม พัฒนาสาธารณูปโภค พัฒนาพื้นที่ในเขต สํารวจและจัดทําฐานข้อมูลพื้นฐานของนิคม ดําเนินโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของสมาชิก เป็นศูนย์การเรียนรู้นิคมสร้างตนเอง พลเอก อนันตพรกล่าวต่อไปว่า สําหรับการขับเคลื่อนงานตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ประจําปีงบประมาณ 2561 ของนิคมสร้างตนเองฯ และแผนการถอนสภาพนิคมฯ ระยะที่ 3 พ.ศ.2561 - 2572 อาทิ โครงการสํารวจตรวจสอบผู้เข้าทํากินในพื้นที่ป่าไม้ส่วนกลาง โครงการรังวัดปักหมุดทํารั้ว โครงการสํารวจรังวัดการถือครองที่ดิน โครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการที่ดินแบบมีส่วนร่วม โครงการพัฒนาศักยภาพและทักษะอาชีพของสมาชิกนิคมฯ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (น้ํา+ใจ ถวายในหลวง) จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ในชุมชนเพื่อการพัฒนาวิถีนิคมฯ โครงการส่งเสริมการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคมในนิคม งานสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและไร้ที่พึ่ง นอกจากนี้ ยังมีโครงการตามพระราชดําริ ได้แก่ โรงเรียนเพียงหลวง13 (ประชําบํารุง) ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นพื้นที่ดําเนินการ "นอกจากการตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของการดําเนินงานของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ยังได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทางสังคม เพื่อให้กําลังใจและมอบเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ประสบปัญหาทางสังคมจํานวน 3 ราย ได้แก่ 1) ชายชรา อายุ 105 ปี ผู้สูงอายุที่มีอายุยืน 2) หญิงชรา อายุ 62 ปี ซึ่งพิการทางการเคลื่อนไหว ขาข้างซ้ายหักเดินไม่ได้ ตาข้างซ้ายบอด อาศัยอยู่กับสามีที่ต้องรับภาระเลี้ยงหลานวัยเรียน 2 คน ครอบครัวมีฐานะยากจน และ 3) เด็กชาย อายุ 9 ปี ครอบครัวมีฐานะยากจน พ่อแม่แยกทางกัน ต้องอาศัยอยู่ที่วัดโพนคํา (บ้านผักขะ) เนื่องจากพ่อบวชเป็นพระที่วัดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม รัฐบาล โดยกระทรวง พม. มีความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย และมุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ หากประสบปัญหาทางสังคม และต้องการขอความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทรสายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือตามภารกิจอย่างเต็มที่”พลเอก อนันตพรกล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย พร้อมทั้งเยี่ยมและให้กำลังใจผู้สูงอายุ คนพิการ และเด็กที่ประสบปัญหาทางสังคม ที่จังหวัดหนองคาย วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561 รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย พร้อมทั้งเยี่ยมและให้กําลังใจผู้สูงอายุ คนพิการ และเด็กที่ประสบปัญหาทางสังคม ที่จังหวัดหนองคาย รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย พร้อมทั้งเยี่ยมและให้กําลังใจผู้สูงอายุ คนพิการ และเด็กที่ประสบปัญหาทางสังคม ที่จังหวัดหนองคาย วันนี้ (14 ก.ย. 61) เวลา 14.30 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย พร้อมทั้งเยี่ยมเยียนให้กําลังใจผู้สูงอายุ คนพิการ และเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่ประสบปัญหาทางสังคม นอกจากนี้ยังร่วมประชุมเวทีชาวบ้าน โดยพบปะ พูดคุย รับฟังข้อเสนอและข้อคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ ณ วัดโพนคํา (บ้านผักขะ) อําเภอรัตนวาปี จังหวัดหนองคาย พลเอก อนันตพรกล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย พบว่าได้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2498 ต่อมาได้ตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง ในท้องที่อําเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย พ.ศ. 2512 ขึ้น และยกเลิกโดยได้ตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองในท้องที่ อําเภอบึงกาฬ และอําเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย พ.ศ. 2518 ขึ้น ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2518 ปัจจุบันนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย มีแนวเขตพื้นที่ครอบคลุม 2 จังหวัด คือ จังหวัดหนองคาย และจังหวัดบึงกาฬ ซึ่งจัดตั้งตามพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554 รวมทั้งหมด 4 อําเภอ 11 ตําบล 75 หมู่บ้าน มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 151,250 ไร่ ประชากรในเขตนิคม 40,959 คน 12,971 ครัวเรือน เป็นสมาชิกนิคม จํานวนทั้งสิ้น 10,311 คน สําหรับภารกิจของนิคมสร้างตนเองฯ คือจัดที่ดินเพียงการครองชีพให้แก่สมาชิกนิคมสร้างตนเอง เพื่อการมีที่อยู่อาศัย มีอาชีพ และมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของตนเอง ตลอดจนตรวจสอบข้อเท็จจริง แก้ไขข้อร้องเรียน และแก้ไขข้อพิพาทในพื้นที่นิคม พัฒนาสาธารณูปโภค พัฒนาพื้นที่ในเขต สํารวจและจัดทําฐานข้อมูลพื้นฐานของนิคม ดําเนินโครงการเพื่อพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของสมาชิก เป็นศูนย์การเรียนรู้นิคมสร้างตนเอง พลเอก อนันตพรกล่าวต่อไปว่า สําหรับการขับเคลื่อนงานตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ประจําปีงบประมาณ 2561 ของนิคมสร้างตนเองฯ และแผนการถอนสภาพนิคมฯ ระยะที่ 3 พ.ศ.2561 - 2572 อาทิ โครงการสํารวจตรวจสอบผู้เข้าทํากินในพื้นที่ป่าไม้ส่วนกลาง โครงการรังวัดปักหมุดทํารั้ว โครงการสํารวจรังวัดการถือครองที่ดิน โครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการที่ดินแบบมีส่วนร่วม โครงการพัฒนาศักยภาพและทักษะอาชีพของสมาชิกนิคมฯ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (น้ํา+ใจ ถวายในหลวง) จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ในชุมชนเพื่อการพัฒนาวิถีนิคมฯ โครงการส่งเสริมการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคมในนิคม งานสงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและไร้ที่พึ่ง นอกจากนี้ ยังมีโครงการตามพระราชดําริ ได้แก่ โรงเรียนเพียงหลวง13 (ประชําบํารุง) ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นพื้นที่ดําเนินการ "นอกจากการตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของการดําเนินงานของนิคมสร้างตนเองโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ยังได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทางสังคม เพื่อให้กําลังใจและมอบเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่ผู้ประสบปัญหาทางสังคมจํานวน 3 ราย ได้แก่ 1) ชายชรา อายุ 105 ปี ผู้สูงอายุที่มีอายุยืน 2) หญิงชรา อายุ 62 ปี ซึ่งพิการทางการเคลื่อนไหว ขาข้างซ้ายหักเดินไม่ได้ ตาข้างซ้ายบอด อาศัยอยู่กับสามีที่ต้องรับภาระเลี้ยงหลานวัยเรียน 2 คน ครอบครัวมีฐานะยากจน และ 3) เด็กชาย อายุ 9 ปี ครอบครัวมีฐานะยากจน พ่อแม่แยกทางกัน ต้องอาศัยอยู่ที่วัดโพนคํา (บ้านผักขะ) เนื่องจากพ่อบวชเป็นพระที่วัดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม รัฐบาล โดยกระทรวง พม. มีความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย และมุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ หากประสบปัญหาทางสังคม และต้องการขอความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม โทรสายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลือตามภารกิจอย่างเต็มที่”พลเอก อนันตพรกล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15394
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 (การจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล) มีผลใช้บังคับแล้ว
วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2561 พระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 (การจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล) มีผลใช้บังคับแล้ว พระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 (การจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล) ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป พระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 (การจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล) ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป สาระสําคัญของพระราชกําหนดดังกล่าวมี 2 ประการ ได้แก่ 1. กําหนดให้เงินส่วนแบ่งของกําไรหรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ได้จากการถือหรือครอบครองโทเคนดิจิทัลและผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลเฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุนเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งเป็นเงินได้ประเภทผลตอบแทนทางการเงินโดยอยู่ใน (ซ) และ (ฌ) ของมาตรา 40 (4) ดังกล่าว 2. กําหนดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายสําหรับบุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ซ) และ (ฌ) ในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ พระราชกําหนดดังกล่าวทําให้การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการทําธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลมีความชัดเจนยิ่งขึ้น แต่มิได้ทําให้ผู้ทําธุรกรรมดังกล่าวต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด สําหรับธุรกรรมอื่น ๆ เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลจะเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรปัจจุบัน โดยสินทรัพย์ดิจิทัลถือเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่าง จึงมีภาระภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกันกับทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างอื่นๆ ในส่วนการกําหนดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายสําหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นกรมสรรพากรจะได้เสนอกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาภาระให้แก่บุคคลธรรมดาที่ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลผ่านศูนย์ซื้อขายที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 กรมสรรพากรจะได้เสนอกฎหมายยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างหารือกับสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสําหรับการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลผ่านนายหน้าหรือศูนย์ซื้อขายที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ทําธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ศูนย์สารนิเทศสรรพากร กรมสรรพากร โทร. 1161
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 (การจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล) มีผลใช้บังคับแล้ว วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม 2561 พระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 (การจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล) มีผลใช้บังคับแล้ว พระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 (การจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล) ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป พระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 (การจัดเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล) ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป สาระสําคัญของพระราชกําหนดดังกล่าวมี 2 ประการ ได้แก่ 1. กําหนดให้เงินส่วนแบ่งของกําไรหรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกันที่ได้จากการถือหรือครอบครองโทเคนดิจิทัลและผลประโยชน์ที่ได้รับจากการโอนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลเฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุนเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งเป็นเงินได้ประเภทผลตอบแทนทางการเงินโดยอยู่ใน (ซ) และ (ฌ) ของมาตรา 40 (4) ดังกล่าว 2. กําหนดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายสําหรับบุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ซ) และ (ฌ) ในอัตราร้อยละ 15 ของเงินได้ พระราชกําหนดดังกล่าวทําให้การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการทําธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลมีความชัดเจนยิ่งขึ้น แต่มิได้ทําให้ผู้ทําธุรกรรมดังกล่าวต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด สําหรับธุรกรรมอื่น ๆ เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลจะเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรปัจจุบัน โดยสินทรัพย์ดิจิทัลถือเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่าง จึงมีภาระภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกันกับทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างอื่นๆ ในส่วนการกําหนดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายสําหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นกรมสรรพากรจะได้เสนอกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาภาระให้แก่บุคคลธรรมดาที่ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลผ่านศูนย์ซื้อขายที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 กรมสรรพากรจะได้เสนอกฎหมายยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป นอกจากนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างหารือกับสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายสําหรับการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลผ่านนายหน้าหรือศูนย์ซื้อขายที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ทําธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ศูนย์สารนิเทศสรรพากร กรมสรรพากร โทร. 1161
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12227
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ใช้บัตรสวัสดิการและร้านธงฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือรับโชคเงินล้าน จากการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด
วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561 ผู้ใช้บัตรสวัสดิการและร้านธงฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือรับโชคเงินล้าน จากการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด ปลัดกระทรวงการคลัง มอบรางวัลแก่ผู้โชคดีในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 10 ณ จังหวัดขอนแก่น โดยผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง มอบรางวัลแก่ผู้โชคดีในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 10 ณ จังหวัดขอนแก่น โดยผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท ด้านผู้ใช้บัตรเดบิตคือนายสงัด เกษก้าน ซึ่งเป็นผู้โชคดีจากการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐจากจังหวัดศรีสะเกษ และด้านร้านค้าที่รับชําระเงินผ่านเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) คือร้านอดิเรก ซึ่งเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐในจังหวัดชัยภูมิ โดยผู้โชคดีทั้งสองเป็นลูกค้าของธนาคารกรุงไทยโดยในโอกาสนี้ ยังได้รับเกียรติจากผู้บริหารกระทรวงการคลัง และผู้บริหารการคลังประจําจังหวัดในพื้นที่เขต 4 และนายวราวุฒิ สิทธิยศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารกลุ่มสายงานเครือข่ายธุรกิจขนาดเล็กและรายย่อย ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดี กระทรวงการคลังดําเนินโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้บัตรเดบิตและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทนเงินสด และส่งเสริมให้ร้านค้าติดตั้งเครื่อง EDC ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางรับชําระเงินด้วยบัตรเดบิต ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) โดยตลอดการดําเนินโครงการได้รับการผลตอบรับอย่างดีทั้งจากประชาชนที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้น และร้านค้าที่มีการติดตั้งเครื่อง EDC เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สําหรับการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตประจําเดือนมีนาคม 2561 นับเป็นเดือนที่ 4ที่เปิดโอกาสขยายสิทธิ์ไปถึงผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐและร้านธงฟ้าประชารัฐให้สามารถร่วมลุ้นโชคได้ โดยการใช้จ่ายผ่านบัตร 1 ครั้ง เท่ากับ 1 สิทธิ์ สําหรับผู้ที่ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบการเกษตร (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในสวัสดิการเดินทางผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนและร้านค้าไปสู่ทางเลือกใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการเงินสดและสนับสนุนการก้าวสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัล โครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตจะมีขึ้นอีก 2 ครั้ง ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2561 (ข้อมูลธุรกรรมในเดือนเมษายน 2561) โดยได้รับการสนับสนุนจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตแทนเงินสด และร้านค้าเร่งติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อรับชําระเงินด้วยบัตรเดบิต ซึ่งจะได้ร่วมลุ้นโชคเงินล้านและรางวัลอื่นอีกกว่า 1,022 รางวัลต่อเดือน ในช่วง 2 ครั้งสุดท้ายของโครงการ โดยสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.epayment.go.th เลขานุการคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการให้ความรู้และส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โทร 02 273 9020 ต่อ 3289 3229 และ 3315
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ใช้บัตรสวัสดิการและร้านธงฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือรับโชคเงินล้าน จากการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561 ผู้ใช้บัตรสวัสดิการและร้านธงฟ้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือรับโชคเงินล้าน จากการใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด ปลัดกระทรวงการคลัง มอบรางวัลแก่ผู้โชคดีในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 10 ณ จังหวัดขอนแก่น โดยผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง มอบรางวัลแก่ผู้โชคดีในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 10 ณ จังหวัดขอนแก่น โดยผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท ด้านผู้ใช้บัตรเดบิตคือนายสงัด เกษก้าน ซึ่งเป็นผู้โชคดีจากการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐจากจังหวัดศรีสะเกษ และด้านร้านค้าที่รับชําระเงินผ่านเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) คือร้านอดิเรก ซึ่งเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐในจังหวัดชัยภูมิ โดยผู้โชคดีทั้งสองเป็นลูกค้าของธนาคารกรุงไทยโดยในโอกาสนี้ ยังได้รับเกียรติจากผู้บริหารกระทรวงการคลัง และผู้บริหารการคลังประจําจังหวัดในพื้นที่เขต 4 และนายวราวุฒิ สิทธิยศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารกลุ่มสายงานเครือข่ายธุรกิจขนาดเล็กและรายย่อย ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดี กระทรวงการคลังดําเนินโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้บัตรเดบิตและบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทนเงินสด และส่งเสริมให้ร้านค้าติดตั้งเครื่อง EDC ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางรับชําระเงินด้วยบัตรเดบิต ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) โดยตลอดการดําเนินโครงการได้รับการผลตอบรับอย่างดีทั้งจากประชาชนที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้น และร้านค้าที่มีการติดตั้งเครื่อง EDC เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สําหรับการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตประจําเดือนมีนาคม 2561 นับเป็นเดือนที่ 4ที่เปิดโอกาสขยายสิทธิ์ไปถึงผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐและร้านธงฟ้าประชารัฐให้สามารถร่วมลุ้นโชคได้ โดยการใช้จ่ายผ่านบัตร 1 ครั้ง เท่ากับ 1 สิทธิ์ สําหรับผู้ที่ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบการเกษตร (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในสวัสดิการเดินทางผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนและร้านค้าไปสู่ทางเลือกใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการเงินสดและสนับสนุนการก้าวสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัล โครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตจะมีขึ้นอีก 2 ครั้ง ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2561 (ข้อมูลธุรกรรมในเดือนเมษายน 2561) โดยได้รับการสนับสนุนจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตแทนเงินสด และร้านค้าเร่งติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อรับชําระเงินด้วยบัตรเดบิต ซึ่งจะได้ร่วมลุ้นโชคเงินล้านและรางวัลอื่นอีกกว่า 1,022 รางวัลต่อเดือน ในช่วง 2 ครั้งสุดท้ายของโครงการ โดยสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.epayment.go.th เลขานุการคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการให้ความรู้และส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โทร 02 273 9020 ต่อ 3289 3229 และ 3315
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11248
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการสำรองยารับสถานการณ์ โควิด-19
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563 มาตรการสํารองยารับสถานการณ์ โควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน 2563 ​​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเตรียมความพร้อมสํารองยาที่จําเป็นสําหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีการใช้ยาต้านไวรัสหลายขนานเป็นสูตรยาในการรักษา เช่น ยาฟาวิพิราเวียร์ ยารักษามาลาเรีย ยารักษาเอดส์ ยาปฏิชีวนะ โดยนําเข้ายาฟาวิพิราเวียร์จากประเทศญี่ปุ่นและจีนจํานวน 187,000 เม็ด กระจายยาไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ และจะนําเข้ายาเพิ่มอีก 100,000 เม็ด นอกจากนี้ ได้เร่งรัดการขึ้นทะเบียนตํารับยาที่ใช้นําเข้าเพื่อรักษาโรคโควิด-19 ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และยกเว้นภาษีการนําเข้ายาและการบริจาคยาที่ใช้รักษาโรคโควิด-19 อีกด้วย ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการสำรองยารับสถานการณ์ โควิด-19 วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563 มาตรการสํารองยารับสถานการณ์ โควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน 2563 ​​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเตรียมความพร้อมสํารองยาที่จําเป็นสําหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีการใช้ยาต้านไวรัสหลายขนานเป็นสูตรยาในการรักษา เช่น ยาฟาวิพิราเวียร์ ยารักษามาลาเรีย ยารักษาเอดส์ ยาปฏิชีวนะ โดยนําเข้ายาฟาวิพิราเวียร์จากประเทศญี่ปุ่นและจีนจํานวน 187,000 เม็ด กระจายยาไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ และจะนําเข้ายาเพิ่มอีก 100,000 เม็ด นอกจากนี้ ได้เร่งรัดการขึ้นทะเบียนตํารับยาที่ใช้นําเข้าเพื่อรักษาโรคโควิด-19 ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และยกเว้นภาษีการนําเข้ายาและการบริจาคยาที่ใช้รักษาโรคโควิด-19 อีกด้วย ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29776
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเสนอร่าง พรฎ.กำหนดท้องที่เขตสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ เพื่อควบคุมการกักตุนสินค้า สิ่งจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของประชาชน [กระทรวงมหาดไทย]
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 มหาดไทยเสนอร่าง พรฎ.กําหนดท้องที่เขตสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ เพื่อควบคุมการกักตุนสินค้า สิ่งจําเป็นต่อชีวิตประจําวันของประชาชน [กระทรวงมหาดไทย] มหาดไทยเสนอร่าง พรฎ.กําหนดท้องที่เขตสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ เพื่อควบคุมการกักตุนสินค้า สิ่งจําเป็นต่อชีวิตประจําวันของประชาชนอย่างเข้มงว วันนี้ (31 มี.ค.63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมถึง 30 เมษายน 2563 ซึ่งในปัจจุบันพบว่าเริ่มมีการกักตุนสินค้าที่จําเป็นต่อการเฝ้าระวังและควบคุมติดตามการระบาด การป้องกัน และการรักษาโรค ตลอดจนการกักตุนเครื่องอุปโภคบริโภค และสิ่งจําเป็นต่อการดํารงชีวิตประจําวันของประชาชนในพื้นที่ทุกจังหวัด จึงมีความจําเป็นต้องบังคับใช้พระราชบัญญัติสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2497 อย่างเข้มงวด พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดภาวะขาดแคลนอันจะเป็นการซ้ําเติมความเดือดร้อนของประชาชน และเพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยและการดํารงชีวิตของประชาชน ในวันนี้กระทรวงมหาดไทยได้นําเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดท้องที่เขตสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2497 พ.ศ.... ซึ่งมีสาระสําคัญ คือ การกําหนดให้เขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเป็นท้องที่เขตสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2497 นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดการดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้ขอมติคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ฯ ขึ้นใหม่ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานคณะกรรมการ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ อธิบดีกรมสรรพากร อธิบดีกรมศุลกากร อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นกรรมการ และอธิบดีกรมการปกครอง เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมอบหมายให้สํานักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ทําหน้าที่สํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ฯ ดังกล่าว พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จะทําให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย สามารถปฏิบัติงานให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อป้องกัน ปราบปรามการกักตุนสินค้าที่จําเป็นต่อการเฝ้าระวังและควบคุมติดตามการระบาด การป้องกัน และการรักษาโรค ตลอดจน การกักตุนเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งจําเป็นต่อการดํารงชีวิตประจําวันของประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กองสารนิเทศ สป.มท. ครั้งที่ 40/2563 วันที่ 31 มีนาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเสนอร่าง พรฎ.กำหนดท้องที่เขตสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ เพื่อควบคุมการกักตุนสินค้า สิ่งจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของประชาชน [กระทรวงมหาดไทย] วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 มหาดไทยเสนอร่าง พรฎ.กําหนดท้องที่เขตสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ เพื่อควบคุมการกักตุนสินค้า สิ่งจําเป็นต่อชีวิตประจําวันของประชาชน [กระทรวงมหาดไทย] มหาดไทยเสนอร่าง พรฎ.กําหนดท้องที่เขตสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ เพื่อควบคุมการกักตุนสินค้า สิ่งจําเป็นต่อชีวิตประจําวันของประชาชนอย่างเข้มงว วันนี้ (31 มี.ค.63) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมถึง 30 เมษายน 2563 ซึ่งในปัจจุบันพบว่าเริ่มมีการกักตุนสินค้าที่จําเป็นต่อการเฝ้าระวังและควบคุมติดตามการระบาด การป้องกัน และการรักษาโรค ตลอดจนการกักตุนเครื่องอุปโภคบริโภค และสิ่งจําเป็นต่อการดํารงชีวิตประจําวันของประชาชนในพื้นที่ทุกจังหวัด จึงมีความจําเป็นต้องบังคับใช้พระราชบัญญัติสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2497 อย่างเข้มงวด พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า เพื่อเป็นการป้องกันมิให้เกิดภาวะขาดแคลนอันจะเป็นการซ้ําเติมความเดือดร้อนของประชาชน และเพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยและการดํารงชีวิตของประชาชน ในวันนี้กระทรวงมหาดไทยได้นําเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดท้องที่เขตสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2497 พ.ศ.... ซึ่งมีสาระสําคัญ คือ การกําหนดให้เขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเป็นท้องที่เขตสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ตามพระราชบัญญัติสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2497 นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดการดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้ขอมติคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ฯ ขึ้นใหม่ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานคณะกรรมการ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ อธิบดีกรมสรรพากร อธิบดีกรมศุลกากร อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นกรรมการ และอธิบดีกรมการปกครอง เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมอบหมายให้สํานักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ทําหน้าที่สํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการสํารวจการกักตุนโภคภัณฑ์ฯ ดังกล่าว พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จะทําให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย สามารถปฏิบัติงานให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อป้องกัน ปราบปรามการกักตุนสินค้าที่จําเป็นต่อการเฝ้าระวังและควบคุมติดตามการระบาด การป้องกัน และการรักษาโรค ตลอดจน การกักตุนเครื่องอุปโภคบริโภคและสิ่งจําเป็นต่อการดํารงชีวิตประจําวันของประชาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กองสารนิเทศ สป.มท. ครั้งที่ 40/2563 วันที่ 31 มีนาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28222
