title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ แจง การให้คะแนนรัฐบาลเป็นความเห็นส่วนตัวของนักการเมือง เชื่อประชาชนเข้าใจดี ชี้รัฐบาลเดินหน้าตามโรดแมปนำไปสู่การเลือกตั้ง
วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 โฆษกฯ แจง การให้คะแนนรัฐบาลเป็นความเห็นส่วนตัวของนักการเมือง เชื่อประชาชนเข้าใจดี ชี้รัฐบาลเดินหน้าตามโรดแมปนําไปสู่การเลือกตั้ง รัฐบาลเชิญชวนพี่น้องประชาชนติดตามการแถลงผลงาน 3 ปีของรัฐบาล ในห้วงประมาณเดือนมิถุนายน- กรกฎาคม นี้ วันนี้ (11 พฤษภาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่นักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยบางคน วิจารณ์รัฐบาลว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสอบไม่ผ่าน และยังมีปัญหาอีกหลายเรื่องที่ยังดําเนินการไม่สําเร็จนั้น ถือเป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคลที่จะวิพากษ์วิจารณ์ รัฐบาลคงไม่สามารถไปบังคับได้ ส่วนการให้คะแนนก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของนักการเมือง แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ทราบดีว่า อะไรคือปัญหาและอุปสรรค และความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาลเป็นอย่างไร “รัฐบาลเดินหน้าตาม Roadmap ที่ได้ประกาศไว้ คือ การหยุดยั้งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปี 57 และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งรัฐบาลในขณะนั้นไม่สามารถดําเนินการได้จนเป็นที่ยอมรับ กระทั่งจัดให้มีการวางกฎกติกาของบ้านเมือง เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.หลายฉบับ ที่จะช่วยขจัดปัญหาเรื้อรังในทุกด้าน เพื่อส่งต่อให้กับรัฐบาลชุดต่อไปภายหลังการเลือกตั้ง ทั้งการปราบปรามการทุจริตทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น การแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนและประมงผิดกฎหมาย การปราบปรามการค้ามนุษย์ การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบและส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการในระดับต่าง ๆ โดยเฉพาะ SMEs และกลุ่ม Start up การส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ การลดความเหลื่อมล้ําในสังคม เช่น โครงการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย โครงการบ้านประชารัฐ การจัดสรรที่ดินทําดิน การเก็บภาษีที่ดินและมรดก ฯลฯ ซึ่งรัฐบาลปกติทําได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะคํานึงถึงแต่ฐานเสียงของตนและติดกับดักของความขัดแย้ง” ส่วนเรื่องเศรษฐกิจที่ประชาชนยังอาจรู้สึกว่าไม่พอใจมากนัก ทั้ง ๆ ที่ผลการประเมินหลายด้านของต่างประเทศดีขึ้นตามลําดับ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนปี 57 ที่มีการอุดหนุนจากภาครัฐมากเกินไป จนเกิดความต้องการเทียม เช่น โครงการรับจํานําข้าว รถคันแรก บ้านหลังแรก ทําให้ผู้ผลิตประสบปัญหาจากราคาที่ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และยังเป็นช่องทางของการทุจริตสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล แต่จากนี้ไปทุกอย่างจะดีขึ้นเพราะรัฐบาลให้ความสําคัญกับกลไกตลาด และการใช้ศักยภาพของผู้ผลิตที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ทั้งนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนติดตามการแถลงผลงาน 3 ปีของรัฐบาล ในห้วงประมาณเดือนมิถุนายน- กรกฎาคม นี้ เพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลทําอะไรไปแล้วบ้าง เนื่องจากที่ผ่านมาอาจมีการบิดเบือนข้อมูลโดยผู้ไม่หวังดี และข่าวสารต่าง ๆ ที่ถูกต้อง อาจไปไม่ถึงประชาชน เพราะคนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการรับรู้ข่าวสารผ่านสื่อสมัยใหม่ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียที่อาจมีทั้งข้อมูลจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ส่วนประเด็นเรื่องการรวบอํานาจนั้น ผู้ที่วิจารณ์คงไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริง โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ขัดข้องกับการกระจายอํานาจและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่บางอย่างต้องย้อนกลับไปดูว่าที่ผ่านมามีปัญหาอย่างไร เช่น การจัดการศึกษาในพื้นที่ ซึ่งมีช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตในระดับปฏิบัติ และการบริหารงานขาดเอกภาพ ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชน จึงอยากให้คํานึงถึงความเป็นจริงด้วย "ขอเรียนย้ําว่าเป้าหมายของรัฐบาลคือ การยุติความขัดแย้งและวางรากฐานการปฏิรูปประเทศ สร้างความปรองดองในอนาคต ซึ่งบางเรื่องได้เริ่มดําเนินการแล้ว ดังนั้น หากนักการเมืองและพรรคการเมืองมีความตั้งใจจริงที่จะเดินไปสู่เป้าหมายนี้ ก็จะต้องพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าตนทําได้จริง และไม่สร้างปัญหาให้กับประเทศเหมือนเช่นที่ผ่านมา" .................. สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ แจง การให้คะแนนรัฐบาลเป็นความเห็นส่วนตัวของนักการเมือง เชื่อประชาชนเข้าใจดี ชี้รัฐบาลเดินหน้าตามโรดแมปนำไปสู่การเลือกตั้ง วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 โฆษกฯ แจง การให้คะแนนรัฐบาลเป็นความเห็นส่วนตัวของนักการเมือง เชื่อประชาชนเข้าใจดี ชี้รัฐบาลเดินหน้าตามโรดแมปนําไปสู่การเลือกตั้ง รัฐบาลเชิญชวนพี่น้องประชาชนติดตามการแถลงผลงาน 3 ปีของรัฐบาล ในห้วงประมาณเดือนมิถุนายน- กรกฎาคม นี้ วันนี้ (11 พฤษภาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่นักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยบางคน วิจารณ์รัฐบาลว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสอบไม่ผ่าน และยังมีปัญหาอีกหลายเรื่องที่ยังดําเนินการไม่สําเร็จนั้น ถือเป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคลที่จะวิพากษ์วิจารณ์ รัฐบาลคงไม่สามารถไปบังคับได้ ส่วนการให้คะแนนก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของนักการเมือง แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ทราบดีว่า อะไรคือปัญหาและอุปสรรค และความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาลเป็นอย่างไร “รัฐบาลเดินหน้าตาม Roadmap ที่ได้ประกาศไว้ คือ การหยุดยั้งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปี 57 และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งรัฐบาลในขณะนั้นไม่สามารถดําเนินการได้จนเป็นที่ยอมรับ กระทั่งจัดให้มีการวางกฎกติกาของบ้านเมือง เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.หลายฉบับ ที่จะช่วยขจัดปัญหาเรื้อรังในทุกด้าน เพื่อส่งต่อให้กับรัฐบาลชุดต่อไปภายหลังการเลือกตั้ง ทั้งการปราบปรามการทุจริตทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น การแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนและประมงผิดกฎหมาย การปราบปรามการค้ามนุษย์ การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบและส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการในระดับต่าง ๆ โดยเฉพาะ SMEs และกลุ่ม Start up การส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ การลดความเหลื่อมล้ําในสังคม เช่น โครงการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย โครงการบ้านประชารัฐ การจัดสรรที่ดินทําดิน การเก็บภาษีที่ดินและมรดก ฯลฯ ซึ่งรัฐบาลปกติทําได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะคํานึงถึงแต่ฐานเสียงของตนและติดกับดักของความขัดแย้ง” ส่วนเรื่องเศรษฐกิจที่ประชาชนยังอาจรู้สึกว่าไม่พอใจมากนัก ทั้ง ๆ ที่ผลการประเมินหลายด้านของต่างประเทศดีขึ้นตามลําดับ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนปี 57 ที่มีการอุดหนุนจากภาครัฐมากเกินไป จนเกิดความต้องการเทียม เช่น โครงการรับจํานําข้าว รถคันแรก บ้านหลังแรก ทําให้ผู้ผลิตประสบปัญหาจากราคาที่ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และยังเป็นช่องทางของการทุจริตสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล แต่จากนี้ไปทุกอย่างจะดีขึ้นเพราะรัฐบาลให้ความสําคัญกับกลไกตลาด และการใช้ศักยภาพของผู้ผลิตที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ทั้งนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนติดตามการแถลงผลงาน 3 ปีของรัฐบาล ในห้วงประมาณเดือนมิถุนายน- กรกฎาคม นี้ เพื่อให้เห็นว่ารัฐบาลทําอะไรไปแล้วบ้าง เนื่องจากที่ผ่านมาอาจมีการบิดเบือนข้อมูลโดยผู้ไม่หวังดี และข่าวสารต่าง ๆ ที่ถูกต้อง อาจไปไม่ถึงประชาชน เพราะคนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการรับรู้ข่าวสารผ่านสื่อสมัยใหม่ โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียที่อาจมีทั้งข้อมูลจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ส่วนประเด็นเรื่องการรวบอํานาจนั้น ผู้ที่วิจารณ์คงไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริง โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ขัดข้องกับการกระจายอํานาจและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่บางอย่างต้องย้อนกลับไปดูว่าที่ผ่านมามีปัญหาอย่างไร เช่น การจัดการศึกษาในพื้นที่ ซึ่งมีช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตในระดับปฏิบัติ และการบริหารงานขาดเอกภาพ ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชน จึงอยากให้คํานึงถึงความเป็นจริงด้วย "ขอเรียนย้ําว่าเป้าหมายของรัฐบาลคือ การยุติความขัดแย้งและวางรากฐานการปฏิรูปประเทศ สร้างความปรองดองในอนาคต ซึ่งบางเรื่องได้เริ่มดําเนินการแล้ว ดังนั้น หากนักการเมืองและพรรคการเมืองมีความตั้งใจจริงที่จะเดินไปสู่เป้าหมายนี้ ก็จะต้องพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่าตนทําได้จริง และไม่สร้างปัญหาให้กับประเทศเหมือนเช่นที่ผ่านมา" .................. สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3691
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมรับมือ-แก้ปัญหามัลแวร์เรียกค่าไถ่ ย้ำผู้ใช้คอมฯ อย่าเปิดอีเมลที่ไม่รู้จักแหล่งที่มา
วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 กระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมรับมือ-แก้ปัญหามัลแวร์เรียกค่าไถ่ ย้ําผู้ใช้คอมฯ อย่าเปิดอีเมลที่ไม่รู้จักแหล่งที่มา กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มอบไทยเซิร์ตพร้อมรับมือและช่วยแก้ไขปัญหามัลแวร์เรียกค่าไถ่ เร่งเตือนประชาชนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ หลังพบมัลแวร์เรียกค่าไถ่ WannaCry ระบาดหนักทั่วโลก ย้ําอย่าเปิดอีเมลหรือไฟล์เอกสารที่ไม่รู้จักแหล่งที่มา และหมั่นสํารองข้อมูลสําคัญในฮาร์ดดิสก์อื่น (External Hardisk) อย่างสม่ําเสมอ หากพบว่าติดมัลแวร์ดังกล่าวรีบปิดเครื่องพร้อมแจ้งสายด่วน 1212 ทันที นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ชื่อ “WannaCry” ระบาดไปยังคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟต์ทั่วโลก เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมัลแวร์ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นมาเพื่อก่อความเสียหายแก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะถูกส่งมายังคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้โดยไม่มีข้อมูลใดๆ ของผู้ส่ง เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ หรือดาวน์โหลด ตัวมัลแวร์จะทํางานด้วยการบล็อกไฟล์เอกสารต่างๆ ในคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ด้วยการเข้ารหัสลับ ซึ่งผู้ใช้จะไม่สามารถเปิด หรือดาวน์โหลดข้อมูลที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ของตัวเองได้เลย ปัจจุบันมีคอมพิวเตอร์ที่ถูกระบบ WannaCry นี้ เข้าบล็อกข้อมูลแล้วกว่า 1 แสนเครื่องทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ โรงพยาบาลกว่า 10 แห่ง ไม่สามารถเปิดบริการได้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์ถูกมัลแวร์ดังกล่าวเล่นงาน ตัว WannaCry หรือ มัลแวร์เรียกค่าไถ่นี้ เมื่อคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้คนใดกลายเป็นเหยื่อ หากต้องการที่จะปลดล็อกจะต้องจ่ายเงินประมาณ 300 ดอลลาร์ หรือประมาณ 10,500 บาท และจะเพิ่มมูลค่าขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นการไถ่ข้อมูลคืน ในรูปแบบของ Bit Coin ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถเปิดไฟล์เอกสารต่างๆ ได้ น.อ.สมศักดิ์ฯ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลมีความเป็นห่วงกรณีดังกล่าว โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งติดตามเฝ้าระวังปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด ซึ่ง ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (ThaiCERT) สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA ดําเนินการแจ้งเตือนและให้คําแนะนําแก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์และผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานในทันที รวมทั้งติดตามเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ใช้คอมพิวเตอร์หรือผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานต่างๆ อย่างทันการณ์ตลอดเวลา ซึ่งในส่วนของประเทศไทยขณะนี้ยังไม่พบความเสียหายที่ร้ายแรงจากการติดมัลแวร์ดังกล่าวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์หรือผู้ดูแลระบบของหน่วยงานต้องดําเนินการในเบื้องต้น คือ การป้องกันไม่ให้มัลแวร์ดังกล่าวเข้ามาอยู่ในคอมพิวเตอร์ของเราด้วยการไม่เปิดไฟล์เอกสารแนบของอีเมลโดยไม่จําเป็น และควรตรวจสอบแหล่งที่มาของไฟล์ที่ถูกส่งเข้ามาในอีเมล หรือช่องทางต่าง ๆ ให้แน่ใจก่อนเปิดอ่าน ที่สําคัญควรปรับปรุงระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ หรือ OS ของระบบวินโดว์ (Windows) ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด รวมทั้งควรสําเนาข้อมูลสําคัญต่างๆ ไว้ในฮาร์ดดิสต์อื่น (External Hardisk) อยู่เสมอ เพื่อเป็นการสํารองข้อมูล สําหรับแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดนั้น กรณีผู้ใช้งานทั่วไปเมื่อผู้ใช้พบว่าคอมพิวเตอร์ติดมัลแวร์ดังกล่าวแล้ว ให้ปิดเครื่องและแจ้งผู้ดูแลระบบของหน่วยงาน หรือแจ้งศูนย์ OCC (Online Complaint Center) โทร. 1212 สําหรับผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ ให้ปิดบริการ SMBv1 ที่ Windows servers และปิดการเข้าถึงพอร์ต TCP/UDP 135-139 และ TCP 445 ที่อุปกรณ์ Firewall โดยสามารถติดต่อ ThaiCERT ETDA โทร. 02-123-1212 ได้ตลอด 24 ชม. **********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมรับมือ-แก้ปัญหามัลแวร์เรียกค่าไถ่ ย้ำผู้ใช้คอมฯ อย่าเปิดอีเมลที่ไม่รู้จักแหล่งที่มา วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 กระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมรับมือ-แก้ปัญหามัลแวร์เรียกค่าไถ่ ย้ําผู้ใช้คอมฯ อย่าเปิดอีเมลที่ไม่รู้จักแหล่งที่มา กระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มอบไทยเซิร์ตพร้อมรับมือและช่วยแก้ไขปัญหามัลแวร์เรียกค่าไถ่ เร่งเตือนประชาชนผู้ใช้คอมพิวเตอร์ หลังพบมัลแวร์เรียกค่าไถ่ WannaCry ระบาดหนักทั่วโลก ย้ําอย่าเปิดอีเมลหรือไฟล์เอกสารที่ไม่รู้จักแหล่งที่มา และหมั่นสํารองข้อมูลสําคัญในฮาร์ดดิสก์อื่น (External Hardisk) อย่างสม่ําเสมอ หากพบว่าติดมัลแวร์ดังกล่าวรีบปิดเครื่องพร้อมแจ้งสายด่วน 1212 ทันที นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีมัลแวร์เรียกค่าไถ่ ชื่อ “WannaCry” ระบาดไปยังคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการไมโครซอฟต์ทั่วโลก เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมัลแวร์ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นมาเพื่อก่อความเสียหายแก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะถูกส่งมายังคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้โดยไม่มีข้อมูลใดๆ ของผู้ส่ง เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์ หรือดาวน์โหลด ตัวมัลแวร์จะทํางานด้วยการบล็อกไฟล์เอกสารต่างๆ ในคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ด้วยการเข้ารหัสลับ ซึ่งผู้ใช้จะไม่สามารถเปิด หรือดาวน์โหลดข้อมูลที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ของตัวเองได้เลย ปัจจุบันมีคอมพิวเตอร์ที่ถูกระบบ WannaCry นี้ เข้าบล็อกข้อมูลแล้วกว่า 1 แสนเครื่องทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษ โรงพยาบาลกว่า 10 แห่ง ไม่สามารถเปิดบริการได้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์ถูกมัลแวร์ดังกล่าวเล่นงาน ตัว WannaCry หรือ มัลแวร์เรียกค่าไถ่นี้ เมื่อคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้คนใดกลายเป็นเหยื่อ หากต้องการที่จะปลดล็อกจะต้องจ่ายเงินประมาณ 300 ดอลลาร์ หรือประมาณ 10,500 บาท และจะเพิ่มมูลค่าขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อเป็นการไถ่ข้อมูลคืน ในรูปแบบของ Bit Coin ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถเปิดไฟล์เอกสารต่างๆ ได้ น.อ.สมศักดิ์ฯ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลมีความเป็นห่วงกรณีดังกล่าว โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งติดตามเฝ้าระวังปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด ซึ่ง ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (ThaiCERT) สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA ดําเนินการแจ้งเตือนและให้คําแนะนําแก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์และผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานในทันที รวมทั้งติดตามเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือผู้ใช้คอมพิวเตอร์หรือผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานต่างๆ อย่างทันการณ์ตลอดเวลา ซึ่งในส่วนของประเทศไทยขณะนี้ยังไม่พบความเสียหายที่ร้ายแรงจากการติดมัลแวร์ดังกล่าวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์หรือผู้ดูแลระบบของหน่วยงานต้องดําเนินการในเบื้องต้น คือ การป้องกันไม่ให้มัลแวร์ดังกล่าวเข้ามาอยู่ในคอมพิวเตอร์ของเราด้วยการไม่เปิดไฟล์เอกสารแนบของอีเมลโดยไม่จําเป็น และควรตรวจสอบแหล่งที่มาของไฟล์ที่ถูกส่งเข้ามาในอีเมล หรือช่องทางต่าง ๆ ให้แน่ใจก่อนเปิดอ่าน ที่สําคัญควรปรับปรุงระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ หรือ OS ของระบบวินโดว์ (Windows) ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด รวมทั้งควรสําเนาข้อมูลสําคัญต่างๆ ไว้ในฮาร์ดดิสต์อื่น (External Hardisk) อยู่เสมอ เพื่อเป็นการสํารองข้อมูล สําหรับแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดนั้น กรณีผู้ใช้งานทั่วไปเมื่อผู้ใช้พบว่าคอมพิวเตอร์ติดมัลแวร์ดังกล่าวแล้ว ให้ปิดเครื่องและแจ้งผู้ดูแลระบบของหน่วยงาน หรือแจ้งศูนย์ OCC (Online Complaint Center) โทร. 1212 สําหรับผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ ให้ปิดบริการ SMBv1 ที่ Windows servers และปิดการเข้าถึงพอร์ต TCP/UDP 135-139 และ TCP 445 ที่อุปกรณ์ Firewall โดยสามารถติดต่อ ThaiCERT ETDA โทร. 02-123-1212 ได้ตลอด 24 ชม. **********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3737
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 12
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561 ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 12 กระทรวงการคลังมอบโชคเงินล้านในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 12 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของการดําเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนและร้านค้าไปสู่ทางเลือกใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทดแทนเงินสด นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมอบโชคเงินล้านในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 12 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของการดําเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนและร้านค้าไปสู่ทางเลือกใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทดแทนเงินสด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ National e-Payment โดยตลอดการดําเนินโครงการมีความก้าวหน้าต่อเนื่อง ประชาชนมีแนวโน้มหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้จ่ายรายการย่อย ในชีวิตประจําวัน จํานวนบัตรเดบิตในระบบเพิ่มขึ้น และร้านค้ามีการวางเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ EDC เพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่ดําเนินโครงการพบว่า ธุรกรรมบัตรเดบิตที่มีสิทธิ์เข้าร่วมลุ้นรับโชคในด้านร้านค้ามีเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า และด้านผู้ใช้บัตรเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า นายพรชัยฯ กล่าวต่ออีกว่า เป็นที่น่ายินดีกับคุณปรางทิพย์ มีเดช ซึ่งเป็นผู้โชคดีจากการใช้บัตรเดบิตของธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ที่ได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1,000,000 บาท และร้านทองสง่าการค้า ซึ่งเป็นผู้โชคดีด้านร้านค้าจากธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ที่ได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1,000,000 บาท โดยมีการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับรางวัลที่ www.epayment.go.th และธนาคารจะติดต่อผู้มีสิทธิ์ได้รับรางวัลโดยตรงต่อไป ทั้งนี้ แม้โครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตได้สิ้นสุดลง แต่ประโยชน์จากการรับจ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด ทั้งในการลดต้นทุนการบริหารจัดการ การเพิ่มความรวดเร็ว ปลอดภัยในการชําระค่าสินค้าและบริการ รวมถึงการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวมยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสดต่อไป โดยสามารถเลือกใช้ช่องทางได้อย่างหลากหลายตามความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นบัตรเดบิต พร้อมเพย์ และ QR Code รวมถึงช่องทางออนไลน์อื่นของธนาคาร เลขานุการคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการให้ความรู้และส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โทร 02 273 9020 ต่อ 3289 3229 และ 3315
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 12 วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561 ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 12 กระทรวงการคลังมอบโชคเงินล้านในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 12 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของการดําเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนและร้านค้าไปสู่ทางเลือกใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทดแทนเงินสด นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมอบโชคเงินล้านในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 12 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของการดําเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนและร้านค้าไปสู่ทางเลือกใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทดแทนเงินสด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ National e-Payment โดยตลอดการดําเนินโครงการมีความก้าวหน้าต่อเนื่อง ประชาชนมีแนวโน้มหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้จ่ายรายการย่อย ในชีวิตประจําวัน จํานวนบัตรเดบิตในระบบเพิ่มขึ้น และร้านค้ามีการวางเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ EDC เพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่ดําเนินโครงการพบว่า ธุรกรรมบัตรเดบิตที่มีสิทธิ์เข้าร่วมลุ้นรับโชคในด้านร้านค้ามีเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า และด้านผู้ใช้บัตรเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า นายพรชัยฯ กล่าวต่ออีกว่า เป็นที่น่ายินดีกับคุณปรางทิพย์ มีเดช ซึ่งเป็นผู้โชคดีจากการใช้บัตรเดบิตของธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ที่ได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1,000,000 บาท และร้านทองสง่าการค้า ซึ่งเป็นผู้โชคดีด้านร้านค้าจากธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ที่ได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1,000,000 บาท โดยมีการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับรางวัลที่ www.epayment.go.th และธนาคารจะติดต่อผู้มีสิทธิ์ได้รับรางวัลโดยตรงต่อไป ทั้งนี้ แม้โครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตได้สิ้นสุดลง แต่ประโยชน์จากการรับจ่ายเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสด ทั้งในการลดต้นทุนการบริหารจัดการ การเพิ่มความรวดเร็ว ปลอดภัยในการชําระค่าสินค้าและบริการ รวมถึงการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยรวมยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แทนเงินสดต่อไป โดยสามารถเลือกใช้ช่องทางได้อย่างหลากหลายตามความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นบัตรเดบิต พร้อมเพย์ และ QR Code รวมถึงช่องทางออนไลน์อื่นของธนาคาร เลขานุการคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการให้ความรู้และส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โทร 02 273 9020 ต่อ 3289 3229 และ 3315
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12286
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เห็นชอบร่างแนวทางการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2562
วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2561 คกก.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เห็นชอบร่างแนวทางการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2562 คกก.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เห็นชอบร่างแนวทางการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2562 วันนี้ (8 ตุลาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รักษาราชการแทนตําแหน่งรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ครั้งที่ 2/2561 และให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างแนวทางการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อสนับสนุนการควบคุมและลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมการดําเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตของประชาชนไทยในเทศกาลปีใหม่ ปี 2562 ซึ่งพบว่าการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ทุกปี มีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นจํานวนมาก ในเทศกาลปีใหม่ปี 2561 พบว่าเกิดอุบัติเหตุ 3,841 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 423 คน สาเหตุสูงสุดจากการเมาสุรา ร้อยละ 28.24 โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1.ขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว ประชาสัมพันธ์เรื่องการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมาไม่ขับ ห้ามบริโภคขณะขับขี่และขณะโดยสารใน/บนรถ 2.ตั้งจุดตรวจ จุดสกัดในพื้นที่จุดเสี่ยงจุดอันตราย หรือจุดที่มีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เข้มงวดมาตรการดื่มไม่ขับ 3.ตั้งด่านชุมชน สกัดกลุ่มเสี่ยงและลดพฤติกรรมเสี่ยง อาทิ เมาแล้วขับ ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกําหนด ไม่สวมหมวกนิรภัย 4.ให้สํานักงานขนส่งทุกจังหวัดเข้มงวดตรวจสอบผู้ขับขี่รถประจําทางห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งก่อนและขณะขับรถเด็ดขาด ห้ามขับรถเร็ว และห้ามขายสิ่งของและจอดรถบริเวณไหล่ทาง 5.เชิญชวนจิตอาสาจากสมาชิกของชุมชนร่วมทําความดีด้วยหัวใจ สอดส่อง เฝ้าระวัง และตักเตือนผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง และรณรงค์ให้คนในหมู่บ้านตระหนักถึงความสําคัญของการปฏิบัติตามกฎจราจรและรักษาวินัยจราจรอย่างเคร่งครัด 6.ตรวจสอบการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานบริการ สถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ โดยเฉพาะการขายในบุคคลอายุต่ํากว่า 20 ปีบริบูรณ์ และห้ามขายรอบสถานศึกษา โดยมอบฝ่ายเลขาฯ นําประเด็นข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าว และเสนอในการประชุมคณะกรรมการนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติครั้งต่อไป นอกจากนี้ ได้เห็นชอบร่างแนวปฏิบัติการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัดซึ่งการดําเนินงานของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัด ถือเป็นกลไกที่มีความสําคัญที่จะทําให้ยุทธศาสตร์ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศประสบความสําเร็จ มีผลทําให้เยาวชนไม่ริเริ่มการดื่มสุรา ประชาชนทั่วไปทั้งที่มีปัญหาสุขภาพหรือที่ต้องการให้สุขภาพดีได้ลดละเลิกการดื่มสุรา ยังผลให้ครอบครัวและท้องถิ่นเป็นสุข ประเทศพัฒนาก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ด้านนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ร่างแนวปฏิบัติการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัด โดยควรมีการประชุมคณะกรรมการฯ ทุก 3 เดือนโดยบูรณาการกับการประชุมคณะกรรมการชุดอื่น ๆ ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มอบหมายให้หน่วยราชการและภาคประชาสังคมร่วมรับผิดชอบแผนงานต่าง ๆ ตามยุทธศาสตร์จังหวัดและยุทธศาสตร์ชาติ อาทิ จัดกิจกรรมป้องกันเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ มีการเฝ้าระวังและออกตรวจเพื่อป้องปราม รณรงค์ให้งานบุญประเพณี งานกีฬา งานเลี้ยงเป็นงานปลอดภัยปลอดสุรา สนับสนุนการดําเนินงานของท้องถิ่นให้การควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการบําบัดรักษาผู้มีปัญหาสุราสําเร็จ จัดการประชุมติดตามความก้าวหน้าและรายงานผลต่อคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ********************************* 8 ตุลาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เห็นชอบร่างแนวทางการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2562 วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2561 คกก.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เห็นชอบร่างแนวทางการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2562 คกก.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เห็นชอบร่างแนวทางการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ลดอุบัติเหตุปีใหม่ 2562 วันนี้ (8 ตุลาคม 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รักษาราชการแทนตําแหน่งรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ประชุมคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ครั้งที่ 2/2561 และให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างแนวทางการบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อสนับสนุนการควบคุมและลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมการดําเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตของประชาชนไทยในเทศกาลปีใหม่ ปี 2562 ซึ่งพบว่าการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ทุกปี มีสาเหตุจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นจํานวนมาก ในเทศกาลปีใหม่ปี 2561 พบว่าเกิดอุบัติเหตุ 3,841 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 423 คน สาเหตุสูงสุดจากการเมาสุรา ร้อยละ 28.24 โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1.ขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว ประชาสัมพันธ์เรื่องการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมาไม่ขับ ห้ามบริโภคขณะขับขี่และขณะโดยสารใน/บนรถ 2.ตั้งจุดตรวจ จุดสกัดในพื้นที่จุดเสี่ยงจุดอันตราย หรือจุดที่มีอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เข้มงวดมาตรการดื่มไม่ขับ 3.ตั้งด่านชุมชน สกัดกลุ่มเสี่ยงและลดพฤติกรรมเสี่ยง อาทิ เมาแล้วขับ ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกําหนด ไม่สวมหมวกนิรภัย 4.ให้สํานักงานขนส่งทุกจังหวัดเข้มงวดตรวจสอบผู้ขับขี่รถประจําทางห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งก่อนและขณะขับรถเด็ดขาด ห้ามขับรถเร็ว และห้ามขายสิ่งของและจอดรถบริเวณไหล่ทาง 5.เชิญชวนจิตอาสาจากสมาชิกของชุมชนร่วมทําความดีด้วยหัวใจ สอดส่อง เฝ้าระวัง และตักเตือนผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง และรณรงค์ให้คนในหมู่บ้านตระหนักถึงความสําคัญของการปฏิบัติตามกฎจราจรและรักษาวินัยจราจรอย่างเคร่งครัด 6.ตรวจสอบการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานบริการ สถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ โดยเฉพาะการขายในบุคคลอายุต่ํากว่า 20 ปีบริบูรณ์ และห้ามขายรอบสถานศึกษา โดยมอบฝ่ายเลขาฯ นําประเด็นข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปปรับปรุงร่างแนวทางดังกล่าว และเสนอในการประชุมคณะกรรมการนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติครั้งต่อไป นอกจากนี้ ได้เห็นชอบร่างแนวปฏิบัติการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัดซึ่งการดําเนินงานของคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัด ถือเป็นกลไกที่มีความสําคัญที่จะทําให้ยุทธศาสตร์ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศประสบความสําเร็จ มีผลทําให้เยาวชนไม่ริเริ่มการดื่มสุรา ประชาชนทั่วไปทั้งที่มีปัญหาสุขภาพหรือที่ต้องการให้สุขภาพดีได้ลดละเลิกการดื่มสุรา ยังผลให้ครอบครัวและท้องถิ่นเป็นสุข ประเทศพัฒนาก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ด้านนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ร่างแนวปฏิบัติการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับจังหวัด โดยควรมีการประชุมคณะกรรมการฯ ทุก 3 เดือนโดยบูรณาการกับการประชุมคณะกรรมการชุดอื่น ๆ ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มอบหมายให้หน่วยราชการและภาคประชาสังคมร่วมรับผิดชอบแผนงานต่าง ๆ ตามยุทธศาสตร์จังหวัดและยุทธศาสตร์ชาติ อาทิ จัดกิจกรรมป้องกันเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ มีการเฝ้าระวังและออกตรวจเพื่อป้องปราม รณรงค์ให้งานบุญประเพณี งานกีฬา งานเลี้ยงเป็นงานปลอดภัยปลอดสุรา สนับสนุนการดําเนินงานของท้องถิ่นให้การควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการบําบัดรักษาผู้มีปัญหาสุราสําเร็จ จัดการประชุมติดตามความก้าวหน้าและรายงานผลต่อคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ********************************* 8 ตุลาคม 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15964
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.ร.บ.ยาสูบฉบับ ใหม่ เริ่มบังคับใช้ 4 ก.ค. เน้นคุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ เยาวชนและควบคุมการตลาด
วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560 พ.ร.บ.ยาสูบฉบับ ใหม่ เริ่มบังคับใช้ 4 ก.ค. เน้นคุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ เยาวชนและควบคุมการตลาด กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ ป้องกันเยาวชนจากการติดบุหรี่ และควบคุมกลยุทธ์การตลาดธุรกิจบุหรี่ วันนี้ ( 3 กรกฎาคม 2560 ) ที่ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรคและศ.เกียรติคุณนายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิต เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ แถลงข่าว "พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2560" ว่าปัญหาการบริโภคยาสูบเป็นปัญหาที่สําคัญของประเทศ ที่ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพของประชาชนทําให้ป่วยและเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร โดยคนไทยเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่สูงถึงปีละกว่า 5 หมื่นคน นอกจากนี้กลยุทธ์การตลาดบุหรี่ยังทําให้นักสูบหน้าใหม่ในกลุ่มเยาวชนเพิ่มจํานวนมากขึ้น และมีโอกาสที่จะเป็นผู้เสพติดไปตลอดชีวิต รวมทั้งความสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งรัฐบาลต้องดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรคเสพติดยาสูบ ทําให้สูญเสียงบประมาณไปกับการรักษาผู้ป่วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียที่เกิดจากการสูบบุหรี่ สูงถึง 74,884 ล้านบาท รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ขึ้น เพื่อเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะช่วยป้องกันเยาวชนไม่ให้เข้าสู่วงจรร้ายของการติดบุหรี่อันเนื่องมาจากกลยุทธ์การตลาดบุหรี่ที่หลากหลายขึ้น และเป็นการคุ้มครองสิทธิของเยาวชนและสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และที่สําคัญอีกอย่างคือ ประเทศไทยเข้าร่วมรัฐภาคีตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO-FCTC) จึงจําเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์เท่าทันกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทบุหรี่ และแนวปฏิบัติตามกรอบอนุสัญญาดังกล่าว ด้าน นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมการบริโภคยาสูบ อยู่แต่เดิม 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 และพ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 ซึ่งใช้บังคับกันมานานกว่า 25 ปีแล้ว สําหรับ พ.ร.บ. ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 มีมาตรการสําคัญที่ประชาชนต้องรับทราบเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่ถูกต้อง ดังนี้ 1.กําหนดห้ามขายหรือให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบแก่บุคคลที่มีอายุต่ํากว่า 20 ปี 2.ห้ามให้บุคคลที่มีอายุต่ํากว่า 18 ปี เป็นผู้ขายผลิตภัณฑ์ยาสูบ 3.ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบใน 4 กลุ่มสถานที่ ได้แก่ วัดหรือสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา สถานพยาบาลและร้านขายยา สถานศึกษาทุกระดับ สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และสวนสนุก 4.กําหนดห้ามโฆษณาสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์ยาสูบในทุกรูปแบบ อาทิ พริตตี้ส่งเสริมการขายในงานคอนเสิร์ต 5.ห้ามผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาสูบทํากิจกรรม CSR อุปถัมภ์สนับสนุนบุคคล หรือองค์กร ที่เป็นการสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ยาสูบ 6.ห้ามตั้งวางโชว์ผลิตภัณฑ์ยาสูบหรือซองบุหรี่ ณ จุดขายปลีกที่ทําให้ผู้บริโภคหรือประชาชนมองเห็น 7.ห้ามแบ่งซองขายบุหรี่เป็นรายมวน 8.เพิ่มโทษผู้ฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่เป็นปรับไม่เกิน 5,000 บาท และ9.กําหนดหน้าที่ให้เจ้าของสถานที่สาธารณะที่เป็นเขตปลอดบุหรี่ มีหน้าที่ต้องประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือน ดูแลให้ไม่มีการฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ หากฝ่าฝืนไม่ดําเนินการ เจ้าของสถานที่มีโทษปรับไม่เกิน 3,000 บาท ***************** 3 กรกฎาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.ร.บ.ยาสูบฉบับ ใหม่ เริ่มบังคับใช้ 4 ก.ค. เน้นคุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ เยาวชนและควบคุมการตลาด วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560 พ.ร.บ.ยาสูบฉบับ ใหม่ เริ่มบังคับใช้ 4 ก.ค. เน้นคุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ เยาวชนและควบคุมการตลาด กระทรวงสาธารณสุข เดินหน้าประกาศใช้ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ ป้องกันเยาวชนจากการติดบุหรี่ และควบคุมกลยุทธ์การตลาดธุรกิจบุหรี่ วันนี้ ( 3 กรกฎาคม 2560 ) ที่ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรคและศ.เกียรติคุณนายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิต เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ แถลงข่าว "พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายในวันที่ 4 กรกฎาคม 2560" ว่าปัญหาการบริโภคยาสูบเป็นปัญหาที่สําคัญของประเทศ ที่ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพของประชาชนทําให้ป่วยและเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร โดยคนไทยเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่สูงถึงปีละกว่า 5 หมื่นคน นอกจากนี้กลยุทธ์การตลาดบุหรี่ยังทําให้นักสูบหน้าใหม่ในกลุ่มเยาวชนเพิ่มจํานวนมากขึ้น และมีโอกาสที่จะเป็นผู้เสพติดไปตลอดชีวิต รวมทั้งความสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งรัฐบาลต้องดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรคเสพติดยาสูบ ทําให้สูญเสียงบประมาณไปกับการรักษาผู้ป่วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียที่เกิดจากการสูบบุหรี่ สูงถึง 74,884 ล้านบาท รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 ขึ้น เพื่อเป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะช่วยป้องกันเยาวชนไม่ให้เข้าสู่วงจรร้ายของการติดบุหรี่อันเนื่องมาจากกลยุทธ์การตลาดบุหรี่ที่หลากหลายขึ้น และเป็นการคุ้มครองสิทธิของเยาวชนและสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ และที่สําคัญอีกอย่างคือ ประเทศไทยเข้าร่วมรัฐภาคีตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO-FCTC) จึงจําเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์เท่าทันกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทบุหรี่ และแนวปฏิบัติตามกรอบอนุสัญญาดังกล่าว ด้าน นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมการบริโภคยาสูบ อยู่แต่เดิม 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 และพ.ร.บ.คุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 ซึ่งใช้บังคับกันมานานกว่า 25 ปีแล้ว สําหรับ พ.ร.บ. ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2560 มีมาตรการสําคัญที่ประชาชนต้องรับทราบเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายที่ถูกต้อง ดังนี้ 1.กําหนดห้ามขายหรือให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบแก่บุคคลที่มีอายุต่ํากว่า 20 ปี 2.ห้ามให้บุคคลที่มีอายุต่ํากว่า 18 ปี เป็นผู้ขายผลิตภัณฑ์ยาสูบ 3.ห้ามขายผลิตภัณฑ์ยาสูบใน 4 กลุ่มสถานที่ ได้แก่ วัดหรือสถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา สถานพยาบาลและร้านขายยา สถานศึกษาทุกระดับ สวนสาธารณะ สวนสัตว์ และสวนสนุก 4.กําหนดห้ามโฆษณาสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์ยาสูบในทุกรูปแบบ อาทิ พริตตี้ส่งเสริมการขายในงานคอนเสิร์ต 5.ห้ามผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาสูบทํากิจกรรม CSR อุปถัมภ์สนับสนุนบุคคล หรือองค์กร ที่เป็นการสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ยาสูบ 6.ห้ามตั้งวางโชว์ผลิตภัณฑ์ยาสูบหรือซองบุหรี่ ณ จุดขายปลีกที่ทําให้ผู้บริโภคหรือประชาชนมองเห็น 7.ห้ามแบ่งซองขายบุหรี่เป็นรายมวน 8.เพิ่มโทษผู้ฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่เป็นปรับไม่เกิน 5,000 บาท และ9.กําหนดหน้าที่ให้เจ้าของสถานที่สาธารณะที่เป็นเขตปลอดบุหรี่ มีหน้าที่ต้องประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือน ดูแลให้ไม่มีการฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในเขตปลอดบุหรี่ หากฝ่าฝืนไม่ดําเนินการ เจ้าของสถานที่มีโทษปรับไม่เกิน 3,000 บาท ***************** 3 กรกฎาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4958
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กต.ชี้แจง กรณีตำรวจไทยจับกุมผู้ขอลี้ภัยจากปากีสถานและโซมาเลีย เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522
วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 กต.ชี้แจง กรณีตํารวจไทยจับกุมผู้ขอลี้ภัยจากปากีสถานและโซมาเลีย เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 กต.ชี้แจงกรณีตํารวจไทยจับกุมผู้ลี้ภัยจากปากีสถานและโซมาเลีย เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ระบุที่ผ่านมาทางการไทยดูแลด้านมนุษยธรรมแก่บุคคลต่าง ๆ ที่พํานักเกินระยะเวลาตามควร โดยคํานึงถึงพันธกรณีของไทยตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล วันที่ 7 พ.ย.60 นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.)ชี้แจงกรณีการจับกุมผู้ลี้ภัย ตามที่องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ฟอตี้ฟายไรต์ ออกแถลงการณ์ กรณีตํารวจไทยบุกจับกุมผู้ขอลี้ภัย 35 คนจากปากีสถานและโซมาเลีย เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 ซึ่งมีประเด็นดังนี้ 1. เรียกร้องให้ทางการไทยปล่อยตัวผู้ลี้ภัยดังกล่าว โดยระบุว่าทางการไทยกําลังละเมิดสิทธิของผู้แสวงหาที่พักพิงซึ่งหลบหนีจากการปราบปรามในประเทศของตนเอง เนื่องจากผู้ถูกจับกุมมีเอกสารที่ออกให้โดยสํานักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR 2. ในที่ประชุมสุดยอดผู้นําโลกว่าด้วยวิกฤตผู้ลี้ภัยเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 ที่กรุงนิวยอร์ก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันจะยุติการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยที่เป็นเด็กในไทย และจัดตั้งกลไกคัดกรองผู้ลี้ภัยอย่างเป็นผล และเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดตั้ง “คณะกรรมการบริหารคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัย” แต่ยังไม่ได้จัดทําโครงสร้างเพื่อแสดงการยอมรับสถานะของผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขายังคงไม่ได้รับการคุ้มครองระหว่างอยู่ในประเทศไทย 3. ประเทศไทยยังเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child - CRC) ซึ่งกําหนดมาตรฐานขั้นต่ําเพื่อประกันการคุ้มครอง ความอยู่รอด และพัฒนาการของเด็กทั้งปวง โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ 4. เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการควบคุมตัวโดยพลการต่อผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิง และให้ปล่อยตัวผู้แสวงหาที่พักพิงทุกคนจากการควบคุมตัวโดยทันที 5. ทางการไทยควรร่วมมือกับภาคประชาสังคมและชุมชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อจัดทําขั้นตอนปฏิบัติเพื่อการให้ที่พักพิงอย่างเต็มที่ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจง ดังนี้ 1. กรณีนี้เป็นการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ บุคคลดังกล่าวพํานักอยู่ในประเทศไทยเกินระยะเวลาที่ได้รับการตรวจลงตรา จึงต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ซึ่งที่ผ่านมา ทางการไทยได้ให้การดูแลด้านมนุษยธรรมแก่บุคคลต่าง ๆ ที่พํานักเกินระยะเวลาตามควร โดยคํานึงถึงพันธกรณีของไทยตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลด้วย 2. สําหรับประเด็นควบคุมตัวผู้ลี้ภัยที่เป็นเด็กนั้น ตามกฎหมายไทยไม่มีการกักตัวผู้หลบหนีเข้าเมืองที่เป็นเด็กโดยจะให้สถานคุ้มครองที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้ดูแล ทั้งนี้ มีบางกรณีที่ผู้ปกครองของเด็กประสงค์ให้เด็กอยู่ด้วยในห้องกักแต่กรณีดังกล่าวต้องมีคําขอเป็นลายลักษณ์อักษรต่อสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง 3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยอยู่ระหว่างการพิจารณากําหนดขั้นตอน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่จะให้เด็กหรือเด็กพร้อมมารดาออกไปอยู่นอกห้องกัก โดยให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือกับองค์กรเอกชนที่ได้รับการขึ้นทะเบียน ซึ่งนับเป็นความเปิดกว้างของรัฐบาลไทยในการแก้ไขข้อห่วงกังวลและดําเนินการตามข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์ของภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงภาคประชาสังคมด้วย 4. ในส่วนของการพิจารณาจัดทําระบบคัดกรองผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัยของไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดตั้งคณะทํางานเพื่อพิจารณาแนวทางดําเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ร่วมกันแล้ว ซึ่งครอบคลุมการศึกษาข้อดีข้อเสีย และการพิจารณาประมวลกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ทั้งนี้ ทางการไทยพร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคประชาสังคมต่อไป -------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กต.ชี้แจง กรณีตำรวจไทยจับกุมผู้ขอลี้ภัยจากปากีสถานและโซมาเลีย เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 กต.ชี้แจง กรณีตํารวจไทยจับกุมผู้ขอลี้ภัยจากปากีสถานและโซมาเลีย เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 กต.ชี้แจงกรณีตํารวจไทยจับกุมผู้ลี้ภัยจากปากีสถานและโซมาเลีย เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ระบุที่ผ่านมาทางการไทยดูแลด้านมนุษยธรรมแก่บุคคลต่าง ๆ ที่พํานักเกินระยะเวลาตามควร โดยคํานึงถึงพันธกรณีของไทยตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล วันที่ 7 พ.ย.60 นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.)ชี้แจงกรณีการจับกุมผู้ลี้ภัย ตามที่องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ฟอตี้ฟายไรต์ ออกแถลงการณ์ กรณีตํารวจไทยบุกจับกุมผู้ขอลี้ภัย 35 คนจากปากีสถานและโซมาเลีย เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 ซึ่งมีประเด็นดังนี้ 1. เรียกร้องให้ทางการไทยปล่อยตัวผู้ลี้ภัยดังกล่าว โดยระบุว่าทางการไทยกําลังละเมิดสิทธิของผู้แสวงหาที่พักพิงซึ่งหลบหนีจากการปราบปรามในประเทศของตนเอง เนื่องจากผู้ถูกจับกุมมีเอกสารที่ออกให้โดยสํานักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR 2. ในที่ประชุมสุดยอดผู้นําโลกว่าด้วยวิกฤตผู้ลี้ภัยเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 ที่กรุงนิวยอร์ก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันจะยุติการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยที่เป็นเด็กในไทย และจัดตั้งกลไกคัดกรองผู้ลี้ภัยอย่างเป็นผล และเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2560 คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดตั้ง “คณะกรรมการบริหารคนเข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัย” แต่ยังไม่ได้จัดทําโครงสร้างเพื่อแสดงการยอมรับสถานะของผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขายังคงไม่ได้รับการคุ้มครองระหว่างอยู่ในประเทศไทย 3. ประเทศไทยยังเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child - CRC) ซึ่งกําหนดมาตรฐานขั้นต่ําเพื่อประกันการคุ้มครอง ความอยู่รอด และพัฒนาการของเด็กทั้งปวง โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ 4. เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการควบคุมตัวโดยพลการต่อผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิง และให้ปล่อยตัวผู้แสวงหาที่พักพิงทุกคนจากการควบคุมตัวโดยทันที 5. ทางการไทยควรร่วมมือกับภาคประชาสังคมและชุมชนที่ได้รับผลกระทบเพื่อจัดทําขั้นตอนปฏิบัติเพื่อการให้ที่พักพิงอย่างเต็มที่ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจง ดังนี้ 1. กรณีนี้เป็นการบังคับใช้กฎหมายตามปกติ บุคคลดังกล่าวพํานักอยู่ในประเทศไทยเกินระยะเวลาที่ได้รับการตรวจลงตรา จึงต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ซึ่งที่ผ่านมา ทางการไทยได้ให้การดูแลด้านมนุษยธรรมแก่บุคคลต่าง ๆ ที่พํานักเกินระยะเวลาตามควร โดยคํานึงถึงพันธกรณีของไทยตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลด้วย 2. สําหรับประเด็นควบคุมตัวผู้ลี้ภัยที่เป็นเด็กนั้น ตามกฎหมายไทยไม่มีการกักตัวผู้หลบหนีเข้าเมืองที่เป็นเด็กโดยจะให้สถานคุ้มครองที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้ดูแล ทั้งนี้ มีบางกรณีที่ผู้ปกครองของเด็กประสงค์ให้เด็กอยู่ด้วยในห้องกักแต่กรณีดังกล่าวต้องมีคําขอเป็นลายลักษณ์อักษรต่อสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง 3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยอยู่ระหว่างการพิจารณากําหนดขั้นตอน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่จะให้เด็กหรือเด็กพร้อมมารดาออกไปอยู่นอกห้องกัก โดยให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือกับองค์กรเอกชนที่ได้รับการขึ้นทะเบียน ซึ่งนับเป็นความเปิดกว้างของรัฐบาลไทยในการแก้ไขข้อห่วงกังวลและดําเนินการตามข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์ของภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงภาคประชาสังคมด้วย 4. ในส่วนของการพิจารณาจัดทําระบบคัดกรองผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและผู้ลี้ภัยของไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดตั้งคณะทํางานเพื่อพิจารณาแนวทางดําเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ร่วมกันแล้ว ซึ่งครอบคลุมการศึกษาข้อดีข้อเสีย และการพิจารณาประมวลกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ทั้งนี้ ทางการไทยพร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคประชาสังคมต่อไป -------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจับกุมเนื้อโค-กระบือแช่แข็ง ลักลอบหนีศุลกากร มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560 กรมศุลกากรจับกุมเนื้อโค-กระบือแช่แข็ง ลักลอบหนีศุลกากร มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท วันนี้ (วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560) เวลา 11.00 น. ณ บริเวณสนามฟุตซอล กรมศุลกากร นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร แถลงข่าวกรมศุลกากรจับกุมสินค้าประเภทเนื้อโค-กระบือแช่แข็งลักลอบหนีศุลกากร มูลค่าของกลางรวมทั้งสิ้นกว่า 6 ล้านบาท ตามที่กรมศุลกากรได้มีนโยบายในการปกป้องสังคม และสร้างความเป็นธรรมทางการค้าและการจัดเก็บภาษีอากร ปกป้องสังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขจัดอิทธิพลกลุ่มขบวนการลักลอบค้าของเถื่อน นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร จึงได้สั่งการให้ นายชัยยุทธ คําคุณ รองอธิบดี มอบหมายให้นายวรวุฒิ วิบูลย์ศิริชัย ผู้อํานวยการสํานักสืบสวนและปราบปราม เข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าลักลอบหนีศุลกากร รวมถึงแหล่งรับซื้อ เพื่อทําลายล้างขบวนการลักลอบนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งทําผิดกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จึงได้ดําเนินการวางแผนจับกุมเนื้อโค-กระบือแช่แข็งในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนและปราบปรามพิเศษ สํานักสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ทหาร นําโดยพลตรีกนก ภู่ม่วง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 ในฐานะผู้บัญชาการกองกําลังรักษาความสงบจังหวัดอุดรธานี และเจ้าหน้าที่ตํารวจ สถานีตํารวจภูธรเมืองอุดรธานี ได้ตรวจค้นห้องเย็นแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี เนื่องจากสืบทราบว่าห้องเย็นดังกล่าวเป็นแหล่งรับซื้อสินค้าปศุสัตว์ ประเภทเนื้อโคและเนื้อกระบือที่มีเมืองกําเนิดต่างประเทศ ลักลอบหนีศุลกากร โดยทยอยลักลอบนําเข้ามาตามแนวตะเข็บชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน และมารวบรวมที่ห้องเย็นนี้ ซึ่งถือว่าเป็นขบวนการที่ใหญ่ที่สุดในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และการจับกุมการลักลอบนําเนื้อสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรในครั้งนี้ถือว่าเป็นการจับกุมที่มีปริมาณมากที่สุด จํานวนของกลางที่ตรวจยึดทั้งหมด 32,300 กิโลกรัม มูลค่าของกลางประมาณ 6,460,000 บาท จากกรณีจับกุมดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นความผิดฐานลักลอบหนีศุลกากร หลีกเลี่ยงข้อห้าม ข้อกํากัด ตามมาตรา 27 ,27 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ประกอบมาตรา 16,17 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 และความผิดตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อนึ่ง กรมศุลกากรมีสถิติการจับกุมเนื้อโค - กระบือปีงบประมาณ 2559 จับกุม 93 ราย น้ําหนัก 679,003 กิโลกรัม รวมมูลค่า 37,438,167 บาท สําหรับปีงบประมาณ 2560 ตั้งแต่ ตุลาคม 2559 – พฤษภาคม 2560 จับกุมได้ 38 ราย น้ําหนัก 43,791 กิโลกรัม รวมมูลค่า 13,193,891 บาท การปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมสินค้าลักลอบหลีกเลี่ยงตามพระราชบัญญัติศุลกากรและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นตามนโยบายของกรมศุลกากร และยังเป็นการให้ความคุ้มครองกับกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่สุจริตและประกอบอาชีพอย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจับกุมเนื้อโค-กระบือแช่แข็ง ลักลอบหนีศุลกากร มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560 กรมศุลกากรจับกุมเนื้อโค-กระบือแช่แข็ง ลักลอบหนีศุลกากร มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท วันนี้ (วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560) เวลา 11.00 น. ณ บริเวณสนามฟุตซอล กรมศุลกากร นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร แถลงข่าวกรมศุลกากรจับกุมสินค้าประเภทเนื้อโค-กระบือแช่แข็งลักลอบหนีศุลกากร มูลค่าของกลางรวมทั้งสิ้นกว่า 6 ล้านบาท ตามที่กรมศุลกากรได้มีนโยบายในการปกป้องสังคม และสร้างความเป็นธรรมทางการค้าและการจัดเก็บภาษีอากร ปกป้องสังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขจัดอิทธิพลกลุ่มขบวนการลักลอบค้าของเถื่อน นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร จึงได้สั่งการให้ นายชัยยุทธ คําคุณ รองอธิบดี มอบหมายให้นายวรวุฒิ วิบูลย์ศิริชัย ผู้อํานวยการสํานักสืบสวนและปราบปราม เข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าลักลอบหนีศุลกากร รวมถึงแหล่งรับซื้อ เพื่อทําลายล้างขบวนการลักลอบนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งทําผิดกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จึงได้ดําเนินการวางแผนจับกุมเนื้อโค-กระบือแช่แข็งในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนและปราบปรามพิเศษ สํานักสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ทหาร นําโดยพลตรีกนก ภู่ม่วง ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 ในฐานะผู้บัญชาการกองกําลังรักษาความสงบจังหวัดอุดรธานี และเจ้าหน้าที่ตํารวจ สถานีตํารวจภูธรเมืองอุดรธานี ได้ตรวจค้นห้องเย็นแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี เนื่องจากสืบทราบว่าห้องเย็นดังกล่าวเป็นแหล่งรับซื้อสินค้าปศุสัตว์ ประเภทเนื้อโคและเนื้อกระบือที่มีเมืองกําเนิดต่างประเทศ ลักลอบหนีศุลกากร โดยทยอยลักลอบนําเข้ามาตามแนวตะเข็บชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน และมารวบรวมที่ห้องเย็นนี้ ซึ่งถือว่าเป็นขบวนการที่ใหญ่ที่สุดในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และการจับกุมการลักลอบนําเนื้อสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรในครั้งนี้ถือว่าเป็นการจับกุมที่มีปริมาณมากที่สุด จํานวนของกลางที่ตรวจยึดทั้งหมด 32,300 กิโลกรัม มูลค่าของกลางประมาณ 6,460,000 บาท จากกรณีจับกุมดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นความผิดฐานลักลอบหนีศุลกากร หลีกเลี่ยงข้อห้าม ข้อกํากัด ตามมาตรา 27 ,27 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 ประกอบมาตรา 16,17 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 และความผิดตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อนึ่ง กรมศุลกากรมีสถิติการจับกุมเนื้อโค - กระบือปีงบประมาณ 2559 จับกุม 93 ราย น้ําหนัก 679,003 กิโลกรัม รวมมูลค่า 37,438,167 บาท สําหรับปีงบประมาณ 2560 ตั้งแต่ ตุลาคม 2559 – พฤษภาคม 2560 จับกุมได้ 38 ราย น้ําหนัก 43,791 กิโลกรัม รวมมูลค่า 13,193,891 บาท การปฏิบัติการตรวจค้นจับกุมสินค้าลักลอบหลีกเลี่ยงตามพระราชบัญญัติศุลกากรและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องและเข้มข้นตามนโยบายของกรมศุลกากร และยังเป็นการให้ความคุ้มครองกับกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่สุจริตและประกอบอาชีพอย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4232
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสิน พร้อมให้กู้ฉุกเฉิน ดอกเบี้ย 0.85% ต่อเดือน หวังประชาชนหันหลังให้ “เงินกู้นอกรระบบ”
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 ธนาคารออมสิน พร้อมให้กู้ฉุกเฉิน ดอกเบี้ย 0.85% ต่อเดือน หวังประชาชนหันหลังให้ “เงินกู้นอกรระบบ” ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ให้ธนาคารออมสิน ดําเนินโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผย ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ให้ธนาคารออมสิน ดําเนินโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์สินเชื่อของสถาบันการเงินในกรณีมีความจําเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบที่มีภาระดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง และในบางกรณีที่มีการติดตามทวงถามหนี้ที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมตามมา โดยโครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมโครงการให้ดีขึ้นประมาณ 200,000 ราย โดยสามารถติดต่อยื่นลงทะเบียนได้ที่สาขาธนาคารออมสินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โครงการสินเชื่อเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินนี้ เป็นการให้กู้สําหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยที่มีความจําเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนภายในครอบครัว โดยต้องไม่เป็นการกู้ไปปิดหนี้ในระบบก้อนเดิม (Refinance) ให้วงเงินให้สินเชื่อต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท สามารถยื่นขอสินเชื่อภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ดําเนินโครงการ ผ่อนชําระไม่เกิน 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ไม่เกินร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยใช้บุคคลค้ําประกันอย่างน้อย 1 คน และ/หรือมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน ทั้งนี้ ธนาคารฯ จะใช้หลักเกณฑ์พิจารณาสินเชื่อ โดยพิจารณาจากความสามารถในการชําระหนี้จากรายได้และค่าใช้จ่ายรวมของบุคคลในครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งจะควบคู่กับการตรวจสอบประวัติการชําระหนี้จากเครดิตบูโร แต่จะไม่นํามาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาสินเชื่อ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Facebook : GSB Society, Official Line : GSB ธนาคารออมสิน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสิน พร้อมให้กู้ฉุกเฉิน ดอกเบี้ย 0.85% ต่อเดือน หวังประชาชนหันหลังให้ “เงินกู้นอกรระบบ” วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 ธนาคารออมสิน พร้อมให้กู้ฉุกเฉิน ดอกเบี้ย 0.85% ต่อเดือน หวังประชาชนหันหลังให้ “เงินกู้นอกรระบบ” ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ให้ธนาคารออมสิน ดําเนินโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผย ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 ให้ธนาคารออมสิน ดําเนินโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์สินเชื่อของสถาบันการเงินในกรณีมีความจําเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาหนี้นอกระบบที่มีภาระดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง และในบางกรณีที่มีการติดตามทวงถามหนี้ที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมตามมา โดยโครงการดังกล่าวจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมโครงการให้ดีขึ้นประมาณ 200,000 ราย โดยสามารถติดต่อยื่นลงทะเบียนได้ที่สาขาธนาคารออมสินตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โครงการสินเชื่อเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินนี้ เป็นการให้กู้สําหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรรายย่อยที่มีความจําเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนภายในครอบครัว โดยต้องไม่เป็นการกู้ไปปิดหนี้ในระบบก้อนเดิม (Refinance) ให้วงเงินให้สินเชื่อต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท สามารถยื่นขอสินเชื่อภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ดําเนินโครงการ ผ่อนชําระไม่เกิน 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ไม่เกินร้อยละ 0.85 ต่อเดือน โดยใช้บุคคลค้ําประกันอย่างน้อย 1 คน และ/หรือมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน ทั้งนี้ ธนาคารฯ จะใช้หลักเกณฑ์พิจารณาสินเชื่อ โดยพิจารณาจากความสามารถในการชําระหนี้จากรายได้และค่าใช้จ่ายรวมของบุคคลในครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งจะควบคู่กับการตรวจสอบประวัติการชําระหนี้จากเครดิตบูโร แต่จะไม่นํามาเป็นเงื่อนไขในการพิจารณาสินเชื่อ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Facebook : GSB Society, Official Line : GSB ธนาคารออมสิน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2052
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ” ดึง2ยักษ์ค้าออนไลน์” อาลีบาบา-แกร็บ” ลุย 2 โครงการช่วยเกษตรกรรับมือโควิด-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563 เกษตรฯ” ดึง2ยักษ์ค้าออนไลน์” อาลีบาบา-แกร็บ” ลุย 2 โครงการช่วยเกษตรกรรับมือโควิด-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] เกษตรฯ” ดึง2ยักษ์ค้าออนไลน์” อาลีบาบา-แกร็บ” ลุย 2 โครงการช่วยเกษตรกรรับมือโควิด-19 “เกษตรฯ” ดึง2ยักษ์ค้าออนไลน์” อาลีบาบา-แกร็บ” ลุย 2 โครงการช่วยเกษตรกรรับมือโควิด19 อาลีบาบาชื่นชมวิสัยทัศน์ “เฉลิมชัย” พร้อมจับมือขับเคลื่อนโครงการ “เกษตรไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลก” เล็งกลุ่มเป้าหมาย 260 ล้านคน 190 ประเทศ แกร็บดีเดย์โครงการออนไลน์มาร์เก็ตติ้งก์เปิด “ตลาดเกษตรกร” (Farmer Mart) บนแพลตฟอร์มแกร็บเป็นครั้งแรก นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงวันนี้ (2 มิ.ย.63) ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้การดําเนินงานของคณะกรรมการการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นประธาน และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน E-Commerce ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 เล็งเห็นถึงความสําคัญของแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่ามีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยเพิ่มช่องทางการกระจายผลผลิตเกษตรโดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มาร์เก็ตติ้งก์ (online marketing) จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรในภาคเอกชนและภาครัฐ โดยล่าสุดได้พัฒนาความร่วมมือกับ บริษัท แกร็บ ประเทศไทย (GRAB Thailand)ในการเพิ่มช่องทางการค้าขายออนไลน์ตามนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศ (Eat Thai First) ด้วยโครงการเปิด “ตลาดเกษตรกร (Farmer Mart)” บนแพลตฟอร์มแกร็บ (GRAB Platform) เป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1มิถุนายน และอีกโปรเจกต์หนึ่งคือโครงการ “เกษตรไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลก” โดยความร่วมมือกับบริษัทอาลีบาบา (Alibaba) เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเกษตร สถาบันเกษตรกรและเกษตรกรให้สามารถทําธุรกิจขายสินค้าเกษตรของไทยสู่ตลาดต่างประเทศบนแพลตฟอร์มอาลีบาบา ด้าน ดร. เก่งการ เหล่าวิโรจนกุล ผู้อํานวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า “แกร็บ ประเทศไทย ขอเป็นอีกหนึ่งช่องทางการขายสินค้าเกษตร และจัดส่งผลไม้โดยตรงจากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคโดยตรง ผ่านบริการ GrabMart ภายใต้ชื่อ “Farmer Mart(ตลาดเกษตรกร)” ในแอปพลิเคชัน แกร็บ โดยได้เริ่มเปิดให้บริการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเริ่มเปิดตัวด้วยผลไม้ 5 ชนิด จาก 3 จังหวัด ได้แก่ มะม่วงน้ําดอกไม้สีทอง จากสหกรณ์การเกษตรบ้านร่องส้าน จังหวัดพะเยา ลิ้นจี่ฮงฮวยและลิ้นจี่จักรพรรดิ์ จากกลุ่มเกษตรทําสวนลิ้นจี่แม่สุก จังหวัดพะเยา มังคุดและทุเรียน จากสหกรณ์นิคมวังไทร จังหวัดระยอง และกล้วยหอมทอง จากสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี และจะขยายชนิดสินค้าเกษตรแหล่งผลิตสินค้าเกษตรและพื้นที่บริการภายใน 2สัปดาห์ นายศตพล จันทร์ณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า “กระทรวงเกษตรฯ ยังได้ร่วมมือกับอาลีบาบา (Alibaba) จัดทําโครงการ “เกษตรไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลกด้วย Alibaba.com” โดยโครงการดังกล่าวมุ่งสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มศักยภาพด้านการค้าออนไลน์ การค้าระหว่างประเทศ เพื่อเข้าถึงตลาดโลกผ่านแพลตฟอร์มอาลีบาบา ที่มีผู้ซื้อมากกว่า 260 ล้านคน จาก 190 ประเทศทั่วโลก ซึ่งโครงการนี้เปิดโอกาสให้สําหรับเกษตรกร กลุ่มสหกรณ์ และผู้ที่สนใจ สมัครเข้าร่วมโครงการ โดยผู้ผ่านการคัดเลือก จะได้รับทุกองค์ความรู้เริ่มจากการวิเคราะห์โอกาสขายสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก การใช้แพลตฟอร์มอาลีบาบา เพื่อเข้ากลุ่มผู้ซื้อในระดับโลกนอกจากนี้ยังได้รับคําปรึกษาด้านการจดทะเบียนสําหรับประกอบกิจการการค้าระหว่างประเทศ ช่องทางการชําระเงิน และระบบโลจิสติกส์ Logistic โดยสอนผ่านสื่อออนไลน์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ มีผู้ประกอบการในประเทศไทยหลายรายที่ประสบความสําเร็จ จากการใช้แพลตฟอร์มอาลีบาบาเป็นช่องทางการขายสินค้าไทยไปยังตลาดโลก โดยกว่าครึ่งเป็นสินค้าเกษตรไทย เช่น มันสําปะหลัง ข้าว กระเทียมดํา สับปะรด ข้าวโพด รวมทั้งสินค้าทางการเกษตรแปรรูป เช่น กระเทียมดํา น้ําตาล เป็นต้น คาดว่าโครงการนี้จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมโครงการโดยเฉพาะเกษตรกรไทยมีความเข้มแข็งและมีความพร้อม เพื่อก้าวสู่ตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน” นางสาวสิรินันท์ ทองเพ็ญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอเจ อีคอมเมิร์ซ จํากัด ซึ่งเป็นตัวแทน อาลีบาบา ในประเทศไทย กล่าวแสดงความชื่นชมวิสัยทัศน์และนโยบายตลาดเกษตรออนไลน์ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ว่าก้าวหน้าทันสมัยตอบโจทย์ยุคโควิด อาลีบาบาพร้อมร่วมมือและทํางานร่วมกับกระทรวงเกษตรฯใน “โครงการเกษตรไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลกด้วย Alibaba.com” มุ่งเน้นเสริมความแข็งแกร่ง เสริมสร้างศักยภาพให้เกษตรกรไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลกด้วยแพลตฟอร์มอาลีบาบา ซึ่งได้เล็งเห็นความสําคัญว่าเกษตรกรสามารถจําหน่ายสินค้าไปยังผู้ซื้อได้โดยตรงโดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ จะมีการสอนให้เกษตรกรรู้จักแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถโชว์สินค้าของไทยไปทั่วโลก รู้เทคนิควิธีการโพสต์สินค้า จะทําอย่างไรให้ลูกค้าทั่วโลกเห็นสินค้าของเรา นอกจากนี้จะสอนวิธีการพูดคุย เจรจาในด้านธุรกิจ การต่อรองราคา ก็จะมีเทคนิควิธีการทั้งเรื่องของภาษา การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ การชําระเงินระหว่างประเทศ โดยจะสอนและให้ความรู้แก่เกษตรกรแบบครบวงจร ซึ่งก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้เกษตรกรจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับแพลตฟอร์มอาลีบาบา ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับโลก มีลูกค้ากว่า260ล้านคนในกว่า190ประเทศโดยเกษตรกรสามารถใช้ฟังก์ชั่นต่างๆ บนแพลตฟอร์มอาลีบาบาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ” ดึง2ยักษ์ค้าออนไลน์” อาลีบาบา-แกร็บ” ลุย 2 โครงการช่วยเกษตรกรรับมือโควิด-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563 เกษตรฯ” ดึง2ยักษ์ค้าออนไลน์” อาลีบาบา-แกร็บ” ลุย 2 โครงการช่วยเกษตรกรรับมือโควิด-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] เกษตรฯ” ดึง2ยักษ์ค้าออนไลน์” อาลีบาบา-แกร็บ” ลุย 2 โครงการช่วยเกษตรกรรับมือโควิด-19 “เกษตรฯ” ดึง2ยักษ์ค้าออนไลน์” อาลีบาบา-แกร็บ” ลุย 2 โครงการช่วยเกษตรกรรับมือโควิด19 อาลีบาบาชื่นชมวิสัยทัศน์ “เฉลิมชัย” พร้อมจับมือขับเคลื่อนโครงการ “เกษตรไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลก” เล็งกลุ่มเป้าหมาย 260 ล้านคน 190 ประเทศ แกร็บดีเดย์โครงการออนไลน์มาร์เก็ตติ้งก์เปิด “ตลาดเกษตรกร” (Farmer Mart) บนแพลตฟอร์มแกร็บเป็นครั้งแรก นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แถลงวันนี้ (2 มิ.ย.63) ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้การดําเนินงานของคณะกรรมการการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นประธาน และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อน E-Commerce ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 เล็งเห็นถึงความสําคัญของแพลตฟอร์มดิจิทัล ว่ามีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยเพิ่มช่องทางการกระจายผลผลิตเกษตรโดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มาร์เก็ตติ้งก์ (online marketing) จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรในภาคเอกชนและภาครัฐ โดยล่าสุดได้พัฒนาความร่วมมือกับ บริษัท แกร็บ ประเทศไทย (GRAB Thailand)ในการเพิ่มช่องทางการค้าขายออนไลน์ตามนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจและการบริโภคภายในประเทศ (Eat Thai First) ด้วยโครงการเปิด “ตลาดเกษตรกร (Farmer Mart)” บนแพลตฟอร์มแกร็บ (GRAB Platform) เป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1มิถุนายน และอีกโปรเจกต์หนึ่งคือโครงการ “เกษตรไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลก” โดยความร่วมมือกับบริษัทอาลีบาบา (Alibaba) เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเกษตร สถาบันเกษตรกรและเกษตรกรให้สามารถทําธุรกิจขายสินค้าเกษตรของไทยสู่ตลาดต่างประเทศบนแพลตฟอร์มอาลีบาบา ด้าน ดร. เก่งการ เหล่าวิโรจนกุล ผู้อํานวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า “แกร็บ ประเทศไทย ขอเป็นอีกหนึ่งช่องทางการขายสินค้าเกษตร และจัดส่งผลไม้โดยตรงจากเกษตรกรสู่ผู้บริโภคโดยตรง ผ่านบริการ GrabMart ภายใต้ชื่อ “Farmer Mart(ตลาดเกษตรกร)” ในแอปพลิเคชัน แกร็บ โดยได้เริ่มเปิดให้บริการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเริ่มเปิดตัวด้วยผลไม้ 5 ชนิด จาก 3 จังหวัด ได้แก่ มะม่วงน้ําดอกไม้สีทอง จากสหกรณ์การเกษตรบ้านร่องส้าน จังหวัดพะเยา ลิ้นจี่ฮงฮวยและลิ้นจี่จักรพรรดิ์ จากกลุ่มเกษตรทําสวนลิ้นจี่แม่สุก จังหวัดพะเยา มังคุดและทุเรียน จากสหกรณ์นิคมวังไทร จังหวัดระยอง และกล้วยหอมทอง จากสหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี และจะขยายชนิดสินค้าเกษตรแหล่งผลิตสินค้าเกษตรและพื้นที่บริการภายใน 2สัปดาห์ นายศตพล จันทร์ณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า “กระทรวงเกษตรฯ ยังได้ร่วมมือกับอาลีบาบา (Alibaba) จัดทําโครงการ “เกษตรไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลกด้วย Alibaba.com” โดยโครงการดังกล่าวมุ่งสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มศักยภาพด้านการค้าออนไลน์ การค้าระหว่างประเทศ เพื่อเข้าถึงตลาดโลกผ่านแพลตฟอร์มอาลีบาบา ที่มีผู้ซื้อมากกว่า 260 ล้านคน จาก 190 ประเทศทั่วโลก ซึ่งโครงการนี้เปิดโอกาสให้สําหรับเกษตรกร กลุ่มสหกรณ์ และผู้ที่สนใจ สมัครเข้าร่วมโครงการ โดยผู้ผ่านการคัดเลือก จะได้รับทุกองค์ความรู้เริ่มจากการวิเคราะห์โอกาสขายสินค้าเกษตรไทยในตลาดโลก การใช้แพลตฟอร์มอาลีบาบา เพื่อเข้ากลุ่มผู้ซื้อในระดับโลกนอกจากนี้ยังได้รับคําปรึกษาด้านการจดทะเบียนสําหรับประกอบกิจการการค้าระหว่างประเทศ ช่องทางการชําระเงิน และระบบโลจิสติกส์ Logistic โดยสอนผ่านสื่อออนไลน์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ มีผู้ประกอบการในประเทศไทยหลายรายที่ประสบความสําเร็จ จากการใช้แพลตฟอร์มอาลีบาบาเป็นช่องทางการขายสินค้าไทยไปยังตลาดโลก โดยกว่าครึ่งเป็นสินค้าเกษตรไทย เช่น มันสําปะหลัง ข้าว กระเทียมดํา สับปะรด ข้าวโพด รวมทั้งสินค้าทางการเกษตรแปรรูป เช่น กระเทียมดํา น้ําตาล เป็นต้น คาดว่าโครงการนี้จะช่วยให้ผู้เข้าร่วมโครงการโดยเฉพาะเกษตรกรไทยมีความเข้มแข็งและมีความพร้อม เพื่อก้าวสู่ตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน” นางสาวสิรินันท์ ทองเพ็ญ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอเจ อีคอมเมิร์ซ จํากัด ซึ่งเป็นตัวแทน อาลีบาบา ในประเทศไทย กล่าวแสดงความชื่นชมวิสัยทัศน์และนโยบายตลาดเกษตรออนไลน์ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ว่าก้าวหน้าทันสมัยตอบโจทย์ยุคโควิด อาลีบาบาพร้อมร่วมมือและทํางานร่วมกับกระทรวงเกษตรฯใน “โครงการเกษตรไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลกด้วย Alibaba.com” มุ่งเน้นเสริมความแข็งแกร่ง เสริมสร้างศักยภาพให้เกษตรกรไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลกด้วยแพลตฟอร์มอาลีบาบา ซึ่งได้เล็งเห็นความสําคัญว่าเกษตรกรสามารถจําหน่ายสินค้าไปยังผู้ซื้อได้โดยตรงโดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ จะมีการสอนให้เกษตรกรรู้จักแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถโชว์สินค้าของไทยไปทั่วโลก รู้เทคนิควิธีการโพสต์สินค้า จะทําอย่างไรให้ลูกค้าทั่วโลกเห็นสินค้าของเรา นอกจากนี้จะสอนวิธีการพูดคุย เจรจาในด้านธุรกิจ การต่อรองราคา ก็จะมีเทคนิควิธีการทั้งเรื่องของภาษา การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ การชําระเงินระหว่างประเทศ โดยจะสอนและให้ความรู้แก่เกษตรกรแบบครบวงจร ซึ่งก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้เกษตรกรจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับแพลตฟอร์มอาลีบาบา ซึ่งถือเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับโลก มีลูกค้ากว่า260ล้านคนในกว่า190ประเทศโดยเกษตรกรสามารถใช้ฟังก์ชั่นต่างๆ บนแพลตฟอร์มอาลีบาบาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31874
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาของวิทยฐานะ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 ศธ.ปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาของวิทยฐานะ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ เตรียมปฏิวัติระบบวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่ โดยน้อมนําพระราชกระแสฯ ด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาของวิทยฐานะ ซึ่งจะไม่เน้นจัดทําเอกสารผลงานวิชาการจํานวนมาก แต่เน้นระบบตอบแทนให้ครูที่มุ่งการสอนหนังสือ มีการประเมินทั้งคุณภาพและปริมาณการสอนโดยทดลองใช้และรับฟังความเห็น ก่อนประกาศใช้ภายใน3เดือนนี้ (หรือภายในเดือนพฤษภาคม2560) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่าจากการที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะทํางานเพื่อแก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาของวิทยฐานะ โดยนําพระราชกระแสฯ ด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาใช้เป็นแนวทาง ความว่า“ปัญหาปัจจุบันคือ ครูมุ่งเขียนงานวิทยานิพนธ์ เขียนตําราส่งผู้บริหาร เพื่อให้ได้ตําแหน่งและเงินเดือนสูงขึ้น แล้วบางทีก็ย้ายไปที่ใหม่ ส่วนครูที่มุ่งการสอนหนังสือกลับไม่ได้อะไรตอบแทน ระบบไม่ยุติธรรม เราต้องเปลี่ยนระเบียบตรงจุดนี้ การสอนหนังสือต้องถือว่าเป็นความดีความชอบ หากคนใดสอนดี ซึ่งส่วนมากคือมีคุณภาพและปริมาณ ต้องมี reward” (5 ก.ค. 55) และ“ครูบางส่วนเวลาสอนนักเรียนจะสอนไม่หมดแต่เก็บไว้บางส่วน หากนักเรียนต้องการรู้ทั้งหมดวิชา ก็ต้องเสียเงินไปสมัครเรียนพิเศษกับครูท่านนั้น จะเป็นการสอนในโรงเรียนหรือส่วนตัวก็ตาม” (5 ก.ค. 55) นั้น การประชุมครั้งนี้ ได้ร่วมพิจารณาแนวทางการแก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาของวิทยฐานะ โดยนําพระราชกระแสฯ ด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาใช้เป็นแนวทางซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้แก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาของวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่ให้เสร็จสิ้นและประกาศใช้หลักเกณฑ์ใหม่ภายใน3เดือน โดยหลักเกณฑ์ใหม่จะไม่มีการจัดทําด้วยเอกสารผลงานทางวิชาการจํานวนมาก แต่จะเป็นระบบที่ยุติธรรมสําหรับครูทั้งด้านปริมาณและคุณภาพในการสอน โดยใช้แฟ้มสะสมผลงานอิเล็กทรอนิกส์ (e-Portfolio) เป็นตัวนํา โดยครูทุกคนทั้งประเทศจะมีIDและPasswordสําหรับใช้ในการLoginเข้าไปบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลด้วยตนเองว่าสอนกี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผ่านการอบรมอะไรบ้าง ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาจะเป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และความรับผิดชอบในการประเมินทั้งหมดจะจบที่สถานศึกษาหรือจังหวัดนั้น ๆ โดยไม่ต้องเสนอให้ส่วนกลางหรือ ก.ค.ศ.พิจารณา แต่ก็จะมีมาตรการควบคุมความรับผิดชอบของครูหรือผู้บริหารสถานศึกษา หากมีการฮั้วหรือรายงานเท็จ จะมีความผิดตามมาตรา157แห่งประมวลกฎหมายอาญาด้วยถือเป็นการปฏิวัติระบบวิทยฐานะใหม่ของประเทศ ทั้งนี้ ในช่วง3เดือน ก่อนที่จะประกาศใช้หลักเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะใหม่ ขอให้สํานักงาน ก.ค.ศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดให้มีFocus Groupเพื่อรับฟังความเห็นว่า ระบบใหม่ขาดตกบกพร่องอย่างไรบ้าง ก่อนที่จะประกาศใช้จริง จากการประชุมครั้งนี้ ทําให้รับทราบข้อมูลด้วยว่า มีข้าราชการครูจํานวนมากที่ไม่มีวิทยฐานะแยกเป็นข้าราชการครูสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จํานวน33,190คน หรือประมาณร้อยละ10ของครู สพฐ.ทั้งหมด ส่วนข้าราชการครูสังกัดสํานักงาน กศน. มีจํานวน431คน หรือประมาณร้อยละ20และข้าราชการครูสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่ยังไม่มีวิทยฐานะ รวม4,198คน หรือร้อยละ30สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากครูไม่มีเวลาทําผลงานทางวิชาการ และต้องเสียเวลาในการจัดทําเอกสารผลงานทางวิชาการจํานวนมาก อย่างไรก็ตาม ครูที่ขอรับการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะจากเชี่ยวชาญเป็นเชี่ยวชาญพิเศษนั้น ยังคงจําเป็นต้องใช้หลักเกณฑ์เดิมคือ เน้นการจัดทําผลงานการวิจัย รมว.ศึกษาธิการกล่าวด้วยว่าหลักเกณฑ์ใหม่นี้ เชื่อว่าจะเป็นระบบที่สร้างความเป็นธรรมและค่าตอบแทนให้เกิดขึ้นกับครูที่มุ่งการสอนหนังสือ ซึ่งจะมีการกําหนดเกณฑ์ในการประเมินสําหรับครูที่มีปริมาณการสอนและคุณภาพการสอน เช่น การสอนเด็กพิเศษ ซึ่งมีการเตรียมการสอนที่ยุ่งยากกว่าสอนเด็กนักเรียนปกติทั่วไป ก็จะมีคะแนนเพิ่มขึ้น และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ ก็จะยังคงมีอยู่ เพื่อสร้างมาตรฐานและจรรยาบรรณทางวิชาชีพครู แต่จะไม่ประเมินด้วยระยะเวลาถี่จนเกินไป ซึ่งจะพยายามลดภาระต่าง ๆ ในการประเมินสําหรับครูให้มากที่สุด ส่วนข้าราชการครูที่อยู่ระหว่างการยื่นผลงานเพื่อขอรับการประเมินวิทยฐานะที่ค้างท่อในเวลานี้กว่า3,000คนนั้น มอบ ก.ค.ศ.ไปพิจารณา ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับการพิจารณา ส่วนตําแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ที่ประชุมก็เห็นตรงกันว่าอาจจะเปลี่ยนไปใช้เงินประจําตําแหน่ง เพื่อสะท้อนความเป็นจริงและสอดคล้องกับระบบบริหารมาตรฐานสากล นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า หลักเกณฑ์ใหม่นี้สามารถดําเนินการได้โดยไม่ต้องมีการแก้ไขกฎหมายอะไร ถือเป็นนิยามใหม่ของการประเมินวิทยฐานะครู ที่ไม่ใช่เป็นหลักเกณฑ์Performance Agreement :PAซึ่งเท่ากับยกเลิกเกณฑ์PAและแนวทางใหม่นี้จะใช้Portfolioเป็นตัวนํากับคน3กลุ่ม คือ กลุ่มรายใหม่ที่จะขอรับการประเมินวิทยฐานะ กลุ่มที่ค้างการประเมินซึ่งมีประมาณ3,000คนและกลุ่มที่ได้รับวิทยฐานะไปแล้ว จะต้องมีการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะเอาไว้เช่นเดิม การใช้Portfolioนี้ เป็นแนวทางในการประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment)ซึ่งจะเป็นการบันทึกประวัติการพัฒนาวิชาชีพของครูทุกคนทั้งปริมาณการสอนเช่น จํานวนชั่วโมงการสอน ความยากง่ายในการสอน การสอนเด็กพิเศษ การสอนในโรงเรียนกันดาร ซึ่งจะมีคะแนนที่แตกต่างกันและคุณภาพการสอนซึ่งจะดูจากผลของการพัฒนาตนเองการเข้ารับการอบรมทางไกล การอบรมออนไลน์ ผลงานการสอนที่ได้จัดทําขึ้น ฯลฯ พร้อมทั้งจะนําระบบITเข้ามาช่วยบันทึกรวบรวมข้อมูลของครูทุกคน เพื่อไม่ให้ครูต้องยุ่งยากในการจัดทําเอกสารหลักฐานอีก และในระหว่างนี้จะมีการรับฟัง ประชาพิจารณ์หลักเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ รวมทั้งเตรียมการจัดทําระบบITเพื่อรองรับe-Portfolioและทดลองใช้ให้มั่นใจ ก่อนจะประกาศใช้หลักเกณฑ์ใหม่นี้ภายใน3เดือน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาของวิทยฐานะ วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 ศธ.ปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาของวิทยฐานะ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการ เตรียมปฏิวัติระบบวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่ โดยน้อมนําพระราชกระแสฯ ด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาของวิทยฐานะ ซึ่งจะไม่เน้นจัดทําเอกสารผลงานวิชาการจํานวนมาก แต่เน้นระบบตอบแทนให้ครูที่มุ่งการสอนหนังสือ มีการประเมินทั้งคุณภาพและปริมาณการสอนโดยทดลองใช้และรับฟังความเห็น ก่อนประกาศใช้ภายใน3เดือนนี้ (หรือภายในเดือนพฤษภาคม2560) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่าจากการที่คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันศุกร์ที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะทํางานเพื่อแก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาของวิทยฐานะ โดยนําพระราชกระแสฯ ด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาใช้เป็นแนวทาง ความว่า“ปัญหาปัจจุบันคือ ครูมุ่งเขียนงานวิทยานิพนธ์ เขียนตําราส่งผู้บริหาร เพื่อให้ได้ตําแหน่งและเงินเดือนสูงขึ้น แล้วบางทีก็ย้ายไปที่ใหม่ ส่วนครูที่มุ่งการสอนหนังสือกลับไม่ได้อะไรตอบแทน ระบบไม่ยุติธรรม เราต้องเปลี่ยนระเบียบตรงจุดนี้ การสอนหนังสือต้องถือว่าเป็นความดีความชอบ หากคนใดสอนดี ซึ่งส่วนมากคือมีคุณภาพและปริมาณ ต้องมี reward” (5 ก.ค. 55) และ“ครูบางส่วนเวลาสอนนักเรียนจะสอนไม่หมดแต่เก็บไว้บางส่วน หากนักเรียนต้องการรู้ทั้งหมดวิชา ก็ต้องเสียเงินไปสมัครเรียนพิเศษกับครูท่านนั้น จะเป็นการสอนในโรงเรียนหรือส่วนตัวก็ตาม” (5 ก.ค. 55) นั้น การประชุมครั้งนี้ ได้ร่วมพิจารณาแนวทางการแก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาของวิทยฐานะ โดยนําพระราชกระแสฯ ด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาใช้เป็นแนวทางซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้แก้ไขหลักเกณฑ์การได้มาของวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใหม่ให้เสร็จสิ้นและประกาศใช้หลักเกณฑ์ใหม่ภายใน3เดือน โดยหลักเกณฑ์ใหม่จะไม่มีการจัดทําด้วยเอกสารผลงานทางวิชาการจํานวนมาก แต่จะเป็นระบบที่ยุติธรรมสําหรับครูทั้งด้านปริมาณและคุณภาพในการสอน โดยใช้แฟ้มสะสมผลงานอิเล็กทรอนิกส์ (e-Portfolio) เป็นตัวนํา โดยครูทุกคนทั้งประเทศจะมีIDและPasswordสําหรับใช้ในการLoginเข้าไปบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลด้วยตนเองว่าสอนกี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ผ่านการอบรมอะไรบ้าง ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาจะเป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และความรับผิดชอบในการประเมินทั้งหมดจะจบที่สถานศึกษาหรือจังหวัดนั้น ๆ โดยไม่ต้องเสนอให้ส่วนกลางหรือ ก.ค.ศ.พิจารณา แต่ก็จะมีมาตรการควบคุมความรับผิดชอบของครูหรือผู้บริหารสถานศึกษา หากมีการฮั้วหรือรายงานเท็จ จะมีความผิดตามมาตรา157แห่งประมวลกฎหมายอาญาด้วยถือเป็นการปฏิวัติระบบวิทยฐานะใหม่ของประเทศ ทั้งนี้ ในช่วง3เดือน ก่อนที่จะประกาศใช้หลักเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะใหม่ ขอให้สํานักงาน ก.ค.ศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้จัดให้มีFocus Groupเพื่อรับฟังความเห็นว่า ระบบใหม่ขาดตกบกพร่องอย่างไรบ้าง ก่อนที่จะประกาศใช้จริง จากการประชุมครั้งนี้ ทําให้รับทราบข้อมูลด้วยว่า มีข้าราชการครูจํานวนมากที่ไม่มีวิทยฐานะแยกเป็นข้าราชการครูสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จํานวน33,190คน หรือประมาณร้อยละ10ของครู สพฐ.ทั้งหมด ส่วนข้าราชการครูสังกัดสํานักงาน กศน. มีจํานวน431คน หรือประมาณร้อยละ20และข้าราชการครูสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่ยังไม่มีวิทยฐานะ รวม4,198คน หรือร้อยละ30สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากครูไม่มีเวลาทําผลงานทางวิชาการ และต้องเสียเวลาในการจัดทําเอกสารผลงานทางวิชาการจํานวนมาก อย่างไรก็ตาม ครูที่ขอรับการประเมินเพื่อเลื่อนวิทยฐานะจากเชี่ยวชาญเป็นเชี่ยวชาญพิเศษนั้น ยังคงจําเป็นต้องใช้หลักเกณฑ์เดิมคือ เน้นการจัดทําผลงานการวิจัย รมว.ศึกษาธิการกล่าวด้วยว่าหลักเกณฑ์ใหม่นี้ เชื่อว่าจะเป็นระบบที่สร้างความเป็นธรรมและค่าตอบแทนให้เกิดขึ้นกับครูที่มุ่งการสอนหนังสือ ซึ่งจะมีการกําหนดเกณฑ์ในการประเมินสําหรับครูที่มีปริมาณการสอนและคุณภาพการสอน เช่น การสอนเด็กพิเศษ ซึ่งมีการเตรียมการสอนที่ยุ่งยากกว่าสอนเด็กนักเรียนปกติทั่วไป ก็จะมีคะแนนเพิ่มขึ้น และการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะ ก็จะยังคงมีอยู่ เพื่อสร้างมาตรฐานและจรรยาบรรณทางวิชาชีพครู แต่จะไม่ประเมินด้วยระยะเวลาถี่จนเกินไป ซึ่งจะพยายามลดภาระต่าง ๆ ในการประเมินสําหรับครูให้มากที่สุด ส่วนข้าราชการครูที่อยู่ระหว่างการยื่นผลงานเพื่อขอรับการประเมินวิทยฐานะที่ค้างท่อในเวลานี้กว่า3,000คนนั้น มอบ ก.ค.ศ.ไปพิจารณา ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ได้รับการพิจารณา ส่วนตําแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ที่ประชุมก็เห็นตรงกันว่าอาจจะเปลี่ยนไปใช้เงินประจําตําแหน่ง เพื่อสะท้อนความเป็นจริงและสอดคล้องกับระบบบริหารมาตรฐานสากล นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า หลักเกณฑ์ใหม่นี้สามารถดําเนินการได้โดยไม่ต้องมีการแก้ไขกฎหมายอะไร ถือเป็นนิยามใหม่ของการประเมินวิทยฐานะครู ที่ไม่ใช่เป็นหลักเกณฑ์Performance Agreement :PAซึ่งเท่ากับยกเลิกเกณฑ์PAและแนวทางใหม่นี้จะใช้Portfolioเป็นตัวนํากับคน3กลุ่ม คือ กลุ่มรายใหม่ที่จะขอรับการประเมินวิทยฐานะ กลุ่มที่ค้างการประเมินซึ่งมีประมาณ3,000คนและกลุ่มที่ได้รับวิทยฐานะไปแล้ว จะต้องมีการประเมินเพื่อคงวิทยฐานะเอาไว้เช่นเดิม การใช้Portfolioนี้ เป็นแนวทางในการประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment)ซึ่งจะเป็นการบันทึกประวัติการพัฒนาวิชาชีพของครูทุกคนทั้งปริมาณการสอนเช่น จํานวนชั่วโมงการสอน ความยากง่ายในการสอน การสอนเด็กพิเศษ การสอนในโรงเรียนกันดาร ซึ่งจะมีคะแนนที่แตกต่างกันและคุณภาพการสอนซึ่งจะดูจากผลของการพัฒนาตนเองการเข้ารับการอบรมทางไกล การอบรมออนไลน์ ผลงานการสอนที่ได้จัดทําขึ้น ฯลฯ พร้อมทั้งจะนําระบบITเข้ามาช่วยบันทึกรวบรวมข้อมูลของครูทุกคน เพื่อไม่ให้ครูต้องยุ่งยากในการจัดทําเอกสารหลักฐานอีก และในระหว่างนี้จะมีการรับฟัง ประชาพิจารณ์หลักเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะแนวใหม่ รวมทั้งเตรียมการจัดทําระบบITเพื่อรองรับe-Portfolioและทดลองใช้ให้มั่นใจ ก่อนจะประกาศใช้หลักเกณฑ์ใหม่นี้ภายใน3เดือน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1665
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงข่าวเตรียมพัฒนาทักษะด้านศิลปะให้แก่ ครู และผู้ดูแลเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมส่งเข้าประกวดชิงรางวัลจากนายกรัฐมนตรี และเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างมีคุณภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562 พม. แถลงข่าวเตรียมพัฒนาทักษะด้านศิลปะให้แก่ ครู และผู้ดูแลเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมส่งเข้าประกวดชิงรางวัลจากนายกรัฐมนตรี และเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างมีคุณภาพ พม. แถลงข่าวเตรียมพัฒนาทักษะด้านศิลปะให้แก่ ครู และผู้ดูแลเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมส่งเข้าประกวดชิงรางวัลจากนายกรัฐมนตรี และเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างมีคุณภาพ วันนี้ (25 ก.ย. 62) เวลา 15.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยศาสตราจารย์ถาวร โกอุดมวิทย์ อาจารย์ประจําภาควิชาภาพพิมพ์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และดร.ไกรเสริม โตทับเที่ยง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมแถลงข่าวการจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการการพัฒนาเด็กและเยาวชน ด้วยกิจกรรมศิลปะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 29 กันยายน 2562 ที่โรงแรม ซี เอส จังหวัดปัตตานี เพื่อพัฒนาทักษะองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านศิลปะให้แก่ ครูและผู้ดูแลเด็กของกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) และสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สามารถถ่ายทอดความรู้และทักษะด้านศิลปะแก่เด็กและเยาวชนจนกระทั่งผลิตผลงานได้ และส่งเข้าประกวดและเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างมีคุณภาพ นายจุติ กล่าวว่า จากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ทําให้เด็กและเยาวชนได้รับผลกระทบทั้งด้านร่างกายและจิตใจด้วยสภาวะเครียด ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กและเยาวชนโดยตรงทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และสังคม ดังนั้นเพื่อให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้มีพัฒนาการที่เหมาะสม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จึงได้จัดทําโครงการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชน ด้านศิลปะ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านศิลปะให้แก่ ครู และผู้ดูแลเด็กของ ดย. และสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สามารถถ่ายทอดความรู้และทักษะด้านศิลปะแก่เด็กและเยาวชนจนสามารถผลิตผลงานส่งเข้าประกวดและเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างมีคุณภาพ โดยการนําศิลปะการวาดรูประบายสีที่เป็นกิจกรรมที่ทําให้เด็กและเยาวชนได้รับความเพลิดเพลิน เกิดความสงบ มีสมาธิ และมีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็กและเยาวชนทั้งด้านร่างกาย ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ส่งผลให้เด็กและเยาวชนได้เติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพต่อไป นายจุติ กล่าวต่อว่า สําหรับโครงการดังกล่าว มีรูปแบบการดําเนินงานที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 1) การอบรมครูและพี่เลี้ยงเด็กในสถานสงเคราะห์ ให้มีทักษะในการวาดรูปและนําไปถ่ายทอดทักษะให้กับเด็กและเยาวชน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 - 29 กันยายน 2562 โดยมีครูในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จํานวน 94 คน และพี่เลี้ยงเด็กในสถานสงเคราะห์ของ ดย. จํานวน 6 คน รวมทั้งสิ้น 100 คน พร้อมด้วยศาสตราจารย์ถาวร โกอุดมวิทย์ ศิลปินชั้นเยี่ยมจากการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติ ประจําปี 2535 เป็นผู้ที่จะช่วยสอนให้เด็กได้รับการพัฒนาศักยภาพ โดยใช้กิจกรรมศิลปะ วาดรูประบายสี กิจกรรมภาพพิมพ์ โมโนปริ๊นสีน้ํา และโมโนปริ๊นสีน้ํามัน กิจกรรมภาพพิมพ์แกะไม้ และการพิมพ์โฟมบอร์ด เพื่อให้เด็กเกิดความเพลิดเพลิน เป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการด้านอารมณ์ เกิดความคิดสร้างสรรค 2) การส่งผลงานการวาดภาพเข้าร่วมการประกวดรุ่นอายุระหว่าง 6 - 9 ปี 10 - 12 ปี 13 - 16 ปี และ 17 – 18 ปี สามารถส่งภาพประกวดที่ สถานสงเคราะห์เด็กปัตตานี สถานสงเคราะห์เด็กชายจังหวัดยะลา และสถานสงเคราะห์เด็กชายนราธิวาส โดยมีรางวัลการประกวดจํานวนรุ่นละ 13 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลที่ 1 จํานวน 1 รางวัล รางวัลที่ 2 จํานวน 2 รางวัล และรางวัลชมเชย จํานวน 10 รางวัล ซึ่งเด็กและเยาวชนที่ผ่านการประกวดจะได้เข้ารับรางวัลจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทําเนียบรัฐบาลในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2562 และ 3) การจัดนิทรรศการและการแสดงผลงานของเด็กและเยาวชน โดยจัดแสดงที่หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนินเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา หรือหอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และนําเด็กและเยาวชนเยี่ยมชมสถานที่สําคัญ อาทิ มัสยิดเขตประเวศ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ชมเรือพระที่นั่ง และซีไลฟ์ แบงคอก โอเชียน เวิร์ล ที่ Siam Paragon “ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมสนับสนุนการพัฒนาเด็กและเยาวชนโดยใช้ศิลปะการวาดรูป ระบายสี ซึ่งต้องอาศัยบุคลากรที่มีความใกล้ชิดและสามารถถ่ายทอดทักษะให้กับเด็กและเยาวชนได้ และที่สําคัญ คือ ครู พี่เลี้ยง ผู้ดูแลใกล้ชิดกับเด็กและเยาวชน เพื่อให้การพัฒนาเด็กและเยาวชนด้านศิลปะมีการต่อยอดด้วยการประกวดวาดภาพ รวมทั้งการแสดงผลงานของเด็กและเยาวชนดังกล่าวให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ เพื่อเพิ่มความภาคภูมิใจให้กับเด็กและเยาวชน และส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนให้เป็นประชากรที่มีคุณภาพต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงข่าวเตรียมพัฒนาทักษะด้านศิลปะให้แก่ ครู และผู้ดูแลเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมส่งเข้าประกวดชิงรางวัลจากนายกรัฐมนตรี และเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างมีคุณภาพ วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562 พม. แถลงข่าวเตรียมพัฒนาทักษะด้านศิลปะให้แก่ ครู และผู้ดูแลเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมส่งเข้าประกวดชิงรางวัลจากนายกรัฐมนตรี และเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างมีคุณภาพ พม. แถลงข่าวเตรียมพัฒนาทักษะด้านศิลปะให้แก่ ครู และผู้ดูแลเด็กในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมส่งเข้าประกวดชิงรางวัลจากนายกรัฐมนตรี และเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างมีคุณภาพ วันนี้ (25 ก.ย. 62) เวลา 15.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยศาสตราจารย์ถาวร โกอุดมวิทย์ อาจารย์ประจําภาควิชาภาพพิมพ์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และดร.ไกรเสริม โตทับเที่ยง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมแถลงข่าวการจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการการพัฒนาเด็กและเยาวชน ด้วยกิจกรรมศิลปะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 – 29 กันยายน 2562 ที่โรงแรม ซี เอส จังหวัดปัตตานี เพื่อพัฒนาทักษะองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านศิลปะให้แก่ ครูและผู้ดูแลเด็กของกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) และสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สามารถถ่ายทอดความรู้และทักษะด้านศิลปะแก่เด็กและเยาวชนจนกระทั่งผลิตผลงานได้ และส่งเข้าประกวดและเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างมีคุณภาพ นายจุติ กล่าวว่า จากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ทําให้เด็กและเยาวชนได้รับผลกระทบทั้งด้านร่างกายและจิตใจด้วยสภาวะเครียด ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กและเยาวชนโดยตรงทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และสังคม ดังนั้นเพื่อให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้มีพัฒนาการที่เหมาะสม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จึงได้จัดทําโครงการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชน ด้านศิลปะ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านศิลปะให้แก่ ครู และผู้ดูแลเด็กของ ดย. และสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สามารถถ่ายทอดความรู้และทักษะด้านศิลปะแก่เด็กและเยาวชนจนสามารถผลิตผลงานส่งเข้าประกวดและเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างมีคุณภาพ โดยการนําศิลปะการวาดรูประบายสีที่เป็นกิจกรรมที่ทําให้เด็กและเยาวชนได้รับความเพลิดเพลิน เกิดความสงบ มีสมาธิ และมีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็กและเยาวชนทั้งด้านร่างกาย ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ส่งผลให้เด็กและเยาวชนได้เติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพต่อไป นายจุติ กล่าวต่อว่า สําหรับโครงการดังกล่าว มีรูปแบบการดําเนินงานที่น่าสนใจ ประกอบด้วย 1) การอบรมครูและพี่เลี้ยงเด็กในสถานสงเคราะห์ ให้มีทักษะในการวาดรูปและนําไปถ่ายทอดทักษะให้กับเด็กและเยาวชน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 - 29 กันยายน 2562 โดยมีครูในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จํานวน 94 คน และพี่เลี้ยงเด็กในสถานสงเคราะห์ของ ดย. จํานวน 6 คน รวมทั้งสิ้น 100 คน พร้อมด้วยศาสตราจารย์ถาวร โกอุดมวิทย์ ศิลปินชั้นเยี่ยมจากการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติ ประจําปี 2535 เป็นผู้ที่จะช่วยสอนให้เด็กได้รับการพัฒนาศักยภาพ โดยใช้กิจกรรมศิลปะ วาดรูประบายสี กิจกรรมภาพพิมพ์ โมโนปริ๊นสีน้ํา และโมโนปริ๊นสีน้ํามัน กิจกรรมภาพพิมพ์แกะไม้ และการพิมพ์โฟมบอร์ด เพื่อให้เด็กเกิดความเพลิดเพลิน เป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการด้านอารมณ์ เกิดความคิดสร้างสรรค 2) การส่งผลงานการวาดภาพเข้าร่วมการประกวดรุ่นอายุระหว่าง 6 - 9 ปี 10 - 12 ปี 13 - 16 ปี และ 17 – 18 ปี สามารถส่งภาพประกวดที่ สถานสงเคราะห์เด็กปัตตานี สถานสงเคราะห์เด็กชายจังหวัดยะลา และสถานสงเคราะห์เด็กชายนราธิวาส โดยมีรางวัลการประกวดจํานวนรุ่นละ 13 รางวัล แบ่งเป็นรางวัลที่ 1 จํานวน 1 รางวัล รางวัลที่ 2 จํานวน 2 รางวัล และรางวัลชมเชย จํานวน 10 รางวัล ซึ่งเด็กและเยาวชนที่ผ่านการประกวดจะได้เข้ารับรางวัลจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทําเนียบรัฐบาลในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2562 และ 3) การจัดนิทรรศการและการแสดงผลงานของเด็กและเยาวชน โดยจัดแสดงที่หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนินเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา หรือหอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และนําเด็กและเยาวชนเยี่ยมชมสถานที่สําคัญ อาทิ มัสยิดเขตประเวศ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ชมเรือพระที่นั่ง และซีไลฟ์ แบงคอก โอเชียน เวิร์ล ที่ Siam Paragon “ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมสนับสนุนการพัฒนาเด็กและเยาวชนโดยใช้ศิลปะการวาดรูป ระบายสี ซึ่งต้องอาศัยบุคลากรที่มีความใกล้ชิดและสามารถถ่ายทอดทักษะให้กับเด็กและเยาวชนได้ และที่สําคัญ คือ ครู พี่เลี้ยง ผู้ดูแลใกล้ชิดกับเด็กและเยาวชน เพื่อให้การพัฒนาเด็กและเยาวชนด้านศิลปะมีการต่อยอดด้วยการประกวดวาดภาพ รวมทั้งการแสดงผลงานของเด็กและเยาวชนดังกล่าวให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ เพื่อเพิ่มความภาคภูมิใจให้กับเด็กและเยาวชน และส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนให้เป็นประชากรที่มีคุณภาพต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23401
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรรม มอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจำปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561 กระทรวงอุตสาหกรรรม มอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2560 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2560 ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมอมารี วอเตอร์เกต กรุงเทพฯ วันนี้ 22 มีนาคม 2561 นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2560 โดยมี 4 องค์กรไทยคุณภาพ ดําเนินกิจการทั้งในภาคการผลิตและการบริการ ที่ผ่านเกณฑ์เข้ารับรางวัล “การบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านการปฏิบัติการ หรือ Thailand Quality Class Plus : Operations” และ “รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ หรือ Thailand Quality Class : TQC” ประจําปี 2560 ได้สําเร็จ ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวให้ความสําคัญกับระบบบริหารจัดการที่เป็นเลิศ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ก้าวไปสู่มาตรฐานสากล 2560 ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมอมารี วอเตอร์เกต กรุงเทพฯ สําหรับในปีนี้ ไม่มีองค์กรใดผ่านเกณฑ์การพิจารณาให้ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) และมีจํานวนองค์กรที่ผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัล “การบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านการปฏิบัติการ” (Thailand Quality Class Plus : Operations) ทั้งสิ้น 2 องค์กร ดังต่อไปนี้ 1. กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) 2. สายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย และรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class : TQC) ทั้งสิ้น 2 องค์กร ดังต่อไปนี้ 1. เขื่อนภูมิพล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 2. ธนาคารออมสิน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรรม มอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจำปี 2560 วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561 กระทรวงอุตสาหกรรรม มอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2560 ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2560 ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมอมารี วอเตอร์เกต กรุงเทพฯ วันนี้ 22 มีนาคม 2561 นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2560 โดยมี 4 องค์กรไทยคุณภาพ ดําเนินกิจการทั้งในภาคการผลิตและการบริการ ที่ผ่านเกณฑ์เข้ารับรางวัล “การบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านการปฏิบัติการ หรือ Thailand Quality Class Plus : Operations” และ “รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ หรือ Thailand Quality Class : TQC” ประจําปี 2560 ได้สําเร็จ ทั้งนี้ รางวัลดังกล่าวให้ความสําคัญกับระบบบริหารจัดการที่เป็นเลิศ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ก้าวไปสู่มาตรฐานสากล 2560 ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมอมารี วอเตอร์เกต กรุงเทพฯ สําหรับในปีนี้ ไม่มีองค์กรใดผ่านเกณฑ์การพิจารณาให้ได้รับรางวัลคุณภาพแห่งชาติ (Thailand Quality Award : TQA) และมีจํานวนองค์กรที่ผ่านการพิจารณาให้ได้รับรางวัล “การบริหารสู่ความเป็นเลิศที่มีความโดดเด่นด้านการปฏิบัติการ” (Thailand Quality Class Plus : Operations) ทั้งสิ้น 2 องค์กร ดังต่อไปนี้ 1. กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) 2. สายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย และรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (Thailand Quality Class : TQC) ทั้งสิ้น 2 องค์กร ดังต่อไปนี้ 1. เขื่อนภูมิพล การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 2. ธนาคารออมสิน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10973
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. เทขาย NPL มูลหนี้ 6,971 ล้านบาท BAM รับบริหารต่อพร้อมเร่งเจรจาลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้
วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2560 ธอส. เทขาย NPL มูลหนี้ 6,971 ล้านบาท BAM รับบริหารต่อพร้อมเร่งเจรจาลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ ธอส. และ BAM ร่วมลงนามสัญญาจําหน่ายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปี 2560 มูลค่าเงินต้นคงค้างรวม 6,971 ล้านบาท ช่วยลด NPL ธอส. ลงเหลือ 4.61% ของยอดสินเชื่อคงค้าง หรือลดลง 0.68% ด้าน BAM พร้อมรับบริหารต่อ เตรียมแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ วันนี้ (17 ตุลาคม 2560) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด หรือ BAM ร่วมลงนามสัญญาจําหน่ายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปี 2560 มูลค่าเงินต้นคงค้างรวม 6,971 ล้านบาท ช่วยลด NPL ธอส. ลงเหลือ 4.61% ของยอดสินเชื่อคงค้าง หรือลดลง 0.68% ด้าน BAM พร้อมรับบริหารต่อ เตรียมแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ เพื่อเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ มุ่งเน้นวิธีการเจรจาประนีประนอม เพื่อหาข้อยุติที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย และช่วยเหลือลูกค้าให้กลับคืนระบบเศรษฐกิจตามปกติต่อไป นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า การจําหน่ายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ BAM ในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการสินเชื่อเงินกู้ที่อยู่อาศัยที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้พร้อมกับพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ตามที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ ธอส. จําหน่าย NPL ที่คงค้างเกิน 3 ปีขึ้นไปวงเงินไม่เกิน 14,000 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2559 โดยหลังจากที่ธนาคารได้แจ้งให้ลูกหนี้ทราบว่าจะดําเนินการจําหน่าย NPL ตามขั้นตอน ทําให้มีลูกหนี้จํานวนหนึ่งกลับมาติดต่อขอเข้าสู่กระบวนการประนอมหนี้กับธนาคาร ส่งผลให้เหลือ NPL ที่จําหน่ายให้กับ BAM และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารแล้วคิดเป็นมูลค่าเงินต้นคงค้าง 6,971 ล้านบาท และช่วยให้ NPL ของธนาคาร ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 ลดลงจาก 5.29% เหลือ 4.61% ของยอดสินเชื่อคงค้าง หรือลดลง 0.68% ซึ่งการจําหน่าย NPL ในครั้งนี้ยังทําให้ธนาคารประหยัดเวลา บุคลากร ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการต่างๆ และมีความแข็งแกร่งทางการเงินมากขึ้น โดยสามารถนําเงินที่ได้จากการจําหน่ายเป็นเงินสดสํารองในกองทุนของธนาคาร เพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ได้ตามเป้าหมายในปี 2560 ที่ 178,224 ล้านบาทต่อไป ซึ่ง ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2560 ธอส.สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 126,995 ล้านบาท และ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2560 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2559 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างรวมก่อนจําหน่าย NPL ในครั้งนี้ 980,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.67% สินทรัพย์รวม 1,050,666 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.43% เงินฝากรวม 862,767 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.50% กําไรสุทธิ 9,048 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2560 ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งมากที่ 14.42% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ํา 8.50% ที่กําหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ด้านนายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า การลงนามในสัญญาจําหน่ายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ระหว่าง ธอส. กับ BAM ในครั้งนี้ มีภาระหนี้เงินต้น 6,971 ล้านบาท จํานวนลูกหนี้ 13,407 บัญชี โดยลูกหนี้มีทั้งที่อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2548 BAM มีการลงนามซื้อ NPL จาก ธอส. รวม 4 ครั้ง คิดเป็นภาระหนี้เงินต้นรวมทั้งสิ้น 26,723 ล้านบาท จํานวนลูกหนี้ 50,586 ราย ทั้งนี้ ในขั้นตอนต่อไป BAM จะมีหนังสือแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ เพื่อเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ โดยพิจารณาจากความสามารถในการชําระหนี้ของลูกค้าเป็นหลัก และมุ่งเน้นวิธีการเจรจาประนีประนอม เพื่อหาข้อยุติที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย แม้จะเป็นหนี้ที่อยู่ในระหว่างการฟ้องร้องบังคับคดี BAM ก็เปิดโอกาสให้ลูกค้ากลับมาเจรจาประนอมหนี้ได้ใหม่ โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ และส่งกลับคืนระบบเศรษฐกิจตามปกติต่อไป ปัจจุบัน BAM มี NPL ที่อยู่ในความดูแลจํานวน 76,230 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 435,826 ล้านบาท ขณะที่มี NPA จํานวน 15,824 รายการ คิดเป็นมูลค่า 43,605 ล้านบาท โดยวัตถุประสงค์หลักของการรับซื้อ NPL และ NPA จากสถาบันการเงินมาบริหารจัดการ มุ่งเน้นการเป็นเครื่องมือสําคัญของรัฐที่จะช่วยแก้ปัญหา และลดหนี้ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงิน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. เทขาย NPL มูลหนี้ 6,971 ล้านบาท BAM รับบริหารต่อพร้อมเร่งเจรจาลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2560 ธอส. เทขาย NPL มูลหนี้ 6,971 ล้านบาท BAM รับบริหารต่อพร้อมเร่งเจรจาลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ ธอส. และ BAM ร่วมลงนามสัญญาจําหน่ายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปี 2560 มูลค่าเงินต้นคงค้างรวม 6,971 ล้านบาท ช่วยลด NPL ธอส. ลงเหลือ 4.61% ของยอดสินเชื่อคงค้าง หรือลดลง 0.68% ด้าน BAM พร้อมรับบริหารต่อ เตรียมแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ วันนี้ (17 ตุลาคม 2560) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด หรือ BAM ร่วมลงนามสัญญาจําหน่ายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปี 2560 มูลค่าเงินต้นคงค้างรวม 6,971 ล้านบาท ช่วยลด NPL ธอส. ลงเหลือ 4.61% ของยอดสินเชื่อคงค้าง หรือลดลง 0.68% ด้าน BAM พร้อมรับบริหารต่อ เตรียมแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ เพื่อเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ มุ่งเน้นวิธีการเจรจาประนีประนอม เพื่อหาข้อยุติที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย และช่วยเหลือลูกค้าให้กลับคืนระบบเศรษฐกิจตามปกติต่อไป นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า การจําหน่ายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ BAM ในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการสินเชื่อเงินกู้ที่อยู่อาศัยที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้พร้อมกับพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ตามที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ ธอส. จําหน่าย NPL ที่คงค้างเกิน 3 ปีขึ้นไปวงเงินไม่เกิน 14,000 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2559 โดยหลังจากที่ธนาคารได้แจ้งให้ลูกหนี้ทราบว่าจะดําเนินการจําหน่าย NPL ตามขั้นตอน ทําให้มีลูกหนี้จํานวนหนึ่งกลับมาติดต่อขอเข้าสู่กระบวนการประนอมหนี้กับธนาคาร ส่งผลให้เหลือ NPL ที่จําหน่ายให้กับ BAM และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการธนาคารแล้วคิดเป็นมูลค่าเงินต้นคงค้าง 6,971 ล้านบาท และช่วยให้ NPL ของธนาคาร ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 ลดลงจาก 5.29% เหลือ 4.61% ของยอดสินเชื่อคงค้าง หรือลดลง 0.68% ซึ่งการจําหน่าย NPL ในครั้งนี้ยังทําให้ธนาคารประหยัดเวลา บุคลากร ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการต่างๆ และมีความแข็งแกร่งทางการเงินมากขึ้น โดยสามารถนําเงินที่ได้จากการจําหน่ายเป็นเงินสดสํารองในกองทุนของธนาคาร เพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ได้ตามเป้าหมายในปี 2560 ที่ 178,224 ล้านบาทต่อไป ซึ่ง ณ วันที่ 16 ตุลาคม 2560 ธอส.สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 126,995 ล้านบาท และ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2560 เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2559 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างรวมก่อนจําหน่าย NPL ในครั้งนี้ 980,646 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.67% สินทรัพย์รวม 1,050,666 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.43% เงินฝากรวม 862,767 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.50% กําไรสุทธิ 9,048 ล้านบาท ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2560 ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งมากที่ 14.42% ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ํา 8.50% ที่กําหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ด้านนายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) หรือ BAM กล่าวว่า การลงนามในสัญญาจําหน่ายสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ระหว่าง ธอส. กับ BAM ในครั้งนี้ มีภาระหนี้เงินต้น 6,971 ล้านบาท จํานวนลูกหนี้ 13,407 บัญชี โดยลูกหนี้มีทั้งที่อยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2548 BAM มีการลงนามซื้อ NPL จาก ธอส. รวม 4 ครั้ง คิดเป็นภาระหนี้เงินต้นรวมทั้งสิ้น 26,723 ล้านบาท จํานวนลูกหนี้ 50,586 ราย ทั้งนี้ ในขั้นตอนต่อไป BAM จะมีหนังสือแจ้งให้ลูกค้ารับทราบ เพื่อเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ โดยพิจารณาจากความสามารถในการชําระหนี้ของลูกค้าเป็นหลัก และมุ่งเน้นวิธีการเจรจาประนีประนอม เพื่อหาข้อยุติที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย แม้จะเป็นหนี้ที่อยู่ในระหว่างการฟ้องร้องบังคับคดี BAM ก็เปิดโอกาสให้ลูกค้ากลับมาเจรจาประนอมหนี้ได้ใหม่ โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือลูกค้าให้สามารถปรับโครงสร้างหนี้ และส่งกลับคืนระบบเศรษฐกิจตามปกติต่อไป ปัจจุบัน BAM มี NPL ที่อยู่ในความดูแลจํานวน 76,230 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น 435,826 ล้านบาท ขณะที่มี NPA จํานวน 15,824 รายการ คิดเป็นมูลค่า 43,605 ล้านบาท โดยวัตถุประสงค์หลักของการรับซื้อ NPL และ NPA จากสถาบันการเงินมาบริหารจัดการ มุ่งเน้นการเป็นเครื่องมือสําคัญของรัฐที่จะช่วยแก้ปัญหา และลดหนี้ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงิน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7455
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัด พม. เป็นประธานประชุมการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาสังคมระดับพื้นที่
วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2560 ปลัด พม. เป็นประธานประชุมการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาสังคมระดับพื้นที่ ปลัด พม. เป็นประธานประชุมการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาสังคมระดับพื้นที่ โดยใช้ระบบประชุมวีดีทัศน์ทางไกล (Video Conference) เพื่อผลักดันการขับเคลื่อนงานด้านสังคมในระดับพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ (2 พ.ค. 60) เวลา 10.00 น. นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานการประชุมการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาสังคมระดับพื้นที่ โดยใช้ระบบประชุมวีดีทัศน์ทางไกล (Video Conference) ซึ่งมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสังคมในส่วนภูมิภาค 76 จังหวัด ได้แก่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดที่กํากับดูแลงานด้านสังคม นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด หัวหน้าสํานักงานจังหวัด ท้องถิ่นจังหวัด แรงงานจังหวัด นายกเหล่ากาชาดจังหวัด พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ในพื้นที่เข้าร่วมประชุม เพื่อชี้แจงทําความเข้าใจในการบูรณาการการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาสังคมในพื้นที่ ณ ห้องประชุม 2 กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพฯ นายไมตรี กล่าวว่า ปัจจุบัน ปัญหาสังคมที่เกิดในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ทั้งในเรื่องของความเลื่อมล้ําในสังคมการขาดแคลนที่อยู่อาศัย ปัญหาการค้ามนุษย์ ความเสมอภาคหญิงชาย ผู้พิการและผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าว กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ไม่สามารถดําเนินการเพียงหน่วยงานเดียวได้ จําเป็นต้องมีการบูรณาการความร่วมมือกับภาคเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน สําหรับในปี 2560 กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้ดําเนินนโยบายด้านการพัฒนาสังคมในระดับพื้นที่ โดยยึดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นแนวทางในการปฏิบัติ โดยมีนโยบายสําคัญที่ดําเนินการในปี 2560 แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ นโยบายเร่งด่วน ( Agenda Based ) 9 เรื่อง นโยบายขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ (Area Based ) 5 เรื่อง และนโยบายบริหารการพัฒนา ( Administration Based ) 5 เรื่อง นายไมตรี กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้กําหนดจัดการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้เกิดการบูรณาการดําเนินงานด้านสังคมอย่างใกล้ชิด และชี้แจงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ให้มีความเข้าใจอย่างชัดเจนและดําเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น ตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ซึ่งจะทําให้การปฏิบัติงานร่วมกันอย่างเป็นทีมมีความราบรื่นยิ่งขึ้น พร้อมทั้งอธิบายถึงนโยบายการดําเนินงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯในปี 2560 เพื่อให้เกิดการบูรณาการในด้านงบประมาณและการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน รวมถึงรับฟังแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงความคิดเห็นในการดําเนินงานจากผู้แทนแต่ละหน่วยงาน นายไมตรี กล่าวต่ออีกว่า การประชุมครั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้ขอความร่วมมือจังหวัดและหน่วยงานในส่วนภูมิภาค เพื่อร่วมบูรณาการการทํางานร่วมกันเพื่อเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาที่สําคัญ เช่น การค้ามนุษย์ การขับเคลื่อนด้านเด็กและเยาวชน ความรุนแรงเกี่ยวกับเด็กและสตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ สวัสดิการสังคม ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําให้ดําเนินการขับเคลื่อนในรูปแบบ ONE HOME สนับสนุนอําเภอและ อปท. ร่วมเป็นเจ้าภาพในการพัฒนาสังคม ใช้กลไกลคณะกรรมการและอนุกรรมการเชื่อมโยงงานพัฒนาสังคมรวมถึงมุ่งเน้นการทํางานในรูปแบบประชารัฐ “อย่างไรก็ตาม รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จะดําเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่าย เป็นการบูรณาการระหว่างกระทรวง และหน่วยงานต่างๆ โดยได้มอบหมายให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) เป็นเจ้าภาพหลักด้านสังคม พร้อมทั้งจัดทําข้อมูลด้านสังคมเป็นแผนที่สังคม (Social Mapping) โดยให้มีทั้งแผนที่และผังความคิดที่จะแก้ไขปัญหาสังคมร่วมกัน ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวจะทําให้ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านสังคมอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวต่อไป” นายไมตรี กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ปลัด พม. เป็นประธานประชุมการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาสังคมระดับพื้นที่ วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2560 ปลัด พม. เป็นประธานประชุมการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาสังคมระดับพื้นที่ ปลัด พม. เป็นประธานประชุมการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาสังคมระดับพื้นที่ โดยใช้ระบบประชุมวีดีทัศน์ทางไกล (Video Conference) เพื่อผลักดันการขับเคลื่อนงานด้านสังคมในระดับพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ (2 พ.ค. 60) เวลา 10.00 น. นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานการประชุมการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาสังคมระดับพื้นที่ โดยใช้ระบบประชุมวีดีทัศน์ทางไกล (Video Conference) ซึ่งมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสังคมในส่วนภูมิภาค 76 จังหวัด ได้แก่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดที่กํากับดูแลงานด้านสังคม นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด หัวหน้าสํานักงานจังหวัด ท้องถิ่นจังหวัด แรงงานจังหวัด นายกเหล่ากาชาดจังหวัด พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ในพื้นที่เข้าร่วมประชุม เพื่อชี้แจงทําความเข้าใจในการบูรณาการการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาสังคมในพื้นที่ ณ ห้องประชุม 2 กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพฯ นายไมตรี กล่าวว่า ปัจจุบัน ปัญหาสังคมที่เกิดในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ทั้งในเรื่องของความเลื่อมล้ําในสังคมการขาดแคลนที่อยู่อาศัย ปัญหาการค้ามนุษย์ ความเสมอภาคหญิงชาย ผู้พิการและผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าว กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ไม่สามารถดําเนินการเพียงหน่วยงานเดียวได้ จําเป็นต้องมีการบูรณาการความร่วมมือกับภาคเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืน สําหรับในปี 2560 กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้ดําเนินนโยบายด้านการพัฒนาสังคมในระดับพื้นที่ โดยยึดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นแนวทางในการปฏิบัติ โดยมีนโยบายสําคัญที่ดําเนินการในปี 2560 แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ นโยบายเร่งด่วน ( Agenda Based ) 9 เรื่อง นโยบายขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ (Area Based ) 5 เรื่อง และนโยบายบริหารการพัฒนา ( Administration Based ) 5 เรื่อง นายไมตรี กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้กําหนดจัดการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้เกิดการบูรณาการดําเนินงานด้านสังคมอย่างใกล้ชิด และชี้แจงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ให้มีความเข้าใจอย่างชัดเจนและดําเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น ตามภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ซึ่งจะทําให้การปฏิบัติงานร่วมกันอย่างเป็นทีมมีความราบรื่นยิ่งขึ้น พร้อมทั้งอธิบายถึงนโยบายการดําเนินงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯในปี 2560 เพื่อให้เกิดการบูรณาการในด้านงบประมาณและการพัฒนาบุคลากรร่วมกัน รวมถึงรับฟังแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถึงความคิดเห็นในการดําเนินงานจากผู้แทนแต่ละหน่วยงาน นายไมตรี กล่าวต่ออีกว่า การประชุมครั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้ขอความร่วมมือจังหวัดและหน่วยงานในส่วนภูมิภาค เพื่อร่วมบูรณาการการทํางานร่วมกันเพื่อเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาที่สําคัญ เช่น การค้ามนุษย์ การขับเคลื่อนด้านเด็กและเยาวชน ความรุนแรงเกี่ยวกับเด็กและสตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ สวัสดิการสังคม ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําให้ดําเนินการขับเคลื่อนในรูปแบบ ONE HOME สนับสนุนอําเภอและ อปท. ร่วมเป็นเจ้าภาพในการพัฒนาสังคม ใช้กลไกลคณะกรรมการและอนุกรรมการเชื่อมโยงงานพัฒนาสังคมรวมถึงมุ่งเน้นการทํางานในรูปแบบประชารัฐ “อย่างไรก็ตาม รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จะดําเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่าย เป็นการบูรณาการระหว่างกระทรวง และหน่วยงานต่างๆ โดยได้มอบหมายให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) เป็นเจ้าภาพหลักด้านสังคม พร้อมทั้งจัดทําข้อมูลด้านสังคมเป็นแผนที่สังคม (Social Mapping) โดยให้มีทั้งแผนที่และผังความคิดที่จะแก้ไขปัญหาสังคมร่วมกัน ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวจะทําให้ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านสังคมอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวต่อไป” นายไมตรี กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3468
