title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สธ. ย้ำผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตขอให้เข้าโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่ใกล้ที่สุด
|
วันพุธที่ 19 เมษายน 2560
สธ. ย้ําผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตขอให้เข้าโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่ใกล้ที่สุด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ําผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตขอให้เข้าไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่อยู่ใกล้ที่สุดหรือไปถึงเร็วที่สุด เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและลดความพิการ โดยไม่ต้องกังวลค่ารักษาเบื้องต้นใน 72 ชั่วโมงแรกไม่ว่าสิทธิใดก็ตาม
วันนี้ (19 เมษายน 2560) ที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์ คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมว่า ในวันนี้ ได้ติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP) หลังจากที่เริ่มดําเนินการเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2560 ช่วยให้ประชาชนได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วในภาวะวิกฤตฉุกเฉินของชีวิต โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล ซึ่งจะมีแต่ละกองทุนสุขภาพเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในระยะ 72 ชั่วโมงแรก ที่ผ่านมาพบปัญหาร้องเรียน 6 รายจากผู้ที่มาขอใช้สิทธิ 1,000 กว่าราย ส่วนใหญ่เป็นความไม่เข้าใจเรื่องหลักเกณฑ์ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้ร่วมกันพิจารณา และจะกําหนดมาตรการแก้ไขปัญหาต่อไป มั่นใจว่าในอนาคตปัญหาเหล่านี้จะลดลง
“สิ่งสําคัญที่สุดคือประชาชนต้องเข้าใจคําว่า วิกฤตชีวิต ขอให้นําผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน ที่อยู่ใกล้ที่สุดหรือไปถึงเร็วที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและลดความพิการหากเจ็บป่วยฉุกเฉินโทรขอความช่วยเหลือที่สายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าว
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สําหรับอาการฉุกเฉินวิกฤต 6 ข้อที่ต้องรีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ได้แก่ 1.หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ไม่รู้สึกตัว 2.อาการทางสมอง มีการรับรู้ สติเปลี่ยนไป บอกเวลา สถานที่ คนที่คุ้นเคยผิดอย่างเฉียบพลัน 3.หายใจเร็ว แรง และลึก หายใจมีเสียงดังผิดปกติ พูดได้แค่สั้นๆหรือร้องไม่ออก ออกเสียงไม่ได้ สําลักอุดทางเดินหายใจกับมีอาการเขียวคล้ํา 4.ระบบไหลเวียนเลือดวิกฤตอย่างน้อย 2 ข้อ คือตัวเย็นและซีด เหงื่อแตกจนท่วมตัว หมดสติชั่ววูบ หรือวูบเมื่อลุกยืนขึ้น 5.อวัยวะฉีกขาดเสียเลือดมาก เสี่ยงต่อการพิการ และ 6.อาการอื่นๆ ที่มีภาวะเสี่ยงต่อชีวิตสูง เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรง แขนขาอ่อนแรงทันทีทันใด ชักเกร็ง เป็นต้น
ผลการดําเนินงานตั้งแต่วันที่ 1-17 เมษายน 2560 มีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่เข้าเกณฑ์รับบริการทั้งสิ้น 715 ราย จากผู้ขอใช้สิทธิทั้งหมด 1,773 ราย มากที่สุดคือ สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รองลงมาคือสิทธิประกันสังคม สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และกองทุนอื่นๆ ประชาชนหรือสถานพยาบาลมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ โทร 02-8721669 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ucepcenter@niems.go.th
เมษายน2/10 ****************************** 19 เมษายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สธ. ย้ำผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตขอให้เข้าโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่ใกล้ที่สุด
วันพุธที่ 19 เมษายน 2560
สธ. ย้ําผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตขอให้เข้าโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่ใกล้ที่สุด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ย้ําผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตขอให้เข้าไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนที่อยู่ใกล้ที่สุดหรือไปถึงเร็วที่สุด เพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและลดความพิการ โดยไม่ต้องกังวลค่ารักษาเบื้องต้นใน 72 ชั่วโมงแรกไม่ว่าสิทธิใดก็ตาม
วันนี้ (19 เมษายน 2560) ที่สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ จ.นนทบุรี ศาสตราจารย์ คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมว่า ในวันนี้ ได้ติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานตามนโยบาย “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP) หลังจากที่เริ่มดําเนินการเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2560 ช่วยให้ประชาชนได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วในภาวะวิกฤตฉุกเฉินของชีวิต โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล ซึ่งจะมีแต่ละกองทุนสุขภาพเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในระยะ 72 ชั่วโมงแรก ที่ผ่านมาพบปัญหาร้องเรียน 6 รายจากผู้ที่มาขอใช้สิทธิ 1,000 กว่าราย ส่วนใหญ่เป็นความไม่เข้าใจเรื่องหลักเกณฑ์ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้ร่วมกันพิจารณา และจะกําหนดมาตรการแก้ไขปัญหาต่อไป มั่นใจว่าในอนาคตปัญหาเหล่านี้จะลดลง
“สิ่งสําคัญที่สุดคือประชาชนต้องเข้าใจคําว่า วิกฤตชีวิต ขอให้นําผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน ที่อยู่ใกล้ที่สุดหรือไปถึงเร็วที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและลดความพิการหากเจ็บป่วยฉุกเฉินโทรขอความช่วยเหลือที่สายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าว
ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สําหรับอาการฉุกเฉินวิกฤต 6 ข้อที่ต้องรีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ได้แก่ 1.หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ไม่รู้สึกตัว 2.อาการทางสมอง มีการรับรู้ สติเปลี่ยนไป บอกเวลา สถานที่ คนที่คุ้นเคยผิดอย่างเฉียบพลัน 3.หายใจเร็ว แรง และลึก หายใจมีเสียงดังผิดปกติ พูดได้แค่สั้นๆหรือร้องไม่ออก ออกเสียงไม่ได้ สําลักอุดทางเดินหายใจกับมีอาการเขียวคล้ํา 4.ระบบไหลเวียนเลือดวิกฤตอย่างน้อย 2 ข้อ คือตัวเย็นและซีด เหงื่อแตกจนท่วมตัว หมดสติชั่ววูบ หรือวูบเมื่อลุกยืนขึ้น 5.อวัยวะฉีกขาดเสียเลือดมาก เสี่ยงต่อการพิการ และ 6.อาการอื่นๆ ที่มีภาวะเสี่ยงต่อชีวิตสูง เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรง แขนขาอ่อนแรงทันทีทันใด ชักเกร็ง เป็นต้น
ผลการดําเนินงานตั้งแต่วันที่ 1-17 เมษายน 2560 มีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่เข้าเกณฑ์รับบริการทั้งสิ้น 715 ราย จากผู้ขอใช้สิทธิทั้งหมด 1,773 ราย มากที่สุดคือ สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รองลงมาคือสิทธิประกันสังคม สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และกองทุนอื่นๆ ประชาชนหรือสถานพยาบาลมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ โทร 02-8721669 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ ucepcenter@niems.go.th
เมษายน2/10 ****************************** 19 เมษายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3146
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผน การบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561
|
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผน การบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561
ผลการจัดกิจกรรมวันเก็บขยะชายหาดสากล ระหว่างวันที่ 13 – 17 กันยายน 2561 มีประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 10,000 คน รวมเก็บขยะจากชายหาดทั้งชายฝั่งอ่าวไทยและชายฝั่งอันดามัน ได้กว่า 16,000 กิโลกรัม
วันนี้ (28 กันยายน 2561 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ตึกแดง) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 สรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบ รายงานผลการจัดกิจกรรมวันเก็บขยะชายหาดสากล (International Coastal Cleanup Day) ซึ่งได้ดําเนินการระหว่างวันที่ 13 – 17 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 10,000 คน รวมเก็บขยะจากชายหาดทั้งชายฝั่งอ่าวไทยและชายฝั่งอันดามัน ได้กว่า 16,000 กิโลกรัม
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2560 โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้จัดทํารายงานสถานการณ์ฯ ที่มีเนื้อหาครอบคลุมสถานการณ์ด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ของประเทศ โดยใช้หลักการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงตามแนวคิดของปัจจัยขับเคลื่อน ภาวะกดดัน สถานภาพ สิ่งแวดล้อม ผลกระทบ และการตอบสนอง (Drivers – Pressures - States - Impacts - Responses: DPSIR)
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่เกาะไข่ใน เกาะไข่นอก และเกาะไข่นุ้ย ต.พรุใน อ.เกาะยาว จ.พังงา พ.ศ. ... ตามมาตรา 22 โดย กรม ทช. ได้ดําเนินการเตรียมประกาศมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่ เกาะไข่ใน เกาะไข่นอก และเกาะไข่นุ้ย ต.พรุใน อ.เกาะยาว จ.พังงา ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 18,290.23 ไร่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของประเทศไทยที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก มีระบบนิเวศที่สําคัญ คือ แนวปะการัง คิดเป็นพื้นที่รวม 248 ไร่ ปัจจุบันแนวปะการังอยู่ในสถานภาพ เสียหายมาก เนื่องจากการใช้ประโยชน์จากกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้ง ที่ประชุมรับทราบการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่เกาะราชาใหญ่ เกาะราชาน้อย ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พ.ศ. .... ตามมาตรา 22 โดยกรม ทช. ได้ดําเนินการเตรียมประกาศมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่ เกาะราชาใหญ่ เกาะราชาน้อย ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พ.ศ. .... ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 234,599.64 ไร่ คิดเป็นพื้นที่รวม 576 ไร่ ปัจจุบันแนวปะการังเกิดความเสียหายและมีสภาพเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้นอาจเข้าขั้นวิกฤต เนื่องจากการใช้ประโยชน์จากกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้ ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องมาตรการคุ้มครองทรัพยากรปะการัง จากกิจกรรมท่องเที่ยวดําน้ํา พ.ศ. .... มาตรา 22 โดย กรม ทช. ได้ดําเนินการเตรียมประกาศมาตรการคุ้มครองทรัพยากรปะการัง จากกิจกรรม ท่องเที่ยวดําน้ํา พ.ศ. .... ซึ่งแนวปะการังของประเทศไทย มีพื้นที่ประมาณ 148,954 ไร่ มีความสําคัญต่อระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงด้านเศรษฐกิจ แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวไปดําน้ําดูปะการังไม่ต่ํากว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ปัจจุบันกิจกรรมการท่องเที่ยวดําน้ําดูปะการัง ได้เกิดผลกระทบทําให้แนวปะการังได้รับความเสียหายและหลายพื้นที่เข้าขั้นวิกฤต ดังนั้น จึงจําเป็นต้องมีการกําหนดมาตรฐาน รูปแบบ วิธีการท่องเที่ยวและกําหนดเงื่อนไขอื่น ๆ ในการเข้าไปในบริเวณแนวปะการัง ตามความเหมาะสมของพื้นที่
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติมอบเครื่องหมายเชิดชู เกียรติยศยิ่ง “รักษ์ทะเลยิ่งชีพ” แก่คณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จํานวนทั้งสิ้น 19 คน
........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผน การบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผน การบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561
ผลการจัดกิจกรรมวันเก็บขยะชายหาดสากล ระหว่างวันที่ 13 – 17 กันยายน 2561 มีประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 10,000 คน รวมเก็บขยะจากชายหาดทั้งชายฝั่งอ่าวไทยและชายฝั่งอันดามัน ได้กว่า 16,000 กิโลกรัม
วันนี้ (28 กันยายน 2561 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ตึกแดง) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 สรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบ รายงานผลการจัดกิจกรรมวันเก็บขยะชายหาดสากล (International Coastal Cleanup Day) ซึ่งได้ดําเนินการระหว่างวันที่ 13 – 17 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งมีประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 10,000 คน รวมเก็บขยะจากชายหาดทั้งชายฝั่งอ่าวไทยและชายฝั่งอันดามัน ได้กว่า 16,000 กิโลกรัม
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2560 โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้จัดทํารายงานสถานการณ์ฯ ที่มีเนื้อหาครอบคลุมสถานการณ์ด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ของประเทศ โดยใช้หลักการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงตามแนวคิดของปัจจัยขับเคลื่อน ภาวะกดดัน สถานภาพ สิ่งแวดล้อม ผลกระทบ และการตอบสนอง (Drivers – Pressures - States - Impacts - Responses: DPSIR)
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมรับทราบการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่เกาะไข่ใน เกาะไข่นอก และเกาะไข่นุ้ย ต.พรุใน อ.เกาะยาว จ.พังงา พ.ศ. ... ตามมาตรา 22 โดย กรม ทช. ได้ดําเนินการเตรียมประกาศมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่ เกาะไข่ใน เกาะไข่นอก และเกาะไข่นุ้ย ต.พรุใน อ.เกาะยาว จ.พังงา ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 18,290.23 ไร่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของประเทศไทยที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างมาก มีระบบนิเวศที่สําคัญ คือ แนวปะการัง คิดเป็นพื้นที่รวม 248 ไร่ ปัจจุบันแนวปะการังอยู่ในสถานภาพ เสียหายมาก เนื่องจากการใช้ประโยชน์จากกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้ง ที่ประชุมรับทราบการออกประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากร ทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่เกาะราชาใหญ่ เกาะราชาน้อย ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พ.ศ. .... ตามมาตรา 22 โดยกรม ทช. ได้ดําเนินการเตรียมประกาศมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่ เกาะราชาใหญ่ เกาะราชาน้อย ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พ.ศ. .... ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 234,599.64 ไร่ คิดเป็นพื้นที่รวม 576 ไร่ ปัจจุบันแนวปะการังเกิดความเสียหายและมีสภาพเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้นอาจเข้าขั้นวิกฤต เนื่องจากการใช้ประโยชน์จากกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้ ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องมาตรการคุ้มครองทรัพยากรปะการัง จากกิจกรรมท่องเที่ยวดําน้ํา พ.ศ. .... มาตรา 22 โดย กรม ทช. ได้ดําเนินการเตรียมประกาศมาตรการคุ้มครองทรัพยากรปะการัง จากกิจกรรม ท่องเที่ยวดําน้ํา พ.ศ. .... ซึ่งแนวปะการังของประเทศไทย มีพื้นที่ประมาณ 148,954 ไร่ มีความสําคัญต่อระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงด้านเศรษฐกิจ แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวไปดําน้ําดูปะการังไม่ต่ํากว่า 5 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น ปัจจุบันกิจกรรมการท่องเที่ยวดําน้ําดูปะการัง ได้เกิดผลกระทบทําให้แนวปะการังได้รับความเสียหายและหลายพื้นที่เข้าขั้นวิกฤต ดังนั้น จึงจําเป็นต้องมีการกําหนดมาตรฐาน รูปแบบ วิธีการท่องเที่ยวและกําหนดเงื่อนไขอื่น ๆ ในการเข้าไปในบริเวณแนวปะการัง ตามความเหมาะสมของพื้นที่
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติมอบเครื่องหมายเชิดชู เกียรติยศยิ่ง “รักษ์ทะเลยิ่งชีพ” แก่คณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ จํานวนทั้งสิ้น 19 คน
........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15735
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กรุงไทยกลไกหลักช่วยลูกค้าประชาชนฝ่าวิกฤติ ร่วมขับเคลื่อนเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้า [กระทรวงการคลัง]
|
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
กรุงไทยกลไกหลักช่วยลูกค้าประชาชนฝ่าวิกฤติ ร่วมขับเคลื่อนเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้า [กระทรวงการคลัง]
ธ.กรุงไทยช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถเดินหน้าด้วย 5 มาตรการเยียวยา โดยลูกค้าบุคคล ลูกค้ารายย่อย และ SME ได้รับความช่วยเหลือมากที่สุด ออกแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน ช่วยร้านอาหารรายเล็กๆสามารถอยู่รอด
ธนาคารกรุงไทย ช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถเดินหน้าด้วย 5 มาตรการเยียวยา โดยลูกค้าบุคคล ลูกค้ารายย่อย และ SME ได้รับความช่วยเหลือมากที่สุด ออกแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน ช่วยร้านอาหารรายเล็กๆสามารถอยู่รอด ออกแบบเว็บไซต์เราไม่ทิ้งกัน รวมทั้งให้พนักงานทั่วประเทศ 6,500 คน ลงพื้นที่ยืนยันสิทธิ์ให้กับประชาชน ช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้รับการเยียวยาแล้ว 15 ล้านคน
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ธนาคารในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาครัฐเร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าด้วยมาตรการต่างๆอย่างเต็มที่ ทั้งมาตรการของกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และของธนาคารเอง รวมทั้งสิ้น 5 มาตรการ เพื่อเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้สามารถเดินหน้าและดําเนินธุรกิจต่อไปได้ ได้ให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ติดตามลูกค้าอย่างใกล้ชิดทั่วประเทศ ซึ่งได้ช่วยเหลือลูกค้าผ่าน Soft Loan ธนาคารออมสิน ในวงเงิน 5,058 ล้านบาท จํานวนลูกค้า 382 ราย ผ่าน Soft Loan ธนาคารแห่งประเทศไทย ในวงเงิน 10,851 ล้านบาท จํานวนลูกค้า 3,364 ราย และได้ปรับโครงสร้างหนี้ โดยการพักการชําระหนี้ รวมถึงให้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม เป็นวงเงิน 580,077 ล้านบาท จํานวนลูกค้า 167,981 ราย รวมวงเงินที่ธนาคารได้ให้การช่วยเหลือลูกค้าไปแล้วทั้งสิ้น 595,986 ล้านบาท จํานวนลูกค้า 171,727 ราย โดยมาตรการที่ได้ดําเนินไป ลูกค้าที่ได้ประโยชน์มากที่สุด เป็นลูกค้าบุคคล ลูกค้าธุรกิจรายย่อย และลูกค้าขนาดกลาง หรือ SME คิดเป็นกว่า 90% ของลูกค้าทั้งหมด นอกจากนี้ ธนาคารยังได้เข้าร่วมโครงการค้ําประกันสินเชื่อ SME โดย บสย. เพื่อเสริมสภาพล่องและช่วยให้ SME ที่ขาดหลักประกันสามารถเข้าถึงเงินทุน โดยธนาคารได้ให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการ SME ในโครงการดังกล่าวไปแล้วในวงเงินรวมกว่า 10,636 ล้านบาท
สําหรับ 5 มาตรการของธนาคาร ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 ลูกค้าสินเชื่อบุคคล และลูกค้าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ที่วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท พักชําระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 4 เดือน ลดดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี จากสัญญากู้เดิม 4 เดือน มาตรการที่ 2 ลูกค้าบุคคลและลูกค้าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ที่มีเอกสารแสดงรายได้ลดลง พักชําระเงินต้น (ชําระเฉพาะดอกเบี้ย) 6 เดือน ลดดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี จากสัญญากู้เดิม 6 เดือน มาตรการที่ 3 ลูกค้าธุรกิจที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 100 ล้านบาท พักชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนอัตโนมัติ มาตรการที่ 4 ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางขึ้นไป ที่มีเอกสารแสดงรายได้ลดลง พักชําระหนี้เงินต้นวงเงินสินเชื่อระยะยาว (Term Loan) สูงสุด 12 เดือน ขยายระยะเวลาชําระหนี้สําหรับตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อเพื่อการค้าต่างประเทศ สูงสุด 6 เดือน มาตรการที่ 5 ลูกค้าธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท สนับสนุนสินเชื่อ Soft Loan วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ 31 ธันวาคม 2562 ระยะเวลากู้สูงสุด 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 2% ต่อปี พักชําระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน ไม่ต้องชําระดอกเบี้ย 6 เดือนแรก
ทางด้านบุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการและพนักงานราชการที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการรักษาและควบคุมการระบาดของโควิด-19 ธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้ด้านสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทั้งในส่วนที่เป็นวงเงินเดิม และผู้ที่ประสงค์จะขอสินเชื่อใหม่ เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจ เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจากสัญญาเดิม พักชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย รวมทั้งคิดอัตราดอกเบี้ยต่ําพิเศษในส่วนของสินเชื่อใหม่อีกด้วย
“นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ต่อยอดจาก 5 มาตรการดังกล่าว โดยให้สินเชื่อเราไม่ทิ้งกันกับธุรกิจรายย่อย รวมทั้งลูกค้าธุรกิจขนาดกลาง หรือ SME เพื่อเพิ่มศักยภาพการดําเนินธุรกิจ และปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับวิถีใหม่ หรือ New Normal โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทําธุรกิจบนโลกออนไลน์ เพื่อช่วยยกระดับลูกค้า SME เข้าสู่ธุรกิจในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง อีกทั้งธนาคารได้พัฒนานวัตกรรมทางการเงิน เพื่อเชื่อมโยง 5 Ecosystems หลักของธนาคาร ได้แก่ กลุ่มการชําระเงิน กลุ่มการรักษาพยาบาลและสุขภาพ กลุ่มสถาบันการศึกษาและนักเรียน กลุ่มระบบขนส่ง และกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ ด้วยยุทธศาสตร์การต่อยอดธุรกิจจากคู่ค้าของลูกค้า หรือ X2G2X โดยเริ่มต้นจาก G (Government) ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของธนาคาร เชื่อมโยงไปสู่ภาคธุรกิจที่เป็นคู่ค้าของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นศูนย์กระจายสินค้า วิสาหกิจชุมชน ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม และธุรกิจอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับต้นทางการผลิตได้ด้วยระบบเทคโนโลยีดิจิทัล ”
นายผยง ศรีวณิช กล่าวต่อไปว่า ธนาคารยังได้จัดแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน เพื่อช่วยให้ร้านอาหารข้างทางที่เรารัก ยังคงมีรายได้เหมือนเดิมต่อไป สามารถอยู่รอดและผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19ไปด้วยกัน ซึ่งมีการรีวิวร้านอาหารข้างทางในโซเชียลมีเดียไปแล้วมากกว่า 10,000 ร้านค้า และเป็น Hashtag ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ทาง Facebook Instagram รวมทั้งยังติด Trend Twitter อันดับ 1 อย่างรวดเร็ว ในวันที่ 27 เมษายน วันที่ 11 และ 12 พฤษภาคม 2563 มี Mention มากกว่า 300,000 ครั้ง และมีผู้เข้ามา Engagement กว่า 1 ล้านครั้ง
ทั้งนี้ ธนาคารยังได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเราไม่ทิ้งกัน โดยร่วมพัฒนาและสนับสนุนแพลตฟอร์ม รวมทั้งระบบประมวลผลของเว็บไซต์เราไม่ทิ้งกัน เพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยา 5,000 บาท (3 เดือน) รวมทั้งส่งพนักงานทั่วประเทศ จํานวน 6,500 คน เข้าร่วมทําหน้าที่ผู้พิทักษ์ ช่วยประชาชนยืนยันสิทธิ์ ตลอดจนให้สาขาทั่วประเทศ เป็นจุดบริการในการให้ความช่วยเหลือตอบคําถาม ดําเนินการแก้ไขข้อมูลของผู้ขอเยียวยา ตลอดจนเป็นจุดร้องเรียนของผู้ขอทบทวนสิทธิ์ กรณีลงทะเบียนไม่สําเร็จ หรือไม่ได้สิทธิ์ ทําให้ขณะนี้มีประชาชนได้รับเงินเยียวยาจากกระทรวงการคลังไปแล้ว 15 ล้านคน ซึ่งธนาคารกรุงไทย ยังคงยืนหยัดเคียงข้าง และร่วมกับภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ในการดูแลลูกค้าและประชาชน เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน รวมทั้งร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- กรุงไทยกลไกหลักช่วยลูกค้าประชาชนฝ่าวิกฤติ ร่วมขับเคลื่อนเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้า [กระทรวงการคลัง]
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
กรุงไทยกลไกหลักช่วยลูกค้าประชาชนฝ่าวิกฤติ ร่วมขับเคลื่อนเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้า [กระทรวงการคลัง]
ธ.กรุงไทยช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถเดินหน้าด้วย 5 มาตรการเยียวยา โดยลูกค้าบุคคล ลูกค้ารายย่อย และ SME ได้รับความช่วยเหลือมากที่สุด ออกแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน ช่วยร้านอาหารรายเล็กๆสามารถอยู่รอด
ธนาคารกรุงไทย ช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถเดินหน้าด้วย 5 มาตรการเยียวยา โดยลูกค้าบุคคล ลูกค้ารายย่อย และ SME ได้รับความช่วยเหลือมากที่สุด ออกแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน ช่วยร้านอาหารรายเล็กๆสามารถอยู่รอด ออกแบบเว็บไซต์เราไม่ทิ้งกัน รวมทั้งให้พนักงานทั่วประเทศ 6,500 คน ลงพื้นที่ยืนยันสิทธิ์ให้กับประชาชน ช่วยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้รับการเยียวยาแล้ว 15 ล้านคน
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ธนาคารในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาครัฐเร่งให้ความช่วยเหลือลูกค้าด้วยมาตรการต่างๆอย่างเต็มที่ ทั้งมาตรการของกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และของธนาคารเอง รวมทั้งสิ้น 5 มาตรการ เพื่อเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ให้สามารถเดินหน้าและดําเนินธุรกิจต่อไปได้ ได้ให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ติดตามลูกค้าอย่างใกล้ชิดทั่วประเทศ ซึ่งได้ช่วยเหลือลูกค้าผ่าน Soft Loan ธนาคารออมสิน ในวงเงิน 5,058 ล้านบาท จํานวนลูกค้า 382 ราย ผ่าน Soft Loan ธนาคารแห่งประเทศไทย ในวงเงิน 10,851 ล้านบาท จํานวนลูกค้า 3,364 ราย และได้ปรับโครงสร้างหนี้ โดยการพักการชําระหนี้ รวมถึงให้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม เป็นวงเงิน 580,077 ล้านบาท จํานวนลูกค้า 167,981 ราย รวมวงเงินที่ธนาคารได้ให้การช่วยเหลือลูกค้าไปแล้วทั้งสิ้น 595,986 ล้านบาท จํานวนลูกค้า 171,727 ราย โดยมาตรการที่ได้ดําเนินไป ลูกค้าที่ได้ประโยชน์มากที่สุด เป็นลูกค้าบุคคล ลูกค้าธุรกิจรายย่อย และลูกค้าขนาดกลาง หรือ SME คิดเป็นกว่า 90% ของลูกค้าทั้งหมด นอกจากนี้ ธนาคารยังได้เข้าร่วมโครงการค้ําประกันสินเชื่อ SME โดย บสย. เพื่อเสริมสภาพล่องและช่วยให้ SME ที่ขาดหลักประกันสามารถเข้าถึงเงินทุน โดยธนาคารได้ให้สินเชื่อกับผู้ประกอบการ SME ในโครงการดังกล่าวไปแล้วในวงเงินรวมกว่า 10,636 ล้านบาท
สําหรับ 5 มาตรการของธนาคาร ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 ลูกค้าสินเชื่อบุคคล และลูกค้าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ที่วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท พักชําระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 4 เดือน ลดดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี จากสัญญากู้เดิม 4 เดือน มาตรการที่ 2 ลูกค้าบุคคลและลูกค้าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ที่มีเอกสารแสดงรายได้ลดลง พักชําระเงินต้น (ชําระเฉพาะดอกเบี้ย) 6 เดือน ลดดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี จากสัญญากู้เดิม 6 เดือน มาตรการที่ 3 ลูกค้าธุรกิจที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 100 ล้านบาท พักชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนอัตโนมัติ มาตรการที่ 4 ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางขึ้นไป ที่มีเอกสารแสดงรายได้ลดลง พักชําระหนี้เงินต้นวงเงินสินเชื่อระยะยาว (Term Loan) สูงสุด 12 เดือน ขยายระยะเวลาชําระหนี้สําหรับตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อเพื่อการค้าต่างประเทศ สูงสุด 6 เดือน มาตรการที่ 5 ลูกค้าธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท สนับสนุนสินเชื่อ Soft Loan วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ 31 ธันวาคม 2562 ระยะเวลากู้สูงสุด 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 2 ปีแรก 2% ต่อปี พักชําระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน ไม่ต้องชําระดอกเบี้ย 6 เดือนแรก
ทางด้านบุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการและพนักงานราชการที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีบทบาทสําคัญในการรักษาและควบคุมการระบาดของโควิด-19 ธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้ด้านสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทั้งในส่วนที่เป็นวงเงินเดิม และผู้ที่ประสงค์จะขอสินเชื่อใหม่ เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจ เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจากสัญญาเดิม พักชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย รวมทั้งคิดอัตราดอกเบี้ยต่ําพิเศษในส่วนของสินเชื่อใหม่อีกด้วย
“นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ต่อยอดจาก 5 มาตรการดังกล่าว โดยให้สินเชื่อเราไม่ทิ้งกันกับธุรกิจรายย่อย รวมทั้งลูกค้าธุรกิจขนาดกลาง หรือ SME เพื่อเพิ่มศักยภาพการดําเนินธุรกิจ และปรับธุรกิจให้สอดคล้องกับวิถีใหม่ หรือ New Normal โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทําธุรกิจบนโลกออนไลน์ เพื่อช่วยยกระดับลูกค้า SME เข้าสู่ธุรกิจในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง อีกทั้งธนาคารได้พัฒนานวัตกรรมทางการเงิน เพื่อเชื่อมโยง 5 Ecosystems หลักของธนาคาร ได้แก่ กลุ่มการชําระเงิน กลุ่มการรักษาพยาบาลและสุขภาพ กลุ่มสถาบันการศึกษาและนักเรียน กลุ่มระบบขนส่ง และกลุ่มหน่วยงานภาครัฐ ด้วยยุทธศาสตร์การต่อยอดธุรกิจจากคู่ค้าของลูกค้า หรือ X2G2X โดยเริ่มต้นจาก G (Government) ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของธนาคาร เชื่อมโยงไปสู่ภาคธุรกิจที่เป็นคู่ค้าของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นศูนย์กระจายสินค้า วิสาหกิจชุมชน ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม และธุรกิจอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกับต้นทางการผลิตได้ด้วยระบบเทคโนโลยีดิจิทัล ”
นายผยง ศรีวณิช กล่าวต่อไปว่า ธนาคารยังได้จัดแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน เพื่อช่วยให้ร้านอาหารข้างทางที่เรารัก ยังคงมีรายได้เหมือนเดิมต่อไป สามารถอยู่รอดและผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19ไปด้วยกัน ซึ่งมีการรีวิวร้านอาหารข้างทางในโซเชียลมีเดียไปแล้วมากกว่า 10,000 ร้านค้า และเป็น Hashtag ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ทาง Facebook Instagram รวมทั้งยังติด Trend Twitter อันดับ 1 อย่างรวดเร็ว ในวันที่ 27 เมษายน วันที่ 11 และ 12 พฤษภาคม 2563 มี Mention มากกว่า 300,000 ครั้ง และมีผู้เข้ามา Engagement กว่า 1 ล้านครั้ง
ทั้งนี้ ธนาคารยังได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเราไม่ทิ้งกัน โดยร่วมพัฒนาและสนับสนุนแพลตฟอร์ม รวมทั้งระบบประมวลผลของเว็บไซต์เราไม่ทิ้งกัน เพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยา 5,000 บาท (3 เดือน) รวมทั้งส่งพนักงานทั่วประเทศ จํานวน 6,500 คน เข้าร่วมทําหน้าที่ผู้พิทักษ์ ช่วยประชาชนยืนยันสิทธิ์ ตลอดจนให้สาขาทั่วประเทศ เป็นจุดบริการในการให้ความช่วยเหลือตอบคําถาม ดําเนินการแก้ไขข้อมูลของผู้ขอเยียวยา ตลอดจนเป็นจุดร้องเรียนของผู้ขอทบทวนสิทธิ์ กรณีลงทะเบียนไม่สําเร็จ หรือไม่ได้สิทธิ์ ทําให้ขณะนี้มีประชาชนได้รับเงินเยียวยาจากกระทรวงการคลังไปแล้ว 15 ล้านคน ซึ่งธนาคารกรุงไทย ยังคงยืนหยัดเคียงข้าง และร่วมกับภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง ในการดูแลลูกค้าและประชาชน เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน รวมทั้งร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31451
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 3/2560
|
วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2560
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกําหนดนโยบายการดําเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 3/2560
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกําหนดนโยบายการดําเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 3/2560
วันนี้ (3 พฤษภาคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกําหนดนโยบายการดําเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 3/2560 ซึ่งสรุปประเด็นสําคัญได้ ดังนี้
ที่ประชุมได้รับทราบแผนการดําเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท. 4.0) ปี พ.ศ. 2560 - 2564 โดยมีการดําเนินงานตามแผนแบ่งออกมาเป็น 2 ช่วง คือ
(1) แผนการดําเนินงานการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี พ.ศ. 2559 – 2560 ในช่วงเปลี่ยนผ่าน หรือระยะปฏิรูป (ตามช่วงเวลาระหว่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 ต่อเนื่องถึงฉบับที่ 12) โดยเน้นการเพิ่มจํานวนทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงสําหรับสายงานนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยที่มีฐานความรู้แน่นในเนื้อหาวิทยาศาสตร์ เพื่อเกิดการสร้างแรงจูงใจให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา สนใจเรียน และเลือกงานสายอาชีพ ในด้านวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่ยังมีความขาดแคลนและเป็นที่ต้องการของประเทศ ทั้งนี้ ยังมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาลงไปในท้องถิ่นต่าง ๆ อีกด้วย โดยตั้งเป้าหมายในการผลิตนักวิทยาศาสตร์ปีละ 180 คน
(2) แผนการดําเนินการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางเทคโนโลยี ปี พ.ศ. 2561 - 2564 (ตามช่วงเวลาดําเนินการในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12) โดยเน้นการสร้างสังคมนวัตกรรม ส่งเสริมการศึกษา STEM ผลิตกําลังคนในสาขาที่ขาดแคลน และให้บุคลากรที่ทํางานการวิจัยในภาครัฐสามารถทํางานในภาคเอกชนได้ ทั้งนี้ จะเพิ่มการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การวิจัยพัฒนา และนวัตกรรม โดยเป้าหมายหลักของ พสวท. 4.0 จะมุ่งเน้นการสร้างนักวิทยาศาสตร์พื้นฐานและวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เพื่อเป็นฐานรองรับและสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยพัฒนา และการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในเวทีโลก ซึ่งสอดรับกับวิสัยทัศน์ประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาล
จากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ปี พ.ศ. 2560 -2579 เพื่อกําหนดทิศทางการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยให้มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนากําลังคนเพื่อพัฒนาประเทศไทยเข้าสู่ Thailand 4.0 ตามที่ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง) ในฐานะประธานกรรมการ ได้มีมติมอบหมายให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานการจัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนา และส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ
ทั้งนี้ จุดประสงค์หลักของร่างดังกล่าวคือ การสรรหา การพัฒนา และการส่งเสริมผู้ที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ได้รับการพัฒนาด้านการศึกษาอย่างเต็มศักยภาพและมีความต่อเนื่อง ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงระดับการศึกษาสูงสุด ตลอดจนส่งเสริมให้มีโอกาสในการค้นคว้า วิจัย ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพสูงขึ้น นําไปสู่การเป็นนักวิจัยในระดับชั้นนําของประเทศ ซึ่งสามารถสร้างองค์ความรู้ ด้านผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรม สนองตอบความต้องการของประเทศได้อย่างแท้จริง
ตอนท้ายของการประชุม รองนายกรัฐมนตรีฝากถึงแผนงานนโยบายการดําเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่า ทุกหน่วยงานจะต้องช่วยกันสร้างกลไกและกระบวนการต่าง ๆ ให้ชัดเจน โดยให้แต่ละหน่วยงานจําเป็นต้องแบ่งงานให้ชัดเจนว่าแต่ละหน่วยงานทําหน้าที่อย่างไร และที่สําคัญต้องเขียนแผนงานและเป้าหมายของการดําเนินงานให้ชัดเจนว่าเป้าหมายที่จะเดินไปในอนาคตข้างหน้ามีอะไรบ้าง ก็เพื่อจะได้ต่อยอดความสําเร็จในปัจจุบันไปจนถึงเป้าหมายในอนาคตที่วางไว้ได้ และรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “วิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานของานวิจัยทั้งหมด”
******************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 3/2560
วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2560
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกําหนดนโยบายการดําเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 3/2560
รอง นรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกําหนดนโยบายการดําเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 3/2560
วันนี้ (3 พฤษภาคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกําหนดนโยบายการดําเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 3/2560 ซึ่งสรุปประเด็นสําคัญได้ ดังนี้
ที่ประชุมได้รับทราบแผนการดําเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท. 4.0) ปี พ.ศ. 2560 - 2564 โดยมีการดําเนินงานตามแผนแบ่งออกมาเป็น 2 ช่วง คือ
(1) แผนการดําเนินงานการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี พ.ศ. 2559 – 2560 ในช่วงเปลี่ยนผ่าน หรือระยะปฏิรูป (ตามช่วงเวลาระหว่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 ต่อเนื่องถึงฉบับที่ 12) โดยเน้นการเพิ่มจํานวนทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพสูงสําหรับสายงานนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยที่มีฐานความรู้แน่นในเนื้อหาวิทยาศาสตร์ เพื่อเกิดการสร้างแรงจูงใจให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา สนใจเรียน และเลือกงานสายอาชีพ ในด้านวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในสาขาที่ยังมีความขาดแคลนและเป็นที่ต้องการของประเทศ ทั้งนี้ ยังมีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาลงไปในท้องถิ่นต่าง ๆ อีกด้วย โดยตั้งเป้าหมายในการผลิตนักวิทยาศาสตร์ปีละ 180 คน
(2) แผนการดําเนินการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางเทคโนโลยี ปี พ.ศ. 2561 - 2564 (ตามช่วงเวลาดําเนินการในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12) โดยเน้นการสร้างสังคมนวัตกรรม ส่งเสริมการศึกษา STEM ผลิตกําลังคนในสาขาที่ขาดแคลน และให้บุคลากรที่ทํางานการวิจัยในภาครัฐสามารถทํางานในภาคเอกชนได้ ทั้งนี้ จะเพิ่มการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การวิจัยพัฒนา และนวัตกรรม โดยเป้าหมายหลักของ พสวท. 4.0 จะมุ่งเน้นการสร้างนักวิทยาศาสตร์พื้นฐานและวิทยาศาสตร์ประยุกต์ เพื่อเป็นฐานรองรับและสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยพัฒนา และการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในเวทีโลก ซึ่งสอดรับกับวิสัยทัศน์ประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาล
จากนั้น ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ปี พ.ศ. 2560 -2579 เพื่อกําหนดทิศทางการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยให้มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนากําลังคนเพื่อพัฒนาประเทศไทยเข้าสู่ Thailand 4.0 ตามที่ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอกประจิน จั่นตอง) ในฐานะประธานกรรมการ ได้มีมติมอบหมายให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานการจัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนา และส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ
ทั้งนี้ จุดประสงค์หลักของร่างดังกล่าวคือ การสรรหา การพัฒนา และการส่งเสริมผู้ที่มีความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ได้รับการพัฒนาด้านการศึกษาอย่างเต็มศักยภาพและมีความต่อเนื่อง ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงระดับการศึกษาสูงสุด ตลอดจนส่งเสริมให้มีโอกาสในการค้นคว้า วิจัย ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองให้มีศักยภาพสูงขึ้น นําไปสู่การเป็นนักวิจัยในระดับชั้นนําของประเทศ ซึ่งสามารถสร้างองค์ความรู้ ด้านผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรม สนองตอบความต้องการของประเทศได้อย่างแท้จริง
ตอนท้ายของการประชุม รองนายกรัฐมนตรีฝากถึงแผนงานนโยบายการดําเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่า ทุกหน่วยงานจะต้องช่วยกันสร้างกลไกและกระบวนการต่าง ๆ ให้ชัดเจน โดยให้แต่ละหน่วยงานจําเป็นต้องแบ่งงานให้ชัดเจนว่าแต่ละหน่วยงานทําหน้าที่อย่างไร และที่สําคัญต้องเขียนแผนงานและเป้าหมายของการดําเนินงานให้ชัดเจนว่าเป้าหมายที่จะเดินไปในอนาคตข้างหน้ามีอะไรบ้าง ก็เพื่อจะได้ต่อยอดความสําเร็จในปัจจุบันไปจนถึงเป้าหมายในอนาคตที่วางไว้ได้ และรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “วิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานของานวิจัยทั้งหมด”
******************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3486
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เผย บอร์ดดีอี ผ่านฉลุยร่างแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)
|
วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2561
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เผย บอร์ดดีอี ผ่านฉลุยร่างแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 28.4px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p4 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 28.4px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p5 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: right; text-indent: 28.4px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p6 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
span.s2 {font: 11.0px Helvetica; font-kerning: none}
span.Apple-tab-span {white-space:pre}
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เผย บอร์ดดีอี ผ่านฉลุยร่างแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) เร่งขับเคลื่อนภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์ ก่อนนําเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติประกาศใช้เป็นนโยบายและแผนระดับชาติต่อไป เดินหน้าเห็นชอบร่างข้อเสนอการใช้โครงข่ายโทรคมนาคม ภายใต้โครงการเน็ตประชารัฐ รวมถึงให้เชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐกับโครงการของภาครัฐอื่นๆ ได้เพื่อประโยชน์ของประชาชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่งผลดีขยายพื้นที่ให้บริการประชาชนเพิ่มต่อเนื่องจากเน็ตประชารัฐ และเกิดธุรกิจชุมชนระดับท้องถิ่น เป็นการกระจายรายได้ ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้กับทุกพื้นที่ชุมชนทั่วประเทศ
นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผย ภายหลังการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561 ในวันนี้ (11 ตุลาคม 2561) ซึ่งมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานฯ ได้มีการพิจารณาประเด็นต่างๆ ดังนี้ โดยในที่ประชุมเห็นชอบร่างแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 ก่อนประกาศใช้เป็นนโยบายและแผนระดับชาติ ซึ่งนโยบายดังกล่าวมีผลต่อการใช้จ่ายเงินของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากขณะนี้ยังไม่สามารถนําเงินมาใช้ได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนา และให้มีความเชื่อมโยงกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อจากนี้จะได้มีการนําแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลไปปฏิบัติได้โดยสมบูรณ์ต่อไป
“เชื่อว่าเมื่อประกาศใช้นโยบายและแผนระดับชาติจะทําให้ไทยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภายใต้แผนพัฒนาดังกล่าว โดยการขับเคลื่อนใน 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เศรษฐกิจดิจิทัล สังคมดิจิทัล รัฐบาลดิจิทัล บุคลากรดิจิทัล และความเชื่อมั่น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันดําเนินงานและเร่งผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไป”
สําหรับโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศ หรือโครงการเน็ตประชารัฐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ดําเนินการติดตั้งโครงข่ายเน็ตประชารัฐครอบคลุมหมู่บ้านทั่วประเทศ ที่ประชุมเห็นชอบให้ จัดทํา (ร่าง) ข้อเสนอการใช้โครงข่ายโทรคมนาคม (Reference Access Offer: RAO) ตามหลักเกณฑ์โครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ในการใช้งานโครงข่ายเน็ตประชารัฐที่ครอบคลุม ๒๔,๗๐๐ หมู่บ้านเป้าหมาย เพื่อให้ผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคม ได้ทราบเงื่อนไขและแนวทางปฏิบัติในการเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐที่ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลดี เป็นการเปิดให้ผู้ให้บริการรายอื่น หรือรายย่อยในท้องถิ่น ร่วมให้บริการในต้นทุนที่ราคาถูก รวมถึงประชาชนมีโอกาสเข้าใช้บริการได้ในราคาเหมาะสมและเป็นเป็นธรรม ซึ่งรัฐบาลมีความประสงค์ให้เกิดประโยชน์โดยเร็ว เพื่อให้เกิดการให้บริการกับท้องถิ่นชุมชนอย่างกว้างขวาง ตลอดจนให้เกิดธุรกิจท้องถิ่น เพื่อเป็นการกระจายรายได้อย่างต่อเนื่อง และเริ่มต่อยอดให้ร้านค้าโชห่วย สามารถพัฒนาต่อไปได้
และโครงการเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตในโครงการเน็ตชายขอบ ที่ประชุมมีมติ เห็นชอบให้เชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐกับโครงการภาครัฐได้ โดยผู้รับจ้างทุกรายดําเนินโครงการภาครัฐสามารถเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐได้ โดยยกเว้นให้ไม่ต้องเปิดโครงข่ายของตนเพื่อให้เชื่อมต่อ ทั้งนี้ มีเงื่อนไขว่าทรัพย์สินโครงข่ายที่สร้างขึ้นจะต้องเป็นทรัพย์สินของรัฐ โดยต้องไม่คิดค่าใช้จ่ายในส่วนที่สามารถประหยัดได้ สําหรับกรณีอื่น ๆ ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ โครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) สอดคล้องกับนโยบายที่จะนําพาประเทศไทยก้าวสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ด้วยการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจรากฐานของประเทศให้เข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ส่วนการเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ต
ในส่วนเรื่องการจัดระเบียบสายสื่อสารและโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ได้มอบหมายให้สํานักงาน กสทช. ดําเนินการรวบรวมข้อมูล และจัดทําฐานข้อมูลด้านสายสื่อสาร และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลฯ จัดตั้งคณะทํางานเพื่อจัดทําแผนแม่บท (Master plan) การจัดระเบียบสายสื่อสารและโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในภาพรวม เพื่อแก้ปัญหาทรรศนะอุจาด ที่เกิดขึ้น
และเรื่องข้อเสนอแนวทางการสร้างท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบในหลักการของแนวทางดังกล่าว และมอบให้คณะกรรมการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเร่งรัดจัดประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นวาระเร่งด่วนพิเศษ ให้แล้วเสร็จภายใน 3 สัปดาห์ เพื่อพิจารณาในรายละเอียดของแนวทางการสร้างท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน และนําผลเข้าที่ประชุมบอร์ดดีอี ครั้งต่อไปภายในเดือน พ.ย. 61
สุดท้ายที่ประชุมได้ พิจารณาประเด็นคลื่นความถี่สําหรับระบบโทรคมนาคมขนส่งทางราง จากการที่ สํานักงาน กสทช.ศึกษาแนวทางการใช้คลื่นความถี่สําหรับ ระบบคมนาคมขนส่งทางรางในย่านความถี่ 800/900 MHz และ 400 MHz แต่เนื่องจากการใช้คลื่นความถี่ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อการดําเนินการระบบคมนาคมขนส่งทางรางตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงกระทบต่อคลื่นความถี่ที่นําไปใช้ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ที่ประชุมจึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปศึกษาหาความเหมาะสมของคลื่นความถี่อื่น ๆ เพิ่มเติม นอกเหนือจากย่านความถี่ดังกล่าว
******************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เผย บอร์ดดีอี ผ่านฉลุยร่างแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)
วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2561
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เผย บอร์ดดีอี ผ่านฉลุยร่างแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 28.4px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p4 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 28.4px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p5 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: right; text-indent: 28.4px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p6 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
span.s2 {font: 11.0px Helvetica; font-kerning: none}
span.Apple-tab-span {white-space:pre}
รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เผย บอร์ดดีอี ผ่านฉลุยร่างแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) เร่งขับเคลื่อนภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์ ก่อนนําเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติประกาศใช้เป็นนโยบายและแผนระดับชาติต่อไป เดินหน้าเห็นชอบร่างข้อเสนอการใช้โครงข่ายโทรคมนาคม ภายใต้โครงการเน็ตประชารัฐ รวมถึงให้เชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐกับโครงการของภาครัฐอื่นๆ ได้เพื่อประโยชน์ของประชาชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ส่งผลดีขยายพื้นที่ให้บริการประชาชนเพิ่มต่อเนื่องจากเน็ตประชารัฐ และเกิดธุรกิจชุมชนระดับท้องถิ่น เป็นการกระจายรายได้ ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้กับทุกพื้นที่ชุมชนทั่วประเทศ
นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผย ภายหลังการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2561 ในวันนี้ (11 ตุลาคม 2561) ซึ่งมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานฯ ได้มีการพิจารณาประเด็นต่างๆ ดังนี้ โดยในที่ประชุมเห็นชอบร่างแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 ก่อนประกาศใช้เป็นนโยบายและแผนระดับชาติ ซึ่งนโยบายดังกล่าวมีผลต่อการใช้จ่ายเงินของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เนื่องจากขณะนี้ยังไม่สามารถนําเงินมาใช้ได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนา และให้มีความเชื่อมโยงกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อจากนี้จะได้มีการนําแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลไปปฏิบัติได้โดยสมบูรณ์ต่อไป
“เชื่อว่าเมื่อประกาศใช้นโยบายและแผนระดับชาติจะทําให้ไทยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภายใต้แผนพัฒนาดังกล่าว โดยการขับเคลื่อนใน 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เศรษฐกิจดิจิทัล สังคมดิจิทัล รัฐบาลดิจิทัล บุคลากรดิจิทัล และความเชื่อมั่น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องร่วมกันดําเนินงานและเร่งผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่อไป”
สําหรับโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของประเทศ หรือโครงการเน็ตประชารัฐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ดําเนินการติดตั้งโครงข่ายเน็ตประชารัฐครอบคลุมหมู่บ้านทั่วประเทศ ที่ประชุมเห็นชอบให้ จัดทํา (ร่าง) ข้อเสนอการใช้โครงข่ายโทรคมนาคม (Reference Access Offer: RAO) ตามหลักเกณฑ์โครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) ในการใช้งานโครงข่ายเน็ตประชารัฐที่ครอบคลุม ๒๔,๗๐๐ หมู่บ้านเป้าหมาย เพื่อให้ผู้ประกอบการกิจการโทรคมนาคม ได้ทราบเงื่อนไขและแนวทางปฏิบัติในการเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐที่ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลดี เป็นการเปิดให้ผู้ให้บริการรายอื่น หรือรายย่อยในท้องถิ่น ร่วมให้บริการในต้นทุนที่ราคาถูก รวมถึงประชาชนมีโอกาสเข้าใช้บริการได้ในราคาเหมาะสมและเป็นเป็นธรรม ซึ่งรัฐบาลมีความประสงค์ให้เกิดประโยชน์โดยเร็ว เพื่อให้เกิดการให้บริการกับท้องถิ่นชุมชนอย่างกว้างขวาง ตลอดจนให้เกิดธุรกิจท้องถิ่น เพื่อเป็นการกระจายรายได้อย่างต่อเนื่อง และเริ่มต่อยอดให้ร้านค้าโชห่วย สามารถพัฒนาต่อไปได้
และโครงการเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตในโครงการเน็ตชายขอบ ที่ประชุมมีมติ เห็นชอบให้เชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐกับโครงการภาครัฐได้ โดยผู้รับจ้างทุกรายดําเนินโครงการภาครัฐสามารถเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐได้ โดยยกเว้นให้ไม่ต้องเปิดโครงข่ายของตนเพื่อให้เชื่อมต่อ ทั้งนี้ มีเงื่อนไขว่าทรัพย์สินโครงข่ายที่สร้างขึ้นจะต้องเป็นทรัพย์สินของรัฐ โดยต้องไม่คิดค่าใช้จ่ายในส่วนที่สามารถประหยัดได้ สําหรับกรณีอื่น ๆ ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ โครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) สอดคล้องกับนโยบายที่จะนําพาประเทศไทยก้าวสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” ด้วยการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจรากฐานของประเทศให้เข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก ส่วนการเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ต
ในส่วนเรื่องการจัดระเบียบสายสื่อสารและโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ได้มอบหมายให้สํานักงาน กสทช. ดําเนินการรวบรวมข้อมูล และจัดทําฐานข้อมูลด้านสายสื่อสาร และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลฯ จัดตั้งคณะทํางานเพื่อจัดทําแผนแม่บท (Master plan) การจัดระเบียบสายสื่อสารและโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในภาพรวม เพื่อแก้ปัญหาทรรศนะอุจาด ที่เกิดขึ้น
และเรื่องข้อเสนอแนวทางการสร้างท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบในหลักการของแนวทางดังกล่าว และมอบให้คณะกรรมการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเร่งรัดจัดประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นวาระเร่งด่วนพิเศษ ให้แล้วเสร็จภายใน 3 สัปดาห์ เพื่อพิจารณาในรายละเอียดของแนวทางการสร้างท่อร้อยสายสื่อสารใต้ดิน และนําผลเข้าที่ประชุมบอร์ดดีอี ครั้งต่อไปภายในเดือน พ.ย. 61
สุดท้ายที่ประชุมได้ พิจารณาประเด็นคลื่นความถี่สําหรับระบบโทรคมนาคมขนส่งทางราง จากการที่ สํานักงาน กสทช.ศึกษาแนวทางการใช้คลื่นความถี่สําหรับ ระบบคมนาคมขนส่งทางรางในย่านความถี่ 800/900 MHz และ 400 MHz แต่เนื่องจากการใช้คลื่นความถี่ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อการดําเนินการระบบคมนาคมขนส่งทางรางตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงกระทบต่อคลื่นความถี่ที่นําไปใช้ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ที่ประชุมจึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปศึกษาหาความเหมาะสมของคลื่นความถี่อื่น ๆ เพิ่มเติม นอกเหนือจากย่านความถี่ดังกล่าว
******************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16076
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒
|
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒
สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
เรื่อง การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒
ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา
ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายสันติ พร้อมพัฒน์)
ผู้ถาม : นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้
ตามที่กระทรวงมหาดไทยขยายกําหนดเวลาการดําเนินการตาม พระราชบัญญติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเลื่อนไปเป็นภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ จากเดิมต้องเสียภาษีภายในเดือนเมษายน ๒๕๖๓ อีกทั้งมีสื่อบางฉบับลงข้อมูลว่ากฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่เอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนทําให้ประชาชนสับสน และเข้าใจผิด จึงขอเรียนถามว่าในการออกกฎหมายลําดับรองของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง ขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างไร และจะดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อใด และในการจัดประเภทที่อยู่อาศัย บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ อาคารชุด ตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ มีรูปแบบอย่างไร และซึ่งขณะนี้มีปัญหาในทางปฏิบัติมาก ทางกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง มีแนวทางในการแก้ปัญหาให้มีความถูกต้องและชัดเจนอย่างไร นอกจากนี้ขอเสนอแนะให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย ประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรูปแบบใหม่
ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายสันติ พร้อมพัฒน์) ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า มีกฎหมายลําดับรองทั้งหมด ๑๘ ฉบับ โดยกระทรวงการคลังรับผิดชอบ ๗ ฉบับ มท. รับผิดชอบ ๖ ฉบับ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ส่วนที่ทั้งสองกระทรวงรับผิดชอบร่วมกัน ๕ ฉบับนั้น ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ๓ ฉบับ และได้มีการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อทําความเข้าใจก่อนประกาศราชกิจจานุเบกษา จึงพร้อมจัดเก็บภาษีที่ดินตามระยะเวลาที่กําหนดไว้ นอกจากนี้กฎหมายลําดับรองที่ประกาศแล้วมีความครอบคลุม และลดการใช้ดุลพินิจเจ้าหน้าที่โดยให้กรมธนารักษ์เป็นผู้ประเมินราคาที่ดิน และท้องถิ่นนําราคาประเมินตั้งเป็นราคากลาง โดยรูปแบบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะต้องเสียภาษีที่ดินจะแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ดังนี้ คือ (๑) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ประกอบเกษตรกรรม จะคิดอัตราภาษี ร้อยละ ๐.๐๑ – ๐.๑ (๒) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่อยู่อาศัย จะคิดอัตราภาษี ร้อยละ ๐.๐๒ – ๐.๑ (๓) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อื่นนอกจาก (๑) และ (๒) จะคิดอัตราภาษี ร้อยละ ๐.๓ – ๐.๗ (๔) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งว่างเปล่า หรือไม่ได้ทําประโยชน์ตามควรแก่สภาพ จะคิดอัตราภาษี ร้อยละ ๐.๓ และถ้าปล่อยพื้นที่ทิ้งร้างต่อไป อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้น ๐.๓ ทุก ๓ ปี
ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้
ภาษีโรงเรือนและที่ดินในอดีตเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้วิจารณญาณในการเก็บจนเกิดการประพฤติมิชอบและภาษีบํารุงท้องที่ก็ใช้อัตราราคากลางในปี ๒๕๒๑ – ๒๕๒๔ โดยท้องถิ่นเป็นผู้ประเมินแต่กฎหมายใหม่ให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้แจ้งราคา และให้เจ้าของที่ดินที่ไม่เห็นด้วย ทําการคัดค้านส่วนกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องยกเลิกไปหมดแล้ว และกฎหมายใหม่ก็รองรับประเด็น ปัญหาได้ทั้งหมด สําหรับการขยายเวลาการบังคับใช้นั้น ท้องถิ่นต้องสํารวจให้แล้วเสร็จในเดือนมีนาคม ประกาศราคาประเมินในเดือนพฤษภาคม และแจ้งเจ้าของที่ดินในเดือนมิถุนายน ซึ่งเจ้าของที่ดินสามารถคัดค้านและฟ้องศาลได้ โดยระหว่างฟ้องสามารถทุเลาการจ่ายภาษีได้ นอกจากนี้กฎหมายใหม่ไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อนายทุน แต่กฎหมายต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยไม่มีภาระทํางภาษี โดยที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะได้รับการยกเว้นใน ๓ ปีแรก ส่วนที่ดินที่เป็นที่อยู่อาศัยจะเริ่มเก็บที่มูลค่า ๕๐ ล้านบาทขึ้นไป ทั้งยังมีกฎหมายอีกหลายฉบับเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และยืนยันว่าไม่สามารถกลับไปใช้กฎหมาย เดิมได้จะให้เจ้ําหน้ําที่เร่งดําเนินการ และเริ่มจัดเก็บในเดือนสิงหาคม โดยจะมีการปรับอัตราจัดเก็บใหม่ ในปี ๒๕๖๕ รวมทั้งจะสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้กับประชาชน
(โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒
สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
เรื่อง การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตาม พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒
ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา
ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายสันติ พร้อมพัฒน์)
ผู้ถาม : นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้
ตามที่กระทรวงมหาดไทยขยายกําหนดเวลาการดําเนินการตาม พระราชบัญญติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเลื่อนไปเป็นภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ จากเดิมต้องเสียภาษีภายในเดือนเมษายน ๒๕๖๓ อีกทั้งมีสื่อบางฉบับลงข้อมูลว่ากฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่เอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนทําให้ประชาชนสับสน และเข้าใจผิด จึงขอเรียนถามว่าในการออกกฎหมายลําดับรองของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง ขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างไร และจะดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อใด และในการจัดประเภทที่อยู่อาศัย บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ อาคารชุด ตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ มีรูปแบบอย่างไร และซึ่งขณะนี้มีปัญหาในทางปฏิบัติมาก ทางกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง มีแนวทางในการแก้ปัญหาให้มีความถูกต้องและชัดเจนอย่างไร นอกจากนี้ขอเสนอแนะให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย ประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับประชาชนในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรูปแบบใหม่
ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายสันติ พร้อมพัฒน์) ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า มีกฎหมายลําดับรองทั้งหมด ๑๘ ฉบับ โดยกระทรวงการคลังรับผิดชอบ ๗ ฉบับ มท. รับผิดชอบ ๖ ฉบับ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ส่วนที่ทั้งสองกระทรวงรับผิดชอบร่วมกัน ๕ ฉบับนั้น ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ๓ ฉบับ และได้มีการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเพื่อทําความเข้าใจก่อนประกาศราชกิจจานุเบกษา จึงพร้อมจัดเก็บภาษีที่ดินตามระยะเวลาที่กําหนดไว้ นอกจากนี้กฎหมายลําดับรองที่ประกาศแล้วมีความครอบคลุม และลดการใช้ดุลพินิจเจ้าหน้าที่โดยให้กรมธนารักษ์เป็นผู้ประเมินราคาที่ดิน และท้องถิ่นนําราคาประเมินตั้งเป็นราคากลาง โดยรูปแบบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะต้องเสียภาษีที่ดินจะแบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ดังนี้ คือ (๑) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ประกอบเกษตรกรรม จะคิดอัตราภาษี ร้อยละ ๐.๐๑ – ๐.๑ (๒) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่เป็นที่อยู่อาศัย จะคิดอัตราภาษี ร้อยละ ๐.๐๒ – ๐.๑ (๓) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์อื่นนอกจาก (๑) และ (๒) จะคิดอัตราภาษี ร้อยละ ๐.๓ – ๐.๗ (๔) ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งว่างเปล่า หรือไม่ได้ทําประโยชน์ตามควรแก่สภาพ จะคิดอัตราภาษี ร้อยละ ๐.๓ และถ้าปล่อยพื้นที่ทิ้งร้างต่อไป อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้น ๐.๓ ทุก ๓ ปี
ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้
ภาษีโรงเรือนและที่ดินในอดีตเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้วิจารณญาณในการเก็บจนเกิดการประพฤติมิชอบและภาษีบํารุงท้องที่ก็ใช้อัตราราคากลางในปี ๒๕๒๑ – ๒๕๒๔ โดยท้องถิ่นเป็นผู้ประเมินแต่กฎหมายใหม่ให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้แจ้งราคา และให้เจ้าของที่ดินที่ไม่เห็นด้วย ทําการคัดค้านส่วนกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องยกเลิกไปหมดแล้ว และกฎหมายใหม่ก็รองรับประเด็น ปัญหาได้ทั้งหมด สําหรับการขยายเวลาการบังคับใช้นั้น ท้องถิ่นต้องสํารวจให้แล้วเสร็จในเดือนมีนาคม ประกาศราคาประเมินในเดือนพฤษภาคม และแจ้งเจ้าของที่ดินในเดือนมิถุนายน ซึ่งเจ้าของที่ดินสามารถคัดค้านและฟ้องศาลได้ โดยระหว่างฟ้องสามารถทุเลาการจ่ายภาษีได้ นอกจากนี้กฎหมายใหม่ไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อนายทุน แต่กฎหมายต้องการให้ผู้มีรายได้น้อยไม่มีภาระทํางภาษี โดยที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะได้รับการยกเว้นใน ๓ ปีแรก ส่วนที่ดินที่เป็นที่อยู่อาศัยจะเริ่มเก็บที่มูลค่า ๕๐ ล้านบาทขึ้นไป ทั้งยังมีกฎหมายอีกหลายฉบับเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และยืนยันว่าไม่สามารถกลับไปใช้กฎหมาย เดิมได้จะให้เจ้ําหน้ําที่เร่งดําเนินการ และเริ่มจัดเก็บในเดือนสิงหาคม โดยจะมีการปรับอัตราจัดเก็บใหม่ ในปี ๒๕๖๕ รวมทั้งจะสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้กับประชาชน
(โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32985
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยขานรับชิมช้อปใช้เฟส3 เตรียมพร้อมจัดชิงโชคทุก1พันบาทรับ1สิทธิ์ลุ้นรับทองคำ
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2562
กรุงไทยขานรับชิมช้อปใช้เฟส3 เตรียมพร้อมจัดชิงโชคทุก1พันบาทรับ1สิทธิ์ลุ้นรับทองคํา
กรุงไทยลุยชิมช้อปใช้เฟส 3 ดึงเครือโรงแรมดังทั่วประเทศร่วมโครงการ ศรีพันวา เครือเอดับบลิวซี เซ็นทารา แอคคอร์ ดุสิต ไฮแอท ไอเอสจี แมริออท โรงแรมบูติค และร้านอาหารชื่อดัง เพื่อรองรับทุกกลุ่มลูกค้า กระตุ้นใช้จ่ายผ่าน G-Wallet 2
กรุงไทยลุยชิมช้อปใช้เฟส 3 ดึงเครือโรงแรมดังทั่วประเทศร่วมโครงการ ศรีพันวา เครือเอดับบลิวซี เซ็นทารา แอคคอร์ ดุสิต ไฮแอท ไอเอสจี แมริออท โรงแรมบูติค และร้านอาหารชื่อดัง เพื่อรองรับทุกกลุ่มลูกค้า กระตุ้นใช้จ่ายผ่าน G-Wallet 2 และเตรียมความพร้อมจัดโครงการชิมช้อปใช้ชิงโชค มีสิทธิลุ้นรับรางวัลทองคําทั้งร้านค้าถุงเงินและผู้รับสิทธิใช้จ่ายผ่านกระเป๋า 2 จับรางวัลทุกสัปดาห์ ตลอดโครงการถึงวันที่ 31 มกราคม 2563
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี ที่มีมติเห็นชอบมาตรการ “ชิมช้อปใช้ “ เฟส3 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนท่องเที่ยวในประเทศ อีกจํานวน 2 ล้านคน แบ่งเป็นประชาชนทั่วไป 1.5 ล้านคน และผู้สูงอายุที่ครบ 60 ปีแล้ว 5 แสนคน เปิดลงทะเบียนในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป วันละ 750,000 คน โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือรอบเวลา 6.00 น. และ 18.00 น. รอบละ 375,000 คน และผู้สูงอายุที่ครบ 60 ปี เปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 จํานวน 500,000 คน ตั้งแต่เวลา 8.00 น.เป็นต้นไป จนกว่าจะครบตามสิทธิ โดยผู้รับสิทธิในเฟส 3 จะได้รับสิทธิเฉพาะการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 2 เท่านั้น และมีการขยายมาตรการเพิ่มเติม โดยผู้ที่ได้รับสิทธิในเฟส 1-3 สามารถใช้จ่ายได้ทุกจังหวัด พร้อมขยายระยะเวลาการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet2 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2563
ธนาคารกรุงไทย มีความมั่นใจในระบบการลงทะเบียนผ่าน www. ชิมช้อปใช้ .com รวมทั้งแอปพลิเคชั่นทั้งถุงเงินและเป๋าตัง สามารถรองรับการทําธุรกรรมของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปัจจุบันมีร้านค้า โรงแรมเข้าร่วมโครงการ มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับสิทธิ์ได้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะโรงแรมในเครือดังระดับ 5 ดาว เข้าร่วมโครงการเป็นจํานวนมาก เช่น เครือโรงแรมเซ็นทารา ศรีพันวา เอดับบลิวซี แอคคอร์ ดุสิต ชาเทรียม ไฮแอท ไอเอชจี แมริออท อินเตอร์คอนดิเนียลตัล ใบหยก โรงแรมบูติค และรีสอร์ตอื่นๆ ทั่วประเทศกว่า 4,600 แห่ง รวมทั้งร้านอาหารชื่อดังที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้รับสิทธิเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทย เตรียมความพร้อมในการจัดโครงการชิมช้อปใช้ชิงโชค ลุ้นรับทองคํา ตลอดโครงการถึงวันที่ 31 มกราคม 2563 สําหรับผู้รับสิทธิที่ใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 2 และร้านค้าถุงเงิน โดยการจับรางวัลแบ่งเป็น ผู้รับสิทธิที่ใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G - Wallet 2 ทุกๆ 1,000 บาท ได้รับ 1 สิทธิ์ และร้านถุงเงิน 1 ใบสลิป จะได้รับ 1 สิทธิ
ส่วนขั้นตอนการเติมเงินในกระเป๋า G-Wallet 2 ง่าย ไม่ซับซ้อน และสะดวกรวดเร็ว โดยเติมเงินผ่านการสแกน QR Code ด้วยแอปของทุกธนาคาร หรือเติมเงินผ่านตู้ ATM ของ 5 ธนาคารใหญ่ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ด้วยบัตร ATM ที่ตรงกับตู้ธนาคารนั้นๆ เมื่อมีการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 2 ในร้านค้าที่ร่วมโครงการชิมช้อปใช้ได้ทุกจังหวัด จะได้รับสิทธิเงินคืน ยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท รับเงินคืน 15% และยอดใช้จ่ายตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท รับเงินคืน 20% รวมเงินคืนสูงสุด 8,500 บาท
วิธีการชําระเงินเพื่อรับสิทธิเงินคืน เข้าแอปเป๋าตัง เพียงกดที่เมนูใช้สิทธิรับเงินคืน15-20% และเลือกใช้จ่ายร้านค้าถุงเงิน หลังได้ QR Code ให้ร้านค้าใช้แอปถุงเงินสแกน ผู้รับสิทธิตรวจสอบยอดเงินที่ต้องชําระ และกดยืนยันการชําระเงิน ในส่วนการรับเงินคืนจะคืนมี 2 รอบ รอบแรกสําหรับการใช้จ่ายตั้งแต่ วันที่ 27 กันยายน - 30 พฤศจิกายน 2562 จะได้รับเงินคืนภายในกลางเดือนธันวาคม 2562 และ รอบที่ 2 การใช้จ่ายในช่วงระหว่างวันที่ 1-31 ธันวาคม 2562 จะได้รับเงินคืนภายในกลางเดือนมกราคม 2563 โดยลูกค้าสามารถโอนเงินกลับเข้าบัญชีธนาคารของตนเองได้
มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ชิมช้อปใช้ มีเป้าหมายให้ประชาชนที่ได้รับสิทธิ นําเงินไปใช้จ่ายในจังหวัดต่างๆ เพื่อให้เงินหมุนเวียนลงไปสู่ชุมชน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากของประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล และเป็นการสร้างความเข้าใจตลอดจนเพิ่มประสบการณ์ให้ประชาชนในการชําระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดตามนโยบาย Thailand 4.0
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยขานรับชิมช้อปใช้เฟส3 เตรียมพร้อมจัดชิงโชคทุก1พันบาทรับ1สิทธิ์ลุ้นรับทองคำ
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2562
กรุงไทยขานรับชิมช้อปใช้เฟส3 เตรียมพร้อมจัดชิงโชคทุก1พันบาทรับ1สิทธิ์ลุ้นรับทองคํา
กรุงไทยลุยชิมช้อปใช้เฟส 3 ดึงเครือโรงแรมดังทั่วประเทศร่วมโครงการ ศรีพันวา เครือเอดับบลิวซี เซ็นทารา แอคคอร์ ดุสิต ไฮแอท ไอเอสจี แมริออท โรงแรมบูติค และร้านอาหารชื่อดัง เพื่อรองรับทุกกลุ่มลูกค้า กระตุ้นใช้จ่ายผ่าน G-Wallet 2
กรุงไทยลุยชิมช้อปใช้เฟส 3 ดึงเครือโรงแรมดังทั่วประเทศร่วมโครงการ ศรีพันวา เครือเอดับบลิวซี เซ็นทารา แอคคอร์ ดุสิต ไฮแอท ไอเอสจี แมริออท โรงแรมบูติค และร้านอาหารชื่อดัง เพื่อรองรับทุกกลุ่มลูกค้า กระตุ้นใช้จ่ายผ่าน G-Wallet 2 และเตรียมความพร้อมจัดโครงการชิมช้อปใช้ชิงโชค มีสิทธิลุ้นรับรางวัลทองคําทั้งร้านค้าถุงเงินและผู้รับสิทธิใช้จ่ายผ่านกระเป๋า 2 จับรางวัลทุกสัปดาห์ ตลอดโครงการถึงวันที่ 31 มกราคม 2563
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี ที่มีมติเห็นชอบมาตรการ “ชิมช้อปใช้ “ เฟส3 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนท่องเที่ยวในประเทศ อีกจํานวน 2 ล้านคน แบ่งเป็นประชาชนทั่วไป 1.5 ล้านคน และผู้สูงอายุที่ครบ 60 ปีแล้ว 5 แสนคน เปิดลงทะเบียนในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป วันละ 750,000 คน โดยแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือรอบเวลา 6.00 น. และ 18.00 น. รอบละ 375,000 คน และผู้สูงอายุที่ครบ 60 ปี เปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2562 จํานวน 500,000 คน ตั้งแต่เวลา 8.00 น.เป็นต้นไป จนกว่าจะครบตามสิทธิ โดยผู้รับสิทธิในเฟส 3 จะได้รับสิทธิเฉพาะการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 2 เท่านั้น และมีการขยายมาตรการเพิ่มเติม โดยผู้ที่ได้รับสิทธิในเฟส 1-3 สามารถใช้จ่ายได้ทุกจังหวัด พร้อมขยายระยะเวลาการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet2 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2563
ธนาคารกรุงไทย มีความมั่นใจในระบบการลงทะเบียนผ่าน www. ชิมช้อปใช้ .com รวมทั้งแอปพลิเคชั่นทั้งถุงเงินและเป๋าตัง สามารถรองรับการทําธุรกรรมของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปัจจุบันมีร้านค้า โรงแรมเข้าร่วมโครงการ มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับสิทธิ์ได้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะโรงแรมในเครือดังระดับ 5 ดาว เข้าร่วมโครงการเป็นจํานวนมาก เช่น เครือโรงแรมเซ็นทารา ศรีพันวา เอดับบลิวซี แอคคอร์ ดุสิต ชาเทรียม ไฮแอท ไอเอชจี แมริออท อินเตอร์คอนดิเนียลตัล ใบหยก โรงแรมบูติค และรีสอร์ตอื่นๆ ทั่วประเทศกว่า 4,600 แห่ง รวมทั้งร้านอาหารชื่อดังที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้รับสิทธิเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทย เตรียมความพร้อมในการจัดโครงการชิมช้อปใช้ชิงโชค ลุ้นรับทองคํา ตลอดโครงการถึงวันที่ 31 มกราคม 2563 สําหรับผู้รับสิทธิที่ใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 2 และร้านค้าถุงเงิน โดยการจับรางวัลแบ่งเป็น ผู้รับสิทธิที่ใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G - Wallet 2 ทุกๆ 1,000 บาท ได้รับ 1 สิทธิ์ และร้านถุงเงิน 1 ใบสลิป จะได้รับ 1 สิทธิ
ส่วนขั้นตอนการเติมเงินในกระเป๋า G-Wallet 2 ง่าย ไม่ซับซ้อน และสะดวกรวดเร็ว โดยเติมเงินผ่านการสแกน QR Code ด้วยแอปของทุกธนาคาร หรือเติมเงินผ่านตู้ ATM ของ 5 ธนาคารใหญ่ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ด้วยบัตร ATM ที่ตรงกับตู้ธนาคารนั้นๆ เมื่อมีการใช้จ่ายผ่านกระเป๋า G-Wallet 2 ในร้านค้าที่ร่วมโครงการชิมช้อปใช้ได้ทุกจังหวัด จะได้รับสิทธิเงินคืน ยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท รับเงินคืน 15% และยอดใช้จ่ายตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท รับเงินคืน 20% รวมเงินคืนสูงสุด 8,500 บาท
วิธีการชําระเงินเพื่อรับสิทธิเงินคืน เข้าแอปเป๋าตัง เพียงกดที่เมนูใช้สิทธิรับเงินคืน15-20% และเลือกใช้จ่ายร้านค้าถุงเงิน หลังได้ QR Code ให้ร้านค้าใช้แอปถุงเงินสแกน ผู้รับสิทธิตรวจสอบยอดเงินที่ต้องชําระ และกดยืนยันการชําระเงิน ในส่วนการรับเงินคืนจะคืนมี 2 รอบ รอบแรกสําหรับการใช้จ่ายตั้งแต่ วันที่ 27 กันยายน - 30 พฤศจิกายน 2562 จะได้รับเงินคืนภายในกลางเดือนธันวาคม 2562 และ รอบที่ 2 การใช้จ่ายในช่วงระหว่างวันที่ 1-31 ธันวาคม 2562 จะได้รับเงินคืนภายในกลางเดือนมกราคม 2563 โดยลูกค้าสามารถโอนเงินกลับเข้าบัญชีธนาคารของตนเองได้
มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ ชิมช้อปใช้ มีเป้าหมายให้ประชาชนที่ได้รับสิทธิ นําเงินไปใช้จ่ายในจังหวัดต่างๆ เพื่อให้เงินหมุนเวียนลงไปสู่ชุมชน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากของประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล และเป็นการสร้างความเข้าใจตลอดจนเพิ่มประสบการณ์ให้ประชาชนในการชําระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดตามนโยบาย Thailand 4.0
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24546
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนบูรณาการการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดถึงผู้สูงอายุ
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560
พม. จัดประชุมประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนบูรณาการการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดถึงผู้สูงอายุ
พม. จัดประชุมประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนบูรณาการการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดถึงผู้สูงอายุ เพื่อยกระดับความอยู่ดีมีสุขทางสังคมสู่ “สังคมที่เดินหน้าไปด้วยกัน ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
วันนี้ (13 ก.ค. 60) เวลา 13.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่านายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนบูรณาการการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ภายใต้โครงการแผนแม่บทกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พ.ศ. 2561-2579 เพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) แผนบูรณาการดังกล่าว และนําไปปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัยให้มี ความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม จํานวน 200 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารกระทรวง พม. ผู้แทนหน่วยงานที่เป็นเลขานุการร่วมการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สํานักงบประมาณ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา บริษัท องค์กรเครือข่าย มูลนิธิ สมาคม และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ณ ห้อง Lotus Suit 5-7 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
นายไมตรีกล่าวว่า การจัดทํา (ร่าง) แผนบูรณาการการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ภายใต้โครงการแผนแม่บทกระทรวง พม. พ.ศ. 2561-2579 มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพคน และการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม โดยกระทรวง พม. และคณะที่ปรึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ร่วมกันศึกษาและวิเคราะห์ประเด็นสําคัญ ดังนี้ 1) แนวโน้มการพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคม สิ่งแวดล้อมของโลก ที่มีผลกระทบต่อสังคมไทย และการพัฒนาศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัย ในอีก 20 ปีข้างหน้า 2) ศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัย และโครงสร้างสังคมของไทย จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคต่างๆ ในปัจจุบัน และในอีก 20 ปีข้างหน้า รวมถึงแนวทางการปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมโลก 3) แนวทางการกําหนดนโยบาย การปรับกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัยและสังคมไทยใน 20 ปี ข้างหน้า 4) กรอบแนวทางการบูรณาการการดําเนินงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพและนําสู่การปฏิบัติได้จริง ทั้งนี้ การพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ช่วงวัย คือ 1) ปฐมวัย/วัยเด็ก ตั้งแต่อายุ 0–ก่อน 6 ปี 2) วัยเรียน/วัยรุ่น/นักศึกษา ตั้งแต่อายุ 5– 21 ปี 3) วัยทํางาน ตั้งแต่อายุ 15–59 ปี และ 4) วัยผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
นายไมตรีกล่าวต่อไปว่า สําหรับแผนบูรณาการการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัยฉบับนี้ ได้มุ่งเน้น การวางรากฐานที่จําเป็นสําหรับความมั่นคงในชีวิต ด้วยการผลักดันนโยบายการพัฒนาพื้นฐานที่จําเป็นสําหรับคนไทยทุกคน และเสริมด้วยนโยบายการพัฒนาเฉพาะกลุ่มและนโยบายที่มุ่งเน้นความแตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย เพื่อให้เป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศ และสิ่งสําคัญอย่างยิ่งที่จะขาดไม่ได้ คือ กลไกการขับเคลื่อนและความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อเชื่อมโยงการบูรณาการทํางานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และนําไปสู่การปฏิบัติได้จริง
"ทั้งนี้ ทิศทางการพัฒนาในช่วง 20 ปีข้างหน้าจากนี้ จําเป็นต้องมุ่งเน้นในเรื่องการขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ํา ความยากจน และการเสริมสร้างศักยภาพในมิติต่างๆ นอกจากนี้ ต้องให้ความสําคัญกับการยกระดับความอยู่ดีมีสุข ทางสังคม เพื่อนําไปสู่ "สังคมที่เดินหน้าไปด้วยกัน ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และเติมเต็มศักยภาพของผู้คนในสังคม อีกทั้งสร้างหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคมและฟื้นความสมานฉันท์และความเป็นปึกแผ่นของคนในสังคม เพื่อเป้าหมายในการลดเหลื่อมล้ําในสังคมและการพัฒนาด้านเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนสู่ระบบสวัสดิการสังคมอย่างสมบูรณ์”นายไมตรีกล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนบูรณาการการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดถึงผู้สูงอายุ
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560
พม. จัดประชุมประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนบูรณาการการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดถึงผู้สูงอายุ
พม. จัดประชุมประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนบูรณาการการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดถึงผู้สูงอายุ เพื่อยกระดับความอยู่ดีมีสุขทางสังคมสู่ “สังคมที่เดินหน้าไปด้วยกัน ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
วันนี้ (13 ก.ค. 60) เวลา 13.30 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่านายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมประชาพิจารณ์ (ร่าง) แผนบูรณาการการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ภายใต้โครงการแผนแม่บทกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พ.ศ. 2561-2579 เพื่อรับฟังความคิดเห็นต่อ (ร่าง) แผนบูรณาการดังกล่าว และนําไปปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัยให้มี ความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม จํานวน 200 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารกระทรวง พม. ผู้แทนหน่วยงานที่เป็นเลขานุการร่วมการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สํานักงบประมาณ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา บริษัท องค์กรเครือข่าย มูลนิธิ สมาคม และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ณ ห้อง Lotus Suit 5-7 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
นายไมตรีกล่าวว่า การจัดทํา (ร่าง) แผนบูรณาการการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ภายใต้โครงการแผนแม่บทกระทรวง พม. พ.ศ. 2561-2579 มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการขับเคลื่อนประเด็นการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัย ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพคน และการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม โดยกระทรวง พม. และคณะที่ปรึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ร่วมกันศึกษาและวิเคราะห์ประเด็นสําคัญ ดังนี้ 1) แนวโน้มการพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคม สิ่งแวดล้อมของโลก ที่มีผลกระทบต่อสังคมไทย และการพัฒนาศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัย ในอีก 20 ปีข้างหน้า 2) ศักยภาพคนไทยทุกช่วงวัย และโครงสร้างสังคมของไทย จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคต่างๆ ในปัจจุบัน และในอีก 20 ปีข้างหน้า รวมถึงแนวทางการปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมโลก 3) แนวทางการกําหนดนโยบาย การปรับกฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการพัฒนาคนไทยทุกช่วงวัยและสังคมไทยใน 20 ปี ข้างหน้า 4) กรอบแนวทางการบูรณาการการดําเนินงานระหว่างหน่วยงานภาครัฐทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพและนําสู่การปฏิบัติได้จริง ทั้งนี้ การพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ช่วงวัย คือ 1) ปฐมวัย/วัยเด็ก ตั้งแต่อายุ 0–ก่อน 6 ปี 2) วัยเรียน/วัยรุ่น/นักศึกษา ตั้งแต่อายุ 5– 21 ปี 3) วัยทํางาน ตั้งแต่อายุ 15–59 ปี และ 4) วัยผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป
นายไมตรีกล่าวต่อไปว่า สําหรับแผนบูรณาการการพัฒนาคนไทยตลอดช่วงวัยฉบับนี้ ได้มุ่งเน้น การวางรากฐานที่จําเป็นสําหรับความมั่นคงในชีวิต ด้วยการผลักดันนโยบายการพัฒนาพื้นฐานที่จําเป็นสําหรับคนไทยทุกคน และเสริมด้วยนโยบายการพัฒนาเฉพาะกลุ่มและนโยบายที่มุ่งเน้นความแตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย เพื่อให้เป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศ และสิ่งสําคัญอย่างยิ่งที่จะขาดไม่ได้ คือ กลไกการขับเคลื่อนและความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อเชื่อมโยงการบูรณาการทํางานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และนําไปสู่การปฏิบัติได้จริง
"ทั้งนี้ ทิศทางการพัฒนาในช่วง 20 ปีข้างหน้าจากนี้ จําเป็นต้องมุ่งเน้นในเรื่องการขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ํา ความยากจน และการเสริมสร้างศักยภาพในมิติต่างๆ นอกจากนี้ ต้องให้ความสําคัญกับการยกระดับความอยู่ดีมีสุข ทางสังคม เพื่อนําไปสู่ "สังคมที่เดินหน้าไปด้วยกัน ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และเติมเต็มศักยภาพของผู้คนในสังคม อีกทั้งสร้างหลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจสังคมและฟื้นความสมานฉันท์และความเป็นปึกแผ่นของคนในสังคม เพื่อเป้าหมายในการลดเหลื่อมล้ําในสังคมและการพัฒนาด้านเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนสู่ระบบสวัสดิการสังคมอย่างสมบูรณ์”นายไมตรีกล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5193
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ค.ศ.ยกเลิกการกรอก Logbook
|
วันพุธที่ 26 ธันวาคม 2561
ก.ค.ศ.ยกเลิกการกรอก Logbook
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 14/2561 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2561
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 14/2561 เมื่อวันที่ 26ธันวาคม 2561 ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการบันทึกประวัติการปฏิบัติงาน (Logbook)สําหรับข้าราชการครู
รมว.ศธ.กล่าวว่า ที่ประชุม ก.ค.ศ.มีมติให้ยกเลิกการบันทึกประวัติการปฏิบัติงาน (Logbook)สําหรับข้าราชการครู แต่ไม่ได้เป็นการยกเลิกPLCหรือหลักฐานชั่วโมงการปฏิบัติงาน ชั่วโมงการอบรมและพัฒนา และผ่านการรับรองจากผู้อํานวยการสถานศึกษา เพราะยังคงต้องมีมาตรฐานและการประเมินสมรรถนะของข้าราชการครูเอาไว้เช่นเดิม
ทั้งนี้ ได้มอบสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หาวิธีการที่ให้ครูทําง่ายที่สุด ไม่เป็นภาระ ไม่รบกวนการทํางานของครูให้ครูรับรองตนเอง เพราะทุกคนควรเริ่มต้นจากการประเมินตนเองก่อนที่จะให้ผู้อื่นมาประเมิน และให้ผู้อํานวยการสถานศึกษารับรอง โดยจะต้องไม่เป็นการรายงานเท็จและหากกรณีที่ผู้บริหารสถานศึกษากับครูผู้สอนเป็นปฏิปักษ์กัน ก็จะมีกระบวนการขั้นตอนอื่น ๆ เข้ามาตรวจสอบเพิ่มเติม เช่น ก.ค.ศ. หรือคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ลงไปดูเป็นราย ๆ ไป
"ผมถาม ก.ค.ศ. ว่า มีการทําLogbookเสนอรัฐมนตรีไหม ทั้งที่ผมก็ไม่ต้องทําLogbookส่งนายกฯ เรื่องนี้เรายึดหลักการต้องไว้ใจครู เข้าใจตรงกันว่าภาระหลักของครูคือการสอน ไม่ให้ครูมีภาระอื่นมากมายเกินไปและขอทําความเข้าใจด้วยว่า ที่ผ่านมามีเอกชนบางกลุ่มนําเรื่องดังกล่าวไปจัดอบรมครูเกี่ยวกับวิธีการกรอกLogbookโดยเรียกเก็บเงินจากครูรายละ 3,500 บาท ซึ่งจัดอบรมเป็นรุ่นที่ 9 แล้ว ทั้งนี้จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบ อีกทั้งเมื่อก่อนเรามีเกณฑ์ประเมินการเลื่อนวิทยฐานะด้วยการจัดทําเอกสารทางวิชาการ ก็มีคนรับจ้างทํา เมื่อมีLogbookก็ยังมีคนรับจ้างทํา แม้แต่การบ้านของเด็ก ก็ยังมีคนรับจ้างทําการบ้าน ยืนยันว่าเรื่องยกเลิกLogbookไม่ได้เป็นการหาเสียง เพราะตนไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น แต่เราฟังเสียงและความคิดเห็นจากครูเสมอ"
นายอัมพร พินะสา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกล่าวว่า สพฐ.จะเร่งทําความเข้าใจและชี้แจงกับข้าราชการครูในเรื่องการยกเลิกการกรอกLogbookโดยจะหาวิธีการกรอกข้อมูลรับรองตนเองด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุด แต่ยังคงมีการประเมินต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการตาม ว21/2560 ไว้เช่นเดิม ส่วนกรณีที่มีหน่วยงานจัดอบรมLogbookโดยเรียกเก็บเงินจากครูนั้น ทราบว่ามี 2-3 รายที่จัดอบรมซึ่ง สพฐ.จะตั้งคณะกรรมการลงไปดูว่ามีข้าราชการนําเวลาราชการไปทําหรือไม่อย่างไร
Writtenbyศรายุทธ มาทัพ,บัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo Creditกิตติกร แซ่หมู่
Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ค.ศ.ยกเลิกการกรอก Logbook
วันพุธที่ 26 ธันวาคม 2561
ก.ค.ศ.ยกเลิกการกรอก Logbook
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 14/2561 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2561
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 14/2561 เมื่อวันที่ 26ธันวาคม 2561 ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการบันทึกประวัติการปฏิบัติงาน (Logbook)สําหรับข้าราชการครู
รมว.ศธ.กล่าวว่า ที่ประชุม ก.ค.ศ.มีมติให้ยกเลิกการบันทึกประวัติการปฏิบัติงาน (Logbook)สําหรับข้าราชการครู แต่ไม่ได้เป็นการยกเลิกPLCหรือหลักฐานชั่วโมงการปฏิบัติงาน ชั่วโมงการอบรมและพัฒนา และผ่านการรับรองจากผู้อํานวยการสถานศึกษา เพราะยังคงต้องมีมาตรฐานและการประเมินสมรรถนะของข้าราชการครูเอาไว้เช่นเดิม
ทั้งนี้ ได้มอบสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หาวิธีการที่ให้ครูทําง่ายที่สุด ไม่เป็นภาระ ไม่รบกวนการทํางานของครูให้ครูรับรองตนเอง เพราะทุกคนควรเริ่มต้นจากการประเมินตนเองก่อนที่จะให้ผู้อื่นมาประเมิน และให้ผู้อํานวยการสถานศึกษารับรอง โดยจะต้องไม่เป็นการรายงานเท็จและหากกรณีที่ผู้บริหารสถานศึกษากับครูผู้สอนเป็นปฏิปักษ์กัน ก็จะมีกระบวนการขั้นตอนอื่น ๆ เข้ามาตรวจสอบเพิ่มเติม เช่น ก.ค.ศ. หรือคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ลงไปดูเป็นราย ๆ ไป
"ผมถาม ก.ค.ศ. ว่า มีการทําLogbookเสนอรัฐมนตรีไหม ทั้งที่ผมก็ไม่ต้องทําLogbookส่งนายกฯ เรื่องนี้เรายึดหลักการต้องไว้ใจครู เข้าใจตรงกันว่าภาระหลักของครูคือการสอน ไม่ให้ครูมีภาระอื่นมากมายเกินไปและขอทําความเข้าใจด้วยว่า ที่ผ่านมามีเอกชนบางกลุ่มนําเรื่องดังกล่าวไปจัดอบรมครูเกี่ยวกับวิธีการกรอกLogbookโดยเรียกเก็บเงินจากครูรายละ 3,500 บาท ซึ่งจัดอบรมเป็นรุ่นที่ 9 แล้ว ทั้งนี้จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบ อีกทั้งเมื่อก่อนเรามีเกณฑ์ประเมินการเลื่อนวิทยฐานะด้วยการจัดทําเอกสารทางวิชาการ ก็มีคนรับจ้างทํา เมื่อมีLogbookก็ยังมีคนรับจ้างทํา แม้แต่การบ้านของเด็ก ก็ยังมีคนรับจ้างทําการบ้าน ยืนยันว่าเรื่องยกเลิกLogbookไม่ได้เป็นการหาเสียง เพราะตนไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น แต่เราฟังเสียงและความคิดเห็นจากครูเสมอ"
นายอัมพร พินะสา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกล่าวว่า สพฐ.จะเร่งทําความเข้าใจและชี้แจงกับข้าราชการครูในเรื่องการยกเลิกการกรอกLogbookโดยจะหาวิธีการกรอกข้อมูลรับรองตนเองด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุด แต่ยังคงมีการประเมินต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการตาม ว21/2560 ไว้เช่นเดิม ส่วนกรณีที่มีหน่วยงานจัดอบรมLogbookโดยเรียกเก็บเงินจากครูนั้น ทราบว่ามี 2-3 รายที่จัดอบรมซึ่ง สพฐ.จะตั้งคณะกรรมการลงไปดูว่ามีข้าราชการนําเวลาราชการไปทําหรือไม่อย่างไร
Writtenbyศรายุทธ มาทัพ,บัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo Creditกิตติกร แซ่หมู่
Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17782
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแคนาดาประจำประเทศไทย
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแคนาดาประจําประเทศไทย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแคนาดาประจําประเทศไทย
ในวันพุธที่ ๒๖กันยายน ๒๕๖๑เวลา ๑๓.๓๐น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
พร้อมด้วยนายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
และนางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ให้การต้อนรับนางโดนิกา พอตตี (H.E. Donica Pottie)
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแคนาดาประจําประเทศไทย พร้อมคณะ
ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและแลกเปลี่ยนข้อมูลการดําเนินงาน
ด้านการส่งเสริมสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ
รวมถึงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแคนาดาประจำประเทศไทย
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแคนาดาประจําประเทศไทย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแคนาดาประจําประเทศไทย
ในวันพุธที่ ๒๖กันยายน ๒๕๖๑เวลา ๑๓.๓๐น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
พร้อมด้วยนายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
และนางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
ให้การต้อนรับนางโดนิกา พอตตี (H.E. Donica Pottie)
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแคนาดาประจําประเทศไทย พร้อมคณะ
ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและแลกเปลี่ยนข้อมูลการดําเนินงาน
ด้านการส่งเสริมสิทธิของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ
รวมถึงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15686
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ประชุมหารือพร้อมมอบนโยบายให้กับข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563
ปลัดกอบชัยฯ ประชุมหารือพร้อมมอบนโยบายให้กับข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมหารือพร้อมมอบนโยบายให้กับข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมหารือข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิด “ตลาดและนวัตกรรมนําอุตสาหกรรมไทย” และหลักการบริหารงาน 4 ข้อ คือ คน เงิน งาน และเวลา โดยให้ทุกคนมุ่งเน้นความรวดเร็ว มีจิตบริการ อยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องและกฎหมายที่วางไว้ โดยมีนางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ประชุมหารือพร้อมมอบนโยบายให้กับข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กองกลาง สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563
ปลัดกอบชัยฯ ประชุมหารือพร้อมมอบนโยบายให้กับข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมหารือพร้อมมอบนโยบายให้กับข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมหารือข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติงานภายใต้แนวคิด “ตลาดและนวัตกรรมนําอุตสาหกรรมไทย” และหลักการบริหารงาน 4 ข้อ คือ คน เงิน งาน และเวลา โดยให้ทุกคนมุ่งเน้นความรวดเร็ว มีจิตบริการ อยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องและกฎหมายที่วางไว้ โดยมีนางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26777
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เปิดการใช้งานอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินอย่างเป็นทางการ เพื่อแก้ปัญหาจราจรในเมืองและมอบความสุขในการเดินทางแก่ประชาชน
|
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561
นายกรัฐมนตรี เปิดการใช้งานอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินอย่างเป็นทางการ เพื่อแก้ปัญหาจราจรในเมืองและมอบความสุขในการเดินทางแก่ประชาชน
นายกรัฐมนตรี เปิดการใช้งานอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินอย่างเป็นทางการ เพื่อแก้ปัญหาจราจรในเมืองและมอบความสุขในการเดินทางแก่ประชาชน ซึ่งจะสามารถรองรับปริมาณรถยนต์เฉลี่ยกว่า 200,000 คันต่อวัน
วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2561) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณลานหลังคาอุโมงค์ ถนนรัชดาภิเษก เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธิน “แก้ปัญหาจราจรในเมือง เพื่อความสุขทุกการเดินทาง” โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายชัยวัฒน์ ทองคําคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชน ร่วมให้การต้อนรับ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวรายงานว่า ปัญหาการจราจรติดขัด ถือเป็นปัญหาที่สะสมต่อเนื่องมายาวนาน เนื่องมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของเมือง ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสําคัญและมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาจราจรในเขตเมือง ด้วยการเดินหน้าพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลให้เชื่อมโยงครอบคลุม และมีจุดเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ เพื่อรองรับการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากยิ่งขึ้นและช่วยลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางบนถนนสายหลักต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ดังนั้น การก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธิน เป็นอีกโครงการหนึ่งที่จะช่วยให้การสัญจรในกรุงเทพฯ มีความสะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงระหว่างที่มีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าหลายเส้นทางในขณะนี้ อันเป็นการอํานวยความสะดวกในการเดินทางและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้กําหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2561 - พ.ศ.2580) สําหรับเป็นแนวทางและเป้าหมายในการพัฒนาประเทศในระยะยาว โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีในทุกๆ ด้านของพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ซึ่งจะต้องดําเนินการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกันในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและขนส่ง อันเป็นปัจจัยพื้นฐานสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในเรื่องการแก้ไขปัญหาสภาพการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างเร่งด่วน โดยได้เร่งรัดและผลักดันโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ให้ดําเนินไปอย่างต่อเนื่อง และเกิดความสําเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว มุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางราง และระบบขนส่งมวลชนในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนของประเทศ มีประสิทธิภาพ และรองรับการให้บริการที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธิน เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วง หมอชิต- สะพานใหม่ - คูคต ที่มีความสําคัญ เนื่องจากจุดนี้เป็นจุดที่มีปัญหารถติดเป็นอย่างมาก การก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรที่คับคั่งในแนวถนนพหลโยธิน และแนวถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นถนนวงแหวนรอบใน อันจะช่วยเพิ่มความสะดวก ความคล่องตัวในการเดินทางสัญจรของประชาชน ในแนวรถไฟฟ้า และช่วยคลี่คลายปัญหารถติด ช่วยให้การจราจรลื่นไหลในจุดดังกล่าว ถือเป็นภารกิจที่สําคัญอย่างยิ่ง พร้อมกล่าวขอบคุณหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งกระทรวงคมนาคม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตลอดจนเจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ร่วมกันเร่งรัดดําเนินงานก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินให้แล้วเสร็จได้ในวันนี้ และขอเป็นกําลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานทุกท่าน ที่ตั้งใจทํางานอย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อทําให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และพัฒนาให้ประเทศชาติของเรามีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ทําพิธีเปิดอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธิน เพื่อให้ประชาชนได้สัญจรอย่างเป็นทางการ
สําหรับอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธิน เป็นโครงการเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาจราจรอย่างยั่งยืน โดย คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2556 เห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)ดําเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต พร้อมทั้งเห็นชอบให้ รฟม. ดําเนินการก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินไปในคราวเดียวกัน ซึ่ง รฟม. ได้เร่งรัดดําเนินงานก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินให้มีความก้าวหน้าตามแผนงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยการก่อสร้างเป็นอุโมงค์ทางลอดในแนวถนนรัชดาภิเษก ขนาด 4 ช่องจราจร แบ่งเป็นทิศทางฝั่งขาเข้า – ขาออก ทิศทางละ 2 ช่องจราจร ซึ่ง รฟม. ได้นําเทคนิคการก่อสร้างงานใต้ดินที่มีประสิทธิภาพเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อลดระยะเวลาในการก่อสร้างควบคู่ไปกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการจราจร เพื่อบรรเทาผลกระทบจราจรในระหว่างการก่อสร้าง ทั้งนี้ จากการเร่งรัดการดําเนินงานของ รฟม. ส่งผลให้การก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินแล้วเสร็จเร็วกว่าแผนงาน 3 เดือน และพร้อมเปิดให้ประชาชนใช้สัญจรได้ในปัจจุบัน คาดว่าอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินจะสามารถรองรับปริมาณรถยนต์เฉลี่ยกว่า 200,000 คันต่อวัน ซึ่งจะช่วยคลี่คลายการจราจรบริเวณแยกรัชโยธิน รวมถึงช่วยระบายปริมาณการจราจรของถนนโดยรอบในบริเวณดังกล่าว
...........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เปิดการใช้งานอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินอย่างเป็นทางการ เพื่อแก้ปัญหาจราจรในเมืองและมอบความสุขในการเดินทางแก่ประชาชน
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561
นายกรัฐมนตรี เปิดการใช้งานอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินอย่างเป็นทางการ เพื่อแก้ปัญหาจราจรในเมืองและมอบความสุขในการเดินทางแก่ประชาชน
นายกรัฐมนตรี เปิดการใช้งานอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินอย่างเป็นทางการ เพื่อแก้ปัญหาจราจรในเมืองและมอบความสุขในการเดินทางแก่ประชาชน ซึ่งจะสามารถรองรับปริมาณรถยนต์เฉลี่ยกว่า 200,000 คันต่อวัน
วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2561) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณลานหลังคาอุโมงค์ ถนนรัชดาภิเษก เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธิน “แก้ปัญหาจราจรในเมือง เพื่อความสุขทุกการเดินทาง” โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายชัยวัฒน์ ทองคําคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชน ร่วมให้การต้อนรับ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวรายงานว่า ปัญหาการจราจรติดขัด ถือเป็นปัญหาที่สะสมต่อเนื่องมายาวนาน เนื่องมาจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการขยายตัวของเมือง ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสําคัญและมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาจราจรในเขตเมือง ด้วยการเดินหน้าพัฒนาโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลให้เชื่อมโยงครอบคลุม และมีจุดเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ เพื่อรองรับการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากยิ่งขึ้นและช่วยลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางบนถนนสายหลักต่างๆ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ดังนั้น การก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธิน เป็นอีกโครงการหนึ่งที่จะช่วยให้การสัญจรในกรุงเทพฯ มีความสะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงระหว่างที่มีการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าหลายเส้นทางในขณะนี้ อันเป็นการอํานวยความสะดวกในการเดินทางและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้กําหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2561 - พ.ศ.2580) สําหรับเป็นแนวทางและเป้าหมายในการพัฒนาประเทศในระยะยาว โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีในทุกๆ ด้านของพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ซึ่งจะต้องดําเนินการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง และสอดคล้องกันในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและขนส่ง อันเป็นปัจจัยพื้นฐานสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในเรื่องการแก้ไขปัญหาสภาพการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างเร่งด่วน โดยได้เร่งรัดและผลักดันโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ให้ดําเนินไปอย่างต่อเนื่อง และเกิดความสําเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว มุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางราง และระบบขนส่งมวลชนในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนของประเทศ มีประสิทธิภาพ และรองรับการให้บริการที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า การก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธิน เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วง หมอชิต- สะพานใหม่ - คูคต ที่มีความสําคัญ เนื่องจากจุดนี้เป็นจุดที่มีปัญหารถติดเป็นอย่างมาก การก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรที่คับคั่งในแนวถนนพหลโยธิน และแนวถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นถนนวงแหวนรอบใน อันจะช่วยเพิ่มความสะดวก ความคล่องตัวในการเดินทางสัญจรของประชาชน ในแนวรถไฟฟ้า และช่วยคลี่คลายปัญหารถติด ช่วยให้การจราจรลื่นไหลในจุดดังกล่าว ถือเป็นภารกิจที่สําคัญอย่างยิ่ง พร้อมกล่าวขอบคุณหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งกระทรวงคมนาคม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ตลอดจนเจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่ร่วมกันเร่งรัดดําเนินงานก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินให้แล้วเสร็จได้ในวันนี้ และขอเป็นกําลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานทุกท่าน ที่ตั้งใจทํางานอย่างเต็มกําลังความสามารถ เพื่อทําให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และพัฒนาให้ประเทศชาติของเรามีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ทําพิธีเปิดอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธิน เพื่อให้ประชาชนได้สัญจรอย่างเป็นทางการ
สําหรับอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธิน เป็นโครงการเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาจราจรอย่างยั่งยืน โดย คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2556 เห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)ดําเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต พร้อมทั้งเห็นชอบให้ รฟม. ดําเนินการก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินไปในคราวเดียวกัน ซึ่ง รฟม. ได้เร่งรัดดําเนินงานก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินให้มีความก้าวหน้าตามแผนงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยการก่อสร้างเป็นอุโมงค์ทางลอดในแนวถนนรัชดาภิเษก ขนาด 4 ช่องจราจร แบ่งเป็นทิศทางฝั่งขาเข้า – ขาออก ทิศทางละ 2 ช่องจราจร ซึ่ง รฟม. ได้นําเทคนิคการก่อสร้างงานใต้ดินที่มีประสิทธิภาพเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อลดระยะเวลาในการก่อสร้างควบคู่ไปกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการจราจร เพื่อบรรเทาผลกระทบจราจรในระหว่างการก่อสร้าง ทั้งนี้ จากการเร่งรัดการดําเนินงานของ รฟม. ส่งผลให้การก่อสร้างอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินแล้วเสร็จเร็วกว่าแผนงาน 3 เดือน และพร้อมเปิดให้ประชาชนใช้สัญจรได้ในปัจจุบัน คาดว่าอุโมงค์ทางลอดบริเวณแยกรัชโยธินจะสามารถรองรับปริมาณรถยนต์เฉลี่ยกว่า 200,000 คันต่อวัน ซึ่งจะช่วยคลี่คลายการจราจรบริเวณแยกรัชโยธิน รวมถึงช่วยระบายปริมาณการจราจรของถนนโดยรอบในบริเวณดังกล่าว
...........................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.รับนโยบายทางทะเลและชายฝั่ง ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ต่อปชช.อย่างยั่งยืน
|
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
ทส.รับนโยบายทางทะเลและชายฝั่ง ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ต่อปชช.อย่างยั่งยืน
ทส.รับนโยบายทางทะเลและชายฝั่ง ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ต่อปชช.อย่างยั่งยืน
ทส.รับนโยบายทางทะเลและชายฝั่ง ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ต่อปชช.อย่างยั่งยืน
วันที่ 22 พ.ค. 63 เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VDO Conference) ณ ห้องประชุม 301 ทําเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับ ร่าง รายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2561 ร่าง ระบบกลุ่มหาดประเทศไทย หลักเกณฑ์ประกอบการจัดทําแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ร่างกฎกระทรวงกําหนดพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง สําหรับการดําเนินโครงการก่อสร้างกําแพงป้องกันคลื่นริมชายหาดและเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล พ.ศ. .... ตามมาตรา 21 การปรับปรุงคําสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการ นโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ จํานวน 3 คณะ. และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายและแผน การบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ จํานวน 2 คณะ ทั้งนี้ ประธานการประชุมฯ ได้ขอให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณาและแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.รับนโยบายทางทะเลและชายฝั่ง ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ต่อปชช.อย่างยั่งยืน
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
ทส.รับนโยบายทางทะเลและชายฝั่ง ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ต่อปชช.อย่างยั่งยืน
ทส.รับนโยบายทางทะเลและชายฝั่ง ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ต่อปชช.อย่างยั่งยืน
ทส.รับนโยบายทางทะเลและชายฝั่ง ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ต่อปชช.อย่างยั่งยืน
วันที่ 22 พ.ค. 63 เวลา 10.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหาร ทส. ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VDO Conference) ณ ห้องประชุม 301 ทําเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับ ร่าง รายงานสถานการณ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2561 ร่าง ระบบกลุ่มหาดประเทศไทย หลักเกณฑ์ประกอบการจัดทําแผนงาน/โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ร่างกฎกระทรวงกําหนดพื้นที่ใช้มาตรการในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง สําหรับการดําเนินโครงการก่อสร้างกําแพงป้องกันคลื่นริมชายหาดและเขื่อนป้องกันตลิ่งริมทะเล พ.ศ. .... ตามมาตรา 21 การปรับปรุงคําสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการ นโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ จํานวน 3 คณะ. และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายและแผน การบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ จํานวน 2 คณะ ทั้งนี้ ประธานการประชุมฯ ได้ขอให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณาและแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืนต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31488
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โรงรับจำนำท้องถิ่นทั่วประเทศ ออกมาตรการช่วยเหลือ ปชช. ในสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ทั้งผ่อนผัน-ยืดระยะเวลาชำระหนี้-ปรับลดดอกเบี้ย!! [กระทรวงมหาดไทย]
|
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
โรงรับจํานําท้องถิ่นทั่วประเทศ ออกมาตรการช่วยเหลือ ปชช. ในสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ทั้งผ่อนผัน-ยืดระยะเวลาชําระหนี้-ปรับลดดอกเบี้ย!! [กระทรวงมหาดไทย]
โรงรับจํานําท้องถิ่นทั่วประเทศ ออกมาตรการช่วยเหลือ ปชช. ในสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ทั้งผ่อนผัน-ยืดระยะเวลาชําระหนี้-ปรับลดดอกเบี้ย!!