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-1 มกรา 63 รมว.ทส. นำทีมให้กำลังใจ
วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2563 1 มกรา 63 รมว.ทส. นําทีมให้กําลังใจ 1 มกรา 63 รมว.ทส. นําทีมให้กําลังใจ "งดให้ถุงพลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง" 1 มกรา 63 รมว.ทส. นําทีมให้กําลังใจ "งดให้ถุงพลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง" วานนี้ (1 มกราคม 2563) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ลงพื้นที่ให้กําลังใจ พร้อมรับฟังเสียงสะท้อนของพี่น้องประชาชนที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอย เกี่ยวกับการงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งเป็นวันแรก ตลอดจนร่วมเดินรณรงค์ “Everyday Say No to Plastic Bags” ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง รวมถึงมอบของขวัญปีใหม่ให้กับพนักงานห้างสรรพสินค้า 4 แห่ง ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส สุขุมวิท 50 (อ่อนนุช) ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซ่า ชิดลม และศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า วันนี้ วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นวันที่ประชาชนชาวไทย ได้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้แก่ประเทศไทย และโลกของเรา เพราะเป็นวันดีเดย์ที่ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ กว่า 75 บริษัท ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายภาคเอกชนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่างพร้อมใจกันงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วแก่ลูกค้า ซึ่งแม้ว่าอาจทําให้เกิดความไม่สะดวกสบาย หรือเกิดปัญหาอุปสรรคต่างๆ มากมาย แต่ทุกบริษัทยินดีให้ความร่วมมือกับภาครัฐ พร้อมทั้งร่วมหาทางออกที่ดีให้กับลูกค้า โอกาสนี้ ขอให้กําลังใจพนักงานทุกคน และทุกภาคส่วน รวมถึงขอให้มั่นใจในสิ่งที่กําลังทําว่าเป็นสิ่งที่ดี เพื่อสังคมไทยจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี โดยจากประมาณการใช้ถุงพลาสติกในประเทศไทย 40% มาจากตลาดสด เทศบาล เอกชน และแผงลอย ส่วน 30% มาจากร้านขายของชํา และอีก 30% มาจากห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ดังนั้น สิ่งสําคัญที่จะต้องดําเนินการต่อไปคือ การให้ความรู้ความเข้าใจแก่พี่น้องประชาชน การสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม รวมถึงการปลูกฝังจิตสํานึกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมให้แก่นักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ซึ่งจะมีการหารือในเรื่องดังกล่าวต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-1 มกรา 63 รมว.ทส. นำทีมให้กำลังใจ วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2563 1 มกรา 63 รมว.ทส. นําทีมให้กําลังใจ 1 มกรา 63 รมว.ทส. นําทีมให้กําลังใจ "งดให้ถุงพลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง" 1 มกรา 63 รมว.ทส. นําทีมให้กําลังใจ "งดให้ถุงพลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้ง" วานนี้ (1 มกราคม 2563) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ลงพื้นที่ให้กําลังใจ พร้อมรับฟังเสียงสะท้อนของพี่น้องประชาชนที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอย เกี่ยวกับการงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งเป็นวันแรก ตลอดจนร่วมเดินรณรงค์ “Everyday Say No to Plastic Bags” ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง รวมถึงมอบของขวัญปีใหม่ให้กับพนักงานห้างสรรพสินค้า 4 แห่ง ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส สุขุมวิท 50 (อ่อนนุช) ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซ่า ชิดลม และศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า วันนี้ วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นวันที่ประชาชนชาวไทย ได้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้แก่ประเทศไทย และโลกของเรา เพราะเป็นวันดีเดย์ที่ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ กว่า 75 บริษัท ซึ่งเป็นภาคีเครือข่ายภาคเอกชนของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่างพร้อมใจกันงดให้บริการถุงพลาสติกหูหิ้วแก่ลูกค้า ซึ่งแม้ว่าอาจทําให้เกิดความไม่สะดวกสบาย หรือเกิดปัญหาอุปสรรคต่างๆ มากมาย แต่ทุกบริษัทยินดีให้ความร่วมมือกับภาครัฐ พร้อมทั้งร่วมหาทางออกที่ดีให้กับลูกค้า โอกาสนี้ ขอให้กําลังใจพนักงานทุกคน และทุกภาคส่วน รวมถึงขอให้มั่นใจในสิ่งที่กําลังทําว่าเป็นสิ่งที่ดี เพื่อสังคมไทยจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี โดยจากประมาณการใช้ถุงพลาสติกในประเทศไทย 40% มาจากตลาดสด เทศบาล เอกชน และแผงลอย ส่วน 30% มาจากร้านขายของชํา และอีก 30% มาจากห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ดังนั้น สิ่งสําคัญที่จะต้องดําเนินการต่อไปคือ การให้ความรู้ความเข้าใจแก่พี่น้องประชาชน การสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม รวมถึงการปลูกฝังจิตสํานึกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมให้แก่นักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ซึ่งจะมีการหารือในเรื่องดังกล่าวต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25572
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยออกมาตรการเร่งด่วนช่วยลูกค้าที่ประสบภัยน้ำท่วม
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560 กรุงไทยออกมาตรการเร่งด่วนช่วยลูกค้าที่ประสบภัยน้ําท่วม ธนาคารกรุงไทยออกหลายมาตรการ เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยและลูกค้า SME ที่ประสบภัยน้ําท่วมในภาคอีสาน ธนาคารกรุงไทยออกหลายมาตรการ เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยและลูกค้า SME ที่ประสบภัยน้ําท่วมในภาคอีสาน โดยลูกค้าสินเชื่อบ้าน ธนาคารไม่คิดดอกเบี้ยและปลอดชําระเงินต้น เป็นเวลา 3 เดือน ส่วนเดือนที่ 4-12 ลดดอกเบี้ยลง 0.25 % ต่อปี สําหรับลูกค้าสินเชื่อบุคคล ให้ลูกค้าพักชําระหนี้เป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นให้ปลอดชําระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 เดือน ส่วนลูกค้า SME ที่มีวงเงินกู้ ธนาคารลดดอกเบี้ย ขยายเวลาผ่อนชําระ พักชําระเงินต้น และยกเว้นดอกเบี้ยผิดนัดชําระ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดสกลนคร สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อลูกค้าและประชาชนนั้น ธนาคารเล็งเห็นถึงความเดือดร้อน จึงได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อให้การช่วยเหลือลูกค้าเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา โดยลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อ Home for Cash ที่ประสบภัยในครั้งนี้ ธนาคารไม่คิดดอกเบี้ยและปลอดชําระเงินต้น เป็นระยะเวลา 3 เดือน รวมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนที่ 4-12 ลง 0.25% ต่อปี ซึ่งจากสถานการณ์น้ําท่วมหนักในช่วงปลายปีที่แล้ว ธนาคารช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อบ้านรายเดิมของธนาคาร เป็นจํานวนเงินกว่า 1,000 ล้านบาท ทั่วทุกพื้นที่ในประเทศ สําหรับลูกค้าสินเชื่อบุคคล ธนาคารมีแนวทางการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน โดยพิจารณาให้ลูกค้าพักชําระหนี้เป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นให้ปลอดชําระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยชําระแต่เงินต้นตามเงื่อนไข และขยายระยะเวลาการผ่อนชําระหนี้สูงสุดไม่เกิน 5 ปี โดยเมื่อรวมอายุผู้กู้แล้วต้องไม่เกินเกษียณอายุ ในส่วนของลูกค้า SME ขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีวงเงินสินเชื่อเดิม ธนาคารมีมาตรการผ่อนปรน โดยลดอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1% ต่อปี พักชําระเงินต้นสูงสุด 1 ปี รวมทั้งขยายระยะเวลาสัญญาเงินกู้ระยะยาวสูงสุด 1 ปี ในส่วนของเงินกู้หมุนเวียน ธนาคารขยายระยะเวลาชําระหนี้สูงสุด 6 เดือน รวมทั้งไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดชําระสูงสุด 30 วันแรก นอกจากนี้ ธนาคารยังสนับสนุนวงเงินกู้พิเศษอีก เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูกิจการและทดแทนสินทรัพย์ที่เสียหาย โดยสามารถผ่อนชําระนานสูงสุด 5 ปี พักชําระเงินต้นสูงสุด 1 ปี อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 3.75% ต่อปี ลูกค้าสามารถยื่นขอสินเชื่อได้ถึง 31 ธันวาคมนี้ ที่สํานักงานธุรกิจและสาขา หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 02-111-1111 นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ บมจ.ทิพยประกันภัย และ บมจ.กรุงไทยพานิชประกันภัย มีมาตรการให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมทันทีกับลูกค้าที่ทําประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยและได้ขยายภัยน้ําท่วม ซึ่งหากได้รับความเสียหายสามารถติดต่อธนาคารกรุงไทย เพื่อรับมาตรการเยียวยาโดยชดใช้เบื้องต้น 5,000 บาท ไม่ต้องรอน้ําลด หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ และในสัปดาห์นี้ ธนาคารยังได้จัดส่งถุงยังชีพลงไปในพื้นที่ เพื่อนําไปมอบให้กับผู้ประสบภัย รวมทั้งจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปสํารวจความเสียหายของลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4174-7
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยออกมาตรการเร่งด่วนช่วยลูกค้าที่ประสบภัยน้ำท่วม วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560 กรุงไทยออกมาตรการเร่งด่วนช่วยลูกค้าที่ประสบภัยน้ําท่วม ธนาคารกรุงไทยออกหลายมาตรการ เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยและลูกค้า SME ที่ประสบภัยน้ําท่วมในภาคอีสาน ธนาคารกรุงไทยออกหลายมาตรการ เพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยและลูกค้า SME ที่ประสบภัยน้ําท่วมในภาคอีสาน โดยลูกค้าสินเชื่อบ้าน ธนาคารไม่คิดดอกเบี้ยและปลอดชําระเงินต้น เป็นเวลา 3 เดือน ส่วนเดือนที่ 4-12 ลดดอกเบี้ยลง 0.25 % ต่อปี สําหรับลูกค้าสินเชื่อบุคคล ให้ลูกค้าพักชําระหนี้เป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นให้ปลอดชําระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 เดือน ส่วนลูกค้า SME ที่มีวงเงินกู้ ธนาคารลดดอกเบี้ย ขยายเวลาผ่อนชําระ พักชําระเงินต้น และยกเว้นดอกเบี้ยผิดนัดชําระ นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดสกลนคร สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อลูกค้าและประชาชนนั้น ธนาคารเล็งเห็นถึงความเดือดร้อน จึงได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อให้การช่วยเหลือลูกค้าเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา โดยลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อ Home for Cash ที่ประสบภัยในครั้งนี้ ธนาคารไม่คิดดอกเบี้ยและปลอดชําระเงินต้น เป็นระยะเวลา 3 เดือน รวมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนที่ 4-12 ลง 0.25% ต่อปี ซึ่งจากสถานการณ์น้ําท่วมหนักในช่วงปลายปีที่แล้ว ธนาคารช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อบ้านรายเดิมของธนาคาร เป็นจํานวนเงินกว่า 1,000 ล้านบาท ทั่วทุกพื้นที่ในประเทศ สําหรับลูกค้าสินเชื่อบุคคล ธนาคารมีแนวทางการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน โดยพิจารณาให้ลูกค้าพักชําระหนี้เป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นให้ปลอดชําระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยชําระแต่เงินต้นตามเงื่อนไข และขยายระยะเวลาการผ่อนชําระหนี้สูงสุดไม่เกิน 5 ปี โดยเมื่อรวมอายุผู้กู้แล้วต้องไม่เกินเกษียณอายุ ในส่วนของลูกค้า SME ขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีวงเงินสินเชื่อเดิม ธนาคารมีมาตรการผ่อนปรน โดยลดอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1% ต่อปี พักชําระเงินต้นสูงสุด 1 ปี รวมทั้งขยายระยะเวลาสัญญาเงินกู้ระยะยาวสูงสุด 1 ปี ในส่วนของเงินกู้หมุนเวียน ธนาคารขยายระยะเวลาชําระหนี้สูงสุด 6 เดือน รวมทั้งไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดชําระสูงสุด 30 วันแรก นอกจากนี้ ธนาคารยังสนับสนุนวงเงินกู้พิเศษอีก เพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูกิจการและทดแทนสินทรัพย์ที่เสียหาย โดยสามารถผ่อนชําระนานสูงสุด 5 ปี พักชําระเงินต้นสูงสุด 1 ปี อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 3.75% ต่อปี ลูกค้าสามารถยื่นขอสินเชื่อได้ถึง 31 ธันวาคมนี้ ที่สํานักงานธุรกิจและสาขา หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 02-111-1111 นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทย ร่วมกับ บมจ.ทิพยประกันภัย และ บมจ.กรุงไทยพานิชประกันภัย มีมาตรการให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมทันทีกับลูกค้าที่ทําประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัยและได้ขยายภัยน้ําท่วม ซึ่งหากได้รับความเสียหายสามารถติดต่อธนาคารกรุงไทย เพื่อรับมาตรการเยียวยาโดยชดใช้เบื้องต้น 5,000 บาท ไม่ต้องรอน้ําลด หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ และในสัปดาห์นี้ ธนาคารยังได้จัดส่งถุงยังชีพลงไปในพื้นที่ เพื่อนําไปมอบให้กับผู้ประสบภัย รวมทั้งจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปสํารวจความเสียหายของลูกค้าในพื้นที่ต่างๆ ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4174-7
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5588
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เผยชุมชนคุณธรรมฯ พลังบวร-บ้าน-วัด-โรงเรียน พร้อมจับมือ ก.มหาดไทย-จังหวัด-องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ร่วมทำหน้ากากอนามัย ป้องกันการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 วธ. เผยชุมชนคุณธรรมฯ พลังบวร-บ้าน-วัด-โรงเรียน พร้อมจับมือ ก.มหาดไทย-จังหวัด-องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ร่วมทําหน้ากากอนามัย ป้องกันการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 วธ. เผยชุมชนคุณธรรมฯ พลังบวร-บ้าน-วัด-โรงเรียน พร้อมจับมือ ก.มหาดไทย-จังหวัด-องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ร่วมทําหน้ากากอนามัย ป้องกันการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 วธ. เผยชุมชนคุณธรรมฯ พลังบวร-บ้าน-วัด-โรงเรียน พร้อมจับมือ ก.มหาดไทย-จังหวัด-องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ร่วมทําหน้ากากอนามัย ป้องกันการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ) เปิดเผยว่า จากการที่คณะรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) จัดทําหน้ากากอนามัยแบบผ้าเพื่อสวมใส่ป้องกันการระบาดไวรัสโควิด-19 โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผลิต 50 ล้านชิ้นนั้น ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดําเนินการขับเคลื่อนความเข้มแข็งของ “บวร” โดยนําหลักการ “บวร : บ้าน วัด โรงเรียน” ไปขับเคลื่อนและดําเนินกิจกรรมต่างๆ ให้เป็นแหล่งปลูกฝัง บ่มเพาะ และเผยแพร่องค์ความรู้ที่มีประโยชน์ รวมทั้งให้เป็นแหล่งกระจายข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดําเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล และข่าวสารเหตุการณ์บ้านเมืองที่สําคัญเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ และเข้าถึงโครงการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน โดยได้มอบหมายให้สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดสํารวจความพร้อมประชาชนในชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวรที่มีอยู่ 22,400 แห่งทั่วประเทศ นายอิทธิพล กล่าวว่า ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้รับรายงานจากวัฒนธรรมจังหวัดว่า มีจํานวนชุมชนฯ ที่ผลิตหน้ากากแบบผ้า จํานวน 2,372 ชุมชน ผลิตหน้ากากแบบผ้าแล้ว จํานวน339,054 ชิ้น และคาดว่าจะสามารถผลิตได้กว่า 5 ล้านชิ้น ซึ่งเมื่อดําเนินการแล้วเสร็จจะนําไปมอบให้กับหน่วยงาน สถานศึกษา กลุ่มคนที่ต้องปฏิบัติงานภายใต้ความเสี่ยงและประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ ยังได้ประชาสัมพันธ์ข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับโรคไวรัสโควิด-19 ผ่านเครือข่ายชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ทางช่องทางสื่อต่างๆ แก่ประชาชนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องตามที่กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือ เช่น คําแนะนําการป้องกันควบคุมโรค สําหรับผู้เดินทางไป-กลับจากพื้นที่การระบาด นักศึกษา และสถานศึกษาที่มีกลุ่มผู้เดินทางกลับจากพื้นที่การระบาด ความรับผิดชอบต่อสังคม วิธีการทําหน้ากากอนามัยใช้เอง เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ทันเวลา ลดความตระหนกและสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ด้วย ------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. เผยชุมชนคุณธรรมฯ พลังบวร-บ้าน-วัด-โรงเรียน พร้อมจับมือ ก.มหาดไทย-จังหวัด-องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ร่วมทำหน้ากากอนามัย ป้องกันการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 วธ. เผยชุมชนคุณธรรมฯ พลังบวร-บ้าน-วัด-โรงเรียน พร้อมจับมือ ก.มหาดไทย-จังหวัด-องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ร่วมทําหน้ากากอนามัย ป้องกันการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 วธ. เผยชุมชนคุณธรรมฯ พลังบวร-บ้าน-วัด-โรงเรียน พร้อมจับมือ ก.มหาดไทย-จังหวัด-องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ร่วมทําหน้ากากอนามัย ป้องกันการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 วธ. เผยชุมชนคุณธรรมฯ พลังบวร-บ้าน-วัด-โรงเรียน พร้อมจับมือ ก.มหาดไทย-จังหวัด-องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ร่วมทําหน้ากากอนามัย ป้องกันการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ) เปิดเผยว่า จากการที่คณะรัฐมนตรี มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) จัดทําหน้ากากอนามัยแบบผ้าเพื่อสวมใส่ป้องกันการระบาดไวรัสโควิด-19 โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผลิต 50 ล้านชิ้นนั้น ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดําเนินการขับเคลื่อนความเข้มแข็งของ “บวร” โดยนําหลักการ “บวร : บ้าน วัด โรงเรียน” ไปขับเคลื่อนและดําเนินกิจกรรมต่างๆ ให้เป็นแหล่งปลูกฝัง บ่มเพาะ และเผยแพร่องค์ความรู้ที่มีประโยชน์ รวมทั้งให้เป็นแหล่งกระจายข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดําเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล และข่าวสารเหตุการณ์บ้านเมืองที่สําคัญเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ และเข้าถึงโครงการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน โดยได้มอบหมายให้สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดสํารวจความพร้อมประชาชนในชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวรที่มีอยู่ 22,400 แห่งทั่วประเทศ นายอิทธิพล กล่าวว่า ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้รับรายงานจากวัฒนธรรมจังหวัดว่า มีจํานวนชุมชนฯ ที่ผลิตหน้ากากแบบผ้า จํานวน 2,372 ชุมชน ผลิตหน้ากากแบบผ้าแล้ว จํานวน339,054 ชิ้น และคาดว่าจะสามารถผลิตได้กว่า 5 ล้านชิ้น ซึ่งเมื่อดําเนินการแล้วเสร็จจะนําไปมอบให้กับหน่วยงาน สถานศึกษา กลุ่มคนที่ต้องปฏิบัติงานภายใต้ความเสี่ยงและประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ ยังได้ประชาสัมพันธ์ข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับโรคไวรัสโควิด-19 ผ่านเครือข่ายชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ทางช่องทางสื่อต่างๆ แก่ประชาชนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องตามที่กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือ เช่น คําแนะนําการป้องกันควบคุมโรค สําหรับผู้เดินทางไป-กลับจากพื้นที่การระบาด นักศึกษา และสถานศึกษาที่มีกลุ่มผู้เดินทางกลับจากพื้นที่การระบาด ความรับผิดชอบต่อสังคม วิธีการทําหน้ากากอนามัยใช้เอง เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ทันเวลา ลดความตระหนกและสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ด้วย ------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27711
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เตรียมปล่อยคาราวานช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560 ศธ.เตรียมปล่อยคาราวานช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการ หารือเตรียมการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบให้เร่งสํารวจและให้ความช่วยเหลือสถานศึกษาและหน่วยงาน ที่ได้รับความเสียหาย รวมทั้งอุปกรณ์การเรียนการสอน และความเดือดร้อนของนักเรียนนักศึกษา ตลอดจนการส่งคณะครูและนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ เข้าไปให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ เช่น การซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ รวมถึงซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ซึ่งได้รับความชํารุดเสียหาย โดยขอให้คํานึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสําคัญ และจะให้บริการแก่ประชาชนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด นอกจากนั้น ยังขอให้ช่วยประชาชนในการขนย้ายสัมภาระต่าง ๆ กลับเข้าสู่บ้านเรือนของประชาชนภายหลังจากระดับน้ําลดลงสู่ภาวะปกติแล้ว ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ มีกําหนดปล่อยขบวนคาราวานช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ในวันศุกร์ที่ 13 มกราคม ศกนี้ นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า ที่ประชุมได้สรุปความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ พบว่า สถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ได้รับความเสียหายจํานวน 1,791 แห่ง มูลค่าความเสียหายกว่า 700 ล้านบาท สถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)ได้รับความเสียหายจํานวน 19 แห่ง มูลค่าความเสียหาย 20 ล้านบาท สถานศึกษาสังกัดสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)ได้รับความเสียหายจํานวน150 แห่ง มูลค่าความเสียหาย 30 ล้านบาท สถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.)ได้รับความเสียหายจํานวน293 แห่ง มูลค่าความเสียหาย 18 ล้านบาท ทั้งนี้ ความเสียหายส่วนใหญ่ที่พบ คือ ด้านอาคาร สถานที่ อุปกรณ์การเรียนการสอน โดยกระทรวงศึกษาธิการจะเสนอของบประมาณกลาง ปีงบประมาณ 2560 ประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อดูแลให้การช่วยเหลือต่อไป สําหรับกิจกรรมที่จะให้บริการประชาชนภายหลังน้ําลด แบ่งเป็น 2 กิจกรรม ได้แก่ การระดมจิตอาสาของนักศึกษาอาชีวศึกษา และ กศน.ทั่วประเทศจํานวน 300 ทีม รวม 7,500 คน แบ่งเป็นจิตอาสานักเรียนนักศึกษาอาชีวะ 200 ทีมๆ ละ 30 คน และจิตอาสา กศน. 100 ทีมๆ ละ 15 คน ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ําท่วม ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคมนี้ โดยจะประสานพื้นที่ที่ให้การช่วยเหลือร่วมกับกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ส่วนหน้า) จังหวัดสุราษฎร์ธานี เช่น ให้บริการขนย้ายสิ่งของ ซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ รถจักรยายนต์ และอุปกรณ์ทางการเกษตรให้แก่ประชาชน คาดว่าจะซ่อมแซมได้กว่า 400,000 ชิ้น การช่วยเหลือสถานศึกษาและนักเรียนนักศึกษา เพราะอุปกรณ์การเรียนการสอน และชุดนักเรียนนักศึกษาได้รับความเสียหายจากน้ําท่วม จึงมอบให้ สพฐ. จัดโครงการ "ปันเครื่องเขียนให้เพื่อน" โดยจะเปิดรับบริจาคอุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศ เพื่อไปมอบให้แก่ผู้เรียนที่ประสบภัยในครั้งนี้ และมอบให้องค์การค้าของ สกสค. เตรียมบริจาคหนังสือเรียนและอุปกรณ์การเรียนให้แก่นักเรียนด้วย พร้อมทั้งวางแผนและหามาตรการเพื่อดูแลสวัสดิการให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ประสบภัยน้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้ต่อไปด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เตรียมปล่อยคาราวานช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560 ศธ.เตรียมปล่อยคาราวานช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการ หารือเตรียมการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบให้เร่งสํารวจและให้ความช่วยเหลือสถานศึกษาและหน่วยงาน ที่ได้รับความเสียหาย รวมทั้งอุปกรณ์การเรียนการสอน และความเดือดร้อนของนักเรียนนักศึกษา ตลอดจนการส่งคณะครูและนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ เข้าไปให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ เช่น การซ่อมแซมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ รวมถึงซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ซึ่งได้รับความชํารุดเสียหาย โดยขอให้คํานึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสําคัญ และจะให้บริการแก่ประชาชนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด นอกจากนั้น ยังขอให้ช่วยประชาชนในการขนย้ายสัมภาระต่าง ๆ กลับเข้าสู่บ้านเรือนของประชาชนภายหลังจากระดับน้ําลดลงสู่ภาวะปกติแล้ว ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ มีกําหนดปล่อยขบวนคาราวานช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ในวันศุกร์ที่ 13 มกราคม ศกนี้ นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า ที่ประชุมได้สรุปความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ พบว่า สถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)ได้รับความเสียหายจํานวน 1,791 แห่ง มูลค่าความเสียหายกว่า 700 ล้านบาท สถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)ได้รับความเสียหายจํานวน 19 แห่ง มูลค่าความเสียหาย 20 ล้านบาท สถานศึกษาสังกัดสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)ได้รับความเสียหายจํานวน150 แห่ง มูลค่าความเสียหาย 30 ล้านบาท สถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.)ได้รับความเสียหายจํานวน293 แห่ง มูลค่าความเสียหาย 18 ล้านบาท ทั้งนี้ ความเสียหายส่วนใหญ่ที่พบ คือ ด้านอาคาร สถานที่ อุปกรณ์การเรียนการสอน โดยกระทรวงศึกษาธิการจะเสนอของบประมาณกลาง ปีงบประมาณ 2560 ประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อดูแลให้การช่วยเหลือต่อไป สําหรับกิจกรรมที่จะให้บริการประชาชนภายหลังน้ําลด แบ่งเป็น 2 กิจกรรม ได้แก่ การระดมจิตอาสาของนักศึกษาอาชีวศึกษา และ กศน.ทั่วประเทศจํานวน 300 ทีม รวม 7,500 คน แบ่งเป็นจิตอาสานักเรียนนักศึกษาอาชีวะ 200 ทีมๆ ละ 30 คน และจิตอาสา กศน. 100 ทีมๆ ละ 15 คน ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ําท่วม ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคมนี้ โดยจะประสานพื้นที่ที่ให้การช่วยเหลือร่วมกับกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ส่วนหน้า) จังหวัดสุราษฎร์ธานี เช่น ให้บริการขนย้ายสิ่งของ ซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ รถจักรยายนต์ และอุปกรณ์ทางการเกษตรให้แก่ประชาชน คาดว่าจะซ่อมแซมได้กว่า 400,000 ชิ้น การช่วยเหลือสถานศึกษาและนักเรียนนักศึกษา เพราะอุปกรณ์การเรียนการสอน และชุดนักเรียนนักศึกษาได้รับความเสียหายจากน้ําท่วม จึงมอบให้ สพฐ. จัดโครงการ "ปันเครื่องเขียนให้เพื่อน" โดยจะเปิดรับบริจาคอุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียนนักศึกษาทั่วประเทศ เพื่อไปมอบให้แก่ผู้เรียนที่ประสบภัยในครั้งนี้ และมอบให้องค์การค้าของ สกสค. เตรียมบริจาคหนังสือเรียนและอุปกรณ์การเรียนให้แก่นักเรียนด้วย พร้อมทั้งวางแผนและหามาตรการเพื่อดูแลสวัสดิการให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ประสบภัยน้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้ต่อไปด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1259