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน ในวันพุธที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๖.๐๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ นายโยชิมิตสุ ยามาอุชิ (Mr. Yoshimitsu YAMAUCHI) ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น พร้อมคณะ ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน พร้อมทั้งติดตามการดําเนินการยกร่างบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างสองประเทศ (Memorandum of Cooperation - MOC) ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการหารือระหว่างนางโยโกะ คามิกาวา (H.E. Ms. Yoko Kamikawa) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น กับ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑ สําหรับผลการเจรจาดังกล่าวได้นําไปสู่การพัฒนากลไก ในการประสานความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างสองประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในโอกาสนี้ ได้เชิญให้เข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรม ทางอาญา สมัยที่ ๑๔ (Fourteenth United Nations Congress on Crime Prevention and Criminal Justice) ซึ่งมีกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๐-๒๗ เมษายน ๒๕๖๓ ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561 ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่นในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน ในวันพุธที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๖.๐๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ นายโยชิมิตสุ ยามาอุชิ (Mr. Yoshimitsu YAMAUCHI) ผู้ช่วยปลัดกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น พร้อมคณะ ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน พร้อมทั้งติดตามการดําเนินการยกร่างบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างสองประเทศ (Memorandum of Cooperation - MOC) ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการหารือระหว่างนางโยโกะ คามิกาวา (H.E. Ms. Yoko Kamikawa) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมญี่ปุ่น กับ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑ สําหรับผลการเจรจาดังกล่าวได้นําไปสู่การพัฒนากลไก ในการประสานความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างสองประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในโอกาสนี้ ได้เชิญให้เข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรม ทางอาญา สมัยที่ ๑๔ (Fourteenth United Nations Congress on Crime Prevention and Criminal Justice) ซึ่งมีกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๐-๒๗ เมษายน ๒๕๖๓ ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14463
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2562 มุ่งขับเคลื่อนนโยบายรัฐ เพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 กรมบัญชีกลางมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2562 มุ่งขับเคลื่อนนโยบายรัฐ เพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2562 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง และสร้างขวัญกําลังใจให้แก่ทุนหมุนเวียนที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นในด้านต่าง ๆ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความสําคัญของทุนหมุนเวียน กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2562 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง และสร้างขวัญกําลังใจให้แก่ทุนหมุนเวียนที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นในด้านต่าง ๆ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความสําคัญของทุนหมุนเวียนในฐานะเป็นเครื่องมือสําคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม ให้อยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืน นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลังพิธีมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2562 โดยได้รับเกียรติจากนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานมอบรางวัลว่า กรมบัญชีกลาง เล็งเห็นว่าการดําเนินงานของทุนหมุนเวียนเป็นกลไกสําคัญที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีมีสุข บนพื้นฐานความสมดุล และความพอประมาณอย่างมีเหตุผลตามหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” อันจะนํามาซึ่ง “ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ของประเทศ ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานของทุนหมุนเวียน กรมบัญชีกลางจึงจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ 12 แล้ว โดยจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 ณ ห้องจูปิเตอร์ 4 - 7 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี การมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่นในวันนี้ มีทุนหมุนเวียนที่ได้รับรางวัลประจําปี 2562 จํานวนทั้งสิ้น 15 รางวัล จาก 5 ประเภทรางวัล ดังนี้ 1. รางวัลผลการดําเนินงานดีเด่น เป็นรางวัลสําหรับทุนหมุนเวียนที่มีผลการดําเนินงานโดยรวมดีเด่น สามารถดําเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่กําหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล บรรลุเป้าหมายตามภารกิจ จํานวน 7 ทุน ได้แก่ 1) กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2) กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 3) กองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 4) กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ 5) กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน 6) กองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน และ 7) เงินทุนหมุนเวียนในการผลิตเชื้อไรโซเบียม 2. รางวัลการพัฒนาดีเด่น เป็นรางวัลสําหรับทุนหมุนเวียนที่มีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการดําเนินงานตามเป้าหมายหรือมาตรฐานที่กําหนดไว้ให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบ่งเป็น - ประเภทดีเด่น จํานวน 2 ทุน ได้แก่ 1) เงินทุนหมุนเวียนโรงงานเภสัชกรรมทหาร และ 2) เงินทุนหมุนเวียน เพื่อการบริหารท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ – กองทัพเรือ - ประเภทชมเชย ไม่มีผู้ได้รับรางวัล 3. รางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น เป็นรางวัลสําหรับทุนหมุนเวียนที่มีการจัดการบริหารพัฒนา และปรับปรุงองค์กรที่ครอบคลุมตามกรอบการประเมินด้านที่ 4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน จํานวน 3 ทุน ได้แก่ 1) กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2) กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 3) กองทุนพัฒนา ระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 4. รางวัลผู้บริหารทุนหมุนเวียนดีเด่น เป็นรางวัลที่ยกย่องผู้บริหารทุนหมุนเวียนที่มีผลงานผ่านการประเมินของคณะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียนในระดับดีขึ้นไป ซึ่งเป็นรางวัลที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จํานวน 2 ทุน ได้แก่ 1) กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 2) กองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน 5. รางวัลทุนหมุนเวียนเกียรติยศ เป็นรางวัลที่ยกย่องชมเชยให้กับทุนหมุนเวียนที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีผลการดําเนินงานในระดับดีเด่นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี จํานวน 1 ทุน ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการวิจัย อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า การมอบรางวัลในครั้งนี้ มีส่วนช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนต่อการพัฒนาทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการดําเนินงานให้เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน ซึ่งจะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง และตอบสนองนโยบายในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารและการพัฒนาประเทศ สมดังเจตนารมณ์ที่ว่า “ทุนหมุนเวียน ขับเคลื่อนนโยบายรัฐ พัฒนาประเทศ”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2562 มุ่งขับเคลื่อนนโยบายรัฐ เพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน วันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 กรมบัญชีกลางมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2562 มุ่งขับเคลื่อนนโยบายรัฐ เพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2562 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง และสร้างขวัญกําลังใจให้แก่ทุนหมุนเวียนที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นในด้านต่าง ๆ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความสําคัญของทุนหมุนเวียน กรมบัญชีกลางจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2562 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 เพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง และสร้างขวัญกําลังใจให้แก่ทุนหมุนเวียนที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นในด้านต่าง ๆ ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงความสําคัญของทุนหมุนเวียนในฐานะเป็นเครื่องมือสําคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม ให้อยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืน นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลังพิธีมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจําปี 2562 โดยได้รับเกียรติจากนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานมอบรางวัลว่า กรมบัญชีกลาง เล็งเห็นว่าการดําเนินงานของทุนหมุนเวียนเป็นกลไกสําคัญที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีมีสุข บนพื้นฐานความสมดุล และความพอประมาณอย่างมีเหตุผลตามหลัก “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” อันจะนํามาซึ่ง “ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ของประเทศ ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานของทุนหมุนเวียน กรมบัญชีกลางจึงจัดงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ 12 แล้ว โดยจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 2562 ณ ห้องจูปิเตอร์ 4 - 7 อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี การมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่นในวันนี้ มีทุนหมุนเวียนที่ได้รับรางวัลประจําปี 2562 จํานวนทั้งสิ้น 15 รางวัล จาก 5 ประเภทรางวัล ดังนี้ 1. รางวัลผลการดําเนินงานดีเด่น เป็นรางวัลสําหรับทุนหมุนเวียนที่มีผลการดําเนินงานโดยรวมดีเด่น สามารถดําเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่กําหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล บรรลุเป้าหมายตามภารกิจ จํานวน 7 ทุน ได้แก่ 1) กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2) กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 3) กองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 4) กองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ 5) กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน 6) กองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน และ 7) เงินทุนหมุนเวียนในการผลิตเชื้อไรโซเบียม 2. รางวัลการพัฒนาดีเด่น เป็นรางวัลสําหรับทุนหมุนเวียนที่มีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการดําเนินงานตามเป้าหมายหรือมาตรฐานที่กําหนดไว้ให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง แบ่งเป็น - ประเภทดีเด่น จํานวน 2 ทุน ได้แก่ 1) เงินทุนหมุนเวียนโรงงานเภสัชกรรมทหาร และ 2) เงินทุนหมุนเวียน เพื่อการบริหารท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ – กองทัพเรือ - ประเภทชมเชย ไม่มีผู้ได้รับรางวัล 3. รางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น เป็นรางวัลสําหรับทุนหมุนเวียนที่มีการจัดการบริหารพัฒนา และปรับปรุงองค์กรที่ครอบคลุมตามกรอบการประเมินด้านที่ 4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน จํานวน 3 ทุน ได้แก่ 1) กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2) กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 3) กองทุนพัฒนา ระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 4. รางวัลผู้บริหารทุนหมุนเวียนดีเด่น เป็นรางวัลที่ยกย่องผู้บริหารทุนหมุนเวียนที่มีผลงานผ่านการประเมินของคณะกรรมการบริหารทุนหมุนเวียนในระดับดีขึ้นไป ซึ่งเป็นรางวัลที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จํานวน 2 ทุน ได้แก่ 1) กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 2) กองทุนการแพทย์ฉุกเฉิน 5. รางวัลทุนหมุนเวียนเกียรติยศ เป็นรางวัลที่ยกย่องชมเชยให้กับทุนหมุนเวียนที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีผลการดําเนินงานในระดับดีเด่นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี จํานวน 1 ทุน ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการวิจัย อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า การมอบรางวัลในครั้งนี้ มีส่วนช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนต่อการพัฒนาทุนหมุนเวียนให้มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการการดําเนินงานให้เป็นไปอย่างมีมาตรฐาน ซึ่งจะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง และตอบสนองนโยบายในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารและการพัฒนาประเทศ สมดังเจตนารมณ์ที่ว่า “ทุนหมุนเวียน ขับเคลื่อนนโยบายรัฐ พัฒนาประเทศ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23344
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยประเมินมีนักท่องเที่ยวจีนเยือนไทย 23 ล้านคน ในปี 2030
วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม 2562 กรุงไทยประเมินมีนักท่องเที่ยวจีนเยือนไทย 23 ล้านคน ในปี 2030 ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์ใน 10 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6.9% ตามกําลังซื้อและสัดส่วนชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ชี้หากไทยยังสามารถรักษาสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่ 7% ยอดนักท่องเที่ยวจีนในไทยจะแตะ 23 ล้านคน ในปี 2030 ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์ใน 10 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6.9% ตามกําลังซื้อและสัดส่วนชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ชี้หากไทยยังสามารถรักษาสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่ 7% ยอดนักท่องเที่ยวจีนในไทยจะแตะ 23 ล้านคน ในปี 2030 โดยความงดงามตามธรรมชาติ เอกลักษณ์และวัฒนธรรม ทําให้ไทยเป็นปลายทางแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1 ของจีน แนะผู้ประกอบการทําการตลาดบนสื่อโซเชียลมีเดียจีน เพื่อเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนมีความสําคัญอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยและทั่วโลก จากการทําบทวิจัยเรื่อง “เกาะติดทิศทางนักท่องเที่ยวจีน” พบว่าใน 10 ปีข้างหน้า การท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีนจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6.9% จาก 160 ล้านคน ในปี 2019 เป็น 334 ล้านคน ในปี 2030 เนื่องจากกําลังซื้อที่ยังเพิ่มขึ้น แม้เพิ่มในอัตราที่ชะลอลงบ้างตามทิศทางเศรษฐกิจ ชาวจีนรวยขึ้นในลักษณะกระจายตัวตามมณฑลต่างๆ โดยสัดส่วนชนชั้นกลางจะเพิ่มขึ้นจนเกือบเป็นครึ่งหนึ่งของครัวเรือนจีน นอกจากนี้ จีนยังมีแผนขยายสนามบินและเที่ยวบินอย่างต่อเนื่อง โดยจะเพิ่มสนามบินใหม่อีกกว่า 200 แห่ง ปรับโครงสร้างพื้นฐานสนามบินเดิม นอกจากนี้ มาตรการผ่อนคลายด้านวีซ่าของประเทศต่างๆ หนุนให้ชาวจีนเที่ยวนอกได้ง่ายขึ้น “โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปจะสร้างนักท่องเที่ยวจีนหน้าใหม่ราว 33 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 35 ปี สามารถเข้าถึงข้อมูลในโลกออนไลน์และสามารถท่องเที่ยวได้ด้วยตนเอง ซึ่งเริ่มมองหาแหล่งท่องเที่ยวประเภท Unseen รวมถึงเมืองรองทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น โดยเวียดนาม เมียนมาและกัมพูชา เป็นแหล่งท่องเที่ยวมาแรงในสายตาของนักท่องเที่ยวจีน ทั้งนี้ โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเที่ยวนอกและช้อปปิ้งของชาวจีนสูงมาก ดังนั้นธุรกิจและองค์กรด้านการท่องเที่ยวทั่วโลก จึงใช้โซเชียลมีเดียจีนนําเสนอข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวจีน” นายณัฐพร ศรีทอง ผู้ร่วมทําวิจัยกล่าวเสริมว่า ปัจจุบันไทยยังเป็นปลายทางแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจีน รองลงมาคือญี่ปุ่นและเวียดนาม ซึ่งในอนาคต Krungthai Compass ประเมินแนวโน้มนักท่องเที่ยวจีนออกเป็น 2 กรณี โดยกรณีแรก คือ หากไทยสามารถรักษาสัดส่วน 7% ของชาวจีนที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ จํานวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนไทยมีโอกาสแตะ 23 ล้านคน ในปี 2030 จากขณะนี้ที่มีจํานวน 11.1 ล้านคน และกรณีที่สอง คือ หากการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม อาจทําให้จํานวนนักท่องเที่ยวจีนเติบโตเพียง 5.5% หรืออยู่ที่ 20 ล้านคนใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งไทยต้องแข่งขันด้วยการรักษาจุดแข็งด้านความงดงามทางธรรมชาติ ความโดดเด่นด้านโครงสร้างพื้นฐานบริการด้านการท่องเที่ยว การขนส่งทางอากาศและราคา เพิ่มความหลากหลายและความพร้อมของแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ โดยเฉพาะเมืองรอง เช่น จังหวัด เชียงราย สุโขทัย ตราด ตรัง และแม่ฮ่องสอน ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย “ที่สําคัญผู้ประกอบการไทยควรทําการตลาดบนโซเชียลมีเดียจีนมากขึ้น เพื่อดึงดูดความสนใจและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวจีนที่เชื่อถือข้อมูลบนโซเชียลมีเดียสูงมาก ซึ่งการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์จีนนั้น อาจมีความท้าทายจากกฎระเบียบของประเทศจีน ผู้ประกอบการไทยจึงอาจเลือกใช้บริการจากเอเจนซีผู้เชี่ยวชาญในการทําการตลาดออนไลน์บนแพลตฟอร์มของจีนแทน ซึ่งมีทั้งบริษัทคนไทยและบริษัทร่วมทุน โดยสามารถจัดทําเป็นบทความภาษาจีนที่น่าสนใจ เพื่อเผยแพร่ในรูปแบบและช่องทางที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การส่งแบนเนอร์ของธุรกิจไปยังหน้าจอ WeChat ตลอดจนการใช้บุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิดของชาวจีน (Key Opinion Leaders) ที่มีอยู่มากมายช่วยรีวิวสินค้าและบริการ”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยประเมินมีนักท่องเที่ยวจีนเยือนไทย 23 ล้านคน ในปี 2030 วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม 2562 กรุงไทยประเมินมีนักท่องเที่ยวจีนเยือนไทย 23 ล้านคน ในปี 2030 ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์ใน 10 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6.9% ตามกําลังซื้อและสัดส่วนชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ชี้หากไทยยังสามารถรักษาสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่ 7% ยอดนักท่องเที่ยวจีนในไทยจะแตะ 23 ล้านคน ในปี 2030 ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์ใน 10 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวจีนจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6.9% ตามกําลังซื้อและสัดส่วนชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ชี้หากไทยยังสามารถรักษาสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่ 7% ยอดนักท่องเที่ยวจีนในไทยจะแตะ 23 ล้านคน ในปี 2030 โดยความงดงามตามธรรมชาติ เอกลักษณ์และวัฒนธรรม ทําให้ไทยเป็นปลายทางแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1 ของจีน แนะผู้ประกอบการทําการตลาดบนสื่อโซเชียลมีเดียจีน เพื่อเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนมีความสําคัญอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยและทั่วโลก จากการทําบทวิจัยเรื่อง “เกาะติดทิศทางนักท่องเที่ยวจีน” พบว่าใน 10 ปีข้างหน้า การท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีนจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6.9% จาก 160 ล้านคน ในปี 2019 เป็น 334 ล้านคน ในปี 2030 เนื่องจากกําลังซื้อที่ยังเพิ่มขึ้น แม้เพิ่มในอัตราที่ชะลอลงบ้างตามทิศทางเศรษฐกิจ ชาวจีนรวยขึ้นในลักษณะกระจายตัวตามมณฑลต่างๆ โดยสัดส่วนชนชั้นกลางจะเพิ่มขึ้นจนเกือบเป็นครึ่งหนึ่งของครัวเรือนจีน นอกจากนี้ จีนยังมีแผนขยายสนามบินและเที่ยวบินอย่างต่อเนื่อง โดยจะเพิ่มสนามบินใหม่อีกกว่า 200 แห่ง ปรับโครงสร้างพื้นฐานสนามบินเดิม นอกจากนี้ มาตรการผ่อนคลายด้านวีซ่าของประเทศต่างๆ หนุนให้ชาวจีนเที่ยวนอกได้ง่ายขึ้น “โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปจะสร้างนักท่องเที่ยวจีนหน้าใหม่ราว 33 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 35 ปี สามารถเข้าถึงข้อมูลในโลกออนไลน์และสามารถท่องเที่ยวได้ด้วยตนเอง ซึ่งเริ่มมองหาแหล่งท่องเที่ยวประเภท Unseen รวมถึงเมืองรองทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น โดยเวียดนาม เมียนมาและกัมพูชา เป็นแหล่งท่องเที่ยวมาแรงในสายตาของนักท่องเที่ยวจีน ทั้งนี้ โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเที่ยวนอกและช้อปปิ้งของชาวจีนสูงมาก ดังนั้นธุรกิจและองค์กรด้านการท่องเที่ยวทั่วโลก จึงใช้โซเชียลมีเดียจีนนําเสนอข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวจีน” นายณัฐพร ศรีทอง ผู้ร่วมทําวิจัยกล่าวเสริมว่า ปัจจุบันไทยยังเป็นปลายทางแหล่งท่องเที่ยวอันดับ 1 ของนักท่องเที่ยวจีน รองลงมาคือญี่ปุ่นและเวียดนาม ซึ่งในอนาคต Krungthai Compass ประเมินแนวโน้มนักท่องเที่ยวจีนออกเป็น 2 กรณี โดยกรณีแรก คือ หากไทยสามารถรักษาสัดส่วน 7% ของชาวจีนที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ จํานวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนไทยมีโอกาสแตะ 23 ล้านคน ในปี 2030 จากขณะนี้ที่มีจํานวน 11.1 ล้านคน และกรณีที่สอง คือ หากการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม อาจทําให้จํานวนนักท่องเที่ยวจีนเติบโตเพียง 5.5% หรืออยู่ที่ 20 ล้านคนใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งไทยต้องแข่งขันด้วยการรักษาจุดแข็งด้านความงดงามทางธรรมชาติ ความโดดเด่นด้านโครงสร้างพื้นฐานบริการด้านการท่องเที่ยว การขนส่งทางอากาศและราคา เพิ่มความหลากหลายและความพร้อมของแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ โดยเฉพาะเมืองรอง เช่น จังหวัด เชียงราย สุโขทัย ตราด ตรัง และแม่ฮ่องสอน ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย “ที่สําคัญผู้ประกอบการไทยควรทําการตลาดบนโซเชียลมีเดียจีนมากขึ้น เพื่อดึงดูดความสนใจและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวจีนที่เชื่อถือข้อมูลบนโซเชียลมีเดียสูงมาก ซึ่งการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์จีนนั้น อาจมีความท้าทายจากกฎระเบียบของประเทศจีน ผู้ประกอบการไทยจึงอาจเลือกใช้บริการจากเอเจนซีผู้เชี่ยวชาญในการทําการตลาดออนไลน์บนแพลตฟอร์มของจีนแทน ซึ่งมีทั้งบริษัทคนไทยและบริษัทร่วมทุน โดยสามารถจัดทําเป็นบทความภาษาจีนที่น่าสนใจ เพื่อเผยแพร่ในรูปแบบและช่องทางที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การส่งแบนเนอร์ของธุรกิจไปยังหน้าจอ WeChat ตลอดจนการใช้บุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิดของชาวจีน (Key Opinion Leaders) ที่มีอยู่มากมายช่วยรีวิวสินค้าและบริการ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25176
สวัสดี ครับ พ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักและเคารพทุกท่าน วันนี้พบกันอีกครั้ง และเนื่องด้วยในวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรด เกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้กระผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และนับเป็นเกียรติยศอันสูงสุดในชีวิตของผมและวงศ์ตระกูลอย่างหาที่สุดมิได้ ผมตระหนักดีถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ต้องขอขอบคุณสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุนผมเป็นอย่างดี และมอบความไว้วางใจให้ผมนั้นดำเนินการในเรื่องของการบริหารประเทศในระยะต่อ ไป ขอขอบคุณอีกครั้งในแรงสนับสนุนต่าง ๆ เหล่านั้น ผมยินดีที่จะรับภาระในการทำทุกอย่างให้ประเทศชาติก้าวไปสู่อนาคตอย่าง ยั่งยืน นับจากนี้ไปผมต้องรับผิดชอบในการนำพาประเทศชาติและประชาชนให้ก้าวเดินไปข้าง หน้า ร่วมกันพัฒนาประเทศ เพื่อประโยชน์สุขของทุกคนในชาติต่อไป ในระยะที่ 2 ซึ่งการบริหารประเทศทุก ๆ ด้าน ในบทบาทของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนงานเร่งด่วนเฉพาะหน้า ที่ต้องการความรวดเร็ว โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องมีการหารือในการปฏิบัติ ตลอดจนวิธีการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด รวมทั้งต้องระมัดระวังการก้าวล่วงกัน แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบและถ่วงดุลกัน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส สุจริตและยุติธรรม ขอทุกคนอย่าได้กังวลกับตัวบุคคลให้มากนัก วันนี้เราต้องสร้างระบบทุกระบบให้เข้มแข็ง เพื่อต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นให้ได้โดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบข้าราชการ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ส่วนราชการ อันได้แก่ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ต้องร่วมมือกันในการพัฒนาปรับปรุงตนเองให้เข้มแข็ง เตรียมการเพื่อรองรับการปฏิรูป ซึ่งเราจะต้องทำให้ฝ่ายการเมืองมีระบบธรรมาภิบาลในการบริหารประเทศ จะได้ร่วมกันนำพาประเทศชาติไปสู่อนาคต อย่างไรก็ตามผมถือว่าประชาชนเป็นส่วนสำคัญที่สุด ที่จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของพวกเราในขณะนี้ สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประเทศได้ ทั้งในงานความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านเศรษฐกิจมีปัญหาอยู่หลายประการด้วยกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนเกษตรกร ประชาชนโดยรวมทุกภาคส่วนคงต้องร่วมมือกันทุกรูปแบบนะครับ ปัญหาที่ประเทศไทยเผชิญหน้า เรามีปัญหาที่สะสมสำคัญ ๆ มากมาย ต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็ว เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน อาทิ ปัญหา ด้านความมั่นคง เคยเรียนไปแล้ว ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาสิทธิมนุษยชน การค้ามนุษย์ การใช้แรงงานทาส ปัญหามาเฟียผู้มีอิทธิพล ปัญหาชายแดน ทั้งในเรื่องของเขตแดน การหลบหนีเข้าเมือง สินค้าหนีภาษี ปัญหาด้านความมั่นคงภายใน ในเรื่องยาเสพติด อาชญากรรม อาวุธสงคราม การพนัน แรงงานต่างด้าว ซึ่งเราได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาบางส่วนไปแล้ว ปัญหาด้านเศรษฐกิจ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่จะต้องเดินตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาวะการณ์ของโลกด้วย การส่งเสริมการลงทุนในภาคต่าง ๆ การลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประชาชนผู้มีรายได้น้อย การปรับโครงสร้างภาษีให้เกิดความเป็นธรรม ปัญหาปากท้องประชาชนเหล่านี้เป็นความท้าทายที่สำคัญทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้ทัดเทียมกับประเทศในภูมิภาค และการเชื่อมโยงเศรษฐกิจของไทยสู่ระดับภูมิภาค ทั้งนี้เพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียน เราสำรวจแล้วพบว่าปัจจุบันขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยยังถือว่าอยู่ใน ระดับปานกลาง มีจุดด้อยที่สำคัญในด้านระบบราชการ โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ กฎหมายและกระบวนการเพื่ออำนวยความสะดวกภาคธุรกิจก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อ การประกอบธุรกิจของนักธุรกิจต่างชาติ จากศักยภาพเราในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยจะต้องใช้เวลาอีกกว่า 12 ปี เพื่อจะก้าวผ่านกับดักประเทศรายได้ปานกลาง เข้าสู่ประเทศรายได้สูง ในขณะที่เพื่อนบ้านบางประเทศจะเข้าสู่ประเทศรายได้สูงด้วยระยะเวลาอีกเพียง 6 ปีเท่านั้น เราคงต้องเร่งรัด นอกจากนี้ ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ซึ่งมีมิติด้านเศรษฐกิจเป็น 1 ใน 3 เสาหลักจะเป็นความท้าทายสำคัญของไทยที่ต้องได้รับการยกระดับขีดความสามารถใน การแข่งขันให้ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางประเทศ ซึ่งเป็นทั้งประเทศหุ้นส่วนและคู่แข่งที่สำคัญทางเศรษฐกิจของไทย สรุปประเด็นปัญหาที่ สำคัญด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ กับดักประเทศรายได้ปานกลาง โดยไม่สามารถแข่งขันกับประเทศที่มีต้นทุนแรงงานถูก และประเทศที่มีการพัฒนาการทางเทคโนโลยีขั้นสูงได้ ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยทรงตัวท่ามกลางการเปิดเสรีและการแข่งขันทาง การค้าและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ปัญหาด้านสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ ระบบการศึกษา การปลูกจิตสำนึก การดำรงซึ่งวัฒนธรรมไทยอย่างยั่งยืน การรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การปลูกฝังค่านิยม การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม การแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ทั้งนี้ปัญหาที่เรื้อรั้ง และดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น คือความเหลื่อมล้ำของโอกาส สร้างรายได้ กระจายรายได้ และกระจายความมั่งคั่งที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษา คนจนรายได้น้อยขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาชั้นมัธยมปลายและอุดมศึกษา ตลอดจนคุณภาพการศึกษาของไทยยังคงต้องการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยขยายโอกาสในการสร้างรายได้ก็ยังคงมีอยู่ อย่างจำกัด ส่งผลให้การหลุดพ้นจากวงเวียนความยากจนเป็นไปได้อย่างยากยิ่ง การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ในปัจจุบัน ส่งผลโดยตรงต่อศักยภาพในการแข่งขันของประเทศลดลง เนื่องจากข้อจำกัดด้านแรงงานและอัตราส่วนการพึ่งพิงของวัยชราที่เพิ่มขึ้น อย่างก้าวกระโดด และยังเป็นการเพิ่มภาระทางการคลังผ่านค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการชราภาพที่ เพิ่มขึ้น ไทยจึงต้องเร่งปรับปรุงระบบสวัสดิการของรัฐเพื่อดูแลผู้สูงอายุอย่างเหมาะสม อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของคนไทยอยู่แล้วเราต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ ผู้หลักผู้ใหญ่ของเราให้ดีที่สุด ก็เป็นที่น่ายินดีที่วันนี้อายุยืนขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องหาทางที่จะดูแลคนเหล่านี้ให้ได้ ในด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ปัญหาการบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น ในเรื่องของการบุกรุกป่าไม้ ปัญหาขยะ ปัญหามลพิษจากภาคอุตสาหกรรมและสังคมเมือง โจทย์อีกประการหนึ่งที่เราเห็นเด่นชัด คือ การผลักดันเศรษฐกิจที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นผลเสียต่อทรัพยากรธรรมชาติรุนแรงเกินไปในการจัดตั้งโรงงาน หรือการประกอบกิจการต่าง ๆ ทางด้านอุตสาหกรรม ที่ผ่านมานั้นเศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตมาก พร้อมกับการก่อมลภาวะ โดยได้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสัดส่วนการใช้พลังงานและการนำเข้าพลังงานต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าจะมีการนำวัสดุรีไซเคิลกลับมาใช้ประโยชน์จนเริ่มเป็นที่นิยมในช่วง หลายปีที่ผ่านมา แต่สัดส่วนการใช้ก็ยังไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ภาครัฐจำเป็นต้องโน้มน้าวผู้บริโภคและผู้ประกอบการตลอดประชาชนให้ปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ปัญหามลภาวะและภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงเกิดขึ้นทั่วโลก ส่วนหนึ่งจากการแสวงหาประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจอย่างแพร่หลาย ที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกบ่อนทำลายลง ทำให้ภาครัฐต้องมีการวางระบบช่วยเหลือ เยียวยา และป้องกันผู้ประสบภัยที่ทันต่อเหตุการณ์ ปัญหาด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การแก้ไขกฎหมายที่ล้า สมัย ไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่สอดคล้องกับพันธะสัญญาต่าง ๆ กฎหมายที่ส่วนราชการต้องแก้ไขเพื่อความสะดวกและความถูกต้อง แต่ค้างคาอยู่ในรัฐบาลก่อน ๆ ที่ผ่านมานั้น ปัจจุบัน คสช. ได้ส่งร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หรือกฎหมายเหล่านั้นไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อมีการพิจารณาอย่างเร่งด่วนไปบ้างแล้ว ทุกกฎหมายนั้นได้ผ่านการพิจารณาในขั้นต้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผ่านที่ประชุม คสช. ในฐานะคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาที่ล้าสมัย และแก้ไขปัญหาของประชาชนทั้งสิ้น ในเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น เป็นการฝังรากลึกมาในสังคมไทยอยู่ยาวนาน จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง บังเกิดผลเป็นรูปธรรมในเรื่องที่เร่งด่วนภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทุกหมู่เหล่า โดยการปลูกฝังค่านิยมที่ไม่ยอมรับการทุจริตคอรัปชั่น การลงโทษผู้ที่กระทำความผิดในเรื่องนี้อย่างจริงจัง การปรับปรุงระบบจัดซื้อจัดจ้าง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ การบริหารราชการหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจให้มีธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนกฎหมายให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับหลักสากล เช่น การพิจารณาให้คดีการทุจริตคอรัปชั่นจะมี หรือไม่มีอายุความ การเพิ่มโทษในคดีทุจริตคอรัปชั่นให้มีผลบังคับใช้ทั้งผู้ให้และผู้รับหรือ ไม่ ซึ่งที่ผ่านมามักไม่มีการเอาผิดเอกชนที่เสนอให้สินบนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ อย่างจริงจัง มีข้อท้วงติงมากมายจาก ผู้ที่ห่วงใยในเรื่องนี้ว่า คสช. ไม่ได้นำเรื่องการป้องกันแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นมาอยู่ใน 11 ประเด็นหลักของการปฏิรูป ขอเรียนชี้แจงว่า คสช. ให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง และถือเป็นประเด็นที่ต้องมีการปฏิรูปเป็นประเด็นแรก โดยการป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก มีความกว้างขวางเกี่ยวข้องกับทุก ๆ เรื่อง หากกำหนดเป็นประเด็นหลักของการปฏิรูปก็จะไม่ครอบคลุมการป้องกันการทุจริต คอรัปชั่นในทุก ๆ มิติ เพราะฉะนั้นทุกเรื่องจำเป็นต้องใส่เรื่องนี้เข้าไปด้วยในทุกกลุ่มงาน จึงกำหนดให้เป็นเงื่อนไขสำคัญของทุก ๆ หัวข้อของการปฏิรูป ทั้งด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ ด้านพลังงาน ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ด้านสื่อสารมวลชน ด้านสังคม และด้านอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่ต้องให้ปราศจากการทุจริตคอรัปชั่น ดังที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราวปีพุทธศักราช 2557 มาตรา 27 ที่กำหนดว่า ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติมีหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะเพื่อให้เกิดการปฏิรูปในด้าน ต่าง ๆ เพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความ เหมาะสมกับสภาพสังคมไทย มีระบบการเลือกตั้งโดยสุจริตและเป็นธรรม มีกลไกป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่มีประสิทธิภาพ ขจัดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อการพัฒนา อย่างยั่งยืน ทำให้กลไกของรัฐสามารถให้การบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง สะดวก รวดเร็วและมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเป็นธรรม ยุทธศาสตร์ประเทศ เรามียุทธศาสตร์หลายประการด้วยกัน เราเขียนยุทธศาสตร์ไว้แล้ว เราต้องเดินตามนั้นให้ได้ และก็ปรับเปลี่ยนให้เข้าสถานการณ์ของโลกด้วย ของอาเซียนด้วย เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม คณะรัฐมนตรีที่จะเกิดขึ้น จะต้องเดินการไปตามนี้ ในการบริหารราชการแผ่นดิน และก็ปรับเปลี่ยนไปตามห้วงเวลาที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นต้องประกอบกับแผนงานโครงการ งบประมาณ ในการดำเนินการในทุกมิติ ทุกยุทธศาสตร์ให้ต่อเนื่อง มีการกำหนดแผนระยะสั้น ระยะยาว ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนที่ 11 และแผนต่อ ๆ ไป ให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน เรื่องความคืบหน้าการปฏิบัติงานในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในเรื่องของการแพร่ระบาด ของไวรัสอีโบลา ที่ประชุม คสช. ให้ความสำคัญมาก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาได้อนุมัติงบประมาณเร่งด่วนในการปรับปรุงระบบคัด กรองผู้โดยสารเครื่องบินล่วงหน้าที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง สั่งการให้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อการปรับปรุงห้องรับผู้ป่วยที่ทัน สมัย จัดหาอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ ชุดป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการตื่นตระหนกและดูแลเจ้าหน้าที่ด้วย ถ้าติดไปที่เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ไม่อยากจะรักษา ไม่อยากจะรับคนไข้ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมเป็นห่วง ได้อนุมัติงบประมาณเร่งด่วนไปร้อยกว่าล้าน ในการจัดหาสิ่งอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวนั้น ซึ่งต่อไปคงจะขยายไปในพื้นที่อื่น ๆ ด้วย เพราะเรามีหลายภาคด้วยกัน อันนี้ก็บางส่วนที่เร่งด่วนก็ทำไปก่อน และให้มีการชี้แจงให้ความรู้บุคลากร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตลอดจนประชาชนทั่วไปให้สามารถป้องกันโรคระบาดได้อย่างถูกต้องถูกวิธี ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ในทุก ๆ ช่องทาง ทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ด่านตรวจต่าง ๆ จะต้องเฝ้าระวังและเข้มงวดในการตรวจตรา และต้องทราบว่าอาการของผู้ติดเชื้ออีโบล่า หรือเชื้อไวรัสที่รุนแรงหรือเชื้อโรคที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงเป็นอย่างไร ฉะนั้นผมอยากให้กระทรวงสาธารณสุขส่งรายละเอียดไปทุกด่านตรวจ ทุกจุดสกัดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทุกหน่วยงาน รวมทั้งประชาชนทั่วไปด้วย ไม่ใช่เฉพาะอีโบล่าอย่างเดียว ก็ขอขอบคุณและชื่นชมผู้ป่วยต้องสงสัยเพศหญิงที่กลับมาจากต่างประเทศ ทำงานในการช่วยเหลือสังคม ซึ่งตระหนักถึงหน้าที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ให้ความร่วมมืออย่างดีในการควบคุมเฝ้าระวังโรคเป็นระยะเวลานานพอสมควร จนได้รับคำยืนยันแล้วว่าไม่ได้ติดเชื้อแต่ประการใด จึงเดินทางกลับบ้าน ขอขอบคุณนะครับเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่เป็นภาระต่อครอบครัว ไม่เป็นปัญหากับคนอื่น ๆ ก็รู้ตัวก็ไปพบหมอและก็แจ้งให้เขาทราบเขาก็ได้มีการเฝ้าระวัง ขอขอบคุณเป็นตัวอย่างที่ดีอีกอันหนึ่ง เรื่องแนวทางการแก้ปัญหา หนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน ที่ประชุม คสช. เห็นชอบแนวทางการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบตามที่เสนอมา แต่คงต้องไปดูกัน ไปแก้ไขกันใน สนช. อีกครั้งหนึ่ง ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทย เนื่องจากมีผู้มีรายได้น้อยเป็นจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ได้ ที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด แต่ยังไม่มีผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้อง เช่น การขาดความชัดเจนในหลักเกณฑ์การแก้ปัญหา เจ้าหนี้เดิมไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ไม่มีคนกลางในการช่วยกันเจรจาประนอมหนี้ ลูกหนี้ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้จัดทำแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการ และยั่งยืน โดยให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาผ่านองค์กรการเงินชุมชน เช่น สถาบันการเงินชุมชน กลุ่มออมทรัพย์ต่าง ๆ ที่เข้มแข็งและมีศักยภาพ และให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเหล่านี้ การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบจะต้องคำนึงถึงบริบทที่แตกต่างกันระหว่างชุมชนเมือง และชุมชนในเขตชนบทด้วย สำหรับเรื่องการพัฒนาที่ อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย ที่ประชุม คสช. เห็นชอบหลักการกรอบแผนการลงทุนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2557-2560 ภายใต้แผนพลิกฟื้นองค์กรของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และอนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2557 รวม 38 โครงการ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจฯ เมื่อ 3 ตุลาคม 2556 ส่วนงบประมาณให้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดทำรายละเอียดและขอทำการตกลงกับ สำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้การค้ำประกันการชำระหนี้ดังกล่าว ขอให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินการตามกฎหมาย ตามระเบียบข้อบังคับ และมติ ครม. ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยให้คำนึงถึงสิ่งอำนวยความสะดวก ต่าง ๆ ให้ครบทุกมิติ เช่น พื้นที่ทำมาหากิน ตลาด เพื่อได้ค้าขาย รวมทั้งระบบขนส่งคมนาคม รถเมล์ รถไฟฟ้า ต่าง ๆ ให้สามารถที่จะเดินทางมาค้าขายได้เป็นปกติ คงใช้เวลาสักระยะหนึ่ง เรื่องการปรับโครงสร้าง ของบริษัทการบินไทย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา คสช. ได้มีการเรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือถึงการดำเนินการและแผนธุรกิจของบริษัทการบินไทย ถึงแม้ว่าการบินไทยจะประสบปัญหาขาดทุน แต่ยังมีพื้นฐานเดิมที่ดีอยู่ ซึ่งหากได้รับการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์ธุรกิจอย่างเหมาะสมจะมีศักยภาพสูง ในการดำเนินงานภายในระยะเวลาอันใกล้ และต่อไปในอนาคต ที่ประชุมมีความมั่นใจว่าฐานะทางการเงินของบริษัทการบินไทยยังไม่เลวร้าย เหมือนที่ปรากฏเป็นข่าว เพราะยังมีระดับเงินสดอยู่ในระดับที่เหมาะสม และมีส่วนของผู้ถือหุ้นเกินกว่า 46,000 ล้านบาท อีกทั้ง จำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการได้ปรับเพิ่มขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ สถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ให้ความสนใจที่จะให้การสนับสนุนในด้านสภาพคล่อง และในกรณีจำเป็นหากเกิดปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งกระทรวงการคลังก็พร้อมที่จะดูแลในเรื่องนี้ จากนโยบาย คสช. ที่ต้องการให้เกษตรกรแต่ละพื้นที่มีแหล่งเรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สินค้าเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ในระดับชุมชน เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของเกษตรกร อำเภอละ 1 ศูนย์ รวมทั้งสิ้น 882 ศูนย์ ซึ่งแต่ละศูนย์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศนั้น จะมีความแตกต่างกันทั้งด้านดิน น้ำ ภูมิอากาศ ทำให้แต่ละศูนย์สามารถจะสนับสนุนเกษตรกรให้ปลูกพืชต่างชนิดกันได้ตามความ เหมาะสมของแต่ละพื้นที่ เช่น อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา มีความเหมาะสมในการปลูกข้าว ก็จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เรื่องข้าว ได้คัดเลือกศูนย์เรียนรู้ ต.ช้างใหญ่ ซึ่งเกษตรกรต้นแบบที่ได้รับการส่งเสริม และพัฒนาจนประสบความสำเร็จสามารถถ่ายทอดและเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรรายอื่น ได้ การถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ นั้น จะเริ่มจากการปรับกระบวนทัศน์ให้เกิดจิตสำนึกในการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง จากนั้นนำความรู้ไปถ่ายทอดให้ปฏิบัติจริง ในการลดต้นทุนการปลูกข้าว การพัฒนาพันธุ์ข้าวและอื่น ๆ ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างแท้จริงและเหมาะสมกับพื้นที่ อันนี้ก็ให้ตรงกับการที่เราจะโซนนิ่งปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืชไร่ พืชเกษตรกรรมต่าง ๆ นั้นให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่มีน้ำ ไม่มีน้ำ แล้งซ้ำซากจะทำอย่างไรก็ไปปรับให้ตรงกับพื้นที่ด้วย ฝากกระทรวงเกษตรฯ ฝากประชาชนไปหาความรู้จัดตัวแทนไป ถ้าจำเป็นก็ขอวิทยากรไปแนะนำในพื้นที่ก็ได้ อันนี้ก็เพิ่มเติม ในเรื่องการตรวจสอบค่าใช้จ่ายงบประมาณรัฐให้มีความคุ้มค้าโปร่งใส โดยคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และฝ่ายต่าง ๆ ของ คสช. นั้น ทำให้ในหลายโครงการสามารถลดงบประมาณลงได้จำนวนหนึ่ง โดยยังคงเนื้องานและคุณภาพงานเช่นเดิม อันนี้เป็นตัวอย่างสำคัญประการหนึ่ง ถ้าทุกคนช่วยกัน รัฐช่วยกันดูแล ไม่ทุจริต ไม่เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนอะไรก็แล้วแต่ ประชาชนก็ร่วมมือเฝ้าระวัง หน่วยตรวจสอบก็เข้าไปตรวจสอบ การเสนอราคา การจัดซื้อจัดจ้าง การทำ TOR ก็ลดราคาลงได้หมด เพราะฉะนั้นฝากเรื่องนี้ไปแล้ว เราเคยมีนโยบายเรื่องนี้ไปแล้ว เรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญ เรื่องขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ต้องขออภัยนะครับอยากให้มีการปรับปรุง พัฒนาทุกอย่าง ตอนนี้อย่าโกรธกันไปมาเลยนะครับ เราต้องการให้ได้รับการยอมรับ ไม่ได้มุ่งหมายจะไปทำลายชื่อเสียง เกียรติยศหรือองค์กรของท่าน โดยอาจจะมีส่วนน้อยที่ต้องพัฒนาและปรับปรุง เราคงต้องช่วยกันกำกับดูแล เพราะว่าเป็นหน่วยงานที่อยู่ใกล้ประชาชนมากที่สุด ประชาชนจะได้ประโยชน์โดยเร็วหรือเป็นผลสัมฤทธิ์อะไรต่าง ๆ ในพื้นที่ จะได้จากองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ก่อนทั้งสิ้น เพราะใกล้ตัวท่าน งบประมาณจำนวนไม่มากนัก ต้องขอบคุณทุกท่านใน อปท. ที่ให้ความร่วมมือให้เวลา คสช. เพื่อเดินหน้าสู่การปฏิรูป คสช. ไม่เคยนิ่งนอนใจต่อความต้องการของท่าน กำลังพิจารณาประเด็นปัญหาต่าง ๆ เพื่อทางแก้ไข เช่น ในเรื่องของการคัดสรรข้าราชการไปปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวระหว่างที่ ยังไม่มีการเลือกตั้ง วันนี้ก็เตรียมการให้เข้าดำเนินการแก้ไข เข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อจะทำให้เกิดความเป็นธรรม พอใจของพี่น้องทุกฝักทุกฝ่าย อะไรที่ทำไปแล้ว แล้วไม่เรียบร้อย มีปัญหาก็แก้ไขได้ ใจเย็น ๆ ก็ขอให้เป็นธรรมทั้งสองฝ่ายก็แล้วกัน โดยในส่วนที่เรื่องใดก็ตามที่ คสช. สั่งการไปแล้วเป็นการเร่งด่วน ถ้าไม่เหมาะสม ถ้ามีปัญหาก็นำเข้าแก้ใน คสช. ได้ ถึงแม้จะเป็นกฎหมายแล้วก็ตาม เราถึงมี สนช. ไว้ ในส่วนที่จะต้องแก้ไข ส่วนใหญ่นั้น ต้องไปแก้ในเรื่องของสภาปฏิรูปและมีประชาชนมาให้ความคิดเห็น เสนอเข้ามาในสภาปฏิรูปเพิ่มเติม อันนี้ผมถือว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนในขั้นการปฏิรูปนั้นเป็นส่วนสำคัญไม่ใช่ คสช. จะไปผลักดันในทุกเรื่องได้ กรณีการพูดถึงกันใน เรื่องการตรวจสอบถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรม ระหว่างตำรวจ อัยการ ฝ่ายปกครอง ซึ่งเราได้แก้ไขไปในชั้นต้น เพื่อความสงบเรียบร้อยในช่วงนี้ ในระดับต่อไป จะได้มีการทบทวน ปรับปรุง แก้ไข ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลในสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป การ เคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่น พลังงาน ยางหรืออื่น ๆ ขอให้นำการแก้ไขทั้งระบบ เช่น การปรับโครงสร้าง ราคายาง ราคาพลังงานซึ่งมีความเกี่ยวพันมากมาย ไปแก้ในภาพใหญ่ที่สภาปฏิรูป ในส่วนของการแก้ไขเร่ง ด่วน ขณะนี้ คสช. แก้มาโดยตลอดไม่ว่าจะเรื่องข้าว เรื่องยาง เรื่องต่าง ๆ ไม่ได้หยุดนะครับ พูดกันทุกวันคุยกันทุกวัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คสช. ไม่เคยนิ่งนอนใจสักเรื่องหนึ่ง ที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน ผมบอกแล้วว่าเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาที่ต่อเนื่องยาวนานไปอีก เพราะฉะนั้นวันนี้ขอร้อง อย่าเพิ่งประท้วงต่อต้านเลย เมื่อวานก็ได้ให้มีการพูดคุยไปแล้วกับสมาคมต่าง ๆ 5 - 6 สมาคมก็เข้าใจดี สำคัญอยู่ที่ว่า เวลาไปถ่ายทอดกันอะไรกันขอให้ถ่ายทอดให้ครบ และขอประเด็นเดียวเท่านั้นเอง ถ้าช่วยกันมันก็แก้ได้ ถ้าไม่ช่วยกันมันก็จะกลับไปแบบเดิมอีก เพราะถ้าเราแก้แบบเดิม แก้ที่ปลายเหตุก็จะแก้ที่ปลายเหตุตลอดไป เราก็แก้แบบนี้มาเกือบทั้งชีวิตแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องแก้ทั้งต้นเหตุ กลางเหตุและปลายเหตุ ติดขัดด้วยข้อกฎหมายหลายอย่าง กฎอัยการศึกวันนี้ที่มีไว้ นี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปปิดกั้นท่านผมไม่เคยใช้กฎอัยการศึกไปปิดกั้นใคร เลย เพียงแต่ว่า ทำอย่างไร บ้านเมืองจะสงบเท่านั้นเอง ถ้าท่านไม่ได้ทำอะไรที่มันเกิดปัญหากับความสงบเรียบร้อย ท่านเสนอความคิดเห็นใด ๆ ก็ตามมา ไม่ได้เป็นการปลุกระดมคนขึ้นมา มาเดินขบวน มาขัดแย้งกัน มันก็ไม่จบสักทีนะขอร้อง ขอสักระยะหนึ่ง ก็วันนี้พูดไปสิครับว่าเรามีกฎอัยการศึกทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไม่ใช่กฎอัยการศึกที่มีอยู่ทำให้บ้านเมืองไม่เรียบร้อย แต่โอเค อาจจะรู้สึกว่าถูกปิดกั้นบ้างอะไรบ้าง ใครจะมาเที่ยวก็มาสิครับเชิญเขามาเรามีกฎหมาย เข้าปลอดภัยกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เดิมไม่มีกฎหมายนี้ปลอดภัยไหมละครับ ฝากด้วยบ้างด้วย คิดไปอีกมุมหนึ่งบ้าง ว่าบ้านเมืองเราอยู่ใน ระยะเวลาอะไรเราควรจะมีกฎหมายอะไรไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นก็วุ่นวายอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปปิดกั้น อยากเสนออะไรไปเสนอมา เป็นที่เป็นทาง จะจัดสถานที่ให้ ส่งเจ้าหน้าที่ไปถกแถลงกันด้วยความสงบ บางอย่างแก้ไขทันทีไม่ได้ เรื่องนี้เราให้กรณีพิเศษ ในเรื่องพลังงาน อยากให้ทุกฝ่ายไปใคร่ควรไว้ว่า เราจะพูดคุยกันได้อย่างไรทั้งสองฝักสองฝ่ายหรือสามฝ่ายก็ไม่รู้ ถ้านำต้นทาง กลางทาง ปลายทาง มาพูดกันโดยไม่ได้จัดระเบียบกัน ไม่รับฟังซึ่งกันและกันเลยพูดกันไม่รู้เรื่องแน่นอน เพราะฉะนั้นต้นทางนี้ คือข้อกฎหมาย ความเป็นมาของรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทอะไรก็แล้วแต่ นั้นคือต้นทาง เป็นตัวกำหนด จากนั้นมาก็ไปสู่กลางทางคือผู้ประกอบการซึ่งเรามีทั้งของรัฐบ้าง ของเอกชนบ้างและก็มีทั้งการลงทุนร่วมกับรัฐ บางอันก็เป็นการลงทุนของเอกชน บางอันรัฐก็ร่วมกับเอกชนซึ่งมีปัญหามากมาย เพราะผิดเพี้ยนมาตลอด อยากจะพูดอย่างนั้นถ้าไม่พูดก็ไม่รู้กัน เพราะฉะนั้น พอปลายทางมาก็คือประชาชนผู้บริโภค คราวนี้ถ้าทุกคนนำทั้ง 3 เรื่องมาพูดพร้อมกันมันไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นอยากให้ฟังอีกฝ่ายหนึ่งก่อน ถ้าจะฟังได้ผมว่าจะจัดระเบียบอย่างนี้นะครับ มีเรื่องของต้นทางก่อน มาอย่างไรอะไรอย่างไร ความเป็นมาจบก่อน พอจบคำว่าต้นทาง ถามเฉพาะเรื่องต้นทางจะเอากันอย่างไร อันไหนตกลงกันได้ อันไหนเข้าใจ อันไหนไม่เข้าใจก็เก็บไว้ก่อน อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ต้องมีทั้งเข้าใจไม่เข้าละครับ ผมยอมรับ พอมาถึงที่สองตรงกลาง เอาผู้ประกอบการ สงสัยตรงไหนเขาไม่โปร่งใสตรงไหนก็บันทึกกันไว้ เสร็จแล้วก็ไปตรงท้าย แล้วจะทำอย่างไรกันให้การบริการประชาชนจะเอาอย่างไร ราคาควรจะเป็นเท่าไร ทำไมถึงสูง ถึงต่ำ ก็พูดกันทีละตอน ๆ แบบนี้ พอพูดเรื่องแรกไปถามเรื่องที่สาม พูดเรื่องที่สองถามเรื่องที่สี่ อย่างนี้ไม่มีทางจบหรอกครับและก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย เป็นการปลุกระดมคนที่ฟังข้างใดข้างหนึ่งเป็นหลัก ใครก็ไม่อยากมาจัด จัดแล้วก็เป็นปัญหาทำให้พระ เจ้าต้องเดือดร้อนไปด้วย ฝากไว้ด้วย ขอบพระคุณ ครับท่านที่กรุณาเป็นผู้ดำเนินรายการให้ ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งหรือความไม่เข้าใจนั้นไม่บานปลายออกไป ผมจะจัดให้ บ่อย ๆ นะครับกลับไปเรียบเรียงกรุณาเรียบเรียงเถอะ วันนี้เรื่องพลังงาน คราวหน้าอาจจะเรื่องผลิตผลการเกษตร ต่อไปเรื่องน้ำ เรื่องอะไรก็แล้วแต่ เรื่องที่ดินทำกิน เปิดเวที ให้แล้วมาคุยกันว่า ตั้งหลักมาให้ถูก รัฐพูดก่อนและก็ประชาชนถามและก็ตอบ บันทึก ตรงกันไม่ตรงกัน จบไปอีกเรื่อง อีกเรื่อง ถ้าอย่างนี้ลักษณะการปฏิรูปต้องเป็นอย่างนี้ไม่ใช่คุยเรื่องหนึ่งถามเรื่อง สาม ตีกันไม่จบและไม่สุภาพ ใช้คำพูดไม่สุภาพด้วยอะไรด้วยอย่างนี้ไม่ได้ เราเป็นคนไทยที่เจริญแล้ว ขอร้องอย่าไปชี้นำกันแบบนี้ รุนแรงพูดจาหยาบคาย โห่ฮาป่าอย่างนี้ผมว่าไม่เหมาะ ไม่ใช่การปฏิรูป อย่างนี้คือการทะเลาะเบาะแว้งกันต่อไป ผมก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก นั่นแหละครับเป็นปัญหาที่ต้องมีวันนี้ ถ้าปล่อยก็ทะเลาะกันแบบนี้อีก ไม่ได้ ท่านต้องหยุดของท่านให้ได้ก่อนอย่าเรียกร้องแต่จากเราอย่างเดียว เพราะฉะนั้นต้องดูการพัฒนาการของแต่ละอย่างด้วย ผมเข้าใจนะครับและกรุณามองกัน แต่ละฝ่ายก็ฝ่ายหนึ่งต้องมองอีกฝ่ายให้เกียรติซึ่งกันและกัน เขาไม่ใช่จำเลยเราไม่ใช่โจทก์ ประชาชนก็ไม่ใช่จำเลยไม่ใช่โจทก์อีก ทุกคนคือคนไทยต้องพูดกันให้รู้เรื่อง ในเรื่องของราคาน้ำมัน เชื้อเพลิงหรือแก๊สอะไรก็แล้วแต่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกในขณะนี้มีแนวโน้มลดลงถึงแม้จะมี สงครามอยู่บ้างก็ตาม ก็อาจจะเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทางเรา คสช. ก็ได้พิจารณาว่าอาจจะมีความจำเป็นต้องมีการปรับราคาให้สอดคล้องกับราคาต้น ทุนน้ำมันและให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและไม่ต้องการจะบิดเบือนราคาตลาดต้อง การให้ทุกคนได้เห็นว่า ถ้าทำอย่างนี้จะเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวท่านลองดูแล้วกันนะครับก็อย่าเพิ่งเรียกร้อง อย่าเพิ่งโวยวายกำลังดำเนินการอยู่แล้วเดี๋ยวจะเห็นว่าออกมาอย่างไร และที่เหลือต่อไปก็ไปว่ากันในเมื่อมีรัฐบาลเป็นระยะยาวหรือยั่งยืนหรืออะไร ก็แล้วที่ท่านต้องการ แต่ต้องปรับให้ตรงกันก่อนเราจะแก้ไขปัญหาเร่งด่วนไปก่อน ให้เห็นว่าทำอย่างนี้อย่างที่ท่านต้องการแล้วมันจะเกิดอะไร ถ้าไม่ทำมันจะเป็นอย่างไรทุกอย่างต้องการให้ท่านเรียนรู้ครับ เพราะฉะนั้นอย่างเพิ่งทะเลาะกัน รับฟังข้อมูลให้ได้และตรวจสอบเป็นประเด็น ๆ ไป ข้อมูลในโซเซียลมีเดีย ต้องระมัดระวัง มีทั้งถูกไม่ถูก มีทั้งคนละฝ่าย บางคนผมก็ไม่ทราบว่านำมาจากไหน บางอย่างก็จริงบางอย่างก็ดูฟังแล้วก็ฟังได้ แต่พอพูดนำมารวมกันแล้วไม่เข้าใจ แสดงว่าไม่เข้าใจขั้นตอน ผมไม่ได้หมายความว่าฝ่ายนี้ฝ่ายรัฐจะถูกทั้งหมดหรือผิดทั้งหมดท่านต้องให้ เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เราจะเร่งรัดในสภาปฏิรูปให้ดำเนินการ ช่วงนี้อยากให้ทำความเข้าใจกันก่อนนำปัญหาที่มีอยู่มาตั้งไว้ และไปถามกันต่อ อันไหนที่ตกลงได้แล้ว หรือเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องถามกันอีก เสียเวลา เวลามีน้อยอยู่แล้วด้วย เรื่องสลากกินแบ่งรัฐบาล วันนี้ก็ยังไม่จบอีกสักที่มีปัญหาทับซ้อนอยู่มากมาย เรียนไปหลายครั้งแล้วว่า คสช. ไม่ต้องการผลประโยชน์ ไม่ต้องการเอื้อประโยชน์ให้ใคร มันติดขัดข้อปัญหาบางประการ วันนี้เราพยายามใช้กฎ ใช้อำนาจ คสช. ถ้าใช้เรื่องนี้เข้าไปอีกทุกเรื่องไม่ได้ วันนี้ก็ที่ผ่านมาเห็นว่าช้าหน่อยเพราะต้องตั้งคณะกรรมการใหม่ ต้องตั้งผู้บริหารใหม่ ต้องเข้าที่ประชุมของเขา ผมพยายามอะไรที่มีผลประโยชน์ ผมต้องการให้ ให้เข้าในระบบให้มากที่สุด ใช้อำนาจไปแล้วผิดขึ้นมาก็เดือดร้อนอีก วันนี้ก็ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละปัญหา วันนี้ก็เพิ่มโควต้าให้ ทำสีให้แยกแยะให้ชัดเจน ต้องมีคนเดือดร้อนแน่นอนเพราะเคยตัวกันมานานแล้ว อะไรก็ได้เรียกร้องกันไปตลอดเวลาแบบนี้ไม่ได้ เราต้องมีกติกากันบ้าง ท่านอดทนวันนี้เดี๋ยววันหน้าต้องดีแน่นอน แต่วันนี้ถ้าเรากำลังปรับแค่นี้ท่านบอกไม่ได้แล้ว ไม่จบ แล้วใครจะแก้ได้ ไม่มีใครแก้ได้หรอกนะครับ เพราะฉะนั้นก็ขอร้องกันร่วมมือกันทั้งผู้ขาย ผู้ซื้อ ผู้ให้เช่าสถานที่ขายสลาก มี 2 อย่าง อันหนึ่งขายได้ 80 บาท อันหนึ่งจำเป็นต้องขายเกิน 80 อะไรแถว ๆ นี้ ผมไม่อยากระบุราคาเดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีก เขามีกติกาออกมาแล้ว ท่านไปดูกันเอง เรื่องราคายาง วันนี้เราพยายามแก้ไขปัญหามาตั้งแต่ต้น พร้อมกับผลิตผลทางการเกษตรอื่น ๆ แต่เรื่องสำคัญเกี่ยวข้องหลายอย่าง วันนี้อยากให้มองในภาพใหญ่ด้วยไม่ใช่มองในพื้นที่อย่างเดียว ราคายางต้องเท่านี้ เท่านั้นเป็นไปได้ยากในจำนวนนั้น ท่านต้องไปลดต้นทุนของท่านให้ได้จะทำอย่างไร เมื่อลดต้นทุนได้ถึงจะสอดคล้องกับราคาภายในปัจจุบัน วันนี้การรับซื้อจากต่างประเทศราคาที่รับซื้อเนื่องจากปริมาณยางมีมากในหลาย ประเทศในโลกด้วย การผลิตเพิ่มเติมในพื้นที่แถบลาตินอเมริกาบ้างอะไรบ้าง ทำให้มีตลาดและมีการแข่งขันมากขึ้น มีตัวเลือกมากขึ้นพูดง่าย ๆ การรับซื้อของพ่อค้ายางในพื้นที่ของเราเองก็กดราคา ต่างประเทศก็รอเก็บสต๊อกไว้และเพื่อจะรอเมื่อไรที่ราคาตกต่ำ เราต้องแก้ปัญหาด้วยการลดต้นทุนการผลิต ลดพื้นที่การผลิต ให้ปริมาณยางลดลง เราผลิตได้มากที่สุดในโลกนะครับวันนี้ ขยายพื้นที่ไปสิบกว่าล้านไร่ ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเกินความจำเป็นและขายไม่ได้ เพราะฉะนั้นราคาตลาดขึ้นกับปริมาณยางที่มีอยู่ทั้งโลก ใครทำมากที่สุดผลิตมากที่สุด ทุกประเทศรู้อยู่แล้วเรามียางมากเดี๋ยวก็ต้องราคาตก เราก็ประท้วงกันเองอีกแล้วจะไปแก้กันตรงไหน เพราะฉะนั้นทำอย่างไรราคาไม่ตก หรือทำอย่างไรต้นทุนจะลดลง ผมว่าต้องไปดูกันตรงนั้นและหาทางว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไรอย่างยั่งยืนลด พื้นที่ไหม พื้นที่จะไปปลูกอะไร ทำอะไร กินแทน วันนี้ผมว่าเรื่องจ้างคนกรีดก็เหมือนกัน ก็มีคนไปรับจ้างกรีดคนนี้ก็ขึ้นราคา เดิม 50/50 อาจจะเป็น 60/40 ไม่อย่างนั้นไม่มีคนกรีด ก็มีทุกเรื่องเราก็รู้ปัญหาอยู่ เพราะฉะนั้น ช่วยกันคิดในภาพใหญ่และมาตัวเองบ้างเราจะได้แก้ปัญหาได้ วันนี้เรื่องการจำหน่าย ยาง คณะกรรมการกำลังพิจารณาดูอยู่ ไม่ใช่ไม่ขายหรือขายอะไรทำนองนี้ เป็นเรื่องของ เราต้องดูตลาดโลก ดูตลาดในอาเซียนด้วยกันและเราต้องแสดงความร่วมมือกับต่างประเทศด้วยกับ เพื่อนบ้านด้วย จะทำอย่างไรเพราะทุกประเทศมียางหมดมียางแข่งขันกันหมด ถ้าเราสามารถยกระดับราคาได้ทั้งหมดก็ดี ถ้าเขาตกลงกับเรา ถ้าเขาไม่ตกลงเขาแข่งกับเราต่อไป ราคาเราก็ตกไปอย่างนี้ ท่านต้องช่วยเราตรงนี้อย่างเพิ่งมาเดินขบวนอะไรกันเลยและเราต้องอุดหนุนราคา ไปอีกและปีหน้าก็เอาอีกก็เป็นแบบนี้ทุกปีและอย่างอื่นก็ไปไม่ได้ ขยับไม่ได้หมด ประเทศชาติเดินหน้าไปไม่ได้ ไม่ได้โทษท่าน ปัญหานี้สะสมมาหลายปี แก้ภายใน 3 เดือนแก้ไม่ได้ ภายใน 1 ปียังแก้ไม่ได้เลยภาพรวมใหญ่ เพียงแต่จะแก้มีมาตรการเร่งด่วนมา เงินกู้ เงินดอกเบี้ย ลดดอกเบี้ย อะไรต่าง ๆ เหล่านี้เราพยายามจะปล่อยมาตรการเหล่านี้ต่อไปเรื่อย ๆ เป็นระยะยาวเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ท่านก็ต้องช่วยเราอย่าเร่งรัดรามากนักเลย ขอร้อง ราคาผลิตผลการเกษตรมันยาก เราควบคุมไม่ได้ทั้งหมด เป็นเรื่องการแข่งขันเสรี ปริมาณความต้องการตลาดทั้งในประเทศนอกประเทศ พ่อค้าคนกลาง เกษตรกรก็ต้องช่วยกันและปรับตัวเองเข้าสถานการณ์ด้วย เรื่องการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คสช. รัฐบาลต่อไปให้ความสำคัญ ได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ เรียนอีกครั้งหนึ่ง ได้ปรับการพูดคุยเปลี่ยนแปลงไปให้เป็นรูปแบบ เป็นมาตรฐานมากขึ้น คราวนี้ให้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เลขาฯ สมช.) และคณะไปหารือเตรียมการในการจะเดินหน้าต่อไปให้เร็วที่สุด ผมเป็นห่วงพี่น้องประชาชนคนไทยพุทธและไทยมุสลิม ผมอยู่ในสถานการณ์มาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง มีทั้งบางส่วนพัฒนาการดีขึ้น บางส่วนก็แย่ลงเพราะความไม่เข้าใจ วันนี้ก็มีการตอบโต้กัน ในโซเซียลเน็ตเวิร์คมากมาย อันนี้ทำให้เกิดปัญหากับเรามาก ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เป็นทั้งฝ่ายเรา ฝ่ายเขา ทุกคนหวังดี ฝ่ายเขาก็คงไม่หวังดี แต่ทำให้เสี้ยมให้ทั้งสองฝ่ายนั้นตีกันมาโดยตลอดและก็สิ่งที่เขาทำวันนี้ไม่ มี ผมไม่เคยเห็น ไม่เคยสั่งลูกน้องหรือใครไปทำร้ายประชาชน ผมยืนยันถ้ามีก็นำหลักฐานมา ให้มันชัดเจนจะได้ลงโทษ เรื่องปัญหาภาคใต้คงเป็น เรื่องของการใช้กฎหมายไม่เป็นธรรมที่เขาบอกมานะครับ เรื่องการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ วันนี้ผมก็ยังไม่ได้สั่งให้ใครไปทำอะไรแบบนั้น มีแต่เพียงบอกให้ใช้กฎหมายบางครั้งก็อาจจะพูดจาไม่เข้าหูกันบ้าง บางทีก็ถูกต่อว่าอะไรแถวนี้มันไม่ได้ ทุกคนมีหัวใจ เจ้าหน้าที่มีหัวใจที่จะดูแลท่านอยู่แล้ว ถ้าพูดไปพูดมาก็มีอารมณ์เหมือนกัน เจ้าหน้าที่ก็ต้องอดทน ทำให้เกิดความเกลียดชังซึ่งกันและกันเราคงไม่คิดจะทำร้ายเด็ก ผู้หญิง ประชาชน ไม่ว่าจะไทยพุทธ ไทยมุสลิม ตำรวจ ทหารไม่ใช่คนใจร้ายพอที่จะไปฆ่า ไประเบิด ผู้บริสุทธิ์โดยตั้งใจ วันก่อนผมเห็นผู้นำศาสนาเข้ามาพูดในทำนองนี้ว่า เราใช้ความรุนแรง ผมก็อยากจะกราบท่านว่าเราไม่เคยมีจิตใจร้ายอย่างนั้นเลย ถ้ามีอย่างนั้นผมก็ปล่อยให้ท่านรบกันไป ทหารก็ไม่ต้องไปอยู่นะครับ ไม่ได้ วันนี้เป็นกติกาของโลกเขา ถ้าไม่สงบก็ต้องมีทหาร ถ้าท่านไม่ให้มีทหารท่านก็สงบสิครับ ทหารก็ได้กลับบ้าน ถ้าสงบไม่ฆ่ากัน ไม่ระเบิดกัน ไม่มีความวุ่นวาย เราก็พัฒนาได้แล้วจะมีทหารไปทำไม ไม่มีใครอยากจะลงมาอยู่ อยู่แล้ว ถ้าไม่หวังว่าเพียงดูแลประชาชนที่บริสุทธิ์ ก็ขอให้ใคร่ครวญให้ดี การบังคับใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมทำได้ยากในภาคใต้ บางคนบอกทำไมเก็บหลักฐานไม่ได้เลยก็พื้นที่ที่มีกองกำลัง มีฝ่ายสนับสนุนอยู่ในพื้นที่มากพอสมควร เราใช้เวลาเหมือนปกติก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นหลักฐานบางอย่างก็อ่อน บางอย่างก็เก็บไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องใช้เวลา ใช้เทคโนโลยีบ้าง ใช้เครื่องไม้เครื่องมือ สารเคมีมันใช้เวลาหมด สถานการณ์เป็นอย่างนั้น เมื่อเข้าไปก็มีเวลาไม่มากนัก ต้องเก็บรวบรวมให้เร็วที่สุด บางครั้งก็พลาด พลาดตรงไหนมันไม่สมบูรณ์ ทำให้คนเหล่านี้ก็หลุดออกไปเหมือนกัน แทนที่หลุดไปแล้วจะดีใจว่าเราไม่ได้ไปไล่ล่า กลายเป็นว่าจับคนผิดคนถูก บางคนถูกทั้งนั้นแต่หลักฐานดำเนินคดีไม่ได้หรือไม่ก็เรื่องการใช้กฎหมายปกติ การสอบสวนต่าง ๆ การพิจารณาคดีปกติหมด ล่าช้าเสียเวลาและคั่งกันเป็นจำนวนมาก อาจจะต้องใช้การพิจารณาความพิเศษ การสนับสนุนพิเศษ มีคณะลงไปเพิ่ม มีศาลเพิ่ม ศาลทหารใช้ได้หรือไม่ เราให้ความเป็นธรรม ศาลทหารก็เหมือนศาลปกติ เพียงแต่รวดเร็วขึ้นเพราะเรามีความพร้อมอยู่มากกว่า ในปัจจุบันได้รองรับการ รองรับสถานการณ์ เราสามารถจะรวมได้อะไรได้ในทำนองนี้ แต่ยืนยันว่าไม่ต้องการใช้กฎหมายจริง ๆ แล้วไม่ต้องการใช้ ถ้าท่านเลิกใช้ความรุนแรงเราก็ใช้กฎหมายปกติ ต้องรีบดำเนินการให้ได้โดยเร็ว การพูดคุยต้องไปคุยกันมาในทุกมิติทุกกลุ่มด้วย ไม่ใช่คุยกลุ่มนี้อีกกลุ่มหนึ่งไม่เลิกอย่างนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาปัจจุบันมียุทธศาสตร์ชัดเจน ดำเนินการต่อเนื่องจะเปลี่ยนใคร การเปลี่ยนผู้น้อย เปลี่ยนผู้พัน ผู้การ เปลี่ยน ผบ.พลแม่ทัพไม่มีผล เพราะการทำงานของกองทัพหรือตำรวจเขาทำงานโดยนโยบายหรือแผนงานโครงการทั้ง สิ้น ไม่ใช่เปลี่ยนคน 2 ปีก็เปลี่ยนทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ ไม่ใช่ เขาทำงานด้วยระบบ อย่างกองทัพบกผู้บัญชาการทหารบกมามี 36 คนแล้วผมเป็นคนที่ 37 ผมก็ทำตามที่ 36 ทำมา 35 ทำมา อันนี้เป็นหลัก ต่อมาผมก็พัฒนาในส่วนของ 37 ทำ ก็เป็นอย่างนี้ทุกที่ ระดับแม่ทัพภาค 4 ก็เหมือนกัน เหมือนกันทุกอย่าง การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ทุกคนก็เป็นกังวลช่วงนี้ก็ผ่านจาก คสช. มา เบาลง กลับมาเรื่องคณะรัฐมนตรีเอาอีกแล้ว มีปัญหา มีทหารมาก ทหารน้อย ผมว่าไม่ใช่ปัญหาดูว่าปัญหาเกิดที่ไหนแล้วเราจะแก้อะไร วันนี้เราต้องการให้มีประชาธิปไตย และตรารัฐธรรมนูญชั่วคราว เพราะฉะนั้นผมว่าอย่ามาดูตรงนี้ทหารมาก ทหารน้อย ผมใคร่ครวญดูกันแล้วถ้าไม่มีทหารเลยก็ไม่ได้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าความมั่นคงก็มีปัญหา ความสงบเรียบร้อยก็มีปัญหา บางคนบอกว่า เดี๋ยวต้องเอารุ่นพี่ไม่มี รุ่นน้องไม่มี แล้วถ้าผมไม่มีรุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อนที่ไว้ใจเข้ามาทำงานก็ไม่ได้อีก ผมพยายามที่จะเกลี่ยสัดส่วนต่าง ๆ ให้ดีอย่าระแวงกันจนเกินไปนักและเถียงกันไปจนหาคนดีไม่ได้เลยในวันนี้ผมไม่ เข้าใจ ไม่จริงทุกอย่างผมเป็นคนตัดสินใจทั้งสิ้นใครจะว่า ใครจะเสนอ ใครจะพูดกับใคร เดี๋ยวดูกันต่อไป ถ้าเขาทำงานไม่ดีก็ปรับใหม่ได้หมด รัฐบาลปรับได้ไม่รู้กี่ครั้ง ใครไม่ดีก็ออกไป ใครทำทุจริตก็ติดคุกไปก็มีแค่นั้นจะกลัวอะไร ใช้กระบวนการประชาธิปไตยให้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปไล่ล่าฆ่าฟัน วันนี้ผมไม่ใช่พรรคไหนเลย เป็นพรรคของคนไทยเดินหน้าประทศไทย เพราะฉะนั้นไม่มีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ไม่มี ผมต้องการให้ทุกคนมองชาติเป็นหลัก อย่าสนใจตัวบุคคลให้มากนัก เพราะฉะนั้นเราคงไม่ปล่อยให้ใครมาขัดขวางการทำหน้าที่มีแต่อยากให้มาสนับ สนุนเราให้มากขึ้น ทุกคนมาแสดงความคิดเห็น ผมรับฟังความคิดเห็นทุกคนที่ทำงานวันนี้ได้ผมฟังทุกคนมา บางครั้งก็ปวดหัวเหลือเกินเพราะข้อเสนอมาก เป็นร้อยเป็นพันเรื่องผมก็รับทุกเรื่อง นำมาใคร่ครวญ นำมาไตร่ตรอง นำมาสั่งการ นำมาไปหารือ ที่ปรึกษามีไม่รู้กี่คณะไม่ใช่คณะเดียว มีทั้งในระบบ นอกระบบ Out Source ต่าง ๆ มากมายไปหมดนักวิชาการมีมากมาย ผมก็ต้องดูทั้งหมดแล้ว มาย่อยให้ตรงกัน แล้วอะไรทำ ได้ก็ทำนั่นคือการทำงานของผม วันหน้าก็ต้องเป็นแบบนี้ไม่ต้องไปกังวลกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ เพราะทั้งหมดต้องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) อยู่แล้ว และนายกรัฐมนตรีเป็นคนอนุมัติหลักการจะนำเข้าหรือไม่ ถ้าไม่ดีก็ยังไม่นำเข้า ใครจะยัดไส้อะไรมาก็แล้วแต่ ผมต้องใช้การตรวจสอบที่ดี ผมต้องวางแผนตรงนี้ไว้แล้ว ผมคงไม่ให้มีการอนุมัติโดยการที่เรียกว่ายัดไส้อะไรทำนองนี้ ไม่ได้หรอก ผมไม่ยอมอยู่แล้ว ตัวผมเองตั้งมั่นว่าเราไม่ทุจริต แต่ใครก็ทุจริตไม่ได้ แต่สำคัญเราจะรู้ได้อย่างไร นั่นไปหาทางช่วยผมโน้น การที่วันนี้เกิดปัญหา อะไรก็ตาม ข้าราชการ บางพวกบางฝ่าย ผลประโยชน์สมยอม ประชาชนก็ไม่ปฏิเสธ เพราะฉะนั้นคงต้องสร้างทั้งสังคม สิ่งแวดล้อม คุณธรรม จริยธรรม ปลูกฝังเด็กตั้งแต่ประถมขึ้นไป ให้เกลียดชังการทุจริต ไม่สมยอม เอื้อประโยชน์ อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ต้องเริ่มให้หมด เริ่มปลูกฝั่งตั้งแต่วันนี้ ก็ต้องหลายชั่วคนเหมือนกันถึงจะแก้เรื่องนี้ได้ เพราะเป็นเรื่องของการเพาะบ่มมาตั้งแต่เด็ก สรุปแล้ว ประเทศไทยดูจะมีปัญหาไปมากมายเหมือนกัน ทุกเรื่องผมพูดมา 11 ครั้งไปแล้วครั้งที่ 12 ก็ยังพูดเรื่องปัญหาอีก เพราะผมรู้ว่านี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าไปข้างหน้าไม่ได้ ณ ท่ามกลางความขัดแย้ง ท่ามกลางความปัจจัยจากภายใน ภายนอก เพราะฉะนั้นประเด็นหลักคือความเข้าใจในนโยบายของรัฐ การบริการของหน่วยงาน แผนงานด้านเศรษฐกิจต้องชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกษตรกรรมแก้ปลายเหตุมาตลอด ต้องกลับไปแก้กลางเหตุและต้นเหตุ ผมใช้คำง่าย ๆ และสาเหตุถ้าเราแก้ปลายเหตุอย่างเดิมก็แก้เหมือนเดิม ปัญหาก็กลับมาทับใหม่ ปัญหาใหม่ก็เกิด ปัญหาเก่าก็ทับซ้อนอยู่มันจะไปแก้อะไร ต้องสร้างระบบ ใช้เวลา ถ้าเดือดร้อนก็เดือดร้อนทุกอย่าง ทุกอย่างเดือดร้อนไปหมดถ้าไม่ช่วยกัน ผมฝากความหวัง อนาคตของประเทศชาติอย่างยั่งยืน กับ สปช.และคณะที่ทำการร่างรัฐธรรมนูญว่าต้องช่วยกันทำวางรากฐานบ้านเมืองใน อนาคต ในทุกประเด็นที่เราเป็นปัญหาอยู่ ทั้งลดความขัดแย้ง ทั้งการพัฒนาประเทศชาติ สร้างความเข้มแข็ง ลดความเหลื่อมล้ำ เหล่านี้ อะไรที่อยู่ในสภาปฏิรูปก็ถกแถลงกันไป ตั้งหัวข้อให้ดี เรียงลำดับให้ได้ อะไรจะทำก่อนทำหลัง และที่เหลือก็เสนอเข้ามาตามลำดับ ตามห้วงเวลา ที่มีอยู่ ระหว่างนี้เราจะบริหารราชการแผ่นดินด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรมอย่างเต็มที่ พยายามลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้น้อยที่สุด ขอบคุณนะครับ รบกวนเวลามาพอสมควร ขอบคุณและสวัสดีครับ ขอบคุณครับ
สวัสดี ครับ พ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักและเคารพทุกท่าน วันนี้พบกันอีกครั้ง และเนื่องด้วยในวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรด เกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้กระผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และนับเป็นเกียรติยศอันสูงสุดในชีวิตของผมและวงศ์ตระกูลอย่างหาที่สุดมิได้ ผมตระหนักดีถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ ต้องขอขอบคุณสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุนผมเป็นอย่างดี และมอบความไว้วางใจให้ผมนั้นดำเนินการในเรื่องของการบริหารประเทศในระยะต่อ ไป ขอขอบคุณอีกครั้งในแรงสนับสนุนต่าง ๆ เหล่านั้น ผมยินดีที่จะรับภาระในการทำทุกอย่างให้ประเทศชาติก้าวไปสู่อนาคตอย่าง ยั่งยืน นับจากนี้ไปผมต้องรับผิดชอบในการนำพาประเทศชาติและประชาชนให้ก้าวเดินไปข้าง หน้า ร่วมกันพัฒนาประเทศ เพื่อประโยชน์สุขของทุกคนในชาติต่อไป ในระยะที่ 2 ซึ่งการบริหารประเทศทุก ๆ ด้าน ในบทบาทของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนงานเร่งด่วนเฉพาะหน้า ที่ต้องการความรวดเร็ว โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องมีการหารือในการปฏิบัติ ตลอดจนวิธีการปฏิบัติอย่างใกล้ชิด รวมทั้งต้องระมัดระวังการก้าวล่วงกัน แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบและถ่วงดุลกัน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส สุจริตและยุติธรรม ขอทุกคนอย่าได้กังวลกับตัวบุคคลให้มากนัก วันนี้เราต้องสร้างระบบทุกระบบให้เข้มแข็ง เพื่อต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นให้ได้โดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบข้าราชการ ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ส่วนราชการ อันได้แก่ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น ต้องร่วมมือกันในการพัฒนาปรับปรุงตนเองให้เข้มแข็ง เตรียมการเพื่อรองรับการปฏิรูป ซึ่งเราจะต้องทำให้ฝ่ายการเมืองมีระบบธรรมาภิบาลในการบริหารประเทศ จะได้ร่วมกันนำพาประเทศชาติไปสู่อนาคต อย่างไรก็ตามผมถือว่าประชาชนเป็นส่วนสำคัญที่สุด ที่จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินของพวกเราในขณะนี้ สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประเทศได้ ทั้งในงานความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานด้านเศรษฐกิจมีปัญหาอยู่หลายประการด้วยกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนเกษตรกร ประชาชนโดยรวมทุกภาคส่วนคงต้องร่วมมือกันทุกรูปแบบนะครับ ปัญหาที่ประเทศไทยเผชิญหน้า เรามีปัญหาที่สะสมสำคัญ ๆ มากมาย ต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็ว เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน อาทิ ปัญหา ด้านความมั่นคง เคยเรียนไปแล้ว ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาสิทธิมนุษยชน การค้ามนุษย์ การใช้แรงงานทาส ปัญหามาเฟียผู้มีอิทธิพล ปัญหาชายแดน ทั้งในเรื่องของเขตแดน การหลบหนีเข้าเมือง สินค้าหนีภาษี ปัญหาด้านความมั่นคงภายใน ในเรื่องยาเสพติด อาชญากรรม อาวุธสงคราม การพนัน แรงงานต่างด้าว ซึ่งเราได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาบางส่วนไปแล้ว ปัญหาด้านเศรษฐกิจ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่จะต้องเดินตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาวะการณ์ของโลกด้วย การส่งเสริมการลงทุนในภาคต่าง ๆ การลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและประชาชนผู้มีรายได้น้อย การปรับโครงสร้างภาษีให้เกิดความเป็นธรรม ปัญหาปากท้องประชาชนเหล่านี้เป็นความท้าทายที่สำคัญทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้ทัดเทียมกับประเทศในภูมิภาค และการเชื่อมโยงเศรษฐกิจของไทยสู่ระดับภูมิภาค ทั้งนี้เพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียน เราสำรวจแล้วพบว่าปัจจุบันขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยยังถือว่าอยู่ใน ระดับปานกลาง มีจุดด้อยที่สำคัญในด้านระบบราชการ โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ กฎหมายและกระบวนการเพื่ออำนวยความสะดวกภาคธุรกิจก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อ การประกอบธุรกิจของนักธุรกิจต่างชาติ จากศักยภาพเราในปัจจุบันเศรษฐกิจไทยจะต้องใช้เวลาอีกกว่า 12 ปี เพื่อจะก้าวผ่านกับดักประเทศรายได้ปานกลาง เข้าสู่ประเทศรายได้สูง ในขณะที่เพื่อนบ้านบางประเทศจะเข้าสู่ประเทศรายได้สูงด้วยระยะเวลาอีกเพียง 6 ปีเท่านั้น เราคงต้องเร่งรัด นอกจากนี้ ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ซึ่งมีมิติด้านเศรษฐกิจเป็น 1 ใน 3 เสาหลักจะเป็นความท้าทายสำคัญของไทยที่ต้องได้รับการยกระดับขีดความสามารถใน การแข่งขันให้ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางประเทศ ซึ่งเป็นทั้งประเทศหุ้นส่วนและคู่แข่งที่สำคัญทางเศรษฐกิจของไทย สรุปประเด็นปัญหาที่ สำคัญด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ กับดักประเทศรายได้ปานกลาง โดยไม่สามารถแข่งขันกับประเทศที่มีต้นทุนแรงงานถูก และประเทศที่มีการพัฒนาการทางเทคโนโลยีขั้นสูงได้ ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยทรงตัวท่ามกลางการเปิดเสรีและการแข่งขันทาง การค้าและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ปัญหาด้านสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ ระบบการศึกษา การปลูกจิตสำนึก การดำรงซึ่งวัฒนธรรมไทยอย่างยั่งยืน การรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การปลูกฝังค่านิยม การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม การแก้ปัญหาที่ดินทำกิน ทั้งนี้ปัญหาที่เรื้อรั้ง และดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น คือความเหลื่อมล้ำของโอกาส สร้างรายได้ กระจายรายได้ และกระจายความมั่งคั่งที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการศึกษา คนจนรายได้น้อยขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาชั้นมัธยมปลายและอุดมศึกษา ตลอดจนคุณภาพการศึกษาของไทยยังคงต้องการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งโอกาสในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยขยายโอกาสในการสร้างรายได้ก็ยังคงมีอยู่ อย่างจำกัด ส่งผลให้การหลุดพ้นจากวงเวียนความยากจนเป็นไปได้อย่างยากยิ่ง การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ในปัจจุบัน ส่งผลโดยตรงต่อศักยภาพในการแข่งขันของประเทศลดลง เนื่องจากข้อจำกัดด้านแรงงานและอัตราส่วนการพึ่งพิงของวัยชราที่เพิ่มขึ้น อย่างก้าวกระโดด และยังเป็นการเพิ่มภาระทางการคลังผ่านค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการชราภาพที่ เพิ่มขึ้น ไทยจึงต้องเร่งปรับปรุงระบบสวัสดิการของรัฐเพื่อดูแลผู้สูงอายุอย่างเหมาะสม อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมของคนไทยอยู่แล้วเราต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ ผู้หลักผู้ใหญ่ของเราให้ดีที่สุด ก็เป็นที่น่ายินดีที่วันนี้อายุยืนขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องหาทางที่จะดูแลคนเหล่านี้ให้ได้ ในด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ปัญหาการบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น ในเรื่องของการบุกรุกป่าไม้ ปัญหาขยะ ปัญหามลพิษจากภาคอุตสาหกรรมและสังคมเมือง โจทย์อีกประการหนึ่งที่เราเห็นเด่นชัด คือ การผลักดันเศรษฐกิจที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นผลเสียต่อทรัพยากรธรรมชาติรุนแรงเกินไปในการจัดตั้งโรงงาน หรือการประกอบกิจการต่าง ๆ ทางด้านอุตสาหกรรม ที่ผ่านมานั้นเศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตมาก พร้อมกับการก่อมลภาวะ โดยได้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสัดส่วนการใช้พลังงานและการนำเข้าพลังงานต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าจะมีการนำวัสดุรีไซเคิลกลับมาใช้ประโยชน์จนเริ่มเป็นที่นิยมในช่วง หลายปีที่ผ่านมา แต่สัดส่วนการใช้ก็ยังไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ภาครัฐจำเป็นต้องโน้มน้าวผู้บริโภคและผู้ประกอบการตลอดประชาชนให้ปรับ เปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจากนี้ปัญหามลภาวะและภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงเกิดขึ้นทั่วโลก ส่วนหนึ่งจากการแสวงหาประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจอย่างแพร่หลาย ที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติถูกบ่อนทำลายลง ทำให้ภาครัฐต้องมีการวางระบบช่วยเหลือ เยียวยา และป้องกันผู้ประสบภัยที่ทันต่อเหตุการณ์ ปัญหาด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การแก้ไขกฎหมายที่ล้า สมัย ไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่สอดคล้องกับพันธะสัญญาต่าง ๆ กฎหมายที่ส่วนราชการต้องแก้ไขเพื่อความสะดวกและความถูกต้อง แต่ค้างคาอยู่ในรัฐบาลก่อน ๆ ที่ผ่านมานั้น ปัจจุบัน คสช. ได้ส่งร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หรือกฎหมายเหล่านั้นไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อมีการพิจารณาอย่างเร่งด่วนไปบ้างแล้ว ทุกกฎหมายนั้นได้ผ่านการพิจารณาในขั้นต้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผ่านที่ประชุม คสช. ในฐานะคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาที่ล้าสมัย และแก้ไขปัญหาของประชาชนทั้งสิ้น ในเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น เป็นการฝังรากลึกมาในสังคมไทยอยู่ยาวนาน จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง บังเกิดผลเป็นรูปธรรมในเรื่องที่เร่งด่วนภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทุกหมู่เหล่า โดยการปลูกฝังค่านิยมที่ไม่ยอมรับการทุจริตคอรัปชั่น การลงโทษผู้ที่กระทำความผิดในเรื่องนี้อย่างจริงจัง การปรับปรุงระบบจัดซื้อจัดจ้าง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ การบริหารราชการหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจให้มีธรรมาภิบาล ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนกฎหมายให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับหลักสากล เช่น การพิจารณาให้คดีการทุจริตคอรัปชั่นจะมี หรือไม่มีอายุความ การเพิ่มโทษในคดีทุจริตคอรัปชั่นให้มีผลบังคับใช้ทั้งผู้ให้และผู้รับหรือ ไม่ ซึ่งที่ผ่านมามักไม่มีการเอาผิดเอกชนที่เสนอให้สินบนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ อย่างจริงจัง มีข้อท้วงติงมากมายจาก ผู้ที่ห่วงใยในเรื่องนี้ว่า คสช. ไม่ได้นำเรื่องการป้องกันแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นมาอยู่ใน 11 ประเด็นหลักของการปฏิรูป ขอเรียนชี้แจงว่า คสช. ให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง และถือเป็นประเด็นที่ต้องมีการปฏิรูปเป็นประเด็นแรก โดยการป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก มีความกว้างขวางเกี่ยวข้องกับทุก ๆ เรื่อง หากกำหนดเป็นประเด็นหลักของการปฏิรูปก็จะไม่ครอบคลุมการป้องกันการทุจริต คอรัปชั่นในทุก ๆ มิติ เพราะฉะนั้นทุกเรื่องจำเป็นต้องใส่เรื่องนี้เข้าไปด้วยในทุกกลุ่มงาน จึงกำหนดให้เป็นเงื่อนไขสำคัญของทุก ๆ หัวข้อของการปฏิรูป ทั้งด้านการเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ด้านการปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ ด้านพลังงาน ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ด้านสื่อสารมวลชน ด้านสังคม และด้านอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่ต้องให้ปราศจากการทุจริตคอรัปชั่น ดังที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับชั่วคราวปีพุทธศักราช 2557 มาตรา 27 ที่กำหนดว่า ให้สภาปฏิรูปแห่งชาติมีหน้าที่ศึกษาและเสนอแนะเพื่อให้เกิดการปฏิรูปในด้าน ต่าง ๆ เพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความ เหมาะสมกับสภาพสังคมไทย มีระบบการเลือกตั้งโดยสุจริตและเป็นธรรม มีกลไกป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่มีประสิทธิภาพ ขจัดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อการพัฒนา อย่างยั่งยืน ทำให้กลไกของรัฐสามารถให้การบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง สะดวก รวดเร็วและมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเป็นธรรม ยุทธศาสตร์ประเทศ เรามียุทธศาสตร์หลายประการด้วยกัน เราเขียนยุทธศาสตร์ไว้แล้ว เราต้องเดินตามนั้นให้ได้ และก็ปรับเปลี่ยนให้เข้าสถานการณ์ของโลกด้วย ของอาเซียนด้วย เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาให้บรรลุผลอย่างเป็นรูปธรรม คณะรัฐมนตรีที่จะเกิดขึ้น จะต้องเดินการไปตามนี้ ในการบริหารราชการแผ่นดิน และก็ปรับเปลี่ยนไปตามห้วงเวลาที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นต้องประกอบกับแผนงานโครงการ งบประมาณ ในการดำเนินการในทุกมิติ ทุกยุทธศาสตร์ให้ต่อเนื่อง มีการกำหนดแผนระยะสั้น ระยะยาว ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนที่ 11 และแผนต่อ ๆ ไป ให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน เรื่องความคืบหน้าการปฏิบัติงานในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในเรื่องของการแพร่ระบาด ของไวรัสอีโบลา ที่ประชุม คสช. ให้ความสำคัญมาก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาได้อนุมัติงบประมาณเร่งด่วนในการปรับปรุงระบบคัด กรองผู้โดยสารเครื่องบินล่วงหน้าที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง สั่งการให้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อการปรับปรุงห้องรับผู้ป่วยที่ทัน สมัย จัดหาอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ ชุดป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการตื่นตระหนกและดูแลเจ้าหน้าที่ด้วย ถ้าติดไปที่เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ไม่อยากจะรักษา ไม่อยากจะรับคนไข้ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมเป็นห่วง ได้อนุมัติงบประมาณเร่งด่วนไปร้อยกว่าล้าน ในการจัดหาสิ่งอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวนั้น ซึ่งต่อไปคงจะขยายไปในพื้นที่อื่น ๆ ด้วย เพราะเรามีหลายภาคด้วยกัน อันนี้ก็บางส่วนที่เร่งด่วนก็ทำไปก่อน และให้มีการชี้แจงให้ความรู้บุคลากร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตลอดจนประชาชนทั่วไปให้สามารถป้องกันโรคระบาดได้อย่างถูกต้องถูกวิธี ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ในทุก ๆ ช่องทาง ทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ ด่านตรวจต่าง ๆ จะต้องเฝ้าระวังและเข้มงวดในการตรวจตรา และต้องทราบว่าอาการของผู้ติดเชื้ออีโบล่า หรือเชื้อไวรัสที่รุนแรงหรือเชื้อโรคที่เป็นโรคติดต่อร้ายแรงเป็นอย่างไร ฉะนั้นผมอยากให้กระทรวงสาธารณสุขส่งรายละเอียดไปทุกด่านตรวจ ทุกจุดสกัดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทุกหน่วยงาน รวมทั้งประชาชนทั่วไปด้วย ไม่ใช่เฉพาะอีโบล่าอย่างเดียว ก็ขอขอบคุณและชื่นชมผู้ป่วยต้องสงสัยเพศหญิงที่กลับมาจากต่างประเทศ ทำงานในการช่วยเหลือสังคม ซึ่งตระหนักถึงหน้าที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ให้ความร่วมมืออย่างดีในการควบคุมเฝ้าระวังโรคเป็นระยะเวลานานพอสมควร จนได้รับคำยืนยันแล้วว่าไม่ได้ติดเชื้อแต่ประการใด จึงเดินทางกลับบ้าน ขอขอบคุณนะครับเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่เป็นภาระต่อครอบครัว ไม่เป็นปัญหากับคนอื่น ๆ ก็รู้ตัวก็ไปพบหมอและก็แจ้งให้เขาทราบเขาก็ได้มีการเฝ้าระวัง ขอขอบคุณเป็นตัวอย่างที่ดีอีกอันหนึ่ง เรื่องแนวทางการแก้ปัญหา หนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน ที่ประชุม คสช. เห็นชอบแนวทางการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบตามที่เสนอมา แต่คงต้องไปดูกัน ไปแก้ไขกันใน สนช. อีกครั้งหนึ่ง ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นปัญหาเรื้อรังของสังคมไทย เนื่องจากมีผู้มีรายได้น้อยเป็นจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ได้ ที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด แต่ยังไม่มีผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากมีปัจจัยหลายประการที่เกี่ยวข้อง เช่น การขาดความชัดเจนในหลักเกณฑ์การแก้ปัญหา เจ้าหนี้เดิมไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ไม่มีคนกลางในการช่วยกันเจรจาประนอมหนี้ ลูกหนี้ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้จัดทำแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการ และยั่งยืน โดยให้ชุมชนเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาผ่านองค์กรการเงินชุมชน เช่น สถาบันการเงินชุมชน กลุ่มออมทรัพย์ต่าง ๆ ที่เข้มแข็งและมีศักยภาพ และให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเหล่านี้ การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบจะต้องคำนึงถึงบริบทที่แตกต่างกันระหว่างชุมชนเมือง และชุมชนในเขตชนบทด้วย สำหรับเรื่องการพัฒนาที่ อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย ที่ประชุม คสช. เห็นชอบหลักการกรอบแผนการลงทุนโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2557-2560 ภายใต้แผนพลิกฟื้นองค์กรของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และอนุมัติโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุดที่ 1 ปี 2557 รวม 38 โครงการ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจฯ เมื่อ 3 ตุลาคม 2556 ส่วนงบประมาณให้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดทำรายละเอียดและขอทำการตกลงกับ สำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้การค้ำประกันการชำระหนี้ดังกล่าว ขอให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินการตามกฎหมาย ตามระเบียบข้อบังคับ และมติ ครม. ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยการพัฒนาที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยให้คำนึงถึงสิ่งอำนวยความสะดวก ต่าง ๆ ให้ครบทุกมิติ เช่น พื้นที่ทำมาหากิน ตลาด เพื่อได้ค้าขาย รวมทั้งระบบขนส่งคมนาคม รถเมล์ รถไฟฟ้า ต่าง ๆ ให้สามารถที่จะเดินทางมาค้าขายได้เป็นปกติ คงใช้เวลาสักระยะหนึ่ง เรื่องการปรับโครงสร้าง ของบริษัทการบินไทย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา คสช. ได้มีการเรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือถึงการดำเนินการและแผนธุรกิจของบริษัทการบินไทย ถึงแม้ว่าการบินไทยจะประสบปัญหาขาดทุน แต่ยังมีพื้นฐานเดิมที่ดีอยู่ ซึ่งหากได้รับการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์ธุรกิจอย่างเหมาะสมจะมีศักยภาพสูง ในการดำเนินงานภายในระยะเวลาอันใกล้ และต่อไปในอนาคต ที่ประชุมมีความมั่นใจว่าฐานะทางการเงินของบริษัทการบินไทยยังไม่เลวร้าย เหมือนที่ปรากฏเป็นข่าว เพราะยังมีระดับเงินสดอยู่ในระดับที่เหมาะสม และมีส่วนของผู้ถือหุ้นเกินกว่า 46,000 ล้านบาท อีกทั้ง จำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการได้ปรับเพิ่มขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ สถาบันการเงินต่าง ๆ ก็ให้ความสนใจที่จะให้การสนับสนุนในด้านสภาพคล่อง และในกรณีจำเป็นหากเกิดปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งกระทรวงการคลังก็พร้อมที่จะดูแลในเรื่องนี้ จากนโยบาย คสช. ที่ต้องการให้เกษตรกรแต่ละพื้นที่มีแหล่งเรียนรู้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต สินค้าเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ในระดับชุมชน เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ของเกษตรกร อำเภอละ 1 ศูนย์ รวมทั้งสิ้น 882 ศูนย์ ซึ่งแต่ละศูนย์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศนั้น จะมีความแตกต่างกันทั้งด้านดิน น้ำ ภูมิอากาศ ทำให้แต่ละศูนย์สามารถจะสนับสนุนเกษตรกรให้ปลูกพืชต่างชนิดกันได้ตามความ เหมาะสมของแต่ละพื้นที่ เช่น อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา มีความเหมาะสมในการปลูกข้าว ก็จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เรื่องข้าว ได้คัดเลือกศูนย์เรียนรู้ ต.ช้างใหญ่ ซึ่งเกษตรกรต้นแบบที่ได้รับการส่งเสริม และพัฒนาจนประสบความสำเร็จสามารถถ่ายทอดและเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรรายอื่น ได้ การถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ นั้น จะเริ่มจากการปรับกระบวนทัศน์ให้เกิดจิตสำนึกในการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง จากนั้นนำความรู้ไปถ่ายทอดให้ปฏิบัติจริง ในการลดต้นทุนการปลูกข้าว การพัฒนาพันธุ์ข้าวและอื่น ๆ ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างแท้จริงและเหมาะสมกับพื้นที่ อันนี้ก็ให้ตรงกับการที่เราจะโซนนิ่งปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืชไร่ พืชเกษตรกรรมต่าง ๆ นั้นให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่มีน้ำ ไม่มีน้ำ แล้งซ้ำซากจะทำอย่างไรก็ไปปรับให้ตรงกับพื้นที่ด้วย ฝากกระทรวงเกษตรฯ ฝากประชาชนไปหาความรู้จัดตัวแทนไป ถ้าจำเป็นก็ขอวิทยากรไปแนะนำในพื้นที่ก็ได้ อันนี้ก็เพิ่มเติม ในเรื่องการตรวจสอบค่าใช้จ่ายงบประมาณรัฐให้มีความคุ้มค้าโปร่งใส โดยคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และฝ่ายต่าง ๆ ของ คสช. นั้น ทำให้ในหลายโครงการสามารถลดงบประมาณลงได้จำนวนหนึ่ง โดยยังคงเนื้องานและคุณภาพงานเช่นเดิม อันนี้เป็นตัวอย่างสำคัญประการหนึ่ง ถ้าทุกคนช่วยกัน รัฐช่วยกันดูแล ไม่ทุจริต ไม่เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนอะไรก็แล้วแต่ ประชาชนก็ร่วมมือเฝ้าระวัง หน่วยตรวจสอบก็เข้าไปตรวจสอบ การเสนอราคา การจัดซื้อจัดจ้าง การทำ TOR ก็ลดราคาลงได้หมด เพราะฉะนั้นฝากเรื่องนี้ไปแล้ว เราเคยมีนโยบายเรื่องนี้ไปแล้ว เรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญ เรื่องขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ต้องขออภัยนะครับอยากให้มีการปรับปรุง พัฒนาทุกอย่าง ตอนนี้อย่าโกรธกันไปมาเลยนะครับ เราต้องการให้ได้รับการยอมรับ ไม่ได้มุ่งหมายจะไปทำลายชื่อเสียง เกียรติยศหรือองค์กรของท่าน โดยอาจจะมีส่วนน้อยที่ต้องพัฒนาและปรับปรุง เราคงต้องช่วยกันกำกับดูแล เพราะว่าเป็นหน่วยงานที่อยู่ใกล้ประชาชนมากที่สุด ประชาชนจะได้ประโยชน์โดยเร็วหรือเป็นผลสัมฤทธิ์อะไรต่าง ๆ ในพื้นที่ จะได้จากองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ก่อนทั้งสิ้น เพราะใกล้ตัวท่าน งบประมาณจำนวนไม่มากนัก ต้องขอบคุณทุกท่านใน อปท. ที่ให้ความร่วมมือให้เวลา คสช. เพื่อเดินหน้าสู่การปฏิรูป คสช. ไม่เคยนิ่งนอนใจต่อความต้องการของท่าน กำลังพิจารณาประเด็นปัญหาต่าง ๆ เพื่อทางแก้ไข เช่น ในเรื่องของการคัดสรรข้าราชการไปปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวระหว่างที่ ยังไม่มีการเลือกตั้ง วันนี้ก็เตรียมการให้เข้าดำเนินการแก้ไข เข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อจะทำให้เกิดความเป็นธรรม พอใจของพี่น้องทุกฝักทุกฝ่าย อะไรที่ทำไปแล้ว แล้วไม่เรียบร้อย มีปัญหาก็แก้ไขได้ ใจเย็น ๆ ก็ขอให้เป็นธรรมทั้งสองฝ่ายก็แล้วกัน โดยในส่วนที่เรื่องใดก็ตามที่ คสช. สั่งการไปแล้วเป็นการเร่งด่วน ถ้าไม่เหมาะสม ถ้ามีปัญหาก็นำเข้าแก้ใน คสช. ได้ ถึงแม้จะเป็นกฎหมายแล้วก็ตาม เราถึงมี สนช. ไว้ ในส่วนที่จะต้องแก้ไข ส่วนใหญ่นั้น ต้องไปแก้ในเรื่องของสภาปฏิรูปและมีประชาชนมาให้ความคิดเห็น เสนอเข้ามาในสภาปฏิรูปเพิ่มเติม อันนี้ผมถือว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนในขั้นการปฏิรูปนั้นเป็นส่วนสำคัญไม่ใช่ คสช. จะไปผลักดันในทุกเรื่องได้ กรณีการพูดถึงกันใน เรื่องการตรวจสอบถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรม ระหว่างตำรวจ อัยการ ฝ่ายปกครอง ซึ่งเราได้แก้ไขไปในชั้นต้น เพื่อความสงบเรียบร้อยในช่วงนี้ ในระดับต่อไป จะได้มีการทบทวน ปรับปรุง แก้ไข ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลในสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป การ เคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่น พลังงาน ยางหรืออื่น ๆ ขอให้นำการแก้ไขทั้งระบบ เช่น การปรับโครงสร้าง ราคายาง ราคาพลังงานซึ่งมีความเกี่ยวพันมากมาย ไปแก้ในภาพใหญ่ที่สภาปฏิรูป ในส่วนของการแก้ไขเร่ง ด่วน ขณะนี้ คสช. แก้มาโดยตลอดไม่ว่าจะเรื่องข้าว เรื่องยาง เรื่องต่าง ๆ ไม่ได้หยุดนะครับ พูดกันทุกวันคุยกันทุกวัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คสช. ไม่เคยนิ่งนอนใจสักเรื่องหนึ่ง ที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน ผมบอกแล้วว่าเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่จะทำอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาที่ต่อเนื่องยาวนานไปอีก เพราะฉะนั้นวันนี้ขอร้อง อย่าเพิ่งประท้วงต่อต้านเลย เมื่อวานก็ได้ให้มีการพูดคุยไปแล้วกับสมาคมต่าง ๆ 5 - 6 สมาคมก็เข้าใจดี สำคัญอยู่ที่ว่า เวลาไปถ่ายทอดกันอะไรกันขอให้ถ่ายทอดให้ครบ และขอประเด็นเดียวเท่านั้นเอง ถ้าช่วยกันมันก็แก้ได้ ถ้าไม่ช่วยกันมันก็จะกลับไปแบบเดิมอีก เพราะถ้าเราแก้แบบเดิม แก้ที่ปลายเหตุก็จะแก้ที่ปลายเหตุตลอดไป เราก็แก้แบบนี้มาเกือบทั้งชีวิตแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องแก้ทั้งต้นเหตุ กลางเหตุและปลายเหตุ ติดขัดด้วยข้อกฎหมายหลายอย่าง กฎอัยการศึกวันนี้ที่มีไว้ นี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปปิดกั้นท่านผมไม่เคยใช้กฎอัยการศึกไปปิดกั้นใคร เลย เพียงแต่ว่า ทำอย่างไร บ้านเมืองจะสงบเท่านั้นเอง ถ้าท่านไม่ได้ทำอะไรที่มันเกิดปัญหากับความสงบเรียบร้อย ท่านเสนอความคิดเห็นใด ๆ ก็ตามมา ไม่ได้เป็นการปลุกระดมคนขึ้นมา มาเดินขบวน มาขัดแย้งกัน มันก็ไม่จบสักทีนะขอร้อง ขอสักระยะหนึ่ง ก็วันนี้พูดไปสิครับว่าเรามีกฎอัยการศึกทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ไม่ใช่กฎอัยการศึกที่มีอยู่ทำให้บ้านเมืองไม่เรียบร้อย แต่โอเค อาจจะรู้สึกว่าถูกปิดกั้นบ้างอะไรบ้าง ใครจะมาเที่ยวก็มาสิครับเชิญเขามาเรามีกฎหมาย เข้าปลอดภัยกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เดิมไม่มีกฎหมายนี้ปลอดภัยไหมละครับ ฝากด้วยบ้างด้วย คิดไปอีกมุมหนึ่งบ้าง ว่าบ้านเมืองเราอยู่ใน ระยะเวลาอะไรเราควรจะมีกฎหมายอะไรไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นก็วุ่นวายอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปปิดกั้น อยากเสนออะไรไปเสนอมา เป็นที่เป็นทาง จะจัดสถานที่ให้ ส่งเจ้าหน้าที่ไปถกแถลงกันด้วยความสงบ บางอย่างแก้ไขทันทีไม่ได้ เรื่องนี้เราให้กรณีพิเศษ ในเรื่องพลังงาน อยากให้ทุกฝ่ายไปใคร่ควรไว้ว่า เราจะพูดคุยกันได้อย่างไรทั้งสองฝักสองฝ่ายหรือสามฝ่ายก็ไม่รู้ ถ้านำต้นทาง กลางทาง ปลายทาง มาพูดกันโดยไม่ได้จัดระเบียบกัน ไม่รับฟังซึ่งกันและกันเลยพูดกันไม่รู้เรื่องแน่นอน เพราะฉะนั้นต้นทางนี้ คือข้อกฎหมาย ความเป็นมาของรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทอะไรก็แล้วแต่ นั้นคือต้นทาง เป็นตัวกำหนด จากนั้นมาก็ไปสู่กลางทางคือผู้ประกอบการซึ่งเรามีทั้งของรัฐบ้าง ของเอกชนบ้างและก็มีทั้งการลงทุนร่วมกับรัฐ บางอันก็เป็นการลงทุนของเอกชน บางอันรัฐก็ร่วมกับเอกชนซึ่งมีปัญหามากมาย เพราะผิดเพี้ยนมาตลอด อยากจะพูดอย่างนั้นถ้าไม่พูดก็ไม่รู้กัน เพราะฉะนั้น พอปลายทางมาก็คือประชาชนผู้บริโภค คราวนี้ถ้าทุกคนนำทั้ง 3 เรื่องมาพูดพร้อมกันมันไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นอยากให้ฟังอีกฝ่ายหนึ่งก่อน ถ้าจะฟังได้ผมว่าจะจัดระเบียบอย่างนี้นะครับ มีเรื่องของต้นทางก่อน มาอย่างไรอะไรอย่างไร ความเป็นมาจบก่อน พอจบคำว่าต้นทาง ถามเฉพาะเรื่องต้นทางจะเอากันอย่างไร อันไหนตกลงกันได้ อันไหนเข้าใจ อันไหนไม่เข้าใจก็เก็บไว้ก่อน อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ต้องมีทั้งเข้าใจไม่เข้าละครับ ผมยอมรับ พอมาถึงที่สองตรงกลาง เอาผู้ประกอบการ สงสัยตรงไหนเขาไม่โปร่งใสตรงไหนก็บันทึกกันไว้ เสร็จแล้วก็ไปตรงท้าย แล้วจะทำอย่างไรกันให้การบริการประชาชนจะเอาอย่างไร ราคาควรจะเป็นเท่าไร ทำไมถึงสูง ถึงต่ำ ก็พูดกันทีละตอน ๆ แบบนี้ พอพูดเรื่องแรกไปถามเรื่องที่สาม พูดเรื่องที่สองถามเรื่องที่สี่ อย่างนี้ไม่มีทางจบหรอกครับและก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย เป็นการปลุกระดมคนที่ฟังข้างใดข้างหนึ่งเป็นหลัก ใครก็ไม่อยากมาจัด จัดแล้วก็เป็นปัญหาทำให้พระ เจ้าต้องเดือดร้อนไปด้วย ฝากไว้ด้วย ขอบพระคุณ ครับท่านที่กรุณาเป็นผู้ดำเนินรายการให้ ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งหรือความไม่เข้าใจนั้นไม่บานปลายออกไป ผมจะจัดให้ บ่อย ๆ นะครับกลับไปเรียบเรียงกรุณาเรียบเรียงเถอะ วันนี้เรื่องพลังงาน คราวหน้าอาจจะเรื่องผลิตผลการเกษตร ต่อไปเรื่องน้ำ เรื่องอะไรก็แล้วแต่ เรื่องที่ดินทำกิน เปิดเวที ให้แล้วมาคุยกันว่า ตั้งหลักมาให้ถูก รัฐพูดก่อนและก็ประชาชนถามและก็ตอบ บันทึก ตรงกันไม่ตรงกัน จบไปอีกเรื่อง อีกเรื่อง ถ้าอย่างนี้ลักษณะการปฏิรูปต้องเป็นอย่างนี้ไม่ใช่คุยเรื่องหนึ่งถามเรื่อง สาม ตีกันไม่จบและไม่สุภาพ ใช้คำพูดไม่สุภาพด้วยอะไรด้วยอย่างนี้ไม่ได้ เราเป็นคนไทยที่เจริญแล้ว ขอร้องอย่าไปชี้นำกันแบบนี้ รุนแรงพูดจาหยาบคาย โห่ฮาป่าอย่างนี้ผมว่าไม่เหมาะ ไม่ใช่การปฏิรูป อย่างนี้คือการทะเลาะเบาะแว้งกันต่อไป ผมก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก นั่นแหละครับเป็นปัญหาที่ต้องมีวันนี้ ถ้าปล่อยก็ทะเลาะกันแบบนี้อีก ไม่ได้ ท่านต้องหยุดของท่านให้ได้ก่อนอย่าเรียกร้องแต่จากเราอย่างเดียว เพราะฉะนั้นต้องดูการพัฒนาการของแต่ละอย่างด้วย ผมเข้าใจนะครับและกรุณามองกัน แต่ละฝ่ายก็ฝ่ายหนึ่งต้องมองอีกฝ่ายให้เกียรติซึ่งกันและกัน เขาไม่ใช่จำเลยเราไม่ใช่โจทก์ ประชาชนก็ไม่ใช่จำเลยไม่ใช่โจทก์อีก ทุกคนคือคนไทยต้องพูดกันให้รู้เรื่อง ในเรื่องของราคาน้ำมัน เชื้อเพลิงหรือแก๊สอะไรก็แล้วแต่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกในขณะนี้มีแนวโน้มลดลงถึงแม้จะมี สงครามอยู่บ้างก็ตาม ก็อาจจะเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทางเรา คสช. ก็ได้พิจารณาว่าอาจจะมีความจำเป็นต้องมีการปรับราคาให้สอดคล้องกับราคาต้น ทุนน้ำมันและให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและไม่ต้องการจะบิดเบือนราคาตลาดต้อง การให้ทุกคนได้เห็นว่า ถ้าทำอย่างนี้จะเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวท่านลองดูแล้วกันนะครับก็อย่าเพิ่งเรียกร้อง อย่าเพิ่งโวยวายกำลังดำเนินการอยู่แล้วเดี๋ยวจะเห็นว่าออกมาอย่างไร และที่เหลือต่อไปก็ไปว่ากันในเมื่อมีรัฐบาลเป็นระยะยาวหรือยั่งยืนหรืออะไร ก็แล้วที่ท่านต้องการ แต่ต้องปรับให้ตรงกันก่อนเราจะแก้ไขปัญหาเร่งด่วนไปก่อน ให้เห็นว่าทำอย่างนี้อย่างที่ท่านต้องการแล้วมันจะเกิดอะไร ถ้าไม่ทำมันจะเป็นอย่างไรทุกอย่างต้องการให้ท่านเรียนรู้ครับ เพราะฉะนั้นอย่างเพิ่งทะเลาะกัน รับฟังข้อมูลให้ได้และตรวจสอบเป็นประเด็น ๆ ไป ข้อมูลในโซเซียลมีเดีย ต้องระมัดระวัง มีทั้งถูกไม่ถูก มีทั้งคนละฝ่าย บางคนผมก็ไม่ทราบว่านำมาจากไหน บางอย่างก็จริงบางอย่างก็ดูฟังแล้วก็ฟังได้ แต่พอพูดนำมารวมกันแล้วไม่เข้าใจ แสดงว่าไม่เข้าใจขั้นตอน ผมไม่ได้หมายความว่าฝ่ายนี้ฝ่ายรัฐจะถูกทั้งหมดหรือผิดทั้งหมดท่านต้องให้ เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เราจะเร่งรัดในสภาปฏิรูปให้ดำเนินการ ช่วงนี้อยากให้ทำความเข้าใจกันก่อนนำปัญหาที่มีอยู่มาตั้งไว้ และไปถามกันต่อ อันไหนที่ตกลงได้แล้ว หรือเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องถามกันอีก เสียเวลา เวลามีน้อยอยู่แล้วด้วย เรื่องสลากกินแบ่งรัฐบาล วันนี้ก็ยังไม่จบอีกสักที่มีปัญหาทับซ้อนอยู่มากมาย เรียนไปหลายครั้งแล้วว่า คสช. ไม่ต้องการผลประโยชน์ ไม่ต้องการเอื้อประโยชน์ให้ใคร มันติดขัดข้อปัญหาบางประการ วันนี้เราพยายามใช้กฎ ใช้อำนาจ คสช. ถ้าใช้เรื่องนี้เข้าไปอีกทุกเรื่องไม่ได้ วันนี้ก็ที่ผ่านมาเห็นว่าช้าหน่อยเพราะต้องตั้งคณะกรรมการใหม่ ต้องตั้งผู้บริหารใหม่ ต้องเข้าที่ประชุมของเขา ผมพยายามอะไรที่มีผลประโยชน์ ผมต้องการให้ ให้เข้าในระบบให้มากที่สุด ใช้อำนาจไปแล้วผิดขึ้นมาก็เดือดร้อนอีก วันนี้ก็ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละปัญหา วันนี้ก็เพิ่มโควต้าให้ ทำสีให้แยกแยะให้ชัดเจน ต้องมีคนเดือดร้อนแน่นอนเพราะเคยตัวกันมานานแล้ว อะไรก็ได้เรียกร้องกันไปตลอดเวลาแบบนี้ไม่ได้ เราต้องมีกติกากันบ้าง ท่านอดทนวันนี้เดี๋ยววันหน้าต้องดีแน่นอน แต่วันนี้ถ้าเรากำลังปรับแค่นี้ท่านบอกไม่ได้แล้ว ไม่จบ แล้วใครจะแก้ได้ ไม่มีใครแก้ได้หรอกนะครับ เพราะฉะนั้นก็ขอร้องกันร่วมมือกันทั้งผู้ขาย ผู้ซื้อ ผู้ให้เช่าสถานที่ขายสลาก มี 2 อย่าง อันหนึ่งขายได้ 80 บาท อันหนึ่งจำเป็นต้องขายเกิน 80 อะไรแถว ๆ นี้ ผมไม่อยากระบุราคาเดี๋ยวก็เป็นเรื่องอีก เขามีกติกาออกมาแล้ว ท่านไปดูกันเอง เรื่องราคายาง วันนี้เราพยายามแก้ไขปัญหามาตั้งแต่ต้น พร้อมกับผลิตผลทางการเกษตรอื่น ๆ แต่เรื่องสำคัญเกี่ยวข้องหลายอย่าง วันนี้อยากให้มองในภาพใหญ่ด้วยไม่ใช่มองในพื้นที่อย่างเดียว ราคายางต้องเท่านี้ เท่านั้นเป็นไปได้ยากในจำนวนนั้น ท่านต้องไปลดต้นทุนของท่านให้ได้จะทำอย่างไร เมื่อลดต้นทุนได้ถึงจะสอดคล้องกับราคาภายในปัจจุบัน วันนี้การรับซื้อจากต่างประเทศราคาที่รับซื้อเนื่องจากปริมาณยางมีมากในหลาย ประเทศในโลกด้วย การผลิตเพิ่มเติมในพื้นที่แถบลาตินอเมริกาบ้างอะไรบ้าง ทำให้มีตลาดและมีการแข่งขันมากขึ้น มีตัวเลือกมากขึ้นพูดง่าย ๆ การรับซื้อของพ่อค้ายางในพื้นที่ของเราเองก็กดราคา ต่างประเทศก็รอเก็บสต๊อกไว้และเพื่อจะรอเมื่อไรที่ราคาตกต่ำ เราต้องแก้ปัญหาด้วยการลดต้นทุนการผลิต ลดพื้นที่การผลิต ให้ปริมาณยางลดลง เราผลิตได้มากที่สุดในโลกนะครับวันนี้ ขยายพื้นที่ไปสิบกว่าล้านไร่ ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเกินความจำเป็นและขายไม่ได้ เพราะฉะนั้นราคาตลาดขึ้นกับปริมาณยางที่มีอยู่ทั้งโลก ใครทำมากที่สุดผลิตมากที่สุด ทุกประเทศรู้อยู่แล้วเรามียางมากเดี๋ยวก็ต้องราคาตก เราก็ประท้วงกันเองอีกแล้วจะไปแก้กันตรงไหน เพราะฉะนั้นทำอย่างไรราคาไม่ตก หรือทำอย่างไรต้นทุนจะลดลง ผมว่าต้องไปดูกันตรงนั้นและหาทางว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไรอย่างยั่งยืนลด พื้นที่ไหม พื้นที่จะไปปลูกอะไร ทำอะไร กินแทน วันนี้ผมว่าเรื่องจ้างคนกรีดก็เหมือนกัน ก็มีคนไปรับจ้างกรีดคนนี้ก็ขึ้นราคา เดิม 50/50 อาจจะเป็น 60/40 ไม่อย่างนั้นไม่มีคนกรีด ก็มีทุกเรื่องเราก็รู้ปัญหาอยู่ เพราะฉะนั้น ช่วยกันคิดในภาพใหญ่และมาตัวเองบ้างเราจะได้แก้ปัญหาได้ วันนี้เรื่องการจำหน่าย ยาง คณะกรรมการกำลังพิจารณาดูอยู่ ไม่ใช่ไม่ขายหรือขายอะไรทำนองนี้ เป็นเรื่องของ เราต้องดูตลาดโลก ดูตลาดในอาเซียนด้วยกันและเราต้องแสดงความร่วมมือกับต่างประเทศด้วยกับ เพื่อนบ้านด้วย จะทำอย่างไรเพราะทุกประเทศมียางหมดมียางแข่งขันกันหมด ถ้าเราสามารถยกระดับราคาได้ทั้งหมดก็ดี ถ้าเขาตกลงกับเรา ถ้าเขาไม่ตกลงเขาแข่งกับเราต่อไป ราคาเราก็ตกไปอย่างนี้ ท่านต้องช่วยเราตรงนี้อย่างเพิ่งมาเดินขบวนอะไรกันเลยและเราต้องอุดหนุนราคา ไปอีกและปีหน้าก็เอาอีกก็เป็นแบบนี้ทุกปีและอย่างอื่นก็ไปไม่ได้ ขยับไม่ได้หมด ประเทศชาติเดินหน้าไปไม่ได้ ไม่ได้โทษท่าน ปัญหานี้สะสมมาหลายปี แก้ภายใน 3 เดือนแก้ไม่ได้ ภายใน 1 ปียังแก้ไม่ได้เลยภาพรวมใหญ่ เพียงแต่จะแก้มีมาตรการเร่งด่วนมา เงินกู้ เงินดอกเบี้ย ลดดอกเบี้ย อะไรต่าง ๆ เหล่านี้เราพยายามจะปล่อยมาตรการเหล่านี้ต่อไปเรื่อย ๆ เป็นระยะยาวเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ท่านก็ต้องช่วยเราอย่าเร่งรัดรามากนักเลย ขอร้อง ราคาผลิตผลการเกษตรมันยาก เราควบคุมไม่ได้ทั้งหมด เป็นเรื่องการแข่งขันเสรี ปริมาณความต้องการตลาดทั้งในประเทศนอกประเทศ พ่อค้าคนกลาง เกษตรกรก็ต้องช่วยกันและปรับตัวเองเข้าสถานการณ์ด้วย เรื่องการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คสช. รัฐบาลต่อไปให้ความสำคัญ ได้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ เรียนอีกครั้งหนึ่ง ได้ปรับการพูดคุยเปลี่ยนแปลงไปให้เป็นรูปแบบ เป็นมาตรฐานมากขึ้น คราวนี้ให้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เลขาฯ สมช.) และคณะไปหารือเตรียมการในการจะเดินหน้าต่อไปให้เร็วที่สุด ผมเป็นห่วงพี่น้องประชาชนคนไทยพุทธและไทยมุสลิม ผมอยู่ในสถานการณ์มาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง มีทั้งบางส่วนพัฒนาการดีขึ้น บางส่วนก็แย่ลงเพราะความไม่เข้าใจ วันนี้ก็มีการตอบโต้กัน ในโซเซียลเน็ตเวิร์คมากมาย อันนี้ทำให้เกิดปัญหากับเรามาก ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เป็นทั้งฝ่ายเรา ฝ่ายเขา ทุกคนหวังดี ฝ่ายเขาก็คงไม่หวังดี แต่ทำให้เสี้ยมให้ทั้งสองฝ่ายนั้นตีกันมาโดยตลอดและก็สิ่งที่เขาทำวันนี้ไม่ มี ผมไม่เคยเห็น ไม่เคยสั่งลูกน้องหรือใครไปทำร้ายประชาชน ผมยืนยันถ้ามีก็นำหลักฐานมา ให้มันชัดเจนจะได้ลงโทษ เรื่องปัญหาภาคใต้คงเป็น เรื่องของการใช้กฎหมายไม่เป็นธรรมที่เขาบอกมานะครับ เรื่องการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ วันนี้ผมก็ยังไม่ได้สั่งให้ใครไปทำอะไรแบบนั้น มีแต่เพียงบอกให้ใช้กฎหมายบางครั้งก็อาจจะพูดจาไม่เข้าหูกันบ้าง บางทีก็ถูกต่อว่าอะไรแถวนี้มันไม่ได้ ทุกคนมีหัวใจ เจ้าหน้าที่มีหัวใจที่จะดูแลท่านอยู่แล้ว ถ้าพูดไปพูดมาก็มีอารมณ์เหมือนกัน เจ้าหน้าที่ก็ต้องอดทน ทำให้เกิดความเกลียดชังซึ่งกันและกันเราคงไม่คิดจะทำร้ายเด็ก ผู้หญิง ประชาชน ไม่ว่าจะไทยพุทธ ไทยมุสลิม ตำรวจ ทหารไม่ใช่คนใจร้ายพอที่จะไปฆ่า ไประเบิด ผู้บริสุทธิ์โดยตั้งใจ วันก่อนผมเห็นผู้นำศาสนาเข้ามาพูดในทำนองนี้ว่า เราใช้ความรุนแรง ผมก็อยากจะกราบท่านว่าเราไม่เคยมีจิตใจร้ายอย่างนั้นเลย ถ้ามีอย่างนั้นผมก็ปล่อยให้ท่านรบกันไป ทหารก็ไม่ต้องไปอยู่นะครับ ไม่ได้ วันนี้เป็นกติกาของโลกเขา ถ้าไม่สงบก็ต้องมีทหาร ถ้าท่านไม่ให้มีทหารท่านก็สงบสิครับ ทหารก็ได้กลับบ้าน ถ้าสงบไม่ฆ่ากัน ไม่ระเบิดกัน ไม่มีความวุ่นวาย เราก็พัฒนาได้แล้วจะมีทหารไปทำไม ไม่มีใครอยากจะลงมาอยู่ อยู่แล้ว ถ้าไม่หวังว่าเพียงดูแลประชาชนที่บริสุทธิ์ ก็ขอให้ใคร่ครวญให้ดี การบังคับใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมทำได้ยากในภาคใต้ บางคนบอกทำไมเก็บหลักฐานไม่ได้เลยก็พื้นที่ที่มีกองกำลัง มีฝ่ายสนับสนุนอยู่ในพื้นที่มากพอสมควร เราใช้เวลาเหมือนปกติก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นหลักฐานบางอย่างก็อ่อน บางอย่างก็เก็บไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องใช้เวลา ใช้เทคโนโลยีบ้าง ใช้เครื่องไม้เครื่องมือ สารเคมีมันใช้เวลาหมด สถานการณ์เป็นอย่างนั้น เมื่อเข้าไปก็มีเวลาไม่มากนัก ต้องเก็บรวบรวมให้เร็วที่สุด บางครั้งก็พลาด พลาดตรงไหนมันไม่สมบูรณ์ ทำให้คนเหล่านี้ก็หลุดออกไปเหมือนกัน แทนที่หลุดไปแล้วจะดีใจว่าเราไม่ได้ไปไล่ล่า กลายเป็นว่าจับคนผิดคนถูก บางคนถูกทั้งนั้นแต่หลักฐานดำเนินคดีไม่ได้หรือไม่ก็เรื่องการใช้กฎหมายปกติ การสอบสวนต่าง ๆ การพิจารณาคดีปกติหมด ล่าช้าเสียเวลาและคั่งกันเป็นจำนวนมาก อาจจะต้องใช้การพิจารณาความพิเศษ การสนับสนุนพิเศษ มีคณะลงไปเพิ่ม มีศาลเพิ่ม ศาลทหารใช้ได้หรือไม่ เราให้ความเป็นธรรม ศาลทหารก็เหมือนศาลปกติ เพียงแต่รวดเร็วขึ้นเพราะเรามีความพร้อมอยู่มากกว่า ในปัจจุบันได้รองรับการ รองรับสถานการณ์ เราสามารถจะรวมได้อะไรได้ในทำนองนี้ แต่ยืนยันว่าไม่ต้องการใช้กฎหมายจริง ๆ แล้วไม่ต้องการใช้ ถ้าท่านเลิกใช้ความรุนแรงเราก็ใช้กฎหมายปกติ ต้องรีบดำเนินการให้ได้โดยเร็ว การพูดคุยต้องไปคุยกันมาในทุกมิติทุกกลุ่มด้วย ไม่ใช่คุยกลุ่มนี้อีกกลุ่มหนึ่งไม่เลิกอย่างนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาปัจจุบันมียุทธศาสตร์ชัดเจน ดำเนินการต่อเนื่องจะเปลี่ยนใคร การเปลี่ยนผู้น้อย เปลี่ยนผู้พัน ผู้การ เปลี่ยน ผบ.พลแม่ทัพไม่มีผล เพราะการทำงานของกองทัพหรือตำรวจเขาทำงานโดยนโยบายหรือแผนงานโครงการทั้ง สิ้น ไม่ใช่เปลี่ยนคน 2 ปีก็เปลี่ยนทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ ไม่ใช่ เขาทำงานด้วยระบบ อย่างกองทัพบกผู้บัญชาการทหารบกมามี 36 คนแล้วผมเป็นคนที่ 37 ผมก็ทำตามที่ 36 ทำมา 35 ทำมา อันนี้เป็นหลัก ต่อมาผมก็พัฒนาในส่วนของ 37 ทำ ก็เป็นอย่างนี้ทุกที่ ระดับแม่ทัพภาค 4 ก็เหมือนกัน เหมือนกันทุกอย่าง การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ทุกคนก็เป็นกังวลช่วงนี้ก็ผ่านจาก คสช. มา เบาลง กลับมาเรื่องคณะรัฐมนตรีเอาอีกแล้ว มีปัญหา มีทหารมาก ทหารน้อย ผมว่าไม่ใช่ปัญหาดูว่าปัญหาเกิดที่ไหนแล้วเราจะแก้อะไร วันนี้เราต้องการให้มีประชาธิปไตย และตรารัฐธรรมนูญชั่วคราว เพราะฉะนั้นผมว่าอย่ามาดูตรงนี้ทหารมาก ทหารน้อย ผมใคร่ครวญดูกันแล้วถ้าไม่มีทหารเลยก็ไม่ได้ เพราะว่าอะไร เพราะว่าความมั่นคงก็มีปัญหา ความสงบเรียบร้อยก็มีปัญหา บางคนบอกว่า เดี๋ยวต้องเอารุ่นพี่ไม่มี รุ่นน้องไม่มี แล้วถ้าผมไม่มีรุ่นพี่ รุ่นน้อง เพื่อนที่ไว้ใจเข้ามาทำงานก็ไม่ได้อีก ผมพยายามที่จะเกลี่ยสัดส่วนต่าง ๆ ให้ดีอย่าระแวงกันจนเกินไปนักและเถียงกันไปจนหาคนดีไม่ได้เลยในวันนี้ผมไม่ เข้าใจ ไม่จริงทุกอย่างผมเป็นคนตัดสินใจทั้งสิ้นใครจะว่า ใครจะเสนอ ใครจะพูดกับใคร เดี๋ยวดูกันต่อไป ถ้าเขาทำงานไม่ดีก็ปรับใหม่ได้หมด รัฐบาลปรับได้ไม่รู้กี่ครั้ง ใครไม่ดีก็ออกไป ใครทำทุจริตก็ติดคุกไปก็มีแค่นั้นจะกลัวอะไร ใช้กระบวนการประชาธิปไตยให้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปไล่ล่าฆ่าฟัน วันนี้ผมไม่ใช่พรรคไหนเลย เป็นพรรคของคนไทยเดินหน้าประทศไทย เพราะฉะนั้นไม่มีฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ไม่มี ผมต้องการให้ทุกคนมองชาติเป็นหลัก อย่าสนใจตัวบุคคลให้มากนัก เพราะฉะนั้นเราคงไม่ปล่อยให้ใครมาขัดขวางการทำหน้าที่มีแต่อยากให้มาสนับ สนุนเราให้มากขึ้น ทุกคนมาแสดงความคิดเห็น ผมรับฟังความคิดเห็นทุกคนที่ทำงานวันนี้ได้ผมฟังทุกคนมา บางครั้งก็ปวดหัวเหลือเกินเพราะข้อเสนอมาก เป็นร้อยเป็นพันเรื่องผมก็รับทุกเรื่อง นำมาใคร่ครวญ นำมาไตร่ตรอง นำมาสั่งการ นำมาไปหารือ ที่ปรึกษามีไม่รู้กี่คณะไม่ใช่คณะเดียว มีทั้งในระบบ นอกระบบ Out Source ต่าง ๆ มากมายไปหมดนักวิชาการมีมากมาย ผมก็ต้องดูทั้งหมดแล้ว มาย่อยให้ตรงกัน แล้วอะไรทำ ได้ก็ทำนั่นคือการทำงานของผม วันหน้าก็ต้องเป็นแบบนี้ไม่ต้องไปกังวลกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ เพราะทั้งหมดต้องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) อยู่แล้ว และนายกรัฐมนตรีเป็นคนอนุมัติหลักการจะนำเข้าหรือไม่ ถ้าไม่ดีก็ยังไม่นำเข้า ใครจะยัดไส้อะไรมาก็แล้วแต่ ผมต้องใช้การตรวจสอบที่ดี ผมต้องวางแผนตรงนี้ไว้แล้ว ผมคงไม่ให้มีการอนุมัติโดยการที่เรียกว่ายัดไส้อะไรทำนองนี้ ไม่ได้หรอก ผมไม่ยอมอยู่แล้ว ตัวผมเองตั้งมั่นว่าเราไม่ทุจริต แต่ใครก็ทุจริตไม่ได้ แต่สำคัญเราจะรู้ได้อย่างไร นั่นไปหาทางช่วยผมโน้น การที่วันนี้เกิดปัญหา อะไรก็ตาม ข้าราชการ บางพวกบางฝ่าย ผลประโยชน์สมยอม ประชาชนก็ไม่ปฏิเสธ เพราะฉะนั้นคงต้องสร้างทั้งสังคม สิ่งแวดล้อม คุณธรรม จริยธรรม ปลูกฝังเด็กตั้งแต่ประถมขึ้นไป ให้เกลียดชังการทุจริต ไม่สมยอม เอื้อประโยชน์ อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ต้องเริ่มให้หมด เริ่มปลูกฝั่งตั้งแต่วันนี้ ก็ต้องหลายชั่วคนเหมือนกันถึงจะแก้เรื่องนี้ได้ เพราะเป็นเรื่องของการเพาะบ่มมาตั้งแต่เด็ก สรุปแล้ว ประเทศไทยดูจะมีปัญหาไปมากมายเหมือนกัน ทุกเรื่องผมพูดมา 11 ครั้งไปแล้วครั้งที่ 12 ก็ยังพูดเรื่องปัญหาอีก เพราะผมรู้ว่านี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยเดินหน้าไปข้างหน้าไม่ได้ ณ ท่ามกลางความขัดแย้ง ท่ามกลางความปัจจัยจากภายใน ภายนอก เพราะฉะนั้นประเด็นหลักคือความเข้าใจในนโยบายของรัฐ การบริการของหน่วยงาน แผนงานด้านเศรษฐกิจต้องชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกษตรกรรมแก้ปลายเหตุมาตลอด ต้องกลับไปแก้กลางเหตุและต้นเหตุ ผมใช้คำง่าย ๆ และสาเหตุถ้าเราแก้ปลายเหตุอย่างเดิมก็แก้เหมือนเดิม ปัญหาก็กลับมาทับใหม่ ปัญหาใหม่ก็เกิด ปัญหาเก่าก็ทับซ้อนอยู่มันจะไปแก้อะไร ต้องสร้างระบบ ใช้เวลา ถ้าเดือดร้อนก็เดือดร้อนทุกอย่าง ทุกอย่างเดือดร้อนไปหมดถ้าไม่ช่วยกัน ผมฝากความหวัง อนาคตของประเทศชาติอย่างยั่งยืน กับ สปช.และคณะที่ทำการร่างรัฐธรรมนูญว่าต้องช่วยกันทำวางรากฐานบ้านเมืองใน อนาคต ในทุกประเด็นที่เราเป็นปัญหาอยู่ ทั้งลดความขัดแย้ง ทั้งการพัฒนาประเทศชาติ สร้างความเข้มแข็ง ลดความเหลื่อมล้ำ เหล่านี้ อะไรที่อยู่ในสภาปฏิรูปก็ถกแถลงกันไป ตั้งหัวข้อให้ดี เรียงลำดับให้ได้ อะไรจะทำก่อนทำหลัง และที่เหลือก็เสนอเข้ามาตามลำดับ ตามห้วงเวลา ที่มีอยู่ ระหว่างนี้เราจะบริหารราชการแผ่นดินด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรมอย่างเต็มที่ พยายามลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้น้อยที่สุด ขอบคุณนะครับ รบกวนเวลามาพอสมควร ขอบคุณและสวัสดีครับ ขอบคุณครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการบริหารจัดการสถานการณ์ภัยแล้ง ปี 2563
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563 มาตรการบริหารจัดการสถานการณ์ภัยแล้ง ปี 2563 วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563 ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลยืนยันน้ํากินน้ําใช้สําหรับประชาชนมีเพียงพอจนถึงฤดูฝนนี้ โดยเน้นแก้ปัญหาระยะสั้น “แล้งนี้ต้องอยู่รอด” เชื่อมโยงแผนระยะกลางและระยะยาว ก่อสร้างแหล่งเก็บน้ําขนาดใหญ่ 57 โครงการ เพิ่มน้ําต้นทุนกว่า 4,300 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ได้รับประโยชน์ 7.34 ล้านไร่ รวมถึงโครงการขนาดกลางและขนาดเล็กกว่า 2,000 โครงการ ครอบคลุมทั้งการผลิตประปา ขุดเจาะบ่อบาดาล จัดหาแหล่งน้ําผิวดิน เพื่อแก้ไขปัญน้ําอย่างยั่งยืน ส่วนน้ําเพื่อการเกษตรขณะนี้อาจประสบปัญหาขาดแคลนในบางพื้นที่ จึงขอความร่วมมือเกษตรกรงดใช้น้ําเพาะปลูกหรือปลูกพืชใช้น้ําน้อยทดแทนในช่วงนี้ ขณะเดียวกันได้เร่งปฏิบัติการฝนหลวงเมื่อสภาพอากาศอํานวย เพื่อกักเก็บน้ําในแหล่งน้ําต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการบริหารจัดการสถานการณ์ภัยแล้ง ปี 2563 วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563 มาตรการบริหารจัดการสถานการณ์ภัยแล้ง ปี 2563 วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563 ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลยืนยันน้ํากินน้ําใช้สําหรับประชาชนมีเพียงพอจนถึงฤดูฝนนี้ โดยเน้นแก้ปัญหาระยะสั้น “แล้งนี้ต้องอยู่รอด” เชื่อมโยงแผนระยะกลางและระยะยาว ก่อสร้างแหล่งเก็บน้ําขนาดใหญ่ 57 โครงการ เพิ่มน้ําต้นทุนกว่า 4,300 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่ได้รับประโยชน์ 7.34 ล้านไร่ รวมถึงโครงการขนาดกลางและขนาดเล็กกว่า 2,000 โครงการ ครอบคลุมทั้งการผลิตประปา ขุดเจาะบ่อบาดาล จัดหาแหล่งน้ําผิวดิน เพื่อแก้ไขปัญน้ําอย่างยั่งยืน ส่วนน้ําเพื่อการเกษตรขณะนี้อาจประสบปัญหาขาดแคลนในบางพื้นที่ จึงขอความร่วมมือเกษตรกรงดใช้น้ําเพาะปลูกหรือปลูกพืชใช้น้ําน้อยทดแทนในช่วงนี้ ขณะเดียวกันได้เร่งปฏิบัติการฝนหลวงเมื่อสภาพอากาศอํานวย เพื่อกักเก็บน้ําในแหล่งน้ําต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27094
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ จับมือ ช้อปปี้ ปรับกลยุทธ์ รุกฐานตลาดออนไลน์
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 เกษตรฯ จับมือ ช้อปปี้ ปรับกลยุทธ์ รุกฐานตลาดออนไลน์ เกษตรฯ จับมือ ช้อปปี้ ปรับกลยุทธ์ รุกฐานตลาดออนไลน์ สร้างเทรดเดอร์ ช่วยเกษตรกรกระจายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม รับยุคนิวนอร์มอล นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับ บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) ในครั้งนี้ ว่า หนึ่งในนโยบายสําคัญของกระทรวงเกษตรฯ คือการส่งเสริมและขยายตลาดสินค้าเกษตรสู่ตลาดออนไลน์ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มช่องทางการกระจายผลผลิตเกษตรโดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมามีการอบรมเกษตรกรให้เป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ มีเกษตรกรให้ความสนใจ และเข้าร่วมโครงการกับกระทรวงเกษตรฯ อย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเกษตรกรหลายรายประสบความสําเร็จ และสามารถจําหน่ายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างยอดจําหน่ายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% วันนี้ กระทรวงเกษตรฯ ต่อยอดการดําเนินงานด้านตลาดออนไลน์ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น โดยร่วมกับ บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จํากัด ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านการส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) จัดอบรมเกษตรกร ให้เป็นผู้จําหน่ายสินค้าเกษตรออนไลน์มืออาชีพประจําอําเภอ ซึ่งนอกจากจะจัดอบรมให้เกษตรกรทั้ง 4 กลุ่มเดิม คือ เกษตรแปลงใหญ่ กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ Young smart farmer แล้ว ในครั้งนี้เรายังขยายโอกาสไปยังลูกหลานเกษตรกร หรือ ศพก. หรือ อาสาสมัครด้านการเกษตรที่มีความพร้อม มาร่วมเป็นตัวแทนจําหน่ายสินค้า หรือ เทรดเดอร์ ให้เกษตรกรอีกด้วย ซึ่งจะเป็นการเติมเต็มให้กับเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ยังไม่มีความพร้อมในการจําหน่ายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ได้มีโอกาสจําหน่ายสินค้าเกษตรของตนเองออกสู่ตลาดได้อย่างทั่วถึง “ทุกวันนี้เราต้องยอมรับว่าการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทสําคัญ ทุกฝ่ายปรับตัวสู่ New Normal อย่างเห็นได้ชัด ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ได้ขับเคลื่อนนโยบายตลาดเกษตรออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง และวันนี้เราได้พันธมิตรชั้นนําอย่าง ช้อปปี้ ประเทศไทย จํากัด แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในประเทศมาดําเนินงานร่วมกัน จึงมั่นใจได้ว่าทีมงานที่มีประสิทธิภาพของทางช้อปปี้ที่ได้เข้ามาช่วยฝึกอบรม จะช่วยให้เกษตรกรพัฒนาสู่ผู้จําหน่ายสินค้าเกษตรมืออาชีพประจําอําเภอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯขอขอบคุณทางบริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จํากัด ที่ได้ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินโครงการร่วมกันในครั้งนี้” นายเฉลิมชัย กล่าว ด้าน มร. เทอเรนซ์ แพง ประธานฝ่ายปฏิบัติการ ช้อปปี้ กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ ช้อปปี้พร้อมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรและกลุ่มเป้าหมายตามแผนงานโครงการที่ได้ตกลงร่วมกัน เพื่อให้เกษตรกรก้าวสู่การเป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ และมีเทรดเดอร์ มาร่วมสนับสนุนกระจายผลผลิตให้เกษตรกรในทุกพื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากรายงานของบริษัทเก็บสถิติแอพ App Annie รวมสถิติการดาวน์โหลดแอพบน AppStore และ Play Store ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 ทางช้อปปี้ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นแอพพลิเคชั่นในหมวดช้อปปิ้งอันดับ 1 จากยอดผู้ใช้งานต่อเดือน (Monthly Active Users) และการใช้เวลาบนแอปพลิเคชั่นในระบบปฏิบัติการ Android สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน ดังนั้น ความร่วมมือกันในครั้งนี้ ช้อปปี้และกระทรวงเกษตรฯ จะร่วมกันสร้างฐานการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ที่แข็งแรง เติบโต และเข้าถึงผู้บริโภคอย่างไร้ขีดจํากัด “ปัจจุบัน ช้อปปี้ เป็นอีคอมเมิร์ซแพลทฟอร์มอันดับหนึ่งที่ถูกใจทั้งคนซื้อและคนขาย เรามีแบรนด์ชั้นนําบน Shopee Mall กว่า 1,500 แบรนด์ และมีทีมงานพร้อมที่จะร่วมพัฒนาทักษะอีคอมเมิร์ชให้แก่เกษตรกร เจ้าหน้าที่และเครือข่ายของกระทรวงเกษตรฯ ให้สามารถนําทักษะและความสามารถไปประยุกต์ใช้ต่อยอดได้ นอกจากนี้ ช้อปปี้ พร้อมที่จะสนับสนุนเผยแพร่โครงการด้านการส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของกระทรวงเกษตรฯ ผ่านสื่อต่าง ๆ ของบริษัท รวมทั้งจะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายให้แก่เกษตรกร กลุ่มแปลงใหญ่ กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ Young Smart Farmer เพื่อเพิ่มมูลค่าทางการค้าออนไลน์อย่างเต็มที่” มร. เทอเรนซ์ กล่าว ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ และ บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จํากัด จะจัดคอร์สฝึกอบรมให้เกษตรกรทั้ง 4 กลุ่มเดิม และกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมตามวัตถุประสงค์โครงการ ได้เข้าร่วมตามหลักสูตรที่กําหนด โดย 1 คอร์ส ใช้ระยะเวลา 7 วัน อีกทั้งยังพัฒนาการฝึกอบรมให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น เพื่อรองรับสถานการณ์ในปัจจุบัน ด้วยการเปิดอบรมทั้งระบบออฟไลน์ และระบบออนไลน์ ซึ่งภายในปี 2563 นี้ กําหนดเป้าหมายไม่ต่ํากว่า 1,000 ราย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ จับมือ ช้อปปี้ ปรับกลยุทธ์ รุกฐานตลาดออนไลน์ วันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 เกษตรฯ จับมือ ช้อปปี้ ปรับกลยุทธ์ รุกฐานตลาดออนไลน์ เกษตรฯ จับมือ ช้อปปี้ ปรับกลยุทธ์ รุกฐานตลาดออนไลน์ สร้างเทรดเดอร์ ช่วยเกษตรกรกระจายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม รับยุคนิวนอร์มอล นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับ บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) ในครั้งนี้ ว่า หนึ่งในนโยบายสําคัญของกระทรวงเกษตรฯ คือการส่งเสริมและขยายตลาดสินค้าเกษตรสู่ตลาดออนไลน์ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มช่องทางการกระจายผลผลิตเกษตรโดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมามีการอบรมเกษตรกรให้เป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ มีเกษตรกรให้ความสนใจ และเข้าร่วมโครงการกับกระทรวงเกษตรฯ อย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเกษตรกรหลายรายประสบความสําเร็จ และสามารถจําหน่ายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างยอดจําหน่ายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% วันนี้ กระทรวงเกษตรฯ ต่อยอดการดําเนินงานด้านตลาดออนไลน์ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น โดยร่วมกับ บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จํากัด ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านการส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) จัดอบรมเกษตรกร ให้เป็นผู้จําหน่ายสินค้าเกษตรออนไลน์มืออาชีพประจําอําเภอ ซึ่งนอกจากจะจัดอบรมให้เกษตรกรทั้ง 4 กลุ่มเดิม คือ เกษตรแปลงใหญ่ กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ Young smart farmer แล้ว ในครั้งนี้เรายังขยายโอกาสไปยังลูกหลานเกษตรกร หรือ ศพก. หรือ อาสาสมัครด้านการเกษตรที่มีความพร้อม มาร่วมเป็นตัวแทนจําหน่ายสินค้า หรือ เทรดเดอร์ ให้เกษตรกรอีกด้วย ซึ่งจะเป็นการเติมเต็มให้กับเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ยังไม่มีความพร้อมในการจําหน่ายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ได้มีโอกาสจําหน่ายสินค้าเกษตรของตนเองออกสู่ตลาดได้อย่างทั่วถึง “ทุกวันนี้เราต้องยอมรับว่าการซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทสําคัญ ทุกฝ่ายปรับตัวสู่ New Normal อย่างเห็นได้ชัด ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ได้ขับเคลื่อนนโยบายตลาดเกษตรออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง และวันนี้เราได้พันธมิตรชั้นนําอย่าง ช้อปปี้ ประเทศไทย จํากัด แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคในประเทศมาดําเนินงานร่วมกัน จึงมั่นใจได้ว่าทีมงานที่มีประสิทธิภาพของทางช้อปปี้ที่ได้เข้ามาช่วยฝึกอบรม จะช่วยให้เกษตรกรพัฒนาสู่ผู้จําหน่ายสินค้าเกษตรมืออาชีพประจําอําเภอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯขอขอบคุณทางบริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จํากัด ที่ได้ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินโครงการร่วมกันในครั้งนี้” นายเฉลิมชัย กล่าว ด้าน มร. เทอเรนซ์ แพง ประธานฝ่ายปฏิบัติการ ช้อปปี้ กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ ช้อปปี้พร้อมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรและกลุ่มเป้าหมายตามแผนงานโครงการที่ได้ตกลงร่วมกัน เพื่อให้เกษตรกรก้าวสู่การเป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ และมีเทรดเดอร์ มาร่วมสนับสนุนกระจายผลผลิตให้เกษตรกรในทุกพื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากรายงานของบริษัทเก็บสถิติแอพ App Annie รวมสถิติการดาวน์โหลดแอพบน AppStore และ Play Store ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2563 ทางช้อปปี้ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นแอพพลิเคชั่นในหมวดช้อปปิ้งอันดับ 1 จากยอดผู้ใช้งานต่อเดือน (Monthly Active Users) และการใช้เวลาบนแอปพลิเคชั่นในระบบปฏิบัติการ Android สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน ดังนั้น ความร่วมมือกันในครั้งนี้ ช้อปปี้และกระทรวงเกษตรฯ จะร่วมกันสร้างฐานการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ที่แข็งแรง เติบโต และเข้าถึงผู้บริโภคอย่างไร้ขีดจํากัด “ปัจจุบัน ช้อปปี้ เป็นอีคอมเมิร์ซแพลทฟอร์มอันดับหนึ่งที่ถูกใจทั้งคนซื้อและคนขาย เรามีแบรนด์ชั้นนําบน Shopee Mall กว่า 1,500 แบรนด์ และมีทีมงานพร้อมที่จะร่วมพัฒนาทักษะอีคอมเมิร์ชให้แก่เกษตรกร เจ้าหน้าที่และเครือข่ายของกระทรวงเกษตรฯ ให้สามารถนําทักษะและความสามารถไปประยุกต์ใช้ต่อยอดได้ นอกจากนี้ ช้อปปี้ พร้อมที่จะสนับสนุนเผยแพร่โครงการด้านการส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของกระทรวงเกษตรฯ ผ่านสื่อต่าง ๆ ของบริษัท รวมทั้งจะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายให้แก่เกษตรกร กลุ่มแปลงใหญ่ กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ Young Smart Farmer เพื่อเพิ่มมูลค่าทางการค้าออนไลน์อย่างเต็มที่” มร. เทอเรนซ์ กล่าว ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ และ บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จํากัด จะจัดคอร์สฝึกอบรมให้เกษตรกรทั้ง 4 กลุ่มเดิม และกลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมตามวัตถุประสงค์โครงการ ได้เข้าร่วมตามหลักสูตรที่กําหนด โดย 1 คอร์ส ใช้ระยะเวลา 7 วัน อีกทั้งยังพัฒนาการฝึกอบรมให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น เพื่อรองรับสถานการณ์ในปัจจุบัน ด้วยการเปิดอบรมทั้งระบบออฟไลน์ และระบบออนไลน์ ซึ่งภายในปี 2563 นี้ กําหนดเป้าหมายไม่ต่ํากว่า 1,000 ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33391
