title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ประธานหารือการจัดการซากรถยนต์
|
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ประธานหารือการจัดการซากรถยนต์
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมรายงานความคืบหน้าการดําเนินโครงการ ELV PROJECT (ครั้งที่ 3) ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมรายงานความคืบหน้าการดําเนินโครงการ ELV PROJECT (ครั้งที่ 3) โดยมี นายพฤกษ์ ศิโรรัตนเศรษฐ์ ผู้อํานวยการกลุ่มจัดการกากอุตสาหกรรม 4 กรมโรงงานอุตสาหกรรม นายพิรัฐพล ตนานนท์ ผู้อํานวยการสํานักงานนิคมปิ่นทอง Mr. Fujigaki Satoshi ผู้อํานวยการแผนกสิ่งแวดล้อม Ms. Yurugi Yoshiko ผู้อํานวยการประจําภูมิภาคเอเชีย และเจ้าหน้าที่องค์การ NEDO พร้อมทั้งผู้บริหารจากกลุ่มบริษัท โตโยต้าฯ เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
สําหรับการประชุมรายงานความคืบหน้าการดําเนินโครงการ (ครั้งที่ 3) "โครงการสาธิตสําหรับการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนที่คํานึงถึงการอนุรักษ์พลังงานเพื่อการรีไซเคิลทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมสําหรับซากยานพาหนะที่หมดอายุใช้งานในประเทศไทย" (ELV PROJECT) นี้ เป็นการประชุมด้วยระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ ร่วมกับ กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (NEDO) และกลุ่มบริษัท โตโยต้าฯ ผู้ร่วมโครงการ
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการรายงานความคืบหน้าและแผนการดําเนินงานในปี 2563 ของโครงการดังกล่าว รวมถึงเสนอแนวทางการสร้างกลไกให้เกิดการรีไซเคิลซากรถยนต์ เพื่อให้เกิดการจัดการซากรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ประธานหารือการจัดการซากรถยนต์
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ประธานหารือการจัดการซากรถยนต์
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมรายงานความคืบหน้าการดําเนินโครงการ ELV PROJECT (ครั้งที่ 3) ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมรายงานความคืบหน้าการดําเนินโครงการ ELV PROJECT (ครั้งที่ 3) โดยมี นายพฤกษ์ ศิโรรัตนเศรษฐ์ ผู้อํานวยการกลุ่มจัดการกากอุตสาหกรรม 4 กรมโรงงานอุตสาหกรรม นายพิรัฐพล ตนานนท์ ผู้อํานวยการสํานักงานนิคมปิ่นทอง Mr. Fujigaki Satoshi ผู้อํานวยการแผนกสิ่งแวดล้อม Ms. Yurugi Yoshiko ผู้อํานวยการประจําภูมิภาคเอเชีย และเจ้าหน้าที่องค์การ NEDO พร้อมทั้งผู้บริหารจากกลุ่มบริษัท โตโยต้าฯ เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
สําหรับการประชุมรายงานความคืบหน้าการดําเนินโครงการ (ครั้งที่ 3) "โครงการสาธิตสําหรับการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนที่คํานึงถึงการอนุรักษ์พลังงานเพื่อการรีไซเคิลทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมสําหรับซากยานพาหนะที่หมดอายุใช้งานในประเทศไทย" (ELV PROJECT) นี้ เป็นการประชุมด้วยระบบประชุมทางไกลผ่านจอภาพ ร่วมกับ กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (NEDO) และกลุ่มบริษัท โตโยต้าฯ ผู้ร่วมโครงการ
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีการรายงานความคืบหน้าและแผนการดําเนินงานในปี 2563 ของโครงการดังกล่าว รวมถึงเสนอแนวทางการสร้างกลไกให้เกิดการรีไซเคิลซากรถยนต์ เพื่อให้เกิดการจัดการซากรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32240
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยุติธรรม ช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
|
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560
ยุติธรรม ช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
พันตํารวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้คณะครูโรงเรียนบึงโขงหลงวิทยา จังหวัดบึงกาฬ เข้าพบเพื่อแสดงความขอบคุณ
เมื่อวันจันทร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
พันตํารวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ให้คณะครูโรงเรียนบึงโขงหลงวิทยา จังหวัดบึงกาฬ เข้าพบเพื่อแสดงความขอบคุณ
กรณีช่วยรื้อฟื้นคดีที่ถูกกล่าวหาร่วมกันฆ่า นายเพทาย อมัติรัตนะ เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๒
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยุติธรรม ช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560
ยุติธรรม ช่วยเหลือประชาชนผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
พันตํารวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้คณะครูโรงเรียนบึงโขงหลงวิทยา จังหวัดบึงกาฬ เข้าพบเพื่อแสดงความขอบคุณ
เมื่อวันจันทร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
พันตํารวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
ให้คณะครูโรงเรียนบึงโขงหลงวิทยา จังหวัดบึงกาฬ เข้าพบเพื่อแสดงความขอบคุณ
กรณีช่วยรื้อฟื้นคดีที่ถูกกล่าวหาร่วมกันฆ่า นายเพทาย อมัติรัตนะ เหตุเกิดเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๒
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1746
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกำหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
|
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกําหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เพื่อรับทราบความคืบหน้าผลการดําเนินงานของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศด้านการจัดการข้อมูลลูกค้า (CRM)
รวมทั้งรับทราบผลการบริหารทรัพยากรบุคคล งบประมาณ
และการบริหารจัดการคดีประนอมข้อพิพาทตามภารกิจหลักในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑
ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑) แผนพัฒนาระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนทั่วไป
ในด้านการระงับข้อพิพาททางเลือก เพื่อให้มีการใช้การอนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาท
ในการระงับข้อพิพาทเพิ่มมากขึ้น และ ๒) แผนพัฒนาการให้บริการ โดยมีเป้าหมาย
เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะให้จัดทํารายละเอียดของโครงการภายใต้แผนงานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน
โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานตามภารกิจหลัก และให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ในการสร้างการรับรู้
และสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายใช้การอนุญาโตตุลาการ
และการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งเพื่อให้การบริการระงับข้อพิพาททางเลือกแก่ประชาชนทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกำหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
วันอังคารที่ 10 ตุลาคม 2560
ปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมหารือการกําหนดแผนงานการให้บริการระงับข้อพิพาท ของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เมื่อวันอังคารที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐
เพื่อรับทราบความคืบหน้าผลการดําเนินงานของสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ในการบริหารจัดการระบบสารสนเทศด้านการจัดการข้อมูลลูกค้า (CRM)
รวมทั้งรับทราบผลการบริหารทรัพยากรบุคคล งบประมาณ
และการบริหารจัดการคดีประนอมข้อพิพาทตามภารกิจหลักในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑
ซึ่งแบ่งออกเป็น ๑) แผนพัฒนาระบบ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนทั่วไป
ในด้านการระงับข้อพิพาททางเลือก เพื่อให้มีการใช้การอนุญาโตตุลาการและการประนอมข้อพิพาท
ในการระงับข้อพิพาทเพิ่มมากขึ้น และ ๒) แผนพัฒนาการให้บริการ โดยมีเป้าหมาย
เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอแนะให้จัดทํารายละเอียดของโครงการภายใต้แผนงานต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน
โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานตามภารกิจหลัก และให้สอดคล้องกับเป้าประสงค์ในการสร้างการรับรู้
และสร้างความเชื่อมั่นในสถาบันอนุญาโตตุลาการ เพื่อให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายใช้การอนุญาโตตุลาการ
และการประนอมข้อพิพาทในการระงับข้อพิพาทมากยิ่งขึ้น
อีกทั้งเพื่อให้การบริการระงับข้อพิพาททางเลือกแก่ประชาชนทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมฯ
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7294
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฉลิมชัย ตรวจเยี่ยมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา
|
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
รมว.เฉลิมชัย ตรวจเยี่ยมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา
รมว.เฉลิมชัย ตรวจเยี่ยมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา หวังสร้างมูลค่าเพิ่ม และช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมฉลุง (Rubber City) จ.สงขลา ว่า ได้ลงพื้นที่ดูการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้ายางพารา โดยมีการดูรูปแบบการแปรรูปและได้มีการหารือร่วมกับนายสุนันท์ นวลพรหมสกุลรักษาการผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ถึงการประชาสัมพันธ์สินค้า เพื่อกระตุ้นให้กับประชาชนและภาคเอกชนที่มีความต้องการที่จะใช้ผลิตภัณฑ์จากยางพารา ให้ได้มีโอกาสเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และสิ่งที่สําคัญคือได้ช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งจะทําให้ภาครัฐไม่ต้องนําเงินมาชดเชยในส่วนนี้มากจนเกินไป
นายเฉลิมชัย กล่าวต่อไปว่า หลังจากนี้ต้องให้ทางการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ประสานงานกับสหกรณ์ทั่วประเทศที่แปรรูปผลิตภัณฑ์ รวมถึงภาคเอกชนด้วย ซึ่งวันนี้ทุกภาคส่วนต้องมาทํางานร่วมกัน และขยายตลาดให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย เพราะผลิตภัณฑ์ยางสามารถนําออกไปจําหน่ายยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ จะดําเนินการประสานงานระหว่างกลุ่มเกษตรกรและภาคเอกชนเพื่อเพิ่มมูลค่าของยางพารา อีกทั้งยังเป็นการช่วยพี่น้องเกษตรกรได้อีกด้วย
ทั้งนี้ จะมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรและ กยท. หารือกันถึงวิธีการที่จะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์ เพิ่มผลผลิต ให้เพียงพอกับความต้องการของตลาด อีกทั้งยังต้องยกคุณภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฉลิมชัย ตรวจเยี่ยมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
รมว.เฉลิมชัย ตรวจเยี่ยมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา
รมว.เฉลิมชัย ตรวจเยี่ยมการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา หวังสร้างมูลค่าเพิ่ม และช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมนิคมอุตสาหกรรมฉลุง (Rubber City) จ.สงขลา ว่า ได้ลงพื้นที่ดูการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้ายางพารา โดยมีการดูรูปแบบการแปรรูปและได้มีการหารือร่วมกับนายสุนันท์ นวลพรหมสกุลรักษาการผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ถึงการประชาสัมพันธ์สินค้า เพื่อกระตุ้นให้กับประชาชนและภาคเอกชนที่มีความต้องการที่จะใช้ผลิตภัณฑ์จากยางพารา ให้ได้มีโอกาสเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และสิ่งที่สําคัญคือได้ช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งจะทําให้ภาครัฐไม่ต้องนําเงินมาชดเชยในส่วนนี้มากจนเกินไป
นายเฉลิมชัย กล่าวต่อไปว่า หลังจากนี้ต้องให้ทางการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ประสานงานกับสหกรณ์ทั่วประเทศที่แปรรูปผลิตภัณฑ์ รวมถึงภาคเอกชนด้วย ซึ่งวันนี้ทุกภาคส่วนต้องมาทํางานร่วมกัน และขยายตลาดให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย เพราะผลิตภัณฑ์ยางสามารถนําออกไปจําหน่ายยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ จะดําเนินการประสานงานระหว่างกลุ่มเกษตรกรและภาคเอกชนเพื่อเพิ่มมูลค่าของยางพารา อีกทั้งยังเป็นการช่วยพี่น้องเกษตรกรได้อีกด้วย
ทั้งนี้ จะมอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรและ กยท. หารือกันถึงวิธีการที่จะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์ เพิ่มผลผลิต ให้เพียงพอกับความต้องการของตลาด อีกทั้งยังต้องยกคุณภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22224
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเผยผลสำเร็จการดำเนินโครงการตลาดประชารัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศแล้วกว่า 114 ล้านบาท
|
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2560
มหาดไทยเผยผลสําเร็จการดําเนินโครงการตลาดประชารัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศแล้วกว่า 114 ล้านบาท
มหาดไทยเผยผลสําเร็จการดําเนินโครงการตลาดประชารัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศแล้วกว่า 114 ล้านบาท
วันนี้ (19 ธ.ค.60) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับลงทะเบียนผู้ค้าตลาดประชารัฐผ่านศูนย์ดํารงธรรม และได้ดําเนินการ Kick Off โครงการตลาดประชารัฐ ทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2560 ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นเปิดตลาดประชารัฐในทุกจังหวัดและทุกอําเภอพร้อมกันทั่วประเทศในวันดังกล่าวนั้น
ในส่วนของการจัดงาน “ตลาดประชารัฐ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้” ระหว่างวันที่ 5 – 7 ธันวาคม 2560 ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล มีผู้ประกอบการจําหน่ายสินค้า จํานวน 180 ร้านค้า มีผู้เข้าชมงาน จํานวน 21,927 ราย มียอดขาย รวม 8,683,822 บาท
สําหรับภาพรวมการเปิดตลาดประชารัฐใน 77 จังหวัดและ 878 อําเภอทั่วประเทศ มีผู้ประกอบการจําหน่ายสินค้า จํานวน 47,677 ร้านค้า มีผู้เข้าชมงาน จํานวน 556,427 ราย และมียอดขาย รวมทั้งสิ้น 68,524,969 บาท สรุปภาพรวมการเปิดตลาดประชารัฐทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ ทําให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากกว่า 77 ล้านบาท
ด้านการจัดสรรพื้นที่จําหน่ายสินค้าจําแนกตามภูมิภาค 6 ภาค มีผลการจัดสรรพื้นที่ ประกอบด้วย 1) ภาคเหนือ ผู้ลงทะเบียน 21,997 ราย จัดสรร 14,226 ราย คิดเป็นร้อยละ 64.67 2) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ลงทะเบียน 47,175 ราย จัดสรร 33,076 ราย คิดเป็นร้อยละ 70.11 3) ภาคกลาง ผู้ลงทะเบียน 24,639 ราย จัดสรร 7,094 ราย คิดเป็นร้อยละ 28.79 4) ภาคตะวันออก ผู้ลงทะเบียน 7,932 ราย จัดสรร 4,618 ราย คิดเป็นร้อยละ 58.22 5) ภาคใต้ ผู้ลงทะเบียน 14,156 ราย จัดสรร 7,651 ราย คิดเป็นร้อยละ 54.05 และ 6) ภาคใต้ชายแดน ผู้ลงทะเบียน 4,377 ราย จัดสรร 2,111 ราย คิดเป็นร้อยละ 48.23 รวมจํานวนผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 120,450 ราย โดยจําแนกเป็น กลุ่มผู้ประกอบการ ระดับ A และ B ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์การค้าขาย ลงทะเบียนจํานวน 80,304 ราย สามารถจัดสรรพื้นที่แล้ว 72,125 ราย คิดเป็นร้อยละ 89.59 ของผู้ที่สามารถจําหน่ายสินค้าได้ ทําให้กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศ 114 ล้านบาท
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินโครงการตลาดประชารัฐในระยะต่อไป กระทรวงมหาดไทยได้จัดทําแผนการดําเนินการนําเสนอคณะรัฐมนตรี ในวันนี้ (19 ธ.ค.60) 5 แนวทาง ประกอบด้วย 1) ติดตามประเมินผลการค้าขายและการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนของผู้ประกอบการรายใหม่ 2) การยกระดับตลาดประชารัฐสู่มาตรฐานตลาดสะอาด ตลาดปลอดภัย และไม่ใช้ภาชนะที่ทําจากโฟม (No Foam) 3) กําหนดให้มีผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (Chief Marketing Officer-CMO) นําพาตลาดประชารัฐไปสู่ความสําเร็จที่ยั่งยืน 4) อบรมผู้ประกอบการรายใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์การค้าขาย (ระดับ C) จํานวน 33,667 ราย ให้มีความรู้ความสามารถในการค้าขาย เพื่อก้าวเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ และ 5) การพัฒนาตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพเชื่อมโยงสู่ตลาดประชารัฐ ตลาดท่องเที่ยววิถีไทย รวมทั้งส่งเสริมกลยุทธ์ด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อต่อยอดและส่งเสริมด้านการตลาดของ “ตลาดประชารัฐ” ให้เกิดความยั่งยืนต่อไป.
ครั้งที่ 196/2560
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเผยผลสำเร็จการดำเนินโครงการตลาดประชารัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศแล้วกว่า 114 ล้านบาท
วันอังคารที่ 19 ธันวาคม 2560
มหาดไทยเผยผลสําเร็จการดําเนินโครงการตลาดประชารัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศแล้วกว่า 114 ล้านบาท
มหาดไทยเผยผลสําเร็จการดําเนินโครงการตลาดประชารัฐ กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศแล้วกว่า 114 ล้านบาท
วันนี้ (19 ธ.ค.60) พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับลงทะเบียนผู้ค้าตลาดประชารัฐผ่านศูนย์ดํารงธรรม และได้ดําเนินการ Kick Off โครงการตลาดประชารัฐ ทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2560 ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นเปิดตลาดประชารัฐในทุกจังหวัดและทุกอําเภอพร้อมกันทั่วประเทศในวันดังกล่าวนั้น
ในส่วนของการจัดงาน “ตลาดประชารัฐ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้” ระหว่างวันที่ 5 – 7 ธันวาคม 2560 ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล มีผู้ประกอบการจําหน่ายสินค้า จํานวน 180 ร้านค้า มีผู้เข้าชมงาน จํานวน 21,927 ราย มียอดขาย รวม 8,683,822 บาท
สําหรับภาพรวมการเปิดตลาดประชารัฐใน 77 จังหวัดและ 878 อําเภอทั่วประเทศ มีผู้ประกอบการจําหน่ายสินค้า จํานวน 47,677 ร้านค้า มีผู้เข้าชมงาน จํานวน 556,427 ราย และมียอดขาย รวมทั้งสิ้น 68,524,969 บาท สรุปภาพรวมการเปิดตลาดประชารัฐทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ ทําให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากกว่า 77 ล้านบาท
ด้านการจัดสรรพื้นที่จําหน่ายสินค้าจําแนกตามภูมิภาค 6 ภาค มีผลการจัดสรรพื้นที่ ประกอบด้วย 1) ภาคเหนือ ผู้ลงทะเบียน 21,997 ราย จัดสรร 14,226 ราย คิดเป็นร้อยละ 64.67 2) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ลงทะเบียน 47,175 ราย จัดสรร 33,076 ราย คิดเป็นร้อยละ 70.11 3) ภาคกลาง ผู้ลงทะเบียน 24,639 ราย จัดสรร 7,094 ราย คิดเป็นร้อยละ 28.79 4) ภาคตะวันออก ผู้ลงทะเบียน 7,932 ราย จัดสรร 4,618 ราย คิดเป็นร้อยละ 58.22 5) ภาคใต้ ผู้ลงทะเบียน 14,156 ราย จัดสรร 7,651 ราย คิดเป็นร้อยละ 54.05 และ 6) ภาคใต้ชายแดน ผู้ลงทะเบียน 4,377 ราย จัดสรร 2,111 ราย คิดเป็นร้อยละ 48.23 รวมจํานวนผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น 120,450 ราย โดยจําแนกเป็น กลุ่มผู้ประกอบการ ระดับ A และ B ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์การค้าขาย ลงทะเบียนจํานวน 80,304 ราย สามารถจัดสรรพื้นที่แล้ว 72,125 ราย คิดเป็นร้อยละ 89.59 ของผู้ที่สามารถจําหน่ายสินค้าได้ ทําให้กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศ 114 ล้านบาท
พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินโครงการตลาดประชารัฐในระยะต่อไป กระทรวงมหาดไทยได้จัดทําแผนการดําเนินการนําเสนอคณะรัฐมนตรี ในวันนี้ (19 ธ.ค.60) 5 แนวทาง ประกอบด้วย 1) ติดตามประเมินผลการค้าขายและการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนของผู้ประกอบการรายใหม่ 2) การยกระดับตลาดประชารัฐสู่มาตรฐานตลาดสะอาด ตลาดปลอดภัย และไม่ใช้ภาชนะที่ทําจากโฟม (No Foam) 3) กําหนดให้มีผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (Chief Marketing Officer-CMO) นําพาตลาดประชารัฐไปสู่ความสําเร็จที่ยั่งยืน 4) อบรมผู้ประกอบการรายใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์การค้าขาย (ระดับ C) จํานวน 33,667 ราย ให้มีความรู้ความสามารถในการค้าขาย เพื่อก้าวเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ และ 5) การพัฒนาตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพเชื่อมโยงสู่ตลาดประชารัฐ ตลาดท่องเที่ยววิถีไทย รวมทั้งส่งเสริมกลยุทธ์ด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อต่อยอดและส่งเสริมด้านการตลาดของ “ตลาดประชารัฐ” ให้เกิดความยั่งยืนต่อไป.
ครั้งที่ 196/2560
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8860
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเพิ่มรอบจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดประจำเดือนมกราคม 2561 รอบที่ 2
|
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
กรมบัญชีกลางเพิ่มรอบจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดประจําเดือนมกราคม 2561 รอบที่ 2
กรมบัญชีกลางเตรียมสั่งจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดประจําเดือนมกราคมรอบที่ 2 ภายใน 22-23 มกราคม 2561 ตามข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากกรมกิจการเด็กและเยาวชนอีกกว่า 2 แสนราย
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้จ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดให้แก่ผู้มีสิทธิโดยตรง โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชนได้ส่งข้อมูลผู้มีสิทธิที่จะได้รับเงินในแต่ละเดือนให้กับกรมบัญชีกลาง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2559 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ การจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดประจําเดือนมกราคม 2561 รอบที่ 1 กรมบัญชีกลางได้โอนเงินให้ผู้มีสิทธิแล้ว จํานวน 186,972 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 134,622,400 บาท เมื่อวันที่ 9-10 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากมีการชะลอการจ่ายเงินสําหรับผู้มีสิทธิบางกลุ่ม เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติเพิ่มเติมตามเงื่อนไขที่กรมกิจการเด็กและเยาวชนกําหนดไว้ในปี 2561 ซึ่งกรมบัญชีกลางและกรมกิจการเด็กและเยาวชนได้หารือร่วมกันแล้ว สรุปว่าจะเพิ่มรอบการจ่ายเงินประจําเดือนมกราคม 2561 รอบที่ 2 ในวันที่ 22-23 มกราคม 2561 โดยมีผู้มีสิทธิรับเงินจํานวน 202,457 ราย เป็นเงินประมาณ 164 ล้านบาท สําหรับเดือนกุมภาพันธ์ 2561 กรมบัญชีกลางจะจ่ายเงินในวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2561 และตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 เป็นต้นไป จะจ่ายเงินภายในวันที่ 10 ของทุกเดือนตามเดิม
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดเป็นการดําเนินการภายใต้โครงการ National e-Payment ที่ภาครัฐจ่ายเงินสวัสดิการสังคมให้แก่ผู้มีสิทธิแบบตรงตัว ด้วยวิธีการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้มีสิทธิ์หรือผ่าน Promptpay ซึ่งมีความสะดวกและคล่องตัวขึ้น โดยหวังว่าจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของเด็กและบรรเทาความเดือดร้อนด้านค่าใช้จ่ายได้ในระดับหนึ่ง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเพิ่มรอบจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดประจำเดือนมกราคม 2561 รอบที่ 2
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
กรมบัญชีกลางเพิ่มรอบจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดประจําเดือนมกราคม 2561 รอบที่ 2
กรมบัญชีกลางเตรียมสั่งจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดประจําเดือนมกราคมรอบที่ 2 ภายใน 22-23 มกราคม 2561 ตามข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากกรมกิจการเด็กและเยาวชนอีกกว่า 2 แสนราย
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้จ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดให้แก่ผู้มีสิทธิโดยตรง โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชนได้ส่งข้อมูลผู้มีสิทธิที่จะได้รับเงินในแต่ละเดือนให้กับกรมบัญชีกลาง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2559 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ การจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดประจําเดือนมกราคม 2561 รอบที่ 1 กรมบัญชีกลางได้โอนเงินให้ผู้มีสิทธิแล้ว จํานวน 186,972 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 134,622,400 บาท เมื่อวันที่ 9-10 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากมีการชะลอการจ่ายเงินสําหรับผู้มีสิทธิบางกลุ่ม เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติเพิ่มเติมตามเงื่อนไขที่กรมกิจการเด็กและเยาวชนกําหนดไว้ในปี 2561 ซึ่งกรมบัญชีกลางและกรมกิจการเด็กและเยาวชนได้หารือร่วมกันแล้ว สรุปว่าจะเพิ่มรอบการจ่ายเงินประจําเดือนมกราคม 2561 รอบที่ 2 ในวันที่ 22-23 มกราคม 2561 โดยมีผู้มีสิทธิรับเงินจํานวน 202,457 ราย เป็นเงินประมาณ 164 ล้านบาท สําหรับเดือนกุมภาพันธ์ 2561 กรมบัญชีกลางจะจ่ายเงินในวันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2561 และตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 เป็นต้นไป จะจ่ายเงินภายในวันที่ 10 ของทุกเดือนตามเดิม
อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดเป็นการดําเนินการภายใต้โครงการ National e-Payment ที่ภาครัฐจ่ายเงินสวัสดิการสังคมให้แก่ผู้มีสิทธิแบบตรงตัว ด้วยวิธีการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้มีสิทธิ์หรือผ่าน Promptpay ซึ่งมีความสะดวกและคล่องตัวขึ้น โดยหวังว่าจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของเด็กและบรรเทาความเดือดร้อนด้านค่าใช้จ่ายได้ในระดับหนึ่ง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9483
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เตรียมตั้งคณะกรรมการเชิญชวน - คัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการ EECd และคณะทำงานติดตามการพัฒนาพื้นที่ EECd
|
วันพุธที่ 15 สิงหาคม 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ เตรียมตั้งคณะกรรมการเชิญชวน - คัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการ EECd และคณะทํางานติดตามการพัฒนาพื้นที่ EECd
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ เดินหน้าพัฒนาโครงการ “เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล” (EECd) เตรียมตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการ EECd ทําหน้าที่เชิญชวนและคัดเลือกภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุน พร้อมแต่งตั้งคณะทํางานติดตามการพัฒนาพื้นที่ EECd ให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่แผนกําหนด
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดําเนินงานตามนโยบายส่งเสริมการพัฒนาโครงการ “เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล” (Digital Park Thailand : EECd) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นรากฐานการพัฒนาองค์ความรู้ และการสร้างนวัตกรรมดิจิทัล ขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 รองรับการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลแห่งอนาคต โดยปัจจุบันกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด ได้แก่ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ได้ดําเนินการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้สร้างแนวทางการพัฒนาโครงการฯ โดยเน้นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้ EEC พัฒนาเป็นสมาร์ทซิตี้ รวมทั้งกําหนดให้มุ่งเน้นการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่จําเป็น และสภาพแวดล้อมภายในที่เหมาะสม ซึ่งนอกจากจะเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคในการพัฒนาธุรกิจดิจิทัลของประเทศไทย ยังมีพื้นที่ติดกับสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกทั้งยังมีอาณาเขตใกล้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ที่มีหลายส่วนงานที่จะต้องเชื่อมโยงและพัฒนาร่วมกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านดิจิทัลและกําลังคนด้านดิจิทัลได้อย่างหลากหลาย
สําหรับความคืบหน้าโครงการจัดตั้งสถาบันไอโอทีเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลแห่งอนาคต (IoT Institute) ดีป้าได้รับการจัดสรรงบประมาณจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ในกรอบวงเงินงบประมาณ 1,670 ล้านบาท สําหรับก่อสร้างอาคารนวัตกรรม IoT 1 และ 2 บนพื้นที่ขนาด 30 ไร่ ในโครงการ EECd โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้ บมจ.กสท โทรคมนาคม และดีป้า ดําเนินการจัดให้มีกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการ EECd และสถาบันไอโอทีฯ ให้กับนักธุรกิจและนักลงทุนจากประเทศต่างๆ ได้รับทราบ นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังได้หารือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อให้เกิดการทํางานร่วมกันระหว่างภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานของรัฐ บริษัท StartUp จากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงนิสิตและบุคลากรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การพัฒนากําลังคนด้านดิจิทัล และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง การเตรียมพื้นที่เพื่อสร้างสนามทดสอบเทคโนโลยี 5G คู่ขนานกับการพัฒนาพื้นที่ EECd และสถาบัน IoT รองรับการลงทุนของผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถใช้เป็นพื้นที่เริ่มดําเนินการได้ โดยไม่จําเป็นต้องรอให้การก่อสร้าง EECd เสร็จ
ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2561 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล จะประกอบด้วย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธาน และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลฯ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สํานักงานอัยการสูงสุด สํานักงบประมาณ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ร่วมเป็นกรรมการ และผู้แทนจาก บมจ.กสท โทรคมนาคม เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อทําหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน ก่อนการประกาศเชิญชวน พร้อมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานต่อคณะอนุกรรมการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการดําเนินงานคัดเลือกผู้ร่วมลงทุน รวมถึงการคัดเลือกบริษัทเอกชน การเจรจา และจัดทําร่างสัญญาร่วมลงทุนกับภาคเอกชนที่ได้รับการคัดเลือก อีกทั้งเรียกให้หน่วยงานเจ้าของโครงการหรือเอกชนเข้าชี้แจงหรือจัดส่งข้อมูลหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการพิจารณาการดําเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการตามความเหมาะสม
นอกจากนั้น กระทรวงดิจิทัลฯ ยังเตรียมแต่งตั้งคณะทํางานติดตามการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล โดยจะมีปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธาน และผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เป็นรองประธาน ในส่วนของคณะทํางานจะประกอบด้วย เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) หรือผู้แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือผู้แทน ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือผู้แทน ผู้อํานวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ผู้อํานวยการสถาบันไอโอทีและนวัตกรรมดิจิทัล ดีป้า และผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ ดีป้า รวมทั้งจะมีผู้แทนจากดีป้าและบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) เป็นคณะทํางานและเลขานุการร่วม
โดยคณะทํางานฯ ดังกล่าว จะทําหน้าที่ศึกษาและจัดทําข้อเสนอแนะในการพัฒนาพื้นที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล พร้อมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการพัฒนาพื้นที่ รวมถึงการกํากับ ดูแล ติดตามการดําเนินการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางและกรอบระยะเวลาที่กําหนด พร้อมทั้งจัดทํารายงานความคืบหน้าเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นระยะ นอกจากนั้นยังทําหน้าที่เชิญผู้แทนส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชน ชี้แจงหรือให้ข้อมูล และประสานงานโดยตรงกับหน่วยงานเพื่อขอรับการสนับสนุนข้อมูล ตลอดจนการปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย
ทั้งนี้ พื้นที่โครงการ “เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล” (EECd) จะประกอบด้วยโซนต่างๆ ได้แก่ Smart Logistics, Digital Academy & Community Center, Animation & 3D Design Center, Smart City Platform, 5G Testbed, Digital Enterprise eXcellence Ceter, IoT Institute, Startup Incubation & Acceleration Metro (Siam), Digital Playground, Cyber Security และ Advanced Big Data, Cloud and Data Center (ABCD)
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เตรียมตั้งคณะกรรมการเชิญชวน - คัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการ EECd และคณะทำงานติดตามการพัฒนาพื้นที่ EECd
วันพุธที่ 15 สิงหาคม 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ เตรียมตั้งคณะกรรมการเชิญชวน - คัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการ EECd และคณะทํางานติดตามการพัฒนาพื้นที่ EECd
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ เดินหน้าพัฒนาโครงการ “เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล” (EECd) เตรียมตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการ EECd ทําหน้าที่เชิญชวนและคัดเลือกภาคเอกชนเข้าร่วมลงทุน พร้อมแต่งตั้งคณะทํางานติดตามการพัฒนาพื้นที่ EECd ให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่แผนกําหนด
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดําเนินงานตามนโยบายส่งเสริมการพัฒนาโครงการ “เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล” (Digital Park Thailand : EECd) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นรากฐานการพัฒนาองค์ความรู้ และการสร้างนวัตกรรมดิจิทัล ขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุค Thailand 4.0 รองรับการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลแห่งอนาคต โดยปัจจุบันกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด ได้แก่ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ได้ดําเนินการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้สร้างแนวทางการพัฒนาโครงการฯ โดยเน้นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้ EEC พัฒนาเป็นสมาร์ทซิตี้ รวมทั้งกําหนดให้มุ่งเน้นการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคที่จําเป็น และสภาพแวดล้อมภายในที่เหมาะสม ซึ่งนอกจากจะเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคในการพัฒนาธุรกิจดิจิทัลของประเทศไทย ยังมีพื้นที่ติดกับสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกทั้งยังมีอาณาเขตใกล้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา ที่มีหลายส่วนงานที่จะต้องเชื่อมโยงและพัฒนาร่วมกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านดิจิทัลและกําลังคนด้านดิจิทัลได้อย่างหลากหลาย
สําหรับความคืบหน้าโครงการจัดตั้งสถาบันไอโอทีเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลแห่งอนาคต (IoT Institute) ดีป้าได้รับการจัดสรรงบประมาณจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ในกรอบวงเงินงบประมาณ 1,670 ล้านบาท สําหรับก่อสร้างอาคารนวัตกรรม IoT 1 และ 2 บนพื้นที่ขนาด 30 ไร่ ในโครงการ EECd โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้ บมจ.กสท โทรคมนาคม และดีป้า ดําเนินการจัดให้มีกิจกรรมเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการ EECd และสถาบันไอโอทีฯ ให้กับนักธุรกิจและนักลงทุนจากประเทศต่างๆ ได้รับทราบ นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังได้หารือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา เพื่อให้เกิดการทํางานร่วมกันระหว่างภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานของรัฐ บริษัท StartUp จากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงนิสิตและบุคลากรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การพัฒนากําลังคนด้านดิจิทัล และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง การเตรียมพื้นที่เพื่อสร้างสนามทดสอบเทคโนโลยี 5G คู่ขนานกับการพัฒนาพื้นที่ EECd และสถาบัน IoT รองรับการลงทุนของผู้ประกอบการ ซึ่งสามารถใช้เป็นพื้นที่เริ่มดําเนินการได้ โดยไม่จําเป็นต้องรอให้การก่อสร้าง EECd เสร็จ
ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2561 ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน กระทรวงดิจิทัลฯ ได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล จะประกอบด้วย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธาน และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลฯ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สํานักงานอัยการสูงสุด สํานักงบประมาณ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ร่วมเป็นกรรมการ และผู้แทนจาก บมจ.กสท โทรคมนาคม เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อทําหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน ก่อนการประกาศเชิญชวน พร้อมทั้งรายงานผลการปฏิบัติงานต่อคณะอนุกรรมการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนการดําเนินงานคัดเลือกผู้ร่วมลงทุน รวมถึงการคัดเลือกบริษัทเอกชน การเจรจา และจัดทําร่างสัญญาร่วมลงทุนกับภาคเอกชนที่ได้รับการคัดเลือก อีกทั้งเรียกให้หน่วยงานเจ้าของโครงการหรือเอกชนเข้าชี้แจงหรือจัดส่งข้อมูลหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการพิจารณาการดําเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการตามความเหมาะสม
นอกจากนั้น กระทรวงดิจิทัลฯ ยังเตรียมแต่งตั้งคณะทํางานติดตามการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล โดยจะมีปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธาน และผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) เป็นรองประธาน ในส่วนของคณะทํางานจะประกอบด้วย เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) หรือผู้แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือผู้แทน ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือผู้แทน ผู้อํานวยการกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ผู้อํานวยการสถาบันไอโอทีและนวัตกรรมดิจิทัล ดีป้า และผู้อํานวยการฝ่ายส่งเสริมเมืองอัจฉริยะ ดีป้า รวมทั้งจะมีผู้แทนจากดีป้าและบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) เป็นคณะทํางานและเลขานุการร่วม
โดยคณะทํางานฯ ดังกล่าว จะทําหน้าที่ศึกษาและจัดทําข้อเสนอแนะในการพัฒนาพื้นที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล พร้อมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการพัฒนาพื้นที่ รวมถึงการกํากับ ดูแล ติดตามการดําเนินการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางและกรอบระยะเวลาที่กําหนด พร้อมทั้งจัดทํารายงานความคืบหน้าเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นระยะ นอกจากนั้นยังทําหน้าที่เชิญผู้แทนส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชน ชี้แจงหรือให้ข้อมูล และประสานงานโดยตรงกับหน่วยงานเพื่อขอรับการสนับสนุนข้อมูล ตลอดจนการปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย
ทั้งนี้ พื้นที่โครงการ “เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล” (EECd) จะประกอบด้วยโซนต่างๆ ได้แก่ Smart Logistics, Digital Academy & Community Center, Animation & 3D Design Center, Smart City Platform, 5G Testbed, Digital Enterprise eXcellence Ceter, IoT Institute, Startup Incubation & Acceleration Metro (Siam), Digital Playground, Cyber Security และ Advanced Big Data, Cloud and Data Center (ABCD)
**********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14606
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดใช้ระบบ POS e-Commerce ชุมชน แห่งแรก ที่สุพรรณบุรี
|
วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดใช้ระบบ POS e-Commerce ชุมชน แห่งแรก ที่สุพรรณบุรี
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีเปิดใช้ระบบ POS e-Commerce ชุมชน ซึ่งเป็นโครงการที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) รับมอบนโยบายจากกระทรวงฯ เพื่อส่งเสริมชุมชนให้สามารถค้าขายแบบออนไลน์ได้ตามโครงการดิจิทัลชุมชนด้าน e-Commerce ของรัฐบาล โดยได้เปิดใช้งานเป็นที่แรก ณ กลุ่มสตรีทอผ้าพื้นเมืองลายโบราณ บ้านสระบัวก่ํา จ.สุพรรณบุรี โดยมี นายสมจิตร ไวเรืองศิริพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ (สายงานปฏิบัติการภูมิภาค) พร้อมกลุ่มผู้บริหาร ปณท ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ระบบ POS e-Commerce ชุมชน เป็นระบบบริหาร ณ จุดขาย ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้เป็นเครื่องมือช่วยประชาชนในชุมชน ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และร้านโชห่วย ในการบริหารจัดการการขายสินค้าในอนาคตเมื่อชุมชนหรือหมู่บ้าน มีศักยภาพในการผลิตสินค้า การค้าขายที่แข็งแกร่งขึ้น ทั้งยังสามารถพัฒนาการทําธุรกิจไปยังช่องทางอื่นๆ ของเอกชนได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2560 ณ หมู่บ้านสระบัวก่ํา ตําบลหนองมะค่าโมง อําเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี
*************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดใช้ระบบ POS e-Commerce ชุมชน แห่งแรก ที่สุพรรณบุรี
วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานเปิดใช้ระบบ POS e-Commerce ชุมชน แห่งแรก ที่สุพรรณบุรี
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีเปิดใช้ระบบ POS e-Commerce ชุมชน ซึ่งเป็นโครงการที่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) รับมอบนโยบายจากกระทรวงฯ เพื่อส่งเสริมชุมชนให้สามารถค้าขายแบบออนไลน์ได้ตามโครงการดิจิทัลชุมชนด้าน e-Commerce ของรัฐบาล โดยได้เปิดใช้งานเป็นที่แรก ณ กลุ่มสตรีทอผ้าพื้นเมืองลายโบราณ บ้านสระบัวก่ํา จ.สุพรรณบุรี โดยมี นายสมจิตร ไวเรืองศิริพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ (สายงานปฏิบัติการภูมิภาค) พร้อมกลุ่มผู้บริหาร ปณท ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ระบบ POS e-Commerce ชุมชน เป็นระบบบริหาร ณ จุดขาย ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้เป็นเครื่องมือช่วยประชาชนในชุมชน ศูนย์ดิจิทัลชุมชน และร้านโชห่วย ในการบริหารจัดการการขายสินค้าในอนาคตเมื่อชุมชนหรือหมู่บ้าน มีศักยภาพในการผลิตสินค้า การค้าขายที่แข็งแกร่งขึ้น ทั้งยังสามารถพัฒนาการทําธุรกิจไปยังช่องทางอื่นๆ ของเอกชนได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2560 ณ หมู่บ้านสระบัวก่ํา ตําบลหนองมะค่าโมง อําเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี
*************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6762
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแถลงข่าวประจำเดือนกันยายน 2561 Monthly Customs Press 4/2561
|
วันอังคารที่ 25 กันยายน 2561
การแถลงข่าวประจําเดือนกันยายน 2561 Monthly Customs Press 4/2561
กรมศุลกากรมีนโยบายดําเนินการงานด้านประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นต่างๆ และกําหนดให้มีการแถลงข่าวประจําทุกเดือน (Monthly Customs Press) สําหรับเดือนกันยายน 2561 (Monthly Customs Press 4/2561
วันนี้ (วันอังคารที่ 25 กันยายน 2561) เวลา 10.30 น. ณ บริเวณห้องโถง อาคาร 1 ชั้น 1 ด้วยกรมศุลกากรมีนโยบายดําเนินการงานด้านประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นต่างๆ ตลอดจนนโยบายและโครงการต่างๆ โดยมอบหมายให้คณะโฆษกกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดําเนินการ และได้กําหนดให้มีการแถลงข่าวประจําทุกเดือน (Monthly Customs Press) สําหรับเดือนกันยายน 2561 (Monthly Customs Press 4/2561) นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ได้แถลงข่าวสรุปผลการดําเนินการตั้งแต่มารับตําแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร (วันที่ 1 ตุลาคม 2558 จนถึง วันที่ 30 กันยายน 2561) รวมระยะเวลา 3 ปีเต็ม
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล Thailand 4.0 และระบบราชการ 4.0 โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและนําระบบอิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ในกระบวนการทํางาน ในปัจจุบันกรมศุลกากรได้ดําเนินการปฏิรูปกระบวนการทํางานด้านศุลกากรเพื่ออํานวยความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมระบบโลจิสติกของประเทศ ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศด้วยมาตการทางศุลกากรและข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ ปกป้องสังคมให้ปลอดภัยด้วยระบบควบคุมทางศุลกากร และจัดเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานศุลกากรโลก อันเป็นการก้าวเข้าสู่ Customs 4.0 กรมศุลกากรจึงได้จัดทําแผนงานโครงการ ให้สอดรับกับพันธกิจในมิติต่างๆ ทั้งในด้านกระบวนการทํางาน พัฒนาบุคลากร พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มีการการจัดทําพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 เพื่อกฎหมายศุลกากรระเบียบปฏิบัติต่างๆที่เกี่ยวข้องเป็นปัจจุบันเข้ากับยุคสมัย การนําระบบอิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ในกระบวนการทํางาน เพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและนําไปสู่การยกระดับตัวชี้วัดความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ได้แก่ กระบวนการยื่นใบขนสินค้าและชําระค่าภาษีอากรล่วงหน้าก่อนที่เรือ/อากาศยานจะเข้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) การให้บริการระบบสืบค้นพิกัดล่วงหน้า (HS Check) ในรูปแบบ Mobile Application ระบบฐานข้อมูลสืบค้นผลคําวินิจฉัยประเภทพิกัดศุลกากร (Tariff e-Service) ระบบเชื่อมโยงใบกํากับการขนย้ายสินค้าและแบบขอนําตู้สินค้าขาออกผ่านเข้าเขตศุลกากรการ (e-Matching) พิธีการศุลกากรว่าด้วยการถ่ายลําทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Transition) การคืนอากรตาม ม.29 ทวิ (e- Refund) โครงการศึกษาพิธีการศุลกากรแบบเรียบง่ายสําหรับ e-Commerce (Simplified e-Commerce Customs Procedure : SeCCP. การจัดทําโครงการ “พันธมิตรศุลกากร (Customs Alliances : CA)” เพื่อเพิ่มช่องทางในการสื่อสารระหว่างภาคเอกชนกับกรมศุลกากร ในการให้คําแนะนําติดต่อประสานงาน แก้ไขปัญหาและสร้างความชัดเจน ลดข้อโต้แย้งที่จะเกิดขึ้นในด้านต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาและให้คําปรึกษาอย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน ประหยัดเวลา และลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในระหว่างการดําเนินพิธีการทางศุลกากร อีกทั้งยังเป็นการสร้างความโปร่งใส และความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการสุจริต และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของกรมศุลกากรให้เป็นไปตามมาตรฐานศุลกากรโลก มีสมาชิก รวมทั้งสิ้น จํานวน 454 บริษัท และกรมศุลกากรได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี พ.ศ. 2561 “ภาครัฐเพื่อประชาชน : Good Governance for Better Life” สาขาบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทเปิดใจใกล้ชิดประชาชน (Open Governance) ระดับดีเด่น
นอกจากนี้ กรมศุลกากรได้ลงนามความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับ Alibaba Group ในความร่วมมือด้าน Smart Digital Hub and Digital Tranformation Strategic Partnership ในพื้นที่ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ระหว่างสํานักงานอีอีซี กรมศุลกากร และบริษัท Cainiao Smart Logistics Network และได้นําระบบ National Single Window (NSW) ยกระดับขั้นตอนการนําเข้า - ส่งออกอย่างเบ็ดเสร็จ ณ หน้าต่างเดียวด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ระบบ NSW โดยตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ถึง 31 ส.ค. 2561 มีจํานวนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงผ่านระบบ NSW จํานวน 52,150,792 ฉบับ และกรมฯ ได้เร่งรัดผลักดันเพื่อดําเนินการเชื่อม แชร์ และใช้ข้อมูลร่วมกันทั้งในระดับ G2G และ B2G โดยมีความก้าวหน้าการดําเนินการ
สําหรับด้านการควบคุมทางศุลกากรและปกป้องสังคม กรมศุลกากรใช้ Big Data วิเคราะห์ความเสี่ยง เพื่ออํานวยความสะดวกและปกป้องสังคมซึ่งกรมศุลกากรได้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลการข่าว Customs Intelligence Center เพื่อเฝ้าระวังผู้ประกอบการที่ไม่สุจริต โดยใช้ระบบ CCTV 2204 การนําระบบ e-Lock มาใช้กับสินค้าผ่านแดน และการ X-ray คร่อมสายพาน ตลอดจนได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการและข้อมูลระหว่างกรมศุลกากรกับธนาคารแห่งประเทศไทย และร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลง ว่าด้วยการรับและนําส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้เสียภาษีอากรที่เป็นผู้นําของเข้าหรือผู้ส่งของออก หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการศุลกากร ตามกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการศุลกากรระหว่าง กรมสรรพากรและกรมศุลกากร
และในวันนี้กรมศุลกากรโดยนายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร รับมอบเครื่องมือจากองค์การศุลกากรโลกเพื่อนําไปใช้ในราชการตามโครงการ WCO Security Project for Asia Pacific โดยมี MR. Juan Manuel Mancilla Lopez Assistant Project Maneger Security Project in South East and Pacific Islands Compliance and Facilitation Directorate เป็นผู้แทนจาก WCO และ MR. Tetsuro Higuchi Customs Attache เป็นผู้แทน Japan Customs มอบเครื่องมือได้แก่ Field Test Kit จํานวน 1,300 ชุด Raman Spectrometers จํานวน 6 เครื่อง Portable x-ray Backscatters จํานวน 1 เครื่อง Portable x-ray Fluorescence จํานวน 1 เครื่อง นอกจากนี้ยังได้ดําเนินการปฏิบัติการร่วมและการติดตามรายงานผลการดําเนินโครงการจากองค์การศุลกากรโลกเพื่อนําไปใช้ในราชการตามโครงการ WCO Security Project for Asia Pacific ซึ่งเป็นโครงการที่องค์การศุลกากรโลก หรือ WCO และ กรมศุลกากร ได้ร่วมกันดําเนินการเพื่อยกระดับความสามารถของเจ้าหน้าหน้าที่ศุลกากรในการปฏิบัติงานศุลกากรเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย ด้วยการดําเนินโครงการภายใต้ WCO Security Project จํานวน 3 โครงการได้แก่ (1). โครงการ Program Global Shield ดําเนินโครงการโดยสํานักสืบสวนและปราบปราม (2). โครงการ Small Arms and Light Weapons ดําเนินโครงการโดย สํานักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (3) โครงการ Advance Passenger Information/Passenger Name Record ดําเนินโครงการโดย สํานักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ 3 โครงการดังกล่าวมีกิจกรรมย่อยรองรับการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ศุลกากรไทยและศุลกากรในเขตภูมิภาค
กรมศุลกากร ขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงที่ให้การสนับสนุนกรมศุลกากรมาโดยตลอด และกรมศุลกากรก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบการให้บริการทางศุลกากรอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่ออํานวยความสะดวกทางการค้าควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมทางศุลกากรให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ท่านสามารถติดตามการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของกรมศุลกากรที่ถูกต้องตรงประเด็นได้ 4 ช่องทาง ดังนี้
1. website : https://www.Customs.go.th
2. Facebook : https://www.facebook.com/customsdepartment.thai/
3. Youtube : https://www.youtube.com/theprcustoms
4. Line Official Account :Thaicustoms
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแถลงข่าวประจำเดือนกันยายน 2561 Monthly Customs Press 4/2561
วันอังคารที่ 25 กันยายน 2561
การแถลงข่าวประจําเดือนกันยายน 2561 Monthly Customs Press 4/2561
กรมศุลกากรมีนโยบายดําเนินการงานด้านประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นต่างๆ และกําหนดให้มีการแถลงข่าวประจําทุกเดือน (Monthly Customs Press) สําหรับเดือนกันยายน 2561 (Monthly Customs Press 4/2561
วันนี้ (วันอังคารที่ 25 กันยายน 2561) เวลา 10.30 น. ณ บริเวณห้องโถง อาคาร 1 ชั้น 1 ด้วยกรมศุลกากรมีนโยบายดําเนินการงานด้านประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นต่างๆ ตลอดจนนโยบายและโครงการต่างๆ โดยมอบหมายให้คณะโฆษกกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดําเนินการ และได้กําหนดให้มีการแถลงข่าวประจําทุกเดือน (Monthly Customs Press) สําหรับเดือนกันยายน 2561 (Monthly Customs Press 4/2561) นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ได้แถลงข่าวสรุปผลการดําเนินการตั้งแต่มารับตําแหน่งอธิบดีกรมศุลกากร (วันที่ 1 ตุลาคม 2558 จนถึง วันที่ 30 กันยายน 2561) รวมระยะเวลา 3 ปีเต็ม
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า เพื่อให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล Thailand 4.0 และระบบราชการ 4.0 โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนและนําระบบอิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ในกระบวนการทํางาน ในปัจจุบันกรมศุลกากรได้ดําเนินการปฏิรูปกระบวนการทํางานด้านศุลกากรเพื่ออํานวยความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมระบบโลจิสติกของประเทศ ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศด้วยมาตการทางศุลกากรและข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ ปกป้องสังคมให้ปลอดภัยด้วยระบบควบคุมทางศุลกากร และจัดเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานศุลกากรโลก อันเป็นการก้าวเข้าสู่ Customs 4.0 กรมศุลกากรจึงได้จัดทําแผนงานโครงการ ให้สอดรับกับพันธกิจในมิติต่างๆ ทั้งในด้านกระบวนการทํางาน พัฒนาบุคลากร พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มีการการจัดทําพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 เพื่อกฎหมายศุลกากรระเบียบปฏิบัติต่างๆที่เกี่ยวข้องเป็นปัจจุบันเข้ากับยุคสมัย การนําระบบอิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ในกระบวนการทํางาน เพื่อให้ความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและนําไปสู่การยกระดับตัวชี้วัดความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Doing Business) ได้แก่ กระบวนการยื่นใบขนสินค้าและชําระค่าภาษีอากรล่วงหน้าก่อนที่เรือ/อากาศยานจะเข้ามาถึง (Pre-Arrival Processing) การให้บริการระบบสืบค้นพิกัดล่วงหน้า (HS Check) ในรูปแบบ Mobile Application ระบบฐานข้อมูลสืบค้นผลคําวินิจฉัยประเภทพิกัดศุลกากร (Tariff e-Service) ระบบเชื่อมโยงใบกํากับการขนย้ายสินค้าและแบบขอนําตู้สินค้าขาออกผ่านเข้าเขตศุลกากรการ (e-Matching) พิธีการศุลกากรว่าด้วยการถ่ายลําทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Transition) การคืนอากรตาม ม.29 ทวิ (e- Refund) โครงการศึกษาพิธีการศุลกากรแบบเรียบง่ายสําหรับ e-Commerce (Simplified e-Commerce Customs Procedure : SeCCP. การจัดทําโครงการ “พันธมิตรศุลกากร (Customs Alliances : CA)” เพื่อเพิ่มช่องทางในการสื่อสารระหว่างภาคเอกชนกับกรมศุลกากร ในการให้คําแนะนําติดต่อประสานงาน แก้ไขปัญหาและสร้างความชัดเจน ลดข้อโต้แย้งที่จะเกิดขึ้นในด้านต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาและให้คําปรึกษาอย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน ประหยัดเวลา และลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในระหว่างการดําเนินพิธีการทางศุลกากร อีกทั้งยังเป็นการสร้างความโปร่งใส และความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการสุจริต และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานของกรมศุลกากรให้เป็นไปตามมาตรฐานศุลกากรโลก มีสมาชิก รวมทั้งสิ้น จํานวน 454 บริษัท และกรมศุลกากรได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจําปี พ.ศ. 2561 “ภาครัฐเพื่อประชาชน : Good Governance for Better Life” สาขาบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทเปิดใจใกล้ชิดประชาชน (Open Governance) ระดับดีเด่น
นอกจากนี้ กรมศุลกากรได้ลงนามความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับ Alibaba Group ในความร่วมมือด้าน Smart Digital Hub and Digital Tranformation Strategic Partnership ในพื้นที่ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ระหว่างสํานักงานอีอีซี กรมศุลกากร และบริษัท Cainiao Smart Logistics Network และได้นําระบบ National Single Window (NSW) ยกระดับขั้นตอนการนําเข้า - ส่งออกอย่างเบ็ดเสร็จ ณ หน้าต่างเดียวด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้ระบบ NSW โดยตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. ถึง 31 ส.ค. 2561 มีจํานวนเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงผ่านระบบ NSW จํานวน 52,150,792 ฉบับ และกรมฯ ได้เร่งรัดผลักดันเพื่อดําเนินการเชื่อม แชร์ และใช้ข้อมูลร่วมกันทั้งในระดับ G2G และ B2G โดยมีความก้าวหน้าการดําเนินการ
สําหรับด้านการควบคุมทางศุลกากรและปกป้องสังคม กรมศุลกากรใช้ Big Data วิเคราะห์ความเสี่ยง เพื่ออํานวยความสะดวกและปกป้องสังคมซึ่งกรมศุลกากรได้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลการข่าว Customs Intelligence Center เพื่อเฝ้าระวังผู้ประกอบการที่ไม่สุจริต โดยใช้ระบบ CCTV 2204 การนําระบบ e-Lock มาใช้กับสินค้าผ่านแดน และการ X-ray คร่อมสายพาน ตลอดจนได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการและข้อมูลระหว่างกรมศุลกากรกับธนาคารแห่งประเทศไทย และร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลง ว่าด้วยการรับและนําส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้เสียภาษีอากรที่เป็นผู้นําของเข้าหรือผู้ส่งของออก หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการศุลกากร ตามกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการศุลกากรระหว่าง กรมสรรพากรและกรมศุลกากร
และในวันนี้กรมศุลกากรโดยนายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร รับมอบเครื่องมือจากองค์การศุลกากรโลกเพื่อนําไปใช้ในราชการตามโครงการ WCO Security Project for Asia Pacific โดยมี MR. Juan Manuel Mancilla Lopez Assistant Project Maneger Security Project in South East and Pacific Islands Compliance and Facilitation Directorate เป็นผู้แทนจาก WCO และ MR. Tetsuro Higuchi Customs Attache เป็นผู้แทน Japan Customs มอบเครื่องมือได้แก่ Field Test Kit จํานวน 1,300 ชุด Raman Spectrometers จํานวน 6 เครื่อง Portable x-ray Backscatters จํานวน 1 เครื่อง Portable x-ray Fluorescence จํานวน 1 เครื่อง นอกจากนี้ยังได้ดําเนินการปฏิบัติการร่วมและการติดตามรายงานผลการดําเนินโครงการจากองค์การศุลกากรโลกเพื่อนําไปใช้ในราชการตามโครงการ WCO Security Project for Asia Pacific ซึ่งเป็นโครงการที่องค์การศุลกากรโลก หรือ WCO และ กรมศุลกากร ได้ร่วมกันดําเนินการเพื่อยกระดับความสามารถของเจ้าหน้าหน้าที่ศุลกากรในการปฏิบัติงานศุลกากรเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย ด้วยการดําเนินโครงการภายใต้ WCO Security Project จํานวน 3 โครงการได้แก่ (1). โครงการ Program Global Shield ดําเนินโครงการโดยสํานักสืบสวนและปราบปราม (2). โครงการ Small Arms and Light Weapons ดําเนินโครงการโดย สํานักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (3) โครงการ Advance Passenger Information/Passenger Name Record ดําเนินโครงการโดย สํานักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ 3 โครงการดังกล่าวมีกิจกรรมย่อยรองรับการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ศุลกากรไทยและศุลกากรในเขตภูมิภาค
กรมศุลกากร ขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกแขนงที่ให้การสนับสนุนกรมศุลกากรมาโดยตลอด และกรมศุลกากรก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบการให้บริการทางศุลกากรอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่ออํานวยความสะดวกทางการค้าควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมทางศุลกากรให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ท่านสามารถติดตามการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของกรมศุลกากรที่ถูกต้องตรงประเด็นได้ 4 ช่องทาง ดังนี้
1. website : https://www.Customs.go.th
2. Facebook : https://www.facebook.com/customsdepartment.thai/
3. Youtube : https://www.youtube.com/theprcustoms
4. Line Official Account :Thaicustoms
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15641
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันประชาชนต้องได้รับประโยชน์จากงบประมาณ ยึดหลักใช้งบประมาณอย่างรอบคอบโครงการ แผนงานต้องสอดคล้องกับสถานการณ์
|
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563
นายกรัฐมนตรียืนยันประชาชนต้องได้รับประโยชน์จากงบประมาณ ยึดหลักใช้งบประมาณอย่างรอบคอบโครงการ แผนงานต้องสอดคล้องกับสถานการณ์
นายกรัฐมนตรียืนยันประชาชนต้องได้รับประโยชน์จากงบประมาณ ยึดหลักใช้งบประมาณอย่างรอบคอบโครงการ แผนงานต้องสอดคล้องกับสถานการณ์
วันนี้ (1 ก.ค. 63) เวลา 12.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ย้ํารัฐบาลตระหนักถึงการใช้งบประมาณที่ยังมีอยู่อย่างรอบคอบ ทั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2563 งบประมาณจาก พ.ร.บ. โอนงบประมาณฯ และงบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ ที่จะต้องดําเนินตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ
นายกรัฐมนตรีชี้แจงต่อรัฐสภาว่า งบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ ราว 4 แสนล้านบาทที่จะทยอยนํามาใช้ในการเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจ อยู่ในช่วงของการพิจารณาโครงการที่จะต้องผ่านการกลั่นกรองของคณะกรรมการ รวมถึงต้องผ่านการคัดกรองจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องมีรายละเอียดแผนงานที่ชัดเจนในการเบิกจ่ายงบประมาณ หากแผนงานโครงการไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ก็จะไม่ผ่านการอนุมัติ แต่วงเงินยังคงอยู่
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายส่วนหนึ่งของการใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ เพื่อให้ภาคธุรกิจ SMEs ขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถดําเนินต่อไปได้ เนื่องจากทุกคนต่างได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้ รัฐบาลจึงต้องร่วมมือกับภาคธุรกิจในการฟื้นฟูเยียวยาประชาชน ส่งเสริมให้มีการจ้างงานต่อไป รวมถึงคํานึงถึงธุรกิจฐานราก ประชาชนที่มีรายได้น้อย ไม่มีหลักประกัน ให้สามารถเข้าถึงเงินทุนผ่านการกู้ยืม จึงได้จัดทํามาตรการ Soft Loan พร้อมระมัดระวังหนี้ที่อาจไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หนี้สาธารณะไม่ให้เพิ่มมากขึ้น เพราะเงินทุกบาทของกองทุนหรือธนาคาร เป็นเงินที่ประชาชนนํามาฝาก จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง