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวาง 3 มาตรการแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 สธ.หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวาง 3 มาตรการแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน กระทรวงสาธารณสุขหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําหนด 3 มาตรการแก้ปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัย เพิ่มกําลังการผลิต จํากัดการซื้อ ไม่กักตุนสินค้า แนะประชาชนใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าป้องกันโรค กระทรวงสาธารณสุขหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําหนด 3 มาตรการแก้ปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัย เพิ่มกําลังการผลิต จํากัดการซื้อ ไม่กักตุนสินค้า แนะประชาชนใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าป้องกันโรค วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วยนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมการค้าภายใน นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังประชุมหารือแนวทางป้องกันปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย ว่า จากการประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การนําเข้าหน้ากาก ได้แก่ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ องค์การเภสัชกรรม สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และบริษัทที่ผลิต/นําเข้าหน้ากากอนามัย ผลการประชุมได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ได้กําหนดให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุมพิเศษและมีมาตรการในการแก้ปัญหาระยะสั้นร่วมกัน 3 ข้อ 1.เพิ่มกําลังการผลิตขึ้นร้อยละ 10 – 20 ให้เพียงพอกับความต้องการในประเทศ 2.จํากัดการซื้อ 1 คนไม่เกิน 10 ชิ้น 3.จํากัดการส่งออก ไม่ให้มีการกักตุนสินค้าและฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม หากพบมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พร้อมกันนี้จะมีการสํารวจความต้องการใช้หน้ากากอนามัยในโรงพยาบาลทุกแห่ง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรมและภาคเอกชนที่ผลิต/จําหน่าย เร่งกระจายหน้ากากอนามัยให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ในช่วงที่มีสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ประชาชนอย่าตื่นตระหนก ขอให้ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และป้องกันตนเอง โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าไปในพื้นที่ที่มีคนอยู่รวมกันจํานวนมาก แนะนําให้ใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าก็เพียงพอในการป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจ สามารถทําใช้เอง หลังใช้ซักให้สะอาดและนํากลับมาใช้ใหม่ได้ รวมทั้งให้ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ไม่นํามือมาสัมผัสตา จมูก ปากโดยไม่จําเป็น ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ และขอความร่วมมือบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขใช้หน้ากากอนามัยให้เหมาะกับลักษณะงานที่ทํา กลุ่มผู้ปฏิบัติงานทั่วไปใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้า ส่วนกลุ่มที่ต้องทํางานใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ ห้องผ่าตัด หรือหอผู้ป่วยหนักใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เพื่อป้องกันการติดต่อของโรค รวมทั้งผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเพื่อปัองกันการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งจะต้องใส่ให้พอดีกับใบหน้า หันด้านที่มีสีออก และให้ด้านที่มีลวดอยู่ด้านบน ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมอนามัย ได้จัดทําคลิปสอนวิธีการทําหน้ากากอนามัยแบบผ้าไว้ใช้เอง โดยใช้ผ้าขนาดประมาณ 7 นิ้วครึ่ง จับจีบตรงกลาง เย็บทบกัน 2 ชั้น และติดยางยืด 2 ข้าง ดูวิธีทําได้ที่ https://youtu.be/sDPGLKnEID0
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวาง 3 มาตรการแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 สธ.หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวาง 3 มาตรการแก้ปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน กระทรวงสาธารณสุขหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําหนด 3 มาตรการแก้ปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัย เพิ่มกําลังการผลิต จํากัดการซื้อ ไม่กักตุนสินค้า แนะประชาชนใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าป้องกันโรค กระทรวงสาธารณสุขหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําหนด 3 มาตรการแก้ปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัย เพิ่มกําลังการผลิต จํากัดการซื้อ ไม่กักตุนสินค้า แนะประชาชนใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าป้องกันโรค วันนี้ (6 กุมภาพันธ์ 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุขพร้อมด้วยนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา นายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมการค้าภายใน นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังประชุมหารือแนวทางป้องกันปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย ว่า จากการประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การนําเข้าหน้ากาก ได้แก่ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ องค์การเภสัชกรรม สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และบริษัทที่ผลิต/นําเข้าหน้ากากอนามัย ผลการประชุมได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ได้กําหนดให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุมพิเศษและมีมาตรการในการแก้ปัญหาระยะสั้นร่วมกัน 3 ข้อ 1.เพิ่มกําลังการผลิตขึ้นร้อยละ 10 – 20 ให้เพียงพอกับความต้องการในประเทศ 2.จํากัดการซื้อ 1 คนไม่เกิน 10 ชิ้น 3.จํากัดการส่งออก ไม่ให้มีการกักตุนสินค้าและฉวยโอกาสปรับขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม หากพบมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พร้อมกันนี้จะมีการสํารวจความต้องการใช้หน้ากากอนามัยในโรงพยาบาลทุกแห่ง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมมือกับองค์การเภสัชกรรมและภาคเอกชนที่ผลิต/จําหน่าย เร่งกระจายหน้ากากอนามัยให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า ในช่วงที่มีสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ประชาชนอย่าตื่นตระหนก ขอให้ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และป้องกันตนเอง โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าไปในพื้นที่ที่มีคนอยู่รวมกันจํานวนมาก แนะนําให้ใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าก็เพียงพอในการป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจ สามารถทําใช้เอง หลังใช้ซักให้สะอาดและนํากลับมาใช้ใหม่ได้ รวมทั้งให้ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ําและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ ไม่นํามือมาสัมผัสตา จมูก ปากโดยไม่จําเป็น ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ และขอความร่วมมือบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขใช้หน้ากากอนามัยให้เหมาะกับลักษณะงานที่ทํา กลุ่มผู้ปฏิบัติงานทั่วไปใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้า ส่วนกลุ่มที่ต้องทํางานใกล้ชิดกับผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ ห้องผ่าตัด หรือหอผู้ป่วยหนักใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เพื่อป้องกันการติดต่อของโรค รวมทั้งผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเพื่อปัองกันการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งจะต้องใส่ให้พอดีกับใบหน้า หันด้านที่มีสีออก และให้ด้านที่มีลวดอยู่ด้านบน ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมอนามัย ได้จัดทําคลิปสอนวิธีการทําหน้ากากอนามัยแบบผ้าไว้ใช้เอง โดยใช้ผ้าขนาดประมาณ 7 นิ้วครึ่ง จับจีบตรงกลาง เย็บทบกัน 2 ชั้น และติดยางยืด 2 ข้าง ดูวิธีทําได้ที่ https://youtu.be/sDPGLKnEID0
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26358
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ปลุกคนไทยสร้างเป้าหมายประเทศร่วมกัน เปิดโอกาสให้คนทุกระดับสร้างบ้านแปงเมืองให้ศิวิไลซ์ พร้อมแบ่งปันเพื่อนบ้าน เชื่อมั่นหากทุกคนคิดถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง บ้านเมืองย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน
วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน 2560 นรม. ปลุกคนไทยสร้างเป้าหมายประเทศร่วมกัน เปิดโอกาสให้คนทุกระดับสร้างบ้านแปงเมืองให้ศิวิไลซ์ พร้อมแบ่งปันเพื่อนบ้าน เชื่อมั่นหากทุกคนคิดถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง บ้านเมืองย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน นายกฯ ปลุกคนไทยสร้างเป้าหมายประเทศร่วมกัน เปิดโอกาสให้คนทุกระดับสร้างบ้านแปงเมืองให้ศิวิไลซ์ พร้อมแบ่งปันเพื่อนบ้าน เชื่อมั่นหากทุกคนคิดถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง บ้านเมืองย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน วันนี้ (4 มิถุนายน 2560) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้พี่น้องประชาชนรับรู้และสร้างเป้าหมายของประเทศ (Sense of Purpose) ร่วมกัน เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของบ้านเมืองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น โดยการทําสิ่งที่มีความยิ่งใหญ่ร่วมกัน ให้คนทุกระดับชั้นมีอิสระที่จะร่วมสร้างเป้าหมาย และแบ่งปันไปสู่ผู้อื่นโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง “ท่านนายกฯ เห็นว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงสําคัญที่คนไทยควรใช้เป็นโอกาสที่จะสร้างบ้านแปงเมืองให้เป็นประเทศที่ศิวิไลซ์ เหมือนกับที่เราเคยฝันไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน และก้าวข้ามผ่านวงจรของปัญหาที่เกิดขึ้นมานับสิบปีไปให้ได้ โดยท่านมีความประทับใจสุนทรพจน์ของนายมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ที่ได้กล่าวในพิธีจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดประจําปีนี้ และอยากให้คนไทยนําไปปรับใช้” โดยการทําสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน คือ การมองไปข้างหน้า และร่วมกันปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และประเทศไทยก้าวขึ้นไปเป็นประเทศชั้นนําในเอเชีย โดยทุกฝ่ายต้องหยุดความขัดแย้ง เปลี่ยนความคิดและคําพูดที่ติดลบเป็นความสร้างสรรค์ สิ่งต่อไปคือ ให้คนทุกระดับชั้นร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลพยายามส่งเสริม ทั้งการรับฟังเสียงของประชาชนว่าเขาคิดอย่างไร คนไทยจะต้องปรับวิธีคิดเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ด้วยการสร้างความเข้มแข็งจากตนเอง เกษตรกรต้องเปลี่ยนเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเป็น Smart SMEs หรือ Startup ที่มีศักยภาพสูง ผู้ที่ทํางานให้บริการต้องยกระดับบริการของตนให้มีมูลค่าสูงขึ้น และแรงงานไทยที่มีทักษะต่ําต้องพัฒนาตนเองให้เป็นแรงงานที่มีความรู้และทักษะสูงขึ้น จากนั้นจึงแบ่งปันไปสู่ผู้อื่นโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยรัฐบาลสนับสนุนให้ประเทศเพื่อนบ้านเติบโตไปพร้อม ๆ กัน และส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกัน หากคนไทยและประเทศไทยดีขึ้น ประเทศเพื่อนบ้านก็จะต้องดีขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับภูมิภาค “ท่านนายกฯ และรัฐบาลอยากวิงวอนให้พี่น้องประชาชนสํารวจตนเอง และนําแนวคิดการรับรู้ถึงเป้าหมาย (Sense of Purpose) ไปปรับใช้ในชีวิตด้วยการลงมือทําตั้งแต่วันนี้ โดยเชื่อมั่นว่าหากทุกคนคํานึงถึงประโยชน์ของบ้านเมืองก่อนประโยชน์ของตนเองหรือพวกพ้อง และหันมาร่วมมือกันสร้างเป้าหมายใหม่ของชาติ ก็จะทําให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้อย่างแน่นอน” --------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. ปลุกคนไทยสร้างเป้าหมายประเทศร่วมกัน เปิดโอกาสให้คนทุกระดับสร้างบ้านแปงเมืองให้ศิวิไลซ์ พร้อมแบ่งปันเพื่อนบ้าน เชื่อมั่นหากทุกคนคิดถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง บ้านเมืองย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน 2560 นรม. ปลุกคนไทยสร้างเป้าหมายประเทศร่วมกัน เปิดโอกาสให้คนทุกระดับสร้างบ้านแปงเมืองให้ศิวิไลซ์ พร้อมแบ่งปันเพื่อนบ้าน เชื่อมั่นหากทุกคนคิดถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง บ้านเมืองย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน นายกฯ ปลุกคนไทยสร้างเป้าหมายประเทศร่วมกัน เปิดโอกาสให้คนทุกระดับสร้างบ้านแปงเมืองให้ศิวิไลซ์ พร้อมแบ่งปันเพื่อนบ้าน เชื่อมั่นหากทุกคนคิดถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง บ้านเมืองย่อมดีขึ้นอย่างแน่นอน วันนี้ (4 มิถุนายน 2560) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้พี่น้องประชาชนรับรู้และสร้างเป้าหมายของประเทศ (Sense of Purpose) ร่วมกัน เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตของบ้านเมืองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น โดยการทําสิ่งที่มีความยิ่งใหญ่ร่วมกัน ให้คนทุกระดับชั้นมีอิสระที่จะร่วมสร้างเป้าหมาย และแบ่งปันไปสู่ผู้อื่นโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง “ท่านนายกฯ เห็นว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงสําคัญที่คนไทยควรใช้เป็นโอกาสที่จะสร้างบ้านแปงเมืองให้เป็นประเทศที่ศิวิไลซ์ เหมือนกับที่เราเคยฝันไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน และก้าวข้ามผ่านวงจรของปัญหาที่เกิดขึ้นมานับสิบปีไปให้ได้ โดยท่านมีความประทับใจสุนทรพจน์ของนายมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก ที่ได้กล่าวในพิธีจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดประจําปีนี้ และอยากให้คนไทยนําไปปรับใช้” โดยการทําสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน คือ การมองไปข้างหน้า และร่วมกันปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และประเทศไทยก้าวขึ้นไปเป็นประเทศชั้นนําในเอเชีย โดยทุกฝ่ายต้องหยุดความขัดแย้ง เปลี่ยนความคิดและคําพูดที่ติดลบเป็นความสร้างสรรค์ สิ่งต่อไปคือ ให้คนทุกระดับชั้นร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลพยายามส่งเสริม ทั้งการรับฟังเสียงของประชาชนว่าเขาคิดอย่างไร คนไทยจะต้องปรับวิธีคิดเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ด้วยการสร้างความเข้มแข็งจากตนเอง เกษตรกรต้องเปลี่ยนเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเป็น Smart SMEs หรือ Startup ที่มีศักยภาพสูง ผู้ที่ทํางานให้บริการต้องยกระดับบริการของตนให้มีมูลค่าสูงขึ้น และแรงงานไทยที่มีทักษะต่ําต้องพัฒนาตนเองให้เป็นแรงงานที่มีความรู้และทักษะสูงขึ้น จากนั้นจึงแบ่งปันไปสู่ผู้อื่นโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยรัฐบาลสนับสนุนให้ประเทศเพื่อนบ้านเติบโตไปพร้อม ๆ กัน และส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกัน หากคนไทยและประเทศไทยดีขึ้น ประเทศเพื่อนบ้านก็จะต้องดีขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับภูมิภาค “ท่านนายกฯ และรัฐบาลอยากวิงวอนให้พี่น้องประชาชนสํารวจตนเอง และนําแนวคิดการรับรู้ถึงเป้าหมาย (Sense of Purpose) ไปปรับใช้ในชีวิตด้วยการลงมือทําตั้งแต่วันนี้ โดยเชื่อมั่นว่าหากทุกคนคํานึงถึงประโยชน์ของบ้านเมืองก่อนประโยชน์ของตนเองหรือพวกพ้อง และหันมาร่วมมือกันสร้างเป้าหมายใหม่ของชาติ ก็จะทําให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้อย่างแน่นอน” --------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4252
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทาง กรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19)
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทาง กรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุสําหรับป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยหน่วยงานของรัฐสามารถใช้วงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้งเป็นราคากลาง เพื่อให้ได้พัสดุนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุสําหรับป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยหน่วยงานของรัฐสามารถใช้วงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้งเป็นราคากลาง เพื่อให้ได้พัสดุนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด ทันต่อการใช้ประโยชน์เป็นสําคัญ โดยให้หน่วยงานของรัฐประกาศเผยแพร่เอกสารต่าง ๆ ตามวิธีการที่กรมบัญชีกลางกําหนดให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่มีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้ออกแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดหาพัสดุ สําหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง ในแต่ละครั้งทุกวงเงิน ถือเป็นกรณีจําเป็นเร่งด่วน จึงสามารถดําเนินการซื้อหรือจ้างไปก่อนได้ แล้วรีบรายงานขอความเห็นชอบต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว “เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ สําหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในส่วนของการอ้างอิงราคากลาง หน่วยงานของรัฐสามารถใช้วงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้งเป็นราคากลาง ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์ตามนัยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เพื่อให้ได้พัสดุนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด ทันต่อการใช้ประโยชน์เป็นสําคัญ และอาศัยอํานาจตามมาตรา 63 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง และมาตรา 98 จึงกําหนดแนวทางให้หน่วยงานของรัฐประกาศเผยแพร่การดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ตามที่กรมบัญชีกลางกําหนด และการประกาศดังกล่าว ให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่มีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน และอัพโหลดข้อมูลทางระบบ e-GP ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0405.2/ว 62 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 โดยอนุโลม” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทาง กรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563 กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทาง กรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุสําหรับป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยหน่วยงานของรัฐสามารถใช้วงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้งเป็นราคากลาง เพื่อให้ได้พัสดุนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางกรณีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุสําหรับป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยหน่วยงานของรัฐสามารถใช้วงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้งเป็นราคากลาง เพื่อให้ได้พัสดุนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด ทันต่อการใช้ประโยชน์เป็นสําคัญ โดยให้หน่วยงานของรัฐประกาศเผยแพร่เอกสารต่าง ๆ ตามวิธีการที่กรมบัญชีกลางกําหนดให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่มีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ได้ออกแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดหาพัสดุ สําหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) โดยให้สามารถจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง ในแต่ละครั้งทุกวงเงิน ถือเป็นกรณีจําเป็นเร่งด่วน จึงสามารถดําเนินการซื้อหรือจ้างไปก่อนได้ แล้วรีบรายงานขอความเห็นชอบต่อหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว “เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ สําหรับการป้องกัน ควบคุม หรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในส่วนของการอ้างอิงราคากลาง หน่วยงานของรัฐสามารถใช้วงเงินที่จัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้งเป็นราคากลาง ทั้งนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์ตามนัยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เพื่อให้ได้พัสดุนั้นอย่างรวดเร็วที่สุด ทันต่อการใช้ประโยชน์เป็นสําคัญ และอาศัยอํานาจตามมาตรา 63 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง และมาตรา 98 จึงกําหนดแนวทางให้หน่วยงานของรัฐประกาศเผยแพร่การดําเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ตามที่กรมบัญชีกลางกําหนด และการประกาศดังกล่าว ให้ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่มีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน และอัพโหลดข้อมูลทางระบบ e-GP ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0405.2/ว 62 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 โดยอนุโลม” อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28205
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.อำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 คกก.อํานวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลให้ความสําคัญอย่างยิ่งกับการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธ์ใหม่ 2019 โดยได้แต่งตั้ง คกก. อํานวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ บูรณาการทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อม ป้องกัน ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ จัดสรรบุคลากรทางการแพทย์และยารักษาให้เพียงพอต่อการดูแลผู้ที่มีความเสี่ยงและผู้ติดเชื้อไวรัสทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.อำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 คกก.อํานวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลให้ความสําคัญอย่างยิ่งกับการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธ์ใหม่ 2019 โดยได้แต่งตั้ง คกก. อํานวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ บูรณาการทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อม ป้องกัน ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ จัดสรรบุคลากรทางการแพทย์และยารักษาให้เพียงพอต่อการดูแลผู้ที่มีความเสี่ยงและผู้ติดเชื้อไวรัสทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้และขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26224
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เร่งจัดหาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศและแก้ปัญหาขัดแย้งคนกับสัตว์ป่า