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thai Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนมกราคม 2561
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thai Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนมกราคม 2561 “ค่าดัชนีฯ เดือนมกราคม 2561 สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้นทุกภูมิภาค นําโดยภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ” นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ประจําเดือนมกราคม 2561 ว่า “การประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดล่าสุด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) อยู่ในระดับที่ดีขึ้นกว่าเดือนก่อนหลายภูมิภาค นําโดยภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ เป็นสําคัญ” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลาง ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 93.8 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มที่ดีขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้าของภาคการลงทุน เนื่องจากความคืบหน้าของนโยบายภาครัฐด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการทางพิเศษ (ทางด่วน) สายอุดรรัถยา-พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ประกอบกับมีการลงทุนใหม่ด้านอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและมีการขยายธุรกิจมากขึ้นในจังหวัดสระบุรี อีกทั้งได้รับอานิสงส์จากโครงการกองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ ส่งผลให้ดัชนีแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมของภูมิภาค ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 96.6 ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 92.9 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีค่าดัชนีแนวโน้มอยู่ที่ 99.8 ประกอบกับสถานการณ์การลงทุนภายในภูมิภาคที่มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เช่น การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เป็นต้น อีกทั้งมีนักลงทุนรายใหม่สนใจที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นในจังหวัดปราจีนบุรี จากเดิมในเดือนก่อนหน้า ที่พบว่านักลงทุนรายใหม่สนใจเพียงในเขตพื้นที่โครงการ EEC เช่นเดียวกับภาคการผลิตของภาคเหนือ ที่มีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากการขยายโรงงานในหลายพื้นที่ เช่น เพชรบูรณ์ ลําปาง เป็นต้น อีกทั้งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสําหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นต้น รวมถึงแนวโน้มภาคเกษตร ยังคงส่งสัญญาณที่ดี ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 96.7 ตามสภาพอากาศที่เอื้อต่อการเพาะปลูก ซึ่งคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจเหนือ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 91.2 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 84.5 จากดัชนีแนวโน้มที่ดีขึ้นของภาคบริการในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะได้รับผลดีจากมาตรการลดหย่อนภาษีเขตเมืองรอง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 18 จังหวัดของภูมิภาค อีกทั้ง สาขาค้าปลีกค้าส่ง ยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงดัชนีแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 93.1 เนื่องจากผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในแต่ละจังหวัด สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตก อยู่ที่ 79.8 ตามแรงสนับสนุนจากแนวโน้มที่ดีของภาคบริการ โดยเฉพาะสาขาการท่องเที่ยว ที่จะได้รับอานิสงส์จากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว อีกทั้ง บริเวณด่านชายแดนในจังหวัดกาญจนบุรียังคงคึกคัก ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและเมียนมาร์ได้ รวมถึงค้าส่งค้าปลีกที่มีแนวโน้มสดใส จากการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐส่งผลให้ดัชนีแนวโน้มภาคบริการ อยู่ในระดับที่ดีที่ 83.8 ประกอบกับแนวโน้มที่ดีในภาคการลงทุน เนื่องจากมีการลงทุนใหม่ตามสถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดราชบุรี ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม.และปริมณฑล อยู่ที่ 73.3 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ตามดัชนีแนวโน้มในอีก 6 เดือนข้างหน้าของภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่ 84.3 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็กและเครื่องหนัง ประกอบกับดัชนีแนวโน้มภาคบริการ อยู่ที่ 71.8 โดยเฉพาะสาขาค้าปลีกและการเงินการธนาคาร นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้ ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่ 68.7 จากดัชนีแนวโน้มในภาคการจ้างงานภายในภูมิภาค ส่งสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง อยู่ที่ 85.6 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการจ้างงานภาคอุตสาหกรรมและบริการ เป็นสําคัญ ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2561 (ณ เดือนมกราคม 2561) กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาพรวม ดัชนีความเชื่อมั่น อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 73.3 92.9 84.5 68.7 93.8 91.2 79.8 ดัชนีแนวโน้มรายภาค 1) ภาคเกษตร 71.0 90.3 82.9 58.5 89.5 96.7 78.8 2) ภาคอุตสาหกรรม 84.3 99.8 93.1 72.1 96.6 97.2 80.7 3) ภาคบริการ 71.8 98.0 93.6 64.1 95.2 96.3 83.8 4) ภาคการจ้างงาน 69.3 77.1 75.2 85.6 92.0 86.4 64.7 5) ภาคการลงทุน 70.1 99.3 77.7 63.2 96.0 79.4 91.0 สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254 หรือ 3215
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thai Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนมกราคม 2561 วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thai Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนมกราคม 2561 “ค่าดัชนีฯ เดือนมกราคม 2561 สะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้นทุกภูมิภาค นําโดยภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ” นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ประจําเดือนมกราคม 2561 ว่า “การประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดล่าสุด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) อยู่ในระดับที่ดีขึ้นกว่าเดือนก่อนหลายภูมิภาค นําโดยภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคเหนือ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ เป็นสําคัญ” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลาง ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 93.8 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มที่ดีขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้าของภาคการลงทุน เนื่องจากความคืบหน้าของนโยบายภาครัฐด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการทางพิเศษ (ทางด่วน) สายอุดรรัถยา-พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ประกอบกับมีการลงทุนใหม่ด้านอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและมีการขยายธุรกิจมากขึ้นในจังหวัดสระบุรี อีกทั้งได้รับอานิสงส์จากโครงการกองทุนพัฒนา SMEs ตามแนวประชารัฐ ส่งผลให้ดัชนีแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมของภูมิภาค ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 96.6 ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตภาคตะวันออก อยู่ที่ระดับ 92.9 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีค่าดัชนีแนวโน้มอยู่ที่ 99.8 ประกอบกับสถานการณ์การลงทุนภายในภูมิภาคที่มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เขตระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เช่น การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เป็นต้น อีกทั้งมีนักลงทุนรายใหม่สนใจที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นในจังหวัดปราจีนบุรี จากเดิมในเดือนก่อนหน้า ที่พบว่านักลงทุนรายใหม่สนใจเพียงในเขตพื้นที่โครงการ EEC เช่นเดียวกับภาคการผลิตของภาคเหนือ ที่มีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากการขยายโรงงานในหลายพื้นที่ เช่น เพชรบูรณ์ ลําปาง เป็นต้น อีกทั้งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสําหรับผู้ประกอบกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นต้น รวมถึงแนวโน้มภาคเกษตร ยังคงส่งสัญญาณที่ดี ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 96.7 ตามสภาพอากาศที่เอื้อต่อการเพาะปลูก ซึ่งคาดว่าผลผลิตจะออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจเหนือ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ 91.2 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 84.5 จากดัชนีแนวโน้มที่ดีขึ้นของภาคบริการในเกือบทุกจังหวัด โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะได้รับผลดีจากมาตรการลดหย่อนภาษีเขตเมืองรอง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 18 จังหวัดของภูมิภาค อีกทั้ง สาขาค้าปลีกค้าส่ง ยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงดัชนีแนวโน้มของภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 93.1 เนื่องจากผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในแต่ละจังหวัด สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันตก อยู่ที่ 79.8 ตามแรงสนับสนุนจากแนวโน้มที่ดีของภาคบริการ โดยเฉพาะสาขาการท่องเที่ยว ที่จะได้รับอานิสงส์จากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว อีกทั้ง บริเวณด่านชายแดนในจังหวัดกาญจนบุรียังคงคึกคัก ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและเมียนมาร์ได้ รวมถึงค้าส่งค้าปลีกที่มีแนวโน้มสดใส จากการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐส่งผลให้ดัชนีแนวโน้มภาคบริการ อยู่ในระดับที่ดีที่ 83.8 ประกอบกับแนวโน้มที่ดีในภาคการลงทุน เนื่องจากมีการลงทุนใหม่ตามสถานที่ท่องเที่ยวภายในจังหวัดราชบุรี ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม.และปริมณฑล อยู่ที่ 73.3 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ตามดัชนีแนวโน้มในอีก 6 เดือนข้างหน้าของภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่ 84.3 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็กและเครื่องหนัง ประกอบกับดัชนีแนวโน้มภาคบริการ อยู่ที่ 71.8 โดยเฉพาะสาขาค้าปลีกและการเงินการธนาคาร นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้ ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่ 68.7 จากดัชนีแนวโน้มในภาคการจ้างงานภายในภูมิภาค ส่งสัญญาณที่ดีต่อเนื่อง อยู่ที่ 85.6 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการจ้างงานภาคอุตสาหกรรมและบริการ เป็นสําคัญ ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2561 (ณ เดือนมกราคม 2561) กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาพรวม ดัชนีความเชื่อมั่น อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 73.3 92.9 84.5 68.7 93.8 91.2 79.8 ดัชนีแนวโน้มรายภาค 1) ภาคเกษตร 71.0 90.3 82.9 58.5 89.5 96.7 78.8 2) ภาคอุตสาหกรรม 84.3 99.8 93.1 72.1 96.6 97.2 80.7 3) ภาคบริการ 71.8 98.0 93.6 64.1 95.2 96.3 83.8 4) ภาคการจ้างงาน 69.3 77.1 75.2 85.6 92.0 86.4 64.7 5) ภาคการลงทุน 70.1 99.3 77.7 63.2 96.0 79.4 91.0 สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254 หรือ 3215
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9690
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 3 สิงหาคม 2561
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 3 สิงหาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มาตลอดรัชกาล โดยการเสด็จพระราชดําเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรแต่ละครั้งนั้น ก่อให้เกิดโครงการพระราชดําริ หลากหลายโครงการ ทั้งด้านการแพทย์ การสาธารณสุข การศึกษา การศาสนา ศิลปวัฒนธรรม รวมทั้ง ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่ล้วนเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร สภาพสังคม และ ความเจริญทางวัฒนธรรมของไทย ซึ่งสะท้อนให้เป็นที่ประจักษ์ ถึงพระปฐมบรมราชโองการ ที่ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชประสงค์ ที่จะทรงอนุรักษ์ป่า ดังพระราชปณิธานที่ว่า "พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ํา ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ํา พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ํา ฉันจะสร้างป่า" ดังนี้แล้ว โครงการอนุรักษ์ป่า สัตว์ป่า สัตว์ทะเล จึงเกิดขึ้น และแผ่ขยายทั่วประเทศ อาทิ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ให้ชาวบ้านช่วยพิทักษ์รักษาผืนป่า และต้นน้ํา โครงการป่ารักน้ํา นําความชุ่มชื้นคืนให้ผืนแผ่นดินไทย อีกทั้งทรงสร้างจิตวิญญาณให้ป่า ด้วยการปล่อยสัตว์ป่าสู่ธรรมชาติ ทรงอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล และฟื้นฟูป่าชายเลน เพื่อเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ทะเลให้เติบโตขึ้นเป็นอาหารชาวโลกเป็นต้น ในฐานะทรงดํารงตําแหน่งองค์สภานายิกาสภากาชาดไทย พระองค์พระราชทานความช่วยเหลือแก่ผู้เจ็บป่วยทั้งยามปกติ และยามฉุกเฉิน ทรงส่งเสริมให้ประชาชนบริจาคโลหิต อย่างแพร่หลาย พระราชทานโครงการหมอหมู่บ้าน หน่วยแพทย์พระราชทาน ทรงรับคนไข้ยากจนไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ทรงก่อตั้งมูลนิธิสายใจไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ช่วยเหลือทหาร ตํารวจ และอาสาสมัคร ที่บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากการทําหน้าที่เพื่อประเทศชาติ ทรงตระหนักในความสําคัญของการศึกษาและโปรดให้คนไทยทุกคนรู้หนังสือ ทรงสอนเด็กชาวบ้านให้หัดเขียน หัดอ่าน ทรงอบรมให้เป็นคนดี มีความรักชาติรักแผ่นดินเกิด โปรดให้ชาวบ้านในท้องที่ห่างไกล ได้รับความรู้เพิ่มเติม อันเป็นจุดเริ่มต้นการจัดตั้ง "ศาลารวมใจ" โดยพระราชทานหนังสือความรู้สาขาต่าง ๆ ไว้ ณ ศาลาเหล่านี้ ทรงสนับสนุนการสร้างโรงเรียน ในถิ่นทุรกันดาร และพระราชทานทุนการศึกษาแก่เด็กที่ครอบครัวยากจน นอกจากนี้ ทรงส่งเสริมให้ราษฎรมีอาชีพเสริม ด้วยการฝึกหัดงานหัตถกรรมทั้งงานทอ ถัก จัก สาน ปัก ปั้น ตกแต่ง และอีกหลากหลายชนิด ต่อมาพัฒนาเป็นโครงการศิลปาชีพ ซึ่งสร้างอาชีพ และรายได้ แก่ราษฎรหลายล้านคน และเป็นที่มาแห่ง "งานศิลป์แผ่นดิน" เผยแพร่งานศิลปะของชาติ ให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งในปีนี้รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม กําหนดจัดงาน "มหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 อัคราภิรักษศิลปิน" ระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคม ศกนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระองค์ ในฐานะที่ทรงเป็น "อัคราภิรักษศิลปิน" อันหมายถึง "ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกปักรักษางานศิลปะ" ที่ทรงนํามิติทางวัฒนธรรม มาส่งเสริมอาชีพ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย ให้อยู่ดีกินดี อีกทั้งยังส่งผลต่อการอนุรักษ์ ส่งเสริม และฟื้นฟู มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติอีกด้วย ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ พระเกียรติคุณอันแผ่ไพศาล สถาบันการศึกษา หน่วยงาน องค์กร มูลนิธิ สมาคม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จึงได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญากิตติมศักดิ์ เกียรติบัตร เหรียญรางวัล เป็นจํานวนมาก รวมทั้ง น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชสมัญญานาม ซึ่งล้วนแสดงถึงพระอัจฉริยภาพ พระราชจริยวัตร และน้ําพระราชหฤทัย ที่เปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม ศกนี้ รัฐบาลขอเชิญชวน พสกนิกรชาวไทย ทุกหมู่เหล่า น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายพระพรชัยมงคล ให้ทรงพระเกษมสําราญ บริบูรณ์ด้วยพระจตุรพิธพรชัย เป็นพระมิ่งขวัญปกเกล้าปกกระหม่อมอาณาประชาราษฎร์ ตราบนาน เท่านาน พี่น้องประชาชนที่รักครับ ในการขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย ทุกภาคส่วน ต่างก็มีหน้าที่ มีความรับผิดชอบของตน แต่การจะแก้ปัญหาให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น ต้องอาศัยการทํางานบูรณาการกัน ให้กลมเกลียวอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเน้นย้ําอยู่เสมอ และพยายามปรับวัฒนธรรมการทํางานของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกฝ่ายพร้อมที่จะร่วมกันทํางาน เพื่อจะวางรากฐานและขับเคลื่อน อนาคตของประเทศไปด้วยกัน ทั้งนี้ ในการสร้างความตระหนักรู้ และความเข้าใจ เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่ายนั้น จําเป็นต้องมีหลักคิดที่ตรงกัน ในการตอบคําถาม 3 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้ ประเด็นแรก ก็คือว่า ทําไมเราต้องมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีแผนพัฒนาอยู่แล้ว เป็นของ สภาพัฒน์ฯ แต่ละกระทรวง ก็มีแผนการทํางานที่กําหนดไว้แล้ว ก่อนอื่นผมขอให้ลองมองปัญหาที่ประเทศเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทั้งการเปลี่ยนแปลงภายนอกประเทศ ที่เราจําเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้อง เช่น การปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของประเทศมหาอํานาจ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ลุกลามไปสู่การค้าและแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับเศรษฐกิจในประเทศกําลังพัฒนา ประเทศขนาดเล็ก ที่จําเป็นต้องพึ่งพาการค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไทยนั้น เราได้เจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเทคโนโลยี ที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก นอกจากนี้ เรายังมีปัญหาเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเอง ที่หยั่งรากลึกมาเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะในเรื่องความเหลื่อมล้ํา การกระจายรายได้ที่เรายังไม่สามารถแก้ไขเยียวยาได้อย่างยั่งยืน ภาคธุรกิจยังมีข้อจํากัด ในการที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก เราขาดการลงทุนขนาดใหญ่เพื่ออนาคตในโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญของประเทศ รวมไปถึง เตรียมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งเรายังคงขาดการเตรียมการเพื่อรองรับสภาพสังคมดังกล่าว เราอาจจะเตรียมการยังไม่ได้ดีนัก แต่เราต้องเร่งดําเนินการในเรื่องเหล่านี้ ทั้งในด้านแรงงาน การออม และระบบสาธารณสุข เป็นต้น ปัญหาต่าง ๆ ที่ผมกล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ ซึ่งการจะนําพาประเทศให้ผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ ทุกฝ่ายจะต้องมีเป้าหมายเดียวกัน ต้องมองภาพเดียวกันให้เกิดขึ้น โดยภาพนั้น ก็หมายถึงภาพอนาคตประเทศไทย ที่พวกเราอยากเห็น อยากจะสร้างไว้ให้กับลูกหลานของเรานั่นเอง เมื่อพูดถึงอนาคตของประเทศไทย หลายท่านอาจจินตนาการ นึกถึงภาพของประเทศไทยที่แตกต่างกันออกไป เช่น เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชาชนอยู่ดีมีสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน มีโอกาส มีความเสมอภาคในการพัฒนาตนเอง มีระบบสวัสดิการของรัฐที่จําเป็นในการดํารงชีพอย่างพอเพียงและเหมาะสม เช่น การศึกษา สาธารณสุข การบริการพื้นฐานต่าง ๆ บ้านเมืองมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม ปลอดภัย มีสิ่งอํานวยความสะดวก สาธารณูปโภคพื้นฐาน ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต รวมถึงการคมนาคม มีระบบขนส่งมวลชน มีรถไฟฟ้า รถไฟ ที่มากขึ้นและเพียงพอ ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ที่สามารถใช้บริการเหล่านี้ได้ แล้วประชาชนต้องเคารพกฎหมาย อยู่ในศีลธรรม และจริยธรรมอันดีงาม ตามแบบแผนวัฒนธรรมไทยที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งการจะเดินไปสู่อนาคตที่ดีของประเทศไทยนั้น ที่จะให้เป็นประเทศที่ดีของคนไทยทุกคน ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สามารถทําได้ โดยประชาชน 70 ล้านคน จะต้องมีความรับรู้ ความเข้าใจที่ตรงกัน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จึงเป็นสิ่งที่จะมาช่วยตอบโจทย์ดังกล่าว ด้วยการกําหนดเป้าหมาย และภาพอนาคตที่เราต้องการเห็น ในอีก 20 ปีข้างหน้า เด็กที่เกิดในวันนี้ จะก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ในภาวะแวดล้อมของประเทศ ที่จะเอื้อให้พวกเขาสามารถมีความเป็นอยู่และรายได้ที่มั่นคง มีเครื่องมือที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเลือกประกอบอาชีพใด เพื่อจะสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิตได้อย่างยั่งยืน และต้องสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของการพัฒนาประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ ซึ่งก็คือ "ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเสมอภาคและเป็นธรรม บนฐานทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืน" โดยได้ออกแบบเป้าหมายที่ต้องบรรลุเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ ที่ประกอบกันออกมา ให้เป็นอนาคตของประเทศ 6 ด้านที่สอดรับกัน เริ่มจาก (1) คนไทยอยู่ดีมีสุขและสังคมไทยสงบ มั่นคง ปลอดภัย (2) ประเทศมีความสามารถในการแข่งขัน เพื่อยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้ที่เหมาะสม (3) ทรัพยากรมนุษย์ของประเทศได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมและทั่วถึง (4) สังคมไทยมีความเท่าเทียมและความเสมอภาค (5) ประเทศมีความหลากหลายทางชีวภาพ คุณภาพสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ และ (6) การบริหารจัดการของภาครัฐมีประสิทธิภาพ และประชาชนเข้าถึงสะดวก ซึ่งเหล่านี้ เป็นเป้าหมายที่จะถูกนําไปใช้ เป็นกรอบความคิด ในการจัดทําแผนงานของภาครัฐ แผนปฏิรูปประเทศ รวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของสภาพัฒน์ฯ ในการขับเคลื่อนงานต่าง ๆ ไปสู่ภาพอนาคตของประเท ระยะยาว แล้วก็ถือเป็นการมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันด้วย พี่น้องประชาชนที่รักครับ ผมขอเรียนว่าการมียุทธศาสตร์ประเทศไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศมีและได้ใช้ยุทธศาสตร์เป็นเป้าหมายในการกําหนดแนวทางการบริหารประเทศมานานแล้ว เช่น มาเลเซีย และสิงคโปร์ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ที่เราจะมีแผนในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ในระยะยาว ซึ่งผมและรัฐบาลนี้ มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเร่งดําเนินการตามแผนให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ประเทศมีรากฐาน และเป้าหมายในการทํางาน ให้สามารถเดินหน้าและต่อยอดในระยะต่อไปได้ การที่แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีกฎหมายรองรับ ก็เป็นอีกความตั้งใจที่จะสะท้อนความสําคัญและความมุ่งมั่นของภาครัฐ ที่จะทําให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ได้เป็นการล็อค หรือบังคับให้ใครต้องทําอะไร อย่างที่หลายฝ่ายนํามาบิดเบือน โจมตีในขณะนี้ เพราะกฎหมายกําหนดไว้อยู่แล้วว่า เมื่อสถานการณ์หรือปัจจัยแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งต้องเปลี่ยนไป ยุทธศาสตร์ชาติก็สามารถจะได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสม และทันต่อสถานการณ์ได้ แต่สิ่งที่เป็นความท้าทายและน่ากังวลมากกว่า ก็คือการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้สําเร็จผลตามที่กําหนดไว้ เพราะไม่ว่ายุทธศาสตร์ชาติจะเขียนดีแค่ไหน มีการปรับให้ทันสมัยเพียงใด แต่หากทุกคนไม่ยอมรับ ไม่ช่วยกันนําไปขับเคลื่อน ตามภาระหน้าที่ของตน เป้าหมายหรือภาพอนาคตที่วาดหวังไว้นั้น ก็คงเป็นได้แค่เพียงความฝัน พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ ประเด็นที่สอง ที่ผมอยากจะหยิบยกเพื่อชวนทุกท่านให้ช่วยกันคิด คือ เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน อันจะช่วยให้เราก้าวไปสู่อนาคตของประเทศที่เราต้องการ ได้อย่างไร อาทิ (1) การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนสําคัญของชาติ (National Agenda) (2) การบริหารราชการตามกฎหมาย อํานาจ หน้าที่ (function) การพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพ การบริหารราชการแผ่นดิน การช่วยเหลือประชาชน (3) การเดินหน้ากระบวนการปฏิรูปในเรื่องสําคัญต่าง ๆ และ (4) การขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ที่กําหนดไว้ ซึ่งในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาที่เรื้อรังมานานในหลาย ๆ ด้าน ทั้งปัญหาความขัดแย้งในทางการเมือง ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น รวมไปถึงการไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศได้ ปัญหาเหล่านี้ถูกเพิกเฉยและละเลย จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ที่ยากต่อการแก้ไข ส่งผลต่อภาพลักษณ์และการยอมรับจากประชาคมโลก และบั่นทอนบรรยากาศความเชื่อมั่นด้านการค้าและการลงทุน จนกลายเป็นปัจจัยที่คอยฉุดรั้งความเจริญก้าวหน้าบ้านเมือง เห็นได้จากอัตราการเจริญเติบโต (GDP) ไตรมาสแรกของปี 2557 ช่วงก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศ ที่หดตัวหรือติดลบ ร้อยละ 0.5 เมื่อรัฐบาลนี้ เข้ามาบริหารประเทศ ช่วงเดือน ก.ย. 57 จึงได้ให้ความสําคัญกับการเร่งสร้างความเปลี่ยนแปลง และแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประชาชน และประเทศชาติโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเร่งสร้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นก่อน เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติสุข ธุรกิจและห้างร้านต่าง ๆ สามารถกลับมาค้าขายได้อย่างคล่องตัว นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ริเริ่มการปฏิรูประบบราชการ และกลไกการบริหารราชการแผ่นดิน ที่เป็นอุปสรรคและสาเหตุสําคัญของปัญหาที่เรื้อรังหลายเรื่อง เช่น ปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยกําหนดให้มีกลไกในการขับเคลื่อนอย่างบูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน โดยลดขั้นตอนและขจัดข้อขัดข้องที่เกิดจากกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยได้นําผู้กระทําผิดกฎหมายมาลงโทษ การจัดให้มีสัญญาคุณธรรมมีระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อจะลดการทุจริตคอร์รัปชั่น ไปจนถึงการปรับระเบียบ กฎหมาย กฎเกณฑ์ เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจสามารถประกอบการได้สะดวกขึ้น ทั้งนี้ผลจากการปฏิรูปและเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานตามแนวทางดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบันปัญหาต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น สถานะของประเทศไทยในเวทีโลก ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจําปี ค.ศ. 2018 TIP Report ที่ไทยได้รับการปรับระดับขึ้น มาเป็น Tier 2 เช่นเดียวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้างาช้างผิดกฎหมาย CITES การทําประมงผิดกฎหมาย IUU Fishing และ การแก้ไขข้อบกพร่องด้านการบินพลเรือน ICAO ที่รัฐบาลได้ให้ความสําคัญอย่างยิ่ง แล้วก็เร่งแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่น่าพอใจและได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังได้ปรับอันดับในเรื่อง Ease of doing business ของประเทศไทย จากที่เคยอยู่อันดับที่ 46 มาเป็นอันดับที่ 26 ในปีล่าสุด ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีการพัฒนาดีขึ้นอันดับ 2 ของโลก หรือจาก 190 ประเทศ อีกด้วย นอกจากการเร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว รัฐบาลยังได้ริเริ่มการปฏิรูปงานด้านอื่น ๆ เพื่อปรับโครงสร้าง และวางรากฐานที่สําคัญ ควบคู่ไปกับการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติเพื่อวางเป้าหมาย และภาพในอนาคตของประเทศ ผมขอยกตัวอย่างการปฏิรูปที่สําคัญ เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นปัญหาที่สั่งสมมาในอดีต และสิ่งที่รัฐบาลพยายามจะปฏิรูปและสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ได้แก่ 1. การปฏิรูปและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ทุกท่านคงทราบดีว่า ในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขาดความสมดุลเนื่องจากเราเน้นในเรื่องการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก การกระจายรายได้ไปสู่ฐานรากยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในภาคการเกษตร ขาดการวางแผนการลงทุน ขาดการทําโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เป็นเวลาหลายสิบปี เมื่อรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศจึงมีนโยบายในการปรับสมดุลโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ แม้ว่าการส่งออกจะยังเป็นเครื่องจักรสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่การลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้า การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ก็เป็นปัจจัยสําคัญ ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ช่วยให้ประเทศสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน รัฐบาลจึงได้ริเริ่มโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยให้ความสําคัญกับอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับผลผลิตภาคเกษตรกรรม เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งจะช่วยให้สินค้าเกษตรมีมูลค่าสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรมชั้นสูง เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ดิจิทัล การแพทย์ครบวงจร นอกจากนี้การพัฒนาพื้นที่ EEC ยังก่อให้เกิด การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการดําเนินงานด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ที่จะเป็นรากฐานสําคัญให้กับการเจริญเติบโตในอนาคต อาทิ (1) ทางราง ภายในปี 2565 อีก 4 ปีข้างหน้า เราจะได้ใช้บริการ • โครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง ที่ไม่ได้มีการลงทุนเป็นเวลากว่า 117 ปี ซึ่งเมื่อดําเนินการทั้งหมดแล้ว ประเทศไทยจะมีรถไฟทางคู่เพิ่มขึ้นเป็น 3,528 กม. จากเดิมที่มีอยู่เพียง 358 กม. • รถไฟความเร็วสูง ที่นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งทั้งเส้นทาง กทม.-นครราชสีมา โครงการรถไฟความเร็วสูง กทม.-เชียงใหม่ ระยะต่อไป และโครงการ รถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบินหลักของประเทศ คือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา ในเรื่องของรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายเหนือ ก็คงต้องศึกษากันต่อไป เพราะมีปัญหาในเรื่องของความคุ้มค่า คุ้มทุนด้วย ตอนนี้อย่างน้อยเราก็มี 1 เส้น ไปก่อน • รถไฟฟ้า กทม. และปริมณฑล ที่จะเพิ่มรถไฟฟ้าให้เป็น 11 เส้นทาง (2) ทางถนน ได้มีการเชื่อมโยงฐานการผลิตที่สําคัญไปยังพื้นที่ต่าง ๆ และประเทศเพื่อนบ้าน มีทั้งการขยายเพิ่มทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ทางพิเศษ 2 เส้นทาง พัฒนาทางหลวงชนบท เพื่อแก้ปัญหาจราจร เพิ่มสะพานข้ามแม่น้ําขนาดใหญ่ เพิ่มสะพานข้ามหรือลอดอุโมงค์ทางรถไฟ เพื่อลดอุบัติเหตุและการสูญเสีย ที่เห็นเป็นประจํา (3) ทางน้ํา เพิ่มท่าเรือน้ําลึก อีก 6 แห่ง จากเดิม 18 แห่ง พัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือมาบตาพุด รวมทั้งเพิ่มการเดินเรือเชื่อมพัทยา-หัวหิน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเล และ (4) ทางอากาศ เพิ่มท่าอากาศยานเบตง รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถของสนามบินทั่วประเทศ ให้สามารถรองรับเที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 320,000 เที่ยวบินต่อปี และรองรับผู้โดยสารรวมทุกสนามบินมากขึ้น ราว 70 ล้านคนต่อปี นอกจากนี้ ยังมีมาตรการรองรับทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการวางรากฐานและช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย ให้สามารถปรับตัว ยกระดับการดํารงชีวิต ในช่วงการจัดทําแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิรูปประเทศในหลายมิติ เช่น การเข้าถึงสินเชื่อและเงินทุนเพื่อการประกอบการและใช้จ่ายฉุกเฉิน มาตรการสนับสนุนผ่านการร่วมลงทุนการจัดตั้งศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs ในการนําผลิตภัณฑ์ชุมชนเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือในเรื่องหนี้ อนุมัติให้พักชําระหนี้หรือขยายเวลาชําระหนี้ กว่า 10,000 ราย รวมถึงการจัดตั้ง "โครงการคลินิกแก้หนี้" เพื่อให้บริการประชาชนที่ไม่สามารถชําระหนี้กับสถาบันการเงินได้ ขณะเดียวกัน ก็มีการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง ซึ่งก็จะเป็นรากฐานที่จําเป็นต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไป ทั้งนี้ ผลงานจากการวางรากฐานการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง การขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เพิ่มขึ้น ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปี 2560 และมีมูลค่าเงินลงทุน 284,600 ล้านบาท การส่งออกใน 6 เดือนแรกของปีขยายตัวร้อยละ 11 และจํานวนนักท่องเที่ยวครึ่งแรกของปี 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 จากครึ่งแรกของปีก่อนหน้า และทําให้คาดว่า GDP ของประเทศปี 2561 จะขยายตัวที่ประมาณร้อยละ 4.2 - 4.7 ในการปฏิรูปภาคการเกษตร ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สําคัญและเกิดขึ้นซ้ําซาก ต้นตอหรือต้นเหตุของปัญหา คือการส่งเสริมการผลิตโดยการวางรากฐาน ไม่มีการบริหารจัดการผลผลิตที่ออกสู่ตลาด ที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ มักจะใช้มาตรการในการที่จะแทรกแซง บิดเบือนกลไกตลาด โดยการอุดหนุนราคา ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดผลในเรื่องของการขาดทุนและสร้างภาระงบประมาณให้กับประเทศแล้ว ยังส่งผลให้เกษตรกรไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีการพัฒนาผลผลิตและคุณภาพ ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้น รัฐบาลได้ใช้หลักการตลาดนําการผลิต โดยให้ความสําคัญกับการเพิ่มคุณภาพผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมถึงการบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรภายใต้กฎกติกาสากลให้กับเกษตรกร เช่น โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโครงการประกันภัยข้าวนาปี การบริหารจัดการอุปทานในตลาดข้าวทําให้ปัจจุบัน ราคาข้าวที่ขายได้กระเตื้องขึ้นจากเดิม อย่างต่อเนื่อง โครงการพักชําระหนี้เงินต้น และลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลัง และการจัดที่ดินทํากินให้เกษตรกร ได้จัดที่ดินทํากิน ผ่านคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด (คปจ.) นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการปรับเปลี่ยนการผลิตพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม โดยใช้แผนที่เกษตร (Agri-Map) เข้ามาช่วย ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต และการรวมกลุ่มเกษตรกรผ่านการส่งเสริมการทําเกษตรแปลงใหญ่ รวมทั้ง การยกระดับมาตรฐานสินค้า เช่น มาตรฐาน GAP หรือ การพัฒนาสู่การทําเกษตรอินทรีย์ต่อไป การเพิ่มช่องทางการค้าออนไลน์ ทั้งหมดนี้ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องรอแต่ความช่วยเหลือของภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว และไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือของพ่อค้าคนกลาง โรงสี หรือนายทุน อย่างเช่นในอดีต เราต้องเปิดช่องทางนี้ขึ้นมาให้ได้ ของเกษตรกรเอง การปฏิรูปด้านสังคมและความเหลื่อมล้ําที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ําทางรายได้สูงมาก มีปัญหาในการเข้าถึงสวัสดิการและบริการ รัฐบาลให้ความสําคัญกับการสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคให้คนทุกกลุ่ม เริ่มตั้งแต่การดูแลประชาชนตั้งแต่วัยแรกเกิด โดยมอบเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูให้กับครอบครัวยากจน โครงการจ้างงานเร่งด่วน การพัฒนาทักษะฝีมือ การส่งเสริมการจ้างงานและเพิ่มเบี้ยยังชีพให้คนพิการและผู้สูงอายุ การจัดระเบียบและการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนขอทาน คนเร่ร่อนและไร้ที่พึ่ง การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อยในชุมชนแออัดและการพัฒนาโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง เราก็ต้องมีการพัฒนาให้กับข้าราชการเขาด้วย ที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ก็ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ต้องหาวิธีดําเนินการให้ได้ ข้าราชการก็เป็นส่วนสําคัญ ต้องดูแลไปด้วย ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทย ที่ได้ริเริ่มโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อจะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ในการจับจ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและค่าเดินทาง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งเน้นการสนับสนุนให้ประชาชน ชุมชน และภาคธุรกิจ ได้มีการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี สามารถประกอบอาชีพ ดําเนินธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ ภายใต้โลกใหม่ ได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น เช่น โครงการอินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน ที่จะเป็นฐานในการปรับตัวของชุมชน เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการค้าขายออนไลน์ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสทางการค้า หรือการบริโภคในรูปแบบใหม่ ๆ หรือ supply chain ห่วงโซ่ที่ว่า ที่จะเชื่อมโยงกับโลกให้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งหมดนี้ เพราะรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะดูแลประชาชนทุกคนให้มีความเข้มแข็ง และสามารถพึ่งพาตัวเองได้ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จากตัวอย่างการปฏิรูป 2 -3 เรื่อง ที่ผมได้กล่าวมานั้นจะเห็นว่าหลายเรื่องที่รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงได้ ก็เป็นผลพวงมาจากความร่วมมือ ร่วมใจกันของทุกฝ่าย ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความร่วมมือจากภาคประชาสังคมและประชาชน ซึ่งกลไกความร่วมมือนี้ เป็นพื้นฐานสําคัญของคําว่าประชารัฐ ที่รัฐบาลนี้ใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนนโยบายและงานที่สําคัญของรัฐบาลเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยหัวใจสําคัญของแนวทางประชารัฐก็คือการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกคน เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับรู้และมีความเข้าใจถึงปัญหาที่กําลังเผชิญอยู่ ร่วมกันคิดและหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ยังเป็นกลไกที่สําคัญในการช่วยตรวจสอบ ประเมินผล รวมถึงสะท้อนแนวคิดในการแก้ปัญหาจากทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วม เพราะว่าการริเริ่มทําสิ่งใหม่ ๆ นั้น ย่อมมีปัญหา มีอุปสรรคในช่วงเริ่มต้นเป็นธรรมดา แต่เราทุกคนต้องกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้น แล้วก็นําปัญหาไปสู่การแก้ไข ใช้สติปัญญาในการแก้ไข และพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีและยั่งยืนให้มากขึ้นด้วย พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ ประเด็นที่สาม ที่ผมอยากเล่าให้ฟังในวันนี้ ก็คือทําไมเราต้องพัฒนาประเทศด้วยแนวคิดไทยนิยม แนวคิดเรื่องไทยนิยมนั้นไม่ใช่การสร้างกระแสชาตินิยม และก็ไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นแนวคิด หรือ Way of thinking ในการขับเคลื่อนงานต่าง ๆ บนพื้นฐานของความต้องการ ความนิยม ของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งเป็นความนิยม หรือความเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม ที่ถูก ที่ควร ช่วยกันสร้างค่านิยมในสิ่งดี ๆ บนพื้นฐานของ การมีคุณธรรม จริยธรรม ด้วย ไม่ใช่ว่านิยมอะไร อยากได้อะไร ได้มาไม่ว่าถูกหรือผิด ก็รับได้หมด คงไม่ใช่แบบนั้น นอกจากนั้นไทยนิยมยังเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาและสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยยึดความต้องการของคนในพื้นที่ เรากล่าวมานานแล้ว ความต้องการ ของ Area Base ในพื้นที่ พูดมานานแล้ว วันนี้เราจะทําให้เป็นจริงเป็นจังมากยิ่งขึ้น ความต้องการของคนในชาติเป็นหลัก สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ ร่วมกันแก้โจทย์ หรือปัญหาที่เป็นอัตลักษณ์ เฉพาะของแต่ละชุมชน แต่ละพื้นที่ที่เรียกว่าศักยภาพด้วยกลไกของประชารัฐ เพราะฉะนั้นไทยนิยมจึงเป็นการต่อยอด ขยายผลจากประชารัฐ เป็นการส่งเสริมให้เกิดการระเบิดจากข้างใน การมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบร่วม รัฐบาลจึงไปแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาควิชาการ เพื่อให้เกิดการประสานงาน ร่วมมือกันขับเคลื่อน และแก้ไขปัญหา เมื่อมองในภาพรวมของประเทศ กระบวนการไทยนิยม เช่นว่านี้ ก็จะเป็นรากฐานสําคัญของกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย พัฒนาให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพสังคมของประเทศเราไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่เพียงเปลือกนอกที่สนใจแต่การเลือกตั้ง และให้ความสําคัญแต่เสียงส่วนใหญ่ โดยไม่สนใจเสียงส่วนน้อยเหล่านี้ รัฐบาลนี้ได้เริ่มนําแนวทางไทยนิยม มาใช้เป็นแนวทางการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาและ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจฐานราก ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนคงทราบดีว่าปัญหาของประเทศ ที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนมากที่สุด ก็คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ํา รายได้ และโอกาสที่กระจายไปไม่ทั่วถึงชุมชนเมือง กับต่างจังหวัด มีความแตกต่างอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกรัฐบาลต้องให้ความสําคัญและมีมาตรการเพื่อแก้ไขอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องการผลักดัน ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มรายได้ให้ประชาชน และยกระดับความเป็นอยู่เท่านั้น แต่ต้องการสร้างความแน่นอนทางรายได้ สร้างโอกาสและความยั่งยืนของการกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน ภายใต้หลักของวินัยทางการคลัง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการไม่สร้างภาระด้านงบประมาณ ไม่สร้างหนี้ให้กับประเทศจนเกินตัวในระยะยาว เงินรายได้ของประเทศที่หามาได้ในอนาคตก็ควรใช้ในการดูแลประชาชนในอนาคต ไม่ควรนํามาใช้หนี้ที่ก่อขึ้นเพื่อดูแลประชาชนในวันนี้มากจนเกินกําลัง ซึ่งหลักคิดนี้ จะช่วยตอบโจทย์การสร้างอนาคตของประเทศได้อย่างตรงจุดไปพร้อมกันด้วย จึงเป็นที่มาของโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในปัจจุบัน สําหรับโครงการไทยนิยมยั่งยืนนี้ ก็จะเป็นกิจกรรมที่มีกลไกการขับเคลื่อนตั้งแต่ระดับชาติ สู่ระดับพื้นที่ โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในรูปแบบกลไกประชารัฐ เพื่อจะสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงเสริมสร้างความมั่นคงของชุมชนในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ผ่านการวิเคราะห์ปัญหา ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ร่วมกัน เพื่อจะจัดทําแผนแก้ไข และสร้างโอกาสในการพัฒนาตนเอง ให้ตรงกับความต้องการของประชาชน ในการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนอย่างยั่งยืน ก็จะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหา หรือสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ไม่ได้มาจากการวางแผนจากส่วนกลาง แต่ต้องมาจากความต้องการของประชาชนในพื้นที่เองด้วย ซึ่งเป็นผู้รู้ปัญหาและข้อจํากัดของตัวเองดีกว่า ภาครัฐจะมีส่วนร่วมในการนําผู้เชี่ยวชาญลงไปยังพื้นที่ ช่วยนําเสนอโครงการหรือแผนงานเพื่อให้ได้งบประมาณที่เหมาะสม และดูแลให้โครงการมีความสอดคล้องเชื่อมต่อกับแผนงานของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมความถึงท้องถิ่นด้วย โดยจะมีการติดตาม ประเมินผล การให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนต่อไป มากกว่าแนวทางที่เคยดําเนินการมา ในช่วงก่อนหน้านี้ ที่ผ่านมานั้น โครงการไทยนิยมยั่งยืน ได้มีการลงพื้นที่เพื่อวิเคราะห์ปัญหา และความต้องการของประชาชนทุกหมู่บ้าน 4 ครั้ง มีประชาชนเข้าร่วมกว่า 8 ล้านคน โดยประชาชนได้มีส่วนร่วมในการสะท้อนสภาพปัญหาที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ มีการแสดงความเห็น และข้อเสนอแนะวิธีการ หรือโครงการที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของชุมชน ในขณะที่ภาครัฐทําหน้าที่เป็นเพียงผู้ประสานงานและคอยอํานวยความสะดวกด้านต่าง ๆ เท่านั้น ทั้งนี้ โครงการไทยนิยมยั่งยืน มีแผนงานที่เสนอขอรับงบประมาณขึ้นมา แบ่งเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย (1) โครงการประเภทสร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยตรง 3 ลําดับแรก ได้แก่ ลานตากผลผลิตทางการเกษตร การปรับปรุงภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยว และโรงสี (2) โครงการประเภทสร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยอ้อม 3 ลําดับแรก ได้แก่ ถนนเพื่อการเกษตร ขุดลอกสระ-ห้วย-หนอง-คลอง-บึง และ ลานอเนกประสงค์ - สาธารณประโยชน์ (3) โครงการประเภทส่งเสริมคุณภาพชีวิต 3 ลําดับแรก ได้แก่ ถนนสัญจรภายในหมู่บ้าน ศาลากลางบ้าน ศาลาประชาคม หรืออาคารอเนกประสงค์ และ การปรับปรุงซ่อมแซมประปาหมู่บ้าน ทั้งนี้ โครงการไทยนิยม ยั่งยืน นับเป็นอีกก้าวสําคัญ ที่ช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ํา ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่สําคัญ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นการแก้ปัญหา และช่วยเหลือประชาชนได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นโครงการที่รัฐทําเพื่อประชาชน รับฟังประชาชน และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และออกแบบโครงการที่เหมาะสม อย่างแท้จริง ซึ่งผลสัมฤทธิ์ของแต่ละโครงการจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะการปรับตัวของประชาชนเอง ทั้งนี้ โครงการนี้ จะเป็นการดําเนินการต่อเนื่อง โดยรัฐบาลจะประเมินผลโครงการและนํามาปรับปรุงกิจกรรมการดูแลสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนในชนบทให้ดีขึ้น ต่อไป พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ ทั้งสามประเด็น ที่ผมนํามาเล่าสู่กันฟังนี้ก็เพื่อที่จะบอกทุกท่านว่า การสร้างอนาคตประเทศไทยในช่องทางต่าง ๆ จะสําเร็จสมบูรณ์ไม่ได้ ถ้าปราศจากเป้าหมาย ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปี ที่ผ่านมา วันนี้ทุกอย่างค่อย ๆ ปรับดีขึ้น ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากต่างประเทศมากขึ้น การขยายตัวของเศรษฐกิจดีขึ้น การลงทุน และการส่งออก นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น มีโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ประเทศกําลังทยอยเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลกําลังเร่งให้การเติบโตลงไปยังฐานรากได้ดีขึ้น ที่สําคัญเรากําลังจะมียุทธศาสตร์ชาติที่จะช่วยให้เราทุกคนเห็นเป้าหมายร่วมกัน ได้เห็นเส้นทาง ที่เราจะเดินไปสู่เป้าหมาย ส่วนใครจะวิ่ง ใครจะเดิน ใครจะบินไป ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการ และศักยภาพของแต่ละคน ใครที่แข็งแรง ก็ไปถึงเป้าหมายได้เร็วหน่อย ในส่วนของรัฐบาลก็มีหน้าที่ที่ต้องคอยประคับ ประคองให้คนที่ยังอ่อนแอ หรือแข็งแรงน้อยกว่า ได้มีโอกาสพัฒนาและก้าวไปสู่เป้าหมายเดียวกัน เพราะเราไม่ต้องการทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญที่สุด และจะมีอิทธิพลต่อการสร้างอนาคตของประเทศ มากที่สุด ซึ่งสามารถทําได้ทันที ก็คือการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มที่ตัวเรา ไม่ต้องรอให้คนอื่นเปลี่ยน เพราะภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และสังคมไม่เคยหยุดนิ่ง อีกทั้งเทคโนโลยีรอบ ๆ ตัว ส่งผลต่อการใช้ชีวิต การทํางาน การทําธุรกิจ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทําให้เราต้องปรับเปลี่ยน เพื่อให้เท่าทัน ไม่พลาดโอกาส ไม่เสียสิทธิที่ควรได้รับ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ (รายได้) สังคม (สถานะ) และการเมือง หากพวกเราทุกคน สามารถปฏิรูปตัวเอง ให้เป็น Active Citizen ให้เป็นพลเมืองที่ตื่นตัว ที่มีความคิดเท่าทัน มีความยืดหยุ่น ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ รอบตัวได้ทันการณ์ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ จากตัวเราเองเช่นนี้ จะสามารถขยายออกไปเป็นวงกว้างจนกลายเป็นพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จะนําไปสู่อนาคตของประเทศที่เราต้องการได้เช่นกัน บทเรียนหรือตัวอย่างล่าสุด ที่อาจนํามาใช้เป็นอีกมุมมองของ Active Citizen ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่ถ้ําหลวง ขุนน้ํานางนอน จ.เชียงราย วันนี้ พวกเราทุกคนดีใจ ปลาบปลื้มใจที่ภารกิจในการช่วยเหลือ "13 หมูป่า" สําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่เบื้องหลังของความสําเร็จดังกล่าว เป็นผลจากความร่วมมือ ร่วมใจกัน ของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนในพื้นที่ คนไทยทั่วทุกภาค ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ และทั่วโลก จะเห็นได้ว่าห้วง 10 กว่าวันของภารกิจดังกล่าว มีปัญหา และอุปสรรคเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ด้วยความเป็น Active Citizen ของทุกคน ทุกฝ่าย ในการทําบทบาทของตนเอง การที่มีผู้บัญชาการเหตุการณ์ที่มีความเป็นผู้นํา พร้อมรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ จากทุกฝ่าย กล้าคิด กล้าทํา และกล้าตัดสินใจในเรื่องที่จําเป็น ก็มีอยู่หลายท่านด้วยกัน ที่เกี่ยวข้องในส่วนนี้ เพราะต้องหารือร่วมกันทั้งหมด ไม่ใช่ตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมด ต้องนั่งประชุม นั่งหารือ แล้วหาจังหวะที่ถูกต้องให้ทันเวลา การตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด ฉะนั้นการที่ทุกคนเข้ามาร่วมภารกิจรับฟัง ร่วมใจในการประชุม ตัดสินใจ การวางแผนการดําเนินงานทั้งหมด มีความรัก ความสามัคคี แล้วก็เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อย่างเช่น นาวาตรี สมาน กุนัน นะครับ ทั้งหมดนี้ ไม่เพียงแต่เราคนไทยที่ดีใจและชื่นชมกับความสําเร็จนี้ ประชาคมโลก ต่างก็กล่าวถึงการร่วมแรงร่วมใจกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สื่อต่างประเทศหลายสํานัก ถึงกับกล่าวว่า เหตุการณ์นี้ได้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับประเทศไทยในสายตาชาวโลกไปเรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์นี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่คนไทยทําไม่ได้ ถ้าพวกเราทุกคนร่วมมือกัน ไม่ว่าปัญหาจะหนักหนาแค่ไหน เราคนไทยก็สามารถผ่านพ้นไปได้ ผมมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทย จะสามารถยืนหยัดท่ามกลางกระแสความท้าทายของโลก และมีอนาคตประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนได้ หากเราร่วมมือ ร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน วันนี้ก็มีภาพยนตร์ วีดีทัศน์ไปฉายอยู่บนเครื่องบินของการบินไทยแล้วเรื่องการทํางานที่ถ้ําหลวง ทั้งนี้เพื่อให้คนสร้างการรับรู้ของผู้โดยสารทั้งหมดที่ใช้บริการของการบินไทยได้รับทราบไปด้วยครับ สุดท้ายนี้ ผมขอเรียนว่า องค์กรสื่อ ถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สําคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นอกเหนือไปจากสถาบันภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ทั้งหมดนี้ คุณภาพ และความตั้งมั่น ในการให้บริการ ให้ข่าวสารโดยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ของการทํางาน จะทําให้องค์กรสื่อเป็นอีกแรงหนึ่งในการจะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่อนาคตที่ดี รวมถึงการเป็นประชาธิปไตยของประเทศให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบัน ในยุคที่สื่อเกิดขึ้นในรูปแบบที่หลากหลาย สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างใกล้ชิด รวดเร็วมากยิ่งขึ้นนี้ การยืนหยัดเพื่อต่อสู้ และนําเสนอสิ่งที่ถูกต้องของสื่อหลักถือเป็นสิ่งจําเป็น เพราะจะเป็นทั้งหลัก และแรงบันดาลใจ ให้กับสื่ออื่น ๆ แล้วยังจะทําหน้าที่เป็นแกนกลางของข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ให้กับประชาชนด้วย คําว่า "สื่อ" มีความชัดเจนในความหมายอยู่แล้วว่าเป็นตัวกลาง ในที่นี้ คือ การส่งผ่านข่าว สาร ข้อมูล นโยบาย และมาตรการต่าง ๆ ให้กับประชาชน หน้าที่นี้ทําให้สื่อมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก ต่อกรอบความคิด และมุมมองของประชาชน และถ้ามองลึกลงไปอีก ข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกนําเสนอจะสามารถสะท้อนให้เห็นถึงการทํางาน และปัญหาที่หลายฝ่ายต้องประสบ และอาจจะต้องสร้างความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เกิดการบูรณาการได้มากขึ้น ทั้งนี้ผมขอให้ทุกคน ทุกภาคส่วน ได้ร่วมกันสร้างไทยไปด้วยกัน เพื่ออนาคตของลูกหลานและเพื่อวันข้างหน้าที่ดีกว่าของเราทุกคนนะครับ ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ และทุกครอบครัวมีความสุข ปลอดภัยนะครับ สวัสดีครับ ------------------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 3 สิงหาคม 2561 วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 3 สิงหาคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงคู่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มาตลอดรัชกาล โดยการเสด็จพระราชดําเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรแต่ละครั้งนั้น ก่อให้เกิดโครงการพระราชดําริ หลากหลายโครงการ ทั้งด้านการแพทย์ การสาธารณสุข การศึกษา การศาสนา ศิลปวัฒนธรรม รวมทั้ง ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ที่ล้วนเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร สภาพสังคม และ ความเจริญทางวัฒนธรรมของไทย ซึ่งสะท้อนให้เป็นที่ประจักษ์ ถึงพระปฐมบรมราชโองการ ที่ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชประสงค์ ที่จะทรงอนุรักษ์ป่า ดังพระราชปณิธานที่ว่า "พระเจ้าอยู่หัวเป็นน้ํา ฉันจะเป็นป่า ป่าที่ถวายความจงรักภักดีต่อน้ํา พระเจ้าอยู่หัวสร้างอ่างเก็บน้ํา ฉันจะสร้างป่า" ดังนี้แล้ว โครงการอนุรักษ์ป่า สัตว์ป่า สัตว์ทะเล จึงเกิดขึ้น และแผ่ขยายทั่วประเทศ อาทิ โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ให้ชาวบ้านช่วยพิทักษ์รักษาผืนป่า และต้นน้ํา โครงการป่ารักน้ํา นําความชุ่มชื้นคืนให้ผืนแผ่นดินไทย อีกทั้งทรงสร้างจิตวิญญาณให้ป่า ด้วยการปล่อยสัตว์ป่าสู่ธรรมชาติ ทรงอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล และฟื้นฟูป่าชายเลน เพื่อเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์ทะเลให้เติบโตขึ้นเป็นอาหารชาวโลกเป็นต้น ในฐานะทรงดํารงตําแหน่งองค์สภานายิกาสภากาชาดไทย พระองค์พระราชทานความช่วยเหลือแก่ผู้เจ็บป่วยทั้งยามปกติ และยามฉุกเฉิน ทรงส่งเสริมให้ประชาชนบริจาคโลหิต อย่างแพร่หลาย พระราชทานโครงการหมอหมู่บ้าน หน่วยแพทย์พระราชทาน ทรงรับคนไข้ยากจนไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ทรงก่อตั้งมูลนิธิสายใจไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ช่วยเหลือทหาร ตํารวจ และอาสาสมัคร ที่บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากการทําหน้าที่เพื่อประเทศชาติ ทรงตระหนักในความสําคัญของการศึกษาและโปรดให้คนไทยทุกคนรู้หนังสือ ทรงสอนเด็กชาวบ้านให้หัดเขียน หัดอ่าน ทรงอบรมให้เป็นคนดี มีความรักชาติรักแผ่นดินเกิด โปรดให้ชาวบ้านในท้องที่ห่างไกล ได้รับความรู้เพิ่มเติม อันเป็นจุดเริ่มต้นการจัดตั้ง "ศาลารวมใจ" โดยพระราชทานหนังสือความรู้สาขาต่าง ๆ ไว้ ณ ศาลาเหล่านี้ ทรงสนับสนุนการสร้างโรงเรียน ในถิ่นทุรกันดาร และพระราชทานทุนการศึกษาแก่เด็กที่ครอบครัวยากจน นอกจากนี้ ทรงส่งเสริมให้ราษฎรมีอาชีพเสริม ด้วยการฝึกหัดงานหัตถกรรมทั้งงานทอ ถัก จัก สาน ปัก ปั้น ตกแต่ง และอีกหลากหลายชนิด ต่อมาพัฒนาเป็นโครงการศิลปาชีพ ซึ่งสร้างอาชีพ และรายได้ แก่ราษฎรหลายล้านคน และเป็นที่มาแห่ง "งานศิลป์แผ่นดิน" เผยแพร่งานศิลปะของชาติ ให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งในปีนี้รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม กําหนดจัดงาน "มหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 อัคราภิรักษศิลปิน" ระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคม ศกนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระองค์ ในฐานะที่ทรงเป็น "อัคราภิรักษศิลปิน" อันหมายถึง "ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกปักรักษางานศิลปะ" ที่ทรงนํามิติทางวัฒนธรรม มาส่งเสริมอาชีพ คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย ให้อยู่ดีกินดี อีกทั้งยังส่งผลต่อการอนุรักษ์ ส่งเสริม และฟื้นฟู มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติอีกด้วย ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ พระเกียรติคุณอันแผ่ไพศาล สถาบันการศึกษา หน่วยงาน องค์กร มูลนิธิ สมาคม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จึงได้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายปริญญากิตติมศักดิ์ เกียรติบัตร เหรียญรางวัล เป็นจํานวนมาก รวมทั้ง น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชสมัญญานาม ซึ่งล้วนแสดงถึงพระอัจฉริยภาพ พระราชจริยวัตร และน้ําพระราชหฤทัย ที่เปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม ศกนี้ รัฐบาลขอเชิญชวน พสกนิกรชาวไทย ทุกหมู่เหล่า น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม ถวายพระพรชัยมงคล ให้ทรงพระเกษมสําราญ บริบูรณ์ด้วยพระจตุรพิธพรชัย เป็นพระมิ่งขวัญปกเกล้าปกกระหม่อมอาณาประชาราษฎร์ ตราบนาน เท่านาน พี่น้องประชาชนที่รักครับ ในการขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย ทุกภาคส่วน ต่างก็มีหน้าที่ มีความรับผิดชอบของตน แต่การจะแก้ปัญหาให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น ต้องอาศัยการทํางานบูรณาการกัน ให้กลมเกลียวอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเน้นย้ําอยู่เสมอ และพยายามปรับวัฒนธรรมการทํางานของรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกฝ่ายพร้อมที่จะร่วมกันทํางาน เพื่อจะวางรากฐานและขับเคลื่อน อนาคตของประเทศไปด้วยกัน ทั้งนี้ ในการสร้างความตระหนักรู้ และความเข้าใจ เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่ายนั้น จําเป็นต้องมีหลักคิดที่ตรงกัน ในการตอบคําถาม 3 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้ ประเด็นแรก ก็คือว่า ทําไมเราต้องมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยมีแผนพัฒนาอยู่แล้ว เป็นของ สภาพัฒน์ฯ แต่ละกระทรวง ก็มีแผนการทํางานที่กําหนดไว้แล้ว ก่อนอื่นผมขอให้ลองมองปัญหาที่ประเทศเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทั้งการเปลี่ยนแปลงภายนอกประเทศ ที่เราจําเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้อง เช่น การปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของประเทศมหาอํานาจ ความขัดแย้งทางการเมืองที่ลุกลามไปสู่การค้าและแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับเศรษฐกิจในประเทศกําลังพัฒนา ประเทศขนาดเล็ก ที่จําเป็นต้องพึ่งพาการค้า และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไทยนั้น เราได้เจอกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของเทคโนโลยี ที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก นอกจากนี้ เรายังมีปัญหาเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเอง ที่หยั่งรากลึกมาเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะในเรื่องความเหลื่อมล้ํา การกระจายรายได้ที่เรายังไม่สามารถแก้ไขเยียวยาได้อย่างยั่งยืน ภาคธุรกิจยังมีข้อจํากัด ในการที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก เราขาดการลงทุนขนาดใหญ่เพื่ออนาคตในโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญของประเทศ รวมไปถึง เตรียมการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งเรายังคงขาดการเตรียมการเพื่อรองรับสภาพสังคมดังกล่าว เราอาจจะเตรียมการยังไม่ได้ดีนัก แต่เราต้องเร่งดําเนินการในเรื่องเหล่านี้ ทั้งในด้านแรงงาน การออม และระบบสาธารณสุข เป็นต้น ปัญหาต่าง ๆ ที่ผมกล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ ซึ่งการจะนําพาประเทศให้ผ่านปัญหาเหล่านี้ไปได้ ทุกฝ่ายจะต้องมีเป้าหมายเดียวกัน ต้องมองภาพเดียวกันให้เกิดขึ้น โดยภาพนั้น ก็หมายถึงภาพอนาคตประเทศไทย ที่พวกเราอยากเห็น อยากจะสร้างไว้ให้กับลูกหลานของเรานั่นเอง เมื่อพูดถึงอนาคตของประเทศไทย หลายท่านอาจจินตนาการ นึกถึงภาพของประเทศไทยที่แตกต่างกันออกไป เช่น เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชาชนอยู่ดีมีสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน มีโอกาส มีความเสมอภาคในการพัฒนาตนเอง มีระบบสวัสดิการของรัฐที่จําเป็นในการดํารงชีพอย่างพอเพียงและเหมาะสม เช่น การศึกษา สาธารณสุข การบริการพื้นฐานต่าง ๆ บ้านเมืองมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม ปลอดภัย มีสิ่งอํานวยความสะดวก สาธารณูปโภคพื้นฐาน ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต รวมถึงการคมนาคม มีระบบขนส่งมวลชน มีรถไฟฟ้า รถไฟ ที่มากขึ้นและเพียงพอ ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ที่สามารถใช้บริการเหล่านี้ได้ แล้วประชาชนต้องเคารพกฎหมาย อยู่ในศีลธรรม และจริยธรรมอันดีงาม ตามแบบแผนวัฒนธรรมไทยที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งการจะเดินไปสู่อนาคตที่ดีของประเทศไทยนั้น ที่จะให้เป็นประเทศที่ดีของคนไทยทุกคน ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สามารถทําได้ โดยประชาชน 70 ล้านคน จะต้องมีความรับรู้ ความเข้าใจที่ตรงกัน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จึงเป็นสิ่งที่จะมาช่วยตอบโจทย์ดังกล่าว ด้วยการกําหนดเป้าหมาย และภาพอนาคตที่เราต้องการเห็น ในอีก 20 ปีข้างหน้า เด็กที่เกิดในวันนี้ จะก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ในภาวะแวดล้อมของประเทศ ที่จะเอื้อให้พวกเขาสามารถมีความเป็นอยู่และรายได้ที่มั่นคง มีเครื่องมือที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเลือกประกอบอาชีพใด เพื่อจะสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิตได้อย่างยั่งยืน และต้องสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของการพัฒนาประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ ซึ่งก็คือ "ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเสมอภาคและเป็นธรรม บนฐานทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืน" โดยได้ออกแบบเป้าหมายที่ต้องบรรลุเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ ที่ประกอบกันออกมา ให้เป็นอนาคตของประเทศ 6 ด้านที่สอดรับกัน เริ่มจาก (1) คนไทยอยู่ดีมีสุขและสังคมไทยสงบ มั่นคง ปลอดภัย (2) ประเทศมีความสามารถในการแข่งขัน เพื่อยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ และการกระจายรายได้ที่เหมาะสม (3) ทรัพยากรมนุษย์ของประเทศได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมและทั่วถึง (4) สังคมไทยมีความเท่าเทียมและความเสมอภาค (5) ประเทศมีความหลากหลายทางชีวภาพ คุณภาพสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติ และ (6) การบริหารจัดการของภาครัฐมีประสิทธิภาพ และประชาชนเข้าถึงสะดวก ซึ่งเหล่านี้ เป็นเป้าหมายที่จะถูกนําไปใช้ เป็นกรอบความคิด ในการจัดทําแผนงานของภาครัฐ แผนปฏิรูปประเทศ รวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของสภาพัฒน์ฯ ในการขับเคลื่อนงานต่าง ๆ ไปสู่ภาพอนาคตของประเท ระยะยาว แล้วก็ถือเป็นการมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันด้วย พี่น้องประชาชนที่รักครับ ผมขอเรียนว่าการมียุทธศาสตร์ประเทศไม่ใช่เรื่องใหม่ หลายประเทศมีและได้ใช้ยุทธศาสตร์เป็นเป้าหมายในการกําหนดแนวทางการบริหารประเทศมานานแล้ว เช่น มาเลเซีย และสิงคโปร์ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ที่เราจะมีแผนในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ในระยะยาว ซึ่งผมและรัฐบาลนี้ มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะเร่งดําเนินการตามแผนให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ประเทศมีรากฐาน และเป้าหมายในการทํางาน ให้สามารถเดินหน้าและต่อยอดในระยะต่อไปได้ การที่แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มีกฎหมายรองรับ ก็เป็นอีกความตั้งใจที่จะสะท้อนความสําคัญและความมุ่งมั่นของภาครัฐ ที่จะทําให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ได้เป็นการล็อค หรือบังคับให้ใครต้องทําอะไร อย่างที่หลายฝ่ายนํามาบิดเบือน โจมตีในขณะนี้ เพราะกฎหมายกําหนดไว้อยู่แล้วว่า เมื่อสถานการณ์หรือปัจจัยแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงส่งผลให้องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งต้องเปลี่ยนไป ยุทธศาสตร์ชาติก็สามารถจะได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสม และทันต่อสถานการณ์ได้ แต่สิ่งที่เป็นความท้าทายและน่ากังวลมากกว่า ก็คือการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้สําเร็จผลตามที่กําหนดไว้ เพราะไม่ว่ายุทธศาสตร์ชาติจะเขียนดีแค่ไหน มีการปรับให้ทันสมัยเพียงใด แต่หากทุกคนไม่ยอมรับ ไม่ช่วยกันนําไปขับเคลื่อน ตามภาระหน้าที่ของตน เป้าหมายหรือภาพอนาคตที่วาดหวังไว้นั้น ก็คงเป็นได้แค่เพียงความฝัน พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ ประเด็นที่สอง ที่ผมอยากจะหยิบยกเพื่อชวนทุกท่านให้ช่วยกันคิด คือ เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน อันจะช่วยให้เราก้าวไปสู่อนาคตของประเทศที่เราต้องการ ได้อย่างไร อาทิ (1) การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนสําคัญของชาติ (National Agenda) (2) การบริหารราชการตามกฎหมาย อํานาจ หน้าที่ (function) การพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพ การบริหารราชการแผ่นดิน การช่วยเหลือประชาชน (3) การเดินหน้ากระบวนการปฏิรูปในเรื่องสําคัญต่าง ๆ และ (4) การขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดิน ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ที่กําหนดไว้ ซึ่งในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาที่เรื้อรังมานานในหลาย ๆ ด้าน ทั้งปัญหาความขัดแย้งในทางการเมือง ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น รวมไปถึงการไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายหรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศได้ ปัญหาเหล่านี้ถูกเพิกเฉยและละเลย จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ที่ยากต่อการแก้ไข ส่งผลต่อภาพลักษณ์และการยอมรับจากประชาคมโลก และบั่นทอนบรรยากาศความเชื่อมั่นด้านการค้าและการลงทุน จนกลายเป็นปัจจัยที่คอยฉุดรั้งความเจริญก้าวหน้าบ้านเมือง เห็นได้จากอัตราการเจริญเติบโต (GDP) ไตรมาสแรกของปี 2557 ช่วงก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามาบริหารประเทศ ที่หดตัวหรือติดลบ ร้อยละ 0.5 เมื่อรัฐบาลนี้ เข้ามาบริหารประเทศ ช่วงเดือน ก.ย. 57 จึงได้ให้ความสําคัญกับการเร่งสร้างความเปลี่ยนแปลง และแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประชาชน และประเทศชาติโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเร่งสร้างความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นก่อน เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติสุข ธุรกิจและห้างร้านต่าง ๆ สามารถกลับมาค้าขายได้อย่างคล่องตัว นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ริเริ่มการปฏิรูประบบราชการ และกลไกการบริหารราชการแผ่นดิน ที่เป็นอุปสรรคและสาเหตุสําคัญของปัญหาที่เรื้อรังหลายเรื่อง เช่น ปัญหาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ปัญหาการค้ามนุษย์ โดยกําหนดให้มีกลไกในการขับเคลื่อนอย่างบูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วน โดยลดขั้นตอนและขจัดข้อขัดข้องที่เกิดจากกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยได้นําผู้กระทําผิดกฎหมายมาลงโทษ การจัดให้มีสัญญาคุณธรรมมีระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อจะลดการทุจริตคอร์รัปชั่น ไปจนถึงการปรับระเบียบ กฎหมาย กฎเกณฑ์ เพื่อสนับสนุนให้ภาคธุรกิจสามารถประกอบการได้สะดวกขึ้น ทั้งนี้ผลจากการปฏิรูปและเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานตามแนวทางดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบันปัญหาต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น สถานะของประเทศไทยในเวทีโลก ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจําปี ค.ศ. 2018 TIP Report ที่ไทยได้รับการปรับระดับขึ้น มาเป็น Tier 2 เช่นเดียวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้างาช้างผิดกฎหมาย CITES การทําประมงผิดกฎหมาย IUU Fishing และ การแก้ไขข้อบกพร่องด้านการบินพลเรือน ICAO ที่รัฐบาลได้ให้ความสําคัญอย่างยิ่ง แล้วก็เร่งแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่น่าพอใจและได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังได้ปรับอันดับในเรื่อง Ease of doing business ของประเทศไทย จากที่เคยอยู่อันดับที่ 46 มาเป็นอันดับที่ 26 ในปีล่าสุด ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีการพัฒนาดีขึ้นอันดับ 2 ของโลก หรือจาก 190 ประเทศ อีกด้วย นอกจากการเร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วนที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว รัฐบาลยังได้ริเริ่มการปฏิรูปงานด้านอื่น ๆ เพื่อปรับโครงสร้าง และวางรากฐานที่สําคัญ ควบคู่ไปกับการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติเพื่อวางเป้าหมาย และภาพในอนาคตของประเทศ ผมขอยกตัวอย่างการปฏิรูปที่สําคัญ เพื่อให้ทุกท่านได้เห็นปัญหาที่สั่งสมมาในอดีต และสิ่งที่รัฐบาลพยายามจะปฏิรูปและสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น ได้แก่ 1. การปฏิรูปและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ทุกท่านคงทราบดีว่า ในช่วงที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขาดความสมดุลเนื่องจากเราเน้นในเรื่องการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก การกระจายรายได้ไปสู่ฐานรากยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในภาคการเกษตร ขาดการวางแผนการลงทุน ขาดการทําโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เป็นเวลาหลายสิบปี เมื่อรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศจึงมีนโยบายในการปรับสมดุลโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ แม้ว่าการส่งออกจะยังเป็นเครื่องจักรสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่การลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้า การสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ก็เป็นปัจจัยสําคัญ ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ช่วยให้ประเทศสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน รัฐบาลจึงได้ริเริ่มโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยให้ความสําคัญกับอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับผลผลิตภาคเกษตรกรรม เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งจะช่วยให้สินค้าเกษตรมีมูลค่าสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้นวัตกรรมชั้นสูง เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ดิจิทัล การแพทย์ครบวงจร นอกจากนี้การพัฒนาพื้นที่ EEC ยังก่อให้เกิด การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีการดําเนินงานด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ที่จะเป็นรากฐานสําคัญให้กับการเจริญเติบโตในอนาคต อาทิ (1) ทางราง ภายในปี 2565 อีก 4 ปีข้างหน้า เราจะได้ใช้บริการ • โครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง ที่ไม่ได้มีการลงทุนเป็นเวลากว่า 117 ปี ซึ่งเมื่อดําเนินการทั้งหมดแล้ว ประเทศไทยจะมีรถไฟทางคู่เพิ่มขึ้นเป็น 3,528 กม. จากเดิมที่มีอยู่เพียง 358 กม. • รถไฟความเร็วสูง ที่นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งทั้งเส้นทาง กทม.-นครราชสีมา โครงการรถไฟความเร็วสูง กทม.-เชียงใหม่ ระยะต่อไป และโครงการ รถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบินหลักของประเทศ คือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา ในเรื่องของรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายเหนือ ก็คงต้องศึกษากันต่อไป เพราะมีปัญหาในเรื่องของความคุ้มค่า คุ้มทุนด้วย ตอนนี้อย่างน้อยเราก็มี 1 เส้น ไปก่อน • รถไฟฟ้า กทม. และปริมณฑล ที่จะเพิ่มรถไฟฟ้าให้เป็น 11 เส้นทาง (2) ทางถนน ได้มีการเชื่อมโยงฐานการผลิตที่สําคัญไปยังพื้นที่ต่าง ๆ และประเทศเพื่อนบ้าน มีทั้งการขยายเพิ่มทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ทางพิเศษ 2 เส้นทาง พัฒนาทางหลวงชนบท เพื่อแก้ปัญหาจราจร เพิ่มสะพานข้ามแม่น้ําขนาดใหญ่ เพิ่มสะพานข้ามหรือลอดอุโมงค์ทางรถไฟ เพื่อลดอุบัติเหตุและการสูญเสีย ที่เห็นเป็นประจํา (3) ทางน้ํา เพิ่มท่าเรือน้ําลึก อีก 6 แห่ง จากเดิม 18 แห่ง พัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือมาบตาพุด รวมทั้งเพิ่มการเดินเรือเชื่อมพัทยา-หัวหิน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทางทะเล และ (4) ทางอากาศ เพิ่มท่าอากาศยานเบตง รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถของสนามบินทั่วประเทศ ให้สามารถรองรับเที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 320,000 เที่ยวบินต่อปี และรองรับผู้โดยสารรวมทุกสนามบินมากขึ้น ราว 70 ล้านคนต่อปี นอกจากนี้ ยังมีมาตรการรองรับทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการวางรากฐานและช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย ให้สามารถปรับตัว ยกระดับการดํารงชีวิต ในช่วงการจัดทําแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิรูปประเทศในหลายมิติ เช่น การเข้าถึงสินเชื่อและเงินทุนเพื่อการประกอบการและใช้จ่ายฉุกเฉิน มาตรการสนับสนุนผ่านการร่วมลงทุนการจัดตั้งศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs ในการนําผลิตภัณฑ์ชุมชนเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือในเรื่องหนี้ อนุมัติให้พักชําระหนี้หรือขยายเวลาชําระหนี้ กว่า 10,000 ราย รวมถึงการจัดตั้ง "โครงการคลินิกแก้หนี้" เพื่อให้บริการประชาชนที่ไม่สามารถชําระหนี้กับสถาบันการเงินได้ ขณะเดียวกัน ก็มีการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง ซึ่งก็จะเป็นรากฐานที่จําเป็นต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไป ทั้งนี้ ผลงานจากการวางรากฐานการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง การขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI เพิ่มขึ้น ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2561 มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปี 2560 และมีมูลค่าเงินลงทุน 284,600 ล้านบาท การส่งออกใน 6 เดือนแรกของปีขยายตัวร้อยละ 11 และจํานวนนักท่องเที่ยวครึ่งแรกของปี 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 จากครึ่งแรกของปีก่อนหน้า และทําให้คาดว่า GDP ของประเทศปี 2561 จะขยายตัวที่ประมาณร้อยละ 4.2 - 4.7 ในการปฏิรูปภาคการเกษตร ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ํา ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สําคัญและเกิดขึ้นซ้ําซาก ต้นตอหรือต้นเหตุของปัญหา คือการส่งเสริมการผลิตโดยการวางรากฐาน ไม่มีการบริหารจัดการผลผลิตที่ออกสู่ตลาด ที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ มักจะใช้มาตรการในการที่จะแทรกแซง บิดเบือนกลไกตลาด โดยการอุดหนุนราคา ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดผลในเรื่องของการขาดทุนและสร้างภาระงบประมาณให้กับประเทศแล้ว ยังส่งผลให้เกษตรกรไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีการพัฒนาผลผลิตและคุณภาพ ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนั้น รัฐบาลได้ใช้หลักการตลาดนําการผลิต โดยให้ความสําคัญกับการเพิ่มคุณภาพผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมถึงการบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรภายใต้กฎกติกาสากลให้กับเกษตรกร เช่น โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโครงการประกันภัยข้าวนาปี การบริหารจัดการอุปทานในตลาดข้าวทําให้ปัจจุบัน ราคาข้าวที่ขายได้กระเตื้องขึ้นจากเดิม อย่างต่อเนื่อง โครงการพักชําระหนี้เงินต้น และลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลัง และการจัดที่ดินทํากินให้เกษตรกร ได้จัดที่ดินทํากิน ผ่านคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด (คปจ.) นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการปรับเปลี่ยนการผลิตพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม โดยใช้แผนที่เกษตร (Agri-Map) เข้ามาช่วย ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิต และการรวมกลุ่มเกษตรกรผ่านการส่งเสริมการทําเกษตรแปลงใหญ่ รวมทั้ง การยกระดับมาตรฐานสินค้า เช่น มาตรฐาน GAP หรือ การพัฒนาสู่การทําเกษตรอินทรีย์ต่อไป การเพิ่มช่องทางการค้าออนไลน์ ทั้งหมดนี้ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องรอแต่ความช่วยเหลือของภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว และไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือของพ่อค้าคนกลาง โรงสี หรือนายทุน อย่างเช่นในอดีต เราต้องเปิดช่องทางนี้ขึ้นมาให้ได้ ของเกษตรกรเอง การปฏิรูปด้านสังคมและความเหลื่อมล้ําที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ําทางรายได้สูงมาก มีปัญหาในการเข้าถึงสวัสดิการและบริการ รัฐบาลให้ความสําคัญกับการสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียมและเสมอภาคให้คนทุกกลุ่ม เริ่มตั้งแต่การดูแลประชาชนตั้งแต่วัยแรกเกิด โดยมอบเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูให้กับครอบครัวยากจน โครงการจ้างงานเร่งด่วน การพัฒนาทักษะฝีมือ การส่งเสริมการจ้างงานและเพิ่มเบี้ยยังชีพให้คนพิการและผู้สูงอายุ การจัดระเบียบและการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนขอทาน คนเร่ร่อนและไร้ที่พึ่ง การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อยในชุมชนแออัดและการพัฒนาโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง เราก็ต้องมีการพัฒนาให้กับข้าราชการเขาด้วย ที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ก็ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ต้องหาวิธีดําเนินการให้ได้ ข้าราชการก็เป็นส่วนสําคัญ ต้องดูแลไปด้วย ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทย ที่ได้ริเริ่มโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อจะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ในการจับจ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและค่าเดินทาง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมุ่งเน้นการสนับสนุนให้ประชาชน ชุมชน และภาคธุรกิจ ได้มีการปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี สามารถประกอบอาชีพ ดําเนินธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ ภายใต้โลกใหม่ ได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น เช่น โครงการอินเตอร์เน็ตหมู่บ้าน ที่จะเป็นฐานในการปรับตัวของชุมชน เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการค้าขายออนไลน์ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสทางการค้า หรือการบริโภคในรูปแบบใหม่ ๆ หรือ supply chain ห่วงโซ่ที่ว่า ที่จะเชื่อมโยงกับโลกให้มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งหมดนี้ เพราะรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะดูแลประชาชนทุกคนให้มีความเข้มแข็ง และสามารถพึ่งพาตัวเองได้ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง จากตัวอย่างการปฏิรูป 2 -3 เรื่อง ที่ผมได้กล่าวมานั้นจะเห็นว่าหลายเรื่องที่รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงได้ ก็เป็นผลพวงมาจากความร่วมมือ ร่วมใจกันของทุกฝ่าย ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความร่วมมือจากภาคประชาสังคมและประชาชน ซึ่งกลไกความร่วมมือนี้ เป็นพื้นฐานสําคัญของคําว่าประชารัฐ ที่รัฐบาลนี้ใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนนโยบายและงานที่สําคัญของรัฐบาลเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยหัวใจสําคัญของแนวทางประชารัฐก็คือการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกคน เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับรู้และมีความเข้าใจถึงปัญหาที่กําลังเผชิญอยู่ ร่วมกันคิดและหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ยังเป็นกลไกที่สําคัญในการช่วยตรวจสอบ ประเมินผล รวมถึงสะท้อนแนวคิดในการแก้ปัญหาจากทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วม เพราะว่าการริเริ่มทําสิ่งใหม่ ๆ นั้น ย่อมมีปัญหา มีอุปสรรคในช่วงเริ่มต้นเป็นธรรมดา แต่เราทุกคนต้องกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้น แล้วก็นําปัญหาไปสู่การแก้ไข ใช้สติปัญญาในการแก้ไข และพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีและยั่งยืนให้มากขึ้นด้วย พี่น้องประชาชนที่เคารพ ครับ ประเด็นที่สาม ที่ผมอยากเล่าให้ฟังในวันนี้ ก็คือทําไมเราต้องพัฒนาประเทศด้วยแนวคิดไทยนิยม แนวคิดเรื่องไทยนิยมนั้นไม่ใช่การสร้างกระแสชาตินิยม และก็ไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นแนวคิด หรือ Way of thinking ในการขับเคลื่อนงานต่าง ๆ บนพื้นฐานของความต้องการ ความนิยม ของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งเป็นความนิยม หรือความเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม ที่ถูก ที่ควร ช่วยกันสร้างค่านิยมในสิ่งดี ๆ บนพื้นฐานของ การมีคุณธรรม จริยธรรม ด้วย ไม่ใช่ว่านิยมอะไร อยากได้อะไร ได้มาไม่ว่าถูกหรือผิด ก็รับได้หมด คงไม่ใช่แบบนั้น นอกจากนั้นไทยนิยมยังเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาและสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยยึดความต้องการของคนในพื้นที่ เรากล่าวมานานแล้ว ความต้องการ ของ Area Base ในพื้นที่ พูดมานานแล้ว วันนี้เราจะทําให้เป็นจริงเป็นจังมากยิ่งขึ้น ความต้องการของคนในชาติเป็นหลัก สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ ร่วมกันแก้โจทย์ หรือปัญหาที่เป็นอัตลักษณ์ เฉพาะของแต่ละชุมชน แต่ละพื้นที่ที่เรียกว่าศักยภาพด้วยกลไกของประชารัฐ เพราะฉะนั้นไทยนิยมจึงเป็นการต่อยอด ขยายผลจากประชารัฐ เป็นการส่งเสริมให้เกิดการระเบิดจากข้างใน การมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบร่วม รัฐบาลจึงไปแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาควิชาการ เพื่อให้เกิดการประสานงาน ร่วมมือกันขับเคลื่อน และแก้ไขปัญหา เมื่อมองในภาพรวมของประเทศ กระบวนการไทยนิยม เช่นว่านี้ ก็จะเป็นรากฐานสําคัญของกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย พัฒนาให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับสภาพสังคมของประเทศเราไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่เพียงเปลือกนอกที่สนใจแต่การเลือกตั้ง และให้ความสําคัญแต่เสียงส่วนใหญ่ โดยไม่สนใจเสียงส่วนน้อยเหล่านี้ รัฐบาลนี้ได้เริ่มนําแนวทางไทยนิยม มาใช้เป็นแนวทางการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาและ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจฐานราก ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนคงทราบดีว่าปัญหาของประเทศ ที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนมากที่สุด ก็คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ํา รายได้ และโอกาสที่กระจายไปไม่ทั่วถึงชุมชนเมือง กับต่างจังหวัด มีความแตกต่างอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกรัฐบาลต้องให้ความสําคัญและมีมาตรการเพื่อแก้ไขอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องการผลักดัน ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มรายได้ให้ประชาชน และยกระดับความเป็นอยู่เท่านั้น แต่ต้องการสร้างความแน่นอนทางรายได้ สร้างโอกาสและความยั่งยืนของการกินดีอยู่ดีให้กับประชาชน ภายใต้หลักของวินัยทางการคลัง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการไม่สร้างภาระด้านงบประมาณ ไม่สร้างหนี้ให้กับประเทศจนเกินตัวในระยะยาว เงินรายได้ของประเทศที่หามาได้ในอนาคตก็ควรใช้ในการดูแลประชาชนในอนาคต ไม่ควรนํามาใช้หนี้ที่ก่อขึ้นเพื่อดูแลประชาชนในวันนี้มากจนเกินกําลัง ซึ่งหลักคิดนี้ จะช่วยตอบโจทย์การสร้างอนาคตของประเทศได้อย่างตรงจุดไปพร้อมกันด้วย จึงเป็นที่มาของโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในปัจจุบัน สําหรับโครงการไทยนิยมยั่งยืนนี้ ก็จะเป็นกิจกรรมที่มีกลไกการขับเคลื่อนตั้งแต่ระดับชาติ สู่ระดับพื้นที่ โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในรูปแบบกลไกประชารัฐ เพื่อจะสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงเสริมสร้างความมั่นคงของชุมชนในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ผ่านการวิเคราะห์ปัญหา ความต้องการของประชาชนในพื้นที่ร่วมกัน เพื่อจะจัดทําแผนแก้ไข และสร้างโอกาสในการพัฒนาตนเอง ให้ตรงกับความต้องการของประชาชน ในการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนอย่างยั่งยืน ก็จะเห็นได้ว่าการแก้ปัญหา หรือสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ไม่ได้มาจากการวางแผนจากส่วนกลาง แต่ต้องมาจากความต้องการของประชาชนในพื้นที่เองด้วย ซึ่งเป็นผู้รู้ปัญหาและข้อจํากัดของตัวเองดีกว่า ภาครัฐจะมีส่วนร่วมในการนําผู้เชี่ยวชาญลงไปยังพื้นที่ ช่วยนําเสนอโครงการหรือแผนงานเพื่อให้ได้งบประมาณที่เหมาะสม และดูแลให้โครงการมีความสอดคล้องเชื่อมต่อกับแผนงานของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมความถึงท้องถิ่นด้วย โดยจะมีการติดตาม ประเมินผล การให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนต่อไป มากกว่าแนวทางที่เคยดําเนินการมา ในช่วงก่อนหน้านี้ ที่ผ่านมานั้น โครงการไทยนิยมยั่งยืน ได้มีการลงพื้นที่เพื่อวิเคราะห์ปัญหา และความต้องการของประชาชนทุกหมู่บ้าน 4 ครั้ง มีประชาชนเข้าร่วมกว่า 8 ล้านคน โดยประชาชนได้มีส่วนร่วมในการสะท้อนสภาพปัญหาที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ มีการแสดงความเห็น และข้อเสนอแนะวิธีการ หรือโครงการที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของชุมชน ในขณะที่ภาครัฐทําหน้าที่เป็นเพียงผู้ประสานงานและคอยอํานวยความสะดวกด้านต่าง ๆ เท่านั้น ทั้งนี้ โครงการไทยนิยมยั่งยืน มีแผนงานที่เสนอขอรับงบประมาณขึ้นมา แบ่งเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย (1) โครงการประเภทสร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยตรง 3 ลําดับแรก ได้แก่ ลานตากผลผลิตทางการเกษตร การปรับปรุงภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยว และโรงสี (2) โครงการประเภทสร้างอาชีพ สร้างรายได้ โดยอ้อม 3 ลําดับแรก ได้แก่ ถนนเพื่อการเกษตร ขุดลอกสระ-ห้วย-หนอง-คลอง-บึง และ ลานอเนกประสงค์ - สาธารณประโยชน์ (3) โครงการประเภทส่งเสริมคุณภาพชีวิต 3 ลําดับแรก ได้แก่ ถนนสัญจรภายในหมู่บ้าน ศาลากลางบ้าน ศาลาประชาคม หรืออาคารอเนกประสงค์ และ การปรับปรุงซ่อมแซมประปาหมู่บ้าน ทั้งนี้ โครงการไทยนิยม ยั่งยืน นับเป็นอีกก้าวสําคัญ ที่ช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ํา ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่สําคัญ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นการแก้ปัญหา และช่วยเหลือประชาชนได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นโครงการที่รัฐทําเพื่อประชาชน รับฟังประชาชน และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และออกแบบโครงการที่เหมาะสม อย่างแท้จริง ซึ่งผลสัมฤทธิ์ของแต่ละโครงการจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะการปรับตัวของประชาชนเอง ทั้งนี้ โครงการนี้ จะเป็นการดําเนินการต่อเนื่อง โดยรัฐบาลจะประเมินผลโครงการและนํามาปรับปรุงกิจกรรมการดูแลสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนในชนบทให้ดีขึ้น ต่อไป พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ ทั้งสามประเด็น ที่ผมนํามาเล่าสู่กันฟังนี้ก็เพื่อที่จะบอกทุกท่านว่า การสร้างอนาคตประเทศไทยในช่องทางต่าง ๆ จะสําเร็จสมบูรณ์ไม่ได้ ถ้าปราศจากเป้าหมาย ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน หากมองย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปี ที่ผ่านมา วันนี้ทุกอย่างค่อย ๆ ปรับดีขึ้น ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากต่างประเทศมากขึ้น การขยายตัวของเศรษฐกิจดีขึ้น การลงทุน และการส่งออก นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น มีโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ประเทศกําลังทยอยเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลกําลังเร่งให้การเติบโตลงไปยังฐานรากได้ดีขึ้น ที่สําคัญเรากําลังจะมียุทธศาสตร์ชาติที่จะช่วยให้เราทุกคนเห็นเป้าหมายร่วมกัน ได้เห็นเส้นทาง ที่เราจะเดินไปสู่เป้าหมาย ส่วนใครจะวิ่ง ใครจะเดิน ใครจะบินไป ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการ และศักยภาพของแต่ละคน ใครที่แข็งแรง ก็ไปถึงเป้าหมายได้เร็วหน่อย ในส่วนของรัฐบาลก็มีหน้าที่ที่ต้องคอยประคับ ประคองให้คนที่ยังอ่อนแอ หรือแข็งแรงน้อยกว่า ได้มีโอกาสพัฒนาและก้าวไปสู่เป้าหมายเดียวกัน เพราะเราไม่ต้องการทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญที่สุด และจะมีอิทธิพลต่อการสร้างอนาคตของประเทศ มากที่สุด ซึ่งสามารถทําได้ทันที ก็คือการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มที่ตัวเรา ไม่ต้องรอให้คนอื่นเปลี่ยน เพราะภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และสังคมไม่เคยหยุดนิ่ง อีกทั้งเทคโนโลยีรอบ ๆ ตัว ส่งผลต่อการใช้ชีวิต การทํางาน การทําธุรกิจ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทําให้เราต้องปรับเปลี่ยน เพื่อให้เท่าทัน ไม่พลาดโอกาส ไม่เสียสิทธิที่ควรได้รับ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ (รายได้) สังคม (สถานะ) และการเมือง หากพวกเราทุกคน สามารถปฏิรูปตัวเอง ให้เป็น Active Citizen ให้เป็นพลเมืองที่ตื่นตัว ที่มีความคิดเท่าทัน มีความยืดหยุ่น ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ รอบตัวได้ทันการณ์ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ จากตัวเราเองเช่นนี้ จะสามารถขยายออกไปเป็นวงกว้างจนกลายเป็นพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จะนําไปสู่อนาคตของประเทศที่เราต้องการได้เช่นกัน บทเรียนหรือตัวอย่างล่าสุด ที่อาจนํามาใช้เป็นอีกมุมมองของ Active Citizen ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่ถ้ําหลวง ขุนน้ํานางนอน จ.เชียงราย วันนี้ พวกเราทุกคนดีใจ ปลาบปลื้มใจที่ภารกิจในการช่วยเหลือ "13 หมูป่า" สําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่เบื้องหลังของความสําเร็จดังกล่าว เป็นผลจากความร่วมมือ ร่วมใจกัน ของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชนในพื้นที่ คนไทยทั่วทุกภาค ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ และทั่วโลก จะเห็นได้ว่าห้วง 10 กว่าวันของภารกิจดังกล่าว มีปัญหา และอุปสรรคเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ด้วยความเป็น Active Citizen ของทุกคน ทุกฝ่าย ในการทําบทบาทของตนเอง การที่มีผู้บัญชาการเหตุการณ์ที่มีความเป็นผู้นํา พร้อมรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ จากทุกฝ่าย กล้าคิด กล้าทํา และกล้าตัดสินใจในเรื่องที่จําเป็น ก็มีอยู่หลายท่านด้วยกัน ที่เกี่ยวข้องในส่วนนี้ เพราะต้องหารือร่วมกันทั้งหมด ไม่ใช่ตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมด ต้องนั่งประชุม นั่งหารือ แล้วหาจังหวะที่ถูกต้องให้ทันเวลา การตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด ฉะนั้นการที่ทุกคนเข้ามาร่วมภารกิจรับฟัง ร่วมใจในการประชุม ตัดสินใจ การวางแผนการดําเนินงานทั้งหมด มีความรัก ความสามัคคี แล้วก็เสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อย่างเช่น นาวาตรี สมาน กุนัน นะครับ ทั้งหมดนี้ ไม่เพียงแต่เราคนไทยที่ดีใจและชื่นชมกับความสําเร็จนี้ ประชาคมโลก ต่างก็กล่าวถึงการร่วมแรงร่วมใจกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สื่อต่างประเทศหลายสํานัก ถึงกับกล่าวว่า เหตุการณ์นี้ได้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับประเทศไทยในสายตาชาวโลกไปเรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์นี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่คนไทยทําไม่ได้ ถ้าพวกเราทุกคนร่วมมือกัน ไม่ว่าปัญหาจะหนักหนาแค่ไหน เราคนไทยก็สามารถผ่านพ้นไปได้ ผมมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทย จะสามารถยืนหยัดท่ามกลางกระแสความท้าทายของโลก และมีอนาคตประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนได้ หากเราร่วมมือ ร่วมใจ สร้างไทยไปด้วยกัน วันนี้ก็มีภาพยนตร์ วีดีทัศน์ไปฉายอยู่บนเครื่องบินของการบินไทยแล้วเรื่องการทํางานที่ถ้ําหลวง ทั้งนี้เพื่อให้คนสร้างการรับรู้ของผู้โดยสารทั้งหมดที่ใช้บริการของการบินไทยได้รับทราบไปด้วยครับ สุดท้ายนี้ ผมขอเรียนว่า องค์กรสื่อ ถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สําคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นอกเหนือไปจากสถาบันภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ทั้งหมดนี้ คุณภาพ และความตั้งมั่น ในการให้บริการ ให้ข่าวสารโดยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ของการทํางาน จะทําให้องค์กรสื่อเป็นอีกแรงหนึ่งในการจะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไปสู่อนาคตที่ดี รวมถึงการเป็นประชาธิปไตยของประเทศให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบัน ในยุคที่สื่อเกิดขึ้นในรูปแบบที่หลากหลาย สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างใกล้ชิด รวดเร็วมากยิ่งขึ้นนี้ การยืนหยัดเพื่อต่อสู้ และนําเสนอสิ่งที่ถูกต้องของสื่อหลักถือเป็นสิ่งจําเป็น เพราะจะเป็นทั้งหลัก และแรงบันดาลใจ ให้กับสื่ออื่น ๆ แล้วยังจะทําหน้าที่เป็นแกนกลางของข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ให้กับประชาชนด้วย คําว่า "สื่อ" มีความชัดเจนในความหมายอยู่แล้วว่าเป็นตัวกลาง ในที่นี้ คือ การส่งผ่านข่าว สาร ข้อมูล นโยบาย และมาตรการต่าง ๆ ให้กับประชาชน หน้าที่นี้ทําให้สื่อมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก ต่อกรอบความคิด และมุมมองของประชาชน และถ้ามองลึกลงไปอีก ข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกนําเสนอจะสามารถสะท้อนให้เห็นถึงการทํางาน และปัญหาที่หลายฝ่ายต้องประสบ และอาจจะต้องสร้างความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ เกิดการบูรณาการได้มากขึ้น ทั้งนี้ผมขอให้ทุกคน ทุกภาคส่วน ได้ร่วมกันสร้างไทยไปด้วยกัน เพื่ออนาคตของลูกหลานและเพื่อวันข้างหน้าที่ดีกว่าของเราทุกคนนะครับ ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ และทุกครอบครัวมีความสุข ปลอดภัยนะครับ สวัสดีครับ ------------------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14340
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผมได้ประชุมเรื่องการจัดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “ ปั่นเพื่อแม่ Bike for mom” ซึ่งเป็นกิจกรรมตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่ทรงแสดงความกตัญญูกตเวที แด่ “ แม่ของแผ่นดิน ” กิจกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2558 ตั้งแต่เวลา 15.00 เป็นต้นไป ระยะทางทั้งสิ้น 43 กิโลเมตร เริ่มต้นจากพระลานพระราชวังดุสิต ไปยัง กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ และวนกลับมายังพระลานพระราชวังดุสิต โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะทรงจักรยานร่วมในกิจกรรมด้วย ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง สําหรับพี่น้องประชาชนชาวไทย สําหรับรายละเอียดต่าง ๆ นั้น รวมถึงการร่วมกิจกรรมในพื้นที่ต่างจังหวัด ขอให้ประชาชนได้ติดตามการชี้แจงประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น ได้เป็นตัวแทนของประชาชนคนไทยทุกคน จัดงานเลี้ยงต้อนรับและแสดงความยินดีกับนักกีฬาไทยที่ไปร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ผ่านมา และได้ทําชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ สร้างความสุข ความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทุกคน ผมขอชื่นชม เป็นการส่วนตัวด้วย ในนามรัฐบาลด้วย ขอขอบคุณทั้งนักกีฬา โค้ช ผู้ฝึกสอน เจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจในการทํางาน และทําให้การแข่งขันครั้งนี้ประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น ผมยังได้พบกับคณะนักเรียนและอาจารย์ที่จะเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ เคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศประจําปี 2558 ผมได้กล่าวชื่นชมและชมเชยทุกคนที่มีความตั้งใจและมีความพยายามที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยของเรา เช่นเดียวกับการแข่งขันกีฬา ผมย้ําไปว่าขอให้ใช้โอกาสนี้ในการที่จะเพิ่มประสบการณ์ หาเพื่อนหาเครือข่ายใหม่ ๆ ทั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น และขอให้ทุกคนเดินทางไปที่ไหนก็ตาม ขอให้คิดว่าเราเป็น “ทูตทางวิชาการ” ของคนไทยด้วย นอกจากจะต้องแสดงความสามารถด้านวิชาการแล้วก็ยังคงต้องพระพฤติปฏิบัติตน และแสดงออกให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทยเราด้วย ขอให้คนไทยทุกคนได้ร่วมกันเป็นกําลังใจให้กับทัพนักวิชาการของไทยในครั้งนี้ด้วย สําหรับเรื่องที่รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสําคัญมาก นอกเหนือจากภัยคุกคามด้านความมั่นคง ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ และเก่าแล้ว สิ่งที่เราเข้มงวดหรือว่าเร่งรัดมาตรการต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น มีผมสัมฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ได้แก่ เรื่องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่เร่งด่วนในปัจจุบัน ได้แก่ เรื่องภัยแล้ง ผมและรัฐบาลเข้าใจดีในความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรในขณะนี้ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ด้วย ซึ่งประสบปัญหากับความแห้งแล้ง ไม่มีน้ําในการทําการเกษตร ผมได้รับรายงานจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ฝนจะตกน้อยอย่างต่อเนื่อง และทิ้งช่วงไปจนถึงประมาณปลายเดือนกรกฎาคม ผมได้สั่งการให้ทุกหน่วยงาน มีการประชุม สั่งการ รวมทั้งให้กองทัพมามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการจัดระเบียบการส่งน้ําในคลองชลประทานให้กับพี่น้องเกษตรกร ให้เกิดความทั่วถึงและเป็นธรรม ขอความร่วมมือด้วย อย่าทะเลาะเบาะแว้งกันเลยในเรื่องนี้ รวมถึงการให้ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ได้วางแผนการช่วยเหลือเร่งด่วนร่วมกันในขั้นต้น นอกจากการจัดระเบียบการส่งน้ําแล้ว ภาครัฐและท้องถิ่น จะเร่งดําเนินการในเรื่องของการขุดเจาะบ่อน้ําบาดาล และบ่อตอก โดยจะให้ความเร่งด่วนกับพื้นที่เสี่ยง หรือพื้นที่ที่ดอนก่อน ในเขตลุ่มน้ําเจ้าพระยาก็มีอยู่ประมาณ 850,000 ไร่ ขอให้เข้าใจ สาเหตุหนึ่งที่ทําให้ฝนตกน้อยเวลานี้ เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นในเขตมหาสมุทรแปซิฟิก หรือที่เรียกว่า เอลนีโญ โดยหน่วยงานได้รายงานว่าเป็นปรากฏการณ์ที่กระทบต่อสภาพอากาศมากที่สุดในรอบ 10 ปี นอกจากนั้นก็เกิดจากสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงทั่วโลก Climate Change ซึ่งเป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถจะควบคุมได้เลย อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ การรักษาทรัพยากรป่าไม้ก็เป็นเรื่องสําคัญ บ้านเรานั้น ไม่มีป่าก็ไม่มีน้ํา ผมพูดหลายครั้งแล้ว ต้องช่วยกัน ทั้งรักษาและฟื้นฟู สิ่งที่บุกรุกไปแล้วด้วย ขอความร่วมมือด้วย สําหรับในการวางแผนระยะยาว รัฐบาลได้จัดทําแผนการบริหารจัดการน้ํา สําหรับปี 2558 – 2569 หลายปี ไว้ 6 เรื่องด้วยกัน เพื่อจะครอบคลุมทั้งหมดในทุกมิติ ได้แก่ 1. การจัดการน้ําอุปโภคบริโภค ซึ่งจะต้องมีการจัดหาแหล่งน้ําต้นทุน ในการพัฒนาทําประปาหมู่บ้านอีกประมาณ 7,500 หมู่บ้าน ซึ่งยังไม่ครบ และพัฒนาประปาในเขตเมืองถึงเกือบ 700 แห่ง ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปีนี้ และจะให้แล้วเสร็จภายในปี 2560 รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบประปาที่มีอยู่เดิมอีกกว่า 9,000 แห่ง ได้แก่ การจัดหาน้ําดื่มสะอาดให้แก่โรงเรียนและชุมชนกว่า 6,000 แห่งด้วย 2. เรื่องการสร้างความมั่นคงของน้ําในภาคการผลิต จะมีการสร้างแหล่งกักน้ําแห่งใหม่ 369 แห่ง ฟื้นฟูแหล่งน้ําธรรมชาติ 895 แห่ง ขุดสระน้ําในไร่นา 50,000 แห่ง ขุดบ่อบาดาล 1,285 แห่ง เพื่อเตรียมไว้ใช้สําหรับการผลิต ทั้งภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม โดยในปี 2559 เราตั้งไว้ว่าจะสามารถเพิ่มเขตชลประทานได้ 2.2 ล้านไร่ และในปี 2569 จะเพิ่มได้ถึง 8.7 ล้านไร่ และเมื่อเสร็จสิ้นโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ เราจะมีพื้นที่ชลประทานทั้งประเทศ จากเดิม 30 ล้านไร่ เป็นประมาณ 40 ล้านไร่ จะเพิ่มประมาณ 10 ล้านไร่ ก็ถือว่าพอสมควร 3. เรื่องการจัดการน้ําท่วมและอุทกภัย จะมีการปรับปรุงทางน้ําสายหลักและสาขา 30 แห่ง ระยะทางประมาณ 75 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําและทางผันน้ํา 3 แห่ง การพัฒนาระบบป้องกันน้ําท่วม การทําคันเขื่อนป้องกันตลิ่ง 13 แห่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ กําลังดําเนินการ คาดว่าจะใช้ระยะเวลา 3 ปี จึงจะแล้วเสร็จ 4. เรื่องการจัดการคุณภาพน้ํา ทั้งการพัฒนาระบบบําบัดน้ําเสีย 36 แห่ง การลดน้ําเสียจากแหล่งกําเนิด การกําจัดวัชพืชและขยะมูลฝอยในแหล่งน้ํา 399 แห่ง ซึ่งจะดําเนินการแล้วเสร็จในปีนี้ และจะดําเนินการอย่างต่อเนื่องทุกปี 5. เรื่องของการผลักดันน้ําเค็ม จะมีการดําเนินการต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อไม่ให้ค่าความเค็มเกินมาตรฐาน อันนี้ก็เป็นปัญหาในเรื่องของน้ําต้นทุนที่จะระบายไปอีก ในขณะนี้ 6. เรื่องการอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ําที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน จะมีการปลูกป่าทดแทน 25,000 ไร่ และปลูกหญ้าแฝก 645,000 ไร่ จะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในเดือนกันยายนนี้ ขอเรียนว่ารัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาและเราจัดลําดับความเร่งด่วน มีการดําเนินการเป็นระยะ ๆ ในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งงบประมาด้วย ก็คงต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนด้วย เรื่องต่อไป เรื่องที่เป็นปัญหาหนัก ๆ ก็คือเรื่องของ ICAO เรื่องการค้ามนุษย์ เรื่องประมง เรื่อง TIP REPORT ผมอยากจะเรียนว่ารัฐบาลนี้พยายามอย่างเต็มที่ในการจะแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งมีหลายอย่างด้วยกัน เรื่องกฎหมาย เรื่องวิธีบริหารจัดการ เรื่องการลงโทษ เรื่องการดูแลเหยื่อต่าง ๆ เหล่านั้น ในเรื่องของการค้ามนุษย์ การประมง ในส่วนของ ICAO ก็ต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ในเรื่องของกรมการบินพลเรือน เข้ามาตรวจสอบดําเนินการในข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลายาวนาน วันนี้ต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา ก็ต้องเคารพในการตัดสินของคณะกรรมการ ขององค์กรระหว่างประเทศทั้งหมด เราก็ต้องปรับปรุงแก้ไข สิ่งใดก็ตามที่เราเป็นความบกพร่อง เราก็ต้องแก้ให้ได้ รัฐบาลนี้ทํางานอย่างหนัก แทบจะทุกวัน ทุกสัปดาห์ ต้องมีการพูดถึงในเรื่องเหล่านี้ และติดตามความก้าวหน้า ทุกอย่างยังคงก้าวหน้าอยู่ไปตามลําดับ ก็ขึ้นอยู่กับว่าทางคณะกรรมการ ซึ่งจะต้องมีการจัดผู้สังเกตการณ์เข้ามาเป็นระยะ ดูความก้าวหน้าในแต่ละเรื่อง ที่ผมกล่าวไปแล้วเมื่อสักครู่ ซึ่งแนวโน้มก็น่าจะทําให้เราสบายใจขึ้นได้บ้าง ในส่วนของการพูดจา ขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือมิตรประเทศเราเหล่านั้น เขาก็ให้ความร่วมมือกับเราดี ขณะนี้ก็ยังไม่มีผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้น ว่าบกพร่องเรื่องอะไร และนําสิ่งที่เขาเอาเป็นบรรทัดฐาน มาตรฐาน ข้อบกพร่องกี่ข้อ เอามาดู ว่าเกี่ยวพันกับเรื่องอะไรบ้าง ก็ต้องแก้ไขทั้งหมด มีการบูรณาการ วันนี้ก็นํา คสช. ไปร่วมด้วย ช่วยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการค้ามนุษย์ การประมง เพื่อจะแก้ไขปัญหาในเรื่องของ TIP REPORT ในเรื่องของICAO กระทรวงคมนาคม ก็ได้อาศัยอํานาจตามมาตรา 44 ของ คสช. เข้าไปแก้ไขในระยะแรกด้วย อื่น ๆ นั้นก็ต้องใช้กฎหมาย ซึ่งจะต้องนําเสนอเข้าไปใน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในการพิจารณาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ต่าง ๆ การแก้ไขกฎกระทรวงต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ดําเนินการทั้งสิ้น ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็พูดกันทุกครั้ง ด้านเศรษฐกิจ วันนี้ผมก็มุ่งเน้นในเรื่องของการดูแลเศรษฐกิจชุมชน ในเรื่องของ Social Business และในเรื่องของส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ว่าจะเชื่อมโยงกันได้อย่างไร จะต่อไปต่อเนื่องกับธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม SMEs ได้อย่างไร และไปโยงกับธุรกิจระดับประเทศ ธุรกิจข้ามชาติ ที่เราค้าขายกับโลกภายนอกเขาอยู่ จะเชื่อมโยงอย่างไร ภาคการเกษตรของประชาชนจะเข้มแข็งอย่างไร บ้านเราก็มีทั้งพ่อค้าคนกลาง มีทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ถ้าเราสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเกษตรกรขึ้นมา ให้มีความรู้ด้านการค้า การลงทุน หรือเรื่องการตลาดเอง ก็จะทําให้เขาเข้มแข็งขึ้น วันหน้าก็จะเป็นเถ้าแก่ใหม่ได้ สําหรับในด้านเทคโนโลยี การวิจัย และการพัฒนาเหล่านี้เป็นการเพื่อจะเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ ของประเทศ ต้องนําไปสู่ความทันสมัย ใช้เทคโนโลยีในการผลิต ในการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ใช้การวิจัยพัฒนาที่เป็นรูปธรรม วันนี้ต้องกําหนดหัวข้อในการวิจัยพัฒนา เรื่องที่เราต้อง ประเทศเราต้องการอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับการแปรรูป หรือการใช้ประโยชน์จากด้านเกษตรกรรม ในการที่จะ ทําให้เกิดเป็นสินค้า และมีความแปลกใหม่ มีนวัตกรรม เพื่อจะไปแข่งขันกับโลกภายนอกเขาได้ วันนี้การส่งออกของเราค่อนข้างมีปัญหา เราต้องปรับปรุงด้านการวิจัย และพัฒนา และจัดหาธุรกิจใหม่ ๆ หรือว่าสิ่งที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งแปลกกว่าเขา ขายได้ราคากว่าเขา น่าสนใจกว่าเขาเหล่านี้ อยู่ในขั้นการที่เราเริ่มต้นดําเนินการทั้งสิ้น ที่ผ่านมาก็อาจจะยังไม่ทันต่อสถานการณ์ในวันนี้ ทําให้มูลค่าในการส่งออกลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตผลทางด้านการเกษตร วันนี้ก็ต้องปรับทุกอัน เรื่องการค้า การลงทุน การตลาด ในกลุ่มต่าง ๆ ของโลกนี้ มีตั้งหลายกลุ่มด้วยกัน เราก็จัดวางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนขึ้น เราจะขายใครที่ไหน ตลาดบน ตลาดล่าง อย่างไร ทั้งในประเทศและต่างประเทศต้องผูกพันเชื่อมโยงกัน สร้างห่วงโซ่ของอุปทาน ห่วงโซ่ของคุณค่า เพื่อจะเชื่อมโยงให้แข็งแรงทั้งประชาชน เอกชน ผู้ประกอบการธุรกิจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ง่าย ๆ ก็คือชุมชนต้องเข้มแข็ง จังหวัดเข้มแข็ง ภูมิภาคเข้มแข็ง และไปเชื่อมโยงด้วยเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เราดําเนินการอยู่ในขณะนี้ และรวมความไปถึงพื้นที่ตอนในที่มีศักยภาพด้วย อันนี้ก็อยากจะกราบเรียนว่าเป็น คลัสเตอร์ เขตเศรษฐกิจพิเศษอย่าไปกังวล เราก็จะส่งเสริมในพื้นที่ก่อนให้ได้ เพราะฉะนั้นในตรงนี้ เดี๋ยวจะไม่เข้าใจกันอีก ในพื้นที่ก็จะกลัวว่านอกพื้นที่จะไปลงทุน ทําให้เกิดปัญหาข้อขัดแย้ง เราจะให้โอกาสในพื้นที่ก่อนด้วย มาพิจารณาดูว่าจะลงทุนกันอย่างไร จะส่งเสริมกันอย่างไร มีกองทุนอะไรให้หรือไม่ ในส่วนของที่มีศักยภาพ ในส่วนข้างนอกก็ไปเติมอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้ในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันออกไป เป็น คลัสเตอร์ ก็คือหลาย ๆ กิจการ ไม่ใช่ในเรื่องของระบบงานอุตสาหกรรมอย่างเดียว เดี๋ยวจะกังวลเข้าไปอีก มีทั้งธุรกิจการแปรรูป คลังสินค้า คลังกระจายสินค้า มีทั้งธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม การบริการต่าง ๆ ทั้งหมด ที่มีศักยภาพของแต่ละภูมิภาคของเรา ปีนี้ก็เกิดในระยะที่หนึ่ง 6 จังหวัด ปีหน้าก็จะเกิดอีก 4 จังหวัด อันนี้ยังไม่รวมถึงพื้นที่ที่มีศักภาพในพื้นที่ตอนใน รวมความไปถึงการส่งเสริมธุรกิจ SMEs ของ สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) การส่งเสริมการลงทุนของ BOI ด้วย ทั้งหมดผูกพันกันทั้งระบบ เราก็นําทุกอย่างมาบูรณาการร่วมกัน เรื่องการสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ผมเรียนไปแล้วว่าคือการสร้างห่วงโซ่มูลค่าให้ได้ กับทุกกิจการที่ผมกล่าวไปแล้วเมื่อสักครู่ ที่ผ่านมาเป็นท่อน ๆ กันหมด เพราะฉะนั้นต้องเชื่อมโยง วันนี้เราก็ไม่ต้องการประโยชน์ตรงขั้นตอนใด อยากให้ประโยชน์ทั้งหมดกลับมาสู่ผู้ประกอบการ ซึ่งมีทั้งภาคเอกชน ภาคธุรกิจ และภาคประชาชนของเกษตรกรด้วย ที่ผมเน้นก็คือ การนํา Social Business เข้ามาด้วย เป็นส่วนหนึ่งของ Social Enterprise ซึ่งเอกชนทําธุรกิจขนาดใหญ่อยู่แล้ว ถ้าเราทําให้ภาคประชาชนแข็งแรง โดยเสริมระบบ Social Business เข้าไป ก็จะเชื่อมโยงกับ SMEs เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจชายแดน และไปเชื่อมโยงกับตลาดค้าชายแดน และไปมีผลส่งต่อไปถึงการค้าใน CLMV ในอาเซียน และในประชาคมอื่น ๆ อีกด้วย ต้องวาดตรงนี้ออกมาให้ต่อเนื่องกัน และทํางานร่วมกัน ทุกกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่กระทรวงใด กระทรวงหนึ่งมาทําเอง หรือให้หน่วยงานใด หน่วยงานหนึ่ง มากําหนดให้ เพราะฉะนั้นวันนี้เรามีการพูดคุยทุกคณะ มีอนุกรรมการหลายคณะด้วยกัน กว่าจะขึ้นมาถึงคณะกรรมการนโยบาย การวางแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว ทั้งนี้ เพื่อให้ภาคเอกชน ได้รับรู้ รับทราบ ได้รู้อนาคต ประชาชนก็ต้องรู้อนาคตของตนเองด้วย ชุมชนของตนเองจะเป็นอย่างไร ในวันข้างหน้า เพื่อจะได้จัดเตรียมการลงทุน การสร้างความเข้มแข็ง ต้องใช้เวลา จะทําให้เกิดความเชื่อมโยงในพื้นที่ของชุมชนและในภูมิภาคด้วย เป็นการสร้างอนาคตให้กับเยาวชนรุ่นหลังในทุกภาคส่วน ซึ่งอาจจะต้องมีการแก้ไขบางกฎหมาย บาง พ.ร.