วันนี้ (27 มีนาคม 2563) นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในฐานะประธานกรรมการจัดการสถานธนานุบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เปิดเผยว่า คณะกรรมการจัดการสถานธนานุบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้บริการสถานธนานุบาล ของ อปท. ในสถานการณ์ภัยแล้ง ปี 2563 และการแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยในช่วงเปิดภาคเรียน
ทั้งนี้ ให้โรงรับจํานําในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ดําเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชน โดยผ่อนผันหรือยืดระยะเวลาในการชําระหนี้แก่ผู้จํานําที่ได้มาจํานําในห้วงเดือนกุมภาพันธ์ - มิถุนายน 2563 ให้ขยายเวลาไถ่ถอนทรัพย์รับจํานําไปอีกเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนนับจากวันครบกําหนดระยะเวลาตามกฎหมาย (สี่เดือนสามสิบวัน)
นอกจากนี้ ยังให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสําหรับผู้ที่นําทรัพย์สินมาจํานํา ในระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 30 มิถุนายน 2563 ดังนี้ (1) เงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.125 ต่อเดือน (2) เงินต้นเกินกว่า 5,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน.
ณ วันที่ 27 มีนาคม 2563
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์
สํานักงานเลขานุการกรม
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โรงรับจำนำท้องถิ่นทั่วประเทศ ออกมาตรการช่วยเหลือ ปชช. ในสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ทั้งผ่อนผัน-ยืดระยะเวลาชำระหนี้-ปรับลดดอกเบี้ย!! [กระทรวงมหาดไทย]
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
โรงรับจํานําท้องถิ่นทั่วประเทศ ออกมาตรการช่วยเหลือ ปชช. ในสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ทั้งผ่อนผัน-ยืดระยะเวลาชําระหนี้-ปรับลดดอกเบี้ย!! [กระทรวงมหาดไทย]
โรงรับจํานําท้องถิ่นทั่วประเทศ ออกมาตรการช่วยเหลือ ปชช. ในสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ทั้งผ่อนผัน-ยืดระยะเวลาชําระหนี้-ปรับลดดอกเบี้ย!!
วันนี้ (27 มีนาคม 2563) นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ในฐานะประธานกรรมการจัดการสถานธนานุบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เปิดเผยว่า คณะกรรมการจัดการสถานธนานุบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2563 เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้บริการสถานธนานุบาล ของ อปท. ในสถานการณ์ภัยแล้ง ปี 2563 และการแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยในช่วงเปิดภาคเรียน
ทั้งนี้ ให้โรงรับจํานําในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ดําเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชน โดยผ่อนผันหรือยืดระยะเวลาในการชําระหนี้แก่ผู้จํานําที่ได้มาจํานําในห้วงเดือนกุมภาพันธ์ - มิถุนายน 2563 ให้ขยายเวลาไถ่ถอนทรัพย์รับจํานําไปอีกเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนนับจากวันครบกําหนดระยะเวลาตามกฎหมาย (สี่เดือนสามสิบวัน)
นอกจากนี้ ยังให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยสําหรับผู้ที่นําทรัพย์สินมาจํานํา ในระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 30 มิถุนายน 2563 ดังนี้ (1) เงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.125 ต่อเดือน (2) เงินต้นเกินกว่า 5,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อเดือน.
ณ วันที่ 27 มีนาคม 2563
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์
สํานักงานเลขานุการกรม
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28023
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ให้โอวาทนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินกลุ่มแรก 3 ราย ที่ผ่านการคัดเลือกเป็นนักเรียนทุนโครงการเยาวชน AFS
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2561
รมว.ศธ.ให้โอวาทนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินกลุ่มแรก 3 ราย ที่ผ่านการคัดเลือกเป็นนักเรียนทุนโครงการเยาวชน AFS
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้โอวาทแก่นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินกลุ่มแรกที่ผ่านการคัดเลือกเป็นนักเรียนทุนโครงการเยาวชนเอเอฟเอส เพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานาชาติ ระยะ 1 ปี รุ่นที่ 57
เมื่อวันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ,นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้โอวาทแก่นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินกลุ่มแรกที่ผ่านการคัดเลือกเป็นนักเรียนทุนโครงการเยาวชนเอเอฟเอส เพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานาชาติ ระยะ 1 ปี รุ่นที่ 57 (พ.ศ.2561-2562) ประเภททุนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา (Kennedy-Lugar Youth Exchange and Study: KLYES) ก่อนเดินทางไปพํานักกับครอบครัวอุปถัมภ์ ณ สหรัฐอเมริกา โดยมีนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, น.ส.จิรวัฒนา จรูญภัทรพงษ์ ผู้อํานวยการใหญ่มูลนิธิการศึกษาและวัฒนธรรมสัมพันธ์ไทย-นานาชาติ (เอเอฟเอส ประเทศไทย) รวมทั้งผู้บริหาร ครูผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่โครงการ เข้าร่วมจํานวน 25 ราย
รมว.ศึกษาธิการกล่าวแสดงความรู้สึกเป็นเกียรติ และขอแสดงความยินดีกับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ที่ผ่านการคัดเลือกให้ได้รับทุนเอเอฟเอส เพื่อเดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมที่สหรัฐอเมริกาเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งต้องถือว่าการดูแลผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ และผู้มีปัญหาสุขภาพจิต เป็นเรื่องที่มีความสําคัญ โดยเฉพาะในประเทศที่เจริญแล้ว จะมีการวางระบบการดูแลผู้คนเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สําหรับโครงการเยาวชนเอเอฟเอสในอดีตที่ผ่านมาเด็กและเยาวชนที่ได้รับทุนมักได้รับการพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งในความเป็นจริงยังมีวัตถุประสงค์หลักอีกประการที่เป็นจุดเน้นของโครงการ คือ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย
ทั้งนี้ ขอให้นักเรียนได้ตระหนักอยู่เสมอว่า “เราเป็นนักเรียนทุน เป็นคนไทย ที่เปรียบเสมือนทูตและตัวแทนของประเทศไทย ที่ชาวต่างชาติจะคอยมองผ่านนักเรียนกลุ่มนี้”จึงควรแสดงศักยภาพด้านต่าง ๆ อย่างเต็มที่ พร้อมเก็บเกี่ยวและเรียนรู้สิ่งดี ๆ ตลอดจนประสบการณ์ที่มีคุณค่า เพื่อนํามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ และสิ่งสําคัญที่จะลืมไม่ได้คือ ต้องช่วยกันเผยแพร่สิ่งดีงามของประเทศไทยให้ต่างชาติรับรู้ พร้อมกับพยายามรักษาชื่อเสียงของประเทศในนามของคนไทยไว้ให้ได้
ขอขอบคุณสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และมูลนิธิเอเอฟเอส ประเทศไทย ที่ได้เริ่มประวัติศาสตร์ของการให้โอกาสแก่นักเรียนผู้บกพร่องทางร่างกายครั้งสําคัญนี้ และขอให้สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนในระหว่างพํานักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา พร้อมเตรียมการต่อยอดและถ่ายทอดประสบการณ์ภายหลังกลับมา เพื่อประโยชน์ต่อนักเรียนในรุ่นต่อ ๆ ไปด้วย
นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า สพฐ. และมูลนิธิเอเอฟเอส ประเทศไทย ได้ร่วมกับเอเอฟเอสโลก และประเทศสมาชิกกว่า 50 ประเทศ ดําเนินโครงการนี้ โดยมุ่งหวังการสร้างความเข้าใจอันดีและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ตลอดจนพัฒนาทักษะ ค่านิยมส่วนบุคคล วัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ ณ สหรัฐอเมริกา
ซึ่งในปีนี้เป็นปีแรกที่มีนักเรียนพิการบกพร่องทางการได้ยินจากโรงเรียนเฉพาะความพิการ สังกัดสํานักงานบริหารงานการศึกษาพิเศษ สพฐ. ผ่านการคัดเลือกเป็น “นักเรียนทุนโครงการเยาวชนเอเอฟเอส เพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานาชาติ ระยะ 1 ปี รุ่นที่ 57 (พ.ศ.2561-2562)” ณ สหรัฐอเมริกา ประเภททุนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จํานวน 3 ราย ได้แก่
- นายชยากร สาครเสถียร ชั้น ม.4 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครปฐม
- นางสาววชิราภรณ์ ทองจํานง ชั้น ม.4 โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์กรุงเทพฯ
- นางสาวภูริชญา บุญเสริม ชั้น ม.6 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดปราจีนบุรี
นางสาวจิรวัฒนา จรูญภัทรพงษ์ ผู้อํานวยการใหญ่ มูลนิธิเอเอฟเอส ประเทศไทยกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของโครงการว่า มูลนิธิฯ เป็นองค์กรเอกชนที่ไม่มุ่งหวังผลกําไร และไม่แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนาและการเมือง ภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ ตามมติคณะรัฐมนตรี 2505 โดยจัดโครงการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและวัฒนธรรมแก่เยาวชน นักการศึกษา ครูอาจารย์ และอาสาสมัคร กับนานาชาติมากกว่า 50 ประเทศ มาเป็นระยะเวลากว่า 57 ปี มุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เพื่อเรียนรู้เข้าใจและยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน อันจะนํามาซึ่งความรักและสันติสุขของโลก
มูลนิธิเอเอฟเอส ประเทศไทย ได้เริ่มดําเนินการคัดเลือกนักเรียนทุนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2548และได้ส่งนักเรียนเดินทางไปพํานักกับครอบครัวอุปถัมภ์ ณ สหรัฐอเมริกาแล้ว จํานวน 202 คน
โดยในปี 2561 ได้ขยายการจัดสรรทุนเพิ่มเติมให้กับนักเรียนในโรงเรียนเฉพาะความพิการและได้รับความร่วมมือจากสํานักงานบริหารงานการศึกษาพิเศษอย่างดียิ่ง ทั้งในการรับสมัครนักเรียน และส่งบุคลากรช่วยเหลือในการคัดเลือกนักเรียนพิการ ซึ่งมีนักเรียนให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ จํานวน 15 คน และมีผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าค่ายรอบสุดท้าย จํานวน 6 คน จนถึงขั้นตอนการพิจารณาผลการคัดเลือกผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมจากสหรัฐอเมริกาของคณะกรรมการมูลนิธิเอเอฟเอส ประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมโครงการรวมจํานวน 3 คน
ซึ่งนักเรียนทั้ง 3 คนมีกําหนดจะเดินทางร่วมกับนักเรียนทุนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอีก 13 คน เพื่อไปพํานักกับครอบครัวอุปถัมภ์พร้อมเข้าศึกษาในโรงเรียน ณ สหรัฐอเมริกา ในวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561 และมีกําหนดการเดินทางกลับประมาณช่วงเดือนมิถุนายน 2562
ทางมูลนิธิเอเอฟเอส ประเทศไทย มีความคาดหวังว่านักเรียนจะเป็นนักเรียนพิการรุ่นแรก ที่จะนําความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่ได้รับมาแบ่งปันให้กับนักเรียนพิการเฉพาะทางอื่น ๆ และสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน ตลอดจนเป็นแรงบันดาลใจในกับนักเรียนรุ่นต่อไป
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น, นวรัตน์ รามสูต
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ให้โอวาทนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินกลุ่มแรก 3 ราย ที่ผ่านการคัดเลือกเป็นนักเรียนทุนโครงการเยาวชน AFS
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2561
รมว.ศธ.ให้โอวาทนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินกลุ่มแรก 3 ราย ที่ผ่านการคัดเลือกเป็นนักเรียนทุนโครงการเยาวชน AFS
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้โอวาทแก่นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินกลุ่มแรกที่ผ่านการคัดเลือกเป็นนักเรียนทุนโครงการเยาวชนเอเอฟเอส เพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานาชาติ ระยะ 1 ปี รุ่นที่ 57
เมื่อวันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ,นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้โอวาทแก่นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินกลุ่มแรกที่ผ่านการคัดเลือกเป็นนักเรียนทุนโครงการเยาวชนเอเอฟเอส เพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานาชาติ ระยะ 1 ปี รุ่นที่ 57 (พ.ศ.2561-2562) ประเภททุนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา (Kennedy-Lugar Youth Exchange and Study: KLYES) ก่อนเดินทางไปพํานักกับครอบครัวอุปถัมภ์ ณ สหรัฐอเมริกา โดยมีนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, น.ส.จิรวัฒนา จรูญภัทรพงษ์ ผู้อํานวยการใหญ่มูลนิธิการศึกษาและวัฒนธรรมสัมพันธ์ไทย-นานาชาติ (เอเอฟเอส ประเทศไทย) รวมทั้งผู้บริหาร ครูผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่โครงการ เข้าร่วมจํานวน 25 ราย
รมว.ศึกษาธิการกล่าวแสดงความรู้สึกเป็นเกียรติ และขอแสดงความยินดีกับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ที่ผ่านการคัดเลือกให้ได้รับทุนเอเอฟเอส เพื่อเดินทางไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมที่สหรัฐอเมริกาเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งต้องถือว่าการดูแลผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ และผู้มีปัญหาสุขภาพจิต เป็นเรื่องที่มีความสําคัญ โดยเฉพาะในประเทศที่เจริญแล้ว จะมีการวางระบบการดูแลผู้คนเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สําหรับโครงการเยาวชนเอเอฟเอสในอดีตที่ผ่านมาเด็กและเยาวชนที่ได้รับทุนมักได้รับการพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งในความเป็นจริงยังมีวัตถุประสงค์หลักอีกประการที่เป็นจุดเน้นของโครงการ คือ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย
ทั้งนี้ ขอให้นักเรียนได้ตระหนักอยู่เสมอว่า “เราเป็นนักเรียนทุน เป็นคนไทย ที่เปรียบเสมือนทูตและตัวแทนของประเทศไทย ที่ชาวต่างชาติจะคอยมองผ่านนักเรียนกลุ่มนี้”จึงควรแสดงศักยภาพด้านต่าง ๆ อย่างเต็มที่ พร้อมเก็บเกี่ยวและเรียนรู้สิ่งดี ๆ ตลอดจนประสบการณ์ที่มีคุณค่า เพื่อนํามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ และสิ่งสําคัญที่จะลืมไม่ได้คือ ต้องช่วยกันเผยแพร่สิ่งดีงามของประเทศไทยให้ต่างชาติรับรู้ พร้อมกับพยายามรักษาชื่อเสียงของประเทศในนามของคนไทยไว้ให้ได้
ขอขอบคุณสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และมูลนิธิเอเอฟเอส ประเทศไทย ที่ได้เริ่มประวัติศาสตร์ของการให้โอกาสแก่นักเรียนผู้บกพร่องทางร่างกายครั้งสําคัญนี้ และขอให้สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนในระหว่างพํานักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา พร้อมเตรียมการต่อยอดและถ่ายทอดประสบการณ์ภายหลังกลับมา เพื่อประโยชน์ต่อนักเรียนในรุ่นต่อ ๆ ไปด้วย
นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า สพฐ. และมูลนิธิเอเอฟเอส ประเทศไทย ได้ร่วมกับเอเอฟเอสโลก และประเทศสมาชิกกว่า 50 ประเทศ ดําเนินโครงการนี้ โดยมุ่งหวังการสร้างความเข้าใจอันดีและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ตลอดจนพัฒนาทักษะ ค่านิยมส่วนบุคคล วัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ ณ สหรัฐอเมริกา
ซึ่งในปีนี้เป็นปีแรกที่มีนักเรียนพิการบกพร่องทางการได้ยินจากโรงเรียนเฉพาะความพิการ สังกัดสํานักงานบริหารงานการศึกษาพิเศษ สพฐ. ผ่านการคัดเลือกเป็น “นักเรียนทุนโครงการเยาวชนเอเอฟเอส เพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานาชาติ ระยะ 1 ปี รุ่นที่ 57 (พ.ศ.2561-2562)” ณ สหรัฐอเมริกา ประเภททุนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จํานวน 3 ราย ได้แก่
- นายชยากร สาครเสถียร ชั้น ม.4 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครปฐม
- นางสาววชิราภรณ์ ทองจํานง ชั้น ม.4 โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์กรุงเทพฯ
- นางสาวภูริชญา บุญเสริม ชั้น ม.6 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดปราจีนบุรี
นางสาวจิรวัฒนา จรูญภัทรพงษ์ ผู้อํานวยการใหญ่ มูลนิธิเอเอฟเอส ประเทศไทยกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของโครงการว่า มูลนิธิฯ เป็นองค์กรเอกชนที่ไม่มุ่งหวังผลกําไร และไม่แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนาและการเมือง ภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ ตามมติคณะรัฐมนตรี 2505 โดยจัดโครงการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและวัฒนธรรมแก่เยาวชน นักการศึกษา ครูอาจารย์ และอาสาสมัคร กับนานาชาติมากกว่า 50 ประเทศ มาเป็นระยะเวลากว่า 57 ปี มุ่งหวังให้ผู้เข้าร่วมโครงการได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เพื่อเรียนรู้เข้าใจและยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน อันจะนํามาซึ่งความรักและสันติสุขของโลก
มูลนิธิเอเอฟเอส ประเทศไทย ได้เริ่มดําเนินการคัดเลือกนักเรียนทุนรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2548และได้ส่งนักเรียนเดินทางไปพํานักกับครอบครัวอุปถัมภ์ ณ สหรัฐอเมริกาแล้ว จํานวน 202 คน
โดยในปี 2561 ได้ขยายการจัดสรรทุนเพิ่มเติมให้กับนักเรียนในโรงเรียนเฉพาะความพิการและได้รับความร่วมมือจากสํานักงานบริหารงานการศึกษาพิเศษอย่างดียิ่ง ทั้งในการรับสมัครนักเรียน และส่งบุคลากรช่วยเหลือในการคัดเลือกนักเรียนพิการ ซึ่งมีนักเรียนให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ จํานวน 15 คน และมีผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าค่ายรอบสุดท้าย จํานวน 6 คน จนถึงขั้นตอนการพิจารณาผลการคัดเลือกผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมจากสหรัฐอเมริกาของคณะกรรมการมูลนิธิเอเอฟเอส ประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมโครงการรวมจํานวน 3 คน
ซึ่งนักเรียนทั้ง 3 คนมีกําหนดจะเดินทางร่วมกับนักเรียนทุนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอีก 13 คน เพื่อไปพํานักกับครอบครัวอุปถัมภ์พร้อมเข้าศึกษาในโรงเรียน ณ สหรัฐอเมริกา ในวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561 และมีกําหนดการเดินทางกลับประมาณช่วงเดือนมิถุนายน 2562
ทางมูลนิธิเอเอฟเอส ประเทศไทย มีความคาดหวังว่านักเรียนจะเป็นนักเรียนพิการรุ่นแรก ที่จะนําความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่ได้รับมาแบ่งปันให้กับนักเรียนพิการเฉพาะทางอื่น ๆ และสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน ตลอดจนเป็นแรงบันดาลใจในกับนักเรียนรุ่นต่อไป
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น, นวรัตน์ รามสูต
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14287
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ดีอี’ เคาะตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด หนุนการทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center)
|
วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2562
‘ดีอี’ เคาะตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด หนุนการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center)
‘ดีอี’ เคาะตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด หนุนการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center)
‘ดีอี’ เคาะตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด หนุนการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) เฝ้าระวัง กลั่นกรอง และแก้ข่าวปลอมที่อยู่ในกระแสสังคมออนไลน์ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภัยพิบัติ, เศรษฐกิจ การเงินการธนาคาร-หุ้น , ผลิตภัณฑ์สุขภาพ-สินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายอื่น และกลุ่มนโยบายรัฐบาล-ข่าวสารที่กระทบสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงในประเทศ
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า วันนี้ (29 สิงหาคม) ได้มีการประชุมความคืบหน้าการจัดตั้ง “คณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน” เพื่อสนับสนุนการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) ซึ่งตั้งเป้าว่าจะดําเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในเดือนตุลาคมนี้
โดยที่ประชุมได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด เพื่อจัดกลุ่มดําเนินงานให้ครบถ้วน และครอบคลุมประเด็นปัญหาข่าวปลอม ตลอดจนความมีประสิทธิภาพในการประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาข่าวปลอมที่อยู่ในกระแสสังคมออนไลน์ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1.กลุ่มภัยพิบัติ เช่น น้ําท่วม แผ่นดินไหว เขื่อนแตก สึนามิ ไฟไหม้ 2.กลุ่มเศรษฐกิจ การเงินการธนาคาร/หุ้น 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสําอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายอื่น และ 4.กลุ่มนโยบายรัฐบาล/ข่าวสารทางราชการ/ความสงบเรียบร้อยของสังคม/ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ
นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังหารือกันเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การวิเคราะห์ข้อมูลข่าวปลอม เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่แพลตฟอร์มระดับโลก เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ ใช้อยู่ โดยในส่วนของเฟซบุ๊ก กําหนดนโยบายที่เรียกว่า มาตรฐานชุมชน (Community Standards) เป็นกฎเกณฑ์กํากับดูแลการใช้งาน ขณะที่ บริษัท กูเกิล ซึ่งเป็นเจ้าของยูทูบ แพลตฟอร์มวิดีโออันดับ 1 ของโลก มีการกําหนดหลักเกณฑ์ชุมชน (Community Guidelines)
ดังนั้น ถ้าหลักเกณฑ์ของประเทศไทยจัดทําได้สอดคล้องกับสากล การยืนยันข่าวปลอมของศูนย์ Anti-Fake News ก็จะได้รับการยอมรับจากแพลตฟอร์มโซเชียลเหล่านั้นด้วย และเป็นอีกช่องทางในการแจ้งข้อมูลที่ถูกต้อง และระงับการเผยแพร่ข่าวปลอมได้อย่างรวดเร็วในวงกว้าง
รมว.ดีอี กล่าวอีกว่า ในที่ประชุมยังพิจารณาความคืบหน้าเกี่ยวกับการพัฒนาเว็บไซต์สําหรับบูรณาการความร่วมมือภาครัฐ เอกชน และประชาชน ต่อการป้องปรามข่าวปลอมทางโลกดิจิทัล เพื่อสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม
“รัฐบาลให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ข่าวอันเป็นเท็จที่เป็นกระแสสังคมทางสื่อสังคมออนไลน์ที่ ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีความคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงในหลายกรณี ทั้งด้วยความตั้งใจของผู้ส่งข่าวสารที่หวังผลให้เกิดความแตกแยกในสังคมหรือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน หรืออาจด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดวิจารณญาณในการตรวจสอบกลั่นกรองก่อนส่งต่อข้อมูลข่าวสารให้ผู้อื่น” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ บทบาทศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) จะทําหน้าที่ตรวจสอบ วิเคราะห์ และรับแจ้งข้อมูลข่าวสารที่นําเสนอไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เผยแพร่อยู่ในสังคม ผ่านช่องทางหลักๆ ของศูนย์ฯ ได้แก่ เว็บไซต์, เพจเฟซบุ๊ก และไลน์ออฟฟิเชียล (Line Official) เพื่อให้ผู้ที่รับผิดชอบในคณะอนุกรรมการฯ เข้ามาคัดกรองข่าวปลอมทางออนไลน์ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายใน 4 กลุ่มหลักข้างต้น เพื่อประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง/หน่วยงานที่ได้รับความเสียหาย และทําการแจ้งเตือน/นําเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงการแจ้งเตือนภัยพิบัติให้หน่วยงานและประชาชนได้รับทราบโดยตรงอย่างทันท่วงทีผ่านทุกช่องทางที่มีอยู่ รวมถึงผ่านกลไกภาคสื่อสารมวลชน เครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
***********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ดีอี’ เคาะตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด หนุนการทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center)
วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2562
‘ดีอี’ เคาะตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด หนุนการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center)
‘ดีอี’ เคาะตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด หนุนการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center)
‘ดีอี’ เคาะตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด หนุนการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) เฝ้าระวัง กลั่นกรอง และแก้ข่าวปลอมที่อยู่ในกระแสสังคมออนไลน์ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภัยพิบัติ, เศรษฐกิจ การเงินการธนาคาร-หุ้น , ผลิตภัณฑ์สุขภาพ-สินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายอื่น และกลุ่มนโยบายรัฐบาล-ข่าวสารที่กระทบสังคม ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงในประเทศ
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า วันนี้ (29 สิงหาคม) ได้มีการประชุมความคืบหน้าการจัดตั้ง “คณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินประชาชน” เพื่อสนับสนุนการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) ซึ่งตั้งเป้าว่าจะดําเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในเดือนตุลาคมนี้
โดยที่ประชุมได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 4 ชุด เพื่อจัดกลุ่มดําเนินงานให้ครบถ้วน และครอบคลุมประเด็นปัญหาข่าวปลอม ตลอดจนความมีประสิทธิภาพในการประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาข่าวปลอมที่อยู่ในกระแสสังคมออนไลน์ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1.กลุ่มภัยพิบัติ เช่น น้ําท่วม แผ่นดินไหว เขื่อนแตก สึนามิ ไฟไหม้ 2.กลุ่มเศรษฐกิจ การเงินการธนาคาร/หุ้น 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ วัตถุอันตราย เครื่องสําอาง รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายอื่น และ 4.กลุ่มนโยบายรัฐบาล/ข่าวสารทางราชการ/ความสงบเรียบร้อยของสังคม/ขัดศีลธรรมอันดี และความมั่นคงภายในประเทศ
นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังหารือกันเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การวิเคราะห์ข้อมูลข่าวปลอม เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่แพลตฟอร์มระดับโลก เช่น เฟซบุ๊ก ยูทูบ ใช้อยู่ โดยในส่วนของเฟซบุ๊ก กําหนดนโยบายที่เรียกว่า มาตรฐานชุมชน (Community Standards) เป็นกฎเกณฑ์กํากับดูแลการใช้งาน ขณะที่ บริษัท กูเกิล ซึ่งเป็นเจ้าของยูทูบ แพลตฟอร์มวิดีโออันดับ 1 ของโลก มีการกําหนดหลักเกณฑ์ชุมชน (Community Guidelines)
ดังนั้น ถ้าหลักเกณฑ์ของประเทศไทยจัดทําได้สอดคล้องกับสากล การยืนยันข่าวปลอมของศูนย์ Anti-Fake News ก็จะได้รับการยอมรับจากแพลตฟอร์มโซเชียลเหล่านั้นด้วย และเป็นอีกช่องทางในการแจ้งข้อมูลที่ถูกต้อง และระงับการเผยแพร่ข่าวปลอมได้อย่างรวดเร็วในวงกว้าง
รมว.ดีอี กล่าวอีกว่า ในที่ประชุมยังพิจารณาความคืบหน้าเกี่ยวกับการพัฒนาเว็บไซต์สําหรับบูรณาการความร่วมมือภาครัฐ เอกชน และประชาชน ต่อการป้องปรามข่าวปลอมทางโลกดิจิทัล เพื่อสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม
“รัฐบาลให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ข่าวอันเป็นเท็จที่เป็นกระแสสังคมทางสื่อสังคมออนไลน์ที่ ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีความคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงในหลายกรณี ทั้งด้วยความตั้งใจของผู้ส่งข่าวสารที่หวังผลให้เกิดความแตกแยกในสังคมหรือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน หรืออาจด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดวิจารณญาณในการตรวจสอบกลั่นกรองก่อนส่งต่อข้อมูลข่าวสารให้ผู้อื่น” นายพุทธิพงษ์กล่าว
ทั้งนี้ บทบาทศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) จะทําหน้าที่ตรวจสอบ วิเคราะห์ และรับแจ้งข้อมูลข่าวสารที่นําเสนอไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เผยแพร่อยู่ในสังคม ผ่านช่องทางหลักๆ ของศูนย์ฯ ได้แก่ เว็บไซต์, เพจเฟซบุ๊ก และไลน์ออฟฟิเชียล (Line Official) เพื่อให้ผู้ที่รับผิดชอบในคณะอนุกรรมการฯ เข้ามาคัดกรองข่าวปลอมทางออนไลน์ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายใน 4 กลุ่มหลักข้างต้น เพื่อประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง/หน่วยงานที่ได้รับความเสียหาย และทําการแจ้งเตือน/นําเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงการแจ้งเตือนภัยพิบัติให้หน่วยงานและประชาชนได้รับทราบโดยตรงอย่างทันท่วงทีผ่านทุกช่องทางที่มีอยู่ รวมถึงผ่านกลไกภาคสื่อสารมวลชน เครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
***********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22631
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน”
|
วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน”
นายกรัฐมนตรี เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ทั่วประเทศ ด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม พร้อมพัฒนาประเทศไปสู่ 4.0 ต่อไป
วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 2,800 คนประกอบด้วย คณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ตัวแทนหน่วยงานราชการในส่วนภูมิภาค และบุคลากรที่เป็นวิทยากรระดับจังหวัด พร้อมด้วย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี จากกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟังนโยบายโดยพร้อมเพรียงกัน
โอกาสนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวมอบนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อน การพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุม ว่า รัฐบาลได้กําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และแผนการปฏิรูป เพื่อเป็นกรอบการดําเนินงานของทุกส่วนราชการ และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติ โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ควบคู่กับการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีคุณค่า เพื่อผลิตกําลังคน การสร้างพลังทางสังคมและลดการเหลื่อมล้ํา ซึ่งเป็นการกระจายโอกาสอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม เพื่อการพัฒนาไปสู่ประเทศไทย 4.0 โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นที่การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐ” และการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนบนพื้นฐานการเติบโตและก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมารัฐบาลและทุกกระทรวงมีนโยบายสําคัญลงไปในพื้นที่ โดยได้มีแผนงานโครงการและงบประมาณลงไปขับเคลื่อน ซึ่งมีลักษณะต่างคนต่างทํา ขาดการบูรณาการร่วมกัน ก่อให้เกิดความซ้ําซ้อน และกลายเป็นภาระให้กับประชาชน เช่น กรณีการก่อสร้างถนน แต่ชาวบ้านไม่อยากให้สร้างหรือไม่รู้เรื่องมาก่อน หรือ กรณีการวางแผนการทํางานที่ไม่พร้อมกันระหว่างกรมชลประทานกับกรมทางหลวง และอื่น ๆ จากที่มาและปัญหาดังกล่าวจึงจําเป็นต้องมีการบริหารงานในรูปแบบ “ไทยนิยม ยั่งยืน” เพื่อบูรณาการงานของรัฐบาลและทุกกระทรวง ซึ่งคําว่า “ไทยนิยม” นั้น ไม่ใช่การสร้างกระแส “ชาตินิยม” แต่อยู่บนพื้นฐานของ “ความเป็นไทยโดยไม่ทิ้งหลักสากล” และ “ไทยนิยม” ก็ไม่ใช่ “ประชานิยม” แต่อย่างใด
นอกจากนี้ โครงการไทยนิยม ยั่งยืน มีกลไกสําคัญ 4 ระดับ ทําหน้าที่บูรณาการการขับเคลื่อนและติดตามงานสําคัญลงในพื้นที่เป้าหมาย 83,151 หมู่บ้าน/ชุมชน ประกอบด้วย 1) ระดับชาติ 2) ระดับจังหวัด 3) ระดับอําเภอ และ4) ระดับตําบล ซึ่งทั้งหมดคือทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยตามโครงการ ไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตําบล ถือเป็นแกนหลักที่มีความสําคัญอย่างยิ่ง ทําหน้าที่ทั้งการสร้างการรับรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และการสร้างความร่วมมือกับกลไกของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ทั้งมิติด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม
ทั้งนี้ โครงการไทยนิยม ยั่งยืน มุ่งขับเคลื่อนงานสําคัญ 10 เรื่อง ดังนี้ 1) สัญญาประชาคมผูกใจไทยเป็นหนึ่ง ด้วยการสร้างความสามัคคี ปรองดอง จัดให้มีการทําสัญญาประชาคมให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อรับรู้และปฏิบัติตามร่วมกัน 2) คนไทยไม่ทิ้งกัน ด้วยการดูแลผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ 3) ชุมชนอยู่ดีมีสุข ด้วยการพัฒนาความเป็นอยู่ อาชีพ และรายได้ให้แก่ ประชาชน ผ่านการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร และการท่องเที่ยว โดยชุมชน 4) วิถีไทยวิถีพอเพียง ด้วยการส่งเสริมให้นําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดําเนินชีวิต รวมทั้งเสริมสร้างวินัยการออมในทุกช่วงอายุ 5) รู้สิทธิ รู้หน้าที่ รู้กฎหมาย ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชน ในเรื่อง สิทธิ หน้าที่ และกฎหมาย เพื่อการเป็นพลเมืองที่ดี 6) รู้กลไกการบริหารราชการ ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชน ทั้งเรื่องกลไกการบริหารราชการแผ่นดินแต่ละระดับ และการบริหารงบประมาณ ที่มุ่งประโยชน์แก่ประชาชน 7) รู้รักประชาธิปไตยไทยนิยม ด้วยการให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับ ระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และหลักธรรมาภิบาล 8) รู้เท่าทันเทคโนโลยี ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับเทคโนโลยี ให้ความสําคัญต่อการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องผ่านโครงการสําคัญ เช่น เน็ตประชารัฐ เป็นต้น 9) ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด ด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจร และ 10) งานตามภารกิจของส่วนราชการ/หน่วยงาน (Function) ซึ่งทั้ง 10 เรื่องดังกล่าว ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน และจะขยายผลเพื่อต่อยอดในเรื่องอื่น ๆ ต่อไป ให้ครอบคลุมทุกมิติ
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําอีกว่า มีความมุ่งมั่นตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะวางรากฐานการพัฒนา อย่างยั่งยืนให้กับประเทศ โดยวางระบบและแนวทางการปฏิรูปให้นโยบายต่างๆ เพื่อการพัฒนาสู่ฐานรากของประเทศ โดยเฉพาะนโยบายเชิงโครงสร้างที่จะยกระดับขีดความสามารถ ในการแข่งขัน และลดความเหลื่อมล้ําในมิติต่างๆ ผลสําเร็จที่จะเกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืนนี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อประเทศไทย ในปัจจุบันเท่านั้น แต่จะส่งผลที่ดีในอนาคตด้วย จึงถือเป็นภารกิจสําคัญของคนไทย และทุกฝ่ายที่จะร่วมกันขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ําในตอนท้ายอีกว่า รัฐบาลมุ่งหวังให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยขอให้ไปสร้างการเรียนรู้และทําความเข้าใจกับประชาชนด้วยความตั้งใจส่งผลให้เกิดความรักสามัคคีปรองดองกัน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ําในสังคมให้น้อยลง ขณะเดียวกัน การทํางานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐให้มีการบูรณาการร่วมกับประชาชนด้วยการยึดถือความต้องการของประชาชนเป็นสําคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาอาชีพด้านการเกษตรแก่ประชาชน พร้อมร่วมกันพัฒนาแหล่งน้ําเพื่อการเกษตรควบคู่ไปด้วยซึ่งจะส่งผลให้ ผลิตผลทางการเกษตรดีขึ้น
พร้อมทั้ง ขอให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐวางตัวให้เหมาะสมไม่ประพฤติตนเป็นนายของประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีความรู้สึกสบายใจและเกิดความประทับใจที่จะเข้าปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางพระราชดําริศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งตรงตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 อย่างแท้จริง
..............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน”
วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน”
นายกรัฐมนตรี เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ทั่วประเทศ ด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม พร้อมพัฒนาประเทศไปสู่ 4.0 ต่อไป
วันนี้ (9 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 2,800 คนประกอบด้วย คณะกรรมการอํานวยการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ปลัดกระทรวงทุกกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ตัวแทนหน่วยงานราชการในส่วนภูมิภาค และบุคลากรที่เป็นวิทยากรระดับจังหวัด พร้อมด้วย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี จากกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟังนโยบายโดยพร้อมเพรียงกัน
โอกาสนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวมอบนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อน การพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุม ว่า รัฐบาลได้กําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และแผนการปฏิรูป เพื่อเป็นกรอบการดําเนินงานของทุกส่วนราชการ และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติ โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ควบคู่กับการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่มีคุณค่า เพื่อผลิตกําลังคน การสร้างพลังทางสังคมและลดการเหลื่อมล้ํา ซึ่งเป็นการกระจายโอกาสอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม เพื่อการพัฒนาไปสู่ประเทศไทย 4.0 โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นที่การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐ” และการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนบนพื้นฐานการเติบโตและก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมารัฐบาลและทุกกระทรวงมีนโยบายสําคัญลงไปในพื้นที่ โดยได้มีแผนงานโครงการและงบประมาณลงไปขับเคลื่อน ซึ่งมีลักษณะต่างคนต่างทํา ขาดการบูรณาการร่วมกัน ก่อให้เกิดความซ้ําซ้อน และกลายเป็นภาระให้กับประชาชน เช่น กรณีการก่อสร้างถนน แต่ชาวบ้านไม่อยากให้สร้างหรือไม่รู้เรื่องมาก่อน หรือ กรณีการวางแผนการทํางานที่ไม่พร้อมกันระหว่างกรมชลประทานกับกรมทางหลวง และอื่น ๆ จากที่มาและปัญหาดังกล่าวจึงจําเป็นต้องมีการบริหารงานในรูปแบบ “ไทยนิยม ยั่งยืน” เพื่อบูรณาการงานของรัฐบาลและทุกกระทรวง ซึ่งคําว่า “ไทยนิยม” นั้น ไม่ใช่การสร้างกระแส “ชาตินิยม” แต่อยู่บนพื้นฐานของ “ความเป็นไทยโดยไม่ทิ้งหลักสากล” และ “ไทยนิยม” ก็ไม่ใช่ “ประชานิยม” แต่อย่างใด
นอกจากนี้ โครงการไทยนิยม ยั่งยืน มีกลไกสําคัญ 4 ระดับ ทําหน้าที่บูรณาการการขับเคลื่อนและติดตามงานสําคัญลงในพื้นที่เป้าหมาย 83,151 หมู่บ้าน/ชุมชน ประกอบด้วย 1) ระดับชาติ 2) ระดับจังหวัด 3) ระดับอําเภอ และ4) ระดับตําบล ซึ่งทั้งหมดคือทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยตามโครงการ ไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตําบล ถือเป็นแกนหลักที่มีความสําคัญอย่างยิ่ง ทําหน้าที่ทั้งการสร้างการรับรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และการสร้างความร่วมมือกับกลไกของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ทั้งมิติด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม
ทั้งนี้ โครงการไทยนิยม ยั่งยืน มุ่งขับเคลื่อนงานสําคัญ 10 เรื่อง ดังนี้ 1) สัญญาประชาคมผูกใจไทยเป็นหนึ่ง ด้วยการสร้างความสามัคคี ปรองดอง จัดให้มีการทําสัญญาประชาคมให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อรับรู้และปฏิบัติตามร่วมกัน 2) คนไทยไม่ทิ้งกัน ด้วยการดูแลผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ลงทะเบียนโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ 3) ชุมชนอยู่ดีมีสุข ด้วยการพัฒนาความเป็นอยู่ อาชีพ และรายได้ให้แก่ ประชาชน ผ่านการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร และการท่องเที่ยว โดยชุมชน 4) วิถีไทยวิถีพอเพียง ด้วยการส่งเสริมให้นําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดําเนินชีวิต รวมทั้งเสริมสร้างวินัยการออมในทุกช่วงอายุ 5) รู้สิทธิ รู้หน้าที่ รู้กฎหมาย ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชน ในเรื่อง สิทธิ หน้าที่ และกฎหมาย เพื่อการเป็นพลเมืองที่ดี 6) รู้กลไกการบริหารราชการ ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชน ทั้งเรื่องกลไกการบริหารราชการแผ่นดินแต่ละระดับ และการบริหารงบประมาณ ที่มุ่งประโยชน์แก่ประชาชน 7) รู้รักประชาธิปไตยไทยนิยม ด้วยการให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับ ระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และหลักธรรมาภิบาล 8) รู้เท่าทันเทคโนโลยี ด้วยการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับเทคโนโลยี ให้ความสําคัญต่อการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องผ่านโครงการสําคัญ เช่น เน็ตประชารัฐ เป็นต้น 9) ร่วมแก้ไขปัญหายาเสพติด ด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วนในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจร และ 10) งานตามภารกิจของส่วนราชการ/หน่วยงาน (Function) ซึ่งทั้ง 10 เรื่องดังกล่าว ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน และจะขยายผลเพื่อต่อยอดในเรื่องอื่น ๆ ต่อไป ให้ครอบคลุมทุกมิติ
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ําอีกว่า มีความมุ่งมั่นตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะวางรากฐานการพัฒนา อย่างยั่งยืนให้กับประเทศ โดยวางระบบและแนวทางการปฏิรูปให้นโยบายต่างๆ เพื่อการพัฒนาสู่ฐานรากของประเทศ โดยเฉพาะนโยบายเชิงโครงสร้างที่จะยกระดับขีดความสามารถ ในการแข่งขัน และลดความเหลื่อมล้ําในมิติต่างๆ ผลสําเร็จที่จะเกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืนนี้ ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อประเทศไทย ในปัจจุบันเท่านั้น แต่จะส่งผลที่ดีในอนาคตด้วย จึงถือเป็นภารกิจสําคัญของคนไทย และทุกฝ่ายที่จะร่วมกันขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน เพื่อพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ําในตอนท้ายอีกว่า รัฐบาลมุ่งหวังให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยขอให้ไปสร้างการเรียนรู้และทําความเข้าใจกับประชาชนด้วยความตั้งใจส่งผลให้เกิดความรักสามัคคีปรองดองกัน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ําในสังคมให้น้อยลง ขณะเดียวกัน การทํางานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐให้มีการบูรณาการร่วมกับประชาชนด้วยการยึดถือความต้องการของประชาชนเป็นสําคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาอาชีพด้านการเกษตรแก่ประชาชน พร้อมร่วมกันพัฒนาแหล่งน้ําเพื่อการเกษตรควบคู่ไปด้วยซึ่งจะส่งผลให้ ผลิตผลทางการเกษตรดีขึ้น
พร้อมทั้ง ขอให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐวางตัวให้เหมาะสมไม่ประพฤติตนเป็นนายของประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีความรู้สึกสบายใจและเกิดความประทับใจที่จะเข้าปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางพระราชดําริศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งตรงตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 อย่างแท้จริง
..............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9971
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“หม่อมเต่า” ห่วงใยลูกจ้าง กำชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำกับดูแลและตรวจสอบนายจ้างที่หยุดกิจการชั่วคราว ให้ใช้มาตรา 75 อย่างเคร่งครัด
|
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
“หม่อมเต่า” ห่วงใยลูกจ้าง กําชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกํากับดูแลและตรวจสอบนายจ้างที่หยุดกิจการชั่วคราว ให้ใช้มาตรา 75 อย่างเคร่งครัด
รมว.แรงงาน ห่วงใยลูกจ้างที่ต้องหยุดงานจากกรณีนายจ้างหยุดกิจการชั่วคราว โดยกําชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้เข้าไปกํากับดูแลและตรวจสอบนายจ้างที่มีการใช้มาตรา 75 ให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้ง ย้ําผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ให้ช่วย
หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความรุนแรงกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้สถานประกอบกิจการหลายแห่งต้องเลิกจ้างลูกจ้าง ปิดกิจการ รวมถึง การหยุดกิจการบางส่วนหรือทั้งหมดเป็นการชั่วคราวมาใช้ ซึ่งการหยุดกิจการบางส่วน หรือทั้งหมดเป็นการชั่วคราวนั้น กฎหมายคุ้มครองแรงงานให้สิทธินายจ้างสามารถกระทําได้และมุ่งคุ้มครองทั้งนายจ้างและลูกจ้างไปพร้อมกัน ในกรณีที่นายจ้างประสบปัญหามีความจําเป็นต้องหยุดกิจการชั่วคราว แต่ยังมีความประสงค์ประกอบกิจการต่อไป เพื่อแก้ไขวิกฤตดังกล่าวให้คลี่คลายและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของนายจ้างในการดําเนินกิจการให้บรรเทาเบาบางลงไป ก่อนกลับมาเปิดดําเนินกิจการตามปกติได้อีกครั้งและยังเป็นการประคับประคองให้นายจ้างสามารถดําเนินกิจการต่อไปได้โดยไม่จําเป็นต้องปิดกิจการและเลิกจ้างลูกจ้าง ทําให้ลูกจ้างไม่ต้องตกงาน ขาดรายได้และได้รับความเดือดร้อนในช่วงที่หยุดงานเพราะเหตุดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายคุ้มครองแรงงานจะให้สิทธินายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ได้ กฎหมายก็ไม่ได้ยอมให้นายจ้างกระทําได้ตามอําเภอใจ จึงได้กําหนดมาตรการเพื่อควบคุมไว้ ดังนี้
– นายจ้างต้องมีเหตุจําเป็นที่สําคัญอันมีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของนายจ้างจนทําให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ
– นายจ้างต้องจ่ายเงินให้แก่ลูจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของค่าจ้างในวันทํางานที่ลูกจ้างได้รับก่อนนายจ้างหยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ได้ให้ลูกจ้างทํางาน ณ สถานที่ทํางานของลูกจ้าง หรือสถานที่อื่นตามที่ตกลงกันและภายในกําหนดเวลาการจ่ายเงินตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางาน หรือตามที่ตกลงกันกับลูกจ้าง
– นายจ้างต้องแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการชั่วคราวไม่น้อยกว่า 3 วันทําการ
“หากนายจ้างจําเป็นที่จะต้องหยุดกิจการชั่วคราว นายจ้างจะต้องจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และต้องแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการชั่วคราวไม่น้อยกว่า 3 วันทําการ ดังนั้น กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รวมทั้งผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน จะเข้าไปดูแลและตรวจสอบการใช้มาตรา 75 ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งผมให้ความสําคัญกับเรื่องนี้”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวในท้ายที่สุด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“หม่อมเต่า” ห่วงใยลูกจ้าง กำชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำกับดูแลและตรวจสอบนายจ้างที่หยุดกิจการชั่วคราว ให้ใช้มาตรา 75 อย่างเคร่งครัด
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
“หม่อมเต่า” ห่วงใยลูกจ้าง กําชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกํากับดูแลและตรวจสอบนายจ้างที่หยุดกิจการชั่วคราว ให้ใช้มาตรา 75 อย่างเคร่งครัด
รมว.แรงงาน ห่วงใยลูกจ้างที่ต้องหยุดงานจากกรณีนายจ้างหยุดกิจการชั่วคราว โดยกําชับกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้เข้าไปกํากับดูแลและตรวจสอบนายจ้างที่มีการใช้มาตรา 75 ให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้ง ย้ําผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ให้ช่วย
หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความรุนแรงกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้สถานประกอบกิจการหลายแห่งต้องเลิกจ้างลูกจ้าง ปิดกิจการ รวมถึง การหยุดกิจการบางส่วนหรือทั้งหมดเป็นการชั่วคราวมาใช้ ซึ่งการหยุดกิจการบางส่วน หรือทั้งหมดเป็นการชั่วคราวนั้น กฎหมายคุ้มครองแรงงานให้สิทธินายจ้างสามารถกระทําได้และมุ่งคุ้มครองทั้งนายจ้างและลูกจ้างไปพร้อมกัน ในกรณีที่นายจ้างประสบปัญหามีความจําเป็นต้องหยุดกิจการชั่วคราว แต่ยังมีความประสงค์ประกอบกิจการต่อไป เพื่อแก้ไขวิกฤตดังกล่าวให้คลี่คลายและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของนายจ้างในการดําเนินกิจการให้บรรเทาเบาบางลงไป ก่อนกลับมาเปิดดําเนินกิจการตามปกติได้อีกครั้งและยังเป็นการประคับประคองให้นายจ้างสามารถดําเนินกิจการต่อไปได้โดยไม่จําเป็นต้องปิดกิจการและเลิกจ้างลูกจ้าง ทําให้ลูกจ้างไม่ต้องตกงาน ขาดรายได้และได้รับความเดือดร้อนในช่วงที่หยุดงานเพราะเหตุดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายคุ้มครองแรงงานจะให้สิทธินายจ้างหยุดกิจการชั่วคราวเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ได้ กฎหมายก็ไม่ได้ยอมให้นายจ้างกระทําได้ตามอําเภอใจ จึงได้กําหนดมาตรการเพื่อควบคุมไว้ ดังนี้
– นายจ้างต้องมีเหตุจําเป็นที่สําคัญอันมีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของนายจ้างจนทําให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ
– นายจ้างต้องจ่ายเงินให้แก่ลูจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของค่าจ้างในวันทํางานที่ลูกจ้างได้รับก่อนนายจ้างหยุดกิจการตลอดระยะเวลาที่นายจ้างไม่ได้ให้ลูกจ้างทํางาน ณ สถานที่ทํางานของลูกจ้าง หรือสถานที่อื่นตามที่ตกลงกันและภายในกําหนดเวลาการจ่ายเงินตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางาน หรือตามที่ตกลงกันกับลูกจ้าง
– นายจ้างต้องแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการชั่วคราวไม่น้อยกว่า 3 วันทําการ
“หากนายจ้างจําเป็นที่จะต้องหยุดกิจการชั่วคราว นายจ้างจะต้องจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และต้องแจ้งให้ลูกจ้างและพนักงานตรวจแรงงานทราบล่วงหน้าเป็นหนังสือก่อนวันเริ่มหยุดกิจการชั่วคราวไม่น้อยกว่า 3 วันทําการ ดังนั้น กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รวมทั้งผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน จะเข้าไปดูแลและตรวจสอบการใช้มาตรา 75 ให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งผมให้ความสําคัญกับเรื่องนี้”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าวในท้ายที่สุด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27966
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิด “ตู้ สปน. เติมสุข” แบ่งปันเครื่องอุปโภคและบริโภคให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 [สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี]
|
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563
ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เปิด “ตู้ สปน. เติมสุข” แบ่งปันเครื่องอุปโภคและบริโภคให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 [สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี]
ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เปิด “ตู้ สปน. เติมสุข” แบ่งปันเครื่องอุปโภคและบริโภคให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 เวลา 09.00 น. ณ จุดบริการประชาชน 1111 ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล (สํานักงาน ก.พ. เดิม) นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “ตู้ สปน. เติมสุข” เพื่อแบ่งปันเครื่องอุปโภคและบริโภคให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์
การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมทั้งเป็นการรณรงค์งานจิตอาสาของบุคลากรในหน่วยงานและประชาชนทั่วไป ซึ่งจะส่งผลให้เป็นการ “เติมสุข” ทั้งผู้ให้และผู้รับ
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทําให้ประชาชนได้รับผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ในการนี้ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ในฐานะหน่วยงาน
ที่รับผิดชอบศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ซึ่งมีภารกิจในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน พบว่า มีประชาชนหลายกลุ่ม หลายอาชีพได้มายื่นเรื่องร้องทุกข์กรณีต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง สปน. ได้ประมวลผลนําเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาแล้ว นอกจากนี้ สปน. ได้ตระหนักและเล็งเห็นถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน จึงได้ร่วมใจกันตั้ง“ตู้ สปน. เติมสุข” โดยเห็นว่า เมื่อศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาลได้ทําหน้าที่ในการ “คลายทุกข์” ให้ประชาชนในระดับหนึ่งแล้ว สปน. จึงมีความประสงค์จะช่วย “เติมสุข” ให้ประชาชนอีกทางหนึ่งพร้อมกันไปด้วย โดย “ตู้ สปน. เติมสุข” ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าจุดบริการประชาชน 1111 ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล (สํานักงาน ก.พ. เดิม) โดยได้จัดเตรียมเครื่องอุปโภค เครื่องบริโภค และน้ําดื่ม เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป ในวันและเวลาราชการ ภายใต้หลักการ “หยิบไปแต่พอดี ถ้ามีร่วมเติมสุข”
ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวในตอนท้ายว่า เพื่อที่ผู้ให้และผู้รับจะปลอดภัยจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ขอความร่วมมือล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ก่อนนําสิ่งของไปจัดวางใน “ตู้ สปน. เติมสุข” สําหรับผู้รับต้องยืนรอคิวรับสิ่งของ โดยเว้นระยะห่าง 2 เมตร ตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ เพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของทุกคน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิด “ตู้ สปน. เติมสุข” แบ่งปันเครื่องอุปโภคและบริโภคให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 [สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี]
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563
ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เปิด “ตู้ สปน. เติมสุข” แบ่งปันเครื่องอุปโภคและบริโภคให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 [สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี]
ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เปิด “ตู้ สปน. เติมสุข” แบ่งปันเครื่องอุปโภคและบริโภคให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 เวลา 09.00 น. ณ จุดบริการประชาชน 1111 ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล (สํานักงาน ก.พ. เดิม) นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “ตู้ สปน. เติมสุข” เพื่อแบ่งปันเครื่องอุปโภคและบริโภคให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์
การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมทั้งเป็นการรณรงค์งานจิตอาสาของบุคลากรในหน่วยงานและประชาชนทั่วไป ซึ่งจะส่งผลให้เป็นการ “เติมสุข” ทั้งผู้ให้และผู้รับ
นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทําให้ประชาชนได้รับผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ในการนี้ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ในฐานะหน่วยงาน
ที่รับผิดชอบศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ซึ่งมีภารกิจในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน พบว่า มีประชาชนหลายกลุ่ม หลายอาชีพได้มายื่นเรื่องร้องทุกข์กรณีต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง สปน. ได้ประมวลผลนําเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาแล้ว นอกจากนี้ สปน. ได้ตระหนักและเล็งเห็นถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน จึงได้ร่วมใจกันตั้ง“ตู้ สปน. เติมสุข” โดยเห็นว่า เมื่อศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาลได้ทําหน้าที่ในการ “คลายทุกข์” ให้ประชาชนในระดับหนึ่งแล้ว สปน. จึงมีความประสงค์จะช่วย “เติมสุข” ให้ประชาชนอีกทางหนึ่งพร้อมกันไปด้วย โดย “ตู้ สปน. เติมสุข” ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าจุดบริการประชาชน 1111 ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล (สํานักงาน ก.พ. เดิม) โดยได้จัดเตรียมเครื่องอุปโภค เครื่องบริโภค และน้ําดื่ม เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป ในวันและเวลาราชการ ภายใต้หลักการ “หยิบไปแต่พอดี ถ้ามีร่วมเติมสุข”
ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวในตอนท้ายว่า เพื่อที่ผู้ให้และผู้รับจะปลอดภัยจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ขอความร่วมมือล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า ก่อนนําสิ่งของไปจัดวางใน “ตู้ สปน. เติมสุข” สําหรับผู้รับต้องยืนรอคิวรับสิ่งของ โดยเว้นระยะห่าง 2 เมตร ตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ เพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของทุกคน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31557
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 วิธีไม่ทำ และ 3 สิ่งที่ต้องทำเพื่อรับมือไวรัสโควิด-19
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563
3 วิธีไม่ทํา และ 3 สิ่งที่ต้องทําเพื่อรับมือไวรัสโควิด-19
ตระหนัก ไม่ตระหนก
-ไม่นําเชื้อเข้าตัว
-ไม่นําเชื้อเข้าบ้าน
-ไม่นําเชื้อไปสู่ผู้อื่น
-ต้องปฏิบัติตนตามมาตรการของรัฐบาล
-ต้องติดตามข่าวสาร
-ต้องติดต่อสื่อสาร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 วิธีไม่ทำ และ 3 สิ่งที่ต้องทำเพื่อรับมือไวรัสโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563
3 วิธีไม่ทํา และ 3 สิ่งที่ต้องทําเพื่อรับมือไวรัสโควิด-19
ตระหนัก ไม่ตระหนก
-ไม่นําเชื้อเข้าตัว
-ไม่นําเชื้อเข้าบ้าน
-ไม่นําเชื้อไปสู่ผู้อื่น
-ต้องปฏิบัติตนตามมาตรการของรัฐบาล
-ต้องติดตามข่าวสาร
-ต้องติดต่อสื่อสาร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27532
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
|
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (12 ธันวาคม 2560) เวลา 16.00 น. ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ (Lord Powell of Bayswater KCMG) สมาชิกสภาขุนนางสหราชอาณาจักร เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องโดมทอง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการหารือ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเสถียรภาพและศักยภาพด้านเศรษฐกิจของไทย อาเซียน และเอเชีย และยังดํารงตําแหน่งสําคัญในฐานะที่ปรึกษาบริษัทใหญ่หลายแห่งในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและในภูมิภาค ทั้งนี้ ไทยพร้อมร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสหราชอาณาจักร เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนของทั้งสองประเทศด้วย
ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี พร้อมชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักร - ไทย ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 400 ปี เชื่อว่าไทยและสหราชอาณาจักรต่างมีศักยภาพและความสามารถที่จะสนับสนุนความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มพูนมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งการพัฒนาความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์โลกอย่างกว้างขวาง ซึ่งลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ ยังได้กล่าวประทับใจการทํางานของนายกรัฐมนตรี ที่นําคณะเดินทางตรวจเยี่ยมพื้นที่ในภูมิภาคต่างๆ ของไทย เพื่อรับทราบปัญหาและร่วมหาแนวทางการแก้ไข เชื่อว่ารัฐบาลจะประสบความสําเร็จ
นายกรัฐมนตรียืนยันในตอนท้ายว่า ประเทศไทยได้เดินหน้าตามแผนปฏิบัติการ (Road map) ที่ได้กําหนดไว้ และการเลือกตั้งทั่วไปก็จะเป็นไปตามกรอบกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่จะได้มีการประกาศใช้ต่อไป เพราะรัฐบาลมุ่งมั่นในการดําเนินงาน ก็เพื่ออนาคตประเทศเป็นหลัก
******************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันอังคารที่ 12 ธันวาคม 2560
ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (12 ธันวาคม 2560) เวลา 16.00 น. ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ (Lord Powell of Bayswater KCMG) สมาชิกสภาขุนนางสหราชอาณาจักร เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องโดมทอง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการหารือ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเสถียรภาพและศักยภาพด้านเศรษฐกิจของไทย อาเซียน และเอเชีย และยังดํารงตําแหน่งสําคัญในฐานะที่ปรึกษาบริษัทใหญ่หลายแห่งในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและในภูมิภาค ทั้งนี้ ไทยพร้อมร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับสหราชอาณาจักร เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนของทั้งสองประเทศด้วย
ลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ ได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี พร้อมชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักร - ไทย ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 400 ปี เชื่อว่าไทยและสหราชอาณาจักรต่างมีศักยภาพและความสามารถที่จะสนับสนุนความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มพูนมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งการพัฒนาความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์โลกอย่างกว้างขวาง ซึ่งลอร์ดโพลแห่งเบย์สวอเตอร์ ยังได้กล่าวประทับใจการทํางานของนายกรัฐมนตรี ที่นําคณะเดินทางตรวจเยี่ยมพื้นที่ในภูมิภาคต่างๆ ของไทย เพื่อรับทราบปัญหาและร่วมหาแนวทางการแก้ไข เชื่อว่ารัฐบาลจะประสบความสําเร็จ
นายกรัฐมนตรียืนยันในตอนท้ายว่า ประเทศไทยได้เดินหน้าตามแผนปฏิบัติการ (Road map) ที่ได้กําหนดไว้ และการเลือกตั้งทั่วไปก็จะเป็นไปตามกรอบกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่จะได้มีการประกาศใช้ต่อไป เพราะรัฐบาลมุ่งมั่นในการดําเนินงาน ก็เพื่ออนาคตประเทศเป็นหลัก
******************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8714
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้แทนไทยร่วมประชุมสร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล กับ อินโดนีเซีย
|
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้แทนไทยร่วมประชุมสร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล กับ อินโดนีเซีย
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นําคณะผู้แทนไทย ร่วมด้วยผู้แทนกระทรวงการคลัง สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอกนิกส์ (องค์การมหาชน) เข้าร่วมการประชุมหารือระหว่างไทยและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นประเด็นการจัดเก็บภาษี การทําธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี OTT และการพัฒนา Startup รวมถึงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระหว่างไทยและอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ยังได้เข้าเยี่ยมคารวะ H.E. Mr. Rudiantara รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งอินโดนีเซีย พร้อมทั้งได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับหน่วยงาน Indonesia Security Incident Response Team on Internet Infrastructure (ID-SIRTII) ซึ่งเป็นศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ของอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้แทนไทยร่วมประชุมสร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล กับ อินโดนีเซีย
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้แทนไทยร่วมประชุมสร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล กับ อินโดนีเซีย
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นําคณะผู้แทนไทย ร่วมด้วยผู้แทนกระทรวงการคลัง สํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอกนิกส์ (องค์การมหาชน) เข้าร่วมการประชุมหารือระหว่างไทยและสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นประเด็นการจัดเก็บภาษี การทําธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยี OTT และการพัฒนา Startup รวมถึงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระหว่างไทยและอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ยังได้เข้าเยี่ยมคารวะ H.E. Mr. Rudiantara รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งอินโดนีเซีย พร้อมทั้งได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับหน่วยงาน Indonesia Security Incident Response Team on Internet Infrastructure (ID-SIRTII) ซึ่งเป็นศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ของอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
*******************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10493
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งแก้ไขปัญหาธุรกิจตั๋วปุ๋ยในสหกรณ์ เตรียมเดินหน้ามาตรการลงโทษผู้กระทำผิดทางกฎหมาย
|
วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2559
กระทรวงเกษตรฯ เร่งแก้ไขปัญหาธุรกิจตั๋วปุ๋ยในสหกรณ์ เตรียมเดินหน้ามาตรการลงโทษผู้กระทําผิดทางกฎหมาย
กระทรวงเกษตรฯ เร่งแก้ไขปัญหาธุรกิจตั๋วปุ๋ยในสหกรณ์ เตรียมเดินหน้ามาตรการลงโทษผู้กระทําผิดทางกฎหมาย คาดแล้วเสร็จสิ้นปี 59
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีนโยบายในการยกระดับมาตรฐานของสหกรณ์ให้เกิดความเข้มแข็ง เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการแข่งขันทางสินค้าเกษตร ซึ่งขณะนี้กระทรวงเกษตร ฯ ได้เร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาการซื้อขายปุ๋ยล่วงหน้า (ตั๋วปุ๋ย) ของสหกรณ์ โดยได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เร่งตรวจสอบปัญหาการซื้อขายตั๋วปุ๋ยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจากที่สหกรณ์ได้ดําเนินการจัดหาปุ๋ยให้แก่สมาชิก โดยสั่งซื้อจากบริษัทเป็นจํานวนมาก และไม่ได้ทําการสํารวจความต้องการของสมาชิก ซึ่งไม่เป็นไปตามกลไกของสหกรณ์ เนื่องจากการจัดหาปุ๋ยจะต้องสํารวจความต้องการของสมาชิกก่อน โดยสหกรณ์จะต้องเป็นผู้จัดหาและรวมซื้อ เพื่อให้เกษตรกรได้รับปุ๋ยที่มีคุณภาพและต้นทุนต่ํา แต่จากการดําเนินการของบริษัทจะออกตั๋วปุ๋ยให้สหกรณ์เหมือนการซื้อขายล่วงหน้า เมื่อครบกําหนดบริษัทจะนําปุ๋ยมาให้ตามเวลาที่กําหนด อย่างไรก็ตาม กลไกปกติของสหกรณ์จะบริการจัดหาปุ๋ยให้แก่สมาชิก แต่ในกรณีดังกล่าวสหกรณ์ได้ปล่อยสินเชื่อให้สหกรณ์อื่นด้วย ซึ่งไม่ใช่การดําเนินการตามกฎหมาย จึงได้สั่งการให้เร่งดําเนินการตรวจสอบอย่างชัดเจน หากพบการกระทําความผิดจะต้องมีผู้รับผิดชอบตามกระบวนการทางกฎหมาย โดยไม่มีการยกเว้น
ด้าน ดร. วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ปัญหาการซื้อขายตั๋วปุ๋ยของสหกรณ์ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่สมาชิกสหกรณ์แล้ว 30 จังหวัด 59 สหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้เร่งดําเนินการอย่างเร่งด่วนใน 3 ส่วน คือ 1. กรณีที่สหกรณ์มีตั๋วปุ๋ยแล้ว แต่ทางผู้ขายยังไม่ส่งมอบ สหกรณ์ต้องให้ผู้ขายส่งมอบปุ๋ยให้ทั้งหมด หากไม่ปฏิบัติตามสัญญาจะต้องยกเลิก และชดใช้ค่าเสียหายให้สหกรณ์ 2. กรณีที่สหกรณ์รับตั๋วปุ๋ยครบแล้ว ต้องแจ้งให้กรมวิชาการเกษตรดําเนินการตรวจสอบคุณภาพปุ๋ย หากพบว่าปุ๋ยขาดคุณภาพให้เรียกค่าเสียหายกับผู้ขายปุ๋ย และ 3. หากพบว่ากรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ของกรมฯ มีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริต จะต้องดําเนินการอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาแล้วประมาณร้อยละ 70 จากมูลค่ารวมของตั๋วปุ๋ยประมาณ 1,900 ล้านบาท ทางสหกรณ์ได้รับปุ๋ยและดําเนินการจําหน่ายแล้วประมาณ 1,249 ล้านบาท ยังเหลืออีกประมาณ 600 กว่าล้านบาท ที่จะต้องดําเนินการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรละสหกรณ์ได้กําชับให้การดําเนินการสหกรณ์เป็นไปตามธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์จะเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2559 นี้
----------------------------------------------
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งแก้ไขปัญหาธุรกิจตั๋วปุ๋ยในสหกรณ์ เตรียมเดินหน้ามาตรการลงโทษผู้กระทำผิดทางกฎหมาย
วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2559
กระทรวงเกษตรฯ เร่งแก้ไขปัญหาธุรกิจตั๋วปุ๋ยในสหกรณ์ เตรียมเดินหน้ามาตรการลงโทษผู้กระทําผิดทางกฎหมาย
กระทรวงเกษตรฯ เร่งแก้ไขปัญหาธุรกิจตั๋วปุ๋ยในสหกรณ์ เตรียมเดินหน้ามาตรการลงโทษผู้กระทําผิดทางกฎหมาย คาดแล้วเสร็จสิ้นปี 59
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีนโยบายในการยกระดับมาตรฐานของสหกรณ์ให้เกิดความเข้มแข็ง เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการแข่งขันทางสินค้าเกษตร ซึ่งขณะนี้กระทรวงเกษตร ฯ ได้เร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาการซื้อขายปุ๋ยล่วงหน้า (ตั๋วปุ๋ย) ของสหกรณ์ โดยได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เร่งตรวจสอบปัญหาการซื้อขายตั๋วปุ๋ยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจากที่สหกรณ์ได้ดําเนินการจัดหาปุ๋ยให้แก่สมาชิก โดยสั่งซื้อจากบริษัทเป็นจํานวนมาก และไม่ได้ทําการสํารวจความต้องการของสมาชิก ซึ่งไม่เป็นไปตามกลไกของสหกรณ์ เนื่องจากการจัดหาปุ๋ยจะต้องสํารวจความต้องการของสมาชิกก่อน โดยสหกรณ์จะต้องเป็นผู้จัดหาและรวมซื้อ เพื่อให้เกษตรกรได้รับปุ๋ยที่มีคุณภาพและต้นทุนต่ํา แต่จากการดําเนินการของบริษัทจะออกตั๋วปุ๋ยให้สหกรณ์เหมือนการซื้อขายล่วงหน้า เมื่อครบกําหนดบริษัทจะนําปุ๋ยมาให้ตามเวลาที่กําหนด อย่างไรก็ตาม กลไกปกติของสหกรณ์จะบริการจัดหาปุ๋ยให้แก่สมาชิก แต่ในกรณีดังกล่าวสหกรณ์ได้ปล่อยสินเชื่อให้สหกรณ์อื่นด้วย ซึ่งไม่ใช่การดําเนินการตามกฎหมาย จึงได้สั่งการให้เร่งดําเนินการตรวจสอบอย่างชัดเจน หากพบการกระทําความผิดจะต้องมีผู้รับผิดชอบตามกระบวนการทางกฎหมาย โดยไม่มีการยกเว้น
ด้าน ดร. วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ปัญหาการซื้อขายตั๋วปุ๋ยของสหกรณ์ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่สมาชิกสหกรณ์แล้ว 30 จังหวัด 59 สหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้เร่งดําเนินการอย่างเร่งด่วนใน 3 ส่วน คือ 1. กรณีที่สหกรณ์มีตั๋วปุ๋ยแล้ว แต่ทางผู้ขายยังไม่ส่งมอบ สหกรณ์ต้องให้ผู้ขายส่งมอบปุ๋ยให้ทั้งหมด หากไม่ปฏิบัติตามสัญญาจะต้องยกเลิก และชดใช้ค่าเสียหายให้สหกรณ์ 2. กรณีที่สหกรณ์รับตั๋วปุ๋ยครบแล้ว ต้องแจ้งให้กรมวิชาการเกษตรดําเนินการตรวจสอบคุณภาพปุ๋ย หากพบว่าปุ๋ยขาดคุณภาพให้เรียกค่าเสียหายกับผู้ขายปุ๋ย และ 3. หากพบว่ากรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ของกรมฯ มีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริต จะต้องดําเนินการอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาแล้วประมาณร้อยละ 70 จากมูลค่ารวมของตั๋วปุ๋ยประมาณ 1,900 ล้านบาท ทางสหกรณ์ได้รับปุ๋ยและดําเนินการจําหน่ายแล้วประมาณ 1,249 ล้านบาท ยังเหลืออีกประมาณ 600 กว่าล้านบาท ที่จะต้องดําเนินการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรละสหกรณ์ได้กําชับให้การดําเนินการสหกรณ์เป็นไปตามธรรมาภิบาล มีความโปร่งใส ซึ่งกรมส่งเสริมสหกรณ์จะเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2559 นี้
----------------------------------------------
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/943
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” แบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนแปลง ส่งมอบเสื้อผ้า-เครื่องนุ่งห่มให้แก่มูลนิธิกระจกเงา นำไปช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลนในสังคม
|
วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561
“ยุติธรรม” แบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนแปลง ส่งมอบเสื้อผ้า-เครื่องนุ่งห่มให้แก่มูลนิธิกระจกเงา นําไปช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลนในสังคม
นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในกิจกรรม “กระทรวงยุติธรรม แบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อถวายพระกุศลเนื่องในโอกาส พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเจริญพระชันษา ๖๐ ปี ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐”
ในวันศุกร์ที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.
นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในกิจกรรม “กระทรวงยุติธรรม แบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนแปลง
เพื่อถวายพระกุศลเนื่องในโอกาส พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
ทรงเจริญพระชันษา ๖๐ ปี ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐”
โดยส่งมอบเสื้อผ้า - เครื่องนุ่งห่มสภาพดีที่ได้จากการรับบริจาคของข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
และประชาชนทั่วไป เพื่อมอบให้แก่มูลนิธิกระจกเงาสําหรับนําไปช่วยเหลือให้ผู้ที่ขาดแคลนต่อไป
อันจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาสให้แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม
สามารถเข้าถึงเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ในการดํารงชีวิตได้อย่างเท่าเทียม
โดยมี นางสาวลัดดา ปัญญาวิชา ผู้จัดการมูลนิธิกระจกเงา เป็นผู้แทนรับมอบฯ
และมีผู้อํานวยการกอง/สํานัก และเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
เข้าร่วมฯ ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” แบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนแปลง ส่งมอบเสื้อผ้า-เครื่องนุ่งห่มให้แก่มูลนิธิกระจกเงา นำไปช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลนในสังคม
วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561
“ยุติธรรม” แบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนแปลง ส่งมอบเสื้อผ้า-เครื่องนุ่งห่มให้แก่มูลนิธิกระจกเงา นําไปช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลนในสังคม
นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในกิจกรรม “กระทรวงยุติธรรม แบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อถวายพระกุศลเนื่องในโอกาส พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเจริญพระชันษา ๖๐ ปี ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐”
ในวันศุกร์ที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น.
นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในกิจกรรม “กระทรวงยุติธรรม แบ่งปันเพื่อการเปลี่ยนแปลง
เพื่อถวายพระกุศลเนื่องในโอกาส พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
ทรงเจริญพระชันษา ๖๐ ปี ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐”
โดยส่งมอบเสื้อผ้า - เครื่องนุ่งห่มสภาพดีที่ได้จากการรับบริจาคของข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม
และประชาชนทั่วไป เพื่อมอบให้แก่มูลนิธิกระจกเงาสําหรับนําไปช่วยเหลือให้ผู้ที่ขาดแคลนต่อไป
อันจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาสให้แก่ผู้ด้อยโอกาสในสังคม
สามารถเข้าถึงเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ในการดํารงชีวิตได้อย่างเท่าเทียม
โดยมี นางสาวลัดดา ปัญญาวิชา ผู้จัดการมูลนิธิกระจกเงา เป็นผู้แทนรับมอบฯ
และมีผู้อํานวยการกอง/สํานัก และเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
เข้าร่วมฯ ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9659
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือหลายหน่วยงาน ร่วมขับเคลื่อนโครงการศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร “Senior Complex บางละมุง” พร้อมวางศิลาฤกษ์ภายในเดือน ก.พ. 61
|
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560
พม. จับมือหลายหน่วยงาน ร่วมขับเคลื่อนโครงการศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร “Senior Complex บางละมุง” พร้อมวางศิลาฤกษ์ภายในเดือน ก.พ. 61
พม. จับมือหลายหน่วยงาน ร่วมขับเคลื่อนโครงการศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร “Senior Complex บางละมุง” พร้อมวางศิลาฤกษ์ภายในเดือน ก.พ. 61
วันนี้ (31 ก.ค. 60) เวลา 17.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ ครั้งที่ 3/2560 ว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ประธานการประชุม กล่าวว่า ขณะนี้ โครงการ"Senior Complex บางละมุง” อาคารที่พักอาศัยบนที่ดินราชพัสดุ ขนาดพื้นที่ 48 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา จํานวน 14 อาคาร 632 ยูนิต แบ่งเป็น อาคารสูง 4 ชั้น จํานวน 4 อาคาร (ติดริมทะเล) และอาคารสูง 5 ชั้น จํานวน 10 อาคาร ซึ่งทุกอาคารเปิดมุมมอง ไปยังทะเล โดยดําเนินงานภายใต้คณะทํางาน 4 คณะ ประกอบด้วย 1) คณะทํางานขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ 2) คณะทํางานบริหารโครงการศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร(Senior Complex บางละมุง) 3) คณะทํางานบริหารงบประมาณการก่อสร้างศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร และ 4) คณะทํางานด้านการตลาดและการขาย ทั้งนี้ การดําเนินการก่อสร้างโครงการฯ ทางกระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) จะมีการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง การเคหะแห่งชาติ (กคช.) สภากาชาดไทย และสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และ ประชาสังคม อาทิ กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางและกรมธนารักษ์ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและ ผังเมือง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สภากาชาดไทย และบริษัท แอลพีเอ็นดีแวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) เป็นต้น ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติงาน (Master Schedule) โครงการ "Senior Complex บางละมุง” ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2561 โดยเริ่มดําเนินการในเรื่อง 1) การเสนอเรื่องขอแก้ไขกฎกระทรวงโดยเพิ่มข้อกําหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ (พื้นที่สีน้ําเงิน) 2) การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ (Feasibility Study : FS) 3) การเสนอ Master Plan เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land Use) และการออกแบบอาคาร ระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการ และภูมิสถาปัตยกรรม 4) การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) 5) กระบวนการ จัดซื้อจัดจ้าง 6) การลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่าง กระทรวง พม. โดย ผส. ร่วมกับ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง การเคหะแห่งชาติ (กคช.) สภากาชาดไทย และสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) 7) การขออนุญาต การก่อสร้างกับหน่วยงานท้องถิ่น 8) การจัดพิธีวางศิลาฤกษ์ 9) การจัดงาน Pre Sale และ 10) การเริ่มก่อสร้างโครงการฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ(โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง) ภายใต้การดําเนินงานกระทรวง พม. โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ทางที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการของโครงการดังกล่าวฯ ซึ่งเป็นการดําเนินการก่อสร้างที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้ปานกลางถึงค่อนข้างสูง จํานวน 360 ยูนิต แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 บ้านแฝด 1 ชั้น และ 2 ชั้น จํานวน 192 หน่วย มีราคาเริ่มต้น 2.35 ล้านบาท และ ระยะที่ 2 อาคารชุดสูง 4 ชั้น จํานวน 168 หน่วย แบ่งเป็น 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 38 ตารางเมตร และขนาด 56 ตารางเมตร มีราคาตั้งแต่ 1.28 – 1.80 ล้านบาท โดยจะเริ่มดําเนินการก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ 1 เป็นลําดับแรก ภายในเดือนพฤษภาคม 2561 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวควรปรับเป็นโครงการบ้านกตัญญู โดยให้บุตรสามารถซื้อบ้านให้บิดามารดาอยู่ร่วมกันได้ อีกทั้งการก่อสร้างโครงการฯ ควรมุ่งเน้นการออกแบบตามหลักอารยสถาปัตย์และองค์ประกอบที่สําคัญในด้านต่างๆ เช่น การคมนาคมขนส่ง การสาธารณสุข การศึกษา สิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่สวยงาม และความปลอดภัย เป็นต้น ส่วนการขอสินเชื่อบ้าน ทาง กคช. จะหารือร่วมกับ ธอส. ในเรื่องมาตรการการผ่อนชําระบ้าน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือหลายหน่วยงาน ร่วมขับเคลื่อนโครงการศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร “Senior Complex บางละมุง” พร้อมวางศิลาฤกษ์ภายในเดือน ก.พ. 61
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560
พม. จับมือหลายหน่วยงาน ร่วมขับเคลื่อนโครงการศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร “Senior Complex บางละมุง” พร้อมวางศิลาฤกษ์ภายในเดือน ก.พ. 61
พม. จับมือหลายหน่วยงาน ร่วมขับเคลื่อนโครงการศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร “Senior Complex บางละมุง” พร้อมวางศิลาฤกษ์ภายในเดือน ก.พ. 61
วันนี้ (31 ก.ค. 60) เวลา 17.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ ครั้งที่ 3/2560 ว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ประธานการประชุม กล่าวว่า ขณะนี้ โครงการ"Senior Complex บางละมุง” อาคารที่พักอาศัยบนที่ดินราชพัสดุ ขนาดพื้นที่ 48 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา จํานวน 14 อาคาร 632 ยูนิต แบ่งเป็น อาคารสูง 4 ชั้น จํานวน 4 อาคาร (ติดริมทะเล) และอาคารสูง 5 ชั้น จํานวน 10 อาคาร ซึ่งทุกอาคารเปิดมุมมอง ไปยังทะเล โดยดําเนินงานภายใต้คณะทํางาน 4 คณะ ประกอบด้วย 1) คณะทํางานขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ 2) คณะทํางานบริหารโครงการศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร(Senior Complex บางละมุง) 3) คณะทํางานบริหารงบประมาณการก่อสร้างศูนย์ที่พักอาศัยผู้สูงอายุแบบครบวงจร และ 4) คณะทํางานด้านการตลาดและการขาย ทั้งนี้ การดําเนินการก่อสร้างโครงการฯ ทางกระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) จะมีการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง การเคหะแห่งชาติ (กคช.) สภากาชาดไทย และสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน และ ประชาสังคม อาทิ กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลางและกรมธนารักษ์ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและ ผังเมือง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สภากาชาดไทย และบริษัท แอลพีเอ็นดีแวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) เป็นต้น ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติงาน (Master Schedule) โครงการ "Senior Complex บางละมุง” ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 ถึง เดือนกุมภาพันธ์ 2561 โดยเริ่มดําเนินการในเรื่อง 1) การเสนอเรื่องขอแก้ไขกฎกระทรวงโดยเพิ่มข้อกําหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทสถาบันราชการ การสาธารณูปโภค และสาธารณูปการ (พื้นที่สีน้ําเงิน) 2) การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ (Feasibility Study : FS) 3) การเสนอ Master Plan เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land Use) และการออกแบบอาคาร ระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการ และภูมิสถาปัตยกรรม 4) การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) 5) กระบวนการ จัดซื้อจัดจ้าง 6) การลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่าง กระทรวง พม. โดย ผส. ร่วมกับ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง การเคหะแห่งชาติ (กคช.) สภากาชาดไทย และสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) 7) การขออนุญาต การก่อสร้างกับหน่วยงานท้องถิ่น 8) การจัดพิธีวางศิลาฤกษ์ 9) การจัดงาน Pre Sale และ 10) การเริ่มก่อสร้างโครงการฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ(โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง) ภายใต้การดําเนินงานกระทรวง พม. โดยการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ทางที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการของโครงการดังกล่าวฯ ซึ่งเป็นการดําเนินการก่อสร้างที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้ปานกลางถึงค่อนข้างสูง จํานวน 360 ยูนิต แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 บ้านแฝด 1 ชั้น และ 2 ชั้น จํานวน 192 หน่วย มีราคาเริ่มต้น 2.35 ล้านบาท และ ระยะที่ 2 อาคารชุดสูง 4 ชั้น จํานวน 168 หน่วย แบ่งเป็น 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 38 ตารางเมตร และขนาด 56 ตารางเมตร มีราคาตั้งแต่ 1.28 – 1.80 ล้านบาท โดยจะเริ่มดําเนินการก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ 1 เป็นลําดับแรก ภายในเดือนพฤษภาคม 2561 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวควรปรับเป็นโครงการบ้านกตัญญู โดยให้บุตรสามารถซื้อบ้านให้บิดามารดาอยู่ร่วมกันได้ อีกทั้งการก่อสร้างโครงการฯ ควรมุ่งเน้นการออกแบบตามหลักอารยสถาปัตย์และองค์ประกอบที่สําคัญในด้านต่างๆ เช่น การคมนาคมขนส่ง การสาธารณสุข การศึกษา สิ่งแวดล้อมที่น่าอยู่สวยงาม และความปลอดภัย เป็นต้น ส่วนการขอสินเชื่อบ้าน ทาง กคช. จะหารือร่วมกับ ธอส. ในเรื่องมาตรการการผ่อนชําระบ้าน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5616
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการลดผลกระทบจากโรคไวรัสโคโรนา กลุ่มลูกค้าธอส.
|
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
มาตรการลดผลกระทบจากโรคไวรัสโคโรนา กลุ่มลูกค้าธอส.
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลดูแลช่วยเหลือไกด์นําเที่ยว พนักงานโรงแรม ผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายสินค้าในแหล่งท่องเที่ยว ที่เป็นลูกค้าของธนาคารอาคารสงเคราะห์และได้รับผลกระทบจากกรณีไวรัสโคโรนาแพร่ระบาด โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระ ไม่เกิน 6 เดือน คิดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.01% ต่อปี เพื่อช่วยลดภาระหนี้ที่ให้กับลูกค้าที่ทํานิติกรรมก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถยื่นคําร้องเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 63 ได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือโทร. 0 2645 9000
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการลดผลกระทบจากโรคไวรัสโคโรนา กลุ่มลูกค้าธอส.
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
มาตรการลดผลกระทบจากโรคไวรัสโคโรนา กลุ่มลูกค้าธอส.
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลดูแลช่วยเหลือไกด์นําเที่ยว พนักงานโรงแรม ผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายสินค้าในแหล่งท่องเที่ยว ที่เป็นลูกค้าของธนาคารอาคารสงเคราะห์และได้รับผลกระทบจากกรณีไวรัสโคโรนาแพร่ระบาด โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระ ไม่เกิน 6 เดือน คิดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.01% ต่อปี เพื่อช่วยลดภาระหนี้ที่ให้กับลูกค้าที่ทํานิติกรรมก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ยังได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถยื่นคําร้องเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 63 ได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือโทร. 0 2645 9000
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26226
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ออมสิน ปิดปรับปรุงระบบ ATM ชั่วคราว 13 ถึง 15 ธันวาคมนี้ ยกระดับการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
|
วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562
ธ.ออมสิน ปิดปรับปรุงระบบ ATM ชั่วคราว 13 ถึง 15 ธันวาคมนี้ ยกระดับการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ธ.ออมสินปิดปรับปรุงระบบ ATM เป็นการชั่วคราว ใน 2 ช่วงเวลา คือ วันศุกร์ที่ 13 ธ.ค.2562 เวลา 23.30 น. – วันเสาร์ที่ 14 ธ.ค.2562 เวลา 08.30 น. และวันเสาร์ที่ 14 ธ.ค.2562 เวลา 23.30 น. – วันอาทิตย์ที่ 15ธ.ค.2562 เวลา 08.30 น.
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้พัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ จึงขอดําเนินการปิดปรับปรุงระบบ ATM เป็นการชั่วคราว ใน 2 ช่วงเวลา คือ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562 เวลา 23.30 น. – วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม 2562 เวลา 08.30 น. (รวมระยะเวลา 9 ชั่วโมง) และวันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม 2562 เวลา 23.30 น. – วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562 เวลา 08.30 น. (รวมระยะเวลา 9 ชั่วโมง) ส่งผลให้ตู้ ATM และ ADM ธนาคารออมสินไม่สามารถให้บริการลูกค้าได้ในวันและช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึงบัตรเดบิตธนาคารออมสินไม่สามารถใช้งานได้ทุกช่องทาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนบัตรเครดิตและบัตรเงินสดธนาคารออมสินไม่สามารถทํารายการผ่านตู้ ATM และ ADM ของต่างธนาคาร, ตู้รับฝาก CDM ธนาคารออมสินและต่างธนาคารไม่สามารถฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารออมสิน และตู้ ATM ทุกธนาคารไม่สามารถโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารออมสิน ขณะที่ระบบ MyMo MyCard ไม่สามารถทํารายการถอนเงินที่ตู้ ATM ธนาคารออมสินเช่นกัน ธนาคารจึงขออภัยลูกค้าทุกท่านในความไม่สะดวกในครั้งนี้ด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Line Official, Facebook : GSB Society หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ออมสิน ปิดปรับปรุงระบบ ATM ชั่วคราว 13 ถึง 15 ธันวาคมนี้ ยกระดับการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2562
ธ.ออมสิน ปิดปรับปรุงระบบ ATM ชั่วคราว 13 ถึง 15 ธันวาคมนี้ ยกระดับการบริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ธ.ออมสินปิดปรับปรุงระบบ ATM เป็นการชั่วคราว ใน 2 ช่วงเวลา คือ วันศุกร์ที่ 13 ธ.ค.2562 เวลา 23.30 น. – วันเสาร์ที่ 14 ธ.ค.2562 เวลา 08.30 น. และวันเสาร์ที่ 14 ธ.ค.2562 เวลา 23.30 น. – วันอาทิตย์ที่ 15ธ.ค.2562 เวลา 08.30 น.
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้พัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ จึงขอดําเนินการปิดปรับปรุงระบบ ATM เป็นการชั่วคราว ใน 2 ช่วงเวลา คือ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562 เวลา 23.30 น. – วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม 2562 เวลา 08.30 น. (รวมระยะเวลา 9 ชั่วโมง) และวันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม 2562 เวลา 23.30 น. – วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562 เวลา 08.30 น. (รวมระยะเวลา 9 ชั่วโมง) ส่งผลให้ตู้ ATM และ ADM ธนาคารออมสินไม่สามารถให้บริการลูกค้าได้ในวันและช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึงบัตรเดบิตธนาคารออมสินไม่สามารถใช้งานได้ทุกช่องทาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนบัตรเครดิตและบัตรเงินสดธนาคารออมสินไม่สามารถทํารายการผ่านตู้ ATM และ ADM ของต่างธนาคาร, ตู้รับฝาก CDM ธนาคารออมสินและต่างธนาคารไม่สามารถฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารออมสิน และตู้ ATM ทุกธนาคารไม่สามารถโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารออมสิน ขณะที่ระบบ MyMo MyCard ไม่สามารถทํารายการถอนเงินที่ตู้ ATM ธนาคารออมสินเช่นกัน ธนาคารจึงขออภัยลูกค้าทุกท่านในความไม่สะดวกในครั้งนี้ด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Line Official, Facebook : GSB Society หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25108
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.บันทึกเทปรายการเดินหน้าประเทศไทย
|
วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม 2561
รมว.ทส.บันทึกเทปรายการเดินหน้าประเทศไทย
รมว.ทส.บันทึกเทปรายการเดินหน้าประเทศไทย
วันที่ 21 พ.ค. 2561 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้บันทึกเทปรายการเดินหน้าประเทศไทย ตอน "การปฏิรูปเพื่อการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน" ในวันพุธที่ 23 พฤษภาคม 2561 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.บันทึกเทปรายการเดินหน้าประเทศไทย
วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม 2561
รมว.ทส.บันทึกเทปรายการเดินหน้าประเทศไทย
รมว.ทส.บันทึกเทปรายการเดินหน้าประเทศไทย
วันที่ 21 พ.ค. 2561 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้บันทึกเทปรายการเดินหน้าประเทศไทย ตอน "การปฏิรูปเพื่อการบริหารจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน" ในวันพุธที่ 23 พฤษภาคม 2561 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12432
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพาณิชย์ รับมอบเงินบริจาคจากสมาคมโรงสีข้าวไทยและสมาคมผู้รวบรวมและ จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ เข้ากองทุนสนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโรคไวรัสโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
|
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
กระทรวงพาณิชย์ รับมอบเงินบริจาคจากสมาคมโรงสีข้าวไทยและสมาคมผู้รวบรวมและ จําหน่ายเมล็ดพันธุ์ เข้ากองทุนสนับสนุนการดําเนินงานแก้ไขปัญหาโรคไวรัสโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า (วันที่ 3 เม.ย. 63) นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย พร้อมผู้แทนสมาคมโรงสีข้าวไทยและสมาคมผู้รวบรวมและจําหน่ายเมล็ดพันธุ์ได้เข้าพบและมอบเงินจํานวน 4,050,000 บาท
นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า (วันที่ 3 เม.ย. 63) นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย พร้อมผู้แทนสมาคมโรงสีข้าวไทยและสมาคมผู้รวบรวมและจําหน่ายเมล็ดพันธุ์ได้เข้าพบและมอบเงินจํานวน 4,050,000 บาท
เพื่อสมทบเข้ากองทุนสนับสนุนการดําเนินงานแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เป็นตัวแทนรับมอบและได้ส่งมอบเงินจํานวนดังกล่าวฯ ให้กับนายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการเรื่องการร้องทุกข์ ผู้แทนจากสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี
“กระทรวงพาณิชย์ต้องขอขอบคุณทั้ง 2 สมาคม ที่ได้แสดงความตั้งใจและเข้ามามีส่วนร่วมของภาคประชาชน เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล โดยเงินจํานวนดังกล่าว จะถูกนําไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่จะป้องกันการแพร่ระบาดในประเทศไทยให้อยู่ในวงจํากัด และลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” นายสุพพัตกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพาณิชย์ รับมอบเงินบริจาคจากสมาคมโรงสีข้าวไทยและสมาคมผู้รวบรวมและ จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ เข้ากองทุนสนับสนุนการดำเนินงานแก้ไขปัญหาโรคไวรัสโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563
กระทรวงพาณิชย์ รับมอบเงินบริจาคจากสมาคมโรงสีข้าวไทยและสมาคมผู้รวบรวมและ จําหน่ายเมล็ดพันธุ์ เข้ากองทุนสนับสนุนการดําเนินงานแก้ไขปัญหาโรคไวรัสโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า (วันที่ 3 เม.ย. 63) นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย พร้อมผู้แทนสมาคมโรงสีข้าวไทยและสมาคมผู้รวบรวมและจําหน่ายเมล็ดพันธุ์ได้เข้าพบและมอบเงินจํานวน 4,050,000 บาท
นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า (วันที่ 3 เม.ย. 63) นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย พร้อมผู้แทนสมาคมโรงสีข้าวไทยและสมาคมผู้รวบรวมและจําหน่ายเมล็ดพันธุ์ได้เข้าพบและมอบเงินจํานวน 4,050,000 บาท
เพื่อสมทบเข้ากองทุนสนับสนุนการดําเนินงานแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เป็นตัวแทนรับมอบและได้ส่งมอบเงินจํานวนดังกล่าวฯ ให้กับนายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการเรื่องการร้องทุกข์ ผู้แทนจากสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี
“กระทรวงพาณิชย์ต้องขอขอบคุณทั้ง 2 สมาคม ที่ได้แสดงความตั้งใจและเข้ามามีส่วนร่วมของภาคประชาชน เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล โดยเงินจํานวนดังกล่าว จะถูกนําไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่จะป้องกันการแพร่ระบาดในประเทศไทยให้อยู่ในวงจํากัด และลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” นายสุพพัตกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28545
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 21 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 21 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 21 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้เดินทางกลับจากประเทศแอฟริกาใต้และเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ ทําให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,018 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.90 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 72 ราย หรือร้อยละ 2.29 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,148 ราย
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ในวันนี้ เป็นเพศชาย อายุ 6 ปี กลับมาจากประเทศแอฟริกาใต้พร้อมมารดา เดินทางมาถึงเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 ตรวจหาเชื้อตามระบบการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค ผลตรวจพบเชื้อแต่ไม่มีอาการ ได้นําส่งเข้าระบบรักษาในโรงพยาบาลทันที สําหรับมารดาได้ตรวจหาเชื้อเช่นเดียวกันแต่ไม่พบเชื้อ และยังคงต้องเข้ารับการกักตัวให้ครบ 14 วัน เพื่อตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ซึ่งจะทําการตรวจในระหว่างวันที่ 11-13 หลังจากที่เข้าพัก เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้ที่เข้ารับการกักตัวปลอดเชื้อจริง และไม่นําเชื้อไปแพร่สู่คนในครอบครัวหรือชุมชน สะท้อนให้เห็นว่าการติดเชื้อในเด็กอาจไม่มีการแสดงอาการป่วยได้ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่ทําให้เกิดการแพร่เชื้อในครอบครัว เนื่องจากการเว้นระยะห่างระหว่างเด็กเป็นเรื่องยาก ดังนั้นคนในครอบครัวควรเลี่ยงการแสดงความรักด้วยการกอด จูบ และถ้าในครอบครัวมีผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัวด้วยแล้ว กลุ่มนี้หากป่วยจะมีอาการรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูง
ในส่วนขององค์การอนามัยโลก ได้ออกมาแถลงเรียกร้องให้ทุกประเทศและประชาชนทุกคนยังคงต้องระมัดระวังและป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง จากรายงานในหลายประเทศมีการกลับมาระบาดระลอกที่ 2 อีกครั้ง พบจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น โดยในวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา พบว่ามีจํานวนเพิ่มกว่า 1.5 แสนราย ซึ่งมากที่สุดในวันเดียว ตั้งแต่มีการเริ่มระบาด เกิดจากหลังมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศทั่วโลก
ดังนั้น ขอย้ําเตือนประชาชน ไม่ควรประมาท หลังจากที่รัฐบาลได้มีการผ่อนปรนมากขึ้นจนเกือบเข้าสู่สถานการณ์ปกติ เริ่มมีการเดินทางมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้บริการรถขนส่งสาธารณะ ต้องสวมหน้ากากอนามัย/ผ้าตลอดการเดินทาง งดการพูดคุยและรับประทานอาหารบนรถ ล้างมือบ่อย ๆ รวมถึงหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการพบปะหรือการชุมนุมกันเป็นกลุ่มก้อน จํากัดเวลาในการอยู่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง และออกจากบ้านเท่าที่จําเป็น เพื่อป้องกันตนเองและคนรอบข้าง ที่สําคัญเมื่อใช้บริการในสถานที่ต่าง ๆ ขอให้ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ ผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง
สําหรับผู้ประกอบการยังคงต้องเคร่งครัดมาตรการเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อ ต้องทําความสะอาดสถานที่ สิ่งของและอุปกรณ์ที่ใช้ จัดการพื้นที่เพื่อลดความแออัด เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร จัดระบบคัดกรองผู้เข้ารับบริการ และจุดบริการล้างมือ หากเป็นสถานที่ปิด เช่น ห้องประชุม ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ ต้องเช็คระบบระบายอากาศให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ส่วนผู้ให้บริการต้องสวมหน้ากากอนามัย/ผ้าตลอดเวลา
****************************** 21 มิถุนายน 2563
****************************************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 21 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 21 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 21 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นผู้เดินทางกลับจากประเทศแอฟริกาใต้และเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ ทําให้ผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,018 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.90 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 72 ราย หรือร้อยละ 2.29 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,148 ราย
นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ในวันนี้ เป็นเพศชาย อายุ 6 ปี กลับมาจากประเทศแอฟริกาใต้พร้อมมารดา เดินทางมาถึงเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2563 ตรวจหาเชื้อตามระบบการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค ผลตรวจพบเชื้อแต่ไม่มีอาการ ได้นําส่งเข้าระบบรักษาในโรงพยาบาลทันที สําหรับมารดาได้ตรวจหาเชื้อเช่นเดียวกันแต่ไม่พบเชื้อ และยังคงต้องเข้ารับการกักตัวให้ครบ 14 วัน เพื่อตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ซึ่งจะทําการตรวจในระหว่างวันที่ 11-13 หลังจากที่เข้าพัก เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้ที่เข้ารับการกักตัวปลอดเชื้อจริง และไม่นําเชื้อไปแพร่สู่คนในครอบครัวหรือชุมชน สะท้อนให้เห็นว่าการติดเชื้อในเด็กอาจไม่มีการแสดงอาการป่วยได้ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่ทําให้เกิดการแพร่เชื้อในครอบครัว เนื่องจากการเว้นระยะห่างระหว่างเด็กเป็นเรื่องยาก ดังนั้นคนในครอบครัวควรเลี่ยงการแสดงความรักด้วยการกอด จูบ และถ้าในครอบครัวมีผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัวด้วยแล้ว กลุ่มนี้หากป่วยจะมีอาการรุนแรงและมีอัตราการเสียชีวิตสูง
ในส่วนขององค์การอนามัยโลก ได้ออกมาแถลงเรียกร้องให้ทุกประเทศและประชาชนทุกคนยังคงต้องระมัดระวังและป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง จากรายงานในหลายประเทศมีการกลับมาระบาดระลอกที่ 2 อีกครั้ง พบจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น โดยในวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา พบว่ามีจํานวนเพิ่มกว่า 1.5 แสนราย ซึ่งมากที่สุดในวันเดียว ตั้งแต่มีการเริ่มระบาด เกิดจากหลังมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศทั่วโลก
ดังนั้น ขอย้ําเตือนประชาชน ไม่ควรประมาท หลังจากที่รัฐบาลได้มีการผ่อนปรนมากขึ้นจนเกือบเข้าสู่สถานการณ์ปกติ เริ่มมีการเดินทางมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้บริการรถขนส่งสาธารณะ ต้องสวมหน้ากากอนามัย/ผ้าตลอดการเดินทาง งดการพูดคุยและรับประทานอาหารบนรถ ล้างมือบ่อย ๆ รวมถึงหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการพบปะหรือการชุมนุมกันเป็นกลุ่มก้อน จํากัดเวลาในการอยู่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง และออกจากบ้านเท่าที่จําเป็น เพื่อป้องกันตนเองและคนรอบข้าง ที่สําคัญเมื่อใช้บริการในสถานที่ต่าง ๆ ขอให้ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ ผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ทุกครั้ง
สําหรับผู้ประกอบการยังคงต้องเคร่งครัดมาตรการเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อ ต้องทําความสะอาดสถานที่ สิ่งของและอุปกรณ์ที่ใช้ จัดการพื้นที่เพื่อลดความแออัด เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร จัดระบบคัดกรองผู้เข้ารับบริการ และจุดบริการล้างมือ หากเป็นสถานที่ปิด เช่น ห้องประชุม ศูนย์การค้า โรงภาพยนตร์ ต้องเช็คระบบระบายอากาศให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ส่วนผู้ให้บริการต้องสวมหน้ากากอนามัย/ผ้าตลอดเวลา
****************************** 21 มิถุนายน 2563
****************************************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32580
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม 2561
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561
โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาฯ มีมติเห็นชอบแผนพัฒนากีฬา ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 พร้อมสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักกีฬาและบุคคลากรกีฬา ประจําปีการศึกษา 2561
วันนี้ (3 พฤษภาคม 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการ ให้การสนับสนุนแผนงานหรือโครงการพัฒนานักกีฬาสู่ความเป็นเลิศ ประจําปีงบประมาณ 2561 จํานวนกว่า 192 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามระเบียบและประกาศของคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทยและกองทุนพัฒนาการกีฬา รวมทั้งหลักเกณฑ์การส่งเสริมกีฬาอาชีพฯ ด้วย
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติอนุมัติเงินรางวัลตามหลักกเกณฑ์ให้นักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬาที่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาในรายการระดับนานาชาติ โดยที่ประชุมมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการไปพิจารณาเพิ่มเติมในรายละเอียดของระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดําเนินการสนับสนุนกีฬาที่ขอมาได้ตรงตามหลักเกณฑ์ของระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้ง ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติอนุมัติการสนับสนุนทุนการศึกษา ประจําปีการศึกษา พ.ศ. 2561 แก่นักกีฬาและบุคลากรการกีฬาฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอฯ ด้วยเช่นกัน
ตอนท้าย ของการประชุมดังกล่าว ประธานการประชุมได้กําชับเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณในการพัฒนานักกีฬาทุกด้าน โดยให้มีความโปร่งใส คุ้มค่า และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดในการขับเคลื่อนและพัฒนานักกีฬา รวมทั้งบุคลากรทางการกีฬาอย่างแท้จริง ส่งผลให้การพัฒนากีฬาต่าง ๆ มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นทัดเทียมนานาชาติ
............................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม 2561
รอง นรม.พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561
โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาฯ มีมติเห็นชอบแผนพัฒนากีฬา ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 พร้อมสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักกีฬาและบุคคลากรกีฬา ประจําปีการศึกษา 2561
วันนี้ (3 พฤษภาคม 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการ ให้การสนับสนุนแผนงานหรือโครงการพัฒนานักกีฬาสู่ความเป็นเลิศ ประจําปีงบประมาณ 2561 จํานวนกว่า 192 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามระเบียบและประกาศของคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทยและกองทุนพัฒนาการกีฬา รวมทั้งหลักเกณฑ์การส่งเสริมกีฬาอาชีพฯ ด้วย
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติอนุมัติเงินรางวัลตามหลักกเกณฑ์ให้นักกีฬา ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬาที่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาในรายการระดับนานาชาติ โดยที่ประชุมมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการไปพิจารณาเพิ่มเติมในรายละเอียดของระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดําเนินการสนับสนุนกีฬาที่ขอมาได้ตรงตามหลักเกณฑ์ของระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้ง ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติอนุมัติการสนับสนุนทุนการศึกษา ประจําปีการศึกษา พ.ศ. 2561 แก่นักกีฬาและบุคลากรการกีฬาฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอฯ ด้วยเช่นกัน
ตอนท้าย ของการประชุมดังกล่าว ประธานการประชุมได้กําชับเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณในการพัฒนานักกีฬาทุกด้าน โดยให้มีความโปร่งใส คุ้มค่า และตรวจสอบได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดในการขับเคลื่อนและพัฒนานักกีฬา รวมทั้งบุคลากรทางการกีฬาอย่างแท้จริง ส่งผลให้การพัฒนากีฬาต่าง ๆ มีศักยภาพมากยิ่งขึ้นทัดเทียมนานาชาติ
............................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11940
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.-วท.-จังหวัดประจวบคีรีขันธ์-สมาคมวิทย์แห่งประเทศไทย ร่วมหารือการจัดงานเฉลิมฉลอง 150 ปีหว้ากอ และ Master Plan การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
|
วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2561
ศธ.-วท.-จังหวัดประจวบคีรีขันธ์-สมาคมวิทย์แห่งประเทศไทย ร่วมหารือการจัดงานเฉลิมฉลอง 150 ปีหว้ากอ และ Master Plan การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สมาคมวิทย์แห่งประเทศไทย ร่วมหารือการจัดงานเฉลิมฉลอง 150 ปี หว้ากอ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ และร่วมกันจัดทํา Master Plan เพื่อพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ
ศธ.-วท.-จังหวัดประจวบคีรีขันธ์-สมาคมวิทย์แห่งประเทศไทยร่วมหารือการจัดงานเฉลิมฉลอง 150 ปี หว้ากอ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ และร่วมกันจัดทํา MasterPlan เพื่อพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สําคัญทั้งด้านวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญของไทย"ริเวียร่าไทยแลนด์" หรือถนนเลียบทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ -นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) พร้อมด้วยนายโชตินรินทร์ เกิดสม รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, รศ.ดร.นภาวรรณ นพรัตนราภรณ์ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมทั้งผู้บริหารทั้งสองกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมหารือแนวทางการจัดงานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบ 150 ปี สุริยุปราคา และแนวทางการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ เมื่อวันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561 ณห้องประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากออําเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์อีกวันหนึ่ง นับตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2532 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกระดับโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์หว้ากอ (ชื่อเดิมในสมัยนั้น) ซึ่งเป็นสถานที่แห่งนี้ ให้เป็นโครงการระดับชาติ โดยมอบหมายให้หน่วยงาน 9 กระทรวงมาร่วมดําเนินการ
เมื่อปี 2533ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" ซึ่งในปีเดียวกันคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโอนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ (วท.) มาให้ศธ.ดูแล ซึ่งได้มอบหมายให้ กศน. (หรือกรมการศึกษานอกโรงเรียนในสมัยนั้น) เป็นเจ้าของโครงการเกือบ 30 ปีผ่านไปเนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นหน่วยงานค่อนข้างเล็ก และยังไม่ได้บูรณาการ ก็ได้พยุงรักษาสถานะหว้ากอให้เป็นเช่นทุกวันนี้ และการลงพื้นที่ครั้งนี้ ก็ได้มาหารือร่วมกัน เพื่อให้สามารถทําให้เร็วและดี โดย รมว.วท.ก็เตรียมพร้อมที่จะเห็นภาพอนาคตของหว้ากอ
อีกเรื่องที่ได้หารือร่วมกันในการลงพื้นที่ครั้งนี้ คือ การจัดเตรียมงานมหกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)ครบ 150 ปีสุริยุปราคาที่หว้ากอซึ่งพระองค์ทรงคํานวณการเกิดสุริยุปราคาไว้ได้อย่างแม่นยําโดยจะจัดงานในระหว่างวันที่ 18-24 สิงหาคม 2561
"ดังนั้น การหารือครั้งนี้จึงเป็นการมาทํางานร่วมกัน ไม่ได้ยกพื้นที่ให้กัน แต่มาดูว่าใครจะพัฒนาส่วนไหนและหารือถึงการเตรียมความพร้อมแผนแม่บท (Master Plan)ที่จะพัฒนาร่วมกันต่อไปเพราะจากการลงพื้นที่ร่วมกันก็เห็นว่าไม่มีหน่วยงานใดทํางานนี้เพียงลําพังได้ ต้องเปลี่ยนความคิดที่ว่าใครเป็นเจ้าของ ให้ใครเป็นเจ้าภาพของงาน"
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์กล่าวว่า การที่กระทรวงทั้งสองได้มาดําเนินการร่วมกัน เป็นข้อต่อที่สําคัญซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําอยู่เสมอคือ"ข้อต่อเรื่องSTEM"เพื่อให้สะเต็มช่วยขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่ได้มาหารือร่วมกัน, ส่วนอีกเรื่องคือ เรามีพระมหากษัตริย์สองพระองค์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คือครบรอบ 150 ปีของหว้ากอ ในสมัยรัชกาลที่ 4ซึ่งเป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย และในปีนี้ วท.จะเปิดพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าเพื่อเทิดพระเกียรติแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9ในฐานะพระองค์เป็นนักเทคโนโลยีของไทยปีนี้จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่แห่งนี้จะมีความสําคัญเป็นทั้งภาพของ "ประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์" ไปพร้อม ๆ กัน
การประชุมหารือในครั้งนี้ ยังได้หารือถึงการจัดงาน 150 ปีหว้ากอ ในวันที่ 18 สิงหาคม 2561โดย วท.จะจัดงบประมาณบางส่วนมาสนับสนุน และจะร่วมทํางานเชิงบูรณาการข้ามกระทรวงด้วยส่วนอีกเรื่องคือ แนวทางการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอหากเรามองไปข้างหน้า สถานที่แห่งนี้จะสร้างความตระหนักในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ให้กับเยาวชนของไทย ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบให้มีการจัดทําMaster Planขึ้นมา โดยความร่วมมือทั้ง 4 หน่วยงาน คือ ศธ.-วท.-จังหวัดประจวบคีรีขันธ์-สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยฯ
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีคณะกรรมการ 2 คณะคือคณะกรรมการจัดงาน 150 ปีหว้ากอมี รมว.ศธ., รมว.วท. เป็นที่ปรึกษา โดย ผวจ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธาน และมีปลัด ศธ., ปลัด วท., เลขา กศน., เลขา กพฐ. ฯลฯ เป็นกรรมการส่วนคณะกรรมการอีกชุดหนึ่งในการจัดทําMaster Planมี รมว.ศธ., รมว.วท.,รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา (กก.)เป็นที่ปรึกษา โดยปลัด วท.เป็นประธานกรรมการ และปลัด ศธ.เป็นรองประธาน กรรมการมาจากสมาคมวิทย์ฯ หน่วยงานทั้งสองกระทรวง, จังหวัดประจวบคีรีขันธ์, ผู้เชี่ยวชาญ ฯลฯ
ทั้งนี้ จะนําเรื่องทั้ง 2 ประเด็นสําคัญดังกล่าว เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ วันที่ 6 มีนาคม 2561 จ.เพชรบุรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการต่อไปเพื่อให้หว้ากอเป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย และเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ (Historical Theme Park) โดยจะมีการจัดทําMaster Planให้เสร็จสิ้นภายใน 3 เดือน ส่วนงบประมาณดําเนินการนั้น ทั้งสองกระทรวงจะทําเป็นโครงการพัฒนาพิเศษขนาดใหญ่ (Big Rock) เพื่อให้การดําเนินการตามMaster Planเป็นจริงขึ้นมา
"หากโครงการนี้เป็นจริง จะนําไปสู่จิ๊กซอว์ตัวสําคัญ คือ หว้ากอจะเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสําคัญในเส้นทางท่องเที่ยวที่เป็น "ริเวียร่าไทยแลนด์" หรือถนนเลียบทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย ให้เกิดความสมบูรณ์แบบต่อไป"
รศ.ดร.นภาวรรณ นพรัตนราภรณ์กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่สุด เพราะเราต้องรักษาอนุรักษ์สถานที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจของคนไทย ให้ชนรุ่นหลังได้รู้ถึงความสําคัญของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งรัฐบาลได้มีมติเมื่อปี 2532 ให้ดําเนินการตามเป้าหมายที่สําคัญ 6 ข้อ คือ 1) เพื่อจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แห่งเดียวที่มีความสําคัญทั้งสองด้าน 2) เพื่ออนุรักษ์สถานที่สําคัญทางประวัติศาสตร์ให้คงอยู่คู่ประเทศไทย 3) เพื่อจัดสร้างศูนย์การศึกษาทั้งด้านวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์สําหรับประชาชน 4) เพื่อเป็นศูนย์วิจัยทางด้านดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทางทะเล 5) เพื่อเป็นสถานที่ฝึกอบรมและธรรมชาติสําหรับเด็กและเยาวชน 6) เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจสําหรับประชาชน
"จะเห็นว่าสถานที่ 500 กว่าไร่แห่งนี้ มีพื้นที่ติดริมทะเลยาวหลายกิโลเมตร เป็นสถานที่สําคัญที่ควรรักษาไว้ และทําให้สถานที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้ได้ถูกจารึกแก่ประชาชนคนรุ่นหลังต่อไป และไม่เพียงเท่านั้น 3 กระทรวง จะช่วยทําความฝันของพวกเราให้เป็นจริง ให้เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และแหล่งท่องเที่ยวชั้นนําของประเทศต่อไป"
นายโชตินรินทร์ เกิดสมกล่าวว่า ในนามของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ประชุมเตรียมงาน 150 ปีหว้ากอ มาตั้งแต่ต้นปี 2561 ขณะเดียวกันได้นําข้อสรุปทั้งหมดนําเสนอกระทรวงทั้งสองได้รับทราบ นอกจากนั้น ได้ตระหนักว่ากิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านในวันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติด้วย โดยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ยินดีที่จะร่วมมือกันทําMaster Planเพื่อให้สถานที่หว้ากอได้พัฒนาเต็มรูปแบบ500 กว่าไร่ ภายใน 3 เดือน ซึ่งดีใจที่ข้อจํากัดของจังหวัดฯ ด้านงบประมาณการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ ได้รับการแก้ไขปัญหาโดยกระทรวงทั้งสองไปแล้ว
"เส้นทางที่ไปหว้ากอแห่งนี้ ยังได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ให้เชื่อมโยงไปยังเส้นทางรถไฟรางคู่ที่จะผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งงบประมาณเริ่มแล้ว ขณะเดียวกันจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ยังได้จัดทําแผนงานและงบประมาณก่อสร้างเส้นทาง 4 เลน โดยกรมทางหลวงชนบท ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2561 เพื่อเชื่อมการเดินทางจากจุดนี้ไปยังชายแดนด่านสิงขรอีกด้วย รวมทั้งงบประมาณที่จะพัฒนาด่านสิงขรกว่า 150 ไร่ จํานวน 400 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดด่านชายแดนสิงขรอีกด้วย"
สําหรับการลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการลงพื้นที่ของรัฐมนตรีทั้งสองกระทรวง ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่2/2561จ.เพชรบุรี โดยมีผู้บริหารลงพื้นที่ครั้งนี้ เช่น นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัด ศธ., รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัด วท.,นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน,นายกฤตชัย อรุณรัตน์ เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เป็นต้น
Written byนวรัตน์ รามสูต,บัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, ธเนศ งานสถิร
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.-วท.-จังหวัดประจวบคีรีขันธ์-สมาคมวิทย์แห่งประเทศไทย ร่วมหารือการจัดงานเฉลิมฉลอง 150 ปีหว้ากอ และ Master Plan การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2561
ศธ.-วท.-จังหวัดประจวบคีรีขันธ์-สมาคมวิทย์แห่งประเทศไทย ร่วมหารือการจัดงานเฉลิมฉลอง 150 ปีหว้ากอ และ Master Plan การพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สมาคมวิทย์แห่งประเทศไทย ร่วมหารือการจัดงานเฉลิมฉลอง 150 ปี หว้ากอ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ และร่วมกันจัดทํา Master Plan เพื่อพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ
ศธ.-วท.-จังหวัดประจวบคีรีขันธ์-สมาคมวิทย์แห่งประเทศไทยร่วมหารือการจัดงานเฉลิมฉลอง 150 ปี หว้ากอ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคมนี้ และร่วมกันจัดทํา MasterPlan เพื่อพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สําคัญทั้งด้านวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญของไทย"ริเวียร่าไทยแลนด์" หรือถนนเลียบทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ -นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) พร้อมด้วยนายโชตินรินทร์ เกิดสม รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์, รศ.ดร.นภาวรรณ นพรัตนราภรณ์ นายกสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ รวมทั้งผู้บริหารทั้งสองกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมหารือแนวทางการจัดงานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบ 150 ปี สุริยุปราคา และแนวทางการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ เมื่อวันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561 ณห้องประชุมอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากออําเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์อีกวันหนึ่ง นับตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2532 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกระดับโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์หว้ากอ (ชื่อเดิมในสมัยนั้น) ซึ่งเป็นสถานที่แห่งนี้ ให้เป็นโครงการระดับชาติ โดยมอบหมายให้หน่วยงาน 9 กระทรวงมาร่วมดําเนินการ
เมื่อปี 2533ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" ซึ่งในปีเดียวกันคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโอนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ (วท.) มาให้ศธ.ดูแล ซึ่งได้มอบหมายให้ กศน. (หรือกรมการศึกษานอกโรงเรียนในสมัยนั้น) เป็นเจ้าของโครงการเกือบ 30 ปีผ่านไปเนื่องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นหน่วยงานค่อนข้างเล็ก และยังไม่ได้บูรณาการ ก็ได้พยุงรักษาสถานะหว้ากอให้เป็นเช่นทุกวันนี้ และการลงพื้นที่ครั้งนี้ ก็ได้มาหารือร่วมกัน เพื่อให้สามารถทําให้เร็วและดี โดย รมว.วท.ก็เตรียมพร้อมที่จะเห็นภาพอนาคตของหว้ากอ
อีกเรื่องที่ได้หารือร่วมกันในการลงพื้นที่ครั้งนี้ คือ การจัดเตรียมงานมหกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)ครบ 150 ปีสุริยุปราคาที่หว้ากอซึ่งพระองค์ทรงคํานวณการเกิดสุริยุปราคาไว้ได้อย่างแม่นยําโดยจะจัดงานในระหว่างวันที่ 18-24 สิงหาคม 2561
"ดังนั้น การหารือครั้งนี้จึงเป็นการมาทํางานร่วมกัน ไม่ได้ยกพื้นที่ให้กัน แต่มาดูว่าใครจะพัฒนาส่วนไหนและหารือถึงการเตรียมความพร้อมแผนแม่บท (Master Plan)ที่จะพัฒนาร่วมกันต่อไปเพราะจากการลงพื้นที่ร่วมกันก็เห็นว่าไม่มีหน่วยงานใดทํางานนี้เพียงลําพังได้ ต้องเปลี่ยนความคิดที่ว่าใครเป็นเจ้าของ ให้ใครเป็นเจ้าภาพของงาน"
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์กล่าวว่า การที่กระทรวงทั้งสองได้มาดําเนินการร่วมกัน เป็นข้อต่อที่สําคัญซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําอยู่เสมอคือ"ข้อต่อเรื่องSTEM"เพื่อให้สะเต็มช่วยขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่ได้มาหารือร่วมกัน, ส่วนอีกเรื่องคือ เรามีพระมหากษัตริย์สองพระองค์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คือครบรอบ 150 ปีของหว้ากอ ในสมัยรัชกาลที่ 4ซึ่งเป็นพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย และในปีนี้ วท.จะเปิดพิพิธภัณฑ์พระรามเก้าเพื่อเทิดพระเกียรติแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9ในฐานะพระองค์เป็นนักเทคโนโลยีของไทยปีนี้จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่แห่งนี้จะมีความสําคัญเป็นทั้งภาพของ "ประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์" ไปพร้อม ๆ กัน
การประชุมหารือในครั้งนี้ ยังได้หารือถึงการจัดงาน 150 ปีหว้ากอ ในวันที่ 18 สิงหาคม 2561โดย วท.จะจัดงบประมาณบางส่วนมาสนับสนุน และจะร่วมทํางานเชิงบูรณาการข้ามกระทรวงด้วยส่วนอีกเรื่องคือ แนวทางการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอหากเรามองไปข้างหน้า สถานที่แห่งนี้จะสร้างความตระหนักในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ให้กับเยาวชนของไทย ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบให้มีการจัดทําMaster Planขึ้นมา โดยความร่วมมือทั้ง 4 หน่วยงาน คือ ศธ.-วท.-จังหวัดประจวบคีรีขันธ์-สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยฯ
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีคณะกรรมการ 2 คณะคือคณะกรรมการจัดงาน 150 ปีหว้ากอมี รมว.ศธ., รมว.วท. เป็นที่ปรึกษา โดย ผวจ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นประธาน และมีปลัด ศธ., ปลัด วท., เลขา กศน., เลขา กพฐ. ฯลฯ เป็นกรรมการส่วนคณะกรรมการอีกชุดหนึ่งในการจัดทําMaster Planมี รมว.ศธ., รมว.วท.,รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา (กก.)เป็นที่ปรึกษา โดยปลัด วท.เป็นประธานกรรมการ และปลัด ศธ.เป็นรองประธาน กรรมการมาจากสมาคมวิทย์ฯ หน่วยงานทั้งสองกระทรวง, จังหวัดประจวบคีรีขันธ์, ผู้เชี่ยวชาญ ฯลฯ
ทั้งนี้ จะนําเรื่องทั้ง 2 ประเด็นสําคัญดังกล่าว เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ วันที่ 6 มีนาคม 2561 จ.เพชรบุรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการต่อไปเพื่อให้หว้ากอเป็นแหล่งเรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย และเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ (Historical Theme Park) โดยจะมีการจัดทําMaster Planให้เสร็จสิ้นภายใน 3 เดือน ส่วนงบประมาณดําเนินการนั้น ทั้งสองกระทรวงจะทําเป็นโครงการพัฒนาพิเศษขนาดใหญ่ (Big Rock) เพื่อให้การดําเนินการตามMaster Planเป็นจริงขึ้นมา
"หากโครงการนี้เป็นจริง จะนําไปสู่จิ๊กซอว์ตัวสําคัญ คือ หว้ากอจะเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสําคัญในเส้นทางท่องเที่ยวที่เป็น "ริเวียร่าไทยแลนด์" หรือถนนเลียบทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย ให้เกิดความสมบูรณ์แบบต่อไป"
รศ.ดร.นภาวรรณ นพรัตนราภรณ์กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่มีความสุขที่สุด เพราะเราต้องรักษาอนุรักษ์สถานที่แห่งนี้ให้เป็นแหล่งประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจของคนไทย ให้ชนรุ่นหลังได้รู้ถึงความสําคัญของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งรัฐบาลได้มีมติเมื่อปี 2532 ให้ดําเนินการตามเป้าหมายที่สําคัญ 6 ข้อ คือ 1) เพื่อจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แห่งเดียวที่มีความสําคัญทั้งสองด้าน 2) เพื่ออนุรักษ์สถานที่สําคัญทางประวัติศาสตร์ให้คงอยู่คู่ประเทศไทย 3) เพื่อจัดสร้างศูนย์การศึกษาทั้งด้านวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์สําหรับประชาชน 4) เพื่อเป็นศูนย์วิจัยทางด้านดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทางทะเล 5) เพื่อเป็นสถานที่ฝึกอบรมและธรรมชาติสําหรับเด็กและเยาวชน 6) เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจสําหรับประชาชน
"จะเห็นว่าสถานที่ 500 กว่าไร่แห่งนี้ มีพื้นที่ติดริมทะเลยาวหลายกิโลเมตร เป็นสถานที่สําคัญที่ควรรักษาไว้ และทําให้สถานที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้ได้ถูกจารึกแก่ประชาชนคนรุ่นหลังต่อไป และไม่เพียงเท่านั้น 3 กระทรวง จะช่วยทําความฝันของพวกเราให้เป็นจริง ให้เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และแหล่งท่องเที่ยวชั้นนําของประเทศต่อไป"
นายโชตินรินทร์ เกิดสมกล่าวว่า ในนามของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ประชุมเตรียมงาน 150 ปีหว้ากอ มาตั้งแต่ต้นปี 2561 ขณะเดียวกันได้นําข้อสรุปทั้งหมดนําเสนอกระทรวงทั้งสองได้รับทราบ นอกจากนั้น ได้ตระหนักว่ากิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านในวันที่ 18 สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติด้วย โดยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ยินดีที่จะร่วมมือกันทําMaster Planเพื่อให้สถานที่หว้ากอได้พัฒนาเต็มรูปแบบ500 กว่าไร่ ภายใน 3 เดือน ซึ่งดีใจที่ข้อจํากัดของจังหวัดฯ ด้านงบประมาณการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ ได้รับการแก้ไขปัญหาโดยกระทรวงทั้งสองไปแล้ว
"เส้นทางที่ไปหว้ากอแห่งนี้ ยังได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ให้เชื่อมโยงไปยังเส้นทางรถไฟรางคู่ที่จะผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งงบประมาณเริ่มแล้ว ขณะเดียวกันจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ยังได้จัดทําแผนงานและงบประมาณก่อสร้างเส้นทาง 4 เลน โดยกรมทางหลวงชนบท ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2561 เพื่อเชื่อมการเดินทางจากจุดนี้ไปยังชายแดนด่านสิงขรอีกด้วย รวมทั้งงบประมาณที่จะพัฒนาด่านสิงขรกว่า 150 ไร่ จํานวน 400 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดด่านชายแดนสิงขรอีกด้วย"
สําหรับการลงพื้นที่ครั้งนี้ เป็นการลงพื้นที่ของรัฐมนตรีทั้งสองกระทรวง ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่2/2561จ.เพชรบุรี โดยมีผู้บริหารลงพื้นที่ครั้งนี้ เช่น นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัด ศธ., รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัด วท.,นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน,นายกฤตชัย อรุณรัตน์ เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เป็นต้น
Written byนวรัตน์ รามสูต,บัลลังก์ โรหิตเสถียร
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, ธเนศ งานสถิร
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10696
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร การข้าเป็นข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 9 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560
พิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร การข้าเป็นข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 9 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร “การข้าเป็นข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 9” ของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (13 กรกฎาคม 2560) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร “การข้าเป็นข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 9” ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-21 กรกฎาคม 2560 โดยมีข้าราชการเข้าร่วมฝึกอบรม จํานวน 115 คน ณ ห้องประชุม 509 กรมโรงงานอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร การข้าเป็นข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 9 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560
พิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร การข้าเป็นข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 9 ของกระทรวงอุตสาหกรรม
รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร “การข้าเป็นข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 9” ของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันนี้ (13 กรกฎาคม 2560) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึกอบรมหลักสูตร “การข้าเป็นข้าราชการที่ดี รุ่นที่ 9” ของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-21 กรกฎาคม 2560 โดยมีข้าราชการเข้าร่วมฝึกอบรม จํานวน 115 คน ณ ห้องประชุม 509 กรมโรงงานอุตสาหกรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5180
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.เกษตรฯ’ ควง ‘อธิบดีปศุสัตว์’ ลงใต้ นครศรีฯ-พัทลุง
|
วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563
‘รมช.เกษตรฯ’ ควง ‘อธิบดีปศุสัตว์’ ลงใต้ นครศรีฯ-พัทลุง
‘รมช.เกษตรฯ’ ควง ‘อธิบดีปศุสัตว์’ ลงใต้ นครศรีฯ-พัทลุง สั่งลุยโครงการส่งเสริมเลี้ยงสัตว์สร้างอาชีพ ‘ล้านละร้อย’
วันนี้ 19 ม.ค. 63 เวลา 10.00 น. นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2563 จ.นราธิวาส โดยเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมชี้แจงขั้นตอน แนวทางการดําเนินงานตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง (เกษตรสร้างชาติ) ภายใต้ความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วยนายธีระ วงศ์สมุทร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอรุณชัย พุทธเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ นายชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายครรชิต สุขเสถียร รองเลขาธิการสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) โดยมีนายพงษ์เทพ ไข่มุกด์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และนายธนพัฒน์ พันธ์สนิท ปศุสัตว์จังหวัด ให้การต้อนรับ พร้อมกันนี้มีเกษตรกร จาก จ.นครศรีธรรมราช ใน 23 อําเภอกว่า 1,000 คน ให้ความสนใจเข้าร่วม ณ โรงเรียนวัดเขาขุนพนม อ.พรหมคีรีจ.นครศรีธรรมราช
นายประภัตร กล่าวว่า การดําเนินการโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถภาคปศุสัตว์ไทย ฟื้นฟูอาชีพแก่เกษตรกร บรรเทาความเดือดร้อนเสียหายอันเนื่องมาจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และผลกระทบจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ํา พร้อมทั้งสนับสนุนการจัดการตลาด ผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ และเพื่อเป็นการสร้างอาชีพทางเลือกใหม่ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมมาเลี้ยงสัตว์ ให้สามารถจําหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ ได้แก่ โคเนื้อกระบือ แพะ แกะ ไก่พื้นเมือง โดยรัฐบาลมีประกันราคาและตลาดรองรับ ซึ่งหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และเอกชน ร่วมกันชี้แจงโครงการฯ ให้พี่น้องเกษตรกรได้รับทราบ เข้าใจ รวมถึงสํารวจความต้องการของเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการฯตลอดจนประสานหน่วยงานภาครัฐอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการให้การสนับสนุน เช่น บ่อบาดาลเพื่อการเกษตร พันธุ์พืชอาหารสําหรับเลี้ยงสัตว์ ที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้ความรู้แก่เกษตรกร โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อชี้แจงขั้นตอนให้การดําเนินงานเป็นไปตามที่โครงการกําหนด และเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมโครงการฯ ถือปฏิบัติเพื่อให้การขับเคลื่อนโครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์ มีผลสัมฤทธิ์ สามารถสร้างรายได้และมีอาชีพที่มั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป โดย ธ.ก.ส. อํานวยสินเชื่อวงเงินรวม 5 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี โดยสนับสนุนสินเชื่อไม่เกินกลุ่มละ 10 ล้านบาท หรือดอกเบี้ยล้านละ 100 บาท/ปี ระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 62 - 30 พ.ย. 65
“จ.นครศรีธรรมราช ถือเป็นจังหวัดแรกในภาคใต้ที่เริ่ม kick off ชี้แจงโครงการฯ ซึ่งที่ผ่านมาหลายจังหวัดในภาคใต้ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนปาบึก ทําให้พืชผลทางการเกษตรเสียหาย รัฐบาลเล็งเห็นว่าการปลูกพืชใช้น้ํามากอาจมีปัญหาทําให้เกษตรกรขาดทุน ดังนั้นจึงเกิดโครงการดังกล่าวขึ้น เป็นโอกาสที่ดีที่พี่น้องเกษตรกรจะได้มีอาชีพที่สร้างรายได้ในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตามเกษตรกรต้องรวมกลุ่มจดเป็นวิสาหกิจชุมชน 7-10 คน ” นายประภัตร กล่าว
อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการและขอรับการสนับสนุนสินเชื่อ ธกส. ตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ฯ มีดังนี้ 1.จดทะเบียนจัดตั้งกลุ่ม 1 ครัวเรือน 1 กลุ่ม และ 1 กลุ่ม 1 กิจกรรม 2.รับสมัครและเลือกเมนูอาชีพ โดยมีตลาดนําการผลิต 3.พิจารณาอนุมัติสินเชื่อ กลุ่มละไม่เกิน 10 ล้านบาท และ 4.ดําเนินการจัดซื้อ/จัดหาปัจจัยการผลิต ซึ่งจากการดําเนินงานที่ผ่านมา มีการลงนามบันทึกความเข้าใจโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ระหว่างกรมปศุสัตว์ และ ธกส. เมื่อเดือน ธ.ค. 2562 ที่ผ่านมา และเริ่ม kick off ไปแล้วในหลายจังหวัดอาทิ ขอนแก่น สระแก้ว เชียงราย เชียงใหม่ สุพรรณบุรี และนครปฐม ซึ่งได้รับความสนใจจากเกษตกรจํานวนมาก โดยมีเป้าหมายระยะที่ 1 โค 250,000 ตัว/ปี
จากนั้น เวลา 14.30 น. รมช.เกษตรฯ และคณะเดินทางไปติดตามงานโครงการศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนม อาชีพพระราชทานงานของพ่อ จังหวัดพัทลุง และเป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจง ขั้นตอน รายละเอียดการดําเนินงานตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ฯ (เกษตรสร้างชาติ) ณ ศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนม อาชีพพระราชทาน “งานของพ่อ” (วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุง) ต.ควนมะพร้าว อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมีนายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง นายณรงค์ สุทธิสังข์ ปศุสัตว์จังหวัดพัทลุง ให้การต้อนรับ มีผู้เกี่ยวข้องและเกษตรกรผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังกว่า 1,000 คน
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.เกษตรฯ’ ควง ‘อธิบดีปศุสัตว์’ ลงใต้ นครศรีฯ-พัทลุง
วันอังคารที่ 21 มกราคม 2563
‘รมช.เกษตรฯ’ ควง ‘อธิบดีปศุสัตว์’ ลงใต้ นครศรีฯ-พัทลุง
‘รมช.เกษตรฯ’ ควง ‘อธิบดีปศุสัตว์’ ลงใต้ นครศรีฯ-พัทลุง สั่งลุยโครงการส่งเสริมเลี้ยงสัตว์สร้างอาชีพ ‘ล้านละร้อย’
วันนี้ 19 ม.ค. 63 เวลา 10.00 น. นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจราชการก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2563 จ.นราธิวาส โดยเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมชี้แจงขั้นตอน แนวทางการดําเนินงานตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง (เกษตรสร้างชาติ) ภายใต้ความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วยนายธีระ วงศ์สมุทร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอรุณชัย พุทธเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ นายชัยวัฒน์ โยธคล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายครรชิต สุขเสถียร รองเลขาธิการสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) โดยมีนายพงษ์เทพ ไข่มุกด์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และนายธนพัฒน์ พันธ์สนิท ปศุสัตว์จังหวัด ให้การต้อนรับ พร้อมกันนี้มีเกษตรกร จาก จ.นครศรีธรรมราช ใน 23 อําเภอกว่า 1,000 คน ให้ความสนใจเข้าร่วม ณ โรงเรียนวัดเขาขุนพนม อ.พรหมคีรีจ.นครศรีธรรมราช
นายประภัตร กล่าวว่า การดําเนินการโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถภาคปศุสัตว์ไทย ฟื้นฟูอาชีพแก่เกษตรกร บรรเทาความเดือดร้อนเสียหายอันเนื่องมาจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และผลกระทบจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ํา พร้อมทั้งสนับสนุนการจัดการตลาด ผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ และเพื่อเป็นการสร้างอาชีพทางเลือกใหม่ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมมาเลี้ยงสัตว์ ให้สามารถจําหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ ได้แก่ โคเนื้อกระบือ แพะ แกะ ไก่พื้นเมือง โดยรัฐบาลมีประกันราคาและตลาดรองรับ ซึ่งหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ และเอกชน ร่วมกันชี้แจงโครงการฯ ให้พี่น้องเกษตรกรได้รับทราบ เข้าใจ รวมถึงสํารวจความต้องการของเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการฯตลอดจนประสานหน่วยงานภาครัฐอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการให้การสนับสนุน เช่น บ่อบาดาลเพื่อการเกษตร พันธุ์พืชอาหารสําหรับเลี้ยงสัตว์ ที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้ความรู้แก่เกษตรกร โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อชี้แจงขั้นตอนให้การดําเนินงานเป็นไปตามที่โครงการกําหนด และเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมโครงการฯ ถือปฏิบัติเพื่อให้การขับเคลื่อนโครงการฯ บรรลุวัตถุประสงค์ มีผลสัมฤทธิ์ สามารถสร้างรายได้และมีอาชีพที่มั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนต่อไป โดย ธ.ก.ส. อํานวยสินเชื่อวงเงินรวม 5 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี โดยสนับสนุนสินเชื่อไม่เกินกลุ่มละ 10 ล้านบาท หรือดอกเบี้ยล้านละ 100 บาท/ปี ระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 62 - 30 พ.ย. 65
“จ.นครศรีธรรมราช ถือเป็นจังหวัดแรกในภาคใต้ที่เริ่ม kick off ชี้แจงโครงการฯ ซึ่งที่ผ่านมาหลายจังหวัดในภาคใต้ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนปาบึก ทําให้พืชผลทางการเกษตรเสียหาย รัฐบาลเล็งเห็นว่าการปลูกพืชใช้น้ํามากอาจมีปัญหาทําให้เกษตรกรขาดทุน ดังนั้นจึงเกิดโครงการดังกล่าวขึ้น เป็นโอกาสที่ดีที่พี่น้องเกษตรกรจะได้มีอาชีพที่สร้างรายได้ในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตามเกษตรกรต้องรวมกลุ่มจดเป็นวิสาหกิจชุมชน 7-10 คน ” นายประภัตร กล่าว
อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการและขอรับการสนับสนุนสินเชื่อ ธกส. ตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ฯ มีดังนี้ 1.จดทะเบียนจัดตั้งกลุ่ม 1 ครัวเรือน 1 กลุ่ม และ 1 กลุ่ม 1 กิจกรรม 2.รับสมัครและเลือกเมนูอาชีพ โดยมีตลาดนําการผลิต 3.พิจารณาอนุมัติสินเชื่อ กลุ่มละไม่เกิน 10 ล้านบาท และ 4.ดําเนินการจัดซื้อ/จัดหาปัจจัยการผลิต ซึ่งจากการดําเนินงานที่ผ่านมา มีการลงนามบันทึกความเข้าใจโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ระหว่างกรมปศุสัตว์ และ ธกส. เมื่อเดือน ธ.ค. 2562 ที่ผ่านมา และเริ่ม kick off ไปแล้วในหลายจังหวัดอาทิ ขอนแก่น สระแก้ว เชียงราย เชียงใหม่ สุพรรณบุรี และนครปฐม ซึ่งได้รับความสนใจจากเกษตกรจํานวนมาก โดยมีเป้าหมายระยะที่ 1 โค 250,000 ตัว/ปี
จากนั้น เวลา 14.30 น. รมช.เกษตรฯ และคณะเดินทางไปติดตามงานโครงการศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนม อาชีพพระราชทานงานของพ่อ จังหวัดพัทลุง และเป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจง ขั้นตอน รายละเอียดการดําเนินงานตามโครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ฯ (เกษตรสร้างชาติ) ณ ศูนย์ส่งเสริมการเลี้ยงโคนม อาชีพพระราชทาน “งานของพ่อ” (วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีพัทลุง) ต.ควนมะพร้าว อ.เมือง จ.พัทลุง โดยมีนายกู้เกียรติ วงศ์กระพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง นายณรงค์ สุทธิสังข์ ปศุสัตว์จังหวัดพัทลุง ให้การต้อนรับ มีผู้เกี่ยวข้องและเกษตรกรผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังกว่า 1,000 คน
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25952
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำของกองทัพเรือ ยืนยันจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อลูกหลาน
|
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ําของกองทัพเรือ ยืนยันจะทําทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อลูกหลาน
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ําของกองทัพเรือ ยืนยันจะทําทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อลูกหลาน
วันนี้ (8 สิงหาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณวัดคุ้งตําหนัก ตําบลบางตะบูน อําเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะตรวจเยี่ยมการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ําของกองทัพเรือ จํานวน 26 ลํา โดยกองทัพเรือได้นําเรือผลักดันน้ํา ความกว้างขนาด 1.8 เมตร ยาว 5 เมตร สูง 2 เมตร มีประสิทธิภาพกินน้ําลึก 0.7 เมตร มีประสิทธิภาพในการพร่องน้ํา 72.4 ลบ.ม ต่อนาทีต่อเครื่อง หรือประมาณ 160,000 ลบ.ม ต่อวันต่อเครื่อง
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้พบประประชาชนที่มาให้การต้อนรับประมาณ 200 คน พร้อมกล่าวพบปะกับประชาชนตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนาน การจะเป็นหรือไม่เป็นประชาธิปไตยนั้น เป็นคนละเรื่องกัน อย่าทําร้ายประวัติศาสตร์ของเรา ถ้าไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ก็ไม่รู้จะรักประเทศชาติได้อย่างไร ส่วนตัวอยากลงพื้นที่ในทุกจังหวัด เพราะรัฐบาลนั้น ต้องเป็นรัฐบาลที่สามารถเดินทางไปได้ทุกที่ และที่ผ่านมาไม่ได้เป็นแบบนี้ ดังนั้น จึงขอให้เลิกความขัดแย้ง ความขัดแย้งจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาของประเทศไทย จะต้องแก้ทั้งระบบ ที่ผ่านมาประเทศเราไม่เคยตอกเสาเข็ม ต้องตอกเสาเข็มในบ้านเราให้ได้ วันนี้เราได้ทํายุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท โดยไม่ได้บังคับใคร แต่ต้องการทําให้เกิดความยั่งยืน เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลทุกอย่าง ต้องค่อย ๆ ทําให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลพร้อมดูแลคน ทุกกลุ่ม และทุกจังหวัด
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า วันนี้ทุกอย่างต้องใช้เวลา ขอเวลาให้ตนหน่อย เพราะเรากําลังพัฒนา การที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ว่าจะนอนสบาย ส่วนตัวไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อได้เห็นทุกคนก็ทําให้มีกําลังใจ ยืนยันว่าจะทําให้ดีที่สุด ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น โดยจะทําเพื่อลูกหลานของเรา และรักทุกคน
----------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำของกองทัพเรือ ยืนยันจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อลูกหลาน
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ําของกองทัพเรือ ยืนยันจะทําทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อลูกหลาน
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ําของกองทัพเรือ ยืนยันจะทําทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อลูกหลาน
วันนี้ (8 สิงหาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณวัดคุ้งตําหนัก ตําบลบางตะบูน อําเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะตรวจเยี่ยมการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ําของกองทัพเรือ จํานวน 26 ลํา โดยกองทัพเรือได้นําเรือผลักดันน้ํา ความกว้างขนาด 1.8 เมตร ยาว 5 เมตร สูง 2 เมตร มีประสิทธิภาพกินน้ําลึก 0.7 เมตร มีประสิทธิภาพในการพร่องน้ํา 72.4 ลบ.ม ต่อนาทีต่อเครื่อง หรือประมาณ 160,000 ลบ.ม ต่อวันต่อเครื่อง
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้พบประประชาชนที่มาให้การต้อนรับประมาณ 200 คน พร้อมกล่าวพบปะกับประชาชนตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนาน การจะเป็นหรือไม่เป็นประชาธิปไตยนั้น เป็นคนละเรื่องกัน อย่าทําร้ายประวัติศาสตร์ของเรา ถ้าไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ก็ไม่รู้จะรักประเทศชาติได้อย่างไร ส่วนตัวอยากลงพื้นที่ในทุกจังหวัด เพราะรัฐบาลนั้น ต้องเป็นรัฐบาลที่สามารถเดินทางไปได้ทุกที่ และที่ผ่านมาไม่ได้เป็นแบบนี้ ดังนั้น จึงขอให้เลิกความขัดแย้ง ความขัดแย้งจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาของประเทศไทย จะต้องแก้ทั้งระบบ ที่ผ่านมาประเทศเราไม่เคยตอกเสาเข็ม ต้องตอกเสาเข็มในบ้านเราให้ได้ วันนี้เราได้ทํายุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บท โดยไม่ได้บังคับใคร แต่ต้องการทําให้เกิดความยั่งยืน เราทุกคนต้องช่วยกันดูแลทุกอย่าง ต้องค่อย ๆ ทําให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลพร้อมดูแลคน ทุกกลุ่ม และทุกจังหวัด
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า วันนี้ทุกอย่างต้องใช้เวลา ขอเวลาให้ตนหน่อย เพราะเรากําลังพัฒนา การที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ว่าจะนอนสบาย ส่วนตัวไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เมื่อได้เห็นทุกคนก็ทําให้มีกําลังใจ ยืนยันว่าจะทําให้ดีที่สุด ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น โดยจะทําเพื่อลูกหลานของเรา และรักทุกคน
----------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14461
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. แถลงข่าวนัดพิเศษเพื่อขยายความกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด -19 จากกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยกเว้น
|
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม 2563
โฆษก ศบค. แถลงข่าวนัดพิเศษเพื่อขยายความกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด -19 จากกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยกเว้น
โฆษก ศบค. แถลงข่าวนัดพิเศษเพื่อขยายความกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด -19 จากกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยกเว้น
วันนี้ (14 ก.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
การแถลงวันนี้เป็นครั้งพิเศษเพื่อไขข้อสงสัยจากเหตุการณ์ โดยขอใช้เวลานําเสนอเพื่อขยายความจากการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนจากการพบผู้ติดเชื้อ 2 ราย เมื่อวาน (13 ก.ค. 63)
กรณีแรก จากประเทศอียิปต์ สาธารณสุขจังหวัดระยองได้รับแจ้งว่า ทางสาธารณสุขจังหวัดระยองได้รับแจ้งทางไลน์จากด่านป้องกันโรคของสนามบินอู่ตะเภาว่าจะมีเที่ยวบินทางทหาร เที่ยวบินที่ EGY 1215 และ EGY 1216 มีกัปตันเรือ และลูกเรือ รวม 31 คน เดินทางมาจากปากีสถาน ลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา วันที่ 8 ก.ค. 63 เวลา 19.00 น. และในเวลา 23.00 น. คณะดังกล่าวได้เข้าพักที่โรงแรม DVaree ซึ่งมีกําหนดพักวันที่ 8 – 11 ก.ค. 63 ในระหว่างนั้น วันที่ 9 ก.ค. 63 คณะนี้ได้ออกจากโรงแรม ไปยังสนามบินอู่ตะเภาเพื่อบินไปยังเมืองเฉินตู ประเทศจีน และกลับมาในวันที่ 10 ก.ค. 63 เวลา 02.00 น. โดยเข้าพักที่โรงแรมเดิม พบว่าในวันที่ 10 ก.ค. นี้ เวลา 11.20 น. ลูกเรือจํานวนหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง ในอําเภอเมือง จังหวัดระยอง คือ แหลมทอง และเซนทรัล ก่อนเดินทางกลับประเทศอียิปต์ในวันที่ 11 ก.ค. 63 เวลา 11.00 น.
อย่างไรก็ดี ในวันที่ 10 ก.ค. 63 ทีมสอบสวนโรค สาธารณสุขจังหวัด ร่วมกับทีมสอบสวนของอําเภอเมือง ตํารวจตรวจคนเข้าเมืองระยอง และตํารวจภูธรจังหวัดระยอง ร่วมกันตรวจประเมินติดตามผู้เดินทางจากประเทศอียิปต์ที่โรงแรมทันทีที่ได้ทราบเรื่อง เพื่อขอเข้าตรวจ ซึ่งเห็นภาพจากคลิปว่า ใช้เวลาพอสมควรเนื่องจากผู้เข้าตรวจไม่ยินยอม และจากการสอบสวนเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 63 ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม พบว่า ลูกเรือเพียงร้อยละ 10 หรือประมาณ 3 คน ใส่หน้ากากอนามัยขณะออกนอกเคหะสถาน โดยในการเดินทางไปห้างสรรพสินค้าดังกล่าว ลูกเรือ รวมผู้ติดเชื้อ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 จํานวน 27 คน รวมผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปด้วย เดินเท้าไปเที่ยวห้างแหลมทอง เวลา 11.00-14.59 น. โดยผู้ติดเชื้อได้สวมหน้ากากอนามัย และกลุ่มที่ 2 จํานวน 4 คน นั่ง Taxi ไปห้างเซนทรัลระยอง ในช่วงเวลา 14.00-18.00 น. โดยเรียก Taxi คันเดิมไปรับ
ทั้งนี้ แบ่งกลุ่มผู้เสี่ยงติดเชื้อเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จํานวน 9 คน ได้แก่ ที่โรงแรม DVaree 7 คน ซึ่งเป็นผู้จัดการโรงแรม 2 คน พนักงานขาย 2 คน และแม่บ้าน 4 คน ทั้งหมดไม่มีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และทางโรงแรมให้หยุดงานเพื่อกักตัวเป็นเวลา 14 วัน (13-27 ก.ค. 63) และที่สนามบินฯ 2 คน เป็นคนขับรถตู้ และ กลุ่มที่ 2. กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา จํานวน 9 คน เป็นหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่อ (CDCU) และทีมตรวจคนเข้าเมืองระยอง
ความยุ่งยากในการขอรับทราบชุดข้อมูลมี 2 – 3 ประเด็น ได้แก่ เป็นการขอรับทราบชุดข้อมูลไปทางต้นทาง คณะดังกล่าวขออนุญาตมาทางสถานเอกอัครราชทูตผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศซึ่งได้หารือมาทางทหารอากาศ ซึ่งตอบรับ เนื่องจากกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว มีการปฏิบัติเป็นปกติ กรณีนี้ จะเข้าข้อกําหนด (5) ตามคําสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 7/2563 เป็นกลุ่มผู้ควบคุมยานพาหนะ เดินทางมาตามภารกิจ ทําตามมาตรการ และมีรายงานว่าได้รับการตรวจ Throat Swab จากประเทศต้นทางมาก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อกระทรวงสาธารณสุขและฝ่ายความมั่นคงได้ทราบเรื่อง ได้เร่งเจรจาขอตรวจหาเชื้อ โดยในครั้งแรกผลเป็นลบ 30 คน อีก 1 คน ผลไม่แน่ชัด จึงทําการตรวจใหม่ซึ่งผลออกมาเป็นบวกในวันที่คณะดังกล่าวเดินทางกลับแล้ว
ชุดข้อมูลอีกชุดที่จะโยงไปยังห้างสรรพสินค้า ทางพื้นที่ได้รายงาน มีผู้เดินทางไปห้างแหลมทอง ช่วงเวลาเดียวกับกลุ่มอียิปต์ที่ไป พบว่า 11.25 น. มีคนอยู่ 394 คน ที่เซนทรัลระยอง 1,488 คน และอีก 7 คน ตรวจสอบยังไม่ได้ ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคจะติดต่อไปเพื่อให้เข้ามารับการตรวจต่อไป
กรณีที่ 2 เป็นการรายงานสอบสวนโรคเบื้องต้นผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การสอบสวนโรคกรณีของประเทศซูดาน ซึ่งทีมปฏิบัติการสอบสวนโรค กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้รับแจ้งจากสถาบันป้องกันการควบคุมโรคเขตเมือง ว่าพบผู้ป่วยยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นผู้ป่วยหญิง อายุ 9 ปี ชาวซูดาน เป็นบุตรสาวของอุปทูตซูดานประจําประเทศไทย ทีมปฏิบัติการสอบสวนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ดําเนินการสอบสวนโรคเพิ่มเติม ณ ที่บ้านพักสถานทูตซูดานประจําประเทศไทย และ ONE X Condominium เพื่อติดตามประวัติเสี่ยง และติดตามผู้สัมผัส เพื่อให้คําแนะนําในการควบคุมโรค
ผลการสอบสวนเพิ่มเติมพบว่า เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 63 มารดาพาครอบครัวประกอบด้วยบุตรสาว 4 คน ไปตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ประเทศซูดาน ผลปรากฏว่าไม่พบเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 63 ครอบครัวนี้เดินทางมายังประเทศไทย ด้วยสายการบิน อียิปต์แอร์ เที่ยวบิน MZ3277 ซึ่งมีคนไทยประมาณ 245 คน ซึ่งหญิงอายุ 9 ปี นั่งที่นั่งหมายเลข 22H หลังจากนั้นเครื่องบินได้ลงจอด เพื่อเติมน้ํามันที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ โดยไม่มีผู้ใดลงจากเครื่องบิน และถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย ในวันที่ 10 ก.ค. 63 เวลาประมาณ 05.40 น. และได้ผ่านขั้นตอนการตรวจทางมาตรฐานควบคุมโรค Nasopharyngeal Swab และ Throat Swab ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 09.25 น. เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิถึงที่พัก ONE X Condominium โดยไม่ได้แวะจอดและพักที่ใด ในขณะเดินทางมายังที่พักในรถ มีเพียง อุปทูตฯ คนขับรถ 1 คน และเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต 1 คน ใส่หน้ากากอนามัยตลอด และพบว่า หญิงอายุ 9 ปี ใส่หน้ากากอนามัย ส่วนน้องสาวและมารดาไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อถึงที่พักได้ขึ้นลิฟต์หมายเลข 3 โดยไม่ได้ใช้ลิฟต์ร่วมกับผู้อื่น
วันที่ 10 ก.ค. 2563 เจ้าหน้าที่ได้โทรแจ้งผลการตรวจของหญิงอายุ 9 ปี พบว่า ผลยืนยันติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และได้ติดต่อโรงพยาบาลที่จะเข้ารับการรักษาไว้ล่วงหน้า ต่อมา วันที่ 10 ก.ค. 63 เวลา 11.38 น. ได้มีรถของสถานทูตซูดานฯ พร้อมคนขับ ซึ่งคนขับใส่หน้ากากอนามัย มารับหญิงอายุ 9 ปี ไปที่โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ ระหว่างการรักษา พบว่า ผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบ และขอย้ายไปรักษายังสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี โดยระหว่างวันที่ 10 – 11 ก.ค. 63 อุปทูตฯ และครอบครัวอยู่ในห้องที่คอนโดไม่ได้ออกไปใช้บริการส่วนกลาง เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 63 เวลาประมาณ 04.00 น. ผู้สัมผัสในครอบครัวทั้งหมดย้ายไปพักที่บ้านพักสถานทูตซูดานฯ ซึ่งอยู่ที่ซอยสวนพลู มีประตูสามชั้น พื้นที่ประมาณ 200 ตารางวา
การสํารวจสภาพสิ่งแวดล้อมของที่พักอาศัย ห้องพักอยู่ชั้น 19 ของ ONE X Condominium สร้างเมื่อปี 2551 ห้องพักทั้งหมด 329 ห้อง มีผู้อาศัยจริง 200 ห้อง เป็นชาวต่างชาติร้อยละ 70 มีลิฟต์ 3 ตัว โดยคอนโดแห่งนี้เคยมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มาก่อน 2 คน เมื่อเดือนมีนาคม 2563 มีการประกาศมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 โดยการจํากัดจํานวนคนขึ้นลิฟต์ ทําความสะอาดลิฟต์ทุกตัวด้วยแอลกอฮอล์ และถูพื้นทุกวันด้วยน้ํายาฟอกขาว ลูกบ้านคอนโดประมาณร้อยละ 50 ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในลิฟต์ โดยเป็นการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด โดยการประเมินผู้สัมผัสมี 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จํานวน 7 ราย คือ คนในครอบครัว 5 ราย (บิดา มารดา น้องสาว 3 คน) , คนขับรถ 1 คน, เจ้าหน้าที่สถานทูต 1 คน ซึ่งสถาบันป้องกันควบคุมโรคได้มีการนัดหมายให้ผู้สัมผัสเสี่ยงกลุ่มที่ 1 ทําการตรวจหาเชื้อแล้ว เบื้องต้น นัดหมายวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 และกลุ่มที่ 2 ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา จํานวน 15 ราย คือ ผู้ที่ใช้ลิฟต์ต่อจากครอบครัวนี้ ประมาณ 15 ราย
ทั้งนี้ รายงานประจําวันจะนําเสนอรายละเอียดผ่านช่องทางเฟสบุ้คเพจ ไทยคู่ฟ้า และศูนย์ข้อมูล COVID-19 ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. แถลงข่าวนัดพิเศษเพื่อขยายความกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด -19 จากกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยกเว้น
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม 2563
โฆษก ศบค. แถลงข่าวนัดพิเศษเพื่อขยายความกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด -19 จากกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยกเว้น
โฆษก ศบค. แถลงข่าวนัดพิเศษเพื่อขยายความกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด -19 จากกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยกเว้น
วันนี้ (14 ก.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
การแถลงวันนี้เป็นครั้งพิเศษเพื่อไขข้อสงสัยจากเหตุการณ์ โดยขอใช้เวลานําเสนอเพื่อขยายความจากการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนจากการพบผู้ติดเชื้อ 2 ราย เมื่อวาน (13 ก.ค. 63)
กรณีแรก จากประเทศอียิปต์ สาธารณสุขจังหวัดระยองได้รับแจ้งว่า ทางสาธารณสุขจังหวัดระยองได้รับแจ้งทางไลน์จากด่านป้องกันโรคของสนามบินอู่ตะเภาว่าจะมีเที่ยวบินทางทหาร เที่ยวบินที่ EGY 1215 และ EGY 1216 มีกัปตันเรือ และลูกเรือ รวม 31 คน เดินทางมาจากปากีสถาน ลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา วันที่ 8 ก.ค. 63 เวลา 19.00 น. และในเวลา 23.00 น. คณะดังกล่าวได้เข้าพักที่โรงแรม DVaree ซึ่งมีกําหนดพักวันที่ 8 – 11 ก.ค. 63 ในระหว่างนั้น วันที่ 9 ก.ค. 63 คณะนี้ได้ออกจากโรงแรม ไปยังสนามบินอู่ตะเภาเพื่อบินไปยังเมืองเฉินตู ประเทศจีน และกลับมาในวันที่ 10 ก.ค. 63 เวลา 02.00 น. โดยเข้าพักที่โรงแรมเดิม พบว่าในวันที่ 10 ก.ค. นี้ เวลา 11.20 น. ลูกเรือจํานวนหนึ่งได้เดินทางไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง ในอําเภอเมือง จังหวัดระยอง คือ แหลมทอง และเซนทรัล ก่อนเดินทางกลับประเทศอียิปต์ในวันที่ 11 ก.ค. 63 เวลา 11.00 น.