วันอังคารที่ 5 กันยายน 2560 ทส. เร่งจัดหาแหล่งน้ําบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศและแก้ปัญหาขัดแย้งคนกับสัตว์ป่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาน้ําบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศและสัตว์ป่า เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ํา ฟื้นฟูระบบนิเวศ และนําสัตว์ป่ากลับสู่บ้านเกิด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรน้ําบาดาล และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาน้ําบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศและสัตว์ป่า เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ํา ฟื้นฟูระบบนิเวศ และนําสัตว์ป่ากลับสู่บ้านเกิด โดยการพัฒนาน้ําบาดาลขึ้นมาเติมให้กับแหล่งน้ําผิวดิน เพื่อเพิ่มแหล่งน้ําให้กับ สัตว์ป่า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวดิน ทําให้ระบบนิเวศมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น และช่วยลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับสัตว์ป่า โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานและร่วมเป็นสักขีพยานการลงนาม ระหว่าง นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อธิบดีกรมทรัพยากรน้ําบาดาล และ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาน้ําบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศน์และสัตว์ป่า โดยในการดําเนินการจะนําร่อง ใน 4 พื้นที่ 20 แห่ง โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการสูบลงไปในแหล่งน้ําที่มีอยู่เพื่อให้สัตว์ป่าและพืชป่า มีความอุดมสมบูรณ์ และเมื่อดําเนินการในพื้นที่นําร่องแล้ว จะประเมินสถานการณ์ หากตอบโจทย์ดีแล้ว ก็จะทําการขยายผลสู่พื้นที่อื่น ๆ ต่อไป สําหรับขอบเขตความร่วมมือฯ ที่ทั้งสองหน่วยงานจะดําเนินการร่วมกัน มีดังนี้ 1) ร่วมมือดําเนินกิจกรรมพัฒนาระบบนิเวศ แหล่งน้ํา และแหล่งอาหารในพื้นที่ของโครงการศึกษาการพัฒนาแหล่งน้ําบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศและสัตว์ป่า ในเขตพื้นที่ความดูแลของอุทยานแห่งชาติทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน 2) การสํารวจพัฒนาแหล่งน้ําบาดาล เพื่อรักษาระบบนิเวศและสัตว์ป่า เพื่อป้องกันและระงับปัญหาไฟป่าในช่วงฤดูแล้งบริเวณป่าพรุโต๊ะแดง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีจังหวัดนราธิวาส 3) การพัฒนาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ โดยการสํารวจจัดหาหรือปรับปรุงแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่มีอยู่ รวมถึงร่วมกันคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมในเขตป่าอนุรักษ์ และในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อศึกษาสํารวจพัฒนาแหล่งน้ําพุร้อนดังกล่าว และจัดตั้งเป็นโรงไฟฟ้าต้นแบบขนาดเล็กช่วยในการส่งเสริมอุตสาหกรรมท้องถิ่นให้แก่คนในชุมชนนําร่องในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติห้วยน้ําดัง อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติน้ําตกหงาว และพื้นที่อื่นๆ ต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ การดําเนินการพัฒนาน้ําบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศและสัตว์ป่า จะเริ่มดําเนินการในเขตพื้นที่อุทยาน 4 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน รวมถึง ให้ความสําคัญในพื้นที่ที่พบปัญหาไฟป่า เช่น เขตป่าอนุรักษ์พรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส ส่วนเรื่องการพัฒนานําน้ําพุร้อนขึ้นมาใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนให้แก่โรงผลิตไฟฟ้า โรงอบแห้ง ตลอดจนโรงสปาน้ําแร่ธรรมชาติ จะเริ่มดําเนินการใน 3 พื้นที่ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติห้วยน้ําดัง อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน และอุทยานแห่งชาติน้ําตกหงาว ก็เป็นการสร้างพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เร่งจัดหาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศและแก้ปัญหาขัดแย้งคนกับสัตว์ป่า วันอังคารที่ 5 กันยายน 2560 ทส. เร่งจัดหาแหล่งน้ําบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศและแก้ปัญหาขัดแย้งคนกับสัตว์ป่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาน้ําบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศและสัตว์ป่า เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ํา ฟื้นฟูระบบนิเวศ และนําสัตว์ป่ากลับสู่บ้านเกิด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรน้ําบาดาล และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาน้ําบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศและสัตว์ป่า เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ํา ฟื้นฟูระบบนิเวศ และนําสัตว์ป่ากลับสู่บ้านเกิด โดยการพัฒนาน้ําบาดาลขึ้นมาเติมให้กับแหล่งน้ําผิวดิน เพื่อเพิ่มแหล่งน้ําให้กับ สัตว์ป่า และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวดิน ทําให้ระบบนิเวศมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น และช่วยลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านกับสัตว์ป่า โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานและร่วมเป็นสักขีพยานการลงนาม ระหว่าง นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อธิบดีกรมทรัพยากรน้ําบาดาล และ นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาน้ําบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศน์และสัตว์ป่า โดยในการดําเนินการจะนําร่อง ใน 4 พื้นที่ 20 แห่ง โดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการสูบลงไปในแหล่งน้ําที่มีอยู่เพื่อให้สัตว์ป่าและพืชป่า มีความอุดมสมบูรณ์ และเมื่อดําเนินการในพื้นที่นําร่องแล้ว จะประเมินสถานการณ์ หากตอบโจทย์ดีแล้ว ก็จะทําการขยายผลสู่พื้นที่อื่น ๆ ต่อไป สําหรับขอบเขตความร่วมมือฯ ที่ทั้งสองหน่วยงานจะดําเนินการร่วมกัน มีดังนี้ 1) ร่วมมือดําเนินกิจกรรมพัฒนาระบบนิเวศ แหล่งน้ํา และแหล่งอาหารในพื้นที่ของโครงการศึกษาการพัฒนาแหล่งน้ําบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศและสัตว์ป่า ในเขตพื้นที่ความดูแลของอุทยานแห่งชาติทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน 2) การสํารวจพัฒนาแหล่งน้ําบาดาล เพื่อรักษาระบบนิเวศและสัตว์ป่า เพื่อป้องกันและระงับปัญหาไฟป่าในช่วงฤดูแล้งบริเวณป่าพรุโต๊ะแดง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีจังหวัดนราธิวาส 3) การพัฒนาแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ โดยการสํารวจจัดหาหรือปรับปรุงแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพที่มีอยู่ รวมถึงร่วมกันคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมในเขตป่าอนุรักษ์ และในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อศึกษาสํารวจพัฒนาแหล่งน้ําพุร้อนดังกล่าว และจัดตั้งเป็นโรงไฟฟ้าต้นแบบขนาดเล็กช่วยในการส่งเสริมอุตสาหกรรมท้องถิ่นให้แก่คนในชุมชนนําร่องในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติห้วยน้ําดัง อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติน้ําตกหงาว และพื้นที่อื่นๆ ต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ การดําเนินการพัฒนาน้ําบาดาลเพื่อรักษาระบบนิเวศและสัตว์ป่า จะเริ่มดําเนินการในเขตพื้นที่อุทยาน 4 แห่ง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน รวมถึง ให้ความสําคัญในพื้นที่ที่พบปัญหาไฟป่า เช่น เขตป่าอนุรักษ์พรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส ส่วนเรื่องการพัฒนานําน้ําพุร้อนขึ้นมาใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนให้แก่โรงผลิตไฟฟ้า โรงอบแห้ง ตลอดจนโรงสปาน้ําแร่ธรรมชาติ จะเริ่มดําเนินการใน 3 พื้นที่ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติห้วยน้ําดัง อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน และอุทยานแห่งชาติน้ําตกหงาว ก็เป็นการสร้างพลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่คนในชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6444
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ออกประกาศแจ้งนักเรียนไร้กังวลสอบ GAT/PAT
วันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562 ศธ.ออกประกาศแจ้งนักเรียนไร้กังวลสอบ GAT/PAT นายพีระ รัตนวิจิตร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนตามปกติ สอดคล้องกับการเลื่อนการทดสอบวิชาความถนัดทั่วไป และการทดสอบความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ 24 มกราคม2562 -นายพีระ รัตนวิจิตร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนตามปกติ สอดคล้องกับการเลื่อนการทดสอบวิชาความถนัดทั่วไป และการทดสอบความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ หรือGAT/PATประจําปีการศึกษา2562 ประกาศดังกล่าวระบุว่าตามที่กระทรวงศึกษาธิการ หารือร่วมกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เกี่ยวกับกําหนดการเลื่อนการทดสอบวิชาความถนัดทั่วไป และการทดสอบความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ หรือ GAT/PAT ประจําปีการศึกษา 2562 จากวันที่ 16-19 ก.พ. 62 มาเป็นกําหนดการเดิม คือวันที่ 23-26 ก.พ. 62 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และมีกําหนดวันเลือกตั้งออกไปนั้น ดังนั้น เพื่อให้นักเรียนทุกคน ทุกสังกัดที่สมัครเข้าสอบมีความพร้อมและมีเวลาเพิ่มขึ้นในการทบทวนความรู้ในวิชาที่ต้องเข้าสอบอย่างเต็มที่ สถานศึกษาสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้เต็มหลักสูตร ไม่ต้องเพิ่มเวลาสอนในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือนอกเวลาเรียน ซึ่งส่งผลดีทําให้นักเรียนมีความสุข มีเวลาในการทํากิจกรรมร่วมกับผู้ปกครอง หรือทํากิจกรรมอื่น ๆ และไม่เคร่งเครียดกับการสอบจนเกินไป กระทรวงศึกษาธิการจึงขอให้สถานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบฯ ทุกแห่ง ทุกสังกัด จัดการเรียนการสอนตามปกติ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสอดคล้องกับการเลื่อนการทดสอบ GAT/PAT ประจําปีการศึกษา 2562 Writtenbyบัลลังก์ โรหิตเสถียร Photo Credit Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ออกประกาศแจ้งนักเรียนไร้กังวลสอบ GAT/PAT วันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2562 ศธ.ออกประกาศแจ้งนักเรียนไร้กังวลสอบ GAT/PAT นายพีระ รัตนวิจิตร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนตามปกติ สอดคล้องกับการเลื่อนการทดสอบวิชาความถนัดทั่วไป และการทดสอบความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ 24 มกราคม2562 -นายพีระ รัตนวิจิตร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนตามปกติ สอดคล้องกับการเลื่อนการทดสอบวิชาความถนัดทั่วไป และการทดสอบความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ หรือGAT/PATประจําปีการศึกษา2562 ประกาศดังกล่าวระบุว่าตามที่กระทรวงศึกษาธิการ หารือร่วมกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เกี่ยวกับกําหนดการเลื่อนการทดสอบวิชาความถนัดทั่วไป และการทดสอบความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ หรือ GAT/PAT ประจําปีการศึกษา 2562 จากวันที่ 16-19 ก.พ. 62 มาเป็นกําหนดการเดิม คือวันที่ 23-26 ก.พ. 62 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และมีกําหนดวันเลือกตั้งออกไปนั้น ดังนั้น เพื่อให้นักเรียนทุกคน ทุกสังกัดที่สมัครเข้าสอบมีความพร้อมและมีเวลาเพิ่มขึ้นในการทบทวนความรู้ในวิชาที่ต้องเข้าสอบอย่างเต็มที่ สถานศึกษาสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้เต็มหลักสูตร ไม่ต้องเพิ่มเวลาสอนในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือนอกเวลาเรียน ซึ่งส่งผลดีทําให้นักเรียนมีความสุข มีเวลาในการทํากิจกรรมร่วมกับผู้ปกครอง หรือทํากิจกรรมอื่น ๆ และไม่เคร่งเครียดกับการสอบจนเกินไป กระทรวงศึกษาธิการจึงขอให้สถานศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบฯ ทุกแห่ง ทุกสังกัด จัดการเรียนการสอนตามปกติ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และสอดคล้องกับการเลื่อนการทดสอบ GAT/PAT ประจําปีการศึกษา 2562 Writtenbyบัลลังก์ โรหิตเสถียร Photo Credit Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18347
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561
วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561 รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 มีจํานวน 6,454,168.89 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.04 ของ GDP โดยแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 5,145,028.98 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 918,898.16 ล้านบาท นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ ได้รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 มีจํานวน 6,454,168.89 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.04 ของ GDP โดยแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 5,145,028.98 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 918,898.16 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน* (รัฐบาลค้ําประกัน) 381,046.94 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 9,194.81 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าหนี้สาธารณะคงค้างลดลงสุทธิ 9,522.95 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ * หนี้รัฐบาล จํานวน 5,145,028.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 9,945.30 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญของหนี้รัฐบาล ดังนี้ • เงินกู้ภายใต้แผนที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2561 และการบริหารหนี้สาธารณะ เพิ่มขึ้นสุทธิ 52,226.87 ล้านบาท เนื่องจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพื่อนําไปลงทุนในการพัฒนาประเทศ สร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ จํานวน 70,508.21 ล้านบาท การไถ่ถอนพันธบัตร 10,477.34 ล้านบาท และการลดลงของตั๋วเงินคลัง 7,804 ล้านบาท • เงินกู้เพื่อการลงทุนจากแหล่งเงินกู้ในประเทศเพิ่มขึ้นสุทธิ 4,291.61 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การกู้ให้กู้ต่อแก่ (1) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 920.19 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจํานวน 304.81 ล้านบาท สายสีน้ําเงินจํานวน 382.59 ล้านบาท และ สายสีเขียวจํานวน 232.79 ล้านบาท (2) การรถไฟแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 3,371.42 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี – ปากน้ําโพ จํานวน 1,600 ล้านบาท โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม – ชุมพร จํานวน 646.50 ล้านบาท โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น จํานวน 573.79 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา – คลองสิบเก้า - แก่งคอย จํานวน 452.67 ล้านบาท และโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต จํานวน 98.46 ล้านบาท • การกู้เงินบาททดแทนการกู้เงินตราต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน • การชําระหนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จํานวน 2,059.14 ล้านบาท โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ • เงินกู้ล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ลดลง 44,800 ล้านบาท เนื่องจากได้นําไปชําระคืนหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่กู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้ที่ครบกําหนดในวันที่ 13 มีนาคม 2561 • หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นสุทธิ 85.96 ล้านบาท เนื่องจากการเบิกจ่ายและชําระคืนเงินกู้สกุลเงินต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน * หนี้รัฐวิสาหกิจ จํานวน 918,898.16 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 16,893.64 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก • หนี้ที่รัฐบาลค้ําประกัน ลดลงสุทธิ 4,183.31 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ที่ลดลงของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย • หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ําประกัน ลดลงสุทธิ 12,710.33 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ที่ลดลงของ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) * หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) จํานวน 381,046.94 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 2,523.65 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนต้นเงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร * หนี้หน่วยงานของรัฐ จํานวน 9,194.81 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 50.96 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ เนื่องจากหนี้ที่ลดลงของสํานักงานธนานุเคราะห์ หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 จํานวน 6,454,168.89 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหนี้ในประเทศ 6,184,166.52 ล้านบาท หรือร้อยละ 95.82 และหนี้ต่างประเทศ 270,002.37 ล้านบาท (ประมาณ 8,421.46 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือร้อยละ 4.18 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และหนี้สาธารณะคงค้างแบ่งตามอายุคงเหลือ สามารถแบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว 5,824,318.73 ล้านบาท หรือร้อยละ 90.24 และหนี้ระยะสั้น 629,850.16 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.76 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5520 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ขอรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 ดังนี้ ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 มีจํานวน 6,454,168.89 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.04 ของ GDP เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะลดลงสุทธิ 9,522.95 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. หนี้รัฐบาล 5,145,028.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 9,945.30 ล้านบาท 2. หนี้รัฐวิสาหกิจ 918,898.16 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 16,893.64 ล้านบาท 3. หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน* (รัฐบาลค้ําประกัน) 381,046.94 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 2,523.65 ล้านบาท 4. หนี้หน่วยงานของรัฐ 9,194.81 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 50.96 ล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนและรายละเอียดของหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 ปรากฏตามแผนภาพที่ 1 และตารางที่ 1 ตามลําดับ 1. หนี้รัฐบาล 1.1 หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 56,804.44 ล้านบาท เนื่องจาก 1.1.1 หนี้ต่างประเทศ เพิ่มขึ้นสุทธิ 85.96 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการเบิกจ่ายและชําระคืนเงินกู้สกุลเงินต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 2 1.1.2 หนี้ในประเทศ เพิ่มขึ้นสุทธิ 56,718.48 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า เนื่องจาก - เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 52,226.87 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ - เงินกู้ระยะสั้น ลดลงสุทธิ 7,804 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของตั๋วเงินคลัง - เงินกู้ระยะยาว เพิ่มขึ้นสุทธิ 60,030.87 ล้านบาท เนื่องจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจํานวน 70,508.21 ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาล 69,292 ล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์ 1,216.21 ล้านบาท และการไถ่ถอนพันธบัตร 10,477.34 ล้านบาท - เงินกู้ให้กู้ต่อเพิ่มขึ้น 4,291.61 ล้านบาท เนื่องจาก - การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 920.19 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจํานวน 304.81 ล้านบาท สายสีน้ําเงินจํานวน 382.59 ล้านบาท และ สายสีเขียวจํานวน 232.79 ล้านบาท - การรถไฟแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 3,371.42 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี – ปากน้ําโพ จํานวน 1,600 ล้านบาท โครงการการก่อสร้างทางคู่ ช่วงนครปฐม – ชุมพร จํานวน 646.50 ล้านบาท โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น จํานวน 573.79 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา – คลองสิบเก้า - แก่งคอย จํานวน 452.67 ล้านบาท และโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต จํานวน 98.46 ล้านบาท • เงินกู้บาททดแทนการกู้เงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน 1.2 หนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลงจากเดือนก่อนหน้า จํานวน 2,059.14 ล้านบาท จากการชําระหนี้ที่กู้มาภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. 2545 (FIDF 3) โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 1.3 หนี้เงินกู้ล่วงหน้าเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ลดลงจากเดือนก่อนหน้า จํานวน 44,800 ล้านบาท เนื่องจากได้นําไปชําระคืนหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่กู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้ที่ครบกําหนดในวันที่ 13 มีนาคม 2561 2. หนี้รัฐวิสาหกิจ 2.1 หนี้ที่รัฐบาลค้ําประกัน 2.1.1 หนี้ต่างประเทศ ลดลง 1,094.31 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการชําระคืนหนี้สกุลเงินเยน และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 3 2.1.2 หนี้ในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงสุทธิ 3,089 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ เนื่องจาก การทางพิเศษแห่งประเทศไทยไถ่ถอนพันธบัตร 3,000 ล้านบาท 2.2 หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ําประกัน 2.2.1 หนี้ต่างประเทศ ลดลง 4,596.87 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการชําระหนี้สกุลเงินต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 4 2.2.2 หนี้ในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงสุทธิ 8,113.46 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ เนื่องจาก บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ชําระคืนต้นเงินกู้ 6,644.08 ล้านบาท 3. หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) 3.1 หนี้ต่างประเทศ ลดลง 58.65 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการชําระคืนต้นเงินกู้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 5 3.2 หนี้ในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงสุทธิ 2,465 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรชําระคืนต้นเงินกู้ทั้งจํานวน 4. หนี้หน่วยงานของรัฐ ลดลงสุทธิ 50.96 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากสํานักงานธนานุเคราะห์เบิกจ่ายเงินกู้ 1.04 ล้านบาท และชําระคืนต้นเงินกู้ 52 ล้านบาท หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 จํานวน 6,454,168.89 ล้านบาท สามารถแบ่งประเภทเป็น หนี้ต่างประเทศ-หนี้ในประเทศ และหนี้ระยะยาว-หนี้ระยะสั้นได้ ดังนี้ หนี้ต่างประเทศและหนี้ในประเทศ แบ่งออกเป็น หนี้ต่างประเทศ 270,002.37 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.18 และหนี้ในประเทศ 6,184,166.52 ล้านบาท หรือร้อยละ 95.82 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง รายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 6 หนี้ระยะยาวและหนี้ระยะสั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ - หนี้ระยะยาวและหนี้ระยะสั้น (แบ่งตามอายุของเครื่องมือการกู้เงิน) แบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว 6,276,169.63 ล้านบาท หรือร้อยละ 97.24 และหนี้ระยะสั้น 177,999.26 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.76 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง รายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 7 - หนี้ระยะยาวและหนี้ระยะสั้น (แบ่งตามอายุคงเหลือ) แบ่งออกเป็น หนี้ระยะยาว 5,824,318.73 ล้านบาท หรือร้อยละ 90.24 และหนี้ระยะสั้น 629,850.16 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.76 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง รายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 8 Public Debt Outstanding Report as of March 31, 2018 Mr.Theeraj Athanavanich, Bond Market Advisor, reported that Thailand’s public debt outstanding as of March 31, 2018 was at 6,454,168.89 million Baht (41.04% of GDP). The total public debt outstanding comprised 5,145,028.98 million Baht of Government debt, 918,898.16 million Baht of State-Owned Enterprises (SOEs) debt, 381,046.94 million Baht of Government Guaranteed Financial SOEs debt* and 9,194.81 million Baht of Other Government Agencies debt. Compared with last month, public debt outstanding decreased by 9,522.95 million Baht with details as follows: * Government debt outstanding was at 5,145,028.98 million Baht, increasing by 9,945.30 million Baht. The detail of change in government debt as the followings: • Financing under the Annual Budget Expenditure Act B.E. 2561 (A.D. 2018) and debt management increased by 52,226.87 million Baht. This increase was mainly for the country development. • Domestic debt to finance infrastructure investment increased by 4,291.61 million Baht which resulted from (1) an increase in On-lending debt by 920.19 million Baht to Mass Rapid Transit Authority of Thailand for the Orange Line, Blue Line and Green Line projects (2) an increase in On-lending debt by 3,371.42 million Baht to State Railway of Thailand for Double-track Lopburi – Paknampho Project, Double-track Nakornpathom – Chumphon Project, Double-track Jira Road - Khonkaen Project, Double-track Chachoengsao - Klong 19 - Kaeng Koi Project and Red Line Mass Transit System Project. • Debt to Finance Economic Stimulus Package through Water Management and Road System Improvement increased by 200 million Baht. • Debt repayments under the Emergency Decree authorizing the MOF to Secure Loans for Financial Institutions Development Fund were made in the amount of 2,059.14 million Baht. • Prefunding debt decreased by 44,800 million which resulted from the repaying the pre-funding debt of the government bond under the Public Debt Management Act dued in March 2015. • External debt increased by 85.96 million Baht mainly due to the disbursement and principal repayment and changes in foreign exchange rates. * State-Owned Enterprise debt was at 918,898.16 million Baht, decreasing by 16,893.64 million Baht. This change was mainly contributed from the followings: • Government Guaranteed debt decreased by 4,183.31 million Baht. This was mainly from the Expressway Authority of Thailand. • Non-Government Guaranteed debt decreased by 12,710.33 million Baht. This was mainly from the PTT Public Co., Ltd. * Financial State-Owned Enterprise debt (Government Guaranteed) was at 381,046.94 million Baht, decreasing by 2,523.65 million Baht. This change was mainly resulted from the debt repayment by the Bank for Agriculture and Agricultural Co-operatives. * Other Government Agencies debt was at 9,194.81 million Baht, decreasing by 50.96 million Baht mainly due to the debt repayment of the Office of the Government Pawnshop. Public debt outstanding as of March 31, 2018 was at 6,454,168.89 million Baht, of which, 6,184,166.52 million Baht was domestic debt (95.82% of total public debt), and 270,002.37 million Baht (8,421.46 million USD) was external debt (4.18% of total public debt). Classified by remaining maturity, long-term debt outstanding was 5,824,318.73 million Baht (90.24% of total public debt) and short-term debt outstanding was 629,850.16 million Baht (9.76% of total public debt). Public Debt Management Office Tel. +66 2 265 8050 Ext. 5520