นายกรัฐมนตรียังย้ําต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทํางานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานของประชาชน ปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ ถนน ลงทุนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง การลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน การสนับสนุนเกษตรกร ทําการเกษตรเพื่อเป็นแหล่งอาหารโลก เน้นลดค่าใช้จ่ายในการลงทุน ขยายตลาดในการขายสินค้า ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องเตรียมเปิดรับการลงทุนของชาวต่างชาติ และการเปิดรับแรงงาน ซึ่งจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย และไม่กระทบต่อทรัพยากรของคนไทย
พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้เตรียมจัดหางบประมาณ การจัดเก็บภาษี ด้วยระบบระบบดิจิทัลเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ รวมถึงอาจมีการปรับ/เพิ่ม หน่วยงานที่มีความจําเป็นและมีประสิทธิภาพในการทํางาน เพื่อรองรับสิ่งใหม่ ๆ ในประเทศไทย นายกรัฐมนตรีย้ําว่ารัฐบาลได้เตรียมฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คือ การพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม (BCG Model) ประกอบไปด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของภาคอุตสาหกรรมประเทศด้วย
................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันประชาชนต้องได้รับประโยชน์จากงบประมาณ ยึดหลักใช้งบประมาณอย่างรอบคอบโครงการ แผนงานต้องสอดคล้องกับสถานการณ์
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563
นายกรัฐมนตรียืนยันประชาชนต้องได้รับประโยชน์จากงบประมาณ ยึดหลักใช้งบประมาณอย่างรอบคอบโครงการ แผนงานต้องสอดคล้องกับสถานการณ์
นายกรัฐมนตรียืนยันประชาชนต้องได้รับประโยชน์จากงบประมาณ ยึดหลักใช้งบประมาณอย่างรอบคอบโครงการ แผนงานต้องสอดคล้องกับสถานการณ์
วันนี้ (1 ก.ค. 63) เวลา 12.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ย้ํารัฐบาลตระหนักถึงการใช้งบประมาณที่ยังมีอยู่อย่างรอบคอบ ทั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2563 งบประมาณจาก พ.ร.บ. โอนงบประมาณฯ และงบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ ที่จะต้องดําเนินตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ
นายกรัฐมนตรีชี้แจงต่อรัฐสภาว่า งบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ ราว 4 แสนล้านบาทที่จะทยอยนํามาใช้ในการเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจ อยู่ในช่วงของการพิจารณาโครงการที่จะต้องผ่านการกลั่นกรองของคณะกรรมการ รวมถึงต้องผ่านการคัดกรองจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องมีรายละเอียดแผนงานที่ชัดเจนในการเบิกจ่ายงบประมาณ หากแผนงานโครงการไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ก็จะไม่ผ่านการอนุมัติ แต่วงเงินยังคงอยู่
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายส่วนหนึ่งของการใช้งบประมาณจาก พ.ร.ก. กู้เงินฯ เพื่อให้ภาคธุรกิจ SMEs ขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถดําเนินต่อไปได้ เนื่องจากทุกคนต่างได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้ รัฐบาลจึงต้องร่วมมือกับภาคธุรกิจในการฟื้นฟูเยียวยาประชาชน ส่งเสริมให้มีการจ้างงานต่อไป รวมถึงคํานึงถึงธุรกิจฐานราก ประชาชนที่มีรายได้น้อย ไม่มีหลักประกัน ให้สามารถเข้าถึงเงินทุนผ่านการกู้ยืม จึงได้จัดทํามาตรการ Soft Loan พร้อมระมัดระวังหนี้ที่อาจไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หนี้สาธารณะไม่ให้เพิ่มมากขึ้น เพราะเงินทุกบาทของกองทุนหรือธนาคาร เป็นเงินที่ประชาชนนํามาฝาก จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง
นายกรัฐมนตรียังย้ําต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ทํางานเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานของประชาชน ปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ ถนน ลงทุนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง การลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน การสนับสนุนเกษตรกร ทําการเกษตรเพื่อเป็นแหล่งอาหารโลก เน้นลดค่าใช้จ่ายในการลงทุน ขยายตลาดในการขายสินค้า ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องเตรียมเปิดรับการลงทุนของชาวต่างชาติ และการเปิดรับแรงงาน ซึ่งจะต้องเป็นไปตามกฎหมาย และไม่กระทบต่อทรัพยากรของคนไทย
พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้เตรียมจัดหางบประมาณ การจัดเก็บภาษี ด้วยระบบระบบดิจิทัลเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ รวมถึงอาจมีการปรับ/เพิ่ม หน่วยงานที่มีความจําเป็นและมีประสิทธิภาพในการทํางาน เพื่อรองรับสิ่งใหม่ ๆ ในประเทศไทย นายกรัฐมนตรีย้ําว่ารัฐบาลได้เตรียมฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คือ การพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม (BCG Model) ประกอบไปด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของภาคอุตสาหกรรมประเทศด้วย
................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33020
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ช่วยภัยน้ำท่วม ออกมาตรการพักชำระหนี้ลูกค้าเงินกู้ให้กู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท ปีแรกดอกเบี้ย 0% 3 เดือนแรกไม่ต้องจ่าย
|
วันพุธที่ 4 กันยายน 2562
ออมสิน ช่วยภัยน้ําท่วม ออกมาตรการพักชําระหนี้ลูกค้าเงินกู้ให้กู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท ปีแรกดอกเบี้ย 0% 3 เดือนแรกไม่ต้องจ่าย
ธ.ออมสินลงพื้นที่สํารวจภัยน้ําท่วม ช่วยเหลือบรรเทาเบื้องต้น พร้อมพักชําระหนี้ให้ลูกค้าเงินกู้ทุกประเภทตามความหนักเบา และให้กู้ฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” รายละ 50,000 บาท โดยปีแรกไม่คิดดอกเบี้ย และ 3 เดือนแรก ไม่ต้องจ่ายคืนเงินกู้
ธนาคารออมสิน ลงพื้นที่สํารวจภัยน้ําท่วม เพื่อช่วยเหลือบรรเทาเบื้องต้น พร้อมจัดโปรแกรมพักชําระหนี้ให้ลูกค้าเงินกู้ทุกประเภทตามความหนักเบา และให้กู้ฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” รายละ 50,000 บาท โดยปีแรกไม่คิดดอกเบี้ย และ 3 เดือนแรก ไม่ต้องจ่ายคืนเงินกู้
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า เหตุอุทกภัยน้ําท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ได้สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อลูกค้าและประชาชนทั่วไป ธนาคารออมสินจึงมีมาตรการบรรเทาความเดือดร้อน โดยผู้บริหารและพนักงานออกเยี่ยมเยียนประชาชนและลูกค้าพื้นที่ต่างๆ พร้อมกับสํารวจความเสียหายของลูกค้า ซึ่งเบื้องต้นแค่ 2 จังหวัดมีประมาณถึง 5,000 ครัวเรือนแล้ว พร้อมทั้งนําถุงยังชีพ/น้ําดื่มแจกจ่ายแล้วกว่า 5,000 ชุด/ขวด รวมถึงเข้าไปช่วยเหลือผ่านศูนย์ประสานงานช่วยเหลือตามจุดต่างๆ อีกด้วย ล่าสุดธนาคารฯ ช่วยเหลือด้านเงินกู้เป็นกรณีเร่งด่วน เพื่อแก้ไขและฟื้นฟูผู้ประสบภัย
ทั้งนี้ ธนาคารฯ ได้นําเสนอมาตรการผ่อนปรนการชําระหนี้ใก้กับลูกค้าสินเชื่อทุกประเภท คือ ระดับ 1 มีน้ําท่วมขังเกินกว่า 7 วัน ให้พักชําระเงินต้นโดยชําระแต่ดอกเบี้ยไม่เกิน 2 ปี ขยายเวลาชําระหนี้เท่ากับระยะเวลาพักชําระหนี้ ระดับ 2 มีน้ําท่วมขังเกินกว่า 7 วัน และมีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุง/ซ่อมแซม ให้พักชําระเงินต้นโดยชําระแต่ดอกเบี้ย 50% ในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี ระดับ 3 ทางราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัย และลูกค้า(บุคคลธรรมดา)ได้รับผลกระทบที่พักอาศัย/สถานประกอบการเสียหายส่งผลให้รายได้ลดลง และ/หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ธนาคารฯ ให้พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน หลังจากนั้นให้พักชําระเงินต้นโดยชําระแต่ดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 3 ปี และขยายเวลาชําระหนี้เท่ากับระยะเวลาพักชําระหนี้ หรือ พักชําระเงินต้นโดยชําระแต่ดอกเบี้ย 50% ในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี ส่วนลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs วงเงินกู้ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้ใช้มาตรการข้างต้นได้เช่นกัน สําหรับระยะเวลาการชําระหนี้ เช่น ลูกค้าสินเชื่อที่คํานวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) ให้ขยายระยะเวลาได้ไม่เกิน 2 เท่าของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญาเงินกู้หรือสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่ไม่เกิน 20 ปี ส่วนกรณีคํานวณดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate) ให้คํานวณเงินงวดตามคําสั่งธนาคารฯ โดยให้ขยายระยะเวลาได้ไม่เกิน 2 เท่า ของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญาเงินกู้หรือสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่ไม่เกิน 10 ปี เป็นต้น
ขณะที่ ลูกค้าสินเชื่อเคหะ ธนาคารฯ ให้กู้ซ่อมแซมต่อเติมส่วนที่เสียหายได้ 100% ของราคาประเมินเฉพาะที่จะซ่อ,แซมต่อเติม แต่ไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 = 0% ปีที่ 2-3 = 3% ต่อปี และ ปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR-0.75% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารฯ ปัจจุบัน = 6.87% ต่อปี)
อย่างไรก็ตาม ผู้ประสบภัยสามารถติดต่อยื่นกู้เงินฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุน้ําท่วมขัง/ภัยพิบัติ โดยให้กู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท ชําระเงินคืนเป็นรายเดือน ผ่อนชําระได้ 3-5 ปี แต่ 3 เดือนแรกไม่ต้องชําระ และธนาคารฯ ไม่คิดดอกเบี้ยในปีแรก หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.85 ต่อเดือน (Flat Rate) ใช้บุคคลค้ําประกันได้ไม่เกิน 2 คน มีอาชีพและรายได้แน่นอนตั้งแต่ 9,000 บาทขึ้นไปไม่น้อยกว่า 1 คน หรือใช้บัญชีเงินฝาก/สลากออมสินพิเศษ/อสังหาริมทรัพย์ หรือใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โครงการค้ําประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ค้ําประกัน ซึ่งธนาคารออมสินจ่ายค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 2% ต่อปีของภาระค้ําประกันให้แก่ผู้กู้ตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไปจนครบสัญญา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม จากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115 หรือสามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Facebook : GSB Society, Official Line : GSB ธนาคารออมสิน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน ช่วยภัยน้ำท่วม ออกมาตรการพักชำระหนี้ลูกค้าเงินกู้ให้กู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท ปีแรกดอกเบี้ย 0% 3 เดือนแรกไม่ต้องจ่าย
วันพุธที่ 4 กันยายน 2562
ออมสิน ช่วยภัยน้ําท่วม ออกมาตรการพักชําระหนี้ลูกค้าเงินกู้ให้กู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท ปีแรกดอกเบี้ย 0% 3 เดือนแรกไม่ต้องจ่าย
ธ.ออมสินลงพื้นที่สํารวจภัยน้ําท่วม ช่วยเหลือบรรเทาเบื้องต้น พร้อมพักชําระหนี้ให้ลูกค้าเงินกู้ทุกประเภทตามความหนักเบา และให้กู้ฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” รายละ 50,000 บาท โดยปีแรกไม่คิดดอกเบี้ย และ 3 เดือนแรก ไม่ต้องจ่ายคืนเงินกู้
ธนาคารออมสิน ลงพื้นที่สํารวจภัยน้ําท่วม เพื่อช่วยเหลือบรรเทาเบื้องต้น พร้อมจัดโปรแกรมพักชําระหนี้ให้ลูกค้าเงินกู้ทุกประเภทตามความหนักเบา และให้กู้ฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” รายละ 50,000 บาท โดยปีแรกไม่คิดดอกเบี้ย และ 3 เดือนแรก ไม่ต้องจ่ายคืนเงินกู้
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า เหตุอุทกภัยน้ําท่วมในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ได้สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อลูกค้าและประชาชนทั่วไป ธนาคารออมสินจึงมีมาตรการบรรเทาความเดือดร้อน โดยผู้บริหารและพนักงานออกเยี่ยมเยียนประชาชนและลูกค้าพื้นที่ต่างๆ พร้อมกับสํารวจความเสียหายของลูกค้า ซึ่งเบื้องต้นแค่ 2 จังหวัดมีประมาณถึง 5,000 ครัวเรือนแล้ว พร้อมทั้งนําถุงยังชีพ/น้ําดื่มแจกจ่ายแล้วกว่า 5,000 ชุด/ขวด รวมถึงเข้าไปช่วยเหลือผ่านศูนย์ประสานงานช่วยเหลือตามจุดต่างๆ อีกด้วย ล่าสุดธนาคารฯ ช่วยเหลือด้านเงินกู้เป็นกรณีเร่งด่วน เพื่อแก้ไขและฟื้นฟูผู้ประสบภัย
ทั้งนี้ ธนาคารฯ ได้นําเสนอมาตรการผ่อนปรนการชําระหนี้ใก้กับลูกค้าสินเชื่อทุกประเภท คือ ระดับ 1 มีน้ําท่วมขังเกินกว่า 7 วัน ให้พักชําระเงินต้นโดยชําระแต่ดอกเบี้ยไม่เกิน 2 ปี ขยายเวลาชําระหนี้เท่ากับระยะเวลาพักชําระหนี้ ระดับ 2 มีน้ําท่วมขังเกินกว่า 7 วัน และมีค่าใช้จ่ายในการปรับปรุง/ซ่อมแซม ให้พักชําระเงินต้นโดยชําระแต่ดอกเบี้ย 50% ในระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี ระดับ 3 ทางราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัย และลูกค้า(บุคคลธรรมดา)ได้รับผลกระทบที่พักอาศัย/สถานประกอบการเสียหายส่งผลให้รายได้ลดลง และ/หรือมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ธนาคารฯ ให้พักชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน หลังจากนั้นให้พักชําระเงินต้นโดยชําระแต่ดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 3 ปี และขยายเวลาชําระหนี้เท่ากับระยะเวลาพักชําระหนี้ หรือ พักชําระเงินต้นโดยชําระแต่ดอกเบี้ย 50% ในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี ส่วนลูกค้าสินเชื่อธุรกิจ SMEs วงเงินกู้ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้ใช้มาตรการข้างต้นได้เช่นกัน สําหรับระยะเวลาการชําระหนี้ เช่น ลูกค้าสินเชื่อที่คํานวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) ให้ขยายระยะเวลาได้ไม่เกิน 2 เท่าของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญาเงินกู้หรือสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่ไม่เกิน 20 ปี ส่วนกรณีคํานวณดอกเบี้ยแบบคงที่ (Flat Rate) ให้คํานวณเงินงวดตามคําสั่งธนาคารฯ โดยให้ขยายระยะเวลาได้ไม่เกิน 2 เท่า ของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญาเงินกู้หรือสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่ไม่เกิน 10 ปี เป็นต้น
ขณะที่ ลูกค้าสินเชื่อเคหะ ธนาคารฯ ให้กู้ซ่อมแซมต่อเติมส่วนที่เสียหายได้ 100% ของราคาประเมินเฉพาะที่จะซ่อ,แซมต่อเติม แต่ไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 = 0% ปีที่ 2-3 = 3% ต่อปี และ ปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR-0.75% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารฯ ปัจจุบัน = 6.87% ต่อปี)
อย่างไรก็ตาม ผู้ประสบภัยสามารถติดต่อยื่นกู้เงินฉุกเฉิน “สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากเหตุน้ําท่วมขัง/ภัยพิบัติ โดยให้กู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท ชําระเงินคืนเป็นรายเดือน ผ่อนชําระได้ 3-5 ปี แต่ 3 เดือนแรกไม่ต้องชําระ และธนาคารฯ ไม่คิดดอกเบี้ยในปีแรก หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.85 ต่อเดือน (Flat Rate) ใช้บุคคลค้ําประกันได้ไม่เกิน 2 คน มีอาชีพและรายได้แน่นอนตั้งแต่ 9,000 บาทขึ้นไปไม่น้อยกว่า 1 คน หรือใช้บัญชีเงินฝาก/สลากออมสินพิเศษ/อสังหาริมทรัพย์ หรือใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โครงการค้ําประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ค้ําประกัน ซึ่งธนาคารออมสินจ่ายค่าธรรมเนียมค้ําประกัน 2% ต่อปีของภาระค้ําประกันให้แก่ผู้กู้ตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไปจนครบสัญญา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม จากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115 หรือสามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Facebook : GSB Society, Official Line : GSB ธนาคารออมสิน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22766
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" หารือข้อเสนอแนะนโยบายและการปรับปรุงกฎหมายโทษประหารชีวิต
|
วันอังคารที่ 25 กันยายน 2561
"ยุติธรรม" หารือข้อเสนอแนะนโยบายและการปรับปรุงกฎหมายโทษประหารชีวิต
กระทรวงยุติธรรมหารือข้อเสนอแนะนโยบายและการปรับปรุงกฎหมายโทษประหารชีวิต
ในวันจันทร์ที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมหารือข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายโทษประหารชีวิต เพื่อติดตามรายงานสถานการณ์และการดําเนินการเกี่ยวกับการลงโทษและการบังคับโทษประหารชีวิตในประเทศไทยและข้อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรี ตลอดจนเพื่อพิจารณาข้อเสนอแนะและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตและหลักสิทธิมนุษยชน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ อาทิ เห็นควรรณรงค์ให้ความรู้และความเข้าใจแก่สังคมไทยเกี่ยวกับโทษประหารชีวิต ส่งเสริมกระบวนการยุติธรรม เชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) เพิ่มบทบาทครอบครัวและชุมชนในการคุมประพฤติผู้กระทําผิดมากขึ้น พัฒนาวิธีการบําบัดฟื้นฟูสุขภาพกายและจิต เช่น การใช้วิธีการบําบัดเกี่ยวกับกระบวนการคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavior Therapy) เพื่อพัฒนาพฤติกรรมที่ดีและเหมาะสมแทนพฤติกรรมการกระทําผิด ปรับปรุงระบบยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ถูกต้อง เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เร่งปฏิรูประบบเรือนจําให้สามารถรองรับนักโทษประหารชีวิต หากมีการเปลี่ยนโทษประหารชีวิตเป็นจําคุกตลอดชีวิต การมีมาตรการและเงื่อนไขทดแทนเมื่อมีการยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยอาจเปลี่ยนเป็นโทษจําคุกตลอดชีวิต ฯลฯ ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ยุติธรรม" หารือข้อเสนอแนะนโยบายและการปรับปรุงกฎหมายโทษประหารชีวิต
วันอังคารที่ 25 กันยายน 2561
"ยุติธรรม" หารือข้อเสนอแนะนโยบายและการปรับปรุงกฎหมายโทษประหารชีวิต
กระทรวงยุติธรรมหารือข้อเสนอแนะนโยบายและการปรับปรุงกฎหมายโทษประหารชีวิต
ในวันจันทร์ที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมหารือข้อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายโทษประหารชีวิต เพื่อติดตามรายงานสถานการณ์และการดําเนินการเกี่ยวกับการลงโทษและการบังคับโทษประหารชีวิตในประเทศไทยและข้อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรี ตลอดจนเพื่อพิจารณาข้อเสนอแนะและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับโทษประหารชีวิตและหลักสิทธิมนุษยชน ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ อาทิ เห็นควรรณรงค์ให้ความรู้และความเข้าใจแก่สังคมไทยเกี่ยวกับโทษประหารชีวิต ส่งเสริมกระบวนการยุติธรรม เชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) เพิ่มบทบาทครอบครัวและชุมชนในการคุมประพฤติผู้กระทําผิดมากขึ้น พัฒนาวิธีการบําบัดฟื้นฟูสุขภาพกายและจิต เช่น การใช้วิธีการบําบัดเกี่ยวกับกระบวนการคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavior Therapy) เพื่อพัฒนาพฤติกรรมที่ดีและเหมาะสมแทนพฤติกรรมการกระทําผิด ปรับปรุงระบบยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ถูกต้อง เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม เร่งปฏิรูประบบเรือนจําให้สามารถรองรับนักโทษประหารชีวิต หากมีการเปลี่ยนโทษประหารชีวิตเป็นจําคุกตลอดชีวิต การมีมาตรการและเงื่อนไขทดแทนเมื่อมีการยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยอาจเปลี่ยนเป็นโทษจําคุกตลอดชีวิต ฯลฯ ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป โดยมี ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15634
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนำเครือข่ายเน็ตอาสาประชารัฐ”
|
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเครือข่ายเน็ตอาสาประชารัฐ”
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเครือข่ายเน็ตอาสาประชารัฐ ภายใต้โครงการพัฒนาเครือข่ายเน็ตอาสาประชารัฐ” เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 2 อาคารอเนกประสงค์ สถาบันวิชาการ ทีโอที จังหวัดนนทบุรี โดยการอบรมในครั้งนี้เพื่อเป็นกลไกในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐคือ คนในพื้นที่ หรือคนที่อยู่ประจําหมู่บ้าน จะเป็นตัวแทนที่ทําหน้าที่เป็นตัวกลางในการนําดิจิทัลไปใช้หรือเรียกว่า “ผู้นําการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล” ลงสู่หมู่บ้าน ดังนั้นกระทรวงดิจิทัลฯ จึงได้พัฒนาแอปพลิเคชันเน็ตอาสาประชารัฐ เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารแบบ Two-Ways ซึ่งวิทยากรจะนําไปถ่ายทอดต่อให้กับเครือข่ายในหมู่บ้าน จึงเป็นจุดเริ่มต้นสําคัญของการวางโครงข่ายของการพัฒนาด้านดิจิทัลในหมู่บ้านเพี่อฝึกทักษะด้านการพูด การนําเสนอ การเตรียมการสอน และความรู้เกี่ยวกับเน็ตประชารัฐ เพื่อประโยชน์สูงสุดให้กับชุมชนซึ่งจะมีการขยายเครือข่ายไปยังการทํางานของกระทรวง ได้แก่ เครือข่ายลูกเสือไซเบอร์ เครือข่ายศูนย์ดิจิทัลชุมชนต่อไป
************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนำเครือข่ายเน็ตอาสาประชารัฐ”
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เปิดการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเครือข่ายเน็ตอาสาประชารัฐ”
รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
นาวาอากาศเอกสมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานพิธีเปิดการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเครือข่ายเน็ตอาสาประชารัฐ ภายใต้โครงการพัฒนาเครือข่ายเน็ตอาสาประชารัฐ” เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2561 ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 2 อาคารอเนกประสงค์ สถาบันวิชาการ ทีโอที จังหวัดนนทบุรี โดยการอบรมในครั้งนี้เพื่อเป็นกลไกในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจ รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐคือ คนในพื้นที่ หรือคนที่อยู่ประจําหมู่บ้าน จะเป็นตัวแทนที่ทําหน้าที่เป็นตัวกลางในการนําดิจิทัลไปใช้หรือเรียกว่า “ผู้นําการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัล” ลงสู่หมู่บ้าน ดังนั้นกระทรวงดิจิทัลฯ จึงได้พัฒนาแอปพลิเคชันเน็ตอาสาประชารัฐ เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารแบบ Two-Ways ซึ่งวิทยากรจะนําไปถ่ายทอดต่อให้กับเครือข่ายในหมู่บ้าน จึงเป็นจุดเริ่มต้นสําคัญของการวางโครงข่ายของการพัฒนาด้านดิจิทัลในหมู่บ้านเพี่อฝึกทักษะด้านการพูด การนําเสนอ การเตรียมการสอน และความรู้เกี่ยวกับเน็ตประชารัฐ เพื่อประโยชน์สูงสุดให้กับชุมชนซึ่งจะมีการขยายเครือข่ายไปยังการทํางานของกระทรวง ได้แก่ เครือข่ายลูกเสือไซเบอร์ เครือข่ายศูนย์ดิจิทัลชุมชนต่อไป
************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17050
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จับมือพาณิชย์ ขับเคลื่อน “ตลาดนำการผลิต” เปิดตัว M-Help Me
|
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563
กระทรวงเกษตรฯ จับมือพาณิชย์ ขับเคลื่อน “ตลาดนําการผลิต” เปิดตัว M-Help Me
กระทรวงเกษตรฯ จับมือพาณิชย์ ขับเคลื่อน “ตลาดนําการผลิต” เปิดตัว M-Help Me ซื้อ-ขาย-ขนส่ง-ประกัน-ชําระเงิน-ออนไลน์ ครบจบบนแอปฯ เดียว
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการแถลงข่าวเปิดตัวแอปพลิเคชัน “M-Help Me” ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามนโยบาย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การตลาดนําการเกษตรเพื่อปฏิรูปภาคการเกษตรให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดทํายุทธศาสตร์ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” โดยช่วยกันหาตลาดจําหน่ายผลผลิตทั้งในและต่างประเทศเพื่อรองรับผลผลิตและสินค้าเกษตร และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ขณะนี้ ทั่วโลกมีความต้องการอาหารและสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพการผลิตภาคเกษตรสูง รวมทั้ง การสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าเกษตร 4 หมวด คือ พืช ปศุสัตว์ ประมง และการแปรรูป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ได้ขยายการรับซื้อของตลาดเดิมและหาตลาดส่งออกใหม่ไปทั่วโลก ด้วยการสนับสนุนส่งเสริมเกษตรกร ผลิตสินค้าเกษตรที่ตรงกับความต้องการของตลาด เกษตรกรจะขายผลผลิตได้อย่างแน่นอน ยังส่งผลให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมทั้งการส่งเสริมด้าน สหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน กลุ่ม SME กลุ่มเกษตรกรรายย่อย และ Young Smart Farmers ให้มีทางเลือกในการจําหน่ายผลผลิตและสินค้าแปรรูปผ่านระบบออนไลน์ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงคมนาคม ให้ความสําคัญกับช่องทางออกสู่ตลาดของสินค้าเกษตร จึงได้บูรณาการร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมสามสิบหน่วยงาน ในการจัดระบบขนส่งของประเทศ โดยจัดพิธีลงนาม “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือแนวทางบริหารจัดการการขนส่งผลไม้ไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19” เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2563 ณ กระทรวงพาณิชย์ ความร่วมมือดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ ที่ให้ความสําคัญด้านการบริหารจัดการขนส่งผลไม้ที่รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อใช้ระบบการขนส่งในประเทศไทยช่วยกระจายผลผลิตผลไม้ที่ออกสู่ตลาดมากในปี 2563 ได้แก่ ทุเรียนมังคุด เงาะ ลองกอง ลิ้นจี่ ลําไย มะม่วง และองุ่น รวมถึง ไม้ผลอื่น ๆ ที่เป็นพืชเศรษฐกิจจากแหล่งผลิตโดยตรง นั่นคือเกษตรกร หรือโรงงานผู้ผลิต ไปยังผู้บริโภคทั้งภายในและนอกประเทศ หรือตลาดปลายทางให้ได้โดยเร็วโดยอาศัย กลไกการทํางานของระบบโลจิสติกส์ การขนส่งทางอากาศ ทางบก และทางเรือ และในส่วนการขนส่งสินค้าในสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงการซื้อขายผ่านออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มในการช่วยอํานวยความสะดวกแบบเบ็ดเสร็จ
“M-Help Me เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ของคนไทย ในการส่งเสริมการขายสินค้าเกษตรสู่ผู้บริโภคภายใต้นโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 และนโยบายตลาดนําการผลิต รวมทั้งพันธกิจร่วมเกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด ซึ่งเชื่อมั่นว่า M-Help Me จะเป็นกลไกสําคัญของประเทศเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถขายสินค้าเกษตรทั้งในและต่างประเทศ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ รวมทั้ง SMEs และโรงงานอุตสาหกรรมในภาคเกษตร สามารถเชื่อมโยงไปสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศได้เช่นเดียวกัน และสามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประเทศในยุคของการแพร่ระบาด COVID-19 เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหาร 1 ใน 10 ของโลกได้ตามที่รัฐบาลกําหนด และเป้าหมายสําคัญที่สุดคือการที่เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” นายอลงกรณ์ กล่าว
ด้าน นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน ผู้ก่อตั้งสมาคมการค้าธุรกิจบริการและผลิตภัณฑ์ผสมผสาน ได้เข้าร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความมือนี้ และได้สร้างความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่ดูแลด้านสินค้าเกษตร เพื่อวางแผนจากการผลิตไปจนถึงมือผู้บริโภค และสนับสนุนการดําเนินงานธุรกิจเกษตรด้วย องค์ความรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยพัฒนาระบบแพลตฟอร์มช่องทาง การตลาดออนไลน์ ผ่าน แอปพลิเคชั่น M-Help Me หรือ M-Man เป็นระบบ ซื้อ-ขาย-ขนส่ง-ประกัน-ชาระเงิน-ออนไลน์ ครบจบบนแอปฯ เดียว ช่วยอํานวยความสะดวกแบบเบ็ดเสร็จ ภายใต้โครงการคืนคุณแผ่นดิน ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ผลักดันการดําเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย เพื่อลดผลกระทบความเสียหายของผลผลิต และช่วยแก้ไขปัญหาผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ํา เพราะมีการกระจุกตัวภายในประเทศมากจนเกินความต้องการ
อย่างไรก็ตาม แม้วิกฤติจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปทั่วโลก แต่ความต้องการอาหารและสินค้าเกษตรยังคงมีอัตราที่สูง จึงจําเป็นที่ต้องสร้างความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่จะช่วยกันกระจายผลผลิตการเกษตรและอาหารสู่ตลาดถึงมือผู้บริโภค ด้วยช่องทางการตลาด ออนไลน์ ผ่าน แอปพลิเคชั่น M-Help Me ซื้อ-ขาย-ขนส่ง-ประกัน-ชาระเงิน-ออนไลน์ ครบจบบนแอปฯ เดียว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จับมือพาณิชย์ ขับเคลื่อน “ตลาดนำการผลิต” เปิดตัว M-Help Me
วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน 2563
กระทรวงเกษตรฯ จับมือพาณิชย์ ขับเคลื่อน “ตลาดนําการผลิต” เปิดตัว M-Help Me
กระทรวงเกษตรฯ จับมือพาณิชย์ ขับเคลื่อน “ตลาดนําการผลิต” เปิดตัว M-Help Me ซื้อ-ขาย-ขนส่ง-ประกัน-ชําระเงิน-ออนไลน์ ครบจบบนแอปฯ เดียว
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการแถลงข่าวเปิดตัวแอปพลิเคชัน “M-Help Me” ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามนโยบาย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การตลาดนําการเกษตรเพื่อปฏิรูปภาคการเกษตรให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดทํายุทธศาสตร์ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” โดยช่วยกันหาตลาดจําหน่ายผลผลิตทั้งในและต่างประเทศเพื่อรองรับผลผลิตและสินค้าเกษตร และฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ขณะนี้ ทั่วโลกมีความต้องการอาหารและสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพการผลิตภาคเกษตรสูง รวมทั้ง การสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าเกษตร 4 หมวด คือ พืช ปศุสัตว์ ประมง และการแปรรูป กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ได้ขยายการรับซื้อของตลาดเดิมและหาตลาดส่งออกใหม่ไปทั่วโลก ด้วยการสนับสนุนส่งเสริมเกษตรกร ผลิตสินค้าเกษตรที่ตรงกับความต้องการของตลาด เกษตรกรจะขายผลผลิตได้อย่างแน่นอน ยังส่งผลให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมทั้งการส่งเสริมด้าน สหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน กลุ่ม SME กลุ่มเกษตรกรรายย่อย และ Young Smart Farmers ให้มีทางเลือกในการจําหน่ายผลผลิตและสินค้าแปรรูปผ่านระบบออนไลน์ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงคมนาคม ให้ความสําคัญกับช่องทางออกสู่ตลาดของสินค้าเกษตร จึงได้บูรณาการร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมสามสิบหน่วยงาน ในการจัดระบบขนส่งของประเทศ โดยจัดพิธีลงนาม “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือแนวทางบริหารจัดการการขนส่งผลไม้ไทยได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19” เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2563 ณ กระทรวงพาณิชย์ ความร่วมมือดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ ที่ให้ความสําคัญด้านการบริหารจัดการขนส่งผลไม้ที่รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อใช้ระบบการขนส่งในประเทศไทยช่วยกระจายผลผลิตผลไม้ที่ออกสู่ตลาดมากในปี 2563 ได้แก่ ทุเรียนมังคุด เงาะ ลองกอง ลิ้นจี่ ลําไย มะม่วง และองุ่น รวมถึง ไม้ผลอื่น ๆ ที่เป็นพืชเศรษฐกิจจากแหล่งผลิตโดยตรง นั่นคือเกษตรกร หรือโรงงานผู้ผลิต ไปยังผู้บริโภคทั้งภายในและนอกประเทศ หรือตลาดปลายทางให้ได้โดยเร็วโดยอาศัย กลไกการทํางานของระบบโลจิสติกส์ การขนส่งทางอากาศ ทางบก และทางเรือ และในส่วนการขนส่งสินค้าในสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงการซื้อขายผ่านออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มในการช่วยอํานวยความสะดวกแบบเบ็ดเสร็จ
“M-Help Me เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ของคนไทย ในการส่งเสริมการขายสินค้าเกษตรสู่ผู้บริโภคภายใต้นโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 และนโยบายตลาดนําการผลิต รวมทั้งพันธกิจร่วมเกษตรผลิตพาณิชย์ตลาด ซึ่งเชื่อมั่นว่า M-Help Me จะเป็นกลไกสําคัญของประเทศเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถขายสินค้าเกษตรทั้งในและต่างประเทศ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ รวมทั้ง SMEs และโรงงานอุตสาหกรรมในภาคเกษตร สามารถเชื่อมโยงไปสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศได้เช่นเดียวกัน และสามารถสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประเทศในยุคของการแพร่ระบาด COVID-19 เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหาร 1 ใน 10 ของโลกได้ตามที่รัฐบาลกําหนด และเป้าหมายสําคัญที่สุดคือการที่เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” นายอลงกรณ์ กล่าว
ด้าน นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน ผู้ก่อตั้งสมาคมการค้าธุรกิจบริการและผลิตภัณฑ์ผสมผสาน ได้เข้าร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความมือนี้ และได้สร้างความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานที่ดูแลด้านสินค้าเกษตร เพื่อวางแผนจากการผลิตไปจนถึงมือผู้บริโภค และสนับสนุนการดําเนินงานธุรกิจเกษตรด้วย องค์ความรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยพัฒนาระบบแพลตฟอร์มช่องทาง การตลาดออนไลน์ ผ่าน แอปพลิเคชั่น M-Help Me หรือ M-Man เป็นระบบ ซื้อ-ขาย-ขนส่ง-ประกัน-ชาระเงิน-ออนไลน์ ครบจบบนแอปฯ เดียว ช่วยอํานวยความสะดวกแบบเบ็ดเสร็จ ภายใต้โครงการคืนคุณแผ่นดิน ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ผลักดันการดําเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย เพื่อลดผลกระทบความเสียหายของผลผลิต และช่วยแก้ไขปัญหาผลผลิตล้นตลาด ราคาตกต่ํา เพราะมีการกระจุกตัวภายในประเทศมากจนเกินความต้องการ
อย่างไรก็ตาม แม้วิกฤติจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปทั่วโลก แต่ความต้องการอาหารและสินค้าเกษตรยังคงมีอัตราที่สูง จึงจําเป็นที่ต้องสร้างความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ที่จะช่วยกันกระจายผลผลิตการเกษตรและอาหารสู่ตลาดถึงมือผู้บริโภค ด้วยช่องทางการตลาด ออนไลน์ ผ่าน แอปพลิเคชั่น M-Help Me ซื้อ-ขาย-ขนส่ง-ประกัน-ชาระเงิน-ออนไลน์ ครบจบบนแอปฯ เดียว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32744
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
|
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560
พม. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
พม. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เร่งสํารวจผู้ประสบภัยเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
วันนี้ (29 ก.ค. 60) เวลา 14.30 น.นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักและน้ําท่วมจากอิทธิพลของพายุเซินกา ส่งผลให้เกิดอุทกภัยในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ณ บริเวณชั้น 2 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ พร้อมทั้งสั่งการให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่และเร่งสํารวจผู้ประสบภัยที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงฯ ได้แก่เด็ก ผู้สูงอายุคนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม โดยให้รายงานผลดังกล่าวกลับมายังศูนย์ปฏิบัติการฯ เพื่อดําเนินการช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. ต่อไป
"ทั้งนี้ ประชาชนที่ประสบภัยดังกล่าว สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือมาที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย ในทุกจังหวัดอย่างเต็มที่”นายณรงค์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560
พม. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
พม. จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เร่งสํารวจผู้ประสบภัยเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม
วันนี้ (29 ก.ค. 60) เวลา 14.30 น.นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักและน้ําท่วมจากอิทธิพลของพายุเซินกา ส่งผลให้เกิดอุทกภัยในหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบและความเดือดร้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการติดตามสถานการณ์และช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ณ บริเวณชั้น 2 กระทรวง พม. สะพานขาว กรุงเทพฯ พร้อมทั้งสั่งการให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทุกจังหวัด บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่และเร่งสํารวจผู้ประสบภัยที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงฯ ได้แก่เด็ก ผู้สูงอายุคนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม โดยให้รายงานผลดังกล่าวกลับมายังศูนย์ปฏิบัติการฯ เพื่อดําเนินการช่วยเหลือตามภารกิจของกระทรวง พม. ต่อไป
"ทั้งนี้ ประชาชนที่ประสบภัยดังกล่าว สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือมาที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย ในทุกจังหวัดอย่างเต็มที่”นายณรงค์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5586
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พบปะ กศน.-สช. ส่วนกลาง
|
วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม 2562
พบปะ กศน.-สช. ส่วนกลาง
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมสํานักงาน กศน. และ สช. เพื่อต้องการพบปะและมาดูความเป็นอยู่ของผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่กํากับและดูแล
เมื่อวันพุธที่ 7 สิงหาคม 2562 เวลาประมาณ 9.00 น. นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมสํานักงาน กศน. และ สช. เพื่อต้องการพบปะและมาดูความเป็นอยู่ของผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่กํากับและดูแล พร้อมรวบรวมประเด็นปัญหา ข้อติดขัด และความต้องการ เพื่อนําเสนอฝ่ายนโยบายให้การสนับสนุนอย่างเป็นระบบตามความจําเป็นเร่งด่วน ที่จะเป็นการพัฒนางานให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า รัฐบาลโดยการนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญกับการศึกษาเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา โดยได้เน้นย้ําอยู่เสมอว่า ให้กระทรวงศึกษาธิการบูรณาการการทํางานร่วมกัน พร้อมจัดหลักสูตรให้มีความทันสมัย ปรับปรุงเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ ส่วนในเรื่องของภาษาอังกฤษเน้นให้สามารถสื่อสารได้ดี ส่วนภาษาต่างประเทศอื่นให้มีการส่งเสริมเรียนรู้ควบคู่กันไป
ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีทั้ง 3 ท่านมีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะพัฒนางานด้านการศึกษาของประเทศร่วมกัน และโดยส่วนตัวก็มีความรู้สึกยินดี ที่ได้มาช่วยกํากับดูแลและมีโอกาสร่วมทํางานกับชาว กศน. และการศึกษาเอกชนทุกคน ซึ่งจากการเยี่ยมชมทั้ง 2 หน่วยงาน ถือว่าดําเนินการได้เป็นอย่างดี ขอชื่นชมทุกคนทุกฝ่ายที่ช่วยกันผลักดันและทําให้ประชาชน เด็ก และเยาวชน มีโอกาสทางการศึกษาที่หลากหลาย มีความรู้ความสามารถเทียบเท่ามาตรฐานระดับประเทศและระดับนานาชาติ รู้หนังสือเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตําบลใด เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ เป็นการสร้างงานและรายได้ในชุมชนหมู่บ้านทั่วประเทศ นํามาซึ่งความสุขของประชาชนอย่างต่อเนื่องโดยตลอด
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ถือเป็นเรื่องที่สําคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้ประเทศมีกําลังคนที่มีคุณภาพ และพร้อมที่จะนําพาประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย สําหรับปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอเพื่อพัฒนางานต่าง ๆ มีความยินดีรับฟังและพร้อมช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ขอให้รวบรวมเสนอขึ้นมาอย่างเป็นระบบ เพื่อฝ่ายนโยบายจะได้พิจารณาในภาพรวม พร้อมหาทางช่วยสนับสนุนหรือแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดตามความจําเป็นเร่งด่วนต่อไป
สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หรือ “สํานักงาน กศน.” (Office of the Non-Formal and Informal Education : ONIE) ดําเนินงานภายใต้ปรัชญา “สร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม เพื่อเติมเต็มการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ให้แก่กลุ่มเป้าหมายพิเศษ”
โดยมีหน้าที่ในการจัดทําแผนแม่บทการศึกษานอระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สําหรับกลุ่มเป้าหมายพิเศษ (ผู้สูงอายุ คนพิการ เด็กด้อยโอกาส คนไทยในต่างประเทศ และกลุ่มเป้าหมายตามนโยบายเร่งด่วน) จัด ส่งเสริม สนับสนุน และประสานงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พร้อมส่งเสริมให้ภาคีเครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วม รวมทั้งจัดทํามาตรฐานการศึกษา พัฒนาหลักสูตร รูปแบบ สื่อ กระบวนการเรียนการสอน วัดและประเมินผล และพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ มีข้อเสนอเกี่ยวกับการทํางาน ได้แก่ ในเรื่องของสถานภาพยังไม่เป็นนิติบุคคล ทําให้ขาดความคล่องตัว งบประมาณไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติตามนโยบาย และขาดงบประมาณด้านการนิเทศติดตามในพื้นที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศ ซึ่งมีอยู่ 49 ศูนย์การเรียนใน 23 ประเทศทั่วโลก
สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หรือ “สช.” (Office of the Private Education Commission : OPEC) ดําเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “ผู้เรียนเป็นพลเมืองดี มีความรู้และทักษะที่จําเป็น เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ด้วยระบบการศึกษาที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน”
โดยมีหน้าที่พัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นพลเมืองที่มีศักยภาพ ตามเป้าหมายการพัฒนาคนของประเทศ ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพมาตรฐาน ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม พร้อมจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและสะท้อนความต้องการจําเป็นที่แตกต่างกัน รวมทั้งพัฒนาคุณภาพโรงเรียนให้มีคุณภาพและแข่งขันได้ และพัฒนาการบริหารราชการของสํานักงานให้มีศักยภาพสูงและบรรลุเป้าหมายของการพัฒนา
ทั้งนี้ได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับการเพิ่มอัตรากําลังบุคลากร เพื่อตอบสนองการจัดการศึกษาเอกชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ อาทิ บุคลากรส่วนกลาง รองรับสถานศึกษาเอกชนในกรุงเทพฯ กว่า 300 แห่ง, ศึกษานิเทศก์ใน สช.จังหวัดชายแดนภาคใต้และส่วนกลาง, ครูสายการสอนในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ ตลอดจนอาคารสถานที่สําหรับหน่วยงานของ สช.ในส่วนกลางซึ่งยังกระจายกันอยู่
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พบปะ กศน.-สช. ส่วนกลาง
วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม 2562
พบปะ กศน.-สช. ส่วนกลาง
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมสํานักงาน กศน. และ สช. เพื่อต้องการพบปะและมาดูความเป็นอยู่ของผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่กํากับและดูแล
เมื่อวันพุธที่ 7 สิงหาคม 2562 เวลาประมาณ 9.00 น. นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยี่ยมชมสํานักงาน กศน. และ สช. เพื่อต้องการพบปะและมาดูความเป็นอยู่ของผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่กํากับและดูแล พร้อมรวบรวมประเด็นปัญหา ข้อติดขัด และความต้องการ เพื่อนําเสนอฝ่ายนโยบายให้การสนับสนุนอย่างเป็นระบบตามความจําเป็นเร่งด่วน ที่จะเป็นการพัฒนางานให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า รัฐบาลโดยการนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญกับการศึกษาเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา โดยได้เน้นย้ําอยู่เสมอว่า ให้กระทรวงศึกษาธิการบูรณาการการทํางานร่วมกัน พร้อมจัดหลักสูตรให้มีความทันสมัย ปรับปรุงเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ ส่วนในเรื่องของภาษาอังกฤษเน้นให้สามารถสื่อสารได้ดี ส่วนภาษาต่างประเทศอื่นให้มีการส่งเสริมเรียนรู้ควบคู่กันไป
ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีทั้ง 3 ท่านมีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะพัฒนางานด้านการศึกษาของประเทศร่วมกัน และโดยส่วนตัวก็มีความรู้สึกยินดี ที่ได้มาช่วยกํากับดูแลและมีโอกาสร่วมทํางานกับชาว กศน. และการศึกษาเอกชนทุกคน ซึ่งจากการเยี่ยมชมทั้ง 2 หน่วยงาน ถือว่าดําเนินการได้เป็นอย่างดี ขอชื่นชมทุกคนทุกฝ่ายที่ช่วยกันผลักดันและทําให้ประชาชน เด็ก และเยาวชน มีโอกาสทางการศึกษาที่หลากหลาย มีความรู้ความสามารถเทียบเท่ามาตรฐานระดับประเทศและระดับนานาชาติ รู้หนังสือเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตําบลใด เพิ่มช่องทางการเข้าถึงสื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ เป็นการสร้างงานและรายได้ในชุมชนหมู่บ้านทั่วประเทศ นํามาซึ่งความสุขของประชาชนอย่างต่อเนื่องโดยตลอด
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ถือเป็นเรื่องที่สําคัญต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้ประเทศมีกําลังคนที่มีคุณภาพ และพร้อมที่จะนําพาประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย สําหรับปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอเพื่อพัฒนางานต่าง ๆ มีความยินดีรับฟังและพร้อมช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ขอให้รวบรวมเสนอขึ้นมาอย่างเป็นระบบ เพื่อฝ่ายนโยบายจะได้พิจารณาในภาพรวม พร้อมหาทางช่วยสนับสนุนหรือแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดตามความจําเป็นเร่งด่วนต่อไป
สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หรือ “สํานักงาน กศน.” (Office of the Non-Formal and Informal Education : ONIE) ดําเนินงานภายใต้ปรัชญา “สร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม เพื่อเติมเต็มการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ให้แก่กลุ่มเป้าหมายพิเศษ”
โดยมีหน้าที่ในการจัดทําแผนแม่บทการศึกษานอระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สําหรับกลุ่มเป้าหมายพิเศษ (ผู้สูงอายุ คนพิการ เด็กด้อยโอกาส คนไทยในต่างประเทศ และกลุ่มเป้าหมายตามนโยบายเร่งด่วน) จัด ส่งเสริม สนับสนุน และประสานงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พร้อมส่งเสริมให้ภาคีเครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วม รวมทั้งจัดทํามาตรฐานการศึกษา พัฒนาหลักสูตร รูปแบบ สื่อ กระบวนการเรียนการสอน วัดและประเมินผล และพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ มีข้อเสนอเกี่ยวกับการทํางาน ได้แก่ ในเรื่องของสถานภาพยังไม่เป็นนิติบุคคล ทําให้ขาดความคล่องตัว งบประมาณไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติตามนโยบาย และขาดงบประมาณด้านการนิเทศติดตามในพื้นที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศ ซึ่งมีอยู่ 49 ศูนย์การเรียนใน 23 ประเทศทั่วโลก
สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หรือ “สช.” (Office of the Private Education Commission : OPEC) ดําเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “ผู้เรียนเป็นพลเมืองดี มีความรู้และทักษะที่จําเป็น เรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ด้วยระบบการศึกษาที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน”
โดยมีหน้าที่พัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นพลเมืองที่มีศักยภาพ ตามเป้าหมายการพัฒนาคนของประเทศ ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพมาตรฐาน ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม พร้อมจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและสะท้อนความต้องการจําเป็นที่แตกต่างกัน รวมทั้งพัฒนาคุณภาพโรงเรียนให้มีคุณภาพและแข่งขันได้ และพัฒนาการบริหารราชการของสํานักงานให้มีศักยภาพสูงและบรรลุเป้าหมายของการพัฒนา
ทั้งนี้ได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับการเพิ่มอัตรากําลังบุคลากร เพื่อตอบสนองการจัดการศึกษาเอกชนอย่างเต็มประสิทธิภาพ อาทิ บุคลากรส่วนกลาง รองรับสถานศึกษาเอกชนในกรุงเทพฯ กว่า 300 แห่ง, ศึกษานิเทศก์ใน สช.จังหวัดชายแดนภาคใต้และส่วนกลาง, ครูสายการสอนในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ ตลอดจนอาคารสถานที่สําหรับหน่วยงานของ สช.ในส่วนกลางซึ่งยังกระจายกันอยู่
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22080
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ. ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561
|
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2561
รองนรม. พล.อ. ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561
โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์และแผนงานการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจร (พ.ศ. 2561-2579)
ประกอบกับนโยบาย "พลิกฟื้นผืนป่าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ตามนโยบายของรัฐบาล
วันนี้ (21 มิ.ย. 61) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญได้ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวก รวดเร็ว โดยเปิดโอกาส ให้ภาคส่วนต่าง ๆ ได้ศึกษา วิเคราะห์ และสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนหรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาสังคม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทําร่างกฎกระทรวง ระเบียบ เพื่อรองรับ ร่าง พ.ร.บ. ป่าชุมชน พ.ศ. .... ภายใต้กิจกรรม “ร่วมคิด ร่วมสร้าง ร่วมร่างกฎกติกาป่าชุมชน”
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์และแผนงานการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจร (พ.ศ.2561-2579) ประกอบกับนโยบาย "พลิกฟื้นผืนป่าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ตามนโยบายของรัฐบาล ที่มีการกําหนดมาตรการเพิ่มพื้นที่ป่าและพื้นที่สีเขียว โดยมีวิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์และแผนงานการส่งเสริมไม้ เศรษฐกิจแบบครบวงจร คือต้องการให้ไม้เศรษฐกิจที่นําประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนบนพื้นฐานการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงมีเป้าประสงค์ และตัวชี้วัด 3 ด้าน คือพื้นที่ปลูกไม้เศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่า 26 ล้านไร่ รายได้เฉลี่ยของเกษตรกรผู้ปลูกไม้เศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 420,000 บาทต่อคนต่อปี และผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคป่าไม้ชองประเทศไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านบาท ส่วนยุทธศาสตร์ประกอบไปด้วย 7 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจ การจัดเตรียมพื้นที่รองรับการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจ การพัฒนามาตรการทางการคลัง การเงิน และระบบการตลาด เพื่อสร้างแรงจูงใจ การพัฒนาศักยภาพเกษตรกร และผู้ประกอบการไม้เศรษฐกิจ ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมไม้เศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริหารงานเพื่อส่งเสริมไม้เศรษฐกิจ และการพัฒนาระบบรับรองป่าไม้ โดยมีกลไกขับเคลื่อนคือ องค์กร และบุคลากรที่มีสมรรถนะสูง แผนปฏิบัติการรองรับ รวมทั้งระบบข้อมูลและสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจและความพร้อมของกฎระเบียบและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้องค์กรและชุมชนขับเคลื่อนไม้เศรษฐกิจที่เข้มแข็งและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคทุกส่วนอย่างทั่วถึง
ตอนท้ายของการประชุม ประธานได้กล่าวย้ําถึงประโยชน์ของร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... ซึ่งรัฐบาล โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายที่จะรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร พร้อมสร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนโดยกําหนดขยายป่าชุมชนให้มากขึ้น เพื่อให้โอกาสประชาชนที่ดูแลป่าไม้ได้รับสิทธิในการจัดการป่าชุมชนได้ โดยมีกฎหมายรองรับส่งผลให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทําให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้เพื่อให้คนในชุมชนได้บริหารจัดการป่าในพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์และประชาชนในชุมชนสามารถใช้ประโยชน์อย่างสมดุลยั่งยืน ขณะเดียวกันยังใช้เป็นแหล่งอาหารของชุมชน รวมทั้งเป็นการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในชุมชน ตลอดจนเกิดแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ทําให้มีการกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างต่อเนื่องและสม่ําเสมอ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ และการขับเคลื่อนให้คนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป
...................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ. ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2561
รองนรม. พล.อ. ประวิตรฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561
โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์และแผนงานการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจร (พ.ศ. 2561-2579)
ประกอบกับนโยบาย "พลิกฟื้นผืนป่าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ตามนโยบายของรัฐบาล
วันนี้ (21 มิ.ย. 61) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญได้ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวก รวดเร็ว โดยเปิดโอกาส ให้ภาคส่วนต่าง ๆ ได้ศึกษา วิเคราะห์ และสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนหรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาสังคม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทําร่างกฎกระทรวง ระเบียบ เพื่อรองรับ ร่าง พ.ร.บ. ป่าชุมชน พ.ศ. .... ภายใต้กิจกรรม “ร่วมคิด ร่วมสร้าง ร่วมร่างกฎกติกาป่าชุมชน”
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์และแผนงานการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจแบบครบวงจร (พ.ศ.2561-2579) ประกอบกับนโยบาย "พลิกฟื้นผืนป่าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ตามนโยบายของรัฐบาล ที่มีการกําหนดมาตรการเพิ่มพื้นที่ป่าและพื้นที่สีเขียว โดยมีวิสัยทัศน์ของยุทธศาสตร์และแผนงานการส่งเสริมไม้ เศรษฐกิจแบบครบวงจร คือต้องการให้ไม้เศรษฐกิจที่นําประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนบนพื้นฐานการเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงมีเป้าประสงค์ และตัวชี้วัด 3 ด้าน คือพื้นที่ปลูกไม้เศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่า 26 ล้านไร่ รายได้เฉลี่ยของเกษตรกรผู้ปลูกไม้เศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 420,000 บาทต่อคนต่อปี และผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคป่าไม้ชองประเทศไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านบาท ส่วนยุทธศาสตร์ประกอบไปด้วย 7 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจ การจัดเตรียมพื้นที่รองรับการส่งเสริมไม้เศรษฐกิจ การพัฒนามาตรการทางการคลัง การเงิน และระบบการตลาด เพื่อสร้างแรงจูงใจ การพัฒนาศักยภาพเกษตรกร และผู้ประกอบการไม้เศรษฐกิจ ตลอดจนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมไม้เศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพระบบการบริหารงานเพื่อส่งเสริมไม้เศรษฐกิจ และการพัฒนาระบบรับรองป่าไม้ โดยมีกลไกขับเคลื่อนคือ องค์กร และบุคลากรที่มีสมรรถนะสูง แผนปฏิบัติการรองรับ รวมทั้งระบบข้อมูลและสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจและความพร้อมของกฎระเบียบและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้องค์กรและชุมชนขับเคลื่อนไม้เศรษฐกิจที่เข้มแข็งและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคทุกส่วนอย่างทั่วถึง
ตอนท้ายของการประชุม ประธานได้กล่าวย้ําถึงประโยชน์ของร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. .... ซึ่งรัฐบาล โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายที่จะรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร พร้อมสร้างความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนโดยกําหนดขยายป่าชุมชนให้มากขึ้น เพื่อให้โอกาสประชาชนที่ดูแลป่าไม้ได้รับสิทธิในการจัดการป่าชุมชนได้ โดยมีกฎหมายรองรับส่งผลให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทําให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้เพื่อให้คนในชุมชนได้บริหารจัดการป่าในพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์และประชาชนในชุมชนสามารถใช้ประโยชน์อย่างสมดุลยั่งยืน ขณะเดียวกันยังใช้เป็นแหล่งอาหารของชุมชน รวมทั้งเป็นการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในชุมชน ตลอดจนเกิดแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ทําให้มีการกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างต่อเนื่องและสม่ําเสมอ สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ และการขับเคลื่อนให้คนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป
...................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13234
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมงาน “โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2561” (SETA 2018)
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมงาน “โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2561” (SETA 2018)
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวต้อนรับในพิธีเปิดงานเทคโนโลยีพลังงานยุคใหม่สู่ประเทศไทย 4.0 ครั้งแรกของไทย ภายใต้ชื่องานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติ “โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2561” (Sustainable Energy Technology Asia 2018 : SETA 2018) ในหัวข้อ “Towards Consolidated Innovative Energy Technology” โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่ง บริษัท แกท อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภาวิศวกร สภาสถาปนิก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร จัดขึ้น เพื่อผลักดันและเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการจัดการพลังงาน เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน โดยการสนับสนุนของกระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงคมนาคม ระหว่างวันที่ 21-23 มีนาคม 2561 ซึ่งภายในงานได้จัดแสดงเทรดโชว์ด้านเทคโนโลยีพลังงานและนวัตกรรมสุดล้ําที่สามารถนํามาปรับใช้ในชีวิตประจําวันและชุมชนให้เหมาะสมได้อย่างปลอดภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองรูปแบบการดําเนินชีวิตแบบสมาร์ทดิจิทัล ทั้งนี้ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับจังหวัดขอนแก่นในฐานะเมืองอัจฉริยะนําร่องของไทย ยังได้ร่วมออกบูธจัดแสดงความเป็น Smart City ต้นแบบ ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการสร้างการกระตุ้นให้ประชาชนพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงได้ในทุกๆ ระดับ เพื่อก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 หรือก้าวกระโดดไปสู่ความเป็น Global City ได้ในระยะเวลาอันสั้นและยั่งยืน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2561 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เขตบางนา กรุงเทพฯ
*********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมงาน “โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2561” (SETA 2018)
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมงาน “โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2561” (SETA 2018)
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวต้อนรับในพิธีเปิดงานเทคโนโลยีพลังงานยุคใหม่สู่ประเทศไทย 4.0 ครั้งแรกของไทย ภายใต้ชื่องานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติ “โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2561” (Sustainable Energy Technology Asia 2018 : SETA 2018) ในหัวข้อ “Towards Consolidated Innovative Energy Technology” โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่ง บริษัท แกท อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สภาวิศวกร สภาสถาปนิก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร จัดขึ้น เพื่อผลักดันและเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการจัดการพลังงาน เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน โดยการสนับสนุนของกระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงคมนาคม ระหว่างวันที่ 21-23 มีนาคม 2561 ซึ่งภายในงานได้จัดแสดงเทรดโชว์ด้านเทคโนโลยีพลังงานและนวัตกรรมสุดล้ําที่สามารถนํามาปรับใช้ในชีวิตประจําวันและชุมชนให้เหมาะสมได้อย่างปลอดภัยต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองรูปแบบการดําเนินชีวิตแบบสมาร์ทดิจิทัล ทั้งนี้ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับจังหวัดขอนแก่นในฐานะเมืองอัจฉริยะนําร่องของไทย ยังได้ร่วมออกบูธจัดแสดงความเป็น Smart City ต้นแบบ ซึ่งเป็นกลไกสําคัญในการสร้างการกระตุ้นให้ประชาชนพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงได้ในทุกๆ ระดับ เพื่อก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 หรือก้าวกระโดดไปสู่ความเป็น Global City ได้ในระยะเวลาอันสั้นและยั่งยืน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2561 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เขตบางนา กรุงเทพฯ
*********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10975
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน แจ้งปิดบริการระบบ ATM 2 ช่วงเวลา ระหว่าง 00.30 – 06.30 น. ของวันที่ 13 และ 14 ต.ค.60 และ ปิดปรับปรุงระบบงานบัตรเครดิต วันที่ 13 ต.ค.60 เวลา 00.30 – 02.30 น.
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560
ออมสิน แจ้งปิดบริการระบบ ATM 2 ช่วงเวลา ระหว่าง 00.30 – 06.30 น. ของวันที่ 13 และ 14 ต.ค.60 และ ปิดปรับปรุงระบบงานบัตรเครดิต วันที่ 13 ต.ค.60 เวลา 00.30 – 02.30 น.
ธนาคารออมสิน แจ้งปิดบริการเพื่อทดสอบแผนกู้ระบบงานกรณีฉุกเฉินสําหรับระบบ ATM ช่วงเวลา 00.30 – 06.30 น. ของวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 และวันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2560 พร้อมทั้งปิดปรับปรุงระบบงานบัตรเครดิตในวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 เวลา 00.30 – 02.30 น.