อย่างไรก็ดี ในวันที่ 10 ก.ค. 63 ทีมสอบสวนโรค สาธารณสุขจังหวัด ร่วมกับทีมสอบสวนของอําเภอเมือง ตํารวจตรวจคนเข้าเมืองระยอง และตํารวจภูธรจังหวัดระยอง ร่วมกันตรวจประเมินติดตามผู้เดินทางจากประเทศอียิปต์ที่โรงแรมทันทีที่ได้ทราบเรื่อง เพื่อขอเข้าตรวจ ซึ่งเห็นภาพจากคลิปว่า ใช้เวลาพอสมควรเนื่องจากผู้เข้าตรวจไม่ยินยอม และจากการสอบสวนเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 63 ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม พบว่า ลูกเรือเพียงร้อยละ 10 หรือประมาณ 3 คน ใส่หน้ากากอนามัยขณะออกนอกเคหะสถาน โดยในการเดินทางไปห้างสรรพสินค้าดังกล่าว ลูกเรือ รวมผู้ติดเชื้อ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 จํานวน 27 คน รวมผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปด้วย เดินเท้าไปเที่ยวห้างแหลมทอง เวลา 11.00-14.59 น. โดยผู้ติดเชื้อได้สวมหน้ากากอนามัย และกลุ่มที่ 2 จํานวน 4 คน นั่ง Taxi ไปห้างเซนทรัลระยอง ในช่วงเวลา 14.00-18.00 น. โดยเรียก Taxi คันเดิมไปรับ
ทั้งนี้ แบ่งกลุ่มผู้เสี่ยงติดเชื้อเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จํานวน 9 คน ได้แก่ ที่โรงแรม DVaree 7 คน ซึ่งเป็นผู้จัดการโรงแรม 2 คน พนักงานขาย 2 คน และแม่บ้าน 4 คน ทั้งหมดไม่มีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และทางโรงแรมให้หยุดงานเพื่อกักตัวเป็นเวลา 14 วัน (13-27 ก.ค. 63) และที่สนามบินฯ 2 คน เป็นคนขับรถตู้ และ กลุ่มที่ 2. กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา จํานวน 9 คน เป็นหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่อ (CDCU) และทีมตรวจคนเข้าเมืองระยอง
ความยุ่งยากในการขอรับทราบชุดข้อมูลมี 2 – 3 ประเด็น ได้แก่ เป็นการขอรับทราบชุดข้อมูลไปทางต้นทาง คณะดังกล่าวขออนุญาตมาทางสถานเอกอัครราชทูตผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศซึ่งได้หารือมาทางทหารอากาศ ซึ่งตอบรับ เนื่องจากกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว มีการปฏิบัติเป็นปกติ กรณีนี้ จะเข้าข้อกําหนด (5) ตามคําสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ 7/2563 เป็นกลุ่มผู้ควบคุมยานพาหนะ เดินทางมาตามภารกิจ ทําตามมาตรการ และมีรายงานว่าได้รับการตรวจ Throat Swab จากประเทศต้นทางมาก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อกระทรวงสาธารณสุขและฝ่ายความมั่นคงได้ทราบเรื่อง ได้เร่งเจรจาขอตรวจหาเชื้อ โดยในครั้งแรกผลเป็นลบ 30 คน อีก 1 คน ผลไม่แน่ชัด จึงทําการตรวจใหม่ซึ่งผลออกมาเป็นบวกในวันที่คณะดังกล่าวเดินทางกลับแล้ว
ชุดข้อมูลอีกชุดที่จะโยงไปยังห้างสรรพสินค้า ทางพื้นที่ได้รายงาน มีผู้เดินทางไปห้างแหลมทอง ช่วงเวลาเดียวกับกลุ่มอียิปต์ที่ไป พบว่า 11.25 น. มีคนอยู่ 394 คน ที่เซนทรัลระยอง 1,488 คน และอีก 7 คน ตรวจสอบยังไม่ได้ ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคจะติดต่อไปเพื่อให้เข้ามารับการตรวจต่อไป
กรณีที่ 2 เป็นการรายงานสอบสวนโรคเบื้องต้นผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การสอบสวนโรคกรณีของประเทศซูดาน ซึ่งทีมปฏิบัติการสอบสวนโรค กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้รับแจ้งจากสถาบันป้องกันการควบคุมโรคเขตเมือง ว่าพบผู้ป่วยยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นผู้ป่วยหญิง อายุ 9 ปี ชาวซูดาน เป็นบุตรสาวของอุปทูตซูดานประจําประเทศไทย ทีมปฏิบัติการสอบสวนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้ดําเนินการสอบสวนโรคเพิ่มเติม ณ ที่บ้านพักสถานทูตซูดานประจําประเทศไทย และ ONE X Condominium เพื่อติดตามประวัติเสี่ยง และติดตามผู้สัมผัส เพื่อให้คําแนะนําในการควบคุมโรค
ผลการสอบสวนเพิ่มเติมพบว่า เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 63 มารดาพาครอบครัวประกอบด้วยบุตรสาว 4 คน ไปตรวจหาเชื้อที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ประเทศซูดาน ผลปรากฏว่าไม่พบเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ก.ค. 63 ครอบครัวนี้เดินทางมายังประเทศไทย ด้วยสายการบิน อียิปต์แอร์ เที่ยวบิน MZ3277 ซึ่งมีคนไทยประมาณ 245 คน ซึ่งหญิงอายุ 9 ปี นั่งที่นั่งหมายเลข 22H หลังจากนั้นเครื่องบินได้ลงจอด เพื่อเติมน้ํามันที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ โดยไม่มีผู้ใดลงจากเครื่องบิน และถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย ในวันที่ 10 ก.ค. 63 เวลาประมาณ 05.40 น. และได้ผ่านขั้นตอนการตรวจทางมาตรฐานควบคุมโรค Nasopharyngeal Swab และ Throat Swab ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 09.25 น. เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิถึงที่พัก ONE X Condominium โดยไม่ได้แวะจอดและพักที่ใด ในขณะเดินทางมายังที่พักในรถ มีเพียง อุปทูตฯ คนขับรถ 1 คน และเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต 1 คน ใส่หน้ากากอนามัยตลอด และพบว่า หญิงอายุ 9 ปี ใส่หน้ากากอนามัย ส่วนน้องสาวและมารดาไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อถึงที่พักได้ขึ้นลิฟต์หมายเลข 3 โดยไม่ได้ใช้ลิฟต์ร่วมกับผู้อื่น
วันที่ 10 ก.ค. 2563 เจ้าหน้าที่ได้โทรแจ้งผลการตรวจของหญิงอายุ 9 ปี พบว่า ผลยืนยันติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และได้ติดต่อโรงพยาบาลที่จะเข้ารับการรักษาไว้ล่วงหน้า ต่อมา วันที่ 10 ก.ค. 63 เวลา 11.38 น. ได้มีรถของสถานทูตซูดานฯ พร้อมคนขับ ซึ่งคนขับใส่หน้ากากอนามัย มารับหญิงอายุ 9 ปี ไปที่โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ ระหว่างการรักษา พบว่า ผู้ป่วยมีอาการปอดอักเสบ และขอย้ายไปรักษายังสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี โดยระหว่างวันที่ 10 – 11 ก.ค. 63 อุปทูตฯ และครอบครัวอยู่ในห้องที่คอนโดไม่ได้ออกไปใช้บริการส่วนกลาง เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 63 เวลาประมาณ 04.00 น. ผู้สัมผัสในครอบครัวทั้งหมดย้ายไปพักที่บ้านพักสถานทูตซูดานฯ ซึ่งอยู่ที่ซอยสวนพลู มีประตูสามชั้น พื้นที่ประมาณ 200 ตารางวา
การสํารวจสภาพสิ่งแวดล้อมของที่พักอาศัย ห้องพักอยู่ชั้น 19 ของ ONE X Condominium สร้างเมื่อปี 2551 ห้องพักทั้งหมด 329 ห้อง มีผู้อาศัยจริง 200 ห้อง เป็นชาวต่างชาติร้อยละ 70 มีลิฟต์ 3 ตัว โดยคอนโดแห่งนี้เคยมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มาก่อน 2 คน เมื่อเดือนมีนาคม 2563 มีการประกาศมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 โดยการจํากัดจํานวนคนขึ้นลิฟต์ ทําความสะอาดลิฟต์ทุกตัวด้วยแอลกอฮอล์ และถูพื้นทุกวันด้วยน้ํายาฟอกขาว ลูกบ้านคอนโดประมาณร้อยละ 50 ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในลิฟต์ โดยเป็นการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด โดยการประเมินผู้สัมผัสมี 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จํานวน 7 ราย คือ คนในครอบครัว 5 ราย (บิดา มารดา น้องสาว 3 คน) , คนขับรถ 1 คน, เจ้าหน้าที่สถานทูต 1 คน ซึ่งสถาบันป้องกันควบคุมโรคได้มีการนัดหมายให้ผู้สัมผัสเสี่ยงกลุ่มที่ 1 ทําการตรวจหาเชื้อแล้ว เบื้องต้น นัดหมายวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 และกลุ่มที่ 2 ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ํา จํานวน 15 ราย คือ ผู้ที่ใช้ลิฟต์ต่อจากครอบครัวนี้ ประมาณ 15 ราย
ทั้งนี้ รายงานประจําวันจะนําเสนอรายละเอียดผ่านช่องทางเฟสบุ้คเพจ ไทยคู่ฟ้า และศูนย์ข้อมูล COVID-19 ต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33364
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. มอบรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจท่องเที่ยวชุมชน พร้อมจับมืออพท. ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นโตยั่งยืน
|
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560
$("#video-player3").css("background-color", "#000000");
var container = document.getElementById("video-player3");
flowplayer.conf = {
share :false, // --> set share button
// facebook :true,
// ratio :9/16, // --> set ratio
// seekable :true,
// autoplay :false,
// splash : true,
// chromecast :true,
// auto quality
// hlsQualities:true,
poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/12/8807_04.jpg", //poster
// swf :"flowplayer.swf",
// hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}],
};
flowplayer(container, {
clip: {
sources: [
{
// type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
// src: "vod/testcar.mp4"
// type: "application/x-mpegurl",
// file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8",
type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
src: "https://media.thaigov.go.th/uploads/vod/142/2017/12/mp4/535022509.166797.mp4"
}
],
title: "ธพว. มอบรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจท่องเที่ยวชุมชน พร้อมจับมืออพท. ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นโตยั่งยืน",
// qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"],
// defaultQuality: "260p"
}
});
ธพว. มอบรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจท่องเที่ยวชุมชน พร้อมจับมืออพท. ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นโตยั่งยืน
ธพว.จัดโครงการมอบรางวัล “สุดยอด SME ท่องเที่ยวปี 2560” ให้แก่ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทยที่มีศักยภาพยอดเยี่ยมโดยมีวัตถุประสงค์ยกย่องผู้ได้รับรางวัล รวมถึง ให้เป็นต้นแบบแห่งความสําเร็จ สร้างแรงบันดาลใจแก่ธุรกิจชุมชนอื่นๆ ก้าวตาม
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) กล่าวว่า พันธกิจของธนาคาร มุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะระดับภูมิภาค ด้านสนับสนุนเงินทุนควบคู่การพัฒนา ซึ่งปัจจุบันภาคท่องเที่ยวคือหนึ่งในอุตสาหกรรมสําคัญของประเทศไทย มีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งต่อการกระจายรายได้สู่ระดับฐานรากของประเทศ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนให้ชุมชนต่างๆ เชื่อมโยงนําอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาผสมผสาน ถ่ายทอดเป็นเรื่องราว เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ธุรกิจท่องเที่ยวและชุมชน นําไปสู่การสร้างเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นเข้มแข็ง (Local Economy)
ทั้งนี้ เพื่อสานต่อให้ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนและธุรกิจเกี่ยวเนื่องเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการยกระดับคุณภาพ และสร้างมาตรฐานธนาคารจึงจัดโครงการมอบรางวัล “สุดยอด SME ท่องเที่ยวปี 2560” ให้แก่ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทยที่มีศักยภาพยอดเยี่ยมโดยมีวัตถุประสงค์ยกย่องผู้ได้รับรางวัล รวมถึง ให้เป็นต้นแบบแห่งความสําเร็จ สร้างแรงบันดาลใจแก่ธุรกิจชุมชนอื่นๆ ก้าวตาม โดยมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวชุมชนที่ได้รับรางวัล จํานวน 10รางวัล ดังนี้
1.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจที่พักหรือโรงแรม ได้แก่ บริษัท สุราษฎร์อินเตอร์ทัวร์ จํากัด ผู้ให้บริการ แพ 500 ไร่ จ.สุราษฎร์ธานี 2.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจร้านอาหาร ได้แก่ ร้านอาหารเวียงชัยบุรี จ.อุดรธานี 3.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจชุมชนสร้างสรรค์ หรือธุรกิจการท่องเที่ยวชุมชน ได้แก่ หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์บ้านน้ําเกี๋ยน จ.น่าน4.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจนําเที่ยวชุมชน ได้แก่ ชุมชนท่องเที่ยวบ้านทุ่งหยีเพ็ง เกาะลันตา จังหวัดกระบี่5.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจเพื่อสุขภาพและความงาม ได้แก่ หจก. ภูโคลน คันทรีคลับ จ.แม่ฮ่องสอน6.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจกีฬาและสันทนาการ ได้แก่ บริษัท สกายเวิลด์แอดเวนเจอร์ จํากัด จ.ภูเก็ต7.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจแฟรนไชส์การท่องเที่ยว ได้แก่ บริษัท กาแฟวาวี
จํากัด เจ้าของแฟรนไชส์ร้านกาแฟวาวี 8.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจผลิตจําหน่ายสินค้าหรือของที่ระลึก ได้แก่ บริษัท ธนบดีเดคอร์ เซรามิค จํากัด จ.ลําปาง 9.รางวัลพิเศษ โดดเด่นด้านการออกแบบที่พัก ได้แก่ บริษัท ภูเขาลอยน้ํา จํากัด จ.เชียงใหม่ และ 10.รางวัลพิเศษ โดดเด่นด้านวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวดีเด่น ด้านแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านน้ําเชี่ยว จ.ตราด
นอกจากโครงการมอบรางวัลดังกล่าวแล้ว ธนาคารได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) กับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ดําเนินโครงการ “สนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพ SME-D กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว” เพื่อร่วมพัฒนาผู้ประกอบการท่องเที่ยวในกลุ่ม SMEs ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสําคัญ
ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท ผู้อํานวยการ อพท. กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ ว่า เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบที่อยู่ภายใต้ อพท. ที่ต้องการการสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมให้แก่ผู้ประกอบในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในกลุ่มร้านอาหาร สปา ของฝาก-ของที่ระลึก ธุรกิจบริการขนส่ง เพราะเมื่อธุรกิจเหล่านี้เข้มแข็ง ย่อมทําให้เศรษฐกิจของประเทศมีความมั่นคงมากขึ้น
ทั้งนี้ความร่วมมือเบื้องต้น ครอบคลุมระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2563 โดยมีพันธกิจหลักเน้น 4 เรื่อง ได้แก่ 1. ความช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการ ทั้งด้านการตลาด การผลิต-บริหารจัดการ และภาคการเงิน 2.สร้างโมเดลให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัดเพื่อเป็นต้นแบบ ก่อนต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวรายภูมิภาคต่อไป 3.บูรณาการความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตร ยกระดับจํานวนนักท่องเที่ยว นําไปสู่การสร้างรายได้ และ 4.สร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการในการเข้าถึงแหล่งทุน
ด้านบทบาทของ ธพว.หลังลงนามแล้วจะดําเนินการพัฒนาตัวอย่างหมู่บ้านท่องเที่ยวชุมชนเข้มแข็งเน้นพัฒนา 4 ด้าน คือ 1. สร้างช่องทางการตลาดสมัยใหม่ 2. พัฒนามาตรฐานทางบัญชี เพื่อเตรียมความพร้อมให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงแหล่งหนึ่งทุนในอนาคต 3.สร้างโมเดลธุรกิจท่องเที่ยวรายจังหวัด พร้อมประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้แหล่งท่องเที่ยวเหล่านั้นเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และ 4.บูรณาการความร่วมมือเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ ผลักดันให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
ในส่วนของ อพท. จะเน้นการทํางาน 3 ด้าน คือ 1.การประสานชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนวิสาหกิจชุมชน ตลอดจนผู้ประกอบการเพื่อทํากิจกรรมร่วมกับ อพท. 2.ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตลอดจนสินค้าและการบริการการท่องเที่ยวในพื้นที่พิเศษ และ 3.สนับสนุนชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยวิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในพื้นที่พิเศษของ อพท.ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนต่อยอดธุรกิจในอนาคต
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861,02-265-4404
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. มอบรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจท่องเที่ยวชุมชน พร้อมจับมืออพท. ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นโตยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560
$("#video-player3").css("background-color", "#000000");
var container = document.getElementById("video-player3");
flowplayer.conf = {
share :false, // --> set share button
// facebook :true,
// ratio :9/16, // --> set ratio
// seekable :true,
// autoplay :false,
// splash : true,
// chromecast :true,
// auto quality
// hlsQualities:true,
poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/12/8807_04.jpg", //poster
// swf :"flowplayer.swf",
// hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}],
};
flowplayer(container, {
clip: {
sources: [
{
// type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
// src: "vod/testcar.mp4"
// type: "application/x-mpegurl",
// file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8",
type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
src: "https://media.thaigov.go.th/uploads/vod/142/2017/12/mp4/535022509.166797.mp4"
}
],
title: "ธพว. มอบรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจท่องเที่ยวชุมชน พร้อมจับมืออพท. ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นโตยั่งยืน",
// qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"],
// defaultQuality: "260p"
}
});
ธพว. มอบรางวัล 10 สุดยอดธุรกิจท่องเที่ยวชุมชน พร้อมจับมืออพท. ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นโตยั่งยืน
ธพว.จัดโครงการมอบรางวัล “สุดยอด SME ท่องเที่ยวปี 2560” ให้แก่ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทยที่มีศักยภาพยอดเยี่ยมโดยมีวัตถุประสงค์ยกย่องผู้ได้รับรางวัล รวมถึง ให้เป็นต้นแบบแห่งความสําเร็จ สร้างแรงบันดาลใจแก่ธุรกิจชุมชนอื่นๆ ก้าวตาม
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) กล่าวว่า พันธกิจของธนาคาร มุ่งสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะระดับภูมิภาค ด้านสนับสนุนเงินทุนควบคู่การพัฒนา ซึ่งปัจจุบันภาคท่องเที่ยวคือหนึ่งในอุตสาหกรรมสําคัญของประเทศไทย มีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งต่อการกระจายรายได้สู่ระดับฐานรากของประเทศ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนให้ชุมชนต่างๆ เชื่อมโยงนําอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาผสมผสาน ถ่ายทอดเป็นเรื่องราว เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ธุรกิจท่องเที่ยวและชุมชน นําไปสู่การสร้างเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นเข้มแข็ง (Local Economy)
ทั้งนี้ เพื่อสานต่อให้ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนและธุรกิจเกี่ยวเนื่องเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการยกระดับคุณภาพ และสร้างมาตรฐานธนาคารจึงจัดโครงการมอบรางวัล “สุดยอด SME ท่องเที่ยวปี 2560” ให้แก่ธุรกิจท่องเที่ยวชุมชนทั่วไทยที่มีศักยภาพยอดเยี่ยมโดยมีวัตถุประสงค์ยกย่องผู้ได้รับรางวัล รวมถึง ให้เป็นต้นแบบแห่งความสําเร็จ สร้างแรงบันดาลใจแก่ธุรกิจชุมชนอื่นๆ ก้าวตาม โดยมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวชุมชนที่ได้รับรางวัล จํานวน 10รางวัล ดังนี้
1.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจที่พักหรือโรงแรม ได้แก่ บริษัท สุราษฎร์อินเตอร์ทัวร์ จํากัด ผู้ให้บริการ แพ 500 ไร่ จ.สุราษฎร์ธานี 2.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจร้านอาหาร ได้แก่ ร้านอาหารเวียงชัยบุรี จ.อุดรธานี 3.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจชุมชนสร้างสรรค์ หรือธุรกิจการท่องเที่ยวชุมชน ได้แก่ หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์บ้านน้ําเกี๋ยน จ.น่าน4.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจนําเที่ยวชุมชน ได้แก่ ชุมชนท่องเที่ยวบ้านทุ่งหยีเพ็ง เกาะลันตา จังหวัดกระบี่5.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจเพื่อสุขภาพและความงาม ได้แก่ หจก. ภูโคลน คันทรีคลับ จ.แม่ฮ่องสอน6.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจกีฬาและสันทนาการ ได้แก่ บริษัท สกายเวิลด์แอดเวนเจอร์ จํากัด จ.ภูเก็ต7.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจแฟรนไชส์การท่องเที่ยว ได้แก่ บริษัท กาแฟวาวี
จํากัด เจ้าของแฟรนไชส์ร้านกาแฟวาวี 8.รางวัลโดดเด่นด้านธุรกิจผลิตจําหน่ายสินค้าหรือของที่ระลึก ได้แก่ บริษัท ธนบดีเดคอร์ เซรามิค จํากัด จ.ลําปาง 9.รางวัลพิเศษ โดดเด่นด้านการออกแบบที่พัก ได้แก่ บริษัท ภูเขาลอยน้ํา จํากัด จ.เชียงใหม่ และ 10.รางวัลพิเศษ โดดเด่นด้านวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวดีเด่น ด้านแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านน้ําเชี่ยว จ.ตราด
นอกจากโครงการมอบรางวัลดังกล่าวแล้ว ธนาคารได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) กับองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ดําเนินโครงการ “สนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาศักยภาพ SME-D กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว” เพื่อร่วมพัฒนาผู้ประกอบการท่องเที่ยวในกลุ่ม SMEs ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายสําคัญ
ดร.นาฬิกอติภัค แสงสนิท ผู้อํานวยการ อพท. กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ ว่า เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบที่อยู่ภายใต้ อพท. ที่ต้องการการสร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมให้แก่ผู้ประกอบในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจในกลุ่มร้านอาหาร สปา ของฝาก-ของที่ระลึก ธุรกิจบริการขนส่ง เพราะเมื่อธุรกิจเหล่านี้เข้มแข็ง ย่อมทําให้เศรษฐกิจของประเทศมีความมั่นคงมากขึ้น
ทั้งนี้ความร่วมมือเบื้องต้น ครอบคลุมระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2563 โดยมีพันธกิจหลักเน้น 4 เรื่อง ได้แก่ 1. ความช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการ ทั้งด้านการตลาด การผลิต-บริหารจัดการ และภาคการเงิน 2.สร้างโมเดลให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัดเพื่อเป็นต้นแบบ ก่อนต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวรายภูมิภาคต่อไป 3.บูรณาการความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตร ยกระดับจํานวนนักท่องเที่ยว นําไปสู่การสร้างรายได้ และ 4.สร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการในการเข้าถึงแหล่งทุน
ด้านบทบาทของ ธพว.หลังลงนามแล้วจะดําเนินการพัฒนาตัวอย่างหมู่บ้านท่องเที่ยวชุมชนเข้มแข็งเน้นพัฒนา 4 ด้าน คือ 1. สร้างช่องทางการตลาดสมัยใหม่ 2. พัฒนามาตรฐานทางบัญชี เพื่อเตรียมความพร้อมให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงแหล่งหนึ่งทุนในอนาคต 3.สร้างโมเดลธุรกิจท่องเที่ยวรายจังหวัด พร้อมประชาสัมพันธ์เผยแพร่ให้แหล่งท่องเที่ยวเหล่านั้นเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และ 4.บูรณาการความร่วมมือเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ ผลักดันให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
ในส่วนของ อพท. จะเน้นการทํางาน 3 ด้าน คือ 1.การประสานชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนวิสาหกิจชุมชน ตลอดจนผู้ประกอบการเพื่อทํากิจกรรมร่วมกับ อพท. 2.ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตลอดจนสินค้าและการบริการการท่องเที่ยวในพื้นที่พิเศษ และ 3.สนับสนุนชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยวิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในพื้นที่พิเศษของ อพท.ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนต่อยอดธุรกิจในอนาคต
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861,02-265-4404
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8807
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีทำพิธีเปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตอย่างเป็นทางการ
|
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีทําพิธีเปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตอย่างเป็นทางการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต
วันนี้ (16 ก.ย. 59) เวลา 09.00 น. ณ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต โดยมีรองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน ซึ่งมีนายจําเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผู้บริหาร บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) ผู้บริหารทุกภาคส่วน ส่วนราชการและเอกชนในพื้นที่จังหวัด และผู้ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวรายงานว่า ท่าอากาศยานภูเก็ต บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ได้ดําเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต (ปีงบประมาณ 2553-2557) มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงสิ่งอํานวยความสะดวกให้มีขีดความสามารถเพียงพอต่อการรับรองปริมาณการจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกด้านได้อย่างปลอดภัย สะดวกรวดเร็วและได้มาตรฐานสากล อีกทั้งเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ การปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลักปัจจุบัน การก่อสร้างขยายลานจอดอากาศยาน และการปรับปรุงสิ่งอํานวยความสะดวกอื่น ๆ ตามโครงการพัฒนา จะทําให้สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากเดิม 6.5 ล้านคนต่อปี เป็น 12.5 ล้านคนต่อปี โดยแบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 5 ล้านคนต่อปี และผู้โดยสารภายในประเทศ 7.5 ล้านคนต่อปี สําหรับในส่วนของความคืบหน้างานก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานภูเก็ตนั้นได้ดําเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีพื้นที่ทั้งหมดจํานวน 73,103 ตารางเมตร จําแนกได้เป็น 4 ชั้น แบ่งเป็นพื้นที่ภารกิจให้บริการผู้โดยสารขาออก และขาเข้า และสามารถรองรับสายการบินที่ทําการบินประจํา จํานวน 40 สายการบิน และสายการบินเช่าเหมาจํานวน 6 สายการบิน รวม 46 สายการบิน เชื่อมต่อจุดหมายปลายทาง 37 จุดบิน ดังนั้น อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต จะทําให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณกระทรวงคมนาคมและทุกภาคส่วนที่ช่วยกํากับดูแลและขับเคลื่อนการดําเนินงานตามโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งนี้ นําไปสู่โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งหลักของประเทศ การพัฒนาการขนส่งทางอากาศ รวมทั้ง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว และนโยบายการท่องเที่ยงเชิงรุกจากภาครัฐ ที่ต้องการขยายกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ ๆ รวมทั้งกลุ่มประเทศอาเซียนที่จะเปิดเสรีการบิน ส่งผลให้ธุรกิจการบินมีการเจริญเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวถือเป็นกิจกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัด ซึ่งรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ เพื่อทําให้ประเทศชาติมีความมั่นคงและยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศ 70 ล้านคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมทั้งทําให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุน ซึ่งต้องคํานึงถึงศักยภาพของแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดการพัฒนาในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เศรษฐกิจ ให้มีความเติบโตเข้มแข็งต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีทําพิธีเปิดอาคารผู้โดยสารฯ โดยการกดปุ่มเปิดแพรคลุมป้ายอาคาร พร้อมถ่ายภาพร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้บริหารบริษัทท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) และนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมภายในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตด้วย
------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีทำพิธีเปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตอย่างเป็นทางการ
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559
นายกรัฐมนตรีทําพิธีเปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตอย่างเป็นทางการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต
วันนี้ (16 ก.ย. 59) เวลา 09.00 น. ณ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต โดยมีรองนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน ซึ่งมีนายจําเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผู้บริหาร บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) ผู้บริหารทุกภาคส่วน ส่วนราชการและเอกชนในพื้นที่จังหวัด และผู้ที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวรายงานว่า ท่าอากาศยานภูเก็ต บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ได้ดําเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต (ปีงบประมาณ 2553-2557) มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงสิ่งอํานวยความสะดวกให้มีขีดความสามารถเพียงพอต่อการรับรองปริมาณการจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกด้านได้อย่างปลอดภัย สะดวกรวดเร็วและได้มาตรฐานสากล อีกทั้งเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ การปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลักปัจจุบัน การก่อสร้างขยายลานจอดอากาศยาน และการปรับปรุงสิ่งอํานวยความสะดวกอื่น ๆ ตามโครงการพัฒนา จะทําให้สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากเดิม 6.5 ล้านคนต่อปี เป็น 12.5 ล้านคนต่อปี โดยแบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 5 ล้านคนต่อปี และผู้โดยสารภายในประเทศ 7.5 ล้านคนต่อปี สําหรับในส่วนของความคืบหน้างานก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานภูเก็ตนั้นได้ดําเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีพื้นที่ทั้งหมดจํานวน 73,103 ตารางเมตร จําแนกได้เป็น 4 ชั้น แบ่งเป็นพื้นที่ภารกิจให้บริการผู้โดยสารขาออก และขาเข้า และสามารถรองรับสายการบินที่ทําการบินประจํา จํานวน 40 สายการบิน และสายการบินเช่าเหมาจํานวน 6 สายการบิน รวม 46 สายการบิน เชื่อมต่อจุดหมายปลายทาง 37 จุดบิน ดังนั้น อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต จะทําให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณกระทรวงคมนาคมและทุกภาคส่วนที่ช่วยกํากับดูแลและขับเคลื่อนการดําเนินงานตามโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งนี้ นําไปสู่โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งหลักของประเทศ การพัฒนาการขนส่งทางอากาศ รวมทั้ง การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว และนโยบายการท่องเที่ยงเชิงรุกจากภาครัฐ ที่ต้องการขยายกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวใหม่ ๆ รวมทั้งกลุ่มประเทศอาเซียนที่จะเปิดเสรีการบิน ส่งผลให้ธุรกิจการบินมีการเจริญเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวถือเป็นกิจกรรมหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัด ซึ่งรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศ เพื่อทําให้ประเทศชาติมีความมั่นคงและยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศ 70 ล้านคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมทั้งทําให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุน ซึ่งต้องคํานึงถึงศักยภาพของแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดการพัฒนาในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เศรษฐกิจ ให้มีความเติบโตเข้มแข็งต่อไป
จากนั้น นายกรัฐมนตรีทําพิธีเปิดอาคารผู้โดยสารฯ โดยการกดปุ่มเปิดแพรคลุมป้ายอาคาร พร้อมถ่ายภาพร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้บริหารบริษัทท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) และนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมภายในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตด้วย
------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/364
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ประชุมทางไกลทดสอบระบบสื่อสาร แผนการจัดบริการดูแลประชาชนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ และความพร้อมจิตอาสาเฉพาะกิจด้านการแพทย์
|
วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2560
สธ. ประชุมทางไกลทดสอบระบบสื่อสาร แผนการจัดบริการดูแลประชาชนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ และความพร้อมจิตอาสาเฉพาะกิจด้านการแพทย์
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลกับศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขส่วนภูมิภาค ทดสอบระบบสื่อสาร แผนการจัดบริการดูแลประชาชนในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลกับศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขส่วนภูมิภาค ทดสอบระบบสื่อสาร แผนการจัดบริการดูแลประชาชนในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และความพร้อมจิตอาสาเฉพาะกิจด้านการแพทย์
วันนี้ (21 ตุลาคม 2560) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Operation Center : OC) ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ว่า ในวันนี้เป็นวันซ้อมใหญ่ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในส่วนกระทรวงสาธารณสุขได้ซักซ้อมทําความเข้าใจกับศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขส่วนภูมิภาค ใน 3 เรื่องหลัก คือ 1.ระบบสื่อสาร โดยได้มีการจัดเตรียมระบบสื่อสาร ทั้งในช่องทางหลักคือ โทรศัพท์ โทรสาร สื่อโซเซียล พร้อมระบบสํารอง ได้แก่ ระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร็นซ์ วิทยุสื่อสาร และวิทยุผ่านอินเตอร์เนต ซึ่งขณะนี้ในระบบหลักทุกจังหวัดพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนระบบสํารองพร้อมมากกว่า ร้อยละ 80
2.แผนการจัดบริการดูแลประชาชนด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในส่วนภูมิภาคได้รายงานความพร้อมของทีมปฏิบัติการ อาทิ แพทย์เฉพาะทาง ยาเวชภัณฑ์ ทีมแพทย์ประจําจุดพระราชพิธี ทีมแพทย์ฉุกเฉิน ทีมสุขภาพจิต ทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรค ทีมอนามัยสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการสํารองเตียงรับผู้ป่วย รถพยาบาล โรงพยาบาลรับ-ส่งต่อ สําหรับในส่วนกลาง ระหว่างวันที่ 24-28 ตุลาคม 2560 ได้สนับสนุนทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์เคลื่อนที่เร็ว (Mini MERT) 15 ทีมจากเขตสุขภาพที่ 4,5,6 จํานวน 15 ทีมหมุนเวียนปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมง
3.ทีมจิตอาสาเฉพาะกิจด้านการแพทย์ ได้จัดอบรมให้มีความรู้ด้านการปฐมพยาบาล ดูแลสุขภาพกาย-ใจ เบื้องต้น การใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (AED) ทุกจังหวัดจัดอบรมเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารในการปฏิบัติตัวในการเข้าร่วมพระราชพิธีฯ จากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและขอให้เตรียมพร้อมร่างกาย จิตใจ ให้พร้อมเข้าร่วมงานพระราชพิธี หากเจ็บป่วยฉุกเฉินให้แจ้งทีมแพทย์ที่กระจายอยู่ในพื้นที่จัดพระราชพิธี ให้สังเกตปลอกแขนสีขาว มีกากบาทสีเขียว หรือโทรสายด่วน 1669 และสายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323
**************************************** 21 ตุลาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ประชุมทางไกลทดสอบระบบสื่อสาร แผนการจัดบริการดูแลประชาชนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ และความพร้อมจิตอาสาเฉพาะกิจด้านการแพทย์
วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2560
สธ. ประชุมทางไกลทดสอบระบบสื่อสาร แผนการจัดบริการดูแลประชาชนงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ และความพร้อมจิตอาสาเฉพาะกิจด้านการแพทย์
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลกับศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขส่วนภูมิภาค ทดสอบระบบสื่อสาร แผนการจัดบริการดูแลประชาชนในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
กระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลกับศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขส่วนภูมิภาค ทดสอบระบบสื่อสาร แผนการจัดบริการดูแลประชาชนในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และความพร้อมจิตอาสาเฉพาะกิจด้านการแพทย์
วันนี้ (21 ตุลาคม 2560) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐสิริ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมวิดีโอทางไกลศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Operation Center : OC) ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ว่า ในวันนี้เป็นวันซ้อมใหญ่ริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในส่วนกระทรวงสาธารณสุขได้ซักซ้อมทําความเข้าใจกับศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขส่วนภูมิภาค ใน 3 เรื่องหลัก คือ 1.ระบบสื่อสาร โดยได้มีการจัดเตรียมระบบสื่อสาร ทั้งในช่องทางหลักคือ โทรศัพท์ โทรสาร สื่อโซเซียล พร้อมระบบสํารอง ได้แก่ ระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร็นซ์ วิทยุสื่อสาร และวิทยุผ่านอินเตอร์เนต ซึ่งขณะนี้ในระบบหลักทุกจังหวัดพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนระบบสํารองพร้อมมากกว่า ร้อยละ 80
2.แผนการจัดบริการดูแลประชาชนด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในส่วนภูมิภาคได้รายงานความพร้อมของทีมปฏิบัติการ อาทิ แพทย์เฉพาะทาง ยาเวชภัณฑ์ ทีมแพทย์ประจําจุดพระราชพิธี ทีมแพทย์ฉุกเฉิน ทีมสุขภาพจิต ทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรค ทีมอนามัยสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการสํารองเตียงรับผู้ป่วย รถพยาบาล โรงพยาบาลรับ-ส่งต่อ สําหรับในส่วนกลาง ระหว่างวันที่ 24-28 ตุลาคม 2560 ได้สนับสนุนทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์เคลื่อนที่เร็ว (Mini MERT) 15 ทีมจากเขตสุขภาพที่ 4,5,6 จํานวน 15 ทีมหมุนเวียนปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมง
3.ทีมจิตอาสาเฉพาะกิจด้านการแพทย์ ได้จัดอบรมให้มีความรู้ด้านการปฐมพยาบาล ดูแลสุขภาพกาย-ใจ เบื้องต้น การใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (AED) ทุกจังหวัดจัดอบรมเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารในการปฏิบัติตัวในการเข้าร่วมพระราชพิธีฯ จากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและขอให้เตรียมพร้อมร่างกาย จิตใจ ให้พร้อมเข้าร่วมงานพระราชพิธี หากเจ็บป่วยฉุกเฉินให้แจ้งทีมแพทย์ที่กระจายอยู่ในพื้นที่จัดพระราชพิธี ให้สังเกตปลอกแขนสีขาว มีกากบาทสีเขียว หรือโทรสายด่วน 1669 และสายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323
**************************************** 21 ตุลาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7565
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 9 พฤษภาคม 2560
|
วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 9 พฤษภาคม 2560
วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2560
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดา บรรยายในการประชุมสัมมนาการบริหารงานบุคคลของ กศจ. ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่
|
วันอังคารที่ 8 สิงหาคม 2560
ม.ล.ปนัดดา บรรยายในการประชุมสัมมนาการบริหารงานบุคคลของ กศจ. ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่
จังหวัดเชียงใหม่ - ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยาย เรื่อง "คุณธรรมจริยธรรมและการดํารงตนเพื่อสืบสานพระราชปณิธาน เดินตามรอ ไม่ใช่พูดกันแต่เรื่องหลักการสมัยใหม่ แต่ต้องยึดถือและนําหลัก "ธรรมการ" ตั้งแต่ดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์
ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี419/2560
ม.ล.ปนัดดา บรรยายในการประชุมสัมมนาการบริหารงานบุคคลของกศจ. ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่
จังหวัดเชียงใหม่ - ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยาย เรื่อง "คุณธรรมจริยธรรมและการดํารงตนเพื่อสืบสานพระราชปณิธาน เดินตามรอ ไม่ใช่พูดกันแต่เรื่องหลักการสมัยใหม่ แต่ต้องยึดถือและนําหลัก "ธรรมการ" ตั้งแต่ดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ของกระทรวงศึกษาธิการมานานนับร้อยปี มาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์กับลูกหลานนักเรียนด้วย
ในส่วนของโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนที่ได้รับทุนแลกเปลี่ยนไปศึกษาในต่างประเทศ รวมทั้งนักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขันและได้รับรางวัลต่าง ๆ จากต่างประเทศนั้น สามารถนํารูปแบบความสําเร็จของโรงเรียนขนาดใหญ่เหล่านี้มาเป็นตัวอย่างให้โรงเรียนขนาดอื่น ๆ ได้ เพื่อปฏิบัติตามให้เป็นความสําเร็จ และร่วมกันส่งเสริมให้เด็กเป็นคนดี เป็นชื่อเสียงให้กับโรงเรียน และสร้างความภาคภูมิใจให้ผู้ปกครอง เนื่องจากปัจจัยและองค์ประกอบสําคัญของสังคมปัจจุบันคือลูกหลานเยาวชน ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอันดับแรก เพราะความเจริญรุ่งเรืองของชาติบ้านเมืองจะเกิดขึ้นได้ อยู่ที่ลูกหลานเยาวชนทุกคน
สิ่งที่เน้นย้ําในการประชุมครั้งนี้คือ เรื่องคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งถือเป็นเรื่องสําคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศไม่เพียงเฉพาะเรื่องของการศึกษา แต่สําคัญสําหรับทุกเรื่อง ทุกกรอบของการดํารงชีวิตของข้าราชการไทย และสังคมไทย ขอฝากความหวังไว้กับผู้บริหารสถานศึกษา ครู อาจารย์ ที่จะต้องเป็นกําลังใจสําคัญให้ครูผู้ช่วยที่บรรจุเข้ามาใหม่ให้เกิดกําลังกายกําลังใจในการสร้างเด็กและให้เด็กไปสร้างชาติ ส่งเสริมให้เด็กมีคุณธรรมจริยธรรมเป็นอันดับแรกและการพัฒนาการด้านความรู้และความแตกฉานทางวิชาการก็จะตามมา
ม.ล.ปนัดดา กล่าวด้วยว่า การที่ กศจ.เป็นหน่วยงานเหมือนระบบประสม ที่เป็นส่วนราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จึงต้องทํางานประสานให้เกิดการทํางานร่วมกันกับสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา คณะกรรมการทุกท่านจึงต้องช่วยติดตามประเมินผล หากสิ่งใดที่ดีก็จะได้วางเป็นพื้นฐานให้ระบบนี้สืบสานต่อไปได้ หรือหากมีปัญหาสามารถนําแนวทางไปปรับปรุงพัฒนาต่อไป จึงมอบให้สํานักงาน ก.ค.ศ. รวบรวมข้อมูลและข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อนําไปเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค และที่ประชุมองค์กรหลักได้พิจารณาต่อไป
สําหรับการประชุมสัมมนาการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ภาคเหนือ ครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่6-7สิงหาคม2560ณ โรงแรมคุ้มภูคํา จังหวัดเชียงใหม่ โดยดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิด เพื่อให้คณะกรรมการได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานเดียวกัน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ผู้ช่วยเลขานุการและผู้อํานวยการกลุ่มบริหารงานบุคคลในสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดในภาคเหนือ จํานวน 17 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 289 คน และได้รับเกียรติจาก พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง การแก้ปัญหาทุจริตกระทรวงศึกษาธิการด้วย
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: ถ่ายภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดา บรรยายในการประชุมสัมมนาการบริหารงานบุคคลของ กศจ. ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่
วันอังคารที่ 8 สิงหาคม 2560
ม.ล.ปนัดดา บรรยายในการประชุมสัมมนาการบริหารงานบุคคลของ กศจ. ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่
จังหวัดเชียงใหม่ - ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยาย เรื่อง "คุณธรรมจริยธรรมและการดํารงตนเพื่อสืบสานพระราชปณิธาน เดินตามรอ ไม่ใช่พูดกันแต่เรื่องหลักการสมัยใหม่ แต่ต้องยึดถือและนําหลัก "ธรรมการ" ตั้งแต่ดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์
ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี419/2560
ม.ล.ปนัดดา บรรยายในการประชุมสัมมนาการบริหารงานบุคคลของกศจ. ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่
จังหวัดเชียงใหม่ - ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยาย เรื่อง "คุณธรรมจริยธรรมและการดํารงตนเพื่อสืบสานพระราชปณิธาน เดินตามรอ ไม่ใช่พูดกันแต่เรื่องหลักการสมัยใหม่ แต่ต้องยึดถือและนําหลัก "ธรรมการ" ตั้งแต่ดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ของกระทรวงศึกษาธิการมานานนับร้อยปี มาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์กับลูกหลานนักเรียนด้วย
ในส่วนของโรงเรียนขนาดใหญ่ที่มีนักเรียนที่ได้รับทุนแลกเปลี่ยนไปศึกษาในต่างประเทศ รวมทั้งนักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขันและได้รับรางวัลต่าง ๆ จากต่างประเทศนั้น สามารถนํารูปแบบความสําเร็จของโรงเรียนขนาดใหญ่เหล่านี้มาเป็นตัวอย่างให้โรงเรียนขนาดอื่น ๆ ได้ เพื่อปฏิบัติตามให้เป็นความสําเร็จ และร่วมกันส่งเสริมให้เด็กเป็นคนดี เป็นชื่อเสียงให้กับโรงเรียน และสร้างความภาคภูมิใจให้ผู้ปกครอง เนื่องจากปัจจัยและองค์ประกอบสําคัญของสังคมปัจจุบันคือลูกหลานเยาวชน ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญเป็นอันดับแรก เพราะความเจริญรุ่งเรืองของชาติบ้านเมืองจะเกิดขึ้นได้ อยู่ที่ลูกหลานเยาวชนทุกคน
สิ่งที่เน้นย้ําในการประชุมครั้งนี้คือ เรื่องคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งถือเป็นเรื่องสําคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศไม่เพียงเฉพาะเรื่องของการศึกษา แต่สําคัญสําหรับทุกเรื่อง ทุกกรอบของการดํารงชีวิตของข้าราชการไทย และสังคมไทย ขอฝากความหวังไว้กับผู้บริหารสถานศึกษา ครู อาจารย์ ที่จะต้องเป็นกําลังใจสําคัญให้ครูผู้ช่วยที่บรรจุเข้ามาใหม่ให้เกิดกําลังกายกําลังใจในการสร้างเด็กและให้เด็กไปสร้างชาติ ส่งเสริมให้เด็กมีคุณธรรมจริยธรรมเป็นอันดับแรกและการพัฒนาการด้านความรู้และความแตกฉานทางวิชาการก็จะตามมา
ม.ล.ปนัดดา กล่าวด้วยว่า การที่ กศจ.เป็นหน่วยงานเหมือนระบบประสม ที่เป็นส่วนราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จึงต้องทํางานประสานให้เกิดการทํางานร่วมกันกับสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา คณะกรรมการทุกท่านจึงต้องช่วยติดตามประเมินผล หากสิ่งใดที่ดีก็จะได้วางเป็นพื้นฐานให้ระบบนี้สืบสานต่อไปได้ หรือหากมีปัญหาสามารถนําแนวทางไปปรับปรุงพัฒนาต่อไป จึงมอบให้สํานักงาน ก.ค.ศ. รวบรวมข้อมูลและข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อนําไปเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค และที่ประชุมองค์กรหลักได้พิจารณาต่อไป
สําหรับการประชุมสัมมนาการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ภาคเหนือ ครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่6-7สิงหาคม2560ณ โรงแรมคุ้มภูคํา จังหวัดเชียงใหม่ โดยดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิด เพื่อให้คณะกรรมการได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานเดียวกัน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ผู้ช่วยเลขานุการและผู้อํานวยการกลุ่มบริหารงานบุคคลในสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดในภาคเหนือ จํานวน 17 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 289 คน และได้รับเกียรติจาก พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง การแก้ปัญหาทุจริตกระทรวงศึกษาธิการด้วย
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: ถ่ายภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5776
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนติดตามความก้าวหน้าโครงการ คทช.
|
วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2561
รมว.ทส. ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนติดตามความก้าวหน้าโครงการ คทช.
รมว.ทส. ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนติดตามความก้าวหน้าโครงการ คทช.
รมว.ทส. ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนติดตามความก้าวหน้าโครงการ คทช.
วันที่ 5 ตุลาคม 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) เดินทางไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการ คทช. ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมี อธิบดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์ (นายธัญญา เนติธรรมกุล) รองอธิบดีกรมป่าไม้ทั้ง 3 และผู้บริหารในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุมรับฟังนโยบายจาก รมว.ทส. โอกาสนี้ กรมป่าไม้ ได้รายงานความก้าวหน้าของโครงการ คทช. ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้ รมว.ทส. ได้รับทราบ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนติดตามความก้าวหน้าโครงการ คทช.
วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2561
รมว.ทส. ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนติดตามความก้าวหน้าโครงการ คทช.
รมว.ทส. ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนติดตามความก้าวหน้าโครงการ คทช.
รมว.ทส. ลงพื้นที่แม่ฮ่องสอนติดตามความก้าวหน้าโครงการ คทช.
วันที่ 5 ตุลาคม 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) เดินทางไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการ คทช. ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมี อธิบดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์ (นายธัญญา เนติธรรมกุล) รองอธิบดีกรมป่าไม้ทั้ง 3 และผู้บริหารในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับและเข้าร่วมประชุมรับฟังนโยบายจาก รมว.ทส. โอกาสนี้ กรมป่าไม้ ได้รายงานความก้าวหน้าของโครงการ คทช. ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้ รมว.ทส. ได้รับทราบ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15948
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ จับมือ ก.พ. และ สกอ. เร่งสรรหาบุคลากร เสริมทัพขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัล
|
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ จับมือ ก.พ. และ สกอ. เร่งสรรหาบุคลากร เสริมทัพขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัล
รมว.ดิจิทัลฯ
รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หารือสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัล ร่วมงานกับหน่วยงานภายใต้กระทรวงดิจิทัลฯ ในตําแหน่งพนักงานราชการเชี่ยวชาญพิเศษ และพนักงานราชการเชี่ยวชาญเฉพาะ สัญญาจ้างงานตั้งแต่ 3 เดือน ถึงไม่เกิน 4 ปี และทําสัญญาต่อเนื่องเมื่อผ่านการประเมิน เบื้องต้นกําหนดไว้ 100 คน พร้อมทุ่มเงินเดือน 37,000-210,000 บาทต่อเดือน หนุนเลือดใหม่ขับเคลื่อนงานตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ได้มีการหารือกับผู้บริหารสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อสรรหาบุคคลที่มีประวัติการทํางานดี มีความสามารถ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัล เข้าทํางานในหน่วยงานภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในลักษณะพนักงานสัญญาจ้างงานตั้งแต่ 3 เดือน จนถึงไม่เกิน 4 ปี และจะทําสัญญาต่อเนื่องเมื่อผ่านการประเมิน ในเบื้องต้นกําหนดจํานวนรวมประมาณ 100 คน โดยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มงานเชี่ยวชาญพิเศษ ในอัตราจ้าง 3 ระดับ คือ ระดับเชี่ยวชาญทั่วไป เงินเดือน 109,200 บาท ระดับเชี่ยวชาญประเทศ (ในประเทศ) เงินเดือน 163,800 บาท และระดับเชี่ยวชาญสากล (ต่างประเทศ) เงินเดือน 218,400 บาท โดยจะต้องมีการประเมินผลงานทุก 1 ปี และกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มงานเชี่ยวชาญเฉพาะ เงินเดือน 37,680 บาท ถึง 68,350 บาท โดยการคัดเลือกนั้นจะใช้วิธีสรรหาและเป็นการรับแบบปิด โดยให้ สกอ.ช่วยสรรหาศิษย์เก่า หรือนักศึกษาที่มีประวัติการศึกษาและประสบการณ์ทํางานที่ดีช่วยอีกทางหนึ่ง ส่วนงบประมาณในการจัดจ้างบุคคลนั้น ใช้ของสํานักงบประมาณ ไม่ใช่งบประมาณของกระทรวงดีอี
ดร.พิเชฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สําหรับการเฟ้นหาบุคลากรที่จะร่วมงานกันนั้นนอกจากจะมีความสามารถประสบการณ์ด้านวิชาการ ประสบการณ์ด้านดิจิทัลแล้ว จะมีการวัดระดับความฉลาดทางอารมณ์ หรือ อีคิว (EQ) เป็นปัจจัยสําคัญเพื่อที่จะสามารถทํางานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเป้าหมายของกระทรวงฯ อีกด้วย นอกจากนั้นกระทรวงฯ ยังดําเนินการเสาะหาบุคลากรที่มีความเก่งใน 2 ส่วน คือ คนเก่งเฉพาะทางที่เป็นเลือดใหม่ในการทํางาน และคนเก่งในการจัดเก็บข้อมูลเพื่อนําข้อมูลมาวิเคราะห์ หรือ รีเสิร์ชเซ็นเตอร์ ซึ่งหากได้ในสองส่วนนี้แล้ว จะสามารถกําหนดทิศทางการทํางานของกระทรวงฯ ได้อย่างชัดเจน”
*************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ จับมือ ก.พ. และ สกอ. เร่งสรรหาบุคลากร เสริมทัพขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัล
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560
รมว.ดิจิทัลฯ จับมือ ก.พ. และ สกอ. เร่งสรรหาบุคลากร เสริมทัพขับเคลื่อนการพัฒนาดิจิทัล
รมว.ดิจิทัลฯ
รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หารือสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อสรรหาบุคลากรที่มีความสามารถ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัล ร่วมงานกับหน่วยงานภายใต้กระทรวงดิจิทัลฯ ในตําแหน่งพนักงานราชการเชี่ยวชาญพิเศษ และพนักงานราชการเชี่ยวชาญเฉพาะ สัญญาจ้างงานตั้งแต่ 3 เดือน ถึงไม่เกิน 4 ปี และทําสัญญาต่อเนื่องเมื่อผ่านการประเมิน เบื้องต้นกําหนดไว้ 100 คน พร้อมทุ่มเงินเดือน 37,000-210,000 บาทต่อเดือน หนุนเลือดใหม่ขับเคลื่อนงานตามแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ได้มีการหารือกับผู้บริหารสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) เพื่อสรรหาบุคคลที่มีประวัติการทํางานดี มีความสามารถ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัล เข้าทํางานในหน่วยงานภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในลักษณะพนักงานสัญญาจ้างงานตั้งแต่ 3 เดือน จนถึงไม่เกิน 4 ปี และจะทําสัญญาต่อเนื่องเมื่อผ่านการประเมิน ในเบื้องต้นกําหนดจํานวนรวมประมาณ 100 คน โดยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มงานเชี่ยวชาญพิเศษ ในอัตราจ้าง 3 ระดับ คือ ระดับเชี่ยวชาญทั่วไป เงินเดือน 109,200 บาท ระดับเชี่ยวชาญประเทศ (ในประเทศ) เงินเดือน 163,800 บาท และระดับเชี่ยวชาญสากล (ต่างประเทศ) เงินเดือน 218,400 บาท โดยจะต้องมีการประเมินผลงานทุก 1 ปี และกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มงานเชี่ยวชาญเฉพาะ เงินเดือน 37,680 บาท ถึง 68,350 บาท โดยการคัดเลือกนั้นจะใช้วิธีสรรหาและเป็นการรับแบบปิด โดยให้ สกอ.ช่วยสรรหาศิษย์เก่า หรือนักศึกษาที่มีประวัติการศึกษาและประสบการณ์ทํางานที่ดีช่วยอีกทางหนึ่ง ส่วนงบประมาณในการจัดจ้างบุคคลนั้น ใช้ของสํานักงบประมาณ ไม่ใช่งบประมาณของกระทรวงดีอี
ดร.พิเชฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สําหรับการเฟ้นหาบุคลากรที่จะร่วมงานกันนั้นนอกจากจะมีความสามารถประสบการณ์ด้านวิชาการ ประสบการณ์ด้านดิจิทัลแล้ว จะมีการวัดระดับความฉลาดทางอารมณ์ หรือ อีคิว (EQ) เป็นปัจจัยสําคัญเพื่อที่จะสามารถทํางานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเป้าหมายของกระทรวงฯ อีกด้วย นอกจากนั้นกระทรวงฯ ยังดําเนินการเสาะหาบุคลากรที่มีความเก่งใน 2 ส่วน คือ คนเก่งเฉพาะทางที่เป็นเลือดใหม่ในการทํางาน และคนเก่งในการจัดเก็บข้อมูลเพื่อนําข้อมูลมาวิเคราะห์ หรือ รีเสิร์ชเซ็นเตอร์ ซึ่งหากได้ในสองส่วนนี้แล้ว จะสามารถกําหนดทิศทางการทํางานของกระทรวงฯ ได้อย่างชัดเจน”
*************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2347
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ แถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ ปฏิรูปแนวใหม่ ร่วมคิดร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561
รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ แถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ ปฏิรูปแนวใหม่ ร่วมคิดร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน
รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ แถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “ปฏิรูปแนวใหม่ ร่วมคิดร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน” ย้ํา 8 เดือน นับจากนี้ รัฐบาลผลักดัน โครงการเพื่อประชาชน: “Strength From Bottom” เข้มแข็งจากฐานราก
วันนี้ (14 มิ.ย. 61) เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “ปฏิรูปแนวใหม่ ร่วมคิดร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน” สรุปสาระสําคัญดังนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “ปฏิรูปแนวใหม่ ร่วมคิดร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน” ว่า การปฏิรูปแนวใหม่ ร่วมคิดร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน (Reform Together) มี 6 ด้าน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ด้านแก้จน เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย อาทิ ไม้มีค่า รัฐบาลส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนปลูกต้นไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าสูงในที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อการออม เช่นไม้พยุง ไม้สัก เป็นต้น เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มรายได้แก่ประชาชน อีกทั้งสนับสนุนจัดกองทุนสร้างผู้นําชุมชน เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข็มแข็ง และสนับสนุนการจัดการเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุนและทําให้ควบคุมปริมาณและราคาสินค้าเกษตรได้อีกด้วย
ด้านแก้ความเหลื่อมล้ํา สร้างความเสมอภาคเท่าเทียมกัน โดยสํานักงานบูรณาการลดความเหลื่อมล้ํา โดยความร่วมมือของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด้านการแก้โกง สร้างความโปร่งใส มีการเฝ้าระวัง สร้างความโปร่งใส โดยนําเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของภาครัฐ ซึ่งเป็นการให้โอกาสภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อต้านทุจริต
ด้านการมีส่วนร่วมในการปกครอง มีการสร้างจิตอาสาพัฒนาการเมือง อาทิ ในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา อบรมครูผู้สอน สร้างหลักสูตรและสื่อการสอนเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และจัดให้มีสภาประชารัฐท้องถิ่น
ด้านการปฏิรูปราชการเพื่อประชาชน โดยมีการวางระบบ Big Data ภาครัฐ พัฒนาและให้บริการแพลตฟอร์มสําหรับจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ของภาครัฐ และมีการทบทวนกฎหมายที่ล้าสมัย เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศในทุก ๆ ด้าน
ด้านสร้างอนาคตไทยให้ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ซึ่งได้มีการส่งเสริม Start Up สนับสนุนโซลาร์รูฟเสรี โดยเปิดให้ซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์รูฟได้อย่างเสรี รวมถึงการจัดรณรงค์ผ่านสื่อมวลชนและระบบสื่อดิจิทัล พร้อมเครือข่ายเกี่ยวกับป่าชุมชนต้นแบบ “พิทักษ์ป่าพัฒนาชาติ”
นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในระยะเวลา 8 เดือน นับจากนี้ต่อไป รัฐบาลพร้อมผลักดัน โครงการเพื่อประชาชน: “Strength From Bottom” เข้มแข็งจากฐานราก โดยการสร้างชุมชนเข้มแข็ง มีกองทุนพัฒนาผู้นําชุมชน และเปิดสภาประชารัฐ ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างรายได้ ผลักดัน พ.ร.บ. วิสาหกิจชุมชน พ.ร.บ. สถาบันการเงินประชาชน และ พ.ร.บ. วิสาหกิจเพื่อสังคม ธนาคารต้นไม้ ธนาคารปูม้า พ.ร.บ. ป่าชุมชน ไม้มีค่าตัดได้ และโครงการ 1 ไร่ 1 แสน และการปลดล็อค เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนด้วยการสนับสนุนกองทุนยุติธรรม ธนาคารที่ดิน พ.ร.บ. ขายฝาก โครงการดูแลผู้ป่วยติดเตียง และโครงการยาเพื่อประชาชน
อีกทั้ง มีการปฏิรูปกระทรวงต้นแบบ ได้แก่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อสอดคล้องตามนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล โดยมีการประเมิน วิเคราะห์และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
.......................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ และสํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ แถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ ปฏิรูปแนวใหม่ ร่วมคิดร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน
วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561
รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ แถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ ปฏิรูปแนวใหม่ ร่วมคิดร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน
รมต.นร.กอบศักดิ์ฯ แถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “ปฏิรูปแนวใหม่ ร่วมคิดร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน” ย้ํา 8 เดือน นับจากนี้ รัฐบาลผลักดัน โครงการเพื่อประชาชน: “Strength From Bottom” เข้มแข็งจากฐานราก
วันนี้ (14 มิ.ย. 61) เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “ปฏิรูปแนวใหม่ ร่วมคิดร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน” สรุปสาระสําคัญดังนี้
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวในงาน Meet the Press หัวข้อ “ปฏิรูปแนวใหม่ ร่วมคิดร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน” ว่า การปฏิรูปแนวใหม่ ร่วมคิดร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน (Reform Together) มี 6 ด้าน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ด้านแก้จน เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย อาทิ ไม้มีค่า รัฐบาลส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนปลูกต้นไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าสูงในที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อการออม เช่นไม้พยุง ไม้สัก เป็นต้น เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มรายได้แก่ประชาชน อีกทั้งสนับสนุนจัดกองทุนสร้างผู้นําชุมชน เพื่อให้ชุมชนเกิดความเข็มแข็ง และสนับสนุนการจัดการเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุนและทําให้ควบคุมปริมาณและราคาสินค้าเกษตรได้อีกด้วย
ด้านแก้ความเหลื่อมล้ํา สร้างความเสมอภาคเท่าเทียมกัน โดยสํานักงานบูรณาการลดความเหลื่อมล้ํา โดยความร่วมมือของสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด้านการแก้โกง สร้างความโปร่งใส มีการเฝ้าระวัง สร้างความโปร่งใส โดยนําเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของภาครัฐ ซึ่งเป็นการให้โอกาสภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อต้านทุจริต
ด้านการมีส่วนร่วมในการปกครอง มีการสร้างจิตอาสาพัฒนาการเมือง อาทิ ในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา อบรมครูผู้สอน สร้างหลักสูตรและสื่อการสอนเกี่ยวกับการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และจัดให้มีสภาประชารัฐท้องถิ่น
ด้านการปฏิรูปราชการเพื่อประชาชน โดยมีการวางระบบ Big Data ภาครัฐ พัฒนาและให้บริการแพลตฟอร์มสําหรับจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ของภาครัฐ และมีการทบทวนกฎหมายที่ล้าสมัย เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศในทุก ๆ ด้าน
ด้านสร้างอนาคตไทยให้ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ซึ่งได้มีการส่งเสริม Start Up สนับสนุนโซลาร์รูฟเสรี โดยเปิดให้ซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโซลาร์รูฟได้อย่างเสรี รวมถึงการจัดรณรงค์ผ่านสื่อมวลชนและระบบสื่อดิจิทัล พร้อมเครือข่ายเกี่ยวกับป่าชุมชนต้นแบบ “พิทักษ์ป่าพัฒนาชาติ”
นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในระยะเวลา 8 เดือน นับจากนี้ต่อไป รัฐบาลพร้อมผลักดัน โครงการเพื่อประชาชน: “Strength From Bottom” เข้มแข็งจากฐานราก โดยการสร้างชุมชนเข้มแข็ง มีกองทุนพัฒนาผู้นําชุมชน และเปิดสภาประชารัฐ ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างรายได้ ผลักดัน พ.ร.บ. วิสาหกิจชุมชน พ.ร.บ. สถาบันการเงินประชาชน และ พ.ร.บ. วิสาหกิจเพื่อสังคม ธนาคารต้นไม้ ธนาคารปูม้า พ.ร.บ. ป่าชุมชน ไม้มีค่าตัดได้ และโครงการ 1 ไร่ 1 แสน และการปลดล็อค เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนด้วยการสนับสนุนกองทุนยุติธรรม ธนาคารที่ดิน พ.ร.บ. ขายฝาก โครงการดูแลผู้ป่วยติดเตียง และโครงการยาเพื่อประชาชน
อีกทั้ง มีการปฏิรูปกระทรวงต้นแบบ ได้แก่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อสอดคล้องตามนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล โดยมีการประเมิน วิเคราะห์และติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
.......................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ และสํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13044
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หม่อมเต่า ส่ง แรงงานไทยไปตปท. หลังสถานการณ์โควิด-19
|
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563
หม่อมเต่า ส่ง แรงงานไทยไปตปท. หลังสถานการณ์โควิด-19
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน ระบุ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสําคัญกับการส่งแรงงานไทยไปทํางาน ในประเทศที่มีศักยภาพ มีโอกาสได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อนํากลับมาพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ
โดยเฉพาะในสาขาที่มีความจําเป็น และยึดหลักความปลอดภัยของแรงงานเป็นสําคัญ ซึ่งความคืบหน้าในการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในไทยคลี่คลายลง นั้น จากตัวเลขเดือนมิถุนายน 2563 ของกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ได้ส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ แล้ว 907 คน โดยส่งไปทํางานที่ไต้หวันมากที่สุด 231 คน อย่างไรก็ดี ยังสามารถจัดส่งได้อีก 51,346 คน ตามเป้าหมายตลาดแรงงาน คือ 1.ไต้หวัน จํานวน 19,889 คน 2. สาธารณรัฐเกาหลี จํานวน 6,319 คน 3. ญี่ปุ่น จํานวน 3,807 คน 4. สิงคโปร์ จํานวน 2,932 คน 5. อิสราเอล จํานวน 2,840 คน 6. มาเลเซีย จํานวน 2,444 คน และ อื่นๆ จํานวน 13,115 คน จากเป้าหมาย จัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ 100,000 คน ซึ่งเป็นแนวทางในการส่งเสริมการมีงานทํา ขณะเดียวกันยังสามารถนําเงินตราเข้าประเทศได้จํานวนมากด้วย
สําหรับผู้ที่สนใจจะไปทํางานในต่างประเทศสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หม่อมเต่า ส่ง แรงงานไทยไปตปท. หลังสถานการณ์โควิด-19
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563
หม่อมเต่า ส่ง แรงงานไทยไปตปท. หลังสถานการณ์โควิด-19
นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน ระบุ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้ความสําคัญกับการส่งแรงงานไทยไปทํางาน ในประเทศที่มีศักยภาพ มีโอกาสได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อนํากลับมาพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ
โดยเฉพาะในสาขาที่มีความจําเป็น และยึดหลักความปลอดภัยของแรงงานเป็นสําคัญ ซึ่งความคืบหน้าในการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในไทยคลี่คลายลง นั้น จากตัวเลขเดือนมิถุนายน 2563 ของกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ได้ส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ แล้ว 907 คน โดยส่งไปทํางานที่ไต้หวันมากที่สุด 231 คน อย่างไรก็ดี ยังสามารถจัดส่งได้อีก 51,346 คน ตามเป้าหมายตลาดแรงงาน คือ 1.ไต้หวัน จํานวน 19,889 คน 2. สาธารณรัฐเกาหลี จํานวน 6,319 คน 3. ญี่ปุ่น จํานวน 3,807 คน 4. สิงคโปร์ จํานวน 2,932 คน 5. อิสราเอล จํานวน 2,840 คน 6. มาเลเซีย จํานวน 2,444 คน และ อื่นๆ จํานวน 13,115 คน จากเป้าหมาย จัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ 100,000 คน ซึ่งเป็นแนวทางในการส่งเสริมการมีงานทํา ขณะเดียวกันยังสามารถนําเงินตราเข้าประเทศได้จํานวนมากด้วย
สําหรับผู้ที่สนใจจะไปทํางานในต่างประเทศสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33378
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์เมขลา กรมทรัพยากรน้ำ เตรียมผลักดันสู่การเป็นศูนย์ข้อมูลน้ำแห่งชาติ บูรณาการข้อมูลอย่างเป็นเอกภาพ
|
วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2560
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์เมขลา กรมทรัพยากรน้ํา เตรียมผลักดันสู่การเป็นศูนย์ข้อมูลน้ําแห่งชาติ บูรณาการข้อมูลอย่างเป็นเอกภาพ
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์เมขลา กรมทรัพยากรน้ํา เตรียมผลักดันสู่การเป็นศูนย์ข้อมูลน้ําแห่งชาติ บูรณาการข้อมูลอย่างเป็นเอกภาพ และบริหารจัดการน้ําทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อแก้ปัญหาน้ําให้เพียงพออย่างยั่งยืน
วันนี้ (3 ก.พ.60) เวลา 08.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานจริงของศูนย์เมขลา กรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เขตพญาไท กรุงเทพฯ พร้อมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการของกรมทรัพยากรน้ําบริเวณชั้นล่าง โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวรศาสน์ อภัยพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกรมทรัพยากรน้ําให้การต้อนรับ
สําหรับศูนย์เมขลา จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 มีภารกิจเพื่อติดตาม รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลทรัพยากรน้ํา พัฒนาระบบสารสนเทศทรัพยากรน้ํา คาดการสถานการณ์น้ําเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ เสนอแนะแนวทางแก้ไขวิกฤติน้ําให้กับผู้บริหาร รวมถึงรายงานสถานการณ์น้ําประจําวัน ให้แก่ผู้บริหาร หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชน ตลอดจนเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับข้อมูลการเตือนภัยให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ จากมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2559 “เห็นชอบในหลักการให้กรมทรัพยากรน้ําเป็นเจ้าภาพหลักในการดําเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลน้ําแห่งชาติ เพื่อให้มีศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลด้านทรัพยากรน้ําที่เป็นเอกภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงทุกหน่วยงานสามารถนําข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว” กรมทรัพยากรน้ํา จึงมีแผนพัฒนาศูนย์เมขลาเป็นศูนย์ข้อมูลน้ําแห่งชาติโดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบการเฝ้าระวังและเตือนภัยที่เกิดจากน้ํา และรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะพัฒนาระบบแผนที่ GIS ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารและสนับสนุนการตัดสินใจ ที่สําคัญคือการขับเคลื่อนไปสู่ Thailand 4.0 โดยพัฒนาระบบเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นเอกภาพ ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก และรัฐบาลสามารถมีทางเลือกในการตัดสิน สั่งการแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ซึ่งจากทรัพยากรที่ศูนย์เมขลามีอยู่ในปัจจุบันสามารถพัฒนาเป็นศูนย์ข้อมูลน้ําแห่งชาติได้ทันที โดยเชื่อมโยงข้อมูลจาก 35 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีแบบจําลองของลุ่มน้ํายมภายในเดือนมิถุนายน 2560 และมีการปรับปรุงโครงสร้างและระบบในส่วนต่างๆ และขยายผลให้มีแบบจําลองสนับสนุนการตัดสินใจครบทั้ง 25 ลุ่มน้ํา ภายในพฤษภาคม 2561 เพื่อให้มีข้อมูลและระบบตัดสินใจที่เป็นเอกภาพสําหรับการจัดการน้ําของประเทศครอบคลุมทุกมิติ ได้แก่ น้ําท่วม จัดสรรน้ํา ติดตามคุณภาพน้ํา ภัยพิบัติ และพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นต้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า มีความตั้งใจที่จะมาตรวจเยี่ยมศูนย์เมขลานานแล้ว เพราะการบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบของประเทศเป็นเรื่องที่มีความสําคัญ เพื่อให้สามารถมีน้ําไว้ใช้ได้อย่างเพียงพอกับความต้องการของคนในประเทศ ทั้งน้ําอุปโภคบริโภค การเกษตร อุตสาหกรรม และการรักษาระบบนิเวศ ซึ่งขณะนี้มีความจําเป็นต้องปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการน้ําใหม่ทั้งระบบให้ครอบคลุมทั้ง 25 ลุ่มน้ํา รวมถึงในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน ทั้งนี้ ศูนย์เมขลาซึ่งรัฐบาลปัจจุบันได้มีการอนุมัติให้ปรับปรุงใหม่ขึ้นจะเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลน้ําทั้งหมดที่มีความทันสมัยและเป็นเอกภาพ เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถนําข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างทันท่วงที ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้ศูนย์เมขลาเป็นศูนย์ข้อมูลน้ําแห่งชาติ โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลและการทํางานกับศูนย์อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วของกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ เพื่อให้การทํางานของทุกหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่เกิดความซ้ําซ้อนในการปฏิบัติ โดยต้องมีการพิจารณาบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบตั้งแต่การบริหารจัดการต้นน้ํา การกักเก็บน้ํา ระบบการส่งน้ําและการกระจายน้ําไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมและน้ําแล้งอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน โดยปัจจุบันรัฐบาลได้มีการวางแผนการบริหารจัดการของประเทศทั้งระบบในระยะยาว 20 ปี ซึ่งขณะนี้แผนบริหารจัดการน้ําดังกล่าวได้ดําเนินการไปแล้วประมาณ 2 ปีกว่า เริ่มตั้งแต่ปี 2558 สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อวางอนาคตประเทศในเรื่องของน้ํา เพราะน้ําคือชีวิต ทุกคนจึงต้องเห็นคุณค่าน้ําทุกหยด เพื่อให้การบริหารจัดการน้ําโดยเฉพาะการเก็บกักน้ําที่มีอยู่ไว้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าอย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า การดําเนินงานของศูนย์เมขลา กรมทรัพยากรน้ํา ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ซึ่งรัฐบาลเห็นถึงความตั้งใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน สิ่งสําคัญคือต้องหาแนวทางบูรณาการข้อมูลน้ําที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่ทั้งในส่วนของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้เป็นข้อมูลเดียวกันและมีความเป็นเอกภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้น้ําทั้งหมดให้ได้ ขณะเดียวกันปัจจุบันรัฐบาลมีแผนพัฒนาการประเทศในลักษณะเป็นภูมิภาคหลัก 6 ภาค ประกอบด้วย ภาคใต้และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกโดยเฉพาะรัฐบาลมีการเร่งรัดขับเคลื่อนในส่วนของการดําเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development หรือEEC) ซึ่งการบริหารจัดการน้ําจะต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศดังกล่าวด้วย รวมถึงการพิจารณาวางแผนในเรื่องการปลูกพืชให้เหมาะสมกับปริมาณน้ําและสอดคล้องกับพื้นที่ ตลอดจนการนําการวิจัยพัฒนาและดิจิทัลเข้ามาใช้ในการดําเนินการต่าง ๆ ในเรื่องการตลาด เพื่อให้การดําเนินการครอบคลุมทุกมิติทั้งระบบครบวงจร พร้อมทั้ง ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการสร้างการรับรู้และชี้แจงกับสาธารณชนและสังคม เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องพร้อมให้ความร่วมมือในการที่จะร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินการต่าง ๆ ไปสู่เป้าหมายที่กําหนด โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การเก็บกักน้ํา การป้องกันแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําและอุทกภัย เพื่อนําไปสู่การบริหารจัดการน้ําของประเทศอย่างเป็นระบบครบทุกมิติ ประชาชนได้รับประโยชน์ทั่วถึงทุกภาคส่วน อันจะทําให้ไม่เกิดความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ลดความเหลื่อมล้ําในสังคม เป็นธรรมและเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงตามยุทธศาสตร์ชาติ
นอกจากนี้ การบริหารจัดการน้ําต้องสอดคล้องกับการใช้ที่ดินและการจัดทําผังเมือง การประกอบธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งอุตสาหกรรมขนาดเล็กระดับชุมชน ขนาดกลาง ขนาดย่อม ขนาดใหญ่ รวมถึงอุตสาหกรรมข้ามชาติ พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนของกรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ร่วมกันทํางานจนมีความก้าวหน้าอยู่ในระดับที่น่าพอใจระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามขอให้มีการพัฒนาการดําเนินการไปสู่ระดับที่น่าพึงพอใจสูงขึ้นไปอีก โดยมีแผนการปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ําที่ชัดเจนสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามที่รัฐบาลได้กําหนดไว้
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานจริงของศูนย์เมขลา พร้อมพบปะทักทายสอบถามให้กําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้วย ก่อนเดินทางกลับ
--------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์เมขลา กรมทรัพยากรน้ำ เตรียมผลักดันสู่การเป็นศูนย์ข้อมูลน้ำแห่งชาติ บูรณาการข้อมูลอย่างเป็นเอกภาพ
วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2560
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์เมขลา กรมทรัพยากรน้ํา เตรียมผลักดันสู่การเป็นศูนย์ข้อมูลน้ําแห่งชาติ บูรณาการข้อมูลอย่างเป็นเอกภาพ
นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์เมขลา กรมทรัพยากรน้ํา เตรียมผลักดันสู่การเป็นศูนย์ข้อมูลน้ําแห่งชาติ บูรณาการข้อมูลอย่างเป็นเอกภาพ และบริหารจัดการน้ําทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อแก้ปัญหาน้ําให้เพียงพออย่างยั่งยืน
วันนี้ (3 ก.พ.60) เวลา 08.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานจริงของศูนย์เมขลา กรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เขตพญาไท กรุงเทพฯ พร้อมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการของกรมทรัพยากรน้ําบริเวณชั้นล่าง โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวรศาสน์ อภัยพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกรมทรัพยากรน้ําให้การต้อนรับ
สําหรับศูนย์เมขลา จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2546 มีภารกิจเพื่อติดตาม รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลทรัพยากรน้ํา พัฒนาระบบสารสนเทศทรัพยากรน้ํา คาดการสถานการณ์น้ําเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ เสนอแนะแนวทางแก้ไขวิกฤติน้ําให้กับผู้บริหาร รวมถึงรายงานสถานการณ์น้ําประจําวัน ให้แก่ผู้บริหาร หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชน ตลอดจนเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับข้อมูลการเตือนภัยให้แก่ประชาชน
ทั้งนี้ จากมติคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2559 “เห็นชอบในหลักการให้กรมทรัพยากรน้ําเป็นเจ้าภาพหลักในการดําเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลน้ําแห่งชาติ เพื่อให้มีศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลด้านทรัพยากรน้ําที่เป็นเอกภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงทุกหน่วยงานสามารถนําข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว” กรมทรัพยากรน้ํา จึงมีแผนพัฒนาศูนย์เมขลาเป็นศูนย์ข้อมูลน้ําแห่งชาติโดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบการเฝ้าระวังและเตือนภัยที่เกิดจากน้ํา และรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจะพัฒนาระบบแผนที่ GIS ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารและสนับสนุนการตัดสินใจ ที่สําคัญคือการขับเคลื่อนไปสู่ Thailand 4.0 โดยพัฒนาระบบเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นเอกภาพ ประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก และรัฐบาลสามารถมีทางเลือกในการตัดสิน สั่งการแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ซึ่งจากทรัพยากรที่ศูนย์เมขลามีอยู่ในปัจจุบันสามารถพัฒนาเป็นศูนย์ข้อมูลน้ําแห่งชาติได้ทันที โดยเชื่อมโยงข้อมูลจาก 35 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีแบบจําลองของลุ่มน้ํายมภายในเดือนมิถุนายน 2560 และมีการปรับปรุงโครงสร้างและระบบในส่วนต่างๆ และขยายผลให้มีแบบจําลองสนับสนุนการตัดสินใจครบทั้ง 25 ลุ่มน้ํา ภายในพฤษภาคม 2561 เพื่อให้มีข้อมูลและระบบตัดสินใจที่เป็นเอกภาพสําหรับการจัดการน้ําของประเทศครอบคลุมทุกมิติ ได้แก่ น้ําท่วม จัดสรรน้ํา ติดตามคุณภาพน้ํา ภัยพิบัติ และพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นต้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า มีความตั้งใจที่จะมาตรวจเยี่ยมศูนย์เมขลานานแล้ว เพราะการบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบของประเทศเป็นเรื่องที่มีความสําคัญ เพื่อให้สามารถมีน้ําไว้ใช้ได้อย่างเพียงพอกับความต้องการของคนในประเทศ ทั้งน้ําอุปโภคบริโภค การเกษตร อุตสาหกรรม และการรักษาระบบนิเวศ ซึ่งขณะนี้มีความจําเป็นต้องปรับปรุงวิธีการบริหารจัดการน้ําใหม่ทั้งระบบให้ครอบคลุมทั้ง 25 ลุ่มน้ํา รวมถึงในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน ทั้งนี้ ศูนย์เมขลาซึ่งรัฐบาลปัจจุบันได้มีการอนุมัติให้ปรับปรุงใหม่ขึ้นจะเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลน้ําทั้งหมดที่มีความทันสมัยและเป็นเอกภาพ เพื่อให้ทุกหน่วยงานสามารถนําข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างทันท่วงที ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้ศูนย์เมขลาเป็นศูนย์ข้อมูลน้ําแห่งชาติ โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลและการทํางานกับศูนย์อื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วของกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ เพื่อให้การทํางานของทุกหน่วยงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่เกิดความซ้ําซ้อนในการปฏิบัติ โดยต้องมีการพิจารณาบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบตั้งแต่การบริหารจัดการต้นน้ํา การกักเก็บน้ํา ระบบการส่งน้ําและการกระจายน้ําไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมและน้ําแล้งอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน โดยปัจจุบันรัฐบาลได้มีการวางแผนการบริหารจัดการของประเทศทั้งระบบในระยะยาว 20 ปี ซึ่งขณะนี้แผนบริหารจัดการน้ําดังกล่าวได้ดําเนินการไปแล้วประมาณ 2 ปีกว่า เริ่มตั้งแต่ปี 2558 สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อวางอนาคตประเทศในเรื่องของน้ํา เพราะน้ําคือชีวิต ทุกคนจึงต้องเห็นคุณค่าน้ําทุกหยด เพื่อให้การบริหารจัดการน้ําโดยเฉพาะการเก็บกักน้ําที่มีอยู่ไว้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าอย่างแท้จริง
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า การดําเนินงานของศูนย์เมขลา กรมทรัพยากรน้ํา ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ซึ่งรัฐบาลเห็นถึงความตั้งใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน สิ่งสําคัญคือต้องหาแนวทางบูรณาการข้อมูลน้ําที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่ทั้งในส่วนของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนให้เป็นข้อมูลเดียวกันและมีความเป็นเอกภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้น้ําทั้งหมดให้ได้ ขณะเดียวกันปัจจุบันรัฐบาลมีแผนพัฒนาการประเทศในลักษณะเป็นภูมิภาคหลัก 6 ภาค ประกอบด้วย ภาคใต้และสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกโดยเฉพาะรัฐบาลมีการเร่งรัดขับเคลื่อนในส่วนของการดําเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor Development หรือEEC) ซึ่งการบริหารจัดการน้ําจะต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศดังกล่าวด้วย รวมถึงการพิจารณาวางแผนในเรื่องการปลูกพืชให้เหมาะสมกับปริมาณน้ําและสอดคล้องกับพื้นที่ ตลอดจนการนําการวิจัยพัฒนาและดิจิทัลเข้ามาใช้ในการดําเนินการต่าง ๆ ในเรื่องการตลาด เพื่อให้การดําเนินการครอบคลุมทุกมิติทั้งระบบครบวงจร พร้อมทั้ง ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการสร้างการรับรู้และชี้แจงกับสาธารณชนและสังคม เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องพร้อมให้ความร่วมมือในการที่จะร่วมกันขับเคลื่อนการดําเนินการต่าง ๆ ไปสู่เป้าหมายที่กําหนด โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การเก็บกักน้ํา การป้องกันแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําและอุทกภัย เพื่อนําไปสู่การบริหารจัดการน้ําของประเทศอย่างเป็นระบบครบทุกมิติ ประชาชนได้รับประโยชน์ทั่วถึงทุกภาคส่วน อันจะทําให้ไม่เกิดความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ลดความเหลื่อมล้ําในสังคม เป็นธรรมและเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงตามยุทธศาสตร์ชาติ
นอกจากนี้ การบริหารจัดการน้ําต้องสอดคล้องกับการใช้ที่ดินและการจัดทําผังเมือง การประกอบธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งอุตสาหกรรมขนาดเล็กระดับชุมชน ขนาดกลาง ขนาดย่อม ขนาดใหญ่ รวมถึงอุตสาหกรรมข้ามชาติ พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนของกรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ร่วมกันทํางานจนมีความก้าวหน้าอยู่ในระดับที่น่าพอใจระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามขอให้มีการพัฒนาการดําเนินการไปสู่ระดับที่น่าพึงพอใจสูงขึ้นไปอีก โดยมีแผนการปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ําที่ชัดเจนสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ตามที่รัฐบาลได้กําหนดไว้
