title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำสะสมจำนวนมากจากปริมาณน้ำฝน และพายุ สั่งการให้ส่วนราชการเตรียมความพร้อม แจ้งเตือนภัยให้ประชาชนทราบสถานการณ์อย่างทันถ่วงที
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560 นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ําสะสมจํานวนมากจากปริมาณน้ําฝน และพายุ สั่งการให้ส่วนราชการเตรียมความพร้อม แจ้งเตือนภัยให้ประชาชนทราบสถานการณ์อย่างทันถ่วงที นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ําสะสมจํานวนมากจากปริมาณน้ําฝน และพายุ สั่งการให้ส่วนราชการเตรียมความพร้อม แจ้งเตือนภัยให้ประชาชนทราบสถานการณ์อย่างทันถ่วงที วันนี้ (10 ตุลาคม 2560) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อปริมาณน้ําฝนที่ตกขณะนี้ว่า ประเทศไทยเป็นพื้นที่ลุ่มต่ํา มีความเสี่ยงสูงต่อน้ําท่วมขังที่เกิดจากน้ําฝนที่ตกจํานวนมาก และจากพายุ ซึ่งจะทําให้มีปริมาณน้ําสะสมมากขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อประชาชน โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ พร้อมกับขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์จากการแจ้งเตือนจากส่วนราชการ กรมอุตุวิทยา พร้อมสั่งการให้จัดทําเป็นตัววิ่งแจ้งเตือนภัยสถานการณ์น้ําให้ประชาชนได้รับทราบผ่านสื่อต่าง ๆ แล้ว ----------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำสะสมจำนวนมากจากปริมาณน้ำฝน และพายุ สั่งการให้ส่วนราชการเตรียมความพร้อม แจ้งเตือนภัยให้ประชาชนทราบสถานการณ์อย่างทันถ่วงที วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560 นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ําสะสมจํานวนมากจากปริมาณน้ําฝน และพายุ สั่งการให้ส่วนราชการเตรียมความพร้อม แจ้งเตือนภัยให้ประชาชนทราบสถานการณ์อย่างทันถ่วงที นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ําสะสมจํานวนมากจากปริมาณน้ําฝน และพายุ สั่งการให้ส่วนราชการเตรียมความพร้อม แจ้งเตือนภัยให้ประชาชนทราบสถานการณ์อย่างทันถ่วงที วันนี้ (10 ตุลาคม 2560) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยต่อปริมาณน้ําฝนที่ตกขณะนี้ว่า ประเทศไทยเป็นพื้นที่ลุ่มต่ํา มีความเสี่ยงสูงต่อน้ําท่วมขังที่เกิดจากน้ําฝนที่ตกจํานวนมาก และจากพายุ ซึ่งจะทําให้มีปริมาณน้ําสะสมมากขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อประชาชน โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ พร้อมกับขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์จากการแจ้งเตือนจากส่วนราชการ กรมอุตุวิทยา พร้อมสั่งการให้จัดทําเป็นตัววิ่งแจ้งเตือนภัยสถานการณ์น้ําให้ประชาชนได้รับทราบผ่านสื่อต่าง ๆ แล้ว ----------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7277
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงข่าว Kick Off โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” ดึงชุมชน ร่วมสำรวจปัญหา เร่งช่วยผู้เดือดร้อน จากผลกระทบโรคโควิด-19
วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 พม. แถลงข่าว Kick Off โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” ดึงชุมชน ร่วมสํารวจปัญหา เร่งช่วยผู้เดือดร้อน จากผลกระทบโรคโควิด-19 พม. แถลงข่าว Kick Off โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” ดึงชุมชน ร่วมสํารวจปัญหา เร่งช่วยผู้เดือดร้อน จากผลกระทบโรคโควิด-19 วันนี้ (14 เม.ย. 63) เวลา 10.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กทม. นางพัชรี อาระยะกุล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานการแถลงข่าว Kick Off โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” ภายใต้แนวคิด “สํารวจให้พบ จบที่ชุมชน” เพื่อเร่งช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อยและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในพื้นที่ กทม. จํานวน 286 ชุมชน ที่อยู่ในความดูแลของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. โดยมี นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนางจินตนา จันทร์บํารุง ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมแถลงข่าว ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรี กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนทุกคน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีความรุนแรงในวงกว้างมากขึ้น และได้ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อประชาชนและกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ สําหรับกรุงเทพมหานคร มีลักษณะชุมชนเมืองที่มีประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น โดยมีชุมชนที่อยู่ในความดูแลของ กคช. และ พอช. จํานวนทั้งสิ้น 286 ชุมชน กําลังเดือดร้อนเป็นจํานวนมาก และจําเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้ขับเคลื่อน โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” ภายใต้แนวคิด “สํารวจให้พบ จบที่ชุมชน” เพื่อเร่งช่วยเหลือผู้สูงอายุ เด็ก และคนพิการที่ถูกทอดทิ้งไม่มีคนดูแล ผู้ที่ตกงาน ผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัย ผู้ที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ผู้ที่ขาดแคลนอาหาร แม่เลี้ยงเดี่ยว แม่ที่ไม่มีค่านมลูก ผู้ปกครองที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมบุตรหลาน ผู้ที่ไม่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท ตามเงื่อนไขของรัฐบาล และครอบครัวได้รับผลกระทบจากการกักตัวกลุ่มเสี่ยง รวมทั้งผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนด้านต่างๆ ในชุมชน นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ กระทรวง พม. ได้รวบรวมข้อมูลในภาพรวมของ 286 ชุมชน ได้แก่ รายชื่อชุมชนและข้อมูลพื้นฐานทั่วไป รวมทั้งรายชื่อผู้ประสานงานชุมชน และจะดําเนินการสํารวจข้อมูลเพิ่มเติม ได้แก่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค สภาพปัญหาและความต้องการ สวัสดิการสังคมที่ได้รับแล้วจากรัฐและกระทรวง พม. และผลการดําเนินการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา จากนั้น จะนําข้อมูลทั้งหมดมาสังเคราะห์และวางแผนในการลงพื้นที่ช่วยเหลือชุมชนตามระดับความเร่งด่วนของปัญหาและความต้องการ โดยได้เตรียมกิจกรรมการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างปลอดภัยด้านต่างๆ ในชุมชน ดังนี้ 1) ความปลอดภัยด้านที่พักอาศัย ด้วยการดูแลสมาชิกครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการกักตัวกลุ่มเสี่ยง 2) ความปลอดภัยด้านอาหาร ด้วยการตั้งโรงอาหารกลางในชุมชน 3) ความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการให้ความรู้และการกํากับดูแลชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในชุมชน 4) ความปลอดภัยด้านการป้องกัน ด้วยการมีเวชภัณฑ์ในการดูแลรักษาความสะอาด และ 5) ความปลอดภัยด้านเศรษฐกิจ ด้วยการส่งเสริมและฝึกอาชีพเพื่อสร้างรายได้อย่างมั่นคง ทั้งนี้ เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ด้วยตนเอง อันเกิดจากการ “สํารวจให้พบ จบที่ชุมชน” นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับแผนขับเคลื่อน โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” จะมีการลงพื้นที่เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในชุมชนได้รับทราบและเข้ามามีส่วนร่วมในการแจ้งข้อมูลของตนเองและครอบครัวกับผู้ประสานงานชุมชน ด้วยแผ่นป้ายและโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ หอกระจายข่าวในชุมชน และสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งภายในสัปดาห์นี้จะทําให้ทราบข้อมูลทั้งหมดของ 286 ชุมชน เพื่อนําไปจัดทําแผนฟื้นฟูชุมชน และจะได้ลงพื้นที่ชุมชนแรกและชุมชนต่อๆ ไปตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป โดยคาดว่าจะลงพื้นที่จนครบ 286 ชุมชน ภายในเดือนพฤษภาคม 2563 เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเร็วที่สุด อีกทั้งสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการพึ่งพาตนองได้ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาวต่อไป นางสาวสราญภัทร เปิดเผยถึงผลการสํารวจ “ครอบครัวไทยในภาวะวิกฤติ COVIC-19” ใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การปฏิบัติตัวของประชาชน ในภาวะวิกฤต COVID-19 2)กิจกรรมขณะอยู่บ้าน Stay at home ในภาวะวิกฤต COVID-19 และ 3) การอยู่ร่วมกันในครอบครัว Stay at home ในภาวะวิกฤต COVID-19 โดยสํารวจจากประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จํานวน 2,069 ตัวอย่าง ซึ่งมีข้อคําถามเกี่ยวกับการรับทราบข้อมูลการปฏิบัติตัวของประชาชนและสถานการณ์การอยู่ร่วมกันในครอบครัวในภาวะวิกฤต COVIC-19 ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 10 – 13 เมษายน 2563 ในแต่ละประเด็นที่ทําการสํารวจ พบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้ ประเด็นที่ 1 การปฏิบัติตัวของประชาชนในภาวะวิกฤต COVID-19 ในช่วงระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ดังนี้ ผลสํารวจในประเด็นนี้ พบว่า ร้อยละ 96.4 สมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่มีการสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน ร้อยละ 88.3 มีความพยายามหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน ไม่ไปอยู่ในสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนแออัดและหลีกเลี่ยงงานเลี้ยงสังสรรค์ ร้อยละ 84.3 มีการทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ กินร้อน ช้อนส่วนตัวและล้างมือบ่อยมากขึ้น ประเด็นที่ 2 กิจกรรมที่ประชาชนทําขณะอยู่บ้าน Stay at home ในภาวะวิกฤต COVID-19 เมื่อพิจารณาถึงกิจกรรมของครอบครัวที่ทําขณะอยู่บ้าน พบว่า ร้อยละ 98.8 มีการติดตามข่าวสารบ้านเมืองและข่าวสถานการณ์ COVID-19 ร้อยละ 85.6 มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น บริจาคเงิน ทําบุญ จิตอาสา ร้อยละ 82.0 มีการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น นอกจากนี้ ยังพบว่านโยบายทํางานที่บ้าน (Work for home) พบว่า สมาชิกครอบครัว 7 ใน 10 คน ทํางานที่บ้านมีสัดส่วน 1 ใน 4 คน ที่ใช้เวลาทํางานมากพอๆ กับที่ทํางาน แม้ว่าจะมีสถานการณ์วิกฤตจากโรคระบาด ครอบครัวไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 96.0 ไม่ได้ใช้ความรุนแรงทําร้ายร่างกายกัน อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะความตึงเครียด ทําให้สมาชิกครอบครัวเพียงร้อยละ 56.4 เท่านั้น ที่สามารถควบคุมการใช้อารมณ์รุนแรงหรือไม่ใช้อารมณ์รุนแรงกับคนในครอบครัว และที่น่าห่วงใย คือ มีครอบครัวไทย ร้อยละ 5.8 ที่เมื่อมีความหงุดหงิดและโมโหแทบไม่สามารถควบคุมการใช้อารมณ์กับคนในครอบครัวได้เลย ซึ่งในจํานวนนี้ มีร้อยละ 0.9 ที่มีการใช้ความรุนแรงทําร้ายร่างกายกัน จนได้รับบาดเจ็บ นางสาวสราญภัทร กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 3 การอยู่ร่วมกันของครอบครัวในภาวะวิกฤติ COVID-19 พบว่า ร้อยละ 94.6 มีความเห็นว่าสถาบันครอบครัว คือสถาบันที่มีความสําคัญมากที่สุด ร้อยละ 84.0 คือ รู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับครอบครัว และร้อยละ 68.9 มีการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ร่วมกับครอบครัว อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่ากังวล คือ มีครอบครัวไทยเพียงร้อยละ 23.4 เท่านั้น ที่ไม่มีปัญหาด้านการเงินและสามารถดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้ในภาวะวิกฤตนี้ สําหรับครอบครัวร้อยละ 61.4 พอที่จะสามารถจัดการแก้ไขปัญหาทางการเงินและดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้ แต่สําหรับครอบครัวอีกร้อยละ 14.7 มีปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะแทบไม่สามารถจัดการด้านการเงินและค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้เลย ทั้งนี้ มีครอบครัวเกือบ 2 ใน 3 หรือ ร้อยละ 65.5 มีความเชื่อถือข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข และมีความเชื่อมั่นการทํางานของรัฐรวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ ที่สําคัญ จากภาวะวิกฤตนี้ ทําให้ประชาชนกว่า 6 ใน 10 หรือ ร้อยละ 60.1 มีการใช้ชีวิตความเป็นอยู่แบบพอเพียงมากขึ้น จะเห็นได้ว่าวิกฤติโรคระบาด COVID-19 ได้ส่งผลกระทบทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และระดับประเทศ ซึ่งบทบาทของครอบครัวไทย มีส่วนสําคัญอย่างยิ่งที่จะทําให้รอดพ้นจากภาวะวิกฤตนี้ได้ ด้วยความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกในครอบครัวทุกคน คือ การอยู่กับบ้าน Stay at home ออกนอกบ้านเท่าที่จําเป็นเท่านั้น ซึ่งนอกจากเป็นโอกาสที่ดีที่ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน มีความรัก ความอบอุ่น และได้เรียนรู้กันให้มากขึ้น ยังเป็นการปฏิบัติตามมาตรการรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” สนับสนุนให้กําลังใจบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤตโรคระบาดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สําคัญ เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน เพื่อความปลอดภัยของคนไทยทุกคน นางจินตนา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. โดย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ดําเนินการเปิดจุดคัดกรองกลุ่มเป้าหมายคนไร้บ้าน คนเร่ร่อน คนไร้ที่พึ่ง และผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก โดยศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง กรุงเทพมหานคร จัดบริการคัดกรองโรค ประเมินกลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น และให้บริการที่พักพิง และปัจจัยสี่ในสภาวะวิกฤตินี้ ซึ่งได้ดําเนินการให้การคุ้มครองตามมาตรการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยผลการดําเนินงาน นับตั้งแต่เริ่มเปิดจุดคัดกรอง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 จนถึง 13 เมษายน 2563 มียอดผู้ใช้บริการสะสม 95 ราย เป็น ชาย 71 ราย หญิง 24 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นคนไร้ที่พึ่ง ไร้บ้าน และอยู่ในสภาวะยากลําบาก เช่น ตกรถ หรือถูกพักงานไม่มีที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ยังมีกลุ่มเป้าหมาย ผู้ใช้บริการ ที่ยังคงพักพิงในจุดคัดกรอง ดินแดง อยู่จํานวน 22 คน เป็นชาย 17 ราย และหญิง 15 ราย ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม หรือพบเห็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและดําเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงข่าว Kick Off โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” ดึงชุมชน ร่วมสำรวจปัญหา เร่งช่วยผู้เดือดร้อน จากผลกระทบโรคโควิด-19 วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 พม. แถลงข่าว Kick Off โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” ดึงชุมชน ร่วมสํารวจปัญหา เร่งช่วยผู้เดือดร้อน จากผลกระทบโรคโควิด-19 พม. แถลงข่าว Kick Off โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” ดึงชุมชน ร่วมสํารวจปัญหา เร่งช่วยผู้เดือดร้อน จากผลกระทบโรคโควิด-19 วันนี้ (14 เม.ย. 63) เวลา 10.00 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กทม. นางพัชรี อาระยะกุล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานการแถลงข่าว Kick Off โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” ภายใต้แนวคิด “สํารวจให้พบ จบที่ชุมชน” เพื่อเร่งช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อยและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในพื้นที่ กทม. จํานวน 286 ชุมชน ที่อยู่ในความดูแลของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) และ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. โดยมี นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนางจินตนา จันทร์บํารุง ผู้ตรวจราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมแถลงข่าว ณ บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวง พม. สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรี กล่าวว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนทุกคน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีความรุนแรงในวงกว้างมากขึ้น และได้ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อประชาชนและกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ สําหรับกรุงเทพมหานคร มีลักษณะชุมชนเมืองที่มีประชาชนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น โดยมีชุมชนที่อยู่ในความดูแลของ กคช. และ พอช. จํานวนทั้งสิ้น 286 ชุมชน กําลังเดือดร้อนเป็นจํานวนมาก และจําเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงได้ขับเคลื่อน โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” ภายใต้แนวคิด “สํารวจให้พบ จบที่ชุมชน” เพื่อเร่งช่วยเหลือผู้สูงอายุ เด็ก และคนพิการที่ถูกทอดทิ้งไม่มีคนดูแล ผู้ที่ตกงาน ผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัย ผู้ที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ผู้ที่ขาดแคลนอาหาร แม่เลี้ยงเดี่ยว แม่ที่ไม่มีค่านมลูก ผู้ปกครองที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมบุตรหลาน ผู้ที่ไม่ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท ตามเงื่อนไขของรัฐบาล และครอบครัวได้รับผลกระทบจากการกักตัวกลุ่มเสี่ยง รวมทั้งผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนด้านต่างๆ ในชุมชน นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ กระทรวง พม. ได้รวบรวมข้อมูลในภาพรวมของ 286 ชุมชน ได้แก่ รายชื่อชุมชนและข้อมูลพื้นฐานทั่วไป รวมทั้งรายชื่อผู้ประสานงานชุมชน และจะดําเนินการสํารวจข้อมูลเพิ่มเติม ได้แก่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค สภาพปัญหาและความต้องการ สวัสดิการสังคมที่ได้รับแล้วจากรัฐและกระทรวง พม. และผลการดําเนินการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมา จากนั้น จะนําข้อมูลทั้งหมดมาสังเคราะห์และวางแผนในการลงพื้นที่ช่วยเหลือชุมชนตามระดับความเร่งด่วนของปัญหาและความต้องการ โดยได้เตรียมกิจกรรมการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างปลอดภัยด้านต่างๆ ในชุมชน ดังนี้ 1) ความปลอดภัยด้านที่พักอาศัย ด้วยการดูแลสมาชิกครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการกักตัวกลุ่มเสี่ยง 2) ความปลอดภัยด้านอาหาร ด้วยการตั้งโรงอาหารกลางในชุมชน 3) ความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการให้ความรู้และการกํากับดูแลชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในชุมชน 4) ความปลอดภัยด้านการป้องกัน ด้วยการมีเวชภัณฑ์ในการดูแลรักษาความสะอาด และ 5) ความปลอดภัยด้านเศรษฐกิจ ด้วยการส่งเสริมและฝึกอาชีพเพื่อสร้างรายได้อย่างมั่นคง ทั้งนี้ เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ด้วยตนเอง อันเกิดจากการ “สํารวจให้พบ จบที่ชุมชน” นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับแผนขับเคลื่อน โครงการ พม. “เราไม่ทิ้งกัน” จะมีการลงพื้นที่เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในชุมชนได้รับทราบและเข้ามามีส่วนร่วมในการแจ้งข้อมูลของตนเองและครอบครัวกับผู้ประสานงานชุมชน ด้วยแผ่นป้ายและโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ หอกระจายข่าวในชุมชน และสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งภายในสัปดาห์นี้จะทําให้ทราบข้อมูลทั้งหมดของ 286 ชุมชน เพื่อนําไปจัดทําแผนฟื้นฟูชุมชน และจะได้ลงพื้นที่ชุมชนแรกและชุมชนต่อๆ ไปตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป โดยคาดว่าจะลงพื้นที่จนครบ 286 ชุมชน ภายในเดือนพฤษภาคม 2563 เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเร็วที่สุด อีกทั้งสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการพึ่งพาตนองได้ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาวต่อไป นางสาวสราญภัทร เปิดเผยถึงผลการสํารวจ “ครอบครัวไทยในภาวะวิกฤติ COVIC-19” ใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1) การปฏิบัติตัวของประชาชน ในภาวะวิกฤต COVID-19 2)กิจกรรมขณะอยู่บ้าน Stay at home ในภาวะวิกฤต COVID-19 และ 3) การอยู่ร่วมกันในครอบครัว Stay at home ในภาวะวิกฤต COVID-19 โดยสํารวจจากประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จํานวน 2,069 ตัวอย่าง ซึ่งมีข้อคําถามเกี่ยวกับการรับทราบข้อมูลการปฏิบัติตัวของประชาชนและสถานการณ์การอยู่ร่วมกันในครอบครัวในภาวะวิกฤต COVIC-19 ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 10 – 13 เมษายน 2563 ในแต่ละประเด็นที่ทําการสํารวจ พบข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้ ประเด็นที่ 1 การปฏิบัติตัวของประชาชนในภาวะวิกฤต COVID-19 ในช่วงระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามนโยบายและมาตรการของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ดังนี้ ผลสํารวจในประเด็นนี้ พบว่า ร้อยละ 96.4 สมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่มีการสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน ร้อยละ 88.3 มีความพยายามหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้าน ไม่ไปอยู่ในสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนแออัดและหลีกเลี่ยงงานเลี้ยงสังสรรค์ ร้อยละ 84.3 มีการทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ กินร้อน ช้อนส่วนตัวและล้างมือบ่อยมากขึ้น ประเด็นที่ 2 กิจกรรมที่ประชาชนทําขณะอยู่บ้าน Stay at home ในภาวะวิกฤต COVID-19 เมื่อพิจารณาถึงกิจกรรมของครอบครัวที่ทําขณะอยู่บ้าน พบว่า ร้อยละ 98.8 มีการติดตามข่าวสารบ้านเมืองและข่าวสถานการณ์ COVID-19 ร้อยละ 85.6 มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น บริจาคเงิน ทําบุญ จิตอาสา ร้อยละ 82.0 มีการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น นอกจากนี้ ยังพบว่านโยบายทํางานที่บ้าน (Work for home) พบว่า สมาชิกครอบครัว 7 ใน 10 คน ทํางานที่บ้านมีสัดส่วน 1 ใน 4 คน ที่ใช้เวลาทํางานมากพอๆ กับที่ทํางาน แม้ว่าจะมีสถานการณ์วิกฤตจากโรคระบาด ครอบครัวไทยส่วนใหญ่ ร้อยละ 96.0 ไม่ได้ใช้ความรุนแรงทําร้ายร่างกายกัน อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะความตึงเครียด ทําให้สมาชิกครอบครัวเพียงร้อยละ 56.4 เท่านั้น ที่สามารถควบคุมการใช้อารมณ์รุนแรงหรือไม่ใช้อารมณ์รุนแรงกับคนในครอบครัว และที่น่าห่วงใย คือ มีครอบครัวไทย ร้อยละ 5.8 ที่เมื่อมีความหงุดหงิดและโมโหแทบไม่สามารถควบคุมการใช้อารมณ์กับคนในครอบครัวได้เลย ซึ่งในจํานวนนี้ มีร้อยละ 0.9 ที่มีการใช้ความรุนแรงทําร้ายร่างกายกัน จนได้รับบาดเจ็บ นางสาวสราญภัทร กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 3 การอยู่ร่วมกันของครอบครัวในภาวะวิกฤติ COVID-19 พบว่า ร้อยละ 94.6 มีความเห็นว่าสถาบันครอบครัว คือสถาบันที่มีความสําคัญมากที่สุด ร้อยละ 84.0 คือ รู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับครอบครัว และร้อยละ 68.9 มีการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ร่วมกับครอบครัว อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่ากังวล คือ มีครอบครัวไทยเพียงร้อยละ 23.4 เท่านั้น ที่ไม่มีปัญหาด้านการเงินและสามารถดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้ในภาวะวิกฤตนี้ สําหรับครอบครัวร้อยละ 61.4 พอที่จะสามารถจัดการแก้ไขปัญหาทางการเงินและดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้ แต่สําหรับครอบครัวอีกร้อยละ 14.7 มีปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะแทบไม่สามารถจัดการด้านการเงินและค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้เลย ทั้งนี้ มีครอบครัวเกือบ 2 ใน 3 หรือ ร้อยละ 65.5 มีความเชื่อถือข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข และมีความเชื่อมั่นการทํางานของรัฐรวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ ที่สําคัญ จากภาวะวิกฤตนี้ ทําให้ประชาชนกว่า 6 ใน 10 หรือ ร้อยละ 60.1 มีการใช้ชีวิตความเป็นอยู่แบบพอเพียงมากขึ้น จะเห็นได้ว่าวิกฤติโรคระบาด COVID-19 ได้ส่งผลกระทบทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และระดับประเทศ ซึ่งบทบาทของครอบครัวไทย มีส่วนสําคัญอย่างยิ่งที่จะทําให้รอดพ้นจากภาวะวิกฤตนี้ได้ ด้วยความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกในครอบครัวทุกคน คือ การอยู่กับบ้าน Stay at home ออกนอกบ้านเท่าที่จําเป็นเท่านั้น ซึ่งนอกจากเป็นโอกาสที่ดีที่ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน มีความรัก ความอบอุ่น และได้เรียนรู้กันให้มากขึ้น ยังเป็นการปฏิบัติตามมาตรการรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” สนับสนุนให้กําลังใจบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤตโรคระบาดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สําคัญ เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน เพื่อความปลอดภัยของคนไทยทุกคน นางจินตนา กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. โดย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ดําเนินการเปิดจุดคัดกรองกลุ่มเป้าหมายคนไร้บ้าน คนเร่ร่อน คนไร้ที่พึ่ง และผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก โดยศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง กรุงเทพมหานคร จัดบริการคัดกรองโรค ประเมินกลุ่มเป้าหมายเบื้องต้น และให้บริการที่พักพิง และปัจจัยสี่ในสภาวะวิกฤตินี้ ซึ่งได้ดําเนินการให้การคุ้มครองตามมาตรการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยผลการดําเนินงาน นับตั้งแต่เริ่มเปิดจุดคัดกรอง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 จนถึง 13 เมษายน 2563 มียอดผู้ใช้บริการสะสม 95 ราย เป็น ชาย 71 ราย หญิง 24 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นคนไร้ที่พึ่ง ไร้บ้าน และอยู่ในสภาวะยากลําบาก เช่น ตกรถ หรือถูกพักงานไม่มีที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ยังมีกลุ่มเป้าหมาย ผู้ใช้บริการ ที่ยังคงพักพิงในจุดคัดกรอง ดินแดง อยู่จํานวน 22 คน เป็นชาย 17 ราย และหญิง 15 ราย ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม หรือพบเห็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถโทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและดําเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29026
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ทำบุญเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พร้อมดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 ทส. ทําบุญเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พร้อมดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ทส. ทําบุญเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พร้อมดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดพิธีทําบุญเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2561 เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการ พนักงานและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน โดยจะดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นมรดกอันล้ําค่าของแผ่นดิน ส่งต่อลูกหลานในอนาคตและเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยจากทรัพยากรธรรมชาติ สืบไป วันนี้ (5 มกราคม 2561) เวลา 07.30 น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดพิธีทําบุญเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2561 เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการ พนักงานและเจ้าหน้าที่ในสังกัด โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดฯ สักการะพระพุทธสยัมภู บูชาพระภูมิเจ้าที่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวงฯ ณ บริเวรหน้าอาคาร จากนั้นเวลา 08.00 น. ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา โดยมี พระสงฆ์ จํานวน 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์ ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ชั้น 2 อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โอกาสนี้ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กล่าวขอบคุณข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทํางานกันอย่างหนัก เพื่อที่จะรักษาฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และนอกจากนี้ ได้ให้โอวาทแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ โดยให้ทุกคนตระหนักว่าทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ซึ่งประเทศไทยก็อยู่ในช่วงกําลังเปลี่ยนแปลง โดยรัฐบาลมียุทธศาสตร์ชาติการปฏิรูป 11 ด้าน และอีกหลายๆ ด้าน เป็นกติกาของประเทศที่จะก้าวไปสู่อนาคต กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็จะต้องก้าวเข้าสู่การปฏิรูปอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการพัฒนาคนให้มีความรู้ มีความทันสมัย และที่สําคัญที่สุดทุกหน่วยงานต้องมีเป้าหมายการพัฒนาที่ชัดเจน มุ่งเน้นผลสําเร็จ เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ต้องสร้างความเชื่อมั่น ศรัทธา ให้มองทัศนะคติ และกลุ่มเป้าหมาย และใช้การปฏิบัติงานจริงในการสร้างความศรัทธาเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ทำบุญเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พร้อมดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 ทส. ทําบุญเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พร้อมดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ทส. ทําบุญเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พร้อมดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดพิธีทําบุญเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2561 เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการ พนักงานและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน โดยจะดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นมรดกอันล้ําค่าของแผ่นดิน ส่งต่อลูกหลานในอนาคตและเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยจากทรัพยากรธรรมชาติ สืบไป วันนี้ (5 มกราคม 2561) เวลา 07.30 น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดพิธีทําบุญเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2561 เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการ พนักงานและเจ้าหน้าที่ในสังกัด โดยมี พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ในสังกัดฯ สักการะพระพุทธสยัมภู บูชาพระภูมิเจ้าที่ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวงฯ ณ บริเวรหน้าอาคาร จากนั้นเวลา 08.00 น. ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา โดยมี พระสงฆ์ จํานวน 9 รูป เจริญพระพุทธมนต์ ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ชั้น 2 อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โอกาสนี้ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กล่าวขอบคุณข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทํางานกันอย่างหนัก เพื่อที่จะรักษาฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และนอกจากนี้ ได้ให้โอวาทแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ โดยให้ทุกคนตระหนักว่าทุกวันนี้เราอยู่ในโลกของการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ซึ่งประเทศไทยก็อยู่ในช่วงกําลังเปลี่ยนแปลง โดยรัฐบาลมียุทธศาสตร์ชาติการปฏิรูป 11 ด้าน และอีกหลายๆ ด้าน เป็นกติกาของประเทศที่จะก้าวไปสู่อนาคต กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็จะต้องก้าวเข้าสู่การปฏิรูปอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการพัฒนาคนให้มีความรู้ มีความทันสมัย และที่สําคัญที่สุดทุกหน่วยงานต้องมีเป้าหมายการพัฒนาที่ชัดเจน มุ่งเน้นผลสําเร็จ เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ต้องสร้างความเชื่อมั่น ศรัทธา ให้มองทัศนะคติ และกลุ่มเป้าหมาย และใช้การปฏิบัติงานจริงในการสร้างความศรัทธาเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9213
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.รับฟังบรรยายสรุปรายงานความก้าวหน้า และความเป็นมาของการออกแบบก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าสนามไชย คาดว่าเปิดให้บริการปี 62
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 นรม.รับฟังบรรยายสรุปรายงานความก้าวหน้า และความเป็นมาของการออกแบบก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าสนามไชย คาดว่าเปิดให้บริการปี 62 โดยได้นั่งรถรางลอดอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้แม่น้ําเจ้าพระยาจากสถานีสนามไชย ไปยังสถานีอิสรภาพ และรับรายงานความคืบหน้าในการดําเนินงานออกแบบตกแต่งสถาปัตยกรรมภายในของสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองแห่ง วันนี้ (11 สิงหาคม 2560) เวลา 09.00 น.ณ สถานีสนามไชย เขตพระนคร กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอกวิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม พลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พลเอกยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และคณะฯ โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวรายงานและสรุปรายงานความก้าวหน้า ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ และนั่งรถรางลอดอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้แม่น้ําเจ้าพระยาจากสถานีสนามไชย ไปยังสถานีอิสรภาพ และรับรายงานความคืบหน้าในการดําเนินงานออกแบบตกแต่งสถาปัตยกรรมภายในของสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองแห่ง ทั้งนี้ พลเอกยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานกรรมการ รฟม. กล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วน ต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ มีระยะทางรวมประมาณ 27 กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ 1) ช่วงหัวลําโพง – บางแค ประกอบด้วยโครงสร้างทางวิ่งใต้ดิน ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจํานวน 4 สถานี และโครงสร้างทางวิ่งยกระดับ ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้ายกระดับจํานวน 7 สถานี รวมถึงมีศูนย์ซ่อมบํารุงจํานวน 1 แห่ง และอาคารจอดแล้วจรจํานวน 2 แห่ง 2) ช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ประกอบด้วยโครงสร้างทางวิ่งแบบยกระดับทั้งหมด ระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้ายกระดับจํานวน 8 สถานี โดย รฟม. ได้มุ่งเน้นออกแบบก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยายฯ ให้มีความกลมกลืนกับประวัติศาสตร์ความเป็นมา และสัญลักษณ์เชิงพื้นที่ ได้แก่ สถานีสนามไชย มีการออกแบบโดยจําลองท้องพระโรงสมัยรัตนโกสินทร์ ที่ให้ความรู้สึกที่งดงาม ตระการตา สถานีอิสรภาพ มีการตกแต่งภายในเป็นลักษณะเสารูปหงส์ ซึ่งถือเป็นสัตว์สิริมงคลและศักดิ์สิทธิ์และเป็นตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ในพื้นที่ สื่อถึงวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร สถานีวัดมังกร มีการออกแบบสถาปัตยกรรมจีนมาผสมผสานกับรูปแบบยุโรป หรือเรียกว่าสไตล์ชิโนโปรตุกิส สอดคล้องกับวิถีชีวิต วิถีการค้าชาวจีน สภาพแวดล้อมโดยรอบ เช่น เยาวราช และสถานีสามยอด มีการออกแบบภายนอกสถานีเน้นสถาปัตยกรรมย้อนยุค โดยยึดรูปแบบตามสไตล์ชิโนโปรตุกิส ให้สอดคล้องกับอาคารริมถนนเจริญกรุง โดยปัจจุบันโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยายฯ มีความก้าวหน้าการก่อสร้างงานโยธาในภาพรวม 94.62% (ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2560) ซึ่งขณะนี้ BEM ได้จัดซื้อรถไฟฟ้าจากบริษัท ซีเมนส์ จํากัด ประเทศเยอรมนี จํานวน 35 ขบวน และคาดว่าจะสามารถเปิดเดินรถ ช่วงหัวลําโพง – บางแค ได้ในปี 2562 และเปิดเดินรถ ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ได้ในปี 2563 ทั้งนี้ รฟม. มีความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง ที่จะพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนให้ครอบคลุมมีประสิทธิภาพและครบวงจร เป็นทางเลือกของการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็วเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยสอบถามข้อมูลและติดตามข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ www.mrta.co.th และ เฟซบุ๊ค การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) หรือ โทร 0 2716 4044 อนึ่ง หลังจากรับฟังกล่าวรายงานและสรุปรายงานความก้าวหน้าเสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีได้รับมอบ เงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากตัวแทนผู้บริหาร กลุ่มบริษัท ช.การช่าง จํานวน 5,000,000 บาท ........................................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.รับฟังบรรยายสรุปรายงานความก้าวหน้า และความเป็นมาของการออกแบบก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าสนามไชย คาดว่าเปิดให้บริการปี 62 วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 นรม.รับฟังบรรยายสรุปรายงานความก้าวหน้า และความเป็นมาของการออกแบบก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าสนามไชย คาดว่าเปิดให้บริการปี 62 โดยได้นั่งรถรางลอดอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้แม่น้ําเจ้าพระยาจากสถานีสนามไชย ไปยังสถานีอิสรภาพ และรับรายงานความคืบหน้าในการดําเนินงานออกแบบตกแต่งสถาปัตยกรรมภายในของสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองแห่ง วันนี้ (11 สิงหาคม 2560) เวลา 09.00 น.ณ สถานีสนามไชย เขตพระนคร กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอกวิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม พลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พลเอกยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และคณะฯ โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวรายงานและสรุปรายงานความก้าวหน้า ในโอกาสเข้าเยี่ยมชมโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ และนั่งรถรางลอดอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้แม่น้ําเจ้าพระยาจากสถานีสนามไชย ไปยังสถานีอิสรภาพ และรับรายงานความคืบหน้าในการดําเนินงานออกแบบตกแต่งสถาปัตยกรรมภายในของสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองแห่ง ทั้งนี้ พลเอกยอดยุทธ บุญญาธิการ ประธานกรรมการ รฟม. กล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วน ต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ มีระยะทางรวมประมาณ 27 กิโลเมตร แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ 1) ช่วงหัวลําโพง – บางแค ประกอบด้วยโครงสร้างทางวิ่งใต้ดิน ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินจํานวน 4 สถานี และโครงสร้างทางวิ่งยกระดับ ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้ายกระดับจํานวน 7 สถานี รวมถึงมีศูนย์ซ่อมบํารุงจํานวน 1 แห่ง และอาคารจอดแล้วจรจํานวน 2 แห่ง 2) ช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ประกอบด้วยโครงสร้างทางวิ่งแบบยกระดับทั้งหมด ระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร มีสถานีรถไฟฟ้ายกระดับจํานวน 8 สถานี โดย รฟม. ได้มุ่งเน้นออกแบบก่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยายฯ ให้มีความกลมกลืนกับประวัติศาสตร์ความเป็นมา และสัญลักษณ์เชิงพื้นที่ ได้แก่ สถานีสนามไชย มีการออกแบบโดยจําลองท้องพระโรงสมัยรัตนโกสินทร์ ที่ให้ความรู้สึกที่งดงาม ตระการตา สถานีอิสรภาพ มีการตกแต่งภายในเป็นลักษณะเสารูปหงส์ ซึ่งถือเป็นสัตว์สิริมงคลและศักดิ์สิทธิ์และเป็นตัวแทนเชิงสัญลักษณ์ในพื้นที่ สื่อถึงวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร สถานีวัดมังกร มีการออกแบบสถาปัตยกรรมจีนมาผสมผสานกับรูปแบบยุโรป หรือเรียกว่าสไตล์ชิโนโปรตุกิส สอดคล้องกับวิถีชีวิต วิถีการค้าชาวจีน สภาพแวดล้อมโดยรอบ เช่น เยาวราช และสถานีสามยอด มีการออกแบบภายนอกสถานีเน้นสถาปัตยกรรมย้อนยุค โดยยึดรูปแบบตามสไตล์ชิโนโปรตุกิส ให้สอดคล้องกับอาคารริมถนนเจริญกรุง โดยปัจจุบันโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน ส่วนต่อขยายฯ มีความก้าวหน้าการก่อสร้างงานโยธาในภาพรวม 94.62% (ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2560) ซึ่งขณะนี้ BEM ได้จัดซื้อรถไฟฟ้าจากบริษัท ซีเมนส์ จํากัด ประเทศเยอรมนี จํานวน 35 ขบวน และคาดว่าจะสามารถเปิดเดินรถ ช่วงหัวลําโพง – บางแค ได้ในปี 2562 และเปิดเดินรถ ช่วงบางซื่อ – ท่าพระ ได้ในปี 2563 ทั้งนี้ รฟม. มีความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง ที่จะพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนให้ครอบคลุมมีประสิทธิภาพและครบวงจร เป็นทางเลือกของการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็วเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยสอบถามข้อมูลและติดตามข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ www.mrta.co.th และ เฟซบุ๊ค การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) หรือ โทร 0 2716 4044 อนึ่ง หลังจากรับฟังกล่าวรายงานและสรุปรายงานความก้าวหน้าเสร็จแล้ว นายกรัฐมนตรีได้รับมอบ เงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากตัวแทนผู้บริหาร กลุ่มบริษัท ช.การช่าง จํานวน 5,000,000 บาท ........................................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5883
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ประกาศความสำเร็จงาน“บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ กรุงเทพฯ 2561” ยอดธุรกรรมรวม 4 วัน กว่า 24,000 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561 ธอส.ประกาศความสําเร็จงาน“บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ กรุงเทพฯ 2561” ยอดธุรกรรมรวม 4 วัน กว่า 24,000 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผยความสําเร็จของการจัดงาน“บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ กรุงเทพฯ” ประจําปี 2561 ลูกค้าประชาชนร่วมงานกว่า 50,000 คน มียอดธุรกรรมสูงถึง 24,000 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผยความสําเร็จของการจัดงาน“บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ กรุงเทพฯ” ประจําปี 2561 ลูกค้าประชาชนร่วมงานกว่า 50,000 คน มียอดธุรกรรมสูงถึง 24,000 ล้านบาท สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 0.65% ต่อปี 6 เดือนแรก ฟรีค่าธรรมเนียมสูงสุด 4 ฟรี ได้รับความสนใจมากที่สุด ประชาชนแห่ยื่นขอสินเชื่อวงเงินรวมถึง 20,000 ล้านบาท เงินฝากออมทรัพย์รับดอกเบี้ยสูงสุด 1.80% ต่อปี มียอดจองสิทธิ์เปิดบัญชีกว่า 1,800 ล้านบาท ส่วนมหกรรมบ้านมือสอง อีกหนึ่งความสําเร็จจากการผนึกกําลังของแบงก์รัฐและหน่วยงานภาครัฐนําทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสอง จําหน่ายในงานยอดขายรวมกว่า 200 รายการ วงเงิน 259 ล้านบาท ยอดประมูลทรัพย์ NPA ธอส. และกรมบังคับคดี รวม 826 รายการ วงเงิน 744 ล้านบาท ด้านผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ การเคหะแห่งชาติ และบริษัทรับสร้างบ้าน มียอดจองซื้อภายในงานรวมกว่า 900 ล้านบาท มั่นใจการจัดงานครั้งนี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวถึงความสําเร็จของการจัดงาน "บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ กรุงเทพฯ” ประจําปี 2561 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-8 กรกฎาคม 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่าตลอด 4 วันของการจัดงาน พบว่ามีลูกค้าประชาชนให้ความสนใจเดินทางเข้ามาเลือกใช้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินของ ธอส. และเลือกซื้อที่อยู่อาศัยจากบรรดาพันธมิตรทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เข้าร่วมออกบูธ รวมกว่า 50,000 ราย คิดเป็นจํานวนเงินของยอดธุรกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นรวมกว่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศขยายตัวอย่างแข็งแรงต่อเนื่องตามวัตถุประสงค์ของการจัดงาน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ต้องการให้คนไทยทุกคนมีทีอยู่อาศัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ถือเป็นภารกิจหลักที่ ธอส. ต้องดําเนินการสนับสนุนให้คนมีบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ผู้มีรายได้น้อย/ผู้ด้อยโอกาส ผู้ที่เริ่มครอบครัว และผู้สูงอายุ สําหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินของ ธอส. ที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด คือ สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 0.65% ต่อปี 6 เดือนแรก อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 3.15% ต่อปี ยกเว้นค่าธรรมเนียมให้สูงสุด 4 ฟรี โดยมีลูกค้าสนใจยื่นขอสินเชื่อภายในงานและที่ทําการสาขาทั่วประเทศรวมกว่า 7,200 ราย คิดเป็นวงเงินกู้รวม 20,000 ล้านบาท สําหรับลูกค้าที่ทํานิติกรรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ขณะที่เงินฝากออมทรัพย์รับดอกเบี้ยสูงสุด 1.80% ต่อปี สําหรับลูกค้าเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท ก็พบว่ามียอดจองสิทธิ์เปิดบัญชีคิดเป็นวงเงินฝาก 3,000 ราย วงเงิน 1,800 ล้านบาท โดยผู้ที่จองสิทธิ์สามารถเปิดบัญชีได้ที่สาขาของ ธอส. ภายในวันที่ 20 กรกฎาคม 2561 ด้าน “มหกรรมบ้านมือสอง” อีกหนึ่งความร่วมมือจากทุกสถาบันการเงินของรัฐ และหน่วยงานภาครัฐ ประกอบด้วย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลาม และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย รวมถึงบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (BAM) และบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จํากัด (SAM) พร้อมใจกันนําทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองมาจําหน่าย รวมถึงการเปิดประมูลทรัพย์ NPA ทั้งของ ธอส. และกรมบังคับคดี พบว่าสามารถจําหน่ายทรัพย์รวมกันได้ถึง 1,026 รายการ คิดเป็นวงเงินที่จําหน่ายได้กว่า 1,003 ล้านบาท ซึ่งการร่วมมือกันครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการผนึกกําลังของหน่วยงานภาครัฐเพื่อร่วมกันสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้าน ทําให้ตลาดบ้านมือสองตื่นตัว และเป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชนในการมีที่อยู่อาศัย ขณะที่บรรดาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ การเคหะแห่งชาติ และบริษัทรับสร้างบ้านที่ร่วมกันนําโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ทุกระดับราคามาจัดทําโปรโมชั่นลดราคา พร้อมลุ้นรับของแถมพิเศษมียอดจองซื้อภายในงานกว่า 900 ล้านบาท สําหรับการจัดงานบ้าน ธอส. เอ็กซ์โป ในภูมิภาคอีก 6 จังหวัดหัวเมืองหลัก ประกอบด้วย จ.พิษณุโลก จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 15 กรกฎาคม 2561 จ.ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 20 – 22 กรกฎาคม 2561 จ.นครปฐม ระหว่างวันที่ 2 – 5 สิงหาคม 2561 จ.ชลบุรี ระหว่างวันที่ 13 – 15 สิงหาคม 2561 จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 24 – 26 สิงหาคม 2561 และ จ.สงขลา ระหว่างวันที่ 7 – 9 กันยายน 2561 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ประกาศความสำเร็จงาน“บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ กรุงเทพฯ 2561” ยอดธุรกรรมรวม 4 วัน กว่า 24,000 ล้านบาท วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561 ธอส.ประกาศความสําเร็จงาน“บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ กรุงเทพฯ 2561” ยอดธุรกรรมรวม 4 วัน กว่า 24,000 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผยความสําเร็จของการจัดงาน“บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ กรุงเทพฯ” ประจําปี 2561 ลูกค้าประชาชนร่วมงานกว่า 50,000 คน มียอดธุรกรรมสูงถึง 24,000 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เผยความสําเร็จของการจัดงาน“บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ กรุงเทพฯ” ประจําปี 2561 ลูกค้าประชาชนร่วมงานกว่า 50,000 คน มียอดธุรกรรมสูงถึง 24,000 ล้านบาท สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 0.65% ต่อปี 6 เดือนแรก ฟรีค่าธรรมเนียมสูงสุด 4 ฟรี ได้รับความสนใจมากที่สุด ประชาชนแห่ยื่นขอสินเชื่อวงเงินรวมถึง 20,000 ล้านบาท เงินฝากออมทรัพย์รับดอกเบี้ยสูงสุด 1.80% ต่อปี มียอดจองสิทธิ์เปิดบัญชีกว่า 1,800 ล้านบาท ส่วนมหกรรมบ้านมือสอง อีกหนึ่งความสําเร็จจากการผนึกกําลังของแบงก์รัฐและหน่วยงานภาครัฐนําทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสอง จําหน่ายในงานยอดขายรวมกว่า 200 รายการ วงเงิน 259 ล้านบาท ยอดประมูลทรัพย์ NPA ธอส. และกรมบังคับคดี รวม 826 รายการ วงเงิน 744 ล้านบาท ด้านผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ การเคหะแห่งชาติ และบริษัทรับสร้างบ้าน มียอดจองซื้อภายในงานรวมกว่า 900 ล้านบาท มั่นใจการจัดงานครั้งนี้จะช่วยให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวถึงความสําเร็จของการจัดงาน "บ้าน ธอส. เอ็กซ์โป @ กรุงเทพฯ” ประจําปี 2561 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-8 กรกฎาคม 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่าตลอด 4 วันของการจัดงาน พบว่ามีลูกค้าประชาชนให้ความสนใจเดินทางเข้ามาเลือกใช้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินของ ธอส. และเลือกซื้อที่อยู่อาศัยจากบรรดาพันธมิตรทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เข้าร่วมออกบูธ รวมกว่า 50,000 ราย คิดเป็นจํานวนเงินของยอดธุรกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นรวมกว่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งการจัดงานครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของประเทศขยายตัวอย่างแข็งแรงต่อเนื่องตามวัตถุประสงค์ของการจัดงาน สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ต้องการให้คนไทยทุกคนมีทีอยู่อาศัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ถือเป็นภารกิจหลักที่ ธอส. ต้องดําเนินการสนับสนุนให้คนมีบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ผู้มีรายได้น้อย/ผู้ด้อยโอกาส ผู้ที่เริ่มครอบครัว และผู้สูงอายุ สําหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินของ ธอส. ที่ได้รับความสนใจจากประชาชนมากที่สุด คือ สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ย 0.65% ต่อปี 6 เดือนแรก อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 3.15% ต่อปี ยกเว้นค่าธรรมเนียมให้สูงสุด 4 ฟรี โดยมีลูกค้าสนใจยื่นขอสินเชื่อภายในงานและที่ทําการสาขาทั่วประเทศรวมกว่า 7,200 ราย คิดเป็นวงเงินกู้รวม 20,000 ล้านบาท สําหรับลูกค้าที่ทํานิติกรรมให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ขณะที่เงินฝากออมทรัพย์รับดอกเบี้ยสูงสุด 1.80% ต่อปี สําหรับลูกค้าเงินฝากคงเหลือไม่เกิน 1 ล้านบาท ก็พบว่ามียอดจองสิทธิ์เปิดบัญชีคิดเป็นวงเงินฝาก 3,000 ราย วงเงิน 1,800 ล้านบาท โดยผู้ที่จองสิทธิ์สามารถเปิดบัญชีได้ที่สาขาของ ธอส. ภายในวันที่ 20 กรกฎาคม 2561 ด้าน “มหกรรมบ้านมือสอง” อีกหนึ่งความร่วมมือจากทุกสถาบันการเงินของรัฐ และหน่วยงานภาครัฐ ประกอบด้วย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลาม และบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย รวมถึงบริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จํากัด (BAM) และบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จํากัด (SAM) พร้อมใจกันนําทรัพย์ NPA หรือบ้านมือสองมาจําหน่าย รวมถึงการเปิดประมูลทรัพย์ NPA ทั้งของ ธอส. และกรมบังคับคดี พบว่าสามารถจําหน่ายทรัพย์รวมกันได้ถึง 1,026 รายการ คิดเป็นวงเงินที่จําหน่ายได้กว่า 1,003 ล้านบาท ซึ่งการร่วมมือกันครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการผนึกกําลังของหน่วยงานภาครัฐเพื่อร่วมกันสร้างโอกาสให้คนไทยมีบ้าน ทําให้ตลาดบ้านมือสองตื่นตัว และเป็นทางเลือกหนึ่งของประชาชนในการมีที่อยู่อาศัย ขณะที่บรรดาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ การเคหะแห่งชาติ และบริษัทรับสร้างบ้านที่ร่วมกันนําโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ทุกระดับราคามาจัดทําโปรโมชั่นลดราคา พร้อมลุ้นรับของแถมพิเศษมียอดจองซื้อภายในงานกว่า 900 ล้านบาท สําหรับการจัดงานบ้าน ธอส. เอ็กซ์โป ในภูมิภาคอีก 6 จังหวัดหัวเมืองหลัก ประกอบด้วย จ.พิษณุโลก จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 15 กรกฎาคม 2561 จ.ขอนแก่น ระหว่างวันที่ 20 – 22 กรกฎาคม 2561 จ.นครปฐม ระหว่างวันที่ 2 – 5 สิงหาคม 2561 จ.ชลบุรี ระหว่างวันที่ 13 – 15 สิงหาคม 2561 จ.เชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 24 – 26 สิงหาคม 2561 และ จ.สงขลา ระหว่างวันที่ 7 – 9 กันยายน 2561 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13702
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 7 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 7 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 7 เมษายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่7 เมษายน 2563 1. สถานการณ์ทั่วโลกใน 209 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 2 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่5 มกราคม –7เมษายน 2563 (13.30 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 1,347,689 ราย เสียชีวิต 74,783 ราย ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 367,650 ราย เสียชีวิต 10,943 ราย สเปนพบผู้ป่วย 136,675 ราย เสียชีวิต 13,341 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 132,547 ราย เสียชีวิต 16,523 ราย 2. สถานการณ์ในประเทศไทย (6 เม.ย.63 เวลา 16.00 น.) ผู้ป่วยกลับบ้านได้ 31 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ 38 ราย นับเป็นลําดับที่ 2,221-2,258 จําแนกเป็นกลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 17 ราย มีรายละเอียด ดังนี้ 1.1 สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 17 ราย กลุ่มที่ 2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 16 ราย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 3 ราย 2.2 ไปสถานที่ชุมนุมชน 3 ราย 2.3 อาชีพเสี่ยง 7 ราย 2.4 บุคลากรทางการแพทย์ 3 ราย (สะสม 53 ราย) กลุ่มที่ 3ได้รับผล lab ยืนยันพบเชื้อ อยู่ระหว่างรอประวัติและสอบสวนโรค 5 ราย วันนี้ ได้รับรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 54 ปี มีประวัติเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อ เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ด้วยอาการหายใจเร็ว เหนื่อย เสียชีวิตวันที่ 6 เมษายน 2563 โดยสรุปภาพรวมวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 824 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล1,407 ราย เสียชีวิตสะสม 27 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสม 2,258 ราย วันนี้เป็นวันที่ 4 ของการเฝ้าระวังสังเกตอาการ (State Quarantine) ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ เป็นผู้ที่เดินทางกลับจาก 17 ประเทศ จํานวน 284 คน เป็นชาย 128 คน หญิง 156 คน ในจํานวนนี้มี 1 คน ส่งเข้ารับการดูแลที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อาการวันนี้ไม่มีไข้ ส่วนที่อาคารรับรองฐานทัพเรือสัตหีบ ทั้งหมดไม่มีไข้ และไม่มีผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค โดยมีกลุ่มที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ 9 คน เด็กเล็ก 2 คน มีโรคประจําตัว 9 คน ***********************************7 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 7 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 7 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 7 เมษายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่7 เมษายน 2563 1. สถานการณ์ทั่วโลกใน 209 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 2 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่5 มกราคม –7เมษายน 2563 (13.30 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 1,347,689 ราย เสียชีวิต 74,783 ราย ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 367,650 ราย เสียชีวิต 10,943 ราย สเปนพบผู้ป่วย 136,675 ราย เสียชีวิต 13,341 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 132,547 ราย เสียชีวิต 16,523 ราย 2. สถานการณ์ในประเทศไทย (6 เม.ย.63 เวลา 16.00 น.) ผู้ป่วยกลับบ้านได้ 31 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ 38 ราย นับเป็นลําดับที่ 2,221-2,258 จําแนกเป็นกลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 17 ราย มีรายละเอียด ดังนี้ 1.1 สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 17 ราย กลุ่มที่ 2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 16 ราย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 3 ราย 2.2 ไปสถานที่ชุมนุมชน 3 ราย 2.3 อาชีพเสี่ยง 7 ราย 2.4 บุคลากรทางการแพทย์ 3 ราย (สะสม 53 ราย) กลุ่มที่ 3ได้รับผล lab ยืนยันพบเชื้อ อยู่ระหว่างรอประวัติและสอบสวนโรค 5 ราย วันนี้ ได้รับรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย เป็นชายไทย อายุ 54 ปี มีประวัติเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อ เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ด้วยอาการหายใจเร็ว เหนื่อย เสียชีวิตวันที่ 6 เมษายน 2563 โดยสรุปภาพรวมวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 824 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล1,407 ราย เสียชีวิตสะสม 27 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสม 2,258 ราย วันนี้เป็นวันที่ 4 ของการเฝ้าระวังสังเกตอาการ (State Quarantine) ที่ฐานทัพเรือสัตหีบ เป็นผู้ที่เดินทางกลับจาก 17 ประเทศ จํานวน 284 คน เป็นชาย 128 คน หญิง 156 คน ในจํานวนนี้มี 1 คน ส่งเข้ารับการดูแลที่โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อาการวันนี้ไม่มีไข้ ส่วนที่อาคารรับรองฐานทัพเรือสัตหีบ ทั้งหมดไม่มีไข้ และไม่มีผู้เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค โดยมีกลุ่มที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ 9 คน เด็กเล็ก 2 คน มีโรคประจําตัว 9 คน ***********************************7 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28567
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 2 ปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 พิธีพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 2 ปี 2560 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นประธานพิธีพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 2 ปี 2560 เพื่อเชิดชูเกียรติครูดีเด่นในอาเซียนและติมอร์-เลสเต ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี528/2560 พิธีพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 2 ปี 2560 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นประธานพิธีพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 2 ปี 2560 เพื่อเชิดชูเกียรติครูดีเด่นในอาเซียนและติมอร์-เลสเต เมื่อวันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมรับเสด็จฯ อาทิ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ,ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ,นายกฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี, รศ.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ รองประธานกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายสุภัทร จําปาทองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษารวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ,เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงศึกษาธิการใน 11 ประเทศตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพระราชทานพระราโชวาท ความว่าขอแสดงความยินดีกับครูผู้ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ทั้ง 11 คนจาก 11 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ ครูที่ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ปี 2560 ทั้ง 11 ท่านเป็นครูที่มีความสามารถและอุทิศตนเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลาที่ประกอบอาชีพครู ครูเหล่านี้ได้อุทิศตนและเสียสละให้กับลูกศิษย์ เพื่อให้ลูกศิษย์ได้มีโอกาสทางการศึกษาและสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ที่ทําให้ลูกศิษย์ประสบความสําเร็จในชีวิตและการศึกษาที่สูงขึ้น ดังนั้น ครูเหล่านี้คือผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงแก่ชีวิตของลูกศิษย์ และสมควรได้รับการจารึกจดจําไว้ในฐานะนักการศึกษาที่มีคุณค่า อีกประเด็นหนึ่งสําคัญคือ การศึกษามีความหมายต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะนําไปสู่การพัฒนาประเทศที่สําคัญไปกว่านั้นคือการศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตในฐานะที่ครูซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเตรียมความรู้ ทักษะและประสบการณ์การเรียนรู้ สามารถช่วยให้นักเรียนประสบความสําเร็จอย่างต่อเนื่องได้ กล่าวคือ ครูทุกท่านจําเป็นต้องพัฒนาตนเองและแสวงหาความรู้ใหม่อยู่เสมอ เพราะในปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากครูไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว ครูก็ไม่สามารถติดตามการพัฒนาของนักเรียนได้ครูที่มีคุณภาพจะสร้างคนที่มีคุณภาพซึ่งเราทุกคนรู้ดีว่าต้องใช้เวลาและเอาใจใส่อย่างมากในการส่งเสริมและปลูกฝังเยาวชนคนรุ่นใหม่ในฐานะสมาชิกของชุมชนทั่วโลก การศึกษาสําหรับคนทุกคนจึงเป็นเรื่องสําคัญที่จะต้องมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เข้าร่วมลงทุนในประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในระดับชาติและระดับนานาชาติ เพื่อการสนับสนุนด้านเทคนิคและการระดมทรัพยากร เป็นการแสดงให้เห็นว่า นอกจากการมุ่งเน้นการจัดการศึกษาให้กับทุกคนแล้ว การส่งเสริมการมีส่วนร่วมด้านการศึกษาจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนั้นก็เป็นสิ่งสําคัญ รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นในปี 2558 เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์การสอนของครู ถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง และขอบคุณกระทรวงศึกษาธิการและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงศึกษาธิการใน 11 ประเทศ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรรมการมูลนิธิสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ในการคัดเลือกครูดีเด่นสําหรับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีในครั้งนี้ รวมทั้งขอบคุณคณะกรรมการจัดงานในพิธีพระราชทานรางวัลปี 2560 สําหรับการจัดงานที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนตุลาคมนี้เป็นการเฉลิมฉลองวันครูโลกปี 2560 ภายใต้หัวข้อ "อิสรภาพทางการสอน อํานาจการจัดการสอนของครู” จึงเป็นโอกาสอันดีในการเรียนรู้ถึงการทํางานด้านการศึกษาและการพัฒนามนุษย์ของครูผู้ได้รับรางวัล ทั้ง 11 ท่านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขและสําเร็จลุล่วงในกิจกรรมครั้งนี้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานว่า รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี เป็นรางวัลพระราชทานระดับนานาชาติให้กับครูที่ได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงศึกษาธิการในอาเซียนและติมอร์-เลสเต ประเทศละ 1 คน โดยมีคุณสมบัติเป็นครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงแก่ชีวิตของลูกศิษย์และมีคุณูปการต่อวงการศึกษา และมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติเจ้าฟ้านักการศึกษา ผู้ทรงพระปรีชาและทรงมีคุณูปการต่อการศึกษาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งเชิดชูเกียรติครูดีเด่นในอาเซียนและติมอร์-เลสเต ซึ่งดําเนินการโดยมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นายกฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีกล่าวว่าครูทั้ง 11 ประเทศในอาเซียนและติมอร์-เลสเต ที่ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 2 ปี 2560 มีผลงานดีเด่น ดังนี้ 1) เนการาบรูไนดารุสซาลาม: มาดามลิม ซง โงว ครูสอนวิชาเคมี ระดับ A-level ที่วิทยาลัยดูไลเพนกิรัน มูด้า อัล-มูตาดี บิลลา (Duli Pengiran Muda Al-Muhtadee Billah College) ครูผู้ดึงศักยภาพลูกศิษย์ทําให้ทุกคนมีตัวตนในชั้นเรียนและเปิดใจที่จะเรียนรู้จนมีคะแนนในระดับที่สูง และยังเป็นครูพี่เลี้ยงแก่ครูในระดับประเทศ ทําให้ได้รับรางวัลเกียรติยศจากสุลต่านแห่งบรูไนดารุสซาลาม 2) ราชอาณาจักรกัมพูชา: นางดี โส พอนครูสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนประถมคุมร็อกร่อง (Kumroukrong) ครูผู้สร้างบรรยากาศการสอนให้เป็น “ห้องเรียนแห่งความสุข” พร้อมกับดึงครอบครัว โรงเรียน และชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้ เพราะเชื่อว่าการศึกษาจะช่วยสร้างอนาคตของลูกศิษย์และประเทศ โดยมีผลสําเร็จจากเป็นครูมา 20 ปี จึงได้รับรางวัลสมเด็จเดโช ในปี 2560 3) สาธารณรัฐอินโดนีเซีย: นายเอนชอน ระมันครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา โรงเรียนประถมศึกษาเมกาวังงี (Mekarwangi Public Elementary School) เป็นครูนักพัฒนาการศึกษาของอินโดนีเซีย ในฐานะผู้ฝึกอบรมโรงเรียนระดับมาตรฐานของประเทศ เป็นผู้เขียนตําราเรียนระดับประถมศึกษา จนเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ครูในชวาตะวันตก และได้รับรางวัลครูผู้สอนดีเด่นในระดับชาติ 4) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว: นางคูนวิไล เคนกิติสักครูใหญ่โรงเรียนประถมศึกษาทองคัง (Thongkang School) กรุงเวียงจันทน์ นักบริหารจัดการโรงเรียนยอดเยี่ยม โดยบริหารโรงเรียนขนาดเล็กอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการหลอมรวมการมีส่วนร่วมของครูและชุมชน ส่งผลการพัฒนานักเรียนอย่างมีคุณภาพ 5) ประเทศมาเลเซีย: มาดามฮัจญะห์ ซารีปะ บินตี เอิมบงครูสอนทักษะชีวิต คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ โรงเรียนมัธยมอิมเทียส ยายาซัน ทีแรงกานู (ImtiazYayasan Terengganu High School) นับเป็นครูผู้สร้างนักนวัตกรรมรุ่นใหม่ ด้วยการดึงความรู้ในห้องเรียนสู่การออกแบบนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจําวัน จนผลงานของลูกศิษย์ได้รับรางวัลทั้งในระดับชาติและนานาชาติ 6) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา: นายทัน ทุมครูสอนภาษาอังกฤษและหลักสูตรร่วมระดับมัธยมโรงเรียน เมืองยัวดายี แคว้นซาเกรง ได้รับรางวัลการสอนดีเยี่ยมในการส่งเสริมเด็กระดับ 9 ให้สอบผ่านภาษาอังกฤษทั้งระดับรัฐและภูมิภาคเป็นประจําทุกปี ด้วยวิธีการสอนที่ใช้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ควบคู่กับการปลูกฝังทักษะชีวิตและคุณธรรม 7) สาธารณรัฐฟิลิปปินส์: ดร.เฮซุส อินสิลาดาเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษา โรงเรียนมัธยมแห่งชาติอัลคาเด กูสทีโล (Alcarde Gustilo Memorial National High School) ผู้สร้างการเรียนรู้แบบองค์รวมบนวิถีทางวัฒนธรรม และนักประพันธ์ภาษาถิ่น เพื่อปลุกความภูมิใจในความเป็นคนฟิลิปปินส์ท้องถิ่น 8) สาธารณรัฐสิงคโปร์: มาดามสะรับจิต คอร์ บุตรี ฮาร์ดิปซิงห์ครูสอนวิทยาศาสตร์ โรงเรียนประถมแอนเดอสัน ผู้ปลดปล่อยศักยภาพเด็กหลังห้อง สู่การมีทัศนคติการเรียนรู้เชิงบวก ความเป็นครูผู้อุทิศตน พร้อมทั้งสนใจความต้องการของเด็กทั้งการเรียนและพฤติกรรม จึงเข้าถึงจิตใจเด็ก ผู้ปกครอง และเพื่อนร่วมงาน โดยได้รับการยกย่องในรางวัล Excellent Service Award ปี 2557 9) สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต: นางลีโอโปลดีนา โจอานา กูเตเรสผู้อํานวยการโรงเรียนศูนย์กลางประถมศึกษาเซนโฮเซ (S.Jose Basic Education Central School) ซึ่งมีโรงเรียนสาขาอีก 7 แห่ง นับเป็นครูนักบริหารจัดการทรัพยากรเป็นเลิศ โดยการเชื่อมประสานการสนับสนุนจากภายนอก ทําให้ความห่างไกลไม่ใช่อุปสรรคของการพัฒนาโรงเรียน 10) สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม: นางฟาน ถิ หนือครูสอนภาษาอังกฤษ และหัวหน้าหมวดประชาสัมพันธ์และความสัมพันธ์ต่างประเทศโรงเรียนมัธยมเลอ กวิ ดง (Le Quy Don Gifted School) เมืองดานัง นับเป็นครูภาษาอังกฤษและนักเชื่อมความสัมพันธ์ต่างประเทศ ผู้สร้างโอกาสเปิดพรมแดนการเรียนรู้ของลูกศิษย์ในต่างแดน 11) ประเทศไทย: นายจิรัฏฐ์ แจ่มสว่างครูเชี่ยวชาญ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี จ.นนทบุรี ครูผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล บุกเบิกการสอนไอซีทีและนวัตกรรมหุ่นยนต์ในโรงเรียนมากว่า 32 ปี และเป็นผู้ให้โอกาสแก่เด็กกลุ่มเสี่ยงด้วยใจรัก จนลูกศิษย์ประสบความสําเร็จทั้งในเวทีระดับชาติและนานาชาติ อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ ขอบคุณภาพถ่ายจากสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 2 ปี 2560 วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 พิธีพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 2 ปี 2560 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นประธานพิธีพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 2 ปี 2560 เพื่อเชิดชูเกียรติครูดีเด่นในอาเซียนและติมอร์-เลสเต ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี528/2560 พิธีพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 2 ปี 2560 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นประธานพิธีพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 2 ปี 2560 เพื่อเชิดชูเกียรติครูดีเด่นในอาเซียนและติมอร์-เลสเต เมื่อวันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้เข้าร่วมรับเสด็จฯ อาทิ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ,ม.ล.ปริยดา ดิศกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ,นายกฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี, รศ.คุณหญิงสุมณฑา พรหมบุญ รองประธานกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายสุภัทร จําปาทองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษารวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ,เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงศึกษาธิการใน 11 ประเทศตลอดจนผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพระราชทานพระราโชวาท ความว่าขอแสดงความยินดีกับครูผู้ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ทั้ง 11 คนจาก 11 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ ครูที่ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ปี 2560 ทั้ง 11 ท่านเป็นครูที่มีความสามารถและอุทิศตนเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลาที่ประกอบอาชีพครู ครูเหล่านี้ได้อุทิศตนและเสียสละให้กับลูกศิษย์ เพื่อให้ลูกศิษย์ได้มีโอกาสทางการศึกษาและสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ที่ทําให้ลูกศิษย์ประสบความสําเร็จในชีวิตและการศึกษาที่สูงขึ้น ดังนั้น ครูเหล่านี้คือผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงแก่ชีวิตของลูกศิษย์ และสมควรได้รับการจารึกจดจําไว้ในฐานะนักการศึกษาที่มีคุณค่า อีกประเด็นหนึ่งสําคัญคือ การศึกษามีความหมายต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะนําไปสู่การพัฒนาประเทศที่สําคัญไปกว่านั้นคือการศึกษาเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิตในฐานะที่ครูซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเตรียมความรู้ ทักษะและประสบการณ์การเรียนรู้ สามารถช่วยให้นักเรียนประสบความสําเร็จอย่างต่อเนื่องได้ กล่าวคือ ครูทุกท่านจําเป็นต้องพัฒนาตนเองและแสวงหาความรู้ใหม่อยู่เสมอ เพราะในปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากครูไม่ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว ครูก็ไม่สามารถติดตามการพัฒนาของนักเรียนได้ครูที่มีคุณภาพจะสร้างคนที่มีคุณภาพซึ่งเราทุกคนรู้ดีว่าต้องใช้เวลาและเอาใจใส่อย่างมากในการส่งเสริมและปลูกฝังเยาวชนคนรุ่นใหม่ในฐานะสมาชิกของชุมชนทั่วโลก การศึกษาสําหรับคนทุกคนจึงเป็นเรื่องสําคัญที่จะต้องมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เข้าร่วมลงทุนในประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในระดับชาติและระดับนานาชาติ เพื่อการสนับสนุนด้านเทคนิคและการระดมทรัพยากร เป็นการแสดงให้เห็นว่า นอกจากการมุ่งเน้นการจัดการศึกษาให้กับทุกคนแล้ว การส่งเสริมการมีส่วนร่วมด้านการศึกษาจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนั้นก็เป็นสิ่งสําคัญ รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นในปี 2558 เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์การสอนของครู ถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง และขอบคุณกระทรวงศึกษาธิการและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงศึกษาธิการใน 11 ประเทศ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรรมการมูลนิธิสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ในการคัดเลือกครูดีเด่นสําหรับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีในครั้งนี้ รวมทั้งขอบคุณคณะกรรมการจัดงานในพิธีพระราชทานรางวัลปี 2560 สําหรับการจัดงานที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนตุลาคมนี้เป็นการเฉลิมฉลองวันครูโลกปี 2560 ภายใต้หัวข้อ "อิสรภาพทางการสอน อํานาจการจัดการสอนของครู” จึงเป็นโอกาสอันดีในการเรียนรู้ถึงการทํางานด้านการศึกษาและการพัฒนามนุษย์ของครูผู้ได้รับรางวัล ทั้ง 11 ท่านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขและสําเร็จลุล่วงในกิจกรรมครั้งนี้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานว่า รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี เป็นรางวัลพระราชทานระดับนานาชาติให้กับครูที่ได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงศึกษาธิการในอาเซียนและติมอร์-เลสเต ประเทศละ 1 คน โดยมีคุณสมบัติเป็นครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงแก่ชีวิตของลูกศิษย์และมีคุณูปการต่อวงการศึกษา และมีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติเจ้าฟ้านักการศึกษา ผู้ทรงพระปรีชาและทรงมีคุณูปการต่อการศึกษาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งเชิดชูเกียรติครูดีเด่นในอาเซียนและติมอร์-เลสเต ซึ่งดําเนินการโดยมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ร่วมกับคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นายกฤษณพงศ์ กีรติกร ประธานมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีกล่าวว่าครูทั้ง 11 ประเทศในอาเซียนและติมอร์-เลสเต ที่ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี ครั้งที่ 2 ปี 2560 มีผลงานดีเด่น ดังนี้ 1) เนการาบรูไนดารุสซาลาม: มาดามลิม ซง โงว ครูสอนวิชาเคมี ระดับ A-level ที่วิทยาลัยดูไลเพนกิรัน มูด้า อัล-มูตาดี บิลลา (Duli Pengiran Muda Al-Muhtadee Billah College) ครูผู้ดึงศักยภาพลูกศิษย์ทําให้ทุกคนมีตัวตนในชั้นเรียนและเปิดใจที่จะเรียนรู้จนมีคะแนนในระดับที่สูง และยังเป็นครูพี่เลี้ยงแก่ครูในระดับประเทศ ทําให้ได้รับรางวัลเกียรติยศจากสุลต่านแห่งบรูไนดารุสซาลาม 2) ราชอาณาจักรกัมพูชา: นางดี โส พอนครูสอนภาษาอังกฤษ โรงเรียนประถมคุมร็อกร่อง (Kumroukrong) ครูผู้สร้างบรรยากาศการสอนให้เป็น “ห้องเรียนแห่งความสุข” พร้อมกับดึงครอบครัว โรงเรียน และชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนรู้ เพราะเชื่อว่าการศึกษาจะช่วยสร้างอนาคตของลูกศิษย์และประเทศ โดยมีผลสําเร็จจากเป็นครูมา 20 ปี จึงได้รับรางวัลสมเด็จเดโช ในปี 2560 3) สาธารณรัฐอินโดนีเซีย: นายเอนชอน ระมันครูสอนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา โรงเรียนประถมศึกษาเมกาวังงี (Mekarwangi Public Elementary School) เป็นครูนักพัฒนาการศึกษาของอินโดนีเซีย ในฐานะผู้ฝึกอบรมโรงเรียนระดับมาตรฐานของประเทศ เป็นผู้เขียนตําราเรียนระดับประถมศึกษา จนเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ครูในชวาตะวันตก และได้รับรางวัลครูผู้สอนดีเด่นในระดับชาติ 4) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว: นางคูนวิไล เคนกิติสักครูใหญ่โรงเรียนประถมศึกษาทองคัง (Thongkang School) กรุงเวียงจันทน์ นักบริหารจัดการโรงเรียนยอดเยี่ยม โดยบริหารโรงเรียนขนาดเล็กอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการหลอมรวมการมีส่วนร่วมของครูและชุมชน ส่งผลการพัฒนานักเรียนอย่างมีคุณภาพ 5) ประเทศมาเลเซีย: มาดามฮัจญะห์ ซารีปะ บินตี เอิมบงครูสอนทักษะชีวิต คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ โรงเรียนมัธยมอิมเทียส ยายาซัน ทีแรงกานู (ImtiazYayasan Terengganu High School) นับเป็นครูผู้สร้างนักนวัตกรรมรุ่นใหม่ ด้วยการดึงความรู้ในห้องเรียนสู่การออกแบบนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจําวัน จนผลงานของลูกศิษย์ได้รับรางวัลทั้งในระดับชาติและนานาชาติ 6) สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา: นายทัน ทุมครูสอนภาษาอังกฤษและหลักสูตรร่วมระดับมัธยมโรงเรียน เมืองยัวดายี แคว้นซาเกรง ได้รับรางวัลการสอนดีเยี่ยมในการส่งเสริมเด็กระดับ 9 ให้สอบผ่านภาษาอังกฤษทั้งระดับรัฐและภูมิภาคเป็นประจําทุกปี ด้วยวิธีการสอนที่ใช้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ควบคู่กับการปลูกฝังทักษะชีวิตและคุณธรรม 7) สาธารณรัฐฟิลิปปินส์: ดร.เฮซุส อินสิลาดาเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษา โรงเรียนมัธยมแห่งชาติอัลคาเด กูสทีโล (Alcarde Gustilo Memorial National High School) ผู้สร้างการเรียนรู้แบบองค์รวมบนวิถีทางวัฒนธรรม และนักประพันธ์ภาษาถิ่น เพื่อปลุกความภูมิใจในความเป็นคนฟิลิปปินส์ท้องถิ่น 8) สาธารณรัฐสิงคโปร์: มาดามสะรับจิต คอร์ บุตรี ฮาร์ดิปซิงห์ครูสอนวิทยาศาสตร์ โรงเรียนประถมแอนเดอสัน ผู้ปลดปล่อยศักยภาพเด็กหลังห้อง สู่การมีทัศนคติการเรียนรู้เชิงบวก ความเป็นครูผู้อุทิศตน พร้อมทั้งสนใจความต้องการของเด็กทั้งการเรียนและพฤติกรรม จึงเข้าถึงจิตใจเด็ก ผู้ปกครอง และเพื่อนร่วมงาน โดยได้รับการยกย่องในรางวัล Excellent Service Award ปี 2557 9) สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต: นางลีโอโปลดีนา โจอานา กูเตเรสผู้อํานวยการโรงเรียนศูนย์กลางประถมศึกษาเซนโฮเซ (S.Jose Basic Education Central School) ซึ่งมีโรงเรียนสาขาอีก 7 แห่ง นับเป็นครูนักบริหารจัดการทรัพยากรเป็นเลิศ โดยการเชื่อมประสานการสนับสนุนจากภายนอก ทําให้ความห่างไกลไม่ใช่อุปสรรคของการพัฒนาโรงเรียน 10) สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม: นางฟาน ถิ หนือครูสอนภาษาอังกฤษ และหัวหน้าหมวดประชาสัมพันธ์และความสัมพันธ์ต่างประเทศโรงเรียนมัธยมเลอ กวิ ดง (Le Quy Don Gifted School) เมืองดานัง นับเป็นครูภาษาอังกฤษและนักเชื่อมความสัมพันธ์ต่างประเทศ ผู้สร้างโอกาสเปิดพรมแดนการเรียนรู้ของลูกศิษย์ในต่างแดน 11) ประเทศไทย: นายจิรัฏฐ์ แจ่มสว่างครูเชี่ยวชาญ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยนนทบุรี จ.นนทบุรี ครูผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล บุกเบิกการสอนไอซีทีและนวัตกรรมหุ่นยนต์ในโรงเรียนมากว่า 32 ปี และเป็นผู้ให้โอกาสแก่เด็กกลุ่มเสี่ยงด้วยใจรัก จนลูกศิษย์ประสบความสําเร็จทั้งในเวทีระดับชาติและนานาชาติ อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ ขอบคุณภาพถ่ายจากสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7361
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรจับมือกับกรมบังคับคดียกระดับประสิทธิภาพของภาครัฐ เชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย และนำส่งอากรแสตมป์การขายทอดตลาดทรัพย์สิน
วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2562 กรมสรรพากรจับมือกับกรมบังคับคดียกระดับประสิทธิภาพของภาครัฐ เชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย และนําส่งอากรแสตมป์การขายทอดตลาดทรัพย์สิน กรมสรรพากรและกรมบังคับคดีลงนามข้อตกลงจัดเก็บอากรแสตมป์แทนกรมสรรพากร สําหรับตราสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์สิน และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลที่ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือพิพากษาให้ล้มละลาย วันนี้ (19 มีนาคม 2562) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากรและนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจัดเก็บอากรแสตมป์แทนกรมสรรพากร สําหรับตราสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์สิน และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลที่ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือพิพากษาให้ล้มละลาย โดยมีผู้บริหารของ ๒ หน่วยงานร่วมเป็นสักขีพยาน จากบันทึกข้อตกลงและบันทึกความเข้าใจดังกล่าว กรมบังคับคดีจะนําส่งค่าอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรซึ่งจัดเก็บจากการกระทําตราสารที่เกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์สินเป็นรายได้แผ่นดินแทนกรมสรรพากร ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอน ระยะเวลา และต้นทุนในการดําเนินงานของ ๒ หน่วยงาน นอกจากนั้น กรมสรรพากรจะเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบังคับคดี ในส่วนของบุคคลที่ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือพิพากษาให้ล้มละลายผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ อันเป็นการช่วยสนับสนุนการดําเนินงานของกรมบังคับคดีได้อีกทางหนึ่ง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการยกระดับประสิทธิภาพการดําเนินงานของภาครัฐ ตลอดจนเป็นการเปลี่ยนผ่านกระบวนการทํางานของภาครัฐเป็นดิจิทัล สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกรมสรรพากร D2RIVE ในด้าน Digital Transformation เป็นการปรับปรุงบริการของกรมสรรพากรให้ก้าวทันกับพลวัตทางเทคโนโลยี และการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ช่วยให้การปฏิบัติงานมีความรวดเร็ว ถูกต้อง และลดต้นทุนในการดําเนินงานของภาครัฐ”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรจับมือกับกรมบังคับคดียกระดับประสิทธิภาพของภาครัฐ เชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย และนำส่งอากรแสตมป์การขายทอดตลาดทรัพย์สิน วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2562 กรมสรรพากรจับมือกับกรมบังคับคดียกระดับประสิทธิภาพของภาครัฐ เชื่อมโยงข้อมูลบุคคลล้มละลาย และนําส่งอากรแสตมป์การขายทอดตลาดทรัพย์สิน กรมสรรพากรและกรมบังคับคดีลงนามข้อตกลงจัดเก็บอากรแสตมป์แทนกรมสรรพากร สําหรับตราสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์สิน และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลที่ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือพิพากษาให้ล้มละลาย วันนี้ (19 มีนาคม 2562) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากรและนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการจัดเก็บอากรแสตมป์แทนกรมสรรพากร สําหรับตราสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์สิน และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลที่ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือพิพากษาให้ล้มละลาย โดยมีผู้บริหารของ ๒ หน่วยงานร่วมเป็นสักขีพยาน จากบันทึกข้อตกลงและบันทึกความเข้าใจดังกล่าว กรมบังคับคดีจะนําส่งค่าอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรซึ่งจัดเก็บจากการกระทําตราสารที่เกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์สินเป็นรายได้แผ่นดินแทนกรมสรรพากร ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอน ระยะเวลา และต้นทุนในการดําเนินงานของ ๒ หน่วยงาน นอกจากนั้น กรมสรรพากรจะเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบังคับคดี ในส่วนของบุคคลที่ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือพิพากษาให้ล้มละลายผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ อันเป็นการช่วยสนับสนุนการดําเนินงานของกรมบังคับคดีได้อีกทางหนึ่ง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการยกระดับประสิทธิภาพการดําเนินงานของภาครัฐ ตลอดจนเป็นการเปลี่ยนผ่านกระบวนการทํางานของภาครัฐเป็นดิจิทัล สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกรมสรรพากร D2RIVE ในด้าน Digital Transformation เป็นการปรับปรุงบริการของกรมสรรพากรให้ก้าวทันกับพลวัตทางเทคโนโลยี และการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ช่วยให้การปฏิบัติงานมีความรวดเร็ว ถูกต้อง และลดต้นทุนในการดําเนินงานของภาครัฐ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19434
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลยังรับมือสถานการณ์ไวรัสโคโรนา และสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ วอนประชาชนอย่าตื่นตระหนก ขอความร่วมมือสื่อนำเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลยังรับมือสถานการณ์ไวรัสโคโรนา และสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ วอนประชาชนอย่าตื่นตระหนก ขอความร่วมมือสื่อนําเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลยังรับมือสถานการณ์ไวรัสโคโรนา และสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ วอนประชาชนอย่าตื่นตระหนก ขอความร่วมมือสื่อนําเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง วันนี้ (3 ก.พ.63) เวลา17.30น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาลภายหลังการประชุมสรุปสถานการณ์ไวรัสโคโรนา และประชุมVTCร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงในนามของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลว่า ขณะนี้การแก้ปัญหาทั้งสองเรื่องยังไม่ถึงขั้นจะต้องใช้อํานาจนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มที่อยู่แบบ เพราะยังอยู่ในระดับที่1 - 2โดยเฉพาะสถานการณ์ไวรัสโคโรนายังสามารถรับมือได้ โดยมีมาตรการป้องกันทั้งในเรื่องของการแพร่กระจาย การตั้งรับ การเตรียมการในการรับประชาชนกลับประเทศ การรักษาพยาบาลเพื่อป้องกันการแพร่ไปสู่ระดับ 3 ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ประเทศไทยสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี และได้รับความชื่นชมจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศต้นทาง (จีน) ขณะเดียวกันได้มีหลายประเทศในอาเซียนต้องการที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ของประเทศไทยในการที่ขับเคลื่อนการป้องกันแก้ไขโรคอุบัติใหม่ด้วย เนื่องจากประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งด้านสุขภาพเป็นอันดับ6ของโลก จาก 180 ประเทศ ในการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ได้เป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ย้ําว่าสิ่งสําคัญ คือ ต้องไม่ตื่นตระหนกจนเกินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะนี้ยังสามารถที่จะคัดกรองและรักษาให้หายได้ พร้อมขอความร่วมมือสื่อมวลชนในการนําเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง โดยคณะกรรมการเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาเรื่องได้มีการแถลงข่าวให้สื่อมวลชนและประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเผยแพร่ข้อมูล คําแนะนําทางการแพทย์ การป้องกันตนเอง การใช้หน้ากาก ทั้งนี้ ยืนยันรัฐบาลว่าไม่มีการปกปิดข้อมูลใด ๆ และขอให้ประชาชนทุกคนดูแลตัวเองให้มากที่สุด รวมทั้งให้เครดิตกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้า เพื่อจะได้มีกําลังใจในการทํางาน โอกาสนี้ ขอชมชื่นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทุกคน ที่พยายามช่วยกันแก้ปัญหาอย่างหนัก ทํางานตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนการดูแลจากต่างประเทศขณะนี้ก็ได้เตรียมการพร้อมแล้ว รวมทั้งขณะนี้ก็ได้มีการมาตรการเสนอความช่วยเหลือไปยังประเทศต้นทางแล้ว โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลก็จะมีการดําเนินการต่อไปผ่านกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุขด้วย นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการทํางานว่า รัฐบาลเน้นความสําคัญดูแลในภาพรวมทั้งหมด ทั้งสถานที่สาธารณะ พื้นที่ชุมชน สถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงการใช้มาตรการในการคัดกรองตามสนามบินด่านชายแดน ช่องทางทางธรรมชาติต่าง ๆ โดยความร่วมมือทั้งเจ้าหน้าที่ตํารวจ พลเรือน ทหาร รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ทั้งนี้ ได้ย้ําเตือนทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันไวรัสโคโรนาให้ติดตามสถานการณ์ 24 ชั่วโมงรวมทั้งได้ขอความร่วมมือพื้นที่เอกชน สถานที่สาธารณ สถานที่ท่องเที่ยวให้มีการรณรงค์ให้มีการใส่หน้ากากและแจกหน้ากากแก่ผู้ที่มีความเสี่ยง ทั้งนี้หากรู้สึกตนเองไม่สบายให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา ส่วนการแจกหน้ากากรัฐบาลก็ยินดีที่จะแจกให้ โดยต้องมีมาตรการกําจัดหน้ากากที่ใช้แล้วอย่างเหมาะสม ไม่ให้ส่งผลกระทบภายหลัง แนะเจ้าหน้าที่เก็บกวดขยะดูแลตนเอง ทั้งนี้ควรหมั่นใจต่อการทําหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของเรา และให้กําลังใจกับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทํางานอย่างเต็มที่และในระยะต่อไปหลังเหตุการณ์นี้ยุติแล้วอาจจะมีการพิจารณาเตรียมการในการประชุมเกี่ยวกับเรื่องการป้องกันโรคอุบัติใหม่เหมือนเช่นที่เคยประชุมในช่วงที่ผ่านมา เช่น โรคไข้หวัดนก และโรคซาร์ส เป็นต้น จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่นละอองPM 2.5พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาฝุ่นละอองPM 2.5ที่มีค่าเกินมาตรฐาน อย่างเต็มที่ หลายมาตรการเป็นการดําเนินการในระยะยาว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขนส่ง การจราจร การเผาวัชพืช การเผาในที่โล่งแจ้ง ทุกอย่างต้องแก้ที่ต้นเหตุ แต่สิ่งสําคัญคือ ประชาชนจะต้องไม่เดือดร้อน ดังนั้นการดําเนินการทุกมาตรการต้องพิจารณาความเหมาะสม เป็นไปตามระยะเวลาและความเป็นไปได้ ทั้งนี้ กฎหมายต่างๆ มีอยู่แล้วขึ้นอยู่กับการบังคับใช้ ซึ่งรัฐบาลเน้นความปลอดภัยและความสะดวกของประชาชนควบคู่กันไป ขณะนี้ ได้มีดําเนินการทั้งการตรวจการเข้า-ออกของรถบรรทุก รถปิ๊กอัพตรวจจับควันดําที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานกระทรวงคมนาคมและกรุงเทพมหานครก็ได้ปรับเปลี่ยนรถขนส่งมวลชน รวมทั้งรณรงค์ใช้น้ํามันที่สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรมนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า ระหว่างการประชุมได้เน้นย้ํารัฐมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องบูรณาการงานเพื่อแก้ปัญหาให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็วที่สุด พร้อมสั่งให้มีการรายงานความคืบหน้าให้นายกรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่อง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวเตือนถึงการเผยแพร่ข่าวปลอม(Fake news )และการกล่าวร้ายหรือสร้างความเกลียดชัง (Hate speech)ในสื่อสังคมออนไลน์ว่า เป็นความผิดซึ่งรัฐบาลจะดําเนินการอย่างจริงจังในการสืบค้นและลงโทษผู้กระทําความผิด ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาในทุกเรื่อง ซึ่งความร่วมมือของพี่น้องประชาชน คือ การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลยังรับมือสถานการณ์ไวรัสโคโรนา และสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ วอนประชาชนอย่าตื่นตระหนก ขอความร่วมมือสื่อนำเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลยังรับมือสถานการณ์ไวรัสโคโรนา และสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ วอนประชาชนอย่าตื่นตระหนก ขอความร่วมมือสื่อนําเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันรัฐบาลยังรับมือสถานการณ์ไวรัสโคโรนา และสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ วอนประชาชนอย่าตื่นตระหนก ขอความร่วมมือสื่อนําเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง วันนี้ (3 ก.พ.63) เวลา17.30น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาลภายหลังการประชุมสรุปสถานการณ์ไวรัสโคโรนา และประชุมVTCร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงในนามของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลว่า ขณะนี้การแก้ปัญหาทั้งสองเรื่องยังไม่ถึงขั้นจะต้องใช้อํานาจนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มที่อยู่แบบ เพราะยังอยู่ในระดับที่1 - 2โดยเฉพาะสถานการณ์ไวรัสโคโรนายังสามารถรับมือได้ โดยมีมาตรการป้องกันทั้งในเรื่องของการแพร่กระจาย การตั้งรับ การเตรียมการในการรับประชาชนกลับประเทศ การรักษาพยาบาลเพื่อป้องกันการแพร่ไปสู่ระดับ 3 ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ประเทศไทยสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี และได้รับความชื่นชมจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศต้นทาง (จีน) ขณะเดียวกันได้มีหลายประเทศในอาเซียนต้องการที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ของประเทศไทยในการที่ขับเคลื่อนการป้องกันแก้ไขโรคอุบัติใหม่ด้วย เนื่องจากประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งด้านสุขภาพเป็นอันดับ6ของโลก จาก 180 ประเทศ ในการรับมือกับโรคอุบัติใหม่ได้เป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ย้ําว่าสิ่งสําคัญ คือ ต้องไม่ตื่นตระหนกจนเกินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะนี้ยังสามารถที่จะคัดกรองและรักษาให้หายได้ พร้อมขอความร่วมมือสื่อมวลชนในการนําเสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง โดยคณะกรรมการเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาเรื่องได้มีการแถลงข่าวให้สื่อมวลชนและประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเผยแพร่ข้อมูล คําแนะนําทางการแพทย์ การป้องกันตนเอง การใช้หน้ากาก ทั้งนี้ ยืนยันรัฐบาลว่าไม่มีการปกปิดข้อมูลใด ๆ และขอให้ประชาชนทุกคนดูแลตัวเองให้มากที่สุด รวมทั้งให้เครดิตกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้า เพื่อจะได้มีกําลังใจในการทํางาน โอกาสนี้ ขอชมชื่นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทุกคน ที่พยายามช่วยกันแก้ปัญหาอย่างหนัก ทํางานตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนการดูแลจากต่างประเทศขณะนี้ก็ได้เตรียมการพร้อมแล้ว รวมทั้งขณะนี้ก็ได้มีการมาตรการเสนอความช่วยเหลือไปยังประเทศต้นทางแล้ว โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลก็จะมีการดําเนินการต่อไปผ่านกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุขด้วย นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการทํางานว่า รัฐบาลเน้นความสําคัญดูแลในภาพรวมทั้งหมด ทั้งสถานที่สาธารณะ พื้นที่ชุมชน สถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงการใช้มาตรการในการคัดกรองตามสนามบินด่านชายแดน ช่องทางทางธรรมชาติต่าง ๆ โดยความร่วมมือทั้งเจ้าหน้าที่ตํารวจ พลเรือน ทหาร รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ทั้งนี้ ได้ย้ําเตือนทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการป้องกันไวรัสโคโรนาให้ติดตามสถานการณ์ 24 ชั่วโมงรวมทั้งได้ขอความร่วมมือพื้นที่เอกชน สถานที่สาธารณ สถานที่ท่องเที่ยวให้มีการรณรงค์ให้มีการใส่หน้ากากและแจกหน้ากากแก่ผู้ที่มีความเสี่ยง ทั้งนี้หากรู้สึกตนเองไม่สบายให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา ส่วนการแจกหน้ากากรัฐบาลก็ยินดีที่จะแจกให้ โดยต้องมีมาตรการกําจัดหน้ากากที่ใช้แล้วอย่างเหมาะสม ไม่ให้ส่งผลกระทบภายหลัง แนะเจ้าหน้าที่เก็บกวดขยะดูแลตนเอง ทั้งนี้ควรหมั่นใจต่อการทําหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของเรา และให้กําลังใจกับเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทํางานอย่างเต็มที่และในระยะต่อไปหลังเหตุการณ์นี้ยุติแล้วอาจจะมีการพิจารณาเตรียมการในการประชุมเกี่ยวกับเรื่องการป้องกันโรคอุบัติใหม่เหมือนเช่นที่เคยประชุมในช่วงที่ผ่านมา เช่น โรคไข้หวัดนก และโรคซาร์ส เป็นต้น จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่นละอองPM 2.5พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาฝุ่นละอองPM 2.5ที่มีค่าเกินมาตรฐาน อย่างเต็มที่ หลายมาตรการเป็นการดําเนินการในระยะยาว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการขนส่ง การจราจร การเผาวัชพืช การเผาในที่โล่งแจ้ง ทุกอย่างต้องแก้ที่ต้นเหตุ แต่สิ่งสําคัญคือ ประชาชนจะต้องไม่เดือดร้อน ดังนั้นการดําเนินการทุกมาตรการต้องพิจารณาความเหมาะสม เป็นไปตามระยะเวลาและความเป็นไปได้ ทั้งนี้ กฎหมายต่างๆ มีอยู่แล้วขึ้นอยู่กับการบังคับใช้ ซึ่งรัฐบาลเน้นความปลอดภัยและความสะดวกของประชาชนควบคู่กันไป ขณะนี้ ได้มีดําเนินการทั้งการตรวจการเข้า-ออกของรถบรรทุก รถปิ๊กอัพตรวจจับควันดําที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานกระทรวงคมนาคมและกรุงเทพมหานครก็ได้ปรับเปลี่ยนรถขนส่งมวลชน รวมทั้งรณรงค์ใช้น้ํามันที่สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรมนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวว่า ระหว่างการประชุมได้เน้นย้ํารัฐมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องบูรณาการงานเพื่อแก้ปัญหาให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็วที่สุด พร้อมสั่งให้มีการรายงานความคืบหน้าให้นายกรัฐมนตรีทราบอย่างต่อเนื่อง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวเตือนถึงการเผยแพร่ข่าวปลอม(Fake news )และการกล่าวร้ายหรือสร้างความเกลียดชัง (Hate speech)ในสื่อสังคมออนไลน์ว่า เป็นความผิดซึ่งรัฐบาลจะดําเนินการอย่างจริงจังในการสืบค้นและลงโทษผู้กระทําความผิด ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาในทุกเรื่อง ซึ่งความร่วมมือของพี่น้องประชาชน คือ การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26265
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมหัวหน้าส่วนระดับกระทรวง ยกระดับแรงงาน 4.0 พร้อมดูแลแรงงานนอกระบบ
วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2560 นายกฯ ประชุมหัวหน้าส่วนระดับกระทรวง ยกระดับแรงงาน 4.0 พร้อมดูแลแรงงานนอกระบบ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า รวม 20 กระทรวง มุ่งเน้นพัฒนาคนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน 4.0 พร้อมดูแลแรงงานนอกระบบ วันนี้ (29 มิ.ย.2560) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2560 ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน และเลขาธิการ กพ. ให้การต้อนรับ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ทั้ง 20 กระทรวง หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมฯ ว่า นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบถึงผลงานสําคัญของกระทรวงแรงงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และได้เน้นย้ํา 2 เรื่อง คือ การเตรียมคนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 และการเตรียมการดูแลแรงงานนอกระบบ โดยให้บูรณาการร่วมกันในทุกกระทรวง เริ่มตั้งแต่ดูแลเด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนาให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าในทุกช่วงวัย และตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาล ซึ่งกระทรวงแรงงานจะให้การแนะแนวอาชีพ ทดสอบความถนัดในระดับอาชีวศึกษาหรือมหาวิทยาลัย โดยขณะนี้ได้จัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีชั้นสูง 12 แห่ง สําหรับรองรับผู้ที่อยู่ในวัยแรงงาน เพื่อยกระดับและพัฒนาให้เป็นแรงงาน 4.0 ต่อไป รวมถึงปรับหลักสูตรการฝึกทักษะที่หลากหลายไว้รองรับแรงงานทุกกลุ่ม นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้ภาคเอกชนได้พัฒนาแรงงานของตนเอง โดยคาดว่าจะสามารถพัฒนาแรงงานในระบบ ได้กว่า 4 ล้านคน สําหรับแรงงานนอกระบบที่ไม่ได้รับความคุ้มครองทางสังคม กระทรวงแรงงานจะดูแลด้านการสร้างอาชีพ การเข้าถึงแหล่งทุน สุขภาพอนามัย ความปลอดภัยในการทํางาน รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง พร้อมตั้งเป้าว่าในปี 2561 จะสามารถพัฒนาแรงงานนอกระบบได้ประมาณ 1.2 ล้านคน โดยเน้นแรงงานในกลุ่มที่ลงทะเบียนคนจนและมีรายได้ต่ํากว่า 30,000 บาท ต่อปี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้ขอให้ทุกกระทรวงทํางานในรูปแบบบูรณาการ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและเกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากที่สุด ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในท้ายสุด ----------------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ประชุมหัวหน้าส่วนระดับกระทรวง ยกระดับแรงงาน 4.0 พร้อมดูแลแรงงานนอกระบบ วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน 2560 นายกฯ ประชุมหัวหน้าส่วนระดับกระทรวง ยกระดับแรงงาน 4.0 พร้อมดูแลแรงงานนอกระบบ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า รวม 20 กระทรวง มุ่งเน้นพัฒนาคนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน 4.0 พร้อมดูแลแรงงานนอกระบบ วันนี้ (29 มิ.ย.2560) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2560 ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน และเลขาธิการ กพ. ให้การต้อนรับ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่าและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ทั้ง 20 กระทรวง หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการประชุมฯ ว่า นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบถึงผลงานสําคัญของกระทรวงแรงงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และได้เน้นย้ํา 2 เรื่อง คือ การเตรียมคนเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 และการเตรียมการดูแลแรงงานนอกระบบ โดยให้บูรณาการร่วมกันในทุกกระทรวง เริ่มตั้งแต่ดูแลเด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนาให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าในทุกช่วงวัย และตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาล ซึ่งกระทรวงแรงงานจะให้การแนะแนวอาชีพ ทดสอบความถนัดในระดับอาชีวศึกษาหรือมหาวิทยาลัย โดยขณะนี้ได้จัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีชั้นสูง 12 แห่ง สําหรับรองรับผู้ที่อยู่ในวัยแรงงาน เพื่อยกระดับและพัฒนาให้เป็นแรงงาน 4.0 ต่อไป รวมถึงปรับหลักสูตรการฝึกทักษะที่หลากหลายไว้รองรับแรงงานทุกกลุ่ม นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้ภาคเอกชนได้พัฒนาแรงงานของตนเอง โดยคาดว่าจะสามารถพัฒนาแรงงานในระบบ ได้กว่า 4 ล้านคน สําหรับแรงงานนอกระบบที่ไม่ได้รับความคุ้มครองทางสังคม กระทรวงแรงงานจะดูแลด้านการสร้างอาชีพ การเข้าถึงแหล่งทุน สุขภาพอนามัย ความปลอดภัยในการทํางาน รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง พร้อมตั้งเป้าว่าในปี 2561 จะสามารถพัฒนาแรงงานนอกระบบได้ประมาณ 1.2 ล้านคน โดยเน้นแรงงานในกลุ่มที่ลงทะเบียนคนจนและมีรายได้ต่ํากว่า 30,000 บาท ต่อปี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้ขอให้ทุกกระทรวงทํางานในรูปแบบบูรณาการ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและเกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากที่สุด ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในท้ายสุด ----------------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4900