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารฯ ขอแจ้งปิดบริการเพื่อทดสอบแผนกู้ระบบงานกรณีฉุกเฉินสําหรับระบบ ATM จํานวน 2 ครั้ง ในวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 เวลา 00.30 - 06.30 น. และ วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2560 เวลา 00.30 - 06.30 น. ซึ่งจะทําให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการในบางธุรกรรมของธนาคารออมสินได้ ได้แก่ บัตรออมสิน ATM บัตรออมสินเดบิตวีซ่าทุกประเภท ไม่สามารถใช้บริการธุรกรรมทางการเงินทั้งในและต่างประเทศ บริการโอนเงินจากต่างประเทศเข้าบัตรออมสินเดบิตวีซ่าทุกประเภท (Fast Funds) ช่องทางบริการทั้งหมดผ่าน MyMo, Internet Banking และ ORFT กับต่างธนาคาร รวมถึง การฝากเงินสดผ่านเครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติ จึงต้องขออภัยลูกค้าทุกท่านในความไม่สะดวกครั้งนี้
ขณะเดียวกัน ธนาคารฯ ขอแจ้งปิดปรับปรุงระบบงานบัตรเครดิต (Cardlink) เป็นการชั่วคราว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต ในวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 ระหว่างเวลา 00.30 – 02.30 น. ซึ่งจะทําให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการผ่านบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดในบางธุรกรรม ได้แก่ การซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC ณ ร้านค้าที่ใช้เครื่อง EDC ของธนาคารออมสิน, การซื้อสินค้าและบริการผ่าน Internet (Online Shopping) และ การซื้อสินค้าและบริการผ่าน GSB PAY Mobile Application รวมถึงไม่สามารถถอนเงินสดที่ตู้ ATM ธนาคารออมสินและธนาคารอื่นได้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Facebook : GSB Society, Official Line : GSB ธนาคารออมสิน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115 หรือ MyMo Call Center โทร.1143 หรือ Call Center บัตรเครดิต โทร.02-299-8888
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน แจ้งปิดบริการระบบ ATM 2 ช่วงเวลา ระหว่าง 00.30 – 06.30 น. ของวันที่ 13 และ 14 ต.ค.60 และ ปิดปรับปรุงระบบงานบัตรเครดิต วันที่ 13 ต.ค.60 เวลา 00.30 – 02.30 น.
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560
ออมสิน แจ้งปิดบริการระบบ ATM 2 ช่วงเวลา ระหว่าง 00.30 – 06.30 น. ของวันที่ 13 และ 14 ต.ค.60 และ ปิดปรับปรุงระบบงานบัตรเครดิต วันที่ 13 ต.ค.60 เวลา 00.30 – 02.30 น.
ธนาคารออมสิน แจ้งปิดบริการเพื่อทดสอบแผนกู้ระบบงานกรณีฉุกเฉินสําหรับระบบ ATM ช่วงเวลา 00.30 – 06.30 น. ของวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 และวันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2560 พร้อมทั้งปิดปรับปรุงระบบงานบัตรเครดิตในวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 เวลา 00.30 – 02.30 น.
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารฯ ขอแจ้งปิดบริการเพื่อทดสอบแผนกู้ระบบงานกรณีฉุกเฉินสําหรับระบบ ATM จํานวน 2 ครั้ง ในวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 เวลา 00.30 - 06.30 น. และ วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2560 เวลา 00.30 - 06.30 น. ซึ่งจะทําให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการในบางธุรกรรมของธนาคารออมสินได้ ได้แก่ บัตรออมสิน ATM บัตรออมสินเดบิตวีซ่าทุกประเภท ไม่สามารถใช้บริการธุรกรรมทางการเงินทั้งในและต่างประเทศ บริการโอนเงินจากต่างประเทศเข้าบัตรออมสินเดบิตวีซ่าทุกประเภท (Fast Funds) ช่องทางบริการทั้งหมดผ่าน MyMo, Internet Banking และ ORFT กับต่างธนาคาร รวมถึง การฝากเงินสดผ่านเครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติ จึงต้องขออภัยลูกค้าทุกท่านในความไม่สะดวกครั้งนี้
ขณะเดียวกัน ธนาคารฯ ขอแจ้งปิดปรับปรุงระบบงานบัตรเครดิต (Cardlink) เป็นการชั่วคราว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต ในวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 ระหว่างเวลา 00.30 – 02.30 น. ซึ่งจะทําให้ลูกค้าไม่สามารถใช้บริการผ่านบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดในบางธุรกรรม ได้แก่ การซื้อสินค้าและบริการผ่านเครื่อง EDC ณ ร้านค้าที่ใช้เครื่อง EDC ของธนาคารออมสิน, การซื้อสินค้าและบริการผ่าน Internet (Online Shopping) และ การซื้อสินค้าและบริการผ่าน GSB PAY Mobile Application รวมถึงไม่สามารถถอนเงินสดที่ตู้ ATM ธนาคารออมสินและธนาคารอื่นได้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Facebook : GSB Society, Official Line : GSB ธนาคารออมสิน หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115 หรือ MyMo Call Center โทร.1143 หรือ Call Center บัตรเครดิต โทร.02-299-8888
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7385
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.วิวัฒน์” ตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนา จ.ศรีสะเกษ
|
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561
“รมช.วิวัฒน์” ตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนา จ.ศรีสะเกษ
“รมช.วิวัฒน์” ตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนา จ.ศรีสะเกษ พร้อมรับฟังปัญหาจากเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ หนุนนําวิถีภูมิปัญหาชาวบ้านร่วมกับความรู้ด้านวิศวกรรมชลประทานร่วมพลิกฟื้นชีวิตดั้งเดิม โดยไม่ทําลายธรรมชาติ
นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนา ณ กุดอีเฒ่า บ้านร่องอโศก ตําบลเมืองคง อําเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ว่า การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ เพื่อมาพบปะเกษตรกรและหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้พยายามหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่ได้รับผลกระทบมาโดยตลอด ซึ่งภายหลังที่ได้รับฟังปัญหาของเกษตรกรในพื้นที่ พบว่าควรมีแนวทางให้ความช่วยเหลือใน 2 แนวทาง คือ (1) เรื่องการดูแลจ่ายค่าชดเชยความเสียหายให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ให้กรมชลประทาน ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ (2) เรื่องการกักเก็บน้ําในพื้นที่ของเกษตรกร โดยส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ทําแผนฟื้นฟูแก้ไขปัญหา โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐคอยให้คําแนะนํา ด้วยการนําเอาวิถีภูมิปัญญาชาวบ้านร่วมกับความรู้ด้านวิศวกรรมชลประทานมาร่วมกันแก้ไขปัญหา พลิกฟื้นชีวิตดั้งเดิมโดยธรรมชาติ อย่างไม่ทําลายธรรมชาติ สิ่งสําคัญที่สุด คือ ชาวบ้านต้องมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจโดยที่รัฐมีหน้าที่เป็นสถาปนิกในการให้คําปรึกษา
“หากชาวบ้านในพื้นที่มีความเข้มแข็ง มีสังคมที่เอื้อเฟื้อกัน โดยน้อมนําศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหา เชื่อมั่นว่า จากพื้นที่ที่มีน้ํามากก็จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ อีกทั้งจังหวัดที่อยู่ใกล้เขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา ก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่พื้นที่อื่นๆที่ประสบปัญหาเดียวกันต่อไป” นายวิวัฒน์กล่าว
หลังจากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เดินทางไปยังศูนย์เรียนรู้พอเพียงชุมชนเครือข่ายทามมูน ต.หนองแค อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ เพื่อร่วมเรียนรู้งานฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ป่าทาม แม่น้ํามูล การพัฒนาอาชีพและการพัฒนาเกษตรยุค 4.0 พร้อมทั้งรับฟังปัญหาและปรึกษาหารือแนวทางแก้ปัญหาผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล เขื่อนหัวนา และเขื่อนลําน้ําชี ครอบคลุมพื้นที่ผลกระทบและผู้ได้รับผลกระทบจริงทุกภาคส่วน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.วิวัฒน์” ตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนา จ.ศรีสะเกษ
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561
“รมช.วิวัฒน์” ตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนา จ.ศรีสะเกษ
“รมช.วิวัฒน์” ตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนา จ.ศรีสะเกษ พร้อมรับฟังปัญหาจากเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ หนุนนําวิถีภูมิปัญหาชาวบ้านร่วมกับความรู้ด้านวิศวกรรมชลประทานร่วมพลิกฟื้นชีวิตดั้งเดิม โดยไม่ทําลายธรรมชาติ
นายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนา ณ กุดอีเฒ่า บ้านร่องอโศก ตําบลเมืองคง อําเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ว่า การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ เพื่อมาพบปะเกษตรกรและหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล และเขื่อนหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้พยายามหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนที่ได้รับผลกระทบมาโดยตลอด ซึ่งภายหลังที่ได้รับฟังปัญหาของเกษตรกรในพื้นที่ พบว่าควรมีแนวทางให้ความช่วยเหลือใน 2 แนวทาง คือ (1) เรื่องการดูแลจ่ายค่าชดเชยความเสียหายให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ให้กรมชลประทาน ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ (2) เรื่องการกักเก็บน้ําในพื้นที่ของเกษตรกร โดยส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่ทําแผนฟื้นฟูแก้ไขปัญหา โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐคอยให้คําแนะนํา ด้วยการนําเอาวิถีภูมิปัญญาชาวบ้านร่วมกับความรู้ด้านวิศวกรรมชลประทานมาร่วมกันแก้ไขปัญหา พลิกฟื้นชีวิตดั้งเดิมโดยธรรมชาติ อย่างไม่ทําลายธรรมชาติ สิ่งสําคัญที่สุด คือ ชาวบ้านต้องมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจโดยที่รัฐมีหน้าที่เป็นสถาปนิกในการให้คําปรึกษา
“หากชาวบ้านในพื้นที่มีความเข้มแข็ง มีสังคมที่เอื้อเฟื้อกัน โดยน้อมนําศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหา เชื่อมั่นว่า จากพื้นที่ที่มีน้ํามากก็จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ อีกทั้งจังหวัดที่อยู่ใกล้เขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา ก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่พื้นที่อื่นๆที่ประสบปัญหาเดียวกันต่อไป” นายวิวัฒน์กล่าว
หลังจากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เดินทางไปยังศูนย์เรียนรู้พอเพียงชุมชนเครือข่ายทามมูน ต.หนองแค อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ เพื่อร่วมเรียนรู้งานฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ป่าทาม แม่น้ํามูล การพัฒนาอาชีพและการพัฒนาเกษตรยุค 4.0 พร้อมทั้งรับฟังปัญหาและปรึกษาหารือแนวทางแก้ปัญหาผลกระทบจากเขื่อนราษีไศล เขื่อนหัวนา และเขื่อนลําน้ําชี ครอบคลุมพื้นที่ผลกระทบและผู้ได้รับผลกระทบจริงทุกภาคส่วน
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10173
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่มพร้อมร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
|
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2563
ก.อุตฯ ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่มพร้อมร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
ก.อุตฯ ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่มพร้อมร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
วันนี้ (28 กรกฎาคม 2563) เวลา 18.00 น. นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม พร้อมร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่มพร้อมร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม 2563
ก.อุตฯ ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่มพร้อมร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
ก.อุตฯ ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่มพร้อมร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563
วันนี้ (28 กรกฎาคม 2563) เวลา 18.00 น. นายเอกภัทร วังสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม พร้อมร่วมจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33722
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชิม ชอป ใช้” กระตุ้นเศรษฐกิจ ท่องเที่ยวไทย ปูทางสู่สังคมไร้เงินสด
|
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
“ชิม ชอป ใช้” กระตุ้นเศรษฐกิจ ท่องเที่ยวไทย ปูทางสู่สังคมไร้เงินสด
..
#ไทยคู่ฟ้า“ชิม ชอป ใช้” กระตุ้นเศรษฐกิจ ท่องเที่ยวไทย ปูทางสู่สังคมไร้เงินสด
หลังจากเดินหน้าโครงการ “ชิม ชอป ใช้” ได้ระยะหนึ่ง ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนกลุ่มหนึ่งว่า เป็นการแจกเงินใส่มือประชาชน และท้ายสุดเงินนั้นจะผันไปสู่มือของเจ้าสัว โดยมีประชาชนเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น
อย่าลืมว่าที่จริงแล้ว "ชิม ชอป ใช้” เป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 ที่รัฐบาลมุ่งหวังให้เกิดการบริโภค จับจ่ายใช้สอย และท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี
เงื่อนไขสั้น ๆ คือ ลงทะเบียนรับสิทธิ์ เป็นเงินใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันคนละ 1,000 บาท และยังสามารถรับเงินคืน (Cash Back) หากเติมเงินส่วนตัวเพื่อใช้จ่ายเพิ่มเติม เป็นจํานวน 15% ของยอดชําระเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 4,500 บาทต่อคน
ทีนี้มาดูว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง ...
อันดับแรก คือ เกิดการจับจ่ายใช้สอยในภาคการท่องเที่ยว ให้คึกคัก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในภูมิภาคทั่วประเทศ ส่งผลให้ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ สินค้าเกษตร สินค้าโอทอป โฮมสเตย์ รีสอร์ท โรงแรม ร้านของที่ระลึก หรือขนส่งสาธารณะ ได้รับอานิสงส์ไปเต็ม ๆ เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการหลากหลายกลุ่มอาชีพ ทําให้มีรายได้ และช่วยเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี
จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง พบว่า ผู้ที่ลงทะเบียนรับสิทธิ์ ได้ใช้จ่ายช่วง 5 วันแรก (27 ก.ย. - 1 ต.ค. 62) เพิ่มขึ้นเป็น 700,000 ราย คิดเป็นเงิน 628 ล้านบาท และมีการประเมินว่าหากมีการใช้จ่ายเงินเต็มกรอบเป้าหมาย จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการใช้จ่ายเงินในกระเป๋า 1 จํานวน 10,000 ล้านบาท และกระเป๋า 2 ที่ประชาชนใช้จ่ายเพื่อได้รับ Cash Back 15% อีก 50,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบว่ายอดการใช้จ่าย 628 ล้านบาท นั้น กระจายไปยังห้างขนาดใหญ่ เพียง 22% เพราะส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายผ่านร้านค้าชุมชน ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้า OTOP ซึ่งเป็นผลมาจากการวางระบบที่อนุญาตให้ผู้ประกอบการ 1 ราย สามารถเปิดจุดชําระเงินได้ 20 จุด เพื่อให้คนไปใช้สิทธิ์กับร้านเล็ก ๆ จึงไม่ใช่การเอื้อประโยชน์แก่เจ้าสัวหรือผู้ประกอบการรายใหญ่
อันดับที่สอง คือ “เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก” อย่างแท้จริง เพราะเป้าหมายของโครงการมุ่งไปที่ “ไทยเที่ยวไทย ใช้หรือกินของไทย” ซึ่งหลายจังหวัดเริ่มนํานโยบาย "ชิม ชอป ใช้" ไปต่อยอดสร้างกระแส “ท้องถิ่นนิยม” กิน เที่ยว และใช้ของคนไทยเพื่อคนไทย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวช่วงปลายปี ที่เห็นชัดเจนขณะนี้ คือ ภาคเหนือ ที่กําลังเข้าสู่ "ไฮซีซั่น" เกิดกระแสตื่นตัวแอ่วเหนือจากโครงการรัฐบาล จนสถานที่ท่องเที่ยว หรือที่พักตั้งแต่ระดับ 3 ดาวไปจนถึง 5 ดาว มีประชาชนจับจองห้องพักอย่างล้นหลาม
อันดับที่ 3 คือ “เป็นการเตรียมความพร้อมสู่สังคมไร้เงินสด" ซึ่งเป็นรูปแบบการเงินสมัยใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โครงการนี้จึงช่วยให้ประชาชนคุ้นเคยกับการใช้ “เงินดิจิทัล” เรียนรู้การใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน หรือระบบสแกนใบหน้าที่ใช้กันทั่วโลก เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการสวมสิทธิ์ ซึ่งมีคนให้ความสนใจลงทะเบียนออนไลน์อย่างท่วมท้นตลอด 24 ชั่วโมง
โครงการนี้รัฐบาลยืนยันว่า “เปิดกว้าง” ให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้ามาลงทะเบียนได้ แต่เบื้องต้นเน้นกลุ่มเป้าหมาย “ผู้มีรายได้ระดับกลาง” ซึ่งมีกําลังซื้อ ที่สามารถใช้จ่ายผ่านทั้งแอปพลิเคชันและเงินสด เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงจิตวิทยาให้ผู้ที่มีกําลังซื้อออกมาจับจ่ายใช้สอยกันเพิ่มขึ้น
ส่วนกลุ่มเกษตรกร หรือ ผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
อันดับที่ 4 คือ “เกิดกระแสตื่นตัวเรื่องการค้าขายออนไลน์” เพราะเมื่อพิจารณาจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ชิม ชอป ใช้ ที่มีมากกว่า 150,000 ร้าน ต่างจัดโปรโมชันทั้งทาง "ออนไลน์" และ "ออฟไลน์" ให้เป็นที่รู้จักเพื่อจูงใจให้ประชาชนไป "เช็กอิน" หรือ "ปักหมุด" เพื่อใช้จ่ายเงินซื้อของและท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดออนไลน์ระดับชุมชน หรือวิสาหกิจชุมชน ตื่นตัวเกินคาด
อันดับที่ 5 คือ “ช่วยดันเศรษฐกิจมหภาค” ให้ขยายตัวในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยกระทรวงการคลังประเมินว่า โครงการนี้จะมีส่วนช่วยกระตุ้นจีดีพี ให้เพิ่มขึ้น 0.2 - 0.3% หรือคิดเป็นเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 60,000 ล้านบาท
ดังนั้นโดยสรุปประโยชน์ของโครงการ "ชิม ชอป ใช้" มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม ส่งเสริมเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ไม่ได้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่ เพราะเม็ดเงินส่วนใหญ่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานราก และก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมอีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชิม ชอป ใช้” กระตุ้นเศรษฐกิจ ท่องเที่ยวไทย ปูทางสู่สังคมไร้เงินสด
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562
“ชิม ชอป ใช้” กระตุ้นเศรษฐกิจ ท่องเที่ยวไทย ปูทางสู่สังคมไร้เงินสด
..
#ไทยคู่ฟ้า“ชิม ชอป ใช้” กระตุ้นเศรษฐกิจ ท่องเที่ยวไทย ปูทางสู่สังคมไร้เงินสด
หลังจากเดินหน้าโครงการ “ชิม ชอป ใช้” ได้ระยะหนึ่ง ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนกลุ่มหนึ่งว่า เป็นการแจกเงินใส่มือประชาชน และท้ายสุดเงินนั้นจะผันไปสู่มือของเจ้าสัว โดยมีประชาชนเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น
อย่าลืมว่าที่จริงแล้ว "ชิม ชอป ใช้” เป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 ที่รัฐบาลมุ่งหวังให้เกิดการบริโภค จับจ่ายใช้สอย และท่องเที่ยว เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี
เงื่อนไขสั้น ๆ คือ ลงทะเบียนรับสิทธิ์ เป็นเงินใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันคนละ 1,000 บาท และยังสามารถรับเงินคืน (Cash Back) หากเติมเงินส่วนตัวเพื่อใช้จ่ายเพิ่มเติม เป็นจํานวน 15% ของยอดชําระเงินที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 4,500 บาทต่อคน
ทีนี้มาดูว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง ...
อันดับแรก คือ เกิดการจับจ่ายใช้สอยในภาคการท่องเที่ยว ให้คึกคัก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในภูมิภาคทั่วประเทศ ส่งผลให้ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ สินค้าเกษตร สินค้าโอทอป โฮมสเตย์ รีสอร์ท โรงแรม ร้านของที่ระลึก หรือขนส่งสาธารณะ ได้รับอานิสงส์ไปเต็ม ๆ เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการหลากหลายกลุ่มอาชีพ ทําให้มีรายได้ และช่วยเสริมสภาพคล่องทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี
จากข้อมูลของกระทรวงการคลัง พบว่า ผู้ที่ลงทะเบียนรับสิทธิ์ ได้ใช้จ่ายช่วง 5 วันแรก (27 ก.ย. - 1 ต.ค. 62) เพิ่มขึ้นเป็น 700,000 ราย คิดเป็นเงิน 628 ล้านบาท และมีการประเมินว่าหากมีการใช้จ่ายเงินเต็มกรอบเป้าหมาย จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 60,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการใช้จ่ายเงินในกระเป๋า 1 จํานวน 10,000 ล้านบาท และกระเป๋า 2 ที่ประชาชนใช้จ่ายเพื่อได้รับ Cash Back 15% อีก 50,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบว่ายอดการใช้จ่าย 628 ล้านบาท นั้น กระจายไปยังห้างขนาดใหญ่ เพียง 22% เพราะส่วนใหญ่เป็นการใช้จ่ายผ่านร้านค้าชุมชน ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้า OTOP ซึ่งเป็นผลมาจากการวางระบบที่อนุญาตให้ผู้ประกอบการ 1 ราย สามารถเปิดจุดชําระเงินได้ 20 จุด เพื่อให้คนไปใช้สิทธิ์กับร้านเล็ก ๆ จึงไม่ใช่การเอื้อประโยชน์แก่เจ้าสัวหรือผู้ประกอบการรายใหญ่
อันดับที่สอง คือ “เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก” อย่างแท้จริง เพราะเป้าหมายของโครงการมุ่งไปที่ “ไทยเที่ยวไทย ใช้หรือกินของไทย” ซึ่งหลายจังหวัดเริ่มนํานโยบาย "ชิม ชอป ใช้" ไปต่อยอดสร้างกระแส “ท้องถิ่นนิยม” กิน เที่ยว และใช้ของคนไทยเพื่อคนไทย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวช่วงปลายปี ที่เห็นชัดเจนขณะนี้ คือ ภาคเหนือ ที่กําลังเข้าสู่ "ไฮซีซั่น" เกิดกระแสตื่นตัวแอ่วเหนือจากโครงการรัฐบาล จนสถานที่ท่องเที่ยว หรือที่พักตั้งแต่ระดับ 3 ดาวไปจนถึง 5 ดาว มีประชาชนจับจองห้องพักอย่างล้นหลาม
อันดับที่ 3 คือ “เป็นการเตรียมความพร้อมสู่สังคมไร้เงินสด" ซึ่งเป็นรูปแบบการเงินสมัยใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โครงการนี้จึงช่วยให้ประชาชนคุ้นเคยกับการใช้ “เงินดิจิทัล” เรียนรู้การใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชัน หรือระบบสแกนใบหน้าที่ใช้กันทั่วโลก เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการสวมสิทธิ์ ซึ่งมีคนให้ความสนใจลงทะเบียนออนไลน์อย่างท่วมท้นตลอด 24 ชั่วโมง
โครงการนี้รัฐบาลยืนยันว่า “เปิดกว้าง” ให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้ามาลงทะเบียนได้ แต่เบื้องต้นเน้นกลุ่มเป้าหมาย “ผู้มีรายได้ระดับกลาง” ซึ่งมีกําลังซื้อ ที่สามารถใช้จ่ายผ่านทั้งแอปพลิเคชันและเงินสด เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงจิตวิทยาให้ผู้ที่มีกําลังซื้อออกมาจับจ่ายใช้สอยกันเพิ่มขึ้น
ส่วนกลุ่มเกษตรกร หรือ ผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
อันดับที่ 4 คือ “เกิดกระแสตื่นตัวเรื่องการค้าขายออนไลน์” เพราะเมื่อพิจารณาจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ชิม ชอป ใช้ ที่มีมากกว่า 150,000 ร้าน ต่างจัดโปรโมชันทั้งทาง "ออนไลน์" และ "ออฟไลน์" ให้เป็นที่รู้จักเพื่อจูงใจให้ประชาชนไป "เช็กอิน" หรือ "ปักหมุด" เพื่อใช้จ่ายเงินซื้อของและท่องเที่ยว โดยเฉพาะตลาดออนไลน์ระดับชุมชน หรือวิสาหกิจชุมชน ตื่นตัวเกินคาด
อันดับที่ 5 คือ “ช่วยดันเศรษฐกิจมหภาค” ให้ขยายตัวในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยกระทรวงการคลังประเมินว่า โครงการนี้จะมีส่วนช่วยกระตุ้นจีดีพี ให้เพิ่มขึ้น 0.2 - 0.3% หรือคิดเป็นเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 60,000 ล้านบาท
ดังนั้นโดยสรุปประโยชน์ของโครงการ "ชิม ชอป ใช้" มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม ส่งเสริมเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ไม่ได้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่ เพราะเม็ดเงินส่วนใหญ่ลงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานราก และก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมอีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23591
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-21 ธันวาคม 2559
|
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
21 ธันวาคม 2559
คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานในพิธีเปิดเดินขบวนรถไฟโดยสารชั้น 3 ที่ปรับปรุงใหม่ ในวันพุธที่ 21 ธันวาคม 2559 เวลา 10.00 น. ณ สถานีกรุงเทพ (หัวลําโพง)
ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปลัดกระทรวงคมนาคม
ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย
และผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดเดินขบวนรถไฟโดยสารชั้น 3 ที่ปรับปรุงใหม่ ในวันนี้ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการปฏิรูปของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งทุกงานและทุกอย่างของประเทศไทยมีการพัฒนามาโดยลําดับ แต่วันนี้ประเทศไทยจําเป็นจะต้องปฏิรูปทุกอย่างให้รวดเร็วขึ้น โดยรัฐบาลจะต้องลงมาดูในรายละเอียด ไม่ใช่เป็นการกําหนดกรอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น รวมไปถึงต้องให้แนวทางในการปฏิบัติด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ซึ่งรัฐบาลพยายามและพร้อมที่จะรับฟังเสียงจากประชาชนโดยรวมทั้งหมด
วันนี้เป็นสิ่งที่น่าดีใจ ซึ่งความฝันของผมก็เหมือกับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้กล่าวเมื่อสักครู่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นความฝันของท่าน โดยผมฝันอยากจะเห็นรถไฟประเทศไทยมีการพัฒนาและดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นความฝันมา 60 กว่าปีแล้ว ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกภาคส่วน รวมไปถึงอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายออมสิน ชีวะพฤกษ์) ซึ่งปัจจุบันย้ายไปดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ที่มีส่วนในการดําเนินการครั้งนี้ให้ประสบผลสําเร็จ
ระบบขนส่งสาธารณะ รัฐบาลพยายามจะคิดอย่างต่อเนื่องในการที่จะแก้ไขปัญหาการจราจร ซึ่งการแก้ปัญหาการจราจรจะต้องคิดว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกันเชื่อมโยงกันบ้าง ตั้งแต่ปริมณฑลเข้ามาถึงระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานคร การจราจรที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถใช้ถนน รวมถึงทางตัดและทางข้ามรถไฟ ต้องนําสิ่งเหล่านี้ มาประกอบการพิจารณาทั้งหมด นี่คือการบริหารราชการของรัฐบาล ซึ่งทุกคนต้องคิดอย่างเป็นระบบแบบนี้ ทั้งในส่วนของข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น เพราะถ้าคิดไม่ตรงกันตั้งแต่แรกก็จะทําไม่ตรงกัน และเมื่อทําไม่ตรงกันก็ไม่มีผลสัมฤทธิ์เกิดขึ้น วันนี้เราทําตรงกันแล้ว เพราะฉะนั้นเม็ดงานจึงเกิดขึ้นมา
อย่างไรก็ตามสิ่งสําคัญที่สุดคือความพึงพอใจของประชาชน วันนี้ผมเน้นในเรื่องที่เราจะปรับปรุงให้เกิดความทันสมัย นําไปสู่ประเทศไทย 4.0 ปรับปรุงรถไฟชั้น 1 รถไฟชั้น 2 หรือชั้นไหนก็แล้วแต่ อย่าลืมรถไฟชั้น 3 สําหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อย หรือประชาชนที่ได้รับรัฐสวัสดิการ เพราะประชาชนเหล่านี้ก็ต้องการรถไฟที่ใหม่ ทันสมัย มีความสะอาดและปลอดภัยเช่นเดียวกัน ตรงนี้ต้องให้เขาได้สัมผัสและเกิดความรู้สึกว่า นี่คือกิจการรถไฟไทยของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะผู้มีรายได้มากเพียงอย่างเดียว
วันนี้ ได้รับทราบว่ารถไฟชั้น 1 ถูกจองยาว 6 เดือน ไม่ว่าง รถไฟที่จะเดินทางไปเหนือ สายเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่าตรงนี้รถไฟดีขึ้นในการพัฒนาและทําให้ทันสมัยขึ้น จากแต่ก่อนว่างไม่ค่อยมีคนจองมากขนาดนี้ และจะมีการพัฒนารถไฟชั้น 2 ชั้น 3 ซึ่งผมขอให้พัฒนารถไฟชั้น 3 ก่อน เพื่อให้คนที่ใช้รถไฟฟรี หรือรถเมล์ฟรีได้มีโอกาสได้ใช้ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องรออีกจนถึงเมื่อไร เราเดินไปข้างหน้าแต่ข้างหลังก็ยังห้อยท้ายไปเรื่อย ๆ และห่างไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น เราต้องลัดขบวนรถไฟสายนี้ คือ รถไฟสายประเทศไทย ให้สั้นลงให้ได้และให้เป็นขบวนเดียวกันให้ได้ในอนาคต เหมือนกับที่เราจะพัฒนาจาก 2.0 3.0 ไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งขอให้ทุกฝ่ายพยายามสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้เข้าใจถึงสิ่งที่รัฐบาลจะดําเนินการด้วย ไม่เช่นนั้นประเทศเดินไปไม่ได้ ขณะนี้หลายอย่างยังอยู่ที่เดิมในแง่ของการสร้างการรับรู้ และสร้างความเข้าใจ เพราะไม่เข้าใจกันว่าเราทําอะไรกันอยู่ ตรงนี้เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนในการที่จะร่วมกันสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะทําเพื่อประชาชนและประเทศชาติ จะให้ผมพูดคนเดียวไม่พอหรอก ซึ่งการที่ท่านต้องพูดสร้างการรับรู้และอธิบายเพราะท่านเป็นท่านคนปฏิบัติ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าทําอย่างนี้เพราะอะไร เพื่อใคร ถ้าพูดแต่เพียงเราจัดหารถไฟ ปรับปรุงตู้ใหม่ แค่นี้ รัฐบาลก็เสียหายเดินหน้าต่อไปไม่ได้
วันนี้ เราทําทั้งปรับปรุงรถไฟเก่า จัดหาตู้รถไฟใหม่ จัดหารถจักร มีทั้งซื้อและเช่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น หลายอย่างไม่เคยเกิดขึ้นก็มีการดําเนินการให้เกิดขึ้นในรัฐบาลปัจจุบัน นี่แหละคือการปฏิรูปรถไฟไทย และจะเป็นความภาคภูมิใจของคนในองค์กรของท่าน ผมต้องการให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งลูกจ้าง พนักงาน สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ต้องร่วมมือกับรัฐบาลอย่ามองเพียงด้านใดด้านหนึ่งแต่เพียงด้านเดียว แต่ท่านต้องมองผลประโยชน์โดยรวมของประเทศมาก่อนเสมอ ซึ่งวันนี้รัฐบาลมองแบบนี้ เมื่อมองแบบนี้ก็จะทําให้เราคิดอะไรออกว่า เราจะทําอะไรเพื่อเขา ทั้งนี้ ในส่วนที่มีการทําความสะอาด Big cleaning day ก็ให้ทําต่อไป แต่อนาคตให้มีการพัฒนาการทําความสะอาดที่ใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์อัตโนมัติเข้ามาช่วย ส่วนปัจจุบันที่ทํากันอยู่โดยใช้แรงงานคนยังเป็น 2.0 ก็ทําไปก่อน แต่ต่อไปต้องพัฒนาให้ก้าวไปสู่ 4.0 และสามารถให้มีรายได้คืนกลับมา ไม่ใช่ทําแล้วขาดทุนแต่จะลงทุนใหม่ก็ทําให้ไปไม่ได้ ดึงกันไปกันมาอีก ตรงนี้รวมไปถึงรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ด้วย
ระบบการบริการสาธารณะเป็นที่มีความสิ่งสําคัญ และเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพในการลดต้นทุน ลดระยะเวลา และลดพลังงานเชื้อเพลิง โดยเฉพาะการขนส่งทางรถไฟเป็นระบบที่มีลักษณะพิเศษกว่าการขนส่งระบบอื่น ใช้พลังงานต่อหน่วยน้อย สามารถให้บริการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารได้จํานวนครั้งละมากๆ ทําให้สามารถลดต้นทุนในการขนส่งสินค้าลงได้มาก รวมทั้งมีความปลอดภัยสูง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ในต่างประเทศที่มีการพัฒนา เป็นการพัฒนาด้วยการใช้ขนส่งทางรถไฟ จากการเดินทางด้วยม้า มาเป็นรถไฟ และมีการพัฒนาเป็นรถไฟความเร็วสูง ขณะที่ประเทศไทย พัฒนาจากม้า เกวียน มาเป็นรถไฟ ซึ่งรถไฟที่ผ่านมาคือ รถไฟก็ยังเป็นรถไฟแบบเดิม ตรงนี้ต้องมีการพัฒนารถไฟ ให้มีการพัฒนาเป็นลําดับ คือรถไฟ 1 2 และ 3 ถึงแม้จะยังพัฒนาไม่เท่ากับของต่างประเทศ ซึ่งทุกอย่างต้องมีการเดินหน้าตามระยะเวลาที่มีอยู่ รวมถึงความคิดของคนก็ต้องคิดเป็นระบบแบบ 1 2 3 เช่นกัน เราต้องนําพาคนไทย ไปด้วยกัน เพราะเราคือคนไทยทั้งสิ้น สิ่งสําคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือ การรักษากระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ให้เกิดความโปร่งใส ไร้ข้อห่วงกังวลของสังคม และสร้างความเชื่อมั่นให้สังคมและประชาชนเห็นว่าไม่มีการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง และถ้ามีคนร้องเรียนเข้ามาว่ามีการทุจริตก็ต้องมีกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตามยังไม่ได้เริ่มแล้วมาบอกทุจริต อันนี้ผมก็รับไม่ได้ ผมเข้าใจการทํางาน ไม่ใช่ต้องการให้ทุกอย่างล่าช้า ยืนยันผมไม่เคยรู้จักใครทั้งสิ้นในกระบวนการค้าขายรถไฟ
ขณะนี้ผมกําลังทําเพื่อรถไฟไทย ทําให้ประเทศชาติ เพราะฉะนั้นเรื่องของผลประโยชน์เหล่านี้ พูดกับผมไม่ได้ทั้งสิ้น วันนี้การขับเคลื่อนการพัฒนาระบบการขนส่งทางรางในโครงการปรับปรุงขบวนรถไฟโดยสารชั้น 3 จํานวน 20 คัน และอนาคตให้มีการพัฒนาระบบขนส่งทางรางขยายไปสู่รถไฟท่องเที่ยวเช่นเดียวกับในต่างประเทศ เช่น การนํารถไฟโบราณมาวิ่งตามห้วงระยะเวลาที่กําหนด ให้มีหลาย ๆ สาย และวิ่งในเส้นทางที่มีความถี่ในการใช้รางน้อย โดยรัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนการบริหารงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยในทุกๆ ด้านอย่างเต็มที่ ในการพัฒนาระบบรางของประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ การให้บริการขบวนรถโดยสารชุดใหม่ โครงการจัดหารถจักรรุ่นใหม่โดยวิธีการเช่า รถไฟความเร็วสูง เป็นต้น ซึ่งสามารถขยายขีดความสามารถในการให้บริการเพิ่มมากขึ้น ตรงนี้ต้องมีการพัฒนาทีละขั้น ๆ ตามกําลังความสามารถของเรา โดยความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และสัญญาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นอกจากนี้การพัฒนาระบบการขนส่งทางรางต่าง ๆ ต้องให้มีการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ทั้งระบบทั้งในส่วนของรถโดยสารประจําทาง หรือรถยนต์ เพื่อให้การเดินทางของประชาชนสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น วันนี้เพื่อความก้าวหน้าต่อไป ผมขอมอบนโยบายให้มีการพิจารณาจัดสร้างที่จอดรถใต้ดินขนาดใหญ่ในกรุงเทพมหานคร เกิดขึ้นให้ได้ภายในปี 2560 และสามารถที่จะเชื่อมต่อการเดินทางโดยระบบการขนส่งทางรางทั้งรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ และรถประจําทางได้สะดวก เพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัด โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่เขตเศรษฐกิจ ส่วนจะดําเนินการด้วยวิธีใดก็ให้ไปพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ซึ่งเชื่อว่านักธุรกิจไทยก็พร้อมที่จะร่วมมือกับรัฐบาล
สุดท้ายนี้ ผมขออวยพรให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ตลอดจนผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกท่านจงประสบแต่ความสุข ความเจริญ เพื่อร่วมเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของประเทศชาติให้มีความก้าวหน้าสืบไป พร้อมขอบคุณการรถไฟฯ ที่ได้ดําเนินการนํารถขบวนท้องถิ่นในเส้นทางตะวันออกเฉียงเหนือมาปรับปรุงใหม่ทั้งภายในและภายนอกรวมถึงระบบการทํางานต่าง ๆ เพื่อเตรียมส่งมอบให้ประเทศกัมพูชาในช่วงประมาณต้นปี 2560ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศไทยสู่ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเรามีเศรษฐกิจที่จะต้องขับเคลื่อนร่วมกัน เราต้องมองทั้งในส่วนของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เพราะเราคืออาเซียนด้วยกัน หน้าที่เรามี 3 อย่าง คือ หนึ่งเพื่อคนไทย สองเพื่ออาเซียน และสามเพื่อประชาคมโลก เพราะเราคือมวลมนุษยชาติบนโลกเดียวกันทั้งหมด
บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดเดินรถไฟโดยสารชั้น 3 ที่ปรับปรุงใหม่จํานวน 20 คัน ณ โอกาสนี้
ขอบคุณครับ
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-21 ธันวาคม 2559
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
21 ธันวาคม 2559
คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานในพิธีเปิดเดินขบวนรถไฟโดยสารชั้น 3 ที่ปรับปรุงใหม่ ในวันพุธที่ 21 ธันวาคม 2559 เวลา 10.00 น. ณ สถานีกรุงเทพ (หัวลําโพง)
ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
ปลัดกระทรวงคมนาคม
ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย
และผู้มีเกียรติทุกท่าน
ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดเดินขบวนรถไฟโดยสารชั้น 3 ที่ปรับปรุงใหม่ ในวันนี้ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการปฏิรูปของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งทุกงานและทุกอย่างของประเทศไทยมีการพัฒนามาโดยลําดับ แต่วันนี้ประเทศไทยจําเป็นจะต้องปฏิรูปทุกอย่างให้รวดเร็วขึ้น โดยรัฐบาลจะต้องลงมาดูในรายละเอียด ไม่ใช่เป็นการกําหนดกรอบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น รวมไปถึงต้องให้แนวทางในการปฏิบัติด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ซึ่งรัฐบาลพยายามและพร้อมที่จะรับฟังเสียงจากประชาชนโดยรวมทั้งหมด
วันนี้เป็นสิ่งที่น่าดีใจ ซึ่งความฝันของผมก็เหมือกับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้กล่าวเมื่อสักครู่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นความฝันของท่าน โดยผมฝันอยากจะเห็นรถไฟประเทศไทยมีการพัฒนาและดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นความฝันมา 60 กว่าปีแล้ว ทั้งนี้ ขอขอบคุณทุกภาคส่วน รวมไปถึงอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายออมสิน ชีวะพฤกษ์) ซึ่งปัจจุบันย้ายไปดํารงตําแหน่งรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ที่มีส่วนในการดําเนินการครั้งนี้ให้ประสบผลสําเร็จ
ระบบขนส่งสาธารณะ รัฐบาลพยายามจะคิดอย่างต่อเนื่องในการที่จะแก้ไขปัญหาการจราจร ซึ่งการแก้ปัญหาการจราจรจะต้องคิดว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกันเชื่อมโยงกันบ้าง ตั้งแต่ปริมณฑลเข้ามาถึงระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานคร การจราจรที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถใช้ถนน รวมถึงทางตัดและทางข้ามรถไฟ ต้องนําสิ่งเหล่านี้ มาประกอบการพิจารณาทั้งหมด นี่คือการบริหารราชการของรัฐบาล ซึ่งทุกคนต้องคิดอย่างเป็นระบบแบบนี้ ทั้งในส่วนของข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และพนักงานรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น เพราะถ้าคิดไม่ตรงกันตั้งแต่แรกก็จะทําไม่ตรงกัน และเมื่อทําไม่ตรงกันก็ไม่มีผลสัมฤทธิ์เกิดขึ้น วันนี้เราทําตรงกันแล้ว เพราะฉะนั้นเม็ดงานจึงเกิดขึ้นมา
อย่างไรก็ตามสิ่งสําคัญที่สุดคือความพึงพอใจของประชาชน วันนี้ผมเน้นในเรื่องที่เราจะปรับปรุงให้เกิดความทันสมัย นําไปสู่ประเทศไทย 4.0 ปรับปรุงรถไฟชั้น 1 รถไฟชั้น 2 หรือชั้นไหนก็แล้วแต่ อย่าลืมรถไฟชั้น 3 สําหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อย หรือประชาชนที่ได้รับรัฐสวัสดิการ เพราะประชาชนเหล่านี้ก็ต้องการรถไฟที่ใหม่ ทันสมัย มีความสะอาดและปลอดภัยเช่นเดียวกัน ตรงนี้ต้องให้เขาได้สัมผัสและเกิดความรู้สึกว่า นี่คือกิจการรถไฟไทยของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะผู้มีรายได้มากเพียงอย่างเดียว
วันนี้ ได้รับทราบว่ารถไฟชั้น 1 ถูกจองยาว 6 เดือน ไม่ว่าง รถไฟที่จะเดินทางไปเหนือ สายเชียงใหม่ แสดงให้เห็นว่าตรงนี้รถไฟดีขึ้นในการพัฒนาและทําให้ทันสมัยขึ้น จากแต่ก่อนว่างไม่ค่อยมีคนจองมากขนาดนี้ และจะมีการพัฒนารถไฟชั้น 2 ชั้น 3 ซึ่งผมขอให้พัฒนารถไฟชั้น 3 ก่อน เพื่อให้คนที่ใช้รถไฟฟรี หรือรถเมล์ฟรีได้มีโอกาสได้ใช้ ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องรออีกจนถึงเมื่อไร เราเดินไปข้างหน้าแต่ข้างหลังก็ยังห้อยท้ายไปเรื่อย ๆ และห่างไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น เราต้องลัดขบวนรถไฟสายนี้ คือ รถไฟสายประเทศไทย ให้สั้นลงให้ได้และให้เป็นขบวนเดียวกันให้ได้ในอนาคต เหมือนกับที่เราจะพัฒนาจาก 2.0 3.0 ไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งขอให้ทุกฝ่ายพยายามสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้เข้าใจถึงสิ่งที่รัฐบาลจะดําเนินการด้วย ไม่เช่นนั้นประเทศเดินไปไม่ได้ ขณะนี้หลายอย่างยังอยู่ที่เดิมในแง่ของการสร้างการรับรู้ และสร้างความเข้าใจ เพราะไม่เข้าใจกันว่าเราทําอะไรกันอยู่ ตรงนี้เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนในการที่จะร่วมกันสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะทําเพื่อประชาชนและประเทศชาติ จะให้ผมพูดคนเดียวไม่พอหรอก ซึ่งการที่ท่านต้องพูดสร้างการรับรู้และอธิบายเพราะท่านเป็นท่านคนปฏิบัติ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่าทําอย่างนี้เพราะอะไร เพื่อใคร ถ้าพูดแต่เพียงเราจัดหารถไฟ ปรับปรุงตู้ใหม่ แค่นี้ รัฐบาลก็เสียหายเดินหน้าต่อไปไม่ได้
วันนี้ เราทําทั้งปรับปรุงรถไฟเก่า จัดหาตู้รถไฟใหม่ จัดหารถจักร มีทั้งซื้อและเช่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น หลายอย่างไม่เคยเกิดขึ้นก็มีการดําเนินการให้เกิดขึ้นในรัฐบาลปัจจุบัน นี่แหละคือการปฏิรูปรถไฟไทย และจะเป็นความภาคภูมิใจของคนในองค์กรของท่าน ผมต้องการให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งลูกจ้าง พนักงาน สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ต้องร่วมมือกับรัฐบาลอย่ามองเพียงด้านใดด้านหนึ่งแต่เพียงด้านเดียว แต่ท่านต้องมองผลประโยชน์โดยรวมของประเทศมาก่อนเสมอ ซึ่งวันนี้รัฐบาลมองแบบนี้ เมื่อมองแบบนี้ก็จะทําให้เราคิดอะไรออกว่า เราจะทําอะไรเพื่อเขา ทั้งนี้ ในส่วนที่มีการทําความสะอาด Big cleaning day ก็ให้ทําต่อไป แต่อนาคตให้มีการพัฒนาการทําความสะอาดที่ใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์อัตโนมัติเข้ามาช่วย ส่วนปัจจุบันที่ทํากันอยู่โดยใช้แรงงานคนยังเป็น 2.0 ก็ทําไปก่อน แต่ต่อไปต้องพัฒนาให้ก้าวไปสู่ 4.0 และสามารถให้มีรายได้คืนกลับมา ไม่ใช่ทําแล้วขาดทุนแต่จะลงทุนใหม่ก็ทําให้ไปไม่ได้ ดึงกันไปกันมาอีก ตรงนี้รวมไปถึงรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ด้วย
ระบบการบริการสาธารณะเป็นที่มีความสิ่งสําคัญ และเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพในการลดต้นทุน ลดระยะเวลา และลดพลังงานเชื้อเพลิง โดยเฉพาะการขนส่งทางรถไฟเป็นระบบที่มีลักษณะพิเศษกว่าการขนส่งระบบอื่น ใช้พลังงานต่อหน่วยน้อย สามารถให้บริการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารได้จํานวนครั้งละมากๆ ทําให้สามารถลดต้นทุนในการขนส่งสินค้าลงได้มาก รวมทั้งมีความปลอดภัยสูง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ในต่างประเทศที่มีการพัฒนา เป็นการพัฒนาด้วยการใช้ขนส่งทางรถไฟ จากการเดินทางด้วยม้า มาเป็นรถไฟ และมีการพัฒนาเป็นรถไฟความเร็วสูง ขณะที่ประเทศไทย พัฒนาจากม้า เกวียน มาเป็นรถไฟ ซึ่งรถไฟที่ผ่านมาคือ รถไฟก็ยังเป็นรถไฟแบบเดิม ตรงนี้ต้องมีการพัฒนารถไฟ ให้มีการพัฒนาเป็นลําดับ คือรถไฟ 1 2 และ 3 ถึงแม้จะยังพัฒนาไม่เท่ากับของต่างประเทศ ซึ่งทุกอย่างต้องมีการเดินหน้าตามระยะเวลาที่มีอยู่ รวมถึงความคิดของคนก็ต้องคิดเป็นระบบแบบ 1 2 3 เช่นกัน เราต้องนําพาคนไทย ไปด้วยกัน เพราะเราคือคนไทยทั้งสิ้น สิ่งสําคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือ การรักษากระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ให้เกิดความโปร่งใส ไร้ข้อห่วงกังวลของสังคม และสร้างความเชื่อมั่นให้สังคมและประชาชนเห็นว่าไม่มีการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง และถ้ามีคนร้องเรียนเข้ามาว่ามีการทุจริตก็ต้องมีกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่างไรก็ตามยังไม่ได้เริ่มแล้วมาบอกทุจริต อันนี้ผมก็รับไม่ได้ ผมเข้าใจการทํางาน ไม่ใช่ต้องการให้ทุกอย่างล่าช้า ยืนยันผมไม่เคยรู้จักใครทั้งสิ้นในกระบวนการค้าขายรถไฟ
ขณะนี้ผมกําลังทําเพื่อรถไฟไทย ทําให้ประเทศชาติ เพราะฉะนั้นเรื่องของผลประโยชน์เหล่านี้ พูดกับผมไม่ได้ทั้งสิ้น วันนี้การขับเคลื่อนการพัฒนาระบบการขนส่งทางรางในโครงการปรับปรุงขบวนรถไฟโดยสารชั้น 3 จํานวน 20 คัน และอนาคตให้มีการพัฒนาระบบขนส่งทางรางขยายไปสู่รถไฟท่องเที่ยวเช่นเดียวกับในต่างประเทศ เช่น การนํารถไฟโบราณมาวิ่งตามห้วงระยะเวลาที่กําหนด ให้มีหลาย ๆ สาย และวิ่งในเส้นทางที่มีความถี่ในการใช้รางน้อย โดยรัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนการบริหารงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยในทุกๆ ด้านอย่างเต็มที่ ในการพัฒนาระบบรางของประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ การให้บริการขบวนรถโดยสารชุดใหม่ โครงการจัดหารถจักรรุ่นใหม่โดยวิธีการเช่า รถไฟความเร็วสูง เป็นต้น ซึ่งสามารถขยายขีดความสามารถในการให้บริการเพิ่มมากขึ้น ตรงนี้ต้องมีการพัฒนาทีละขั้น ๆ ตามกําลังความสามารถของเรา โดยความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และสัญญาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นอกจากนี้การพัฒนาระบบการขนส่งทางรางต่าง ๆ ต้องให้มีการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ทั้งระบบทั้งในส่วนของรถโดยสารประจําทาง หรือรถยนต์ เพื่อให้การเดินทางของประชาชนสะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น วันนี้เพื่อความก้าวหน้าต่อไป ผมขอมอบนโยบายให้มีการพิจารณาจัดสร้างที่จอดรถใต้ดินขนาดใหญ่ในกรุงเทพมหานคร เกิดขึ้นให้ได้ภายในปี 2560 และสามารถที่จะเชื่อมต่อการเดินทางโดยระบบการขนส่งทางรางทั้งรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ และรถประจําทางได้สะดวก เพื่อแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัด โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่เขตเศรษฐกิจ ส่วนจะดําเนินการด้วยวิธีใดก็ให้ไปพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ซึ่งเชื่อว่านักธุรกิจไทยก็พร้อมที่จะร่วมมือกับรัฐบาล
สุดท้ายนี้ ผมขออวยพรให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ตลอดจนผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกท่านจงประสบแต่ความสุข ความเจริญ เพื่อร่วมเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมของประเทศชาติให้มีความก้าวหน้าสืบไป พร้อมขอบคุณการรถไฟฯ ที่ได้ดําเนินการนํารถขบวนท้องถิ่นในเส้นทางตะวันออกเฉียงเหนือมาปรับปรุงใหม่ทั้งภายในและภายนอกรวมถึงระบบการทํางานต่าง ๆ เพื่อเตรียมส่งมอบให้ประเทศกัมพูชาในช่วงประมาณต้นปี 2560ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศไทยสู่ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเรามีเศรษฐกิจที่จะต้องขับเคลื่อนร่วมกัน เราต้องมองทั้งในส่วนของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน เพราะเราคืออาเซียนด้วยกัน หน้าที่เรามี 3 อย่าง คือ หนึ่งเพื่อคนไทย สองเพื่ออาเซียน และสามเพื่อประชาคมโลก เพราะเราคือมวลมนุษยชาติบนโลกเดียวกันทั้งหมด
บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเปิดเดินรถไฟโดยสารชั้น 3 ที่ปรับปรุงใหม่จํานวน 20 คัน ณ โอกาสนี้
ขอบคุณครับ
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2975
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัล หารือเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ ร่วมมือพัฒนาการศึกษาอิเล็กทรอนิกส์
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2560
รมว.ดิจิทัล หารือเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ ร่วมมือพัฒนาการศึกษาอิเล็กทรอนิกส์
รมว.ดิจิทัล
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมหารือกับนางซาตู ซุยก์การี-เคลฟเวน (Ms.Satu Suikkari-Kleven) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจําประเทศไทย พร้อมคณะผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ ผู้แทนจาก Finnish Promotion (Finpro) Thailand & Myanmar และผู้แทนจากบริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) จํากัด โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและไอซีทีระหว่างไทยกับฟินแลนด์ รวมทั้งการลงทุนและการมีส่วนร่วมในโครงการดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยประเทศไทยยินดีที่จะร่วมมือกับต่างประเทศในการพัฒนาเรื่อง ศูนย์ Data Center สถาบันไอโอที (IoT) Cloud Services โครงการ Smart City และโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านดิจิทัล นอกจากนั้น ยังได้หารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดทําความร่วมมือระหว่างกันในด้าน Cyber Security และการศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Education) ซึ่งสาธารณรัฐฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีแผนยุทธศาสตร์และแพลตฟอร์มด้านการศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้มแข็ง เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ณ สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) อาคารบางกอกไทยทาวเวอร์ ถนนรางน้ํา กรุงเทพฯ
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัล หารือเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ ร่วมมือพัฒนาการศึกษาอิเล็กทรอนิกส์
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2560
รมว.ดิจิทัล หารือเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ ร่วมมือพัฒนาการศึกษาอิเล็กทรอนิกส์
รมว.ดิจิทัล
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมหารือกับนางซาตู ซุยก์การี-เคลฟเวน (Ms.Satu Suikkari-Kleven) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟินแลนด์ประจําประเทศไทย พร้อมคณะผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตฟินแลนด์ ผู้แทนจาก Finnish Promotion (Finpro) Thailand & Myanmar และผู้แทนจากบริษัท โนเกีย (ประเทศไทย) จํากัด โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและไอซีทีระหว่างไทยกับฟินแลนด์ รวมทั้งการลงทุนและการมีส่วนร่วมในโครงการดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) โดยประเทศไทยยินดีที่จะร่วมมือกับต่างประเทศในการพัฒนาเรื่อง ศูนย์ Data Center สถาบันไอโอที (IoT) Cloud Services โครงการ Smart City และโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านดิจิทัล นอกจากนั้น ยังได้หารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดทําความร่วมมือระหว่างกันในด้าน Cyber Security และการศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ (e-Education) ซึ่งสาธารณรัฐฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีแผนยุทธศาสตร์และแพลตฟอร์มด้านการศึกษาอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้มแข็ง เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ณ สํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) อาคารบางกอกไทยทาวเวอร์ ถนนรางน้ํา กรุงเทพฯ
************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7943
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ปรับโฉมสมุนไพรไทยคุณภาพสู่ตลาดโลก
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2562
สธ.ปรับโฉมสมุนไพรไทยคุณภาพสู่ตลาดโลก
กระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมสมุนไพรไทยคุณภาพ สู่ตลาดโลกภายใต้แนวคิด “สมุนไพรไทย ตํารับไทย มรดกโลก” เพิ่มช่องทางการตลาด เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ พร้อมปรับโฉมรูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องสําอาง ผลิตภัณฑ์สปา บาล์ม และเครื่องดื่มชาสมุนไพร
กระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมสมุนไพรไทยคุณภาพ สู่ตลาดโลกภายใต้แนวคิด “สมุนไพรไทย ตํารับไทย มรดกโลก” เพิ่มช่องทางการตลาด เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ พร้อมปรับโฉมรูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องสําอาง ผลิตภัณฑ์สปา บาล์ม และเครื่องดื่มชาสมุนไพร
วันนี้ (24 ตุลาคม 2562) ที่คิงเพาเวอร์ ศรีวารี คอมเพล็กซ์ จ.สมุทรปราการ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมชมนิทรรศการพร้อมรับฟังผลการจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการในงานนิทรรศการแสดงสินค้า Thai Herbal Pavilion ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-27 ตุลาคม 2562 โดยมีอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเยี่ยมชม
นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน จัดทําโครงการนําสมุนไพรคุณภาพสู่ตลาดโลกภายใต้แนวคิด สมุนไพรไทย ตํารับไทย มรดกโลก (Thailand KISS The World) เพิ่มช่องทางการตลาด ส่งเสริมการขายและการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพให้เป็นที่รู้จัก ผ่านตลาดทั้งในและต่างประเทศ จัดอบรมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการตามตลาดที่ได้รับการส่งเสริม อาทิ ตลาดนักท่องเที่ยว ตลาดร้านยา มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับบริษัทชั้นนํา ได้แก่ KING POWER และ CP EXTRA ซึ่งมีจํานวน 11 บริษัทที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้ประกอบการทั้งสิ้น 35 บริษัท จัดนิทรรศการแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างการยอมรับในตลาดต่าง ๆ อาทิ เช่น การออกนิทรรศการ LANNA HERB 2019 ณ จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์, การออกนิทรรศการงาน Thai Festival in Hanoi 2019 (Local Best, Global Taste) ร่วมกับสถานเอกอัคราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย และเพิ่มช่องทางการขายทั้ง Online และOffline อาทิ ร้านค้าปลอดภาษีอากรของ KING POWER, ร้านยา SEVEN EXTRA
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า การจัดนิทรรศการแสดงสินค้า Thai Herbal Pavilion ในวันนี้ได้รับความร่วมมือจากคิงเพาเวอร์ ศรีวารี คอมเพล็กซ์ จังหวัดสมุทรปราการ เปิดพื้นที่นิทรรศการแสดงสินค้าให้กับเครือข่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพที่ได้รับรางวัล Prime Minister Herbal Awards (PMHA), Premium Products, Quality Thai Herbal Products (QTHP) ร่วมออกบูธกว่า 29 บริษัทจําหน่ายและแสดงสินค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสําอาง เครื่องดื่มชาสมุนไพร กาแฟ ผลิตภัณฑ์สปา ยาสมุนไพร เป็นการเปิดตลาดในระดับสากล เน้นเจาะตลาดกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวประเทศจีนที่นิยมผลิตภัณฑ์สมุนไพรประเภทครีมไพลและบาล์มสูตรร้อน อาหารเสริมกระชายดํา และซื้อเป็นของฝากในโอกาสได้มาท่องเที่ยวประเทศไทย โดยผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีโอกาสเติบโตในตลาดประเทศจีน ได้แก่ น้ํามันสมุนไพรแก้อาการปวดเมื่อย ผลิตภัณฑ์ธุรกิจสปา ยาดม ยาอมสมุนไพร ยาหม่อง เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้การผลิตสมุนไพรไทยตรงกับความต้องการของตลาด คาดว่าในปี 2562-2565 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวหรือ 7.8 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ สําหรับ 11 บริษัทที่ผ่านการคัดเลือก เป็นสินค้าประเภทเครื่องสําอาง ผลิตภัณฑ์สปา บาล์ม และเครื่องดื่มชาสมุนไพร ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์ การบรรจุหีบห่อให้สวยงาม ดึงดูด น่าสนใจ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพให้ได้มาตรฐานภายใต้เงื่อนไขของบริษัท KING POWER ต่อไป
******************************* 24 ตุลาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ปรับโฉมสมุนไพรไทยคุณภาพสู่ตลาดโลก
วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2562
สธ.ปรับโฉมสมุนไพรไทยคุณภาพสู่ตลาดโลก
กระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมสมุนไพรไทยคุณภาพ สู่ตลาดโลกภายใต้แนวคิด “สมุนไพรไทย ตํารับไทย มรดกโลก” เพิ่มช่องทางการตลาด เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ พร้อมปรับโฉมรูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องสําอาง ผลิตภัณฑ์สปา บาล์ม และเครื่องดื่มชาสมุนไพร
กระทรวงสาธารณสุข ส่งเสริมสมุนไพรไทยคุณภาพ สู่ตลาดโลกภายใต้แนวคิด “สมุนไพรไทย ตํารับไทย มรดกโลก” เพิ่มช่องทางการตลาด เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ พร้อมปรับโฉมรูปแบบผลิตภัณฑ์เครื่องสําอาง ผลิตภัณฑ์สปา บาล์ม และเครื่องดื่มชาสมุนไพร
วันนี้ (24 ตุลาคม 2562) ที่คิงเพาเวอร์ ศรีวารี คอมเพล็กซ์ จ.สมุทรปราการ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมชมนิทรรศการพร้อมรับฟังผลการจําหน่ายผลิตภัณฑ์จากผู้ประกอบการในงานนิทรรศการแสดงสินค้า Thai Herbal Pavilion ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14-27 ตุลาคม 2562 โดยมีอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมเยี่ยมชม
นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน จัดทําโครงการนําสมุนไพรคุณภาพสู่ตลาดโลกภายใต้แนวคิด สมุนไพรไทย ตํารับไทย มรดกโลก (Thailand KISS The World) เพิ่มช่องทางการตลาด ส่งเสริมการขายและการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพให้เป็นที่รู้จัก ผ่านตลาดทั้งในและต่างประเทศ จัดอบรมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการตามตลาดที่ได้รับการส่งเสริม อาทิ ตลาดนักท่องเที่ยว ตลาดร้านยา มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับบริษัทชั้นนํา ได้แก่ KING POWER และ CP EXTRA ซึ่งมีจํานวน 11 บริษัทที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้ประกอบการทั้งสิ้น 35 บริษัท จัดนิทรรศการแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศ เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างการยอมรับในตลาดต่าง ๆ อาทิ เช่น การออกนิทรรศการ LANNA HERB 2019 ณ จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์, การออกนิทรรศการงาน Thai Festival in Hanoi 2019 (Local Best, Global Taste) ร่วมกับสถานเอกอัคราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย และเพิ่มช่องทางการขายทั้ง Online และOffline อาทิ ร้านค้าปลอดภาษีอากรของ KING POWER, ร้านยา SEVEN EXTRA
นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า การจัดนิทรรศการแสดงสินค้า Thai Herbal Pavilion ในวันนี้ได้รับความร่วมมือจากคิงเพาเวอร์ ศรีวารี คอมเพล็กซ์ จังหวัดสมุทรปราการ เปิดพื้นที่นิทรรศการแสดงสินค้าให้กับเครือข่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพที่ได้รับรางวัล Prime Minister Herbal Awards (PMHA), Premium Products, Quality Thai Herbal Products (QTHP) ร่วมออกบูธกว่า 29 บริษัทจําหน่ายและแสดงสินค้า ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสําอาง เครื่องดื่มชาสมุนไพร กาแฟ ผลิตภัณฑ์สปา ยาสมุนไพร เป็นการเปิดตลาดในระดับสากล เน้นเจาะตลาดกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวประเทศจีนที่นิยมผลิตภัณฑ์สมุนไพรประเภทครีมไพลและบาล์มสูตรร้อน อาหารเสริมกระชายดํา และซื้อเป็นของฝากในโอกาสได้มาท่องเที่ยวประเทศไทย โดยผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีโอกาสเติบโตในตลาดประเทศจีน ได้แก่ น้ํามันสมุนไพรแก้อาการปวดเมื่อย ผลิตภัณฑ์ธุรกิจสปา ยาดม ยาอมสมุนไพร ยาหม่อง เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้การผลิตสมุนไพรไทยตรงกับความต้องการของตลาด คาดว่าในปี 2562-2565 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวหรือ 7.8 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ สําหรับ 11 บริษัทที่ผ่านการคัดเลือก เป็นสินค้าประเภทเครื่องสําอาง ผลิตภัณฑ์สปา บาล์ม และเครื่องดื่มชาสมุนไพร ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์ การบรรจุหีบห่อให้สวยงาม ดึงดูด น่าสนใจ รวมทั้งพัฒนาคุณภาพให้ได้มาตรฐานภายใต้เงื่อนไขของบริษัท KING POWER ต่อไป
******************************* 24 ตุลาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24040
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยให้บริการ QR Code ร้านค้าในตลาดคลองผดุงกรุงเกษม
|
วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560
กรุงไทยให้บริการ QR Code ร้านค้าในตลาดคลองผดุงกรุงเกษม
ธนาคารกรุงไทยได้ให้บริการ KRUNGTHAI QR Code แก่ร้านค้าในงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้แนวคิด “ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม” ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดขึ้น
นายโกศล แช่มชื่น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารกลุ่ม สายงานเครือข่ายธุรกิจขนาดเล็กและรายย่อย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้ให้บริการ KRUNGTHAI QR Code แก่ร้านค้าในงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้แนวคิด “ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม” ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดขึ้น เพื่อส่งเสริมการใช้สินค้าชุมชน และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ซึ่งมีร้านค้าจํานวน 250 แห่งมาจําหน่ายสินค้า ระหว่างวันที่ 6 – 26 พฤศจิกายน 2560
“ธนาคารกรุงไทยให้ความสําคัญกับการสนับสนุนนโยบาย National e-Payment ของรัฐบาล โดยเฉพาะการส่งเสริมสังคมไร้เงินสด ซึ่งธนาคารมีความภูมิใจที่มีส่วนทําให้การค้าขายในตลาดคลองผดุงกรุงเกษม มีความคล่องตัว สะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีการชําระเงินผ่าน KRUNGTHAI QR Code และแอปพลิเคชั่นเป๋าตุงสําหรับร้านค้า”