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561 รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 มีจํานวน 6,454,168.89 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.04 ของ GDP โดยแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 5,145,028.98 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 918,898.16 ล้านบาท นายธีรัชย์ อัตนวานิช ที่ปรึกษาด้านตลาดตราสารหนี้ ได้รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 มีจํานวน 6,454,168.89 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.04 ของ GDP โดยแบ่งเป็นหนี้รัฐบาล 5,145,028.98 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 918,898.16 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน* (รัฐบาลค้ําประกัน) 381,046.94 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 9,194.81 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าหนี้สาธารณะคงค้างลดลงสุทธิ 9,522.95 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ * หนี้รัฐบาล จํานวน 5,145,028.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 9,945.30 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญของหนี้รัฐบาล ดังนี้ • เงินกู้ภายใต้แผนที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2561 และการบริหารหนี้สาธารณะ เพิ่มขึ้นสุทธิ 52,226.87 ล้านบาท เนื่องจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพื่อนําไปลงทุนในการพัฒนาประเทศ สร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ จํานวน 70,508.21 ล้านบาท การไถ่ถอนพันธบัตร 10,477.34 ล้านบาท และการลดลงของตั๋วเงินคลัง 7,804 ล้านบาท • เงินกู้เพื่อการลงทุนจากแหล่งเงินกู้ในประเทศเพิ่มขึ้นสุทธิ 4,291.61 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น การกู้ให้กู้ต่อแก่ (1) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 920.19 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจํานวน 304.81 ล้านบาท สายสีน้ําเงินจํานวน 382.59 ล้านบาท และ สายสีเขียวจํานวน 232.79 ล้านบาท (2) การรถไฟแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 3,371.42 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี – ปากน้ําโพ จํานวน 1,600 ล้านบาท โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม – ชุมพร จํานวน 646.50 ล้านบาท โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น จํานวน 573.79 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา – คลองสิบเก้า - แก่งคอย จํานวน 452.67 ล้านบาท และโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต จํานวน 98.46 ล้านบาท • การกู้เงินบาททดแทนการกู้เงินตราต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน • การชําระหนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จํานวน 2,059.14 ล้านบาท โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ • เงินกู้ล่วงหน้าเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ลดลง 44,800 ล้านบาท เนื่องจากได้นําไปชําระคืนหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่กู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้ที่ครบกําหนดในวันที่ 13 มีนาคม 2561 • หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้นสุทธิ 85.96 ล้านบาท เนื่องจากการเบิกจ่ายและชําระคืนเงินกู้สกุลเงินต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน * หนี้รัฐวิสาหกิจ จํานวน 918,898.16 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 16,893.64 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญเกิดจาก • หนี้ที่รัฐบาลค้ําประกัน ลดลงสุทธิ 4,183.31 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ที่ลดลงของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย • หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ําประกัน ลดลงสุทธิ 12,710.33 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากหนี้ที่ลดลงของ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) * หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) จํานวน 381,046.94 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 2,523.65 ล้านบาท โดยรายการที่สําคัญเกิดจากการชําระคืนต้นเงินกู้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร * หนี้หน่วยงานของรัฐ จํานวน 9,194.81 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 50.96 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ เนื่องจากหนี้ที่ลดลงของสํานักงานธนานุเคราะห์ หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 จํานวน 6,454,168.89 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหนี้ในประเทศ 6,184,166.52 ล้านบาท หรือร้อยละ 95.82 และหนี้ต่างประเทศ 270,002.37 ล้านบาท (ประมาณ 8,421.46 ล้านเหรียญสหรัฐ) หรือร้อยละ 4.18 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด และหนี้สาธารณะคงค้างแบ่งตามอายุคงเหลือ สามารถแบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว 5,824,318.73 ล้านบาท หรือร้อยละ 90.24 และหนี้ระยะสั้น 629,850.16 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.76 ของหนี้สาธารณะคงค้างทั้งหมด คณะโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 02 265 8050 ต่อ 5520 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ขอรายงานสถานะหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 ดังนี้ ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 มีจํานวน 6,454,168.89 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 41.04 ของ GDP เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะลดลงสุทธิ 9,522.95 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. หนี้รัฐบาล 5,145,028.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสุทธิ 9,945.30 ล้านบาท 2. หนี้รัฐวิสาหกิจ 918,898.16 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 16,893.64 ล้านบาท 3. หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน* (รัฐบาลค้ําประกัน) 381,046.94 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 2,523.65 ล้านบาท 4. หนี้หน่วยงานของรัฐ 9,194.81 ล้านบาท ลดลงสุทธิ 50.96 ล้านบาท ทั้งนี้ สัดส่วนและรายละเอียดของหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2561 ปรากฏตามแผนภาพที่ 1 และตารางที่ 1 ตามลําดับ 1. หนี้รัฐบาล 1.1 หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าเพิ่มขึ้นสุทธิ 56,804.44 ล้านบาท เนื่องจาก 1.1.1 หนี้ต่างประเทศ เพิ่มขึ้นสุทธิ 85.96 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการเบิกจ่ายและชําระคืนเงินกู้สกุลเงินต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 2 1.1.2 หนี้ในประเทศ เพิ่มขึ้นสุทธิ 56,718.48 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า เนื่องจาก - เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 52,226.87 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ - เงินกู้ระยะสั้น ลดลงสุทธิ 7,804 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของตั๋วเงินคลัง - เงินกู้ระยะยาว เพิ่มขึ้นสุทธิ 60,030.87 ล้านบาท เนื่องจากการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจํานวน 70,508.21 ล้านบาท โดยการออกพันธบัตรรัฐบาล 69,292 ล้านบาท และพันธบัตรออมทรัพย์ 1,216.21 ล้านบาท และการไถ่ถอนพันธบัตร 10,477.34 ล้านบาท - เงินกู้ให้กู้ต่อเพิ่มขึ้น 4,291.61 ล้านบาท เนื่องจาก - การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 920.19 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจํานวน 304.81 ล้านบาท สายสีน้ําเงินจํานวน 382.59 ล้านบาท และ สายสีเขียวจํานวน 232.79 ล้านบาท - การรถไฟแห่งประเทศไทยเบิกจ่ายเงินกู้จํานวน 3,371.42 ล้านบาท เพื่อจัดทําโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี – ปากน้ําโพ จํานวน 1,600 ล้านบาท โครงการการก่อสร้างทางคู่ ช่วงนครปฐม – ชุมพร จํานวน 646.50 ล้านบาท โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น จํานวน 573.79 ล้านบาท โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา – คลองสิบเก้า - แก่งคอย จํานวน 452.67 ล้านบาท และโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต จํานวน 98.46 ล้านบาท • เงินกู้บาททดแทนการกู้เงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้น 200 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนนระยะเร่งด่วน 1.2 หนี้ที่รัฐบาลกู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ลดลงจากเดือนก่อนหน้า จํานวน 2,059.14 ล้านบาท จากการชําระหนี้ที่กู้มาภายใต้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. 2545 (FIDF 3) โดยใช้เงินจากบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 1.3 หนี้เงินกู้ล่วงหน้าเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ ลดลงจากเดือนก่อนหน้า จํานวน 44,800 ล้านบาท เนื่องจากได้นําไปชําระคืนหนี้พันธบัตรรัฐบาลที่กู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณและการบริหารหนี้ที่ครบกําหนดในวันที่ 13 มีนาคม 2561 2. หนี้รัฐวิสาหกิจ 2.1 หนี้ที่รัฐบาลค้ําประกัน 2.1.1 หนี้ต่างประเทศ ลดลง 1,094.31 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการชําระคืนหนี้สกุลเงินเยน และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 3 2.1.2 หนี้ในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงสุทธิ 3,089 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ เนื่องจาก การทางพิเศษแห่งประเทศไทยไถ่ถอนพันธบัตร 3,000 ล้านบาท 2.2 หนี้ที่รัฐบาลไม่ค้ําประกัน 2.2.1 หนี้ต่างประเทศ ลดลง 4,596.87 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการชําระหนี้สกุลเงินต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 4 2.2.2 หนี้ในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงสุทธิ 8,113.46 ล้านบาท โดยการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ เนื่องจาก บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) ชําระคืนต้นเงินกู้ 6,644.08 ล้านบาท 3. หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ําประกัน) 3.1 หนี้ต่างประเทศ ลดลง 58.65 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการชําระคืนต้นเงินกู้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ดังรายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 5 3.2 หนี้ในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าลดลงสุทธิ 2,465 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรชําระคืนต้นเงินกู้ทั้งจํานวน 4. หนี้หน่วยงานของรัฐ ลดลงสุทธิ 50.96 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้า โดยการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากสํานักงานธนานุเคราะห์เบิกจ่ายเงินกู้ 1.04 ล้านบาท และชําระคืนต้นเงินกู้ 52 ล้านบาท หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2561 จํานวน 6,454,168.89 ล้านบาท สามารถแบ่งประเภทเป็น หนี้ต่างประเทศ-หนี้ในประเทศ และหนี้ระยะยาว-หนี้ระยะสั้นได้ ดังนี้ หนี้ต่างประเทศและหนี้ในประเทศ แบ่งออกเป็น หนี้ต่างประเทศ 270,002.37 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.18 และหนี้ในประเทศ 6,184,166.52 ล้านบาท หรือร้อยละ 95.82 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง รายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 6 หนี้ระยะยาวและหนี้ระยะสั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ - หนี้ระยะยาวและหนี้ระยะสั้น (แบ่งตามอายุของเครื่องมือการกู้เงิน) แบ่งออกเป็นหนี้ระยะยาว 6,276,169.63 ล้านบาท หรือร้อยละ 97.24 และหนี้ระยะสั้น 177,999.26 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.76 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง รายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 7 - หนี้ระยะยาวและหนี้ระยะสั้น (แบ่งตามอายุคงเหลือ) แบ่งออกเป็น หนี้ระยะยาว 5,824,318.73 ล้านบาท หรือร้อยละ 90.24 และหนี้ระยะสั้น 629,850.16 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.76 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง รายละเอียดปรากฏตามตารางที่ 8 Public Debt Outstanding Report as of March 31, 2018 Mr.Theeraj Athanavanich, Bond Market Advisor, reported that Thailand’s public debt outstanding as of March 31, 2018 was at 6,454,168.89 million Baht (41.04% of GDP). The total public debt outstanding comprised 5,145,028.98 million Baht of Government debt, 918,898.16 million Baht of State-Owned Enterprises (SOEs) debt, 381,046.94 million Baht of Government Guaranteed Financial SOEs debt* and 9,194.81 million Baht of Other Government Agencies debt. Compared with last month, public debt outstanding decreased by 9,522.95 million Baht with details as follows: * Government debt outstanding was at 5,145,028.98 million Baht, increasing by 9,945.30 million Baht. The detail of change in government debt as the followings: • Financing under the Annual Budget Expenditure Act B.E. 2561 (A.D. 2018) and debt management increased by 52,226.87 million Baht. This increase was mainly for the country development. • Domestic debt to finance infrastructure investment increased by 4,291.61 million Baht which resulted from (1) an increase in On-lending debt by 920.19 million Baht to Mass Rapid Transit Authority of Thailand for the Orange Line, Blue Line and Green Line projects (2) an increase in On-lending debt by 3,371.42 million Baht to State Railway of Thailand for Double-track Lopburi – Paknampho Project, Double-track Nakornpathom – Chumphon Project, Double-track Jira Road - Khonkaen Project, Double-track Chachoengsao - Klong 19 - Kaeng Koi Project and Red Line Mass Transit System Project. • Debt to Finance Economic Stimulus Package through Water Management and Road System Improvement increased by 200 million Baht. • Debt repayments under the Emergency Decree authorizing the MOF to Secure Loans for Financial Institutions Development Fund were made in the amount of 2,059.14 million Baht. • Prefunding debt decreased by 44,800 million which resulted from the repaying the pre-funding debt of the government bond under the Public Debt Management Act dued in March 2015. • External debt increased by 85.96 million Baht mainly due to the disbursement and principal repayment and changes in foreign exchange rates. * State-Owned Enterprise debt was at 918,898.16 million Baht, decreasing by 16,893.64 million Baht. This change was mainly contributed from the followings: • Government Guaranteed debt decreased by 4,183.31 million Baht. This was mainly from the Expressway Authority of Thailand. • Non-Government Guaranteed debt decreased by 12,710.33 million Baht. This was mainly from the PTT Public Co., Ltd. * Financial State-Owned Enterprise debt (Government Guaranteed) was at 381,046.94 million Baht, decreasing by 2,523.65 million Baht. This change was mainly resulted from the debt repayment by the Bank for Agriculture and Agricultural Co-operatives. * Other Government Agencies debt was at 9,194.81 million Baht, decreasing by 50.96 million Baht mainly due to the debt repayment of the Office of the Government Pawnshop. Public debt outstanding as of March 31, 2018 was at 6,454,168.89 million Baht, of which, 6,184,166.52 million Baht was domestic debt (95.82% of total public debt), and 270,002.37 million Baht (8,421.46 million USD) was external debt (4.18% of total public debt). Classified by remaining maturity, long-term debt outstanding was 5,824,318.73 million Baht (90.24% of total public debt) and short-term debt outstanding was 629,850.16 million Baht (9.76% of total public debt). Public Debt Management Office Tel. +66 2 265 8050 Ext. 5520
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11975
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคและมอบโครงการโรงเรียนด้อยโอกาส
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคและมอบโครงการโรงเรียนด้อยโอกาส รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคและมอบโครงการโรงเรียนด้อยโอกาส ในวันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเดินทางไปมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค เขตตรวจราชการที่ 10 และ 11 ที่จังหวัดสกลนคร บึงกาฬ และนครพนม พร้อมทั้งจะเป็นประธานในการส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาสปี 2560ในพื้นที่จังหวัดดังกล่าวด้วย ​ทั้งนี้คณะของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีกําหนดการที่น่าสนใจ ดังนี้ เวลา 08.30 น. เป็นประธานมอบผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางด้านการเกษตร ได้แก่ เครื่องอบแห้งแบบถังทรงกระบอกหมุนด้วยระบบรังสีอินฟราเรดร่วมกับลมร้อนปล่อยทิ้งแบบเคลื่อนย้ายได้ และตู้เพาะเห็ดอัตโนมัติ เพื่อนําไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตแก่เกษตรกร ซึ่งเป็นผลผลิตของสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ให้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านน้อยจอมศรี จังหวัดสกลนคร กลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวเม่าแปรรูปหอมทอง จังหวัดบึงกาฬ และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวทิพมนต์บ้านต้องโพนสว่าง จังหวัดนครพนม ณ ศาลากลางจังหวัดสกลนคร ​เวลา 08.45 น. เป็นประธานในการมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครและหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดสกลนคร ณ ห้องประชุมพระธาตุเชิงชุม ศาลากลางจังหวัดสกลนคร ​เวลา 10.35 น. เป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส ที่โรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านไทยเสรี อําเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ ​เวลา 13.00 น. เป็นประธานในการมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬและหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดบึงกาฬ ณ ห้องประชุมสิรินธรวัลลี ศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ ​เวลา 15.00 น. เป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาสที่โรงเรียนบ้านดงวิทยาคาร ตําบลนาขมิ้น อําเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม ​เวลา 17.00 น. เป็นประธานในการมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมและหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดนครพนม ณ ห้องประชุมพระธาตุพนม ศาลากลางจังหวัดนครพนม ในการเดินทางไปราชการในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งนี้ เป็นไปตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่องมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค โดยรองนายกรัฐมนตรีกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 10,11,12 ได้แก่ จังหวัดบึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลําภู อุดรธานี นครพนม มุกดาหาร สกลนคร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด รวมถึงการไปมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากการที่สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี ร่วมกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ มูลนิธิ ชมรม บริษัทเอกชน พร้อมด้วยผู้มีจิตอันเป็นกุศลได้ให้การสนับสนุนและดําเนินการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม มีหลักโภชนาการที่ดี มีการเสริมสร้างสุขภาพอนามัย พร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษา รวมทั้งมุ่งเน้นให้เกิดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีต่อการใช้ชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ ................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคและมอบโครงการโรงเรียนด้อยโอกาส วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคและมอบโครงการโรงเรียนด้อยโอกาส รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคและมอบโครงการโรงเรียนด้อยโอกาส ในวันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเดินทางไปมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค เขตตรวจราชการที่ 10 และ 11 ที่จังหวัดสกลนคร บึงกาฬ และนครพนม พร้อมทั้งจะเป็นประธานในการส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาสปี 2560ในพื้นที่จังหวัดดังกล่าวด้วย ​ทั้งนี้คณะของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีกําหนดการที่น่าสนใจ ดังนี้ เวลา 08.30 น. เป็นประธานมอบผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางด้านการเกษตร ได้แก่ เครื่องอบแห้งแบบถังทรงกระบอกหมุนด้วยระบบรังสีอินฟราเรดร่วมกับลมร้อนปล่อยทิ้งแบบเคลื่อนย้ายได้ และตู้เพาะเห็ดอัตโนมัติ เพื่อนําไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตแก่เกษตรกร ซึ่งเป็นผลผลิตของสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ให้แก่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านน้อยจอมศรี จังหวัดสกลนคร กลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวเม่าแปรรูปหอมทอง จังหวัดบึงกาฬ และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวทิพมนต์บ้านต้องโพนสว่าง จังหวัดนครพนม ณ ศาลากลางจังหวัดสกลนคร ​เวลา 08.45 น. เป็นประธานในการมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนครและหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดสกลนคร ณ ห้องประชุมพระธาตุเชิงชุม ศาลากลางจังหวัดสกลนคร ​เวลา 10.35 น. เป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่ด้อยโอกาส ที่โรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านไทยเสรี อําเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ ​เวลา 13.00 น. เป็นประธานในการมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬและหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดบึงกาฬ ณ ห้องประชุมสิรินธรวัลลี ศาลากลางจังหวัดบึงกาฬ ​เวลา 15.00 น. เป็นประธานในพิธีส่งมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาสที่โรงเรียนบ้านดงวิทยาคาร ตําบลนาขมิ้น อําเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม ​เวลา 17.00 น. เป็นประธานในการมอบนโยบายในการกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมและหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดนครพนม ณ ห้องประชุมพระธาตุพนม ศาลากลางจังหวัดนครพนม ในการเดินทางไปราชการในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งนี้ เป็นไปตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่องมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค โดยรองนายกรัฐมนตรีกํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 10,11,12 ได้แก่ จังหวัดบึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลําภู อุดรธานี นครพนม มุกดาหาร สกลนคร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด รวมถึงการไปมอบโครงการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนด้อยโอกาส ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากการที่สํานักงานรองนายกรัฐมนตรี ร่วมกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ มูลนิธิ ชมรม บริษัทเอกชน พร้อมด้วยผู้มีจิตอันเป็นกุศลได้ให้การสนับสนุนและดําเนินการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม มีหลักโภชนาการที่ดี มีการเสริมสร้างสุขภาพอนามัย พร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษา รวมทั้งมุ่งเน้นให้เกิดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดีต่อการใช้ชีวิตของนักเรียนในโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการฯ ................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9993
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. และ สธ. เร่งกำหนดมาตรการให้โรงเรียนกลับมาเรียน-สอน ตามปกติ ขณะที่จุดผ่อนปรนการค้า 91 แห่งทั่วประเทศยังต้องรอ ศบค. พิจารณา