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอุทยานฯ ชี้แจงโครงการปรับปรุงผิวการจราจร ถนนพะเนินทุ่ง (สายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง) ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561 กรมอุทยานฯ ชี้แจงโครงการปรับปรุงผิวการจราจร ถนนพะเนินทุ่ง (สายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง) ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชี้แจงโครงการปรับปรุงผิวการจราจร ถนนพะเนินทุ่ง (สายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง) ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน วันที่ 3 พฤศจิกายน 2561 นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงประเด็น “เครือข่ายอนุรักษ์สัตว์ป่า 15 องค์กร นําโดยมูลนิธิสืบนาคะเสถียร สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย เตรียมเคลื่อนขบวนมายังทําเนียบรัฐบาลในวันที่ 5 พ.ย.นี้ เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอให้ชะลอโครงการปรับปรุงพื้นผิวจราจรถนนพะเนินทุ่ง (สายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง) ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เนื่องจากกังวลกระทบขึ้นทะเบียนมรดกโลกที่อาจด้อยคุณค่าจากการทําถนนผ่าป่าและชีวิตสัตว์ โดยมีประเด็น ดังนี้ 1. สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 1 พ.ย.เป็นวันแรกที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้ปิดแหล่งท่องเที่ยวเขาพะเนินทุ่ง เพื่อปรับปรุงเส้นทาง ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2561 จํานวน 560 วัน ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากกลุ่มองค์กรอนุรักษ์และนักวิชาการด้านสัตว์ป่า เครือข่าย 15 องค์กรอนุรักษ์ที่กังวลต่อปัญหาผลกระทบต่อสัตว์ป่า โดยให้เหตุผล 3 ด้านคือ 1.1 โครงการปรับปรุงถนนดังกล่าวไม่ได้คํานึงถึงหลักการมีส่วนร่วม ไม่มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน 1.2 ในระหว่างการก่อสร้างปรับปรุงพื้นผิวถนน ตัดผ่านพื้นที่ใจกลางอุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นบ้านถิ่นอาศัยของสัตว์ป่ามากมายหลายชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ป่าหายาก การที่ต้องมีเครื่องจักรกลขนาดหนักที่ต้องใช้ในการก่อสร้าง รถขนปูนที่ต้องวิ่งขนส่งไปมาไม่ต่ํากว่า 5,000 เที่ยวจะกระทบกับสัตว์ป่า อาจทําให้สัตว์ที่เคยเจอตัวง่ายต้องหลบหนีลึกเข้าไปและไม่กล้าออกมาด้านนอกให้เห็นอีกเลย 1.3 หลังการก่อสร้างปรับปรุงพื้นผิวถนน จากบทเรียนที่ผ่านมาการอํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวโดยการปรับปรุงถนนให้ดีขึ้น ถึงแม้จะมีมาตรการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาหลังการก่อสร้างเสร็จ แต่ไม่อาจการันตีได้ว่ามาตรการเหล่านั้นจะสามารถบังคับใช้ได้จริง แต่ผลที่ตามมาคือ ปริมาณรถที่วิ่งจะมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 2. นายสัตวแพทย์เกษตร สุเตชะ กรรมการสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานได้ถูกขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้นเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติกับศูนย์มรดกโลกไว้แล้วตั้งแต่ปี 2554 และยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลกเพื่อขึ้นทะเบียน ซึ่งเป็นห่วงว่าการปรับปรุงถนนคอนกรีตในแก่งกระจานอาจจะกระทบต่อความเป็นมรดกโลก โดยอ้างถึงตัวอย่างจากกรณีของมรดกโลก 2 แห่งคือ ห้วยขาแข้ง - ทุ่งใหญ่นเรศวร และดงพญาเย็น - เขาใหญ่ ที่ไม่ต้องปรับปรุงถนนคอนกรีตเพื่อรองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขณะที่กรณีถนนสาย 304 ที่ตัดผ่ากลางป่าเขาใหญ่ - ทับลาน และถนนที่ขึ้นเขาใหญ่ทั้งด่านเนินหอม ปราจีนบุรี และปากช่อง จ.นครราชสีมา ก็เป็นโจทย์ที่คณะกรรมการมรดกโลกให้ไทยแก้ปัญหาด้วยการทําอุโมงค์เชื่อมป่า และถึงตอนนี้มีรายงานยืนยันว่าที่เขาอ่างฤาไนมีสัตว์ป่าหลายชนิดตายปีละ 3,000 ตัว เนื่องจากการทําถนนคอนกรีตต้องผูกเหล็กและเอาเครื่องจักรขนาดใหญ่เข้าไปในพื้นที่ ต้องใช้ปูนเทถนน ซึ่งเป็นการทําลายระบบนิเวศอย่างมาก 3. ตัวแทนกลุ่มจะไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 5 พ.ย.เพื่อขอให้ชะลอโครงการสร้างถนนคอนกรีตสู่เขาพะเนินทุ่งเพื่อศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และกระบวนการรับฟังความเห็นของประชาชน แต่ยังไม่มีการรับปากว่าจะถึงตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขอเรียนชี้แจง ดังนี้ 1) ถนนสายบ้านกร่าง–พะเนินทุ่ง ดังกล่าว เดิมได้ดําเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 โดยกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ตกลงจ้างบริษัท ซีวิลเอ็นจิเนียริ่ง จํากัด สัญญาจ้างเลขที่ 03/31/2530 ลงวันที่ 30 กันยายน 2530 ก่อสร้างถนนลาดยาง สายบ้านวังวน-น้ําตกทอทิพย์ ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ระยะทาง 18 กิโลเมตร ผิวจราจรลาดยางสองชั้น กว้าง 4 เมตร ไหล่ทางข้างละ 0.50 เมตร เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 28,570,000 บาท (ยี่สิบแปดล้านห้าแสนเจ็ดหมื่นบาทถ้วน) เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2530 สิ้นสุดวันที่ 13 กันยายน 2531 ภายใต้โครงการพัฒนาสิ่งอํานวยความสะดวกในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เสนอผ่านสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 2) ถนนสายนี้เป็นเส้นทางตรวจการณ์ในการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่ ในการเดินทางไปยังหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ กจ.19 (เขาพะเนินทุ่ง) และเดินทางไปลาดตระเวนตามแนวชายแดน อีกทั้งยังเป็นถนนสายท่องเที่ยวปกติ ซึ่งจะปิดการท่องเที่ยวในช่วงเดือนสิงหาคม – เดือนตุลาคม ของทุกปี ดังนั้นเมื่ออุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ตรวจพบสภาพถนนในปัจจุบันมีการชํารุด ผิวจราจรหลุดร่อน ถนนยุบตัว มีดินถล่ม น้ํากัดเซาะ ตลอดเส้นทาง ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและอันตรายแก่เจ้าหน้าที่และนักท่องเที่ยว จึงได้จัดทําโครงการก่อสร้างปรับปรุงถนนสายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง โดยได้รับการอนุมัติจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แล้ว จํานวน 2 โครงการ ดังนี้ (2.1) โครงการปรับปรุงถนนสายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง จากผิวการจราจรเดิมเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 4 เมตร ระยะทาง 3.4 กิโลเมตร และถนนน้ําล้นคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 แห่ง ความยาว รวม 90 เมตร ภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ.2561 (งบพัฒนาจังหวัด) งบประมาณที่ได้รับ 10,747,000 บาท (สิบล้านเจ็ดแสนสี่หมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน) ระยะเวลาดําเนินการ 230 วัน เริ่มสัญญาวันที่ 31 พฤษภาคม 2561 แล้วเสร็จวันที่ 15 มกราคม 2562 (2.2) โครงการปรับปรุงถนนสายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง จากผิวการจราจรเดิมเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 4 เมตร ระยะทาง 18.50 กิโลเมตร พร้อมรางระบายน้ํา ภายใต้แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจําปี พ.ศ. 2560 แผนงานบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ งบประมาณที่ได้รับ 86,747,000 บาท (แปดสิบหกล้านเจ็ดแสนสี่หมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน) ระยะเวลาดําเนินการ 560 วัน เริ่มสัญญาวันที่ 28 กันยายน 2561 แล้วเสร็จวันที่ 9 เมษายน 2563 3) การดําเนินงานดังกล่าว เป็นการดําเนินการโดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 และระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในเขตอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2549 รวมทั้งแนวทางพิจารณาการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 อีกทั้งยังเป็นการปรับปรุงผิวถนนเดิมซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว ไม่ได้เป็นการตัดถนนขึ้นมาใหม่ หรือเพิ่งจะมาทําถนนลาดยางในภายหลัง อีกทั้งการดําเนินโครงการเป็นไปตามแนวทางในการดูแลรักษาความปลอดภัย และอํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว สอดคล้องตามหลักการจัดการอุทยานแห่งชาติ โดยได้ดําเนินการตามแนวถนนเดิม (ถนนลาดยางเดิมที่ชํารุด) ผิวการจราจรขนาดเท่าเดิม เป็นการซ่อมแซม ผิวการจราจรและร่องระบายน้ํา มิได้ขยายเส้นทางหรือเปิดเส้นทางใหม่ ไม่เกิดปัญหาผลกระทบกับสภาพป่าและสัตว์ป่าแต่อย่างใด ทั้งนี้ ได้เสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ครั้งที่ 1 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560 เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2560 และครั้งที่ 2 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2561 ซึ่งคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ประกอบด้วย หน่วยงานราชการ องค์กรภาคเอกชน (NGO) องค์การบริหารส่วนตําบล ผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยว เครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและผู้ทรงคุณวุฒิ ฯลฯ ซึ่งได้แจ้งเหตุผลความจําเป็นในการปรับปรุงผิวการจราจรให้คณะกรรมการฯ ที่มาจากทุกภาคส่วนได้ทราบแล้ว จึงไม่ได้เป็นการดําเนินการโดยลําพังแต่ประการใด 4) ประเด็นข้อกังวลเกี่ยวกับการขนส่งวัสดุก่อสร้างจะรบกวนความเป็นอยู่ของสัตว์ป่าในบริเวณใกล้เคียงนั้น ซึ่งโดยสภาพปกติข้อมูลในปี พ.ศ. 2561 มีรถยนต์ที่เข้าไปท่องเที่ยวยังพะเนินทุ่ง จํานวนรวม 21,860 คัน (มีค่าเฉลี่ยจํานวนรถยนต์ ขึ้น – ลง วันละ 80 คัน ไม่นับรวมในช่วงเวลาที่ปิดการท่องเที่ยว) โดยที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อถิ่นที่อยู่อาศัย รัง ของสัตว์ป่า แต่ประการใด ตามที่มีข้อกังวลว่าการขนส่งวัสดุก่อสร้าง จํานวน 5,000 เที่ยว จะรบกวนต่อสัตว์ป่า (มีค่าเฉลี่ยการขนส่งวัสดุก่อสร้างวันละ 9 คัน) เมื่อพิจารณาจากค่าเฉลี่ยรถที่ขนวัสดุก่อสร้างแล้ว ยังต่ํากว่ารถยนต์นักท่องเที่ยวที่สัญจรไปมาในช่วงเวลาปกติ ดังนั้น การขนส่งวัสดุก่อสร้างจึงมีผลกระทบน้อยกว่าการสัญจรในช่วงเปิดท่องเที่ยวปกติอย่างชัดเจน อีกทั้งยังได้กําหนดมาตรการควบคุมการดําเนินโครงการฯร่วมกับผู้รับจ้าง โดยได้กําหนดมาตรการทั้งก่อนดําเนินการ ระหว่างดําเนินการ และหลังดําเนินการ ไว้อย่างรัดกุมแล้ว สําหรับความกังวลที่อาจทําให้สัตว์ป่าที่เคยเจอตัวง่ายต้องหลบหนีลึกเข้าไปและไม่กล้าออกมาด้านนอกให้เห็นอีกเลย จากการตรวจสอบถนนลาดยางในบริเวณใกล้เคียงกัน ตั้งแต่ด่านหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ กจ.2 (เขาสามยอด) ถึง หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ กจ.4 (บ้านกร่าง) ระยะทาง 15 กิโลเมตร ถนนลาดยาง กว้าง 8 เมตร ซึ่งภายหลังการก่อสร้างและใช้ประโยชน์ยังสามารถพบเห็นสัตว์ป่าออกมาใช้ประโยชน์ บริเวณเส้นทาง และสองข้างทางสม่ําเสมอ อาทิเช่น เสือดาว เสือดํา หมาจิ้งจอก หมาไน กระทิง ช้างป่า ลิงลม เม่น ย่อมแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่า และยังสามารถปรับตัวอยู่อาศัยได้ตามปกติ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มีความเข้มงวดกวดขัน ในเรื่องการควบคุมการจราจร ตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่ผ่านมาไม่พบสัตว์ป่าถูกรถชนตาย ในถนนตลอดเส้นทาง ตั้งแต่ด่านหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ กจ.2 (เขาสามยอด) ถึง หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ กจ.19 (เขาพะเนินทุ่ง) ซึ่งมีมาตรการลดผลกระทบความเร็วของรถยนต์และเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดกวดขัน สําหรับถนนในช่วงระหว่างบ้านกร่าง – พะเนินทุ่ง กําหนดเวลา ขึ้น – ลง และเดินรถทางเดียวไม่ให้สวนทางกัน เนื่องจากสภาพถนนมีความลาดชันสูง คดเคี้ยวและแคบ มีขนาดกว้าง 4 เมตร ไม่สามารถทําความเร็วได้ และกําหนดจํานวนผู้พักค้างแรม ต้องจองล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ และมีการให้บริการรถยนต์สาธารณะของชุมชน ซึ่งทําให้ลดจํานวนรถยนต์ส่วนบุคคล สําหรับการป้องกันความเร็วของรถยนต์สามารถจัดทําสิ่งกีดขวางเพื่อชะลอความเร็วได้ ตลอดจนจํานวนและระยะเวลาในการเข้าออกของรถยนต์ สามารถประกาศกําหนดได้ตามข้อระเบียบกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น กําหนดให้รถเข้าออก ตั้งแต่เวลา 06.00 น. - 18.00 น. ห้ามรถเก๋งและรถตู้โดยสารขับขึ้นเขาพะเนินทุ่ง ซึ่งปัจจุบันได้ใช้มาตรการนี้มาโดยตลอด 5) กรณีข้อกังวลต่อสถานภาพการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก เนื่องจากขณะนี้พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานอยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative list) ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ดังนั้นหากมีการพัฒนาหรือปรับปรุงสิ่งก่อสร้างอันใด จึงไม่จําเป็นต้องรายงานต่อศูนย์มรดกโลก หรือคณะกรรมการมรดกโลก เนื่องจากไม่เข้าข่ายที่จะต้องดําเนินการตามแนวทางอนุวัตอนุสัญญา (Operational Guidelines) อนึ่ง สําหรับคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล (OUV) ของกลุ่มป่าแก่งกระจาน ในการนําเสนอเป็นมรดกโลก ประกอบด้วยชนิดพันธุ์สัตว์ป่าที่สําคัญตาม IUCN Red List ได้แก่ สถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critical Endanger-CR) และสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ (Endanger-EN) เช่น จระเข้น้ําจืด ลิ่น เสือโคร่ง ช้างป่า วัวแดง กระทิง ฯลฯ ทั้งนี้ เส้นทางปรับปรุงถนนบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณค่า OUV ตามเอกสารที่เสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลก แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้สั่งการให้ชะลอโครงการปรับปรุงผิวการจราจรไว้ก่อนแล้ว โดยในขณะนี้ผู้รับจ้างยังไม่ได้เข้าพื้นที่เพื่อดําเนินการก่อสร้างแต่ประการใด เนื่องจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้แจ้งให้ผู้รับเหมาทราบว่ายังมีปัญหาข้อขัดแย้ง ต่อกรณีการดําเนินการตามโครงการดังกล่าวข้างต้น จึงยังไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้กับผู้รับจ้างเข้าดําเนินการปรับปรุงผิวการจราจรได้ พร้อมทั้งได้มีหนังสือเชิญผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เข้าร่วมหารือเพื่อหาทางออก ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2561 ให้ได้ข้อยุติ ต่อไป --------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอุทยานฯ ชี้แจงโครงการปรับปรุงผิวการจราจร ถนนพะเนินทุ่ง (สายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง) ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561 กรมอุทยานฯ ชี้แจงโครงการปรับปรุงผิวการจราจร ถนนพะเนินทุ่ง (สายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง) ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชี้แจงโครงการปรับปรุงผิวการจราจร ถนนพะเนินทุ่ง (สายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง) ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน วันที่ 3 พฤศจิกายน 2561 นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชี้แจงประเด็น “เครือข่ายอนุรักษ์สัตว์ป่า 15 องค์กร นําโดยมูลนิธิสืบนาคะเสถียร สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย เตรียมเคลื่อนขบวนมายังทําเนียบรัฐบาลในวันที่ 5 พ.ย.นี้ เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอให้ชะลอโครงการปรับปรุงพื้นผิวจราจรถนนพะเนินทุ่ง (สายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง) ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เนื่องจากกังวลกระทบขึ้นทะเบียนมรดกโลกที่อาจด้อยคุณค่าจากการทําถนนผ่าป่าและชีวิตสัตว์ โดยมีประเด็น ดังนี้ 1. สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 1 พ.ย.เป็นวันแรกที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ได้ปิดแหล่งท่องเที่ยวเขาพะเนินทุ่ง เพื่อปรับปรุงเส้นทาง ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2561 จํานวน 560 วัน ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากกลุ่มองค์กรอนุรักษ์และนักวิชาการด้านสัตว์ป่า เครือข่าย 15 องค์กรอนุรักษ์ที่กังวลต่อปัญหาผลกระทบต่อสัตว์ป่า โดยให้เหตุผล 3 ด้านคือ 1.1 โครงการปรับปรุงถนนดังกล่าวไม่ได้คํานึงถึงหลักการมีส่วนร่วม ไม่มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน 1.2 ในระหว่างการก่อสร้างปรับปรุงพื้นผิวถนน ตัดผ่านพื้นที่ใจกลางอุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นบ้านถิ่นอาศัยของสัตว์ป่ามากมายหลายชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ป่าหายาก การที่ต้องมีเครื่องจักรกลขนาดหนักที่ต้องใช้ในการก่อสร้าง รถขนปูนที่ต้องวิ่งขนส่งไปมาไม่ต่ํากว่า 5,000 เที่ยวจะกระทบกับสัตว์ป่า อาจทําให้สัตว์ที่เคยเจอตัวง่ายต้องหลบหนีลึกเข้าไปและไม่กล้าออกมาด้านนอกให้เห็นอีกเลย 1.3 หลังการก่อสร้างปรับปรุงพื้นผิวถนน จากบทเรียนที่ผ่านมาการอํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวโดยการปรับปรุงถนนให้ดีขึ้น ถึงแม้จะมีมาตรการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นตามมาหลังการก่อสร้างเสร็จ แต่ไม่อาจการันตีได้ว่ามาตรการเหล่านั้นจะสามารถบังคับใช้ได้จริง แต่ผลที่ตามมาคือ ปริมาณรถที่วิ่งจะมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 2. นายสัตวแพทย์เกษตร สุเตชะ กรรมการสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานได้ถูกขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้นเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติกับศูนย์มรดกโลกไว้แล้วตั้งแต่ปี 2554 และยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลกเพื่อขึ้นทะเบียน ซึ่งเป็นห่วงว่าการปรับปรุงถนนคอนกรีตในแก่งกระจานอาจจะกระทบต่อความเป็นมรดกโลก โดยอ้างถึงตัวอย่างจากกรณีของมรดกโลก 2 แห่งคือ ห้วยขาแข้ง - ทุ่งใหญ่นเรศวร และดงพญาเย็น - เขาใหญ่ ที่ไม่ต้องปรับปรุงถนนคอนกรีตเพื่อรองรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ขณะที่กรณีถนนสาย 304 ที่ตัดผ่ากลางป่าเขาใหญ่ - ทับลาน และถนนที่ขึ้นเขาใหญ่ทั้งด่านเนินหอม ปราจีนบุรี และปากช่อง จ.นครราชสีมา ก็เป็นโจทย์ที่คณะกรรมการมรดกโลกให้ไทยแก้ปัญหาด้วยการทําอุโมงค์เชื่อมป่า และถึงตอนนี้มีรายงานยืนยันว่าที่เขาอ่างฤาไนมีสัตว์ป่าหลายชนิดตายปีละ 3,000 ตัว เนื่องจากการทําถนนคอนกรีตต้องผูกเหล็กและเอาเครื่องจักรขนาดใหญ่เข้าไปในพื้นที่ ต้องใช้ปูนเทถนน ซึ่งเป็นการทําลายระบบนิเวศอย่างมาก 3. ตัวแทนกลุ่มจะไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 5 พ.ย.เพื่อขอให้ชะลอโครงการสร้างถนนคอนกรีตสู่เขาพะเนินทุ่งเพื่อศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และกระบวนการรับฟังความเห็นของประชาชน แต่ยังไม่มีการรับปากว่าจะถึงตัวนายกรัฐมนตรีหรือไม่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ขอเรียนชี้แจง ดังนี้ 1) ถนนสายบ้านกร่าง–พะเนินทุ่ง ดังกล่าว เดิมได้ดําเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 โดยกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ตกลงจ้างบริษัท ซีวิลเอ็นจิเนียริ่ง จํากัด สัญญาจ้างเลขที่ 03/31/2530 ลงวันที่ 30 กันยายน 2530 ก่อสร้างถนนลาดยาง สายบ้านวังวน-น้ําตกทอทิพย์ ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ระยะทาง 18 กิโลเมตร ผิวจราจรลาดยางสองชั้น กว้าง 4 เมตร ไหล่ทางข้างละ 0.50 เมตร เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 28,570,000 บาท (ยี่สิบแปดล้านห้าแสนเจ็ดหมื่นบาทถ้วน) เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2530 สิ้นสุดวันที่ 13 กันยายน 2531 ภายใต้โครงการพัฒนาสิ่งอํานวยความสะดวกในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เสนอผ่านสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 2) ถนนสายนี้เป็นเส้นทางตรวจการณ์ในการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่ ในการเดินทางไปยังหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ กจ.19 (เขาพะเนินทุ่ง) และเดินทางไปลาดตระเวนตามแนวชายแดน อีกทั้งยังเป็นถนนสายท่องเที่ยวปกติ ซึ่งจะปิดการท่องเที่ยวในช่วงเดือนสิงหาคม – เดือนตุลาคม ของทุกปี ดังนั้นเมื่ออุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ตรวจพบสภาพถนนในปัจจุบันมีการชํารุด ผิวจราจรหลุดร่อน ถนนยุบตัว มีดินถล่ม น้ํากัดเซาะ ตลอดเส้นทาง ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและอันตรายแก่เจ้าหน้าที่และนักท่องเที่ยว จึงได้จัดทําโครงการก่อสร้างปรับปรุงถนนสายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง โดยได้รับการอนุมัติจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แล้ว จํานวน 2 โครงการ ดังนี้ (2.1) โครงการปรับปรุงถนนสายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง จากผิวการจราจรเดิมเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 4 เมตร ระยะทาง 3.4 กิโลเมตร และถนนน้ําล้นคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 แห่ง ความยาว รวม 90 เมตร ภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ.2561 (งบพัฒนาจังหวัด) งบประมาณที่ได้รับ 10,747,000 บาท (สิบล้านเจ็ดแสนสี่หมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน) ระยะเวลาดําเนินการ 230 วัน เริ่มสัญญาวันที่ 31 พฤษภาคม 2561 แล้วเสร็จวันที่ 15 มกราคม 2562 (2.2) โครงการปรับปรุงถนนสายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง จากผิวการจราจรเดิมเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก กว้าง 4 เมตร ระยะทาง 18.50 กิโลเมตร พร้อมรางระบายน้ํา ภายใต้แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจําปี พ.ศ. 2560 แผนงานบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ งบประมาณที่ได้รับ 86,747,000 บาท (แปดสิบหกล้านเจ็ดแสนสี่หมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน) ระยะเวลาดําเนินการ 560 วัน เริ่มสัญญาวันที่ 28 กันยายน 2561 แล้วเสร็จวันที่ 9 เมษายน 2563 3) การดําเนินงานดังกล่าว เป็นการดําเนินการโดยอาศัยอํานาจตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 และระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการปฏิบัติการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในเขตอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2549 รวมทั้งแนวทางพิจารณาการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 อีกทั้งยังเป็นการปรับปรุงผิวถนนเดิมซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว ไม่ได้เป็นการตัดถนนขึ้นมาใหม่ หรือเพิ่งจะมาทําถนนลาดยางในภายหลัง อีกทั้งการดําเนินโครงการเป็นไปตามแนวทางในการดูแลรักษาความปลอดภัย และอํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว สอดคล้องตามหลักการจัดการอุทยานแห่งชาติ โดยได้ดําเนินการตามแนวถนนเดิม (ถนนลาดยางเดิมที่ชํารุด) ผิวการจราจรขนาดเท่าเดิม เป็นการซ่อมแซม ผิวการจราจรและร่องระบายน้ํา มิได้ขยายเส้นทางหรือเปิดเส้นทางใหม่ ไม่เกิดปัญหาผลกระทบกับสภาพป่าและสัตว์ป่าแต่อย่างใด ทั้งนี้ ได้เสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ครั้งที่ 1 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2560 เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2560 และครั้งที่ 2 ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2561 ซึ่งคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ประกอบด้วย หน่วยงานราชการ องค์กรภาคเอกชน (NGO) องค์การบริหารส่วนตําบล ผู้ประกอบการธุรกิจการท่องเที่ยว เครือข่ายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและผู้ทรงคุณวุฒิ ฯลฯ ซึ่งได้แจ้งเหตุผลความจําเป็นในการปรับปรุงผิวการจราจรให้คณะกรรมการฯ ที่มาจากทุกภาคส่วนได้ทราบแล้ว จึงไม่ได้เป็นการดําเนินการโดยลําพังแต่ประการใด 4) ประเด็นข้อกังวลเกี่ยวกับการขนส่งวัสดุก่อสร้างจะรบกวนความเป็นอยู่ของสัตว์ป่าในบริเวณใกล้เคียงนั้น ซึ่งโดยสภาพปกติข้อมูลในปี พ.ศ. 2561 มีรถยนต์ที่เข้าไปท่องเที่ยวยังพะเนินทุ่ง จํานวนรวม 21,860 คัน (มีค่าเฉลี่ยจํานวนรถยนต์ ขึ้น – ลง วันละ 80 คัน ไม่นับรวมในช่วงเวลาที่ปิดการท่องเที่ยว) โดยที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อถิ่นที่อยู่อาศัย รัง ของสัตว์ป่า แต่ประการใด ตามที่มีข้อกังวลว่าการขนส่งวัสดุก่อสร้าง จํานวน 5,000 เที่ยว จะรบกวนต่อสัตว์ป่า (มีค่าเฉลี่ยการขนส่งวัสดุก่อสร้างวันละ 9 คัน) เมื่อพิจารณาจากค่าเฉลี่ยรถที่ขนวัสดุก่อสร้างแล้ว ยังต่ํากว่ารถยนต์นักท่องเที่ยวที่สัญจรไปมาในช่วงเวลาปกติ ดังนั้น การขนส่งวัสดุก่อสร้างจึงมีผลกระทบน้อยกว่าการสัญจรในช่วงเปิดท่องเที่ยวปกติอย่างชัดเจน อีกทั้งยังได้กําหนดมาตรการควบคุมการดําเนินโครงการฯร่วมกับผู้รับจ้าง โดยได้กําหนดมาตรการทั้งก่อนดําเนินการ ระหว่างดําเนินการ และหลังดําเนินการ ไว้อย่างรัดกุมแล้ว สําหรับความกังวลที่อาจทําให้สัตว์ป่าที่เคยเจอตัวง่ายต้องหลบหนีลึกเข้าไปและไม่กล้าออกมาด้านนอกให้เห็นอีกเลย จากการตรวจสอบถนนลาดยางในบริเวณใกล้เคียงกัน ตั้งแต่ด่านหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ กจ.2 (เขาสามยอด) ถึง หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ กจ.4 (บ้านกร่าง) ระยะทาง 15 กิโลเมตร ถนนลาดยาง กว้าง 8 เมตร ซึ่งภายหลังการก่อสร้างและใช้ประโยชน์ยังสามารถพบเห็นสัตว์ป่าออกมาใช้ประโยชน์ บริเวณเส้นทาง และสองข้างทางสม่ําเสมอ อาทิเช่น เสือดาว เสือดํา หมาจิ้งจอก หมาไน กระทิง ช้างป่า ลิงลม เม่น ย่อมแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสัตว์ป่า และยังสามารถปรับตัวอยู่อาศัยได้ตามปกติ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มีความเข้มงวดกวดขัน ในเรื่องการควบคุมการจราจร ตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่ผ่านมาไม่พบสัตว์ป่าถูกรถชนตาย ในถนนตลอดเส้นทาง ตั้งแต่ด่านหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ กจ.2 (เขาสามยอด) ถึง หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ กจ.19 (เขาพะเนินทุ่ง) ซึ่งมีมาตรการลดผลกระทบความเร็วของรถยนต์และเจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดกวดขัน สําหรับถนนในช่วงระหว่างบ้านกร่าง – พะเนินทุ่ง กําหนดเวลา ขึ้น – ลง และเดินรถทางเดียวไม่ให้สวนทางกัน เนื่องจากสภาพถนนมีความลาดชันสูง คดเคี้ยวและแคบ มีขนาดกว้าง 4 เมตร ไม่สามารถทําความเร็วได้ และกําหนดจํานวนผู้พักค้างแรม ต้องจองล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ และมีการให้บริการรถยนต์สาธารณะของชุมชน ซึ่งทําให้ลดจํานวนรถยนต์ส่วนบุคคล สําหรับการป้องกันความเร็วของรถยนต์สามารถจัดทําสิ่งกีดขวางเพื่อชะลอความเร็วได้ ตลอดจนจํานวนและระยะเวลาในการเข้าออกของรถยนต์ สามารถประกาศกําหนดได้ตามข้อระเบียบกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น กําหนดให้รถเข้าออก ตั้งแต่เวลา 06.00 น. - 18.00 น. ห้ามรถเก๋งและรถตู้โดยสารขับขึ้นเขาพะเนินทุ่ง ซึ่งปัจจุบันได้ใช้มาตรการนี้มาโดยตลอด 5) กรณีข้อกังวลต่อสถานภาพการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก เนื่องจากขณะนี้พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจานอยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้น (Tentative list) ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ดังนั้นหากมีการพัฒนาหรือปรับปรุงสิ่งก่อสร้างอันใด จึงไม่จําเป็นต้องรายงานต่อศูนย์มรดกโลก หรือคณะกรรมการมรดกโลก เนื่องจากไม่เข้าข่ายที่จะต้องดําเนินการตามแนวทางอนุวัตอนุสัญญา (Operational Guidelines) อนึ่ง สําหรับคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล (OUV) ของกลุ่มป่าแก่งกระจาน ในการนําเสนอเป็นมรดกโลก ประกอบด้วยชนิดพันธุ์สัตว์ป่าที่สําคัญตาม IUCN Red List ได้แก่ สถานภาพใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Critical Endanger-CR) และสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ (Endanger-EN) เช่น จระเข้น้ําจืด ลิ่น เสือโคร่ง ช้างป่า วัวแดง กระทิง ฯลฯ ทั้งนี้ เส้นทางปรับปรุงถนนบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณค่า OUV ตามเอกสารที่เสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลก แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้สั่งการให้ชะลอโครงการปรับปรุงผิวการจราจรไว้ก่อนแล้ว โดยในขณะนี้ผู้รับจ้างยังไม่ได้เข้าพื้นที่เพื่อดําเนินการก่อสร้างแต่ประการใด เนื่องจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้แจ้งให้ผู้รับเหมาทราบว่ายังมีปัญหาข้อขัดแย้ง ต่อกรณีการดําเนินการตามโครงการดังกล่าวข้างต้น จึงยังไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้กับผู้รับจ้างเข้าดําเนินการปรับปรุงผิวการจราจรได้ พร้อมทั้งได้มีหนังสือเชิญผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เข้าร่วมหารือเพื่อหาทางออก ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2561 ให้ได้ข้อยุติ ต่อไป --------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16552
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ขานรับมาตรการ SMEs คนตัวเล็กเดินหน้าคืนคนดีสู่สังคมรุ่น 2 สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างผู้ประกอบการไทยแลนด์ 4.0
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 ธพว. ขานรับมาตรการ SMEs คนตัวเล็กเดินหน้าคืนคนดีสู่สังคมรุ่น 2 สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างผู้ประกอบการไทยแลนด์ 4.0 ธพว. ประกาศพร้อมเดินหน้าสานต่อมาตรการความช่วยเหลือ SMEs คนตัวเล็กผ่าน“โครงการ SME Bank ร่วมคืนคนดีสู่สังคมรุ่นที่ 2” ซึ่งดําเนินการภายใต้งบประมาณโครงการรวมพลังคน ธพว. สร้างสรรค์สังคม (CSR) นายสมชาย หาญหิรัญ ประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(SME Development Bank หรือ ธพว.) ประกาศพร้อมเดินหน้าสานต่อมาตรการความช่วยเหลือ SMEs คนตัวเล็กผ่าน“โครงการ SME Bank ร่วมคืนคนดีสู่สังคมรุ่นที่ 2” ซึ่งดําเนินการภายใต้งบประมาณโครงการรวมพลังคน ธพว. สร้างสรรค์สังคม (CSR) ร่วมกับกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม และ มูลนิธิพันธกิจเรือนจําคริสเตียน เพื่อส่งเสริมองค์ความรู้ควบคู่การสนับสนุนเงินทุน มุ่งสร้างคุณค่าพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังที่พ้นโทษให้เป็นที่ยอมรับของสังคม โดยโครงการรุ่นที่ 1 ดําเนินการมาแล้วอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 และได้รับความสนใจมีผู้ยื่นกู้กว่า 21 ราย สามารถนําไปต่อยอด สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างธุรกิจที่มีศักยภาพกว่า 21 กิจการ ก่อเกิดเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่สําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ “ปี 2560 นี้ ธนาคารมีแผนเพิ่มวงเงินผ่านโครงการ CSR ในการช่วยเหลือสนับสนุน SMEs คนตัวเล็ก/รายย่อยทุกระดับ เพื่อเพิ่มโอกาสกระจายองค์ความรู้และการเข้าถึงแหล่งทุน นอกเหนือจากวงเงินโครงการสินเชื่อธุรกิจปกติของธนาคาร ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่โครงการมุ่งให้ความช่วยเหลือคือผู้พ้นโทษที่ต้องการมีอาชีพอิสระ อยากตั้งตัวมีรายได้เลี้ยงชีพด้วยกิจการเล็กๆ ซึ่งบางรายมีวิชาชีพติดตัวมาจากช่วงถูกคุมขัง มีศักยภาพมีความพร้อมในการทําธุรกิจเต็มที่ แต่ด้วยโอกาสจากสังคมภายนอกน้อยเกินกว่าจะเริ่มต้นใหม่ ธนาคารทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงร่วมกับหน่วยงานที่คัดกรอง คอยให้คําปรึกษาแนะนํา ฝึกวิชาชีพและสนับสนุนช่องทางการตลาดจนประสบความสําเร็จ โครงการรุ่นที่ 1 สามารถสร้าง SMEs คนตัวเล็ก/รายย่อย ที่เข้มแข็งเป็นที่ยอมรับได้กว่า 21 กิจการ อาทิ ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ร้านซ่อมมอเตอร์ไซต์ ร้านซ่อมและตกแต่งจักรยาน ร้านเบเกอรี่กาแฟสด เป็นต้น โดยโครงการรุ่นที่ 2 นี้ ธนาคารจะเปิดกว้างให้ความช่วยเหลือทุกอาชีพเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะอาชีพที่ต้องอาศัยความชํานาญหรือความเชี่ยวชาญด้านฝีมือเทคนิคการช่างเท่านั้น อาทิ ร้านขายข้าวแกง ร้านขายอาหารตามสั่ง ร้านขายผลไม้สด หรือร้านขายไส้กรอกทอด เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเสมอภาคลดความเลื่อมล้ําทางสังคมได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม” นายสมชาย กล่าวเพิ่มเติม โครงการ SME Bank ร่วมคืนคนดีสู่สังคมรุ่นที่ 2 ซึ่งดําเนินการภายใต้งบประมาณโครงการรวมพลังคน ธพว. สร้างสรรค์สังคม (CSR) อาจมีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ขั้นตอนการอนุมัติใหม่ เพื่ออํานวยความสะดวกให้ผู้สนใจยื่นกู้เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น โดยสามารถกู้ได้รายละไม่เกิน 50,000 บาท ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องใช้หลักประกัน ผ่อนชําระได้สูงสุด 20 งวด ระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี ติดต่อขอยื่นกู้ได้ 2 ช่องทางเช่นเดิม คือ กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม และ มูลนิธิพันธกิจเรือนจําคริสเตียน ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานนี้จะทําหน้าที่พิจารณาคุณสมบัติคัดกรองให้กับธนาคาร ช่วยป้องกันไม่ให้โครงการเกิดหนี้เสีย(NPLs) ทั้งนี้ ยังถือเป็นการดําเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการรับสวัสดิการแห่งรัฐแก่ผู้มีรายได้น้อยช่วยดูแลชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ช่วยเหลือปัจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิต รวมถึงมีความสอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ ข้อ (1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ข้อ(2)ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และข้อ(4)ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาค และเท่าเทียมกันทางสังคม สําหรับผู้ที่สนใจใช้บริการเงินกู้โครงการ SME Bank ร่วมคืนคนดีสู่สังคมรุ่นที่ 2 สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357 หรือ สามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมของธนาคารผ่านช่องทาง facebook.com/SMEDevelopmentBank ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร.085-980-7861,02-265-4573-5 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ขานรับมาตรการ SMEs คนตัวเล็กเดินหน้าคืนคนดีสู่สังคมรุ่น 2 สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างผู้ประกอบการไทยแลนด์ 4.0 วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 ธพว. ขานรับมาตรการ SMEs คนตัวเล็กเดินหน้าคืนคนดีสู่สังคมรุ่น 2 สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างผู้ประกอบการไทยแลนด์ 4.0 ธพว. ประกาศพร้อมเดินหน้าสานต่อมาตรการความช่วยเหลือ SMEs คนตัวเล็กผ่าน“โครงการ SME Bank ร่วมคืนคนดีสู่สังคมรุ่นที่ 2” ซึ่งดําเนินการภายใต้งบประมาณโครงการรวมพลังคน ธพว. สร้างสรรค์สังคม (CSR) นายสมชาย หาญหิรัญ ประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(SME Development Bank หรือ ธพว.) ประกาศพร้อมเดินหน้าสานต่อมาตรการความช่วยเหลือ SMEs คนตัวเล็กผ่าน“โครงการ SME Bank ร่วมคืนคนดีสู่สังคมรุ่นที่ 2” ซึ่งดําเนินการภายใต้งบประมาณโครงการรวมพลังคน ธพว. สร้างสรรค์สังคม (CSR) ร่วมกับกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม และ มูลนิธิพันธกิจเรือนจําคริสเตียน เพื่อส่งเสริมองค์ความรู้ควบคู่การสนับสนุนเงินทุน มุ่งสร้างคุณค่าพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังที่พ้นโทษให้เป็นที่ยอมรับของสังคม โดยโครงการรุ่นที่ 1 ดําเนินการมาแล้วอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 และได้รับความสนใจมีผู้ยื่นกู้กว่า 21 ราย สามารถนําไปต่อยอด สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างธุรกิจที่มีศักยภาพกว่า 21 กิจการ ก่อเกิดเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่สําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ “ปี 2560 นี้ ธนาคารมีแผนเพิ่มวงเงินผ่านโครงการ CSR ในการช่วยเหลือสนับสนุน SMEs คนตัวเล็ก/รายย่อยทุกระดับ เพื่อเพิ่มโอกาสกระจายองค์ความรู้และการเข้าถึงแหล่งทุน นอกเหนือจากวงเงินโครงการสินเชื่อธุรกิจปกติของธนาคาร ซึ่งกลุ่มเป้าหมายที่โครงการมุ่งให้ความช่วยเหลือคือผู้พ้นโทษที่ต้องการมีอาชีพอิสระ อยากตั้งตัวมีรายได้เลี้ยงชีพด้วยกิจการเล็กๆ ซึ่งบางรายมีวิชาชีพติดตัวมาจากช่วงถูกคุมขัง มีศักยภาพมีความพร้อมในการทําธุรกิจเต็มที่ แต่ด้วยโอกาสจากสังคมภายนอกน้อยเกินกว่าจะเริ่มต้นใหม่ ธนาคารทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงร่วมกับหน่วยงานที่คัดกรอง คอยให้คําปรึกษาแนะนํา ฝึกวิชาชีพและสนับสนุนช่องทางการตลาดจนประสบความสําเร็จ โครงการรุ่นที่ 1 สามารถสร้าง SMEs คนตัวเล็ก/รายย่อย ที่เข้มแข็งเป็นที่ยอมรับได้กว่า 21 กิจการ อาทิ ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ร้านซ่อมมอเตอร์ไซต์ ร้านซ่อมและตกแต่งจักรยาน ร้านเบเกอรี่กาแฟสด เป็นต้น โดยโครงการรุ่นที่ 2 นี้ ธนาคารจะเปิดกว้างให้ความช่วยเหลือทุกอาชีพเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่เฉพาะอาชีพที่ต้องอาศัยความชํานาญหรือความเชี่ยวชาญด้านฝีมือเทคนิคการช่างเท่านั้น อาทิ ร้านขายข้าวแกง ร้านขายอาหารตามสั่ง ร้านขายผลไม้สด หรือร้านขายไส้กรอกทอด เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเสมอภาคลดความเลื่อมล้ําทางสังคมได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม” นายสมชาย กล่าวเพิ่มเติม โครงการ SME Bank ร่วมคืนคนดีสู่สังคมรุ่นที่ 2 ซึ่งดําเนินการภายใต้งบประมาณโครงการรวมพลังคน ธพว. สร้างสรรค์สังคม (CSR) อาจมีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ขั้นตอนการอนุมัติใหม่ เพื่ออํานวยความสะดวกให้ผู้สนใจยื่นกู้เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น โดยสามารถกู้ได้รายละไม่เกิน 50,000 บาท ไม่มีดอกเบี้ย ไม่ต้องใช้หลักประกัน ผ่อนชําระได้สูงสุด 20 งวด ระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี ติดต่อขอยื่นกู้ได้ 2 ช่องทางเช่นเดิม คือ กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม และ มูลนิธิพันธกิจเรือนจําคริสเตียน ซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานนี้จะทําหน้าที่พิจารณาคุณสมบัติคัดกรองให้กับธนาคาร ช่วยป้องกันไม่ให้โครงการเกิดหนี้เสีย(NPLs) ทั้งนี้ ยังถือเป็นการดําเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการรับสวัสดิการแห่งรัฐแก่ผู้มีรายได้น้อยช่วยดูแลชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ช่วยเหลือปัจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิต รวมถึงมีความสอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ ข้อ (1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ข้อ(2)ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และข้อ(4)ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาค และเท่าเทียมกันทางสังคม สําหรับผู้ที่สนใจใช้บริการเงินกู้โครงการ SME Bank ร่วมคืนคนดีสู่สังคมรุ่นที่ 2 สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357 หรือ สามารถติดตามข่าวสารกิจกรรมของธนาคารผ่านช่องทาง facebook.com/SMEDevelopmentBank ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร.085-980-7861,02-265-4573-5 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3594
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. เชิญชวนนักเรียน นักศึกษา และแรงงานนอกระบบสมัครสมาชิกรับสิทธิประโยชน์เพิ่ม 5 เด้ง”
วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562 “กอช. เชิญชวนนักเรียน นักศึกษา และแรงงานนอกระบบสมัครสมาชิกรับสิทธิประโยชน์เพิ่ม 5 เด้ง” กอช.จัดโปรโมชันส่งท้ายปี สําหรับสมาชิก กอช. และประชาชนในพื้นกรุงเทพฯ สมัครสมาชิกหรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รับสิทธิประโยชน์ดีๆ เพิ่ม 5 เด้ง ได้ที่บูธ กอช. ในเต็นท์กระทรวงการคลัง งานกาชาด ประจําปี 2562 เที่ยวสนุก สุขใจ ได้กุศล ออมกับ กอช. กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จัดโปรโมชันส่งท้ายปี สําหรับสมาชิก กอช. และประชาชนในพื้นกรุงเทพมหานคร สมัครสมาชิก หรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รับสิทธิประโยชน์ดีๆ เพิ่ม 5 เด้ง ได้ที่บูธ กอช. ในเต็นท์กระทรวงการคลัง งานกาชาด ประจําปี 2562 เที่ยวสนุก สุขใจ ได้กุศล ออมกับ กอช. นั้นดี มีแต่ได้ ระหว่างวันที่ 15 - 24 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.30 - 22.00 น. ณ สวนลุมพินี กรุงเทพฯ นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. จัดโปรโมชันส่งท้ายปี สําหรับสมาชิก กอช. และประชาชนในพื้นกรุงเทพมหานคร สมัครสมาชิก หรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รับสิทธิประโยชน์ดีๆ เพิ่ม 5 เด้ง ได้ที่บูธ กอช. ในเต็นท์กระทรวงการคลัง งานกาชาด ประจําปี 2562 เที่ยวสนุก สุขใจ ได้กุศล ออมกับ กอช. นั้นดี มีแต่ได้ ระหว่างวันที่ 15 - 24 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.30 - 22.00 น. ณ สวนลุมพินี กรุงเทพฯ รับสิทธิประโยชน์เพิ่มอีก 5 เด้ง ดังนี้ ดีเด้งที่ 1 ได้รับเงินสมทบในแต่ละปีตามช่วงอายุของสมาชิก - ช่วงอายุ 15 - 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 4.54%* - ช่วงอายุมากกว่า 30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 7.27%* - ช่วงอายุมากกว่า 50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 9.09%* *เงินสมทบจากรัฐบาลคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือน โดยประมาณ ดีเด้งที่ 2 ผลประโยชน์ของเงินออมสะสม และเงินสมทบที่นําไปลงทุน ดีเด้งที่ 3 ลดหย่อนภาษีได้เต็มจํานวนเงินออมสะสม ดีเด้งที่ 4 รับของที่ระลึก สําหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมภายในงาน ดีเด้งที่ 5 มีสิทธิเป็นผู้โชคดีรับทองคํา และสลากออมสิน สําหรับสมาชิก กอช. ที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด เพียงส่งเงินออมสะสมสม่ําเสมอ และส่งเงินออมเต็มจํานวน มีสิทธิเป็นผู้โชคดีรับทองคํา และสลากออมสิน ในเดือนธันวาคม 2562 ดูรายละเอียดข่าวสาร โปรโมชัน ได้ที่ Facebook “กองทุนการออมแห่งชาติ-กอช.” หรือ เว็บไซต์ กอช. “www.nsf.or.th” สอบถามเพิ่มเติมสายด่วนเงินออม โทร. 02-049-900
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. เชิญชวนนักเรียน นักศึกษา และแรงงานนอกระบบสมัครสมาชิกรับสิทธิประโยชน์เพิ่ม 5 เด้ง” วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562 “กอช. เชิญชวนนักเรียน นักศึกษา และแรงงานนอกระบบสมัครสมาชิกรับสิทธิประโยชน์เพิ่ม 5 เด้ง” กอช.จัดโปรโมชันส่งท้ายปี สําหรับสมาชิก กอช. และประชาชนในพื้นกรุงเทพฯ สมัครสมาชิกหรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รับสิทธิประโยชน์ดีๆ เพิ่ม 5 เด้ง ได้ที่บูธ กอช. ในเต็นท์กระทรวงการคลัง งานกาชาด ประจําปี 2562 เที่ยวสนุก สุขใจ ได้กุศล ออมกับ กอช. กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จัดโปรโมชันส่งท้ายปี สําหรับสมาชิก กอช. และประชาชนในพื้นกรุงเทพมหานคร สมัครสมาชิก หรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รับสิทธิประโยชน์ดีๆ เพิ่ม 5 เด้ง ได้ที่บูธ กอช. ในเต็นท์กระทรวงการคลัง งานกาชาด ประจําปี 2562 เที่ยวสนุก สุขใจ ได้กุศล ออมกับ กอช. นั้นดี มีแต่ได้ ระหว่างวันที่ 15 - 24 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.30 - 22.00 น. ณ สวนลุมพินี กรุงเทพฯ นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. จัดโปรโมชันส่งท้ายปี สําหรับสมาชิก กอช. และประชาชนในพื้นกรุงเทพมหานคร สมัครสมาชิก หรือส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง รับสิทธิประโยชน์ดีๆ เพิ่ม 5 เด้ง ได้ที่บูธ กอช. ในเต็นท์กระทรวงการคลัง งานกาชาด ประจําปี 2562 เที่ยวสนุก สุขใจ ได้กุศล ออมกับ กอช. นั้นดี มีแต่ได้ ระหว่างวันที่ 15 - 24 พฤศจิกายน 2562 เวลา 10.30 - 22.00 น. ณ สวนลุมพินี กรุงเทพฯ รับสิทธิประโยชน์เพิ่มอีก 5 เด้ง ดังนี้ ดีเด้งที่ 1 ได้รับเงินสมทบในแต่ละปีตามช่วงอายุของสมาชิก - ช่วงอายุ 15 - 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 4.54%* - ช่วงอายุมากกว่า 30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 7.27%* - ช่วงอายุมากกว่า 50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 9.09%* *เงินสมทบจากรัฐบาลคิดเป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือน โดยประมาณ ดีเด้งที่ 2 ผลประโยชน์ของเงินออมสะสม และเงินสมทบที่นําไปลงทุน ดีเด้งที่ 3 ลดหย่อนภาษีได้เต็มจํานวนเงินออมสะสม ดีเด้งที่ 4 รับของที่ระลึก สําหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมภายในงาน ดีเด้งที่ 5 มีสิทธิเป็นผู้โชคดีรับทองคํา และสลากออมสิน สําหรับสมาชิก กอช. ที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด เพียงส่งเงินออมสะสมสม่ําเสมอ และส่งเงินออมเต็มจํานวน มีสิทธิเป็นผู้โชคดีรับทองคํา และสลากออมสิน ในเดือนธันวาคม 2562 ดูรายละเอียดข่าวสาร โปรโมชัน ได้ที่ Facebook “กองทุนการออมแห่งชาติ-กอช.” หรือ เว็บไซต์ กอช. “www.nsf.or.th” สอบถามเพิ่มเติมสายด่วนเงินออม โทร. 02-049-900
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24634
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุสรี”ลงใต้พบปะบัณฑิตแรงงาน กลุ่มฝึกอาชีพ นำภารกิจสู่พื้นที่ชายแดน ลดสังคมเหลื่อมล้ำ
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 “อนุสรี”ลงใต้พบปะบัณฑิตแรงงาน กลุ่มฝึกอาชีพ นําภารกิจสู่พื้นที่ชายแดน ลดสังคมเหลื่อมล้ํา รมว.แรงงาน มอบหมาย น.ส.อนุสรี ทับสุวรรณ ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานกระทรวงแรงงาน พบปะบัณฑิตแรงงาน และกลุ่มฝึกอาชีพชายแดนภาคใต้ ขับเคลื่อนบริการด้านแรงงานเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ สร้างงาน สร้างอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ําในสังคม รมว.แรงงาน มอบหมาย น.ส.อนุสรี ทับสุวรรณ ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานกระทรวงแรงงาน พบปะบัณฑิตแรงงาน และกลุ่มฝึกอาชีพชายแดนภาคใต้ ขับเคลื่อนบริการด้านแรงงานเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ สร้างงาน สร้างอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ําในสังคม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางสาวอนุสรี ทับสุวรรณ ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานกระทรวงแรงงาน เป็นประธานบรรยายพิเศษ เรื่อง“บทบาทของบัณฑิตแรงงานในการขยายโอกาสการมีงานทําและส่งเสริมการสร้างอาชีพเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”ณ โรงแรมหาดใหญ่พาราไดส์ โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีบัณฑิตแรงงาน เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงและส่วนราชการกระทรวงแรงงานในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอําเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ของ จ.สงขลา เข้าร่วมรับฟังและนําเสนอผลงานการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีบัณฑิตแรงงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อําเภอของจังหวัดสงขลารวมจํานวนทั้งสิ้น 380 คน นางสาวอนุสรีฯ กล่าวต่อว่า บัณฑิตแรงงานในฐานะของลูกหลานของคนในพื้นที่เป็นผู้รู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเชิงลึกและช่วยเชื่อมโยงภารกิจภาครัฐไปยังประชาชนในพื้นที่ห่างไกลให้เข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการนําบริการและข้อมูลข่าวสารด้านแรงงานทุกมิติเข้าไปประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจแก่ประชาชน บัณฑิตแรงงานถือเป็นผู้มีบทบาทในการช่วยลดความเหลื่อมล้ํา ความแตกต่างระหว่างพื้นที่ ลดความยากลําบากในการเดินทาง ลดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และลดความไม่รู้ ไม่เข้าใจ อันเนื่องมาจากข้อจํากัดด้านภาษาและวัฒนธรรม กระทรวงแรงงานมีภารกิจด้านแรงงานที่จะเข้าไปดูแลและให้บริการแก่คนไทยทุกคน ทั้งการส่งเสริมอาชีพและการมีงานทํา การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน การคุ้มครองแรงงาน การประกันสังคม โดย รมว.แรงงาน ได้เน้นย้ําอย่างชัดเจนว่าต้องการเห็นประชาชนทุกภาคส่วนกินดี อยู่ดี โดยพร้อมที่จะขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกัน โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง “ขอให้ทุกคนนําความรู้ ประสบการณ์การทํางานในพื้นที่และทักษะความสามารถพิเศษมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนําไปปรับใช้ในการทํางาน เร่งพัฒนาตนเองให้รู้เท่าทันเทคโนโลยี เตรียมตัวเองให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองรวมถึงการดํารงชีวิต เพื่อนร่วมงาน องค์การและท้องถิ่น รวมทั้งขอให้ช่วยผลักดันเป้าหมายในระดับต่าง ๆ ให้ประสบความสําเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป นางสาวอนุสรีฯ” กล่าวในท้ายสุด จากนั้น นางสาวอนุสรีฯ และคณะ ได้ตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมศูนย์ Job Ready Center และติดตามความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาการว่างงานของผู้จบปริญญาตรี ณ สํานักงานจัดหางานจังหวัดสงขลา สาขาหาดใหญ่ และลงพื้นที่ติดตามภารกิจด้านแรงงานในการช่วยลดความเหลื่อมล้ําให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้พบปะกับกลุ่มฝึกอาชีพจํานวน 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแปรรูปอาหารบ้านม้าเงย-โคกม่วง และกลุ่มส่งเสริมและพัฒนาอาชีพทํากรงนก ต.ป่าชิง อ.จะนะ อีกด้วย ---------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ - ข่าว/ กลุ่มงานสนับสนุนเครือข่ายและประสานภูมิภาค - ภาพ/ 11 ก.ค. 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุสรี”ลงใต้พบปะบัณฑิตแรงงาน กลุ่มฝึกอาชีพ นำภารกิจสู่พื้นที่ชายแดน ลดสังคมเหลื่อมล้ำ วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 “อนุสรี”ลงใต้พบปะบัณฑิตแรงงาน กลุ่มฝึกอาชีพ นําภารกิจสู่พื้นที่ชายแดน ลดสังคมเหลื่อมล้ํา รมว.แรงงาน มอบหมาย น.ส.อนุสรี ทับสุวรรณ ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานกระทรวงแรงงาน พบปะบัณฑิตแรงงาน และกลุ่มฝึกอาชีพชายแดนภาคใต้ ขับเคลื่อนบริการด้านแรงงานเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ สร้างงาน สร้างอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ําในสังคม รมว.แรงงาน มอบหมาย น.ส.อนุสรี ทับสุวรรณ ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานกระทรวงแรงงาน พบปะบัณฑิตแรงงาน และกลุ่มฝึกอาชีพชายแดนภาคใต้ ขับเคลื่อนบริการด้านแรงงานเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ สร้างงาน สร้างอาชีพ ลดความเหลื่อมล้ําในสังคม โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางสาวอนุสรี ทับสุวรรณ ประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานกระทรวงแรงงาน เป็นประธานบรรยายพิเศษ เรื่อง“บทบาทของบัณฑิตแรงงานในการขยายโอกาสการมีงานทําและส่งเสริมการสร้างอาชีพเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้”ณ โรงแรมหาดใหญ่พาราไดส์ โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีบัณฑิตแรงงาน เจ้าหน้าที่พี่เลี้ยงและส่วนราชการกระทรวงแรงงานในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอําเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ของ จ.สงขลา เข้าร่วมรับฟังและนําเสนอผลงานการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีบัณฑิตแรงงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และ 4 อําเภอของจังหวัดสงขลารวมจํานวนทั้งสิ้น 380 คน นางสาวอนุสรีฯ กล่าวต่อว่า บัณฑิตแรงงานในฐานะของลูกหลานของคนในพื้นที่เป็นผู้รู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเชิงลึกและช่วยเชื่อมโยงภารกิจภาครัฐไปยังประชาชนในพื้นที่ห่างไกลให้เข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการนําบริการและข้อมูลข่าวสารด้านแรงงานทุกมิติเข้าไปประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจแก่ประชาชน บัณฑิตแรงงานถือเป็นผู้มีบทบาทในการช่วยลดความเหลื่อมล้ํา ความแตกต่างระหว่างพื้นที่ ลดความยากลําบากในการเดินทาง ลดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และลดความไม่รู้ ไม่เข้าใจ อันเนื่องมาจากข้อจํากัดด้านภาษาและวัฒนธรรม กระทรวงแรงงานมีภารกิจด้านแรงงานที่จะเข้าไปดูแลและให้บริการแก่คนไทยทุกคน ทั้งการส่งเสริมอาชีพและการมีงานทํา การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน การคุ้มครองแรงงาน การประกันสังคม โดย รมว.แรงงาน ได้เน้นย้ําอย่างชัดเจนว่าต้องการเห็นประชาชนทุกภาคส่วนกินดี อยู่ดี โดยพร้อมที่จะขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกัน โดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง “ขอให้ทุกคนนําความรู้ ประสบการณ์การทํางานในพื้นที่และทักษะความสามารถพิเศษมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนําไปปรับใช้ในการทํางาน เร่งพัฒนาตนเองให้รู้เท่าทันเทคโนโลยี เตรียมตัวเองให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองรวมถึงการดํารงชีวิต เพื่อนร่วมงาน องค์การและท้องถิ่น รวมทั้งขอให้ช่วยผลักดันเป้าหมายในระดับต่าง ๆ ให้ประสบความสําเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป นางสาวอนุสรีฯ” กล่าวในท้ายสุด จากนั้น นางสาวอนุสรีฯ และคณะ ได้ตรวจเยี่ยมการเตรียมความพร้อมศูนย์ Job Ready Center และติดตามความก้าวหน้าในการแก้ไขปัญหาการว่างงานของผู้จบปริญญาตรี ณ สํานักงานจัดหางานจังหวัดสงขลา สาขาหาดใหญ่ และลงพื้นที่ติดตามภารกิจด้านแรงงานในการช่วยลดความเหลื่อมล้ําให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้พบปะกับกลุ่มฝึกอาชีพจํานวน 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแปรรูปอาหารบ้านม้าเงย-โคกม่วง และกลุ่มส่งเสริมและพัฒนาอาชีพทํากรงนก ต.ป่าชิง อ.จะนะ อีกด้วย ---------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ - ข่าว/ กลุ่มงานสนับสนุนเครือข่ายและประสานภูมิภาค - ภาพ/ 11 ก.ค. 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13755
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. เห็นชอบมาตรการป้องกันโรคฯ กองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๔ ตามที่วธ.เสนอ กองถ่ายรวมไม่เกิน ๑๕๐ คน ผู้ชมในห้องอัดรายการไม่เกิน ๕๐ คน
วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2563 ศบค. เห็นชอบมาตรการป้องกันโรคฯ กองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๔ ตามที่วธ.เสนอ กองถ่ายรวมไม่เกิน ๑๕๐ คน ผู้ชมในห้องอัดรายการไม่เกิน ๕๐ คน ศบค. เห็นชอบมาตรการป้องกันโรคฯ กองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๔ ตามที่วธ.เสนอ กองถ่ายรวมไม่เกิน ๑๕๐ คน ผู้ชมในห้องอัดรายการไม่เกิน ๕๐ คน เน้นรักษาความสะอาด-เว้นระยะห่าง-ปฏิบัติตามชีวิตแบบวิถีใหม่ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนปรนกองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๒ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019และได้ออกข้อกําหนดตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘(ฉบับที่ ๗) และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยนายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกําหนดเป็นการทั่วไปและข้อปฏิบัติ ข้อ ๓ (๑) จ. การถ่ายทํารายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดีทัศน์ ซึ่งเมื่อรวมคณะทํางานหน้าฉากและทุกแผนกแล้วต้องมีจํานวนไม่เกินห้าสิบคน และต้องไม่มีผู้ชมเข้าร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ ๑๗ พ.ค. ๒๕๖๓ นั้น นายอิทธิพล กล่าวว่า ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของประเทศไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มดีขึ้นตามลําดับ และมีจํานวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเป็นศูนย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๖ พ.ค. – วันที่ ๑๒ มิ.ย. ๒๕๖๓ ดังนั้น ที่ประชุมศบค. จึงมีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายระยะที่ ๔ และยกเลิกเคอร์ฟิวการออกนอกเคหสถานในเวลา ๒๓.๐๐ – ๐๓.๐๐ น. โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๑๕ มิ.ย. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป แต่ยังคงงดการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ทั้งทางบก น้ํา และอากาศ นอกจากนี้ ที่ประชุม ศบค. มีมติเห็นชอบมาตรการป้องกันโรคที่ราชการกําหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กลุ่มกิจการ การถ่ายทํารายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการผ่อนคลายระยะที่ ๔ และเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ให้กับผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ รวมทั้งสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการในการดําเนินชีวิตแบบวิถีใหม่ หรือ New Normal ตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด นายอิทธิพล กล่าวว่า สําหรับมาตรการผ่อนคลายระยะที่ ๔ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กลุ่มกิจการ การถ่ายทํารายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ได้แก่ กองถ่ายภาพยนตร์ทุกแผนกรวมแล้วต้องไม่เกิน ๑๕๐ คน ในกรณีรายการโทรทัศน์ที่มีผู้ชมกําหนดจํานวนผู้ชมในห้องอัดรายการไม่เกิน ๕๐ คน นอกจากนี้ สามารถถ่ายทําฉากช่วงเวลากลางคืนได้ เนื่องจากปัจจุบัน ศบค. ได้ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวแล้ว อย่างไรก็ตาม มาตรการฯ ผ่อนคลายดังกล่าวยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมหลักและมาตรการเสริมสําหรับพื้นที่ถ่ายทําภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยเจ้าของ/ผู้ควบคุมกองถ่ายต้องจัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อาทิ จัดให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล หรือน้ํายาฆ่าเชื้อโรค รอบบริเวณพื้นที่ปฏิบัติงาน และสามารถให้บริการได้อย่างเพียงพอ จัดให้มีจุดคัดกรองอาการป่วย ไข้ ไอ จาม หรือเป็นหวัด นอกจากนี้ ต้องเว้นระยะห่างระหว่างกัน ๑ – ๒ เมตร ในบริเวณทุกจุดที่มีที่นั่ง เช่น หน้ามอนิเตอร์ ห้องพักนักแสดงและทีมงาน แบ่งสัดส่วนพื้นที่การปฏิบัติงานของแต่ละฝ่าย ที่ชัดเจนและหลีกเลี่ยงการพบปะหรือรวมกลุ่มกัน กําหนดให้ทุกคนในกองถ่ายสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยตลอดเวลาการทํางาน และจัดจุดรับประทานอาหาร เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) ในระลอกสอง (Second Wave) และขอให้ผู้ประกอบการทุกคนช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันการแพร่เชื้อโรคอย่างเคร่งครัด และขอให้สมาคมผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์ โทรทัศน์ และโฆษณา ช่วยกันดูแลผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดอีกทางหนึ่งด้วย ------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. เห็นชอบมาตรการป้องกันโรคฯ กองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๔ ตามที่วธ.เสนอ กองถ่ายรวมไม่เกิน ๑๕๐ คน ผู้ชมในห้องอัดรายการไม่เกิน ๕๐ คน วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2563 ศบค. เห็นชอบมาตรการป้องกันโรคฯ กองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๔ ตามที่วธ.เสนอ กองถ่ายรวมไม่เกิน ๑๕๐ คน ผู้ชมในห้องอัดรายการไม่เกิน ๕๐ คน ศบค. เห็นชอบมาตรการป้องกันโรคฯ กองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๔ ตามที่วธ.เสนอ กองถ่ายรวมไม่เกิน ๑๕๐ คน ผู้ชมในห้องอัดรายการไม่เกิน ๕๐ คน เน้นรักษาความสะอาด-เว้นระยะห่าง-ปฏิบัติตามชีวิตแบบวิถีใหม่ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ที่มีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนปรนกองถ่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๒ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019และได้ออกข้อกําหนดตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘(ฉบับที่ ๗) และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ โดยนายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกําหนดเป็นการทั่วไปและข้อปฏิบัติ ข้อ ๓ (๑) จ. การถ่ายทํารายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดีทัศน์ ซึ่งเมื่อรวมคณะทํางานหน้าฉากและทุกแผนกแล้วต้องมีจํานวนไม่เกินห้าสิบคน และต้องไม่มีผู้ชมเข้าร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ ๑๗ พ.ค. ๒๕๖๓ นั้น นายอิทธิพล กล่าวว่า ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของประเทศไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มดีขึ้นตามลําดับ และมีจํานวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเป็นศูนย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๖ พ.ค. – วันที่ ๑๒ มิ.ย. ๒๕๖๓ ดังนั้น ที่ประชุมศบค. จึงมีมติเห็นชอบมาตรการผ่อนคลายระยะที่ ๔ และยกเลิกเคอร์ฟิวการออกนอกเคหสถานในเวลา ๒๓.๐๐ – ๐๓.๐๐ น. โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๑๕ มิ.ย. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป แต่ยังคงงดการเดินทางเข้าราชอาณาจักร ทั้งทางบก น้ํา และอากาศ นอกจากนี้ ที่ประชุม ศบค. มีมติเห็นชอบมาตรการป้องกันโรคที่ราชการกําหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กลุ่มกิจการ การถ่ายทํารายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการผ่อนคลายระยะที่ ๔ และเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ให้กับผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์และวีดิทัศน์ รวมทั้งสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการในการดําเนินชีวิตแบบวิถีใหม่ หรือ New Normal ตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด นายอิทธิพล กล่าวว่า สําหรับมาตรการผ่อนคลายระยะที่ ๔ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กลุ่มกิจการ การถ่ายทํารายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ได้แก่ กองถ่ายภาพยนตร์ทุกแผนกรวมแล้วต้องไม่เกิน ๑๕๐ คน ในกรณีรายการโทรทัศน์ที่มีผู้ชมกําหนดจํานวนผู้ชมในห้องอัดรายการไม่เกิน ๕๐ คน นอกจากนี้ สามารถถ่ายทําฉากช่วงเวลากลางคืนได้ เนื่องจากปัจจุบัน ศบค. ได้ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวแล้ว อย่างไรก็ตาม มาตรการฯ ผ่อนคลายดังกล่าวยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมหลักและมาตรการเสริมสําหรับพื้นที่ถ่ายทําภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยเจ้าของ/ผู้ควบคุมกองถ่ายต้องจัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อาทิ จัดให้มีจุดบริการล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล หรือน้ํายาฆ่าเชื้อโรค รอบบริเวณพื้นที่ปฏิบัติงาน และสามารถให้บริการได้อย่างเพียงพอ จัดให้มีจุดคัดกรองอาการป่วย ไข้ ไอ จาม หรือเป็นหวัด นอกจากนี้ ต้องเว้นระยะห่างระหว่างกัน ๑ – ๒ เมตร ในบริเวณทุกจุดที่มีที่นั่ง เช่น หน้ามอนิเตอร์ ห้องพักนักแสดงและทีมงาน แบ่งสัดส่วนพื้นที่การปฏิบัติงานของแต่ละฝ่าย ที่ชัดเจนและหลีกเลี่ยงการพบปะหรือรวมกลุ่มกัน กําหนดให้ทุกคนในกองถ่ายสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยตลอดเวลาการทํางาน และจัดจุดรับประทานอาหาร เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (COVID-19) ในระลอกสอง (Second Wave) และขอให้ผู้ประกอบการทุกคนช่วยกันปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันการแพร่เชื้อโรคอย่างเคร่งครัด และขอให้สมาคมผู้ประกอบการด้านภาพยนตร์ โทรทัศน์ และโฆษณา ช่วยกันดูแลผู้ประกอบการให้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดอีกทางหนึ่งด้วย ------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32284
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ตลอดระยะเวลายาวนานหลายสิบปี หรือ“ชั่วชีวิต”ของคนไทยกว่าครึ่งค่อนประเทศ เรามีช่วงเวลาในความทรงจํา“ร่วมกัน”ถึงบุคคลที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นหลักชัยของชาติ ที่คนไทยต่างเคารพรักและเทิดทูนยิ่ง ประดุจดั่งพ่อและแม่ของแผ่นดิน นับจากวันนั้นถึงวันนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระราชกรณียกิจนานัปการ“เคียงข้าง”ในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภาระอีกทั้ง ทรงมีพระราชดําริริเริ่มโครงการต่างๆที่ล้วนก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ช่วยประชาชนพ้นจากความยากจน พึ่งพาตนเองได้ และร่วมกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ อาทิ ทรงเป็นผู้นํา ริเริ่ม สนับสนุน ฟื้นฟูและสืบทอดงานศิลปะแขนงต่างๆ ของไทย มิให้เสื่อมสูญเป็นมรดกวัฒนธรรมคู่แผ่นดินไทยสืบมาตราบทุกวันนี้ดังพระราชดํารัสความตอนหนึ่งว่า“หากย้อนนึกไปถึงอายุของชาติไทยซึ่งเป็นชาติเก่าแก่ สืบเผ่าพันธุ์มาช้านานนับพันปีด้วยแล้ว จะเห็นได้ว่า บรรพบุรุษของเราได้สร้างสมสิ่งที่ดี ที่งาม ที่เป็นประโยชน์ไว้ให้แก่เราลูกหลาน และแม้แก่โลก ทั้งนี้ก็คือวัฒนธรรมของเรานั่นเอง ทุกคนจึงควรภูมิใจในเผ่าพันธุ์ไทยและวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของเรา และสํานึกว่าเป็นหน้าที่โดยตรงที่จะรักษาให้ดํารงอยู่ได้ตลอดไป...” ในการนี้ ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ ในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2560 นี้ ผมขอเชิญชวนปวงชนชาวไทย ทุกหมู่เหล่า ทั่วราชอาณาจักรไทย ร่วมในกิจกรรม ณ พระลานพระราชวังดุสิต เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ถวายพระพรชัยมงคลและถวายพระราชกุศล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ตามรายละเอียดบนหน้าจอ ดังนี้ 1. พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร รวม 851 รูป ใน เวลา 7 นาฬิกา ซึ่งสิ่งของและอาหารแห้งในการตักบาตร ซึ่งจะรวบรวมส่งไปยังศูนย์“เราทําดีด้วยหัวใจ”ส่วนหน้าภาคอีสานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สําหรับช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยโดยด่วนต่อไป 2. พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ซึ่งจะมีการแสดงดนตรีพระราชทาน และการแสดงแบบชุดไทยพระราชนิยมพระราชทาน ในเวลา 19 นาฬิกา 29 นาที สําหรับจังหวัดต่างๆ และในต่างประเทศ ขอให้พิจารณาจัดกิจกรรมตามแนวทางที่เคยปฏิบัติหรือตามความเหมาะสม รวมทั้ง ขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ห้างร้าน และประชาชนร่วมกันประดับธงพระนามาภิไธย“สก”และพระฉายาลักษณ์ ระหว่างวันที่ 7–14 สิงหาคมนี้ โดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ และเนื่องใน“วันแม่แห่งชาติ”ปีนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พระราชทาน“คําขวัญวันแม่ ประจําปี 2560”ความว่า...“สอนให้ลูก เรียนรู้ สู้ปัญหา พัฒนา ด้วยตน จนเติบใหญ่ เพราะคนแกร่ง จะก้าว ได้ยาวไกล เพื่อมาเป็น กําลังไทย ให้แข็งแรง”ผมขอให้ปวงชนชาวไทย ได้น้อมนําใส่เกล้าใส่กระหม่อม เพื่อเป็นแนวทางในการดําเนินชีวิตของตนและครอบครัวต่อไปด้วย จะได้เป็นส่วนหนึ่งของพลังประชารัฐ และพลังของแผ่นดินไทย ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน และขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นพระมิ่งขวัญของอาณาประชาราษฎร์ตราบกาลนาน พี่น้องประชาชนที่เคารพรัก จากการที่ประเทศไทยต้องประสบปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับแหล่งน้ํา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภัยแล้งเนื่องจากภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน หรือในฤดูฝนที่มีน้ําหลากก็เกิดปัญหาอุทกภัยขึ้นในหลายๆ พื้นที่ โดยเฉพาะในลุ่มน้ําหลักของประเทศ บางครั้งทั้งปัญหาภัยแล้งและน้ําท่วมก็เกิดขึ้นในพื้นที่เดียวกัน เพียงแต่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกันส่งผลกระทบต่อการดํารงชีวิตและการประกอบอาชีพของประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง ประกอบกับในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาและขยายตัวของประชากรและชุมชนเพิ่มมากขึ้น ความต้องการใช้น้ําในกิจกรรมต่างๆ ก็มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมที่ต้องใช้น้ําในขั้นตอนการผลิต และน้ําบาดาลซึ่งเป็นแหล่งน้ําที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย มีการพัฒนาและสูบขึ้นมาใช้ประโยชน์ จนบางครั้งทําให้บางพื้นที่เกิดวิกฤต“เสียสมดุล”เพราะมีการลดระดับของน้ําบาดาลอย่างต่อเนื่อง ทําให้ต้องขุดเจาะบ่อลึกลงไปมากกว่าเดิมเพื่อที่จะสูบน้ําบาดาลขึ้นมา เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายและส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย รัฐบาลโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทําแผนที่เติมน้ําบาดาลทั่วประเทศ เป็นโครงการเติมน้ําลงสู่แหล่งน้ําใต้ดินระดับตื้น ใน 3 รูปแบบซึ่งเป็นแนวคิด วิถีทางของปราชญ์ชาวบ้าน โดยให้ทําการศึกษาตามหลักวิชาการ และขยายผลให้เป็นรูปธรรม เป็นสัมฤทธิ์ผล“ทั่วประเทศ”ภายในฤดูฝนของปีนี้ ซึ่งระบบเติมน้ําดังกล่าวได้แก่1) การเติมน้ําฝนผ่านบ่อวง2) การเติมน้ําผ่านสระหรือคลองก้นรั่ว และ3) การเติมน้ําฝนผ่านหลังคาลงสู่บ่อน้ําบาดาลระดับตื้น ยกตัวอย่างนายทองปาน เผ่าโสภา“ปราชญ์ชาวบ้าน”บ้านหนองปลวกตําบลหนองกุล อําเภอบางระกํา จังหวัดพิษณุโลก มีระบบเติมน้ําผ่านบ่อวง เรียกกันเองว่า“แก้มลิงที่มองไม่เห็น”ที่สอดคล้องกับ“ศาสตร์พระราชา”ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นต้น ซึ่งน่าจะสามารถขยายผลได้ โดยภาครัฐเข้าไปสนับสนุนด้านวิชาการและเทคนิคต่างๆ เพิ่มเติม ส่วนในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแบบบูรณาการทั้งระบบนั้นเราจําเป็นต้องรู้ข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับหน่วยงานกิจกรรมและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. กลไกการขับเคลื่อนทั้งในระดับชาติ ระดับลุ่มน้ํา และมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ได้แก่ คณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติคณะกรรมการลุ่มน้ํา 25 ลุ่มน้ํา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งอยู่ภายใต้ 10 กระทรวง รวมกว่า 30 หน่วยงาน ซึ่งดําเนินภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ที่มีความสําคัญและต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกัน ดังนี้ “พื้นที่ต้นน้ํา”ได้แก่ การหน่วงน้ําฟื้นฟู บํารุงรักษา อนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ํา และพื้นที่ชุ่มน้ํา ซึ่งเป็นแหล่งเก็บกักน้ําฝนและรักษาความชื้นตามธรรมชาติ ร่วมกับการพัฒนาเขื่อน อ่างกักเก็บน้ําขนาดใหญ่ ฝายน้ํา รวมทั้งการดําเนินการกับผู้บุกรุก “พื้นที่กลางน้ํา”มีการฟื้นฟูระบบนิเวศแม่น้ําลําคลอง การจัดการกับผู้บุกรุกลําน้ํา การจัดการและปรับปรุงพื้นที่การเกษตร ทั้งในและนอกเขตชลประทาน จัดทําระบบส่งน้ํากระจายน้ํา ให้สมบูรณ์ ในพื้นที่ที่สามารถทําได้รวมทั้งพื้นที่แก้มลิงอีกด้วย สําหรับพื้นที่ปลายน้ําประกอบด้วยการป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจสําคัญ การขุดลอกปากแม่น้ําและการเร่งผลักดันมวลน้ําให้ระบายลงสู่ทะเล และการดูแลคุณภาพน้ําในลําน้ํา รวมทั้งการจัดการกับผู้บุกรุกลําน้ําเป็นต้น 2. จากกิจกรรมที่กล่าวมาแล้วนั้น ทําให้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องจํานวนมากมายอาทิ เรื่องการบริหารทรัพยากรน้ําแห่งชาติ,เรื่องการชลประทานราษฎร์ การชลประทานหลวงเรื่องผังเมืองรวมเรื่องการขุดลอกแหล่งน้ําสาธารณประโยชน์เรื่องคันและคูน้ําเรื่องการเดินเรือในน่านน้ําไทยเรื่องป่าไม้เรื่องการปฏิรูปที่ดินเพื่อกษตรกรรมเรื่องพลังงานและการประปา ราว 10 ฉบับเรื่องสิ่งแวดล้อม น้ําบาดาล แผ่นดิน และอสังหาริมทรัพย์ อีก 4 ฉบับ และเรื่องการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อีก 2 ฉบับ เป็นต้น ทั้งนี้ ด้วยความสลับซับซ้อนในอํานาจหน้าที่และบทบาท ที่ผมได้ยกขึ้นมานั้นส่งผลให้การดําเนินงานทั้งในภาวะปกติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะฉุกเฉิน มักประสบปัญหาด้านความไม่มีเอกภาพ และขาดการบูรณาการ โดยไม่มีผู้รับผิด ชอบหลักและการบังคับบัญชาให้เกิดการดําเนินการที่ชัดเจน รวมทั้งการจัดลําดับความสําคัญก่อนหลัง ทําให้การดําเนินงานมีความล่าช้า ซ้ําซ้อน ไม่สามารถผลักดันการดําเนินงานด้านการพัฒนาทรัพยากรน้ําของประเทศให้ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเท่าที่ควร ที่ผ่านมาของรัฐบาลนี้ ได้ริเริ่มจัดทํา“แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา”ในระยะยาวขึ้น ประกอบด้วยกลุ่มกิจกรรมหลักๆ อาทิ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําภาคการผลิตการขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภคการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยการป้องกันและแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ําการฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ําและป้องกันการพังทลายของดิน รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการซึ่งผลการดําเนินการ ห้วง 3 ปีที่ผ่านมา สามารถเพิ่มความจุน้ําได้ ร้อยละ 21 ของเป้าหมาย คิดเป็น 1,500 ล้านลูกบาศก์เมตรจากที่มีอยู่เดิม 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้ ร้อยละ 18 ของเป้าหมาย คิดเป็น 2.4 ล้านไร่ จากเดิม 29 ล้านไร่ ส่งผลให้เกษตรกรได้รับประโยชน์ จากการดําเนินการเพิ่มเติมนี้ ราว 7.2 แสนครัวเรือน ทั่วประเทศ แต่ก็ยังไม่ทั่วถึงครับ จะต้องพยายามกันต่อไป อย่างไรก็ตาม แม้การดําเนินการตาม“แผนยุทธศาสตร์น้ํา”ดังกล่าวจะประสบความสําเร็จ อย่างมาก หากเราสามารถแก้ไขอุปสรรคต่างๆ ที่คอยฉุดรั้งการทํางานอยู่ ทําให้มีแนวโน้มว่าหลายกิจกรรมในอนาคต จะมีปัญหารอการแก้ไข ในกระบวนการทํางานอีก อาทิ1) การขอให้ หรือจัดหาพื้นที่เพื่อพัฒนาแหล่งน้ํา ทั้งจากที่ดินของรัฐซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมาย หรือที่ดินของเอกชนซึ่งต้องมีการเวนคืนจ่ายค่าชดเชยเยียวยา2) การทับซ้อนของนโยบายในการพัฒนาแหล่งน้ําและพื้นที่อนุรักษ์3) การไม่มีหน่วยงานกลาง ในการกําหนดนโยบาย ติดตาม และบริหารจัดการน้ํา และ 4) ปัญหามวลชนประชาชนNGOที่ไม่เข้าใจ เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้น การบริหารจัดการน้ําซึ่งรัฐบาลถือว่าเป็นวาระเรื่องเร่งด่วนมีความสําคัญและต้องดําเนินการกันอย่างบูรณาการจึงมีแนวทางที่จะตั้ง“สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ”ให้เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรี โดยจะยุบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ําเท่าที่จําเป็นเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และทําให้การแก้ไขปัญหาน้ําเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ลดความซ้ําซ้อนของหน่วยงานและงบประมาณ ซึ่งเป็นหนึ่งในงานปฏิรูปและบูรณาการการทํางานของส่วนราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับ พรบ. น้ํา ที่ดําเนินการอยู่ใน สนช. ด้วย นอกจากนี้ ในที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมได้มอบนโยบายและให้แนวทางแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้คิดถึงเรื่องการบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบ โดยให้ตั้งเป้าหมายเพื่อบริหารจัดการปัญหาน้ําทั้ง 5 ด้าน ได้แก่1) น้ําอุปโภคบริโภค2) น้ําเพื่อภาคการผลิต ทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม3) น้ําเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ รวมทั้งที่เพิ่มเติม แยกออกมาให้ความสําคัญคือ4) ปัญหาน้ําท่วม และ5) ปัญหาน้ําแล้ง ซึ่งเป้าหมายเหล่านี้ ผมเน้นให้คิดในเชิงพื้นที่ ให้ครอบคลุมทุกภาคของประเทศทั้งภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้ ตะวันออก และกรุงเทพมหานคร พื้นที่ในเขต นอกเขตชลประทาน พื้นที่เมืองพื้นที่เชิงเศรษฐกิจ เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีปัญหาเรื่องน้ําที่แตกต่างกัน ในแต่ละห้วงเวลา ดังนั้น การบริหารจัดการน้ําจึงต้องทําเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาตอบโจทย์เรื่องน้ําของแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาย้อนกลับมาเหมือนเดิมทุกปีๆ ไป ผมได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่ดูแลในเรื่องการบริหารจัดการน้ํา ต้องใช้ข้อมูลเรื่องปริมาณน้ําการคาดการณ์ปริมาณน้ําฝน น้ําในเขื่อนประสิทธิภาพการกักเก็บน้ําในอ่างเก็บน้ําและเขื่อน ประกอบการกําหนด“แผนเผชิญเหตุ”ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงอย่างทันท่วงที อาจจะต้องทําสมมุติฐานไว้ว่า ปกติเป็นอย่างไร ถ้าฝนมากเกินปกติจะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นพายุเข้ามาจะเป็นอย่างไร ต้องเตรียมระดับต่างๆ เหล่านี้ไว้ว่าเราจะเตรียมอะไรไว้บ้างล่วงหน้า จากที่ประชุมก็ได้รายงานว่า ในห้วงเดือนสิงหาคม ถึง เดือนกันยายนนี้ ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากพายุที่พาดผ่านทะเลจีนใต้ จะทําให้เกิดฝนตกชุก มีความเสี่ยงน้ําท่วมฉับพลันและน้ําป่าไหลหลากในหลายพื้นที่ ทั้งนี้ ในการแก้ไขปัญหาน้ําท่วม ผมได้ให้แนวคิดและมอบหมายหน่วยงานไปคิดแผนดําเนินการที่เป็นรูปธรรมในเรื่องการกักเก็บน้ําไว้ใต้ดินเพิ่มพื้นที่เก็บน้ําแก้ปัญหาประตูน้ําขุดลอกคลองขุดคลองผันน้ําคลองไส้ไก่คลองตัดตรง และการจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ํา เช่นสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่บุกรุก การปลูกป่าในพื้นที่เพื่อชะลอน้ํา ให้กักเก็บน้ําในพื้นที่ตอนเหนือไว้ เพื่อป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจบ้านเรือนพื้นที่เกษตรกรรม โดยให้หน่วยงานนําเสนอแผนมาว่างบประมาณปี 61 และ 62 จะใช้ทําอะไรบ้าง อะไรที่ต้องทําเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาน้ําท่วมก่อน อาจจะไม่ได้ทั้งหมด แต่ต้องทําเป็นพื้นที่ ต้องลดปัญหาให้ได้ อย่างน้อย 30-50% ให้ได้โดยเร็วเอามาทําก่อน แผนอะไรที่ต้องทําเป็นระยะยาว ก็ให้เสนอมาเป็นแผนระยะต่อไป ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ถึง 2569 ตามแผนใหญ่ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา สําหรับการบริหารจัดการน้ําแบบครบวงจร ปัจจุบันเราแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 คือปี 57 ถึง 60 ระยะที่ 2 61 ถึง 62 ระยะที่ 3 ปี 63 ถึง 69 ได้เพิ่มรายละเอียดต่างๆ เหล่านี้ในเรื่องของการบริหารจัดการน้ําแบบครบวงจรทั้งระบบนี้ ได้เพิ่มเติม ค้นหาได้จากเว็บไซต์“รัฐบาลไทย”www.thaigov.go.th รัฐบาลทราบดีว่าวันนี้เรามีเวลาไม่มากนัก ดังนั้นการเตรียมการในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่สําคัญและเร่งด่วน ที่จะต้องขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน ภาคเอกชนประชารัฐ ร่วมกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ด้วยความเข้าอกเข้าใจกัน ปัญหาอยู่ที่เรื่องที่ดิน ในการใช้ประโยชน์ พี่น้องประชาชนที่รัก การแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศและประชาชนนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใดก็ตาม เราต้องหา“ต้นตอ”ของปัญหาที่แท้จริงให้พบ เช่น เมื่อเห็นมดเดินเป็นสายบนพื้นบ้าน ถึงจะกวาดทิ้งแล้ว เดี๋ยวก็จะกลับมาใหม่ เพราะถ้าไม่ตามไปดูว่า“ต้นตอ”คืออะไรและเพียงแค่หยิบออก ทําความสะอาดแล้ว มดก็จะหายไปเอง ไม่ใช่ตามแก้กันที่“ปลายเหตุ”เช่นที่ผ่านมา สําหรับปัญหาบ้านเมืองในปัจจุบันนั้น เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงมีความเชื่อมโยงกันหลายมิติ เช่นปัญหาน้ําท่วมนั้นเกิดจากการบุกรุกป่า การละเมิดกฎหมายผังเมือง การสร้างถนน โรงงาน สร้างเมือง ขวางเส้นทางน้ําธรรมชาติ ฟ้าฝนปรวนแปรจากภาวะโลกร้อน การทิ้งขยะ สวะ วัชพืช อุดตัน ขวางลําน้ํา คูคลอง ท่อระบายน้ํา ไปจนถึงการบริหารจัดการน้ํา ที่ไม่มีการบูรณาการอย่างแท้จริง เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้นการแก้ไขปัญหา ก็ต้องแก้ทุกปมที่ต้นตอปัญหาต่างๆ พร้อมๆ กัน จึงจะได้ผลสัมฤทธิ์ทั้งระบบ รวดเร็ว และยั่งยืน สิ่งสําคัญก็คือ เราจะทําอย่างไรให้ทุกคน ทุกฝ่าย เข้าใจ ยอมรับ พอใจ ร่วมมือ ในทุกกิจกรรม เป็นสิ่งที่ยาก ตามห้วงระยะเวลาในแต่ละพื้นที่ ด้วยความสมัครใจ เต็มใจ และเห็นประโยชน์ส่วนร่วมเป็นที่ตั้ง เราอาจจะต้องเสียสละส่วนน้อย เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือ“คน”ที่เกี่ยวโยงกับ“หลักคิด”และ“หลักวิชาการ”ซึ่งหลักคิดอาจมีที่มาจากวิถีชีวิต ความเชื่อ รวมทั้งหลักวิชาการที่ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สภาพแวดล้อม และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งหากเรายึดติด ถือมั่น ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย ก็จะไม่เกิดการพัฒนาซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เสียหายน้อยกว่า หรือไม่เสียหายเลย เหล่านี้ต้องคํานึงถึงความคุ้มค่า และความสมดุลทางธรรมชาติอีกด้วย ซึ่งเป็นหลักการสําคัญส่วนหนึ่งของนโยบาย“ไทยแลนด์ 4.0”ที่เน้นการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะต้องสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต และเราก็ต้องไม่ลืมว่า เมื่อจํานวนประชากรเพิ่ม ความต้องการที่อยู่อาศัยก็เพิ่ม ในขณะที่พื้นที่มีอยู่เท่าเดิม รวมทั้งมีความต้องการใช้ทรัพยากร ธรรมชาติเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ในขณะที่ทรัพยากรในโลกมีอยู่อย่างจํากัด ปัจจุบันก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว ในอนาคตถ้าเราไม่ตระหนัก ไม่เตรียมพร้อม ไม่รักษาไว้ ปัญหาเหล่านี้ก็จะทวีความรุนแรงขึ้น แต่จะทําอย่างไร ให้สมดุลกับเรื่องของการพัฒนา การแก้ปัญหาต้องพิจารณาทั้งปัจจัยภายใน ภายนอกข้อเท็จจริงหลักการหลักวิชาการ แล้วนํามาหาข้อยุติให้ได้ว่าสาเหตุของปัญหาคืออะไร เราจะต้องแก้ไขอย่างไร ใครเกี่ยวข้องบ้าง วิธีการซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายทําอย่างไร ซึ่งอาจต้องส่งผลกระทบใครบางคน หรือบางพื้นที่ แต่ทางออกที่ดีที่สุดคืออะไร สุดท้ายก็ต้องยึดประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นสําคัญ ย่อมต้องการความเสียสละ ความร่วมมือ ซึ่งอาจจะต้องมีการชดเชยตามความเหมาะสมด้วย ใครทําแบบนี้ก็จะไม่นําไปสู่ความขัดแย้งอีก เกิดความปรองดองในการแก้ปัญหาทุกปัญหา ทุกวันนี้การแก้ปัญหาของประเทศ มีทั้งง่ายและยาก มีทั้งปัญหาเดิม ปัญหาสะสม ปัญหาทับซ้อน รัฐบาลและ คสช. จึงมุ่งแก้ปัญหาเดิม ลดปัญหาใหม่ไม่ใช่แก้ตรงนี้ และไปสร้างปม สร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้นมา ที่สําคัญ จะไม่ยอมละเลย เพิกเฉย หรือทิ้งปัญหาให้เป็นภาระของรัฐบาลในอนาคต เพราะว่าแต่ละอย่างต้องทําต่อ แก้ตรงนี้แล้วไปสร้างปมสร้างเงื่อนไขขึ้นมาใหม่ ที่สําคัญจะไม่ยอมละเลยเพิกเฉย หรือทิ้งปัญหาให้เป็นภาระของรัฐบาลในอนาคต เพราะว่าแต่ละอย่างต้องทําต่อ ไม่ใช่ทิ้งภาระ เป็นงานที่ท่านต้องทําต่อ ด้วยวิธีการของท่าน สิ่งไหนทําได้ ผมก็จะทําให้ทันที สิ่งไหนแก้ด้วยวิธีเดิมๆ แล้วไม่ยั่งยืน แก้อะไรไม่ได้ ก็ต้อง“คิดใหม่ให้รอบคอบ ทําใหม่ให้เกิดการบูรณาการ”เพื่อลดความเดือดร้อน และดูแลพี่น้องประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย อย่างเท่าเทียม การที่มีบางกลุ่ม บางฝ่ายออกมากล่าวอ้าง หลักสากลบ้าง สิทธิมนุษยชนบ้าง หรือการรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้าง ผมก็อาจกล่าวได้ว่า ก็ถูกต้อง แต่พอเอามาผสมโรงกัน ทําให้ทําอะไรไม่ได้เลย พัฒนาก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ แต่ความเสียหายเกิดขึ้น ทุกครั้ง ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี เพราะฉะนั้น เราจะทําอย่างไร ที่จะให้ทุกอย่างเดินหน้าไปพร้อมๆกันได้สักที ให้เกิดผลกระทบระหว่างกันให้น้อยที่สุด ต้องหาทางออกให้ได้ เพราะสุดท้าย ปลายทางของปัญหาของปัญหาเหล่านั้นที่เราทํากันไม่ได้ก็มาตกอยู่ที่ประชาชนประเทศชาติ ประชาชนผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เคยชินกับการถูกปล่อยปละละเลย ไม่จริงใจในการช่วยเหลือ อาจจะถูกนายทุนที่ไม่ดีหลอกใช้ หรือทําให้ถูกบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม กลายเป็น“แพะรับบาป”และเป็นเหยื่อเกมการเมือง ที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ โดยถูกนําไปกล่าวอ้างความชอบธรรม เหล่านี้เป็นต้น ผมพูดถึงโดยรวม ทั้งนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่เป็นปัญหา“เร่งด่วน”ของบ้านเมืองคือ 1. การเร่งลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ดูแลให้ประชาชนมีโอกาสที่เท่าเทียม ลดความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการของภาครัฐได้เต็มที่ อาทิ การเร่งบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยน้ําท่วม ฝนแล้ง การเพิ่มรายได้มวลรวมของประเทศ ภาคจังหวัด โดยเฉพาะตั้งแต่ระดับฐานราก เพื่อช่วยบรรเทาปัญหารายได้ที่ไม่เพียงพอกับรายจ่ายจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นการให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่เพียงพอ ได้มาตรฐาน รวมถึงการเข้าถึงบริการสาธารณะ อาทิ สาธารณสุข การศึกษา และกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย สลับซับซ้อนมากมาย หลายวิธีการ หลายขั้นตอน หลายแผนงานโครงการ เอาเร็ว เอาด่วนไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆทําไป ตามนโยบาย ตามศักยภาพที่เรามีอยู่ 2. การพัฒนาศักยภาพคน ให้มีทักษะความรู้ ผมจะขอกล่าวถึงในช่วงท้ายอีกครั้ง และเราก็ต้องเร่งในเรื่องของการเป็นคนดีมีคุณธรรม มีจิตสาธารณะ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ แบ่งปัน มีจิตอาสา ทําประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติ มีการส่งเสริมกิจกรรมกีฬาควบคู่ไปด้วยเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง เน้นการป้องกัน เพื่อลดรายจ่ายในการรักษาพยาบาล และที่สําคัญ ต้องมีการดูแล เตรียมการรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของประเทศอย่างเหมาะสมด้วย 3. คือเรื่องของการสร้างความมั่นคงในมิติต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ เพื่อการลงทุนเพื่ออนาคต เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ในการเชื่อมโยงทางกายภาพด้านการคมนาคมขนส่ง ทางถนนทางรางทางน้ําทางอากาศ และ เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ให้กับประเทศเพื่อให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งมีแนวทางในการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ ให้กับประชาชนและรัฐบาล เกิดความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ที่มีการวางแผนการใช้ การผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน และพลังงานทดแทน ในอัตราส่วนที่เหมาะสม นอกจากนี้ ต้องดูแลให้ทุกฝ่ายมีหลักคิด ลัทธิ ศาสนา มีคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล ให้สังคมปราศจากความขัดแย้ง ประชาชนอยู่อย่างมีสันติสุข 4. การยกระดับด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ต้องเร่งให้มีกฎหมายที่ทันสมัย อํานวยความสะดวก ไม่เป็นอุปสรรคและลดภาระให้กับภาคธุรกิจ และประชาชน เช่น ในเรื่องEase of doing businessที่เรากําลังดําเนินการอยู่ เพื่อลดขั้นตอน กระบวนการ ให้ธุรกิจสามารถดําเนินกิจการทั้งการค้าและการลงทุนได้ง่าย รวดเร็ว และขณะเดียวกันต้องไม่สร้างความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน ในการบังคับใช้กฎหมายด้วย รวมทั้งจะต้องเร่งขจัดทุจริตทั้งจาก ผู้ให้ ผู้รับ ผู้เกี่ยวข้อง ผู้เสนอ ผ่านทั้งการใช้กฎหมาย และปรับวิธีการให้รัดกุมและเป็นสากล นอกจากนี้ก็ควรจะเร่งสร้างการยอมรับ ความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ ในกระบวนการยุติธรรม ตํารวจ อัยการ และศาลด้วย องค์กรอิสระด้วย 5.การดูแลสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องการจัดสรรที่ดิน เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ป่า และน้ํา ที่รวมถึงการรักษาคูคลอง แม่น้ํา ทะเล ดูแลให้มีระเบียบ น่ามอง ไร้มลพิษ ซึ่งจะต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ สร้างความยั่งยืน เป็นมิตร และปลอดภัย อีกทั้ง ยังช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ปรากฏการณ์เรือนกระจกและ การเปลี่ยนแปลงอากาศของโลก ที่จะส่งผลต่อพี่น้องเกษตรกรอีกด้วย 6. การยกระดับการบริหารราชการของภาครัฐ ที่ต้องเร่งพัฒนาแบบบูรณาการ ตามนโยบาย“ประเทศไทย 4.0”โดยปรับระบบราชการให้ทันสมัย ไม่ล่าช้า นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาเสริมการทํางาน โดยต้องมีมาตรการคุ้มครองและการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมควบคู่ไปด้วย นอกจากนี้ ต้องเร่งดูแลการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ และภาระ“รัฐสวัสดิการ”ที่จําเป็น ซึ่งนับวันจะสูงขึ้นต่อเนื่องครับ 7. การดูแลความเสี่ยงจากภายนอก เพิ่มขึ้นในทุกมิติ ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ปัจจุบัน ความสมดุลได้เปลี่ยนไป จากการขยายอิทธิพลของประเทศมหาอํานาจในโลก ทําให้เห็นการก่อการร้ายเพิ่มขึ้น มีลัทธิสุดโต่ง อาชญากรรมข้ามชาติและปัญหายาเสพติดก็ยังไม่หมดไป นอกจากนี้ การที่เทคโนโลยีทันสมัย ทําให้โลกไร้พรมแดน เราต้องเร่งดูแลในเรื่องภัยคุกคามไซเบอร์ และการฉ้อโกงในโลกออนไลน์ ขณะที่การสาธารณสุขก็จะต้องระแวดระวัง ในเรื่องของโรคระบาดอุบัติใหม่อย่างต่อเนื่องด้วย เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ผมหยิบยกมาเล่าให้ฟัง อาจจะเล่าให้ฟังหลายครั้งด้วย เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนัก ทุกคนได้ติดตาม ได้เรียนรู้ด้วยความเข้าใจว่ารัฐบาลกําลังดําเนินการในเรื่องใดอยู่ อย่างไร แล้วจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง ก็จะมีทั้งได้ทั้งเสีย และท้ายสุดก็จะมีได้ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องที่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป ที่เราจะร่วมมือกัน เพราะว่าถ้าหากท่านมีส่วนร่วม สนับสนุนในกิจกรรมต่างๆ ถึงจะประสบความสําเร็จได้ ไม่ใช่ความสําเร็จของรัฐบาล รัฐบาลทําไม่ได้แต่เพียงฝ่ายเดียวอยู่แล้ว แต่จะเป็นความสําเร็จของ“คนไทย”ทั้งประเทศร่วมกัน ภาคภูมิใจร่วมกัน พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน วันนี้ผม คิดว่าการแก้ปัญหาประเทศต้องเริ่มที่“คุณภาพของคน”ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญที่จะทําให้เราทุกคนเป็นคนเต็มคนนอกไปจากพ่อแม่ ครอบครัวแล้ว ก็คือการศึกษา การที่ประเทศจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ผมถือว่าคนเป็นปัจจัยสําคัญ และการศึกษาก็คือสิ่งที่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพของคนในประเทศ รัฐบาลและ คสช. ให้ความสําคัญในเรื่องการพัฒนาคนเป็นอย่างยิ่ง เพราะการมีคนที่มีศักยภาพ มีความรู้ จะช่วยเพิ่มความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความมั่นคงในสังคม และจะช่วยเพิ่มศักยภาพ และความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย ประเทศที่คนที่มีคุณภาพ มีการศึกษา มีทักษะที่ดี ก็จะมีพื้นฐานที่ดี ผลิตสินค้าได้มีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ํา แข่งขันได้ เอกชนก็ต้องการจะมาลงทุน เพิ่มงาน เพิ่มศักยภาพของประเทศ และรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งทําให้เราตั้งเป้าหมายการพัฒนาคน ตามร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไว้ว่า“การพัฒนาคนให้มีศักยภาพในการพัฒนาประเทศ มีความพร้อมทั้งกาย ใจ และสติปัญญา ให้มีทักษะคิด วิเคราะห์ มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีความรับผิดชอบ มีจิตสํานึกที่ดีงาม เพื่อนําไปสู่งานและรายได้ที่สร้างความมั่นคงให้ชีวิต ครอบครัวมีความอบอุ่น ชุมชนมีความเข้มแข็ง รวมถึงสังคมมีความปรองดอง สามัคคี สามารถจะผนึกกําลังเพื่อพัฒนาประเทศได้ต่อไป” แต่การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวนั้นก็เช่นกันไม่ใช่เรื่องง่าย คือคิดแล้วพูดอย่างเดียว ไม่ทํา ก็ไปไม่ได้อยู่ดี พอเริ่มทําไปแล้ว ปัญหาก็เข้ามาทับถม ต้องแก้กันไป ทํากันไป อย่าใจร้อน ปัจจุบัน เรามีเรื่องท้าทายที่ถาโถมเข้ามาและเป็นอุปสรรคในการพัฒนาคนในหลายๆ ด้าน ด้านแรก คือการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร คนไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2564 หมายถึง 1 ใน 5 คนไทย จะเป็นผู้สูงอายุ วัยเด็กและวัยแรงงานก็จะลดลงไปเรื่อยๆ คนในวัยทํางานจะมีจํานวนลดลง มีคนสูงอายุให้ดูแลเพิ่มขึ้น คนในวัยทํางาน ก็ต้องทํางานหนักขึ้นหรือต้องทํางานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อชดเชยด้วย ด้านที่สอง คือช่องว่างระหว่างวัย จากกลุ่มประชากรที่เกิดและเติบโต ในช่วงเวลาที่สภาวะแวดล้อมต่างกัน แนวคิด มุมมอง รูปแบบการใช้ชีวิต การทํางานก็จะต่างกันออกไป ความขัดแย้งอาจจะมีมากขึ้น หากไม่เข้าใจกัน การดูแลให้สังคมสงบสุข ก็จะทําได้ยากขึ้น ด้านที่สาม เป็นความท้าทายจากภายนอก ที่สําคัญคือ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ที่ทําให้เกิดประโยชน์มหาศาลกับคนที่ใช้เทคโนโลยีเป็น เอามาใช้งานได้ สร้างรายได้ให้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจทําให้ความเหลื่อมล้ํามากขึ้นด้วย เพราะกลุ่มที่ไม่คุ้นเคย เปลี่ยนยาก ไม่ชอบเทคโนโลยี ก็อาจเสียโอกาส ไม่ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการนําเทคโนโลยี มาใช้แทนคนมากขึ้นในการผลิต การบริการเช่น พนักงานcall centerหรือพนักงานในโรงงาน ก็จะส่งผลเสีย คนตกงาน รายได้ลดลง ความท้าทายทั้งหมดนี้ จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพความเป็นอยู่ และในที่สุดก็จะส่งผลถึงศักยภาพของคน ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะขับเคลื่อนประเทศด้วย ดังนั้น เราจึงต้องรีบหาทางรับมือกับความท้าทาย หาทางแก้ไขปัญหา และปรับตัว ซึ่งการปรับเปลี่ยนจะต้องทําไปพร้อมๆ กันทั้งการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ และการเปลี่ยนค่านิยม และวัฒนธรรมเพื่อให้เป็นคนที่มีทั้งทักษะความรู้หรือskillsetควบคู่กับความคิดและจิตใจหรือmindsetซึ่งผมเห็นว่าการที่จะให้เราสามารถทําการเปลี่ยนโฉมเพื่อรับความท้าทายให้ได้ดี ระบบการศึกษาจะมีส่วนสําคัญ ที่ผ่านมา รัฐบาลนี้ เล็งเห็นถึงปัญหาและความท้าทายนี้ และพยายามที่จะวางแนวทางปฏิรูปการศึกษาที่ชัดเจน เป็นรากฐานการเดินหน้าต่อไป อย่างเป็นรูปธรรม การปฏิรูปการศึกษาที่กําลังดําเนินอยู่นี้นับเป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปีก็ว่าได้ ที่ผ่านมา ได้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการศึกษาตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อวางรากฐานในการปรับปรุงการเรียนการสอน รวมถึงโครงสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การปฏิรูปมีความสอดคล้องกันในแต่ละพื้นที่ สามารถเดินหน้าสร้างคนที่มีศักยภาพของประเทศได้ อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งการปฏิรูปนี้ จะเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และเป็นการวางแนวทางให้ครบวงจร เพื่อให้แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนและสามารถเพิ่มศักยภาพของคนให้มีทักษะความรู้คู่จิตใจแนวทางการปฏิรูปการศึกษานี้ เริ่มจากการปฏิรูประบบครู โดยมีการปรับปรุง ทั้งการคัดเลือก ปรับระบบสอบคัดครู โดยใช้ข้อสอบกลาง เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ รวมถึงการดําเนินงานโครงการครูคืนถิ่น เพื่อให้ครูสามารถกลับไปพัฒนาถิ่นฐานบ้านเกิดของตน และมีการประกาศรับสมัครครูผู้ช่วยจากผู้ที่ไม่ได้จบครุศาสตร์ ในสาขาวิชาขาดแคลน ในการพัฒนาครูเพื่อให้ได้ครูที่เก่งและดีเข้ามาช่วยสร้างภาวะแวดล้อมในการเรียนรู้ให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งสถาบันคุรุพัฒนาในการดูแลคุณภาพการผลิตครูให้กับทั้งระบบ โดยมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์วิทยฐานะครู เพื่อจูงใจให้ครูได้มีการพัฒนาตนเอง ด้านการจัดการศึกษาก็มีแผนการดําเนินการอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่ระดับปฐมวัย/โดยมีการจัดการศึกษาภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ที่กําหนดโดยคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ รวมถึงมีการจัดทํานโยบายและแผนยุทธศาสตร์ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ.2560-2564 สําหรับในด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีการปรับหลักสูตร โครงสร้างชั่วโมงเรียนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของแต่ละโรงเรียน รวมทั้งปรับเปลี่ยนระบบการจัดการเรียนการสอน เพิ่มห้องแล็บวิทยาศาสตร์ และเน้นสะเต็มศึกษา เพื่อให้นักเรียนสามารถผสมผสานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ สามารถนําไปใช้ในชีวิตจริงได้ สามารถบูรณาการความรู้ไปใช้ในการพัฒนากระบวนการ หรือสร้างผลผลิตใหม่ได้ นอกจากนี้ ยังให้มีการปรับปรุงมาตรฐานตําราให้ทันสมัย และได้มาตรฐาน มีระบบการใช้หนังสือยืมเรียน ผลักดันโครงการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ รวมทั้งจัดให้มีโครงการโรงเรียนไอซียู ที่เริ่มดําเนินการต้นปี 2560 ขณะนี้มีโรงเรียนในโครงการ ทั้งสิ้น 5,032 แห่ง ซึ่งเกินเป้าหมายที่กําหนดไว้ที่ 4,000 โรงต่อปี โดยได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากภาคเอกชนหลายแห่ง เข้ามาเสริมเติมเต็ม ซึ่งเป็นที่น่าชื่นชมว่าผลการดําเนินงานทุกโรงเรียนในโครงการนี้ ได้รับการแก้ปัญหาจนพ้นจากสภาวะไอซียู ทั้งหมดแล้ว ด้านอาชีวศึกษา ได้เน้นการมุ่งผลิตคนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการแรงงานประเทศยุค “ไทยแลนด์ 4.0”ในโครงการEducation to EmploymentหรือE-to-Eที่เป็น“โครงการค่ายอาชีวะฤดูร้อน”ที่เปลี่ยนโรงงานเป็นโรงเรียน โดยเป็นการฝึกอบรม หลักสูตรระยะสั้น เพื่อให้นําไปใช้ทํางานได้จริง ทํางานจริง ซึ่งจะเป็นหลักสูตรเฉพาะเจาะจงที่ผู้จ้างงานมีความต้องการ และยังมีความขาดแคลนในตลาดแรงงาน หรือไม่ได้มีการสอนในโรงเรียนอาชีวะ เช่น ช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ช่างตรวจรอยร้าวอาคารการทําบัญชีสําหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจะรวมถึง เทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงด้วย โครงการนี้ เริ่มต้นจากปัญหาในเรื่องเด็กที่เรียนจบแล้ว แต่ไม่มีงานทํา หรือต้องการเรียนที่วิทยาลัยข้างนอก ไม่มีสอน หรือทําไม่ได้ เพราะเครื่องไม้เครื่องมือมีราคาสูง กระทรวงศึกษาธิการ จึงให้บริษัทเอกชนเป็นผู้นําโครงการ โดยภาคฤดูร้อนที่ผ่านมา มีกว่า 1,500 บริษัท มาร่วมกันจัดคอร์ส เพื่อเป็นการต่อยอดให้นักเรียนได้เรียนในสาขาอาชีพเฉพาะที่ตลาดแรงงานมีความต้องการ เด็กที่จบใหม่ก็มาเรียนเสริมได้ เพื่อให้พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานจริง ปัจจุบันมีสถานศึกษาเข้าร่วม 68 แห่ง มีบริษัทเข้าร่วม 14 บริษัท ได้ผลผลิตเป็นนักเรียนอาชีวศึกษาที่ผ่านโครงการราวปีละ 8,000 คน ซึ่งเมื่อเอกชนสนับสนุน และเห็นประโยชน์เช่นนี้แล้ว นโยบายนี้ ก็จะเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลไปอย่างไร ด้านอุดมศึกษาก็จะมีการปรับระบบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยและมีส่งเสริมการศึกษาระดับอุดมศึกษาในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)เพื่อเตรียมพร้อมในด้านคน ให้กับพื้นที่ที่จะต้องการแรงงาน ที่มีทักษะในระยะต่อไป รวมถึงการปรับปรุงธรรมาภิบาลด้วย นอกจากนี้ในเรื่องของภาษาต่างประเทศก็ได้ให้ความสําคัญ ในการเสริมทักษะการสื่อสารของนักเรียนนักศึกษาให้ดีขึ้นภายใต้โลกที่เชื่อมต่อกันแบบไร้พรมแดนแล้วในปัจจุบัน โดยได้มีการอบรมพัฒนาครูภาษาอังกฤษในรูปแบบบูตแคมป์ และมีการจัดตั้งศูนย์อบรมระดับภูมิภาค เพื่อให้ครูสามารถนําเทคนิคใหม่ๆ และมีความมั่นใจในการสอน และ ยังมีการเพิ่มชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษจาก 1 เป็น 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในระดับประถม 1-3 รวมทั้ง ก่อตั้งสถาบันเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ สําหรับอาชีวศึกษาทั้งระบบ และ มีการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนพร้อมกันไปด้วย นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆอีกมากมาย ภายใต้การปฏิรูปการศึกษา เช่น การปรับเปลี่ยนแนวทางการให้ทุนเพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กการศึกษาทางไกลร่วมกับมูลนิธิทางไกลผ่านดาวเทียมโครงการโรงเรียนคุณธรรม เป็นต้น ซึ่งโครงการต่างๆ เหล่านี้จะค่อยๆ ช่วยวางรากฐานการพัฒนาที่สําคัญให้กับระบบการศึกษาไทย เพื่อรองรับความท้าทาย จากทั้งภายในและภายนอกประเทศ และ เพิ่มศักยภาพของคน เพื่ออนาคตของประเทศ การปฏิรูปการศึกษาก็เปรียบเสมือนกับการปฏิรูปด้านอื่นๆที่ต้องทยอยออกดอกออกผล และ จะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ในระยะยาว แต่ระหว่างทาง ผมเชื่อว่าเราจะต้องเห็นการวางรากฐานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งภาครัฐด้านเดียวคงดําเนินการสําเร็จได้ยากที่จะสําเร็จ ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย รวมถึง นักเรียน ครูอาจารย์ และผู้ปกครอง อย่างไรก็ตามถ้าเด็กไม่สนใจ เช่น ไม่สนใจการเรียนรู้ ไม่รับฟัง ไม่ฟังครู ไม่อ่านหนังสือ ไม่ว่าจะปรับอะไรมาก็ไม่สําเร็จทั้งสิ้น และครูก็ต้องถ่ายทอดด้วยความตั้งใจ ด้วยความเสียสละ มีการพัฒนาตัวเอง นึกถึงลูกศิษย์ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นครู ลูกศิษย์ บุคลากรทางการศึกษา ต้องคิดร่วมมือไปด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กต้องให้ความสําคัญกับการศึกษา วันหน้าจะลําบาก เอาแต่เล่น เอาแต่สนุกกันทุกคน ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้การปฏิรูปนี้ เห็นผลเร็วและยั่งยืนด้วย เคยมีบทวิเคราะห์พูดไว้ว่าโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพของคนเรา ไม่เท่ากัน เพราะความเหลื่อมล้ําที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้าเราจะมองจากอีกมุมหนึ่งก็พูดได้เช่นกัน ว่าการศึกษาก็จะเป็นโอกาสให้เราได้พัฒนาตนเอง ให้ยกระดับตนเอง เพื่อปิดช่องว่าง หรือลดช่องว่างการเหลื่อมล้ําที่มีอยู่ได้เหมือนกัน ดังนั้น ที่พูดกันว่าความเหลื่อมล้ําลดโอกาสทางการศึกษา กับการศึกษาลดความเหลื่อมล้ํา ก็เหมือนความสัมพันธ์แบบ“ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน”ทํานองนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาอะไรเป็นตัวตั้ง แต่ผมเชื่อว่าการปฏิรูปการศึกษา ที่กําลังดําเนินอยู่ จะเปิดโอกาสกว้างขึ้น ให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาที่ได้มาตรฐาน แต่ละคนก็ต้องพยายามที่จะใช้โอกาสนี้ มาเพิ่มทักษะ ความรู้ และพัฒนาจิตใจ ควบคู่กันไป เพื่อรองรับความท้าทาย ที่ผมกล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ทักษะความรู้จะทําให้เราเก่งขึ้น ทําอะไรได้มากขึ้น ทําให้รับภาระที่จะมากขึ้นในสังคมผู้สูงอายุได้สามารถปรับตัว เรียนรู้ เพื่อเท่าทันกับเทคโนโลยี ปรับตัวไปสู่งานที่เทคโนโลยีมาแทนได้ยาก ส่วนการปรับความคิดและจิตใจ ความอดทน จะช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่น และปรับตัวให้อยู่ในสังคม ที่มีความแตกต่างมากขึ้น ได้อย่างผาสุก สร้างคนที่เป็น“คนเต็มคน”และเป็นคนที่เป็นอนาคตของประเทศต่อไป พี่น้องประชาชนครับ สําหรับช่วง เทศกาลวันแม่”ปีนี้ ผมเห็นมีการสํารวจกิจกรรม ที่เป็นการแสดงออกถึงความรักแม่ของเยาวชนไทย ซึ่งหลายคนคิดว่าจะกระทําอาทิ การสวมกอดแม่และบอกรักแม่การมอบดอกไม้และกราบที่เท้าแม่การให้สัญญาว่าจะเลิกทําในสิ่งที่แม่ไม่ชอบการพาแม่ไปทําบุญ ทานข้าว ไปเที่ยวต่างจังหวัด เป็นต้น ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดี และผมก็ขอสนับสนุนให้ลูกๆ หลานๆ ได้ทําในสิ่งที่ตั้งใจไว้กับคุณแม่ สําหรับใครที่มองหาของขวัญวันแม่สักชิ้น ผมขอแนะนําให้ลองมาเลือกซื้อ เลือกหา ที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาลก็ได้โดยช่วงวันที่ 10 - 15 สิงหาคมนี้ จัดงานในธีมGift for Momของขวัญวันแม่ มีสินค้าพื้นบ้าน ทํามือ แบบไทยๆ สําหรับแม่ อาทิ ผ้าไหม เครื่องประดับ สินค้าหัตถกรรม และสมุนไพร เป็นต้น ทั้งนี้ ตลอดเดือนสิงหาคม จะเป็นงาน“ตลาดของดีSMEsเกษตรไทย” โดยสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนนี้ จัดงานในธีม“แกะกล่องไอเดียไทย ก้าวไกลสู่อนาคต”ที่จําหน่ายสินค้าSMEsเกษตร ที่มีนวัตกรรม และ สามารถนําไปเป็นของฝากได้ ส่วนสัปดาห์สุดท้ายมีการจําหน่ายสินค้าเด่น จากแต่ละท้องถิ่น,ผลไม้สดจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ผลไม้แปรรูปที่มีPackageสวยงาม สามารถนําไปเป็นของฝากได้ ก็ขอเชิญชวนให้มาร่วมกันสนับสนุน ซื้อสินค้าคุณภาพของไทยกันมากๆ สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากกลอน ที่ได้แต่งขึ้นไว้ให้กับพี่น้องประชาชน 3 บท ในเรื่อง“น้ํา”เรื่อง“คสช.”