ที่ผ่านมาธนาคารได้ติดตั้ง KRUNGTHAI QR Code ให้กับร้านค้าต่างๆ ที่ศูนย์อาหารทําเนียบรัฐบาล ศูนย์อาหารและสันทนาการ กระทรวงการคลัง ห้องอาหารของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และ ตลาด อ.ต.ก. รวมทั้งได้สนับสนุนให้ประชาชนในภูมิภาคได้ก้าวสู่สังคมไร้เงินสดด้วยกัน ธนาคารจึงได้ติดตั้งและแนะนําวิธีการใช้งาน KRUNGTHAI QR Code และแอปพลิเคชั่นเป๋าตุงสําหรับร้านค้า ที่ตลาดสามชุก จ.สุพรรณบุรี ตลาดกรุงศรี จ.พระนครศรีอยุธยา และมีแผนไปติดตั้งที่ตลาดในอําเภอต่างๆ ทั่วประเทศ
สําหรับการทําธุรกรรมผ่าน KRUNGTHAI QR Code นั้น สามารถทําได้ง่ายๆ เพียงผู้ซื้อสแกน QR Code ของร้านค้า ผ่านแอปพลิเคชั่น KTB netbank ระบุจํานวนเงิน และ PIN เพื่อยืนยันการทํารายการ เพียงเท่านี้ก็ชําระเงินเรียบร้อย ด้านร้านค้าเพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเป๋าตุง สมัครพร้อมเพย์และติด QR Code ไว้ที่ร้าน ก็จะได้รับเงินเข้าบัญชีทันที และสามารถตรวจสอบยอดการชําระเงินได้ทันทีด้วย ทําให้ช่วยลดความยุ่งยากในการรับและทอนเงิน
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยให้บริการ QR Code ร้านค้าในตลาดคลองผดุงกรุงเกษม
วันอังคารที่ 31 ตุลาคม 2560
กรุงไทยให้บริการ QR Code ร้านค้าในตลาดคลองผดุงกรุงเกษม
ธนาคารกรุงไทยได้ให้บริการ KRUNGTHAI QR Code แก่ร้านค้าในงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้แนวคิด “ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม” ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดขึ้น
นายโกศล แช่มชื่น ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารกลุ่ม สายงานเครือข่ายธุรกิจขนาดเล็กและรายย่อย ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้ให้บริการ KRUNGTHAI QR Code แก่ร้านค้าในงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้แนวคิด “ตลาดเกษตรเกรดพรีเมี่ยม” ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดขึ้น เพื่อส่งเสริมการใช้สินค้าชุมชน และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ซึ่งมีร้านค้าจํานวน 250 แห่งมาจําหน่ายสินค้า ระหว่างวันที่ 6 – 26 พฤศจิกายน 2560
“ธนาคารกรุงไทยให้ความสําคัญกับการสนับสนุนนโยบาย National e-Payment ของรัฐบาล โดยเฉพาะการส่งเสริมสังคมไร้เงินสด ซึ่งธนาคารมีความภูมิใจที่มีส่วนทําให้การค้าขายในตลาดคลองผดุงกรุงเกษม มีความคล่องตัว สะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีการชําระเงินผ่าน KRUNGTHAI QR Code และแอปพลิเคชั่นเป๋าตุงสําหรับร้านค้า”
ที่ผ่านมาธนาคารได้ติดตั้ง KRUNGTHAI QR Code ให้กับร้านค้าต่างๆ ที่ศูนย์อาหารทําเนียบรัฐบาล ศูนย์อาหารและสันทนาการ กระทรวงการคลัง ห้องอาหารของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และ ตลาด อ.ต.ก. รวมทั้งได้สนับสนุนให้ประชาชนในภูมิภาคได้ก้าวสู่สังคมไร้เงินสดด้วยกัน ธนาคารจึงได้ติดตั้งและแนะนําวิธีการใช้งาน KRUNGTHAI QR Code และแอปพลิเคชั่นเป๋าตุงสําหรับร้านค้า ที่ตลาดสามชุก จ.สุพรรณบุรี ตลาดกรุงศรี จ.พระนครศรีอยุธยา และมีแผนไปติดตั้งที่ตลาดในอําเภอต่างๆ ทั่วประเทศ
สําหรับการทําธุรกรรมผ่าน KRUNGTHAI QR Code นั้น สามารถทําได้ง่ายๆ เพียงผู้ซื้อสแกน QR Code ของร้านค้า ผ่านแอปพลิเคชั่น KTB netbank ระบุจํานวนเงิน และ PIN เพื่อยืนยันการทํารายการ เพียงเท่านี้ก็ชําระเงินเรียบร้อย ด้านร้านค้าเพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นเป๋าตุง สมัครพร้อมเพย์และติด QR Code ไว้ที่ร้าน ก็จะได้รับเงินเข้าบัญชีทันที และสามารถตรวจสอบยอดการชําระเงินได้ทันทีด้วย ทําให้ช่วยลดความยุ่งยากในการรับและทอนเงิน
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7691
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ลธน.ม. เรณูฯ พร้อมเลขาธิการ ศอ.บต. แถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
|
วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560
รอง ลธน.ม. เรณูฯ พร้อมเลขาธิการ ศอ.บต. แถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
รอง ลธน.ม. เรณูฯ พร้อมเลขาธิการ ศอ.บต. แถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน : Southern Thailand Experience มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” 6 - 23 เม.ย. 60 ณ ตลาดคลองผดุงฯ
วันนี้ (31 มีนาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม พร้อมด้วย นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน : Southern Thailand Experience มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 - 23 เมษายน 2560 เวลา 10.00 - 19.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ และวันนักขัตฤกษ์ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล
โอกาสนี้ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองแถลงว่า ตามที่สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้สนองนโยบาย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้มีดําริให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดําเนินการบูรณาการกับกระทรวงต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนส่งเสริมให้มีตลาดนัดชุมชน ซึ่งถือเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ให้กับคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์วิถีความเป็นไทย และยังช่วยส่งเสริมการต่อยอดด้านธุรกิจในการนําเสนอสินค้าและบริการผ่านองค์กรในหน่วยงานของรัฐ รวมถึงยังเป็นเวทีถ่ายทอดองค์ความรู้สู่การใช้ประโยชน์แก่ประชาชน สร้างรายได้ และความมั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน ให้แก่พี่น้องประชาชน ซึ่งในเดือนเมษายน 2560 นี้ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับ 5 จังหวัดชายแดนใต้ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันจากเดือนมีนาคมที่ ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเพิ่มโอกาสที่ดีในการช่วยสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกทางหนึ่งด้วย
โอกาสนี้ นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่านับเป็นโอกาสที่ดีของศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับ 5 จังหวัดชายแดนใต้ได้แก่ จังหวัดสตูล สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา ที่ได้รับความไว้วางใจให้จัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งผลจากการจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั้น ทาง ศอ.บต. สามารถสร้างยอดการจําหน่ายสินค้าได้สูงถึง 70 ล้านบาท ผลจากการจัดงานดังกล่าวนั้นได้ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ที่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่หลากหลาย ทั้งด้านศาสนา เชื้อชาติ วัฒนธรรม ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น และยังช่วยตอบโจทย์ภาครัฐในเรื่องของความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยในเดือนเมษายนนี้ ทาง ศอ.บต. ได้เตรียมพร้อมเนรมิตตลาดคลองผดุงฯ ให้เป็นดินแดนท่องเที่ยวมนต์เสน่ห์ชายแดนใต้ ที่จะสร้างความตื่นตา ตื่นใจ รับช่วงฤดูร้อน ประกอบกับในเดือนเมษายนมีเทศกาลวันสงกรานต์ โดยตลาดคลองผดุงฯ พร้อมเป็นแหล่งท่องเที่ยวรับเทศกาลสงกรานต์ใจกลางกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ เลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แถลงเพิ่มเติมอีกว่า แนวคิดการจัดงานในครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่นยืน เพราะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความหลากหลายทางด้านความเป็นอยู่ ทั้งด้านศาสนา และวัฒนธรรม แต่ประชาชนก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อกัน นับเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งของความเป็นพหุสังคมชายแดนใต้ โดยชื่อของงานฯ มีความหมายสําคัญ ดังนี้
“มั่นคง”ด้วยโอกาสที่รัฐสนับสนุนเพื่อให้เกิดคุณค่าความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในสังคมไทย
“มั่งคั่ง”ด้วยทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม
“ยั่งยืน”ด้วยความเข้าใจ ความร่วมมือ ในฐานะคนไทยที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยเดียวกัน
รูปแบบกิจกรรม และไฮไลน์ในการจัดงาน
จะมีความแตกต่างจากครั้งแรก เพราะมีการถ่ายทอดสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสําคัญ และมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว โดยเสมือนการยกเอาสถานที่ท่องเที่ยวของ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาไว้ในตลาดคลองผดุงฯ จัดสรรเป็น 2 ส่วนสําคัญ ประกอบด้วย
1. กิจกรรมจัดแสดงและจําหน่ายสินค้าของดีชายแดนใต้ แบ่งเป็น 4 โซน ได้แก่
- โซน A: Travel Zone นําเสนอแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่จะเปิดมุมมองใหม่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่พร้อมเปิดรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยว
- โซน B: Innovation Zone แนะนําความก้าวล้ําของสินค้านวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ของพี่น้องจังหวัดชายแดนใต้
- โซน C: Product Zone นําสินค้าที่เป็นที่หนึ่งในพื้นที่ ได้แก่ เครื่องแต่งกาย ของใช้ ของที่ระลึก สมุนไพร และอาหารแปรรูปที่มีเอกลักษณ์ มีความโดดเด่นในด้านรสชาติ และความอร่อยไม่เป็นสองรองใคร โดยจะนําเสนอเป็นออกเป็นโซน ๆ รายจังหวัด
- โซน D: Food Zone นําเสนออาหารที่สด ใหม่ สะอาด และส่งตรงจากชายแดนใต้ ให้ได้ลิ้มลองรสชาติของความสด อร่อย พร้อมเสิร์ฟถึงมือคนไทยทุกคน
- โซนพิเศษ จะคัดสรรผลิตภัณฑ์เด่นทางด้านการเกษตรของบัณฑิตเกษตร ศอ.บต. มานําเสนออีกด้วย
นอกจากนี้ทาง ศอ.บต. จะยังมีกิจกรรมพิเศษที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่
กิจกรรมการจัดนิทรรศการ เช่น ด้านนวัตกรรม ด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้
กิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การชิงโชคและของสมนาคุณต่าง ๆ
กิจกรรมสาธิตการทําผลิตภัณฑ์เด่นจังหวัดชายแดนใต้ เช่น การเพ้นท์ผ้าบาติก การทําไข่เค็ม การประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ ชาชัก และขนมพื้นบ้าน
กิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมภาคใต้ เช่น ตาลีกีปัต รองแง็ง ดิเกฮูลู ปันจักสีลัต
กิจกรรมประเพณีวัฒนธรรมวันสงกรานต์ จัดให้มีการสรงน้ําหลวงปู่ทวด การประกวดหนูน้อยสงกรานต์ กิจกรรมวันผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ กิจกรรมทั้งหลายที่กล่าวมานั้น ได้รับความร่วมมือร่วมใจกันจากหลายหน่วยงาน เช่น องค์กรต่าง ๆ ที่ได้ร่วมกันอํานวยความสะดวกเพื่อให้การจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ประสบผลสําเร็จอย่างดี โดยการจัดงานในครั้งนี้ จะถือเป็นอีกครั้งที่ทาง ศอ.บต. จะได้ส่งมอบความสุขให้แก่พี่น้องประชาชนที่สนใจเข้ามาท่องเที่ยว โดยทาง ศอ.บต. มั่นใจจะสร้างความประทับใจ และสร้างความแตกต่างได้อีกครั้ง
ตอนท้ายของการแถลงข่าวรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองได้กล่าวว่า การจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในเดือนเมษายนนี้ ทางศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับ 5 จังหวัดชายแดนใต้ ด้วยความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้จัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน : Southern Thailand Experience มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อจะเป็นสื่อกลางให้พี่น้องประชาชนเข้าถึง และเข้าใจ พี่น้องใน 5 จังหวัดชายแดนใต้ให้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนและผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานพร้อม ชม ชิมช้อป ได้ระหว่างวันที่ 6-23 เมษายน 2560 ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล
***************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ลธน.ม. เรณูฯ พร้อมเลขาธิการ ศอ.บต. แถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560
รอง ลธน.ม. เรณูฯ พร้อมเลขาธิการ ศอ.บต. แถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
รอง ลธน.ม. เรณูฯ พร้อมเลขาธิการ ศอ.บต. แถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน : Southern Thailand Experience มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” 6 - 23 เม.ย. 60 ณ ตลาดคลองผดุงฯ
วันนี้ (31 มีนาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล นางสาวเรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานกรรมการดําเนินโครงการตลาดคลองผดุงกรุงเกษม พร้อมด้วย นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน : Southern Thailand Experience มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 6 - 23 เมษายน 2560 เวลา 10.00 - 19.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ และวันนักขัตฤกษ์ ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล
โอกาสนี้ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองแถลงว่า ตามที่สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้สนองนโยบาย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ได้มีดําริให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดําเนินการบูรณาการกับกระทรวงต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนส่งเสริมให้มีตลาดนัดชุมชน ซึ่งถือเป็นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ให้กับคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล อีกทั้งยังเป็นการอนุรักษ์วิถีความเป็นไทย และยังช่วยส่งเสริมการต่อยอดด้านธุรกิจในการนําเสนอสินค้าและบริการผ่านองค์กรในหน่วยงานของรัฐ รวมถึงยังเป็นเวทีถ่ายทอดองค์ความรู้สู่การใช้ประโยชน์แก่ประชาชน สร้างรายได้ และความมั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน ให้แก่พี่น้องประชาชน ซึ่งในเดือนเมษายน 2560 นี้ศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับ 5 จังหวัดชายแดนใต้ได้เป็นเจ้าภาพจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันจากเดือนมีนาคมที่ ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเพิ่มโอกาสที่ดีในการช่วยสนับสนุนส่งเสริมผู้ประกอบการในพื้นที่และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกทางหนึ่งด้วย
โอกาสนี้ นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่านับเป็นโอกาสที่ดีของศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับ 5 จังหวัดชายแดนใต้ได้แก่ จังหวัดสตูล สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา ที่ได้รับความไว้วางใจให้จัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งผลจากการจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั้น ทาง ศอ.บต. สามารถสร้างยอดการจําหน่ายสินค้าได้สูงถึง 70 ล้านบาท ผลจากการจัดงานดังกล่าวนั้นได้ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ที่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่หลากหลาย ทั้งด้านศาสนา เชื้อชาติ วัฒนธรรม ให้มีชีวิตที่ดีขึ้น และยังช่วยตอบโจทย์ภาครัฐในเรื่องของความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยในเดือนเมษายนนี้ ทาง ศอ.บต. ได้เตรียมพร้อมเนรมิตตลาดคลองผดุงฯ ให้เป็นดินแดนท่องเที่ยวมนต์เสน่ห์ชายแดนใต้ ที่จะสร้างความตื่นตา ตื่นใจ รับช่วงฤดูร้อน ประกอบกับในเดือนเมษายนมีเทศกาลวันสงกรานต์ โดยตลาดคลองผดุงฯ พร้อมเป็นแหล่งท่องเที่ยวรับเทศกาลสงกรานต์ใจกลางกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ เลขาธิการศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แถลงเพิ่มเติมอีกว่า แนวคิดการจัดงานในครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่นยืน เพราะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความหลากหลายทางด้านความเป็นอยู่ ทั้งด้านศาสนา และวัฒนธรรม แต่ประชาชนก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อกัน นับเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งของความเป็นพหุสังคมชายแดนใต้ โดยชื่อของงานฯ มีความหมายสําคัญ ดังนี้
“มั่นคง”ด้วยโอกาสที่รัฐสนับสนุนเพื่อให้เกิดคุณค่าความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในสังคมไทย
“มั่งคั่ง”ด้วยทรัพยากรมนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม
“ยั่งยืน”ด้วยความเข้าใจ ความร่วมมือ ในฐานะคนไทยที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยเดียวกัน
รูปแบบกิจกรรม และไฮไลน์ในการจัดงาน
จะมีความแตกต่างจากครั้งแรก เพราะมีการถ่ายทอดสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสําคัญ และมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว โดยเสมือนการยกเอาสถานที่ท่องเที่ยวของ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาไว้ในตลาดคลองผดุงฯ จัดสรรเป็น 2 ส่วนสําคัญ ประกอบด้วย
1. กิจกรรมจัดแสดงและจําหน่ายสินค้าของดีชายแดนใต้ แบ่งเป็น 4 โซน ได้แก่
- โซน A: Travel Zone นําเสนอแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่จะเปิดมุมมองใหม่ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่พร้อมเปิดรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยว
- โซน B: Innovation Zone แนะนําความก้าวล้ําของสินค้านวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์ของพี่น้องจังหวัดชายแดนใต้
- โซน C: Product Zone นําสินค้าที่เป็นที่หนึ่งในพื้นที่ ได้แก่ เครื่องแต่งกาย ของใช้ ของที่ระลึก สมุนไพร และอาหารแปรรูปที่มีเอกลักษณ์ มีความโดดเด่นในด้านรสชาติ และความอร่อยไม่เป็นสองรองใคร โดยจะนําเสนอเป็นออกเป็นโซน ๆ รายจังหวัด
- โซน D: Food Zone นําเสนออาหารที่สด ใหม่ สะอาด และส่งตรงจากชายแดนใต้ ให้ได้ลิ้มลองรสชาติของความสด อร่อย พร้อมเสิร์ฟถึงมือคนไทยทุกคน
- โซนพิเศษ จะคัดสรรผลิตภัณฑ์เด่นทางด้านการเกษตรของบัณฑิตเกษตร ศอ.บต. มานําเสนออีกด้วย
นอกจากนี้ทาง ศอ.บต. จะยังมีกิจกรรมพิเศษที่น่าสนใจอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่
กิจกรรมการจัดนิทรรศการ เช่น ด้านนวัตกรรม ด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้
กิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การชิงโชคและของสมนาคุณต่าง ๆ
กิจกรรมสาธิตการทําผลิตภัณฑ์เด่นจังหวัดชายแดนใต้ เช่น การเพ้นท์ผ้าบาติก การทําไข่เค็ม การประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้ ชาชัก และขนมพื้นบ้าน
กิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมภาคใต้ เช่น ตาลีกีปัต รองแง็ง ดิเกฮูลู ปันจักสีลัต
กิจกรรมประเพณีวัฒนธรรมวันสงกรานต์ จัดให้มีการสรงน้ําหลวงปู่ทวด การประกวดหนูน้อยสงกรานต์ กิจกรรมวันผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ กิจกรรมทั้งหลายที่กล่าวมานั้น ได้รับความร่วมมือร่วมใจกันจากหลายหน่วยงาน เช่น องค์กรต่าง ๆ ที่ได้ร่วมกันอํานวยความสะดวกเพื่อให้การจัดงานตลาดคลองผดุงฯ ประสบผลสําเร็จอย่างดี โดยการจัดงานในครั้งนี้ จะถือเป็นอีกครั้งที่ทาง ศอ.บต. จะได้ส่งมอบความสุขให้แก่พี่น้องประชาชนที่สนใจเข้ามาท่องเที่ยว โดยทาง ศอ.บต. มั่นใจจะสร้างความประทับใจ และสร้างความแตกต่างได้อีกครั้ง
ตอนท้ายของการแถลงข่าวรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองได้กล่าวว่า การจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในเดือนเมษายนนี้ ทางศูนย์อํานวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับ 5 จังหวัดชายแดนใต้ ด้วยความร่วมมือของสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้จัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมภายใต้แนวคิด “มิติใหม่ชายแดนใต้ ก้าวไกลสู่ความเป็นสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน : Southern Thailand Experience มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เพื่อจะเป็นสื่อกลางให้พี่น้องประชาชนเข้าถึง และเข้าใจ พี่น้องใน 5 จังหวัดชายแดนใต้ให้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนและผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานพร้อม ชม ชิมช้อป ได้ระหว่างวันที่ 6-23 เมษายน 2560 ณ ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล
***************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2814
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดการท่องเที่ยวสวนสัตว์วิถีใหม่ “Zoo New Normal” ดีเดย์ 15 มิ.ย. นี้ “ฟรี” ทั่วประเทศพร้อม “เน้นย้ำ” เที่ยวสวนสัตว์ ต้องจองล่วงหน้า เท่านั้น
|
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563
ทส. เปิดการท่องเที่ยวสวนสัตว์วิถีใหม่ “Zoo New Normal” ดีเดย์ 15 มิ.ย. นี้ “ฟรี” ทั่วประเทศพร้อม “เน้นย้ํา” เที่ยวสวนสัตว์ ต้องจองล่วงหน้า เท่านั้น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การสวนสัตว์ สร้างสุขให้ประชาชนหลังวิกฤติโควิด -19 ดีเดย์ 15 มิ.ย. นี้ เปิดสวนสัตว์ในสังกัดทั่วประเทศให้เข้าชม “ฟรี” จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน พร้อมกําหนดมาตรการเที่ยวสวนสัตว์ในวิถีใหม่ หลังวิกฤติโควิด -19 “เน้
ทส. เปิดการท่องเที่ยวสวนสัตว์วิถีใหม่ “Zoo New Normal” ดีเดย์ 15 มิ.ย. นี้ “ฟรี” ทั่วประเทศพร้อม “เน้นย้ํา” เที่ยวสวนสัตว์ ต้องจองล่วงหน้า เท่านั้น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การสวนสัตว์ สร้างสุขให้ประชาชนหลังวิกฤติโควิด -19ดีเดย์ 15 มิ.ย. นี้ เปิดสวนสัตว์ในสังกัดทั่วประเทศให้เข้าชม “ฟรี”จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน พร้อมกําหนดมาตรการเที่ยวสวนสัตว์ในวิถีใหม่ หลังวิกฤติโควิด -19“เน้นย้ํา”เที่ยวสวนสัตว์ ต้องจองล่วงหน้า เท่านั้นผ่านทางโทรศัพท์ หรือ แอพพลิเคชั่น ในเว็บไซต์ของสวนสัตว์ https://www.eventpop.me/e/9040/zoothailand
วันที่ 12 มิถุนายน 2563 เวลา 10.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานแถลงข่าวเรื่องการเปิดการท่องเที่ยวสวนสัตว์วิถีใหม่ “Zoo New Normal” พร้อมทั้งเยี่ยมชมส่วนจัดแสดงสัตว์ตามมาตรการป้องกันและลดความเสี่ยงโรคโควิด – 19 อาทิ ฮิปโปโปเตมัส “แม่มะลิ” ของขวัญคนไทย ยีราฟ “ตาหวาน และ บิลลาเด็น” ดาวเด่นจากสวนสัตว์ดุสิต และ ลูกช้างไทยที่เกิดจากการผสมเทียมโดยมี นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึง ผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีนายก อบจ.ชลบุรี และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมงานแถลงข่าวและเยี่ยมชมส่วนแสดงสัตว์ณสวนสัตว์เปิดเขาเขียว (บริเวณลานจอดรถใหม่) อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศผ่อนปรนให้กลุ่มกิจการประเภทต่างๆ 14 กิจการ คลายล็อคในระยะที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การสวนสัตว์ ได้กําหนดแผนการเปิดให้บริการเที่ยวชมสวนสัตว์ในสังกัดกระทรวงฯ ทั้ง 6 แห่ง 1 โครงการฯ ทั่วประเทศได้แก่ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ชลบุรี สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา สวนสัตว์ขอนแก่น สวนสัตว์อุบลราชธานีและโครงการคชอาณาจักรจังหวัดสุรินทร์ โดยตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมสวนสัตว์ “ฟรี” เพื่อเป็นการคืนความสุข ให้แก่ประชาชนทั้งนี้ ในการเข้าชมสวนสัตว์ ได้มีจํากัดจํานวนผู้เข้าชมสวนสัตว์ วันละไม่เกิน 2,000 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 08.00 -12.00 น. ช่วงบ่าย 12.00 -17.00 น. และต้องจองเข้าชม ล่วงหน้า ผ่านทางโทรศัพท์ หรือ แอพพลิเคชั่น ของสวนสัตว์ https://www.eventpop.me/e/9040/zoo Thailand. หรือ ติดต่อผ่านโทรศัพท์ ดังนี้
สวนสัตว์เปิดเขาเขียว เบอร์ติดต่อ 034 318 444
สวนสัตว์เชียงใหม่ เบอร์ติดต่อ 053 221 179
สวนสัตว์นครราชสีมา เบอร์ติดต่อ 083 372 0404
สวนสัตว์สงขลา เบอร์ติดต่อ 074 598 555
สวนสัตว์อุบลราชธานี เบอร์ติดต่อ 045 252 761
สวนสัตว์ขอนแก่น เบอร์ติดต่อ 086 455 6341
นอกจากนี้ ในการเที่ยวชมสวนสัตว์วิถีใหม่ ได้มีการเตรียมพร้อมและได้กําหนดมาตรการรองรับการเปิดบริการการเที่ยวชมสวนสัตว์ในวิถีใหม่ ใส่ใจสุขภาพ มีดังนี้
1. มีจุดคัดกรองวัดอุณหภูมิก่อนเข้าพื้นที่สวนสัตว์
2. กําหนดทางเข้าออกทางเดียวสําหรับผู้รับบริการ โดยมีจุด Check in – Check out ผ่าน www.ไทยชนะ.com
3. เปิดให้สํารองบัตรเข้าชมล่วงหน้า ผ่านแอพพลิเคชั่น หรือ โทรศัพท์
4. กําหนดจุดเว้นระยะห่างทุกจุดบริการภายในสวนสัตว์ตามมาตรการควบคุมโรค ได้แก่ บริเวณจุดซื้อบัตรเข้าชม จุดยืนชมสัตว์ รถนั่งบริการเที่ยวชม ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ร้านอาหารและเครื่องดื่ม
5. มีจุดวางแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ให้บริการนักท่องเที่ยวบริเวณจุดต่าง ๆ รอบสวนสัตว์
6. เน้นการเปิดให้บริการส่วนจะแสดงกลางแจ้ง และงดกิจกรรมภายในอาคาร
7. มีเจ้าหน้าที่บริการที่บริเวณจุดทางออก และจัดกิจกรรมสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวลงทะเบียน Check out
เพื่อเป็นการลดความแออัด ของ การเที่ยวชมสวนสัตว์ ในระยะแรก ( ในช่วงวันที่ 15 -30 มิถุนายน 2563 ) และในช่วงวันหยุดเทศกาลหรือวันหยุดต่อเนื่องทั้งนี้ ตลอดเวลาจากเหตุการณ์วิกฤติโควิด (COVID-19) ที่ผ่านมา ทุกสวนสัตว์ในสังกัดได้ดูแลสัตว์ในสวนสัตว์เป็นอย่างดี และถือโอกาสในช่วงปิดให้บริการสวนสัตว์ดําเนินการ Big Cleaning.และซ่อมแซมสวนสัตว์ ทุกสวนสัตว์ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสําหรับให้บริการนักท่องเที่ยวและประชาชน ได้เข้ามาพักผ่อนหย่อนใจ และได้ศึกษา อนุรักษ์ วิจัยพันธุ์สัตว์ป่าต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. เปิดการท่องเที่ยวสวนสัตว์วิถีใหม่ “Zoo New Normal” ดีเดย์ 15 มิ.ย. นี้ “ฟรี” ทั่วประเทศพร้อม “เน้นย้ำ” เที่ยวสวนสัตว์ ต้องจองล่วงหน้า เท่านั้น
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563
ทส. เปิดการท่องเที่ยวสวนสัตว์วิถีใหม่ “Zoo New Normal” ดีเดย์ 15 มิ.ย. นี้ “ฟรี” ทั่วประเทศพร้อม “เน้นย้ํา” เที่ยวสวนสัตว์ ต้องจองล่วงหน้า เท่านั้น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การสวนสัตว์ สร้างสุขให้ประชาชนหลังวิกฤติโควิด -19 ดีเดย์ 15 มิ.ย. นี้ เปิดสวนสัตว์ในสังกัดทั่วประเทศให้เข้าชม “ฟรี” จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน พร้อมกําหนดมาตรการเที่ยวสวนสัตว์ในวิถีใหม่ หลังวิกฤติโควิด -19 “เน้
ทส. เปิดการท่องเที่ยวสวนสัตว์วิถีใหม่ “Zoo New Normal” ดีเดย์ 15 มิ.ย. นี้ “ฟรี” ทั่วประเทศพร้อม “เน้นย้ํา” เที่ยวสวนสัตว์ ต้องจองล่วงหน้า เท่านั้น
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การสวนสัตว์ สร้างสุขให้ประชาชนหลังวิกฤติโควิด -19ดีเดย์ 15 มิ.ย. นี้ เปิดสวนสัตว์ในสังกัดทั่วประเทศให้เข้าชม “ฟรี”จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน พร้อมกําหนดมาตรการเที่ยวสวนสัตว์ในวิถีใหม่ หลังวิกฤติโควิด -19“เน้นย้ํา”เที่ยวสวนสัตว์ ต้องจองล่วงหน้า เท่านั้นผ่านทางโทรศัพท์ หรือ แอพพลิเคชั่น ในเว็บไซต์ของสวนสัตว์ https://www.eventpop.me/e/9040/zoothailand
วันที่ 12 มิถุนายน 2563 เวลา 10.30 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานแถลงข่าวเรื่องการเปิดการท่องเที่ยวสวนสัตว์วิถีใหม่ “Zoo New Normal” พร้อมทั้งเยี่ยมชมส่วนจัดแสดงสัตว์ตามมาตรการป้องกันและลดความเสี่ยงโรคโควิด – 19 อาทิ ฮิปโปโปเตมัส “แม่มะลิ” ของขวัญคนไทย ยีราฟ “ตาหวาน และ บิลลาเด็น” ดาวเด่นจากสวนสัตว์ดุสิต และ ลูกช้างไทยที่เกิดจากการผสมเทียมโดยมี นายนพดล พลเสน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึง ผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงฯผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีนายก อบจ.ชลบุรี และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมงานแถลงข่าวและเยี่ยมชมส่วนแสดงสัตว์ณสวนสัตว์เปิดเขาเขียว (บริเวณลานจอดรถใหม่) อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศผ่อนปรนให้กลุ่มกิจการประเภทต่างๆ 14 กิจการ คลายล็อคในระยะที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การสวนสัตว์ ได้กําหนดแผนการเปิดให้บริการเที่ยวชมสวนสัตว์ในสังกัดกระทรวงฯ ทั้ง 6 แห่ง 1 โครงการฯ ทั่วประเทศได้แก่ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ชลบุรี สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์สงขลา สวนสัตว์ขอนแก่น สวนสัตว์อุบลราชธานีและโครงการคชอาณาจักรจังหวัดสุรินทร์ โดยตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2563 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมสวนสัตว์ “ฟรี” เพื่อเป็นการคืนความสุข ให้แก่ประชาชนทั้งนี้ ในการเข้าชมสวนสัตว์ ได้มีจํากัดจํานวนผู้เข้าชมสวนสัตว์ วันละไม่เกิน 2,000 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 08.00 -12.00 น. ช่วงบ่าย 12.00 -17.00 น. และต้องจองเข้าชม ล่วงหน้า ผ่านทางโทรศัพท์ หรือ แอพพลิเคชั่น ของสวนสัตว์ https://www.eventpop.me/e/9040/zoo Thailand. หรือ ติดต่อผ่านโทรศัพท์ ดังนี้
สวนสัตว์เปิดเขาเขียว เบอร์ติดต่อ 034 318 444
สวนสัตว์เชียงใหม่ เบอร์ติดต่อ 053 221 179
สวนสัตว์นครราชสีมา เบอร์ติดต่อ 083 372 0404
สวนสัตว์สงขลา เบอร์ติดต่อ 074 598 555
สวนสัตว์อุบลราชธานี เบอร์ติดต่อ 045 252 761
สวนสัตว์ขอนแก่น เบอร์ติดต่อ 086 455 6341
นอกจากนี้ ในการเที่ยวชมสวนสัตว์วิถีใหม่ ได้มีการเตรียมพร้อมและได้กําหนดมาตรการรองรับการเปิดบริการการเที่ยวชมสวนสัตว์ในวิถีใหม่ ใส่ใจสุขภาพ มีดังนี้
1. มีจุดคัดกรองวัดอุณหภูมิก่อนเข้าพื้นที่สวนสัตว์
2. กําหนดทางเข้าออกทางเดียวสําหรับผู้รับบริการ โดยมีจุด Check in – Check out ผ่าน www.ไทยชนะ.com
3. เปิดให้สํารองบัตรเข้าชมล่วงหน้า ผ่านแอพพลิเคชั่น หรือ โทรศัพท์
4. กําหนดจุดเว้นระยะห่างทุกจุดบริการภายในสวนสัตว์ตามมาตรการควบคุมโรค ได้แก่ บริเวณจุดซื้อบัตรเข้าชม จุดยืนชมสัตว์ รถนั่งบริการเที่ยวชม ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ร้านอาหารและเครื่องดื่ม
5. มีจุดวางแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ให้บริการนักท่องเที่ยวบริเวณจุดต่าง ๆ รอบสวนสัตว์
6. เน้นการเปิดให้บริการส่วนจะแสดงกลางแจ้ง และงดกิจกรรมภายในอาคาร
7. มีเจ้าหน้าที่บริการที่บริเวณจุดทางออก และจัดกิจกรรมสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวลงทะเบียน Check out
เพื่อเป็นการลดความแออัด ของ การเที่ยวชมสวนสัตว์ ในระยะแรก ( ในช่วงวันที่ 15 -30 มิถุนายน 2563 ) และในช่วงวันหยุดเทศกาลหรือวันหยุดต่อเนื่องทั้งนี้ ตลอดเวลาจากเหตุการณ์วิกฤติโควิด (COVID-19) ที่ผ่านมา ทุกสวนสัตว์ในสังกัดได้ดูแลสัตว์ในสวนสัตว์เป็นอย่างดี และถือโอกาสในช่วงปิดให้บริการสวนสัตว์ดําเนินการ Big Cleaning.และซ่อมแซมสวนสัตว์ ทุกสวนสัตว์ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสําหรับให้บริการนักท่องเที่ยวและประชาชน ได้เข้ามาพักผ่อนหย่อนใจ และได้ศึกษา อนุรักษ์ วิจัยพันธุ์สัตว์ป่าต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32274
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เริ่มเดือนแรก ก.พ. 62
|
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
กรมบัญชีกลางปรับการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เริ่มเดือนแรก ก.พ. 62
กรมบัญชีกลางปรับการเติมเงินรายเดือนเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงินสําหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค (200/300 บาทต่อเดือน) โดยแบ่งเติมเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ตั้งแต่เดือน ก.พ. – เม.ย. 62
นางญาณี แสงศรีจันทร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2562 กรมบัญชีกลางจะเริ่มปรับการเติมเงินรายเดือนเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในส่วนของกระเป๋าวงเงินสําหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านธงฟ้าประชารัฐ (200/300 บาทต่อเดือน) โดยจะแบ่งไปเติมเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) โดยมีรายละเอียด ดังนี้ วงเงิน 200 บาท/คน/เดือน (จะเติมให้ในกระเป๋าวงเงิน 100 บาท และกระเป๋า e-Money 100 บาท) และวงเงิน 300 บาท/คน/เดือน (จะเติมให้ในกระเป๋าวงเงิน 100 บาท และกระเป๋า e-Money 200 บาท) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการใช้จ่ายให้กับผู้มีสิทธิ ซึ่งในส่วนของกระเป๋า e-Money
ผู้มีสิทธิสามารถสะสมไว้ใช้จ่ายเมื่อจําเป็น สะสมไว้เป็นเงินออมในบัตร หรือนําไปใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ที่รับชําระเงินผ่านเครื่องรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) และ Mobile Application ถุงเงินประชารัฐ นอกจากนี้ ยังสามารถนําไปใช้ซื้อสินค้ากับร้านค้าที่ร่วมมาตรการชดเชยภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อรับเงินคืน 5% รวมทั้งเงินออม 1% โดยสังเกตสัญลักษณ์สติ๊กเกอร์ “จ่ายด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money PromptCard)” ได้อีกด้วย
รายได้ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ปี 2559 ปัจจุบันวงเงิน ค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ที่จําเป็น ปรับการเติมเงิน 3 เดือน
(เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2562) รวม
(1) + (2)
(1)
วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น (2)
เติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)
1. ผู้มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี 300 100 200 300
2. ผู้มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี
แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี 200 100 100 200
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวย้ําว่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2562 วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีบัตรทุกราย จะลดลงเหลือ 100 บาทต่อเดือน แต่เงินในกระเป๋าเงิน e-Money จะเพิ่มขึ้น 100/200 บาทต่อเดือนแทน เมื่อรวมทั้ง 2 ส่วนแล้ว ผู้มีบัตรยังคงได้รับวงเงินรวมตามสิทธิเดิม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เริ่มเดือนแรก ก.พ. 62
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
กรมบัญชีกลางปรับการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เริ่มเดือนแรก ก.พ. 62
กรมบัญชีกลางปรับการเติมเงินรายเดือนเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงินสําหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค (200/300 บาทต่อเดือน) โดยแบ่งเติมเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ตั้งแต่เดือน ก.พ. – เม.ย. 62
นางญาณี แสงศรีจันทร์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2562 กรมบัญชีกลางจะเริ่มปรับการเติมเงินรายเดือนเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในส่วนของกระเป๋าวงเงินสําหรับซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านธงฟ้าประชารัฐ (200/300 บาทต่อเดือน) โดยจะแบ่งไปเติมเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) โดยมีรายละเอียด ดังนี้ วงเงิน 200 บาท/คน/เดือน (จะเติมให้ในกระเป๋าวงเงิน 100 บาท และกระเป๋า e-Money 100 บาท) และวงเงิน 300 บาท/คน/เดือน (จะเติมให้ในกระเป๋าวงเงิน 100 บาท และกระเป๋า e-Money 200 บาท) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการใช้จ่ายให้กับผู้มีสิทธิ ซึ่งในส่วนของกระเป๋า e-Money
ผู้มีสิทธิสามารถสะสมไว้ใช้จ่ายเมื่อจําเป็น สะสมไว้เป็นเงินออมในบัตร หรือนําไปใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ที่รับชําระเงินผ่านเครื่องรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) และ Mobile Application ถุงเงินประชารัฐ นอกจากนี้ ยังสามารถนําไปใช้ซื้อสินค้ากับร้านค้าที่ร่วมมาตรการชดเชยภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อรับเงินคืน 5% รวมทั้งเงินออม 1% โดยสังเกตสัญลักษณ์สติ๊กเกอร์ “จ่ายด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money PromptCard)” ได้อีกด้วย
รายได้ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ปี 2559 ปัจจุบันวงเงิน ค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ที่จําเป็น ปรับการเติมเงิน 3 เดือน
(เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2562) รวม
(1) + (2)
(1)
วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น (2)
เติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)
1. ผู้มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี 300 100 200 300
2. ผู้มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปี
แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี 200 100 100 200
โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าวย้ําว่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2562 วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีบัตรทุกราย จะลดลงเหลือ 100 บาทต่อเดือน แต่เงินในกระเป๋าเงิน e-Money จะเพิ่มขึ้น 100/200 บาทต่อเดือนแทน เมื่อรวมทั้ง 2 ส่วนแล้ว ผู้มีบัตรยังคงได้รับวงเงินรวมตามสิทธิเดิม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18530
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. แนะผู้ประกอบการ จ้างงานแรงงานต่างด้าวในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ำไทยมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจคัดกรองโรคแรงงานต่างด้าว
|
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563
โฆษก ศบค. แนะผู้ประกอบการ จ้างงานแรงงานต่างด้าวในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ําไทยมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจคัดกรองโรคแรงงานต่างด้าว
นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แนะผู้ประกอบการ จ้างงานแรงงานต่างด้าวในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ําไทยมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจคัดกรองโรคแรงงานต่างด้าว
วันนี้ (3ส.ค.63)เวลา11.30น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ชี้แจงสื่อมวลชนเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ดังนี้
โฆษก ศบค. ย้ําการอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวจาก3สัญชาติ ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เข้ามาทํางานในประเทศไทยนั้น กระทรวงแรงงานกับกระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคัดกรองโรค ตั้งแต่ด่านตรวจคนเข้าเมือง หากพบว่ามีอาการป่วยติดเชื้อไวรัส โควิด-19ยืนยันว่า ไม่มีการอนุญาตเข้าประเทศไทยส่วนผู้ที่ไม่พบอาการป่วย ก็ต้องเข้าสู่สถานกักกั้น ตัวในLocal QuarantineหรือOrganizationalQuarantineเพื่อสังเกตอาการทั้งนี้ ที่ประชุม ศบค. ได้ผ่อนคลายให้สามารถกักกั้นตัว เพื่อสังเกตอาการภายในพื้นที่โรงแรมห้องละ2คน เพื่อช่วยผู้ประกอบการลดค่าใช้จ่ายพร้อมแนะแนวทางการจ้างงานแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในไทยที่อาจว่างงานและต้องกลับประเทศควบคู่ไปกับการนําแรงงานต่างด้าวจากต่างประเทศ เพราะแรงงานในประเทศจะมีปลอดเชื้อพร้อมทั้งฝากไปถึงพี่น้องประชาชนให้ช่วยกันสอดส่องดูแล หากพบเจอแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายบริเวณพื้นที่ติดชายแดน สามารถแจ้งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือสาธารณสุขจังหวัดได้ทันที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19สําหรับกลุ่มที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศในขณะนี้คือ คนต่างด้าวตลอดจนคู่สมรสและบุตรที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยกลุ่มผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษ (Special Arrangement)หรือผู้ที่ถือบัตรThailand Elite Card
นอกจากนี้ โฆษก ศบค. ยังเปิดเผยว่า การพิจารณาอนุญาตให้สนามโค สนามชนไก่ สนามกัดปลา หรือสนามแข่งขันอื่นในลักษณะทํานองเดียวกัน ให้เป็นดุลยพินิจของผู้ว่ากรุงเทพมหานครหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ตามความมาตรา9แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ (ฉบับที่13)ข้อที่3ให้มีอํานาจในเปิดดําเนินการและให้บริการได้ตามความเหมาะสม โดยแต่ละจังหวัดจะมีคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ทําหน้าที่เหมือน ศบค. ประจําจังหวัด กระจายอํานาจสู่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ตําบลต่าง ๆ เพื่อความรวดเร็วในการควบคุมดูแลกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลาย ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกําหนดอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมว่า เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)จะทําหน้าที่ดูแลการผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมในภาพรวม เพื่อแก้ไขปัญหาการดําเนินงานต่าง ๆ
ในตอนท้าย โฆษก ศบค. ชี้แจงถึงการเปิดการเรียนการสอนตามปกติ ของโรงเรียนกว่า4,500แห่งทั่วประเทศที่อยู่ภายใต้สังกัด สพฐ. สํานักงานพระพุทธฯ และโรงเรียนเอกชนว่า โรงเรียนบางแห่งมีข้อจํากัดด้านพื้นที่ มีความแออัดของชั้นเรียน จึงยังต้องหารือกันในรายละเอียด เพื่อสร้างความมั่นใจการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ในโรงเรียนขณะเดียวกันกระทรวงศึกษาธิการ จะพิจารณาหนทางเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ปกครองและบุคลากรทางด้านการศึกษาโดยเร็วที่สุด
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. แนะผู้ประกอบการ จ้างงานแรงงานต่างด้าวในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ำไทยมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจคัดกรองโรคแรงงานต่างด้าว
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม 2563
โฆษก ศบค. แนะผู้ประกอบการ จ้างงานแรงงานต่างด้าวในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ําไทยมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจคัดกรองโรคแรงงานต่างด้าว
นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แนะผู้ประกอบการ จ้างงานแรงงานต่างด้าวในประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ย้ําไทยมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจคัดกรองโรคแรงงานต่างด้าว
วันนี้ (3ส.ค.63)เวลา11.30น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ชี้แจงสื่อมวลชนเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ดังนี้
โฆษก ศบค. ย้ําการอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวจาก3สัญชาติ ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เข้ามาทํางานในประเทศไทยนั้น กระทรวงแรงงานกับกระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคัดกรองโรค ตั้งแต่ด่านตรวจคนเข้าเมือง หากพบว่ามีอาการป่วยติดเชื้อไวรัส โควิด-19ยืนยันว่า ไม่มีการอนุญาตเข้าประเทศไทยส่วนผู้ที่ไม่พบอาการป่วย ก็ต้องเข้าสู่สถานกักกั้น ตัวในLocal QuarantineหรือOrganizationalQuarantineเพื่อสังเกตอาการทั้งนี้ ที่ประชุม ศบค. ได้ผ่อนคลายให้สามารถกักกั้นตัว เพื่อสังเกตอาการภายในพื้นที่โรงแรมห้องละ2คน เพื่อช่วยผู้ประกอบการลดค่าใช้จ่ายพร้อมแนะแนวทางการจ้างงานแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในไทยที่อาจว่างงานและต้องกลับประเทศควบคู่ไปกับการนําแรงงานต่างด้าวจากต่างประเทศ เพราะแรงงานในประเทศจะมีปลอดเชื้อพร้อมทั้งฝากไปถึงพี่น้องประชาชนให้ช่วยกันสอดส่องดูแล หากพบเจอแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายบริเวณพื้นที่ติดชายแดน สามารถแจ้งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือสาธารณสุขจังหวัดได้ทันที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19สําหรับกลุ่มที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศในขณะนี้คือ คนต่างด้าวตลอดจนคู่สมรสและบุตรที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยกลุ่มผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษ (Special Arrangement)หรือผู้ที่ถือบัตรThailand Elite Card
นอกจากนี้ โฆษก ศบค. ยังเปิดเผยว่า การพิจารณาอนุญาตให้สนามโค สนามชนไก่ สนามกัดปลา หรือสนามแข่งขันอื่นในลักษณะทํานองเดียวกัน ให้เป็นดุลยพินิจของผู้ว่ากรุงเทพมหานครหรือผู้ว่าราชการจังหวัด ตามความมาตรา9แห่ง พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ (ฉบับที่13)ข้อที่3ให้มีอํานาจในเปิดดําเนินการและให้บริการได้ตามความเหมาะสม โดยแต่ละจังหวัดจะมีคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ทําหน้าที่เหมือน ศบค. ประจําจังหวัด กระจายอํานาจสู่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ตําบลต่าง ๆ เพื่อความรวดเร็วในการควบคุมดูแลกิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนคลาย ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกําหนดอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมว่า เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)จะทําหน้าที่ดูแลการผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมในภาพรวม เพื่อแก้ไขปัญหาการดําเนินงานต่าง ๆ
ในตอนท้าย โฆษก ศบค. ชี้แจงถึงการเปิดการเรียนการสอนตามปกติ ของโรงเรียนกว่า4,500แห่งทั่วประเทศที่อยู่ภายใต้สังกัด สพฐ. สํานักงานพระพุทธฯ และโรงเรียนเอกชนว่า โรงเรียนบางแห่งมีข้อจํากัดด้านพื้นที่ มีความแออัดของชั้นเรียน จึงยังต้องหารือกันในรายละเอียด เพื่อสร้างความมั่นใจการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ในโรงเรียนขณะเดียวกันกระทรวงศึกษาธิการ จะพิจารณาหนทางเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้ปกครองและบุคลากรทางด้านการศึกษาโดยเร็วที่สุด
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33884
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพร้อมจะทำงานกับเกาหลีใต้อย่างสร้างสรรค์ต่อไป
|
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
ไทยพร้อมจะทํางานกับเกาหลีใต้อย่างสร้างสรรค์ต่อไป
ไทยพร้อมจะทํางานกับเกาหลีใต้อย่างสร้างสรรค์ต่อไป
วันนี้ (16 พฤษภาคม 2561) เวลา 13.30 น. นายเพค อุน-กยู (H.E. Mr. Paik Un-gyu) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงาน สาธารณรัฐเกาหลี เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสนําคณะนักธุรกิจเกาหลีใต้เยือนไทย ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและขอบคุณที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงาน นําคณะนักธุรกิจเกาหลีใต้จากบริษัทชั้นนํากว่า 180 คน เดินทางมาไทย เพื่อฉลองครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน จึงหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูงอย่างต่อเนื่องต่อไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับความสําเร็จของการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นําเกาหลีใต้กับผู้นําเกาหลีเหนือ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะการลงนามในปฏิญญาปันมุนจอม (Panmunjom Declaration) ที่ส่งผลให้สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และไทยพร้อมจะทํางานร่วมกับเกาหลีใต้อย่างสร้างสรรค์
ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันในประเด็นทางเศรษฐกิจและเห็นว่า ไทย - เกาหลีใต้ ควรเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ซึ่งการเดินทางเยือนไทยของคณะนักธุรกิจเกาหลีใต้ครั้งนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจและกระตุ้นการค้าการลงทุนระหว่างกันให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นได้ นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังมีนโยบายหลายอย่างที่สามารถส่งเสริมความร่วมมือซึ่งกันและกันได้ โดยเฉพาะ New Southern Policy และ The 4th Industrial Revolution ของเกาหลีใต้กับ Thailand 4.0 โครงการ EEC และ New S-Curve ของไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังอวยพรให้งานสัมมนา Maekyung Thailand Forum ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีไปเข้าร่วม ประสบความสําเร็จดังทีหวังไว้ พร้อมหวังว่าฝ่ายเกาหลีใต้จะเห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ในช่วงท้าย ฝ่ายเกาหลีใต้ให้คํามั่นว่าจะดูแลและอํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปเกาหลีใต้เป็นจํานวนมาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณและยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมที่จะทํางานและให้ความร่วมมือเพื่อผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไปในทุกมิติ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยพร้อมจะทำงานกับเกาหลีใต้อย่างสร้างสรรค์ต่อไป
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
ไทยพร้อมจะทํางานกับเกาหลีใต้อย่างสร้างสรรค์ต่อไป
ไทยพร้อมจะทํางานกับเกาหลีใต้อย่างสร้างสรรค์ต่อไป
วันนี้ (16 พฤษภาคม 2561) เวลา 13.30 น. นายเพค อุน-กยู (H.E. Mr. Paik Un-gyu) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงาน สาธารณรัฐเกาหลี เข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสนําคณะนักธุรกิจเกาหลีใต้เยือนไทย ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ สรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับและขอบคุณที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงาน นําคณะนักธุรกิจเกาหลีใต้จากบริษัทชั้นนํากว่า 180 คน เดินทางมาไทย เพื่อฉลองครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน จึงหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับสูงอย่างต่อเนื่องต่อไป
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับความสําเร็จของการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นําเกาหลีใต้กับผู้นําเกาหลีเหนือ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะการลงนามในปฏิญญาปันมุนจอม (Panmunjom Declaration) ที่ส่งผลให้สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และไทยพร้อมจะทํางานร่วมกับเกาหลีใต้อย่างสร้างสรรค์
ทั้งสองฝ่ายได้หารือร่วมกันในประเด็นทางเศรษฐกิจและเห็นว่า ไทย - เกาหลีใต้ ควรเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ซึ่งการเดินทางเยือนไทยของคณะนักธุรกิจเกาหลีใต้ครั้งนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจและกระตุ้นการค้าการลงทุนระหว่างกันให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นได้ นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังมีนโยบายหลายอย่างที่สามารถส่งเสริมความร่วมมือซึ่งกันและกันได้ โดยเฉพาะ New Southern Policy และ The 4th Industrial Revolution ของเกาหลีใต้กับ Thailand 4.0 โครงการ EEC และ New S-Curve ของไทย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังอวยพรให้งานสัมมนา Maekyung Thailand Forum ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีไปเข้าร่วม ประสบความสําเร็จดังทีหวังไว้ พร้อมหวังว่าฝ่ายเกาหลีใต้จะเห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ในช่วงท้าย ฝ่ายเกาหลีใต้ให้คํามั่นว่าจะดูแลและอํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางไปเกาหลีใต้เป็นจํานวนมาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณและยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมที่จะทํางานและให้ความร่วมมือเพื่อผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเกาหลีใต้ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไปในทุกมิติ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12288
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะอนุกรรมการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ผนึกกำลังหน่วยปราบการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
|
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560
คณะอนุกรรมการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ผนึกกําลังหน่วยปราบการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
ซึ่งประกอบด้วย กรมทรัพย์สินทางปัญญา กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กองทัพบก สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมประชาสัมพันธ์ และภาคเอกชนเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
จัดพิธีประชาสัมพันธ์และทําลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาครั้งใหญ่ ณ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ น้ําหนักประมาณ 300 ตัน มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,756 ล้านบาท (ประเมินจากราคาของจริงเฉลี่ย)
รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560 ได้เป็นประธานในพิธีทําลายของกลางละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่คดีถึงที่สุดแล้ว โดยเป็นความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานในคณะอนุกรรมการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน ประกอบด้วย กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กองทัพบก กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมประชาสัมพันธ์ได้ร่วมกับภาคเอกชนเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา โดยมีจํานวนของกลางที่รวบรวมจากทั่วประเทศทั้งสิ้น 3,639,679 ชิ้น คิดเป็นน้ําหนักประมาณ 300 ตัน มูลค่ารวม 1,756 ล้านบาท ซึ่งมาจากของกลางของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ จํานวน 276,643 ชิ้น ของกลางจาก กรมศุลกากร จํานวน 2,915,525 ชิ้น และของกลางจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ จํานวน 447,511 ชิ้น ประกอบด้วย เสื้อผ้า กระเป๋า เข็มขัด รองเท้า นาฬิกา โทรศัพท์มือถือ แผ่นซีดี/วีซีดี แว่นตา เครื่องสําอาง หมวก และผ้าห่ม เป็นต้น
“สินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้เป็นของผิดกฎหมายจะต้องนํามาทําลาย ซึ่งการทําลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่คดีถึงที่สุดแล้ว ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการปราบปรามที่จะต้องดําเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็นพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก (TRIPS) หรือ กฎระเบียบ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาว่าจะไม่มีสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากลับไปสู่ท้องตลาด หรือส่งออกไปยังต่างประเทศ” รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะอนุกรรมการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ผนึกกำลังหน่วยปราบการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560
คณะอนุกรรมการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ผนึกกําลังหน่วยปราบการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
ซึ่งประกอบด้วย กรมทรัพย์สินทางปัญญา กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กองทัพบก สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมประชาสัมพันธ์ และภาคเอกชนเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
จัดพิธีประชาสัมพันธ์และทําลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาครั้งใหญ่ ณ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ น้ําหนักประมาณ 300 ตัน มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,756 ล้านบาท (ประเมินจากราคาของจริงเฉลี่ย)
รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) เปิดเผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2560 ได้เป็นประธานในพิธีทําลายของกลางละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่คดีถึงที่สุดแล้ว โดยเป็นความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานในคณะอนุกรรมการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน ประกอบด้วย กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กองทัพบก กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมประชาสัมพันธ์ได้ร่วมกับภาคเอกชนเจ้าของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา โดยมีจํานวนของกลางที่รวบรวมจากทั่วประเทศทั้งสิ้น 3,639,679 ชิ้น คิดเป็นน้ําหนักประมาณ 300 ตัน มูลค่ารวม 1,756 ล้านบาท ซึ่งมาจากของกลางของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ จํานวน 276,643 ชิ้น ของกลางจาก กรมศุลกากร จํานวน 2,915,525 ชิ้น และของกลางจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ จํานวน 447,511 ชิ้น ประกอบด้วย เสื้อผ้า กระเป๋า เข็มขัด รองเท้า นาฬิกา โทรศัพท์มือถือ แผ่นซีดี/วีซีดี แว่นตา เครื่องสําอาง หมวก และผ้าห่ม เป็นต้น
“สินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเหล่านี้เป็นของผิดกฎหมายจะต้องนํามาทําลาย ซึ่งการทําลายของกลางคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาที่คดีถึงที่สุดแล้ว ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการปราบปรามที่จะต้องดําเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็นพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาขององค์การการค้าโลก (TRIPS) หรือ กฎระเบียบ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาว่าจะไม่มีสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากลับไปสู่ท้องตลาด หรือส่งออกไปยังต่างประเทศ” รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) กล่าว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2303
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมวิชาการ "การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร" ตามพระราชดำริฯ ที่เชียงใหม่
|
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2560
การประชุมวิชาการ "การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร" ตามพระราชดําริฯ ที่เชียงใหม่
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินทรงเป็นองค์ประธานเปิดการประชุมวิชาการ "การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ปีการศึกษา 2559"
ภายใต้แนวคิดหลัก "มหัศจรรย์แห่งพระเมตตา พระกรุณาล้นฟ้า ทั่วพาราร่มเย็น" เมื่อวันศุกร์ที่27มกราคม2560ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ7รอบ พระชนมพรรษา ตําบลช้างเผือก อําเภอเมืองเชียงใหม่
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกราบบังคมทูลรายงานการประชุมวิชาการฯ มีใจความดังนี้
" ขอพระราชทาน กราบบังคมทูลฝ่าละอองพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้า หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ที่มาร่วมพิธี ณ ที่นี้ รู้สึกปลาบปลื้มปีติและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดําเนินมาทรงเป็นองค์ประธาน เปิดการประชุมวิชาการ การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดําริในครั้งนี้ นับเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งแก่ปวงข้าพระพุทธเจ้า เป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้
กระทรวงศึกษาธิการโดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พร้อมด้วยกองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้ร่วมกันรับสนองแนวพระราชดําริจัดการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหมายที่จะพัฒนาเด็กและเยาวชน ทางด้านโภชนาการและสุขภาพพลานามัย ด้านการศึกษา มุ่งเน้นการศึกษาเรื่องหน้าที่พลเมืองและความซื่อสัตย์สุจริตสร้างชาติ ด้านการส่งเสริมอาชีพ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น รวมทั้งการบูรณาการ เพื่อให้เด็กและเยาวชนดังกล่าว มีความรู้ความสามารถ มีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นกําลังสําคัญของพื้นที่ด้านการพัฒนาชุมชนในถิ่นทุรกันดารได้เป็นอย่างดี
ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ได้ปฏิบัติงานในพื้นที่ทุรกันดาร สนองแนวพระราชดําริดังกล่าว ล้วนรู้สึกซาบซึ้ง และปลาบปลื้มปีติยินดี ที่ใต้ฝ่าละอองพระบาท เสด็จพระราชดําเนินไปทรงงานและติดตามการปฏิบัติงานในพื้นที่อย่างใกล้ชิดเสมอมา
ผลของการปฏิบัติงานตามแนวพระราชดําริดังกล่าว ก่อให้เกิดผลดีแก่เด็กและเยาวชน ส่งผลถึงครอบครัวของนักเรียนและชุมชนในถิ่นทุรกันดารต่าง ๆซึ่งหน่วยงานต้นสังกัดได้ศึกษาวิจัยผลงานของนักเรียนในแต่ละพื้นที่ สรุปเป็นผลงานวิชาการในแต่ละด้าน จัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน เป็นการนําประสบการณ์ และข้อคิดเห็นต่าง ๆ ที่ดี ไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์แก่เด็กและเยาวชน ตลอดจนชุมชนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป โดยในปีพุทธศักราช 2560 นี้กระทรวงศึกษาธิการ ได้กําหนดจัดการประชุมทางวิชาการขึ้น ระหว่างวันที่ 26-28 มกราคม 2560 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่