บ. หรือกฎกระทรวง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด ก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน อย่าไปเอารัดเอาเปรียบกันในขณะนี้ เรื่องการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ปัจจุบันอยากจะเรียนว่าเรามีการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐไปมากกว่าทุกปี ในห่วงเดียวกันที่ผ่านมา ในเรื่องของการดําเนินการในส่วนของงบลงทุนนั้นยังต้องเร่งดําเนินการในหลาย ๆ โครงการ โดยเฉพาะโครงการการก่อสร้างต่าง ๆ ปัญหาก็คือติดตรงที่ว่า บางโครงการนั้นต้องทําประชาพิจารณ์ผ่านการเห็นชอบ บางพื้นที่ยังทําไม่ได้หลายอย่าง เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โครงการกําจัดขยะหรืออะไรหลาย ๆ อย่างที่เราจะทําให้เป็นความเข้มแข็ง เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ถ้าเราไม่สร้างตรงนี้ไว้ อย่างไรเศรษฐกิจของเราก็ไปไม่ได้ เราจะค้าขายแบบเดิม ๆ ไม่ได้อีกแล้ว เรื่องการศึกษา ระยะ 3 ปีแรก 2557 – 2559 การศึกษาเป็นปัจจัยหลักสําคัญในการพัฒนาประเทศ เป็นอนาคตของประเทศ เพราะฉะนั้นแผนพัฒนาการศึกษาของรัฐบาล ระยะที่ 1 ระยะแรกนั้น คสช. ก็ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ยกเลิกโครงการที่ไม่คุ้มค่าแก้ไขปัญหาการขาดแคลน การดึงครูออกจากห้องเรียน การขยายผลการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อจะส่งต่อในเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นเรื่องของในเชิงโครงสร้าง ในเรื่องการบริหารจัดการ ในเรื่องของการทําให้เกิดความต่อเนื่อง ผลิตคนให้ตรงความต้องการของประเทศกับความต้องการในเรื่อง AEC ซึ่งจะต้องเร่งในระยะแรก เพราะฉะนั้นทุกอย่างกําลังทําทั้งหมดแข่งกับเวลา กระทรวงศึกษากําลังดําเนินอยู่ทั้งสิ้น จะเชื่อมต่อไปกับกระทรวงแรงงาน ซึ่งจะกําหนดความต้องการในแต่ละกิจการในประเทศไทยที่จะต้องเกิดขึ้นในปีหน้า AEC ต้องเตรียมให้พร้อมทั้งแรงงาน ประเภทใช้แรงงาน อันที่สองคือแรงงานที่มีคุณภาพ มีความรู้ มีการพูดภาษาต่างประเทศได้ที่มาลงทุน อันนี้กําลังเร่งทั้งหมด โดยเริ่มจากการต่อยอดไปก่อน ซึ่งปีต่อ ๆ ไปก็คงนําเรื่องเหล่านี้เข้ามาบรรจุในแผนค่าใช้จ่ายงบประมาณในการผลิตคนให้ทันต่อความต้องการของประเทศ วันนี้ต้องเห็นใจในส่วนของพี่น้องกรรมกรต่าง ๆ ทั้งหลาย ก็ขออีกสักระยะหนึ่งก่อนในช่วงนี้ก็ขอให้ไปรับการทดสอบฝีมือที่กรมแรงงานว่าเขามีอะไรอย่างไรที่ไหน ถ้าต่อไปถ้าเป็นไปได้ก็คือในส่วนของค่าแรงต่าง ๆ ก็คงเพิ่มไปตามนี้ก่อนส่วนที่มีการปรับปรุงพัฒนา ส่วนอื่นคงต้องรอให้งานเกิดให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนดีขึ้น ผมเป็นห่วงท่านอยู่แล้วช่วงนี้ก็ขอให้ระมัดระวังการใช้จ่าย ผมคิดว่าก็เดือดร้อนกันทั้งประเทศอยู่แล้วในขณะนี้คงไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรอก เรื่องของการลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา เรามีการเพิ่มโอกาสให้การเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ เร่งการผลิตและพัฒนากําลังคนรองรับการพัฒนาประเทศเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และพัฒนาระบบการบริหารจัดการครูรวมไปถึงการวางแนวทางพัฒนานโยบายการศึกษา การปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบให้มีความต่อเนื่อง เพื่อจะเตรียมเข้าสู่ระยะที่สามก็คือส่งต่อรัฐบาลใหม่ผ่านสภาปฏิรูปเข้าไปในการที่จะขับเคลื่อนต่อไปในอนาคต เรื่องของการศึกษานั้น สิ่งที่ผมให้แนวทางไว้ ง่าย ๆ ก็คือ ทําอย่างไรเด็กจะมีความสุข เด็กจะมีเวลาที่จะคิด อ่านของตัวเอง มีเวลาที่ใช้ความพัฒนาเรียนรู้ตามวัยของตัวเองแล้วก็มีความสุขในการเรียน สรุปง่าย ๆ ในส่วนของผู้ปกครองก็ลดค่าใช้จ่ายของเขา ลดความกังวลในเรื่องของอาชีพต่อไปของลูกหลานของเขา ในเรื่องของค่าเรียน ค่าอุปกรณ์ การเรียนการสอนเพิ่มเติมเหล่านี้ การกวดวิชาด้วยก็สั่งไปแล้ว ในส่วนของโรงเรียนก็ต้องมีการพัฒนาให้มีคุณภาพมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน อันไหนที่ยังไปไม่ได้ ก็ใช้ทางไกลผ่านดาวเทียมไปก่อน เหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องพัฒนาทั้งระบบทั้งสิ้น ในส่วนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น เป็นสิ่งสําคัญจะต้องก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก ถ้าเราไม่พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เรียนรู้วันนี้ ไม่ได้ วันนี้เกษตรกรจะรู้จักเฉพาะการปลูกข้าวปลูกพืชเหล่านี้ ไม่ได้ ต้องรู้การตลาด รู้ว่าราคาสินค้าในอาเซียนเป็นอย่างไร ประจําวันเป็นอย่างไร ลม ฟ้า อากาศเป็นอย่างไร วิธีการที่จะปลูกพืชโดยใช้เครื่องมือเทคโนโลยีช่วยทําอย่างไร ต้องเรียนรู้ วันนี้ต้องเปิดเว็บเป็นแล้ว วันนี้เขาให้ข้อมูลมาแล้วตรงไหนมีน้ํา ตรงไหนควรจะปลูกพืชอะไร พื้นที่ไหนควรจะทําอะไรเหล่านี้ท่านดูถ้าท่านไม่ดูแล้วเราแนะนําไปอะไรไปก็ไม่เกิดขึ้นก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย อย่างวันนี้หลายคนก็ตําหนิมาว่ารัฐบาลไม่เห็นช่วยเหลืออะไรจริง ๆ ช่วยมีสวนการเรียนรู้ทั้ง 800 กว่าแห่ง แล้วก็ในส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอเหล่านั้นเขาก็มาช่วยกันดูอยู่ ขับเคลื่อนอยู่ผ่านในส่วนขององค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก็ไปให้คําแนะนําทั้งในส่วนของปราชญ์ชาวบ้าน ในส่วนของการเดินไปสอนไปอบรมเหล่านี้ต้องให้ทุกคนให้ความร่วมมือ ถ้าท่านไม่เปลี่ยนแปลงในเรื่องของการรับความรู้ การเปลี่ยนแนวความคิด การเปลี่ยนวิสัยทัศน์เหล่านี้ไปไม่ได้ ประเทศไปไม่ได้ เกษตรกรเราก็ไม่มีวันที่จะลืมตาอ้าปากได้อีกต่อไปในอนาคตจะแย่ลง ๆ เรื่อย ๆ วันนี้เราทําทั้งระบบอยู่นะครับ แต่ไม่เกิดขึ้นในวันเดียว นี่คือปัญหาของผม ของท่าน ในส่วนของเกษตรกรนั้น วันนี้ก็น้ําแล้งผมก็บอกว่าให้มีการปรับการปลูกพืชให้สอดคล้องกับสภาพอากาศแล้วก็พื้นที่ด้วย วันนี้ฝนตก ฝนน้อย ไม่เท่ากัน ระบบการส่งน้ําของชลประทานส่งได้ไม่เพียงพอน้ําต้นทุนไม่มี ท่านก็ต้องเปลี่ยนไปปลูกพืชน้ําน้อย มีหลายพื้นที่ผมเห็นเลี้ยงจิ้งหรีดก็มี ปลูกถั่ว ปลูกผัก ปลูกอะไรมากมายไปหมดแล้วก็มีรายได้ดีกว่าปลูกข้าวด้วยซ้ําไป เพราะบางทีปลูกข้าวแล้วก็ตาย พอน้ําขาดตอนจะออกร่วงก็ไม่ออกไม่มีน้ําก็ไม่ออกก็แห้งตายก็เป็นอย่างนี้ทุกปี เสร็จแล้วก็ต้องเยียวยาช่วยเหลือ ท่านต้องปรับเปลี่ยนตัวเองด้วย ถ้าท่านรู้ว่าท่านทําต่อไปแล้วเป็นหนี้เป็นสินมาก ๆ ท่านก็ต้องมาหาความรู้ เราไม่สามารถจะไปเดินบอกทุกบ้านได้ ทุกครอบครัวได้ท่านต้องฟัง เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่า นี่คือสิ่งที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นจะต้องเข้าใจนโยบายของรัฐบาลแล้วก็นําไปบอกเล่ากันในการประชุมประจําเดือนของแต่ละตําบล แต่หมู่บ้าน หน้าที่ของกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน หน้าที่ของสมาชิกต่าง ๆ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) นี้ เป็นผู้ที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ถ้าท่านไม่มีความรู้ ถ้าท่านไม่เอาสิ่งที่นโยบายกําลังถ่ายทอดอยู่ กําลังทําอยู่นี่ไปสู่การปฏิบัติให้ได้ สร้างความเข้าใจประชาชนไม่ได้ ก็จะเกิดปัญหาอยู่แบบนี้ วันหน้าความเดือดร้อนกลับมาใหม่อีกแล้วก็เกิดปัญหาความขัดแย้งกับความเหลื่อมล้ํา ความไม่เป็นธรรมมาตลอด เพราะฉะนั้นขอความกรุณา ผมขอตรงนี้ก็คงต้องร่วมมือกันต่อไปอย่าไปขัดแย้งกันอีกเลย เรื่องน้ําเรื่องท่า การปล่อยน้ํา ไม่ใช่ให้ทหารไปดูทุกเรื่อง ดูเหมือนต้องใช้อํานาจตลอดเลยในการทํางาน ไม่ได้ก็ต้องช่วยกัน รวมถึงการปลูกพืชหรือการผลิตอะไรก็แล้วแต่ ต้องตรงกับความต้องการของตลาดทั้งในชุมชน ในจังหวัด ในภูมิภาคแล้วก็ในต่างประเทศ ถ้าเราปลูกเกินความต้องการตลาดจะไปขายให้ใครได้ราคาก็ตกอยู่แบบนี้แล้วก็ตัดราคากันไปเรื่อย ๆ วันนี้กําลังหารือกับทุกประเทศในอาเซียน ในเมื่อเราเป็นอาเซียนด้วยกันว่าทําอย่างไร เราจะยกระดับรายได้ของเกษตรกรให้ดีขึ้น ผมเสนอในที่ประชุมทุกครั้ง ทั้งนี้ก็เสนอเป็นประเด็นในการประชุมที่ผ่านมาที่เมียนมาร์ ก็รับกันว่าเดี๋ยวจะคุยกันคราวหน้าครั้งต่อไปโดยเร็วที่สุดในเรื่องของการดูแลสิ้นค้าการเกษตร โดยเฉพาะข้าวว่าทําอย่างไรจะทําให้ข้าวของเรา ของอาเซียนมีราคาที่ดีขึ้น เข้มแข็งขึ้น เพราะเราเป็นแหล่งผลิตอาหารของโลกเหมือนกัน ในส่วนของการปลูกพืชประหยัดน้ํา ใช้น้ําน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้เราบอกแล้วมีทั้งในเขตชลประทาน นอกเขตชลประทาน เขตชลประทานวันนี้เราทําได้แค่ 30% เอง ถ้าเพิ่มมากกว่านั้นก็เพิ่มได้อีกไม่เกิน 10% เพราะฉะนั้นต้องมาดูแล้วว่าอันไหนที่ในเขตชลประทานมีน้ําส่งน้ําได้ นอกเขตอย่างไรก็ส่งไม่ได้ ใช้น้ําฝน พื้นที่ดอนก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก เพราะฉะนั้นต้องมาจัดสัดส่วนการผลิตให้ดีจะผลิตข้าวอะไรอย่างไร อันไหนจะเป็นข้าวคุณภาพ อันจะเป็นข้าวในเชิงอุปโภคบริโภคราคาต่ํา แต่อย่างไรก็ต้องมีคุณภาพที่ดีในการทําให้คนเจริญเติบโตและมีสติปัญญา มีความเข้มแข็งเหล่านี้ข้าวทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมีความแตกต่างในการบริหารจัดการ ส่วนพื้นที่ที่น้ําไม่ถึง ยิ่งวันนี้ยิ่งมากกว่าเดิมน้ําน้อย เห็นหรือไม่ว่าในส่วนของลําคลอง แม่น้ํา คู แควต่าง ๆ น้อยไปหมดเลยเพราะน้ําต้นทุนไม่มีไงก็ฝนไม่ตกแล้วก็ส่วนใหญ่ก็ตื้นเขินบ้าง อะไรบ้าง ผมกําลังสั่งการว่าลองดูสิว่า จะขุดลอกอะไรได้บ้างแค่ไหนในขณะนี้ในเมื่อใช้วิกฤตเป็นโอกาสแล้วกันในเมื่อน้ําน้อยก็ขุดเลย ขุดลอก อย่างน้อยถ้าโชคดีฝนตกมาท้องน้ําของคูคลอง แควต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะเก็บน้ําไปได้จํานวนหนึ่ง เหลือเผื่อวันหน้าถ้าน้ําไม่มีอีก เพราะฉะนั้นต้องเก็บกักเป็นช่วง ๆ ไม่เช่นนั้นก็ไหลลงมาข้างล่างหมด บางทีก็ท่วมบ้างอะไรบ้าง ถ้าเราสต๊อกไว้เป็นตอน ๆ ได้ไหม บางส่วนลึก พอเกินตรงนี้เก็บไม่ได้ก็จะล้นมาส่วนที่ 2 ที่ 3 แทนที่เราจะต้องมาทําเขื่อน อาจจะต้องขุดลึกเป็นตอน ๆ ได้หรือเปล่าไม่รู้ ไปดูทางเทคนิคก่อนแล้วกันอย่างไรก็ต้องไม่ไปเปลี่ยนในเรื่องของระบบนิเวศวิทยา ในส่วนของเรื่องการปรับเปลี่ยนจํานวนการปลูกยางในประเทศ ถ้าวันนี้การใช้ยางในประเทศ การใช้ยางต่างประเทศ ยังมีปัญหาอยู่ อันที่ใช้คําว่าอาจจะเกินความต้องการอยู่บ้าง เพราะว่าวันนี้ในประเทศผลิตได้ไม่ถึง ใช้ประมาณสัก 10% เท่านั้นเอง ต้องเพิ่มให้ได้ 25% อย่างน้อย เรากําลังเร่งให้ได้ภายใน 3 ปี จะต้องเพิ่มมูลค่ามีการแปรรูปในประเทศ ใช้ประโยชน์ในประเทศจาก 10% ให้เป็น 30% ภายใน 3 ปี ก็จะอยู่ในแผนในการจัดตั้ง Rubber City ในการส่งเสริมธุรกิจ SMEs ในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมดตั้งนําผลผลิตต่าง ๆ ที่เรามียู่มากมายมาแปรรูปให้มีมูลค่าสูงขึ้นให้ไปเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่น ๆ ให้ได้ การควบคุมปริมาณยางในช่วงนี้ที่ปลูกในพื้นที่บุกรุกก็จําเป็นต้องขอคืนยางในพื้นที่บุกรุกทั้งหมดที่เป็นนายทุนระยะแรกต้องดําเนินการก่อน ในส่วนของคนจนก็เดี๋ยวกําลังพิจารณาหารือว่าจะดูแลกันอย่างไรให้ทําประโยชน์กันได้อย่างไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ให้รับรู้ว่าทั้งหมดผิดกฎหมายทั้งสิ้น แต่รัฐบาลก็จะไม่ไปทําร้ายประชาชนคนมีรายได้น้อยตั้งแต่บัดนี้ เรื่องของการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อย ชุมชนแออัดต่าง ๆ เหล่านี้ต้องคิดกันแล้วว่าเราต้องตั้งประเด็นไว้ว่า เราจะทําอย่างไรให้คนเหล่านี้มีที่อยู่อาศัย ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีอาชีพมีรายได้ มีตลาดค้าขายที่เพียงพอ มีคุณภาพชีวิตที่ดีเราจะมีการวางแผนเป็นระยะว่า ปีนี้หรือ 3 ปีควรจะมีที่พักในลักษณะที่เป็นอพาร์ทเม้นท์ เป็นแฟลตอะไรต่าง ๆ ให้คนจน คนมีรายได้น้อยอยู่ ปีหนึ่งคนละเท่าไหร่ สักกี่หน่วย อันนี้เขาให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กําลังไปวางแผนมาอยู่ ก็ต้องไปสอดคล้องกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) สอดคล้องกับกระทรวงมหาดไทยด้วยทั้งในกรุงเทพฯ ทั้งในต่างจังหวัด ในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดอันหนึ่งที่อยากให้ไปคิดเพิ่มก็คือว่า ถ้าเรามีเส้นทางรถไฟ เราสามารถที่จะหางาน หาพื้นที่ให้เขาอยู่แถว ๆ นี้ได้หรือไม่ อย่างน้อยก็เป็นการพัฒนาเมืองขยายเมืองต่อไปในอนาคตด้วย ทุกอย่างต้องนํามาวางแผนสอดคล้องกัน ถ้าเดินแต่ละ ๆ อัน ก็ไม่ต่อกันแล้วก็ใช้งบประมาณสูง ถ้าอยู่ในกติกาการลงทุนร่วมอะไรต่าง ๆ ก็น่าจะดีก็ลองคิดดูแล้วกัน ผมริเริ่มให้ กําหนดนโยบายให้แต่ละกระทรวงก็ต้องไปหารือมาแล้วนําเข้าสู่คณะกรรมการขับเคลื่อน กรรมการนโยบายแล้วก็คณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วย จะต้องมีการวางแผนที่ชัดเจนเป็นระยะ ๆ เพราะงบประมาณจํากัดบ้านเราเศรษฐกิจยังไม่ดี แล้วทุกวันนี้รายได้เราก็น้อย แต่เราต้องพัฒนาไง ต้องสร้างความเข้มแข็งดูแลประชาชน คนยากไร้อีก มากมายไปหมด ก็ต้องขอร้อง ขอความร่วมมือกัน ขอเป็นระยะ ๆ ได้ไหม ช่วงนี้ทุกคนต้องสู้กันไปก่อน สู้อย่างที่ผมสู้วันนี้ สู้กับปัญหา สู้กับการเดินหน้าประเทศให้ได้ เรื่องการจัดระเบียบใน กทม. เมืองใหญ่ ชนบท เราต้องสร้างชุมชนเมืองให้ได้ในเขตชนบท เพราะว่าถ้าเรากระจายกันมาก ๆ การลงทุนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ เหล่านั้นลงทุนสูง ถ้าเรามารวมกันแล้วก็ในพื้นที่ไร่นาต่าง ๆ ก็ห่างไปเล็กน้อยพอที่จะเดินไปก็ได้หรือจะไปด้วยรถอีแต๋นอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่ไปเป็น 20 – 30 กิโลเมตร คงไม่ใช่แบบนั้น ถ้าเราสร้างชุมชนในชนบทได้เราจะลดภาระในเรื่องของสาธารณูปโภคพื้นฐานได้มากพอสมควร แล้วจากนั้นไปสู่ไร่นา เราจะได้มีเงินที่จะพัฒนาในเรื่องของการใช้เครื่องไม้ เครื่องมือ สร้างความทันสมัยในการผลิตอย่างไร เพราะทุกวันนี้ พี่น้องชาวนาก็อายุมากแล้ว ลูกหลานส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ทําส่วนใหญ่ก็จะจ้างคนทําบ้างหรือใช้จ้างเครื่องไม้เครื่องมือต้นทุนก็สูง วันนี้เราดูแลเรื่องต้นทุนด้วย จะเห็นว่ามีการลดราคาปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ และในเรื่องของการที่จะจัดหาเครื่องไม้เครื่องมือเป็นส่วนรวม เพื่อให้สหกรณ์ได้เข้าไปใช้ บางส่วนให้ทหารเข้าไปดูแล อันนี้กําลังอยู่ในขั้นตอนนี้พยายามจะเร่งให้เร็วที่สุด และเรื่องของราคาการเช่าที่ดินขอร้องบรรดาเจ้าของที่ดินอย่าไปเรียกร้องมากนักเลยกับชาวไร่ ชาวนาวันนี้เพราะน่าสงสารน่าเห็นใจเขา เพราะถ้าไม่มีเขาท่านก็ไม่มีรายได้ ถ้าท่านจะต้องการมีรายได้ท่านก็ต้องร่วมไม้ร่วมมือกันดูแลเขา สร้างบุญสร้างกุศลต่อกัน เรื่องของการพลังงานนั้น เราก็มีแหล่งพลังงานหลายพื้นที่ด้วยกันที่ต้องมีการสํารวจอย่างต่อเนื่อง กฎหมายก็กําลังออกมา ผมยืนยันไปตามนั้น กฎหมายออกมาก็ทําไปตามกฎหมายที่ออกมาก็ขออย่างเพิ่งเรียกร้องกันอีกเลย วันหน้าก็ต้องว่ากันใหม่ เราต้องดําเนินการในส่วนที่จําเป็นก่อนที่เหลือก็เป็นไปตามกฎหมายตามข้อเรียกร้องทั้งหมดที่เรียกมาเราก็ทําให้ทั้งหมดอยู่แล้ว อย่ากังวล ขอให้เชื่อมั่นและไว้วางใจกันบ้าง และในขณะนี้ผมไม่เข้ามาสร้างปัญหาใหม่ แต่ทั้งหมดทั้งนี้ทั้งนั้นวันหน้าก็ต้องไปพัฒนาสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิมเหมือนที่ผมกําลังทําวันนี้นั้นแหละ เรื่องของการปรับโครงสร้างสัดส่วนการใช้พลังงาน กราบเรียนแล้วว่า ถ้าใช้แก๊ส ใช้น้ํามันอย่างนี้วันหน้าเราใช้มากขึ้น ๆ ถูกเบียดเบียนมากขึ้นจากภาคครัวเรือนต้องนํามาใช้ภาคขนส่งด้วยเหล่านี้เป็นปัญหาผูกพันทําให้รัฐใช้งบประมาณไปจํานวนมาก ค่าใช้จ่ายในการนําเข้าวัตถุดิบในการเป็นพลังงานไม่ว่าจะเป็นน้ํามัน เป็นแก๊สก็ตามมีทั้ง LPG NGV ซึ่งจริง ๆ แล้ว LPG ตามหลักการแล้วควรต้องนําไปใช้ในภาคครัวเรือน แต่วันนี้นําไปใช้ในภาคของการขนส่งมากเกินไป และมีการลักลอบ ไปต่างประเทศ ไปใช้ บิดเบือนไปทั้งหมด วันนี้จําเป็นต้องขอความร่วมมือ ในส่วนของ LPG ก็อย่างที่ว่าควรจะใช้ในภาคครัวเรือน ในส่วน NGV ส่วนใหญ่ก็คงจะต้องไปใช้ในภาคการขนส่ง เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาแหล่งพลังงานมาทดแทนทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องการใช้แก๊สกับน้ํามัน ซึ่งใช้ถึง 70% ผลิตพลังงานไฟฟ้าวันนี้ แล้ววันหน้าถ้ายังใช้อยู่แบบนี้ แล้วราคาสูงขึ้นในอนาคตเราจะแย่ ค่าไฟฟ้าก็สูงขึ้น แล้วจะทําอย่างไร ต้องเตรียมการวันนี้ให้ได้ ในยุคนี้ ช่วงที่ผมอยู่ ปรับสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้ได้ แก้ไขกฎหมาย ทํากฎหมายใหม่ ให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรมในการดําเนินการ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศ และดูแลประชาชนด้วย ทั้งในเรื่องของการลงทุนร่วมภาครัฐ ภาคเอกชน การรับซื้อไฟฟ้า ต้องเป็นไปตามแผนพลังงานของประเทศมีคณะกรรมการดูแลตั้งหลายส่วน ทั้งในส่วนคณะกรรมการพลังงานของกระทรวงพลังงาน ทั้งในส่วนของคณะทํางาน Regulator ที่จะต้องกําหนดจํานวนการผลิตไฟฟ้าในแต่ละประเภท ให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ถ้าทําอันใดอันหนึ่งมากเกินไป ก็มีผลกระทบกับการค้าการลงทุนทั้งสิ้นในอนาคต อันนี้คือปัญหาของพลังงานที่เชื่อมโยงกันทุกอัน เรื่องการปฏิรูปต่าง ๆ ผมเรียนไปตั้งแต่แรกแล้วว่าที่ คสช. เข้ามานั้น ได้กําหนดไว้ แล้วก็ร่างไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ก็คือจะมีการปฏิรูปกิจกรรมต่าง ๆ ทั้ง 11 ด้าน ก็มีเรื่องอื่น ๆ อยู่แล้วในนี้ มีเรื่องเฉพาะ การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และมีเรื่องอื่น ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นสรุปไว้แล้ว ผมก็นําแนวทางทั้ง 11 ด้านของผมมาทําระยะที่ 1 คสช. ระยะที่ 2 ในส่วนของรัฐบาลและ คสช. ที่เหลือ คําว่าที่เหลือของผมก็คือที่ผมทําไม่เสร็จในระยะที่ 1 – 2 นี้ ก็จะต้องทําต่อเนื่องไปจนถึงระยะที่ 3 ระยะที่ 3 ที่ว่าอาจจะรัฐบาลเดียวหรือ 2 รัฐบาล 3 รัฐบาลก็แล้วแต่ บางอย่างต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี 20 ปีถึงจะเข้มแข็งได้ เราต้องวางยุทธศาสตร์ชาติให้ได้ในระยะนี้ เพราะฉะนั้นผมจะสรุปและทบทวนให้ทราบอีกครั้งหนึ่งว่า ระยะที่ 1 เราทําอะไรเสร็จไปแล้วบ้าง อันนี้เร่งด่วน ความเดือดร้อน ระยะที่ 2 เป็นนโยบายเร่งด่วน เรื่องนโยบายที่จะต้องขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว เรื่องสิ่งที่กําหนดไว้ตามที่เราได้ประกาศไว้เป็นวาระแห่งชาติ นอกจากนั้น ก็เป็นเรื่องของปัญหาที่ทับซ้อนมา หมักหมมกันมาแล้วเกิดปัญหาในเวลานี้ เช่น การแก้ปัญหาโครงสร้าง ปัญหาในเรื่องของการบริหารราชการในลักษณะเชิงบูรณาการซึ่งจะต้องเกิดขึ้นให้ได้ จะได้สามารถปฏิรูปต่อไปในระยะที่ 3 ก็คือของรัฐบาลต่อไป ไม่ใช่ว่าผมจะปัดความรับผิดชอบของผม เพราะผมทําเสร็จไม่ได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เป็น 100 เรื่อง 11 เรื่อง แต่ละเรื่องมีเป็น 10 กิจกรรม ใน 10 กิจกรรม ผมก็จะเลือกอันไหนสําคัญก่อน สําคัญหลัง อันไหนสําคัญน้อยกว่าหรือต้องใช้เวลามากกว่า ผมก็ต้องส่งไปรัฐบาลต่อไป ขอให้เข้าใจด้วย ทุกคนบอกว่าทําทุกอย่าง ๆ ให้เสร็จ จะไปเสร็จได้อย่างไร แต่ละเรื่องมีกิจกรรมย่อยเป็น 10 เป็น 100 เพราะฉะนั้นก็ขอให้เข้าใจเราด้วย เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลเน้นในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ เร่งรัดทุกโครงการ ดูตรวจสอบความโปร่งใส การทุจริต เน้นการบูรณาการทุกกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ให้เกิดความซ้ําซ้อน ไม่ให้เป็นภาระของข้าราชการ ไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน ต้องชัดเจน ต้องมีการชี้แจงก่อนมีการทําประชาพิจารณ์ด้วยซ้ําไป วันนี้ก็ต้องบอกว่าเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้น อะไร อย่างไร ที่ไหน ในภาพรวมไปก่อน ประชาชนจะได้รู้ว่าอนาคตประเทศเป็นอย่างนี้ ผมเคยบอกว่าอาจจะต้องไปขึ้นเครื่องบินดูกันว่าแต่ละจังหวัดเป็นอย่างไร เจริญต่างกันอย่างไร ตรงไหน ถ้าทุกคนไม่เห็นคนอื่น ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพัฒนาตนเองอย่างไรให้ทันคนอื่นเขา ทุกคนก็มองแต่พื้นที่ของตนเอง อันนี้ก็ได้สั่งการไปแล้วให้กระทรวงคมนาคมกําลังจะร่วมมือกับ คสช. ในการถ่ายภาพไปให้ดูว่า พื้นที่ในเขตเมืองทั้งหมดควรจะเป็นอย่างไร ถึงจะเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งมีความทันสมัย ต้องมีทั้งภาคการเกษตร มีทั้งเกษตรอุตสาหกรรม มีทั้งในส่วนที่จะต้องเป็นความภาคภูมิใจในเรื่องวัฒนธรรม ประเพณี การท่องเที่ยว สิ่งเหล่านี้ต้องเป็น Cluster ในพื้นที่ของทุกจังหวัด อาจจะต้องทุกตําบลด้วยซ้ําไป จะได้เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน รายได้จะได้ต่อเนื่องในพื้นที่ ก็ไม่ต้องเข้ามาทํางานในกรุงเทพฯ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในพื้นที่ของตนเองไม่ดีกว่าหรือ เรื่องการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าสินค้าตามแนวชายแดน อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาโดยการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยควบคุมการค้าชายแดนให้มีความถูกต้อง เป็นธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และเรื่องของการปฏิบัติตามข้อตกลงสัญญาทางการค้าของอาเซียน มีอยู่ เราต้องรับซื้อผลิตผลของเขา แต่จะซื้อมาทําอะไรต่อ ต้องมาพูดคุยกันให้ชัดเจนขึ้น เพราะว่าต่างคนต่างก็ปลูกเหมือนกัน ต้องแลกเปลี่ยนกัน ผมคิดว่าใช้สิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย JSC (Joint Stock Company) ของบ้านเขานํามาแปรรูปบ้านเราได้หรือไม่ หรือเข้ามาแล้วก็เป็นศูนย์กระจายสินค้า กระจายสินค้า รวบรวมเอาไว้ แล้วไปแปรรูปเป็นสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น แล้วส่งออก อะไรทํานองนี้ ต้องเชื่อมโยงกัน ก็ดูแลประเทศเพื่อนบ้านเขาด้วย เรื่องการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว วันนี้ได้เดินหน้าไปมากแล้ว ก็ต้องพัฒนาต่อไปอีก วันนี้ในเรื่องการพิสูจน์สัญชาติล่าช้า เพราะต้องมาจากต้นทางเขา เขาก็พร้อมบ้าง ไม่พร้อมบ้าง แต่เราก็ได้อนุโลม ผ่อนผันในบัตรอนุญาตชั่วคราว แต่ต้องมาต่อในแต่ละปีที่เขาประกาศ ผมเห็นหนังสือพิมพ์ก็ลง ไปต่อ ในการอนุญาตชั่วคราว ไม่อนุญาตให้ข้ามเขต เพราะฉะนั้นบรรดาเจ้าของกิจการที่ชอบไปเอาแรงงานที่อื่นเขามา ที่เขากําลังทํางานอยู่ ให้ราคาดีกว่าแล้วเอาเขาออกมา ตรงนู้นเขาก็ขาดแรงงาน เขาขออนุญาตมาแล้ว เขาอาจจะเสียค่าใช้จ่ายในการที่ออกมาดูแลแรงงานของเขา ปรากฏว่าท่านไปเอาแรงงานเขามาแทน อย่างนี้ไม่เป็นธรรม ท่านอย่าเอาเปรียบคน แรงงานเองก็ต้องรู้ เจ้าหน้าที่ก็ต้องรู้ แยกแยะให้ออกว่ากฎหมายคืออะไร เขาเขียนไว้แค่ไหน อนุโลมใคร ไม่ใช่ใช้กฎหมายอย่างเดียว จนไม่มีรัฐศาสตร์ ไม่ได้ ต้องไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นในพื้นที่ให้ได้ พอใจทั้งผู้ประกอบการ อะไรที่เป็นกติกาก็ต้องเข้มงวด อะไรที่ผ่อนผันได้ก็ต้องผ่อนผันตามนโยบายของรัฐบาลที่สั่งการไปแล้วทั้งสิ้น เรื่องการแก้ไขความขัดแย้งต่าง ๆ มีทุกระดับทั้งประชาชน ข้าราชการในส่วนราชการมีหมด การตรวจสอบการทุจริตต่าง ๆ เราก็ดําเนินการไปตามขั้นตอน วิธีการ กระบวนการทั้งหมด ไม่ได้ละเว้นใครเลย บัญชีต่าง ๆ ที่ท่านกล่าวถึงทั้ง 2 บัญชี ก็ทบทวน และตรวจสอบในส่วนที่ต้องดําเนินการเร่งด่วนจํานวนหนึ่ง ที่เหลือแต่ละกระทรวง ทบวง กรม แต่ละหน่วยงานก็จะรับรายชื่อทั้งหมดไป จะมีการตั้งกรรมการตรวจสอบทุกคน ว่าถูกหรือไม่ถูก ผิดตรงไหน อะไร อย่างไร ถ้าผิดก็ลงโทษทั้งวินัยและอาญา ก็ขอให้รอผลการดําเนินการไป อย่าเร่งด่วน รีบร้อน วันนี้ต้องเดินหน้าไปด้วย ข้างหลังก็แก้ตามไป ถ้านํานี่มาตี อันนี้เดินไม่ได้หมด ขอให้ไว้วางใจผมก็แล้วกัน เพื่อจะให้ความเป็นธรรม ถ้ายังไม่ผิดก็อย่าไปหาว่าเป็นผู้ต้องหา เพราะเสียชื่อเขา ขอให้เป็นไปตามหลักฐานในเชิงประจักษ์ ต้องมีความชัดเจน และมีเหตุผลในการสอบสวนที่ถูกต้อง เรื่องต่อไปที่ผมให้ความสําคัญก็คือ การวางแผนกําหนดยุทธศาสตร์ในเรื่องของการวางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในลักษณะเชิงรุก ประเทศไทยต้องเข้มแข็ง เมื่อประเทศไทยเข้มแข็งอาเซียนก็เข้มแข็งด้วย เราเป็น 1 ในอาเซียน เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลเพื่อนเราด้วย เราต้องร่วมมือกัน เป็นผู้นําพาอาเซียนไปสู่ความเข้มแข็ง ผมเรียนกับผู้นําทุกประเทศ เราต้องนําด้วยกัน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง และก็มีการแลกเปลี่ยน ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน แต่ท้ายที่สุดก็คือ อยู่ในกรอบของความเชื่อมั่น ไว้วางใจ ลดความหวาดระแวง และมีพื้นฐานของผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน ดูแลประชาชนทุกประเทศ เราจะทําให้อาเซียนเข้มแข็ง มีศักยภาพในเวทีโลกด้วย เรื่องการปรับปรุงการท่องเที่ยวไทยในแนวใหม่ เป็นสิ่งที่เพิ่มรายได้ให้เราในขณะนี้ ในเมื่อเศรษฐกิจส่งออกตก แต่วันนี้เศรษฐกิจการท่องเที่ยวในประเทศสูงขึ้น มากขึ้น อาจจะเป็นโชคดีของเรา เรามีความพร้อมอยู่มากพอสมควร เพราะฉะนั้นเป็นการลงทุนที่น้อยที่สุด วันนี้ก็ต้องเน้นในเรื่องความปลอดภัย เน้นเรื่องการเชื่อมโยง ทั้งธุรกิจการท่องเที่ยวในหลาย ๆ ประเภท ทั้งในประเทศเรา ประเทศเพื่อนบ้าน ทางบก ทางเรือ ทางอากาศ มีการท่องเที่ยวแบบ Package หรือเป็น Cluster ต้องทํา และเพื่อนบ้านเขายอมรับให้ประเทศไทยเป็นผู้นําในเรื่องนี้ด้วยซ้ําไป เขาเห็นว่าเรามีประสบการณ์สูงมากในเรื่องของการท่องเที่ยว ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม วันนี้แก้ไขกฎหมายเป็นจํานวนมาก 100 กว่ากฎหมายไปแล้ว ซึ่งจะต้องทําให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ต้องใช้กฎหมายให้เกิดประโยชน์ ทําให้สังคมเข้มแข็ง สังคมอยู่ร่วมกันได้ ปราศจากความขัดแย้ง คนยาก คนจน มีกองทุนยุติธรรม และทุกกฎหมายจะต้องมีความชัดเจนว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรเป็นอันดับแรก 2 ก็คือเจ้าหน้าที่จะได้มีเครื่องมือในการทําให้ทุกอย่างเป็นไปตามกติกา เป็นไปตามกฎโดยไม่มีความขัดแย้งระหว่างรัฐ ข้าราชการ กับประชาชนให้ได้มากที่สุด กฎหมายเป็นเครื่องมือในการสร้างสันติ ไม่ใช่สร้างความขัดแย้ง จะต้องสอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันและที่เรามีพันธะกรณีต่าง ๆ กับสากลด้วย ต้องแก้ไขทั้งหมดที่ล้าสมัย การบริหารราชการแผ่นดิน ในปัจจุบันรัฐบาลนี้ สิ่งใดที่ยังไม่เสร็จหรือยังไม่ได้เริ่ม แต่เราจะกําหนดหัวข้อไว้ แล้วก็จะส่งต่อให้สภาปฏิรูปฯ ไปทําแผนงาน และกําหนดให้มียุทธศาสตร์ในการดําเนินการบางอย่าง อาจจะปีเดียว 4 ปี รัฐบาล 5 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ หรือก็เป็นการส่งต่อไป 5 ปีต่อไป ทุกอย่างวันนี้เดินทีละ 5 ปีหมดในเวทีประชาคมโลก เพราะฉะนั้นเราต้องกําหนดให้ชัดเจนขึ้นว่า 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เราควรจะเป็นประเทศแบบไหน ประเทศประชาธิปไตยที่เป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันก็ต้องบวกในเรื่องอื่น ๆ ไปด้วย ในเชิงที่เรามีความได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็น HUB ในเรื่องการท่องเที่ยว เรื่องการรักษาพยาบาล อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องเอาสิ่งเรานี้มา แต่ต้องเกื้อกูลเพื่อนบ้านเขาด้วย ไม่อย่างนั้นไปด้วยกันไม่ได้ ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ถึงจะยกทั้งหมดขึ้นมาได้ เรารวยคนเดียวไม่ได้ ผมคิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในประเทศก็เหมือนกัน คนรวยมากก็ต้องดูแลคนรวยน้อย คนรวยน้อยก็ต้องดูแลคนรวยน้อยกว่า ตามลําดับไป พ่วงกันไปเรื่อย ๆ พี่จูงน้อง พ่อจูงลูก อะไรเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรจะต้องทํา ในส่วนของยุทธศาสตร์ชาติ ถ้ายาว 20 ปีได้ ก็จะประเมินทุก 5 ปี ทุกรัฐบาลก็ต้องทําตามนี้ในส่วนที่เป็นประเด็นหลัก ๆ ในเรื่องของความมั่นคง ในเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม เรื่องพลังงาน เรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐาน การสร้างความเข้มแข็ง การลดความเหลื่อมล้ํา การให้ความเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้ต้องเดินควบคู่ไปเป็นเวลานานแล้วไม่ใช่ผมอยู่แล้วด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็พยายามจะเสริมสร้างระบบธรรมาภิบาลในส่วนราชการของรัฐให้ได้ สร้างคนที่มีคุณธรรม จริยธรรมทางสังคมด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้เราต้องการให้ข้าราชการทุกหมู่เหล่า ให้เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีหน้าที่ในการดูแลทุกข์สุขของราษฎร ของประชาชน ตามพระเนตรพระกรรณ ที่ทรงได้มอบภารกิจเหล่านี้ลงมาให้กับพวกเรา ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศชาติเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ห้วงนี้เป็นห้วงสําคัญที่เราต้องให้ความสําคัญในเรื่องของการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล และช่วยกันรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ขัดแย้ง ผู้เห็นต่าง ผมคิดว่ายังไม่ใช่เวลาตอนนี้ ที่ท่านจะออกมาเคลื่อนไหวอะไรต่าง ๆ เพราะว่าเรากําลังทําสิ่งที่มีปัญหามาในอดีต เพราะฉะนั้นถ้าไม่ให้เราแก้ไขวันนี้ ก็จะเกิดขึ้นอีก เรากําลังสร้างประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ ต้องใช้คําว่าประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ ผมไม่เคยปฏิเสธประชาธิปไตย แต่เราต้องมีประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ มีความยั่งยืน ทุกคนมีความสุข บางอย่างอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนผ่าน ในเวลานี้เปลี่ยนผ่านให้ได้ จะทําอย่างไร จะวางตัวอย่างไร ลําบากไหม เหนื่อยไหม จะต้องอดทนอย่างไร สิ่งเหล่านี้เรียกว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในอนาคต ซึ่งก็คือการปฏิรูปจัดระเบียบต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง มีการบูรณาการร่วมกัน มีการกําหนดเป้าหมายล่วงหน้า มีการประเมินทุกห้วงระยะเวลา และประชาชนจะต้องรู้อนาคตของเขา สําคัญที่สุดคือ อย่าไปปิดบังกัน ไม่อย่างนั้นมีปัญหาหมด ต้องรู้ก่อน แผนใหญ่เป็นอย่างไร แล้วต่อไปก็เป็นเรื่องของการกําหนดโครงการต่าง ๆ ลงไป เป็นการทําประชาพิจารณ์ ก็ไม่ขัดแย้ง ทุกวันนี้ขัดแย้งกันเต็มไปหมด ก็ขอร้องพวกที่ยังเข้าไปสร้างความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ให้ขัดแย้งกับการทํางานของรัฐบาล อะไรที่เป็นประโยชน์ กรุณาอย่าขัดแย้งเลย อย่าใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ อธิบายให้เขาเข้าใจ ผมรับได้ถ้าบอกว่า เขาต้องการจะอยู่แบบยากจนแบบนี้ หรือว่าจะอยู่ในชีวิตที่ดีขึ้น ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่า ๆ ต้องร่วมมือกัน เพราะฉะนั้นถ้าไม่ร่วมมือเลยก็ต้องอยู่แบบนี้ ก็จนอยู่อย่างนี้ รายได้ก็ไม่มี ธุรกิจก็ไม่เกิดขึ้นในพื้นที่ แล้วใครจะทําให้ท่านร่ํารวยขึ้น ลูกหลานท่านจะเอาอะไรเรียนหนังสือ วันหน้าที่อื่นเขาพัฒนาไปแล้ว เขามีโครงการใหญ่ ๆ เข้ามา มีอาชีพ มีรายได้ ก็ดีกว่าพื้นที่ที่ไม่มี ต่างประเทศเขาแยกกันว่าตรงไหนจะเป็นแหล่งการค้าการลงทุน เขาแยกกันไป อยากให้ไปลงในพื้นที่ตัวเองจะได้เจริญ ของเราบางทีก็ถูกชี้แจงในทางที่ไม่เข้าใจกัน หลายอย่างไม่เข้าใจด้วยการเมือง ด้วยอะไรต่าง ๆ แล้วแตกความขัดแย้ง กลุ่มผลประโยชน์มาทําให้ทุกอย่างบิดเบือน ความร่วมมือก็ไม่เกิด ก็ทําไม่ได้ ประเทศก็พัฒนาไม่ได้ ถ้าชุมชนทําไม่ได้ แล้วอะไรจะทําได้ ต้องเริ่มจากชุมชนทั้งสิ้น เริ่มจากประชาชนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือพลเมืองก็แล้วแต่ ก็คือคนไทยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่ให้ประเทศไทยนั้น ต้องชอกช้ํา ต้องเป็นเช่นในอดีตที่ผ่านมา นั้นคือสิ่งสําคัญที่พวกเรา คสช. และรัฐบาลนี้ให้ความสําคัญอย่างเร่งด่วน โดยไม่ได้คิดอะไรอื่นใดเลย เพียงแต่ว่าต้องทําภารกิจให้สําเร็จ คือให้ประเทศไทยนั้นมีความ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ขอบคุณครับ ขอให้มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2558 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผมได้ประชุมเรื่องการจัดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “ ปั่นเพื่อแม่ Bike for mom” ซึ่งเป็นกิจกรรมตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่ทรงแสดงความกตัญญูกตเวที แด่ “ แม่ของแผ่นดิน ” กิจกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม 2558 ตั้งแต่เวลา 15.00 เป็นต้นไป ระยะทางทั้งสิ้น 43 กิโลเมตร เริ่มต้นจากพระลานพระราชวังดุสิต ไปยัง กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ และวนกลับมายังพระลานพระราชวังดุสิต โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะทรงจักรยานร่วมในกิจกรรมด้วย ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง สําหรับพี่น้องประชาชนชาวไทย สําหรับรายละเอียดต่าง ๆ นั้น รวมถึงการร่วมกิจกรรมในพื้นที่ต่างจังหวัด ขอให้ประชาชนได้ติดตามการชี้แจงประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น ได้เป็นตัวแทนของประชาชนคนไทยทุกคน จัดงานเลี้ยงต้อนรับและแสดงความยินดีกับนักกีฬาไทยที่ไปร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ผ่านมา และได้ทําชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ สร้างความสุข ความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทุกคน ผมขอชื่นชม เป็นการส่วนตัวด้วย ในนามรัฐบาลด้วย ขอขอบคุณทั้งนักกีฬา โค้ช ผู้ฝึกสอน เจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจในการทํางาน และทําให้การแข่งขันครั้งนี้ประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก นอกจากนั้น ผมยังได้พบกับคณะนักเรียนและอาจารย์ที่จะเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ เคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์โอลิมปิกระหว่างประเทศประจําปี 2558 ผมได้กล่าวชื่นชมและชมเชยทุกคนที่มีความตั้งใจและมีความพยายามที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยของเรา เช่นเดียวกับการแข่งขันกีฬา ผมย้ําไปว่าขอให้ใช้โอกาสนี้ในการที่จะเพิ่มประสบการณ์ หาเพื่อนหาเครือข่ายใหม่ ๆ ทั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น และขอให้ทุกคนเดินทางไปที่ไหนก็ตาม ขอให้คิดว่าเราเป็น “ทูตทางวิชาการ” ของคนไทยด้วย นอกจากจะต้องแสดงความสามารถด้านวิชาการแล้วก็ยังคงต้องพระพฤติปฏิบัติตน และแสดงออกให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามของคนไทยเราด้วย ขอให้คนไทยทุกคนได้ร่วมกันเป็นกําลังใจให้กับทัพนักวิชาการของไทยในครั้งนี้ด้วย สําหรับเรื่องที่รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสําคัญมาก นอกเหนือจากภัยคุกคามด้านความมั่นคง ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ และเก่าแล้ว สิ่งที่เราเข้มงวดหรือว่าเร่งรัดมาตรการต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น มีผมสัมฤทธิ์อย่างรวดเร็ว ได้แก่ เรื่องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่เร่งด่วนในปัจจุบัน ได้แก่ เรื่องภัยแล้ง ผมและรัฐบาลเข้าใจดีในความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรในขณะนี้ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ด้วย ซึ่งประสบปัญหากับความแห้งแล้ง ไม่มีน้ําในการทําการเกษตร ผมได้รับรายงานจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ฝนจะตกน้อยอย่างต่อเนื่อง และทิ้งช่วงไปจนถึงประมาณปลายเดือนกรกฎาคม ผมได้สั่งการให้ทุกหน่วยงาน มีการประชุม สั่งการ รวมทั้งให้กองทัพมามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหานี้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการจัดระเบียบการส่งน้ําในคลองชลประทานให้กับพี่น้องเกษตรกร ให้เกิดความทั่วถึงและเป็นธรรม ขอความร่วมมือด้วย อย่าทะเลาะเบาะแว้งกันเลยในเรื่องนี้ รวมถึงการให้ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ได้วางแผนการช่วยเหลือเร่งด่วนร่วมกันในขั้นต้น นอกจากการจัดระเบียบการส่งน้ําแล้ว ภาครัฐและท้องถิ่น จะเร่งดําเนินการในเรื่องของการขุดเจาะบ่อน้ําบาดาล และบ่อตอก โดยจะให้ความเร่งด่วนกับพื้นที่เสี่ยง หรือพื้นที่ที่ดอนก่อน ในเขตลุ่มน้ําเจ้าพระยาก็มีอยู่ประมาณ 850,000 ไร่ ขอให้เข้าใจ สาเหตุหนึ่งที่ทําให้ฝนตกน้อยเวลานี้ เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นในเขตมหาสมุทรแปซิฟิก หรือที่เรียกว่า เอลนีโญ โดยหน่วยงานได้รายงานว่าเป็นปรากฏการณ์ที่กระทบต่อสภาพอากาศมากที่สุดในรอบ 10 ปี นอกจากนั้นก็เกิดจากสภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงทั่วโลก Climate Change ซึ่งเป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถจะควบคุมได้เลย อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ การรักษาทรัพยากรป่าไม้ก็เป็นเรื่องสําคัญ บ้านเรานั้น ไม่มีป่าก็ไม่มีน้ํา ผมพูดหลายครั้งแล้ว ต้องช่วยกัน ทั้งรักษาและฟื้นฟู สิ่งที่บุกรุกไปแล้วด้วย ขอความร่วมมือด้วย สําหรับในการวางแผนระยะยาว รัฐบาลได้จัดทําแผนการบริหารจัดการน้ํา สําหรับปี 2558 – 2569 หลายปี ไว้ 6 เรื่องด้วยกัน เพื่อจะครอบคลุมทั้งหมดในทุกมิติ ได้แก่ 1. การจัดการน้ําอุปโภคบริโภค ซึ่งจะต้องมีการจัดหาแหล่งน้ําต้นทุน ในการพัฒนาทําประปาหมู่บ้านอีกประมาณ 7,500 หมู่บ้าน ซึ่งยังไม่ครบ และพัฒนาประปาในเขตเมืองถึงเกือบ 700 แห่ง ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปีนี้ และจะให้แล้วเสร็จภายในปี 2560 รวมไปถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบประปาที่มีอยู่เดิมอีกกว่า 9,000 แห่ง ได้แก่ การจัดหาน้ําดื่มสะอาดให้แก่โรงเรียนและชุมชนกว่า 6,000 แห่งด้วย 2. เรื่องการสร้างความมั่นคงของน้ําในภาคการผลิต จะมีการสร้างแหล่งกักน้ําแห่งใหม่ 369 แห่ง ฟื้นฟูแหล่งน้ําธรรมชาติ 895 แห่ง ขุดสระน้ําในไร่นา 50,000 แห่ง ขุดบ่อบาดาล 1,285 แห่ง เพื่อเตรียมไว้ใช้สําหรับการผลิต ทั้งภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม โดยในปี 2559 เราตั้งไว้ว่าจะสามารถเพิ่มเขตชลประทานได้ 2.2 ล้านไร่ และในปี 2569 จะเพิ่มได้ถึง 8.7 ล้านไร่ และเมื่อเสร็จสิ้นโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ เราจะมีพื้นที่ชลประทานทั้งประเทศ จากเดิม 30 ล้านไร่ เป็นประมาณ 40 ล้านไร่ จะเพิ่มประมาณ 10 ล้านไร่ ก็ถือว่าพอสมควร 3. เรื่องการจัดการน้ําท่วมและอุทกภัย จะมีการปรับปรุงทางน้ําสายหลักและสาขา 30 แห่ง ระยะทางประมาณ 75 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําและทางผันน้ํา 3 แห่ง การพัฒนาระบบป้องกันน้ําท่วม การทําคันเขื่อนป้องกันตลิ่ง 13 แห่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ กําลังดําเนินการ คาดว่าจะใช้ระยะเวลา 3 ปี จึงจะแล้วเสร็จ 4. เรื่องการจัดการคุณภาพน้ํา ทั้งการพัฒนาระบบบําบัดน้ําเสีย 36 แห่ง การลดน้ําเสียจากแหล่งกําเนิด การกําจัดวัชพืชและขยะมูลฝอยในแหล่งน้ํา 399 แห่ง ซึ่งจะดําเนินการแล้วเสร็จในปีนี้ และจะดําเนินการอย่างต่อเนื่องทุกปี 5. เรื่องของการผลักดันน้ําเค็ม จะมีการดําเนินการต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อไม่ให้ค่าความเค็มเกินมาตรฐาน อันนี้ก็เป็นปัญหาในเรื่องของน้ําต้นทุนที่จะระบายไปอีก ในขณะนี้ 6. เรื่องการอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ําที่เสื่อมโทรมและป้องกันการพังทลายของดิน จะมีการปลูกป่าทดแทน 25,000 ไร่ และปลูกหญ้าแฝก 645,000 ไร่ จะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในเดือนกันยายนนี้ ขอเรียนว่ารัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาและเราจัดลําดับความเร่งด่วน มีการดําเนินการเป็นระยะ ๆ ในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งงบประมาด้วย ก็คงต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนด้วย เรื่องต่อไป เรื่องที่เป็นปัญหาหนัก ๆ ก็คือเรื่องของ ICAO เรื่องการค้ามนุษย์ เรื่องประมง เรื่อง TIP REPORT ผมอยากจะเรียนว่ารัฐบาลนี้พยายามอย่างเต็มที่ในการจะแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งมีหลายอย่างด้วยกัน เรื่องกฎหมาย เรื่องวิธีบริหารจัดการ เรื่องการลงโทษ เรื่องการดูแลเหยื่อต่าง ๆ เหล่านั้น ในเรื่องของการค้ามนุษย์ การประมง ในส่วนของ ICAO ก็ต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ในเรื่องของกรมการบินพลเรือน เข้ามาตรวจสอบดําเนินการในข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลายาวนาน วันนี้ต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา ก็ต้องเคารพในการตัดสินของคณะกรรมการ ขององค์กรระหว่างประเทศทั้งหมด เราก็ต้องปรับปรุงแก้ไข สิ่งใดก็ตามที่เราเป็นความบกพร่อง เราก็ต้องแก้ให้ได้ รัฐบาลนี้ทํางานอย่างหนัก แทบจะทุกวัน ทุกสัปดาห์ ต้องมีการพูดถึงในเรื่องเหล่านี้ และติดตามความก้าวหน้า ทุกอย่างยังคงก้าวหน้าอยู่ไปตามลําดับ ก็ขึ้นอยู่กับว่าทางคณะกรรมการ ซึ่งจะต้องมีการจัดผู้สังเกตการณ์เข้ามาเป็นระยะ ดูความก้าวหน้าในแต่ละเรื่อง ที่ผมกล่าวไปแล้วเมื่อสักครู่ ซึ่งแนวโน้มก็น่าจะทําให้เราสบายใจขึ้นได้บ้าง ในส่วนของการพูดจา ขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือมิตรประเทศเราเหล่านั้น เขาก็ให้ความร่วมมือกับเราดี ขณะนี้ก็ยังไม่มีผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้น ว่าบกพร่องเรื่องอะไร และนําสิ่งที่เขาเอาเป็นบรรทัดฐาน มาตรฐาน ข้อบกพร่องกี่ข้อ เอามาดู ว่าเกี่ยวพันกับเรื่องอะไรบ้าง ก็ต้องแก้ไขทั้งหมด มีการบูรณาการ วันนี้ก็นํา คสช. ไปร่วมด้วย ช่วยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการค้ามนุษย์ การประมง เพื่อจะแก้ไขปัญหาในเรื่องของ TIP REPORT ในเรื่องของICAO กระทรวงคมนาคม ก็ได้อาศัยอํานาจตามมาตรา 44 ของ คสช. เข้าไปแก้ไขในระยะแรกด้วย อื่น ๆ นั้นก็ต้องใช้กฎหมาย ซึ่งจะต้องนําเสนอเข้าไปใน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในการพิจารณาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ต่าง ๆ การแก้ไขกฎกระทรวงต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ดําเนินการทั้งสิ้น ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็พูดกันทุกครั้ง ด้านเศรษฐกิจ วันนี้ผมก็มุ่งเน้นในเรื่องของการดูแลเศรษฐกิจชุมชน ในเรื่องของ Social Business และในเรื่องของส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ว่าจะเชื่อมโยงกันได้อย่างไร จะต่อไปต่อเนื่องกับธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม SMEs ได้อย่างไร และไปโยงกับธุรกิจระดับประเทศ ธุรกิจข้ามชาติ ที่เราค้าขายกับโลกภายนอกเขาอยู่ จะเชื่อมโยงอย่างไร ภาคการเกษตรของประชาชนจะเข้มแข็งอย่างไร บ้านเราก็มีทั้งพ่อค้าคนกลาง มีทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ถ้าเราสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเกษตรกรขึ้นมา ให้มีความรู้ด้านการค้า การลงทุน หรือเรื่องการตลาดเอง ก็จะทําให้เขาเข้มแข็งขึ้น วันหน้าก็จะเป็นเถ้าแก่ใหม่ได้ สําหรับในด้านเทคโนโลยี การวิจัย และการพัฒนาเหล่านี้เป็นการเพื่อจะเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ ของประเทศ ต้องนําไปสู่ความทันสมัย ใช้เทคโนโลยีในการผลิต ในการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ใช้การวิจัยพัฒนาที่เป็นรูปธรรม วันนี้ต้องกําหนดหัวข้อในการวิจัยพัฒนา เรื่องที่เราต้อง ประเทศเราต้องการอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับการแปรรูป หรือการใช้ประโยชน์จากด้านเกษตรกรรม ในการที่จะ ทําให้เกิดเป็นสินค้า และมีความแปลกใหม่ มีนวัตกรรม เพื่อจะไปแข่งขันกับโลกภายนอกเขาได้ วันนี้การส่งออกของเราค่อนข้างมีปัญหา เราต้องปรับปรุงด้านการวิจัย และพัฒนา และจัดหาธุรกิจใหม่ ๆ หรือว่าสิ่งที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งแปลกกว่าเขา ขายได้ราคากว่าเขา น่าสนใจกว่าเขาเหล่านี้ อยู่ในขั้นการที่เราเริ่มต้นดําเนินการทั้งสิ้น ที่ผ่านมาก็อาจจะยังไม่ทันต่อสถานการณ์ในวันนี้ ทําให้มูลค่าในการส่งออกลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตผลทางด้านการเกษตร วันนี้ก็ต้องปรับทุกอัน เรื่องการค้า การลงทุน การตลาด ในกลุ่มต่าง ๆ ของโลกนี้ มีตั้งหลายกลุ่มด้วยกัน เราก็จัดวางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนขึ้น เราจะขายใครที่ไหน ตลาดบน ตลาดล่าง อย่างไร ทั้งในประเทศและต่างประเทศต้องผูกพันเชื่อมโยงกัน สร้างห่วงโซ่ของอุปทาน ห่วงโซ่ของคุณค่า เพื่อจะเชื่อมโยงให้แข็งแรงทั้งประชาชน เอกชน ผู้ประกอบการธุรกิจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ง่าย ๆ ก็คือชุมชนต้องเข้มแข็ง จังหวัดเข้มแข็ง ภูมิภาคเข้มแข็ง และไปเชื่อมโยงด้วยเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เราดําเนินการอยู่ในขณะนี้ และรวมความไปถึงพื้นที่ตอนในที่มีศักยภาพด้วย อันนี้ก็อยากจะกราบเรียนว่าเป็น คลัสเตอร์ เขตเศรษฐกิจพิเศษอย่าไปกังวล เราก็จะส่งเสริมในพื้นที่ก่อนให้ได้ เพราะฉะนั้นในตรงนี้ เดี๋ยวจะไม่เข้าใจกันอีก ในพื้นที่ก็จะกลัวว่านอกพื้นที่จะไปลงทุน ทําให้เกิดปัญหาข้อขัดแย้ง เราจะให้โอกาสในพื้นที่ก่อนด้วย มาพิจารณาดูว่าจะลงทุนกันอย่างไร จะส่งเสริมกันอย่างไร มีกองทุนอะไรให้หรือไม่ ในส่วนของที่มีศักยภาพ ในส่วนข้างนอกก็ไปเติมอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้ในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันออกไป เป็น คลัสเตอร์ ก็คือหลาย ๆ กิจการ ไม่ใช่ในเรื่องของระบบงานอุตสาหกรรมอย่างเดียว เดี๋ยวจะกังวลเข้าไปอีก มีทั้งธุรกิจการแปรรูป คลังสินค้า คลังกระจายสินค้า มีทั้งธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม การบริการต่าง ๆ ทั้งหมด ที่มีศักยภาพของแต่ละภูมิภาคของเรา ปีนี้ก็เกิดในระยะที่หนึ่ง 6 จังหวัด ปีหน้าก็จะเกิดอีก 4 จังหวัด อันนี้ยังไม่รวมถึงพื้นที่ที่มีศักภาพในพื้นที่ตอนใน รวมความไปถึงการส่งเสริมธุรกิจ SMEs ของ สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) การส่งเสริมการลงทุนของ BOI ด้วย ทั้งหมดผูกพันกันทั้งระบบ เราก็นําทุกอย่างมาบูรณาการร่วมกัน เรื่องการสร้างความเข้มแข็ง เพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ผมเรียนไปแล้วว่าคือการสร้างห่วงโซ่มูลค่าให้ได้ กับทุกกิจการที่ผมกล่าวไปแล้วเมื่อสักครู่ ที่ผ่านมาเป็นท่อน ๆ กันหมด เพราะฉะนั้นต้องเชื่อมโยง วันนี้เราก็ไม่ต้องการประโยชน์ตรงขั้นตอนใด อยากให้ประโยชน์ทั้งหมดกลับมาสู่ผู้ประกอบการ ซึ่งมีทั้งภาคเอกชน ภาคธุรกิจ และภาคประชาชนของเกษตรกรด้วย ที่ผมเน้นก็คือ การนํา Social Business เข้ามาด้วย เป็นส่วนหนึ่งของ Social Enterprise ซึ่งเอกชนทําธุรกิจขนาดใหญ่อยู่แล้ว ถ้าเราทําให้ภาคประชาชนแข็งแรง โดยเสริมระบบ Social Business เข้าไป ก็จะเชื่อมโยงกับ SMEs เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจชายแดน และไปเชื่อมโยงกับตลาดค้าชายแดน และไปมีผลส่งต่อไปถึงการค้าใน CLMV ในอาเซียน และในประชาคมอื่น ๆ อีกด้วย ต้องวาดตรงนี้ออกมาให้ต่อเนื่องกัน และทํางานร่วมกัน ทุกกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่กระทรวงใด กระทรวงหนึ่งมาทําเอง หรือให้หน่วยงานใด หน่วยงานหนึ่ง มากําหนดให้ เพราะฉะนั้นวันนี้เรามีการพูดคุยทุกคณะ มีอนุกรรมการหลายคณะด้วยกัน กว่าจะขึ้นมาถึงคณะกรรมการนโยบาย การวางแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว ทั้งนี้ เพื่อให้ภาคเอกชน ได้รับรู้ รับทราบ ได้รู้อนาคต ประชาชนก็ต้องรู้อนาคตของตนเองด้วย ชุมชนของตนเองจะเป็นอย่างไร ในวันข้างหน้า เพื่อจะได้จัดเตรียมการลงทุน การสร้างความเข้มแข็ง ต้องใช้เวลา จะทําให้เกิดความเชื่อมโยงในพื้นที่ของชุมชนและในภูมิภาคด้วย เป็นการสร้างอนาคตให้กับเยาวชนรุ่นหลังในทุกภาคส่วน ซึ่งอาจจะต้องมีการแก้ไขบางกฎหมาย บาง พ.ร.บ. หรือกฎกระทรวง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด ก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน อย่าไปเอารัดเอาเปรียบกันในขณะนี้ เรื่องการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ปัจจุบันอยากจะเรียนว่าเรามีการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐไปมากกว่าทุกปี ในห่วงเดียวกันที่ผ่านมา ในเรื่องของการดําเนินการในส่วนของงบลงทุนนั้นยังต้องเร่งดําเนินการในหลาย ๆ โครงการ โดยเฉพาะโครงการการก่อสร้างต่าง ๆ ปัญหาก็คือติดตรงที่ว่า บางโครงการนั้นต้องทําประชาพิจารณ์ผ่านการเห็นชอบ บางพื้นที่ยังทําไม่ได้หลายอย่าง เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โครงการกําจัดขยะหรืออะไรหลาย ๆ อย่างที่เราจะทําให้เป็นความเข้มแข็ง เป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ถ้าเราไม่สร้างตรงนี้ไว้ อย่างไรเศรษฐกิจของเราก็ไปไม่ได้ เราจะค้าขายแบบเดิม ๆ ไม่ได้อีกแล้ว เรื่องการศึกษา ระยะ 3 ปีแรก 2557 – 2559 การศึกษาเป็นปัจจัยหลักสําคัญในการพัฒนาประเทศ เป็นอนาคตของประเทศ เพราะฉะนั้นแผนพัฒนาการศึกษาของรัฐบาล ระยะที่ 1 ระยะแรกนั้น คสช. ก็ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน ยกเลิกโครงการที่ไม่คุ้มค่าแก้ไขปัญหาการขาดแคลน การดึงครูออกจากห้องเรียน การขยายผลการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อจะส่งต่อในเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นเรื่องของในเชิงโครงสร้าง ในเรื่องการบริหารจัดการ ในเรื่องของการทําให้เกิดความต่อเนื่อง ผลิตคนให้ตรงความต้องการของประเทศกับความต้องการในเรื่อง AEC ซึ่งจะต้องเร่งในระยะแรก เพราะฉะนั้นทุกอย่างกําลังทําทั้งหมดแข่งกับเวลา กระทรวงศึกษากําลังดําเนินอยู่ทั้งสิ้น จะเชื่อมต่อไปกับกระทรวงแรงงาน ซึ่งจะกําหนดความต้องการในแต่ละกิจการในประเทศไทยที่จะต้องเกิดขึ้นในปีหน้า AEC ต้องเตรียมให้พร้อมทั้งแรงงาน ประเภทใช้แรงงาน อันที่สองคือแรงงานที่มีคุณภาพ มีความรู้ มีการพูดภาษาต่างประเทศได้ที่มาลงทุน อันนี้กําลังเร่งทั้งหมด โดยเริ่มจากการต่อยอดไปก่อน ซึ่งปีต่อ ๆ ไปก็คงนําเรื่องเหล่านี้เข้ามาบรรจุในแผนค่าใช้จ่ายงบประมาณในการผลิตคนให้ทันต่อความต้องการของประเทศ วันนี้ต้องเห็นใจในส่วนของพี่น้องกรรมกรต่าง ๆ ทั้งหลาย ก็ขออีกสักระยะหนึ่งก่อนในช่วงนี้ก็ขอให้ไปรับการทดสอบฝีมือที่กรมแรงงานว่าเขามีอะไรอย่างไรที่ไหน ถ้าต่อไปถ้าเป็นไปได้ก็คือในส่วนของค่าแรงต่าง ๆ ก็คงเพิ่มไปตามนี้ก่อนส่วนที่มีการปรับปรุงพัฒนา ส่วนอื่นคงต้องรอให้งานเกิดให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนดีขึ้น ผมเป็นห่วงท่านอยู่แล้วช่วงนี้ก็ขอให้ระมัดระวังการใช้จ่าย ผมคิดว่าก็เดือดร้อนกันทั้งประเทศอยู่แล้วในขณะนี้คงไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรอก เรื่องของการลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา เรามีการเพิ่มโอกาสให้การเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ เร่งการผลิตและพัฒนากําลังคนรองรับการพัฒนาประเทศเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และพัฒนาระบบการบริหารจัดการครูรวมไปถึงการวางแนวทางพัฒนานโยบายการศึกษา การปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบให้มีความต่อเนื่อง เพื่อจะเตรียมเข้าสู่ระยะที่สามก็คือส่งต่อรัฐบาลใหม่ผ่านสภาปฏิรูปเข้าไปในการที่จะขับเคลื่อนต่อไปในอนาคต เรื่องของการศึกษานั้น สิ่งที่ผมให้แนวทางไว้ ง่าย ๆ ก็คือ ทําอย่างไรเด็กจะมีความสุข เด็กจะมีเวลาที่จะคิด อ่านของตัวเอง มีเวลาที่ใช้ความพัฒนาเรียนรู้ตามวัยของตัวเองแล้วก็มีความสุขในการเรียน สรุปง่าย ๆ ในส่วนของผู้ปกครองก็ลดค่าใช้จ่ายของเขา ลดความกังวลในเรื่องของอาชีพต่อไปของลูกหลานของเขา ในเรื่องของค่าเรียน ค่าอุปกรณ์ การเรียนการสอนเพิ่มเติมเหล่านี้ การกวดวิชาด้วยก็สั่งไปแล้ว ในส่วนของโรงเรียนก็ต้องมีการพัฒนาให้มีคุณภาพมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน อันไหนที่ยังไปไม่ได้ ก็ใช้ทางไกลผ่านดาวเทียมไปก่อน เหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องพัฒนาทั้งระบบทั้งสิ้น ในส่วนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น เป็นสิ่งสําคัญจะต้องก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก ถ้าเราไม่พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เรียนรู้วันนี้ ไม่ได้ วันนี้เกษตรกรจะรู้จักเฉพาะการปลูกข้าวปลูกพืชเหล่านี้ ไม่ได้ ต้องรู้การตลาด รู้ว่าราคาสินค้าในอาเซียนเป็นอย่างไร ประจําวันเป็นอย่างไร ลม ฟ้า อากาศเป็นอย่างไร วิธีการที่จะปลูกพืชโดยใช้เครื่องมือเทคโนโลยีช่วยทําอย่างไร ต้องเรียนรู้ วันนี้ต้องเปิดเว็บเป็นแล้ว วันนี้เขาให้ข้อมูลมาแล้วตรงไหนมีน้ํา ตรงไหนควรจะปลูกพืชอะไร พื้นที่ไหนควรจะทําอะไรเหล่านี้ท่านดูถ้าท่านไม่ดูแล้วเราแนะนําไปอะไรไปก็ไม่เกิดขึ้นก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย อย่างวันนี้หลายคนก็ตําหนิมาว่ารัฐบาลไม่เห็นช่วยเหลืออะไรจริง ๆ ช่วยมีสวนการเรียนรู้ทั้ง 800 กว่าแห่ง แล้วก็ในส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอเหล่านั้นเขาก็มาช่วยกันดูอยู่ ขับเคลื่อนอยู่ผ่านในส่วนขององค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ก็ไปให้คําแนะนําทั้งในส่วนของปราชญ์ชาวบ้าน ในส่วนของการเดินไปสอนไปอบรมเหล่านี้ต้องให้ทุกคนให้ความร่วมมือ ถ้าท่านไม่เปลี่ยนแปลงในเรื่องของการรับความรู้ การเปลี่ยนแนวความคิด การเปลี่ยนวิสัยทัศน์เหล่านี้ไปไม่ได้ ประเทศไปไม่ได้ เกษตรกรเราก็ไม่มีวันที่จะลืมตาอ้าปากได้อีกต่อไปในอนาคตจะแย่ลง ๆ เรื่อย ๆ วันนี้เราทําทั้งระบบอยู่นะครับ แต่ไม่เกิดขึ้นในวันเดียว นี่คือปัญหาของผม ของท่าน ในส่วนของเกษตรกรนั้น วันนี้ก็น้ําแล้งผมก็บอกว่าให้มีการปรับการปลูกพืชให้สอดคล้องกับสภาพอากาศแล้วก็พื้นที่ด้วย วันนี้ฝนตก ฝนน้อย ไม่เท่ากัน ระบบการส่งน้ําของชลประทานส่งได้ไม่เพียงพอน้ําต้นทุนไม่มี ท่านก็ต้องเปลี่ยนไปปลูกพืชน้ําน้อย มีหลายพื้นที่ผมเห็นเลี้ยงจิ้งหรีดก็มี ปลูกถั่ว ปลูกผัก ปลูกอะไรมากมายไปหมดแล้วก็มีรายได้ดีกว่าปลูกข้าวด้วยซ้ําไป เพราะบางทีปลูกข้าวแล้วก็ตาย พอน้ําขาดตอนจะออกร่วงก็ไม่ออกไม่มีน้ําก็ไม่ออกก็แห้งตายก็เป็นอย่างนี้ทุกปี เสร็จแล้วก็ต้องเยียวยาช่วยเหลือ ท่านต้องปรับเปลี่ยนตัวเองด้วย ถ้าท่านรู้ว่าท่านทําต่อไปแล้วเป็นหนี้เป็นสินมาก ๆ ท่านก็ต้องมาหาความรู้ เราไม่สามารถจะไปเดินบอกทุกบ้านได้ ทุกครอบครัวได้ท่านต้องฟัง เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่า นี่คือสิ่งที่องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นจะต้องเข้าใจนโยบายของรัฐบาลแล้วก็นําไปบอกเล่ากันในการประชุมประจําเดือนของแต่ละตําบล แต่หมู่บ้าน หน้าที่ของกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน หน้าที่ของสมาชิกต่าง ๆ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) นี้ เป็นผู้ที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ถ้าท่านไม่มีความรู้ ถ้าท่านไม่เอาสิ่งที่นโยบายกําลังถ่ายทอดอยู่ กําลังทําอยู่นี่ไปสู่การปฏิบัติให้ได้ สร้างความเข้าใจประชาชนไม่ได้ ก็จะเกิดปัญหาอยู่แบบนี้ วันหน้าความเดือดร้อนกลับมาใหม่อีกแล้วก็เกิดปัญหาความขัดแย้งกับความเหลื่อมล้ํา ความไม่เป็นธรรมมาตลอด เพราะฉะนั้นขอความกรุณา ผมขอตรงนี้ก็คงต้องร่วมมือกันต่อไปอย่าไปขัดแย้งกันอีกเลย เรื่องน้ําเรื่องท่า การปล่อยน้ํา ไม่ใช่ให้ทหารไปดูทุกเรื่อง ดูเหมือนต้องใช้อํานาจตลอดเลยในการทํางาน ไม่ได้ก็ต้องช่วยกัน รวมถึงการปลูกพืชหรือการผลิตอะไรก็แล้วแต่ ต้องตรงกับความต้องการของตลาดทั้งในชุมชน ในจังหวัด ในภูมิภาคแล้วก็ในต่างประเทศ ถ้าเราปลูกเกินความต้องการตลาดจะไปขายให้ใครได้ราคาก็ตกอยู่แบบนี้แล้วก็ตัดราคากันไปเรื่อย ๆ วันนี้กําลังหารือกับทุกประเทศในอาเซียน ในเมื่อเราเป็นอาเซียนด้วยกันว่าทําอย่างไร เราจะยกระดับรายได้ของเกษตรกรให้ดีขึ้น ผมเสนอในที่ประชุมทุกครั้ง ทั้งนี้ก็เสนอเป็นประเด็นในการประชุมที่ผ่านมาที่เมียนมาร์ ก็รับกันว่าเดี๋ยวจะคุยกันคราวหน้าครั้งต่อไปโดยเร็วที่สุดในเรื่องของการดูแลสิ้นค้าการเกษตร โดยเฉพาะข้าวว่าทําอย่างไรจะทําให้ข้าวของเรา ของอาเซียนมีราคาที่ดีขึ้น เข้มแข็งขึ้น เพราะเราเป็นแหล่งผลิตอาหารของโลกเหมือนกัน ในส่วนของการปลูกพืชประหยัดน้ํา ใช้น้ําน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้เราบอกแล้วมีทั้งในเขตชลประทาน นอกเขตชลประทาน เขตชลประทานวันนี้เราทําได้แค่ 30% เอง ถ้าเพิ่มมากกว่านั้นก็เพิ่มได้อีกไม่เกิน 10% เพราะฉะนั้นต้องมาดูแล้วว่าอันไหนที่ในเขตชลประทานมีน้ําส่งน้ําได้ นอกเขตอย่างไรก็ส่งไม่ได้ ใช้น้ําฝน พื้นที่ดอนก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก เพราะฉะนั้นต้องมาจัดสัดส่วนการผลิตให้ดีจะผลิตข้าวอะไรอย่างไร อันไหนจะเป็นข้าวคุณภาพ อันจะเป็นข้าวในเชิงอุปโภคบริโภคราคาต่ํา แต่อย่างไรก็ต้องมีคุณภาพที่ดีในการทําให้คนเจริญเติบโตและมีสติปัญญา มีความเข้มแข็งเหล่านี้ข้าวทั้งนั้น เพราะฉะนั้นมีความแตกต่างในการบริหารจัดการ ส่วนพื้นที่ที่น้ําไม่ถึง ยิ่งวันนี้ยิ่งมากกว่าเดิมน้ําน้อย เห็นหรือไม่ว่าในส่วนของลําคลอง แม่น้ํา คู แควต่าง ๆ น้อยไปหมดเลยเพราะน้ําต้นทุนไม่มีไงก็ฝนไม่ตกแล้วก็ส่วนใหญ่ก็ตื้นเขินบ้าง อะไรบ้าง ผมกําลังสั่งการว่าลองดูสิว่า จะขุดลอกอะไรได้บ้างแค่ไหนในขณะนี้ในเมื่อใช้วิกฤตเป็นโอกาสแล้วกันในเมื่อน้ําน้อยก็ขุดเลย ขุดลอก อย่างน้อยถ้าโชคดีฝนตกมาท้องน้ําของคูคลอง แควต่าง ๆ เหล่านี้ก็จะเก็บน้ําไปได้จํานวนหนึ่ง เหลือเผื่อวันหน้าถ้าน้ําไม่มีอีก เพราะฉะนั้นต้องเก็บกักเป็นช่วง ๆ ไม่เช่นนั้นก็ไหลลงมาข้างล่างหมด บางทีก็ท่วมบ้างอะไรบ้าง ถ้าเราสต๊อกไว้เป็นตอน ๆ ได้ไหม บางส่วนลึก พอเกินตรงนี้เก็บไม่ได้ก็จะล้นมาส่วนที่ 2 ที่ 3 แทนที่เราจะต้องมาทําเขื่อน อาจจะต้องขุดลึกเป็นตอน ๆ ได้หรือเปล่าไม่รู้ ไปดูทางเทคนิคก่อนแล้วกันอย่างไรก็ต้องไม่ไปเปลี่ยนในเรื่องของระบบนิเวศวิทยา ในส่วนของเรื่องการปรับเปลี่ยนจํานวนการปลูกยางในประเทศ ถ้าวันนี้การใช้ยางในประเทศ การใช้ยางต่างประเทศ ยังมีปัญหาอยู่ อันที่ใช้คําว่าอาจจะเกินความต้องการอยู่บ้าง เพราะว่าวันนี้ในประเทศผลิตได้ไม่ถึง ใช้ประมาณสัก 10% เท่านั้นเอง ต้องเพิ่มให้ได้ 25% อย่างน้อย เรากําลังเร่งให้ได้ภายใน 3 ปี จะต้องเพิ่มมูลค่ามีการแปรรูปในประเทศ ใช้ประโยชน์ในประเทศจาก 10% ให้เป็น 30% ภายใน 3 ปี ก็จะอยู่ในแผนในการจัดตั้ง Rubber City ในการส่งเสริมธุรกิจ SMEs ในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมดตั้งนําผลผลิตต่าง ๆ ที่เรามียู่มากมายมาแปรรูปให้มีมูลค่าสูงขึ้นให้ไปเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่น ๆ ให้ได้ การควบคุมปริมาณยางในช่วงนี้ที่ปลูกในพื้นที่บุกรุกก็จําเป็นต้องขอคืนยางในพื้นที่บุกรุกทั้งหมดที่เป็นนายทุนระยะแรกต้องดําเนินการก่อน ในส่วนของคนจนก็เดี๋ยวกําลังพิจารณาหารือว่าจะดูแลกันอย่างไรให้ทําประโยชน์กันได้อย่างไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ให้รับรู้ว่าทั้งหมดผิดกฎหมายทั้งสิ้น แต่รัฐบาลก็จะไม่ไปทําร้ายประชาชนคนมีรายได้น้อยตั้งแต่บัดนี้ เรื่องของการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อย ชุมชนแออัดต่าง ๆ เหล่านี้ต้องคิดกันแล้วว่าเราต้องตั้งประเด็นไว้ว่า เราจะทําอย่างไรให้คนเหล่านี้มีที่อยู่อาศัย ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีอาชีพมีรายได้ มีตลาดค้าขายที่เพียงพอ มีคุณภาพชีวิตที่ดีเราจะมีการวางแผนเป็นระยะว่า ปีนี้หรือ 3 ปีควรจะมีที่พักในลักษณะที่เป็นอพาร์ทเม้นท์ เป็นแฟลตอะไรต่าง ๆ ให้คนจน คนมีรายได้น้อยอยู่ ปีหนึ่งคนละเท่าไหร่ สักกี่หน่วย อันนี้เขาให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กําลังไปวางแผนมาอยู่ ก็ต้องไปสอดคล้องกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) สอดคล้องกับกระทรวงมหาดไทยด้วยทั้งในกรุงเทพฯ ทั้งในต่างจังหวัด ในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดอันหนึ่งที่อยากให้ไปคิดเพิ่มก็คือว่า ถ้าเรามีเส้นทางรถไฟ เราสามารถที่จะหางาน หาพื้นที่ให้เขาอยู่แถว ๆ นี้ได้หรือไม่ อย่างน้อยก็เป็นการพัฒนาเมืองขยายเมืองต่อไปในอนาคตด้วย ทุกอย่างต้องนํามาวางแผนสอดคล้องกัน ถ้าเดินแต่ละ ๆ อัน ก็ไม่ต่อกันแล้วก็ใช้งบประมาณสูง ถ้าอยู่ในกติกาการลงทุนร่วมอะไรต่าง ๆ ก็น่าจะดีก็ลองคิดดูแล้วกัน ผมริเริ่มให้ กําหนดนโยบายให้แต่ละกระทรวงก็ต้องไปหารือมาแล้วนําเข้าสู่คณะกรรมการขับเคลื่อน กรรมการนโยบายแล้วก็คณะรัฐมนตรี (ครม.) ด้วย จะต้องมีการวางแผนที่ชัดเจนเป็นระยะ ๆ เพราะงบประมาณจํากัดบ้านเราเศรษฐกิจยังไม่ดี แล้วทุกวันนี้รายได้เราก็น้อย แต่เราต้องพัฒนาไง ต้องสร้างความเข้มแข็งดูแลประชาชน คนยากไร้อีก มากมายไปหมด ก็ต้องขอร้อง ขอความร่วมมือกัน ขอเป็นระยะ ๆ ได้ไหม ช่วงนี้ทุกคนต้องสู้กันไปก่อน สู้อย่างที่ผมสู้วันนี้ สู้กับปัญหา สู้กับการเดินหน้าประเทศให้ได้ เรื่องการจัดระเบียบใน กทม. เมืองใหญ่ ชนบท เราต้องสร้างชุมชนเมืองให้ได้ในเขตชนบท เพราะว่าถ้าเรากระจายกันมาก ๆ การลงทุนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ เหล่านั้นลงทุนสูง ถ้าเรามารวมกันแล้วก็ในพื้นที่ไร่นาต่าง ๆ ก็ห่างไปเล็กน้อยพอที่จะเดินไปก็ได้หรือจะไปด้วยรถอีแต๋นอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่ไปเป็น 20 – 30 กิโลเมตร คงไม่ใช่แบบนั้น ถ้าเราสร้างชุมชนในชนบทได้เราจะลดภาระในเรื่องของสาธารณูปโภคพื้นฐานได้มากพอสมควร แล้วจากนั้นไปสู่ไร่นา เราจะได้มีเงินที่จะพัฒนาในเรื่องของการใช้เครื่องไม้ เครื่องมือ สร้างความทันสมัยในการผลิตอย่างไร เพราะทุกวันนี้ พี่น้องชาวนาก็อายุมากแล้ว ลูกหลานส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ทําส่วนใหญ่ก็จะจ้างคนทําบ้างหรือใช้จ้างเครื่องไม้เครื่องมือต้นทุนก็สูง วันนี้เราดูแลเรื่องต้นทุนด้วย จะเห็นว่ามีการลดราคาปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ และในเรื่องของการที่จะจัดหาเครื่องไม้เครื่องมือเป็นส่วนรวม เพื่อให้สหกรณ์ได้เข้าไปใช้ บางส่วนให้ทหารเข้าไปดูแล อันนี้กําลังอยู่ในขั้นตอนนี้พยายามจะเร่งให้เร็วที่สุด และเรื่องของราคาการเช่าที่ดินขอร้องบรรดาเจ้าของที่ดินอย่าไปเรียกร้องมากนักเลยกับชาวไร่ ชาวนาวันนี้เพราะน่าสงสารน่าเห็นใจเขา เพราะถ้าไม่มีเขาท่านก็ไม่มีรายได้ ถ้าท่านจะต้องการมีรายได้ท่านก็ต้องร่วมไม้ร่วมมือกันดูแลเขา สร้างบุญสร้างกุศลต่อกัน เรื่องของการพลังงานนั้น เราก็มีแหล่งพลังงานหลายพื้นที่ด้วยกันที่ต้องมีการสํารวจอย่างต่อเนื่อง กฎหมายก็กําลังออกมา ผมยืนยันไปตามนั้น กฎหมายออกมาก็ทําไปตามกฎหมายที่ออกมาก็ขออย่างเพิ่งเรียกร้องกันอีกเลย วันหน้าก็ต้องว่ากันใหม่ เราต้องดําเนินการในส่วนที่จําเป็นก่อนที่เหลือก็เป็นไปตามกฎหมายตามข้อเรียกร้องทั้งหมดที่เรียกมาเราก็ทําให้ทั้งหมดอยู่แล้ว อย่ากังวล ขอให้เชื่อมั่นและไว้วางใจกันบ้าง และในขณะนี้ผมไม่เข้ามาสร้างปัญหาใหม่ แต่ทั้งหมดทั้งนี้ทั้งนั้นวันหน้าก็ต้องไปพัฒนาสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิมเหมือนที่ผมกําลังทําวันนี้นั้นแหละ เรื่องของการปรับโครงสร้างสัดส่วนการใช้พลังงาน กราบเรียนแล้วว่า ถ้าใช้แก๊ส ใช้น้ํามันอย่างนี้วันหน้าเราใช้มากขึ้น ๆ ถูกเบียดเบียนมากขึ้นจากภาคครัวเรือนต้องนํามาใช้ภาคขนส่งด้วยเหล่านี้เป็นปัญหาผูกพันทําให้รัฐใช้งบประมาณไปจํานวนมาก ค่าใช้จ่ายในการนําเข้าวัตถุดิบในการเป็นพลังงานไม่ว่าจะเป็นน้ํามัน เป็นแก๊สก็ตามมีทั้ง LPG NGV ซึ่งจริง ๆ แล้ว LPG ตามหลักการแล้วควรต้องนําไปใช้ในภาคครัวเรือน แต่วันนี้นําไปใช้ในภาคของการขนส่งมากเกินไป และมีการลักลอบ ไปต่างประเทศ ไปใช้ บิดเบือนไปทั้งหมด วันนี้จําเป็นต้องขอความร่วมมือ ในส่วนของ LPG ก็อย่างที่ว่าควรจะใช้ในภาคครัวเรือน ในส่วน NGV ส่วนใหญ่ก็คงจะต้องไปใช้ในภาคการขนส่ง เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาแหล่งพลังงานมาทดแทนทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องการใช้แก๊สกับน้ํามัน ซึ่งใช้ถึง 70% ผลิตพลังงานไฟฟ้าวันนี้ แล้ววันหน้าถ้ายังใช้อยู่แบบนี้ แล้วราคาสูงขึ้นในอนาคตเราจะแย่ ค่าไฟฟ้าก็สูงขึ้น แล้วจะทําอย่างไร ต้องเตรียมการวันนี้ให้ได้ ในยุคนี้ ช่วงที่ผมอยู่ ปรับสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนให้ได้ แก้ไขกฎหมาย ทํากฎหมายใหม่ ให้มีความโปร่งใสและเป็นธรรมในการดําเนินการ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศ และดูแลประชาชนด้วย ทั้งในเรื่องของการลงทุนร่วมภาครัฐ ภาคเอกชน การรับซื้อไฟฟ้า ต้องเป็นไปตามแผนพลังงานของประเทศมีคณะกรรมการดูแลตั้งหลายส่วน ทั้งในส่วนคณะกรรมการพลังงานของกระทรวงพลังงาน ทั้งในส่วนของคณะทํางาน Regulator ที่จะต้องกําหนดจํานวนการผลิตไฟฟ้าในแต่ละประเภท ให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ถ้าทําอันใดอันหนึ่งมากเกินไป ก็มีผลกระทบกับการค้าการลงทุนทั้งสิ้นในอนาคต อันนี้คือปัญหาของพลังงานที่เชื่อมโยงกันทุกอัน เรื่องการปฏิรูปต่าง ๆ ผมเรียนไปตั้งแต่แรกแล้วว่าที่ คสช. เข้ามานั้น ได้กําหนดไว้ แล้วก็ร่างไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ก็คือจะมีการปฏิรูปกิจกรรมต่าง ๆ ทั้ง 11 ด้าน ก็มีเรื่องอื่น ๆ อยู่แล้วในนี้ มีเรื่องเฉพาะ การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และมีเรื่องอื่น ๆ ด้วย เพราะฉะนั้นสรุปไว้แล้ว ผมก็นําแนวทางทั้ง 11 ด้านของผมมาทําระยะที่ 1 คสช. ระยะที่ 2 ในส่วนของรัฐบาลและ คสช. ที่เหลือ คําว่าที่เหลือของผมก็คือที่ผมทําไม่เสร็จในระยะที่ 1 – 2 นี้ ก็จะต้องทําต่อเนื่องไปจนถึงระยะที่ 3 ระยะที่ 3 ที่ว่าอาจจะรัฐบาลเดียวหรือ 2 รัฐบาล 3 รัฐบาลก็แล้วแต่ บางอย่างต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี 20 ปีถึงจะเข้มแข็งได้ เราต้องวางยุทธศาสตร์ชาติให้ได้ในระยะนี้ เพราะฉะนั้นผมจะสรุปและทบทวนให้ทราบอีกครั้งหนึ่งว่า ระยะที่ 1 เราทําอะไรเสร็จไปแล้วบ้าง อันนี้เร่งด่วน ความเดือดร้อน ระยะที่ 2 เป็นนโยบายเร่งด่วน เรื่องนโยบายที่จะต้องขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว เรื่องสิ่งที่กําหนดไว้ตามที่เราได้ประกาศไว้เป็นวาระแห่งชาติ นอกจากนั้น ก็เป็นเรื่องของปัญหาที่ทับซ้อนมา หมักหมมกันมาแล้วเกิดปัญหาในเวลานี้ เช่น การแก้ปัญหาโครงสร้าง ปัญหาในเรื่องของการบริหารราชการในลักษณะเชิงบูรณาการซึ่งจะต้องเกิดขึ้นให้ได้ จะได้สามารถปฏิรูปต่อไปในระยะที่ 3 ก็คือของรัฐบาลต่อไป ไม่ใช่ว่าผมจะปัดความรับผิดชอบของผม เพราะผมทําเสร็จไม่ได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เป็น 100 เรื่อง 11 เรื่อง แต่ละเรื่องมีเป็น 10 กิจกรรม ใน 10 กิจกรรม ผมก็จะเลือกอันไหนสําคัญก่อน สําคัญหลัง อันไหนสําคัญน้อยกว่าหรือต้องใช้เวลามากกว่า ผมก็ต้องส่งไปรัฐบาลต่อไป ขอให้เข้าใจด้วย ทุกคนบอกว่าทําทุกอย่าง ๆ ให้เสร็จ จะไปเสร็จได้อย่างไร แต่ละเรื่องมีกิจกรรมย่อยเป็น 10 เป็น 100 เพราะฉะนั้นก็ขอให้เข้าใจเราด้วย เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลเน้นในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ เร่งรัดทุกโครงการ ดูตรวจสอบความโปร่งใส การทุจริต เน้นการบูรณาการทุกกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ให้เกิดความซ้ําซ้อน ไม่ให้เป็นภาระของข้าราชการ ไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน ต้องชัดเจน ต้องมีการชี้แจงก่อนมีการทําประชาพิจารณ์ด้วยซ้ําไป วันนี้ก็ต้องบอกว่าเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้น อะไร อย่างไร ที่ไหน ในภาพรวมไปก่อน ประชาชนจะได้รู้ว่าอนาคตประเทศเป็นอย่างนี้ ผมเคยบอกว่าอาจจะต้องไปขึ้นเครื่องบินดูกันว่าแต่ละจังหวัดเป็นอย่างไร เจริญต่างกันอย่างไร ตรงไหน ถ้าทุกคนไม่เห็นคนอื่น ก็ไม่รู้ว่าจะต้องพัฒนาตนเองอย่างไรให้ทันคนอื่นเขา ทุกคนก็มองแต่พื้นที่ของตนเอง อันนี้ก็ได้สั่งการไปแล้วให้กระทรวงคมนาคมกําลังจะร่วมมือกับ คสช. ในการถ่ายภาพไปให้ดูว่า พื้นที่ในเขตเมืองทั้งหมดควรจะเป็นอย่างไร ถึงจะเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งมีความทันสมัย ต้องมีทั้งภาคการเกษตร มีทั้งเกษตรอุตสาหกรรม มีทั้งในส่วนที่จะต้องเป็นความภาคภูมิใจในเรื่องวัฒนธรรม ประเพณี การท่องเที่ยว สิ่งเหล่านี้ต้องเป็น Cluster ในพื้นที่ของทุกจังหวัด อาจจะต้องทุกตําบลด้วยซ้ําไป จะได้เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน รายได้จะได้ต่อเนื่องในพื้นที่ ก็ไม่ต้องเข้ามาทํางานในกรุงเทพฯ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในพื้นที่ของตนเองไม่ดีกว่าหรือ เรื่องการแก้ไขปัญหาการลักลอบนําเข้าสินค้าตามแนวชายแดน อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาโดยการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยควบคุมการค้าชายแดนให้มีความถูกต้อง เป็นธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และเรื่องของการปฏิบัติตามข้อตกลงสัญญาทางการค้าของอาเซียน มีอยู่ เราต้องรับซื้อผลิตผลของเขา แต่จะซื้อมาทําอะไรต่อ ต้องมาพูดคุยกันให้ชัดเจนขึ้น เพราะว่าต่างคนต่างก็ปลูกเหมือนกัน ต้องแลกเปลี่ยนกัน ผมคิดว่าใช้สิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย JSC (Joint Stock Company) ของบ้านเขานํามาแปรรูปบ้านเราได้หรือไม่ หรือเข้ามาแล้วก็เป็นศูนย์กระจายสินค้า กระจายสินค้า รวบรวมเอาไว้ แล้วไปแปรรูปเป็นสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น แล้วส่งออก อะไรทํานองนี้ ต้องเชื่อมโยงกัน ก็ดูแลประเทศเพื่อนบ้านเขาด้วย เรื่องการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว วันนี้ได้เดินหน้าไปมากแล้ว ก็ต้องพัฒนาต่อไปอีก วันนี้ในเรื่องการพิสูจน์สัญชาติล่าช้า เพราะต้องมาจากต้นทางเขา เขาก็พร้อมบ้าง ไม่พร้อมบ้าง แต่เราก็ได้อนุโลม ผ่อนผันในบัตรอนุญาตชั่วคราว แต่ต้องมาต่อในแต่ละปีที่เขาประกาศ ผมเห็นหนังสือพิมพ์ก็ลง ไปต่อ ในการอนุญาตชั่วคราว ไม่อนุญาตให้ข้ามเขต เพราะฉะนั้นบรรดาเจ้าของกิจการที่ชอบไปเอาแรงงานที่อื่นเขามา ที่เขากําลังทํางานอยู่ ให้ราคาดีกว่าแล้วเอาเขาออกมา ตรงนู้นเขาก็ขาดแรงงาน เขาขออนุญาตมาแล้ว เขาอาจจะเสียค่าใช้จ่ายในการที่ออกมาดูแลแรงงานของเขา ปรากฏว่าท่านไปเอาแรงงานเขามาแทน อย่างนี้ไม่เป็นธรรม ท่านอย่าเอาเปรียบคน แรงงานเองก็ต้องรู้ เจ้าหน้าที่ก็ต้องรู้ แยกแยะให้ออกว่ากฎหมายคืออะไร เขาเขียนไว้แค่ไหน อนุโลมใคร ไม่ใช่ใช้กฎหมายอย่างเดียว จนไม่มีรัฐศาสตร์ ไม่ได้ ต้องไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นในพื้นที่ให้ได้ พอใจทั้งผู้ประกอบการ อะไรที่เป็นกติกาก็ต้องเข้มงวด อะไรที่ผ่อนผันได้ก็ต้องผ่อนผันตามนโยบายของรัฐบาลที่สั่งการไปแล้วทั้งสิ้น เรื่องการแก้ไขความขัดแย้งต่าง ๆ มีทุกระดับทั้งประชาชน ข้าราชการในส่วนราชการมีหมด การตรวจสอบการทุจริตต่าง ๆ เราก็ดําเนินการไปตามขั้นตอน วิธีการ กระบวนการทั้งหมด ไม่ได้ละเว้นใครเลย บัญชีต่าง ๆ ที่ท่านกล่าวถึงทั้ง 2 บัญชี ก็ทบทวน และตรวจสอบในส่วนที่ต้องดําเนินการเร่งด่วนจํานวนหนึ่ง ที่เหลือแต่ละกระทรวง ทบวง กรม แต่ละหน่วยงานก็จะรับรายชื่อทั้งหมดไป จะมีการตั้งกรรมการตรวจสอบทุกคน ว่าถูกหรือไม่ถูก ผิดตรงไหน อะไร อย่างไร ถ้าผิดก็ลงโทษทั้งวินัยและอาญา ก็ขอให้รอผลการดําเนินการไป อย่าเร่งด่วน รีบร้อน วันนี้ต้องเดินหน้าไปด้วย ข้างหลังก็แก้ตามไป ถ้านํานี่มาตี อันนี้เดินไม่ได้หมด ขอให้ไว้วางใจผมก็แล้วกัน เพื่อจะให้ความเป็นธรรม ถ้ายังไม่ผิดก็อย่าไปหาว่าเป็นผู้ต้องหา เพราะเสียชื่อเขา ขอให้เป็นไปตามหลักฐานในเชิงประจักษ์ ต้องมีความชัดเจน และมีเหตุผลในการสอบสวนที่ถูกต้อง เรื่องต่อไปที่ผมให้ความสําคัญก็คือ การวางแผนกําหนดยุทธศาสตร์ในเรื่องของการวางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในลักษณะเชิงรุก ประเทศไทยต้องเข้มแข็ง เมื่อประเทศไทยเข้มแข็งอาเซียนก็เข้มแข็งด้วย เราเป็น 1 ในอาเซียน เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลเพื่อนเราด้วย เราต้องร่วมมือกัน เป็นผู้นําพาอาเซียนไปสู่ความเข้มแข็ง ผมเรียนกับผู้นําทุกประเทศ เราต้องนําด้วยกัน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง และก็มีการแลกเปลี่ยน ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน แต่ท้ายที่สุดก็คือ อยู่ในกรอบของความเชื่อมั่น ไว้วางใจ ลดความหวาดระแวง และมีพื้นฐานของผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน ดูแลประชาชนทุกประเทศ เราจะทําให้อาเซียนเข้มแข็ง มีศักยภาพในเวทีโลกด้วย เรื่องการปรับปรุงการท่องเที่ยวไทยในแนวใหม่ เป็นสิ่งที่เพิ่มรายได้ให้เราในขณะนี้ ในเมื่อเศรษฐกิจส่งออกตก แต่วันนี้เศรษฐกิจการท่องเที่ยวในประเทศสูงขึ้น มากขึ้น อาจจะเป็นโชคดีของเรา เรามีความพร้อมอยู่มากพอสมควร เพราะฉะนั้นเป็นการลงทุนที่น้อยที่สุด วันนี้ก็ต้องเน้นในเรื่องความปลอดภัย เน้นเรื่องการเชื่อมโยง ทั้งธุรกิจการท่องเที่ยวในหลาย ๆ ประเภท ทั้งในประเทศเรา ประเทศเพื่อนบ้าน ทางบก ทางเรือ ทางอากาศ มีการท่องเที่ยวแบบ Package หรือเป็น Cluster ต้องทํา และเพื่อนบ้านเขายอมรับให้ประเทศไทยเป็นผู้นําในเรื่องนี้ด้วยซ้ําไป เขาเห็นว่าเรามีประสบการณ์สูงมากในเรื่องของการท่องเที่ยว ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม วันนี้แก้ไขกฎหมายเป็นจํานวนมาก 100 กว่ากฎหมายไปแล้ว ซึ่งจะต้องทําให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ต้องใช้กฎหมายให้เกิดประโยชน์ ทําให้สังคมเข้มแข็ง สังคมอยู่ร่วมกันได้ ปราศจากความขัดแย้ง คนยาก คนจน มีกองทุนยุติธรรม และทุกกฎหมายจะต้องมีความชัดเจนว่า ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรเป็นอันดับแรก 2 ก็คือเจ้าหน้าที่จะได้มีเครื่องมือในการทําให้ทุกอย่างเป็นไปตามกติกา เป็นไปตามกฎโดยไม่มีความขัดแย้งระหว่างรัฐ ข้าราชการ กับประชาชนให้ได้มากที่สุด กฎหมายเป็นเครื่องมือในการสร้างสันติ ไม่ใช่สร้างความขัดแย้ง จะต้องสอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันและที่เรามีพันธะกรณีต่าง ๆ กับสากลด้วย ต้องแก้ไขทั้งหมดที่ล้าสมัย การบริหารราชการแผ่นดิน ในปัจจุบันรัฐบาลนี้ สิ่งใดที่ยังไม่เสร็จหรือยังไม่ได้เริ่ม แต่เราจะกําหนดหัวข้อไว้ แล้วก็จะส่งต่อให้สภาปฏิรูปฯ ไปทําแผนงาน และกําหนดให้มียุทธศาสตร์ในการดําเนินการบางอย่าง อาจจะปีเดียว 4 ปี รัฐบาล 5 ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ หรือก็เป็นการส่งต่อไป 5 ปีต่อไป ทุกอย่างวันนี้เดินทีละ 5 ปีหมดในเวทีประชาคมโลก เพราะฉะนั้นเราต้องกําหนดให้ชัดเจนขึ้นว่า 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เราควรจะเป็นประเทศแบบไหน ประเทศประชาธิปไตยที่เป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันก็ต้องบวกในเรื่องอื่น ๆ ไปด้วย ในเชิงที่เรามีความได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็น HUB ในเรื่องการท่องเที่ยว เรื่องการรักษาพยาบาล อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ต้องเอาสิ่งเรานี้มา แต่ต้องเกื้อกูลเพื่อนบ้านเขาด้วย ไม่อย่างนั้นไปด้วยกันไม่ได้ ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ถึงจะยกทั้งหมดขึ้นมาได้ เรารวยคนเดียวไม่ได้ ผมคิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในประเทศก็เหมือนกัน คนรวยมากก็ต้องดูแลคนรวยน้อย คนรวยน้อยก็ต้องดูแลคนรวยน้อยกว่า ตามลําดับไป พ่วงกันไปเรื่อย ๆ พี่จูงน้อง พ่อจูงลูก อะไรเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรจะต้องทํา ในส่วนของยุทธศาสตร์ชาติ ถ้ายาว 20 ปีได้ ก็จะประเมินทุก 5 ปี ทุกรัฐบาลก็ต้องทําตามนี้ในส่วนที่เป็นประเด็นหลัก ๆ ในเรื่องของความมั่นคง ในเรื่องของเศรษฐกิจ สังคม เรื่องพลังงาน เรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐาน การสร้างความเข้มแข็ง การลดความเหลื่อมล้ํา การให้ความเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้ต้องเดินควบคู่ไปเป็นเวลานานแล้วไม่ใช่ผมอยู่แล้วด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็พยายามจะเสริมสร้างระบบธรรมาภิบาลในส่วนราชการของรัฐให้ได้ สร้างคนที่มีคุณธรรม จริยธรรมทางสังคมด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้เราต้องการให้ข้าราชการทุกหมู่เหล่า ให้เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีหน้าที่ในการดูแลทุกข์สุขของราษฎร ของประชาชน ตามพระเนตรพระกรรณ ที่ทรงได้มอบภารกิจเหล่านี้ลงมาให้กับพวกเรา ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศชาติเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ห้วงนี้เป็นห้วงสําคัญที่เราต้องให้ความสําคัญในเรื่องของการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล และช่วยกันรักษาความสงบเรียบร้อยในประเทศให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ขัดแย้ง ผู้เห็นต่าง ผมคิดว่ายังไม่ใช่เวลาตอนนี้ ที่ท่านจะออกมาเคลื่อนไหวอะไรต่าง ๆ เพราะว่าเรากําลังทําสิ่งที่มีปัญหามาในอดีต เพราะฉะนั้นถ้าไม่ให้เราแก้ไขวันนี้ ก็จะเกิดขึ้นอีก เรากําลังสร้างประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ ต้องใช้คําว่าประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ ผมไม่เคยปฏิเสธประชาธิปไตย แต่เราต้องมีประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ มีความยั่งยืน ทุกคนมีความสุข บางอย่างอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนผ่าน ในเวลานี้เปลี่ยนผ่านให้ได้ จะทําอย่างไร จะวางตัวอย่างไร ลําบากไหม เหนื่อยไหม จะต้องอดทนอย่างไร สิ่งเหล่านี้เรียกว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในอนาคต ซึ่งก็คือการปฏิรูปจัดระเบียบต่าง ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง มีการบูรณาการร่วมกัน มีการกําหนดเป้าหมายล่วงหน้า มีการประเมินทุกห้วงระยะเวลา และประชาชนจะต้องรู้อนาคตของเขา สําคัญที่สุดคือ อย่าไปปิดบังกัน ไม่อย่างนั้นมีปัญหาหมด ต้องรู้ก่อน แผนใหญ่เป็นอย่างไร แล้วต่อไปก็เป็นเรื่องของการกําหนดโครงการต่าง ๆ ลงไป เป็นการทําประชาพิจารณ์ ก็ไม่ขัดแย้ง ทุกวันนี้ขัดแย้งกันเต็มไปหมด ก็ขอร้องพวกที่ยังเข้าไปสร้างความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ให้ขัดแย้งกับการทํางานของรัฐบาล อะไรที่เป็นประโยชน์ กรุณาอย่าขัดแย้งเลย อย่าใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ อธิบายให้เขาเข้าใจ ผมรับได้ถ้าบอกว่า เขาต้องการจะอยู่แบบยากจนแบบนี้ หรือว่าจะอยู่ในชีวิตที่ดีขึ้น ไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่า ๆ ต้องร่วมมือกัน เพราะฉะนั้นถ้าไม่ร่วมมือเลยก็ต้องอยู่แบบนี้ ก็จนอยู่อย่างนี้ รายได้ก็ไม่มี ธุรกิจก็ไม่เกิดขึ้นในพื้นที่ แล้วใครจะทําให้ท่านร่ํารวยขึ้น ลูกหลานท่านจะเอาอะไรเรียนหนังสือ วันหน้าที่อื่นเขาพัฒนาไปแล้ว เขามีโครงการใหญ่ ๆ เข้ามา มีอาชีพ มีรายได้ ก็ดีกว่าพื้นที่ที่ไม่มี ต่างประเทศเขาแยกกันว่าตรงไหนจะเป็นแหล่งการค้าการลงทุน เขาแยกกันไป อยากให้ไปลงในพื้นที่ตัวเองจะได้เจริญ ของเราบางทีก็ถูกชี้แจงในทางที่ไม่เข้าใจกัน หลายอย่างไม่เข้าใจด้วยการเมือง ด้วยอะไรต่าง ๆ แล้วแตกความขัดแย้ง กลุ่มผลประโยชน์มาทําให้ทุกอย่างบิดเบือน ความร่วมมือก็ไม่เกิด ก็ทําไม่ได้ ประเทศก็พัฒนาไม่ได้ ถ้าชุมชนทําไม่ได้ แล้วอะไรจะทําได้ ต้องเริ่มจากชุมชนทั้งสิ้น เริ่มจากประชาชนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือพลเมืองก็แล้วแต่ ก็คือคนไทยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่ให้ประเทศไทยนั้น ต้องชอกช้ํา ต้องเป็นเช่นในอดีตที่ผ่านมา นั้นคือสิ่งสําคัญที่พวกเรา คสช. และรัฐบาลนี้ให้ความสําคัญอย่างเร่งด่วน โดยไม่ได้คิดอะไรอื่นใดเลย เพียงแต่ว่าต้องทําภารกิจให้สําเร็จ คือให้ประเทศไทยนั้นมีความ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ขอบคุณครับ ขอให้มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ร่วมพิธีเปิดงานเทศกาลไทย-ภูฏาน ณ ศูนย์พัฒนาเยาวชนภูฏาน
วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2560 พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ร่วมพิธีเปิดงานเทศกาลไทย-ภูฏาน ณ ศูนย์พัฒนาเยาวชนภูฏาน พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ร่วมพิธีเปิดงานเทศกาลไทย-ภูฏาน ณ ศูนย์พัฒนาเยาวชนภูฏาน วันที่ 9 มิ.ย.60 เวลา 14.15 น.ตามเวลาท้องถิ่นภูฏาน พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อธิบดี กรมส่งเสริมฯ และคณะแพทย์จากกระทรวงสาธารณสุข พร้อมทูตานุทูตและแขกระดับผู้ใหญ่ ร่วมในพิธีเปิดงานเทศกาลไทย-ภูฏาน ณ ศูนย์พัฒนาเยาวชนภูฏาน โดยสมเด็จพระราชินีในสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เสด็จเป็นองค์ประธาน ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นสักขีพยาน การลงนาม MOU ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศอีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ร่วมพิธีเปิดงานเทศกาลไทย-ภูฏาน ณ ศูนย์พัฒนาเยาวชนภูฏาน วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2560 พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ร่วมพิธีเปิดงานเทศกาลไทย-ภูฏาน ณ ศูนย์พัฒนาเยาวชนภูฏาน พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ร่วมพิธีเปิดงานเทศกาลไทย-ภูฏาน ณ ศูนย์พัฒนาเยาวชนภูฏาน วันที่ 9 มิ.ย.60 เวลา 14.15 น.ตามเวลาท้องถิ่นภูฏาน พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อธิบดี กรมส่งเสริมฯ และคณะแพทย์จากกระทรวงสาธารณสุข พร้อมทูตานุทูตและแขกระดับผู้ใหญ่ ร่วมในพิธีเปิดงานเทศกาลไทย-ภูฏาน ณ ศูนย์พัฒนาเยาวชนภูฏาน โดยสมเด็จพระราชินีในสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เสด็จเป็นองค์ประธาน ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้เป็นสักขีพยาน การลงนาม MOU ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศอีกด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4430
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.มอบนโยบายการนำหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติสู่การปฏิบัติ
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 รมว.ศธ.มอบนโยบายการนําหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติสู่การปฏิบัติ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายในการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การนําหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติสู่การปฏิบัติ" นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายในการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การนําหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติสู่การปฏิบัติ" เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 โดยมี พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล และ ผศ.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวะนานาชาติ, ประธานและผู้แทนสภาหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย ตลอดจนผู้บริหารและผู้แทนจากสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน เข้าร่วมงาน ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า จากการที่คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวะนานาชาติ ได้รับรองหลักสูตรอาชีวะนานาชาติจากประเทศต่าง ๆ แล้ว สถาบันอาชีวศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนก็สามารถนําหลักสูตรไปใช้จัดการเรียนการสอนได้ โดยสถาบันอาชีวศึกษาเอกชนที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ก็เป็นผู้ที่เข้ามามีบทบาทสําคัญในการนําหลักสูตรอาชีวะนานาชาติไปปรับใช้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กอาชีวะมีทางเลือก เนื่องจากที่ผ่านมาเด็กอาชีวะจะได้รับวุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) โดยหลักสูตรอาชีวะนานาชาติเหล่านี้มีจุดเด่น อาทิ เมื่อเรียนจบแล้วเด็กมีงานทําทันที, เด็กได้รับวุฒิบัตรการศึกษาจากต่างประเทศ, ไม่ใช่หลักสูตรระยะสั้นแต่เป็นหลักสูตรวุฒิบัตรที่มีระดับของวุฒิบัตร อันจะบ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้น ๆ เป็นต้น จึงถือเป็นวันประวัติศาสตร์ที่สําคัญที่เปลี่ยนแปลงการอาชีวศึกษาของไทย นอกจากนี้ ขอให้สถาบันอาชีวศึกษาที่สนใจจะนําหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติไปใช้ เร่งดําเนินการอย่างจริงจังให้เป็นรูปธรรม โดยได้เน้นย้ําสิ่งสําคัญที่จะดําเนินการ คือ การปลดปล่อยการศึกษาด้วยการเปิดรับผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภายนอกและต่างประเทศ รวมทั้งปลดปล่อยให้เด็กและผู้บริหารมีทางเลือก ทั้งนี้ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรม ก็ยอมรับหลักสูตรที่คณะกรรมการพัฒนาอาชีวะนานาชาติอนุมัติ และกําหนดอัตราเงินเดือนตามสมรรถนะและความสามารถตามหลักสูตรที่จบการศึกษา ในส่วนของค่าใช้จ่ายสําหรับการศึกษาหลักสูตรอาชีวะนานาชาติ กระทรวงศึกษาธิการโดยสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กําลังประสานงานกับกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ในขณะเดียวกันสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน ก็สามารถพิจารณาและดําเนินการให้เด็กกู้เงินเพื่อการศึกษาล่วงหน้าไปก่อนได้ เมื่อจบแล้วมีงานทําก็นําเงินมาใช้คืนสถาบันภายหลัง เนื่องจากสถาบันสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า เด็กที่จบหลักสูตรอาชีวะนานาชาติและได้เข้าทํางาน จะได้รับเงินเดือนเท่าไร จึงขอฝากประเด็นนี้ให้ผู้บริหารสถาบันอาชีวศึกษาเอกชนพิจารณาด้วย ม.ล.ปริยดา ดิศกุล กล่าวว่า คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติได้ดําเนินการพิจารณาและรับรองหลักสูตรอาชีวศึกษาของต่างประเทศ เพื่อให้สถาบันอาชีวศึกษาของไทยนํามาปรับใช้กับการเรียนการสอนมาเป็นช่วงระยะหนึ่งแล้ว สิ่งสําคัญคือการมีผู้แทนจากสภาหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทยมาร่วมเป็นคณะกรรมการฯ โดยสภาหอการค้าเหล่านี้มีบริษัทที่อยู่ในเครือข่ายกว่า 1,000 บริษัท และต้องการให้การอาชีวศึกษาไทยผลิตกําลังคนในสาขาที่ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม อาทิ Electrical Engineering, Information Technology, Tourism and Hospitality, Business, Transport and Logistics เป็นต้น สถาบันอาชีวศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนจึงต้องพิจารณาว่าจะดําเนินการอย่างไร ที่จะสามารถผลิตกําลังคนให้เกิดผลสําเร็จโดยเร็วที่สุด กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ เริ่มนําหลักสูตร BTEC ของ Pearson สหราชอาณาจักร และของประเทศอื่น ๆ เพื่อให้สถาบันการอาชีวศึกษาที่มีความพร้อมเลือกหลักสูตรมาเปิดสอน เพื่อผลิตกําลังคนอาชีวศึกษาที่มีมาตรฐานสากล Written by อรพรรณ ฤทธิ์มั่น Photo Credit อรพรรณ ฤทธิ์มั่น Rewriter นวรัตน์ รามสูต Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.มอบนโยบายการนำหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติสู่การปฏิบัติ วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 รมว.ศธ.มอบนโยบายการนําหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติสู่การปฏิบัติ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายในการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การนําหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติสู่การปฏิบัติ" นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายในการประชุมเชิงปฏิบัติการ "การนําหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติสู่การปฏิบัติ" เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 โดยมี พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล และ ผศ.วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวะนานาชาติ, ประธานและผู้แทนสภาหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทย ตลอดจนผู้บริหารและผู้แทนจากสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน เข้าร่วมงาน ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า จากการที่คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวะนานาชาติ ได้รับรองหลักสูตรอาชีวะนานาชาติจากประเทศต่าง ๆ แล้ว สถาบันอาชีวศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนก็สามารถนําหลักสูตรไปใช้จัดการเรียนการสอนได้ โดยสถาบันอาชีวศึกษาเอกชนที่สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ก็เป็นผู้ที่เข้ามามีบทบาทสําคัญในการนําหลักสูตรอาชีวะนานาชาติไปปรับใช้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กอาชีวะมีทางเลือก เนื่องจากที่ผ่านมาเด็กอาชีวะจะได้รับวุฒิประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) โดยหลักสูตรอาชีวะนานาชาติเหล่านี้มีจุดเด่น อาทิ เมื่อเรียนจบแล้วเด็กมีงานทําทันที, เด็กได้รับวุฒิบัตรการศึกษาจากต่างประเทศ, ไม่ใช่หลักสูตรระยะสั้นแต่เป็นหลักสูตรวุฒิบัตรที่มีระดับของวุฒิบัตร อันจะบ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในสาขาวิชานั้น ๆ เป็นต้น จึงถือเป็นวันประวัติศาสตร์ที่สําคัญที่เปลี่ยนแปลงการอาชีวศึกษาของไทย นอกจากนี้ ขอให้สถาบันอาชีวศึกษาที่สนใจจะนําหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติไปใช้ เร่งดําเนินการอย่างจริงจังให้เป็นรูปธรรม โดยได้เน้นย้ําสิ่งสําคัญที่จะดําเนินการ คือ การปลดปล่อยการศึกษาด้วยการเปิดรับผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภายนอกและต่างประเทศ รวมทั้งปลดปล่อยให้เด็กและผู้บริหารมีทางเลือก ทั้งนี้ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรม ก็ยอมรับหลักสูตรที่คณะกรรมการพัฒนาอาชีวะนานาชาติอนุมัติ และกําหนดอัตราเงินเดือนตามสมรรถนะและความสามารถตามหลักสูตรที่จบการศึกษา ในส่วนของค่าใช้จ่ายสําหรับการศึกษาหลักสูตรอาชีวะนานาชาติ กระทรวงศึกษาธิการโดยสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กําลังประสานงานกับกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ในขณะเดียวกันสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน ก็สามารถพิจารณาและดําเนินการให้เด็กกู้เงินเพื่อการศึกษาล่วงหน้าไปก่อนได้ เมื่อจบแล้วมีงานทําก็นําเงินมาใช้คืนสถาบันภายหลัง เนื่องจากสถาบันสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า เด็กที่จบหลักสูตรอาชีวะนานาชาติและได้เข้าทํางาน จะได้รับเงินเดือนเท่าไร จึงขอฝากประเด็นนี้ให้ผู้บริหารสถาบันอาชีวศึกษาเอกชนพิจารณาด้วย ม.ล.ปริยดา ดิศกุล กล่าวว่า คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรอาชีวศึกษานานาชาติได้ดําเนินการพิจารณาและรับรองหลักสูตรอาชีวศึกษาของต่างประเทศ เพื่อให้สถาบันอาชีวศึกษาของไทยนํามาปรับใช้กับการเรียนการสอนมาเป็นช่วงระยะหนึ่งแล้ว สิ่งสําคัญคือการมีผู้แทนจากสภาหอการค้าต่างประเทศในประเทศไทยมาร่วมเป็นคณะกรรมการฯ โดยสภาหอการค้าเหล่านี้มีบริษัทที่อยู่ในเครือข่ายกว่า 1,000 บริษัท และต้องการให้การอาชีวศึกษาไทยผลิตกําลังคนในสาขาที่ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม อาทิ Electrical Engineering, Information Technology, Tourism and Hospitality, Business, Transport and Logistics เป็นต้น สถาบันอาชีวศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนจึงต้องพิจารณาว่าจะดําเนินการอย่างไร ที่จะสามารถผลิตกําลังคนให้เกิดผลสําเร็จโดยเร็วที่สุด กระทรวงศึกษาธิการ จึงได้ เริ่มนําหลักสูตร BTEC ของ Pearson สหราชอาณาจักร และของประเทศอื่น ๆ เพื่อให้สถาบันการอาชีวศึกษาที่มีความพร้อมเลือกหลักสูตรมาเปิดสอน เพื่อผลิตกําลังคนอาชีวศึกษาที่มีมาตรฐานสากล Written by อรพรรณ ฤทธิ์มั่น Photo Credit อรพรรณ ฤทธิ์มั่น Rewriter นวรัตน์ รามสูต Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18824
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เยี่ยมชมชุมชนคุณธรรมโนนบุรี (สหสขันธ์ไดโนโรด) จังหวัดกาพสินธุ์
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563 ผู้ช่วยรมว.วธ.เยี่ยมชมชุมชนคุณธรรมโนนบุรี (สหสขันธ์ไดโนโรด) จังหวัดกาพสินธุ์ ผู้ช่วยรมว.วธ.เยี่ยมชมชุมชนคุณธรรมโนนบุรี (สหสขันธ์ไดโนโรด) จังหวัดกาพสินธุ์ วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นางประนอม คลังทอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นายตระกูล หนูนิล นายอําเภอสหัสขันธ์ เข้ากราบสักการะ พระครูสิริพัฒนนิทศก์ รองเจ้าคณะอําเภอสหัสขันธ์ และพระอาจารย์ณรงค์ ชยมงคโล เจ้าอาวาสวัดพุทธนิมิต (ภูค่าว) พร้อมทั้งนั่งรถรางเยี่ยมชมชุมชนคุณธรรมโนนบุรี (สหสขันธ์ไดโนโรด) บริเวณถนนไดโนโรด ชุมชนคุณธรรมโนนบุรี ตําบลโนนบุรี อําเภอสหัสขันธ์ แหล่งเรียนรู้วัดพุทธนิมิตภูค่าว แหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง สวนสุพรรณ์ อินทผาลัม และพิพิธภัณฑ์สิรินธร จังหวัดกาพสินธุ์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรมว.วธ.เยี่ยมชมชุมชนคุณธรรมโนนบุรี (สหสขันธ์ไดโนโรด) จังหวัดกาพสินธุ์ วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563 ผู้ช่วยรมว.วธ.เยี่ยมชมชุมชนคุณธรรมโนนบุรี (สหสขันธ์ไดโนโรด) จังหวัดกาพสินธุ์ ผู้ช่วยรมว.วธ.เยี่ยมชมชุมชนคุณธรรมโนนบุรี (สหสขันธ์ไดโนโรด) จังหวัดกาพสินธุ์ วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย นางประนอม คลังทอง ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นายตระกูล หนูนิล นายอําเภอสหัสขันธ์ เข้ากราบสักการะ พระครูสิริพัฒนนิทศก์ รองเจ้าคณะอําเภอสหัสขันธ์ และพระอาจารย์ณรงค์ ชยมงคโล เจ้าอาวาสวัดพุทธนิมิต (ภูค่าว) พร้อมทั้งนั่งรถรางเยี่ยมชมชุมชนคุณธรรมโนนบุรี (สหสขันธ์ไดโนโรด) บริเวณถนนไดโนโรด ชุมชนคุณธรรมโนนบุรี ตําบลโนนบุรี อําเภอสหัสขันธ์ แหล่งเรียนรู้วัดพุทธนิมิตภูค่าว แหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง สวนสุพรรณ์ อินทผาลัม และพิพิธภัณฑ์สิรินธร จังหวัดกาพสินธุ์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34171
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยลุยติด QR Code รถตุ๊กตุ๊ก ทั่วอยุธยา
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561 กรุงไทยลุยติด QR Code รถตุ๊กตุ๊ก ทั่วอยุธยา ธ.กรุงไทยเปิดโครงการตุ๊กตุ๊ก อยุธยา เป๋าตุง กรุงไทย โดยธนาคารกรุงไทยได้ติดตั้ง QR Code ที่รถตุ๊กตุ๊ก เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนในการชําระค่าโดยสารแทนเงินสด ในวันนี้ (22 มิถุนายน 2561) นายสมศักดิ์ เจริญไพฑูรย์ นายอําเภอพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานเปิดโครงการตุ๊กตุ๊ก อยุธยา เป๋าตุง กรุงไทย โดยธนาคารกรุงไทยได้ติดตั้ง QR Code ที่รถตุ๊กตุ๊ก เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนในการชําระค่าโดยสารแทนเงินสด โดยมี นายปิติ ธนวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ร่วมกันปล่อยขบวนรถตุ๊กตุ๊ก เพื่อเชิญชวนประชาชนร่วมสัมผัสประสบการณ์ในการชําระค่าโดยสารด้วย Krungthai QR Code สร้างสังคมไร้เงินสด ณ ธนาคารกรุงไทย สาขาอยุธยา ธนาคารกรุงไทยในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ได้ให้การสนับสนุนโครงการ National e-Payment ที่ต้องการวางโครงสร้างพื้นฐานอิเล็กทรอนิกส์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศและขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมไร้เงินสด โดยเฉพาะสังคมในภูมิภาค เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ตลอดจนการอํานวยความสะดวกทางด้านการคมนาคมและการท่องเที่ยว ซึ่งหลังจากประสบความสําเร็จในการติด QR Code รถสามล้อไฟฟ้าที่จังหวัดเชียงใหม่ ธนาคารได้ขยายบริการ โดยติดตั้ง QR Code รถตุ๊กตุ๊กกว่า 200 คัน ที่ให้บริการนักท่องเที่ยวบริเวณรอบเมืองพระนครศรีอยุธยา ซึ่งผู้โดยสารสามารถชําระเงินผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ส่วนผู้ขับรถตุ๊กตุ๊กเพียงสมัครและดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเป๋าตุง กรุงไทย ก็สามารถรับชําระค่าโดยสารได้ทันที มีบริการแจ้งเตือนเมื่อเงินเข้าบัญชี อํานวยความสะดวกไม่ต้องพกเงินสดและลดปัญหาการทอนเงิน ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยกําหนดแผนยุทธศาสตร์การเป็น Future Banking โดยนํานวัตกรรมทางการเงินมาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและประชาชน มีแผนขยายการติดตั้ง QR Code ให้แพร่หลายและครอบคลุมในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชน ห้างร้านต่างๆ ตลอดจนระบบขนส่งคมนาคมในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเป็นธนาคารแห่งแรกที่นําระบบรับชําระเงินด้วย QR Code ติดตั้งบนรถโดยสาร ขสมก. สาย Airport Bus ที่ให้บริการนักท่องเที่ยวที่เดินทางระหว่างสนามบินดอนเมืองและพื้นที่ใจกลางเมือง และพัฒนาระบบ e-Donation ที่เชื่อมต่อกับกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ผ่านแอปพลิเคชั่น เป๋าตุง เติมบุญ ที่สามารถออกใบอนุโมทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้บริจาคผ่านอีเมล เพื่อลดปัญหาการสูญหายและเป็นหลักฐานในการคืนภาษี อีกทั้งยังสนับสนุนรัฐบาลในการจัดทําบัตรสวัสดิการ แห่งรัฐ และติดตั้งเครื่อง EDC ให้กับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติทั่วประเทศ ตลอดจนให้สินเชื่อกับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกิจอีกด้วย ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร.0-2208-4174-8
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยลุยติด QR Code รถตุ๊กตุ๊ก ทั่วอยุธยา วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561 กรุงไทยลุยติด QR Code รถตุ๊กตุ๊ก ทั่วอยุธยา ธ.กรุงไทยเปิดโครงการตุ๊กตุ๊ก อยุธยา เป๋าตุง กรุงไทย โดยธนาคารกรุงไทยได้ติดตั้ง QR Code ที่รถตุ๊กตุ๊ก เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนในการชําระค่าโดยสารแทนเงินสด ในวันนี้ (22 มิถุนายน 2561) นายสมศักดิ์ เจริญไพฑูรย์ นายอําเภอพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานเปิดโครงการตุ๊กตุ๊ก อยุธยา เป๋าตุง กรุงไทย โดยธนาคารกรุงไทยได้ติดตั้ง QR Code ที่รถตุ๊กตุ๊ก เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนในการชําระค่าโดยสารแทนเงินสด โดยมี นายปิติ ธนวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ร่วมกันปล่อยขบวนรถตุ๊กตุ๊ก เพื่อเชิญชวนประชาชนร่วมสัมผัสประสบการณ์ในการชําระค่าโดยสารด้วย Krungthai QR Code สร้างสังคมไร้เงินสด ณ ธนาคารกรุงไทย สาขาอยุธยา ธนาคารกรุงไทยในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ได้ให้การสนับสนุนโครงการ National e-Payment ที่ต้องการวางโครงสร้างพื้นฐานอิเล็กทรอนิกส์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศและขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สังคมไร้เงินสด โดยเฉพาะสังคมในภูมิภาค เพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ตลอดจนการอํานวยความสะดวกทางด้านการคมนาคมและการท่องเที่ยว ซึ่งหลังจากประสบความสําเร็จในการติด QR Code รถสามล้อไฟฟ้าที่จังหวัดเชียงใหม่ ธนาคารได้ขยายบริการ โดยติดตั้ง QR Code รถตุ๊กตุ๊กกว่า 200 คัน ที่ให้บริการนักท่องเที่ยวบริเวณรอบเมืองพระนครศรีอยุธยา ซึ่งผู้โดยสารสามารถชําระเงินผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม ส่วนผู้ขับรถตุ๊กตุ๊กเพียงสมัครและดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเป๋าตุง กรุงไทย ก็สามารถรับชําระค่าโดยสารได้ทันที มีบริการแจ้งเตือนเมื่อเงินเข้าบัญชี อํานวยความสะดวกไม่ต้องพกเงินสดและลดปัญหาการทอนเงิน ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยกําหนดแผนยุทธศาสตร์การเป็น Future Banking โดยนํานวัตกรรมทางการเงินมาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและประชาชน มีแผนขยายการติดตั้ง QR Code ให้แพร่หลายและครอบคลุมในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งภาครัฐและเอกชน ห้างร้านต่างๆ ตลอดจนระบบขนส่งคมนาคมในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเป็นธนาคารแห่งแรกที่นําระบบรับชําระเงินด้วย QR Code ติดตั้งบนรถโดยสาร ขสมก. สาย Airport Bus ที่ให้บริการนักท่องเที่ยวที่เดินทางระหว่างสนามบินดอนเมืองและพื้นที่ใจกลางเมือง และพัฒนาระบบ e-Donation ที่เชื่อมต่อกับกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ผ่านแอปพลิเคชั่น เป๋าตุง เติมบุญ ที่สามารถออกใบอนุโมทนาบัตรอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้บริจาคผ่านอีเมล เพื่อลดปัญหาการสูญหายและเป็นหลักฐานในการคืนภาษี อีกทั้งยังสนับสนุนรัฐบาลในการจัดทําบัตรสวัสดิการ แห่งรัฐ และติดตั้งเครื่อง EDC ให้กับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าประชารัฐกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติทั่วประเทศ ตลอดจนให้สินเชื่อกับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกิจอีกด้วย ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร.0-2208-4174-8
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13279
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐปรับหลักเกณฑ์ขอใบอนุญาตขับรถ ยกระดับความปลอดภัยในการเดินทาง
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561 รัฐปรับหลักเกณฑ์ขอใบอนุญาตขับรถ ยกระดับความปลอดภัยในการเดินทาง กําหนดให้ใช้ใบรับรองแพทย์ที่ระบุโดยละเอียดว่าผู้ขอไม่มีโรคประจําตัวและไม่มีสภาวะของโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นในขณะขับรถ พฤหัสบดีที่ 30 ส.ค.61 รัฐปรับหลักเกณฑ์ขอใบอนุญาตขับรถ ยกระดับความปลอดภัยในการเดินทาง ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเดินหน้าสร้างความปลอดภัยของผู้ขับขี่ โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์การขอใบอนุญาตขับขี่ใหม่และการต่ออายุใบอนุญาต กําหนดให้ใช้ใบรับรองแพทย์ที่ระบุโดยละเอียดว่าผู้ขอไม่มีโรคประจําตัวและไม่มีสภาวะของโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นในขณะขับรถ รวมทั้งยังกําหนดให้ผู้ที่จะขอใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มีกําลังสูง เช่น Big Bike จะต้องผ่านการอบรมและการทดสอบทักษะการขับขี่เป็นการเฉพาะและไม่ให้แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทํางานในประเทศไทยชั่วคราวและกําลังจะถูกส่งกลับประเทศต้นทางขอรับใบอนุญาตขับรถชนิดส่วนบุคคล ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถคัดกรองบุคคลในการขับขี่รถและช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐปรับหลักเกณฑ์ขอใบอนุญาตขับรถ ยกระดับความปลอดภัยในการเดินทาง วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561 รัฐปรับหลักเกณฑ์ขอใบอนุญาตขับรถ ยกระดับความปลอดภัยในการเดินทาง กําหนดให้ใช้ใบรับรองแพทย์ที่ระบุโดยละเอียดว่าผู้ขอไม่มีโรคประจําตัวและไม่มีสภาวะของโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นในขณะขับรถ พฤหัสบดีที่ 30 ส.ค.61 รัฐปรับหลักเกณฑ์ขอใบอนุญาตขับรถ ยกระดับความปลอดภัยในการเดินทาง ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเดินหน้าสร้างความปลอดภัยของผู้ขับขี่ โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์การขอใบอนุญาตขับขี่ใหม่และการต่ออายุใบอนุญาต กําหนดให้ใช้ใบรับรองแพทย์ที่ระบุโดยละเอียดว่าผู้ขอไม่มีโรคประจําตัวและไม่มีสภาวะของโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเองและผู้อื่นในขณะขับรถ รวมทั้งยังกําหนดให้ผู้ที่จะขอใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มีกําลังสูง เช่น Big Bike จะต้องผ่านการอบรมและการทดสอบทักษะการขับขี่เป็นการเฉพาะและไม่ให้แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทํางานในประเทศไทยชั่วคราวและกําลังจะถูกส่งกลับประเทศต้นทางขอรับใบอนุญาตขับรถชนิดส่วนบุคคล ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถคัดกรองบุคคลในการขับขี่รถและช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15068
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยสายเปย์แจกทองลูกค้าที่รับ-โอนเงินด่วนผ่าน Western Union ลุ้นทองทุกเดือน
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2562 กรุงไทยสายเปย์แจกทองลูกค้าที่รับ-โอนเงินด่วนผ่าน Western Union ลุ้นทองทุกเดือน ธนาคารกรุงไทยจัดแคมเปญพิเศษ กรุงไทยสายเปย์แจกทอง สําหรับลูกค้าที่รับ-โอนเงินด่วนระหว่างประเทศ ผ่านกรุงไทย Western Union ด้วยช่องทางกรุงไทย NEXT ATM Internet Banking สาขา และ บูธ Exchange ของธนาคาร ธนาคารกรุงไทยจัดแคมเปญพิเศษ กรุงไทยสายเปย์แจกทอง สําหรับลูกค้าที่รับ-โอนเงินด่วนระหว่างประเทศ ผ่านกรุงไทย Western Union ด้วยช่องทางกรุงไทย NEXT ATM Internet Banking สาขา และ บูธ Exchange ของธนาคาร รับสิทธิลุ้นรางวัลพิเศษสร้อยคอทองคําน้ําหนัก 1 บาท และน้ําหนัก 25 สตางค์ รวม 82 รางวัล มูลค่ากว่า 6 แสนบาท จับรางวัลทุกเดือน ตั้งแต่ 1 กันยายน ถึง 31 ธันวาคม 2562 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ktb.co.th ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด โทร.0-2208-4174-8
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยสายเปย์แจกทองลูกค้าที่รับ-โอนเงินด่วนผ่าน Western Union ลุ้นทองทุกเดือน วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2562 กรุงไทยสายเปย์แจกทองลูกค้าที่รับ-โอนเงินด่วนผ่าน Western Union ลุ้นทองทุกเดือน ธนาคารกรุงไทยจัดแคมเปญพิเศษ กรุงไทยสายเปย์แจกทอง สําหรับลูกค้าที่รับ-โอนเงินด่วนระหว่างประเทศ ผ่านกรุงไทย Western Union ด้วยช่องทางกรุงไทย NEXT ATM Internet Banking สาขา และ บูธ Exchange ของธนาคาร ธนาคารกรุงไทยจัดแคมเปญพิเศษ กรุงไทยสายเปย์แจกทอง สําหรับลูกค้าที่รับ-โอนเงินด่วนระหว่างประเทศ ผ่านกรุงไทย Western Union ด้วยช่องทางกรุงไทย NEXT ATM Internet Banking สาขา และ บูธ Exchange ของธนาคาร รับสิทธิลุ้นรางวัลพิเศษสร้อยคอทองคําน้ําหนัก 1 บาท และน้ําหนัก 25 สตางค์ รวม 82 รางวัล มูลค่ากว่า 6 แสนบาท จับรางวัลทุกเดือน ตั้งแต่ 1 กันยายน ถึง 31 ธันวาคม 2562 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.ktb.co.th ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด โทร.0-2208-4174-8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23837
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐจัดสรรงบปี 61 มุ่งพัฒนาแรงงานสู่ไทยแลนด์ 4.0
วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2560 รัฐจัดสรรงบปี 61 มุ่งพัฒนาแรงงานสู่ไทยแลนด์ 4.0 ‘สุทธิ’เผย กระทรวงแรงงาน ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2561 เต็มจํานวนจากรัฐบาลรวม 49,559 ล้านบาทเศษ ขณะที่ สปส.ได้รับเงินอุดหนุน 42,620 ล้านบาทเศษ ตรงตามยุทธศาสตร์ทั้งความมั่นคง พัฒนาศักยภาพคน แก้ไขปัญหาความยากจนลดความเหลื่อมล้ํา ‘สุทธิ’เผย กระทรวงแรงงาน ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2561 เต็มจํานวนจากรัฐบาลรวม 49,559 ล้านบาทเศษ ขณะที่ สปส.ได้รับเงินอุดหนุน 42,620 ล้านบาทเศษ ตรงตามยุทธศาสตร์ทั้งความมั่นคง พัฒนาศักยภาพคน แก้ไขปัญหาความยากจนลดความเหลื่อมล้ํา พัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นายสุทธิ สุโกศล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงภาพรวมผลการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ส่วนของกระทรวงแรงงานว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาล แยกเป็น สํานักงานปลัดกระทรวง ได้รับการจัดสรร 1,286 ล้านบาทเศษ กรมการจัดหางาน 1,277 ล้านบาทเศษ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 2,331 ล้านบาทเศษ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 1,084 ล้านบาทเศษ สํานักงานประกันสังคม 43,515 ล้านบาทเศษ และสํานักงานส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน หรือ สสปท. (องค์การมหาชน) 63 ล้านบาทเศษ ทั้งนี้ สํานักงานประกันสังคมได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นจํานวน 42,620 ล้านบาทเศษ โดยกระทรวงแรงงานได้รับการจัดสรรงบประมาณทุกหน่วยงานรวมจํานวนทั้งสิ้น 49,559 ล้านบาทเศษ นายสุทธิ กล่าวต่อว่า เมื่อจําแนกตามแผนงาน พบว่า แผนงานยุทธศาสตร์ได้รับการจัดสรรมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 56.93 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 6.78 % รองลงมาเป็นแผนงานบูรณาการร้อยละ 32.71 เพิ่มขึ้น5.98 % แผนงานบุคลากรภาครัฐร้อยละ 7.44 เพิ่มขึ้น 1.26 % และแผนงานพื้นฐานร้อยละ 2.92 ลดลง 20.91 % ตามลําดับ “งบประมาณที่กระทรวงแรงงานได้รับการจัดสรรในปี 2561 สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนงานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับไทยแลนด์ 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาลที่สําคัญ อาทิการให้เงินสมทบจากรัฐบาลเพื่อประโยชน์ของผู้ประกันตน การเพิ่มศักยภาพแรงงาน การพัฒนาบุคลากรภาครัฐและยกระดับผลิตภาพแรงงานรองรับไทยแลนด์ 4.0 การให้แรงงานนอกระบบได้เข้าสู่ความคุ้มครองในระบบประสังคม การบูรณาการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ งบประมาณที่กระทรวงแรงงานได้รับการจัดสรร ตรงตามยุทธศาสตร์ทั้งความมั่นคง การพัฒนาศักยภาพคน การแก้ไขปัญหาความยากจนลดความเหลื่อมล้ํา การพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0” นายสุทธิ กล่าวในท้ายสุด ------------------------------ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน - ข้อมูล/ 31 ส.ค. 60
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐจัดสรรงบปี 61 มุ่งพัฒนาแรงงานสู่ไทยแลนด์ 4.0 วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2560 รัฐจัดสรรงบปี 61 มุ่งพัฒนาแรงงานสู่ไทยแลนด์ 4.0 ‘สุทธิ’เผย กระทรวงแรงงาน ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2561 เต็มจํานวนจากรัฐบาลรวม 49,559 ล้านบาทเศษ ขณะที่ สปส.ได้รับเงินอุดหนุน 42,620 ล้านบาทเศษ ตรงตามยุทธศาสตร์ทั้งความมั่นคง พัฒนาศักยภาพคน แก้ไขปัญหาความยากจนลดความเหลื่อมล้ํา ‘สุทธิ’เผย กระทรวงแรงงาน ได้รับการจัดสรรงบประมาณปี 2561 เต็มจํานวนจากรัฐบาลรวม 49,559 ล้านบาทเศษ ขณะที่ สปส.ได้รับเงินอุดหนุน 42,620 ล้านบาทเศษ ตรงตามยุทธศาสตร์ทั้งความมั่นคง พัฒนาศักยภาพคน แก้ไขปัญหาความยากจนลดความเหลื่อมล้ํา พัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นายสุทธิ สุโกศล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงภาพรวมผลการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ส่วนของกระทรวงแรงงานว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาล แยกเป็น สํานักงานปลัดกระทรวง ได้รับการจัดสรร 1,286 ล้านบาทเศษ กรมการจัดหางาน 1,277 ล้านบาทเศษ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 2,331 ล้านบาทเศษ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน 1,084 ล้านบาทเศษ สํานักงานประกันสังคม 43,515 ล้านบาทเศษ และสํานักงานส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน หรือ สสปท. (องค์การมหาชน) 63 ล้านบาทเศษ ทั้งนี้ สํานักงานประกันสังคมได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นจํานวน 42,620 ล้านบาทเศษ โดยกระทรวงแรงงานได้รับการจัดสรรงบประมาณทุกหน่วยงานรวมจํานวนทั้งสิ้น 49,559 ล้านบาทเศษ นายสุทธิ กล่าวต่อว่า เมื่อจําแนกตามแผนงาน พบว่า แผนงานยุทธศาสตร์ได้รับการจัดสรรมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 56.93 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 6.78 % รองลงมาเป็นแผนงานบูรณาการร้อยละ 32.71 เพิ่มขึ้น5.98 % แผนงานบุคลากรภาครัฐร้อยละ 7.44 เพิ่มขึ้น 1.26 % และแผนงานพื้นฐานร้อยละ 2.92 ลดลง 20.91 % ตามลําดับ “งบประมาณที่กระทรวงแรงงานได้รับการจัดสรรในปี 2561 สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนงานการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับไทยแลนด์ 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาลที่สําคัญ อาทิการให้เงินสมทบจากรัฐบาลเพื่อประโยชน์ของผู้ประกันตน การเพิ่มศักยภาพแรงงาน การพัฒนาบุคลากรภาครัฐและยกระดับผลิตภาพแรงงานรองรับไทยแลนด์ 4.0 การให้แรงงานนอกระบบได้เข้าสู่ความคุ้มครองในระบบประสังคม การบูรณาการจัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ ทั้งนี้ งบประมาณที่กระทรวงแรงงานได้รับการจัดสรร ตรงตามยุทธศาสตร์ทั้งความมั่นคง การพัฒนาศักยภาพคน การแก้ไขปัญหาความยากจนลดความเหลื่อมล้ํา การพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0” นายสุทธิ กล่าวในท้ายสุด ------------------------------ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน - ข้อมูล/ 31 ส.ค. 60
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6367
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขา สมช. เผยสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จชต. รอบ 9 เดือน ที่ผ่านมา เหตุการณ์รุนแรงลดลงมาโดยลำดับ
วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560 เลขา สมช. เผยสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จชต. รอบ 9 เดือน ที่ผ่านมา เหตุการณ์รุนแรงลดลงมาโดยลําดับ รองนรม. พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเลขา สมช. เผยสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รอบ 9 เดือน ที่ผ่านมา เหตุการณ์รุนแรงลดลงมาโดยลําดับ วันนี้ (2 ส.ค.60) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ครั้งที่ 2/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในส่วนกลาง และในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลทั้ง 13 คน ในฐานะกรรมการ คปต. เข้าร่วมประชุมด้วย โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อที่ประชุมฯ ถึงการประชุม คปต. ว่า เพื่อให้คณะกรรมการได้รับทราบถึงการขับเคลื่อนงานการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะการพิจารณาร่างแผนงานและกรอบของแผนงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจความมั่นคงของ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ตลอดจนการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่มีความสําคัญที่จะนําไปสู่การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างยั่งยืน พร้อมกล่าวถึงการใช้เครื่องมือสนับสนุนการปฏิบัติงานของทหาร ตํารวจ และฝ่ายปกครอง เพื่อมุ่งป้องกัน และขจัดเงื่อนไขภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เป็นเรื่องที่มีความสําคัญและจําเป็นต้องเร่งจัดระบบให้มีกรอบการจัดหา และการบํารุงรักษาให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเหล่าทัพและ กอ.รมน. เร่งจัดทําและปรับปรุงแผนงานที่เกี่ยวข้องให้สมบูรณ์ ทันสมัย เพื่อนําเสนอ คปต. พิจารณาต่อไป ขณะที่การใช้กล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความก้าวหน้าไปเป็นลําดับ โดยมอบหมายให้ กอ.รมน. และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นหน่วยงานรับผิดชอบจัดทํารายละเอียดของแผนการซ่อมบํารุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ฯ และพิจารณาจัดทําแผน/ โครงการที่สําคัญเร่งด่วน โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการให้สอดคล้องกับแผนฯ เพื่อนําเสนอ คปต. พิจารณาในการประชมครั้งต่อไป ส่วนแผนการเสริมสร้างกองกําลังประจําถิ่นและกําลังประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 – 2564 ซึ่ง กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ดําเนินการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เพื่อร่วมปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหาร และฝ่ายปกครองอย่างมีประสิทธิภาพ นั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ สมช. ไปพิจารณาทบทวนแผนงานโครงการที่หน่วยดําเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์สอดคล้องกับแผนดังกล่าว รวมทั้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบริเริ่มจัดทําแผนงานโครงการใหม่ ๆ ภายใต้แผนงานฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ งานเสริมสร้างกองกําลังประจําถิ่นและกําลังประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ถือเป็นเรื่องที่มีความสําคัญ รวมถึงการจัดกําลังทหารพราน เป็นกําลังรับผิดชอบหลักในพื้นที่เสริมสร้างความมั่นคงและพื้นที่เศรษฐกิจให้เป็นไปตามแผนที่กําหนด ตลอดจนให้จัดกําลังตํารวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เจ้าหน้าที่ตํารวจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และดูแลพื้นที่ภายในให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมขอบคุณกรรมการและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ได้ช่วยกันทํางานเพื่อส่วนรวมและความสงบสุขในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เปิดเผยถึงผลการประชุม สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุม คปต. ได้รับทราบเรื่องสําคัญ โดยเฉพาะการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในรอบ 9 เดือน ที่ผ่านมา สรุปว่า เหตุการณ์รุนแรงลดลงมาโดยลําดับ เมื่อเทียบกับห้วงเดียวกันในปีที่แล้ว รวมทั้ง ได้มีวาระติดตามความก้าวหน้าการดําเนินการตามมติ คปต. หรือข้อสั่งการประธาน คปต. ได้แก่ การพัฒนาระบบประสานงานด้านการข่าว มาตรการเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยพื้นที่โครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” และการใช้ประโยชน์จากระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เร่งรัดซ่อมบํารุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ชํารุดให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบกรอบแผนซ่อมบํารุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า เสนอ โดยแผนซ่อมบํารุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ดังกล่าวเป็นแผนซ่อมบํารุงที่จะดําเนินการอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อเฝ้าระวังป้องการก่อเหตุร้ายเชิงรุกก่อนที่จะมีการก่อเหตุขึ้น อีกทั้ง ที่ประชุม คปต.ได้ เห็นชอบร่างแผนการเสริมสร้างกองกําลังประจําถิ่นและกําลังประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 – 2564 ตามที่ กอ.รมน. เสนอ ซึ่งเป็นกรอบแผนดําเนินงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจความมั่นคงของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักระดับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจในมาตรการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น รวมทั้งได้เห็นชอบการขออนุมัติกรอบอัตรากําลังพนักงานมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพิ่มเติมของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และเห็นชอบโครงการสานฝันกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนในพื้นที่มีโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถือเป็นเรื่องสําคัญที่จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหา จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างยั่งยืน ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขา สมช. เผยสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จชต. รอบ 9 เดือน ที่ผ่านมา เหตุการณ์รุนแรงลดลงมาโดยลำดับ วันพุธที่ 2 สิงหาคม 2560 เลขา สมช. เผยสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จชต. รอบ 9 เดือน ที่ผ่านมา เหตุการณ์รุนแรงลดลงมาโดยลําดับ รองนรม. พลเอก ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเลขา สมช. เผยสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รอบ 9 เดือน ที่ผ่านมา เหตุการณ์รุนแรงลดลงมาโดยลําดับ วันนี้ (2 ส.ค.60) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ครั้งที่ 2/2560 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในส่วนกลาง และในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาลทั้ง 13 คน ในฐานะกรรมการ คปต. เข้าร่วมประชุมด้วย โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อที่ประชุมฯ ถึงการประชุม คปต. ว่า เพื่อให้คณะกรรมการได้รับทราบถึงการขับเคลื่อนงานการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะการพิจารณาร่างแผนงานและกรอบของแผนงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจความมั่นคงของ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ตลอดจนการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่มีความสําคัญที่จะนําไปสู่การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างยั่งยืน พร้อมกล่าวถึงการใช้เครื่องมือสนับสนุนการปฏิบัติงานของทหาร ตํารวจ และฝ่ายปกครอง เพื่อมุ่งป้องกัน และขจัดเงื่อนไขภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เป็นเรื่องที่มีความสําคัญและจําเป็นต้องเร่งจัดระบบให้มีกรอบการจัดหา และการบํารุงรักษาให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งเหล่าทัพและ กอ.รมน. เร่งจัดทําและปรับปรุงแผนงานที่เกี่ยวข้องให้สมบูรณ์ ทันสมัย เพื่อนําเสนอ คปต. พิจารณาต่อไป ขณะที่การใช้กล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความก้าวหน้าไปเป็นลําดับ โดยมอบหมายให้ กอ.รมน. และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เป็นหน่วยงานรับผิดชอบจัดทํารายละเอียดของแผนการซ่อมบํารุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ฯ และพิจารณาจัดทําแผน/ โครงการที่สําคัญเร่งด่วน โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการให้สอดคล้องกับแผนฯ เพื่อนําเสนอ คปต. พิจารณาในการประชมครั้งต่อไป ส่วนแผนการเสริมสร้างกองกําลังประจําถิ่นและกําลังประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 – 2564 ซึ่ง กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า ดําเนินการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เพื่อร่วมปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหาร และฝ่ายปกครองอย่างมีประสิทธิภาพ นั้น รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ สมช. ไปพิจารณาทบทวนแผนงานโครงการที่หน่วยดําเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์สอดคล้องกับแผนดังกล่าว รวมทั้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบริเริ่มจัดทําแผนงานโครงการใหม่ ๆ ภายใต้แผนงานฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ งานเสริมสร้างกองกําลังประจําถิ่นและกําลังประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ถือเป็นเรื่องที่มีความสําคัญ รวมถึงการจัดกําลังทหารพราน เป็นกําลังรับผิดชอบหลักในพื้นที่เสริมสร้างความมั่นคงและพื้นที่เศรษฐกิจให้เป็นไปตามแผนที่กําหนด ตลอดจนให้จัดกําลังตํารวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เจ้าหน้าที่ตํารวจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และดูแลพื้นที่ภายในให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย พร้อมขอบคุณกรรมการและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ได้ช่วยกันทํางานเพื่อส่วนรวมและความสงบสุขในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พลเอก ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เปิดเผยถึงผลการประชุม สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุม คปต. ได้รับทราบเรื่องสําคัญ โดยเฉพาะการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในรอบ 9 เดือน ที่ผ่านมา สรุปว่า เหตุการณ์รุนแรงลดลงมาโดยลําดับ เมื่อเทียบกับห้วงเดียวกันในปีที่แล้ว รวมทั้ง ได้มีวาระติดตามความก้าวหน้าการดําเนินการตามมติ คปต. หรือข้อสั่งการประธาน คปต. ได้แก่ การพัฒนาระบบประสานงานด้านการข่าว มาตรการเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยพื้นที่โครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” และการใช้ประโยชน์จากระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เร่งรัดซ่อมบํารุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ชํารุดให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบกรอบแผนซ่อมบํารุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า เสนอ โดยแผนซ่อมบํารุงกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ดังกล่าวเป็นแผนซ่อมบํารุงที่จะดําเนินการอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อเฝ้าระวังป้องการก่อเหตุร้ายเชิงรุกก่อนที่จะมีการก่อเหตุขึ้น อีกทั้ง ที่ประชุม คปต.ได้ เห็นชอบร่างแผนการเสริมสร้างกองกําลังประจําถิ่นและกําลังประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560 – 2564 ตามที่ กอ.รมน. เสนอ ซึ่งเป็นกรอบแผนดําเนินงานที่เกี่ยวข้องกับภารกิจความมั่นคงของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักระดับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจในมาตรการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น รวมทั้งได้เห็นชอบการขออนุมัติกรอบอัตรากําลังพนักงานมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพิ่มเติมของสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา และเห็นชอบโครงการสานฝันกีฬาสู่ระบบการศึกษาจังหวัดชายแดนใต้ เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนในพื้นที่มีโอกาสศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถือเป็นเรื่องสําคัญที่จะช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหา จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างยั่งยืน ------------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5648
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยนำทัพจัดโปรโมชั่นในงาน SET in the City
วันพุธที่ 22 มีนาคม 2560 กรุงไทยนําทัพจัดโปรโมชั่นในงาน SET in the City ธนาคารกรุงไทย นําผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน จัดโปรโมชั่นในงาน SET in the City 2017 สมัครกรุงไทย พร้อมเพย์ ดี ดี๊ ดี ฟรี X 3 รับดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษ สูงสุด 1.15% ต่อปี ฟรีค่าธรรมเนียมโอนเงิน ธนาคารกรุงไทย นําผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน จัดโปรโมชั่นในงาน SET in the City 2017 สมัครกรุงไทย พร้อมเพย์ ดี ดี๊ ดี ฟรี X 3 รับดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษ สูงสุด 1.15% ต่อปี ฟรีค่าธรรมเนียมโอนเงิน และใช้บริการ SMS Alert ฟรี นาน 6 เดือน พร้อมด้วยเงินฝาก KTB ZERO TAX MAX ดอกเบี้ยสูงสุด 2.95% ต่อปี รวมทั้งให้คําปรึกษาทางการเงินการลงทุน และรับของสมนาคุณจากบริษัทในเครือ นายลือชัย ชัยปริญญา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า งานมหกรรมการลงทุนครบวงจร ครั้งที่ 12 (SET in the City 2017) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 26 มีนาคม 2560 ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ธนาคารจะนําผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินไปให้บริการ ภายใต้แนวคิด Unblock the Limits ปลดล็อคทุกขีดจํากัด เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนยุคดิจิทัล โปรโมชั่นพิเศษภายในงาน ประกอบด้วย แคมเปญ กรุงไทย พร้อมเพย์ ดี ดี๊ ดี ฟรี X 3 รับดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษเพิ่ม 0.50% ต่อปี เป็นอัตรา 1% ต่อปี เมื่อทํารายการโอนเงินในระบบพร้อมเพย์ไปยังบุคคลอื่นอย่างน้อย 1 รายการ ในระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันที่สมัคร และรับดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.15% ต่อปี เป็นอัตรา 1.15 % ต่อปี เมื่อโอนเงินไปยังบุคคลอื่น หรือรับโอนเงินจากบุคคลอื่นภายในธนาคารเดียวกัน 10 รายการต่อเดือน ในระบบพร้อมเพย์ ฟรีค่าบริการนาน 6 เดือน เมื่อสมัครใช้บริการ SMS Alert และชําระค่าบริการเดือนแรก และฟรีค่าธรรมเนียมโอนเงินทุกวงเงินทั่วประเทศ เมื่อโอนไปยังผู้ใช้กรุงไทย พร้อมเพย์ นอกจากนี้ ยังมี เงินฝากประจําปลอดภาษี KTB ZERO TAX MAX ฝากเท่ากันทุกเดือน 1,000 – 25,000 บาท เลือกฝากได้ 24 เดือน 36 เดือน และ 48 เดือน อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 2.95% ต่อปี เปิดบัญชีเงินฝากประจําตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป รับฟรี Antigravity Tumbler เปิดบัญชีตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป รับฟรี Super Power Bank สําหรับลูกค้าที่สนใจด้านการลงทุน ธนาคารได้เตรียมแพคเกจที่เหมาะสมกับลูกค้าทุกกลุ่ม ประกอบด้วย กองทุน KT-STPLUS สําหรับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มต้นลงทุน เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก กองทุน KT-FINANCE และกองทุน KT-MSEQ สําหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความรู้ด้านการลงทุนและต้องการสร้างความมั่งคั่ง เป็นกองทุนที่ได้รับผลบวกจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ กองทุน KTEF-LTF และกองทุน KTSE-RMF สามารถนําไปลดหย่อนภาษี กองทุน KT-SE สําหรับลูกค้าที่ต้องการรายได้สม่ําเสมอ มีประวัติการจ่ายเงินปันผลดี ด้าน บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จัดคาราวานตรวจสุขภาพฟรี ส่วน บมจ.หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย (KTAM) จัดโปรโมชั่นซื้อกองทุนตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป รับกระเป๋า G2000 Pouch Bag สําหรับ บล.เคที ซีมิโก้ (KT ZMICO) มอบ Set Notepad KTZ เมื่อเปิดบัญชีภายในงาน ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร.0-2208-4174-7 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยนำทัพจัดโปรโมชั่นในงาน SET in the City วันพุธที่ 22 มีนาคม 2560 กรุงไทยนําทัพจัดโปรโมชั่นในงาน SET in the City ธนาคารกรุงไทย นําผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน จัดโปรโมชั่นในงาน SET in the City 2017 สมัครกรุงไทย พร้อมเพย์ ดี ดี๊ ดี ฟรี X 3 รับดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษ สูงสุด 1.15% ต่อปี ฟรีค่าธรรมเนียมโอนเงิน ธนาคารกรุงไทย นําผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน จัดโปรโมชั่นในงาน SET in the City 2017 สมัครกรุงไทย พร้อมเพย์ ดี ดี๊ ดี ฟรี X 3 รับดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษ สูงสุด 1.15% ต่อปี ฟรีค่าธรรมเนียมโอนเงิน และใช้บริการ SMS Alert ฟรี นาน 6 เดือน พร้อมด้วยเงินฝาก KTB ZERO TAX MAX ดอกเบี้ยสูงสุด 2.95% ต่อปี รวมทั้งให้คําปรึกษาทางการเงินการลงทุน และรับของสมนาคุณจากบริษัทในเครือ นายลือชัย ชัยปริญญา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า งานมหกรรมการลงทุนครบวงจร ครั้งที่ 12 (SET in the City 2017) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 26 มีนาคม 2560 ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ธนาคารจะนําผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินไปให้บริการ ภายใต้แนวคิด Unblock the Limits ปลดล็อคทุกขีดจํากัด เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนยุคดิจิทัล โปรโมชั่นพิเศษภายในงาน ประกอบด้วย แคมเปญ กรุงไทย พร้อมเพย์ ดี ดี๊ ดี ฟรี X 3 รับดอกเบี้ยออมทรัพย์พิเศษเพิ่ม 0.50% ต่อปี เป็นอัตรา 1% ต่อปี เมื่อทํารายการโอนเงินในระบบพร้อมเพย์ไปยังบุคคลอื่นอย่างน้อย 1 รายการ ในระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันที่สมัคร และรับดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.15% ต่อปี เป็นอัตรา 1.15 % ต่อปี เมื่อโอนเงินไปยังบุคคลอื่น หรือรับโอนเงินจากบุคคลอื่นภายในธนาคารเดียวกัน 10 รายการต่อเดือน ในระบบพร้อมเพย์ ฟรีค่าบริการนาน 6 เดือน เมื่อสมัครใช้บริการ SMS Alert และชําระค่าบริการเดือนแรก และฟรีค่าธรรมเนียมโอนเงินทุกวงเงินทั่วประเทศ เมื่อโอนไปยังผู้ใช้กรุงไทย พร้อมเพย์ นอกจากนี้ ยังมี เงินฝากประจําปลอดภาษี KTB ZERO TAX MAX ฝากเท่ากันทุกเดือน 1,000 – 25,000 บาท เลือกฝากได้ 24 เดือน 36 เดือน และ 48 เดือน อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 2.95% ต่อปี เปิดบัญชีเงินฝากประจําตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป รับฟรี Antigravity Tumbler เปิดบัญชีตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป รับฟรี Super Power Bank สําหรับลูกค้าที่สนใจด้านการลงทุน ธนาคารได้เตรียมแพคเกจที่เหมาะสมกับลูกค้าทุกกลุ่ม ประกอบด้วย กองทุน KT-STPLUS สําหรับกลุ่มลูกค้าที่เริ่มต้นลงทุน เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก กองทุน KT-FINANCE และกองทุน KT-MSEQ สําหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความรู้ด้านการลงทุนและต้องการสร้างความมั่งคั่ง เป็นกองทุนที่ได้รับผลบวกจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ กองทุน KTEF-LTF และกองทุน KTSE-RMF สามารถนําไปลดหย่อนภาษี กองทุน KT-SE สําหรับลูกค้าที่ต้องการรายได้สม่ําเสมอ มีประวัติการจ่ายเงินปันผลดี ด้าน บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จัดคาราวานตรวจสุขภาพฟรี ส่วน บมจ.หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย (KTAM) จัดโปรโมชั่นซื้อกองทุนตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป รับกระเป๋า G2000 Pouch Bag สําหรับ บล.เคที ซีมิโก้ (KT ZMICO) มอบ Set Notepad KTZ เมื่อเปิดบัญชีภายในงาน ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร.0-2208-4174-7 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2579