เรื่อง“ประชารัฐ”ท่านสามารถหาอ่านได้ถ้าใครสนใจ ในเว็ปไซต์“รัฐบาลไทย” ก็อย่าไปถือสาเลยว่าจะถูกต้องทุกประการ ผมพยายามเต็มที่ ผมอยากให้ทุกคนสนใจสาระ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้อีกทางหนึ่ง ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลวันแม่ รักแม่ขณะที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ ทําให้ท่านมีความสุข สวัสดีครับ --------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ตลอดระยะเวลายาวนานหลายสิบปี หรือ“ชั่วชีวิต”ของคนไทยกว่าครึ่งค่อนประเทศ เรามีช่วงเวลาในความทรงจํา“ร่วมกัน”ถึงบุคคลที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นหลักชัยของชาติ ที่คนไทยต่างเคารพรักและเทิดทูนยิ่ง ประดุจดั่งพ่อและแม่ของแผ่นดิน นับจากวันนั้นถึงวันนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระราชกรณียกิจนานัปการ“เคียงข้าง”ในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภาระอีกทั้ง ทรงมีพระราชดําริริเริ่มโครงการต่างๆที่ล้วนก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ช่วยประชาชนพ้นจากความยากจน พึ่งพาตนเองได้ และร่วมกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ อาทิ ทรงเป็นผู้นํา ริเริ่ม สนับสนุน ฟื้นฟูและสืบทอดงานศิลปะแขนงต่างๆ ของไทย มิให้เสื่อมสูญเป็นมรดกวัฒนธรรมคู่แผ่นดินไทยสืบมาตราบทุกวันนี้ดังพระราชดํารัสความตอนหนึ่งว่า“หากย้อนนึกไปถึงอายุของชาติไทยซึ่งเป็นชาติเก่าแก่ สืบเผ่าพันธุ์มาช้านานนับพันปีด้วยแล้ว จะเห็นได้ว่า บรรพบุรุษของเราได้สร้างสมสิ่งที่ดี ที่งาม ที่เป็นประโยชน์ไว้ให้แก่เราลูกหลาน และแม้แก่โลก ทั้งนี้ก็คือวัฒนธรรมของเรานั่นเอง ทุกคนจึงควรภูมิใจในเผ่าพันธุ์ไทยและวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของเรา และสํานึกว่าเป็นหน้าที่โดยตรงที่จะรักษาให้ดํารงอยู่ได้ตลอดไป...” ในการนี้ ด้วยสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ ในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2560 นี้ ผมขอเชิญชวนปวงชนชาวไทย ทุกหมู่เหล่า ทั่วราชอาณาจักรไทย ร่วมในกิจกรรม ณ พระลานพระราชวังดุสิต เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ถวายพระพรชัยมงคลและถวายพระราชกุศล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ตามรายละเอียดบนหน้าจอ ดังนี้ 1. พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร รวม 851 รูป ใน เวลา 7 นาฬิกา ซึ่งสิ่งของและอาหารแห้งในการตักบาตร ซึ่งจะรวบรวมส่งไปยังศูนย์“เราทําดีด้วยหัวใจ”ส่วนหน้าภาคอีสานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สําหรับช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยโดยด่วนต่อไป 2. พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ซึ่งจะมีการแสดงดนตรีพระราชทาน และการแสดงแบบชุดไทยพระราชนิยมพระราชทาน ในเวลา 19 นาฬิกา 29 นาที สําหรับจังหวัดต่างๆ และในต่างประเทศ ขอให้พิจารณาจัดกิจกรรมตามแนวทางที่เคยปฏิบัติหรือตามความเหมาะสม รวมทั้ง ขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ห้างร้าน และประชาชนร่วมกันประดับธงพระนามาภิไธย“สก”และพระฉายาลักษณ์ ระหว่างวันที่ 7–14 สิงหาคมนี้ โดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ และเนื่องใน“วันแม่แห่งชาติ”ปีนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พระราชทาน“คําขวัญวันแม่ ประจําปี 2560”ความว่า...“สอนให้ลูก เรียนรู้ สู้ปัญหา พัฒนา ด้วยตน จนเติบใหญ่ เพราะคนแกร่ง จะก้าว ได้ยาวไกล เพื่อมาเป็น กําลังไทย ให้แข็งแรง”ผมขอให้ปวงชนชาวไทย ได้น้อมนําใส่เกล้าใส่กระหม่อม เพื่อเป็นแนวทางในการดําเนินชีวิตของตนและครอบครัวต่อไปด้วย จะได้เป็นส่วนหนึ่งของพลังประชารัฐ และพลังของแผ่นดินไทย ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน และขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นพระมิ่งขวัญของอาณาประชาราษฎร์ตราบกาลนาน พี่น้องประชาชนที่เคารพรัก จากการที่ประเทศไทยต้องประสบปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับแหล่งน้ํา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภัยแล้งเนื่องจากภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน หรือในฤดูฝนที่มีน้ําหลากก็เกิดปัญหาอุทกภัยขึ้นในหลายๆ พื้นที่ โดยเฉพาะในลุ่มน้ําหลักของประเทศ บางครั้งทั้งปัญหาภัยแล้งและน้ําท่วมก็เกิดขึ้นในพื้นที่เดียวกัน เพียงแต่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกันส่งผลกระทบต่อการดํารงชีวิตและการประกอบอาชีพของประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง ประกอบกับในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาและขยายตัวของประชากรและชุมชนเพิ่มมากขึ้น ความต้องการใช้น้ําในกิจกรรมต่างๆ ก็มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมที่ต้องใช้น้ําในขั้นตอนการผลิต และน้ําบาดาลซึ่งเป็นแหล่งน้ําที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย มีการพัฒนาและสูบขึ้นมาใช้ประโยชน์ จนบางครั้งทําให้บางพื้นที่เกิดวิกฤต“เสียสมดุล”เพราะมีการลดระดับของน้ําบาดาลอย่างต่อเนื่อง ทําให้ต้องขุดเจาะบ่อลึกลงไปมากกว่าเดิมเพื่อที่จะสูบน้ําบาดาลขึ้นมา เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายและส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย รัฐบาลโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทําแผนที่เติมน้ําบาดาลทั่วประเทศ เป็นโครงการเติมน้ําลงสู่แหล่งน้ําใต้ดินระดับตื้น ใน 3 รูปแบบซึ่งเป็นแนวคิด วิถีทางของปราชญ์ชาวบ้าน โดยให้ทําการศึกษาตามหลักวิชาการ และขยายผลให้เป็นรูปธรรม เป็นสัมฤทธิ์ผล“ทั่วประเทศ”ภายในฤดูฝนของปีนี้ ซึ่งระบบเติมน้ําดังกล่าวได้แก่1) การเติมน้ําฝนผ่านบ่อวง2) การเติมน้ําผ่านสระหรือคลองก้นรั่ว และ3) การเติมน้ําฝนผ่านหลังคาลงสู่บ่อน้ําบาดาลระดับตื้น ยกตัวอย่างนายทองปาน เผ่าโสภา“ปราชญ์ชาวบ้าน”บ้านหนองปลวกตําบลหนองกุล อําเภอบางระกํา จังหวัดพิษณุโลก มีระบบเติมน้ําผ่านบ่อวง เรียกกันเองว่า“แก้มลิงที่มองไม่เห็น”ที่สอดคล้องกับ“ศาสตร์พระราชา”ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นต้น ซึ่งน่าจะสามารถขยายผลได้ โดยภาครัฐเข้าไปสนับสนุนด้านวิชาการและเทคนิคต่างๆ เพิ่มเติม ส่วนในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําแบบบูรณาการทั้งระบบนั้นเราจําเป็นต้องรู้ข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับหน่วยงานกิจกรรมและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. กลไกการขับเคลื่อนทั้งในระดับชาติ ระดับลุ่มน้ํา และมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ได้แก่ คณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติคณะกรรมการลุ่มน้ํา 25 ลุ่มน้ํา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งอยู่ภายใต้ 10 กระทรวง รวมกว่า 30 หน่วยงาน ซึ่งดําเนินภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ที่มีความสําคัญและต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกัน ดังนี้ “พื้นที่ต้นน้ํา”ได้แก่ การหน่วงน้ําฟื้นฟู บํารุงรักษา อนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ํา และพื้นที่ชุ่มน้ํา ซึ่งเป็นแหล่งเก็บกักน้ําฝนและรักษาความชื้นตามธรรมชาติ ร่วมกับการพัฒนาเขื่อน อ่างกักเก็บน้ําขนาดใหญ่ ฝายน้ํา รวมทั้งการดําเนินการกับผู้บุกรุก “พื้นที่กลางน้ํา”มีการฟื้นฟูระบบนิเวศแม่น้ําลําคลอง การจัดการกับผู้บุกรุกลําน้ํา การจัดการและปรับปรุงพื้นที่การเกษตร ทั้งในและนอกเขตชลประทาน จัดทําระบบส่งน้ํากระจายน้ํา ให้สมบูรณ์ ในพื้นที่ที่สามารถทําได้รวมทั้งพื้นที่แก้มลิงอีกด้วย สําหรับพื้นที่ปลายน้ําประกอบด้วยการป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจสําคัญ การขุดลอกปากแม่น้ําและการเร่งผลักดันมวลน้ําให้ระบายลงสู่ทะเล และการดูแลคุณภาพน้ําในลําน้ํา รวมทั้งการจัดการกับผู้บุกรุกลําน้ําเป็นต้น 2. จากกิจกรรมที่กล่าวมาแล้วนั้น ทําให้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องจํานวนมากมายอาทิ เรื่องการบริหารทรัพยากรน้ําแห่งชาติ,เรื่องการชลประทานราษฎร์ การชลประทานหลวงเรื่องผังเมืองรวมเรื่องการขุดลอกแหล่งน้ําสาธารณประโยชน์เรื่องคันและคูน้ําเรื่องการเดินเรือในน่านน้ําไทยเรื่องป่าไม้เรื่องการปฏิรูปที่ดินเพื่อกษตรกรรมเรื่องพลังงานและการประปา ราว 10 ฉบับเรื่องสิ่งแวดล้อม น้ําบาดาล แผ่นดิน และอสังหาริมทรัพย์ อีก 4 ฉบับ และเรื่องการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อีก 2 ฉบับ เป็นต้น ทั้งนี้ ด้วยความสลับซับซ้อนในอํานาจหน้าที่และบทบาท ที่ผมได้ยกขึ้นมานั้นส่งผลให้การดําเนินงานทั้งในภาวะปกติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะฉุกเฉิน มักประสบปัญหาด้านความไม่มีเอกภาพ และขาดการบูรณาการ โดยไม่มีผู้รับผิด ชอบหลักและการบังคับบัญชาให้เกิดการดําเนินการที่ชัดเจน รวมทั้งการจัดลําดับความสําคัญก่อนหลัง ทําให้การดําเนินงานมีความล่าช้า ซ้ําซ้อน ไม่สามารถผลักดันการดําเนินงานด้านการพัฒนาทรัพยากรน้ําของประเทศให้ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเท่าที่ควร ที่ผ่านมาของรัฐบาลนี้ ได้ริเริ่มจัดทํา“แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา”ในระยะยาวขึ้น ประกอบด้วยกลุ่มกิจกรรมหลักๆ อาทิ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําภาคการผลิตการขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภคการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยการป้องกันและแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ําการฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ําและป้องกันการพังทลายของดิน รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการซึ่งผลการดําเนินการ ห้วง 3 ปีที่ผ่านมา สามารถเพิ่มความจุน้ําได้ ร้อยละ 21 ของเป้าหมาย คิดเป็น 1,500 ล้านลูกบาศก์เมตรจากที่มีอยู่เดิม 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้ ร้อยละ 18 ของเป้าหมาย คิดเป็น 2.4 ล้านไร่ จากเดิม 29 ล้านไร่ ส่งผลให้เกษตรกรได้รับประโยชน์ จากการดําเนินการเพิ่มเติมนี้ ราว 7.2 แสนครัวเรือน ทั่วประเทศ แต่ก็ยังไม่ทั่วถึงครับ จะต้องพยายามกันต่อไป อย่างไรก็ตาม แม้การดําเนินการตาม“แผนยุทธศาสตร์น้ํา”ดังกล่าวจะประสบความสําเร็จ อย่างมาก หากเราสามารถแก้ไขอุปสรรคต่างๆ ที่คอยฉุดรั้งการทํางานอยู่ ทําให้มีแนวโน้มว่าหลายกิจกรรมในอนาคต จะมีปัญหารอการแก้ไข ในกระบวนการทํางานอีก อาทิ1) การขอให้ หรือจัดหาพื้นที่เพื่อพัฒนาแหล่งน้ํา ทั้งจากที่ดินของรัฐซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมาย หรือที่ดินของเอกชนซึ่งต้องมีการเวนคืนจ่ายค่าชดเชยเยียวยา2) การทับซ้อนของนโยบายในการพัฒนาแหล่งน้ําและพื้นที่อนุรักษ์3) การไม่มีหน่วยงานกลาง ในการกําหนดนโยบาย ติดตาม และบริหารจัดการน้ํา และ 4) ปัญหามวลชนประชาชนNGOที่ไม่เข้าใจ เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้น การบริหารจัดการน้ําซึ่งรัฐบาลถือว่าเป็นวาระเรื่องเร่งด่วนมีความสําคัญและต้องดําเนินการกันอย่างบูรณาการจึงมีแนวทางที่จะตั้ง“สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ”ให้เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรี โดยจะยุบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ําเท่าที่จําเป็นเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และทําให้การแก้ไขปัญหาน้ําเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ลดความซ้ําซ้อนของหน่วยงานและงบประมาณ ซึ่งเป็นหนึ่งในงานปฏิรูปและบูรณาการการทํางานของส่วนราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับ พรบ. น้ํา ที่ดําเนินการอยู่ใน สนช. ด้วย นอกจากนี้ ในที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมได้มอบนโยบายและให้แนวทางแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้คิดถึงเรื่องการบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบ โดยให้ตั้งเป้าหมายเพื่อบริหารจัดการปัญหาน้ําทั้ง 5 ด้าน ได้แก่1) น้ําอุปโภคบริโภค2) น้ําเพื่อภาคการผลิต ทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม3) น้ําเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ รวมทั้งที่เพิ่มเติม แยกออกมาให้ความสําคัญคือ4) ปัญหาน้ําท่วม และ5) ปัญหาน้ําแล้ง ซึ่งเป้าหมายเหล่านี้ ผมเน้นให้คิดในเชิงพื้นที่ ให้ครอบคลุมทุกภาคของประเทศทั้งภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้ ตะวันออก และกรุงเทพมหานคร พื้นที่ในเขต นอกเขตชลประทาน พื้นที่เมืองพื้นที่เชิงเศรษฐกิจ เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีปัญหาเรื่องน้ําที่แตกต่างกัน ในแต่ละห้วงเวลา ดังนั้น การบริหารจัดการน้ําจึงต้องทําเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาตอบโจทย์เรื่องน้ําของแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาย้อนกลับมาเหมือนเดิมทุกปีๆ ไป ผมได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่ดูแลในเรื่องการบริหารจัดการน้ํา ต้องใช้ข้อมูลเรื่องปริมาณน้ําการคาดการณ์ปริมาณน้ําฝน น้ําในเขื่อนประสิทธิภาพการกักเก็บน้ําในอ่างเก็บน้ําและเขื่อน ประกอบการกําหนด“แผนเผชิญเหตุ”ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงอย่างทันท่วงที อาจจะต้องทําสมมุติฐานไว้ว่า ปกติเป็นอย่างไร ถ้าฝนมากเกินปกติจะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นพายุเข้ามาจะเป็นอย่างไร ต้องเตรียมระดับต่างๆ เหล่านี้ไว้ว่าเราจะเตรียมอะไรไว้บ้างล่วงหน้า จากที่ประชุมก็ได้รายงานว่า ในห้วงเดือนสิงหาคม ถึง เดือนกันยายนนี้ ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากพายุที่พาดผ่านทะเลจีนใต้ จะทําให้เกิดฝนตกชุก มีความเสี่ยงน้ําท่วมฉับพลันและน้ําป่าไหลหลากในหลายพื้นที่ ทั้งนี้ ในการแก้ไขปัญหาน้ําท่วม ผมได้ให้แนวคิดและมอบหมายหน่วยงานไปคิดแผนดําเนินการที่เป็นรูปธรรมในเรื่องการกักเก็บน้ําไว้ใต้ดินเพิ่มพื้นที่เก็บน้ําแก้ปัญหาประตูน้ําขุดลอกคลองขุดคลองผันน้ําคลองไส้ไก่คลองตัดตรง และการจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ํา เช่นสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่บุกรุก การปลูกป่าในพื้นที่เพื่อชะลอน้ํา ให้กักเก็บน้ําในพื้นที่ตอนเหนือไว้ เพื่อป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจบ้านเรือนพื้นที่เกษตรกรรม โดยให้หน่วยงานนําเสนอแผนมาว่างบประมาณปี 61 และ 62 จะใช้ทําอะไรบ้าง อะไรที่ต้องทําเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาน้ําท่วมก่อน อาจจะไม่ได้ทั้งหมด แต่ต้องทําเป็นพื้นที่ ต้องลดปัญหาให้ได้ อย่างน้อย 30-50% ให้ได้โดยเร็วเอามาทําก่อน แผนอะไรที่ต้องทําเป็นระยะยาว ก็ให้เสนอมาเป็นแผนระยะต่อไป ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ถึง 2569 ตามแผนใหญ่ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา สําหรับการบริหารจัดการน้ําแบบครบวงจร ปัจจุบันเราแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 คือปี 57 ถึง 60 ระยะที่ 2 61 ถึง 62 ระยะที่ 3 ปี 63 ถึง 69 ได้เพิ่มรายละเอียดต่างๆ เหล่านี้ในเรื่องของการบริหารจัดการน้ําแบบครบวงจรทั้งระบบนี้ ได้เพิ่มเติม ค้นหาได้จากเว็บไซต์“รัฐบาลไทย”www.thaigov.go.th รัฐบาลทราบดีว่าวันนี้เรามีเวลาไม่มากนัก ดังนั้นการเตรียมการในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่สําคัญและเร่งด่วน ที่จะต้องขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน ภาคเอกชนประชารัฐ ร่วมกับรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ด้วยความเข้าอกเข้าใจกัน ปัญหาอยู่ที่เรื่องที่ดิน ในการใช้ประโยชน์ พี่น้องประชาชนที่รัก การแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศและประชาชนนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใดก็ตาม เราต้องหา“ต้นตอ”ของปัญหาที่แท้จริงให้พบ เช่น เมื่อเห็นมดเดินเป็นสายบนพื้นบ้าน ถึงจะกวาดทิ้งแล้ว เดี๋ยวก็จะกลับมาใหม่ เพราะถ้าไม่ตามไปดูว่า“ต้นตอ”คืออะไรและเพียงแค่หยิบออก ทําความสะอาดแล้ว มดก็จะหายไปเอง ไม่ใช่ตามแก้กันที่“ปลายเหตุ”เช่นที่ผ่านมา สําหรับปัญหาบ้านเมืองในปัจจุบันนั้น เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงมีความเชื่อมโยงกันหลายมิติ เช่นปัญหาน้ําท่วมนั้นเกิดจากการบุกรุกป่า การละเมิดกฎหมายผังเมือง การสร้างถนน โรงงาน สร้างเมือง ขวางเส้นทางน้ําธรรมชาติ ฟ้าฝนปรวนแปรจากภาวะโลกร้อน การทิ้งขยะ สวะ วัชพืช อุดตัน ขวางลําน้ํา คูคลอง ท่อระบายน้ํา ไปจนถึงการบริหารจัดการน้ํา ที่ไม่มีการบูรณาการอย่างแท้จริง เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้นการแก้ไขปัญหา ก็ต้องแก้ทุกปมที่ต้นตอปัญหาต่างๆ พร้อมๆ กัน จึงจะได้ผลสัมฤทธิ์ทั้งระบบ รวดเร็ว และยั่งยืน สิ่งสําคัญก็คือ เราจะทําอย่างไรให้ทุกคน ทุกฝ่าย เข้าใจ ยอมรับ พอใจ ร่วมมือ ในทุกกิจกรรม เป็นสิ่งที่ยาก ตามห้วงระยะเวลาในแต่ละพื้นที่ ด้วยความสมัครใจ เต็มใจ และเห็นประโยชน์ส่วนร่วมเป็นที่ตั้ง เราอาจจะต้องเสียสละส่วนน้อย เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือ“คน”ที่เกี่ยวโยงกับ“หลักคิด”และ“หลักวิชาการ”ซึ่งหลักคิดอาจมีที่มาจากวิถีชีวิต ความเชื่อ รวมทั้งหลักวิชาการที่ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สภาพแวดล้อม และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งหากเรายึดติด ถือมั่น ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย ก็จะไม่เกิดการพัฒนาซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เสียหายน้อยกว่า หรือไม่เสียหายเลย เหล่านี้ต้องคํานึงถึงความคุ้มค่า และความสมดุลทางธรรมชาติอีกด้วย ซึ่งเป็นหลักการสําคัญส่วนหนึ่งของนโยบาย“ไทยแลนด์ 4.0”ที่เน้นการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะต้องสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต และเราก็ต้องไม่ลืมว่า เมื่อจํานวนประชากรเพิ่ม ความต้องการที่อยู่อาศัยก็เพิ่ม ในขณะที่พื้นที่มีอยู่เท่าเดิม รวมทั้งมีความต้องการใช้ทรัพยากร ธรรมชาติเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ในขณะที่ทรัพยากรในโลกมีอยู่อย่างจํากัด ปัจจุบันก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว ในอนาคตถ้าเราไม่ตระหนัก ไม่เตรียมพร้อม ไม่รักษาไว้ ปัญหาเหล่านี้ก็จะทวีความรุนแรงขึ้น แต่จะทําอย่างไร ให้สมดุลกับเรื่องของการพัฒนา การแก้ปัญหาต้องพิจารณาทั้งปัจจัยภายใน ภายนอกข้อเท็จจริงหลักการหลักวิชาการ แล้วนํามาหาข้อยุติให้ได้ว่าสาเหตุของปัญหาคืออะไร เราจะต้องแก้ไขอย่างไร ใครเกี่ยวข้องบ้าง วิธีการซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายทําอย่างไร ซึ่งอาจต้องส่งผลกระทบใครบางคน หรือบางพื้นที่ แต่ทางออกที่ดีที่สุดคืออะไร สุดท้ายก็ต้องยึดประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นสําคัญ ย่อมต้องการความเสียสละ ความร่วมมือ ซึ่งอาจจะต้องมีการชดเชยตามความเหมาะสมด้วย ใครทําแบบนี้ก็จะไม่นําไปสู่ความขัดแย้งอีก เกิดความปรองดองในการแก้ปัญหาทุกปัญหา ทุกวันนี้การแก้ปัญหาของประเทศ มีทั้งง่ายและยาก มีทั้งปัญหาเดิม ปัญหาสะสม ปัญหาทับซ้อน รัฐบาลและ คสช. จึงมุ่งแก้ปัญหาเดิม ลดปัญหาใหม่ไม่ใช่แก้ตรงนี้ และไปสร้างปม สร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้นมา ที่สําคัญ จะไม่ยอมละเลย เพิกเฉย หรือทิ้งปัญหาให้เป็นภาระของรัฐบาลในอนาคต เพราะว่าแต่ละอย่างต้องทําต่อ แก้ตรงนี้แล้วไปสร้างปมสร้างเงื่อนไขขึ้นมาใหม่ ที่สําคัญจะไม่ยอมละเลยเพิกเฉย หรือทิ้งปัญหาให้เป็นภาระของรัฐบาลในอนาคต เพราะว่าแต่ละอย่างต้องทําต่อ ไม่ใช่ทิ้งภาระ เป็นงานที่ท่านต้องทําต่อ ด้วยวิธีการของท่าน สิ่งไหนทําได้ ผมก็จะทําให้ทันที สิ่งไหนแก้ด้วยวิธีเดิมๆ แล้วไม่ยั่งยืน แก้อะไรไม่ได้ ก็ต้อง“คิดใหม่ให้รอบคอบ ทําใหม่ให้เกิดการบูรณาการ”เพื่อลดความเดือดร้อน และดูแลพี่น้องประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย อย่างเท่าเทียม การที่มีบางกลุ่ม บางฝ่ายออกมากล่าวอ้าง หลักสากลบ้าง สิทธิมนุษยชนบ้าง หรือการรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้าง ผมก็อาจกล่าวได้ว่า ก็ถูกต้อง แต่พอเอามาผสมโรงกัน ทําให้ทําอะไรไม่ได้เลย พัฒนาก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ แต่ความเสียหายเกิดขึ้น ทุกครั้ง ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี เพราะฉะนั้น เราจะทําอย่างไร ที่จะให้ทุกอย่างเดินหน้าไปพร้อมๆกันได้สักที ให้เกิดผลกระทบระหว่างกันให้น้อยที่สุด ต้องหาทางออกให้ได้ เพราะสุดท้าย ปลายทางของปัญหาของปัญหาเหล่านั้นที่เราทํากันไม่ได้ก็มาตกอยู่ที่ประชาชนประเทศชาติ ประชาชนผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เคยชินกับการถูกปล่อยปละละเลย ไม่จริงใจในการช่วยเหลือ อาจจะถูกนายทุนที่ไม่ดีหลอกใช้ หรือทําให้ถูกบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม กลายเป็น“แพะรับบาป”และเป็นเหยื่อเกมการเมือง ที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ โดยถูกนําไปกล่าวอ้างความชอบธรรม เหล่านี้เป็นต้น ผมพูดถึงโดยรวม ทั้งนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่เป็นปัญหา“เร่งด่วน”ของบ้านเมืองคือ 1. การเร่งลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ดูแลให้ประชาชนมีโอกาสที่เท่าเทียม ลดความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการของภาครัฐได้เต็มที่ อาทิ การเร่งบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยน้ําท่วม ฝนแล้ง การเพิ่มรายได้มวลรวมของประเทศ ภาคจังหวัด โดยเฉพาะตั้งแต่ระดับฐานราก เพื่อช่วยบรรเทาปัญหารายได้ที่ไม่เพียงพอกับรายจ่ายจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นการให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่เพียงพอ ได้มาตรฐาน รวมถึงการเข้าถึงบริการสาธารณะ อาทิ สาธารณสุข การศึกษา และกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย สลับซับซ้อนมากมาย หลายวิธีการ หลายขั้นตอน หลายแผนงานโครงการ เอาเร็ว เอาด่วนไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆทําไป ตามนโยบาย ตามศักยภาพที่เรามีอยู่ 2. การพัฒนาศักยภาพคน ให้มีทักษะความรู้ ผมจะขอกล่าวถึงในช่วงท้ายอีกครั้ง และเราก็ต้องเร่งในเรื่องของการเป็นคนดีมีคุณธรรม มีจิตสาธารณะ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ แบ่งปัน มีจิตอาสา ทําประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติ มีการส่งเสริมกิจกรรมกีฬาควบคู่ไปด้วยเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง เน้นการป้องกัน เพื่อลดรายจ่ายในการรักษาพยาบาล และที่สําคัญ ต้องมีการดูแล เตรียมการรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของประเทศอย่างเหมาะสมด้วย 3. คือเรื่องของการสร้างความมั่นคงในมิติต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ เพื่อการลงทุนเพื่ออนาคต เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ในการเชื่อมโยงทางกายภาพด้านการคมนาคมขนส่ง ทางถนนทางรางทางน้ําทางอากาศ และ เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ให้กับประเทศเพื่อให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งมีแนวทางในการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ ให้กับประชาชนและรัฐบาล เกิดความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ที่มีการวางแผนการใช้ การผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน และพลังงานทดแทน ในอัตราส่วนที่เหมาะสม นอกจากนี้ ต้องดูแลให้ทุกฝ่ายมีหลักคิด ลัทธิ ศาสนา มีคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล ให้สังคมปราศจากความขัดแย้ง ประชาชนอยู่อย่างมีสันติสุข 4. การยกระดับด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ต้องเร่งให้มีกฎหมายที่ทันสมัย อํานวยความสะดวก ไม่เป็นอุปสรรคและลดภาระให้กับภาคธุรกิจ และประชาชน เช่น ในเรื่องEase of doing businessที่เรากําลังดําเนินการอยู่ เพื่อลดขั้นตอน กระบวนการ ให้ธุรกิจสามารถดําเนินกิจการทั้งการค้าและการลงทุนได้ง่าย รวดเร็ว และขณะเดียวกันต้องไม่สร้างความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน ในการบังคับใช้กฎหมายด้วย รวมทั้งจะต้องเร่งขจัดทุจริตทั้งจาก ผู้ให้ ผู้รับ ผู้เกี่ยวข้อง ผู้เสนอ ผ่านทั้งการใช้กฎหมาย และปรับวิธีการให้รัดกุมและเป็นสากล นอกจากนี้ก็ควรจะเร่งสร้างการยอมรับ ความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ ในกระบวนการยุติธรรม ตํารวจ อัยการ และศาลด้วย องค์กรอิสระด้วย 5.การดูแลสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องการจัดสรรที่ดิน เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ป่า และน้ํา ที่รวมถึงการรักษาคูคลอง แม่น้ํา ทะเล ดูแลให้มีระเบียบ น่ามอง ไร้มลพิษ ซึ่งจะต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ สร้างความยั่งยืน เป็นมิตร และปลอดภัย อีกทั้ง ยังช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ปรากฏการณ์เรือนกระจกและ การเปลี่ยนแปลงอากาศของโลก ที่จะส่งผลต่อพี่น้องเกษตรกรอีกด้วย 6. การยกระดับการบริหารราชการของภาครัฐ ที่ต้องเร่งพัฒนาแบบบูรณาการ ตามนโยบาย“ประเทศไทย 4.0”โดยปรับระบบราชการให้ทันสมัย ไม่ล่าช้า นําเทคโนโลยีดิจิทัลมาเสริมการทํางาน โดยต้องมีมาตรการคุ้มครองและการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมควบคู่ไปด้วย นอกจากนี้ ต้องเร่งดูแลการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ และภาระ“รัฐสวัสดิการ”ที่จําเป็น ซึ่งนับวันจะสูงขึ้นต่อเนื่องครับ 7. การดูแลความเสี่ยงจากภายนอก เพิ่มขึ้นในทุกมิติ ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ปัจจุบัน ความสมดุลได้เปลี่ยนไป จากการขยายอิทธิพลของประเทศมหาอํานาจในโลก ทําให้เห็นการก่อการร้ายเพิ่มขึ้น มีลัทธิสุดโต่ง อาชญากรรมข้ามชาติและปัญหายาเสพติดก็ยังไม่หมดไป นอกจากนี้ การที่เทคโนโลยีทันสมัย ทําให้โลกไร้พรมแดน เราต้องเร่งดูแลในเรื่องภัยคุกคามไซเบอร์ และการฉ้อโกงในโลกออนไลน์ ขณะที่การสาธารณสุขก็จะต้องระแวดระวัง ในเรื่องของโรคระบาดอุบัติใหม่อย่างต่อเนื่องด้วย เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ผมหยิบยกมาเล่าให้ฟัง อาจจะเล่าให้ฟังหลายครั้งด้วย เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนัก ทุกคนได้ติดตาม ได้เรียนรู้ด้วยความเข้าใจว่ารัฐบาลกําลังดําเนินการในเรื่องใดอยู่ อย่างไร แล้วจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง ก็จะมีทั้งได้ทั้งเสีย และท้ายสุดก็จะมีได้ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องที่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป ที่เราจะร่วมมือกัน เพราะว่าถ้าหากท่านมีส่วนร่วม สนับสนุนในกิจกรรมต่างๆ ถึงจะประสบความสําเร็จได้ ไม่ใช่ความสําเร็จของรัฐบาล รัฐบาลทําไม่ได้แต่เพียงฝ่ายเดียวอยู่แล้ว แต่จะเป็นความสําเร็จของ“คนไทย”ทั้งประเทศร่วมกัน ภาคภูมิใจร่วมกัน พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน วันนี้ผม คิดว่าการแก้ปัญหาประเทศต้องเริ่มที่“คุณภาพของคน”ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญที่จะทําให้เราทุกคนเป็นคนเต็มคนนอกไปจากพ่อแม่ ครอบครัวแล้ว ก็คือการศึกษา การที่ประเทศจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ผมถือว่าคนเป็นปัจจัยสําคัญ และการศึกษาก็คือสิ่งที่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพของคนในประเทศ รัฐบาลและ คสช. ให้ความสําคัญในเรื่องการพัฒนาคนเป็นอย่างยิ่ง เพราะการมีคนที่มีศักยภาพ มีความรู้ จะช่วยเพิ่มความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความมั่นคงในสังคม และจะช่วยเพิ่มศักยภาพ และความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย ประเทศที่คนที่มีคุณภาพ มีการศึกษา มีทักษะที่ดี ก็จะมีพื้นฐานที่ดี ผลิตสินค้าได้มีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ํา แข่งขันได้ เอกชนก็ต้องการจะมาลงทุน เพิ่มงาน เพิ่มศักยภาพของประเทศ และรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งทําให้เราตั้งเป้าหมายการพัฒนาคน ตามร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไว้ว่า“การพัฒนาคนให้มีศักยภาพในการพัฒนาประเทศ มีความพร้อมทั้งกาย ใจ และสติปัญญา ให้มีทักษะคิด วิเคราะห์ มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีความรับผิดชอบ มีจิตสํานึกที่ดีงาม เพื่อนําไปสู่งานและรายได้ที่สร้างความมั่นคงให้ชีวิต ครอบครัวมีความอบอุ่น ชุมชนมีความเข้มแข็ง รวมถึงสังคมมีความปรองดอง สามัคคี สามารถจะผนึกกําลังเพื่อพัฒนาประเทศได้ต่อไป” แต่การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวนั้นก็เช่นกันไม่ใช่เรื่องง่าย คือคิดแล้วพูดอย่างเดียว ไม่ทํา ก็ไปไม่ได้อยู่ดี พอเริ่มทําไปแล้ว ปัญหาก็เข้ามาทับถม ต้องแก้กันไป ทํากันไป อย่าใจร้อน ปัจจุบัน เรามีเรื่องท้าทายที่ถาโถมเข้ามาและเป็นอุปสรรคในการพัฒนาคนในหลายๆ ด้าน ด้านแรก คือการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร คนไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2564 หมายถึง 1 ใน 5 คนไทย จะเป็นผู้สูงอายุ วัยเด็กและวัยแรงงานก็จะลดลงไปเรื่อยๆ คนในวัยทํางานจะมีจํานวนลดลง มีคนสูงอายุให้ดูแลเพิ่มขึ้น คนในวัยทํางาน ก็ต้องทํางานหนักขึ้นหรือต้องทํางานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อชดเชยด้วย ด้านที่สอง คือช่องว่างระหว่างวัย จากกลุ่มประชากรที่เกิดและเติบโต ในช่วงเวลาที่สภาวะแวดล้อมต่างกัน แนวคิด มุมมอง รูปแบบการใช้ชีวิต การทํางานก็จะต่างกันออกไป ความขัดแย้งอาจจะมีมากขึ้น หากไม่เข้าใจกัน การดูแลให้สังคมสงบสุข ก็จะทําได้ยากขึ้น ด้านที่สาม เป็นความท้าทายจากภายนอก ที่สําคัญคือ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ที่ทําให้เกิดประโยชน์มหาศาลกับคนที่ใช้เทคโนโลยีเป็น เอามาใช้งานได้ สร้างรายได้ให้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจทําให้ความเหลื่อมล้ํามากขึ้นด้วย เพราะกลุ่มที่ไม่คุ้นเคย เปลี่ยนยาก ไม่ชอบเทคโนโลยี ก็อาจเสียโอกาส ไม่ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการนําเทคโนโลยี มาใช้แทนคนมากขึ้นในการผลิต การบริการเช่น พนักงานcall centerหรือพนักงานในโรงงาน ก็จะส่งผลเสีย คนตกงาน รายได้ลดลง ความท้าทายทั้งหมดนี้ จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพความเป็นอยู่ และในที่สุดก็จะส่งผลถึงศักยภาพของคน ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะขับเคลื่อนประเทศด้วย ดังนั้น เราจึงต้องรีบหาทางรับมือกับความท้าทาย หาทางแก้ไขปัญหา และปรับตัว ซึ่งการปรับเปลี่ยนจะต้องทําไปพร้อมๆ กันทั้งการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ และการเปลี่ยนค่านิยม และวัฒนธรรมเพื่อให้เป็นคนที่มีทั้งทักษะความรู้หรือskillsetควบคู่กับความคิดและจิตใจหรือmindsetซึ่งผมเห็นว่าการที่จะให้เราสามารถทําการเปลี่ยนโฉมเพื่อรับความท้าทายให้ได้ดี ระบบการศึกษาจะมีส่วนสําคัญ ที่ผ่านมา รัฐบาลนี้ เล็งเห็นถึงปัญหาและความท้าทายนี้ และพยายามที่จะวางแนวทางปฏิรูปการศึกษาที่ชัดเจน เป็นรากฐานการเดินหน้าต่อไป อย่างเป็นรูปธรรม การปฏิรูปการศึกษาที่กําลังดําเนินอยู่นี้นับเป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปีก็ว่าได้ ที่ผ่านมา ได้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการศึกษาตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อวางรากฐานในการปรับปรุงการเรียนการสอน รวมถึงโครงสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การปฏิรูปมีความสอดคล้องกันในแต่ละพื้นที่ สามารถเดินหน้าสร้างคนที่มีศักยภาพของประเทศได้ อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งการปฏิรูปนี้ จะเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และเป็นการวางแนวทางให้ครบวงจร เพื่อให้แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนและสามารถเพิ่มศักยภาพของคนให้มีทักษะความรู้คู่จิตใจแนวทางการปฏิรูปการศึกษานี้ เริ่มจากการปฏิรูประบบครู โดยมีการปรับปรุง ทั้งการคัดเลือก ปรับระบบสอบคัดครู โดยใช้ข้อสอบกลาง เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ รวมถึงการดําเนินงานโครงการครูคืนถิ่น เพื่อให้ครูสามารถกลับไปพัฒนาถิ่นฐานบ้านเกิดของตน และมีการประกาศรับสมัครครูผู้ช่วยจากผู้ที่ไม่ได้จบครุศาสตร์ ในสาขาวิชาขาดแคลน ในการพัฒนาครูเพื่อให้ได้ครูที่เก่งและดีเข้ามาช่วยสร้างภาวะแวดล้อมในการเรียนรู้ให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งสถาบันคุรุพัฒนาในการดูแลคุณภาพการผลิตครูให้กับทั้งระบบ โดยมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์วิทยฐานะครู เพื่อจูงใจให้ครูได้มีการพัฒนาตนเอง ด้านการจัดการศึกษาก็มีแผนการดําเนินการอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่ระดับปฐมวัย/โดยมีการจัดการศึกษาภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ที่กําหนดโดยคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ รวมถึงมีการจัดทํานโยบายและแผนยุทธศาสตร์ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ.2560-2564 สําหรับในด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีการปรับหลักสูตร โครงสร้างชั่วโมงเรียนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของแต่ละโรงเรียน รวมทั้งปรับเปลี่ยนระบบการจัดการเรียนการสอน เพิ่มห้องแล็บวิทยาศาสตร์ และเน้นสะเต็มศึกษา เพื่อให้นักเรียนสามารถผสมผสานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ สามารถนําไปใช้ในชีวิตจริงได้ สามารถบูรณาการความรู้ไปใช้ในการพัฒนากระบวนการ หรือสร้างผลผลิตใหม่ได้ นอกจากนี้ ยังให้มีการปรับปรุงมาตรฐานตําราให้ทันสมัย และได้มาตรฐาน มีระบบการใช้หนังสือยืมเรียน ผลักดันโครงการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ รวมทั้งจัดให้มีโครงการโรงเรียนไอซียู ที่เริ่มดําเนินการต้นปี 2560 ขณะนี้มีโรงเรียนในโครงการ ทั้งสิ้น 5,032 แห่ง ซึ่งเกินเป้าหมายที่กําหนดไว้ที่ 4,000 โรงต่อปี โดยได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากภาคเอกชนหลายแห่ง เข้ามาเสริมเติมเต็ม ซึ่งเป็นที่น่าชื่นชมว่าผลการดําเนินงานทุกโรงเรียนในโครงการนี้ ได้รับการแก้ปัญหาจนพ้นจากสภาวะไอซียู ทั้งหมดแล้ว ด้านอาชีวศึกษา ได้เน้นการมุ่งผลิตคนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการแรงงานประเทศยุค “ไทยแลนด์ 4.0”ในโครงการEducation to EmploymentหรือE-to-Eที่เป็น“โครงการค่ายอาชีวะฤดูร้อน”ที่เปลี่ยนโรงงานเป็นโรงเรียน โดยเป็นการฝึกอบรม หลักสูตรระยะสั้น เพื่อให้นําไปใช้ทํางานได้จริง ทํางานจริง ซึ่งจะเป็นหลักสูตรเฉพาะเจาะจงที่ผู้จ้างงานมีความต้องการ และยังมีความขาดแคลนในตลาดแรงงาน หรือไม่ได้มีการสอนในโรงเรียนอาชีวะ เช่น ช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ช่างตรวจรอยร้าวอาคารการทําบัญชีสําหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจะรวมถึง เทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงด้วย โครงการนี้ เริ่มต้นจากปัญหาในเรื่องเด็กที่เรียนจบแล้ว แต่ไม่มีงานทํา หรือต้องการเรียนที่วิทยาลัยข้างนอก ไม่มีสอน หรือทําไม่ได้ เพราะเครื่องไม้เครื่องมือมีราคาสูง กระทรวงศึกษาธิการ จึงให้บริษัทเอกชนเป็นผู้นําโครงการ โดยภาคฤดูร้อนที่ผ่านมา มีกว่า 1,500 บริษัท มาร่วมกันจัดคอร์ส เพื่อเป็นการต่อยอดให้นักเรียนได้เรียนในสาขาอาชีพเฉพาะที่ตลาดแรงงานมีความต้องการ เด็กที่จบใหม่ก็มาเรียนเสริมได้ เพื่อให้พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานจริง ปัจจุบันมีสถานศึกษาเข้าร่วม 68 แห่ง มีบริษัทเข้าร่วม 14 บริษัท ได้ผลผลิตเป็นนักเรียนอาชีวศึกษาที่ผ่านโครงการราวปีละ 8,000 คน ซึ่งเมื่อเอกชนสนับสนุน และเห็นประโยชน์เช่นนี้แล้ว นโยบายนี้ ก็จะเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลไปอย่างไร ด้านอุดมศึกษาก็จะมีการปรับระบบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยและมีส่งเสริมการศึกษาระดับอุดมศึกษาในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)เพื่อเตรียมพร้อมในด้านคน ให้กับพื้นที่ที่จะต้องการแรงงาน ที่มีทักษะในระยะต่อไป รวมถึงการปรับปรุงธรรมาภิบาลด้วย นอกจากนี้ในเรื่องของภาษาต่างประเทศก็ได้ให้ความสําคัญ ในการเสริมทักษะการสื่อสารของนักเรียนนักศึกษาให้ดีขึ้นภายใต้โลกที่เชื่อมต่อกันแบบไร้พรมแดนแล้วในปัจจุบัน โดยได้มีการอบรมพัฒนาครูภาษาอังกฤษในรูปแบบบูตแคมป์ และมีการจัดตั้งศูนย์อบรมระดับภูมิภาค เพื่อให้ครูสามารถนําเทคนิคใหม่ๆ และมีความมั่นใจในการสอน และ ยังมีการเพิ่มชั่วโมงเรียนภาษาอังกฤษจาก 1 เป็น 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในระดับประถม 1-3 รวมทั้ง ก่อตั้งสถาบันเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ สําหรับอาชีวศึกษาทั้งระบบ และ มีการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนพร้อมกันไปด้วย นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆอีกมากมาย ภายใต้การปฏิรูปการศึกษา เช่น การปรับเปลี่ยนแนวทางการให้ทุนเพื่อช่วยเหลือเด็กยากจนการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็กการศึกษาทางไกลร่วมกับมูลนิธิทางไกลผ่านดาวเทียมโครงการโรงเรียนคุณธรรม เป็นต้น ซึ่งโครงการต่างๆ เหล่านี้จะค่อยๆ ช่วยวางรากฐานการพัฒนาที่สําคัญให้กับระบบการศึกษาไทย เพื่อรองรับความท้าทาย จากทั้งภายในและภายนอกประเทศ และ เพิ่มศักยภาพของคน เพื่ออนาคตของประเทศ การปฏิรูปการศึกษาก็เปรียบเสมือนกับการปฏิรูปด้านอื่นๆที่ต้องทยอยออกดอกออกผล และ จะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ในระยะยาว แต่ระหว่างทาง ผมเชื่อว่าเราจะต้องเห็นการวางรากฐานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งภาครัฐด้านเดียวคงดําเนินการสําเร็จได้ยากที่จะสําเร็จ ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย รวมถึง นักเรียน ครูอาจารย์ และผู้ปกครอง อย่างไรก็ตามถ้าเด็กไม่สนใจ เช่น ไม่สนใจการเรียนรู้ ไม่รับฟัง ไม่ฟังครู ไม่อ่านหนังสือ ไม่ว่าจะปรับอะไรมาก็ไม่สําเร็จทั้งสิ้น และครูก็ต้องถ่ายทอดด้วยความตั้งใจ ด้วยความเสียสละ มีการพัฒนาตัวเอง นึกถึงลูกศิษย์ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นครู ลูกศิษย์ บุคลากรทางการศึกษา ต้องคิดร่วมมือไปด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กต้องให้ความสําคัญกับการศึกษา วันหน้าจะลําบาก เอาแต่เล่น เอาแต่สนุกกันทุกคน ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้การปฏิรูปนี้ เห็นผลเร็วและยั่งยืนด้วย เคยมีบทวิเคราะห์พูดไว้ว่าโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพของคนเรา ไม่เท่ากัน เพราะความเหลื่อมล้ําที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้าเราจะมองจากอีกมุมหนึ่งก็พูดได้เช่นกัน ว่าการศึกษาก็จะเป็นโอกาสให้เราได้พัฒนาตนเอง ให้ยกระดับตนเอง เพื่อปิดช่องว่าง หรือลดช่องว่างการเหลื่อมล้ําที่มีอยู่ได้เหมือนกัน ดังนั้น ที่พูดกันว่าความเหลื่อมล้ําลดโอกาสทางการศึกษา กับการศึกษาลดความเหลื่อมล้ํา ก็เหมือนความสัมพันธ์แบบ“ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน”ทํานองนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราเอาอะไรเป็นตัวตั้ง แต่ผมเชื่อว่าการปฏิรูปการศึกษา ที่กําลังดําเนินอยู่ จะเปิดโอกาสกว้างขึ้น ให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาที่ได้มาตรฐาน แต่ละคนก็ต้องพยายามที่จะใช้โอกาสนี้ มาเพิ่มทักษะ ความรู้ และพัฒนาจิตใจ ควบคู่กันไป เพื่อรองรับความท้าทาย ที่ผมกล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ทักษะความรู้จะทําให้เราเก่งขึ้น ทําอะไรได้มากขึ้น ทําให้รับภาระที่จะมากขึ้นในสังคมผู้สูงอายุได้สามารถปรับตัว เรียนรู้ เพื่อเท่าทันกับเทคโนโลยี ปรับตัวไปสู่งานที่เทคโนโลยีมาแทนได้ยาก ส่วนการปรับความคิดและจิตใจ ความอดทน จะช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่น และปรับตัวให้อยู่ในสังคม ที่มีความแตกต่างมากขึ้น ได้อย่างผาสุก สร้างคนที่เป็น“คนเต็มคน”และเป็นคนที่เป็นอนาคตของประเทศต่อไป พี่น้องประชาชนครับ สําหรับช่วง เทศกาลวันแม่”ปีนี้ ผมเห็นมีการสํารวจกิจกรรม ที่เป็นการแสดงออกถึงความรักแม่ของเยาวชนไทย ซึ่งหลายคนคิดว่าจะกระทําอาทิ การสวมกอดแม่และบอกรักแม่การมอบดอกไม้และกราบที่เท้าแม่การให้สัญญาว่าจะเลิกทําในสิ่งที่แม่ไม่ชอบการพาแม่ไปทําบุญ ทานข้าว ไปเที่ยวต่างจังหวัด เป็นต้น ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดี และผมก็ขอสนับสนุนให้ลูกๆ หลานๆ ได้ทําในสิ่งที่ตั้งใจไว้กับคุณแม่ สําหรับใครที่มองหาของขวัญวันแม่สักชิ้น ผมขอแนะนําให้ลองมาเลือกซื้อ เลือกหา ที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาลก็ได้โดยช่วงวันที่ 10 - 15 สิงหาคมนี้ จัดงานในธีมGift for Momของขวัญวันแม่ มีสินค้าพื้นบ้าน ทํามือ แบบไทยๆ สําหรับแม่ อาทิ ผ้าไหม เครื่องประดับ สินค้าหัตถกรรม และสมุนไพร เป็นต้น ทั้งนี้ ตลอดเดือนสิงหาคม จะเป็นงาน“ตลาดของดีSMEsเกษตรไทย” โดยสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนนี้ จัดงานในธีม“แกะกล่องไอเดียไทย ก้าวไกลสู่อนาคต”ที่จําหน่ายสินค้าSMEsเกษตร ที่มีนวัตกรรม และ สามารถนําไปเป็นของฝากได้ ส่วนสัปดาห์สุดท้ายมีการจําหน่ายสินค้าเด่น จากแต่ละท้องถิ่น,ผลไม้สดจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ผลไม้แปรรูปที่มีPackageสวยงาม สามารถนําไปเป็นของฝากได้ ก็ขอเชิญชวนให้มาร่วมกันสนับสนุน ซื้อสินค้าคุณภาพของไทยกันมากๆ สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากกลอน ที่ได้แต่งขึ้นไว้ให้กับพี่น้องประชาชน 3 บท ในเรื่อง“น้ํา”เรื่อง“คสช.”เรื่อง“ประชารัฐ”ท่านสามารถหาอ่านได้ถ้าใครสนใจ ในเว็ปไซต์“รัฐบาลไทย” ก็อย่าไปถือสาเลยว่าจะถูกต้องทุกประการ ผมพยายามเต็มที่ ผมอยากให้ทุกคนสนใจสาระ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้อีกทางหนึ่ง ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลวันแม่ รักแม่ขณะที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ ทําให้ท่านมีความสุข สวัสดีครับ --------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5869
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” รับเรื่องขอความเป็นธรรมจากผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกอายัดรถยนต์หรู
วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 “ยุติธรรม” รับเรื่องขอความเป็นธรรมจากผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกอายัดรถยนต์หรู นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องขอความเป็นธรรมจากผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกอายัดรถยนต์หรู เมื่อวันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม รับหนังสือร้องทุกข์จากนายวรณะ สติประเสริฐ ผู้แทนกลุ่มผู้ซื้อรถยนต์หรูจากบริษัทผู้นําเข้ารถยนต์หรูจากต่างประเทศ เพื่อขอความเป็นธรรมจากกระทรวงยุติธรรม กรณีรถยนต์หรูที่ซื้อจากบริษัทผู้นําเข้ารถยนต์ถูกเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษยึดและอายัด ทําให้ไม่สามารถจําหน่ายจ่ายโอนหรือดําเนินกิจกรรมอื่นใดได้ ส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์ด้วยความสุจริต และเสียค่าตอบแทนตามขั้นตอนการนําเข้ารถยนต์ ทั้งนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รถยนต์หรูเลี่ยงภาษีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ยึดและอายัดมีหลายกลุ่ม ทั้งจากกลุ่มรถเกรย์มาร์เก็ตและรถจดประกอบ ซึ่งจะมีลักษณะการยึดและอายัดที่แตกต่างกัน โดยผู้ซื้อถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และขอความเป็นธรรมให้ปลดการอายัดรถ จึงขอรับเรื่องไว้เพื่อหารือกับปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และกรมศุลกากรว่าจะดําเนินการอย่างไร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” รับเรื่องขอความเป็นธรรมจากผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกอายัดรถยนต์หรู วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 “ยุติธรรม” รับเรื่องขอความเป็นธรรมจากผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกอายัดรถยนต์หรู นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องขอความเป็นธรรมจากผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกอายัดรถยนต์หรู เมื่อวันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม รับหนังสือร้องทุกข์จากนายวรณะ สติประเสริฐ ผู้แทนกลุ่มผู้ซื้อรถยนต์หรูจากบริษัทผู้นําเข้ารถยนต์หรูจากต่างประเทศ เพื่อขอความเป็นธรรมจากกระทรวงยุติธรรม กรณีรถยนต์หรูที่ซื้อจากบริษัทผู้นําเข้ารถยนต์ถูกเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษยึดและอายัด ทําให้ไม่สามารถจําหน่ายจ่ายโอนหรือดําเนินกิจกรรมอื่นใดได้ ส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์ด้วยความสุจริต และเสียค่าตอบแทนตามขั้นตอนการนําเข้ารถยนต์ ทั้งนี้ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า รถยนต์หรูเลี่ยงภาษีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ยึดและอายัดมีหลายกลุ่ม ทั้งจากกลุ่มรถเกรย์มาร์เก็ตและรถจดประกอบ ซึ่งจะมีลักษณะการยึดและอายัดที่แตกต่างกัน โดยผู้ซื้อถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และขอความเป็นธรรมให้ปลดการอายัดรถ จึงขอรับเรื่องไว้เพื่อหารือกับปลัดกระทรวงยุติธรรม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และกรมศุลกากรว่าจะดําเนินการอย่างไร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5746
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในงานสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2560
วันพุธที่ 12 เมษายน 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรเนื่องในงานสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 12 เมย 60 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรเนื่องในงานสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 วันนี้ (12 เมษายน 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรเนื่องในงานสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 และสรงน้ําพระพุทธรูป โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ทําเนียบรัฐบาล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในงานสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2560 วันพุธที่ 12 เมษายน 2560 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรเนื่องในงานสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 12 เมย 60 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรเนื่องในงานสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 วันนี้ (12 เมษายน 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรเนื่องในงานสืบสานวัฒนธรรมประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 และสรงน้ําพระพุทธรูป โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ทําเนียบรัฐบาล
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3049
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางรางสำรวจปริมาณการเดินทางในช่วงวันทำงาน เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50000 คน ในช่วง 5 วันทำงานตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา [กระทรวงคมนาคม]
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2563 กรมการขนส่งทางรางสํารวจปริมาณการเดินทางในช่วงวันทํางาน เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50000 คน ในช่วง 5 วันทํางานตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา [กระทรวงคมนาคม] สรุปปริมาณการเดินทางในช่วงวันทํางาน เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50000 คน ในช่วง 5 วันทํางานตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา จาก 528000 คน เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 63 เพิ่มขึ้นเป็น 578000 คน เมื่อวันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 63 กรมการขนส่งทางรางทําการสํารวจ การบริหารจัดการในระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในทุกสาย ในชั่วโมงเร่งด่วน พบว่า •ทุกระบบ สามารถบริหารจัดการ ไม่ให้เกิดความหนาแน่น มีระยะ Social Distancing ในตู้และที่ชานชาลา •ขณะเดียวกันมีการพัฒนาระบบคัดกรอง ด้วย ระบบ Thamal scan อุณหภูมิที่แม่นยํา •จัด Group release โดยมีระยะเวลารอ 2-5 นาที เท่านั้น ก่อนเข้า Gate และ •มี Headway การให้บริการที่สูงสุดในทุกระบบ •มีการประชาสัมพันธ์ ขอความร่วมมือจากผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง ทั้งชานชาลา และในขบวนรถ •ในการป้องกันการแพร่ระบาด มีแอลกอฮอล์บริการล้างเช็ดมือ ทั้งทุกทางเข้า- ออก กรมการขนส่งทางรางขอขอบคุณประชาชนที่กรุณาเข้าใจวิถี New Normal โดยกรุณาวางแผนการเดินทาง โดยจะพบว่า ขณะนี้บางสถานีเข้าในเมือง มีการทํา Group release เช้าขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผู้โดยสารมีการวางแผนเดินทางออกเคหะสถานเช้าขึ้น แต่เวลาเดินทางกลับ ยังคงมีเวลา กลับพร้อมๆกัน ซึ่งอาจมีเหตุจากที่ ผู้โดยสารอาจต้องหารถต่อ ในระบบอื่นที่ยากขึ้น เช่น แท็กซี่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางรางสำรวจปริมาณการเดินทางในช่วงวันทำงาน เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50000 คน ในช่วง 5 วันทำงานตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา [กระทรวงคมนาคม] วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2563 กรมการขนส่งทางรางสํารวจปริมาณการเดินทางในช่วงวันทํางาน เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50000 คน ในช่วง 5 วันทํางานตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา [กระทรวงคมนาคม] สรุปปริมาณการเดินทางในช่วงวันทํางาน เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 50000 คน ในช่วง 5 วันทํางานตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา จาก 528000 คน เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 63 เพิ่มขึ้นเป็น 578000 คน เมื่อวันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 63 กรมการขนส่งทางรางทําการสํารวจ การบริหารจัดการในระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในทุกสาย ในชั่วโมงเร่งด่วน พบว่า •ทุกระบบ สามารถบริหารจัดการ ไม่ให้เกิดความหนาแน่น มีระยะ Social Distancing ในตู้และที่ชานชาลา •ขณะเดียวกันมีการพัฒนาระบบคัดกรอง ด้วย ระบบ Thamal scan อุณหภูมิที่แม่นยํา •จัด Group release โดยมีระยะเวลารอ 2-5 นาที เท่านั้น ก่อนเข้า Gate และ •มี Headway การให้บริการที่สูงสุดในทุกระบบ •มีการประชาสัมพันธ์ ขอความร่วมมือจากผู้โดยสารอย่างต่อเนื่อง ทั้งชานชาลา และในขบวนรถ •ในการป้องกันการแพร่ระบาด มีแอลกอฮอล์บริการล้างเช็ดมือ ทั้งทุกทางเข้า- ออก กรมการขนส่งทางรางขอขอบคุณประชาชนที่กรุณาเข้าใจวิถี New Normal โดยกรุณาวางแผนการเดินทาง โดยจะพบว่า ขณะนี้บางสถานีเข้าในเมือง มีการทํา Group release เช้าขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผู้โดยสารมีการวางแผนเดินทางออกเคหะสถานเช้าขึ้น แต่เวลาเดินทางกลับ ยังคงมีเวลา กลับพร้อมๆกัน ซึ่งอาจมีเหตุจากที่ ผู้โดยสารอาจต้องหารถต่อ ในระบบอื่นที่ยากขึ้น เช่น แท็กซี่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31714
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ยืนยันไลน์ “ไทยชนะ” เป็นของจริงพร้อมแนะวิธีสังเกต
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 ศบค. ยืนยันไลน์ “ไทยชนะ” เป็นของจริงพร้อมแนะวิธีสังเกต ศบค. ยืนยันไลน์ “ไทยชนะ” เป็นของจริงพร้อมแนะวิธีสังเกต ศบค. วอนหยุดปล่อยข่าวลือต้านไลน์ “ไทยชนะ” ยืนยันเป็นไลน์ทางการ “ของจริง” เชิญชวนประชาชนเพิ่มเป็นเพื่อน ใช้เป็นช่องทางติดต่อ แจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉิน ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 และติดตามข่าวสารจากรัฐ แนะข้อสังเกต 2 จุดว่าได้รับการตรวจสอบยืนยันจากบริษัทไลน์แล้ว ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า ที่ผ่าน ศคบ. ได้เปิดตัวไลน์ “ไทยชนะ” ไลน์เป็นทางการของเว็บไซต์ไทยชนะ www.ไทยชนะ.com และเชิญชวนประชาชนเพิ่มเป็นเพื่อน เพื่อเป็นช่องทางการติดต่อแจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉิน ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมทั้งไว้ติดตามข่าวสารที่มาจากทางของรัฐอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีกระแสข่าวลือบนโลกออนไลน์/โซเชียล ว่าเป็นไลน์ปลอม ทําให้ประชาชนบางส่วนที่ได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน เข้าใจผิด และไม่กล้าเพิ่มไลน์ “ไทยชนะ” เป็นเพื่อน จึงอยากขอร้องให้มีการหยุดเผยแพร่ข่าวลือดังกล่าว เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อีกทั้งยังทําให้ประชาชนขาดอีกหนึ่งช่องทางสําคัญในการเข้าถึงข่าวสารที่ถูกต้องจากรัฐ เพื่อช่วยกันป้องกัน ควบคุมไม่ให้โควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดได้อีกหลังมาตรการผ่อนปรน ทั้งนี้ ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” มีกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ยื่นจดชื่อ และได้รับการยืนยันจากบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มไลน์เรียบร้อยแล้ว โดยผู้ใช้งานสามารถสังเกตได้ว่าเป็นไลน์ทางการของจริงจาก ไอคอนรูป “โล่” สีน้ําเงินด้านบนติดกับชื่อ “ไทยชนะ” และด้านล่างสุดของหน้าบัญชีรายชื่อ ระบุชื่อผู้จดทะเบียน “Ministry of Public Health (กระทรวงสาธารณสุข)” โดยร้านค้า-ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าไปกดติดตาม ไลน์ "ไทยชนะ" โดยเข้าไปที่แอปพลิเคชันไลน์ของตัวเอง จากนั้น พิมพ์ในช่องค้นหาว่า "ไทยชนะ" ระบบจะเข้าสู่หน้าไลน์ทางการของไทยชนะทันที พร้อมมีข้อความแรกระบุว่า "ขอต้อนรับเข้าสู่ "ไทยชนะ" Official Account เพื่อใช้ติดต่อ แจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉิน ของการแพร่ระบาดของโควิด-19" โดยสามารถเพิ่มเพื่อนได้เลย ปัจจุบัน ช่องทางการสื่อสารของไทยชนะ ประกอบด้วย เว็บไซต์ www.ไทยชนะ.com ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” และโทรสายด่วน 1119 ซึ่งมีไว้สําหรับการติดตามข่าวสารที่ถูกต้อง เที่ยงตรงเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 จากรัฐบาล ***************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ยืนยันไลน์ “ไทยชนะ” เป็นของจริงพร้อมแนะวิธีสังเกต วันพุธที่ 20 พฤษภาคม 2563 ศบค. ยืนยันไลน์ “ไทยชนะ” เป็นของจริงพร้อมแนะวิธีสังเกต ศบค. ยืนยันไลน์ “ไทยชนะ” เป็นของจริงพร้อมแนะวิธีสังเกต ศบค. วอนหยุดปล่อยข่าวลือต้านไลน์ “ไทยชนะ” ยืนยันเป็นไลน์ทางการ “ของจริง” เชิญชวนประชาชนเพิ่มเป็นเพื่อน ใช้เป็นช่องทางติดต่อ แจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉิน ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 และติดตามข่าวสารจากรัฐ แนะข้อสังเกต 2 จุดว่าได้รับการตรวจสอบยืนยันจากบริษัทไลน์แล้ว ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า ที่ผ่าน ศคบ. ได้เปิดตัวไลน์ “ไทยชนะ” ไลน์เป็นทางการของเว็บไซต์ไทยชนะ www.ไทยชนะ.com และเชิญชวนประชาชนเพิ่มเป็นเพื่อน เพื่อเป็นช่องทางการติดต่อแจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉิน ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมทั้งไว้ติดตามข่าวสารที่มาจากทางของรัฐอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีกระแสข่าวลือบนโลกออนไลน์/โซเชียล ว่าเป็นไลน์ปลอม ทําให้ประชาชนบางส่วนที่ได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน เข้าใจผิด และไม่กล้าเพิ่มไลน์ “ไทยชนะ” เป็นเพื่อน จึงอยากขอร้องให้มีการหยุดเผยแพร่ข่าวลือดังกล่าว เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อีกทั้งยังทําให้ประชาชนขาดอีกหนึ่งช่องทางสําคัญในการเข้าถึงข่าวสารที่ถูกต้องจากรัฐ เพื่อช่วยกันป้องกัน ควบคุมไม่ให้โควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดได้อีกหลังมาตรการผ่อนปรน ทั้งนี้ ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” มีกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ยื่นจดชื่อ และได้รับการยืนยันจากบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มไลน์เรียบร้อยแล้ว โดยผู้ใช้งานสามารถสังเกตได้ว่าเป็นไลน์ทางการของจริงจาก ไอคอนรูป “โล่” สีน้ําเงินด้านบนติดกับชื่อ “ไทยชนะ” และด้านล่างสุดของหน้าบัญชีรายชื่อ ระบุชื่อผู้จดทะเบียน “Ministry of Public Health (กระทรวงสาธารณสุข)” โดยร้านค้า-ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าไปกดติดตาม ไลน์ "ไทยชนะ" โดยเข้าไปที่แอปพลิเคชันไลน์ของตัวเอง จากนั้น พิมพ์ในช่องค้นหาว่า "ไทยชนะ" ระบบจะเข้าสู่หน้าไลน์ทางการของไทยชนะทันที พร้อมมีข้อความแรกระบุว่า "ขอต้อนรับเข้าสู่ "ไทยชนะ" Official Account เพื่อใช้ติดต่อ แจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉิน ของการแพร่ระบาดของโควิด-19" โดยสามารถเพิ่มเพื่อนได้เลย ปัจจุบัน ช่องทางการสื่อสารของไทยชนะ ประกอบด้วย เว็บไซต์ www.ไทยชนะ.com ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” และโทรสายด่วน 1119 ซึ่งมีไว้สําหรับการติดตามข่าวสารที่ถูกต้อง เที่ยงตรงเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 จากรัฐบาล ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31170
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่ เตรียมเดินหน้าส่งเสริมสวัสดิการยืดหยุ่นใน EEC
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561 กสร. เพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่ เตรียมเดินหน้าส่งเสริมสวัสดิการยืดหยุ่นใน EEC กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดอบรมเสริมสร้างศักยภาพเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ เตรียมพร้อมเดินหน้าส่งเสริมสวัสดิการแบบยืดหยุ่น ตั้งเป้าถ่ายทอดให้ลูกจ้าง นายจ้างเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตวัยแรงงานเขต EEC นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างองค์ความรู้การบริหารสวัสดิการแรงงานแบบยืดหยุ่นเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตวัยแรงงานรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออก หรือ EEC โดยกําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนยุทธศาสตร์ภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาด้านการลงทุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งจะทําให้ประชาชนมีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ผลพวงจากการพัฒนาดังกล่าวก่อให้เกิดบริบทของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจ้างงาน รูปแบบการทํางานคนทํางานสามารถนําเสนอผลงานผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีสามารถทํางาน ณ สถานที่ใดก็ได้ไม่จํากัดอยู่เพียงการทํางานในสถานประกอบกิจการเท่านั้น ดังนั้น รูปแบบการจัดสวัสดิการแรงงานจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้อง เหมาะสมกับบริบทของการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้เกิดผลดีต่อลูกจ้างในด้านต่าง ๆ อาทิ การลดรายจ่ายในการดํารงชีวิต สุขภาพอนามัย สิ่งอํานวยความสะดวก เป็นต้น จึงเกิดเป็นการพัฒนารูปแบบการจัดสวัสดิการที่มีความหลากหลาย ลูกจ้างสามารถเลือกหรือเปลี่ยนแปลงได้และนายจ้างสามารถจัดสวัสดิการ ได้ตรงตามความต้องการของลูกจ้าง โดยไม่ส่งผลกระทบแก่สถานประกอบกิจการ นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกสร. ได้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตลอดจนเป็นกําลังสําคัญในการรณรงค์ส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ให้แก่นายจ้าง ลูกจ้างเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการแรงงานแบบยืดหยุ่น กสร. จึงได้จัดโครงการเสริมสร้างองค์ความรู้การบริหารสวัสดิการแรงงานแบบยืดหยุ่นเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตวัยแรงงานรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกขึ้น โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการส่งเสริมสวัสดิการแรงงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าร่วมโครงการ รวม 120 คน โดยมุ่งเน้นให้สามารถนําความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดสู่นายจ้าง ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตวัยแรงงานรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่ เตรียมเดินหน้าส่งเสริมสวัสดิการยืดหยุ่นใน EEC วันพุธที่ 19 กันยายน 2561 กสร. เพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่ เตรียมเดินหน้าส่งเสริมสวัสดิการยืดหยุ่นใน EEC กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จัดอบรมเสริมสร้างศักยภาพเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ เตรียมพร้อมเดินหน้าส่งเสริมสวัสดิการแบบยืดหยุ่น ตั้งเป้าถ่ายทอดให้ลูกจ้าง นายจ้างเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตวัยแรงงานเขต EEC นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างองค์ความรู้การบริหารสวัสดิการแรงงานแบบยืดหยุ่นเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตวัยแรงงานรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออก หรือ EEC โดยกําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนยุทธศาสตร์ภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาด้านการลงทุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งจะทําให้ประชาชนมีรายได้และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ผลพวงจากการพัฒนาดังกล่าวก่อให้เกิดบริบทของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจ้างงาน รูปแบบการทํางานคนทํางานสามารถนําเสนอผลงานผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยีสามารถทํางาน ณ สถานที่ใดก็ได้ไม่จํากัดอยู่เพียงการทํางานในสถานประกอบกิจการเท่านั้น ดังนั้น รูปแบบการจัดสวัสดิการแรงงานจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้อง เหมาะสมกับบริบทของการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้เกิดผลดีต่อลูกจ้างในด้านต่าง ๆ อาทิ การลดรายจ่ายในการดํารงชีวิต สุขภาพอนามัย สิ่งอํานวยความสะดวก เป็นต้น จึงเกิดเป็นการพัฒนารูปแบบการจัดสวัสดิการที่มีความหลากหลาย ลูกจ้างสามารถเลือกหรือเปลี่ยนแปลงได้และนายจ้างสามารถจัดสวัสดิการ ได้ตรงตามความต้องการของลูกจ้าง โดยไม่ส่งผลกระทบแก่สถานประกอบกิจการ นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของกสร. ได้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตลอดจนเป็นกําลังสําคัญในการรณรงค์ส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ให้แก่นายจ้าง ลูกจ้างเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการแรงงานแบบยืดหยุ่น กสร. จึงได้จัดโครงการเสริมสร้างองค์ความรู้การบริหารสวัสดิการแรงงานแบบยืดหยุ่นเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตวัยแรงงานรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกขึ้น โดยมีเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการส่งเสริมสวัสดิการแรงงานทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าร่วมโครงการ รวม 120 คน โดยมุ่งเน้นให้สามารถนําความรู้ที่ได้รับไปถ่ายทอดสู่นายจ้าง ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตวัยแรงงานรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15500
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินสมทบเข้ากองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย
วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2560 รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินสมทบเข้ากองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคสมทบทุนเข้ากองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย จํานวน 3 ราย วันนี้ (28 สิงหาคม 2560) เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคสมทบทุนเข้ากองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย จํานวน 3 ราย ได้แก่ 1. เบญจจินดา จํานวนเงิน 1,000,000 บาท 2. มูลนิธิเบญจรงคกุล จํานวนเงิน 500,000 บาท และ 3. คุณวิชัย-คุณจุฑามาศ เบญจรงคกุล จํานวนเงิน 500,000 บาท โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้มอบของที่ระลึก พร้อมกล่าวแสดงความขอบคุณผู้บริจาคเงินดังกล่าวที่ได้สมทบเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลจะนําเงินบริจาคดังกล่าวไปดําเนินการตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคต่อไป อนึ่ง สําหรับผู้ที่บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรณีบุคคลธรรมดา สามารถนําเงินที่บริจาคไป หักลดหย่อนในการคํานวนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้สุทธิ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนําเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาคไปหักเป็นรายจ่ายในการคํานวนกําไรสุทธิได้ เท่าที่บริจาคแต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกําไรสุทธิ .................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินสมทบเข้ากองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2560 รมต.นร. ออมสินฯ รับมอบเงินสมทบเข้ากองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคสมทบทุนเข้ากองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย จํานวน 3 ราย วันนี้ (28 สิงหาคม 2560) เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรัฐบาลรับมอบเงินบริจาคสมทบทุนเข้ากองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย จํานวน 3 ราย ได้แก่ 1. เบญจจินดา จํานวนเงิน 1,000,000 บาท 2. มูลนิธิเบญจรงคกุล จํานวนเงิน 500,000 บาท และ 3. คุณวิชัย-คุณจุฑามาศ เบญจรงคกุล จํานวนเงิน 500,000 บาท โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้มอบของที่ระลึก พร้อมกล่าวแสดงความขอบคุณผู้บริจาคเงินดังกล่าวที่ได้สมทบเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย พร้อมกล่าวว่ารัฐบาลจะนําเงินบริจาคดังกล่าวไปดําเนินการตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคต่อไป อนึ่ง สําหรับผู้ที่บริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรณีบุคคลธรรมดา สามารถนําเงินที่บริจาคไป หักลดหย่อนในการคํานวนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เท่าที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้สุทธิ กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถนําเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่บริจาคไปหักเป็นรายจ่ายในการคํานวนกําไรสุทธิได้ เท่าที่บริจาคแต่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกําไรสุทธิ .................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6247
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ผนึกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินคดี 4 มือโพสต์เฟคนิวส์ กุข่าวไปรษณีย์เตือน! มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 จากจดหมายหรือพัสดุ [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม]
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ ผนึกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) ดําเนินคดี 4 มือโพสต์เฟคนิวส์ กุข่าวไปรษณีย์เตือน! มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 จากจดหมายหรือพัสดุ [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม] พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผู้บังคับการข่าวกรองยาเสพติด กองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด หัวหน้าตํารวจประสานงานกระทรวงดิจิทัลฯ และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) แถลงถึงผลการดําเนินคดีที่เกี่ยวกับการเสนอข พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผู้บังคับการข่าวกรองยาเสพติด กองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด หัวหน้าตํารวจประสานงานกระทรวงดิจิทัลฯ และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) แถลงถึงผลการดําเนินคดีที่เกี่ยวกับการเสนอข่าวอันไม่เป็นความจริง บิดเบือนข่าวสารในสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ว่า ได้ดําเนินการตรวจค้นเป้าหมาย 16 ราย โดยมีการออกหมายค้น 4 จุด และดําเนินคดี 4 ราย ซึ่งมีการโพสต์เฟซบุ๊ก “ไปรษณีย์เตือน! มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 จากจดหมายหรือพัสดุ” ซึ่งทางบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) แจ้งว่าเป็นข่าวปลอม ทั้ง 4 ราย ยอมรับว่าโพสต์จริง ส่วนอีก 12 ราย ได้เตือนให้ระงับ/สั่งให้แก้ไขข่าว อาศัยอํานาจตามข้อกําหนด (ฉบับที่ 1) ข้อที่ 6 ซึ่งออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ณ ห้องประชุมชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลฯ ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2563 ทั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ โดยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร., พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผอ.ศปอส.ตร.(PCT) ได้สั่งการตามนโยบายรัฐบาลให้ดําเนินการตรวจสอบการกระทําความผิดดังกล่าว ***************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ผนึกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินคดี 4 มือโพสต์เฟคนิวส์ กุข่าวไปรษณีย์เตือน! มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 จากจดหมายหรือพัสดุ [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม] วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ ผนึกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) ดําเนินคดี 4 มือโพสต์เฟคนิวส์ กุข่าวไปรษณีย์เตือน! มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 จากจดหมายหรือพัสดุ [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม] พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผู้บังคับการข่าวกรองยาเสพติด กองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด หัวหน้าตํารวจประสานงานกระทรวงดิจิทัลฯ และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) แถลงถึงผลการดําเนินคดีที่เกี่ยวกับการเสนอข พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผู้บังคับการข่าวกรองยาเสพติด กองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด หัวหน้าตํารวจประสานงานกระทรวงดิจิทัลฯ และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีสารสนเทศสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) แถลงถึงผลการดําเนินคดีที่เกี่ยวกับการเสนอข่าวอันไม่เป็นความจริง บิดเบือนข่าวสารในสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ว่า ได้ดําเนินการตรวจค้นเป้าหมาย 16 ราย โดยมีการออกหมายค้น 4 จุด และดําเนินคดี 4 ราย ซึ่งมีการโพสต์เฟซบุ๊ก “ไปรษณีย์เตือน! มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 จากจดหมายหรือพัสดุ” ซึ่งทางบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) แจ้งว่าเป็นข่าวปลอม ทั้ง 4 ราย ยอมรับว่าโพสต์จริง ส่วนอีก 12 ราย ได้เตือนให้ระงับ/สั่งให้แก้ไขข่าว อาศัยอํานาจตามข้อกําหนด (ฉบับที่ 1) ข้อที่ 6 ซึ่งออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ณ ห้องประชุมชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลฯ ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2563 ทั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ โดยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร., พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผอ.ศปอส.ตร.(PCT) ได้สั่งการตามนโยบายรัฐบาลให้ดําเนินการตรวจสอบการกระทําความผิดดังกล่าว ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29669
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปิดงาน “ตลาดเกษตร เกรดพรีเมี่ยม” รายได้สะพัดตลาดคลองผดุงกรุงเกษม กว่า 26 ล้านบาท
วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปิดงาน “ตลาดเกษตร เกรดพรีเมี่ยม” รายได้สะพัดตลาดคลองผดุงกรุงเกษม กว่า 26 ล้านบาท ลธน. เป็นประธานปิดตลาดคลองผดุงกรุงเกษมพร้อมมอบเกียรติบัตรแก่ผู้ประกอบการและตัวแทนหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนในการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้ความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2560) เวลา 14.00 น. ณ เวทีกลางตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีปิดงาน “ตลาดเกษตร เกรด พรีเมี่ยม” โดยนําสินค้าเกษตรเกรดคุณภาพดีจํานวนหลากหลายมาเสนอประชาชนในราคาย่อมเยา ทั้งนี้มี นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เข้าร่วมงาน โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพ ภายใต้ความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งประสบผลสําร็จด้วยดีมีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 26 ล้านบาท พร้อมส่งมอบป้ายตลาดคลองผดุงกรุงเกษมให้แก่ผู้แทนธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SMEs BANK) เจ้าภาพจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในเดือนธันวาคม 2560 และส่งมอบป้ายตลาดคลองผดุงกรุงเกษมสู่ตลาดประชารัฐให้แก่ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย โอกาสนี้ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในพิธีพร้อมกล่าวปิดงานฯ ว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการที่จําหน่ายสินค้าและได้รับเกียรติบัตรในครั้งนี้ และขอบคุณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้สนับสนุนการจัดงานด้วยดีตลอดเดือนพฤศจิกายน 2560 ทั้งนี้ การจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล เป็นดําริของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยจากทั่วประเทศได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาพบปะผู้บริโภคโดยตรง ด้วยการจําหน่ายสินค้าท้องถิ่นในราคาย่อมเยาโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง อีกทั้งเป็นการให้ทุกกระทรวงหรือหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ หมุนเวียนมาจัดงานภายในตลาด ซึ่งตลาดคลองผดุงกรุงเกษมเป็นการลดความเลื่อมล้ําในสังคม พร้อมเพิ่มรายได้และเพิ่มช่องทางในการจําหน่ายสินค้าแก่ผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตลอดจนเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนเมืองและชนบทด้วยวิถีชีวิตความเป็นไทย ถือเป็นการดําเนินงานตามแนวทาง “ประชารัฐ” ที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง และเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนรากฐานให้มีความเข้มแข็งและมั่นคง พร้อมกระจายรายได้สู่กลุ่มเกษตรกรและชุมชนทั่วประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป .................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปิดงาน “ตลาดเกษตร เกรดพรีเมี่ยม” รายได้สะพัดตลาดคลองผดุงกรุงเกษม กว่า 26 ล้านบาท วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปิดงาน “ตลาดเกษตร เกรดพรีเมี่ยม” รายได้สะพัดตลาดคลองผดุงกรุงเกษม กว่า 26 ล้านบาท ลธน. เป็นประธานปิดตลาดคลองผดุงกรุงเกษมพร้อมมอบเกียรติบัตรแก่ผู้ประกอบการและตัวแทนหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนในการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้ความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2560) เวลา 14.00 น. ณ เวทีกลางตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีปิดงาน “ตลาดเกษตร เกรด พรีเมี่ยม” โดยนําสินค้าเกษตรเกรดคุณภาพดีจํานวนหลากหลายมาเสนอประชาชนในราคาย่อมเยา ทั้งนี้มี นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เข้าร่วมงาน โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเจ้าภาพ ภายใต้ความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งประสบผลสําร็จด้วยดีมีรายได้กระจายสู่ชุมชนกว่า 26 ล้านบาท พร้อมส่งมอบป้ายตลาดคลองผดุงกรุงเกษมให้แก่ผู้แทนธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SMEs BANK) เจ้าภาพจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในเดือนธันวาคม 2560 และส่งมอบป้ายตลาดคลองผดุงกรุงเกษมสู่ตลาดประชารัฐให้แก่ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย โอกาสนี้ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานในพิธีพร้อมกล่าวปิดงานฯ ว่า ขอแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการที่จําหน่ายสินค้าและได้รับเกียรติบัตรในครั้งนี้ และขอบคุณกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้สนับสนุนการจัดงานด้วยดีตลอดเดือนพฤศจิกายน 2560 ทั้งนี้ การจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล เป็นดําริของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยจากทั่วประเทศได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาพบปะผู้บริโภคโดยตรง ด้วยการจําหน่ายสินค้าท้องถิ่นในราคาย่อมเยาโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง อีกทั้งเป็นการให้ทุกกระทรวงหรือหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ หมุนเวียนมาจัดงานภายในตลาด ซึ่งตลาดคลองผดุงกรุงเกษมเป็นการลดความเลื่อมล้ําในสังคม พร้อมเพิ่มรายได้และเพิ่มช่องทางในการจําหน่ายสินค้าแก่ผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตลอดจนเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนเมืองและชนบทด้วยวิถีชีวิตความเป็นไทย ถือเป็นการดําเนินงานตามแนวทาง “ประชารัฐ” ที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง และเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนรากฐานให้มีความเข้มแข็งและมั่นคง พร้อมกระจายรายได้สู่กลุ่มเกษตรกรและชุมชนทั่วประเทศให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป .................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8356
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. ส่งออกแรงงานไปทำงาน ตปท.แล้ว 47,368 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท [กระทรวงแรงงาน]
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 กกจ. ส่งออกแรงงานไปทํางาน ตปท.แล้ว 47,368 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท [กระทรวงแรงงาน] กกจ. ส่งออกแรงงานไปทํางาน ตปท.แล้ว 47,368 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย ตามที่ กรมการจัดหางาน มีนโยบายในการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ อย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี มุ่งส่งเสริมการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในประเทศที่มีศักยภาพ มีโอกาสได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อนํากลับมาใช้ในประเทศโดยเฉพาะในสาขาที่มีความจําเป็นต่อการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ ขณะนี้ (ตุลาคม 2562-เมษายน 2563) ส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศแล้ว 47,368 คน คิดเป็นร้อยละ 47.37 ของเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศที่ตั้งไว้ 100,000 คน โดยจัดส่งไปทํางานไต้หวันมากที่สุด 14,071 คน รองลงมาคือ สาธารณรัฐเกาหลี 5,755 คน มาเลเซีย 5,059 คน ญี่ปุ่น 4,481 คน และ อิสราเอล 3,273 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท ซึ่งหากประเทศไทยสามารถส่งแรงงานไทยได้ตามเป้าหมาย จะมีรายได้เข้าประเทศไม่น้อยกว่าปีละ 140,000 ล้านบาท นับเป็นแนวทางในการส่งเสริมการมีงานทําที่สามารถนําเงินตราเข้าประเทศได้จํานวนมาก อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทําให้การจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศอาจต้องใช้ระยะเวลาดําเนินการมากกว่าเดิม และการปฏิบัติงานต่างๆ ของกรมการจัดหางาน ได้ดําเนินการอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมโรค และประกาศกําหนดของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ขอย้ําให้แรงงานไทยที่สนใจเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ควรไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผู้ที่สนใจไปทํางานต่างประเทศ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางานนายสุชาติฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. ส่งออกแรงงานไปทำงาน ตปท.แล้ว 47,368 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท [กระทรวงแรงงาน] วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 กกจ. ส่งออกแรงงานไปทํางาน ตปท.แล้ว 47,368 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท [กระทรวงแรงงาน] กกจ. ส่งออกแรงงานไปทํางาน ตปท.แล้ว 47,368 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย ตามที่ กรมการจัดหางาน มีนโยบายในการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ อย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณภาพชีวิตที่ดี มุ่งส่งเสริมการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานในประเทศที่มีศักยภาพ มีโอกาสได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือ เพื่อนํากลับมาใช้ในประเทศโดยเฉพาะในสาขาที่มีความจําเป็นต่อการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ ขณะนี้ (ตุลาคม 2562-เมษายน 2563) ส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศแล้ว 47,368 คน คิดเป็นร้อยละ 47.37 ของเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศที่ตั้งไว้ 100,000 คน โดยจัดส่งไปทํางานไต้หวันมากที่สุด 14,071 คน รองลงมาคือ สาธารณรัฐเกาหลี 5,755 คน มาเลเซีย 5,059 คน ญี่ปุ่น 4,481 คน และ อิสราเอล 3,273 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 76,362 ล้านบาท ซึ่งหากประเทศไทยสามารถส่งแรงงานไทยได้ตามเป้าหมาย จะมีรายได้เข้าประเทศไม่น้อยกว่าปีละ 140,000 ล้านบาท นับเป็นแนวทางในการส่งเสริมการมีงานทําที่สามารถนําเงินตราเข้าประเทศได้จํานวนมาก อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทําให้การจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศอาจต้องใช้ระยะเวลาดําเนินการมากกว่าเดิม และการปฏิบัติงานต่างๆ ของกรมการจัดหางาน ได้ดําเนินการอยู่ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมโรค และประกาศกําหนดของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ขอย้ําให้แรงงานไทยที่สนใจเดินทางไปทํางานต่างประเทศ ควรไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผู้ที่สนใจไปทํางานต่างประเทศ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางานนายสุชาติฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31431
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐนตรีขอเวลาตัดสินใจเลือกพรรคการเมือง ขอให้ประชาชนศึกษานโยบายของแต่ละพรรคการเมืองให้ดี ว่าทำได้หรือไม่
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562 นายกรัฐนตรีขอเวลาตัดสินใจเลือกพรรคการเมือง ขอให้ประชาชนศึกษานโยบายของแต่ละพรรคการเมืองให้ดี ว่าทําได้หรือไม่ นายกรัฐนตรีขอเวลาตัดสินใจเลือกพรรคการเมือง ขอให้ประชาชนศึกษานโยบายของแต่ละพรรคการเมืองให้ดี ว่าทําได้หรือไม่ วันนี้ (2 มกราคม 2562 ) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงความชัดเจนทางการเมือง หลังพรรคพลังประชารัฐเตรียมจะเสนอเชิญเป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีพรรค ว่า ยังมีเวลาตัดสินใจ เรื่องนี้ต้องขอศึกษาดูก่อน ตอนนี้อยากให้ประชาชนได้ศึกษาแนวทางของแต่ละนโยบายของพรรคการเมือง ไม่ใช่ดูเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ต้องมองทุกพรรคถึงความเป็นไปได้ของนโยบายที่ออกมาแล้วทั้งหมด และดูว่ารัฐบาลปัจจุบันทําอะไรไปแล้วบ้าง เพราะบางทีกล่าวซ้ํากับสิ่งที่รัฐบาลทําไปแล้ว และนําเอาไปขยายไปในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ อันนี้ต้องระวังไม่อย่างนั้นจะเสียหาย เพราะถ้าประชาชนเชื่อมั่นไปแล้ว เมื่อถึงเวลาแล้วทําไม่ได้จะทําอย่างไร “ฉะนั้นอยากฝากประชาชนทุกคนในเมื่อได้คาดหวังจากการเลือกตั้ง เมื่อออกนโยบายต่าง ๆ มาแล้ว ท่านจะต้องจําคําของท่านให้ได้ ว่าจะทําอย่างไรอย่างที่ว่ามาว่าทําได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าวันหน้าพอเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาล แล้วก็ลืมกันหมด วันนี้ประชาชนต้องตัดสิน ต้องดูให้ดีว่าอะไรคืออะไร ตนเองก็กําลังดูอยู่ นโยบายหลายพรรคก็น่าสนใจ” นายกรัฐมนตรีกล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า สรุปได้หรือยังว่าขณะนี้อยู่ระหว่างตัดสินใจให้ชื่อกับพรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มี 2 ส่วน คือเราต้องศึกษาดูว่านโยบายพรรคนี้เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะให้ทุนการศึกษานั้นทําได้จริงมั้ย เพราะตนเป็นรัฐบาลอยู่ก็รู้ว่าการใช้จ่ายงบประมาณเป็นอย่างไร ฉะนั้นถ้าเราพูดไปแล้วทําไม่ได้ อย่างนี้มันเสียหาย ถ้าพูดอะไรเสียหายและเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่เห็นด้วย ไม่ได้พูดถึงพรรคใด หลายคนก็เสนอจะทําหลายอย่าง ซึ่งบางอย่างรัฐบาลทําอยู่แล้ว และไปพูดเหมือนกับรัฐบาลไม่ได้ทําอะไรเลย อย่างนี้มันไม่ใช่ บิดเบือนหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ขอให้ซื่อสัตย์ต่อตัวเองกันหน่อยแล้วกัน ในส่วนที่ 2 เมื่อดูนโยบายแต่ละพรรคและความเป็นไปได้ ก็จะตัดสินใจว่าจะชอบพรรคใด การตัดสินใจของตนเองเพราะต้องไปเลือกตั้งด้วย ดังนั้นการจะเลือกพรรคไหนเป็นเรื่องส่วนตัว แต่การจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ก็แล้วแต่ใครจะติดต่อมา ซึ่งตอนนี้มีให้ตัดสินใจ 2 อย่าง ขอให้ใจเย็น ๆ ------------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐนตรีขอเวลาตัดสินใจเลือกพรรคการเมือง ขอให้ประชาชนศึกษานโยบายของแต่ละพรรคการเมืองให้ดี ว่าทำได้หรือไม่ วันพุธที่ 2 มกราคม 2562 นายกรัฐนตรีขอเวลาตัดสินใจเลือกพรรคการเมือง ขอให้ประชาชนศึกษานโยบายของแต่ละพรรคการเมืองให้ดี ว่าทําได้หรือไม่ นายกรัฐนตรีขอเวลาตัดสินใจเลือกพรรคการเมือง ขอให้ประชาชนศึกษานโยบายของแต่ละพรรคการเมืองให้ดี ว่าทําได้หรือไม่ วันนี้ (2 มกราคม 2562 ) เวลา 13.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงความชัดเจนทางการเมือง หลังพรรคพลังประชารัฐเตรียมจะเสนอเชิญเป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีพรรค ว่า ยังมีเวลาตัดสินใจ เรื่องนี้ต้องขอศึกษาดูก่อน ตอนนี้อยากให้ประชาชนได้ศึกษาแนวทางของแต่ละนโยบายของพรรคการเมือง ไม่ใช่ดูเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ต้องมองทุกพรรคถึงความเป็นไปได้ของนโยบายที่ออกมาแล้วทั้งหมด และดูว่ารัฐบาลปัจจุบันทําอะไรไปแล้วบ้าง เพราะบางทีกล่าวซ้ํากับสิ่งที่รัฐบาลทําไปแล้ว และนําเอาไปขยายไปในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ อันนี้ต้องระวังไม่อย่างนั้นจะเสียหาย เพราะถ้าประชาชนเชื่อมั่นไปแล้ว เมื่อถึงเวลาแล้วทําไม่ได้จะทําอย่างไร “ฉะนั้นอยากฝากประชาชนทุกคนในเมื่อได้คาดหวังจากการเลือกตั้ง เมื่อออกนโยบายต่าง ๆ มาแล้ว ท่านจะต้องจําคําของท่านให้ได้ ว่าจะทําอย่างไรอย่างที่ว่ามาว่าทําได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าวันหน้าพอเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาล แล้วก็ลืมกันหมด วันนี้ประชาชนต้องตัดสิน ต้องดูให้ดีว่าอะไรคืออะไร ตนเองก็กําลังดูอยู่ นโยบายหลายพรรคก็น่าสนใจ” นายกรัฐมนตรีกล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า สรุปได้หรือยังว่าขณะนี้อยู่ระหว่างตัดสินใจให้ชื่อกับพรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มี 2 ส่วน คือเราต้องศึกษาดูว่านโยบายพรรคนี้เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะให้ทุนการศึกษานั้นทําได้จริงมั้ย เพราะตนเป็นรัฐบาลอยู่ก็รู้ว่าการใช้จ่ายงบประมาณเป็นอย่างไร ฉะนั้นถ้าเราพูดไปแล้วทําไม่ได้ อย่างนี้มันเสียหาย ถ้าพูดอะไรเสียหายและเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่เห็นด้วย ไม่ได้พูดถึงพรรคใด หลายคนก็เสนอจะทําหลายอย่าง ซึ่งบางอย่างรัฐบาลทําอยู่แล้ว และไปพูดเหมือนกับรัฐบาลไม่ได้ทําอะไรเลย อย่างนี้มันไม่ใช่ บิดเบือนหรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ขอให้ซื่อสัตย์ต่อตัวเองกันหน่อยแล้วกัน ในส่วนที่ 2 เมื่อดูนโยบายแต่ละพรรคและความเป็นไปได้ ก็จะตัดสินใจว่าจะชอบพรรคใด การตัดสินใจของตนเองเพราะต้องไปเลือกตั้งด้วย ดังนั้นการจะเลือกพรรคไหนเป็นเรื่องส่วนตัว แต่การจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ก็แล้วแต่ใครจะติดต่อมา ซึ่งตอนนี้มีให้ตัดสินใจ 2 อย่าง ขอให้ใจเย็น ๆ ------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17881
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรมประชาสัมพันธ์การจัดงานนิทรรศการ ปฏิบัติการถ้ำหลวงวาระแห่งโลก
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561 รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรมประชาสัมพันธ์การจัดงานนิทรรศการ ปฏิบัติการถ้ําหลวงวาระแห่งโลก รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรมประชาสัมพันธ์การจัดงานนิทรรศการ “ปฏิบัติการถ้ําหลวงวาระแห่งโลก” พร้อมเชิญชวนรับฟังเสวนาเบื้องหลังปฏิบัติการรวมพลังทั้งโลก 22 ส.ค.– 9 ก.ย.นี้ ที่สยามพารากอน วันนี้ (14 สิงหาคม 2561) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) นําคณะเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานนิทรรศการ “ปฏิบัติการถ้ําหลวงวาระแห่งโลก” ซึ่งจัดแสดงข้อมูลและภาพเหตุการณ์การช่วยชีวิต เด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมนักฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี ทั้ง 13 คน ที่ติดอยู่ ณ ถ้ําหลวง วนอุทยานถ้ําหลวง - ขุนน้ํานางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานว่า การช่วยเหลือชีวิตเด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมนักฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี ทั้ง 13 คน ที่ติดอยู่ ณ ถ้ําหลวง วนอุทยานถ้ําหลวง - ขุนน้ํานางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เป็นเหตุการณ์ครั้งสําคัญระดับโลกที่คนทั้งโลกต่างให้ความสนใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และน้อมสํานึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระเมตตา และทรงห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าว อีกทั้งเป็นการหลอมรวมความสมานสามัคคี และส่งกําลังใจจากทุกฝ่ายทั้งคนไทย และชาวต่างชาติในภารกิจการช่วยเหลือทั้ง 13 ชีวิต ที่ติดอยู่ในถ้ําหลวง นอกจากนี้ ยังมีการประสานงานระดับชาติในการระดมความร่วมมือกันวางแผนการดําเนินงานอย่างมีระบบตามมาตรฐานสากล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานเพิ่มอีกว่า วธ.ได้มอบหมายให้สํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและเอกชนดําเนินการรวบรวมข้อมูลและภาพเหตุการณ์นํามาจัดนิทรรศการ “ปฏิบัติการถ้ําหลวงวาระแห่งโลก” เพื่อถอดบทเรียนในมิติวัฒนธรรมและวิถีชีวิตในสังคมไทย เพื่อให้เด็ก เยาวชนและประชาชนได้เรียนรู้ในเรื่องความมีน้ําใจไมตรี วินัย จิตอาสาและความสามัคคี ตลอดจนการแสดงน้ําใจ ความห่วงใยและความช่วยเหลือจากคนทั่วโลก รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ในเรื่องของธรรมชาติ ธรณีสัณฐาน ลักษณะทางกายภาพของถ้ําหลวง และข้อควรระวังในการเข้าไปภายในถ้ําหรือป่าเขาและองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ นิทรรศการดังกล่าว แบ่งเป็น 7 โซน ได้แก่ 1. “เมื่อ 13 ชีวิต คิดพิชิตถ้ําหลวง” ทําความรู้จักทีมหมูป่าอะคาเดมี และถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน 2. “นาทีชีวิตวิกฤตเสี่ยงตาย” เรียนรู้ธรณีสัณฐานและลักษณะทางกายภาพของถ้ําหลวง และวิธีเอาตัวรอดจากอุโมงค์น้ําอันตราย 3.“วิกฤตใหญ่รวมใจไทยเป็นหนึ่ง” แสดงถึง “คนไทยไม่เคยทิ้งกัน” ความร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่ายในการช่วยเหลือที่ต้องแข่งขันกับเวลา 4.“ปฏิบัติการถ้ําหลวงวาระแห่งโลก” สัมผัสเรื่องราวมิตรภาพไร้พรมแดนผ่านการช่วยเหลือจากมิตรประเทศทั่วโลก 5. “คารวะผู้กล้าสดุดีจ่าแซม” ซึมซับเรื่องราวของจ่าแซม และทีมปฏิบัติการช่วยเหลือจากทั่วโลกที่ยอมเสียสละทั้งแรงกาย แรงใจและชีวิต เพื่อให้ภารกิจสําเร็จตามเป้าหมาย 6.“บทเรียนที่โลกทึ่ง” ถอดบทเรียนจากปฏิบัติถ้ําหลวงทั้งกู้ภัยโมเดล ภาวะผู้นํา การตัดสินใจ ความร่วมมือและมิตรภาพไร้พรมแดน และ7.“จารึกปฏิบัติการถ้ําหลวง 19 วัน แห่งการช่วยเหลือ” แสดงถึงความร่วมมือจากทุกฝ่าย ความยากลําบาก และความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆของปฏิบัติการช่วยเหลือในแต่ละวันตลอดระยะเวลา 19 วัน โดยในส่วนกลางจะจัดนิทรรศการดังกล่าวขึ้น ระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 9 กันยายน 2561 ณ ไลฟ์สไตล์ ฮอลล์ สยามพารากอน และร่วมรับฟังการเสวนา “ปฏิบัติการถ้ําหลวง วาระแห่งโลก” ในวันที่ 22 สิงหาคม 2561 โดยเชิญผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการช่วยเหลือที่เป็นการรวมพลังของทั่วโลกมาร่วมเสวนา เพื่อเป็นเวทีกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดบทเรียนจากประสบการณ์กู้ชีพ 13 ชีวิต ทีมหมูป่าอะคาเดมีเกี่ยวกับคุณธรรม 4 ประการ ได้แก่ พอเพียง วินัย สุจริตและจิตอาสา ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าชมนิทรรศการฯ จะได้รับหนังสือ ประมวลภาพเหตุการณ์ ปฏิบัติการถ้ําหลวงบันทึกวาระแห่งโลกด้วย หลังจากนั้น วธ.จะนํานิทรรศการนี้สัญจรไปจัดแสดงใน 4 ภูมิภาค ทั่วประเทศ โอกาสนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนเด็ก เยาวชน และประชาชนร่วมชมนิทรรศการและรับฟังการเสวนา ซึ่งเป็นการถอดบทเรียนจากการปฏิบัติช่วยเหลือเด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมนักฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี ทั้ง 13 คน ที่ติดอยู่ในถ้ําหลวง นอกจากนี้ วธ.ได้มอบหมายให้กรมศิลปากร โดยสํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติจัดทําบันทึกเหตุการณ์ และภาพประวัติศาสตร์การช่วยชีวิต เด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมนักฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี ทั้ง 13 คน ที่ติดอยู่ในถ้ําหลวงโดยลําดับเหตุการณ์ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ติดอยู่ในถ้ําหลวง ภารกิจการวางแผน และการดําเนินการช่วยเหลือจากทุกฝ่ายทั้งจากในไทยและต่างประเทศ กระทั่งสําเร็จลุล่วงในที่สุด โดยวธ.จะจัดทําจดหมายเหตุเป็น 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาจีน อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะจัดทําจดหมายเหตุดังกล่าวแล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อนําไปเผยแพร่ต่อไป ................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรมประชาสัมพันธ์การจัดงานนิทรรศการ ปฏิบัติการถ้ำหลวงวาระแห่งโลก วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561 รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรมประชาสัมพันธ์การจัดงานนิทรรศการ ปฏิบัติการถ้ําหลวงวาระแห่งโลก รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรมประชาสัมพันธ์การจัดงานนิทรรศการ “ปฏิบัติการถ้ําหลวงวาระแห่งโลก” พร้อมเชิญชวนรับฟังเสวนาเบื้องหลังปฏิบัติการรวมพลังทั้งโลก 22 ส.ค.– 9 ก.ย.นี้ ที่สยามพารากอน วันนี้ (14 สิงหาคม 2561) เวลา 08.30 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) นําคณะเข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานนิทรรศการ “ปฏิบัติการถ้ําหลวงวาระแห่งโลก” ซึ่งจัดแสดงข้อมูลและภาพเหตุการณ์การช่วยชีวิต เด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมนักฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี ทั้ง 13 คน ที่ติดอยู่ ณ ถ้ําหลวง วนอุทยานถ้ําหลวง - ขุนน้ํานางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานว่า การช่วยเหลือชีวิตเด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมนักฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี ทั้ง 13 คน ที่ติดอยู่ ณ ถ้ําหลวง วนอุทยานถ้ําหลวง - ขุนน้ํานางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เป็นเหตุการณ์ครั้งสําคัญระดับโลกที่คนทั้งโลกต่างให้ความสนใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และน้อมสํานึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงพระเมตตา และทรงห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าว อีกทั้งเป็นการหลอมรวมความสมานสามัคคี และส่งกําลังใจจากทุกฝ่ายทั้งคนไทย และชาวต่างชาติในภารกิจการช่วยเหลือทั้ง 13 ชีวิต ที่ติดอยู่ในถ้ําหลวง นอกจากนี้ ยังมีการประสานงานระดับชาติในการระดมความร่วมมือกันวางแผนการดําเนินงานอย่างมีระบบตามมาตรฐานสากล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานเพิ่มอีกว่า วธ.ได้มอบหมายให้สํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐและเอกชนดําเนินการรวบรวมข้อมูลและภาพเหตุการณ์นํามาจัดนิทรรศการ “ปฏิบัติการถ้ําหลวงวาระแห่งโลก” เพื่อถอดบทเรียนในมิติวัฒนธรรมและวิถีชีวิตในสังคมไทย เพื่อให้เด็ก เยาวชนและประชาชนได้เรียนรู้ในเรื่องความมีน้ําใจไมตรี วินัย จิตอาสาและความสามัคคี ตลอดจนการแสดงน้ําใจ ความห่วงใยและความช่วยเหลือจากคนทั่วโลก รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ในเรื่องของธรรมชาติ ธรณีสัณฐาน ลักษณะทางกายภาพของถ้ําหลวง และข้อควรระวังในการเข้าไปภายในถ้ําหรือป่าเขาและองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ นิทรรศการดังกล่าว แบ่งเป็น 7 โซน ได้แก่ 1. “เมื่อ 13 ชีวิต คิดพิชิตถ้ําหลวง” ทําความรู้จักทีมหมูป่าอะคาเดมี และถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน 2. “นาทีชีวิตวิกฤตเสี่ยงตาย” เรียนรู้ธรณีสัณฐานและลักษณะทางกายภาพของถ้ําหลวง และวิธีเอาตัวรอดจากอุโมงค์น้ําอันตราย 3.“วิกฤตใหญ่รวมใจไทยเป็นหนึ่ง” แสดงถึง “คนไทยไม่เคยทิ้งกัน” ความร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่ายในการช่วยเหลือที่ต้องแข่งขันกับเวลา 4.“ปฏิบัติการถ้ําหลวงวาระแห่งโลก” สัมผัสเรื่องราวมิตรภาพไร้พรมแดนผ่านการช่วยเหลือจากมิตรประเทศทั่วโลก 5. “คารวะผู้กล้าสดุดีจ่าแซม” ซึมซับเรื่องราวของจ่าแซม และทีมปฏิบัติการช่วยเหลือจากทั่วโลกที่ยอมเสียสละทั้งแรงกาย แรงใจและชีวิต เพื่อให้ภารกิจสําเร็จตามเป้าหมาย 6.“บทเรียนที่โลกทึ่ง” ถอดบทเรียนจากปฏิบัติถ้ําหลวงทั้งกู้ภัยโมเดล ภาวะผู้นํา การตัดสินใจ ความร่วมมือและมิตรภาพไร้พรมแดน และ7.“จารึกปฏิบัติการถ้ําหลวง 19 วัน แห่งการช่วยเหลือ” แสดงถึงความร่วมมือจากทุกฝ่าย ความยากลําบาก และความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆของปฏิบัติการช่วยเหลือในแต่ละวันตลอดระยะเวลา 19 วัน โดยในส่วนกลางจะจัดนิทรรศการดังกล่าวขึ้น ระหว่างวันที่ 22 สิงหาคม – 9 กันยายน 2561 ณ ไลฟ์สไตล์ ฮอลล์ สยามพารากอน และร่วมรับฟังการเสวนา “ปฏิบัติการถ้ําหลวง วาระแห่งโลก” ในวันที่ 22 สิงหาคม 2561 โดยเชิญผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการช่วยเหลือที่เป็นการรวมพลังของทั่วโลกมาร่วมเสวนา เพื่อเป็นเวทีกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถอดบทเรียนจากประสบการณ์กู้ชีพ 13 ชีวิต ทีมหมูป่าอะคาเดมีเกี่ยวกับคุณธรรม 4 ประการ ได้แก่ พอเพียง วินัย สุจริตและจิตอาสา ทั้งนี้ ผู้ที่เข้าชมนิทรรศการฯ จะได้รับหนังสือ ประมวลภาพเหตุการณ์ ปฏิบัติการถ้ําหลวงบันทึกวาระแห่งโลกด้วย หลังจากนั้น วธ.จะนํานิทรรศการนี้สัญจรไปจัดแสดงใน 4 ภูมิภาค ทั่วประเทศ โอกาสนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนเด็ก เยาวชน และประชาชนร่วมชมนิทรรศการและรับฟังการเสวนา ซึ่งเป็นการถอดบทเรียนจากการปฏิบัติช่วยเหลือเด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมนักฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี ทั้ง 13 คน ที่ติดอยู่ในถ้ําหลวง นอกจากนี้ วธ.ได้มอบหมายให้กรมศิลปากร โดยสํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติจัดทําบันทึกเหตุการณ์ และภาพประวัติศาสตร์การช่วยชีวิต เด็กและผู้ช่วยโค้ชทีมนักฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี ทั้ง 13 คน ที่ติดอยู่ในถ้ําหลวงโดยลําดับเหตุการณ์ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ติดอยู่ในถ้ําหลวง ภารกิจการวางแผน และการดําเนินการช่วยเหลือจากทุกฝ่ายทั้งจากในไทยและต่างประเทศ กระทั่งสําเร็จลุล่วงในที่สุด โดยวธ.จะจัดทําจดหมายเหตุเป็น 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาจีน อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะจัดทําจดหมายเหตุดังกล่าวแล้วเสร็จภายในปีนี้ เพื่อนําไปเผยแพร่ต่อไป ................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14586
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๖๑