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานจริงของศูนย์เมขลา พร้อมพบปะทักทายสอบถามให้กําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้วย ก่อนเดินทางกลับ
--------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1688
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 10/2559
|
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559
รอง นรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 10/2559
ที่ประชุมรับทราบผลความคืบหน้าในการดําเนินการออกใบรับรองใหม่ให้แก่ 28 สายการบินเข้าสู่ระดับมาตรฐานสากลภายในต้นปี 2560
วันนี้ (24 สิงหาคม 2559) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคระกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน
ภายหลังเลิกการประชุมฯ พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมและ พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก ได้แถลงข่าวสรุปผลการประชุมฯ ว่า ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการจัดที่ดินทํากินให้แก่ชุมชน โดยได้ส่งมอบพื้นที่จํานวน 18 พื้นที่ใน 16 จังหวัดเพื่อคัดเลือกราษฎรให้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน 10 พื้นที่ใน 9 จังหวัด จํานวน 3,543 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 4,550 แปลง และได้ออกหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์แล้ว 6 พื้นที่ใน 6 จังหวัด
พร้อมทั้งรับทราบความคืบหน้าในการปฏิรูปกิจการตํารวจทั้งด้านการบริหารงานบุคคล การพัฒนาการบริหารงานตํารวจระบบงานสอบสวนและบังคับใช้กฎหมายตลอดจนด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการเพื่อดํารงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี คาดว่าปี 2560 การปฏิรูปกิจการตํารวจจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ส่วนการปฏิรูปงานข่าวกรอง จําเป็นอย่างยิ่งต้องมีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมทั่วประเทศและโดยเร่งด่วน เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาการรุกล้ําลําน้ําสาธารณะ ได้แก่ บริเวณคลองลาดพร้าวซึ่งได้นัดประชุมสร้างความเข้าใจในระดับชุมชนไปแล้วจํานวน 43 ชุมชนพร้อมจัดตั้งสหกรณ์เคหสถานใหม่จํานวน 8 สหกรณ์สําหรับเป็นกลไกสําคัญในการบริหารชุมชนริมคลองดังกล่าว เพื่อมีหน้าที่ในการกํากับดูแลงานก่อสร้างบ้าน งานสินเชื่อ งานสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นหลักประกันความมั่นคงในการดํารงชีวิต ให้มีคุณภาพทางด้านเศรษฐกิจและสังคมแก่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งหวังให้ชาวชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง รวมทั้งมีความคืบหน้าในการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจกว่า 14 ชุมชน พร้อมจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ในการบริหารจัดการคุณภาพชีวิตของชาวชุมชนอีกด้วย
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลความคืบหน้าในการดําเนินการออกใบรับรองใหม่โดยได้ว่าจ้าง CAA Internatinal Limited (CAAi) เพื่อจัดทําแผนและดําเนินงานการออกใบรับรองการเดินอากาศใหม่ (Re – certification) จํานวน 28 สายการบินภายใต้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนการเตรียมการในเบื้องต้นขั้นตอนการยื่นคําขออย่างเป็นทางการ ขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการตรวจสอบการปฏิบัติการ และขั้นตอนออกใบรับรอง คาดว่าเสร็จสิ้นกระบวนการการเหล่านี้จะสําเร็จภายในเดือนมกราคม 2560 ทั้งนี้ จะเป็นการยกระดับมาตรฐานการบินของประเทศไทยทัดเทียมมาตรฐานสากลต่อไป
*****************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
อภิวัฒน์ / รายงาน
ดวงใจ / ตรวจ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 10/2559
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559
รอง นรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 10/2559
ที่ประชุมรับทราบผลความคืบหน้าในการดําเนินการออกใบรับรองใหม่ให้แก่ 28 สายการบินเข้าสู่ระดับมาตรฐานสากลภายในต้นปี 2560
วันนี้ (24 สิงหาคม 2559) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคระกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน
ภายหลังเลิกการประชุมฯ พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมและ พันเอกหญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก ได้แถลงข่าวสรุปผลการประชุมฯ ว่า ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการจัดที่ดินทํากินให้แก่ชุมชน โดยได้ส่งมอบพื้นที่จํานวน 18 พื้นที่ใน 16 จังหวัดเพื่อคัดเลือกราษฎรให้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน 10 พื้นที่ใน 9 จังหวัด จํานวน 3,543 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 4,550 แปลง และได้ออกหนังสืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์แล้ว 6 พื้นที่ใน 6 จังหวัด
พร้อมทั้งรับทราบความคืบหน้าในการปฏิรูปกิจการตํารวจทั้งด้านการบริหารงานบุคคล การพัฒนาการบริหารงานตํารวจระบบงานสอบสวนและบังคับใช้กฎหมายตลอดจนด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการเพื่อดํารงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี คาดว่าปี 2560 การปฏิรูปกิจการตํารวจจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ส่วนการปฏิรูปงานข่าวกรอง จําเป็นอย่างยิ่งต้องมีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ครอบคลุมทั่วประเทศและโดยเร่งด่วน เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาการรุกล้ําลําน้ําสาธารณะ ได้แก่ บริเวณคลองลาดพร้าวซึ่งได้นัดประชุมสร้างความเข้าใจในระดับชุมชนไปแล้วจํานวน 43 ชุมชนพร้อมจัดตั้งสหกรณ์เคหสถานใหม่จํานวน 8 สหกรณ์สําหรับเป็นกลไกสําคัญในการบริหารชุมชนริมคลองดังกล่าว เพื่อมีหน้าที่ในการกํากับดูแลงานก่อสร้างบ้าน งานสินเชื่อ งานสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นหลักประกันความมั่นคงในการดํารงชีวิต ให้มีคุณภาพทางด้านเศรษฐกิจและสังคมแก่ชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มุ่งหวังให้ชาวชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง รวมทั้งมีความคืบหน้าในการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจกว่า 14 ชุมชน พร้อมจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ในการบริหารจัดการคุณภาพชีวิตของชาวชุมชนอีกด้วย
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลความคืบหน้าในการดําเนินการออกใบรับรองใหม่โดยได้ว่าจ้าง CAA Internatinal Limited (CAAi) เพื่อจัดทําแผนและดําเนินงานการออกใบรับรองการเดินอากาศใหม่ (Re – certification) จํานวน 28 สายการบินภายใต้ 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนการเตรียมการในเบื้องต้นขั้นตอนการยื่นคําขออย่างเป็นทางการ ขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการตรวจสอบการปฏิบัติการ และขั้นตอนออกใบรับรอง คาดว่าเสร็จสิ้นกระบวนการการเหล่านี้จะสําเร็จภายในเดือนมกราคม 2560 ทั้งนี้ จะเป็นการยกระดับมาตรฐานการบินของประเทศไทยทัดเทียมมาตรฐานสากลต่อไป
*****************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
อภิวัฒน์ / รายงาน
ดวงใจ / ตรวจ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/258
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.ขับเคลื่อน Safety Thailand ด้วย ASEAH M-OSH
|
วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2560
กสร.ขับเคลื่อน Safety Thailand ด้วย ASEAH M-OSH
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานขับเคลื่อนขับเคลื่อน Safety Thailand ด้วย ASEAH M-OSH (ASEAN Migrant OSHNET) สร้างเสริมความปลอดภัยในการทํางานและสุขภาพอนามัยที่ดีแก่แรงงานไทยและต่างด้าว
นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยภายหลัง Safety Thailand ด้วย ASEAH M-OSH (ASEAN Migrant OSHNET) วันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 ณ โรงแรมแคนทารี โคราช อําเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีภารกิจสําคัญประการหนึ่งคือการกํากับดูแลให้สถานประกอบกิจการปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเพื่อให้แรงงานมีความปลอดภัย สุขภาพอนามัยดี โดยมีแนวทางดําเนินการที่สําคัญ 3 ประการ คือ 1.สร้างการรับรู้และจิตสํานึกด้านความปลอดภัยฯ 2.เคร่งครัดการบังคับใช้กฎหมาย และ3.สร้างกลไกประชารัฐในการดําเนินการด้านความปลอดภัยฯ ทั้งนี้การดําเนินการดังกล่าวต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายจ้าง ลูกจ้าง รวมทั้งบุคลากรด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ โครงการขับเคลื่อน Safety Thailand ด้วย ASEAH M-OSH (ASEAN Migrant OSHNET) เป็นการขับเคลื่อนความปลอดภัยในการทํางานสู่สถานประกอบกิจการโดยคํานึงถึงความแตกต่างของแรงงานที่เข้ามาทํางานในสถานประกอบกิจการโดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติ 4 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ที่เข้ามาทํางานในประเทศไทย เพื่อให้แรงงานกลุ่มนี้ได้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ตามกฎหมายความปลอดภัย และมีพื้นฐานในการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงจากอันตรายและการเจ็บป่วยจากการทํางาน
นายทศพล กล่าวเพิ่มเติมว่า Safety Thailand ด้วย ASEAH M-OSH (ASEAN Migrant OSHNET) ในวันนี้ เป็นการสร้างเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ให้กับผู้เข้าอบรมซึ่งประกอบด้วยผู้ทําหน้าที่ประสานงานแรงงานอาเซียน 4 สัญชาติ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางานของสถานประกอบกิจการในพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์ความปลอดภัยในการทํางานเขต 3 (นครราชสีมา) ประกอบด้วยสถานประกอบกิจการในจังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ยโสธร ศรีสะเกษ อํานาจเจริญ และอุบลราชธานี จํานวน 120 คน ให้สามารถบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางานในสถานประกอบกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นเครือข่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการประสบอันตรายจากการทํางานให้กับลูกจ้างทั้งคนไทยและต่างด้าวอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.ขับเคลื่อน Safety Thailand ด้วย ASEAH M-OSH
วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2560
กสร.ขับเคลื่อน Safety Thailand ด้วย ASEAH M-OSH
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานขับเคลื่อนขับเคลื่อน Safety Thailand ด้วย ASEAH M-OSH (ASEAN Migrant OSHNET) สร้างเสริมความปลอดภัยในการทํางานและสุขภาพอนามัยที่ดีแก่แรงงานไทยและต่างด้าว
นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เปิดเผยภายหลัง Safety Thailand ด้วย ASEAH M-OSH (ASEAN Migrant OSHNET) วันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 ณ โรงแรมแคนทารี โคราช อําเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีภารกิจสําคัญประการหนึ่งคือการกํากับดูแลให้สถานประกอบกิจการปฏิบัติตามกฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเพื่อให้แรงงานมีความปลอดภัย สุขภาพอนามัยดี โดยมีแนวทางดําเนินการที่สําคัญ 3 ประการ คือ 1.สร้างการรับรู้และจิตสํานึกด้านความปลอดภัยฯ 2.เคร่งครัดการบังคับใช้กฎหมาย และ3.สร้างกลไกประชารัฐในการดําเนินการด้านความปลอดภัยฯ ทั้งนี้การดําเนินการดังกล่าวต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งนายจ้าง ลูกจ้าง รวมทั้งบุคลากรด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ โครงการขับเคลื่อน Safety Thailand ด้วย ASEAH M-OSH (ASEAN Migrant OSHNET) เป็นการขับเคลื่อนความปลอดภัยในการทํางานสู่สถานประกอบกิจการโดยคํานึงถึงความแตกต่างของแรงงานที่เข้ามาทํางานในสถานประกอบกิจการโดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติ 4 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ที่เข้ามาทํางานในประเทศไทย เพื่อให้แรงงานกลุ่มนี้ได้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ตามกฎหมายความปลอดภัย และมีพื้นฐานในการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงจากอันตรายและการเจ็บป่วยจากการทํางาน
นายทศพล กล่าวเพิ่มเติมว่า Safety Thailand ด้วย ASEAH M-OSH (ASEAN Migrant OSHNET) ในวันนี้ เป็นการสร้างเสริมความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ให้กับผู้เข้าอบรมซึ่งประกอบด้วยผู้ทําหน้าที่ประสานงานแรงงานอาเซียน 4 สัญชาติ เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางานของสถานประกอบกิจการในพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์ความปลอดภัยในการทํางานเขต 3 (นครราชสีมา) ประกอบด้วยสถานประกอบกิจการในจังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ยโสธร ศรีสะเกษ อํานาจเจริญ และอุบลราชธานี จํานวน 120 คน ให้สามารถบริหารจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางานในสถานประกอบกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นเครือข่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการประสบอันตรายจากการทํางานให้กับลูกจ้างทั้งคนไทยและต่างด้าวอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8446
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพขอความร่วมมือผู้ใช้บริการสแกนคิวอาร์โค้ดบนรถโดยสารทุกครั้ง เพื่อเก็บประวัติการเดินทาง [กระทรวงคมนาคม]
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพขอความร่วมมือผู้ใช้บริการสแกนคิวอาร์โค้ดบนรถโดยสารทุกครั้ง เพื่อเก็บประวัติการเดินทาง [กระทรวงคมนาคม]
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพขอความร่วมมือผู้ใช้บริการสแกนคิวอาร์โค้ดบนรถโดยสารทุกครั้ง เพื่อเก็บประวัติการเดินทาง
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม พร้อมยกระดับความสะดวก ปลอดภัยของผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยได้นําคิวอาร์โค้ด (QR Code) แอปพลิเคชันไทยชนะมาติดตั้งในรถโดยสาร ขสมก. ทุกคัน พร้อมขอความร่วมมือผู้ใช้บริการให้ทําการสแกนคิวอาร์โค้ดเช็กอินเมื่อขึ้นใช้บริการ และเช็กเอาท์ก่อนลงจากรถโดยสารทุกครั้ง เพื่อเก็บบันทึกข้อมูลการเดินทางเพิ่มความรวดเร็วในการสืบสวนโรคของแพทย์ กรณีมีการติดเชื้อไวรัส COVID-19
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า ขสมก. สนองนโยบายศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 หรือ ศบค. ที่ต้องการติดตามผลและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยขอความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในการนําคิวอาร์โค้ด (QR Code) แอปพลิเคชันไทยชนะมาติดตั้ง ณ สถานที่ทําการ รวมถึงบนรถโดยสารสาธารณะ เพื่อเก็บบันทึกประวัติการเดินทาง และเพิ่มความรวดเร็วในการสืบสวนโรคของแพทย์ กรณีที่มีผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดย ขสมก. ได้นําคิวอาร์โค้ดดังกล่าวทยอยติดตั้งภายในรถโดยสารให้ครบทุกคัน บริเวณด้านหน้า ช่วงกลางรถ ช่วงหลังรถและหลังเบาะที่นั่ง จึงขอความร่วมมือจากผู้ใช้บริการสแกนคิวอาร์โค้ดเช็กอิน เมื่อขึ้นใช้บริการและเช็กเอาท์ก่อนลงจากรถโดยสารทุกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป ในส่วนของสํานักงานใหญ่ และสํานักงานเขตการเดินรถ ขสมก. ได้นําคิวอาร์โค้ดแอปพลิเคชันไทยชนะมาติดตั้ง พร้อมกําชับให้พนักงานและบุคคลภายนอก ทําการสแกนคิวอาร์โค้ดเช็กอินเมื่อเข้าพื้นที่และเช็กเอาท์ก่อนออกจากพื้นที่ทุกครั้ง โดยเริ่มปฏิบัติตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ลดความเสี่ยงของพนักงานและประชาชนในการติดเชื้อไวรัส COVID-19
ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการ สอบถามเส้นทางรถเมล์ หรือแนะนําบริการได้ที่ www.bmta.co.th, facebook bmta@bmta.co.th หรือศูนย์ Call Center 1348 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 20.00 น.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพขอความร่วมมือผู้ใช้บริการสแกนคิวอาร์โค้ดบนรถโดยสารทุกครั้ง เพื่อเก็บประวัติการเดินทาง [กระทรวงคมนาคม]
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน 2563
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพขอความร่วมมือผู้ใช้บริการสแกนคิวอาร์โค้ดบนรถโดยสารทุกครั้ง เพื่อเก็บประวัติการเดินทาง [กระทรวงคมนาคม]
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพขอความร่วมมือผู้ใช้บริการสแกนคิวอาร์โค้ดบนรถโดยสารทุกครั้ง เพื่อเก็บประวัติการเดินทาง
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กระทรวงคมนาคม พร้อมยกระดับความสะดวก ปลอดภัยของผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยได้นําคิวอาร์โค้ด (QR Code) แอปพลิเคชันไทยชนะมาติดตั้งในรถโดยสาร ขสมก. ทุกคัน พร้อมขอความร่วมมือผู้ใช้บริการให้ทําการสแกนคิวอาร์โค้ดเช็กอินเมื่อขึ้นใช้บริการ และเช็กเอาท์ก่อนลงจากรถโดยสารทุกครั้ง เพื่อเก็บบันทึกข้อมูลการเดินทางเพิ่มความรวดเร็วในการสืบสวนโรคของแพทย์ กรณีมีการติดเชื้อไวรัส COVID-19
นายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เปิดเผยว่า ขสมก. สนองนโยบายศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 หรือ ศบค. ที่ต้องการติดตามผลและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยขอความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในการนําคิวอาร์โค้ด (QR Code) แอปพลิเคชันไทยชนะมาติดตั้ง ณ สถานที่ทําการ รวมถึงบนรถโดยสารสาธารณะ เพื่อเก็บบันทึกประวัติการเดินทาง และเพิ่มความรวดเร็วในการสืบสวนโรคของแพทย์ กรณีที่มีผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดย ขสมก. ได้นําคิวอาร์โค้ดดังกล่าวทยอยติดตั้งภายในรถโดยสารให้ครบทุกคัน บริเวณด้านหน้า ช่วงกลางรถ ช่วงหลังรถและหลังเบาะที่นั่ง จึงขอความร่วมมือจากผู้ใช้บริการสแกนคิวอาร์โค้ดเช็กอิน เมื่อขึ้นใช้บริการและเช็กเอาท์ก่อนลงจากรถโดยสารทุกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป ในส่วนของสํานักงานใหญ่ และสํานักงานเขตการเดินรถ ขสมก. ได้นําคิวอาร์โค้ดแอปพลิเคชันไทยชนะมาติดตั้ง พร้อมกําชับให้พนักงานและบุคคลภายนอก ทําการสแกนคิวอาร์โค้ดเช็กอินเมื่อเข้าพื้นที่และเช็กเอาท์ก่อนออกจากพื้นที่ทุกครั้ง โดยเริ่มปฏิบัติตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ลดความเสี่ยงของพนักงานและประชาชนในการติดเชื้อไวรัส COVID-19
ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการ สอบถามเส้นทางรถเมล์ หรือแนะนําบริการได้ที่ www.bmta.co.th, facebook bmta@bmta.co.th หรือศูนย์ Call Center 1348 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 20.00 น.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32222
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีสมโภชผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 61 ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร จ.สิงห์บุรี
|
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561
พิธีสมโภชผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 61 ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร จ.สิงห์บุรี
พิธีสมโภชผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 61 ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร จ.สิงห์บุรี
วันนี้ (15 พฤศจิกายน 2561) เวลา 17.00 น. นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีสมโภชผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําปีพุทธศักราช 2561 โดยมีนางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง อุตสาหกรรมจังหวัด ข้าราชการและพนักงานกระทรวงอุตสาหกรรม และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ตําบลจักรสีห์ อําเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีสมโภชผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 61 ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร จ.สิงห์บุรี
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561
พิธีสมโภชผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 61 ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร จ.สิงห์บุรี
พิธีสมโภชผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 61 ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร จ.สิงห์บุรี
วันนี้ (15 พฤศจิกายน 2561) เวลา 17.00 น. นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีสมโภชผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงอุตสาหกรรม ประจําปีพุทธศักราช 2561 โดยมีนางรวีวรรณ อุตรนคร ผู้อํานวยการกองกลาง อุตสาหกรรมจังหวัด ข้าราชการและพนักงานกระทรวงอุตสาหกรรม และประชาชนในพื้นที่ ร่วมพิธี ณ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ตําบลจักรสีห์ อําเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16839
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญ ฯ นำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแก้ปัญหากลุ่มสมัชชาคนจนต่อเนื่อง ภาพรวมบางปัญหาสามารถแก้ไขได้ทันที ส่วนบางปัญหาเป็นเรื่องนโยบาย ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ได้ผลเป็นที่พอใจทุกฝ่าย
|
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562
รมต.นร. นายเทวัญ ฯ นําหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแก้ปัญหากลุ่มสมัชชาคนจนต่อเนื่อง ภาพรวมบางปัญหาสามารถแก้ไขได้ทันที ส่วนบางปัญหาเป็นเรื่องนโยบาย ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ได้ผลเป็นที่พอใจทุกฝ่าย
รมต.นร. นายเทวัญ ฯ นําหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแก้ปัญหากลุ่มสมัชชาคนจนต่อเนื่อง ภาพรวมบางปัญหาสามารถแก้ไขได้ทันที ส่วนบางปัญหาเป็นเรื่องนโยบาย ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ได้ผลเป็นที่พอใจทุกฝ่าย
วันนี้ (21 ต.ค.62) หลังจากที่เมื่อช่วงเช้ากลุ่มสมัชชาคนจน (สคจ.) จํานวนประมาณ 300 คน พร้อมรถกระบะเครื่องขยายเสียง เดินเท้าออกมาที่เกาะกลางหน้ากระทรวงศึกษาธิการตรงข้ามทําเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ดําเนินการจัดการเจรจาระหว่างกระทรวงให้เป็นที่เรียบร้อยนั้น โดยเมื่อเวลา 09.00 น. นายสุภรณ์ฯ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการคลัง ร่วมประชุมเตรียมการกําหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัย ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงาน ก.พ. (เดิม)
ล่าสุดเวลา 14.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายธงชัย ลืออดุลย์ เลขานุการรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง และตัวแทน สคจ. ได้ร่วมประชุมติดตามการแก้ปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยวันนี้มีการหารือเรื่องการแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยและข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้อง
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การหารือวันนี้ได้ข้อสรุปบางประเด็นปัญหา เช่น การขอคืนที่ดินบางแปลงที่กรมชลประทานซื้อไปเนื่องจากประสบปัญหาน้ําท่วม แต่ปัจจุบันไม่พบปัญหาเช่นนี้แล้ว ชาวบ้านจึงขอคืนที่ดิน ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องนําไปพิจารณาผลกระทบทางกฎหมาย และดําเนินการช่วยเหลือต่อไป ส่วนปัญหาที่ยังไม่ได้ข้อสรุปส่วนมากเป็นเรื่องของนโยบาย ต้องมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เช่น เรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้นซึ่งที่ประชุม ครม. มีมติให้ชะลอการก่อสร้าง แต่ที่ประชุม สคจ. ขอให้มีการยกเลิกไปเลย ทั้งนี้ หากการประชุมหารือวันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปทั้งหมด อาจต้องมีการขยายระยะเวลาการหารือออกไป เพื่อให้ได้ผลเป็นที่พอใจทุกฝ่าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญ ฯ นำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแก้ปัญหากลุ่มสมัชชาคนจนต่อเนื่อง ภาพรวมบางปัญหาสามารถแก้ไขได้ทันที ส่วนบางปัญหาเป็นเรื่องนโยบาย ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ได้ผลเป็นที่พอใจทุกฝ่าย
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562
รมต.นร. นายเทวัญ ฯ นําหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแก้ปัญหากลุ่มสมัชชาคนจนต่อเนื่อง ภาพรวมบางปัญหาสามารถแก้ไขได้ทันที ส่วนบางปัญหาเป็นเรื่องนโยบาย ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ได้ผลเป็นที่พอใจทุกฝ่าย
รมต.นร. นายเทวัญ ฯ นําหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแก้ปัญหากลุ่มสมัชชาคนจนต่อเนื่อง ภาพรวมบางปัญหาสามารถแก้ไขได้ทันที ส่วนบางปัญหาเป็นเรื่องนโยบาย ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ได้ผลเป็นที่พอใจทุกฝ่าย
วันนี้ (21 ต.ค.62) หลังจากที่เมื่อช่วงเช้ากลุ่มสมัชชาคนจน (สคจ.) จํานวนประมาณ 300 คน พร้อมรถกระบะเครื่องขยายเสียง เดินเท้าออกมาที่เกาะกลางหน้ากระทรวงศึกษาธิการตรงข้ามทําเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ดําเนินการจัดการเจรจาระหว่างกระทรวงให้เป็นที่เรียบร้อยนั้น โดยเมื่อเวลา 09.00 น. นายสุภรณ์ฯ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการคลัง ร่วมประชุมเตรียมการกําหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัย ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงาน ก.พ. (เดิม)
ล่าสุดเวลา 14.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายธงชัย ลืออดุลย์ เลขานุการรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง และตัวแทน สคจ. ได้ร่วมประชุมติดตามการแก้ปัญหาอย่างใกล้ชิด โดยวันนี้มีการหารือเรื่องการแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยและข้อเรียกร้องที่เกี่ยวข้อง
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การหารือวันนี้ได้ข้อสรุปบางประเด็นปัญหา เช่น การขอคืนที่ดินบางแปลงที่กรมชลประทานซื้อไปเนื่องจากประสบปัญหาน้ําท่วม แต่ปัจจุบันไม่พบปัญหาเช่นนี้แล้ว ชาวบ้านจึงขอคืนที่ดิน ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องนําไปพิจารณาผลกระทบทางกฎหมาย และดําเนินการช่วยเหลือต่อไป ส่วนปัญหาที่ยังไม่ได้ข้อสรุปส่วนมากเป็นเรื่องของนโยบาย ต้องมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เช่น เรื่องเขื่อนแก่งเสือเต้นซึ่งที่ประชุม ครม. มีมติให้ชะลอการก่อสร้าง แต่ที่ประชุม สคจ. ขอให้มีการยกเลิกไปเลย ทั้งนี้ หากการประชุมหารือวันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปทั้งหมด อาจต้องมีการขยายระยะเวลาการหารือออกไป เพื่อให้ได้ผลเป็นที่พอใจทุกฝ่าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23957
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ตั้งคณะอนุกรรมการไอที ดึงผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วม เดินหน้าพัฒนาระบบงานและบริการดิจิทัลเพื่อสมาชิก
|
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560
กอช. ตั้งคณะอนุกรรมการไอที ดึงผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วม เดินหน้าพัฒนาระบบงานและบริการดิจิทัลเพื่อสมาชิก
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ตั้งคณะอนุกรรมการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ดึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้าร่วม เพื่อเร่งพัฒนาระบบจัดการและบริการสมาชิกรูปแบบดิจิทัลออนไลน์ ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิก
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า คณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้น โดยมีนายบุญเสริม จิตเจนสุวรรณ กรรมการซึ่งเป็นสมาชิกภาคเหนือ เป็นประธาน มีอนุกรรมการซึ่งประกอบด้วย ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง, นายวิษณุ ตัณฑวิรุฬห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบความปลอดภัยสารสนเทศข้อมูลขนาดใหญ่ ที่ปรึกษาโครงการ Big Data ของหน่วยงานรัฐหลายแห่ง, นายถิรพันธุ์ สรรพกิจ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้าสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมระบบงานเทคโนโลยี และเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ โดยคณะอนุกรรมการชุดนี้จะทําหน้าที่กําหนดนโยบายและแผนพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์กองทุนการออมแห่งชาติ (พ.ศ. 2560-2564) ที่กําหนดเป้าหมายให้ กอช. มีระบบงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งจัดการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีเสถียรภาพและมีความปลอดภัยของข้อมูล ช่วยลดขั้นตอนความซับซ้อนและระยะเวลาที่ต้องใช้ในการปฏิบัติงาน รวมถึงการออกแบบพัฒนาระบบบริการสมาชิกรูปแบบดิจิทัลออนไลน์ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในกระแสโลก 4.0 ในปัจจุบัน โดยขณะนี้ กอช. อยู่ระหว่างเร่งรัดพัฒนาระบบบริการสมาชิกบนอินเตอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์ หรือ Web Service และการสร้างแอพลิเคชั่นบนมือถือ (Mobile Application) เพื่ออํานวยความสะดวกแก่สมาชิกและประชาชนทั้งด้านข้อมูลข่าวสารสิทธิประโยชน์ และใช้บริการออนไลน์ต่างๆ อาทิ การตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิก หรือการเรียกดูยอดเงินในบัญชีของสมาชิก ซึ่งเมื่อระบบงานได้พัฒนาแล้วเสร็จ กอช. ก็ได้เตรียมขยายผลเชื่อมโยงบริการเข้ากับโครงการ National e-Payment ต่อไปด้วยในอนาคต
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร :
โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224
Email : info@nsf.or.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ตั้งคณะอนุกรรมการไอที ดึงผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วม เดินหน้าพัฒนาระบบงานและบริการดิจิทัลเพื่อสมาชิก
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560
กอช. ตั้งคณะอนุกรรมการไอที ดึงผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วม เดินหน้าพัฒนาระบบงานและบริการดิจิทัลเพื่อสมาชิก
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ตั้งคณะอนุกรรมการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ดึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้าร่วม เพื่อเร่งพัฒนาระบบจัดการและบริการสมาชิกรูปแบบดิจิทัลออนไลน์ ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิก
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า คณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศขึ้น โดยมีนายบุญเสริม จิตเจนสุวรรณ กรรมการซึ่งเป็นสมาชิกภาคเหนือ เป็นประธาน มีอนุกรรมการซึ่งประกอบด้วย ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง, นายวิษณุ ตัณฑวิรุฬห์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบความปลอดภัยสารสนเทศข้อมูลขนาดใหญ่ ที่ปรึกษาโครงการ Big Data ของหน่วยงานรัฐหลายแห่ง, นายถิรพันธุ์ สรรพกิจ ผู้ช่วยผู้จัดการ หัวหน้าสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมระบบงานเทคโนโลยี และเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ โดยคณะอนุกรรมการชุดนี้จะทําหน้าที่กําหนดนโยบายและแผนพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์กองทุนการออมแห่งชาติ (พ.ศ. 2560-2564) ที่กําหนดเป้าหมายให้ กอช. มีระบบงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งจัดการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีเสถียรภาพและมีความปลอดภัยของข้อมูล ช่วยลดขั้นตอนความซับซ้อนและระยะเวลาที่ต้องใช้ในการปฏิบัติงาน รวมถึงการออกแบบพัฒนาระบบบริการสมาชิกรูปแบบดิจิทัลออนไลน์ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในกระแสโลก 4.0 ในปัจจุบัน โดยขณะนี้ กอช. อยู่ระหว่างเร่งรัดพัฒนาระบบบริการสมาชิกบนอินเตอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์ หรือ Web Service และการสร้างแอพลิเคชั่นบนมือถือ (Mobile Application) เพื่ออํานวยความสะดวกแก่สมาชิกและประชาชนทั้งด้านข้อมูลข่าวสารสิทธิประโยชน์ และใช้บริการออนไลน์ต่างๆ อาทิ การตรวจสอบคุณสมบัติผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิก หรือการเรียกดูยอดเงินในบัญชีของสมาชิก ซึ่งเมื่อระบบงานได้พัฒนาแล้วเสร็จ กอช. ก็ได้เตรียมขยายผลเชื่อมโยงบริการเข้ากับโครงการ National e-Payment ต่อไปด้วยในอนาคต
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และที่สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร :
โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224
Email : info@nsf.or.th
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5572
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน แจ้งปิดระบบชั่วคราว วันที่ 24 และ 25 กุมภาพันธ์ 2561 ทดสอบแผนสำรองข้อมูลและระบบ
|
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561
ออมสิน แจ้งปิดระบบชั่วคราว วันที่ 24 และ 25 กุมภาพันธ์ 2561 ทดสอบแผนสํารองข้อมูลและระบบ
ธนาคารออมสินแจ้งปิดระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นระยะเวลาชั่วคราว เพื่อทดสอบระบบแผนสํารองข้อมูล ประจําปี 2561 และเปลี่ยนการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายสื่อสาร วันที่ 24 และ 25 กุมภาพันธ์ 2561
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ธนาคารออมสินจึงขอแจ้งปิดระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นระยะเวลาชั่วคราว เพื่อทดสอบระบบแผนสํารองข้อมูล ประจําปี 2561 และเปลี่ยนการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายสื่อสาร โดยจะดําเนินการปิดระบบเพื่อปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งจะทําให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการ Internet Banking ในวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 02.00 - 06.00 น. และ วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 02.00 - 06.00 น. จึงต้องขออภัยลูกค้าทุกท่านในความไม่สะดวกในครั้งนี้ด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Line Official, Facebook : GSB Society หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน แจ้งปิดระบบชั่วคราว วันที่ 24 และ 25 กุมภาพันธ์ 2561 ทดสอบแผนสำรองข้อมูลและระบบ
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561
ออมสิน แจ้งปิดระบบชั่วคราว วันที่ 24 และ 25 กุมภาพันธ์ 2561 ทดสอบแผนสํารองข้อมูลและระบบ
ธนาคารออมสินแจ้งปิดระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นระยะเวลาชั่วคราว เพื่อทดสอบระบบแผนสํารองข้อมูล ประจําปี 2561 และเปลี่ยนการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายสื่อสาร วันที่ 24 และ 25 กุมภาพันธ์ 2561
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ธนาคารออมสินจึงขอแจ้งปิดระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นระยะเวลาชั่วคราว เพื่อทดสอบระบบแผนสํารองข้อมูล ประจําปี 2561 และเปลี่ยนการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายสื่อสาร โดยจะดําเนินการปิดระบบเพื่อปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งจะทําให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการ Internet Banking ในวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 02.00 - 06.00 น. และ วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 02.00 - 06.00 น. จึงต้องขออภัยลูกค้าทุกท่านในความไม่สะดวกในครั้งนี้ด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Line Official, Facebook : GSB Society หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10354
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี
|
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี
เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561) เวลา 13.30 น. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลป์ยะ รองนายกรัฐมนตรี อนุญาติให้นายเหวียน หาย บั่ง (H.E. Mr. Nguyen Hai Bang) เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ ในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล
รองนายกรัฐมนตรีให้การต้อนรับและกล่าวแสดงความยินดีที่เอกอัครราชทูตได้รับการแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทย ทั้งนี้เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทยได้กล่าวขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่ได้สละเวลาให้เข้าเยี่ยมคารวะในครั้งนี้ ซึ่งไทยและเวียดนามมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันมาโดยตลอด โดยประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 นักลงทุนต่างประเทศที่มาลงทุนในเวียดนาม
รองนายกรัฐมนตรีชื่นชมรัฐบาลเวียดนาม ที่ดําเนินการแก้ไขการทําประมงผิดกฎหมาย ซึ่งไทยพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางเพื่อช่วยเหลือ รวมถึงยินดีที่จะสนับสนุนแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายอย่างยั่งยืนซึ่งเอกอัครราชทูตขอบคุณ และแจ้งว่าปัญหาการประมงเป็นปัญหาที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสําคัญ โดยรัฐบาลเวียดนามมีนโยบายในการช่วยเหลือชาวประมงที่มีรายได้ต่ํา อย่างไรก็ตามทางการไทยสามารถแจ้งประเด็นข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทําประมงผิดกฎหมาย มายังทางการเวียดนาม ทางการเวียดนามพร้อมที่จะสนับสนุนและให้ความร่วมมือที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว และขอให้รัฐบาลไทยปฏิบัติต่อชาวเวียดนามภายใต้หลักมนุษยธรรม
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงประเด็นการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ว่า เป็นปัญหาของหลายประเทศ เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลาม และไทยยินดีที่จะให้การช่วยเหลือ ซึ่งเอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทยกล่าวว่าปัญหาการค้ามนุษย์เป็นปัญหาที่เอกอัครราชทูตให้ความสําคัญ และได้เข้าพบเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในประเด็นนี้ด้วยแล้ว
เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทย ได้แสดงความยินดีที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีเข้ารับตําแหน่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในความร่วมมือระหว่างไทยและเวียดนาม เชื่อมั่นว่าภายใต้การทํางานของรองนายกรัฐมนตรีจะสนับสนุนความร่วมมือด้านต่างๆ อาทิ การเมือง การค้า ความมั่นคง และการศึกษา ระหว่างไทยกับเวียดนาม
ในการนี้ เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทยขอบคุณที่รัฐบาลไทย ให้การช่วยเหลือและสนับสนุนด้านศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาอนัมนิกาย อันจะเป็นแหล่งรวมตัวทางศาสนาของชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม และคนไทยที่นับถือพุทธศาสนานิกายดังกล่าว เพื่อธํารงพระพุทธศาสนา อันเป็นที่ยึดเหนียวจิตใจของชาวพุทธ
ซึ่งในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีชื่นชมและเชื่อมั่นว่าภายใต้การดํารงตําแหน่งของเอกอัครราชทูตจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเวียดนามให้แน่นแฟ้นได้เป็นอย่างดี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี
เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561) เวลา 13.30 น. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลป์ยะ รองนายกรัฐมนตรี อนุญาติให้นายเหวียน หาย บั่ง (H.E. Mr. Nguyen Hai Bang) เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ ในโอกาสเข้ารับตําแหน่ง ณ ห้องนารี 2 ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล
รองนายกรัฐมนตรีให้การต้อนรับและกล่าวแสดงความยินดีที่เอกอัครราชทูตได้รับการแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทย ทั้งนี้เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทยได้กล่าวขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีที่ได้สละเวลาให้เข้าเยี่ยมคารวะในครั้งนี้ ซึ่งไทยและเวียดนามมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันมาโดยตลอด โดยประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 นักลงทุนต่างประเทศที่มาลงทุนในเวียดนาม
รองนายกรัฐมนตรีชื่นชมรัฐบาลเวียดนาม ที่ดําเนินการแก้ไขการทําประมงผิดกฎหมาย ซึ่งไทยพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางเพื่อช่วยเหลือ รวมถึงยินดีที่จะสนับสนุนแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายอย่างยั่งยืนซึ่งเอกอัครราชทูตขอบคุณ และแจ้งว่าปัญหาการประมงเป็นปัญหาที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสําคัญ โดยรัฐบาลเวียดนามมีนโยบายในการช่วยเหลือชาวประมงที่มีรายได้ต่ํา อย่างไรก็ตามทางการไทยสามารถแจ้งประเด็นข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทําประมงผิดกฎหมาย มายังทางการเวียดนาม ทางการเวียดนามพร้อมที่จะสนับสนุนและให้ความร่วมมือที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว และขอให้รัฐบาลไทยปฏิบัติต่อชาวเวียดนามภายใต้หลักมนุษยธรรม
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงประเด็นการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ว่า เป็นปัญหาของหลายประเทศ เพื่อไม่ให้ปัญหาลุกลาม และไทยยินดีที่จะให้การช่วยเหลือ ซึ่งเอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทยกล่าวว่าปัญหาการค้ามนุษย์เป็นปัญหาที่เอกอัครราชทูตให้ความสําคัญ และได้เข้าพบเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในประเด็นนี้ด้วยแล้ว
เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทย ได้แสดงความยินดีที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีเข้ารับตําแหน่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในความร่วมมือระหว่างไทยและเวียดนาม เชื่อมั่นว่าภายใต้การทํางานของรองนายกรัฐมนตรีจะสนับสนุนความร่วมมือด้านต่างๆ อาทิ การเมือง การค้า ความมั่นคง และการศึกษา ระหว่างไทยกับเวียดนาม
ในการนี้ เอกอัครราชทูตเวียดนามประจําประเทศไทยขอบคุณที่รัฐบาลไทย ให้การช่วยเหลือและสนับสนุนด้านศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาอนัมนิกาย อันจะเป็นแหล่งรวมตัวทางศาสนาของชาวไทยเชื้อสายเวียดนาม และคนไทยที่นับถือพุทธศาสนานิกายดังกล่าว เพื่อธํารงพระพุทธศาสนา อันเป็นที่ยึดเหนียวจิตใจของชาวพุทธ
ซึ่งในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีชื่นชมและเชื่อมั่นว่าภายใต้การดํารงตําแหน่งของเอกอัครราชทูตจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเวียดนามให้แน่นแฟ้นได้เป็นอย่างดี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9504
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งส่งหน้ากากอนามัย N95 ชุด PPE. ให้โรงพยาบาล [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563
สธ.เร่งส่งหน้ากากอนามัย N95 ชุด PPE. ให้โรงพยาบาล [กระทรวงสาธารณสุข]
กระทรวงสาธารณสุข เร่งจัดส่งหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดป้องกันร่างกาย (PPE) ให้โรงพยาบาลทุกสังกัด ปรับระบบจัดส่งโดยบริษัทไปรษณีย์ไทยเพื่อให้ถึงจังหวัดเร็วขึ้น เตรียมจัดหา N95 เพิ่มอีก 7 แสนชิ้น
วันนี้ (30มีนาคม2563)ที่ทําเนียบรัฐบาล กทม. นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวเรื่องการจัดสรรอุปกรณ์ เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย วางแผนการจัดหา จัดสรร และจัดส่งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ หน้ากากN95และชุดป้องกันตนเองPPE.เพื่อความปลอดภัยของบุคลากรการแพทย์ที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในโรงพยาบาลทุกสังกัด โดยตั้งแต่วันที่7 – 28มีนาคม ได้จัดส่งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ให้แล้ว19.59ล้านชิ้น เป็นโรงพยาบาลในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข10.35ล้านชิ้น กรมอื่นๆ5แสน6หมื่นชิ้น โรงพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข7แสน7หมื่นชิ้น โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย2.48ล้านชิ้นโรงพยาบาลเอกชน4.28ล้านชิ้นโรงพยาบาลสังกัด กทม.1.15ล้านชิ้น
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับจัดสรรหน้ากากอนามัยเพิ่มเป็น1.3ล้านชิ้นต่อวัน ได้จัดส่งให้โรงพยาบาลในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข650,000ชิ้น กรมต่าง ๆ150,000ชิ้น โรงพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข100,000ชิ้น โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย150,000ชิ้น โรงพยาบาลเอกชน150,000ชิ้น และโรงพยาบาลสังกัด กทม.100,000ชิ้น โดยได้ปรับระบบจัดส่งโดยบริษัทไปรษณีย์ไทยส่งจากโรงงานไปยังโรงพยาบาลศูนย์ที่เป็นแม่ข่ายของเขตสุขภาพ เพื่อให้ถึงจังหวัดเร็วขึ้น
สําหรับหน้ากากN95ซึ่งทั่วโลกกําลังขาดแคลนจากความต้องการใช้สูง ตั้งแต่วันที่7-28มีนาคม2563ได้ส่งให้โรงพยาบาลทุกสังกัดแล้ว183,910ชิ้น และคาดประมาณหากจํานวนผู้ป่วย10,000ราย ต้องใช้หน้ากากN95ประมาณ17,000ชิ้นต่อวัน ได้มีแผนการจัดหาเพิ่มอีกประมาณ700,000ชิ้น โดยนําเข้าของบริษัท3 Mจากประเทศอเมริกา2แสนชิ้น บริษัท สยามโคเค็น จํากัด เดือนละ1แสนชิ้น นําเข้าจากประเทศจีนโดยองค์การเภสัชกรรมอีก4แสนชิ้น นอกจากนี้ ได้จัดส่งอุปกรณ์ป้องกันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ได้รับจากรัฐบาลจีนให้เขตสุขภาพ เป็นหน้ากากอนามัย100,000ชิ้น หน้ากากN95จํานวน10,000ชิ้น ชุดPPE. 2,000ชิ้น
นายแพทย์สุขุมกล่าวอีกว่า บ่ายวันนี้ (30มีนาคม2563)ได้รับรายงานจากนายแพทย์วิฑูรย์ด่านวิบูลย์ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir)หรือยาอะวีแกน (Avigan)ที่จัดซื้อจากประเทศญี่ปุ่นจํานวน40,000เม็ดแล้ว และจะจัดสรรจัดส่งให้กรมการแพทย์ โดยโรงพยาบาลราชวิถี จํานวน18,000เม็ด สําหรับกระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ส่งให้กับเขตสุขภาพทั้ง12เขต สําหรับจัดสรรกระจายให้กับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในภูมิภาค จํานวน18,000เม็ด เหลือไว้สํารองสําหรับจัดสรรในกรณีจําเป็นเร่งด่วนอีกจํานวน4,000เม็ด และคาดว่าภายในวันศุกร์ที่จะมีการจัดส่งยาดังกล่าวเข้าจากประเทศจีนเพิ่มอีกจํานวน100,000เม็ด และภายในเดือนเมษายนจะได้รับจากญี่ปุ่นเพิ่มอีก200,000เม็ด และทําการสั่งซื้อเพื่อสํารองเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
*************************************** 30มีนาคม2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งส่งหน้ากากอนามัย N95 ชุด PPE. ให้โรงพยาบาล [กระทรวงสาธารณสุข]
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563
สธ.เร่งส่งหน้ากากอนามัย N95 ชุด PPE. ให้โรงพยาบาล [กระทรวงสาธารณสุข]
กระทรวงสาธารณสุข เร่งจัดส่งหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดป้องกันร่างกาย (PPE) ให้โรงพยาบาลทุกสังกัด ปรับระบบจัดส่งโดยบริษัทไปรษณีย์ไทยเพื่อให้ถึงจังหวัดเร็วขึ้น เตรียมจัดหา N95 เพิ่มอีก 7 แสนชิ้น
วันนี้ (30มีนาคม2563)ที่ทําเนียบรัฐบาล กทม. นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวเรื่องการจัดสรรอุปกรณ์ เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย วางแผนการจัดหา จัดสรร และจัดส่งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ หน้ากากN95และชุดป้องกันตนเองPPE.เพื่อความปลอดภัยของบุคลากรการแพทย์ที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในโรงพยาบาลทุกสังกัด โดยตั้งแต่วันที่7 – 28มีนาคม ได้จัดส่งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ให้แล้ว19.59ล้านชิ้น เป็นโรงพยาบาลในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข10.35ล้านชิ้น กรมอื่นๆ5แสน6หมื่นชิ้น โรงพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข7แสน7หมื่นชิ้น โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย2.48ล้านชิ้นโรงพยาบาลเอกชน4.28ล้านชิ้นโรงพยาบาลสังกัด กทม.1.15ล้านชิ้น
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับจัดสรรหน้ากากอนามัยเพิ่มเป็น1.3ล้านชิ้นต่อวัน ได้จัดส่งให้โรงพยาบาลในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข650,000ชิ้น กรมต่าง ๆ150,000ชิ้น โรงพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข100,000ชิ้น โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย150,000ชิ้น โรงพยาบาลเอกชน150,000ชิ้น และโรงพยาบาลสังกัด กทม.100,000ชิ้น โดยได้ปรับระบบจัดส่งโดยบริษัทไปรษณีย์ไทยส่งจากโรงงานไปยังโรงพยาบาลศูนย์ที่เป็นแม่ข่ายของเขตสุขภาพ เพื่อให้ถึงจังหวัดเร็วขึ้น
สําหรับหน้ากากN95ซึ่งทั่วโลกกําลังขาดแคลนจากความต้องการใช้สูง ตั้งแต่วันที่7-28มีนาคม2563ได้ส่งให้โรงพยาบาลทุกสังกัดแล้ว183,910ชิ้น และคาดประมาณหากจํานวนผู้ป่วย10,000ราย ต้องใช้หน้ากากN95ประมาณ17,000ชิ้นต่อวัน ได้มีแผนการจัดหาเพิ่มอีกประมาณ700,000ชิ้น โดยนําเข้าของบริษัท3 Mจากประเทศอเมริกา2แสนชิ้น บริษัท สยามโคเค็น จํากัด เดือนละ1แสนชิ้น นําเข้าจากประเทศจีนโดยองค์การเภสัชกรรมอีก4แสนชิ้น นอกจากนี้ ได้จัดส่งอุปกรณ์ป้องกันและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ได้รับจากรัฐบาลจีนให้เขตสุขภาพ เป็นหน้ากากอนามัย100,000ชิ้น หน้ากากN95จํานวน10,000ชิ้น ชุดPPE. 2,000ชิ้น
นายแพทย์สุขุมกล่าวอีกว่า บ่ายวันนี้ (30มีนาคม2563)ได้รับรายงานจากนายแพทย์วิฑูรย์ด่านวิบูลย์ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ได้รับยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir)หรือยาอะวีแกน (Avigan)ที่จัดซื้อจากประเทศญี่ปุ่นจํานวน40,000เม็ดแล้ว และจะจัดสรรจัดส่งให้กรมการแพทย์ โดยโรงพยาบาลราชวิถี จํานวน18,000เม็ด สําหรับกระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ส่งให้กับเขตสุขภาพทั้ง12เขต สําหรับจัดสรรกระจายให้กับโรงพยาบาลขนาดใหญ่ในภูมิภาค จํานวน18,000เม็ด เหลือไว้สํารองสําหรับจัดสรรในกรณีจําเป็นเร่งด่วนอีกจํานวน4,000เม็ด และคาดว่าภายในวันศุกร์ที่จะมีการจัดส่งยาดังกล่าวเข้าจากประเทศจีนเพิ่มอีกจํานวน100,000เม็ด และภายในเดือนเมษายนจะได้รับจากญี่ปุ่นเพิ่มอีก200,000เม็ด และทําการสั่งซื้อเพื่อสํารองเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
*************************************** 30มีนาคม2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28151
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบกระทู้ถาม สนช. เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันฟุตบอลในกลุ่มเด็กและเยาวชน
|
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบกระทู้ถาม สนช. เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันฟุตบอลในกลุ่มเด็กและเยาวชน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบกระทู้ถาม สนช. เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันฟุตบอลในกลุ่มเด็กและเยาวชน
วันนี้ (15 มิ.ย.2561) เวลา 10:30 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 1นายสุธี มากบุญรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ตอบกระทู้ถามทั่วไปของนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันบอลในกลุ่มเด็กและเยาวชนโดยมีศาสตราจารย์พิเศษ พรเพชร พิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นประธานที่ประชุม
นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า รัฐบาลโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ตระหนักและให้ความสําคัญกับ
การป้องกันและปราบปรามการเล่นพนันมาโดยตลอด ซึ่งได้กําหนดให้เป็นนโยบายในการจัดระเบียบสังคมและวางมาตรการในการปฏิบัติเพื่อการป้องกันและปราบปรามการเล่นพนันที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และสําหรับในช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018
ในระหว่างวันที่ 14 มิถุนายนถึง 15 กรกฎาคม 2561 นี้ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดําเนินการเพื่อป้องกันการเล่นพนันของนักพนันโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 24/2557 เรื่อง ห้ามให้มีการเล่นการพนันที่ผิดกฎหมาย คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 22/2558 เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทางและการควบคุมสถานบริการหรือสถานปะกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 46/2559 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ด้านการป้องกันและปราบปรามได้บูรณาการส่วนราชการ หน่วยงาน และองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวม 11 หน่วย ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการป้องกันเด็กและเยาวชนจากการพนันฟุตบอลออนไลน์ในช่วงฟุตบอลโลก 2018 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561 กําหนดมาตรการป้องกันเด็กและเยาวชนจากการพนันฟุตบอลออนไลน์ในช่วงฟุตบอลโลก 2018 ใน 4 มิติ 1. มิติการสื่อสารและสร้างความตระหนักให้แก่สังคม 2. มิติการป้องกัน 3. มิติการปราบปรามและการบังคับใช้กฎหมาย และ 4. มิติการช่วยเหลือเยียวยา ซึ่งมีมาตรการสําคัญ 8 มาตรการ ได้แก่ 1) รณรงค์ สื่อสารและสร้างความตระหนักให้แก่สังคมโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนให้ทราบถึงผลกระทบจากการพนันฟุตบอล 2) ส่งเสริมและสนับสนุนองค์ความรู้ สถิติข้อมูลการดําเนินการเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการพนันฟุตบอล 3) ส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานของสภาเด็กและเยาวชนทุกระดับและเครือข่ายเด็กและเยาวชนในการเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแส และจัดกิจกรรมป้องกันการพนันฟุตบอล 4) จัดทําสื่อประชาสัมพันธ์และคลิปรณรงค์สร้างความตระหนักให้เห็นโทษและผลกระทบจากการพนัน 5) ประชาสัมพันธ์ชี้แจงทําความเข้าใจกับผู้ประกอบการสถานบริการ ร้านอินเตอร์เน็ต และร้านเกมส์ ทุกประเภทให้ช่วยสอดส่องดูแลตรวจตราและกวดขันไม่ให้ลักลอบเล่นพนันทายผลฟุตบอล 6) เข้มงวดกวดขันพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายปกครอง ตํารวจ และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง บูรณาการร่วมกันออกตรวจตราสถานบริการ สถานบันเทิง โรงแรม ฯลฯที่เปิดให้บริการรับชมการแข่งขันฟุตบอล ซึ่งอาจแอบแฝงจัดให้มีการลักลอบเล่นการพนัน 7) รณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันฟุตบอลในสถานศึกษา โดยสํานักงานตํารวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ 8) สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและประชาชนในการดําเนินการตามมาตรการป้องกันเด็กและเยาวชนจากการพนันออนไลน์ในช่วงฟุตบอลโลก 2018
ด้านการจับกุมตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. - 13 มิ.ย. 2561สามารถดําเนินคดี จํานวน 1,576 คดี จับกุมผู้ต้องหา 1,660 ราย นอกจากนี้ กองบังคับการปราบปรามการกระทําผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ได้ดําเนินการส่งให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ปิดกั้นเว็บไซต์ที่เข้าข่ายมีการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอล จํานวน 54 ครั้ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างDEตรวจสอบตามกฎหมาย
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นเบาะแสการกระทําผิดสามารถแจ้งได้ตามช่องทาง ดังนี้
1) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 191, 1599
2) ศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด/อําเภอ สายด่วน 1567
3) กระทรวงศึกษาธิการ สายด่วน 1579
4) ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน สพฐ. สายด่วน 0-2288-5599
5) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สายด่วน 1300
6) สายด่วนวัฒนธรรม หรือศูนย์ปฏิบัติการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จังหวัด สายด่วน 1765
7)กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) สายด่วน 0-2142-2555-60
ครั้งที่121/2561 วันที่15 มิ.ย.2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-2222431-2
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบกระทู้ถาม สนช. เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันฟุตบอลในกลุ่มเด็กและเยาวชน
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบกระทู้ถาม สนช. เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันฟุตบอลในกลุ่มเด็กและเยาวชน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอบกระทู้ถาม สนช. เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันฟุตบอลในกลุ่มเด็กและเยาวชน
วันนี้ (15 มิ.ย.2561) เวลา 10:30 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 1นายสุธี มากบุญรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ตอบกระทู้ถามทั่วไปของนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันบอลในกลุ่มเด็กและเยาวชนโดยมีศาสตราจารย์พิเศษ พรเพชร พิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นประธานที่ประชุม
นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า รัฐบาลโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ตระหนักและให้ความสําคัญกับ
การป้องกันและปราบปรามการเล่นพนันมาโดยตลอด ซึ่งได้กําหนดให้เป็นนโยบายในการจัดระเบียบสังคมและวางมาตรการในการปฏิบัติเพื่อการป้องกันและปราบปรามการเล่นพนันที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และสําหรับในช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018
ในระหว่างวันที่ 14 มิถุนายนถึง 15 กรกฎาคม 2561 นี้ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดําเนินการเพื่อป้องกันการเล่นพนันของนักพนันโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 24/2557 เรื่อง ห้ามให้มีการเล่นการพนันที่ผิดกฎหมาย คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 22/2558 เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทางและการควบคุมสถานบริการหรือสถานปะกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 46/2559 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ด้านการป้องกันและปราบปรามได้บูรณาการส่วนราชการ หน่วยงาน และองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวม 11 หน่วย ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการป้องกันเด็กและเยาวชนจากการพนันฟุตบอลออนไลน์ในช่วงฟุตบอลโลก 2018 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561 กําหนดมาตรการป้องกันเด็กและเยาวชนจากการพนันฟุตบอลออนไลน์ในช่วงฟุตบอลโลก 2018 ใน 4 มิติ 1. มิติการสื่อสารและสร้างความตระหนักให้แก่สังคม 2. มิติการป้องกัน 3. มิติการปราบปรามและการบังคับใช้กฎหมาย และ 4. มิติการช่วยเหลือเยียวยา ซึ่งมีมาตรการสําคัญ 8 มาตรการ ได้แก่ 1) รณรงค์ สื่อสารและสร้างความตระหนักให้แก่สังคมโดยเฉพาะเด็กและเยาวชนให้ทราบถึงผลกระทบจากการพนันฟุตบอล 2) ส่งเสริมและสนับสนุนองค์ความรู้ สถิติข้อมูลการดําเนินการเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการพนันฟุตบอล 3) ส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานของสภาเด็กและเยาวชนทุกระดับและเครือข่ายเด็กและเยาวชนในการเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแส และจัดกิจกรรมป้องกันการพนันฟุตบอล 4) จัดทําสื่อประชาสัมพันธ์และคลิปรณรงค์สร้างความตระหนักให้เห็นโทษและผลกระทบจากการพนัน 5) ประชาสัมพันธ์ชี้แจงทําความเข้าใจกับผู้ประกอบการสถานบริการ ร้านอินเตอร์เน็ต และร้านเกมส์ ทุกประเภทให้ช่วยสอดส่องดูแลตรวจตราและกวดขันไม่ให้ลักลอบเล่นพนันทายผลฟุตบอล 6) เข้มงวดกวดขันพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายปกครอง ตํารวจ และพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง บูรณาการร่วมกันออกตรวจตราสถานบริการ สถานบันเทิง โรงแรม ฯลฯที่เปิดให้บริการรับชมการแข่งขันฟุตบอล ซึ่งอาจแอบแฝงจัดให้มีการลักลอบเล่นการพนัน 7) รณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหาการเล่นพนันฟุตบอลในสถานศึกษา โดยสํานักงานตํารวจแห่งชาติร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ 8) สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและประชาชนในการดําเนินการตามมาตรการป้องกันเด็กและเยาวชนจากการพนันออนไลน์ในช่วงฟุตบอลโลก 2018
ด้านการจับกุมตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. - 13 มิ.ย. 2561สามารถดําเนินคดี จํานวน 1,576 คดี จับกุมผู้ต้องหา 1,660 ราย นอกจากนี้ กองบังคับการปราบปรามการกระทําผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ได้ดําเนินการส่งให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ปิดกั้นเว็บไซต์ที่เข้าข่ายมีการลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอล จํานวน 54 ครั้ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างDEตรวจสอบตามกฎหมาย
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเห็นเบาะแสการกระทําผิดสามารถแจ้งได้ตามช่องทาง ดังนี้
1) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สายด่วน 191, 1599
2) ศูนย์ดํารงธรรมกระทรวงมหาดไทย ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด/อําเภอ สายด่วน 1567
3) กระทรวงศึกษาธิการ สายด่วน 1579
4) ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน สพฐ. สายด่วน 0-2288-5599
5) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สายด่วน 1300
6) สายด่วนวัฒนธรรม หรือศูนย์ปฏิบัติการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์จังหวัด สายด่วน 1765
7)กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) สายด่วน 0-2142-2555-60
ครั้งที่121/2561 วันที่15 มิ.ย.2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-2222431-2
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13080
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.ต่อยอดความสำเร็จประกันภัยข้าวนาปี “ชงลดเบี้ย–เพิ่มความคุ้มครอง” ชี้ชาวนาไทยได้ประโยชน์เต็มๆ พร้อมเดินสายให้ความรู้ด้านประกันภัยผ่าน Training for the Trainers
|
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560
คปภ.ต่อยอดความสําเร็จประกันภัยข้าวนาปี “ชงลดเบี้ย–เพิ่มความคุ้มครอง” ชี้ชาวนาไทยได้ประโยชน์เต็มๆ พร้อมเดินสายให้ความรู้ด้านประกันภัยผ่าน Training for the Trainers
คปภ.ต่อยอดความสําเร็จประกันภัยข้าวนาปี “ชงลดเบี้ย–เพิ่มความคุ้มครอง” ชี้ชาวนาไทยได้ประโยชน์เต็มๆ พร้อมเดินสายให้ความรู้ด้านประกันภัยผ่าน Training for the Trainers
สํานักงาน คปภ. รุกขับเคลื่อนกลไกการประกันภัยพืชผล สร้างเครือข่ายกระจายความรู้ด้านการประกันภัย เพื่อต่อยอดช่วยเกษตรกรไทยสู้ภัยธรรมชาติ ผ่านโครงการอบรมความรู้ประกันภัย “Training for the Trainers” ปี 2560 ลงพื้นที่ประเดิมที่จังหวัดขอนแก่น โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับการอบรมกว่า 300 คน
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในเรื่องของการปฏิรูปการประกันภัยพืชผล เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตและยกระดับรายได้ของเกษตรกรไทย ซึ่งสํานักงาน คปภ. ได้ร่วมบูรณาการกับสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และสมาคมประกันวินาศภัยไทย โดยในปี 2559 ได้มีการจัดอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการประกันภัยพืชผลในทุกภาค ซึ่งการจัดอบรมตามโครงการในปีที่แล้วประสบผลสําเร็จอย่างดียิ่ง และส่งผลให้มีเกษตรกรทําประกันภัยข้าวนาปีในปี 2559 รวมทั้งสิ้น 1.51 ล้านราย มีพื้นที่เอาประกันภัย จํานวน 27.17 ล้านไร่ ในจํานวนนี้มีพื้นที่ประสบภัยทั่วประเทศ 624,770 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ประกาศภัยพิบัติ 620,229 ไร่ และพื้นที่ไม่ประกาศภัยพิบัติ 4,541 ไร่ มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 684.98 ล้านบาท
ทั้งนี้เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับชาวนาไทยและสร้างแรงจูงใจให้กับชาวนาไทยเข้าสู่ระบบการบริหารความเสี่ยงภัยได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในปี 2560 ได้มีการหารือกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจนได้ข้อสรุปที่เห็นตรงกันว่าจะมีการปรับลดเบี้ยประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 ให้ต่ํากว่าเบี้ยประกันภัยข้าวนาปีของปี 2559 ขณะที่ในส่วนของความคุ้มครองจะเพิ่มให้สูงกว่าเดิมและจะครอบคลุมความเสียหายจากน้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้ว หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุใต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ ตลอดจนความเสียหายจากศัตรูพืชหรือโรคระบาด โดยทางสํานักงาน คปภ. จะได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงการคลังรายงานข้อสรุปดังกล่าว เพื่อนําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณานําเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้เกษตรกรต่อไป
“การประกันภัยข้าวนาปีในปีนี้ถือเป็นการต่อยอดความสําเร็จจากปีที่แล้ว และถึงแม้ว่าปีที่แล้วจะมีระยะเวลาขายกรมธรรม์ให้กับชาวนาอย่างกระชั้นชิดในช่วงฤดูใกล้ทํานาแล้วก็ตาม แต่ด้วยความร่วมมือแบบบูรณาการทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญต่อการช่วยเหลือชาวนาอย่างจริงจังทําให้การประกันภัยข้าวนาปีสูงเป็นประวัติศาสตร์ ถึง 27.17 ล้านไร่ สําหรับในปีนี้ได้มีการวิเคราะห์สภาพปัญหาในปีที่แล้ว เพื่อแก้ไขและต่อยอดความสําเร็จ ซึ่งเชื่อว่าหากมีการเริ่มการดําเนินการให้เร็วขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาก็จะทําให้การบริหารจัดการมีความคล่องตัวและเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
ดร.สุทธิพล กล่าวด้วยว่า ในส่วนของสํานักงาน คปภ. ยังคงเดินหน้าจัดโครงการอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) ซึ่งถือเป็นโครงการต่อยอดจากปี 2559 ที่ผ่านมาเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการปฏิรูปการประกันภัยพืชผลให้มีความต่อเนื่องและยั่งยืน และเป็นเครื่องมือสําคัญในการบริหารความเสี่ยงภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านประกันภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถนําความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกร ซึ่งในปีนี้ได้เพิ่มความเข้มข้นโดย เลขาธิการ คปภ. และคณะได้ลงพื้นที่ในชุมชนเพื่อประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกลุ่มเกษตรกรชาวนาในพื้นที่เพื่อรับฟังสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะด้วยตนเอง
สําหรับโครงการอบรมในปีนี้ สํานักงาน คปภ. ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการจัดส่งเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ มาเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับหลักการประกันภัยข้าวนาปี และการบริหารความเสี่ยงด้วยการประกันภัย โดยเฉพาะเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ขั้นตอนการขอรับค่าสินไหมทดแทน และหลักการพิจารณาการประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน
รวมถึงการจัดทํา Workshop พร้อมยกกรณีศึกษาการรับประกันภัยข้าวนาปี เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการใช้ระบบประกันภัยแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ซึ่งการจัดอบรมอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) ในปี 2560 มีกําหนดจัดอบรม 9 ครั้ง 9 จังหวัด โดยประเดิมจัดครั้งแรกที่ จ.ขอนแก่น ต่อด้วย จ.นครสวรรค์ จ.สุโขทัย จ.ฉะเชิงเทรา จ.เพชรบุรี จ.บุรีรัมย์ จ.ร้อยเอ็ด จ.สกลนคร และ จ.สงขลา ตามลําดับ เพื่อให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งสํานักงาน คปภ. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้เข้ารับการอบรมจากโครงการดังกล่าวจะได้นําความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน และขยายผลไปถึงเกษตรกร ชาวนา ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนในการปฏิรูปประกันภัยพืชผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.ต่อยอดความสำเร็จประกันภัยข้าวนาปี “ชงลดเบี้ย–เพิ่มความคุ้มครอง” ชี้ชาวนาไทยได้ประโยชน์เต็มๆ พร้อมเดินสายให้ความรู้ด้านประกันภัยผ่าน Training for the Trainers
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560
คปภ.ต่อยอดความสําเร็จประกันภัยข้าวนาปี “ชงลดเบี้ย–เพิ่มความคุ้มครอง” ชี้ชาวนาไทยได้ประโยชน์เต็มๆ พร้อมเดินสายให้ความรู้ด้านประกันภัยผ่าน Training for the Trainers
คปภ.ต่อยอดความสําเร็จประกันภัยข้าวนาปี “ชงลดเบี้ย–เพิ่มความคุ้มครอง” ชี้ชาวนาไทยได้ประโยชน์เต็มๆ พร้อมเดินสายให้ความรู้ด้านประกันภัยผ่าน Training for the Trainers
สํานักงาน คปภ. รุกขับเคลื่อนกลไกการประกันภัยพืชผล สร้างเครือข่ายกระจายความรู้ด้านการประกันภัย เพื่อต่อยอดช่วยเกษตรกรไทยสู้ภัยธรรมชาติ ผ่านโครงการอบรมความรู้ประกันภัย “Training for the Trainers” ปี 2560 ลงพื้นที่ประเดิมที่จังหวัดขอนแก่น โดยมีตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับการอบรมกว่า 300 คน
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในเรื่องของการปฏิรูปการประกันภัยพืชผล เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตและยกระดับรายได้ของเกษตรกรไทย ซึ่งสํานักงาน คปภ. ได้ร่วมบูรณาการกับสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมการปกครอง กรมการพัฒนาชุมชน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และสมาคมประกันวินาศภัยไทย โดยในปี 2559 ได้มีการจัดอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการประกันภัยพืชผลในทุกภาค ซึ่งการจัดอบรมตามโครงการในปีที่แล้วประสบผลสําเร็จอย่างดียิ่ง และส่งผลให้มีเกษตรกรทําประกันภัยข้าวนาปีในปี 2559 รวมทั้งสิ้น 1.51 ล้านราย มีพื้นที่เอาประกันภัย จํานวน 27.17 ล้านไร่ ในจํานวนนี้มีพื้นที่ประสบภัยทั่วประเทศ 624,770 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ประกาศภัยพิบัติ 620,229 ไร่ และพื้นที่ไม่ประกาศภัยพิบัติ 4,541 ไร่ มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว รวมทั้งสิ้น 684.98 ล้านบาท
ทั้งนี้เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับชาวนาไทยและสร้างแรงจูงใจให้กับชาวนาไทยเข้าสู่ระบบการบริหารความเสี่ยงภัยได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในปี 2560 ได้มีการหารือกับสมาคมประกันวินาศภัยไทยและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจนได้ข้อสรุปที่เห็นตรงกันว่าจะมีการปรับลดเบี้ยประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 ให้ต่ํากว่าเบี้ยประกันภัยข้าวนาปีของปี 2559 ขณะที่ในส่วนของความคุ้มครองจะเพิ่มให้สูงกว่าเดิมและจะครอบคลุมความเสียหายจากน้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้ว หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุใต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ ตลอดจนความเสียหายจากศัตรูพืชหรือโรคระบาด โดยทางสํานักงาน คปภ. จะได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงการคลังรายงานข้อสรุปดังกล่าว เพื่อนําเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณานําเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้เกษตรกรต่อไป
“การประกันภัยข้าวนาปีในปีนี้ถือเป็นการต่อยอดความสําเร็จจากปีที่แล้ว และถึงแม้ว่าปีที่แล้วจะมีระยะเวลาขายกรมธรรม์ให้กับชาวนาอย่างกระชั้นชิดในช่วงฤดูใกล้ทํานาแล้วก็ตาม แต่ด้วยความร่วมมือแบบบูรณาการทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญต่อการช่วยเหลือชาวนาอย่างจริงจังทําให้การประกันภัยข้าวนาปีสูงเป็นประวัติศาสตร์ ถึง 27.17 ล้านไร่ สําหรับในปีนี้ได้มีการวิเคราะห์สภาพปัญหาในปีที่แล้ว เพื่อแก้ไขและต่อยอดความสําเร็จ ซึ่งเชื่อว่าหากมีการเริ่มการดําเนินการให้เร็วขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาก็จะทําให้การบริหารจัดการมีความคล่องตัวและเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”
ดร.สุทธิพล กล่าวด้วยว่า ในส่วนของสํานักงาน คปภ. ยังคงเดินหน้าจัดโครงการอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) ซึ่งถือเป็นโครงการต่อยอดจากปี 2559 ที่ผ่านมาเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการปฏิรูปการประกันภัยพืชผลให้มีความต่อเนื่องและยั่งยืน และเป็นเครื่องมือสําคัญในการบริหารความเสี่ยงภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านประกันภัยให้แก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถนําความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกร ซึ่งในปีนี้ได้เพิ่มความเข้มข้นโดย เลขาธิการ คปภ. และคณะได้ลงพื้นที่ในชุมชนเพื่อประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกลุ่มเกษตรกรชาวนาในพื้นที่เพื่อรับฟังสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะด้วยตนเอง
สําหรับโครงการอบรมในปีนี้ สํานักงาน คปภ. ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการจัดส่งเจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ มาเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับหลักการประกันภัยข้าวนาปี และการบริหารความเสี่ยงด้วยการประกันภัย โดยเฉพาะเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ขั้นตอนการขอรับค่าสินไหมทดแทน และหลักการพิจารณาการประกาศเป็นเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน
รวมถึงการจัดทํา Workshop พร้อมยกกรณีศึกษาการรับประกันภัยข้าวนาปี เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการใช้ระบบประกันภัยแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ซึ่งการจัดอบรมอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) ในปี 2560 มีกําหนดจัดอบรม 9 ครั้ง 9 จังหวัด โดยประเดิมจัดครั้งแรกที่ จ.ขอนแก่น ต่อด้วย จ.นครสวรรค์ จ.สุโขทัย จ.ฉะเชิงเทรา จ.เพชรบุรี จ.บุรีรัมย์ จ.ร้อยเอ็ด จ.สกลนคร และ จ.สงขลา ตามลําดับ เพื่อให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งสํานักงาน คปภ. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้เข้ารับการอบรมจากโครงการดังกล่าวจะได้นําความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน และขยายผลไปถึงเกษตรกร ชาวนา ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนในการปฏิรูปประกันภัยพืชผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3596
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โลกสนใจ ใช้ E-Commerce ต่อยอดการพัฒนา
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
โลกสนใจ ใช้ E-Commerce ต่อยอดการพัฒนา
นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) E-Commerce Week 2017 ระหว่างวันที่ 24-27 เมษายน 2560 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
โดยมีผู้แทนระดับสูงจากภาครัฐและผู้บริหารระดับสูงของเอกชนเข้าร่วม
นายวินิจฉัยฯ เปิดเผยว่า ประเด็นหลักของการประชุม คือการขยายโอกาสในการใช้ประโยชน์จาก e-commerce ให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะสตรี ผู้มีรายได้น้อย และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ประกอบไปด้วยการอภิปรายในประเด็นที่เกี่ยวกับ Cybersecurity การคุ้มครองผู้บริโภค และการนําเทคโนโลยีมาช่วย เรื่องการทําธุรกรรมทางการเงิน เป็นต้น การเปิดตัว eTrade for all online ซึ่งเป็นการร่วมงานของ UNCTAD กับหลายภาคส่วน เพื่ออํานวยความสะดวกต่อการเข้าถึงข้อมูลโครงการพัฒนาศักยภาพและความร่วมมือต่างๆ โดยผ่านทางเว็บไซต์ eTradeforall.org ซึ่งมีข้อมูลสถิติทางการใช้ e-Commerce ของกว่า 150 ประเทศ และโครงการต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศกําลังพัฒนา ใน 7 หัวข้อ ได้แก่ การประเมินความพร้อมทางด้าน e-commerce โครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ระบบการชําระเงิน โลจิสติกส์ กฎหมาย การพัฒนาทักษะ และการระดมทุน และในอนาคตจะครอบคลุมถึงการเชื่อมโยงผู้บริจาคสําหรับโครงการที่ประเทศกําลังพัฒนาต้องการอีกด้วย
ในโอกาสนี้ นายวินิจฉัยฯ ได้เข้าร่วมการหารือระดับรัฐมนตรี กลุ่ม Friends of E-commerce for Development กับรัฐมนตรีจากประเทศอาร์เจนตินา คอสตาริกา เคนยา ไนจีเรีย ปากีสถาน และศรีลังกา และได้ร่วมแสดงความเห็นในหัวข้อดําเนินงานเพื่อให้เกิดความสอดคล้องของนโยบายของทุกภาคส่วนเพื่อให้ผู้ด้อยโอกาสสามารถใช้ประโยชน์จาก e-commerce ได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ทางกลุ่มได้ประกาศ Roadmap สําหรับการค้าระหว่างประเทศและการพัฒนา เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน
นอกจากนั้น นายวินิจฉัยฯ ได้ร่วมแสดงความเห็นถึงการที่ไทยให้ความสําคัญต่อ SMEs รวมทั้งการพัฒนานโยบายบรอดแบรนด์แห่งชาติ ซึ่งตั้งเป้าหมายให้ประชาชนไทยร้อยละ 95 ได้ใช้บรอดแบรนด์ภายในปี 2563 โดย เน้นย้ําว่ารัฐบาลไทยทํางานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนให้ MSMEs ใช้ประโยชน์จาก e-commerce และให้ประชาชนซื้อขายออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย และยังร่วมแสดงความคิดเห็นในหัวข้อการสนับสนุน MSMEs และผู้ประกอบการ ซึ่งมีผู้ร่วมอภิปรายเกียรติยศ 5 ราย ได้แก่ เลขาธิการ UNCTAD ผู้อํานวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) เลขาธิการสหภาพโทรคมนาคมนานาชาติ (ITU) ผู้อํานวยการใหญ่ขององค์กร Consumers International และนาย Jack Ma ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้งบริษัท Alibaba ซึ่งปัจจุบันทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของ UNCTAD ในด้านการส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ทั้งนี้ นาย Jack Ma ได้รับเกียรติให้กล่าวปิดการประชุม และแสดงความเห็นว่า e-commerce เป็นเครื่องมือของประเทศกําลังพัฒนา โดยช่วยให้ MSMEs สามารถแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดโลกได้ ทั้งนี้ การอบรมผู้ประกอบการ MSMEs ควรเลือกผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 30 เพราะเติบโตมาพร้อมกับระบบอินเทอร์เน็ต และให้ความเห็นว่าในอนาคตอันใกล้ จะมีสตรีเข้าสู่ตําแหน่งผู้บริหารบริษัทมากกว่าร้อยละ 30 ขึ้นไป เพราะมีความเอาใจใส่ดูแลดีกว่าเพศชาย
การประชุมโต๊ะกลม เป็นอีกกิจกรรมที่จัดขึ้นระหว่าง e-commerce week โดย World Economic Forum เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการใช้ digital trade ในการพัฒนาอย่างทั่วถึง ซึ่งนายวินิจฉัยฯ ได้กล่าวถึงโครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนของไทยที่ประสบความสําเร็จ ทั้งความช่วยเหลือด้านการพัฒนาทักษะผู้ประกอบการ และความร่วมมือโดยตรงกับ platforms ของต่างประเทศ เช่น การเชื่อมโยง Thaitrade.com เข้ากับ Tradeindia และ Alibaba
นอกจากนี้ ได้ร่วมเป็นผู้กล่าวเปิดงานเสวนาของ ASEAN ในหัวข้อ "Can E-Commerce Trade Rules Help MSMEs in Developing Countries" ซึ่งจัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของประเทศกําลังพัฒนาโดยเฉพาะอาเซียน รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคจากมุมมองของภาคธุรกิจเอกชน และกล่าวถึงการดําเนินงานของอาเซียนเพื่อสนับสนุนการใช้ e-commerce และประโยชน์ที่ทุกฝ่ายจะได้รับจากกฎเกณฑ์ทางการค้าที่โปร่งใส เป็นธรรม ปกป้องผู้บริโภค และไม่เป็นการกีดกันการเติบโตของเทคโนโลยี
ประโยชน์ของการเข้าร่วมงาน UNCTAD E-Commerce Week ในครั้งนี้ สรุปได้ว่า นอกจากไทยจะได้ร่วมแสดงถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาและเติบโตด้าน e-commerce โดยได้สนับสนุน MSMEs ไทยในการใช้ e-commerce เป็นเครื่องมือในการทําธุรกิจแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ได้รับทราบถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านการค้าและความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จาก etradeforall.com เพื่อเป็นช่องทางสนับสนุนด้านเงินทุนและโครงการพัฒนาต่างๆ ที่จะสามารถนํามาต่อยอดพัฒนาการดําเนินการของไทยด้าน e-commerce ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โลกสนใจ ใช้ E-Commerce ต่อยอดการพัฒนา
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560
โลกสนใจ ใช้ E-Commerce ต่อยอดการพัฒนา
นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) E-Commerce Week 2017 ระหว่างวันที่ 24-27 เมษายน 2560 ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
โดยมีผู้แทนระดับสูงจากภาครัฐและผู้บริหารระดับสูงของเอกชนเข้าร่วม
นายวินิจฉัยฯ เปิดเผยว่า ประเด็นหลักของการประชุม คือการขยายโอกาสในการใช้ประโยชน์จาก e-commerce ให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะสตรี ผู้มีรายได้น้อย และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ประกอบไปด้วยการอภิปรายในประเด็นที่เกี่ยวกับ Cybersecurity การคุ้มครองผู้บริโภค และการนําเทคโนโลยีมาช่วย เรื่องการทําธุรกรรมทางการเงิน เป็นต้น การเปิดตัว eTrade for all online ซึ่งเป็นการร่วมงานของ UNCTAD กับหลายภาคส่วน เพื่ออํานวยความสะดวกต่อการเข้าถึงข้อมูลโครงการพัฒนาศักยภาพและความร่วมมือต่างๆ โดยผ่านทางเว็บไซต์ eTradeforall.org ซึ่งมีข้อมูลสถิติทางการใช้ e-Commerce ของกว่า 150 ประเทศ และโครงการต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศกําลังพัฒนา ใน 7 หัวข้อ ได้แก่ การประเมินความพร้อมทางด้าน e-commerce โครงสร้างพื้นฐานด้าน IT ระบบการชําระเงิน โลจิสติกส์ กฎหมาย การพัฒนาทักษะ และการระดมทุน และในอนาคตจะครอบคลุมถึงการเชื่อมโยงผู้บริจาคสําหรับโครงการที่ประเทศกําลังพัฒนาต้องการอีกด้วย
ในโอกาสนี้ นายวินิจฉัยฯ ได้เข้าร่วมการหารือระดับรัฐมนตรี กลุ่ม Friends of E-commerce for Development กับรัฐมนตรีจากประเทศอาร์เจนตินา คอสตาริกา เคนยา ไนจีเรีย ปากีสถาน และศรีลังกา และได้ร่วมแสดงความเห็นในหัวข้อดําเนินงานเพื่อให้เกิดความสอดคล้องของนโยบายของทุกภาคส่วนเพื่อให้ผู้ด้อยโอกาสสามารถใช้ประโยชน์จาก e-commerce ได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ทางกลุ่มได้ประกาศ Roadmap สําหรับการค้าระหว่างประเทศและการพัฒนา เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน
นอกจากนั้น นายวินิจฉัยฯ ได้ร่วมแสดงความเห็นถึงการที่ไทยให้ความสําคัญต่อ SMEs รวมทั้งการพัฒนานโยบายบรอดแบรนด์แห่งชาติ ซึ่งตั้งเป้าหมายให้ประชาชนไทยร้อยละ 95 ได้ใช้บรอดแบรนด์ภายในปี 2563 โดย เน้นย้ําว่ารัฐบาลไทยทํางานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนให้ MSMEs ใช้ประโยชน์จาก e-commerce และให้ประชาชนซื้อขายออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย และยังร่วมแสดงความคิดเห็นในหัวข้อการสนับสนุน MSMEs และผู้ประกอบการ ซึ่งมีผู้ร่วมอภิปรายเกียรติยศ 5 ราย ได้แก่ เลขาธิการ UNCTAD ผู้อํานวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) เลขาธิการสหภาพโทรคมนาคมนานาชาติ (ITU) ผู้อํานวยการใหญ่ขององค์กร Consumers International และนาย Jack Ma ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้งบริษัท Alibaba ซึ่งปัจจุบันทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของ UNCTAD ในด้านการส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ทั้งนี้ นาย Jack Ma ได้รับเกียรติให้กล่าวปิดการประชุม และแสดงความเห็นว่า e-commerce เป็นเครื่องมือของประเทศกําลังพัฒนา โดยช่วยให้ MSMEs สามารถแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดโลกได้ ทั้งนี้ การอบรมผู้ประกอบการ MSMEs ควรเลือกผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 30 เพราะเติบโตมาพร้อมกับระบบอินเทอร์เน็ต และให้ความเห็นว่าในอนาคตอันใกล้ จะมีสตรีเข้าสู่ตําแหน่งผู้บริหารบริษัทมากกว่าร้อยละ 30 ขึ้นไป เพราะมีความเอาใจใส่ดูแลดีกว่าเพศชาย
การประชุมโต๊ะกลม เป็นอีกกิจกรรมที่จัดขึ้นระหว่าง e-commerce week โดย World Economic Forum เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการใช้ digital trade ในการพัฒนาอย่างทั่วถึง ซึ่งนายวินิจฉัยฯ ได้กล่าวถึงโครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนของไทยที่ประสบความสําเร็จ ทั้งความช่วยเหลือด้านการพัฒนาทักษะผู้ประกอบการ และความร่วมมือโดยตรงกับ platforms ของต่างประเทศ เช่น การเชื่อมโยง Thaitrade.com เข้ากับ Tradeindia และ Alibaba
นอกจากนี้ ได้ร่วมเป็นผู้กล่าวเปิดงานเสวนาของ ASEAN ในหัวข้อ "Can E-Commerce Trade Rules Help MSMEs in Developing Countries" ซึ่งจัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของประเทศกําลังพัฒนาโดยเฉพาะอาเซียน รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคจากมุมมองของภาคธุรกิจเอกชน และกล่าวถึงการดําเนินงานของอาเซียนเพื่อสนับสนุนการใช้ e-commerce และประโยชน์ที่ทุกฝ่ายจะได้รับจากกฎเกณฑ์ทางการค้าที่โปร่งใส เป็นธรรม ปกป้องผู้บริโภค และไม่เป็นการกีดกันการเติบโตของเทคโนโลยี
ประโยชน์ของการเข้าร่วมงาน UNCTAD E-Commerce Week ในครั้งนี้ สรุปได้ว่า นอกจากไทยจะได้ร่วมแสดงถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาและเติบโตด้าน e-commerce โดยได้สนับสนุน MSMEs ไทยในการใช้ e-commerce เป็นเครื่องมือในการทําธุรกิจแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ได้รับทราบถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีด้านการค้าและความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จาก etradeforall.com เพื่อเป็นช่องทางสนับสนุนด้านเงินทุนและโครงการพัฒนาต่างๆ ที่จะสามารถนํามาต่อยอดพัฒนาการดําเนินการของไทยด้าน e-commerce ต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3489
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เป็นประธานงานแถลงข่าวของสมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จันทร์ และเอเชียอาคเนย์
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2562
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เป็นประธานงานแถลงข่าวของสมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จันทร์ และเอเชียอาคเนย์
นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นประธานงานแถลงข่าวของสมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จันทร์ และเอเชียอาคเนย์ ณ ห้อง แกรนด์บอลรูม โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ
วันนี้ (17 ตุลาคม 2562) เวลา 13.30 น. นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นประธานงานแถลงข่าวของสมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จันทร์ และเอเชียอาคเนย์ จัดโดย สมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จีน และเอเชียอาคเนย์ โดยมี นายพิษณุ เหรียญมหาสาร นายกสมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จีน และเอเชียอาคเนย์ ให้การต้อนรับ ณ ห้อง แกรนด์บอลรูม โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ
สําหรับ สมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จีน และเอเชียอาคเนย์ จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างไทย-จีน และกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมและให้การช่วยเหลือสมาชิกและผู้ประกอบการไทย ที่มีความประสงค์จะทําการค้าระหว่างประเทศ เพื่อการขยายธุรกิจของผู้ประกอบการไทยไปสู่ตลาดในประเทศจีนและกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ขาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ CLMV โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจในการทําธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เป็นประธานงานแถลงข่าวของสมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จันทร์ และเอเชียอาคเนย์
วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2562
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เป็นประธานงานแถลงข่าวของสมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จันทร์ และเอเชียอาคเนย์
นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นประธานงานแถลงข่าวของสมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จันทร์ และเอเชียอาคเนย์ ณ ห้อง แกรนด์บอลรูม โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ
วันนี้ (17 ตุลาคม 2562) เวลา 13.30 น. นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นประธานงานแถลงข่าวของสมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จันทร์ และเอเชียอาคเนย์ จัดโดย สมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จีน และเอเชียอาคเนย์ โดยมี นายพิษณุ เหรียญมหาสาร นายกสมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จีน และเอเชียอาคเนย์ ให้การต้อนรับ ณ ห้อง แกรนด์บอลรูม โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ
สําหรับ สมาคมการค้าส่งเสริมธุรกิจไทย-จีน และเอเชียอาคเนย์ จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างไทย-จีน และกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมและให้การช่วยเหลือสมาชิกและผู้ประกอบการไทย ที่มีความประสงค์จะทําการค้าระหว่างประเทศ เพื่อการขยายธุรกิจของผู้ประกอบการไทยไปสู่ตลาดในประเทศจีนและกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ขาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ CLMV โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจในการทําธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23892
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ประชุมหารือแนวทางชักจูงนักธุรกิจไทยลงทุนใน Rubber City
|
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2563
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ประชุมหารือแนวทางชักจูงนักธุรกิจไทยลงทุนใน Rubber City
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อชักจูงนักธุรกิจไทยผู้สนใจลงทุนใน Rubber City ณ สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อชักจูงนักธุรกิจไทยผู้สนใจลงทุนใน Rubber City โดยหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ และกลุ่มบริษัทนักลงทุนไทย เข้าร่วม ณ สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
โดยประเด็นในการหารือ มุ่งเน้นเกี่ยวกับการต่อยอดอุตสาหกรรมที่ใช้ยางธรรมชาติเป็นวัตถุดิบ อีกทั้งแสดงถึงความพร้อมของ Rubber City ที่สามารถรองรับการจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรม และผลักดันให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน โดยมีภาครัฐและสถานศึกษาในพื้นที่ร่วมอํานวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ แก่นักลงทุนอีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ประชุมหารือแนวทางชักจูงนักธุรกิจไทยลงทุนใน Rubber City
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2563
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ประชุมหารือแนวทางชักจูงนักธุรกิจไทยลงทุนใน Rubber City
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อชักจูงนักธุรกิจไทยผู้สนใจลงทุนใน Rubber City ณ สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อชักจูงนักธุรกิจไทยผู้สนใจลงทุนใน Rubber City โดยหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วย สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ และกลุ่มบริษัทนักลงทุนไทย เข้าร่วม ณ สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ ต.ฉลุง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
โดยประเด็นในการหารือ มุ่งเน้นเกี่ยวกับการต่อยอดอุตสาหกรรมที่ใช้ยางธรรมชาติเป็นวัตถุดิบ อีกทั้งแสดงถึงความพร้อมของ Rubber City ที่สามารถรองรับการจัดตั้งโรงงานอุตสาหกรรม และผลักดันให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน โดยมีภาครัฐและสถานศึกษาในพื้นที่ร่วมอํานวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ แก่นักลงทุนอีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33844
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์เผยแพร่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจำปี 2560 ครั้งที่ 1/2560
|
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560
รมต.นร.ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์เผยแพร่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจําปี 2560 ครั้งที่ 1/2560
รมต.นร.ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์เผยแพร่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจําปี 2560 ครั้งที่ 1/2560
วันนี้ (16 มิถุนายน 2560) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์เผยแพร่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจําปี 2560 ครั้งที่ 1/2560
ภายหลังการประชุม รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงสรุปผลการประชุมว่างานสัปดาห์เผยแพร่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจําปี 2560 จะเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 4 - 9 กรกฎาคม 2560 โดยส่วนราชการภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรการกุศลต่าง ๆ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดําเนินการจัดงานทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ ตลอดจนวัดไทยในต่างประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ร่วมใจพร้อมกันจัดงานดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงเพิ่มเติมว่าในวันที่ 9 กรกฎาคม 2560 คาดว่าจะมีพุทธศาสนิกชนมาร่วมงานในวันดังกล่าวไม่น้อยกว่า 5 หมื่นคน ทั้งนี้ ในเรื่องของการดูแลด้านการรักษาความปลอดภัยนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีการเตรียมจัดเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตํารวจมาดูแลด้านความปลอดภัยในทุกจุดที่มีการจัดงานอย่างทั่วถึง อีกทั้งยังได้เตรียมรถโดยสารสาธารณะเพิ่มจํานวนมากขึ้นในเส้นทางที่มีการจัดงานดังกล่าว พร้อมทั้งได้กล่าวขอบคุณจังหวัดนครปฐมที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการจัดงานฯ ด้วยดีเป็นประจําทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้ได้มีการจัดเต็นท์ขนาดใหญ่ รวมถึงน้ําดื่มและอาหารให้บริการกับพี่น้องประชาชนที่จะมาร่วมงานดังกล่าวอย่างเต็มที่อีกด้วย
****************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์เผยแพร่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจำปี 2560 ครั้งที่ 1/2560
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560
รมต.นร.ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์เผยแพร่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจําปี 2560 ครั้งที่ 1/2560
รมต.นร.ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์เผยแพร่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจําปี 2560 ครั้งที่ 1/2560
วันนี้ (16 มิถุนายน 2560) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 อาคารสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์เผยแพร่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจําปี 2560 ครั้งที่ 1/2560
ภายหลังการประชุม รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงสรุปผลการประชุมว่างานสัปดาห์เผยแพร่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ประจําปี 2560 จะเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 4 - 9 กรกฎาคม 2560 โดยส่วนราชการภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรการกุศลต่าง ๆ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดําเนินการจัดงานทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ ตลอดจนวัดไทยในต่างประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ร่วมใจพร้อมกันจัดงานดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงเพิ่มเติมว่าในวันที่ 9 กรกฎาคม 2560 คาดว่าจะมีพุทธศาสนิกชนมาร่วมงานในวันดังกล่าวไม่น้อยกว่า 5 หมื่นคน ทั้งนี้ ในเรื่องของการดูแลด้านการรักษาความปลอดภัยนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีการเตรียมจัดเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตํารวจมาดูแลด้านความปลอดภัยในทุกจุดที่มีการจัดงานอย่างทั่วถึง อีกทั้งยังได้เตรียมรถโดยสารสาธารณะเพิ่มจํานวนมากขึ้นในเส้นทางที่มีการจัดงานดังกล่าว พร้อมทั้งได้กล่าวขอบคุณจังหวัดนครปฐมที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการจัดงานฯ ด้วยดีเป็นประจําทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้ได้มีการจัดเต็นท์ขนาดใหญ่ รวมถึงน้ําดื่มและอาหารให้บริการกับพี่น้องประชาชนที่จะมาร่วมงานดังกล่าวอย่างเต็มที่อีกด้วย
****************************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4600
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดงาน "Content Thailand Networking Reception"
|
วันพุธที่ 9 ตุลาคม 2562
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดงาน "Content Thailand Networking Reception"
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดงาน "Content Thailand Networking Reception"
วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๓๐ น. (เวลาท้องถิ่น) สาธารณรัฐเกาหลี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดงาน "Content Thailand Networking Reception" พร้อมชม VTR "Content Thailand” ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และแอนิเมชั่นไทย "Thailand Incentive Measures by Thailand Film Office Thai Talent Busan International Film Festival 2019" ซึ่งเป็นกิจกรรมภายในงานเทศกาลภาพยนต์นานาชาติปูซาน (Busan International Film Festival : BIFF 2019) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี โดยมี นายประสพ เรียงเงิน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายศิริศักดิ์ คชพัชรินทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ น.ส.นวลวรรณ ดาระสวัสดิ์ ผู้อํานวยการกลุ่มเลขานุการ คณะกรรมการภาพยนตร์ฯ ผู้ประกอบการภาพยนตร์ฯเกาหลี และผู้ประกอบการภาพยนตร์ฯไทย อาทิ BNK๔๘ ,Films Five Star Production ,Hollywood (Thailand) , Kantana Post Production (Thailand), Mono Film , Nop Production , Sun and Moon Productions เข้าร่วม ณ อาคาร BEXCO Convention Hall ๑ สาธารณรัฐเกาหลี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดงาน "Content Thailand Networking Reception"
วันพุธที่ 9 ตุลาคม 2562
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดงาน "Content Thailand Networking Reception"
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดงาน "Content Thailand Networking Reception"
วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๓๐ น. (เวลาท้องถิ่น) สาธารณรัฐเกาหลี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานกล่าวเปิดงาน "Content Thailand Networking Reception" พร้อมชม VTR "Content Thailand” ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และแอนิเมชั่นไทย "Thailand Incentive Measures by Thailand Film Office Thai Talent Busan International Film Festival 2019" ซึ่งเป็นกิจกรรมภายในงานเทศกาลภาพยนต์นานาชาติปูซาน (Busan International Film Festival : BIFF 2019) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี โดยมี นายประสพ เรียงเงิน ผู้ช่วยปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายศิริศักดิ์ คชพัชรินทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ น.ส.นวลวรรณ ดาระสวัสดิ์ ผู้อํานวยการกลุ่มเลขานุการ คณะกรรมการภาพยนตร์ฯ ผู้ประกอบการภาพยนตร์ฯเกาหลี และผู้ประกอบการภาพยนตร์ฯไทย อาทิ BNK๔๘ ,Films Five Star Production ,Hollywood (Thailand) , Kantana Post Production (Thailand), Mono Film , Nop Production , Sun and Moon Productions เข้าร่วม ณ อาคาร BEXCO Convention Hall ๑ สาธารณรัฐเกาหลี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23719
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานรัฐบาลดิจิทัลขับเคลื่อนการดำเนินการ ยกเลิกสำเนาเอกสารราชการเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน
|
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561
กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสํานักงานรัฐบาลดิจิทัลขับเคลื่อนการดําเนินการ ยกเลิกสําเนาเอกสารราชการเพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชน
กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสํานักงานรัฐบาลดิจิทัลขับเคลื่อนการดําเนินการ
ยกเลิกสําเนาเอกสารราชการเพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชน
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายนิสิต จันทร์สมวงศ์รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานการประชุมคณะทํางานขับเคลื่อนโครงการพัฒนาระบบประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ (Citizen Feedback)และการยกเลิกสําเนาเอกสารราชการ (Zero Copy)ของกระทรวงมหาดไทย โดยมี นางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อํานวยการสํานักงานรัฐบาลดิจิทัล (สพร.) ผู้แทนกรม และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทยเข้าร่วมประชุม
ในการประชุมครั้งนี้นางไอยรดา เหลืองวิไล รองผู้อํานวย สพร.ได้ชี้แจงแนวทางการดําเนินการตามโครงการพัฒนาระบบประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ (Citizen Feedback)และการยกเลิกสําเนาเอกสารราชการ (Zero Copy)ของกระทรวงมหาดไทยซึ่งสืบเนื่องมาจากการเข้าร่วมประชุมและรับมอบนโยบายจากคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561 มีมติเห็นชอบให้ส่วนราชการเร่งรัดยกเลิกการเรียกสําเนาเอกสารจากประชาชนเพื่อเป็นการลดภาระประชาชนเมื่อมารับบริการ ซึ่งได้ขอความร่วมมือให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดําเนินการปักหมุดตําแหน่งจุดบริการประชาชน และการตอบแบบสํารวจความพร้อมออนไลน์ของจุดให้บริการประชาชนให้ครบทุกจุดบริการของกระทรวงมหาดไทย เพื่อทาง สพร. ได้เชื่อมโยงฐานข้อมูลแสดงจุดการให้บริการประชาชนทั่วประเทศ การบอกสถานะการยกเลิกสําเนาและข้อมูลเกี่ยวข้องการใช้บริการผ่านแอปพลิเคชั่นCITIZENinfoเพื่อให้ประชาชนได้ดาวน์โหลดเพื่อใช้บริการโดยคาดว่าจะเปิดตัวในปลายเดือนสิงหาคม 2561 นี้
ทั้งนี้นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ชี้แจงว่ากระทรวงมหาดไทยได้เร่งดําเนินโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และอยู่ระหว่างการเร่งรัดขับเคลื่อนการดําเนินงาน พร้อมได้สั่งการให้ทุกกรม หน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทยเร่งติดตามการปักหมุดตําแหน่งจุดบริการประชาชนของกระทรวงมหาดไทย และให้แต่ละหน่วยงานเร่งตรวจสอบความพร้อมทุกจุดให้บริการที่มีความพร้อมอย่างจริงจังซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ถือเป็นกระทรวงหลักในการยกเลิกการร้องขอสําเนาจากประชาชนเพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถรับบริการจากภาครัฐได้สะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกประชาชน และขับเคลื่อนการพัฒนาการบริการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และรัฐบาลดิจิทัลต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานรัฐบาลดิจิทัลขับเคลื่อนการดำเนินการ ยกเลิกสำเนาเอกสารราชการเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561
กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสํานักงานรัฐบาลดิจิทัลขับเคลื่อนการดําเนินการ ยกเลิกสําเนาเอกสารราชการเพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชน
กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสํานักงานรัฐบาลดิจิทัลขับเคลื่อนการดําเนินการ
ยกเลิกสําเนาเอกสารราชการเพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชน
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2561 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมราชสีห์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายนิสิต จันทร์สมวงศ์รองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานการประชุมคณะทํางานขับเคลื่อนโครงการพัฒนาระบบประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ (Citizen Feedback)และการยกเลิกสําเนาเอกสารราชการ (Zero Copy)ของกระทรวงมหาดไทย โดยมี นางไอรดา เหลืองวิไล รองผู้อํานวยการสํานักงานรัฐบาลดิจิทัล (สพร.) ผู้แทนกรม และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทยเข้าร่วมประชุม
ในการประชุมครั้งนี้นางไอยรดา เหลืองวิไล รองผู้อํานวย สพร.ได้ชี้แจงแนวทางการดําเนินการตามโครงการพัฒนาระบบประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ (Citizen Feedback)และการยกเลิกสําเนาเอกสารราชการ (Zero Copy)ของกระทรวงมหาดไทยซึ่งสืบเนื่องมาจากการเข้าร่วมประชุมและรับมอบนโยบายจากคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561 มีมติเห็นชอบให้ส่วนราชการเร่งรัดยกเลิกการเรียกสําเนาเอกสารจากประชาชนเพื่อเป็นการลดภาระประชาชนเมื่อมารับบริการ ซึ่งได้ขอความร่วมมือให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดําเนินการปักหมุดตําแหน่งจุดบริการประชาชน และการตอบแบบสํารวจความพร้อมออนไลน์ของจุดให้บริการประชาชนให้ครบทุกจุดบริการของกระทรวงมหาดไทย เพื่อทาง สพร. ได้เชื่อมโยงฐานข้อมูลแสดงจุดการให้บริการประชาชนทั่วประเทศ การบอกสถานะการยกเลิกสําเนาและข้อมูลเกี่ยวข้องการใช้บริการผ่านแอปพลิเคชั่นCITIZENinfoเพื่อให้ประชาชนได้ดาวน์โหลดเพื่อใช้บริการโดยคาดว่าจะเปิดตัวในปลายเดือนสิงหาคม 2561 นี้
ทั้งนี้นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ชี้แจงว่ากระทรวงมหาดไทยได้เร่งดําเนินโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และอยู่ระหว่างการเร่งรัดขับเคลื่อนการดําเนินงาน พร้อมได้สั่งการให้ทุกกรม หน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทยเร่งติดตามการปักหมุดตําแหน่งจุดบริการประชาชนของกระทรวงมหาดไทย และให้แต่ละหน่วยงานเร่งตรวจสอบความพร้อมทุกจุดให้บริการที่มีความพร้อมอย่างจริงจังซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ถือเป็นกระทรวงหลักในการยกเลิกการร้องขอสําเนาจากประชาชนเพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถรับบริการจากภาครัฐได้สะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกประชาชน และขับเคลื่อนการพัฒนาการบริการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และรัฐบาลดิจิทัลต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14438
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่สวนรุกขชาติเชตวัน นำผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้่าที่และประชาชนในพื้นที่ ทำพิธีถวายเครื่องบัตรพลีบูชาเทวดาอารักษ์ประจำเมืองแพร่ฯ พร้อมขอโทษและให้
|
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่สวนรุกขชาติเชตวัน นําผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้่าที่และประชาชนในพื้นที่ ทําพิธีถวายเครื่องบัตรพลีบูชาเทวดาอารักษ์ประจําเมืองแพร่ฯ พร้อมขอโทษและให้
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่สวนรุกขชาติเชตวัน นําผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้่าที่และประชาชนในพื้นที่ ทําพิธีถวายเครื่องบัตรพลีบูชาเทวดาอารักษ์ประจําเมืองแพร่ฯ พร้อมขอโทษและให้กําลังใจชาวจังหวัดแพร่
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่สวนรุกขชาติเชตวัน นําผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้่าที่และประชาชนในพื้นที่ ทําพิธีถวายเครื่องบัตรพลีบูชาเทวดาอารักษ์ประจําเมืองแพร่ฯ พร้อมขอโทษและให้กําลังใจชาวจังหวัดแพร่
วานนี้ 2 สิงหาคม 2563 เวลา 10.09 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องบัตรพลีบูชาเทวดาอารักษ์ประจําเมืองแพร่ เทวดาอารักษ์ประจําสวนรุกขชาติเชตวัน พิธีขอขมาบอกกล่าวเทวดาแบบโบราณล้านนาเมืองแพร่ และพิธีทําบุญอุทิศแด่ดวงวิญญาณผู้มีอุปการะคุณต่อสถานที่ในบริเวณสวนรุกขชาติเชตวัน
พร้อมพบปะพบพูดคุยกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และเยี่ยมชมนิทรรศการเครือข่ายชุมชนจังหวัดแพร่ โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เจ้าหน้าที่ ภาคีเครือข่ายรักษ์เมืองเก่าแพร่ ภาคประชาสังคม และประชาชนในพื้นที่ ให้การต้อนรับ และเข้าร่วมพิธี ณ สวนรุกขชาติเชตวัน ตําบลในเวียง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
รมว.ทส. ประธานในพิธีนําผู้บริหารและผู้เข้าร่วมพิธีฯ เริ่มประกอบพิธี โดยได้จุดธูปเทียนเครื่องบัตรพลีบูชาเทวดาอารักษ์ประจําเมืองแพร่และประจําสวนรุกขชาติเชตวัน จากนั้น บัณทิตผู้ประกอบพิธี ได้กล่าวอันเชิญเทวดาอารักษ์มารับเครื่องบัตรพลีสังเวย ประธานในพิธีโปรยข้าวตอกดอกไม้ และปักธูปบนเครื่องบัตรพลี ต่อจากนั้น ยกพานดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะแบบโบราณล้านนาเมืองแพร่ ประกอบพิธีขอขมากรรมต่อเทวดาอารักษ์ เจ้าที่ และดวงวิญญาณที่สิงสถิต ณ บริเวณมณฑลพิธี หลังจากเสร็จพิธีถวายเครื่องบัตรพลีฯ ได้ประกอบพิธีสงฆ์ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ฟังพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ สวดมาติกา จบแล้วประธานทอดผ้าไตรบังสุกุล ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม/ภัตราหารแด่พระสงฆ์ กรวดน้ํา รับพร และกราบลาพระรัตนตรัยและกราบลาประธานสงฆ์ เป็นอันเสร็จพิธี
รมว.ทส. กล่าวว่า เข้าใจความรู้สึก ความเสียใจของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดแพร่ทุกคน กับสิ่งที่เกิดขึ้น อาคารที่ถูกรื้อหายไป ทําร้ายจิตใจทุกคน ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่สามารถนําความรู้สึกกลับคืนมาได้ ในวันนี้จึงตั้งใจนําผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ มาขอขมา ขอโทษ พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดแพร่ จากนี้ไปในส่วนที่ผิดพลาดหรือมีการกระทําผิดทางราชการก็จะตั้งกรรมการสอบสวน หากกระทําผิดจริงก็ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นบทเรียนที่ดี และขอให้คํามั่นสัญญาว่าการทํางานจากนี้ไปจะให้ความสําคัญกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นสําคัญ จะรับฟังความคิด คําแนะนําจากทุกฝ่าย ทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน และประชาชน และจะร่วมกันพัฒนา บูรณะ สวนรุกขชาติเชตวัน ให้เป็นที่เชิดชู เป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญของจังหวัดแพร่ ต่อไป นอกจากนี้ รมว.ทส. ยังได้ฝากผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยกันให้ความสําคัญในการกักเก็บน้ํา ธนาคารน้ําใต้ดิน เพื่อให้ประชาชนได้มีน้ําอุปโภคบริโภค น้ําเพื่อการเกษตร ใช้ในช่วงฤดูแล้งในปีหน้าและปีต่อ ๆ ไป
ทั้งนี้ พิธีดังกล่าวเชื่อว่าเป็นการบอกกล่าวเจ้าที่ เทวดาอารักษ์ ผีบ้านผีเรือน ตามพิธีโบราณล้านนา คือเมื่อได้ทําการรื้อถอน หรือสร้างอาคาร บ้านเรือน เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่พื้นที่นั้น เพราะหากมีการรื้อถอนโดยไม่ได้บอกกล่าว อาจทําให้ “ขึด”หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะอยู่ไม่เป็นสุข เกิดเจ็บป่วยไข้หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตก็เป็นได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่สวนรุกขชาติเชตวัน นำผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้่าที่และประชาชนในพื้นที่ ทำพิธีถวายเครื่องบัตรพลีบูชาเทวดาอารักษ์ประจำเมืองแพร่ฯ พร้อมขอโทษและให้
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่สวนรุกขชาติเชตวัน นําผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้่าที่และประชาชนในพื้นที่ ทําพิธีถวายเครื่องบัตรพลีบูชาเทวดาอารักษ์ประจําเมืองแพร่ฯ พร้อมขอโทษและให้
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่สวนรุกขชาติเชตวัน นําผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้่าที่และประชาชนในพื้นที่ ทําพิธีถวายเครื่องบัตรพลีบูชาเทวดาอารักษ์ประจําเมืองแพร่ฯ พร้อมขอโทษและให้กําลังใจชาวจังหวัดแพร่
รมว.ทส. 'วราวุธ' ลงพื้นที่สวนรุกขชาติเชตวัน นําผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้่าที่และประชาชนในพื้นที่ ทําพิธีถวายเครื่องบัตรพลีบูชาเทวดาอารักษ์ประจําเมืองแพร่ฯ พร้อมขอโทษและให้กําลังใจชาวจังหวัดแพร่
วานนี้ 2 สิงหาคม 2563 เวลา 10.09 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องบัตรพลีบูชาเทวดาอารักษ์ประจําเมืองแพร่ เทวดาอารักษ์ประจําสวนรุกขชาติเชตวัน พิธีขอขมาบอกกล่าวเทวดาแบบโบราณล้านนาเมืองแพร่ และพิธีทําบุญอุทิศแด่ดวงวิญญาณผู้มีอุปการะคุณต่อสถานที่ในบริเวณสวนรุกขชาติเชตวัน
พร้อมพบปะพบพูดคุยกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และเยี่ยมชมนิทรรศการเครือข่ายชุมชนจังหวัดแพร่ โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ หัวหน้าหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เจ้าหน้าที่ ภาคีเครือข่ายรักษ์เมืองเก่าแพร่ ภาคประชาสังคม และประชาชนในพื้นที่ ให้การต้อนรับ และเข้าร่วมพิธี ณ สวนรุกขชาติเชตวัน ตําบลในเวียง อําเภอเมือง จังหวัดแพร่
รมว.ทส. ประธานในพิธีนําผู้บริหารและผู้เข้าร่วมพิธีฯ เริ่มประกอบพิธี โดยได้จุดธูปเทียนเครื่องบัตรพลีบูชาเทวดาอารักษ์ประจําเมืองแพร่และประจําสวนรุกขชาติเชตวัน จากนั้น บัณทิตผู้ประกอบพิธี ได้กล่าวอันเชิญเทวดาอารักษ์มารับเครื่องบัตรพลีสังเวย ประธานในพิธีโปรยข้าวตอกดอกไม้ และปักธูปบนเครื่องบัตรพลี ต่อจากนั้น ยกพานดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องสักการะแบบโบราณล้านนาเมืองแพร่ ประกอบพิธีขอขมากรรมต่อเทวดาอารักษ์ เจ้าที่ และดวงวิญญาณที่สิงสถิต ณ บริเวณมณฑลพิธี หลังจากเสร็จพิธีถวายเครื่องบัตรพลีฯ ได้ประกอบพิธีสงฆ์ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ฟังพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ สวดมาติกา จบแล้วประธานทอดผ้าไตรบังสุกุล ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม/ภัตราหารแด่พระสงฆ์ กรวดน้ํา รับพร และกราบลาพระรัตนตรัยและกราบลาประธานสงฆ์ เป็นอันเสร็จพิธี
รมว.ทส. กล่าวว่า เข้าใจความรู้สึก ความเสียใจของพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดแพร่ทุกคน กับสิ่งที่เกิดขึ้น อาคารที่ถูกรื้อหายไป ทําร้ายจิตใจทุกคน ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไม่สามารถนําความรู้สึกกลับคืนมาได้ ในวันนี้จึงตั้งใจนําผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงฯ มาขอขมา ขอโทษ พี่น้องประชาชนชาวจังหวัดแพร่ จากนี้ไปในส่วนที่ผิดพลาดหรือมีการกระทําผิดทางราชการก็จะตั้งกรรมการสอบสวน หากกระทําผิดจริงก็ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นบทเรียนที่ดี และขอให้คํามั่นสัญญาว่าการทํางานจากนี้ไปจะให้ความสําคัญกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่เป็นสําคัญ จะรับฟังความคิด คําแนะนําจากทุกฝ่าย ทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน และประชาชน และจะร่วมกันพัฒนา บูรณะ สวนรุกขชาติเชตวัน ให้เป็นที่เชิดชู เป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญของจังหวัดแพร่ ต่อไป นอกจากนี้ รมว.ทส. ยังได้ฝากผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ช่วยกันให้ความสําคัญในการกักเก็บน้ํา ธนาคารน้ําใต้ดิน เพื่อให้ประชาชนได้มีน้ําอุปโภคบริโภค น้ําเพื่อการเกษตร ใช้ในช่วงฤดูแล้งในปีหน้าและปีต่อ ๆ ไป
ทั้งนี้ พิธีดังกล่าวเชื่อว่าเป็นการบอกกล่าวเจ้าที่ เทวดาอารักษ์ ผีบ้านผีเรือน ตามพิธีโบราณล้านนา คือเมื่อได้ทําการรื้อถอน หรือสร้างอาคาร บ้านเรือน เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่พื้นที่นั้น เพราะหากมีการรื้อถอนโดยไม่ได้บอกกล่าว อาจทําให้ “ขึด”หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะอยู่ไม่เป็นสุข เกิดเจ็บป่วยไข้หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตก็เป็นได้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33889
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”นำถุงยังชีพ 1,000 ชุด มอบผู้ประสบอุทกภัยนครพนม พร้อมวางแผนช่วยเหลือ 3 ระยะ
|
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561
“บิ๊กอู๋”นําถุงยังชีพ 1,000 ชุด มอบผู้ประสบอุทกภัยนครพนม พร้อมวางแผนช่วยเหลือ 3 ระยะ
รมว.แรงงาน นําทีมผู้บริหาร และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ณ โรงเรียนบ้านหนองกุด อ.ธาตุพนม และ อบต.โนนตาล อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม มอบถุงยังชีพ 1,000 ชุด พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือ 3 ระยะ
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจํานวน 2 จุด ได้แก่ โรงเรียนบ้านหนองกุดแคน ต.พระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม และองค์การบริหารส่วนตําบลโนนตาล อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม โดยมีภาครัฐและเอกชนร่วมสนับสนุนสิ่งของอุปโภคบริโภคเพื่อนํามาช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ได้แก่ ส่วนราชการกระทรวงแรงงานจังหวัดนครพนม 300 ชุด สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม 300 ชุด เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม 300 ชุด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) 100 ชุด และไข่ไก่ 10,000 ฟอง เพื่อนําไปมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยจุดละ 500 ชุด รวมทั้งสิ้นจํานวน 1,000 ชุด
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน ได้กําหนดแผนการช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติซึ่งได้กําหนดแผนการช่วยเหลือไว้ 3 ระยะ คือ 1) ก่อนเกิดภัย ได้มีการจัดเตรียม จัดหาแรงงานที่มีความรู้ทางเทคนิคเพื่อประโยชน์ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้การศึกษาอบรมและฝึกฝนแรงงานในสถานประกอบการ เพื่อความปลอดภัยในการทํางาน สํารวจ จัดเตรียม จัดหาโดยการเรียกร้องเกณฑ์จ้างหรือเช่าเครื่องมือเครื่องใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 2) ระหว่างเกิดภัย ได้ตรวจสอบข้อมูลแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยเพื่อให้การช่วยเหลือด้านคุ้มครองและเรียกร้องสิทธิที่พึงได้ตามกฎหมายแรงงาน และ 3) ระยะฟื้นฟู ได้จัดเตรียมแผนการฝึกอาชีพและจัดหางานให้ผู้ประสบภัย อาทิ กิจกรรมจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพ จัดบริการหน่วยเคลื่อนที่ให้ความช่วยเหลือซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานพาหนะ บ้าน เครื่องยนต์เล็กเพื่อการเกษตร ฝึกอาชีพเพื่อเสริมอาชีพหลัก ฝึกอาชีพเกี่ยวกับการซ่อมแซม ให้บริการจัดหางานและส่งเสริมการประกอบอาชีพตามความเหมาะสม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจัดหน่วยให้บริการด้านประกันสังคมแก่แรงงานที่ประสบภัยอีกด้วย
ทั้งนี้ จากรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เมื่อวันที่ 3 ส.ค.61 พบว่า สถานการณ์ฝนตกหนักและน้ําล้นตลิ่งในพื้นที่ 8 อําเภอ 56 ตําบล 398 หมู่บ้าน ของ จ.นครพนม ได้แก่ อ.เมืองนครพนม อ.ธาตุพนม อ.ท่าอุเทน อ.โพนสวรรค์ อ.เรณูนคร อ.ปลาปาก อ.นาแก และ อ.บ้านแพง บ้านเรือนได้รับผลกระทบ 9 หลัง วัด 2 แห่ง ถนน 30 จุด ฝาย 5 แห่ง พื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหาย 128,098 ไร่ ซึ่งปัจจุบันยังมีระดับน้ําเพิ่มขึ้น ขณะนี้ทางจังหวัดได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพิ่ม เพื่อเร่งระบายน้ําออกจากพื้นที่ และกรอกทรายใส่กระสอบเพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งให้ประชาชนติดตามการประกาศแจ้งเตือนจากทางการอย่างใกล้ชิด
-------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
5 สิงหาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”นำถุงยังชีพ 1,000 ชุด มอบผู้ประสบอุทกภัยนครพนม พร้อมวางแผนช่วยเหลือ 3 ระยะ
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561
“บิ๊กอู๋”นําถุงยังชีพ 1,000 ชุด มอบผู้ประสบอุทกภัยนครพนม พร้อมวางแผนช่วยเหลือ 3 ระยะ
รมว.แรงงาน นําทีมผู้บริหาร และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ณ โรงเรียนบ้านหนองกุด อ.ธาตุพนม และ อบต.โนนตาล อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม มอบถุงยังชีพ 1,000 ชุด พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือ 3 ระยะ
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของอุปโภคบริโภคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจํานวน 2 จุด ได้แก่ โรงเรียนบ้านหนองกุดแคน ต.พระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม และองค์การบริหารส่วนตําบลโนนตาล อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม โดยมีภาครัฐและเอกชนร่วมสนับสนุนสิ่งของอุปโภคบริโภคเพื่อนํามาช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ได้แก่ ส่วนราชการกระทรวงแรงงานจังหวัดนครพนม 300 ชุด สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม 300 ชุด เหล่ากาชาดจังหวัดนครพนม 300 ชุด บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) 100 ชุด และไข่ไก่ 10,000 ฟอง เพื่อนําไปมอบให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยจุดละ 500 ชุด รวมทั้งสิ้นจํานวน 1,000 ชุด
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน ได้กําหนดแผนการช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติซึ่งได้กําหนดแผนการช่วยเหลือไว้ 3 ระยะ คือ 1) ก่อนเกิดภัย ได้มีการจัดเตรียม จัดหาแรงงานที่มีความรู้ทางเทคนิคเพื่อประโยชน์ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้การศึกษาอบรมและฝึกฝนแรงงานในสถานประกอบการ เพื่อความปลอดภัยในการทํางาน สํารวจ จัดเตรียม จัดหาโดยการเรียกร้องเกณฑ์จ้างหรือเช่าเครื่องมือเครื่องใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 2) ระหว่างเกิดภัย ได้ตรวจสอบข้อมูลแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยเพื่อให้การช่วยเหลือด้านคุ้มครองและเรียกร้องสิทธิที่พึงได้ตามกฎหมายแรงงาน และ 3) ระยะฟื้นฟู ได้จัดเตรียมแผนการฝึกอาชีพและจัดหางานให้ผู้ประสบภัย อาทิ กิจกรรมจ้างงานเร่งด่วนและพัฒนาทักษะฝีมือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้านอาชีพ จัดบริการหน่วยเคลื่อนที่ให้ความช่วยเหลือซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานพาหนะ บ้าน เครื่องยนต์เล็กเพื่อการเกษตร ฝึกอาชีพเพื่อเสริมอาชีพหลัก ฝึกอาชีพเกี่ยวกับการซ่อมแซม ให้บริการจัดหางานและส่งเสริมการประกอบอาชีพตามความเหมาะสม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจัดหน่วยให้บริการด้านประกันสังคมแก่แรงงานที่ประสบภัยอีกด้วย
ทั้งนี้ จากรายงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เมื่อวันที่ 3 ส.ค.61 พบว่า สถานการณ์ฝนตกหนักและน้ําล้นตลิ่งในพื้นที่ 8 อําเภอ 56 ตําบล 398 หมู่บ้าน ของ จ.นครพนม ได้แก่ อ.เมืองนครพนม อ.ธาตุพนม อ.ท่าอุเทน อ.โพนสวรรค์ อ.เรณูนคร อ.ปลาปาก อ.นาแก และ อ.บ้านแพง บ้านเรือนได้รับผลกระทบ 9 หลัง วัด 2 แห่ง ถนน 30 จุด ฝาย 5 แห่ง พื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหาย 128,098 ไร่ ซึ่งปัจจุบันยังมีระดับน้ําเพิ่มขึ้น ขณะนี้ทางจังหวัดได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ําเพิ่ม เพื่อเร่งระบายน้ําออกจากพื้นที่ และกรอกทรายใส่กระสอบเพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งให้ประชาชนติดตามการประกาศแจ้งเตือนจากทางการอย่างใกล้ชิด
-------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
5 สิงหาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14373
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พน. ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย พร้อมตรวจติดตามสถานการณ์พลังงานในกลุ่มภาคใต้
|
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560
รมว.พน. ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย พร้อมตรวจติดตามสถานการณ์พลังงานในกลุ่มภาคใต้
รมว.พน. เปิดเผยว่าการลงพื้นที่ จังหวัดนครศรีธรรมราชในครั้งนี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราช จากสถานการณ์น้ําท่วมในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พร้อมทั้งติดตามการบํารุงรักษาสถานที่ด้านพลังงานที่ได้รับความเสียหายหลังน้ําท่วม
วันนี้ ( 10 มีนาคม 2560) พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน นําคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงพลังงาน และสื่อมวลชน ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมตรวจติดตามสถานการณ์พลังงาน 9 จังหวัดในกลุ่มภาคใต้ ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง กระบี่ พังงา ระนอง ภูเก็ต และตรัง เพื่อสร้างความมั่นใจประชาชนผู้ใช้พลังงานครอบคลุมทุกกลุ่มพลังงาน ได้แก่ ไฟฟ้า น้ํามัน ก๊าชธรรมชาติ โดยมี นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และพลังงานจังหวัดจาก 9 จังหวัดในกลุ่มภาคใต้ ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมทวินโลตัส อําเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าการลงพื้นที่ จังหวัดนครศรีธรรมราชในครั้งนี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราช จากสถานการณ์น้ําท่วมในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พร้อมทั้งติดตามการบํารุงรักษาสถานที่ด้านพลังงานที่ได้รับความเสียหาย และตรวจสอบศักยภาพของการให้บริการเกี่ยวกับด้านพลังงานภายหลังสถานการณ์น้ําท่วม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยได้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ํามันและสถานีบริการน้ํามัน การตรวจสอบสภาพถังก๊าซหุงต้ม การสนับสนุนหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อให้บริการประชาชน รวมถึงการฟื้นฟูและมอบอุปกรณ์การเรียนการสอนให้กับโรงเรียนมัชฌิมภูผา ในพื้นที่อําเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือข้อราชการเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานของกลุ่มภาคใต้ 9 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง กระบี่ พังงา ระนอง ภูเก็ต และตรัง โดยได้มีการมอบหมายให้พลังงานจังหวัดและเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานในพื้นที่ภาคใต้ มุ่งเน้นการทํางานอย่างบูรณาการติดตามดูแลสถานการณ์พลังงานอย่างใกล้ชิด ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งให้ดําเนินการช่วยเหลือ ฟื้นฟู ผู้ประสบภัยจากสถานการณ์น้ําท่วมทั้งในส่วนของโครงการพลังงานต่างๆ ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงพลังงาน สถานที่ราชการ โรงเรียน วัด และที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเข้าสู่ภาวะปกติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวต่อว่า สําหรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย และฟื้นฟูสถานที่ประสบภัยหลังสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้ กระทรวงพลังงาน ได้ร่วมกับบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และหน่วยงานเครือข่ายด้านพลังงานต่างๆ ให้ความช่วยเหลือกระจายไปยังทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ โดยมุ่งเน้นพื้นที่ที่ความช่วยเหลือยังเข้าไม่ถึง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนทั่วทุกพื้นที่อย่างแท้จริง ได้แก่ การสนับสนุนรถน้ําทําความสะอาด จํานวน 8 คัน การช่วยทําความสะอาดที่อยู่อาศัยกว่า 100 ครัวเรือน การซ่อมแซมระบบไฟฟ้าที่อยู่อาศัย 17 หลังคาเรือน การสนับสนุนหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พร้อมจ่ายยา โดยการสนับสนุนทีมบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และ
โรงพยาบาลกรุงเทพ หาดใหญ่ การสนับสนุนหน่วยซ่อมแซมจักรยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกับวิทยาลัยสารพัดช่างสุราษฏร์ธานีและวิทยาลัยสารพัดช่างนครศรีธรรมราช การให้ความช่วยเหลือซ่อมแซมระบบไฟฟ้า อาคารเรียน และการมอบอุปกรณ์การเรียนการสอน อุปกรณ์กีฬา เพื่อทดแทนอุปกรณ์เดิมที่เสียหายไปกับสถานการณ์น้ําท่วมให้กับโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัด อาทิ ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฏรธานี ตรัง ชุมพร สงขลา พัทลุง กระบี่ ปัตตานี นราธิวาส เป็นต้น
“ในสถานการณ์น้ําท่วมภาคใต้ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงาน ได้ติดตามผลกระทบในด้านพลังงานอย่างใกล้ชิด และได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ รวมถึงบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เฝ้าระวังสถานที่และบริการด้านพลังงานให้ครอบคลุมทั้งในเรื่องไฟฟ้า น้ํามัน และก๊าซธรรมชาติ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ พร้อมทั้งดําเนินการให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ประสบภัยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดเหตุการณ์น้ําท่วม เช่น การมอบเงินช่วยเหลือผ่านโครงการ “ประชารัฐร่วมใจ ช่วยอุทกภัยใต้” กว่า 47 ล้านบาท การสนับสนุนเรือท้องแบน 3 ลํา มอบถุงยังชีพ 37,393 ถุง น้ําดื่มกว่า 5 แสนขวด หลอดไฟ LED 74 ชุด อาหารกล่องกว่า 2 หมื่นกล่อง ยาสามัญประจําบ้านกว่า 1 หมื่นชุด เครื่องนุ่งห่มกว่า 2 หมื่นชุด ตลอดจนการให้ความร่วมมือกับจังหวัดต่างๆ ในพื้นที่ประสบภัย เพื่อป้องกันอันตรายทั้งในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากระบบไฟฟ้าในช่วงที่เกิดสถานการณ์น้ําท่วม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พน. ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย พร้อมตรวจติดตามสถานการณ์พลังงานในกลุ่มภาคใต้
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560
รมว.พน. ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย พร้อมตรวจติดตามสถานการณ์พลังงานในกลุ่มภาคใต้
รมว.พน. เปิดเผยว่าการลงพื้นที่ จังหวัดนครศรีธรรมราชในครั้งนี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราช จากสถานการณ์น้ําท่วมในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พร้อมทั้งติดตามการบํารุงรักษาสถานที่ด้านพลังงานที่ได้รับความเสียหายหลังน้ําท่วม
วันนี้ ( 10 มีนาคม 2560) พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน นําคณะผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงพลังงาน และสื่อมวลชน ลงพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมตรวจติดตามสถานการณ์พลังงาน 9 จังหวัดในกลุ่มภาคใต้ ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง กระบี่ พังงา ระนอง ภูเก็ต และตรัง เพื่อสร้างความมั่นใจประชาชนผู้ใช้พลังงานครอบคลุมทุกกลุ่มพลังงาน ได้แก่ ไฟฟ้า น้ํามัน ก๊าชธรรมชาติ โดยมี นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และพลังงานจังหวัดจาก 9 จังหวัดในกลุ่มภาคใต้ ให้การต้อนรับ ณ โรงแรมทวินโลตัส อําเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าการลงพื้นที่ จังหวัดนครศรีธรรมราชในครั้งนี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยในจังหวัดนครศรีธรรมราช จากสถานการณ์น้ําท่วมในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พร้อมทั้งติดตามการบํารุงรักษาสถานที่ด้านพลังงานที่ได้รับความเสียหาย และตรวจสอบศักยภาพของการให้บริการเกี่ยวกับด้านพลังงานภายหลังสถานการณ์น้ําท่วม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน โดยได้มีการตรวจสอบคุณภาพน้ํามันและสถานีบริการน้ํามัน การตรวจสอบสภาพถังก๊าซหุงต้ม การสนับสนุนหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อให้บริการประชาชน รวมถึงการฟื้นฟูและมอบอุปกรณ์การเรียนการสอนให้กับโรงเรียนมัชฌิมภูผา ในพื้นที่อําเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือข้อราชการเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานของกลุ่มภาคใต้ 9 จังหวัด ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง กระบี่ พังงา ระนอง ภูเก็ต และตรัง โดยได้มีการมอบหมายให้พลังงานจังหวัดและเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานในพื้นที่ภาคใต้ มุ่งเน้นการทํางานอย่างบูรณาการติดตามดูแลสถานการณ์พลังงานอย่างใกล้ชิด ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งให้ดําเนินการช่วยเหลือ ฟื้นฟู ผู้ประสบภัยจากสถานการณ์น้ําท่วมทั้งในส่วนของโครงการพลังงานต่างๆ ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงพลังงาน สถานที่ราชการ โรงเรียน วัด และที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเข้าสู่ภาวะปกติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวต่อว่า สําหรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย และฟื้นฟูสถานที่ประสบภัยหลังสถานการณ์น้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้ กระทรวงพลังงาน ได้ร่วมกับบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และหน่วยงานเครือข่ายด้านพลังงานต่างๆ ให้ความช่วยเหลือกระจายไปยังทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ โดยมุ่งเน้นพื้นที่ที่ความช่วยเหลือยังเข้าไม่ถึง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนทั่วทุกพื้นที่อย่างแท้จริง ได้แก่ การสนับสนุนรถน้ําทําความสะอาด จํานวน 8 คัน การช่วยทําความสะอาดที่อยู่อาศัยกว่า 100 ครัวเรือน การซ่อมแซมระบบไฟฟ้าที่อยู่อาศัย 17 หลังคาเรือน การสนับสนุนหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พร้อมจ่ายยา โดยการสนับสนุนทีมบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และ
โรงพยาบาลกรุงเทพ หาดใหญ่ การสนับสนุนหน่วยซ่อมแซมจักรยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกับวิทยาลัยสารพัดช่างสุราษฏร์ธานีและวิทยาลัยสารพัดช่างนครศรีธรรมราช การให้ความช่วยเหลือซ่อมแซมระบบไฟฟ้า อาคารเรียน และการมอบอุปกรณ์การเรียนการสอน อุปกรณ์กีฬา เพื่อทดแทนอุปกรณ์เดิมที่เสียหายไปกับสถานการณ์น้ําท่วมให้กับโรงเรียนต่างๆ ในจังหวัด อาทิ ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สุราษฏรธานี ตรัง ชุมพร สงขลา พัทลุง กระบี่ ปัตตานี นราธิวาส เป็นต้น
“ในสถานการณ์น้ําท่วมภาคใต้ที่ผ่านมา กระทรวงพลังงาน ได้ติดตามผลกระทบในด้านพลังงานอย่างใกล้ชิด และได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ รวมถึงบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เฝ้าระวังสถานที่และบริการด้านพลังงานให้ครอบคลุมทั้งในเรื่องไฟฟ้า น้ํามัน และก๊าซธรรมชาติ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการ พร้อมทั้งดําเนินการให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ประสบภัยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดเหตุการณ์น้ําท่วม เช่น การมอบเงินช่วยเหลือผ่านโครงการ “ประชารัฐร่วมใจ ช่วยอุทกภัยใต้” กว่า 47 ล้านบาท การสนับสนุนเรือท้องแบน 3 ลํา มอบถุงยังชีพ 37,393 ถุง น้ําดื่มกว่า 5 แสนขวด หลอดไฟ LED 74 ชุด อาหารกล่องกว่า 2 หมื่นกล่อง ยาสามัญประจําบ้านกว่า 1 หมื่นชุด เครื่องนุ่งห่มกว่า 2 หมื่นชุด ตลอดจนการให้ความร่วมมือกับจังหวัดต่างๆ ในพื้นที่ประสบภัย เพื่อป้องกันอันตรายทั้งในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจากระบบไฟฟ้าในช่วงที่เกิดสถานการณ์น้ําท่วม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2306
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม คุมเข้มสั่งโรงงานผลิตยางแท่งเร่งแก้ปัญหากลิ่นเหม็น
|
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม คุมเข้มสั่งโรงงานผลิตยางแท่งเร่งแก้ปัญหากลิ่นเหม็น
กรุงเทพฯ 21 กุมภาพันธ์ 2560 – กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สั่งปรับปรุงโรงงานผลิตยางแท่งของบริษัท ศรีตรังแอโกร อินดัสทรี จํากัด และโรงงานบริษัท วงษ์บัณฑิต อุดรธานี จํากัด จังหวัดอุดรธานี ให้เร่งแก้ไขปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็น
กรุงเทพฯ 21 กุมภาพันธ์ 2560 – กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สั่งปรับปรุงโรงงานผลิตยางแท่งของบริษัท ศรีตรังแอโกร อินดัสทรี จํากัด และโรงงานบริษัท วงษ์บัณฑิต อุดรธานี จํากัด จังหวัดอุดรธานี ให้เร่งแก้ไขปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นจากกระบวนการผลิตยางเครฟ ยางแท่ง และยางผสม ที่ส่งผลกระทบสร้างความเดือดร้อนเรื่องกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ต่อประชาชน และชุมชนโดยรอบ โดยคาดว่าจะเร่งดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 3 และ 6 มีนาคม 2560 ตามลําดับ
นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากกรณีที่ชาวบ้านร้องเรียนเหตุโรงงานส่งกลิ่นเหม็นจากกระบวนการผลิตยางแท่ง ของบริษัท ศรีตรังแอโกร อินดัสทรี จํากัด และบริษัท วงษ์บัณฑิต อุดรธานี จํากัด ที่ทั้งสองโรงงานผลิตยางเครฟ ยางแท่ง STR20 และยางผสม มีปัญหาเกิดกลิ่นเหม็นจาก 3 จุด คือ 1. อาคารเก็บวัตถุดิบ (ก้อนยางถ้วย) 2. บ่อรวบรวมน้ําเสียจากลานเทวัตถุดิบและอาคารเก็บวัตถุดิบ และ3.เตาอบยางแท่ง โดยได้สร้างความเดือดร้อนเรื่องกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณโดยรอบพื้นที่ชุมชน ทั้งนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ส่งเจ้าหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมโรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือลงพื้นที่เพื่อตรวจวัดวิเคราะห์คุณภาพอากาศทั้งสองโรงงาน โดยล่าสุด กระทรวงอุตสาหกรรมมีคําสั่งให้อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานีสั่งการโรงงานตามมาตรา 37 ทั้งสองราย ให้ปรับปรุงแก้ไขดังต่อไปนี้ 1. ปรับปรุงแก้ไขระบบขจัดกลิ่น (Wet Scrubber) ที่เกิดจากเตาอบยางแท่ง
2. ให้โรงงานบริษัท ศรีตรังแอโกร อินดัสทรี จํากัด และโรงงานบริษัท วงษ์บัณฑิต อุดรธานี จํากัด นําวัตถุดิบ (ก้อนยางถ้วย) ออกนอกโรงงานภายในวันที่ 3 มีนาคม 2560 และวันที่ 6 มีนาคม 2560 ตามลําดับ3. ห้ามมิให้นํายางก้อนถ้วยเข้าโรงงานตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีการจัดการที่ดีขึ้น
ทั้งนี้อยู่ในระหว่างการติดตามผลให้โรงงานปรับปรุงแก้ไขให้แล้วเสร็จ ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะไม่ทําให้ส่งผลกระทบต่อการเกิดมลภาวะเรื่องกลิ่นเพิ่มขึ้น และบรรเทาปัญหาดังกล่าวให้อยู่ในสภาวะปกติ ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน และชุมชนที่อยู่บริเวณโดยรอบโรงงาน นายมงคล กล่าวสรุป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม คุมเข้มสั่งโรงงานผลิตยางแท่งเร่งแก้ปัญหากลิ่นเหม็น
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม คุมเข้มสั่งโรงงานผลิตยางแท่งเร่งแก้ปัญหากลิ่นเหม็น
กรุงเทพฯ 21 กุมภาพันธ์ 2560 – กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สั่งปรับปรุงโรงงานผลิตยางแท่งของบริษัท ศรีตรังแอโกร อินดัสทรี จํากัด และโรงงานบริษัท วงษ์บัณฑิต อุดรธานี จํากัด จังหวัดอุดรธานี ให้เร่งแก้ไขปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็น
กรุงเทพฯ 21 กุมภาพันธ์ 2560 – กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สั่งปรับปรุงโรงงานผลิตยางแท่งของบริษัท ศรีตรังแอโกร อินดัสทรี จํากัด และโรงงานบริษัท วงษ์บัณฑิต อุดรธานี จํากัด จังหวัดอุดรธานี ให้เร่งแก้ไขปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็นจากกระบวนการผลิตยางเครฟ ยางแท่ง และยางผสม ที่ส่งผลกระทบสร้างความเดือดร้อนเรื่องกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ต่อประชาชน และชุมชนโดยรอบ โดยคาดว่าจะเร่งดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 3 และ 6 มีนาคม 2560 ตามลําดับ
นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากกรณีที่ชาวบ้านร้องเรียนเหตุโรงงานส่งกลิ่นเหม็นจากกระบวนการผลิตยางแท่ง ของบริษัท ศรีตรังแอโกร อินดัสทรี จํากัด และบริษัท วงษ์บัณฑิต อุดรธานี จํากัด ที่ทั้งสองโรงงานผลิตยางเครฟ ยางแท่ง STR20 และยางผสม มีปัญหาเกิดกลิ่นเหม็นจาก 3 จุด คือ 1. อาคารเก็บวัตถุดิบ (ก้อนยางถ้วย) 2. บ่อรวบรวมน้ําเสียจากลานเทวัตถุดิบและอาคารเก็บวัตถุดิบ และ3.เตาอบยางแท่ง โดยได้สร้างความเดือดร้อนเรื่องกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณโดยรอบพื้นที่ชุมชน ทั้งนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ส่งเจ้าหน้าศูนย์วิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมโรงงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือลงพื้นที่เพื่อตรวจวัดวิเคราะห์คุณภาพอากาศทั้งสองโรงงาน โดยล่าสุด กระทรวงอุตสาหกรรมมีคําสั่งให้อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานีสั่งการโรงงานตามมาตรา 37 ทั้งสองราย ให้ปรับปรุงแก้ไขดังต่อไปนี้ 1. ปรับปรุงแก้ไขระบบขจัดกลิ่น (Wet Scrubber) ที่เกิดจากเตาอบยางแท่ง
2. ให้โรงงานบริษัท ศรีตรังแอโกร อินดัสทรี จํากัด และโรงงานบริษัท วงษ์บัณฑิต อุดรธานี จํากัด นําวัตถุดิบ (ก้อนยางถ้วย) ออกนอกโรงงานภายในวันที่ 3 มีนาคม 2560 และวันที่ 6 มีนาคม 2560 ตามลําดับ3. ห้ามมิให้นํายางก้อนถ้วยเข้าโรงงานตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีการจัดการที่ดีขึ้น
ทั้งนี้อยู่ในระหว่างการติดตามผลให้โรงงานปรับปรุงแก้ไขให้แล้วเสร็จ ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะไม่ทําให้ส่งผลกระทบต่อการเกิดมลภาวะเรื่องกลิ่นเพิ่มขึ้น และบรรเทาปัญหาดังกล่าวให้อยู่ในสภาวะปกติ ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน และชุมชนที่อยู่บริเวณโดยรอบโรงงาน นายมงคล กล่าวสรุป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2003
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดจุลพงษ์ฯ มอบนโยบาย แนวทางการพัฒนาต่อยอดส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
|
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
รองปลัดจุลพงษ์ฯ มอบนโยบาย แนวทางการพัฒนาต่อยอดส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบนโยบาย แนวทางการพัฒนาต่อยอดส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2563 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ปฏิบัติราชการ เพื่อมอบนโยบายแนวทางการพัฒนางานบริการในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ พร้อมเยี่ยมชมศูนย์ให้บริการต่าง ๆ โดยมีนางสาวนิรามัย ศิริศรีสุดากุล ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 และเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จังหวัดเชียงใหม่
สําหรับศูนย์ให้บริการต่าง ๆ ของ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ประกอบด้วย
1. ศูนย์พัฒนาและทดสอบอัตลักษณ์กาแฟอะราบิก้าภาคเหนือ (HBACC) ตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวบรวมถ่ายทอดองค์ความรู้ ทดลอง ทดสอบ ให้คําปรึกษาแนะนําด้านอุตสาหกรรมกาแฟ ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมกาแฟอะราบิก้าภาคเหนือให้ก้าวหน้าต่อไป
2. ศูนย์อนุรักษ์หัตถกรรมเครื่องเขินภาคเหนือ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่ออนุรักษ์ และถ่ายทอดองค์ความรู้ ประวัติความเป็นมา ตลอดจนกระบวนการผลิตเครื่องเขิน
3. ศูนย์ ITC 4.0 ที่ให้บริการทดสอบ-ทดลองโดยนําเอาเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาช่วยในกระบวนการแปรรูปขั้นต้น ซึ่งถือเป็นจุดให้บริการที่ผู้ประกอบการในพื้นที่เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องทุกวัน
นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชม บริษัท พีเอ็มเอ็ม จํากัด เพื่อเชื่อมโยงโครงการ Robot Robotic ให้เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งมอบนโยบายการจัดทํามาตรฐานสําหรับงานนวัตกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยมีสมาคมผู้ประกอบการผลิตเครื่องจักชิ้นส่วนโลหะและอุตสาหกรรมสนับสนุนไทยให้การต้อนรับ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดจุลพงษ์ฯ มอบนโยบาย แนวทางการพัฒนาต่อยอดส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
รองปลัดจุลพงษ์ฯ มอบนโยบาย แนวทางการพัฒนาต่อยอดส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบนโยบาย แนวทางการพัฒนาต่อยอดส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2563 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ปฏิบัติราชการ เพื่อมอบนโยบายแนวทางการพัฒนางานบริการในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่ พร้อมเยี่ยมชมศูนย์ให้บริการต่าง ๆ โดยมีนางสาวนิรามัย ศิริศรีสุดากุล ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 และเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จังหวัดเชียงใหม่
สําหรับศูนย์ให้บริการต่าง ๆ ของ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ประกอบด้วย
1. ศูนย์พัฒนาและทดสอบอัตลักษณ์กาแฟอะราบิก้าภาคเหนือ (HBACC) ตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวบรวมถ่ายทอดองค์ความรู้ ทดลอง ทดสอบ ให้คําปรึกษาแนะนําด้านอุตสาหกรรมกาแฟ ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมกาแฟอะราบิก้าภาคเหนือให้ก้าวหน้าต่อไป
2. ศูนย์อนุรักษ์หัตถกรรมเครื่องเขินภาคเหนือ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่ออนุรักษ์ และถ่ายทอดองค์ความรู้ ประวัติความเป็นมา ตลอดจนกระบวนการผลิตเครื่องเขิน
3. ศูนย์ ITC 4.0 ที่ให้บริการทดสอบ-ทดลองโดยนําเอาเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาช่วยในกระบวนการแปรรูปขั้นต้น ซึ่งถือเป็นจุดให้บริการที่ผู้ประกอบการในพื้นที่เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องทุกวัน
นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชม บริษัท พีเอ็มเอ็ม จํากัด เพื่อเชื่อมโยงโครงการ Robot Robotic ให้เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม พร้อมทั้งมอบนโยบายการจัดทํามาตรฐานสําหรับงานนวัตกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยมีสมาคมผู้ประกอบการผลิตเครื่องจักชิ้นส่วนโลหะและอุตสาหกรรมสนับสนุนไทยให้การต้อนรับ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34082
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำสั่งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ที่103/2563 เรื่อง การระงับการดำเนินงานของสนามบินภูเก็ต
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
คําสั่งสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ที่103/2563 เรื่อง การระงับการดําเนินงานของสนามบินภูเก็ต
ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในฐานะผู้กํากับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต
ได้ออกมาตรการยกระดับความเข้มงวดในการเฝ้าระวังและยับยั้งการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยได้ปิดช่องเข้า-ออกในช่องทางบกและช่องทางน้ํา จามประกาศจังหวัดภูเก็ตฉบับที่ 11/2563 ลงวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563 โดยได้ประสานการปฏิบัติในการใช้มาตรการเพิ่มเติมในการปิดช่องทางเดินอากาศยานและได้มีคําสั่งสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ที่ 85/2563 เรื่อง การระงับการดําเนินงานของสนามบินภูเก็ต สั่ง ณ วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2563 ให้ระงับการดําเนินงานของสนามบินภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2563 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 23.59 น. นั้น
ด้วยปัจจุบันสถานการณ์การติดเชื้อและการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตยังคงมีจํานวนผู้ติดเชื้อเป็นลําดับ 2 ของประเทศ และมีอัตราการติดเชื้อสูงที่สุดในประเทศไทย ถึงแม้การระบาดของโรคจะมีแนวโน้มลดลง แต่ก็ยังพบว่ามีการติดเชื้ออย่างต่อเนื่องทุกวันในหลายพื้นที่ของจังหวัด ทําให้ยังต้องมีการคัดกรอง ค้นหา เฝ้าระวัง ควบคุมโรคและรักษาพยาบาล ซึ่งส่งผลให้จังหวัดภูเก็ตมีความจําเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมช่องทางการเดินทางเข้า-ออก ดังนั้น เพื่อเป็นการลดการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในฐานะผู้กํากับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต ในคราวการประชุม ครั้งที่ 24/2563 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563 ได้ประสานขอให้สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยพิจารณาขยายระยะเวลาการระงับการดําเนินงานของสนามบินภูเก็ตออกไปอีก 15 วัน
เพื่อประโยชน์ในการป้องกันสาธารณะมิให้เกิดเหตุกาณ์การระบาดของโรครุนแรงมากยิ่งขึ้นและเพื่อให้จังหวัดภูเก็ตสามารถแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงโดยเร็ว อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 60/22 แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
1. ให้ระงับการดําเนินงานของสนามบินภูเก็ต เว้นแต่เป็นการให้บริการแก่อากาศยานดังต่อไปนี้
(1) อากาศยานราชการหรือที่ใช้ในราชการทหาร (State or Military aircraft)
(2) อากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน (Emergency landing)
(3) อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค (Technical landing) โดยไม่มีผู้โดยสารออกจากเครื่อง
(4) อากาศยานที่ทําการบินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมทําการบินทางการแพทย์
หรือการขนส่งสิ่งของเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) (Humanitarian aid, medical and relief flights)
(5) อากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้ทําการบินรับส่งบุคคลกลับประเทศไทยหรือกลับภูมิลําเนา (Repatriation)
(6) อากาศยานขนส่งสินค้า (Cargo aircraft)
2. ให้ผู้ควบคุมอากาศยาน เจ้าหน้าที่ประจําอากาศยาน และบุคคลผู้เดินทางโดยอากาศยานตาม 1. ปฏิบัติตามข้อกําหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และปฏิบัติตามประกาศหรือคําสั่งของจังหวัดภูเก็ตโดยเคร่งครัด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เวลา 23.59 น. หรือจนกว่าจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง
สั่ง ณ วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563
***กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สํานักงานปลัดกระทรวงคมนาคม***
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำสั่งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ที่103/2563 เรื่อง การระงับการดำเนินงานของสนามบินภูเก็ต
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
คําสั่งสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ที่103/2563 เรื่อง การระงับการดําเนินงานของสนามบินภูเก็ต
ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในฐานะผู้กํากับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต
ได้ออกมาตรการยกระดับความเข้มงวดในการเฝ้าระวังและยับยั้งการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยได้ปิดช่องเข้า-ออกในช่องทางบกและช่องทางน้ํา จามประกาศจังหวัดภูเก็ตฉบับที่ 11/2563 ลงวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563 โดยได้ประสานการปฏิบัติในการใช้มาตรการเพิ่มเติมในการปิดช่องทางเดินอากาศยานและได้มีคําสั่งสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ที่ 85/2563 เรื่อง การระงับการดําเนินงานของสนามบินภูเก็ต สั่ง ณ วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2563 ให้ระงับการดําเนินงานของสนามบินภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2563 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 23.59 น. นั้น
ด้วยปัจจุบันสถานการณ์การติดเชื้อและการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตยังคงมีจํานวนผู้ติดเชื้อเป็นลําดับ 2 ของประเทศ และมีอัตราการติดเชื้อสูงที่สุดในประเทศไทย ถึงแม้การระบาดของโรคจะมีแนวโน้มลดลง แต่ก็ยังพบว่ามีการติดเชื้ออย่างต่อเนื่องทุกวันในหลายพื้นที่ของจังหวัด ทําให้ยังต้องมีการคัดกรอง ค้นหา เฝ้าระวัง ควบคุมโรคและรักษาพยาบาล ซึ่งส่งผลให้จังหวัดภูเก็ตมีความจําเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมช่องทางการเดินทางเข้า-ออก ดังนั้น เพื่อเป็นการลดการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในฐานะผู้กํากับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดภูเก็ต ในคราวการประชุม ครั้งที่ 24/2563 เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563 ได้ประสานขอให้สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยพิจารณาขยายระยะเวลาการระงับการดําเนินงานของสนามบินภูเก็ตออกไปอีก 15 วัน
เพื่อประโยชน์ในการป้องกันสาธารณะมิให้เกิดเหตุกาณ์การระบาดของโรครุนแรงมากยิ่งขึ้นและเพื่อให้จังหวัดภูเก็ตสามารถแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงโดยเร็ว อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 60/22 แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
1. ให้ระงับการดําเนินงานของสนามบินภูเก็ต เว้นแต่เป็นการให้บริการแก่อากาศยานดังต่อไปนี้
(1) อากาศยานราชการหรือที่ใช้ในราชการทหาร (State or Military aircraft)
(2) อากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน (Emergency landing)
(3) อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค (Technical landing) โดยไม่มีผู้โดยสารออกจากเครื่อง
(4) อากาศยานที่ทําการบินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมทําการบินทางการแพทย์
หรือการขนส่งสิ่งของเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) (Humanitarian aid, medical and relief flights)
(5) อากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้ทําการบินรับส่งบุคคลกลับประเทศไทยหรือกลับภูมิลําเนา (Repatriation)
(6) อากาศยานขนส่งสินค้า (Cargo aircraft)
2. ให้ผู้ควบคุมอากาศยาน เจ้าหน้าที่ประจําอากาศยาน และบุคคลผู้เดินทางโดยอากาศยานตาม 1. ปฏิบัติตามข้อกําหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และปฏิบัติตามประกาศหรือคําสั่งของจังหวัดภูเก็ตโดยเคร่งครัด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เวลา 23.59 น. หรือจนกว่าจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง
สั่ง ณ วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563
***กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สํานักงานปลัดกระทรวงคมนาคม***
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30072
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการช่วยเหลือของกองทุนประกันสังคม [กระทรวงเเรงงาน]
|
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน 2563
มาตรการช่วยเหลือของกองทุนประกันสังคม [กระทรวงเเรงงาน]
มาตรการช่วยเหลือของกองทุนประกันสังคม
มาตรการช่วยเหลือของกองทุนประกันสังคม
☑️กรณีนายจ้างเลิกจ้าง (ทั้งหมด/ บางส่วน) หรือ ปิดกิจการ
ลูกจ้างได้เงินชดเชยจากนายจ้างตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน และรับเงินสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากกองทุนประกันสังคม ร้อยละ 70 ของค่าจ้าง จนกว่าจะได้งานใหม่ แต่ไม่เกิน 200 วัน
☑️กรณีสถานประกอบกิจการถูกรัฐสั่งหยุดประกอบกิจการเนื่องจากเหตุสุดวิสัย (โควิด 19)
กองทุนประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ร้อยละ 62 ของค่าจ้าง จนกว่าจะกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง แต่ไม่เกิน 90 วัน (หากสถานการณ์ยืดเยื้อเกิน 90 วัน กระทรวงแรงงานจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่อไป)
☑️กรณีนายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงหยุดงานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดหรือกักตัว
กองทุนประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ร้อยละ 62 ของค่าจ้าง จนกว่าจะกลับมาทํางานได้ แต่ไม่เกิน 90 วัน
☑️กรณีผู้ประกันตนอิสระในมาตรา 39 มาตรา 40 และผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ส่งเงินสมทบไม่ถึง 6 เดือนที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19
สามารถขึ้นทะเบียนรับเงินชดเชยการขาดรายได้ 5,000 บาท (3 เดือน) จากกระทรวงการคลัง
☑️กรณีสถานประกอบการที่การประกอบธุรกิจได้รับผลกระทบ
กระทรวงแรงงานอยู่ระหว่างหารือร่วมกับกระทรวงการคลังเพื่อให้ความช่วยเหลือ โดยคาดว่าจะมีผู้ได้รับผลกระทบประมาณ 500,000 คน ในกลุ่มกิจการโรงแรม การขนส่งผู้โดยสาร และท่องเที่ยว
#กระทรวงแรงงาน
#สํานักงานประกันสังคม
#โทรสายด่วน1506
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการช่วยเหลือของกองทุนประกันสังคม [กระทรวงเเรงงาน]
วันเสาร์ที่ 4 เมษายน 2563
มาตรการช่วยเหลือของกองทุนประกันสังคม [กระทรวงเเรงงาน]
มาตรการช่วยเหลือของกองทุนประกันสังคม
มาตรการช่วยเหลือของกองทุนประกันสังคม
☑️กรณีนายจ้างเลิกจ้าง (ทั้งหมด/ บางส่วน) หรือ ปิดกิจการ
ลูกจ้างได้เงินชดเชยจากนายจ้างตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน และรับเงินสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากกองทุนประกันสังคม ร้อยละ 70 ของค่าจ้าง จนกว่าจะได้งานใหม่ แต่ไม่เกิน 200 วัน
☑️กรณีสถานประกอบกิจการถูกรัฐสั่งหยุดประกอบกิจการเนื่องจากเหตุสุดวิสัย (โควิด 19)
กองทุนประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ร้อยละ 62 ของค่าจ้าง จนกว่าจะกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง แต่ไม่เกิน 90 วัน (หากสถานการณ์ยืดเยื้อเกิน 90 วัน กระทรวงแรงงานจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่อไป)
☑️กรณีนายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงหยุดงานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดหรือกักตัว
กองทุนประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ร้อยละ 62 ของค่าจ้าง จนกว่าจะกลับมาทํางานได้ แต่ไม่เกิน 90 วัน
☑️กรณีผู้ประกันตนอิสระในมาตรา 39 มาตรา 40 และผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ส่งเงินสมทบไม่ถึง 6 เดือนที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19
สามารถขึ้นทะเบียนรับเงินชดเชยการขาดรายได้ 5,000 บาท (3 เดือน) จากกระทรวงการคลัง
☑️กรณีสถานประกอบการที่การประกอบธุรกิจได้รับผลกระทบ
กระทรวงแรงงานอยู่ระหว่างหารือร่วมกับกระทรวงการคลังเพื่อให้ความช่วยเหลือ โดยคาดว่าจะมีผู้ได้รับผลกระทบประมาณ 500,000 คน ในกลุ่มกิจการโรงแรม การขนส่งผู้โดยสาร และท่องเที่ยว
#กระทรวงแรงงาน
#สํานักงานประกันสังคม
#โทรสายด่วน1506
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28451
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันเขื่อนและอ่างเก็บน้ำยังรองรับได้
|
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561
รัฐบาลยืนยันเขื่อนและอ่างเก็บน้ํายังรองรับได้
จากสถานการณ์ฝนตกต่อเนื่องและระดับน้ําในเขื่อนเพิ่มสูงขึ้นนั้น รัฐบาลขอให้ประชาชนมั่นใจว่าเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วประเทศยังสามารถรองรับปริมาณน้ําได้อีกกว่า 23,900 ล้านลบ.ม. ส่วนเขื่อนที่มีปริมาณน้ํามากเป็นพิเศษจะควบคุมและระบายน้ําอย่างเหมาะสมและเป็นไ
จันทร์ที่ 6 ส.ค.61
รัฐบาลยืนยันเขื่อนและอ่างเก็บน้ํายังรองรับได้
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
จากสถานการณ์ฝนตกต่อเนื่องและระดับน้ําในเขื่อนเพิ่มสูงขึ้นนั้น รัฐบาลขอให้ประชาชนมั่นใจว่าเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วประเทศยังสามารถรองรับปริมาณน้ําได้อีกกว่า 23,900 ล้านลบ.ม. ส่วนเขื่อนที่มีปริมาณน้ํามากเป็นพิเศษจะควบคุมและระบายน้ําอย่างเหมาะสมและเป็นไปตามมาตรฐาน นอกจากนี้ ยืนยันว่าเขื่อนทุกแห่งได้รับการตรวจเช็คสภาพความแข็งแรงอย่างสม่ําเสมอ เช่น ตรวจเช็คการกัดเซาะ การรั่วซึม หรือการทรุดตัว และยังมีการติดตั้งเครื่องมือช่วยประเมินความมั่นคงของโครงสร้างและรายงานผลได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการติดตามสถานการณ์น้ําสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมชลประทาน หรือสอบถามได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ําอัจฉริยะ สายด่วน 1460
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันเขื่อนและอ่างเก็บน้ำยังรองรับได้
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561
รัฐบาลยืนยันเขื่อนและอ่างเก็บน้ํายังรองรับได้
จากสถานการณ์ฝนตกต่อเนื่องและระดับน้ําในเขื่อนเพิ่มสูงขึ้นนั้น รัฐบาลขอให้ประชาชนมั่นใจว่าเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วประเทศยังสามารถรองรับปริมาณน้ําได้อีกกว่า 23,900 ล้านลบ.ม. ส่วนเขื่อนที่มีปริมาณน้ํามากเป็นพิเศษจะควบคุมและระบายน้ําอย่างเหมาะสมและเป็นไ
จันทร์ที่ 6 ส.ค.61
รัฐบาลยืนยันเขื่อนและอ่างเก็บน้ํายังรองรับได้
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
จากสถานการณ์ฝนตกต่อเนื่องและระดับน้ําในเขื่อนเพิ่มสูงขึ้นนั้น รัฐบาลขอให้ประชาชนมั่นใจว่าเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วประเทศยังสามารถรองรับปริมาณน้ําได้อีกกว่า 23,900 ล้านลบ.ม. ส่วนเขื่อนที่มีปริมาณน้ํามากเป็นพิเศษจะควบคุมและระบายน้ําอย่างเหมาะสมและเป็นไปตามมาตรฐาน นอกจากนี้ ยืนยันว่าเขื่อนทุกแห่งได้รับการตรวจเช็คสภาพความแข็งแรงอย่างสม่ําเสมอ เช่น ตรวจเช็คการกัดเซาะ การรั่วซึม หรือการทรุดตัว และยังมีการติดตั้งเครื่องมือช่วยประเมินความมั่นคงของโครงสร้างและรายงานผลได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการติดตามสถานการณ์น้ําสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลได้ที่เว็บไซต์กรมชลประทาน หรือสอบถามได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ําอัจฉริยะ สายด่วน 1460
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14404
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะหารือผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยหลังน้ำลดในจังหวัดยโสธร
|
วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2562
ก.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะหารือผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยหลังน้ําลดในจังหวัดยโสธร
ก.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะหารือผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยหลังน้ําลดในจังหวัดยโสธร
จังหวัดยโสธร : วันนี้ (6 ตุลาคม 2562) นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางพงษ์ศิริ วรรณศรี ผู้อํานวยการกองตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้อํานวยการกองบริหารงานอนุญาตโรงงาน 2 คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม และคณะจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เดินทางเยี่ยมชมและฟื้นฟู สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการกองทุนประชารัฐ ซึ่งได้รับผลจากอุทกภัย อาทิ โรงงานตุ๊กตา Bon Bon ซึ่งรับออกแบบ ผลิตตุ๊กตา และโรงงาน LIC อุปกรณ์ (1999)
ซึ่งผลิตโต๊ะและอุปกรณ์สํานักงานจากไม้อัด พร้อมให้คําปรึกษา แนะนําด้านการเงิน การพักชําระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และขยายระยะเวลาผ่อนชําระหนี้เพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย #กระทรวงอุตสาหกรรม #ทําทันทีซ่อมสร้างฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย4จังหวัดภาคอีสาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะหารือผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยหลังน้ำลดในจังหวัดยโสธร
วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2562
ก.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะหารือผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยหลังน้ําลดในจังหวัดยโสธร
ก.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบปะหารือผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยหลังน้ําลดในจังหวัดยโสธร
จังหวัดยโสธร : วันนี้ (6 ตุลาคม 2562) นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางพงษ์ศิริ วรรณศรี ผู้อํานวยการกองตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายทาวัน ทวีถาวรสวัสดิ์ ผู้อํานวยการกองบริหารงานอนุญาตโรงงาน 2 คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม และคณะจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เดินทางเยี่ยมชมและฟื้นฟู สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการกองทุนประชารัฐ ซึ่งได้รับผลจากอุทกภัย อาทิ โรงงานตุ๊กตา Bon Bon ซึ่งรับออกแบบ ผลิตตุ๊กตา และโรงงาน LIC อุปกรณ์ (1999)
ซึ่งผลิตโต๊ะและอุปกรณ์สํานักงานจากไม้อัด พร้อมให้คําปรึกษา แนะนําด้านการเงิน การพักชําระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และขยายระยะเวลาผ่อนชําระหนี้เพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย #กระทรวงอุตสาหกรรม #ทําทันทีซ่อมสร้างฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย4จังหวัดภาคอีสาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23655
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เน้นสร้างเอกภาพ ยกระดับวิทยะฐานะ ด้วยหลักสูตรมืออาชีพ
|
วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560
พม. ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เน้นสร้างเอกภาพ ยกระดับวิทยะฐานะ ด้วยหลักสูตรมืออาชีพ
พม. ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เน้นสร้างเอกภาพ ยกระดับวิทยะฐานะ ด้วยหลักสูตรมืออาชีพ
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 60เวลา 09.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 60นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมงานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กอพม.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ อพม. ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2560 – 2564) และการกําหนดนโยบายการขับเคลื่อนงานด้านอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในภาพรวมของกระทรวงฯ ณ ห้องประชุมชั้น 6 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายไมตรีกล่าวว่า อพม. ถือว่าเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนงานของกระทรวงฯ ด้านการพัฒนาสังคมและการจัดสวัสดิการสังคม อพม. นับเป็นผู้ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน ปัจจุบัน อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) มีจํานวนทั้งสิ้น 133,304 คน กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ(พส.) ได้ดําเนินงานด้านการพัฒนาศักยภาพ อพม. การส่งเสริมบทบาท อพม. ทั้งในส่วนกลางและในระดับจังหวัด รวมถึงขยายผลการดําเนินงานส่งเสริมให้มีอาสาสมัครคนไทยในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จํานวน 51 คน อีกทั้งส่งเสริมให้มีองค์กรสาธารณประโยชน์ในต่างประเทศในการดูแลคนไทยในต่างประเทศ รวม 9 ประเทศ 23 องค์กร นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการสร้างความร่วมมือกับอาสาสมัครชาวต่างประเทศเพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมทั้งผลักดันให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาสาสมัครแห่งชาติ เพื่อศูนย์กลางในการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครทุกประเภทและที่สําคัญคือ การสร้างกําลังใจ ยกย่องเชิดชูเกียรติ อพม. ให้สังคม ได้ประจักษ์ และเห็นถึงการทําความดี ในการ"ร่วมคิด ร่วมทํา ร่วมรับผิดชอบ” ต่อสังคม
นายไมตรีกล่าวต่อไปว่า สําหรับการประชุมในครั้งนี้ มีมติที่สําคัญในเชิงการกําหนดนโยบายและ ทิศทางการส่งเสริมงาน อพม. ให้เกิดความเป็นเอกภาพ ดังนี้ 1) เห็นชอบให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ นํายุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ อพม. ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2560 – 2564) ไปใช้เป็นแนวทางในการดําเนินงานด้าน อพม. 2) มอบหมาย นางสาววันเพ็ญ สุวรรณวิสิฏฐ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ร่วมกับคณะทํางานฯ ในการจัดทําร่างประกาศกระทรวงฯ เรื่อง บทบาทหน้าที่หลักของ อพม. ตามภารกิจของกระทรวง พม. เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการจัดทําข้อตกลงกับกรมบัญชีกลาง เรื่องการกําหนดค่าใช้จ่ายในงาน อพม. ค่าตอบแทนสวัสดิการที่เหมาะสมของ อพม. ตามลําดับต่อไป 3) เห็นชอบการกําหนดหลักสูตรกลางเพื่อการยกระดับวิทยาฐานะอพม. จํานวน 4 หลักสูตร ดังนี้ หลักสูตร อพม. ผู้นําการเปลี่ยนแปลง หลักสูตร อพม. เชี่ยวชาญการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งและการควบคุมการขอทาน หลักสูตร อพม. เชี่ยวชาญ การคุ้มครองเด็กโดยชุมชน และหลักสูตร นักบริหารงาน อพม.
"กระทรวง พม. โดยพส. พร้อมขับเคลื่อนงานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งความเอื้ออาทร ลดความเหลื่อมล้ํา และยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชากร เพื่อมุ่งพัฒนาศักยภาพ อพม. สมดังคําที่ว่า "อพม. เข้าถึงไว ร่วมแก้ไขปัญหาสังคม"นายไมตรีกล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เน้นสร้างเอกภาพ ยกระดับวิทยะฐานะ ด้วยหลักสูตรมืออาชีพ
วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560
พม. ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เน้นสร้างเอกภาพ ยกระดับวิทยะฐานะ ด้วยหลักสูตรมืออาชีพ
พม. ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เน้นสร้างเอกภาพ ยกระดับวิทยะฐานะ ด้วยหลักสูตรมืออาชีพ
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 60เวลา 09.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 60นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมงานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กอพม.) เพื่อพิจารณาเห็นชอบยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ อพม. ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2560 – 2564) และการกําหนดนโยบายการขับเคลื่อนงานด้านอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในภาพรวมของกระทรวงฯ ณ ห้องประชุมชั้น 6 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
นายไมตรีกล่าวว่า อพม. ถือว่าเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนงานของกระทรวงฯ ด้านการพัฒนาสังคมและการจัดสวัสดิการสังคม อพม. นับเป็นผู้ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน ปัจจุบัน อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) มีจํานวนทั้งสิ้น 133,304 คน กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ(พส.) ได้ดําเนินงานด้านการพัฒนาศักยภาพ อพม. การส่งเสริมบทบาท อพม. ทั้งในส่วนกลางและในระดับจังหวัด รวมถึงขยายผลการดําเนินงานส่งเสริมให้มีอาสาสมัครคนไทยในประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จํานวน 51 คน อีกทั้งส่งเสริมให้มีองค์กรสาธารณประโยชน์ในต่างประเทศในการดูแลคนไทยในต่างประเทศ รวม 9 ประเทศ 23 องค์กร นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการสร้างความร่วมมือกับอาสาสมัครชาวต่างประเทศเพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมทั้งผลักดันให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานอาสาสมัครแห่งชาติ เพื่อศูนย์กลางในการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครทุกประเภทและที่สําคัญคือ การสร้างกําลังใจ ยกย่องเชิดชูเกียรติ อพม. ให้สังคม ได้ประจักษ์ และเห็นถึงการทําความดี ในการ"ร่วมคิด ร่วมทํา ร่วมรับผิดชอบ” ต่อสังคม
นายไมตรีกล่าวต่อไปว่า สําหรับการประชุมในครั้งนี้ มีมติที่สําคัญในเชิงการกําหนดนโยบายและ ทิศทางการส่งเสริมงาน อพม. ให้เกิดความเป็นเอกภาพ ดังนี้ 1) เห็นชอบให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ นํายุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ อพม. ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2560 – 2564) ไปใช้เป็นแนวทางในการดําเนินงานด้าน อพม. 2) มอบหมาย นางสาววันเพ็ญ สุวรรณวิสิฏฐ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ร่วมกับคณะทํางานฯ ในการจัดทําร่างประกาศกระทรวงฯ เรื่อง บทบาทหน้าที่หลักของ อพม. ตามภารกิจของกระทรวง พม. เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการจัดทําข้อตกลงกับกรมบัญชีกลาง เรื่องการกําหนดค่าใช้จ่ายในงาน อพม. ค่าตอบแทนสวัสดิการที่เหมาะสมของ อพม. ตามลําดับต่อไป 3) เห็นชอบการกําหนดหลักสูตรกลางเพื่อการยกระดับวิทยาฐานะอพม. จํานวน 4 หลักสูตร ดังนี้ หลักสูตร อพม. ผู้นําการเปลี่ยนแปลง หลักสูตร อพม. เชี่ยวชาญการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งและการควบคุมการขอทาน หลักสูตร อพม. เชี่ยวชาญ การคุ้มครองเด็กโดยชุมชน และหลักสูตร นักบริหารงาน อพม.