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ. ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ติดตามโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 รมว.ศธ. ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ติดตามโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย นพ.ธีระ​เกียรติ​ เจริญ​เศรษฐศิลป์​ รัฐมนตรีว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ ลงพื้นที่ติดตามผลการดําเนินงานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ของโรงเรียนบ้านรวมมิตร และโรงเรียนวิทยาศาสตร์ จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย ​ซึ่งเป็นโรงเรียนพี่เลี้ยง อําเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย -นพ.ธีระ​เกียรติ​ เจริญ​เศรษฐศิลป์​ รัฐมนตรีว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ พร้อมด้วยนายบุญรักษ์​ ยอด​เพชร​ เลขาธิการ​คณะกรรมการ​การศึกษา​ขั้นพื้นฐาน ลงพื้นที่ติดตามผลการดําเนินงานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ของโรงเรียนบ้านรวมมิตร และโรงเรียนวิทยาศาสตร์ จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย ​ซึ่งเป็นโรงเรียนพี่เลี้ยงเมื่อวันศุกร์ ที่​ 1 กุมภาพันธ์​ 2562โดยมีสาระสําคัญสรุป ดังนี้ โรงเรียนบ้านรวมมิตรได้เข้าร่วมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย เมื่อปี 2557เป็นโครงการที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดําริให้เริ่มดําเนินการนําร่องในประเทศไทย ด้วยแนวคิดโครงการบ้านบัณฑิตน้อยของประเทศเยอรมนี เน้นพัฒนา​ครูและบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ในระดับปฐมวัย ส่งผลให้นักเรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข มีความสามารถทางวิทยาศาสตร์ และมีการพัฒนา​ตามวัยอย่างเต็มศักยภาพตลอดจนโรงเรียนผ่านการประเมิน และสามารถจัดการศึกษาตามโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยไปจนถึงปีการศึกษา 2563 ทั้งนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เยี่ยมชมกิจกรรมการเรียนการสอน "หนูน้อยนักวิทยาศาสตร์" ของโรงเรียนบ้านรวมมิตร อาทิ การทดลองเพาะสับปะรดจากหัวจุก, น้ําหมักจากเปลือกสับปะรด, โครงการขี้ช้างมีดีกว่าที่คิด, การศึกษาแหล่งเรียนรู้ในชุมชนของนักเรียน เป็นต้น ซึ่งเป็นการจัดการเรียนการสอนผ่านกระบวนการตั้งคําถาม ตั้งสมมติฐาน ลงมือทดลอง รับฟังความคิดเห็นของเพื่อน และสรุปผลการทดลอง โรงเรียนวิทยาศาสตร์ จุฬาภรณราช​วิทยาลัย เชียงรายเป็นโรงเรียนพี่เลี้ยง​ และมีการขยายผลกิจกรรมบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยไปยังโรงเรียนเครือข่ายร่วมพัฒนาคุณภาพประถมศึกษา​ด้วยการบูรณาการกิจกรรมบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทยในระดับประถมศึกษา ​เข้ากับการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ มาตรฐาน และตัวชี้วัดวิชาวิทยาศาสตร์​และคณิตศาสตร์​ รวมทั้งพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนให้สามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งหวังให้วิทยาศาสตร์​เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนในประเทศไทยอย่างยั่งยืน สนับสนุนให้ครูและผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนผ่านกิจกรรมการทดลองแบบ Hands-on เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์​และวิศวกร​ที่มีคุณภาพ สําหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วม อาทิ นายนพรัตน์ อู่ทอง ศึกษาธิการ​จังหวัด​เชียงราย, นายมนต์ชัย ปาณธูป ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา​ เขต 36, นายสมบูรณ์ ธรรมลังกา ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา​ประถมศึกษาเชียงราย เขต 1, นายจรัญ แจ้งมณี ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา​ประถมศึกษาเชียงราย เขต 2, นายเมธ ปรางค์แสงวิไล รักษาราชการแทนผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา​ประถมศึกษาเชียงราย เขต 3, นายเทิดชาติ ชัยพงษ์ ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา​ประถมศึกษาเชียงราย เขต 4, ผู้บริหารสถานศึกษา​ คณะครู และนักเรียน ให้การต้อนรับและร่วมติดตามผลการดําเนินงาน Written byอรพรรณ​ ฤทธิ์มั่น Photo Creditยุทธพงศ์​ เลือก​กลั่น​ดี Rewriterนวรัตน์​ ราม​สูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ. ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ติดตามโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 รมว.ศธ. ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ติดตามโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย นพ.ธีระ​เกียรติ​ เจริญ​เศรษฐศิลป์​ รัฐมนตรีว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ ลงพื้นที่ติดตามผลการดําเนินงานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ของโรงเรียนบ้านรวมมิตร และโรงเรียนวิทยาศาสตร์ จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย ​ซึ่งเป็นโรงเรียนพี่เลี้ยง อําเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย -นพ.ธีระ​เกียรติ​ เจริญ​เศรษฐศิลป์​ รัฐมนตรีว่าการ​กระทรวง​ศึกษาธิการ​ พร้อมด้วยนายบุญรักษ์​ ยอด​เพชร​ เลขาธิการ​คณะกรรมการ​การศึกษา​ขั้นพื้นฐาน ลงพื้นที่ติดตามผลการดําเนินงานโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ของโรงเรียนบ้านรวมมิตร และโรงเรียนวิทยาศาสตร์ จุฬาภรณราชวิทยาลัย เชียงราย ​ซึ่งเป็นโรงเรียนพี่เลี้ยงเมื่อวันศุกร์ ที่​ 1 กุมภาพันธ์​ 2562โดยมีสาระสําคัญสรุป ดังนี้ โรงเรียนบ้านรวมมิตรได้เข้าร่วมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย เมื่อปี 2557เป็นโครงการที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดําริให้เริ่มดําเนินการนําร่องในประเทศไทย ด้วยแนวคิดโครงการบ้านบัณฑิตน้อยของประเทศเยอรมนี เน้นพัฒนา​ครูและบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ในระดับปฐมวัย ส่งผลให้นักเรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข มีความสามารถทางวิทยาศาสตร์ และมีการพัฒนา​ตามวัยอย่างเต็มศักยภาพตลอดจนโรงเรียนผ่านการประเมิน และสามารถจัดการศึกษาตามโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยไปจนถึงปีการศึกษา 2563 ทั้งนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เยี่ยมชมกิจกรรมการเรียนการสอน "หนูน้อยนักวิทยาศาสตร์" ของโรงเรียนบ้านรวมมิตร อาทิ การทดลองเพาะสับปะรดจากหัวจุก, น้ําหมักจากเปลือกสับปะรด, โครงการขี้ช้างมีดีกว่าที่คิด, การศึกษาแหล่งเรียนรู้ในชุมชนของนักเรียน เป็นต้น ซึ่งเป็นการจัดการเรียนการสอนผ่านกระบวนการตั้งคําถาม ตั้งสมมติฐาน ลงมือทดลอง รับฟังความคิดเห็นของเพื่อน และสรุปผลการทดลอง โรงเรียนวิทยาศาสตร์ จุฬาภรณราช​วิทยาลัย เชียงรายเป็นโรงเรียนพี่เลี้ยง​ และมีการขยายผลกิจกรรมบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยไปยังโรงเรียนเครือข่ายร่วมพัฒนาคุณภาพประถมศึกษา​ด้วยการบูรณาการกิจกรรมบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยประเทศไทยในระดับประถมศึกษา ​เข้ากับการจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ มาตรฐาน และตัวชี้วัดวิชาวิทยาศาสตร์​และคณิตศาสตร์​ รวมทั้งพัฒนาศักยภาพครูผู้สอนให้สามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งหวังให้วิทยาศาสตร์​เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนในประเทศไทยอย่างยั่งยืน สนับสนุนให้ครูและผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนผ่านกิจกรรมการทดลองแบบ Hands-on เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์​และวิศวกร​ที่มีคุณภาพ สําหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วม อาทิ นายนพรัตน์ อู่ทอง ศึกษาธิการ​จังหวัด​เชียงราย, นายมนต์ชัย ปาณธูป ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา​ เขต 36, นายสมบูรณ์ ธรรมลังกา ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา​ประถมศึกษาเชียงราย เขต 1, นายจรัญ แจ้งมณี ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา​ประถมศึกษาเชียงราย เขต 2, นายเมธ ปรางค์แสงวิไล รักษาราชการแทนผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา​ประถมศึกษาเชียงราย เขต 3, นายเทิดชาติ ชัยพงษ์ ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา​ประถมศึกษาเชียงราย เขต 4, ผู้บริหารสถานศึกษา​ คณะครู และนักเรียน ให้การต้อนรับและร่วมติดตามผลการดําเนินงาน Written byอรพรรณ​ ฤทธิ์มั่น Photo Creditยุทธพงศ์​ เลือก​กลั่น​ดี Rewriterนวรัตน์​ ราม​สูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18558
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตฯ ผนึก UNIDO และภาคี มอบรางวัล GCIP Thailand Awards 2019 ขยายผลพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด สร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรม
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563 กระทรวงอุตฯ ผนึก UNIDO และภาคี มอบรางวัล GCIP Thailand Awards 2019 ขยายผลพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด สร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึก UNIDO และภาคี มอบรางวัล GCIP Thailand Awards 2019 ขยายผลพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด สร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรม ​กรุงเทพฯ 7 สิงหาคม 2563 - กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNIDO พร้อมด้วยเครือข่าย 7 องค์กร มอบรางวัล GCIP Thailand Awards 2019 เพื่อเป็นต้นแบบการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาดในภาคอุตสาหกรรม พร้อมขยายเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ตลอดจนเกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบครบวงจร จนสามารถสร้างความยั่งยืนทางพลังงาน และเทคโนโลยีสะอาด สร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรม ​​นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีภารกิจหน้าที่หลักในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาอุตสาหกรรมให้ผู้ประกอบการดําเนินการให้สามารถอยู่ร่วมกับสังคมและชุมชน ตามนโยบายของ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมี กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนภารกิจ เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดโลก ตลอดจนเกิดองค์ความรู้ในการดําเนินการต่าง ๆ จึงได้ร่วมมือกับ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ดําเนินโครงการ GEF UNIDO Cleantech Programme For SMEs in Thailand ส่งเสริมพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology) ให้แก่ ผู้ประกอบการ SMEs และ Start-ups ของไทย ในการเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านการทําธุรกิจ การสร้างเครือข่ายกับนักธุรกิจด้วยกัน มีโอกาสเชื่อมโยงไปยัง สถาบันการเงิน และการต่อยอดด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม สามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เกิดเป็น Cleantech Innovation Ecosystem สร้างโอกาสทางการค้ามากขึ้น นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และในฐานะประธานคณะกรรมการกํากับและดูแลโครงการ Cleantech Promotion Programme for SMEs in Thailand ระบุว่า กสอ. ดําเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 พ.ศ. 2560 และ พ.ศ. 2562 เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในการพัฒนาด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาดทั้ง 6 สาขา ได้แก่ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency) การใช้น้ําอย่างมีประสิทธิภาพ (Water Efficiency) การใช้ของเสียเป็นพลังงาน (Waste to Benefits) พลังงานทดแทน (Renewable Energy) อาคารสีเขียว (Green Building) และการขนส่ง (Transportation) ​ ทั้งนี้ การจัดประกวดผลงานนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด ในปี 2562 ได้รับความสนใจ เป็นจํานวนมาก ผลการประกวดมีผู้ได้รับรางวัลจํานวน 4 ทีม ประกอบด้วย • รางวัลชนะเลิศ ทีม ธาอีส อีโคเลทเธอร์ ใช้กระบวนการ New Eco-Material Solution หรือ กระบวนการรีไซเคิลขยะเศษหนังขึ้นมา เป็นวัสดุใหม่ที่มีสีสันและลวดลายของหนังแต่ละแผ่น ที่ไม่เหมือนกัน เป็นเอกลักษณ์แบบ "one-of-a-kind" หรือมีชิ้นเดียวในโลก เป็นงานศิลปะ ที่มีคุณค่า สร้างสีสันให้กับวัสดุที่สวยงาม สามารถช่วยกําจัดขยะเศษหนังลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้มากถึง 10 ตันต่อปี • รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ทีมทีไออี สมาร์ทโซลูชั่น พัฒนานวัตกรรม AI Energy platform หรือ ระบบการตรวจสอบการใช้พลังอัตโนมัติ เกิดขึ้นจากการเก็บข้อมูล หรือ Big Data เพื่อวินิจฉัยความผิดพลาดที่เกิดจากการทํางานของระบบปรับอากาศที่ไม่เหมาะสม ซึ่งทําให้อุปกรณ์ปรับอากาศเสื่อมสภาพ ส่งผลให้เกิดารสูญเสียพลังงานงานโดยเปล่าประโยชน์ นวัตกรรมฯนี้ ช่วยให้ผู้ดูแลอาคารทราบถึงสาเหตุของปัญหา และสามารถดําเนินการควบคุมคุณภาพอากาศได้อย่างเหมาะสม • รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ทีมออร์ก้าฟีด ใช้วิธีการกําจัดขยะที่เกิดจากเศษอาหารหรือ ของเหลือจากอุตสาหกรรมอาหาร โดยใช้แมลงวันลายเข้ามากินเศษอาหาร และแปรรูปแมลง ให้กลายเป็นผงโปรตีนคุณภาพดี เพื่อส่งต่อให้กับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งโปรตีนในแมลงวันลายมีมากกว่าโปรตีนจากเนื้อวัวถึง 10 เท่า ดังนั้น การใช้แมลงเข้ามาเพิ่มมูลค่าให้กับขยะเหลือทิ้งจากภาคอุตสาหกรรม หรือ upcycle จากขยะเหลือทิ้ง 1 ตัน สามารถผลิตเป็นอาหารสัตว์มูลค่ากว่า 4 แสนบาท ถือเป็นการใช้วัตถุดิบที่จํากัดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด • รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 3 ทีมเอ็นเนอร์ยี่ รีโวลูชั่น นําระบบกังหันน้ํา หรือ Hydro Turbine มาใช้ทดแทนการทํางานของมอเตอร์ชุดขับใบพัดระบายความร้อนในระบบหอหล่อเย็น (Cooling Tower) ในภาคอุตสาหกรรม ช่วยให้ประหยัดการใช้ไฟฟ้าต่อชั่วโมงการทํางานของระบบทําความเย็นของอาคารได้ถึง 100 – 150 กิโลวัตต์/หอหล่อเย็นใน กรณีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ สามารถประหยัดได้มากกว่า 500 กิโลวัตต์ หรือคิดเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 15 ล้านบาทต่อปี ​อย่างไรก็ดี จากความร่วมมือของหน่วยงานพันธมิตรที่ได้ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้และข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนกับสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในการพัฒนาต่อยอดเชิงธุรกิจ เกิดการขยายเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ตลอดจนเกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบครบวงจร จนสามารถสร้างความยั่งยืนทางพลังงาน และเทคโนโลยีสะอาด สร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) นําไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้เติบโตบนพื้นฐานความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่อุปทานได้อย่างยั่งยืนต่อไป นายภาสกร กล่าวทิ้งท้าย ​โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) และ 7 หน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D BANK) สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดพิธีปิดโครงการและแถลงผลความสําเร็จในการส่งเสริมพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology) ให้แก่ ผู้ประกอบการ SMEs และ Start-ups ของไทย ภายใต้โครงการ GEF UNIDO Cleantech Programme for SMEs ณ ห้อง Ballroom โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ สอบถามข้อมูลได้ที่ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2202 4417-18 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.facebook.com/dipindustry และ www.dip.go.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตฯ ผนึก UNIDO และภาคี มอบรางวัล GCIP Thailand Awards 2019 ขยายผลพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด สร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรม วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563 กระทรวงอุตฯ ผนึก UNIDO และภาคี มอบรางวัล GCIP Thailand Awards 2019 ขยายผลพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด สร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึก UNIDO และภาคี มอบรางวัล GCIP Thailand Awards 2019 ขยายผลพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด สร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรม ​กรุงเทพฯ 7 สิงหาคม 2563 - กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNIDO พร้อมด้วยเครือข่าย 7 องค์กร มอบรางวัล GCIP Thailand Awards 2019 เพื่อเป็นต้นแบบการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาดในภาคอุตสาหกรรม พร้อมขยายเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ตลอดจนเกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบครบวงจร จนสามารถสร้างความยั่งยืนทางพลังงาน และเทคโนโลยีสะอาด สร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรม ​​นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มีภารกิจหน้าที่หลักในการส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาอุตสาหกรรมให้ผู้ประกอบการดําเนินการให้สามารถอยู่ร่วมกับสังคมและชุมชน ตามนโยบายของ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยมี กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนภารกิจ เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาดโลก ตลอดจนเกิดองค์ความรู้ในการดําเนินการต่าง ๆ จึงได้ร่วมมือกับ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ดําเนินโครงการ GEF UNIDO Cleantech Programme For SMEs in Thailand ส่งเสริมพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology) ให้แก่ ผู้ประกอบการ SMEs และ Start-ups ของไทย ในการเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านการทําธุรกิจ การสร้างเครือข่ายกับนักธุรกิจด้วยกัน มีโอกาสเชื่อมโยงไปยัง สถาบันการเงิน และการต่อยอดด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม สามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เกิดเป็น Cleantech Innovation Ecosystem สร้างโอกาสทางการค้ามากขึ้น นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และในฐานะประธานคณะกรรมการกํากับและดูแลโครงการ Cleantech Promotion Programme for SMEs in Thailand ระบุว่า กสอ. ดําเนินโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 พ.ศ. 2560 และ พ.ศ. 2562 เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ในการพัฒนาด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาดทั้ง 6 สาขา ได้แก่ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency) การใช้น้ําอย่างมีประสิทธิภาพ (Water Efficiency) การใช้ของเสียเป็นพลังงาน (Waste to Benefits) พลังงานทดแทน (Renewable Energy) อาคารสีเขียว (Green Building) และการขนส่ง (Transportation) ​ ทั้งนี้ การจัดประกวดผลงานนวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด ในปี 2562 ได้รับความสนใจ เป็นจํานวนมาก ผลการประกวดมีผู้ได้รับรางวัลจํานวน 4 ทีม ประกอบด้วย • รางวัลชนะเลิศ ทีม ธาอีส อีโคเลทเธอร์ ใช้กระบวนการ New Eco-Material Solution หรือ กระบวนการรีไซเคิลขยะเศษหนังขึ้นมา เป็นวัสดุใหม่ที่มีสีสันและลวดลายของหนังแต่ละแผ่น ที่ไม่เหมือนกัน เป็นเอกลักษณ์แบบ "one-of-a-kind" หรือมีชิ้นเดียวในโลก เป็นงานศิลปะ ที่มีคุณค่า สร้างสีสันให้กับวัสดุที่สวยงาม สามารถช่วยกําจัดขยะเศษหนังลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้มากถึง 10 ตันต่อปี • รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 ทีมทีไออี สมาร์ทโซลูชั่น พัฒนานวัตกรรม AI Energy platform หรือ ระบบการตรวจสอบการใช้พลังอัตโนมัติ เกิดขึ้นจากการเก็บข้อมูล หรือ Big Data เพื่อวินิจฉัยความผิดพลาดที่เกิดจากการทํางานของระบบปรับอากาศที่ไม่เหมาะสม ซึ่งทําให้อุปกรณ์ปรับอากาศเสื่อมสภาพ ส่งผลให้เกิดารสูญเสียพลังงานงานโดยเปล่าประโยชน์ นวัตกรรมฯนี้ ช่วยให้ผู้ดูแลอาคารทราบถึงสาเหตุของปัญหา และสามารถดําเนินการควบคุมคุณภาพอากาศได้อย่างเหมาะสม • รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 ทีมออร์ก้าฟีด ใช้วิธีการกําจัดขยะที่เกิดจากเศษอาหารหรือ ของเหลือจากอุตสาหกรรมอาหาร โดยใช้แมลงวันลายเข้ามากินเศษอาหาร และแปรรูปแมลง ให้กลายเป็นผงโปรตีนคุณภาพดี เพื่อส่งต่อให้กับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งโปรตีนในแมลงวันลายมีมากกว่าโปรตีนจากเนื้อวัวถึง 10 เท่า ดังนั้น การใช้แมลงเข้ามาเพิ่มมูลค่าให้กับขยะเหลือทิ้งจากภาคอุตสาหกรรม หรือ upcycle จากขยะเหลือทิ้ง 1 ตัน สามารถผลิตเป็นอาหารสัตว์มูลค่ากว่า 4 แสนบาท ถือเป็นการใช้วัตถุดิบที่จํากัดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด • รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 3 ทีมเอ็นเนอร์ยี่ รีโวลูชั่น นําระบบกังหันน้ํา หรือ Hydro Turbine มาใช้ทดแทนการทํางานของมอเตอร์ชุดขับใบพัดระบายความร้อนในระบบหอหล่อเย็น (Cooling Tower) ในภาคอุตสาหกรรม ช่วยให้ประหยัดการใช้ไฟฟ้าต่อชั่วโมงการทํางานของระบบทําความเย็นของอาคารได้ถึง 100 – 150 กิโลวัตต์/หอหล่อเย็นใน กรณีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ สามารถประหยัดได้มากกว่า 500 กิโลวัตต์ หรือคิดเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ 15 ล้านบาทต่อปี ​อย่างไรก็ดี จากความร่วมมือของหน่วยงานพันธมิตรที่ได้ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้และข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนกับสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในการพัฒนาต่อยอดเชิงธุรกิจ เกิดการขยายเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ตลอดจนเกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมแบบครบวงจร จนสามารถสร้างความยั่งยืนทางพลังงาน และเทคโนโลยีสะอาด สร้างระบบนิเวศน์แห่งนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) นําไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมของประเทศให้เติบโตบนพื้นฐานความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่อุปทานได้อย่างยั่งยืนต่อไป นายภาสกร กล่าวทิ้งท้าย ​โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับ องค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) และ 7 หน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D BANK) สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดพิธีปิดโครงการและแถลงผลความสําเร็จในการส่งเสริมพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสะอาด (Clean Technology) ให้แก่ ผู้ประกอบการ SMEs และ Start-ups ของไทย ภายใต้โครงการ GEF UNIDO Cleantech Programme for SMEs ณ ห้อง Ballroom โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ สอบถามข้อมูลได้ที่ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทรศัพท์ 0 2202 4417-18 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.facebook.com/dipindustry และ www.dip.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34076
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลาง รับสมัครร้านค้าชิมช้อปใช้ เฟส 2 ถึง 31 ธ.ค.62 พร้อมเสริมทัพทีมหมอคลังลงพื้นที่สร้างความเข้าใจการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet 2 ให้กับร้านค้าทั่วประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562 กรมบัญชีกลาง รับสมัครร้านค้าชิมช้อปใช้ เฟส 2 ถึง 31 ธ.ค.62 พร้อมเสริมทัพทีมหมอคลังลงพื้นที่สร้างความเข้าใจการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet 2 ให้กับร้านค้าทั่วประเทศ กรมบัญชีกลางเดินหน้ารับสมัครลงทะเบียนผู้ประกอบการร้านค้า เข้าร่วมมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ระยะที่ 2 ถึง 31 ธ.ค. 62 เน้นกระจายไปยังกลุ่มธุรกิจโรงแรมและทัวร์ท่องเที่ยว เผยร้านค้าเดิมที่เคยลงทะเบียนแล้ว สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ต่อเนื่อง กรมบัญชีกลางเดินหน้ารับสมัครลงทะเบียนผู้ประกอบการร้านค้า เข้าร่วมมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ระยะที่ 2 ถึง 31 ธ.ค. 62 เน้นกระจายไปยังกลุ่มธุรกิจโรงแรมและทัวร์ท่องเที่ยว เผยร้านค้าเดิมที่เคยลงทะเบียนแล้ว สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ต่อเนื่อง เสริมทัพทีมหมอคลังลงพื้นที่ร่วมกับสรรพากรพื้นที่และ ธ.กรุงไทย ชี้แจงสร้างความเข้าใจเรื่องภาษีกับร้านค้าและประชาสัมพันธ์กระตุ้นการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet 2 นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ระยะที่ 2 ไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.62 และขณะนี้กรมบัญชีกลางได้เปิดรับลงทะเบียนผู้ประกอบการร้านค้าเข้าร่วมมาตรการต่อเนื่องไปถึงวันที่ 31 ธ.ค. 62 ณ ห้องโถงชั้น 1 กรมบัญชีกลาง และที่สํานักงานคลังจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเน้นขยายผลให้มีกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้นและครบวงจรสําหรับการเดินทางท่องเที่ยว เช่น โรงแรม แพ็คเกจทัวร์ และรถเช่า เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการร้านค้าที่จะสมัครเข้าร่วมมาตรการขอให้จัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ชัดเจน เช่น สถานที่จําหน่ายสินค้า ต้องมีหลักแหล่งแน่นอน เพื่อป้องกันมิให้มีผู้ที่เข้ามาหาผลประโยชน์จากมาตรการนี้ ชื่อและที่อยู่ผู้ประกอบการ/สถานประกอบการ จะต้องถูกต้องและตรงกับเอกสารการจดทะเบียนพาณิชย์หรือเอกสารจดทะเบียนการค้า รวมทั้งเอกสารการประกอบกิจการต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานราชการเรียบร้อยแล้ว เป็นต้น ส่วนร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการตั้งแต่ระยะที่ 1 ซึ่งมีจํานวนกว่า 177,655 ร้านค้า สามารถเข้าร่วมมาตรการในระยะที่ 2 ได้ต่อเนื่อง โดยไม่ต้องมาลงทะเบียนใหม่ “มาตรการ ชิมช้อปใช้ ในระยะที่ 2 นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งส่งเสริมการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ในกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพในการเดินทางและการใช้จ่าย ซึ่งจะทําให้มีการกระจายการใช้จ่ายไปยังเศรษฐกิจฐานราก ทําให้ชุมชนได้รับประโยชน์มากขึ้น โดยขณะนี้กรมบัญชีกลางได้ขอความร่วมมือไปยังสํานักงานคลังจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ ให้ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการ ในเรื่องการใช้จ่ายเงินผ่าน g-Wallet 2 เพื่อลดความกังวลเกี่ยวกับภาษีของผู้ประกอบการ โดยมีสรรพากรพื้นที่และธนาคารกรุงไทยร่วมดําเนินการดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะทําให้ร้านค้ามีความมั่นใจในเรื่องของการรับเงินจากกระเป๋าเงิน g-Wallet 2 มากขึ้น” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมในตอนท้ายว่า สําหรับประชาชนที่ได้รับสิทธิ์ชิมช้อปใช้ ในระยะที่ 2 แล้วนอกจากจะได้รับวงเงินสนับสนุน 1,000 บาท สําหรับการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet 1 และเงินชดเชยร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท จากเงินของประชาชนเองผ่าน g-Wallet 2 (เงินชดเชยไม่เกิน 4,500 บาท) เช่นเดียวกับ ชิมช้อปใช้ ระยะที่ 1 แล้ว ยังจะได้รับสิทธิ์เงินชดเชยร้อยละ 20 ของยอดใช้จ่ายในส่วนที่เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท (เงินชดเชย ไม่เกิน 4,000 บาท) โดยสามารถเติมเงินเพื่อใช้จ่ายผ่าน g-Wallet 2 ได้ทั้งร้านชิมช้อปใช้และร้านค้าทั่วไปในทุกจังหวัด ยกเว้นเพียงจังหวัดตามทะเบียนบ้านของตนเท่านั้น ส่วนการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet 2 สามารถเติมเงินได้ง่ายและสะดวก โดยนอกจากจะเติมเงินผ่านการสแกน QR Code ของทุกธนาคาร หรือกรอกตัวเลข g-Wallet 15 หลักผ่าน mobile banking ของธนาคารต่าง ๆ แล้ว ยังสามารถเติมเงินเข้า g-Wallet 2 ผ่านเครื่อง ATM ได้อีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลาง รับสมัครร้านค้าชิมช้อปใช้ เฟส 2 ถึง 31 ธ.ค.62 พร้อมเสริมทัพทีมหมอคลังลงพื้นที่สร้างความเข้าใจการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet 2 ให้กับร้านค้าทั่วประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562 กรมบัญชีกลาง รับสมัครร้านค้าชิมช้อปใช้ เฟส 2 ถึง 31 ธ.ค.62 พร้อมเสริมทัพทีมหมอคลังลงพื้นที่สร้างความเข้าใจการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet 2 ให้กับร้านค้าทั่วประเทศ กรมบัญชีกลางเดินหน้ารับสมัครลงทะเบียนผู้ประกอบการร้านค้า เข้าร่วมมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ระยะที่ 2 ถึง 31 ธ.ค. 62 เน้นกระจายไปยังกลุ่มธุรกิจโรงแรมและทัวร์ท่องเที่ยว เผยร้านค้าเดิมที่เคยลงทะเบียนแล้ว สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ต่อเนื่อง กรมบัญชีกลางเดินหน้ารับสมัครลงทะเบียนผู้ประกอบการร้านค้า เข้าร่วมมาตรการ “ชิมช้อปใช้” ระยะที่ 2 ถึง 31 ธ.ค. 62 เน้นกระจายไปยังกลุ่มธุรกิจโรงแรมและทัวร์ท่องเที่ยว เผยร้านค้าเดิมที่เคยลงทะเบียนแล้ว สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ต่อเนื่อง เสริมทัพทีมหมอคลังลงพื้นที่ร่วมกับสรรพากรพื้นที่และ ธ.กรุงไทย ชี้แจงสร้างความเข้าใจเรื่องภาษีกับร้านค้าและประชาสัมพันธ์กระตุ้นการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet 2 นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ระยะที่ 2 ไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.62 และขณะนี้กรมบัญชีกลางได้เปิดรับลงทะเบียนผู้ประกอบการร้านค้าเข้าร่วมมาตรการต่อเนื่องไปถึงวันที่ 31 ธ.ค. 62 ณ ห้องโถงชั้น 1 กรมบัญชีกลาง และที่สํานักงานคลังจังหวัดทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยเน้นขยายผลให้มีกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้นและครบวงจรสําหรับการเดินทางท่องเที่ยว เช่น โรงแรม แพ็คเกจทัวร์ และรถเช่า เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ประกอบการร้านค้าที่จะสมัครเข้าร่วมมาตรการขอให้จัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ชัดเจน เช่น สถานที่จําหน่ายสินค้า ต้องมีหลักแหล่งแน่นอน เพื่อป้องกันมิให้มีผู้ที่เข้ามาหาผลประโยชน์จากมาตรการนี้ ชื่อและที่อยู่ผู้ประกอบการ/สถานประกอบการ จะต้องถูกต้องและตรงกับเอกสารการจดทะเบียนพาณิชย์หรือเอกสารจดทะเบียนการค้า รวมทั้งเอกสารการประกอบกิจการต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานราชการเรียบร้อยแล้ว เป็นต้น ส่วนร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการตั้งแต่ระยะที่ 1 ซึ่งมีจํานวนกว่า 177,655 ร้านค้า สามารถเข้าร่วมมาตรการในระยะที่ 2 ได้ต่อเนื่อง โดยไม่ต้องมาลงทะเบียนใหม่ “มาตรการ ชิมช้อปใช้ ในระยะที่ 2 นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งส่งเสริมการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet ในกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพในการเดินทางและการใช้จ่าย ซึ่งจะทําให้มีการกระจายการใช้จ่ายไปยังเศรษฐกิจฐานราก ทําให้ชุมชนได้รับประโยชน์มากขึ้น โดยขณะนี้กรมบัญชีกลางได้ขอความร่วมมือไปยังสํานักงานคลังจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ ให้ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์ เสริมสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมมาตรการ ในเรื่องการใช้จ่ายเงินผ่าน g-Wallet 2 เพื่อลดความกังวลเกี่ยวกับภาษีของผู้ประกอบการ โดยมีสรรพากรพื้นที่และธนาคารกรุงไทยร่วมดําเนินการดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะทําให้ร้านค้ามีความมั่นใจในเรื่องของการรับเงินจากกระเป๋าเงิน g-Wallet 2 มากขึ้น” อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าว อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวเพิ่มเติมในตอนท้ายว่า สําหรับประชาชนที่ได้รับสิทธิ์ชิมช้อปใช้ ในระยะที่ 2 แล้วนอกจากจะได้รับวงเงินสนับสนุน 1,000 บาท สําหรับการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet 1 และเงินชดเชยร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท จากเงินของประชาชนเองผ่าน g-Wallet 2 (เงินชดเชยไม่เกิน 4,500 บาท) เช่นเดียวกับ ชิมช้อปใช้ ระยะที่ 1 แล้ว ยังจะได้รับสิทธิ์เงินชดเชยร้อยละ 20 ของยอดใช้จ่ายในส่วนที่เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 50,000 บาท (เงินชดเชย ไม่เกิน 4,000 บาท) โดยสามารถเติมเงินเพื่อใช้จ่ายผ่าน g-Wallet 2 ได้ทั้งร้านชิมช้อปใช้และร้านค้าทั่วไปในทุกจังหวัด ยกเว้นเพียงจังหวัดตามทะเบียนบ้านของตนเท่านั้น ส่วนการใช้จ่ายผ่าน g-Wallet 2 สามารถเติมเงินได้ง่ายและสะดวก โดยนอกจากจะเติมเงินผ่านการสแกน QR Code ของทุกธนาคาร หรือกรอกตัวเลข g-Wallet 15 หลักผ่าน mobile banking ของธนาคารต่าง ๆ แล้ว ยังสามารถเติมเงินเข้า g-Wallet 2 ผ่านเครื่อง ATM ได้อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24206
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Smart Farming 47 Aggie
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 Smart Farming 47 Aggie คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดงาน "Smart Farming 47 Aggie by STI" จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดงาน "Smart Farming 47 Aggie by STI" จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา นครราชสีมา โดยนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้บริหาร ผู้อํานวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี และวิทยาลัยประมง ทั้ง 47 แห่ง ตลอดจนนักเรียนนักศึกษา ให้การต้อนรับ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ในนามของสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มีความห่วงใยต่อสภาพปัญหาของอาชีพเกษตรกรไทยในปัจจุบันอย่างมาก โดยพยายามวางแผนและดําเนินโครงการ เพื่อพัฒนาศักยภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดียิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของโครงการ Smart Farming 47 Aggie by STI ภายใต้แนวคิดหลัก STI Science Technology Innovation ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สร้างนวัตกรรม และการ Reskill Upskill ให้แก่เกษตรกร และผู้ที่สนใจในการทําเกษตรยุคใหม่ โครงการดังกล่าว ให้ความรู้ที่มีนวัตกรรม ทั้งการบริหารจัดการน้ํา ธนาคารน้ําใต้ดิน การเลี้ยงสัตว์ การแสวงหาทวิภาคี เป็นต้น ที่จะเป็นการต่อยอดอาชีพอย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์ เกษตรกรที่ประสบความสําเร็จ ซึ่งเปรียบเสมือนได้เรียนรู้จาก "ครูมืออาชีพ" ทั้งยังเป็นโครงการที่ช่วยยกระดับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมง ให้จัดการเรียนการสอนได้อย่างสนุก น่าสนใจ และมีองค์ความรู้ ตลอดจนเทคโนโลยีด้านเกษตรและเทคโนโลยีสมัยใหม่ สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ ที่ต้องการพัฒนาและส่งเสริม ให้อาชีพเกษตรกรรมไทย ยังคงเป็นอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจ พร้อม ๆ กับสามารถก้าวไปสู่ยุคเกษตรกร 4.0 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต "ขอให้เกษตรกรยุคใหม่ ที่มีความพร้อมปรับเปลี่ยนและเรียนรู้ ได้นําแนวคิด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปสู่การพัฒนาต่อยอด ให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคงตลอดไป" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว. นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวรายงานตอนหนึ่งว่า สอศ. จัดงานโครงการ Smart Farming 47 Aggie by STI โดยมุ่งเน้นสร้างสรรค์กิจกรรมนี้ให้เป็น โครงการที่ช่วยยกระดับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมง 47 แห่ง ในไทย ให้มีการเรียน การสอน ให้มีความน่าสนใจ สนุก โดดเด่น และมีองค์ความรู้ เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการทําเกษตร เลี้ยงสัตว์ และอื่นๆ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของภาครัฐนําโดย คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ ผู้ผลักดันโครงการ Smart Farming 47 Aggie by STI และริเริ่มโครงการที่เอื้อประโยชน์แก่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมง 47 แห่ง โดยให้นโยบายผ่านกิจกรรมโครงการ Smart Farming 47 Aggie by STI ดังนี้ 1) STI Science Technology Innovation ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสร้างนวัตกรรม 2) Reskill Upskill สร้างคน สร้างเงิน สร้างคุณภาพชีวิต 3) ใคร ๆ ก็เรียนได้ ผู้สนใจอายุตั้งแต่ 17-70 ปี เข้ามาเรียนรู้การเกษตรที่ทันสมัย ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมง นวรัตน์ รามสูต, ณรีรัตน์ บุญหลัง: สรุป นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Smart Farming 47 Aggie วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 Smart Farming 47 Aggie คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดงาน "Smart Farming 47 Aggie by STI" จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดงาน "Smart Farming 47 Aggie by STI" จัดโดยสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา นครราชสีมา โดยนายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้บริหาร ผู้อํานวยการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี และวิทยาลัยประมง ทั้ง 47 แห่ง ตลอดจนนักเรียนนักศึกษา ให้การต้อนรับ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ในนามของสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มีความห่วงใยต่อสภาพปัญหาของอาชีพเกษตรกรไทยในปัจจุบันอย่างมาก โดยพยายามวางแผนและดําเนินโครงการ เพื่อพัฒนาศักยภาพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ดียิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของโครงการ Smart Farming 47 Aggie by STI ภายใต้แนวคิดหลัก STI Science Technology Innovation ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สร้างนวัตกรรม และการ Reskill Upskill ให้แก่เกษตรกร และผู้ที่สนใจในการทําเกษตรยุคใหม่ โครงการดังกล่าว ให้ความรู้ที่มีนวัตกรรม ทั้งการบริหารจัดการน้ํา ธนาคารน้ําใต้ดิน การเลี้ยงสัตว์ การแสวงหาทวิภาคี เป็นต้น ที่จะเป็นการต่อยอดอาชีพอย่างยั่งยืน ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์ เกษตรกรที่ประสบความสําเร็จ ซึ่งเปรียบเสมือนได้เรียนรู้จาก "ครูมืออาชีพ" ทั้งยังเป็นโครงการที่ช่วยยกระดับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมง ให้จัดการเรียนการสอนได้อย่างสนุก น่าสนใจ และมีองค์ความรู้ ตลอดจนเทคโนโลยีด้านเกษตรและเทคโนโลยีสมัยใหม่ สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ ที่ต้องการพัฒนาและส่งเสริม ให้อาชีพเกษตรกรรมไทย ยังคงเป็นอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจ พร้อม ๆ กับสามารถก้าวไปสู่ยุคเกษตรกร 4.0 ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต "ขอให้เกษตรกรยุคใหม่ ที่มีความพร้อมปรับเปลี่ยนและเรียนรู้ ได้นําแนวคิด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปสู่การพัฒนาต่อยอด ให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคงตลอดไป" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว. นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวรายงานตอนหนึ่งว่า สอศ. จัดงานโครงการ Smart Farming 47 Aggie by STI โดยมุ่งเน้นสร้างสรรค์กิจกรรมนี้ให้เป็น โครงการที่ช่วยยกระดับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมง 47 แห่ง ในไทย ให้มีการเรียน การสอน ให้มีความน่าสนใจ สนุก โดดเด่น และมีองค์ความรู้ เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการทําเกษตร เลี้ยงสัตว์ และอื่นๆ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของภาครัฐนําโดย คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ ผู้ผลักดันโครงการ Smart Farming 47 Aggie by STI และริเริ่มโครงการที่เอื้อประโยชน์แก่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมง 47 แห่ง โดยให้นโยบายผ่านกิจกรรมโครงการ Smart Farming 47 Aggie by STI ดังนี้ 1) STI Science Technology Innovation ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสร้างนวัตกรรม 2) Reskill Upskill สร้างคน สร้างเงิน สร้างคุณภาพชีวิต 3) ใคร ๆ ก็เรียนได้ ผู้สนใจอายุตั้งแต่ 17-70 ปี เข้ามาเรียนรู้การเกษตรที่ทันสมัย ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัยประมง นวรัตน์ รามสูต, ณรีรัตน์ บุญหลัง: สรุป นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22707
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุม WEF on ASEAN ที่เวียดนาม
วันพุธที่ 12 กันยายน 2561 รองนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุม WEF on ASEAN ที่เวียดนาม รองนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุม WEF on ASEAN ที่เวียดนาม วันนี้ (12 กันยายน 2561) เมื่อเวลา 10.15 น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้แทนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) on ASEAN ประจําปี 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติกรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีผู้นําระดับสูงของประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ประกอบด้วย ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายกรัฐมนตรีเวียดนาม นายกรัฐมนตรีศรีลังกา นายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินี นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมา หลังจากศาสตราจารย์ ดร.Klaus Schwab ประธานกรรมการบริหาร WEF และผู้ก่อตั้ง WEF ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมแล้ว จึงเป็นการกล่าวอภิปรายของผู้นําแต่ละประเทศในหัวข้อ "อนาคตของอาเซียนในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4" โดยพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ได้กล่าวในตอนหนึ่งสรุปว่า"สําหรับประเทศไทย การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 เป็นปรากฏการณ์สําคัญที่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตและแนวทางการดําเนินธุรกิจของพวกเราอย่างมาก เทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทกับทุกส่วนของสังคม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย 4.0 เพื่อพัฒนาปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจของไทยไปสู่เศรษฐกิจที่เน้นการสร้างคุณค่าและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมผ่านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทยจะยังคงส่งเสริมความเชื่อมโยงที่ครอบคลุมหลากหลายมิติและมีประชาชนเป็นศูนย์กลางเพื่อส่งเสริมความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ในขณะที่ให้ความสําคัญกับการสร้างความเข้มแข็งของการสอดประสานความร่วมมือระหว่างอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งรวมถึงเอเชีย - แปซิฟิกและอินโด - แปซิฟิกด้วย” จากนั้นในช่วงบ่าย พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ได้พบหารือทวิภาคีกับนักธุรกิจต่างประเทศและศาสตราจารย์ ดร.Klaus Schwab จนถึงเวลา 17.00 น. จึงได้เข้าร่วมการอภิปรายในการประชุมวาระพิเศษในหัวข้อ "A New Vision for the Mekong Region" ซึ่งเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้นําประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ เกี่ยวกับการรวมกลุ่มของประเทศลุ่มแม่น้ําโขงในปัจจุบัน รวมถึงการพัฒนาความร่วมมือที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กล่าวถึงความสําคัญของความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ําโขงผ่านกรอบ ACMECS และการดําเนินการตาม ACMECS Master ซึ่งให้ความสําคัญกับ 3 เสาหลัก ได้แก่ ความเชื่อมโยงทางกายภาพ ความสอดประสานของกฎระเบียบ และการสร้างทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพและยั่งยืน สําหรับ World Economic Forum (WEF) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2514 (ค.ศ.1971) โดยศาสตราจารย์ ดร.Klaus Schwab เพื่อเป็นเวทีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ปัจจุบันมีสถานะเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีอิทธิพลสูง มีกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก การประชุม WEF on ASEAN เป็นเวทีประจําปีระดับภูมิภาคของ WEF .................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุม WEF on ASEAN ที่เวียดนาม วันพุธที่ 12 กันยายน 2561 รองนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุม WEF on ASEAN ที่เวียดนาม รองนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุม WEF on ASEAN ที่เวียดนาม วันนี้ (12 กันยายน 2561) เมื่อเวลา 10.15 น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้แทนพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) on ASEAN ประจําปี 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติกรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยมีผู้นําระดับสูงของประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ประกอบด้วย ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายกรัฐมนตรีเวียดนาม นายกรัฐมนตรีศรีลังกา นายกรัฐมนตรีปาปัวนิวกินี นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมา หลังจากศาสตราจารย์ ดร.Klaus Schwab ประธานกรรมการบริหาร WEF และผู้ก่อตั้ง WEF ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมแล้ว จึงเป็นการกล่าวอภิปรายของผู้นําแต่ละประเทศในหัวข้อ "อนาคตของอาเซียนในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4" โดยพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ได้กล่าวในตอนหนึ่งสรุปว่า"สําหรับประเทศไทย การปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 เป็นปรากฏการณ์สําคัญที่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตและแนวทางการดําเนินธุรกิจของพวกเราอย่างมาก เทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทกับทุกส่วนของสังคม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลไทยได้ขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย 4.0 เพื่อพัฒนาปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจของไทยไปสู่เศรษฐกิจที่เน้นการสร้างคุณค่าและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมผ่านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทยจะยังคงส่งเสริมความเชื่อมโยงที่ครอบคลุมหลากหลายมิติและมีประชาชนเป็นศูนย์กลางเพื่อส่งเสริมความเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ในขณะที่ให้ความสําคัญกับการสร้างความเข้มแข็งของการสอดประสานความร่วมมือระหว่างอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งรวมถึงเอเชีย - แปซิฟิกและอินโด - แปซิฟิกด้วย” จากนั้นในช่วงบ่าย พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง ได้พบหารือทวิภาคีกับนักธุรกิจต่างประเทศและศาสตราจารย์ ดร.Klaus Schwab จนถึงเวลา 17.00 น. จึงได้เข้าร่วมการอภิปรายในการประชุมวาระพิเศษในหัวข้อ "A New Vision for the Mekong Region" ซึ่งเป็นการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้นําประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ เกี่ยวกับการรวมกลุ่มของประเทศลุ่มแม่น้ําโขงในปัจจุบัน รวมถึงการพัฒนาความร่วมมือที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กล่าวถึงความสําคัญของความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ําโขงผ่านกรอบ ACMECS และการดําเนินการตาม ACMECS Master ซึ่งให้ความสําคัญกับ 3 เสาหลัก ได้แก่ ความเชื่อมโยงทางกายภาพ ความสอดประสานของกฎระเบียบ และการสร้างทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพและยั่งยืน สําหรับ World Economic Forum (WEF) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2514 (ค.ศ.1971) โดยศาสตราจารย์ ดร.Klaus Schwab เพื่อเป็นเวทีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน ปัจจุบันมีสถานะเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีอิทธิพลสูง มีกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลก การประชุม WEF on ASEAN เป็นเวทีประจําปีระดับภูมิภาคของ WEF .................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15342
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผย 8-12 พ.ค.เปิดรับฟังความเห็นประชาชน ก่อนเสนอ ศบค. ออกมาตรการผ่อนปรนระยะ 2 ที่จะเริ่ม 17 พ.ค. ขณะนายกฯ พอใจการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ย้ำให้ดูแลผู้ตกหล่นจากมาตรการ
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563 โฆษก ศบค. เผย 8-12 พ.ค.เปิดรับฟังความเห็นประชาชน ก่อนเสนอ ศบค. ออกมาตรการผ่อนปรนระยะ 2 ที่จะเริ่ม 17 พ.ค. ขณะนายกฯ พอใจการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ย้ําให้ดูแลผู้ตกหล่นจากมาตรการ โฆษก ศบค. เผย 8-12 พ.ค.เปิดรับฟังความเห็นประชาชน ก่อนเสนอ ศบค. ออกมาตรการผ่อนปรนระยะ 2 ที่จะเริ่ม 17 พ.ค. ขณะนายกฯ พอใจการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ย้ําให้ดูแลผู้ตกหล่นจากมาตรการต่าง ๆ วันนี้ (7 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน มาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทย มีผู้ป่วยใหม่ 3 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 2,992 ราย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 11 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,772 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม ตัวเลขผู้เสียชีวิตยังคงที่ 55 ราย รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 165 ราย สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย มี 2 รายที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ รายแรกเป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 59 ปี เป็นแม่บ้าน ภูมิลําเนาอยู่ที่จังหวัดยะลา เป็นผู้ป่วยที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันที่กลับมาจากมาเลเซียที่ไม่มีอาการใด ๆ ส่วนอีก 2 ราย เป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 46 ปีกับ 51 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางกลับมาจากประเทศคาซัคสถาน กลับถึงไทยเมื่อ 2 พฤษภาคม 63 แล้วเข้า State Quarantine โดยผู้โดยสารที่กลับมาพร้อมกันในเครื่องบินลําเดียวกันมี 55 คน ซึ่งได้รับการดูแลอย่างดีทั้งหมด โฆษก ศบค. กล่าวขอแสดงความยินดีกับจังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก ลําปาง ชัยภูมิ และตรัง ที่ปรับมาอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยในช่วง 28 วันที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้น 39 จังหวัด และจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยมาก่อนเลยยังเป็น 9 จังหวัดเดิม 2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,822,860 ราย อาการหนักประมาณ 48,000 ราย หายป่วยแล้วประมาณ 1,300,000 ราย และเสียชีวิตไป 265,000 กว่าราย โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมมากที่สุดอันดับที่ 1 ยังเป็นสหรัฐอเมริกา รองลงมา สเปน อิตาลี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี ตุรกี บราซิล และอิหร่าน ตามลําดับ สําหรับอันดับประเทศ 10 อันดับแรกผู้ป่วยรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นต่อวัน โดยสหรัฐอเมริกายังเป็นอันดับที่ 1 มีจํานวนกว่า 25,000 ราย รองลงมาคือบราซิล 10,600 กว่าราย รัสเซีย 10,500 กว่าราย อังกฤษ 6,100 กว่าราย และฝรั่งเศส 3,000 กว่าราย นอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตรายใหม่ต่อวันมากเป็นอันดับที่ 1 วานนี้เสียชีวิต 2,500 กว่าราย รองลงมาคืออังกฤษ 649 ราย บราซิล 630 ราย อิตาลี 369 ราย เบลเยียม 323 ราย เยอรมนี 282 ราย ฝรั่งเศส 278 ราย สเปน 244 ราย เม็กซิโก 197 ราย และแคนนาดา 189 ราย ตามลําดับ ในกลุ่มอาเซียนและเอเชียพบจํานวนผู้ป่วยยืนยันสะสม โดยมีอินเดียเป็นอันดับที่ 1 จํานวน 50,000 กว่าราย รองลงมา ปากีสถาน 24,000 ราย สิงคโปร์ 20,000 ราย ญี่ปุ่น 15,000 ราย อินโดนีเซีย 12,000 ราย ซึ่งประเทศไทยขณะนี้ไปอยู่ในอันดับท้ายตาราง ขอชื่นชมประชาชนคนไทยทุกคนตรงนี้ด้วยที่ร่วมมือกัน โฆษก ศบค. ยังรายงานกรณีนักเรียนไทยที่ตกค้างอยู่ในลาตินอเมริกา ซึ่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรสได้ประสานเตรียมความพร้อมเพื่อให้นักเรียนไทยที่ตกค้างในอาร์เจนตินา 52 คน และอุรุกวัย 2 คน กลับประเทศไทย ซึ่งจะเดินทางมาถึงในวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 โดยเครื่องบินเหมาลํา กลับมายังประเทศไทย 3. การประชุม ศบค. นายกรัฐมนตรีในนามผู้อํานวยการ ศบค. กล่าวในที่ประชุมว่า ให้ทุกภาคส่วนดูแลช่วงระยะการเปลี่ยนผ่านในเฟสต่าง ๆ อย่างเข้มงวด ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 ในภาคส่วนต่าง ๆ แม้สถานการณ์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ แต่ต้องดําเนินการเชิงรุก ดูแลการเข้า-ออกต่างประเทศผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้มีการนําเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศ มีการเข้าสู่สถานกักกันที่รัฐจัดให้ หรือ State Quarantine/Local Quarantine และมาตรการการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ห้ามละเลยมาตรการฉุกเฉินในระยะที่ 1 โดยให้ ศบค. ด้านความมั่นคง ทหาร ตํารวจ ด้านสาธารณสุข เข้าตรวจให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อกําหนด ประสานผู้ประกอบการท้องถิ่นให้ดําเนินการตามมาตรการ และดูแลติดตามอย่างใกล้ชิด รวมทั้งพิจารณามาตรการในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการต่างประเทศ รายงานผลกระทบจากการผ่อนคลายสถานการณ์ รวมถึงแนวทางการแก้ไขโดยเฉพาะการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ข้อเสนอของผู้ประกอบการ และเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ และเก็บตกผู้ที่ตกหล่นให้เข้าถึงการช่วยเหลือเยียวยา ดูแลเจ้าหน้าที่ให้ได้รับเบี้ยเลี้ยงตามสิทธิ ผู้อํานวยการ ศบค. ได้มีข้อชี้แนะว่า ให้มีมาตรการและแนวทางเฉพาะของกิจการ/กิจกรรม เช่น รถไฟฟ้า ต้องมีมาตรการที่รองรับจํานวนคนที่แออัด มาตรการสําหรับผู้ให้บริการ ในกรณีรถเสีย การขายตั๋วโดยสารให้พอเหมาะในสถานการณ์นั้น ๆ พร้อมให้ทั้ง 20 กระทรวงประชาสัมพันธ์ภารกิจของแต่ละกระทรวงที่เชื่อมโยงในสถานการณ์นี้ ในที่ประชุมมีความคิดเห็นตรงกันคือ 1. การเหลื่อมเวลาทํางาน โดยมอบรองนายกฯ นายวิษณุ เครืองาม ซึ่งควบคุมกํากับดูแลสํานักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้ดูแล 2. เน้นย้ํานโยบายทํางานที่บ้าน หรือ Work From Home อย่างน้อยร้อยละ 50 ซึ่งจะลดการเคลื่อนย้ายของประชากรได้ 3. สถานศึกษาที่ได้ขยายช่วงเวลาของการเปิดภาคเรียนออกไป และมีการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน และจะต้องพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ ออกไป 4. กิจกรรมในสวนสาธารณะ ที่ได้คลายมาตรการเพื่อให้ประชาชนได้มีสุขภาพที่ดี แต่ต้องไม่แพร่กระจายโรค โฆษก ศบค. กล่าวถึงช่วงระยะเวลา ตารางเวลาคร่าว ๆ ของการเกิดมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 ที่จะเกิดขึ้น โดยเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้แจ้งให้ทราบ เพื่อเป็นชุดข้อมูลให้มีโอกาสได้เตรียมการ คือ วันที่ 8-12 พ.ค. จะเป็นช่วงการรับฟังความเห็น หลังจากประกาศมาตรการไปเมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา จะดูชุดข้อมูลทั้งเชิงสถิติ เชิงสถานการณ์ และความคิดเห็นต่าง ๆ วันที่ 13 พ.ค. จะมีการซักซ้อมความเข้าใจ วันที่ 14 พ.ค. จะยกร่างข้อกําหนดมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 และนําเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่ทําให้ตัวเลขพุ่งขึ้นมากมายไปกว่านี้ วันที่ 17 พ.ค. ก็จะเริ่มออกมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 ต่อไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากทุก ๆ คน ทั้งผู้ประกอบการและประชาชนผู้ใช้บริการ นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อเสนอสรุปเกี่ยวกับการดําเนินการด้านต่างประเทศ แต่ละประเทศก็แตกต่างกันไป เช่น ประเทศจีน เกาหลีใต้ ก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้จนตัวเลขผู้ติดเชื้อมาอยู่ที่เลขหลักหน่วยแล้ว โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอการพิจารณาปรับการประกาศรายชื่อประเทศ และถอนรายชื่อบางประเทศออกไป เพื่อที่จะได้ทํางานและมีความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ที่ดีต่อกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีและที่ประชุมเห็นชอบ แต่ก็ต้องมีการนําไปสู่การดําเนินการต่าง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องพึ่งพาการเดินทาง จึงต้องระมัดระวังด้วย อย่างไรก็ตามแม้จะมีการปลดล็อกตรงนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเดินทางเข้าประเทศได้ทันที แต่จะต้องมีมาตรการต่าง ๆ รองรับโดยในที่ประชุมจะต้องมีการหารือเพิ่มเติมร่วมกันอีกครั้ง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงการทํางานร่วมกันโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนว่า น่าจะมีการรวมกลุ่มร่วมกันลงทุนทางด้านวัคซีนให้ได้ประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งหารือถึงมาตรการการผ่อนผันให้มีแรงงานที่มีความสามารถเข้ามาได้ อาจจะให้เป็น Smart Visa เพื่อคนที่เก่งมีความสามารถอยากจะกลับมาจากต่างประเทศ จะได้มีบุคลากรที่ดีเข้ามาทํางาน รวมทั้งการจัดตั้ง Test lab หรือการพัฒนาชุดอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ โดยเฉพาะการทํา Personal Protective Equipment หรือชุด PPE ทั้งนี้ หากมีระดับของการทดสอบอยู่ในประเทศไทยด้วยก็จะดี ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการเยียวยาผู้ที่มีผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคมโดยเฉพาะการเข้าถึงการกู้เงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา หรือซอฟท์โลน พร้อมย้ําถึงการฟื้นฟู ซึ่งขณะนี้ได้รับแผนงานจาก 20 ผู้นําทางเศรษฐกิจของประเทศไทยแล้ว โดยอาจจะใช้แนวทางเหล่านี้ประกอบกับทางภาครัฐเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและฟื้นฟูกันได้ 4. ผลการดําเนินการมาตรการผ่อนปรนในช่วงของระยะที่ 1 เป้าหมายต้องตรวจให้ได้โดยประมาณ 6,000 ราย ต่อ 1 ล้านประชากร คือประมาณ 400,000 รายในประเทศไทย ซึ่งตรวจไปแล้ว 230,000 ราย เหลือประมาณ 170,000 ราย จึงจะเข้าเป้าหมาย ใน 170,000 ราย ประมาณการให้ 85,000 ราย มาจากผู้ที่มีอาการป่วย โดยขยายเกณฑ์การตรวจสําหรับอาการป่วย อีก 85,000 รายเพื่อค้นหาในประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ต้องขัง ผู้ต้องกัก แรงงานผิดกฎหมาย คนขับรถสาธารณะ อาชีพเสี่ยงต่าง ๆ เป็นต้น รายงานการปิดสถานที่ตามมาตรการของสถานการณ์ฉุกเฉินไปทั้งสิ้น 46,458 แห่ง และเปิดสถานที่ที่เป็นไปตามมาตรการผ่อนปรนจํานวน 148,180 แห่ง โดย กทม. จัดทีมชุดตรวจออกตรวจพื้นที่และพบว่ามีประมาณ 3,000 กว่าแห่ง ที่เป็นกิจการ/กิจกรรมที่มีความผิด ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ และได้กล่าวตักเตือนไป หลักเกณฑ์การเลือกคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเข้าประเทศก่อนและหลัง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้รายงานแบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มด่วนที่สุด เป็นกลุ่มคนที่เปราะบาง ได้แก่ 1. ผู้ปวย 2. คนที่ตกค้างจากสนามบิน 3. บุคคลที่วีซ่าหมดอายุ และ 4. นักท่องเที่ยวที่ตกค้าง กลุ่มด่วนมาก ได้แก่ 1. พระสงฆ์ที่ไปธุดงค์หรือปฏิบัติธรรมในต่างประเทศ 2. นักเรียน นักศึกษา 3. คนตกงานในต่างประเทศ -------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผย 8-12 พ.ค.เปิดรับฟังความเห็นประชาชน ก่อนเสนอ ศบค. ออกมาตรการผ่อนปรนระยะ 2 ที่จะเริ่ม 17 พ.ค. ขณะนายกฯ พอใจการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ย้ำให้ดูแลผู้ตกหล่นจากมาตรการ วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563 โฆษก ศบค. เผย 8-12 พ.ค.เปิดรับฟังความเห็นประชาชน ก่อนเสนอ ศบค. ออกมาตรการผ่อนปรนระยะ 2 ที่จะเริ่ม 17 พ.ค. ขณะนายกฯ พอใจการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ย้ําให้ดูแลผู้ตกหล่นจากมาตรการ โฆษก ศบค. เผย 8-12 พ.ค.เปิดรับฟังความเห็นประชาชน ก่อนเสนอ ศบค. ออกมาตรการผ่อนปรนระยะ 2 ที่จะเริ่ม 17 พ.ค. ขณะนายกฯ พอใจการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ย้ําให้ดูแลผู้ตกหล่นจากมาตรการต่าง ๆ วันนี้ (7 พ.ค.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน มาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทย มีผู้ป่วยใหม่ 3 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 2,992 ราย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 11 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,772 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม ตัวเลขผู้เสียชีวิตยังคงที่ 55 ราย รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 165 ราย สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย มี 2 รายที่อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ รายแรกเป็นผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 59 ปี เป็นแม่บ้าน ภูมิลําเนาอยู่ที่จังหวัดยะลา เป็นผู้ป่วยที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันที่กลับมาจากมาเลเซียที่ไม่มีอาการใด ๆ ส่วนอีก 2 ราย เป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 46 ปีกับ 51 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางกลับมาจากประเทศคาซัคสถาน กลับถึงไทยเมื่อ 2 พฤษภาคม 63 แล้วเข้า State Quarantine โดยผู้โดยสารที่กลับมาพร้อมกันในเครื่องบินลําเดียวกันมี 55 คน ซึ่งได้รับการดูแลอย่างดีทั้งหมด โฆษก ศบค. กล่าวขอแสดงความยินดีกับจังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก ลําปาง ชัยภูมิ และตรัง ที่ปรับมาอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยในช่วง 28 วันที่ผ่านมา รวมทั้งสิ้น 39 จังหวัด และจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วยมาก่อนเลยยังเป็น 9 จังหวัดเดิม 2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,822,860 ราย อาการหนักประมาณ 48,000 ราย หายป่วยแล้วประมาณ 1,300,000 ราย และเสียชีวิตไป 265,000 กว่าราย โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมมากที่สุดอันดับที่ 1 ยังเป็นสหรัฐอเมริกา รองลงมา สเปน อิตาลี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี ตุรกี บราซิล และอิหร่าน ตามลําดับ สําหรับอันดับประเทศ 10 อันดับแรกผู้ป่วยรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นต่อวัน โดยสหรัฐอเมริกายังเป็นอันดับที่ 1 มีจํานวนกว่า 25,000 ราย รองลงมาคือบราซิล 10,600 กว่าราย รัสเซีย 10,500 กว่าราย อังกฤษ 6,100 กว่าราย และฝรั่งเศส 3,000 กว่าราย นอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตรายใหม่ต่อวันมากเป็นอันดับที่ 1 วานนี้เสียชีวิต 2,500 กว่าราย รองลงมาคืออังกฤษ 649 ราย บราซิล 630 ราย อิตาลี 369 ราย เบลเยียม 323 ราย เยอรมนี 282 ราย ฝรั่งเศส 278 ราย สเปน 244 ราย เม็กซิโก 197 ราย และแคนนาดา 189 ราย ตามลําดับ ในกลุ่มอาเซียนและเอเชียพบจํานวนผู้ป่วยยืนยันสะสม โดยมีอินเดียเป็นอันดับที่ 1 จํานวน 50,000 กว่าราย รองลงมา ปากีสถาน 24,000 ราย สิงคโปร์ 20,000 ราย ญี่ปุ่น 15,000 ราย อินโดนีเซีย 12,000 ราย ซึ่งประเทศไทยขณะนี้ไปอยู่ในอันดับท้ายตาราง ขอชื่นชมประชาชนคนไทยทุกคนตรงนี้ด้วยที่ร่วมมือกัน โฆษก ศบค. ยังรายงานกรณีนักเรียนไทยที่ตกค้างอยู่ในลาตินอเมริกา ซึ่งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบัวโนสไอเรสได้ประสานเตรียมความพร้อมเพื่อให้นักเรียนไทยที่ตกค้างในอาร์เจนตินา 52 คน และอุรุกวัย 2 คน กลับประเทศไทย ซึ่งจะเดินทางมาถึงในวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 โดยเครื่องบินเหมาลํา กลับมายังประเทศไทย 3. การประชุม ศบค. นายกรัฐมนตรีในนามผู้อํานวยการ ศบค. กล่าวในที่ประชุมว่า ให้ทุกภาคส่วนดูแลช่วงระยะการเปลี่ยนผ่านในเฟสต่าง ๆ อย่างเข้มงวด ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโควิด-19 ในภาคส่วนต่าง ๆ แม้สถานการณ์ยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ แต่ต้องดําเนินการเชิงรุก ดูแลการเข้า-ออกต่างประเทศผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้มีการนําเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศ มีการเข้าสู่สถานกักกันที่รัฐจัดให้ หรือ State Quarantine/Local Quarantine และมาตรการการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ห้ามละเลยมาตรการฉุกเฉินในระยะที่ 1 โดยให้ ศบค. ด้านความมั่นคง ทหาร ตํารวจ ด้านสาธารณสุข เข้าตรวจให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อกําหนด ประสานผู้ประกอบการท้องถิ่นให้ดําเนินการตามมาตรการ และดูแลติดตามอย่างใกล้ชิด รวมทั้งพิจารณามาตรการในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการต่างประเทศ รายงานผลกระทบจากการผ่อนคลายสถานการณ์ รวมถึงแนวทางการแก้ไขโดยเฉพาะการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ข้อเสนอของผู้ประกอบการ และเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ และเก็บตกผู้ที่ตกหล่นให้เข้าถึงการช่วยเหลือเยียวยา ดูแลเจ้าหน้าที่ให้ได้รับเบี้ยเลี้ยงตามสิทธิ ผู้อํานวยการ ศบค. ได้มีข้อชี้แนะว่า ให้มีมาตรการและแนวทางเฉพาะของกิจการ/กิจกรรม เช่น รถไฟฟ้า ต้องมีมาตรการที่รองรับจํานวนคนที่แออัด มาตรการสําหรับผู้ให้บริการ ในกรณีรถเสีย การขายตั๋วโดยสารให้พอเหมาะในสถานการณ์นั้น ๆ พร้อมให้ทั้ง 20 กระทรวงประชาสัมพันธ์ภารกิจของแต่ละกระทรวงที่เชื่อมโยงในสถานการณ์นี้ ในที่ประชุมมีความคิดเห็นตรงกันคือ 1. การเหลื่อมเวลาทํางาน โดยมอบรองนายกฯ นายวิษณุ เครืองาม ซึ่งควบคุมกํากับดูแลสํานักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้ดูแล 2. เน้นย้ํานโยบายทํางานที่บ้าน หรือ Work From Home อย่างน้อยร้อยละ 50 ซึ่งจะลดการเคลื่อนย้ายของประชากรได้ 3. สถานศึกษาที่ได้ขยายช่วงเวลาของการเปิดภาคเรียนออกไป และมีการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน และจะต้องพัฒนาในรูปแบบต่าง ๆ ออกไป 4. กิจกรรมในสวนสาธารณะ ที่ได้คลายมาตรการเพื่อให้ประชาชนได้มีสุขภาพที่ดี แต่ต้องไม่แพร่กระจายโรค โฆษก ศบค. กล่าวถึงช่วงระยะเวลา ตารางเวลาคร่าว ๆ ของการเกิดมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 ที่จะเกิดขึ้น โดยเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้แจ้งให้ทราบ เพื่อเป็นชุดข้อมูลให้มีโอกาสได้เตรียมการ คือ วันที่ 8-12 พ.ค. จะเป็นช่วงการรับฟังความเห็น หลังจากประกาศมาตรการไปเมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา จะดูชุดข้อมูลทั้งเชิงสถิติ เชิงสถานการณ์ และความคิดเห็นต่าง ๆ วันที่ 13 พ.ค. จะมีการซักซ้อมความเข้าใจ วันที่ 14 พ.ค. จะยกร่างข้อกําหนดมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 และนําเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่มีเหตุการณ์ที่ทําให้ตัวเลขพุ่งขึ้นมากมายไปกว่านี้ วันที่ 17 พ.ค. ก็จะเริ่มออกมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 ต่อไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากทุก ๆ คน ทั้งผู้ประกอบการและประชาชนผู้ใช้บริการ นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อเสนอสรุปเกี่ยวกับการดําเนินการด้านต่างประเทศ แต่ละประเทศก็แตกต่างกันไป เช่น ประเทศจีน เกาหลีใต้ ก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้จนตัวเลขผู้ติดเชื้อมาอยู่ที่เลขหลักหน่วยแล้ว โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอการพิจารณาปรับการประกาศรายชื่อประเทศ และถอนรายชื่อบางประเทศออกไป เพื่อที่จะได้ทํางานและมีความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ที่ดีต่อกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีและที่ประชุมเห็นชอบ แต่ก็ต้องมีการนําไปสู่การดําเนินการต่าง ๆ โดยเฉพาะกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องพึ่งพาการเดินทาง จึงต้องระมัดระวังด้วย อย่างไรก็ตามแม้จะมีการปลดล็อกตรงนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเดินทางเข้าประเทศได้ทันที แต่จะต้องมีมาตรการต่าง ๆ รองรับโดยในที่ประชุมจะต้องมีการหารือเพิ่มเติมร่วมกันอีกครั้ง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวถึงการทํางานร่วมกันโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนว่า น่าจะมีการรวมกลุ่มร่วมกันลงทุนทางด้านวัคซีนให้ได้ประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งหารือถึงมาตรการการผ่อนผันให้มีแรงงานที่มีความสามารถเข้ามาได้ อาจจะให้เป็น Smart Visa เพื่อคนที่เก่งมีความสามารถอยากจะกลับมาจากต่างประเทศ จะได้มีบุคลากรที่ดีเข้ามาทํางาน รวมทั้งการจัดตั้ง Test lab หรือการพัฒนาชุดอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ โดยเฉพาะการทํา Personal Protective Equipment หรือชุด PPE ทั้งนี้ หากมีระดับของการทดสอบอยู่ในประเทศไทยด้วยก็จะดี ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการเยียวยาผู้ที่มีผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคมโดยเฉพาะการเข้าถึงการกู้เงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา หรือซอฟท์โลน พร้อมย้ําถึงการฟื้นฟู ซึ่งขณะนี้ได้รับแผนงานจาก 20 ผู้นําทางเศรษฐกิจของประเทศไทยแล้ว โดยอาจจะใช้แนวทางเหล่านี้ประกอบกับทางภาครัฐเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนและฟื้นฟูกันได้ 4. ผลการดําเนินการมาตรการผ่อนปรนในช่วงของระยะที่ 1 เป้าหมายต้องตรวจให้ได้โดยประมาณ 6,000 ราย ต่อ 1 ล้านประชากร คือประมาณ 400,000 รายในประเทศไทย ซึ่งตรวจไปแล้ว 230,000 ราย เหลือประมาณ 170,000 ราย จึงจะเข้าเป้าหมาย ใน 170,000 ราย ประมาณการให้ 85,000 ราย มาจากผู้ที่มีอาการป่วย โดยขยายเกณฑ์การตรวจสําหรับอาการป่วย อีก 85,000 รายเพื่อค้นหาในประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ต้องขัง ผู้ต้องกัก แรงงานผิดกฎหมาย คนขับรถสาธารณะ อาชีพเสี่ยงต่าง ๆ เป็นต้น รายงานการปิดสถานที่ตามมาตรการของสถานการณ์ฉุกเฉินไปทั้งสิ้น 46,458 แห่ง และเปิดสถานที่ที่เป็นไปตามมาตรการผ่อนปรนจํานวน 148,180 แห่ง โดย กทม. จัดทีมชุดตรวจออกตรวจพื้นที่และพบว่ามีประมาณ 3,000 กว่าแห่ง ที่เป็นกิจการ/กิจกรรมที่มีความผิด ไม่ปฏิบัติตามมาตรการ และได้กล่าวตักเตือนไป หลักเกณฑ์การเลือกคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเข้าประเทศก่อนและหลัง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้รายงานแบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มด่วนที่สุด เป็นกลุ่มคนที่เปราะบาง ได้แก่ 1. ผู้ปวย 2. คนที่ตกค้างจากสนามบิน 3. บุคคลที่วีซ่าหมดอายุ และ 4. นักท่องเที่ยวที่ตกค้าง กลุ่มด่วนมาก ได้แก่ 1. พระสงฆ์ที่ไปธุดงค์หรือปฏิบัติธรรมในต่างประเทศ 2. นักเรียน นักศึกษา 3. คนตกงานในต่างประเทศ -------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30434
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ย้ำสร้างผู้นำยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ต้องกล้าหาญและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง
วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562 รมว.พม. ย้ําสร้างผู้นํายุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ต้องกล้าหาญและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง รมว.พม. ย้ําสร้างผู้นํายุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ต้องกล้าหาญและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง วันที่ 9 ก.ย. 2562 เวลา 09.00 น. ณ ห้องปรินซ์บอลลูม 1 โรงแรมปรินซ์ พาเลซ กรุงเทพมหานคร นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างทักษะความเป็นผู้นําในศตวรรษที่ 21(Empowering Leadership Skills in The 21st Century) โดยมี นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กล่าวรายงาน ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 250 คน ประกอบด้วย นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ผู้บริหารกระทรวง พม. และหัวหน้าหน่วยงาน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจากทั่วประเทศ นายจุติ กล่าวว่า เนื่องด้วยปัจจุบัน สังคมมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างรวดเร็วตามกระแสโลกาภิวัตน์ รวมไปถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทําให้ทุกคนจําเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาตนเอง อยู่เสมอตลอดเวลา ซึ่งในศตวรรษที่ 21 นับเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐจําเป็นต้องมีความพร้อมอย่างรอบด้าน ประกอบกับการขับเคลื่อนงานผ่านระบบราชการ 4.0 นอกจากการพัฒนากระบวนการทํางานแล้วการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภายในองค์กรนับเป็นสิ่งสําคัญ โดยเฉพาะหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงาน ที่จําเป็นต้องเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างความเป็นผู้นํายุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ที่มีความรู้ ความสามารถ อย่างรอบด้านด้วยการบริหารจัดการให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ภายใต้สังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบพลวัต นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) จึงได้ดําเนินโครงการเสริมสร้างทักษะความเป็นผู้นําในศตวรรษที่ 21 (Empowering Leadership Skills inThe 21st Century) เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาบุคลากรในศตวรรษที่ 21 สู่การเป็นผู้นําและผู้บริหารต้นแบบที่บริหารจัดการให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้สังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบพลวัต สําหรับผู้บริหาร ผู้อํานวยการสํานัก/กอง และเทียบเท่าและหัวหน้าหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจากทั่วประเทศจากกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สํานักงานปลัดกระทรวง พม. สํานักงานรัฐมนตรี กรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) การเคหะแห่งชาติ และสํานักงานธนานุเคราะห์ โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ อาทิ 1) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี บรรยายเรื่อง "การพลิกผันของโลก สู่ประเทศไทยทิศทางใหม่แห่งการเรียนรู้” 2) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บรรยายเรื่อง "ทักษะการเรียนรู้การบริหารจัดการและการแก้ปัญหา (Arts of Problem Solving Solution)” 3) หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล สมาชิกวุฒิสภา บรรยายพิเศษเรื่อง "การขับเคลื่อนจริยธรรมข้าราชการตามรอยพระยุคลบาท” 4) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อมวลชนและการตลาด บรรยายเรื่อง "บุคลิกภาพและการสื่อสารสําหรับผู้นํายุคใหม่”และ 5) นายศรัทธา ศรัทธาทิพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้สื่อเพื่อการสื่อสาร บรรยายเรื่อง "การเล่าเรื่องและการสื่อสารสําหรับองค์กรภาครัฐ (Storytelling and Communication) เป็นต้น "สิ่งสําคัญในการพัฒนาบุคลากรในศตวรรษที่ 21 ควรมุ่งเน้นการเป็นผู้นําและผู้บริหารที่เป็นต้นแบบที่แข็งแรง อันเป็นตัวอย่างที่ดีในการส่งต่อรูปแบบการปฏิบัติงานที่ดีไปยังทีมงานได้ เนื่องจากการเป็นผู้นําในศตวรรษที่ 21 จําเป็นต้องมีความกล้าหาญในการบริหารจัดการอย่างรู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง และสร้างความท้าทายในการทํางานให้กับตนเอง ภายใต้การแข่งขันที่มากขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยพร้อมนํามาปรับใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ย้ำสร้างผู้นำยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ต้องกล้าหาญและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง วันอังคารที่ 10 กันยายน 2562 รมว.พม. ย้ําสร้างผู้นํายุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ต้องกล้าหาญและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง รมว.พม. ย้ําสร้างผู้นํายุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ต้องกล้าหาญและรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง วันที่ 9 ก.ย. 2562 เวลา 09.00 น. ณ ห้องปรินซ์บอลลูม 1 โรงแรมปรินซ์ พาเลซ กรุงเทพมหานคร นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานพิธีเปิดโครงการเสริมสร้างทักษะความเป็นผู้นําในศตวรรษที่ 21(Empowering Leadership Skills in The 21st Century) โดยมี นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กล่าวรายงาน ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 250 คน ประกอบด้วย นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ผู้บริหารกระทรวง พม. และหัวหน้าหน่วยงาน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจากทั่วประเทศ นายจุติ กล่าวว่า เนื่องด้วยปัจจุบัน สังคมมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมอย่างรวดเร็วตามกระแสโลกาภิวัตน์ รวมไปถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทําให้ทุกคนจําเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนาตนเอง อยู่เสมอตลอดเวลา ซึ่งในศตวรรษที่ 21 นับเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐจําเป็นต้องมีความพร้อมอย่างรอบด้าน ประกอบกับการขับเคลื่อนงานผ่านระบบราชการ 4.0 นอกจากการพัฒนากระบวนการทํางานแล้วการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภายในองค์กรนับเป็นสิ่งสําคัญ โดยเฉพาะหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงาน ที่จําเป็นต้องเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างความเป็นผู้นํายุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ที่มีความรู้ ความสามารถ อย่างรอบด้านด้วยการบริหารจัดการให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ภายใต้สังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบพลวัต นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) จึงได้ดําเนินโครงการเสริมสร้างทักษะความเป็นผู้นําในศตวรรษที่ 21 (Empowering Leadership Skills inThe 21st Century) เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาบุคลากรในศตวรรษที่ 21 สู่การเป็นผู้นําและผู้บริหารต้นแบบที่บริหารจัดการให้องค์กรสามารถขับเคลื่อนงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้สังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบพลวัต สําหรับผู้บริหาร ผู้อํานวยการสํานัก/กอง และเทียบเท่าและหัวหน้าหน่วยงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจากทั่วประเทศจากกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ สํานักงานปลัดกระทรวง พม. สํานักงานรัฐมนตรี กรมกิจการเด็กและเยาวชน กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) การเคหะแห่งชาติ และสํานักงานธนานุเคราะห์ โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ อาทิ 1) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี บรรยายเรื่อง "การพลิกผันของโลก สู่ประเทศไทยทิศทางใหม่แห่งการเรียนรู้” 2) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บรรยายเรื่อง "ทักษะการเรียนรู้การบริหารจัดการและการแก้ปัญหา (Arts of Problem Solving Solution)” 3) หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล สมาชิกวุฒิสภา บรรยายพิเศษเรื่อง "การขับเคลื่อนจริยธรรมข้าราชการตามรอยพระยุคลบาท” 4) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อมวลชนและการตลาด บรรยายเรื่อง "บุคลิกภาพและการสื่อสารสําหรับผู้นํายุคใหม่”และ 5) นายศรัทธา ศรัทธาทิพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้สื่อเพื่อการสื่อสาร บรรยายเรื่อง "การเล่าเรื่องและการสื่อสารสําหรับองค์กรภาครัฐ (Storytelling and Communication) เป็นต้น "สิ่งสําคัญในการพัฒนาบุคลากรในศตวรรษที่ 21 ควรมุ่งเน้นการเป็นผู้นําและผู้บริหารที่เป็นต้นแบบที่แข็งแรง อันเป็นตัวอย่างที่ดีในการส่งต่อรูปแบบการปฏิบัติงานที่ดีไปยังทีมงานได้ เนื่องจากการเป็นผู้นําในศตวรรษที่ 21 จําเป็นต้องมีความกล้าหาญในการบริหารจัดการอย่างรู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง และสร้างความท้าทายในการทํางานให้กับตนเอง ภายใต้การแข่งขันที่มากขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยพร้อมนํามาปรับใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป”นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22961
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ.เร่งสร้างการรับรู้ด้านกระบวนการยุติธรรมแก่ประชาชน
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 ยธ.เร่งสร้างการรับรู้ด้านกระบวนการยุติธรรมแก่ประชาชน นายสมชาย เสียงหลาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานด้านการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ด้านกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมชาย เสียงหลาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานด้านการประชาสัมพันธ์ และสร้างการรับรู้ด้านกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เพื่อหารือแนวทางการดําเนินการด้านประชาสัมพันธ์ในการสร้างการรับรู้ เกี่ยวกับบทบาท ภารกิจ และผลการดําเนินงานสําคัญ ด้านกระบวนการยุติธรรมให้ประชาชนรับทราบ อันจะนําไปสู่การเข้าถึงการบริการด้านงานยุติธรรม ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ.เร่งสร้างการรับรู้ด้านกระบวนการยุติธรรมแก่ประชาชน วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 ยธ.เร่งสร้างการรับรู้ด้านกระบวนการยุติธรรมแก่ประชาชน นายสมชาย เสียงหลาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานด้านการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ด้านกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมชาย เสียงหลาย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะทํางานด้านการประชาสัมพันธ์ และสร้างการรับรู้ด้านกระบวนการยุติธรรม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เพื่อหารือแนวทางการดําเนินการด้านประชาสัมพันธ์ในการสร้างการรับรู้ เกี่ยวกับบทบาท ภารกิจ และผลการดําเนินงานสําคัญ ด้านกระบวนการยุติธรรมให้ประชาชนรับทราบ อันจะนําไปสู่การเข้าถึงการบริการด้านงานยุติธรรม ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4060
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดงาน “Himss Thailand e-Health Summit 2018”
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดงาน “Himss Thailand e-Health Summit 2018” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน “Himss Thailand e-Health Summit 2018” ภายใต้หัวข้อ “สถานพยาบาลไทยจะพัฒนาอย่างไรในยุคดิจิทัล” ซึ่ง Healthcare Information and Management Systems Society (HIMSS) Asia-Pacific องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกําไรและมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ จัดขึ้น โดยกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาของประเทศที่กําลังพัฒนา คือเรียนรู้การพัฒนาประเทศของประเทศที่พัฒนาแล้ว และดําเนินการตาม ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลทําให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สร้างความก้าวหน้าอย่างแพร่หลาย เทคโนโลยีดิจิทัลมาพร้อมกับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ โดยในด้านสาธารณสุขนั้น โอกาสที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล คือ Healthcare Startups (ผู้ประกอบการรายใหม่ด้านบริการทางสุขภาพ) Medical Tourism (การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์) และการผลิตอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ หรือ วิธีการทางการแพทย์แบบใหม่ อาทิ Telemedicine (แพทย์ทางไกล) ซึ่งตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว คือการที่กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ดําเนินการขยายโครงข่าย Fiber Optic ไปยังโรงเรียนต่างๆ จํานวนไม่น้อยกว่า 3,196 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) และสุขศาลาพระราชทาน จํานวนไม่น้อยกว่า 812 แห่ง รวมทั้งขยายความจุอินเทอร์เน็ต (Bandwidth) ให้กับโรงพยาบาลเพื่อรองรับการตรวจรักษาทางไกล (Telemedicine) จํานวน 20 แห่ง โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงเทคโนโลยีด้านการแพทย์อย่างเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ําของสังคมไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรมเดอะเวสทิน แกรนด์ ถนนสุขุมวิท เขตวัฒนา กรุงเทพฯ *********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดงาน “Himss Thailand e-Health Summit 2018” วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดงาน “Himss Thailand e-Health Summit 2018” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวเปิดงาน “Himss Thailand e-Health Summit 2018” ภายใต้หัวข้อ “สถานพยาบาลไทยจะพัฒนาอย่างไรในยุคดิจิทัล” ซึ่ง Healthcare Information and Management Systems Society (HIMSS) Asia-Pacific องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกําไรและมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ จัดขึ้น โดยกล่าวถึงแนวทางการพัฒนาของประเทศที่กําลังพัฒนา คือเรียนรู้การพัฒนาประเทศของประเทศที่พัฒนาแล้ว และดําเนินการตาม ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลทําให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สร้างความก้าวหน้าอย่างแพร่หลาย เทคโนโลยีดิจิทัลมาพร้อมกับโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ โดยในด้านสาธารณสุขนั้น โอกาสที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล คือ Healthcare Startups (ผู้ประกอบการรายใหม่ด้านบริการทางสุขภาพ) Medical Tourism (การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์) และการผลิตอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ หรือ วิธีการทางการแพทย์แบบใหม่ อาทิ Telemedicine (แพทย์ทางไกล) ซึ่งตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว คือการที่กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ดําเนินการขยายโครงข่าย Fiber Optic ไปยังโรงเรียนต่างๆ จํานวนไม่น้อยกว่า 3,196 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) และสุขศาลาพระราชทาน จํานวนไม่น้อยกว่า 812 แห่ง รวมทั้งขยายความจุอินเทอร์เน็ต (Bandwidth) ให้กับโรงพยาบาลเพื่อรองรับการตรวจรักษาทางไกล (Telemedicine) จํานวน 20 แห่ง โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงเทคโนโลยีด้านการแพทย์อย่างเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ําของสังคมไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรมเดอะเวสทิน แกรนด์ ถนนสุขุมวิท เขตวัฒนา กรุงเทพฯ *********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12526
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การออกกำลังกายในสวนสาธารณะ
วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563 การออกกําลังกายในสวนสาธารณะ 5 ข้อควรปฏิบัติ -หากมีไข้งดเข้าสวนสาธารณะ -เว้นระยะห่าง -ห้ามรวมตัว -สวมหน้ากากอนามัย ยกเว้นขณะออกกําลังกาย -ให้ความร่วมมืออย่างเคร่งครัด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การออกกำลังกายในสวนสาธารณะ วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2563 การออกกําลังกายในสวนสาธารณะ 5 ข้อควรปฏิบัติ -หากมีไข้งดเข้าสวนสาธารณะ -เว้นระยะห่าง -ห้ามรวมตัว -สวมหน้ากากอนามัย ยกเว้นขณะออกกําลังกาย -ให้ความร่วมมืออย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30645
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง.นรม. พล.อ ฉัตรชัยฯ กำชับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เตรียมรับมืออุทกภัยในช่วงฤดูฝน
วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561 รอง.นรม. พล.อ ฉัตรชัยฯ กําชับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เตรียมรับมืออุทกภัยในช่วงฤดูฝน พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมอนุกรรมการวิเคราะห์ ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ํา ครั้งที่ 2/2561 เพื่อรับฟังรายงานสภาพภูมิอากาศ สถานการณ์น้ํา และการคาดการณ์แนวโน้มปริมาณฝนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (30 พฤษภาคม 2561 ) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ํา ครั้งที่ 2/2561 เพื่อติดตามการรายงาน สภาพภูมิอากาศ สถานการณ์น้ํา และการคาดการณ์แนวโน้มปริมาณฝนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้คณะทํางาน 2 คณะภายใต้คณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ได้แก่ คณะทํางานอํานวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา และคณะทํางานอํานวยการจัดการข้อมูลสารสนเทศทรัพยากรน้ําแห่งชาติ จัดประชุมคณะทํางานเพื่อวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์น้ําอย่างทันต่อเหตุการณ์ สามารถแจ้งเตือนประชาชนได้ทันเวลา ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศว่าประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างทางการแล้ว เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา รวมไปถึงเพื่อเป็นการวิเคราะห์และชี้เป้าพื้นที่ที่ต้องดําเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบ (Area Based) จํานวน 66 แห่ง ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ 29.69 ล้านไร่ทั่วประเทศ และในจํานวนนี้มีพื้นที่น้ําท่วมซ้ําซาก 28 แห่ง คิดเป็นพื้นที่ 8.52 ล้านไร่ พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.)ประสานหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง 15 หน่วยงาน เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ําหลากปี 2561 โดยมีแผนปฏิบัติการในแต่ละด้านให้ชัดเจน สร้างการรับรู้ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนได้แก่ 1) การติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ฝน พายุ ดินถล่ม และเฝ้าระวังอุทกภัยด้วยดาวเทียม 2) การบริหารจัดการน้ําในอ่างเก็บน้ํา แหล่งเก็บน้ําธรรมชาติและแม่น้ําสายหลัก พร้อมกําหนดผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน 3) การตรวจสอบความมั่นคงและสภาพการใช้งานของเขื่อน ประตูระบายน้ํา คันคลองชลประทาน และคันกั้นน้ํา 4) การกําจัดสิ่งกีดขวางทางระบายน้ํา และการใช้พื้นที่ลุ่มต่ําตัดยอดน้ําและการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเส้นทางสัญจรในพื้นที่ลุ่มต่ํา 5) การเตรียมความพร้อม เครื่องจักรเครื่องมือ เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือและการบรรเทาอุทกภัย โดยกําหนดให้มีแผนป้องกันภัยระดับจังหวัด นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานรายงานปัญหาอุปสรรคเพื่อจะได้หาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ทันสถานการณ์และรายงานความคืบหน้าให้ที่ประชุมรับทราบเป็นระยะและกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่เสี่ยงเกิดอุทกภัยในช่วงเดือนต่าง ๆ ตามอิทธิพลลมมรสุม เป็นการสร้างการรับรู้ เฝ้าระวัง ให้กับประชาชนในพื้นที่ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ําหลาก ปี 2561 เพื่อชี้แจงข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจจากระบบการคาดการณ์ การเตรียมความพร้อมแหล่งน้ําและพื้นที่ลุ่มต่ําเป็นพื้นที่รองรับน้ํา รวมถึงเตรียมความพร้อมเครื่องมืออุปกรณ์บรรเทาอุทกภัยเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยให้ได้มากที่สุด โดยมีกําหนดการลงพื้นที่สร้างการรับรู้ต่อประชาชน จํานวน 8 ครั้ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา สกลนคร อุบลราชธานี กาญจนบุรี ระยอง และจังหวัดสงขลา ทั้งนี้ ในวันที่ 4 มิถุนายน 2561 เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล รัฐบาลจะจัดงานเสวนาการบริหารจัดการน้ําทั่วประเทศขึ้น โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เป็นประธานเปิดงานพร้อมมอบนโยบายเพื่อกําหนดทิศทางการปฏิรูปการบริหารจัดการน้ําอย่างยั่งยืน ....................................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง.นรม. พล.อ ฉัตรชัยฯ กำชับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เตรียมรับมืออุทกภัยในช่วงฤดูฝน วันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561 รอง.นรม. พล.อ ฉัตรชัยฯ กําชับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน เตรียมรับมืออุทกภัยในช่วงฤดูฝน พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมอนุกรรมการวิเคราะห์ ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ํา ครั้งที่ 2/2561 เพื่อรับฟังรายงานสภาพภูมิอากาศ สถานการณ์น้ํา และการคาดการณ์แนวโน้มปริมาณฝนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (30 พฤษภาคม 2561 ) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ํา ครั้งที่ 2/2561 เพื่อติดตามการรายงาน สภาพภูมิอากาศ สถานการณ์น้ํา และการคาดการณ์แนวโน้มปริมาณฝนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้คณะทํางาน 2 คณะภายใต้คณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ได้แก่ คณะทํางานอํานวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา และคณะทํางานอํานวยการจัดการข้อมูลสารสนเทศทรัพยากรน้ําแห่งชาติ จัดประชุมคณะทํางานเพื่อวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์น้ําอย่างทันต่อเหตุการณ์ สามารถแจ้งเตือนประชาชนได้ทันเวลา ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกประกาศว่าประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างทางการแล้ว เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา รวมไปถึงเพื่อเป็นการวิเคราะห์และชี้เป้าพื้นที่ที่ต้องดําเนินการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งอย่างเป็นระบบ (Area Based) จํานวน 66 แห่ง ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ 29.69 ล้านไร่ทั่วประเทศ และในจํานวนนี้มีพื้นที่น้ําท่วมซ้ําซาก 28 แห่ง คิดเป็นพื้นที่ 8.52 ล้านไร่ พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (สทนช.)ประสานหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้ง 15 หน่วยงาน เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ําหลากปี 2561 โดยมีแผนปฏิบัติการในแต่ละด้านให้ชัดเจน สร้างการรับรู้ให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนได้แก่ 1) การติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ฝน พายุ ดินถล่ม และเฝ้าระวังอุทกภัยด้วยดาวเทียม 2) การบริหารจัดการน้ําในอ่างเก็บน้ํา แหล่งเก็บน้ําธรรมชาติและแม่น้ําสายหลัก พร้อมกําหนดผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน 3) การตรวจสอบความมั่นคงและสภาพการใช้งานของเขื่อน ประตูระบายน้ํา คันคลองชลประทาน และคันกั้นน้ํา 4) การกําจัดสิ่งกีดขวางทางระบายน้ํา และการใช้พื้นที่ลุ่มต่ําตัดยอดน้ําและการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเส้นทางสัญจรในพื้นที่ลุ่มต่ํา 5) การเตรียมความพร้อม เครื่องจักรเครื่องมือ เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือและการบรรเทาอุทกภัย โดยกําหนดให้มีแผนป้องกันภัยระดับจังหวัด นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานรายงานปัญหาอุปสรรคเพื่อจะได้หาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ทันสถานการณ์และรายงานความคืบหน้าให้ที่ประชุมรับทราบเป็นระยะและกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่โดยเฉพาะจังหวัดที่มีพื้นที่เสี่ยงเกิดอุทกภัยในช่วงเดือนต่าง ๆ ตามอิทธิพลลมมรสุม เป็นการสร้างการรับรู้ เฝ้าระวัง ให้กับประชาชนในพื้นที่ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์น้ําหลาก ปี 2561 เพื่อชี้แจงข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจจากระบบการคาดการณ์ การเตรียมความพร้อมแหล่งน้ําและพื้นที่ลุ่มต่ําเป็นพื้นที่รองรับน้ํา รวมถึงเตรียมความพร้อมเครื่องมืออุปกรณ์บรรเทาอุทกภัยเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยให้ได้มากที่สุด โดยมีกําหนดการลงพื้นที่สร้างการรับรู้ต่อประชาชน จํานวน 8 ครั้ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา สกลนคร อุบลราชธานี กาญจนบุรี ระยอง และจังหวัดสงขลา ทั้งนี้ ในวันที่ 4 มิถุนายน 2561 เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล รัฐบาลจะจัดงานเสวนาการบริหารจัดการน้ําทั่วประเทศขึ้น โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เป็นประธานเปิดงานพร้อมมอบนโยบายเพื่อกําหนดทิศทางการปฏิรูปการบริหารจัดการน้ําอย่างยั่งยืน ....................................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12630
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 2561 “รวมพลังรัฐวิสาหกิจ พัฒนาเศรษฐกิจไทย ก้าวไกลอย่างยั่งยืน”
วันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2561 สคร. จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 2561 “รวมพลังรัฐวิสาหกิจ พัฒนาเศรษฐกิจไทย ก้าวไกลอย่างยั่งยืน” สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) ขึ้นในวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอก คอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) เพื่อเป็นการผลักดัน ส่งเสริม และให้กําลังใจรัฐวิสาหกิจในการดําเนินกิจกรรมร่วมกันในปีต่อ ๆ ไป ตามนโยบายของรัฐบาล โดยการจัดงานดังกล่าวมีขึ้นเป็นประจําทุกปี นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา เพื่อเผยแพร่และประกาศผลงานที่โดดเด่นของรัฐวิสาหกิจให้สาธารณชนและสังคมได้รับรู้รับทราบ นอกจากนี้ SOE Award ยังเป็นการสร้างกระบวนการและช่องทางให้ประชาชนและสังคมได้มีส่วนในการติดตามการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจ โดยในปี 2561 สคร. ได้จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นภายใต้แนวคิด “รวมพลังรัฐวิสาหกิจ พัฒนาเศรษฐกิจไทย ก้าวไกลอย่างยั่งยืน”เพื่อแสดงให้เห็นการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐวิสาหกิจ ประชาชน และภาคส่วนอื่นๆโดยรัฐวิสาหกิจทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่เปรียบเสมือนฟันเฟืองที่คอยขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนโดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอก คอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลในงาน นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวว่า สคร. จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นหรือ SOE Award ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “รวมพลังรัฐวิสาหกิจ พัฒนาเศรษฐกิจไทย ก้าวไกลอย่างยั่งยืน” ซึ่งในปีนี้คณะกรรมการตัดสินรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ได้กําหนดรางวัลใหม่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ รางวัลความร่วมมือเพื่อการพัฒนาดีเด่น เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐวิสาหกิจใน 2 ด้าน คือ 1. ด้านการยกระดับการบริหารจัดการองค์กรหรือโครงการพี่เลี้ยง โดยเป็นการจัดคู่รัฐวิสาหกิจ จํานวน 18 คู่ ร่วมมือกันเพื่อให้เกิดความช่วยเหลือทางวิชาการและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการองค์กรให้เข้าสู่มาตรฐาน โดยรัฐวิสาหกิจทั้งคู่ต้องมีการกําหนดแผนงาน ปรับปรุงและแก้ไขการดําเนินงานที่ยังมีจุดบกพร่อง รวมถึงกําหนดผลลัพธ์ร่วมกันให้มีความชัดเจน ซึ่งนอกจากผลลัพธ์ในด้านการยกระดับการบริหารจัดการองค์กรได้ตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดแล้ว ยังส่งผลให้เกิดแรงกระตุ้นให้รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุน เกิดความมุ่งมั่นและความตั้งใจในการพัฒนาตนเอง โดยมีรัฐวิสาหกิจพี่เลี้ยงเป็นต้นแบบในการพัฒนาองค์กร รวมถึงโครงการการยกระดับการบริหารจัดการองค์กรยังถือว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐวิสาหกิจให้มีความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังทําให้เกิดแนวคิดในการต่อยอดทางธุรกิจและสามารถสร้างการเติบโตและสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ต่อไปในอนาคต 2. ด้านความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ (Collaboration) เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างรัฐวิสาหกิจในการกําหนดแผนงาน ดําเนินงานตามแผนงานรวมถึงกําหนดผลลัพธ์ร่วมกันให้เป็นรูปธรรม สําหรับรางวัลทั้ง 10 ประเภท ประกอบด้วย 1. รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น 2.รางวัลการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น 3. รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่น แบ่งเป็น 3 ประเภทรางวัล ได้แก่ รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่นในภาพรวม รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่นด้านการบริหารจัดการสารสนเทศ และรางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่นด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล 4. รางวัลผู้นําองค์กรดีเด่น 5. รางวัลการเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสดีเด่น 6. รางวัลรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยมประจําปี 2561 7. รางวัลการดําเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น 8. รางวัลนวัตกรรมดีเด่น 9. รางวัลประชารัฐวิสาหกิจดีเด่น และ 10. รางวัลความร่วมมือเพื่อการพัฒนาดีเด่น ซึ่งเป็นรางวัลใหม่ในปีนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 2561 “รวมพลังรัฐวิสาหกิจ พัฒนาเศรษฐกิจไทย ก้าวไกลอย่างยั่งยืน” วันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2561 สคร. จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 2561 “รวมพลังรัฐวิสาหกิจ พัฒนาเศรษฐกิจไทย ก้าวไกลอย่างยั่งยืน” สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) ขึ้นในวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอก คอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัล สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ได้จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Award) เพื่อเป็นการผลักดัน ส่งเสริม และให้กําลังใจรัฐวิสาหกิจในการดําเนินกิจกรรมร่วมกันในปีต่อ ๆ ไป ตามนโยบายของรัฐบาล โดยการจัดงานดังกล่าวมีขึ้นเป็นประจําทุกปี นับตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา เพื่อเผยแพร่และประกาศผลงานที่โดดเด่นของรัฐวิสาหกิจให้สาธารณชนและสังคมได้รับรู้รับทราบ นอกจากนี้ SOE Award ยังเป็นการสร้างกระบวนการและช่องทางให้ประชาชนและสังคมได้มีส่วนในการติดตามการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจ โดยในปี 2561 สคร. ได้จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นภายใต้แนวคิด “รวมพลังรัฐวิสาหกิจ พัฒนาเศรษฐกิจไทย ก้าวไกลอย่างยั่งยืน”เพื่อแสดงให้เห็นการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐวิสาหกิจ ประชาชน และภาคส่วนอื่นๆโดยรัฐวิสาหกิจทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่เปรียบเสมือนฟันเฟืองที่คอยขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนโดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอก คอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลในงาน นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวว่า สคร. จัดงานมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นหรือ SOE Award ประจําปี 2561 ภายใต้แนวคิด “รวมพลังรัฐวิสาหกิจ พัฒนาเศรษฐกิจไทย ก้าวไกลอย่างยั่งยืน” ซึ่งในปีนี้คณะกรรมการตัดสินรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ได้กําหนดรางวัลใหม่เพิ่มเติมขึ้นมา คือ รางวัลความร่วมมือเพื่อการพัฒนาดีเด่น เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐวิสาหกิจใน 2 ด้าน คือ 1. ด้านการยกระดับการบริหารจัดการองค์กรหรือโครงการพี่เลี้ยง โดยเป็นการจัดคู่รัฐวิสาหกิจ จํานวน 18 คู่ ร่วมมือกันเพื่อให้เกิดความช่วยเหลือทางวิชาการและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการองค์กรให้เข้าสู่มาตรฐาน โดยรัฐวิสาหกิจทั้งคู่ต้องมีการกําหนดแผนงาน ปรับปรุงและแก้ไขการดําเนินงานที่ยังมีจุดบกพร่อง รวมถึงกําหนดผลลัพธ์ร่วมกันให้มีความชัดเจน ซึ่งนอกจากผลลัพธ์ในด้านการยกระดับการบริหารจัดการองค์กรได้ตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดแล้ว ยังส่งผลให้เกิดแรงกระตุ้นให้รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุน เกิดความมุ่งมั่นและความตั้งใจในการพัฒนาตนเอง โดยมีรัฐวิสาหกิจพี่เลี้ยงเป็นต้นแบบในการพัฒนาองค์กร รวมถึงโครงการการยกระดับการบริหารจัดการองค์กรยังถือว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐวิสาหกิจให้มีความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังทําให้เกิดแนวคิดในการต่อยอดทางธุรกิจและสามารถสร้างการเติบโตและสร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ต่อไปในอนาคต 2. ด้านความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ (Collaboration) เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างรัฐวิสาหกิจในการกําหนดแผนงาน ดําเนินงานตามแผนงานรวมถึงกําหนดผลลัพธ์ร่วมกันให้เป็นรูปธรรม สําหรับรางวัลทั้ง 10 ประเภท ประกอบด้วย 1. รางวัลคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น 2.รางวัลการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น 3. รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่น แบ่งเป็น 3 ประเภทรางวัล ได้แก่ รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่นในภาพรวม รางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่นด้านการบริหารจัดการสารสนเทศ และรางวัลการพัฒนาองค์กรดีเด่นด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล 4. รางวัลผู้นําองค์กรดีเด่น 5. รางวัลการเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใสดีเด่น 6. รางวัลรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยมประจําปี 2561 7. รางวัลการดําเนินงานเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น 8. รางวัลนวัตกรรมดีเด่น 9. รางวัลประชารัฐวิสาหกิจดีเด่น และ 10. รางวัลความร่วมมือเพื่อการพัฒนาดีเด่น ซึ่งเป็นรางวัลใหม่ในปีนี้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14786
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงดำเนินโครงการบูรณะทางหลวงหมายเลข 344 สายอำเภอบ้านบึง - อำเภอแกลง ตอน 1 ส่วน 1 จังหวัดระยอง เปิดให้สัญจรแล้ว
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 กรมทางหลวงดําเนินโครงการบูรณะทางหลวงหมายเลข 344 สายอําเภอบ้านบึง - อําเภอแกลง ตอน 1 ส่วน 1 จังหวัดระยอง เปิดให้สัญจรแล้ว กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการบูรณะทางหลวงหมายเลข 344 สายอําเภอบ้านบึง - อําเภอแกลง ตอน 1 ส่วน 1 จังหวัดระยอง เพื่อเพิ่มศักยภาพสายทาง เชื่อมโยงโครงข่ายทางหลวงสายหลัก สนับสนุนการเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้สัญจรแล้ว นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้กําหนดยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการให้บริการระบบคมนาคมขนส่ง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง และการพัฒนาประสิทธิภาพโครงข่ายทางหลวงสายหลักทั่วประเทศ โดย ทล. ดําเนินการบูรณะโครงข่ายสายหลักระหว่างภาค ทางหลวงหมายเลข 344 สายอําเภอบ้านบึง - อําเภอแกลง ตอน 1 ส่วน 1 ระหว่าง กม.25+000 - กม.41+100 ระยะทาง 16.10 กิโลเมตร ผิวทางแอสฟัลท์คอนกรีต มาตรฐานทางพิเศษขนาด 4 ช่องจราจร ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.5 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.5 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยเกาะกลางแบบกดเป็นร่อง ปัจจุบันโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้สัญจร เพื่อรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยอํานวยความสะดวกในการเดินทาง การขนส่งสินค้าทางการเกษตรและอุตสาหกรรม ส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพการให้บริการของระบบทางหลวง และช่วยลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุ สามารถสอบถามข้อมูลการเดินทางได้ที่ แขวงทางหลวงชลบุรีที่ 1 โทร. 0 3826 1553 หรือสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงดำเนินโครงการบูรณะทางหลวงหมายเลข 344 สายอำเภอบ้านบึง - อำเภอแกลง ตอน 1 ส่วน 1 จังหวัดระยอง เปิดให้สัญจรแล้ว วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 กรมทางหลวงดําเนินโครงการบูรณะทางหลวงหมายเลข 344 สายอําเภอบ้านบึง - อําเภอแกลง ตอน 1 ส่วน 1 จังหวัดระยอง เปิดให้สัญจรแล้ว กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการบูรณะทางหลวงหมายเลข 344 สายอําเภอบ้านบึง - อําเภอแกลง ตอน 1 ส่วน 1 จังหวัดระยอง เพื่อเพิ่มศักยภาพสายทาง เชื่อมโยงโครงข่ายทางหลวงสายหลัก สนับสนุนการเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้สัญจรแล้ว นายสราวุธ ทรงศิวิไล ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้กําหนดยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการให้บริการระบบคมนาคมขนส่ง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง และการพัฒนาประสิทธิภาพโครงข่ายทางหลวงสายหลักทั่วประเทศ โดย ทล. ดําเนินการบูรณะโครงข่ายสายหลักระหว่างภาค ทางหลวงหมายเลข 344 สายอําเภอบ้านบึง - อําเภอแกลง ตอน 1 ส่วน 1 ระหว่าง กม.25+000 - กม.41+100 ระยะทาง 16.10 กิโลเมตร ผิวทางแอสฟัลท์คอนกรีต มาตรฐานทางพิเศษขนาด 4 ช่องจราจร ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.5 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.5 เมตร แบ่งทิศทางการจราจรด้วยเกาะกลางแบบกดเป็นร่อง ปัจจุบันโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้สัญจร เพื่อรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยอํานวยความสะดวกในการเดินทาง การขนส่งสินค้าทางการเกษตรและอุตสาหกรรม ส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพการให้บริการของระบบทางหลวง และช่วยลดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุ สามารถสอบถามข้อมูลการเดินทางได้ที่ แขวงทางหลวงชลบุรีที่ 1 โทร. 0 3826 1553 หรือสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9854
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่นิคมบางปู พร้อมมอบนโยบายเพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์โควิด -19 และภัยแล้ง
วันอังคารที่ 17 มีนาคม 2563 ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่นิคมบางปู พร้อมมอบนโยบายเพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์โควิด -19 และภัยแล้ง นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่นิคมบางปู พร้อมมอบนโยบายเพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์โควิด -19 และภัยแล้ง (17 มีนาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นําคณะกรรมการพร้อมคณะผู้บริหาร กนอ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ พร้อมมอบนโยบายในการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ โควิด-19 ภัยแล้ง และสถานการณ์น้ําท่วม ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมบางปูเคยประสบปัญหาน้ําท่วมเมื่อปีที่แล้ว ในปีนี้ต้องมีการเตรียมมาตรการและเตรียมความพร้อมเพื่อไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นอีก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่นิคมบางปู พร้อมมอบนโยบายเพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์โควิด -19 และภัยแล้ง วันอังคารที่ 17 มีนาคม 2563 ปลัดกอบชัยฯ ลงพื้นที่นิคมบางปู พร้อมมอบนโยบายเพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์โควิด -19 และภัยแล้ง นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่นิคมบางปู พร้อมมอบนโยบายเพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์โควิด -19 และภัยแล้ง (17 มีนาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นําคณะกรรมการพร้อมคณะผู้บริหาร กนอ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ พร้อมมอบนโยบายในการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ โควิด-19 ภัยแล้ง และสถานการณ์น้ําท่วม ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมบางปูเคยประสบปัญหาน้ําท่วมเมื่อปีที่แล้ว ในปีนี้ต้องมีการเตรียมมาตรการและเตรียมความพร้อมเพื่อไม่ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นอีก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27403
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท. มอบนโยบายและแนวทางการทำงานแก่นักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) พร้อมเน้นย้ำให้ผู้ว่าฯ ให้ความสำคัญในการสอนงาน พร้อมเป็นแบบอย่างข้าราชการที่ดี
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 ปมท. มอบนโยบายและแนวทางการทํางานแก่นักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) พร้อมเน้นย้ําให้ผู้ว่าฯ ให้ความสําคัญในการสอนงาน พร้อมเป็นแบบอย่างข้าราชการที่ดี ปมท. มอบนโยบายและแนวทางการทํางานแก่นักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) พร้อมเน้นย้ําให้ผู้ว่าฯ ให้ความสําคัญในการสอนงาน พร้อมเป็นแบบอย่างข้าราชการที่ดี วันนี้ (18 มิ.ย. 2561) ที่ห้องประชุมชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนายฉัตรชัยพรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายและให้แนวทางการทํางานแก่นักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) รุ่นที่ 12โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการ และผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 50 จังหวัด เข้าร่วมพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทํางานร่วมกัน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการไปฝึกปฏิบัติราชการในหน่วยงานภาครัฐสถานที่ปฏิบัติงานจริง ซึ่งในปีนี้มีนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) จํานวน 50 คน ที่จะเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ 50 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ กาญจนบุรี ขอนแก่นจันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก นครพนม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พังงา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลําปาง ลําพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สงขลา สตูล สมุทรสาคร สระแก้ว สระบุรี สุพรรณบุรีสุราษฎร์ธานี หนองคาย อุดรธานี และ อุบลราชธานี โอกาสนี้ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวแสดงความขอบคุณผู้แทนสํานักงาน ก.พ.ร.ที่ได้ให้ความสําคัญ กับบทบาทและภารกิจของกระทรวงมหาดไทย โดยเปิดโอกาสให้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้เป็นพี่เลี้ยงหรือครูผู้ฝึกสอน (Mentor) ให้แก่ทีมนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ในครั้งนี้ พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับข้าราชการในโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) รุ่นที่ 12 ซึ่งถือเป็นกลุ่มข้าราชการรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ มีขีดสมรรถนะสูง และพร้อมที่จะเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ พร้อมทั้งได้มอบนโยบายและแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยกล่าวถึงประสบการณ์ที่เคยฝึกนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) สมัยที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับการฝึกสอนงานตามโครงการดังกล่าวนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและคอยให้คําแนะนําและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับงานส่วนราชการในส่วนภูมิภาค ทั้งส่วนราชการประจําจังหวัดและท้องถิ่น รวมถึงการทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยสอนงานในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัด พร้อมทั้งได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดําเนินการในบทบาทและภารกิจของครูผู้ฝึกสอน (Mentor) ตามแนวทางของคณะกรรมการสรรหาครูผู้ฝึกสอนงาน และสํานักงาน ก.พ.ร.ที่ได้กําหนดไว้ ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยได้ตระหนักและเห็นความสําคัญในการพัฒนาบุคลากร ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญในการพัฒนาหน่วยงานและประเทศชาติ และพร้อมให้การสนับสนุนการทํางานของสํานักงาน ก.พ.ร. และโครงการดังกล่าว เพื่อร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถ และเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร เพื่อให้สามารถนําความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้พัฒนางาน เพื่อสร้างประโยชน์สุขให้แก่พี่น้องประชาชนและประเทศชาติ. ครั้งที่122/2561วันที่ 18 มิ.ย. 2561 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปมท. มอบนโยบายและแนวทางการทำงานแก่นักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) พร้อมเน้นย้ำให้ผู้ว่าฯ ให้ความสำคัญในการสอนงาน พร้อมเป็นแบบอย่างข้าราชการที่ดี วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 ปมท. มอบนโยบายและแนวทางการทํางานแก่นักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) พร้อมเน้นย้ําให้ผู้ว่าฯ ให้ความสําคัญในการสอนงาน พร้อมเป็นแบบอย่างข้าราชการที่ดี ปมท. มอบนโยบายและแนวทางการทํางานแก่นักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) พร้อมเน้นย้ําให้ผู้ว่าฯ ให้ความสําคัญในการสอนงาน พร้อมเป็นแบบอย่างข้าราชการที่ดี วันนี้ (18 มิ.ย. 2561) ที่ห้องประชุมชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนายฉัตรชัยพรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายและให้แนวทางการทํางานแก่นักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) รุ่นที่ 12โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการ และผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 50 จังหวัด เข้าร่วมพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทํางานร่วมกัน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการไปฝึกปฏิบัติราชการในหน่วยงานภาครัฐสถานที่ปฏิบัติงานจริง ซึ่งในปีนี้มีนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) จํานวน 50 คน ที่จะเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ 50 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ กาญจนบุรี ขอนแก่นจันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยนาท ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก นครพนม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พังงา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลําปาง ลําพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สงขลา สตูล สมุทรสาคร สระแก้ว สระบุรี สุพรรณบุรีสุราษฎร์ธานี หนองคาย อุดรธานี และ อุบลราชธานี โอกาสนี้ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้กล่าวแสดงความขอบคุณผู้แทนสํานักงาน ก.พ.ร.ที่ได้ให้ความสําคัญ กับบทบาทและภารกิจของกระทรวงมหาดไทย โดยเปิดโอกาสให้ผู้ว่าราชการจังหวัดได้เป็นพี่เลี้ยงหรือครูผู้ฝึกสอน (Mentor) ให้แก่ทีมนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ในครั้งนี้ พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับข้าราชการในโครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) รุ่นที่ 12 ซึ่งถือเป็นกลุ่มข้าราชการรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ มีขีดสมรรถนะสูง และพร้อมที่จะเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ พร้อมทั้งได้มอบนโยบายและแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยกล่าวถึงประสบการณ์ที่เคยฝึกนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ (นปร.) สมัยที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับการฝึกสอนงานตามโครงการดังกล่าวนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและคอยให้คําแนะนําและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับงานส่วนราชการในส่วนภูมิภาค ทั้งส่วนราชการประจําจังหวัดและท้องถิ่น รวมถึงการทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยสอนงานในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัด พร้อมทั้งได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดําเนินการในบทบาทและภารกิจของครูผู้ฝึกสอน (Mentor) ตามแนวทางของคณะกรรมการสรรหาครูผู้ฝึกสอนงาน และสํานักงาน ก.พ.ร.ที่ได้กําหนดไว้ ทั้งนี้กระทรวงมหาดไทยได้ตระหนักและเห็นความสําคัญในการพัฒนาบุคลากร ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญในการพัฒนาหน่วยงานและประเทศชาติ และพร้อมให้การสนับสนุนการทํางานของสํานักงาน ก.พ.ร. และโครงการดังกล่าว เพื่อร่วมกันพัฒนาขีดความสามารถ และเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร เพื่อให้สามารถนําความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้พัฒนางาน เพื่อสร้างประโยชน์สุขให้แก่พี่น้องประชาชนและประเทศชาติ. ครั้งที่122/2561วันที่ 18 มิ.ย. 2561 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13153
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยพร้อมมอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือ
วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยพร้อมมอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือ ได้แก่ เครื่องอุปโภคบริโภค และยาเวชภัณฑ์ที่จําเป็นในนามของ ชมรมภูมิพลังแผ่นดินและสํานักงานรองนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560 เวลา 07.30 น.ที่ฝูงบิน 236 ค่ายกฤษณ์สีวะรา อําเภอเมือง จังหวัดสกลนคร พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้กํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เขต 10 และ เขต 11 ได้เดินทางไปมอบเงินและสิ่งของได้แก่ เครื่องอุปโภคบริโภค และยาเวชภัณฑ์ที่จําเป็นในนามของ ชมรมภูมิพลังแผ่นดินและสํานักงานรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดสกลนคร โดยมีนายวิทยา จันทร์ฉลอง ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เป็นผู้แทนรับมอบ จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีและคณะได้รอรับนายกรัฐมนตรีและคณะ ซึ่งเดินทางมารับฟังการบรรยายสรุปปัญหาและการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมในเขตพื้นที่จังหวัดสกลนคร พร้อมทั้งได้ร่วมคณะของนายกรัฐมนตรีไปพบปะประชาชนที่ประสบภัยและมอบถุงยังชีพ ต่อมาเวลา 13.30 น. รองนายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปยังวัดจอมแจ้ง บ้านนาคูณทุ่ง ตําบลนาคูณใหญ่ อําเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม เพื่อเยี่ยมเยียนราษฎรที่ประสบอุทกภัย พร้อมทั้งเป็นประธานเปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย สํานักนายกรัฐมนตรี อําเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม โดยมีนายวีระ จรูญพิทักษ์พงศ์ นายอําเภอนาหว้า ให้การต้อนรับและรายงานสถานการณ์ความเสียหายอันเนื่องมาจากพายุดีเปรสชั่น “เซินกา” รวม 3,718 ครัวเรือนและพื้นที่ทําการเกษตร 19,403 ไร่ จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความเสียใจกับราษฎรที่ประสบภัย และได้นําความห่วงใยจากนายกรัฐมนตรีที่ได้ฝากมาให้กับพี่น้องทุกคนในวันนี้ โดยรองนายกรัฐมนตรีได้ขอให้พี่น้องประชาชนมีจิตใจที่เข้มแข็งเพื่อที่จะได้ฟันฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไปด้วยกัน และขอเป็นกําลังใจให้ทุกคน โดยรัฐบาลจะทําทุกอย่างเพื่อให้สถานการณ์กลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว พร้อมนี้ได้มอบถุงยังชีพให้กับราษฎรที่ประสบความเดือดร้อนในครั้งนี้ด้วย ต่อมาในเวลา 16.30 น. รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังกองบิน 23 อําเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อเข้าร่วมประชุมกับทางจังหวัดอุดรธานี โดยมีนายสวัสดิ์ พ่วงโพธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดอุดรธานีให้การต้อนรับและรายงานสถานการณ์อุทกภัยของจังหวัดอุดรธานี ซึ่งได้รับผลกระทบรวม 20 อําเภอ 116 ตําบล สร้างความเดือดร้อนให้กับราษฎร 18,811 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตร 121,061 ไร่ โดยทางจังหวัดร่วมกับหน่วยทหารในพื้นที่ได้ร่วมกันออกช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมทั้งขุดลอก คู คลอง กําจัดวัชพืชที่กีดขวางทางน้ํา เพื่อให้การระบายน้ําเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ทุกหน่วยได้ร่วมกันช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับราษฎรอย่างเต็มที่หากมีปัญหาข้อขัดข้องขอให้แจ้งขึ้นมาโดยด่วนเพื่อที่จะได้รับดําเนินการแก้ไข โดยให้ผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรีเขต 10 ได้ประสานงานกับทางจังหวัดอย่างใกล้ชิด จากนั้นรองนากยกรัฐมนตรี ได้มอบเงินและสิ่งของได้แก่ เครื่องอุปโภคบริโภค และยาเวชภัณฑ์ที่จําเป็นในนามของชมรมภูมิพลังแผ่นดินและสํานักงานรองนายรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดอุดรธานีผ่านทางรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีต่อไป สําหรับพื้นที่กํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีใน เขต 10 ประกอบด้วยจังหวัดบึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลําภู และอุดรธานี เขต 11 ประกอบด้วยจังหวัดนครพนม มุกดาหาร และสกลนคร ......................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยพร้อมมอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือ วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 รอง นรม.พล.อ.อ.ประจินฯ ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยพร้อมมอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือ ได้แก่ เครื่องอุปโภคบริโภค และยาเวชภัณฑ์ที่จําเป็นในนามของ ชมรมภูมิพลังแผ่นดินและสํานักงานรองนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560 เวลา 07.30 น.ที่ฝูงบิน 236 ค่ายกฤษณ์สีวะรา อําเภอเมือง จังหวัดสกลนคร พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้กํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เขต 10 และ เขต 11 ได้เดินทางไปมอบเงินและสิ่งของได้แก่ เครื่องอุปโภคบริโภค และยาเวชภัณฑ์ที่จําเป็นในนามของ ชมรมภูมิพลังแผ่นดินและสํานักงานรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดสกลนคร โดยมีนายวิทยา จันทร์ฉลอง ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร เป็นผู้แทนรับมอบ จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีและคณะได้รอรับนายกรัฐมนตรีและคณะ ซึ่งเดินทางมารับฟังการบรรยายสรุปปัญหาและการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมในเขตพื้นที่จังหวัดสกลนคร พร้อมทั้งได้ร่วมคณะของนายกรัฐมนตรีไปพบปะประชาชนที่ประสบภัยและมอบถุงยังชีพ ต่อมาเวลา 13.30 น. รองนายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปยังวัดจอมแจ้ง บ้านนาคูณทุ่ง ตําบลนาคูณใหญ่ อําเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม เพื่อเยี่ยมเยียนราษฎรที่ประสบอุทกภัย พร้อมทั้งเป็นประธานเปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย สํานักนายกรัฐมนตรี อําเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม โดยมีนายวีระ จรูญพิทักษ์พงศ์ นายอําเภอนาหว้า ให้การต้อนรับและรายงานสถานการณ์ความเสียหายอันเนื่องมาจากพายุดีเปรสชั่น “เซินกา” รวม 3,718 ครัวเรือนและพื้นที่ทําการเกษตร 19,403 ไร่ จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความเสียใจกับราษฎรที่ประสบภัย และได้นําความห่วงใยจากนายกรัฐมนตรีที่ได้ฝากมาให้กับพี่น้องทุกคนในวันนี้ โดยรองนายกรัฐมนตรีได้ขอให้พี่น้องประชาชนมีจิตใจที่เข้มแข็งเพื่อที่จะได้ฟันฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไปด้วยกัน และขอเป็นกําลังใจให้ทุกคน โดยรัฐบาลจะทําทุกอย่างเพื่อให้สถานการณ์กลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว พร้อมนี้ได้มอบถุงยังชีพให้กับราษฎรที่ประสบความเดือดร้อนในครั้งนี้ด้วย ต่อมาในเวลา 16.30 น. รองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังกองบิน 23 อําเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อเข้าร่วมประชุมกับทางจังหวัดอุดรธานี โดยมีนายสวัสดิ์ พ่วงโพธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดอุดรธานีให้การต้อนรับและรายงานสถานการณ์อุทกภัยของจังหวัดอุดรธานี ซึ่งได้รับผลกระทบรวม 20 อําเภอ 116 ตําบล สร้างความเดือดร้อนให้กับราษฎร 18,811 ครัวเรือน พื้นที่การเกษตร 121,061 ไร่ โดยทางจังหวัดร่วมกับหน่วยทหารในพื้นที่ได้ร่วมกันออกช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมทั้งขุดลอก คู คลอง กําจัดวัชพืชที่กีดขวางทางน้ํา เพื่อให้การระบายน้ําเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีได้ขอให้ทุกหน่วยได้ร่วมกันช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับราษฎรอย่างเต็มที่หากมีปัญหาข้อขัดข้องขอให้แจ้งขึ้นมาโดยด่วนเพื่อที่จะได้รับดําเนินการแก้ไข โดยให้ผู้ตรวจราชการสํานักนายกรัฐมนตรีเขต 10 ได้ประสานงานกับทางจังหวัดอย่างใกล้ชิด จากนั้นรองนากยกรัฐมนตรี ได้มอบเงินและสิ่งของได้แก่ เครื่องอุปโภคบริโภค และยาเวชภัณฑ์ที่จําเป็นในนามของชมรมภูมิพลังแผ่นดินและสํานักงานรองนายรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดอุดรธานีผ่านทางรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีต่อไป สําหรับพื้นที่กํากับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีใน เขต 10 ประกอบด้วยจังหวัดบึงกาฬ เลย หนองคาย หนองบัวลําภู และอุดรธานี เขต 11 ประกอบด้วยจังหวัดนครพนม มุกดาหาร และสกลนคร ......................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5693