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๖๑ ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม๒๕๖๑ เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ซึ่งจะส่งผลให้คุณภาพของบัณฑิตในสาขาหรือสาขาวิชาของแต่ละระดับคุณวุฒิมีมาตรฐานใกล้เคียงกันสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งที่จัดการศึกษาหลักสูตรระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ต้องปรับปรุงหลักสูตรให้เป็นไปตามประกาศนี้ ภายในปีการศึกษา ๒๕๖๓ สาระสําคัญของประกาศคือ ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ กําหนดให้จัดทํามาตรฐานคุณวุฒิสาขาหรือสาขาวิชา เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษานําไปจัดทําหลักสูตรหรือปรับปรุงหลักสูตรและจัดการเรียนการสอน เพื่อให้คุณภาพของบัณฑิตในสาขาหรือสาขาวิชาของแต่ละระดับคุณวุฒิมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน จึงจําเป็นต้องกําหนดมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ ให้สอดคล้องกับกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติดังกล่าว การจัดการศึกษาหลักสูตรระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์[นิติศาสตรบัณฑิต (น.บ.):Bachelor of Laws (LL.B.)]ต้องมีมาตรฐานไม่ต่ํากว่ามาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๖๑ ดังนั้น สถาบันอุดมศึกษาใดที่จัดการศึกษาในหลักสูตรระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ อยู่ในวันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับต้องปรับปรุงหลักสูตรให้เป็นไปตามประกาศนี้ ภายในปีการศึกษา ๒๕๖๓ อนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาแพทยศาสตร์พ.ศ.๒๕๖๑ ไปแล้ว (อ่านเพิ่มเติม) ซึ่งประกาศกระทรวงศึกษาธิการในการกําหนดมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรีสาขาวิชาต่าง ๆลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อ่าน..ราชกิจจานุเบกษาฉบับนี้ รายละเอียดราชกิจจานุเบกษา(มีทั้งหมด ๑๘ หน้า) Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๖๑ วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๖๑ ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม๒๕๖๑ เผยแพร่ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้สอดคล้องกับกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ ซึ่งจะส่งผลให้คุณภาพของบัณฑิตในสาขาหรือสาขาวิชาของแต่ละระดับคุณวุฒิมีมาตรฐานใกล้เคียงกันสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งที่จัดการศึกษาหลักสูตรระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ต้องปรับปรุงหลักสูตรให้เป็นไปตามประกาศนี้ ภายในปีการศึกษา ๒๕๖๓ สาระสําคัญของประกาศคือ ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ กําหนดให้จัดทํามาตรฐานคุณวุฒิสาขาหรือสาขาวิชา เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษานําไปจัดทําหลักสูตรหรือปรับปรุงหลักสูตรและจัดการเรียนการสอน เพื่อให้คุณภาพของบัณฑิตในสาขาหรือสาขาวิชาของแต่ละระดับคุณวุฒิมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน จึงจําเป็นต้องกําหนดมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ ให้สอดคล้องกับกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติดังกล่าว การจัดการศึกษาหลักสูตรระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์[นิติศาสตรบัณฑิต (น.บ.):Bachelor of Laws (LL.B.)]ต้องมีมาตรฐานไม่ต่ํากว่ามาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๖๑ ดังนั้น สถาบันอุดมศึกษาใดที่จัดการศึกษาในหลักสูตรระดับปริญญาตรี สาขาวิชานิติศาสตร์ อยู่ในวันที่ประกาศฉบับนี้ใช้บังคับต้องปรับปรุงหลักสูตรให้เป็นไปตามประกาศนี้ ภายในปีการศึกษา ๒๕๖๓ อนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาแพทยศาสตร์พ.ศ.๒๕๖๑ ไปแล้ว (อ่านเพิ่มเติม) ซึ่งประกาศกระทรวงศึกษาธิการในการกําหนดมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรีสาขาวิชาต่าง ๆลงนามโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อ่าน..ราชกิจจานุเบกษาฉบับนี้ รายละเอียดราชกิจจานุเบกษา(มีทั้งหมด ๑๘ หน้า) Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17547
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชู “1 จังหวัด 1 รพ.สต. ปลูกผักปลอดภัย” ช่วยผู้มีรายได้ตามนโยบายรัฐบาล ให้พึ่งพาตนเองได้
วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2560 สธ. ชู “1 จังหวัด 1 รพ.สต. ปลูกผักปลอดภัย” ช่วยผู้มีรายได้ตามนโยบายรัฐบาล ให้พึ่งพาตนเองได้ กระทรวงสาธารณสุข หนุนนโยบายรัฐบาล ช่วยผู้มีรายได้น้อยที่ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาล ให้มีรายได้ทั่วประเทศ ชู “1 จังหวัด 1 รพ.สต. ปลูกผักปลอดภัย” จําหน่ายให้แก่โรงพยาบาล พร้อมเสริมนวดไทย ดูแลผู้สูงอายุ เพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย กระทรวงสาธารณสุข หนุนนโยบายรัฐบาล ช่วยผู้มีรายได้น้อยที่ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาล ให้มีรายได้ทั่วประเทศ ชู “1 จังหวัด 1 รพ.สต. ปลูกผักปลอดภัย” จําหน่ายให้แก่โรงพยาบาล พร้อมเสริมนวดไทย ดูแลผู้สูงอายุ เพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขเสนอแนวทางในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ขึ้นทะเบียนไว้กับทางรัฐบาลประมาณ 11 ล้านคนให้มีรายได้เพิ่ม โดยมอบให้คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมสนับสนุน สอดคล้องกับบริบทสภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ อาทิ การนําภูมิปัญญาสมุนไพรในท้องถิ่นใน 13 จังหวัด 12 เขตสุขภาพทําเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย จําหน่ายสร้างรายได้ให้แก่ตนเองและชุมชน การจัดอบรมหลักสูตรการนวดไทยเพื่อสุขภาพ ใน 76 จังหวัด ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและคนพิการ โดยแบ่งเป็น 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรนวดเท้าเพื่อสุขภาพ 60ชั่วโมง และนวดตัวเพื่อสุขภาพ 150 ชั่วโมง และอบรมภาคปฏิบัติให้แก่ผู้ดูแลผู้สูงอายุ จํานวน 70 ชั่วโมง เพิ่มรายได้และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในชุมชนเพื่อการดูแลผู้สูงอายุ นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังดําเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจัดทําโครงการ “1 จังหวัด 1 รพ.สต. ปลูกผักปลอดภัย”สนับสนุนที่ดินว่างเปล่า ในพื้นที่รับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล(รพ.สต.)ทั่วประเทศ ให้ผู้มีรายได้น้อยทําการเกษตรปลูกพืชปลอดภัย เพื่อผลิตและจําหน่ายแก่โรงพยาบาลในพื้นที่ ให้เป็นแหล่งวัตถุดิบที่ปลอดภัยต่อการบริโภคปลอดจากสารเคมีตกค้าง และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน *************************** 24 ธันวาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ชู “1 จังหวัด 1 รพ.สต. ปลูกผักปลอดภัย” ช่วยผู้มีรายได้ตามนโยบายรัฐบาล ให้พึ่งพาตนเองได้ วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม 2560 สธ. ชู “1 จังหวัด 1 รพ.สต. ปลูกผักปลอดภัย” ช่วยผู้มีรายได้ตามนโยบายรัฐบาล ให้พึ่งพาตนเองได้ กระทรวงสาธารณสุข หนุนนโยบายรัฐบาล ช่วยผู้มีรายได้น้อยที่ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาล ให้มีรายได้ทั่วประเทศ ชู “1 จังหวัด 1 รพ.สต. ปลูกผักปลอดภัย” จําหน่ายให้แก่โรงพยาบาล พร้อมเสริมนวดไทย ดูแลผู้สูงอายุ เพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย กระทรวงสาธารณสุข หนุนนโยบายรัฐบาล ช่วยผู้มีรายได้น้อยที่ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาล ให้มีรายได้ทั่วประเทศ ชู “1 จังหวัด 1 รพ.สต. ปลูกผักปลอดภัย” จําหน่ายให้แก่โรงพยาบาล พร้อมเสริมนวดไทย ดูแลผู้สูงอายุ เพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขเสนอแนวทางในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ขึ้นทะเบียนไว้กับทางรัฐบาลประมาณ 11 ล้านคนให้มีรายได้เพิ่ม โดยมอบให้คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนร่วมสนับสนุน สอดคล้องกับบริบทสภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ อาทิ การนําภูมิปัญญาสมุนไพรในท้องถิ่นใน 13 จังหวัด 12 เขตสุขภาพทําเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย จําหน่ายสร้างรายได้ให้แก่ตนเองและชุมชน การจัดอบรมหลักสูตรการนวดไทยเพื่อสุขภาพ ใน 76 จังหวัด ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและคนพิการ โดยแบ่งเป็น 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรนวดเท้าเพื่อสุขภาพ 60ชั่วโมง และนวดตัวเพื่อสุขภาพ 150 ชั่วโมง และอบรมภาคปฏิบัติให้แก่ผู้ดูแลผู้สูงอายุ จํานวน 70 ชั่วโมง เพิ่มรายได้และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในชุมชนเพื่อการดูแลผู้สูงอายุ นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังดําเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจัดทําโครงการ “1 จังหวัด 1 รพ.สต. ปลูกผักปลอดภัย”สนับสนุนที่ดินว่างเปล่า ในพื้นที่รับผิดชอบโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล(รพ.สต.)ทั่วประเทศ ให้ผู้มีรายได้น้อยทําการเกษตรปลูกพืชปลอดภัย เพื่อผลิตและจําหน่ายแก่โรงพยาบาลในพื้นที่ ให้เป็นแหล่งวัตถุดิบที่ปลอดภัยต่อการบริโภคปลอดจากสารเคมีตกค้าง และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน *************************** 24 ธันวาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8960
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.ต.อ.อดุลย์ ประธาน กมธ.แรงงาน ลงพื้นที่ชลบุรี ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการต้นแบบการจ้างงานที่ดี
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563 พล.ต.อ.อดุลย์ ประธาน กมธ.แรงงาน ลงพื้นที่ชลบุรี ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการต้นแบบการจ้างงานที่ดี พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงานวุฒิสภา และคณะ ลงพื้นที่ชลบุรีรับฟังปัญหาผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ติดตามศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ความพร้อมรองรับการว่างงาน พัฒนาอาชีพจากฐานชีวิตวิถีใหม่ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา กล่าวว่า ในวันนี้ (20 ส.ค.63) คณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ได้ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรีมารับฟังสภาพปัญหาของประชาชนและผู้ประกอบการเพื่อติดตามสถานการณ์ที่มีผลกระทบด้านแรงงานจากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ตลอดจนความพร้อมของแต่ละภาคส่วนในการเตรียมการรองรับปัญหาการว่างงาน การพัฒนาอาชีพที่อาจเกิดขึ้นใหม่จากฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) และการดําเนินงานของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยได้เดินทางมาในพื้นที่ 2 จุด คือ จุดแรกที่ศาลากลางจังหวัดชลบุรี โดยมี นายภัครธรณ์ เทียนไชยผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวต้อนรับ พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวต่อว่า จุดที่สองได้ไปที่บริษัท คิงส์ แพ็ค อินดัสเตรียล จํากัด ตั้งอยู่เลขที่ 333 หมู่ 4 ตําบลหนองไม้แดง อําเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการผู้ผลิตถุงพลาสติกภายใต้ตราสินค้า HERO เพื่อรับฟังบรรยายสรุปและศึกษาดูงานประเด็นของผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทางโรงงานได้รับเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นและความต้องการแรงงานที่ทางโรงงานประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ ปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 2,500 คน แบ่งเป็นฝ่ายผลิต 2,300 คน คิดเป็นคนไทย 55 % และกัมพูชา 45 % ส่วนสํานักงานประมาณ 200 คน มีระบบสวัสดิการให้พนักงานทั้งกองทุนประสังคม กองทุนเงินทดแทน ประกันกลุ่ม เบี้ยขยัน เงินกู้ ค่าอาหาร และสวัสดิการอื่นๆ สําหรับบริษัทแห่งนี้เป็นสถานประกอบการที่มีระบบการจ้างงานที่ดี ในช่วงโควิดมีการจ้างงานเพิ่ม เนื่องจากมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้น กระทรวงแรงงานได้เข้าไปสนับสนุนในการนําคนไทยมาจ้างแทนแรงงานต่างด้าว ซึ่งสถานประกอบการมีการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ พล.ต.อ.อดุลย์ ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของจังหวัดชลบุรี มีสถานประกอบการ 16,247 แห่ง ลูกจ้าง 756,599 คน มีตําแหน่งงานว่าง 10,237 อัตรา มีผู้ประกันตนจํานวนรวมทั้งสิ้น 878,795 คน มีแรงงานต่างด้าว 135,945 คน มีความต้องการแรงงานประมงทะเล 1,759 คน และความต้องการแรงงานประมง 761 คน ขอรับสิทธิว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัยโควิด-19 จํานวน 97,751 คน จ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 756.07 ล้านบาท สถานประกอบการเลิกจ้าง/ปิดกิจการ 7 แห่ง ลูกจ้าง 4,523 คน ใช้มาตรา 75 จํานวน 482 แห่ง ลูกจ้าง 351,311 คน จากการรับฟังสภาพปัญหาในพื้นที่ด้านแรงงาน ซึ่งขณะนี้สถานการณ์โควิดคลี่คลายลงแล้ว จากนี้รัฐบาลจะได้มีการขับเคลื่อนในด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ได้มีงานทํา ทั้งการหางานให้ การ Up skill/Re skill เพื่อให้มีทักษะฝีมือสูงขึ้นตามความต้องการของผู้ประกอบการ และมีหลักประกันความมั่นคงในชีวิตต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.ต.อ.อดุลย์ ประธาน กมธ.แรงงาน ลงพื้นที่ชลบุรี ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการต้นแบบการจ้างงานที่ดี วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563 พล.ต.อ.อดุลย์ ประธาน กมธ.แรงงาน ลงพื้นที่ชลบุรี ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการต้นแบบการจ้างงานที่ดี พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงานวุฒิสภา และคณะ ลงพื้นที่ชลบุรีรับฟังปัญหาผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ติดตามศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ความพร้อมรองรับการว่างงาน พัฒนาอาชีพจากฐานชีวิตวิถีใหม่ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ประธานคณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา กล่าวว่า ในวันนี้ (20 ส.ค.63) คณะกรรมาธิการการแรงงาน วุฒิสภา ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ได้ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรีมารับฟังสภาพปัญหาของประชาชนและผู้ประกอบการเพื่อติดตามสถานการณ์ที่มีผลกระทบด้านแรงงานจากการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ตลอดจนความพร้อมของแต่ละภาคส่วนในการเตรียมการรองรับปัญหาการว่างงาน การพัฒนาอาชีพที่อาจเกิดขึ้นใหม่จากฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) และการดําเนินงานของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยได้เดินทางมาในพื้นที่ 2 จุด คือ จุดแรกที่ศาลากลางจังหวัดชลบุรี โดยมี นายภัครธรณ์ เทียนไชยผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี กล่าวต้อนรับ พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวต่อว่า จุดที่สองได้ไปที่บริษัท คิงส์ แพ็ค อินดัสเตรียล จํากัด ตั้งอยู่เลขที่ 333 หมู่ 4 ตําบลหนองไม้แดง อําเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการผู้ผลิตถุงพลาสติกภายใต้ตราสินค้า HERO เพื่อรับฟังบรรยายสรุปและศึกษาดูงานประเด็นของผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทางโรงงานได้รับเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นและความต้องการแรงงานที่ทางโรงงานประสบปัญหาอยู่ในขณะนี้ ปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 2,500 คน แบ่งเป็นฝ่ายผลิต 2,300 คน คิดเป็นคนไทย 55 % และกัมพูชา 45 % ส่วนสํานักงานประมาณ 200 คน มีระบบสวัสดิการให้พนักงานทั้งกองทุนประสังคม กองทุนเงินทดแทน ประกันกลุ่ม เบี้ยขยัน เงินกู้ ค่าอาหาร และสวัสดิการอื่นๆ สําหรับบริษัทแห่งนี้เป็นสถานประกอบการที่มีระบบการจ้างงานที่ดี ในช่วงโควิดมีการจ้างงานเพิ่ม เนื่องจากมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้น กระทรวงแรงงานได้เข้าไปสนับสนุนในการนําคนไทยมาจ้างแทนแรงงานต่างด้าว ซึ่งสถานประกอบการมีการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเป็นระบบ พล.ต.อ.อดุลย์ ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของจังหวัดชลบุรี มีสถานประกอบการ 16,247 แห่ง ลูกจ้าง 756,599 คน มีตําแหน่งงานว่าง 10,237 อัตรา มีผู้ประกันตนจํานวนรวมทั้งสิ้น 878,795 คน มีแรงงานต่างด้าว 135,945 คน มีความต้องการแรงงานประมงทะเล 1,759 คน และความต้องการแรงงานประมง 761 คน ขอรับสิทธิว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัยโควิด-19 จํานวน 97,751 คน จ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 756.07 ล้านบาท สถานประกอบการเลิกจ้าง/ปิดกิจการ 7 แห่ง ลูกจ้าง 4,523 คน ใช้มาตรา 75 จํานวน 482 แห่ง ลูกจ้าง 351,311 คน จากการรับฟังสภาพปัญหาในพื้นที่ด้านแรงงาน ซึ่งขณะนี้สถานการณ์โควิดคลี่คลายลงแล้ว จากนี้รัฐบาลจะได้มีการขับเคลื่อนในด้านต่างๆ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ได้มีงานทํา ทั้งการหางานให้ การ Up skill/Re skill เพื่อให้มีทักษะฝีมือสูงขึ้นตามความต้องการของผู้ประกอบการ และมีหลักประกันความมั่นคงในชีวิตต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34370
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. เตรียมบังคับให้ภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนเป็นสินค้าควบคุม หลัง ครม. เห็นชอบ 1 เมษายน ที่ผ่านมา
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563 สมอ. เตรียมบังคับให้ภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนเป็นสินค้าควบคุม หลัง ครม. เห็นชอบ 1 เมษายน ที่ผ่านมา นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เตรียมบังคับให้ภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนเป็นสินค้าควบคุม หลัง ครม. เห็นชอบ 1 เมษายน ที่ผ่านมา สมอ. เตรียมบังคับให้ภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนเป็นสินค้าควบคุม หลัง ครม. เห็นชอบเมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา คาดบังคับใช้ได้ในเดือนกันยายน 2563 นี้ ซึ่งจะมีผลให้ภาชนะเมลามีนทุกใบต้องได้มาตรฐาน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนเป็นสินค้าควบคุมตามที่ กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สมอ. เสนอ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน เนื่องจากพบว่าปัจจุบันมีการนําเข้าภาชนะที่มีลักษณะใกล้เคียงกับภาชนะเมลามีนจากต่างประเทศ ซึ่งหากมีการนําไปใช้ใส่อาหารอาจมีการปนเปื้อนของสารฟอร์แมลดีไฮด์ซึ่งเป็นสารที่มีอันตรายต่อสุขภาพ ปะปนออกมาในอาหารได้ โดยเฉพาะเมื่อนําไปใส่อาหารที่มีความร้อนสูง มีไขมัน และอาหารที่มีความเป็นกรด เช่น ต้มยํา แกงส้ม เป็นต้น ทั้งนี้ มาตรฐานภาชนะเมลามีนฉบับนี้ คาดว่าจะประกาศบังคับใช้ภายในเดือนกันยายน 2563 ซึ่งจะทําให้ภาชนะเมลามีนทุกใบต้องได้มาตรฐาน มอก. และต้องแสดงเครื่องหมายมาตรฐานที่สินค้าทุกใบด้วย ทั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้กําชับให้ สมอ. เร่งดําเนินการให้เป็นไปตามมติ ครม. อย่างเร่งด่วนเพราะถือเป็นนโยบายที่สําคัญของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญกับประชาชนมาเป็นอันดับแรก ปัจจุบัน สมอ. มีมาตรฐานภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนแล้วจํานวน 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐานภาชนะและเครื่องใช้เมลามีน มอก.524-2539 และมาตรฐานภาชนะและเครื่องใช้เมลามีน-ฟอร์แมลดีไฮด์ ยูเรีย-ฟอแมลดีไฮด์ และเมลามีน-ยูเรีย-ฟอร์แมลดีไฮด์ สําหรับอาหาร : เฉพาะด้านความปลอดภัย มอก. 2921 – 2562 มีผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานตาม มอก.524-2539 ซึ่งเป็นมาตรฐานทั่วไป จํานวน 4 ราย ซึ่งหากมาตรฐานใหม่ที่เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยนี้มีผลบังคับใช้ ผู้ประกอบการที่ทํา และนําเข้าสินค้าดังกล่าวทุกรายจะต้องขออนุญาตจาก สมอ. ก่อน หากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ สําหรับผู้จําหน่ายหากท่านขายสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในขณะที่มาตรฐานด้านความปลอดภัยฉบับใหม่นี้ยังไม่มีผลบังคับใช้ ก็ขอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เมลามีนที่ได้มาตรฐานที่มีเครื่องหมาย มอก. แบบทั่วไปก่อนเพื่อความปลอดภัย ส่วนภาชนะที่ไม่ได้แสดงเครื่องหมาย มอก. ไม่แนะนําให้ใช้ เพราะผู้บริโภคไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยตาเปล่าว่าได้มาตรฐานหรือไม่ เนื่องจากของที่มี มอก. และไม่มี มอก. มีลักษณะคล้ายกัน การพิสูจน์ต้องส่งห้องแล็ปทดสอบ ในเบื้องต้นขอแนะนําว่า หากนําภาชนะที่มีอยู่มาใช้ แล้วนําไปใส่อาหารร้อนหรืออาหารที่มีความเป็นกรด แล้วพบว่ามีความผิดปกติ เช่น ภาชนะเสียความมันเงา ผิวสาก บวม หรือขรุขระ หรือสีภาชนะซีดลง ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นภาชนะที่ไม่ได้มาตรฐาน มีความเสี่ยงที่จะมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายปะปนออกมาสู่อาหารได้ แนะนําว่าอย่าใช้ภาชนะดังกล่าว”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. เตรียมบังคับให้ภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนเป็นสินค้าควบคุม หลัง ครม. เห็นชอบ 1 เมษายน ที่ผ่านมา วันพุธที่ 8 เมษายน 2563 สมอ. เตรียมบังคับให้ภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนเป็นสินค้าควบคุม หลัง ครม. เห็นชอบ 1 เมษายน ที่ผ่านมา นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เตรียมบังคับให้ภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนเป็นสินค้าควบคุม หลัง ครม. เห็นชอบ 1 เมษายน ที่ผ่านมา สมอ. เตรียมบังคับให้ภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนเป็นสินค้าควบคุม หลัง ครม. เห็นชอบเมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา คาดบังคับใช้ได้ในเดือนกันยายน 2563 นี้ ซึ่งจะมีผลให้ภาชนะเมลามีนทุกใบต้องได้มาตรฐาน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนเป็นสินค้าควบคุมตามที่ กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สมอ. เสนอ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน เนื่องจากพบว่าปัจจุบันมีการนําเข้าภาชนะที่มีลักษณะใกล้เคียงกับภาชนะเมลามีนจากต่างประเทศ ซึ่งหากมีการนําไปใช้ใส่อาหารอาจมีการปนเปื้อนของสารฟอร์แมลดีไฮด์ซึ่งเป็นสารที่มีอันตรายต่อสุขภาพ ปะปนออกมาในอาหารได้ โดยเฉพาะเมื่อนําไปใส่อาหารที่มีความร้อนสูง มีไขมัน และอาหารที่มีความเป็นกรด เช่น ต้มยํา แกงส้ม เป็นต้น ทั้งนี้ มาตรฐานภาชนะเมลามีนฉบับนี้ คาดว่าจะประกาศบังคับใช้ภายในเดือนกันยายน 2563 ซึ่งจะทําให้ภาชนะเมลามีนทุกใบต้องได้มาตรฐาน มอก. และต้องแสดงเครื่องหมายมาตรฐานที่สินค้าทุกใบด้วย ทั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้กําชับให้ สมอ. เร่งดําเนินการให้เป็นไปตามมติ ครม. อย่างเร่งด่วนเพราะถือเป็นนโยบายที่สําคัญของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญกับประชาชนมาเป็นอันดับแรก ปัจจุบัน สมอ. มีมาตรฐานภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนแล้วจํานวน 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐานภาชนะและเครื่องใช้เมลามีน มอก.524-2539 และมาตรฐานภาชนะและเครื่องใช้เมลามีน-ฟอร์แมลดีไฮด์ ยูเรีย-ฟอแมลดีไฮด์ และเมลามีน-ยูเรีย-ฟอร์แมลดีไฮด์ สําหรับอาหาร : เฉพาะด้านความปลอดภัย มอก. 2921 – 2562 มีผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานตาม มอก.524-2539 ซึ่งเป็นมาตรฐานทั่วไป จํานวน 4 ราย ซึ่งหากมาตรฐานใหม่ที่เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยนี้มีผลบังคับใช้ ผู้ประกอบการที่ทํา และนําเข้าสินค้าดังกล่าวทุกรายจะต้องขออนุญาตจาก สมอ. ก่อน หากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ สําหรับผู้จําหน่ายหากท่านขายสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในขณะที่มาตรฐานด้านความปลอดภัยฉบับใหม่นี้ยังไม่มีผลบังคับใช้ ก็ขอให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เมลามีนที่ได้มาตรฐานที่มีเครื่องหมาย มอก. แบบทั่วไปก่อนเพื่อความปลอดภัย ส่วนภาชนะที่ไม่ได้แสดงเครื่องหมาย มอก. ไม่แนะนําให้ใช้ เพราะผู้บริโภคไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยตาเปล่าว่าได้มาตรฐานหรือไม่ เนื่องจากของที่มี มอก. และไม่มี มอก. มีลักษณะคล้ายกัน การพิสูจน์ต้องส่งห้องแล็ปทดสอบ ในเบื้องต้นขอแนะนําว่า หากนําภาชนะที่มีอยู่มาใช้ แล้วนําไปใส่อาหารร้อนหรืออาหารที่มีความเป็นกรด แล้วพบว่ามีความผิดปกติ เช่น ภาชนะเสียความมันเงา ผิวสาก บวม หรือขรุขระ หรือสีภาชนะซีดลง ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นภาชนะที่ไม่ได้มาตรฐาน มีความเสี่ยงที่จะมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายปะปนออกมาสู่อาหารได้ แนะนําว่าอย่าใช้ภาชนะดังกล่าว”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28628
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"MCIO อก. ร่วมประชุมคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศกระทรวงอุตสาหกรรม"
วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2563 "MCIO อก. ร่วมประชุมคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศกระทรวงอุตสาหกรรม" "MCIO อก. ร่วมประชุมคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศกระทรวงอุตสาหกรรม" วันนี้ (1 พฤษภาคม 2563) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม (Ministry Chief Information Officer : MCIO) พร้อมด้วย ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงของหน่วยงานระดับกรมต่าง ๆ (Department Chief Information Officer : DCIO) ของกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เข้าร่วมประชุมด้วยระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ ณ ห้องประชุม ชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีการพิจารณาถึงการดําเนินงานระบบทะเบียนลูกค้ากระทรวงอุตสาหกรรม (i-Industry) เพื่อนําไปสู่การให้บริการแก่ผู้ประกอบการผ่านระบบดิจิทัล และการขับเคลื่อนการนํา “Single Form” มาใช้ในการดําเนินงาน เพื่อบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานภายในกระทรวงอุตสาหกรรม นําไปสู่การยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"MCIO อก. ร่วมประชุมคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศกระทรวงอุตสาหกรรม" วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2563 "MCIO อก. ร่วมประชุมคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศกระทรวงอุตสาหกรรม" "MCIO อก. ร่วมประชุมคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศกระทรวงอุตสาหกรรม" วันนี้ (1 พฤษภาคม 2563) นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม (Ministry Chief Information Officer : MCIO) พร้อมด้วย ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงของหน่วยงานระดับกรมต่าง ๆ (Department Chief Information Officer : DCIO) ของกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เข้าร่วมประชุมด้วยระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ ณ ห้องประชุม ชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีการพิจารณาถึงการดําเนินงานระบบทะเบียนลูกค้ากระทรวงอุตสาหกรรม (i-Industry) เพื่อนําไปสู่การให้บริการแก่ผู้ประกอบการผ่านระบบดิจิทัล และการขับเคลื่อนการนํา “Single Form” มาใช้ในการดําเนินงาน เพื่อบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานภายในกระทรวงอุตสาหกรรม นําไปสู่การยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30196
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรเปิดทำการตามปกติทุกแห่งทั่วประเทศ [กระทรวงการคลัง]
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563 กรมศุลกากรเปิดทําการตามปกติทุกแห่งทั่วประเทศ [กระทรวงการคลัง] กรมศุลกากร ขอแจ้งให้ทราบว่า การนําเข้า-ส่งออกสินค้า และสินค้าผ่านแดน สามารถดําเนินการได้ปกติทั่วประเทศ ตามระเบียบกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง และหลายจังหวัดได้มีการระงับการเดินทางเข้า-ออกของบุคคล ยานพาหนะ และสิ่งของ ณ จุดผ่านแดนถาวร จุดผ่อนปรนการค้า และช่องทางอื่น ๆ ตลอดจนแนวชายแดนในบางพื้นที่ เป็นการชั่วคราว นั้น กรมศุลกากร ขอแจ้งให้ทราบว่า การนําเข้า-ส่งออกสินค้า และสินค้าผ่านแดน สามารถดําเนินการได้ปกติทั่วประเทศ ตามระเบียบกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การดําเนินการดังงกล่าวให้ถือปฏิบัติตามแต่ละจังหวัดประกาศกําหนด ท่านสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ณ ที่ทําการศุลกากรในพื้นที่ หรือ สายด่วนกรมศุลกากร 1164 หรือ ศูนย์บริการศุลกากร (Customs Care Center) โทรศัพท์ 02-667-6656 หรือ webstie:ccc.customs.go.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรเปิดทำการตามปกติทุกแห่งทั่วประเทศ [กระทรวงการคลัง] วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563 กรมศุลกากรเปิดทําการตามปกติทุกแห่งทั่วประเทศ [กระทรวงการคลัง] กรมศุลกากร ขอแจ้งให้ทราบว่า การนําเข้า-ส่งออกสินค้า และสินค้าผ่านแดน สามารถดําเนินการได้ปกติทั่วประเทศ ตามระเบียบกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้าง และหลายจังหวัดได้มีการระงับการเดินทางเข้า-ออกของบุคคล ยานพาหนะ และสิ่งของ ณ จุดผ่านแดนถาวร จุดผ่อนปรนการค้า และช่องทางอื่น ๆ ตลอดจนแนวชายแดนในบางพื้นที่ เป็นการชั่วคราว นั้น กรมศุลกากร ขอแจ้งให้ทราบว่า การนําเข้า-ส่งออกสินค้า และสินค้าผ่านแดน สามารถดําเนินการได้ปกติทั่วประเทศ ตามระเบียบกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ การดําเนินการดังงกล่าวให้ถือปฏิบัติตามแต่ละจังหวัดประกาศกําหนด ท่านสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ณ ที่ทําการศุลกากรในพื้นที่ หรือ สายด่วนกรมศุลกากร 1164 หรือ ศูนย์บริการศุลกากร (Customs Care Center) โทรศัพท์ 02-667-6656 หรือ webstie:ccc.customs.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28371
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ศธ.ประชุมร่วมกับ กกอ.ชุดใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 รัฐมนตรี ศธ.ประชุมร่วมกับ กกอ.ชุดใหม่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมร่วมกับคณะกรรมการการอุดมศึกษาชุดใหม่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมร่วมกับคณะกรรมการการอุดมศึกษาชุดใหม่ โดยมีศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รศ.นพ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ, ศาสตราจารย์ สัมพันธ์ ฤทธิเดช (ว่าที่เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาคนใหม่), นางอรสา ภาววิมล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมประชุม เมื่อวันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 ณ สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การพบปะและพูดคุยกับคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยได้หารือถึงแนวทางการดําเนินงานที่จะทําให้สถาบันอุดมศึกษาปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างรวดเร็ว ทั้งรูปแบบการเรียนการสอนผสานกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี จํานวนเด็กเข้าเรียนมหาวิทยาลัยน้อยลง เป็นต้น กกอ.จึงต้องพิจารณาว่าการอุดมศึกษาจะนําพาประเทศไปในทิศทางใด พร้อมปลดปล่อยตัวเองจากปัญหาเดิม ๆ เพื่อให้สามารถทําหน้าที่บริหารจัดการ และเป็นผู้นําในการนําแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยลดการควบคุมอํานาจจากส่วนกลาง ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า บทบาทของ กกอ. มีความสําคัญอย่างมากต่อการนําศักยภาพสถาบันอุดมศึกษาไปขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศ พร้อมเร่งสร้างคนที่มีคุณภาพและสร้างคนไทย 4.0 ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการกําลังคนในอนาคต มีความรู้ ทักษะสมรรถนะแบบใหม่ สามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา จนมีความพร้อมเผชิญกับอุปสรรคทางการศึกษาในอนาคต เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาเป็นผู้นําในการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ และนํามาเชื่อมโยงกัน เพื่อให้เกิดผลสําเร็จ รวมถึงบทบาทของอาจารย์ต่าง ๆ ที่ต้องได้รับการพัฒนาให้สามารถกระตุ้นและออกแบบการเรียนรู้ เพื่อการคิดวิเคราะห์และการตั้งคําถาม พร้อม ๆ กับหาคําตอบหรือค้นคว้านําสู่การศึกษาวิจัยและสร้างนวัตกรรมในที่สุด รศ.นพ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยอาจจะปรับตัวและเปลี่ยนแปลงได้ช้า เนื่องจากปัจจัยหลายด้าน แต่การเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในโลกยุคปัจจุบัน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น กกอ. ถือเป็นคณะกรรมการชุดสําคัญที่สุด ที่ต้องเร่งดําเนินการให้เกิดผลปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อทําให้การอุดมศึกษาเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง พร้อมทั้งผลักดันสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นทันเวลา ศาสตราจารย์ประสาท สืบค้า ประธาน กกอ. กล่าวว่า รัฐมนตรี ศธ.ได้ให้นโยบายว่า กกอ. จะต้องบริหารงานเชิงรุก จะทํางานแบบตั้งรับเหมือนเดิมไม่ได้ โดยมีหลายสิ่งที่ต้องเร่งดําเนินการ เช่น การปรับระบบการศึกษาให้ทันสมัย การจัดการเรียนการสอน Online Education การรับรองคุณวุฒิการศึกษา การทําให้เด็กเกิดทักษะการทํางาน การพัฒนาและต่อยอดโครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้ กกอ. ชุดนี้อยู่ในช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านจากสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปสู่การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กกอ. ก็พร้อมที่จะทํางานอย่างเต็มความสามารถและจะทําให้ดีที่สุด โดยยึดหลัก “กล้าคิด กล้าทํา กล้านํา กล้าเปลี่ยน คือ แชมเปี้ยนของ กกอ. ชุดนี้” พร้อมทั้งยึดหลักการบริหารงาน 2A คือ Autonomy คือ ความเป็นตัวของตัวเองที่มีอํานาจตามกฎหมายและตามกฎกระทรวง และ Accountability หรือการดําเนินงานที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ตลอดจนมุ่งแก้ปัญหาด้านการอุดมศึกษาโดยเร็วและเน้นบทบาท กกอ. ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่มีบทบาทในการพัฒนาสมรรถนะของประเทศชาติได้ดีที่สุด Written by ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว, อรพรรณ ฤทธิ์มั่น Photo Credit ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriter นวรัตน์ รามสูต Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ศธ.ประชุมร่วมกับ กกอ.ชุดใหม่ วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 รัฐมนตรี ศธ.ประชุมร่วมกับ กกอ.ชุดใหม่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมร่วมกับคณะกรรมการการอุดมศึกษาชุดใหม่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประชุมร่วมกับคณะกรรมการการอุดมศึกษาชุดใหม่ โดยมีศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รศ.นพ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ, ศาสตราจารย์ สัมพันธ์ ฤทธิเดช (ว่าที่เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาคนใหม่), นางอรสา ภาววิมล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมประชุม เมื่อวันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 ณ สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การพบปะและพูดคุยกับคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) ในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้ามาดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยได้หารือถึงแนวทางการดําเนินงานที่จะทําให้สถาบันอุดมศึกษาปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างรวดเร็ว ทั้งรูปแบบการเรียนการสอนผสานกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี จํานวนเด็กเข้าเรียนมหาวิทยาลัยน้อยลง เป็นต้น กกอ.จึงต้องพิจารณาว่าการอุดมศึกษาจะนําพาประเทศไปในทิศทางใด พร้อมปลดปล่อยตัวเองจากปัญหาเดิม ๆ เพื่อให้สามารถทําหน้าที่บริหารจัดการ และเป็นผู้นําในการนําแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยลดการควบคุมอํานาจจากส่วนกลาง ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า บทบาทของ กกอ. มีความสําคัญอย่างมากต่อการนําศักยภาพสถาบันอุดมศึกษาไปขับเคลื่อนการศึกษาของประเทศ พร้อมเร่งสร้างคนที่มีคุณภาพและสร้างคนไทย 4.0 ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการกําลังคนในอนาคต มีความรู้ ทักษะสมรรถนะแบบใหม่ สามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา จนมีความพร้อมเผชิญกับอุปสรรคทางการศึกษาในอนาคต เพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาเป็นผู้นําในการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ และนํามาเชื่อมโยงกัน เพื่อให้เกิดผลสําเร็จ รวมถึงบทบาทของอาจารย์ต่าง ๆ ที่ต้องได้รับการพัฒนาให้สามารถกระตุ้นและออกแบบการเรียนรู้ เพื่อการคิดวิเคราะห์และการตั้งคําถาม พร้อม ๆ กับหาคําตอบหรือค้นคว้านําสู่การศึกษาวิจัยและสร้างนวัตกรรมในที่สุด รศ.นพ.โศภณ นภาธร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยอาจจะปรับตัวและเปลี่ยนแปลงได้ช้า เนื่องจากปัจจัยหลายด้าน แต่การเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในโลกยุคปัจจุบัน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น กกอ. ถือเป็นคณะกรรมการชุดสําคัญที่สุด ที่ต้องเร่งดําเนินการให้เกิดผลปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อทําให้การอุดมศึกษาเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง พร้อมทั้งผลักดันสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นทันเวลา ศาสตราจารย์ประสาท สืบค้า ประธาน กกอ. กล่าวว่า รัฐมนตรี ศธ.ได้ให้นโยบายว่า กกอ. จะต้องบริหารงานเชิงรุก จะทํางานแบบตั้งรับเหมือนเดิมไม่ได้ โดยมีหลายสิ่งที่ต้องเร่งดําเนินการ เช่น การปรับระบบการศึกษาให้ทันสมัย การจัดการเรียนการสอน Online Education การรับรองคุณวุฒิการศึกษา การทําให้เด็กเกิดทักษะการทํางาน การพัฒนาและต่อยอดโครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้ กกอ. ชุดนี้อยู่ในช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านจากสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ไปสู่การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กกอ. ก็พร้อมที่จะทํางานอย่างเต็มความสามารถและจะทําให้ดีที่สุด โดยยึดหลัก “กล้าคิด กล้าทํา กล้านํา กล้าเปลี่ยน คือ แชมเปี้ยนของ กกอ. ชุดนี้” พร้อมทั้งยึดหลักการบริหารงาน 2A คือ Autonomy คือ ความเป็นตัวของตัวเองที่มีอํานาจตามกฎหมายและตามกฎกระทรวง และ Accountability หรือการดําเนินงานที่โปร่งใสตรวจสอบได้ ตลอดจนมุ่งแก้ปัญหาด้านการอุดมศึกษาโดยเร็วและเน้นบทบาท กกอ. ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่มีบทบาทในการพัฒนาสมรรถนะของประเทศชาติได้ดีที่สุด Written by ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว, อรพรรณ ฤทธิ์มั่น Photo Credit ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriter นวรัตน์ รามสูต Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18795
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจ ด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๕ /๒๕๖๓ โดยมีคณะกรรมการฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯเพื่อรับทราบ การรายงานผลการประชุม คณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๔ /๒๕๖๓ การตอบข้อหารือแนวทางการจัดการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตําแหน่งที่ว่างลง ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 และรายงานความคืบหน้า การดําเนินการของ คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจด้านคดี ภายใต้คณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย รวมทั้งพิจารณาประเด็นการจัดการผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในการบังคับคดีแพ่ง คดีล้มละลาย และการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม 2563 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ กรุงเทพฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจ ด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๕ /๒๕๖๓ โดยมีคณะกรรมการฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมฯเพื่อรับทราบ การรายงานผลการประชุม คณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย ครั้งที่ ๔ /๒๕๖๓ การตอบข้อหารือแนวทางการจัดการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตําแหน่งที่ว่างลง ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 และรายงานความคืบหน้า การดําเนินการของ คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจด้านคดี ภายใต้คณะกรรมการเฉพาะกิจด้านกฎหมาย รวมทั้งพิจารณาประเด็นการจัดการผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ในการบังคับคดีแพ่ง คดีล้มละลาย และการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31331
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 รมว.ทส. ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมผลการดําเนินงานกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมมอบนโยบาย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561 รมว.ทส. ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตรวจเยี่ยมผลการดําเนินงานกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมมอบนโยบาย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนห้ามขาย ห้ามให้ เด็กต่ำกว่า 20 ปีดื่มแอลกอฮอล์ อุบัติเหตุเมาแล้วขับรับโทษ 3 เด้ง
วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2562 สธ. เตือนห้ามขาย ห้ามให้ เด็กต่ํากว่า 20 ปีดื่มแอลกอฮอล์ อุบัติเหตุเมาแล้วขับรับโทษ 3 เด้ง กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุทุกราย โทษสูงสุดจําคุก 10 ปี ปรับสูงสุด 2 แสนบาท ตรวจจับร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี และหากเด็กต่ํากว่า 18 ปี ร้านค้าหรือผู้ปกครองจะมีโทษ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุทุกราย โทษสูงสุดจําคุก 10 ปี ปรับสูงสุด 2 แสนบาท ตรวจจับร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี และหากเด็กต่ํากว่า 18 ปี ร้านค้าหรือผู้ปกครองจะมีโทษทั้งตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับ วันนี้ (31 ธันวาคม 2562) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้กําชับให้ทุกจังหวัดเข้มข้นการดําเนินงานตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ห้ามขายในเวลา และสถานที่ห้ามขาย ห้ามขายให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี และผู้ที่มีอาการเมาสุรา เพื่อลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับ หากเกิดอุบัติเหตุตํารวจจะส่งตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ทุกราย และหากทําให้มีผู้บาดเจ็บจะมีโทษตามพ.ร.บ.จราจร โทษสูงสุดจําคุก 10 ปี และปรับสูงสุด 2 แสนบาท กรณีผู้ขับขี่มีอายุต่ํากว่า 20 ปี จะติดตามสืบหาร้านค้าที่ขายให้กับเด็ก มีโทษตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่หากเป็นเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปี ร้านค้าหรือผู้ปกครองจะมีโทษตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 และพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ที่คุ้มครองเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปี ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นายอนุทินกล่าวต่อว่า คืนนี้เป็นคืนที่มีการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในการกินเลี้ยงสังสรรค์ หากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขออย่าขับ และดูแลไม่ให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปีดื่มอย่างเด็ดขาด เนื่องจากในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา พบว่าสาเหตุของอุบัติเหตุเกือบครึ่งมาจากการดื่มสุรา โดยร้อยละ 15 ของผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการดื่มสุราเป็นกลุ่มเด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี เกือบทุกรายเป็นผู้ขับขี่จักรยานยนต์และไม่สวมหมวกนิรภัย “ขอให้ประชาชนฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อย่างมีความสุขกับครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูง ช่วยกันดูแล เตือน ยึดกุญแจไว้ ไม่ให้ผู้ที่ดื่มสุราออกไปขับรถ สําหรับผู้ขับขี่ที่จะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ ควรเตรียมร่างกายให้พร้อม นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ปฏิบัติตามกฎจราจร เดินทางกลับมาทํางานอย่างปลอดภัย” นายอนุทินกล่าว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27-30 ธันวาคม 2562 ตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ทั้งหมด 1,075 ราย เป็นผู้ขับขี่อายุน้อยกว่า 20 ปี จํานวน 193 ราย ทราบผลแล้ว 70 ราย โดยตรวจพบแอลกอฮอล์ในเลือด 22 ราย คิดเป็นร้อยละ 31.42 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 mg% 19 ราย คิดเป็นร้อยละ 27.14 ของกลุ่มอายุน้อยกว่า 20 ปี และตรวจในผู้ขับขี่อายุ 20 ปีขึ้นไป 882 ราย ทราบผล 282 ราย โดยพบเกิน 50 mg% 153 ราย คิดเป็นร้อยละ 54.26 ของกลุ่มอายุ 20 ปีขึ้นไป ****************************** 31 ธันวาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนห้ามขาย ห้ามให้ เด็กต่ำกว่า 20 ปีดื่มแอลกอฮอล์ อุบัติเหตุเมาแล้วขับรับโทษ 3 เด้ง วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2562 สธ. เตือนห้ามขาย ห้ามให้ เด็กต่ํากว่า 20 ปีดื่มแอลกอฮอล์ อุบัติเหตุเมาแล้วขับรับโทษ 3 เด้ง กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุทุกราย โทษสูงสุดจําคุก 10 ปี ปรับสูงสุด 2 แสนบาท ตรวจจับร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี และหากเด็กต่ํากว่า 18 ปี ร้านค้าหรือผู้ปกครองจะมีโทษ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุทุกราย โทษสูงสุดจําคุก 10 ปี ปรับสูงสุด 2 แสนบาท ตรวจจับร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี และหากเด็กต่ํากว่า 18 ปี ร้านค้าหรือผู้ปกครองจะมีโทษทั้งตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับ วันนี้ (31 ธันวาคม 2562) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้กําชับให้ทุกจังหวัดเข้มข้นการดําเนินงานตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ห้ามขายในเวลา และสถานที่ห้ามขาย ห้ามขายให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี และผู้ที่มีอาการเมาสุรา เพื่อลดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับ หากเกิดอุบัติเหตุตํารวจจะส่งตรวจแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ทุกราย และหากทําให้มีผู้บาดเจ็บจะมีโทษตามพ.ร.บ.จราจร โทษสูงสุดจําคุก 10 ปี และปรับสูงสุด 2 แสนบาท กรณีผู้ขับขี่มีอายุต่ํากว่า 20 ปี จะติดตามสืบหาร้านค้าที่ขายให้กับเด็ก มีโทษตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่หากเป็นเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปี ร้านค้าหรือผู้ปกครองจะมีโทษตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 และพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ที่คุ้มครองเด็กอายุต่ํากว่า 18 ปี ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นายอนุทินกล่าวต่อว่า คืนนี้เป็นคืนที่มีการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในการกินเลี้ยงสังสรรค์ หากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขออย่าขับ และดูแลไม่ให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปีดื่มอย่างเด็ดขาด เนื่องจากในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา พบว่าสาเหตุของอุบัติเหตุเกือบครึ่งมาจากการดื่มสุรา โดยร้อยละ 15 ของผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการดื่มสุราเป็นกลุ่มเด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี เกือบทุกรายเป็นผู้ขับขี่จักรยานยนต์และไม่สวมหมวกนิรภัย “ขอให้ประชาชนฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่อย่างมีความสุขกับครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูง ช่วยกันดูแล เตือน ยึดกุญแจไว้ ไม่ให้ผู้ที่ดื่มสุราออกไปขับรถ สําหรับผู้ขับขี่ที่จะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ ควรเตรียมร่างกายให้พร้อม นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ปฏิบัติตามกฎจราจร เดินทางกลับมาทํางานอย่างปลอดภัย” นายอนุทินกล่าว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27-30 ธันวาคม 2562 ตรวจปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่ทั้งหมด 1,075 ราย เป็นผู้ขับขี่อายุน้อยกว่า 20 ปี จํานวน 193 ราย ทราบผลแล้ว 70 ราย โดยตรวจพบแอลกอฮอล์ในเลือด 22 ราย คิดเป็นร้อยละ 31.42 มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 mg% 19 ราย คิดเป็นร้อยละ 27.14 ของกลุ่มอายุน้อยกว่า 20 ปี และตรวจในผู้ขับขี่อายุ 20 ปีขึ้นไป 882 ราย ทราบผล 282 ราย โดยพบเกิน 50 mg% 153 ราย คิดเป็นร้อยละ 54.26 ของกลุ่มอายุ 20 ปีขึ้นไป ****************************** 31 ธันวาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25553
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยสนับสนุนธุรกิจข้าว ให้กู้เพิ่ม 5 พันล้านบาทกับผู้ส่งออกข้าว
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 กรุงไทยสนับสนุนธุรกิจข้าว ให้กู้เพิ่ม 5 พันล้านบาทกับผู้ส่งออกข้าว ธนาคารกรุงไทยระบุให้ความสําคัญกับลูกค้ากลุ่มธุรกิจโรงสีข้าว เผยปล่อยกู้มากที่สุดในระบบธนาคารพาณิชย์ และแม้ตลาดข้าวผันผวนหนัก ธนาคารยังคงให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง ธนาคารกรุงไทยระบุให้ความสําคัญกับลูกค้ากลุ่มธุรกิจโรงสีข้าว เผยปล่อยกู้มากที่สุดในระบบธนาคารพาณิชย์ และแม้ตลาดข้าวผันผวนหนัก ธนาคารยังคงให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยโรงสีที่ประสบปัญหาในการดําเนินธุรกิจ ธนาคารได้ผ่อนปรนการชําระหนี้ พร้อมช่วยหาพันธมิตรทางการค้า เพื่อระบายสต๊อกข้าวสู่ตลาด ล่าสุดคณะกรรมการธนาคารได้อนุมัติวงเงินกู้เพิ่มอีก 5 พันล้านบาท สําหรับผู้ส่งออกข้าว เพื่อให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ลดผลกระทบต่อการรับซื้อข้าวจากชาวนาในปีนี้ จากที่สมาคมโรงสีข้าวได้ทําหนังสือถึงปลัดกระทรวงพาณิชย์ ขอให้ช่วยแก้ปัญหาธนาคารกรุงไทยปรับนโยบายการให้วงเงินตั๋วระยะสั้นและแพ็กกิ้งสต๊อกที่เคยให้กับผู้ประกอบการโรงสีข้าวนั้น นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาธนาคารให้ความสําคัญในการดูแลลูกค้ากลุ่มธุรกิจโรงสีข้าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน ธนาคารมียอดการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ากลุ่มนี้มากที่สุดในระบบธนาคารพาณิชย์สูงถึง 70,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 57 ของอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมาก และแม้ว่าตลาดข้าวในปี 2558-2559 มีความผันผวนอย่างหนัก ทําให้โรงสีข้าวหลายรายประสบปัญหาในการดําเนินธุรกิจ ส่งผลถึงการชําระหนี้ แต่ธนาคารก็ได้พิจารณาผ่อนปรนการชําระหนี้ให้ตามสภาพปัญหาของลูกค้าแต่ละราย รวมทั้งช่วยหาพันธมิตรทางการค้า เพื่อระบายสต๊อกข้าวสู่ตลาด “สําหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจโรงสีข้าวที่ดําเนินธุรกิจตามปกติ ธนาคารไม่ได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการใช้วงเงินของลูกค้า แต่เนื่องจากภาพรวมภาระหนี้ของธุรกิจโรงสีของธนาคารมีจํานวนสูงถึงระดับที่จําเป็นต้องพิจารณาภาระหนี้โดยรวมให้อยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไป ดังนั้น ธนาคารจึงเน้นให้กู้เฉพาะโรงสีข้าวที่นําเงินไปซื้อข้าวจากชาวนาเพิ่ม เพราะต้องการให้เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ คณะกรรมการธนาคารยังได้อนุมัติให้ปล่อยกู้เพิ่มกับผู้ส่งออกข้าวอีก 5,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับอุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบ” นายผยง ศรีวณิช กล่าวต่อไปว่า วงเงินใหม่ 5,000 ล้านบาทนี้ จะช่วยให้สถานการณ์ข้าวในปัจจุบันดีขึ้น ช่วยระบายข้าวจากชาวนาในฤดูการผลิตใหม่ อย่างไรก็ตาม สําหรับเรื่องที่มีลูกค้าโรงสีข้าวหลายรายที่ไม่ยอมระบายสต๊อกหรือมีความกังวลเกี่ยวกับการเบิกเงินกู้ จึงชะลอการชําระหนี้คืนนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อทั้งตนเองและภาพรวมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ มีความจําเป็นที่สถาบันการเงินต่างๆ ควรพิจารณาร่วมให้การสนับสนุนสินเชื่อแก่ธุรกิจโรงสีข้าว ซึ่งเป็นตัวจักรสําคัญในอุตสาหกรรมข้าวด้วยเช่นกัน ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร.0-2208-4188 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยสนับสนุนธุรกิจข้าว ให้กู้เพิ่ม 5 พันล้านบาทกับผู้ส่งออกข้าว วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2560 กรุงไทยสนับสนุนธุรกิจข้าว ให้กู้เพิ่ม 5 พันล้านบาทกับผู้ส่งออกข้าว ธนาคารกรุงไทยระบุให้ความสําคัญกับลูกค้ากลุ่มธุรกิจโรงสีข้าว เผยปล่อยกู้มากที่สุดในระบบธนาคารพาณิชย์ และแม้ตลาดข้าวผันผวนหนัก ธนาคารยังคงให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง ธนาคารกรุงไทยระบุให้ความสําคัญกับลูกค้ากลุ่มธุรกิจโรงสีข้าว เผยปล่อยกู้มากที่สุดในระบบธนาคารพาณิชย์ และแม้ตลาดข้าวผันผวนหนัก ธนาคารยังคงให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยโรงสีที่ประสบปัญหาในการดําเนินธุรกิจ ธนาคารได้ผ่อนปรนการชําระหนี้ พร้อมช่วยหาพันธมิตรทางการค้า เพื่อระบายสต๊อกข้าวสู่ตลาด ล่าสุดคณะกรรมการธนาคารได้อนุมัติวงเงินกู้เพิ่มอีก 5 พันล้านบาท สําหรับผู้ส่งออกข้าว เพื่อให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ลดผลกระทบต่อการรับซื้อข้าวจากชาวนาในปีนี้ จากที่สมาคมโรงสีข้าวได้ทําหนังสือถึงปลัดกระทรวงพาณิชย์ ขอให้ช่วยแก้ปัญหาธนาคารกรุงไทยปรับนโยบายการให้วงเงินตั๋วระยะสั้นและแพ็กกิ้งสต๊อกที่เคยให้กับผู้ประกอบการโรงสีข้าวนั้น นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาธนาคารให้ความสําคัญในการดูแลลูกค้ากลุ่มธุรกิจโรงสีข้าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน ธนาคารมียอดการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ากลุ่มนี้มากที่สุดในระบบธนาคารพาณิชย์สูงถึง 70,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 57 ของอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมาก และแม้ว่าตลาดข้าวในปี 2558-2559 มีความผันผวนอย่างหนัก ทําให้โรงสีข้าวหลายรายประสบปัญหาในการดําเนินธุรกิจ ส่งผลถึงการชําระหนี้ แต่ธนาคารก็ได้พิจารณาผ่อนปรนการชําระหนี้ให้ตามสภาพปัญหาของลูกค้าแต่ละราย รวมทั้งช่วยหาพันธมิตรทางการค้า เพื่อระบายสต๊อกข้าวสู่ตลาด “สําหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจโรงสีข้าวที่ดําเนินธุรกิจตามปกติ ธนาคารไม่ได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการใช้วงเงินของลูกค้า แต่เนื่องจากภาพรวมภาระหนี้ของธุรกิจโรงสีของธนาคารมีจํานวนสูงถึงระดับที่จําเป็นต้องพิจารณาภาระหนี้โดยรวมให้อยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไป ดังนั้น ธนาคารจึงเน้นให้กู้เฉพาะโรงสีข้าวที่นําเงินไปซื้อข้าวจากชาวนาเพิ่ม เพราะต้องการให้เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ คณะกรรมการธนาคารยังได้อนุมัติให้ปล่อยกู้เพิ่มกับผู้ส่งออกข้าวอีก 5,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับอุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบ” นายผยง ศรีวณิช กล่าวต่อไปว่า วงเงินใหม่ 5,000 ล้านบาทนี้ จะช่วยให้สถานการณ์ข้าวในปัจจุบันดีขึ้น ช่วยระบายข้าวจากชาวนาในฤดูการผลิตใหม่ อย่างไรก็ตาม สําหรับเรื่องที่มีลูกค้าโรงสีข้าวหลายรายที่ไม่ยอมระบายสต๊อกหรือมีความกังวลเกี่ยวกับการเบิกเงินกู้ จึงชะลอการชําระหนี้คืนนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อทั้งตนเองและภาพรวมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ มีความจําเป็นที่สถาบันการเงินต่างๆ ควรพิจารณาร่วมให้การสนับสนุนสินเชื่อแก่ธุรกิจโรงสีข้าว ซึ่งเป็นตัวจักรสําคัญในอุตสาหกรรมข้าวด้วยเช่นกัน ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร.0-2208-4188 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1801
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งการหน่วยปฏิบัติปรับวิธีรายงานข้อมูลการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาล เน้นลงรายละเอียดถึงสาเหตุการบาดเจ็บล้มตาย ช่วยกระตุ้นประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2560 นายกฯ สั่งการหน่วยปฏิบัติปรับวิธีรายงานข้อมูลการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาล เน้นลงรายละเอียดถึงสาเหตุการบาดเจ็บล้มตาย ช่วยกระตุ้นประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยปฏิบัติ เช่น กระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กองทัพ ฯลฯ วันนี้ (14 เมษายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยปฏิบัติ เช่น กระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กองทัพ ฯลฯ ปรับวิธีการรวบรวมและรายงานข้อมูลการป้องกันและลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์และเทศกาลอื่น ๆ แก่สาธารณชน โดยให้เน้นลงรายละเอียดให้ครบถ้วน จัดทําแบบฟอร์มสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุเปรียบเทียบกับสิ่งที่กฎหมายห้ามไว้ ไม่เน้นรายงานจํานวนการเกิดอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในปีนี้เทียบกับปีก่อน เพราะไม่มีผลต่อการป้องกันแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด “ท่านนายกฯ ย้ําว่า ต้องบอกให้ประชาชนรู้ถึงต้นเหตุของอุบัติเหตุแต่ละครั้งว่าเกิดจากอะไร เช่น เมื่อรถโดยสารสาธารณะประสบอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสาร คาดเข็มขัดนิรภัยหรือไม่ บรรทุกผู้โดยสารเกินกว่าที่กฎหมายกําหนดหรือไม่ รถยนต์ส่วนบุคคล มีการคาดเข็มขัดนิรภัยหรือไม่ ผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บนั่งด้านหน้าหรือด้านหลัง ส่วนรถกระบะ มีการคาดเข็มขัดนิรภัยหรือไม่ ผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บนั่งด้านหน้า บริเวณแคป หรือท้ายกระบะ เป็นต้น รวมทั้งบอกด้วยว่า เกิดจากสาเหตุเมาแล้วขับกี่ครั้ง ขับรถเร็วกี่ครั้ง ไม่สวมหมวกหรือเข็มขัดนิรภัยกี่ครั้ง โดยขอความร่วมมือไปยังมูลนิธิ องค์กร สถาบันการศึกษา และสํานักวิจัยต่าง ๆ ให้ร่วมกันรณรงค์ในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันสร้างจิตสํานึกใหม่ให้แก่ประชาชนว่า ควรจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขับขี่รถอย่างไรเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ไม่ใช่ให้ทราบเพียงตัวเลขที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง เพราะเหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้นไม่แตกต่างจากสิบปีก่อนที่มีแต่คนบาดเจ็บล้มตายวนเวียน อยู่เช่นเดิม และประเทศไทยยังติดอันดับ 2 ของโลกที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุด หากเราไม่ช่วยกันแก้ไขก็ยากที่จะสําเร็จ” นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหาร ฝ่ายปกครองที่ประจําอยู่ที่จุดตรวจต่าง ๆ ทั่วประเทศ หมั่นสํารวจตรวจสอบ ทั้งรถ ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารที่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงว่าจะเกิดอันตราย โดยต้องให้คําแนะนําตักเตือนเพื่อป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ จากข้อมูลในช่วง 7 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 11 – 17 เม.ย.60 ผ่านไป 2 วัน พบว่า การเมาแล้วขับ เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด รองลงมาคือ ขับรถเร็ว โดยยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือ รถจักรยานยนต์ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ยังพบด้วยว่า ผู้ขับขี่ยังฝ่าฝืนไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ขับขี่รถโดยไม่มีใบอนุญาตเป็นจํานวนมาก ................................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งการหน่วยปฏิบัติปรับวิธีรายงานข้อมูลการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาล เน้นลงรายละเอียดถึงสาเหตุการบาดเจ็บล้มตาย ช่วยกระตุ้นประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วันศุกร์ที่ 14 เมษายน 2560 นายกฯ สั่งการหน่วยปฏิบัติปรับวิธีรายงานข้อมูลการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาล เน้นลงรายละเอียดถึงสาเหตุการบาดเจ็บล้มตาย ช่วยกระตุ้นประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยปฏิบัติ เช่น กระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กองทัพ ฯลฯ วันนี้ (14 เมษายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยปฏิบัติ เช่น กระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กองทัพ ฯลฯ ปรับวิธีการรวบรวมและรายงานข้อมูลการป้องกันและลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์และเทศกาลอื่น ๆ แก่สาธารณชน โดยให้เน้นลงรายละเอียดให้ครบถ้วน จัดทําแบบฟอร์มสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุเปรียบเทียบกับสิ่งที่กฎหมายห้ามไว้ ไม่เน้นรายงานจํานวนการเกิดอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในปีนี้เทียบกับปีก่อน เพราะไม่มีผลต่อการป้องกันแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด “ท่านนายกฯ ย้ําว่า ต้องบอกให้ประชาชนรู้ถึงต้นเหตุของอุบัติเหตุแต่ละครั้งว่าเกิดจากอะไร เช่น เมื่อรถโดยสารสาธารณะประสบอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสาร คาดเข็มขัดนิรภัยหรือไม่ บรรทุกผู้โดยสารเกินกว่าที่กฎหมายกําหนดหรือไม่ รถยนต์ส่วนบุคคล มีการคาดเข็มขัดนิรภัยหรือไม่ ผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บนั่งด้านหน้าหรือด้านหลัง ส่วนรถกระบะ มีการคาดเข็มขัดนิรภัยหรือไม่ ผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บนั่งด้านหน้า บริเวณแคป หรือท้ายกระบะ เป็นต้น รวมทั้งบอกด้วยว่า เกิดจากสาเหตุเมาแล้วขับกี่ครั้ง ขับรถเร็วกี่ครั้ง ไม่สวมหมวกหรือเข็มขัดนิรภัยกี่ครั้ง โดยขอความร่วมมือไปยังมูลนิธิ องค์กร สถาบันการศึกษา และสํานักวิจัยต่าง ๆ ให้ร่วมกันรณรงค์ในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันสร้างจิตสํานึกใหม่ให้แก่ประชาชนว่า ควรจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขับขี่รถอย่างไรเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ไม่ใช่ให้ทราบเพียงตัวเลขที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง เพราะเหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้นไม่แตกต่างจากสิบปีก่อนที่มีแต่คนบาดเจ็บล้มตายวนเวียน อยู่เช่นเดิม และประเทศไทยยังติดอันดับ 2 ของโลกที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุด หากเราไม่ช่วยกันแก้ไขก็ยากที่จะสําเร็จ” นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ตํารวจ ทหาร ฝ่ายปกครองที่ประจําอยู่ที่จุดตรวจต่าง ๆ ทั่วประเทศ หมั่นสํารวจตรวจสอบ ทั้งรถ ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารที่มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงว่าจะเกิดอันตราย โดยต้องให้คําแนะนําตักเตือนเพื่อป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ จากข้อมูลในช่วง 7 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 11 – 17 เม.ย.60 ผ่านไป 2 วัน พบว่า การเมาแล้วขับ เป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด รองลงมาคือ ขับรถเร็ว โดยยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือ รถจักรยานยนต์ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ยังพบด้วยว่า ผู้ขับขี่ยังฝ่าฝืนไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ขับขี่รถโดยไม่มีใบอนุญาตเป็นจํานวนมาก ................................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3081
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบำเพ็ญพระราชกุศล และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล
วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล วันนี้ (22 สิงหาคม 2562) เวลา 18.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา12สิงหาคม2562 โดยมี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระสงฆ์ จํานวน 191 รูป ร่วมบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อัญเชิญพระพุทธรูปศิลปะสมัยสุโขทัย ยุคกลาง (คลาสสิค) มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพิธีมหามงคลดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้สักการะอันจะเป็นมงคลแก่ชีวิต ประเทศชาติ และร่วมสืบสานพระราชปณิธาน “ธรรมราชินี” สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รวมทั้ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดพิมพ์หนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์สําหรับพระราชทานแก่ผู้ที่มาร่วมสวดมนต์ในพิธีมหามงคลดังกล่าว และพระราชทานพระราชานุญาตให้เชิญภาพวาดฝีพระหัตถ์ อักษรพระปรมาภิไธย ว.ป.ร พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ฉายกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ล้อมกรอบด้วยรูปหัวใจ ลายพระราชหัตถ์ “รักของแม่ สู่ผืนแผ่นดินไทย” และข้อความสืบสานพระราชปณิธาน “ธรรมราชินี” พิมพ์บนปกหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ และภายในเล่มพิมพ์บทความ พระราชปณิธาน “ธรรมิกราชินี” ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชศรัทธาอันมั่นคงแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนามานับแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อทรงดํารงพระราชสถานะเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ก็ยิ่งทรงพระราชหฤทัยใส่ศึกษาและปฏิบัติตามหลักการแห่งพระพุทธธรรมมากยิ่งขึ้นโดยลําดับ ----------------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบำเพ็ญพระราชกุศล และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล นายกรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล วันนี้ (22 สิงหาคม 2562) เวลา 18.00 น. ณ พระลานพระราชวังดุสิต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยา และคณะรัฐมนตรีร่วมพิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา12สิงหาคม2562 โดยมี สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆ ปริณายก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระสงฆ์ จํานวน 191 รูป ร่วมบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อัญเชิญพระพุทธรูปศิลปะสมัยสุโขทัย ยุคกลาง (คลาสสิค) มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพิธีมหามงคลดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้สักการะอันจะเป็นมงคลแก่ชีวิต ประเทศชาติ และร่วมสืบสานพระราชปณิธาน “ธรรมราชินี” สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รวมทั้ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดพิมพ์หนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์สําหรับพระราชทานแก่ผู้ที่มาร่วมสวดมนต์ในพิธีมหามงคลดังกล่าว และพระราชทานพระราชานุญาตให้เชิญภาพวาดฝีพระหัตถ์ อักษรพระปรมาภิไธย ว.ป.ร พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ฉายกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ล้อมกรอบด้วยรูปหัวใจ ลายพระราชหัตถ์ “รักของแม่ สู่ผืนแผ่นดินไทย” และข้อความสืบสานพระราชปณิธาน “ธรรมราชินี” พิมพ์บนปกหนังสือบทเจริญพระพุทธมนต์ และภายในเล่มพิมพ์บทความ พระราชปณิธาน “ธรรมิกราชินี” ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชศรัทธาอันมั่นคงแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนามานับแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อทรงดํารงพระราชสถานะเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ก็ยิ่งทรงพระราชหฤทัยใส่ศึกษาและปฏิบัติตามหลักการแห่งพระพุทธธรรมมากยิ่งขึ้นโดยลําดับ ----------------------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22445
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำ คืนโฉนดให้เกษตรกรภาคกลาง 26 จังหวัด ที่ถูกยึดที่ดินทำกิน โดยใช้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เข้าไปให้การช่วยเหลือ
วันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2563 จุรินทร์ นํา คืนโฉนดให้เกษตรกรภาคกลาง 26 จังหวัด ที่ถูกยึดที่ดินทํากิน โดยใช้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เข้าไปให้การช่วยเหลือ วันที่ 10 สิงหาคม 2563 เวลา 13.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานมอบโฉนดที่ดินคืนให้เกษตรกรและมอบเช็คชําระหนี้แทนเกษตรกรให้กับสหกรณ์ในจังหวัดภาคกลาง ภายใต้ โครงการรักษาแผ่นดินให้เกษตรกรไทย คืนที่ดินทํากินให้สมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ณ โรงแรมลองบีชชะอํา จังหวัดเพชรบุรี นายจุรินทร์ กล่าวว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาได้ดําเนินการ คือ ประการแรก การบริหารจัดการทั้งหนี้และการฟื้นฟูคณะกรรมการกลางกองทุนฟื้นฟูพัฒนาเกษตรกรไม่สามารถที่จะไปดําเนินการได้ด้วยตัวเองครบถ้วนในทุกพื้นที่ในทุกจังหวัดได้ จึงมีความจําเป็นต้องจัดตั้งอนุกรรมการแต่ละจังหวัดเพื่อช่วยดําเนินการและบริหารจัดการให้เป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการกลาง ได้จัดตั้งครบทั้ง 76 จังหวัดเรียบร้อยแล้ว ประการที่สอง การแก้ปัญหาหนี้กับฟื้นฟูเกษตรกรนั้นจําเป็นที่จะต้องมีความคืบหน้าที่มีข้อจํากัดโดยกฎหมาย จึงได้มีการให้ความเห็นชอบเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เพื่อเปิดโอกาสให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรสามารถเข้าไปบริหารจัดการหนี้ในส่วนที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ําประกัน แต่บุคคลค้ําประกันสามารถจัดการได้ ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนกระบวนการของวุฒิสภา เมื่อกฎหมายฉบับนี้แก้ไขบังคับใช้เสร็จสิ้น จะช่วยให้กองทุนสามารถเข้าไปช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้เกษตรกรรายย่อยได้ไม่น้อยกว่า 380,000 รายทั่วทั้งประเทศ และที่เป็นหนี้บุคคลค้ํานี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้รายย่อยไม่เกินรายละ 200,000 บาท ถึงยังประโยชน์ให้เกษตรกรยากจนรายย่อยที่เป็นหนี้ตัวจริง และมีการอนุมัติงบประมาณบริหารจัดการหนี้ในปี 2563 อีก 1,328 ล้านบาท จะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้เกษตรกรไม่ต่ํากว่า 2,700 รายที่เป็นรูปธรรม และมติล่าสุดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมามีมติเพิ่มเติมโดยใช้อํานาจคณะกรรมการให้เราสามารถขยายการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม จากเดิมจํากัดเฉพาะหนี้ไม่เกิน 2.5 ล้านบาทเป็นไม่เกิน 5 ล้านบาท และกําลังจะมีข่าวดีที่ช่วยลดภาระเกษตรกรที่เป็นหนี้กองทุนได้มีการสั่งการว่าให้ไปเจรจาการกฤษฎีกาและฝ่ายกฎหมายว่าทําได้หรือไม่ คือให้ลูกหนี้ที่ดีเป็นหนี้ต้องมีภาระหรือค่าบริการ ร้อยละหนึ่งให้เป็นร้อยละศูนย์ ถ้าทําได้ก็จะทําให้โดยเร็ว จากนั้นนายจุรินทร์ ได้มอบนโยบายให้อนุกรรมการจังหวัดทุกท่านตั้งใจปฏิบัติภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตามกฏหมายและตามนโยบายของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรให้สมบูรณ์แบบและที่สําคัญเมื่อมีนโยบายแล้วชัดเจนแล้วอย่าช้าขอให้ทําให้เร็วการขึ้นทะเบียนการดําเนินการการแก้ไขปัญหาตามนโยบายที่ทําให้เกิดผลปฏิบัติเป็นรูปธรรมกับเกษตรกรในพื้นที่ภายใต้ความรับผิดชอบ อะไรที่เป็นปัญหาอุปสรรคขั้นตอนกระบวนการให้เราจัดการให้สั้นได้ขอให้ดําเนินการ ตรอไปนโยบาย"เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" เกิดขึ้นให้กระทรวงเกษตรกับกระทรวงพาณิชย์ร่วมมือกันภายใต้ยุทธศาสตร์ ตลาดนําการผลิต ต่อไปนี้เวลาที่พี่น้องผลิตพืชผลทางการเกษตรอย่าทําตามที่เคยทํามาโดยไม่มองการตลาด ขอให้ใช้การตลาดเป็นธงนําเพื่อนําไปสู่การผลิต ถ้าผลิตตามความต้องการของตลาดท่านก็จะขายได้ กระทรวงพาณิชย์จะเข้ามามีบทบาทสําคัญในการร่วมมือกับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรในการทําการตลาดให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม นายตุรินทร์ กล่าวต่อเกษตรกรสมาชิกกองทุนฯด้วยว่า ดีใจที่ได้ทํานโยบายที่ให้เกษตรกรที่ได้มีโอกาสเดินหน้าไปสู่ความเป็นไทให้ตนเองด้วยการได้รับหนังสือสําคัญที่ดินคืนกลับสู่อ้อมกอดเพื่อที่จะได้นําไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมต่อไป เห็นความก้าวหน้าของกองทุนฯมาเป็นลําดับ แม้บางช่วงจะขาดตอนไปตามนโยบายของแต่ละรัฐบาลแต่ในช่วงรัฐบาลนี้ตนมารับผิดชอบกได้ทําหลายอย่าง โดยวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนมีอยู่ 2 เรื่องสําคัญ เพื่อให้กองทุนนี้ได้เข้ามามีส่วนสําคัญในการช่วยเหลือแก้ปัญหาหนี้สินให้กับเกษตรกรที่มาขึ้นทะเบียนไว้กับกองทุนและเมื่อจัดการแก้ปัญหาหนี้สินเสร็จสิ้นแล้วก็นําไปสู่การดําเนินการขั้นตอนต่อไปในการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรให้สามารถยึดอาชีพเกษตรกรรมต่อไปได้ การจัดการให้มีสองแบบคือ แบบที่หนึ่งช่วยซื้อหนี้ที่พี่น้องเป็นหนี้สถาบันการเงินหรือหนี้สถาบันการเกษตรในรูปแบบต่างๆเช่น หนี้สหกรณ์ หรือรูปแบบอื่นๆ แล้วชําระหนี้ไม่ได้กําลังจะเข้าสู่กระบวนการยึดทรัพย์หรือยึดที่ดินทํากินที่พี่น้องเอาไปเป็นหลักทรัพย์ค้ําประกันการกู้ยืมโดยเปิดโอกาสให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เข้าไปซื้อหนี้ แล้วโอนหลักทรัพย์มาไว้ที่กองทุนและให้พี่น้องมาผ่อนชําระหนี้กับกองทุนแทนโดยหลักการคือกองทุนจะไม่ยึดที่ดินทํากินของพี่น้องและเปิดโอกาสให้พี่น้องผ่อนชําระจนหมดสิ้นแล้วก็คืนโฉนดหลักทรัพย์ที่ดินให้กับพี่น้องเหมือนที่เราทํากันวันนี้ให้พี่น้องได้มีที่ดินทํากินต่อไป " เปิดโอกาสให้กองทุนไปซื้อทรัพย์คือที่ดินที่ถูกยึดไปเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่มีความประสงค์ที่จะเอาที่ดินไปทําอย่างอื่นยังเปิดโอกาสให้กองทุนซื้อทรัพย์นั้นกลับมา แต่พี่น้องยังไม่มีกําลังกองทุนฟื้นฟูไปซื้อที่ดินนั้นมาไว้และเปิดโอกาสให้พี่น้องผ่อนชําระจนกระทั่งชําระครบแล้วก็คืนทรัพย์ให้กับพี่น้องกลับไปและเอาไปฟื้นฟูตามนโยบายและระบบการบริหารจัดการ สําหรับ การติดต่มนโยบายวันนี้ ร่วมด้วย นายไชยยศ จิรเมธากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายอลงกรณ์ พลลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสไกร พิมพ์บึง รองเลขาธิการสํานักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท ประธานกรรมการคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำ คืนโฉนดให้เกษตรกรภาคกลาง 26 จังหวัด ที่ถูกยึดที่ดินทำกิน โดยใช้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เข้าไปให้การช่วยเหลือ วันอังคารที่ 11 สิงหาคม 2563 จุรินทร์ นํา คืนโฉนดให้เกษตรกรภาคกลาง 26 จังหวัด ที่ถูกยึดที่ดินทํากิน โดยใช้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เข้าไปให้การช่วยเหลือ วันที่ 10 สิงหาคม 2563 เวลา 13.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานมอบโฉนดที่ดินคืนให้เกษตรกรและมอบเช็คชําระหนี้แทนเกษตรกรให้กับสหกรณ์ในจังหวัดภาคกลาง ภายใต้ โครงการรักษาแผ่นดินให้เกษตรกรไทย คืนที่ดินทํากินให้สมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ณ โรงแรมลองบีชชะอํา จังหวัดเพชรบุรี นายจุรินทร์ กล่าวว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาได้ดําเนินการ คือ ประการแรก การบริหารจัดการทั้งหนี้และการฟื้นฟูคณะกรรมการกลางกองทุนฟื้นฟูพัฒนาเกษตรกรไม่สามารถที่จะไปดําเนินการได้ด้วยตัวเองครบถ้วนในทุกพื้นที่ในทุกจังหวัดได้ จึงมีความจําเป็นต้องจัดตั้งอนุกรรมการแต่ละจังหวัดเพื่อช่วยดําเนินการและบริหารจัดการให้เป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการกลาง ได้จัดตั้งครบทั้ง 76 จังหวัดเรียบร้อยแล้ว ประการที่สอง การแก้ปัญหาหนี้กับฟื้นฟูเกษตรกรนั้นจําเป็นที่จะต้องมีความคืบหน้าที่มีข้อจํากัดโดยกฎหมาย จึงได้มีการให้ความเห็นชอบเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขกฎหมายฉบับนี้เพื่อเปิดโอกาสให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรสามารถเข้าไปบริหารจัดการหนี้ในส่วนที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ําประกัน แต่บุคคลค้ําประกันสามารถจัดการได้ ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนกระบวนการของวุฒิสภา เมื่อกฎหมายฉบับนี้แก้ไขบังคับใช้เสร็จสิ้น จะช่วยให้กองทุนสามารถเข้าไปช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้เกษตรกรรายย่อยได้ไม่น้อยกว่า 380,000 รายทั่วทั้งประเทศ และที่เป็นหนี้บุคคลค้ํานี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้รายย่อยไม่เกินรายละ 200,000 บาท ถึงยังประโยชน์ให้เกษตรกรยากจนรายย่อยที่เป็นหนี้ตัวจริง และมีการอนุมัติงบประมาณบริหารจัดการหนี้ในปี 2563 อีก 1,328 ล้านบาท จะช่วยแก้ปัญหาหนี้สินให้เกษตรกรไม่ต่ํากว่า 2,700 รายที่เป็นรูปธรรม และมติล่าสุดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมามีมติเพิ่มเติมโดยใช้อํานาจคณะกรรมการให้เราสามารถขยายการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม จากเดิมจํากัดเฉพาะหนี้ไม่เกิน 2.5 ล้านบาทเป็นไม่เกิน 5 ล้านบาท และกําลังจะมีข่าวดีที่ช่วยลดภาระเกษตรกรที่เป็นหนี้กองทุนได้มีการสั่งการว่าให้ไปเจรจาการกฤษฎีกาและฝ่ายกฎหมายว่าทําได้หรือไม่ คือให้ลูกหนี้ที่ดีเป็นหนี้ต้องมีภาระหรือค่าบริการ ร้อยละหนึ่งให้เป็นร้อยละศูนย์ ถ้าทําได้ก็จะทําให้โดยเร็ว จากนั้นนายจุรินทร์ ได้มอบนโยบายให้อนุกรรมการจังหวัดทุกท่านตั้งใจปฏิบัติภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตามกฏหมายและตามนโยบายของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรให้สมบูรณ์แบบและที่สําคัญเมื่อมีนโยบายแล้วชัดเจนแล้วอย่าช้าขอให้ทําให้เร็วการขึ้นทะเบียนการดําเนินการการแก้ไขปัญหาตามนโยบายที่ทําให้เกิดผลปฏิบัติเป็นรูปธรรมกับเกษตรกรในพื้นที่ภายใต้ความรับผิดชอบ อะไรที่เป็นปัญหาอุปสรรคขั้นตอนกระบวนการให้เราจัดการให้สั้นได้ขอให้ดําเนินการ ตรอไปนโยบาย"เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" เกิดขึ้นให้กระทรวงเกษตรกับกระทรวงพาณิชย์ร่วมมือกันภายใต้ยุทธศาสตร์ ตลาดนําการผลิต ต่อไปนี้เวลาที่พี่น้องผลิตพืชผลทางการเกษตรอย่าทําตามที่เคยทํามาโดยไม่มองการตลาด ขอให้ใช้การตลาดเป็นธงนําเพื่อนําไปสู่การผลิต ถ้าผลิตตามความต้องการของตลาดท่านก็จะขายได้ กระทรวงพาณิชย์จะเข้ามามีบทบาทสําคัญในการร่วมมือกับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรในการทําการตลาดให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม นายตุรินทร์ กล่าวต่อเกษตรกรสมาชิกกองทุนฯด้วยว่า ดีใจที่ได้ทํานโยบายที่ให้เกษตรกรที่ได้มีโอกาสเดินหน้าไปสู่ความเป็นไทให้ตนเองด้วยการได้รับหนังสือสําคัญที่ดินคืนกลับสู่อ้อมกอดเพื่อที่จะได้นําไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมต่อไป เห็นความก้าวหน้าของกองทุนฯมาเป็นลําดับ แม้บางช่วงจะขาดตอนไปตามนโยบายของแต่ละรัฐบาลแต่ในช่วงรัฐบาลนี้ตนมารับผิดชอบกได้ทําหลายอย่าง โดยวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนมีอยู่ 2 เรื่องสําคัญ เพื่อให้กองทุนนี้ได้เข้ามามีส่วนสําคัญในการช่วยเหลือแก้ปัญหาหนี้สินให้กับเกษตรกรที่มาขึ้นทะเบียนไว้กับกองทุนและเมื่อจัดการแก้ปัญหาหนี้สินเสร็จสิ้นแล้วก็นําไปสู่การดําเนินการขั้นตอนต่อไปในการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรให้สามารถยึดอาชีพเกษตรกรรมต่อไปได้ การจัดการให้มีสองแบบคือ แบบที่หนึ่งช่วยซื้อหนี้ที่พี่น้องเป็นหนี้สถาบันการเงินหรือหนี้สถาบันการเกษตรในรูปแบบต่างๆเช่น หนี้สหกรณ์ หรือรูปแบบอื่นๆ แล้วชําระหนี้ไม่ได้กําลังจะเข้าสู่กระบวนการยึดทรัพย์หรือยึดที่ดินทํากินที่พี่น้องเอาไปเป็นหลักทรัพย์ค้ําประกันการกู้ยืมโดยเปิดโอกาสให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เข้าไปซื้อหนี้ แล้วโอนหลักทรัพย์มาไว้ที่กองทุนและให้พี่น้องมาผ่อนชําระหนี้กับกองทุนแทนโดยหลักการคือกองทุนจะไม่ยึดที่ดินทํากินของพี่น้องและเปิดโอกาสให้พี่น้องผ่อนชําระจนหมดสิ้นแล้วก็คืนโฉนดหลักทรัพย์ที่ดินให้กับพี่น้องเหมือนที่เราทํากันวันนี้ให้พี่น้องได้มีที่ดินทํากินต่อไป " เปิดโอกาสให้กองทุนไปซื้อทรัพย์คือที่ดินที่ถูกยึดไปเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่มีความประสงค์ที่จะเอาที่ดินไปทําอย่างอื่นยังเปิดโอกาสให้กองทุนซื้อทรัพย์นั้นกลับมา แต่พี่น้องยังไม่มีกําลังกองทุนฟื้นฟูไปซื้อที่ดินนั้นมาไว้และเปิดโอกาสให้พี่น้องผ่อนชําระจนกระทั่งชําระครบแล้วก็คืนทรัพย์ให้กับพี่น้องกลับไปและเอาไปฟื้นฟูตามนโยบายและระบบการบริหารจัดการ สําหรับ การติดต่มนโยบายวันนี้ ร่วมด้วย นายไชยยศ จิรเมธากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายพิทักษ์ อุดมวิชัยวัฒน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายอลงกรณ์ พลลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสไกร พิมพ์บึง รองเลขาธิการสํานักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท ประธานกรรมการคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34120
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เตือนนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานโดยไม่มีเวลาพัก มีความผิด
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 กสร. เตือนนายจ้างให้ลูกจ้างทํางานโดยไม่มีเวลาพัก มีความผิด กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เตือนนายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานจัดเวลาพักให้ลูกจ้างไม่น้อยกว่าวันละ 1 ชั่วโมง ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กฎหมายคุ้มครองแรงงาน กําหนดให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักระหว่างทํางานไม่น้อยกว่าวันละ 1 ชั่วโมง หลังจากที่ลูกจ้างทํางานมาแล้วไม่เกิน 5 ชั่วโมงติดต่อกัน เพื่อให้ลูกจ้างได้ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย ความเครียดจากการทํางาน ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากความเหนื่อยล้าที่ต้องทํางานติดต่อกันนานเกินไป หรือมีเวลาทํากิจธุระส่วนตัว ทั้งนี้นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าแบ่งเวลาพักเป็นช่วงๆ ก็ได้ แต่รวมกันแล้วใน 1 วัน ต้องไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง นายอนันต์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กสร.จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท นายจ้าง ลูกจ้างที่มีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เตือนนายจ้างให้ลูกจ้างทำงานโดยไม่มีเวลาพัก มีความผิด วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561 กสร. เตือนนายจ้างให้ลูกจ้างทํางานโดยไม่มีเวลาพัก มีความผิด กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เตือนนายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานจัดเวลาพักให้ลูกจ้างไม่น้อยกว่าวันละ 1 ชั่วโมง ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กฎหมายคุ้มครองแรงงาน กําหนดให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักระหว่างทํางานไม่น้อยกว่าวันละ 1 ชั่วโมง หลังจากที่ลูกจ้างทํางานมาแล้วไม่เกิน 5 ชั่วโมงติดต่อกัน เพื่อให้ลูกจ้างได้ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อย ความเครียดจากการทํางาน ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากความเหนื่อยล้าที่ต้องทํางานติดต่อกันนานเกินไป หรือมีเวลาทํากิจธุระส่วนตัว ทั้งนี้นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าแบ่งเวลาพักเป็นช่วงๆ ก็ได้ แต่รวมกันแล้วใน 1 วัน ต้องไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง นายอนันต์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กสร.จึงขอให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท นายจ้าง ลูกจ้างที่มีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ถึง 10 สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทรศัพท์สายด่วน 1506 กด 3
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13403
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วนด้านวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศ
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2562 นโยบายเร่งด่วนด้านวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศ วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2562 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต จะต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมายและวางรากฐานการพัฒนาภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เขตเศรษฐกิจพิเศษ เมืองอัจฉริยะ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย รวมทั้งวางรากฐานการพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายในระบบ 5G เพิ่มโอกาสการเข้าถึงตลาดในประเทศและตลาดโลกผ่านแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ในการให้บริการสาธารณสุขและการศึกษาทางไกล การสร้างผู้ประกอบการและเกษตรกรอัจฉริยะ และขับเคลื่อนประเทศด้วยปัญญาประดิษฐ์ในอนาคต ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นโยบายเร่งด่วนด้านวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศ วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2562 นโยบายเร่งด่วนด้านวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศ วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2562 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการวางรากฐานระบบเศรษฐกิจของประเทศสู่อนาคต จะต่อยอดอุตสาหกรรมเป้าหมายและวางรากฐานการพัฒนาภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เขตเศรษฐกิจพิเศษ เมืองอัจฉริยะ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย รวมทั้งวางรากฐานการพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายในระบบ 5G เพิ่มโอกาสการเข้าถึงตลาดในประเทศและตลาดโลกผ่านแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ในการให้บริการสาธารณสุขและการศึกษาทางไกล การสร้างผู้ประกอบการและเกษตรกรอัจฉริยะ และขับเคลื่อนประเทศด้วยปัญญาประดิษฐ์ในอนาคต ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21986
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19 นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการเร่งรัดลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ สนับสนุนการปรับเปลี่ยนสายการผลิต เพื่อรองรับความต้องการใช้ในประเทศ พร้อมมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วันนี้ (13 เม.ย.63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังการประชุม นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บอร์ดได้อนุมัติมาตรการหลายประการ ทั้งการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็วสนองต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในสถานการณ์ปัจจุบัน และส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีของประชาชนในประเทศ และมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขและบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการ เร่งรัดให้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จําเป็นเพื่อรับมือกับ COVID-19 มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ประกอบด้วย (1) มาตรการเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อรับมือกับ COVID-19 โดยให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 ปี ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งปกติจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3-8 ปี อยู่แล้ว เช่น การผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึง Non- Woven Fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ชุดตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ยาและสารออกฤทธิ์สําคัญในยา เป็นต้น โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมถึงโครงการที่ยื่นคําขอรับการส่งเสริมระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 และต้องเริ่มผลิตและมีรายได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ จะต้องจําหน่ายและหรือบริจาคภายในประเทศอย่างน้อยร้อยละ 50 ของปริมาณที่ผลิตได้ในปี 2563-2564 (2) มาตรการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนสายการผลิตเดิมเพื่อผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร โดยต้องนําเข้าภายในปี 2563 และยื่นขอแก้ไขโครงการภายในเดือนกันยายน 2563 (3) การปรับสิทธิประโยชน์สําหรับกิจการผลิตวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมต้นน้ําและกลางน้ําในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ โดยเพิ่มเติมขอบข่ายประเภทกิจการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร ให้ครอบคลุมถึงการผลิตแอลกอฮอล์ทางการแพทย์ (Pharmaceutical Grade) ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ให้กิจการผลิต Non- Woven Fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์การแพทย์ จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี เป็น 5 ปี นางสาวดวงใจ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ทําให้ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนหลายรายไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ภายในกรอบเวลาที่คณะกรรมการกําหนดได้ บอร์ดจึงเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยผ่อนปรนเงื่อนไขและพิจารณาขยายเวลาการดําเนินการสําหรับกรณีที่เกี่ยวข้อง เช่น การขยายเวลานําเข้าเครื่องจักรและเปิดดําเนินการ การขยายเวลาการดําเนินการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล การผ่อนผันการขออนุญาตหยุดดําเนินกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 เดือน เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสํานักงานจะออกประกาศแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอยังมีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นในการบริหารจัดการน้ําแบบองค์รวม เพื่อบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง และการแก้ปัญหาน้ําท่วม ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง หรือพื้นที่ที่เกิดปัญหาน้ําท่วมซ้ําซาก โดยแผนการดําเนินการบริหารจัดการน้ํา ต้องได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติและสอดคล้องกับแผนการบริหารจัดการน้ําของประเทศด้วย และต้องยื่นคําขอรับการส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2564 ทั้งนี้ ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ผู้ประกอบการจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี สัดส่วนไม่เกินร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน หรือให้ได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน แล้วแต่กรณี ปรับปรุงสิทธิประโยชน์และประเภทกิจการเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม และเกษตรสมัยใหม่ นอกจากนั้น บอร์ดบีโอไอยังได้เห็นชอบให้ขยายขอบข่ายการให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาให้ครอบคลุมประเภทกิจการอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ ประเภทกิจการที่มีเงื่อนไขกําหนดให้ทําการวิจัยและพัฒนา ประเภทกิจการที่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงขึ้นเมื่อมีการวิจัยและพัฒนา รวมถึงโครงการที่ทําการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงประเภทกิจการผลิตหรือบริการระบบเกษตรสมัยใหม่ เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีการลงทุนในกิจการผลิตหรือบริการระบบเกษตรสมัยใหม่ให้มากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาระบบ หรือดิจิทัลแพลตฟอร์มในประเทศ โดยผ่อนปรนเงื่อนไขของประเภทกิจการให้ครอบคลุมถึงกิจการที่ไม่มีการออกแบบระบบและซอฟต์แวร์ด้วยตัวเอง แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบหรือซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์ม โดยผู้พัฒนาในประเทศไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอได้อนุมัติโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จํากัด มูลค่าการลงทุนรวม 5,480 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสายการผลิตรถยนต์เดิมที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี สําหรับผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีกําลังการผลิตรวม 39,000 คันต่อปี แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicles - BEV) ประมาณ 9,500 คันต่อปี และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (Hybrid Electric Vehicles - HEV) ประมาณ 29,500 คันต่อปี โดยจะเริ่มผลิตประมาณปี 2566 และจะมีการส่งออกไปตลาดอาเซียนด้วย บีโอไอยังได้รายงานภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 3 เดือนของปี 2563 (มกราคม-มีนาคม) โดยมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 378 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจํานวน 368 โครงการ ขณะที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 71,380 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่า 128,460 ล้านบาท เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยมูลค่าเงินลงทุนสูงสุดอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 10,620 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 5,690 ล้านบาท และยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 2,400 ล้านบาท สําหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่าการขอรับส่งเสริมรวม 27,425 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นมีการลงทุนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 7,402 ล้านบาท อันดับ 2 คือ จีน มีมูลค่าเงินลงทุน 6,510 ล้านบาท และอันดับ 3 ฮ่องกง มีมูลค่าเงินลงทุน 3,458 ล้านบาท ทั้งนี้ ยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวม 47,580 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 67 ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าอีอีซียังเป็นพื้นที่เป้าหมายของนักลงทุนส่วนใหญ่ ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19 วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19 นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการเร่งรัดลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ สนับสนุนการปรับเปลี่ยนสายการผลิต เพื่อรองรับความต้องการใช้ในประเทศ พร้อมมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วันนี้ (13 เม.ย.63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังการประชุม นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บอร์ดได้อนุมัติมาตรการหลายประการ ทั้งการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็วสนองต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในสถานการณ์ปัจจุบัน และส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีของประชาชนในประเทศ และมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขและบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการ เร่งรัดให้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จําเป็นเพื่อรับมือกับ COVID-19 มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ประกอบด้วย (1) มาตรการเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อรับมือกับ COVID-19 โดยให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 ปี ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งปกติจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3-8 ปี อยู่แล้ว เช่น การผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึง Non- Woven Fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ชุดตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ยาและสารออกฤทธิ์สําคัญในยา เป็นต้น โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมถึงโครงการที่ยื่นคําขอรับการส่งเสริมระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 และต้องเริ่มผลิตและมีรายได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ จะต้องจําหน่ายและหรือบริจาคภายในประเทศอย่างน้อยร้อยละ 50 ของปริมาณที่ผลิตได้ในปี 2563-2564 (2) มาตรการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนสายการผลิตเดิมเพื่อผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร โดยต้องนําเข้าภายในปี 2563 และยื่นขอแก้ไขโครงการภายในเดือนกันยายน 2563 (3) การปรับสิทธิประโยชน์สําหรับกิจการผลิตวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมต้นน้ําและกลางน้ําในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ โดยเพิ่มเติมขอบข่ายประเภทกิจการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร ให้ครอบคลุมถึงการผลิตแอลกอฮอล์ทางการแพทย์ (Pharmaceutical Grade) ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ให้กิจการผลิต Non- Woven Fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์การแพทย์ จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี เป็น 5 ปี นางสาวดวงใจ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ทําให้ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนหลายรายไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ภายในกรอบเวลาที่คณะกรรมการกําหนดได้ บอร์ดจึงเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยผ่อนปรนเงื่อนไขและพิจารณาขยายเวลาการดําเนินการสําหรับกรณีที่เกี่ยวข้อง เช่น การขยายเวลานําเข้าเครื่องจักรและเปิดดําเนินการ การขยายเวลาการดําเนินการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล การผ่อนผันการขออนุญาตหยุดดําเนินกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 เดือน เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสํานักงานจะออกประกาศแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอยังมีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นในการบริหารจัดการน้ําแบบองค์รวม เพื่อบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง และการแก้ปัญหาน้ําท่วม ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง หรือพื้นที่ที่เกิดปัญหาน้ําท่วมซ้ําซาก โดยแผนการดําเนินการบริหารจัดการน้ํา ต้องได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติและสอดคล้องกับแผนการบริหารจัดการน้ําของประเทศด้วย และต้องยื่นคําขอรับการส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2564 ทั้งนี้ ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ผู้ประกอบการจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี สัดส่วนไม่เกินร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน หรือให้ได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน แล้วแต่กรณี ปรับปรุงสิทธิประโยชน์และประเภทกิจการเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม และเกษตรสมัยใหม่ นอกจากนั้น บอร์ดบีโอไอยังได้เห็นชอบให้ขยายขอบข่ายการให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาให้ครอบคลุมประเภทกิจการอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ ประเภทกิจการที่มีเงื่อนไขกําหนดให้ทําการวิจัยและพัฒนา ประเภทกิจการที่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงขึ้นเมื่อมีการวิจัยและพัฒนา รวมถึงโครงการที่ทําการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงประเภทกิจการผลิตหรือบริการระบบเกษตรสมัยใหม่ เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีการลงทุนในกิจการผลิตหรือบริการระบบเกษตรสมัยใหม่ให้มากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาระบบ หรือดิจิทัลแพลตฟอร์มในประเทศ โดยผ่อนปรนเงื่อนไขของประเภทกิจการให้ครอบคลุมถึงกิจการที่ไม่มีการออกแบบระบบและซอฟต์แวร์ด้วยตัวเอง แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบหรือซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์ม โดยผู้พัฒนาในประเทศไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอได้อนุมัติโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จํากัด มูลค่าการลงทุนรวม 5,480 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสายการผลิตรถยนต์เดิมที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี สําหรับผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีกําลังการผลิตรวม 39,000 คันต่อปี แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicles - BEV) ประมาณ 9,500 คันต่อปี และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (Hybrid Electric Vehicles - HEV) ประมาณ 29,500 คันต่อปี โดยจะเริ่มผลิตประมาณปี 2566 และจะมีการส่งออกไปตลาดอาเซียนด้วย บีโอไอยังได้รายงานภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 3 เดือนของปี 2563 (มกราคม-มีนาคม) โดยมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 378 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจํานวน 368 โครงการ ขณะที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 71,380 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่า 128,460 ล้านบาท เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยมูลค่าเงินลงทุนสูงสุดอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 10,620 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 5,690 ล้านบาท และยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 2,400 ล้านบาท สําหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่าการขอรับส่งเสริมรวม 27,425 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นมีการลงทุนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 7,402 ล้านบาท อันดับ 2 คือ จีน มีมูลค่าเงินลงทุน 6,510 ล้านบาท และอันดับ 3 ฮ่องกง มีมูลค่าเงินลงทุน 3,458 ล้านบาท ทั้งนี้ ยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวม 47,580 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 67 ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าอีอีซียังเป็นพื้นที่เป้าหมายของนักลงทุนส่วนใหญ่ ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28974
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อสม. ขอบคุณ รมต.สธ. ยันทำงานลงพื้นที่เชิงรุกเพื่อประชาชนสุขภาพดี