โอกาสนี้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเบิกเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนําผู้เข้าร่วมประชุมถวายสัตย์ปฏิญาณ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รองเลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย รองผู้บัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน และรองผู้อํานวยการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเอกสารรายงานผลการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานและขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเบิกเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ผู้บัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน และผู้อํานวยการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้แทนของแต่ละหน่วยงาน ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงินสมทบกองทุนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร และพระบรมราชานุญาตเบิกครูผู้มีผลการปฏิบัติงานที่ดีเข้ารับพระราชทานเข็มที่ระลึก และเบิกผู้ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายเงินสมทบกองทุนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร เข้ารับพระราชทานเข็มของที่ระลึก ตามลําดับ
และในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชดํารัสเปิดการประชุมวิชาการ การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร เป็นลําดับต่อไป จากนั้นขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญใต้ฝ่าละอองพระบาท ทอดพระเนตรการนําเสนอผลการปฏิบัติงานที่ดีของครู จํานวน 6 เรื่อง และเชิญเสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตรนิทรรศการ การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามลําดับต่อไป
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม"
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพระราชทานพระราชดํารัสเปิดการประชุมวิชาการฯ มีใจความดังนี้
"ข้าพเจ้ายินดีเป็นอย่างมากที่เห็นพัฒนาการที่ดี ของการดําเนินงานพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ประสบผลเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ราษฎรในท้องที่ห่างไกลและเข้าถึงยากราษฎรมีความรู้เรื่องการดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้น ทําให้มีสุขภาพอนามัยดี ประกอบสัมมาชีพเลี้ยงครอบครัวได้ ส่วนบุตรหลานมีสภาวะโภชนาการดีขึ้น ร่างกายแข็งแรง สามารถเข้ารับการศึกษา และมีโอกาสที่จะพัฒนาความรู้ให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป เด็กและเยาวชนเหล่านี้ หลายคนจบการศึกษาแล้ว สามารถกลับไปเป็นกําลังช่วยพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง อันเนื่องมาจากได้รับการปลูกฝังเรื่องจิตสํานึกรักท้องถิ่น ซึ่งครูในพื้นที่และท่านทั้งหลายได้เพียรพยายามสร้างกันมาอย่างต่อเนื่อง
ขอขอบใจรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะที่ได้จัดการนําเสนอผลงานความก้าวหน้าของโรงเรียนทั้งขอขอบใจหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จังหวัดเชียงใหม่ และสํานักงานพัฒนาพิงคนคร ที่รวมพลังกันนําเสนอผลงานการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ในการจัดประชุมในปีนี้ได้อย่างน่าชื่นชม
ได้เวลาอันควรแล้ว ข้าพเจ้าขอเปิดการประชุมวิชาการ "การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร" ปีการศึกษา 2559 ณ บัดนี้ และขออํานวยพรให้การประชุมวิชาการประสบผลสําเร็จ ให้ทุกท่านที่มาร่วมประชุมในวันนี้ ประสบความอิ่มเอมใจ และมีความสุขสวัสดีโดยทั่วกัน"
โอกาสนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระราชทานเข็มที่ระลึกให้แก่ครูที่มีผลงานวิธีปฏิบัติที่ดีในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดําริ จํานวน12ราย และพระราชทานของที่ระลึกแก่ผู้ทูลเกล้าฯ ถวายเงินสมทบกองทุนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร จํานวน120ราย รวมทั้งทอดพระเนตรการร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จํานวน3เพลง จากตัวแทนนักเรียนในโครงการตามพระราชดําริฯ
นอกจากนี้ ได้ทอดพระเนตรการนําเสนอผลการปฏิบัติงานที่ดีของครู จํานวน6เรื่อง ได้แก่
1) ด้านโภชนาการและสุขอนามัยเรื่องการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนอย่างยั่งยืน โรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านนาสามัคคี จ.นครพนม
2) ด้านการศึกษาเรื่อง การพัฒนาและส่งเสริมการอ่านผ่านกระบวนการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร โดยใช้รูปแบบREAD MODELโรงเรียนบ้านห้วยโก๋น สพป.น่าน เขต2
3) ด้านส่งเสริมอาชีพเรื่อง การแปรรูปสมุนไพรเจียวกู่หลาน โรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนเบ็ตตี้ดูเมน จ.พะเยา
4) ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเรื่อง เพิ่มคุณค่าลายสลักด้วยเยื่อกระดาษรีไซเคิล โรงเรียนร้องแหย่งวิทยาคม โรงเรียนพระปริยัติธรรม จ.แพร่
5) ด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นเรื่อง บ๊ะกะเออ หนึ่งภูมิปัญญาพื้นบ้านนําพาเรียนรู้เมนูสุขภาพ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา "แม่ฟ้าหลวง" บ้านห้วยตองหลวง จ.เชียงใหม่
6) ด้านบูรณาการเรื่อง เด็กหอพักรักความดี โรงเรียนอมก๋อยวิทยาคม สพม. เขต34เชียงใหม่และโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านตืองอช่างกลปทุมวันอนุสรณ์13จ.นราธิวาส
จากนั้น เสด็จฯ ทอดพระเนตรนิทรรศการผลงานการดําเนินงานทั้ง6เรื่อง ทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ และกิจกรรมสาธิตเศรษฐกิจพอเพียงในโครงการตามพระราชดําริฯ เยี่ยมนักเรียนในพระราชานุเคราะห์ พร้อมทรงฉายพระรูปร่วมกับคณะผู้บริหาร และคณะทํางาน ตามลําดับ
ภาพเพิ่มเติมFacebook@ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมวิชาการ "การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร" ตามพระราชดำริฯ ที่เชียงใหม่
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2560
การประชุมวิชาการ "การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร" ตามพระราชดําริฯ ที่เชียงใหม่
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินทรงเป็นองค์ประธานเปิดการประชุมวิชาการ "การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ปีการศึกษา 2559"
ภายใต้แนวคิดหลัก "มหัศจรรย์แห่งพระเมตตา พระกรุณาล้นฟ้า ทั่วพาราร่มเย็น" เมื่อวันศุกร์ที่27มกราคม2560ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ7รอบ พระชนมพรรษา ตําบลช้างเผือก อําเภอเมืองเชียงใหม่
หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกราบบังคมทูลรายงานการประชุมวิชาการฯ มีใจความดังนี้
" ขอพระราชทาน กราบบังคมทูลฝ่าละอองพระบาท
ข้าพระพุทธเจ้า หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ที่มาร่วมพิธี ณ ที่นี้ รู้สึกปลาบปลื้มปีติและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดําเนินมาทรงเป็นองค์ประธาน เปิดการประชุมวิชาการ การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดําริในครั้งนี้ นับเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งแก่ปวงข้าพระพุทธเจ้า เป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้
กระทรวงศึกษาธิการโดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พร้อมด้วยกองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้ร่วมกันรับสนองแนวพระราชดําริจัดการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งหมายที่จะพัฒนาเด็กและเยาวชน ทางด้านโภชนาการและสุขภาพพลานามัย ด้านการศึกษา มุ่งเน้นการศึกษาเรื่องหน้าที่พลเมืองและความซื่อสัตย์สุจริตสร้างชาติ ด้านการส่งเสริมอาชีพ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น รวมทั้งการบูรณาการ เพื่อให้เด็กและเยาวชนดังกล่าว มีความรู้ความสามารถ มีคุณภาพชีวิตที่ดี เป็นกําลังสําคัญของพื้นที่ด้านการพัฒนาชุมชนในถิ่นทุรกันดารได้เป็นอย่างดี
ปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ได้ปฏิบัติงานในพื้นที่ทุรกันดาร สนองแนวพระราชดําริดังกล่าว ล้วนรู้สึกซาบซึ้ง และปลาบปลื้มปีติยินดี ที่ใต้ฝ่าละอองพระบาท เสด็จพระราชดําเนินไปทรงงานและติดตามการปฏิบัติงานในพื้นที่อย่างใกล้ชิดเสมอมา
ผลของการปฏิบัติงานตามแนวพระราชดําริดังกล่าว ก่อให้เกิดผลดีแก่เด็กและเยาวชน ส่งผลถึงครอบครัวของนักเรียนและชุมชนในถิ่นทุรกันดารต่าง ๆซึ่งหน่วยงานต้นสังกัดได้ศึกษาวิจัยผลงานของนักเรียนในแต่ละพื้นที่ สรุปเป็นผลงานวิชาการในแต่ละด้าน จัดให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน เป็นการนําประสบการณ์ และข้อคิดเห็นต่าง ๆ ที่ดี ไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์แก่เด็กและเยาวชน ตลอดจนชุมชนให้ดียิ่งขึ้นต่อไป โดยในปีพุทธศักราช 2560 นี้กระทรวงศึกษาธิการ ได้กําหนดจัดการประชุมทางวิชาการขึ้น ระหว่างวันที่ 26-28 มกราคม 2560 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่
โอกาสนี้ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเบิกเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนําผู้เข้าร่วมประชุมถวายสัตย์ปฏิญาณ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รองเลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย รองผู้บัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน และรองผู้อํานวยการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเอกสารรายงานผลการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานและขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเบิกเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ผู้บัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน และผู้อํานวยการสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้แทนของแต่ละหน่วยงาน ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงินสมทบกองทุนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร และพระบรมราชานุญาตเบิกครูผู้มีผลการปฏิบัติงานที่ดีเข้ารับพระราชทานเข็มที่ระลึก และเบิกผู้ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายเงินสมทบกองทุนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร เข้ารับพระราชทานเข็มของที่ระลึก ตามลําดับ
และในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชดํารัสเปิดการประชุมวิชาการ การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร เป็นลําดับต่อไป จากนั้นขอพระราชทานกราบบังคมทูลเชิญใต้ฝ่าละอองพระบาท ทอดพระเนตรการนําเสนอผลการปฏิบัติงานที่ดีของครู จํานวน 6 เรื่อง และเชิญเสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตรนิทรรศการ การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามลําดับต่อไป
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม"
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพระราชทานพระราชดํารัสเปิดการประชุมวิชาการฯ มีใจความดังนี้
"ข้าพเจ้ายินดีเป็นอย่างมากที่เห็นพัฒนาการที่ดี ของการดําเนินงานพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ประสบผลเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ราษฎรในท้องที่ห่างไกลและเข้าถึงยากราษฎรมีความรู้เรื่องการดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้น ทําให้มีสุขภาพอนามัยดี ประกอบสัมมาชีพเลี้ยงครอบครัวได้ ส่วนบุตรหลานมีสภาวะโภชนาการดีขึ้น ร่างกายแข็งแรง สามารถเข้ารับการศึกษา และมีโอกาสที่จะพัฒนาความรู้ให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป เด็กและเยาวชนเหล่านี้ หลายคนจบการศึกษาแล้ว สามารถกลับไปเป็นกําลังช่วยพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง อันเนื่องมาจากได้รับการปลูกฝังเรื่องจิตสํานึกรักท้องถิ่น ซึ่งครูในพื้นที่และท่านทั้งหลายได้เพียรพยายามสร้างกันมาอย่างต่อเนื่อง
ขอขอบใจรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะที่ได้จัดการนําเสนอผลงานความก้าวหน้าของโรงเรียนทั้งขอขอบใจหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กองบัญชาการตํารวจตระเวนชายแดน สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จังหวัดเชียงใหม่ และสํานักงานพัฒนาพิงคนคร ที่รวมพลังกันนําเสนอผลงานการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ในการจัดประชุมในปีนี้ได้อย่างน่าชื่นชม
ได้เวลาอันควรแล้ว ข้าพเจ้าขอเปิดการประชุมวิชาการ "การพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร" ปีการศึกษา 2559 ณ บัดนี้ และขออํานวยพรให้การประชุมวิชาการประสบผลสําเร็จ ให้ทุกท่านที่มาร่วมประชุมในวันนี้ ประสบความอิ่มเอมใจ และมีความสุขสวัสดีโดยทั่วกัน"
โอกาสนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระราชทานเข็มที่ระลึกให้แก่ครูที่มีผลงานวิธีปฏิบัติที่ดีในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดําริ จํานวน12ราย และพระราชทานของที่ระลึกแก่ผู้ทูลเกล้าฯ ถวายเงินสมทบกองทุนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร จํานวน120ราย รวมทั้งทอดพระเนตรการร้องเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จํานวน3เพลง จากตัวแทนนักเรียนในโครงการตามพระราชดําริฯ
นอกจากนี้ ได้ทอดพระเนตรการนําเสนอผลการปฏิบัติงานที่ดีของครู จํานวน6เรื่อง ได้แก่
1) ด้านโภชนาการและสุขอนามัยเรื่องการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนอย่างยั่งยืน โรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านนาสามัคคี จ.นครพนม
2) ด้านการศึกษาเรื่อง การพัฒนาและส่งเสริมการอ่านผ่านกระบวนการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร โดยใช้รูปแบบREAD MODELโรงเรียนบ้านห้วยโก๋น สพป.น่าน เขต2
3) ด้านส่งเสริมอาชีพเรื่อง การแปรรูปสมุนไพรเจียวกู่หลาน โรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนเบ็ตตี้ดูเมน จ.พะเยา
4) ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเรื่อง เพิ่มคุณค่าลายสลักด้วยเยื่อกระดาษรีไซเคิล โรงเรียนร้องแหย่งวิทยาคม โรงเรียนพระปริยัติธรรม จ.แพร่
5) ด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นเรื่อง บ๊ะกะเออ หนึ่งภูมิปัญญาพื้นบ้านนําพาเรียนรู้เมนูสุขภาพ ศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา "แม่ฟ้าหลวง" บ้านห้วยตองหลวง จ.เชียงใหม่
6) ด้านบูรณาการเรื่อง เด็กหอพักรักความดี โรงเรียนอมก๋อยวิทยาคม สพม. เขต34เชียงใหม่และโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนบ้านตืองอช่างกลปทุมวันอนุสรณ์13จ.นราธิวาส
จากนั้น เสด็จฯ ทอดพระเนตรนิทรรศการผลงานการดําเนินงานทั้ง6เรื่อง ทอดพระเนตรนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ และกิจกรรมสาธิตเศรษฐกิจพอเพียงในโครงการตามพระราชดําริฯ เยี่ยมนักเรียนในพระราชานุเคราะห์ พร้อมทรงฉายพระรูปร่วมกับคณะผู้บริหาร และคณะทํางาน ตามลําดับ
ภาพเพิ่มเติมFacebook@ข่าวสํานักงานรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1533
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมประชุมหารือ และเป็นสักขีพยานการลงนามปฏิญญาความร่วมมือการผลักดันการจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย
|
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมประชุมหารือ และเป็นสักขีพยานการลงนามปฏิญญาความร่วมมือการผลักดันการจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมการประชุมหารือ และเป็นสักขีพยานการลงนามปฏิญญาความร่วมมือการผลักดันการจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย โดยสมาคมสมาพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย (สทส.) จัดขึ้น ซึ่งสมาชิกของสมาคมฯ ได้ให้ความร่วมมือในการสนับสนุนและผลักดันการจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ต่อกระทรวงดิจิทัลฯ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปสู่การเป็นศูนย์กลางหลักของอุตสาหกรรมการประกอบธุรกิจดิจิทัล ซึ่งให้เกิดความสอดคล้องต่อ Common Goals ของสมาคมฯ ในการสนับสนุนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการส่งเสริมการวางโครงสร้าง Ecosystem ของประเทศไทยให้พร้อมกับการพัฒนาในยุคของการแข่งขันด้านดิจิทัล เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2561 ณ ห้องประชุม ชั้น 31 อาคารเอไอเอ แคปปิตอลเซ็นเตอร์ ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพฯ
*********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมประชุมหารือ และเป็นสักขีพยานการลงนามปฏิญญาความร่วมมือการผลักดันการจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมประชุมหารือ และเป็นสักขีพยานการลงนามปฏิญญาความร่วมมือการผลักดันการจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมการประชุมหารือ และเป็นสักขีพยานการลงนามปฏิญญาความร่วมมือการผลักดันการจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย โดยสมาคมสมาพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งประเทศไทย (สทส.) จัดขึ้น ซึ่งสมาชิกของสมาคมฯ ได้ให้ความร่วมมือในการสนับสนุนและผลักดันการจัดตั้งสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ต่อกระทรวงดิจิทัลฯ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําไปสู่การเป็นศูนย์กลางหลักของอุตสาหกรรมการประกอบธุรกิจดิจิทัล ซึ่งให้เกิดความสอดคล้องต่อ Common Goals ของสมาคมฯ ในการสนับสนุนประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมถึงแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการส่งเสริมการวางโครงสร้าง Ecosystem ของประเทศไทยให้พร้อมกับการพัฒนาในยุคของการแข่งขันด้านดิจิทัล เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2561 ณ ห้องประชุม ชั้น 31 อาคารเอไอเอ แคปปิตอลเซ็นเตอร์ ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพฯ
*********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12759
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รีแบรนด์ สมอ. เปลี่ยนรูปแบบโลโก้ใหม่ หลังใช้มากว่า 10 ปี
|
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561
รีแบรนด์ สมอ. เปลี่ยนรูปแบบโลโก้ใหม่ หลังใช้มากว่า 10 ปี
รีแบรนด์ สมอ. หนึ่งในการ Transform การมาตรฐานสู่ สมอ. 4.0 ปรับรูปแบบโลโก้ใหม่ สื่อความหมายให้ชัดเจนมากขึ้น ง่ายต่อการจดจํา หลังจากที่ใช้โลโก้เดิมมากว่า 10 ปี
นายอภิจิณ โชติกเสถียร เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงานรีแบรนด์ สมอ. โดยการเปิดตัวโลโก้ใหม่ของ สมอ. ว่า สมอ. ยังคงผลักดันการ Transform การมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อนําพาประเทศสู่ Thailand 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล อีกทั้งเร่งแก้ปัญหาให้แก่ประชาชนไม่ว่าจะเป็นปัญหาสินค้าไม่ปลอดภัย ด้อยคุณภาพ ไม่มีมาตรฐานในท้องตลาดตลอดจนให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยางพาราให้สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ทั้งยังได้นําเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับปรุงกระบวนการทํางานเพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในการทําธุรกิจ เช่น การให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ หรือ iTISI ที่ให้บริการออกใบอนุญาตด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ digital-license ช่วยอํานวยความสะดวกและลดระยะเวลาการออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ได้นําระบบ E-Surveillance มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจติดตามผู้ได้รับใบอนุญาตให้ได้ครบ 100 % อันเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดเวลาและค่าใช้จ่าย และอํานวยความสะดวกให้กับผู้ได้รับใบอนุญาต
ล่าสุด สมอ. ได้ปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ หลังจากใช้มาร่วม 10 ปี เพื่อแสดงถึงการTransform สมอ. สู่มิติใหม่ในการทํางาน ที่เน้นการทํางานเชิงรุก โดยยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก สร้างความเชื่อมั่น เชื่อถือในการทํางาน ก้าวทันยุคสมัย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค สร้างการจดจํา และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ สมอ. โดยออกแบบให้มีความเชื่อมโยงกับเครื่องหมาย มอก. โดยการรีแบรนด์ของ สมอ. ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสําคัญในการ Transform สู่การเป็น สมอ. 4.0 ภายใต้นโยบาย “TISI Transformation สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกกระบวนการ”พร้อมอยู่เคียงข้างผู้ประการการ พัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย ควบคู่กับการคุ้มครองผู้บริโภคด้วยการมาตรฐาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รีแบรนด์ สมอ. เปลี่ยนรูปแบบโลโก้ใหม่ หลังใช้มากว่า 10 ปี
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561
รีแบรนด์ สมอ. เปลี่ยนรูปแบบโลโก้ใหม่ หลังใช้มากว่า 10 ปี
รีแบรนด์ สมอ. หนึ่งในการ Transform การมาตรฐานสู่ สมอ. 4.0 ปรับรูปแบบโลโก้ใหม่ สื่อความหมายให้ชัดเจนมากขึ้น ง่ายต่อการจดจํา หลังจากที่ใช้โลโก้เดิมมากว่า 10 ปี
นายอภิจิณ โชติกเสถียร เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงานรีแบรนด์ สมอ. โดยการเปิดตัวโลโก้ใหม่ของ สมอ. ว่า สมอ. ยังคงผลักดันการ Transform การมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อนําพาประเทศสู่ Thailand 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล อีกทั้งเร่งแก้ปัญหาให้แก่ประชาชนไม่ว่าจะเป็นปัญหาสินค้าไม่ปลอดภัย ด้อยคุณภาพ ไม่มีมาตรฐานในท้องตลาดตลอดจนให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยางพาราให้สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ทั้งยังได้นําเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับปรุงกระบวนการทํางานเพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในการทําธุรกิจ เช่น การให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ หรือ iTISI ที่ให้บริการออกใบอนุญาตด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ digital-license ช่วยอํานวยความสะดวกและลดระยะเวลาการออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ได้นําระบบ E-Surveillance มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจติดตามผู้ได้รับใบอนุญาตให้ได้ครบ 100 % อันเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดเวลาและค่าใช้จ่าย และอํานวยความสะดวกให้กับผู้ได้รับใบอนุญาต
ล่าสุด สมอ. ได้ปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ หลังจากใช้มาร่วม 10 ปี เพื่อแสดงถึงการTransform สมอ. สู่มิติใหม่ในการทํางาน ที่เน้นการทํางานเชิงรุก โดยยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก สร้างความเชื่อมั่น เชื่อถือในการทํางาน ก้าวทันยุคสมัย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค สร้างการจดจํา และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ สมอ. โดยออกแบบให้มีความเชื่อมโยงกับเครื่องหมาย มอก. โดยการรีแบรนด์ของ สมอ. ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสําคัญในการ Transform สู่การเป็น สมอ. 4.0 ภายใต้นโยบาย “TISI Transformation สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกกระบวนการ”พร้อมอยู่เคียงข้างผู้ประการการ พัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย ควบคู่กับการคุ้มครองผู้บริโภคด้วยการมาตรฐาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15395
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญ ผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย
|
วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญ ผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิตาลีประจําประเทศไทย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญ ผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิตาลีประจําประเทศไทย
ในวันจันทร์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๓๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ให้การต้อนรับนายลอเรนโซการันตี (Mr.Lorenzo Galanti) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็ม
แห่งสาธารณรัฐอิตาลีประจําประเทศไทย พร้อมคณะ
เข้าเยี่ยมคารวะเนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ใหม่
พร้อมทั้งหารือข้อราชการร่วมกันในด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
อันจะนําไปสู่ความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมและกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-อิตาลี ต่อไป
โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญ ผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญ ผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิตาลีประจําประเทศไทย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตวิสามัญ ผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิตาลีประจําประเทศไทย
ในวันจันทร์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๓๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ๒ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ให้การต้อนรับนายลอเรนโซการันตี (Mr.Lorenzo Galanti) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็ม
แห่งสาธารณรัฐอิตาลีประจําประเทศไทย พร้อมคณะ
เข้าเยี่ยมคารวะเนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่ใหม่
พร้อมทั้งหารือข้อราชการร่วมกันในด้านกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
อันจะนําไปสู่ความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรมและกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-อิตาลี ต่อไป
โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17276
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางพร้อมโอนเงินตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระยะที่ 2 และปรับการเติมเงินวงเงินซื้อสินค้าเข้ากระเป๋า e-Money ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2562
กรมบัญชีกลางพร้อมโอนเงินตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระยะที่ 2 และปรับการเติมเงินวงเงินซื้อสินค้าเข้ากระเป๋า e-Money ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
กรมบัญชีกลางพร้อมโอนเงินตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระยะที่ 2 และปรับการเติมเงินวงเงินซื้อสินค้าเข้ากระเป๋า e-Money ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดําเนินการ 2 เรื่อง คือ (1) มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 โดยขยายเวลาการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ให้กับผู้มีสิทธิที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จะเติมเงินให้ 200 บาท ส่วนผู้มีสิทธิที่มีรายได้เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี จะเติมเงินให้ 100 บาท ต่อไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน 2562 เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมโอกาสในการพัฒนาตนเองให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ และการมีรายได้ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ (2) ปรับการเติมเงินรายเดือนวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้แก่ผู้มีบัตรทุกราย เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2562 เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ถือบัตรสามารถมีระยะเวลาในการใช้จ่ายสอดคล้องกับความต้องการ ดังนี้
หน่วย : บาท
รายได้ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปี 2559 ปัจจุบันวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น ปรับการเติมเงิน 3 เดือน (เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2562 รวม (1) + (2)
(1) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น (2) เติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)
1. ผู้มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี 300 100 200 300
2. ผู้มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปีแต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี 200 100 100 200
สําหรับการจ่ายเงินเข้ากระเป๋าเงิน e-Money ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการจ่ายเงินตามมาตรการดังกล่าว ได้เตรียมความพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว โดยได้กําหนดระยะเวลา ดังนี้
มาตรการ วันที่เงินเข้ากระเป๋าเงิน e-Money
1. มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 (มกราคม – มิถุนายน 2562) วันที่ 2 ของเดือน (เริ่มจ่ายเดือนแรก 2 กุมภาพันธ์ 2562) โดยเป็นการจ่ายของเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์
2. ปรับการเติมเงินรายเดือนวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)
ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (กุมภาพันธ์ – เมษายน 2562) วันที่ 1 ของเดือน (เริ่มจ่ายเดือนแรก 1 กุมภาพันธ์ 2562)
การเติมเงินตามมาตรการข้างต้นเข้ากระเป๋าเงิน e-Money ผู้มีบัตรสามารถสะสมไว้ใช้จ่ายเมื่อจําเป็น สะสมไว้เป็นเงินออมในบัตร หรือนําไปใช้ซื้อสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ที่รับชําระเงินผ่านเครื่องรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) และ Mobile Application ถุงเงินประชารัฐ นอกจากนี้ ยังสามารถนําไปใช้ซื้อสินค้ากับร้านค้าที่ร่วมมาตรการชดเชยภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อรับเงินคืน 5% รวมทั้งเงินออม 1% โดยสังเกตสัญลักษณ์สติ๊กเกอร์ “จ่ายด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money PromptCard)” ได้อีกด้วย
นางสาวสุทธิรัตน์ฯ กล่าวย้ําในตอนท้ายว่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน2562 วงเงินค่าซื้อสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีบัตรทุกราย จะลดลงเหลือ 100 บาทต่อเดือน แต่เงินในกระเป๋าเงิน e-Money จะเพิ่มขึ้น 100/200 บาทต่อเดือนแทน เมื่อรวมทั้ง 2 ส่วนแล้ว ผู้มีบัตรยังคงได้รับวงเงินรวมตามสิทธิเดิม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางพร้อมโอนเงินตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระยะที่ 2 และปรับการเติมเงินวงเงินซื้อสินค้าเข้ากระเป๋า e-Money ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2562
กรมบัญชีกลางพร้อมโอนเงินตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระยะที่ 2 และปรับการเติมเงินวงเงินซื้อสินค้าเข้ากระเป๋า e-Money ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
กรมบัญชีกลางพร้อมโอนเงินตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระยะที่ 2 และปรับการเติมเงินวงเงินซื้อสินค้าเข้ากระเป๋า e-Money ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดําเนินการ 2 เรื่อง คือ (1) มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 โดยขยายเวลาการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ให้กับผู้มีสิทธิที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จะเติมเงินให้ 200 บาท ส่วนผู้มีสิทธิที่มีรายได้เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี จะเติมเงินให้ 100 บาท ต่อไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน 2562 เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมโอกาสในการพัฒนาตนเองให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ และการมีรายได้ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ (2) ปรับการเติมเงินรายเดือนวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค เข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ให้แก่ผู้มีบัตรทุกราย เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2562 เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ถือบัตรสามารถมีระยะเวลาในการใช้จ่ายสอดคล้องกับความต้องการ ดังนี้
หน่วย : บาท
รายได้ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปี 2559 ปัจจุบันวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น ปรับการเติมเงิน 3 เดือน (เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2562 รวม (1) + (2)
(1) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น (2) เติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)
1. ผู้มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี 300 100 200 300
2. ผู้มีรายได้เกิน 30,000 บาทต่อปีแต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี 200 100 100 200
สําหรับการจ่ายเงินเข้ากระเป๋าเงิน e-Money ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการจ่ายเงินตามมาตรการดังกล่าว ได้เตรียมความพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว โดยได้กําหนดระยะเวลา ดังนี้
มาตรการ วันที่เงินเข้ากระเป๋าเงิน e-Money
1. มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 (มกราคม – มิถุนายน 2562) วันที่ 2 ของเดือน (เริ่มจ่ายเดือนแรก 2 กุมภาพันธ์ 2562) โดยเป็นการจ่ายของเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์
2. ปรับการเติมเงินรายเดือนวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money)
ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (กุมภาพันธ์ – เมษายน 2562) วันที่ 1 ของเดือน (เริ่มจ่ายเดือนแรก 1 กุมภาพันธ์ 2562)
การเติมเงินตามมาตรการข้างต้นเข้ากระเป๋าเงิน e-Money ผู้มีบัตรสามารถสะสมไว้ใช้จ่ายเมื่อจําเป็น สะสมไว้เป็นเงินออมในบัตร หรือนําไปใช้ซื้อสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ที่รับชําระเงินผ่านเครื่องรับชําระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) และ Mobile Application ถุงเงินประชารัฐ นอกจากนี้ ยังสามารถนําไปใช้ซื้อสินค้ากับร้านค้าที่ร่วมมาตรการชดเชยภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อรับเงินคืน 5% รวมทั้งเงินออม 1% โดยสังเกตสัญลักษณ์สติ๊กเกอร์ “จ่ายด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money PromptCard)” ได้อีกด้วย
นางสาวสุทธิรัตน์ฯ กล่าวย้ําในตอนท้ายว่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน2562 วงเงินค่าซื้อสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภคในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีบัตรทุกราย จะลดลงเหลือ 100 บาทต่อเดือน แต่เงินในกระเป๋าเงิน e-Money จะเพิ่มขึ้น 100/200 บาทต่อเดือนแทน เมื่อรวมทั้ง 2 ส่วนแล้ว ผู้มีบัตรยังคงได้รับวงเงินรวมตามสิทธิเดิม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18185
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ห่วงผู้ประสบภัยน้ำท่วม กำชับสถานบริการสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างใกล้ชิด
|
วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2561
สธ.ห่วงผู้ประสบภัยน้ําท่วม กําชับสถานบริการสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างใกล้ชิด
กระทรวงสาธารณสุข กําชับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดและสถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง ในพื้นที่น้ําท่วม ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมให้บริการประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และกลุ่มที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ อย่างใกล้ชิด
วันนี้ (11 พฤศจิกายน 2561) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลมีความห่วงใยผู้ประสบภัยน้ําท่วมโดยเฉพาะที่จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ ได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขให้การดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุขผู้ประสบภัยอย่างใกล้ชิด จึงได้กําชับให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลในพื้นที่น้ําท่วม จัดบริการประชาชน และติดตามดูแลกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยที่ต้องล้างไต จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้เคียงนอกจากนี้ ได้จัดส่งยาและเวชภัณฑ์ ให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้แก่ ยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย 3,000 ชุด ยาทาน้ํากัดเท้า 2,000 หลอด เสื้อชูชีพ 300 ตัวแล้ว และจังหวัดชุมพร ได้แก่ยาชุดน้ําท่วม 9,000 ชุด รองเท้าบู้ท 1,000 คู่ เสื้อชูชีพ 100 ตัว ยังไม่มีการร้องขอทีมปฏิบัติการทางการแพทย์จากส่วนกลาง
"ขอให้สถานบริการที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เตรียมแผนรับมือป้องกันสถานพยาบาลและแผนการให้การดูแลประชาชนอย่างทันท่วงที และขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ ระมัดระวังอันตรายจากน้ําที่อาจท่วมอย่างฉับพลันอีก หากเจ็บป่วยฉุกเฉินแจ้งสายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง" นายแพทย์สุขุม กล่าว
นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า สําหรับสถานการณ์น้ําท่วมที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีสถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 3 แห่งประกอบด้วย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) 2 แห่ง คือรพ.สต.บ้านทุ่งขี้ต่าย อ.บางสะพาน และรพ.สต.บ้านศรีนคร อ.บางสะพานน้อย เปิดให้บริการได้ และที่โรงพยาบาลบางสะพาน อ.บางสะพาน เช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่และทหารได้เข้ามาช่วยกันทําความสะอาดโรงพยาบาล ทดสอบระบบไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ คาดว่าวันอังคารที่ 13 นี้ จะสามารถเปิดทําการได้ตามปกติ ส่วนห้องคลอดและห้องผ่าตัด ยังไม่เปิดทําการ ซึ่งทางทีมกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กําลังช่วยแก้ไข และทีมสํานักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.) ดูแลเรื่องการเพาะเชื้อ เพื่อทดสอบให้แน่ใจว่าปลอดภัย ส่วนผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยฉุกเฉิน คาดว่าประมาณ 2-3 วัน จึงจะสามารถให้บริการตามปกติ โดยโรงพยาบาลบางสะพาน ได้ตั้งโรงพยาบาลสนาม ที่โรงเรียนบางสะพานวิทยา เพื่อให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินเป็นการชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ สําหรับจังหวัดชุมพร สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่งเปิดให้บริการตามปกติ
************************************* 11 พฤศจิกายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ห่วงผู้ประสบภัยน้ำท่วม กำชับสถานบริการสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างใกล้ชิด
วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2561
สธ.ห่วงผู้ประสบภัยน้ําท่วม กําชับสถานบริการสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างใกล้ชิด
กระทรวงสาธารณสุข กําชับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดและสถานบริการสาธารณสุขทุกแห่ง ในพื้นที่น้ําท่วม ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมให้บริการประชาชน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้และกลุ่มที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ อย่างใกล้ชิด
วันนี้ (11 พฤศจิกายน 2561) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลมีความห่วงใยผู้ประสบภัยน้ําท่วมโดยเฉพาะที่จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พังงา ภูเก็ต และกระบี่ ได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขให้การดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุขผู้ประสบภัยอย่างใกล้ชิด จึงได้กําชับให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลในพื้นที่น้ําท่วม จัดบริการประชาชน และติดตามดูแลกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยที่ต้องล้างไต จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่พร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้เคียงนอกจากนี้ ได้จัดส่งยาและเวชภัณฑ์ ให้จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้แก่ ยาชุดช่วยเหลือผู้ประสบภัย 3,000 ชุด ยาทาน้ํากัดเท้า 2,000 หลอด เสื้อชูชีพ 300 ตัวแล้ว และจังหวัดชุมพร ได้แก่ยาชุดน้ําท่วม 9,000 ชุด รองเท้าบู้ท 1,000 คู่ เสื้อชูชีพ 100 ตัว ยังไม่มีการร้องขอทีมปฏิบัติการทางการแพทย์จากส่วนกลาง
"ขอให้สถานบริการที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เตรียมแผนรับมือป้องกันสถานพยาบาลและแผนการให้การดูแลประชาชนอย่างทันท่วงที และขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ ระมัดระวังอันตรายจากน้ําที่อาจท่วมอย่างฉับพลันอีก หากเจ็บป่วยฉุกเฉินแจ้งสายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง" นายแพทย์สุขุม กล่าว
นายแพทย์สุขุม กล่าวต่อว่า สําหรับสถานการณ์น้ําท่วมที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีสถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 3 แห่งประกอบด้วย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) 2 แห่ง คือรพ.สต.บ้านทุ่งขี้ต่าย อ.บางสะพาน และรพ.สต.บ้านศรีนคร อ.บางสะพานน้อย เปิดให้บริการได้ และที่โรงพยาบาลบางสะพาน อ.บางสะพาน เช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่และทหารได้เข้ามาช่วยกันทําความสะอาดโรงพยาบาล ทดสอบระบบไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ คาดว่าวันอังคารที่ 13 นี้ จะสามารถเปิดทําการได้ตามปกติ ส่วนห้องคลอดและห้องผ่าตัด ยังไม่เปิดทําการ ซึ่งทางทีมกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กําลังช่วยแก้ไข และทีมสํานักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.) ดูแลเรื่องการเพาะเชื้อ เพื่อทดสอบให้แน่ใจว่าปลอดภัย ส่วนผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยฉุกเฉิน คาดว่าประมาณ 2-3 วัน จึงจะสามารถให้บริการตามปกติ โดยโรงพยาบาลบางสะพาน ได้ตั้งโรงพยาบาลสนาม ที่โรงเรียนบางสะพานวิทยา เพื่อให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินเป็นการชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ สําหรับจังหวัดชุมพร สถานบริการสาธารณสุขทุกแห่งเปิดให้บริการตามปกติ
************************************* 11 พฤศจิกายน 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16714
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพัฒนาระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
|
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
รัฐบาลพัฒนาระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลพัฒนาระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายควบคู่ไปกับการรณรงค์สร้างจิตสํานึกให้ประชาชนเคารพสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งตลาดที่มีการขายสินค้าละเมิดและตลาดออนไลน์ เข้มงวดป้องปรามการนําเข้าหรือออกทางช่องทางผ่านแดน กวดขันไม่ให้มีการจําหน่ายสินค้าละเมิดในพื้นที่ของเจ้าของพื้นที่ ทําให้ที่ผ่านมาการละเมิดในท้องตลาดและตลาดออนไลน์มีจํานวนลดลง ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ค้า นักลงทุน เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาทั้งไทยและต่างประเทศ ล่าสุดได้ทําลายของกลางที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากว่า 10 ล้านชิ้น คิดเป็นมูลค่าราว 550 ล้านบาท
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพัฒนาระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
รัฐบาลพัฒนาระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลพัฒนาระบบการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายควบคู่ไปกับการรณรงค์สร้างจิตสํานึกให้ประชาชนเคารพสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา รวมทั้งปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งตลาดที่มีการขายสินค้าละเมิดและตลาดออนไลน์ เข้มงวดป้องปรามการนําเข้าหรือออกทางช่องทางผ่านแดน กวดขันไม่ให้มีการจําหน่ายสินค้าละเมิดในพื้นที่ของเจ้าของพื้นที่ ทําให้ที่ผ่านมาการละเมิดในท้องตลาดและตลาดออนไลน์มีจํานวนลดลง ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ค้า นักลงทุน เจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาทั้งไทยและต่างประเทศ ล่าสุดได้ทําลายของกลางที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญากว่า 10 ล้านชิ้น คิดเป็นมูลค่าราว 550 ล้านบาท
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23178
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าว การปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้า สถานีสะพานตากสิน (S6)
|
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าว การปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้า สถานีสะพานตากสิน (S6)
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานแถลงข่าวเรื่อง การปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้า สถานีสะพานตากสิน (S6) ในวันที่ 10 สิงหาคม 2560
โดยมี นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท นายวันชัย ถนอมศักดิ์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) (บีทีเอส) ผู้บริหารของกระทรวงฯ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) บีทีเอส และสื่อมวลชน ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องราชดําเนิน กระทรวงคมนาคม
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า การบํารุงรักษาสะพานในเขตพื้นที่ กทม. และปริมณฑล เป็นภารกิจสําคัญของ ทช. ซึ่งสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือสะพานตากสิน ทช. ได้รับการถ่ายโอนมาจากกรมโยธาธิการ และ กทม. ได้ดําเนินโครงการระบบขนส่งมวลชน (BTS) สายสุขุมวิท - สีลม โดยเปิดให้บริการในปี 2542 ซึ่งมีสถานีตากสิน (S6) เป็นสถานีสุดท้าย ต่อมาในปี 2552 ได้เปิดให้บริการส่วนต่อขยาย สายสีลม ช่วงสถานีสะพานตากสิน (S6) - สถานีวงเวียน (S8) และปี 2556 เปิดให้บริการส่วนต่อขยายเพิ่มเติมถึงสถานีปลายทางสถานีบ้านหว้า (S12) ซึ่งการเปิดใช้บริการส่วนต่อขยายมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากสถานีตากสิน (S6) เป็นสถานีชั่วคราวมาแต่เดิม มีลักษณะเป็นทางวิ่งเดี่ยว รถไฟฟ้าต้องจอดสับรางทุกครั้งที่จะเดินรถผ่าน ทําให้ความถี่ในการเดินรถไฟฟ้าไม่เพียงพอ จึงมีความจําเป็นต้องขยายช่องทางเดินรถบนสถานีตากสิน (S6) จากทางวิ่งเดี่ยวให้เป็นทางวิ่งคู่ ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทช. กทม. และบีทีเอส ได้เห็นชอบรูปแบบการปรับปรุงสะพานตามที่บีทีเอสออกแบบ คาดว่าจะใช้งบประมาณค่าก่อสร้าง จํานวนประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่ง ทช. อยู่ระหว่างพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดก่อนอนุมัติให้ดําเนินการ โดยระหว่างการปรับปรุงจะไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและการจราจรบนสะพาน รวมทั้งสามารถให้บริการรถไฟฟ้าได้ตามปกติ
นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน กล่าวว่า ทช. ได้ร่วมกับ กทม. แก้ไขปัญหาสถานีรถไฟฟ้า สถานีสะพานตากสิน (S6) โดยปรับเปลี่ยนทางเดินรถจากช่องทางเดี่ยวบนสะพานเป็นช่องทางคู่ และเพิ่มชานชาลาให้สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างปลอดภัย ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจําเป็น
ต้องเจาะช่องผิวจราจรบนสะพานด้านในกว้าง 1.80 เมตร ยาวประมาณ 10 เมตร จํานวน 6 ช่อง และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ใช้ยานพาหนะบนสะพาน จึงจําเป็นต้องสร้างพื้นสะพานทดแทน กว้าง 1.80 เมตร ระยะทางประมาณ 230 เมตร เพื่อให้เพียงพอต่อระยะเบี่ยงแนวทางวิ่งของรถยนต์บนสะพาน ซึ่งในขั้นตอนดําเนินการได้พิจารณาถึงแนวทางการก่อสร้าง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการจราจรบนสะพาน โดยได้ตกลงกับ กทม. ดําเนินการก่อสร้างพื้นสะพานทดแทนด้านปีกนอกของสะพานทั้งสองฝั่งให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะดําเนินการขยายช่องทางวิ่งรถไฟฟ้าเป็นทางวิ่งคู่พร้อมชานชาลาของรถไฟฟ้า เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จสามารถเพิ่มความถี่การให้บริการรถไฟฟ้า ผู้โดยสารไม่ต้องรอรถไฟฟ้านาน ส่งผลให้ประชาชนผู้ใช้บริการสะพาน และรถไฟฟ้ามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าว การปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้า สถานีสะพานตากสิน (S6)
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แถลงข่าว การปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้า สถานีสะพานตากสิน (S6)
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานแถลงข่าวเรื่อง การปรับปรุงสถานีรถไฟฟ้า สถานีสะพานตากสิน (S6) ในวันที่ 10 สิงหาคม 2560
โดยมี นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี ปลัดกระทรวงคมนาคม นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท นายวันชัย ถนอมศักดิ์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) (บีทีเอส) ผู้บริหารของกระทรวงฯ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) บีทีเอส และสื่อมวลชน ร่วมแถลงข่าว ณ ห้องราชดําเนิน กระทรวงคมนาคม
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ กล่าวว่า การบํารุงรักษาสะพานในเขตพื้นที่ กทม. และปริมณฑล เป็นภารกิจสําคัญของ ทช. ซึ่งสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือสะพานตากสิน ทช. ได้รับการถ่ายโอนมาจากกรมโยธาธิการ และ กทม. ได้ดําเนินโครงการระบบขนส่งมวลชน (BTS) สายสุขุมวิท - สีลม โดยเปิดให้บริการในปี 2542 ซึ่งมีสถานีตากสิน (S6) เป็นสถานีสุดท้าย ต่อมาในปี 2552 ได้เปิดให้บริการส่วนต่อขยาย สายสีลม ช่วงสถานีสะพานตากสิน (S6) - สถานีวงเวียน (S8) และปี 2556 เปิดให้บริการส่วนต่อขยายเพิ่มเติมถึงสถานีปลายทางสถานีบ้านหว้า (S12) ซึ่งการเปิดใช้บริการส่วนต่อขยายมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากสถานีตากสิน (S6) เป็นสถานีชั่วคราวมาแต่เดิม มีลักษณะเป็นทางวิ่งเดี่ยว รถไฟฟ้าต้องจอดสับรางทุกครั้งที่จะเดินรถผ่าน ทําให้ความถี่ในการเดินรถไฟฟ้าไม่เพียงพอ จึงมีความจําเป็นต้องขยายช่องทางเดินรถบนสถานีตากสิน (S6) จากทางวิ่งเดี่ยวให้เป็นทางวิ่งคู่ ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทช. กทม. และบีทีเอส ได้เห็นชอบรูปแบบการปรับปรุงสะพานตามที่บีทีเอสออกแบบ คาดว่าจะใช้งบประมาณค่าก่อสร้าง จํานวนประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่ง ทช. อยู่ระหว่างพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดก่อนอนุมัติให้ดําเนินการ โดยระหว่างการปรับปรุงจะไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและการจราจรบนสะพาน รวมทั้งสามารถให้บริการรถไฟฟ้าได้ตามปกติ
นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน กล่าวว่า ทช. ได้ร่วมกับ กทม. แก้ไขปัญหาสถานีรถไฟฟ้า สถานีสะพานตากสิน (S6) โดยปรับเปลี่ยนทางเดินรถจากช่องทางเดี่ยวบนสะพานเป็นช่องทางคู่ และเพิ่มชานชาลาให้สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างปลอดภัย ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจําเป็น
ต้องเจาะช่องผิวจราจรบนสะพานด้านในกว้าง 1.80 เมตร ยาวประมาณ 10 เมตร จํานวน 6 ช่อง และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ใช้ยานพาหนะบนสะพาน จึงจําเป็นต้องสร้างพื้นสะพานทดแทน กว้าง 1.80 เมตร ระยะทางประมาณ 230 เมตร เพื่อให้เพียงพอต่อระยะเบี่ยงแนวทางวิ่งของรถยนต์บนสะพาน ซึ่งในขั้นตอนดําเนินการได้พิจารณาถึงแนวทางการก่อสร้าง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการจราจรบนสะพาน โดยได้ตกลงกับ กทม. ดําเนินการก่อสร้างพื้นสะพานทดแทนด้านปีกนอกของสะพานทั้งสองฝั่งให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะดําเนินการขยายช่องทางวิ่งรถไฟฟ้าเป็นทางวิ่งคู่พร้อมชานชาลาของรถไฟฟ้า เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จสามารถเพิ่มความถี่การให้บริการรถไฟฟ้า ผู้โดยสารไม่ต้องรอรถไฟฟ้านาน ส่งผลให้ประชาชนผู้ใช้บริการสะพาน และรถไฟฟ้ามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5876
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมวิชาการเกษตรชี้แจง กรณีข้อวิจารณ์ พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่
|
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
กรมวิชาการเกษตรชี้แจง กรณีข้อวิจารณ์ พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ชี้แจงกรณีที่เพจ BBC Thai เผยแพร่สกู๊ปข่าวสะท้อนข้อเท็จจริงจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากกรณี พ.ร.บ.คุ้มครองพืชพันธุ์ฉบับใหม่
วันที่ 6 พ.ย.60 นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์ พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่ ตามที่เพจ “BBC Thai” เผยแพร่สกู๊ปข่าวสะท้อนข้อเท็จจริงจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากกรณี พ.ร.บ.คุ้มครองพืชพันธุ์ฉบับใหม่ มีประเด็นดังนี้
1. ภาคประชาสังคมคัดค้านร่างกฎหมายนี้ โดยมองว่าร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว เป็นการละเมิดสิทธิเกษตรกร โดยเป็นการขยายการผูกขาดของบริษัทเมล็ดพันธุ์ รวมถึงเป็นการเปิดทางให้นําทรัพยากรชีวภาพไปใช้โดยไม่มีการแบ่งปันผลประโยชน์ นั้น กรมวิชาการเกษตรขอชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการปรับระยะเวลาการคุ้มครองนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและหลายประเทศในอาเซียน เนื่องจากการปรับปรุงพันธุ์ใหม่จําเป็นต้องใช้ต้นทุนทั้งความรู้ เวลา และงบประมาณ และโอกาสที่จะประสบความสําเร็จทางการตลาดมีความเสี่ยงสูง รวมถึงการมีข้อยกเว้นให้เกษตรกรเก็บเมล็ดพันธุ์ได้ จึงทําให้สากลมองว่า ระยะเวลาที่จะคืนทุนได้สําหรับพืชไร่และพืชล้มลุกส่วนใหญ่ 20 ปี และ 25 ปี สําหรับพืชยืนต้น เช่น ไม้ผล เป็นระยะเวลาที่เหมาะสม จะทําให้นักปรับปรุงพันธุ์มีแรงจูงใจที่จะลงทุนและลงแรงในการปรับปรุงพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา นอกจากนี้ เกษตรกร ประชาชนทั่วไป นักวิชาการ ซึ่งเป็นผู้ปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่และได้จดทะเบียนคุ้มครองก็ได้รับประโยชน์จากการขยายระยะเวลาการคุ้มครองนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ (มาตรา 31 ของร่าง พ.ร.บ.) ผู้ใดนําพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปและพันธุ์พืชป่าไปใช้ประโยชน์ในการศึกษา ทดลอง วิจัย และปรับปรุงพันธุ์ ยังคงต้องขออนุญาต และแบ่งปันผลประโยชน์กรณีทําเพื่อเชิงพาณิชย์ แต่สําหรับพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่น ต้องขอกับชุมชนผู้เป็นเจ้าของ หากบริษัทจะนําเอาสารพันธุกรรมหรือพันธุ์พืชที่ไม่ใช่ของตนไปผ่านกระบวนการปรับปรุงพันธุ์ตามที่กล่าวอ้าง บริษัทต้องขออนุญาตและทําข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ ทั้งนี้กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับร่าง ยังคงไว้ซึ่งหลักการการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ (ABS) ตามอนุสัญญาว่าดัวยความหลากหลายทางชีวภาพทุกประการ
2. ผศ.ดร.สมชาย รัตนชื่อสกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีข้อวิจารณ์ ดังนี้
2.1 ร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่เป็นการทําลายสิทธิชุมชน เนื่องจากการอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์ของชุมชนนั้นมีรากเหง้ามาจากวิถีชีวิตในแบบเดิมที่ไม่เคยเห็นพันธุ์พืชเป็นทรัพย์สินที่ใครคนใดคนหนึ่งจะหวงเอาไว้เป็นของตนเองกรมวิชาการเกษตรขอชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง เพราะพระราชบัญญัติฉบับร่างให้สิทธิชุมชนที่ร่วมกันอนุรักษ์ หรือพัฒนาพันธุ์พืช ที่มีลักษณะจะขอจดทะเบียนเป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่นได้ คือ เป็นพันธุ์พืชที่มีอยู่ในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งภายในราชอาณาจักรเท่านั้น สามารถขอรับความคุ้มครองตามกฎหมายได้ ตามความสมัครใจ หากชุมชนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจะไม่ขอจดทะเบียนฯ ก็ได้ ซึ่งการแก้ไข พ.ร.บ. เพื่อให้การขึ้นทะเบียนชุมชน สะดวกรวดเร็วขึ้น ส่วนสิทธิของชุมชนยังคงไว้ซึ่งหลักการเดิม (มาตรา 51-60) โดยข้อเท็จจริงพันธุ์พืชที่ชุมชนร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์ในชุมชนตามวิถีชีวิตในแบบเดิมเป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปและพันธุ์พืชป่า จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงกฎหมาย เพราะพันธุ์พืชเหล่านั้นไม่มีใครจะหวงเอาไว้เป็นของตนเองได้
2.2 มีความเสี่ยงที่พันธุ์พืชใหม่อาจผสมกับพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปโดยธรรมชาติ ซึ่งถ้าดูพันธุกรรมอาจจะมีลักษณะสําคัญของพันธุ์พืชใหม่อยู่ ทําให้เมื่อตรวจดูแล้วอาจเห็นพันธุกรรมสําคัญที่มาจากพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครอง ดังนั้นชาวบ้านจะมีความผิดฐานละเมิดสิทธิพันธุ์พืชใหม่ได้ กรมวิชาการเกษตรขอชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการตรวจสอบพันธุ์พืชที่ขอจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่จะตรวจสอบความแตกต่างจากพันธุ์อื่นอย่างเด่นชัด โดยไม่ได้ตรวจสอบพันธุกรรมโดยตรง นอกจากนี้ การผสมข้ามตามธรรมชาติของพืช มีโอกาสให้พันธุกรรมของพันธุ์แม่-พ่อ ปรากฏในรุ่นลูกได้ ดังนั้นพันธุ์ลูกผสมชั่วที่ 1 ที่มาจากการผสมของพันธุ์พืชใหม่กับพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป จะมีพันธุกรรมของพันธุ์พืชใหม่บางส่วน แต่จะมีลักษณะของพืชที่แสดงออกไม่เหมือนกับพันธุ์พืชใหม่ทุกลักษณะ ดังนั้น โอกาสที่เกษตรกรจะมีความผิดฐานละเมิดพันธุ์จึงเป็นไม่ได้ อีกทั้งกฎหมายยังยกเว้นสิทธิสําหรับผู้ที่กระทําโดยสุจริต
2.3 ร่างกฎหมายใหม่เปิดช่องให้บริษัทเมล็ดพันธุ์ไม่ต้องแบ่งผลประโยชน์ในกรณีที่ใช้พันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปเพื่อใช้ในการพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ และมีการขยายการคุ้มครองแก่นักปรับปรุงพันธุ์ให้ครอบคลุมผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากพืชปรับปรุงพันธุ์ด้วย
- ร่างกฎหมายใหม่เปิดช่องให้บริษัทเมล็ดพันธุ์ไม่ต้องแบ่งผลประโยชน์ในกรณีที่ใช้พันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปเพื่อใช้ในการพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ ขอชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง เพราะผู้ใดนําพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปและพันธุ์พืชป่าไปใช้ประโยชน์ในการศึกษา ทดลอง วิจัย และปรับปรุงพันธุ์ ยังคงต้องขออนุญาต และแบ่งปันผลประโยชน์กรณีทําเพื่อเชิงพาณิชย์ แต่สําหรับพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่น ต้องขอกับชุมชนผู้เป็นเจ้าของ การแก้ไขนิยามพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป มีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการตีความขอบเขตของพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปให้มีขอบเขตที่ชัดเจน โดยกําหนดให้เป็นเฉพาะส่วนพันธุ์พืชที่พบอยู่แพร่หลาย ไม่มีหลักฐานว่าเป็นพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และเป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นสมบัติสาธารณะ หากบริษัทจะนําเอาสารพันธุกรรมหรือพันธุ์พืชที่ไม่ใช่ของตนไปผ่านกระบวนการปรับปรุงพันธุ์ตามที่กล่าวอ้าง บริษัทต้องขออนุญาตและทําข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ ยกเว้นพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่นต้องขอกับชุมชนผู้เป็นเจ้าของ กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับร่าง ยังคงไว้ซึ่งหลักการการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ (ABS) ตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพทุกประการ
- มีการขยายการคุ้มครองแก่นักปรับปรุงพันธุ์ให้ครอบคลุมผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากพืชปรับปรุงพันธุ์ด้วย ขอชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง เพราะการขยายการคุ้มครองจากส่วนขยายพันธุ์ไปถึงผลผลิตและผลิตภัณฑ์นั้น หมายถึง ขยายความคุ้มครองไปถึงเฉพาะ “ผลผลิต” หรือ “ผลิตภัณฑ์” ที่เกิดจากส่วนขยายพันธุ์ที่ได้มาโดยมิชอบ แต่หากส่วนขยายพันธุ์นั้นได้มาอย่างถูกต้องแล้ว ผู้ผลิตก็มีสิทธิในผลิตผลและผลิตภัณฑ์นั้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายกําหนดให้ผู้ทรงสิทธิสามารถดําเนินการทางละเมิดได้จากส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันเจตนาที่จะใช้ประโยชน์จากส่วนขยายพันธุ์ที่ได้มาอย่างไม่ ถูกต้อง ซึ่งกฎหมายฉบับปัจจุบันไม่มีกําหนดไว้ (มาตรา 37 และ 38 ร่างของ พ.ร.บ.)