"กระทรวง พม. โดยพส. พร้อมขับเคลื่อนงานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งความเอื้ออาทร ลดความเหลื่อมล้ํา และยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชากร เพื่อมุ่งพัฒนาศักยภาพ อพม. สมดังคําที่ว่า "อพม. เข้าถึงไว ร่วมแก้ไขปัญหาสังคม"นายไมตรีกล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4776
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน และปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 7/2561
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561
รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน และปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 7/2561
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานผลความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ด้านต่าง ๆ อาทิ ชุมชนคลองลาดพร้าว การประมง การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ การจราจรใน กทม.และตลาดจตุจักร
วันนี้ (15 สิงหาคม 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 7/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการรุกลําน้ําสาธารณะ (ลาดพร้าว) ซึ่งมีความคืบหน้า โดยได้ก่อสร้างเขื่อนคลองลาดพร้าว ซึ่งมีความยาวประมาณ 45.30 กิโลเมตร สามารถตอกเสาเข็มได้ จํานวน 23,912 ต้น พร้อมนําร่องก่อสร้างบ้านครอบคลุม จํานวน 31 ชุมชน เพื่อดูแลจํานวน 2,792 ครัวเรือน
รวมทั้ง ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานผลการดําเนินการของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการปรับภูมิทัศน์ริมแม่น้ําเจ้าพระยา ซึ่งได้มีการรื้อย้ายบ้านรุกล้ําลําน้ํา จํานวน 51 หลัง ขณะเดียวกันได้ดําเนินการในระยะแรก ประกอบด้วย แผนงานที่ 1 จัดทําทางเดินริมแม่น้ํา แผนงานที่ 2 ปรับปรุงภูมิทัศน์เขื่อน แผนงานที่ 3 พัฒนาท่าเรือสาธารณะ แผนงานที่ 4 พัฒนาศาลาท่าน้ํา แผนงานที่ 5 พัฒนาพื้นที่บริการสาธารณะ และแผนงานที่ 6 พัฒนาเส้นทางการเข้าถึงพื้นที่ตามลําดับ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ซึ่งได้มีการจัดการกองเรือประมง จํานวนเรือทั้งสิ้น 19,405 ลํา ส่วนการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวังการทําประมงผิดกฎหมาย มีการยื่นเอกสารผ่านระบบ E-PIPO มีค่าเป้าหมายครบถ้วนสมบูรณ์ 100 % เรียบร้อยแล้ว
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย (อกคร.) ประกอบด้วย ด้านการดําเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย อาทิ การเพิ่มศักยภาพของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย การเร่งรัดดําเนินคดี เจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ การเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสถานบริการ การอายัดและยึดทรัพย์ผู้กระทําความผิดฐานค้ามนุษย์ การให้ความคุ้มครองแก่พยาน และการเพิ่มประสิทธิภาพการคัดกรองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ อาทิ การส่งเสริมให้ผู้เสียหายมีงานทําทั้งในและนอกสถานคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การตรวจสอบมาตรฐานสถานคุ้มครองฯ และการติดตามสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายที่เป็นตัวเงินให้กับผู้เสียหาย ส่วนด้านการป้องกัน อาทิ การฝึกอบรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานให้กับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย การจัดทําคู่มือแนวปฏิบัติการนําเข้าแรงงานต่างด้าวตามระบบ การเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมาย และการจับกุม-ส่งกลับผู้หลบหนีเข้าเมือง โดยผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังมีแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย (ด้านแรงงาน) ได้แก่ ด้านการพัฒนากฎหมาย ด้านการป้องกัน ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานและด้านการคุ้มครองผู้เสียหายตามลําดับ ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ให้บรรลุผลสําเร็จตามนโยบายของรัฐบาลโดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการเพื่อบูรณาการการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกที่นําเข้าจากต่างประเทศ อย่างเป็นระบบ โดยให้ยกเลิกการนําเข้าซากชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและเศษอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทํารายการสินค้าที่ห้ามนําเข้าพร้อมออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เพื่อกําหนด E-waste เป็นสินค้าต้องห้ามการนําเข้าตลอดจนมอบหมายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมฯ และห้ามโรงงานใช้วัตถุดิบที่เป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและเศษอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) จากต่างประเทศ มาใช้หรือผลิตในโรงงาน และมอบหมายให้กรมศุลกากร กําหนดพิกัดศุลกากร ตามชนิดของสินค้าที่ประกาศห้ามนําเข้าโดยเคร่งครัดอีกด้วย
รวมทั้ง ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานผลคืบหน้าการแก้ไขปัญหาจราจรในเขต กทม. และปริมณฑล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในการสัญจรและให้คํานึงถึงความปลอดภัยมากที่สุด ขณะเดียวกัน ขอให้เร่งสํารวจและซ่อมปรับผิวการจราจรที่ชํารุด หรือเป็นปัญหาของอุบัติเหตุในภาพรวมจากการเสียการทรงตัวและการชะลอตัวของรถ พร้อมได้กําชับให้ กทม. เตรียมการให้พร้อมรับมือกับน้ําท่วมในฤดูฝน และวางแผนเร่งระบายน้ําให้เร็วที่สุด โดยประธานที่ประชุมกล่าวว่า “วินัยจราจรสะท้อนวินัยชาติ” พร้อมบูรณาการขับเคลื่อนและประสานงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและต่อเนื่องผ่าน “ศูนย์ควบคุมสั่งการและแก้ไขปัญหาจราจร” อย่างจริงจังและเป็นระบบ ขณะเดียวกัน มีการรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมมอบหมายให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติ(สตช.) ประสานกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ความสําคัญในการกวดขันวินัยจราจร และกําหนดมาตรการเข้มงวดกับกลุ่มที่ละเลยกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มรถสาธารณะประเภทรถโดยสารร่วมหรือรถสาธารณะทั่วไป รวมทั้งคํานึงถึงการเคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งมีการประเมินผลทุกสัปดาห์และปรับแผนการปฏิบัติให้สามารถบริหารจัดการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตอนท้ายของการประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานผลคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนผู้ค้ารายย่อยในตลาดนัดจตุจักร เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนผู้ค้าฯ นับหมื่นรายที่ประกอบอาชีพโดยสุจริต โดยเน้นให้รักษาผลประโยชน์ของภาครัฐและภาคประชาชนตามแนวทาง “ประชารัฐ” ของรัฐบาล จึงมีข้อเสนอในการเข้ามาดูแลในเรื่องปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหาการเรียกเก็บค่าเช่าแผงค้าที่สูง ปัญหาการบริหารงานในตลาดนัดจตุจักร ปัญหาการทุจริตรายได้ของรัฐในตลาดนัดจตุจักร โดยขอให้พิจารณาหารือร่วมกันระหว่างบอร์ดการรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทะศไทย และกรุงเทพมหานคร เพื่อได้ข้อสรุปร่วมกันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนผู้ค้ารายย่อยฯ ดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
.......................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน และปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 7/2561
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561
รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อน และปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 7/2561
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานผลความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ด้านต่าง ๆ อาทิ ชุมชนคลองลาดพร้าว การประมง การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ การจราจรใน กทม.และตลาดจตุจักร
วันนี้ (15 สิงหาคม 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ 5 ครั้งที่ 7/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการรุกลําน้ําสาธารณะ (ลาดพร้าว) ซึ่งมีความคืบหน้า โดยได้ก่อสร้างเขื่อนคลองลาดพร้าว ซึ่งมีความยาวประมาณ 45.30 กิโลเมตร สามารถตอกเสาเข็มได้ จํานวน 23,912 ต้น พร้อมนําร่องก่อสร้างบ้านครอบคลุม จํานวน 31 ชุมชน เพื่อดูแลจํานวน 2,792 ครัวเรือน
รวมทั้ง ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานผลการดําเนินการของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการปรับภูมิทัศน์ริมแม่น้ําเจ้าพระยา ซึ่งได้มีการรื้อย้ายบ้านรุกล้ําลําน้ํา จํานวน 51 หลัง ขณะเดียวกันได้ดําเนินการในระยะแรก ประกอบด้วย แผนงานที่ 1 จัดทําทางเดินริมแม่น้ํา แผนงานที่ 2 ปรับปรุงภูมิทัศน์เขื่อน แผนงานที่ 3 พัฒนาท่าเรือสาธารณะ แผนงานที่ 4 พัฒนาศาลาท่าน้ํา แผนงานที่ 5 พัฒนาพื้นที่บริการสาธารณะ และแผนงานที่ 6 พัฒนาเส้นทางการเข้าถึงพื้นที่ตามลําดับ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ซึ่งได้มีการจัดการกองเรือประมง จํานวนเรือทั้งสิ้น 19,405 ลํา ส่วนการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวังการทําประมงผิดกฎหมาย มีการยื่นเอกสารผ่านระบบ E-PIPO มีค่าเป้าหมายครบถ้วนสมบูรณ์ 100 % เรียบร้อยแล้ว
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และแรงงานผิดกฎหมาย (อกคร.) ประกอบด้วย ด้านการดําเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย อาทิ การเพิ่มศักยภาพของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย การเร่งรัดดําเนินคดี เจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ การเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสถานบริการ การอายัดและยึดทรัพย์ผู้กระทําความผิดฐานค้ามนุษย์ การให้ความคุ้มครองแก่พยาน และการเพิ่มประสิทธิภาพการคัดกรองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ด้านการคุ้มครองช่วยเหลือ อาทิ การส่งเสริมให้ผู้เสียหายมีงานทําทั้งในและนอกสถานคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การตรวจสอบมาตรฐานสถานคุ้มครองฯ และการติดตามสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายที่เป็นตัวเงินให้กับผู้เสียหาย ส่วนด้านการป้องกัน อาทิ การฝึกอบรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานให้กับเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย การจัดทําคู่มือแนวปฏิบัติการนําเข้าแรงงานต่างด้าวตามระบบ การเพิ่มความเข้มข้นในการบังคับใช้กฎหมาย และการจับกุม-ส่งกลับผู้หลบหนีเข้าเมือง โดยผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังมีแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย (ด้านแรงงาน) ได้แก่ ด้านการพัฒนากฎหมาย ด้านการป้องกัน ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานและด้านการคุ้มครองผู้เสียหายตามลําดับ ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ให้บรรลุผลสําเร็จตามนโยบายของรัฐบาลโดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานผลการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการเพื่อบูรณาการการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกที่นําเข้าจากต่างประเทศ อย่างเป็นระบบ โดยให้ยกเลิกการนําเข้าซากชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและเศษอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทํารายการสินค้าที่ห้ามนําเข้าพร้อมออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เพื่อกําหนด E-waste เป็นสินค้าต้องห้ามการนําเข้าตลอดจนมอบหมายให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมฯ และห้ามโรงงานใช้วัตถุดิบที่เป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและเศษอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) จากต่างประเทศ มาใช้หรือผลิตในโรงงาน และมอบหมายให้กรมศุลกากร กําหนดพิกัดศุลกากร ตามชนิดของสินค้าที่ประกาศห้ามนําเข้าโดยเคร่งครัดอีกด้วย
รวมทั้ง ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานผลคืบหน้าการแก้ไขปัญหาจราจรในเขต กทม. และปริมณฑล เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในการสัญจรและให้คํานึงถึงความปลอดภัยมากที่สุด ขณะเดียวกัน ขอให้เร่งสํารวจและซ่อมปรับผิวการจราจรที่ชํารุด หรือเป็นปัญหาของอุบัติเหตุในภาพรวมจากการเสียการทรงตัวและการชะลอตัวของรถ พร้อมได้กําชับให้ กทม. เตรียมการให้พร้อมรับมือกับน้ําท่วมในฤดูฝน และวางแผนเร่งระบายน้ําให้เร็วที่สุด โดยประธานที่ประชุมกล่าวว่า “วินัยจราจรสะท้อนวินัยชาติ” พร้อมบูรณาการขับเคลื่อนและประสานงานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและต่อเนื่องผ่าน “ศูนย์ควบคุมสั่งการและแก้ไขปัญหาจราจร” อย่างจริงจังและเป็นระบบ ขณะเดียวกัน มีการรับฟังเสียงสะท้อนของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง พร้อมมอบหมายให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติ(สตช.) ประสานกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ความสําคัญในการกวดขันวินัยจราจร และกําหนดมาตรการเข้มงวดกับกลุ่มที่ละเลยกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มรถสาธารณะประเภทรถโดยสารร่วมหรือรถสาธารณะทั่วไป รวมทั้งคํานึงถึงการเคารพกฎจราจรอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งมีการประเมินผลทุกสัปดาห์และปรับแผนการปฏิบัติให้สามารถบริหารจัดการจราจรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตอนท้ายของการประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบรายงานผลคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนผู้ค้ารายย่อยในตลาดนัดจตุจักร เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนผู้ค้าฯ นับหมื่นรายที่ประกอบอาชีพโดยสุจริต โดยเน้นให้รักษาผลประโยชน์ของภาครัฐและภาคประชาชนตามแนวทาง “ประชารัฐ” ของรัฐบาล จึงมีข้อเสนอในการเข้ามาดูแลในเรื่องปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหาการเรียกเก็บค่าเช่าแผงค้าที่สูง ปัญหาการบริหารงานในตลาดนัดจตุจักร ปัญหาการทุจริตรายได้ของรัฐในตลาดนัดจตุจักร โดยขอให้พิจารณาหารือร่วมกันระหว่างบอร์ดการรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทะศไทย และกรุงเทพมหานคร เพื่อได้ข้อสรุปร่วมกันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนผู้ค้ารายย่อยฯ ดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
.......................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14624
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑
|
วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561
“ยุติธรรม” ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑
ในวันพฤหัสบดีที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑
โดยมีผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติรับทราบในประเด็นต่างๆ อาทิ
๑) ผลการดําเนินงานตามมติที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑
๒) ความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ระหว่างเดือนมีนาคมถึงปัจจุบัน
๓) การยกเลิกคณะอนุกรรมการงานยุติธรรมด้านความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย
๔) ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอํานาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ...
๕) รายงานความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะกรรมการคุมประพฤติ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในประเด็นต่างๆ ได้แก่
๑) เห็นชอบการพิจารณา (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕
และแนวทางการขับเคลื่อน โดยให้ฝ่ายเลขานุการปรับแก้ไขและเพิ่มเติมรายละเอียด
ใน (ร่าง) แผนแม่บทฯ ตามข้อสังเกตของที่ประชุม เพื่อให้เกิดความครอบคลุมและชัดเจนมากขึ้น
ก่อนนําเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
๒) เห็นชอบการพิจารณาจัดทําหลักสูตรกลางเพื่อพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม
โดยที่ประชุมมีข้อสังเกตเพิ่มเติมในแนวทางการดําเนินงานด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การกําหนดมาตรฐาน
ในการจัดอบรมบุคลากร การจัดอบรมผ่านรูปแบบที่เป็นดิจิตอลหรือช่องทางที่อํานวยความสะดวกแก่บุคลากร
การจัดอบรมแลกเปลี่ยนมุมมองกับหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น
๓) เห็นชอบการพิจารณา (ร่าง) ยุทธศาสตร์การวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2562-2565
โดยให้ฝ่ายเลขานุการปรับแก้ไข และกําหนดรายละเอียดเพิ่มเติมตามข้อสังเกตของที่ประชุม
๔) เห็นชอบการพิจารณาแนวทางการดําเนินการบูรณาการงบประมาณด้านการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย
๕) การพิจารณาแนวทางการพัฒนาระบบมาตรการช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมอย่างบูรณาการ
และเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยที่ประชุมมีมติให้ฝ่ายเลขานุการ ไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมตามข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ เพื่อนําเสนอที่ประชุมในครั้งต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑
วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน 2561
“ยุติธรรม” ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑
ในวันพฤหัสบดีที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑
โดยมีผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติรับทราบในประเด็นต่างๆ อาทิ
๑) ผลการดําเนินงานตามมติที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑
๒) ความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ ระหว่างเดือนมีนาคมถึงปัจจุบัน
๓) การยกเลิกคณะอนุกรรมการงานยุติธรรมด้านความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย
๔) ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอํานาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ...
๕) รายงานความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะกรรมการคุมประพฤติ
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในประเด็นต่างๆ ได้แก่
๑) เห็นชอบการพิจารณา (ร่าง) แผนแม่บทการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕
และแนวทางการขับเคลื่อน โดยให้ฝ่ายเลขานุการปรับแก้ไขและเพิ่มเติมรายละเอียด
ใน (ร่าง) แผนแม่บทฯ ตามข้อสังเกตของที่ประชุม เพื่อให้เกิดความครอบคลุมและชัดเจนมากขึ้น
ก่อนนําเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
๒) เห็นชอบการพิจารณาจัดทําหลักสูตรกลางเพื่อพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม
โดยที่ประชุมมีข้อสังเกตเพิ่มเติมในแนวทางการดําเนินงานด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การกําหนดมาตรฐาน
ในการจัดอบรมบุคลากร การจัดอบรมผ่านรูปแบบที่เป็นดิจิตอลหรือช่องทางที่อํานวยความสะดวกแก่บุคลากร
การจัดอบรมแลกเปลี่ยนมุมมองกับหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น
๓) เห็นชอบการพิจารณา (ร่าง) ยุทธศาสตร์การวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2562-2565
โดยให้ฝ่ายเลขานุการปรับแก้ไข และกําหนดรายละเอียดเพิ่มเติมตามข้อสังเกตของที่ประชุม
๔) เห็นชอบการพิจารณาแนวทางการดําเนินการบูรณาการงบประมาณด้านการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย
๕) การพิจารณาแนวทางการพัฒนาระบบมาตรการช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมอย่างบูรณาการ
และเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยที่ประชุมมีมติให้ฝ่ายเลขานุการ ไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมตามข้อสังเกตของคณะกรรมการฯ เพื่อนําเสนอที่ประชุมในครั้งต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12685
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลดูแลประชาชนทุกกลุ่ม
|
วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562
นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลดูแลประชาชนทุกกลุ่ม
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลดูแลประชาชนทุกกลุ่ม
วันนี้ (10 กันยายน 2562) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า วันนี้รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งประกอบด้วยหลายพรรคการเมือง แต่ก็ต้องทํางานตามกรอบราชการบริหารแผ่นดิน ซึ่งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจประกอบด้วยหลายภาคส่วน จึงต้องมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเป็นการเฉพาะ ซึ่งตนเองจะไปนั่งรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เอาปัญหา ผลกระทบต่างๆ มาสังเคราะห์ร่วมกัน เพื่อจะนําเข้าคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง หลายมาตรการที่ผ่านการพิจารณาโดยคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ก็อาจมีการปรับเปลี่ยนเมื่อนําเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แต่ทั้งหมดนี้ คือการทํางานที่เป็นเอกภาพร่วมกัน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวให้มีการสั่งสอบโซเซียลมีเดีย เพื่อตรวจสอบข่าวปลอมต่างๆ และจะต้องมีการดําเนินการจับกุมคนที่เผยแพร่คนแรก เช่น มีการแอบอ้างมาตรช่วยเหลือของรัฐบาลสร้างความเข้าใจผิดให้กับคนทั่วไป ขอยืนยันว่า รัฐบาลจําเป็นต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่มตั้งแต่ระดับบน ชั้นกลาง และระดับล่าง วันนี้ประชาชนในระดับฐานรากหรือข้างล่างยังไม่เข้มแข็ง ยังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาด้านเกษตร น้ําท่วม และฝนแล้ง จึงต้องมีการแก้ไขปัญหาไปพร้อมๆ กัน ทั้งระดับกลางและระดับบน เพิ่มขีดความสามารถทุกภาคส่วนให้เข้มแข็งมากขึ้น
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลดูแลประชาชนทุกกลุ่ม
วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562
นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลดูแลประชาชนทุกกลุ่ม
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลดูแลประชาชนทุกกลุ่ม
วันนี้ (10 กันยายน 2562) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า วันนี้รัฐบาลมาจากการเลือกตั้งประกอบด้วยหลายพรรคการเมือง แต่ก็ต้องทํางานตามกรอบราชการบริหารแผ่นดิน ซึ่งการแก้ปัญหาเศรษฐกิจประกอบด้วยหลายภาคส่วน จึงต้องมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจเป็นการเฉพาะ ซึ่งตนเองจะไปนั่งรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เอาปัญหา ผลกระทบต่างๆ มาสังเคราะห์ร่วมกัน เพื่อจะนําเข้าคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง หลายมาตรการที่ผ่านการพิจารณาโดยคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ก็อาจมีการปรับเปลี่ยนเมื่อนําเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี แต่ทั้งหมดนี้ คือการทํางานที่เป็นเอกภาพร่วมกัน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวให้มีการสั่งสอบโซเซียลมีเดีย เพื่อตรวจสอบข่าวปลอมต่างๆ และจะต้องมีการดําเนินการจับกุมคนที่เผยแพร่คนแรก เช่น มีการแอบอ้างมาตรช่วยเหลือของรัฐบาลสร้างความเข้าใจผิดให้กับคนทั่วไป ขอยืนยันว่า รัฐบาลจําเป็นต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่มตั้งแต่ระดับบน ชั้นกลาง และระดับล่าง วันนี้ประชาชนในระดับฐานรากหรือข้างล่างยังไม่เข้มแข็ง ยังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งปัญหาด้านเกษตร น้ําท่วม และฝนแล้ง จึงต้องมีการแก้ไขปัญหาไปพร้อมๆ กัน ทั้งระดับกลางและระดับบน เพิ่มขีดความสามารถทุกภาคส่วนให้เข้มแข็งมากขึ้น
----------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22978
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ ให้คณะผู้บริหารคณะนิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) เข้าหารือแผนการดำเนินธุรกิจระยะยาวในไทย
|
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563
รัฐมนตรีสุริยะฯ ให้คณะผู้บริหารคณะนิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) เข้าหารือแผนการดําเนินธุรกิจระยะยาวในไทย
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้คณะผู้บริหารคณะนิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) เข้าหารือแผนการดําเนินธุรกิจระยะยาวในไทย
วันนี้ (21 สิงหาคม 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ นายราเมช นาราสิมัน ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด และคณะผู้บริหารบริษัทนิสสันฯ ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการดําเนินธุรกิจระยะยาวของบริษัทในประเทศไทย รวมถึงแนวทางการรักษาฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และมาตรการช่วยเหลือด้านต่างๆ อาทิ มาตรการกระตุ้นตลาดรถยนต์เพื่อผู้บริโภค มาตรการช่วยเหลือภาคแรงงาน และการรักษาฐานการผลิตเพื่อส่งออก ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะฯ ให้คณะผู้บริหารคณะนิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) เข้าหารือแผนการดำเนินธุรกิจระยะยาวในไทย
วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม 2563
รัฐมนตรีสุริยะฯ ให้คณะผู้บริหารคณะนิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) เข้าหารือแผนการดําเนินธุรกิจระยะยาวในไทย
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้คณะผู้บริหารคณะนิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) เข้าหารือแผนการดําเนินธุรกิจระยะยาวในไทย
วันนี้ (21 สิงหาคม 2563) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ นายราเมช นาราสิมัน ประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด และคณะผู้บริหารบริษัทนิสสันฯ ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการดําเนินธุรกิจระยะยาวของบริษัทในประเทศไทย รวมถึงแนวทางการรักษาฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และมาตรการช่วยเหลือด้านต่างๆ อาทิ มาตรการกระตุ้นตลาดรถยนต์เพื่อผู้บริโภค มาตรการช่วยเหลือภาคแรงงาน และการรักษาฐานการผลิตเพื่อส่งออก ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34410
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัดแรงงาน “ ชี้” สปส. ต้องสร้างการรับรู้ ยกระดับการบริการ ให้ผู้ประกันตนเป็นศูนย์กลาง
|
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561
ปลัดแรงงาน “ ชี้” สปส. ต้องสร้างการรับรู้ ยกระดับการบริการ ให้ผู้ประกันตนเป็นศูนย์กลาง
ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ําถึงสปส.เน้นสร้างความรับรู้ในเรื่องสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตน และการยกระดับการให้บริการของประกันสังคม
ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยยึดเอาประโยชน์ของผู้ประกันตนและส่วนรวมเป็นสําคัญ
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงานในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา ชุดที่ 13 ประธานการประชุมคณะกรรมการ สัญจร ครั้งที่ 9/2561 ณ โรงแรมแคนทารี่ เบย์ ระยอง จ.ระยอง
ในการนี้ปลัดกระทรวงแรงงานได้เน้นย้ําถึงการสร้างความรับรู้ในเรื่องสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตน และการยกระดับการให้บริการของประกันสังคมทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยยึดเอาประโยชน์ของผู้ประกันตนและส่วนรวมเป็นสําคัญ
-----------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
11 พฤษภาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัดแรงงาน “ ชี้” สปส. ต้องสร้างการรับรู้ ยกระดับการบริการ ให้ผู้ประกันตนเป็นศูนย์กลาง
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561
ปลัดแรงงาน “ ชี้” สปส. ต้องสร้างการรับรู้ ยกระดับการบริการ ให้ผู้ประกันตนเป็นศูนย์กลาง
ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ําถึงสปส.เน้นสร้างความรับรู้ในเรื่องสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตน และการยกระดับการให้บริการของประกันสังคม
ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยยึดเอาประโยชน์ของผู้ประกันตนและส่วนรวมเป็นสําคัญ
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงานในฐานะประธานคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา ชุดที่ 13 ประธานการประชุมคณะกรรมการ สัญจร ครั้งที่ 9/2561 ณ โรงแรมแคนทารี่ เบย์ ระยอง จ.ระยอง
ในการนี้ปลัดกระทรวงแรงงานได้เน้นย้ําถึงการสร้างความรับรู้ในเรื่องสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตน และการยกระดับการให้บริการของประกันสังคมทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคโดยยึดเอาประโยชน์ของผู้ประกันตนและส่วนรวมเป็นสําคัญ
-----------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
11 พฤษภาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12192
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"...บิ๊กณัฐร่วมทดสอบสมรรถภาพพร้อมนายทหารชั้นนายพลและกำลังพล เล็งเห็นความสำคัญการเตรียมความพร้อมของร่างกาย..."
|
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2562
"...บิ๊กณัฐร่วมทดสอบสมรรถภาพพร้อมนายทหารชั้นนายพลและกําลังพล เล็งเห็นความสําคัญการเตรียมความพร้อมของร่างกาย..."
เช้าวันนี้ พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการทดสอบสมรรถภาพร่างกายกําลังพลสังกัด สป.
เช้าวันนี้ พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการทดสอบสมรรถภาพร่างกายกําลังพลสังกัด สป. ประจําปี พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 2 โดยมีนายทหารชั้นนายพล และนายทหารสัญญาบัตร ระดับผู้อํานวยการกอง สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมทดสอบสมรรถภาพ ร่างกายฯ ซึ่งประกอบไปด้วย การวิ่ง 1 กิโลเมตรภายในเวลาที่กําหนด รวมทั้งการดันพื้นและการลุกนั่ง ณ สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ศรีสมาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"...บิ๊กณัฐร่วมทดสอบสมรรถภาพพร้อมนายทหารชั้นนายพลและกำลังพล เล็งเห็นความสำคัญการเตรียมความพร้อมของร่างกาย..."
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2562
"...บิ๊กณัฐร่วมทดสอบสมรรถภาพพร้อมนายทหารชั้นนายพลและกําลังพล เล็งเห็นความสําคัญการเตรียมความพร้อมของร่างกาย..."
เช้าวันนี้ พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการทดสอบสมรรถภาพร่างกายกําลังพลสังกัด สป.
เช้าวันนี้ พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการทดสอบสมรรถภาพร่างกายกําลังพลสังกัด สป. ประจําปี พ.ศ. 2562 ครั้งที่ 2 โดยมีนายทหารชั้นนายพล และนายทหารสัญญาบัตร ระดับผู้อํานวยการกอง สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมทดสอบสมรรถภาพ ร่างกายฯ ซึ่งประกอบไปด้วย การวิ่ง 1 กิโลเมตรภายในเวลาที่กําหนด รวมทั้งการดันพื้นและการลุกนั่ง ณ สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ศรีสมาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22543
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจโครงการทางหลวงเพื่อสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ สาย อ.อรัญประเทศ - ชายแดนไทย/กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท) จ.สระแก้ว
|
วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2560
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจโครงการทางหลวงเพื่อสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ สาย อ.อรัญประเทศ - ชายแดนไทย/กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท) จ.สระแก้ว
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจราชการและติดตามความก้าวหน้าโครงการทางหลวงเพื่อสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ สาย อ.อรัญประเทศ - ชายแดนไทย/กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2560
พร้อมด้วย นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท และนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม โดยมี พันเอกชาตรี สีผึ้ง ผู้บังคับกองพันทหารช่างที่ 11 ผู้แทนกรมทางหลวง กล่าวรายงานและให้การต้อนรับ ณ พื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า ปัจจุบันการค้าบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาบริเวณตลาดโรงเกลือ จุดผ่านแดนถาวร บ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เติบโตอย่างรวดเร็วและมีมูลค่าการค้าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้จุดผ่านแดนเกิดความหนาแน่น ผู้ใช้บริการไม่ได้รับความสะดวก รวมทั้งเกิดปัญหาจราจรติดขัดบริเวณด่านพรมแดนจากรถขนส่งสินค้า และนักท่องเที่ยวที่มาซื้อสินค้า ดังนั้นประเทศไทยและกัมพูชาจึงมีความเห็นร่วมกันว่าควรดําเนินการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ภายใต้แนวคิด “แยกคนและสินค้า” เพื่อแก้ไขปัญหาความแออัดของจุดผ่านแดนบ้านคลองลึก และพื้นที่การค้าบริเวณชายแดนบริเวณ บ.หนองเอี่ยน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กับ บ.สตึงบท ต.ปอยเปต อ.โอโจรว จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เพื่อสนับสนุนศักยภาพจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ รองรับการส่งออกนําเข้าสินค้า โดยปรับปรุงโครงข่ายทางหลวงเดิม และออกแบบทางหลวงแนวใหม่ พร้อมทั้งดําเนินงานการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่และกลุ่มผู้ประกอบการค้าระหว่างประเทศที่ใช้เส้นทางดังกล่าว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถรองรับการขนส่งในอนาคต รวมทั้งพัฒนาโครงข่ายทางรองรับการค้าระหว่างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า โครงการพัฒนาทางหลวงเพื่อสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ สาย อ.อรัญประเทศ - ชายแดนไทย/กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท) จ.สระแก้ว มีจุดเริ่มต้นบริเวณทางหลวงหมายเลข 33 กม.282+000 ต.ผักขะ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ทางด้านใต้ตัดผ่านทางรถไฟสายตะวันออก กรุงเทพ - อรัญประเทศ ทางหลวงหมายเลข 3067 มุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ตัดกับทางหลวงชนบท สก.4001 ทางหลวงหมายเลข 3367 ทางหลวงหมายเลข 3366 และทางหลวงหมายเลข 3511 (ถนนศรีเพ็ญ) ตามลําดับ ไปบรรจบกับห้วยพรมโหด ณ จุดผ่านแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่ บ.หนองเอี่ยน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กับพื้นที่ บ.สตึงบท ต.ปอยเปต อ.โอโจรว จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา รวมระยะทาง 29.925 กิโลเมตร งบประมาณ 4,190 ล้านบาท ลักษณะโครงการฯ ก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรและไหล่ทางแบบผิวแอสฟัลท์คอนกรีตผิวจราจรแต่ละทิศทางกว้าง 7.00 เมตร ไหล่ทางด้านซ้ายกว้าง 2.50 เมตร ไหล่ทางด้านขวากว้าง 1.50 เมตร ความยาวงานก่อสร้างทางรวม 30 กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างอาคารระบายน้ํา สะพานข้ามพรมแดนเป็นคอนกรีตอัดแรง แบ่งช่วงสะพานออกเป็น 16 ช่วง ความยาวรวม 620.00 เมตร แบ่งเป็นสะพานฝั่งไทยยาว 405 เมตร ความยาวช่วงสะพานข้ามห้วยพรมโหดยาว 60.00 เมตร ไม่มีตอม่อในน้ํา และสะพานฝั่งกัมพูชายาว 215 เมตร สะพานกว้าง 17.00 เมตร ขนาด 2 ช่องจราจร ผิวจราจรในแต่ละทิศทางกว้าง 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านซ้ายกว้าง 2.50 เมตร ทางเท้ากว้างข้างละ 1.20 เมตร มีช่องลอดเหนือระดับน้ําสูงสุด 5 เมตร พร้อมติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่างบนสะพาน
เมื่อโครงการฯ แล้วเสร็จจะเชื่อมโยงโครงข่ายทางหลวงหมายเลข 33 - สะพานข้ามห้วยพรมโหด ช่วยอํานวยความสะดวกและปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทาง ลดระยะเวลาการเดินทางและบรรเทาความแออัดการจราจรจากการขนส่งสินค้าและนักท่องเที่ยว รวมทั้งสนับสนุนศักยภาพจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ โดยขยายพื้นที่การลงทุนบริเวณชายแดน รองรับการส่งออกและนําเข้าสินค้าระหว่างประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมนโยบายและแนวทางการร่วมมือทางเศรษฐกิจของ AEC
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจโครงการทางหลวงเพื่อสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ สาย อ.อรัญประเทศ - ชายแดนไทย/กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท) จ.สระแก้ว
วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2560
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจโครงการทางหลวงเพื่อสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ สาย อ.อรัญประเทศ - ชายแดนไทย/กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท) จ.สระแก้ว
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจราชการและติดตามความก้าวหน้าโครงการทางหลวงเพื่อสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ สาย อ.อรัญประเทศ - ชายแดนไทย/กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2560
พร้อมด้วย นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท และนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงคมนาคม โดยมี พันเอกชาตรี สีผึ้ง ผู้บังคับกองพันทหารช่างที่ 11 ผู้แทนกรมทางหลวง กล่าวรายงานและให้การต้อนรับ ณ พื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า ปัจจุบันการค้าบริเวณชายแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาบริเวณตลาดโรงเกลือ จุดผ่านแดนถาวร บ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เติบโตอย่างรวดเร็วและมีมูลค่าการค้าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้จุดผ่านแดนเกิดความหนาแน่น ผู้ใช้บริการไม่ได้รับความสะดวก รวมทั้งเกิดปัญหาจราจรติดขัดบริเวณด่านพรมแดนจากรถขนส่งสินค้า และนักท่องเที่ยวที่มาซื้อสินค้า ดังนั้นประเทศไทยและกัมพูชาจึงมีความเห็นร่วมกันว่าควรดําเนินการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ภายใต้แนวคิด “แยกคนและสินค้า” เพื่อแก้ไขปัญหาความแออัดของจุดผ่านแดนบ้านคลองลึก และพื้นที่การค้าบริเวณชายแดนบริเวณ บ.หนองเอี่ยน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กับ บ.สตึงบท ต.ปอยเปต อ.โอโจรว จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เพื่อสนับสนุนศักยภาพจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ รองรับการส่งออกนําเข้าสินค้า โดยปรับปรุงโครงข่ายทางหลวงเดิม และออกแบบทางหลวงแนวใหม่ พร้อมทั้งดําเนินงานการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่และกลุ่มผู้ประกอบการค้าระหว่างประเทศที่ใช้เส้นทางดังกล่าว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถรองรับการขนส่งในอนาคต รวมทั้งพัฒนาโครงข่ายทางรองรับการค้าระหว่างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า โครงการพัฒนาทางหลวงเพื่อสนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษ สาย อ.อรัญประเทศ - ชายแดนไทย/กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท) จ.สระแก้ว มีจุดเริ่มต้นบริเวณทางหลวงหมายเลข 33 กม.282+000 ต.ผักขะ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ทางด้านใต้ตัดผ่านทางรถไฟสายตะวันออก กรุงเทพ - อรัญประเทศ ทางหลวงหมายเลข 3067 มุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ตัดกับทางหลวงชนบท สก.4001 ทางหลวงหมายเลข 3367 ทางหลวงหมายเลข 3366 และทางหลวงหมายเลข 3511 (ถนนศรีเพ็ญ) ตามลําดับ ไปบรรจบกับห้วยพรมโหด ณ จุดผ่านแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่ บ.หนองเอี่ยน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว กับพื้นที่ บ.สตึงบท ต.ปอยเปต อ.โอโจรว จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา รวมระยะทาง 29.925 กิโลเมตร งบประมาณ 4,190 ล้านบาท ลักษณะโครงการฯ ก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรและไหล่ทางแบบผิวแอสฟัลท์คอนกรีตผิวจราจรแต่ละทิศทางกว้าง 7.00 เมตร ไหล่ทางด้านซ้ายกว้าง 2.50 เมตร ไหล่ทางด้านขวากว้าง 1.50 เมตร ความยาวงานก่อสร้างทางรวม 30 กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างอาคารระบายน้ํา สะพานข้ามพรมแดนเป็นคอนกรีตอัดแรง แบ่งช่วงสะพานออกเป็น 16 ช่วง ความยาวรวม 620.00 เมตร แบ่งเป็นสะพานฝั่งไทยยาว 405 เมตร ความยาวช่วงสะพานข้ามห้วยพรมโหดยาว 60.00 เมตร ไม่มีตอม่อในน้ํา และสะพานฝั่งกัมพูชายาว 215 เมตร สะพานกว้าง 17.00 เมตร ขนาด 2 ช่องจราจร ผิวจราจรในแต่ละทิศทางกว้าง 3.50 เมตร ไหล่ทางด้านซ้ายกว้าง 2.50 เมตร ทางเท้ากว้างข้างละ 1.20 เมตร มีช่องลอดเหนือระดับน้ําสูงสุด 5 เมตร พร้อมติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่างบนสะพาน
เมื่อโครงการฯ แล้วเสร็จจะเชื่อมโยงโครงข่ายทางหลวงหมายเลข 33 - สะพานข้ามห้วยพรมโหด ช่วยอํานวยความสะดวกและปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทาง ลดระยะเวลาการเดินทางและบรรเทาความแออัดการจราจรจากการขนส่งสินค้าและนักท่องเที่ยว รวมทั้งสนับสนุนศักยภาพจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ โดยขยายพื้นที่การลงทุนบริเวณชายแดน รองรับการส่งออกและนําเข้าสินค้าระหว่างประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมนโยบายและแนวทางการร่วมมือทางเศรษฐกิจของ AEC
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6312
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ ประชุมหารือกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมฐานรากและการพลิกโฉมสถาบันอุดมศึกษา
|
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2563
ดร.สุวิทย์ ประชุมหารือกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมฐานรากและการพลิกโฉมสถาบันอุดมศึกษา
ดร.สุวิทย์ ประชุมหารือกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมฐานรากและการพลิกโฉมสถาบันอุดมศึกษา
เมื่อวันที่27มิถุนายน2563ดร.สุวิทย์เมษินทรีย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม(รมว.อว.)พร้อมคณะผู้บริหารอว.ร่วมประชุมหารือกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือในประเด็น(1)การร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฐานรากในโครงการจ้างงานของอว.และโครงการ1ตําบล1มหาวิทยาลัยโดยมีเป้าหมายการแก้ไขปัญหาความยากจนตามนโยบายรัฐบาลในรูปแบบTargeted Poverty Alleviation (2)การผลักดันRegional BCGและนโยบายอว.ผ่านมหาวิทยาลัยในภูมิภาคในรูปแบบRegional System Integrator (3)การพลิกโฉมสถาบันอุดมศึกษา( Reinventing University)และประเด็นอื่นๆณหอประชุมอาคารอาเซียนมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
ดร.สุวิทย์กล่าวว่าหลังโควิดอย่างที่เราทราบกันดีว่าLocal Economyจะมีความสําคัญอย่างยิ่งยวดเพราะฉะนั้นพลังที่จะขับเคลื่อนLocal Economyหรือในเรื่องของเศรษฐกิจฐานรากคือพลังทางปัญญาที่เกิดขึ้นจากมหาวิทยาลัยราชภัฏไม่ว่าจะเป็นทางอาจารย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาที่จะลงไปในพื้นที่ยกระดับการพัฒนาพื้นที่และชุมชนให้เข้มแข็งวันนี้เราตระหนักดีว่าในวิกฤติมีโอกาสเสมอซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้ย้ําอยู่เสมอเพราะฉะนั้นเราจึงถอดรหัสออกมาเป็นโครงการที่เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสคือโครงการ1ตําบล1มหาวิทยาลัยซึ่งเราเชื่อว่าราชภภัฏทั้ง38แห่ง77จังหวัดถ้าหาร2เท่ากับว่า1ราชภัฏสามารถควบคุมดูแล2จังหวัดได้เป็นอย่างดีถ้าเรามีโครงการที่ดีๆเช่นการติดอาวุธทางปัญญาโดยใช้พลังของอาจารย์และนิสิตนักศึกษาบัณฑิตของราชภัฏลงไปในพื้นที่ภูมิลําเนาซึ่งตอบโจทย์ว่าจากนี้ไปจะไม่ต้องมานั่งพูดถึงบัณฑิตคืนถิ่นเรากําลังพูดถึงบัณฑิตติดถิ่นเพราะฉะนั้นโจทย์ที่เรากําลังของบประมาณเงินกู้4แสนล้านคร่าวๆคือทางสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)ได้ผ่านความเห็นชอบและกําลังจะนําเข้าครม.ในวันที่8ที่จะถึงนี้เราจะเริ่มต้นด้วย3,000ตําบลก่อนโดยใช้พลังของบัณฑิตนักศึกษาทั้งหมด3แสนคนที่เป็นไปได้ก็คือบัณฑิตและนักศึกษาที่อยู่ในถิ่นนั้นตรงนี้ราชภัฏจะกลายเป็นกําลังหลักที่จะมาตอบโจทย์ทั้งการสร้างคนและสร้างงานปรับเปลี่ยนพลิกโฉมพื้นที่ซึ่งเป็นไปตามภารกิจของราชภัฏที่เป็นพระราโชบายพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในหลวงรัชกาลที่10ที่ให้ไว้ว่าราชภัฏต้องเป็นตัวหลักที่จะพัฒนาท้องถิ่นอย่างแท้จริง
ตรงนี้จึงเกิดการจ้างงานติดอาวุธทางปัญญาพร้อมกันนั้นเป็นการพัฒนาท้องถิ่นในเวลาเดียวกันไม่เพียงเท่านั้นจากโจทย์ที่ทําวิจัยออกมาแล้วไม่สามารถตอบโจทย์ได้นั้นณวันนี้พลังที่เกิดขึ้นมาผ่านนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรีได้ว่าด้วยเรื่องของBCGเชิงพื้นที่คือแต่ละพื้นที่นั้นมีความหลากหลายตั้งแต่เรื่องของเกษตรอาหารพลังงานสุขภาพสาธารณสุขการท่องเที่ยวไปจนถึงเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้นแต่ละพื้นที่มีเสน่ห์ของสิ่งเหล่านี้ต่างกันเพราะฉะนั้นโจทย์การวิจัยของราชภัฏจากนี้ไปจะเป็นการตอบโจทย์เพื่อจะไปขับเคลื่อนBCGตามนโยบายรัฐบาลในระดับพื้นที่ซึ่งเป็นการตอบโจทย์พื้นที่ความต้องการของประชาชนและของประเทศอย่างแท้จริงและนี่คือสิ่งต่างๆที่กําลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ผ่านโครงการ1ตําบล1มหาวิทยาลัยเป็นการผนึกกําลังครั้งใหญ่ในการที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศรวมถึงเรื่องการปรับระดับทักษะ4ทักษะในกลุ่มบัณฑิตนักศึกษาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในโลกหลังโควิดไม่ว่าจะเป็นทักษะในเรื่องของภาษาอังกฤษ,ดิจิทัล,การบริหารจัดการการเงินการลงทุนรวมถึงทักษะชีวิตและตรงนี้คือโจทย์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชมงคลและอีกหลายๆที่ต้องมาช่วยกันคิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแง่ที่นักศึกษาหรือบัณฑิตมีงานทําพร้อมกันนั้นก็มีอาวุธทางปัญญาติดตัวและนํากลับไปพัฒนาท้องถิ่น
กระทรวงอว.คํานึงถึงเรื่องนี้มาพอสมควรโดยผ่านโครงการยุวชนสร้างชาติคือถ้านักศึกษาหรือบัณฑิตที่ไปทํางานเป็นระยะเวลา1ปีจากนี้ไปเกิดเห็นโอกาสในการที่จะทําอะไรเพื่อสังคมผ่านสิ่งที่เรียกว่าวิสาหกิจชุมชนก็สามารถทําได้ซึ่งอว.มีกองทุนยุวชนกองทุนยุวสตาร์ทอัพรองรับด้านนี้อยู่แล้วอย่างที่ผ่านมาโครงการที่จังหวัดกาฬสิทธุ์ที่ทางอว.เพิ่งจะปิดโครงการไปนั้นก็ถือว่าเป็นผลสําเร็จและเกิดให้เห็นเป็นรูปธรรม
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ ประชุมหารือกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมฐานรากและการพลิกโฉมสถาบันอุดมศึกษา
วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม 2563
ดร.สุวิทย์ ประชุมหารือกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมฐานรากและการพลิกโฉมสถาบันอุดมศึกษา
ดร.สุวิทย์ ประชุมหารือกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมฐานรากและการพลิกโฉมสถาบันอุดมศึกษา
เมื่อวันที่27มิถุนายน2563ดร.สุวิทย์เมษินทรีย์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม(รมว.อว.)พร้อมคณะผู้บริหารอว.ร่วมประชุมหารือกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคเหนือในประเด็น(1)การร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฐานรากในโครงการจ้างงานของอว.และโครงการ1ตําบล1มหาวิทยาลัยโดยมีเป้าหมายการแก้ไขปัญหาความยากจนตามนโยบายรัฐบาลในรูปแบบTargeted Poverty Alleviation (2)การผลักดันRegional BCGและนโยบายอว.ผ่านมหาวิทยาลัยในภูมิภาคในรูปแบบRegional System Integrator (3)การพลิกโฉมสถาบันอุดมศึกษา( Reinventing University)และประเด็นอื่นๆณหอประชุมอาคารอาเซียนมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์
ดร.สุวิทย์กล่าวว่าหลังโควิดอย่างที่เราทราบกันดีว่าLocal Economyจะมีความสําคัญอย่างยิ่งยวดเพราะฉะนั้นพลังที่จะขับเคลื่อนLocal Economyหรือในเรื่องของเศรษฐกิจฐานรากคือพลังทางปัญญาที่เกิดขึ้นจากมหาวิทยาลัยราชภัฏไม่ว่าจะเป็นทางอาจารย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาที่จะลงไปในพื้นที่ยกระดับการพัฒนาพื้นที่และชุมชนให้เข้มแข็งวันนี้เราตระหนักดีว่าในวิกฤติมีโอกาสเสมอซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้ย้ําอยู่เสมอเพราะฉะนั้นเราจึงถอดรหัสออกมาเป็นโครงการที่เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสคือโครงการ1ตําบล1มหาวิทยาลัยซึ่งเราเชื่อว่าราชภภัฏทั้ง38แห่ง77จังหวัดถ้าหาร2เท่ากับว่า1ราชภัฏสามารถควบคุมดูแล2จังหวัดได้เป็นอย่างดีถ้าเรามีโครงการที่ดีๆเช่นการติดอาวุธทางปัญญาโดยใช้พลังของอาจารย์และนิสิตนักศึกษาบัณฑิตของราชภัฏลงไปในพื้นที่ภูมิลําเนาซึ่งตอบโจทย์ว่าจากนี้ไปจะไม่ต้องมานั่งพูดถึงบัณฑิตคืนถิ่นเรากําลังพูดถึงบัณฑิตติดถิ่นเพราะฉะนั้นโจทย์ที่เรากําลังของบประมาณเงินกู้4แสนล้านคร่าวๆคือทางสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)ได้ผ่านความเห็นชอบและกําลังจะนําเข้าครม.ในวันที่8ที่จะถึงนี้เราจะเริ่มต้นด้วย3,000ตําบลก่อนโดยใช้พลังของบัณฑิตนักศึกษาทั้งหมด3แสนคนที่เป็นไปได้ก็คือบัณฑิตและนักศึกษาที่อยู่ในถิ่นนั้นตรงนี้ราชภัฏจะกลายเป็นกําลังหลักที่จะมาตอบโจทย์ทั้งการสร้างคนและสร้างงานปรับเปลี่ยนพลิกโฉมพื้นที่ซึ่งเป็นไปตามภารกิจของราชภัฏที่เป็นพระราโชบายพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในหลวงรัชกาลที่10ที่ให้ไว้ว่าราชภัฏต้องเป็นตัวหลักที่จะพัฒนาท้องถิ่นอย่างแท้จริง
ตรงนี้จึงเกิดการจ้างงานติดอาวุธทางปัญญาพร้อมกันนั้นเป็นการพัฒนาท้องถิ่นในเวลาเดียวกันไม่เพียงเท่านั้นจากโจทย์ที่ทําวิจัยออกมาแล้วไม่สามารถตอบโจทย์ได้นั้นณวันนี้พลังที่เกิดขึ้นมาผ่านนโยบายของท่านนายกรัฐมนตรีได้ว่าด้วยเรื่องของBCGเชิงพื้นที่คือแต่ละพื้นที่นั้นมีความหลากหลายตั้งแต่เรื่องของเกษตรอาหารพลังงานสุขภาพสาธารณสุขการท่องเที่ยวไปจนถึงเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้นแต่ละพื้นที่มีเสน่ห์ของสิ่งเหล่านี้ต่างกันเพราะฉะนั้นโจทย์การวิจัยของราชภัฏจากนี้ไปจะเป็นการตอบโจทย์เพื่อจะไปขับเคลื่อนBCGตามนโยบายรัฐบาลในระดับพื้นที่ซึ่งเป็นการตอบโจทย์พื้นที่ความต้องการของประชาชนและของประเทศอย่างแท้จริงและนี่คือสิ่งต่างๆที่กําลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ผ่านโครงการ1ตําบล1มหาวิทยาลัยเป็นการผนึกกําลังครั้งใหญ่ในการที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศรวมถึงเรื่องการปรับระดับทักษะ4ทักษะในกลุ่มบัณฑิตนักศึกษาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในโลกหลังโควิดไม่ว่าจะเป็นทักษะในเรื่องของภาษาอังกฤษ,ดิจิทัล,การบริหารจัดการการเงินการลงทุนรวมถึงทักษะชีวิตและตรงนี้คือโจทย์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏราชมงคลและอีกหลายๆที่ต้องมาช่วยกันคิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแง่ที่นักศึกษาหรือบัณฑิตมีงานทําพร้อมกันนั้นก็มีอาวุธทางปัญญาติดตัวและนํากลับไปพัฒนาท้องถิ่น
กระทรวงอว.คํานึงถึงเรื่องนี้มาพอสมควรโดยผ่านโครงการยุวชนสร้างชาติคือถ้านักศึกษาหรือบัณฑิตที่ไปทํางานเป็นระยะเวลา1ปีจากนี้ไปเกิดเห็นโอกาสในการที่จะทําอะไรเพื่อสังคมผ่านสิ่งที่เรียกว่าวิสาหกิจชุมชนก็สามารถทําได้ซึ่งอว.มีกองทุนยุวชนกองทุนยุวสตาร์ทอัพรองรับด้านนี้อยู่แล้วอย่างที่ผ่านมาโครงการที่จังหวัดกาฬสิทธุ์ที่ทางอว.เพิ่งจะปิดโครงการไปนั้นก็ถือว่าเป็นผลสําเร็จและเกิดให้เห็นเป็นรูปธรรม
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33545
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.บันทึกเทปถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563
ทส.บันทึกเทปถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมบันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนา
ทส.บันทึกเทปถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
วันนี้ (14 พ.ค. 63) เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมบันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2563 ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.บันทึกเทปถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563
ทส.บันทึกเทปถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมบันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนา
ทส.บันทึกเทปถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
วันนี้ (14 พ.ค. 63) เวลา 14.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมบันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2563 ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30829
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.พร้อมลุย 2 งานในกรุงเทพฯ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มุ่งขยายโอกาสทำให้คนไทยมีบ้าน
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561
ธอส.พร้อมลุย 2 งานในกรุงเทพฯ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มุ่งขยายโอกาสทําให้คนไทยมีบ้าน
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ร่วมออกบูธ 2 งานพร้อมกันเพื่อเดินหน้าสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้านเริ่มที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่งานมหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 12 Money Expo Korat 2018
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ร่วมออกบูธ 2 งานพร้อมกันเพื่อเดินหน้าสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้านเริ่มที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่งานมหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 12 Money Expo Korat 2018 นําสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยปีแรกเพียง 1.85% ต่อปี ฟรี!! ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันอัตราพิเศษ เงินฝากออมทรัพย์ รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.70% ต่อปี และทรัพย์ NPA จําหน่าย 380 รายการในราคาพิเศษลดสูงสุด 50% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นเพียง 40,000 บาท ส่วนใน กรุงเทพฯ พร้อมออกงานอภิมหกรรมบ้าน – คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018 นําทรัพย์ NPA อีก 549 รายการมาจําหน่ายในราคาพิเศษลดสูงสุด 45% จากราคาปกติ ผู้ซื้อทรัพย์ NPA มูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาทและมีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน รับมาตรการผ่อนดาวน์ 50% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 60 เดือน
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ธอส. จึงได้ร่วมออกบูธ 2 งานสําคัญในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย 1. มหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 12 Money Expo Korat 2018 ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2561 ที่ เอ็มซีซี ฮอลล์ เดอะมอลล์โคราช จ.นครราชสีมา โดย ธอส. นําผลิตภัณฑ์และบริการเด่นไปให้บริการนําโดย สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 1.85% ต่อปี(MRR – 4.90% ต่อปี) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.95% ต่อปี(MRR-2.80% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.75% ต่อปี) ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติมซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น และซื้อหรือไถ่ถอนจํานองที่อยู่อาศัยพร้อมกับซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวก พิเศษ!! สําหรับลูกค้าที่จองสิทธิ์ภายในงานได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทํานิติกรรม และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันในอัตราพิเศษ แบ่งเป็น กรณีขอกู้ไม่เกิน 500,000 บาท ค่าประเมิน 1,900 บาท และกรณี ขอกู้เกิน 500,000 บาทขึ้นไป ค่าประเมิน 2,300 บาท ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี จองสิทธิ์ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2561 ยื่นคําขอกู้ระหว่างวันที่ 17 สิงหาคม - 21 กันยายน 2561 และทํานิติกรรมภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2561 ทั้งนี้ ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการกําหนดระยะสิ้นสุดโครงการก่อนกําหนดหากธนาคารให้สินเชื่อเต็มกรอบวงเงินของโครงการแล้ว
เงินฝากอัตราดอกเบี้ยสูง นําเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ รับดอกเบี้ยสูงสุด 1.70% ต่อปี สําหรับลูกค้าเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 5 ล้านบาท เพียงจองสิทธิ์เงินฝากภายในงานและเปิดบัญชีเงินฝากครั้งแรกขั้นต่ํา 500 บาท ที่สาขาในสังกัดฝ่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ธอส. ภายในวันที่ 27 สิงหาคม 2561 จะได้รับบัตร ATM ฟรี!! พร้อมได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกบัตรและค่าธรรมเนียมรายปีในปีแรก
ทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสอง ธอส. ได้นําทรัพย์คุณภาพดี ทําเลเด่น ทั้งประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า รวม 380 รายการ มาจําหน่ายในราคาพิเศษ ซึ่งเป็นทรัพย์ในหลายจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ จังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และชัยภูมิ จําหน่ายพร้อมส่วนลดพิเศษสูงสุด 60% จากราคาปกติ โดยทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 40,000 บาท คือ ที่ดินเปล่าโครงการราชพฤกษ์ จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ดินประมาณ 100.00 ตารางวา นอกจากนี้ผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. ยังมีสิทธิรับมาตรการพิเศษ ผ่อนดาวน์ 50% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 60 เดือน สําหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ที่ต้องการซื้อทรัพย์ NPA ของธนาคารมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาทซึ่งนํามาออกจําหน่าย ในงานนี้กว่า 200 รายการ หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 80% ไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน และให้ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี
นอกจากนี้ประชาชนที่ต้องการมีบ้านเป็นของตนเองแต่ยังไม่มีความพร้อม อาทิ เรื่องการเตรียมเอกสารหลักฐานเพื่อแสดงที่มาของรายได้ สามารถขอรับคําแนะนําจากเจ้าหน้าที่ของ ธอส. ที่พร้อมให้ความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy ได้กับ โครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ที่ธนาคารกําหนดสามารถยื่นคําขอสินเชื่อตามเงื่อนไขของโครงการได้ต่อไป
2.อภิมหกรรมบ้าน – คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018 กําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคม 2561 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยธนาคารจะออกบูธในโซนของ NPA Grand Sale (บริเวณโซนซี 2) นําทรัพย์ NPA จํานวนถึง 549 รายการ มาออกจําหน่ายในราคาพิเศษ แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 43 รายการ บ้านแฝด 18 รายการ ทาวน์เฮ้าส์ 300 รายการ ห้องชุด 187 รายการ และอาคารพาณิชย์ 1 รายการ ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม และสมุทรสาคร ให้ส่วนลดสูงสุด 45% จากราคาปกติ ทรัพย์ที่ราคาจําหน่ายต่ําสุดเริ่มที่ 100,000 บาท จํานวน 2 รายการ คือ ห้องชุดโครงการเอกธานีคอนโดทาวน์(สุขี) เนื้อที่ 27.82 ตารางเมตร จังหวัดปทุมธานี และห้องชุดโครงการพรอนันต์ 1 เนื้อที่ 22.75 ตารางเมตร จังหวัดปทุมธานี ทั้งนี้ มีทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการผ่อนดาวน์ 0% นาน 60 เดือน จํานวนถึง 539 รายการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.พร้อมลุย 2 งานในกรุงเทพฯ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มุ่งขยายโอกาสทำให้คนไทยมีบ้าน
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561
ธอส.พร้อมลุย 2 งานในกรุงเทพฯ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มุ่งขยายโอกาสทําให้คนไทยมีบ้าน
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ร่วมออกบูธ 2 งานพร้อมกันเพื่อเดินหน้าสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้านเริ่มที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่งานมหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 12 Money Expo Korat 2018
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ร่วมออกบูธ 2 งานพร้อมกันเพื่อเดินหน้าสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้านเริ่มที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่งานมหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 12 Money Expo Korat 2018 นําสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยปีแรกเพียง 1.85% ต่อปี ฟรี!! ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันอัตราพิเศษ เงินฝากออมทรัพย์ รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.70% ต่อปี และทรัพย์ NPA จําหน่าย 380 รายการในราคาพิเศษลดสูงสุด 50% จากราคาปกติ ราคาเริ่มต้นเพียง 40,000 บาท ส่วนใน กรุงเทพฯ พร้อมออกงานอภิมหกรรมบ้าน – คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018 นําทรัพย์ NPA อีก 549 รายการมาจําหน่ายในราคาพิเศษลดสูงสุด 45% จากราคาปกติ ผู้ซื้อทรัพย์ NPA มูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาทและมีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน รับมาตรการผ่อนดาวน์ 50% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 60 เดือน
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ธอส. จึงได้ร่วมออกบูธ 2 งานสําคัญในสัปดาห์นี้ ประกอบด้วย 1. มหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 12 Money Expo Korat 2018 ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2561 ที่ เอ็มซีซี ฮอลล์ เดอะมอลล์โคราช จ.นครราชสีมา โดย ธอส. นําผลิตภัณฑ์และบริการเด่นไปให้บริการนําโดย สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 1.85% ต่อปี(MRR – 4.90% ต่อปี) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.95% ต่อปี(MRR-2.80% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการ ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. เท่ากับ 6.75% ต่อปี) ให้กู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติมซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น และซื้อหรือไถ่ถอนจํานองที่อยู่อาศัยพร้อมกับซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวก พิเศษ!! สําหรับลูกค้าที่จองสิทธิ์ภายในงานได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินทํานิติกรรม และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันในอัตราพิเศษ แบ่งเป็น กรณีขอกู้ไม่เกิน 500,000 บาท ค่าประเมิน 1,900 บาท และกรณี ขอกู้เกิน 500,000 บาทขึ้นไป ค่าประเมิน 2,300 บาท ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี จองสิทธิ์ระหว่างวันที่ 17-19 สิงหาคม 2561 ยื่นคําขอกู้ระหว่างวันที่ 17 สิงหาคม - 21 กันยายน 2561 และทํานิติกรรมภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2561 ทั้งนี้ ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการกําหนดระยะสิ้นสุดโครงการก่อนกําหนดหากธนาคารให้สินเชื่อเต็มกรอบวงเงินของโครงการแล้ว
เงินฝากอัตราดอกเบี้ยสูง นําเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ รับดอกเบี้ยสูงสุด 1.70% ต่อปี สําหรับลูกค้าเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 5 ล้านบาท เพียงจองสิทธิ์เงินฝากภายในงานและเปิดบัญชีเงินฝากครั้งแรกขั้นต่ํา 500 บาท ที่สาขาในสังกัดฝ่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ธอส. ภายในวันที่ 27 สิงหาคม 2561 จะได้รับบัตร ATM ฟรี!! พร้อมได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกบัตรและค่าธรรมเนียมรายปีในปีแรก
ทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสอง ธอส. ได้นําทรัพย์คุณภาพดี ทําเลเด่น ทั้งประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า รวม 380 รายการ มาจําหน่ายในราคาพิเศษ ซึ่งเป็นทรัพย์ในหลายจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาทิ จังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และชัยภูมิ จําหน่ายพร้อมส่วนลดพิเศษสูงสุด 60% จากราคาปกติ โดยทรัพย์ที่มีราคาต่ําสุดเริ่มต้นเพียง 40,000 บาท คือ ที่ดินเปล่าโครงการราชพฤกษ์ จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ดินประมาณ 100.00 ตารางวา นอกจากนี้ผู้ซื้อทรัพย์ NPA ของ ธอส. ยังมีสิทธิรับมาตรการพิเศษ ผ่อนดาวน์ 50% ของราคาซื้อขาย ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 60 เดือน สําหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ที่ต้องการซื้อทรัพย์ NPA ของธนาคารมูลค่าไม่เกิน 2 ล้านบาทซึ่งนํามาออกจําหน่าย ในงานนี้กว่า 200 รายการ หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 80% ไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน และให้ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี
นอกจากนี้ประชาชนที่ต้องการมีบ้านเป็นของตนเองแต่ยังไม่มีความพร้อม อาทิ เรื่องการเตรียมเอกสารหลักฐานเพื่อแสดงที่มาของรายได้ สามารถขอรับคําแนะนําจากเจ้าหน้าที่ของ ธอส. ที่พร้อมให้ความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy ได้กับ โครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ที่ธนาคารกําหนดสามารถยื่นคําขอสินเชื่อตามเงื่อนไขของโครงการได้ต่อไป
2.อภิมหกรรมบ้าน – คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018 กําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคม 2561 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยธนาคารจะออกบูธในโซนของ NPA Grand Sale (บริเวณโซนซี 2) นําทรัพย์ NPA จํานวนถึง 549 รายการ มาออกจําหน่ายในราคาพิเศษ แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 43 รายการ บ้านแฝด 18 รายการ ทาวน์เฮ้าส์ 300 รายการ ห้องชุด 187 รายการ และอาคารพาณิชย์ 1 รายการ ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม และสมุทรสาคร ให้ส่วนลดสูงสุด 45% จากราคาปกติ ทรัพย์ที่ราคาจําหน่ายต่ําสุดเริ่มที่ 100,000 บาท จํานวน 2 รายการ คือ ห้องชุดโครงการเอกธานีคอนโดทาวน์(สุขี) เนื้อที่ 27.82 ตารางเมตร จังหวัดปทุมธานี และห้องชุดโครงการพรอนันต์ 1 เนื้อที่ 22.75 ตารางเมตร จังหวัดปทุมธานี ทั้งนี้ มีทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการผ่อนดาวน์ 0% นาน 60 เดือน จํานวนถึง 539 รายการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14642
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 [กระทรวงการคลัง]
|
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563
โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 [กระทรวงการคลัง]
โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี (โครงการฯ) ปีการผลิต 2563 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สําหรับโครงการฯ ปีการผลิต 2563 เป็นการดําเนินโครงการต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต 2554 – 2562 โดยคงรูปแบบการรับประกันภัยพื้นฐานในส่วนที่ 1 (Tier 1) ซึ่งภาครัฐให้การอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแก่เกษตรกร และการประกันภัยเพิ่มเติมในส่วนที่ 2 (Tier 2) ซึ่งเป็นการประกันภัยภาคสมัครใจ เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ มีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันภัย ทั้งนี้ โครงการฯ ปีการผลิต 2563 มีรายละเอียดที่สําคัญ ดังนี้
1. เพิ่มเป้าหมายสําหรับการเอาประกันภัยพื้นฐานในส่วนที่ 1 (Tier 1) จาก 30 ล้านไร่ ในปีการผลิต 2562 เป็นจํานวน 44.7 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 75 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็น (1) เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทุกราย จํานวนไม่เกิน 28 ล้านไร่ (2) เกษตรกรทั่วไปในพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีที่มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่ํา 594 อําเภอ จํานวนไม่เกิน 15.7 ล้านไร่ และ (3) เกษตรกรทั่วไปในพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีมีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติปานกลางและสูง จํานวนไม่เกิน 1 ล้านไร่ และกําหนดเป้าหมายการประกันภัยเพิ่มเติมในส่วนที่ 2 (Tier 2) จํานวน 1 ล้านไร่
2. คงรูปแบบและประเภทภัยที่ได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกับโครงการฯ ในปีการผลิต 2562 โดยการรับประกันภัยพื้นฐานในส่วนที่ 1 (Tier 1) มีวงเงินความคุ้มครองสูงสุด 1,260 บาทต่อไร่ สําหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่ น้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยช้างป่า และวงเงินความคุ้มครองสูงสุด 630 บาทต่อไร่ สําหรับภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด สําหรับเกษตรกรที่เอาประกันภัยในส่วนที่ 2 (Tier 2) จะได้รับวงเงินความคุ้มครอง 240 บาทต่อไร่สําหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 7 ประเภทดังกล่าว และวงเงินความคุ้มครองเพิ่มเติม 120 บาทต่อไร่สําหรับภัยศัตรูพืชและโรคระบาด ทั้งนี้ เมื่อรวมวงเงินความคุ้มครองส่วนที่ 1 (Tier 1) และ ส่วนที่ 2 (Tier 2) แล้ว จะได้รับความคุ้มครอง 1,500 และ 750 บาทต่อไร่ ตามลําดับ
3. รัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้แก่เกษตรกรทุกรายสําหรับการประกันภัยในส่วนที่ 1 (Tier 1) ในอัตรา 58 บาทต่อไร่ และอุดหนุนเพิ่มเติมในส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์ทั้งหมด คิดเป็นงบประมาณรวม 2,910,391,000 บาท และ ธ.ก.ส.จะให้การอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้แก่เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ในอัตรา 39 บาทต่อไร่
ทั้งนี้ โครงการฯ ปีการผลิต 2563 สามารถเริ่มดําเนินการได้ทันทีหลังได้รับการอนุมัติโดยมติคณะรัฐมนตรี
สํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3691
อ่านรายละเอียดจากข่าวแถลงกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 44/2563
https://bit.ly/3czfvsl
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 [กระทรวงการคลัง]
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563
โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 [กระทรวงการคลัง]
โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2563
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี (โครงการฯ) ปีการผลิต 2563 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติให้แก่เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวนาปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สําหรับโครงการฯ ปีการผลิต 2563 เป็นการดําเนินโครงการต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต 2554 – 2562 โดยคงรูปแบบการรับประกันภัยพื้นฐานในส่วนที่ 1 (Tier 1) ซึ่งภาครัฐให้การอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแก่เกษตรกร และการประกันภัยเพิ่มเติมในส่วนที่ 2 (Tier 2) ซึ่งเป็นการประกันภัยภาคสมัครใจ เพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ มีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันภัย ทั้งนี้ โครงการฯ ปีการผลิต 2563 มีรายละเอียดที่สําคัญ ดังนี้
1. เพิ่มเป้าหมายสําหรับการเอาประกันภัยพื้นฐานในส่วนที่ 1 (Tier 1) จาก 30 ล้านไร่ ในปีการผลิต 2562 เป็นจํานวน 44.7 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 75 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็น (1) เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2563 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทุกราย จํานวนไม่เกิน 28 ล้านไร่ (2) เกษตรกรทั่วไปในพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีที่มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่ํา 594 อําเภอ จํานวนไม่เกิน 15.7 ล้านไร่ และ (3) เกษตรกรทั่วไปในพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปีมีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติปานกลางและสูง จํานวนไม่เกิน 1 ล้านไร่ และกําหนดเป้าหมายการประกันภัยเพิ่มเติมในส่วนที่ 2 (Tier 2) จํานวน 1 ล้านไร่
2. คงรูปแบบและประเภทภัยที่ได้รับการคุ้มครองเช่นเดียวกับโครงการฯ ในปีการผลิต 2562 โดยการรับประกันภัยพื้นฐานในส่วนที่ 1 (Tier 1) มีวงเงินความคุ้มครองสูงสุด 1,260 บาทต่อไร่ สําหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่ น้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ และภัยช้างป่า และวงเงินความคุ้มครองสูงสุด 630 บาทต่อไร่ สําหรับภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด สําหรับเกษตรกรที่เอาประกันภัยในส่วนที่ 2 (Tier 2) จะได้รับวงเงินความคุ้มครอง 240 บาทต่อไร่สําหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 7 ประเภทดังกล่าว และวงเงินความคุ้มครองเพิ่มเติม 120 บาทต่อไร่สําหรับภัยศัตรูพืชและโรคระบาด ทั้งนี้ เมื่อรวมวงเงินความคุ้มครองส่วนที่ 1 (Tier 1) และ ส่วนที่ 2 (Tier 2) แล้ว จะได้รับความคุ้มครอง 1,500 และ 750 บาทต่อไร่ ตามลําดับ
3. รัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้แก่เกษตรกรทุกรายสําหรับการประกันภัยในส่วนที่ 1 (Tier 1) ในอัตรา 58 บาทต่อไร่ และอุดหนุนเพิ่มเติมในส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์ทั้งหมด คิดเป็นงบประมาณรวม 2,910,391,000 บาท และ ธ.ก.ส.จะให้การอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้แก่เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ในอัตรา 39 บาทต่อไร่
ทั้งนี้ โครงการฯ ปีการผลิต 2563 สามารถเริ่มดําเนินการได้ทันทีหลังได้รับการอนุมัติโดยมติคณะรัฐมนตรี
สํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3691
อ่านรายละเอียดจากข่าวแถลงกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 44/2563
https://bit.ly/3czfvsl
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29479
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา ๓๐ ต.ค.๒๕๖๐ เผยแพร่ประกาศฯ แต่งตั้งศาสตราจารย์ ๙ ราย
|
วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560
ราชกิจจานุเบกษา ๓๐ ต.ค.๒๕๖๐ เผยแพร่ประกาศฯ แต่งตั้งศาสตราจารย์ ๙ ราย
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งศาสตราจารย์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
- รองศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชยให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาการพัฒนาชุมชน สังกัดคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗
- รองศาสตราจารย์สุพัตรา ศิริโชติยะกุลให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา สังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
- รองศาสตราจารย์ชัยวัฒน์ โตอนันต์ให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาโรคพืช สังกัดคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๘
- รองศาสตราจารย์ชายชาญ โพธิรัตน์ให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาอายุรศาสตร์ สังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
- รองศาสตราจารย์วิภา สุจินต์ให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาชีวเคมี สังกัดสํานักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ตั้งแต่วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
- รองศาสตราจารย์ยุพาพร ไชยสีหาให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาชีววิทยา สังกัดสํานักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ตั้งแต่วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
- รองศาสตราจารย์ธรณินทร์ ไชยเรืองศรีให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรม สังกัดคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘
- รองศาสตราจารย์ประชา นันท์นฤมิตให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชากุมารเวชศาสตร์ สังกัดคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
- รองศาสตราจารย์วรินทร วูวงศ์ให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาญี่ปุ่นศึกษา สังกัดคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๙
ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง
รองนายกรัฐมนตรี
รายละเอียดเพิ่มเติม:1-2-3-4-5
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา ๓๐ ต.ค.๒๕๖๐ เผยแพร่ประกาศฯ แต่งตั้งศาสตราจารย์ ๙ ราย
วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560
ราชกิจจานุเบกษา ๓๐ ต.ค.๒๕๖๐ เผยแพร่ประกาศฯ แต่งตั้งศาสตราจารย์ ๙ ราย
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งศาสตราจารย์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
- รองศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชยให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาการพัฒนาชุมชน สังกัดคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗
- รองศาสตราจารย์สุพัตรา ศิริโชติยะกุลให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา สังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
- รองศาสตราจารย์ชัยวัฒน์ โตอนันต์ให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาโรคพืช สังกัดคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๘
- รองศาสตราจารย์ชายชาญ โพธิรัตน์ให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาอายุรศาสตร์ สังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
- รองศาสตราจารย์วิภา สุจินต์ให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาชีวเคมี สังกัดสํานักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ตั้งแต่วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
- รองศาสตราจารย์ยุพาพร ไชยสีหาให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาชีววิทยา สังกัดสํานักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ตั้งแต่วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
- รองศาสตราจารย์ธรณินทร์ ไชยเรืองศรีให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรม สังกัดคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘
- รองศาสตราจารย์ประชา นันท์นฤมิตให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชากุมารเวชศาสตร์ สังกัดคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ตั้งแต่วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
- รองศาสตราจารย์วรินทร วูวงศ์ให้ดํารงตําแหน่ง ศาสตราจารย์ ในสาขาวิชาญี่ปุ่นศึกษา สังกัดคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๙
ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง
รองนายกรัฐมนตรี
รายละเอียดเพิ่มเติม:1-2-3-4-5
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7697
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของบัณฑิตไทยในยุค ๔.๐"
|
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของบัณฑิตไทยในยุค ๔.๐"
ม.ล.ปนัดดาฯ แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของบัณฑิตไทยในยุค ๔.๐"
เมื่อวันพุธที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐ น.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล “คุณธรรมจริยธรรมดีเด่น มูลนิธิเทคนิคการแพทย์
ศาสตราจารย์วีกูล วีรานุวัตติ์ ประจําปีการศึกษา ๒๕๖๐”
โอกาสนี้แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของบัณฑิตไทยในยุค ๔.๐"
จัดโดยความร่วมมือของสภาคณบดีสถาบันผลิตบัณฑิตเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทย
มูลนิธิเทคนิคการแพทย์ ศาสตราจารย์วีกูล วีรานุวัตติ์ สภาเทคนิคการแพทย์
สมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน)
ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ ดร.วีระพงศ์ ปรัชชญาสิทธิกุล อาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการแพทย์
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า "ความรับผิดชอบในหน้าที่การงานถือเป็นเรื่องที่มีความสําคัญของทุกสาขาอาชีพ การปฏิเสธความรับผิดชอบเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้นกับใครก็ตามผู้ใช้ปัญญาหรือ “wisdom” นําหน้าการดําเนินชีวิต และคงไม่สามารถประสบความสุขความสําเร็จในหน้าที่การงานได้ นิสิต นักศึกษาเทคนิคการแพทย์ ต้องช่วยกันจดจําและนําสู่การปฏิบัติให้กว้างขวางออกไป ขยายจํานวนผู้คนในแวดวงสาขาอาชีพหรือชุมชนอื่นๆ ให้เกิดความเชื่อมั่นศรัทธาในเรื่องการทําความดี ความซื่อสัตย์สุจริต ความเพียร
และมีความเป็นสุภาพชน ที่จะให้ใครๆ ได้มองลูกหลานเยาวชนเป็นความหวังแก่สังคมของคนในชาติและเป็นอนาคตของชาติที่มีพลัง ทุกอาชีพมีความหมายต่อการดํารงอยู่ของประเทศโดยเท่าเทียมกัน สําคัญอยู่ที่
ความรับผิดชอบ การวางตัว ความไม่หลงลืมตัวซึ่งมีความสําคัญอย่างมาก การยึดถือระบบเกียรติศักดิ์
(Code of Honour) คือ ความซื่อตรงต่อหน้าที่ เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวตราบชั่วชีวิต
และเป็นเกียรติคุณสืบเนื่องถึงลูกหลาน"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของบัณฑิตไทยในยุค ๔.๐"
วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของบัณฑิตไทยในยุค ๔.๐"
ม.ล.ปนัดดาฯ แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของบัณฑิตไทยในยุค ๔.๐"
เมื่อวันพุธที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๐๐ น.
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล “คุณธรรมจริยธรรมดีเด่น มูลนิธิเทคนิคการแพทย์
ศาสตราจารย์วีกูล วีรานุวัตติ์ ประจําปีการศึกษา ๒๕๖๐”
โอกาสนี้แสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "การส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมของบัณฑิตไทยในยุค ๔.๐"
จัดโดยความร่วมมือของสภาคณบดีสถาบันผลิตบัณฑิตเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทย
มูลนิธิเทคนิคการแพทย์ ศาสตราจารย์วีกูล วีรานุวัตติ์ สภาเทคนิคการแพทย์
สมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน)
ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ ดร.วีระพงศ์ ปรัชชญาสิทธิกุล อาคารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการแพทย์
คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า "ความรับผิดชอบในหน้าที่การงานถือเป็นเรื่องที่มีความสําคัญของทุกสาขาอาชีพ การปฏิเสธความรับผิดชอบเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้นกับใครก็ตามผู้ใช้ปัญญาหรือ “wisdom” นําหน้าการดําเนินชีวิต และคงไม่สามารถประสบความสุขความสําเร็จในหน้าที่การงานได้ นิสิต นักศึกษาเทคนิคการแพทย์ ต้องช่วยกันจดจําและนําสู่การปฏิบัติให้กว้างขวางออกไป ขยายจํานวนผู้คนในแวดวงสาขาอาชีพหรือชุมชนอื่นๆ ให้เกิดความเชื่อมั่นศรัทธาในเรื่องการทําความดี ความซื่อสัตย์สุจริต ความเพียร
และมีความเป็นสุภาพชน ที่จะให้ใครๆ ได้มองลูกหลานเยาวชนเป็นความหวังแก่สังคมของคนในชาติและเป็นอนาคตของชาติที่มีพลัง ทุกอาชีพมีความหมายต่อการดํารงอยู่ของประเทศโดยเท่าเทียมกัน สําคัญอยู่ที่
ความรับผิดชอบ การวางตัว ความไม่หลงลืมตัวซึ่งมีความสําคัญอย่างมาก การยึดถือระบบเกียรติศักดิ์
(Code of Honour) คือ ความซื่อตรงต่อหน้าที่ เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวตราบชั่วชีวิต
และเป็นเกียรติคุณสืบเนื่องถึงลูกหลาน"
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15182
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. วิษณุ ฯ รับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ กว่า 8 ล้านบาท
|
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560
รอง นรม. วิษณุ ฯ รับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ กว่า 8 ล้านบาท
รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากคณะผู้แทนจากบริษัทในเครือสหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) จํานวน 8,322,695 บาท
วันนี้ (10 มี.ค. 60) เวลา 13.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากนางประดิษฐา จงวัฒนา กรรมการบริษัทเอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) และคณะผู้แทนจากบริษัทในเครือสหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) จํานวน 8,322,695 บาท (แปดล้านสามแสนสองหมื่นสองพันหกร้อยเก้าสิบห้าบาทถ้วน) เพื่อนําไปช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติน้ําท่วมในหลายจังหวัดทางภาคใต้
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณผู้บริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทางภาคใต้ ซึ่งรัฐบาลจะนําเงินบริจาคดังกล่าวให้กับศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับบริจาคของประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ โดยประชาชนสามารถบริจาคได้ที่บัญชี "กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยสํานักนายกรัฐมนตรี" ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067–0–06895–0
...............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. วิษณุ ฯ รับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ กว่า 8 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560
รอง นรม. วิษณุ ฯ รับมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ กว่า 8 ล้านบาท
รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากคณะผู้แทนจากบริษัทในเครือสหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) จํานวน 8,322,695 บาท
วันนี้ (10 มี.ค. 60) เวลา 13.00 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้จากนางประดิษฐา จงวัฒนา กรรมการบริษัทเอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จํากัด (มหาชน) และคณะผู้แทนจากบริษัทในเครือสหพัฒนพิบูล จํากัด (มหาชน) จํานวน 8,322,695 บาท (แปดล้านสามแสนสองหมื่นสองพันหกร้อยเก้าสิบห้าบาทถ้วน) เพื่อนําไปช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติน้ําท่วมในหลายจังหวัดทางภาคใต้
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณผู้บริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทางภาคใต้ ซึ่งรัฐบาลจะนําเงินบริจาคดังกล่าวให้กับศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ที่รัฐบาลได้จัดตั้งขึ้นมา เพื่อเป็นศูนย์กลางการรับบริจาคของประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ โดยประชาชนสามารถบริจาคได้ที่บัญชี "กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยสํานักนายกรัฐมนตรี" ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067–0–06895–0
...............