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 อสม. ขอบคุณ รมต.สธ. ยันทํางานลงพื้นที่เชิงรุกเพื่อประชาชนสุขภาพดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พบปะให้กําลังใจประธาน อสม.ทั่วประเทศ แนะลงพื้นที่เชิงรุกให้นักเรียนสวมหน้ากากผ้ารับเปิดเทอม ย้ําผู้ปกครองหากลูกหลานป่วยให้หยุดเรียนอยู่บ้าน พร้อมรับมอบช่อดอกไม้แสดงความขอบคุณค่าตอบแทนช่วงโควิด 19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พบปะให้กําลังใจประธาน อสม.ทั่วประเทศ แนะลงพื้นที่เชิงรุกให้นักเรียนสวมหน้ากากผ้ารับเปิดเทอม ย้ําผู้ปกครองหากลูกหลานป่วยให้หยุดเรียนอยู่บ้าน พร้อมรับมอบช่อดอกไม้แสดงความขอบคุณค่าตอบแทนช่วงโควิด 19 (วันนี้ 25 มิถุนายน 2563) ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และผู้บริหารให้สัมภาษณ์ภายหลังพบปะอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ทั่วประเทศกว่า 100 คน ในการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการเสริมสร้างความร่วมมือเครือข่ายสุขภาพภาคประชาชน ในการขับเคลื่อน ตําบลวิถีชีวิตใหม่ ปลอดภัยจากโควิด 19 โดยผู้แทน อสม. ได้มอบช่อดอกไม้แสดงความขอบคุณแก่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในการผลักดันให้เพิ่มค่าตอบแทนช่วงสถานการณ์โควิด 19 คนละ 500 บาท เป็นเวลา 19 เดือน (มีนาคม 2563 -กันยายน 2564) นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ขอขอบคุณ อสม.ที่เสียสละเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทําหน้าที่เคาะประตูบ้านให้ความรู้ ค้นหากลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่ทั่วโลกเผชิญกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยสามารถควบคุมและรองรับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ความสําเร็จนี้มาจาก แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข โดยเฉพาะ อสม.ในการเข้าถึงชุมชน เป็นที่ยอมรับชื่นชม และเป็นแบบอย่างแก่นานาประเทศ ถึงวันนี้ประเทศไทยไม่มีการติดเชื้อในประเทศเข้าวันที่ 31 แล้ว เราก็ยังประมาทไม่ได้ นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สิ่งสําคัญที่สุดที่จะควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด19 ได้เป็นอย่างดี คือ ความร่วมมือของประชาชน โดยเฉพาะมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ จะมีการอนุญาตให้ สถานศึกษาทั่วประเทศเปิดภาคเรียนได้ สิ่งที่น่ากังวลคือการอยู่รวมกันของเด็กนักเรียนจํานวนมาก การสวม หน้ากากผ้าจึงเป็นปราการด่านสําคัญในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากเชื้อโควิด 19 ได้ และไม่เป็นการเพิ่มปริมาณขยะ ดังนั้นขอให้ อสม. ลงพื้นที่เชิงรุกย้ําสถานศึกษาและนักเรียนสวมหน้ากากผ้า พร้อมแนะนําผู้ปกครอง ในพื้นที่หากพบว่าลูกหลานมีอาการป่วย ขอให้หยุดเรียนอยู่บ้านสังเกตอาการ หรือไปพบแพทย์ เพราะหากมีการแพร่กระจายเชื้อจะทําให้การควบคุมการแพร่ระบาดเป็นไปได้ยากขึ้น “ขอส่งกําลังใจให้พี่น้อง อสม. ให้มีกําลังใจที่ดี อย่าเพิ่งท้อแท้ เชื่อมั่นว่า อสม.ทุกท่านจะสามารถช่วยชุมชนและประเทศชาติให้ปลอดภัยจากเชื้อโควิด 19 ได้ จนกว่าจะมีวัคซีน” ******************************* 25 มิถุนายน 2563 ******************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อสม. ขอบคุณ รมต.สธ. ยันทำงานลงพื้นที่เชิงรุกเพื่อประชาชนสุขภาพดี วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563 อสม. ขอบคุณ รมต.สธ. ยันทํางานลงพื้นที่เชิงรุกเพื่อประชาชนสุขภาพดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พบปะให้กําลังใจประธาน อสม.ทั่วประเทศ แนะลงพื้นที่เชิงรุกให้นักเรียนสวมหน้ากากผ้ารับเปิดเทอม ย้ําผู้ปกครองหากลูกหลานป่วยให้หยุดเรียนอยู่บ้าน พร้อมรับมอบช่อดอกไม้แสดงความขอบคุณค่าตอบแทนช่วงโควิด 19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พบปะให้กําลังใจประธาน อสม.ทั่วประเทศ แนะลงพื้นที่เชิงรุกให้นักเรียนสวมหน้ากากผ้ารับเปิดเทอม ย้ําผู้ปกครองหากลูกหลานป่วยให้หยุดเรียนอยู่บ้าน พร้อมรับมอบช่อดอกไม้แสดงความขอบคุณค่าตอบแทนช่วงโควิด 19 (วันนี้ 25 มิถุนายน 2563) ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และผู้บริหารให้สัมภาษณ์ภายหลังพบปะอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ทั่วประเทศกว่า 100 คน ในการประชุมเชิงปฏิบัติการโครงการเสริมสร้างความร่วมมือเครือข่ายสุขภาพภาคประชาชน ในการขับเคลื่อน ตําบลวิถีชีวิตใหม่ ปลอดภัยจากโควิด 19 โดยผู้แทน อสม. ได้มอบช่อดอกไม้แสดงความขอบคุณแก่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในการผลักดันให้เพิ่มค่าตอบแทนช่วงสถานการณ์โควิด 19 คนละ 500 บาท เป็นเวลา 19 เดือน (มีนาคม 2563 -กันยายน 2564) นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ขอขอบคุณ อสม.ที่เสียสละเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทําหน้าที่เคาะประตูบ้านให้ความรู้ ค้นหากลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่ทั่วโลกเผชิญกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยสามารถควบคุมและรองรับสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ความสําเร็จนี้มาจาก แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข โดยเฉพาะ อสม.ในการเข้าถึงชุมชน เป็นที่ยอมรับชื่นชม และเป็นแบบอย่างแก่นานาประเทศ ถึงวันนี้ประเทศไทยไม่มีการติดเชื้อในประเทศเข้าวันที่ 31 แล้ว เราก็ยังประมาทไม่ได้ นายอนุทิน กล่าวต่อว่า สิ่งสําคัญที่สุดที่จะควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด19 ได้เป็นอย่างดี คือ ความร่วมมือของประชาชน โดยเฉพาะมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 4 ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ จะมีการอนุญาตให้ สถานศึกษาทั่วประเทศเปิดภาคเรียนได้ สิ่งที่น่ากังวลคือการอยู่รวมกันของเด็กนักเรียนจํานวนมาก การสวม หน้ากากผ้าจึงเป็นปราการด่านสําคัญในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากเชื้อโควิด 19 ได้ และไม่เป็นการเพิ่มปริมาณขยะ ดังนั้นขอให้ อสม. ลงพื้นที่เชิงรุกย้ําสถานศึกษาและนักเรียนสวมหน้ากากผ้า พร้อมแนะนําผู้ปกครอง ในพื้นที่หากพบว่าลูกหลานมีอาการป่วย ขอให้หยุดเรียนอยู่บ้านสังเกตอาการ หรือไปพบแพทย์ เพราะหากมีการแพร่กระจายเชื้อจะทําให้การควบคุมการแพร่ระบาดเป็นไปได้ยากขึ้น “ขอส่งกําลังใจให้พี่น้อง อสม. ให้มีกําลังใจที่ดี อย่าเพิ่งท้อแท้ เชื่อมั่นว่า อสม.ทุกท่านจะสามารถช่วยชุมชนและประเทศชาติให้ปลอดภัยจากเชื้อโควิด 19 ได้ จนกว่าจะมีวัคซีน” ******************************* 25 มิถุนายน 2563 ******************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32773
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- มหาดไทยนำร่องเปิดตัวโครงการ “บวร” โมเดลต้นแบบของการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561 มหาดไทยนําร่องเปิดตัวโครงการ “บวร” โมเดลต้นแบบของการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า มหาดไทยนําร่องเปิดตัวโครงการ “บวร” โมเดลต้นแบบของการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า วันนี้ (29 มิ.ย.2561) เวลา 09.30น. ณ ลานอเนกประสงค์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานพิธีเปิดโครงการ “บวร (บ้าน วัด โรงเรียน)จุดเริ่มต้นแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยมีนายปริญญา ยมะสมิต ผู้ว่าการประปานครหลวงและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ วัด และสถาบันการศึกษา รวม 4 แห่ง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร โรงเรียนวัดราชบพิธ และกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยเข้าร่วมในพิธี ซึ่งเป็นโครงการที่การประปานครหลวง (กปน.) จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่าร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรน้ําและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และได้มีการนําก๊อกประหยัดน้ํามาติดตั้งที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อทดแทนก๊อกน้ําแบบเดิม ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดปริมาณการใช้น้ําประปาลงได้ไม่น้อยกว่า 10 % นายสุธี มากบุญได้กล่าวขอบคุณการประปานครหลวง และหน่วยงานพันธมิตรที่ได้จัดทําโครงการ “บวร” ขึ้น ซึ่งถือเป็นโครงการรณรงค์เพื่อให้พี่น้องประชาชนใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ําและสิ่งแวดล้อมลดการสูญเสียน้ํา และรู้จักเลือกใช้อุปกรณ์ที่ประหยัดน้ําและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อันจะเป็นต้นแบบที่ดีแก่สังคมไทยต่อไปพร้อมขอความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรให้ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้น้ําในชีวิตประจําวัน อย่างเป็นรูปประธรรม เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ําและสิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน นายปริญญา ยมะสมิตเปิดเผยว่า การประปานครหลวงในฐานะรัฐวิสาหกิจที่มีภารกิจในการผลิต จัดส่งและจําหน่ายน้ําประปาที่มีคุณภาพ ได้จัดทําโครงการการรณรงค์เกี่ยวกับการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่ามาอย่างต่อเนื่อง สําหรับโครงการ “บวร” นอกจากจะมีการเปลี่ยนก๊อกประหยัดน้ําแล้ว การประปานครหลวง ได้รณรงค์ให้ความรู้เรื่องการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่าอีกหลายกิจกรรม อาทิ วิธีสังเกตท่อแตกรั่วภายในบ้าน การเลือกใช้อุปกรณ์และสุขภัณฑ์รุ่นประหยัดน้ํา การแจ้งเหตุขัดข้องผ่านแอปพลิเคชันMWA onMobile“แอปฯ ของคนเมือง ครบทุกเรื่องน้ําประปา” โครงการ 3R(Reduce Reuse Recycle) ใช้น้อย ใช้ซ้ํา นํากลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งลดละเลิกการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทําจากพลาสติก นอกจากนี้ยังเชิญชวน บุคลากรของ 4 หน่วยงาน เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมวิชาชีพช่างประปาเพื่อประชาชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อเสริมสร้างความรู้วิชาชีพช่างและการบํารุงรักษางานประปาเบื้องต้น ซึ่งจะนําไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่าในชีวิตประจําวันอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ําและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้มีน้ําประปาที่สะอาด ปลอดภัย ใช้ในอนาคตอย่างพอเพียงและยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- มหาดไทยนำร่องเปิดตัวโครงการ “บวร” โมเดลต้นแบบของการใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561 มหาดไทยนําร่องเปิดตัวโครงการ “บวร” โมเดลต้นแบบของการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า มหาดไทยนําร่องเปิดตัวโครงการ “บวร” โมเดลต้นแบบของการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า วันนี้ (29 มิ.ย.2561) เวลา 09.30น. ณ ลานอเนกประสงค์ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทยนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานพิธีเปิดโครงการ “บวร (บ้าน วัด โรงเรียน)จุดเริ่มต้นแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยมีนายปริญญา ยมะสมิต ผู้ว่าการประปานครหลวงและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ วัด และสถาบันการศึกษา รวม 4 แห่ง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร โรงเรียนวัดราชบพิธ และกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยเข้าร่วมในพิธี ซึ่งเป็นโครงการที่การประปานครหลวง (กปน.) จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่าร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรน้ําและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และได้มีการนําก๊อกประหยัดน้ํามาติดตั้งที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อทดแทนก๊อกน้ําแบบเดิม ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดปริมาณการใช้น้ําประปาลงได้ไม่น้อยกว่า 10 % นายสุธี มากบุญได้กล่าวขอบคุณการประปานครหลวง และหน่วยงานพันธมิตรที่ได้จัดทําโครงการ “บวร” ขึ้น ซึ่งถือเป็นโครงการรณรงค์เพื่อให้พี่น้องประชาชนใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ําและสิ่งแวดล้อมลดการสูญเสียน้ํา และรู้จักเลือกใช้อุปกรณ์ที่ประหยัดน้ําและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อันจะเป็นต้นแบบที่ดีแก่สังคมไทยต่อไปพร้อมขอความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรให้ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้น้ําในชีวิตประจําวัน อย่างเป็นรูปประธรรม เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ําและสิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชนอย่างยั่งยืน นายปริญญา ยมะสมิตเปิดเผยว่า การประปานครหลวงในฐานะรัฐวิสาหกิจที่มีภารกิจในการผลิต จัดส่งและจําหน่ายน้ําประปาที่มีคุณภาพ ได้จัดทําโครงการการรณรงค์เกี่ยวกับการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่ามาอย่างต่อเนื่อง สําหรับโครงการ “บวร” นอกจากจะมีการเปลี่ยนก๊อกประหยัดน้ําแล้ว การประปานครหลวง ได้รณรงค์ให้ความรู้เรื่องการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่าอีกหลายกิจกรรม อาทิ วิธีสังเกตท่อแตกรั่วภายในบ้าน การเลือกใช้อุปกรณ์และสุขภัณฑ์รุ่นประหยัดน้ํา การแจ้งเหตุขัดข้องผ่านแอปพลิเคชันMWA onMobile“แอปฯ ของคนเมือง ครบทุกเรื่องน้ําประปา” โครงการ 3R(Reduce Reuse Recycle) ใช้น้อย ใช้ซ้ํา นํากลับมาใช้ใหม่ รวมทั้งลดละเลิกการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทําจากพลาสติก นอกจากนี้ยังเชิญชวน บุคลากรของ 4 หน่วยงาน เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมวิชาชีพช่างประปาเพื่อประชาชน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อเสริมสร้างความรู้วิชาชีพช่างและการบํารุงรักษางานประปาเบื้องต้น ซึ่งจะนําไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้น้ําอย่างรู้คุณค่าในชีวิตประจําวันอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ําและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้มีน้ําประปาที่สะอาด ปลอดภัย ใช้ในอนาคตอย่างพอเพียงและยั่งยืน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13459
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”จับได้อีก 8 ราย ขายหน้ากากอนามัยแพง ทางเฟซบุ๊ก ไลน์ ร้านค้าทั่วไป [กระทรวงพาณิชย์]
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563 “พาณิชย์”จับได้อีก 8 ราย ขายหน้ากากอนามัยแพง ทางเฟซบุ๊ก ไลน์ ร้านค้าทั่วไป [กระทรวงพาณิชย์] “พาณิชย์”จับได้อีก 8 ราย ขายหน้ากากอนามัยแพง ทางเฟซบุ๊ก ไลน์ ร้านค้าทั่วไป “พาณิชย์”รายงานผลจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ ตามรวบได้อีก 8 ราย เจอไม่ปิดป้ายแสดงราคา ขายแพงเกินจริง มีทั้งขายทางเฟซบุ๊ก ไลน์ ร้านค้าทั่วไป ทํายอดรวมขยับเพิ่มขึ้นเป็น 382 ราย นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า วันที่ 22 เม.ย.2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 สามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์ เพิ่มอีก 8 ราย แยกเป็นในกรุงเทพฯ 2 ราย และต่างจังหวัด 6 ราย ทําให้ยอดรวมการจับกุมผู้กระทําความผิดเพิ่มขึ้นเป็น 382 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 172 ราย และต่างจังหวัด 210 ราย สําหรับการจับกุมในกรุงเทพฯ 2 ราย เป็นการล่อซื้อและจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก 1 ราย พบจําหน่ายหน้ากากอนามัย บรรจุกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 575 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 11.50 บาท จํานวน 119 กล่อง รวม 5,950 ชิ้น และร้านค้าจําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย จําหน่ายหน้ากากอนามัยบรรจุกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 700 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 14 บาท รวม 30,000 ชิ้น แจ้งข้อหากระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยสูงกว่าราคาที่กําหนด และราคาสูงเกินสมควร ตามมาตรา 25 (1) และมาตรา 29 ส่วนในต่างจังหวัด 6 ราย แยกเป็นการกระทําความผิด ดังนี้ กระทําความผิดตามมาตรา 28 ข้อหาจําหน่ายเจลแอลกอฮอล์โดยไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย จํานวน 1 ราย เป็นร้านค้าแผงลอย ในจังหวัดนครสวรรค์ กระทําความผิดตามมาตรา 29 ข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควร โดยเจ้าหน้าที่ทําการล่อซื้อและจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก จํานวน 4 ราย ได้แก่ จังหวัดชลบุรี 1 ราย พบจําหน่ายหน้ากากอนามัย บรรจุกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 590 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 11.80 บาท จังหวัดนครสวรรค์ 1 ราย พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ บรรจุกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 650 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13 บาท และจังหวัดพิษณุโลก 2 ราย พบจําหน่ายหน้ากากอนามัย บรรจุกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 680-690 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.60-13.80 บาท รวม 150 ชิ้น และเจ้าหน้าที่ยังได้ทําการล่อซื้อและจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยเป็นร้านค้าทั่วไป ในจังหวัดพิษณุโลกอีก 1 ราย พร้อมของกลางเป็นหน้ากากอนามัยบรรจุกล่อง 50 ชิ้น ทางด้านสถานการณ์การจําหน่ายไข่ไก่ ในภาพรวมความต้องการซื้อไข่ไก่ลดลงจนเข้าสู่ภาวะปกติ ประชาชนซื้อเท่าที่พอเพียงต่อการบริโภค อีกทั้งมีปริมาณผลผลิตไข่ไก่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น สามารถสั่งซื้อและส่งสินค้าได้ตามปกติ ทําให้ไม่มีปัญหาด้านราคาและการขาดแคลน แต่กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป และพบผู้กระทําความผิดกรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย ตามมาตรา 28 เพิ่ม 1 ราย ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนการขายแพง ไม่มีการจับกุมเพิ่ม ทําให้ยอดรวมการจับกุมเพิ่มเป็น 28 ราย “ในสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโควิด–19 อยากย้ําเตือนผู้ที่มีพฤติกรรมกักตุน และขายสินค้าแพงเกินจริง โดยเฉพาะสินค้าหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ รวมถึงสินค้าที่จําเป็นอื่นๆ หากพบการกระทําความผิด กระทรวงพาณิชย์จะดําเนินคดีตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด เพราะถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน โดยประชาชนที่พบเห็นการกักตุนสินค้าและขายสินค้าแพงเกินจริง สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด”นายสุพพัตกล่าว >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”จับได้อีก 8 ราย ขายหน้ากากอนามัยแพง ทางเฟซบุ๊ก ไลน์ ร้านค้าทั่วไป [กระทรวงพาณิชย์] วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563 “พาณิชย์”จับได้อีก 8 ราย ขายหน้ากากอนามัยแพง ทางเฟซบุ๊ก ไลน์ ร้านค้าทั่วไป [กระทรวงพาณิชย์] “พาณิชย์”จับได้อีก 8 ราย ขายหน้ากากอนามัยแพง ทางเฟซบุ๊ก ไลน์ ร้านค้าทั่วไป “พาณิชย์”รายงานผลจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ ตามรวบได้อีก 8 ราย เจอไม่ปิดป้ายแสดงราคา ขายแพงเกินจริง มีทั้งขายทางเฟซบุ๊ก ไลน์ ร้านค้าทั่วไป ทํายอดรวมขยับเพิ่มขึ้นเป็น 382 ราย นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า วันที่ 22 เม.ย.2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 สามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์ เพิ่มอีก 8 ราย แยกเป็นในกรุงเทพฯ 2 ราย และต่างจังหวัด 6 ราย ทําให้ยอดรวมการจับกุมผู้กระทําความผิดเพิ่มขึ้นเป็น 382 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 172 ราย และต่างจังหวัด 210 ราย สําหรับการจับกุมในกรุงเทพฯ 2 ราย เป็นการล่อซื้อและจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก 1 ราย พบจําหน่ายหน้ากากอนามัย บรรจุกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 575 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 11.50 บาท จํานวน 119 กล่อง รวม 5,950 ชิ้น และร้านค้าจําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย จําหน่ายหน้ากากอนามัยบรรจุกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 700 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 14 บาท รวม 30,000 ชิ้น แจ้งข้อหากระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยสูงกว่าราคาที่กําหนด และราคาสูงเกินสมควร ตามมาตรา 25 (1) และมาตรา 29 ส่วนในต่างจังหวัด 6 ราย แยกเป็นการกระทําความผิด ดังนี้ กระทําความผิดตามมาตรา 28 ข้อหาจําหน่ายเจลแอลกอฮอล์โดยไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย จํานวน 1 ราย เป็นร้านค้าแผงลอย ในจังหวัดนครสวรรค์ กระทําความผิดตามมาตรา 29 ข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินสมควร โดยเจ้าหน้าที่ทําการล่อซื้อและจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก จํานวน 4 ราย ได้แก่ จังหวัดชลบุรี 1 ราย พบจําหน่ายหน้ากากอนามัย บรรจุกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 590 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 11.80 บาท จังหวัดนครสวรรค์ 1 ราย พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ บรรจุกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 650 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13 บาท และจังหวัดพิษณุโลก 2 ราย พบจําหน่ายหน้ากากอนามัย บรรจุกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 680-690 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 13.60-13.80 บาท รวม 150 ชิ้น และเจ้าหน้าที่ยังได้ทําการล่อซื้อและจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยเป็นร้านค้าทั่วไป ในจังหวัดพิษณุโลกอีก 1 ราย พร้อมของกลางเป็นหน้ากากอนามัยบรรจุกล่อง 50 ชิ้น ทางด้านสถานการณ์การจําหน่ายไข่ไก่ ในภาพรวมความต้องการซื้อไข่ไก่ลดลงจนเข้าสู่ภาวะปกติ ประชาชนซื้อเท่าที่พอเพียงต่อการบริโภค อีกทั้งมีปริมาณผลผลิตไข่ไก่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น สามารถสั่งซื้อและส่งสินค้าได้ตามปกติ ทําให้ไม่มีปัญหาด้านราคาและการขาดแคลน แต่กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป และพบผู้กระทําความผิดกรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย ตามมาตรา 28 เพิ่ม 1 ราย ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ส่วนการขายแพง ไม่มีการจับกุมเพิ่ม ทําให้ยอดรวมการจับกุมเพิ่มเป็น 28 ราย “ในสถานการณ์การระบาดของโรคไวรัสโควิด–19 อยากย้ําเตือนผู้ที่มีพฤติกรรมกักตุน และขายสินค้าแพงเกินจริง โดยเฉพาะสินค้าหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ รวมถึงสินค้าที่จําเป็นอื่นๆ หากพบการกระทําความผิด กระทรวงพาณิชย์จะดําเนินคดีตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด เพราะถือเป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน โดยประชาชนที่พบเห็นการกักตุนสินค้าและขายสินค้าแพงเกินจริง สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด”นายสุพพัตกล่าว >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29574
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดบ้านการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 เปิดบ้านการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน "เปิดบ้านการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)" เมื่อวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ณ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ อําเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา - พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน "เปิดบ้านการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)" เมื่อวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ณ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ อําเภอเมืองฉะเชิงเทรา นายกิตติพันธ์ โรจนชีวะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรากล่าวว่า จังหวัดฉะเชิงเทราแบ่งออกเป็น 18 อําเภอ ปัจจุบันรัฐบาลได้กําหนดให้จังหวัดฉะเชิงเทราเป็น1ในจังหวัดของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่พัฒนาด้านเศรษฐกิจที่สําคัญอย่างยิ่งของประเทศ มีทรัพยากรที่หลากหลาย เช่น ภูเขา ป่าไม้ อุทยาน สัตว์ป่า พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่ติดทะเล เป็นต้น ถือเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมที่จะพัฒนาในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และเกษตรกรรมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรด้านการศึกษา ที่ผ่านมาสถานศึกษาในจังหวัดฉะเชิงเทราสามารถผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพอยู่ในหลากหลายสาขาอาชีพ จึงเชื่อมั่นว่าจังหวัดฉะเชิงเทรามีความพร้อมในการบูรณาการเพื่อพัฒนาด้านการศึกษาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวถึงภาพรวมของกระทรวงศึกษาธิการในการจัดการศึกษาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่า สืบเนื่องจากรัฐบาลได้กําหนดให้มีการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกใน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง โดยมีคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 ให้มีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และต่อมามีการประกาศ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ปี 2561 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ขึ้น กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักและดําเนินการในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง โดย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ พล.อ. สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้รับผิดชอบการดําเนินการจัดการศึกษาในพื้นที่ EECโดยกระทรวงศึกษาธิการมีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออกและการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวนั้นมีการจัดทําแผนและการร่วมมือรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนของทั้ง 3 จังหวัด นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 23-25 มีนาคม 2560กระทรวงศึกษาธิการได้จัดงานขับเคลื่อนแผนบูรณาการการจัดการศึกษาในพื้นที่ EEC โดยเฉพาะในเรื่องของ 10 อุตสาหกรรมหลัก ตามความต้องการของพื้นที่ มีการจัดเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การพัฒนาแผนการจัดการศึกษาทั้งระบบ ซึ่งครั้งนั้นได้รับเกียรติจากดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด และพล.อ.อ.ประจิน จั่นตองเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษและเป็นประธานในพิธีปิด จากนั้นวันที่ 5-6 กุมภาพันธ์ 2561ได้มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออกและการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และมีการปรับแผนในส่วนที่เกี่ยวข้อง ต่อมาในวันที่ 23 สิงหาคม 2561ได้มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ครั้งที่ 2 ณ โรงเรียนชลบุรี "สุขบท" จังหวัดชลบุรี โดยได้มีการรับฟังและพิจารณาแผนของแต่ละหน่วยงานที่เสนอของบประมาณ รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการดําเนินการต่าง ๆ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการมีความตระหนักเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้การดําเนินงานในวันนี้เกิดความต่อเนื่องจากทุกกระบวนการที่ผ่านมา ดังนั้น การจัดงานในครั้งนี้ จึงถือเป็นเวทีเชื่อมโยงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา อุดมศึกษา รวมถึงการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยต่อไป พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า เป็นวันแห่งความภาคภูมิใจอีกวันหนึ่งของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ พร้อมใจกันทํางานในพื้นที่ EEC ภายใต้ชื่องาน "เปิดบ้านการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" โดยส่วนตัวมีความประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์เนื่องจากได้เห็นวิสัยทัศน์ที่ทางโรงเรียนประกาศไว้ว่า"การเรียนเด่น เป็นคนดี มีความสุข สนุกกับกิจกรรมสร้างสรรค์ ก้าวทันมาตรฐานสากล ดํารงตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง"ซึ่งเป็นการรวบยอดความคิดทั้งหมดไว้แล้ว ถือเป็นเรื่องที่มีคุณค่าที่สุดของประชาชนชาวไทย ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงพระราชทานไว้ และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ก็ได้ทรงมีพระปณิธานที่จะรักษา สืบสาน ต่อยอด โดยมีพระบรมราโชบายด้านการศึกษา 4 ด้าน คือ1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง2) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม3) มีงานทํา มีอาชีพสุจริต4) เป็นพลเมืองดีซึ่งนับว่าเป็นโชคดีของคนไทยที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อเนื่องยาวนานอย่างหาที่สุดมิได้ สําหรับความพร้อมเพรียงของงานในครั้งนี้เป็นผลจากการทํางานอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยรัฐบาลปัจจุบันได้มองเห็นถึงความก้าวหน้าในเรื่องความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จึงได้ประกาศให้พื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 ถือเป็นส่วนนําที่จะทําให้การพัฒนาต่าง ๆ มุ่งเข้ามายังพื้นที่นี้ มีการระดมสรรพกําลังในการทําให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจชั้นนําของอาเซียน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประเทศชาติและความสุขของประชาชนชาวไทย ในด้านของการเตรียมทรัพยากรมนุษย์สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ "การศึกษา" ซึ่งเรามีความมุ่งหวังร่วมกันที่จะทําให้การศึกษามีความเข้มแข็งมากขึ้น ดังพระบรมราโชวาทที่ได้พระราชทานไว้ตั้งแต่ปี 2512 ว่า "การจัดการศึกษาต้องทําให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น" ดังจะเห็นได้ว่ากิจกรรมในวันนี้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ริเริ่มแนะนําโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนนําร่องจํานวน 30 แห่ง และมีโรงเรียนคู่พัฒนาอีก 16 แห่ง รวมเป็น 46 โรงเรียน ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีซึ่งการเริ่มต้นที่ดีนั้นส่งผลให้ความสําเร็จของงานผ่านไปได้แล้วกว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้นส่วนที่เหลือจึงขึ้นอยู่กับการปฏิบัติด้วยความร่วมมือร่วมใจจึงจะเกิดผลสําเร็จ พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เคยให้ข้อแนะนํากับกระทรวงศึกษาธิการว่า จะต้องให้ความสําคัญกับความเพียรซึ่งถือเป็นหลักการทรงงานอีกเรื่องที่รัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานไว้ให้ ความเพียรนั้นหมายถึงความเข้มแข็ง ความมุ่งมั่น ความตั้งใจในการดําเนินงาน ซึ่งเชื่อว่าทุกท่านมีความเพียรอยู่อย่างเต็มเปี่ยม อีกอย่างที่สําคัญคือความร่วมมือ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการสร้างความเข้าใจ สร้างการรับรู้ และนี่คือหลักของการบูรณาการทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน ประชาสังคมภาควิชาการ สื่อสารมวลชน โดยทุกฝ่ายมีส่วนทําให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน และทั้งหมดนี้คือแนวทางการทํางานด้วยกลไกประชารัฐตามนโยบายของรัฐบาล "สําหรับงานในวันนี้ ถือเป็นการสร้างความรับรู้ให้สังคมวงกว้างได้เห็นการดําเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการ ว่าหน่วยงานต่าง ๆ ทําอะไรไปแล้วบ้าง มีความพร้อมอย่างไร และเป็นโอกาสที่สถาบันการศึกษาทุกฝ่ายนําผลงานและนักเรียนมาแสดงฝีมือ ทําให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครอง สถานศึกษา ฝ่ายบริหารสถานศึกษา เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่อยอดผลงาน ส่งผลให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข ทั้งนี้ ขอเน้นย้ําในเรื่องการคิดร่วมกันให้ครบทุกฝ่าย หมั่นทบทวนงานให้ก้าวหน้าอย่างสม่ําเสมอ ตามแนวคิดที่ว่า"คิดให้ครบ ทบทวนเป็นห้วง ๆ ห่วงใยการรับรู้ สู่การบูรณาการ สืบสานศาสตร์พระราชา เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน" ภายหลังพิธีเปิดงาน "เปิดบ้านการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้รับชมการแสดงความสามารถจากนักเรียนโรงเรียนต่าง ๆ และได้เยี่ยมชมบูธกิจกรรม ผลงานจากสถานศึกษาในเขตพื้นที่ EEC ที่นํามาจัดแสดงทั้ง 46 แห่ง Writtenbyปารัชญ์ ไชยเวช Photo Creditธนภัทร จันทร์ห้างหว้า Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดบ้านการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 เปิดบ้านการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน "เปิดบ้านการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)" เมื่อวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ณ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ อําเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา - พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงาน "เปิดบ้านการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC)" เมื่อวันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 ณ โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์ อําเภอเมืองฉะเชิงเทรา นายกิตติพันธ์ โรจนชีวะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรากล่าวว่า จังหวัดฉะเชิงเทราแบ่งออกเป็น 18 อําเภอ ปัจจุบันรัฐบาลได้กําหนดให้จังหวัดฉะเชิงเทราเป็น1ในจังหวัดของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่พัฒนาด้านเศรษฐกิจที่สําคัญอย่างยิ่งของประเทศ มีทรัพยากรที่หลากหลาย เช่น ภูเขา ป่าไม้ อุทยาน สัตว์ป่า พื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่อุตสาหกรรม พื้นที่ติดทะเล เป็นต้น ถือเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมที่จะพัฒนาในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และเกษตรกรรมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรด้านการศึกษา ที่ผ่านมาสถานศึกษาในจังหวัดฉะเชิงเทราสามารถผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพอยู่ในหลากหลายสาขาอาชีพ จึงเชื่อมั่นว่าจังหวัดฉะเชิงเทรามีความพร้อมในการบูรณาการเพื่อพัฒนาด้านการศึกษาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป นายอํานาจ วิชยานุวัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวถึงภาพรวมของกระทรวงศึกษาธิการในการจัดการศึกษาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่า สืบเนื่องจากรัฐบาลได้กําหนดให้มีการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกใน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง โดยมีคําสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 2/2560 เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 ให้มีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และต่อมามีการประกาศ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ปี 2561 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ขึ้น กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักและดําเนินการในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง โดย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายให้ พล.อ. สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้รับผิดชอบการดําเนินการจัดการศึกษาในพื้นที่ EECโดยกระทรวงศึกษาธิการมีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออกและการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวนั้นมีการจัดทําแผนและการร่วมมือรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนของทั้ง 3 จังหวัด นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 23-25 มีนาคม 2560กระทรวงศึกษาธิการได้จัดงานขับเคลื่อนแผนบูรณาการการจัดการศึกษาในพื้นที่ EEC โดยเฉพาะในเรื่องของ 10 อุตสาหกรรมหลัก ตามความต้องการของพื้นที่ มีการจัดเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การพัฒนาแผนการจัดการศึกษาทั้งระบบ ซึ่งครั้งนั้นได้รับเกียรติจากดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด และพล.อ.อ.ประจิน จั่นตองเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษและเป็นประธานในพิธีปิด จากนั้นวันที่ 5-6 กุมภาพันธ์ 2561ได้มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการบูรณาการการศึกษาภาคตะวันออกและการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และมีการปรับแผนในส่วนที่เกี่ยวข้อง ต่อมาในวันที่ 23 สิงหาคม 2561ได้มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ครั้งที่ 2 ณ โรงเรียนชลบุรี "สุขบท" จังหวัดชลบุรี โดยได้มีการรับฟังและพิจารณาแผนของแต่ละหน่วยงานที่เสนอของบประมาณ รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการดําเนินการต่าง ๆ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการมีความตระหนักเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้การดําเนินงานในวันนี้เกิดความต่อเนื่องจากทุกกระบวนการที่ผ่านมา ดังนั้น การจัดงานในครั้งนี้ จึงถือเป็นเวทีเชื่อมโยงการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา อุดมศึกษา รวมถึงการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยต่อไป พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า เป็นวันแห่งความภาคภูมิใจอีกวันหนึ่งของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ พร้อมใจกันทํางานในพื้นที่ EEC ภายใต้ชื่องาน "เปิดบ้านการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" โดยส่วนตัวมีความประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในโรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฎิ์เนื่องจากได้เห็นวิสัยทัศน์ที่ทางโรงเรียนประกาศไว้ว่า"การเรียนเด่น เป็นคนดี มีความสุข สนุกกับกิจกรรมสร้างสรรค์ ก้าวทันมาตรฐานสากล ดํารงตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง"ซึ่งเป็นการรวบยอดความคิดทั้งหมดไว้แล้ว ถือเป็นเรื่องที่มีคุณค่าที่สุดของประชาชนชาวไทย ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่ได้ทรงพระราชทานไว้ และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ก็ได้ทรงมีพระปณิธานที่จะรักษา สืบสาน ต่อยอด โดยมีพระบรมราโชบายด้านการศึกษา 4 ด้าน คือ1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง2) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม3) มีงานทํา มีอาชีพสุจริต4) เป็นพลเมืองดีซึ่งนับว่าเป็นโชคดีของคนไทยที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อเนื่องยาวนานอย่างหาที่สุดมิได้ สําหรับความพร้อมเพรียงของงานในครั้งนี้เป็นผลจากการทํางานอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยรัฐบาลปัจจุบันได้มองเห็นถึงความก้าวหน้าในเรื่องความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จึงได้ประกาศให้พื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง เป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 ถือเป็นส่วนนําที่จะทําให้การพัฒนาต่าง ๆ มุ่งเข้ามายังพื้นที่นี้ มีการระดมสรรพกําลังในการทําให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจชั้นนําของอาเซียน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประเทศชาติและความสุขของประชาชนชาวไทย ในด้านของการเตรียมทรัพยากรมนุษย์สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ "การศึกษา" ซึ่งเรามีความมุ่งหวังร่วมกันที่จะทําให้การศึกษามีความเข้มแข็งมากขึ้น ดังพระบรมราโชวาทที่ได้พระราชทานไว้ตั้งแต่ปี 2512 ว่า "การจัดการศึกษาต้องทําให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น" ดังจะเห็นได้ว่ากิจกรรมในวันนี้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ริเริ่มแนะนําโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนนําร่องจํานวน 30 แห่ง และมีโรงเรียนคู่พัฒนาอีก 16 แห่ง รวมเป็น 46 โรงเรียน ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีซึ่งการเริ่มต้นที่ดีนั้นส่งผลให้ความสําเร็จของงานผ่านไปได้แล้วกว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้นส่วนที่เหลือจึงขึ้นอยู่กับการปฏิบัติด้วยความร่วมมือร่วมใจจึงจะเกิดผลสําเร็จ พล.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้เคยให้ข้อแนะนํากับกระทรวงศึกษาธิการว่า จะต้องให้ความสําคัญกับความเพียรซึ่งถือเป็นหลักการทรงงานอีกเรื่องที่รัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานไว้ให้ ความเพียรนั้นหมายถึงความเข้มแข็ง ความมุ่งมั่น ความตั้งใจในการดําเนินงาน ซึ่งเชื่อว่าทุกท่านมีความเพียรอยู่อย่างเต็มเปี่ยม อีกอย่างที่สําคัญคือความร่วมมือ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการสร้างความเข้าใจ สร้างการรับรู้ และนี่คือหลักของการบูรณาการทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาชน ประชาสังคมภาควิชาการ สื่อสารมวลชน โดยทุกฝ่ายมีส่วนทําให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน และทั้งหมดนี้คือแนวทางการทํางานด้วยกลไกประชารัฐตามนโยบายของรัฐบาล "สําหรับงานในวันนี้ ถือเป็นการสร้างความรับรู้ให้สังคมวงกว้างได้เห็นการดําเนินงานของกระทรวงศึกษาธิการ ว่าหน่วยงานต่าง ๆ ทําอะไรไปแล้วบ้าง มีความพร้อมอย่างไร และเป็นโอกาสที่สถาบันการศึกษาทุกฝ่ายนําผลงานและนักเรียนมาแสดงฝีมือ ทําให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันทั้งครู นักเรียน ผู้ปกครอง สถานศึกษา ฝ่ายบริหารสถานศึกษา เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ต่อยอดผลงาน ส่งผลให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข ทั้งนี้ ขอเน้นย้ําในเรื่องการคิดร่วมกันให้ครบทุกฝ่าย หมั่นทบทวนงานให้ก้าวหน้าอย่างสม่ําเสมอ ตามแนวคิดที่ว่า"คิดให้ครบ ทบทวนเป็นห้วง ๆ ห่วงใยการรับรู้ สู่การบูรณาการ สืบสานศาสตร์พระราชา เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน" ภายหลังพิธีเปิดงาน "เปิดบ้านการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้รับชมการแสดงความสามารถจากนักเรียนโรงเรียนต่าง ๆ และได้เยี่ยมชมบูธกิจกรรม ผลงานจากสถานศึกษาในเขตพื้นที่ EEC ที่นํามาจัดแสดงทั้ง 46 แห่ง Writtenbyปารัชญ์ ไชยเวช Photo Creditธนภัทร จันทร์ห้างหว้า Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14969
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการจัดทำสัญญาให้สิทธินำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในบริเวณตลาดนัดจตุจักรระหว่าง กทม. กับกลุ่มผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร
วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการจัดทําสัญญาให้สิทธินําสินค้าเข้ามาจําหน่ายในบริเวณตลาดนัดจตุจักรระหว่าง กทม. กับกลุ่มผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการจัดทําสัญญาให้สิทธินําสินค้าเข้ามาจําหน่ายในบริเวณตลาดนัดจตุจักรระหว่าง กทม. กับกลุ่มผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร วันนี้ (16 ก.พ. 62) เวลา 08.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมการตรวจราชการ ซึ่งมีพลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ค้า ผู้ประกอบการและประชาชนมารอให้การต้อนรับ สําหรับการดําเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินกลุ่มผู้ค้า และการจัดระเบียบพื้นที่ตลาดนัดจตุจักร ตามมติคณะมนตรีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 และเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 โอนความรับผิดชอบการบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรจากการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 โดยกรุงเทพฯได้มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในตลาดนัดจตุจักรให้มีสภาพเหมาะสมสวยงามสามารถรองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เข้ามาใช้บริการเป็นจํานวนมาก ซึ่งผู้ค้าภายในตลาดนัดที่มีมากกว่า 100 ราย ปัจจุบันได้มีการทําสัญญากับกองอํานวยการตลาดนัดกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นมา โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการจัดทําสัญญาให้สิทธินําสินค้าเข้ามาจําหน่ายในบริเวณตลาดนัดจตุจักรระหว่างกรุงเทพมหานครกับกลุ่มผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาหนี้สินของกลุ่มผู้ค้า และเป็นการจัดระเบียบพื้นที่ตลาดนัดจตุจักร พร้อมได้กล่าวทักทายผู้ค้าในตลาดนัดจตุจักรที่มารอให้การต้อนรับ และขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง วันนี้เป็นวันหนึ่งที่จะทําให้ทุกอย่างดีขึ้น หลายอย่างเรากําลังปรับปรุงแก้ไขไปตามลําดับทั้งกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่ต้องดูแล เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม จนกระทั่งได้ข้อยุติดังกล่าว นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ตนก็เป็นสมาชิกจตุจักรเก่ามาอย่างยาวนาน สมัยก่อนไม่รู้จะไปไหนก็จะมาเดินสถานที่แห่งนี้ เพราะตลาดนัดจตุจักรมีชื่อเสียงมาทุกวันนี้เพราะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเป็นตลาดนัดที่ สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวที่มาซื้อสินค้า โดยเฉพาะรอยยิ้มและคําพูดที่ไพเราะของผู้ค้ากับผู้ซื้อที่มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในตลาดจตุจักรเกือบ จํานวน 200,000 คน รายได้ 8.5 ล้านบาทต่อวัน ถือเป็นแหล่งรายได้ของผู้มีรายได้น้อย พร้อมทั้งขอให้ผู้ค้ารักษามาตรฐานความนิยมของตลาด และร่วมกันพัฒนาและรักษาความสะอาดภายในตลาด โดยเฉพาะการจัดการขยะและน้ําเสียให้ถูกสุขลักษณะ รวมถึงการดูแลความสะอาดแผงขายของ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีแนะนําผู้ค้าให้มีการปรับตัว ด้วยการเปิดขายสินค้าทางออนไลน์ ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทําให้ทุกคนได้ประโยชน์ทั่วถึงกัน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ไขปัญหาหนี้สินของกลุ่มผู้ค้าตลาดนัดสวนจตุจักร ที่เป็นหนี้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยเฉพาะเรื่องค่าเช่าแผงค้า ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจจากนายกรัฐมนตรีได้แวะทานข้าวแกงร้านเหมียวข้าวแกงใต้ โครงการ 26 ในตลาดนัดสวนจตุจักร จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ถ่ายภาพร่วมกับผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ก่อนเดินทางกลับ ............... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการจัดทำสัญญาให้สิทธินำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในบริเวณตลาดนัดจตุจักรระหว่าง กทม. กับกลุ่มผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการจัดทําสัญญาให้สิทธินําสินค้าเข้ามาจําหน่ายในบริเวณตลาดนัดจตุจักรระหว่าง กทม. กับกลุ่มผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการจัดทําสัญญาให้สิทธินําสินค้าเข้ามาจําหน่ายในบริเวณตลาดนัดจตุจักรระหว่าง กทม. กับกลุ่มผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร วันนี้ (16 ก.พ. 62) เวลา 08.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจราชการพื้นที่กรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมการตรวจราชการ ซึ่งมีพลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ค้า ผู้ประกอบการและประชาชนมารอให้การต้อนรับ สําหรับการดําเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินกลุ่มผู้ค้า และการจัดระเบียบพื้นที่ตลาดนัดจตุจักร ตามมติคณะมนตรีเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 และเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 โอนความรับผิดชอบการบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรจากการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 โดยกรุงเทพฯได้มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในตลาดนัดจตุจักรให้มีสภาพเหมาะสมสวยงามสามารถรองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เข้ามาใช้บริการเป็นจํานวนมาก ซึ่งผู้ค้าภายในตลาดนัดที่มีมากกว่า 100 ราย ปัจจุบันได้มีการทําสัญญากับกองอํานวยการตลาดนัดกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นมา โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการจัดทําสัญญาให้สิทธินําสินค้าเข้ามาจําหน่ายในบริเวณตลาดนัดจตุจักรระหว่างกรุงเทพมหานครกับกลุ่มผู้ค้าตลาดนัดจตุจักร ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือการแก้ไขปัญหาหนี้สินของกลุ่มผู้ค้า และเป็นการจัดระเบียบพื้นที่ตลาดนัดจตุจักร พร้อมได้กล่าวทักทายผู้ค้าในตลาดนัดจตุจักรที่มารอให้การต้อนรับ และขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง วันนี้เป็นวันหนึ่งที่จะทําให้ทุกอย่างดีขึ้น หลายอย่างเรากําลังปรับปรุงแก้ไขไปตามลําดับทั้งกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่ต้องดูแล เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม จนกระทั่งได้ข้อยุติดังกล่าว นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ตนก็เป็นสมาชิกจตุจักรเก่ามาอย่างยาวนาน สมัยก่อนไม่รู้จะไปไหนก็จะมาเดินสถานที่แห่งนี้ เพราะตลาดนัดจตุจักรมีชื่อเสียงมาทุกวันนี้เพราะมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเป็นตลาดนัดที่ สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวที่มาซื้อสินค้า โดยเฉพาะรอยยิ้มและคําพูดที่ไพเราะของผู้ค้ากับผู้ซื้อที่มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ซึ่งปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในตลาดจตุจักรเกือบ จํานวน 200,000 คน รายได้ 8.5 ล้านบาทต่อวัน ถือเป็นแหล่งรายได้ของผู้มีรายได้น้อย พร้อมทั้งขอให้ผู้ค้ารักษามาตรฐานความนิยมของตลาด และร่วมกันพัฒนาและรักษาความสะอาดภายในตลาด โดยเฉพาะการจัดการขยะและน้ําเสียให้ถูกสุขลักษณะ รวมถึงการดูแลความสะอาดแผงขายของ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีแนะนําผู้ค้าให้มีการปรับตัว ด้วยการเปิดขายสินค้าทางออนไลน์ ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทําให้ทุกคนได้ประโยชน์ทั่วถึงกัน พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ไขปัญหาหนี้สินของกลุ่มผู้ค้าตลาดนัดสวนจตุจักร ที่เป็นหนี้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยเฉพาะเรื่องค่าเช่าแผงค้า ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจจากนายกรัฐมนตรีได้แวะทานข้าวแกงร้านเหมียวข้าวแกงใต้ โครงการ 26 ในตลาดนัดสวนจตุจักร จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ถ่ายภาพร่วมกับผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ก่อนเดินทางกลับ ............... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18840
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิด “ตลาดเกษตรอินทรีย์”Organic Market มุ่งคัดสรรสินค้าเกษตรคุณภาพปลอดภัย
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เปิด “ตลาดเกษตรอินทรีย์”Organic Market มุ่งคัดสรรสินค้าเกษตรคุณภาพปลอดภัย กระทรวงเกษตรฯ เปิด “ตลาดเกษตรอินทรีย์”Organic Market มุ่งคัดสรรสินค้าเกษตรคุณภาพปลอดภัย/เกษตรอินทรีย์ ที่ได้มาตรฐาน มาจําหน่ายโดยเกษตรกร กว่า 50 ราย ระหว่างวันที่ 26 มี.ค. – 9 เม.ย. 60 ณ อ.ต.ก. ย่านพหลโยธิน นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดงาน “ตลาดเกษตรอินทรีย์” Organic Market ณ ตลาด อ.ต.ก. ย่านพหลโยธิน ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กําหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืน และต้องการให้ อ.ต.ก. เป็นตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง อีกทั้ง ยังเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นด้านการกระจายสินค้าเกษตรคุณภาพ ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกสินค้าเกษตรอินทรีย์ จึงได้มอบหมายให้ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จัดพื้นที่สําหรับเกษตรกร เพื่อจําหน่ายสินค้าโดยเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการด้านการเกษตร ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็จะมีสถานที่ซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์หรือสินค้าปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน มีตรารับรองจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยรับรองต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าเกษตรอินทรีย์ โดยดําเนินการจัดจําหน่ายทั้งแบบปลีกและแบบส่งในประเทศและต่างประเทศ โดยจะพัฒนาให้เป็นตลาดเกษตรอินทรีย์ถาวรต่อไป นอกจากนี้ ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมและจําหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์และอาหารปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง โดยได้กําหนดให้สัปดาห์แรกของเดือนเมษายน 2560 เป็นสัปดาห์แห่งการเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร เน้นการดําเนินงานตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ทั้งนี้ เกษตรอินทรีย์ไทยในปี 2559 ได้ขยายตัวต่อเนื่อง โดยในปี 2558 มีการขยายตัวสูงถึง 12% ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่การผลิตเกษตรอินทรีย์ ประมาณ 3 แสนไร่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้าวและพืชผัก และตั้งเป้าหมายว่าในปี 2560 นี้จะขยายพื้นที่เพาะปลูกเกษตรอินทรีย์อีกอย่างน้อย 15% และจะมีโครงการต่าง ๆ ได้แก่ โครงการเกษตรแปลงใหญ่ โดยจะเร่งดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการในการดําเนินการเรื่องนาข้าวอินทรีย์แปลงใหญ่ด้วย ซึ่งมีความต้องการจากต่างประเทศเป็นจํานวนมาก ด้าน นายกมลวิศว์ แก้วแฝก ผู้อํานวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน้าที่ในการจัดตั้งตลาดเพื่อให้เป็นแหล่งกลางในการซื้อขายผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าอื่นๆ พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรนําผลิตผล หรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมในครัวเรือนมาจัดจําหน่ายโดยตรง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง จึงได้จัดสรรพื้นที่กว่า 400 ตารางเมตร เปิด “ตลาดเกษตรอินทรีย์” Organic Market ขึ้น โดยได้คัดสรรสินค้าเกษตรคุณภาพปลอดภัย/เกษตรอินทรีย์ ที่ได้มาตรฐาน มาจําหน่ายโดยเกษตรกร กว่า 50 ราย อาทิ ข้าวหลากหลายสายพันธุ์ ไข่ไก่ออร์แกนิค ผักพื้นบ้าน ผลไม้สด/แปรรูป และเห็ดแครง อ.ต.ก. โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 9 เมษายน 2560 ณ อ.ต.ก. ย่านพหลโยธิน (บริเวณข้างธนาคารกรุงไทย) กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เปิด “ตลาดเกษตรอินทรีย์”Organic Market มุ่งคัดสรรสินค้าเกษตรคุณภาพปลอดภัย วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เปิด “ตลาดเกษตรอินทรีย์”Organic Market มุ่งคัดสรรสินค้าเกษตรคุณภาพปลอดภัย กระทรวงเกษตรฯ เปิด “ตลาดเกษตรอินทรีย์”Organic Market มุ่งคัดสรรสินค้าเกษตรคุณภาพปลอดภัย/เกษตรอินทรีย์ ที่ได้มาตรฐาน มาจําหน่ายโดยเกษตรกร กว่า 50 ราย ระหว่างวันที่ 26 มี.ค. – 9 เม.ย. 60 ณ อ.ต.ก. ย่านพหลโยธิน นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดงาน “ตลาดเกษตรอินทรีย์” Organic Market ณ ตลาด อ.ต.ก. ย่านพหลโยธิน ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กําหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่ความยั่งยืน และต้องการให้ อ.ต.ก. เป็นตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง อีกทั้ง ยังเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นด้านการกระจายสินค้าเกษตรคุณภาพ ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกสินค้าเกษตรอินทรีย์ จึงได้มอบหมายให้ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จัดพื้นที่สําหรับเกษตรกร เพื่อจําหน่ายสินค้าโดยเกษตรกร สถาบันเกษตรกร ผู้ประกอบการด้านการเกษตร ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็จะมีสถานที่ซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์หรือสินค้าปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน มีตรารับรองจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยรับรองต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าเกษตรอินทรีย์ โดยดําเนินการจัดจําหน่ายทั้งแบบปลีกและแบบส่งในประเทศและต่างประเทศ โดยจะพัฒนาให้เป็นตลาดเกษตรอินทรีย์ถาวรต่อไป นอกจากนี้ ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมและจําหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์และอาหารปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง โดยได้กําหนดให้สัปดาห์แรกของเดือนเมษายน 2560 เป็นสัปดาห์แห่งการเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร เน้นการดําเนินงานตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ทั้งนี้ เกษตรอินทรีย์ไทยในปี 2559 ได้ขยายตัวต่อเนื่อง โดยในปี 2558 มีการขยายตัวสูงถึง 12% ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่การผลิตเกษตรอินทรีย์ ประมาณ 3 แสนไร่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้าวและพืชผัก และตั้งเป้าหมายว่าในปี 2560 นี้จะขยายพื้นที่เพาะปลูกเกษตรอินทรีย์อีกอย่างน้อย 15% และจะมีโครงการต่าง ๆ ได้แก่ โครงการเกษตรแปลงใหญ่ โดยจะเร่งดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนเมษายนนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการในการดําเนินการเรื่องนาข้าวอินทรีย์แปลงใหญ่ด้วย ซึ่งมีความต้องการจากต่างประเทศเป็นจํานวนมาก ด้าน นายกมลวิศว์ แก้วแฝก ผู้อํานวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหน้าที่ในการจัดตั้งตลาดเพื่อให้เป็นแหล่งกลางในการซื้อขายผลิตผลหรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าอื่นๆ พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรนําผลิตผล หรือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมในครัวเรือนมาจัดจําหน่ายโดยตรง โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง จึงได้จัดสรรพื้นที่กว่า 400 ตารางเมตร เปิด “ตลาดเกษตรอินทรีย์” Organic Market ขึ้น โดยได้คัดสรรสินค้าเกษตรคุณภาพปลอดภัย/เกษตรอินทรีย์ ที่ได้มาตรฐาน มาจําหน่ายโดยเกษตรกร กว่า 50 ราย อาทิ ข้าวหลากหลายสายพันธุ์ ไข่ไก่ออร์แกนิค ผักพื้นบ้าน ผลไม้สด/แปรรูป และเห็ดแครง อ.ต.ก. โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 มีนาคม – 9 เมษายน 2560 ณ อ.ต.ก. ย่านพหลโยธิน (บริเวณข้างธนาคารกรุงไทย) กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2666
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ ยืนยันการประกาศผลรางวัลที่ 1 งวด 16 ธันวาคม 2561 ถูกต้อง
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561 สํานักงานสลากฯ ยืนยันการประกาศผลรางวัลที่ 1 งวด 16 ธันวาคม 2561 ถูกต้อง ตามที่มีกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับประกาศผลรางวัลที่ 1 งวดวันที่ 16 ธันวาคม 2561 นั้น นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ขอยืนยันว่า การประกาศผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 16 ธันวาคม 2561 เป็นไปตามกระบวนการในการออกรางวัล ตามที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO9001 : 2015 ทุกขั้นตอน โดยในการออกรางวัลทุกครั้ง จะมีกรรมการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งสํานักงานเชิญมาจากหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมเป็นสักขีพยานในการออกรางวัล อยู่ด้านล่างบริเวณด้านหน้าของเวที ในขณะที่ทําการออกรางวัลที่ 1 พนักงานหมุนได้แสดงหมายเลขที่ออกรางวัล หมายเลข 6 ในหลักสิบ รายละเอียดของภาพการแสดงหมายเลขรางวัลที่ 1 ปรากฎตามที่ได้มีการถ่ายทอดสดการออกรางวัลทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี สถานีข่าวปริงส์นิวส์ ตลอดจนไลน์ทูเดย์ และผู้ประกาศผลรางวัล ซึ่งนั่งอยู่ด้านล่างของเวที ได้ประกาศผลรางวัลที่ 1 และมีการประกาศทวนหมายเลขที่ออกรางวัลที่ 1 อีก 2 ครั้ง รวมทั้งมีการพิมพ์หมายเลขที่ถูกรางวัลขึ้นแสงที่หน้าจอโทรทัศน์ในการถ่ายทอดสด ซึ่งการดําเนินการดังกล่าว เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามกระบวนการทุกประการ เช่นเดียวกับการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ทุกครั้งที่ผ่านมา ท่ามกลางคณะกรรมการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประชาชนและสื่อมวลชน ที่เข้าชมการออกรางวัล โดยไม่มีการโต้แย้งว่าการประกาศผลรางวัลดังกล่าวมีความผิดพลาดแต่อย่างใด ซึ่งสะท้อนว่ากระบวนการเป็นไปตามขั้นตอนทุกประการ สําหรับข้อสังเกต เกี่ยวกับลูกบอลหมายเลข 6 และหมายเลข 9 ที่อยู่ในกระแสข่าวนั้น ทั้ง 2 หมายเลขจะมีเส้นใต้กํากับไว้ เพื่อให้เห็นได้ชัดเจน ดังนี้ 6 และ 9 เมื่อพนักหมุนแสดงหมายเลข ผู้ประกาศผลรางวัลจะมองเห็นเส้นใต้ที่กํากับอยู่ ทําให้ประกาศผลได้อย่างถูกต้อง ในขณะที่ภาพที่มีการนําเสนอเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์นั้น เป็นภาพขณะที่พนักงานหมุนวางลูกบอลหมายเลข 6 บนตลับลูกบอล เพื่อพักไว้ก่อนจะทําการเก็บอุปกรณ์ ทําให้มองเห็นเส้นที่ขีดแสดงสัญลักษณ์เลข 6 ไม่ชัดเจน ซึ่งขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะทําการเก็บอุปกรณ์ออกรางวัลบรรจุหีบเพื่อเก็บรักษาไว้ในห้องมั่นคงต่อไป โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวในตอนท้าย.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ ยืนยันการประกาศผลรางวัลที่ 1 งวด 16 ธันวาคม 2561 ถูกต้อง วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561 สํานักงานสลากฯ ยืนยันการประกาศผลรางวัลที่ 1 งวด 16 ธันวาคม 2561 ถูกต้อง ตามที่มีกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับประกาศผลรางวัลที่ 1 งวดวันที่ 16 ธันวาคม 2561 นั้น นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ขอยืนยันว่า การประกาศผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 16 ธันวาคม 2561 เป็นไปตามกระบวนการในการออกรางวัล ตามที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO9001 : 2015 ทุกขั้นตอน โดยในการออกรางวัลทุกครั้ง จะมีกรรมการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งสํานักงานเชิญมาจากหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมเป็นสักขีพยานในการออกรางวัล อยู่ด้านล่างบริเวณด้านหน้าของเวที ในขณะที่ทําการออกรางวัลที่ 1 พนักงานหมุนได้แสดงหมายเลขที่ออกรางวัล หมายเลข 6 ในหลักสิบ รายละเอียดของภาพการแสดงหมายเลขรางวัลที่ 1 ปรากฎตามที่ได้มีการถ่ายทอดสดการออกรางวัลทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 สถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี สถานีข่าวปริงส์นิวส์ ตลอดจนไลน์ทูเดย์ และผู้ประกาศผลรางวัล ซึ่งนั่งอยู่ด้านล่างของเวที ได้ประกาศผลรางวัลที่ 1 และมีการประกาศทวนหมายเลขที่ออกรางวัลที่ 1 อีก 2 ครั้ง รวมทั้งมีการพิมพ์หมายเลขที่ถูกรางวัลขึ้นแสงที่หน้าจอโทรทัศน์ในการถ่ายทอดสด ซึ่งการดําเนินการดังกล่าว เป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามกระบวนการทุกประการ เช่นเดียวกับการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ทุกครั้งที่ผ่านมา ท่ามกลางคณะกรรมการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประชาชนและสื่อมวลชน ที่เข้าชมการออกรางวัล โดยไม่มีการโต้แย้งว่าการประกาศผลรางวัลดังกล่าวมีความผิดพลาดแต่อย่างใด ซึ่งสะท้อนว่ากระบวนการเป็นไปตามขั้นตอนทุกประการ สําหรับข้อสังเกต เกี่ยวกับลูกบอลหมายเลข 6 และหมายเลข 9 ที่อยู่ในกระแสข่าวนั้น ทั้ง 2 หมายเลขจะมีเส้นใต้กํากับไว้ เพื่อให้เห็นได้ชัดเจน ดังนี้ 6 และ 9 เมื่อพนักหมุนแสดงหมายเลข ผู้ประกาศผลรางวัลจะมองเห็นเส้นใต้ที่กํากับอยู่ ทําให้ประกาศผลได้อย่างถูกต้อง ในขณะที่ภาพที่มีการนําเสนอเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์นั้น เป็นภาพขณะที่พนักงานหมุนวางลูกบอลหมายเลข 6 บนตลับลูกบอล เพื่อพักไว้ก่อนจะทําการเก็บอุปกรณ์ ทําให้มองเห็นเส้นที่ขีดแสดงสัญลักษณ์เลข 6 ไม่ชัดเจน ซึ่งขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะทําการเก็บอุปกรณ์ออกรางวัลบรรจุหีบเพื่อเก็บรักษาไว้ในห้องมั่นคงต่อไป โฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวในตอนท้าย.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17550
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีรัสเซีย ระหว่างการประชุม BRICS
วันพุธที่ 6 กันยายน 2560 นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีรัสเซีย ระหว่างการประชุม BRICS นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีรัสเซีย ระหว่างการประชุม BRICS วันนี้ (5 ก.ย. 60) เวลาประมาณ 12.40 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบหารือทวิภาคีกับนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ณ โรงแรม Conference Hall Hotel พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของการสนทนา ดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ําคําเชิญประธานาธิบดีเยือนไทยอย่างเป็นทางการในปีหน้า โดยผู้นําทั้งสองกล่าวยินดีที่การจัดกิจกรรมเพื่อฉลองครบรอบ 120 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ประสบความสําเร็จและได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากประชาชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรียังได้ ย้ําถึงความสําคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะภายหลังจากการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ติดตามผลการเยือนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห้นพ้องกันตั้งเป้าหมาย มูลค่าการค้าให้เพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า ภายใน 5 ปี ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า การผลักดันความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน สามารถดําเนินได้หลายทาง เช่น การสนับสนุนการลงทุน การเพิ่มการซื้อสินค้าระหว่างกัน เป็นต้น ทั้งสองฝ่ายยังได้จัดตั้งคณะ ทํางานไทย-รัสเซีย เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนโครงการ EEC ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวเชิญ ภาคเอกชนรัสเซียเข้ามาลงทุนในไทย ในสาขาที่ฝ่ายรัสเซียมีความเชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ไทยหวังว่ารัสเซียจะพิจารณาจัดตั้งศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยานในประเทศไทย เพื่อกระชับความร่วมมือ ในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกัน ทั้งในเชิงการทหารและเชิงพาณิชย์ *******************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีรัสเซีย ระหว่างการประชุม BRICS วันพุธที่ 6 กันยายน 2560 นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีรัสเซีย ระหว่างการประชุม BRICS นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีรัสเซีย ระหว่างการประชุม BRICS วันนี้ (5 ก.ย. 60) เวลาประมาณ 12.40 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พบหารือทวิภาคีกับนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ณ โรงแรม Conference Hall Hotel พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของการสนทนา ดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ําคําเชิญประธานาธิบดีเยือนไทยอย่างเป็นทางการในปีหน้า โดยผู้นําทั้งสองกล่าวยินดีที่การจัดกิจกรรมเพื่อฉลองครบรอบ 120 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ประสบความสําเร็จและได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากประชาชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรียังได้ ย้ําถึงความสําคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะภายหลังจากการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ติดตามผลการเยือนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห้นพ้องกันตั้งเป้าหมาย มูลค่าการค้าให้เพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า ภายใน 5 ปี ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า การผลักดันความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน สามารถดําเนินได้หลายทาง เช่น การสนับสนุนการลงทุน การเพิ่มการซื้อสินค้าระหว่างกัน เป็นต้น ทั้งสองฝ่ายยังได้จัดตั้งคณะ ทํางานไทย-รัสเซีย เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนโครงการ EEC ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวเชิญ ภาคเอกชนรัสเซียเข้ามาลงทุนในไทย ในสาขาที่ฝ่ายรัสเซียมีความเชี่ยวชาญ นอกจากนี้ ไทยหวังว่ารัสเซียจะพิจารณาจัดตั้งศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยานในประเทศไทย เพื่อกระชับความร่วมมือ ในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกัน ทั้งในเชิงการทหารและเชิงพาณิชย์ *******************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6466
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​จ่ายเพียง 432 บาท ก็เป็นผู้ประกันตนในระบบได้
วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2562 ​จ่ายเพียง 432 บาท ก็เป็นผู้ประกันตนในระบบได้ จ่ายเพียง 432 บาท ก็เป็นผู้ประกันตนในระบบได้ กระทรวงแรงงานโดยสํานักงานประกันสังคมในฐานะที่ดูแลสิทธิประโยชน์และคุ้มครองลูกจ้าง แม้ว่าจะออกจากงานไปแล้ว ซึ่งเราจะเรียกลูกจ้างกลุ่มนี้ว่า “ผู้ประกันตนภาคสมัครใจมาตรา 39” สําหรับคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน มาตรา 39 ตาม พ.ร.บ. ประกันสังคม ได้นั้น จะต้องเคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือผู้ประกันตนภาคบังคับที่ทํางานในสถานประกอบการมาแล้วไม่ต่ํากว่า 12 เดือน และออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน หากได้รับการอนุมัติให้เป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 แล้ว จะได้รับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองจากสํานักงานประกันสังคมใน 6 กรณี คือ 1. กรณีเจ็บป่วย 2. ทุพพลภาพ 3. คลอดบุตร 4. สงเคราะห์บุตร 5. ชราภาพ (บําเหน็จหรือบํานาญชราภาพ) 6. เสียชีวิต โดยผู้ประกันตนจะต้องชําระเงินสมทบเดือนละ 432 บาท ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติให้กลับเป็นผู้ประกันตน โดยสามารถชําระเงินได้หลายช่องทาง ดังนี้ 1. จ่ายด้วยเงินสด ณ สํานักงานประกันสังคมทั่วประเทศ หรือผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย และธนาคารธนชาต 2. ชําระเงินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส (7 - Eleven) ที่ทําการไปรษณีย์ เซ็นเพย์ บิ๊กซี และเทสโก้ โลตัส 3. หักบัญชีเงินฝากธนาคาร 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ วิธีการสมัคร ทําได้ง่าย ๆ เพียงนําบัตรประชาชนใบเดียวไปติดต่อที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ ทั้ง 12 แห่ง หรือสํานักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา ที่สะดวก สําหรับข้อแนะนําเมื่อท่านได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 แล้ว ควรนําส่งเงินสมทบอย่างต่อเนื่อง หากขาดส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน หรือภายในระยะเวลา 12 เดือน ส่งเงินสมทบไม่ครบ 9 เดือน จะสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน หมดโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองจากภาครัฐ ผู้สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ ทั้ง 12 แห่ง สํานักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ ​---------------------- ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​จ่ายเพียง 432 บาท ก็เป็นผู้ประกันตนในระบบได้ วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2562 ​จ่ายเพียง 432 บาท ก็เป็นผู้ประกันตนในระบบได้ จ่ายเพียง 432 บาท ก็เป็นผู้ประกันตนในระบบได้ กระทรวงแรงงานโดยสํานักงานประกันสังคมในฐานะที่ดูแลสิทธิประโยชน์และคุ้มครองลูกจ้าง แม้ว่าจะออกจากงานไปแล้ว ซึ่งเราจะเรียกลูกจ้างกลุ่มนี้ว่า “ผู้ประกันตนภาคสมัครใจมาตรา 39” สําหรับคุณสมบัติของผู้ที่จะสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน มาตรา 39 ตาม พ.ร.บ. ประกันสังคม ได้นั้น จะต้องเคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือผู้ประกันตนภาคบังคับที่ทํางานในสถานประกอบการมาแล้วไม่ต่ํากว่า 12 เดือน และออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน หากได้รับการอนุมัติให้เป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 แล้ว จะได้รับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองจากสํานักงานประกันสังคมใน 6 กรณี คือ 1. กรณีเจ็บป่วย 2. ทุพพลภาพ 3. คลอดบุตร 4. สงเคราะห์บุตร 5. ชราภาพ (บําเหน็จหรือบํานาญชราภาพ) 6. เสียชีวิต โดยผู้ประกันตนจะต้องชําระเงินสมทบเดือนละ 432 บาท ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติให้กลับเป็นผู้ประกันตน โดยสามารถชําระเงินได้หลายช่องทาง ดังนี้ 1. จ่ายด้วยเงินสด ณ สํานักงานประกันสังคมทั่วประเทศ หรือผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงไทย และธนาคารธนชาต 2. ชําระเงินผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส (7 - Eleven) ที่ทําการไปรษณีย์ เซ็นเพย์ บิ๊กซี และเทสโก้ โลตัส 3. หักบัญชีเงินฝากธนาคาร 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารธนชาต ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ วิธีการสมัคร ทําได้ง่าย ๆ เพียงนําบัตรประชาชนใบเดียวไปติดต่อที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ ทั้ง 12 แห่ง หรือสํานักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา ที่สะดวก สําหรับข้อแนะนําเมื่อท่านได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 แล้ว ควรนําส่งเงินสมทบอย่างต่อเนื่อง หากขาดส่งเงินสมทบ 3 เดือนติดต่อกัน หรือภายในระยะเวลา 12 เดือน ส่งเงินสมทบไม่ครบ 9 เดือน จะสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน หมดโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองจากภาครัฐ ผู้สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ ทั้ง 12 แห่ง สํานักงานประกันสังคมจังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ ​---------------------- ภาพ / ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21654
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank ปลื้มยอดขาย 5 วันทะลุมาตรฐานตลาดคลองผดุงฯ ชี้ผลจากแฟนคลับอยากเก็บประทับใจครั้งสุดท้ายแถมโปรโมชั่นสุดโดนใจ
วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 SME Development Bank ปลื้มยอดขาย 5 วันทะลุมาตรฐานตลาดคลองผดุงฯ ชี้ผลจากแฟนคลับอยากเก็บประทับใจครั้งสุดท้ายแถมโปรโมชั่นสุดโดนใจ SME Development Bank เจ้าภาพจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ครั้งสุดท้าย สุดปลื้ม 5 วันแรก ยอดขายและจํานวนผู้เข้าชม สูงเกินมาตรฐานการจัดงานที่ผ่านมา ชี้ขาประจําอยากเก็บความประทับใจก่อนปิดฉาก คู่โปรโมชั่นภายในงานสุดโดนใจ นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เปิดเผยว่า หลังจากงานตลาดคลองผดุงเกษม ภายใต้ชื่อ "สุดยอด SMEs ส่งสุข ส่งท้าย ส่งความประทับใจ ตลาดคลองผดุง2560" ซึ่งธนาคารรับหน้าที่เจ้าภาพ เริ่มเปิดมาตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า 5 วันแรก (12-16 ธ.ค.) ยอดขายรวมเกือบ 15 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเกือบ 3 ล้านบาทต่อวัน ยอดผู้เข้าชมงานประมาณ 50,000 คน หรือเฉลี่ย 10,000 คนต่อวัน สูงเกินค่าเฉลี่ยของการจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ที่ผ่านมา ซึ่งมีค่าเฉลี่ยยอดขายประมาณ 1 ล้านบาทต่อวัน และยอดผู้เข้าชมงานเฉลี่ยประมาณ 3,000 คนต่อวัน “สาเหตุที่งานครั้งนี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จนยอดขายและจํานวนผู้เที่ยวงานสูงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากครั้งนี้จะเป็นการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ที่ข้างทําเนียบ ครั้งสุดท้ายก่อนส่งต่อความสําเร็จไปยังตลาดประชารัฐทั่วประเทศในปีหน้า (2561) ดังนั้น แฟนคลับตลาดแห่งนี้ จึงเดินทางมาซื้อสินค้าเพื่อเก็บความประทับใจเป็นครั้งสุดท้าย นอกจากนั้น ธนาคารได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่อง เช่น ช่วงส่งความสุขลดค่าครองชีพประชาชน ขายไข่ไก่ 3 แผง เพียง 100 บาท กิจกรรมแจกเหรียญ "หลวงปู่ทวด" ฟรี เมื่อสะสมคูปองครบ 8 ใบจากการซื้อสินค้าร้านใดก็ได้ยอดเท่าไรก็ได้ภายในงาน เป็นต้น นอกจากนั้น มีผู้ประกอบการหลากหลายรวมกว่า 400 ราย อีกทั้ง ใช้สื่อออนไลน์กระจายข้อมูล ทําให้เกิดกระแสบอกต่อถึงความยอดเยี่ยมในงานนี้อย่างกว้างขวาง” กรรมการผู้จัดการ SME Development Bank กล่าว นายมงคล กล่าวด้วยว่า จากยอดขายช่วง 5 วันแรกดังกล่าว มั่นใจว่าเมื่อจบงานวันที่ 27 ธันวาคมนี้ ยอดขายจะเกิน 50 ล้านบาทตามเป้า โดยการจัดช่วงสัปดาห์แรกจะมีไปจนถึงวันที่ 18 ธันวาคม 2560 นี้ ในรูปแบบ “SMEs สินค้าดี 4.0 ท่องเที่ยวชุมชน” จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงสัปดาห์ที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 19-27 ธันวาคม 2560 ใช้รูปแบบ “ของดี ของดัง ของขวัญปีใหม่” “สําหรับคนที่ยังไม่ได้มาเที่ยวงานในสัปดาห์แรก ควรรีบมา เพื่อไม่พลาดซื้อหาสินค้าดีจากสุดยอดเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ขณะที่ผู้มาเที่ยวแล้ว สามารถกลับมาเที่ยวซ้ําได้อีก เพราะช่วงสัปดาห์ที่ 2 จะเปลี่ยนผู้ประกอบการชุดใหม่มาแทนกว่า 200 ราย ซึ่งจากแผนการตลาดเช่นนี้ เป้ายอดขายรวม 50 ล้านบาท มั่นใจว่าทําได้แน่นอน” นายมงคล กล่าวทิ้งท้าย ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861,02-265-4404
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank ปลื้มยอดขาย 5 วันทะลุมาตรฐานตลาดคลองผดุงฯ ชี้ผลจากแฟนคลับอยากเก็บประทับใจครั้งสุดท้ายแถมโปรโมชั่นสุดโดนใจ วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2560 SME Development Bank ปลื้มยอดขาย 5 วันทะลุมาตรฐานตลาดคลองผดุงฯ ชี้ผลจากแฟนคลับอยากเก็บประทับใจครั้งสุดท้ายแถมโปรโมชั่นสุดโดนใจ SME Development Bank เจ้าภาพจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ครั้งสุดท้าย สุดปลื้ม 5 วันแรก ยอดขายและจํานวนผู้เข้าชม สูงเกินมาตรฐานการจัดงานที่ผ่านมา ชี้ขาประจําอยากเก็บความประทับใจก่อนปิดฉาก คู่โปรโมชั่นภายในงานสุดโดนใจ นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) เปิดเผยว่า หลังจากงานตลาดคลองผดุงเกษม ภายใต้ชื่อ "สุดยอด SMEs ส่งสุข ส่งท้าย ส่งความประทับใจ ตลาดคลองผดุง2560" ซึ่งธนาคารรับหน้าที่เจ้าภาพ เริ่มเปิดมาตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า 5 วันแรก (12-16 ธ.ค.) ยอดขายรวมเกือบ 15 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเกือบ 3 ล้านบาทต่อวัน ยอดผู้เข้าชมงานประมาณ 50,000 คน หรือเฉลี่ย 10,000 คนต่อวัน สูงเกินค่าเฉลี่ยของการจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ที่ผ่านมา ซึ่งมีค่าเฉลี่ยยอดขายประมาณ 1 ล้านบาทต่อวัน และยอดผู้เข้าชมงานเฉลี่ยประมาณ 3,000 คนต่อวัน “สาเหตุที่งานครั้งนี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จนยอดขายและจํานวนผู้เที่ยวงานสูงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากครั้งนี้จะเป็นการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ที่ข้างทําเนียบ ครั้งสุดท้ายก่อนส่งต่อความสําเร็จไปยังตลาดประชารัฐทั่วประเทศในปีหน้า (2561) ดังนั้น แฟนคลับตลาดแห่งนี้ จึงเดินทางมาซื้อสินค้าเพื่อเก็บความประทับใจเป็นครั้งสุดท้าย นอกจากนั้น ธนาคารได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่อง เช่น ช่วงส่งความสุขลดค่าครองชีพประชาชน ขายไข่ไก่ 3 แผง เพียง 100 บาท กิจกรรมแจกเหรียญ "หลวงปู่ทวด" ฟรี เมื่อสะสมคูปองครบ 8 ใบจากการซื้อสินค้าร้านใดก็ได้ยอดเท่าไรก็ได้ภายในงาน เป็นต้น นอกจากนั้น มีผู้ประกอบการหลากหลายรวมกว่า 400 ราย อีกทั้ง ใช้สื่อออนไลน์กระจายข้อมูล ทําให้เกิดกระแสบอกต่อถึงความยอดเยี่ยมในงานนี้อย่างกว้างขวาง” กรรมการผู้จัดการ SME Development Bank กล่าว นายมงคล กล่าวด้วยว่า จากยอดขายช่วง 5 วันแรกดังกล่าว มั่นใจว่าเมื่อจบงานวันที่ 27 ธันวาคมนี้ ยอดขายจะเกิน 50 ล้านบาทตามเป้า โดยการจัดช่วงสัปดาห์แรกจะมีไปจนถึงวันที่ 18 ธันวาคม 2560 นี้ ในรูปแบบ “SMEs สินค้าดี 4.0 ท่องเที่ยวชุมชน” จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงสัปดาห์ที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 19-27 ธันวาคม 2560 ใช้รูปแบบ “ของดี ของดัง ของขวัญปีใหม่” “สําหรับคนที่ยังไม่ได้มาเที่ยวงานในสัปดาห์แรก ควรรีบมา เพื่อไม่พลาดซื้อหาสินค้าดีจากสุดยอดเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ขณะที่ผู้มาเที่ยวแล้ว สามารถกลับมาเที่ยวซ้ําได้อีก เพราะช่วงสัปดาห์ที่ 2 จะเปลี่ยนผู้ประกอบการชุดใหม่มาแทนกว่า 200 ราย ซึ่งจากแผนการตลาดเช่นนี้ เป้ายอดขายรวม 50 ล้านบาท มั่นใจว่าทําได้แน่นอน” นายมงคล กล่าวทิ้งท้าย ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861,02-265-4404
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8820
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้า....โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2563 เดินหน้า....โครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ -- อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าปิดเว็บเถื่อน ... ยืนยัน! โครงการอีอีซีเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง อนุมัติงบแก้ประมงผิดกฎหมาย -... หนุนท่องเที่ยว...แหล่งผลิตสินค้า GI
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้า....โครงการ 1 ตำบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม 2563 เดินหน้า....โครงการ 1 ตําบล 1 กลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ -- อัลบั้มภาพ ข่าวที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าปิดเว็บเถื่อน ... ยืนยัน! โครงการอีอีซีเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง อนุมัติงบแก้ประมงผิดกฎหมาย -... หนุนท่องเที่ยว...แหล่งผลิตสินค้า GI
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33684
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายพุทธิพงษ์ฯ รมว.ดีอีเอส นำคณะผู้บริหารกระทรวง ร่วมพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
วันพุธที่ 3 มิถุนายน 2563 นายพุทธิพงษ์ฯ รมว.ดีอีเอส นําคณะผู้บริหารกระทรวง ร่วมพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา นายพุทธิพงษ์ฯ รมว.ดีอีเอส นําคณะผู้บริหารกระทรวง ร่วมพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 3 มิถุนายน 2563 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และคู่สมรส พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 ณ อาคารหน่วยราชการในพระองค์ 904 พระบรมมหาราชวัง ***************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายพุทธิพงษ์ฯ รมว.ดีอีเอส นำคณะผู้บริหารกระทรวง ร่วมพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันพุธที่ 3 มิถุนายน 2563 นายพุทธิพงษ์ฯ รมว.ดีอีเอส นําคณะผู้บริหารกระทรวง ร่วมพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา นายพุทธิพงษ์ฯ รมว.ดีอีเอส นําคณะผู้บริหารกระทรวง ร่วมพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 3 มิถุนายน 2563 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และคู่สมรส พร้อมด้วยนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมพิธีลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2563 ณ อาคารหน่วยราชการในพระองค์ 904 พระบรมมหาราชวัง ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31888
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบรางวัล Evonik Road Safety Award 2016 ให้แก่กรมทางหลวงชนบท
วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2559 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบรางวัล Evonik Road Safety Award 2016 ให้แก่กรมทางหลวงชนบท นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบรางวัล Evonik Road Safety Award 2016 ให้แก่กรมทางหลวงชนบท นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบรางวัล Evonik Road Safety Award 2016 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2559 ณ สถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี กรุงเทพฯ โดยมี นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เข้ารับรางวัลชนะเลิศการประกวดจากโครงการปรับปรุงความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียน พร้อมเงินรางวัล 10,000 ยูโร จาก Mr.Jochen Henkels Business Director Roadmarking & Flooring at Evonik (Germany) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และ H.E.Mr.Peter Prugel เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจําประเทศไทย พร้อมคณะผู้บริหารของกรมทางหลวงชนบท ร่วมเป็นเกียรติในพิธีฯ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ได้ส่งโครงการปรับปรุงความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนของกรมทางหลวงชนบท ประเทศไทย “Increase Children Safety-School Zones, Department of Rural Roads Thailand” เข้าประกวดในโครงการ Evonik Road Safety Award 2016 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับองค์กรที่ให้ความสําคัญด้านความปลอดภัยทางถนน โดยมีคณะกรรมการอิสระ คณะนักวิชาการ ผู้มีชื่อเสียงในด้านอํานวยความปลอดภัยทางถนน ขนส่ง และการออกแบบผังเมือง จาก International Road Federation (IRF) ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส และ Aachen University สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นกรรมการตัดสิน และคัดเลือกโครงการจากผู้ส่งเข้าประกวดทั่วโลก ตามเกณฑ์การตัดสิน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความปลอดภัยทางถนน ด้านความยั่งยืน ด้านนวัตกรรม และด้านความเป็นต้นแบบที่หน่วยอื่นนําไปใช้ได้ ในการนี้ ทช. ได้รับเงินรางวัล 10,000 ยูโร และมอบให้แก่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี สําหรับการประกวดดังกล่าวได้ประชาสัมพันธ์ผ่านทางวารสารวิชาการนานาชาติและสื่อต่าง ๆ ทําให้หน่วยงานภาครัฐจากทุกประเทศทั่วโลกส่งโครงการเข้าประกวด และขอแสดงความยินดีกับการรับรางวัลครั้งนี้นับเป็นข่าวดีของวงการวิศวกรรมของประเทศไทย และเป็นขวัญกําลังใจให้ชาวทางหลวงชนบทมุ่งมั่นและพัฒนาผลงานเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนสูงสุดต่อไป นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน กล่าวว่า ทช. ดําเนินโครงการ “หน้าโรงเรียนปลอดภัย อุ่นใจใช้ทางหลวงชนบท” ตั้งแต่ปี 2556 ถึงปัจจุบัน จํานวน 717 แห่ง โดยติดตั้งอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อยกระดับความปลอดภัย ลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนบริเวณจุดเสี่ยงสําคัญที่อาจเกิดกับนักเรียนและผู้ปกครอง และจะดําเนินการอย่างต่อเนื่องจนครบทุกแห่งในปี 2562 ภายใต้ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน (พ.ศ. 2554 - 2563) โดยโครงการดังกล่าวแบ่งการดําเนินงานออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านวิศวกรรมจราจร อาทิ การติดตั้งป้ายเตือนเขตโรงเรียน ป้ายจํากัดความเร็ว (ไม่เกิน 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ทางม้าลาย สัญญาณไฟกะพริบ แถบสีแดงบนพื้นทางเพื่อกระตุ้นเตือนและช่วยเพิ่มความฝืดของผิวทาง เป็นต้น 2. ด้านควบคุมการจราจร ดําเนินการจัดระเบียบการจราจร การใช้เขตทางให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. ทางหลวง ไม่กีดขวางการจราจรที่อาจจะทําให้เกิดอุบัติเหตุบริเวณหน้าโรงเรียน 3. ด้านการให้ความรู้ รณรงค์และประชาสัมพันธ์ โดยร่วมกันรณรงค์การใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยเมื่อผ่านบริเวณหน้าโรงเรียน และติดตามเฝ้าระวังปัญหาด้านความปลอดภัยหน้าโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบรางวัล Evonik Road Safety Award 2016 ให้แก่กรมทางหลวงชนบท วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2559 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบรางวัล Evonik Road Safety Award 2016 ให้แก่กรมทางหลวงชนบท นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบรางวัล Evonik Road Safety Award 2016 ให้แก่กรมทางหลวงชนบท นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบรางวัล Evonik Road Safety Award 2016 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2559 ณ สถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี กรุงเทพฯ โดยมี นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เข้ารับรางวัลชนะเลิศการประกวดจากโครงการปรับปรุงความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียน พร้อมเงินรางวัล 10,000 ยูโร จาก Mr.Jochen Henkels Business Director Roadmarking & Flooring at Evonik (Germany) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และ H.E.Mr.Peter Prugel เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจําประเทศไทย พร้อมคณะผู้บริหารของกรมทางหลวงชนบท ร่วมเป็นเกียรติในพิธีฯ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ได้ส่งโครงการปรับปรุงความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนของกรมทางหลวงชนบท ประเทศไทย “Increase Children Safety-School Zones, Department of Rural Roads Thailand” เข้าประกวดในโครงการ Evonik Road Safety Award 2016 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับองค์กรที่ให้ความสําคัญด้านความปลอดภัยทางถนน โดยมีคณะกรรมการอิสระ คณะนักวิชาการ ผู้มีชื่อเสียงในด้านอํานวยความปลอดภัยทางถนน ขนส่ง และการออกแบบผังเมือง จาก International Road Federation (IRF) ณ กรุงเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส และ Aachen University สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นกรรมการตัดสิน และคัดเลือกโครงการจากผู้ส่งเข้าประกวดทั่วโลก ตามเกณฑ์การตัดสิน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความปลอดภัยทางถนน ด้านความยั่งยืน ด้านนวัตกรรม และด้านความเป็นต้นแบบที่หน่วยอื่นนําไปใช้ได้ ในการนี้ ทช. ได้รับเงินรางวัล 10,000 ยูโร และมอบให้แก่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี สําหรับการประกวดดังกล่าวได้ประชาสัมพันธ์ผ่านทางวารสารวิชาการนานาชาติและสื่อต่าง ๆ ทําให้หน่วยงานภาครัฐจากทุกประเทศทั่วโลกส่งโครงการเข้าประกวด และขอแสดงความยินดีกับการรับรางวัลครั้งนี้นับเป็นข่าวดีของวงการวิศวกรรมของประเทศไทย และเป็นขวัญกําลังใจให้ชาวทางหลวงชนบทมุ่งมั่นและพัฒนาผลงานเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนสูงสุดต่อไป นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน กล่าวว่า ทช. ดําเนินโครงการ “หน้าโรงเรียนปลอดภัย อุ่นใจใช้ทางหลวงชนบท” ตั้งแต่ปี 2556 ถึงปัจจุบัน จํานวน 717 แห่ง โดยติดตั้งอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อยกระดับความปลอดภัย ลดสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนบริเวณจุดเสี่ยงสําคัญที่อาจเกิดกับนักเรียนและผู้ปกครอง และจะดําเนินการอย่างต่อเนื่องจนครบทุกแห่งในปี 2562 ภายใต้ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน (พ.ศ. 2554 - 2563) โดยโครงการดังกล่าวแบ่งการดําเนินงานออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านวิศวกรรมจราจร อาทิ การติดตั้งป้ายเตือนเขตโรงเรียน ป้ายจํากัดความเร็ว (ไม่เกิน 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ทางม้าลาย สัญญาณไฟกะพริบ แถบสีแดงบนพื้นทางเพื่อกระตุ้นเตือนและช่วยเพิ่มความฝืดของผิวทาง เป็นต้น 2. ด้านควบคุมการจราจร ดําเนินการจัดระเบียบการจราจร การใช้เขตทางให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. ทางหลวง ไม่กีดขวางการจราจรที่อาจจะทําให้เกิดอุบัติเหตุบริเวณหน้าโรงเรียน 3. ด้านการให้ความรู้ รณรงค์และประชาสัมพันธ์ โดยร่วมกันรณรงค์การใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัยเมื่อผ่านบริเวณหน้าโรงเรียน และติดตามเฝ้าระวังปัญหาด้านความปลอดภัยหน้าโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวไร่อ้อยเตรียมรับข่าวดี หากจดทะเบียนชาวไร่อ้อยก่อน 29 พ.ย นี้ เพื่อรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างทั่วถึง
วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562 ชาวไร่อ้อยเตรียมรับข่าวดี หากจดทะเบียนชาวไร่อ้อยก่อน 29 พ.ย นี้ เพื่อรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างทั่วถึง นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่าตามที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงพื้นที่ร่วมกับนายกรัฐมนตรีใน ครม.สัญจรได้เล็งเห็นถึงปัญหาของเกษตรกรชาวไร่อ้อย จึงให้กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าดูแลปัญหาชาวไร่อ้อยอย่างใกล้ชิด นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า ตามที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงพื้นที่ร่วมกับนายกรัฐมนตรี ใน ครม.สัญจรเมื่อวันที่ 11-12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้เล็งเห็นถึงปัญหาของเกษตรกรชาวไร่อ้อย จึงให้กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าดูแลปัญหาชาวไร่อ้อยอย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย (สอน.) ได้เปิดให้บริการรับจดทะเบียนชาวไร่อ้อยและหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย ประจําปี 2562 ครั้งที่ 2 ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ําตาลทราย พ.ศ.2527 ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 (เว้นวันหยุดราชการ) ระหว่างเวลา 08.30 - 16.30 น. โดยเกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถยื่นคําร้องขอจดทะเบียน ได้ที่เขตบริหารอ้อยและน้ําตาลทราย 1 - 8 และหน่วยประจําโรงงานน้ําตาลทั้ง 57 แห่งทั่วประเทศ ฟรีไม่เสียค่าธรรมเนียมใด ๆ ทั้งสิ้น โดยสิทธิประโยชน์ที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยจะได้รับจากการจดทะเบียน คือ 1) ได้รับสิทธิ์ในการส่งอ้อยเข้าโรงงานอย่างถูกต้องและเป็นไปตามที่กฎหมายกําหนด 2) ได้รับเงินค่าอ้อยเพิ่มขึ้นกรณีที่การประกาศราคาอ้อยขั้นสุดท้ายมากกว่าราคาอ้อยขั้นต้น และ 3) ได้รับการสนับสนุนและการให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ จากภาครัฐ อาทิ โครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิตที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือโดยเฉพาะเกษตรกรชาวไร่อ้อยรายเล็ก รวมถึงโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ซึ่งเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวไร่อ้อยและสร้างความมั่นคงในการทําอาชีพไร่อ้อย นางสาวสุชาดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ขอจดทะเบียน จะต้องปลูกอ้อยในท้องที่ฯ ที่คณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทรายกําหนด และมีสัญญาส่งอ้อยให้แก่โรงงานน้ําตาลหรือส่งผ่านหัวหน้ากลุ่ม ชาวไร่อ้อย โดยการขอจดทะเบียนเป็นหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย จะต้องมีสัญญาส่งอ้อยให้แก่โรงงาน อย่างไรก็ตาม เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่จดทะเบียนเป็นชาวไร่อ้อย หรือจดทะเบียนเป็นหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ําตาลทราย พ.ศ 2527 จะได้รับความช่วยเหลือต่างๆ ตามที่กฎหมายกําหนด รวมทั้งได้รับการส่งเสริมและสนับสนุน จากกระทรวงอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง จึงถือเป็นข้อดี ของการจดทะเบียนดังกล่าว ขอให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยทุกคน มาลงทะเบียนกันก่อน 29 พ.ย. นี้ เพื่อจะได้รับการดูแลกันอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ สามารถโทรศัพท์สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2202 3290 หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ประกาศในเว็บไซต์สํานักงาน www.ocsb.go.th หัวข้อ “ประกาศ-คําสั่ง” เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการรับบริการ —————————
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวไร่อ้อยเตรียมรับข่าวดี หากจดทะเบียนชาวไร่อ้อยก่อน 29 พ.ย นี้ เพื่อรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างทั่วถึง วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562 ชาวไร่อ้อยเตรียมรับข่าวดี หากจดทะเบียนชาวไร่อ้อยก่อน 29 พ.ย นี้ เพื่อรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างทั่วถึง นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่าตามที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงพื้นที่ร่วมกับนายกรัฐมนตรีใน ครม.สัญจรได้เล็งเห็นถึงปัญหาของเกษตรกรชาวไร่อ้อย จึงให้กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าดูแลปัญหาชาวไร่อ้อยอย่างใกล้ชิด นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า ตามที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงพื้นที่ร่วมกับนายกรัฐมนตรี ใน ครม.สัญจรเมื่อวันที่ 11-12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้เล็งเห็นถึงปัญหาของเกษตรกรชาวไร่อ้อย จึงให้กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าดูแลปัญหาชาวไร่อ้อยอย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย (สอน.) ได้เปิดให้บริการรับจดทะเบียนชาวไร่อ้อยและหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย ประจําปี 2562 ครั้งที่ 2 ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ําตาลทราย พ.ศ.2527 ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 (เว้นวันหยุดราชการ) ระหว่างเวลา 08.30 - 16.30 น. โดยเกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถยื่นคําร้องขอจดทะเบียน ได้ที่เขตบริหารอ้อยและน้ําตาลทราย 1 - 8 และหน่วยประจําโรงงานน้ําตาลทั้ง 57 แห่งทั่วประเทศ ฟรีไม่เสียค่าธรรมเนียมใด ๆ ทั้งสิ้น โดยสิทธิประโยชน์ที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยจะได้รับจากการจดทะเบียน คือ 1) ได้รับสิทธิ์ในการส่งอ้อยเข้าโรงงานอย่างถูกต้องและเป็นไปตามที่กฎหมายกําหนด 2) ได้รับเงินค่าอ้อยเพิ่มขึ้นกรณีที่การประกาศราคาอ้อยขั้นสุดท้ายมากกว่าราคาอ้อยขั้นต้น และ 3) ได้รับการสนับสนุนและการให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ จากภาครัฐ อาทิ โครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิตที่รัฐบาลให้ความช่วยเหลือโดยเฉพาะเกษตรกรชาวไร่อ้อยรายเล็ก รวมถึงโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ซึ่งเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวไร่อ้อยและสร้างความมั่นคงในการทําอาชีพไร่อ้อย นางสาวสุชาดา กล่าวเพิ่มเติมว่า เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ขอจดทะเบียน จะต้องปลูกอ้อยในท้องที่ฯ ที่คณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทรายกําหนด และมีสัญญาส่งอ้อยให้แก่โรงงานน้ําตาลหรือส่งผ่านหัวหน้ากลุ่ม ชาวไร่อ้อย โดยการขอจดทะเบียนเป็นหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย จะต้องมีสัญญาส่งอ้อยให้แก่โรงงาน อย่างไรก็ตาม เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่จดทะเบียนเป็นชาวไร่อ้อย หรือจดทะเบียนเป็นหัวหน้ากลุ่มชาวไร่อ้อย ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ําตาลทราย พ.ศ 2527 จะได้รับความช่วยเหลือต่างๆ ตามที่กฎหมายกําหนด รวมทั้งได้รับการส่งเสริมและสนับสนุน จากกระทรวงอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง จึงถือเป็นข้อดี ของการจดทะเบียนดังกล่าว ขอให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยทุกคน มาลงทะเบียนกันก่อน 29 พ.ย. นี้ เพื่อจะได้รับการดูแลกันอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ สามารถโทรศัพท์สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2202 3290 หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ประกาศในเว็บไซต์สํานักงาน www.ocsb.go.th หัวข้อ “ประกาศ-คําสั่ง” เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการรับบริการ —————————
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24639
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานแถลงผลการดำเนินโครงการ MASCI Academy, Phase Iและพิธีเปิดโครงการการสร้างความสามารถในการดำเนินการด้านระบบการบริหารจัดการและแข่งขันได้ในตลาดโลก สำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมวิสาหกิจ
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 งานแถลงผลการดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase Iและพิธีเปิดโครงการการสร้างความสามารถในการดําเนินการด้านระบบการบริหารจัดการและแข่งขันได้ในตลาดโลก สําหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมวิสาหกิจ สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) หรือ MASCI จัดงานแถลงผลการดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase I และพิธีเปิดโครงการ SME Promotion Project III ในวันที่ 15 มีนาคม 2561 สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) หรือ MASCI จัดงานแถลงผลการดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase I และพิธีเปิดโครงการ SME Promotion Project III ในวันที่ 15 มีนาคม 2561 ประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก คือ 1) การแถลงผลการดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase I 2) การเปิดตัวโครงการ SME Promotion Project III และ 3) การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณและประกาศนียบัตรแก่สถานประกอบการ/หน่วยงานและบุคลากรที่เข้าร่วมโครงการ MASCI Academy, Phase I สรอ. ภายใต้อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ เป็นสถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายภารกิจการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายในด้านมาตรฐานและการตรวจสอบรับรอง (Standard & Conformity Assessment) ในการปรับบทบาทสถาบันตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และในปี 2559 สรอ. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถาบันฯ ได้จัดตั้ง MASCI Academy ด้านมาตรฐานการบริหารจัดการและการตรวจสอบรับรอง เพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ (National Institutional Capability Building) ครอบคลุมภาคการผลิต/อุตสาหกรรม การค้า การบริการและการเกษตร ในการพัฒนาบุคลากรวิชาชีพ (Professional Development) ด้านมาตรฐานการบริหารจัดการและการตรวจสอบรับรอง ในการพัฒนากําลังคน (บุคลากรวิชาชีพ) ทั้งบุคลากรของสถานประกอบการ (Enterprise) และของผู้ให้บริการ (Service Provider) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ หน่วยตรวจสอบรับรอง (Conformity Assessment Body) หน่วยงานผู้ให้บริการฝึกอบรม/การเรียนรู้ (Training/ Learning Service Provider) เป็นต้น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และรองรับการเจริญเติบโตรวมทั้งการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ร่วมกับเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ • ระยะที่ 1 ปีงบประมาณ 2560: MASCI Academy, Phase I • ระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 2561-2562: MASCI Academy, Phase 2-1 (ปีงบประมาณ 2561) เป็นการให้บริการของสถาบันฯ • ระยะที่ 3 ปีงบประมาณ 2563-2564 นายปราโมทย์ วิทยาสุข ประธานกรรมการ คณะกรรมการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2560 คณะกรรมการสถาบันฯ ให้ความเห็นชอบให้ สรอ. ดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase I โดยใช้งบประมาณของ สรอ. มุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพ และเคมีชีวภาพ และ/หรือ Health, Wellness & Bio-Med. ร่วมกับหน่วยงาน/สถานประกอบการภาคเอกชนขนาดใหญ่ อาทิ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมเคมี สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สถาบันพลาสติก รวมทั้งสถานประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน และกลุ่มนักวิชาการและผู้เกษียณอายุจากภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษา บุคลากรวิชาชีพ) เพื่อพัฒนาบุคลากรวิชาชีพด้านมาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001:2015 ทั้งการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติในสถานประกอบการ SME ในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งตลอดระยะเวลา 11 เดือน ทีผ่านมา สรอ. ได้ดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase I ร่วมกับเครือข่าย และประสบความสําเร็จ มีผลการดําเนินงานเป็นที่ประจักษ์ในการพัฒนากําลังคนด้านมาตรฐานระบบการบริหารจัดการทั้งกลุ่มสถานประกอบการและกลุ่มผู้ให้บริการ นายปราโมทย์ วิทยาสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ สรอ. ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและยกระดับความสามารถด้านมาตรฐานการบริหารจัดการและแข่งขันได้ในตลาดโลกของผู้ประกอบการ SME อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 เป็นต้นมา โดยการดําเนินโครงการ SME Promotion Project I, SME Promotion Project II และ SME Promotion Project III ที่กําลังเริ่มดําเนินการในปีงบประมาณ 2561 เพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานของ SME และผู้ประกอบการขนาดเล็กมาก (Very Small Enterprise: VSE) ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลกและเติบโตได้อย่างยั่งยืนตาม Road Map หรือ “เส้นทางการพัฒนา SME และ VSE ด้านมาตรฐานระบบการบริหารจัดการ/การบริหารจัดการสู่ความยั่งยืน” จากระดับพื้นฐานสู่ระดับที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม นางพรรณี อังศุสิงห์ ผู้อํานวยการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ กล่าวถึง การดําเนินการของ สรอ. ตลอดระยะเวลา 19 ปี นับแต่การจัดตั้งสถาบันฯ จนย่างเข้าสู่ปีที่ 20 สรอ. ได้พัฒนากําลังคนและโครงสร้างพื้นฐานด้านมาตรฐานการบริหารจัดการ รวมทั้งการตรวจสอบรับรองของประเทศตามแนวทางมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษาและภาคประชาชน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล กระทรวงอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรวมทั้งผู้ประกอบการ โดย สรอ. ได้ดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase I ในปีงบประมาณ 2560 และสามารถพัฒนาบุคลากรวิชาชีพด้านมาตรฐานการจัดการของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติในสถานประกอบการ SME ในห่วงโซ่อุปทาน รวม 207 คน จําแนกเป็นบุคลากรของกลุ่มสถานประกอบการระดับผู้บริหารและระดับผู้แทนฝ่ายบริหาร 181 คน และบุคลากรของกลุ่มผู้ให้บริการในการเป็นวิทยากรและผู้ตรวจประเมิน 26 คน และมีผลการวัดระดับความสามารถในการปฏิบัติงานจริงถึง 83.45% นอกจากนื้ ในปีงบประมาณ 2561 สรอ. ได้รับความความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถาบันฯ ให้ดําเนินโครงการ SME Promotion Project III ในการส่งเสริมพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการของผู้ประกอบการ SME และ VSE เพื่อยกระดับความรู้ความสามารถและทักษะของบุคลากรในการนํามาตรฐานระบบการบริหารจัดการ/การบริหารจัดการไปปฏิบัติจากระดับพื้นฐานสู่ระดับที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ต่อเนื่องจากที่ได้ดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 โดยมุ่งเน้นผู้ประกอบการ SME ที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือห่วงโซ่ของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การแพทย์ครบวงจร การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล ด้วยการพัฒนาบุคลากรด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ตามมาตรฐานแนวทางการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ISO 26000 เพื่อการเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม (SR Firm) ในโอกาสนี้ สรอ. ได้จัดให้มีการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณและประกาศนียบัตร เพื่อแสดงความขอบคุณ ความสําเร็จ และประกาศเกียรติคุณสถานประกอบการ/หน่วยงานและบุคลากรที่เข้าร่วมโครงการ MASCI Academy, Phase I