2.4 การบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่เก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อใช้เองในฤดูกาลถัดไป ที่เรียกว่า farmer-saved seed ซึ่งกฎหมายปัจจุบัน มีข้อห้ามว่าพันธุ์พืชบางอย่างถ้าต้องการส่งเสริมให้มีการปรับปรุงพันธุ์ รัฐมนตรีสามารถสั่งห้ามเก็บเกินสามเท่า แต่กฎหมายใหม่ให้อํานาจรัฐมนตรีสามารถสั่งไม่ให้เก็บทั้งหมดหรือบางส่วน หมายความว่า หากเกษตรกรเก็บแม้แต่หนึ่งเมล็ด ก็มีความเสี่ยงที่จะติดคุก และหากเก็บไม่ได้ ก็ต้องกลับไปซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ กลายเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นสําหรับบริษัทเมล็ดพันธุ์ โดยข้อมูลจากสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทยระบุว่า เมล็ดพันธุ์จากภาคเอกชนในตลาดมีสัดส่วนประมาณ 90%
ขอชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง เพราะเมล็ดพันธุ์ที่เกษตรกรเก็บไปปลูกต่อในพื้นที่ของตน (ทั้งในวรรคหนึ่งและวรรคสอง) เกษตรกรขายผลผลิตได้ แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ขายได้ โดยไม่มีความผิด ทั้งนี้ หากรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการฯ ออกประกาศกําหนดพันธุ์พืชใหม่ชนิดใดเป็นพันธุ์พืชที่จํากัดปริมาณตามวรรคสองแล้ว การเก็บเมล็ดพันธุ์ของเกษตรกรต้องเป็นไปตามประกาศดังกล่าว ตัวอย่างปัจจัยที่อาจพิจารณาใช้ประกาศกําหนดตามวรรคสอง เช่น รัฐต้องการส่งเสริมการปรับปรุงพันธุ์ในพืชที่ได้มาครั้งเดียวก็เก็บและใช้ส่วนขยายพันธุ์ได้ตลอดไปโดยยังคงลักษณะพันธุ์นั้นอยู่ ได้แก่ พืชผสมตัวเอง (พันธุ์แท้ เช่น ข้าว ถั่วเหลือง) พืชผสมข้าม พันธุ์ผสมเปิด (เช่น ข้าวโพด ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว กวางตั้ง คะน้า ผักกาดหอม) พืชที่ขยายพันธุ์ได้โดยไม่อาศัยเพศ (เช่น อ้อย มันสําปะหลัง กล้วยไม้) ซึ่งพืชดังกล่าวหากไม่จํากัดปริมาณแล้วเจ้าของซึ่งเป็นผู้คิดค้นจะไม่ได้ประโยชน์จากการลงทุน อาจทําให้ไม่มีผู้สนใจปรับปรุงพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา ดังนั้น การจํากัดปริมาณที่เหมาะสมจึงเพื่อรักษาสมดุลระหว่างผู้ใช้กับนักปรับปรุงพันธุ์
----------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมวิชาการเกษตรชี้แจง กรณีข้อวิจารณ์ พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
กรมวิชาการเกษตรชี้แจง กรณีข้อวิจารณ์ พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ชี้แจงกรณีที่เพจ BBC Thai เผยแพร่สกู๊ปข่าวสะท้อนข้อเท็จจริงจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากกรณี พ.ร.บ.คุ้มครองพืชพันธุ์ฉบับใหม่
วันที่ 6 พ.ย.60 นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์ พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่ ตามที่เพจ “BBC Thai” เผยแพร่สกู๊ปข่าวสะท้อนข้อเท็จจริงจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากกรณี พ.ร.บ.คุ้มครองพืชพันธุ์ฉบับใหม่ มีประเด็นดังนี้
1. ภาคประชาสังคมคัดค้านร่างกฎหมายนี้ โดยมองว่าร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว เป็นการละเมิดสิทธิเกษตรกร โดยเป็นการขยายการผูกขาดของบริษัทเมล็ดพันธุ์ รวมถึงเป็นการเปิดทางให้นําทรัพยากรชีวภาพไปใช้โดยไม่มีการแบ่งปันผลประโยชน์ นั้น กรมวิชาการเกษตรขอชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการปรับระยะเวลาการคุ้มครองนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและหลายประเทศในอาเซียน เนื่องจากการปรับปรุงพันธุ์ใหม่จําเป็นต้องใช้ต้นทุนทั้งความรู้ เวลา และงบประมาณ และโอกาสที่จะประสบความสําเร็จทางการตลาดมีความเสี่ยงสูง รวมถึงการมีข้อยกเว้นให้เกษตรกรเก็บเมล็ดพันธุ์ได้ จึงทําให้สากลมองว่า ระยะเวลาที่จะคืนทุนได้สําหรับพืชไร่และพืชล้มลุกส่วนใหญ่ 20 ปี และ 25 ปี สําหรับพืชยืนต้น เช่น ไม้ผล เป็นระยะเวลาที่เหมาะสม จะทําให้นักปรับปรุงพันธุ์มีแรงจูงใจที่จะลงทุนและลงแรงในการปรับปรุงพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา นอกจากนี้ เกษตรกร ประชาชนทั่วไป นักวิชาการ ซึ่งเป็นผู้ปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่และได้จดทะเบียนคุ้มครองก็ได้รับประโยชน์จากการขยายระยะเวลาการคุ้มครองนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ (มาตรา 31 ของร่าง พ.ร.บ.) ผู้ใดนําพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปและพันธุ์พืชป่าไปใช้ประโยชน์ในการศึกษา ทดลอง วิจัย และปรับปรุงพันธุ์ ยังคงต้องขออนุญาต และแบ่งปันผลประโยชน์กรณีทําเพื่อเชิงพาณิชย์ แต่สําหรับพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่น ต้องขอกับชุมชนผู้เป็นเจ้าของ หากบริษัทจะนําเอาสารพันธุกรรมหรือพันธุ์พืชที่ไม่ใช่ของตนไปผ่านกระบวนการปรับปรุงพันธุ์ตามที่กล่าวอ้าง บริษัทต้องขออนุญาตและทําข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ ทั้งนี้กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับร่าง ยังคงไว้ซึ่งหลักการการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ (ABS) ตามอนุสัญญาว่าดัวยความหลากหลายทางชีวภาพทุกประการ
2. ผศ.ดร.สมชาย รัตนชื่อสกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ปรีดีพนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีข้อวิจารณ์ ดังนี้
2.1 ร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่เป็นการทําลายสิทธิชุมชน เนื่องจากการอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์ของชุมชนนั้นมีรากเหง้ามาจากวิถีชีวิตในแบบเดิมที่ไม่เคยเห็นพันธุ์พืชเป็นทรัพย์สินที่ใครคนใดคนหนึ่งจะหวงเอาไว้เป็นของตนเองกรมวิชาการเกษตรขอชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง เพราะพระราชบัญญัติฉบับร่างให้สิทธิชุมชนที่ร่วมกันอนุรักษ์ หรือพัฒนาพันธุ์พืช ที่มีลักษณะจะขอจดทะเบียนเป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่นได้ คือ เป็นพันธุ์พืชที่มีอยู่ในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งภายในราชอาณาจักรเท่านั้น สามารถขอรับความคุ้มครองตามกฎหมายได้ ตามความสมัครใจ หากชุมชนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวจะไม่ขอจดทะเบียนฯ ก็ได้ ซึ่งการแก้ไข พ.ร.บ. เพื่อให้การขึ้นทะเบียนชุมชน สะดวกรวดเร็วขึ้น ส่วนสิทธิของชุมชนยังคงไว้ซึ่งหลักการเดิม (มาตรา 51-60) โดยข้อเท็จจริงพันธุ์พืชที่ชุมชนร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนาพันธุ์ในชุมชนตามวิถีชีวิตในแบบเดิมเป็นพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปและพันธุ์พืชป่า จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงกฎหมาย เพราะพันธุ์พืชเหล่านั้นไม่มีใครจะหวงเอาไว้เป็นของตนเองได้
2.2 มีความเสี่ยงที่พันธุ์พืชใหม่อาจผสมกับพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปโดยธรรมชาติ ซึ่งถ้าดูพันธุกรรมอาจจะมีลักษณะสําคัญของพันธุ์พืชใหม่อยู่ ทําให้เมื่อตรวจดูแล้วอาจเห็นพันธุกรรมสําคัญที่มาจากพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครอง ดังนั้นชาวบ้านจะมีความผิดฐานละเมิดสิทธิพันธุ์พืชใหม่ได้ กรมวิชาการเกษตรขอชี้แจงว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการตรวจสอบพันธุ์พืชที่ขอจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่จะตรวจสอบความแตกต่างจากพันธุ์อื่นอย่างเด่นชัด โดยไม่ได้ตรวจสอบพันธุกรรมโดยตรง นอกจากนี้ การผสมข้ามตามธรรมชาติของพืช มีโอกาสให้พันธุกรรมของพันธุ์แม่-พ่อ ปรากฏในรุ่นลูกได้ ดังนั้นพันธุ์ลูกผสมชั่วที่ 1 ที่มาจากการผสมของพันธุ์พืชใหม่กับพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป จะมีพันธุกรรมของพันธุ์พืชใหม่บางส่วน แต่จะมีลักษณะของพืชที่แสดงออกไม่เหมือนกับพันธุ์พืชใหม่ทุกลักษณะ ดังนั้น โอกาสที่เกษตรกรจะมีความผิดฐานละเมิดพันธุ์จึงเป็นไม่ได้ อีกทั้งกฎหมายยังยกเว้นสิทธิสําหรับผู้ที่กระทําโดยสุจริต
2.3 ร่างกฎหมายใหม่เปิดช่องให้บริษัทเมล็ดพันธุ์ไม่ต้องแบ่งผลประโยชน์ในกรณีที่ใช้พันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปเพื่อใช้ในการพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ และมีการขยายการคุ้มครองแก่นักปรับปรุงพันธุ์ให้ครอบคลุมผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากพืชปรับปรุงพันธุ์ด้วย
- ร่างกฎหมายใหม่เปิดช่องให้บริษัทเมล็ดพันธุ์ไม่ต้องแบ่งผลประโยชน์ในกรณีที่ใช้พันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปเพื่อใช้ในการพัฒนาพันธุ์พืชใหม่ ขอชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง เพราะผู้ใดนําพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปและพันธุ์พืชป่าไปใช้ประโยชน์ในการศึกษา ทดลอง วิจัย และปรับปรุงพันธุ์ ยังคงต้องขออนุญาต และแบ่งปันผลประโยชน์กรณีทําเพื่อเชิงพาณิชย์ แต่สําหรับพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่น ต้องขอกับชุมชนผู้เป็นเจ้าของ การแก้ไขนิยามพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไป มีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการตีความขอบเขตของพันธุ์พืชพื้นเมืองทั่วไปให้มีขอบเขตที่ชัดเจน โดยกําหนดให้เป็นเฉพาะส่วนพันธุ์พืชที่พบอยู่แพร่หลาย ไม่มีหลักฐานว่าเป็นพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และเป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นสมบัติสาธารณะ หากบริษัทจะนําเอาสารพันธุกรรมหรือพันธุ์พืชที่ไม่ใช่ของตนไปผ่านกระบวนการปรับปรุงพันธุ์ตามที่กล่าวอ้าง บริษัทต้องขออนุญาตและทําข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ ยกเว้นพันธุ์พืชพื้นเมืองเฉพาะถิ่นต้องขอกับชุมชนผู้เป็นเจ้าของ กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืชทั้งฉบับปัจจุบันและฉบับร่าง ยังคงไว้ซึ่งหลักการการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ (ABS) ตามอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพทุกประการ
- มีการขยายการคุ้มครองแก่นักปรับปรุงพันธุ์ให้ครอบคลุมผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากพืชปรับปรุงพันธุ์ด้วย ขอชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง เพราะการขยายการคุ้มครองจากส่วนขยายพันธุ์ไปถึงผลผลิตและผลิตภัณฑ์นั้น หมายถึง ขยายความคุ้มครองไปถึงเฉพาะ “ผลผลิต” หรือ “ผลิตภัณฑ์” ที่เกิดจากส่วนขยายพันธุ์ที่ได้มาโดยมิชอบ แต่หากส่วนขยายพันธุ์นั้นได้มาอย่างถูกต้องแล้ว ผู้ผลิตก็มีสิทธิในผลิตผลและผลิตภัณฑ์นั้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายกําหนดให้ผู้ทรงสิทธิสามารถดําเนินการทางละเมิดได้จากส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันเจตนาที่จะใช้ประโยชน์จากส่วนขยายพันธุ์ที่ได้มาอย่างไม่ ถูกต้อง ซึ่งกฎหมายฉบับปัจจุบันไม่มีกําหนดไว้ (มาตรา 37 และ 38 ร่างของ พ.ร.บ.)
2.4 การบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่เก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อใช้เองในฤดูกาลถัดไป ที่เรียกว่า farmer-saved seed ซึ่งกฎหมายปัจจุบัน มีข้อห้ามว่าพันธุ์พืชบางอย่างถ้าต้องการส่งเสริมให้มีการปรับปรุงพันธุ์ รัฐมนตรีสามารถสั่งห้ามเก็บเกินสามเท่า แต่กฎหมายใหม่ให้อํานาจรัฐมนตรีสามารถสั่งไม่ให้เก็บทั้งหมดหรือบางส่วน หมายความว่า หากเกษตรกรเก็บแม้แต่หนึ่งเมล็ด ก็มีความเสี่ยงที่จะติดคุก และหากเก็บไม่ได้ ก็ต้องกลับไปซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ กลายเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นสําหรับบริษัทเมล็ดพันธุ์ โดยข้อมูลจากสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทยระบุว่า เมล็ดพันธุ์จากภาคเอกชนในตลาดมีสัดส่วนประมาณ 90%
ขอชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง เพราะเมล็ดพันธุ์ที่เกษตรกรเก็บไปปลูกต่อในพื้นที่ของตน (ทั้งในวรรคหนึ่งและวรรคสอง) เกษตรกรขายผลผลิตได้ แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ขายได้ โดยไม่มีความผิด ทั้งนี้ หากรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการฯ ออกประกาศกําหนดพันธุ์พืชใหม่ชนิดใดเป็นพันธุ์พืชที่จํากัดปริมาณตามวรรคสองแล้ว การเก็บเมล็ดพันธุ์ของเกษตรกรต้องเป็นไปตามประกาศดังกล่าว ตัวอย่างปัจจัยที่อาจพิจารณาใช้ประกาศกําหนดตามวรรคสอง เช่น รัฐต้องการส่งเสริมการปรับปรุงพันธุ์ในพืชที่ได้มาครั้งเดียวก็เก็บและใช้ส่วนขยายพันธุ์ได้ตลอดไปโดยยังคงลักษณะพันธุ์นั้นอยู่ ได้แก่ พืชผสมตัวเอง (พันธุ์แท้ เช่น ข้าว ถั่วเหลือง) พืชผสมข้าม พันธุ์ผสมเปิด (เช่น ข้าวโพด ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว กวางตั้ง คะน้า ผักกาดหอม) พืชที่ขยายพันธุ์ได้โดยไม่อาศัยเพศ (เช่น อ้อย มันสําปะหลัง กล้วยไม้) ซึ่งพืชดังกล่าวหากไม่จํากัดปริมาณแล้วเจ้าของซึ่งเป็นผู้คิดค้นจะไม่ได้ประโยชน์จากการลงทุน อาจทําให้ไม่มีผู้สนใจปรับปรุงพันธุ์ใหม่ ๆ ขึ้นมา ดังนั้น การจํากัดปริมาณที่เหมาะสมจึงเพื่อรักษาสมดุลระหว่างผู้ใช้กับนักปรับปรุงพันธุ์
----------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สตช.ชี้แจงข้อเรียกร้องความเสมอภาคทางเพศ กรณีการรับสมัครเข้ารับราชการ ตำแหน่งพนักงานสอบสวนของ สตช.
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม 2561
สตช.ชี้แจงข้อเรียกร้องความเสมอภาคทางเพศ กรณีการรับสมัครเข้ารับราชการ ตําแหน่งพนักงานสอบสวนของ สตช.
สตช. ชี้แจงการเปิดรับสมัครบุคคลธรรมดาเข้าเป็นข้าราชการตํารวจ ในตําแหน่งพนักงานสอบสวน โดยเปิดรับสมัครแต่เพศชาย เป็นการคํานึงสวัสดิภาพของเพศหญิงเป็นสําคัญ มิใช่การลิดรอนสิทธิสตรี
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561 พันตํารวจโท ปองพล เอี่ยมวิจารณ์ รองโฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ชี้แจงประเด็น ข้อเรียกร้องความเสมอภาคทางเพศกรณีการรับสมัครเข้ารับราชการตําแหน่งพนักงานสอบสวนของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ดังนี้
เนื่องจากปัจจุบันมีความขาดแคลนพนักงานสอบสวนมากถึง 2,000 ตําแหน่ง แต่ในโอกาสนี้สามารถเปิดรับได้เพียง 250 ตําแหน่งเท่านั้น ยังคงขาดแคลนพนักงานสอบสวนอีกมากถึง 1,700 ตําแหน่ง ไม่สามารถให้บริการพี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอ โดยในปัจจุบันพนักงานสอบสวนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามสถานีตํารวจต่าง ๆ ทั่วประเทศ ต้องแบกรับภาระปริมาณงานที่สูงเกินศักยภาพที่บุคคลจะสามารถรับได้ เป็นเหตุให้มีปัญหาการลาออกจากราชการเป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะพนักงานสอบสวนหญิง เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องแบกรับภาระหน้าที่ทางครอบครัวที่หนักกว่าพนักงานสอบสวนชายอีกด้วย ในขณะที่บางส่วนก็มีสํานวนคั่งค้างเป็นจํานวนมาก ส่งผลให้เกิดความเครียดสะสมและกระทําอัตวิบาตกรรมดังที่มีการนําเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ ดังนั้น การที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้มีคําสั่งเปิดรับสมัครบุคคลธรรมดาเข้าเป็นข้าราชการตํารวจในตําแหน่งพนักงานสอบสวน โดยเปิดรับสมัครแต่เพศชายในกรณีนี้ ด้วยมีเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นการเร่งด่วน โดยคํานึงสวัสดิภาพของเพศหญิงเป็นสําคัญ หาใช่การลิดรอนสิทธิสตรีไม่
ด้านความเปราะบางของผู้เสียหายหรือเหยื่อที่เป็นสตรีและเด็กนั้น ยังมีนักเรียนนายร้อยตํารวจหญิงที่จะจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตํารวจทุกปีมาบรรจุเป็นพนักงานสอบสวนอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว นอกจากนั้นในการสอบปากคําผู้เสียหาย ตามกฎหมายแล้วต้องกระทําร่วมกันกับสหวิชาชีพและกระทําอย่างมืออาชีพ ซึ่งพนักงานสอบสวนทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนคํานึงถึงประเด็นนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว นอกจากนั้น จากสถิติพบว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ถึง 2559 นั้น คดีความรุนแรงทางเพศนั้นมีจํานวนลดลงเรื่อย ๆ อย่างมีนัยสําคัญ จากกว่า 3,300 คดี ลดลงเหลือเพียง 2,200 คดี โดยปีดังกล่าวเป็นปีแรกที่พนักงานสอบสวนหญิงที่จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตํารวจนั้น ได้ลงปฏิบัติงานจริงเป็นปีแรก นอกจากนั้น โรงเรียนนายร้อยตํารวจยังเป็นสถาบันแรกที่เปิดรับนักเรียนนายร้อยตํารวจหญิง เข้าฝึกและศึกษาร่วมกับนักเรียนที่จบจากโรงเรียนเตรียมทหาร เพื่อจะได้ปฏิบัติหน้าที่ในขอบเขตงานที่เกี่ยวกับเพศเป็นหลัก ย่อมแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่จะสร้างความเสมอภาคระหว่างเพศของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ
-------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สตช.ชี้แจงข้อเรียกร้องความเสมอภาคทางเพศ กรณีการรับสมัครเข้ารับราชการ ตำแหน่งพนักงานสอบสวนของ สตช.
วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม 2561
สตช.ชี้แจงข้อเรียกร้องความเสมอภาคทางเพศ กรณีการรับสมัครเข้ารับราชการ ตําแหน่งพนักงานสอบสวนของ สตช.
สตช. ชี้แจงการเปิดรับสมัครบุคคลธรรมดาเข้าเป็นข้าราชการตํารวจ ในตําแหน่งพนักงานสอบสวน โดยเปิดรับสมัครแต่เพศชาย เป็นการคํานึงสวัสดิภาพของเพศหญิงเป็นสําคัญ มิใช่การลิดรอนสิทธิสตรี
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2561 พันตํารวจโท ปองพล เอี่ยมวิจารณ์ รองโฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ชี้แจงประเด็น ข้อเรียกร้องความเสมอภาคทางเพศกรณีการรับสมัครเข้ารับราชการตําแหน่งพนักงานสอบสวนของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ดังนี้
เนื่องจากปัจจุบันมีความขาดแคลนพนักงานสอบสวนมากถึง 2,000 ตําแหน่ง แต่ในโอกาสนี้สามารถเปิดรับได้เพียง 250 ตําแหน่งเท่านั้น ยังคงขาดแคลนพนักงานสอบสวนอีกมากถึง 1,700 ตําแหน่ง ไม่สามารถให้บริการพี่น้องประชาชนทั่วประเทศได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอ โดยในปัจจุบันพนักงานสอบสวนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตามสถานีตํารวจต่าง ๆ ทั่วประเทศ ต้องแบกรับภาระปริมาณงานที่สูงเกินศักยภาพที่บุคคลจะสามารถรับได้ เป็นเหตุให้มีปัญหาการลาออกจากราชการเป็นจํานวนมาก โดยเฉพาะพนักงานสอบสวนหญิง เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องแบกรับภาระหน้าที่ทางครอบครัวที่หนักกว่าพนักงานสอบสวนชายอีกด้วย ในขณะที่บางส่วนก็มีสํานวนคั่งค้างเป็นจํานวนมาก ส่งผลให้เกิดความเครียดสะสมและกระทําอัตวิบาตกรรมดังที่มีการนําเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ ดังนั้น การที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติได้มีคําสั่งเปิดรับสมัครบุคคลธรรมดาเข้าเป็นข้าราชการตํารวจในตําแหน่งพนักงานสอบสวน โดยเปิดรับสมัครแต่เพศชายในกรณีนี้ ด้วยมีเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นการเร่งด่วน โดยคํานึงสวัสดิภาพของเพศหญิงเป็นสําคัญ หาใช่การลิดรอนสิทธิสตรีไม่
ด้านความเปราะบางของผู้เสียหายหรือเหยื่อที่เป็นสตรีและเด็กนั้น ยังมีนักเรียนนายร้อยตํารวจหญิงที่จะจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตํารวจทุกปีมาบรรจุเป็นพนักงานสอบสวนอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว นอกจากนั้นในการสอบปากคําผู้เสียหาย ตามกฎหมายแล้วต้องกระทําร่วมกันกับสหวิชาชีพและกระทําอย่างมืออาชีพ ซึ่งพนักงานสอบสวนทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนคํานึงถึงประเด็นนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว นอกจากนั้น จากสถิติพบว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ถึง 2559 นั้น คดีความรุนแรงทางเพศนั้นมีจํานวนลดลงเรื่อย ๆ อย่างมีนัยสําคัญ จากกว่า 3,300 คดี ลดลงเหลือเพียง 2,200 คดี โดยปีดังกล่าวเป็นปีแรกที่พนักงานสอบสวนหญิงที่จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตํารวจนั้น ได้ลงปฏิบัติงานจริงเป็นปีแรก นอกจากนั้น โรงเรียนนายร้อยตํารวจยังเป็นสถาบันแรกที่เปิดรับนักเรียนนายร้อยตํารวจหญิง เข้าฝึกและศึกษาร่วมกับนักเรียนที่จบจากโรงเรียนเตรียมทหาร เพื่อจะได้ปฏิบัติหน้าที่ในขอบเขตงานที่เกี่ยวกับเพศเป็นหลัก ย่อมแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่จะสร้างความเสมอภาคระหว่างเพศของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ
-------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14476
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทำงานกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
|
วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทํางานกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและรับฟังบรรยายสรุปภารกิจ
พร้อมทั้งมอบนโยบายการทํางาน
ในวันศุกร์ที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและรับฟังบรรยายสรุปภารกิจ
พร้อมทั้งมอบนโยบายการทํางาน
โดยมี นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ และร่วมรับฟังนโยบายการทํางาน
ณ ห้องประชุมพินิจ ๑ ชั้น ๕ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
โอกาสนี้ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ได้เน้นย้ําการดําเนินงานในประเด็นต่างๆ อาทิ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย
การจัดทําแผนเกี่ยวกับสวัสดิการที่พักของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
รวมถึงการจัดทําแผนเพื่อขอใช้รถเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินงาน
สําหรับในด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน ควรให้มีศูนย์ฝึกอบรมพิเศษแบบครบวงจร
ทั้งในด้านการพัฒนาวิชาชีพ สมอง จิตใจ และสุขภาพ โดยให้มีกิจกรรมเชื่อมโยงกับผู้ปกครอง ผู้นําชุมชน และจิตอาสา
รวมถึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการป้องกัน บําบัด แก้ไข และฟื้นฟู สงเคราะห์เด็กและเยาวชน
โดยใช้เครื่องที่มีอยู่ทําให้เด็กและเยาวชนที่ออกไปสู่สังคมแล้ว ได้มีวิชาชีพติดตัวสามารถนําความรู้ที่ได้ไปเลี้ยงชีพและไม่กลับมา กระทําผิดซ้ําอีก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทำงานกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทํางานกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและรับฟังบรรยายสรุปภารกิจ
พร้อมทั้งมอบนโยบายการทํางาน
ในวันศุกร์ที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและรับฟังบรรยายสรุปภารกิจ
พร้อมทั้งมอบนโยบายการทํางาน
โดยมี นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ และร่วมรับฟังนโยบายการทํางาน
ณ ห้องประชุมพินิจ ๑ ชั้น ๕ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
โอกาสนี้ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ได้เน้นย้ําการดําเนินงานในประเด็นต่างๆ อาทิ การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย
การจัดทําแผนเกี่ยวกับสวัสดิการที่พักของข้าราชการ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
รวมถึงการจัดทําแผนเพื่อขอใช้รถเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินงาน
สําหรับในด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน ควรให้มีศูนย์ฝึกอบรมพิเศษแบบครบวงจร
ทั้งในด้านการพัฒนาวิชาชีพ สมอง จิตใจ และสุขภาพ โดยให้มีกิจกรรมเชื่อมโยงกับผู้ปกครอง ผู้นําชุมชน และจิตอาสา
รวมถึงภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการป้องกัน บําบัด แก้ไข และฟื้นฟู สงเคราะห์เด็กและเยาวชน
โดยใช้เครื่องที่มีอยู่ทําให้เด็กและเยาวชนที่ออกไปสู่สังคมแล้ว ได้มีวิชาชีพติดตัวสามารถนําความรู้ที่ได้ไปเลี้ยงชีพและไม่กลับมา กระทําผิดซ้ําอีก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9362
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานในพิธีลงนาม MOU ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระหว่าง เอ็ตด้า กับ บจ.ซิสโก้ฯ
|
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานในพิธีลงนาม MOU ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระหว่าง เอ็ตด้า กับ บจ.ซิสโก้ฯ
รมว.ดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธี ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระหว่างสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ เอ็ตด้า หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ กับ บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาโซลูชั่นด้านการรักษาและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะทําให้ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ไทยเซิร์ต) ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติงานด้านการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ของเอ็ตด้า ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ภายใต้โปรแกรม AEGIS (Awareness, Education, Guidance, and Intelligence Sharing) เช่น การแจ้งข้อมูลของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ในประเทศ ซึ่งสามารถนําไปแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการโจมตีรูปแบบใหม่ และวิธีการตรวจจับ ทําให้ภาครัฐมีประสิทธิภาพในการทํางานเชิงรุกมากขึ้น ทั้งนี้ จากความร่วมมือดังกล่าว สอดรับกับแนวทางการทํางาน 4 เรื่องหลักของคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ได้แก่ 1) เร่งทํานโยบายและแผนระดับชาติ เพื่อปกป้อง รับมือ ป้องกัน และลดความเสี่ยงภัยคุกคามทางไซเบอร์ 2) กําหนดโครงสร้างพื้นฐานสําคัญด้านสารสนเทศของประเทศ 3) เตรียมพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระยะเร่งด่วน และ 4) เตรียมพร้อมจัดตั้ง Cybersecurity Agency (CSA) เพื่อทําหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ณ สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) อาคารเดอะไนน์ ทาวเวอร์ แกรนด์ พระรามเก้า ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
******************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานในพิธีลงนาม MOU ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระหว่าง เอ็ตด้า กับ บจ.ซิสโก้ฯ
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานในพิธีลงนาม MOU ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระหว่าง เอ็ตด้า กับ บจ.ซิสโก้ฯ
รมว.ดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธี ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระหว่างสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ เอ็ตด้า หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ กับ บริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาโซลูชั่นด้านการรักษาและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ จะทําให้ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ไทยเซิร์ต) ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติงานด้านการรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ของเอ็ตด้า ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ภายใต้โปรแกรม AEGIS (Awareness, Education, Guidance, and Intelligence Sharing) เช่น การแจ้งข้อมูลของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ในประเทศ ซึ่งสามารถนําไปแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการโจมตีรูปแบบใหม่ และวิธีการตรวจจับ ทําให้ภาครัฐมีประสิทธิภาพในการทํางานเชิงรุกมากขึ้น ทั้งนี้ จากความร่วมมือดังกล่าว สอดรับกับแนวทางการทํางาน 4 เรื่องหลักของคณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ได้แก่ 1) เร่งทํานโยบายและแผนระดับชาติ เพื่อปกป้อง รับมือ ป้องกัน และลดความเสี่ยงภัยคุกคามทางไซเบอร์ 2) กําหนดโครงสร้างพื้นฐานสําคัญด้านสารสนเทศของประเทศ 3) เตรียมพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระยะเร่งด่วน และ 4) เตรียมพร้อมจัดตั้ง Cybersecurity Agency (CSA) เพื่อทําหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2561 ณ สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) อาคารเดอะไนน์ ทาวเวอร์ แกรนด์ พระรามเก้า ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
******************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15082
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวน รอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก
|
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยดําเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวน รอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เตรียมดําเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก เพื่อขยายโครงข่ายทางพิเศษรองรับการเดินทางระหว่างพื้นที่ชั้นนอกและชั้นในกรุงเทพฯ
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า กทพ. ได้ดําเนินการศึกษาความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกฯ แล้วเสร็จ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างขอความเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ และกระทรวงฯ จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ โดยเร็วต่อไป
โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายโครงข่ายทางพิเศษให้สามารถรองรับการเดินทางระหว่างพื้นที่ชั้นนอกและพื้นที่ชั้นในกรุงเทพฯ เพื่อช่วยแบ่งเบาปัญหาจราจรติดขัดบนถนนพระรามที่ 2 ช่วงดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกฯ และทางพิเศษเฉลิมมหานคร ช่วงบางโคล่ - ดาวคะนอง เป็นเส้นทางการเดินทางและขนส่งสินค้าในกรณีเกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติและเหตุฉุกเฉิน เช่น อุทกภัย เป็นต้น และเป็นเส้นทางทดแทนกรณีปิดซ่อมบํารุงสะพานพระราม 9
ทั้งนี้ โครงการฯ มีมูลค่าการลงทุน 31,244 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 807 ล้านบาท ค่าก่อสร้าง (รวมค่าควบคุมงาน) 30,437 ล้านบาท ระยะทาง 18.7 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นเชื่อมต่อกับโครงการทางยกระดับบนทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี - ปากท่อ) บริเวณ กม.13+000 ถนนพระรามที่ 2 เป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร ซ้อนทับตามแนวเกาะกลางของถนนพระรามที่ 2 จนถึงด่านเก็บค่าผ่านทางดาวคะนอง จากนั้นซ้อนทับบนทางพิเศษเฉลิมมหานครถึงบริเวณถนนพระรามที่ 3 ใกล้กับทางแยกต่างระดับบางโคล่ ช่วงข้ามแม่น้ําเจ้าพระยาก่อสร้างสะพานใหม่ขนาด 8 ช่องจราจร (ทิศทางละ 4 ช่องจราจร) ขนานอยู่ทางด้านทิศใต้ของสะพานพระราม 9 โดยมีทางขึ้น - ลง รวม 7 แห่ง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวน รอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยดําเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวน รอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เตรียมดําเนินโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก เพื่อขยายโครงข่ายทางพิเศษรองรับการเดินทางระหว่างพื้นที่ชั้นนอกและชั้นในกรุงเทพฯ
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า กทพ. ได้ดําเนินการศึกษาความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกฯ แล้วเสร็จ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการฯ แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างขอความเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ และกระทรวงฯ จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ โดยเร็วต่อไป
โครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายโครงข่ายทางพิเศษให้สามารถรองรับการเดินทางระหว่างพื้นที่ชั้นนอกและพื้นที่ชั้นในกรุงเทพฯ เพื่อช่วยแบ่งเบาปัญหาจราจรติดขัดบนถนนพระรามที่ 2 ช่วงดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกฯ และทางพิเศษเฉลิมมหานคร ช่วงบางโคล่ - ดาวคะนอง เป็นเส้นทางการเดินทางและขนส่งสินค้าในกรณีเกิดเหตุการณ์ภัยธรรมชาติและเหตุฉุกเฉิน เช่น อุทกภัย เป็นต้น และเป็นเส้นทางทดแทนกรณีปิดซ่อมบํารุงสะพานพระราม 9
ทั้งนี้ โครงการฯ มีมูลค่าการลงทุน 31,244 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 807 ล้านบาท ค่าก่อสร้าง (รวมค่าควบคุมงาน) 30,437 ล้านบาท ระยะทาง 18.7 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นเชื่อมต่อกับโครงการทางยกระดับบนทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี - ปากท่อ) บริเวณ กม.13+000 ถนนพระรามที่ 2 เป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร ซ้อนทับตามแนวเกาะกลางของถนนพระรามที่ 2 จนถึงด่านเก็บค่าผ่านทางดาวคะนอง จากนั้นซ้อนทับบนทางพิเศษเฉลิมมหานครถึงบริเวณถนนพระรามที่ 3 ใกล้กับทางแยกต่างระดับบางโคล่ ช่วงข้ามแม่น้ําเจ้าพระยาก่อสร้างสะพานใหม่ขนาด 8 ช่องจราจร (ทิศทางละ 4 ช่องจราจร) ขนานอยู่ทางด้านทิศใต้ของสะพานพระราม 9 โดยมีทางขึ้น - ลง รวม 7 แห่ง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4320
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดทำโครงการประกันภัยข้าวนาปีช่วยเหลือเกษตรกร
|
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560
รัฐบาลจัดทําโครงการประกันภัยข้าวนาปีช่วยเหลือเกษตรกร
การทําประกันภัยพืชผลทางการเกษตร เป็นการบริหารความเสี่ยง และสร้างหลักประกันให้แก่เกษตรกร โดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวเมื่อเกิดพิบัติภัย
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลจัดทําโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 ตั้งแต่ต้นฤดูกาลเพาะปลูก – 31 ส.ค. 60 ส่วนในภาคใต้ถึง 15 ธ.ค. 60 เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีหลักประกันคุ้มครองพืชผลทางการเกษตรจากภัยธรรมชาติในวงเงินกว่า 1,800 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมาย 25 – 30 ล้านไร่ ประกอบด้วย ภัยที่เกิดจากน้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ และไฟไหม้ จะได้รับเงินชดเชยจํานวน 1,260 บาท/ไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด 630 บาท/ไร่ นอกจากนี้ รัฐบาลและ ธ.ก.ส. ยังร่วมกันอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย 97.37 บาท/ไร่ ให้แก่เกษตรกรอีกด้วย ทั้งนี้ เกษตรกรที่ต้องการทราบรายละเอียดสามารถติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดทำโครงการประกันภัยข้าวนาปีช่วยเหลือเกษตรกร
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560
รัฐบาลจัดทําโครงการประกันภัยข้าวนาปีช่วยเหลือเกษตรกร
การทําประกันภัยพืชผลทางการเกษตร เป็นการบริหารความเสี่ยง และสร้างหลักประกันให้แก่เกษตรกร โดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียวเมื่อเกิดพิบัติภัย
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลจัดทําโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 ตั้งแต่ต้นฤดูกาลเพาะปลูก – 31 ส.ค. 60 ส่วนในภาคใต้ถึง 15 ธ.ค. 60 เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรมีหลักประกันคุ้มครองพืชผลทางการเกษตรจากภัยธรรมชาติในวงเงินกว่า 1,800 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่เป้าหมาย 25 – 30 ล้านไร่ ประกอบด้วย ภัยที่เกิดจากน้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ และไฟไหม้ จะได้รับเงินชดเชยจํานวน 1,260 บาท/ไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด 630 บาท/ไร่ นอกจากนี้ รัฐบาลและ ธ.ก.ส. ยังร่วมกันอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย 97.37 บาท/ไร่ ให้แก่เกษตรกรอีกด้วย ทั้งนี้ เกษตรกรที่ต้องการทราบรายละเอียดสามารถติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5387
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
|
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ
แห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
ส่วนหนึ่งของความเป็น“ไทยนิยม”นั้น หมายถึง การยึดมั่นใน 3 สถาบันหลักของประเทศ อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทย ให้เกิดความรักใคร่ปรองดองกัน และอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข ได้แก่ สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งต่างมีความเชื่อมโยงผูกพันกัน อาทิ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกนอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ทรงสร้างบ้านแปงเมือง นําความผาสุกมาสู่พสกนิกร สืบเนื่องมาทุกยุค ทุกสมัย ดังนั้น คนไทยทุกคนควรร่วมกันเพื่อแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของเราอย่างพร้อมเพรียงกันนะครับ ที่เราเรียกว่า“ไทยนิยม”
ในโอกาสที่วันพรุ่งนี้ วันที่ 21 เมษายน จะตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. 2325 โดยในปีนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทย ทุกหมู่เหล่า ร่วมกันในงาน“ใต้ร่มพระบารมี 236 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์“ทุกพระองค์”แห่งราชวงศ์จักรี อีกทั้ง ยังจะร่วมกันแสดงออกถึงความรักชาติ และนิยมความเป็นไทย ร่วมกันแต่งกายชุดไทย ร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 - 25 เมษายนนี้ รวม 5 วัน อาทิ ริ้วขบวนแสดงประวัติความเป็นมาของกรุงรัตนโกสินทร์ ณ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ กรุงเทพฯ กับอีก 7 จุดสําคัญ ๆ ทั่วกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะรอบเกาะรัตนโกสินทร์ เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โรงละครแห่งชาติ สวนสันติชัยปราการ ลานคนเมือง หอศิลป์ วัง วัด ศาสนสถาน เทวสถาน เป็นต้น ซึ่งสามารถเข้าชมฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมทั้งรถโดยสารให้บริการฟรีตามเส้นทาง และตารางเวลา ที่กําหนด ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม โทร 1765
พี่น้องประชาชนชาวไทย ที่เคารพ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่แน่วแน่ ในการ“สืบสาน รักษา ต่อยอดสร้างสุขปวงประชา”เฉกเช่น บูรพมหากษัตริย์ไทย ทุกพระองค์ อีกทั้ง พระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์ ก็ทรงมีพระราชกรณียกิจ น้อยใหญ่ เพื่อสนองพระราชปณิธานดังกล่าว และ ได้เห็นเป็นประจักษ์ สู่สายตานานาอารยประเทศโดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้อํานวยการใหญ่ขององค์การอาหาร และเกษตร แห่งสหประชาชาติ (FAO)นะครับ ได้กล่าวยกย่องบทบาทของ สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะทูตพิเศษประจําFAOในการรณรงค์แก้ไขปัญหาการขาดอาหารและโภชนาการ ทั้งในประเทศไทย และในภูมิภาคอื่น ๆ โดยพระองค์ทรงดําเนินโครงการเพื่อช่วยลดความหิวโหย มาหลายสิบปี อาทิ โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน กองทุนพัฒนาเด็ก และเยาวชน ในถิ่นทุรกันดาร เป็นต้น ปัจจุบัน พระองค์มีพระราชดําริ ให้ดําเนินโครงการความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาค เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา ภูฏาน และบังกลาเทศ นอกจากนี้ ทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด การจัดตั้งภาคีพัฒนาโคนมแห่งเอเชีย สําหรับส่งเสริมและพัฒนางานด้านโคนม เพื่อให้น้ํานมมีคุณภาพ และ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ของเกษตรกรโคนม ในระดับภูมิภาค อีกด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลไทย ได้ดําเนินโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดสารอาหารเด็กในวัยเรียน และสนับสนุนอุตสาหกรรมโคนมดังกล่าวด้วย ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นที่จะขจัดความอดอยากหิวโหย ให้หมดสิ้นไปรัฐบาลไทยได้เชื่อมโยงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ของสหประชาชาติ (SDG)เข้ากับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วยการน้อมนําเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาแบบยั่งยืน ที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม มาเป็นแนวทางในการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความยากจน ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและเกษตรกรแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร เสริมสร้างความมั่นคงอาหาร พัฒนาโภชนาการและความปลอดภัยอาหาร เพื่อนําไปสู่ความ“มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ของประชาชน และประเทศชาติ ตามพระราชปณิธานอันแน่วแน่ แห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้างต้น
นอกจากนี้ ในฐานะที่บ้านเมืองของเราเป็น“ชาติเกษตรกรรม”รัฐบาลจึงให้ความสําคัญอย่างมากที่จะดําเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน และยกระดับคุณภาพชีวิต ของเกษตรกร อาทิ การส่งเสริมสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรกร เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง ให้แก่เกษตรกรรายย่อย โดยส่งเสริมระบบ“การทําเกษตรแปลงใหญ่”มาใช้กับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย ทั้งการปลูกพืชสวนไร่นา - ประมง–ปศุสัตว์รวมทั้งการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการผลิตสินค้าเกษตร ให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด ตามแนวคิด“การตลาดนําการผลิต”การพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ อีกทั้ง สนับสนุนให้เกษตรกรรุ่นใหม่ที่ผันตัวมาเป็นเกษตรกรมืออาชีพก่อให้เกิดการพัฒนาชุมชน - ถิ่นเกิดของตนอย่างยั่งยืน ด้วยการทําเกษตรอินทรีย์ ลดการใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง เพื่อไม่ทําร้ายสุขภาพ เกษตรกรและผู้บริโภค และ ไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม - ดิน - น้ํา - อากาศด้วย
ปัจจุบัน รัฐบาลนี้ได้ริเริ่มโครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยจัดสรรเงินงบประมาณ ราว 150,000 ล้านบาท ในการดําเนินโครงการในหลากหลายมิติ ส่วนหนึ่งก็เป็นเป็นแผนงาน - โครงการด้านการปฏิรูปโครงสร้าง การผลิตภาคการเกษตรกว่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งมีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกรด้วยการ“ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้”เพื่อจะสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยเริ่มที่ตัวเกษตรกรก่อน ตามแนวทาง“ประชารัฐ”ซึ่งต้องมีการทําประชาคม การรับฟังปัญหาระดับชุมชน การสํารวจความต้องการ และปัญหาแต่ละท้องถิ่น เพื่อนําไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต่อไป
พี่น้องประชาชนชาวไทย ทุกท่าน ครับ
โครงการไทยนิยมยั่งยืน มีหลักการสําคัญ 3 ประการ นอกเหนือจากการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร ทั้งระบบดังกล่าวแล้ว ก็ยังมีการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และการพัฒนาเชิงพื้นที่อีกด้วย ทั้งนี้ การขับเคลื่อน“กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเพื่อพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน อย่างยั่งยืน”ก็เป็นมาตรการหนึ่งที่รัฐบาลนี้ ให้ความสําคัญอย่างต่อเนื่องตามพระราชบัญญัติ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ภายใต้ปรัชญาในการเสริมสร้างสํานึก ความเป็นชุมชนและท้องถิ่น โดยให้ชุมชนเป็นผู้กําหนดอนาคต และ จัดการหมู่บ้านและชุมชน ด้วยคุณค่าและภูมิปัญญาของตนเอง เป็นการ“ระเบิดจากข้างใน”เกื้อกูลประโยชน์ต่อผู้ด้อยโอกาสในหมู่บ้านและชุมชน โดยจะ“ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”เชื่อมโยงกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งชุมชน หน่วยงานราชการ บริษัทเอกชน และประชาสังคม ตามแนวทาง“ประชารัฐ”กระจายอํานาจให้ท้องถิ่นและ พัฒนาประชาธิปไตยพื้นฐาน เตรียมพร้อมสําหรับบทบาทของท้องถิ่นที่จะต้องมีความสําคัญมากขึ้นในอนาคต ในการขับเคลื่อนกองทุนหมู่บ้านฯ นี้ ในอดีตอาจยังมีปัญหาอยู่บ้าง รัฐบาลนี้เข้ามาจัดระบบ จัดระเบียบใหม่ ให้เกิดความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองให้ได้โดยเร็ว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานราก ได้โดยตรง โดยจะเป็น“แหล่งเงินทุนหมุนเวียน”สําหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ เพิ่มรายได้ และลดรายจ่าย อย่างแท้จริง หรือใช้สําหรับการส่งเสริมและพัฒนาไปสู่การสร้างสวัสดิการอาทิ ตลาดประชารัฐ - แหล่งท่องเที่ยวชุมชน หรือประโยชน์เพื่อส่วนรวมอื่นใด ให้แก่ประชาชนในหมู่บ้าน หรือชุมชนเมือง ในการบรรเทาความเดือดร้อนเร่งด่วนสําหรับลูกบ้าน - ชาวชุมชน รวมถึงเป็นแหล่งพัฒนาองค์ความรู้ คุณภาพชีวิต และสวัสดิการของสมาชิกอีกด้วย ปัจจุบันมีกองทุนหมู่บ้านฯ ทั่วประเทศ เกือบ 80,000 กองทุนนะครับ มีสมาชิก ราว 13 ล้านคนเมื่อรัฐบาลนี้ เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ก็จัดให้มีการประเมินผลการดําเนินงาน“รายกองทุน” เพื่อแบ่งกลุ่ม สําหรับกําหนดมาตรการสนับสนุนให้เหมาะสม ในแต่ละประเภท ดังนี้
กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ที่มีผลการประเมินในระดับดีมาก เกรดAและระดับดีเกรดBรวมกันราว 60,000 กองทุน หรือร้อยละ 76 ใช้มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ โดยการจัดสรรวงเงินสินเชื่อปลอดดอกเบี้ยให้กับพี่น้องสมาชิกกองทุนหมู่บ้านในพื้นที่ส่วนกองทุนฯ ที่มีผลการประเมินในระดับปานกลาง เกรดCและระดับต้องปรับปรุง เกรดDรวมกันเกือบ 20,000 กองทุน กว่าร้อยละ 23 ให้ดําเนินการทุกมิติ เพื่อพลิกฟื้นให้กองทุนเหล่านั้น สามารถกลับมาเป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนในหมู่บ้านและชุมชน ให้ได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ ในปี 2559 ได้จัดโครงการเพิ่มความเข็มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก งบประมาณ 35,000 ล้านบาท สําหรับให้กองทุนหมู่บ้านฯ นําไปลงทุนเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ ลดภาระต้นทุน ขยายโอกาสทางการตลาด แก่เกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชน ซึ่งมีกองทุนหมู่บ้านฯ ได้รับอนุมัติโครงการ มากกว่า 66,000 กองทุน คิดเป็นในวงเงินงบประมาณกว่า 33,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 95 ของเป้าหมายต่อมาปี 2560 รัฐบาลได้จัด งบประมาณเพิ่มเติมอีก 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านฯ อย่างต่อเนื่อง มีกองทุนที่ได้อนุมัติโครงการ มากกว่า 61,000 กองทุน รวมวงเงินงบประมาณกว่า 12,000 ล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 80 ของเป้าหมาย โดยรวมแล้วทําให้เกิดโครงการต่าง ๆ มากมาย หลากหลายมิติ ทั่วประเทศอาทิ โครงการร้านค้าชุมชน น้ําดื่มชุมชน ปุ๋ย ยา เมล็ดพันธุ์ บริการงานชุมชน บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตร เกษตรฟาร์มรวม ลานตากอเนกประสงค์ และโรงสีข้าวชุมชน เป็นต้น รวมทั้งสิ้น กว่า 120,000 โครงการในปัจจุบัน
ผมขอยกตัวอย่าง โครงการด้านการท่องเที่ยวและบริการ“ระดับท้องถิ่น”ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่เราควรให้ความสนใจ ได้แก่ “อุทยานธรณีโลก”ในจังหวัดสตูลที่ครอบคลุม 4 อําเภอ ที่ผ่านการประเมินหลักเกณฑ์ของ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO)เมื่อ 17 เมษายนที่ผ่านมานับเป็นอุทยานธรณีโลก แห่งแรกของประเทศไทย ที่มีซากฟอสซิล ชั้นหิน ชั้นดิน ซึ่งเป็นจุดน่าสนใจทางธรณีวิทยา อีกทั้ง มีเทือกเขาหินปูน ถ้ํา เกาะ ชายหาด และล่องแก่ง ที่เป็นจุดขาย สําหรับนักท่องเที่ยว ทั้งหมดนี้ กลไกประชารัฐและชุมชน ต้องร่วมกันวางยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว การอนุรักษ์ การต้อนรับผู้มาเยือน การเป็นเจ้าบ้านที่ดี ดูแลเรื่องราคา และความปลอดภัย
ต่าง ๆ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ณ แหล่งท่องเที่ยว อาทิ เส้นทางจราจร พื้นที่จอดรถ เขตสุขาภิบาล การโซนนิ่งพื้นที่เราต้องพิจารณาให้ครบวงจร เป็นขั้นเป็นตอน ให้ได้มาตรฐาน ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันสร้าง เริ่ม“ระเบิดจากข้างใน”และชุมชนต้องช่วยกันดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง อย่าปล่อยให้ทรุดโทรม เพราะจะเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ นํารายได้มาสู่ชุมชนของท่าน โดยรัฐบาล ก็จะเข้าไปสนับสนุนในภาพรวม ของเศรษฐกิจมหภาคด้วย
สําหรับปี 2561 นี้ รัฐบาลได้เตรียมการสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองผ่าน“โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืนโดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ”วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้กองทุนหมู่บ้านฯ กองทุนละไม่เกิน 300,000 บาทเพื่อต่อยอดโครงการเดิม หรือสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะการดําเนินโครงการที่รวมกันหลายกองทุนหมู่บ้าน เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา ด้วยการให้โอกาสประชาชนบริหารจัดการและพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนด้วยทรัพยากร ภูมิปัญญา และการมีส่วนร่วมของชุมชนโดยสนับสนุนการประกอบอาชีพ การสร้างงาน สร้างรายได้ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดย“ศาสตร์พระราชา”ซึ่งจะอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ตามแนวทาง“ประชารัฐ” ตลอดจนได้นํากรอบแนวทางตาม“โครงการไทยนิยมยั่งยืน”10 เรื่อง มาพิจารณาประกอบการดําเนินโครงการ โดยเน้นให้ทุกโครงการของกองทุนหมู่บ้านฯ ต้องผ่านเวทีประชาคมให้สมาชิกได้ร่วมคิด ร่วมตัดติดใจ โปร่งใส และตรวจสอบได้
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าโครงการจะเริ่มต้นมาตั้งแต่รัฐบาลไหน“ในอดีต”หากเป็นโครงการที่ดีแล้ว รัฐบาลนี้ ก็จะต่อยอด ขยายผลให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปสําหรับโครงการ–มาตรการ–นโยบายใดที่หลักการดี แต่การดําเนินการยังมาประสบความสําเร็จ ก็จะปรับปรุงและสานต่อเท่าที่สามารถจะทําได้ ส่วนโครงการที่สร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมืองในระยะยาว โครงการที่ถูกทักท้วง ถูกร้องเรียน ก็ต้องนําเข้าสู่กระบวนการของศาล เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และขจัดขบวนการ“ทุจริต”ให้หมดไป ดังเช่น เงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้และไร้ที่พึ่ง ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกองทุนเสมาพัฒนาคุณภาพชีวิต ของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น
ทั้งนี้ ผมขอย้ําอีกครั้งว่า ผมไม่ได้รังเกียจอะไรนักการเมือง–พรรคการเมือง เพราะส่วนใหญ่เป็น“คนดี” แต่ผมไม่อาจยอมรับผู้ที่ทําผิดกฎหมาย ผู้ที่ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม หรือผู้ที่ต่อต้านอํานาจรัฐ และผมพร้อมที่จะทํางานร่วมกับทุกคนที่มีอุดมการณ์รักชาติ และทําเพื่อความสุขของพี่น้องประชาชนผมมองว่า“ปัญหาไม่ได้หมายถึงความขัดแย้ง แต่ปัญหาคือจุดเริ่มต้นของความสามัคคี”เพราะคนที่มีอุดมการณ์“เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน”ด้วยกัน เมื่อได้ร่วมงานกัน ก็ย่อมจะยอมสละผลประโยชน์ส่วนตัวได้ แล้วร่วมกันแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเพื่อชาติบ้านเมือง โดยยึดมั่นในอุดมการณ์ดังกล่าว ไม่อยากให้ฟังการวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง จากบางกลุ่ม บางฝ่าย ที่อาจจะไม่หวังดี แล้วมองเป็นเรื่องของการเมืองไปเสียทั้งหมด งบประมาณที่ลงไป ที่เพิ่มลงไปกลางปีนี้ก็ไปเสริมต่อโครงการต่าง ๆ ที่มีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน การพัฒนาการเกษตร การเพิ่มอาชีพรายได้ สร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน รวมความถึงใช้ไปดูแลในส่วนของผู้ถือบัตร ผู้มีรายได้น้อยเข้าไปด้วย เพราะฉะนั้นวงเงินก็มากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นการสานต่อทั้งหมดที่เราทํามาแล้ว ระยะที่ 1 ไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องของการเมือง เอางบประมาณไปหาเสียง จะหาเสียงได้อย่างไร ในเมื่อผมไม่ได้ไปให้กับใครคนใดคนหนึ่ง แต่ให้เป็นกลุ่ม ให้เป็นหน่วย ให้เป็นพื้นที่ ให้เป็นหมู่บ้าน ผมไม่ได้ให้กับใคร กลุ่มไหนที่จะมาสนับสนุนผมแต่อย่างใด ขอให้ช่วยกันคิดตามนี้ด้วยว่าใครถูกผิดก็ไปว่ากัน
พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ
วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายนของทุกปีนั้น เป็น“วันคุ้มครองโลก”หรือที่เรียกว่าEarth Day เป็นวันที่“ชาวโลก”ควรจะได้ทบทวนว่า ที่ผ่านมาเราได้ทําอะไร ที่เป็นการทําลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งสุดท้ายก็จะส่งผลร้ายต่อพวกเราเอง และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในโลกนี้ด้วย เพราะเราอยู่ร่วมกันในโลกใบเดียวกัน“มนุษย์”ได้แสดงออก หรือแสดงความรับผิดชอบ ในการดูแลรักษาโลกใบนี้ให้ดีขึ้น มากพอหรือยัง ทั้งนี้ การพัฒนาในยุค“ไทยแลนด์ 4.0”ตามนโยบายของรัฐบาลนี้ จะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งมุ่งสร้างสมดุลให้เกิดขึ้น ระหว่างการพัฒนากับการอนุรักษ์ธรรมชาติ พร้อมกับสร้างคนไปด้วย
แนวคิดในการจัดงานวันคุ้มครองโลกในปีนี้คือ“คนรุ่นใหม่ ลดขยะพลาสติก กู้วิกฤติโลกร้อน”ซึ่งอิงตามแนวคิดของเครือข่ายวันคุ้มครองโลกสากล ทั้งนี้ พลาสติกนั้น ผลิตง่าย ผลิตได้ครั้งละมาก ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ เราใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง อย่างหลอดกาแฟ ถุงก๊อบแก๊บ กล่องโฟมใส่อาหารที่น่ากลัวก็คือ ผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้เวลาย่อยสลายกว่า 450 ปี พลาสติกทํามาจากน้ํามัน จากก๊าซธรรมชาติ ยิ่งเราใช้พลาสติกมากเท่าใด“ก๊าซเรือนกระจก”จากกระบวนการผลิต ก็จะยิ่งถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้นเท่านั้น ถ้านําขยะพลาสติกไปเผา ก็จะทําให้เกิดสารพิษ เป็นอันตรายต่อสุขภาพของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งทําให้โลกของเราร้อนขึ้นด้วย
วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา เราได้ประกาศ ยกเลิกการใช้“พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ําดื่ม” (Cap Seal)ซึ่งภาคเอกชนหลายราย ก็ขานรับนโยบายเป็นอย่างดี ที่เหลือก็ขอความร่วมมือด้วย เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน เราผลิตขวดน้ําดื่มพลาสติก ปีละ 7,000 ล้านขวดประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 6 ของประเทศที่ทิ้งขยะพลาสติกกลางทะเลมากที่สุดในโลก จากการผ่าซากสัตว์ทะเลที่ตาย พบว่าส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากสัตว์ทะเลเหล่านี้ กินพลาสติกหุ้มฝาขวดน้ําดื่มและพลาสติกอื่น ๆ เข้าไปด้วยหลาย ๆ ประเทศ ประกาศยกเลิกการใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ําดื่ม เช่น สิงคโปร์ เกาหลี อิตาลี และอังกฤษ ถ้าผู้ผลิตน้ําดื่มทุกรายของเราร่วมมือกัน เราจะสามารถลดปริมาณขยะพลาสติกได้ถึง 2,600 ล้านชิ้นต่อปี ขอให้ช่วยกันด้วย อาจจะมีต้นทุนเพิ่มบ้าง แต่ อย่าไปเพิ่มภาระให้ผู้บริโภค ขอให้ช่วยกันลดการใช้ถุงพลาสติกใส่อาหาร หรือใส่สินค้าอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ เราจึงจะสามารถแก้ปัญหาได้
ปัญหาของบ้านเราคือ ไม่ค่อยมีความตระหนักรู้ เรื่องการใช้ การแยกขยะ การทิ้ง และการกําจัดขยะ ผลก็คือ ขยะพลาสติกถูกทิ้งประมาณปีละ 2 ล้านตัน รวมอยู่กับขยะอื่น กลายเป็นภาระของพนักงานเก็บขยะ เทศบาล ที่จะต้องทําแทนคนกว่า 60 ล้านคนถ้าช่วยกันแยกขยะ โดยเฉพาะพลาสติก เพื่อนําไปรีไซเคิลได้ก็จะเป็นการดี เรามาช่วยกันดีหรือไม่ เริ่มที่ตัวท่าน เราทุกคน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า หรือหน่วยงานราชการ เริ่มด้วยการแยกทิ้งขวดน้ําพลาสติกก่อน แล้วค่อย“ปลูกนิสัย สร้างวินัย”ไปยังขยะอื่น ๆ ในอนาคต ภาครัฐหรือเอกชนที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเก็บ–คัดแยกขยะ ก็ต้องปรับตัวตามในเรื่องกระบวนการต่าง ๆ ของตนด้วย เห็นใจคนเก็บขยะด้วย
ผมมีตัวอย่าง โรงเรียนปลอดขยะ ได้แก่ โรงเรียนบ้านน้ํามิน จังหวัดพะเยา ซึ่งเดิมใช้วิธีกําจัดขยะโดยการเผา ซึ่งก็ทําให้เกิดควันพิษส่งผลเสียต่อสุขภาพของชาวชุมชน ภายหลังได้รับความรู้ ได้ดูงานการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง ภายใต้หลัก 3Rคือ ลดปริมาณขยะ (Reduce)การใช้ซ้ํา (Reuse)และการนํากลับมาใช้ใหม่ (Recycle)แล้วนํามาปฏิบัติอย่างจริงจัง เริ่มในโรงเรียนก่อนตั้งแต่การปลูกจิตสํานึกด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่ทุกคนในโรงเรียน ครู อาจารย์ก็เป็นตัวอย่าง นักเรียนก็นําไปชักชวนให้ผู้ปกครองปฏิบัติตาม จากการมีส่วนร่วมดังกล่าว เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจําวันของเด็ก ๆ เช่น การใช้แก้วน้ําส่วนตัวแทนขวดพลาสติก การใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนกระดาษชําระ การใช้จานใส่อาหารแทนถุงพลาสติก การทานอาหารให้หมดจาน การใช้ช้อนของตัวเองที่เตรียมมา การใช้กระดาษให้ครบทั้ง 2 หน้าก่อนนําไปรีไซเคิลและยังมีการสอนกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การทําปุ๋ยหมักชีวภาพ น้ําหมักชีวภาพ การเลี้ยงสัตว์ด้วยเศษอาหาร การทําสิ่งประดิษฐ์ เพื่อปลูกฝังจิตสํานึกและการเรียนรู้ให้กับเด็กไปพร้อมๆ กันก็นับเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคมและประเทศชาติ
นอกจากนี้ ผมขอชื่นชมโครงการจิตอาสา ที่ชักชวนเยาวชนของชาติ มาร่วมกิจกรรมเก็บขยะชายหาด–ขยะทะเล ที่ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องด้วย ขอบคุณกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็มาช่วยกัน ชักชวนประชาชนช่วยกันเก็บขยะในทะเล ด้วยชายหาดอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ก็อยากให้ทําต่อเนื่อง เรามาช่วยกันสร้างจิตสํานึก ในการลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อนโดยเริ่มที่เรื่องใกล้ ๆ ตัวเราก่อน ครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน ตําบล อําเภอ จังหวัดแล้วก็ประเทศชาติ ในการจัดการขยะ คัดแยกขยะ ลดการบริโภคที่ฟุ่มเฟือยลง เครื่องใช้ไฟฟ้าหากไม่ใช้ก็ปิดเสีย ทานข้าวอย่าให้เหลือทิ้งกลายเป็นขยะไปอีก บริโภคอย่างพอเพียง เป็นต้น เราจะได้ช่วยกัน“ส่งต่อ โลกใบนี้”ให้กับรุ่นลูกหลานของเราได้อย่างน่าภาคภูมิใจต่อไป
สุดท้ายนี้
เทศกาลสงกรานต์ ประจําปี 2561 ก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนก็คงมีความสุขพอสมควร ความสุขนั้น หาได้จากตนเอง พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ มีความพยายามที่จะพัฒนาตนเอง ในทางที่ถูก ที่ควร ที่สุจริต เพื่อให้มีความสุขมากยิ่งขึ้น ทั้งเพื่อตนเองและครอบครัวความภาคภูมิใจ เกียรติยศ เราจะได้รับจากผู้อื่น แล้วก็จะเป็นกําลังใจให้พวกเราทุกคนด้วย ให้ยึดมั่นในความดีต่อไป ทั้งข้าราชการพลเรือน ตํารวจ ทหาร และประชาชนทั่วไป
การพัฒนาตนเองเป็นสิ่งสําคัญที่สุด ในเวลานี้ โลกกําลังเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี และดิจิตอลมาเป็นตัวขับเคลื่อน รวดเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนอย่าท้อแท้ สิ้นหวัง ลองหาช่องทางดู อ่านหนังสือดู อ่านหนังสือพิมพ์ที่เป็นประโยชน์ ท่านจะรู้เองว่าจะพัฒนาตัวเองอย่างไร ถ้าท่านไม่ศึกษา ไม่อ่าน ไม่ฟัง แล้วบอกว่าเราไม่รู้จะไปยังไง ยากจน เศรษฐกิจไม่ดีอะไรแบบนี้ ผมว่าคนดี ที่เขาพัฒนาตัวเอง เขาก็พัฒนาขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร ผมไม่ได้ว่าใคร เพียงแต่ว่าขอให้ทุกคนช่วยกันบ้าง และรัฐบาลก็จะทําอย่างเต็มที่ในกรอบที่รัฐบาลควรจะทําและทําได้ตามกฎหมาย ตามระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณที่มีอยู่
เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่แก้ปัญหาชีวิตด้วยวิธีการที่ไม่ดี ผิดกฎหมาย หาเงินง่ายๆ เงินที่ไม่ถูกต้องไม่สุจริต ที่เรียกว่า“เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” แม้วันนี้ อาจยังไม่ถูกตรวจพบก็ดูตัวอย่างแล้วกัน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เจ้าหน้าที่ 10 กว่าปี ทําผิดมาจนตรวจพบในเวลานี้ ผมไม่ทราบว่าถ้าไม่ตรวจโดยรัฐบาลนี้จะไปเจออีกเมื่อไหร่ยังไม่ทราบเหมือนกัน เพราะผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว เพราะฉะนั้นวันหน้าโดยระบบ หรือกลไกทางสังคม จะต้องช่วยกันแก้ปัญหา อย่างน้อง 2 คนที่มาช่วยให้ข้อมูลเรา ทําให้เราสามารถที่จะดําเนินการได้ ใครจะทําผิดทําถูกตนเองย่อมรู้แก่ใจ เพราะความเสื่อมเกิดขึ้นแล้วในจิตใจ อาจจะได้เงิน อาจจะซื้อความสุขได้ ถามจริง ๆ แล้วในใจเรารู้ตัวเราเองใช่หรือไม่ว่าเราผิดหรือถูก เขาเรียก“หิริ-โอตัปปะ”ความละอาย เกรงกลัวต่อบาป ผิดตั้งแต่เริ่มคิด ไม่ต้องรอให้ลงมือกระทํา เพราะฉะนั้น หิริ-โอตัปปะ เป็นสิ่งสําคัญที่สุด ทุกคนควรจะมีในวันนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะหาความสุขในชีวิตไม่ได้เลย ผมขอเป็นกําลังใจให้กับทุกคน จงอย่าลบความเพียรอันบริสุทธิ์ ขอให้ประสบความสําเร็จตามที่ตั้งใจไว้ทุกคน
ในเรื่องของการเมืองก็เป็นเรื่องของการเมืองไป การเมืองเป็นสิ่งสําคัญ แต่สิ่งสําคัญที่สุดคือเรื่องเศรษฐกิจของพวกเรา เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ความสงบ เรียบร้อย สันติ ปลอดภัย อันนั้นก็สําคัญด้วย ไม่ใช้แต่การเมืองสําคัญแต่เพียงอย่างเดียว เป็นส่วนประกอบซึ่งกันและกันทั้งสิ้น ก็ขอให้ทุกคนหนักแน่น และอดทน และเชื่อมั่น ร่วมมือกับรัฐบาลในการทํางานในทุก ๆ มิติ
ขอบคุณครับ ขอให้“ทุกคน”มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