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์”คิกออฟพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 2 มีสินค้าเข้าร่วม 3,025 รายการ [กระทรวงพาณิชย์]
วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2563 “จุรินทร์”คิกออฟพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 2 มีสินค้าเข้าร่วม 3,025 รายการ [กระทรวงพาณิชย์] “จุรินทร์”คิกออฟพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 2 มีสินค้าเข้าร่วม 3,025 รายการ “จุรินทร์”คิกออฟโครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 2 มี 6 กลุ่มสินค้า จํานวน 3,025 รายการ ลดราคาสูงสุด 68% เริ่มลดทันทีถึงวันที่ 30 มิ.ย.63 คาดช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนทั้งประเทศได้มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการเปิดโครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 2 ว่า วันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ที่กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนช่วยกันลดภาระค่าของชีพให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศ ภายใต้ภารกิจร่วมกันที่ต้องการลดราคาสินค้าให้กับผู้บริโภคชาวไทย โดยได้ดําเนินการมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 16 เม.ย.2563 ที่ผ่านมา ภายใต้โครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 1 ตอนนั้นสินค้าที่เข้าร่วมลดราคากับกระทรวงพาณิชย์จํานวน 6 กลุ่มสินค้าด้วยกันประกอบด้วยกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มอาหารปรุงสําเร็จแช่แข็ง กลุ่มซอสปรุงรส กลุ่มของใช้ประจําวัน กลุ่มผลิตภัณฑ์ชําระร่างกาย และกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักล้าง มีสินค้าเข้าร่วมลดราคา 72 รายการ ลดสูงสุดถึง 58% ส่วนครั้งนี้ คือ โครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 2 ซึ่งยังคงสินค้า 6 กลุ่มเช่นเดิม แต่มีรายการสินค้าที่เข้าร่วมมากกว่าล็อต 1 หลายเท่าตัว โดยมีมากถึง 3,025 รายการ โดยลดราคาสูงสุดถึง 68% มีผู้ผลิตและผู้จําหน่ายเข้าร่วมโครงการล็อต 2 รวมกันถึง 51 องค์กร เป็นข้าวสารถุง 18 บริษัท สินค้าอุปโภคบริโภค 20 บริษัท และห้างสรรพสินค้าต่างๆ 13 ห้างทั่วประเทศ เริ่มลดราคาตั้งแต่วันนี้ (24 เม.ย.) ถึง 30 มิ.ย.2563 เป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถหาซื้อสินค้าได้จากห้างค้าส่งค้าปลีก 13 ห้าง และสาขาทั่วประเทศของห้างที่เข้าร่วมประกอบด้วย 1.บิ๊กซี 2.เทสโก้ โลตัส 3.แม็คโคร 4.ฟู้ดแลนด์ 5.ซี เจ เอ็กซ์เพรส 6.สหลอว์สัน 7.ซีพี ออลล์ 8.เดอะมอลล์ 9.Maxvalue 10.Tops 11.Gourmet Market 12.Home Fresh Mart และ 13.Family Mart โดยผู้ประกอบการหรือแบรนด์ยี่ห้อสินค้าที่เข้าร่วมทั้งหมด ขอชี้แจงเป็นยี่ห้อก็แล้วกัน จะได้เข้าใจกันง่าย โดยข้าวมี 18 ยี่ห้อ ได้แก่ 1.ข้าวตราฉัตร 2.ข้าวตรามาบุญครอง 3.ข้าวตราแสนดี 4.ข้าวตราพนมรุ้ง 5.ข้าวตราปิ่นเงิน 6.ข้าวตราหงษ์ทอง 7.ข้าวตราเบญจรงค์ 8.ข้าวตราบัวชมพู 9.ข้าวตราพันธุ์ดี 10.ข้าวตราดอกบัว ตงฮั้ว 11.ข้าวตราซันลี 12.ข้าวตราธรรม 13.ข้าวตราไก่แจ้ 14.ข้าวตราเอโร่ 15.ข้าวตรา Tesco 16.ข้าวตรา Big C 17.ข้าวตราท็อปส์/มายช้อยส์ 18.ข้าวตรา Home Fresh Mart สําหรับสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ประกอบด้วยตราบรีส คอมฟอร์ท ซันไลต์ เซลล็อกซ์ นกแก้ว เบบี้มายด์ คอลเกต โพรเทค แคร์ ซื่อสัตย์ โคโดโมะ เปา เด็กสมบูรณ์ ซีเล็ค ซูเปอร์ ซีเชฟ มาม่า ซีพี โฟร์โมสต์ ดัชมิลล์ ไวตามิ้ลค์ เมจิ เนสท์เล่ คาร์เนชั่น บิโอเร แอทแทค แฟซ่า ไฟน์ไลน์ สมาร์ท ดีนี่ โก๋แก่ และอิมพีเรียล เป็นต้น “ขอขอบคุณเอกชนที่ได้เข้าร่วมโครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชนล็อตที่ 2 ซึ่งกรมการค้าภายในได้ทําการประเมินว่าโครงการนี้ ทั้งล็อต 1 ที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย.2563 และล็อต 2 ที่เริ่ม 25 เม.ย.2563 และจะไปสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2563 คาดว่าจะช่วยลดค่าของชีพของประชาชนได้ไม่ต่ํากว่า 1000 ล้านบาทด้วยกัน”นายจุรินทร์กล่าว >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์”คิกออฟพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 2 มีสินค้าเข้าร่วม 3,025 รายการ [กระทรวงพาณิชย์] วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2563 “จุรินทร์”คิกออฟพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 2 มีสินค้าเข้าร่วม 3,025 รายการ [กระทรวงพาณิชย์] “จุรินทร์”คิกออฟพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 2 มีสินค้าเข้าร่วม 3,025 รายการ “จุรินทร์”คิกออฟโครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 2 มี 6 กลุ่มสินค้า จํานวน 3,025 รายการ ลดราคาสูงสุด 68% เริ่มลดทันทีถึงวันที่ 30 มิ.ย.63 คาดช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนทั้งประเทศได้มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการเปิดโครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 2 ว่า วันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ที่กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชนช่วยกันลดภาระค่าของชีพให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศ ภายใต้ภารกิจร่วมกันที่ต้องการลดราคาสินค้าให้กับผู้บริโภคชาวไทย โดยได้ดําเนินการมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 16 เม.ย.2563 ที่ผ่านมา ภายใต้โครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 1 ตอนนั้นสินค้าที่เข้าร่วมลดราคากับกระทรวงพาณิชย์จํานวน 6 กลุ่มสินค้าด้วยกันประกอบด้วยกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มอาหารปรุงสําเร็จแช่แข็ง กลุ่มซอสปรุงรส กลุ่มของใช้ประจําวัน กลุ่มผลิตภัณฑ์ชําระร่างกาย และกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักล้าง มีสินค้าเข้าร่วมลดราคา 72 รายการ ลดสูงสุดถึง 58% ส่วนครั้งนี้ คือ โครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน ล็อต 2 ซึ่งยังคงสินค้า 6 กลุ่มเช่นเดิม แต่มีรายการสินค้าที่เข้าร่วมมากกว่าล็อต 1 หลายเท่าตัว โดยมีมากถึง 3,025 รายการ โดยลดราคาสูงสุดถึง 68% มีผู้ผลิตและผู้จําหน่ายเข้าร่วมโครงการล็อต 2 รวมกันถึง 51 องค์กร เป็นข้าวสารถุง 18 บริษัท สินค้าอุปโภคบริโภค 20 บริษัท และห้างสรรพสินค้าต่างๆ 13 ห้างทั่วประเทศ เริ่มลดราคาตั้งแต่วันนี้ (24 เม.ย.) ถึง 30 มิ.ย.2563 เป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถหาซื้อสินค้าได้จากห้างค้าส่งค้าปลีก 13 ห้าง และสาขาทั่วประเทศของห้างที่เข้าร่วมประกอบด้วย 1.บิ๊กซี 2.เทสโก้ โลตัส 3.แม็คโคร 4.ฟู้ดแลนด์ 5.ซี เจ เอ็กซ์เพรส 6.สหลอว์สัน 7.ซีพี ออลล์ 8.เดอะมอลล์ 9.Maxvalue 10.Tops 11.Gourmet Market 12.Home Fresh Mart และ 13.Family Mart โดยผู้ประกอบการหรือแบรนด์ยี่ห้อสินค้าที่เข้าร่วมทั้งหมด ขอชี้แจงเป็นยี่ห้อก็แล้วกัน จะได้เข้าใจกันง่าย โดยข้าวมี 18 ยี่ห้อ ได้แก่ 1.ข้าวตราฉัตร 2.ข้าวตรามาบุญครอง 3.ข้าวตราแสนดี 4.ข้าวตราพนมรุ้ง 5.ข้าวตราปิ่นเงิน 6.ข้าวตราหงษ์ทอง 7.ข้าวตราเบญจรงค์ 8.ข้าวตราบัวชมพู 9.ข้าวตราพันธุ์ดี 10.ข้าวตราดอกบัว ตงฮั้ว 11.ข้าวตราซันลี 12.ข้าวตราธรรม 13.ข้าวตราไก่แจ้ 14.ข้าวตราเอโร่ 15.ข้าวตรา Tesco 16.ข้าวตรา Big C 17.ข้าวตราท็อปส์/มายช้อยส์ 18.ข้าวตรา Home Fresh Mart สําหรับสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ประกอบด้วยตราบรีส คอมฟอร์ท ซันไลต์ เซลล็อกซ์ นกแก้ว เบบี้มายด์ คอลเกต โพรเทค แคร์ ซื่อสัตย์ โคโดโมะ เปา เด็กสมบูรณ์ ซีเล็ค ซูเปอร์ ซีเชฟ มาม่า ซีพี โฟร์โมสต์ ดัชมิลล์ ไวตามิ้ลค์ เมจิ เนสท์เล่ คาร์เนชั่น บิโอเร แอทแทค แฟซ่า ไฟน์ไลน์ สมาร์ท ดีนี่ โก๋แก่ และอิมพีเรียล เป็นต้น “ขอขอบคุณเอกชนที่ได้เข้าร่วมโครงการพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชนล็อตที่ 2 ซึ่งกรมการค้าภายในได้ทําการประเมินว่าโครงการนี้ ทั้งล็อต 1 ที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย.2563 และล็อต 2 ที่เริ่ม 25 เม.ย.2563 และจะไปสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2563 คาดว่าจะช่วยลดค่าของชีพของประชาชนได้ไม่ต่ํากว่า 1000 ล้านบาทด้วยกัน”นายจุรินทร์กล่าว >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29763
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด ศธ.เน้นสุขภาพความปลอดภัยของครูและนักเรียนต้องควบคู่กับการเรียนรู้นำการศึกษา 18 พ.ค. เริ่มทดสอบออนไลน์ ออนแอร์ ทุกระบบ
วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563 รองปลัด ศธ.เน้นสุขภาพความปลอดภัยของครูและนักเรียนต้องควบคู่กับการเรียนรู้นําการศึกษา 18 พ.ค. เริ่มทดสอบออนไลน์ ออนแอร์ ทุกระบบ รองปลัด ศธ.เน้นสุขภาพความปลอดภัยของครูและนักเรียนต้องควบคู่กับการเรียนรู้นําการศึกษา 18 พ.ค. เริ่มทดสอบออนไลน์ ออนแอร์ ทุกระบบ วันนี้ (9 พฤษภาคม 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นางรักขณา ตัณฑวุฑโฒ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงความพร้อมด้านการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 สาระสําคัญ ดังนี้ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการชี้แจงคณะรัฐมนตรี มีมติ 7 เมษายน 2563 เลื่อนเปิดภาคเรียน จากวันที่ 16 พฤษภาคม เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม กระทรวงศึกษาธิการคิดแนวทางจัดการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดสําหรับทุกระดับชั้น ทุกประเภทการศึกษา รวมทั้งเตรียมความพร้อมทักษะที่สําคัญในช่วงปิดเทอมให้กับผู้เรียนที่จําเป็นสําหรับนักเรียนยุคใหม่ ซึ่งรัฐมนตรียืนยันเป้าหมายสูงสุดของกระทรวงศึกษาธิการคือ การเรียนรู้นําการศึกษา ศธ. จึงจัดการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เท่าที่สภาพแวดล้อมจะอํานวย บนพื้นฐาน 6 ประการ ได้แก่ 1. การจัดการเรียนการสอนต้องคํานึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของทุกคนที่เกี่ยวข้อง 2. นักเรียนทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนการสอนได้ แม้จะไม่ไปโรงเรียน 3. ใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดย ศธ.และ กสทช. จัดสรรช่องดิจิตอลทีวี 17 ช่อง เป็นการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ประกอบด้วย สพฐ. 15 ช่อง คือการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่อนุบาล 1 จนถึงมัธยม 6 อาชีวะ 1 ช่อง และกศน. 1 ช่อง 4. การตัดสินใจนโยบายอยู่บนพื้นฐานผลสํารวจความต้องการจากนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และโรงเรียน โดยยึดหลักการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นที่ตั้ง ศธ.จะสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ 5. ปรับปฏิทินการศึกษาที่เอื้อต่อการเรียนของเด็ก มีเวลาที่ชดเชยก็จะคํานึงถึงภาระของทุกคน การได้รับความรู้ครบตามช่วงวัยของเด็ก และ 6. บุคลากรทางการศึกษาจะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการยังกล่าวว่า ต้องปรับวิกฤตนี้เป็นโอกาส เพื่อปรับปรุงระบบการศึกษาของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ยกระดับการศึกษาของไทย การออกแบบการเรียนการสอนในช่วงของโควิด - 19 นี้ โดยประการแรกคือ รูปแบบของการเรียนการสอน ออกแบบให้สอดคล้องกับความปลอดภัยของพื้นที่ หากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายก็เข้าสู่สภาพปกติ ไปเรียนตามปกติ สําหรับพื้นที่ที่ยังไม่ปลอดภัยก็จัดการเรียนการสอนทางไกล ซึ่งนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา 4-6 สามารถเรียนออนไลน์ควบคู่กับการเรียนทางไกล โดย ศธ.กระจายอํานาจการจัดการศึกษาให้ทางเขตพื้นที่ โรงเรียน กรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง จัดการเรียนการสอนที่จะแตกต่างกัน โดยยึดนโยบายหลักคือ เพิ่มเวลาพัก ลดการประเมิน งดกิจกรรมที่ไม่จําเป็น โดยนักเรียนจะได้มีเวลาพัก ในช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1 เปิดภาคเรียนแรก 1 กรกฎาคม ถึง 13 พฤศจิกายน นักเรียนจะมีเวลาพัก 17 วัน ก่อนที่จะเปิดภาคเรียนที่ 2 1 ธันวาคม ถึง 9 เมษายน 64 มีเวลาพักอีก 37 วัน รวมทั้ง 2 เทอม มีเวลาพัก 54 วัน แล้วกลับเข้าสู่สภาพปกติของปีการศึกษาใหม่ โดยจะมีการทดสอบระบบการเรียนรู้ทางไกล ระบบออนไลน์ ต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคมเป็นต้นไป เพื่อให้พร้อมมากที่สุดก่อนที่จะเปิดภาคเรียน ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ มี 4 หน่วยงานทั่วประเทศทั้ง สพฐ. อาชีวะ กศน. และ สช. ซึ่งจะมีการรูปแบบของแนวทางในการจัดการเรียนการสอนที่แตกต่างกันไป ตามบริบท กลุ่มเป้าหมาย สภาพของพื้นที่ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้กําหนดแนวทางในการจัดการเรียนการสอนไว้เป็น 4 ระยะ ระยะที่ 1 คือ เตรียมความพร้อมระหว่าง 7 เมษายน - 17 พฤษภาคม นี้ เตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบเครือข่าย เพื่อรองรับการให้บริการการเรียนรู้ e-learning ของศธ. ระยะที่ 2 ทดลองจัดการเรียนทางไกล ตั้งแต่ 18 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน ระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ผ่านช่องรายการโทรทัศน์ เผยแพร่สัญญาณมาจากพื้นที่การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์ ในช่วงเวลานี้จะเปิดศูนย์รับฟังความคิดเห็นในการเรียนการสอนทางไกลนี้ จากผู้เกี่ยวข้อง ระยะที่ 3 การจัดการเรียนการสอน 1 กรกฎาคม 2563 - 30 เมษายน 2564 ใน 2 สถานการณ์ กรณีการระบาดโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ต้องจัดการเรียนการสอน ปฐมวัยถึง ม.ต้น ด้วยระบบทางไกลผ่าน DLTV ส่วนของ ม. 4-6 จะมีระบบการเรียนออนไลน์มาเสริมในเรื่องของการเรียนรู้ต่าง ๆ กรณีที่สถานการณ์ คลี่คลายแล้ว ก็กลับมาเรียนตามปกติได้และยึดหลักสาธารณสุข ระยะที่ 4 การทดสอบและการศึกษาต่อ โดยประสานกับกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ในการสอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ประสานกับสถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติในการสอบ o-net ของนักเรียนชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ยังเน้นการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการและผู้ด้อยโอกาส โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการจัดทําแพลตฟอร์มของ ศธ. เพื่อเป็นเวทีเชื่อม 176 หน่วยงาน เชื่อมโยงคนพิการทั้งประเทศ ให้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาตนเองมากขึ้น ตามแนวทางปรับบ้านเป็นห้องเรียน เปลี่ยนพ่อแม่เป็นครู ทั้งนี้ ปฏิทินการรับนักเรียนของสพฐ. เริ่มรับนักเรียนชั้น ม. 1 และ ม.4 ทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 3 -12 พฤษภาคม นี้ สอบคัดเลือก ม. 1 วันที่ 6 มิถุนายน ม.4 วันที่ 7 มิถุนายน โรงเรียนจับฉลากวันที่ 12 มิถุนายน การประกาศผลสอบ ม. 1 ประกาศวันที่ 10 มิถุนายน ม.4 ประกาศวันที่ 11 มิถุนายน การรับรายงานตัว มอบตัวของนักเรียน ม.1 ในวันที่ 12 - 13 มิถุนายน ม. 4 วันที่ 14 - 15 มิถุนายน และในวันที่ 16 มิถุนายน นี้ เด็กทุกคนต้องมีที่เรียน 1 กรกฎาคม เข้าสู่สภาพการเรียนตามปกติ แนวทางการจัดของอาชีวศึกษา ทั้งระดับ ปวช. ปวส. ปริญญาตรี สายเทคโนโลยี หรือสายปฏิบัติการ แบ่งเป็น 4 รูปแบบ รูปแบบที่ 1 จัดผ่านเอกสารตําราเรียน แบ่งกลุ่มย่อย สลับหมุนเวียนกันมาเรียนตามความเหมาะสมแต่ละพื้นที่ รูปแบบที่ 2 จัดการเรียนการสอนด้วยระบบทางไกล DLTV รูปแบบที่ 3 จัดการเรียนการสอนตามแบบออนไลน์ รูปแบบที่ 4 จัดการเรียนผ่านการสอนผ่านไลฟ์สด แนวทางจัดการเรียนการสอนของ สช. มี 3 รูปแบบ กรณีสถานที่ปลอดภัย เรียนตามปกติได้ ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่ปลอดภัยก็ต้องเรียนผ่านระบบทางไกล ระบบออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ต ในช่วงปิดเทอม สช.ได้ร่วมกับสถานศึกษาเอกชนแห่ง 5 แห่ง จัดการศึกษาออนไลน์ให้กับนักเรียนทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาออนไลน์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ครอบคลุมทุกสาระการเรียนรู้ ตั้งแต่ป. 1 จนถึง ม. 6 เปิดการสอนทั้งไลฟ์สดและเทป โดยติวเตอร์ชื่อดังเข้ามาร่วมในการสอนออนไลน์ แนวทางการจัดการศึกษาของ กศน. มอบให้ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษาของ กศน. ผลิตรายการ ทั้งรายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ เพื่อจะตอบโจทย์การจัดการศึกษาตลอดชีวิต สําหรับผู้เรียนทุกช่วงวัย แล้วก็มอบให้สถาบันการศึกษาทางไกล มาพัฒนารูปแบบของกระบวนการเรียนรู้ออนไลน์ ผ่านแอพพลิเคชั่นและช่องทางต่าง ๆ ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะติดตาม ควบคุม การรายงานผลมายังกระทรวง สําหรับผู้ปกครองที่ยังไม่มีความพร้อมทางด้านการเรียน ศธ.ยินดีที่จะสนับสนุนอุปกรณ์ในการเรียนการสอนต่าง ๆ ด้วย .............................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด ศธ.เน้นสุขภาพความปลอดภัยของครูและนักเรียนต้องควบคู่กับการเรียนรู้นำการศึกษา 18 พ.ค. เริ่มทดสอบออนไลน์ ออนแอร์ ทุกระบบ วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม 2563 รองปลัด ศธ.เน้นสุขภาพความปลอดภัยของครูและนักเรียนต้องควบคู่กับการเรียนรู้นําการศึกษา 18 พ.ค. เริ่มทดสอบออนไลน์ ออนแอร์ ทุกระบบ รองปลัด ศธ.เน้นสุขภาพความปลอดภัยของครูและนักเรียนต้องควบคู่กับการเรียนรู้นําการศึกษา 18 พ.ค. เริ่มทดสอบออนไลน์ ออนแอร์ ทุกระบบ วันนี้ (9 พฤษภาคม 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นางรักขณา ตัณฑวุฑโฒ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงความพร้อมด้านการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดภาคเรียนวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 สาระสําคัญ ดังนี้ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการชี้แจงคณะรัฐมนตรี มีมติ 7 เมษายน 2563 เลื่อนเปิดภาคเรียน จากวันที่ 16 พฤษภาคม เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม กระทรวงศึกษาธิการคิดแนวทางจัดการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดสําหรับทุกระดับชั้น ทุกประเภทการศึกษา รวมทั้งเตรียมความพร้อมทักษะที่สําคัญในช่วงปิดเทอมให้กับผู้เรียนที่จําเป็นสําหรับนักเรียนยุคใหม่ ซึ่งรัฐมนตรียืนยันเป้าหมายสูงสุดของกระทรวงศึกษาธิการคือ การเรียนรู้นําการศึกษา ศธ. จึงจัดการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เท่าที่สภาพแวดล้อมจะอํานวย บนพื้นฐาน 6 ประการ ได้แก่ 1. การจัดการเรียนการสอนต้องคํานึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของทุกคนที่เกี่ยวข้อง 2. นักเรียนทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนการสอนได้ แม้จะไม่ไปโรงเรียน 3. ใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดย ศธ.และ กสทช. จัดสรรช่องดิจิตอลทีวี 17 ช่อง เป็นการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ประกอบด้วย สพฐ. 15 ช่อง คือการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่อนุบาล 1 จนถึงมัธยม 6 อาชีวะ 1 ช่อง และกศน. 1 ช่อง 4. การตัดสินใจนโยบายอยู่บนพื้นฐานผลสํารวจความต้องการจากนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และโรงเรียน โดยยึดหลักการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นที่ตั้ง ศธ.จะสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ 5. ปรับปฏิทินการศึกษาที่เอื้อต่อการเรียนของเด็ก มีเวลาที่ชดเชยก็จะคํานึงถึงภาระของทุกคน การได้รับความรู้ครบตามช่วงวัยของเด็ก และ 6. บุคลากรทางการศึกษาจะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการยังกล่าวว่า ต้องปรับวิกฤตนี้เป็นโอกาส เพื่อปรับปรุงระบบการศึกษาของประเทศให้มีความเข้มแข็ง ยกระดับการศึกษาของไทย การออกแบบการเรียนการสอนในช่วงของโควิด - 19 นี้ โดยประการแรกคือ รูปแบบของการเรียนการสอน ออกแบบให้สอดคล้องกับความปลอดภัยของพื้นที่ หากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายก็เข้าสู่สภาพปกติ ไปเรียนตามปกติ สําหรับพื้นที่ที่ยังไม่ปลอดภัยก็จัดการเรียนการสอนทางไกล ซึ่งนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา 4-6 สามารถเรียนออนไลน์ควบคู่กับการเรียนทางไกล โดย ศธ.กระจายอํานาจการจัดการศึกษาให้ทางเขตพื้นที่ โรงเรียน กรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง จัดการเรียนการสอนที่จะแตกต่างกัน โดยยึดนโยบายหลักคือ เพิ่มเวลาพัก ลดการประเมิน งดกิจกรรมที่ไม่จําเป็น โดยนักเรียนจะได้มีเวลาพัก ในช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1 เปิดภาคเรียนแรก 1 กรกฎาคม ถึง 13 พฤศจิกายน นักเรียนจะมีเวลาพัก 17 วัน ก่อนที่จะเปิดภาคเรียนที่ 2 1 ธันวาคม ถึง 9 เมษายน 64 มีเวลาพักอีก 37 วัน รวมทั้ง 2 เทอม มีเวลาพัก 54 วัน แล้วกลับเข้าสู่สภาพปกติของปีการศึกษาใหม่ โดยจะมีการทดสอบระบบการเรียนรู้ทางไกล ระบบออนไลน์ ต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคมเป็นต้นไป เพื่อให้พร้อมมากที่สุดก่อนที่จะเปิดภาคเรียน ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ มี 4 หน่วยงานทั่วประเทศทั้ง สพฐ. อาชีวะ กศน. และ สช. ซึ่งจะมีการรูปแบบของแนวทางในการจัดการเรียนการสอนที่แตกต่างกันไป ตามบริบท กลุ่มเป้าหมาย สภาพของพื้นที่ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้กําหนดแนวทางในการจัดการเรียนการสอนไว้เป็น 4 ระยะ ระยะที่ 1 คือ เตรียมความพร้อมระหว่าง 7 เมษายน - 17 พฤษภาคม นี้ เตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบเครือข่าย เพื่อรองรับการให้บริการการเรียนรู้ e-learning ของศธ. ระยะที่ 2 ทดลองจัดการเรียนทางไกล ตั้งแต่ 18 พฤษภาคม - 30 มิถุนายน ระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ผ่านช่องรายการโทรทัศน์ เผยแพร่สัญญาณมาจากพื้นที่การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์ ในช่วงเวลานี้จะเปิดศูนย์รับฟังความคิดเห็นในการเรียนการสอนทางไกลนี้ จากผู้เกี่ยวข้อง ระยะที่ 3 การจัดการเรียนการสอน 1 กรกฎาคม 2563 - 30 เมษายน 2564 ใน 2 สถานการณ์ กรณีการระบาดโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ต้องจัดการเรียนการสอน ปฐมวัยถึง ม.ต้น ด้วยระบบทางไกลผ่าน DLTV ส่วนของ ม. 4-6 จะมีระบบการเรียนออนไลน์มาเสริมในเรื่องของการเรียนรู้ต่าง ๆ กรณีที่สถานการณ์ คลี่คลายแล้ว ก็กลับมาเรียนตามปกติได้และยึดหลักสาธารณสุข ระยะที่ 4 การทดสอบและการศึกษาต่อ โดยประสานกับกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ในการสอบเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย ประสานกับสถาบันทดสอบการศึกษาแห่งชาติในการสอบ o-net ของนักเรียนชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ยังเน้นการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการและผู้ด้อยโอกาส โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการจัดทําแพลตฟอร์มของ ศธ. เพื่อเป็นเวทีเชื่อม 176 หน่วยงาน เชื่อมโยงคนพิการทั้งประเทศ ให้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและพัฒนาตนเองมากขึ้น ตามแนวทางปรับบ้านเป็นห้องเรียน เปลี่ยนพ่อแม่เป็นครู ทั้งนี้ ปฏิทินการรับนักเรียนของสพฐ. เริ่มรับนักเรียนชั้น ม. 1 และ ม.4 ทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 3 -12 พฤษภาคม นี้ สอบคัดเลือก ม. 1 วันที่ 6 มิถุนายน ม.4 วันที่ 7 มิถุนายน โรงเรียนจับฉลากวันที่ 12 มิถุนายน การประกาศผลสอบ ม. 1 ประกาศวันที่ 10 มิถุนายน ม.4 ประกาศวันที่ 11 มิถุนายน การรับรายงานตัว มอบตัวของนักเรียน ม.1 ในวันที่ 12 - 13 มิถุนายน ม. 4 วันที่ 14 - 15 มิถุนายน และในวันที่ 16 มิถุนายน นี้ เด็กทุกคนต้องมีที่เรียน 1 กรกฎาคม เข้าสู่สภาพการเรียนตามปกติ แนวทางการจัดของอาชีวศึกษา ทั้งระดับ ปวช. ปวส. ปริญญาตรี สายเทคโนโลยี หรือสายปฏิบัติการ แบ่งเป็น 4 รูปแบบ รูปแบบที่ 1 จัดผ่านเอกสารตําราเรียน แบ่งกลุ่มย่อย สลับหมุนเวียนกันมาเรียนตามความเหมาะสมแต่ละพื้นที่ รูปแบบที่ 2 จัดการเรียนการสอนด้วยระบบทางไกล DLTV รูปแบบที่ 3 จัดการเรียนการสอนตามแบบออนไลน์ รูปแบบที่ 4 จัดการเรียนผ่านการสอนผ่านไลฟ์สด แนวทางจัดการเรียนการสอนของ สช. มี 3 รูปแบบ กรณีสถานที่ปลอดภัย เรียนตามปกติได้ ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่ปลอดภัยก็ต้องเรียนผ่านระบบทางไกล ระบบออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ต ในช่วงปิดเทอม สช.ได้ร่วมกับสถานศึกษาเอกชนแห่ง 5 แห่ง จัดการศึกษาออนไลน์ให้กับนักเรียนทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาออนไลน์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ครอบคลุมทุกสาระการเรียนรู้ ตั้งแต่ป. 1 จนถึง ม. 6 เปิดการสอนทั้งไลฟ์สดและเทป โดยติวเตอร์ชื่อดังเข้ามาร่วมในการสอนออนไลน์ แนวทางการจัดการศึกษาของ กศน. มอบให้ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษาของ กศน. ผลิตรายการ ทั้งรายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ เพื่อจะตอบโจทย์การจัดการศึกษาตลอดชีวิต สําหรับผู้เรียนทุกช่วงวัย แล้วก็มอบให้สถาบันการศึกษาทางไกล มาพัฒนารูปแบบของกระบวนการเรียนรู้ออนไลน์ ผ่านแอพพลิเคชั่นและช่องทางต่าง ๆ ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะติดตาม ควบคุม การรายงานผลมายังกระทรวง สําหรับผู้ปกครองที่ยังไม่มีความพร้อมทางด้านการเรียน ศธ.ยินดีที่จะสนับสนุนอุปกรณ์ในการเรียนการสอนต่าง ๆ ด้วย .............................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30571
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พลังงาน ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.อุบลราชธานี – ศรีสะเกษ
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 รมว. พลังงาน ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.อุบลราชธานี – ศรีสะเกษ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยปลัด และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงานได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการระบบสูบน้ําพลังงานแสงอาทิตย์สู้ภัยแล้ง (ระบบเกษตร) ณ กลุ่มเกษตรกรบ้านหนองห้าง ต.หนองห้าง อ.อุทุมพรพิสัย จ. ศรีสะเกษ ดร. ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยปลัด และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงานได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจราชการในจังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ซึ่งเป็นภารกิจส่วนหนึ่งของการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ โดยกระทรวงพลังงานได้ติดตามตรวจเยี่ยมโครงการระบบสูบน้ําพลังงานแสงอาทิตย์สู้ภัยแล้ง (ระบบเกษตร) ณ กลุ่มเกษตรกรบ้านหนองห้าง ต.หนองห้าง อ.อุทุมพรพิสัย จ. ศรีสะเกษและระดมสมอง work shop กับตัวแทนเกษตรกรกว่า 400 คน เพื่อสร้างการเรียนรู้ สร้างการมีส่วนร่วมแบบไทยนิยมยั่งยืน ทั้งนี้ระบบสูบน้ําเพื่อการเกษตรดังกล่าว จะช่วยสูบน้ําจากบ่อบาดาลโดยใช้เครื่องสูบน้ําพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ ช่วยเกษตรกรในพื้นที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในการจัดหาน้ําเพื่อการเพาะปลูกพืชที่สําคัญ ๆ อาทิ กระเทียม หัวหอม ที่สามารถสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรในพื้นที่ที่ห่างไกล เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้และความกินดีอยู่ดีของประชาชนในชนบท ที่จะมีน้ําใช้เพื่อกิจการการเกษตรถึงแม้จะมีภัยแล้ง ทั้งนี้ มีการสาธิตช่วยกลุ่มเกษตรกร ในการกรอกข้อมูลทําคําขอติดตั้งระบบการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการสูบน้ําบาดาลเพื่อการเกษตรสู้ภัยแล้ง ซึ่งสํานักงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ประกาศหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนระบบการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการสูบน้ําบาดาลเพื่อการเกษตรสู้ภัยแล้งให้กับกลุ่มเกษตรกรที่จะรวมตัวกัน เกิน 7 ครัวเรือน ในพื้นที่ไม่ต่ํากว่า 15 ไร่ และมีน้ําบาดาลจํานวน 5,000 จุดทั่วประเทศ โดยกระทรวงพลังงานร่วมกับ กอ.รมน. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ทําการสาธิตติดตั้งของกลุ่มเกษตรกร อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ให้กับกลุ่มเกษตรกรรวมทั้งจาก จ.ศรีสะเกษ ยโสธร บุรีรัมย์ อุบลราชธานี อํานาจเจริญ มหาสารคาม เข้ามาร่วมรวมทั้งหมด 140 กลุ่ม ทําการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับโครงการฯ และร่วมกันกรอกข้อมูล โดยกระทรวงพลังงานมีเป้าหมายที่จะช่วยเกษตรกรในการติดตั้งระบบทั้งหมด 5,000 จุด ภายในปีนี้ โดยให้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร 35,000 ครัวเรือน ให้มีความมั่นคงในการดําเนินชีวิต และมีรายได้จากการเกษตรที่มั่นคง โดยเกษตรกรผู้สนใจสามารถติดต่อขอรับใบสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ 02 -612 1555 ต่อ 370 หรือ 214 ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 10 ส.ค. 2561 นี้ หรือติดตามรายละเอียดที่ www.enconfund.go.th นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย รองผู้ว่าการนโยบายและแผน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยังได้ติดตามความก้าวหน้าโครงการผลิตไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ําเขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี ซึ่งกฟผ. ร่วมกับ บริษัทกันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จํากัด (มหาชน) ได้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ําขนาด 250 กิโลวัตต์ ซึ่งจะเป็นต้นแบบในการดําเนินโครงการนําร่อง Hydro floating Solar Hybrid ขนาด 45 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการที่เชื่อมโยงกับระบบเขื่อนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยการผลิตไฟฟ้าสามารถสนองกับความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งในช่วงเวลากลางวันและช่วงหัวค่ํา ได้เพิ่มมากขึ้นตามกําลังศักยภาพสูงสุดของแต่ละเขื่อน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว. พลังงาน ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.อุบลราชธานี – ศรีสะเกษ วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 รมว. พลังงาน ลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.อุบลราชธานี – ศรีสะเกษ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยปลัด และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงานได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการระบบสูบน้ําพลังงานแสงอาทิตย์สู้ภัยแล้ง (ระบบเกษตร) ณ กลุ่มเกษตรกรบ้านหนองห้าง ต.หนองห้าง อ.อุทุมพรพิสัย จ. ศรีสะเกษ ดร. ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยปลัด และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพลังงานได้เดินทางลงพื้นที่ตรวจราชการในจังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ซึ่งเป็นภารกิจส่วนหนึ่งของการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ โดยกระทรวงพลังงานได้ติดตามตรวจเยี่ยมโครงการระบบสูบน้ําพลังงานแสงอาทิตย์สู้ภัยแล้ง (ระบบเกษตร) ณ กลุ่มเกษตรกรบ้านหนองห้าง ต.หนองห้าง อ.อุทุมพรพิสัย จ. ศรีสะเกษและระดมสมอง work shop กับตัวแทนเกษตรกรกว่า 400 คน เพื่อสร้างการเรียนรู้ สร้างการมีส่วนร่วมแบบไทยนิยมยั่งยืน ทั้งนี้ระบบสูบน้ําเพื่อการเกษตรดังกล่าว จะช่วยสูบน้ําจากบ่อบาดาลโดยใช้เครื่องสูบน้ําพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ ช่วยเกษตรกรในพื้นที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในการจัดหาน้ําเพื่อการเพาะปลูกพืชที่สําคัญ ๆ อาทิ กระเทียม หัวหอม ที่สามารถสร้างรายได้และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกรในพื้นที่ที่ห่างไกล เพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้และความกินดีอยู่ดีของประชาชนในชนบท ที่จะมีน้ําใช้เพื่อกิจการการเกษตรถึงแม้จะมีภัยแล้ง ทั้งนี้ มีการสาธิตช่วยกลุ่มเกษตรกร ในการกรอกข้อมูลทําคําขอติดตั้งระบบการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการสูบน้ําบาดาลเพื่อการเกษตรสู้ภัยแล้ง ซึ่งสํานักงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ประกาศหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนระบบการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการสูบน้ําบาดาลเพื่อการเกษตรสู้ภัยแล้งให้กับกลุ่มเกษตรกรที่จะรวมตัวกัน เกิน 7 ครัวเรือน ในพื้นที่ไม่ต่ํากว่า 15 ไร่ และมีน้ําบาดาลจํานวน 5,000 จุดทั่วประเทศ โดยกระทรวงพลังงานร่วมกับ กอ.รมน. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ทําการสาธิตติดตั้งของกลุ่มเกษตรกร อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ ให้กับกลุ่มเกษตรกรรวมทั้งจาก จ.ศรีสะเกษ ยโสธร บุรีรัมย์ อุบลราชธานี อํานาจเจริญ มหาสารคาม เข้ามาร่วมรวมทั้งหมด 140 กลุ่ม ทําการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับโครงการฯ และร่วมกันกรอกข้อมูล โดยกระทรวงพลังงานมีเป้าหมายที่จะช่วยเกษตรกรในการติดตั้งระบบทั้งหมด 5,000 จุด ภายในปีนี้ โดยให้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร 35,000 ครัวเรือน ให้มีความมั่นคงในการดําเนินชีวิต และมีรายได้จากการเกษตรที่มั่นคง โดยเกษตรกรผู้สนใจสามารถติดต่อขอรับใบสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่ 02 -612 1555 ต่อ 370 หรือ 214 ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 10 ส.ค. 2561 นี้ หรือติดตามรายละเอียดที่ www.enconfund.go.th นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วย รองผู้ว่าการนโยบายและแผน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยังได้ติดตามความก้าวหน้าโครงการผลิตไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ําเขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี ซึ่งกฟผ. ร่วมกับ บริษัทกันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จํากัด (มหาชน) ได้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ําขนาด 250 กิโลวัตต์ ซึ่งจะเป็นต้นแบบในการดําเนินโครงการนําร่อง Hydro floating Solar Hybrid ขนาด 45 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการที่เชื่อมโยงกับระบบเขื่อนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยการผลิตไฟฟ้าสามารถสนองกับความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งในช่วงเวลากลางวันและช่วงหัวค่ํา ได้เพิ่มมากขึ้นตามกําลังศักยภาพสูงสุดของแต่ละเขื่อน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14081
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยรัฐบาลประกาศลดระดับการจัดการสาธารณภัยกรณีอุทกภัยภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากระดับ 3 เป็นระดับ 2
วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยรัฐบาลประกาศลดระดับการจัดการสาธารณภัยกรณีอุทกภัยภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากระดับ 3 เป็นระดับ 2 ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยรัฐบาลประกาศลดระดับการจัดการสาธารณภัยกรณีอุทกภัยภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากระดับ 3 เป็นระดับ 2 สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว วันนี้ (14 ก.พ. 60) เวลา 14.25 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องการออกประกาศของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ฉบับที่ 2/2560 ในเรื่องการลดระดับการจัดการสาธารณภัยกรณีอุทกภัยภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ เนื่องจากกรณีที่ได้เกิดสถานการณ์อุทกภัยขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 2559 และต้นเดือนมกราคม 2560 รัฐบาลได้มีการประกาศยกระดับสาธารณภัยขึ้นเป็นการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ (ระดับ 3 ) ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 และจัดตั้งกองบัญชาการส่วนหน้า ขึ้นที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11 สุราษฎร์ธานีและเขต 12 สงขลา นั้น ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ รัฐบาลจึงได้มีการประกาศลดระดับการจัดการสาธารณภัยจากการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ (ระดับ 3 ) เป็นการจัดการสาธารณภัยขนาดกลาง (ระดับ 2 ) ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 โดยมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้อํานวยการจัดการจังหวัด เป็นผู้สั่งการควบคุมและบัญชาการในพื้นที่จังหวัด รวมทั้งให้กองบัญชาการส่วนหน้า ขึ้นที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11 สุราษฎร์ธานีและเขต 12 สงขลา ส่งมอบภารกิจการกํากับควบคุมพื้นที่ให้กับศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดและส่วนราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่ หากพื้นที่ใดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการจังหวัด พิจารณาแล้วว่ามีความจําเป็นต้องใช้ทรัพยากรหรือเครื่องจักรกลใด ๆ ในการแก้ไขปัญหาของประชาชน ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบสนับสนุนการปฏิบัติงานตามที่ผู้อํานวยการจังหวัดร้องขอ อย่างไรก็ตาม กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จะดํารงการกํากับติดตามและสนับสนุนการปฏิบัติงานของจังหวัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งฟื้นฟูให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยรัฐบาลประกาศลดระดับการจัดการสาธารณภัยกรณีอุทกภัยภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากระดับ 3 เป็นระดับ 2 วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยรัฐบาลประกาศลดระดับการจัดการสาธารณภัยกรณีอุทกภัยภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากระดับ 3 เป็นระดับ 2 ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยรัฐบาลประกาศลดระดับการจัดการสาธารณภัยกรณีอุทกภัยภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากระดับ 3 เป็นระดับ 2 สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว วันนี้ (14 ก.พ. 60) เวลา 14.25 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องการออกประกาศของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ฉบับที่ 2/2560 ในเรื่องการลดระดับการจัดการสาธารณภัยกรณีอุทกภัยภาคใต้และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ เนื่องจากกรณีที่ได้เกิดสถานการณ์อุทกภัยขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม 2559 และต้นเดือนมกราคม 2560 รัฐบาลได้มีการประกาศยกระดับสาธารณภัยขึ้นเป็นการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ (ระดับ 3 ) ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 และจัดตั้งกองบัญชาการส่วนหน้า ขึ้นที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11 สุราษฎร์ธานีและเขต 12 สงขลา นั้น ขณะนี้สถานการณ์คลี่คลายแล้ว เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ รัฐบาลจึงได้มีการประกาศลดระดับการจัดการสาธารณภัยจากการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ (ระดับ 3 ) เป็นการจัดการสาธารณภัยขนาดกลาง (ระดับ 2 ) ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2558 โดยมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้อํานวยการจัดการจังหวัด เป็นผู้สั่งการควบคุมและบัญชาการในพื้นที่จังหวัด รวมทั้งให้กองบัญชาการส่วนหน้า ขึ้นที่ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 11 สุราษฎร์ธานีและเขต 12 สงขลา ส่งมอบภารกิจการกํากับควบคุมพื้นที่ให้กับศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดและส่วนราชการที่รับผิดชอบในพื้นที่ หากพื้นที่ใดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการจังหวัด พิจารณาแล้วว่ามีความจําเป็นต้องใช้ทรัพยากรหรือเครื่องจักรกลใด ๆ ในการแก้ไขปัญหาของประชาชน ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบสนับสนุนการปฏิบัติงานตามที่ผู้อํานวยการจังหวัดร้องขอ อย่างไรก็ตาม กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ จะดํารงการกํากับติดตามและสนับสนุนการปฏิบัติงานของจังหวัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งฟื้นฟูให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1861
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EEC บูม! บริษัทจีนเซ็น MOU เตรียมลงทุนใหญ่
วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม 2561 EEC บูม! บริษัทจีนเซ็น MOU เตรียมลงทุนใหญ่ -- จากความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการริเริ่มนโยบายด้านการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันด้วยการกําหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศอย่างชัดเจน ส่งผลให้โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นที่จับตามองในกลุ่มนักลงทุนทั่วโลกเป็นอย่างมาก ล่าสุด ประเทศไทยได้เปิดบ้านต้อนรับกลุ่มนักลงทุนจีนกว่า 500 ราย ที่สนใจร่วมลงทุนในโครงการ EEC รวมมูลค่าการลงทุนสูงถึง 60,000 ล้านบาท นําทีมโดยนายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐของสาธารณรัฐประชาชนจีน นับเป็นครั้งแรกที่คณะนักธุรกิจจีนเดินทางมาร่วมประชุม ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) และศึกษาดูงานในเขตพื้นที่ EEC อย่างเป็นทางการ โดยต่างให้ความสนใจในศักยภาพของ EEC การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมดิจิทัล หุ่นยนต์ การบิน ยานยนต์สมัยใหม่ การแพทย์ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ สู่การยกระดับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศในอนาคต MOU 17 ฉบับที่ได้ลงนามร่วมกันจากการเยือนของจีนในครั้งนี้ เป็นการลงนามระหว่างภาคเอกชนไทยและจีน 10 ฉบับ และระหว่างรัฐบาลไทย โดยกระทรวงพาณิชย์ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเอกชนจีนอีก 7 ฉบับ นับเป็นการส่งสัญญาณครั้งสําคัญว่า ความร่วมมือระหว่างไทย - จีน จะเดินหน้าไปอีกขั้น ซึ่งไทยจะใช้โอกาสนี้เชื่อมโยงไปสู่นโยบาย One Belt One Road ของจีน ที่จะสามารถเกื้อกูลและสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันในทุกด้าน "การบุคลากรของไทยให้รองรับการลงทุน การสร้างกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมและธุรกิจสร้างสรรค์ ชูผู้ประกอบการ SMEs และเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งไทย - จีน ที่รัฐบาลได้อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย - จีนไปแล้ว โดยจะเชื่อมต่อพื้นที่ตอนเหนือของไทยไปยังคุนหมิง ตอนใต้ของจีน" เป็นจุดเน้นของความร่วมมือนี้ ความสําเร็จดังกล่าวมาจากการเร่งรัดพัฒนาโครงการ EEC ให้รุดหน้าในทุกด้านตลอดระยะเวลา 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีคําขอเพื่อรับการส่งเสริมการลงทุนในเขต EEC แล้วทั้งสิ้น 822 โครงการ มีมูลค่าสูงถึง 700,000 ล้านบาท โดยกว่า 47% เป็นการขอยื่นลงทุนจากทางประเทศจีนทั้งสิ้น --------------------- ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EEC บูม! บริษัทจีนเซ็น MOU เตรียมลงทุนใหญ่ วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม 2561 EEC บูม! บริษัทจีนเซ็น MOU เตรียมลงทุนใหญ่ -- จากความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการริเริ่มนโยบายด้านการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันด้วยการกําหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศอย่างชัดเจน ส่งผลให้โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC เป็นที่จับตามองในกลุ่มนักลงทุนทั่วโลกเป็นอย่างมาก ล่าสุด ประเทศไทยได้เปิดบ้านต้อนรับกลุ่มนักลงทุนจีนกว่า 500 ราย ที่สนใจร่วมลงทุนในโครงการ EEC รวมมูลค่าการลงทุนสูงถึง 60,000 ล้านบาท นําทีมโดยนายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐของสาธารณรัฐประชาชนจีน นับเป็นครั้งแรกที่คณะนักธุรกิจจีนเดินทางมาร่วมประชุม ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) และศึกษาดูงานในเขตพื้นที่ EEC อย่างเป็นทางการ โดยต่างให้ความสนใจในศักยภาพของ EEC การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมดิจิทัล หุ่นยนต์ การบิน ยานยนต์สมัยใหม่ การแพทย์ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ สู่การยกระดับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศในอนาคต MOU 17 ฉบับที่ได้ลงนามร่วมกันจากการเยือนของจีนในครั้งนี้ เป็นการลงนามระหว่างภาคเอกชนไทยและจีน 10 ฉบับ และระหว่างรัฐบาลไทย โดยกระทรวงพาณิชย์ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเอกชนจีนอีก 7 ฉบับ นับเป็นการส่งสัญญาณครั้งสําคัญว่า ความร่วมมือระหว่างไทย - จีน จะเดินหน้าไปอีกขั้น ซึ่งไทยจะใช้โอกาสนี้เชื่อมโยงไปสู่นโยบาย One Belt One Road ของจีน ที่จะสามารถเกื้อกูลและสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน พร้อมเดินหน้าสู่การเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันในทุกด้าน "การบุคลากรของไทยให้รองรับการลงทุน การสร้างกลุ่มธุรกิจนวัตกรรมและธุรกิจสร้างสรรค์ ชูผู้ประกอบการ SMEs และเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งไทย - จีน ที่รัฐบาลได้อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย - จีนไปแล้ว โดยจะเชื่อมต่อพื้นที่ตอนเหนือของไทยไปยังคุนหมิง ตอนใต้ของจีน" เป็นจุดเน้นของความร่วมมือนี้ ความสําเร็จดังกล่าวมาจากการเร่งรัดพัฒนาโครงการ EEC ให้รุดหน้าในทุกด้านตลอดระยะเวลา 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีคําขอเพื่อรับการส่งเสริมการลงทุนในเขต EEC แล้วทั้งสิ้น 822 โครงการ มีมูลค่าสูงถึง 700,000 ล้านบาท โดยกว่า 47% เป็นการขอยื่นลงทุนจากทางประเทศจีนทั้งสิ้น --------------------- ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14900
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลปลื้ม U.S.News จัดอันดับไทยที่ 8 “ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุน” ชี้ปี 61 เศรษฐกิจขาขึ้น ต่างชาติยอมรับ พร้อมจับมือชาติอาเซียนเดินไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561 รัฐบาลปลื้ม U.S.News จัดอันดับไทยที่ 8 “ประเทศที่ดีที่สุดสําหรับการลงทุน” ชี้ปี 61 เศรษฐกิจขาขึ้น ต่างชาติยอมรับ พร้อมจับมือชาติอาเซียนเดินไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รัฐบาลปลื้ม U.S.News จัดอันดับไทยที่ 8 “ประเทศที่ดีที่สุดสําหรับการลงทุน” ชี้ปี 61 เศรษฐกิจขาขึ้น ต่างชาติยอมรับ พร้อมจับมือชาติอาเซียนเดินไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบรายงานอันดับประเทศที่ดีที่สุดสําหรับการลงทุน ประจําปี 2561 ของ U.S.News ซึ่งประเทศไทยติดอันดับ 8 จาก 20 อันดับของโลก วิเคราะห์จากหลายปัจจัย เช่น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นวัตกรรม ทักษะแรงงาน ความชํานาญทางเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม ประชากร และคอร์รัปชัน เป็นต้น “นายกฯ พอใจอันดับของไทยจากรายงานดังกล่าว ถือว่าเป็นข่าวดีทางเศรษฐกิจ เพราะต่างชาติให้การยอมรับประเทศไทย ความสําเร็จนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันทุกฝ่ายตั้งแต่ระดับนโยบาย ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทุกคน ที่พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง และช่วยกันรักษาบรรยากาศของบ้านเมืองให้สงบ เพื่อดึงดูดความสนใจของนักลงทุนทั่วโลก” นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา U.S.News เพิ่งเผยแพร่ผลการจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลกในด้านต่าง ๆ ซึ่งประเทศไทยครองแชมป์อันดับ 1 เป็นประเทศที่เหมาะสมสําหรับการเริ่มธุรกิจ (Best Countries to start a Business) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศักยภาพด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยนั้นจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ในสายตาของชาวโลก ทั้งนี้ รัฐบาลได้ปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการลงทุนตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่งภาพลักษณ์ในเรื่องนี้เป็นสิ่งจูงใจนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาทําธุรกิจในไทยเป็นอย่างยิ่ง และผลการจัดอันดับดังกล่าวยังสอดคล้องกับอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business: EoDB) ของธนาคารโลกครั้งล่าสุด ที่ไทยมีอันดับดีขึ้นถึง 20 อันดับ จากอันดับที่ 46 ในปี 2560 เป็นอันดับที่ 26 ในปี 2561 ด้วย “นายกฯ ยังรู้สึกยินดีที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ก็ถูกจัดให้อยู่ใน 20 อันดับเช่นเดียวกัน สะท้อนในเห็นว่าภูมิภาคนี้กําลังเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้น จึงถือว่านโยบายและความร่วมมือทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกเดินมาถูกทางแล้ว โดยทุกประเทศจะพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ........................................................ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลปลื้ม U.S.News จัดอันดับไทยที่ 8 “ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุน” ชี้ปี 61 เศรษฐกิจขาขึ้น ต่างชาติยอมรับ พร้อมจับมือชาติอาเซียนเดินไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561 รัฐบาลปลื้ม U.S.News จัดอันดับไทยที่ 8 “ประเทศที่ดีที่สุดสําหรับการลงทุน” ชี้ปี 61 เศรษฐกิจขาขึ้น ต่างชาติยอมรับ พร้อมจับมือชาติอาเซียนเดินไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รัฐบาลปลื้ม U.S.News จัดอันดับไทยที่ 8 “ประเทศที่ดีที่สุดสําหรับการลงทุน” ชี้ปี 61 เศรษฐกิจขาขึ้น ต่างชาติยอมรับ พร้อมจับมือชาติอาเซียนเดินไปข้างหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบรายงานอันดับประเทศที่ดีที่สุดสําหรับการลงทุน ประจําปี 2561 ของ U.S.News ซึ่งประเทศไทยติดอันดับ 8 จาก 20 อันดับของโลก วิเคราะห์จากหลายปัจจัย เช่น เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นวัตกรรม ทักษะแรงงาน ความชํานาญทางเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม ประชากร และคอร์รัปชัน เป็นต้น “นายกฯ พอใจอันดับของไทยจากรายงานดังกล่าว ถือว่าเป็นข่าวดีทางเศรษฐกิจ เพราะต่างชาติให้การยอมรับประเทศไทย ความสําเร็จนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันทุกฝ่ายตั้งแต่ระดับนโยบาย ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทุกคน ที่พัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง และช่วยกันรักษาบรรยากาศของบ้านเมืองให้สงบ เพื่อดึงดูดความสนใจของนักลงทุนทั่วโลก” นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา U.S.News เพิ่งเผยแพร่ผลการจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลกในด้านต่าง ๆ ซึ่งประเทศไทยครองแชมป์อันดับ 1 เป็นประเทศที่เหมาะสมสําหรับการเริ่มธุรกิจ (Best Countries to start a Business) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศักยภาพด้านเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยนั้นจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ในสายตาของชาวโลก ทั้งนี้ รัฐบาลได้ปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการลงทุนตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่งภาพลักษณ์ในเรื่องนี้เป็นสิ่งจูงใจนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาทําธุรกิจในไทยเป็นอย่างยิ่ง และผลการจัดอันดับดังกล่าวยังสอดคล้องกับอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business: EoDB) ของธนาคารโลกครั้งล่าสุด ที่ไทยมีอันดับดีขึ้นถึง 20 อันดับ จากอันดับที่ 46 ในปี 2560 เป็นอันดับที่ 26 ในปี 2561 ด้วย “นายกฯ ยังรู้สึกยินดีที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ก็ถูกจัดให้อยู่ใน 20 อันดับเช่นเดียวกัน สะท้อนในเห็นว่าภูมิภาคนี้กําลังเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้น จึงถือว่านโยบายและความร่วมมือทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกเดินมาถูกทางแล้ว โดยทุกประเทศจะพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ........................................................ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10679
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผอ.สศค.เผยผลการดำเนินการมาตรการเยียวยา 5,000 บาท แล้วเสร็จร้อยละ 99 [กระทรวงการคลัง]
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563 ผอ.สศค.เผยผลการดําเนินการมาตรการเยียวยา 5,000 บาท แล้วเสร็จร้อยละ 99 [กระทรวงการคลัง] ผอ.สศค.เผยผลการดําเนินการมาตรการเยียวยา 5,000 บาท แล้วเสร็จร้อยละ 99 นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยผลการดําเนินการมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 สําเร็จเรียบร้อยแล้วร้อยละ 99 ในส่วนที่ยังคงเหลืออีกเพียงร้อยละ 1 คือการดําเนินการในส่วนที่ยังตกค้างเกี่ยวกับการขอทบทวนสิทธิ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ มาตรการเยียวยา 5,000 บาท มีผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 28.8 ล้านราย มีการลงทะเบียนซ้ํา 4.8 รายการ และลงทะเบียนไม่สําเร็จ 1.7 ล้านรายทําให้มีผู้ลงทะเบียนที่เข้าสู่ขั้นตอนการคัดกรองตามหลักเกณฑ์จํานวน 22.3 ล้านราย มีผู้ผ่านเกณฑ์ 15 ล้านราย ไม่ได้รับสิทธิ 7 ล้านราย และอยู่ระหว่างการดําเนินการทบทวนสิทธิ 2.4 แสนราย กลุ่มผู้ผ่านเกณฑ์ 15 ล้านราย โอนเงินเยียวยาแล้ว 14.2 ล้านราย ส่วนที่เหลือจะโอนเงินเยียวยาได้ครบถ้วนทั้งหมดภายในสัปดาห์นี้ โดยมีรอบการโอนวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 จํานวน 2.3 แสนรายและวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 จํานวน 4.4 แสนราย ทั้งนี้ บัญชีของผู้รับจะต้องไม่มีปัญหาในเรื่องบัญชีไม่ตรงกับชื่อนามสกุลที่ลงทะเบียน บัญชีถูกปิด หรือไม่ได้ผูกพร้อมเพย์กับหมายเลขประจําตัวประชาชน ซึ่งจะเป็นเหตุให้การโอนเงินไม่สําเร็จ ดังนั้น สําหรับกลุ่มผู้ผ่านเกณฑ์แล้ว แต่ยังติดขัดเรื่องบัญชีสําหรับรับโอนเงินเยียวยา โปรดดําเนินการผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประจําตัวประชาชนโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นช่องทางที่สะดวกที่สุด โดยไม่ต้องดําเนินการอะไรเพิ่มเติมอีก กระทรวงการคลังจะมีการตรวจสอบและโอนเงินให้ใหม่เป็นประจําทุกสัปดาห์ กลุ่มไม่ได้รับสิทธิ 7 ล้านราย จําแนกได้เป็นผู้ไม่ขอทบทวนสิทธิ 4.8 ล้านราย ผู้ไม่ผ่านการขอทบทวนสิทธิ 1 ล้านราย ผู้ยกเลิกการลงทะเบียนหรือยกเลิกการขอทบทวนสิทธิ 9 แสนราย และกลุ่มที่ขอข้อมูลการประกอบอาชีพเพิ่มเติม แต่ไม่ได้เข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมภายในเวลาที่กําหนดประมาณ 3 แสนราย กลุ่มที่อยู่ระหว่างการดําเนินการทบทวนสิทธิ 2.4 แสนราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1 ของจํานวนผู้ที่เข้าสู่การคัดกรองตามหลักเกณฑ์ ที่ยังอยู่ระหว่างดําเนินการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้ขอทบทวนสิทธิ 8 หมื่นราย จะได้รับการติดต่อจากทีมผู้พิทักษ์สิทธิเพื่อนัดหมายยืนยันตัวตนและตรวจสอบการประกอบอาชีพตามที่ได้ลงทะเบียนไว้ กลุ่มที่ 2 ประมาณ 1 แสนราย เป็นผู้ขอทบทวนสิทธิซึ่งเคยได้รับการติดต่อจากทีมผู้พิทักษ์สิทธิแล้วแต่ไม่สามารถนัดพบได้หรือที่อยู่จริงในปัจจุบันไม่ตรงกับที่ได้ลงทะเบียนไว้ตอนขอทบทวนสิทธิ ทําให้ผู้พิทักษ์สิทธิไม่สามารถเจอตัวได้ และกลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ผู้พิทักษ์สิทธิได้พยายามติดต่อไปหาแล้วหลายครั้งแต่ติดต่อไม่ได้จํานวน6 หมื่นราย ผู้ขอทบทวนสิทธิในกลุ่มที่ 2 และ 3 กระทรวงการคลังจะมีการส่ง SMS แจ้งให้ทราบอีกครั้ง และให้ไปติดต่อที่สาขาธนาคารกรุงไทยที่สะดวกที่สุดเพื่อยืนยันตัวตนและการประกอบอาชีพ โดยนําบัตรประชาชนตัวจริงไปแสดงพร้อมหลักฐานการประกอบอาชีพได้จนถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 Call Center ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผอ.สศค.เผยผลการดำเนินการมาตรการเยียวยา 5,000 บาท แล้วเสร็จร้อยละ 99 [กระทรวงการคลัง] วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563 ผอ.สศค.เผยผลการดําเนินการมาตรการเยียวยา 5,000 บาท แล้วเสร็จร้อยละ 99 [กระทรวงการคลัง] ผอ.สศค.เผยผลการดําเนินการมาตรการเยียวยา 5,000 บาท แล้วเสร็จร้อยละ 99 นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยผลการดําเนินการมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 สําเร็จเรียบร้อยแล้วร้อยละ 99 ในส่วนที่ยังคงเหลืออีกเพียงร้อยละ 1 คือการดําเนินการในส่วนที่ยังตกค้างเกี่ยวกับการขอทบทวนสิทธิ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ มาตรการเยียวยา 5,000 บาท มีผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 28.8 ล้านราย มีการลงทะเบียนซ้ํา 4.8 รายการ และลงทะเบียนไม่สําเร็จ 1.7 ล้านรายทําให้มีผู้ลงทะเบียนที่เข้าสู่ขั้นตอนการคัดกรองตามหลักเกณฑ์จํานวน 22.3 ล้านราย มีผู้ผ่านเกณฑ์ 15 ล้านราย ไม่ได้รับสิทธิ 7 ล้านราย และอยู่ระหว่างการดําเนินการทบทวนสิทธิ 2.4 แสนราย กลุ่มผู้ผ่านเกณฑ์ 15 ล้านราย โอนเงินเยียวยาแล้ว 14.2 ล้านราย ส่วนที่เหลือจะโอนเงินเยียวยาได้ครบถ้วนทั้งหมดภายในสัปดาห์นี้ โดยมีรอบการโอนวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 จํานวน 2.3 แสนรายและวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 จํานวน 4.4 แสนราย ทั้งนี้ บัญชีของผู้รับจะต้องไม่มีปัญหาในเรื่องบัญชีไม่ตรงกับชื่อนามสกุลที่ลงทะเบียน บัญชีถูกปิด หรือไม่ได้ผูกพร้อมเพย์กับหมายเลขประจําตัวประชาชน ซึ่งจะเป็นเหตุให้การโอนเงินไม่สําเร็จ ดังนั้น สําหรับกลุ่มผู้ผ่านเกณฑ์แล้ว แต่ยังติดขัดเรื่องบัญชีสําหรับรับโอนเงินเยียวยา โปรดดําเนินการผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขบัตรประจําตัวประชาชนโดยเร็ว ซึ่งจะเป็นช่องทางที่สะดวกที่สุด โดยไม่ต้องดําเนินการอะไรเพิ่มเติมอีก กระทรวงการคลังจะมีการตรวจสอบและโอนเงินให้ใหม่เป็นประจําทุกสัปดาห์ กลุ่มไม่ได้รับสิทธิ 7 ล้านราย จําแนกได้เป็นผู้ไม่ขอทบทวนสิทธิ 4.8 ล้านราย ผู้ไม่ผ่านการขอทบทวนสิทธิ 1 ล้านราย ผู้ยกเลิกการลงทะเบียนหรือยกเลิกการขอทบทวนสิทธิ 9 แสนราย และกลุ่มที่ขอข้อมูลการประกอบอาชีพเพิ่มเติม แต่ไม่ได้เข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมภายในเวลาที่กําหนดประมาณ 3 แสนราย กลุ่มที่อยู่ระหว่างการดําเนินการทบทวนสิทธิ 2.4 แสนราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1 ของจํานวนผู้ที่เข้าสู่การคัดกรองตามหลักเกณฑ์ ที่ยังอยู่ระหว่างดําเนินการแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้ขอทบทวนสิทธิ 8 หมื่นราย จะได้รับการติดต่อจากทีมผู้พิทักษ์สิทธิเพื่อนัดหมายยืนยันตัวตนและตรวจสอบการประกอบอาชีพตามที่ได้ลงทะเบียนไว้ กลุ่มที่ 2 ประมาณ 1 แสนราย เป็นผู้ขอทบทวนสิทธิซึ่งเคยได้รับการติดต่อจากทีมผู้พิทักษ์สิทธิแล้วแต่ไม่สามารถนัดพบได้หรือที่อยู่จริงในปัจจุบันไม่ตรงกับที่ได้ลงทะเบียนไว้ตอนขอทบทวนสิทธิ ทําให้ผู้พิทักษ์สิทธิไม่สามารถเจอตัวได้ และกลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่ผู้พิทักษ์สิทธิได้พยายามติดต่อไปหาแล้วหลายครั้งแต่ติดต่อไม่ได้จํานวน6 หมื่นราย ผู้ขอทบทวนสิทธิในกลุ่มที่ 2 และ 3 กระทรวงการคลังจะมีการส่ง SMS แจ้งให้ทราบอีกครั้ง และให้ไปติดต่อที่สาขาธนาคารกรุงไทยที่สะดวกที่สุดเพื่อยืนยันตัวตนและการประกอบอาชีพ โดยนําบัตรประชาชนตัวจริงไปแสดงพร้อมหลักฐานการประกอบอาชีพได้จนถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 Call Center ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1144
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31246
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต มอบรางวัลประกวดการใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563 รมช.สาธิต มอบรางวัลประกวดการใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัลโครงการประกวดการใช้งานแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ปีที่ 3 ให้กับหน่วยบริการสุขภาพและชมรม อสม. ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มศักยภาพการทํางานด้านสาธารณสุขชุมชนเชิงรุก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัลโครงการประกวดการใช้งานแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ปีที่ 3 ให้กับหน่วยบริการสุขภาพและชมรม อสม. ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มศักยภาพการทํางานด้านสาธารณสุขชุมชนเชิงรุก วันนี้ (31 มกราคม 2563) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวชั่น กรุงเทพมหานคร ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) หรือเอไอเอส มอบรางวัลโครงการ “ประกวดการใช้งานแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ปีที่ 3” ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) เป็นอสม.หมอประจําบ้าน ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารทางการแพทย์ พร้อมทั้งพัฒนาระบบการแพทย์ทางไกล เพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริการสาธารณสุขในชุมชน เพื่อลดโรคและปัญหาสุขภาพ ส่งเสริมให้ประชาชนพึ่งตนเองได้ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ได้ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) ส่งเสริมการทํางานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอสม. ให้มีทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ซึ่งเป็นสังคมออนไลน์เฉพาะกลุ่ม เป็นเครื่องมือในการดูแลสุขภาพของประชาชนในเชิงรุก และสามารถเข้าถึงความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น และเพื่อเสริมขวัญกําลังใจ และสร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้ปฏิบัติงานในการเสียสละอุทิศตน ในปีนี้ได้จัดการประกวดการใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ เป็นปีที่ 3 มีหน่วยบริการสุขภาพและชมรม อสม. ได้รับโล่ประกาศนียบัตรจํานวน 123 แห่ง แบ่งเป็นรางวัลดีเด่นระดับประเทศ 10 แห่ง รางวัลดีเด่นระดับจังหวัด 82 แห่ง และรางวัลดาวรุ่ง จํานวน 31 แห่ง ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ รพ.สต. สามารถสมัครใช้งานได้โดยแจ้งความจํานงใช้งานผ่านwww.ais.co.th/aorsormor หรือคิวอาร์โค้ด ในส่วนของอสม. สามารถแจ้งความประสงค์ได้กับเจ้าหน้าที่ รพ.สต.ใกล้บ้าน ****************************** 31 มกราคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต มอบรางวัลประกวดการใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563 รมช.สาธิต มอบรางวัลประกวดการใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัลโครงการประกวดการใช้งานแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ปีที่ 3 ให้กับหน่วยบริการสุขภาพและชมรม อสม. ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มศักยภาพการทํางานด้านสาธารณสุขชุมชนเชิงรุก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัลโครงการประกวดการใช้งานแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ปีที่ 3 ให้กับหน่วยบริการสุขภาพและชมรม อสม. ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มศักยภาพการทํางานด้านสาธารณสุขชุมชนเชิงรุก วันนี้ (31 มกราคม 2563) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวชั่น กรุงเทพมหานคร ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) หรือเอไอเอส มอบรางวัลโครงการ “ประกวดการใช้งานแอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ปีที่ 3” ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้พัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) เป็นอสม.หมอประจําบ้าน ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารทางการแพทย์ พร้อมทั้งพัฒนาระบบการแพทย์ทางไกล เพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริการสาธารณสุขในชุมชน เพื่อลดโรคและปัญหาสุขภาพ ส่งเสริมให้ประชาชนพึ่งตนเองได้ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาล ลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ได้ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) ส่งเสริมการทํางานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอสม. ให้มีทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ ซึ่งเป็นสังคมออนไลน์เฉพาะกลุ่ม เป็นเครื่องมือในการดูแลสุขภาพของประชาชนในเชิงรุก และสามารถเข้าถึงความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น และเพื่อเสริมขวัญกําลังใจ และสร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้ปฏิบัติงานในการเสียสละอุทิศตน ในปีนี้ได้จัดการประกวดการใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ เป็นปีที่ 3 มีหน่วยบริการสุขภาพและชมรม อสม. ได้รับโล่ประกาศนียบัตรจํานวน 123 แห่ง แบ่งเป็นรางวัลดีเด่นระดับประเทศ 10 แห่ง รางวัลดีเด่นระดับจังหวัด 82 แห่ง และรางวัลดาวรุ่ง จํานวน 31 แห่ง ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ รพ.สต. สามารถสมัครใช้งานได้โดยแจ้งความจํานงใช้งานผ่านwww.ais.co.th/aorsormor หรือคิวอาร์โค้ด ในส่วนของอสม. สามารถแจ้งความประสงค์ได้กับเจ้าหน้าที่ รพ.สต.ใกล้บ้าน ****************************** 31 มกราคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26207
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ห่วงลูกจ้างในกรุงเป็นอันตรายจากค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน แนะนายจ้างจัดอุปกรณ์คุ้มครอง
วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561 กสร. ห่วงลูกจ้างในกรุงเป็นอันตรายจากค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน แนะนายจ้างจัดอุปกรณ์คุ้มครอง อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ห่วงลูกจ้างปฏิบัติงานพื้นที่โล่งแจ้งในกรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบจากค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน แนะนายจ้างจัดหน้ากากกรองฝุ่นละอองให้ลูกจ้าง พร้อมกําชับให้สวมใส่ตลอดระยะเวลาปฏิบัติงานและระหว่างการเดินทาง นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า จากรายงานสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครของกรมควบคุมมลพิษ พบว่ากลับมาเกินค่ามาตรฐาน อีกครั้ง จากการตรวจวัดได้ระหว่าง 64 - 79 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินเกณฑ์มาตรฐานที่ 50 ไมโครกรัม ต่อลูกบาศก์เมตร ในจํานวน 6 สถานี ได้แก่ เขตบางนา เขตวังทองหลาง ริมถนนพระราม 4 ริมถนนอินทรพิทักษ์ ริมถนนลาดพร้าว และริมถนนพญาไท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกสถานี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงานที่ต้องปฏิบัติงานภายนอกอาคารเป็นเวลานาน ๆ เช่น ลูกจ้างในงานก่อสร้าง งานในที่โล่งแจ้ง ลูกจ้างที่ต้องขับขี่ยานพาหนะ เป็นต้น จึงขอแนะนําให้นายจ้างและผู้ประกอบการต้องให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าว รวมถึงให้การคุ้มครอง ดูแลลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการสูดดมฝุ่นละอองเพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง โดยจัดหน้ากากที่กรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ให้ลูกจ้าง และกําชับให้สวมใส่ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานรวมถึงระหว่างการเดินทางไปกลับจากที่พักและที่ทํางานด้วย อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า สําหรับลูกจ้าง ขอให้สวมใส่หน้ากากกรองฝุ่นละอองที่นายจ้างจัดให้ เพื่อความปลอดภัยในการทํางานและสุขภาพอนามัยที่ดีของลูกจ้างเอง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ห่วงลูกจ้างในกรุงเป็นอันตรายจากค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน แนะนายจ้างจัดอุปกรณ์คุ้มครอง วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561 กสร. ห่วงลูกจ้างในกรุงเป็นอันตรายจากค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน แนะนายจ้างจัดอุปกรณ์คุ้มครอง อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ห่วงลูกจ้างปฏิบัติงานพื้นที่โล่งแจ้งในกรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบจากค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน แนะนายจ้างจัดหน้ากากกรองฝุ่นละอองให้ลูกจ้าง พร้อมกําชับให้สวมใส่ตลอดระยะเวลาปฏิบัติงานและระหว่างการเดินทาง นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า จากรายงานสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครของกรมควบคุมมลพิษ พบว่ากลับมาเกินค่ามาตรฐาน อีกครั้ง จากการตรวจวัดได้ระหว่าง 64 - 79 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินเกณฑ์มาตรฐานที่ 50 ไมโครกรัม ต่อลูกบาศก์เมตร ในจํานวน 6 สถานี ได้แก่ เขตบางนา เขตวังทองหลาง ริมถนนพระราม 4 ริมถนนอินทรพิทักษ์ ริมถนนลาดพร้าว และริมถนนพญาไท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกสถานี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้าง ผู้ใช้แรงงานที่ต้องปฏิบัติงานภายนอกอาคารเป็นเวลานาน ๆ เช่น ลูกจ้างในงานก่อสร้าง งานในที่โล่งแจ้ง ลูกจ้างที่ต้องขับขี่ยานพาหนะ เป็นต้น จึงขอแนะนําให้นายจ้างและผู้ประกอบการต้องให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าว รวมถึงให้การคุ้มครอง ดูแลลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการสูดดมฝุ่นละอองเพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง โดยจัดหน้ากากที่กรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ให้ลูกจ้าง และกําชับให้สวมใส่ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานรวมถึงระหว่างการเดินทางไปกลับจากที่พักและที่ทํางานด้วย อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า สําหรับลูกจ้าง ขอให้สวมใส่หน้ากากกรองฝุ่นละอองที่นายจ้างจัดให้ เพื่อความปลอดภัยในการทํางานและสุขภาพอนามัยที่ดีของลูกจ้างเอง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10715
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ขอ ปชช.เว้นระยะห่างในบ้าน สวมหน้ากากผ้า ช่วยสงกรานต์เป็นเทศกาลลดการระบาดโรคโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันเสาร์ที่ 11 เมษายน 2563 สธ. ขอ ปชช.เว้นระยะห่างในบ้าน สวมหน้ากากผ้า ช่วยสงกรานต์เป็นเทศกาลลดการระบาดโรคโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข] สธ. ขอ ปชช.เว้นระยะห่างในบ้าน สวมหน้ากากผ้า ช่วยสงกรานต์เป็นเทศกาลลดการระบาดโรคโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข เผยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ป่วยโควิด-19 ร้อยละ 56 เป็นการติดเชื้อในครอบครัว กระตุ้นประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ให้เว้นระยะห่างภายในบ้าน สวมหน้ากากอนามัย เพื่อให้สงกรานต์นี้เป็นเทศกาลที่ช่วยลดการระบาดของโรค วันนี้ (11 เมษายน2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นายแพทย์อนุพงศ์ สุจริยากุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค กล่าวถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ว่า ขอบคุณคนไทยที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการภาครัฐทําให้จํานวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อย่าชะล่าใจยังคงเข้มมาตรการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่จะมีการพบปะเพื่อน ญาติผู้ใหญ่ เพื่อขอพร ขอให้เข้มงวดการเว้นระยะห่างระหว่างกัน รวมทั้งการสวมหน้ากากอนามัย เพื่อให้เป็นเทศกาลที่ช่วยลดการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค พบว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 4-10 เมษายน 2563 ) พบผู้ป่วย 495 ราย ในจํานวนนี้ 144 รายเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย โดยร้อยละ 56 เป็นการสัมผัสใกล้ชิดคนในครอบครัว รองลงมาสัมผัสกับเพื่อนร่วมงาน/ผู้มารับบริการร้อยละ 23 ส่วนการสัมผัสจากการพบปะเพื่อนฝูง/คนรู้จักพบร้อยละ18 และการสัมผัสร่วมยานพาหนะ/ในชุมชน พบร้อยละ 3 จากข้อมูลข้างต้นการรักษาระยะห่างระหว่างกันของผู้ใกล้ชิดและคนในครอบครัวจึงเป็นเรื่องสําคัญเพื่อลดการติดเชื้อจากการสัมผัส ด้านนายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยได้สํารวจการปฏิบัติตามมาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” จํานวน 1,709 ตัวอย่าง เมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เข้าใจดีทําตามมาตรการ โดยถามว่าเมื่อวานได้ออกไปนอกบ้านหรือไม่ ร้อยละ 50 ยังต้องออกนอกบ้าน เพื่อทํางาน ทํากิจธุระที่จําเป็นและพบแพทย์, ร้อยละ 38 อยู่บ้านไม่มีคนมาหา, ร้อยละ 12 อยู่บ้านแต่ยังมีคนมาหา ส่วนแนวทางการป้องกันตนเองเมื่ออยู่บ้านและออกไปนอกบ้าน ด้วยการล้างมือหรือใช้แอลกอฮอล์เจลถึงร้อยละ 84.3, สวมใส่หน้ากากอนามัยหน้ากากผ้าร้อยละ 76.7, ระวังไม่เอามือจับหน้า จมูก ปาก ร้อยละ 59.2 และเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร ร้อยละ 58.8 สําหรับในช่วงสงกรานต์ มาตรการที่ทุกคนควรปฏิบัติร่วมกัน คือการขอพรต้องเว้นระยะห่างในการไหว้ขอพรญาติผู้ใหญ่ เพราะกลุ่มผู้สูงอายุถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ และหากอยู่ไกลกันก็ขอให้ใช้การอวยพรทางโทรศัพท์หรือออนไลน์เพื่อร่วมกันลดการแพร่กระจายของเชื้อให้ต่ําลงต่อไปให้ได้ ด้านนายแพทย์วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ขณะนี้หลายจังหวัดได้มีมาตรการงดจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นับว่าเป็นช่วงเวลาดีที่ประชาชนจะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ออกไปตั้งวงสังสรรค์ตามมาตรการเว้นระยะห่างของรัฐบาล ข้อดีคือช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ในผู้ติดสุรา การเลิกดื่มแบบกะทันหัน เสี่ยงเกิดอันตรายต่อชีวิต โดย 24 -72 ชั่วโมงแรก จะมีอาการมือสั่น ใจสั่น เวียนหัว นอนไม่หลับ คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการชักและเสียชีวิตได้ ดังนั้น ขอแนะนําให้ผู้ที่ติดสุรา หากต้องการเลิกดื่ม ให้เข้ารับคําปรึกษาจากแพทย์ เพื่อวางแผนการใช้ยาทดแทน หรือโทรปรึกษาสายด่วนเลิกเหล้า 1413
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ขอ ปชช.เว้นระยะห่างในบ้าน สวมหน้ากากผ้า ช่วยสงกรานต์เป็นเทศกาลลดการระบาดโรคโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข] วันเสาร์ที่ 11 เมษายน 2563 สธ. ขอ ปชช.เว้นระยะห่างในบ้าน สวมหน้ากากผ้า ช่วยสงกรานต์เป็นเทศกาลลดการระบาดโรคโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข] สธ. ขอ ปชช.เว้นระยะห่างในบ้าน สวมหน้ากากผ้า ช่วยสงกรานต์เป็นเทศกาลลดการระบาดโรคโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุข เผยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ป่วยโควิด-19 ร้อยละ 56 เป็นการติดเชื้อในครอบครัว กระตุ้นประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ให้เว้นระยะห่างภายในบ้าน สวมหน้ากากอนามัย เพื่อให้สงกรานต์นี้เป็นเทศกาลที่ช่วยลดการระบาดของโรค วันนี้ (11 เมษายน2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นายแพทย์อนุพงศ์ สุจริยากุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค กล่าวถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ว่า ขอบคุณคนไทยที่ให้ความร่วมมือกับมาตรการภาครัฐทําให้จํานวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่อย่าชะล่าใจยังคงเข้มมาตรการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่จะมีการพบปะเพื่อน ญาติผู้ใหญ่ เพื่อขอพร ขอให้เข้มงวดการเว้นระยะห่างระหว่างกัน รวมทั้งการสวมหน้ากากอนามัย เพื่อให้เป็นเทศกาลที่ช่วยลดการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค พบว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 4-10 เมษายน 2563 ) พบผู้ป่วย 495 ราย ในจํานวนนี้ 144 รายเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย โดยร้อยละ 56 เป็นการสัมผัสใกล้ชิดคนในครอบครัว รองลงมาสัมผัสกับเพื่อนร่วมงาน/ผู้มารับบริการร้อยละ 23 ส่วนการสัมผัสจากการพบปะเพื่อนฝูง/คนรู้จักพบร้อยละ18 และการสัมผัสร่วมยานพาหนะ/ในชุมชน พบร้อยละ 3 จากข้อมูลข้างต้นการรักษาระยะห่างระหว่างกันของผู้ใกล้ชิดและคนในครอบครัวจึงเป็นเรื่องสําคัญเพื่อลดการติดเชื้อจากการสัมผัส ด้านนายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยได้สํารวจการปฏิบัติตามมาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” จํานวน 1,709 ตัวอย่าง เมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เข้าใจดีทําตามมาตรการ โดยถามว่าเมื่อวานได้ออกไปนอกบ้านหรือไม่ ร้อยละ 50 ยังต้องออกนอกบ้าน เพื่อทํางาน ทํากิจธุระที่จําเป็นและพบแพทย์, ร้อยละ 38 อยู่บ้านไม่มีคนมาหา, ร้อยละ 12 อยู่บ้านแต่ยังมีคนมาหา ส่วนแนวทางการป้องกันตนเองเมื่ออยู่บ้านและออกไปนอกบ้าน ด้วยการล้างมือหรือใช้แอลกอฮอล์เจลถึงร้อยละ 84.3, สวมใส่หน้ากากอนามัยหน้ากากผ้าร้อยละ 76.7, ระวังไม่เอามือจับหน้า จมูก ปาก ร้อยละ 59.2 และเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร ร้อยละ 58.8 สําหรับในช่วงสงกรานต์ มาตรการที่ทุกคนควรปฏิบัติร่วมกัน คือการขอพรต้องเว้นระยะห่างในการไหว้ขอพรญาติผู้ใหญ่ เพราะกลุ่มผู้สูงอายุถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ และหากอยู่ไกลกันก็ขอให้ใช้การอวยพรทางโทรศัพท์หรือออนไลน์เพื่อร่วมกันลดการแพร่กระจายของเชื้อให้ต่ําลงต่อไปให้ได้ ด้านนายแพทย์วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ขณะนี้หลายจังหวัดได้มีมาตรการงดจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นับว่าเป็นช่วงเวลาดีที่ประชาชนจะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ออกไปตั้งวงสังสรรค์ตามมาตรการเว้นระยะห่างของรัฐบาล ข้อดีคือช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ในผู้ติดสุรา การเลิกดื่มแบบกะทันหัน เสี่ยงเกิดอันตรายต่อชีวิต โดย 24 -72 ชั่วโมงแรก จะมีอาการมือสั่น ใจสั่น เวียนหัว นอนไม่หลับ คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการชักและเสียชีวิตได้ ดังนั้น ขอแนะนําให้ผู้ที่ติดสุรา หากต้องการเลิกดื่ม ให้เข้ารับคําปรึกษาจากแพทย์ เพื่อวางแผนการใช้ยาทดแทน หรือโทรปรึกษาสายด่วนเลิกเหล้า 1413
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28862
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" มอบแนวทางการจัดทำแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ของกระทรวงศึกษาธิการ
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" มอบแนวทางการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดประชุมปฏิบัติการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ของกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2560 เพื่อเป็นแนวทางการขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษาของภาค จังหวัดเชียงใหม่ - กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดประชุมปฏิบัติการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ของกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่15-16พฤศจิกายน2560เพื่อเป็นแนวทางการขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษาของภาค ปีงบประมาณ2561-2562ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ20ปี ยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่12(พ.ศ.2560-2564) และประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาให้สามารถตอบสนองต่อมิติของการพัฒนาประเทศ ทั้งมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อวันพฤหัสบดีที่16พฤศจิกายน2560ณ โรงแรมเชียงใหม่ภูคํา อําเภอเมืองเชียงใหม่,พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายภายหลังที่ได้รับฟังผลการประชุมปฏิบัติการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ของสํานักงานศึกษาธิการภาค15-18 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวตอนหนึ่งว่าจากการรับฟังผลการนําเสนอแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ)ในครั้งนี้ เห็นว่าเป็นแผนที่มีความสมบูรณ์มาก พอมองเห็นถึงความสําเร็จที่จะเกิดขึ้น เพราะเป็นผลผลิตทางความคิดของผู้เข้าร่วมประชุมที่ได้ร่วมกันคิดและวางแผน จึงขอให้กําลังใจ ชื่นชม และพร้อมจะสนับสนุนการทํางาน อันจะส่งผลถึง "ความสุข" เมื่องานเกิดความสําเร็จ เพราะเมื่องานการศึกษาสําเร็จก็จะส่งผลไปยังความสุขของคนในชาติ อันเป็นความมุ่งหวังที่รัฐบาลได้ตั้งใจไว้เช่นนั้น ตลอดระยะเวลา3ปีเศษที่ผ่านมาของรัฐบาลชุดนี้ ตนได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการวางแผนขับเคลื่อนจัดการศึกษาในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่พิเศษซึ่งหมายถึงพื้นที่จังหวัดชายแดน27จังหวัด, พื้นที่5จังหวัดชายแดนภาคใต้, เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนรอบประเทศ 10 พื้นที่, การพัฒนา3เมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก (EEC) ใน3จังหวัดภาคตะวันออก ทั้งนี้เมื่อวันที่24กันยายนที่ผ่านมา ศธ.ได้จัดให้มีการประชุมเพื่อทบทวนการจัดทําแผนบูรณาการจัดการศึกษาในพื้นที่พิเศษต่าง ๆ ดังกล่าวให้เกิดผลในทางปฏิบัติของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ที่ จ.ชลบุรีโดยเชิญพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมอบนโยบาย โดยที่ประชุมครั้งนั้นได้มีข้อสรุปให้มีการขยายผลการทํางานการวางแผนการศึกษาในพื้นที่พิเศษออกไปในระดับ "ทุกภูมิภาค" ของประเทศ ซึ่งต่อมาเป็นความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แบ่งการทํางานในระดับภาคของประเทศออกเป็น"6ภาค"ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคใต้ชายแดน ดังนั้น จึงเป็นความสอดคล้องที่ ศธ.ในฐานะที่มีบทบาทหน้าที่ในการผลิตกําลังคนให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆทั้งมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมจึงได้ดําเนินการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาคขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมไปสู่การปฏิบัติ ให้เกิดการพัฒนาอย่างกว้างขวางรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามความต้องการของประชาชน โดยแผนดังกล่าวสอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 และเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564) อย่างไรก็ตาม ในการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาแต่ละภาค จะขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละพื้นที่ซึ่งมีจุดแข็งและโอกาสที่แตกต่างกัน ต้องดึงมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น แผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเน้นตามเป้าหมายระดับภาคคือ "หลุดพ้นจากความยากจน สู่เป้าหมายการพึ่งตนเอง"ส่วนแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาคเหนือ จะเน้นไปที่ "เป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง" โดยมีสํานักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) ที่เกี่ยวข้องในภาคเหนือ คือศธภ.15-18ครอบคลุม17จังหวัดในภาคเหนือ พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษาด้วยว่าขณะนี้ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานในการให้การสนับสนุนอํานวยการบริหารจัดการผลิตและพัฒนากําลังอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการกําลังคน ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับการทํางานของภาคเอกชนในรูปแบบโครงการสานพลังประชารัฐ และตลาดแรงงานทั้งหมดและจะขยายศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษาไปให้ครบทั้ง6ภาคเช่นกันด้วย สําหรับแนวทางการจัดทําแผนการศึกษาระดับภาคศธ.โดยสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สป. จะได้หมุนเวียนดําเนินการจัดทําแผนระดับภาค ตามวงรอบที่1จํานวน6ภาค ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม2560โดยเริ่มต้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่8-9พฤศจิกายนที่ผ่านมา และภาคเหนือในครั้งนี้เป็นจุดที่สอง จากนั้นจะมีการประเมินเพื่อปรับปรุงแผน ต่อยอด หรือนําความก้าวหน้าไปพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อไปในวงรอบที่2ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์2561 พล.อ.สุรเชษฐ์ได้กล่าวย้ําถึงการทํางานเชิงบูรณาการ ซึ่งเป็นคําที่มีความหมายสําคัญอย่างยิ่งต่อการทํางานร่วมกัน เพราะหากเราต่างคนต่างทํา จะยิ่งเกิดผลกระทบต่อสังคมและการจัดการศึกษาทั้งระบบ นอกจากนี้ ฝากเรื่องการพัฒนาภาวะผู้นําเพื่อการเปลี่ยนแปลง(Transformational Leadership)ของผู้บริหารทุกหน่วยงานรวมทั้งได้ย้ําถึงการสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการทํางานซึ่งเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้นําหน่วยงาน ต้องพยายามกระจายงานที่รับทราบให้ทุกคนภายในหน่วยงานได้รับทราบร่วมกันก่อนด้วย จากนั้นจึงขยายผลการสร้างการรับรู้ความเข้าใจไปยังหน่วยงานภายนอก ตลอดจนประชาชน และสังคมในวงกว้างต่อไป อิชยา กัปปา, บัลลังก์ โรหิตเสถียร:สรุป/รายงาน อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, ธเนศ งานสถิร: ถ่ายภาพ ขอบคุณ:ผู้อํานวยการรร.ยุพราชวิทยาลัยรวมทั้งพนักงานขับรถของโรงเรียน ที่ให้บริการรถยนต์รับส่งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ตลอดการทํางานในครั้งนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" มอบแนวทางการจัดทำแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ของกระทรวงศึกษาธิการ วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 รมช.ศธ."พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์" มอบแนวทางการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดประชุมปฏิบัติการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ของกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน 2560 เพื่อเป็นแนวทางการขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษาของภาค จังหวัดเชียงใหม่ - กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดประชุมปฏิบัติการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ของกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่15-16พฤศจิกายน2560เพื่อเป็นแนวทางการขับเคลื่อนแผนบูรณาการด้านการศึกษาของภาค ปีงบประมาณ2561-2562ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ20ปี ยุทธศาสตร์การพัฒนาภาค เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่12(พ.ศ.2560-2564) และประยุกต์ใช้ในการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาให้สามารถตอบสนองต่อมิติของการพัฒนาประเทศ ทั้งมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เมื่อวันพฤหัสบดีที่16พฤศจิกายน2560ณ โรงแรมเชียงใหม่ภูคํา อําเภอเมืองเชียงใหม่,พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายภายหลังที่ได้รับฟังผลการประชุมปฏิบัติการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ) ของสํานักงานศึกษาธิการภาค15-18 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวตอนหนึ่งว่าจากการรับฟังผลการนําเสนอแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาค (ภาคเหนือ)ในครั้งนี้ เห็นว่าเป็นแผนที่มีความสมบูรณ์มาก พอมองเห็นถึงความสําเร็จที่จะเกิดขึ้น เพราะเป็นผลผลิตทางความคิดของผู้เข้าร่วมประชุมที่ได้ร่วมกันคิดและวางแผน จึงขอให้กําลังใจ ชื่นชม และพร้อมจะสนับสนุนการทํางาน อันจะส่งผลถึง "ความสุข" เมื่องานเกิดความสําเร็จ เพราะเมื่องานการศึกษาสําเร็จก็จะส่งผลไปยังความสุขของคนในชาติ อันเป็นความมุ่งหวังที่รัฐบาลได้ตั้งใจไว้เช่นนั้น ตลอดระยะเวลา3ปีเศษที่ผ่านมาของรัฐบาลชุดนี้ ตนได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการวางแผนขับเคลื่อนจัดการศึกษาในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่พิเศษซึ่งหมายถึงพื้นที่จังหวัดชายแดน27จังหวัด, พื้นที่5จังหวัดชายแดนภาคใต้, เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนรอบประเทศ 10 พื้นที่, การพัฒนา3เมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก (EEC) ใน3จังหวัดภาคตะวันออก ทั้งนี้เมื่อวันที่24กันยายนที่ผ่านมา ศธ.ได้จัดให้มีการประชุมเพื่อทบทวนการจัดทําแผนบูรณาการจัดการศึกษาในพื้นที่พิเศษต่าง ๆ ดังกล่าวให้เกิดผลในทางปฏิบัติของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ที่ จ.ชลบุรีโดยเชิญพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมอบนโยบาย โดยที่ประชุมครั้งนั้นได้มีข้อสรุปให้มีการขยายผลการทํางานการวางแผนการศึกษาในพื้นที่พิเศษออกไปในระดับ "ทุกภูมิภาค" ของประเทศ ซึ่งต่อมาเป็นความสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แบ่งการทํางานในระดับภาคของประเทศออกเป็น"6ภาค"ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคใต้ชายแดน ดังนั้น จึงเป็นความสอดคล้องที่ ศธ.ในฐานะที่มีบทบาทหน้าที่ในการผลิตกําลังคนให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆทั้งมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมจึงได้ดําเนินการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาคขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมไปสู่การปฏิบัติ ให้เกิดการพัฒนาอย่างกว้างขวางรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามความต้องการของประชาชน โดยแผนดังกล่าวสอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 และเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560-2564) อย่างไรก็ตาม ในการจัดทําแผนบูรณาการด้านการศึกษาแต่ละภาค จะขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละพื้นที่ซึ่งมีจุดแข็งและโอกาสที่แตกต่างกัน ต้องดึงมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น แผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะเน้นตามเป้าหมายระดับภาคคือ "หลุดพ้นจากความยากจน สู่เป้าหมายการพึ่งตนเอง"ส่วนแผนบูรณาการด้านการศึกษาระดับภาคเหนือ จะเน้นไปที่ "เป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง" โดยมีสํานักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) ที่เกี่ยวข้องในภาคเหนือ คือศธภ.15-18ครอบคลุม17จังหวัดในภาคเหนือ พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษาด้วยว่าขณะนี้ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานในการให้การสนับสนุนอํานวยการบริหารจัดการผลิตและพัฒนากําลังอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการกําลังคน ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับการทํางานของภาคเอกชนในรูปแบบโครงการสานพลังประชารัฐ และตลาดแรงงานทั้งหมดและจะขยายศูนย์ประสานงานการผลิตและพัฒนากําลังคนอาชีวศึกษาไปให้ครบทั้ง6ภาคเช่นกันด้วย สําหรับแนวทางการจัดทําแผนการศึกษาระดับภาคศธ.โดยสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สป. จะได้หมุนเวียนดําเนินการจัดทําแผนระดับภาค ตามวงรอบที่1จํานวน6ภาค ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม2560โดยเริ่มต้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่8-9พฤศจิกายนที่ผ่านมา และภาคเหนือในครั้งนี้เป็นจุดที่สอง จากนั้นจะมีการประเมินเพื่อปรับปรุงแผน ต่อยอด หรือนําความก้าวหน้าไปพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นต่อไปในวงรอบที่2ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์2561 พล.อ.สุรเชษฐ์ได้กล่าวย้ําถึงการทํางานเชิงบูรณาการ ซึ่งเป็นคําที่มีความหมายสําคัญอย่างยิ่งต่อการทํางานร่วมกัน เพราะหากเราต่างคนต่างทํา จะยิ่งเกิดผลกระทบต่อสังคมและการจัดการศึกษาทั้งระบบ นอกจากนี้ ฝากเรื่องการพัฒนาภาวะผู้นําเพื่อการเปลี่ยนแปลง(Transformational Leadership)ของผู้บริหารทุกหน่วยงานรวมทั้งได้ย้ําถึงการสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการทํางานซึ่งเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้นําหน่วยงาน ต้องพยายามกระจายงานที่รับทราบให้ทุกคนภายในหน่วยงานได้รับทราบร่วมกันก่อนด้วย จากนั้นจึงขยายผลการสร้างการรับรู้ความเข้าใจไปยังหน่วยงานภายนอก ตลอดจนประชาชน และสังคมในวงกว้างต่อไป อิชยา กัปปา, บัลลังก์ โรหิตเสถียร:สรุป/รายงาน อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, ธเนศ งานสถิร: ถ่ายภาพ ขอบคุณ:ผู้อํานวยการรร.ยุพราชวิทยาลัยรวมทั้งพนักงานขับรถของโรงเรียน ที่ให้บริการรถยนต์รับส่งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ตลอดการทํางานในครั้งนี้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8145
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. กอบศักดิ์ฯ ขอให้ยุวชนประชาธิปไตยช่วยกันพัฒนาประเทศไทยและเสริมสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561 รมต. นร. กอบศักดิ์ฯ ขอให้ยุวชนประชาธิปไตยช่วยกันพัฒนาประเทศไทยและเสริมสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริง รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีให้การต้อนรับคณะยุวชนประชาธิปไตยที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นพลเมืองของเยาวชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ยั่งยืน วันนี้ (29 มี.ค. 61) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนให้การต้อนรับคณะยุวชนประชาธิปไตยและเจ้าหน้าที่ของสํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จํานวน 160 คน ที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นพลเมืองของเยาวชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ยั่งยืน กิจกรรมยุวชนประชาธิปไตย ประจําปี 2561 โดยมี นายประกิจ ธนาเลิศสมบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้กล่าวรายงานว่า สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กําหนดจัดโครงการส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นพลเมืองของเยาวชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยให้ยั่งยืน กิจกรรมยุวชนประชาธิปไตย ประจําปีงบประมาณ 2561 สําหรับนักเรียน/นักศึกษา ที่เป็นเยาวชน ชาย-หญิง อายุระหว่าง 15 - 20 ปี ที่กําลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสายสามัญ และสายอาชีพ รวมทั้งระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่า จํานวน 2 รุ่นๆ ละ 160 คน รวมทั้งสิ้น 320 คน รุ่นที่ 1 วันที่ 14 - 23 มีนาคม 2561 และรุ่นที่ 2 วันที่ 28 มีนาคม - 6 เมษายน 2561 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และด้านกระบวนการทางนิติบัญญัติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยสํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเยาวชนทั่วทุกภูมิภาคอย่างเท่าเทียม การจัดกิจกรรมยุวชนประชาธิปไตย เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่หลากหลายของโครงการฯ ซึ่งให้ความสําคัญในเรื่องขององค์ความรู้ด้านการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมจะมีโอกาสได้ศึกษาดูงานในสถานที่สําคัญ ๆ ซึ่งเป็นกลไกในการขับเคลื่อนกระบวนการทางการเมืองการปกครองไทย เช่น ศาล และองค์กรอิสระ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การสหประชาชาติ และสถานที่ที่น้อมนําศาสตร์พระราชามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง เป็นต้น เพื่อได้ศึกษาทั้งด้านองค์ความรู้ และประสบการณ์แล้ว เยาวชนจะสามารถนํามาบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาในกรณีศึกษาที่กําหนด ซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งในเรื่องบทบาทสมมติ สถานการณ์จําลอง เวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การระดมสมองในกลุ่มย่อย ฯลฯ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงให้เห็นถึงการใช้องค์ความรู้ และทักษะในเชิงบูรณาการได้อย่างชัดเจน ผลงานที่เยาวชนได้สร้างขึ้นขณะเข้าร่วมกิจกรรม แสดงถึงศักยภาพของการเข้ามามีส่วนร่วมของเยาวชน ในกิจกรรมของสถาบันนิติบัญญัติ ซึ่งสามารถนําไปขยายผลในรูปแบบอื่น ทั้งการเผยแพร่ความรู้ การนําทักษะ และประสบการณ์ไปสานต่อให้เกิดประโยชน์ต่อเยาวชน และเป็นการสร้างเครือข่ายเยาวชนของสถาบันนิติบัญญัติเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “การปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และโครงการประชารัฐ” แก่เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ในตอนหนึ่งว่า เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการยุวชนประชาธิปไตยนั้น เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยที่จะร่วมกันพัฒนาประเทศไทยและเสริมสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวมาโดยตลอดว่า การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนโดยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังนั้น รัฐบาลกําลังเดินหน้าดูแลประชาชนคนไทยทั้งประเทศให้ได้ประโยชน์ของการพัฒนาอย่างแท้จริง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย อย่างไรก็ตามรัฐบาลพร้อมที่จะขับเคลื่อนเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา ที่ดินทํากินของประชาชน และเศรษฐกิจฐานราก เพื่อจะดูแลและนําไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ให้มีความมั่นคงมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมขอให้นําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ได้มีพระราชดํารัสพระราชทานแก่บุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ความในตอนหนึ่งว่า “ขอให้ทุกคนมีความสําเร็จ ตัวของเศรษฐกิจพอเพียงต้องทําให้พอเพียง ถ้าเกิดพอเพียงประเทศก็จะไปได้ และขอให้ทุกคนประสบความสําเร็จพอเพียง เพื่อให้บ้านเมืองไปพบความสําเร็จที่แท้จริง” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงได้มองเห็นปัญหาของราษฎรมายาวนานกว่า 40 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งตนได้มีโอกาสฟังคําที่พระองค์ท่านได้พระราชดํารัสในวันนั้น ต้องย้อนมองกลับมาคิดว่า แล้วที่เราทําอยู่วันนี้แท้จริงแล้วหรือยัง ซึ่งการพัฒนาวันนี้ยังไม่ทั่วถึงทุกภูมิภาคของประเทศ อีกทั้ง รัฐบาลนั้นให้ความสําคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ โดยเศรษฐกิจไทยจะเฟื่องฟูขึ้น และเป็นปีแห่งการขจัดความยากจนผลักดันเม็ดเงินลงฐานราก กระจายรายได้ลงชุมชนอีกด้วย พร้อมกันนี้ ขอให้ยุวชนประชาธิปไตยทุกคนช่วยกันน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ 9 ใช้ในการดําเนินชีวิต ดํารงตนให้เป็นคนดี ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม สุจริต มีวินัย และร่วมการสร้างสามัคคีปรองดองกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศ ให้มีความเจริญก้าวหน้า ซึ่งรัฐบาลก็ได้นําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนประเทศและได้นํามาเป็นแนวทางในการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้ง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 เพื่อมุ่งเน้นที่จะน้อมนําไปสู่การปฏิบัติ การพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ในทุกระดับ ด้วยการสร้างกลไกการขับเคลื่อนประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป พร้อมกันนี้ ขอให้เยาวชนทุกคนออมเพื่อมีเงินเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ออมแบบมีเป้าหมาย และออมระยะยาว โดยการออมเป็นเรื่องสําคัญที่เราต้องใส่ใจและปลูกฝังเยาวชนไทยในวันนี้ เพื่อการวางแผนทางการเงิน ซึ่งจะนําไปสู่ความมั่นคงในการลงทุนการสร้างอาชีพรายได้ ซึ่งทุกอาชีพสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเอง โดยการการปลูกฝังนิสัยการออมและการใช้เงินอย่างรู้คุณค่าตั้งแต่วัยเด็ก จะช่วยให้เยาวชนสามารถกําหนดพฤติกรรมทางการเงินของตนเองได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะถูกพัฒนาไปสู่การบริหารการเงินอย่างมีวินัยในระยะยาว .................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. กอบศักดิ์ฯ ขอให้ยุวชนประชาธิปไตยช่วยกันพัฒนาประเทศไทยและเสริมสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริง วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561 รมต. นร. กอบศักดิ์ฯ ขอให้ยุวชนประชาธิปไตยช่วยกันพัฒนาประเทศไทยและเสริมสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริง รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีให้การต้อนรับคณะยุวชนประชาธิปไตยที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นพลเมืองของเยาวชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ยั่งยืน วันนี้ (29 มี.ค. 61) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนให้การต้อนรับคณะยุวชนประชาธิปไตยและเจ้าหน้าที่ของสํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จํานวน 160 คน ที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นพลเมืองของเยาวชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ยั่งยืน กิจกรรมยุวชนประชาธิปไตย ประจําปี 2561 โดยมี นายประกิจ ธนาเลิศสมบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้กล่าวรายงานว่า สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กําหนดจัดโครงการส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นพลเมืองของเยาวชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่อพัฒนาประชาธิปไตยให้ยั่งยืน กิจกรรมยุวชนประชาธิปไตย ประจําปีงบประมาณ 2561 สําหรับนักเรียน/นักศึกษา ที่เป็นเยาวชน ชาย-หญิง อายุระหว่าง 15 - 20 ปี ที่กําลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสายสามัญ และสายอาชีพ รวมทั้งระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่า จํานวน 2 รุ่นๆ ละ 160 คน รวมทั้งสิ้น 320 คน รุ่นที่ 1 วันที่ 14 - 23 มีนาคม 2561 และรุ่นที่ 2 วันที่ 28 มีนาคม - 6 เมษายน 2561 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และด้านกระบวนการทางนิติบัญญัติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยสํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเยาวชนทั่วทุกภูมิภาคอย่างเท่าเทียม การจัดกิจกรรมยุวชนประชาธิปไตย เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่หลากหลายของโครงการฯ ซึ่งให้ความสําคัญในเรื่องขององค์ความรู้ด้านการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมจะมีโอกาสได้ศึกษาดูงานในสถานที่สําคัญ ๆ ซึ่งเป็นกลไกในการขับเคลื่อนกระบวนการทางการเมืองการปกครองไทย เช่น ศาล และองค์กรอิสระ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การสหประชาชาติ และสถานที่ที่น้อมนําศาสตร์พระราชามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง เป็นต้น เพื่อได้ศึกษาทั้งด้านองค์ความรู้ และประสบการณ์แล้ว เยาวชนจะสามารถนํามาบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาในกรณีศึกษาที่กําหนด ซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งในเรื่องบทบาทสมมติ สถานการณ์จําลอง เวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การระดมสมองในกลุ่มย่อย ฯลฯ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงให้เห็นถึงการใช้องค์ความรู้ และทักษะในเชิงบูรณาการได้อย่างชัดเจน ผลงานที่เยาวชนได้สร้างขึ้นขณะเข้าร่วมกิจกรรม แสดงถึงศักยภาพของการเข้ามามีส่วนร่วมของเยาวชน ในกิจกรรมของสถาบันนิติบัญญัติ ซึ่งสามารถนําไปขยายผลในรูปแบบอื่น ทั้งการเผยแพร่ความรู้ การนําทักษะ และประสบการณ์ไปสานต่อให้เกิดประโยชน์ต่อเยาวชน และเป็นการสร้างเครือข่ายเยาวชนของสถาบันนิติบัญญัติเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “การปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และโครงการประชารัฐ” แก่เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ในตอนหนึ่งว่า เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการยุวชนประชาธิปไตยนั้น เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยที่จะร่วมกันพัฒนาประเทศไทยและเสริมสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวมาโดยตลอดว่า การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนโดยที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังนั้น รัฐบาลกําลังเดินหน้าดูแลประชาชนคนไทยทั้งประเทศให้ได้ประโยชน์ของการพัฒนาอย่างแท้จริง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย อย่างไรก็ตามรัฐบาลพร้อมที่จะขับเคลื่อนเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ํา ที่ดินทํากินของประชาชน และเศรษฐกิจฐานราก เพื่อจะดูแลและนําไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ให้มีความมั่นคงมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมขอให้นําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ได้มีพระราชดํารัสพระราชทานแก่บุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ความในตอนหนึ่งว่า “ขอให้ทุกคนมีความสําเร็จ ตัวของเศรษฐกิจพอเพียงต้องทําให้พอเพียง ถ้าเกิดพอเพียงประเทศก็จะไปได้ และขอให้ทุกคนประสบความสําเร็จพอเพียง เพื่อให้บ้านเมืองไปพบความสําเร็จที่แท้จริง” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงได้มองเห็นปัญหาของราษฎรมายาวนานกว่า 40 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งตนได้มีโอกาสฟังคําที่พระองค์ท่านได้พระราชดํารัสในวันนั้น ต้องย้อนมองกลับมาคิดว่า แล้วที่เราทําอยู่วันนี้แท้จริงแล้วหรือยัง ซึ่งการพัฒนาวันนี้ยังไม่ทั่วถึงทุกภูมิภาคของประเทศ อีกทั้ง รัฐบาลนั้นให้ความสําคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ โดยเศรษฐกิจไทยจะเฟื่องฟูขึ้น และเป็นปีแห่งการขจัดความยากจนผลักดันเม็ดเงินลงฐานราก กระจายรายได้ลงชุมชนอีกด้วย พร้อมกันนี้ ขอให้ยุวชนประชาธิปไตยทุกคนช่วยกันน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ 9 ใช้ในการดําเนินชีวิต ดํารงตนให้เป็นคนดี ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม สุจริต มีวินัย และร่วมการสร้างสามัคคีปรองดองกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศ ให้มีความเจริญก้าวหน้า ซึ่งรัฐบาลก็ได้นําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนประเทศและได้นํามาเป็นแนวทางในการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้ง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 เพื่อมุ่งเน้นที่จะน้อมนําไปสู่การปฏิบัติ การพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม ในทุกระดับ ด้วยการสร้างกลไกการขับเคลื่อนประเทศไทยให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป พร้อมกันนี้ ขอให้เยาวชนทุกคนออมเพื่อมีเงินเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ออมแบบมีเป้าหมาย และออมระยะยาว โดยการออมเป็นเรื่องสําคัญที่เราต้องใส่ใจและปลูกฝังเยาวชนไทยในวันนี้ เพื่อการวางแผนทางการเงิน ซึ่งจะนําไปสู่ความมั่นคงในการลงทุนการสร้างอาชีพรายได้ ซึ่งทุกอาชีพสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเอง โดยการการปลูกฝังนิสัยการออมและการใช้เงินอย่างรู้คุณค่าตั้งแต่วัยเด็ก จะช่วยให้เยาวชนสามารถกําหนดพฤติกรรมทางการเงินของตนเองได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะถูกพัฒนาไปสู่การบริหารการเงินอย่างมีวินัยในระยะยาว .................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11174
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบเพิ่มค่ารักษาพยาบาล - ค่าทำศพให้แก่ลูกจ้าง
วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ครม.เห็นชอบเพิ่มค่ารักษาพยาบาล - ค่าทําศพให้แก่ลูกจ้าง วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ครม. เห็นชอบกําหนดให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่ลูกจ้างที่เจ็บป่วยเท่าที่จ่ายจริงจนสิ้นสุดการรักษา เมื่อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของรัฐ เพิ่มเติมจากเดิมที่กําหนดวงเงินเพียงไม่เกิน 2 ล้านบาท และเพิ่มค่าใช้จ่ายการรักษาและผ่าตัดฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางาน เท่าที่จ่ายจริงอีกไม่เกิน 140,000 บาท รวมทั้ง กําหนดอัตราค่าทําศพรายละ 40,000 บาท ซึ่งจะช่วยสร้างหลักประกันให้กับลูกจ้างว่าจะได้รับความคุ้มครองดูแลให้ดียิ่งขึ้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบเพิ่มค่ารักษาพยาบาล - ค่าทำศพให้แก่ลูกจ้าง วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ครม.เห็นชอบเพิ่มค่ารักษาพยาบาล - ค่าทําศพให้แก่ลูกจ้าง วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ครม. เห็นชอบกําหนดให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลแก่ลูกจ้างที่เจ็บป่วยเท่าที่จ่ายจริงจนสิ้นสุดการรักษา เมื่อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของรัฐ เพิ่มเติมจากเดิมที่กําหนดวงเงินเพียงไม่เกิน 2 ล้านบาท และเพิ่มค่าใช้จ่ายการรักษาและผ่าตัดฟื้นฟูสมรรถภาพในการทํางาน เท่าที่จ่ายจริงอีกไม่เกิน 140,000 บาท รวมทั้ง กําหนดอัตราค่าทําศพรายละ 40,000 บาท ซึ่งจะช่วยสร้างหลักประกันให้กับลูกจ้างว่าจะได้รับความคุ้มครองดูแลให้ดียิ่งขึ้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26539
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-127,000 ล้านบาท สรุปยอดจองสิทธิ สินเชื่อโครงการบ้านล้านหลัง ประกาศให้ 59,000 ล้านบาทแรกยื่นคำขอกู้ 2 ม.ค. 62
วันอังคารที่ 25 ธันวาคม 2561 127,000 ล้านบาท สรุปยอดจองสิทธิ สินเชื่อโครงการบ้านล้านหลัง ประกาศให้ 59,000 ล้านบาทแรกยื่นคําขอกู้ 2 ม.ค. 62 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยยอดจองสิทธิสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลัง รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งเปิดให้จองสิทธิวันเดียวเพร้อมกันทั่วประเทศวานนี้อยู่ที่ 127,000 ล้านบาท สูงกว่ากรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยยอดจองสิทธิสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลัง รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งเปิดให้จองสิทธิวันเดียวเพร้อมกันทั่วประเทศวานนี้อยู่ที่ 127,000 ล้านบาท สูงกว่ากรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดจองสิทธิสินเชื่อสําหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน จํานวน 113,000 ล้านบาท และยอดจองสิทธิสินเชื่อสําหรับผู้มีรายได้เกิน 25,000 บาท/เดือน จํานวน 14,000 ล้านบาท ผู้จองสิทธิเตรียมตรวจสอบวันให้ยื่นกู้ได้ที่ www.ghbank.co.th ตั้งแต่ วันที่ 25 ธันวาคม 2561 กลุ่ม 59,000 ล้านบาทแรก กําหนดให้ยื่นคําขอกู้กับธนาคารได้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวถึงผลสรุปการเปิดจองสิทธิสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลัง รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารกําหนดจัดขึ้นวันเดียวพร้อมกันทุกสาขาทั่วประเทศเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2561 ว่า หลังจากธนาคารเริ่มเปิดให้ลูกค้าประชาชนจองสิทธิสินเชื่อให้แก่ลูกค้าคนแรกตั้งแต่เวลา 08.30 น. จนกระทั่งลูกค้าที่ได้รับบัตรคิวคนสุดท้ายเมื่อเวลา 18.00 น. ได้รับการจองสิทธิในเวลาประมาณ 21.30 น. พบว่า ยอดจองสิทธิสินเชื่อทั่วประเทศรวมกันที่ 127,000 ล้านบาท สูงกว่ากรอบวงเงินสินเชื่อสําหรับลูกค้ารายย่อยของโครงการซึ่งกําหนดไว้ที่ 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดจองสิทธิสินเชื่อสําหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี นาน 5 ปีแรก จํานวน 113,000 ล้านบาท และยอดจองสิทธิสินเชื่อสําหรับผู้มีรายได้เกิน 25,000 บาท/เดือน อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี นาน 3 ปีแรก จํานวน 14,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังแบ่งเป็นเป็นการจองสิทธิเพื่อซื้อทรัพย์ในเว็บไซต์ www.ghbmillionhome.com จํานวนกว่า 6,000 รายการ ซึ่งทั้งหมดเป็นที่อยู่อาศัยที่มีราคาซื้อ-ขายไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่พร้อมให้ผู้ซื้อเข้าอยู่อาศัยได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 ทั้งนี้ ผู้จองสิทธิสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลังสามารถนํา SMS ที่ได้รับจากธนาคาร ซึ่งระบุรหัสการจองสิทธิ ไปตรวจสอบวันที่ธนาคารกําหนดให้ยื่นกู้ได้ที่ www.ghbank.co.th ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป โดยธนาคารกําหนดให้ผู้ที่จองสิทธิสินเชื่อในกลุ่ม 59,000 ล้านบาทแรก ยื่นคําขอกู้กับธนาคารได้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 -29 มีนาคม 2562 และผู้จองสิทธิส่วนที่เหลือกําหนดให้ยื่นคําขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 – 28 มิถุนายน 2562 ทั้งนี้ เมื่อถึงลําดับของตนเองแล้วต้องติดต่อยื่นคําขอกู้กับธนาคารภายในระยะเวลาที่กําหนดดังกล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-127,000 ล้านบาท สรุปยอดจองสิทธิ สินเชื่อโครงการบ้านล้านหลัง ประกาศให้ 59,000 ล้านบาทแรกยื่นคำขอกู้ 2 ม.ค. 62 วันอังคารที่ 25 ธันวาคม 2561 127,000 ล้านบาท สรุปยอดจองสิทธิ สินเชื่อโครงการบ้านล้านหลัง ประกาศให้ 59,000 ล้านบาทแรกยื่นคําขอกู้ 2 ม.ค. 62 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยยอดจองสิทธิสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลัง รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งเปิดให้จองสิทธิวันเดียวเพร้อมกันทั่วประเทศวานนี้อยู่ที่ 127,000 ล้านบาท สูงกว่ากรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เผยยอดจองสิทธิสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลัง รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งเปิดให้จองสิทธิวันเดียวเพร้อมกันทั่วประเทศวานนี้อยู่ที่ 127,000 ล้านบาท สูงกว่ากรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดจองสิทธิสินเชื่อสําหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน จํานวน 113,000 ล้านบาท และยอดจองสิทธิสินเชื่อสําหรับผู้มีรายได้เกิน 25,000 บาท/เดือน จํานวน 14,000 ล้านบาท ผู้จองสิทธิเตรียมตรวจสอบวันให้ยื่นกู้ได้ที่ www.ghbank.co.th ตั้งแต่ วันที่ 25 ธันวาคม 2561 กลุ่ม 59,000 ล้านบาทแรก กําหนดให้ยื่นคําขอกู้กับธนาคารได้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวถึงผลสรุปการเปิดจองสิทธิสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลัง รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ภายใต้กรอบวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารกําหนดจัดขึ้นวันเดียวพร้อมกันทุกสาขาทั่วประเทศเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2561 ว่า หลังจากธนาคารเริ่มเปิดให้ลูกค้าประชาชนจองสิทธิสินเชื่อให้แก่ลูกค้าคนแรกตั้งแต่เวลา 08.30 น. จนกระทั่งลูกค้าที่ได้รับบัตรคิวคนสุดท้ายเมื่อเวลา 18.00 น. ได้รับการจองสิทธิในเวลาประมาณ 21.30 น. พบว่า ยอดจองสิทธิสินเชื่อทั่วประเทศรวมกันที่ 127,000 ล้านบาท สูงกว่ากรอบวงเงินสินเชื่อสําหรับลูกค้ารายย่อยของโครงการซึ่งกําหนดไว้ที่ 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดจองสิทธิสินเชื่อสําหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี นาน 5 ปีแรก จํานวน 113,000 ล้านบาท และยอดจองสิทธิสินเชื่อสําหรับผู้มีรายได้เกิน 25,000 บาท/เดือน อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี นาน 3 ปีแรก จํานวน 14,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังแบ่งเป็นเป็นการจองสิทธิเพื่อซื้อทรัพย์ในเว็บไซต์ www.ghbmillionhome.com จํานวนกว่า 6,000 รายการ ซึ่งทั้งหมดเป็นที่อยู่อาศัยที่มีราคาซื้อ-ขายไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่พร้อมให้ผู้ซื้อเข้าอยู่อาศัยได้ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 ทั้งนี้ ผู้จองสิทธิสินเชื่อโครงการบ้านล้านหลังสามารถนํา SMS ที่ได้รับจากธนาคาร ซึ่งระบุรหัสการจองสิทธิ ไปตรวจสอบวันที่ธนาคารกําหนดให้ยื่นกู้ได้ที่ www.ghbank.co.th ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป โดยธนาคารกําหนดให้ผู้ที่จองสิทธิสินเชื่อในกลุ่ม 59,000 ล้านบาทแรก ยื่นคําขอกู้กับธนาคารได้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2562 -29 มีนาคม 2562 และผู้จองสิทธิส่วนที่เหลือกําหนดให้ยื่นคําขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 – 28 มิถุนายน 2562 ทั้งนี้ เมื่อถึงลําดับของตนเองแล้วต้องติดต่อยื่นคําขอกู้กับธนาคารภายในระยะเวลาที่กําหนดดังกล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17742
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย – ลาว ครั้งที่ 3
วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561 นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย – ลาว ครั้งที่ 3 นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย – ลาว ครั้งที่ 3 วันนี้ (12 ธ.ค. 61) พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกําหนดการเข้าประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat: JCR) ไทย – ลาว ครั้งที่ 3 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ 13-14 ธันวาคม 2561 โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เข้าร่วมการประชุมฯอาทิ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน การประชุม JCR ไทย-ลาว เป็นกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสองฝ่าย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้นําร่วมกันกําหนดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศและแสวงหาแนวทางความร่วมมือในการรับมือกับความท้าทายในอนุภูมิภาค/ ภูมิภาคร่วมกัน โดยประเด็นสําคัญที่นายกรัฐมนตรีจะหยิบยกในการประชุมฯ ได้แก่ ย้ําการยกระดับความสัมพันธ์เป็น “หุ้นส่วนเพื่อความเจริญและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” เน้นการร่วมส่งเสริมพลวัตการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสองประเทศ การเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ ประกอบด้วย 3 เสาความร่วมมือ ได้แก่ 1. ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ไม่ให้ผู้ไม่หวังดีใช้ไทยและลาวเป็นฐานบ่อนทําลายความสงบเรียบร้อยของอีกประเทศ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และการยกระดับจุดผ่านแดนระหว่างสองฝ่ายให้เท่าเทียมกัน 2. ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เสริมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันผ่านการเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อตามแผนแม่บท ACMECS ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันเพื่อรับมือความท้าทายในภูมิภาค เสริมสร้างความเชื่อมโยงทางกายภาพ (ถนน/ สะพาน) ควบคู่กับความเชื่อมโยงทางกฎระเบียบ สนับสนุนนักลงทุนไทยไปลงทุนในลาว โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าเป็น 2 เท่า (11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2564 3. ความร่วมมือด้านสังคมและการพัฒนา สนับสนุนให้ลาวหลุดพ้นจากการเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ให้ลาวใช้ประโยชน์จากโครงการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลาวมากขึ้น จัดทําแผนแม่บทการพัฒนาการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวข้ามแดนไทย – ลาว ยืนยันการดูแลแรงงานลาวอย่างเต็มที่ตามกฎหมายไทย โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีจะได้พบหารือกับนายบุนยัง วอละจิด ประธานประเทศของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยจะได้หารือเกี่ยวกับการฉลองครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ไทย – ลาว ในปี 2563 การส่งเสริมความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อไทย – ลาว (เปลี่ยนลาวจาก Land-locked เป็น Land-linked) และการร่วมจัดทําแผนแม่บทการพัฒนาการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวข้ามแดนไทย – ลาว (ไม่ให้เขตแดนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา กําหนดการที่สําคัญของนายกรัฐมนตรีมีดังนี้ วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2561 16.25 น. - นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยคณะ เดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี จังหวัด อุดรธานี โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศ ไปยังนครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะเข้าเยี่ยมคารวะนายบุนยัง วอละจิด (H.E. Mr. Bounnhang Vorachit) ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยในช่วงค่ํานายทองลุน สีสุลิด (H.E. Mr. Thongloun Sisoulith) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนลาว และภริยา เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารค่ํา เพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยคณะ วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561 09.00 น. - การหารือทวิภาคีกลุ่มเล็กระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 09.45 น. - การประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat - JCR) ไทย - ลาว ครั้งที่ 3 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว - พิธีมอบความช่วยเหลือเหตุอุทกภัยในแขวงอัตตะปือเพิ่มเติมในระยะฟื้นฟู - พิธีมอบโครงการพัฒนาวิทยาลัยพลศึกษานครหลวงเวียงจันทน์ 11.00 น. - นายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแถลงข่าวร่วม 11.45 น. - นายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมด้วยคณะ รัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวรับฟังการบรรยายสรุปและเยี่ยมชมห้องแสดงผลงานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าครบรอบ 50 ปี 15.00 น. - นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยคณะ เดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติวัดไต กลับประเทศไทย โดยจะเดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) เวลา 16.05 น.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย – ลาว ครั้งที่ 3 วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561 นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย – ลาว ครั้งที่ 3 นายกรัฐมนตรีมีกําหนดการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย – ลาว ครั้งที่ 3 วันนี้ (12 ธ.ค. 61) พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกําหนดการเข้าประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat: JCR) ไทย – ลาว ครั้งที่ 3 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ 13-14 ธันวาคม 2561 โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เข้าร่วมการประชุมฯอาทิ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน การประชุม JCR ไทย-ลาว เป็นกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสองฝ่าย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้นําร่วมกันกําหนดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศและแสวงหาแนวทางความร่วมมือในการรับมือกับความท้าทายในอนุภูมิภาค/ ภูมิภาคร่วมกัน โดยประเด็นสําคัญที่นายกรัฐมนตรีจะหยิบยกในการประชุมฯ ได้แก่ ย้ําการยกระดับความสัมพันธ์เป็น “หุ้นส่วนเพื่อความเจริญและการพัฒนาอย่างยั่งยืน” เน้นการร่วมส่งเสริมพลวัตการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสองประเทศ การเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ ประกอบด้วย 3 เสาความร่วมมือ ได้แก่ 1. ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ไม่ให้ผู้ไม่หวังดีใช้ไทยและลาวเป็นฐานบ่อนทําลายความสงบเรียบร้อยของอีกประเทศ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และการยกระดับจุดผ่านแดนระหว่างสองฝ่ายให้เท่าเทียมกัน 2. ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เสริมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันผ่านการเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อตามแผนแม่บท ACMECS ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันเพื่อรับมือความท้าทายในภูมิภาค เสริมสร้างความเชื่อมโยงทางกายภาพ (ถนน/ สะพาน) ควบคู่กับความเชื่อมโยงทางกฎระเบียบ สนับสนุนนักลงทุนไทยไปลงทุนในลาว โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าเป็น 2 เท่า (11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2564 3. ความร่วมมือด้านสังคมและการพัฒนา สนับสนุนให้ลาวหลุดพ้นจากการเป็นประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ให้ลาวใช้ประโยชน์จากโครงการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลาวมากขึ้น จัดทําแผนแม่บทการพัฒนาการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวข้ามแดนไทย – ลาว ยืนยันการดูแลแรงงานลาวอย่างเต็มที่ตามกฎหมายไทย โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีจะได้พบหารือกับนายบุนยัง วอละจิด ประธานประเทศของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยจะได้หารือเกี่ยวกับการฉลองครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ไทย – ลาว ในปี 2563 การส่งเสริมความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อไทย – ลาว (เปลี่ยนลาวจาก Land-locked เป็น Land-linked) และการร่วมจัดทําแผนแม่บทการพัฒนาการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวข้ามแดนไทย – ลาว (ไม่ให้เขตแดนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา กําหนดการที่สําคัญของนายกรัฐมนตรีมีดังนี้ วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2561 16.25 น. - นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยคณะ เดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี จังหวัด อุดรธานี โดยเครื่องบินของกองทัพอากาศ ไปยังนครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะเข้าเยี่ยมคารวะนายบุนยัง วอละจิด (H.E. Mr. Bounnhang Vorachit) ประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยในช่วงค่ํานายทองลุน สีสุลิด (H.E. Mr. Thongloun Sisoulith) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนลาว และภริยา เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารค่ํา เพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยคณะ วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561 09.00 น. - การหารือทวิภาคีกลุ่มเล็กระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 09.45 น. - การประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat - JCR) ไทย - ลาว ครั้งที่ 3 ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว - พิธีมอบความช่วยเหลือเหตุอุทกภัยในแขวงอัตตะปือเพิ่มเติมในระยะฟื้นฟู - พิธีมอบโครงการพัฒนาวิทยาลัยพลศึกษานครหลวงเวียงจันทน์ 11.00 น. - นายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแถลงข่าวร่วม 11.45 น. - นายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมด้วยคณะ รัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวรับฟังการบรรยายสรุปและเยี่ยมชมห้องแสดงผลงานความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าครบรอบ 50 ปี 15.00 น. - นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมด้วยคณะ เดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติวัดไต กลับประเทศไทย โดยจะเดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) เวลา 16.05 น.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17439