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานแถลงผลการดำเนินโครงการ MASCI Academy, Phase Iและพิธีเปิดโครงการการสร้างความสามารถในการดำเนินการด้านระบบการบริหารจัดการและแข่งขันได้ในตลาดโลก สำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมวิสาหกิจ วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 งานแถลงผลการดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase Iและพิธีเปิดโครงการการสร้างความสามารถในการดําเนินการด้านระบบการบริหารจัดการและแข่งขันได้ในตลาดโลก สําหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมวิสาหกิจ สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) หรือ MASCI จัดงานแถลงผลการดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase I และพิธีเปิดโครงการ SME Promotion Project III ในวันที่ 15 มีนาคม 2561 สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) หรือ MASCI จัดงานแถลงผลการดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase I และพิธีเปิดโครงการ SME Promotion Project III ในวันที่ 15 มีนาคม 2561 ประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก คือ 1) การแถลงผลการดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase I 2) การเปิดตัวโครงการ SME Promotion Project III และ 3) การมอบโล่ประกาศเกียรติคุณและประกาศนียบัตรแก่สถานประกอบการ/หน่วยงานและบุคลากรที่เข้าร่วมโครงการ MASCI Academy, Phase I สรอ. ภายใต้อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ เป็นสถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับมอบหมายภารกิจการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายในด้านมาตรฐานและการตรวจสอบรับรอง (Standard & Conformity Assessment) ในการปรับบทบาทสถาบันตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และในปี 2559 สรอ. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถาบันฯ ได้จัดตั้ง MASCI Academy ด้านมาตรฐานการบริหารจัดการและการตรวจสอบรับรอง เพื่อเป็นศูนย์กลางการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ (National Institutional Capability Building) ครอบคลุมภาคการผลิต/อุตสาหกรรม การค้า การบริการและการเกษตร ในการพัฒนาบุคลากรวิชาชีพ (Professional Development) ด้านมาตรฐานการบริหารจัดการและการตรวจสอบรับรอง ในการพัฒนากําลังคน (บุคลากรวิชาชีพ) ทั้งบุคลากรของสถานประกอบการ (Enterprise) และของผู้ให้บริการ (Service Provider) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ หน่วยตรวจสอบรับรอง (Conformity Assessment Body) หน่วยงานผู้ให้บริการฝึกอบรม/การเรียนรู้ (Training/ Learning Service Provider) เป็นต้น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และรองรับการเจริญเติบโตรวมทั้งการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ร่วมกับเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ • ระยะที่ 1 ปีงบประมาณ 2560: MASCI Academy, Phase I • ระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 2561-2562: MASCI Academy, Phase 2-1 (ปีงบประมาณ 2561) เป็นการให้บริการของสถาบันฯ • ระยะที่ 3 ปีงบประมาณ 2563-2564 นายปราโมทย์ วิทยาสุข ประธานกรรมการ คณะกรรมการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2560 คณะกรรมการสถาบันฯ ให้ความเห็นชอบให้ สรอ. ดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase I โดยใช้งบประมาณของ สรอ. มุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพ และเคมีชีวภาพ และ/หรือ Health, Wellness & Bio-Med. ร่วมกับหน่วยงาน/สถานประกอบการภาคเอกชนขนาดใหญ่ อาทิ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมเคมี สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สถาบันพลาสติก รวมทั้งสถานประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน และกลุ่มนักวิชาการและผู้เกษียณอายุจากภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษา บุคลากรวิชาชีพ) เพื่อพัฒนาบุคลากรวิชาชีพด้านมาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001:2015 ทั้งการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติในสถานประกอบการ SME ในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งตลอดระยะเวลา 11 เดือน ทีผ่านมา สรอ. ได้ดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase I ร่วมกับเครือข่าย และประสบความสําเร็จ มีผลการดําเนินงานเป็นที่ประจักษ์ในการพัฒนากําลังคนด้านมาตรฐานระบบการบริหารจัดการทั้งกลุ่มสถานประกอบการและกลุ่มผู้ให้บริการ นายปราโมทย์ วิทยาสุข กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ สรอ. ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาและยกระดับความสามารถด้านมาตรฐานการบริหารจัดการและแข่งขันได้ในตลาดโลกของผู้ประกอบการ SME อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 เป็นต้นมา โดยการดําเนินโครงการ SME Promotion Project I, SME Promotion Project II และ SME Promotion Project III ที่กําลังเริ่มดําเนินการในปีงบประมาณ 2561 เพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานของ SME และผู้ประกอบการขนาดเล็กมาก (Very Small Enterprise: VSE) ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลกและเติบโตได้อย่างยั่งยืนตาม Road Map หรือ “เส้นทางการพัฒนา SME และ VSE ด้านมาตรฐานระบบการบริหารจัดการ/การบริหารจัดการสู่ความยั่งยืน” จากระดับพื้นฐานสู่ระดับที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม นางพรรณี อังศุสิงห์ ผู้อํานวยการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ กล่าวถึง การดําเนินการของ สรอ. ตลอดระยะเวลา 19 ปี นับแต่การจัดตั้งสถาบันฯ จนย่างเข้าสู่ปีที่ 20 สรอ. ได้พัฒนากําลังคนและโครงสร้างพื้นฐานด้านมาตรฐานการบริหารจัดการ รวมทั้งการตรวจสอบรับรองของประเทศตามแนวทางมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษาและภาคประชาชน สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล กระทรวงอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรวมทั้งผู้ประกอบการ โดย สรอ. ได้ดําเนินโครงการ MASCI Academy, Phase I ในปีงบประมาณ 2560 และสามารถพัฒนาบุคลากรวิชาชีพด้านมาตรฐานการจัดการของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและการฝึกปฏิบัติในสถานประกอบการ SME ในห่วงโซ่อุปทาน รวม 207 คน จําแนกเป็นบุคลากรของกลุ่มสถานประกอบการระดับผู้บริหารและระดับผู้แทนฝ่ายบริหาร 181 คน และบุคลากรของกลุ่มผู้ให้บริการในการเป็นวิทยากรและผู้ตรวจประเมิน 26 คน และมีผลการวัดระดับความสามารถในการปฏิบัติงานจริงถึง 83.45% นอกจากนื้ ในปีงบประมาณ 2561 สรอ. ได้รับความความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถาบันฯ ให้ดําเนินโครงการ SME Promotion Project III ในการส่งเสริมพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการของผู้ประกอบการ SME และ VSE เพื่อยกระดับความรู้ความสามารถและทักษะของบุคลากรในการนํามาตรฐานระบบการบริหารจัดการ/การบริหารจัดการไปปฏิบัติจากระดับพื้นฐานสู่ระดับที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ต่อเนื่องจากที่ได้ดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 โดยมุ่งเน้นผู้ประกอบการ SME ที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือห่วงโซ่ของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ การแปรรูปอาหาร หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม การแพทย์ครบวงจร การบินและโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล ด้วยการพัฒนาบุคลากรด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ตามมาตรฐานแนวทางการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ISO 26000 เพื่อการเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม (SR Firm) ในโอกาสนี้ สรอ. ได้จัดให้มีการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณและประกาศนียบัตร เพื่อแสดงความขอบคุณ ความสําเร็จ และประกาศเกียรติคุณสถานประกอบการ/หน่วยงานและบุคลากรที่เข้าร่วมโครงการ MASCI Academy, Phase I
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10812
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สธ.เปิดคลินิกหมอครอบครัวบ้านเชียง เพิ่มโอกาสประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุข
วันพุธที่ 6 กันยายน 2560 ​สธ.เปิดคลินิกหมอครอบครัวบ้านเชียง เพิ่มโอกาสประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกหมอครอบครัวบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี เน้นส่งทีมแพทย์ร่วมกับทีม กระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกหมอครอบครัวบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี เน้นส่งทีมแพทย์ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ อสม. อสค. ดูแลสุขภาพผู้ป่วยถึงบ้าน เพิ่มโอกาสเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพทุกช่วงวัย ป้องกัน ส่งเสริม รักษา ฟื้นฟู ทั้งเขตเมืองและชนบท ดังสโลแกน“บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี” บ่ายวันนี้ (6 กันยายน 2560) ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านเชียง จ.อุดรธานี แพทย์หญิงมยุรา กุสุมภ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกหมอครอบครัวบ้านเชียง อําเภอหนองหาน โดยมีผู้นําท้องถิ่น ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) และประชาชนในพื้นที่ร่วมพิธี แพทย์หญิงมยุราให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลมีนโยบายให้คนไทยทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพภาครัฐที่มีคุณภาพ ดูแลคุณภาพชีวิตคนไทยทุกช่วงวัย ทั้งป้องกันโรค ส่งเสริมสุขภาพ และรักษา ฟื้นฟู อย่างเท่าเทียมกัน กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาเครือข่ายบริการปฐมภูมิ รองรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ด้วยโครงการคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC)เพื่อให้คนไทยจะมีหมอประจําครอบครัว มีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหสาขาวิชาชีพ ดูแลทุกกลุ่มวัยแบบองค์รวม การดําเนินงานคลินิกหมอครอบครัวให้มีประสิทธิภาพและมั่นคง ยั่งยืน ต้องเชื่อมโยงทุกภาคส่วนในระดับพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วม โดยประชาชนเป็นจุดศูนย์กลางตามแนวทางประชารัฐ สร้างความเข้มแข็งแก่ระบบสุขภาพระดับอําเภอ มีคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ ดูแล กํากับ ติดตามการทํางาน มีคลินิกหมอครอบครัวให้บริการในพื้นที่ อาทิ ตรวจรักษาโรคทั่วไป คลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรังคุณภาพ ให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพ ทันตกรรม ทีมเยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง คนพิการ ผู้สูงอายุ บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในปี 2569 จะมีหมอครอบครัว 6,500 ทีม ดูแลประชาชน 65 ล้านคน จังหวัดอุดรธานีมีคลินิกหมอครอบครัวทั้งสิ้น 52 แห่ง ทีมหมอครอบครัวรวม 143 ทีม สําหรับคลินิกหมอครอบครัวบ้านเชียง ให้บริการรักษาโรคทั่วไปและโรคเรื้อรัง อัลตร้าซาว์ด ตรวจคลื่นหัวใจ งานอนามัยแม่และเด็ก มีระบบปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ระบบจ่ายยาคุณภาพ ให้คําปรึกษาผ่านทางโทรศัพท์และทางไลน์ได้ตลอดเวลา ออกเยี่ยมบ้านเชิงรุกโดยทีมแพทย์ร่วมกับสหวิชาชีพ อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน อาสาสมัครดูแลผู้ป่วย (Care Giver)อาสาสมัครดูแลครอบครัว ให้คําแนะนําญาติ ผู้ดูแลคนไข้ ซึ่งมีผลงานเด่นจนกระทั่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเดินได้และช่วยเหลือตนเองได้ ซึ่งนับเป็นแบบอย่างที่น่ายกย่อง โดยมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวทํางานเต็มเวลาประจําทีมละ 1 คน จํานวน 4 ทีม ดูแลประชาชน 37,918 คนในพื้นที่ 5 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) คือ รพ.สต.หนองเม็ก รพ.สต.ต้ายสวรรค์ รพ.สต.บ้านยา และ รพ.สต.บ้านต้อง และมีระบบข้อมูลเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลหนองหานที่เป็นแม่ข่าย หากต้องการการส่งต่อไปโรงพยาบาลที่ใหญ่ขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สธ.เปิดคลินิกหมอครอบครัวบ้านเชียง เพิ่มโอกาสประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุข วันพุธที่ 6 กันยายน 2560 ​สธ.เปิดคลินิกหมอครอบครัวบ้านเชียง เพิ่มโอกาสประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกหมอครอบครัวบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี เน้นส่งทีมแพทย์ร่วมกับทีม กระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกหมอครอบครัวบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี เน้นส่งทีมแพทย์ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ อสม. อสค. ดูแลสุขภาพผู้ป่วยถึงบ้าน เพิ่มโอกาสเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพทุกช่วงวัย ป้องกัน ส่งเสริม รักษา ฟื้นฟู ทั้งเขตเมืองและชนบท ดังสโลแกน“บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี” บ่ายวันนี้ (6 กันยายน 2560) ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านเชียง จ.อุดรธานี แพทย์หญิงมยุรา กุสุมภ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดคลินิกหมอครอบครัวบ้านเชียง อําเภอหนองหาน โดยมีผู้นําท้องถิ่น ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) และประชาชนในพื้นที่ร่วมพิธี แพทย์หญิงมยุราให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลมีนโยบายให้คนไทยทุกคนเข้าถึงบริการสุขภาพภาครัฐที่มีคุณภาพ ดูแลคุณภาพชีวิตคนไทยทุกช่วงวัย ทั้งป้องกันโรค ส่งเสริมสุขภาพ และรักษา ฟื้นฟู อย่างเท่าเทียมกัน กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาเครือข่ายบริการปฐมภูมิ รองรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ด้วยโครงการคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC)เพื่อให้คนไทยจะมีหมอประจําครอบครัว มีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหสาขาวิชาชีพ ดูแลทุกกลุ่มวัยแบบองค์รวม การดําเนินงานคลินิกหมอครอบครัวให้มีประสิทธิภาพและมั่นคง ยั่งยืน ต้องเชื่อมโยงทุกภาคส่วนในระดับพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วม โดยประชาชนเป็นจุดศูนย์กลางตามแนวทางประชารัฐ สร้างความเข้มแข็งแก่ระบบสุขภาพระดับอําเภอ มีคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ ดูแล กํากับ ติดตามการทํางาน มีคลินิกหมอครอบครัวให้บริการในพื้นที่ อาทิ ตรวจรักษาโรคทั่วไป คลินิกโรคไม่ติดต่อเรื้อรังคุณภาพ ให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพ ทันตกรรม ทีมเยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง คนพิการ ผู้สูงอายุ บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลา ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในปี 2569 จะมีหมอครอบครัว 6,500 ทีม ดูแลประชาชน 65 ล้านคน จังหวัดอุดรธานีมีคลินิกหมอครอบครัวทั้งสิ้น 52 แห่ง ทีมหมอครอบครัวรวม 143 ทีม สําหรับคลินิกหมอครอบครัวบ้านเชียง ให้บริการรักษาโรคทั่วไปและโรคเรื้อรัง อัลตร้าซาว์ด ตรวจคลื่นหัวใจ งานอนามัยแม่และเด็ก มีระบบปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ระบบจ่ายยาคุณภาพ ให้คําปรึกษาผ่านทางโทรศัพท์และทางไลน์ได้ตลอดเวลา ออกเยี่ยมบ้านเชิงรุกโดยทีมแพทย์ร่วมกับสหวิชาชีพ อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน อาสาสมัครดูแลผู้ป่วย (Care Giver)อาสาสมัครดูแลครอบครัว ให้คําแนะนําญาติ ผู้ดูแลคนไข้ ซึ่งมีผลงานเด่นจนกระทั่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเดินได้และช่วยเหลือตนเองได้ ซึ่งนับเป็นแบบอย่างที่น่ายกย่อง โดยมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวทํางานเต็มเวลาประจําทีมละ 1 คน จํานวน 4 ทีม ดูแลประชาชน 37,918 คนในพื้นที่ 5 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) คือ รพ.สต.หนองเม็ก รพ.สต.ต้ายสวรรค์ รพ.สต.บ้านยา และ รพ.สต.บ้านต้อง และมีระบบข้อมูลเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลหนองหานที่เป็นแม่ข่าย หากต้องการการส่งต่อไปโรงพยาบาลที่ใหญ่ขึ้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6470
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรชี้แจงสถานการณ์ราคามะพร้าว
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561 สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรชี้แจงสถานการณ์ราคามะพร้าว เลขาธิการสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรชี้แจงสถานการณ์ราคามะพร้าว ระบุเตรียมเสนอคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืชพิจารณาทบทวนการบริหารการนําเข้ามะพร้าว เพื่อเร่งช่วยเหลือเกษตรกร วันที่ 4 กรกฎาคม 2561 นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงสถานการณ์ราคามะพร้าวตกต่ําที่สุดในรอบ 10 ปี ตามที่นางณภัทร จาตุรัส ประธานกลุ่มแปลงใหญ่มะพร้าวเหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม กล่าวว่า ขณะนี้ราคามะพร้าวตกต่ําในรอบ 10 ปี โดยช่วงต้นปี 2561 ราคามะพร้าวแปรรูป กก.ละ 20-25 บาท แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง กก.ละ 13-15 บาท ปัญหาเกิดจากพ่อค้าคนกลางในท้องถิ่นไม่รับซื้อมะพร้าว เนื่องจากรัฐบาลอนุญาตให้นําเข้ามะพร้าวจากต่างประเทศ ซึ่งในพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม ส่วนใหญ่เป็นการนําเข้าจากอินโดนีเซีย เพื่อนํามาใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูป ส่งผลให้ชาวสวนได้รับความเดือดร้อน เพราะไม่สามารถส่งขายได้และถูกตัดออกจากระบบ สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ 1. ราคามะพร้าวที่เกษตรกรขายได้ (ผลใหญ่) ปี 2561 ในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน ราคามีแนวโน้มลดลง เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.74 บาท เมื่อเทียบกับปี 2560 เฉลี่ยที่กิโลกรัมละ 13.62 บาท (ลดลงร้อยละ 28.49) โดยในเดือนมิถุนายน 2561 ราคาเฉลี่ยที่กิโลกรัมละ 5.96 บาท และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 14.10 บาท (ลดลงร้อยละ 57.73) 2. ผลผลิตมะพร้าวปี 2561 มีประมาณ 860,160 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีจํานวน 832,895 ตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.44) เนื่องจากแหล่งปลูกมะพร้าวที่สําคัญ คือ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เริ่มฟื้นตัวจากการระบาดของศัตรูพืชแมลงดําหนามและหนอนหัวดํา และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนให้เกษตรกรใช้ศัตรูธรรมชาติตัวเบียนบราคอนในพื้นที่ระบาดเพื่อทําลายศัตรูพืช ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมามีปริมาณน้ําฝนเพียงพอ ส่งผลให้ผลผลิตมะพร้าวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ผลผลิตต่อไร่ ปี 2561 อยู่ที่ 783 กิโลกรัม หรือ 626 ผลต่อไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ให้ผลผลิต 754 กิโลกรัม หรือ 603 ผลต่อไร่ 3. ช่วงที่ผ่านมา ปี 2556 - 2559 พื้นที่ปลูกมะพร้าวได้รับผลกระทบจากปัญหาการระบาดของแมลงศัตรูมะพร้าว ส่งผลให้ผลผลิตมะพร้าวภายในประเทศลดลง ขณะที่ความต้องการมะพร้าวเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% จึงทําให้มีการนําเข้ามะพร้าวเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ราคาตกต่ําลง ซึ่งสินค้ามะพร้าวเป็นสินค้าที่ไทยต้องเปิดตลาดตามข้อผูกพัน 4. คณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช มีมติเห็นชอบให้เปิดตลาดมะพร้าวและผลิตภัณฑ์ ภายใต้กรอบ WTO และ AFTA คราวละ 3 ปี (ปี 2560 - 2562) ตามข้อผูกพัน และมีการบริหารการนําเข้าปีต่อปี โดยการบริหารการนําเข้า ปี 2561 เป็นดังนี้ 1) ภายใต้กรอบ WTO (1) มะพร้าวผลและมะพร้าวฝอยในโควตาปริมาณ 2,317 และ 110 ตัน ตามลําดับ อัตราภาษีมะพร้าวผล และมะพร้าวฝอย ในโควตา ร้อยละ 20 นอกโควตา ร้อยละ 54 เนื้อมะพร้าวแห้งปริมาณ 1,157 ตัน อัตราภาษีในโควตา ร้อยละ 20 นอกโควตา ร้อยละ 36 และน้ํามันมะพร้าวปริมาณ 401 ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ 20 นอกโควตา ร้อยละ 52 (2) การบริหารการนําเข้า เพื่อดูแลเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าว กําหนดช่วงเวลานําเข้าในโควตา คือช่วงเดือนมกราคม – พฤษภาคม และ พฤศจิกายน – ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตไทยออกสู่ตลาดน้อย หากต้องการนําเข้าต้องเสียภาษีนอกโควตาตามที่กําหนดไว้ สําหรับการนําเข้าน้ํามันมะพร้าวให้นําเข้าได้ไม่จํากัดช่วงเวลา และผู้นําเข้าต้องเป็นผู้ใช้มะพร้าวเป็นวัตถุดิบ โดยผู้นําเข้าต้องขออนุญาตนําเข้าจากกรมการค้าต่างประเทศ และต้องเป็นนิติบุคคลที่ใช้มะพร้าวเป็นวัตถุดิบในกิจการของตนเองและดําเนินกิจการอยู่ในปัจจุบัน 2) ภายใต้กรอบ AFTA การนําเข้ามะพร้าวผล เนื้อมะพร้าวฝอย และน้ํามันมะพร้าว ไม่จํากัดปริมาณ อัตราภาษีร้อยละ 0 ยกเว้นเนื้อมะพร้าวแห้ง อัตราภาษีร้อยละ 5 และให้มีการบริหารการนําเข้าเช่นเดียวกับกรอบ WTO คือ กําหนดช่วงเวลานําเข้าช่วงเดือนมกราคม – พฤษภาคม และพฤศจิกายน – ธันวาคม และให้นําเข้ามาเพื่อใช้ในกิจการของตนเอง 5. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร อยู่ระหว่างการนําเสนอคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืชพิจารณาทบทวนการบริหารการนําเข้าต่อไป เพื่อเร่งช่วยเหลือเกษตรกร --------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรชี้แจงสถานการณ์ราคามะพร้าว วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561 สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรชี้แจงสถานการณ์ราคามะพร้าว เลขาธิการสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรชี้แจงสถานการณ์ราคามะพร้าว ระบุเตรียมเสนอคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืชพิจารณาทบทวนการบริหารการนําเข้ามะพร้าว เพื่อเร่งช่วยเหลือเกษตรกร วันที่ 4 กรกฎาคม 2561 นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงสถานการณ์ราคามะพร้าวตกต่ําที่สุดในรอบ 10 ปี ตามที่นางณภัทร จาตุรัส ประธานกลุ่มแปลงใหญ่มะพร้าวเหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม กล่าวว่า ขณะนี้ราคามะพร้าวตกต่ําในรอบ 10 ปี โดยช่วงต้นปี 2561 ราคามะพร้าวแปรรูป กก.ละ 20-25 บาท แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง กก.ละ 13-15 บาท ปัญหาเกิดจากพ่อค้าคนกลางในท้องถิ่นไม่รับซื้อมะพร้าว เนื่องจากรัฐบาลอนุญาตให้นําเข้ามะพร้าวจากต่างประเทศ ซึ่งในพื้นที่ จ.สมุทรสงคราม ส่วนใหญ่เป็นการนําเข้าจากอินโดนีเซีย เพื่อนํามาใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูป ส่งผลให้ชาวสวนได้รับความเดือดร้อน เพราะไม่สามารถส่งขายได้และถูกตัดออกจากระบบ สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ 1. ราคามะพร้าวที่เกษตรกรขายได้ (ผลใหญ่) ปี 2561 ในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน ราคามีแนวโน้มลดลง เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.74 บาท เมื่อเทียบกับปี 2560 เฉลี่ยที่กิโลกรัมละ 13.62 บาท (ลดลงร้อยละ 28.49) โดยในเดือนมิถุนายน 2561 ราคาเฉลี่ยที่กิโลกรัมละ 5.96 บาท และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 14.10 บาท (ลดลงร้อยละ 57.73) 2. ผลผลิตมะพร้าวปี 2561 มีประมาณ 860,160 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีจํานวน 832,895 ตัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.44) เนื่องจากแหล่งปลูกมะพร้าวที่สําคัญ คือ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เริ่มฟื้นตัวจากการระบาดของศัตรูพืชแมลงดําหนามและหนอนหัวดํา และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สนับสนุนให้เกษตรกรใช้ศัตรูธรรมชาติตัวเบียนบราคอนในพื้นที่ระบาดเพื่อทําลายศัตรูพืช ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมามีปริมาณน้ําฝนเพียงพอ ส่งผลให้ผลผลิตมะพร้าวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ผลผลิตต่อไร่ ปี 2561 อยู่ที่ 783 กิโลกรัม หรือ 626 ผลต่อไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่ให้ผลผลิต 754 กิโลกรัม หรือ 603 ผลต่อไร่ 3. ช่วงที่ผ่านมา ปี 2556 - 2559 พื้นที่ปลูกมะพร้าวได้รับผลกระทบจากปัญหาการระบาดของแมลงศัตรูมะพร้าว ส่งผลให้ผลผลิตมะพร้าวภายในประเทศลดลง ขณะที่ความต้องการมะพร้าวเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% จึงทําให้มีการนําเข้ามะพร้าวเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ราคาตกต่ําลง ซึ่งสินค้ามะพร้าวเป็นสินค้าที่ไทยต้องเปิดตลาดตามข้อผูกพัน 4. คณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืช มีมติเห็นชอบให้เปิดตลาดมะพร้าวและผลิตภัณฑ์ ภายใต้กรอบ WTO และ AFTA คราวละ 3 ปี (ปี 2560 - 2562) ตามข้อผูกพัน และมีการบริหารการนําเข้าปีต่อปี โดยการบริหารการนําเข้า ปี 2561 เป็นดังนี้ 1) ภายใต้กรอบ WTO (1) มะพร้าวผลและมะพร้าวฝอยในโควตาปริมาณ 2,317 และ 110 ตัน ตามลําดับ อัตราภาษีมะพร้าวผล และมะพร้าวฝอย ในโควตา ร้อยละ 20 นอกโควตา ร้อยละ 54 เนื้อมะพร้าวแห้งปริมาณ 1,157 ตัน อัตราภาษีในโควตา ร้อยละ 20 นอกโควตา ร้อยละ 36 และน้ํามันมะพร้าวปริมาณ 401 ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ 20 นอกโควตา ร้อยละ 52 (2) การบริหารการนําเข้า เพื่อดูแลเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าว กําหนดช่วงเวลานําเข้าในโควตา คือช่วงเดือนมกราคม – พฤษภาคม และ พฤศจิกายน – ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตไทยออกสู่ตลาดน้อย หากต้องการนําเข้าต้องเสียภาษีนอกโควตาตามที่กําหนดไว้ สําหรับการนําเข้าน้ํามันมะพร้าวให้นําเข้าได้ไม่จํากัดช่วงเวลา และผู้นําเข้าต้องเป็นผู้ใช้มะพร้าวเป็นวัตถุดิบ โดยผู้นําเข้าต้องขออนุญาตนําเข้าจากกรมการค้าต่างประเทศ และต้องเป็นนิติบุคคลที่ใช้มะพร้าวเป็นวัตถุดิบในกิจการของตนเองและดําเนินกิจการอยู่ในปัจจุบัน 2) ภายใต้กรอบ AFTA การนําเข้ามะพร้าวผล เนื้อมะพร้าวฝอย และน้ํามันมะพร้าว ไม่จํากัดปริมาณ อัตราภาษีร้อยละ 0 ยกเว้นเนื้อมะพร้าวแห้ง อัตราภาษีร้อยละ 5 และให้มีการบริหารการนําเข้าเช่นเดียวกับกรอบ WTO คือ กําหนดช่วงเวลานําเข้าช่วงเดือนมกราคม – พฤษภาคม และพฤศจิกายน – ธันวาคม และให้นําเข้ามาเพื่อใช้ในกิจการของตนเอง 5. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร อยู่ระหว่างการนําเสนอคณะกรรมการพืชน้ํามันและน้ํามันพืชพิจารณาทบทวนการบริหารการนําเข้าต่อไป เพื่อเร่งช่วยเหลือเกษตรกร --------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13668
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองทุกพรรค ส่วนการตอบรับเชิญเข้าร่วมหารือ เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะเข้าร่วมหรือไม่
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความสําคัญกับพรรคการเมืองทุกพรรค ส่วนการตอบรับเชิญเข้าร่วมหารือ เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะเข้าร่วมหรือไม่ นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความสําคัญกับพรรคการเมืองทุกพรรค ส่วนการตอบรับเชิญเข้าร่วมหารือ เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะเข้าร่วมหรือไม่ วันนี้ (20 มีนาคม 2561) เวลา 14.30 น. ณ บริเวรห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีเชิญนักการเมืองหารือว่า เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะตอบรับการเชิญเข้าร่วมหารือหรือไม่ แต่ถ้าไม่มาประชาชนจะว่าอย่างไร เพราะต้องการให้ประชาชนรับรู้ และรับทราบโดยเฉพาะแนวทางการพัฒนาประเทศในอนาคต ซึ่งไม่ต้องการรู้นโยบายของพรรคการเมือง แต่อยากถามว่ามีวิธีการดําเนินการต่อไปอย่างไรเพื่อประชาชนและเพื่อประเทศ ซึ่งถ้ามาไม่ครบ หรือไม่มีการพูดคุยก็ไม่สามารถกําหนดการเลือกตั้งได้ และจําเป็นต้องหาข้อยุติร่วมกันให้ได้มากที่สุด สําหรับ พระราชบัญญัติประกอบ (พ.ร.ป.) รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.... และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.... นั้น เป็นขั้นตอนตามกฎหมายสามารถทําได้ เพราะมีศาลรัฐธรรมนูญอยู่ ตราบใดก็ตามที่ยังมีข้อห่วงใย ข้อกังวล ก็ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงให้ชัดเจน แต่ขอให้ระมัดระวัง พร้อมกล่าวยืนยันไม่มีผลกระทบต่อโรดแมปการเลือกตั้ง ส่วนเรื่องการตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ให้ไปดูกฎหมายว่าสามารถทําได้หรือไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของกฎหมายในการพิจารณา ยืนยันให้ความสําคัญกับทุกพรรค และเป็นหน้าที่ของประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจ ----------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองทุกพรรค ส่วนการตอบรับเชิญเข้าร่วมหารือ เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะเข้าร่วมหรือไม่ วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความสําคัญกับพรรคการเมืองทุกพรรค ส่วนการตอบรับเชิญเข้าร่วมหารือ เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะเข้าร่วมหรือไม่ นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความสําคัญกับพรรคการเมืองทุกพรรค ส่วนการตอบรับเชิญเข้าร่วมหารือ เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะเข้าร่วมหรือไม่ วันนี้ (20 มีนาคม 2561) เวลา 14.30 น. ณ บริเวรห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีเชิญนักการเมืองหารือว่า เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะตอบรับการเชิญเข้าร่วมหารือหรือไม่ แต่ถ้าไม่มาประชาชนจะว่าอย่างไร เพราะต้องการให้ประชาชนรับรู้ และรับทราบโดยเฉพาะแนวทางการพัฒนาประเทศในอนาคต ซึ่งไม่ต้องการรู้นโยบายของพรรคการเมือง แต่อยากถามว่ามีวิธีการดําเนินการต่อไปอย่างไรเพื่อประชาชนและเพื่อประเทศ ซึ่งถ้ามาไม่ครบ หรือไม่มีการพูดคุยก็ไม่สามารถกําหนดการเลือกตั้งได้ และจําเป็นต้องหาข้อยุติร่วมกันให้ได้มากที่สุด สําหรับ พระราชบัญญัติประกอบ (พ.ร.ป.) รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.... และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.... นั้น เป็นขั้นตอนตามกฎหมายสามารถทําได้ เพราะมีศาลรัฐธรรมนูญอยู่ ตราบใดก็ตามที่ยังมีข้อห่วงใย ข้อกังวล ก็ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงให้ชัดเจน แต่ขอให้ระมัดระวัง พร้อมกล่าวยืนยันไม่มีผลกระทบต่อโรดแมปการเลือกตั้ง ส่วนเรื่องการตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ให้ไปดูกฎหมายว่าสามารถทําได้หรือไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของกฎหมายในการพิจารณา ยืนยันให้ความสําคัญกับทุกพรรค และเป็นหน้าที่ของประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจ ----------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10895
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางลดความแออัดในโรงพยาบาล
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 แนวทางลดความแออัดในโรงพยาบาล เพื่อลดการแพร่กระจาย COVID-19 -ลดการไปโรงพยาบาลโดยที่ไม่มีความจําเป็นเร่งด่วน -รับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน -จัดส่งยาทางไปรษณีย์ -นัดติดตามการรักษานานขึ้น -ให้คําปรึกษาผ่านระบบ online
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แนวทางลดความแออัดในโรงพยาบาล วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 แนวทางลดความแออัดในโรงพยาบาล เพื่อลดการแพร่กระจาย COVID-19 -ลดการไปโรงพยาบาลโดยที่ไม่มีความจําเป็นเร่งด่วน -รับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน -จัดส่งยาทางไปรษณีย์ -นัดติดตามการรักษานานขึ้น -ให้คําปรึกษาผ่านระบบ online
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28936
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษในประเด็น กระทรวงยุติธรรมกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษในประเด็น กระทรวงยุติธรรมกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษในประเด็น กระทรวงยุติธรรมกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์นพลัส แวนด้า แกรนด์ แจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษในประเด็น กระทรวงยุติธรรม กับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ เพื่อนําไปประกอบการนําเสนอในรายงานพิเศษ ซึ่งกําหนดออกอากาศในรายการข่าว ๓ มิติ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ๓
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษในประเด็น กระทรวงยุติธรรมกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษในประเด็น กระทรวงยุติธรรมกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษในประเด็น กระทรวงยุติธรรมกับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์นพลัส แวนด้า แกรนด์ แจ้งวัฒนะ จังหวัดนนทบุรี นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์พิเศษในประเด็น กระทรวงยุติธรรม กับการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ เพื่อนําไปประกอบการนําเสนอในรายงานพิเศษ ซึ่งกําหนดออกอากาศในรายการข่าว ๓ มิติ ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ๓
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11185
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ครบรอบ 16 ปี เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจหน่วยงาน เชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561 ทส. ครบรอบ 16 ปี เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจหน่วยงาน เชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าพร้อมขับเคลื่อนภารกิจของหน่วยงาน แผนงาน/ โครงการให้เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนหลักระดับประเทศ เพื่อความมั่นคง มั่งคง และยั่งยืน ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อความสุขของปร ทส. ครบรอบ 16 ปี เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจหน่วยงาน เชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าพร้อมขับเคลื่อนภารกิจของหน่วยงาน แผนงาน/ โครงการให้เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนหลักระดับประเทศ เพื่อความมั่นคง มั่งคง และยั่งยืน ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อความสุขของประชาชนอย่างยั่งยืน วันนี้ (2 ตุลาคม 2561) โดยเวลาประมาณ 07.00 น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 16 ปี โดยพลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมสักการะพระพุทธสยัมภู พระประจํากระทรวง และศาลพระภูมิเจ้าที่ ณ บริเวณหน้าอาคารกรมควบคุมมลพิษ จากนั้น ร่วมพิธีสงฆ์ โดยพระสงฆ์จากวัดแก้วฟ้าจุฬามณี เจริญพระพุทธมนต์ ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ชั้น 2 โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวให้โอวาทและมอบนโยบายการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่ในสังกัด โดยการดําเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้องมีจุดยืนที่มุ่งมั่น คือมีเป้าหมายความสําเร็จของการทํางาน เพื่อความสุขของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยดําเนินงานขับเคลื่อนภารกิจหน่วยงานของหน่วยงาน แผนงาน/ โครงการให้เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนหลักระดับประเทศ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทุก ๆ ด้าน อาทิ ด้านทรัพยากรธรรมชาติ จะต้องให้ป่าไม้มีความสมบูรณ์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศ ให้ประชามีความสุข ดําเนินงานตามแนวพระราชดําริปลูกป่าในใจคน การทําเหมืองแร่ ต้องให้มีความสมดุลกับสุขภาพ วิถีชีวิต สิ่งแวดล้อมของประชาชน ด้านทรัพยากรน้ํา ประชาชนต้องมีน้ําสะอาดใช้ในประมาณที่เพียงพอ ส่วนด้านสิ่งแวดล้อม ต้องมีการวางเป้าหมายให้ครบทุกด้าน ทั้งในเรื่องปัญหาขยะ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ฝุ่นละออง การลดก๊าซเรือนกระจก ความหลากหลายทางชีวภาพ ให้มีบริหารจัดการในภาวะวิกฤตในแต่ละห้วงเวลา อาจให้มีการแจ้งเตือนและจัดตั้งศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหา เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ครบรอบ 16 ปี เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจหน่วยงาน เชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561 ทส. ครบรอบ 16 ปี เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจหน่วยงาน เชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าพร้อมขับเคลื่อนภารกิจของหน่วยงาน แผนงาน/ โครงการให้เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนหลักระดับประเทศ เพื่อความมั่นคง มั่งคง และยั่งยืน ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อความสุขของปร ทส. ครบรอบ 16 ปี เดินหน้าขับเคลื่อนภารกิจหน่วยงาน เชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินหน้าพร้อมขับเคลื่อนภารกิจของหน่วยงาน แผนงาน/ โครงการให้เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนหลักระดับประเทศ เพื่อความมั่นคง มั่งคง และยั่งยืน ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อความสุขของประชาชนอย่างยั่งยืน วันนี้ (2 ตุลาคม 2561) โดยเวลาประมาณ 07.00 น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 16 ปี โดยพลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ ร่วมสักการะพระพุทธสยัมภู พระประจํากระทรวง และศาลพระภูมิเจ้าที่ ณ บริเวณหน้าอาคารกรมควบคุมมลพิษ จากนั้น ร่วมพิธีสงฆ์ โดยพระสงฆ์จากวัดแก้วฟ้าจุฬามณี เจริญพระพุทธมนต์ ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ชั้น 2 โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวให้โอวาทและมอบนโยบายการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่ในสังกัด โดยการดําเนินงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต้องมีจุดยืนที่มุ่งมั่น คือมีเป้าหมายความสําเร็จของการทํางาน เพื่อความสุขของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยดําเนินงานขับเคลื่อนภารกิจหน่วยงานของหน่วยงาน แผนงาน/ โครงการให้เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ และแผนหลักระดับประเทศ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในทุก ๆ ด้าน อาทิ ด้านทรัพยากรธรรมชาติ จะต้องให้ป่าไม้มีความสมบูรณ์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศ ให้ประชามีความสุข ดําเนินงานตามแนวพระราชดําริปลูกป่าในใจคน การทําเหมืองแร่ ต้องให้มีความสมดุลกับสุขภาพ วิถีชีวิต สิ่งแวดล้อมของประชาชน ด้านทรัพยากรน้ํา ประชาชนต้องมีน้ําสะอาดใช้ในประมาณที่เพียงพอ ส่วนด้านสิ่งแวดล้อม ต้องมีการวางเป้าหมายให้ครบทุกด้าน ทั้งในเรื่องปัญหาขยะ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ฝุ่นละออง การลดก๊าซเรือนกระจก ความหลากหลายทางชีวภาพ ให้มีบริหารจัดการในภาวะวิกฤตในแต่ละห้วงเวลา อาจให้มีการแจ้งเตือนและจัดตั้งศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหา เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15787
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา รวมเป็นเงินกว่า ๒๙ ล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2559 “ยุติธรรม” พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา รวมเป็นเงินกว่า ๒๙ ล้านบาท ารประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เพื่อพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ จํานวนทั้งสิ้น ๘๖๓ เรื่อง และพิจารณาจ่ายฯ จํานวน ๘๙๖ เรื่อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๙,๐๖๙,๐๔๔ บาท ดังนี้ ๑. พิจารณาคําขอค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหาย จํานวน ๘๕๖ เรื่อง พิจารณาจ่ายฯ จํานวน ๕๒๑ เรื่อง เป็นเงิน ๒๘,๔๑๒,๕๔๔ บาท ๒. พิจารณาคําขอค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลย จํานวน ๔๐ เรื่อง พิจารณาจ่ายฯ จํานวน ๒ เรื่อง เป็นเงิน ๖๕๖,๕๐๐ บาท โดยมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมไชยานุกิจ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ชั้น ๓ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา รวมเป็นเงินกว่า ๒๙ ล้านบาท วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม 2559 “ยุติธรรม” พิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา รวมเป็นเงินกว่า ๒๙ ล้านบาท ารประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เพื่อพิจารณาคําขอรับความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจําเลยในคดีอาญา ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๙ จํานวนทั้งสิ้น ๘๖๓ เรื่อง และพิจารณาจ่ายฯ จํานวน ๘๙๖ เรื่อง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๙,๐๖๙,๐๔๔ บาท ดังนี้ ๑. พิจารณาคําขอค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหาย จํานวน ๘๕๖ เรื่อง พิจารณาจ่ายฯ จํานวน ๕๒๑ เรื่อง เป็นเงิน ๒๘,๔๑๒,๕๔๔ บาท ๒. พิจารณาคําขอค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลย จํานวน ๔๐ เรื่อง พิจารณาจ่ายฯ จํานวน ๒ เรื่อง เป็นเงิน ๖๕๖,๕๐๐ บาท โดยมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุมไชยานุกิจ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ชั้น ๓ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/946
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ตุรกีหันเจรจาเอฟทีเอผ่านระบบทางไกล หลังโควิด-19 กระทบ ตั้งเป้าสรุปผลปี 64 [กระทรวงพาณิชย์]
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 ไทย-ตุรกีหันเจรจาเอฟทีเอผ่านระบบทางไกล หลังโควิด-19 กระทบ ตั้งเป้าสรุปผลปี 64 [กระทรวงพาณิชย์] ไทย-ตุรกีหันเจรจาเอฟทีเอผ่านระบบทางไกล หลังโควิด-19 กระทบ ตั้งเป้าสรุปผลปี 64 ไทย-ตุรกีหารือทําเอฟทีเอผ่านระบบทางไกล หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้การเดินทางหยุดชะงัก เตรียมเดินหน้ายกร่างความตกลงที่คงค้างให้แล้วเสร็จ พร้อมย้ําให้ปรับปรุงข้อเสนอการเปิดตลาดสินค้า ให้ส่งผลดีต่อการค้าขายของสองประเทศเพิ่มขึ้น ตั้งเป้าสรุปผลให้ได้ภายในปี 64 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้ร่วมประชุมทางไกลกับนางบาฮัร กึซเลอ รองอธิบดีกรมความตกลงระหว่างประเทศและกิจการสหภาพยุโรป หัวหน้าคณะผู้แทนตุรกี ในการเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรี(เอฟทีเอ) ไทย–ตุรกีเมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อหารือเรื่องการปรับแผนการเจรจาเอฟทีเอไทย-ตุรกี หลังจากก่อนหน้านี้ คณะผู้แทนไทยไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมการประชุมเจรจา รอบที่ 7 ซึ่งตุรกีกําหนดจัดขึ้นเมื่อเดือนเม.ย.2563 ได้ เนื่องจากอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะปรับแผนการเจรจาเอฟทีเอเป็นการประชุมผ่านระบบทางไกลเพื่อยกร่างข้อบทความตกลงที่ยังค้างอยู่ 11 ข้อบท เช่น กฎว่าด้วยถิ่นกําเนิดสินค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช มาตรการเยียวยาทางการค้า เป็นต้น เพื่อให้การเจรจาคืบหน้าต่อไปได้ “การปรับแผนดังกล่าว อาจส่งผลต่อการดําเนินการเจรจา ที่ประชุมจึงตกลงขยายระยะเวลาสรุปผลการเจรจาจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2563 เป็นปี 2564และยังได้ขอให้แต่ละฝ่ายพิจารณาปรับปรุงข้อเสนอการเปิดตลาดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีศักยภาพส่งออก เพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายให้มากขึ้น เพื่อให้การลดหรือยกเลิกภาษีส่งผลให้มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม” นางอรมนกล่าว สําหรับตุรกีเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจ เนื่องจากไทยสามารถใช้ตุรกีเป็นประตูการค้าไปสู่ยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลางได้ และยังเป็นคู่ค้าอันดับ4ของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง รองจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์ โดยในปี2562การค้าระหว่างไทยกับตุรกี มีมูลค่า1,487ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออกจากไทยไปตุรกี มูลค่า886ล้านเหรียญสหรัฐ มีสินค้าส่งออกที่สําคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา เครื่องปรับอากาศ เส้นใยประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น และเป็นการนําเข้าจากตุรกี มูลค่า601ล้านเหรียญสหรัฐ มีสินค้านําเข้าที่สําคัญ เช่น น้ํามันดิบ รถไฟ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเสื้อผ้าสําเร็จรูป เป็นต้น >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ตุรกีหันเจรจาเอฟทีเอผ่านระบบทางไกล หลังโควิด-19 กระทบ ตั้งเป้าสรุปผลปี 64 [กระทรวงพาณิชย์] วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 ไทย-ตุรกีหันเจรจาเอฟทีเอผ่านระบบทางไกล หลังโควิด-19 กระทบ ตั้งเป้าสรุปผลปี 64 [กระทรวงพาณิชย์] ไทย-ตุรกีหันเจรจาเอฟทีเอผ่านระบบทางไกล หลังโควิด-19 กระทบ ตั้งเป้าสรุปผลปี 64 ไทย-ตุรกีหารือทําเอฟทีเอผ่านระบบทางไกล หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้การเดินทางหยุดชะงัก เตรียมเดินหน้ายกร่างความตกลงที่คงค้างให้แล้วเสร็จ พร้อมย้ําให้ปรับปรุงข้อเสนอการเปิดตลาดสินค้า ให้ส่งผลดีต่อการค้าขายของสองประเทศเพิ่มขึ้น ตั้งเป้าสรุปผลให้ได้ภายในปี 64 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้ร่วมประชุมทางไกลกับนางบาฮัร กึซเลอ รองอธิบดีกรมความตกลงระหว่างประเทศและกิจการสหภาพยุโรป หัวหน้าคณะผู้แทนตุรกี ในการเจรจาจัดทําความตกลงการค้าเสรี(เอฟทีเอ) ไทย–ตุรกีเมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อหารือเรื่องการปรับแผนการเจรจาเอฟทีเอไทย-ตุรกี หลังจากก่อนหน้านี้ คณะผู้แทนไทยไม่สามารถเดินทางเข้าร่วมการประชุมเจรจา รอบที่ 7 ซึ่งตุรกีกําหนดจัดขึ้นเมื่อเดือนเม.ย.2563 ได้ เนื่องจากอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะปรับแผนการเจรจาเอฟทีเอเป็นการประชุมผ่านระบบทางไกลเพื่อยกร่างข้อบทความตกลงที่ยังค้างอยู่ 11 ข้อบท เช่น กฎว่าด้วยถิ่นกําเนิดสินค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช มาตรการเยียวยาทางการค้า เป็นต้น เพื่อให้การเจรจาคืบหน้าต่อไปได้ “การปรับแผนดังกล่าว อาจส่งผลต่อการดําเนินการเจรจา ที่ประชุมจึงตกลงขยายระยะเวลาสรุปผลการเจรจาจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2563 เป็นปี 2564และยังได้ขอให้แต่ละฝ่ายพิจารณาปรับปรุงข้อเสนอการเปิดตลาดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีศักยภาพส่งออก เพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของแต่ละฝ่ายให้มากขึ้น เพื่อให้การลดหรือยกเลิกภาษีส่งผลให้มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม” นางอรมนกล่าว สําหรับตุรกีเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจ เนื่องจากไทยสามารถใช้ตุรกีเป็นประตูการค้าไปสู่ยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลางได้ และยังเป็นคู่ค้าอันดับ4ของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง รองจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์ โดยในปี2562การค้าระหว่างไทยกับตุรกี มีมูลค่า1,487ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออกจากไทยไปตุรกี มูลค่า886ล้านเหรียญสหรัฐ มีสินค้าส่งออกที่สําคัญ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยางพารา เครื่องปรับอากาศ เส้นใยประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น และเป็นการนําเข้าจากตุรกี มูลค่า601ล้านเหรียญสหรัฐ มีสินค้านําเข้าที่สําคัญ เช่น น้ํามันดิบ รถไฟ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และเสื้อผ้าสําเร็จรูป เป็นต้น >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่http://line.me/ti/p/%40uld0329i >>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์https://twitter.com/CNAOnlineTwit
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30840
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีถวายเครื่องราชสักการะแด่สมเด็จสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจำปี 2560
วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรีถวายเครื่องราชสักการะแด่สมเด็จสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจําปี 2560 นายกรัฐมนตรีถวายเครื่องราชสักการะแด่สมเด็จสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจําปี 2560 วันนี้ (14 กรกฎาคม 2560) เวลา 09.30 น. ณ ศาลาทรงไทย วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีถวายเครื่องราชสักการะแด่สมเด็จสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจําปี 2560 โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถวายเครื่องสักการะว่า "กระผม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา นําเครื่องสักการะอันประกอบด้วย ธูปเทียนแพ พุ่มดอกไม้ เทียนพรรษา ผ้าไตร และเครื่องไทยธรรม มาถวายแด่พระคุณเจ้า เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจําปี 2560 ขอให้พระคุณเจ้ารับเครื่องสักการะนี้ไว้ด้วย เทอญ” จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้สนทนาธรรมกับสมเด็จพระวันรัตประมาณ 15 นาที ภายหลังสนทนาธรรมนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สมเด็จพระวันรัตอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมเกี่ยวกับวัดและโรงเรียน เพราะรัฐย่อมไม่สามารถทําอะไรได้ทั้งหมด เนื่องจากมีงบประมาณจํากัด ทั้งนี้ ตนเรียนสมเด็จพระวันรัตว่า รัฐบาลมีนโยบายควบคุมโรงเรียนขนาดเล็ก และดูแลภาคการศึกษาท้องถิ่น ซึ่งเข้ากับแนวทางบ้าน – วัด - โรงเรียน ทุกคนจะมุ่งหวังให้รัฐบาลทําทั้งหมดคงไม่ได้ ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรม โดยให้โรงเรียนเป็นของคนไทยทุกคน -------------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีถวายเครื่องราชสักการะแด่สมเด็จสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจำปี 2560 วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรีถวายเครื่องราชสักการะแด่สมเด็จสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจําปี 2560 นายกรัฐมนตรีถวายเครื่องราชสักการะแด่สมเด็จสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจําปี 2560 วันนี้ (14 กรกฎาคม 2560) เวลา 09.30 น. ณ ศาลาทรงไทย วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีถวายเครื่องราชสักการะแด่สมเด็จสมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจําปี 2560 โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถวายเครื่องสักการะว่า "กระผม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา นําเครื่องสักการะอันประกอบด้วย ธูปเทียนแพ พุ่มดอกไม้ เทียนพรรษา ผ้าไตร และเครื่องไทยธรรม มาถวายแด่พระคุณเจ้า เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา ประจําปี 2560 ขอให้พระคุณเจ้ารับเครื่องสักการะนี้ไว้ด้วย เทอญ” จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้สนทนาธรรมกับสมเด็จพระวันรัตประมาณ 15 นาที ภายหลังสนทนาธรรมนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สมเด็จพระวันรัตอยากให้ทุกคนมีส่วนร่วมเกี่ยวกับวัดและโรงเรียน เพราะรัฐย่อมไม่สามารถทําอะไรได้ทั้งหมด เนื่องจากมีงบประมาณจํากัด ทั้งนี้ ตนเรียนสมเด็จพระวันรัตว่า รัฐบาลมีนโยบายควบคุมโรงเรียนขนาดเล็ก และดูแลภาคการศึกษาท้องถิ่น ซึ่งเข้ากับแนวทางบ้าน – วัด - โรงเรียน ทุกคนจะมุ่งหวังให้รัฐบาลทําทั้งหมดคงไม่ได้ ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรม โดยให้โรงเรียนเป็นของคนไทยทุกคน -------------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5211
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายก ฉัตรชัย เพิ่มกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปฯ ให้ครอบคลุมทั้งสาธารณสุขและสังคม
วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561 รองนายก ฉัตรชัย เพิ่มกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปฯ ให้ครอบคลุมทั้งสาธารณสุขและสังคม พลเอกฉัตรชัย รองนายกรัฐมนตรี ปรับเพิ่มกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 ให้ครอบคลุมทั้งด้านสาธารณสุขและสังคม เตรียมทําคําสั่งร่างอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนงานอย่างมีประสิทธิภาพ พลเอกฉัตรชัย รองนายกรัฐมนตรี ปรับเพิ่มกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 ให้ครอบคลุมทั้งด้านสาธารณสุขและสังคม เตรียมทําคําสั่งร่างอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนงานอย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ (5 เมษายน 2561) ที่ทําเนียบรัฐบาล กทม. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูป ด้านสาธารณสุข ครั้งที่ 1/2561 พลเอก ฉัตรชัยให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า การประชุมในวันนี้ได้มีการปรับปรุงชื่อคําสั่งของคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข (กขป. 4) เป็นคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขและสังคม เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนด้านสังคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและไม่ซ้ําซ้อนกับการทํางานคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะอื่น โดยเพิ่มกรรมการ จากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และกรอบการดําเนินงาน ตลอดจนอํานาจหน้าที่ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ใหม่ มีแนวทางการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข คือ สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพของรัฐให้ครอบคลุมและทั่วถึง การพัฒนาระบบหลักประกันทางสังคมให้มีประสิทธิภาพ ส่วนการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้กําหนดขอบเขตการขับเคลื่อน ได้แก่ การประกันรายได้การมีงานทําและมีสวัสดิการแรงงาน ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงความมั่นคงทางสังคม นันทนาการ และบริการทางสังคมของปัจเจกบุคคล โดยจะมีการร่างคําสั่งฯ และประชุมคณะอนุกรรมการฯ เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานต่อไป ************************************** 5 เมษายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายก ฉัตรชัย เพิ่มกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปฯ ให้ครอบคลุมทั้งสาธารณสุขและสังคม วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561 รองนายก ฉัตรชัย เพิ่มกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปฯ ให้ครอบคลุมทั้งสาธารณสุขและสังคม พลเอกฉัตรชัย รองนายกรัฐมนตรี ปรับเพิ่มกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 ให้ครอบคลุมทั้งด้านสาธารณสุขและสังคม เตรียมทําคําสั่งร่างอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนงานอย่างมีประสิทธิภาพ พลเอกฉัตรชัย รองนายกรัฐมนตรี ปรับเพิ่มกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 ให้ครอบคลุมทั้งด้านสาธารณสุขและสังคม เตรียมทําคําสั่งร่างอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนงานอย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ (5 เมษายน 2561) ที่ทําเนียบรัฐบาล กทม. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูป ด้านสาธารณสุข ครั้งที่ 1/2561 พลเอก ฉัตรชัยให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า การประชุมในวันนี้ได้มีการปรับปรุงชื่อคําสั่งของคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข (กขป. 4) เป็นคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะที่ 4 คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุขและสังคม เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนด้านสังคมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและไม่ซ้ําซ้อนกับการทํางานคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินคณะอื่น โดยเพิ่มกรรมการ จากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และกรอบการดําเนินงาน ตลอดจนอํานาจหน้าที่ให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ใหม่ มีแนวทางการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านสาธารณสุข คือ สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพของรัฐให้ครอบคลุมและทั่วถึง การพัฒนาระบบหลักประกันทางสังคมให้มีประสิทธิภาพ ส่วนการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้กําหนดขอบเขตการขับเคลื่อน ได้แก่ การประกันรายได้การมีงานทําและมีสวัสดิการแรงงาน ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงความมั่นคงทางสังคม นันทนาการ และบริการทางสังคมของปัจเจกบุคคล โดยจะมีการร่างคําสั่งฯ และประชุมคณะอนุกรรมการฯ เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานต่อไป ************************************** 5 เมษายน 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11384
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบ 3
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563 กระทรวงเกษตรฯ เร่งจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบ 3 กระทรวงเกษตรฯ เร่งจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบ 3 วันที่ 15 ก.ค. นี้ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการอุทธรณ์โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครั้งที่ 4/2563 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการอุทธรณ์ฯ ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีจํานวนผู้อุทธรณ์ 192,512 ราย กระทรวงเกษตรฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลที่ซ้ําซ้อนของผู้อุทธรณ์แล้ว พบว่า คงเหลือจํานวน 189,663 ราย (ข้อมูล ณ 29 มิ.ย. 63) โดยไม่ซ้ําเลขบัตรประชาชน ซึ่งได้จําแนกสถานะของผลการอุทธรณ์ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มผู้อุทธรณ์ที่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับเงินเยียวยาเกษตรกร จํานวน 73,975 ราย ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้แจ้งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. ดําเนินการจ่ายเงินเยียวยาแล้วบางส่วน และในส่วนที่ดําเนินการตรวจความซ้ําซ้อน อยู่ระหว่างการแจ้งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. ดําเนินการจ่ายเงินเยียวยาต่อไป 2) กลุ่มผู้อุทธรณ์ที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับเงินเยียวยาเกษตรกร หรือไม่เข้าหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยาภายใต้โครงการฯ ตามนัยมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และมติ ครม.ที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นควรยุติการพิจารณา จํานวน 108,391 ราย ประกอบด้วย กลุ่มข้าราชการและลูกจ้างประจํา กลุ่มข้าราชการบํานาญ กลุ่มมีสิทธิ์ซ้ําซ้อนกับโครงการเราไม่ทิ้งกัน กลุ่มได้รับสิทธิ์จากประกันสังคม และกลุ่มผู้มีสถานะเป็นสมาชิกครัวเรือนเกษตรกร (ของกรมส่งเสริมการเกษตร) เท่านั้น ไม่ได้เป็นเกษตรกร และ 3) กลุ่มผู้อุทธรณ์ที่ต้องรอผลการพิจารณา จํานวน 7,297 ราย โดยในจํานวนนี้มีผู้อุทธรณ์ จํานวน 2,814 ราย รอผลการดําเนินการลงข้อมูลกลุ่มเป้าหมายของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จภายใน 10 กรกฎาคม 2563 หากผู้อุทธรณ์รายใดมีข้อมูลปรากฏในกลุ่มดังกล่าว ให้ดําเนินการตรวจสอบความซ้ําซ้อนและเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาต่อไป สําหรับในกลุ่มที่ขออุทธรณ์การมีสถานะเป็นผู้ประกันตน (จากการตรวจสอบข้อมูลประกันสังคม ณ 16 มิ.ย. 63) จํานวน 1,537 ราย ได้ขอให้สํานักงานประกันสังคมพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องและเหมาะสม ว่าจะสามารถรับดําเนินการต่อไปอย่างไร เพื่อเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาต่อไป “อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งดําเนินการพิจารณาการอุทธรณ์โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเร็วที่สุด เพื่อช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะทยอยโอนเงินรอบที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป” นายอนันต์ กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบ 3 วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563 กระทรวงเกษตรฯ เร่งจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบ 3 กระทรวงเกษตรฯ เร่งจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รอบ 3 วันที่ 15 ก.ค. นี้ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการอุทธรณ์โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครั้งที่ 4/2563 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า จากการประชุมคณะกรรมการพิจารณาการอุทธรณ์ฯ ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา มีจํานวนผู้อุทธรณ์ 192,512 ราย กระทรวงเกษตรฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลที่ซ้ําซ้อนของผู้อุทธรณ์แล้ว พบว่า คงเหลือจํานวน 189,663 ราย (ข้อมูล ณ 29 มิ.ย. 63) โดยไม่ซ้ําเลขบัตรประชาชน ซึ่งได้จําแนกสถานะของผลการอุทธรณ์ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มผู้อุทธรณ์ที่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับเงินเยียวยาเกษตรกร จํานวน 73,975 ราย ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้แจ้งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. ดําเนินการจ่ายเงินเยียวยาแล้วบางส่วน และในส่วนที่ดําเนินการตรวจความซ้ําซ้อน อยู่ระหว่างการแจ้งข้อมูลให้ ธ.ก.ส. ดําเนินการจ่ายเงินเยียวยาต่อไป 2) กลุ่มผู้อุทธรณ์ที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับเงินเยียวยาเกษตรกร หรือไม่เข้าหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเยียวยาภายใต้โครงการฯ ตามนัยมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และมติ ครม.ที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นควรยุติการพิจารณา จํานวน 108,391 ราย ประกอบด้วย กลุ่มข้าราชการและลูกจ้างประจํา กลุ่มข้าราชการบํานาญ กลุ่มมีสิทธิ์ซ้ําซ้อนกับโครงการเราไม่ทิ้งกัน กลุ่มได้รับสิทธิ์จากประกันสังคม และกลุ่มผู้มีสถานะเป็นสมาชิกครัวเรือนเกษตรกร (ของกรมส่งเสริมการเกษตร) เท่านั้น ไม่ได้เป็นเกษตรกร และ 3) กลุ่มผู้อุทธรณ์ที่ต้องรอผลการพิจารณา จํานวน 7,297 ราย โดยในจํานวนนี้มีผู้อุทธรณ์ จํานวน 2,814 ราย รอผลการดําเนินการลงข้อมูลกลุ่มเป้าหมายของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จภายใน 10 กรกฎาคม 2563 หากผู้อุทธรณ์รายใดมีข้อมูลปรากฏในกลุ่มดังกล่าว ให้ดําเนินการตรวจสอบความซ้ําซ้อนและเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ พิจารณาต่อไป สําหรับในกลุ่มที่ขออุทธรณ์การมีสถานะเป็นผู้ประกันตน (จากการตรวจสอบข้อมูลประกันสังคม ณ 16 มิ.ย. 63) จํานวน 1,537 ราย ได้ขอให้สํานักงานประกันสังคมพิจารณาตรวจสอบความถูกต้องและเหมาะสม ว่าจะสามารถรับดําเนินการต่อไปอย่างไร เพื่อเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาต่อไป “อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งดําเนินการพิจารณาการอุทธรณ์โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเร็วที่สุด เพื่อช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะทยอยโอนเงินรอบที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมนี้ เป็นต้นไป” นายอนันต์ กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32941
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.พ.-ก.พ.ร. แจงแนวทางการให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ในสถานการณ์ COVID-19
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563 ก.พ.-ก.พ.ร. แจงแนวทางการให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ในสถานการณ์ COVID-19 ก.พ.-ก.พ.ร. แจงแนวทางการให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ในสถานการณ์ COVID-19 วันนี้ (26 มี.ค. 63) เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ "COVID-19"โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ รองเลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้ชี้แจงแนวทางการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง หรือกําหนดวิธีปฏิบัติราชการแบบยืดหยุ่นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 โดยมีหลักการ/นโยบาย คือ ต้องไม่เกิดผลกระทบกับคุณภาพงานและการบริการของประชาชนต้องคํานึงถึงมาตรการทางสาธารณสุข โดยให้มีความยืดหยุ่นคล่องตัว ตามบริบทสถานการณ์ของแต่ละส่วนราชการ อีกทั้งต้องคํานึงถึงสมดุลคุณภาพงานและคุณภาพชีวิตการมอบหมายงานในประเภท ลักษณะ บทบาทหน้าที่ให้ปฏิบัติราชการในหรือนอกสถานที่ตั้งได้โดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสนับสนุนการทํางานทั้งนี้ควรคํานึงถึงผู้ปฏิบัติงานที่อยู่ไกลจากสถานที่ตั้งของส่วนราชการหรือผู้ที่ต้องเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะก่อน ซึ่งอาจจะมีการกําหนดรูปแบบการทํางานแบบเหลื่อมเวลา หรืออาจจะแบ่งเป็นทีมสับเปลี่ยนหมุนเวียนการทํางานหรือให้ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง โดยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องติดต่อสื่อสารกับผู้บังคับบัญชาโดยสม่ําเสมอพร้อมทั้งยืนยันในส่วนของการบริการประชาชนจะมีเจ้าหน้าที่ให้บริการอย่างแน่นอน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) นายแพทย์ พลวรรธน์ วิทูรกลชิต รองโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ตรวจราชการกระทรวง ชี้แจงถึงมาตรการรองรับการทํางานที่บ้าน (work from home)ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สําหรับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ไม่ว่าจะเป็นการออกแนวทาง โดยสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการรับ – ส่ง เอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความมั่นคงและปลอดภัย ส่งเสริมการประชุมออนไลน์ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทางภาครัฐและภาคเอกชน ผ่านแอปพลิเคชันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มีตัวอย่างแผนบริหารความต่อเนื่องขององค์กรเพื่อเป็นแนวทางให้แก่หน่วยงานอื่น ๆ ปฏิบัติตาม เพื่อไม่ให้สูญเสียประสิทธิภาพในการทํางาน และปรับเปลี่ยนจากการสแกนลงลายนิ้วมือชื่อตามเวลาเป็นวิธีอื่นแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัส ทั้งนี้ เพื่อการสนับสนุนการทํางานที่บ้าน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อเพิ่มความจุอินเทอร์เน็ต จากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจํานวน 6 ราย เป็น 10GBและในตอนนี้ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มีการทดลองใช้ ระบบประชุมทางไกลออนไลน์CAT conferenceที่สามารถรองรับผู้ใช้ได้ถึง 5,000 คน และจะมีการพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังขอความร่วมมือให้ประชาชนรับข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงจากทางรัฐบาล และไม่เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จเพื่อสร้างความสับสนแก่ผู้อื่น นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (เลขาธิการ ก.พ.ร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สํานักงาน ก.พ.ร. ตระหนักว่าสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นภารกิจสําคัญลําดับแรกที่ภาครัฐต้องเร่งแก้ไข ประกอบกับการปฏิบัติราชการนอกสถานที่อาจทําให้ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติ เพื่อลดความกังวลของหน่วยงาน สํานักงาน ก.พ.ร. จึงได้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง ครม. มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 เห็นชอบการปรับแนวทางการประเมินของกรม จังหวัด และองค์กรมหาชน ประจําปี 2563 โดยหน่วยงานสามารถเพิ่มตัวชี้วัดใหม่ที่สะท้อนการดําเนินงาน และปรับตัวชี้วัดเดิมที่ได้รับจากผลกระทบโควิด-19 ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายเน้นให้หน่วยงานภาครัฐยังคงปฏิบัติงานเพื่อให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่อง แต่เพื่อความปลอดภัยทั้งของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงมีแนวทางลดผลกระทบในการดําเนินงานโดยการบริการผ่านช่องทางออนไลน์ของภาครัฐ (e-Service)เพื่อประชาชนไม่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่ตั้ง นอกจากนี้ในกรณีที่ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการรับบริการจากหน่วยงานรัฐสามารถติดต่อแจ้งได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 1111 กด 22 หรือผ่านLine@GoodGov4Uตลอด 24 ชั่วโมง ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.พ.-ก.พ.ร. แจงแนวทางการให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ในสถานการณ์ COVID-19 วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563 ก.พ.-ก.พ.ร. แจงแนวทางการให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ในสถานการณ์ COVID-19 ก.พ.-ก.พ.ร. แจงแนวทางการให้ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ในสถานการณ์ COVID-19 วันนี้ (26 มี.ค. 63) เวลา 15.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ "COVID-19"โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ รองเลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้ชี้แจงแนวทางการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง หรือกําหนดวิธีปฏิบัติราชการแบบยืดหยุ่นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 โดยมีหลักการ/นโยบาย คือ ต้องไม่เกิดผลกระทบกับคุณภาพงานและการบริการของประชาชนต้องคํานึงถึงมาตรการทางสาธารณสุข โดยให้มีความยืดหยุ่นคล่องตัว ตามบริบทสถานการณ์ของแต่ละส่วนราชการ อีกทั้งต้องคํานึงถึงสมดุลคุณภาพงานและคุณภาพชีวิตการมอบหมายงานในประเภท ลักษณะ บทบาทหน้าที่ให้ปฏิบัติราชการในหรือนอกสถานที่ตั้งได้โดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสนับสนุนการทํางานทั้งนี้ควรคํานึงถึงผู้ปฏิบัติงานที่อยู่ไกลจากสถานที่ตั้งของส่วนราชการหรือผู้ที่ต้องเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะก่อน ซึ่งอาจจะมีการกําหนดรูปแบบการทํางานแบบเหลื่อมเวลา หรืออาจจะแบ่งเป็นทีมสับเปลี่ยนหมุนเวียนการทํางานหรือให้ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง โดยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องติดต่อสื่อสารกับผู้บังคับบัญชาโดยสม่ําเสมอพร้อมทั้งยืนยันในส่วนของการบริการประชาชนจะมีเจ้าหน้าที่ให้บริการอย่างแน่นอน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) นายแพทย์ พลวรรธน์ วิทูรกลชิต รองโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้ตรวจราชการกระทรวง ชี้แจงถึงมาตรการรองรับการทํางานที่บ้าน (work from home)ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสํานักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สําหรับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ไม่ว่าจะเป็นการออกแนวทาง โดยสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ในการรับ – ส่ง เอกสารผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความมั่นคงและปลอดภัย ส่งเสริมการประชุมออนไลน์ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทางภาครัฐและภาคเอกชน ผ่านแอปพลิเคชันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มีตัวอย่างแผนบริหารความต่อเนื่องขององค์กรเพื่อเป็นแนวทางให้แก่หน่วยงานอื่น ๆ ปฏิบัติตาม เพื่อไม่ให้สูญเสียประสิทธิภาพในการทํางาน และปรับเปลี่ยนจากการสแกนลงลายนิ้วมือชื่อตามเวลาเป็นวิธีอื่นแทน เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัส ทั้งนี้ เพื่อการสนับสนุนการทํางานที่บ้าน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เพื่อเพิ่มความจุอินเทอร์เน็ต จากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตจํานวน 6 ราย เป็น 10GBและในตอนนี้ทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้มีการทดลองใช้ ระบบประชุมทางไกลออนไลน์CAT conferenceที่สามารถรองรับผู้ใช้ได้ถึง 5,000 คน และจะมีการพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังขอความร่วมมือให้ประชาชนรับข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงจากทางรัฐบาล และไม่เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จเพื่อสร้างความสับสนแก่ผู้อื่น นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (เลขาธิการ ก.พ.ร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สํานักงาน ก.พ.ร. ตระหนักว่าสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 เป็นภารกิจสําคัญลําดับแรกที่ภาครัฐต้องเร่งแก้ไข ประกอบกับการปฏิบัติราชการนอกสถานที่อาจทําให้ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติ เพื่อลดความกังวลของหน่วยงาน สํานักงาน ก.พ.ร. จึงได้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง ครม. มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 เห็นชอบการปรับแนวทางการประเมินของกรม จังหวัด และองค์กรมหาชน ประจําปี 2563 โดยหน่วยงานสามารถเพิ่มตัวชี้วัดใหม่ที่สะท้อนการดําเนินงาน และปรับตัวชี้วัดเดิมที่ได้รับจากผลกระทบโควิด-19 ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายเน้นให้หน่วยงานภาครัฐยังคงปฏิบัติงานเพื่อให้บริการประชาชนอย่างต่อเนื่อง แต่เพื่อความปลอดภัยทั้งของประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงมีแนวทางลดผลกระทบในการดําเนินงานโดยการบริการผ่านช่องทางออนไลน์ของภาครัฐ (e-Service)เพื่อประชาชนไม่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่ตั้ง นอกจากนี้ในกรณีที่ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการรับบริการจากหน่วยงานรัฐสามารถติดต่อแจ้งได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 1111 กด 22 หรือผ่านLine@GoodGov4Uตลอด 24 ชั่วโมง ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27934
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยสำนักนายกรัฐมนตรี เปิด “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้” ณ ทำเนียบรัฐบาล
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560 ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยสํานักนายกรัฐมนตรี เปิด “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้” ณ ทําเนียบรัฐบาล ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยสํานักนายกรัฐมนตรี เปิด “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้” ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยสามารถโอนเงินบริจาคเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยฯ สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0 วันนี้ (10 ม.ค. 60) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีการประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)กับคณะรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แจ้งต่อที่ประชุมรับทราบถึงสถานการณ์น้ําท่วมในขณะนี้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงห่วงใยรับสั่งฝากคณะองคมนตรีมาถึงรัฐบาลเมื่อวานนี้ (9ม.ค.60) ขอให้รัฐบาลช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ซึ่งในส่วนของนายกรัฐมนตรีต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทุกคน รวมทั้งกําลังพลจากเหล่าทัพต่าง ๆ และเน้นย้ําเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนต้องดําเนินการด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นทั้งต่อเจ้าหน้าที่และประชาชน ถึงแม้สถานการณ์ในช่วงนี้บางพื้นที่จะเริ่มคลี่คลายบ้างแล้ว แต่ก็ขอให้เฝ้าระวังพายุลูกใหม่ที่จะเข้ามาอีก โดยขณะนี้รัฐบาลได้เร่งดําเนินการในการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมก่อนเป็นลําดับแรก ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยทุกระดับ รวมถึงการทําทางระบายน้ําลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด เพื่อป้องไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวซ้ําอีก ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเน้นย้ําถึงเรื่องที่ได้สั่งการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและบรรเทาสาธารณภัยของประชาชนซึ่งมี 4 ระดับว่า กรณีของปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ได้พ้นจากระดับที่ 1 คือการแก้ไขปัญหาในระดับท้องถิ่นซึ่งไม่มีความรุนแรงมาก และระดับที่ 2 คือผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบดูแล มาสู่การประกาศยกระดับการจัดการปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ให้เป็นการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ ระดับ 3 โดยได้จัดตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติส่วนหน้าขึ้น เพื่อดูแลประชาชนในเขตที่ประสบภัยพิบัติทั้ง 12 จังหวัด (พัทลุง นราธิวาส ยะลา สงขลา ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร ระนอง กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์) ในภาคใต้เรียบร้อยแล้ว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้บัญชาการ ทําหน้าที่บูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้กํากับดูแลอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ รัฐบาลโดยสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ได้มีการเปิด “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้” ขึ้น ณ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมเงินบริจาคของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศจัดส่งให้จังหวัดหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ทั้ง 12 จังหวัดดังกล่าว ทั้งนี้ ประชาชนที่ประสงค์จะช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนในครั้งนี้ สามารถบริจาคเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบธารณภัยสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีได้ โดยโอนเงินเข้าที่บัญชีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0 โดยผู้ที่ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยดังกล่าวสามารถนําใบเสร็จรับเงินการบริจาคฯ มาลดหย่อนภาษีได้ด้วย พร้อมทั้ง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อที่ประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติกับคณะรัฐมนตรีถึงเหตุผลการเตรียมการที่จะออกร่างกฎหมายมาตรา 44 อีกจํานวน 2 ฉบับ โดยเฉพาะ ในส่วนของร่างกฎหมายฉบับแรกจะเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อครั้งที่ พลเอก ดาว์พงษ์รัตนสุวรรณดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบว่าโครงสร้างของกระทรวงศึกษาเป็นโครงสร้างที่มีปัญหาและแตกต่างจากกระทรวงอื่น ๆ เพราะแท่งโครงสร้างถึง 5 แท่ง ทําให้มีระดับผู้บริหารระดับสูง (ชี11) จํานวนถึง 5 คน ในกระทรวง เพราะฉะนั้นเมื่อนายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ มาดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงมีความเห็นว่าสิ่งที่พลเอก ดาว์พงษ์รัตนสุวรรณอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเคยเสนอไว้ควรจะดําเนินการต่อไป ทั้งนี้การดําเนินการดังกล่าวไม่ได้เป็นการยุบโครงสร้างทั้ง 5 แท่ง แต่จะเป็นการยุบ อ.ก.พ. ที่มีอยู่เดิมของทั้ง 5 แท่ง ให้เหลือเพียง อ.ก.พ.เดียว เพื่อให้การเกลี่ยและบริหารจัดการอัตรากําลังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาข้อขัดข้องที่กระทรวงประสบมาตลอด -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยสำนักนายกรัฐมนตรี เปิด “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้” ณ ทำเนียบรัฐบาล วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560 ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยสํานักนายกรัฐมนตรี เปิด “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้” ณ ทําเนียบรัฐบาล ผู้ช่วยโฆษกฯ เผยสํานักนายกรัฐมนตรี เปิด “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้” ณ ทําเนียบรัฐบาล โดยสามารถโอนเงินบริจาคเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทยฯ สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0 วันนี้ (10 ม.ค. 60) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิง ทักษดา สังขจันทร์ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีการประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)กับคณะรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แจ้งต่อที่ประชุมรับทราบถึงสถานการณ์น้ําท่วมในขณะนี้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงห่วงใยรับสั่งฝากคณะองคมนตรีมาถึงรัฐบาลเมื่อวานนี้ (9ม.ค.60) ขอให้รัฐบาลช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ซึ่งในส่วนของนายกรัฐมนตรีต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทุกคน รวมทั้งกําลังพลจากเหล่าทัพต่าง ๆ และเน้นย้ําเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนต้องดําเนินการด้วยความระมัดระวังไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นทั้งต่อเจ้าหน้าที่และประชาชน ถึงแม้สถานการณ์ในช่วงนี้บางพื้นที่จะเริ่มคลี่คลายบ้างแล้ว แต่ก็ขอให้เฝ้าระวังพายุลูกใหม่ที่จะเข้ามาอีก โดยขณะนี้รัฐบาลได้เร่งดําเนินการในการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมก่อนเป็นลําดับแรก ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนงบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยทุกระดับ รวมถึงการทําทางระบายน้ําลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด เพื่อป้องไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวซ้ําอีก ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเน้นย้ําถึงเรื่องที่ได้สั่งการเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและบรรเทาสาธารณภัยของประชาชนซึ่งมี 4 ระดับว่า กรณีของปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ได้พ้นจากระดับที่ 1 คือการแก้ไขปัญหาในระดับท้องถิ่นซึ่งไม่มีความรุนแรงมาก และระดับที่ 2 คือผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับผิดชอบดูแล มาสู่การประกาศยกระดับการจัดการปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ให้เป็นการจัดการสาธารณภัยขนาดใหญ่ ระดับ 3 โดยได้จัดตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติส่วนหน้าขึ้น เพื่อดูแลประชาชนในเขตที่ประสบภัยพิบัติทั้ง 12 จังหวัด (พัทลุง นราธิวาส ยะลา สงขลา ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร ระนอง กระบี่ และประจวบคีรีขันธ์) ในภาคใต้เรียบร้อยแล้ว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้บัญชาการ ทําหน้าที่บูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้กํากับดูแลอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ รัฐบาลโดยสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ได้มีการเปิด “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้” ขึ้น ณ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมเงินบริจาคของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศจัดส่งให้จังหวัดหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ทั้ง 12 จังหวัดดังกล่าว ทั้งนี้ ประชาชนที่ประสงค์จะช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนในครั้งนี้ สามารถบริจาคเงินเข้ากองทุนช่วยเหลือผู้ประสบธารณภัยสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีได้ โดยโอนเงินเข้าที่บัญชีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0 โดยผู้ที่ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยดังกล่าวสามารถนําใบเสร็จรับเงินการบริจาคฯ มาลดหย่อนภาษีได้ด้วย พร้อมทั้ง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อที่ประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติกับคณะรัฐมนตรีถึงเหตุผลการเตรียมการที่จะออกร่างกฎหมายมาตรา 44 อีกจํานวน 2 ฉบับ โดยเฉพาะ ในส่วนของร่างกฎหมายฉบับแรกจะเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อครั้งที่ พลเอก ดาว์พงษ์รัตนสุวรรณดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบว่าโครงสร้างของกระทรวงศึกษาเป็นโครงสร้างที่มีปัญหาและแตกต่างจากกระทรวงอื่น ๆ เพราะแท่งโครงสร้างถึง 5 แท่ง ทําให้มีระดับผู้บริหารระดับสูง (ชี11) จํานวนถึง 5 คน ในกระทรวง เพราะฉะนั้นเมื่อนายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ มาดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงมีความเห็นว่าสิ่งที่พลเอก ดาว์พงษ์รัตนสุวรรณอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเคยเสนอไว้ควรจะดําเนินการต่อไป ทั้งนี้การดําเนินการดังกล่าวไม่ได้เป็นการยุบโครงสร้างทั้ง 5 แท่ง แต่จะเป็นการยุบ อ.ก.พ. ที่มีอยู่เดิมของทั้ง 5 แท่ง ให้เหลือเพียง อ.ก.พ.เดียว เพื่อให้การเกลี่ยและบริหารจัดการอัตรากําลังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะสามารถแก้ปัญหาข้อขัดข้องที่กระทรวงประสบมาตลอด -------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1283
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 เวลา 20.15 น. เนื่องในโอกาส สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายกรัฐมนตรีนํารัฐมนตรีใหม่เข้าเฝ้าฯ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต กรุงเทพฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีพระราชดํารัสให้คณะรัฐมนตรี มีกําลังใจ กําลังกายและกําลังสติปัญญาในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ เพื่อความสุขและความปลอดภัยของประชาชนให้ดํารงไว้ซึ่งชื่อเสียง ภาพลักษณ์ ตลอดจนวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี อันงดงามของชาติ ซึ่งเรามีประวัติศาสตร์มายาวนาน อันมี 3 สถาบันหลักของชาติ ปกป้องคุ้มครองประเทศตลอดมา อีกทั้ง พระราชทานแนวทางในการทํางานว่าย่อมประสบกับอุปสรรค ปัญหา ข้อขัดข้องต่าง ๆ ดังนั้น เราจําเป็นต้องใช้ปัญญา มีกําลังใจมีความมุ่งมั่นที่ดี และรู้จักแก้ไขสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ก็จะนําพาความสุขโดยรวม มาสู่ประเทศชาติและประชาชนอันเป็นหลักชัยในการทํางาน สิ่งสําคัญ ขอให้คํานึงถึง “ศาสตร์พระราชา” แห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงรับสั่งไว้มากมาย และทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่าง หากได้ศึกษาพระราชกรณียกิจให้ถ่องแท้ ก็จะเป็นแนวทางที่ดีที่จะสืบสานต่อยอดพระราชปณิธานของพระองค์ สืบไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอน้อมนําพระราชดํารัสเบื้องต้น มากล่าวย้ําอีกครั้ง ณ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี “ชุดใหม่” เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคมผ่านมา เพื่อเป็นสิริมงคลในการดํารงชีวิตและการทํางานคณะรัฐมนตรี ทุกคนจะได้ร่วมมือกันนําพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ซึ่งต้องอาศัย “พลังประชารัฐ” จากทุกภาคส่วนจึงจะประสบความสําเร็จได้ การแก้ไขปัญหาทุจริต นายกรัฐมนตรีขอฝาก “สมการแห่งความสําเร็จ” ในยุค “ไทยแลนด์ 4.0” ไว้ว่า “ความสําเร็จ ประกอบไปด้วย ความเพียรและความร่วมมือ” โดยช่วยกันสอดส่องดูแลสังคมและบ้านเมืองให้ปราศจาก “เชื้อโรคทุจริตคอร์รัปชัน” ทั้งนี้ วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีถือเป็น“วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล” ซึ่งรัฐบาลและ คสช. ให้ความสําคัญเป็นวาระเร่งด่วนและวาระแห่งชาติ โดยได้มีการดําเนินการตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) รวมทั้งมีศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เพื่อสนับสนุนภารกิจการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากขึ้น พร้อมตั้งคณะกรรมการพิจารณางบประมาณบูรณาการด้านการป้องกันปราบปรามการทุจริตเพื่อขับเคลื่อนงานและใช้งบประมาณด้านนี้อย่างไม่ซ้ําซ้อน ขณะเดียวกันทรัพย์สินที่ ป.ป.ช. ชี้มูล – ร้องต่อศาลให้ริบทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ในปีงบประมาณ 2559 มีมูลค่ามากกว่า180 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 853 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2560 โดย ข้อมูลจากผลการสํารวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เกี่ยวกับดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันของไทย (Corruption Situation Index :CSI) เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ สะท้อนให้เห็นผลจากความพยายามของรัฐบาล - คสช. - ป.ป.ช. และองค์กรอิสระต่าง ๆ ในการต่อสู้กับปัญหาการทุจริต ภายใต้แนวคิด Zero Tolerance “คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” พร้อมมีจิตสํานึกที่ถูกต้องเคารพในกฎหมายยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม และความพอเพียงพร้อมแสดงบทบาทพลเมืองดีในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุจริต เพื่อให้ประเทศไทยโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล การพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีย้ําต้องปฏิรูปตนเองด้วยการ “พัฒนาจิตใจ” 3 ระดับได้แก่ “จิตสํานึก” เช่น การมีคุณธรรมจริยธรรม และการเคารพกฎหมาย ซึ่งเริ่มจากตัวเองก่อน “จิตสาธารณะ” เช่นการคิดคํานึงถึงส่วนรวม เห็นประโยชน์สุขส่วนรวมเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และ “จิตอาสา” ซึ่งเป็นการแสดงออก แสดงพลังในสิ่งที่ถูกต้อง โดยไม่นิ่งเฉยต่อสิ่งที่ผิดและไม่ถูกกฎหมายบ้านเมือง โครงการตัวอย่าง ในลักษณะ “จิตอาสา” ที่น่ายกย่องในปัจจุบัน คือ โครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” ของนายอาทิวราห์ คงมาลัย ตูนบอดี้สแลมและทีมงาน ที่ตั้งใจทําเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคมในภาพรวม นอกจากจะเป็นการสานต่อพระราชดําริโครงการจิตอาสา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมให้ประชาชนร่วมกันทําในสิ่งดี ๆ เพื่อบ้านเมืองของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังมีคุณประโยชน์แฝงอยู่ในโครงการของตูนอีกมากมาย เช่น ความต้องการ “เงินบริจาคจํานวนน้อย ๆ จากคนจํานวนมาก มากกว่าเงินบริจาคจํานวนมากจากคนส่วนน้อย” อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างรอยยิ้ม อันเป็นลักษณะนิสัยประจําชาติของคนไทย ให้กลับคืนมาสู่สังคมไทย เป็นสะพานเชื่อมสายใยแห่งความรัก ความสามัคคีของคนทั้งประเทศจากทั่วทุกสารทิศเป็นการ “คืนความสุขให้กับคนในชาติ” อย่างแท้จริง ตลอดจนเป็นการปลุกคนไทยให้สนใจหันมาออกกําลังเพื่อจะรักษาสุขภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อวงการสาธารณสุขของประเทศ และเป็นมาตรการ “เชิงรุก” เน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา ทําให้มีสุขภาพกายที่แข็งแรงและสุขภาพใจที่เข้มแข็ง เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ได้เสด็จพระราชดําเนิน ทรงเปิดโครงการอ่างเก็บน้ําห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดําริ ณ อําเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี หรือ“โครงการอ่างเก็บน้ํานฤบดินทรจินดา” ซึ่งมีความหมายว่า “อ่างเก็บน้ําที่สร้างขึ้นตามพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นับเป็นโครงการแหล่งน้ําในพระราชดําริโครงการสุดท้ายของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งโครงการนี้ สามารถเก็บกักน้ําได้ 295 ล้านลูกบาศก์เมตร จะช่วยขยายพื้นที่ชลประทานในฤดูฝนได้ มากกว่า 1 แสนไร่ และฤดูแล้ง 45,000 ไร่ นอกจากจะช่วยบรรเทาปัญหาน้ําท่วม– ฝนแล้งในพื้นที่แล้ว ยังจะช่วยรักษาระบบนิเวศ ผลักดันน้ําเค็ม น้ําเน่าเสียในแม่น้ําปราจีนบุรีและแม่น้ําบางปะกง พร้อมเป็นแนวกันชนและป้องกันการบุกรุกทําลายป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลานและอุทยานแห่งชาติปางสีดา รวมทั้งเป็นแหล่งน้ําที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในพื้นที่ป่าไม้ได้ตลอดจน สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดปราจีนบุรีอีกด้วย รัฐบาลได้ลงพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกหลายครั้ง เพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนที่มองเห็นความเป็นไปได้ในระยะยาว โดยรัฐบาลหวังที่จะเห็นการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในการช่วยกันพิจารณาความเหมาะสมด้วยเหตุด้วยผลเพื่อช่วยกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้บรรเทาลงไป กระแสโลกาภิวัฒน์ – โลกดิจิทัลในปัจจุบัน ได้ก้าวไกลไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการค้าเสรีจะทําให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ํามากขึ้น ทั้งภาคการผลิตและการส่งออก ประเทศไทยจําเป็นต้องปรับตัวให้ทัน โดยต้องช่วยกันเร่งสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อรองรับความเสี่ยงและความท้าทายดังกล่าวอย่างมีสติ และใช้ปัญญาในการบริหารจัดการตามพระบรมราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดย“หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นแนวทาง ซึ่งรัฐบาลและ คสช. เข้าใจดีถึงปัญหาความเหลื่อมล้ําในการกระจายรายได้ที่เหมาะสม จึงจําเป็นต้องมีการหาแนวทางทําให้เกิดเครือข่าย การสร้างความเชื่อมโยง ตั้งแต่ระดับบนลงมายังระดับล่างให้ได้ ในลักษณะที่เป็นกลุ่มกิจกรรม ที่ยึดโยงกับกลุ่ม –สหกรณ์–วิสาหกิจชุมชนที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้ได้ในทุกภาคการผลิต ที่เป็น ไมโคร เอส เอ็ม อี (MSMEs) ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน–องค์ความรู้–เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ซึ่งจําเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการผลิตของประเทศ ทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่เป็น เอส เอ็ม อี ไมโคร เอส เอ็ม อี สมาร์ทฟาร์มเมอร์ (SMEs + Smart Farmer) โดยกําหนดสัดส่วนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการอย่างสมดุล สิ่งสําคัญที่สุดคือความเข้าใจจากประชาชนทุกกลุ่มอาชีพ โดยมีการพัฒนาตนเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างสม่ําเสมอ เนื่องจากใกล้วันขึ้นปีใหม่และวันนักขัตฤกษ์ของปีหน้าที่จะมาถึง นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยถึงเรื่องแรกเกี่ยวกับ “อุบัติเหตุ” จากการใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถิติการเสียชีวิตบนท้องถนนของคนไทย ซึ่งสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องตระหนักและช่วยกันลดอุบัติเหตุ ลดการสูญเสียให้ได้ ด้วยการเคารพกฎจราจร มีน้ําใจให้เพื่อนร่วมทาง และที่สําคัญ ก็คือ “เมาไม่ขับ” จําเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันและร่วมมือกัน เพราะอุบัติเหตุไม่เพียงทําร้ายตัวท่านเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นรวมทั้งครอบครัว พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีมีความกังวลกับเรื่องการหลอกลวงของมิจฉาชีพ ในหลายลักษณะ เรื่องของแก๊ง Call Center ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน เรื่องการหลอกลวงต่าง ๆ การลงทุนต่าง ๆ ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี ทันกลการลวง ให้ใช้สติ วิเคราะห์ด้วยเหตุด้วยผล สิ่งแรกก็คือ ท่านต้องเข้มแข็งเสียก่อน ท่านต้องคิดว่าเหตุผลคืออะไร ทําไมถึงได้เงินมากขนาดนั้น เป็นไปได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มาหลอกว่า ท่านทําผิดโน่น ผิดนี่ แล้วจะแก้ไข หรือรื้อทําคดีให้ ก็ในเมื่อท่านรู้ว่าท่านไม่ได้ทําความผิด แล้วท่านจะไปให้เขาทําไม จึงขอให้ตรวจสอบให้แน่ชัดหรือสอบถามโดยตรงจากสายด่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือ 1567 “ศูนย์ดํารงธรรม” การกีฬา นายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีกับสมาคมกีฬายกน้ําหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย (สนท.) และนักกีฬายกน้ําหนักทั้ง 17 คน ชาย 8 คน หญิง 9 คน ที่สามารถสร้างชื่อเสียง จากการแข่งขันยกน้ําหนักชิงชนะเลิศแห่งโลก ประจําปี พ.ศ. 2560 ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง วันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา ณ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้นําความสุขมาฝากคนไทยทั้งประเทศ โดยสามารถพิชิตรางวัล รวมทั้งสิ้น 15 เหรียญ ได้แก่ 5 เหรียญทอง 7 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง ขณะที่นักกีฬายกน้ําหนักหญิงไทยทําผลงานเป็นอันดับ 1 คว้ารางวัลชนะเลิศคะแนนรวมทีมหญิง และขอเป็นกําลังใจให้กับนักกีฬาทุกคน ใครที่ยังไม่ประสบความสําเร็จโดยขอให้อย่าละความพยายามต่อไป อย่าละความเพียร ส่วนใครที่ทําได้ดีแล้วนายกรัฐมนตรีได้ขอให้รักษามาตรฐานและพัฒนาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป ............................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 เวลา 20.15 น. เนื่องในโอกาส สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายกรัฐมนตรีนํารัฐมนตรีใหม่เข้าเฝ้าฯ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต กรุงเทพฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีพระราชดํารัสให้คณะรัฐมนตรี มีกําลังใจ กําลังกายและกําลังสติปัญญาในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้ เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ เพื่อความสุขและความปลอดภัยของประชาชนให้ดํารงไว้ซึ่งชื่อเสียง ภาพลักษณ์ ตลอดจนวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี อันงดงามของชาติ ซึ่งเรามีประวัติศาสตร์มายาวนาน อันมี 3 สถาบันหลักของชาติ ปกป้องคุ้มครองประเทศตลอดมา อีกทั้ง พระราชทานแนวทางในการทํางานว่าย่อมประสบกับอุปสรรค ปัญหา ข้อขัดข้องต่าง ๆ ดังนั้น เราจําเป็นต้องใช้ปัญญา มีกําลังใจมีความมุ่งมั่นที่ดี และรู้จักแก้ไขสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ก็จะนําพาความสุขโดยรวม มาสู่ประเทศชาติและประชาชนอันเป็นหลักชัยในการทํางาน สิ่งสําคัญ ขอให้คํานึงถึง “ศาสตร์พระราชา” แห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรงรับสั่งไว้มากมาย และทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่าง หากได้ศึกษาพระราชกรณียกิจให้ถ่องแท้ ก็จะเป็นแนวทางที่ดีที่จะสืบสานต่อยอดพระราชปณิธานของพระองค์ สืบไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอน้อมนําพระราชดํารัสเบื้องต้น มากล่าวย้ําอีกครั้ง ณ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี “ชุดใหม่” เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคมผ่านมา เพื่อเป็นสิริมงคลในการดํารงชีวิตและการทํางานคณะรัฐมนตรี ทุกคนจะได้ร่วมมือกันนําพาชาติบ้านเมืองไปสู่ความ “มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ซึ่งต้องอาศัย “พลังประชารัฐ” จากทุกภาคส่วนจึงจะประสบความสําเร็จได้ การแก้ไขปัญหาทุจริต นายกรัฐมนตรีขอฝาก “สมการแห่งความสําเร็จ” ในยุค “ไทยแลนด์ 4.0” ไว้ว่า “ความสําเร็จ ประกอบไปด้วย ความเพียรและความร่วมมือ” โดยช่วยกันสอดส่องดูแลสังคมและบ้านเมืองให้ปราศจาก “เชื้อโรคทุจริตคอร์รัปชัน” ทั้งนี้ วันที่ 9 ธันวาคมของทุกปีถือเป็น“วันต่อต้านคอร์รัปชันสากล” ซึ่งรัฐบาลและ คสช. ให้ความสําคัญเป็นวาระเร่งด่วนและวาระแห่งชาติ โดยได้มีการดําเนินการตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) รวมทั้งมีศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เพื่อสนับสนุนภารกิจการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากขึ้น พร้อมตั้งคณะกรรมการพิจารณางบประมาณบูรณาการด้านการป้องกันปราบปรามการทุจริตเพื่อขับเคลื่อนงานและใช้งบประมาณด้านนี้อย่างไม่ซ้ําซ้อน ขณะเดียวกันทรัพย์สินที่ ป.ป.ช. ชี้มูล – ร้องต่อศาลให้ริบทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ในปีงบประมาณ 2559 มีมูลค่ามากกว่า180 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 853 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2560 โดย ข้อมูลจากผลการสํารวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เกี่ยวกับดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันของไทย (Corruption Situation Index :CSI) เมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ สะท้อนให้เห็นผลจากความพยายามของรัฐบาล - คสช. - ป.ป.ช. และองค์กรอิสระต่าง ๆ ในการต่อสู้กับปัญหาการทุจริต ภายใต้แนวคิด Zero Tolerance “คนไทยไม่ทนต่อการทุจริต” พร้อมมีจิตสํานึกที่ถูกต้องเคารพในกฎหมายยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม และความพอเพียงพร้อมแสดงบทบาทพลเมืองดีในการตรวจสอบและเฝ้าระวังการทุจริต เพื่อให้ประเทศไทยโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล การพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีย้ําต้องปฏิรูปตนเองด้วยการ “พัฒนาจิตใจ” 3 ระดับได้แก่ “จิตสํานึก” เช่น การมีคุณธรรมจริยธรรม และการเคารพกฎหมาย ซึ่งเริ่มจากตัวเองก่อน “จิตสาธารณะ” เช่นการคิดคํานึงถึงส่วนรวม เห็นประโยชน์สุขส่วนรวมเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และ “จิตอาสา” ซึ่งเป็นการแสดงออก แสดงพลังในสิ่งที่ถูกต้อง โดยไม่นิ่งเฉยต่อสิ่งที่ผิดและไม่ถูกกฎหมายบ้านเมือง โครงการตัวอย่าง ในลักษณะ “จิตอาสา” ที่น่ายกย่องในปัจจุบัน คือ โครงการ “ก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ” ของนายอาทิวราห์ คงมาลัย ตูนบอดี้สแลมและทีมงาน ที่ตั้งใจทําเพื่อประโยชน์ของประชาชนและสังคมในภาพรวม นอกจากจะเป็นการสานต่อพระราชดําริโครงการจิตอาสา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมให้ประชาชนร่วมกันทําในสิ่งดี ๆ เพื่อบ้านเมืองของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังมีคุณประโยชน์แฝงอยู่ในโครงการของตูนอีกมากมาย เช่น ความต้องการ “เงินบริจาคจํานวนน้อย ๆ จากคนจํานวนมาก มากกว่าเงินบริจาคจํานวนมากจากคนส่วนน้อย” อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างรอยยิ้ม อันเป็นลักษณะนิสัยประจําชาติของคนไทย ให้กลับคืนมาสู่สังคมไทย เป็นสะพานเชื่อมสายใยแห่งความรัก ความสามัคคีของคนทั้งประเทศจากทั่วทุกสารทิศเป็นการ “คืนความสุขให้กับคนในชาติ” อย่างแท้จริง ตลอดจนเป็นการปลุกคนไทยให้สนใจหันมาออกกําลังเพื่อจะรักษาสุขภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อวงการสาธารณสุขของประเทศ และเป็นมาตรการ “เชิงรุก” เน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา ทําให้มีสุขภาพกายที่แข็งแรงและสุขภาพใจที่เข้มแข็ง เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ได้เสด็จพระราชดําเนิน ทรงเปิดโครงการอ่างเก็บน้ําห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดําริ ณ อําเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี หรือ“โครงการอ่างเก็บน้ํานฤบดินทรจินดา” ซึ่งมีความหมายว่า “อ่างเก็บน้ําที่สร้างขึ้นตามพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” นับเป็นโครงการแหล่งน้ําในพระราชดําริโครงการสุดท้ายของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งโครงการนี้ สามารถเก็บกักน้ําได้ 295 ล้านลูกบาศก์เมตร จะช่วยขยายพื้นที่ชลประทานในฤดูฝนได้ มากกว่า 1 แสนไร่ และฤดูแล้ง 45,000 ไร่ นอกจากจะช่วยบรรเทาปัญหาน้ําท่วม– ฝนแล้งในพื้นที่แล้ว ยังจะช่วยรักษาระบบนิเวศ ผลักดันน้ําเค็ม น้ําเน่าเสียในแม่น้ําปราจีนบุรีและแม่น้ําบางปะกง พร้อมเป็นแนวกันชนและป้องกันการบุกรุกทําลายป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติทับลานและอุทยานแห่งชาติปางสีดา รวมทั้งเป็นแหล่งน้ําที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในพื้นที่ป่าไม้ได้ตลอดจน สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดปราจีนบุรีอีกด้วย รัฐบาลได้ลงพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกหลายครั้ง เพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนที่มองเห็นความเป็นไปได้ในระยะยาว โดยรัฐบาลหวังที่จะเห็นการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในการช่วยกันพิจารณาความเหมาะสมด้วยเหตุด้วยผลเพื่อช่วยกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้บรรเทาลงไป กระแสโลกาภิวัฒน์ – โลกดิจิทัลในปัจจุบัน ได้ก้าวไกลไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการค้าเสรีจะทําให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ํามากขึ้น ทั้งภาคการผลิตและการส่งออก ประเทศไทยจําเป็นต้องปรับตัวให้ทัน โดยต้องช่วยกันเร่งสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อรองรับความเสี่ยงและความท้าทายดังกล่าวอย่างมีสติ และใช้ปัญญาในการบริหารจัดการตามพระบรมราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดย“หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นแนวทาง ซึ่งรัฐบาลและ คสช. เข้าใจดีถึงปัญหาความเหลื่อมล้ําในการกระจายรายได้ที่เหมาะสม จึงจําเป็นต้องมีการหาแนวทางทําให้เกิดเครือข่าย การสร้างความเชื่อมโยง ตั้งแต่ระดับบนลงมายังระดับล่างให้ได้ ในลักษณะที่เป็นกลุ่มกิจกรรม ที่ยึดโยงกับกลุ่ม –สหกรณ์–วิสาหกิจชุมชนที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้ได้ในทุกภาคการผลิต ที่เป็น ไมโคร เอส เอ็ม อี (MSMEs) ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน–องค์ความรู้–เทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ซึ่งจําเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการผลิตของประเทศ ทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมที่เป็น เอส เอ็ม อี ไมโคร เอส เอ็ม อี สมาร์ทฟาร์มเมอร์ (SMEs + Smart Farmer) โดยกําหนดสัดส่วนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการอย่างสมดุล สิ่งสําคัญที่สุดคือความเข้าใจจากประชาชนทุกกลุ่มอาชีพ โดยมีการพัฒนาตนเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างสม่ําเสมอ เนื่องจากใกล้วันขึ้นปีใหม่และวันนักขัตฤกษ์ของปีหน้าที่จะมาถึง นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยถึงเรื่องแรกเกี่ยวกับ “อุบัติเหตุ” จากการใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถิติการเสียชีวิตบนท้องถนนของคนไทย ซึ่งสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องตระหนักและช่วยกันลดอุบัติเหตุ ลดการสูญเสียให้ได้ ด้วยการเคารพกฎจราจร มีน้ําใจให้เพื่อนร่วมทาง และที่สําคัญ ก็คือ “เมาไม่ขับ” จําเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันและร่วมมือกัน เพราะอุบัติเหตุไม่เพียงทําร้ายตัวท่านเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นรวมทั้งครอบครัว พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีมีความกังวลกับเรื่องการหลอกลวงของมิจฉาชีพ ในหลายลักษณะ เรื่องของแก๊ง Call Center ที่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน เรื่องการหลอกลวงต่าง ๆ การลงทุนต่าง ๆ ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี ทันกลการลวง ให้ใช้สติ วิเคราะห์ด้วยเหตุด้วยผล สิ่งแรกก็คือ ท่านต้องเข้มแข็งเสียก่อน ท่านต้องคิดว่าเหตุผลคืออะไร ทําไมถึงได้เงินมากขนาดนั้น เป็นไปได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มาหลอกว่า ท่านทําผิดโน่น ผิดนี่ แล้วจะแก้ไข หรือรื้อทําคดีให้ ก็ในเมื่อท่านรู้ว่าท่านไม่ได้ทําความผิด แล้วท่านจะไปให้เขาทําไม จึงขอให้ตรวจสอบให้แน่ชัดหรือสอบถามโดยตรงจากสายด่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือ 1567 “ศูนย์ดํารงธรรม” การกีฬา นายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีกับสมาคมกีฬายกน้ําหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย (สนท.) และนักกีฬายกน้ําหนักทั้ง 17 คน ชาย 8 คน หญิง 9 คน ที่สามารถสร้างชื่อเสียง จากการแข่งขันยกน้ําหนักชิงชนะเลิศแห่งโลก ประจําปี พ.ศ. 2560 ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง วันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา ณ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้นําความสุขมาฝากคนไทยทั้งประเทศ โดยสามารถพิชิตรางวัล รวมทั้งสิ้น 15 เหรียญ ได้แก่ 5 เหรียญทอง 7 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง ขณะที่นักกีฬายกน้ําหนักหญิงไทยทําผลงานเป็นอันดับ 1 คว้ารางวัลชนะเลิศคะแนนรวมทีมหญิง และขอเป็นกําลังใจให้กับนักกีฬาทุกคน ใครที่ยังไม่ประสบความสําเร็จโดยขอให้อย่าละความพยายามต่อไป อย่าละความเพียร ส่วนใครที่ทําได้ดีแล้วนายกรัฐมนตรีได้ขอให้รักษามาตรฐานและพัฒนาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป ............................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8637