........................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ
แห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
ส่วนหนึ่งของความเป็น“ไทยนิยม”นั้น หมายถึง การยึดมั่นใน 3 สถาบันหลักของประเทศ อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทย ให้เกิดความรักใคร่ปรองดองกัน และอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข ได้แก่ สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ซึ่งต่างมีความเชื่อมโยงผูกพันกัน อาทิ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกนอกจากนี้ พระมหากษัตริย์ทรงสร้างบ้านแปงเมือง นําความผาสุกมาสู่พสกนิกร สืบเนื่องมาทุกยุค ทุกสมัย ดังนั้น คนไทยทุกคนควรร่วมกันเพื่อแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของเราอย่างพร้อมเพรียงกันนะครับ ที่เราเรียกว่า“ไทยนิยม”
ในโอกาสที่วันพรุ่งนี้ วันที่ 21 เมษายน จะตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. 2325 โดยในปีนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทย ทุกหมู่เหล่า ร่วมกันในงาน“ใต้ร่มพระบารมี 236 ปี กรุงรัตนโกสินทร์”เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์“ทุกพระองค์”แห่งราชวงศ์จักรี อีกทั้ง ยังจะร่วมกันแสดงออกถึงความรักชาติ และนิยมความเป็นไทย ร่วมกันแต่งกายชุดไทย ร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 21 - 25 เมษายนนี้ รวม 5 วัน อาทิ ริ้วขบวนแสดงประวัติความเป็นมาของกรุงรัตนโกสินทร์ ณ ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ กรุงเทพฯ กับอีก 7 จุดสําคัญ ๆ ทั่วกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะรอบเกาะรัตนโกสินทร์ เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โรงละครแห่งชาติ สวนสันติชัยปราการ ลานคนเมือง หอศิลป์ วัง วัด ศาสนสถาน เทวสถาน เป็นต้น ซึ่งสามารถเข้าชมฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย รวมทั้งรถโดยสารให้บริการฟรีตามเส้นทาง และตารางเวลา ที่กําหนด ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม โทร 1765
พี่น้องประชาชนชาวไทย ที่เคารพ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่แน่วแน่ ในการ“สืบสาน รักษา ต่อยอดสร้างสุขปวงประชา”เฉกเช่น บูรพมหากษัตริย์ไทย ทุกพระองค์ อีกทั้ง พระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์ ก็ทรงมีพระราชกรณียกิจ น้อยใหญ่ เพื่อสนองพระราชปณิธานดังกล่าว และ ได้เห็นเป็นประจักษ์ สู่สายตานานาอารยประเทศโดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้อํานวยการใหญ่ขององค์การอาหาร และเกษตร แห่งสหประชาชาติ (FAO)นะครับ ได้กล่าวยกย่องบทบาทของ สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะทูตพิเศษประจําFAOในการรณรงค์แก้ไขปัญหาการขาดอาหารและโภชนาการ ทั้งในประเทศไทย และในภูมิภาคอื่น ๆ โดยพระองค์ทรงดําเนินโครงการเพื่อช่วยลดความหิวโหย มาหลายสิบปี อาทิ โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน กองทุนพัฒนาเด็ก และเยาวชน ในถิ่นทุรกันดาร เป็นต้น ปัจจุบัน พระองค์มีพระราชดําริ ให้ดําเนินโครงการความร่วมมือกับประเทศในภูมิภาค เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา ภูฏาน และบังกลาเทศ นอกจากนี้ ทรงเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด การจัดตั้งภาคีพัฒนาโคนมแห่งเอเชีย สําหรับส่งเสริมและพัฒนางานด้านโคนม เพื่อให้น้ํานมมีคุณภาพ และ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ของเกษตรกรโคนม ในระดับภูมิภาค อีกด้วย
ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลไทย ได้ดําเนินโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดสารอาหารเด็กในวัยเรียน และสนับสนุนอุตสาหกรรมโคนมดังกล่าวด้วย ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นที่จะขจัดความอดอยากหิวโหย ให้หมดสิ้นไปรัฐบาลไทยได้เชื่อมโยงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ของสหประชาชาติ (SDG)เข้ากับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้วยการน้อมนําเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาแบบยั่งยืน ที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม มาเป็นแนวทางในการดําเนินนโยบายต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความยากจน ยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและเกษตรกรแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร เสริมสร้างความมั่นคงอาหาร พัฒนาโภชนาการและความปลอดภัยอาหาร เพื่อนําไปสู่ความ“มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ของประชาชน และประเทศชาติ ตามพระราชปณิธานอันแน่วแน่ แห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้างต้น
นอกจากนี้ ในฐานะที่บ้านเมืองของเราเป็น“ชาติเกษตรกรรม”รัฐบาลจึงให้ความสําคัญอย่างมากที่จะดําเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน และยกระดับคุณภาพชีวิต ของเกษตรกร อาทิ การส่งเสริมสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรกร เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง ให้แก่เกษตรกรรายย่อย โดยส่งเสริมระบบ“การทําเกษตรแปลงใหญ่”มาใช้กับกลุ่มเกษตรกรรายย่อย ทั้งการปลูกพืชสวนไร่นา - ประมง–ปศุสัตว์รวมทั้งการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการผลิตสินค้าเกษตร ให้เป็นไปตามความต้องการของตลาด ตามแนวคิด“การตลาดนําการผลิต”การพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมเกษตรสมัยใหม่ อีกทั้ง สนับสนุนให้เกษตรกรรุ่นใหม่ที่ผันตัวมาเป็นเกษตรกรมืออาชีพก่อให้เกิดการพัฒนาชุมชน - ถิ่นเกิดของตนอย่างยั่งยืน ด้วยการทําเกษตรอินทรีย์ ลดการใช้สารเคมี ยาฆ่าแมลง เพื่อไม่ทําร้ายสุขภาพ เกษตรกรและผู้บริโภค และ ไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม - ดิน - น้ํา - อากาศด้วย
ปัจจุบัน รัฐบาลนี้ได้ริเริ่มโครงการไทยนิยมยั่งยืน โดยจัดสรรเงินงบประมาณ ราว 150,000 ล้านบาท ในการดําเนินโครงการในหลากหลายมิติ ส่วนหนึ่งก็เป็นเป็นแผนงาน - โครงการด้านการปฏิรูปโครงสร้าง การผลิตภาคการเกษตรกว่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งมีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาความยากจนของเกษตรกรด้วยการ“ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้”เพื่อจะสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยเริ่มที่ตัวเกษตรกรก่อน ตามแนวทาง“ประชารัฐ”ซึ่งต้องมีการทําประชาคม การรับฟังปัญหาระดับชุมชน การสํารวจความต้องการ และปัญหาแต่ละท้องถิ่น เพื่อนําไปสู่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนต่อไป
พี่น้องประชาชนชาวไทย ทุกท่าน ครับ
โครงการไทยนิยมยั่งยืน มีหลักการสําคัญ 3 ประการ นอกเหนือจากการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร ทั้งระบบดังกล่าวแล้ว ก็ยังมีการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และการพัฒนาเชิงพื้นที่อีกด้วย ทั้งนี้ การขับเคลื่อน“กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองเพื่อพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน อย่างยั่งยืน”ก็เป็นมาตรการหนึ่งที่รัฐบาลนี้ ให้ความสําคัญอย่างต่อเนื่องตามพระราชบัญญัติ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ภายใต้ปรัชญาในการเสริมสร้างสํานึก ความเป็นชุมชนและท้องถิ่น โดยให้ชุมชนเป็นผู้กําหนดอนาคต และ จัดการหมู่บ้านและชุมชน ด้วยคุณค่าและภูมิปัญญาของตนเอง เป็นการ“ระเบิดจากข้างใน”เกื้อกูลประโยชน์ต่อผู้ด้อยโอกาสในหมู่บ้านและชุมชน โดยจะ“ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”เชื่อมโยงกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งชุมชน หน่วยงานราชการ บริษัทเอกชน และประชาสังคม ตามแนวทาง“ประชารัฐ”กระจายอํานาจให้ท้องถิ่นและ พัฒนาประชาธิปไตยพื้นฐาน เตรียมพร้อมสําหรับบทบาทของท้องถิ่นที่จะต้องมีความสําคัญมากขึ้นในอนาคต ในการขับเคลื่อนกองทุนหมู่บ้านฯ นี้ ในอดีตอาจยังมีปัญหาอยู่บ้าง รัฐบาลนี้เข้ามาจัดระบบ จัดระเบียบใหม่ ให้เกิดความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองให้ได้โดยเร็ว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานราก ได้โดยตรง โดยจะเป็น“แหล่งเงินทุนหมุนเวียน”สําหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ เพิ่มรายได้ และลดรายจ่าย อย่างแท้จริง หรือใช้สําหรับการส่งเสริมและพัฒนาไปสู่การสร้างสวัสดิการอาทิ ตลาดประชารัฐ - แหล่งท่องเที่ยวชุมชน หรือประโยชน์เพื่อส่วนรวมอื่นใด ให้แก่ประชาชนในหมู่บ้าน หรือชุมชนเมือง ในการบรรเทาความเดือดร้อนเร่งด่วนสําหรับลูกบ้าน - ชาวชุมชน รวมถึงเป็นแหล่งพัฒนาองค์ความรู้ คุณภาพชีวิต และสวัสดิการของสมาชิกอีกด้วย ปัจจุบันมีกองทุนหมู่บ้านฯ ทั่วประเทศ เกือบ 80,000 กองทุนนะครับ มีสมาชิก ราว 13 ล้านคนเมื่อรัฐบาลนี้ เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ก็จัดให้มีการประเมินผลการดําเนินงาน“รายกองทุน” เพื่อแบ่งกลุ่ม สําหรับกําหนดมาตรการสนับสนุนให้เหมาะสม ในแต่ละประเภท ดังนี้
กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ที่มีผลการประเมินในระดับดีมาก เกรดAและระดับดีเกรดBรวมกันราว 60,000 กองทุน หรือร้อยละ 76 ใช้มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ โดยการจัดสรรวงเงินสินเชื่อปลอดดอกเบี้ยให้กับพี่น้องสมาชิกกองทุนหมู่บ้านในพื้นที่ส่วนกองทุนฯ ที่มีผลการประเมินในระดับปานกลาง เกรดCและระดับต้องปรับปรุง เกรดDรวมกันเกือบ 20,000 กองทุน กว่าร้อยละ 23 ให้ดําเนินการทุกมิติ เพื่อพลิกฟื้นให้กองทุนเหล่านั้น สามารถกลับมาเป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนในหมู่บ้านและชุมชน ให้ได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ ในปี 2559 ได้จัดโครงการเพิ่มความเข็มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก งบประมาณ 35,000 ล้านบาท สําหรับให้กองทุนหมู่บ้านฯ นําไปลงทุนเพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ ลดภาระต้นทุน ขยายโอกาสทางการตลาด แก่เกษตรกร และผู้ประกอบการรายย่อยในชุมชน ซึ่งมีกองทุนหมู่บ้านฯ ได้รับอนุมัติโครงการ มากกว่า 66,000 กองทุน คิดเป็นในวงเงินงบประมาณกว่า 33,000 ล้านบาท หรือร้อยละ 95 ของเป้าหมายต่อมาปี 2560 รัฐบาลได้จัด งบประมาณเพิ่มเติมอีก 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านฯ อย่างต่อเนื่อง มีกองทุนที่ได้อนุมัติโครงการ มากกว่า 61,000 กองทุน รวมวงเงินงบประมาณกว่า 12,000 ล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 80 ของเป้าหมาย โดยรวมแล้วทําให้เกิดโครงการต่าง ๆ มากมาย หลากหลายมิติ ทั่วประเทศอาทิ โครงการร้านค้าชุมชน น้ําดื่มชุมชน ปุ๋ย ยา เมล็ดพันธุ์ บริการงานชุมชน บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตร เกษตรฟาร์มรวม ลานตากอเนกประสงค์ และโรงสีข้าวชุมชน เป็นต้น รวมทั้งสิ้น กว่า 120,000 โครงการในปัจจุบัน
ผมขอยกตัวอย่าง โครงการด้านการท่องเที่ยวและบริการ“ระดับท้องถิ่น”ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่เราควรให้ความสนใจ ได้แก่ “อุทยานธรณีโลก”ในจังหวัดสตูลที่ครอบคลุม 4 อําเภอ ที่ผ่านการประเมินหลักเกณฑ์ของ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ (UNESCO)เมื่อ 17 เมษายนที่ผ่านมานับเป็นอุทยานธรณีโลก แห่งแรกของประเทศไทย ที่มีซากฟอสซิล ชั้นหิน ชั้นดิน ซึ่งเป็นจุดน่าสนใจทางธรณีวิทยา อีกทั้ง มีเทือกเขาหินปูน ถ้ํา เกาะ ชายหาด และล่องแก่ง ที่เป็นจุดขาย สําหรับนักท่องเที่ยว ทั้งหมดนี้ กลไกประชารัฐและชุมชน ต้องร่วมกันวางยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว การอนุรักษ์ การต้อนรับผู้มาเยือน การเป็นเจ้าบ้านที่ดี ดูแลเรื่องราคา และความปลอดภัย
ต่าง ๆ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ณ แหล่งท่องเที่ยว อาทิ เส้นทางจราจร พื้นที่จอดรถ เขตสุขาภิบาล การโซนนิ่งพื้นที่เราต้องพิจารณาให้ครบวงจร เป็นขั้นเป็นตอน ให้ได้มาตรฐาน ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันสร้าง เริ่ม“ระเบิดจากข้างใน”และชุมชนต้องช่วยกันดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง อย่าปล่อยให้ทรุดโทรม เพราะจะเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ นํารายได้มาสู่ชุมชนของท่าน โดยรัฐบาล ก็จะเข้าไปสนับสนุนในภาพรวม ของเศรษฐกิจมหภาคด้วย
สําหรับปี 2561 นี้ รัฐบาลได้เตรียมการสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองผ่าน“โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืนโดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ”วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้กองทุนหมู่บ้านฯ กองทุนละไม่เกิน 300,000 บาทเพื่อต่อยอดโครงการเดิม หรือสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะการดําเนินโครงการที่รวมกันหลายกองทุนหมู่บ้าน เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา ด้วยการให้โอกาสประชาชนบริหารจัดการและพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนด้วยทรัพยากร ภูมิปัญญา และการมีส่วนร่วมของชุมชนโดยสนับสนุนการประกอบอาชีพ การสร้างงาน สร้างรายได้ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนโดย“ศาสตร์พระราชา”ซึ่งจะอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ตามแนวทาง“ประชารัฐ” ตลอดจนได้นํากรอบแนวทางตาม“โครงการไทยนิยมยั่งยืน”10 เรื่อง มาพิจารณาประกอบการดําเนินโครงการ โดยเน้นให้ทุกโครงการของกองทุนหมู่บ้านฯ ต้องผ่านเวทีประชาคมให้สมาชิกได้ร่วมคิด ร่วมตัดติดใจ โปร่งใส และตรวจสอบได้
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าโครงการจะเริ่มต้นมาตั้งแต่รัฐบาลไหน“ในอดีต”หากเป็นโครงการที่ดีแล้ว รัฐบาลนี้ ก็จะต่อยอด ขยายผลให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปสําหรับโครงการ–มาตรการ–นโยบายใดที่หลักการดี แต่การดําเนินการยังมาประสบความสําเร็จ ก็จะปรับปรุงและสานต่อเท่าที่สามารถจะทําได้ ส่วนโครงการที่สร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมืองในระยะยาว โครงการที่ถูกทักท้วง ถูกร้องเรียน ก็ต้องนําเข้าสู่กระบวนการของศาล เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และขจัดขบวนการ“ทุจริต”ให้หมดไป ดังเช่น เงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้และไร้ที่พึ่ง ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกองทุนเสมาพัฒนาคุณภาพชีวิต ของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น
ทั้งนี้ ผมขอย้ําอีกครั้งว่า ผมไม่ได้รังเกียจอะไรนักการเมือง–พรรคการเมือง เพราะส่วนใหญ่เป็น“คนดี” แต่ผมไม่อาจยอมรับผู้ที่ทําผิดกฎหมาย ผู้ที่ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม หรือผู้ที่ต่อต้านอํานาจรัฐ และผมพร้อมที่จะทํางานร่วมกับทุกคนที่มีอุดมการณ์รักชาติ และทําเพื่อความสุขของพี่น้องประชาชนผมมองว่า“ปัญหาไม่ได้หมายถึงความขัดแย้ง แต่ปัญหาคือจุดเริ่มต้นของความสามัคคี”เพราะคนที่มีอุดมการณ์“เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน”ด้วยกัน เมื่อได้ร่วมงานกัน ก็ย่อมจะยอมสละผลประโยชน์ส่วนตัวได้ แล้วร่วมกันแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเพื่อชาติบ้านเมือง โดยยึดมั่นในอุดมการณ์ดังกล่าว ไม่อยากให้ฟังการวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ ที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง จากบางกลุ่ม บางฝ่าย ที่อาจจะไม่หวังดี แล้วมองเป็นเรื่องของการเมืองไปเสียทั้งหมด งบประมาณที่ลงไป ที่เพิ่มลงไปกลางปีนี้ก็ไปเสริมต่อโครงการต่าง ๆ ที่มีมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหมู่บ้าน การพัฒนาการเกษตร การเพิ่มอาชีพรายได้ สร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน รวมความถึงใช้ไปดูแลในส่วนของผู้ถือบัตร ผู้มีรายได้น้อยเข้าไปด้วย เพราะฉะนั้นวงเงินก็มากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นการสานต่อทั้งหมดที่เราทํามาแล้ว ระยะที่ 1 ไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องของการเมือง เอางบประมาณไปหาเสียง จะหาเสียงได้อย่างไร ในเมื่อผมไม่ได้ไปให้กับใครคนใดคนหนึ่ง แต่ให้เป็นกลุ่ม ให้เป็นหน่วย ให้เป็นพื้นที่ ให้เป็นหมู่บ้าน ผมไม่ได้ให้กับใคร กลุ่มไหนที่จะมาสนับสนุนผมแต่อย่างใด ขอให้ช่วยกันคิดตามนี้ด้วยว่าใครถูกผิดก็ไปว่ากัน
พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ
วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายนของทุกปีนั้น เป็น“วันคุ้มครองโลก”หรือที่เรียกว่าEarth Day เป็นวันที่“ชาวโลก”ควรจะได้ทบทวนว่า ที่ผ่านมาเราได้ทําอะไร ที่เป็นการทําลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งสุดท้ายก็จะส่งผลร้ายต่อพวกเราเอง และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในโลกนี้ด้วย เพราะเราอยู่ร่วมกันในโลกใบเดียวกัน“มนุษย์”ได้แสดงออก หรือแสดงความรับผิดชอบ ในการดูแลรักษาโลกใบนี้ให้ดีขึ้น มากพอหรือยัง ทั้งนี้ การพัฒนาในยุค“ไทยแลนด์ 4.0”ตามนโยบายของรัฐบาลนี้ จะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งมุ่งสร้างสมดุลให้เกิดขึ้น ระหว่างการพัฒนากับการอนุรักษ์ธรรมชาติ พร้อมกับสร้างคนไปด้วย
แนวคิดในการจัดงานวันคุ้มครองโลกในปีนี้คือ“คนรุ่นใหม่ ลดขยะพลาสติก กู้วิกฤติโลกร้อน”ซึ่งอิงตามแนวคิดของเครือข่ายวันคุ้มครองโลกสากล ทั้งนี้ พลาสติกนั้น ผลิตง่าย ผลิตได้ครั้งละมาก ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ เราใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้ง อย่างหลอดกาแฟ ถุงก๊อบแก๊บ กล่องโฟมใส่อาหารที่น่ากลัวก็คือ ผลิตภัณฑ์พลาสติกใช้เวลาย่อยสลายกว่า 450 ปี พลาสติกทํามาจากน้ํามัน จากก๊าซธรรมชาติ ยิ่งเราใช้พลาสติกมากเท่าใด“ก๊าซเรือนกระจก”จากกระบวนการผลิต ก็จะยิ่งถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้นเท่านั้น ถ้านําขยะพลาสติกไปเผา ก็จะทําให้เกิดสารพิษ เป็นอันตรายต่อสุขภาพของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งทําให้โลกของเราร้อนขึ้นด้วย
วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา เราได้ประกาศ ยกเลิกการใช้“พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ําดื่ม” (Cap Seal)ซึ่งภาคเอกชนหลายราย ก็ขานรับนโยบายเป็นอย่างดี ที่เหลือก็ขอความร่วมมือด้วย เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองร้อน เราผลิตขวดน้ําดื่มพลาสติก ปีละ 7,000 ล้านขวดประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 6 ของประเทศที่ทิ้งขยะพลาสติกกลางทะเลมากที่สุดในโลก จากการผ่าซากสัตว์ทะเลที่ตาย พบว่าส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากสัตว์ทะเลเหล่านี้ กินพลาสติกหุ้มฝาขวดน้ําดื่มและพลาสติกอื่น ๆ เข้าไปด้วยหลาย ๆ ประเทศ ประกาศยกเลิกการใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้ําดื่ม เช่น สิงคโปร์ เกาหลี อิตาลี และอังกฤษ ถ้าผู้ผลิตน้ําดื่มทุกรายของเราร่วมมือกัน เราจะสามารถลดปริมาณขยะพลาสติกได้ถึง 2,600 ล้านชิ้นต่อปี ขอให้ช่วยกันด้วย อาจจะมีต้นทุนเพิ่มบ้าง แต่ อย่าไปเพิ่มภาระให้ผู้บริโภค ขอให้ช่วยกันลดการใช้ถุงพลาสติกใส่อาหาร หรือใส่สินค้าอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ เราจึงจะสามารถแก้ปัญหาได้
ปัญหาของบ้านเราคือ ไม่ค่อยมีความตระหนักรู้ เรื่องการใช้ การแยกขยะ การทิ้ง และการกําจัดขยะ ผลก็คือ ขยะพลาสติกถูกทิ้งประมาณปีละ 2 ล้านตัน รวมอยู่กับขยะอื่น กลายเป็นภาระของพนักงานเก็บขยะ เทศบาล ที่จะต้องทําแทนคนกว่า 60 ล้านคนถ้าช่วยกันแยกขยะ โดยเฉพาะพลาสติก เพื่อนําไปรีไซเคิลได้ก็จะเป็นการดี เรามาช่วยกันดีหรือไม่ เริ่มที่ตัวท่าน เราทุกคน ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า หรือหน่วยงานราชการ เริ่มด้วยการแยกทิ้งขวดน้ําพลาสติกก่อน แล้วค่อย“ปลูกนิสัย สร้างวินัย”ไปยังขยะอื่น ๆ ในอนาคต ภาครัฐหรือเอกชนที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการเก็บ–คัดแยกขยะ ก็ต้องปรับตัวตามในเรื่องกระบวนการต่าง ๆ ของตนด้วย เห็นใจคนเก็บขยะด้วย
ผมมีตัวอย่าง โรงเรียนปลอดขยะ ได้แก่ โรงเรียนบ้านน้ํามิน จังหวัดพะเยา ซึ่งเดิมใช้วิธีกําจัดขยะโดยการเผา ซึ่งก็ทําให้เกิดควันพิษส่งผลเสียต่อสุขภาพของชาวชุมชน ภายหลังได้รับความรู้ ได้ดูงานการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง ภายใต้หลัก 3Rคือ ลดปริมาณขยะ (Reduce)การใช้ซ้ํา (Reuse)และการนํากลับมาใช้ใหม่ (Recycle)แล้วนํามาปฏิบัติอย่างจริงจัง เริ่มในโรงเรียนก่อนตั้งแต่การปลูกจิตสํานึกด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่ทุกคนในโรงเรียน ครู อาจารย์ก็เป็นตัวอย่าง นักเรียนก็นําไปชักชวนให้ผู้ปกครองปฏิบัติตาม จากการมีส่วนร่วมดังกล่าว เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจําวันของเด็ก ๆ เช่น การใช้แก้วน้ําส่วนตัวแทนขวดพลาสติก การใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนกระดาษชําระ การใช้จานใส่อาหารแทนถุงพลาสติก การทานอาหารให้หมดจาน การใช้ช้อนของตัวเองที่เตรียมมา การใช้กระดาษให้ครบทั้ง 2 หน้าก่อนนําไปรีไซเคิลและยังมีการสอนกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น การทําปุ๋ยหมักชีวภาพ น้ําหมักชีวภาพ การเลี้ยงสัตว์ด้วยเศษอาหาร การทําสิ่งประดิษฐ์ เพื่อปลูกฝังจิตสํานึกและการเรียนรู้ให้กับเด็กไปพร้อมๆ กันก็นับเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคมและประเทศชาติ
นอกจากนี้ ผมขอชื่นชมโครงการจิตอาสา ที่ชักชวนเยาวชนของชาติ มาร่วมกิจกรรมเก็บขยะชายหาด–ขยะทะเล ที่ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องด้วย ขอบคุณกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็มาช่วยกัน ชักชวนประชาชนช่วยกันเก็บขยะในทะเล ด้วยชายหาดอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ก็อยากให้ทําต่อเนื่อง เรามาช่วยกันสร้างจิตสํานึก ในการลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อนโดยเริ่มที่เรื่องใกล้ ๆ ตัวเราก่อน ครอบครัว ชุมชน หมู่บ้าน ตําบล อําเภอ จังหวัดแล้วก็ประเทศชาติ ในการจัดการขยะ คัดแยกขยะ ลดการบริโภคที่ฟุ่มเฟือยลง เครื่องใช้ไฟฟ้าหากไม่ใช้ก็ปิดเสีย ทานข้าวอย่าให้เหลือทิ้งกลายเป็นขยะไปอีก บริโภคอย่างพอเพียง เป็นต้น เราจะได้ช่วยกัน“ส่งต่อ โลกใบนี้”ให้กับรุ่นลูกหลานของเราได้อย่างน่าภาคภูมิใจต่อไป
สุดท้ายนี้
เทศกาลสงกรานต์ ประจําปี 2561 ก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนก็คงมีความสุขพอสมควร ความสุขนั้น หาได้จากตนเอง พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ มีความพยายามที่จะพัฒนาตนเอง ในทางที่ถูก ที่ควร ที่สุจริต เพื่อให้มีความสุขมากยิ่งขึ้น ทั้งเพื่อตนเองและครอบครัวความภาคภูมิใจ เกียรติยศ เราจะได้รับจากผู้อื่น แล้วก็จะเป็นกําลังใจให้พวกเราทุกคนด้วย ให้ยึดมั่นในความดีต่อไป ทั้งข้าราชการพลเรือน ตํารวจ ทหาร และประชาชนทั่วไป
การพัฒนาตนเองเป็นสิ่งสําคัญที่สุด ในเวลานี้ โลกกําลังเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี และดิจิตอลมาเป็นตัวขับเคลื่อน รวดเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนอย่าท้อแท้ สิ้นหวัง ลองหาช่องทางดู อ่านหนังสือดู อ่านหนังสือพิมพ์ที่เป็นประโยชน์ ท่านจะรู้เองว่าจะพัฒนาตัวเองอย่างไร ถ้าท่านไม่ศึกษา ไม่อ่าน ไม่ฟัง แล้วบอกว่าเราไม่รู้จะไปยังไง ยากจน เศรษฐกิจไม่ดีอะไรแบบนี้ ผมว่าคนดี ที่เขาพัฒนาตัวเอง เขาก็พัฒนาขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร ผมไม่ได้ว่าใคร เพียงแต่ว่าขอให้ทุกคนช่วยกันบ้าง และรัฐบาลก็จะทําอย่างเต็มที่ในกรอบที่รัฐบาลควรจะทําและทําได้ตามกฎหมาย ตามระเบียบการใช้จ่ายงบประมาณที่มีอยู่
เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่แก้ปัญหาชีวิตด้วยวิธีการที่ไม่ดี ผิดกฎหมาย หาเงินง่ายๆ เงินที่ไม่ถูกต้องไม่สุจริต ที่เรียกว่า“เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” แม้วันนี้ อาจยังไม่ถูกตรวจพบก็ดูตัวอย่างแล้วกัน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เจ้าหน้าที่ 10 กว่าปี ทําผิดมาจนตรวจพบในเวลานี้ ผมไม่ทราบว่าถ้าไม่ตรวจโดยรัฐบาลนี้จะไปเจออีกเมื่อไหร่ยังไม่ทราบเหมือนกัน เพราะผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว เพราะฉะนั้นวันหน้าโดยระบบ หรือกลไกทางสังคม จะต้องช่วยกันแก้ปัญหา อย่างน้อง 2 คนที่มาช่วยให้ข้อมูลเรา ทําให้เราสามารถที่จะดําเนินการได้ ใครจะทําผิดทําถูกตนเองย่อมรู้แก่ใจ เพราะความเสื่อมเกิดขึ้นแล้วในจิตใจ อาจจะได้เงิน อาจจะซื้อความสุขได้ ถามจริง ๆ แล้วในใจเรารู้ตัวเราเองใช่หรือไม่ว่าเราผิดหรือถูก เขาเรียก“หิริ-โอตัปปะ”ความละอาย เกรงกลัวต่อบาป ผิดตั้งแต่เริ่มคิด ไม่ต้องรอให้ลงมือกระทํา เพราะฉะนั้น หิริ-โอตัปปะ เป็นสิ่งสําคัญที่สุด ทุกคนควรจะมีในวันนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะหาความสุขในชีวิตไม่ได้เลย ผมขอเป็นกําลังใจให้กับทุกคน จงอย่าลบความเพียรอันบริสุทธิ์ ขอให้ประสบความสําเร็จตามที่ตั้งใจไว้ทุกคน
ในเรื่องของการเมืองก็เป็นเรื่องของการเมืองไป การเมืองเป็นสิ่งสําคัญ แต่สิ่งสําคัญที่สุดคือเรื่องเศรษฐกิจของพวกเรา เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ความสงบ เรียบร้อย สันติ ปลอดภัย อันนั้นก็สําคัญด้วย ไม่ใช้แต่การเมืองสําคัญแต่เพียงอย่างเดียว เป็นส่วนประกอบซึ่งกันและกันทั้งสิ้น ก็ขอให้ทุกคนหนักแน่น และอดทน และเชื่อมั่น ร่วมมือกับรัฐบาลในการทํางานในทุก ๆ มิติ
ขอบคุณครับ ขอให้“ทุกคน”มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
........................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11657
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือหญิงวัย 49 ปี พิการร่างแคระ เดินไม่ได้ รับภาระเลี้ยงดูแม่แก่ชราวัย 79 ปี ร่างกายพิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ที่ จ.จันทบุรี
|
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
พม. กําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือหญิงวัย 49 ปี พิการร่างแคระ เดินไม่ได้ รับภาระเลี้ยงดูแม่แก่ชราวัย 79 ปี ร่างกายพิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ที่ จ.จันทบุรี
พม. กําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือหญิงวัย 49 ปี พิการร่างแคระ เดินไม่ได้ รับภาระเลี้ยงดูแม่แก่ชราวัย 79 ปี ร่างกายพิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ที่ จ.จันทบุรี
วันนี้ (16 พ.ค. 61) เวลา 08.30 น.นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รอง ปพม.) รักษาการแทนปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 73/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหาร และผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จากกรณีหญิงวัย 49 ปี พิการร่างแคระ ขาโก่งคดงอ ไม่สามารถเดินได้ ต้องรับภาระเพียงลําพังดูแลแม่แก่ชราวัย 79 ปี ร่างกายพิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาศัยเพียงเบี้ยยังชีพคนพิการและผู้สูงอายุใช้ประทังชีวิต ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดจันทบุรี และกรณีหญิงวัย 54 ปี อาชีพรับจ้างก่อสร้าง ต้องรับภาระดูแลน้องชายวัย 41 ปี ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ลําคอ มีบาดแผลลุกลามขนาดใหญ่ เจ็บปวดทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ต้องเจาะคอเพื่อช่วยในการหายใจ และไม่สามารถกินอาหารได้ บ่อยครั้ง ต้องหยุดงานเพื่ออยู่ดูแลน้องชาย ทําให้ขาดรายได้ ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินเพียงพอค่ารักษาพยาบาล ที่จังหวัดนครสวรรค์ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.จันทบุรี และ พมจ.นครสวรรค์ พร้อมทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของทั้ง 2 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเคนพิการ และผู้สูงอายุ ของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด และให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคมเพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่ครอบครัวดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาว
สําหรับกรณีหญิงสาววัย 21 ปี เป็นนักศึกษาเรียนดี แต่เคราะห์ร้ายบ้านถูกไฟไหม้พังเสียหายทั้งหลัง ข้าวของพังเสียหายทั้งหมด ทําให้ครอบครัวไร้ที่อยู่อาศัย ขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหาร ต้องไปอาศัยนอนบนแคร่ไม้ไผ่ในโรงเก็บฟางสําหรับเลี้ยงสัตว์ อาศัยอยู่กับพ่อและแม่ ที่ป่วยเป็นโรคประจําตัวหลายโรครุมเร้า ที่จังหวัดอุบลราชธานี นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุบลราชธานี (พมจ.อุบลราชธานี) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จัดหาที่พักพิงชั่วคราวให้แก่ครอบครัว และช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด พร้อมร่วมกันหาแนวทางการช่วยเหลือต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. กำชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือหญิงวัย 49 ปี พิการร่างแคระ เดินไม่ได้ รับภาระเลี้ยงดูแม่แก่ชราวัย 79 ปี ร่างกายพิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ที่ จ.จันทบุรี
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
พม. กําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือหญิงวัย 49 ปี พิการร่างแคระ เดินไม่ได้ รับภาระเลี้ยงดูแม่แก่ชราวัย 79 ปี ร่างกายพิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ที่ จ.จันทบุรี
พม. กําชับทีม One Home เร่งช่วยเหลือหญิงวัย 49 ปี พิการร่างแคระ เดินไม่ได้ รับภาระเลี้ยงดูแม่แก่ชราวัย 79 ปี ร่างกายพิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ที่ จ.จันทบุรี
วันนี้ (16 พ.ค. 61) เวลา 08.30 น.นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รอง ปพม.) รักษาการแทนปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 73/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหาร และผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวงร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จากกรณีหญิงวัย 49 ปี พิการร่างแคระ ขาโก่งคดงอ ไม่สามารถเดินได้ ต้องรับภาระเพียงลําพังดูแลแม่แก่ชราวัย 79 ปี ร่างกายพิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาศัยเพียงเบี้ยยังชีพคนพิการและผู้สูงอายุใช้ประทังชีวิต ครอบครัวมีฐานะยากจน ที่จังหวัดจันทบุรี และกรณีหญิงวัย 54 ปี อาชีพรับจ้างก่อสร้าง ต้องรับภาระดูแลน้องชายวัย 41 ปี ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่ลําคอ มีบาดแผลลุกลามขนาดใหญ่ เจ็บปวดทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ต้องเจาะคอเพื่อช่วยในการหายใจ และไม่สามารถกินอาหารได้ บ่อยครั้ง ต้องหยุดงานเพื่ออยู่ดูแลน้องชาย ทําให้ขาดรายได้ ครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่มีเงินเพียงพอค่ารักษาพยาบาล ที่จังหวัดนครสวรรค์ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ทั้ง 2 จังหวัด ได้แก่ พมจ.จันทบุรี และ พมจ.นครสวรรค์ พร้อมทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของทั้ง 2 ครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเคนพิการ และผู้สูงอายุ ของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ ที่จําเป็น อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด และให้คําปรึกษาแนะนําในเรื่องสวัสดิการสังคมเพื่อขอรับสิทธิตามกฎหมายตามความเหมาะสม พร้อมการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้แก่ครอบครัวดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคงในระยะยาว
สําหรับกรณีหญิงสาววัย 21 ปี เป็นนักศึกษาเรียนดี แต่เคราะห์ร้ายบ้านถูกไฟไหม้พังเสียหายทั้งหลัง ข้าวของพังเสียหายทั้งหมด ทําให้ครอบครัวไร้ที่อยู่อาศัย ขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหาร ต้องไปอาศัยนอนบนแคร่ไม้ไผ่ในโรงเก็บฟางสําหรับเลี้ยงสัตว์ อาศัยอยู่กับพ่อและแม่ ที่ป่วยเป็นโรคประจําตัวหลายโรครุมเร้า ที่จังหวัดอุบลราชธานี นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุบลราชธานี (พมจ.อุบลราชธานี) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จัดหาที่พักพิงชั่วคราวให้แก่ครอบครัว และช่วยเหลือดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาลอาการป่วยของผู้ที่ป่วยอย่างใกล้ชิด พร้อมร่วมกันหาแนวทางการช่วยเหลือต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12277
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ย้ำ!! สมาชิกไม่ต้องกังวล “กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจและมีความยืดหยุ่นในการส่งเงินออม” [กระทรวงการคลัง]
|
วันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563
กอช. ย้ํา!! สมาชิกไม่ต้องกังวล “กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจและมีความยืดหยุ่นในการส่งเงินออม” [กระทรวงการคลัง]
กอช. ย้ําสมาชิกไม่ต้องกังวลการส่งเงินออมสะสม ยันสิทธิการเป็นสมาชิกยังคงอยู่ เนื่องด้วย กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ มีความยืดหยุ่นในการส่งเงินออมสูง สมาชิกสามารถส่งเงินได้เมื่อพร้อม ทั้งนี้ สมาชิกสามารถติดต่อสื่อสารกับ กอช. ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ย้ําสมาชิกไม่ต้องกังวลการส่งเงินออมสะสม ยันสิทธิการเป็นสมาชิกยังคงอยู่ เนื่องด้วย กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ มีความยืดหยุ่นในการส่งเงินออมสูง สมาชิกสามารถส่งเงินได้เมื่อพร้อม ทั้งนี้ สมาชิกสามารถติดต่อสื่อสารกับ กอช. ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ตามนโยบายของรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า จากการสอบถามของสมาชิกเข้ามาผ่านช่องทางต่างๆ ของ กอช. สมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อาทิ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้า ชาวไร่ชาวนา มอเตอร์ไซต์รับจ้าง มีความกังวลในการส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง กับสิทธิการเป็นสมาชิก กอช. นั้น สมาชิกไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ มีความยืดหยุ่นในการส่งเงินออมสะสม สมาชิกสามารถส่งเงินได้เมื่อพร้อม ในช่วงนี้สมาชิกไม่ส่งเงินออมสะสม สิทธิในการเป็นสมาชิกยังคงสภาพเดิม
ทั้งนี้ กอช. มีช่องทางอํานวยความสะดวก สร้างความมั่นใจให้บริการสมาชิก ผ่านระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) บริการไร้กังวลในการติดต่อสื่อสารอํานวยความสะดวกให้สมาชิก กอช. สอบถามข้อมูลหรือข่าวสารต่างๆ ได้หลากหลายช่องทาง โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ตามนโยบายของรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยสมาร์ทโฟนของท่าน อาทิ เฟซบุ๊ก กอช. “กองทุนการออมแห่งชาติ – กอช.”, ไลน์ “@nsf.th”, อีเมล “info@nsf.or.th” หรือแอปพลิเคชัน “กอช” เพื่อสมัครสมาชิก ดูข้อมูลบัญชีเงินออม และใช้ตรวจสอบสิทธิการสมัครสมาชิกได้ทั้งระบบ IOS และ Android หรือดูข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของ กอช. ได้ทางเว็บไซต์ กอช.“www.nsf.or.th” และสายด่วนเงินออม โทร.02-049-9000
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ย้ำ!! สมาชิกไม่ต้องกังวล “กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจและมีความยืดหยุ่นในการส่งเงินออม” [กระทรวงการคลัง]
วันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563
กอช. ย้ํา!! สมาชิกไม่ต้องกังวล “กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจและมีความยืดหยุ่นในการส่งเงินออม” [กระทรวงการคลัง]
กอช. ย้ําสมาชิกไม่ต้องกังวลการส่งเงินออมสะสม ยันสิทธิการเป็นสมาชิกยังคงอยู่ เนื่องด้วย กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ มีความยืดหยุ่นในการส่งเงินออมสูง สมาชิกสามารถส่งเงินได้เมื่อพร้อม ทั้งนี้ สมาชิกสามารถติดต่อสื่อสารกับ กอช. ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ย้ําสมาชิกไม่ต้องกังวลการส่งเงินออมสะสม ยันสิทธิการเป็นสมาชิกยังคงอยู่ เนื่องด้วย กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ มีความยืดหยุ่นในการส่งเงินออมสูง สมาชิกสามารถส่งเงินได้เมื่อพร้อม ทั้งนี้ สมาชิกสามารถติดต่อสื่อสารกับ กอช. ผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ตามนโยบายของรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า จากการสอบถามของสมาชิกเข้ามาผ่านช่องทางต่างๆ ของ กอช. สมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อาทิ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ พ่อค้าแม่ค้า ชาวไร่ชาวนา มอเตอร์ไซต์รับจ้าง มีความกังวลในการส่งเงินออมสะสมต่อเนื่อง กับสิทธิการเป็นสมาชิก กอช. นั้น สมาชิกไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด กอช. เป็นการออมภาคสมัครใจ มีความยืดหยุ่นในการส่งเงินออมสะสม สมาชิกสามารถส่งเงินได้เมื่อพร้อม ในช่วงนี้สมาชิกไม่ส่งเงินออมสะสม สิทธิในการเป็นสมาชิกยังคงสภาพเดิม
ทั้งนี้ กอช. มีช่องทางอํานวยความสะดวก สร้างความมั่นใจให้บริการสมาชิก ผ่านระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) บริการไร้กังวลในการติดต่อสื่อสารอํานวยความสะดวกให้สมาชิก กอช. สอบถามข้อมูลหรือข่าวสารต่างๆ ได้หลากหลายช่องทาง โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ตามนโยบายของรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยสมาร์ทโฟนของท่าน อาทิ เฟซบุ๊ก กอช. “กองทุนการออมแห่งชาติ – กอช.”, ไลน์ “@nsf.th”, อีเมล “info@nsf.or.th” หรือแอปพลิเคชัน “กอช” เพื่อสมัครสมาชิก ดูข้อมูลบัญชีเงินออม และใช้ตรวจสอบสิทธิการสมัครสมาชิกได้ทั้งระบบ IOS และ Android หรือดูข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของ กอช. ได้ทางเว็บไซต์ กอช.“www.nsf.or.th” และสายด่วนเงินออม โทร.02-049-9000
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29368
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2563
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 4 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 17 ราย เป็นคนไทย ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ (จากคูเวต 13 ราย กาตาร์ 2 ราย และซาอุดิอาระเบีย 2 ราย)
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจําวันที่4 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 17 ราย เป็นคนไทย ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ (จากคูเวต 13 ราย กาตาร์ 2 ราย และซาอุดิอาระเบีย 2 ราย) ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้าน ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,966 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.71 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 75 ราย หรือร้อยละ 2.42 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,101 ราย
จากรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ ทั้ง 17 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ซึ่งทุกรายได้รับการตรวจหาเชื้อระหว่างกักตัวตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ในจํานวนนี้พบว่ามีถึง 14 รายที่ไม่แสดงอาการป่วยใดๆ ชี้ให้เห็นว่า แม้คนที่ร่างกายแข็งแรงโดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาวจะไม่แสดงอาการของโรคโควิด 19 แต่อาจเป็นผู้ติดเชื้อได้ ทั้งนี้พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจําวันมีส่วนสําคัญที่จะเพิ่มหรือลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้เลยว่าในสถานที่ที่เราอยู่หรือเข้าใช้บริการมีผู้ติดเชื้อรวมอยู่ด้วยหรือไม่ ดังนั้นสิ่งสําคัญที่สุดคือ การป้องกันตัวเองโดย สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน หากสวมเฟซชิลด์ต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าร่วมด้วย และล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มหรือเข้าไปอยู่ในพื้นที่แออัด คนอยู่มาก เพื่อความปลอดภัยและลดโอกาสการติดเชื้อโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ
ขณะนี้ได้มีคนไทยจากต่างประเทศทยอยเดินทางกลับเข้าประเทศ สําหรับในวันนี้ (4 มิถุนายน 2563) จะมีเที่ยวบินนําคนไทยจากประเทศอินเดีย และสหรัฐอเมริกา รวม 663 ราย จากข้อมูลกรมควบคุมโรค ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึง 4 มิถุนายน 2563 พบว่ามีคนไทยเดินทางจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ รวม 23,632 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางผ่านเข้ามาทางพรมแดนมาเลเซีย 14,398 ราย อินเดีย 1,888 ราย สหรัฐอเมริกา 1,872 ราย ญี่ปุ่น 881 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 761 ราย โดยพบผู้ติดเชื้อจากการตรวจระหว่าง เข้ารับการกักตัว รวมจํานวน 164 ราย ส่วนใหญ่มาจากประเทศอินโดนีเซีย 65 ราย คูเวต 30 ราย ซาอุดิอาระเบีย 12 ราย ปากีสถาน 10 ราย กาตาร์ 9 ราย ตามลําดับ
มิถุนายน/9***************************************** 4 มิถุนายน 2563
****************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2563
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 4 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 17 ราย เป็นคนไทย ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ (จากคูเวต 13 ราย กาตาร์ 2 ราย และซาอุดิอาระเบีย 2 ราย)
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)
ประจําวันที่4 มิถุนายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 17 ราย เป็นคนไทย ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ (จากคูเวต 13 ราย กาตาร์ 2 ราย และซาอุดิอาระเบีย 2 ราย) ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้าน ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,966 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.71 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 75 ราย หรือร้อยละ 2.42 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,101 ราย
จากรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ ทั้ง 17 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ซึ่งทุกรายได้รับการตรวจหาเชื้อระหว่างกักตัวตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ในจํานวนนี้พบว่ามีถึง 14 รายที่ไม่แสดงอาการป่วยใดๆ ชี้ให้เห็นว่า แม้คนที่ร่างกายแข็งแรงโดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาวจะไม่แสดงอาการของโรคโควิด 19 แต่อาจเป็นผู้ติดเชื้อได้ ทั้งนี้พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจําวันมีส่วนสําคัญที่จะเพิ่มหรือลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้เลยว่าในสถานที่ที่เราอยู่หรือเข้าใช้บริการมีผู้ติดเชื้อรวมอยู่ด้วยหรือไม่ ดังนั้นสิ่งสําคัญที่สุดคือ การป้องกันตัวเองโดย สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน หากสวมเฟซชิลด์ต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าร่วมด้วย และล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มหรือเข้าไปอยู่ในพื้นที่แออัด คนอยู่มาก เพื่อความปลอดภัยและลดโอกาสการติดเชื้อโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ
ขณะนี้ได้มีคนไทยจากต่างประเทศทยอยเดินทางกลับเข้าประเทศ สําหรับในวันนี้ (4 มิถุนายน 2563) จะมีเที่ยวบินนําคนไทยจากประเทศอินเดีย และสหรัฐอเมริกา รวม 663 ราย จากข้อมูลกรมควบคุมโรค ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึง 4 มิถุนายน 2563 พบว่ามีคนไทยเดินทางจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ รวม 23,632 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางผ่านเข้ามาทางพรมแดนมาเลเซีย 14,398 ราย อินเดีย 1,888 ราย สหรัฐอเมริกา 1,872 ราย ญี่ปุ่น 881 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 761 ราย โดยพบผู้ติดเชื้อจากการตรวจระหว่าง เข้ารับการกักตัว รวมจํานวน 164 ราย ส่วนใหญ่มาจากประเทศอินโดนีเซีย 65 ราย คูเวต 30 ราย ซาอุดิอาระเบีย 12 ราย ปากีสถาน 10 ราย กาตาร์ 9 ราย ตามลําดับ
มิถุนายน/9***************************************** 4 มิถุนายน 2563
****************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31936
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” เผยล่าสุดจับร้านขายยาจำหน่ายเจลล้างมือแอลกอฮอล์ ไม่ปิดป้ายแสดงราคา และหน้ากากอนามัยแพงเกินจริง เพิ่มอีก 3 ราย ยอดรวมทั่วประเทศ 309 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
|
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
“พาณิชย์” เผยล่าสุดจับร้านขายยาจําหน่ายเจลล้างมือแอลกอฮอล์ ไม่ปิดป้ายแสดงราคา และหน้ากากอนามัยแพงเกินจริง เพิ่มอีก 3 ราย ยอดรวมทั่วประเทศ 309 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์และศูนย์ปฏิบัติการด้านการควบคุมสินค้า (ศปส) ฝ่ายสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า ณ วันที่ 12 เม.ย. 2563
ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 โดยสามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ ในกรุงเทพฯเพิ่ม 3 ราย พบร้านขายยา จําหน่ายเจลล้างมือแอลกอฮอล์ ขนาด 450 มล. และขนาด 300 มล. โดยไม่มีการปิดป้ายแสดงราคาขาย จํานวน 2 ราย แจ้งข้อหากระทําความผิดไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย ตามมาตรา 28 ส่วนอีก 1 ราย พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยบรรจุซองใส จํานวน 2 ชิ้น จําหน่ายในราคาซองละ 40 บาท (เฉลี่ยชิ้นละ 20 บาท) กระทําความผิดข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยสูงเกินราคาควบคุมและแพงเกินสมควร ตามมาตรา 25 (1) และมาตรา 29
ส่วนในต่างจังหวัดไม่มีการจับกุมผู้กระทําความผิดเพิ่มโดยสถิติการจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ มียอดรวมเพิ่มขึ้นเป็น309 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 154 ราย และต่างจังหวัด 155 รายสําหรับสถานการณ์ไข่ไก่โดยรวมความต้องการซื้อไข่ไก่ของประชาชนมีปริมาณลดลงจนเริ่มเข้า สู่ภาวะปกติ จึงไม่พบการกระทําความผิดเพิ่ม
ทั้งนี้ โทษที่ผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่แจ้งต้นทุนราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิต ปริมาณคงเหลือ ตามมาตรา 25 (5) มีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะแจ้ง มาตรา 26 ข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งชื่อ ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย มาตรา 28 ข้อหาไม่ปิดป้าย แสดงราคาขาย มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และมาตรา 29 ข้อหาขายแพงเกินสมควรมีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
นายสุพพัตกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์จะเฝ้าติดตามตรวจสอบ จับกุมและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจัง ย้ําพบการกระทําความผิดจับทันที จับทุกวันไม่มีเว้นวันหยุด เตือนประชาชนอย่ากักตุนสินค้า หรือค้ากําไรเกินควร ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์ รวมถึงสินค้าอื่น ๆ ที่มีความจําเป็นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 หากพบมีการที่กระทําความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการก็จะถูกดําเนินคดีทันที “ผู้บริโภคพบเห็นการกักตุนหรือค้ากําไรเกินควร สามารถร้องเรียนได้ทันทีที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และ ในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด” นายสุพพัตกล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” เผยล่าสุดจับร้านขายยาจำหน่ายเจลล้างมือแอลกอฮอล์ ไม่ปิดป้ายแสดงราคา และหน้ากากอนามัยแพงเกินจริง เพิ่มอีก 3 ราย ยอดรวมทั่วประเทศ 309 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
“พาณิชย์” เผยล่าสุดจับร้านขายยาจําหน่ายเจลล้างมือแอลกอฮอล์ ไม่ปิดป้ายแสดงราคา และหน้ากากอนามัยแพงเกินจริง เพิ่มอีก 3 ราย ยอดรวมทั่วประเทศ 309 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์และศูนย์ปฏิบัติการด้านการควบคุมสินค้า (ศปส) ฝ่ายสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า ณ วันที่ 12 เม.ย. 2563
ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 โดยสามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ ในกรุงเทพฯเพิ่ม 3 ราย พบร้านขายยา จําหน่ายเจลล้างมือแอลกอฮอล์ ขนาด 450 มล. และขนาด 300 มล. โดยไม่มีการปิดป้ายแสดงราคาขาย จํานวน 2 ราย แจ้งข้อหากระทําความผิดไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย ตามมาตรา 28 ส่วนอีก 1 ราย พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยบรรจุซองใส จํานวน 2 ชิ้น จําหน่ายในราคาซองละ 40 บาท (เฉลี่ยชิ้นละ 20 บาท) กระทําความผิดข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยสูงเกินราคาควบคุมและแพงเกินสมควร ตามมาตรา 25 (1) และมาตรา 29
ส่วนในต่างจังหวัดไม่มีการจับกุมผู้กระทําความผิดเพิ่มโดยสถิติการจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ มียอดรวมเพิ่มขึ้นเป็น309 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 154 ราย และต่างจังหวัด 155 รายสําหรับสถานการณ์ไข่ไก่โดยรวมความต้องการซื้อไข่ไก่ของประชาชนมีปริมาณลดลงจนเริ่มเข้า สู่ภาวะปกติ จึงไม่พบการกระทําความผิดเพิ่ม
ทั้งนี้ โทษที่ผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่แจ้งต้นทุนราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิต ปริมาณคงเหลือ ตามมาตรา 25 (5) มีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะแจ้ง มาตรา 26 ข้อหาเป็นผู้ผลิตไม่แจ้งชื่อ ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย มาตรา 28 ข้อหาไม่ปิดป้าย แสดงราคาขาย มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และมาตรา 29 ข้อหาขายแพงเกินสมควรมีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
นายสุพพัตกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์จะเฝ้าติดตามตรวจสอบ จับกุมและบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจัง ย้ําพบการกระทําความผิดจับทันที จับทุกวันไม่มีเว้นวันหยุด เตือนประชาชนอย่ากักตุนสินค้า หรือค้ากําไรเกินควร ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์ รวมถึงสินค้าอื่น ๆ ที่มีความจําเป็นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 หากพบมีการที่กระทําความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการก็จะถูกดําเนินคดีทันที “ผู้บริโภคพบเห็นการกักตุนหรือค้ากําไรเกินควร สามารถร้องเรียนได้ทันทีที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และ ในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด” นายสุพพัตกล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28969
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐมนตรีเกษตรฯ” เผยนายกรัฐมนตรีพึงพอใจการขับเคลื่อนดำเนินงานของกระทรวงเกษตรฯ
|
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2559
“รัฐมนตรีเกษตรฯ” เผยนายกรัฐมนตรีพึงพอใจการขับเคลื่อนดําเนินงานของกระทรวงเกษตรฯ
นายกรัฐมนตรีพึงพอใจการขับเคลื่อนดําเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมกําชับให้ทุกหน่วยงานมุ่งมั่นดําเนินงานบูรณาการทํางานร่วมกัน มุ่งหวังเป้าหมายให้เกษตรกรไทยมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ว่า นายกรัฐมนตรีได้มีความพึงพอใจต่อการขับเคลื่อนการดําเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมทั้งได้เน้นย้ําใน 2 ด้านหลักๆ คือ 1.ขอให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทุกคนมีความทุ่มเท มุ่งมั่น และตั้งใจในการทํางานต่อไป เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น และ 2.ต้องให้ความสําคัญในการดําเนินงานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น เพราะการดําเนินงานไม่สามารถขับเคลื่อนไปเพียงหน่วยงานเดียวได้อย่างสําเร็จ โดยมุ่งหวังที่เป้าหมายให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้วางแผนการดําเนินงานเป็นแผนยุทธศาสตร์ฯ 5 ปีแรก และแผนยุทธศาสตร์ฯ 20 ปี ที่เชื่อมโยงกับนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาล โดยตั้งเป้าหมายให้เกษตรกรไทยมีรายได้เทียบเท่ากับอาชีพอื่นๆ โดยยึดศาสตร์ของพระราชา และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีสหกรณ์เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน รวมทั้งต้องดําเนินงานเชิงบูรณาการให้มากขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีก็ได้กล่าวชื่นชมในแผนยุทธศาสตร์ฯ ของกระทรวงเกษตรฯ ด้วย
พลเอก ฉัตรชัย กล่าวต่อไปว่า จากแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงเกษตรฯ ในการขับเคลื่อนให้เกษตรกรไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั้น จะต้องยกระดับ Smart farmer และทําการเกษตรแบบแปลงใหญ่ในระยะ 5 ปี ให้ได้ไม่น้อยกว่า 5,000 แปลง ควบคู่กับการพัฒนาสินค้าเกษตรให้มีความปลอดภัยในระดับมาตรฐาน GAP ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ จะดําเนินงานเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าวนั้นให้ได้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําให้กระทรวงเกษตรฯ ดําเนินงานถวายพระราชวงศ์ทุกพระองค์ เนื่องจากกระทรวงเกษตรฯ เป็นหน่วยงานที่อยู่ใกล้ชิดเกษตรกรและประชาชน โดยพระราชวงศ์ทุกพระองค์ทรงห่วงใยความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ทั้งเรื่องข้าว น้ํา และสินค้าเกษตร จึงได้เน้นย้ําให้กระทรวงเกษตรฯ ขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อตอบสนองต่อพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐมนตรีเกษตรฯ” เผยนายกรัฐมนตรีพึงพอใจการขับเคลื่อนดำเนินงานของกระทรวงเกษตรฯ
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน 2559
“รัฐมนตรีเกษตรฯ” เผยนายกรัฐมนตรีพึงพอใจการขับเคลื่อนดําเนินงานของกระทรวงเกษตรฯ
นายกรัฐมนตรีพึงพอใจการขับเคลื่อนดําเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมกําชับให้ทุกหน่วยงานมุ่งมั่นดําเนินงานบูรณาการทํางานร่วมกัน มุ่งหวังเป้าหมายให้เกษตรกรไทยมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ว่า นายกรัฐมนตรีได้มีความพึงพอใจต่อการขับเคลื่อนการดําเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมทั้งได้เน้นย้ําใน 2 ด้านหลักๆ คือ 1.ขอให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทุกคนมีความทุ่มเท มุ่งมั่น และตั้งใจในการทํางานต่อไป เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น และ 2.ต้องให้ความสําคัญในการดําเนินงานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น เพราะการดําเนินงานไม่สามารถขับเคลื่อนไปเพียงหน่วยงานเดียวได้อย่างสําเร็จ โดยมุ่งหวังที่เป้าหมายให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้วางแผนการดําเนินงานเป็นแผนยุทธศาสตร์ฯ 5 ปีแรก และแผนยุทธศาสตร์ฯ 20 ปี ที่เชื่อมโยงกับนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐบาล โดยตั้งเป้าหมายให้เกษตรกรไทยมีรายได้เทียบเท่ากับอาชีพอื่นๆ โดยยึดศาสตร์ของพระราชา และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งมีสหกรณ์เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน รวมทั้งต้องดําเนินงานเชิงบูรณาการให้มากขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีก็ได้กล่าวชื่นชมในแผนยุทธศาสตร์ฯ ของกระทรวงเกษตรฯ ด้วย
พลเอก ฉัตรชัย กล่าวต่อไปว่า จากแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงเกษตรฯ ในการขับเคลื่อนให้เกษตรกรไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั้น จะต้องยกระดับ Smart farmer และทําการเกษตรแบบแปลงใหญ่ในระยะ 5 ปี ให้ได้ไม่น้อยกว่า 5,000 แปลง ควบคู่กับการพัฒนาสินค้าเกษตรให้มีความปลอดภัยในระดับมาตรฐาน GAP ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ จะดําเนินงานเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าวนั้นให้ได้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําให้กระทรวงเกษตรฯ ดําเนินงานถวายพระราชวงศ์ทุกพระองค์ เนื่องจากกระทรวงเกษตรฯ เป็นหน่วยงานที่อยู่ใกล้ชิดเกษตรกรและประชาชน โดยพระราชวงศ์ทุกพระองค์ทรงห่วงใยความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ทั้งเรื่องข้าว น้ํา และสินค้าเกษตร จึงได้เน้นย้ําให้กระทรวงเกษตรฯ ขับเคลื่อนการดําเนินงานเพื่อตอบสนองต่อพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/798
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เน้นย้ำให้เร่งทำงานเชิงรุก อย่าปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน
|
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เน้นย้ําให้เร่งทํางานเชิงรุก อย่าปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน
นายกรัฐมนตรีกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เน้นย้ําให้เร่งทํางานเชิงรุก อย่าปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน
วันนี้ (10 พฤษภาคม 63) ศาตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบสถานการณ์ภัยแล้งหลังประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงติดต่อกันหลายเดือนพบว่าภัยแล้งได้ขยายวงกว้างครอบคลุมหลายพื้นที่ โดยนายกรัฐมนตรีได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สั่งการให้ทุกฝ่ายเตรียมรับมือสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นการขุดบ่อน้ําบาดาล หาแหล่งน้ําสํารอง ตั้งจุดแจกจ่ายน้ําปะปา น้ําอุปโภค บริโภค เป็นต้น
สําหรับ กรณีบ้านหนองกาว หมู่ 5 ต.นาเชือก อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ําอุปโภค บริโภค นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สํานักทรัพยากรน้ําบาดาลเขต 4 ขอนแก่นลงพื้นที่ติดตามข้อเท็จริง และหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือ จากรายงานเบื้องต้นพบว่าหมู่บ้านดังกล่าวมีน้ําดิบไม่เพียงพอเนื่องจากภัยแล้งยาวนาน โดยสํานักทรัพยากรน้ําบาดาล เขต 4 ขอนแก่นได้เร่งให้ความช่วยเหลือ ขุดเจาะบ่อน้ําบาดาลเพิ่มแล้วส่วนระยะยาวจะทําการสํารวจในรายละเอียดและหาแนวทางช่วยเหลืออย่างยั่งยืนต่อไป
นายกรัฐมนตรีกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เน้นย้ําให้เร่งทํางานเชิงรุก อย่าปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน หากพบพื้นที่ใดขาดแคลนน้ําให้เร่งออกแจกจ่ายน้ําให้แก่ประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน พร้อมกับขอความร่วมมือประชาชนร่วมกันใช้น้ําอย่างประหยัด
---------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เน้นย้ำให้เร่งทำงานเชิงรุก อย่าปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เน้นย้ําให้เร่งทํางานเชิงรุก อย่าปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน
นายกรัฐมนตรีกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เน้นย้ําให้เร่งทํางานเชิงรุก อย่าปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน
วันนี้ (10 พฤษภาคม 63) ศาตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบสถานการณ์ภัยแล้งหลังประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงติดต่อกันหลายเดือนพบว่าภัยแล้งได้ขยายวงกว้างครอบคลุมหลายพื้นที่ โดยนายกรัฐมนตรีได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สั่งการให้ทุกฝ่ายเตรียมรับมือสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นการขุดบ่อน้ําบาดาล หาแหล่งน้ําสํารอง ตั้งจุดแจกจ่ายน้ําปะปา น้ําอุปโภค บริโภค เป็นต้น
สําหรับ กรณีบ้านหนองกาว หมู่ 5 ต.นาเชือก อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ําอุปโภค บริโภค นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สํานักทรัพยากรน้ําบาดาลเขต 4 ขอนแก่นลงพื้นที่ติดตามข้อเท็จริง และหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือ จากรายงานเบื้องต้นพบว่าหมู่บ้านดังกล่าวมีน้ําดิบไม่เพียงพอเนื่องจากภัยแล้งยาวนาน โดยสํานักทรัพยากรน้ําบาดาล เขต 4 ขอนแก่นได้เร่งให้ความช่วยเหลือ ขุดเจาะบ่อน้ําบาดาลเพิ่มแล้วส่วนระยะยาวจะทําการสํารวจในรายละเอียดและหาแนวทางช่วยเหลืออย่างยั่งยืนต่อไป
นายกรัฐมนตรีกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง เน้นย้ําให้เร่งทํางานเชิงรุก อย่าปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อน หากพบพื้นที่ใดขาดแคลนน้ําให้เร่งออกแจกจ่ายน้ําให้แก่ประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน พร้อมกับขอความร่วมมือประชาชนร่วมกันใช้น้ําอย่างประหยัด
---------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30580
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีวิทย์ฯ ลุยต่อเมืองหมอแคนเดินหน้าบุกอีสานเคลื่อนตัว Startup Thailand 2017 ภายใต้แนวคิด Mekong Connect
|
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560
รัฐมนตรีวิทย์ฯ ลุยต่อเมืองหมอแคนเดินหน้าบุกอีสานเคลื่อนตัว Startup Thailand 2017 ภายใต้แนวคิด Mekong Connect