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 ศธ. และ สธ. เร่งกําหนดมาตรการให้โรงเรียนกลับมาเรียน-สอน ตามปกติ ขณะที่จุดผ่อนปรนการค้า 91 แห่งทั่วประเทศยังต้องรอ ศบค. พิจารณา ศธ. และ สธ. เร่งกําหนดมาตรการให้โรงเรียนกลับมาเรียน-สอน ตามปกติ ขณะที่จุดผ่อนปรนการค้า 91 แห่งทั่วประเทศยังต้องรอ ศบค. พิจารณา โฆษก ศบค. ชี้แจง มีโรงเรียนจํานวนหลายหมื่นแห่งทั่วประเทศที่เริ่มกลับมาเปิดการเรียนการสอนปกติ เหลือเพียงอีก 4,532 แห่งที่ยังต้องสลับกลุ่ม สลับวันมาเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่พื้นที่จํากัด ห้องเรียนขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม โฆษก ศบค. ยอมรับว่าหลายโรงเรียนมีนโยบายที่แตกต่างกัน ทําให้ไม่สามารถกลับไปเปิดการเรียนการสอนแบบปกติได้ทั้งหมด ทั้งนี้ มีการมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข เร่งหารือเพื่อจัดทํามาตรการสําหรับโรงเรียนที่มีข้อจํากัดด้านพื้นที่ รวมทั้งให้ปรับปรุงประสิทธิภาพการเรียนการสอน เพื่อลดภาระของครูผู้สอนและผู้ปกครอง โดยจะให้เสนอต่อ ศบค. เพื่อพิจารณาให้มีการผ่อนคลายโดยเร็วที่สุดต่อไป โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ยังชี้แจงกรณีคณะกรรมการกลุ่มการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดน เสนอให้เปิดจุดผ่านแดน จุดผ่อนปรนการค้า ทั้งหมด 91 จุดทั่วประเทศแบบถาวรตั้งแต่เดือนสิงหาคมนั้นว่า กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน และฝ่ายความมั่นคง จะกําหนดความเหมาะสมและความพร้อมของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน เพื่อเสนอศบค. ให้พิจารณาเห็นชอบ โดยมีเป้าหมายควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจ ในตอนท้าย โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมถึงพื้นที่ Organizational Quarantine เป็นความร่วมมือจากหน่วยงาน องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดหาพื้นที่รองรับสําหรับแรงงานที่ต้องการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ภายใต้มาตรฐานสาธารณสุข ปลอดภัย ลดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ กลุ่มบุคคลดังกล่าวต้องกักตัวในพื้นที่ 14 วัน เพื่อป้องกันควบคุมโรค พร้อมทั้งสร้างความปลอดภัย มั่นใจให้แก่ประชาชนในประเทศ ................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ. และ สธ. เร่งกำหนดมาตรการให้โรงเรียนกลับมาเรียน-สอน ตามปกติ ขณะที่จุดผ่อนปรนการค้า 91 แห่งทั่วประเทศยังต้องรอ ศบค. พิจารณา วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 ศธ. และ สธ. เร่งกําหนดมาตรการให้โรงเรียนกลับมาเรียน-สอน ตามปกติ ขณะที่จุดผ่อนปรนการค้า 91 แห่งทั่วประเทศยังต้องรอ ศบค. พิจารณา ศธ. และ สธ. เร่งกําหนดมาตรการให้โรงเรียนกลับมาเรียน-สอน ตามปกติ ขณะที่จุดผ่อนปรนการค้า 91 แห่งทั่วประเทศยังต้องรอ ศบค. พิจารณา โฆษก ศบค. ชี้แจง มีโรงเรียนจํานวนหลายหมื่นแห่งทั่วประเทศที่เริ่มกลับมาเปิดการเรียนการสอนปกติ เหลือเพียงอีก 4,532 แห่งที่ยังต้องสลับกลุ่ม สลับวันมาเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่พื้นที่จํากัด ห้องเรียนขนาดเล็ก อย่างไรก็ตาม โฆษก ศบค. ยอมรับว่าหลายโรงเรียนมีนโยบายที่แตกต่างกัน ทําให้ไม่สามารถกลับไปเปิดการเรียนการสอนแบบปกติได้ทั้งหมด ทั้งนี้ มีการมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข เร่งหารือเพื่อจัดทํามาตรการสําหรับโรงเรียนที่มีข้อจํากัดด้านพื้นที่ รวมทั้งให้ปรับปรุงประสิทธิภาพการเรียนการสอน เพื่อลดภาระของครูผู้สอนและผู้ปกครอง โดยจะให้เสนอต่อ ศบค. เพื่อพิจารณาให้มีการผ่อนคลายโดยเร็วที่สุดต่อไป โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ยังชี้แจงกรณีคณะกรรมการกลุ่มการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดน เสนอให้เปิดจุดผ่านแดน จุดผ่อนปรนการค้า ทั้งหมด 91 จุดทั่วประเทศแบบถาวรตั้งแต่เดือนสิงหาคมนั้นว่า กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน และฝ่ายความมั่นคง จะกําหนดความเหมาะสมและความพร้อมของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน เพื่อเสนอศบค. ให้พิจารณาเห็นชอบ โดยมีเป้าหมายควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจ ในตอนท้าย โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมถึงพื้นที่ Organizational Quarantine เป็นความร่วมมือจากหน่วยงาน องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดหาพื้นที่รองรับสําหรับแรงงานที่ต้องการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ภายใต้มาตรฐานสาธารณสุข ปลอดภัย ลดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ กลุ่มบุคคลดังกล่าวต้องกักตัวในพื้นที่ 14 วัน เพื่อป้องกันควบคุมโรค พร้อมทั้งสร้างความปลอดภัย มั่นใจให้แก่ประชาชนในประเทศ ................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33648
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เป็นประธานปิดการอบรม หลักสูตร การปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม รุ่นที่ 2 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2561 รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เป็นประธานปิดการอบรม หลักสูตร การปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม รุ่นที่ 2 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เป็นประธานปิดการอบรม หลักสูตร การปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม รุ่นที่ 2 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วันนี้ (21 มิถุนายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีปิดการอบรมหลักสูตร "การปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม" (Business Revolution and Innovation Network : BRAIN) รุ่นที่ 2 ประจําปี 2561 จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานหลักสูตร BRAIN ให้การต้อนรับ พร้อมด้วยผู้เข้าร่วมอบรม ณ ห้อง Royal Maneeya Ballroom ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ สําหรับการจัดอบรมหลักสูตร การปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม เป็นหลักสูตรสําหรับผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชน เจ้าของธุรกิจชั้นแนวหน้าตลอดจนผู้นําในหน่วยงานภาครัฐที้มีความสนใจเกี่ยวกับนวัตกรรมและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในมิติต่างๆ การเติบโตของธุรกิจและเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างวิสัยทัศน์และผลักดันให้เกิดความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทย ไปสู่ Thailand 4.0 ได้อย่างเข้มแข็ง รัฐมนตรีช่วยฯ ก.อุตสาหกรรม กล่าวว่า กระแสการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบัน นอกเหนือจากปัจจัยด้านปริมาณในการผลิตแล้ว ศักยภาพทางการผลิตก็ถือเป็นสิ่งสําคัญที่จะตอบสนองความพึงพอใจให้กับคู่ค้าและผู้รับบริการ ดังนั้นการนําเอานวัตกรรมดิจิทัล โลกเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งภาคอุตสาหกรรมจําเป็นต้องมีการปรับตัวให้กิดการเรียนรู้ กระตุ้นให้เกิดความสนใจ ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพพัฒนาต่อยอดธุรกิจในอนาคต และเพื่อเป็นการส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันอุตสาหกรรมไทยให้มีความเข้มแข็งและก้าวสู่ Industry 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ด้วยความร่วมมือตามแนวทางประชารัฐ ภายใต้โมเดล ประเทศไทย 4.0 โดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การเป็น Value based Economy หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เพื่อทําให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้อย่างสมดุลเพื่อรองรับผลกระทบจากสภาวะความผันผวนจากภายนอก ซึ่งการขับเคลื่อนด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตภาคอุตสาหกรรมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมผ่าน 3 กลไกสําคัญ ดังนี้ 1) กลไกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเพื่อยกระดับผลิตภาพ (Productive Growth Engine) คือการปรับเปลี่ยนประเทศไทยจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง 2) กลไกการขับเคลื่อนด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม (Inclusive Growth Engine) คือการกระจายรายได้ สร้างโอกาส และความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียม และ 3) กลไกการขับเคลื่อนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (Green Growth Engine) คือการคํานึงถึงการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งเน้นการใช้พลังงานทดแทน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เป็นประธานปิดการอบรม หลักสูตร การปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม รุ่นที่ 2 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2561 รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เป็นประธานปิดการอบรม หลักสูตร การปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม รุ่นที่ 2 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เป็นประธานปิดการอบรม หลักสูตร การปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม รุ่นที่ 2 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย วันนี้ (21 มิถุนายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีปิดการอบรมหลักสูตร "การปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม" (Business Revolution and Innovation Network : BRAIN) รุ่นที่ 2 ประจําปี 2561 จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานหลักสูตร BRAIN ให้การต้อนรับ พร้อมด้วยผู้เข้าร่วมอบรม ณ ห้อง Royal Maneeya Ballroom ณ โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ สําหรับการจัดอบรมหลักสูตร การปฏิรูปธุรกิจและสร้างเครือข่ายนวัตกรรม เป็นหลักสูตรสําหรับผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชน เจ้าของธุรกิจชั้นแนวหน้าตลอดจนผู้นําในหน่วยงานภาครัฐที้มีความสนใจเกี่ยวกับนวัตกรรมและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในมิติต่างๆ การเติบโตของธุรกิจและเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างวิสัยทัศน์และผลักดันให้เกิดความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทย ไปสู่ Thailand 4.0 ได้อย่างเข้มแข็ง รัฐมนตรีช่วยฯ ก.อุตสาหกรรม กล่าวว่า กระแสการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันทางธุรกิจในปัจจุบัน นอกเหนือจากปัจจัยด้านปริมาณในการผลิตแล้ว ศักยภาพทางการผลิตก็ถือเป็นสิ่งสําคัญที่จะตอบสนองความพึงพอใจให้กับคู่ค้าและผู้รับบริการ ดังนั้นการนําเอานวัตกรรมดิจิทัล โลกเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งภาคอุตสาหกรรมจําเป็นต้องมีการปรับตัวให้กิดการเรียนรู้ กระตุ้นให้เกิดความสนใจ ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพพัฒนาต่อยอดธุรกิจในอนาคต และเพื่อเป็นการส่งเสริมศักยภาพในการแข่งขันอุตสาหกรรมไทยให้มีความเข้มแข็งและก้าวสู่ Industry 4.0 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ด้วยความร่วมมือตามแนวทางประชารัฐ ภายใต้โมเดล ประเทศไทย 4.0 โดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การเป็น Value based Economy หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เพื่อทําให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้อย่างสมดุลเพื่อรองรับผลกระทบจากสภาวะความผันผวนจากภายนอก ซึ่งการขับเคลื่อนด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตภาคอุตสาหกรรมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมผ่าน 3 กลไกสําคัญ ดังนี้ 1) กลไกขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเพื่อยกระดับผลิตภาพ (Productive Growth Engine) คือการปรับเปลี่ยนประเทศไทยจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง 2) กลไกการขับเคลื่อนด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม (Inclusive Growth Engine) คือการกระจายรายได้ สร้างโอกาส และความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียม และ 3) กลไกการขับเคลื่อนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (Green Growth Engine) คือการคํานึงถึงการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งเน้นการใช้พลังงานทดแทน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13252
รัฐบาลไทย-ก.แรงงาน จับมือพันธมิตร 6 กลุ่มบริษัทจัดหางาน ลงนาม MOU จัดหาตำแหน่งงานว่าง ได้กว่า 200,000 ตำแหน่ง [กระทรวงเเรงงาน]
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563 ก.แรงงาน จับมือพันธมิตร 6 กลุ่มบริษัทจัดหางาน ลงนาม MOU จัดหาตําแหน่งงานว่าง ได้กว่า 200,000 ตําแหน่ง [กระทรวงเเรงงาน] ก.แรงงาน จับมือพันธมิตร 6 กลุ่มบริษัทจัดหางาน ลงนาม MOU จัดหาตําแหน่งงานว่าง ได้กว่า 200,000 ตําแหน่ง ในโครงการ “สานพลังประชารัฐสู้ภัยโควิด – 19 เพื่อคนไทยมีงานทํา” วันที่ 30 มิถุนายน 2563 เวลา 13.30 น. หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธาน พร้อมร่วมเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางาน ระหว่าง กรมการจัดหางาน และบริษัทจัดหางาน ภายใต้กิจกรรม “สานพลังประชารัฐสู้ภัยโควิด – 19 เพื่อคนไทยมีงานทํา” โดยมีนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เป็นผู้ลงนามและกล่าวรายงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และ ผู้บริหารกระทรวงแรงงานร่วมงาน ณ ห้องห้องรับรอง ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นสักขีพยานในการลงนามดังกล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้สร้างความเสียหายไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะการจ้างงาน ภาคธุรกิจหลายแห่งปิดกิจการ ประชาชนถูกเลิกจ้าง กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมการมีงานทําให้กับประชาชน จึงเร่งหาแนวทางช่วยเหลือผู้ว่างงาน ให้สามารถกลับมามีงานทํา มีอาชีพ มีรายได้ ซึ่งการจัดกิจกรรมฯ ในครั้งนี้ เป็นการสร้างความร่วมมือด้านการจัดหางานระหว่างกรมการจัดหางาน และบริษัทจัดหางาน จํานวน 6 แห่ง ได้แก่ บริษัทจัดหางาน แมนพาวเวอร์ โปรเฟสชั่นแนล แอนด์ เอ็กเซ็กคูทีฟ จํากัด บริษัท อเด็คโก้ คอนซัลติ้ง จํากัด บริษัทจัดหางาน เคลลี่ เซอร์วิสเซส สต๊าฟฟิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด บริษัทจัดหางาน จ็อปท็อปกัน จํากัด บริษัทจัดหางาน จ๊อบบีเคเค ดอท คอม จํากัด และ บริษัทจัดหางาน จ๊อบส์ดีบี (ประเทศไทย) จํากัด ภายใต้กิจกรรม “สานพลังประชารัฐสู้ภัยโควิด – 19 เพื่อคนไทยมีงานทํา” ที่ได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางาน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีงานทํา โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้เข้าถึงแหล่งการจ้างงานที่หลากหลาย มีคุณภาพ เป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งงานเพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสคัดเลือกตําแหน่งงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความถนัด และประสบการณ์สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวบรวมตําแหน่งงานว่างเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ความต้องการตลาดแรงงานของประเทศ โดยสานต่อความร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มบริษัทจัดหางาน ที่เคยสร้างความร่วมมือด้านการจัดหางาน เมื่อปี 2559 และปี 2560 สําหรับแนวทางความร่วมมือ กรมการจัดหางาน และบริษัทจัดหางานทั้ง 6 แห่ง จะมีการแลกเปลี่ยนป้ายประกาศ หรือ Banner เพื่อนําไปติดตั้งบนเว็บไซต์ SMARTJOB และบริษัทจัดหางาน เพื่อประชาสัมพันธ์การให้บริการของทั้งสองฝ่าย ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งงานได้ทันที ทางด้าน บริษัทจัดหางานทั้ง 6 แห่ง จะสนับสนุนวิทยากรบรรยายให้ความรู้ด้านแรงงาน และข้อมูลเชิงสถิติ เพื่อให้กรมการจัดหางานได้รวบรวมข้อมูลตําแหน่งงานว่างทั้งหมดมาประมวลผล และนําไปวิเคราะห์ความต้องการแนวโน้มตลาดแรงงานของประเทศ “จากวิกฤตโควิด ส่งผลให้แรงงานในหลายอาชีพต้องว่างงาน ความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงตําแหน่งงานที่หลากหลายมากขึ้น รวมทั้งมีคุณภาพ ทั้งตําแหน่งงานของภาครัฐ และภาคเอกชน ซึ่งจะครอบคลุมผู้มีทักษะตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับสูง โดยตําแหน่งงานที่หน่วยงานภาครัฐได้รับแจ้งในขณะนี้ มีจํานวน 59,600 ตําแหน่ง ขณะที่ ตําแหน่งงานว่างที่ภาคเอกชนได้รับแจ้ง มีจํานวน 143,300 ตําแหน่ง ซึ่งการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ จะทําให้ประชาชน สามารถเข้าถึงตําแหน่งงานว่าง ได้ถึงกว่า 202,900 ตําแหน่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยให้แรงงานได้เข้าสู่ระบบการจ้างงานได้โดยเร็วแล้ว ยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอีกทางหนึ่งด้วย” นายสุชาติฯ กล่าวในท้ายที่สุด
รัฐบาลไทย-ก.แรงงาน จับมือพันธมิตร 6 กลุ่มบริษัทจัดหางาน ลงนาม MOU จัดหาตำแหน่งงานว่าง ได้กว่า 200,000 ตำแหน่ง [กระทรวงเเรงงาน] วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563 ก.แรงงาน จับมือพันธมิตร 6 กลุ่มบริษัทจัดหางาน ลงนาม MOU จัดหาตําแหน่งงานว่าง ได้กว่า 200,000 ตําแหน่ง [กระทรวงเเรงงาน] ก.แรงงาน จับมือพันธมิตร 6 กลุ่มบริษัทจัดหางาน ลงนาม MOU จัดหาตําแหน่งงานว่าง ได้กว่า 200,000 ตําแหน่ง ในโครงการ “สานพลังประชารัฐสู้ภัยโควิด – 19 เพื่อคนไทยมีงานทํา” วันที่ 30 มิถุนายน 2563 เวลา 13.30 น. หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธาน พร้อมร่วมเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางาน ระหว่าง กรมการจัดหางาน และบริษัทจัดหางาน ภายใต้กิจกรรม “สานพลังประชารัฐสู้ภัยโควิด – 19 เพื่อคนไทยมีงานทํา” โดยมีนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เป็นผู้ลงนามและกล่าวรายงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และ ผู้บริหารกระทรวงแรงงานร่วมงาน ณ ห้องห้องรับรอง ชั้น 5 กระทรวงแรงงาน หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเป็นสักขีพยานในการลงนามดังกล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้สร้างความเสียหายไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะการจ้างงาน ภาคธุรกิจหลายแห่งปิดกิจการ ประชาชนถูกเลิกจ้าง กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมการมีงานทําให้กับประชาชน จึงเร่งหาแนวทางช่วยเหลือผู้ว่างงาน ให้สามารถกลับมามีงานทํา มีอาชีพ มีรายได้ ซึ่งการจัดกิจกรรมฯ ในครั้งนี้ เป็นการสร้างความร่วมมือด้านการจัดหางานระหว่างกรมการจัดหางาน และบริษัทจัดหางาน จํานวน 6 แห่ง ได้แก่ บริษัทจัดหางาน แมนพาวเวอร์ โปรเฟสชั่นแนล แอนด์ เอ็กเซ็กคูทีฟ จํากัด บริษัท อเด็คโก้ คอนซัลติ้ง จํากัด บริษัทจัดหางาน เคลลี่ เซอร์วิสเซส สต๊าฟฟิ่ง (ประเทศไทย) จํากัด บริษัทจัดหางาน จ็อปท็อปกัน จํากัด บริษัทจัดหางาน จ๊อบบีเคเค ดอท คอม จํากัด และ บริษัทจัดหางาน จ๊อบส์ดีบี (ประเทศไทย) จํากัด ภายใต้กิจกรรม “สานพลังประชารัฐสู้ภัยโควิด – 19 เพื่อคนไทยมีงานทํา” ที่ได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนตามแนวทางประชารัฐ ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางาน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีงานทํา โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้เข้าถึงแหล่งการจ้างงานที่หลากหลาย มีคุณภาพ เป็นการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งงานเพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสคัดเลือกตําแหน่งงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความถนัด และประสบการณ์สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน รวบรวมตําแหน่งงานว่างเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ความต้องการตลาดแรงงานของประเทศ โดยสานต่อความร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มบริษัทจัดหางาน ที่เคยสร้างความร่วมมือด้านการจัดหางาน เมื่อปี 2559 และปี 2560 สําหรับแนวทางความร่วมมือ กรมการจัดหางาน และบริษัทจัดหางานทั้ง 6 แห่ง จะมีการแลกเปลี่ยนป้ายประกาศ หรือ Banner เพื่อนําไปติดตั้งบนเว็บไซต์ SMARTJOB และบริษัทจัดหางาน เพื่อประชาสัมพันธ์การให้บริการของทั้งสองฝ่าย ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งงานได้ทันที ทางด้าน บริษัทจัดหางานทั้ง 6 แห่ง จะสนับสนุนวิทยากรบรรยายให้ความรู้ด้านแรงงาน และข้อมูลเชิงสถิติ เพื่อให้กรมการจัดหางานได้รวบรวมข้อมูลตําแหน่งงานว่างทั้งหมดมาประมวลผล และนําไปวิเคราะห์ความต้องการแนวโน้มตลาดแรงงานของประเทศ “จากวิกฤตโควิด ส่งผลให้แรงงานในหลายอาชีพต้องว่างงาน ความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงตําแหน่งงานที่หลากหลายมากขึ้น รวมทั้งมีคุณภาพ ทั้งตําแหน่งงานของภาครัฐ และภาคเอกชน ซึ่งจะครอบคลุมผู้มีทักษะตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับสูง โดยตําแหน่งงานที่หน่วยงานภาครัฐได้รับแจ้งในขณะนี้ มีจํานวน 59,600 ตําแหน่ง ขณะที่ ตําแหน่งงานว่างที่ภาคเอกชนได้รับแจ้ง มีจํานวน 143,300 ตําแหน่ง ซึ่งการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ จะทําให้ประชาชน สามารถเข้าถึงตําแหน่งงานว่าง ได้ถึงกว่า 202,900 ตําแหน่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยให้แรงงานได้เข้าสู่ระบบการจ้างงานได้โดยเร็วแล้ว ยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในอีกทางหนึ่งด้วย” นายสุชาติฯ กล่าวในท้ายที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32946
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เครื่องชี้การลงทุนรัฐวิสาหกิจในเดือนมกราคม 2561 ขยายตัวสูงถึง 47% ช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่อง”
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 “เครื่องชี้การลงทุนรัฐวิสาหกิจในเดือนมกราคม 2561 ขยายตัวสูงถึง 47% ช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่อง” ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในเดือนมกราคม 2561 จํานวน 21,107 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 47 เมื่อเทียบผลเบิกจ่ายช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในเดือนมกราคม 2561 จํานวน 21,107 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 47 เมื่อเทียบผลเบิกจ่ายช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากการเร่งลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีเขียวของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และโครงการจัดหาเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นปัจจัยสําคัญในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. ในฐานะโฆษก สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจสะสมถึงเดือนมกราคม เท่ากับ 39,126 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 89 ของแผนการเบิกจ่ายลงทุนสะสม โดยรัฐวิสาหกิจที่ดําเนินการตามปีงบประมาณเบิกจ่ายได้ 28,575 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 79 ของแผนการเบิกจ่ายลงทุนสะสม และรัฐวิสาหกิจที่ดําเนินการตามปีปฏิทินเบิกจ่ายได้ 10,551 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 137 ของแผนการเบิกจ่ายลงทุนสะสม โดยรัฐวิสาหกิจที่มีงบลงทุนขนาดใหญ่และสามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายที่กําหนด ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การประปาส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง การเคหะแห่งชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจสะสมถึงเดือนมกราคม 2561 (ตุลาคม 2560 – มกราคม 2561) รัฐวิสาหกิจ แผนลงทุนทั้งปี แผนเบิกจ่ายสะสม เบิกจ่ายสะสม %เบิกจ่ายสะสม/แผนสะสม 1. ปีงบประมาณ จํานวน 34 แห่ง (4 เดือน) 175,845 36,047 28,575 79% 1.1 การรถไฟแห่งประเทศไทย* 58,430 17,295 11,511 67% 1.2 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย* 37,773 7,023 7,453 106% 1.3 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน)* 30,498 1,531 1,137 74% 1.4 การประปาส่วนภูมิภาค 15,510 1,241 1,370 110% 1.5 การเคหะแห่งชาติ 6,371 1,830 1,979 108% 1.6 การประปานครหลวง* 4,834 1,038 1,173 113% 1.7 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 4,527 422 500 119% 1.8 โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง* 3,543 2,221 789 36% 1.9 การท่าเรือแห่งประเทศไทย* 2,849 922 1,164 126% 1.10 บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด 1,400 72 221 306% 1.11 การกีฬาแห่งประเทศไทย 1,353 264 242 92% 1.12 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 23 แห่ง 8,757 2,188 1,036 47% ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจสะสมถึงเดือนมกราคม 2561 (มกราคม 2561) รัฐวิสาหกิจ แผนลงทุนทั้งปี แผนเบิกจ่ายสะสม เบิกจ่ายสะสม %เบิกจ่ายสะสม/แผนสะสม 2. ปีปฏิทิน จํานวน 11 แห่ง (1 เดือน) 343,957 7,703 10,551 137% 2.1 บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 195,374 3,177 1,580 50% 2.2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 64,790 2,131 3,111 146% 2.3 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 31,770 887 889 100% 2.4 การไฟฟ้านครหลวง 20,443 348 270 78% 2.5 บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) 15,369 339 4,221 1,246% 2.6 บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) 6,300 376 89 24% 2.7 บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) 5,264 169 175 103% 2.8 บริษัท ไปรษณีย์ จํากัด (มหาชน) 2,983 190 191 101% 2.9 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 3 แห่ง 1,664 86 25 29% รวม 45 แห่ง 519,802 43,750 39,126 89 % * รัฐวิสาหกิจที่อยู่ระหว่างสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาปรับแผน ที่มา: สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ในช่วงที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจหลายแห่งได้ดําเนินการตามนโยบายรัฐบาล โดยมีแผนงาน/โครงการที่สามารถเลื่อนการลงทุนให้เร็วขึ้น (Front-Load) นอกจากนี้ สคร. ได้ประสานผ่านกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจเพื่อเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รัฐวิสาหกิจช่วยผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศได้อย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เครื่องชี้การลงทุนรัฐวิสาหกิจในเดือนมกราคม 2561 ขยายตัวสูงถึง 47% ช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่อง” วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 “เครื่องชี้การลงทุนรัฐวิสาหกิจในเดือนมกราคม 2561 ขยายตัวสูงถึง 47% ช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างต่อเนื่อง” ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในเดือนมกราคม 2561 จํานวน 21,107 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 47 เมื่อเทียบผลเบิกจ่ายช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในเดือนมกราคม 2561 จํานวน 21,107 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 47 เมื่อเทียบผลเบิกจ่ายช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเป็นผลมาจากการเร่งลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีเขียวของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และโครงการจัดหาเครื่องบินของบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นปัจจัยสําคัญในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. ในฐานะโฆษก สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจสะสมถึงเดือนมกราคม เท่ากับ 39,126 ล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 89 ของแผนการเบิกจ่ายลงทุนสะสม โดยรัฐวิสาหกิจที่ดําเนินการตามปีงบประมาณเบิกจ่ายได้ 28,575 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 79 ของแผนการเบิกจ่ายลงทุนสะสม และรัฐวิสาหกิจที่ดําเนินการตามปีปฏิทินเบิกจ่ายได้ 10,551 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 137 ของแผนการเบิกจ่ายลงทุนสะสม โดยรัฐวิสาหกิจที่มีงบลงทุนขนาดใหญ่และสามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายที่กําหนด ได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย การประปาส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง การเคหะแห่งชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจสะสมถึงเดือนมกราคม 2561 (ตุลาคม 2560 – มกราคม 2561) รัฐวิสาหกิจ แผนลงทุนทั้งปี แผนเบิกจ่ายสะสม เบิกจ่ายสะสม %เบิกจ่ายสะสม/แผนสะสม 1. ปีงบประมาณ จํานวน 34 แห่ง (4 เดือน) 175,845 36,047 28,575 79% 1.1 การรถไฟแห่งประเทศไทย* 58,430 17,295 11,511 67% 1.2 การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย* 37,773 7,023 7,453 106% 1.3 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน)* 30,498 1,531 1,137 74% 1.4 การประปาส่วนภูมิภาค 15,510 1,241 1,370 110% 1.5 การเคหะแห่งชาติ 6,371 1,830 1,979 108% 1.6 การประปานครหลวง* 4,834 1,038 1,173 113% 1.7 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 4,527 422 500 119% 1.8 โรงงานยาสูบ กระทรวงการคลัง* 3,543 2,221 789 36% 1.9 การท่าเรือแห่งประเทศไทย* 2,849 922 1,164 126% 1.10 บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด 1,400 72 221 306% 1.11 การกีฬาแห่งประเทศไทย 1,353 264 242 92% 1.12 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 23 แห่ง 8,757 2,188 1,036 47% ผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจสะสมถึงเดือนมกราคม 2561 (มกราคม 2561) รัฐวิสาหกิจ แผนลงทุนทั้งปี แผนเบิกจ่ายสะสม เบิกจ่ายสะสม %เบิกจ่ายสะสม/แผนสะสม 2. ปีปฏิทิน จํานวน 11 แห่ง (1 เดือน) 343,957 7,703 10,551 137% 2.1 บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) 195,374 3,177 1,580 50% 2.2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 64,790 2,131 3,111 146% 2.3 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 31,770 887 889 100% 2.4 การไฟฟ้านครหลวง 20,443 348 270 78% 2.5 บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) 15,369 339 4,221 1,246% 2.6 บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) 6,300 376 89 24% 2.7 บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) 5,264 169 175 103% 2.8 บริษัท ไปรษณีย์ จํากัด (มหาชน) 2,983 190 191 101% 2.9 รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นๆ จํานวน 3 แห่ง 1,664 86 25 29% รวม 45 แห่ง 519,802 43,750 39,126 89 % * รัฐวิสาหกิจที่อยู่ระหว่างสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาปรับแผน ที่มา: สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ในช่วงที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจหลายแห่งได้ดําเนินการตามนโยบายรัฐบาล โดยมีแผนงาน/โครงการที่สามารถเลื่อนการลงทุนให้เร็วขึ้น (Front-Load) นอกจากนี้ สคร. ได้ประสานผ่านกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังในคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ และผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจเพื่อเร่งรัดการลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รัฐวิสาหกิจช่วยผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศได้อย่างยั่งยืนต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10420