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รปอ.ภานุวัฒน์ฯ เป็นประธานการประชุม ASOMM+3
วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562 รปอ.ภานุวัฒน์ฯ เป็นประธานการประชุม ASOMM+3 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านแร่ธาตุ ร่วมกับ 3 ประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 12 ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ วันนี้ (12 ธันวาคม 2562) เวลา 09.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านแร่ธาตุ ร่วมกับ 3 ประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 12 (The 12th ASEAN Senior Officials Meeting on Minerals Plus Three (China, Japan, Republic of Korea) Consultation: The 12th ASOMM+3) ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ การประชุมนี้จัดขึ้นเพื่อประสานความร่วมมือระหว่างสมาชิกประเทศอาเซียน พร้อมพันธมิตรจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ในการสนับสนุนและส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ทั้งด้านวิชาการ การสํารวจ การผลิต และการตลาด อีกทั้งยังก่อให้เกิดความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนด้านแร่ธาตุระหว่างกันต่อไป จัดโดย กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รปอ.ภานุวัฒน์ฯ เป็นประธานการประชุม ASOMM+3 วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562 รปอ.ภานุวัฒน์ฯ เป็นประธานการประชุม ASOMM+3 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านแร่ธาตุ ร่วมกับ 3 ประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 12 ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ วันนี้ (12 ธันวาคม 2562) เวลา 09.00 น. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านแร่ธาตุ ร่วมกับ 3 ประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 12 (The 12th ASEAN Senior Officials Meeting on Minerals Plus Three (China, Japan, Republic of Korea) Consultation: The 12th ASOMM+3) ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ การประชุมนี้จัดขึ้นเพื่อประสานความร่วมมือระหว่างสมาชิกประเทศอาเซียน พร้อมพันธมิตรจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี ในการสนับสนุนและส่งเสริมพัฒนาอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ทั้งด้านวิชาการ การสํารวจ การผลิต และการตลาด อีกทั้งยังก่อให้เกิดความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนด้านแร่ธาตุระหว่างกันต่อไป จัดโดย กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุม Super Board ด้านการศึกษา 2/2559
วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2559 ผลการประชุม Super Board ด้านการศึกษา 2/2559 ที่ประชุม Super Board ด้านการศึกษา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้เห็นชอบร่างแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2574 และรับทราบรายงานความก้าวหน้าการปฏิรูปการศึกษาในภาพรวม เช่นการแก้ไขกฎหมายด้านการศึกษาในรอบปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งเตรียมใช้มาตรา 44 แก้ไขปัญหางานด้านการศึกษา เช่น กําหนดตําแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการเพิ่มให้ครบ18เขตรวมถึงการตั้ง อ.ก.ค.ศ.สพฐ. และการยุบรวม อ.ก.พ. 5 องค์กรหลัก ให้เหลือ อ.ก.พ. ศธ. เพียงคณะเดียว เมื่อวันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2559 ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้าทําเนียบรัฐบาล:พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา (Super Board) ครั้งที่ 2/2559 โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้บริหาร 5 องค์กรหลัก เข้าร่วมประชุม รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยกับสื่อมวลชนภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการร่างแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2574ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยได้มอบกระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตเพื่อไปปรับแก้ในรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ความต้องการกําลังคนในปัจจุบันจนถึง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ําว่าเป็นเรื่องที่มีความสําคัญต่อการวางแผนผลิตคนให้มีความชัดเจน และให้กระทรวงศึกษาธิการเตรียมจัดทําแผนรองรับการผลิตคนตามความต้องการของประเทศให้ชัดเจน ดังนั้น เมื่อร่างแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2574ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ทุกหน่วยงานจะต้องเสนอแผนรองรับภายใน 30 วัน ที่ประชุมยังได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าการปฏิรูปการศึกษาในภาพรวมดังนี้ การแก้ไขกฎหมายด้านการศึกษาตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ได้มีการแก้ไขหลักเกณฑ์และกฎหมายต่าง ๆ ของหน่วยงานในสังกัด เพื่อให้งานของกระทรวงศึกษาธิการขับเคลื่อนต่อไปได้ ได้แก่ หลักเกณฑ์และวิธีการต่าง ๆ เกี่ยวกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ของสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) 21 เรื่อง, สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา 8 เรื่อง, สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)19เรื่อง เป็นต้น การใช้คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ตลอดระยะเวลา 2 ปีกระทรวงศึกษาธิการใช้คําสั่ง คสช.ในงานด้านการศึกษา จํานวน 19 ครั้ง และในอนาคตอาจจะขอใช้คําสั่งนี้เพิ่มอีกซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการ อาทิการกําหนดตําแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการเพิ่มจํานวน 6 ตําแหน่งโดยเกลี่ยอัตรากําลังตําแหน่งที่ปรึกษาระดับผู้ทรงคุณวุฒิ หรือระดับ 10 ของทุกส่วนราชการของกระทรวงศึกษาธิการ มาใช้เป็นฐานเพื่อให้มีผู้ตรวจราชการครบ 18 ตําแหน่งที่จะได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการ ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการภาค (ศธภ.) ได้ ซึ่งเดิมได้หารือกับสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) แล้ว แต่กฎหมายไม่เอื้อให้ทํา จึงจําเป็นต้องใช้มาตรา 44 นอกจากนี้จะใช้สําหรับการตั้งคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(อ.ก.ค.ศ.สพฐ.)และยุบรวมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) จากเดิมที่มี อ.ก.พ.ทั้ง 5 องค์กรหลัก ให้เหลืออ.ก.พ.ศธ.เพียงคณะเดียว นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้รายงานให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับการดําเนินงานบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก ตามโครงการโรงเรียนดีใกล้บ้านซึ่งที่ประชุมมีความพึงพอใจต่อผลการดําเนินงานตามแผนระยะ 5 ปีแรก ที่จะช่วยประหยัดงบประมาณรัฐบาลในการดูแลและบํารุงรักษาโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ํากว่า 120 คนที่ถูกยุบถึง 7,000 แห่ง เป็นจํานวน 5,000-6,000 ล้านบาท โดยขอให้เร่งดําเนินการให้เร็วขึ้น พร้อมจัดทําสรุปผลการดําเนินงานที่เป็นรูปธรรมในแต่ละปีให้เห็นชัดเจน เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดทํางบฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของรัฐบาลนี้ และส่งต่อให้รัฐบาลใหม่สานต่องานได้อย่างชัดเจนในแต่ละเรื่อง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ร่วมกันทํางานตลอดมา พร้อมแสดงความห่วงใยเกี่ยวกับปริมาณงานด้านการศึกษาที่มีมากและเป็นงานที่ต้องใช้เวลา เพราะส่วนหนึ่งต้องแก้ไขปัญหาเพื่อขึ้นจากหล่มเก่า ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมแผนงานเพื่อเดินไปข้างหน้า จึงมอบให้กระทรวงศึกษาธิการหาวิธีสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับสังคมและประชาชนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้มีความเข้าใจและช่วยเป็นแรงเสริมขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุม Super Board ด้านการศึกษา 2/2559 วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน 2559 ผลการประชุม Super Board ด้านการศึกษา 2/2559 ที่ประชุม Super Board ด้านการศึกษา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้เห็นชอบร่างแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2574 และรับทราบรายงานความก้าวหน้าการปฏิรูปการศึกษาในภาพรวม เช่นการแก้ไขกฎหมายด้านการศึกษาในรอบปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งเตรียมใช้มาตรา 44 แก้ไขปัญหางานด้านการศึกษา เช่น กําหนดตําแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการเพิ่มให้ครบ18เขตรวมถึงการตั้ง อ.ก.ค.ศ.สพฐ. และการยุบรวม อ.ก.พ. 5 องค์กรหลัก ให้เหลือ อ.ก.พ. ศธ. เพียงคณะเดียว เมื่อวันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2559 ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้าทําเนียบรัฐบาล:พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา (Super Board) ครั้งที่ 2/2559 โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้บริหาร 5 องค์กรหลัก เข้าร่วมประชุม รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยกับสื่อมวลชนภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการร่างแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2574ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยได้มอบกระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตเพื่อไปปรับแก้ในรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ความต้องการกําลังคนในปัจจุบันจนถึง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ําว่าเป็นเรื่องที่มีความสําคัญต่อการวางแผนผลิตคนให้มีความชัดเจน และให้กระทรวงศึกษาธิการเตรียมจัดทําแผนรองรับการผลิตคนตามความต้องการของประเทศให้ชัดเจน ดังนั้น เมื่อร่างแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2574ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ทุกหน่วยงานจะต้องเสนอแผนรองรับภายใน 30 วัน ที่ประชุมยังได้รับทราบรายงานความก้าวหน้าการปฏิรูปการศึกษาในภาพรวมดังนี้ การแก้ไขกฎหมายด้านการศึกษาตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ได้มีการแก้ไขหลักเกณฑ์และกฎหมายต่าง ๆ ของหน่วยงานในสังกัด เพื่อให้งานของกระทรวงศึกษาธิการขับเคลื่อนต่อไปได้ ได้แก่ หลักเกณฑ์และวิธีการต่าง ๆ เกี่ยวกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ของสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) 21 เรื่อง, สํานักงานเลขาธิการคุรุสภา 8 เรื่อง, สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)19เรื่อง เป็นต้น การใช้คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ตลอดระยะเวลา 2 ปีกระทรวงศึกษาธิการใช้คําสั่ง คสช.ในงานด้านการศึกษา จํานวน 19 ครั้ง และในอนาคตอาจจะขอใช้คําสั่งนี้เพิ่มอีกซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการ อาทิการกําหนดตําแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการเพิ่มจํานวน 6 ตําแหน่งโดยเกลี่ยอัตรากําลังตําแหน่งที่ปรึกษาระดับผู้ทรงคุณวุฒิ หรือระดับ 10 ของทุกส่วนราชการของกระทรวงศึกษาธิการ มาใช้เป็นฐานเพื่อให้มีผู้ตรวจราชการครบ 18 ตําแหน่งที่จะได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการ ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการภาค (ศธภ.) ได้ ซึ่งเดิมได้หารือกับสํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) แล้ว แต่กฎหมายไม่เอื้อให้ทํา จึงจําเป็นต้องใช้มาตรา 44 นอกจากนี้จะใช้สําหรับการตั้งคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(อ.ก.ค.ศ.สพฐ.)และยุบรวมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือน (อ.ก.พ.) จากเดิมที่มี อ.ก.พ.ทั้ง 5 องค์กรหลัก ให้เหลืออ.ก.พ.ศธ.เพียงคณะเดียว นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้รายงานให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับการดําเนินงานบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก ตามโครงการโรงเรียนดีใกล้บ้านซึ่งที่ประชุมมีความพึงพอใจต่อผลการดําเนินงานตามแผนระยะ 5 ปีแรก ที่จะช่วยประหยัดงบประมาณรัฐบาลในการดูแลและบํารุงรักษาโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ํากว่า 120 คนที่ถูกยุบถึง 7,000 แห่ง เป็นจํานวน 5,000-6,000 ล้านบาท โดยขอให้เร่งดําเนินการให้เร็วขึ้น พร้อมจัดทําสรุปผลการดําเนินงานที่เป็นรูปธรรมในแต่ละปีให้เห็นชัดเจน เพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดทํางบฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของรัฐบาลนี้ และส่งต่อให้รัฐบาลใหม่สานต่องานได้อย่างชัดเจนในแต่ละเรื่อง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ร่วมกันทํางานตลอดมา พร้อมแสดงความห่วงใยเกี่ยวกับปริมาณงานด้านการศึกษาที่มีมากและเป็นงานที่ต้องใช้เวลา เพราะส่วนหนึ่งต้องแก้ไขปัญหาเพื่อขึ้นจากหล่มเก่า ในขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมแผนงานเพื่อเดินไปข้างหน้า จึงมอบให้กระทรวงศึกษาธิการหาวิธีสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับสังคมและประชาชนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้มีความเข้าใจและช่วยเป็นแรงเสริมขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/856
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของตุลาการศาลทหาร กรุงเทพ ประจำปี 2563
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2563 พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของตุลาการศาลทหาร กรุงเทพ ประจําปี 2563 ในวันศุกร์ ที่ 31 กรกฎาคม 2563 เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้ที่ได้รับมอบพระราชอํานาจในการแต่งตั้งและถอดถอนตุลาการศาลทหารกรุงเทพ ได้เป็นสักขีพยานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของตุลาการศาลทหาร กรุงเทพ ประจําปี 2563 ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม โดยมี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เข้าร่วมพิธี ในการนี้ พลเอก ประชาพัฒน์ วัจนะรัตน์ เจ้ากรมพระธรรมนูญ เป็นผู้กราบบังคมทูลขอนําตุลาการศาลทหารกรุงเทพเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ โดยมี พลเรือเอก อรัญ นําผล ในฐานะตุลาการศาลทหารอาวุโส เป็นผู้นําตุลาการศาลทหารกล่าวคําถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนเข้ารับหน้าที่ตุลาการศาลทหารกรุงเทพ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของตุลาการศาลทหาร กรุงเทพ ประจำปี 2563 วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2563 พิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของตุลาการศาลทหาร กรุงเทพ ประจําปี 2563 ในวันศุกร์ ที่ 31 กรกฎาคม 2563 เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้ที่ได้รับมอบพระราชอํานาจในการแต่งตั้งและถอดถอนตุลาการศาลทหารกรุงเทพ ได้เป็นสักขีพยานในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณของตุลาการศาลทหาร กรุงเทพ ประจําปี 2563 ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม โดยมี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เข้าร่วมพิธี ในการนี้ พลเอก ประชาพัฒน์ วัจนะรัตน์ เจ้ากรมพระธรรมนูญ เป็นผู้กราบบังคมทูลขอนําตุลาการศาลทหารกรุงเทพเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ โดยมี พลเรือเอก อรัญ นําผล ในฐานะตุลาการศาลทหารอาวุโส เป็นผู้นําตุลาการศาลทหารกล่าวคําถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนเข้ารับหน้าที่ตุลาการศาลทหารกรุงเทพ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33843
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 7/2560
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2560 รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 7/2560 รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 7/2560 วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2560 เวลา 09.30 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 7/2560 ณ อาคารสํานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้ ประชุมมีมติเห็นชอบการจัดทําร่างพ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ(ฉบับที่..)พ.ศ..... ในส่วนของกองทุนส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ และมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมไปจัดทําร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทย เพื่อส่งเสริมการถ่ายทําภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทย ที่ประชุมยืนยันการจัดหน่วยงานรับผิดชอบในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยให้คณะอนุกรรมการบูรณาการแผนงานส่งเสริมและเผยแพร่ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ทั้งใน และต่างประเทศนําผลการศึกษาดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมอุตสาหกรรมและวีดิทัศน์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หารือเกี่ยวกับการดําเนินการตามแผนบูรณาการร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์และวีดิทัศน์ระดับนานาชาติ โดยมีเทศกาลภาพยนตร์ที่มีความสําคัญและมีการบูรณาการร่วมกันรวม 11 งาน อาทิ งานตลาดภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งโตเกียว งาน MIPCOM งานตลาดภาพยนตร์ยุโรป ตลอดจนที่ประชุมได้รับทราบแผนปฏิบัติการส่งเสริมและเผยแพร่ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยในสาธารณรัฐประชาชนจีน 6 โครงการ ในการประชุมครั้งนี้ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าการพิจารณาคัดเลือกสุดยอดภาพยนตร์ไทยในสมัยรัชกาลที่ 9 และการจัดกิจกรรมส่งเสริมและเผยแพร่ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ในต่างประเทศที่ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 7/2560 วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2560 รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 7/2560 รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 7/2560 วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน 2560 เวลา 09.30 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ ครั้งที่ 7/2560 ณ อาคารสํานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้ ประชุมมีมติเห็นชอบการจัดทําร่างพ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ(ฉบับที่..)พ.ศ..... ในส่วนของกองทุนส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ และมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรมไปจัดทําร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทย เพื่อส่งเสริมการถ่ายทําภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทย ที่ประชุมยืนยันการจัดหน่วยงานรับผิดชอบในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ โดยให้คณะอนุกรรมการบูรณาการแผนงานส่งเสริมและเผยแพร่ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ทั้งใน และต่างประเทศนําผลการศึกษาดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมอุตสาหกรรมและวีดิทัศน์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หารือเกี่ยวกับการดําเนินการตามแผนบูรณาการร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์และวีดิทัศน์ระดับนานาชาติ โดยมีเทศกาลภาพยนตร์ที่มีความสําคัญและมีการบูรณาการร่วมกันรวม 11 งาน อาทิ งานตลาดภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งโตเกียว งาน MIPCOM งานตลาดภาพยนตร์ยุโรป ตลอดจนที่ประชุมได้รับทราบแผนปฏิบัติการส่งเสริมและเผยแพร่ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยในสาธารณรัฐประชาชนจีน 6 โครงการ ในการประชุมครั้งนี้ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าการพิจารณาคัดเลือกสุดยอดภาพยนตร์ไทยในสมัยรัชกาลที่ 9 และการจัดกิจกรรมส่งเสริมและเผยแพร่ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ในต่างประเทศที่ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8306
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- คสช. มีมติเห็นชอบในหลักการที่จะให้บริษัทเดิมทำหน้าที่ออกหนังสือเดินทาง e-Passport ไปก่อนจนกว่าจะได้ e-Bidding ให้บริษัทใหม่เข้ามาดำเนินการต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม 2560 คสช. มีมติเห็นชอบในหลักการที่จะให้บริษัทเดิมทําหน้าที่ออกหนังสือเดินทาง e-Passport ไปก่อนจนกว่าจะได้ e-Bidding ให้บริษัทใหม่เข้ามาดําเนินการต่อไป โฆษกรัฐบาลเผย คสช. มีมติเห็นชอบในหลักการที่จะให้บริษัทเดิมทําหน้าที่ออกหนังสือเดินทาง e-Passport ไปก่อนจนกว่าจะได้ e-Bidding ให้บริษัทใหม่เข้ามาดําเนินการต่อไป วันนี้ ( 28 ก.พ. 60) เวลา 15.40 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่ประชุม คสช. มีการหารือเกี่ยวกับการจัดทําหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ต โดยเฉพาะหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Passport ซึ่งเป็นการออกหนังสือเดินทางโดยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ว่า ปัจจุบันมีประชาชนเดินทางไปติดต่อขอทําพาสปอร์ตและต่อพาสปอร์ต วันหนึ่งประมาณ 10,000 เล่ม ซึ่งในการทํา e-Passport นั้น กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ไปตกลงว่าจ้างบริษัทหนึ่งให้ดําเนินการดังกล่าวโดยมีสัญญาว่าจ้างระบุไว้จํานวน 7 ล้านเล่ม หากการดําเนินการ e-Passport ครบ 7 ล้านเล่มถือว่าหมดสัญญา ซึ่งสัญญาดังกล่าวทําเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา และจนถึงขณะนี้เหลือพาสปอร์ตอยู่จํานวนประมาณ 30,000 เล่มก็จะครบ 7 ล้านเล่มตามสัญญาว่าจ้างที่ตกลงไว้ โดยหากนับจากวันนี้จะเหลือเวลา 3 วัน หรือไม่เกินวันที่ 3 มีนาคม 2560 ก็จะครบตามสัญญาดังกล่าวแล้ว ซึ่งถ้าเลยวันที่ 3 มีนาคม 2560 ประชาชนหรือบุคคลใดจะไปขอทําพาสปอร์ตไม่ได้แล้ว ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวว่าได้มีการคิดและจัดเตรียมเพื่อดําเนินการในเรื่องดังกล่าวมานานแล้ว โดยมีการดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Bidding เพื่อหาบริษัทที่จะเข้ามาดําเนินการในเรื่องนี้ต่อ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา 1 ปี ในการดําเนินการ ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้เวลานานถึง 1 ปี เนื่องจากต้องมีลายน้ํา ลายเส้น และต้องมีการประสานงานความร่วมมือกับหน่วยงานที่ดูแลด้านความมั่นคงของทุกประเทศ เพราะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรื่องการดูแลความมั่นคงและความปลอดภัยของทุกประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะเขียนร่างขอบเขตงานจ้างหรือTOR ได้ง่าย ๆ ซึ่งระหว่างที่รอการดําเนินการดังกล่าว 1 ปี นั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศ ได้หาแนวทางออกไว้โดยจะทําสัญญาใหม่กับบริษัทเดิมหรือ Repeat Order กับบริษัทเดิมต่อไปอีก 1 ปี เพื่อให้สอดคล้องและบรรจบกับห้วงเวลาที่ทํา e-Bidding โดยเก็บค่าบริการกับประชาชนสําหรับการทําพาสปอร์ต 1,000 บาท ซึ่งการที่กระทรวงการต่างประเทศจะทํา Repeat Order กับบริษัทเดิม จึงได้นําสัญญาในการที่จะทํา Repeat Order ดังกล่าวให้สํานักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา โดยสํานักงานอัยการสูงสุดแจ้งว่าไม่สามารถดําเนินการได้ เพราะมีข้อตกลงในสัญญาว่าจ้างกับบริษัทเดิมอยู่ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน และหากจะดําเนินการก็จะถูกสํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบและพบเป็นความผิด ดังนั้นสิ่งที่ทําได้คือการออกมาตรา 44 เพื่อให้บริษัทเดิมทํางานไปก่อน 1 ปี ระหว่างที่รอทํา e-Bidding ให้บริษัทใหม่เข้ามาดําเนินการต่อไป อย่างไรก็ตามที่ประชุม คสช. ยังไม่มีมติที่จะให้มีการออกคําสั่งตามมาตรา 44 แต่มีมติเห็นชอบในหลักการที่จะให้บริษัทเดิมทําหน้าที่ไปก่อนจนกว่าจะได้ e-Bidding โดยมอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าทีม ในการที่จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง สตง. สํานักงานอัยการสูงสุด กระทรวงการต่างประเทศ ไปหารือร่วมกันเพื่อทําความเข้าใจกับ สตง. ในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นไปอย่างเหมาะสมโดยไม่ยึดเพียงกฎ กติกา หรือระเบียบอย่างเดียวแต่ให้พิจารณาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันประกอบการดําเนินการ โดยไม่จําเป็นต้องใช้มาตรา 44 ทั้งนี้ หาก สตง. ยังยืนยันว่าไม่สามารถดําเนินการได้ จึงค่อยกลับมาพิจารณาในเรื่องการออกคําสั่งตามมาตรา 44 อีกครั้ง ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- คสช. มีมติเห็นชอบในหลักการที่จะให้บริษัทเดิมทำหน้าที่ออกหนังสือเดินทาง e-Passport ไปก่อนจนกว่าจะได้ e-Bidding ให้บริษัทใหม่เข้ามาดำเนินการต่อไป วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม 2560 คสช. มีมติเห็นชอบในหลักการที่จะให้บริษัทเดิมทําหน้าที่ออกหนังสือเดินทาง e-Passport ไปก่อนจนกว่าจะได้ e-Bidding ให้บริษัทใหม่เข้ามาดําเนินการต่อไป โฆษกรัฐบาลเผย คสช. มีมติเห็นชอบในหลักการที่จะให้บริษัทเดิมทําหน้าที่ออกหนังสือเดินทาง e-Passport ไปก่อนจนกว่าจะได้ e-Bidding ให้บริษัทใหม่เข้ามาดําเนินการต่อไป วันนี้ ( 28 ก.พ. 60) เวลา 15.40 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่ประชุม คสช. มีการหารือเกี่ยวกับการจัดทําหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ต โดยเฉพาะหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Passport ซึ่งเป็นการออกหนังสือเดินทางโดยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ว่า ปัจจุบันมีประชาชนเดินทางไปติดต่อขอทําพาสปอร์ตและต่อพาสปอร์ต วันหนึ่งประมาณ 10,000 เล่ม ซึ่งในการทํา e-Passport นั้น กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ไปตกลงว่าจ้างบริษัทหนึ่งให้ดําเนินการดังกล่าวโดยมีสัญญาว่าจ้างระบุไว้จํานวน 7 ล้านเล่ม หากการดําเนินการ e-Passport ครบ 7 ล้านเล่มถือว่าหมดสัญญา ซึ่งสัญญาดังกล่าวทําเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา และจนถึงขณะนี้เหลือพาสปอร์ตอยู่จํานวนประมาณ 30,000 เล่มก็จะครบ 7 ล้านเล่มตามสัญญาว่าจ้างที่ตกลงไว้ โดยหากนับจากวันนี้จะเหลือเวลา 3 วัน หรือไม่เกินวันที่ 3 มีนาคม 2560 ก็จะครบตามสัญญาดังกล่าวแล้ว ซึ่งถ้าเลยวันที่ 3 มีนาคม 2560 ประชาชนหรือบุคคลใดจะไปขอทําพาสปอร์ตไม่ได้แล้ว ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงต่อกรณีดังกล่าวว่าได้มีการคิดและจัดเตรียมเพื่อดําเนินการในเรื่องดังกล่าวมานานแล้ว โดยมีการดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Bidding เพื่อหาบริษัทที่จะเข้ามาดําเนินการในเรื่องนี้ต่อ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา 1 ปี ในการดําเนินการ ส่วนสาเหตุที่ต้องใช้เวลานานถึง 1 ปี เนื่องจากต้องมีลายน้ํา ลายเส้น และต้องมีการประสานงานความร่วมมือกับหน่วยงานที่ดูแลด้านความมั่นคงของทุกประเทศ เพราะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรื่องการดูแลความมั่นคงและความปลอดภัยของทุกประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะเขียนร่างขอบเขตงานจ้างหรือTOR ได้ง่าย ๆ ซึ่งระหว่างที่รอการดําเนินการดังกล่าว 1 ปี นั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศ ได้หาแนวทางออกไว้โดยจะทําสัญญาใหม่กับบริษัทเดิมหรือ Repeat Order กับบริษัทเดิมต่อไปอีก 1 ปี เพื่อให้สอดคล้องและบรรจบกับห้วงเวลาที่ทํา e-Bidding โดยเก็บค่าบริการกับประชาชนสําหรับการทําพาสปอร์ต 1,000 บาท ซึ่งการที่กระทรวงการต่างประเทศจะทํา Repeat Order กับบริษัทเดิม จึงได้นําสัญญาในการที่จะทํา Repeat Order ดังกล่าวให้สํานักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา โดยสํานักงานอัยการสูงสุดแจ้งว่าไม่สามารถดําเนินการได้ เพราะมีข้อตกลงในสัญญาว่าจ้างกับบริษัทเดิมอยู่ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน และหากจะดําเนินการก็จะถูกสํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบและพบเป็นความผิด ดังนั้นสิ่งที่ทําได้คือการออกมาตรา 44 เพื่อให้บริษัทเดิมทํางานไปก่อน 1 ปี ระหว่างที่รอทํา e-Bidding ให้บริษัทใหม่เข้ามาดําเนินการต่อไป อย่างไรก็ตามที่ประชุม คสช. ยังไม่มีมติที่จะให้มีการออกคําสั่งตามมาตรา 44 แต่มีมติเห็นชอบในหลักการที่จะให้บริษัทเดิมทําหน้าที่ไปก่อนจนกว่าจะได้ e-Bidding โดยมอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าทีม ในการที่จะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง สตง. สํานักงานอัยการสูงสุด กระทรวงการต่างประเทศ ไปหารือร่วมกันเพื่อทําความเข้าใจกับ สตง. ในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นไปอย่างเหมาะสมโดยไม่ยึดเพียงกฎ กติกา หรือระเบียบอย่างเดียวแต่ให้พิจารณาตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันประกอบการดําเนินการ โดยไม่จําเป็นต้องใช้มาตรา 44 ทั้งนี้ หาก สตง. ยังยืนยันว่าไม่สามารถดําเนินการได้ จึงค่อยกลับมาพิจารณาในเรื่องการออกคําสั่งตามมาตรา 44 อีกครั้ง ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2133
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ขอเชิญร่วมทำบุญพระกฐินพระราชทาน ณ วัดมะนาวหวาน จ.นครศรีธรรมราช
วันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560 ก.แรงงาน ขอเชิญร่วมทําบุญพระกฐินพระราชทาน ณ วัดมะนาวหวาน จ.นครศรีธรรมราช กระทรวงแรงงาน ขอเชิญร่วมทําบุญ เนื่องในโอกาสถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงาน ประจําปี 2560 วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 ณ วัดมะนาวหวาน (พระอารามหลวง) ตําบลช้างกลาง อําเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาและพระอารามหลวง กระทรวงแรงงาน ขอเชิญร่วมทําบุญ เนื่องในโอกาสถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงาน ประจําปี 2560 วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 ณ วัดมะนาวหวาน (พระอารามหลวง) ตําบลช้างกลาง อําเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาและพระอารามหลวง พร้อมสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทยให้อยู่สืบต่อไป นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีกําหนดเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงาน ประจําปี 2560 ในวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 เวลา 14.00 น. ณ วัดมะนาวหวาน(พระอารามหลวง) ตําบลช้างกลาง อําเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาและพระอารามหลวง ตลอดจนเป็นการสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทย “ขอเชิญชวนผู้ประกอบการ ลูกจ้าง อาสาสมัครแรงงาน ประชาชนทั่วไป และผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบปัจจัยทําบุญถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน และร่วมงานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงาน ณ วัดมะนาวหวาน (พระอารามหลวง) ในวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 โดยตั้งองค์พระกฐินตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป” สําหรับวัดมะนาวหวาน เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งอยู่เลขที่ 126 ถนนนครศรีธรรมราช – จันดี หมู่ที่ 4 ตําบลช้างกลาง อําเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เป็นวัดที่สร้างขึ้นในช่วงสมัยอยุธยาตอนกลาง ใน พ.ศ.2225 ปัจจุบันมีอายุ 335 ปี ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมาทรงยกช่อฟ้าพระอุโบสถ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2519 และได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์โดยเสด็จพระราชกุศลเป็นทุนมูลนิธิวัดมะนาวหวานอีกด้วย ------------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ 18 ตุลาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ขอเชิญร่วมทำบุญพระกฐินพระราชทาน ณ วัดมะนาวหวาน จ.นครศรีธรรมราช วันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560 ก.แรงงาน ขอเชิญร่วมทําบุญพระกฐินพระราชทาน ณ วัดมะนาวหวาน จ.นครศรีธรรมราช กระทรวงแรงงาน ขอเชิญร่วมทําบุญ เนื่องในโอกาสถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงาน ประจําปี 2560 วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 ณ วัดมะนาวหวาน (พระอารามหลวง) ตําบลช้างกลาง อําเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาและพระอารามหลวง กระทรวงแรงงาน ขอเชิญร่วมทําบุญ เนื่องในโอกาสถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงาน ประจําปี 2560 วันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 ณ วัดมะนาวหวาน (พระอารามหลวง) ตําบลช้างกลาง อําเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาและพระอารามหลวง พร้อมสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทยให้อยู่สืบต่อไป นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีกําหนดเป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงาน ประจําปี 2560 ในวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 เวลา 14.00 น. ณ วัดมะนาวหวาน(พระอารามหลวง) ตําบลช้างกลาง อําเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาและพระอารามหลวง ตลอดจนเป็นการสืบทอดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไทย “ขอเชิญชวนผู้ประกอบการ ลูกจ้าง อาสาสมัครแรงงาน ประชาชนทั่วไป และผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบปัจจัยทําบุญถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน และร่วมงานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงาน ณ วัดมะนาวหวาน (พระอารามหลวง) ในวันศุกร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2560 โดยตั้งองค์พระกฐินตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป” สําหรับวัดมะนาวหวาน เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ตั้งอยู่เลขที่ 126 ถนนนครศรีธรรมราช – จันดี หมู่ที่ 4 ตําบลช้างกลาง อําเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เป็นวัดที่สร้างขึ้นในช่วงสมัยอยุธยาตอนกลาง ใน พ.ศ.2225 ปัจจุบันมีอายุ 335 ปี ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินมาทรงยกช่อฟ้าพระอุโบสถ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2519 และได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์โดยเสด็จพระราชกุศลเป็นทุนมูลนิธิวัดมะนาวหวานอีกด้วย ------------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ 18 ตุลาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7479
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ร่วมกับ กต. จัดนิทรรศการ “ภาพถ่ายฟิล์มกระจกวิถีไทย” นำภาพถ่ายพระมหากษัตริย์-การแสดงวัฒนธรรม-วิถีชีวิตคนไทยในอดีต ทรงคุณค่า-หาชมยาก ไปจัดแสดงฉลองความสัมพันธ์ 24 ปี ไทย-เช็ก
วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560 วธ. ร่วมกับ กต. จัดนิทรรศการ “ภาพถ่ายฟิล์มกระจกวิถีไทย” นําภาพถ่ายพระมหากษัตริย์-การแสดงวัฒนธรรม-วิถีชีวิตคนไทยในอดีต ทรงคุณค่า-หาชมยาก ไปจัดแสดงฉลองความสัมพันธ์ 24 ปี ไทย-เช็ก วธ. ร่วมกับ กต. จัดนิทรรศการ “ภาพถ่ายฟิล์มกระจกวิถีไทย”นําภาพถ่ายพระมหากษัตริย์-การแสดงวัฒนธรรม-วิถีชีวิตคนไทยในอดีต ทรงคุณค่า-หาชมยาก ไปจัดแสดงฉลองความสัมพันธ์ 24 ปี ไทย-เช็ก นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายเสริมสร้างความสัมพันธ์ เกียรติภูมิและภาพลักษณ์ที่ดี เพื่อความเป็นไทย สู่สากล โดยพัฒนาความร่วมมือทางวัฒนธรรมกับนานาชาติ ในส่วนสาธารณรัฐเช็กกับประเทศไทย มีความร่วมมือ เผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ระหว่างกันตลอดมา โดยปีนี้ วธ.ได้ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเช็กจัด“นิทรรศการภาพถ่ายฟิล์มกระจกวิถีไทย”ระหว่างมิ.ย.-ก.ย. 2560 ณ ลานด้านหน้าพิพิธภัณฑ์Náprstek Museum of Asian, African and American Culturesกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก เพื่อให้คนไทยและชาวสาธารณรัฐเช็ก ศึกษาเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต วัฒนธรรมและประเพณีของคนไทยในอดีต อีกทั้งเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เช็ก ครบรอบ 24 ปี และกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้น รวมทั้งเป็นการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยให้แพร่หลายระดับนานาชาติมากขึ้นอีกด้วย นายวีระ กล่าวอีกว่า นิทรรศการครั้งนี้นําภาพถ่ายฟิล์มกระจกไปจัดแสดงทั้งหมด 27 ภาพ เป็นภาพจากสมัยรัชกาลที่ 4-7 แห่งราชวงศ์จักรี ที่สํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร คัดเลือก แต่ละภาพแสดงถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของไทยในอดีต ในส่วนพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตของคนไทยในยุคเก่า ล้วนแต่เป็นภาพถ่ายที่มีความงดงาม ทรงคุณค่าและหาชมได้ยากยิ่ง สําหรับภาพถ่ายฟิล์มกระจก ที่จัดแสดงในนิทรรศการฯ ทั้งหมด 27 ภาพ แบ่งเป็น 7 หมวด ได้แก่ 1.พระบรมฉายาลักษณ์พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 4–7 อาทิ รัชกาลที่ 4 ฉลองพระองค์ชุดขาวทรงธรรม รัชกาลที่ 4 ทรงเสลี่ยงสถลมารคเสด็จถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) รัชกาลที่ 5 ขณะพระชนมายุ 9 ชันษา รัชกาลที่ 6 ฉลองพระองค์ชุดนายร้อยแซนเฮิสต์ เป็นต้น รัชกาลที่ 6 เสด็จชลมารคเรือสุพรรณหงส์ เมื่อปี 2469 2. เจ้านายฝ่ายใน อาทิ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เจ้าจอมมารดาเปี่ยม สมเด็จเจ้าฟ้านิภานภดลและสมเด็จเจ้าฟ้ามาลินีนภดารา เป็นต้น 3. วิถีชีวิตริมน้ํา เช่น ตลาดน้ําหัวรอหน้าพระราชวังจันทร์เกษม วิถีชีวิตริมน้ําคลองมหานาก 4. พระราชพิธี อาทิพระราชพิธีโสกันต์รัชกาลที่ 7 พระราชพิธีโสกันต์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร เป็นต้น 5.ประชาชนชาวสยาม เช่น ขุนนางผู้ชาย คนไทยริมน้ําในจังหวัดนนทบุรี 6. ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ อาทิ รัชกาลที่ 5 รับเสด็จพระเจ้าซาเรวิกแห่งจักรวรรดิรัสเซียและเจ้าชายGeorg Valdemarแห่งเดนมาร์ก ณ พระราชวังบางปะอิน เมื่อปี 2433 และ 7. การแสดงนาฏศิลป์และดนตรี เช่น การแสดงโขนกลางแปลง ละครรําพอกหน้าขาว เมื่อปี 2409 วงดนตรีไทย เมื่อปี 2472 สมโภชพระตําหนักเปี่ยมสุข เป็นต้น ทั้งนี้นอกจากนิทรรศการดังกล่าวยังมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิชาการระหว่างทั้งสองประเทศ โดย รมว.วธ.ไทย บรรยายพิเศษเรื่อง“Culture Heritage of Mankind: Protection and Promotion Policies in Thailand”และนางสาวิตรี สุวรรณสถิต ที่ปรึกษาวธ. บรรยายหัวข้อ“Perspective of Thai Art and Culture through Glass Plate Negative Photographsในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ที่พิพิธภัณฑ์Náprstek Museum of Asianณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็กด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ร่วมกับ กต. จัดนิทรรศการ “ภาพถ่ายฟิล์มกระจกวิถีไทย” นำภาพถ่ายพระมหากษัตริย์-การแสดงวัฒนธรรม-วิถีชีวิตคนไทยในอดีต ทรงคุณค่า-หาชมยาก ไปจัดแสดงฉลองความสัมพันธ์ 24 ปี ไทย-เช็ก วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560 วธ. ร่วมกับ กต. จัดนิทรรศการ “ภาพถ่ายฟิล์มกระจกวิถีไทย” นําภาพถ่ายพระมหากษัตริย์-การแสดงวัฒนธรรม-วิถีชีวิตคนไทยในอดีต ทรงคุณค่า-หาชมยาก ไปจัดแสดงฉลองความสัมพันธ์ 24 ปี ไทย-เช็ก วธ. ร่วมกับ กต. จัดนิทรรศการ “ภาพถ่ายฟิล์มกระจกวิถีไทย”นําภาพถ่ายพระมหากษัตริย์-การแสดงวัฒนธรรม-วิถีชีวิตคนไทยในอดีต ทรงคุณค่า-หาชมยาก ไปจัดแสดงฉลองความสัมพันธ์ 24 ปี ไทย-เช็ก นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มีนโยบายเสริมสร้างความสัมพันธ์ เกียรติภูมิและภาพลักษณ์ที่ดี เพื่อความเป็นไทย สู่สากล โดยพัฒนาความร่วมมือทางวัฒนธรรมกับนานาชาติ ในส่วนสาธารณรัฐเช็กกับประเทศไทย มีความร่วมมือ เผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ระหว่างกันตลอดมา โดยปีนี้ วธ.ได้ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเช็กจัด“นิทรรศการภาพถ่ายฟิล์มกระจกวิถีไทย”ระหว่างมิ.ย.-ก.ย. 2560 ณ ลานด้านหน้าพิพิธภัณฑ์Náprstek Museum of Asian, African and American Culturesกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก เพื่อให้คนไทยและชาวสาธารณรัฐเช็ก ศึกษาเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต วัฒนธรรมและประเพณีของคนไทยในอดีต อีกทั้งเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เช็ก ครบรอบ 24 ปี และกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้น รวมทั้งเป็นการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยให้แพร่หลายระดับนานาชาติมากขึ้นอีกด้วย นายวีระ กล่าวอีกว่า นิทรรศการครั้งนี้นําภาพถ่ายฟิล์มกระจกไปจัดแสดงทั้งหมด 27 ภาพ เป็นภาพจากสมัยรัชกาลที่ 4-7 แห่งราชวงศ์จักรี ที่สํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร คัดเลือก แต่ละภาพแสดงถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของไทยในอดีต ในส่วนพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตของคนไทยในยุคเก่า ล้วนแต่เป็นภาพถ่ายที่มีความงดงาม ทรงคุณค่าและหาชมได้ยากยิ่ง สําหรับภาพถ่ายฟิล์มกระจก ที่จัดแสดงในนิทรรศการฯ ทั้งหมด 27 ภาพ แบ่งเป็น 7 หมวด ได้แก่ 1.พระบรมฉายาลักษณ์พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 4–7 อาทิ รัชกาลที่ 4 ฉลองพระองค์ชุดขาวทรงธรรม รัชกาลที่ 4 ทรงเสลี่ยงสถลมารคเสด็จถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์) รัชกาลที่ 5 ขณะพระชนมายุ 9 ชันษา รัชกาลที่ 6 ฉลองพระองค์ชุดนายร้อยแซนเฮิสต์ เป็นต้น รัชกาลที่ 6 เสด็จชลมารคเรือสุพรรณหงส์ เมื่อปี 2469 2. เจ้านายฝ่ายใน อาทิ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เจ้าจอมมารดาเปี่ยม สมเด็จเจ้าฟ้านิภานภดลและสมเด็จเจ้าฟ้ามาลินีนภดารา เป็นต้น 3. วิถีชีวิตริมน้ํา เช่น ตลาดน้ําหัวรอหน้าพระราชวังจันทร์เกษม วิถีชีวิตริมน้ําคลองมหานาก 4. พระราชพิธี อาทิพระราชพิธีโสกันต์รัชกาลที่ 7 พระราชพิธีโสกันต์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร เป็นต้น 5.ประชาชนชาวสยาม เช่น ขุนนางผู้ชาย คนไทยริมน้ําในจังหวัดนนทบุรี 6. ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ อาทิ รัชกาลที่ 5 รับเสด็จพระเจ้าซาเรวิกแห่งจักรวรรดิรัสเซียและเจ้าชายGeorg Valdemarแห่งเดนมาร์ก ณ พระราชวังบางปะอิน เมื่อปี 2433 และ 7. การแสดงนาฏศิลป์และดนตรี เช่น การแสดงโขนกลางแปลง ละครรําพอกหน้าขาว เมื่อปี 2409 วงดนตรีไทย เมื่อปี 2472 สมโภชพระตําหนักเปี่ยมสุข เป็นต้น ทั้งนี้นอกจากนิทรรศการดังกล่าวยังมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิชาการระหว่างทั้งสองประเทศ โดย รมว.วธ.ไทย บรรยายพิเศษเรื่อง“Culture Heritage of Mankind: Protection and Promotion Policies in Thailand”และนางสาวิตรี สุวรรณสถิต ที่ปรึกษาวธ. บรรยายหัวข้อ“Perspective of Thai Art and Culture through Glass Plate Negative Photographsในวันที่ 9 มิถุนายนนี้ ที่พิพิธภัณฑ์Náprstek Museum of Asianณ กรุงปราก สาธารณรัฐเช็กด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4487
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand E-Visa On Arrival เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 Thailand E-Visa On Arrival เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง จับมือร่วมกับท่าอากาศยานไทย การบินไทย ไทยสมายล์ และ VFS Global ให้บริการ Thailand E-Visa On Arrival เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง จับมือร่วมกับท่าอากาศยานไทย การบินไทย ไทยสมายล์ และ VFS Global ให้บริการ Thailand E-Visa On Arrival เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว วันที่ 29 มกราคม 2562พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการแถลงข่าวบริการThailand E-Visa On Arrivalเพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว พร้อมด้วยนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายสันติ ป่าหวาย โฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, พลตํารวจโท สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง, นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน), นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานกรรมการ​ บริษัท​ การ​บิน​ไทย ​จํากัด (มหาชน), นายสุเมธ​ ดํารงชัยธรรม กรรมการ​ผู้อํานวยการ​ใหญ่ บริษัท​ การบิน​ไทย และนายจิเตน วียาส ประธานฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท ​VFS Global Group จํากัด ร่วมแถลงข่าว ณ บริเวณพื้นที่พรีเมี่ยม (Premium Area) อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยาน​สุวรรณภูมิ​ ชั้น 4 พลตํารวจโท สุรเชษฐ์หักพาล ผู้บัญชาการสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า เนื่องจากปัจจุบันมีจํานวนผู้เดินทางข้ามเขตแดนประเทศไทย โดยผ่านท่าอากาศยานทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประมาณ 7 ล้านคน ที่สามารถยื่นเรื่องการตรวจลงตรา Visa On Arrival ในการเข้าประเทศ ซึ่งทําให้เกิดความแออัดของนักท่องเที่ยวในการเข้าคิวรอตรวจเอกสาร ประกอบกับข้อจํากัดของพื้นที่ในการให้บริการที่ไม่เพียงพอ ทําให้ไม่เอื้ออํานวยต่อความสะดวก รวดเร็ว และความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน VFS Global ที่เข้ามาช่วยในการออกแบบและพัฒนากระบวนการทํางานของ "ระบบทําการแทนเพื่อการให้บริการของภาครัฐ" ในการรับและส่งผ่านข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์โดยการสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบขอรับการตรวจลงตรา Electronic Visa On Arrival (E-VOA)​ ชําระค่าธรรมเนียม ออนไลน์ ทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูล พร้อมทั้งมาตรการในการดูแลความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ ข้อมูลส่วนบุคคลที่สอดคล้องตามกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องโดย VFS Global เป็นผู้ออกแบบและพัฒนาระบบดังกล่าว ทั้งนี้ การดําเนินโครงการดังกล่าวมีระบบที่มีมาตรฐาน และบรรลุเป้าหมาย สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลไปสู่ระบบราชการ 4.0 ตลอดจนสามารถเข้ามาติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติงานได้ โดยคํานึงถึงความเหมาะสมในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานรวมทั้งความมั่นคง ปลอดภัยของไซเบอร์ โดยเริ่มโครงการจาก 20 ประเทศได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐอินเดีย ราชรัฐอันดอร์รา สาธารณรัฐบังกาเรีย ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐไซปรัส สหพันธ์สาธารณรัฐเอธิโอเปีย สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐลัตเวีย สาธารณรัฐลิทัวเนีย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐมอลตา สาธารณรัฐมอริเชียส ปาปัวนิวกินี โรมาเนีย สาธารณรัฐมารีโน ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ยูเครน อุซเบกิสถาน รวมทั้ง 1 เขตเศรษฐกิจไต้หวัน โดยไม่ต้องกรอกเอกสารใดๆ ใช้พาสปอร์ตยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ที่สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อเข้ารับการตรวจลงตราได้ทุกช่องบริการ พร้อมกันนี้ ทางบริษัท vfs Global ได้ดําเนินการพัฒนาโครงการ Fast Track เพื่อเป็นการยกระดับการให้บริการแก่ผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว เป็นการสร้างภาพลักษณ์ ความประทับใจให้กับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางผ่านเข้าออกประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่ว่าจะเดินทางมาเพื่อพักผ่อนท่องเที่ยวลงทุนหรือประกอบธุรกิจทั้งนี้ เป็นการอํานวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารชั้น 1 และชั้นธุรกิจอย่างเป็นระเบียบ กองบังคับการตํารวจตรวจคนเข้าเมือง 2 สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง จะได้นําระบบสิทธิพิเศษในการผ่านเข้าเมือง Fast Track มาช่วยเสริมในขั้นตอนการผ่านพิธีการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนในการนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการอํานวยความสะดวกในโครงการนี้ นายสุเมธ ดํารงชัยธรรม กรรมการผู้อํานวยการใหญ่บริษัท การบินไทย จํากัด มหาชน เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบริษัท การบินไทย มีนโยบายให้ความสําคัญในเรื่อง ความสะดวกสบายในการเดินทางของผู้โดยสารมาตลอด ได้เปิดตัว mobile Application ใหม่ Thai Airways เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเดินทาง เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน Application ให้กับลูกค้าของการบินไทย อีกทั้งเพิ่มช่องทางในการให้บริการลูกค้าและเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น และในวันนี้ Thailand E Visa On Arrival ก็จะเป็นอีกหนึ่งบริการที่บริษัท เลือกสรรมาเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้โดยสารของการบินไทยและไทยสไมล์ ในการประหยัดเวลา และลดขั้นตอนการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องเข้าคิวทําวีซ่าเพื่อขอเข้าประเทศไทยอีกต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand E-Visa On Arrival เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 Thailand E-Visa On Arrival เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง จับมือร่วมกับท่าอากาศยานไทย การบินไทย ไทยสมายล์ และ VFS Global ให้บริการ Thailand E-Visa On Arrival เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง จับมือร่วมกับท่าอากาศยานไทย การบินไทย ไทยสมายล์ และ VFS Global ให้บริการ Thailand E-Visa On Arrival เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว วันที่ 29 มกราคม 2562พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการแถลงข่าวบริการThailand E-Visa On Arrivalเพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว พร้อมด้วยนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายสันติ ป่าหวาย โฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, พลตํารวจโท สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง, นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน), นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานกรรมการ​ บริษัท​ การ​บิน​ไทย ​จํากัด (มหาชน), นายสุเมธ​ ดํารงชัยธรรม กรรมการ​ผู้อํานวยการ​ใหญ่ บริษัท​ การบิน​ไทย และนายจิเตน วียาส ประธานฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท ​VFS Global Group จํากัด ร่วมแถลงข่าว ณ บริเวณพื้นที่พรีเมี่ยม (Premium Area) อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยาน​สุวรรณภูมิ​ ชั้น 4 พลตํารวจโท สุรเชษฐ์หักพาล ผู้บัญชาการสํานักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า เนื่องจากปัจจุบันมีจํานวนผู้เดินทางข้ามเขตแดนประเทศไทย โดยผ่านท่าอากาศยานทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทยเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประมาณ 7 ล้านคน ที่สามารถยื่นเรื่องการตรวจลงตรา Visa On Arrival ในการเข้าประเทศ ซึ่งทําให้เกิดความแออัดของนักท่องเที่ยวในการเข้าคิวรอตรวจเอกสาร ประกอบกับข้อจํากัดของพื้นที่ในการให้บริการที่ไม่เพียงพอ ทําให้ไม่เอื้ออํานวยต่อความสะดวก รวดเร็ว และความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน VFS Global ที่เข้ามาช่วยในการออกแบบและพัฒนากระบวนการทํางานของ "ระบบทําการแทนเพื่อการให้บริการของภาครัฐ" ในการรับและส่งผ่านข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์โดยการสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบขอรับการตรวจลงตรา Electronic Visa On Arrival (E-VOA)​ ชําระค่าธรรมเนียม ออนไลน์ ทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงข้อมูล พร้อมทั้งมาตรการในการดูแลความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ ข้อมูลส่วนบุคคลที่สอดคล้องตามกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องโดย VFS Global เป็นผู้ออกแบบและพัฒนาระบบดังกล่าว ทั้งนี้ การดําเนินโครงการดังกล่าวมีระบบที่มีมาตรฐาน และบรรลุเป้าหมาย สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลไปสู่ระบบราชการ 4.0 ตลอดจนสามารถเข้ามาติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติงานได้ โดยคํานึงถึงความเหมาะสมในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานรวมทั้งความมั่นคง ปลอดภัยของไซเบอร์ โดยเริ่มโครงการจาก 20 ประเทศได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐอินเดีย ราชรัฐอันดอร์รา สาธารณรัฐบังกาเรีย ราชอาณาจักรภูฏาน สาธารณรัฐไซปรัส สหพันธ์สาธารณรัฐเอธิโอเปีย สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐคาซัคสถาน สาธารณรัฐลัตเวีย สาธารณรัฐลิทัวเนีย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐมอลตา สาธารณรัฐมอริเชียส ปาปัวนิวกินี โรมาเนีย สาธารณรัฐมารีโน ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย ยูเครน อุซเบกิสถาน รวมทั้ง 1 เขตเศรษฐกิจไต้หวัน โดยไม่ต้องกรอกเอกสารใดๆ ใช้พาสปอร์ตยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ที่สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อเข้ารับการตรวจลงตราได้ทุกช่องบริการ พร้อมกันนี้ ทางบริษัท vfs Global ได้ดําเนินการพัฒนาโครงการ Fast Track เพื่อเป็นการยกระดับการให้บริการแก่ผู้โดยสารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว เป็นการสร้างภาพลักษณ์ ความประทับใจให้กับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางผ่านเข้าออกประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่ว่าจะเดินทางมาเพื่อพักผ่อนท่องเที่ยวลงทุนหรือประกอบธุรกิจทั้งนี้ เป็นการอํานวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารชั้น 1 และชั้นธุรกิจอย่างเป็นระเบียบ กองบังคับการตํารวจตรวจคนเข้าเมือง 2 สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง จะได้นําระบบสิทธิพิเศษในการผ่านเข้าเมือง Fast Track มาช่วยเสริมในขั้นตอนการผ่านพิธีการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนในการนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการอํานวยความสะดวกในโครงการนี้ นายสุเมธ ดํารงชัยธรรม กรรมการผู้อํานวยการใหญ่บริษัท การบินไทย จํากัด มหาชน เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบริษัท การบินไทย มีนโยบายให้ความสําคัญในเรื่อง ความสะดวกสบายในการเดินทางของผู้โดยสารมาตลอด ได้เปิดตัว mobile Application ใหม่ Thai Airways เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเดินทาง เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน Application ให้กับลูกค้าของการบินไทย อีกทั้งเพิ่มช่องทางในการให้บริการลูกค้าและเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น และในวันนี้ Thailand E Visa On Arrival ก็จะเป็นอีกหนึ่งบริการที่บริษัท เลือกสรรมาเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้โดยสารของการบินไทยและไทยสไมล์ ในการประหยัดเวลา และลดขั้นตอนการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องเข้าคิวทําวีซ่าเพื่อขอเข้าประเทศไทยอีกต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18815
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ยืนยันไลน์ “ไทยชนะ” เป็นของจริงพร้อมแนะวิธีสังเกต [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม]
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563 ศบค. ยืนยันไลน์ “ไทยชนะ” เป็นของจริงพร้อมแนะวิธีสังเกต [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม] ศบค. ยืนยันไลน์ “ไทยชนะ” เป็นของจริงพร้อมแนะวิธีสังเกต ศบค. วอนหยุดปล่อยข่าวลือต้านไลน์ “ไทยชนะ” ยืนยันเป็นไลน์ทางการ “ของจริง” เชิญชวนประชาชนเพิ่มเป็นเพื่อน ใช้เป็นช่องทางติดต่อ แจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉิน ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 และติดตามข่าวสารจากรัฐ แนะข้อสังเกต 2 จุดว่าได้รับการตรวจสอบยืนยันจากบริษัทไลน์แล้ว ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า ที่ผ่าน ศคบ. ได้เปิดตัวไลน์ “ไทยชนะ” ไลน์เป็นทางการของเว็บไซต์ไทยชนะ www.ไทยชนะ .com และเชิญชวนประชาชนเพิ่มเป็นเพื่อน เพื่อเป็นช่องทางการติดต่อแจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉิน ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมทั้งไว้ติดตามข่าวสารที่มาจากทางของรัฐอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีกระแสข่าวลือบนโลกออนไลน์/โซเชียล ว่าเป็นไลน์ปลอม ทําให้ประชาชนบางส่วนที่ได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน เข้าใจผิด และไม่กล้าเพิ่มไลน์ “ไทยชนะ” เป็นเพื่อน จึงอยากขอร้องให้มีการหยุดเผยแพร่ข่าวลือดังกล่าว เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อีกทั้งยังทําให้ประชาชนขาดอีกหนึ่งช่องทางสําคัญในการเข้าถึงข่าวสารที่ถูกต้องจากรัฐ เพื่อช่วยกันป้องกัน ควบคุมไม่ให้โควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดได้อีกหลังมาตรการผ่อนปรน ทั้งนี้ ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” มีกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ยื่นจดชื่อ และได้รับการยืนยันจากบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มไลน์เรียบร้อยแล้ว โดยผู้ใช้งานสามารถสังเกตได้ว่าเป็นไลน์ทางการของจริงจาก ไอคอนรูป “โล่” สีน้ําเงินด้านบนติดกับชื่อ “ไทยชนะ” และด้านล่างสุดของหน้าบัญชีรายชื่อ ระบุชื่อผู้จดทะเบียน “Ministry of Public Health (กระทรวงสาธารณสุข)” โดยร้านค้า-ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าไปกดติดตาม ไลน์ "ไทยชนะ" โดยเข้าไปที่แอปพลิเคชันไลน์ของตัวเอง จากนั้น พิมพ์ในช่องค้นหาว่า "ไทยชนะ" ระบบจะเข้าสู่หน้าไลน์ทางการของไทยชนะทันที พร้อมมีข้อความแรกระบุว่า "ขอต้อนรับเข้าสู่ "ไทยชนะ" Official Account เพื่อใช้ติดต่อ แจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉิน ของการแพร่ระบาดของโควิด-19" โดยสามารถเพิ่มเพื่อนได้เลย ปัจจุบัน ช่องทางการสื่อสารของไทยชนะ ประกอบด้วย เว็บไซต์ www.ไทยชนะ .com ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” และโทรสายด่วน 1119 ซึ่งมีไว้สําหรับการติดตามข่าวสารที่ถูกต้อง เที่ยงตรงเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 จากรัฐบาล -------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ยืนยันไลน์ “ไทยชนะ” เป็นของจริงพร้อมแนะวิธีสังเกต [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม] วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563 ศบค. ยืนยันไลน์ “ไทยชนะ” เป็นของจริงพร้อมแนะวิธีสังเกต [กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม] ศบค. ยืนยันไลน์ “ไทยชนะ” เป็นของจริงพร้อมแนะวิธีสังเกต ศบค. วอนหยุดปล่อยข่าวลือต้านไลน์ “ไทยชนะ” ยืนยันเป็นไลน์ทางการ “ของจริง” เชิญชวนประชาชนเพิ่มเป็นเพื่อน ใช้เป็นช่องทางติดต่อ แจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉิน ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 และติดตามข่าวสารจากรัฐ แนะข้อสังเกต 2 จุดว่าได้รับการตรวจสอบยืนยันจากบริษัทไลน์แล้ว ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า ที่ผ่าน ศคบ. ได้เปิดตัวไลน์ “ไทยชนะ” ไลน์เป็นทางการของเว็บไซต์ไทยชนะ www.ไทยชนะ .com และเชิญชวนประชาชนเพิ่มเป็นเพื่อน เพื่อเป็นช่องทางการติดต่อแจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉิน ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมทั้งไว้ติดตามข่าวสารที่มาจากทางของรัฐอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีกระแสข่าวลือบนโลกออนไลน์/โซเชียล ว่าเป็นไลน์ปลอม ทําให้ประชาชนบางส่วนที่ได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน เข้าใจผิด และไม่กล้าเพิ่มไลน์ “ไทยชนะ” เป็นเพื่อน จึงอยากขอร้องให้มีการหยุดเผยแพร่ข่าวลือดังกล่าว เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อีกทั้งยังทําให้ประชาชนขาดอีกหนึ่งช่องทางสําคัญในการเข้าถึงข่าวสารที่ถูกต้องจากรัฐ เพื่อช่วยกันป้องกัน ควบคุมไม่ให้โควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดได้อีกหลังมาตรการผ่อนปรน ทั้งนี้ ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” มีกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ยื่นจดชื่อ และได้รับการยืนยันจากบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มไลน์เรียบร้อยแล้ว โดยผู้ใช้งานสามารถสังเกตได้ว่าเป็นไลน์ทางการของจริงจาก ไอคอนรูป “โล่” สีน้ําเงินด้านบนติดกับชื่อ “ไทยชนะ” และด้านล่างสุดของหน้าบัญชีรายชื่อ ระบุชื่อผู้จดทะเบียน “Ministry of Public Health (กระทรวงสาธารณสุข)” โดยร้านค้า-ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าไปกดติดตาม ไลน์ "ไทยชนะ" โดยเข้าไปที่แอปพลิเคชันไลน์ของตัวเอง จากนั้น พิมพ์ในช่องค้นหาว่า "ไทยชนะ" ระบบจะเข้าสู่หน้าไลน์ทางการของไทยชนะทันที พร้อมมีข้อความแรกระบุว่า "ขอต้อนรับเข้าสู่ "ไทยชนะ" Official Account เพื่อใช้ติดต่อ แจ้งข่าวสารกรณีฉุกเฉิน ของการแพร่ระบาดของโควิด-19" โดยสามารถเพิ่มเพื่อนได้เลย ปัจจุบัน ช่องทางการสื่อสารของไทยชนะ ประกอบด้วย เว็บไซต์ www.ไทยชนะ .com ไลน์ทางการ “ไทยชนะ” และโทรสายด่วน 1119 ซึ่งมีไว้สําหรับการติดตามข่าวสารที่ถูกต้อง เที่ยงตรงเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 จากรัฐบาล -------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31117
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-เกาหลีใต้ร่วมเดินหน้าความสัมพันธ์สู่มิติใหม่ ๆ พร้อมช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือ นวัตกรรมและดิจิทัล
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ไทย-เกาหลีใต้ร่วมเดินหน้าความสัมพันธ์สู่มิติใหม่ ๆ พร้อมช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือ นวัตกรรมและดิจิทัล ไทย-เกาหลีใต้ร่วมเดินหน้าความสัมพันธ์สู่มิติใหม่ ๆ พร้อมช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือ นวัตกรรมและดิจิทัล วันนี้ (25 พฤศจิกายน 2562) เวลา 09.40 น. (ตามเวลาท้องถิ่นนครปูซาน) ณ โรงแรมเดอะ เวสติน โชซอนปูซาน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทวิภาคีกับนายมุน แช-อิน (Mr. Moon Jae-in) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 24 - 27 พฤศจิกายน 2562 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปดังนี้ การพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ครั้งนี้มีความใกล้ชิดและอบอุ่น ซึ่งผู้นําทั้งสองได้มีโอกาสพบปะกันหลายครั้งในช่วงเวลาที่ผ่านมา และประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้แสดงความเป็นมิตรที่แนบแน่นและจริงใจต่อนายกรัฐมนตรีตลอดเวลาที่พบกัน โดยในการพบกันครั้งนี้ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้กล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรี พร้อมแสดงความขอบคุณสําหรับการต้อนรับในโอกาสเยือนไทย 2 ครั้งที่อบอุ่นและประทับใจอย่างยิ่ง สะท้อนถึงมิตรภาพที่ถาวรระหว่างสองประเทศ ที่ผูกพันธ์ด้วยเลือดเนื้อที่ไม่มีวันเจือจาง และจะเดินหน้าสู่มิติใหม่ๆต่อไป ทั้งนี้ ผู้นําเกาหลีใต้ยังได้กล่าวชื่นชมบทบาทนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ จนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีพลวัต นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเกาหลีใต้ที่ได้สนับสนุนการเป็นประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ ซึ่งเกาหลีใต้มีบทบาทที่สําคัญในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน รวมไปถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ทั้งในกรอบอาเซียน และกรอบอนุภูมิภาค ไทยสนับสนุนบทบาทที่สร้างสรรค์ของเกาหลีใต้ในภูมิภาค และชื่นชมการขับเคลื่อนนโยบาย New Southern Policy (NSP) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 สะท้อนความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงของเกาหลีใต้ในการที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์กับอาเซียนในรอบด้านให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมบทบาทของเกาหลีใต้ในการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง พร้อมและยินดีที่มีการยกระดับการประชุมเป็นระดับผู้นําเป็นครั้งแรกในปีนี้ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้สนับสนุนนโยบายและพร้อมขยายความร่วมมือกับไทย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทุนมนุษย์ และพัฒนาเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย NSP ของเกาหลีใต้ ถือว่าเป็นนโยบายที่สําคัญต่อเศรษฐกิจของอาเซียน และไทย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกระชับความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคี พหุภาคีอย่างรอบด้าน อาทิ ความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ํา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) การพัฒนาการศึกษา และการพัฒนาความเชื่อมโยงภาคประชาชน โดยเกาหลีใต้ยินดีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และนวัตกรรมในด้านที่มีความเชี่ยวชาญกับไทย โดยการนําเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาและต่อยอดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนนักลงทุนจากเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในกลุ่มอุตสาหกรรม 4.0 และ 4IR ซึ่งเกาหลีใต้มีศักยภาพและมีความสนใจ อาทิ ยานยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล และหุ่นยนต์ รวมทั้ง ความร่วมมือด้านการเกษตร BCG ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตร ให้นํามาเกิดประโยชน์ใหม่ ประธานาธิบดีฯ ได้แสดงความสนใจที่จะเพิ่มพูนขับเคลื่อนความร่วมมือต่าง ๆ ทั้งที่มีการลงนาม MOU กันไปแล้ว และกําลังที่จะมีการลงนาม ให้เกิดผลรูปธรรม รวมทั้ง ยังแสดงความสนใจสนับสนุนภาคเอกชนเกาหลีเพื่อการลงทุนในประเทศไทย เข่น ด้าน การเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคม การลงทุนใน EEC การบริหารจัดการน้ํา และด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยขอให้รัฐบาลไทยได้ส่งเสริมและสนับสนุนด้วย ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ นายมุน แช-อิน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ จํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1. บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือสาขาวิทยาศาสตร์ฯ ผ่านการวิจัยและพัฒนาการดําเนินโครงการร่วมกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ไทยในการได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ของเกาหลีใต้ 2. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสํานักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีกับสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อเป็นโอกาสในการสนับสนุนการพัฒนาภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ ส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจพื้นที่ EEC และส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 3. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานไทยผิดกฎหมายในเกาหลีใต้ กําหนดให้มีการประชุมระหว่างผู้ปฏิบัติของทั้งสองหน่วยงานอย่างสม่ําเสมอ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้แรงงานไทยเดินทางไปทํางานในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย *************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-เกาหลีใต้ร่วมเดินหน้าความสัมพันธ์สู่มิติใหม่ ๆ พร้อมช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือ นวัตกรรมและดิจิทัล วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ไทย-เกาหลีใต้ร่วมเดินหน้าความสัมพันธ์สู่มิติใหม่ ๆ พร้อมช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือ นวัตกรรมและดิจิทัล ไทย-เกาหลีใต้ร่วมเดินหน้าความสัมพันธ์สู่มิติใหม่ ๆ พร้อมช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือ นวัตกรรมและดิจิทัล วันนี้ (25 พฤศจิกายน 2562) เวลา 09.40 น. (ตามเวลาท้องถิ่นนครปูซาน) ณ โรงแรมเดอะ เวสติน โชซอนปูซาน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทวิภาคีกับนายมุน แช-อิน (Mr. Moon Jae-in) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 24 - 27 พฤศจิกายน 2562 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปดังนี้ การพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ครั้งนี้มีความใกล้ชิดและอบอุ่น ซึ่งผู้นําทั้งสองได้มีโอกาสพบปะกันหลายครั้งในช่วงเวลาที่ผ่านมา และประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้แสดงความเป็นมิตรที่แนบแน่นและจริงใจต่อนายกรัฐมนตรีตลอดเวลาที่พบกัน โดยในการพบกันครั้งนี้ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้กล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรี พร้อมแสดงความขอบคุณสําหรับการต้อนรับในโอกาสเยือนไทย 2 ครั้งที่อบอุ่นและประทับใจอย่างยิ่ง สะท้อนถึงมิตรภาพที่ถาวรระหว่างสองประเทศ ที่ผูกพันธ์ด้วยเลือดเนื้อที่ไม่มีวันเจือจาง และจะเดินหน้าสู่มิติใหม่ๆต่อไป ทั้งนี้ ผู้นําเกาหลีใต้ยังได้กล่าวชื่นชมบทบาทนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ จนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีพลวัต นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเกาหลีใต้ที่ได้สนับสนุนการเป็นประธานอาเซียนของไทยในปีนี้ ซึ่งเกาหลีใต้มีบทบาทที่สําคัญในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน รวมไปถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ทั้งในกรอบอาเซียน และกรอบอนุภูมิภาค ไทยสนับสนุนบทบาทที่สร้างสรรค์ของเกาหลีใต้ในภูมิภาค และชื่นชมการขับเคลื่อนนโยบาย New Southern Policy (NSP) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 สะท้อนความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงของเกาหลีใต้ในการที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์กับอาเซียนในรอบด้านให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมบทบาทของเกาหลีใต้ในการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง พร้อมและยินดีที่มีการยกระดับการประชุมเป็นระดับผู้นําเป็นครั้งแรกในปีนี้ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้สนับสนุนนโยบายและพร้อมขยายความร่วมมือกับไทย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทุนมนุษย์ และพัฒนาเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย NSP ของเกาหลีใต้ ถือว่าเป็นนโยบายที่สําคัญต่อเศรษฐกิจของอาเซียน และไทย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกระชับความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคี พหุภาคีอย่างรอบด้าน อาทิ ความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ํา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) การพัฒนาการศึกษา และการพัฒนาความเชื่อมโยงภาคประชาชน โดยเกาหลีใต้ยินดีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และนวัตกรรมในด้านที่มีความเชี่ยวชาญกับไทย โดยการนําเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาและต่อยอดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนนักลงทุนจากเกาหลีใต้เข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในกลุ่มอุตสาหกรรม 4.0 และ 4IR ซึ่งเกาหลีใต้มีศักยภาพและมีความสนใจ อาทิ ยานยนต์ รถยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล และหุ่นยนต์ รวมทั้ง ความร่วมมือด้านการเกษตร BCG ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้จากภาคการเกษตร ให้นํามาเกิดประโยชน์ใหม่ ประธานาธิบดีฯ ได้แสดงความสนใจที่จะเพิ่มพูนขับเคลื่อนความร่วมมือต่าง ๆ ทั้งที่มีการลงนาม MOU กันไปแล้ว และกําลังที่จะมีการลงนาม ให้เกิดผลรูปธรรม รวมทั้ง ยังแสดงความสนใจสนับสนุนภาคเอกชนเกาหลีเพื่อการลงทุนในประเทศไทย เข่น ด้าน การเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคม การลงทุนใน EEC การบริหารจัดการน้ํา และด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยขอให้รัฐบาลไทยได้ส่งเสริมและสนับสนุนด้วย ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ นายมุน แช-อิน ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ จํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ 1. บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย กับกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือสาขาวิทยาศาสตร์ฯ ผ่านการวิจัยและพัฒนาการดําเนินโครงการร่วมกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ไทยในการได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ของเกาหลีใต้ 2. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสํานักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีกับสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อเป็นโอกาสในการสนับสนุนการพัฒนาภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ ส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจพื้นที่ EEC และส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 3. บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานไทยผิดกฎหมายในเกาหลีใต้ กําหนดให้มีการประชุมระหว่างผู้ปฏิบัติของทั้งสองหน่วยงานอย่างสม่ําเสมอ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้แรงงานไทยเดินทางไปทํางานในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24787
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจัดจุดบริการประชาชน บริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนใต้
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2560 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจัดจุดบริการประชาชน บริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนใต้ 19 มค 60 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจัดจุดบริการประชาชน บริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนใต้ วันที่ 19 ม.ค.2560 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจัดจุดให้บริการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนบริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนใต้ นําทีมโดย นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นางสาวช่อทิพย์ วิเศษพงษ์พันธุ์ ผู้อํานวยการฝ่ายพัฒนาสมรรถนะธุรกิจ และนางสาวทัศนียา ลัธธนันท์ ผู้อํานวยการสํานักบริหารกลาง กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ บริการอาหารและเครื่องดื่ม ช่วงเช้า-เย็นดังนี้ - เค้กบัตเตอร์กล้วยหอม 250 ชุด - เค้กมะตูม 100 ชุด - เค้กกล้วยหอม 150 ชุด - ผัดไทย 250 ชุด - ข้าวมันไก่ 250 ชุด - บะหมี่แห้งหมูแดง 250 ชุด - ข้าวไก่ทอด 250 ชุด - น้ําดื่มแบบขวด 240 ขวด - ส้ม 10 ลัง - ยาดม 600 หลอด - กะหรี่ปั๊บ 1500 ตัว - ลูกอม 7. แพคใหญ่ - น้ําดื่ม 1500 แก้ว แจกจ่ายแก่ทหาร ตํารวจ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพและถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจัดจุดบริการประชาชน บริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนใต้ วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2560 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจัดจุดบริการประชาชน บริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนใต้ 19 มค 60 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมจัดจุดบริการประชาชน บริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนใต้ วันที่ 19 ม.ค.2560 รัฐบาลโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจัดจุดให้บริการอํานวยความสะดวกแก่ประชาชนบริเวณท้องสนามหลวง จุดบริการที่ 6 หน้าโรงละครแห่งชาติ และโซนใต้ นําทีมโดย นายสุวรรณชัย โลหะวัฒนกุล ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นางสาวช่อทิพย์ วิเศษพงษ์พันธุ์ ผู้อํานวยการฝ่ายพัฒนาสมรรถนะธุรกิจ และนางสาวทัศนียา ลัธธนันท์ ผู้อํานวยการสํานักบริหารกลาง กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ บริการอาหารและเครื่องดื่ม ช่วงเช้า-เย็นดังนี้ - เค้กบัตเตอร์กล้วยหอม 250 ชุด - เค้กมะตูม 100 ชุด - เค้กกล้วยหอม 150 ชุด - ผัดไทย 250 ชุด - ข้าวมันไก่ 250 ชุด - บะหมี่แห้งหมูแดง 250 ชุด - ข้าวไก่ทอด 250 ชุด - น้ําดื่มแบบขวด 240 ขวด - ส้ม 10 ลัง - ยาดม 600 หลอด - กะหรี่ปั๊บ 1500 ตัว - ลูกอม 7. แพคใหญ่ - น้ําดื่ม 1500 แก้ว แจกจ่ายแก่ทหาร ตํารวจ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพและถวายอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1423
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.มอบองค์กรหลักเร่งฟื้นฟูสถานศึกษาหลังน้ำลด
วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2562 รมว.ศธ.มอบองค์กรหลักเร่งฟื้นฟูสถานศึกษาหลังน้ําลด นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการหารือการฟื้นฟูสถานศึกษาในพื้นที่ประสบอุทกภัย เมื่อวันพุธที่ 18 กันยายน 2562 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการหารือการฟื้นฟูสถานศึกษาในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยมีผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วม ณ ห้องธีรราช อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้มีการรวบรวมและติดตามข้อมูลสถานการณ์ ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย โดยมีจํานวนสถานศึกษาที่ได้รับความเสียหายทั้งหมดกว่า 400 แห่ง ในจํานวนนี้เป็นสถานศึกษาที่ประสบอุทกภัยร้ายแรงกว่า 150 แห่ง ซึ่งจากข้อมูลเหล่านี้จะนํามาพิจารณาเพื่อวางแผนการดําเนินงานตามระยะเวลาที่กําหนดการ พร้อมมอบแนวทางให้มีการจัดลําดับการให้ความช่วยเหลือตามระดับความเสียหายอย่างรวดเร็วและถูกต้องต่อไป สําหรับการฟื้นฟูหลังเหตุการณ์อุทกภัยน้ําท่วมถือเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุด ทั้งในส่วนของสถานศึกษาและหน่วยงานในพื้นที่ โดยเฉพาะสถานศึกษาที่ต้องปิดเรียน จะมีแผนการจัดการเรียนการสอนเพิ่มเติมอย่างไรไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็นการสอนเสริมนอกเวลา หรือในช่วงวันหยุด เป็นต้น นอกจากนี้ ได้ขอให้โรงเรียนและสถาบันอาชีวศึกษาในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ประสบอุทกภัย ให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู ปรับปรุง และซ่อมแซม ตามศักยภาพและกําลังความสามารถ อาทิ การทําความสะอาด การซ่อมระบบน้ํา ระบบไฟฟ้า หรือซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งนักเรียนนักศึกษาอาชีวะมีความถนัดในเรื่องนี้อยู่แล้ว หรืออาจร่วมมือกับภาคเอกชนและหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อให้การสนับสนุนในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งการช่วยผ่อนคลายความเครียด และสภาพจิตใจของผู้ประสบอุทกภัยในศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอีกด้วย ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: สรุป นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.มอบองค์กรหลักเร่งฟื้นฟูสถานศึกษาหลังน้ำลด วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2562 รมว.ศธ.มอบองค์กรหลักเร่งฟื้นฟูสถานศึกษาหลังน้ําลด นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการหารือการฟื้นฟูสถานศึกษาในพื้นที่ประสบอุทกภัย เมื่อวันพุธที่ 18 กันยายน 2562 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการหารือการฟื้นฟูสถานศึกษาในพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยมีผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วม ณ ห้องธีรราช อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้มีการรวบรวมและติดตามข้อมูลสถานการณ์ ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย โดยมีจํานวนสถานศึกษาที่ได้รับความเสียหายทั้งหมดกว่า 400 แห่ง ในจํานวนนี้เป็นสถานศึกษาที่ประสบอุทกภัยร้ายแรงกว่า 150 แห่ง ซึ่งจากข้อมูลเหล่านี้จะนํามาพิจารณาเพื่อวางแผนการดําเนินงานตามระยะเวลาที่กําหนดการ พร้อมมอบแนวทางให้มีการจัดลําดับการให้ความช่วยเหลือตามระดับความเสียหายอย่างรวดเร็วและถูกต้องต่อไป สําหรับการฟื้นฟูหลังเหตุการณ์อุทกภัยน้ําท่วมถือเป็นเรื่องที่สําคัญที่สุด ทั้งในส่วนของสถานศึกษาและหน่วยงานในพื้นที่ โดยเฉพาะสถานศึกษาที่ต้องปิดเรียน จะมีแผนการจัดการเรียนการสอนเพิ่มเติมอย่างไรไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็นการสอนเสริมนอกเวลา หรือในช่วงวันหยุด เป็นต้น นอกจากนี้ ได้ขอให้โรงเรียนและสถาบันอาชีวศึกษาในบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ประสบอุทกภัย ให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู ปรับปรุง และซ่อมแซม ตามศักยภาพและกําลังความสามารถ อาทิ การทําความสะอาด การซ่อมระบบน้ํา ระบบไฟฟ้า หรือซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งนักเรียนนักศึกษาอาชีวะมีความถนัดในเรื่องนี้อยู่แล้ว หรืออาจร่วมมือกับภาคเอกชนและหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อให้การสนับสนุนในเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งการช่วยผ่อนคลายความเครียด และสภาพจิตใจของผู้ประสบอุทกภัยในศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอีกด้วย ทิพย์สุดา ศรีษะแก้ว: สรุป นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23262
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ลุยแก้หนี้นอกระบบเกษตรกร
วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560 ธ.ก.ส. ลุยแก้หนี้นอกระบบเกษตรกร ธ.ก.ส.เดินหน้าขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ตามนโยบายกระทรวงการคลัง มุ่งเน้นปรับวิธีคิด สร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ พร้อมปล่อยสินเชื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินป้องกันการก่อหนี้รอบใหม่ (18 กันยายน 2560) ณ ห้องประชุมเลิศธานีคอนเวนชั่น ฮอลล์ โรงแรมเลิศธานี อําเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากการลงทะเบียนโครงการสวัสดิการรัฐ ปี 2560 ทั้งหมด 14.1 ล้านราย ลงทะเบียนผ่าน ธ.ก.ส. 7.7 ล้านราย เป็นหนี้นอกระบบจํานวนประมาณ 620,000 ราย คิดเป็นมูลหนี้จํานวน 30,000 ล้านบาท เฉลี่ยหนี้ต่อรายประมาณ 50,000 บาท ซึ่งที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ดําเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบสําหรับเกษตรกร และ ครอบครัว โดยให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อนําไปชําระหนี้สินนอกระบบ เป็นการลดภาระทางการเงินให้กับเกษตรกร โดย ธ.ก.ส. เตรียมวงเงินกู้ไว้รวม10,000 ล้านบาท ให้กู้สูงสุดได้รายละไม่เกิน 100,000 บาท กรณีใช้บุคคลค้ําประกัน และสูงสุดไม่เกิน 150,000 บาท กรณีใช้ที่ดินจํานองค้ําประกัน คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาทต่อเดือน หรือ ร้อยละ 12 บาทต่อปี ผลดําเนินงาน ปัจจุบัน จ่ายสินเชื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้แล้ว 41,545 ราย เป็นเงินสินเชื่อ 4,219.53 ล้านบาท ซึ่งนอกจากการนําหนี้นอกระบบ ให้เข้ามาอยู่ในระบบแล้ว ธ.ก.ส.ยังมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนวิธีคิด ในการดําเนินชีวิต ของเกษตรกรด้วย การให้ความรู้ การทําบัญชีครัวเรือน การประหยัดอดออม การสร้างรายได้จากอาชีพเสริม เช่น การปลูกเมล่อน การทําปลาส้ม และการทําผ้าด้นมือ เป็นต้น ซึ่งจะทําให้การแก้ปัญหามีความยั่งยืน มากขึ้น และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกษตรกร กลับไปก่อหนี้นอกระบบขึ้นอีก ธ.ก.ส. ได้เตรียมวงเงินสินเชื่ออีกจํานวน 5,000 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรดังกล่าว สามารถกู้เงินกรณีมีความจําเป็น เช่น ค่าใช้จ่ายฉุกเฉินในครัวเรือน ต่างๆ ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นต้น โดยมีการผ่อนคลาย หลักประกัน เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันจ่ายสินเชื่อนี้แล้วจํานวน 3,691.55 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรได้จํานวน 77,723 ราย "สําหรับในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ธ.ก.ส. จะดําเนินการแก้ไขหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ ตามนโยบายของ กระทรวงการคลังด้วยการ เปิดจุดบริการ ให้คําปรึกษาแนะนํา โดยมุ่งเน้นเกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย ที่ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย และ แจ้งว่ามีหนี้นอกระบบ สําหรับการดําเนินการ จะมีการให้สินเชื่อเพื่อนําหนี้นอกระบบ ให้เข้ามาอยู่ในระบบมีการอบรมให้ความรู้ เกษตรกรเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการดําเนินชีวิตโดยน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวปฏิบัติ รวมทั้ง การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน กรณีจําเป็นเพื่อป้องกัน มิให้เกษตรกรหวนกลับไปเป็นหนี้นอกระบบอีก ทั้งนี้จะทํางานร่วมกับส่วนงานต่างๆ อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สํานักงานกองทุนหมู่บ้าน ฯ โดยใกล้ชิดเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ นายอภิรมย์ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ลุยแก้หนี้นอกระบบเกษตรกร วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560 ธ.ก.ส. ลุยแก้หนี้นอกระบบเกษตรกร ธ.ก.ส.เดินหน้าขจัดหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ตามนโยบายกระทรวงการคลัง มุ่งเน้นปรับวิธีคิด สร้างอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ พร้อมปล่อยสินเชื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินป้องกันการก่อหนี้รอบใหม่ (18 กันยายน 2560) ณ ห้องประชุมเลิศธานีคอนเวนชั่น ฮอลล์ โรงแรมเลิศธานี อําเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากการลงทะเบียนโครงการสวัสดิการรัฐ ปี 2560 ทั้งหมด 14.1 ล้านราย ลงทะเบียนผ่าน ธ.ก.ส. 7.7 ล้านราย เป็นหนี้นอกระบบจํานวนประมาณ 620,000 ราย คิดเป็นมูลหนี้จํานวน 30,000 ล้านบาท เฉลี่ยหนี้ต่อรายประมาณ 50,000 บาท ซึ่งที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ดําเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินนอกระบบสําหรับเกษตรกร และ ครอบครัว โดยให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน เพื่อนําไปชําระหนี้สินนอกระบบ เป็นการลดภาระทางการเงินให้กับเกษตรกร โดย ธ.ก.ส. เตรียมวงเงินกู้ไว้รวม10,000 ล้านบาท ให้กู้สูงสุดได้รายละไม่เกิน 100,000 บาท กรณีใช้บุคคลค้ําประกัน และสูงสุดไม่เกิน 150,000 บาท กรณีใช้ที่ดินจํานองค้ําประกัน คิดดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาทต่อเดือน หรือ ร้อยละ 12 บาทต่อปี ผลดําเนินงาน ปัจจุบัน จ่ายสินเชื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้แล้ว 41,545 ราย เป็นเงินสินเชื่อ 4,219.53 ล้านบาท ซึ่งนอกจากการนําหนี้นอกระบบ ให้เข้ามาอยู่ในระบบแล้ว ธ.ก.ส.ยังมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนวิธีคิด ในการดําเนินชีวิต ของเกษตรกรด้วย การให้ความรู้ การทําบัญชีครัวเรือน การประหยัดอดออม การสร้างรายได้จากอาชีพเสริม เช่น การปลูกเมล่อน การทําปลาส้ม และการทําผ้าด้นมือ เป็นต้น ซึ่งจะทําให้การแก้ปัญหามีความยั่งยืน มากขึ้น และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกษตรกร กลับไปก่อหนี้นอกระบบขึ้นอีก ธ.ก.ส. ได้เตรียมวงเงินสินเชื่ออีกจํานวน 5,000 ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรดังกล่าว สามารถกู้เงินกรณีมีความจําเป็น เช่น ค่าใช้จ่ายฉุกเฉินในครัวเรือน ต่างๆ ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียนบุตร เป็นต้น โดยมีการผ่อนคลาย หลักประกัน เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันจ่ายสินเชื่อนี้แล้วจํานวน 3,691.55 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรได้จํานวน 77,723 ราย "สําหรับในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี ธ.ก.ส. จะดําเนินการแก้ไขหนี้นอกระบบให้เป็นศูนย์ ตามนโยบายของ กระทรวงการคลังด้วยการ เปิดจุดบริการ ให้คําปรึกษาแนะนํา โดยมุ่งเน้นเกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย ที่ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย และ แจ้งว่ามีหนี้นอกระบบ สําหรับการดําเนินการ จะมีการให้สินเชื่อเพื่อนําหนี้นอกระบบ ให้เข้ามาอยู่ในระบบมีการอบรมให้ความรู้ เกษตรกรเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการดําเนินชีวิตโดยน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวปฏิบัติ รวมทั้ง การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน กรณีจําเป็นเพื่อป้องกัน มิให้เกษตรกรหวนกลับไปเป็นหนี้นอกระบบอีก ทั้งนี้จะทํางานร่วมกับส่วนงานต่างๆ อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สํานักงานกองทุนหมู่บ้าน ฯ โดยใกล้ชิดเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ นายอภิรมย์ กล่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6761
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลพร้อมดูแลแก้ไขปัญหาอัตราบรรจุข้าราชการพยาบาลวิชาชีพอย่างเต็มที่
วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2560 นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลพร้อมดูแลแก้ไขปัญหาอัตราบรรจุข้าราชการพยาบาลวิชาชีพอย่างเต็มที่ นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลพร้อมดูแลแก้ไขปัญหาอัตราบรรจุข้าราชการพยาบาลวิชาชีพอย่างเต็มที่ วันนี้ (16 พฤษภาคม 2560) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงแนวทางแก้ไขปัญหาการบรรจุข้าราชการพยาบาลวิชาชีพว่า ได้รับฟังข้อเสนอแนะจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว และได้มีการประชุมโดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหาวิธีการแก้ไขปัญหา ซึ่งมีแนวโน้มการแก้ไขปัญหาในทางที่ดีขึ้น โดยจะทยอยบรรจุข้าราชการพยาบาลวิชาชีพให้ตามอัตราว่างภายในส่วนราชการที่สามารถบรรจุได้ไปก่อน และจะทยอยเพิ่มอัตราข้าราชการให้ภายในระยะเวลา 3 ปี นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า สิ่งสําคัญต้องดูแลภาพรวมบุคลากรในระบบราชการทั้งหมด ทั้งข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจํา และลูกจ้างชั่วคราวว่าจะทําอย่างไรในอนาคตเพื่อไม่ให้มีปัญหาตามมา ในส่วนของพยาบาลวิชาชีพมีการผลิตบุคลากรทุกปี ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถบรรจุให้เข้ารับราชการได้ทุกคน แต่อาจจะแก้ไขปัญหาโดยภาคเอกชนให้ทุนเรียนพยาบาล พอจบมาแล้วก็กลับไปทํางานในสถานพยาบาลของเอกชนที่ให้ทุนเรียน พร้อมกล่าวยืนยันรัฐบาลจะดูแลเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่ พร้อมมอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการปรับโครงสร้างภายในทุกส่วนราชการให้มีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกันกับภารกิจหน้าที่และงบประมาณที่มีอยู่อย่างเหมาะสมต่อไป -----------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลพร้อมดูแลแก้ไขปัญหาอัตราบรรจุข้าราชการพยาบาลวิชาชีพอย่างเต็มที่ วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2560 นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลพร้อมดูแลแก้ไขปัญหาอัตราบรรจุข้าราชการพยาบาลวิชาชีพอย่างเต็มที่ นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลพร้อมดูแลแก้ไขปัญหาอัตราบรรจุข้าราชการพยาบาลวิชาชีพอย่างเต็มที่ วันนี้ (16 พฤษภาคม 2560) เวลา 13.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงแนวทางแก้ไขปัญหาการบรรจุข้าราชการพยาบาลวิชาชีพว่า ได้รับฟังข้อเสนอแนะจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว และได้มีการประชุมโดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหาวิธีการแก้ไขปัญหา ซึ่งมีแนวโน้มการแก้ไขปัญหาในทางที่ดีขึ้น โดยจะทยอยบรรจุข้าราชการพยาบาลวิชาชีพให้ตามอัตราว่างภายในส่วนราชการที่สามารถบรรจุได้ไปก่อน และจะทยอยเพิ่มอัตราข้าราชการให้ภายในระยะเวลา 3 ปี นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า สิ่งสําคัญต้องดูแลภาพรวมบุคลากรในระบบราชการทั้งหมด ทั้งข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจํา และลูกจ้างชั่วคราวว่าจะทําอย่างไรในอนาคตเพื่อไม่ให้มีปัญหาตามมา ในส่วนของพยาบาลวิชาชีพมีการผลิตบุคลากรทุกปี ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถบรรจุให้เข้ารับราชการได้ทุกคน แต่อาจจะแก้ไขปัญหาโดยภาคเอกชนให้ทุนเรียนพยาบาล พอจบมาแล้วก็กลับไปทํางานในสถานพยาบาลของเอกชนที่ให้ทุนเรียน พร้อมกล่าวยืนยันรัฐบาลจะดูแลเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่ พร้อมมอบหมายให้สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการปรับโครงสร้างภายในทุกส่วนราชการให้มีความเชื่อมโยงและสอดคล้องกันกับภารกิจหน้าที่และงบประมาณที่มีอยู่อย่างเหมาะสมต่อไป -----------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3765
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( Novel Coronavirus;2019-nCoV)
วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563 รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( Novel Coronavirus;2019-nCoV) ประจําวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ​1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. รายงานผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อขณะนี้นอนในโรงพยาบาล 12 ราย กลับบ้านแล้ว 7 ราย รวมสะสม 19 ราย 2. มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ถึง 31 มกราคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 344 ราย คัดกรองจากสนามบิน 39 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 305 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 70 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 274 ราย โดยในวันที่ 31 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรครายใหม่จํานวน 64 ราย 3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 22 ประเทศ ข้อมูล ตั้งแต่ 5 - 30 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 9,819 ราย ส่วนประเทศจีน ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 9,692 ราย เสียชีวิต 213 ราย 4. ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” งดแชร์ข้อมูลผู้ป่วยทางสื่อออนไลน์ และมาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โปรดติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ และ Line@/เฟสบุ๊ค: รู้กันทันโรค,Coronavirus2019, กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประชาชนสามารถตรวจสอบข่าวลวงได้ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม www.antifakenewscenter.com 2. สธ. ร่วมภารกิจนําคนไทยจากอู่ฮั่นกลับประเทศ เน้นย้ําเฝ้าระวังต่อเนื่อง 14 วัน กระทรวงสาธารณสุข หารือ กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมรับคนไทยที่เดินทางกลับจาก เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ตามมาตรฐานการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค หากพบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ต้องเฝ้าระวังจะแยกเข้ารับรักษาที่โรงพยาบาล ส่วนกลุ่มที่ไม่มีอาการป่วยจะติดตามอาการต่อเนื่องจนครบกําหนด 14 วัน นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับคนไทยกลับจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมหารือกับกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการนําคนไทยกลับประเทศ ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการเตรียมการตั้งแต่ก่อนเดินทาง ระหว่างเดินทาง และเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย ครอบคลุมทั้งเรื่องอุปกรณ์ที่จําเป็นในการปฏิบัติภารกิจ การประสานงานระหว่างทีมแพทย์ไทยและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การเตรียมการจุดคัดกรองเมื่อมาถึงสนามบินในประเทศไทย มีการตรวจคัดกรองผู้โดยสารทุกคนก่อนขึ้นเครื่อง และเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย ในกรณีที่ตรวจพบผู้โดยสารมีอาการป่วยเข้าเกณฑ์ต้องเฝ้าระวังจะมีการลําเลียงไปยังโรงพยาบาลที่กําหนดด้วยมาตรฐานการควบคุมโรคสูงสุด ส่วนผู้ที่ไม่มีอาการจะมีการตรวจคัดกรอง เฝ้าระวังโรคอย่างเข้มข้นโดยทีมแพทย์ ติดตามต่อเนื่องไปจนครบกําหนด 14 วัน ทั้งนี้ ประเทศไทยยังเข้มระบบคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางมาจากประเทศจีนใน 6 สนามบินนานาชาติ ได้แก่ ท่าอากาศยานเชียงราย ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานกระบี่ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หากพบผู้เดินทางเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค จะนําเข้าสู่ระบบเฝ้าระวัง ติดตาม โดยวันที่ 31 มกราคม 2563 พบผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังเพิ่มขึ้น 64 ราย รวมผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังสะสม 344 ราย ขณะนี้ไทยพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 12 ราย กลับบ้านแล้ว 7 ราย สะสม 19 ราย ขอแนะนําคนไทยปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันตัวเองและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม ขอเชิญชวนประชาชนพกหน้ากากอนามัยจากผ้าไว้ติดตัวเพื่อป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเดินหายใจ หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ํา และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ หากมีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์ทันที สําหรับการทิ้งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ใช้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งเชื้อโรค ให้พับหน้ากากอนามัยแล้วม้วนใส่ถุงที่ปิดสนิทแล้วทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิด ล้างมือทุกครั้งหลังทิ้งหน้ากากอนามัย หากเป็นหน้ากากผ้าควรมีสํารองอย่างน้อย 2 ผืน เมื่อใช้แล้วต้องซักทําความสะอาด ตากแดดให้แห้งเพื่อฆ่าเชื้อทุกครั้ง หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือเว็บไซต์กรมควบคุมโรค 3. ผลการดําเนินงานที่ด่านควบคุมโรค - จากการตรวจคัดกรอง 5 สนามบิน ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ ได้ตรวจคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิ สะสมตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ถึง วันที่ 25 มกราคม 2563 จํานวน 137 เที่ยวบิน จํานวน 21,522 คน วันที่ 24-31 มกราคม 2563 ท่าอากาศยานเชียงราย ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยาน ภูเก็ต ท่าอากาศยานกระบี่ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คัดกรองผู้โดยสารสายการบิน จากสาธารณรัฐประชาชนจีน 152 เที่ยวบิน ผู้เดินทางและลูกเรือได้รับการคัดกรอง จํานวน 8,792 ราย ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดเจ้าหน้าที่หมุนเวียนไปสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่ด่าน เพื่อให้การทํางานมีประสิทธิภาพตลอด 24 ชั่วโมง - นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับแจกคําแนะนําสุขภาพ (health beware card) จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค 4.ข้อแนะนําประจําวันในการป้องกันตนเองจากโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ย้ําเตือนประชาชนหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ํา และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นํามือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จําเป็น และปฏิบัติตามคําแนะนํา “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” อย่างเคร่งครัด ข้อแนะนําการป้องกันตนเอง จากโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( Novel Coronavirus;2019-nCoV) วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563 รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( Novel Coronavirus;2019-nCoV) ประจําวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ​1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. รายงานผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อขณะนี้นอนในโรงพยาบาล 12 ราย กลับบ้านแล้ว 7 ราย รวมสะสม 19 ราย 2. มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ถึง 31 มกราคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 344 ราย คัดกรองจากสนามบิน 39 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 305 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 70 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 274 ราย โดยในวันที่ 31 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรครายใหม่จํานวน 64 ราย 3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 22 ประเทศ ข้อมูล ตั้งแต่ 5 - 30 มกราคม 2563 พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 9,819 ราย ส่วนประเทศจีน ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 9,692 ราย เสียชีวิต 213 ราย 4. ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” งดแชร์ข้อมูลผู้ป่วยทางสื่อออนไลน์ และมาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โปรดติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ และ Line@/เฟสบุ๊ค: รู้กันทันโรค,Coronavirus2019, กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประชาชนสามารถตรวจสอบข่าวลวงได้ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม www.antifakenewscenter.com 2. สธ. ร่วมภารกิจนําคนไทยจากอู่ฮั่นกลับประเทศ เน้นย้ําเฝ้าระวังต่อเนื่อง 14 วัน กระทรวงสาธารณสุข หารือ กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมรับคนไทยที่เดินทางกลับจาก เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ตามมาตรฐานการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค หากพบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ต้องเฝ้าระวังจะแยกเข้ารับรักษาที่โรงพยาบาล ส่วนกลุ่มที่ไม่มีอาการป่วยจะติดตามอาการต่อเนื่องจนครบกําหนด 14 วัน นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับคนไทยกลับจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมหารือกับกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการนําคนไทยกลับประเทศ ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการเตรียมการตั้งแต่ก่อนเดินทาง ระหว่างเดินทาง และเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย ครอบคลุมทั้งเรื่องอุปกรณ์ที่จําเป็นในการปฏิบัติภารกิจ การประสานงานระหว่างทีมแพทย์ไทยและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การเตรียมการจุดคัดกรองเมื่อมาถึงสนามบินในประเทศไทย มีการตรวจคัดกรองผู้โดยสารทุกคนก่อนขึ้นเครื่อง และเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย ในกรณีที่ตรวจพบผู้โดยสารมีอาการป่วยเข้าเกณฑ์ต้องเฝ้าระวังจะมีการลําเลียงไปยังโรงพยาบาลที่กําหนดด้วยมาตรฐานการควบคุมโรคสูงสุด ส่วนผู้ที่ไม่มีอาการจะมีการตรวจคัดกรอง เฝ้าระวังโรคอย่างเข้มข้นโดยทีมแพทย์ ติดตามต่อเนื่องไปจนครบกําหนด 14 วัน ทั้งนี้ ประเทศไทยยังเข้มระบบคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางมาจากประเทศจีนใน 6 สนามบินนานาชาติ ได้แก่ ท่าอากาศยานเชียงราย ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานกระบี่ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หากพบผู้เดินทางเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค จะนําเข้าสู่ระบบเฝ้าระวัง ติดตาม โดยวันที่ 31 มกราคม 2563 พบผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังเพิ่มขึ้น 64 ราย รวมผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังสะสม 344 ราย ขณะนี้ไทยพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 12 ราย กลับบ้านแล้ว 7 ราย สะสม 19 ราย ขอแนะนําคนไทยปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันตัวเองและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม ขอเชิญชวนประชาชนพกหน้ากากอนามัยจากผ้าไว้ติดตัวเพื่อป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเดินหายใจ หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ํา และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ หากมีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์ทันที สําหรับการทิ้งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ใช้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งเชื้อโรค ให้พับหน้ากากอนามัยแล้วม้วนใส่ถุงที่ปิดสนิทแล้วทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิด ล้างมือทุกครั้งหลังทิ้งหน้ากากอนามัย หากเป็นหน้ากากผ้าควรมีสํารองอย่างน้อย 2 ผืน เมื่อใช้แล้วต้องซักทําความสะอาด ตากแดดให้แห้งเพื่อฆ่าเชื้อทุกครั้ง หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือเว็บไซต์กรมควบคุมโรค 3. ผลการดําเนินงานที่ด่านควบคุมโรค - จากการตรวจคัดกรอง 5 สนามบิน ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ ได้ตรวจคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิ สะสมตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ถึง วันที่ 25 มกราคม 2563 จํานวน 137 เที่ยวบิน จํานวน 21,522 คน วันที่ 24-31 มกราคม 2563 ท่าอากาศยานเชียงราย ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยาน ภูเก็ต ท่าอากาศยานกระบี่ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คัดกรองผู้โดยสารสายการบิน จากสาธารณรัฐประชาชนจีน 152 เที่ยวบิน ผู้เดินทางและลูกเรือได้รับการคัดกรอง จํานวน 8,792 ราย ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดเจ้าหน้าที่หมุนเวียนไปสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่ด่าน เพื่อให้การทํางานมีประสิทธิภาพตลอด 24 ชั่วโมง - นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับแจกคําแนะนําสุขภาพ (health beware card) จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค 4.ข้อแนะนําประจําวันในการป้องกันตนเองจากโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ย้ําเตือนประชาชนหมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ํา และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นํามือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จําเป็น และปฏิบัติตามคําแนะนํา “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” อย่างเคร่งครัด ข้อแนะนําการป้องกันตนเอง จากโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26216
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี แนะกัญชาต้องผ่านกาวิจัย ใช้เป็นยาเพื่อการแพทย์
วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2562 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี แนะกัญชาต้องผ่านกาวิจัย ใช้เป็นยาเพื่อการแพทย์ นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจกรรมใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” การดําเนินงานตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ พร้อมแนะถึงประโยชน์ในการนํากัญชามาใช้ในทางการแพทย์ วันนี้ (5 มีนาคม 2562) เวลา 09.00 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจกรรมการจัดงาน “ใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” โดยกระทรวงวัฒนธรรม นิทรรศการผลการดําเนินงานตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกิจกรรมประชาสัมพันธ์การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ โดยกระทรวงสาธารณสุข นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นําคณะจัดงาน “ใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” ประชาสัมพันธ์และเปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน “รามาวตาร” ” เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระมหากษัตริย์ แห่งราชวงศ์จักรี และเพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยและใช้ศักยภาพด้านมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ ภายในพื้นที่เกาะกรุงรัตนโกสินทร์ โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-10 มีนาคม 2562 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ศิลปะวัฒนธรรมไทยมีความลึกซึ้งและมีคุณค่าแสดงให้เห็นถึงความเจริญงอกงามของวัฒนธรรมไทยในอดีตที่มีเอกลัษณ์สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก ขอเชิญชวนให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ความเป็นไทยให้คงอยู่สืบไป จากนั้น พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นําคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์นิทรรศการผลการดําเนินงานตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และการเคหะแห่งชาติ จัดทําแผนแม่บท พัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) โดยมีผู้แทนขบวนองค์กรชุมชน เมืองชุมแพ นําเสนอผลสําเร็จในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย ที่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่มากกว่าคําว่าบ้าน โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมหน่วยงานที่ช่วยกันแก้ปัญหาด้านที่อยู่อาศัย เป็นจุดเริ่มต้นให้ประชาชนมีรากฐานความมั่งคงด้านชีวิต ลดปัญหาความเหลื่อมล้ําทางสังคม ทั้งนี้ ขอให้คํานึงถึงการสร้างบ้านที่มี ความแข็งแรง คุณภาพ และอยู่ร่วมกันในชุมชนใหม่อย่างมีความสุข อนึ่ง ภายในบริเวณนิทรรศการนายปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนําคณะประชาสัมพันธ์การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจําปี การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 16 ภายใต้หัวข้อหลัก “สมุนไพร นวดไทย อนาคตไทย” โดยนําเสนอการยกระดับการวิจัยสมุนไพร ต้านมลภาวะเป็นพิษ ความรู้เรื่องกัญชาในตํารับยาทางการแพทย์ การพัฒนาสารสกัดมะหาด โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-10 มีนาคม 2562 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ในการนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สมุนไพรไทยนับเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีค่าอย่างยิ่ง การพัฒนาคิดค้นวิจัยถือเป็นการต่อยอดผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทําให้คนทั่วไปได้ใช้อย่างสะดวกและมีคุณค่า รวมทั้งการนํากัญชามาใช้ในทางการแพทย์จะมีประโยชน์ เพราะได้ผ่านกระบวนการคิดค้น วิจัย และนํามาแปรรูปแล้ว ไม่ใช่เพื่อค้าขายกันอย่างเสรี ทั้งนี้ ขอให้สังคมเข้าใจและเห็นประโยชน์และความคุ้มค่าในการพัฒนากัญชาให้เป็นผลิตภัณฑ์และตัวยาที่มีประโยชน์มากขึ้น อย่างที่หลายประเทศได้ทํากัน ........................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี แนะกัญชาต้องผ่านกาวิจัย ใช้เป็นยาเพื่อการแพทย์ วันอังคารที่ 5 มีนาคม 2562 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี แนะกัญชาต้องผ่านกาวิจัย ใช้เป็นยาเพื่อการแพทย์ นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจกรรมใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” การดําเนินงานตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ พร้อมแนะถึงประโยชน์ในการนํากัญชามาใช้ในทางการแพทย์ วันนี้ (5 มีนาคม 2562) เวลา 09.00 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจกรรมการจัดงาน “ใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” โดยกระทรวงวัฒนธรรม นิทรรศการผลการดําเนินงานตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกิจกรรมประชาสัมพันธ์การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ โดยกระทรวงสาธารณสุข นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นําคณะจัดงาน “ใต้ร่มพระบารมี 237 ปี กรุงรัตนโกสินทร์” ประชาสัมพันธ์และเปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง รามเกียรติ์ ตอน “รามาวตาร” ” เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระมหากษัตริย์ แห่งราชวงศ์จักรี และเพื่อเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยและใช้ศักยภาพด้านมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ ภายในพื้นที่เกาะกรุงรัตนโกสินทร์ โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-10 มีนาคม 2562 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ศิลปะวัฒนธรรมไทยมีความลึกซึ้งและมีคุณค่าแสดงให้เห็นถึงความเจริญงอกงามของวัฒนธรรมไทยในอดีตที่มีเอกลัษณ์สร้างชื่อเสียงไปทั่วโลก ขอเชิญชวนให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ความเป็นไทยให้คงอยู่สืบไป จากนั้น พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นําคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์นิทรรศการผลการดําเนินงานตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และการเคหะแห่งชาติ จัดทําแผนแม่บท พัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) โดยมีผู้แทนขบวนองค์กรชุมชน เมืองชุมแพ นําเสนอผลสําเร็จในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย ที่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่มากกว่าคําว่าบ้าน โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมหน่วยงานที่ช่วยกันแก้ปัญหาด้านที่อยู่อาศัย เป็นจุดเริ่มต้นให้ประชาชนมีรากฐานความมั่งคงด้านชีวิต ลดปัญหาความเหลื่อมล้ําทางสังคม ทั้งนี้ ขอให้คํานึงถึงการสร้างบ้านที่มี ความแข็งแรง คุณภาพ และอยู่ร่วมกันในชุมชนใหม่อย่างมีความสุข อนึ่ง ภายในบริเวณนิทรรศการนายปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนําคณะประชาสัมพันธ์การจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจําปี การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 16 ภายใต้หัวข้อหลัก “สมุนไพร นวดไทย อนาคตไทย” โดยนําเสนอการยกระดับการวิจัยสมุนไพร ต้านมลภาวะเป็นพิษ ความรู้เรื่องกัญชาในตํารับยาทางการแพทย์ การพัฒนาสารสกัดมะหาด โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-10 มีนาคม 2562 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ในการนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สมุนไพรไทยนับเป็นภูมิปัญญาไทยที่มีค่าอย่างยิ่ง การพัฒนาคิดค้นวิจัยถือเป็นการต่อยอดผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทําให้คนทั่วไปได้ใช้อย่างสะดวกและมีคุณค่า รวมทั้งการนํากัญชามาใช้ในทางการแพทย์จะมีประโยชน์ เพราะได้ผ่านกระบวนการคิดค้น วิจัย และนํามาแปรรูปแล้ว ไม่ใช่เพื่อค้าขายกันอย่างเสรี ทั้งนี้ ขอให้สังคมเข้าใจและเห็นประโยชน์และความคุ้มค่าในการพัฒนากัญชาให้เป็นผลิตภัณฑ์และตัวยาที่มีประโยชน์มากขึ้น อย่างที่หลายประเทศได้ทํากัน ........................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19129
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐวิสาหกิจโชว์ผลงานโดดเด่นตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ”
วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2562 “รัฐวิสาหกิจโชว์ผลงานโดดเด่นตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ” สคร. จัดการติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธาน และมีรัฐวิสาหกิจ 8 แห่ง เข้าร่วมการรายงานความคืบหน้าการดําเนินงานในครั้งนี้ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จัดการติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธาน และมีรัฐวิสาหกิจ 8 แห่ง เข้าร่วมการรายงานความคืบหน้าการดําเนินงานในครั้งนี้ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) (กรุงไทย) ธนาคารออมสิน (ออมสิน) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) (ปตท.) นอกจากนี้ ได้เชิญกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมากล่าวถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ชาติด้วยเศรษฐกิจดิจิทัลและการลงทุน นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจ และช่วยผลักดันให้งานต่างๆ ของรัฐวิสาหกิจดําเนินการได้อย่างราบรื่น รวมทั้งสนับสนุนรัฐวิสาหกิจให้สามารถพัฒนาคุณภาพการให้บริการและเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนต่อไป ซึ่งได้แบ่งรัฐวิสาหกิจทั้ง 8 แห่ง เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และกลุ่มพลังงาน โดยสามารถสรุปการรายงานความคืบหน้าในประเด็นที่สําคัญ ดังนี้ 1. กลุ่มสถาบันการเงิน มีบทบาทต่อการลดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเป็นกําลังหลักในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและหนี้นอกระบบ รวมทั้งยังได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ และให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินได้รายงานผลการดําเนินงานของโครงการที่สําคัญ เช่น กรุงไทย  การวางระบบ Digital Payment Super Highway ทุกตําบลทั่วประเทศตามนโยบาย MOF 4.0 เพื่อผลักดันสู่สังคมไร้เงินสด  โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในรูปแบบ e – Wallet สําหรับคนไทย 14 ล้านคน ร่วมกับ ธกส. และออมสิน ทําให้สามารถกระจายความช่วยเหลือถึงมือประชาชนได้แล้วกว่า 76,000 ล้านบาท เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และจะขยายไปสู่ Mobile Application รวมทั้ง สร้าง Digital Platform ให้ร้านค้าประชารัฐสร้างเงินหมุนเวียนกว่า 30,000 ล้านบาท  การวางโครงสร้างระบบของการจ่ายเงินในระบบการคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงรถเมล์ รถไฟ รถไฟฟ้า และรถโดยสารระหว่างจังหวัด  การสนับสนุนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาโดยการต่อยอดสร้างกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแบบดิจิทัล ออมสิน  โครงการ National e-Payment รองรับสังคมไร้เงินสด โดยมีผู้ลงทะเบียน 2.75 ล้านราย มีจุดชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 1.95 แสนจุดทั่วประเทศ มีผู้ใช้บริการ Mobile Banking 5.4 ล้านราย และผู้ถือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 6.6 ล้านราย  การยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ผ่าน 3 กลไก ได้แก่ 1) การสร้างความรู้/อาชีพโดยการส่งเสริมและสนับสนุนเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพ 2) การสร้างช่องทางตลาดเพื่อสร้างรายได้โดยการเพิ่มจุดค้าขายทั้ง Online และ Offline และ 3) การสร้างประวัติทางการเงินผ่านการใช้ธุรกรรมทางการเงินโดยให้รับชําระเงินผ่าน QR code  โครงการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ด้านการเงินและอาชีพ 502,586 ราย และแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งมีผู้มีบัตรฯ ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว 258,725 ราย  แผนงานส่งเสริมผู้ประกอบการ SME/Startup โดยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan) แก่ SMEs การให้สินเชื่อ GSB SMEs/Startup และการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน Venture Capital ธกส.  การสนับสนุนการจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม ข้าว และยางพาราผ่านการให้สินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรน และการพัฒนาผู้ประกอบการเกษตร SMEs ผ่านโครงการ SMAEs  การพัฒนาผู้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ลงทะเบียน โดยมีการให้ความรู้ทางการเงิน การผลิต และการตลาด รวมทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรการและการพัฒนาอาชีพของผู้มีบัตรฯ ธอส.  โครงการบ้านล้านหลัง ซึ่งเป็นสินเชื่อบ้านเพื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มวัยทํางาน และกลุ่มผู้สูงอายุ มียอดจองทั่วประเทศกว่า 127,000 ล้านบาท  โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ มีโครงการช่วยเหลือผู้ที่อยู่อาศัยในจังหวัดชายแดนภายใต้และโครงการช่วยเหลือประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่รับราชการให้มีบ้าน ธพว.  การให้สินเชื่อผู้ประกอบรายย่อยผ่านโครงการคนตัวเล็กรวมมากกว่า 64,037 ราย จํานวน 157,617 ล้านบาท  การยกระดับขีดความสามารถให้ SMEs ขนาดเล็ก ผ่านการจัดอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ปีละมากกว่า 5,500 ราย โดยเป็นพี่เลี้ยงด้านการบัญชีและการเงิน และด้านการตลาดให้กับ SMEs 2. กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม เป็นการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศโดยการลดต้นทุนการขนส่งคนและสินค้าผ่านการพัฒนาระบบการขนส่งทางราง ของ รฟท. และโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ของ รฟม. ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีโครงการสําคัญที่สามารถผลักดันให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เช่น รฟท.  การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในปี 2561 มีทางรถไฟ 4,044 กม. เป็นทางคู่ 357 กม. มีเป้าหมายในปี 2566 มีทางรถไฟ 4,360 กม. เป็นทางคู่ 2,464 กม. และรถไฟความเร็วสูง 473 กม. โดยมีโครงการที่สําคัญ ได้แก่ o โครงการรถไฟทางคู่ จํานวน 14 เส้นทาง ได้รับอนุมัติแล้ว 8 โครงการ และจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2567 o โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ จํานวน 2 โครงการ ได้แก่ ทางรถไฟช่วงบ้านไผ่-มุกดาหาร- นครพนม (แล้วเสร็จปี 68) และช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ (แล้วเสร็จปี 66) o รถไฟความเร็วสูง จํานวน 2 สาย ได้แก่ กรุงเทพ-นครราชสีมา (แล้วเสร็จปี 66) กรุงเทพ-อู่ตะเภา (แล้วเสร็จปี 66) o โครงข่ายรถไฟชานเมืองสายสีแดง ประกอบด้วย สายบางซื่อ-รังสิต สายบางซื่อ-ตลิ่งชัน (แล้วเสร็จปี 64) สายรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต สายตลิ่งชัน-ศาลายา สายตลิ่งชัน-ศิริราช (แล้วเสร็จปี 66) สายบางซื่อ-หัวลําโพง และสายบางซื่อ-หัวหมาก (แล้วเสร็จปี 67)  ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมามีการอนุมัติเส้นทางรถไฟไปแล้ว 900 กม. ซึ่งสูงกว่าการพัฒนาเส้นทางรถไฟในช่วง 68 ปีที่ผ่านมาที่พัฒนาไปเพียง 700 กม. รฟม.  การพัฒนารถไฟฟ้าตามแผนแม่บทการขนส่งทางราง 10 เส้นทาง โดยในปี 2572 จะมีระยะทางรวม 504 กิโลเมตรปัจจุบัน มีโครงการรถไฟฟ้าที่ได้รับอนุมัติและอยู่ระหว่างการดําเนินการ ได้แก่ o สายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงบางซื่อ - ท่าพระ และหัวลําโพง-บางแค (อยู่ระหว่างดําเนินการวางระบบรถไฟฟ้าและการเดินรถ) o สายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี (PPP) (อยู่ระหว่างก่อสร้างงานโยธา) o สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สําโรง (PPP) (อยู่ระหว่างก่อสร้างงานโยธา) o สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) (งานโยธา) และช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมฯ (PPP) (อยู่ระหว่างเสนอ ครม. อนุมัติโครงการ) o สายสีม่วง (ตอนล่าง) ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (อยู่ระหว่างจัดทําร่างรายงาน PPP)  นอกจากนี้ มีแผนงานที่จะพัฒนารถไฟฟ้าในส่วนภูมิภาค ได้แก่ ในจังหวัดภูเก็ต เชียงใหม่ นครราชสีมา พิษณุโลก และอุดรธานี 3. กลุ่มพลังงาน เป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานและการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยในปัจจุบัน ปตท. มีโครงการที่สําคัญ เช่น การจัดหาแหล่งพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการใช้พลังงานในประเทศโดยการจัดหาก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติม โครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) อีกทั้งยังมีการพัฒนารูปแบบสถานีบริการให้เป็นศูนย์กลางของชุมชนและส่งเสริมช่องทางการจําหน่ายให้กับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยชุมชนและ SMEs ในลําดับถัดมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวเพิ่มเติมถึง การดําเนินงานที่ผ่านมาของรัฐวิสาหกิจกลุ่มสถาบันการเงินมีส่วนสําคัญเป็นอย่างยิ่งในการลดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจและสังคม โดยต้องเป็นหลักในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและเป็นหนี้นอกระบบ และช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งได้นําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินงาน เช่น Internet Banking e-Payment เป็นต้น นอกจากนี้ การดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมยังช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ในส่วนของการดําเนินงานของกระทรวงการคลัง มีภารกิจ 3 ด้าน ได้แก่ การเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ การลดความเหลื่อมล้ํา และการรักษาวินัยการเงินการคลัง โดยมีผลงานสําคัญของกระทรวงการคลัง ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 14.5 ล้านคน ให้สามารถจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งช่วยให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการผลิตสินค้าและเกิดการจ้างงานสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ การทํางานของกระทรวงการคลังจะต้องทําด้วยความรับผิดชอบให้เป็นไปตามหลักวินัยการเงินการคลัง ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณรัฐวิสาหกิจที่ช่วยผลักดันงานต่างๆ ตามนโยบายรัฐบาลได้อย่างดี และได้มอบนโยบายให้รัฐวิสาหกิจเดินหน้าสานต่องานต่างๆ ที่ยังไม่แล้วเสร็จต่อไป เพราะเห็นได้อย่างชัดเจนว่างานต่างๆ ที่รัฐวิสาหกิจดําเนินการมีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาประเทศอย่างมากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐวิสาหกิจโชว์ผลงานโดดเด่นตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ” วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2562 “รัฐวิสาหกิจโชว์ผลงานโดดเด่นตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ” สคร. จัดการติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธาน และมีรัฐวิสาหกิจ 8 แห่ง เข้าร่วมการรายงานความคืบหน้าการดําเนินงานในครั้งนี้ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) จัดการติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2562 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธาน และมีรัฐวิสาหกิจ 8 แห่ง เข้าร่วมการรายงานความคืบหน้าการดําเนินงานในครั้งนี้ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) (กรุงไทย) ธนาคารออมสิน (ออมสิน) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) (ปตท.) นอกจากนี้ ได้เชิญกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมากล่าวถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์ชาติด้วยเศรษฐกิจดิจิทัลและการลงทุน นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจ และช่วยผลักดันให้งานต่างๆ ของรัฐวิสาหกิจดําเนินการได้อย่างราบรื่น รวมทั้งสนับสนุนรัฐวิสาหกิจให้สามารถพัฒนาคุณภาพการให้บริการและเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนต่อไป ซึ่งได้แบ่งรัฐวิสาหกิจทั้ง 8 แห่ง เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม และกลุ่มพลังงาน โดยสามารถสรุปการรายงานความคืบหน้าในประเด็นที่สําคัญ ดังนี้ 1. กลุ่มสถาบันการเงิน มีบทบาทต่อการลดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเป็นกําลังหลักในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและหนี้นอกระบบ รวมทั้งยังได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ และให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินได้รายงานผลการดําเนินงานของโครงการที่สําคัญ เช่น กรุงไทย  การวางระบบ Digital Payment Super Highway ทุกตําบลทั่วประเทศตามนโยบาย MOF 4.0 เพื่อผลักดันสู่สังคมไร้เงินสด  โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในรูปแบบ e – Wallet สําหรับคนไทย 14 ล้านคน ร่วมกับ ธกส. และออมสิน ทําให้สามารถกระจายความช่วยเหลือถึงมือประชาชนได้แล้วกว่า 76,000 ล้านบาท เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และจะขยายไปสู่ Mobile Application รวมทั้ง สร้าง Digital Platform ให้ร้านค้าประชารัฐสร้างเงินหมุนเวียนกว่า 30,000 ล้านบาท  การวางโครงสร้างระบบของการจ่ายเงินในระบบการคมนาคมขนส่งเชื่อมโยงรถเมล์ รถไฟ รถไฟฟ้า และรถโดยสารระหว่างจังหวัด  การสนับสนุนกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาโดยการต่อยอดสร้างกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาแบบดิจิทัล ออมสิน  โครงการ National e-Payment รองรับสังคมไร้เงินสด โดยมีผู้ลงทะเบียน 2.75 ล้านราย มีจุดชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 1.95 แสนจุดทั่วประเทศ มีผู้ใช้บริการ Mobile Banking 5.4 ล้านราย และผู้ถือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 6.6 ล้านราย  การยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ผ่าน 3 กลไก ได้แก่ 1) การสร้างความรู้/อาชีพโดยการส่งเสริมและสนับสนุนเงินทุนเพื่อประกอบอาชีพ 2) การสร้างช่องทางตลาดเพื่อสร้างรายได้โดยการเพิ่มจุดค้าขายทั้ง Online และ Offline และ 3) การสร้างประวัติทางการเงินผ่านการใช้ธุรกรรมทางการเงินโดยให้รับชําระเงินผ่าน QR code  โครงการพัฒนาผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ด้านการเงินและอาชีพ 502,586 ราย และแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งมีผู้มีบัตรฯ ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว 258,725 ราย  แผนงานส่งเสริมผู้ประกอบการ SME/Startup โดยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan) แก่ SMEs การให้สินเชื่อ GSB SMEs/Startup และการจัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน Venture Capital ธกส.  การสนับสนุนการจ่ายเงินช่วยเหลือให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม ข้าว และยางพาราผ่านการให้สินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรน และการพัฒนาผู้ประกอบการเกษตร SMEs ผ่านโครงการ SMAEs  การพัฒนาผู้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ลงทะเบียน โดยมีการให้ความรู้ทางการเงิน การผลิต และการตลาด รวมทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรการและการพัฒนาอาชีพของผู้มีบัตรฯ ธอส.  โครงการบ้านล้านหลัง ซึ่งเป็นสินเชื่อบ้านเพื่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มวัยทํางาน และกลุ่มผู้สูงอายุ มียอดจองทั่วประเทศกว่า 127,000 ล้านบาท  โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ มีโครงการช่วยเหลือผู้ที่อยู่อาศัยในจังหวัดชายแดนภายใต้และโครงการช่วยเหลือประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่รับราชการให้มีบ้าน ธพว.  การให้สินเชื่อผู้ประกอบรายย่อยผ่านโครงการคนตัวเล็กรวมมากกว่า 64,037 ราย จํานวน 157,617 ล้านบาท  การยกระดับขีดความสามารถให้ SMEs ขนาดเล็ก ผ่านการจัดอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ปีละมากกว่า 5,500 ราย โดยเป็นพี่เลี้ยงด้านการบัญชีและการเงิน และด้านการตลาดให้กับ SMEs 2. กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม เป็นการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศโดยการลดต้นทุนการขนส่งคนและสินค้าผ่านการพัฒนาระบบการขนส่งทางราง ของ รฟท. และโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ของ รฟม. ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีโครงการสําคัญที่สามารถผลักดันให้เห็นผลเป็นรูปธรรม เช่น รฟท.  การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในปี 2561 มีทางรถไฟ 4,044 กม. เป็นทางคู่ 357 กม. มีเป้าหมายในปี 2566 มีทางรถไฟ 4,360 กม. เป็นทางคู่ 2,464 กม. และรถไฟความเร็วสูง 473 กม. โดยมีโครงการที่สําคัญ ได้แก่ o โครงการรถไฟทางคู่ จํานวน 14 เส้นทาง ได้รับอนุมัติแล้ว 8 โครงการ และจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2567 o โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ จํานวน 2 โครงการ ได้แก่ ทางรถไฟช่วงบ้านไผ่-มุกดาหาร- นครพนม (แล้วเสร็จปี 68) และช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ (แล้วเสร็จปี 66) o รถไฟความเร็วสูง จํานวน 2 สาย ได้แก่ กรุงเทพ-นครราชสีมา (แล้วเสร็จปี 66) กรุงเทพ-อู่ตะเภา (แล้วเสร็จปี 66) o โครงข่ายรถไฟชานเมืองสายสีแดง ประกอบด้วย สายบางซื่อ-รังสิต สายบางซื่อ-ตลิ่งชัน (แล้วเสร็จปี 64) สายรังสิต-ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต สายตลิ่งชัน-ศาลายา สายตลิ่งชัน-ศิริราช (แล้วเสร็จปี 66) สายบางซื่อ-หัวลําโพง และสายบางซื่อ-หัวหมาก (แล้วเสร็จปี 67)  ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมามีการอนุมัติเส้นทางรถไฟไปแล้ว 900 กม. ซึ่งสูงกว่าการพัฒนาเส้นทางรถไฟในช่วง 68 ปีที่ผ่านมาที่พัฒนาไปเพียง 700 กม. รฟม.  การพัฒนารถไฟฟ้าตามแผนแม่บทการขนส่งทางราง 10 เส้นทาง โดยในปี 2572 จะมีระยะทางรวม 504 กิโลเมตรปัจจุบัน มีโครงการรถไฟฟ้าที่ได้รับอนุมัติและอยู่ระหว่างการดําเนินการ ได้แก่ o สายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงบางซื่อ - ท่าพระ และหัวลําโพง-บางแค (อยู่ระหว่างดําเนินการวางระบบรถไฟฟ้าและการเดินรถ) o สายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี (PPP) (อยู่ระหว่างก่อสร้างงานโยธา) o สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สําโรง (PPP) (อยู่ระหว่างก่อสร้างงานโยธา) o สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) (งานโยธา) และช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมฯ (PPP) (อยู่ระหว่างเสนอ ครม. อนุมัติโครงการ) o สายสีม่วง (ตอนล่าง) ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (อยู่ระหว่างจัดทําร่างรายงาน PPP)  นอกจากนี้ มีแผนงานที่จะพัฒนารถไฟฟ้าในส่วนภูมิภาค ได้แก่ ในจังหวัดภูเก็ต เชียงใหม่ นครราชสีมา พิษณุโลก และอุดรธานี 3. กลุ่มพลังงาน เป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานและการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยในปัจจุบัน ปตท. มีโครงการที่สําคัญ เช่น การจัดหาแหล่งพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการใช้พลังงานในประเทศโดยการจัดหาก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติม โครงการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) อีกทั้งยังมีการพัฒนารูปแบบสถานีบริการให้เป็นศูนย์กลางของชุมชนและส่งเสริมช่องทางการจําหน่ายให้กับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยชุมชนและ SMEs ในลําดับถัดมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวเพิ่มเติมถึง การดําเนินงานที่ผ่านมาของรัฐวิสาหกิจกลุ่มสถาบันการเงินมีส่วนสําคัญเป็นอย่างยิ่งในการลดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจและสังคม โดยต้องเป็นหลักในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและเป็นหนี้นอกระบบ และช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งได้นําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินงาน เช่น Internet Banking e-Payment เป็นต้น นอกจากนี้ การดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมยังช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ในส่วนของการดําเนินงานของกระทรวงการคลัง มีภารกิจ 3 ด้าน ได้แก่ การเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ การลดความเหลื่อมล้ํา และการรักษาวินัยการเงินการคลัง โดยมีผลงานสําคัญของกระทรวงการคลัง ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกว่า 14.5 ล้านคน ให้สามารถจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งช่วยให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการผลิตสินค้าและเกิดการจ้างงานสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้ การทํางานของกระทรวงการคลังจะต้องทําด้วยความรับผิดชอบให้เป็นไปตามหลักวินัยการเงินการคลัง ในช่วงท้าย รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณรัฐวิสาหกิจที่ช่วยผลักดันงานต่างๆ ตามนโยบายรัฐบาลได้อย่างดี และได้มอบนโยบายให้รัฐวิสาหกิจเดินหน้าสานต่องานต่างๆ ที่ยังไม่แล้วเสร็จต่อไป เพราะเห็นได้อย่างชัดเจนว่างานต่างๆ ที่รัฐวิสาหกิจดําเนินการมีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาประเทศอย่างมากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19422
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.ชุติมา” ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานตามนโยบาย เผยจังหวัดศรีสะเกษผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาด 28 ราย
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2560 “รมช.ชุติมา” ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานตามนโยบาย เผยจังหวัดศรีสะเกษผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาด 28 ราย “รมช.ชุติมา” ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานตามนโยบาย เผยจังหวัดศรีสะเกษผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาด 28 ราย จับคู่กับกลุ่มเกษตรกร 64 กลุ่ม ทํา MOU แล้วจะรับซื้อข้าวอินทรีย์และข้าว GAP จํานวน 8,291 ตัน นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินการตามโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) และโครงการเชื่อมโยงการตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร ว่า ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแปลงนาอินทรีย์กลุ่มข้าวอินทรีย์บ้านโนนสําโรง หมู่ 7 ต.กล้วยกว้าง อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ ซึ่งได้มีคณะผู้ตรวจประเมินจากศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวสุโขทัย กรมการข้าว เข้ามาดําเนินการตรวจประเมินแปลงดังกล่าว มีสมาชิกเข้ารับการตรวจประเมิน 39 ราย พื้นที่ 239 ไร่ ต่อมาได้ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์วิจัยพืชสวน จ.ศรีสะเกษ นอกจากนี้ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเกษตรกรนาแปลงใหญ่ ณ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เครือข่ายบ้านยาง ต.น้ําคํา อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ มีเกษตรกรสมาชิก 428 ราย พื้นที่ 3,549 ไร่ อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งผลักดันให้ทั้ง 3 โครงการสําคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวนี้เกิดเห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างเร่งด่วนเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีความมั่นคงในอาชีพ โดยในปี 2560 โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ มีพื้นที่ดําเนินการใน 54 จังหวัดทั่วประเทศ รวมพื้นที่ 308,103.98 ไร่ เกษตรกร 1,242 กลุ่ม 28,479 ราย โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) มีเกษตรกรเข้าร่วมทั้งสิ้น 55,050 ราย พื้นที่ 750,448 ไร่ รวม 748 แปลง และโครงการเชื่อมโยงการตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร ขณะนี้มีการทําบันทึกความตกลงร่วมกัน (MOU) ระหว่างเกษตรกรในโครงการนาแปลงใหญ่กับโรงสีและวิสาหกิจชุมชน จาก 56 จังหวัด 537 ราย แล้ว โดยมีความต้องการข้าวมากกว่า 8.8 ล้านตัน โดยในส่วนของข้าวมาตรฐาน GAP จากนาแปลงใหญ่ มีการเชื่อมโยงตลาดแล้ว เกษตรกร 30 กลุ่ม พื้นที่ 18,829 ไร่ และข้าวอินทรีย์ เชื่อมโยงตลาดแล้ว 66 กลุ่ม พื้นที่ 7,457 ไร่ สําหรับการดําเนินการในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ จํานวน 13 อําเภอ 37 กลุ่ม 919 ราย พื้นที่ 10,876.86 ไร่ โครงการนาแปลงใหญ่ จํานวน 5,382 ราย พื้นที่ 70,300 ไร่ รวม 22 แปลง และโครงการเชื่อมโยงซึ่งมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ 28 ราย โดยจับคู่กับกลุ่มเกษตรกร 64 กลุ่ม จํานวน 147,656 ไร่ จัดทํา MOU แล้ว มีการประมาณการรับซื้อข้าวอินทรีย์และข้าว GAP จํานวน 8,291 ตัน ซึ่งเป็นข้าวจากนาแปลงใหญ่มาตรฐาน GAP จํานวน 7 กลุ่ม “ขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมการข้าว กําลังเร่งตรวจประเมินแปลงนาที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ในระหว่างวันที่ 25 – 29 สิงหาคม 2560 ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ อ.ห้วยทับทัน โนนคูณ ยางชุมน้อย อุทุมพรพิสัย และ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ จํานวน 17 แปลง ซึ่งคณะผู้ตรวจประเมินของกรมการข้าว จะตรวจตามหลักเกณฑ์การตรวจประเมิน 5 ข้อกําหนด ได้แก่ พื้นที่ปลูก แหล่งน้ํา การจัดการดินและปุ๋ย การจัดการคุณภาพในกระบวนการผลิตก่อนการเก็บเกี่ยว การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล ส่วนโครงการนาแปลงใหญ่นั้นกรมการข้าวได้ส่งเสริมการลดต้นทุน ด้วยการสนับสนุนให้ใช้เมล็ดพันธุ์ดี และให้ยืมเครื่องหยอดข้าว รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้การส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการปรับปรุงบํารุงดิน การจัดการศัตรูพืชด้วยสารชีวภัณฑ์ สนับสนุนการรวมกลุ่ม และตรวจรับรองมาตรฐาน GAP” นางสาวชุติมา กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.ชุติมา” ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานตามนโยบาย เผยจังหวัดศรีสะเกษผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาด 28 ราย วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2560 “รมช.ชุติมา” ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานตามนโยบาย เผยจังหวัดศรีสะเกษผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาด 28 ราย “รมช.ชุติมา” ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานตามนโยบาย เผยจังหวัดศรีสะเกษผู้ประกอบการสนใจเข้าร่วมโครงการเชื่อมโยงตลาด 28 ราย จับคู่กับกลุ่มเกษตรกร 64 กลุ่ม ทํา MOU แล้วจะรับซื้อข้าวอินทรีย์และข้าว GAP จํานวน 8,291 ตัน นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินการตามโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) และโครงการเชื่อมโยงการตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร ว่า ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแปลงนาอินทรีย์กลุ่มข้าวอินทรีย์บ้านโนนสําโรง หมู่ 7 ต.กล้วยกว้าง อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ ซึ่งได้มีคณะผู้ตรวจประเมินจากศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวสุโขทัย กรมการข้าว เข้ามาดําเนินการตรวจประเมินแปลงดังกล่าว มีสมาชิกเข้ารับการตรวจประเมิน 39 ราย พื้นที่ 239 ไร่ ต่อมาได้ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของศูนย์วิจัยพืชสวน จ.ศรีสะเกษ นอกจากนี้ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเกษตรกรนาแปลงใหญ่ ณ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) เครือข่ายบ้านยาง ต.น้ําคํา อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ มีเกษตรกรสมาชิก 428 ราย พื้นที่ 3,549 ไร่ อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งผลักดันให้ทั้ง 3 โครงการสําคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวนี้เกิดเห็นผลเป็นรูปธรรมอย่างเร่งด่วนเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีความมั่นคงในอาชีพ โดยในปี 2560 โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ มีพื้นที่ดําเนินการใน 54 จังหวัดทั่วประเทศ รวมพื้นที่ 308,103.98 ไร่ เกษตรกร 1,242 กลุ่ม 28,479 ราย โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) มีเกษตรกรเข้าร่วมทั้งสิ้น 55,050 ราย พื้นที่ 750,448 ไร่ รวม 748 แปลง และโครงการเชื่อมโยงการตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร ขณะนี้มีการทําบันทึกความตกลงร่วมกัน (MOU) ระหว่างเกษตรกรในโครงการนาแปลงใหญ่กับโรงสีและวิสาหกิจชุมชน จาก 56 จังหวัด 537 ราย แล้ว โดยมีความต้องการข้าวมากกว่า 8.8 ล้านตัน โดยในส่วนของข้าวมาตรฐาน GAP จากนาแปลงใหญ่ มีการเชื่อมโยงตลาดแล้ว เกษตรกร 30 กลุ่ม พื้นที่ 18,829 ไร่ และข้าวอินทรีย์ เชื่อมโยงตลาดแล้ว 66 กลุ่ม พื้นที่ 7,457 ไร่ สําหรับการดําเนินการในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ จํานวน 13 อําเภอ 37 กลุ่ม 919 ราย พื้นที่ 10,876.86 ไร่ โครงการนาแปลงใหญ่ จํานวน 5,382 ราย พื้นที่ 70,300 ไร่ รวม 22 แปลง และโครงการเชื่อมโยงซึ่งมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ 28 ราย โดยจับคู่กับกลุ่มเกษตรกร 64 กลุ่ม จํานวน 147,656 ไร่ จัดทํา MOU แล้ว มีการประมาณการรับซื้อข้าวอินทรีย์และข้าว GAP จํานวน 8,291 ตัน ซึ่งเป็นข้าวจากนาแปลงใหญ่มาตรฐาน GAP จํานวน 7 กลุ่ม “ขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมการข้าว กําลังเร่งตรวจประเมินแปลงนาที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ในระหว่างวันที่ 25 – 29 สิงหาคม 2560 ในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ อ.ห้วยทับทัน โนนคูณ ยางชุมน้อย อุทุมพรพิสัย และ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ จํานวน 17 แปลง ซึ่งคณะผู้ตรวจประเมินของกรมการข้าว จะตรวจตามหลักเกณฑ์การตรวจประเมิน 5 ข้อกําหนด ได้แก่ พื้นที่ปลูก แหล่งน้ํา การจัดการดินและปุ๋ย การจัดการคุณภาพในกระบวนการผลิตก่อนการเก็บเกี่ยว การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล ส่วนโครงการนาแปลงใหญ่นั้นกรมการข้าวได้ส่งเสริมการลดต้นทุน ด้วยการสนับสนุนให้ใช้เมล็ดพันธุ์ดี และให้ยืมเครื่องหยอดข้าว รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้การส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยีการปรับปรุงบํารุงดิน การจัดการศัตรูพืชด้วยสารชีวภัณฑ์ สนับสนุนการรวมกลุ่ม และตรวจรับรองมาตรฐาน GAP” นางสาวชุติมา กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6231
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลระนอง
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561 นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลระนอง นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลระนอง บริการประชาชน นักท่องเที่ยว ชูจุดเด่น ธาราบําบัดด้วยน้ําแร่อุ่น นําทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่มาเสริมการรักษา ตอบสนองยุทธศาสตร์การเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของจังหวัด วันนี้ (20 สิงหาคม 2561) เวลา 11.50 น. ณ ศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลระนอง ต.เขานิเวศน์ อ.เมืองระนอง จ.ระนอง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลระนอง พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการการดําเนินงานของศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยการแพทย์ทางเลือก และเยี่ยมชมศูนย์สระธาราบําบัด และคลินิกแพทย์แผนไทยและฝังเข็ม โดยมี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะเจ้าหน้าที่ มารอให้การต้อนรับ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันดําเนินการ เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยได้มีการดําเนินงานเพื่อรองรับ ดังนั้น จังหวัดระนองจึงได้จัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลระนองขึ้น เพื่อให้สอดคล้องตามยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัดในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นทางเลือกของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อส่งเสริมด้านการดูแลสุขภาพด้วยแพทย์ทางเลือก ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการด้านงานตรวจสุขภาพ บริการฝังเข็ม งานแพทย์แผนไทย สระธาราบําบัด และคลินิกเวชศาสตร์ฟื้นฟูและคลินิกกายภาพบําบัด นอกจากนี้ ยังมีระบบธาราบําบัดรักษาโรคหรืออาการผิดปกติต่าง ๆ โดยความหนืดของน้ําจะช่วยพยุงร่างกายไว้เมื่อมีการเซ ทําให้สามารถปรับสมดุลได้ทันก่อนเกิดารล้มในการรักษา จึงมักทําในรูปแบบของการฝึกออกกําลังกายในน้ํา หรือการใช้คุณสมบัติของน้ําทั้งในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม ผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง ผู้ป่วยเด็กสมองพิการ เป็นต้น และยังมีคลินิกกายภาพบําบัด ด้วยเครื่องมือกายภาพบําบัดรุ่นใหม่ล่าสุด สามารถรองรับผู้ป่วยเพื่อการฟื้นฟูได้วันละ 200 คน อีกด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินทักทายแพทย์ พยาบาลและที่มาให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง พร้อมเยี่ยมชมศูนย์สระธาราบําบัด ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสนใจลู่วิ่งสายพานในน้ํา ที่ใช้ฟื้นฟูนักกีฬา เพื่อลดแรงกระแทกจากการเล่นกีฬา โดยการบําบัดรักษาโรคหรืออาการผิดปกติต่าง ๆ จากนั้น เดินไปเยี่ยมชมห้องบริการฝังเข็ม และงานแพทย์แผนไทย ก่อนที่นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางต่อไปยังท่าเรือระนอง บ้านเขานางหงส์ ต.ปากน้ํา จ.ระนอง .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลระนอง วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม 2561 นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลระนอง นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลระนอง บริการประชาชน นักท่องเที่ยว ชูจุดเด่น ธาราบําบัดด้วยน้ําแร่อุ่น นําทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่มาเสริมการรักษา ตอบสนองยุทธศาสตร์การเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของจังหวัด วันนี้ (20 สิงหาคม 2561) เวลา 11.50 น. ณ ศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลระนอง ต.เขานิเวศน์ อ.เมืองระนอง จ.ระนอง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะ ตรวจเยี่ยมศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลระนอง พร้อมรับฟังบรรยายสรุปการการดําเนินงานของศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยการแพทย์ทางเลือก และเยี่ยมชมศูนย์สระธาราบําบัด และคลินิกแพทย์แผนไทยและฝังเข็ม โดยมี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะเจ้าหน้าที่ มารอให้การต้อนรับ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันดําเนินการ เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยได้มีการดําเนินงานเพื่อรองรับ ดังนั้น จังหวัดระนองจึงได้จัดตั้งศูนย์ฟื้นฟูสภาพด้วยการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลระนองขึ้น เพื่อให้สอดคล้องตามยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัดในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นทางเลือกของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อส่งเสริมด้านการดูแลสุขภาพด้วยแพทย์ทางเลือก ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการด้านงานตรวจสุขภาพ บริการฝังเข็ม งานแพทย์แผนไทย สระธาราบําบัด และคลินิกเวชศาสตร์ฟื้นฟูและคลินิกกายภาพบําบัด นอกจากนี้ ยังมีระบบธาราบําบัดรักษาโรคหรืออาการผิดปกติต่าง ๆ โดยความหนืดของน้ําจะช่วยพยุงร่างกายไว้เมื่อมีการเซ ทําให้สามารถปรับสมดุลได้ทันก่อนเกิดารล้มในการรักษา จึงมักทําในรูปแบบของการฝึกออกกําลังกายในน้ํา หรือการใช้คุณสมบัติของน้ําทั้งในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคข้อเสื่อม ผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง ผู้ป่วยเด็กสมองพิการ เป็นต้น และยังมีคลินิกกายภาพบําบัด ด้วยเครื่องมือกายภาพบําบัดรุ่นใหม่ล่าสุด สามารถรองรับผู้ป่วยเพื่อการฟื้นฟูได้วันละ 200 คน อีกด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เดินทักทายแพทย์ พยาบาลและที่มาให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง พร้อมเยี่ยมชมศูนย์สระธาราบําบัด ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสนใจลู่วิ่งสายพานในน้ํา ที่ใช้ฟื้นฟูนักกีฬา เพื่อลดแรงกระแทกจากการเล่นกีฬา โดยการบําบัดรักษาโรคหรืออาการผิดปกติต่าง ๆ จากนั้น เดินไปเยี่ยมชมห้องบริการฝังเข็ม และงานแพทย์แผนไทย ก่อนที่นายกรัฐมนตรีและคณะจะเดินทางต่อไปยังท่าเรือระนอง บ้านเขานางหงส์ ต.ปากน้ํา จ.ระนอง .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14738
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. - ท่องเที่ยว จับมือขับเคลื่อน 10 กิจการ สร้างมาตรฐาน SHA ป้องกันโควิด 19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 สธ. - ท่องเที่ยว จับมือขับเคลื่อน 10 กิจการ สร้างมาตรฐาน SHA ป้องกันโควิด 19 [กระทรวงสาธารณสุข] สธ. - ท่องเที่ยว จับมือขับเคลื่อน 10 กิจการ สร้างมาตรฐาน SHA ป้องกันโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขับเคลื่อนการดําเนินงานมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA มุ่งเป้า 10 ประเภทกิจการ ป้องกันโรคโควิด 19 แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ขับเคลื่อนการดําเนินงานมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยให้เป็นแนวทางปฏิบัติสําหรับผู้ประกอบกิจการทั้ง 10 ประเภท ได้แก่ 1) ภัตตาคาร ร้านอาหาร 2) โรงแรม ที่พัก สถานที่จัดประชุม 3) นันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว 4) ยานพาหนะ 5) บริษัทนําเที่ยว 6) สุขภาพและความงาม 7) ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า 8) กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว 9) การจัดกิจกรรม จัดประชุม โรงละคร โรงมหรสพ และ 10) ร้านค้าของที่ระลึกและร้านค้าอื่น ๆ ให้เกิดการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมทั้งสร้างวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในการป้องกันโรคของนักท่องเที่ยวและประชาชนที่ใช้บริการโดยมีมาตรการเบื้องต้นของทุกสถานประกอบการ 3 ด้านคือ 1) ด้านสุขลักษณะอาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีอยู่ในอาคาร 2) ด้านการจัดอุปกรณ์ทําความสะอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค และ 3) ด้านการป้องกันสําหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวต่อไปว่า การดําเนินงานที่ผ่านมา กรมอนามัยได้มีส่วนร่วมในการจัดทํามาตรฐาน SHA โดยนําหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ทั้งด้านสุขอนามัยและอนามัยสิ่งแวดล้อมของกรมอนามัย เช่น การจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคาร การจัดการขยะ ส้วม สุขาภิบาลอาหารในโรงแรม ร้านอาหาร เป็นต้น รวมถึงการให้คําปรึกษา คําแนะนําด้านวิชาการเกี่ยวกับการดําเนินการตามมาตรฐาน SHA แก่ผู้ประกอบการ ภายใต้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 เช่น กิจการโรงแรมหรือที่พัก ซึ่งมีแนวปฏิบัติด้านสาธารณสุขในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในโรงแรม ข้อปฏิบัติสําหรับผู้ปฏิบัติงานและผู้รับบริการในช่วงระบาดของโรคโควิด 19 และสําหรับในส่วนภัตตาคาร ร้านอาหาร มีคําแนะนําสําหรับผู้จัดการร้านอาหาร คําแนะนําสําหรับผู้สัมผัสอาหารหรือผู้ปฏิบัติงาน และคําแนะนําสําหรับผู้บริโภคให้ปฏิบัติการอย่างเคร่งครัด “ทั้งนี้ มาตรฐาน SHA ถือเป็นมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเพื่อนักท่องเที่ยว ที่สามารถตรวจสอบสถานประกอบการ หรือกิจการที่ได้รับการอนุญาตให้เปิดบริการแล้ว พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะ เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาผ่านระบบออนไลน์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยจะมีการสุ่มตรวจประเมินสถานประกอบการโดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ เป็นการกระตุ้นให้สถานประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้เตรียมความพร้อมกับวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) รวมถึงสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ เพื่อลด ความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของโรคโควิด 19” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. - ท่องเที่ยว จับมือขับเคลื่อน 10 กิจการ สร้างมาตรฐาน SHA ป้องกันโควิด 19 [กระทรวงสาธารณสุข] วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 สธ. - ท่องเที่ยว จับมือขับเคลื่อน 10 กิจการ สร้างมาตรฐาน SHA ป้องกันโควิด 19 [กระทรวงสาธารณสุข] สธ. - ท่องเที่ยว จับมือขับเคลื่อน 10 กิจการ สร้างมาตรฐาน SHA ป้องกันโควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขับเคลื่อนการดําเนินงานมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA มุ่งเป้า 10 ประเภทกิจการ ป้องกันโรคโควิด 19 แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ขับเคลื่อนการดําเนินงานมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยให้เป็นแนวทางปฏิบัติสําหรับผู้ประกอบกิจการทั้ง 10 ประเภท ได้แก่ 1) ภัตตาคาร ร้านอาหาร 2) โรงแรม ที่พัก สถานที่จัดประชุม 3) นันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว 4) ยานพาหนะ 5) บริษัทนําเที่ยว 6) สุขภาพและความงาม 7) ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า 8) กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว 9) การจัดกิจกรรม จัดประชุม โรงละคร โรงมหรสพ และ 10) ร้านค้าของที่ระลึกและร้านค้าอื่น ๆ ให้เกิดการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมทั้งสร้างวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในการป้องกันโรคของนักท่องเที่ยวและประชาชนที่ใช้บริการโดยมีมาตรการเบื้องต้นของทุกสถานประกอบการ 3 ด้านคือ 1) ด้านสุขลักษณะอาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีอยู่ในอาคาร 2) ด้านการจัดอุปกรณ์ทําความสะอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค และ 3) ด้านการป้องกันสําหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าวต่อไปว่า การดําเนินงานที่ผ่านมา กรมอนามัยได้มีส่วนร่วมในการจัดทํามาตรฐาน SHA โดยนําหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ทั้งด้านสุขอนามัยและอนามัยสิ่งแวดล้อมของกรมอนามัย เช่น การจัดการคุณภาพอากาศภายในอาคาร การจัดการขยะ ส้วม สุขาภิบาลอาหารในโรงแรม ร้านอาหาร เป็นต้น รวมถึงการให้คําปรึกษา คําแนะนําด้านวิชาการเกี่ยวกับการดําเนินการตามมาตรฐาน SHA แก่ผู้ประกอบการ ภายใต้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 เช่น กิจการโรงแรมหรือที่พัก ซึ่งมีแนวปฏิบัติด้านสาธารณสุขในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในโรงแรม ข้อปฏิบัติสําหรับผู้ปฏิบัติงานและผู้รับบริการในช่วงระบาดของโรคโควิด 19 และสําหรับในส่วนภัตตาคาร ร้านอาหาร มีคําแนะนําสําหรับผู้จัดการร้านอาหาร คําแนะนําสําหรับผู้สัมผัสอาหารหรือผู้ปฏิบัติงาน และคําแนะนําสําหรับผู้บริโภคให้ปฏิบัติการอย่างเคร่งครัด “ทั้งนี้ มาตรฐาน SHA ถือเป็นมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเพื่อนักท่องเที่ยว ที่สามารถตรวจสอบสถานประกอบการ หรือกิจการที่ได้รับการอนุญาตให้เปิดบริการแล้ว พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะ เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาผ่านระบบออนไลน์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยจะมีการสุ่มตรวจประเมินสถานประกอบการโดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ เป็นการกระตุ้นให้สถานประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้เตรียมความพร้อมกับวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) รวมถึงสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ เพื่อลด ความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของโรคโควิด 19” อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32691
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมเปิดมหกรรมสินค้าสหกรณ์ทั่วไทย “Fresh From Farm เนื้อนม ไข่ ผักผลไม้พรีเมี่ยม By CO-OP”
วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ เตรียมเปิดมหกรรมสินค้าสหกรณ์ทั่วไทย “Fresh From Farm เนื้อนม ไข่ ผักผลไม้พรีเมี่ยม By CO-OP” กระทรวงเกษตรฯ เตรียมเปิดมหกรรมสินค้าสหกรณ์ทั่วไทย “Fresh From Farm เนื้อนม ไข่ ผักผลไม้พรีเมี่ยม By CO-OP” กระจาย 16 จังหวัด รุกขยายช่องทางการตลาดสินค้าสหกรณ์ยิงตรงถึงผู้บริโภค พร้อมเปิดโต๊ะเจรจาต่อยอดธุรกิจสินค้ากลุ่มปศุสัตว์ของสหกรณ์ที่เติบโตกว่าปี นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมสินค้าสหกรณ์ ภายใต้งาน “Fresh From Farm เนื้อ นม ไข่ ผักผลไม้ พรีเมี่ยม By CO-OP” ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความมุ่งหวังที่จะพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตสินค้าของเกษตรกรให้ได้มาตรฐาน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า และขยายช่องทางการตลาดให้ถึงมือผู้บริโภค และใช้กลไกระบบสหกรณ์เข้ามาบริหารจัดการผลผลิตให้กับเกษตรกรทําหน้าที่ในการส่งเสริมเกษตรกรผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ การรวบรวมผลผลิตเพื่อนํามาสู่กระบวนการแปรรูปและเชื่อมโยงกับภาคเอกชน เพื่อจัดหาตลาดในการจําหน่ายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ “ปัจจุบันสหกรณ์ภาคการเกษตรมีศักยภาพในการผลิตสินค้าได้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะสินค้าเพื่อการบริโภค ทั้งกลุ่มสินค้าด้านพืช เช่น ข้าว พืชผัก ผลไม้ กลุ่มสินค้าปศุสัตว์ ได้แก่ โคเนื้อ นม ไข่ไก่ และสินค้าแปรรูปต่างๆ เช่น กาแฟ อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์นม ซึ่งสหกรณ์ได้ส่งออกจําหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม สิ่งสําคัญคือในการผลิตจะต้องคํานึงถึงความปลอดภัยและการรักษาคุณภาพมาตรฐานของสินค้าสหกรณ์ ซึ่งจะต้องทํางานร่วมกับกรมวิชาการเกษตร เพื่อพัฒนาให้สินค้าสหกรณ์มีความปลอดภัยทั้งต่อเกษตรกรและผู้บริโภค และทําให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อสินค้า โดยกระทรวงเกษตรฯ มุ่งเน้นที่จะส่งเสริมให้สหกรณ์มีความเข้มแข็ง มีช่องทางการตลาดรองรับสินค้าสหกรณ์ที่ผู้บริโภคสามารถซื้อกับเกษตรกรได้โดยตรง เพื่อสนับสนุนให้เกษตรมีรายได้ที่มั่นคง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือได้ และกลับมาดูแลพัฒนาสหกรณ์ร่วมกันต่อไป” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้เห็นถึงโอกาสในการเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าคุณภาพของสหกรณ์ จึงได้จัดงานมหกรรมสินค้าสหกรณ์ ปี 2562 ขึ้น ภายใต้ชื่องาน “Fresh From Farm เนื้อ นม ไข่ ผักผลไม้ พรีเมี่ยม By CO-OP” กําหนดจัดขึ้นทั่วประเทศระหว่างเดือนสิงหาคม - กันยายน 2562 ส่วนกลางจัดขึ้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 3 ระหว่างวันที่ 23 -25 สิงหาคม นี้ และจะกระจายไปอีก 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พะเยา พิษณุโลก เชียงราย เพชรบูรณ์ อุทัยธานี บุรีรัมย์ หนองคาย มหาสารคาม มุกดาหาร ศรีสะเกษ สกลนคร กาฬสินธุ์ ราชบุรี และยะลา ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีสําหรับสหกรณ์ผู้ผลิตสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าปศุสัตว์ที่มีผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อ นม และไข่ ที่จะได้นําผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่สหกรณ์ได้ผลิตขึ้น และผ่านกระบวนการแปรรูปที่ได้มาตรฐานแล้ว มาจัดแสดงและจําหน่ายสู่ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งภายในงานนี้ยังมีเวทีสําหรับการเจรจาธุรกิจระหว่างสหกรณ์กับภาคเอกชน เพื่อให้สหกรณ์ได้เรียนรู้ถึงทิศทางของตลาดสินค้าและความต้องการของผู้บริโภค เพื่อจะได้นํากลับไปพัฒนากระบวนการผลิตสินค้าของสหกรณ์ได้สอดคล้องกับที่ตลาดต้องการ ด้าน นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มว่า ปัจจุบันสหกรณ์สามารถผลิตสินค้าแปรรูปได้หลากหลายชนิด สร้างการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งกรมฯ ได้เข้าไปพัฒนาและต่อยอดการดําเนินธุรกิจรวบรวมและแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้กับสหกรณ์ โดยเฉพาะในปี 2561 ที่ผ่านมา ได้จัดสรรเงินอุดหนุนงบกลางปีจากโครงการไทยนิยมยั่งยืน ให้สหกรณ์นําไปจัดซื้ออุปกรณ์แปรรูปผลผลิต และร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสถาบันอาหารแห่งชาติ นําความรู้จากงานวิจัยและใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต การแปรรูปและบรรจุภัณฑ์สินค้าของสหกรณ์ให้ได้คุณภาพ มีความโดดเด่น เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับราคาสินค้าของสหกรณ์ให้เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มปศุสัตว์ เป็นสินค้าที่ยังมีโอกาสเติบโตและช่วยต่อยอดธุรกิจให้กับสหกรณ์ เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการ ทั้งเนื้อโคขุน ไข่ไก่ และผลิตภัณฑ์นม อีกจํานวนมาก ทําให้แต่ละปีสหกรณ์สามารถดําเนินธุรกิจแปรรูปและจําหน่ายสินค้ากลุ่มปศุสัตว์ มีมูลค่าสูงถึง 7,729 ล้านบาท ส่วนสหกรณ์โคนมมีจํานวน 99 แห่ง รวบรวมนม 2,000 ตัน/วัน คิดเป็น 57.38 % ของปริมาณนมโคทั้งระบบ (3,413 ตัน/วัน) เป็นน้ํานมโคแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ สหกรณ์มีโรงงานแปรรูปนมที่ได้มาตรฐาน HACCP GMP ISO และฮาลาล ซึ่งผลิตภัณฑ์แปรรูปนมของสหกรณ์มีหลากหลาย ทั้งนมพาสเจอร์ไรส์ นม UHT โยเกิร์ต ไอศกรีม นมอัดเม็ด และส่งจําหน่ายไปยังห้างโมเดิร์นเทรด ได้แก่ ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต, เทสโก้โลตัส, บิ๊กซี, แม็คโคร, แฟมิลี่มาร์ท, แม็กซ์เวลู และเซเว่น-อีเลฟเว่น เป็นต้น และมีสหกรณ์ 2 แห่ง ได้แก่ สหกรณ์โคนมวังน้ําเย็น จํากัด ส่งนม UHT ไปประเทศกัมพูชาและจีน ปีละกว่า 31 ล้านบาท และสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จํากัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์) ได้ส่งผลิตภัณฑ์นม UHT ผ่านบริษัทผู้ส่งออก ไปยังประเทศลาว พม่าและกัมพูชา ขณะที่สหกรณ์ผู้เลี้ยงโคเนื้อ มีทั้งหมด 75 แห่ง ในพื้นที่ 37 จังหวัด จํานวนสมาชิกประมาณ 13,500 ราย จํานวนโค 120,000 ตัว คิดเป็นปริมาณ 57% ของภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งมีหลายสหกรณ์ได้ส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคขุนให้กับเกษตรกร และเป็นสหกรณ์ที่มีศักยภาพด้านการผลิตเนื้อโคขุนที่มีคุณภาพ สําหรับสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ มี 5 แห่ง ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี อ่างทอง เชียงใหม่ และหนองคาย ซึ่งไข่ไก่มาจากฟาร์มสมาชิกสหกรณ์ ผ่านการรับรองมาตรฐานฟาร์ม GAP และได้รับการรับรองสถานที่จําหน่ายไข่สดปลอดภัย ใส่ใจผู้บริโภค “ปศุสัตว์ OK ปลอดภัย ใส่ใจผู้บริโภค” จากกรมปศุสัตว์แล้วทุกแห่ง โดยสหกรณ์รวบรวมไข่ไก่สดจากสมาชิก และส่งจําหน่ายผ่านร้านค้าของสหกรณ์ ตลาดนัดชุมชน ศูนย์ราชการ โรงพยาบาล ร้านอาหาร รวมถึงห้างโมเดินเทรดด้วย สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมเปิดมหกรรมสินค้าสหกรณ์ทั่วไทย “Fresh From Farm เนื้อนม ไข่ ผักผลไม้พรีเมี่ยม By CO-OP” วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ เตรียมเปิดมหกรรมสินค้าสหกรณ์ทั่วไทย “Fresh From Farm เนื้อนม ไข่ ผักผลไม้พรีเมี่ยม By CO-OP” กระทรวงเกษตรฯ เตรียมเปิดมหกรรมสินค้าสหกรณ์ทั่วไทย “Fresh From Farm เนื้อนม ไข่ ผักผลไม้พรีเมี่ยม By CO-OP” กระจาย 16 จังหวัด รุกขยายช่องทางการตลาดสินค้าสหกรณ์ยิงตรงถึงผู้บริโภค พร้อมเปิดโต๊ะเจรจาต่อยอดธุรกิจสินค้ากลุ่มปศุสัตว์ของสหกรณ์ที่เติบโตกว่าปี นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมสินค้าสหกรณ์ ภายใต้งาน “Fresh From Farm เนื้อ นม ไข่ ผักผลไม้ พรีเมี่ยม By CO-OP” ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความมุ่งหวังที่จะพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตสินค้าของเกษตรกรให้ได้มาตรฐาน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า และขยายช่องทางการตลาดให้ถึงมือผู้บริโภค และใช้กลไกระบบสหกรณ์เข้ามาบริหารจัดการผลผลิตให้กับเกษตรกรทําหน้าที่ในการส่งเสริมเกษตรกรผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ การรวบรวมผลผลิตเพื่อนํามาสู่กระบวนการแปรรูปและเชื่อมโยงกับภาคเอกชน เพื่อจัดหาตลาดในการจําหน่ายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ “ปัจจุบันสหกรณ์ภาคการเกษตรมีศักยภาพในการผลิตสินค้าได้หลากหลายชนิด โดยเฉพาะสินค้าเพื่อการบริโภค ทั้งกลุ่มสินค้าด้านพืช เช่น ข้าว พืชผัก ผลไม้ กลุ่มสินค้าปศุสัตว์ ได้แก่ โคเนื้อ นม ไข่ไก่ และสินค้าแปรรูปต่างๆ เช่น กาแฟ อาหารแปรรูป และผลิตภัณฑ์นม ซึ่งสหกรณ์ได้ส่งออกจําหน่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม สิ่งสําคัญคือในการผลิตจะต้องคํานึงถึงความปลอดภัยและการรักษาคุณภาพมาตรฐานของสินค้าสหกรณ์ ซึ่งจะต้องทํางานร่วมกับกรมวิชาการเกษตร เพื่อพัฒนาให้สินค้าสหกรณ์มีความปลอดภัยทั้งต่อเกษตรกรและผู้บริโภค และทําให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อสินค้า โดยกระทรวงเกษตรฯ มุ่งเน้นที่จะส่งเสริมให้สหกรณ์มีความเข้มแข็ง มีช่องทางการตลาดรองรับสินค้าสหกรณ์ที่ผู้บริโภคสามารถซื้อกับเกษตรกรได้โดยตรง เพื่อสนับสนุนให้เกษตรมีรายได้ที่มั่นคง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือได้ และกลับมาดูแลพัฒนาสหกรณ์ร่วมกันต่อไป” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ได้เห็นถึงโอกาสในการเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าคุณภาพของสหกรณ์ จึงได้จัดงานมหกรรมสินค้าสหกรณ์ ปี 2562 ขึ้น ภายใต้ชื่องาน “Fresh From Farm เนื้อ นม ไข่ ผักผลไม้ พรีเมี่ยม By CO-OP” กําหนดจัดขึ้นทั่วประเทศระหว่างเดือนสิงหาคม - กันยายน 2562 ส่วนกลางจัดขึ้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า พระราม 3 ระหว่างวันที่ 23 -25 สิงหาคม นี้ และจะกระจายไปอีก 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พะเยา พิษณุโลก เชียงราย เพชรบูรณ์ อุทัยธานี บุรีรัมย์ หนองคาย มหาสารคาม มุกดาหาร ศรีสะเกษ สกลนคร กาฬสินธุ์ ราชบุรี และยะลา ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีสําหรับสหกรณ์ผู้ผลิตสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าปศุสัตว์ที่มีผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อ นม และไข่ ที่จะได้นําผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่สหกรณ์ได้ผลิตขึ้น และผ่านกระบวนการแปรรูปที่ได้มาตรฐานแล้ว มาจัดแสดงและจําหน่ายสู่ผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งภายในงานนี้ยังมีเวทีสําหรับการเจรจาธุรกิจระหว่างสหกรณ์กับภาคเอกชน เพื่อให้สหกรณ์ได้เรียนรู้ถึงทิศทางของตลาดสินค้าและความต้องการของผู้บริโภค เพื่อจะได้นํากลับไปพัฒนากระบวนการผลิตสินค้าของสหกรณ์ได้สอดคล้องกับที่ตลาดต้องการ ด้าน นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มว่า ปัจจุบันสหกรณ์สามารถผลิตสินค้าแปรรูปได้หลากหลายชนิด สร้างการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งกรมฯ ได้เข้าไปพัฒนาและต่อยอดการดําเนินธุรกิจรวบรวมและแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้กับสหกรณ์ โดยเฉพาะในปี 2561 ที่ผ่านมา ได้จัดสรรเงินอุดหนุนงบกลางปีจากโครงการไทยนิยมยั่งยืน ให้สหกรณ์นําไปจัดซื้ออุปกรณ์แปรรูปผลผลิต และร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสถาบันอาหารแห่งชาติ นําความรู้จากงานวิจัยและใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต การแปรรูปและบรรจุภัณฑ์สินค้าของสหกรณ์ให้ได้คุณภาพ มีความโดดเด่น เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและยกระดับราคาสินค้าของสหกรณ์ให้เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มปศุสัตว์ เป็นสินค้าที่ยังมีโอกาสเติบโตและช่วยต่อยอดธุรกิจให้กับสหกรณ์ เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการ ทั้งเนื้อโคขุน ไข่ไก่ และผลิตภัณฑ์นม อีกจํานวนมาก ทําให้แต่ละปีสหกรณ์สามารถดําเนินธุรกิจแปรรูปและจําหน่ายสินค้ากลุ่มปศุสัตว์ มีมูลค่าสูงถึง 7,729 ล้านบาท ส่วนสหกรณ์โคนมมีจํานวน 99 แห่ง รวบรวมนม 2,000 ตัน/วัน คิดเป็น 57.38 % ของปริมาณนมโคทั้งระบบ (3,413 ตัน/วัน) เป็นน้ํานมโคแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ สหกรณ์มีโรงงานแปรรูปนมที่ได้มาตรฐาน HACCP GMP ISO และฮาลาล ซึ่งผลิตภัณฑ์แปรรูปนมของสหกรณ์มีหลากหลาย ทั้งนมพาสเจอร์ไรส์ นม UHT โยเกิร์ต ไอศกรีม นมอัดเม็ด และส่งจําหน่ายไปยังห้างโมเดิร์นเทรด ได้แก่ ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต, เทสโก้โลตัส, บิ๊กซี, แม็คโคร, แฟมิลี่มาร์ท, แม็กซ์เวลู และเซเว่น-อีเลฟเว่น เป็นต้น และมีสหกรณ์ 2 แห่ง ได้แก่ สหกรณ์โคนมวังน้ําเย็น จํากัด ส่งนม UHT ไปประเทศกัมพูชาและจีน ปีละกว่า 31 ล้านบาท และสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จํากัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์) ได้ส่งผลิตภัณฑ์นม UHT ผ่านบริษัทผู้ส่งออก ไปยังประเทศลาว พม่าและกัมพูชา ขณะที่สหกรณ์ผู้เลี้ยงโคเนื้อ มีทั้งหมด 75 แห่ง ในพื้นที่ 37 จังหวัด จํานวนสมาชิกประมาณ 13,500 ราย จํานวนโค 120,000 ตัว คิดเป็นปริมาณ 57% ของภาพรวมทั้งประเทศ ซึ่งมีหลายสหกรณ์ได้ส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคขุนให้กับเกษตรกร และเป็นสหกรณ์ที่มีศักยภาพด้านการผลิตเนื้อโคขุนที่มีคุณภาพ สําหรับสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่ มี 5 แห่ง ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี อ่างทอง เชียงใหม่ และหนองคาย ซึ่งไข่ไก่มาจากฟาร์มสมาชิกสหกรณ์ ผ่านการรับรองมาตรฐานฟาร์ม GAP และได้รับการรับรองสถานที่จําหน่ายไข่สดปลอดภัย ใส่ใจผู้บริโภค “ปศุสัตว์ OK ปลอดภัย ใส่ใจผู้บริโภค” จากกรมปศุสัตว์แล้วทุกแห่ง โดยสหกรณ์รวบรวมไข่ไก่สดจากสมาชิก และส่งจําหน่ายผ่านร้านค้าของสหกรณ์ ตลาดนัดชุมชน ศูนย์ราชการ โรงพยาบาล ร้านอาหาร รวมถึงห้างโมเดินเทรดด้วย สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22395
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ต้อนรับปีใหม่ อพวช. พร้อมเปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า พิเศษเข้าชมฟรี 19 ธ.ค. 2562 - 5 มกราคม 2563
วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562 ต้อนรับปีใหม่ อพวช. พร้อมเปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า พิเศษเข้าชมฟรี 19 ธ.ค. 2562 - 5 มกราคม 2563 ต้อนรับปีใหม่ อพวช. พร้อมเปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า พิเศษเข้าชมฟรี 19 ธ.ค. 2562 - 5 มกราคม 2563 อพวช. มอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน โดยเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ของ อพวช. ด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมที่ใหม่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ. ปทุมธานี ฟรี! ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2562 - 5 มกราคม 2563 นี้ ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อํานวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่นี้ อพวช. ขอร่วมเฉลิมฉลองช่วงเวลาแห่งความสุขให้กับประชาชนคนไทยได้มีกิจกรรมเติมเต็มความสุขกับทุกคนในครอบครัว โดยการมาท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้อย่างสนุกกับ อพวช. โดยจะเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ 4 แห่งฟรี! ได้แก่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์พิพิธภัณฑ์แห่งการเรียนรู้วิทยาศาสตร์พื้นฐานที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งแรกของประเทศไทย ที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ธรรมชาติวิทยา และเป็นที่ตั้งศูนย์วิจัย ศูนย์ข้อมูลอ้างอิงวัสดุตัวอย่างทางด้านธรรมชาติวิทยาของไทย เพื่อให้คนไทยตระหนักถึงทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพอันล้ําค่าพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศแหล่งเรียนรู้วิวัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสารจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อเตรียมความพร้อมคนไทยสู่สังคมยุคดิจิทัลและสุดท้ายคือ พิพิธภัณฑ์พระรามเก้าพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ของ อพวช. พิพิธภัณฑ์ด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมแห่งใหม่ของอาเซียน ที่ช่วยสร้างความตระหนักให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลและยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร สําหรับผู้สนใจเข้าชม อพวช. เริ่มเปิดให้เข้าชมฟรีตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2562 ถึง 5 มกราคม 2563 โดยเปิดให้บริการทุกวันอังคาร - ศุกร์ เวลา 09.30 - 16.00 น. วันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.30 -17.00 น. (ปิดบริการทุกวันจันทร์) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2577 9999 ต่อ 2122, 2123 หรือ www.nsm.or.th และ Facebook : NSMthailand เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ต้อนรับปีใหม่ อพวช. พร้อมเปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า พิเศษเข้าชมฟรี 19 ธ.ค. 2562 - 5 มกราคม 2563 วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2562 ต้อนรับปีใหม่ อพวช. พร้อมเปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า พิเศษเข้าชมฟรี 19 ธ.ค. 2562 - 5 มกราคม 2563 ต้อนรับปีใหม่ อพวช. พร้อมเปิดให้บริการพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า พิเศษเข้าชมฟรี 19 ธ.ค. 2562 - 5 มกราคม 2563 อพวช. มอบของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน โดยเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ของ อพวช. ด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมที่ใหม่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ. ปทุมธานี ฟรี! ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2562 - 5 มกราคม 2563 นี้ ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อํานวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่นี้ อพวช. ขอร่วมเฉลิมฉลองช่วงเวลาแห่งความสุขให้กับประชาชนคนไทยได้มีกิจกรรมเติมเต็มความสุขกับทุกคนในครอบครัว โดยการมาท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้อย่างสนุกกับ อพวช. โดยจะเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ 4 แห่งฟรี! ได้แก่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์พิพิธภัณฑ์แห่งการเรียนรู้วิทยาศาสตร์พื้นฐานที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งแรกของประเทศไทย ที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ธรรมชาติวิทยา และเป็นที่ตั้งศูนย์วิจัย ศูนย์ข้อมูลอ้างอิงวัสดุตัวอย่างทางด้านธรรมชาติวิทยาของไทย เพื่อให้คนไทยตระหนักถึงทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพอันล้ําค่าพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศแหล่งเรียนรู้วิวัฒนาการของเทคโนโลยีการสื่อสารจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อเตรียมความพร้อมคนไทยสู่สังคมยุคดิจิทัลและสุดท้ายคือ พิพิธภัณฑ์พระรามเก้าพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ของ อพวช. พิพิธภัณฑ์ด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมแห่งใหม่ของอาเซียน ที่ช่วยสร้างความตระหนักให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลและยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของ พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหาราชบรมนาถบพิตร สําหรับผู้สนใจเข้าชม อพวช. เริ่มเปิดให้เข้าชมฟรีตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2562 ถึง 5 มกราคม 2563 โดยเปิดให้บริการทุกวันอังคาร - ศุกร์ เวลา 09.30 - 16.00 น. วันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.30 -17.00 น. (ปิดบริการทุกวันจันทร์) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2577 9999 ต่อ 2122, 2123 หรือ www.nsm.or.th และ Facebook : NSMthailand เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25192
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสัมมนา “ความก้าวหน้าของเครื่องจักรโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม”
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559 การสัมมนา “ความก้าวหน้าของเครื่องจักรโรงงานสกัดน้ํามันปาล์ม” การสัมมนา “ความก้าวหน้าของเครื่องจักรโรงงานสกัดน้ํามันปาล์ม” สุราษฎร์ธานี : วันนี้ (17 สิงหาคม 2559) นายสมพล รัตนาภิบาล ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนา “ความก้าวหน้าของเครื่องจักรโรงงานสกัดน้ํามันปาล์ม” (ADVANCEMENT IN PALM OIL MILL MACHINERY) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรโรงงานสกัดนํา้มันปาล์ม และเพิ่มขีดความสามารถในการแขงขันให้แก่ผู้ผลิต โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วยผู้จัดการโรงงาน วิศวกร ช่างเทคนิค ครูอาจารย์จากสถาบันการศึกษา และผู้แทนอุตสาหกรรมจังหวัดจาก14จังหวัดภาคใต้ จํานวน 120 โดยมีนายธีระ แก้วพิมล อุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี นางทัศนีย์ ภักดีประพันธ์ อุตสาหกรรมจังหวัดกระบี่ เข้าร่วมการสัมมนา ณ ห้องโกเมน โรงแรมไดมอนด์พลาซ่า อําเภอ เมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสัมมนา “ความก้าวหน้าของเครื่องจักรโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม” วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559 การสัมมนา “ความก้าวหน้าของเครื่องจักรโรงงานสกัดน้ํามันปาล์ม” การสัมมนา “ความก้าวหน้าของเครื่องจักรโรงงานสกัดน้ํามันปาล์ม” สุราษฎร์ธานี : วันนี้ (17 สิงหาคม 2559) นายสมพล รัตนาภิบาล ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนา “ความก้าวหน้าของเครื่องจักรโรงงานสกัดน้ํามันปาล์ม” (ADVANCEMENT IN PALM OIL MILL MACHINERY) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรโรงงานสกัดนํา้มันปาล์ม และเพิ่มขีดความสามารถในการแขงขันให้แก่ผู้ผลิต โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วยผู้จัดการโรงงาน วิศวกร ช่างเทคนิค ครูอาจารย์จากสถาบันการศึกษา และผู้แทนอุตสาหกรรมจังหวัดจาก14จังหวัดภาคใต้ จํานวน 120 โดยมีนายธีระ แก้วพิมล อุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานี นางทัศนีย์ ภักดีประพันธ์ อุตสาหกรรมจังหวัดกระบี่ เข้าร่วมการสัมมนา ณ ห้องโกเมน โรงแรมไดมอนด์พลาซ่า อําเภอ เมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/144
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. มอบนโยบายด้านการบริหารจัดการน้ำ
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2561 รมว.ทส. มอบนโยบายด้านการบริหารจัดการน้ํา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบนโยบายด้านการบริหารจัดการน้ํา โดยให้ถือประโยชน์สุขประชาชนเป็นหลัก วันนี้ (5 ตุลาคม 2561) เวลา 09.30 น. พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางไปตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของกรมทรัพยากรน้ํา พร้อมมอบนโยบายด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําให้แก่ผู้บริหารกรมทรัพยากรน้ํา โดยเน้นย้ํา ในการดําเนินงานให้คํานึงถึงผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และให้ปรับโครงสร้างของหน่วยงานให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน ให้สมดุลกับอัตรากําลังที่มี เพื่อทุกส่วนสามารถทํางานของตนได้อย่างเต็มที่ สามารถปรับเปลี่ยนหมุนเวียนการทํางานได้ รวมถึงการบูรณาการการทํางานกับหน่วยงานอื่น ต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญในงานของตนเองในขณะเดียวกันก็ต้องมีความรู้ของหน่วยงานอื่นที่จะต้องทํางานร่วมด้วย การบูรณาการจึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์ ทั้งนี้ ขอให้ทุกท่านปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นธรรมกับผู้ใต้บังคับบัญชารวมถึงให้เกียรติซึ่งกันและกัน การรับมอบนโยบายด้านการบริหารจัดการน้ําในครั้งนี้ มี นายสุวัฒน์ เปี่ยมปัจจัย อธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานและเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมสายชล ชั้น 9 อาคารกรมทรัพยากรน้ํา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. มอบนโยบายด้านการบริหารจัดการน้ำ วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2561 รมว.ทส. มอบนโยบายด้านการบริหารจัดการน้ํา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบนโยบายด้านการบริหารจัดการน้ํา โดยให้ถือประโยชน์สุขประชาชนเป็นหลัก วันนี้ (5 ตุลาคม 2561) เวลา 09.30 น. พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางไปตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของกรมทรัพยากรน้ํา พร้อมมอบนโยบายด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําให้แก่ผู้บริหารกรมทรัพยากรน้ํา โดยเน้นย้ํา ในการดําเนินงานให้คํานึงถึงผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และให้ปรับโครงสร้างของหน่วยงานให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน ให้สมดุลกับอัตรากําลังที่มี เพื่อทุกส่วนสามารถทํางานของตนได้อย่างเต็มที่ สามารถปรับเปลี่ยนหมุนเวียนการทํางานได้ รวมถึงการบูรณาการการทํางานกับหน่วยงานอื่น ต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญในงานของตนเองในขณะเดียวกันก็ต้องมีความรู้ของหน่วยงานอื่นที่จะต้องทํางานร่วมด้วย การบูรณาการจึงจะเกิดผลสัมฤทธิ์ ทั้งนี้ ขอให้ทุกท่านปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เป็นธรรมกับผู้ใต้บังคับบัญชารวมถึงให้เกียรติซึ่งกันและกัน การรับมอบนโยบายด้านการบริหารจัดการน้ําในครั้งนี้ มี นายสุวัฒน์ เปี่ยมปัจจัย อธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานและเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมสายชล ชั้น 9 อาคารกรมทรัพยากรน้ํา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15910
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดsandbox กลุ่ม ๗ ขายทรัพย์สินได้กว่า ๑๒๙ ล้านบาท
วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดsandbox กลุ่ม ๗ ขายทรัพย์สินได้กว่า ๑๒๙ ล้านบาท กรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดsandbox กลุ่ม ๗ ขายทรัพย์สินได้กว่า ๑๒๙ ล้านบาท เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. กรมบังคับคดี จัดมหกรรมขายทอดตลาดsandbox กลุ่มที่ ๗ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาหัวหิน จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครปฐม ณ ห้องสวัสดี โรงแรมริเวอร์ จังหวัดนครปฐม โดยได้รับเกียรติจาก นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ร่วมสังเกตการณ์การประมูลขายทอดตลาด และกิจกรรมต่างๆภายในงาน โดยมีนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมด้วยนางทัศนีย์ เปาอินทร์ รองอธิบดีกรมบังคับคดี นางชนิดา เพชรโปรี ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบังคับคดีแพ่ง และคณะผู้บริหารกรมบังคับคดี ให้การต้อนรับ และร่วมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในมหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ที่นํามาประกาศขายเป็นที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุด ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่กลุ่มจังหวัดที่ ๗ โดยมีทรัพย์ที่พร้อมขายทอดตลาดจํานวน ๒๗๙ คดี ๒๙๘ รายการ ราคาประเมิน ๖๒๗,๓๐๙,๐๔๖.๙๗บาท ซึ่งมีผู้สนใจเข้าฟังการขายทอดตลาดประมาณ ๔๐๐ คน โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ ๙๑ คดี ๙๕ รายการ ราคาประเมิน ๑๐๒,๗๓๕,๘๐๑.๓๐ บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒๙,๐๘๒,๕๐๐ บาท ซึ่งราคาขายได้สูงกว่าราคาประเมินคิดเป็นร้อยละ ๒๕.๖๕ ซึ่งการขายทอดตลาดในครั้งมีผู้ซื้อรายใหม่สนใจเข้าร่วมประมูลซื้อทรัพย์สินของกรมบังคับคดีมากขึ้น และประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการจัดมหกรรมขายทอดตลาดนอกสถานที่ทําให้เกิดความสะดวก และสามารถหาซื้อทรัพย์ได้ในหลายพื้นที่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ได้มีการจัดนิทรรศการเพื่อสร้างความรับรู้ทางกฎหมาย และการให้คําปรึกษาทางกฎหมาย โดยมีผู้สนใจขอรับคําปรึกษาทางกฎหมาย และสนใจดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นของกรมบังคับคดีเป็นจํานวนมาก รวมถึงกิจกรรมบูรณาการร่วมกับวิสาหกิจสุขภาพชุมชนโดยจัดให้มีนวัตกรรมนวดเพื่อสุขภาพ โดยมีนายแพทย์พูลชัย จิตอนันตวิทยา ประธานฝ่ายการแพทย์ วิสาหกิจชุมชน (SHE) "สตรีที่ เคยก้าวพลาด" อันเป็นการส่งเสริมคนดี สู่สังคม ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีผู้สนใจเข้ารับการนวด เพื่อสุขภาพจํานวน ๗๔ คน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดsandbox กลุ่ม ๗ ขายทรัพย์สินได้กว่า ๑๒๙ ล้านบาท วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดsandbox กลุ่ม ๗ ขายทรัพย์สินได้กว่า ๑๒๙ ล้านบาท กรมบังคับคดีจัดมหกรรมขายทอดตลาดsandbox กลุ่ม ๗ ขายทรัพย์สินได้กว่า ๑๒๙ ล้านบาท เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น. กรมบังคับคดี จัดมหกรรมขายทอดตลาดsandbox กลุ่มที่ ๗ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาหัวหิน จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครปฐม ณ ห้องสวัสดี โรงแรมริเวอร์ จังหวัดนครปฐม โดยได้รับเกียรติจาก นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ร่วมสังเกตการณ์การประมูลขายทอดตลาด และกิจกรรมต่างๆภายในงาน โดยมีนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมด้วยนางทัศนีย์ เปาอินทร์ รองอธิบดีกรมบังคับคดี นางชนิดา เพชรโปรี ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการบังคับคดีแพ่ง และคณะผู้บริหารกรมบังคับคดี ให้การต้อนรับ และร่วมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ภายในมหกรรมขายทอดตลาด สําหรับทรัพย์ที่นํามาประกาศขายเป็นที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และห้องชุด ที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่กลุ่มจังหวัดที่ ๗ โดยมีทรัพย์ที่พร้อมขายทอดตลาดจํานวน ๒๗๙ คดี ๒๙๘ รายการ ราคาประเมิน ๖๒๗,๓๐๙,๐๔๖.๙๗บาท ซึ่งมีผู้สนใจเข้าฟังการขายทอดตลาดประมาณ ๔๐๐ คน โดยผลการขายทอดตลาดในวันนี้ ขายได้ ๙๑ คดี ๙๕ รายการ ราคาประเมิน ๑๐๒,๗๓๕,๘๐๑.๓๐ บาท ขายได้เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๒๙,๐๘๒,๕๐๐ บาท ซึ่งราคาขายได้สูงกว่าราคาประเมินคิดเป็นร้อยละ ๒๕.๖๕ ซึ่งการขายทอดตลาดในครั้งมีผู้ซื้อรายใหม่สนใจเข้าร่วมประมูลซื้อทรัพย์สินของกรมบังคับคดีมากขึ้น และประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการจัดมหกรรมขายทอดตลาดนอกสถานที่ทําให้เกิดความสะดวก และสามารถหาซื้อทรัพย์ได้ในหลายพื้นที่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ได้มีการจัดนิทรรศการเพื่อสร้างความรับรู้ทางกฎหมาย และการให้คําปรึกษาทางกฎหมาย โดยมีผู้สนใจขอรับคําปรึกษาทางกฎหมาย และสนใจดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นของกรมบังคับคดีเป็นจํานวนมาก รวมถึงกิจกรรมบูรณาการร่วมกับวิสาหกิจสุขภาพชุมชนโดยจัดให้มีนวัตกรรมนวดเพื่อสุขภาพ โดยมีนายแพทย์พูลชัย จิตอนันตวิทยา ประธานฝ่ายการแพทย์ วิสาหกิจชุมชน (SHE) "สตรีที่ เคยก้าวพลาด" อันเป็นการส่งเสริมคนดี สู่สังคม ตามนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีผู้สนใจเข้ารับการนวด เพื่อสุขภาพจํานวน ๗๔ คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16375
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “การเป็นข้าราชการที่ดีตามรอยเบื้องพระยุคลบาท”
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2561 ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “การเป็นข้าราชการที่ดีตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “การเป็นข้าราชการที่ดีตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” เมื่อวันพุธที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ เรื่อง “การเป็นข้าราชการที่ดีตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” ให้แก่ ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ที่เข้าร่วมการสัมมนาตามโครงการ 'ทิศทางการบริหารงานกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ โรงแรมอโนมา แกรนด์ ราชประสงค์ ถนนราชดําริ เขตปทุมวัน ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า "กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม เป็นองค์กรที่มีความสําคัญยิ่งในกระบวนการยุติธรรมสําหรับเด็กและเยาวชนในด้านพิทักษ์สิทธิเด็ก เยาวชน และผู้เยาว์ ความเป็นธรรม ยึดหลักความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา หลักสุจริตธรรม โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ ให้การบําบัด แก้ไข ฟื้นฟู ป้องกัน และโอกาสในการกลับตัวกลับใจ การให้อภัย พัฒนาและสงเคราะห์เด็กและเยาวชนอย่างมีคุณภาพและมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับ เป็นที่พึ่งพาเป็นความหวังของสังคม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน สถานศึกษา ครูอาจารย์ นักพัฒนาสังคม ฝ่ายปกครอง ผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้ความเมตตากรุณาแก่เด็ก ด้วยหลักการบริหารจัดการที่โปร่งใส ยึดมั่นหลักคุณธรรม"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “การเป็นข้าราชการที่ดีตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2561 ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “การเป็นข้าราชการที่ดีตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” ม.ล.ปนัดดาฯ บรรยายพิเศษ เรื่อง “การเป็นข้าราชการที่ดีตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” เมื่อวันพุธที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษ เรื่อง “การเป็นข้าราชการที่ดีตามรอยเบื้องพระยุคลบาท” ให้แก่ ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ที่เข้าร่วมการสัมมนาตามโครงการ 'ทิศทางการบริหารงานกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ โรงแรมอโนมา แกรนด์ ราชประสงค์ ถนนราชดําริ เขตปทุมวัน ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า "กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม เป็นองค์กรที่มีความสําคัญยิ่งในกระบวนการยุติธรรมสําหรับเด็กและเยาวชนในด้านพิทักษ์สิทธิเด็ก เยาวชน และผู้เยาว์ ความเป็นธรรม ยึดหลักความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา หลักสุจริตธรรม โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ ให้การบําบัด แก้ไข ฟื้นฟู ป้องกัน และโอกาสในการกลับตัวกลับใจ การให้อภัย พัฒนาและสงเคราะห์เด็กและเยาวชนอย่างมีคุณภาพและมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับ เป็นที่พึ่งพาเป็นความหวังของสังคม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน สถานศึกษา ครูอาจารย์ นักพัฒนาสังคม ฝ่ายปกครอง ผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้ความเมตตากรุณาแก่เด็ก ด้วยหลักการบริหารจัดการที่โปร่งใส ยึดมั่นหลักคุณธรรม"
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15538
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผบ.ทบ.สาธารณรัฐสิงคโปร์ และคณะ เข้าเยี่ยมคำนับ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปล.กห.
วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2561 ผบ.ทบ.สาธารณรัฐสิงคโปร์ และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปล.กห. ผบ.ทบ.สาธารณรัฐสิงคโปร์ และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปล.กห. เมื่อ 8 พ.ค.61 พล.จ.Goh Si Hou(โก๊ะ ซือ เฮา) ผบ.ทบ.สาธารณรัฐสิงคโปร์ และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปล.กห. ณ ศาลาว่าการกลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกองทัพบก พล.อ.เทพพงศ์ ฯ ได้กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับ ผบ.ทบ.สิงคโปร์ที่ได้รับตําแหน่งเมื่อ21มีนาคมที่ผ่านมาชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศโดยเฉพาะทางด้านการทหารก็ได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นําทางทหารและกําลังพลในทุกระดับ รวมถึงการฝึกร่วมในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ซึ่งในปัจจุบันก็กําลังมีการฝึกร่วมกันคือการฝึกคชสีห์2018(Kocha Singa)ที่ฝึกกันอยู่ในพื้นที่ อ. วังน้ําเขียว จ. นครราชสีมา และใน (9พ.ค.61)ทางคณะของ ผบ.ทบ. สาธารณรัฐสิงคโปร์ก็จะเดินทางไปร่วมพิธีปิดการฝึกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีความร่วมมือทางด้านการศึกษา และการประชุมต่างๆ ทางด้าน พล.จ. Goh Si Hou(โก๊ะ ซือ เฮา) ผบ.ทบ. สาธารณรัฐสิงคโปร์ได้กล่าวขอบคุณสําหรับการต้อนรับในครั้งนี้และก็ได้กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันอันดีของทั้งสองประเทศเช่นกันโดยเฉพาะทางการทหาร สําหรับสิงคโปร์ที่มีพื้นที่เล็กๆ การได้มาฝึกร่วมในประเทศไทยถือว่าเป็นประสบการณ์ให้กับกําลังพลเป็นอย่างมาก และขอขอบคุณไทยที่ให้การสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมอาเซียนของสิงคโปร์ในปีที่ผ่านมา โดยในช่วงท้ายของการสนทนาทั้งสองฝ่ายได้แสดงออกถึงเจตนารมย์ร่วมกันในอันที่จะรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ยั่งยืนสืบไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผบ.ทบ.สาธารณรัฐสิงคโปร์ และคณะ เข้าเยี่ยมคำนับ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปล.กห. วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2561 ผบ.ทบ.สาธารณรัฐสิงคโปร์ และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปล.กห. ผบ.ทบ.สาธารณรัฐสิงคโปร์ และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปล.กห. เมื่อ 8 พ.ค.61 พล.จ.Goh Si Hou(โก๊ะ ซือ เฮา) ผบ.ทบ.สาธารณรัฐสิงคโปร์ และคณะ เข้าเยี่ยมคํานับ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปล.กห. ณ ศาลาว่าการกลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกองทัพบก พล.อ.เทพพงศ์ ฯ ได้กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับ ผบ.ทบ.สิงคโปร์ที่ได้รับตําแหน่งเมื่อ21มีนาคมที่ผ่านมาชื่นชมความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศโดยเฉพาะทางด้านการทหารก็ได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้นําทางทหารและกําลังพลในทุกระดับ รวมถึงการฝึกร่วมในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ซึ่งในปัจจุบันก็กําลังมีการฝึกร่วมกันคือการฝึกคชสีห์2018(Kocha Singa)ที่ฝึกกันอยู่ในพื้นที่ อ. วังน้ําเขียว จ. นครราชสีมา และใน (9พ.ค.61)ทางคณะของ ผบ.ทบ. สาธารณรัฐสิงคโปร์ก็จะเดินทางไปร่วมพิธีปิดการฝึกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีความร่วมมือทางด้านการศึกษา และการประชุมต่างๆ ทางด้าน พล.จ. Goh Si Hou(โก๊ะ ซือ เฮา) ผบ.ทบ. สาธารณรัฐสิงคโปร์ได้กล่าวขอบคุณสําหรับการต้อนรับในครั้งนี้และก็ได้กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์อันอันดีของทั้งสองประเทศเช่นกันโดยเฉพาะทางการทหาร สําหรับสิงคโปร์ที่มีพื้นที่เล็กๆ การได้มาฝึกร่วมในประเทศไทยถือว่าเป็นประสบการณ์ให้กับกําลังพลเป็นอย่างมาก และขอขอบคุณไทยที่ให้การสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมอาเซียนของสิงคโปร์ในปีที่ผ่านมา โดยในช่วงท้ายของการสนทนาทั้งสองฝ่ายได้แสดงออกถึงเจตนารมย์ร่วมกันในอันที่จะรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ยั่งยืนสืบไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12083