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล จังหวัดเชียงใหม่
วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดอาคารมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล จังหวัดเชียงใหม่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินเปิดอาคารสํานักงานมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล เช้าวันนี้ (26 มกราคม 2561) เวลา 08.30 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินเปิดอาคารสํานักงานมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล อําเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ศาสตราจารย์ คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตรยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหาร ข้าราชการ ประชาชนเฝ้ารับเสด็จฯ ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แนวทางแก้ไขปัญหาความแออัดของปริมาณผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นของโรงพยาบาลแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ โดยพระราชทานเงินให้ก่อสร้างอาคารผู้ป่วยขนาด 60 เตียง จํานวน 2 อาคาร พระราชทานชื่อโรงพยาบาลแม่แจ่มแห่งใหม่ว่า โรงพยาบาลเทพรัตนเวชชานุกูล เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล เพื่อสนับสนุนการดําเนินการของโรงพยาบาลเทพรัตนเวชชานุกูล เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา และโรงพยาบาลวัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ และพระราชทานเงิน 10,000,000 บาท เพื่อดูแลผู้ป่วยที่ยากไร้ ในการดําเนินงานประกอบด้วย 5 หลักการ ได้แก่ บริหารแบบธรรมาภิบาล น้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ความร่มรื่นและรื่นรมย์ของโรงพยาบาล โรงพยาบาลคุณภาพ HA และโรงพยาบาลคุณธรรม ผลการดําเนินงานที่สําคัญของมูลนิธิฯ ในปี 2558-2560 หลายโครงการ อาทิ นําน้ําเสียมาใช้หมุนเวียนเพื่อการเกษตรในโรงพยาบาลฯ ปรับปรุงอาคารที่พักของเจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์อาสามูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ก่อสร้างอาคารไตเทียมและกายภาพบําบัด บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การปรับภูมิทัศน์ แปลงผักปลอดสารพิษ และนําพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ก่อสร้างอาคารผู้ป่วยในขนาด 30 เตียง รพ.วัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อําเภอกัลยานิวัฒนา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโรงพยาบาลชุมชนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาทั้ง 10 แห่ง อยู่ในพระอุปถัมภ์ของมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ได้แก่ 1.รพ.พนมดงรัก เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ 2.รพ.เบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.ศรีษะเกษ 3.รพ.วังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.หนองบัวลําภู 4.รพ.เขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดระยอง 5.รพ.ห้วยกระเจาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.กาญจนบุรี 6.รพ.พระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นครราชสีมา 7.รพ.ยี่งอเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นราธิวาส 8.รพ.วัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.เชียงใหม่ 9.รพ.เส้าไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สระบุรี และ10.รพ.หาดสําราญเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.ตรัง ทั้งนี้ มูลนิธิฯ มีคณะกรรมการจํานวน 15 คน ต่อมาในปี 2560 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการที่มาจากกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มจํานวน 4 คน ได้แก่ 1.ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร 2.นายแพทย์โสภณ เมฆธน 3.นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ 4.นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโรงพยาบาลที่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล มีฐานะเป็นนิติบุคคล เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2558 กระทรวงการคลังประกาศเป็นองค์การสถานสาธารณกุศล ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2558 และมูลนิธิสามารถออกใบเสร็จรับเงินให้ผู้บริจาคนําไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล จังหวัดเชียงใหม่ วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิดอาคารมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล จังหวัดเชียงใหม่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินเปิดอาคารสํานักงานมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล เช้าวันนี้ (26 มกราคม 2561) เวลา 08.30 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินเปิดอาคารสํานักงานมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล อําเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี ศาสตราจารย์ คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตรยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหาร ข้าราชการ ประชาชนเฝ้ารับเสด็จฯ ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แนวทางแก้ไขปัญหาความแออัดของปริมาณผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้นของโรงพยาบาลแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ โดยพระราชทานเงินให้ก่อสร้างอาคารผู้ป่วยขนาด 60 เตียง จํานวน 2 อาคาร พระราชทานชื่อโรงพยาบาลแม่แจ่มแห่งใหม่ว่า โรงพยาบาลเทพรัตนเวชชานุกูล เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล เพื่อสนับสนุนการดําเนินการของโรงพยาบาลเทพรัตนเวชชานุกูล เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา และโรงพยาบาลวัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ และพระราชทานเงิน 10,000,000 บาท เพื่อดูแลผู้ป่วยที่ยากไร้ ในการดําเนินงานประกอบด้วย 5 หลักการ ได้แก่ บริหารแบบธรรมาภิบาล น้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ความร่มรื่นและรื่นรมย์ของโรงพยาบาล โรงพยาบาลคุณภาพ HA และโรงพยาบาลคุณธรรม ผลการดําเนินงานที่สําคัญของมูลนิธิฯ ในปี 2558-2560 หลายโครงการ อาทิ นําน้ําเสียมาใช้หมุนเวียนเพื่อการเกษตรในโรงพยาบาลฯ ปรับปรุงอาคารที่พักของเจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์อาสามูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ก่อสร้างอาคารไตเทียมและกายภาพบําบัด บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม การปรับภูมิทัศน์ แปลงผักปลอดสารพิษ และนําพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ก่อสร้างอาคารผู้ป่วยในขนาด 30 เตียง รพ.วัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อําเภอกัลยานิวัฒนา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับโรงพยาบาลชุมชนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาทั้ง 10 แห่ง อยู่ในพระอุปถัมภ์ของมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ได้แก่ 1.รพ.พนมดงรัก เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ 2.รพ.เบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.ศรีษะเกษ 3.รพ.วังเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.หนองบัวลําภู 4.รพ.เขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดระยอง 5.รพ.ห้วยกระเจาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.กาญจนบุรี 6.รพ.พระทองคําเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นครราชสีมา 7.รพ.ยี่งอเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.นราธิวาส 8.รพ.วัดจันทร์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.เชียงใหม่ 9.รพ.เส้าไห้เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สระบุรี และ10.รพ.หาดสําราญเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.ตรัง ทั้งนี้ มูลนิธิฯ มีคณะกรรมการจํานวน 15 คน ต่อมาในปี 2560 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการที่มาจากกระทรวงสาธารณสุขเพิ่มจํานวน 4 คน ได้แก่ 1.ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร 2.นายแพทย์โสภณ เมฆธน 3.นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ 4.นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาโรงพยาบาลที่อยู่ในพระอุปถัมภ์ของมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล มีฐานะเป็นนิติบุคคล เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2558 กระทรวงการคลังประกาศเป็นองค์การสถานสาธารณกุศล ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2558 และมูลนิธิสามารถออกใบเสร็จรับเงินให้ผู้บริจาคนําไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9641
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thinking School
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2562 Thinking School นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่การกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนอนุบาลน้องหญิง อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ซึ่งจัดกิจกรรมการเรียนตามแนวคิด High Scope และเป็นโรงเรียนส่งเสริมการคิด (Thinking School) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่การกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนอนุบาลน้องหญิง อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ซึ่งจัดกิจกรรมการเรียนตามแนวคิด High Scope และเป็นโรงเรียนส่งเสริมการคิด (Thinking School) โดยมีนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ นายพะโยม ชิณวงศ์ หัวหน้าคณะทํางาน รมช.ศึกษาธิการ นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ และนายกวินเกียรติ นนธ์พละ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน นายศรีชัย พระประชาธรรม เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนนางธนพรรณ แก้วจันดี ผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนอนุบาลน้องหญิง คณะครู และตัวแทนผู้บริหารโรงเรียจังหวัดอุบลราชธานี ให้การต้อนรับ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขอชื่นชมการจัดการศึกษาของโรงเรียนอนุบาลน้องหญิง และโรงเรียนเอกชนจังหวัดอุบลราชธานี ที่สามารถยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนได้อย่างดีเยี่ยม และมีหลายวิชาที่มีคะแนนค่าเฉลี่ยสูงกว่าระดับประเทศ ถือเป็นคุณค่าที่ให้กับวงการศึกษาไทย ไม่ว่าจะอยู่ในเมือง ในป่าเขา หรือในถิ่นทุรกันดาร การศึกษาเอกชนก็สามารถช่วยรัฐจัดการศึกษา เพื่อสร้างโอกาสและความเท่าเทียมได้ในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะโรงรียนอนุบาลน้องหญิง ซึ่งจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบผสมผสาน "Nongying Model" ตามแนวคิด High Scope เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทําผ่านการเล่นที่หลากหลาย ทั้งยังเป็นโรงเรียนส่งเสริมการคิด Thingking School ที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิด และการเรียนรู้ ให้นักเรียนถึงขีดสุดของศักยภาพการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย การปรับปรุงสภาพแวดล้อม และบรรยากาศของสถานศึกษให้เอื้อต่อการเรียนรู้ นอกจากนี้ ยังเสริมสร้างสติปัญญาด้านคณิตศาสตร์ ด้วยหลักสูตร ORGO จากออสเตรเลีย และคิดเลขเร็วของ Brain Balancing รวมทั้งปูพื้นฐานภาษาอังกฤษด้วย English Program หลักสูตร B.E.S.L (Biltingual Education English for a Second Language) และในส่วนของครูนั้น ได้มีการพัฒนาครูและบุคลการทางศึกษาให้มีประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ อย่างรอบด้าน "ที่ผ่านมา มีความพยายามทํางานอย่างเต็มที่ เพื่อนําทุกความเห็นและทุกปัญหาที่ชาวโรงเรียนเอกชนได้สะท้อน ไปสู่การแก้ไขปรับปรุงประสิทธิภาพการทํางานที่ดีขึ้น ซึ่งล่าสุดได้มีการขยายเพดานค่ารักษาพยาบาลครูเอกชน เป็นคนละ 1.5 แสนบาทต่อปี และยังจัดงบประมาณเหลือจ่ายสําหรับอบรมครูเอกชน 4 ภูมิภาค ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2562 นี้ ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่เป็นข้อเรียกร้องมานาน และเชื่อมั่นว่า เมื่อครูได้พัฒนาตนเองให้มีความรู้ที่ทันสมัย มีความรู้ลึกรู้จริง ก็จะสามารถถ่ายทอดสู่นักเรียนได้อย่างมั่นใจ และเป็นโรงเรียนต้นแบบให้กับโรงเรียนอื่น ๆ ได้ทําตามต่อไป" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว นวรัตน์ รามสูต: สรุป อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thinking School วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2562 Thinking School นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่การกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนอนุบาลน้องหญิง อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ซึ่งจัดกิจกรรมการเรียนตามแนวคิด High Scope และเป็นโรงเรียนส่งเสริมการคิด (Thinking School) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2562 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่การกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนอนุบาลน้องหญิง อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี ซึ่งจัดกิจกรรมการเรียนตามแนวคิด High Scope และเป็นโรงเรียนส่งเสริมการคิด (Thinking School) โดยมีนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ นายพะโยม ชิณวงศ์ หัวหน้าคณะทํางาน รมช.ศึกษาธิการ นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ และนายกวินเกียรติ นนธ์พละ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน นายศรีชัย พระประชาธรรม เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนนางธนพรรณ แก้วจันดี ผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนอนุบาลน้องหญิง คณะครู และตัวแทนผู้บริหารโรงเรียจังหวัดอุบลราชธานี ให้การต้อนรับ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขอชื่นชมการจัดการศึกษาของโรงเรียนอนุบาลน้องหญิง และโรงเรียนเอกชนจังหวัดอุบลราชธานี ที่สามารถยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียนได้อย่างดีเยี่ยม และมีหลายวิชาที่มีคะแนนค่าเฉลี่ยสูงกว่าระดับประเทศ ถือเป็นคุณค่าที่ให้กับวงการศึกษาไทย ไม่ว่าจะอยู่ในเมือง ในป่าเขา หรือในถิ่นทุรกันดาร การศึกษาเอกชนก็สามารถช่วยรัฐจัดการศึกษา เพื่อสร้างโอกาสและความเท่าเทียมได้ในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะโรงรียนอนุบาลน้องหญิง ซึ่งจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบผสมผสาน "Nongying Model" ตามแนวคิด High Scope เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทําผ่านการเล่นที่หลากหลาย ทั้งยังเป็นโรงเรียนส่งเสริมการคิด Thingking School ที่มุ่งพัฒนากระบวนการคิด และการเรียนรู้ ให้นักเรียนถึงขีดสุดของศักยภาพการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย การปรับปรุงสภาพแวดล้อม และบรรยากาศของสถานศึกษให้เอื้อต่อการเรียนรู้ นอกจากนี้ ยังเสริมสร้างสติปัญญาด้านคณิตศาสตร์ ด้วยหลักสูตร ORGO จากออสเตรเลีย และคิดเลขเร็วของ Brain Balancing รวมทั้งปูพื้นฐานภาษาอังกฤษด้วย English Program หลักสูตร B.E.S.L (Biltingual Education English for a Second Language) และในส่วนของครูนั้น ได้มีการพัฒนาครูและบุคลการทางศึกษาให้มีประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ อย่างรอบด้าน "ที่ผ่านมา มีความพยายามทํางานอย่างเต็มที่ เพื่อนําทุกความเห็นและทุกปัญหาที่ชาวโรงเรียนเอกชนได้สะท้อน ไปสู่การแก้ไขปรับปรุงประสิทธิภาพการทํางานที่ดีขึ้น ซึ่งล่าสุดได้มีการขยายเพดานค่ารักษาพยาบาลครูเอกชน เป็นคนละ 1.5 แสนบาทต่อปี และยังจัดงบประมาณเหลือจ่ายสําหรับอบรมครูเอกชน 4 ภูมิภาค ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2562 นี้ ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่เป็นข้อเรียกร้องมานาน และเชื่อมั่นว่า เมื่อครูได้พัฒนาตนเองให้มีความรู้ที่ทันสมัย มีความรู้ลึกรู้จริง ก็จะสามารถถ่ายทอดสู่นักเรียนได้อย่างมั่นใจ และเป็นโรงเรียนต้นแบบให้กับโรงเรียนอื่น ๆ ได้ทําตามต่อไป" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว นวรัตน์ รามสูต: สรุป อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23535
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program)
วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560 โครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อยกระดับมาตรฐานโครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program) วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560 โครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อยกระดับมาตรฐานโครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3618
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตปากีสถานประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560 เอกอัครราชทูตปากีสถานประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตปากีสถานประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (5 มิ.ย. 60) เวลา 10.00 น. นายโซเฮล คาน (Mr. Sohail Khan) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล เพื่ออําลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินที่ได้พบกับเอกอัครราชทูตปากีสถานในวันนี้ พร้อมแสดงความขอบคุณที่เอกอัครราชทูตปากีสถานได้ทํางานเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับปากีสถานให้แนบแน่นยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ดํารงตําแหน่ง และกล่าวยินดีที่เอกอัครราชทูตปากีสถานจะเข้ารับตําแหน่งใหม่ในฐานะเอกอัครราชทูตปากีสถานประจําสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ซึ่งเอกอัครราชทูตปากีสถานได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนความร่วมมือระหว่างสองประเทศตลอดมา ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างไทย – ปากีสถาน มีความก้าวหน้าและใกล้ชิดเพิ่มขึ้น เห็นได้จากการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันอย่างสม่ําเสมอ รวมทั้งยินดีที่ทราบความคืบหน้าการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทหารไทย – ปากีสถาน ที่หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะลงนามได้ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความร่วมมือด้านการทหารมากยิ่งขึ้น ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ทราบว่าการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกัน ครั้งที่ 7 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นไปด้วยดี โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถเจรจาความตกลง FTA ให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้และสามารถบังคับใช้ในปีถัดไป เพื่อเป็นกลไกสําหรับการส่งเสริมการค้าระหว่างสองประเทศ ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่จะต้อนรับเอกอัครราชทูตปากีสถานคนใหม่ และขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลไทยจะสนับสนุนการทํางานและให้ความร่วมมือแก่เอกอัครราชทูตปากีสถานคนใหม่อย่างเต็มที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตปากีสถานประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560 เอกอัครราชทูตปากีสถานประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตปากีสถานประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (5 มิ.ย. 60) เวลา 10.00 น. นายโซเฮล คาน (Mr. Sohail Khan) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล เพื่ออําลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินที่ได้พบกับเอกอัครราชทูตปากีสถานในวันนี้ พร้อมแสดงความขอบคุณที่เอกอัครราชทูตปากีสถานได้ทํางานเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับปากีสถานให้แนบแน่นยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ดํารงตําแหน่ง และกล่าวยินดีที่เอกอัครราชทูตปากีสถานจะเข้ารับตําแหน่งใหม่ในฐานะเอกอัครราชทูตปากีสถานประจําสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ซึ่งเอกอัครราชทูตปากีสถานได้กล่าวขอบคุณรัฐบาลไทยที่สนับสนุนความร่วมมือระหว่างสองประเทศตลอดมา ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างไทย – ปากีสถาน มีความก้าวหน้าและใกล้ชิดเพิ่มขึ้น เห็นได้จากการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันอย่างสม่ําเสมอ รวมทั้งยินดีที่ทราบความคืบหน้าการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทหารไทย – ปากีสถาน ที่หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะลงนามได้ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความร่วมมือด้านการทหารมากยิ่งขึ้น ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ทราบว่าการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกัน ครั้งที่ 7 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นไปด้วยดี โดยหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถเจรจาความตกลง FTA ให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้และสามารถบังคับใช้ในปีถัดไป เพื่อเป็นกลไกสําหรับการส่งเสริมการค้าระหว่างสองประเทศ ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่จะต้อนรับเอกอัครราชทูตปากีสถานคนใหม่ และขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลไทยจะสนับสนุนการทํางานและให้ความร่วมมือแก่เอกอัครราชทูตปากีสถานคนใหม่อย่างเต็มที่
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4269
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. หารือแนวทางการบริหารงาน การจ้างงาน 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก แก้ปัญหาความยากจน
วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2563 อว. หารือแนวทางการบริหารงาน การจ้างงาน 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก แก้ปัญหาความยากจน อว. หารือแนวทางการบริหารงาน การจ้างงาน 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก แก้ปัญหาความยากจน วันที่ 23 มิถุนายน 2563 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประชุมหารือแนวทางการบริหารงาน โครงการตามนโยบายการจ้างงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย โดย นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ร่วมกับ คณะผู้บริหาร และมหาวิทยาลัยในสังกัดกระทรวง อว. ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคารอุดมศึกษา 1 ถนนศรีอยุธยา (สกอ.) นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการ รมว.อว. กล่าวว่า โครงการตามนโยบายการจ้างงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย โดยระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัย ระดับภูมิภาค ไปจนถึงระดับชาติ มีการจ้างงานไม่ต่ํากว่า 3 แสนราย จ้างบัณฑิตอย่างน้อย 50% จ้างนักศึกษาอย่างน้อย 25% และจ้างคนทั่วไปประมาณ 25% โดยการใช้ตําบลเป็นพื้นฐานการลงไปทํางานในพื้นที่ เพื่อพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้กับชุมชนในสังคม ในรอบแรกเริ่มที่ 3,000 ตําบล โดยการแบ่งตําบลออกเป็น 3 กลุ่ม 1)ตําบลที่มุ่งสู่ความยั่งยืน 2)ตําบลที่สร้างความพอเพียง 3)ตําบลที่สามารถยืนได้ด้วยตนเอง โครงการจะดําเนินงานในระยะเวลา 1 ปี มีทั้งการจ้างงาน การสร้างเศรษฐกิจระดับตําบล และการสร้างองค์ความรู้ไปพร้อมกัน อย่างน้อย 4 ทักษะวิชา ดังนี้ 1)เรื่องของ Financial Literacy ทาง อว. ได้เจรจากับทางตลาดหลักทรัพย์แล้ว ซึ่งมีหลักสูตรให้สามารถที่จะเรียนออนไลน์ได้ทันที สําหรับทุกมหาวิทยาลัยที่อยู่ในโครงการดังกล่าว 2)เรื่องของ Digital Literacy โดยทางกลุ่มคณะอาจารย์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) จะเข้ามาช่วยในการจัดการดูแลหลักสูตรให้กับทุกมหาวิทยาลัยที่อยู่ในโครงการ 3)เรื่องของ Language Literacy เรื่องการเรียนรู้ทางด้านภาษา ขึ้นอยู่กับหลักสูตรของทางมหาวิทยาลัยนั้นๆ 4)เรื่องของ Social Literacy แต่ละมหาวิทยาลัยจะใช้ทักษะและวิธีการในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับชุมชน กับสังคม การเข้าถึง การหาข้อมูล หรือระบบการคิดเชิงเหตุและผลต่างๆ “โครงสร้างของโครงการ 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพียงแค่ความร่วมมือกันของมหาวิทยาลัยกับพื้นที่ในชุมชนท้องถิ่น แต่เป็นการร่วมมือกันของทุกภาคส่วน แบบจตุภาคีทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ สังคมรายตําบล ให้มีความครอบคลุมในทุกมิติ ซึ่งสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมพร้อมที่จะลงพื้นที่เข้ามาร่วมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ นี้ด้วย มหาวิทยาลัยทั้งหลายเหล่านี้จะช่วยกันในการพลิกโฉมเศรษฐกิจ สังคมระดับชุมชน อย่างเป็นองค์รวมสม่ําเสมอและต่อเนื่อง ระยะเวลาในการดําเนินงาน 1 ปี ชุมชนหรือมหาวิทยาลัยจะมีศักยภาพที่สามารถดําเนินงานต่อได้ และมีฐานข้อมูลระดับตําบลที่บ่งชี้ถึงปัญหาและเข้าแก้ไขได้อย่างตรงประเด็น” นางสุวรรณีฯ กล่าว เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. หารือแนวทางการบริหารงาน การจ้างงาน 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก แก้ปัญหาความยากจน วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2563 อว. หารือแนวทางการบริหารงาน การจ้างงาน 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก แก้ปัญหาความยากจน อว. หารือแนวทางการบริหารงาน การจ้างงาน 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก แก้ปัญหาความยากจน วันที่ 23 มิถุนายน 2563 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประชุมหารือแนวทางการบริหารงาน โครงการตามนโยบายการจ้างงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย โดย นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ร่วมกับ คณะผู้บริหาร และมหาวิทยาลัยในสังกัดกระทรวง อว. ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคารอุดมศึกษา 1 ถนนศรีอยุธยา (สกอ.) นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการ รมว.อว. กล่าวว่า โครงการตามนโยบายการจ้างงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย โดยระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัย ระดับภูมิภาค ไปจนถึงระดับชาติ มีการจ้างงานไม่ต่ํากว่า 3 แสนราย จ้างบัณฑิตอย่างน้อย 50% จ้างนักศึกษาอย่างน้อย 25% และจ้างคนทั่วไปประมาณ 25% โดยการใช้ตําบลเป็นพื้นฐานการลงไปทํางานในพื้นที่ เพื่อพัฒนาและยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้กับชุมชนในสังคม ในรอบแรกเริ่มที่ 3,000 ตําบล โดยการแบ่งตําบลออกเป็น 3 กลุ่ม 1)ตําบลที่มุ่งสู่ความยั่งยืน 2)ตําบลที่สร้างความพอเพียง 3)ตําบลที่สามารถยืนได้ด้วยตนเอง โครงการจะดําเนินงานในระยะเวลา 1 ปี มีทั้งการจ้างงาน การสร้างเศรษฐกิจระดับตําบล และการสร้างองค์ความรู้ไปพร้อมกัน อย่างน้อย 4 ทักษะวิชา ดังนี้ 1)เรื่องของ Financial Literacy ทาง อว. ได้เจรจากับทางตลาดหลักทรัพย์แล้ว ซึ่งมีหลักสูตรให้สามารถที่จะเรียนออนไลน์ได้ทันที สําหรับทุกมหาวิทยาลัยที่อยู่ในโครงการดังกล่าว 2)เรื่องของ Digital Literacy โดยทางกลุ่มคณะอาจารย์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) จะเข้ามาช่วยในการจัดการดูแลหลักสูตรให้กับทุกมหาวิทยาลัยที่อยู่ในโครงการ 3)เรื่องของ Language Literacy เรื่องการเรียนรู้ทางด้านภาษา ขึ้นอยู่กับหลักสูตรของทางมหาวิทยาลัยนั้นๆ 4)เรื่องของ Social Literacy แต่ละมหาวิทยาลัยจะใช้ทักษะและวิธีการในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับชุมชน กับสังคม การเข้าถึง การหาข้อมูล หรือระบบการคิดเชิงเหตุและผลต่างๆ “โครงสร้างของโครงการ 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพียงแค่ความร่วมมือกันของมหาวิทยาลัยกับพื้นที่ในชุมชนท้องถิ่น แต่เป็นการร่วมมือกันของทุกภาคส่วน แบบจตุภาคีทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ สังคมรายตําบล ให้มีความครอบคลุมในทุกมิติ ซึ่งสภาหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมพร้อมที่จะลงพื้นที่เข้ามาร่วมในการแก้ไขปัญหาต่างๆ นี้ด้วย มหาวิทยาลัยทั้งหลายเหล่านี้จะช่วยกันในการพลิกโฉมเศรษฐกิจ สังคมระดับชุมชน อย่างเป็นองค์รวมสม่ําเสมอและต่อเนื่อง ระยะเวลาในการดําเนินงาน 1 ปี ชุมชนหรือมหาวิทยาลัยจะมีศักยภาพที่สามารถดําเนินงานต่อได้ และมีฐานข้อมูลระดับตําบลที่บ่งชี้ถึงปัญหาและเข้าแก้ไขได้อย่างตรงประเด็น” นางสุวรรณีฯ กล่าว เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33229
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานชี้แจงปัญหา IUU
วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2561 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานชี้แจงปัญหา IUU อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชี้แจงประเด็นปัญหา IUU ตามที่สถานีโทรทัศน์ Voice TV เผยแพร่ข่าว ฮิวแมนไรท์วอทช์ (HRW) เผยแพร่รายงานชื่อ “โซ่ที่ซ่อนไว้: การปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิและแรงงานบังคับในอุตสาหกรรมประมงไทย” วันที่ 24 มกราคม 2561 นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ชี้แจงประเด็นปัญหา IUU ตามที่สถานีโทรทัศน์ Voice TV เผยแพร่ข่าว ฮิวแมนไรท์วอทช์ (HRW) เผยแพร่รายงานชื่อ “โซ่ที่ซ่อนไว้: การปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิและแรงงานบังคับในอุตสาหกรรมประมงไทย” (Hidden Chains: Forced Labor and Rights Abuses in Thailand’s Fishing Industry) สรุปผลความคืบหน้าการแก้ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ และการใช้แรงงานบังคับ ซึ่งถูกนําเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภายุโรป (EU) เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาว่าจะดําเนินมาตรการอย่างไรต่ออุตสาหกรรมประมงไทย โดยระบุว่า มีข้อบกพร่องเกิดขึ้นมากมายในการดําเนินงานตามมาตรการใหม่ของรัฐบาลไทย นั้น กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้ความสําคัญกับประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิแรงงาน การแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ และการใช้แรงงานบังคับ โดยได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ร่วมกับตํารวจ ทหาร กรมประมง กรมการจัดหางาน ศรชล. และ ศปมผ. ในการตรวจแรงงานในเรือประมง ทั้งก่อนทําประมง ขณะทําประมง และหลังทําประมง ตั้งแต่ปี 2558-2560 พบการกระทําผิด 110 ลํา และได้ดําเนินคดีทางอาญากับเรือที่กระทําผิดแล้ว ทั้งนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้กําหนดให้การจ้างงานในกิจการประมงต้องทําเป็นลายลักษณ์อักษร และต้องได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน โดยสัญญาจ้างต้องทําเป็น 2 ชุด ให้ลูกจ้างเก็บไว้ 1 ชุด หากไม่ทําสัญญาจ้าง ลูกเรือจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงเรือประมง ซึ่งเมื่อมีการตรวจแรงงาน พนักงานตรวจแรงงานจะตรวจสอบโดยจะสอบข้อเท็จจริงและตรวจสอบพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารจากทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งหากพบว่านายจ้างปฏิบัติไม่ถูกต้องก็จะมีความผิดตามกฎหมาย โดยมีโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นอกจากนี้ ปัจจุบัน พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เปิดโอกาสให้แรงงานข้ามชาติเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานได้ภายใต้นายจ้างหรือสถานประกอบกิจการประเภทเดียวกัน เพื่อเรียกร้องและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ผ่านสหภาพแรงงานที่ตนเป็นสมาชิกได้ นอกจากนี้ หากแรงงานไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถเรียกร้องสิทธิของตนเองได้เช่นเดียวกับแรงงานไทยโดยยื่นคําร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานซึ่งมีหน้าที่ในการคุ้มครองให้ได้รับสิทธิตามกฎหมายรวมถึงดูแลไม่ให้มีการบังคับใช้แรงงานหรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงานด้วย ----------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานชี้แจงปัญหา IUU วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม 2561 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานชี้แจงปัญหา IUU อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ชี้แจงประเด็นปัญหา IUU ตามที่สถานีโทรทัศน์ Voice TV เผยแพร่ข่าว ฮิวแมนไรท์วอทช์ (HRW) เผยแพร่รายงานชื่อ “โซ่ที่ซ่อนไว้: การปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิและแรงงานบังคับในอุตสาหกรรมประมงไทย” วันที่ 24 มกราคม 2561 นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ชี้แจงประเด็นปัญหา IUU ตามที่สถานีโทรทัศน์ Voice TV เผยแพร่ข่าว ฮิวแมนไรท์วอทช์ (HRW) เผยแพร่รายงานชื่อ “โซ่ที่ซ่อนไว้: การปฏิบัติมิชอบด้านสิทธิและแรงงานบังคับในอุตสาหกรรมประมงไทย” (Hidden Chains: Forced Labor and Rights Abuses in Thailand’s Fishing Industry) สรุปผลความคืบหน้าการแก้ปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ และการใช้แรงงานบังคับ ซึ่งถูกนําเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภายุโรป (EU) เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาว่าจะดําเนินมาตรการอย่างไรต่ออุตสาหกรรมประมงไทย โดยระบุว่า มีข้อบกพร่องเกิดขึ้นมากมายในการดําเนินงานตามมาตรการใหม่ของรัฐบาลไทย นั้น กระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ให้ความสําคัญกับประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสิทธิแรงงาน การแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ และการใช้แรงงานบังคับ โดยได้ดําเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ร่วมกับตํารวจ ทหาร กรมประมง กรมการจัดหางาน ศรชล. และ ศปมผ. ในการตรวจแรงงานในเรือประมง ทั้งก่อนทําประมง ขณะทําประมง และหลังทําประมง ตั้งแต่ปี 2558-2560 พบการกระทําผิด 110 ลํา และได้ดําเนินคดีทางอาญากับเรือที่กระทําผิดแล้ว ทั้งนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้กําหนดให้การจ้างงานในกิจการประมงต้องทําเป็นลายลักษณ์อักษร และต้องได้รับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน โดยสัญญาจ้างต้องทําเป็น 2 ชุด ให้ลูกจ้างเก็บไว้ 1 ชุด หากไม่ทําสัญญาจ้าง ลูกเรือจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงเรือประมง ซึ่งเมื่อมีการตรวจแรงงาน พนักงานตรวจแรงงานจะตรวจสอบโดยจะสอบข้อเท็จจริงและตรวจสอบพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารจากทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งหากพบว่านายจ้างปฏิบัติไม่ถูกต้องก็จะมีความผิดตามกฎหมาย โดยมีโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นอกจากนี้ ปัจจุบัน พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 เปิดโอกาสให้แรงงานข้ามชาติเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานได้ภายใต้นายจ้างหรือสถานประกอบกิจการประเภทเดียวกัน เพื่อเรียกร้องและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ผ่านสหภาพแรงงานที่ตนเป็นสมาชิกได้ นอกจากนี้ หากแรงงานไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถเรียกร้องสิทธิของตนเองได้เช่นเดียวกับแรงงานไทยโดยยื่นคําร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานซึ่งมีหน้าที่ในการคุ้มครองให้ได้รับสิทธิตามกฎหมายรวมถึงดูแลไม่ให้มีการบังคับใช้แรงงานหรือการค้ามนุษย์ด้านแรงงานด้วย ----------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9606
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 10 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 10 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 10 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่10 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยรายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 92.85 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 7 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,794 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 159 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 5.28 ของผู้ป่วยทั้งหมด ในจํานวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 56 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,009 ราย ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ แบ่งเป็น ผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ 2 ราย (พบที่จังหวัดนราธิวาสและ กรุงเทพฯ) และเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศเข้ากักตัวเฝ้าระวังในสถานที่ที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) จํานวน 3 ราย (เป็นผู้ที่เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย / ประเทศปากีสถาน 2 ราย) ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต สําหรับ State Quarantine ที่ รัฐบาลจัดไว้เพื่อกักตัวเฝ้าระวังผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ นับเป็นมาตรการสําคัญที่ป้องกันและสกัดกั้นการนําเชื้อเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งผู้ที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศจะต้องถูกกักกันเพื่อเฝ้าระวังสังเกตอาการทุกรายเป็นเวลา 14 วัน หากพบว่าป่วยหรือติดเชื้อจะนําเข้าสู่ระบบการรักษาทันที เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าไม่ไปแพร่เชื้อสู่ชุมชนและคนในประเทศได้ ขณะนี้มี State Quarantine ที่รัฐจัดไว้จํานวน 23 แห่ง และ Local Quarantine ที่กระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ อีก 12 แห่ง ในส่วนของพระสงฆ์ ที่ทยอยเดินทางกลับจากการแสวงบุญจากต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2563 รวม 229 รูป ได้เข้ากักตัวในที่พํานักชั่วคราวที่รัฐบาลจัดให้ ขณะนี้ได้ครบกําหนดกักตัวและกลับวัดแล้วจํานวน 225 รูป ส่วนอีก 4 รูป ครบกําหนดกักตัวในวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 และจะมีพระสงฆ์เดินทางกลับจากการแสวงบุญเข้ามาอีก 78 รูปในวันเดียวกัน ส่วนที่พํานักสงฆ์อีกแห่ง มีพระสงฆ์เข้ารับการกักตัวจํานวน 24 รูป ซึ่งจะครบกําหนดในวันที่ 23 พฤษภาคม 2563 ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทุกรูปไม่พบเชื้อ นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังคงเข้มมาตรการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก (Active Case Finding) ในชุมชน พื้นที่เสี่ยงต่างๆ เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือประชาชนอย่าประมาทในมาตรการป้องกันตนเอง หรือวางใจว่าสถานการณ์ของประเทศดีขึ้นแล้ว เมื่อออกจากบ้านจําเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้ง พกแอลกอฮอล์เจลเพื่อล้างมือ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร และเมื่อกลับถึงบ้านให้ล้างมือ รีบอาบน้ํา ทําความสะอาดร่างกายทันที และทําให้เป็นนิสัย เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง คนในครอบครัวและผู้ใกล้ชิดให้ปลอดภัย ห่างไกลจากเชื้อโควิด-19
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 10 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 10 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 10 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่10 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยรายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 92.85 ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 7 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,794 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 159 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 5.28 ของผู้ป่วยทั้งหมด ในจํานวนนี้เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 56 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,009 ราย ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ แบ่งเป็น ผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ 2 ราย (พบที่จังหวัดนราธิวาสและ กรุงเทพฯ) และเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศเข้ากักตัวเฝ้าระวังในสถานที่ที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) จํานวน 3 ราย (เป็นผู้ที่เดินทางจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย / ประเทศปากีสถาน 2 ราย) ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต สําหรับ State Quarantine ที่ รัฐบาลจัดไว้เพื่อกักตัวเฝ้าระวังผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ นับเป็นมาตรการสําคัญที่ป้องกันและสกัดกั้นการนําเชื้อเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งผู้ที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศจะต้องถูกกักกันเพื่อเฝ้าระวังสังเกตอาการทุกรายเป็นเวลา 14 วัน หากพบว่าป่วยหรือติดเชื้อจะนําเข้าสู่ระบบการรักษาทันที เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าไม่ไปแพร่เชื้อสู่ชุมชนและคนในประเทศได้ ขณะนี้มี State Quarantine ที่รัฐจัดไว้จํานวน 23 แห่ง และ Local Quarantine ที่กระจายอยู่ในจังหวัดต่างๆ อีก 12 แห่ง ในส่วนของพระสงฆ์ ที่ทยอยเดินทางกลับจากการแสวงบุญจากต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2563 รวม 229 รูป ได้เข้ากักตัวในที่พํานักชั่วคราวที่รัฐบาลจัดให้ ขณะนี้ได้ครบกําหนดกักตัวและกลับวัดแล้วจํานวน 225 รูป ส่วนอีก 4 รูป ครบกําหนดกักตัวในวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 และจะมีพระสงฆ์เดินทางกลับจากการแสวงบุญเข้ามาอีก 78 รูปในวันเดียวกัน ส่วนที่พํานักสงฆ์อีกแห่ง มีพระสงฆ์เข้ารับการกักตัวจํานวน 24 รูป ซึ่งจะครบกําหนดในวันที่ 23 พฤษภาคม 2563 ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทุกรูปไม่พบเชื้อ นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังคงเข้มมาตรการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก (Active Case Finding) ในชุมชน พื้นที่เสี่ยงต่างๆ เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุด อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือประชาชนอย่าประมาทในมาตรการป้องกันตนเอง หรือวางใจว่าสถานการณ์ของประเทศดีขึ้นแล้ว เมื่อออกจากบ้านจําเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้ง พกแอลกอฮอล์เจลเพื่อล้างมือ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร และเมื่อกลับถึงบ้านให้ล้างมือ รีบอาบน้ํา ทําความสะอาดร่างกายทันที และทําให้เป็นนิสัย เพื่อเป็นการป้องกันตนเอง คนในครอบครัวและผู้ใกล้ชิดให้ปลอดภัย ห่างไกลจากเชื้อโควิด-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30620
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นพ.พลวรรธน์ ผู้ตรวจกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมถกเวที “Fake News ภัยสื่อสารในยุคดิจิทัล VS การสื่อสารข้อมูลข่าวสารภาครัฐ”
วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563 นพ.พลวรรธน์ ผู้ตรวจกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมถกเวที “Fake News ภัยสื่อสารในยุคดิจิทัล VS การสื่อสารข้อมูลข่าวสารภาครัฐ” นพ.พลวรรธน์ ผู้ตรวจกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมถกเวที “Fake News ภัยสื่อสารในยุคดิจิทัล VS การสื่อสารข้อมูลข่าวสารภาครัฐ” ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมเป็นวิทยากรสัมมนา ในหัวข้อ “Fake News ภัยสื่อสารในยุคดิจิทัล VS การสื่อสารข้อมูลข่าวสารภาครัฐ” ในโอกาสเข้าร่วมพิธีเปิด “โครงการจัดอบรมการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540” ณ ห้องประชุมบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาและบทบาทการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม รวมถึงผลกระทบของการแพร่กระจายของข่าวปลอม หรือ Fake News ซึ่งขยายตัวขึ้นท่ามกลางยุคของการแข่งขันข้อมูลอย่างรุนแรงในปัจจุบัน ตลอดจนผลกระทบที่จะส่งผลเสียต่อการทํางานหรือการสื่อสารของภาครัฐ สําหรับความคืบหน้าการดําเนินงานของ “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย” ล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 18 กุมภาพันธ์ 2563 พบข่าวที่ต้องตรวจสอบทั้งหมด 1,390 เรื่อง ส่วนประเด็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จนถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พบว่ามีจํานวนเรื่องทั้งหมด 52 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 41 เรื่อง ข่าวจริง 10 เรื่อง บิดเบือน 1 เรื่อง อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลฯ ทํางานร่วมกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ในกรณีที่ข่าวปลอมนั้นๆ ส่งผลให้เกิดความเสียหายกับหน่วยงาน สามารถรวบรวมข้อมูลและแจ้งต่อ ศปอส.ตร. เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนในทางคดีต่อไป *****************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นพ.พลวรรธน์ ผู้ตรวจกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมถกเวที “Fake News ภัยสื่อสารในยุคดิจิทัล VS การสื่อสารข้อมูลข่าวสารภาครัฐ” วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563 นพ.พลวรรธน์ ผู้ตรวจกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมถกเวที “Fake News ภัยสื่อสารในยุคดิจิทัล VS การสื่อสารข้อมูลข่าวสารภาครัฐ” นพ.พลวรรธน์ ผู้ตรวจกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมถกเวที “Fake News ภัยสื่อสารในยุคดิจิทัล VS การสื่อสารข้อมูลข่าวสารภาครัฐ” ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมเป็นวิทยากรสัมมนา ในหัวข้อ “Fake News ภัยสื่อสารในยุคดิจิทัล VS การสื่อสารข้อมูลข่าวสารภาครัฐ” ในโอกาสเข้าร่วมพิธีเปิด “โครงการจัดอบรมการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540” ณ ห้องประชุมบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สํานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2563 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นมาและบทบาทการทํางานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม รวมถึงผลกระทบของการแพร่กระจายของข่าวปลอม หรือ Fake News ซึ่งขยายตัวขึ้นท่ามกลางยุคของการแข่งขันข้อมูลอย่างรุนแรงในปัจจุบัน ตลอดจนผลกระทบที่จะส่งผลเสียต่อการทํางานหรือการสื่อสารของภาครัฐ สําหรับความคืบหน้าการดําเนินงานของ “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย” ล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 – 18 กุมภาพันธ์ 2563 พบข่าวที่ต้องตรวจสอบทั้งหมด 1,390 เรื่อง ส่วนประเด็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จนถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พบว่ามีจํานวนเรื่องทั้งหมด 52 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 41 เรื่อง ข่าวจริง 10 เรื่อง บิดเบือน 1 เรื่อง อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลฯ ทํางานร่วมกับศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ในกรณีที่ข่าวปลอมนั้นๆ ส่งผลให้เกิดความเสียหายกับหน่วยงาน สามารถรวบรวมข้อมูลและแจ้งต่อ ศปอส.ตร. เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนในทางคดีต่อไป *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26893
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2560
วันพุธที่ 12 เมษายน 2560 ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2560 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค (คปภ.) ครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันอังคารที่ 11 เมษายน 2560 •"ปนัดดา" เผย ศธ.ฝากความหวังในการขับเคลื่อนงานการศึกษาภูมิภาคไว้ที่ กศจ. และจะจัดเตรียมแผนการขับเคลื่อนให้สมบูรณ์ก่อนเปิดเทอม ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการฝากความหวังในการร่วมขับเคลื่อนการดําเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาคไว้กับคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ส่วนการประชุมครั้งนี้ได้เชิญผู้แทนคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าร่วมประชุมหารือเพื่อพิจารณากฎ ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ความร่วมมือกันขับเคลื่อนการศึกษาในระดับภูมิภาคครั้งนี้จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทุกฝ่ายมาทํางานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการในการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ ดําเนินการตามแผนปฏิบัติการ รวมทั้งจัดระบบการศึกษา และการประเมินคุณภาพให้เป็นไปตามแผนการศึกษาจังหวัดและบริบทของพื้นที่ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งจะทําให้สามารถขับเคลื่อนงานตามแผนได้อย่างเต็มที่ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ลูกหลานเยาวชนมีการศึกษา ตั้งใจเรียน เป็นคนดี มีคุณภาพชีวิต เพื่อให้เกิดความสบายใจต่อพ่อแม่ผู้ปกครอง รวมทั้งส่งผลถึงประเทศชาติที่จะเกิดความมั่นคงแข็งแรงสืบไปด้วย โดยกระทรวงศึกษาธิการจะจัดเตรียมการขับเคลื่อนทุกอย่างให้แล้วเสร็จพร้อมเริ่มดําเนินการในช่วงเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2560เป็นต้นไป •เห็นชอบการกําหนดองค์ประกอบ กศจ.ชุดใหม่จํานวน15คน ดังนั้น คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)จึงได้มีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 19/2560 ลงวันที่ 3 เมษายน 2560 เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ แต่เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและทันตามระยะเวลาที่กําหนดไว้คือก่อนเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2560ที่ประชุมจึงได้มีมติเห็นชอบให้ กศจ.ชุดปัจจุบัน ทําหน้าที่ไปก่อนจนกว่าจะมี กศจ.ชุดใหม่ตามคําสั่ง คสช. โดยมีรายละเอียดองค์ประกอบดังนี้ องค์ประกอบของ กศจ.ใหม่ ใน 76 จังหวัด จํานวน 15 คน ได้แก่ 1) ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ 2) ศึกษาธิการภาคในพื้นที่ที่รับผิดชอบเป็นรองประธาน 3) กรรมการ 7 คนประกอบด้วยผู้แทนจากสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.), สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.), สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.), สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.), สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) โดยมีศึกษาธิการจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ 4) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6 คนโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของ คปภ. ซึ่งจะต้องเป็นผู้แทนที่มาจากภาคเอกชน-องค์กรวิชาชีพ-ภาคประชาชน ด้านละ 1 คนโดยกศจ. จะต้องนําเสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 6 คน ให้ คปภ.พิจารณาเสนอ รมว.ศึกษาธิการ ลงนามแต่งตั้งต่อไปภายในเดือนพฤษภาคม 2560 ทั้งนี้องค์ประกอบของ กศจ.กรุงเทพมหานคร ได้มีการปรับองค์ประกอบโดยให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน และรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นรองประธาน •แต่งตั้ง อกศจ.จํานวน 3 ชุด คาดจะเกลี่ยบุคลากรได้ภายใน มิ.ย.นี้ ที่ประชุมได้มีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (อกศจ.) จํานวน 3 ชุด มีองค์ประกอบชุดละ 9 คน ดังนี้ 1) คณะอนุกรรมการบริหารงานบุคคลเพื่อดําเนินงานในเรื่องการบรรจุ แต่งตั้ง วิทยฐานะ ตลอดจนดูแลเรื่องวินัย โดยคณะอนุกรรมการชุดนี้จะต้องเสนอให้ คปภ.แต่งตั้ง 2) คณะอนุกรรมการบริหารราชการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อดําเนินงานเกี่ยวกับการบริหารแผนยุทธศาสตร์ แผนการศึกษาจังหวัด รวมทั้งงบประมาณ 3) คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อดําเนินงานการพัฒนาต่าง ๆ ให้เกิดคุณภาพการศึกษา โดยทั้งสองคณะอนุกรรมการนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถแต่งตั้งได้ในฐานะประธาน กศจ. ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถแต่งตั้งคณะกรรมการครบถ้วนทั้งหมด ตลอดจนดําเนินการเกลี่ยบุคลากรเข้าปฏิบัติงานในสํานักงานศึกษาธิการภาค/สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดได้ ภายในเดือนมิถุนายนนี้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวด้วยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 กระทรวงศึกษาธิการได้นําเสนอให้ที่ประชุม ครม. รับทราบเรื่องการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งได้การชื่นชมจากนายกรัฐมนตรี พร้อมยืนยันไม่ปรารถนาความแตกแยกในทุกเรื่อง แต่จะขอเป็นกําลังใจให้แก่ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งขอให้มุ่งมั่นปฏิบัติงาน ช่วยกันสร้างคน สร้างความเป็นปึกแผ่น เพราะเมื่อเยาวชนดีประเทศชาติก็จะดีตามไปด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2560 วันพุธที่ 12 เมษายน 2560 ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2560 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค (คปภ.) ครั้งที่ 2/2560 เมื่อวันอังคารที่ 11 เมษายน 2560 •"ปนัดดา" เผย ศธ.ฝากความหวังในการขับเคลื่อนงานการศึกษาภูมิภาคไว้ที่ กศจ. และจะจัดเตรียมแผนการขับเคลื่อนให้สมบูรณ์ก่อนเปิดเทอม ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการฝากความหวังในการร่วมขับเคลื่อนการดําเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาคไว้กับคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ส่วนการประชุมครั้งนี้ได้เชิญผู้แทนคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าร่วมประชุมหารือเพื่อพิจารณากฎ ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ความร่วมมือกันขับเคลื่อนการศึกษาในระดับภูมิภาคครั้งนี้จึงเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทุกฝ่ายมาทํางานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการในการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ ดําเนินการตามแผนปฏิบัติการ รวมทั้งจัดระบบการศึกษา และการประเมินคุณภาพให้เป็นไปตามแผนการศึกษาจังหวัดและบริบทของพื้นที่ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งจะทําให้สามารถขับเคลื่อนงานตามแผนได้อย่างเต็มที่ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ลูกหลานเยาวชนมีการศึกษา ตั้งใจเรียน เป็นคนดี มีคุณภาพชีวิต เพื่อให้เกิดความสบายใจต่อพ่อแม่ผู้ปกครอง รวมทั้งส่งผลถึงประเทศชาติที่จะเกิดความมั่นคงแข็งแรงสืบไปด้วย โดยกระทรวงศึกษาธิการจะจัดเตรียมการขับเคลื่อนทุกอย่างให้แล้วเสร็จพร้อมเริ่มดําเนินการในช่วงเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2560เป็นต้นไป •เห็นชอบการกําหนดองค์ประกอบ กศจ.ชุดใหม่จํานวน15คน ดังนั้น คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)จึงได้มีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 19/2560 ลงวันที่ 3 เมษายน 2560 เรื่อง การปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ แต่เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและทันตามระยะเวลาที่กําหนดไว้คือก่อนเปิดภาคเรียนปีการศึกษา 2560ที่ประชุมจึงได้มีมติเห็นชอบให้ กศจ.ชุดปัจจุบัน ทําหน้าที่ไปก่อนจนกว่าจะมี กศจ.ชุดใหม่ตามคําสั่ง คสช. โดยมีรายละเอียดองค์ประกอบดังนี้ องค์ประกอบของ กศจ.ใหม่ ใน 76 จังหวัด จํานวน 15 คน ได้แก่ 1) ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ 2) ศึกษาธิการภาคในพื้นที่ที่รับผิดชอบเป็นรองประธาน 3) กรรมการ 7 คนประกอบด้วยผู้แทนจากสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.), สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.), สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.), สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.), สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.), สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) โดยมีศึกษาธิการจังหวัด เป็นกรรมการและเลขานุการ 4) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6 คนโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของ คปภ. ซึ่งจะต้องเป็นผู้แทนที่มาจากภาคเอกชน-องค์กรวิชาชีพ-ภาคประชาชน ด้านละ 1 คนโดยกศจ. จะต้องนําเสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 6 คน ให้ คปภ.พิจารณาเสนอ รมว.ศึกษาธิการ ลงนามแต่งตั้งต่อไปภายในเดือนพฤษภาคม 2560 ทั้งนี้องค์ประกอบของ กศจ.กรุงเทพมหานคร ได้มีการปรับองค์ประกอบโดยให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน และรองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นรองประธาน •แต่งตั้ง อกศจ.จํานวน 3 ชุด คาดจะเกลี่ยบุคลากรได้ภายใน มิ.ย.นี้ ที่ประชุมได้มีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (อกศจ.) จํานวน 3 ชุด มีองค์ประกอบชุดละ 9 คน ดังนี้ 1) คณะอนุกรรมการบริหารงานบุคคลเพื่อดําเนินงานในเรื่องการบรรจุ แต่งตั้ง วิทยฐานะ ตลอดจนดูแลเรื่องวินัย โดยคณะอนุกรรมการชุดนี้จะต้องเสนอให้ คปภ.แต่งตั้ง 2) คณะอนุกรรมการบริหารราชการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อดําเนินงานเกี่ยวกับการบริหารแผนยุทธศาสตร์ แผนการศึกษาจังหวัด รวมทั้งงบประมาณ 3) คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อดําเนินงานการพัฒนาต่าง ๆ ให้เกิดคุณภาพการศึกษา โดยทั้งสองคณะอนุกรรมการนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถแต่งตั้งได้ในฐานะประธาน กศจ. ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถแต่งตั้งคณะกรรมการครบถ้วนทั้งหมด ตลอดจนดําเนินการเกลี่ยบุคลากรเข้าปฏิบัติงานในสํานักงานศึกษาธิการภาค/สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดได้ ภายในเดือนมิถุนายนนี้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวด้วยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 กระทรวงศึกษาธิการได้นําเสนอให้ที่ประชุม ครม. รับทราบเรื่องการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งได้การชื่นชมจากนายกรัฐมนตรี พร้อมยืนยันไม่ปรารถนาความแตกแยกในทุกเรื่อง แต่จะขอเป็นกําลังใจให้แก่ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมทั้งขอให้มุ่งมั่นปฏิบัติงาน ช่วยกันสร้างคน สร้างความเป็นปึกแผ่น เพราะเมื่อเยาวชนดีประเทศชาติก็จะดีตามไปด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3043
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. จัดพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล ครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 สธ. จัดพิธีทําบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล ครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร กระทรวงสาธารณสุข จัดพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ 10 รูป ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต วันนี้ (12 ตุลาคม 2560) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีทําบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้ง พระสงฆ์จํานวน 10 รูป ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต โดยมี ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานในกํากับกระทรวงสาธารณสุข และสมาคมแม่บ้านสาธารณสุข เข้าร่วมกิจกรรม โดยการจัดพิธีทําบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี วันสวรรคตฯ และเชิญชวนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศจัดกิจกรรมโดยพร้อมเพียงกัน เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ พระองค์ทรงอุทิศพระวรกายในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันน้อยใหญ่ เพื่อพสกนิกรชาวไทยอยู่เย็นเป็นสุข และเพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติเป็นสําคัญ กิจกรรมในวันนี้ ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคาร 3 ตึกสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย การจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีลและเจริญพระพุทธมนต์บทถวายพรพระ ประธานและผู้บริหารระดับสูงถวายผ้าไตร ถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ เจริญจิตภาวนา 89 วินาที พระสงฆ์อนุโมทนา ประธานกรวดน้ํา-รับพร หลังจากนั้นร่วมทําบุญตักบาตรพระสงฆ์บริเวณลานพระอนุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสร็จพิธี ประธานและผู้บริหารระดับสูงถ่ายภาพร่วมกัน ************************ 12 ตุลาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. จัดพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล ครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 สธ. จัดพิธีทําบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล ครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร กระทรวงสาธารณสุข จัดพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ 10 รูป ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต วันนี้ (12 ตุลาคม 2560) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีทําบุญตักบาตร ข้าวสารอาหารแห้ง พระสงฆ์จํานวน 10 รูป ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ครบรอบ 1 ปี วันสวรรคต โดยมี ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานในกํากับกระทรวงสาธารณสุข และสมาคมแม่บ้านสาธารณสุข เข้าร่วมกิจกรรม โดยการจัดพิธีทําบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปี วันสวรรคตฯ และเชิญชวนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศจัดกิจกรรมโดยพร้อมเพียงกัน เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ พระองค์ทรงอุทิศพระวรกายในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันน้อยใหญ่ เพื่อพสกนิกรชาวไทยอยู่เย็นเป็นสุข และเพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติเป็นสําคัญ กิจกรรมในวันนี้ ณ บริเวณโถงชั้น 1 อาคาร 3 ตึกสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย การจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล พระสงฆ์ให้ศีลและเจริญพระพุทธมนต์บทถวายพรพระ ประธานและผู้บริหารระดับสูงถวายผ้าไตร ถวายจตุปัจจัยไทยธรรมแด่พระสงฆ์ เจริญจิตภาวนา 89 วินาที พระสงฆ์อนุโมทนา ประธานกรวดน้ํา-รับพร หลังจากนั้นร่วมทําบุญตักบาตรพระสงฆ์บริเวณลานพระอนุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสร็จพิธี ประธานและผู้บริหารระดับสูงถ่ายภาพร่วมกัน ************************ 12 ตุลาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7368
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะ นำทีมพบชาวไร่อ้อยกาญจนบุรี พร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์การปรับปรุงพันธุ์อ้อยแห่งประเทศไทย ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางพัฒนาพันธุ์อ้อยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2562 รัฐมนตรีสุริยะ นําทีมพบชาวไร่อ้อยกาญจนบุรี พร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์การปรับปรุงพันธุ์อ้อยแห่งประเทศไทย ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางพัฒนาพันธุ์อ้อยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบเกษตรกรชาวไร่อ้อยจังหวัดกาญจนบุรี และตรวจเยี่ยมศูนย์การปรับปรุงพันธุ์อ้อยแห่งประเทศไทย (TSBC) จังหวัดกาญจนบุรี : วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 เวลา 13.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบเกษตรกรชาวไร่อ้อยจังหวัดกาญจนบุรี และตรวจเยี่ยมศูนย์การปรับปรุงพันธุ์อ้อยแห่งประเทศไทย (TSBC) ชมการสาธิตกระบวนการปรับปรุงพันธุ์อ้อยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย และการปลูกอ้อยแบบอัจฉริยะ (Sugarcane Smart Farming) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย (สอน.) เล็งเห็นความสําคัญและต้องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย จึงได้จัดตั้งศูนย์การปรับปรุงพันธุ์อ้อยแห่งประเทศไทย (THAILAND SUGARCANE BREEDING CENTER) หรือที่เรียกกันว่า TSBC ขึ้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายภาคที่ 1 ตําบลทุ่งทอง อําเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี โดยตั้งเป้าหมายพัฒนาให้ TSBC เป็นศูนย์กลางการปรับปรุงพันธุ์อ้อยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยในระดับโลก มีความเป็นสากล และเป็นศูนย์กลางในการสร้างและรวมเครือข่ายงานวิชาการด้านอ้อยของประเทศไทย และขยายผลการดําเนินงานให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย โรงงานน้ําตาล นักวิชาการ และผู้ที่สนใจ โดยมีการสร้างและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถตอบสนองกระบวนการปรับปรุงพันธุ์อ้อยอย่างมีประสิทธิภาพ มีความแม่นยํา ลดรอบเวลาการปรับปรุงพันธุ์อ้อยให้รวดเร็วกว่าในอดีตที่ต้องใช้เวลากว่า 12 ปี ให้เหลือเพียง 6 – 8 ปี โดยนําเอาระบบเทคโนโลยีชีวภาพและชีวโมเลกุล ได้แก่ DNA Finger Print และ DNA Marker เข้ามาใช้ในกระบวนการปรับปรุงพันธุ์อ้อย นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยสําคัญที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย คือ การลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตอ้อย แต่เนื่องจากในปัจจุบันเกษตรกรชาวไร่อ้อยส่วนใหญ่ยังขาดองค์ความรู้ที่ถูกต้องในการปลูกและบริหารจัดการไร่อ้อยที่ดี จึงได้มอบหมายให้ สอน. ดําเนินการส่งเสริมการทําเกษตรสมัยใหม่นําเทคโนโลยีที่เหมาะสมและราคาไม่แพงเข้ามาใช้ในไร่อ้อย มีการอบรมให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยได้รับความรู้ความเข้าใจและวิธีการที่ถูกต้องในการปลูกอ้อยเพื่อช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับการทําไร่อ้อยแบบ Thailand 4.0 ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถนําทฤษฎีและความรู้ไปปฏิบัติได้จริงและเห็นผลเป็นรูปธรรม เพิ่มผลผลิตและคุณภาพอ้อยสู่ไร่อ้อย 4.0 ซึ่งจะทําให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย และเพิ่มขีดความสามารถให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายของไทยสามารถแข่งขันได้ #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีสุริยะ #ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #ปลัดกอบชัย #ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่1/2562 #ชาวไร่อ้อย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีสุริยะ นำทีมพบชาวไร่อ้อยกาญจนบุรี พร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์การปรับปรุงพันธุ์อ้อยแห่งประเทศไทย ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางพัฒนาพันธุ์อ้อยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2562 รัฐมนตรีสุริยะ นําทีมพบชาวไร่อ้อยกาญจนบุรี พร้อมตรวจเยี่ยมศูนย์การปรับปรุงพันธุ์อ้อยแห่งประเทศไทย ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางพัฒนาพันธุ์อ้อยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบเกษตรกรชาวไร่อ้อยจังหวัดกาญจนบุรี และตรวจเยี่ยมศูนย์การปรับปรุงพันธุ์อ้อยแห่งประเทศไทย (TSBC) จังหวัดกาญจนบุรี : วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 เวลา 13.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ นายเอกภัทร วังสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่พบเกษตรกรชาวไร่อ้อยจังหวัดกาญจนบุรี และตรวจเยี่ยมศูนย์การปรับปรุงพันธุ์อ้อยแห่งประเทศไทย (TSBC) ชมการสาธิตกระบวนการปรับปรุงพันธุ์อ้อยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย และการปลูกอ้อยแบบอัจฉริยะ (Sugarcane Smart Farming) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย (สอน.) เล็งเห็นความสําคัญและต้องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย จึงได้จัดตั้งศูนย์การปรับปรุงพันธุ์อ้อยแห่งประเทศไทย (THAILAND SUGARCANE BREEDING CENTER) หรือที่เรียกกันว่า TSBC ขึ้นที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายภาคที่ 1 ตําบลทุ่งทอง อําเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี โดยตั้งเป้าหมายพัฒนาให้ TSBC เป็นศูนย์กลางการปรับปรุงพันธุ์อ้อยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยในระดับโลก มีความเป็นสากล และเป็นศูนย์กลางในการสร้างและรวมเครือข่ายงานวิชาการด้านอ้อยของประเทศไทย และขยายผลการดําเนินงานให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย โรงงานน้ําตาล นักวิชาการ และผู้ที่สนใจ โดยมีการสร้างและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถตอบสนองกระบวนการปรับปรุงพันธุ์อ้อยอย่างมีประสิทธิภาพ มีความแม่นยํา ลดรอบเวลาการปรับปรุงพันธุ์อ้อยให้รวดเร็วกว่าในอดีตที่ต้องใช้เวลากว่า 12 ปี ให้เหลือเพียง 6 – 8 ปี โดยนําเอาระบบเทคโนโลยีชีวภาพและชีวโมเลกุล ได้แก่ DNA Finger Print และ DNA Marker เข้ามาใช้ในกระบวนการปรับปรุงพันธุ์อ้อย นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจัยสําคัญที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย คือ การลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตอ้อย แต่เนื่องจากในปัจจุบันเกษตรกรชาวไร่อ้อยส่วนใหญ่ยังขาดองค์ความรู้ที่ถูกต้องในการปลูกและบริหารจัดการไร่อ้อยที่ดี จึงได้มอบหมายให้ สอน. ดําเนินการส่งเสริมการทําเกษตรสมัยใหม่นําเทคโนโลยีที่เหมาะสมและราคาไม่แพงเข้ามาใช้ในไร่อ้อย มีการอบรมให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยได้รับความรู้ความเข้าใจและวิธีการที่ถูกต้องในการปลูกอ้อยเพื่อช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับการทําไร่อ้อยแบบ Thailand 4.0 ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถนําทฤษฎีและความรู้ไปปฏิบัติได้จริงและเห็นผลเป็นรูปธรรม เพิ่มผลผลิตและคุณภาพอ้อยสู่ไร่อ้อย 4.0 ซึ่งจะทําให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย และเพิ่มขีดความสามารถให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายของไทยสามารถแข่งขันได้ #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีสุริยะ #ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #ปลัดกอบชัย #ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่1/2562 #ชาวไร่อ้อย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24513
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.แจ้งทุกจังหวัดกำหนดแนวทางบริหารจัดการน้ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของ ปชช.ช่วงฤดูแล้ง เน้นบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของ ปชช.
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560 มท.แจ้งทุกจังหวัดกําหนดแนวทางบริหารจัดการน้ําเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของ ปชช.ช่วงฤดูแล้ง เน้นบริหารจัดการน้ําตามแนวพระราชดําริผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของ ปชช. กระทรวงมหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดกําหนดแนวทางบริหารจัดการน้ําเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงฤดูแล้ง เน้นให้ใช้วิธีการบริหารจัดการน้ําตามแนวพระราชดําริผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของประชาชน วันนี้ (12 มี.ค.60) นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการด่วนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานันและผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกจังหวัด เร่งดําเนินการตามแนวทางบริหารจัดการน้ําเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูแล้งและหน่วยงานพยากรณ์สภาพอากาศได้คาดการณ์ว่าฤดูแล้งปีนี้อาจมีระยะเวลาสั้นกว่าปีก่อนๆ โดยฝนจะเริ่มตกในเดือนพฤษภาคม และอาจเกิดฝนทิ้งช่วงสลับกันไปจนถึงเดือนมิถุนายน ก่อนจะเข้าสู่ฤดูฝนในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจทําให้ปริมาณน้ําในพื้นที่ต่างๆ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ดังนั้น จึงให้ทุกจังหวัดเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําในพื้นที่ ดังนี้ 1. จัดตั้ง "คณะทํางานสํารวจข้อมูลแหล่งน้ําและปริมาณการใช้น้ํา" ในระดับพื้นที่หมู่บ้าน ตําบล อําเภอ โดยแยกข้อมูลเป็นน้ําสําหรับอุปโภค-บริโภค และน้ําเพื่อการเกษตร ซึ่งคณะทํางาน ประกอบด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัด หรือปลัดจังหวัด เป็นประธาน นายอําเภอหรือผู้แทนหน่วยงานสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในจังหวัดที่รับผิดชอบเกี่ยวกับน้ํา การชลประทานในพื้นที่ ผู้แทนการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัด ผู้แทนสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และตัวแทนประชาชนหรือกลุ่มผู้ใช้น้ํา เพื่อทําหน้าที่วิเคราะห์ ประเมินหรือคาดการณ์ปริมาณการใช้น้ําแต่ละประเภทว่าจะเพียงพอถึงช่วงเวลาใด เพื่อเตรียมการให้ความช่วยเหลือประชาชนตามมาตรการต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์หรือปัญหาในพื้นที่ 2. น้อมนําแนวทางตามพระราชดําริในเรื่องการบริหารจัดการน้ําและความรู้หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนมาใช้ในการบริหารจัดการน้ํา โดยให้พิจารณาดัดแปลงสภาพธรรมชาติของพื้นที่ เช่น ลําเหมืองเดิม ทางน้ําไหลในฤดูฝน ที่ราบลุ่มเชิงเขา แล้วนํามาทําเป็นแหล่งกักเก็บน้ํา อาทิ เหมืองฝายชะลอน้ํา หลุมขนมครกหรือแก้มลิง คลองไส้ไก่ ฯลฯ โดยประสานงานสํานักงานศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดําริทั้ง 6 แห่งซึ่งอยู่ในพื้นที่ภูมิภาค สํานักงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริประเภทการพัฒนาแหล่งน้ําหรือการเกษตรหรือการรักษาป่าในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือหน่วยงานสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สํานักงานมูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดําริ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง และองค์กรภาคประชาสังคม ด้านการพัฒนาแหล่งน้ํา รวมทั้งเชิญชวนผู้นําหมู่บ้าน ชุมชน หรือปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้ภูมิปัญญาเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ํามาร่วมกันจัดทําโครงการแหล่งเก็บกักน้ําประจําหมู่บ้าน ชุมชน โดยให้จังหวัด อําเภอหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเชิญชวนประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมทําโครงการ หรือ เสียสละแรงงานเข้าร่วมก่อสร้างแหล่งน้ําต่างๆในพื้นที่ 3. นําสถานการณ์การขาดแคลนน้ําหรือประสบการณ์ปัญหาการใช้น้ําในปีก่อนๆ ที่ผ่านมามาปรับปรุงแก้ไขจัดทําเป็นแผนบริหารการใช้น้ําในฤดูแล้ง โดยจัดตั้งผู้รับผิดชอบพื้นที่ ที่เคยมี หรืออาจมีความขัดแย้งในการใช้น้ําและหาวิธีแบ่งปันน้ําที่ทุกฝ่ายยอมรับกติกา หรือวิธีกักเก็บน้ําในช่วงที่จะมีฝนตกในพื้นที่ และสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมแหล่งกักเก็บน้ําประจําหมู่บ้านตําบลให้ใช้การได้ตามปกติหรือการชักน้ําหรือนําน้ําจากแหล่งน้ําใกล้เคียงมาใช้ในพื้นที่ จัดหาภาชนะเก็บน้ําหรือไซโลน้ําเพิ่มเติม เป็นต้น และให้เร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์การใช้น้ําอย่างประหยัด หรือรณรงค์โครงการปลูกพืชใช้น้ําน้อยโดยให้พิจารณากลุ่มเกษตรกรที่เคยเข้าร่วมโครงการมาแล้วอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีการขยายผลหรือเครือข่ายออกไปให้มากขึ้น รวมทั้งวางแผนแจกจ่ายน้ําของการประปาส่วนภูมิภาคหรือหน่วยงานสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ครอบคลุมพื้นที่ขาดแคลนน้ํา และใช้ศักยภาพของโครงการน้ําดื่มที่ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ประชารัฐประเภทต่างๆ มาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ฯลฯ ด้านงบประมาณที่ใช้ดําเนินการ ให้จังหวัดพิจารณาขอใช้งบประมาณด้านป้องกันภัยตามระเบียบของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งต้องพิจารณาเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณให้รอบคอบ หรือใช้งบประมาณแก้ไขปัญหาจังหวัด ๆ ละ2 ล้านบาทตามแผนพัฒนาจังหวัด งบประมาณเหลือจ่ายจากโครงการแผนพัฒนาจังหวัดกลุ่มจังหวัดปี 2560 งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ รวมทั้งงบประมาณของส่วนราชการต่างๆ ในพื้นที่ หรืองบประมาณดูแลสังคมสิ่งแวดล้อม (CSR) ของภาคเอกชนหรือประชารัฐด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทยยังได้กําชับให้ทุกจังหวัดเร่งบูรณาการทุกหน่วยงานเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนในช่วงฤดูแล้งนี้ และหากจังหวัดมีแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice)ที่จะสามารถเป็นตัวอย่างให้แก่พื้นที่อื่นๆ หรือมีปัญหาอุปสรรคในการดําเนินงานให้เร่งรายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบโดยด่วน เพื่อจะได้พิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนต่อไป. ครั้งที่ 36/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.แจ้งทุกจังหวัดกำหนดแนวทางบริหารจัดการน้ำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของ ปชช.ช่วงฤดูแล้ง เน้นบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของ ปชช. วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2560 มท.แจ้งทุกจังหวัดกําหนดแนวทางบริหารจัดการน้ําเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของ ปชช.ช่วงฤดูแล้ง เน้นบริหารจัดการน้ําตามแนวพระราชดําริผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของ ปชช. กระทรวงมหาดไทยแจ้งทุกจังหวัดกําหนดแนวทางบริหารจัดการน้ําเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงฤดูแล้ง เน้นให้ใช้วิธีการบริหารจัดการน้ําตามแนวพระราชดําริผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของประชาชน วันนี้ (12 มี.ค.60) นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการด่วนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานันและผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกจังหวัด เร่งดําเนินการตามแนวทางบริหารจัดการน้ําเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูแล้งและหน่วยงานพยากรณ์สภาพอากาศได้คาดการณ์ว่าฤดูแล้งปีนี้อาจมีระยะเวลาสั้นกว่าปีก่อนๆ โดยฝนจะเริ่มตกในเดือนพฤษภาคม และอาจเกิดฝนทิ้งช่วงสลับกันไปจนถึงเดือนมิถุนายน ก่อนจะเข้าสู่ฤดูฝนในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจทําให้ปริมาณน้ําในพื้นที่ต่างๆ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ดังนั้น จึงให้ทุกจังหวัดเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําในพื้นที่ ดังนี้ 1. จัดตั้ง "คณะทํางานสํารวจข้อมูลแหล่งน้ําและปริมาณการใช้น้ํา" ในระดับพื้นที่หมู่บ้าน ตําบล อําเภอ โดยแยกข้อมูลเป็นน้ําสําหรับอุปโภค-บริโภค และน้ําเพื่อการเกษตร ซึ่งคณะทํางาน ประกอบด้วย รองผู้ว่าราชการจังหวัด หรือปลัดจังหวัด เป็นประธาน นายอําเภอหรือผู้แทนหน่วยงานสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในจังหวัดที่รับผิดชอบเกี่ยวกับน้ํา การชลประทานในพื้นที่ ผู้แทนการประปาส่วนภูมิภาคจังหวัด ผู้แทนสํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และตัวแทนประชาชนหรือกลุ่มผู้ใช้น้ํา เพื่อทําหน้าที่วิเคราะห์ ประเมินหรือคาดการณ์ปริมาณการใช้น้ําแต่ละประเภทว่าจะเพียงพอถึงช่วงเวลาใด เพื่อเตรียมการให้ความช่วยเหลือประชาชนตามมาตรการต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์หรือปัญหาในพื้นที่ 2. น้อมนําแนวทางตามพระราชดําริในเรื่องการบริหารจัดการน้ําและความรู้หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนมาใช้ในการบริหารจัดการน้ํา โดยให้พิจารณาดัดแปลงสภาพธรรมชาติของพื้นที่ เช่น ลําเหมืองเดิม ทางน้ําไหลในฤดูฝน ที่ราบลุ่มเชิงเขา แล้วนํามาทําเป็นแหล่งกักเก็บน้ํา อาทิ เหมืองฝายชะลอน้ํา หลุมขนมครกหรือแก้มลิง คลองไส้ไก่ ฯลฯ โดยประสานงานสํานักงานศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดําริทั้ง 6 แห่งซึ่งอยู่ในพื้นที่ภูมิภาค สํานักงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริประเภทการพัฒนาแหล่งน้ําหรือการเกษตรหรือการรักษาป่าในพื้นที่ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือหน่วยงานสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สํานักงานมูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดําริ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง และองค์กรภาคประชาสังคม ด้านการพัฒนาแหล่งน้ํา รวมทั้งเชิญชวนผู้นําหมู่บ้าน ชุมชน หรือปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้ภูมิปัญญาเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ํามาร่วมกันจัดทําโครงการแหล่งเก็บกักน้ําประจําหมู่บ้าน ชุมชน โดยให้จังหวัด อําเภอหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเชิญชวนประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมทําโครงการ หรือ เสียสละแรงงานเข้าร่วมก่อสร้างแหล่งน้ําต่างๆในพื้นที่ 3. นําสถานการณ์การขาดแคลนน้ําหรือประสบการณ์ปัญหาการใช้น้ําในปีก่อนๆ ที่ผ่านมามาปรับปรุงแก้ไขจัดทําเป็นแผนบริหารการใช้น้ําในฤดูแล้ง โดยจัดตั้งผู้รับผิดชอบพื้นที่ ที่เคยมี หรืออาจมีความขัดแย้งในการใช้น้ําและหาวิธีแบ่งปันน้ําที่ทุกฝ่ายยอมรับกติกา หรือวิธีกักเก็บน้ําในช่วงที่จะมีฝนตกในพื้นที่ และสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมแหล่งกักเก็บน้ําประจําหมู่บ้านตําบลให้ใช้การได้ตามปกติหรือการชักน้ําหรือนําน้ําจากแหล่งน้ําใกล้เคียงมาใช้ในพื้นที่ จัดหาภาชนะเก็บน้ําหรือไซโลน้ําเพิ่มเติม เป็นต้น และให้เร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์การใช้น้ําอย่างประหยัด หรือรณรงค์โครงการปลูกพืชใช้น้ําน้อยโดยให้พิจารณากลุ่มเกษตรกรที่เคยเข้าร่วมโครงการมาแล้วอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีการขยายผลหรือเครือข่ายออกไปให้มากขึ้น รวมทั้งวางแผนแจกจ่ายน้ําของการประปาส่วนภูมิภาคหรือหน่วยงานสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ครอบคลุมพื้นที่ขาดแคลนน้ํา และใช้ศักยภาพของโครงการน้ําดื่มที่ใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ประชารัฐประเภทต่างๆ มาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ฯลฯ ด้านงบประมาณที่ใช้ดําเนินการ ให้จังหวัดพิจารณาขอใช้งบประมาณด้านป้องกันภัยตามระเบียบของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งต้องพิจารณาเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณให้รอบคอบ หรือใช้งบประมาณแก้ไขปัญหาจังหวัด ๆ ละ2 ล้านบาทตามแผนพัฒนาจังหวัด งบประมาณเหลือจ่ายจากโครงการแผนพัฒนาจังหวัดกลุ่มจังหวัดปี 2560 งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ รวมทั้งงบประมาณของส่วนราชการต่างๆ ในพื้นที่ หรืองบประมาณดูแลสังคมสิ่งแวดล้อม (CSR) ของภาคเอกชนหรือประชารัฐด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทยยังได้กําชับให้ทุกจังหวัดเร่งบูรณาการทุกหน่วยงานเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนในช่วงฤดูแล้งนี้ และหากจังหวัดมีแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice)ที่จะสามารถเป็นตัวอย่างให้แก่พื้นที่อื่นๆ หรือมีปัญหาอุปสรรคในการดําเนินงานให้เร่งรายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบโดยด่วน เพื่อจะได้พิจารณาหาแนวทางแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนต่อไป. ครั้งที่ 36/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2327
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีให้กำลังใจนักเรียนจังหวัดนราธิวาส ขอให้ตั้งใจ มุ่งมั่นศึกษา เพื่อให้ประสบความสำเร็จ
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563 นายกรัฐมนตรีให้กําลังใจนักเรียนจังหวัดนราธิวาส ขอให้ตั้งใจ มุ่งมั่นศึกษา เพื่อให้ประสบความสําเร็จ นายกรัฐมนตรีให้กําลังใจนักเรียนจังหวัดนราธิวาส ขอให้ตั้งใจ มุ่งมั่นศึกษา เพื่อให้ประสบความสําเร็จ วันนี้ (20 มกราคม 2563) เวลา 14.40 น. ณ โรงเรียนนราธิวาส อําเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการรินน้ําใจสู่น้องชาวใต้ และเยี่ยมชมกิจกรรมสอนเสริมเพิ่มศักยภาพเพื่อการแข่งขัน สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 โดยมีทีมวิทยากรกว่า 50 คน ซึ่งเป็นจิตอาสาจากโรงเรียนในสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 กรุงเทพฯ อาทิ โรงเรียนวัดสุทธิวราราม โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ โรงเรียนเศรษฐบุตรบําเพ็ญ และโรงเรียนอื่น ๆ ใน สพม. 2 โดยมีทั้งวิชาแนะแนว ภาษาต่างประเทศ ภาษาไทย สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ชีววิทยา เป็นต้น เข้าร่วมโครงการรินน้ําใจสู่น้องชาวใต้ ช่วยพัฒนานักเรียนในโรงเรียนเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษ 3 จังหวัด ที่ดําเนินการมาแล้วกว่า 10 ปี โดยมีผลลัพธ์เป็นที่พอใจ นักเรียนสามารถนําไปต่อยอดการศึกษาและประสบความสําเร็จในการสอบเข้าสถาบันการศึกษาในระดับสูงขึ้นไป โดยมีนักเรียนและบุคลากรการศึกษา ประมาณ 1,000 คน เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ ซึ่งนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้กล่าวรายงาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายนักเรียนว่า ในฐานะอดีตครูเก่า เป็นครูทหารเก่า ดีใจที่มาพบปะกับนักเรียนวันนี้ นักเรียนมีเป้าหมาย ประเทศเองก็ต้องมีเป้าหมาย รัฐบาลกําหนดยุทธศาลตร์ชาติ ขับเคลื่อนสู่ประเทศไทย 4.0 ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรม รัฐบาลมีหน้าที่ 2 อย่าง คือการสร้างโอกาส พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนน ทางพิเศษ รวมทั้งการดูแลผู้มีรายได้น้อย ซึ่งรัฐบาลทํามาตลอด โดยดําเนินงานอย่างเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ ปัญหาในภาคใต้วันนี้มีทิศทางดีขึ้น รัฐบาลมีโครงการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งการพัฒนาต่าง ๆ ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือฝุ่นจิ๋ว pm 2.5 ที่เกิดจากยานพาหนะกว่าร้อยละ 72 โดยเฉพาะรถยนต์เก่าที่สันดาปไม่สมบูรณ์ปล่อยควันพิษ การเผาในที่โล่งแจ้ง โรงงานและอื่น ๆ ซึ่งได้มีความพยายามในการใช้กฎหมายรณรงค์ให้ช่วยกันดูแลเครื่องยนต์ เปลี่ยนท่อไอเสีย ขณะเดียวกันก็พยายามดูแลสิ่งแวดล้อมควบคู่ด้วย เช่น โครงการไม้มงคล คนอยู่ร่วมกับป่า การส่งเสริมการปลูกไม้ 58 ชนิด ซึ่งสามารถประเมินมูลค่าเป็นหลักทรัพย์สําหรับการกู้ยืม และขออนุญาตตัดขายได้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าประเทศต้องการหัวกะทิ รัฐบาลส่งเสริมการเรียนการสอน ทั้งการศึกษาในโรงเรียน การศึกษานอกโรงเรียน การศึกษาศาสนา โรงเรียนปอเนาะ รวมทั้งการปฏิรูปการศึกษา ให้การศึกษาเป็นเรื่องของการเรียนรู้ รู้จักกระบวนการคิดวิเคราะห์ พัฒนาตัวเอง ขอให้ทุกคนตั้งใจ ตั้งมั่น คิดวิเคราะห์ให้เป็น และมีแรงบันดาลใจ ที่สําคัญนักเรียนที่จบการศึกษาต้องมีงานทํา โดยนายกรัฐมนตรียังได้ร่วมร้องเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” กับนักเรียนอย่างเป็นกันเอง ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีให้กำลังใจนักเรียนจังหวัดนราธิวาส ขอให้ตั้งใจ มุ่งมั่นศึกษา เพื่อให้ประสบความสำเร็จ วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563 นายกรัฐมนตรีให้กําลังใจนักเรียนจังหวัดนราธิวาส ขอให้ตั้งใจ มุ่งมั่นศึกษา เพื่อให้ประสบความสําเร็จ นายกรัฐมนตรีให้กําลังใจนักเรียนจังหวัดนราธิวาส ขอให้ตั้งใจ มุ่งมั่นศึกษา เพื่อให้ประสบความสําเร็จ วันนี้ (20 มกราคม 2563) เวลา 14.40 น. ณ โรงเรียนนราธิวาส อําเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการรินน้ําใจสู่น้องชาวใต้ และเยี่ยมชมกิจกรรมสอนเสริมเพิ่มศักยภาพเพื่อการแข่งขัน สําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 โดยมีทีมวิทยากรกว่า 50 คน ซึ่งเป็นจิตอาสาจากโรงเรียนในสังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 กรุงเทพฯ อาทิ โรงเรียนวัดสุทธิวราราม โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ โรงเรียนเศรษฐบุตรบําเพ็ญ และโรงเรียนอื่น ๆ ใน สพม. 2 โดยมีทั้งวิชาแนะแนว ภาษาต่างประเทศ ภาษาไทย สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ชีววิทยา เป็นต้น เข้าร่วมโครงการรินน้ําใจสู่น้องชาวใต้ ช่วยพัฒนานักเรียนในโรงเรียนเขตพื้นที่พัฒนาพิเศษ 3 จังหวัด ที่ดําเนินการมาแล้วกว่า 10 ปี โดยมีผลลัพธ์เป็นที่พอใจ นักเรียนสามารถนําไปต่อยอดการศึกษาและประสบความสําเร็จในการสอบเข้าสถาบันการศึกษาในระดับสูงขึ้นไป โดยมีนักเรียนและบุคลากรการศึกษา ประมาณ 1,000 คน เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ ซึ่งนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้กล่าวรายงาน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายนักเรียนว่า ในฐานะอดีตครูเก่า เป็นครูทหารเก่า ดีใจที่มาพบปะกับนักเรียนวันนี้ นักเรียนมีเป้าหมาย ประเทศเองก็ต้องมีเป้าหมาย รัฐบาลกําหนดยุทธศาลตร์ชาติ ขับเคลื่อนสู่ประเทศไทย 4.0 ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรม รัฐบาลมีหน้าที่ 2 อย่าง คือการสร้างโอกาส พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนน ทางพิเศษ รวมทั้งการดูแลผู้มีรายได้น้อย ซึ่งรัฐบาลทํามาตลอด โดยดําเนินงานอย่างเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ ปัญหาในภาคใต้วันนี้มีทิศทางดีขึ้น รัฐบาลมีโครงการส่งเสริมเขตเศรษฐกิจพิเศษ รวมทั้งการพัฒนาต่าง ๆ ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือฝุ่นจิ๋ว pm 2.5 ที่เกิดจากยานพาหนะกว่าร้อยละ 72 โดยเฉพาะรถยนต์เก่าที่สันดาปไม่สมบูรณ์ปล่อยควันพิษ การเผาในที่โล่งแจ้ง โรงงานและอื่น ๆ ซึ่งได้มีความพยายามในการใช้กฎหมายรณรงค์ให้ช่วยกันดูแลเครื่องยนต์ เปลี่ยนท่อไอเสีย ขณะเดียวกันก็พยายามดูแลสิ่งแวดล้อมควบคู่ด้วย เช่น โครงการไม้มงคล คนอยู่ร่วมกับป่า การส่งเสริมการปลูกไม้ 58 ชนิด ซึ่งสามารถประเมินมูลค่าเป็นหลักทรัพย์สําหรับการกู้ยืม และขออนุญาตตัดขายได้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าประเทศต้องการหัวกะทิ รัฐบาลส่งเสริมการเรียนการสอน ทั้งการศึกษาในโรงเรียน การศึกษานอกโรงเรียน การศึกษาศาสนา โรงเรียนปอเนาะ รวมทั้งการปฏิรูปการศึกษา ให้การศึกษาเป็นเรื่องของการเรียนรู้ รู้จักกระบวนการคิดวิเคราะห์ พัฒนาตัวเอง ขอให้ทุกคนตั้งใจ ตั้งมั่น คิดวิเคราะห์ให้เป็น และมีแรงบันดาลใจ ที่สําคัญนักเรียนที่จบการศึกษาต้องมีงานทํา โดยนายกรัฐมนตรียังได้ร่วมร้องเพลง “คืนความสุขให้ประเทศไทย” กับนักเรียนอย่างเป็นกันเอง ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25926
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.คลังเยี่ยมคารวะรองนายกฯ และ รมว.คลังของญี่ปุ่น
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562 รมว.คลังเยี่ยมคารวะรองนายกฯ และ รมว.คลังของญี่ปุ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ ได้เข้าพบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 เพื่อเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ ได้เข้าพบนาย Taro Aso รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 เพื่อเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เน้นย้ําถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทย และความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งยังให้ความสําคัญกับการดําเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนการยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การยกระดับศักยภาพของแรงงานการวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต ตลอดจนการสนับสนุนการลงทุนและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศและเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยกับกลุ่มประเทศ CLMV นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง หน่วยงานกํากับดูแลด้านการเงิน และสถาบันการเงินของทั้งสองประเทศในด้านต่างๆ เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และนโยบายรองรับสังคมผู้สูงอายุ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้หารือกับนายTadashi Maeda ผู้ว่าการธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation: JBIC) เกี่ยวกับการดําเนินโครงการที่สําคัญของ JBIC ในประเทศไทย เช่น การสนับสนุนด้านเงินกู้ทั้งในโครงการภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการสนับสนุนทางการเงินแก่ SMEs ของญี่ปุ่นในประเทศไทย ในโอกาสนี้ได้เชิญชวนให้ JBIC ขยายบทบาทในประเทศไทย โดย ดร.อุตตมฯ ได้กล่าวว่าขณะนี้ประเทศไทยมีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศและเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยกับภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แสดงความขอบคุณที่ญี่ปุ่นมีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนกลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ไทยมาโดยตลอด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้หารือทวิภาคีกับผู้บริหารของบริษัท Marubeni Corporation ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ให้ความมั่นใจถึงเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งเชิญชวนให้บริษัทขยายการลงทุนในประเทศไทย สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3610
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.คลังเยี่ยมคารวะรองนายกฯ และ รมว.คลังของญี่ปุ่น วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562 รมว.คลังเยี่ยมคารวะรองนายกฯ และ รมว.คลังของญี่ปุ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ ได้เข้าพบรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 เพื่อเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ ได้เข้าพบนาย Taro Aso รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 เพื่อเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เน้นย้ําถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไทย และความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งยังให้ความสําคัญกับการดําเนินนโยบายเพื่อสนับสนุนการยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย การปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การยกระดับศักยภาพของแรงงานการวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต ตลอดจนการสนับสนุนการลงทุนและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศและเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยกับกลุ่มประเทศ CLMV นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือกันถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง หน่วยงานกํากับดูแลด้านการเงิน และสถาบันการเงินของทั้งสองประเทศในด้านต่างๆ เช่น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และนโยบายรองรับสังคมผู้สูงอายุ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้หารือกับนายTadashi Maeda ผู้ว่าการธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation: JBIC) เกี่ยวกับการดําเนินโครงการที่สําคัญของ JBIC ในประเทศไทย เช่น การสนับสนุนด้านเงินกู้ทั้งในโครงการภาครัฐและเอกชน รวมทั้งการสนับสนุนทางการเงินแก่ SMEs ของญี่ปุ่นในประเทศไทย ในโอกาสนี้ได้เชิญชวนให้ JBIC ขยายบทบาทในประเทศไทย โดย ดร.อุตตมฯ ได้กล่าวว่าขณะนี้ประเทศไทยมีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศและเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยกับภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้แสดงความขอบคุณที่ญี่ปุ่นมีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนกลไกการขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ไทยมาโดยตลอด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้หารือทวิภาคีกับผู้บริหารของบริษัท Marubeni Corporation ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ให้ความมั่นใจถึงเศรษฐกิจไทย พร้อมทั้งเชิญชวนให้บริษัทขยายการลงทุนในประเทศไทย สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3610
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21858
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ร่วมเปิดตัวโครงการ “เกื้อกูลผู้สูงวัย สังคมไทยน่าอยู่”
วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562 ไอแบงก์ร่วมเปิดตัวโครงการ “เกื้อกูลผู้สูงวัย สังคมไทยน่าอยู่” เมื่อช่วงเช้าวันพุธที่ 30 ม.ค.2562 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ในฐานะเครือข่ายสภาสถาบันการเงินของรัฐ ร่วมงานเปิดตัวโครงการ “เกื้อกูลผู้สูงวัย สังคมไทยน่าอยู่” โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานในพิธี นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย ผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดเผยว่า โครงการ “เกื้อกูลผู้สูงวัย สังคมไทยน่าอยู่” จัดโดยกระทรวงการคลัง ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย และสภาสถาบันการเงินของรัฐ ไอแบงก์จึงขอเชิญชวนผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพอยู่ในปัจจุบัน และมีฐานะการเงินที่มั่นคงร่วมบริจาคเบี้ยยังชีพ เพื่อนําเงินไปช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย โดยผู้ที่แจ้งบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2562 จะได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากนายกรัฐมนตรี และสามารถนําไปลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า แจ้งบริจาคได้ที่ไอแบงก์ทุกสาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุ(60 ปีขึ้นไป) ที่ได้ขึ้นทะเบียน เพื่อขอรับสวัสดิการเบี้ยยังชีพสามารถติดต่อสาขาของธนาคาร เพื่อเปิดบัญชีเงินฝากผู้สูงอายุ โดยไม่กําหนดจํานวนเงินขั้นต่ําในการเปิดบัญชี ฟรี! ค่าทําบัตรเอทีเอ็ม และค่าธรรมเนียมรายปีสําหรับปีแรก สอบถามรายละเอียดเพิ่มที่ไอแบงก์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center โทร 1302
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ร่วมเปิดตัวโครงการ “เกื้อกูลผู้สูงวัย สังคมไทยน่าอยู่” วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562 ไอแบงก์ร่วมเปิดตัวโครงการ “เกื้อกูลผู้สูงวัย สังคมไทยน่าอยู่” เมื่อช่วงเช้าวันพุธที่ 30 ม.ค.2562 ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ในฐานะเครือข่ายสภาสถาบันการเงินของรัฐ ร่วมงานเปิดตัวโครงการ “เกื้อกูลผู้สูงวัย สังคมไทยน่าอยู่” โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานในพิธี นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย ผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดเผยว่า โครงการ “เกื้อกูลผู้สูงวัย สังคมไทยน่าอยู่” จัดโดยกระทรวงการคลัง ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย และสภาสถาบันการเงินของรัฐ ไอแบงก์จึงขอเชิญชวนผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพอยู่ในปัจจุบัน และมีฐานะการเงินที่มั่นคงร่วมบริจาคเบี้ยยังชีพ เพื่อนําเงินไปช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย โดยผู้ที่แจ้งบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 มีนาคม 2562 จะได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากนายกรัฐมนตรี และสามารถนําไปลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่า แจ้งบริจาคได้ที่ไอแบงก์ทุกสาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุ(60 ปีขึ้นไป) ที่ได้ขึ้นทะเบียน เพื่อขอรับสวัสดิการเบี้ยยังชีพสามารถติดต่อสาขาของธนาคาร เพื่อเปิดบัญชีเงินฝากผู้สูงอายุ โดยไม่กําหนดจํานวนเงินขั้นต่ําในการเปิดบัญชี ฟรี! ค่าทําบัตรเอทีเอ็ม และค่าธรรมเนียมรายปีสําหรับปีแรก สอบถามรายละเอียดเพิ่มที่ไอแบงก์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center โทร 1302
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18475
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. จัดเวิร์กช็อปทำผลงานเพื่อเสนอรับรางวัลบริการภาครัฐแห่งชาติ และ รางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560 ยธ. จัดเวิร์กช็อปทําผลงานเพื่อเสนอรับรางวัลบริการภาครัฐแห่งชาติ และ รางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๐ นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําผลงานเพื่อเสนอรับรางวัลบริการภาครัฐแห่งชาติและรางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําผลงานเพื่อเสนอรับรางวัลบริการภาครัฐแห่งชาติ และรางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีข้าราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากสํานักงานยุติธรรมจังหวัด สํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ และสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ ณ โรงแรมเทวาบูติค โฮเทล ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ. จัดเวิร์กช็อปทำผลงานเพื่อเสนอรับรางวัลบริการภาครัฐแห่งชาติ และ รางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2560 ยธ. จัดเวิร์กช็อปทําผลงานเพื่อเสนอรับรางวัลบริการภาครัฐแห่งชาติ และ รางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๐ นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําผลงานเพื่อเสนอรับรางวัลบริการภาครัฐแห่งชาติและรางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทําผลงานเพื่อเสนอรับรางวัลบริการภาครัฐแห่งชาติ และรางวัลความเป็นเลิศด้านการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีข้าราชการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากสํานักงานยุติธรรมจังหวัด สํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ และสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ ณ โรงแรมเทวาบูติค โฮเทล ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1494
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ออกมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (ไวรัส “โควิด-19”) ย้ำให้เจ้าหน้าที่งดการเดินทางไปยังประเทศที่มีความเสี่ยง
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ก.อุตฯ ออกมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (ไวรัส “โควิด-19”) ย้ําให้เจ้าหน้าที่งดการเดินทางไปยังประเทศที่มีความเสี่ยง นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องมาตรการป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (ไวรัส “โควิด-19”) ที่เกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมไม่ให้มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) อย่างมีประสิทธิภาพ และลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคดังกล่าวมิให้ติดต่อไปยังบุคคลอื่น รวมทั้งเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเจ้าหน้าที่และการดําเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องมาตรการป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ระบุว่าตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) เป็นโรคติดต่ออันตราย ลําดับที่ ๑๔ ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ จึงกําหนดมาตรการป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) สําหรับส่วนราชการและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ดังนี้ ๑. ให้เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพส่วนบุคคลด้วยการหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ําและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นํามือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จําเป็น ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยที่สะอาด เมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันเป็นจํานวนมาก ผู้ที่มีอาการไอ จาม ต้องใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ๒. เพิ่มการดูแลอนามัยด้านสถานที่ของหน่วยงาน เช่น การเพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดพื้นทางเดินเข้า-ออกอาคาร ลิฟต์ ห้องน้ํา ด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ ตรวจเช็คทําความสะอาดจุดสัมผัสสาธารณะด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ เช่น ปุ่มกดลิฟต์ ราวบันได ที่จับหรือลูกบิดประตู/อาคาร จัดให้มีบริการเจลล้างมือโดยเฉพาะจุดที่มีการเข้า-ออกอาคาร หน้าลิฟต์ ห้องประชุม และศูนย์อาหาร เพิ่มความถี่ในการดูแลระบบเครื่องปรับอากาศเป็นกรณีพิเศษ ปิดประกาศประชาสัมพันธ์ สร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับการแพร่ระบาดและการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันเชื้อโรค เป็นต้น ๓. ให้เจ้าหน้าที่งดหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังหรือแวะผ่าน (Transit) ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ญี่ปุ่น มาเลเซีย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สาธารณรัฐสิงค์โปร์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน สาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน รวมทั้งประเทศ ที่อาจมีความเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุขจะประกาศในอนาคต ระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ จนถึงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๓ หรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ๔. เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับอนุมัติหรืออนุญาตให้เดินทางไปยังประเทศหรือพื้นที่ที่มีการระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ตาม ๓. ไปแล้วก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ขอให้เจ้าหน้าที่ดังกล่าวพิจารณาทบทวนความจําเป็นของการเดินทางโดยการงดหรือเลื่อนการเดินทางออกไปให้พ้นระยะเวลาที่กําหนดไว้ใน ๓. ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นอย่างยิ่ง และไม่สามารถงดหรือเลื่อนการเดินทางไปยังประเทศหรือพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ตาม ๓ ได้ให้ระมัดระวังและปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยหรือติดเชื้อ และเฝ้าระวังต่อเนื่องจนครบ ๑๔ วัน เมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ๕. เจ้าหน้าที่ที่เดินทางกลับจากประเทศหรือพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ตาม ๓. ให้รายงานตัวต่อหัวหน้าส่วนราชการระดับกองหรือเทียบเท่าและในขณะปฏิบัติหน้าที่ราชการ ให้สวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตลอดเวลา เฝ้าระวังตนเองเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ คนหนาแน่น รักษาร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ หากมีไข้ เจ็บคอ หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย หรือหายใจลําบาก หรืออาการอื่นๆ อันเป็นข้อบ่งชี้ของการติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ต้องเข้ารับการตรวจรักษาพยาบาล ณ สถานพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุข กําหนดโดยทันที ๖. ให้เจ้าหน้าที่ติดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศหรือรัฐบาล ในกรณีที่มีการประกาศคําแนะนําการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการกักตัวผู้เดินทางออกจากประเทศไทย และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดต่อไป --------------------------------- 28 กุมภาพันธ์ 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ออกมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (ไวรัส “โควิด-19”) ย้ำให้เจ้าหน้าที่งดการเดินทางไปยังประเทศที่มีความเสี่ยง วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ก.อุตฯ ออกมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (ไวรัส “โควิด-19”) ย้ําให้เจ้าหน้าที่งดการเดินทางไปยังประเทศที่มีความเสี่ยง นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องมาตรการป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (ไวรัส “โควิด-19”) ที่เกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมไม่ให้มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) อย่างมีประสิทธิภาพ และลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคดังกล่าวมิให้ติดต่อไปยังบุคคลอื่น รวมทั้งเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเจ้าหน้าที่และการดําเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องมาตรการป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ระบุว่าตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) เป็นโรคติดต่ออันตราย ลําดับที่ ๑๔ ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ จึงกําหนดมาตรการป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) สําหรับส่วนราชการและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ดังนี้ ๑. ให้เจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพส่วนบุคคลด้วยการหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ําและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นํามือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จําเป็น ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยที่สะอาด เมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันเป็นจํานวนมาก ผู้ที่มีอาการไอ จาม ต้องใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ๒. เพิ่มการดูแลอนามัยด้านสถานที่ของหน่วยงาน เช่น การเพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดพื้นทางเดินเข้า-ออกอาคาร ลิฟต์ ห้องน้ํา ด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ ตรวจเช็คทําความสะอาดจุดสัมผัสสาธารณะด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ เช่น ปุ่มกดลิฟต์ ราวบันได ที่จับหรือลูกบิดประตู/อาคาร จัดให้มีบริการเจลล้างมือโดยเฉพาะจุดที่มีการเข้า-ออกอาคาร หน้าลิฟต์ ห้องประชุม และศูนย์อาหาร เพิ่มความถี่ในการดูแลระบบเครื่องปรับอากาศเป็นกรณีพิเศษ ปิดประกาศประชาสัมพันธ์ สร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับการแพร่ระบาดและการปฏิบัติตนเพื่อป้องกันเชื้อโรค เป็นต้น ๓. ให้เจ้าหน้าที่งดหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังหรือแวะผ่าน (Transit) ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ญี่ปุ่น มาเลเซีย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สาธารณรัฐสิงค์โปร์ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน สาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน รวมทั้งประเทศ ที่อาจมีความเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุขจะประกาศในอนาคต ระหว่างวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ จนถึงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๓ หรือตามที่กระทรวงสาธารณสุขจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง ๔. เจ้าหน้าที่ซึ่งได้รับอนุมัติหรืออนุญาตให้เดินทางไปยังประเทศหรือพื้นที่ที่มีการระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ตาม ๓. ไปแล้วก่อนวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ ขอให้เจ้าหน้าที่ดังกล่าวพิจารณาทบทวนความจําเป็นของการเดินทางโดยการงดหรือเลื่อนการเดินทางออกไปให้พ้นระยะเวลาที่กําหนดไว้ใน ๓. ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นอย่างยิ่ง และไม่สามารถงดหรือเลื่อนการเดินทางไปยังประเทศหรือพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ตาม ๓ ได้ให้ระมัดระวังและปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยหรือติดเชื้อ และเฝ้าระวังต่อเนื่องจนครบ ๑๔ วัน เมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ๕. เจ้าหน้าที่ที่เดินทางกลับจากประเทศหรือพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ตาม ๓. ให้รายงานตัวต่อหัวหน้าส่วนราชการระดับกองหรือเทียบเท่าและในขณะปฏิบัติหน้าที่ราชการ ให้สวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตลอดเวลา เฝ้าระวังตนเองเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ คนหนาแน่น รักษาร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ หากมีไข้ เจ็บคอ หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย หรือหายใจลําบาก หรืออาการอื่นๆ อันเป็นข้อบ่งชี้ของการติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ต้องเข้ารับการตรวจรักษาพยาบาล ณ สถานพยาบาลที่กระทรวงสาธารณสุข กําหนดโดยทันที ๖. ให้เจ้าหน้าที่ติดตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศหรือรัฐบาล ในกรณีที่มีการประกาศคําแนะนําการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการกักตัวผู้เดินทางออกจากประเทศไทย และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดต่อไป --------------------------------- 28 กุมภาพันธ์ 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26820
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว.หารือรองอธิการบดีกิจการนักศึกษาทั่วประเทศ
วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562 อว.หารือรองอธิการบดีกิจการนักศึกษาทั่วประเทศ อว.หารือรองอธิการบดีกิจการนักศึกษาทั่วประเทศ อว.หารือรองอธิการบดีกิจการนักศึกษาทั่วประเทศ ร่วมผลักดันขับเคลื่อนโครงการ "ยุวชนสร้างชาติ" ให้เป็นรูปธรรม กลางธันวาคม 62 นี้ 15 พฤศจิกายน 2562 : ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมพบปะหารือและมอบนโยบายด้านการพัฒนานักศึกษา เพื่อตอบโจยท์การพัฒนากําลังคนของประเทศ ร่วมกับรองอธิการบดืฝ่ายกิจการนักศึกษา จากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ ณ โรงแรมปริ๊นซ์พาเลส กรุงเทพมหานคร โดยมี นายจําลอง พรมสวัสดิ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการรัฐมนตรีฯ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯศาสตราจารย์ ดร.สัมพันธ์ ฤทธิเดช เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา คณะผู้บริหารสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ รองอธิการบดีและคณะผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนทั่วประเทศ และสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังจํานวนกว่า 200 คน เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว.หารือรองอธิการบดีกิจการนักศึกษาทั่วประเทศ วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562 อว.หารือรองอธิการบดีกิจการนักศึกษาทั่วประเทศ อว.หารือรองอธิการบดีกิจการนักศึกษาทั่วประเทศ อว.หารือรองอธิการบดีกิจการนักศึกษาทั่วประเทศ ร่วมผลักดันขับเคลื่อนโครงการ "ยุวชนสร้างชาติ" ให้เป็นรูปธรรม กลางธันวาคม 62 นี้ 15 พฤศจิกายน 2562 : ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมพบปะหารือและมอบนโยบายด้านการพัฒนานักศึกษา เพื่อตอบโจยท์การพัฒนากําลังคนของประเทศ ร่วมกับรองอธิการบดืฝ่ายกิจการนักศึกษา จากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศ ณ โรงแรมปริ๊นซ์พาเลส กรุงเทพมหานคร โดยมี นายจําลอง พรมสวัสดิ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ นางสุวรรณี คํามั่น เลขานุการรัฐมนตรีฯ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีฯ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯศาสตราจารย์ ดร.สัมพันธ์ ฤทธิเดช เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา คณะผู้บริหารสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ รองอธิการบดีและคณะผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนทั่วประเทศ และสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังจํานวนกว่า 200 คน เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24620
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เผยทำงานเต็มที่ เกิน 100% ยืนยันทำทุกอย่างให้ดีที่สุดภายในกรอบระยะเวลาที่มี
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2560 นรม. เผยทํางานเต็มที่ เกิน 100% ยืนยันทําทุกอย่างให้ดีที่สุดภายในกรอบระยะเวลาที่มี นายกรัฐมนตรีเผยทํางานเต็มที่เกิน 100% ยืนยันทําทุกอย่างให้ดีที่สุดภายในกรอบระยะเวลาที่มี วันนี้ (16 พฤษภาคม 256) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการทํางานในตําแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า วันนี้ตนไม่ใช่ทํางาน 100 เปอร์เซนต์ เเต่ทํางานเต็ม 200 เปอร์เซนต์ เพราะต้องกํากับดูเเล ติดตามนโยบายทั้งหมด ตามรูปแบบของตน ขอถามคนที่จะเข้ามาทํางานในวันข้างหน้าว่าจะทําอย่างไร จะปรับสิ่งที่ผิดพลาดจากครั้งที่เเล้วอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "เอาคําถามที่จะถามว่าผมยังทําไม่เสร็จ ไม่มีผลงานบ้างล่ะ ไปถามเขาสิว่าที่ผ่านมาเขามีผลงานอะไร ผลงานนั้นถูกต้องเท่าเทียมจริงหรือเปล่า ทําไมยังเหลือให้ผมทําอีกเยอะเเยะ เเล้วมาบอกว่าทําไม่เสร็จ เเล้วที่ทํามา 30 ปี กี่สิบปีกันมากี่รัฐบาล ก็เลยต้องมียุทธศาสตร์ชาติไงล่ะ ต้องทําต่อไป 20-30 ปี นโยบายรัฐบาลที่ทําดีเเล้วก็ทําต่อ ผมไม่ได้ไปล้มทั้งหมด เเต่ต่อไปจะล้มหรือเปล่าไม่รู้ ทําให้มันดีขึ้น เเกะมันออกมา เเต่จะดีขึ้นทันใจไม่ได้ ต้องใช้การทํางาน การมีส่วนร่วม หลายอย่างต้องไปดู อะไรที่ไม่ก้าวหน้าก็บอกมา ผมจะไปตามให้ มีรัฐบาลไหนฟังเเบบนี้บ้าง" ส่วนผลการดําเนินงานของรัฐบาลในช่วงครบรอบ 3 ปี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ส่วนตัวไม่พอใจเพราะทํางานให้เสร็จตามเวลาไม่ได้ แต่ได้ทําทุกอย่างให้ดีที่สุดตราบเท่าที่มีงบประมาณและเวลาให้ทํา ส่วนใครจะทําต่อก็เป็นเรื่องของวันข้างหน้า และต้องการให้ทุกอย่างต่อเนื่องในวันข้างหน้า ซึ่งหลายคนไม่เข้าใจ และไม่พอใจกล่าวหาว่ารัฐบาลจะสืบทอดอํานาจ แต่ผมจะสืบทอดปัญหาที่แก้ไขไม่เสร็จให้รัฐบาลชุดต่อไปทํางานแก้ไขปัญหาเพื่อประเทศชาติ ----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เผยทำงานเต็มที่ เกิน 100% ยืนยันทำทุกอย่างให้ดีที่สุดภายในกรอบระยะเวลาที่มี วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2560 นรม. เผยทํางานเต็มที่ เกิน 100% ยืนยันทําทุกอย่างให้ดีที่สุดภายในกรอบระยะเวลาที่มี นายกรัฐมนตรีเผยทํางานเต็มที่เกิน 100% ยืนยันทําทุกอย่างให้ดีที่สุดภายในกรอบระยะเวลาที่มี วันนี้ (16 พฤษภาคม 256) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการทํางานในตําแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า วันนี้ตนไม่ใช่ทํางาน 100 เปอร์เซนต์ เเต่ทํางานเต็ม 200 เปอร์เซนต์ เพราะต้องกํากับดูเเล ติดตามนโยบายทั้งหมด ตามรูปแบบของตน ขอถามคนที่จะเข้ามาทํางานในวันข้างหน้าว่าจะทําอย่างไร จะปรับสิ่งที่ผิดพลาดจากครั้งที่เเล้วอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า "เอาคําถามที่จะถามว่าผมยังทําไม่เสร็จ ไม่มีผลงานบ้างล่ะ ไปถามเขาสิว่าที่ผ่านมาเขามีผลงานอะไร ผลงานนั้นถูกต้องเท่าเทียมจริงหรือเปล่า ทําไมยังเหลือให้ผมทําอีกเยอะเเยะ เเล้วมาบอกว่าทําไม่เสร็จ เเล้วที่ทํามา 30 ปี กี่สิบปีกันมากี่รัฐบาล ก็เลยต้องมียุทธศาสตร์ชาติไงล่ะ ต้องทําต่อไป 20-30 ปี นโยบายรัฐบาลที่ทําดีเเล้วก็ทําต่อ ผมไม่ได้ไปล้มทั้งหมด เเต่ต่อไปจะล้มหรือเปล่าไม่รู้ ทําให้มันดีขึ้น เเกะมันออกมา เเต่จะดีขึ้นทันใจไม่ได้ ต้องใช้การทํางาน การมีส่วนร่วม หลายอย่างต้องไปดู อะไรที่ไม่ก้าวหน้าก็บอกมา ผมจะไปตามให้ มีรัฐบาลไหนฟังเเบบนี้บ้าง" ส่วนผลการดําเนินงานของรัฐบาลในช่วงครบรอบ 3 ปี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ส่วนตัวไม่พอใจเพราะทํางานให้เสร็จตามเวลาไม่ได้ แต่ได้ทําทุกอย่างให้ดีที่สุดตราบเท่าที่มีงบประมาณและเวลาให้ทํา ส่วนใครจะทําต่อก็เป็นเรื่องของวันข้างหน้า และต้องการให้ทุกอย่างต่อเนื่องในวันข้างหน้า ซึ่งหลายคนไม่เข้าใจ และไม่พอใจกล่าวหาว่ารัฐบาลจะสืบทอดอํานาจ แต่ผมจะสืบทอดปัญหาที่แก้ไขไม่เสร็จให้รัฐบาลชุดต่อไปทํางานแก้ไขปัญหาเพื่อประเทศชาติ ----------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขณะนี้มีการอนุญาตให้จำหน่ายสุรา หรือเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ได้หรือไม่ ??
วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2563 ขณะนี้มีการอนุญาตให้จําหน่ายสุรา หรือเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ได้หรือไม่ ?? ขณะนี้มีการอนุญาตให้จําหน่ายสุรา หรือเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ได้หรือไม่ ?? Q : ขณะนี้มีการอนุญาตให้จําหน่ายสุรา หรือเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ได้หรือไม่ ?? A : ได้ โดยล่าสุดได้มีคําสั่งให้ร้านอาหารหรือเครื่องดื่มซึ่งจําหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เปิดได้ แต่ห้ามบริโภคภายในร้าน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้หากมีเหตุสมควรต้องจํากัดการจําหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้เป็นอํานาจของผู้ว่าฯ ในการออกคําสั่งตามอํานาจได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขณะนี้มีการอนุญาตให้จำหน่ายสุรา หรือเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ได้หรือไม่ ?? วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2563 ขณะนี้มีการอนุญาตให้จําหน่ายสุรา หรือเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ได้หรือไม่ ?? ขณะนี้มีการอนุญาตให้จําหน่ายสุรา หรือเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ได้หรือไม่ ?? Q : ขณะนี้มีการอนุญาตให้จําหน่ายสุรา หรือเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ ได้หรือไม่ ?? A : ได้ โดยล่าสุดได้มีคําสั่งให้ร้านอาหารหรือเครื่องดื่มซึ่งจําหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เปิดได้ แต่ห้ามบริโภคภายในร้าน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้หากมีเหตุสมควรต้องจํากัดการจําหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้เป็นอํานาจของผู้ว่าฯ ในการออกคําสั่งตามอํานาจได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30199
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.ร.ก. ยาแรง ฝีแตก เร่งรัด เยียวยา รักษาชีวิต
วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม 2560 พ.ร.ก. ยาแรง ฝีแตก เร่งรัด เยียวยา รักษาชีวิต จากการประกาศใช้พระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 เพื่อหยุดยั้งการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในภาคส่วนสถานประกอบการต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีทั้งที่เห็นด้วยกับการสร้างมาตรฐานที่ถูกต้องทั้งด้านสังคม ความมั่นคง จากการประกาศใช้พระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 เพื่อหยุดยั้งการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในภาคส่วนสถานประกอบการต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีทั้งที่เห็นด้วยกับการสร้างมาตรฐานที่ถูกต้องทั้งด้านสังคม ความมั่นคง รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งออกแรงงานมาไทยก็เห็นด้วยกับการใช้ พ.ร.ก. ฉบับนี้ พร้อมทั้งให้ความร่วมมือ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตาม พ.ร.ก. ได้อย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม มีภาคส่วนที่เกิดผลกระทบต่อการผลิต ซึ่งใช้แรงงานผิดกฎหมายมาตลอด เพราะทําให้มีต้นทุนต่ํา สร้างกําไรได้มากขึ้น และนับวันกิจการดังกล่าวนี้จะขยายตัวมากขึ้น รวมทั้งในบางกิจการบางพื้นที่แรงงานต่างด้าวเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการเอง ปรากฏการณ์เหล่านี้สร้างความกังวลให้กับสังคมไทยตลอดมา นายสุทธิ สุโกศล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงานได้นําข้อมูลของสํานักเศรษฐกิจการแรงงาน และนักวิชาการด้านแรงงานมาสรุปและวิเคราะห์ย้อนกลับ จากกรณีที่ภาคส่วนการผลิตได้กล่าวว่า การใช้ พรก. ฉบับนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจต่ําลง มีสถานประกอบการ และกิจการรายย่อยเกิดความเสียหายจํานวนมากนั้น หากมองย้อนกลับ ยิ่งเกิดความเสียหายของกลุ่มดังกล่าวมากเท่าใด นั่นคือตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่าในประเทศไทยมีผู้กระทําผิดกฎหมายใช้แรงงานเถื่อนมากขึ้นเท่านั้น จากคํากล่าวของดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในงานเสวนาวิชาการ "พระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ปวงชนชาวไทยได้อะไร" ไว้ว่า ผู้มีส่วนได้เสียด้านแรงงาน คือ แรงงาน สถานประกอบการ/นายจ้าง หน่วยงานภาครัฐและประเทศต้นทาง ทั้ง 4 ส่วนนี้ จะต้องร่วมมือและรับผิดชอบจึงจะทําให้เกิดความถูกต้องเป็นธรรมในสังคม และนักเศรษฐศาสตร์ได้กล่าวถึงการมีส่วนได้เสียของกิจการเพื่อผลกําไรว่า ต้องดูต้นทุน ต้องดูผู้ซื้อ ต้องดูราคาขายและต้องดูคุณภาพ จํานวนของสินค้า การจะพิจารณาให้ต้นทุนต่ําประการเดียวเพื่อให้มีกําไรมากขึ้นไม่ถูกต้องนัก นายสุทธิได้กล่าวต่อไปว่า จากปัญหาการขยายตัวของการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในกิจการต่าง ๆ นับวันจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกิจการขนาดเล็ก จึงใช้ พ.ร.ก. การทํางานของคนต่างด้าว มาบังคับใช้ ซึ่งถือว่าเป็นยาแรง เพื่อหยุดยั้งให้ทันท่วงทีด้วยการนํากฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่มีผลบังคับใช้แล้วมารวมกัน และใช้ฐานบังคับเรื่องความผิดเกี่ยวกับกฎหมายฉบับอื่น ๆ ที่ประกาศใช้มาแล้วเช่นเดียวกัน พร้อมกับได้สร้างการรับรู้ แจ้งเตือนล่วงหน้ามาเป็นระยะ ตลอดเวลา ภายใน 24 ก.ค. – 7 ส.ค.นี้ เราก็จะได้รู้ว่าที่ผ่านมามีการใช้แรงงานผิดกฎหมายในกิจการที่เกิดผลกระทบจํานวนเท่าใด เพราะจะเปิดโอกาสให้ไปแสดงความจํานงในการใช้แรงงานต่างด้าว เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบและอํานวยความสะดวกให้มีความรวดเร็ว ค่าใช้จ่ายถูกต้องตามที่กฎหมายกําหนด ในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวนี้พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้เน้นย้ํากับข้าราชการกระทรวงแรงงาน รวมทั้งชี้แจงผู้ประกอบการมาตลอดว่า ได้พยายามให้ผู้มีส่วนได้เสียกับแรงงานได้ร่วมมือกัน ผลกระทบจากตัวแรงงานเองก็ต้องได้รับการแก้ไข ผลกระทบจากผู้ประกอบการเองก็ต้องเยียวยา ทุกภาคส่วนต้องยึดความถูกต้องเป็นหลัก ผมได้มอบหมายให้ข้าราชการกระทรวงแรงงานทุกคน ถือว่าเป็นภาระหน้าที่เพื่อสร้างความยุติธรรม ความเสมอภาคในสังคม สุดท้ายนายสุทธิฯได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในห้วงที่เปิดให้แสดงเจตจํานงการใช้แรงงานต่างด้าว 24 ก.ค.- 7 ส.ค. นั้น ขอให้มาตั้งแต่วันแรก อย่ารอจนใกล้วันสุดท้ายแล้วจะทําให้ท่านไม่สะดวก รายละเอียดต่าง ๆ ได้มอบให้กรมการจัดหางานนําเสนอ หรือสอบถาม โทร. สายด่วน 1694 ได้ครับ ------------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ 16 กรกฎาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.ร.ก. ยาแรง ฝีแตก เร่งรัด เยียวยา รักษาชีวิต วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม 2560 พ.ร.ก. ยาแรง ฝีแตก เร่งรัด เยียวยา รักษาชีวิต จากการประกาศใช้พระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 เพื่อหยุดยั้งการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในภาคส่วนสถานประกอบการต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีทั้งที่เห็นด้วยกับการสร้างมาตรฐานที่ถูกต้องทั้งด้านสังคม ความมั่นคง จากการประกาศใช้พระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 เพื่อหยุดยั้งการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในภาคส่วนสถานประกอบการต่าง ๆ ที่ผ่านมา มีทั้งที่เห็นด้วยกับการสร้างมาตรฐานที่ถูกต้องทั้งด้านสังคม ความมั่นคง รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งออกแรงงานมาไทยก็เห็นด้วยกับการใช้ พ.ร.ก. ฉบับนี้ พร้อมทั้งให้ความร่วมมือ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตาม พ.ร.ก. ได้อย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม มีภาคส่วนที่เกิดผลกระทบต่อการผลิต ซึ่งใช้แรงงานผิดกฎหมายมาตลอด เพราะทําให้มีต้นทุนต่ํา สร้างกําไรได้มากขึ้น และนับวันกิจการดังกล่าวนี้จะขยายตัวมากขึ้น รวมทั้งในบางกิจการบางพื้นที่แรงงานต่างด้าวเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการเอง ปรากฏการณ์เหล่านี้สร้างความกังวลให้กับสังคมไทยตลอดมา นายสุทธิ สุโกศล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงานได้นําข้อมูลของสํานักเศรษฐกิจการแรงงาน และนักวิชาการด้านแรงงานมาสรุปและวิเคราะห์ย้อนกลับ จากกรณีที่ภาคส่วนการผลิตได้กล่าวว่า การใช้ พรก. ฉบับนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจต่ําลง มีสถานประกอบการ และกิจการรายย่อยเกิดความเสียหายจํานวนมากนั้น หากมองย้อนกลับ ยิ่งเกิดความเสียหายของกลุ่มดังกล่าวมากเท่าใด นั่นคือตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่าในประเทศไทยมีผู้กระทําผิดกฎหมายใช้แรงงานเถื่อนมากขึ้นเท่านั้น จากคํากล่าวของดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยในงานเสวนาวิชาการ "พระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ปวงชนชาวไทยได้อะไร" ไว้ว่า ผู้มีส่วนได้เสียด้านแรงงาน คือ แรงงาน สถานประกอบการ/นายจ้าง หน่วยงานภาครัฐและประเทศต้นทาง ทั้ง 4 ส่วนนี้ จะต้องร่วมมือและรับผิดชอบจึงจะทําให้เกิดความถูกต้องเป็นธรรมในสังคม และนักเศรษฐศาสตร์ได้กล่าวถึงการมีส่วนได้เสียของกิจการเพื่อผลกําไรว่า ต้องดูต้นทุน ต้องดูผู้ซื้อ ต้องดูราคาขายและต้องดูคุณภาพ จํานวนของสินค้า การจะพิจารณาให้ต้นทุนต่ําประการเดียวเพื่อให้มีกําไรมากขึ้นไม่ถูกต้องนัก นายสุทธิได้กล่าวต่อไปว่า จากปัญหาการขยายตัวของการใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในกิจการต่าง ๆ นับวันจะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกิจการขนาดเล็ก จึงใช้ พ.ร.ก. การทํางานของคนต่างด้าว มาบังคับใช้ ซึ่งถือว่าเป็นยาแรง เพื่อหยุดยั้งให้ทันท่วงทีด้วยการนํากฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ที่มีผลบังคับใช้แล้วมารวมกัน และใช้ฐานบังคับเรื่องความผิดเกี่ยวกับกฎหมายฉบับอื่น ๆ ที่ประกาศใช้มาแล้วเช่นเดียวกัน พร้อมกับได้สร้างการรับรู้ แจ้งเตือนล่วงหน้ามาเป็นระยะ ตลอดเวลา ภายใน 24 ก.ค. – 7 ส.ค.นี้ เราก็จะได้รู้ว่าที่ผ่านมามีการใช้แรงงานผิดกฎหมายในกิจการที่เกิดผลกระทบจํานวนเท่าใด เพราะจะเปิดโอกาสให้ไปแสดงความจํานงในการใช้แรงงานต่างด้าว เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบและอํานวยความสะดวกให้มีความรวดเร็ว ค่าใช้จ่ายถูกต้องตามที่กฎหมายกําหนด ในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวนี้พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้เน้นย้ํากับข้าราชการกระทรวงแรงงาน รวมทั้งชี้แจงผู้ประกอบการมาตลอดว่า ได้พยายามให้ผู้มีส่วนได้เสียกับแรงงานได้ร่วมมือกัน ผลกระทบจากตัวแรงงานเองก็ต้องได้รับการแก้ไข ผลกระทบจากผู้ประกอบการเองก็ต้องเยียวยา ทุกภาคส่วนต้องยึดความถูกต้องเป็นหลัก ผมได้มอบหมายให้ข้าราชการกระทรวงแรงงานทุกคน ถือว่าเป็นภาระหน้าที่เพื่อสร้างความยุติธรรม ความเสมอภาคในสังคม สุดท้ายนายสุทธิฯได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในห้วงที่เปิดให้แสดงเจตจํานงการใช้แรงงานต่างด้าว 24 ก.ค.- 7 ส.ค. นั้น ขอให้มาตั้งแต่วันแรก อย่ารอจนใกล้วันสุดท้ายแล้วจะทําให้ท่านไม่สะดวก รายละเอียดต่าง ๆ ได้มอบให้กรมการจัดหางานนําเสนอ หรือสอบถาม โทร. สายด่วน 1694 ได้ครับ ------------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ 16 กรกฎาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5243
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. กล่าวสนับสนุน ม.แม่ฟ้าหลวง ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนขับเคลื่อน “เชียงรายเมืองสมุนไพร” ให้ครบวงจร
วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2560 นรม. กล่าวสนับสนุน ม.แม่ฟ้าหลวง ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนขับเคลื่อน “เชียงรายเมืองสมุนไพร” ให้ครบวงจร นรม. กล่าวสนับสนุน ม.แม่ฟ้าหลวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบริหารจัดการ “เชียงรายเมืองสมุนไพรครบวงจร” เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน วันนี้ (17 ตุลาคม 2560) เวลา 8.45 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นําคณะเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ภาคประชาสังคม หน่วยงานในท้องถิ่น และตัวแทนชุมชนจังหวัดเชียงราย มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนการดําเนินงาน “เชียงรายเมืองสมุนไพรครบวงจร” โดยมหาวิทยาลัยฯ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศจากรัฐบาล เพื่อส่งเสริมผลิตผลของสมุนไพรให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรเพื่อการบําบัดรักษา สร้างมาตรฐานยาสมุนไพรและเภสัชตํารับยาสมุนไพรวิจัยและพัฒนาคุณภาพ ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาสมุนไพรให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนทุกภาคส่วน โอกาสนี้ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวรายงานว่า ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาพืชสมุนไพรไทย ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรไทย จนเกิดเป็นแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564 ที่มีเป้าหมายสําคัญเพื่อการกําหนดนโยบายและมาตรการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรไทยที่เป็นระบบ มีความยั่งยืน มีการวิจัยพัฒนาให้เป็นที่ยอมรับ สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยตามนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ภาคประชาสังคม หน่วยงานในท้องถิ่น และตัวแทนชุมชนจังหวัดเชียงราย ต่างมีความพร้อมในการตอบสนองนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “เชียงรายเมืองสมุนไพรครบวงจร” โดยเป็นหน่วยงานหลักด้านการวิจัยและพัฒนาการส่งเสริมการผลิต พร้อมสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนากําลังคนด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้าน เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เมืองสมุนไพรให้เป็นรูปธรรม อีกทั้งยังเป็นต้นแบบการจัดการอุตสาหกรรมสมุนไพร ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็งมากขึ้น พร้อมกันนี้ จากแนวคิดและนโยบายดังกล่าว มหาวิทยาลัยฯ ได้ทําการศึกษา วิจัย และพัฒนายาสมุนไพรไทยเสร็จสิ้นไปแล้ว 20 ตํารับ ส่วนสมุนไพรไทยที่พร้อมจัดจําหน่ายในเบื้องต้นตอนนี้มีอยู่ด้วยกัน จํานวน 11 รายการ ได้แก่ (1) ขมิ้นชัน (2) ฟ้าทะลายโจร (3) ยาธาตุบรรจบ (4) ยาเขียวหอม (5) ยาหอมเนาวโกฐ (6) ยาอมอดบุหรี่โปร่งฟ้า (7) เจลกากเมล็ดชาแก้เชื้อรา (8) ขี้ผึ้งมะแขว่น (9) ขี้ผึ้งเสลดพังพอน (10) น้ํามันมะแขว่น (11) สเปรย์มะแขว่นไล่ยุง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ไดรับมอบผลิตภัณฑ์สมุนไพร 11 ชนิด จากอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พร้อมทั้งได้ทดลองทาครีมรวงข้าว อีกทั้งกล่าวสนับสนุนและย้ําว่า การดําเนินงานเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรไทยให้เป็นระบบ มีความยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับของประชาชนนั้น ต้องไม่ทําแบบฉาบฉวย จึงขอให้ช่วยกันส่งเสริมผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนในชุมชนมีรายได้มากขึ้น ทั้งนี้ ต้องการให้มีการนําผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวไปจําหน่ายในร้านธงฟ้า โดยจะมีการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ในเร็ว ๆ นี้ต่อไป ********************************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. กล่าวสนับสนุน ม.แม่ฟ้าหลวง ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนขับเคลื่อน “เชียงรายเมืองสมุนไพร” ให้ครบวงจร วันอังคารที่ 17 ตุลาคม 2560 นรม. กล่าวสนับสนุน ม.แม่ฟ้าหลวง ร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนขับเคลื่อน “เชียงรายเมืองสมุนไพร” ให้ครบวงจร นรม. กล่าวสนับสนุน ม.แม่ฟ้าหลวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันบริหารจัดการ “เชียงรายเมืองสมุนไพรครบวงจร” เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน วันนี้ (17 ตุลาคม 2560) เวลา 8.45 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นําคณะเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ภาคประชาสังคม หน่วยงานในท้องถิ่น และตัวแทนชุมชนจังหวัดเชียงราย มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนการดําเนินงาน “เชียงรายเมืองสมุนไพรครบวงจร” โดยมหาวิทยาลัยฯ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศจากรัฐบาล เพื่อส่งเสริมผลิตผลของสมุนไพรให้มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรเพื่อการบําบัดรักษา สร้างมาตรฐานยาสมุนไพรและเภสัชตํารับยาสมุนไพรวิจัยและพัฒนาคุณภาพ ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาสมุนไพรให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนทุกภาคส่วน โอกาสนี้ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวรายงานว่า ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาพืชสมุนไพรไทย ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพรไทย จนเกิดเป็นแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2560-2564 ที่มีเป้าหมายสําคัญเพื่อการกําหนดนโยบายและมาตรการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรไทยที่เป็นระบบ มีความยั่งยืน มีการวิจัยพัฒนาให้เป็นที่ยอมรับ สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยตามนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง หน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ภาคประชาสังคม หน่วยงานในท้องถิ่น และตัวแทนชุมชนจังหวัดเชียงราย ต่างมีความพร้อมในการตอบสนองนโยบายดังกล่าว โดยเฉพาะการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “เชียงรายเมืองสมุนไพรครบวงจร” โดยเป็นหน่วยงานหลักด้านการวิจัยและพัฒนาการส่งเสริมการผลิต พร้อมสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนากําลังคนด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้าน เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เมืองสมุนไพรให้เป็นรูปธรรม อีกทั้งยังเป็นต้นแบบการจัดการอุตสาหกรรมสมุนไพร ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็งมากขึ้น พร้อมกันนี้ จากแนวคิดและนโยบายดังกล่าว มหาวิทยาลัยฯ ได้ทําการศึกษา วิจัย และพัฒนายาสมุนไพรไทยเสร็จสิ้นไปแล้ว 20 ตํารับ ส่วนสมุนไพรไทยที่พร้อมจัดจําหน่ายในเบื้องต้นตอนนี้มีอยู่ด้วยกัน จํานวน 11 รายการ ได้แก่ (1) ขมิ้นชัน (2) ฟ้าทะลายโจร (3) ยาธาตุบรรจบ (4) ยาเขียวหอม (5) ยาหอมเนาวโกฐ (6) ยาอมอดบุหรี่โปร่งฟ้า (7) เจลกากเมล็ดชาแก้เชื้อรา (8) ขี้ผึ้งมะแขว่น (9) ขี้ผึ้งเสลดพังพอน (10) น้ํามันมะแขว่น (11) สเปรย์มะแขว่นไล่ยุง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ไดรับมอบผลิตภัณฑ์สมุนไพร 11 ชนิด จากอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พร้อมทั้งได้ทดลองทาครีมรวงข้าว อีกทั้งกล่าวสนับสนุนและย้ําว่า การดําเนินงานเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรไทยให้เป็นระบบ มีความยั่งยืน และเป็นที่ยอมรับของประชาชนนั้น ต้องไม่ทําแบบฉาบฉวย จึงขอให้ช่วยกันส่งเสริมผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนในชุมชนมีรายได้มากขึ้น ทั้งนี้ ต้องการให้มีการนําผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวไปจําหน่ายในร้านธงฟ้า โดยจะมีการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ในเร็ว ๆ นี้ต่อไป ********************************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7454
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจโครงการเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทยคืบ กำชับคมนาคมเร่งประชาสัมพันธ์เพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการ คาดสร้างมิติใหม่การท่องเที่ยวทางทะเล เพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจประเทศ
วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจโครงการเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทยคืบ กําชับคมนาคมเร่งประชาสัมพันธ์เพิ่มจํานวนผู้ใช้บริการ คาดสร้างมิติใหม่การท่องเที่ยวทางทะเล เพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจประเทศ นายกรัฐมนตรี พอใจความคืบหน้าโครงการเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทย พัทยา-หัวหิน ที่ได้เปิดดําเนินการอย่างเป็นทางการแล้ววานนี้ (12 ก.พ.) ที่ท่าเทียบเรือท่องเที่ยวพัทยาใต้ (แหลมบาลีฮาย) จ.ชลบุรี วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจความคืบหน้าโครงการเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทย พัทยา-หัวหิน ที่ได้เปิดดําเนินการอย่างเป็นทางการแล้ววานนี้ (12 ก.พ.) ที่ท่าเทียบเรือท่องเที่ยวพัทยาใต้ (แหลมบาลีฮาย) จ.ชลบุรี ตามนโยบายที่ต้องการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งทางน้ําฝั่งตะวันตกและตะวันออก และเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ “ท่านนายกฯ ฝากขอบคุณกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ช่วยกันผลักดันให้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นได้สําเร็จ ทั้งการปรับปรุงท่าเรือและออกเดินเรือ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางโดยรถยนต์ได้กว่าครึ่งหนึ่ง และยังเป็นทางเลือกใหม่ของการท่องเที่ยวทางทะเลที่เชื่อมโยงระหว่างสองฝั่ง รวมทั้งจะช่วยสร้างความเจริญให้พื้นที่โดยรอบท่าเรือกลายเป็นแหล่งเศรษฐกิจได้ปีละกว่า 4,000 ล้านบาท” พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้กระทรวงคมนาคมจับมือกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประชาสัมพันธ์ข่าวสารให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รับทราบ เพื่อดึงดูดให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น รวมทั้งเร่งรัดศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มเติมเส้นทางอื่น ๆ ทั้งบางปู-หัวหิน บางปู-พัทยา ที่กําหนดไว้ในแผน สําหรับเป็นทางเลือกใหม่ให้กับประชาชน “ทั้งนี้ ในช่วงที่เปิดทดลองให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ใช้บริการฟรี ระหว่างวันที่ 1 – 15 ม.ค.60 ที่ผ่านมานั้น ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทย หรือเรือรอยัล 1 เป็นเรือขนาดใหญ่ปรับอากาศ 2 ชั้น มีชั้นประหยัด 286 ที่นั่ง ชั้นธุรกิจ 44 ที่นั่ง ห้องวีไอพี 2 ห้อง ๆ ละ 8 ที่นั่ง ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงและความปลอดภัยจากกรมเจ้าท่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นเปิดให้บริการวันละ 2 เที่ยว ผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 038 488 999” ---------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจโครงการเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทยคืบ กำชับคมนาคมเร่งประชาสัมพันธ์เพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการ คาดสร้างมิติใหม่การท่องเที่ยวทางทะเล เพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจประเทศ วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พอใจโครงการเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทยคืบ กําชับคมนาคมเร่งประชาสัมพันธ์เพิ่มจํานวนผู้ใช้บริการ คาดสร้างมิติใหม่การท่องเที่ยวทางทะเล เพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจประเทศ นายกรัฐมนตรี พอใจความคืบหน้าโครงการเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทย พัทยา-หัวหิน ที่ได้เปิดดําเนินการอย่างเป็นทางการแล้ววานนี้ (12 ก.พ.) ที่ท่าเทียบเรือท่องเที่ยวพัทยาใต้ (แหลมบาลีฮาย) จ.ชลบุรี วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจความคืบหน้าโครงการเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทย พัทยา-หัวหิน ที่ได้เปิดดําเนินการอย่างเป็นทางการแล้ววานนี้ (12 ก.พ.) ที่ท่าเทียบเรือท่องเที่ยวพัทยาใต้ (แหลมบาลีฮาย) จ.ชลบุรี ตามนโยบายที่ต้องการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งทางน้ําฝั่งตะวันตกและตะวันออก และเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ “ท่านนายกฯ ฝากขอบคุณกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ช่วยกันผลักดันให้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นได้สําเร็จ ทั้งการปรับปรุงท่าเรือและออกเดินเรือ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางโดยรถยนต์ได้กว่าครึ่งหนึ่ง และยังเป็นทางเลือกใหม่ของการท่องเที่ยวทางทะเลที่เชื่อมโยงระหว่างสองฝั่ง รวมทั้งจะช่วยสร้างความเจริญให้พื้นที่โดยรอบท่าเรือกลายเป็นแหล่งเศรษฐกิจได้ปีละกว่า 4,000 ล้านบาท” พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้กระทรวงคมนาคมจับมือกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประชาสัมพันธ์ข่าวสารให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้รับทราบ เพื่อดึงดูดให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น รวมทั้งเร่งรัดศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิ่มเติมเส้นทางอื่น ๆ ทั้งบางปู-หัวหิน บางปู-พัทยา ที่กําหนดไว้ในแผน สําหรับเป็นทางเลือกใหม่ให้กับประชาชน “ทั้งนี้ ในช่วงที่เปิดทดลองให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ใช้บริการฟรี ระหว่างวันที่ 1 – 15 ม.ค.60 ที่ผ่านมานั้น ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเรือเฟอร์รี่ข้ามอ่าวไทย หรือเรือรอยัล 1 เป็นเรือขนาดใหญ่ปรับอากาศ 2 ชั้น มีชั้นประหยัด 286 ที่นั่ง ชั้นธุรกิจ 44 ที่นั่ง ห้องวีไอพี 2 ห้อง ๆ ละ 8 ที่นั่ง ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงและความปลอดภัยจากกรมเจ้าท่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นเปิดให้บริการวันละ 2 เที่ยว ผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 038 488 999” ---------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1829
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กอู๋’เผย ทางการไต้หวันอนุญาตให้แรงงานต่างชาติผิดกฎหมายรายงานตัวกลับประเทศ
วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 ‘บิ๊กอู๋’เผย ทางการไต้หวันอนุญาตให้แรงงานต่างชาติผิดกฎหมายรายงานตัวกลับประเทศ รมว.แรงงาน เตือนแรงงานไทยในไต้หวันที่เดินทางไปทํางานอย่างผิดกฎหมาย รีบแจ้งความประสงค์เดินทางกลับประเทศและกลับไปทํางานอย่างถูกกฎหมาย เพื่อให้ได้รับการดูแลสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย รมว.แรงงาน เตือนแรงงานไทยในไต้หวันที่เดินทางไปทํางานอย่างผิดกฎหมาย รีบแจ้งความประสงค์เดินทางกลับประเทศและกลับไปทํางานอย่างถูกกฎหมาย เพื่อให้ได้รับการดูแลสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ภายหลังทางการไต้หวันออกประกาศอนุญาตให้แรงงานต่างชาติผิดกฎหมายรายงานตัวกลับประเทศได้ทันที เพียงมีเอกสารเดินทางและตั๋วเครื่องบินกลับ จะได้ไม่ต้องถูกกักขัง วันนี้ (9 ก.พ.62) พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่ทางการไต้หวัน ได้ประกาศโครงการพิเศษ ลดหย่อนโทษสําหรับชาวต่างชาติที่อยู่เลยกําหนดวีซ่า ซึ่งรวมถึงแรงงานต่างชาติที่หลบหนีจากนายจ้างกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย และชาวต่างชาติที่อยู่เลยกําหนดวีซ่า ให้สามารถเข้ามอบตัว และสามารถเดินทางกลับประเทศได้ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2562 นั้น มีสาระสําคัญ คือ 1) ไม่ว่าจะหลบหนีหรืออยู่เลยกําหนดวีซ่านานเท่าไหร่ จะได้รับการลดหย่อนค่าปรับเหลือ 2,000 เหรียญไต้หวัน 2) หากหลบหนีหรืออยู่เลยกําหนดวีซ่าไม่เกิน 3 ปี จะไม่ถูกจํากัดการเข้าไต้หวัน และกลับไปแล้วสามารถเข้าสู่ไต้หวันได้อย่างถูกกฎหมาย ส่วนกรณีที่อยู่เลย 3 ปี จะได้รับการลดหย่อนการจํากัดเข้าไต้หวันกึ่งหนึ่ง 3) ผู้ประสงค์เข้ามอบตัว ขอให้เตรียมเอกสารการเดินทาง (พาสปอร์ต) และตั๋วเครื่องบิน ให้ไปรายงานตัวต่อสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองท้องที่ โดยจะไม่ถูกกักตัวอยู่ในสถานกักกัน หากเอกสารการเดินทางและตั๋วเครื่องบินพร้อม เมื่อมอบตัวเสร็จแล้ว สามารถเดินทางกลับประเทศได้ทันที 4) ช่วงระหว่างการมอบตัวในโครงการพิเศษนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 30 มิ.ย. 2562 และ 5) หากถูกตรวจพบในระหว่างหรือเมื่อสิ้นสุดโครงการ จะต้องเสียค่าปรับและถูกจํากัดการเข้าไต้หวันตามบทลงโทษเดิม ทั้งนี้ ตามบทลงโทษในปัจจุบัน จะถูกปรับตามระยะเวลาที่อยู่เกินกําหนด สูงสุด 10,000 เหรียญไต้หวัน และจะถูกจํากัดการเดินทางเข้าไต้หวันเป็นเวลา 3 ปีขึ้นไป ในการนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน ขอแจ้งเตือนไปยังแรงงานไทยในไต้หวันที่ทํางานโดยผิดกฎหมาย หรืออยู่เลยกําหนดวีซ่า ให้เข้ามอบตัว โดยรายงานตัวต่อสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองท้องที่เพื่อเดินทางกลับประเทศ และสําหรับผู้ที่มีความประสงค์จะเดินทางไปทํางานในไต้หวันสามารถติดต่อกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน 02-245 1034 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน “ขอเตือนคนไทยที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศ จะต้องไปด้วยวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะการเดินทางไปทํางานอย่างถูกกฎหมายจะได้รับ อัตราค่าจ้างตามกฎมาย และได้รับการคุ้มครองด้านสิทธิประโยชน์จากทางการ ขณะที่การลักลอบเข้าไปทํางานอย่างผิดกฎหมาย จะทําให้การได้รับความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลําบาก และไม่สามารถเรียกร้องสิทธิใดๆ จากนายจ้างได้ จึงขอให้แรงงานไทยตระหนักถึงการเดินทางไปทํางานที่ถูกต้องตามกฎหมายและขอให้ศึกษาข้อมูลรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ก่อนตัดสินใจไปทํางานต่างประเทศ” พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายสุด ------------------------------------------------------------------ กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ณัฏฐภัทร์ ชื่นเอี่ยม - ข่าว/ 9 กุมภาพันธ์ 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘บิ๊กอู๋’เผย ทางการไต้หวันอนุญาตให้แรงงานต่างชาติผิดกฎหมายรายงานตัวกลับประเทศ วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 ‘บิ๊กอู๋’เผย ทางการไต้หวันอนุญาตให้แรงงานต่างชาติผิดกฎหมายรายงานตัวกลับประเทศ รมว.แรงงาน เตือนแรงงานไทยในไต้หวันที่เดินทางไปทํางานอย่างผิดกฎหมาย รีบแจ้งความประสงค์เดินทางกลับประเทศและกลับไปทํางานอย่างถูกกฎหมาย เพื่อให้ได้รับการดูแลสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย รมว.แรงงาน เตือนแรงงานไทยในไต้หวันที่เดินทางไปทํางานอย่างผิดกฎหมาย รีบแจ้งความประสงค์เดินทางกลับประเทศและกลับไปทํางานอย่างถูกกฎหมาย เพื่อให้ได้รับการดูแลสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ภายหลังทางการไต้หวันออกประกาศอนุญาตให้แรงงานต่างชาติผิดกฎหมายรายงานตัวกลับประเทศได้ทันที เพียงมีเอกสารเดินทางและตั๋วเครื่องบินกลับ จะได้ไม่ต้องถูกกักขัง วันนี้ (9 ก.พ.62) พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่ทางการไต้หวัน ได้ประกาศโครงการพิเศษ ลดหย่อนโทษสําหรับชาวต่างชาติที่อยู่เลยกําหนดวีซ่า ซึ่งรวมถึงแรงงานต่างชาติที่หลบหนีจากนายจ้างกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย และชาวต่างชาติที่อยู่เลยกําหนดวีซ่า ให้สามารถเข้ามอบตัว และสามารถเดินทางกลับประเทศได้ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2562 นั้น มีสาระสําคัญ คือ 1) ไม่ว่าจะหลบหนีหรืออยู่เลยกําหนดวีซ่านานเท่าไหร่ จะได้รับการลดหย่อนค่าปรับเหลือ 2,000 เหรียญไต้หวัน 2) หากหลบหนีหรืออยู่เลยกําหนดวีซ่าไม่เกิน 3 ปี จะไม่ถูกจํากัดการเข้าไต้หวัน และกลับไปแล้วสามารถเข้าสู่ไต้หวันได้อย่างถูกกฎหมาย ส่วนกรณีที่อยู่เลย 3 ปี จะได้รับการลดหย่อนการจํากัดเข้าไต้หวันกึ่งหนึ่ง 3) ผู้ประสงค์เข้ามอบตัว ขอให้เตรียมเอกสารการเดินทาง (พาสปอร์ต) และตั๋วเครื่องบิน ให้ไปรายงานตัวต่อสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองท้องที่ โดยจะไม่ถูกกักตัวอยู่ในสถานกักกัน หากเอกสารการเดินทางและตั๋วเครื่องบินพร้อม เมื่อมอบตัวเสร็จแล้ว สามารถเดินทางกลับประเทศได้ทันที 4) ช่วงระหว่างการมอบตัวในโครงการพิเศษนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 30 มิ.ย. 2562 และ 5) หากถูกตรวจพบในระหว่างหรือเมื่อสิ้นสุดโครงการ จะต้องเสียค่าปรับและถูกจํากัดการเข้าไต้หวันตามบทลงโทษเดิม ทั้งนี้ ตามบทลงโทษในปัจจุบัน จะถูกปรับตามระยะเวลาที่อยู่เกินกําหนด สูงสุด 10,000 เหรียญไต้หวัน และจะถูกจํากัดการเดินทางเข้าไต้หวันเป็นเวลา 3 ปีขึ้นไป ในการนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน ขอแจ้งเตือนไปยังแรงงานไทยในไต้หวันที่ทํางานโดยผิดกฎหมาย หรืออยู่เลยกําหนดวีซ่า ให้เข้ามอบตัว โดยรายงานตัวต่อสํานักงานตรวจคนเข้าเมืองท้องที่เพื่อเดินทางกลับประเทศ และสําหรับผู้ที่มีความประสงค์จะเดินทางไปทํางานในไต้หวันสามารถติดต่อกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน 02-245 1034 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน “ขอเตือนคนไทยที่จะเดินทางไปทํางานต่างประเทศ จะต้องไปด้วยวิธีการที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะการเดินทางไปทํางานอย่างถูกกฎหมายจะได้รับ อัตราค่าจ้างตามกฎมาย และได้รับการคุ้มครองด้านสิทธิประโยชน์จากทางการ ขณะที่การลักลอบเข้าไปทํางานอย่างผิดกฎหมาย จะทําให้การได้รับความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลําบาก และไม่สามารถเรียกร้องสิทธิใดๆ จากนายจ้างได้ จึงขอให้แรงงานไทยตระหนักถึงการเดินทางไปทํางานที่ถูกต้องตามกฎหมายและขอให้ศึกษาข้อมูลรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ก่อนตัดสินใจไปทํางานต่างประเทศ” พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายสุด ------------------------------------------------------------------ กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ณัฏฐภัทร์ ชื่นเอี่ยม - ข่าว/ 9 กุมภาพันธ์ 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18669
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เน้นย้ำส่วนราชการในสังกัดดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมติดตามการดำเนินงานตามนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเท่าเทียมในสังคม
วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2560 รมว.ยุติธรรม เน้นย้ําส่วนราชการในสังกัดดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมติดตามการดําเนินงานตามนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความเท่าเทียมในสังคม พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรมผ่านระบบ Video Conference ในวันศุกร์ที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๘.๔๕ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรมผ่านระบบ Video Conference โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าส่วนราชการ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรมทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ร่วมการประชุมฯ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบนโยบายและติดตามผลการดําเนินงานในประเด็นต่างๆ อาทิ ๑. เน้นย้ําให้ทุกส่วนราชการประสานงานในเรื่องการดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องความปลอดภัยจากการเดินทางหรือการอํานวยความสะดวกกรณีที่มีเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน โดยให้มีเจ้าหน้าที่ประสานงานตลอดเวลา เพื่อรองรับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุดดังกล่าว ๒. ให้ทุกส่วนราชการร่วมกันปกป้องเทิดทูนและธํารงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อพิทักษ์ปกป้อง คุ้มครอง มิให้มีการกระทําผิด หรือล่วงละเมิดต่อสถาบัน พระมหากษัตริย์ ควบคู่ไปกับการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน รวมถึงไม่ตกเป็นเครื่องมือ ของฝ่ายใดที่ทําให้เกิดการบิดเบือนและความเข้าใจผิดต่อสถาบันหลักดังกล่าว 3. การอํานวยความยุติธรรมลดความเหลื่อมล้ํา ให้ใช้กลไกที่มีอยู่ในส่วนภูมิภาคโดยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างความร่วมมือกับชุมชนและองกรค์ปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งให้ผู้บริหารลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชน เพื่อรับฟังปัญหาและแก้ไขความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง 4. ให้สํานักงาน ป.ป.ส. เร่งรัดการปราบปรามยาเสพติด ตามมาตรการ ๓+๑ ได้แก่ ๑) การปราบปราม ๒) การบําบัด ๓) การสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจิตอาสา และ ๔) การกําจัดแหล่งผลิตและสารตั้งต้นเพื่อนําไปผลิตยาเสพติด 5. ด้านการปราบปรามทุจริตทุจริตคอรัปชั่น ให้ยึดหลักนิติธรรม คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ควบคู่กับการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล เน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและยอมรับจากสังคมและประชาชน 6. การสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้เกิดความยั่งยืน โดยให้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการในภาพรวม เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้พร้อมกําหนดประเด็นข้อเสนอแนะเพื่อนําไปปรับปรุง 7. ปี ๒๕๖๑ จะเป็นปีแห่งการปฏิรูป ในส่วนกระทรวงยุติธรรมจะมีการปฏิรูปในส่วนขององค์กร และการปฏิรูปทางด้านกฎหมาย โดยต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกับการปฏิรูป Thailand 4.0 ด้วย นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ชี้แจงแผนการดําเนินงานของกระทรวงยุติธรรมตามนโยบาย ๖ ด้าน ที่สอดคล้องกับยุทธศาตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี และแนวนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประกอบด้วย ๑) การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ๒) การสร้างความปลอดภัยและความสงบสุข ในสังคมเพื่อแก้ไขการกระทําความผิดซ้ํา ๓) การอํานวยความยุติธรรมโดยการขับเคลื่อน วาระแห่งชาติ ๔) การพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๕) การป้องกันและ ปราบปรามอาชญากรรมด้านความมั่นคง ๖) การเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้กําหนดเป็นตัวชี้วัดของส่วนราชการในสังกัด นําไปปฏิบัติและรายงานตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นรายไตรมาส
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เน้นย้ำส่วนราชการในสังกัดดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมติดตามการดำเนินงานตามนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเท่าเทียมในสังคม วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม 2560 รมว.ยุติธรรม เน้นย้ําส่วนราชการในสังกัดดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมติดตามการดําเนินงานตามนโยบายเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความเท่าเทียมในสังคม พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรมผ่านระบบ Video Conference ในวันศุกร์ที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๘.๔๕ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรมผ่านระบบ Video Conference โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม หัวหน้าส่วนราชการ ในสังกัดกระทรวงยุติธรรมทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ร่วมการประชุมฯ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบนโยบายและติดตามผลการดําเนินงานในประเด็นต่างๆ อาทิ ๑. เน้นย้ําให้ทุกส่วนราชการประสานงานในเรื่องการดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องความปลอดภัยจากการเดินทางหรือการอํานวยความสะดวกกรณีที่มีเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน โดยให้มีเจ้าหน้าที่ประสานงานตลอดเวลา เพื่อรองรับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลวันหยุดดังกล่าว ๒. ให้ทุกส่วนราชการร่วมกันปกป้องเทิดทูนและธํารงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อพิทักษ์ปกป้อง คุ้มครอง มิให้มีการกระทําผิด หรือล่วงละเมิดต่อสถาบัน พระมหากษัตริย์ ควบคู่ไปกับการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน รวมถึงไม่ตกเป็นเครื่องมือ ของฝ่ายใดที่ทําให้เกิดการบิดเบือนและความเข้าใจผิดต่อสถาบันหลักดังกล่าว 3. การอํานวยความยุติธรรมลดความเหลื่อมล้ํา ให้ใช้กลไกที่มีอยู่ในส่วนภูมิภาคโดยให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างความร่วมมือกับชุมชนและองกรค์ปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมทั้งให้ผู้บริหารลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชน เพื่อรับฟังปัญหาและแก้ไขความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง 4. ให้สํานักงาน ป.ป.ส. เร่งรัดการปราบปรามยาเสพติด ตามมาตรการ ๓+๑ ได้แก่ ๑) การปราบปราม ๒) การบําบัด ๓) การสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจิตอาสา และ ๔) การกําจัดแหล่งผลิตและสารตั้งต้นเพื่อนําไปผลิตยาเสพติด 5. ด้านการปราบปรามทุจริตทุจริตคอรัปชั่น ให้ยึดหลักนิติธรรม คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ควบคู่กับการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล เน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและยอมรับจากสังคมและประชาชน 6. การสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมให้เกิดความยั่งยืน โดยให้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการในภาพรวม เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้พร้อมกําหนดประเด็นข้อเสนอแนะเพื่อนําไปปรับปรุง 7. ปี ๒๕๖๑ จะเป็นปีแห่งการปฏิรูป ในส่วนกระทรวงยุติธรรมจะมีการปฏิรูปในส่วนขององค์กร และการปฏิรูปทางด้านกฎหมาย โดยต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกับการปฏิรูป Thailand 4.0 ด้วย นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ชี้แจงแผนการดําเนินงานของกระทรวงยุติธรรมตามนโยบาย ๖ ด้าน ที่สอดคล้องกับยุทธศาตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี และแนวนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประกอบด้วย ๑) การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ๒) การสร้างความปลอดภัยและความสงบสุข ในสังคมเพื่อแก้ไขการกระทําความผิดซ้ํา ๓) การอํานวยความยุติธรรมโดยการขับเคลื่อน วาระแห่งชาติ ๔) การพัฒนากฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๕) การป้องกันและ ปราบปรามอาชญากรรมด้านความมั่นคง ๖) การเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้กําหนดเป็นตัวชี้วัดของส่วนราชการในสังกัด นําไปปฏิบัติและรายงานตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นรายไตรมาส
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9117
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ลดความแออัดรพ.ขนาดใหญ่ เพิ่มศักยภาพระบบบริการปฐมภูมิ
วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2562 สธ.ลดความแออัดรพ.ขนาดใหญ่ เพิ่มศักยภาพระบบบริการปฐมภูมิ กระทรวงสาธารณสุข ลดความแออัดโรงพยาบาลใหญ่ โดยการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ จัดสรรงบประมาณ 563 ล้านบาท บริการประชาชนในพื้นที่ ลดการเดินทาง กําชับการใช้งบฯอย่างโปร่งใส ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายลดความแออัดของผู้รับบริการในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยการเพิ่มศักยภาพระบบบริการปฐมภูมิ ให้ประชาชนได้รับบริการในพื้นที่ ในปีงบประมาณ 2562 ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 563 ล้านบาท ให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลขนาดใหญ่ จํานวน 1,087 แห่ง ปรับระบบบริการที่จําเป็นและเพียงพอสําหรับระบบบริการปฐมภูมิ อาทิ การดูแลคุณภาพแม่และเด็ก การฝากครรภ์ การตรวจรักษาทางการแพทย์ บริการครอบคลุมทุกมิติ มีมาตรฐานที่สูงขึ้น เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมชนบทที่เป็นสังคมเมืองเพิ่มมากขึ้น ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ใกล้บ้าน สะดวก รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายไม่ต้องเดินทางเข้ารับบริการในโรงพยาบาลที่อยู่ไกล “เนื่องจากเป็นงบกลางฉุกเฉิน ปี 2561 จึงต้องดําเนินการจัดซื้อให้เสร็จภายในเดือนมีนาคม ปี 2562 ขอให้ผู้ตรวจราชการและนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด เร่งรัดและควบคุมกํากับการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานได้ประโยชน์สูงสุด โดยได้ตั้งคณะกรมการตรวจติดตามการใช้งบประมาณฯ มอบหมายให้นายแพทย์สมควร หาญพัฒนชัยกูร หัวหน้าสํานักวิชาการสาธารณสุข เป็นประธาน ร่วมกับผู้ตรวจราชการกระทรวง สาธารณสุขนิเทศก์ทุกเขต และผู้อํานวยการกลุ่มเสริมสร้างวินัยและระบบคุณธรรม ผู้อํานวยการกองคลัง ผู้อํานวยการกองบริหารการสาธารณสุข ติดตามกํากับ หากมีปัญหาขอให้สอบถามมาที่ส่วนกลาง” นายแพทย์สุขุมกล่าว ทังนี้ แผนการพัฒนาระบบบริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลขนาดใหญ่ จะมีการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ประกอบด้วย เครื่องวัดความดันโลหิตแบบสอดแขนอัตโนมัติ เครื่องปั่นฮีมาโตคริต เครื่องนึ่งฆ่าเชื้อขนาดใหญ่ (Autoclave) เครื่องฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์ (Doptone) เครื่องวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Pulse Oximeter) ชนิดพกพา เครื่องผลิตออกซิเจนขนาด 8 ลิตร เครื่องคอมพิวเตอร์ สําหรับประมวลผล นอกจากนี้ ได้จัดหาครุภัณฑ์การแพทย์ตามความขาดแคลนสําหรับรพ.สต.ขนาดใหญ่ ประกอบด้วย ยูนิตทําฟัน จํานวน 47 แห่ง และเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจชนิด 12 ลีด พร้อมระบบแปรผลอัตโนมัติ (EKG) จํานวน 72 แห่ง รวมทั้งเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) จํานวน 297 แห่ง *****************************************8 มีนาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ลดความแออัดรพ.ขนาดใหญ่ เพิ่มศักยภาพระบบบริการปฐมภูมิ วันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2562 สธ.ลดความแออัดรพ.ขนาดใหญ่ เพิ่มศักยภาพระบบบริการปฐมภูมิ กระทรวงสาธารณสุข ลดความแออัดโรงพยาบาลใหญ่ โดยการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ จัดสรรงบประมาณ 563 ล้านบาท บริการประชาชนในพื้นที่ ลดการเดินทาง กําชับการใช้งบฯอย่างโปร่งใส ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายลดความแออัดของผู้รับบริการในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยการเพิ่มศักยภาพระบบบริการปฐมภูมิ ให้ประชาชนได้รับบริการในพื้นที่ ในปีงบประมาณ 2562 ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 563 ล้านบาท ให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลขนาดใหญ่ จํานวน 1,087 แห่ง ปรับระบบบริการที่จําเป็นและเพียงพอสําหรับระบบบริการปฐมภูมิ อาทิ การดูแลคุณภาพแม่และเด็ก การฝากครรภ์ การตรวจรักษาทางการแพทย์ บริการครอบคลุมทุกมิติ มีมาตรฐานที่สูงขึ้น เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมชนบทที่เป็นสังคมเมืองเพิ่มมากขึ้น ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ ใกล้บ้าน สะดวก รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายไม่ต้องเดินทางเข้ารับบริการในโรงพยาบาลที่อยู่ไกล “เนื่องจากเป็นงบกลางฉุกเฉิน ปี 2561 จึงต้องดําเนินการจัดซื้อให้เสร็จภายในเดือนมีนาคม ปี 2562 ขอให้ผู้ตรวจราชการและนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด เร่งรัดและควบคุมกํากับการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานได้ประโยชน์สูงสุด โดยได้ตั้งคณะกรมการตรวจติดตามการใช้งบประมาณฯ มอบหมายให้นายแพทย์สมควร หาญพัฒนชัยกูร หัวหน้าสํานักวิชาการสาธารณสุข เป็นประธาน ร่วมกับผู้ตรวจราชการกระทรวง สาธารณสุขนิเทศก์ทุกเขต และผู้อํานวยการกลุ่มเสริมสร้างวินัยและระบบคุณธรรม ผู้อํานวยการกองคลัง ผู้อํานวยการกองบริหารการสาธารณสุข ติดตามกํากับ หากมีปัญหาขอให้สอบถามมาที่ส่วนกลาง” นายแพทย์สุขุมกล่าว ทังนี้ แผนการพัฒนาระบบบริการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลขนาดใหญ่ จะมีการจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ประกอบด้วย เครื่องวัดความดันโลหิตแบบสอดแขนอัตโนมัติ เครื่องปั่นฮีมาโตคริต เครื่องนึ่งฆ่าเชื้อขนาดใหญ่ (Autoclave) เครื่องฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์ (Doptone) เครื่องวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Pulse Oximeter) ชนิดพกพา เครื่องผลิตออกซิเจนขนาด 8 ลิตร เครื่องคอมพิวเตอร์ สําหรับประมวลผล นอกจากนี้ ได้จัดหาครุภัณฑ์การแพทย์ตามความขาดแคลนสําหรับรพ.สต.ขนาดใหญ่ ประกอบด้วย ยูนิตทําฟัน จํานวน 47 แห่ง และเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจชนิด 12 ลีด พร้อมระบบแปรผลอัตโนมัติ (EKG) จํานวน 72 แห่ง รวมทั้งเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) จํานวน 297 แห่ง *****************************************8 มีนาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19211
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวง อว.-สวทช. ผนึก สยามพิวรรธน์ - พีทีทีจีซี โชว์เครื่องกรองอากาศ ‘IONFRESH’ - ต้นคริสต์มาสรักษ์โลก ใจกลางเมือง เป็นของขวัญปีใหม่คนกรุง ในโครงการ “CIRCULAR LIVING CAMPAIGN 2019
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562 กระทรวง อว.-สวทช. ผนึก สยามพิวรรธน์ - พีทีทีจีซี โชว์เครื่องกรองอากาศ ‘IONFRESH’ - ต้นคริสต์มาสรักษ์โลก ใจกลางเมือง เป็นของขวัญปีใหม่คนกรุง ในโครงการ “CIRCULAR LIVING CAMPAIGN 2019 กระทรวง อว.-สวทช. ผนึก สยามพิวรรธน์ - พีทีทีจีซี โชว์เครื่องกรองอากาศ ‘IONFRESH’ - ต้นคริสต์มาสรักษ์โลก ใจกลางเมือง เป็นของขวัญปีใหม่คนกรุง ในโครงการ “CIRCULAR LIVING CAMPAIGN 2019” เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 ณ ลานสยามดิสคัฟเวอรี่ พลาซ่า: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ บริษัท สยามพิวรรธน์ จํากัด ร่วมจัดกิจกรรมในโครงการ “Circular Living Campaign 2019” โดย สวทช. ได้นํา ไอออนเฟรซ (IonFresh) เครื่องกรองอากาศแบบไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Air Purifier) ซึ่งพัฒนาโดย ทีมวิจัยศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช. ติดตั้งที่บริเวณใต้ต้นคริสต์มาส Magical Christmas Tree โดยเครื่อง IonFresh จะช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 มีอัตราการกรองอากาศ 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง เพื่อกรองอากาศให้กับประชาชนทั่วไปเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ ลานสยาม ดิสคัฟเวอรี่ พลาซ่า ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 11 มกราคม 2563 การสร้างสรรค์ต้นคริสต์มาส Magical Christmas Tree สยามดิสคัฟเวอรี่ ร่วมกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) หรือ จีซี และได้รับการสนับสนุนจากศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน และ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คิดค้นประดิษฐ์ผลงานต้นคริสต์มาสในแนวรักษ์โลก ซึ่งในปีนี้นําเสนอภายใต้แนวคิด “Clean Air Eco Christmas Tree” ออกแบบเป็นรูปกังหันใบพัดสีขาวทําจากวัสดุเป็นแผ่นกระดาษเคลือบพลาสติกชีวภาพทําจากอ้อย ข้าวโพด มันสําปะหลังจํานวน 1,000 ใบ ขนาด 70 × 50 เซนติเมตร สําหรับปีนี้บริเวณใต้ต้นคริสต์มาส (Magical Christmas Tree) ได้เพิ่มความพิเศษมากกว่าทุกปี คือ มีเครื่องกรองอากาศ ‘IonFresh’ เป็นเครื่องกรองอากาศแบบไฟฟ้าสถิต (Electrostatic air purifier) สําหรับใช้งานภายนอกอาคารจํานวน 4 เครื่อง วิจัยและพัฒนาโดย ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (National Security and Dual-Use Technology Center –NSD) สวทช. ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อํานวยการศูนย์ NSD สวทช. เปิดเผยว่า ทีมวิจัย สวทช. มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีให้นําไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีการถ่ายทอดสู่ภาคเอกชนใช้งานได้จริง และแก้ไขปัญหาของประเทศได้ สําหรับเครื่องกรองอากาศแบบไฟฟ้าสถิต IonFresh เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีการกรองฝุ่นละอองขนาดอนุภาคเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หลักการทํางานของเครื่อง IonFresh อาศัยการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิต IonFresh จะสร้างประจุบวกให้ไปจับกับฝุ่นละออง จากนั้นอนุภาคของฝุ่นละอองจะถูกดูดเข้าไปติดที่แผ่นโลหะซึ่งมีประจุลบภายในเครื่อง อากาศที่ออกมาจึงเป็นอากาศสะอาด อย่างไรก็ดีเป้าหมายของการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องกรองอากาศระบบไฟฟ้าสถิต ทีมวิจัย NSD ต้องการนําไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่กึ่งปิดกึ่งเปิด โดยเฉพาะในพื้นที่เซฟโซนสําหรับเจ้าหน้าที่กู้ไฟป่าได้พักทํางานบริเวณพื้นที่เกิดเหตุต่าง ๆ เช่น ไฟป่า เพลิงไหม้ รวมถึงพื้นที่โถงขนาดใหญ่ให้ผู้หลบภัยชั่วคราว เป็นต้น “จุดเด่นของเครื่อง IonFresh คือ สามารถกรอง ‘ฝุ่น PM 2.5’ และเมื่อฝุ่นละอองเกาะเต็มแผ่นโลหะสามารถถอดไปล้างทําความสะอาดแล้วนํากลับมาใช้ใหม่ได้ ที่สําคัญการกรองฝุ่นแบบระบบไฟฟ้าสถิต ออกแบบแผงกรองฝุ่นให้ลมผ่านง่าย ไม่ลดแรงลมในการดูดกรองฝุ่นละออง ทําให้พัดลมดูดฝุ่นทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ประหยัดไฟฟ้า สําหรับต้นแบบเครื่อง IonFresh ที่นํามาติดตั้งใน Clean Air Eco Christmas Tree ครั้งนี้ เป็นแบบใช้งานภายนอกอาคาร มีจํานวน 4 เครื่อง มีอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์รวม 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง (ราว 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมงต่อ 1 เครื่อง) เพื่อช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่ภายนอกหรือพื้นที่ควบคุม” ผู้อํานวยการศูนย์ NSD สวทช. กล่าว สําหรับอนาคตนอกจากทีมวิจัย NSD สวทช. จะพัฒนาไปใช้ในพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่แล้วยังมองไปถึงการกําจัดฝุ่นที่แหล่งกําเนิด ทั้งในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ยังไม่มีการใช้เทคโนโลยีป้องกันฝุ่นละอองออกสู่สาธารณะเนื่องจากเทคโนโลยีต่างประเทศยังมีราคาแพงอยู่มาก แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีเครื่อง IonFresh สามารถพัฒนาและผลิตได้แล้วในประเทศโดยนักวิจัยไทยและราคาถูกกว่าต่างประเทศหลายเท่า ขอเชิญชวนประชาชนมาร่วมค้นพบประสบการณ์ความสุขพร้อมไอเดียรักษ์โลกในงาน “Siam Discovery The Magical Eco Playground Celebration 2020” ที่ลานสยาม ดิสคัฟเวอรี่ พลาซ่าใกล้แยกปทุมวัน กทม. ตั้งแต่บัดนี้ถึง 11 มกราคม 2563 เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวง อว.-สวทช. ผนึก สยามพิวรรธน์ - พีทีทีจีซี โชว์เครื่องกรองอากาศ ‘IONFRESH’ - ต้นคริสต์มาสรักษ์โลก ใจกลางเมือง เป็นของขวัญปีใหม่คนกรุง ในโครงการ “CIRCULAR LIVING CAMPAIGN 2019 วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562 กระทรวง อว.-สวทช. ผนึก สยามพิวรรธน์ - พีทีทีจีซี โชว์เครื่องกรองอากาศ ‘IONFRESH’ - ต้นคริสต์มาสรักษ์โลก ใจกลางเมือง เป็นของขวัญปีใหม่คนกรุง ในโครงการ “CIRCULAR LIVING CAMPAIGN 2019 กระทรวง อว.-สวทช. ผนึก สยามพิวรรธน์ - พีทีทีจีซี โชว์เครื่องกรองอากาศ ‘IONFRESH’ - ต้นคริสต์มาสรักษ์โลก ใจกลางเมือง เป็นของขวัญปีใหม่คนกรุง ในโครงการ “CIRCULAR LIVING CAMPAIGN 2019” เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2562 ณ ลานสยามดิสคัฟเวอรี่ พลาซ่า: กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ บริษัท สยามพิวรรธน์ จํากัด ร่วมจัดกิจกรรมในโครงการ “Circular Living Campaign 2019” โดย สวทช. ได้นํา ไอออนเฟรซ (IonFresh) เครื่องกรองอากาศแบบไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Air Purifier) ซึ่งพัฒนาโดย ทีมวิจัยศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ สวทช. ติดตั้งที่บริเวณใต้ต้นคริสต์มาส Magical Christmas Tree โดยเครื่อง IonFresh จะช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 มีอัตราการกรองอากาศ 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง เพื่อกรองอากาศให้กับประชาชนทั่วไปเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้น ณ ลานสยาม ดิสคัฟเวอรี่ พลาซ่า ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 11 มกราคม 2563 การสร้างสรรค์ต้นคริสต์มาส Magical Christmas Tree สยามดิสคัฟเวอรี่ ร่วมกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) หรือ จีซี และได้รับการสนับสนุนจากศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน และ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) คิดค้นประดิษฐ์ผลงานต้นคริสต์มาสในแนวรักษ์โลก ซึ่งในปีนี้นําเสนอภายใต้แนวคิด “Clean Air Eco Christmas Tree” ออกแบบเป็นรูปกังหันใบพัดสีขาวทําจากวัสดุเป็นแผ่นกระดาษเคลือบพลาสติกชีวภาพทําจากอ้อย ข้าวโพด มันสําปะหลังจํานวน 1,000 ใบ ขนาด 70 × 50 เซนติเมตร สําหรับปีนี้บริเวณใต้ต้นคริสต์มาส (Magical Christmas Tree) ได้เพิ่มความพิเศษมากกว่าทุกปี คือ มีเครื่องกรองอากาศ ‘IonFresh’ เป็นเครื่องกรองอากาศแบบไฟฟ้าสถิต (Electrostatic air purifier) สําหรับใช้งานภายนอกอาคารจํานวน 4 เครื่อง วิจัยและพัฒนาโดย ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของประเทศและการประยุกต์เชิงพาณิชย์ (National Security and Dual-Use Technology Center –NSD) สวทช. ดร.ศิวรักษ์ ศิวโมกษธรรม ผู้อํานวยการศูนย์ NSD สวทช. เปิดเผยว่า ทีมวิจัย สวทช. มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีให้นําไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีการถ่ายทอดสู่ภาคเอกชนใช้งานได้จริง และแก้ไขปัญหาของประเทศได้ สําหรับเครื่องกรองอากาศแบบไฟฟ้าสถิต IonFresh เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีการกรองฝุ่นละอองขนาดอนุภาคเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หลักการทํางานของเครื่อง IonFresh อาศัยการตกตะกอนเชิงไฟฟ้าสถิต IonFresh จะสร้างประจุบวกให้ไปจับกับฝุ่นละออง จากนั้นอนุภาคของฝุ่นละอองจะถูกดูดเข้าไปติดที่แผ่นโลหะซึ่งมีประจุลบภายในเครื่อง อากาศที่ออกมาจึงเป็นอากาศสะอาด อย่างไรก็ดีเป้าหมายของการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องกรองอากาศระบบไฟฟ้าสถิต ทีมวิจัย NSD ต้องการนําไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่กึ่งปิดกึ่งเปิด โดยเฉพาะในพื้นที่เซฟโซนสําหรับเจ้าหน้าที่กู้ไฟป่าได้พักทํางานบริเวณพื้นที่เกิดเหตุต่าง ๆ เช่น ไฟป่า เพลิงไหม้ รวมถึงพื้นที่โถงขนาดใหญ่ให้ผู้หลบภัยชั่วคราว เป็นต้น “จุดเด่นของเครื่อง IonFresh คือ สามารถกรอง ‘ฝุ่น PM 2.5’ และเมื่อฝุ่นละอองเกาะเต็มแผ่นโลหะสามารถถอดไปล้างทําความสะอาดแล้วนํากลับมาใช้ใหม่ได้ ที่สําคัญการกรองฝุ่นแบบระบบไฟฟ้าสถิต ออกแบบแผงกรองฝุ่นให้ลมผ่านง่าย ไม่ลดแรงลมในการดูดกรองฝุ่นละออง ทําให้พัดลมดูดฝุ่นทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ประหยัดไฟฟ้า สําหรับต้นแบบเครื่อง IonFresh ที่นํามาติดตั้งใน Clean Air Eco Christmas Tree ครั้งนี้ เป็นแบบใช้งานภายนอกอาคาร มีจํานวน 4 เครื่อง มีอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์รวม 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง (ราว 1,200 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมงต่อ 1 เครื่อง) เพื่อช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่ภายนอกหรือพื้นที่ควบคุม” ผู้อํานวยการศูนย์ NSD สวทช. กล่าว สําหรับอนาคตนอกจากทีมวิจัย NSD สวทช. จะพัฒนาไปใช้ในพื้นที่สาธารณะขนาดใหญ่แล้วยังมองไปถึงการกําจัดฝุ่นที่แหล่งกําเนิด ทั้งในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ยังไม่มีการใช้เทคโนโลยีป้องกันฝุ่นละอองออกสู่สาธารณะเนื่องจากเทคโนโลยีต่างประเทศยังมีราคาแพงอยู่มาก แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีเครื่อง IonFresh สามารถพัฒนาและผลิตได้แล้วในประเทศโดยนักวิจัยไทยและราคาถูกกว่าต่างประเทศหลายเท่า ขอเชิญชวนประชาชนมาร่วมค้นพบประสบการณ์ความสุขพร้อมไอเดียรักษ์โลกในงาน “Siam Discovery The Magical Eco Playground Celebration 2020” ที่ลานสยาม ดิสคัฟเวอรี่ พลาซ่าใกล้แยกปทุมวัน กทม. ตั้งแต่บัดนี้ถึง 11 มกราคม 2563 เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25224
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการค้าภายในเปิดโครงการมันสำปะหลังกินได้ ชูแนวทางส่งเสริมเกษตรกรปลูกมันสำปะหลัง พร้อมเปิดตลาดให้พบกับผู้ประกอบการ หวังยกระดับและสร้างรายได้ให้เกษตรกร ตามนโยบายประเทศไทย 4.0
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 กรมการค้าภายในเปิดโครงการมันสําปะหลังกินได้ ชูแนวทางส่งเสริมเกษตรกรปลูกมันสําปะหลัง พร้อมเปิดตลาดให้พบกับผู้ประกอบการ หวังยกระดับและสร้างรายได้ให้เกษตรกร ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดโครงการแปรรูปมันสําปะหลัง และผลิตภัณฑ์สู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรชุมชน หวังผลักดันให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกมันสําปะหลังปรับรูปแบบการปลูกมันเพื่อส่งออกสําหรับอุตสาหกรรมแป้งมันและมันเส้น สู่อุตสาหกรรมอาหาร นําร่องให้ความรู้กลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่น หวังผลให้เกษตรกรสามารถสร้างรายได้จากองค์ความรู้และต่อยอดความคิดได้ด้วยตัวเอง นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงโครงการแปรรูปมันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์สู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรชุมชนว่า “เดิมเกษตรกรจะปลูกมันสําปะหลัง และเก็บเกี่ยวเพื่อนําไปจําหน่ายให้กับผู้ประกอบการแปรรูปเป็นแป้งมันและมันเส้น จําหน่ายต่อไปยังตลาดทั้งภายในประเทศและส่งออก โดยสัดส่วนการบริโภคในประเทศมีเพียงร้อยละ 30 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับการส่งออกไปต่างประเทศ ร้อยละ 70 ทําให้ตลาดต่างประเทศเป็นตัวกําหนดราคามันสําปะหลัง และส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังถูกกดราคาลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม จากนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืน สู่การทํางานแบบ “ประชารัฐ” โดยบูรณาการการทํางานร่วมกันของภาครัฐ เอกชน เกษตรกรและชุมชน ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและมีศักยภาพ กระทรวงพาณิชย์ จึงริเริ่ม โครงการแปรรูปมันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์ สู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรชุมชนประจําปีงบประมาณ 2559 ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ภาคเอกชน หอการค้า สมาคมฯ สถาบันมันสําปะหลัง สถาบันการศึกษา มีเป้าหมายพัฒนาการผลิตตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา เพื่อผลักดันให้ชุมชนและเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังหันมาเพาะปลูกและแปรรูปมันสําปะหลังเพื่อป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารแทน โดยเกษตรกรสามารถผลิตและแปรรูปเองได้โดยตรง ไม่ต้องพึ่งพาการแปรรูปจากภาคอุตสาหกรรมเหมือนดังเช่นปัจจุบัน ส่งผลให้เกษตรกรสามารถกําหนดราคาขายได้ด้วยตนเอง และสร้างรายได้ที่มากขึ้นให้แก่ตัวเกษตรกรและชุมชน” ด้านนางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า “เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีทิศทางในการปลูกมันสําปะหลังที่สามารถนาไปสู่การเพิ่มมูลค่าและมีทางเลือกเพิ่มขึ้น กรมการค้าภายใน จึงได้มอบหมายให้คณะอุตสาหกรรมเกษตรและสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ทําการศึกษาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทําจากมันสําปะหลังชนิดหวาน คิดค้นวิธีที่จะลดพิษไซยาไนด์ในหัวมันสําปะหลัง ซึ่งพบว่าวิธีลดพิษสามารถทําได้โดยการปอกเปลือก ล้างน้ํา แช่น้ําทิ้งไว้ หรือการให้ความร้อน วิธีการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิธีที่เกษตรกรก็สามารถทําเองได้ด้วยตนเอง และจากการค้นคว้าวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญ ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จากมันสําปะหลังขึ้นมาเป็น 4 ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ละ 3 รสชาติ ได้แก่ มินิวาฟเฟิลมันสําปะหลัง ไอศกรีมมันสําปะหลัง มันสําปะหลังกรอบ และมันสําปะหลังบอล ภายใต้แบรนด์ CassaSweet จากโครงการนําร่องนี้ทําให้เห็นได้ว่า มันสําปะหลังพันธุ์ชนิดหวานนั้นสามารถพัฒนาเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อการบริโภคได้ โดยจากนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการจะสามารถต่อยอดพัฒนาให้เป็นสินค้าของตัวเองได้อีกด้วย” “นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์ ยังได้นําองค์ความรู้เหล่านี้ไปเผยแพร่เพื่อเป็นการกระตุ้นให้มีการปลูกมันสําปะหลังชนิดหวานเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการนํามันสําปะหลังมาแปรรูปเพื่อจําหน่ายในท้องตลาด โดยการจัดอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังในพื้นที่ 3 จังหวัดนําร่อง ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดนครราชสีมา และ จังหวัดกําแพงเพชร ซึ่งได้รับความสนใจจากเกษตรกรเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังได้อบรมความรู้ในด้านการตลาดให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในท้องถิ่นด้วยการจัดเสวนาขึ้นในพื้นที่จังหวัดกําแพงเพชร และจังหวัดขอนแก่น โดยมีผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการด้านมันสําปะหลัง นักวิจัยผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตลาด มาให้ความรู้ ซึ่งผู้เข้าร่วมเสวนาสามารถนําความรู้ที่ได้ไปต่อยอดได้ตั้งแต่กระบวนการผลิต การแปรรูป และการจัดจําหน่าย” นางนันทวัลย์ กล่าว สําหรับงานเปิดโครงการแปรรูปมันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์สู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรชุมชน ในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงศักยภาพและโอกาสในการพัฒนามันสําปะหลังของไทย โดยได้จัดเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อ “มันสําปะหลังไทยกินได้ กับอนาคตการแปรรูปมันสําปะหลัง” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ปรารถนา ปรารถนาดี ภาควิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมด้วยนายชนวีร์ สุดโตตระกูล เจ้าของบริษัท บุญทัน ฟู้ด (ประเทศไทย) จํากัด ผู้ผลิตขนมมันสําปะหลังทอดกรอบ (ตรามันไฟว์) นายสุรินทร์ พิชัย นายกสมาคมมันสําปะหลังไทยภาคเหนือและเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังที่กําลังก้าวเข้าสู่การ แปรรูป และนางทองดี สวัสดิ์จีน เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังพันธุ์ห้านาที จ.ปทุมธานี เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงในการพัฒนามันสําปะหลังให้เป็นผลิตภัณฑ์สําหรับผู้บริโภค รวมทั้งยังมีการเสวนาในหัวข้อ “ศักยภาพและอนาคตตลาดสินค้าแปรรูปจากมันสําปะหลังประเทศไทย เพื่อพัฒนาเกษตรกรไทยให้ก้าวไกลอย่างยั่งยืน” โดย ดร.สมฤดี ศรีจรรยา ผู้เชี่ยวชาญการตลาด 4.0 มีวัตถุประสงค์ที่จะนําเอาความรู้ด้านการตลาดมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์กับเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรไทยต่อยอดในสิ่งที่เรียนรู้ไปพัฒนาคุณภาพของผลผลิต และผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้สามารถสร้างเป็นรายได้ ยกระดับเกษตรกรไทยให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการค้าภายในเปิดโครงการมันสำปะหลังกินได้ ชูแนวทางส่งเสริมเกษตรกรปลูกมันสำปะหลัง พร้อมเปิดตลาดให้พบกับผู้ประกอบการ หวังยกระดับและสร้างรายได้ให้เกษตรกร ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 กรมการค้าภายในเปิดโครงการมันสําปะหลังกินได้ ชูแนวทางส่งเสริมเกษตรกรปลูกมันสําปะหลัง พร้อมเปิดตลาดให้พบกับผู้ประกอบการ หวังยกระดับและสร้างรายได้ให้เกษตรกร ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จัดโครงการแปรรูปมันสําปะหลัง และผลิตภัณฑ์สู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรชุมชน หวังผลักดันให้เกษตรกรผู้เพาะปลูกมันสําปะหลังปรับรูปแบบการปลูกมันเพื่อส่งออกสําหรับอุตสาหกรรมแป้งมันและมันเส้น สู่อุตสาหกรรมอาหาร นําร่องให้ความรู้กลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการท้องถิ่น หวังผลให้เกษตรกรสามารถสร้างรายได้จากองค์ความรู้และต่อยอดความคิดได้ด้วยตัวเอง นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงโครงการแปรรูปมันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์สู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรชุมชนว่า “เดิมเกษตรกรจะปลูกมันสําปะหลัง และเก็บเกี่ยวเพื่อนําไปจําหน่ายให้กับผู้ประกอบการแปรรูปเป็นแป้งมันและมันเส้น จําหน่ายต่อไปยังตลาดทั้งภายในประเทศและส่งออก โดยสัดส่วนการบริโภคในประเทศมีเพียงร้อยละ 30 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับการส่งออกไปต่างประเทศ ร้อยละ 70 ทําให้ตลาดต่างประเทศเป็นตัวกําหนดราคามันสําปะหลัง และส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังถูกกดราคาลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม จากนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืน สู่การทํางานแบบ “ประชารัฐ” โดยบูรณาการการทํางานร่วมกันของภาครัฐ เอกชน เกษตรกรและชุมชน ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและมีศักยภาพ กระทรวงพาณิชย์ จึงริเริ่ม โครงการแปรรูปมันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์ สู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรชุมชนประจําปีงบประมาณ 2559 ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน ภาคเอกชน หอการค้า สมาคมฯ สถาบันมันสําปะหลัง สถาบันการศึกษา มีเป้าหมายพัฒนาการผลิตตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา เพื่อผลักดันให้ชุมชนและเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังหันมาเพาะปลูกและแปรรูปมันสําปะหลังเพื่อป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารแทน โดยเกษตรกรสามารถผลิตและแปรรูปเองได้โดยตรง ไม่ต้องพึ่งพาการแปรรูปจากภาคอุตสาหกรรมเหมือนดังเช่นปัจจุบัน ส่งผลให้เกษตรกรสามารถกําหนดราคาขายได้ด้วยตนเอง และสร้างรายได้ที่มากขึ้นให้แก่ตัวเกษตรกรและชุมชน” ด้านนางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า “เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีทิศทางในการปลูกมันสําปะหลังที่สามารถนาไปสู่การเพิ่มมูลค่าและมีทางเลือกเพิ่มขึ้น กรมการค้าภายใน จึงได้มอบหมายให้คณะอุตสาหกรรมเกษตรและสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ทําการศึกษาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทําจากมันสําปะหลังชนิดหวาน คิดค้นวิธีที่จะลดพิษไซยาไนด์ในหัวมันสําปะหลัง ซึ่งพบว่าวิธีลดพิษสามารถทําได้โดยการปอกเปลือก ล้างน้ํา แช่น้ําทิ้งไว้ หรือการให้ความร้อน วิธีการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิธีที่เกษตรกรก็สามารถทําเองได้ด้วยตนเอง และจากการค้นคว้าวิจัยจากผู้เชี่ยวชาญ ได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ จากมันสําปะหลังขึ้นมาเป็น 4 ผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ละ 3 รสชาติ ได้แก่ มินิวาฟเฟิลมันสําปะหลัง ไอศกรีมมันสําปะหลัง มันสําปะหลังกรอบ และมันสําปะหลังบอล ภายใต้แบรนด์ CassaSweet จากโครงการนําร่องนี้ทําให้เห็นได้ว่า มันสําปะหลังพันธุ์ชนิดหวานนั้นสามารถพัฒนาเพื่อแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อการบริโภคได้ โดยจากนี้เกษตรกรและผู้ประกอบการจะสามารถต่อยอดพัฒนาให้เป็นสินค้าของตัวเองได้อีกด้วย” “นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์ ยังได้นําองค์ความรู้เหล่านี้ไปเผยแพร่เพื่อเป็นการกระตุ้นให้มีการปลูกมันสําปะหลังชนิดหวานเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงการนํามันสําปะหลังมาแปรรูปเพื่อจําหน่ายในท้องตลาด โดยการจัดอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังในพื้นที่ 3 จังหวัดนําร่อง ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดนครราชสีมา และ จังหวัดกําแพงเพชร ซึ่งได้รับความสนใจจากเกษตรกรเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังได้อบรมความรู้ในด้านการตลาดให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในท้องถิ่นด้วยการจัดเสวนาขึ้นในพื้นที่จังหวัดกําแพงเพชร และจังหวัดขอนแก่น โดยมีผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการด้านมันสําปะหลัง นักวิจัยผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง และผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตลาด มาให้ความรู้ ซึ่งผู้เข้าร่วมเสวนาสามารถนําความรู้ที่ได้ไปต่อยอดได้ตั้งแต่กระบวนการผลิต การแปรรูป และการจัดจําหน่าย” นางนันทวัลย์ กล่าว สําหรับงานเปิดโครงการแปรรูปมันสําปะหลังและผลิตภัณฑ์สู่อุตสาหกรรมอาหารเพื่อยกระดับรายได้เกษตรกรชุมชน ในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้ทราบถึงศักยภาพและโอกาสในการพัฒนามันสําปะหลังของไทย โดยได้จัดเสวนาให้ความรู้ในหัวข้อ “มันสําปะหลังไทยกินได้ กับอนาคตการแปรรูปมันสําปะหลัง” โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ปรารถนา ปรารถนาดี ภาควิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมด้วยนายชนวีร์ สุดโตตระกูล เจ้าของบริษัท บุญทัน ฟู้ด (ประเทศไทย) จํากัด ผู้ผลิตขนมมันสําปะหลังทอดกรอบ (ตรามันไฟว์) นายสุรินทร์ พิชัย นายกสมาคมมันสําปะหลังไทยภาคเหนือและเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังที่กําลังก้าวเข้าสู่การ แปรรูป และนางทองดี สวัสดิ์จีน เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังพันธุ์ห้านาที จ.ปทุมธานี เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงในการพัฒนามันสําปะหลังให้เป็นผลิตภัณฑ์สําหรับผู้บริโภค รวมทั้งยังมีการเสวนาในหัวข้อ “ศักยภาพและอนาคตตลาดสินค้าแปรรูปจากมันสําปะหลังประเทศไทย เพื่อพัฒนาเกษตรกรไทยให้ก้าวไกลอย่างยั่งยืน” โดย ดร.สมฤดี ศรีจรรยา ผู้เชี่ยวชาญการตลาด 4.0 มีวัตถุประสงค์ที่จะนําเอาความรู้ด้านการตลาดมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์กับเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรไทยต่อยอดในสิ่งที่เรียนรู้ไปพัฒนาคุณภาพของผลผลิต และผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้สามารถสร้างเป็นรายได้ ยกระดับเกษตรกรไทยให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2056
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดป้ายอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ)​
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562 ทส. เปิดป้ายอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ)​ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดพิธีเปิดป้าย อุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ)​ อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เตรียมรับนักท่องเที่ยวและเป็นศูนย์การเรียนรู้กรณีถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ทส. เปิดป้ายอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ)​ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดพิธีเปิดป้าย อุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ)​ อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เตรียมรับนักท่องเที่ยวและเป็นศูนย์การเรียนรู้กรณีถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน วานนี้ (10 ตุลาคม 2562) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา)​ พร้อมด้วย ผู้ช่วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายนพดล พลเสน)​และปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายจตุพร บุรุษพัฒน์)​ เดินทางไปเปิดป้ายอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ) อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พร้อมตรวจ ติดตามความก้าวหน้าการดําเนินการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ในบริเวณถ้ําหลวงและขุนน้ํานางนอนด้วย โดยภายในงานประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชนและประชาชนในพื้นที่ รวมประมาณ 500 คน เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย สําหรับการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ) เดิมเป็นวนอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน กรมป่าไม้ได้ประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทยาน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2529 มีเนื้อที่ 5,000 ไร่ ต่อมาเกิดเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน – 11 กรกฎาคม 2561 นักฟุตบอลทีมหมูป่าอะคาเดมี่ แม่สาย จํานวน 13 คน ได้พลัดหลงภายในถ้ําหลวง ในช่วงระหว่างปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยดังกล่าว เป็นประวัติศาสตร์ของการช่วยเหลือ ที่มีชื่อเสียงลือลั่นก้องโลก จึงทําให้เป็นแหล่งที่ผู้คนให้ความสนใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเข้ามาเยี่ยมในสถานที่และเหตุการณ์ จากประวัติศาสตร์ครั้งนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงได้พิจารณาบริเวณที่จะดําเนินการประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ในบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยนางนอน โดยสํารวจพื้นที่ร่วมกับสํานักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) กรมป่าไม้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรมกิจการพลเรือนทหารบก กองทัพบก ได้เนื้อที่รวมประมาณ 12,000 ไร่ หรือ 19.2 ตร.กม. ครอบคลุมท้องที่ตําบลห้วยไคร้ ตําบลโป่งผา ตําบลโป่งงาม และตําบลเวียงพางคํา อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จากการยกฐานะความสําคัญของพื้นที่จากวนอุทยานเป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งนํามาถึงการพัฒนายกระดับมาตรฐานอุทยานแห่งชาติของไทยไปสู่ระดับสากลโดยเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่มีการบริการที่ดีกับนักท่องเที่ยวมีการดําเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการปกป้องฟื้นฟูความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืน สํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) โดยอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ) ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่ เพื่อรองรับการเข้ามาใช้บริการของนักท่องเที่ยว โดยได้จัดทําป้ายอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ด้วยแนวคิดการนําลักษณะของภูมิประเทศที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จึงจําลองเป็นเทือกเขาดอยนางนอน โดยใช้เทคนิคปูนปั้นหินเทียม ซึ่งป้ายมีขนาดความยาว 30 เมตร สูง 5 เมตร เพื่อสร้างเป็นจุดแลนด์มาร์ก จุดเช็คอินแห่งใหม่ ของอําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และได้มีพิธีเปิดป้ายอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอนขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดป้ายอุทยานแห่งชาติถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน (เตรียมการ)​ วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562 ทส. เปิดป้ายอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ)​ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดพิธีเปิดป้าย อุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ)​ อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เตรียมรับนักท่องเที่ยวและเป็นศูนย์การเรียนรู้กรณีถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ทส. เปิดป้ายอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ)​ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดพิธีเปิดป้าย อุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ)​ อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เตรียมรับนักท่องเที่ยวและเป็นศูนย์การเรียนรู้กรณีถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน วานนี้ (10 ตุลาคม 2562) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา)​ พร้อมด้วย ผู้ช่วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายนพดล พลเสน)​และปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายจตุพร บุรุษพัฒน์)​ เดินทางไปเปิดป้ายอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ) อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พร้อมตรวจ ติดตามความก้าวหน้าการดําเนินการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่ในบริเวณถ้ําหลวงและขุนน้ํานางนอนด้วย โดยภายในงานประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชนและประชาชนในพื้นที่ รวมประมาณ 500 คน เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย สําหรับการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ) เดิมเป็นวนอุทยานถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน กรมป่าไม้ได้ประกาศจัดตั้งเป็นวนอุทยาน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2529 มีเนื้อที่ 5,000 ไร่ ต่อมาเกิดเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 23 มิถุนายน – 11 กรกฎาคม 2561 นักฟุตบอลทีมหมูป่าอะคาเดมี่ แม่สาย จํานวน 13 คน ได้พลัดหลงภายในถ้ําหลวง ในช่วงระหว่างปฏิบัติการค้นหาและกู้ภัยดังกล่าว เป็นประวัติศาสตร์ของการช่วยเหลือ ที่มีชื่อเสียงลือลั่นก้องโลก จึงทําให้เป็นแหล่งที่ผู้คนให้ความสนใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเข้ามาเยี่ยมในสถานที่และเหตุการณ์ จากประวัติศาสตร์ครั้งนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงได้พิจารณาบริเวณที่จะดําเนินการประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ในบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยนางนอน โดยสํารวจพื้นที่ร่วมกับสํานักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) กรมป่าไม้ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรมกิจการพลเรือนทหารบก กองทัพบก ได้เนื้อที่รวมประมาณ 12,000 ไร่ หรือ 19.2 ตร.กม. ครอบคลุมท้องที่ตําบลห้วยไคร้ ตําบลโป่งผา ตําบลโป่งงาม และตําบลเวียงพางคํา อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จากการยกฐานะความสําคัญของพื้นที่จากวนอุทยานเป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งนํามาถึงการพัฒนายกระดับมาตรฐานอุทยานแห่งชาติของไทยไปสู่ระดับสากลโดยเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่มีการบริการที่ดีกับนักท่องเที่ยวมีการดําเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการปกป้องฟื้นฟูความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืน สํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 (เชียงราย) โดยอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน (เตรียมการ) ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่ เพื่อรองรับการเข้ามาใช้บริการของนักท่องเที่ยว โดยได้จัดทําป้ายอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ด้วยแนวคิดการนําลักษณะของภูมิประเทศที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จึงจําลองเป็นเทือกเขาดอยนางนอน โดยใช้เทคนิคปูนปั้นหินเทียม ซึ่งป้ายมีขนาดความยาว 30 เมตร สูง 5 เมตร เพื่อสร้างเป็นจุดแลนด์มาร์ก จุดเช็คอินแห่งใหม่ ของอําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และได้มีพิธีเปิดป้ายอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอนขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23776
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดร.สาธิต” ประกาศมอบของขวัญปีใหม่ให้ อสม. สร้างขวัญกำลังใจ
วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2563 “ดร.สาธิต” ประกาศมอบของขวัญปีใหม่ให้ อสม. สร้างขวัญกําลังใจ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขึ้นเวทีประกาศกระทรวงสาธารณสุขมอบของขวัญปีใหม่สร้างขวัญกําลังใจ อสม. เจ็บป่วยใช้สิทธิห้องพิเศษฟรี มีสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์ พร้อมชวน อสม. เป็นต้นแบบดูแลสุขภาพ ออกกําลังกาย ใส่ใจโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดีของคนในชุมชน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขึ้นเวทีประกาศกระทรวงสาธารณสุขมอบของขวัญปีใหม่สร้างขวัญกําลังใจ อสม. เจ็บป่วยใช้สิทธิห้องพิเศษฟรี มีสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์ พร้อมชวน อสม. เป็นต้นแบบดูแลสุขภาพ ออกกําลังกาย ใส่ใจโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดีของคนในชุมชน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน ต.หนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีอาสาสมัครสาธารณสุขทั่วประเทศกว่า 1,040,000 คน นับเป็นเครือข่ายจิตอาสาที่มีความเข้มแข็งที่ขับเคลื่อนภารกิจในการดูแลส่งเสริมสุขภาพประชาชนในพื้นที่ ร่วมกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) มาอย่างยาวนาน โดยกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเพิ่มศักยภาพและให้ขวัญกําลังใจพี่น้อง อสม.ทั่วประเทศ ที่จะดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีใหม่ พ.ศ.2563 ใน 2 เรื่อง คือ การให้สิทธิห้องพิเศษในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขฟรี สําหรับ อสม.ที่ป่วยและนอนรักษาตัว และสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์ เพื่อเป็นหลักประกันให้ทายาทเมื่อเสียชีวิต ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการรับสมัครสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ โดย อสม.ที่สนใจยื่นความประสงค์ได้ที่สถานบริการสาธารณสุขที่ส่งผลปฏิบัติงาน (อสม.1) “ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขต้องการมอบเป็นขวัญและกําลังใจให้กับพี่น้อง อสม.ทั่วประเทศ ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเป็นสวัสดิการ สิ่งใดที่กระทรวงสาธารณสุขทําได้พวกเราจะทําให้ทันที” ดร.สาธิตกล่าว ************************************* 2 มกราคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดร.สาธิต” ประกาศมอบของขวัญปีใหม่ให้ อสม. สร้างขวัญกำลังใจ วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2563 “ดร.สาธิต” ประกาศมอบของขวัญปีใหม่ให้ อสม. สร้างขวัญกําลังใจ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขึ้นเวทีประกาศกระทรวงสาธารณสุขมอบของขวัญปีใหม่สร้างขวัญกําลังใจ อสม. เจ็บป่วยใช้สิทธิห้องพิเศษฟรี มีสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์ พร้อมชวน อสม. เป็นต้นแบบดูแลสุขภาพ ออกกําลังกาย ใส่ใจโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดีของคนในชุมชน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขึ้นเวทีประกาศกระทรวงสาธารณสุขมอบของขวัญปีใหม่สร้างขวัญกําลังใจ อสม. เจ็บป่วยใช้สิทธิห้องพิเศษฟรี มีสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์ พร้อมชวน อสม. เป็นต้นแบบดูแลสุขภาพ ออกกําลังกาย ใส่ใจโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดีของคนในชุมชน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน ต.หนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีอาสาสมัครสาธารณสุขทั่วประเทศกว่า 1,040,000 คน นับเป็นเครือข่ายจิตอาสาที่มีความเข้มแข็งที่ขับเคลื่อนภารกิจในการดูแลส่งเสริมสุขภาพประชาชนในพื้นที่ ร่วมกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) มาอย่างยาวนาน โดยกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเพิ่มศักยภาพและให้ขวัญกําลังใจพี่น้อง อสม.ทั่วประเทศ ที่จะดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีใหม่ พ.ศ.2563 ใน 2 เรื่อง คือ การให้สิทธิห้องพิเศษในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขฟรี สําหรับ อสม.ที่ป่วยและนอนรักษาตัว และสวัสดิการฌาปนกิจสงเคราะห์ เพื่อเป็นหลักประกันให้ทายาทเมื่อเสียชีวิต ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการรับสมัครสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ โดย อสม.ที่สนใจยื่นความประสงค์ได้ที่สถานบริการสาธารณสุขที่ส่งผลปฏิบัติงาน (อสม.1) “ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขต้องการมอบเป็นขวัญและกําลังใจให้กับพี่น้อง อสม.ทั่วประเทศ ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเป็นสวัสดิการ สิ่งใดที่กระทรวงสาธารณสุขทําได้พวกเราจะทําให้ทันที” ดร.สาธิตกล่าว ************************************* 2 มกราคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25575
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."นพ.อุดม คชินทร" มอบนโยบายมหาวิทยาลัยราชภัฏ
วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 รมช.ศธ."นพ.อุดม คชินทร" มอบนโยบายมหาวิทยาลัยราชภัฏ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมและมอบนโยบาย "ทิศทางการอุดมศึกษา เพื่อสนับสนุนการเดินหน้าประเทศไทย" ต่อที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎ (ทปอ.มรภ.) ทั่วประเทศ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมและมอบนโยบาย "ทิศทางการอุดมศึกษา เพื่อสนับสนุนการเดินหน้าประเทศไทย" ต่อที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎ (ทปอ.มรภ.) ทั่วประเทศ เมื่อวันศุกร์ที่2กุมภาพันธ์2561ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ม.ล.ปิ่น มาลากุล ชั้น 3 อาคารรัชมังคลาภิเษก กระทรวงศึกษาธิการ สามารถดาวน์โหลดเอกสารการบรรยายนี้ได้ที่นี่Click.. ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทรกล่าวตอนหนึ่งว่า เป้าหมายการจัดการศึกษาของรัฐบาล คือ ต้องจัดการศึกษาที่ตอบโจทย์สําคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ โดยเน้นการพัฒนาการผลิตกําลังคนคุณภาพสูง ผลิตนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อเปลี่ยนผ่านสังคมไทยสู่สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้และเพิ่มคุณค่า (Thailand 4.0: Value-based Economy)โดยใช้สถาบันอุดมศึกษาเป็นหัวรถจักรขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้ในทุกระดับ จึงจําเป็นต้องคํานึงถึงการเตรียมคนไทยไปสู่ศตวรรษที่21ซึ่งจําเป็นต้องจัดการเรียนรู้อย่างมีเป้าหมาย เน้นการใช้ความรู้สร้างนวัตกรรม อีกทั้งยังต้องคํานึงถึงการตอบสนองต่อกระแสโลกอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมที่รวดเร็วทําให้หลากหลายอาชีพจําเป็นต้องลดแรงงานหรือการใช้คนทํางานโดยหันไปใช้หุ่นยนต์ หรือการทํางานระบบอัตโนมัติ (Automation)หรือAIแทนมากขึ้น นอกจากประเด็นข้างต้นแล้ว การอุดมศึกษาไทยจะต้องพบกับความท้าทายใหม่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่21เช่น โครงสร้างของประชากรวัยเด็กจะลดลง แม้กระทั่งยังมีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คาดการณ์ด้วยว่าใน10ปีข้างหน้า มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกากว่าครึ่ง หรือประมาณ4,000แห่งจะล้มละลายเพราะการเติบโตของระบบศึกษาออนไลน์ ดังนั้น จึงเป็นความจําเป็นที่สถาบันอุดมศึกษาของไทย จําเป็นต้องวางแผนกําหนดทิศทางการจัดการศึกษาเสียใหม่ ที่ต้องพุ่งเป้าจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพของประชาชน จัดการศึกษาที่ตอบสนองความต้องการของตลาดงาน สร้างความเข้มแข็งด้านSTEM Educationมีการวิจัยและบริการที่เพิ่มมูลค่า บนความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม หรือประชารัฐให้มากขึ้น โดยมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งต้องโฟกัสไปที่การค้นหาหรือสร้างความเป็นเลิศของแต่ละแห่งให้เกิดขึ้นได้จริง นพ.อุดม คชินทรยังได้เน้นย้ําถึง10ทักษะที่จําเป็นสําหรับการทํางานให้ประสบความสําเร็จในศตวรรษที่21อีกด้วย รวมทั้งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่เน้นความพอประมาณ ความมีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ซึ่งจะช่วยให้ชีวิตมีความสมดุลและมีความสุข มีเศรษฐกิจที่มั่นคง รวมทั้งเกิดความสมดุลทางสังคมที่ผู้คนมีคุณธรรมและยั่งยืน ในส่วนของมหาวิทยาลัยราชภัฏต้องการให้ทบทวนการจัดหลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการจัดตั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏก็เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น และลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏต้องคํานึงถึงยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ 4 ด้าน คือ 1) การพัฒนาท้องถิ่น 2) การผลิตและพัฒนาครู 3) ยกระดับคุณภาพการศึกษา 4) พัฒนาระบบบริหารจัดการ จึงเป็นความจําเป็นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่ง ต้องปรับตัวเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการจัดการศึกษา ให้สามารถรองรับพลวัตโลกในศตวรรษที่21สร้างกลไกในการบูรณาการการศึกษา การฝึกอบรม การพัฒนาอาชีพให้คนไทยปรับตัวการเปลี่ยนแปลงและกําหนดเส้นทางชีวิตไปสู่อนาคต สําหรับโครงการ/กิจกรรมที่มหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่งทั่วประเทศ ต้องร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อให้สอดคล้องกับพลวัตการเปลี่ยนแปลงข้างต้นแล้ว ต้องเน้นการดําเนินงานตามนโยบายที่สําคัญของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ เช่น การพัฒนาครูสอนภาษาอังกฤษ (English Boot Camp) ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมมือกับ British Council, การยกระดับคุณภาพการศึกษาร่วมกับฟินแลนด์, โครงการจิตอาสาของในหลวง รัชกาลที่ 10, การพัฒนาคุณภาพครูทั่วประเทศ อีกประการสําคัญ ที่ นพ.อุดม ได้กล่าวฝากให้ข้อคิดแก่มหาวิทยาลัยราชภัฏคือ จะทําอย่างไรเพื่อให้คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ มุ่งเน้นการผลิตบัณฑิตให้มีคุณภาพ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ประชาคมมหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่งต้องช่วยกันขบคิดและร่วมกันยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา เพื่อให้ผลงานการผลิตบัณฑิตครูของ "ราชภัฏ" เป็นอันดับ 1 ของประเทศ เกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง ขอบคุณเอกสาร:คณะทํางาน รมช.ศธ.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."นพ.อุดม คชินทร" มอบนโยบายมหาวิทยาลัยราชภัฏ วันจันทร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2561 รมช.ศธ."นพ.อุดม คชินทร" มอบนโยบายมหาวิทยาลัยราชภัฏ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมและมอบนโยบาย "ทิศทางการอุดมศึกษา เพื่อสนับสนุนการเดินหน้าประเทศไทย" ต่อที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎ (ทปอ.มรภ.) ทั่วประเทศ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมและมอบนโยบาย "ทิศทางการอุดมศึกษา เพื่อสนับสนุนการเดินหน้าประเทศไทย" ต่อที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎ (ทปอ.มรภ.) ทั่วประเทศ เมื่อวันศุกร์ที่2กุมภาพันธ์2561ณ ห้องประชุมศาสตราจารย์ม.ล.ปิ่น มาลากุล ชั้น 3 อาคารรัชมังคลาภิเษก กระทรวงศึกษาธิการ สามารถดาวน์โหลดเอกสารการบรรยายนี้ได้ที่นี่Click.. ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทรกล่าวตอนหนึ่งว่า เป้าหมายการจัดการศึกษาของรัฐบาล คือ ต้องจัดการศึกษาที่ตอบโจทย์สําคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ โดยเน้นการพัฒนาการผลิตกําลังคนคุณภาพสูง ผลิตนวัตกรรม สร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อเปลี่ยนผ่านสังคมไทยสู่สังคมเศรษฐกิจฐานความรู้และเพิ่มคุณค่า (Thailand 4.0: Value-based Economy)โดยใช้สถาบันอุดมศึกษาเป็นหัวรถจักรขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้ในทุกระดับ จึงจําเป็นต้องคํานึงถึงการเตรียมคนไทยไปสู่ศตวรรษที่21ซึ่งจําเป็นต้องจัดการเรียนรู้อย่างมีเป้าหมาย เน้นการใช้ความรู้สร้างนวัตกรรม อีกทั้งยังต้องคํานึงถึงการตอบสนองต่อกระแสโลกอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมที่รวดเร็วทําให้หลากหลายอาชีพจําเป็นต้องลดแรงงานหรือการใช้คนทํางานโดยหันไปใช้หุ่นยนต์ หรือการทํางานระบบอัตโนมัติ (Automation)หรือAIแทนมากขึ้น นอกจากประเด็นข้างต้นแล้ว การอุดมศึกษาไทยจะต้องพบกับความท้าทายใหม่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่21เช่น โครงสร้างของประชากรวัยเด็กจะลดลง แม้กระทั่งยังมีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คาดการณ์ด้วยว่าใน10ปีข้างหน้า มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกากว่าครึ่ง หรือประมาณ4,000แห่งจะล้มละลายเพราะการเติบโตของระบบศึกษาออนไลน์ ดังนั้น จึงเป็นความจําเป็นที่สถาบันอุดมศึกษาของไทย จําเป็นต้องวางแผนกําหนดทิศทางการจัดการศึกษาเสียใหม่ ที่ต้องพุ่งเป้าจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพของประชาชน จัดการศึกษาที่ตอบสนองความต้องการของตลาดงาน สร้างความเข้มแข็งด้านSTEM Educationมีการวิจัยและบริการที่เพิ่มมูลค่า บนความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม หรือประชารัฐให้มากขึ้น โดยมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งต้องโฟกัสไปที่การค้นหาหรือสร้างความเป็นเลิศของแต่ละแห่งให้เกิดขึ้นได้จริง นพ.อุดม คชินทรยังได้เน้นย้ําถึง10ทักษะที่จําเป็นสําหรับการทํางานให้ประสบความสําเร็จในศตวรรษที่21อีกด้วย รวมทั้งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่เน้นความพอประมาณ ความมีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ซึ่งจะช่วยให้ชีวิตมีความสมดุลและมีความสุข มีเศรษฐกิจที่มั่นคง รวมทั้งเกิดความสมดุลทางสังคมที่ผู้คนมีคุณธรรมและยั่งยืน ในส่วนของมหาวิทยาลัยราชภัฏต้องการให้ทบทวนการจัดหลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการจัดตั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏก็เพื่อการพัฒนาท้องถิ่น และลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏต้องคํานึงถึงยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ 4 ด้าน คือ 1) การพัฒนาท้องถิ่น 2) การผลิตและพัฒนาครู 3) ยกระดับคุณภาพการศึกษา 4) พัฒนาระบบบริหารจัดการ จึงเป็นความจําเป็นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่ง ต้องปรับตัวเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการจัดการศึกษา ให้สามารถรองรับพลวัตโลกในศตวรรษที่21สร้างกลไกในการบูรณาการการศึกษา การฝึกอบรม การพัฒนาอาชีพให้คนไทยปรับตัวการเปลี่ยนแปลงและกําหนดเส้นทางชีวิตไปสู่อนาคต สําหรับโครงการ/กิจกรรมที่มหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่งทั่วประเทศ ต้องร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อให้สอดคล้องกับพลวัตการเปลี่ยนแปลงข้างต้นแล้ว ต้องเน้นการดําเนินงานตามนโยบายที่สําคัญของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ เช่น การพัฒนาครูสอนภาษาอังกฤษ (English Boot Camp) ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมมือกับ British Council, การยกระดับคุณภาพการศึกษาร่วมกับฟินแลนด์, โครงการจิตอาสาของในหลวง รัชกาลที่ 10, การพัฒนาคุณภาพครูทั่วประเทศ อีกประการสําคัญ ที่ นพ.อุดม ได้กล่าวฝากให้ข้อคิดแก่มหาวิทยาลัยราชภัฏคือ จะทําอย่างไรเพื่อให้คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ มุ่งเน้นการผลิตบัณฑิตให้มีคุณภาพ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ประชาคมมหาวิทยาลัยราชภัฏทุกแห่งต้องช่วยกันขบคิดและร่วมกันยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา เพื่อให้ผลงานการผลิตบัณฑิตครูของ "ราชภัฏ" เป็นอันดับ 1 ของประเทศ เกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง ขอบคุณเอกสาร:คณะทํางาน รมช.ศธ.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9850
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชี้แจงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกระบาด เผยเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง แนะประชาชนสังเกตอาการตนเอง คนในครอบครัว
วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2561 สธ.ชี้แจงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกระบาด เผยเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง แนะประชาชนสังเกตอาการตนเอง คนในครอบครัว สธ.ชี้แจงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกระบาด เผยเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง แนะประชาชนสังเกตอาการตนเอง คนในครอบครัว หากมีอาการไข้สูงมากฉับพลัน ปวดเมื่อย หน้าตาแดง อาจมีผื่นขึ้น ชี้ถ้ามีไข้สูง 2-3 วันไม่หายไม่ดีขึ้นต้องรีบพบแพทย์ที่ ร.พ. โดยเร็ว วันที่ 14 มิถุนายน 2561 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกระบาด ดังนี้ ในช่วงนี้เป็นฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูระบาดของโรคไข้เลือดออก จึงต้องดําเนินการและติดตามสถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกอย่างใกล้ชิด ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ก็มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนในเรื่องนี้เช่นกัน โดยได้กล่าวไว้ในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" เมื่อวันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา และขอให้ประชาชนสังเกตตัวเอง ลูกหลาน และคนใกล้ชิด หากมีอาการไข้สูง 2 วันแล้วไม่ดีขึ้น ขอให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สําคัญขอให้ระวังยุงกัด ร่วมกันกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในภาชนะที่มีน้ําขัง และที่เก็บน้ําไว้ใช้ก็ขอให้มีฝาปิดด้วย ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการดําเนินการเพื่อเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกและมีการรณรงค์ให้ประชาชนทราบและมีส่วนร่วมในการป้องกันมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนฤดูระบาดในช่วงต้นปีนี้ และเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรค ได้จัดแถลงข่าวเปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค (EOC) กรณีการระบาดของโรคไข้เลือดออก เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค และบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ได้มีการสั่งการผ่าน EOC ให้สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และสํานักงานป้องกันควบคุมโรคทุกแห่งทั่วประเทศ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งดําเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบและใช้มาตรการในการป้องกัน รวมถึงร่วมกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงทั้งในครัวเรือนและในชุมชน นอกจากนี้ กรมควบคุมโรค ได้พัฒนานวัตกรรมใหม่เพื่อรองรับสังคมโซเชียลในยุคดิจิทัล นั่นคือ การเปิดกลุ่มไลน์แอด “@AtiYung” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ และสอบถามทุกข้อสงสัยที่เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก จากทีมเฉพาะกิจพิชิตยุง สํานักโรคติดต่อนําโดยแมลง กรมควบคุมโรค จึงขอเชิญชวนทุกท่านเข้ากลุ่มไลน์แอด“@AntiYung” โดยพิมพ์คําว่า @AntiYung ในช่องค้นหาเพื่อนในแอพพลิเคชั่นไลน์ หรือแสกน QR Code เพื่อเข้ากลุ่มดังกล่าว สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปี 2561 ตั้งแต่ 1 มกราคม – 11 มิถุนายน 2561 ประเทศไทยมีผู้ป่วยแล้ว 17,302 ราย ผู้ป่วยเสียชีวิตที่ยืนยันแล้ว 21 ราย ผู้ป่วยเสียชีวิตที่ได้รับแจ้งและอยู่ระหว่างตรวจสอบ 9 คน จากข้อมูลการป่วยและเสียชีวิตตามกลุ่มอายุ พบว่าอัตราป่วยยังคงสูงสุดในเด็กวัยเรียนอายุ 10–14 ปี รองลงมาอายุ 5-9 ปี แต่เมื่อพิจารณาการเสียชีวิตพบว่าในปี 2561 นี้ ผู้ป่วยที่เสียชีวิตมากกลับเป็นกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 15 ปีขึ้นไป จํานวน 14 ราย กรมควบคุมโรค ขอแนะนําให้ประชาชนสังเกตอาการตนเองและคนในครอบครัว หากมีอาการไข้สูงมากโดยฉับพลัน ปวดเมื่อย หน้าตาแดง อาจมีผื่นขึ้นใต้ผิวหนังตามแขนขา ข้อพับ ถ้ามีไข้สูง 2-3 วันไม่หายหรือไม่ดีขึ้น ต้องรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของไข้ ไม่ควรไปฉีดยาลดไข้หรือซื้อยากินเอง และขอให้ดูแลเป็นพิเศษในผู้มีโรคเรื้อรังประจําตัวและผู้สูงอายุ เพราะหากป่วยแล้วมีโอกาสรุนแรงกว่าปกติได้ ขอเชิญชวนประชาชนทุกคนและหน่วยงานต่าง ดูแลบ้านเรือน ชุมชน และหน่วยงานของตนเองไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยยึดหลัก “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” คือ 1. เก็บบ้านให้สะอาด ไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง 2. เก็บขยะ เศษภาชนะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และ 3. เก็บน้ํา ภาชนะใส่น้ําต้องปิดฝาให้มิดชิดป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่ เพื่อป้องกัน 3 โรคในคราวเดียวกัน คือ 1. โรคไข้เลือดออก 2. โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และ 3. ไข้ปวดข้อยุงลาย หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422 --------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ชี้แจงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกระบาด เผยเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง แนะประชาชนสังเกตอาการตนเอง คนในครอบครัว วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน 2561 สธ.ชี้แจงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกระบาด เผยเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง แนะประชาชนสังเกตอาการตนเอง คนในครอบครัว สธ.ชี้แจงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกระบาด เผยเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง แนะประชาชนสังเกตอาการตนเอง คนในครอบครัว หากมีอาการไข้สูงมากฉับพลัน ปวดเมื่อย หน้าตาแดง อาจมีผื่นขึ้น ชี้ถ้ามีไข้สูง 2-3 วันไม่หายไม่ดีขึ้นต้องรีบพบแพทย์ที่ ร.พ. โดยเร็ว วันที่ 14 มิถุนายน 2561 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงสถานการณ์โรคไข้เลือดออกระบาด ดังนี้ ในช่วงนี้เป็นฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูระบาดของโรคไข้เลือดออก จึงต้องดําเนินการและติดตามสถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกอย่างใกล้ชิด ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ก็มีความเป็นห่วงพี่น้องประชาชนในเรื่องนี้เช่นกัน โดยได้กล่าวไว้ในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" เมื่อวันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา และขอให้ประชาชนสังเกตตัวเอง ลูกหลาน และคนใกล้ชิด หากมีอาการไข้สูง 2 วันแล้วไม่ดีขึ้น ขอให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สําคัญขอให้ระวังยุงกัด ร่วมกันกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในภาชนะที่มีน้ําขัง และที่เก็บน้ําไว้ใช้ก็ขอให้มีฝาปิดด้วย ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการดําเนินการเพื่อเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ของโรคไข้เลือดออกและมีการรณรงค์ให้ประชาชนทราบและมีส่วนร่วมในการป้องกันมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนฤดูระบาดในช่วงต้นปีนี้ และเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา กรมควบคุมโรค ได้จัดแถลงข่าวเปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค (EOC) กรณีการระบาดของโรคไข้เลือดออก เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค และบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ได้มีการสั่งการผ่าน EOC ให้สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และสํานักงานป้องกันควบคุมโรคทุกแห่งทั่วประเทศ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เร่งดําเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบและใช้มาตรการในการป้องกัน รวมถึงร่วมกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงทั้งในครัวเรือนและในชุมชน นอกจากนี้ กรมควบคุมโรค ได้พัฒนานวัตกรรมใหม่เพื่อรองรับสังคมโซเชียลในยุคดิจิทัล นั่นคือ การเปิดกลุ่มไลน์แอด “@AtiYung” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ และสอบถามทุกข้อสงสัยที่เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก จากทีมเฉพาะกิจพิชิตยุง สํานักโรคติดต่อนําโดยแมลง กรมควบคุมโรค จึงขอเชิญชวนทุกท่านเข้ากลุ่มไลน์แอด“@AntiYung” โดยพิมพ์คําว่า @AntiYung ในช่องค้นหาเพื่อนในแอพพลิเคชั่นไลน์ หรือแสกน QR Code เพื่อเข้ากลุ่มดังกล่าว สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในปี 2561 ตั้งแต่ 1 มกราคม – 11 มิถุนายน 2561 ประเทศไทยมีผู้ป่วยแล้ว 17,302 ราย ผู้ป่วยเสียชีวิตที่ยืนยันแล้ว 21 ราย ผู้ป่วยเสียชีวิตที่ได้รับแจ้งและอยู่ระหว่างตรวจสอบ 9 คน จากข้อมูลการป่วยและเสียชีวิตตามกลุ่มอายุ พบว่าอัตราป่วยยังคงสูงสุดในเด็กวัยเรียนอายุ 10–14 ปี รองลงมาอายุ 5-9 ปี แต่เมื่อพิจารณาการเสียชีวิตพบว่าในปี 2561 นี้ ผู้ป่วยที่เสียชีวิตมากกลับเป็นกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 15 ปีขึ้นไป จํานวน 14 ราย กรมควบคุมโรค ขอแนะนําให้ประชาชนสังเกตอาการตนเองและคนในครอบครัว หากมีอาการไข้สูงมากโดยฉับพลัน ปวดเมื่อย หน้าตาแดง อาจมีผื่นขึ้นใต้ผิวหนังตามแขนขา ข้อพับ ถ้ามีไข้สูง 2-3 วันไม่หายหรือไม่ดีขึ้น ต้องรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของไข้ ไม่ควรไปฉีดยาลดไข้หรือซื้อยากินเอง และขอให้ดูแลเป็นพิเศษในผู้มีโรคเรื้อรังประจําตัวและผู้สูงอายุ เพราะหากป่วยแล้วมีโอกาสรุนแรงกว่าปกติได้ ขอเชิญชวนประชาชนทุกคนและหน่วยงานต่าง ดูแลบ้านเรือน ชุมชน และหน่วยงานของตนเองไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยยึดหลัก “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” คือ 1. เก็บบ้านให้สะอาด ไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง 2. เก็บขยะ เศษภาชนะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และ 3. เก็บน้ํา ภาชนะใส่น้ําต้องปิดฝาให้มิดชิดป้องกันไม่ให้ยุงลายวางไข่ เพื่อป้องกัน 3 โรคในคราวเดียวกัน คือ 1. โรคไข้เลือดออก 2. โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และ 3. ไข้ปวดข้อยุงลาย หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422 --------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13092
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปธ.สมชาย” เผยมาตรการพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐคืบหน้า ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบแหล่งทุนแล้วกว่า 2,880 ราย รวมวงเงินกว่า 10,600 ลบ. พร้อมเบิกจ่าย พ.ค. นี้
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560 “ปธ.สมชาย” เผยมาตรการพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐคืบหน้า ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบแหล่งทุนแล้วกว่า 2,880 ราย รวมวงเงินกว่า 10,600 ลบ. พร้อมเบิกจ่าย พ.ค. นี้ ความคืบหน้ามาตรการพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จากการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ 4.0 เพื่อขับเคลื่อนนโยบายแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งเริ่มดําเนินโครงการเพียง 2 เดือนเศษ สามารถส่งเสริมและผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่แหล่งทุน จํานวน 2,883 ราย นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ในนามประธานกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เปิดเผยถึง ความคืบหน้ามาตรการพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จากการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ 4.0 เพื่อขับเคลื่อนนโยบายแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งเริ่มดําเนินโครงการเพียง 2 เดือนเศษ สามารถส่งเสริมและผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่แหล่งทุน จํานวน 2,883 ราย วงเงินรวม 10,667 ลบ. ผ่านการอนุมัติแล้ว 833 ราย วงเงินรวมกว่า 1,562 ลบ. จะเริ่มทยอยเบิกจ่ายภายในสิ้นเดือน พ.ค. นี้ ขณะนี้ (29 พ.ค. 2560) ผู้ประกอบการได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ประกอบด้วย แหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ําพิเศษ 1)โครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน 20,000 ลบ. อัตราดอกเบี้ย 1% เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน SMEs กลุ่มยุทธศาสตร์จังหวัด ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ 438 ราย วงเงิน 1,944 ลบ. อนุมัติ 15 ราย วงเงิน 45 ลบ. เฉลี่ยรายละ 3 ลบ. 2)โครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan วงเงิน 15,000 ลบ. อัตราดอกเบี้ย 3% เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน SMEs กลุ่มนิติบุคคล เข้าสู่ระบบ 1,694 ราย วงเงิน 7,562 ลบ. อนุมัติ 306 ราย วงเงิน 1,123 ลบ. เฉลี่ยรายละ 3.6 ลบ. แบ่งเป็น 2.1)กลุ่มผู้ประกอบการที่มีปัญหาด้านสภาพคล่อง 93 ราย วงเงิน 333 ลบ. คิดเป็น 29.7%, 2.2)กลุ่มผู้ประกอบการใหม่(New/Startup) หรือที่มีนวัตกรรม 14 ราย วงเงิน 45 ลบ. คิดเป็น 4.07%, และ 2.3) กลุ่มผู้ประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตสู่อุตสาหกรรม 4.0 จํานวน 199 ราย วงเงิน 743 ลบ. คิดเป็น 66.25% แหล่งเงินทุนไม่มีอัตราดอกเบี้ย ประกอบด้วย 1)โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน 2,000 ลบ. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน SMEs ที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง อนุมัติ 269 ราย วงเงิน 237 ลบ. เฉลี่ยรายละ 0.8 ลบ. และ 2)โครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม วงเงินกองทุน 1,000 ลบ. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน SMEs ที่ขาดเงินทุนหมุนเวียน อนุมัติ 243 ราย วงเงิน 157 ลบ. เฉลี่ยรายละ 0.6 ลบ. โดยเป็นผู้ประกอบการ SMEs คนตัวเล็ก วงเงินไม่เกิน 2 แสนบาท ได้รับความช่วยเหลือจํานวน 55 ราย วงเงิน 11 ลบ. นอกจากนี้ ธพว. ยังปล่อยสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 อัตราดอกเบี้ย 3% เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับความเสียหายในเขตพื้นที่ประกาศภัยพิบัติ 12 จังหวัด มี SMEs เข้าสู่ระบบ 239 ราย วงเงิน 767 ลบ. อนุมัติ 125 ราย วงเงิน 288 ลบ. เฉลี่ยรายละ 2.3 ลบ. “จากยอดยื่นกู้และยอดอนุมัติของแต่ละจังหวัดที่ส่งเข้ามาผ่านสาขา ธพว. กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ตลอดจนศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs (SME Support & Rescue Center) แสดงให้เห็นถึงกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการที่ยังประสงค์ผลักดันดําเนินธุรกิจให้ก้าวหน้าและเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ระบบธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียน เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง โดยเฉพาะ SMEs คนตัวเล็กที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ที่ต้องการผลักดันให้มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถพัฒนาต่อยอดภาคอุตสาหกรรมท้องถิ่นให้มีความพร้อมในการดําเนินธุรกิจ และภายในเดือน มิ.ย. นี้ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการได้รับการอนุมัติเงินทุนประมาณ 12,000 ลบ. จากมาตรการดังกล่าวนี้”นายสมชาย กล่าวเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2560 เป็นต้นไป ธพว. ในฐานะหน่วยงานร่วมในการบริหารงานโครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จะร่วมลงพื้นที่เดินหน้าจัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “คลินิกเอสเอ็มอีสัญจรแนวประชารัฐ” ซึ่งเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ลงพื้นที่เปิดตัวนําร่องจังหวัดสงขลาไปแล้วนั้น และอีก 7 จังหวัดที่จะจัดได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดนครปฐม จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดกระบี่ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดอุดรธานี โดยจะมีเจ้าหน้าที่ร่วมออกบูธให้คําปรึกษาแนะนํา พร้อมรับความประสงค์ยื่นกู้ภายในงาน *ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ท่านสามารถแสดงความประสงค์ยื่นคําขอกู้ได้ที่ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs (SME Support & Rescue Center) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ธพว. *สินเชื่อ SMEs Transformation Loan หรือสินเชื่ออื่นๆ ของธนาคาร สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357 หรือ ธพว.ทุกสาขาทั่วประเทศ และติดตามกิจกรรมดีๆ ผ่านช่องทาง facebook.com/SMEDevelopmentBank *โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและโครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2278-8800 ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861 หรือ 0-265-4574-5
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ปธ.สมชาย” เผยมาตรการพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐคืบหน้า ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบแหล่งทุนแล้วกว่า 2,880 ราย รวมวงเงินกว่า 10,600 ลบ. พร้อมเบิกจ่าย พ.ค. นี้ วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560 “ปธ.สมชาย” เผยมาตรการพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐคืบหน้า ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบแหล่งทุนแล้วกว่า 2,880 ราย รวมวงเงินกว่า 10,600 ลบ. พร้อมเบิกจ่าย พ.ค. นี้ ความคืบหน้ามาตรการพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จากการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ 4.0 เพื่อขับเคลื่อนนโยบายแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งเริ่มดําเนินโครงการเพียง 2 เดือนเศษ สามารถส่งเสริมและผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่แหล่งทุน จํานวน 2,883 ราย นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ในนามประธานกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เปิดเผยถึง ความคืบหน้ามาตรการพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จากการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ 4.0 เพื่อขับเคลื่อนนโยบายแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งเริ่มดําเนินโครงการเพียง 2 เดือนเศษ สามารถส่งเสริมและผลักดันผู้ประกอบการเข้าสู่แหล่งทุน จํานวน 2,883 ราย วงเงินรวม 10,667 ลบ. ผ่านการอนุมัติแล้ว 833 ราย วงเงินรวมกว่า 1,562 ลบ. จะเริ่มทยอยเบิกจ่ายภายในสิ้นเดือน พ.ค. นี้ ขณะนี้ (29 พ.ค. 2560) ผู้ประกอบการได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ประกอบด้วย แหล่งเงินทุนอัตราดอกเบี้ยต่ําพิเศษ 1)โครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน 20,000 ลบ. อัตราดอกเบี้ย 1% เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน SMEs กลุ่มยุทธศาสตร์จังหวัด ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบ 438 ราย วงเงิน 1,944 ลบ. อนุมัติ 15 ราย วงเงิน 45 ลบ. เฉลี่ยรายละ 3 ลบ. 2)โครงการสินเชื่อ SMEs Transformation Loan วงเงิน 15,000 ลบ. อัตราดอกเบี้ย 3% เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน SMEs กลุ่มนิติบุคคล เข้าสู่ระบบ 1,694 ราย วงเงิน 7,562 ลบ. อนุมัติ 306 ราย วงเงิน 1,123 ลบ. เฉลี่ยรายละ 3.6 ลบ. แบ่งเป็น 2.1)กลุ่มผู้ประกอบการที่มีปัญหาด้านสภาพคล่อง 93 ราย วงเงิน 333 ลบ. คิดเป็น 29.7%, 2.2)กลุ่มผู้ประกอบการใหม่(New/Startup) หรือที่มีนวัตกรรม 14 ราย วงเงิน 45 ลบ. คิดเป็น 4.07%, และ 2.3) กลุ่มผู้ประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตสู่อุตสาหกรรม 4.0 จํานวน 199 ราย วงเงิน 743 ลบ. คิดเป็น 66.25% แหล่งเงินทุนไม่มีอัตราดอกเบี้ย ประกอบด้วย 1)โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน 2,000 ลบ. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน SMEs ที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง อนุมัติ 269 ราย วงเงิน 237 ลบ. เฉลี่ยรายละ 0.8 ลบ. และ 2)โครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม วงเงินกองทุน 1,000 ลบ. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุน SMEs ที่ขาดเงินทุนหมุนเวียน อนุมัติ 243 ราย วงเงิน 157 ลบ. เฉลี่ยรายละ 0.6 ลบ. โดยเป็นผู้ประกอบการ SMEs คนตัวเล็ก วงเงินไม่เกิน 2 แสนบาท ได้รับความช่วยเหลือจํานวน 55 ราย วงเงิน 11 ลบ. นอกจากนี้ ธพว. ยังปล่อยสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 อัตราดอกเบี้ย 3% เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับความเสียหายในเขตพื้นที่ประกาศภัยพิบัติ 12 จังหวัด มี SMEs เข้าสู่ระบบ 239 ราย วงเงิน 767 ลบ. อนุมัติ 125 ราย วงเงิน 288 ลบ. เฉลี่ยรายละ 2.3 ลบ. “จากยอดยื่นกู้และยอดอนุมัติของแต่ละจังหวัดที่ส่งเข้ามาผ่านสาขา ธพว. กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ตลอดจนศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs (SME Support & Rescue Center) แสดงให้เห็นถึงกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการที่ยังประสงค์ผลักดันดําเนินธุรกิจให้ก้าวหน้าและเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ระบบธุรกิจมีเงินทุนหมุนเวียน เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง โดยเฉพาะ SMEs คนตัวเล็กที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก ที่ต้องการผลักดันให้มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สามารถพัฒนาต่อยอดภาคอุตสาหกรรมท้องถิ่นให้มีความพร้อมในการดําเนินธุรกิจ และภายในเดือน มิ.ย. นี้ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการได้รับการอนุมัติเงินทุนประมาณ 12,000 ลบ. จากมาตรการดังกล่าวนี้”นายสมชาย กล่าวเพิ่มเติม ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2560 เป็นต้นไป ธพว. ในฐานะหน่วยงานร่วมในการบริหารงานโครงการกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จะร่วมลงพื้นที่เดินหน้าจัดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “คลินิกเอสเอ็มอีสัญจรแนวประชารัฐ” ซึ่งเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่ผ่านมา ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ลงพื้นที่เปิดตัวนําร่องจังหวัดสงขลาไปแล้วนั้น และอีก 7 จังหวัดที่จะจัดได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดนครปฐม จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดกระบี่ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดอุดรธานี โดยจะมีเจ้าหน้าที่ร่วมออกบูธให้คําปรึกษาแนะนํา พร้อมรับความประสงค์ยื่นกู้ภายในงาน *ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ท่านสามารถแสดงความประสงค์ยื่นคําขอกู้ได้ที่ สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือ SMEs (SME Support & Rescue Center) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ธพว. *สินเชื่อ SMEs Transformation Loan หรือสินเชื่ออื่นๆ ของธนาคาร สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357 หรือ ธพว.ทุกสาขาทั่วประเทศ และติดตามกิจกรรมดีๆ ผ่านช่องทาง facebook.com/SMEDevelopmentBank *โครงการฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและโครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-2278-8800 ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861 หรือ 0-265-4574-5
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4093
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ครั้งที่ 1/2560
วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2560 รอง นรม. เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ครั้งที่ 1/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา วันนี้ (12 มิถุนายน 2560) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ครั้งที่ 1/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา โดยกําหนดวิสัยทัศน์ในฐานะที่ประเทศไทยมีกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ โดยคํานึงถึงดุลยภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีเป้าประสงค์ให้ภาครัฐและท้องถิ่นได้รับผลประโยชน์ ตอบแทนจากประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําที่เหมาะสม ประชาชนในชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําเพิ่มขึ้น และปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําลดลง ซึ่งผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคํามีการประกอบกิจการที่มีมาตรฐานสากล มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน โดยสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้ ทั้งนี้ มียุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา ประกอบด้วย 1. ยุทธศาสตร์การยกระดับการจัดการ บริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา ด้านเศรษฐกิจ ด้วยการเพิ่มผลประโยชน์ตอบแทนแก่ภาครัฐและท้องถิ่น การจัดเก็บและจัดสรรผลประโยชน์ที่เหมาะสมและเป็นธรรม 2. ยุทธศาสตร์การยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา ด้านสังคมและชุมชน โดยยกระดับมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการและการพัฒนาอาชีพ และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในชุมชน 3. ยุทธศาสตร์การยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยมีมาตรฐานการป้องกัน และแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รวมไปถึงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ชัดเจน เช่นกองทุนหลักประกันและการทําประกันภัย ตลอดจนการจัดทํา Baseline Data และ Buffer Zone เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อชุมชน รวมทั้งมีกรอบนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา จํานวน 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการแหล่งแร่ทองคํา ด้านผลประโยชน์ตอบแทนแก่ภาครัฐและท้องถิ่น ด้านความปลอดภัย การป้องกันรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การฟื้นฟูพื้นที่ ด้านการกํากับดูแลการประกอบการ ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ตลอดจนด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม *********************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ครั้งที่ 1/2560 วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2560 รอง นรม. เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ครั้งที่ 1/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา วันนี้ (12 มิถุนายน 2560) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ครั้งที่ 1/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา โดยกําหนดวิสัยทัศน์ในฐานะที่ประเทศไทยมีกรอบนโยบายและยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ โดยคํานึงถึงดุลยภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีเป้าประสงค์ให้ภาครัฐและท้องถิ่นได้รับผลประโยชน์ ตอบแทนจากประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําที่เหมาะสม ประชาชนในชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําเพิ่มขึ้น และปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําลดลง ซึ่งผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคํามีการประกอบกิจการที่มีมาตรฐานสากล มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน โดยสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้ ทั้งนี้ มียุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา ประกอบด้วย 1. ยุทธศาสตร์การยกระดับการจัดการ บริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา ด้านเศรษฐกิจ ด้วยการเพิ่มผลประโยชน์ตอบแทนแก่ภาครัฐและท้องถิ่น การจัดเก็บและจัดสรรผลประโยชน์ที่เหมาะสมและเป็นธรรม 2. ยุทธศาสตร์การยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา ด้านสังคมและชุมชน โดยยกระดับมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการและการพัฒนาอาชีพ และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในชุมชน 3. ยุทธศาสตร์การยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา ด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ โดยมีมาตรฐานการป้องกัน และแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ รวมไปถึงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ชัดเจน เช่นกองทุนหลักประกันและการทําประกันภัย ตลอดจนการจัดทํา Baseline Data และ Buffer Zone เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อชุมชน รวมทั้งมีกรอบนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคํา จํานวน 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการแหล่งแร่ทองคํา ด้านผลประโยชน์ตอบแทนแก่ภาครัฐและท้องถิ่น ด้านความปลอดภัย การป้องกันรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การฟื้นฟูพื้นที่ ด้านการกํากับดูแลการประกอบการ ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ตลอดจนด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม *********************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4455
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สธ. แบ่งงาน 4 รองปลัดกระทรวงฯ ใหม่
วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560 ​สธ. แบ่งงาน 4 รองปลัดกระทรวงฯ ใหม่ กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงแนวทางการบริหารงานปีงบประมาณ 2561 เน้นหนัก 5 แผนงาน พร้อมมอบหมายภารกิจรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงแนวทางการบริหารงานปีงบประมาณ 2561 เน้นหนัก 5 แผนงาน พร้อมมอบหมายภารกิจรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข วันนี้ (15 กันยายน 2560) ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กทม. นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค ซึ่งจะดํารงตําแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขในวันที่ 1 ตุลาคม 2560ได้ชี้แจงแนวทางการบริหารงานและประเด้นเน้นหนักของกระทรวงสาธารณสุข ในปีงบประมาณ 2561 ว่า กระทรวงสาธารณสุข จะดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข) ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ 15 แผนงาน 45 โครงการ โดยในปีงบประมาณ 2561 จะเน้นหนัก 5 แผนงาน ได้แก่ 1.การพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) 2.การพัฒนาระบบการแพทย์ปฐมภูมิ 3.การพัฒนาตามโครงการพระราชดําริและพื้นที่เฉพาะ เน้นหนักวัณโรค 4.การพัฒนาระบบบริหารจัดการกําลังคนด้านสุขภาพ (Happy MOPH) และ5.บริหารจัดการด้านการเงินการคลังสุขภาพ โดยตนจะลงนามคํารับรองการปฏิบัติราชการกระทรวงสาธารณสุข (PA) กับศาตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนด ทั้งนี้ จะเร่งรัดการก่อสร้างงบลงทุนปี 2561 ต้องจัดทําข้อกําหนดของของผู้ว่าจ้าง หรือ ทีโออาร์ (TOR : Term Reference) ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรก สําหรับการมอบหมายงานรองปลัดฯ 4 ท่าน ให้แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร เป็นรองปลัดกระทรวงฯ ด้านบริหาร (CHRO) ดูแลเขตสุขภาพที่ 1-3 องค์การเภสัชกรรม ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) กองบริหารทรัพยากรบุคคล สถาบันพระบรมราชชนก สํานักงานบริหารโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงสาธารณสุข กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร กองการพยาบาล กองกลาง กลุ่มเสริมสร้างวินัยและระบบคุณธรรม และสํานักงานโครงการส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐศิริ เป็นรองปลัดกระทรวงฯ กลุ่มภารกิจด้านพัฒนาการแพทย์ (CSO) ดูแลเขตสุขภาพที่ 11-12 สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล กรมการแพทย์ กรมการแพทย์แผนไทยฯ กรมสุขภาพจิต รพ.บ้านแพ้ว กองบริหารการสาธารณสุข ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข ศูนย์สันติวิธีสาธารณสุข กองกฎหมาย ศูนย์บริหารการพัฒนาสุขภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์ประสานงานโครงการพระราชดําริ/โครงการเฉลิมพระเกียรติ สํานักงานสนับสนุนระบบปฐมภูมิและคลินิก หมอครอบครัว คกก.กระจายอํานาจ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ เป็นรองปลัดกระทรวงฯ กลุ่มภารกิจด้านพัฒนาการสาธารณสุข (CIO) ดูแลเขตสุขภาพที่ 7-10 สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ส านักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรมควบคุมโรค กรมอนามัย ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สํานักวิชาการ กองสาธารณสุขฉุกเฉิน สํานักส่งเสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภัย สํานักงานบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักสารนิเทศ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ เป็นรองปลัดกระทรวงฯ กลุ่มภารกิจด้านสนับสนุนบริการสุขภาพ (CFO) ดูแลเขตสุขภาพที่ 4-6 มูลนิธิในกํากับฯ สภาวิชาชีพ สนง.ฌาปนกิจฯ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สปสช. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กลุ่มตรวจสอบภายใน (กระทรวง/สป.) กองบริหารการคลัง กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ เป็นหัวหน้าผู้ตรวจราชการฯ ดูแลสํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กองการต่างประเทศ สํานักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบาย ด้านสุขภาพ (HITAP) และกองตรวจราชการ ********************************** 15 กันยายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สธ. แบ่งงาน 4 รองปลัดกระทรวงฯ ใหม่ วันศุกร์ที่ 15 กันยายน 2560 ​สธ. แบ่งงาน 4 รองปลัดกระทรวงฯ ใหม่ กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงแนวทางการบริหารงานปีงบประมาณ 2561 เน้นหนัก 5 แผนงาน พร้อมมอบหมายภารกิจรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงแนวทางการบริหารงานปีงบประมาณ 2561 เน้นหนัก 5 แผนงาน พร้อมมอบหมายภารกิจรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข วันนี้ (15 กันยายน 2560) ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กทม. นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค ซึ่งจะดํารงตําแหน่งปลัดกระทรวงสาธารณสุขในวันที่ 1 ตุลาคม 2560ได้ชี้แจงแนวทางการบริหารงานและประเด้นเน้นหนักของกระทรวงสาธารณสุข ในปีงบประมาณ 2561 ว่า กระทรวงสาธารณสุข จะดําเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข) ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ 15 แผนงาน 45 โครงการ โดยในปีงบประมาณ 2561 จะเน้นหนัก 5 แผนงาน ได้แก่ 1.การพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) 2.การพัฒนาระบบการแพทย์ปฐมภูมิ 3.การพัฒนาตามโครงการพระราชดําริและพื้นที่เฉพาะ เน้นหนักวัณโรค 4.การพัฒนาระบบบริหารจัดการกําลังคนด้านสุขภาพ (Happy MOPH) และ5.บริหารจัดการด้านการเงินการคลังสุขภาพ โดยตนจะลงนามคํารับรองการปฏิบัติราชการกระทรวงสาธารณสุข (PA) กับศาตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนด ทั้งนี้ จะเร่งรัดการก่อสร้างงบลงทุนปี 2561 ต้องจัดทําข้อกําหนดของของผู้ว่าจ้าง หรือ ทีโออาร์ (TOR : Term Reference) ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรก สําหรับการมอบหมายงานรองปลัดฯ 4 ท่าน ให้แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร เป็นรองปลัดกระทรวงฯ ด้านบริหาร (CHRO) ดูแลเขตสุขภาพที่ 1-3 องค์การเภสัชกรรม ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) กองบริหารทรัพยากรบุคคล สถาบันพระบรมราชชนก สํานักงานบริหารโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงสาธารณสุข กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร กองการพยาบาล กองกลาง กลุ่มเสริมสร้างวินัยและระบบคุณธรรม และสํานักงานโครงการส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน นายแพทย์มรุต จิรเศรษฐศิริ เป็นรองปลัดกระทรวงฯ กลุ่มภารกิจด้านพัฒนาการแพทย์ (CSO) ดูแลเขตสุขภาพที่ 11-12 สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล กรมการแพทย์ กรมการแพทย์แผนไทยฯ กรมสุขภาพจิต รพ.บ้านแพ้ว กองบริหารการสาธารณสุข ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข ศูนย์สันติวิธีสาธารณสุข กองกฎหมาย ศูนย์บริหารการพัฒนาสุขภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ ศูนย์ประสานงานโครงการพระราชดําริ/โครงการเฉลิมพระเกียรติ สํานักงานสนับสนุนระบบปฐมภูมิและคลินิก หมอครอบครัว คกก.กระจายอํานาจ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ เป็นรองปลัดกระทรวงฯ กลุ่มภารกิจด้านพัฒนาการสาธารณสุข (CIO) ดูแลเขตสุขภาพที่ 7-10 สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ส านักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรมควบคุมโรค กรมอนามัย ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สํานักวิชาการ กองสาธารณสุขฉุกเฉิน สํานักส่งเสริมและสนับสนุนอาหารปลอดภัย สํานักงานบริหารยุทธศาสตร์สุขภาพดีวิถีชีวิตไทย กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักสารนิเทศ นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงศ์ เป็นรองปลัดกระทรวงฯ กลุ่มภารกิจด้านสนับสนุนบริการสุขภาพ (CFO) ดูแลเขตสุขภาพที่ 4-6 มูลนิธิในกํากับฯ สภาวิชาชีพ สนง.ฌาปนกิจฯ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สปสช. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กลุ่มตรวจสอบภายใน (กระทรวง/สป.) กองบริหารการคลัง กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ เป็นหัวหน้าผู้ตรวจราชการฯ ดูแลสํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กองการต่างประเทศ สํานักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบาย ด้านสุขภาพ (HITAP) และกองตรวจราชการ ********************************** 15 กันยายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6709
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อมปี 2560
วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560 รมช.มหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อมปี 2560 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานในพิธีมอบรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อมปี 2560 วันนี้ (31 มี.ค.2560) ณ ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ หลักสี่ กรุงเทพมหานคร นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อมปี 2560 ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นโดย มูลนิธิสิ่งแวดล้อมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยในปีนี้มีผู้เข้ารับรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อม จํานวน 12 ราย ใน 5 สาขา ประกอบด้วย สาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สาขาการสอนสิ่งแวดล้อม สาขาส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม สาขาศิลปินเพื่อสิ่งแวดล้อม และสาขาสื่อสารสิ่งแวดล้อม โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มามอบรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อมซึ่งกิจกรรมในวันนี้ถือเป็นกิจกรรมที่ดีและเป็นการมอบกําลังใจให้แก่ผู้ที่อุทิศตนเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ขอชื่นชมและเป็นกําลังใจให้ทุกท่านและขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ขอให้ทุกท่านได้ภูมิใจและมีกําลังใจในการทํางานเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่อไป.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อมปี 2560 วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560 รมช.มหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อมปี 2560 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานในพิธีมอบรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อมปี 2560 วันนี้ (31 มี.ค.2560) ณ ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ หลักสี่ กรุงเทพมหานคร นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อมปี 2560 ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นโดย มูลนิธิสิ่งแวดล้อมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยในปีนี้มีผู้เข้ารับรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อม จํานวน 12 ราย ใน 5 สาขา ประกอบด้วย สาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สาขาการสอนสิ่งแวดล้อม สาขาส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม สาขาศิลปินเพื่อสิ่งแวดล้อม และสาขาสื่อสารสิ่งแวดล้อม โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มามอบรางวัลผู้อุทิศตนเพื่อสิ่งแวดล้อมซึ่งกิจกรรมในวันนี้ถือเป็นกิจกรรมที่ดีและเป็นการมอบกําลังใจให้แก่ผู้ที่อุทิศตนเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ขอชื่นชมและเป็นกําลังใจให้ทุกท่านและขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลในปีนี้ขอให้ทุกท่านได้ภูมิใจและมีกําลังใจในการทํางานเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมต่อไป.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2817
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ประภัตร’ ระดมทุกหน่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำเมืองจันทบุรี
วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563 ‘ประภัตร’ ระดมทุกหน่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ําเมืองจันทบุรี ‘ประภัตร’ ระดมทุกหน่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ําเมืองจันทบุรี นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังการประชุมแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ําในพื้นที่ประสบภัยแล้ง พร้อมการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์ และการปลูกผลไม้ตามฤดูกาล พร้อมด้วย นายอําพันธ์ุ เวฬุตันติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสุรเดช สมิเปรม รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายอาชว์ชัยชาญ เลี้ยงประยูร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร และหัวหน้าส่วนราชการ อาทิ กรมชลทาน กรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วม โดยมี นายวิทูรัช ศรีนาท ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี และนายพงษ์พัฒน์ วงศ์ตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์วิจัยและบํารุงพันธุ์สัตว์จันทบุรี ต.วังแซ้มอ.มะขาม จ.จันทบุรี ว่า ขณะนี้ จ.จันทบุรียังไม่มีพื้นที่ประสบภัยแล้ง แต่มีพื้นที่เฝ้าระวังภัยแล้ง รวม 10 อําเภอ 69 ตําบล พื้นที่ 379.861 ไร่ ซึ่งจากการลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน อาทิ อ.มะขาม อ.เมือง อ.แหลมสิงห์ และ อ.ขลุง จ.จันทบุรี ที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาแหล่งน้ําอุปโภค-บริโภค และใช้การเกษตร เนื่องจากฝนทิ้งช่วงและภัยแล้ง จึงได้บูรณาการทํางานร่วมกันทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ จ.จันทบุรี มีปริมาณฝนตกลงมามากกว่าหลายจังหวัด แต่ลักษณะพื้นที่ลาดเอียงจึงทําให้ฝนที่ตกลงมาไหลลงสู่ทะเล จึงต้องเก็บกักน้ําไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งให้เพียงพอ “วันนี้ได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้มาร้องเรียนถึงปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งเบื้องต้นได้มอบหมายให้กรมชลประทานเร่งดําเนินโครงการสร้างอ่างเก็บน้ําต่างๆ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณให้แล้วเสร็จเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ํา และบริหารจัดการเก็บกักน้ําในช่วงหน้าแล้ง สําหรับในส่วนของการแก้ปัญหาการก่อสร้างอ่างเก็บน้ําคลองขลุง ที่ติดขัดเนื่องจากอยู่ในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้ จ.จันทบุรี ได้ดําเนินการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างขั้นตอนของกรมอุทยานแห่งชาติจะประกาศเพิกถอนพื้นที่ป่า ซึ่งก็จะสามารถดําเนินการได้ทันที ซึ่งหากการก่อสร้างแล้วเสร็จสามารถเก็บกักน้ําได้ 4.21 ล้าน ลบ.ม. เพื่อสนับสนุนพัฒนาการเกษตรเป็นแหล่งเก็บกักน้ําสําหรับการเกษตรและอุปโภค-บริโภค พื้นที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 2,500 ไร่” นายประภัตร กล่าว จากนั้น รมช.เกษตรฯ และคณะ เดินทางไปยัง ศูนย์พัฒนาผลไม้ตามพระราชดําริ จ.จันทบุรี เพื่อรับฟังสรุปการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ศูนย์ฯ และเดินทางตรวจติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ําคลองขลุงต.เกวียนหัก อ.ขลุง จ.จันทบุรี สําหรับ จ.จันทบุรี มีพื้นที่ทั้งหมด 3,961,250 ไร่ เป็นพื้นที่เกษตรกรรม 2,284,609 ไร่ (57.67% ของพื้นที่ทั้งหมด) โดยแบ่งเป็น พื้นที่ไม้ผล 1,038,126 ไร่ พื้นที่ปลูกไม้ยืนต้น 893,062 ไร่ พื้นที่ปลูกพืชไร่ 118,797 ไร่ พื้นที่นา 32,186 ไร่ พื้นที่ปลูกพืชผัก 7,225 ไร่ เป็นต้น ปริมาณน้ําภาพรวมจังหวัด 230 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ําสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 62 ถึง วันที่ 31 ธ.ค. 62 จํานวน 17,391.30 มม. พืชเศรษฐกิจที่สําคัญ ได้แก่ ทุเรียน 339,292 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 1,779 กิโลกรัม ลําใย 279,776 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 1,342 กิโลกรัม มังคุด 125,834 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 967 กิโลกรัม ทั้งนี้ อ่างเก็บน้ําขนาดกลางมี 5 แห่ง คือ เขื่อนคีรีธาร เขื่อนพลวง อ่างเก็บน้ําคลองประเเกด อ่างเก็บน้ําคลองศาลทราย และอ่างเก็บน้ําคลองพระพุทธ รวมความจุอ่าง 306.44 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ําทั้งหมด 230.30 ล้าน ลบ.ม. น้ําใช้การได้ 220 ล้าน ลบ. คิดเป็น 72 (ณ วันที่ 24 ม.ค. 62) โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ประภัตร’ ระดมทุกหน่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำเมืองจันทบุรี วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563 ‘ประภัตร’ ระดมทุกหน่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ําเมืองจันทบุรี ‘ประภัตร’ ระดมทุกหน่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ําเมืองจันทบุรี นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังการประชุมแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ําในพื้นที่ประสบภัยแล้ง พร้อมการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์ และการปลูกผลไม้ตามฤดูกาล พร้อมด้วย นายอําพันธ์ุ เวฬุตันติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสุรเดช สมิเปรม รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายอาชว์ชัยชาญ เลี้ยงประยูร รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร และหัวหน้าส่วนราชการ อาทิ กรมชลทาน กรมทรัพยากรน้ํา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วม โดยมี นายวิทูรัช ศรีนาท ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี และนายพงษ์พัฒน์ วงศ์ตระกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ให้การต้อนรับ ณ ศูนย์วิจัยและบํารุงพันธุ์สัตว์จันทบุรี ต.วังแซ้มอ.มะขาม จ.จันทบุรี ว่า ขณะนี้ จ.จันทบุรียังไม่มีพื้นที่ประสบภัยแล้ง แต่มีพื้นที่เฝ้าระวังภัยแล้ง รวม 10 อําเภอ 69 ตําบล พื้นที่ 379.861 ไร่ ซึ่งจากการลงพื้นที่ในวันนี้เพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน อาทิ อ.มะขาม อ.เมือง อ.แหลมสิงห์ และ อ.ขลุง จ.จันทบุรี ที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาแหล่งน้ําอุปโภค-บริโภค และใช้การเกษตร เนื่องจากฝนทิ้งช่วงและภัยแล้ง จึงได้บูรณาการทํางานร่วมกันทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ จ.จันทบุรี มีปริมาณฝนตกลงมามากกว่าหลายจังหวัด แต่ลักษณะพื้นที่ลาดเอียงจึงทําให้ฝนที่ตกลงมาไหลลงสู่ทะเล จึงต้องเก็บกักน้ําไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งให้เพียงพอ “วันนี้ได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้มาร้องเรียนถึงปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ ซึ่งเบื้องต้นได้มอบหมายให้กรมชลประทานเร่งดําเนินโครงการสร้างอ่างเก็บน้ําต่างๆ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณให้แล้วเสร็จเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ํา และบริหารจัดการเก็บกักน้ําในช่วงหน้าแล้ง สําหรับในส่วนของการแก้ปัญหาการก่อสร้างอ่างเก็บน้ําคลองขลุง ที่ติดขัดเนื่องจากอยู่ในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้ จ.จันทบุรี ได้ดําเนินการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างขั้นตอนของกรมอุทยานแห่งชาติจะประกาศเพิกถอนพื้นที่ป่า ซึ่งก็จะสามารถดําเนินการได้ทันที ซึ่งหากการก่อสร้างแล้วเสร็จสามารถเก็บกักน้ําได้ 4.21 ล้าน ลบ.ม. เพื่อสนับสนุนพัฒนาการเกษตรเป็นแหล่งเก็บกักน้ําสําหรับการเกษตรและอุปโภค-บริโภค พื้นที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 2,500 ไร่” นายประภัตร กล่าว จากนั้น รมช.เกษตรฯ และคณะ เดินทางไปยัง ศูนย์พัฒนาผลไม้ตามพระราชดําริ จ.จันทบุรี เพื่อรับฟังสรุปการบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ศูนย์ฯ และเดินทางตรวจติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ําคลองขลุงต.เกวียนหัก อ.ขลุง จ.จันทบุรี สําหรับ จ.จันทบุรี มีพื้นที่ทั้งหมด 3,961,250 ไร่ เป็นพื้นที่เกษตรกรรม 2,284,609 ไร่ (57.67% ของพื้นที่ทั้งหมด) โดยแบ่งเป็น พื้นที่ไม้ผล 1,038,126 ไร่ พื้นที่ปลูกไม้ยืนต้น 893,062 ไร่ พื้นที่ปลูกพืชไร่ 118,797 ไร่ พื้นที่นา 32,186 ไร่ พื้นที่ปลูกพืชผัก 7,225 ไร่ เป็นต้น ปริมาณน้ําภาพรวมจังหวัด 230 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ําสะสม ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 62 ถึง วันที่ 31 ธ.ค. 62 จํานวน 17,391.30 มม. พืชเศรษฐกิจที่สําคัญ ได้แก่ ทุเรียน 339,292 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 1,779 กิโลกรัม ลําใย 279,776 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 1,342 กิโลกรัม มังคุด 125,834 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 967 กิโลกรัม ทั้งนี้ อ่างเก็บน้ําขนาดกลางมี 5 แห่ง คือ เขื่อนคีรีธาร เขื่อนพลวง อ่างเก็บน้ําคลองประเเกด อ่างเก็บน้ําคลองศาลทราย และอ่างเก็บน้ําคลองพระพุทธ รวมความจุอ่าง 306.44 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ําทั้งหมด 230.30 ล้าน ลบ.ม. น้ําใช้การได้ 220 ล้าน ลบ. คิดเป็น 72 (ณ วันที่ 24 ม.ค. 62) โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26069