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จับมือสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จัดงาน “ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน”
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562 SME D Bank จับมือสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จัดงาน “ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน” SME D Bank จับมือสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ปลุกกระแสช้อปปิ้งสินค้าดีจากชุมชน จัดงาน “ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน” ระหว่างวันที่ 24 – 25 ก.ย. นี้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ร่วมกับสถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บมจ.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมและบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ยกทัพสินค้าดีราคาถูกจากผู้ประกอบการหรือวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตโดยตรงทั่วประเทศ มาจําหน่ายในงาน “ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน” ระหว่างวันที่ 24-25 ก.ย. 2562 ณ บริเวณชั้น 1 อาคาร SME Bank Tower (ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์) เพื่อสร้างช่องทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถสร้างรายได้ตามนโยบายกระทรวงการคลัง โดยภายในงานจัดเต็มไปด้วยสุดยอดสินค้า SMEs ของดีทั่วไทย โปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ กว่า 53 ร้านค้า อาทิ ผ้าไหมแพรวา จ.กาฬสินธุ์, ขะแจ๋หลงลื้อเสื้อผ้าไทย จ.ลําพูน, ร้านสุมาลีโภชนา เมนูข้าวหมกข้าวมันไก่ กทมฯ, ร้านติดลมหมูทอด หมูย่างปลาร้า กทมฯ, ร้านน้องส้มน้ํายาปลาทูขนมจีนน้ํายา จ.สมุทรสงคราม และวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตเครื่องนอนและหมอนคุณภาพ จ.อ่างทอง เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME D Bank จับมือสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จัดงาน “ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน” วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562 SME D Bank จับมือสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จัดงาน “ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน” SME D Bank จับมือสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ปลุกกระแสช้อปปิ้งสินค้าดีจากชุมชน จัดงาน “ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน” ระหว่างวันที่ 24 – 25 ก.ย. นี้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ร่วมกับสถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย บมจ.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมและบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ยกทัพสินค้าดีราคาถูกจากผู้ประกอบการหรือวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตโดยตรงทั่วประเทศ มาจําหน่ายในงาน “ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน” ระหว่างวันที่ 24-25 ก.ย. 2562 ณ บริเวณชั้น 1 อาคาร SME Bank Tower (ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์) เพื่อสร้างช่องทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สามารถสร้างรายได้ตามนโยบายกระทรวงการคลัง โดยภายในงานจัดเต็มไปด้วยสุดยอดสินค้า SMEs ของดีทั่วไทย โปรโมชั่นสินค้าราคาพิเศษ กว่า 53 ร้านค้า อาทิ ผ้าไหมแพรวา จ.กาฬสินธุ์, ขะแจ๋หลงลื้อเสื้อผ้าไทย จ.ลําพูน, ร้านสุมาลีโภชนา เมนูข้าวหมกข้าวมันไก่ กทมฯ, ร้านติดลมหมูทอด หมูย่างปลาร้า กทมฯ, ร้านน้องส้มน้ํายาปลาทูขนมจีนน้ํายา จ.สมุทรสงคราม และวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตเครื่องนอนและหมอนคุณภาพ จ.อ่างทอง เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23216
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ สรุปผลการดำเนินการบริหารจัดการน้ำและการช่วยเหลือประชาชนในด้านต่างๆ ตลอดปี
วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2559 กระทรวงเกษตรฯ สรุปผลการดําเนินการบริหารจัดการน้ําและการช่วยเหลือประชาชนในด้านต่างๆ ตลอดปี กระทรวงเกษตรฯ สรุปผลการดําเนินการบริหารจัดการน้ําและการช่วยเหลือประชาชนในด้านต่างๆ ตลอดปี 2559 ย้ําแม้จะผ่านพ้นวิกฤตแล้งปีที่ผ่านมา และในปีนี้จะมีน้ําเพียงพอใช้ แต่ยังคงต้องร่วมแรงร่วมใจกันประหยัดน้ํา เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาการขาดแคลนน้ําในอนาคต พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ําและดําเนินการตามมาตรการต่างๆ เพื่อการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งในภาวะวิกฤตภัยแล้ง ปี 2558/2559 และฤดูน้ําหลากปี 2559 โดยในช่วงฤดูแล้งปี 2558/59 ปริมาณน้ําใช้การได้ในอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศรวมกัน ณ วันที่ 1 พ.ย. 58 มีปริมาณทั้งสิ้น 20,035 ล้านลูกบาศก์เมตร ได้วางแผนการใช้น้ําในช่วงฤดูแล้งไว้ 11,420 ล้านลูกบาศก์เมตร สําหรับสนับสนุนการใช้น้ําเพื่ออุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ การเกษตร และอุตสาหกรรม ผลการใช้น้ําเมื่อสิ้นสุดฤดูแล้ง (30 เม.ย. 59) มีการจัดสรรน้ําให้กับเกษตรกร 11,526 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นไปตามแผนที่ได้กําหนดไว้ และมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังทั้งประเทศรวม 3.51 ล้านไร่ นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนเครื่องสูบน้ําเพื่อช่วยเหลือภัยแล้งรวมทั้งสิ้น 420 เครื่อง ในพื้นที่ 54 จังหวัด ซึ่งในช่วงฤดูแล้งปี 2558/59 ประเทศไทยต้องประสบกับปัญหาภัยแล้ง จําเป็นต้องบริหารจัดการน้ําที่มีอยู่ในอ่างเก็บน้ําต่างๆ อย่างรัดกุม เพื่อให้ปริมาณน้ําที่มีอยู่อย่างจํากัด เพียงพอใช้ตลอดในช่วงฤดูแล้ง โดยมีหลายพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรง กรมชลประทานจึงได้เข้าไปดําเนินการแก้ไขปัญหาจนสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น อาทิ การส่งน้ําเข้าสู่คลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง การแก้ไขปัญหาความเค็มคลองจินดา การแก้ไขปัญหาประปาภูมิภาคจังหวัดพะเยา การแก้ไขปัญหาประปาจังหวัดนครราชสีมา การบริหารจัดการน้ําบึงสีไฟจังหวัดพิจิตร และการแก้ไขปัญหาสวนผลไม้จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น ส่วนฤดูฝนปี 2559 ได้วางแผนจัดสรรน้ําเพื่อสนับสนุนการใช้น้ําในช่วงฤดูฝนทั้งประเทศ เป็นจํานวนทั้งสิ้น 11,754 ล้านลูกบาศก์เมตร และเมื่อสิ้นสุดฤดูฝน (ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.59 – 30 ต.ค.59) พบว่ามีการการจัดสรรน้ําให้กับเกษตรกรประมาณ 11,893 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีรวม 14.94 ล้านไร่ ในส่วนของการช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต่างๆ นั้น กรมชลประทาน ได้ดําเนินการบริหารจัดการน้ําและวางมาตรการในการแก้ไขปัญหา น้ําท่วมในพื้นที่ต่างๆ จนทําให้สถานการณ์น้ําท่วมคลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรและที่อยู่อาศัยของประชาชนได้เป็นอย่างมาก อาทิ การจัดการน้ําในลุ่มน้ํายมเพื่อป้องกันอุทกภัยจังหวัดสุโขทัย การแก้ไขสถานการณ์อุทกภัยในลุ่มน้ําเจ้าพระยา การแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดเพชรบุรี และการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้รวม 10 จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ตรัง ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส การกําจัดวัชพืช จํานวนทั้งสิ้น 4,771,761 ตัน คิดเป็น 59,647 ไร่ โดยได้มีการสนับสนุนเครื่องสูบน้ําเพื่อเร่งระบายน้ําในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งสิ้น 587 เครื่อง ในพื้นที่ 38 จังหวัด ด้าน นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สรุปผลการใช้น้ําและการเพาะปลูกพืชตลอดปี 2559 มีการจัดสรรน้ําไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ทั้งประเทศ รวมทั้งสิ้น ประมาณ 23,419 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีพื้นที่เพาะปลูกรวมทั้งสิ้น 18.45 ล้านไร่ ตลอดจนได้มีการสนับสนุนเครื่องสูบน้ํา เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย รวมทั้งหมด 1,007 เครื่อง (จากเครื่องสูบน้ําที่ได้จัดเตรียมไว้ทั้งหมด 1,900 เครื่อง) สําหรับในช่วงฤดูแล้งปี 2559/60 นี้ กรมชลประทาน ได้วางแผนการจัดสรรน้ําจากเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลาง เพื่อสนับสนุนการใช้น้ําทั้งประเทศ ตามมาตรการจัดการน้ําแบบยั่งยืน โดย ณ วันที่ 1 พ.ย. 59 มีปริมาณน้ําใช้การได้รวมกัน 28,837 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยได้วางแผนการใช้น้ําตลอดฤดูแล้งรวมทั้งสิ้น 17,661 ล้านลูกบาศก์เมตร สําหรับสนับสนุนการใช้น้ําเพื่ออุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ และการเกษตร ปัจจุบัน (27 ธ.ค. 59) มีการใช้น้ําไปแล้ว 5,892 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 33 ของแผนฯ ส่วนผลการเพาะปลูกข้าวนาปรังทั้งประเทศ (ณ 21 ธ.ค. 59) มีการเพาะปลูกข้าวนาปรังไปแล้วกว่า 2.99 ล้านไร่ จากแผนที่ได้วางไว้ 3.91 ล้านไร่ และมีเครื่องสูบน้ําที่ส่งเข้าไปสนับสนุนการใช้น้ําในฤดูแล้งทั่งประเทศแล้วรวม 35 เครื่อง อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา นอกจากกรมชลประทาน จะได้บริหารจัดการน้ําทั้งในภาวะน้ําแล้งและน้ําท่วมแล้ว ยังได้มีการพัฒนาและปรับปรุงงานด้านชลประทานอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย จนทําให้มีปริมาณน้ําเก็บกักเพิ่มมากขึ้นกว่า 206.74 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ชลประทานเพิ่มมากขึ้นกว่า 332,259 ไร่ และมีพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงระบบส่งน้ําเพิ่มมากขึ้น 1,218,520 ไร่ (227 โครงการ) มีครัวเรือนได้รับประโยชน์ 50,333 ครอบครัว นอกจากนี้ กรมชลประทานยังได้สนับสนุนการพัฒนาแหล่งน้ําและจัดหาน้ําให้กับพื้นที่อื่นๆ ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาทิ การสนับสนุนแหล่งน้ําในพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ประชารัฐทั่วประเทศ จํานวน 66 แปลง แล้วเสร็จ 48 แปลง สามารถส่งน้ําให้เกษตรกรคิดเป็นพื้นที่กว่า 95,128.50 ไร่ การสนับสนุนโครงการศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) จํานวน 882 ศูนย์ โดยการให้ความรู้ด้านการใช้น้ําและจัดทําข้อมูลด้านการชลประทานประจําศูนย์ และการให้ความรู้เรื่องการทํานาแบบเปียกสลับแห่งอย่างต่อเนื่อง สําหรับพื้นที่ ส.ป.ก. ในปี 2559-2560 นั้น กรมชลประทาน ได้สนับสนุนงบประมาณในการจัดทําระบบชลประทานในพื้นที่ ส.ป.ก. ซึ่งได้ยืดคืนและจัดสรรให้กับราษฎรที่ไม่มีที่ทํากิน ในเขตพื้นที่จังหวัดต่างๆ อาทิ อุทัยธานี กาฬสินธุ์ และนครราชสีมา เป็นต้น กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ สรุปผลการดำเนินการบริหารจัดการน้ำและการช่วยเหลือประชาชนในด้านต่างๆ ตลอดปี วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2559 กระทรวงเกษตรฯ สรุปผลการดําเนินการบริหารจัดการน้ําและการช่วยเหลือประชาชนในด้านต่างๆ ตลอดปี กระทรวงเกษตรฯ สรุปผลการดําเนินการบริหารจัดการน้ําและการช่วยเหลือประชาชนในด้านต่างๆ ตลอดปี 2559 ย้ําแม้จะผ่านพ้นวิกฤตแล้งปีที่ผ่านมา และในปีนี้จะมีน้ําเพียงพอใช้ แต่ยังคงต้องร่วมแรงร่วมใจกันประหยัดน้ํา เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาการขาดแคลนน้ําในอนาคต พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ําและดําเนินการตามมาตรการต่างๆ เพื่อการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งในภาวะวิกฤตภัยแล้ง ปี 2558/2559 และฤดูน้ําหลากปี 2559 โดยในช่วงฤดูแล้งปี 2558/59 ปริมาณน้ําใช้การได้ในอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศรวมกัน ณ วันที่ 1 พ.ย. 58 มีปริมาณทั้งสิ้น 20,035 ล้านลูกบาศก์เมตร ได้วางแผนการใช้น้ําในช่วงฤดูแล้งไว้ 11,420 ล้านลูกบาศก์เมตร สําหรับสนับสนุนการใช้น้ําเพื่ออุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ การเกษตร และอุตสาหกรรม ผลการใช้น้ําเมื่อสิ้นสุดฤดูแล้ง (30 เม.ย. 59) มีการจัดสรรน้ําให้กับเกษตรกร 11,526 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นไปตามแผนที่ได้กําหนดไว้ และมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังทั้งประเทศรวม 3.51 ล้านไร่ นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนเครื่องสูบน้ําเพื่อช่วยเหลือภัยแล้งรวมทั้งสิ้น 420 เครื่อง ในพื้นที่ 54 จังหวัด ซึ่งในช่วงฤดูแล้งปี 2558/59 ประเทศไทยต้องประสบกับปัญหาภัยแล้ง จําเป็นต้องบริหารจัดการน้ําที่มีอยู่ในอ่างเก็บน้ําต่างๆ อย่างรัดกุม เพื่อให้ปริมาณน้ําที่มีอยู่อย่างจํากัด เพียงพอใช้ตลอดในช่วงฤดูแล้ง โดยมีหลายพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรง กรมชลประทานจึงได้เข้าไปดําเนินการแก้ไขปัญหาจนสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น อาทิ การส่งน้ําเข้าสู่คลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง การแก้ไขปัญหาความเค็มคลองจินดา การแก้ไขปัญหาประปาภูมิภาคจังหวัดพะเยา การแก้ไขปัญหาประปาจังหวัดนครราชสีมา การบริหารจัดการน้ําบึงสีไฟจังหวัดพิจิตร และการแก้ไขปัญหาสวนผลไม้จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น ส่วนฤดูฝนปี 2559 ได้วางแผนจัดสรรน้ําเพื่อสนับสนุนการใช้น้ําในช่วงฤดูฝนทั้งประเทศ เป็นจํานวนทั้งสิ้น 11,754 ล้านลูกบาศก์เมตร และเมื่อสิ้นสุดฤดูฝน (ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.59 – 30 ต.ค.59) พบว่ามีการการจัดสรรน้ําให้กับเกษตรกรประมาณ 11,893 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีรวม 14.94 ล้านไร่ ในส่วนของการช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ต่างๆ นั้น กรมชลประทาน ได้ดําเนินการบริหารจัดการน้ําและวางมาตรการในการแก้ไขปัญหา น้ําท่วมในพื้นที่ต่างๆ จนทําให้สถานการณ์น้ําท่วมคลี่คลายและเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรและที่อยู่อาศัยของประชาชนได้เป็นอย่างมาก อาทิ การจัดการน้ําในลุ่มน้ํายมเพื่อป้องกันอุทกภัยจังหวัดสุโขทัย การแก้ไขสถานการณ์อุทกภัยในลุ่มน้ําเจ้าพระยา การแก้ไขปัญหาสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดเพชรบุรี และการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้รวม 10 จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ตรัง ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส การกําจัดวัชพืช จํานวนทั้งสิ้น 4,771,761 ตัน คิดเป็น 59,647 ไร่ โดยได้มีการสนับสนุนเครื่องสูบน้ําเพื่อเร่งระบายน้ําในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งสิ้น 587 เครื่อง ในพื้นที่ 38 จังหวัด ด้าน นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สรุปผลการใช้น้ําและการเพาะปลูกพืชตลอดปี 2559 มีการจัดสรรน้ําไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ทั้งประเทศ รวมทั้งสิ้น ประมาณ 23,419 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีพื้นที่เพาะปลูกรวมทั้งสิ้น 18.45 ล้านไร่ ตลอดจนได้มีการสนับสนุนเครื่องสูบน้ํา เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย รวมทั้งหมด 1,007 เครื่อง (จากเครื่องสูบน้ําที่ได้จัดเตรียมไว้ทั้งหมด 1,900 เครื่อง) สําหรับในช่วงฤดูแล้งปี 2559/60 นี้ กรมชลประทาน ได้วางแผนการจัดสรรน้ําจากเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลาง เพื่อสนับสนุนการใช้น้ําทั้งประเทศ ตามมาตรการจัดการน้ําแบบยั่งยืน โดย ณ วันที่ 1 พ.ย. 59 มีปริมาณน้ําใช้การได้รวมกัน 28,837 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยได้วางแผนการใช้น้ําตลอดฤดูแล้งรวมทั้งสิ้น 17,661 ล้านลูกบาศก์เมตร สําหรับสนับสนุนการใช้น้ําเพื่ออุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ และการเกษตร ปัจจุบัน (27 ธ.ค. 59) มีการใช้น้ําไปแล้ว 5,892 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 33 ของแผนฯ ส่วนผลการเพาะปลูกข้าวนาปรังทั้งประเทศ (ณ 21 ธ.ค. 59) มีการเพาะปลูกข้าวนาปรังไปแล้วกว่า 2.99 ล้านไร่ จากแผนที่ได้วางไว้ 3.91 ล้านไร่ และมีเครื่องสูบน้ําที่ส่งเข้าไปสนับสนุนการใช้น้ําในฤดูแล้งทั่งประเทศแล้วรวม 35 เครื่อง อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา นอกจากกรมชลประทาน จะได้บริหารจัดการน้ําทั้งในภาวะน้ําแล้งและน้ําท่วมแล้ว ยังได้มีการพัฒนาและปรับปรุงงานด้านชลประทานอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย จนทําให้มีปริมาณน้ําเก็บกักเพิ่มมากขึ้นกว่า 206.74 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ชลประทานเพิ่มมากขึ้นกว่า 332,259 ไร่ และมีพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงระบบส่งน้ําเพิ่มมากขึ้น 1,218,520 ไร่ (227 โครงการ) มีครัวเรือนได้รับประโยชน์ 50,333 ครอบครัว นอกจากนี้ กรมชลประทานยังได้สนับสนุนการพัฒนาแหล่งน้ําและจัดหาน้ําให้กับพื้นที่อื่นๆ ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาทิ การสนับสนุนแหล่งน้ําในพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ประชารัฐทั่วประเทศ จํานวน 66 แปลง แล้วเสร็จ 48 แปลง สามารถส่งน้ําให้เกษตรกรคิดเป็นพื้นที่กว่า 95,128.50 ไร่ การสนับสนุนโครงการศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) จํานวน 882 ศูนย์ โดยการให้ความรู้ด้านการใช้น้ําและจัดทําข้อมูลด้านการชลประทานประจําศูนย์ และการให้ความรู้เรื่องการทํานาแบบเปียกสลับแห่งอย่างต่อเนื่อง สําหรับพื้นที่ ส.ป.ก. ในปี 2559-2560 นั้น กรมชลประทาน ได้สนับสนุนงบประมาณในการจัดทําระบบชลประทานในพื้นที่ ส.ป.ก. ซึ่งได้ยืดคืนและจัดสรรให้กับราษฎรที่ไม่มีที่ทํากิน ในเขตพื้นที่จังหวัดต่างๆ อาทิ อุทัยธานี กาฬสินธุ์ และนครราชสีมา เป็นต้น กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1143
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรม “Agritech Using ICTs”
วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2561 ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรม “Agritech Using ICTs” ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นายขจิต สุขุม ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรม หัวข้อ “Agritech Using ICTs” ภายใต้การเฉลิมฉลองวัน Girls in ICT ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-10 กรกฎาคม 2561 โดยผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวถึงบทบาทของระบบ ICT ในภาคการเกษตรกรรม รวมไปถึงประโยชน์ของสมาร์ทโฟน ที่สามารถนํามาช่วยในด้านการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-market) เพิ่มรายได้ให้แก่คนในชุมชน นอกจากนี้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ ยังได้รับความรู้เกี่ยวกับการทําฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) หรือการนําเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาผสมผสานเข้ากับงานด้านการเกษตรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับเกษตรกร ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จํากัด หรือ DTAC และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ TRUE มาให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมฯ ดังกล่าวด้วย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 ณ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ถนนพระอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ **************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรม “Agritech Using ICTs” วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม 2561 ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรม “Agritech Using ICTs” ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นายขจิต สุขุม ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรม หัวข้อ “Agritech Using ICTs” ภายใต้การเฉลิมฉลองวัน Girls in ICT ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-10 กรกฎาคม 2561 โดยผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวถึงบทบาทของระบบ ICT ในภาคการเกษตรกรรม รวมไปถึงประโยชน์ของสมาร์ทโฟน ที่สามารถนํามาช่วยในด้านการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (e-market) เพิ่มรายได้ให้แก่คนในชุมชน นอกจากนี้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ ยังได้รับความรู้เกี่ยวกับการทําฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) หรือการนําเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาผสมผสานเข้ากับงานด้านการเกษตรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับเกษตรกร ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จํากัด หรือ DTAC และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ TRUE มาให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมฯ ดังกล่าวด้วย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 ณ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ถนนพระอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ **************************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13820
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ชู Hallmarking รับรองมาตรฐานอัญมณีและเครื่องประดับไทย