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2298
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กฤษฎา” ลุยตลาดเยาวราชย้ำความมั่นใจคุณภาพสินค้าเกษตรปลอดภัย
|
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
“กฤษฎา” ลุยตลาดเยาวราชย้ําความมั่นใจคุณภาพสินค้าเกษตรปลอดภัย
“กฤษฎา” ลุยตลาดเยาวราชย้ําความมั่นใจคุณภาพสินค้าเกษตรปลอดภัย พร้อมสั่งทุกหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่ตรวจตลาดสดแบบบูรณาการช่วงตรุษจีนต่อเนื่อง
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมและติดตามการปฏิบัติงานในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตรของเจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมส่งเสริมการเกษตร และสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ณ ตลาดสดเยาวราช ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสําคัญกับสินค้าเกษตรคุณภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคได้บริโภคสินค้าดี มีคุณภาพ ในช่วงเทศกาลตรุษจีน พี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนทําพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษกันทุกครัวเรือนด้วย หมู เป็ด ไก่ ผลไม้ ขนมต่างๆ โดยกรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร และสํานักมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) มีแผนการทํางานบูรณาการร่วมกันในการสุ่มตรวจสอบสถานที่จําหน่ายสินค้าเกษตรในช่วงเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 12 – 14 กุมภาพันธ์ 2561 ลงพื้นที่ตลาดสด 3 แห่ง คือ ตลาดสดเยาวราช ตลาดสี่มุมเมือง ศูนย์กระจายสินค้าลําลูกกา โดยกิจกรรมส่งเสริมและตรวจสอบสินค้าด้านการเกษตร (เนื้อสัตว์ สัตว์น้ํา ผักและผลไม้) ประกอบด้วย กรมปศุสัตว์ สุ่มเก็บตัวอย่างเนื้อสัตว์ (เนื้อสุกร เนื้อไก่ และเนื้อโค) ทุกชนิด จํานวนเป้าหมายทั้งหมด 723 ตัวอย่าง ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์หาสารเร่งเนื้อแดง ยาปฏิชีวนะตกค้าง และเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค กรมประมง สุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าประมง 405 ตัวอย่าง ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการวิเคราะห์หาสารตกค้าง Formaline, Malachite green, Nitrofuran และ Chloramphenicol กรมวิชาการเกษตรสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าเกษตร (ผัก และผลไม้) 270 ตัวอย่าง ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการวิเคราะห์หาสารตกค้าง มีการตรวจประเมินสถานที่จําหน่ายเนื้อสัตว์ โดยใช้แบบประเมินสถานที่จําหน่ายเนื้อสัตว์ส่งเสริมให้ความรู้ผู้ประกอบการ ณ สถานที่จําหน่ายสินค้าเกษตร และต่อยอดไปถึงเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตร ตรวจสอบและแนะนําการจําหน่ายสินค้าด้านการเกษตร ให้เป็นไปตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ในขณะที่เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร ต้องพร้อมให้ความรู้กับผู้ประกอบการ เกษตรกรและสนับสนุนข้อมูลแหล่งผลิตสินค้าเพื่อให้ประชาชนผู้บริโภค มีความมั่นใจในการบริโภคสินค้าเกษตรในช่วงเทศกาลดังกล่าว
นายสัตวแพทย์อภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมปศุสัตว์ในฐานะเป็นหน่วยงานที่กํากับดูแลการผลิตสินค้าปศุสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ได้เร่งรัดดําเนินการขับเคลื่อนตามนโยบายมาตรฐานความปลอดภัยด้านปศุสัตว์ของกระทรวงเกษตรฯ โดยยกระดับมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ได้ร่วมกันดําเนินการ “กิจกรรมตรวจตลาดสดแบบบูรณาการ ในช่วงเทศกาลตรุษจีน” ขึ้น เพื่อช่วยส่งเสริมความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน
ด้านนายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตร ตั้งเป้าสุ่มเก็บตัวอย่างพืช จํานวน 270 ตัวอย่าง จากแหล่งจําหน่ายศูนย์กระจายสินค้า ตลาดค้าส่ง และตลาดค้าปลีกเพื่อส่งวิเคราะห์สารเคมีตกค้าง 4 กลุ่ม (44 ชนิดสารเคมี) ดังนี้ กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟส กลุ่มออร์กาโนคลอรีน กลุ่มไพรีทรอย และกลุ่มคาร์บาเมท ทั้งนี้ หากพบตัวอย่างพืชมีปริมาณสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน MRLs จะแจ้งหน่วยงานตรวจรับรอง กรณีได้รับการรับรอง GAP และแหล่งจําหน่ายทราบ เพื่อดําเนินการทวนสอบและเฝ้าระวังต่อไป รวมถึงได้กําชับให้สํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1-8 ที่ดูแลพื้นที่ส่วนภูมิภาค ดําเนินการสุ่มเก็บตัวอย่างพืช ในตลาดสดของแต่ละเขตรับผิดชอบ เน้นที่ผลไม้ ส้ม มะละกอ ฝรั่ง กล้วย มะม่วง ลําไย แก้วมังกร แอปเปิ้ล และสาลี่ พืชผัก ได้แก่ พืชผัก กะเพรา โหระพา แมงลัก ใบบัวบก มะเขือเทศ ผักกาดขาว เซอรารี่ ต้นหอม ผักชี พืชตระกูลกะหล่ํา คะน้า พืชตระกูลถั่ว ถั่วฝักยาว ถั่วหวาน ถั่วแขก และมะระ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กฤษฎา” ลุยตลาดเยาวราชย้ำความมั่นใจคุณภาพสินค้าเกษตรปลอดภัย
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
“กฤษฎา” ลุยตลาดเยาวราชย้ําความมั่นใจคุณภาพสินค้าเกษตรปลอดภัย
“กฤษฎา” ลุยตลาดเยาวราชย้ําความมั่นใจคุณภาพสินค้าเกษตรปลอดภัย พร้อมสั่งทุกหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่ตรวจตลาดสดแบบบูรณาการช่วงตรุษจีนต่อเนื่อง
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมและติดตามการปฏิบัติงานในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าเกษตรของเจ้าหน้าที่กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมส่งเสริมการเกษตร และสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ณ ตลาดสดเยาวราช ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสําคัญกับสินค้าเกษตรคุณภาพ เพื่อให้ผู้บริโภคได้บริโภคสินค้าดี มีคุณภาพ ในช่วงเทศกาลตรุษจีน พี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนทําพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษกันทุกครัวเรือนด้วย หมู เป็ด ไก่ ผลไม้ ขนมต่างๆ โดยกรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร และสํานักมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) มีแผนการทํางานบูรณาการร่วมกันในการสุ่มตรวจสอบสถานที่จําหน่ายสินค้าเกษตรในช่วงเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 12 – 14 กุมภาพันธ์ 2561 ลงพื้นที่ตลาดสด 3 แห่ง คือ ตลาดสดเยาวราช ตลาดสี่มุมเมือง ศูนย์กระจายสินค้าลําลูกกา โดยกิจกรรมส่งเสริมและตรวจสอบสินค้าด้านการเกษตร (เนื้อสัตว์ สัตว์น้ํา ผักและผลไม้) ประกอบด้วย กรมปศุสัตว์ สุ่มเก็บตัวอย่างเนื้อสัตว์ (เนื้อสุกร เนื้อไก่ และเนื้อโค) ทุกชนิด จํานวนเป้าหมายทั้งหมด 723 ตัวอย่าง ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์หาสารเร่งเนื้อแดง ยาปฏิชีวนะตกค้าง และเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค กรมประมง สุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าประมง 405 ตัวอย่าง ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการวิเคราะห์หาสารตกค้าง Formaline, Malachite green, Nitrofuran และ Chloramphenicol กรมวิชาการเกษตรสุ่มเก็บตัวอย่างสินค้าเกษตร (ผัก และผลไม้) 270 ตัวอย่าง ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการวิเคราะห์หาสารตกค้าง มีการตรวจประเมินสถานที่จําหน่ายเนื้อสัตว์ โดยใช้แบบประเมินสถานที่จําหน่ายเนื้อสัตว์ส่งเสริมให้ความรู้ผู้ประกอบการ ณ สถานที่จําหน่ายสินค้าเกษตร และต่อยอดไปถึงเกษตรกรผู้ผลิตสินค้าเกษตร ตรวจสอบและแนะนําการจําหน่ายสินค้าด้านการเกษตร ให้เป็นไปตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ในขณะที่เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร ต้องพร้อมให้ความรู้กับผู้ประกอบการ เกษตรกรและสนับสนุนข้อมูลแหล่งผลิตสินค้าเพื่อให้ประชาชนผู้บริโภค มีความมั่นใจในการบริโภคสินค้าเกษตรในช่วงเทศกาลดังกล่าว
นายสัตวแพทย์อภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมปศุสัตว์ในฐานะเป็นหน่วยงานที่กํากับดูแลการผลิตสินค้าปศุสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ได้เร่งรัดดําเนินการขับเคลื่อนตามนโยบายมาตรฐานความปลอดภัยด้านปศุสัตว์ของกระทรวงเกษตรฯ โดยยกระดับมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ได้ร่วมกันดําเนินการ “กิจกรรมตรวจตลาดสดแบบบูรณาการ ในช่วงเทศกาลตรุษจีน” ขึ้น เพื่อช่วยส่งเสริมความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตรุษจีน
ด้านนายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า กรมวิชาการเกษตร ตั้งเป้าสุ่มเก็บตัวอย่างพืช จํานวน 270 ตัวอย่าง จากแหล่งจําหน่ายศูนย์กระจายสินค้า ตลาดค้าส่ง และตลาดค้าปลีกเพื่อส่งวิเคราะห์สารเคมีตกค้าง 4 กลุ่ม (44 ชนิดสารเคมี) ดังนี้ กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟส กลุ่มออร์กาโนคลอรีน กลุ่มไพรีทรอย และกลุ่มคาร์บาเมท ทั้งนี้ หากพบตัวอย่างพืชมีปริมาณสารพิษตกค้างเกินค่ามาตรฐาน MRLs จะแจ้งหน่วยงานตรวจรับรอง กรณีได้รับการรับรอง GAP และแหล่งจําหน่ายทราบ เพื่อดําเนินการทวนสอบและเฝ้าระวังต่อไป รวมถึงได้กําชับให้สํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1-8 ที่ดูแลพื้นที่ส่วนภูมิภาค ดําเนินการสุ่มเก็บตัวอย่างพืช ในตลาดสดของแต่ละเขตรับผิดชอบ เน้นที่ผลไม้ ส้ม มะละกอ ฝรั่ง กล้วย มะม่วง ลําไย แก้วมังกร แอปเปิ้ล และสาลี่ พืชผัก ได้แก่ พืชผัก กะเพรา โหระพา แมงลัก ใบบัวบก มะเขือเทศ ผักกาดขาว เซอรารี่ ต้นหอม ผักชี พืชตระกูลกะหล่ํา คะน้า พืชตระกูลถั่ว ถั่วฝักยาว ถั่วหวาน ถั่วแขก และมะระ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10022
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดแสดงผลงานเด็กและเยาวชน มุ่งปลูกจิตสำนึกการเป็น “ผู้ให้” ด้วยการแบ่งปันที่ยิ่งใหญ่
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561
พม. จัดแสดงผลงานเด็กและเยาวชน มุ่งปลูกจิตสํานึกการเป็น “ผู้ให้” ด้วยการแบ่งปันที่ยิ่งใหญ่
พม. จัดแสดงผลงานเด็กและเยาวชน มุ่งปลูกจิตสํานึกการเป็น “ผู้ให้” ด้วยการแบ่งปันที่ยิ่งใหญ่
วันนี้ (14 มิ.ย.61) เวลา 13.30 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานเปิดงานแสดงนิทรรศการผลงานเด็กและเยาวชน โครงการ "พัฒนาเพื่อการแบ่งปันที่ยิ่งใหญ่ Shift & Share ภายใต้โครงการปาฏิหาริย์แห่งชีวิต Miracle of Life ประจําปี 2561 เพื่อสานต่อกิจกรรมพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนสู่การเป็นผู้ให้ เสริมพลังพัฒนาทักษะ ปลูกจิตสํานึกสาธารณะจิตอาสาสร้างอาสาสมัคร/ยุวอาสาพัฒนาสังคม และพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นคน "เก่ง ดี มีสุข” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต จังหวัดนนทบุรี
ตลอดระยะเวลา 1 ทศวรรษ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) น้อมนําพระดําริทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ที่ได้ให้ความสําคัญต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในการขับเคลื่อนโครงการปาฏิหาริย์แห่งชีวิต (Miracle of Life) เพื่อปลูกจิตสํานึกเด็กและเยาวชนให้รู้จักการเป็น "ผู้ให้” และเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ มีเด็กและเยาวชนผ่านการอบรมเป็นจํานวนกว่า 100,000 คน จากโครงการจิตอาสาพัฒนาบ้านเกิดมากกว่า 300 โครงการ
สําหรับในปี 2561 กระทรวง พม. โดย พส. ได้นํากรอบแนวคิด "พลังจิตอาสา พัฒนาสังคมและสวัสดิการ” พัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านกระบวนการ Shift & Share ขยายพื้นที่ดําเนินการไปยัง 11 จังหวัดทั่วประเทศ ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร จันทบุรี นครสวรรค์ น่าน พิษณุโลก พัทลุง ระยอง ศรีสะเกษ สตูล สุรินทร์ และอุบลราชธานี ผ่านการดําเนินกิจกรรมสําคัญ ได้แก่ 1) กิจกรรมเฟ้นหาวิทยากรกระบวนการที่หลากหลายความสามารถ "V-Spirit Mentor” จาก 11 จังหวัด รวมทั้งหมด 111 คน 2) การอบรมแกนนํา V – Spirit ยุวอาสาจากโรงเรียนเพียงหลวง และเด็กเยาวชนในเขตต่างๆ กว่า 6,479 คน 3) กิจกรรม Shift & Share (Happy Kids in Summer 2018) ต้นแบบการจัดสวัสดิการการดูแลเด็ก โดยใช้กระบวนการ Play and Learn สนุก สร้างสุข ปลอดภัย เรียนรู้ทักษะทางด้านวิชาการ ทักษะสังคม และใช้เวลาว่างในช่วงปิดภาคเรียนให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า 4) กิจกรรมพลังจิตอาสา พัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นการพัฒนาความเป็นจิตอาสาสําหรับเด็ก ด้วยการฝึกคิดสร้างสรรค์ ฝึกทําโครงการ แล้วนําไปปฏิบัติในพื้นที่จริงร่วมกับภาคีเครือข่าย ซึ่งในปีนี้ มีโครงการส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 53 โครงการ อาทิ โครงการ App Society Helps ชี้เป้าเฝ้าระวัง โรงเรียนบางปะกอกวิทยาคม กรุงเทพมหานคร โครงการไม้เท้าพลังจิตลิขิตเส้นทางใหม่ โรงเรียนสตรีนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ และโครงการสร้างฝันแบ่งปันห้องสมุด โรงเรียนเพียงหลวง 12 จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น
สําหรับกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงานครั้งนี้ ประกอบด้วย การจัดนิทรรศการผลงานโครงการโดดเด่นระดับจังหวัดของ เด็กและเยาวชนปี 2561 และโครงการที่เคยได้รับรางวัลและขยายผลต่อยอดจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 53 โครงการ กิจกรรม สนุกสนานเพลิดเพลิน "ลอง เล่น เรียน” กิจกรรม Workshop จาก 34 โครงการระดับจังหวัดทั่วประเทศไทย กิจกรรมมดตัวเล็กรวมพลัง "วัยจิ๋วอาสาเปลี่ยนโลก” จากโรงเรียนเพียงหลวง เปิดประสบการณ์การแบ่งปัน "นับ 1 ถึงล้าน” เรียนรู้ 10 โครงการระดับประเทศ "สุดยอดเมล็ดพันธุ์ (Best Practice)” และร่วมสนุกกับกิจกรรมที่จะมา Up Skills สู่ความเป็นเลิศ จากเครือข่ายต่างๆ อาทิ สถาบันสื่อเด็กและเยาวชนสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) Peacegen เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการแสดงปลุกจิตสํานึก รู้คุณแผ่นดิน จากกองทัพบก และการแสดงจากเหล่า V-Spirit ยุวอาสา
กระทรวง พม. พร้อมขับเคลื่อนงานตามโครงการพัฒนาเพื่อการแบ่งปันที่ยิ่งใหญ่ Shift & Share ภายใต้โครงการปาฏิหาริย์แห่งชีวิต Miracle of Life เพื่อเสริมสร้างพลังจิตอาสาให้กับเด็กและเยาวชน บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ให้เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้แห่งการให้ แผ่กิ่งก้านสาขาแห่งการมีจิตอาสา ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งนี้ พลังของเด็กและเยาวชนจะเป็นกลไกสําคัญในการช่วยเหลือและพัฒนาสังคม ชี้เป้า เฝ้าระวัง ป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดแสดงผลงานเด็กและเยาวชน มุ่งปลูกจิตสำนึกการเป็น “ผู้ให้” ด้วยการแบ่งปันที่ยิ่งใหญ่
วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561
พม. จัดแสดงผลงานเด็กและเยาวชน มุ่งปลูกจิตสํานึกการเป็น “ผู้ให้” ด้วยการแบ่งปันที่ยิ่งใหญ่
พม. จัดแสดงผลงานเด็กและเยาวชน มุ่งปลูกจิตสํานึกการเป็น “ผู้ให้” ด้วยการแบ่งปันที่ยิ่งใหญ่
วันนี้ (14 มิ.ย.61) เวลา 13.30 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานเปิดงานแสดงนิทรรศการผลงานเด็กและเยาวชน โครงการ "พัฒนาเพื่อการแบ่งปันที่ยิ่งใหญ่ Shift & Share ภายใต้โครงการปาฏิหาริย์แห่งชีวิต Miracle of Life ประจําปี 2561 เพื่อสานต่อกิจกรรมพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนสู่การเป็นผู้ให้ เสริมพลังพัฒนาทักษะ ปลูกจิตสํานึกสาธารณะจิตอาสาสร้างอาสาสมัคร/ยุวอาสาพัฒนาสังคม และพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นคน "เก่ง ดี มีสุข” ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต จังหวัดนนทบุรี
ตลอดระยะเวลา 1 ทศวรรษ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) น้อมนําพระดําริทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ที่ได้ให้ความสําคัญต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในการขับเคลื่อนโครงการปาฏิหาริย์แห่งชีวิต (Miracle of Life) เพื่อปลูกจิตสํานึกเด็กและเยาวชนให้รู้จักการเป็น "ผู้ให้” และเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ มีเด็กและเยาวชนผ่านการอบรมเป็นจํานวนกว่า 100,000 คน จากโครงการจิตอาสาพัฒนาบ้านเกิดมากกว่า 300 โครงการ
สําหรับในปี 2561 กระทรวง พม. โดย พส. ได้นํากรอบแนวคิด "พลังจิตอาสา พัฒนาสังคมและสวัสดิการ” พัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านกระบวนการ Shift & Share ขยายพื้นที่ดําเนินการไปยัง 11 จังหวัดทั่วประเทศ ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร จันทบุรี นครสวรรค์ น่าน พิษณุโลก พัทลุง ระยอง ศรีสะเกษ สตูล สุรินทร์ และอุบลราชธานี ผ่านการดําเนินกิจกรรมสําคัญ ได้แก่ 1) กิจกรรมเฟ้นหาวิทยากรกระบวนการที่หลากหลายความสามารถ "V-Spirit Mentor” จาก 11 จังหวัด รวมทั้งหมด 111 คน 2) การอบรมแกนนํา V – Spirit ยุวอาสาจากโรงเรียนเพียงหลวง และเด็กเยาวชนในเขตต่างๆ กว่า 6,479 คน 3) กิจกรรม Shift & Share (Happy Kids in Summer 2018) ต้นแบบการจัดสวัสดิการการดูแลเด็ก โดยใช้กระบวนการ Play and Learn สนุก สร้างสุข ปลอดภัย เรียนรู้ทักษะทางด้านวิชาการ ทักษะสังคม และใช้เวลาว่างในช่วงปิดภาคเรียนให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่า 4) กิจกรรมพลังจิตอาสา พัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นการพัฒนาความเป็นจิตอาสาสําหรับเด็ก ด้วยการฝึกคิดสร้างสรรค์ ฝึกทําโครงการ แล้วนําไปปฏิบัติในพื้นที่จริงร่วมกับภาคีเครือข่าย ซึ่งในปีนี้ มีโครงการส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 53 โครงการ อาทิ โครงการ App Society Helps ชี้เป้าเฝ้าระวัง โรงเรียนบางปะกอกวิทยาคม กรุงเทพมหานคร โครงการไม้เท้าพลังจิตลิขิตเส้นทางใหม่ โรงเรียนสตรีนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ และโครงการสร้างฝันแบ่งปันห้องสมุด โรงเรียนเพียงหลวง 12 จังหวัดอุบลราชธานี เป็นต้น
สําหรับกิจกรรมที่น่าสนใจภายในงานครั้งนี้ ประกอบด้วย การจัดนิทรรศการผลงานโครงการโดดเด่นระดับจังหวัดของ เด็กและเยาวชนปี 2561 และโครงการที่เคยได้รับรางวัลและขยายผลต่อยอดจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น 53 โครงการ กิจกรรม สนุกสนานเพลิดเพลิน "ลอง เล่น เรียน” กิจกรรม Workshop จาก 34 โครงการระดับจังหวัดทั่วประเทศไทย กิจกรรมมดตัวเล็กรวมพลัง "วัยจิ๋วอาสาเปลี่ยนโลก” จากโรงเรียนเพียงหลวง เปิดประสบการณ์การแบ่งปัน "นับ 1 ถึงล้าน” เรียนรู้ 10 โครงการระดับประเทศ "สุดยอดเมล็ดพันธุ์ (Best Practice)” และร่วมสนุกกับกิจกรรมที่จะมา Up Skills สู่ความเป็นเลิศ จากเครือข่ายต่างๆ อาทิ สถาบันสื่อเด็กและเยาวชนสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) Peacegen เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการแสดงปลุกจิตสํานึก รู้คุณแผ่นดิน จากกองทัพบก และการแสดงจากเหล่า V-Spirit ยุวอาสา
กระทรวง พม. พร้อมขับเคลื่อนงานตามโครงการพัฒนาเพื่อการแบ่งปันที่ยิ่งใหญ่ Shift & Share ภายใต้โครงการปาฏิหาริย์แห่งชีวิต Miracle of Life เพื่อเสริมสร้างพลังจิตอาสาให้กับเด็กและเยาวชน บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ให้เติบโตขึ้นเป็นต้นไม้แห่งการให้ แผ่กิ่งก้านสาขาแห่งการมีจิตอาสา ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทั้งนี้ พลังของเด็กและเยาวชนจะเป็นกลไกสําคัญในการช่วยเหลือและพัฒนาสังคม ชี้เป้า เฝ้าระวัง ป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13055
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเตรียมจีบฮังการีลงทุนใน EEC หนุนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกในเอเชีย
|
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560
ไทยเตรียมจีบฮังการีลงทุนใน EEC หนุนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกในเอเชีย
‘รมว.พาณิชย์’ จะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้า ประเทศฮังการี (H.E. Mr. Péter Szijjártó) กระชับความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยและฮังการีให้แน่นแฟ้น พร้อมเชิญชวนฮังการีเข้ามาลงทุนใน EEC
ให้ไทยเป็นฐานการลงทุนและผลิตสินค้าเพื่อส่งออกในภูมิภาคเอเชีย
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่ามีกําหนดจะพบกับ H.E. Mr. Péter Szijjártó รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้า ประเทศฮังการี ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 ณ กรุงเทพฯ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยและฮังการีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งไทยและฮังการีมีความสัมพันธ์อันดีในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุนที่มีศักยภาพและโอกาสในการขยายการค้า การลงทุน และความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกันในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นต้น
นางอภิรดี กล่าวว่าการหารือครั้งนี้ จะเสนอให้ฮังการีลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และใช้ไทยเป็นฐานการลงทุนและผลิตสินค้าเพื่อส่งออกในภูมิภาคเอเชีย และยังเชิญชวนให้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เช่นTHAIFEX 2018 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารระดับโลกที่จะจัดขึ้นในช่วงกลางปีหน้า
ประเทศฮังการีตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคยุโรป จึงเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่สําคัญของยุโรปกลางและตะวันออก มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย และเป็นผู้ผลิตอาหารและสินค้าเกษตรที่สําคัญของภูมิภาคยุโรปตะวันออก นอกจากนี้ ยังเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สําคัญแห่งหนึ่งของโลก เช่น BMW และ Audi เป็นต้น ปัจจุบันฮังการีสนใจที่จะขยายการลงทุนในไทยหลายสาขา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ไทยให้การสนับสนุน และให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนใน EEC นอกจากนี้ ฮังการียังสนใจที่จะเปิดตลาดสินค้าอาหารและปศุสัตว์ในไทยด้วย
ในปี 2559 ฮังการีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 50 ของไทยในโลก มีมูลค่าการค้ารวม 587.11 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 4.75 ไทยส่งสินค้าส่งออกสําคัญไปฮังการี ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ วงจรพิมพ์ ก๊อก วาล์วและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ สินค้านําเข้าจากฮังการีที่สําคัญ ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยเตรียมจีบฮังการีลงทุนใน EEC หนุนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกในเอเชีย
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560
ไทยเตรียมจีบฮังการีลงทุนใน EEC หนุนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตส่งออกในเอเชีย
‘รมว.พาณิชย์’ จะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้า ประเทศฮังการี (H.E. Mr. Péter Szijjártó) กระชับความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยและฮังการีให้แน่นแฟ้น พร้อมเชิญชวนฮังการีเข้ามาลงทุนใน EEC
ให้ไทยเป็นฐานการลงทุนและผลิตสินค้าเพื่อส่งออกในภูมิภาคเอเชีย
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่ามีกําหนดจะพบกับ H.E. Mr. Péter Szijjártó รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้า ประเทศฮังการี ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 ณ กรุงเทพฯ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยและฮังการีให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ซึ่งไทยและฮังการีมีความสัมพันธ์อันดีในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านการค้าและการลงทุนที่มีศักยภาพและโอกาสในการขยายการค้า การลงทุน และความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกันในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นต้น
นางอภิรดี กล่าวว่าการหารือครั้งนี้ จะเสนอให้ฮังการีลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และใช้ไทยเป็นฐานการลงทุนและผลิตสินค้าเพื่อส่งออกในภูมิภาคเอเชีย และยังเชิญชวนให้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เช่นTHAIFEX 2018 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารระดับโลกที่จะจัดขึ้นในช่วงกลางปีหน้า
ประเทศฮังการีตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคยุโรป จึงเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่สําคัญของยุโรปกลางและตะวันออก มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย และเป็นผู้ผลิตอาหารและสินค้าเกษตรที่สําคัญของภูมิภาคยุโรปตะวันออก นอกจากนี้ ยังเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สําคัญแห่งหนึ่งของโลก เช่น BMW และ Audi เป็นต้น ปัจจุบันฮังการีสนใจที่จะขยายการลงทุนในไทยหลายสาขา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ไทยให้การสนับสนุน และให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนใน EEC นอกจากนี้ ฮังการียังสนใจที่จะเปิดตลาดสินค้าอาหารและปศุสัตว์ในไทยด้วย
ในปี 2559 ฮังการีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 50 ของไทยในโลก มีมูลค่าการค้ารวม 587.11 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 4.75 ไทยส่งสินค้าส่งออกสําคัญไปฮังการี ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ วงจรพิมพ์ ก๊อก วาล์วและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ สินค้านําเข้าจากฮังการีที่สําคัญ ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8150
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561
|
วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561 เวลา 20.15 น.
จากเหตุระเบิดภายในตลาดสดรถไฟ (พิมลชัย) เทศบาลนครยะลา ในช่วงที่ผ่านมาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานกําลังใจดอกไม้และสิ่งของพระราชทาน แก่ครอบครัวผู้สูญเสีย และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สร้างความปลาบปลื้มและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงห่วงใย อย่างหาที่สุดมิได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยได้กําชับไปยังหน่วยที่เกี่ยวข้องให้เร่งดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มที่ พร้อมให้ฝ่ายความมั่นคงเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อนําไปใช้ในการติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาดําเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ในการยกย่องชื่นชม “ศิลปินแห่งชาติ” ประจําปี 2560 ที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) เมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งจะเข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติ และเข็มประกาศเกียรติคุณ จากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันศิลปินแห่งชาติวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่กําลังจะมาถึงนี้ นับเป็นรางวัลสูงสุดในชีวิตสําหรับศิลปินที่มีคุณสมบัติและผลงานเป็นที่ประจักษ์ ได้รับการยอมรับในสังคมไทย นายกรัฐมนตรีขอให้พวกเราทุกคนและสังคมโดยรวม ได้ใช้สติ ทบทวน สิ่งที่พูดเมื่อสักครู่ ว่าเรารู้อย่างลึกซึ้งถึงความเป็นไทยหรือไม่ และพร้อมที่จะหลอมรวมกับความเป็นสากล โดยที่ไม่หลงประเด็น
ทั้งนี้ ไทยนิยมไม่ใช่การสร้างกระแสชาตินิยมเหมือนที่บางคน ไม่เข้าใจสังคมของตน ชาตินิยมจะใช้ได้ดี สําหรับป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกประเทศ จากการทําสงคราม หรือจากการเข้ามาครอบงําทางความคิดด้วยหลักคิดลัทธิของชาติอื่น เพื่อสร้างสํานึกความรักชาติและไทยนิยม ซึ่งไม่ใช่ประชานิยม เพราะประชานิยมเป็นการให้ในลักษณะยัดเยียดว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่เหมาะสมกับประชาชน ด้วยการสร้างแนวคิด “บริโภคนิยม” แตกต่างจากไทยนิยมที่เป็นการต่อยอด ขยายผลจากประชารัฐ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการระเบิดจากข้างในด้วยการมีส่วนร่วม เกิดเป็น 3 ประสาน คือ ราษฎร์ – รัฐ – เอกชน เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและสร้างการพัฒนาได้อย่างยั่งยืน เพราะตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ แก้โจทย์ปัญหาที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละชุมชน ด้วยกลไกประชารัฐ เพื่อสร้างความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ให้กับบ้านเมือง ด้วยการน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นมรดกของชาติ มาเป็นหลักคิดสําคัญในการกําหนดยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชดํารัสให้ “สืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธาน เพื่อสร้างสุขให้ปวงชนชาวไทย” และน้อมนําศาสตร์พระราชา “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อนําพาประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักของการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง เพื่อการพัฒนาประเทศและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน
การพัฒนาประเทศในยุคดิจิทัลตามนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” โดยให้ความสําคัญกับโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม ในมิติวัฒนธรรม ความเป็นไทย ตามหลักคิดไทยนิยม และโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพของประเทศ ไปพร้อม ๆ กัน นายกรัฐมนตรีจึงอยากวาดภาพอนาคต และความเป็นไปได้ให้ทุกคนได้เห็นว่ารัฐบาลจะขับเคลื่อนโครงการ EEC อย่างไร โดยแผนปฏิบัติการลงทุน แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 หรือระยะเร่งด่วน ระหว่างปี 2560-2561 ที่ต้องดําเนินการทันที เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจภายใน EEC ระยะที่ 2 ระหว่างปี 2562-2564 เป็นแผนงานต่อเนื่อง เพื่อให้โครงข่ายการขนส่งสามารถรองรับกิจการทางเศรษฐกิจ ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระยะต่อไป เริ่มตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป เป็นแผนงานเพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่ EEC อย่างยั่งยืน รวมถึงการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย
ทั้งนี้ จะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ํา ทางอากาศ และโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (1) มอเตอร์เวย์ พัทยา - มาบตาพุด แหลมฉบัง - ปราจีนบุรี และชลบุรี - อ.แกลง จ.ระยอง (2) รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามท่าอากาศยาน รถไฟทางคู่ ช่วงแหลมฉบัง - มาบตาพุด รถไฟ ช่วงระยอง –จันทบุรี - ตราด และรถไฟเชื่อม EEC – ทวาย - กัมพูชา รวมทั้งสถานีบรรจุและยกสินค้ากล่อง (ICD) ฉะเชิงเทรา (3) ท่าเรือแหลมฉบัง เฟสที่ 3 ท่าเรือมาบตาพุด เฟสที่ 3 และอาคารผู้โดยสารท่าเรือจุกเสม็ด (4) การยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา อาทิ การสร้างศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน
การประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ครั้งนี้ (25 ม.ค. 61) ถือว่ามีความพิเศษ เพราะปกติประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจามักจะจัดในภูมิภาคอาเซียน แต่เนื่องจากเป็นโอกาสครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและอินเดีย ที่เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2535 หรือเกือบ 30 ปีมาแล้ว อีกทั้ง อินเดียยังเป็นประเทศคู่ค้าและหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สําคัญของอาเซียน รวมถึงเป็นหนึ่งสมาชิกของความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นโอกาสที่จะทบทวนในเรื่องยุทธศาสตร์ของอินเดียที่จะมีต่ออาเซียน และประเทศเอเชียแปซิฟิก นับว่าเป็นช่องทางสําหรับแนวนโยบายมุ่งตะวันออก หรือ Act East ของนายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่จะเพิ่มบทบาทของอินเดียในประเทศอาเซียนและเอเชียแปซิฟิกอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างสมดุลอํานาจกับประเทศใหญ่อื่น ๆ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านการเมืองและการปกครองของโลก อีกทั้ง ยังสอดรับเป็นอย่างดีกับนโยบาย Look West ของไทยในการหาลู่ทางขยายตลาดการค้าการลงทุน และการสร้างพันธมิตรในอินเดียซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ และมีประชากรมาก รวมทั้งมีศักยภาพทางเทคโนโลยีสูงด้วย
สําหรับผลลัพธ์จากการประชุม ได้มีการหารือในเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันทั้งด้านการค้าและการลงทุน เพื่อให้เพิ่มมูลค่าการค้าได้ตามเป้าหมายภายในปี 2022 ดังนั้น นอกจากเราจะต้องเสริมสร้างกิจกรรมภายในให้แข็งแกร่ง ยืนได้ด้วยตนเองแล้ว ประเทศไทยก็จะต้องขยายโอกาสไปภายนอกประเทศ เพิ่มความร่วมมือกับมิตรประเทศ เพื่อสร้างโอกาส กระจายตลาด เพิ่มรายได้ทางการค้าและเพิ่มศักยภาพของประเทศผ่านการลงทุน รวมถึงส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีโลก
ด้วยเหตุนี้ นายกรัฐมนตรีจึงให้ความสําคัญอย่างมากต่อนโยบายระหว่างประเทศ ทั้งในลักษณะการเจรจาทวิภาคี และการหารือในลักษณะของการเป็นกลุ่มประเทศ โดยในปี 2560 ที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้ประเทศไทยได้ชี้แจงประชาสัมพันธ์ประเทศ และทิศทางนโยบายของภาครัฐ เพื่อดึงดูดการค้าและการลงทุน จากต่างประเทศจึงเป็นที่น่ายินดีว่า ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ และปีหน้า ปีละ 0.2% จากเดิมที่เคยประมาณว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตได้ร้อยละ 3.7 ในปี 2561 และ 2562 ช่วงนี้ก็จะปรับสูงขึ้นเป็นร้อยละ 3.9 ซึ่งการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ จะเป็นสัญญาณว่า เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของประเทศไทยจะขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้เดิม ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการส่งออกของประเทศไทย
ซึ่งภาคเอกชนไทยจะมีความสามารถและมีศักยภาพ แต่ควรมีการป้องกันความเสี่ยงไว้ล่วงหน้า โดยต้องมีการประมาณตน มีภูมิคุ้มกัน และเน้นการพึ่งพาตนเองให้มากด้วยการทํางานเชิงรุกร่วมกัน สําหรับระยะยาว ภาครัฐเองก็จะเดินหน้าตามแผนปฏิรูปประเทศ รวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาล ที่จะช่วยปรับโครงสร้างให้ประเทศในภาพรวมมีความสามารถในการแข่งขัน และการปรับเศรษฐกิจภายในประเทศให้แข็งแกร่ง รองรับความเสี่ยงต่าง ๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย
...........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561
วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”
ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561 เวลา 20.15 น.
จากเหตุระเบิดภายในตลาดสดรถไฟ (พิมลชัย) เทศบาลนครยะลา ในช่วงที่ผ่านมาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานกําลังใจดอกไม้และสิ่งของพระราชทาน แก่ครอบครัวผู้สูญเสีย และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สร้างความปลาบปลื้มและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงห่วงใย อย่างหาที่สุดมิได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยได้กําชับไปยังหน่วยที่เกี่ยวข้องให้เร่งดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มที่ พร้อมให้ฝ่ายความมั่นคงเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อนําไปใช้ในการติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาดําเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีขอเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ในการยกย่องชื่นชม “ศิลปินแห่งชาติ” ประจําปี 2560 ที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) เมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งจะเข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติ และเข็มประกาศเกียรติคุณ จากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันศิลปินแห่งชาติวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่กําลังจะมาถึงนี้ นับเป็นรางวัลสูงสุดในชีวิตสําหรับศิลปินที่มีคุณสมบัติและผลงานเป็นที่ประจักษ์ ได้รับการยอมรับในสังคมไทย นายกรัฐมนตรีขอให้พวกเราทุกคนและสังคมโดยรวม ได้ใช้สติ ทบทวน สิ่งที่พูดเมื่อสักครู่ ว่าเรารู้อย่างลึกซึ้งถึงความเป็นไทยหรือไม่ และพร้อมที่จะหลอมรวมกับความเป็นสากล โดยที่ไม่หลงประเด็น
ทั้งนี้ ไทยนิยมไม่ใช่การสร้างกระแสชาตินิยมเหมือนที่บางคน ไม่เข้าใจสังคมของตน ชาตินิยมจะใช้ได้ดี สําหรับป้องกันภัยคุกคามจากภายนอกประเทศ จากการทําสงคราม หรือจากการเข้ามาครอบงําทางความคิดด้วยหลักคิดลัทธิของชาติอื่น เพื่อสร้างสํานึกความรักชาติและไทยนิยม ซึ่งไม่ใช่ประชานิยม เพราะประชานิยมเป็นการให้ในลักษณะยัดเยียดว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่เหมาะสมกับประชาชน ด้วยการสร้างแนวคิด “บริโภคนิยม” แตกต่างจากไทยนิยมที่เป็นการต่อยอด ขยายผลจากประชารัฐ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการระเบิดจากข้างในด้วยการมีส่วนร่วม เกิดเป็น 3 ประสาน คือ ราษฎร์ – รัฐ – เอกชน เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและสร้างการพัฒนาได้อย่างยั่งยืน เพราะตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ แก้โจทย์ปัญหาที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละชุมชน ด้วยกลไกประชารัฐ เพื่อสร้างความ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ให้กับบ้านเมือง ด้วยการน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อันเป็นศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นมรดกของชาติ มาเป็นหลักคิดสําคัญในการกําหนดยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชดํารัสให้ “สืบสาน รักษา ต่อยอด พระราชปณิธาน เพื่อสร้างสุขให้ปวงชนชาวไทย” และน้อมนําศาสตร์พระราชา “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อนําพาประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักของการเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง เพื่อการพัฒนาประเทศและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน
การพัฒนาประเทศในยุคดิจิทัลตามนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” โดยให้ความสําคัญกับโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม ในมิติวัฒนธรรม ความเป็นไทย ตามหลักคิดไทยนิยม และโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพของประเทศ ไปพร้อม ๆ กัน นายกรัฐมนตรีจึงอยากวาดภาพอนาคต และความเป็นไปได้ให้ทุกคนได้เห็นว่ารัฐบาลจะขับเคลื่อนโครงการ EEC อย่างไร โดยแผนปฏิบัติการลงทุน แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 หรือระยะเร่งด่วน ระหว่างปี 2560-2561 ที่ต้องดําเนินการทันที เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจภายใน EEC ระยะที่ 2 ระหว่างปี 2562-2564 เป็นแผนงานต่อเนื่อง เพื่อให้โครงข่ายการขนส่งสามารถรองรับกิจการทางเศรษฐกิจ ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระยะต่อไป เริ่มตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป เป็นแผนงานเพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่ EEC อย่างยั่งยืน รวมถึงการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย
ทั้งนี้ จะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ํา ทางอากาศ และโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ (1) มอเตอร์เวย์ พัทยา - มาบตาพุด แหลมฉบัง - ปราจีนบุรี และชลบุรี - อ.แกลง จ.ระยอง (2) รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามท่าอากาศยาน รถไฟทางคู่ ช่วงแหลมฉบัง - มาบตาพุด รถไฟ ช่วงระยอง –จันทบุรี - ตราด และรถไฟเชื่อม EEC – ทวาย - กัมพูชา รวมทั้งสถานีบรรจุและยกสินค้ากล่อง (ICD) ฉะเชิงเทรา (3) ท่าเรือแหลมฉบัง เฟสที่ 3 ท่าเรือมาบตาพุด เฟสที่ 3 และอาคารผู้โดยสารท่าเรือจุกเสม็ด (4) การยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา อาทิ การสร้างศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน
การประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ครั้งนี้ (25 ม.ค. 61) ถือว่ามีความพิเศษ เพราะปกติประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจามักจะจัดในภูมิภาคอาเซียน แต่เนื่องจากเป็นโอกาสครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนและอินเดีย ที่เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2535 หรือเกือบ 30 ปีมาแล้ว อีกทั้ง อินเดียยังเป็นประเทศคู่ค้าและหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่สําคัญของอาเซียน รวมถึงเป็นหนึ่งสมาชิกของความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นโอกาสที่จะทบทวนในเรื่องยุทธศาสตร์ของอินเดียที่จะมีต่ออาเซียน และประเทศเอเชียแปซิฟิก นับว่าเป็นช่องทางสําหรับแนวนโยบายมุ่งตะวันออก หรือ Act East ของนายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่จะเพิ่มบทบาทของอินเดียในประเทศอาเซียนและเอเชียแปซิฟิกอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างสมดุลอํานาจกับประเทศใหญ่อื่น ๆ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านการเมืองและการปกครองของโลก อีกทั้ง ยังสอดรับเป็นอย่างดีกับนโยบาย Look West ของไทยในการหาลู่ทางขยายตลาดการค้าการลงทุน และการสร้างพันธมิตรในอินเดียซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ และมีประชากรมาก รวมทั้งมีศักยภาพทางเทคโนโลยีสูงด้วย
สําหรับผลลัพธ์จากการประชุม ได้มีการหารือในเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันทั้งด้านการค้าและการลงทุน เพื่อให้เพิ่มมูลค่าการค้าได้ตามเป้าหมายภายในปี 2022 ดังนั้น นอกจากเราจะต้องเสริมสร้างกิจกรรมภายในให้แข็งแกร่ง ยืนได้ด้วยตนเองแล้ว ประเทศไทยก็จะต้องขยายโอกาสไปภายนอกประเทศ เพิ่มความร่วมมือกับมิตรประเทศ เพื่อสร้างโอกาส กระจายตลาด เพิ่มรายได้ทางการค้าและเพิ่มศักยภาพของประเทศผ่านการลงทุน รวมถึงส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีโลก
ด้วยเหตุนี้ นายกรัฐมนตรีจึงให้ความสําคัญอย่างมากต่อนโยบายระหว่างประเทศ ทั้งในลักษณะการเจรจาทวิภาคี และการหารือในลักษณะของการเป็นกลุ่มประเทศ โดยในปี 2560 ที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสให้ประเทศไทยได้ชี้แจงประชาสัมพันธ์ประเทศ และทิศทางนโยบายของภาครัฐ เพื่อดึงดูดการค้าและการลงทุน จากต่างประเทศจึงเป็นที่น่ายินดีว่า ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ และปีหน้า ปีละ 0.2% จากเดิมที่เคยประมาณว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตได้ร้อยละ 3.7 ในปี 2561 และ 2562 ช่วงนี้ก็จะปรับสูงขึ้นเป็นร้อยละ 3.9 ซึ่งการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ จะเป็นสัญญาณว่า เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของประเทศไทยจะขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้เดิม ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการส่งออกของประเทศไทย
ซึ่งภาคเอกชนไทยจะมีความสามารถและมีศักยภาพ แต่ควรมีการป้องกันความเสี่ยงไว้ล่วงหน้า โดยต้องมีการประมาณตน มีภูมิคุ้มกัน และเน้นการพึ่งพาตนเองให้มากด้วยการทํางานเชิงรุกร่วมกัน สําหรับระยะยาว ภาครัฐเองก็จะเดินหน้าตามแผนปฏิรูปประเทศ รวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาล ที่จะช่วยปรับโครงสร้างให้ประเทศในภาพรวมมีความสามารถในการแข่งขัน และการปรับเศรษฐกิจภายในประเทศให้แข็งแกร่ง รองรับความเสี่ยงต่าง ๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย
...........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9665
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
|
วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนา อย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562เวลา 20.15 น. สรุปสาระสําคัญดังนี้
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2562เพื่อเชิญไปลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ชื่อ “นอกหน้าต่างบานเล็ก”ความว่า “เด็กทุกคนควรหมั่นศึกษาหาความรู้ และประพฤติตนเป็นคนดี มีระเบียบวินัย เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยให้แต่ละคนประสบความสุขความเจริญ และความสําเร็จในชีวิตได้ในวันข้างหน้า”โดยขอเชิญพระราโชวาทให้เด็กและเยาวชนไทยได้น้อมนําไปสู่การปฏิบัติในชีวิตประกอบด้วย ความรู้ ความดี และมีวินัย
นายกรัฐมนตรียังชื่นชมนักศึกษาไทยจากวิทยาลัยสารพัดช่างตราด ที่คว้าแชมป์ ในการแข่งขันแกะสลักน้ําแข็งจากหิมะนานาชาติ ประเทศจีน ติดต่อกันเป็นปีที่10ภายใต้เรื่องราวRescue Mission Rivets Thamluang Caves in Chiangrai Thailandซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภารกิจช่วยเหลือ13ชีวิต ทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย ที่ติดอยู่ในถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน จ.เชียงราย
รัฐบาลได้เปิดตัวโครงการห้องสมุดอิเลคทรอนิคส์แห่งชาติ โดยบูรณาการการทํางานของกระทรวงศึกษาธิการ สํานักหอสมุดแห่งชาติ และสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลจัดทําระบบห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ประกอบด้วยมีหนังสือและสื่อความรู้ต่าง ๆ ในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล รวมทั้งคลังสื่อการเรียนการสอน ที่จะช่วยให้ครูสามารถนําไปใช้ในห้องเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และยังมีการจัดตั้ง “ทีมบรรณารักษ์ออนไลน์” ตรวจสอบความสมบูรณ์มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานจากทุกกระทรวง และสถาบันการศึกษาต่างๆโดยจะพัฒนาNational e-Libraryต่อไปให้เป็นระบบe-Learningเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียนและครู ให้สอดคล้องกับนโยบายDigital Thailandโดยในปีการศึกษา 2562 กระทรวงศึกษาธิการยังจัดทําแบบเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้นักเรียนสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ จะเปิดโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ในงานวันเด็กแห่งชาติปี62เพื่อมอบเป็นของขวัญจากรัฐบาลสําหรับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา รัฐบาลนําการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาต่อยอด พร้อมออกกฎหมายต่างๆเช่น พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพระหว่างเด็กในเมืองและชนบท โดยเฉพาะเด็กชายขอบที่อยู่พื้นที่ห่างไกล เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน
นายกรัฐมนตรียังชื่นชมความสําเร็จของไทย จากการที่กรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม กิจการทางทะเล และประมง ได้ประกาศแถลงการณ์ปลดใบเหลืองประมงIUUของประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเดียวที่ได้รับการพิจารณาถือเป็นความสําเร็จของทุกภาคส่วนนับตั้งแต่ไทยได้“ใบเหลือง” เมื่อเมษายน ปี 2558 ด้วยการปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือIUU (Illegal Unreported and Unregulated Fishing)อย่างเป็นรูปธรรมทั้งในด้านกรอบกฎหมาย การบริหารจัดการประมง การบริหารจัดการกองเรือ การติดตาม ควบคุมและเฝ้าระวัง การตรวจสอบย้อนกลับ และการบังคับใช้กฎหมาย ทําให้ไทยสามารถแสดงบทบาทและความรับผิดชอบ ทั้งในฐานะรัฐเจ้าของธง รัฐชายฝั่ง รัฐเจ้าของท่า และรัฐตลาด ที่อยู่ในระดับสากล จนทําให้มีการ “ปลดใบเหลือง” ถือเป็นความสําเร็จของไทยในการยกระดับการทําประมงเชิงพาณิชย์ ไปสู่มาตรฐานสากล และพร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือกับสหภาพยุโรป ในการส่งเสริมการประมงอย่างยั่งยืน
ทั้งไทยและEUได้เห็นชอบร่วมกันเกี่ยวกับแผนงานความร่วมมือในอนาคต เพื่อให้ไทยบรรลุการเป็น“ประเทศปลอดประมงไอยูยู”หรือ ไอยูยู-ฟรี ได้โดยสมบูรณ์EUได้ยกให้ไทยเป็น “ผู้นําของอาเซียน”ในการแก้ไขปัญหาการทําประมงIUUโดยจะมีการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคของอาเซียน ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว “ร่วมกัน” ด้วยการจัดตั้งคณะทํางานไทย-สหภาพยุโรปเรื่องการต่อต้านการทําประมงIUUเพื่อเป็นกลไกร่วมมือในการส่งเสริมการประมงอย่างยั่งยืนและในฐานะ “ประธานอาเซียน” ในปีนี้ ประเทศไทยยังมีบทบาทสําคัญในการนําพาประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่ “การปฏิรูปภาคการประมง” โดยผลักดันการจัดทํานโยบายประมงอาเซียน(ASEAN General Fisheries Policy)ให้มีผลเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งการจัดตั้งคณะทํางานร่วมอาเซียนเพื่อป้องกันและปราบปรามการทําประมงไอยูยู หรือASEAN IUU Task Forceสําหรับเป็นกลไกการป้องกันการทําประมงIUUของภูมิภาค
รัฐบาลไทยให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาแรงงานภาคประมงควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาการทําประมงIUUเพื่อคุ้มครองแรงงานในภาคประมง ขณะนี้สถานการณ์แรงงานในภาคประมงของไทย “ดีขึ้น” กว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้วมาก โดยไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย ที่ได้ยื่นสัตยาบันพิธีสารภายใต้อนุสัญญาILOว่าด้วยแรงงานบังคับ เมื่อปีที่ผ่านมา และจะยื่นสัตยาบันอนุสัญญาILOว่าด้วยการทํางานในภาคประมง ในช่วงปลายเดือนมกราคมปีนี้และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย รัฐบาลไทยจะดูแลแรงงานที่ทํางานอยู่บนเรือประมง อย่างเต็มที่ เพื่อให้การประมงของไทยเป็นไปอย่างมีจริยธรรม และสอดคล้องกับหลักการของสหประชาชาติ ในเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
ตอนท้ายในรายการศาสตร์พระราชา ฯนายกรัฐมนตรียังมอบกําลังใจให้เจ้าหน้าที่ในการทํางาน เพื่อให้ไทยสามารถรักษามาตรฐานสากลไทยได้ปฏิรูปภาคประมงของไทยที่เปลี่ยนรูปโฉมจากในอดีตไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว สามารถกล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าไทยในฐานะผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่อันดับ4ของโลกเป็นส่วนหนึ่งของ“สมุทราภิบาลโลก”และยังคงต้องเดินหน้าในเรื่องการบริหารจัดการประมงและการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องเพื่อขจัดปัญหาการทําประมงIUUและรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ําของประเทศไว้ให้ลูกหลานด้วย รวมทั้งการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการใช้แรงงานเด็กในภาคประมงให้ได้อย่างแท้จริง
..............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนา อย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2562เวลา 20.15 น. สรุปสาระสําคัญดังนี้
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราโชวาท เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2562เพื่อเชิญไปลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ชื่อ “นอกหน้าต่างบานเล็ก”ความว่า “เด็กทุกคนควรหมั่นศึกษาหาความรู้ และประพฤติตนเป็นคนดี มีระเบียบวินัย เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยให้แต่ละคนประสบความสุขความเจริญ และความสําเร็จในชีวิตได้ในวันข้างหน้า”โดยขอเชิญพระราโชวาทให้เด็กและเยาวชนไทยได้น้อมนําไปสู่การปฏิบัติในชีวิตประกอบด้วย ความรู้ ความดี และมีวินัย
นายกรัฐมนตรียังชื่นชมนักศึกษาไทยจากวิทยาลัยสารพัดช่างตราด ที่คว้าแชมป์ ในการแข่งขันแกะสลักน้ําแข็งจากหิมะนานาชาติ ประเทศจีน ติดต่อกันเป็นปีที่10ภายใต้เรื่องราวRescue Mission Rivets Thamluang Caves in Chiangrai Thailandซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภารกิจช่วยเหลือ13ชีวิต ทีมหมูป่าอะคาเดมีแม่สาย ที่ติดอยู่ในถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน จ.เชียงราย
รัฐบาลได้เปิดตัวโครงการห้องสมุดอิเลคทรอนิคส์แห่งชาติ โดยบูรณาการการทํางานของกระทรวงศึกษาธิการ สํานักหอสมุดแห่งชาติ และสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลจัดทําระบบห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ประกอบด้วยมีหนังสือและสื่อความรู้ต่าง ๆ ในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล รวมทั้งคลังสื่อการเรียนการสอน ที่จะช่วยให้ครูสามารถนําไปใช้ในห้องเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และยังมีการจัดตั้ง “ทีมบรรณารักษ์ออนไลน์” ตรวจสอบความสมบูรณ์มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานจากทุกกระทรวง และสถาบันการศึกษาต่างๆโดยจะพัฒนาNational e-Libraryต่อไปให้เป็นระบบe-Learningเพื่อพัฒนาศักยภาพของนักเรียนและครู ให้สอดคล้องกับนโยบายDigital Thailandโดยในปีการศึกษา 2562 กระทรวงศึกษาธิการยังจัดทําแบบเรียนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้นักเรียนสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ จะเปิดโครงการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ในงานวันเด็กแห่งชาติปี62เพื่อมอบเป็นของขวัญจากรัฐบาลสําหรับการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา รัฐบาลนําการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาต่อยอด พร้อมออกกฎหมายต่างๆเช่น พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เพื่อการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพระหว่างเด็กในเมืองและชนบท โดยเฉพาะเด็กชายขอบที่อยู่พื้นที่ห่างไกล เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน
นายกรัฐมนตรียังชื่นชมความสําเร็จของไทย จากการที่กรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม กิจการทางทะเล และประมง ได้ประกาศแถลงการณ์ปลดใบเหลืองประมงIUUของประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเดียวที่ได้รับการพิจารณาถือเป็นความสําเร็จของทุกภาคส่วนนับตั้งแต่ไทยได้“ใบเหลือง” เมื่อเมษายน ปี 2558 ด้วยการปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือIUU (Illegal Unreported and Unregulated Fishing)อย่างเป็นรูปธรรมทั้งในด้านกรอบกฎหมาย การบริหารจัดการประมง การบริหารจัดการกองเรือ การติดตาม ควบคุมและเฝ้าระวัง การตรวจสอบย้อนกลับ และการบังคับใช้กฎหมาย ทําให้ไทยสามารถแสดงบทบาทและความรับผิดชอบ ทั้งในฐานะรัฐเจ้าของธง รัฐชายฝั่ง รัฐเจ้าของท่า และรัฐตลาด ที่อยู่ในระดับสากล จนทําให้มีการ “ปลดใบเหลือง” ถือเป็นความสําเร็จของไทยในการยกระดับการทําประมงเชิงพาณิชย์ ไปสู่มาตรฐานสากล และพร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือกับสหภาพยุโรป ในการส่งเสริมการประมงอย่างยั่งยืน
ทั้งไทยและEUได้เห็นชอบร่วมกันเกี่ยวกับแผนงานความร่วมมือในอนาคต เพื่อให้ไทยบรรลุการเป็น“ประเทศปลอดประมงไอยูยู”หรือ ไอยูยู-ฟรี ได้โดยสมบูรณ์EUได้ยกให้ไทยเป็น “ผู้นําของอาเซียน”ในการแก้ไขปัญหาการทําประมงIUUโดยจะมีการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคของอาเซียน ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว “ร่วมกัน” ด้วยการจัดตั้งคณะทํางานไทย-สหภาพยุโรปเรื่องการต่อต้านการทําประมงIUUเพื่อเป็นกลไกร่วมมือในการส่งเสริมการประมงอย่างยั่งยืนและในฐานะ “ประธานอาเซียน” ในปีนี้ ประเทศไทยยังมีบทบาทสําคัญในการนําพาประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่ “การปฏิรูปภาคการประมง” โดยผลักดันการจัดทํานโยบายประมงอาเซียน(ASEAN General Fisheries Policy)ให้มีผลเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งการจัดตั้งคณะทํางานร่วมอาเซียนเพื่อป้องกันและปราบปรามการทําประมงไอยูยู หรือASEAN IUU Task Forceสําหรับเป็นกลไกการป้องกันการทําประมงIUUของภูมิภาค
รัฐบาลไทยให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาแรงงานภาคประมงควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาการทําประมงIUUเพื่อคุ้มครองแรงงานในภาคประมง ขณะนี้สถานการณ์แรงงานในภาคประมงของไทย “ดีขึ้น” กว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้วมาก โดยไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย ที่ได้ยื่นสัตยาบันพิธีสารภายใต้อนุสัญญาILOว่าด้วยแรงงานบังคับ เมื่อปีที่ผ่านมา และจะยื่นสัตยาบันอนุสัญญาILOว่าด้วยการทํางานในภาคประมง ในช่วงปลายเดือนมกราคมปีนี้และเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชีย รัฐบาลไทยจะดูแลแรงงานที่ทํางานอยู่บนเรือประมง อย่างเต็มที่ เพื่อให้การประมงของไทยเป็นไปอย่างมีจริยธรรม และสอดคล้องกับหลักการของสหประชาชาติ ในเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
ตอนท้ายในรายการศาสตร์พระราชา ฯนายกรัฐมนตรียังมอบกําลังใจให้เจ้าหน้าที่ในการทํางาน เพื่อให้ไทยสามารถรักษามาตรฐานสากลไทยได้ปฏิรูปภาคประมงของไทยที่เปลี่ยนรูปโฉมจากในอดีตไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว สามารถกล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าไทยในฐานะผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่อันดับ4ของโลกเป็นส่วนหนึ่งของ“สมุทราภิบาลโลก”และยังคงต้องเดินหน้าในเรื่องการบริหารจัดการประมงและการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่องเพื่อขจัดปัญหาการทําประมงIUUและรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ําของประเทศไว้ให้ลูกหลานด้วย รวมทั้งการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการใช้แรงงานเด็กในภาคประมงให้ได้อย่างแท้จริง
..............................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18088
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เปิดนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
|
วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562
นายกรัฐมนตรี เปิดนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
นายกรัฐมนตรี เปิดนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
วันนี้ (24ตุลาคม2562)เวลา18.30น. ณ ท้องสนามหลวงพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช2562จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่25ตุลาคม -11พฤศจิกายน2562ซึ่งมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีนายอิทธิพล คุณปลื้มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมงานด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติฯ ความว่า
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการจัดงาน ทูตานุทูต ข้าราชการ และประชาชนทุกหมู่เหล่าที่มาชุมนุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ ล้วนมีความปลื้มปิติโสมนัสเป็นล้นพ้น ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่10แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครบถ้วนสมบูรณ์ตามขัตติยราชประเพณีแล้ว
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายต่างประจักษ์แก่ใจว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการล้วนเพื่อประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติ และประชาชนโดยแท้ อีกทั้งพระปฐมบรมราชโองการ เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป ที่พระราชทานอารักขาแก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่4พฤษภาคม2562เป็นเครื่องยืนยันพระราชปณิธานอันแน่วแน่ แห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปวงข้าพระพุทธเจ้าล้วนสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้
ในมหามงคลสมัยพิเศษนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยอันประเสริฐ อานุภาพแห่งพระสยามเทวาธิราช และสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลจักรวาล ตลอดทั้งพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ โปรดอภิบาลรักษาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย ทรงสถิตเสถียรสถาพรในไอยศูรย์สิริราชสมบัติ พระบรมราชจักรีวงศ์ดํารงยั่งยืนเจิดจรัส พระบารมีแผ่ไพศาล มีพระราชประสงค์จํานงหมายสิ่งใด ขอจงสัมฤทธิ์ดังพระราชหฤทัยปรารถนา ทรงสถิตเป็นพระมิ่งขวัญปกเกล้าเหล่าพสกนิกรตราบจิรัฐิติกาลเทอญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา ชมการแสดงม่านน้ําประกอบแสง สี เสียง ชุด“ม่านธาราลือขจรเฉลิมราชย์องค์ราชัน”พร้อมชมการแสดงสาธิตเห่เรือจากกรมกิจการทหารเรือและการแสดง“รวมใจไทย เทิดไท้องค์ราชัน”จากจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดสุพรรณบุรีณ ลานแสดงศิลปวัฒนธรรม
ต่อจากนั้นนายกรัฐมนตรีและภริยา เดินไปยังอาคารนิทรรศการ“เถลิงถวัลยราชสมบัติสยามรัฐสีมา”โดยถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และชมการแสดง แสง สี เสียง สื่อผสม ชุด “นิรมิตเรืองนทีเถลิงหล้า” ก่อนเยี่ยมชมนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับขบวนพยุหยาตราทางชลมารคตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน “ขบวนนาวาอารยศิลป์แผ่นดินสยาม”
สําหรับนิทรรศการที่จัดแสดง ประกอบด้วย ห้องที่ 1“มหามงคลสมัยพระขวัญไผทเถลิงรัช” จัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน โดยมีเนื้อหาและภาพพิธีพลีกรรมตักน้ําศักดิ์สิทธิ์และการแสดงมหรสพสมโภชทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผ่านจอแอลอีดีและแท่นอักษรเบลล์สําหรับผู้พิการทางสายตา รวมทั้งห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ E-book สําหรับสืบค้นและศึกษาข้อมูล ภาษาไทยและอังกฤษ
ห้องที่ 2“นิรมิตเรืองนทีเถลิงหล้า”จัดแสดงแสง สี เสียง และสื่อผสม นําเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความสุขของคนไทยใต้ร่มพระบารมีผ่านจอแอลอีดีในรูปแบบ 3 มิติ ประกอบการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากดารา นักแสดงที่มีชื่อเสียง และการแสดงขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค เรือพระราชพิธีจําลอง 52 ลํา พร้อมกาพย์เห่เรือเฉลิมพระเกียรติ ประพันธ์โดย นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
ห้องที่ 3“ขบวนนาวาอารยศิลป์แผ่นดินสยาม”จัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับขบวนพระยุหยาตราทางชลมารคตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยนําเสนอภาพขบวนเรือจากอดีตถึงปัจจุบันผ่านจอแอลอีดี รวมทั้งกาพย์เห่เรือ จําลองภาพเรือ 52 ลํา ประกอบคําบรรยาย พร้อมทั้งจัดแสดงเครื่องดนตรีประกอบการเห่เรือและหุ่นแสดงเครื่องแต่งกายของพนักงานประจําเรือ
--------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เปิดนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562
นายกรัฐมนตรี เปิดนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
นายกรัฐมนตรี เปิดนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
วันนี้ (24ตุลาคม2562)เวลา18.30น. ณ ท้องสนามหลวงพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพุทธศักราช2562จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่25ตุลาคม -11พฤศจิกายน2562ซึ่งมีนางนราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีนายอิทธิพล คุณปลื้มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมงานด้วย
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติฯ ความว่า
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการจัดงาน ทูตานุทูต ข้าราชการ และประชาชนทุกหมู่เหล่าที่มาชุมนุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ ล้วนมีความปลื้มปิติโสมนัสเป็นล้นพ้น ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่10แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครบถ้วนสมบูรณ์ตามขัตติยราชประเพณีแล้ว
ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายต่างประจักษ์แก่ใจว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการล้วนเพื่อประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติ และประชาชนโดยแท้ อีกทั้งพระปฐมบรมราชโองการ เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป ที่พระราชทานอารักขาแก่ประชาชนชาวไทย เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่4พฤษภาคม2562เป็นเครื่องยืนยันพระราชปณิธานอันแน่วแน่ แห่งใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปวงข้าพระพุทธเจ้าล้วนสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้
ในมหามงคลสมัยพิเศษนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยอันประเสริฐ อานุภาพแห่งพระสยามเทวาธิราช และสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลจักรวาล ตลอดทั้งพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ โปรดอภิบาลรักษาใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ให้ทรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย ทรงสถิตเสถียรสถาพรในไอยศูรย์สิริราชสมบัติ พระบรมราชจักรีวงศ์ดํารงยั่งยืนเจิดจรัส พระบารมีแผ่ไพศาล มีพระราชประสงค์จํานงหมายสิ่งใด ขอจงสัมฤทธิ์ดังพระราชหฤทัยปรารถนา ทรงสถิตเป็นพระมิ่งขวัญปกเกล้าเหล่าพสกนิกรตราบจิรัฐิติกาลเทอญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา ชมการแสดงม่านน้ําประกอบแสง สี เสียง ชุด“ม่านธาราลือขจรเฉลิมราชย์องค์ราชัน”พร้อมชมการแสดงสาธิตเห่เรือจากกรมกิจการทหารเรือและการแสดง“รวมใจไทย เทิดไท้องค์ราชัน”จากจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดสุพรรณบุรีณ ลานแสดงศิลปวัฒนธรรม
ต่อจากนั้นนายกรัฐมนตรีและภริยา เดินไปยังอาคารนิทรรศการ“เถลิงถวัลยราชสมบัติสยามรัฐสีมา”โดยถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และชมการแสดง แสง สี เสียง สื่อผสม ชุด “นิรมิตเรืองนทีเถลิงหล้า” ก่อนเยี่ยมชมนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับขบวนพยุหยาตราทางชลมารคตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน “ขบวนนาวาอารยศิลป์แผ่นดินสยาม”
สําหรับนิทรรศการที่จัดแสดง ประกอบด้วย ห้องที่ 1“มหามงคลสมัยพระขวัญไผทเถลิงรัช” จัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน โดยมีเนื้อหาและภาพพิธีพลีกรรมตักน้ําศักดิ์สิทธิ์และการแสดงมหรสพสมโภชทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผ่านจอแอลอีดีและแท่นอักษรเบลล์สําหรับผู้พิการทางสายตา รวมทั้งห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ E-book สําหรับสืบค้นและศึกษาข้อมูล ภาษาไทยและอังกฤษ
ห้องที่ 2“นิรมิตเรืองนทีเถลิงหล้า”จัดแสดงแสง สี เสียง และสื่อผสม นําเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความสุขของคนไทยใต้ร่มพระบารมีผ่านจอแอลอีดีในรูปแบบ 3 มิติ ประกอบการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากดารา นักแสดงที่มีชื่อเสียง และการแสดงขบวนเรือพยุหยาตราทางชลมารค เรือพระราชพิธีจําลอง 52 ลํา พร้อมกาพย์เห่เรือเฉลิมพระเกียรติ ประพันธ์โดย นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
ห้องที่ 3“ขบวนนาวาอารยศิลป์แผ่นดินสยาม”จัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับขบวนพระยุหยาตราทางชลมารคตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยนําเสนอภาพขบวนเรือจากอดีตถึงปัจจุบันผ่านจอแอลอีดี รวมทั้งกาพย์เห่เรือ จําลองภาพเรือ 52 ลํา ประกอบคําบรรยาย พร้อมทั้งจัดแสดงเครื่องดนตรีประกอบการเห่เรือและหุ่นแสดงเครื่องแต่งกายของพนักงานประจําเรือ
--------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24036
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สุริยะ" ร่วมปาฐกถาในงานสัมมนา "EEC Next : ทุนไทย-เทศ ปักหมุด EEC" ระบุ ไทยมีโอกาสและความพร้อมสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
|
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2562
"สุริยะ" ร่วมปาฐกถาในงานสัมมนา "EEC Next : ทุนไทย-เทศ ปักหมุด EEC" ระบุ ไทยมีโอกาสและความพร้อมสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา 'EEC Next : ทุนไทย-เทศ ปักหมุด EEC ' ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา 'EEC Next : ทุนไทย-เทศ ปักหมุด EEC ' จัดโดยบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จํากัด ในหัวข้อ 'ดึงอุตสาหกรรมเป้าหมายลงพื้นที่ EEC' ซึ่งในวันนี้มีผู้เข้าร่วมปาฐกถาพิเศษ ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง , นายณัฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และมี นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เข้าร่วมเสวนา พร้อมด้วยนางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การมี EEC เปรียบเสมือนเป็นหัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง โดย EEC เป็น Mega Project ที่จะยกระดับความสําคัญของประเทศไทยในระดับอาเซียน และยังสร้างประโยชน์ให้กับคนในพื้นที่ และยังรวมถึงการพัฒนาเมืองและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการพัฒนาเมืองให้เป็นแบบ Smart City มีแผนการจัดระเบียบการขนส่งที่เชื่อมโยงการขนส่งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ อันจะเชื่อมโยง CLMV และเชื่อมสู่ตลาดโลกต่อไป
"ผมยังคงเดินหน้าต่อยอดและขยายผล เพื่อให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ให้มากขึ้น และจะเร่งเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่ และผมเชื่อมั่นว่า โมเดลการพัฒนาที่ดีและการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและศักยภาพของประเทศ ย่อมส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ทําให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศสูงขึ้นในระยะยาว" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว #กระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีสุริยะ #EEC #EECNEXT
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สุริยะ" ร่วมปาฐกถาในงานสัมมนา "EEC Next : ทุนไทย-เทศ ปักหมุด EEC" ระบุ ไทยมีโอกาสและความพร้อมสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2562
"สุริยะ" ร่วมปาฐกถาในงานสัมมนา "EEC Next : ทุนไทย-เทศ ปักหมุด EEC" ระบุ ไทยมีโอกาสและความพร้อมสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา 'EEC Next : ทุนไทย-เทศ ปักหมุด EEC ' ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา 'EEC Next : ทุนไทย-เทศ ปักหมุด EEC ' จัดโดยบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จํากัด ในหัวข้อ 'ดึงอุตสาหกรรมเป้าหมายลงพื้นที่ EEC' ซึ่งในวันนี้มีผู้เข้าร่วมปาฐกถาพิเศษ ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง , นายณัฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และมี นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เข้าร่วมเสวนา พร้อมด้วยนางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การมี EEC เปรียบเสมือนเป็นหัวจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง โดย EEC เป็น Mega Project ที่จะยกระดับความสําคัญของประเทศไทยในระดับอาเซียน และยังสร้างประโยชน์ให้กับคนในพื้นที่ และยังรวมถึงการพัฒนาเมืองและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการพัฒนาเมืองให้เป็นแบบ Smart City มีแผนการจัดระเบียบการขนส่งที่เชื่อมโยงการขนส่งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ อันจะเชื่อมโยง CLMV และเชื่อมสู่ตลาดโลกต่อไป
"ผมยังคงเดินหน้าต่อยอดและขยายผล เพื่อให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ให้มากขึ้น และจะเร่งเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มที่ และผมเชื่อมั่นว่า โมเดลการพัฒนาที่ดีและการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและจริงจัง ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและศักยภาพของประเทศ ย่อมส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ทําให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศสูงขึ้นในระยะยาว" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว #กระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีสุริยะ #EEC #EECNEXT
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24730
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สธ. ลุยตลาดให้ได้มาตรฐาน เชื่อมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว
|
วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม 2562
รมช.สธ. ลุยตลาดให้ได้มาตรฐาน เชื่อมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว
กระทรวงสาธารณสุข ยกระดับมาตรฐานอาหาร Street Food ตลาดโต้รุ่งลํานารายณ์ จังหวัดลพบุรี เน้นสะอาด ปลอดภัย ให้กับผู้บริโภค หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวไทย
กระทรวงสาธารณสุข ยกระดับมาตรฐานอาหาร Street Food ตลาดโต้รุ่งลํานารายณ์ จังหวัดลพบุรี เน้นสะอาด ปลอดภัย ให้กับผู้บริโภค หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวไทย
วันนี้ (7 ธันวาคม 2562) ที่ จ.ลพบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหาร กระทรวงสาธารณสุขเปิดมหกรรม Street Food (อาหารริมบาทวิถี) และอาหารสะอาดรสชาติอร่อยครั้งที่ 11 เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ส่งเสริมเศรษฐกิจเชื่อมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวไทย ณ ถนน Street Food เทศบาลตําบลลํานารายณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี
ดร.สาธิต กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินโครงการพัฒนาอาหาร ริมบาทวิถีปลอดภัย สนับสนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยววิถีไทย พัฒนาเป็นถนนอาหารริมบาทวิถีต้นแบบ (Model) ที่ได้มาตรฐานสุขาภิบาลอาหาร โดยในปี 2561 – 2562 จะพัฒนาในพื้นที่เป้าหมาย จํานวน 30 จังหวัด อาทิ จังหวัดเชียงใหม่ ลําปาง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ชลบุรี บุรีรัมย์ กาฬสินธุ์ อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ตรัง และสงขลา และจะขยายพื้นที่ให้ครบทุกจังหวัดในปี 2564 โดยส่งเสริมและผลักดันให้ท้องถิ่นมีการนํากฎหมายไปบังคับใช้ ดังนี้ 1) ตั้งจุดจําหน่ายในบริเวณที่ได้รับการอนุญาต 2) ขออนุญาตจําหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ 3) ทุกร้านต้องผ่านเกณฑ์ข้อกําหนดด้านสุขาภิบาลอาหารสําหรับแผงลอยจําหน่ายอาหาร 4) ผู้จําหน่ายต้องมีความรู้หรือผ่านการอบรมด้านสุขาภิบาลอาหารตามหลักสูตรของกรมอนามัย และ 5) ผู้จําหน่ายมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคติดต่อที่ผ่านทางอาหารและน้ําเป็นสื่อ
ข้อมูลล่าสุดจากกรมอนามัย มีแผงลอยจําหน่ายอาหารทั่วประเทศ จํานวน 93,261 ร้าน ผ่านเกณฑ์มาตรฐานอาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Taste) จํานวน 79,012 ร้าน คิดเป็นร้อยละ84.72 สําหรับร้านอาหารริมบาทวิถีตลาดโต้รุ่งลํานารายณ์ มีร้านผ่านเกณฑ์มาตรฐานอาหารสะอาด รสชาติอร่อย(Clean Food Good Taste) 60 ร้าน และผ่านการอบรมได้รับบัตรผู้สัมผัสอาหารรับรอง 100 เปอร์เซ็นต์
“ขอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อร้านจําหน่ายอาหารริมบาทวิถีที่มีป้ายรับรองมาตรฐานอาหารสะอาดของหน่วยงานราชการท้องถิ่นหรือใบอนุญาตที่ติดที่แผงลอย เช่น ป้ายมาตรฐานอาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Taste) ผู้จําหน่ายอาหารต้องแต่งกายสะอาด ตัดเล็บสั้น ไม่ใส่เครื่องประดับที่มือ ล้างมือก่อนสัมผัสอาหารทุกครั้ง ภาชนะใส่อาหารต้องสะอาด ปลอดภัย จัดเก็บเป็นระเบียบ ไม่ใช้ภาชนะโฟม”ดร.สาธิต กล่าว
ด้าน นางธัญญมน ศรีผ่าน นายกเทศมนตรีตําบลลํานารายณ์ กล่าวว่า ตลาดโต้รุ่งลํานารายณ์จ.ลพบุรี มีการจําหน่ายอาหารทุกวันตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม โดยเทศบาลตําบลลํานารายณ์ช่วยส่งเสริมพัฒนา ควบคุมมาตรฐาน และมีชมรมผู้ประกอบการค้าอาหารแผงลอยกลางคืนเป็นแกนนําในการช่วยรักษามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาคีเครือข่ายสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สํานักงานสาธารณสุขอําเภอ และโรงพยาบาล เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา โดยในทุกๆ ปี ตลาดโต้รุ่งลํานารายณ์ จะมีการจัดงานมหกรรมอาหารริมบาทวิถี (Street Food) และอาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Taste) ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 11 เน้นอาหารที่สะอาด รสชาติอร่อย และปลอดภัย พร้อมทั้งเป็นการ สืบสานประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น และส่งเสริมสุขภาพประชาชน จากการบริโภคอาหารสะอาด ปลอดภัยด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สธ. ลุยตลาดให้ได้มาตรฐาน เชื่อมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว
วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม 2562
รมช.สธ. ลุยตลาดให้ได้มาตรฐาน เชื่อมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว
กระทรวงสาธารณสุข ยกระดับมาตรฐานอาหาร Street Food ตลาดโต้รุ่งลํานารายณ์ จังหวัดลพบุรี เน้นสะอาด ปลอดภัย ให้กับผู้บริโภค หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวไทย
กระทรวงสาธารณสุข ยกระดับมาตรฐานอาหาร Street Food ตลาดโต้รุ่งลํานารายณ์ จังหวัดลพบุรี เน้นสะอาด ปลอดภัย ให้กับผู้บริโภค หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ เชื่อมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวไทย
วันนี้ (7 ธันวาคม 2562) ที่ จ.ลพบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้บริหาร กระทรวงสาธารณสุขเปิดมหกรรม Street Food (อาหารริมบาทวิถี) และอาหารสะอาดรสชาติอร่อยครั้งที่ 11 เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ส่งเสริมเศรษฐกิจเชื่อมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวไทย ณ ถนน Street Food เทศบาลตําบลลํานารายณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี
ดร.สาธิต กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินโครงการพัฒนาอาหาร ริมบาทวิถีปลอดภัย สนับสนุนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยววิถีไทย พัฒนาเป็นถนนอาหารริมบาทวิถีต้นแบบ (Model) ที่ได้มาตรฐานสุขาภิบาลอาหาร โดยในปี 2561 – 2562 จะพัฒนาในพื้นที่เป้าหมาย จํานวน 30 จังหวัด อาทิ จังหวัดเชียงใหม่ ลําปาง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ชลบุรี บุรีรัมย์ กาฬสินธุ์ อุบลราชธานี สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ตรัง และสงขลา และจะขยายพื้นที่ให้ครบทุกจังหวัดในปี 2564 โดยส่งเสริมและผลักดันให้ท้องถิ่นมีการนํากฎหมายไปบังคับใช้ ดังนี้ 1) ตั้งจุดจําหน่ายในบริเวณที่ได้รับการอนุญาต 2) ขออนุญาตจําหน่ายสินค้าในที่หรือทางสาธารณะ 3) ทุกร้านต้องผ่านเกณฑ์ข้อกําหนดด้านสุขาภิบาลอาหารสําหรับแผงลอยจําหน่ายอาหาร 4) ผู้จําหน่ายต้องมีความรู้หรือผ่านการอบรมด้านสุขาภิบาลอาหารตามหลักสูตรของกรมอนามัย และ 5) ผู้จําหน่ายมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคติดต่อที่ผ่านทางอาหารและน้ําเป็นสื่อ
ข้อมูลล่าสุดจากกรมอนามัย มีแผงลอยจําหน่ายอาหารทั่วประเทศ จํานวน 93,261 ร้าน ผ่านเกณฑ์มาตรฐานอาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Taste) จํานวน 79,012 ร้าน คิดเป็นร้อยละ84.72 สําหรับร้านอาหารริมบาทวิถีตลาดโต้รุ่งลํานารายณ์ มีร้านผ่านเกณฑ์มาตรฐานอาหารสะอาด รสชาติอร่อย(Clean Food Good Taste) 60 ร้าน และผ่านการอบรมได้รับบัตรผู้สัมผัสอาหารรับรอง 100 เปอร์เซ็นต์
“ขอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อร้านจําหน่ายอาหารริมบาทวิถีที่มีป้ายรับรองมาตรฐานอาหารสะอาดของหน่วยงานราชการท้องถิ่นหรือใบอนุญาตที่ติดที่แผงลอย เช่น ป้ายมาตรฐานอาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Taste) ผู้จําหน่ายอาหารต้องแต่งกายสะอาด ตัดเล็บสั้น ไม่ใส่เครื่องประดับที่มือ ล้างมือก่อนสัมผัสอาหารทุกครั้ง ภาชนะใส่อาหารต้องสะอาด ปลอดภัย จัดเก็บเป็นระเบียบ ไม่ใช้ภาชนะโฟม”ดร.สาธิต กล่าว
ด้าน นางธัญญมน ศรีผ่าน นายกเทศมนตรีตําบลลํานารายณ์ กล่าวว่า ตลาดโต้รุ่งลํานารายณ์จ.ลพบุรี มีการจําหน่ายอาหารทุกวันตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม โดยเทศบาลตําบลลํานารายณ์ช่วยส่งเสริมพัฒนา ควบคุมมาตรฐาน และมีชมรมผู้ประกอบการค้าอาหารแผงลอยกลางคืนเป็นแกนนําในการช่วยรักษามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาคีเครือข่ายสํานักงานสาธารณสุขจังหวัด สํานักงานสาธารณสุขอําเภอ และโรงพยาบาล เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา โดยในทุกๆ ปี ตลาดโต้รุ่งลํานารายณ์ จะมีการจัดงานมหกรรมอาหารริมบาทวิถี (Street Food) และอาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Taste) ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 11 เน้นอาหารที่สะอาด รสชาติอร่อย และปลอดภัย พร้อมทั้งเป็นการ สืบสานประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น และส่งเสริมสุขภาพประชาชน จากการบริโภคอาหารสะอาด ปลอดภัยด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25090
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.เป็นประธานในการประชุมผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด ทส. ครั้ง 1/2560
|
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560
รมว.ทส.เป็นประธานในการประชุมผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด ทส. ครั้ง 1/2560
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงฯ ครั้งที่ 1/ 2560
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงฯ ครั้งที่ 1/ 2560 โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม โดยมีผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม 202 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าว เป็นการติดตามผลการดําเนินงานสําคัญจากการประชุมฯครั้งที่ 4/2559 และการชี้แจงความคืบหน้าการดําเนินงานที่สําคัญ ประกอบด้วย การดําเนินงานของ ทส. ในการช่วยเหลือและฟื้นฟูความเสียหายจากปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ผลการปฏิบัติงานศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ศตส.ทส.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส.เป็นประธานในการประชุมผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด ทส. ครั้ง 1/2560
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560
รมว.ทส.เป็นประธานในการประชุมผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัด ทส. ครั้ง 1/2560
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงฯ ครั้งที่ 1/ 2560
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดประชุมผู้บริหารระดับหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงฯ ครั้งที่ 1/ 2560 โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม โดยมีผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม 202 อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าว เป็นการติดตามผลการดําเนินงานสําคัญจากการประชุมฯครั้งที่ 4/2559 และการชี้แจงความคืบหน้าการดําเนินงานที่สําคัญ ประกอบด้วย การดําเนินงานของ ทส. ในการช่วยเหลือและฟื้นฟูความเสียหายจากปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ผลการปฏิบัติงานศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ศตส.ทส.
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1516
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อปฏิบัติในการออกกำลังกาย
|
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
ข้อปฏิบัติในการออกกําลังกาย
ออกกําลังกายอยู่บ้านดีที่สุด
-ไม่สวมหน้ากากอนามัยขณะออกกําลังกาย
-ไม่ควรออกกําลังกายในที่มีคนจํานวนมาก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้อปฏิบัติในการออกกำลังกาย
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
ข้อปฏิบัติในการออกกําลังกาย
ออกกําลังกายอยู่บ้านดีที่สุด
-ไม่สวมหน้ากากอนามัยขณะออกกําลังกาย
-ไม่ควรออกกําลังกายในที่มีคนจํานวนมาก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28931
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจำปี 2561 ณ พุทธมณฑล 25 ก.พ. – 2 มี.ค 61
|
วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561
นรม.เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2561 ณ พุทธมณฑล 25 ก.พ. – 2 มี.ค 61
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.นร.ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์ในการจัดสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา พร้อมย้ําให้ยึดหลักคําสอนของพระพุทธเจ้าในการดําเนินชีวิตประจําวัน
วันนี้ ( 20 กุมภาพันธ์ 2561 ) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นําคณะเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2561 ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 – 2 มีนาคม 2561
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวรายงานว่า การจัดงานดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมนําหลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนามาประพฤติปฏิบัติตนในวิถีชีวิต และให้ทุกภาคส่วนในสังคมไทย ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา โดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ โดยได้มีการเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนทั่วทั้งประเทศเข้าวัด ทําบุญ ลด ละ เลิก อบายมุขทั้งปวง และน้อมนําหลักธรรมคําสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจําวัน อันเป็นการส่งเสริมให้เกิดความสงบสุขและความรักสามัคคีในหมู่ประชาชนชาวไทย และนํามาซึ่งประโยชน์สุขต่อสังคมและประเทศชาติ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า เนื่องในวันมาฆบูชาปี 2561 ซึ่งจะมาถึงในวันที่ 1 มีนาคม 2561 นั้น ขอให้ประชาชนและทุกภาคส่วนได้ยึดหลักคําสอนของพระพุทธเจ้าไปประพฤติปฎิบัติในการดําเนินชีวิตประจําวัน ตลอดจนมุ่งมั่นในการทําความดี ละเว้นความชั่ว พร้อมทําจิตใจให้ผ่องใส
นอกจานี้ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมบูธต่าง ๆ ของสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมกล่าวเชิญชวนประชาชน ไปร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 – วันที่ 2 มีนาคม 2561 อีกทั้งมีการจัดตลาดประชารัฐกว่า 100 บูธ เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรทั้งประเทศนําสินค้ามาจําหน่าย เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ วัดในส่วนภูมิภาคและในต่างประเทศ สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน ได้จัดกิจกรรมดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงเช่นกัน
....................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจำปี 2561 ณ พุทธมณฑล 25 ก.พ. – 2 มี.ค 61
วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561
นรม.เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2561 ณ พุทธมณฑล 25 ก.พ. – 2 มี.ค 61
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.นร.ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์ในการจัดสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา พร้อมย้ําให้ยึดหลักคําสอนของพระพุทธเจ้าในการดําเนินชีวิตประจําวัน
วันนี้ ( 20 กุมภาพันธ์ 2561 ) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นําคณะเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2561 ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 – 2 มีนาคม 2561
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวรายงานว่า การจัดงานดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมนําหลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนามาประพฤติปฏิบัติตนในวิถีชีวิต และให้ทุกภาคส่วนในสังคมไทย ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา โดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ โดยได้มีการเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนทั่วทั้งประเทศเข้าวัด ทําบุญ ลด ละ เลิก อบายมุขทั้งปวง และน้อมนําหลักธรรมคําสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจําวัน อันเป็นการส่งเสริมให้เกิดความสงบสุขและความรักสามัคคีในหมู่ประชาชนชาวไทย และนํามาซึ่งประโยชน์สุขต่อสังคมและประเทศชาติ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า เนื่องในวันมาฆบูชาปี 2561 ซึ่งจะมาถึงในวันที่ 1 มีนาคม 2561 นั้น ขอให้ประชาชนและทุกภาคส่วนได้ยึดหลักคําสอนของพระพุทธเจ้าไปประพฤติปฎิบัติในการดําเนินชีวิตประจําวัน ตลอดจนมุ่งมั่นในการทําความดี ละเว้นความชั่ว พร้อมทําจิตใจให้ผ่องใส
นอกจานี้ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมบูธต่าง ๆ ของสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พร้อมกล่าวเชิญชวนประชาชน ไปร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 – วันที่ 2 มีนาคม 2561 อีกทั้งมีการจัดตลาดประชารัฐกว่า 100 บูธ เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรทั้งประเทศนําสินค้ามาจําหน่าย เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ วัดในส่วนภูมิภาคและในต่างประเทศ สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน ได้จัดกิจกรรมดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงเช่นกัน
....................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10207
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางป้องกันโควิด-19
|
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
แนวทางป้องกันโควิด-19
สําหรับนักท่องเที่ยว
การจัดการตนเอง
-หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์
-ล้างมือให้สะอาด
-ไม่ใช้ชองร่วมกับผู้อื่น
-สังเกตอาการตนเอง
-สวมหน้ากากอนามัย
-ออกกําลังกาย
-ปฏิบัตตามกฎ
อาหาร
-แยกสํารับ
-กินอาหารปรุงสุก
การเว้นระยะห่าง
-เว้นระยะ 1-2 เมตร
-เลี่ยงการสัมผัสทางกาย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางป้องกันโควิด-19
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
แนวทางป้องกันโควิด-19
สําหรับนักท่องเที่ยว
การจัดการตนเอง
-หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์
-ล้างมือให้สะอาด
-ไม่ใช้ชองร่วมกับผู้อื่น
-สังเกตอาการตนเอง
-สวมหน้ากากอนามัย
-ออกกําลังกาย
-ปฏิบัตตามกฎ
อาหาร
-แยกสํารับ
-กินอาหารปรุงสุก
การเว้นระยะห่าง
-เว้นระยะ 1-2 เมตร
-เลี่ยงการสัมผัสทางกาย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32396
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต เผยผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรคที่ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ 4 ราย ไม่มีไข้ รอผลตรวจ [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
สาธิต เผยผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรคที่ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ 4 ราย ไม่มีไข้ รอผลตรวจ [กระทรวงสาธารณสุข]
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยอาการผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จํานวน 4 คน จากเที่ยวบินอู่ฮั่น เช้านี้ไม่มีไข้ ผลการเอ็กซเรย์ปอด พบผิดปกติเล็กน้อย 3 ราย รอปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการหา
วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2563) ที่โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย พล.ร.ท.วิชัย มนัสศิริวิทยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ โฆษกกองทัพเรือ และนายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้า คนไทยที่กลับจากเมืองอู่ฮั่น เมื่อค่ําวานนี้ ( 4 กุมภาพันธ์ 2563 ) ทีมแพทย์ ได้ตรวจคัดกรอง หลังลงจากเครื่องบินพบมี 4 ราย อุณหภูมิร่างกายสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน เป็นชาย 2 ราย หญิง 2 ราย ขณะนี้รับไว้รักษาที่ห้องแยกโรคโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมการแพทย์ทหารเรือ แรกรับผลการตรวจร่างกาย 3 ราย มีอาการไข้หวัด ไอ ส่วนอีก 1 ราย มีอาการท้องเสีย ทุกรายได้รับการเอ็กซเรย์ปอด และตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาเชื้อ
สําหรับอาการในเช้าวันนี้ รายที่ 1 เพศชาย ไม่มีไข้ รายที่ 2 เพศชาย มีอาการไอระคายคอ ไม่มีไข้ รายที่ 3 เพศหญิง มีอาการไอเล็กน้อย ไม่มีไข้ ทั้ง 3 ราย ผลเอ็กซเรย์ปอด พบความผิดปกติเล็กน้อย ส่งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ รายที่ 4 เพศหญิง เช้านี้ไม่มีไข้ ไม่มีอาการท้องเสีย ผลเอ็กซเรย์ปอดปกติ ทุกคนได้ส่งตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 6 ชลบุรี
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา วางแผนร่วมกับทีมแพทย์ทหารเรือ ในส่วนผู้ที่รับตัวไว้ที่เรือนรับรองฐานทัพเรือสัตหีบจํานวน 134 คน โดยมีทีมเฝ้าระวัง สังเกตอาการ ตลอด 24 ชั่วโมง และวันนี้ทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วจะเข้าไปตรวจเพิ่มเติม พร้อมเก็บตัวอย่างทางห้องปฏิบัติการ ส่วนระบบการสื่อสารมีพร้อมแล้วอยู่ระหว่างการพูดคุยเตรียมการกับญาติ นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมสํารองโรงพยาบาลอีก 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมการแพทย์ทหารเรือ โรงพยาบาลบ้านฉาง จ.ระยอง โรงพยาบาลสัตหีบ กม.10 โรงพยาบาลชลบุรี ในกรณีที่พบผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังเพิ่มเติม
ในส่วนกัปตัน ลูกเรือ เจ้าหน้าที่สถานทูต และทีมแพทย์ พยาบาลที่เดินทางมาพร้อมกับเที่ยวบินนี้ ระหว่างปฏิบัติภารกิจ ทุกคนได้สวมชุดป้องกันตนเองตามมาตรฐาน ภายใต้การกํากับของพยาบาลป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ ทําให้ความเสี่ยงในการรับเชื้อจึงต่ํา ทุกคนสบายดี สามารถกลับไปปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ
************************************5 กุมภาพันธ์ 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต เผยผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรคที่ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ 4 ราย ไม่มีไข้ รอผลตรวจ [กระทรวงสาธารณสุข]
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
สาธิต เผยผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรคที่ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ 4 ราย ไม่มีไข้ รอผลตรวจ [กระทรวงสาธารณสุข]
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยอาการผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จํานวน 4 คน จากเที่ยวบินอู่ฮั่น เช้านี้ไม่มีไข้ ผลการเอ็กซเรย์ปอด พบผิดปกติเล็กน้อย 3 ราย รอปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการหา
วันนี้ (5 กุมภาพันธ์ 2563) ที่โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย พล.ร.ท.วิชัย มนัสศิริวิทยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ โฆษกกองทัพเรือ และนายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้า คนไทยที่กลับจากเมืองอู่ฮั่น เมื่อค่ําวานนี้ ( 4 กุมภาพันธ์ 2563 ) ทีมแพทย์ ได้ตรวจคัดกรอง หลังลงจากเครื่องบินพบมี 4 ราย อุณหภูมิร่างกายสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน เป็นชาย 2 ราย หญิง 2 ราย ขณะนี้รับไว้รักษาที่ห้องแยกโรคโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมการแพทย์ทหารเรือ แรกรับผลการตรวจร่างกาย 3 ราย มีอาการไข้หวัด ไอ ส่วนอีก 1 ราย มีอาการท้องเสีย ทุกรายได้รับการเอ็กซเรย์ปอด และตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจหาเชื้อ
สําหรับอาการในเช้าวันนี้ รายที่ 1 เพศชาย ไม่มีไข้ รายที่ 2 เพศชาย มีอาการไอระคายคอ ไม่มีไข้ รายที่ 3 เพศหญิง มีอาการไอเล็กน้อย ไม่มีไข้ ทั้ง 3 ราย ผลเอ็กซเรย์ปอด พบความผิดปกติเล็กน้อย ส่งปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ รายที่ 4 เพศหญิง เช้านี้ไม่มีไข้ ไม่มีอาการท้องเสีย ผลเอ็กซเรย์ปอดปกติ ทุกคนได้ส่งตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 6 ชลบุรี
ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ส่งทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา วางแผนร่วมกับทีมแพทย์ทหารเรือ ในส่วนผู้ที่รับตัวไว้ที่เรือนรับรองฐานทัพเรือสัตหีบจํานวน 134 คน โดยมีทีมเฝ้าระวัง สังเกตอาการ ตลอด 24 ชั่วโมง และวันนี้ทีมสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วจะเข้าไปตรวจเพิ่มเติม พร้อมเก็บตัวอย่างทางห้องปฏิบัติการ ส่วนระบบการสื่อสารมีพร้อมแล้วอยู่ระหว่างการพูดคุยเตรียมการกับญาติ นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมสํารองโรงพยาบาลอีก 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมการแพทย์ทหารเรือ โรงพยาบาลบ้านฉาง จ.ระยอง โรงพยาบาลสัตหีบ กม.10 โรงพยาบาลชลบุรี ในกรณีที่พบผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังเพิ่มเติม
ในส่วนกัปตัน ลูกเรือ เจ้าหน้าที่สถานทูต และทีมแพทย์ พยาบาลที่เดินทางมาพร้อมกับเที่ยวบินนี้ ระหว่างปฏิบัติภารกิจ ทุกคนได้สวมชุดป้องกันตนเองตามมาตรฐาน ภายใต้การกํากับของพยาบาลป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ ทําให้ความเสี่ยงในการรับเชื้อจึงต่ํา ทุกคนสบายดี สามารถกลับไปปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ
************************************5 กุมภาพันธ์ 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27222
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.