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560 พาณิชย์ชู Hallmarking รับรองมาตรฐานอัญมณีและเครื่องประดับไทย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทย มีความสําคัญเป็นอย่างมากกับเศรษฐกิจและการจ้างงาน และถือเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่สําคัญของประเทศ โดยไทยก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกเครื่องประดับรายใหญ่ของโลก อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการส่งออกเครื่องประดับของไทยยังต้องเผชิญกับอุปสรรค ในการที่ไทยยังขาดการรับรองตราสัญลักษณ์บนเครื่องประดับ (Hallmark) สําหรับการส่งออก และยังไม่มีหน่วยงานกลางที่ทําหน้าที่ตรวจสอบและตีตราสัญลักษณ์รับรองของเครื่องประดับ (Assay Office) อย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจส่งผลการให้การส่งออกไปยังคู่ค้ารายใหญ่ของไทยอย่าง เช่น สหราชอาณาจักร เกิดความล่าช้า เนื่องจากผู้ส่งออกจะต้องผ่านกระบวนการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าก่อนจึงจะสามารถนําเข้าไปยังสหราชอาณาจักรได้ ซึ่งกระบวนการตรวจรับรองมาตรฐานนี้ต้องใช้ระยะเวลาเป็นเดือนเนื่องจากหน่วยงานตรวจรับรองฯ จะต้องรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า (ทอง เงิน แพลทินัม) ทุกชิ้นที่นําเข้ามาจําหน่ายในประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนา อัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) จึงได้มีการจัดทําและพัฒนามาตรฐานสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลตามมาตรการสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก โดยได้มีการดําเนินงานในกําหนดตราสัญลักษณ์กลางในการรับประกันคุณภาพสําหรับสินค้าในหมวดเครื่องประดับ อันจะเป็นการสร้างมาตรฐานการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สําคัญลําดับต้นๆ ของไทย โดยการส่งออกนั้นมีทั้งทางตรง คือ การผลิตชิ้นงานส่งออกเป็นสินค้าสู่ตลาดโลก และการส่งออกทางอ้อม โดยการจําหน่ายผ่านนักท่องเที่ยว (Cash and Carry) ซึ่งไม่ว่าการส่งออกจะเป็นในรูปแบบใดก็ตาม การมีมาตรฐานที่เป็นสากลสําหรับสินค้าในกลุ่มดังกล่าวนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการซื้อขายได้เป็นอย่างมาก นอกจากนั้นแล้วยังเป็นการช่วยประหยัดต้นทุนของผู้ประกอบการไทยในการส่งสินค้าไปตรวจสอบยังต่างประเทศ โดยสามารถตรวจรับรองค่าความบริสุทธิ์ของโลหะมีค่าได้ที่ไทยและมีการมีตราประทับ Hallmark ซึ่งกําหนดให้ตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน(Hallmark)ประกอบด้วยตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน 3 ตราประทับ คือ ตราหน่วยงานตรวจรับรองมาตรฐาน (Assay Office Mark) ตรารับรองความบริสุทธิ์ (Fineness Mark) และตราแสดงผู้รับผิดชอบ (Responsibility Mark) ซึ่งจะทําให้สามารถส่งเครื่องประดับไปยังประเทศที่บังคับใช้ Hallmark ได้สะดวก ตรารับรองมาตรฐาน ซึ่งประกอบด้วย ตราหน่วยงานตรวจรับรองมาตรฐาน (แสดงตัวอย่างแทนด้วย ตราประจํากระทรวงพาณิชย์) ตรารับรองความบริสุทธิ์ (โลหะหลักมีค่า) – ทองคํา ความบริสุทธิ์ 750 ตราแสดงผู้รับผิดชอบ (ตราตัวอย่าง) นอกจากนั้นแล้ว การมีตราประทับ Hallmark ก็มีความจําเป็นเช่นกัน ซึ่งนานาประเทศจะมี ตราสัญลักษณ์ Hallmark ที่แตกต่างกันไป จะบ่งบอกถึง ตราประจําของหน่วยงานตรวจรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า การตีตราประทับเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเครื่องประดับโลหะมีค่าผ่านการตรวจรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานในประเทศใด ตราสัญลักษณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในตราที่มีความสําคัญมากที่สุดในกลุ่มตรารับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า เนื่องจากหน่วยงานที่จะลงตราประทับนี้ได้ต้องเป็นหน่วยงานกลางที่ได้รับมอบหมายจากภาครัฐของประเทศนั้นๆ ให้ทําหน้าที่ตรวจรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่าทั้งหมดภายในประเทศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ชู Hallmarking รับรองมาตรฐานอัญมณีและเครื่องประดับไทย วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560 พาณิชย์ชู Hallmarking รับรองมาตรฐานอัญมณีและเครื่องประดับไทย นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทย มีความสําคัญเป็นอย่างมากกับเศรษฐกิจและการจ้างงาน และถือเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่สําคัญของประเทศ โดยไทยก็ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกเครื่องประดับรายใหญ่ของโลก อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาการส่งออกเครื่องประดับของไทยยังต้องเผชิญกับอุปสรรค ในการที่ไทยยังขาดการรับรองตราสัญลักษณ์บนเครื่องประดับ (Hallmark) สําหรับการส่งออก และยังไม่มีหน่วยงานกลางที่ทําหน้าที่ตรวจสอบและตีตราสัญลักษณ์รับรองของเครื่องประดับ (Assay Office) อย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจส่งผลการให้การส่งออกไปยังคู่ค้ารายใหญ่ของไทยอย่าง เช่น สหราชอาณาจักร เกิดความล่าช้า เนื่องจากผู้ส่งออกจะต้องผ่านกระบวนการตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าก่อนจึงจะสามารถนําเข้าไปยังสหราชอาณาจักรได้ ซึ่งกระบวนการตรวจรับรองมาตรฐานนี้ต้องใช้ระยะเวลาเป็นเดือนเนื่องจากหน่วยงานตรวจรับรองฯ จะต้องรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า (ทอง เงิน แพลทินัม) ทุกชิ้นที่นําเข้ามาจําหน่ายในประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนา อัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) จึงได้มีการจัดทําและพัฒนามาตรฐานสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลตามมาตรการสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก โดยได้มีการดําเนินงานในกําหนดตราสัญลักษณ์กลางในการรับประกันคุณภาพสําหรับสินค้าในหมวดเครื่องประดับ อันจะเป็นการสร้างมาตรฐานการค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สําคัญลําดับต้นๆ ของไทย โดยการส่งออกนั้นมีทั้งทางตรง คือ การผลิตชิ้นงานส่งออกเป็นสินค้าสู่ตลาดโลก และการส่งออกทางอ้อม โดยการจําหน่ายผ่านนักท่องเที่ยว (Cash and Carry) ซึ่งไม่ว่าการส่งออกจะเป็นในรูปแบบใดก็ตาม การมีมาตรฐานที่เป็นสากลสําหรับสินค้าในกลุ่มดังกล่าวนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการซื้อขายได้เป็นอย่างมาก นอกจากนั้นแล้วยังเป็นการช่วยประหยัดต้นทุนของผู้ประกอบการไทยในการส่งสินค้าไปตรวจสอบยังต่างประเทศ โดยสามารถตรวจรับรองค่าความบริสุทธิ์ของโลหะมีค่าได้ที่ไทยและมีการมีตราประทับ Hallmark ซึ่งกําหนดให้ตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน(Hallmark)ประกอบด้วยตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน 3 ตราประทับ คือ ตราหน่วยงานตรวจรับรองมาตรฐาน (Assay Office Mark) ตรารับรองความบริสุทธิ์ (Fineness Mark) และตราแสดงผู้รับผิดชอบ (Responsibility Mark) ซึ่งจะทําให้สามารถส่งเครื่องประดับไปยังประเทศที่บังคับใช้ Hallmark ได้สะดวก ตรารับรองมาตรฐาน ซึ่งประกอบด้วย ตราหน่วยงานตรวจรับรองมาตรฐาน (แสดงตัวอย่างแทนด้วย ตราประจํากระทรวงพาณิชย์) ตรารับรองความบริสุทธิ์ (โลหะหลักมีค่า) – ทองคํา ความบริสุทธิ์ 750 ตราแสดงผู้รับผิดชอบ (ตราตัวอย่าง) นอกจากนั้นแล้ว การมีตราประทับ Hallmark ก็มีความจําเป็นเช่นกัน ซึ่งนานาประเทศจะมี ตราสัญลักษณ์ Hallmark ที่แตกต่างกันไป จะบ่งบอกถึง ตราประจําของหน่วยงานตรวจรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า การตีตราประทับเป็นเครื่องหมายแสดงว่าเครื่องประดับโลหะมีค่าผ่านการตรวจรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานในประเทศใด ตราสัญลักษณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในตราที่มีความสําคัญมากที่สุดในกลุ่มตรารับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่า เนื่องจากหน่วยงานที่จะลงตราประทับนี้ได้ต้องเป็นหน่วยงานกลางที่ได้รับมอบหมายจากภาครัฐของประเทศนั้นๆ ให้ทําหน้าที่ตรวจรับรองมาตรฐานเครื่องประดับโลหะมีค่าทั้งหมดภายในประเทศ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2992
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งตั้ง คกก.ร่วมกับกระทรวงการคลัง ก.พ.ศึกษามาตรการเยียวยาแก่อดีตพนักงานราชการ
วันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2562 สธ.เร่งตั้ง คกก.ร่วมกับกระทรวงการคลัง ก.พ.ศึกษามาตรการเยียวยาแก่อดีตพนักงานราชการ กระทรวงสาธารณสุขเร่งตั้งคณะกรรมการร่วมกับกระทรวงการคลัง และ ก.พ.ศึกษามาตรการเยียวยาให้แก่อดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่บรรจุเป็นข้าราชการในปี 2543 จํานวนกว่า 24,000 คน กระทรวงสาธารณสุขเร่งตั้งคณะกรรมการร่วมกับกระทรวงการคลัง และ ก.พ.ศึกษามาตรการเยียวยาให้แก่อดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่บรรจุเป็นข้าราชการในปี 2543 จํานวนกว่า 24,000 คน วันนี้ (20 สิงหาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายเรวัต อารีรอบ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เป็นตัวแทนรับเรื่องร้องเรียนจากชมรมอดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขปี 2543 – 2546 เรื่อง “คัดค้านผลการพิจารณาของสํานักงาน ก.พ. ที่ไม่สามารถดําเนินการกําหนดหลักเกณฑ์การเยียวยาให้กับอดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขปี 2543 – 2546” นายวัชรพงศ์กล่าวว่า สําหรับผลการหารือกับตัวแทนชมรมอดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขฯในวันนี้เรื่องที่รับมามีทั้งหมด 2 เรื่อง คือ 1.การคืนอายุราชการขณะปฏิบัติงานเป็นพนักงานของรัฐเป็นระยะเวลา 4 ปี และ2.จากการที่ครม.มีมติเพิ่มกรอบอัตราข้าราชการในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2543 ทําให้พนักงานของรัฐที่บรรจุเป็นข้าราชการในปีดังกล่าวจํานวน 24,063 คน ได้รับเงินเดือนน้อยกว่ากลุ่มพนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราวที่บรรจุเป็นข้าราชการในภายหลัง จึงขอให้มีมาตรการเยียวยาใหม่แก่อดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและข้าราชการทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการเยียวยาที่ไม่เป็นธรรม “นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความเป็นห่วงและต้องการสร้างขวัญกําลังใจพี่น้องข้าราชการในกลุ่มนี้จึงได้กําชับให้ดูแลเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ซึ่งเรื่องดังกล่าวการตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงสาธารณสุขเพียงหน่วยงานเดียว จึงตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาเยียวยาทั้ง 2 เรื่องเพื่อหาทางออกร่วมกับกระทรวงการคลังและ ก.พ. โดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขจะมีนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมในคณะกรรมการด้วย” นายวัชรพงศ์ กล่าวต่อว่า ******************************* 20 สิงหาคม 2562 ****************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งตั้ง คกก.ร่วมกับกระทรวงการคลัง ก.พ.ศึกษามาตรการเยียวยาแก่อดีตพนักงานราชการ วันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2562 สธ.เร่งตั้ง คกก.ร่วมกับกระทรวงการคลัง ก.พ.ศึกษามาตรการเยียวยาแก่อดีตพนักงานราชการ กระทรวงสาธารณสุขเร่งตั้งคณะกรรมการร่วมกับกระทรวงการคลัง และ ก.พ.ศึกษามาตรการเยียวยาให้แก่อดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่บรรจุเป็นข้าราชการในปี 2543 จํานวนกว่า 24,000 คน กระทรวงสาธารณสุขเร่งตั้งคณะกรรมการร่วมกับกระทรวงการคลัง และ ก.พ.ศึกษามาตรการเยียวยาให้แก่อดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขที่บรรจุเป็นข้าราชการในปี 2543 จํานวนกว่า 24,000 คน วันนี้ (20 สิงหาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายเรวัต อารีรอบ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เป็นตัวแทนรับเรื่องร้องเรียนจากชมรมอดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขปี 2543 – 2546 เรื่อง “คัดค้านผลการพิจารณาของสํานักงาน ก.พ. ที่ไม่สามารถดําเนินการกําหนดหลักเกณฑ์การเยียวยาให้กับอดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขปี 2543 – 2546” นายวัชรพงศ์กล่าวว่า สําหรับผลการหารือกับตัวแทนชมรมอดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขฯในวันนี้เรื่องที่รับมามีทั้งหมด 2 เรื่อง คือ 1.การคืนอายุราชการขณะปฏิบัติงานเป็นพนักงานของรัฐเป็นระยะเวลา 4 ปี และ2.จากการที่ครม.มีมติเพิ่มกรอบอัตราข้าราชการในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปี 2543 ทําให้พนักงานของรัฐที่บรรจุเป็นข้าราชการในปีดังกล่าวจํานวน 24,063 คน ได้รับเงินเดือนน้อยกว่ากลุ่มพนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราวที่บรรจุเป็นข้าราชการในภายหลัง จึงขอให้มีมาตรการเยียวยาใหม่แก่อดีตพนักงานของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและข้าราชการทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการเยียวยาที่ไม่เป็นธรรม “นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความเป็นห่วงและต้องการสร้างขวัญกําลังใจพี่น้องข้าราชการในกลุ่มนี้จึงได้กําชับให้ดูแลเรื่องดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ซึ่งเรื่องดังกล่าวการตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงสาธารณสุขเพียงหน่วยงานเดียว จึงตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาเยียวยาทั้ง 2 เรื่องเพื่อหาทางออกร่วมกับกระทรวงการคลังและ ก.พ. โดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขจะมีนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมในคณะกรรมการด้วย” นายวัชรพงศ์ กล่าวต่อว่า ******************************* 20 สิงหาคม 2562 ****************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22363
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ชื่นชมและให้กาลังใจศิลปิน S2S ที่ร้องเพลงเปิดหมวกร่วมกับศิลปิน True เพื่อหารายได้สมทบทุนช่วยเหลือคนพิการ ที่ประสบภัยน้าท่วม
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 รมว.พม. ชื่นชมและให้กาลังใจศิลปิน S2S ที่ร้องเพลงเปิดหมวกร่วมกับศิลปิน True เพื่อหารายได้สมทบทุนช่วยเหลือคนพิการ ที่ประสบภัยน้าท่วม รมว.พม. ชื่นชมและให้กาลังใจศิลปิน S2S ที่ร้องเพลงเปิดหมวกร่วมกับศิลปิน True เพื่อหารายได้สมทบทุนช่วยเหลือคนพิการ ที่ประสบภัยน้าท่วม ในกิจกรรม “รวมน้าใจคนไทยไม่ทิ้งกัน ช่วยผู้ประสบภัยน้าท่วมภาคอีสาน” วันนี้ (11 ส.ค. 60) เวลา 13.30 น. นายณรงค์ คงคา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่ให้กาลังใจศิลปิน S2S ในกิจกรรม "รวมน้าใจคนไทย ไม่ทิ้งกัน ช่วยผู้ประสบภัยน้าท่วมภาคอีสาน” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ศิลปิน S2S ร้องเพลงเปิดหมวกร่วมกับศิลปิน True เพื่อหารายได้สมทบทุนช่วยเหลือคนตาบอดและคนพิการอื่นๆ ที่ประสบภัยอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ณ บริเวณหน้าตึกใยแก้ว อาคารทรูทาวเวอร์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ พลตารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักและน้าท่วมจากอิทธิพลของพายุเซินกา ก่อให้เกิดอุทกภัยในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงนี้ ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและเกิดผลกระทบเป็นจานวนมาก รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว และได้มอบหมายให้หน่วยงานในพื้นที่สังกัดกระทรวง พม. บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยตามภารกิจของกระทรวง พม. โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ได้แก่ เด็ก สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ คนพิการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเตรียมแนวทางการฟื้นฟูเยียวยาให้กับผู้ประสบภัยในระยะยาวต่อไป พลตารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า จากการลงพื้นที่สารวจของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. พบว่าในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีคนพิการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ จานวนกว่า 20,000 คน ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้ให้การช่วยเหลือตามแผนฟื้นฟูและพัฒนา ผู้ประสบอุทกภัย ได้แก่ การปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสาหรับคนพิการ การฝึกอาชีพสาหรับคนพิการ และสนับสนุนเงินทุนประกอบอาชีพสาหรับคนพิการ สาหรับการจัดกิจกรรม "รวมน้าใจคนไทยไม่ทิ้งกัน ช่วยผู้ประสบภัยน้าท่วมภาคอีสาน” ในวันนี้ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ศิลปิน S2S จากโครงการพัฒนาศักยภาพนักร้อง นักดนตรีตาบอดในที่สาธารณะ : จากถนนสู่ดวงดาว หรือ From Street to Stars (S2S) ร้องเพลงเปิดหมวกร่วมกับศิลปิน True เพื่อหารายได้สมทบทุนช่วยเหลือคนตาบอดและคนพิการอื่นๆ ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น โรงเรียนสอนคนตาบอดในจังหวัดขอนแก่น สมาคมคนตาบอดในจังหวัดร้อยเอ็ดและสกลนคร โดยให้สมาคมคนตาบอดในแต่ละจังหวัดรวบรวมข้อมูลคนที่เดือดร้อนและสมาคมคนตาบอดจะลงพื้นที่ร่วมกับผู้แทนจากทรู โดยนาเงินรายได้ไปช่วยตามความจาเป็นต่อไป "ทั้งนี้ ขอชื่นชมศิลปิน S2S ที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมมีน้าใจต่อผู้อื่น โดยไม่นาความพิการมาเป็นอุปสรรค ในการแสดงความสามารถเพื่อหารายได้ไปช่วยคนพิการที่ได้รับความเดือนร้อนจากอุทกภัย และขอบคุณบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) และสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ที่ร่วมกันจัดกิจกรรมในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโดยกระทรวง พม. ขอร่วมเป็นกาลังใจให้คนพิการ และพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทุกจังหวัดทั่วประเทศ ขอให้ทุกคนมีความเข้มแข็งและสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขภายหลังเข้าสู่สภาวะปกติ” พลตารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ชื่นชมและให้กาลังใจศิลปิน S2S ที่ร้องเพลงเปิดหมวกร่วมกับศิลปิน True เพื่อหารายได้สมทบทุนช่วยเหลือคนพิการ ที่ประสบภัยน้าท่วม วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 รมว.พม. ชื่นชมและให้กาลังใจศิลปิน S2S ที่ร้องเพลงเปิดหมวกร่วมกับศิลปิน True เพื่อหารายได้สมทบทุนช่วยเหลือคนพิการ ที่ประสบภัยน้าท่วม รมว.พม. ชื่นชมและให้กาลังใจศิลปิน S2S ที่ร้องเพลงเปิดหมวกร่วมกับศิลปิน True เพื่อหารายได้สมทบทุนช่วยเหลือคนพิการ ที่ประสบภัยน้าท่วม ในกิจกรรม “รวมน้าใจคนไทยไม่ทิ้งกัน ช่วยผู้ประสบภัยน้าท่วมภาคอีสาน” วันนี้ (11 ส.ค. 60) เวลา 13.30 น. นายณรงค์ คงคา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้วรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่ให้กาลังใจศิลปิน S2S ในกิจกรรม "รวมน้าใจคนไทย ไม่ทิ้งกัน ช่วยผู้ประสบภัยน้าท่วมภาคอีสาน” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ศิลปิน S2S ร้องเพลงเปิดหมวกร่วมกับศิลปิน True เพื่อหารายได้สมทบทุนช่วยเหลือคนตาบอดและคนพิการอื่นๆ ที่ประสบภัยอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ณ บริเวณหน้าตึกใยแก้ว อาคารทรูทาวเวอร์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ พลตารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักและน้าท่วมจากอิทธิพลของพายุเซินกา ก่อให้เกิดอุทกภัยในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงนี้ ส่งผลให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและเกิดผลกระทบเป็นจานวนมาก รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว และได้มอบหมายให้หน่วยงานในพื้นที่สังกัดกระทรวง พม. บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยตามภารกิจของกระทรวง พม. โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ได้แก่ เด็ก สตรี คนพิการ ผู้สูงอายุ คนพิการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเตรียมแนวทางการฟื้นฟูเยียวยาให้กับผู้ประสบภัยในระยะยาวต่อไป พลตารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า จากการลงพื้นที่สารวจของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. พบว่าในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีคนพิการที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนี้ จานวนกว่า 20,000 คน ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ได้ให้การช่วยเหลือตามแผนฟื้นฟูและพัฒนา ผู้ประสบอุทกภัย ได้แก่ การปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสาหรับคนพิการ การฝึกอาชีพสาหรับคนพิการ และสนับสนุนเงินทุนประกอบอาชีพสาหรับคนพิการ สาหรับการจัดกิจกรรม "รวมน้าใจคนไทยไม่ทิ้งกัน ช่วยผู้ประสบภัยน้าท่วมภาคอีสาน” ในวันนี้ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ศิลปิน S2S จากโครงการพัฒนาศักยภาพนักร้อง นักดนตรีตาบอดในที่สาธารณะ : จากถนนสู่ดวงดาว หรือ From Street to Stars (S2S) ร้องเพลงเปิดหมวกร่วมกับศิลปิน True เพื่อหารายได้สมทบทุนช่วยเหลือคนตาบอดและคนพิการอื่นๆ ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น โรงเรียนสอนคนตาบอดในจังหวัดขอนแก่น สมาคมคนตาบอดในจังหวัดร้อยเอ็ดและสกลนคร โดยให้สมาคมคนตาบอดในแต่ละจังหวัดรวบรวมข้อมูลคนที่เดือดร้อนและสมาคมคนตาบอดจะลงพื้นที่ร่วมกับผู้แทนจากทรู โดยนาเงินรายได้ไปช่วยตามความจาเป็นต่อไป "ทั้งนี้ ขอชื่นชมศิลปิน S2S ที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมมีน้าใจต่อผู้อื่น โดยไม่นาความพิการมาเป็นอุปสรรค ในการแสดงความสามารถเพื่อหารายได้ไปช่วยคนพิการที่ได้รับความเดือนร้อนจากอุทกภัย และขอบคุณบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) และสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ที่ร่วมกันจัดกิจกรรมในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลโดยกระทรวง พม. ขอร่วมเป็นกาลังใจให้คนพิการ และพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทุกจังหวัดทั่วประเทศ ขอให้ทุกคนมีความเข้มแข็งและสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขภายหลังเข้าสู่สภาวะปกติ” พลตารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5891
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นายกรัฐมนตรีแจงข้อเท็จจริงกรณีภารกิจที่ จ.สระแก้ว วอนทุกฝ่ายหยุดเชื่อมโยงประเด็นการเมือง พร้อมแสดงความเป็นห่วงบ้านเมืองหลังเลือกตั้ง
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2561 นายกรัฐมนตรีแจงข้อเท็จจริงกรณีภารกิจที่ จ.สระแก้ว วอนทุกฝ่ายหยุดเชื่อมโยงประเด็นการเมือง พร้อมแสดงความเป็นห่วงบ้านเมืองหลังเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีแจงข้อเท็จจริงกรณีภารกิจที่ จ.สระแก้ว วอนทุกฝ่ายหยุดเชื่อมโยงประเด็นการเมือง พร้อมแสดงความเป็นห่วงบ้านเมืองหลังเลือกตั้ง วันนี้ (13 พฤษภาคม 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ จ.สระแก้ว ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการไปพบใคร หรือจะไปดูด ส.ส.ในพื้นที่ หรือไปพบปะประชาชน และไม่ใช่เกรงว่าจะถูกมองเชื่อมโยงทางการเมือง จึงได้ยกเลิกภารกิจไป เพราะแต่เดิมนั้นได้กําหนดว่าจะเดินทางไปเป็นประธานพิธีเปิดด่านชายแดนร่วมกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่เนื่องจากนายกรัฐมนตรีกัมพูชาติดภารกิจจึงต้องยกเลิกกําหนดการ "นายกฯ ไม่ต้องการให้สื่อมวลชนหรือนักการเมืองนําประเด็นนี้ไปบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิด ส่วนการย้ายพรรคหรือรวมพรรคก็ไม่ใช่สิ่งที่จะรับประกันว่าผู้นั้นจะได้เป็น ส.ส. หากไม่มีผลงานหรือไม่ได้รับความไว้วางใจ ประชาชนก็ไม่เลือกอยู่แล้ว จึงไม่อยากให้กังวลจนมากเกินไป และต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชนด้วย" นายกรัฐมนตรียังแสดงความเป็นห่วงด้วยว่า แม้ขณะนี้ยังไม่เข้าสู่การเลือกตั้ง แต่มีการยุยงปลุกปั่นให้ร้ายเช่นนี้ และเมื่อเลือกตั้งแล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ส่วนกรณีนายเสนาะ เทียนทอง นั้นนายกฯ เคยรู้จักมานานแล้ว แต่ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมหรือเกี่ยวข้องใด ๆ กัน ....... สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นายกรัฐมนตรีแจงข้อเท็จจริงกรณีภารกิจที่ จ.สระแก้ว วอนทุกฝ่ายหยุดเชื่อมโยงประเด็นการเมือง พร้อมแสดงความเป็นห่วงบ้านเมืองหลังเลือกตั้ง วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2561 นายกรัฐมนตรีแจงข้อเท็จจริงกรณีภารกิจที่ จ.สระแก้ว วอนทุกฝ่ายหยุดเชื่อมโยงประเด็นการเมือง พร้อมแสดงความเป็นห่วงบ้านเมืองหลังเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีแจงข้อเท็จจริงกรณีภารกิจที่ จ.สระแก้ว วอนทุกฝ่ายหยุดเชื่อมโยงประเด็นการเมือง พร้อมแสดงความเป็นห่วงบ้านเมืองหลังเลือกตั้ง วันนี้ (13 พฤษภาคม 2561) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ จ.สระแก้ว ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการไปพบใคร หรือจะไปดูด ส.ส.ในพื้นที่ หรือไปพบปะประชาชน และไม่ใช่เกรงว่าจะถูกมองเชื่อมโยงทางการเมือง จึงได้ยกเลิกภารกิจไป เพราะแต่เดิมนั้นได้กําหนดว่าจะเดินทางไปเป็นประธานพิธีเปิดด่านชายแดนร่วมกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่เนื่องจากนายกรัฐมนตรีกัมพูชาติดภารกิจจึงต้องยกเลิกกําหนดการ "นายกฯ ไม่ต้องการให้สื่อมวลชนหรือนักการเมืองนําประเด็นนี้ไปบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิด ส่วนการย้ายพรรคหรือรวมพรรคก็ไม่ใช่สิ่งที่จะรับประกันว่าผู้นั้นจะได้เป็น ส.ส. หากไม่มีผลงานหรือไม่ได้รับความไว้วางใจ ประชาชนก็ไม่เลือกอยู่แล้ว จึงไม่อยากให้กังวลจนมากเกินไป และต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชนด้วย" นายกรัฐมนตรียังแสดงความเป็นห่วงด้วยว่า แม้ขณะนี้ยังไม่เข้าสู่การเลือกตั้ง แต่มีการยุยงปลุกปั่นให้ร้ายเช่นนี้ และเมื่อเลือกตั้งแล้วบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ส่วนกรณีนายเสนาะ เทียนทอง นั้นนายกฯ เคยรู้จักมานานแล้ว แต่ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมหรือเกี่ยวข้องใด ๆ กัน ....... สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12200
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นาย เทวัญ ฯ ขอบคุณภาคเอกชนผู้ผลิตรองเท้ายางพารา ร่วมสนับสนุนรองเท้ายางพาราแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562 รมต. นร. นาย เทวัญ ฯ ขอบคุณภาคเอกชนผู้ผลิตรองเท้ายางพารา ร่วมสนับสนุนรองเท้ายางพาราแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี รมต. นร. นาย เทวัญ ฯ ขอบคุณภาคเอกชนผู้ผลิตรองเท้ายางพารา ร่วมสนับสนุนรองเท้ายางพาราแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี วันนี้ (27 ก.ย.62) ตัวแทนจาก บริษัท กรีน ฟุตแวร์ ผู้ผลิตรองเท้ายางพารา ยี่ห้อ มิกซ์สตาร์ ฟุตแวร์ เข้าพบ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมบริจาครองเท้ายางพาราแก่ผู้ประสบอุทกภัย จ.อุบลราชธานี จํานวน 50,000 คู่ ราคาคู่ละ 100 บาท รวมเป็นมูลค่า 5,000,000 บาท ทั้งนี้ บริษัท กรีน ฟุตแวร์ ได้ดําเนินการส่งมอบรองเท้ายางพาราไปยังพี่น้องประชาชน จ.อุบลราชธานี เป็นที่เรียบร้อย โดยทางส่วนที่เกี่ยวข้องจะดําเนินการแจกจ่ายแต่ละพื้นที่อีกครั้ง รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณผู้แทน บริษัท กรีน ฟุตแวร์ ที่ร่วมกันช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยในครั้งนี้ ขณะที่ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและคณะ จะร่วมติดตามเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดยานนาวา และคณะสงฆ์ ไปตรวจเยี่ยมและถวายกัปปิยภัณฑ์พระสงฆ์สามเณร และมอบถุงยังชีพแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ในเขตพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ในวันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2562 นี้ ...................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นาย เทวัญ ฯ ขอบคุณภาคเอกชนผู้ผลิตรองเท้ายางพารา ร่วมสนับสนุนรองเท้ายางพาราแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562 รมต. นร. นาย เทวัญ ฯ ขอบคุณภาคเอกชนผู้ผลิตรองเท้ายางพารา ร่วมสนับสนุนรองเท้ายางพาราแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี รมต. นร. นาย เทวัญ ฯ ขอบคุณภาคเอกชนผู้ผลิตรองเท้ายางพารา ร่วมสนับสนุนรองเท้ายางพาราแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี วันนี้ (27 ก.ย.62) ตัวแทนจาก บริษัท กรีน ฟุตแวร์ ผู้ผลิตรองเท้ายางพารา ยี่ห้อ มิกซ์สตาร์ ฟุตแวร์ เข้าพบ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อร่วมบริจาครองเท้ายางพาราแก่ผู้ประสบอุทกภัย จ.อุบลราชธานี จํานวน 50,000 คู่ ราคาคู่ละ 100 บาท รวมเป็นมูลค่า 5,000,000 บาท ทั้งนี้ บริษัท กรีน ฟุตแวร์ ได้ดําเนินการส่งมอบรองเท้ายางพาราไปยังพี่น้องประชาชน จ.อุบลราชธานี เป็นที่เรียบร้อย โดยทางส่วนที่เกี่ยวข้องจะดําเนินการแจกจ่ายแต่ละพื้นที่อีกครั้ง รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณผู้แทน บริษัท กรีน ฟุตแวร์ ที่ร่วมกันช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบภัยในครั้งนี้ ขณะที่ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและคณะ จะร่วมติดตามเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดยานนาวา และคณะสงฆ์ ไปตรวจเยี่ยมและถวายกัปปิยภัณฑ์พระสงฆ์สามเณร และมอบถุงยังชีพแก่ประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ในเขตพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ในวันเสาร์ที่ 28 กันยายน 2562 นี้ ...................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23435