งาน Startup Thailand 2017 ภายใต้แนวคิด Mekong Connect เพื่อปลุกกระแสการตื่นตัวเคลื่อนสู่ประเทศในกลุ่ม CLMV รองรับการเติบโตของนักลงทุนและขยายตลาดสู่ภูมิภาคนี้อย่างมีศักยภาพ
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2560 / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดงาน Startup Thailand 2017 ภายใต้แนวคิด Mekong Connect เพื่อปลุกกระแสการตื่นตัวเคลื่อนสู่ประเทศในกลุ่ม CLMV รองรับการเติบโตของนักลงทุนและขยายตลาดสู่ภูมิภาคนี้อย่างมีศักยภาพ ณ ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
สําหรับงาน Startup Thailand 2017 ครั้งที่ 3 จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9-10 มิถุนายน 2560 ที่ภาคอีสาน จังหวัดขอนแก่น ซึ่งจังหวัดขอนแก่นนั้นถือเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและการแพทย์ของภูมิภาค รวมทั้งยังเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์หลายด้าน โดยเฉพาะเทคโนโลยีและมีความพร้อมด้านการคมนาคมมีสภาพสังคมที่แข็งแกร่งรองรับการเติบโตในธุรกิจได้อย่างมีศักยภาพ ซึ่งการเติบโตของ Startup Ecosystem ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะสามารถเชื่อมโยงธุรกิจสตาร์อัพไปสู่ในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ําโขง CLMV ที่ประกอบการด้วยประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนามให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสตาร์ทอัพให้เป็นนักรบทางเศรษฐกิจที่สามารถใช้ทรัพยากรของประเทศในการผลิตสินค้าและบริการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และการจ้างงานในท้องถิ่น เป็นการกระจายได้สู่ภูมิภาค อีกทั้งก่อให้เกิดอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่เพื่อเป็นกลไกลในการขับเคลื่อนประเทศ ดังนั้น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จัดทําโครงการ National Campaign Startup Thailand เพื่อเป็นการระดมผู้ประกอบการรายใหม่ของประเทศให้มารวมตัวกันพัฒนาสตาร์ทอัพ ตลอดจนพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า จังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและการแพทย์ของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งยังเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์หลายด้าน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี มีสตาร์ทอัพเกิดขึ้นในจังหวัดขอนแก่นอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งด้านการศึกษา ด้านการเกษตร ด้านธุรกิจภาครัฐ อีกทั้งยังมีแรงขับเคลื่อนจากภาคเอกชนที่เสริมให้จังหวัดขอนแก่นก่อนยิ่งขึ้น และมีความโดดเด่นเรื่องขนส่งมวลชน ซึ่งในอนาคตอาจจะมีการ กระจายการลงทุนสตาร์ทอัพเพื่อจะเสริมให้จังหวัดขอนแก่นเป็น Smart City ต่อไป ถือเป็นอีกกลไกหนึ่งของภาครัฐในการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศผ่านการสนับสนุนกลุ่มสตาร์ทอัพในสาขาต่างๆ
"ดิฉันเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งกับสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ กลุ่มอุตสาหกรรม นักศึกษาและชุมชน รวมทั้งยังถือเป็นก้าวสําคัญของการเชื่อมโยง ecosystem ของกลุ่มสตาร์ทอัพกับสถาบันการศึกษา กลุ่มนักลงทุนอุตสาหกรรมและชุมชนให้สามารถพัฒนาและขับเคลื่อนไปได้พร้อม ๆ กัน" ดร.อรรชกา กล่าว
ด้าน นายสมชาย เทียมบุญประเสริฐ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า สําหรับงาน Startup Thailand 2017 จัดขึ้นเพื่อแสดงความพร้อมของประเทศไทยที่จะเป็นสะพานเชื่อมโยงความร่วมมือการพัฒนาสตาร์ทอัพในอาเซียนและความพร้อมของภูมิภาคอาเซียนในการเป็นภูมิภาคชั้นนําในการพัฒนาสตาร์ทอัพและแสดงจุดยืน และความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นประเทศเศรษฐกิจฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งส่งเสริม สนับสนุนและสร้างแรงผลักดันใจแก่ผู้ประกอบการ ธุรกิจเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในการขยายตัวธุรกิจและสร้างตลาดใหม่ สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีวิทย์ฯ ลุยต่อเมืองหมอแคนเดินหน้าบุกอีสานเคลื่อนตัว Startup Thailand 2017 ภายใต้แนวคิด Mekong Connect
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560
รัฐมนตรีวิทย์ฯ ลุยต่อเมืองหมอแคนเดินหน้าบุกอีสานเคลื่อนตัว Startup Thailand 2017 ภายใต้แนวคิด Mekong Connect
งาน Startup Thailand 2017 ภายใต้แนวคิด Mekong Connect เพื่อปลุกกระแสการตื่นตัวเคลื่อนสู่ประเทศในกลุ่ม CLMV รองรับการเติบโตของนักลงทุนและขยายตลาดสู่ภูมิภาคนี้อย่างมีศักยภาพ
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2560 / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดงาน Startup Thailand 2017 ภายใต้แนวคิด Mekong Connect เพื่อปลุกกระแสการตื่นตัวเคลื่อนสู่ประเทศในกลุ่ม CLMV รองรับการเติบโตของนักลงทุนและขยายตลาดสู่ภูมิภาคนี้อย่างมีศักยภาพ ณ ศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
สําหรับงาน Startup Thailand 2017 ครั้งที่ 3 จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9-10 มิถุนายน 2560 ที่ภาคอีสาน จังหวัดขอนแก่น ซึ่งจังหวัดขอนแก่นนั้นถือเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและการแพทย์ของภูมิภาค รวมทั้งยังเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์หลายด้าน โดยเฉพาะเทคโนโลยีและมีความพร้อมด้านการคมนาคมมีสภาพสังคมที่แข็งแกร่งรองรับการเติบโตในธุรกิจได้อย่างมีศักยภาพ ซึ่งการเติบโตของ Startup Ecosystem ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะสามารถเชื่อมโยงธุรกิจสตาร์อัพไปสู่ในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ําโขง CLMV ที่ประกอบการด้วยประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนามให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสตาร์ทอัพให้เป็นนักรบทางเศรษฐกิจที่สามารถใช้ทรัพยากรของประเทศในการผลิตสินค้าและบริการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และการจ้างงานในท้องถิ่น เป็นการกระจายได้สู่ภูมิภาค อีกทั้งก่อให้เกิดอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่เพื่อเป็นกลไกลในการขับเคลื่อนประเทศ ดังนั้น กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จัดทําโครงการ National Campaign Startup Thailand เพื่อเป็นการระดมผู้ประกอบการรายใหม่ของประเทศให้มารวมตัวกันพัฒนาสตาร์ทอัพ ตลอดจนพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า จังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและการแพทย์ของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งยังเป็นจังหวัดยุทธศาสตร์หลายด้าน โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี มีสตาร์ทอัพเกิดขึ้นในจังหวัดขอนแก่นอยู่ในกลุ่มธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งด้านการศึกษา ด้านการเกษตร ด้านธุรกิจภาครัฐ อีกทั้งยังมีแรงขับเคลื่อนจากภาคเอกชนที่เสริมให้จังหวัดขอนแก่นก่อนยิ่งขึ้น และมีความโดดเด่นเรื่องขนส่งมวลชน ซึ่งในอนาคตอาจจะมีการ กระจายการลงทุนสตาร์ทอัพเพื่อจะเสริมให้จังหวัดขอนแก่นเป็น Smart City ต่อไป ถือเป็นอีกกลไกหนึ่งของภาครัฐในการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศผ่านการสนับสนุนกลุ่มสตาร์ทอัพในสาขาต่างๆ
"ดิฉันเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งกับสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ กลุ่มอุตสาหกรรม นักศึกษาและชุมชน รวมทั้งยังถือเป็นก้าวสําคัญของการเชื่อมโยง ecosystem ของกลุ่มสตาร์ทอัพกับสถาบันการศึกษา กลุ่มนักลงทุนอุตสาหกรรมและชุมชนให้สามารถพัฒนาและขับเคลื่อนไปได้พร้อม ๆ กัน" ดร.อรรชกา กล่าว
ด้าน นายสมชาย เทียมบุญประเสริฐ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า สําหรับงาน Startup Thailand 2017 จัดขึ้นเพื่อแสดงความพร้อมของประเทศไทยที่จะเป็นสะพานเชื่อมโยงความร่วมมือการพัฒนาสตาร์ทอัพในอาเซียนและความพร้อมของภูมิภาคอาเซียนในการเป็นภูมิภาคชั้นนําในการพัฒนาสตาร์ทอัพและแสดงจุดยืน และความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นประเทศเศรษฐกิจฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งส่งเสริม สนับสนุนและสร้างแรงผลักดันใจแก่ผู้ประกอบการ ธุรกิจเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในการขยายตัวธุรกิจและสร้างตลาดใหม่ สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4605
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สนธิรัตน์ เร่ง กรมพัฒน์ฯ พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อำนวยความสะดวกภาคธุรกิจเต็มที่
|
วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2560
สนธิรัตน์ เร่ง กรมพัฒน์ฯ พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อํานวยความสะดวกภาคธุรกิจเต็มที่
หวังปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยี ย้ํา!! เป็นวาระสําคัญที่ต้องตระหนัก และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
สนธิรัตน์ ห่วงผู้ประกอบการ เร่งกรมพัฒนาธุรกิจการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อํานวยความสะดวก ภาคธุรกิจเต็มที่ หวังปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี พร้อมสร้าง ความเชื่อมั่นดึงนักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในไทย ย้ํา!! เป็นวาระสําคัญที่ต้องตระหนักและพัฒนา อย่างต่อเนื่อง เอ่ยชมที่ผ่านมาทําดีอยู่แล้ว...แต่ต้องทําให้ดีขึ้นไปอีก
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจอย่างเต็มที่ เนื่องจากโลกทุกวันนี้มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ภายใต้บริบทการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การดําเนินธุรกิจมีการพัฒนาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจทางการเงินที่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มาใช้เงินระบบ e-Payment หรือ e-Money มากขึ้น รูปแบบใหม่ที่นําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทําธุรกรรมต่างๆ อาทิ FinTech Startup หรือ Crowdfunding หรือ ซื้อขายสินค้าและบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต (e-Commerce) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นความท้าทายของประเทศไทยที่ต้องเผชิญและเตรียมรับมือ
“กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจสําคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการเชื่อมโยงการค้าทุกระดับ ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งจะเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคทางการค้าที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้น การพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับอนาคตที่กําลังจะเกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในโลกธุรกิจที่มีอัตราการแข่งขันกันอย่างดุเดือด การอํานวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจโดยใช้เทคโนโยลีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดทางหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของไทยให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันได้ใน ทุกตลาด รวมทั้ง ช่วยปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศให้ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี อันเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าของไทยมากขึ้น”
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมากรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้มีการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e) มาอย่างต่อเนื่องเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป ได้แก่ การออกหนังสือรับรองนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Certificate) การนําส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) ระบบจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Secure) การให้บริการตรวจค้นข้อมูลนิติบุคคลผ่านทางแอพพลิเคชั่น DBD e-Service และล่าสุด คือ การจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration)ซึ่งทุกภารกิจอิเล็กทรอนิกส์ที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยม สามารถสร้างความสะดวก รวดเร็ว และช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างมาก ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีที่หน่วยงานราชการได้นําระบบอิเล็กทรอนิกส์มาช่วยอํานวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจและประชาชน รวมถึงจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนชาวต่างชาติในการเดินทางเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วย เนื่องจากประเทศไทยมีระบบอํานวยความสะดวกที่ชัดเจน สามารถดําเนินการได้ด้วยตนเอง มีระยะเวลาที่แน่นอน และที่สําคัญ คือ ช่วยปรับปรุงกระบวนงานการให้บริการภาครัฐให้มีความรวดเร็วและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ การให้บริการต่างๆ ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ดําเนินการเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม และเห็นควรเป็นแบบอย่างที่ดีแก่หน่วยงานภาครัฐอื่นในการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของภาคธุรกิจและประชาชน อย่างไรก็ตามการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ ภาคธุรกิจถือเป็นวาระสําคัญที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าต้องตระหนักให้มาก และต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเชื่อว่ากรมพัฒนาธุรกิจการค้าสามารถดําเนินการได้อย่างแน่นอน และจะส่งผลให้การดําเนินธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ - การดําเนินธุรกิจ – และความก้าวหน้าของธุรกิจสามารถดําเนิน ได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น โดยมีภาครัฐเป็นพี่เลี้ยงที่สําคัญในส่งเสริมและสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สนธิรัตน์ เร่ง กรมพัฒน์ฯ พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อำนวยความสะดวกภาคธุรกิจเต็มที่
วันศุกร์ที่ 5 พฤษภาคม 2560
สนธิรัตน์ เร่ง กรมพัฒน์ฯ พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อํานวยความสะดวกภาคธุรกิจเต็มที่
หวังปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยี ย้ํา!! เป็นวาระสําคัญที่ต้องตระหนัก และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
สนธิรัตน์ ห่วงผู้ประกอบการ เร่งกรมพัฒนาธุรกิจการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์อํานวยความสะดวก ภาคธุรกิจเต็มที่ หวังปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี พร้อมสร้าง ความเชื่อมั่นดึงนักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในไทย ย้ํา!! เป็นวาระสําคัญที่ต้องตระหนักและพัฒนา อย่างต่อเนื่อง เอ่ยชมที่ผ่านมาทําดีอยู่แล้ว...แต่ต้องทําให้ดีขึ้นไปอีก
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจอย่างเต็มที่ เนื่องจากโลกทุกวันนี้มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ภายใต้บริบทการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การดําเนินธุรกิจมีการพัฒนาในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจทางการเงินที่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มาใช้เงินระบบ e-Payment หรือ e-Money มากขึ้น รูปแบบใหม่ที่นําเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทําธุรกรรมต่างๆ อาทิ FinTech Startup หรือ Crowdfunding หรือ ซื้อขายสินค้าและบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต (e-Commerce) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นความท้าทายของประเทศไทยที่ต้องเผชิญและเตรียมรับมือ
“กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจสําคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการเชื่อมโยงการค้าทุกระดับ ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ซึ่งจะเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคทางการค้าที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้น การพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับอนาคตที่กําลังจะเกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในโลกธุรกิจที่มีอัตราการแข่งขันกันอย่างดุเดือด การอํานวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจโดยใช้เทคโนโยลีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดทางหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของไทยให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันได้ใน ทุกตลาด รวมทั้ง ช่วยปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศให้ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี อันเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าของไทยมากขึ้น”
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมากรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้มีการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e) มาอย่างต่อเนื่องเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป ได้แก่ การออกหนังสือรับรองนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Certificate) การนําส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) ระบบจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Secure) การให้บริการตรวจค้นข้อมูลนิติบุคคลผ่านทางแอพพลิเคชั่น DBD e-Service และล่าสุด คือ การจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration)ซึ่งทุกภารกิจอิเล็กทรอนิกส์ที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยม สามารถสร้างความสะดวก รวดเร็ว และช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างมาก ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ดีที่หน่วยงานราชการได้นําระบบอิเล็กทรอนิกส์มาช่วยอํานวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจและประชาชน รวมถึงจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนชาวต่างชาติในการเดินทางเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วย เนื่องจากประเทศไทยมีระบบอํานวยความสะดวกที่ชัดเจน สามารถดําเนินการได้ด้วยตนเอง มีระยะเวลาที่แน่นอน และที่สําคัญ คือ ช่วยปรับปรุงกระบวนงานการให้บริการภาครัฐให้มีความรวดเร็วและโปร่งใสมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ การให้บริการต่างๆ ผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ดําเนินการเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม และเห็นควรเป็นแบบอย่างที่ดีแก่หน่วยงานภาครัฐอื่นในการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของภาคธุรกิจและประชาชน อย่างไรก็ตามการพัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ ภาคธุรกิจถือเป็นวาระสําคัญที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าต้องตระหนักให้มาก และต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเชื่อว่ากรมพัฒนาธุรกิจการค้าสามารถดําเนินการได้อย่างแน่นอน และจะส่งผลให้การดําเนินธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ - การดําเนินธุรกิจ – และความก้าวหน้าของธุรกิจสามารถดําเนิน ได้อย่างต่อเนื่องและราบรื่น โดยมีภาครัฐเป็นพี่เลี้ยงที่สําคัญในส่งเสริมและสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3552
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติปรับเบี้ยผู้พิการจาก 800 เป็น 1,000 บาท
|
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2563
ครม.อนุมัติปรับเบี้ยผู้พิการจาก 800 เป็น 1,000 บาท
ครม.อนุมัติเพิ่มเบี้ยผู้พิการจากปัจจุบัน 800 บาท ต่อคนต่อเดือน เป็น 1,000 บาท ต่อคนต่อเดือน ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน
ครม.อนุมัติเพิ่มเบี้ยผู้พิการจากปัจจุบัน 800 บาท ต่อคนต่อเดือน เป็น 1,000 บาท ต่อคนต่อเดือน ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน เพราะจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวันของคนพิการได้ และไม่ทําให้ค่าใช้จ่ายทางการคลังเพิ่มมากขึ้นจนเกินไป สถานะทางการเงินของผู้พิการ ซึ่งจากการสํารวจพบว่าส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและมีรายได้น้อยมาก เฉลี่ยเดือนละ4,326บาท การปรับปรุงเบี้ยผู้พิการให้ตอบสนองความต้องการที่จําเป็นจะช่วยให้ผู้พิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ข้อมูลจากฐานทะเบียนกลาง กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2562 มีจํานวนคนพิการที่ทําบัตรผู้พิการ 2.02 ล้านคน การปรับเบี้ยผู้พิการเพิ่มขึ้นนี้ จะทําให้ต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จํานวน 4,852 ล้านบาท/ปี โดยจะเริ่มจ่ายตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ให้แก่ผู้พิการที่มีบัตรประจําตัวผู้พิการและผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้งบประมาณผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ปีงบประมาณ 2564
นายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการเแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนี้
1.ด้านสิ่งอํานวยความสะดวก ให้ทุกส่วนราชการสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกให้แก่คนพิการเช่น ทางลาดขึ้นลงอาคาร ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากําหนดหลักเกณฑ์การออกแบบอาคารเพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่คนพิการ โดยกําหนดให้เป็นเงื่อนไขในการขออนุญาตก่อสร้างอาคาร
2.ด้านการสร้างอาชีพ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ดําเนินการ 1)จัดทําบัญชีคนพิการโดยแยกประเภทตามความพิการ คุณวุฒิเฉพาะด้านของคนพิการ เพื่อเป็นข้อมูลในการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐและการทํางานที่บ้าน 2)กําหนดเป้าหมายการรับคนพิการเข้าทํางานในแต่ละภาคส่วนให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการขอความร่วมมือจากภาคเอกชน ให้กระทรวงแรงงาน ติดตามและตรวจสอบการจ้างงานคนพิการของนายจ้างหรือผู้ประกอบการต่างๆ ให้ดําเนินการถูกต้องเป็นไปตามที่กฎกระทรวงกําหนด เพื่อให้คนพิการได้เข้าทํางานจริงและเปิดโอกาสให้ได้รับการพัฒนาทักษะ ความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพ
3.ด้านสิทธิประโยชน์ ให้กระทรวงแรงงาน (สํานักงานประกันสังคม) และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พิจารณาแนวทางปรับปรุงสิทธิประโยชน์ในการได้รับบริการด้านสุขภาพของคนพิการที่มีงานทําและเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และคนพิการที่ยังไม่มีงานทําและเป็นผู้ได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีความสอดคล้องเท่าเทียมกัน
...............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติปรับเบี้ยผู้พิการจาก 800 เป็น 1,000 บาท
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2563
ครม.อนุมัติปรับเบี้ยผู้พิการจาก 800 เป็น 1,000 บาท
ครม.อนุมัติเพิ่มเบี้ยผู้พิการจากปัจจุบัน 800 บาท ต่อคนต่อเดือน เป็น 1,000 บาท ต่อคนต่อเดือน ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน
ครม.อนุมัติเพิ่มเบี้ยผู้พิการจากปัจจุบัน 800 บาท ต่อคนต่อเดือน เป็น 1,000 บาท ต่อคนต่อเดือน ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเสนอ เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน เพราะจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวันของคนพิการได้ และไม่ทําให้ค่าใช้จ่ายทางการคลังเพิ่มมากขึ้นจนเกินไป สถานะทางการเงินของผู้พิการ ซึ่งจากการสํารวจพบว่าส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและมีรายได้น้อยมาก เฉลี่ยเดือนละ4,326บาท การปรับปรุงเบี้ยผู้พิการให้ตอบสนองความต้องการที่จําเป็นจะช่วยให้ผู้พิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ข้อมูลจากฐานทะเบียนกลาง กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2562 มีจํานวนคนพิการที่ทําบัตรผู้พิการ 2.02 ล้านคน การปรับเบี้ยผู้พิการเพิ่มขึ้นนี้ จะทําให้ต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จํานวน 4,852 ล้านบาท/ปี โดยจะเริ่มจ่ายตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ให้แก่ผู้พิการที่มีบัตรประจําตัวผู้พิการและผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ใช้งบประมาณผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม ปีงบประมาณ 2564
นายกรัฐมนตรียังได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการเแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนี้
1.ด้านสิ่งอํานวยความสะดวก ให้ทุกส่วนราชการสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกให้แก่คนพิการเช่น ทางลาดขึ้นลงอาคาร ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากําหนดหลักเกณฑ์การออกแบบอาคารเพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่คนพิการ โดยกําหนดให้เป็นเงื่อนไขในการขออนุญาตก่อสร้างอาคาร
2.ด้านการสร้างอาชีพ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ดําเนินการ 1)จัดทําบัญชีคนพิการโดยแยกประเภทตามความพิการ คุณวุฒิเฉพาะด้านของคนพิการ เพื่อเป็นข้อมูลในการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานของรัฐและการทํางานที่บ้าน 2)กําหนดเป้าหมายการรับคนพิการเข้าทํางานในแต่ละภาคส่วนให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการขอความร่วมมือจากภาคเอกชน ให้กระทรวงแรงงาน ติดตามและตรวจสอบการจ้างงานคนพิการของนายจ้างหรือผู้ประกอบการต่างๆ ให้ดําเนินการถูกต้องเป็นไปตามที่กฎกระทรวงกําหนด เพื่อให้คนพิการได้เข้าทํางานจริงและเปิดโอกาสให้ได้รับการพัฒนาทักษะ ความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพ
3.ด้านสิทธิประโยชน์ ให้กระทรวงแรงงาน (สํานักงานประกันสังคม) และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พิจารณาแนวทางปรับปรุงสิทธิประโยชน์ในการได้รับบริการด้านสุขภาพของคนพิการที่มีงานทําและเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และคนพิการที่ยังไม่มีงานทําและเป็นผู้ได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีความสอดคล้องเท่าเทียมกัน
...............................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26119
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ ระดมศูนย์ข้าว วางแผนยุทธศาสตร์โครงการนาแปลงใหญ่
|
วันพุธที่ 8 มกราคม 2563
รมช.เกษตรฯ ระดมศูนย์ข้าว วางแผนยุทธศาสตร์โครงการนาแปลงใหญ่
รมช.เกษตรฯ ระดมศูนย์ข้าว วางแผนยุทธศาสตร์โครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีว่าช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการวางแผนยุทธศาสตร์โครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชนณ โรงแรมบึงฉวาก รีสอร์ท จังหวัดสุพรรณบุรี ว่า รัฐบาลมีความเป็นห่วงพี่น้องเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนาผู้ปลูกข้าวเนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งปีนี้อาจรุนแรงกว่าที่ผ่านมา รวมถึงคาดการณ์ว่าในอีก 6 เดือนปริมาณฝนจะมีค่าต่ํากว่าเกณฑ์ปกติ ทําให้มีน้ําไม่เพียงพอ ขาดน้ําอุปโภค-บริโภค ส่งผลกระทบต่อผู้ทํานากว่า 2 ล้านไร่ได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นจึงได้นําโครงการส่งเสริมเลี้ยงสัตว์เข้ามาเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรได้มีรายได้ในช่วงภัยแล้งนี้ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ข้าวในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป ทั้งต้นทุน และราคาในตลาด ตลอดจนประเทศเพื่อนบ้านมีการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น และจากกรณีไทยเสียแชมป์ข้าวหอมมะลิให้กับประเทศเวียดนาม ในการประกวดข้าวโลกปี 2019 ยอมรับว่าปัจจุบันข้าวหอมมะลิราคาตก ดังนั้นกรมการข้าวจึงต้องปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อพัฒนาผลิตเมล็ดพันธุ์ให้มีคุณภาพ โดดเด่น มีคุณสมบัติพร้อม เช่น ทนต่อแมลง ใช้น้ําน้อย ปลูกระยะสั้น และลดต้นทุน อีกทั้งต้องเน้นในเรื่องของตลาด ศูนย์วิจัยและผลิตเมล็ดพันธุ์จะต้องระดมความคิดร่วมกันเพื่อช่วยกันผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ดีให้กับเกษตรกร
นายประภัตร กล่าวต่อไปว่า สําหรับโครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน เป็นโครงการสําคัญของกรมการข้าวที่ตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน แผนแม่บทด้านการพัฒนาการเกษตรปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจโดยการมุ้งเน้นให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันทําการผลิตรวมถึงมีการจําหน่ายมีตลาดรองรับ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตต่อหน่วยเพิ่มขึ้น และสามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีแปลงใหญ่ที่กรมการข้าวต้องเข้าไปดําเนินการจํานวนทั้งสิ้น 1,914 แปลง เป็นแปลงต่อเนื่องปี 2561 จํานวน 729 แปลง แปลงต่อเนื่องปี 2562 จํานวน 830 แปลง และแปลงใหญ่ปี 2563 จํานวน 355 แปลง นอกจากนี้ยังมีโครงการสําคัญอีกจํานวน22 โครงการที่ต้องดําเนินการควบคู่ไปกับการดําเนินงานโครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน
ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนงานโครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน และโครงการสําคัญของกรมการข้าวอีก 22 โครงการ นําไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ สร้างความร่วมมือ ร่วมใจให้แก่บุคลากร ก่อให้เกิดการบูรณาการความคิดร่วมกัน เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ และเป็นแนวทางให้บุคลากรสามารถดําเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายบรรลุผลสําเร็จตามวัตถุประสงค์และสามารถแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรได้อย่างเป็นรูปธรรม กรมการข้าวจึงจัดให้มีการสัมมนา เชิงปฏิบัติการวางแผนยุทธศาสตร์โครงการนาแปลงใหญ่ และศูนย์ข้าวชุมชน และโครงการสําคัญของกรมการข้าวอีกจํานวน 22 โครงการไปด้วยกันโดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ จํานวนทั้งสิ้น80 คน ประกอบด้วย ที่ปรึกษาอธิบดีกรมการข้าว ผู้บริหารกรมการข้าว ผู้อํานวยการสํานัก/กอง ผู้อํานวยการศูนย์วิจัยข้าว ผู้อํานวยการศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว ตั้งแต่วันที่ 7-8 มกราคม 2563 ซึ่งประเด็นสําคัญในการสัมมนาครั้งนี้ ได้แก่ ภารกิจของกรมการข้าวกับความเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติ นําเสนอแผนงานโครงการตามภารกิจของกรมการข้าว และประเด็นหารือ การวางแผน แนวทางปฏิบัติโครงการตามภารกิจของกรมการข้าวที่สําคัญ โครงการนาแปลงใหญ่ และศูนย์ข้าวชุมชน รวมทั้งโครงการสําคัญ จํานวน 22 โครงการ รวมทั้งให้มีการหารือ เสนอแนะ คําแนะนํา ความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ ระดมศูนย์ข้าว วางแผนยุทธศาสตร์โครงการนาแปลงใหญ่
วันพุธที่ 8 มกราคม 2563
รมช.เกษตรฯ ระดมศูนย์ข้าว วางแผนยุทธศาสตร์โครงการนาแปลงใหญ่
รมช.เกษตรฯ ระดมศูนย์ข้าว วางแผนยุทธศาสตร์โครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีว่าช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการวางแผนยุทธศาสตร์โครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชนณ โรงแรมบึงฉวาก รีสอร์ท จังหวัดสุพรรณบุรี ว่า รัฐบาลมีความเป็นห่วงพี่น้องเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนาผู้ปลูกข้าวเนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งปีนี้อาจรุนแรงกว่าที่ผ่านมา รวมถึงคาดการณ์ว่าในอีก 6 เดือนปริมาณฝนจะมีค่าต่ํากว่าเกณฑ์ปกติ ทําให้มีน้ําไม่เพียงพอ ขาดน้ําอุปโภค-บริโภค ส่งผลกระทบต่อผู้ทํานากว่า 2 ล้านไร่ได้รับความเดือดร้อน ดังนั้นจึงได้นําโครงการส่งเสริมเลี้ยงสัตว์เข้ามาเป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรได้มีรายได้ในช่วงภัยแล้งนี้ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ข้าวในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป ทั้งต้นทุน และราคาในตลาด ตลอดจนประเทศเพื่อนบ้านมีการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น และจากกรณีไทยเสียแชมป์ข้าวหอมมะลิให้กับประเทศเวียดนาม ในการประกวดข้าวโลกปี 2019 ยอมรับว่าปัจจุบันข้าวหอมมะลิราคาตก ดังนั้นกรมการข้าวจึงต้องปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อพัฒนาผลิตเมล็ดพันธุ์ให้มีคุณภาพ โดดเด่น มีคุณสมบัติพร้อม เช่น ทนต่อแมลง ใช้น้ําน้อย ปลูกระยะสั้น และลดต้นทุน อีกทั้งต้องเน้นในเรื่องของตลาด ศูนย์วิจัยและผลิตเมล็ดพันธุ์จะต้องระดมความคิดร่วมกันเพื่อช่วยกันผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ดีให้กับเกษตรกร
นายประภัตร กล่าวต่อไปว่า สําหรับโครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน เป็นโครงการสําคัญของกรมการข้าวที่ตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน แผนแม่บทด้านการพัฒนาการเกษตรปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจโดยการมุ้งเน้นให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันทําการผลิตรวมถึงมีการจําหน่ายมีตลาดรองรับ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตต่อหน่วยเพิ่มขึ้น และสามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีแปลงใหญ่ที่กรมการข้าวต้องเข้าไปดําเนินการจํานวนทั้งสิ้น 1,914 แปลง เป็นแปลงต่อเนื่องปี 2561 จํานวน 729 แปลง แปลงต่อเนื่องปี 2562 จํานวน 830 แปลง และแปลงใหญ่ปี 2563 จํานวน 355 แปลง นอกจากนี้ยังมีโครงการสําคัญอีกจํานวน22 โครงการที่ต้องดําเนินการควบคู่ไปกับการดําเนินงานโครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน
ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนงานโครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน และโครงการสําคัญของกรมการข้าวอีก 22 โครงการ นําไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ สร้างความร่วมมือ ร่วมใจให้แก่บุคลากร ก่อให้เกิดการบูรณาการความคิดร่วมกัน เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ และเป็นแนวทางให้บุคลากรสามารถดําเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายบรรลุผลสําเร็จตามวัตถุประสงค์และสามารถแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรได้อย่างเป็นรูปธรรม กรมการข้าวจึงจัดให้มีการสัมมนา เชิงปฏิบัติการวางแผนยุทธศาสตร์โครงการนาแปลงใหญ่ และศูนย์ข้าวชุมชน และโครงการสําคัญของกรมการข้าวอีกจํานวน 22 โครงการไปด้วยกันโดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ จํานวนทั้งสิ้น80 คน ประกอบด้วย ที่ปรึกษาอธิบดีกรมการข้าว ผู้บริหารกรมการข้าว ผู้อํานวยการสํานัก/กอง ผู้อํานวยการศูนย์วิจัยข้าว ผู้อํานวยการศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าว ตั้งแต่วันที่ 7-8 มกราคม 2563 ซึ่งประเด็นสําคัญในการสัมมนาครั้งนี้ ได้แก่ ภารกิจของกรมการข้าวกับความเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ชาติ นําเสนอแผนงานโครงการตามภารกิจของกรมการข้าว และประเด็นหารือ การวางแผน แนวทางปฏิบัติโครงการตามภารกิจของกรมการข้าวที่สําคัญ โครงการนาแปลงใหญ่ และศูนย์ข้าวชุมชน รวมทั้งโครงการสําคัญ จํานวน 22 โครงการ รวมทั้งให้มีการหารือ เสนอแนะ คําแนะนํา ความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25665
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ กรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 [กระทรวงวัฒนธรรม]
|
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ กรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 [กระทรวงวัฒนธรรม]
วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้ลงนามในประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ เพิ่มเติม หลังจากที่ วธ. ได้ออกประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ที่ผ่านมานั้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) มีการขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น ประกอบกับข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้ง่าย และเริ่มมีแนวโน้มการติดเชื้อของบุคคลในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ดังนั้น วธ.จึงไม่นิ่งนอนใจกับข้อห่วงใยดังกล่าว จึงได้ปรับปรุงแก้ไขแนวทาง การปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ ที่ได้ประกาศก่อนหน้า โดยเห็นสมควรยกเลิกข้อ ๒.๓.๕ เทศกาลประเพณีสงกรานต์ ตามประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ฉบับวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ โดยให้ใช้แนวทางปฏิบัติที่มีการปรับปรุงฉบับใหม่ ดังนี้
๑. งดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับ
๒. งดเว้นการเดินทางกลับภูมิลําเนา
๓. งดเว้นการรดน้ําญาติผู้ใหญ่ทุกกรณี
๔. งดการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันของคนหมู่มาก หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโดยเด็ดขาด
๕. เพื่อสืบสานประเพณีสงกรานต์ให้ปฏิบัติ ดังนี้
๕.๑ สรงน้ําพระพุทธรูปที่บ้าน
๕.๒ การแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ใช้วิธีการกราบไหว้และขอพร โดยเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ๑ - ๒ เมตร และปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ สมาชิกในครอบครัวทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย และ
๕.๓ การแสดงความกตัญญูและขอพรต่อพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลกัน ให้แสดงออกผ่านช่องทางโทรศัพท์หรือสื่อออนไลน์
ทั้งนี้ ประกาศฉบับดังกล่าวของ วธ.มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงเดือนเมษายนเป็นช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ และแม้ว่าจะมีการประกาศเลื่อนวันหยุดสงกรานต์และงดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับแล้ว ก็อยากขอให้ทุกคนปฏิบัติตามประกาศของ วธ. และประกาศของ สธ. อย่างเคร่งครัด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ กรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 [กระทรวงวัฒนธรรม]
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ กรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 [กระทรวงวัฒนธรรม]
วธ. ประกาศแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ได้ลงนามในประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ เพิ่มเติม หลังจากที่ วธ. ได้ออกประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ที่ผ่านมานั้น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า เนื่องจากปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) มีการขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น ประกอบกับข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่าผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้ง่าย และเริ่มมีแนวโน้มการติดเชื้อของบุคคลในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ ดังนั้น วธ.จึงไม่นิ่งนอนใจกับข้อห่วงใยดังกล่าว จึงได้ปรับปรุงแก้ไขแนวทาง การปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ ที่ได้ประกาศก่อนหน้า โดยเห็นสมควรยกเลิกข้อ ๒.๓.๕ เทศกาลประเพณีสงกรานต์ ตามประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ฉบับวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ โดยให้ใช้แนวทางปฏิบัติที่มีการปรับปรุงฉบับใหม่ ดังนี้
๑. งดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับ
๒. งดเว้นการเดินทางกลับภูมิลําเนา
๓. งดเว้นการรดน้ําญาติผู้ใหญ่ทุกกรณี
๔. งดการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวกันของคนหมู่มาก หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโดยเด็ดขาด
๕. เพื่อสืบสานประเพณีสงกรานต์ให้ปฏิบัติ ดังนี้
๕.๑ สรงน้ําพระพุทธรูปที่บ้าน
๕.๒ การแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ และญาติผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ใช้วิธีการกราบไหว้และขอพร โดยเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ๑ - ๒ เมตร และปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ สมาชิกในครอบครัวทุกคนต้องสวมใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย และ
๕.๓ การแสดงความกตัญญูและขอพรต่อพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ที่อยู่ห่างไกลกัน ให้แสดงออกผ่านช่องทางโทรศัพท์หรือสื่อออนไลน์
ทั้งนี้ ประกาศฉบับดังกล่าวของ วธ.มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงเดือนเมษายนเป็นช่วงเทศกาลประเพณีสงกรานต์ และแม้ว่าจะมีการประกาศเลื่อนวันหยุดสงกรานต์และงดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับแล้ว ก็อยากขอให้ทุกคนปฏิบัติตามประกาศของ วธ. และประกาศของ สธ. อย่างเคร่งครัด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28612
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดพิธีประทานรางวัล “ประชาบดี” 2562 เชิดชูเกียรติต้นแบบแห่งการให้และแบ่งปัน เพื่อผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก
|
วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562
พม. จัดพิธีประทานรางวัล “ประชาบดี” 2562 เชิดชูเกียรติต้นแบบแห่งการให้และแบ่งปัน เพื่อผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก
พม. จัดพิธีประทานรางวัล “ประชาบดี” 2562 เชิดชูเกียรติต้นแบบแห่งการให้และแบ่งปัน เพื่อผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก
วันที่ 9 ธ.ค. 62 เวลา 16.00 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ โปรดให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เสด็จแทนพระองค์ ไปในการประทานรางวัล “ประชาบดี” ประจําปี 2562 แก่ผู้ทําคุณประโยชน์ดีเด่นแก่ผู้อยู่ในสภาวะยากลําบากและผู้อยู่ในสภาวะยากลําบากที่ประพฤติตนดีเด่น โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กราบทูลรายงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เฝ้ารับเสด็จ ณ ห้องประชุมวายุภักษ์แกรนด์บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร
นายจุติ กล่าวว่า “พระประชาบดี” เทพผู้เป็นที่พึ่งและสงเคราะห์ประชาชน ด้วยพลังแห่งการให้และการแบ่งปันเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้รอดพ้นจากสภาวะยากลําบาก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จึงได้นําชื่อ “ประชาบดี” มาเป็นชื่อรางวัลแห่งเกียรติยศ อันเป็นที่สุดแห่งความภาคภูมิใจของต้นแบบความดีในการช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก เพื่อการได้รับการยกย่องและเชิดชูคุณความดีให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม ซึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปี ที่ผ่านมา ด้วยพระเมตตาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ เสด็จไปประทานรางวัล “ประชาบดี” เป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่อง โดยมีการมอบรางวัลเป็นจํานวนมากถึง 787 รางวัล ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับปี 2562 นับเป็นปีที่ 13 ของการดําเนินโครงการฯ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ โปรดให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เสด็จแทนพระองค์ ไปในการประทานรางวัล “ประชาบดี” ประจําปี 2562 จํานวน 51 รางวัล แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภทบุคคลผู้ทําคุณประโยชน์ 13 คน อาทิ นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) โดยการจัดตั้งกองทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์ และงานช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง 2) ประเภทองค์กรที่ทําคุณประโยชน์ 8 องค์กร อาทิ มูลนิธิศัลย์ฯ สร้างข้อต่อชีวิต ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้ โดยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าหรือข้อสะโพกเทียมให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย 3) ประเภทสื่อสร้างสรรค์ 10 รายการ อาทิ รายการ เกมส์ต่อชีวิต จากสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี โดยนําผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลําบาก มาเล่นเกมส์ตอบคําถาม และสนับสนุนช่วยเหลือเงิน และ 4) ประเภทต้นแบบคนสู้ชีวิต 20 คน อาทิ นางสาวประนอม มาหล้า เป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องการปลูกผักปลอดสารพิษ โดยใช้พื้นที่บริเวณบ้านตนเองเป็นแปลงศึกษาเรียนรู้และถ่ายทอดให้ผู้อื่น อีกทั้งเป็นอาชีพเลี้ยงตนเอง
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. ขอแสดงความยินดีและยกย่องเชิดชูเกียรติกับทุกท่านและทุกองค์กรที่ได้รับรางวัล "ประชาบดี” ประจําปี 2562 และขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในสังคม ร่วมกันเป็นกลไกสนับสนุนและส่งเสริมภารกิจของกระทรวง พม. ในการพัฒนาสังคม การพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิประชาชน โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสหรือผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก ที่จําเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือดูแล เพื่อให้สามารถดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ส่งผลให้ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรม และพัฒนาสังคมให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดพิธีประทานรางวัล “ประชาบดี” 2562 เชิดชูเกียรติต้นแบบแห่งการให้และแบ่งปัน เพื่อผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก
วันพุธที่ 11 ธันวาคม 2562
พม. จัดพิธีประทานรางวัล “ประชาบดี” 2562 เชิดชูเกียรติต้นแบบแห่งการให้และแบ่งปัน เพื่อผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก
พม. จัดพิธีประทานรางวัล “ประชาบดี” 2562 เชิดชูเกียรติต้นแบบแห่งการให้และแบ่งปัน เพื่อผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก
วันที่ 9 ธ.ค. 62 เวลา 16.00 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ โปรดให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เสด็จแทนพระองค์ ไปในการประทานรางวัล “ประชาบดี” ประจําปี 2562 แก่ผู้ทําคุณประโยชน์ดีเด่นแก่ผู้อยู่ในสภาวะยากลําบากและผู้อยู่ในสภาวะยากลําบากที่ประพฤติตนดีเด่น โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กราบทูลรายงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เฝ้ารับเสด็จ ณ ห้องประชุมวายุภักษ์แกรนด์บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร
นายจุติ กล่าวว่า “พระประชาบดี” เทพผู้เป็นที่พึ่งและสงเคราะห์ประชาชน ด้วยพลังแห่งการให้และการแบ่งปันเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้รอดพ้นจากสภาวะยากลําบาก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จึงได้นําชื่อ “ประชาบดี” มาเป็นชื่อรางวัลแห่งเกียรติยศ อันเป็นที่สุดแห่งความภาคภูมิใจของต้นแบบความดีในการช่วยเหลือผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก เพื่อการได้รับการยกย่องและเชิดชูคุณความดีให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม ซึ่งตลอดระยะเวลา 12 ปี ที่ผ่านมา ด้วยพระเมตตาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ เสด็จไปประทานรางวัล “ประชาบดี” เป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่อง โดยมีการมอบรางวัลเป็นจํานวนมากถึง 787 รางวัล ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับปี 2562 นับเป็นปีที่ 13 ของการดําเนินโครงการฯ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ โปรดให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ เสด็จแทนพระองค์ ไปในการประทานรางวัล “ประชาบดี” ประจําปี 2562 จํานวน 51 รางวัล แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) ประเภทบุคคลผู้ทําคุณประโยชน์ 13 คน อาทิ นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) โดยการจัดตั้งกองทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์ และงานช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง 2) ประเภทองค์กรที่ทําคุณประโยชน์ 8 องค์กร อาทิ มูลนิธิศัลย์ฯ สร้างข้อต่อชีวิต ช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากไร้ โดยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าหรือข้อสะโพกเทียมให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย 3) ประเภทสื่อสร้างสรรค์ 10 รายการ อาทิ รายการ เกมส์ต่อชีวิต จากสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี โดยนําผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลําบาก มาเล่นเกมส์ตอบคําถาม และสนับสนุนช่วยเหลือเงิน และ 4) ประเภทต้นแบบคนสู้ชีวิต 20 คน อาทิ นางสาวประนอม มาหล้า เป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องการปลูกผักปลอดสารพิษ โดยใช้พื้นที่บริเวณบ้านตนเองเป็นแปลงศึกษาเรียนรู้และถ่ายทอดให้ผู้อื่น อีกทั้งเป็นอาชีพเลี้ยงตนเอง
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ กระทรวง พม. ขอแสดงความยินดีและยกย่องเชิดชูเกียรติกับทุกท่านและทุกองค์กรที่ได้รับรางวัล "ประชาบดี” ประจําปี 2562 และขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในสังคม ร่วมกันเป็นกลไกสนับสนุนและส่งเสริมภารกิจของกระทรวง พม. ในการพัฒนาสังคม การพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิประชาชน โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสหรือผู้อยู่ในสภาวะยากลําบาก ที่จําเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือดูแล เพื่อให้สามารถดํารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ส่งผลให้ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรม และพัฒนาสังคมให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25144
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ส่งหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าให้แก่ชาวไทยที่ลงทะเบียนขอรับและจัดส่งกล่องยังชีพให้กับผู้ที่ประสบปัญหาจากโควิด-19 [กระทรวงการต่างประเทศ]
|
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ส่งหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าให้แก่ชาวไทยที่ลงทะเบียนขอรับและจัดส่งกล่องยังชีพให้กับผู้ที่ประสบปัญหาจากโควิด-19 [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ส่งหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าให้แก่ชาวไทยที่ลงทะเบียนขอรับและจัดส่งกล่องยังชีพให้กับผู้ได้รับความเดือดร้อนในออสเตรีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ที่ประสบปัญหาจากโควิด-19
สอท. ณ กรุงเวียนนา ส่งความห่วงใยแก่พี่น้องชาวไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย
ตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย. 2563 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ทยอยส่งหน้ากากอนามัยอนามัยและหน้ากากตัดเย็บจากผ้า ให้พี่น้องชาวไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ที่ได้แจ้งความประสงค์ขอรับหน้ากาก กว่า 1,100 คน นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดส่งกล่องยังชีพ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ที่ประสบความเดือดร้อน ตกงาน และไม่มีรายได้ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กว่า 130 คน
สําหรับพี่น้องชาวไทยที่ประสบความเดือนร้อนและได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังสามารถแสดงความประสงค์ขอรับกล่องยังชีพมายังสถานเอกอัครราชทูตฯ โดยกรุณาแจ้ง ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่ทางไปรษณีย์ พร้อมความจําเป็นที่ต้องขอรับความช่วยเหลือ ทางอีเมล consular@thaiembassy.at หรือ โทร. +43 664 9915 3767, +43 664 9944 5916 หรือ +43 664 9944 5918
ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการจัดส่งกล่องยังชีพให้แก่ผู้ที่เดือดร้อน ขาดรายได้ และมีความจําเป็นต้องรับความช่วยเหลือเฉพาะหน้าเท่านั้น เพื่อให้สามารถช่วยเหลือคนไทยที่ตกทุกข์ได้อย่างทั่วถึงและทันเวลา
สําหรับพี่น้องชาวไทยที่ต้องการหน้ากาก และยังไม่ได้แจ้งขอรับหน้ากาก สถานเอกอัครราชทูตฯ ยังมีหน้ากากผ้าอยู่อีกจํานวนหนึ่ง ขอให้ท่านแจ้งชื่อ-นามสกุล และที่อยู่ทางไปรษณีย์ ให้สถานเอกอัครราชทูตฯ ทราบทางอีเมลหรือโทรศัพท์ ทั้งนี้ ขอสงวนสิทธิ์ให้ผู้ที่ยังไม่เคยได้รับหน้ากากมาก่อน
ด้วยความห่วงใยและปรารถนาดี
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา
"การทูตเพื่อประชาชน ทุกแห่งหนเราดูแล"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ส่งหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าให้แก่ชาวไทยที่ลงทะเบียนขอรับและจัดส่งกล่องยังชีพให้กับผู้ที่ประสบปัญหาจากโควิด-19 [กระทรวงการต่างประเทศ]
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม 2563
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ส่งหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าให้แก่ชาวไทยที่ลงทะเบียนขอรับและจัดส่งกล่องยังชีพให้กับผู้ที่ประสบปัญหาจากโควิด-19 [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา ส่งหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าให้แก่ชาวไทยที่ลงทะเบียนขอรับและจัดส่งกล่องยังชีพให้กับผู้ได้รับความเดือดร้อนในออสเตรีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ที่ประสบปัญหาจากโควิด-19
สอท. ณ กรุงเวียนนา ส่งความห่วงใยแก่พี่น้องชาวไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย
ตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย. 2563 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ทยอยส่งหน้ากากอนามัยอนามัยและหน้ากากตัดเย็บจากผ้า ให้พี่น้องชาวไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ที่ได้แจ้งความประสงค์ขอรับหน้ากาก กว่า 1,100 คน นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้จัดส่งกล่องยังชีพ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยในออสเตรีย สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ที่ประสบความเดือดร้อน ตกงาน และไม่มีรายได้ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กว่า 130 คน
สําหรับพี่น้องชาวไทยที่ประสบความเดือนร้อนและได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังสามารถแสดงความประสงค์ขอรับกล่องยังชีพมายังสถานเอกอัครราชทูตฯ โดยกรุณาแจ้ง ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่ทางไปรษณีย์ พร้อมความจําเป็นที่ต้องขอรับความช่วยเหลือ ทางอีเมล consular@thaiembassy.at หรือ โทร. +43 664 9915 3767, +43 664 9944 5916 หรือ +43 664 9944 5918
ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการจัดส่งกล่องยังชีพให้แก่ผู้ที่เดือดร้อน ขาดรายได้ และมีความจําเป็นต้องรับความช่วยเหลือเฉพาะหน้าเท่านั้น เพื่อให้สามารถช่วยเหลือคนไทยที่ตกทุกข์ได้อย่างทั่วถึงและทันเวลา
สําหรับพี่น้องชาวไทยที่ต้องการหน้ากาก และยังไม่ได้แจ้งขอรับหน้ากาก สถานเอกอัครราชทูตฯ ยังมีหน้ากากผ้าอยู่อีกจํานวนหนึ่ง ขอให้ท่านแจ้งชื่อ-นามสกุล และที่อยู่ทางไปรษณีย์ ให้สถานเอกอัครราชทูตฯ ทราบทางอีเมลหรือโทรศัพท์ ทั้งนี้ ขอสงวนสิทธิ์ให้ผู้ที่ยังไม่เคยได้รับหน้ากากมาก่อน
ด้วยความห่วงใยและปรารถนาดี
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา
"การทูตเพื่อประชาชน ทุกแห่งหนเราดูแล"
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30223
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือสื่อมวลชนนำเสนอข่าว สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชน
|
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2561
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือสื่อมวลชนนําเสนอข่าว สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชน
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือสื่อมวลชนนําเสนอข่าว สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชน
วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2561) เวลา 14.34 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีว่า รัฐบาลพยายามทําทุกอย่างเพื่อให้ประชาชน และประเทศเกิดความเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งยังมีการบิดเบือนข้อมูลในหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน สปก. การจัดระเบียบพื้นที่ขายของ และราคาสินค้าเกษตร เป็นต้น ยังมีการให้ข่าวโจมตีรัฐบาล จึงขอให้ประชาชนฟังข้อมูลจากรัฐบาล ซึ่งตนเองจะไม่ทะเลากับใคร และขอให้ฟังรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศว่าจะทําอย่างไรต่อไป จะแก้ปัญอย่างไร
พร้อมกับขอความร่วมมือสื่อมวลชนต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และขอความร่วมมือคอลัมนิสต์นําเสนอข่าวที่เป็นจริง พร้อมทั้งกล่าวแสดงความห่วงใยต่อสื่อมวลชน ที่จะต้องทํางานลําบากมากขึ้น เพราะต้องทํางานแข่งกับเทคโนโลยีในยุคโซเซียล ซึ่งทุกคนต้องเรียนรู้ เพิ่มศักยภาพของตัวเอง และขอให้สื่อมวลชนมีความก้าวหน้าในอาชีพ มีเงินใช้มากขึ้น และให้ทุกคนทําเพื่อประเทศชาติ เหมือนกับที่ตนเองทํา เพราะทุกคนต่างรักประเทศไทย และรักคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น
--------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือสื่อมวลชนนำเสนอข่าว สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชน
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2561
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือสื่อมวลชนนําเสนอข่าว สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชน
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือสื่อมวลชนนําเสนอข่าว สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชน
วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2561) เวลา 14.34 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีว่า รัฐบาลพยายามทําทุกอย่างเพื่อให้ประชาชน และประเทศเกิดความเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งยังมีการบิดเบือนข้อมูลในหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน สปก. การจัดระเบียบพื้นที่ขายของ และราคาสินค้าเกษตร เป็นต้น ยังมีการให้ข่าวโจมตีรัฐบาล จึงขอให้ประชาชนฟังข้อมูลจากรัฐบาล ซึ่งตนเองจะไม่ทะเลากับใคร และขอให้ฟังรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศว่าจะทําอย่างไรต่อไป จะแก้ปัญอย่างไร
พร้อมกับขอความร่วมมือสื่อมวลชนต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และขอความร่วมมือคอลัมนิสต์นําเสนอข่าวที่เป็นจริง พร้อมทั้งกล่าวแสดงความห่วงใยต่อสื่อมวลชน ที่จะต้องทํางานลําบากมากขึ้น เพราะต้องทํางานแข่งกับเทคโนโลยีในยุคโซเซียล ซึ่งทุกคนต้องเรียนรู้ เพิ่มศักยภาพของตัวเอง และขอให้สื่อมวลชนมีความก้าวหน้าในอาชีพ มีเงินใช้มากขึ้น และให้ทุกคนทําเพื่อประเทศชาติ เหมือนกับที่ตนเองทํา เพราะทุกคนต่างรักประเทศไทย และรักคนไทยด้วยกันทั้งสิ้น
--------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17092
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพร. เตรียมพร้อมเข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือ ภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA)
|
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
กพร. เตรียมพร้อมเข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือ ภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA)
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ย้ําคําสั่ง คสช. ระงับการทําเหมืองแร่ทองคําทุกราย ไม่เลือกปฏิบัติ ป้องกันและระงับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน พร้อมตั้งคณะทํางานเจรจาตามกระบวนการปรึกษาหารือ เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน
ตามที่ปรากฏเป็นข่าวกรณีบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดทเต็ด ลิมิเต็ด ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จํากัด (มหาชน) ส่งหนังสือแจ้งรัฐบาลไทยละเมิดข้อตกลงการค้าเสรีไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA) หลังมีคําสั่งปิด เหมืองทองอย่างไม่เป็นธรรมในช่วงสิ้นปี 2559 นั้น
นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวว่า เนื่องจากมีการร้องเรียนและคัดค้านการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําว่าการประกอบกิจการก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน รวมถึงปัญหาความขัดแย้งของประชาชนในพื้นที่โครงการทําเหมืองแร่ทองคําหลายแห่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 72/2559 เรื่องการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคํา เป็นมาตรการตามความจําเป็นในการป้องกันและระงับผลกระทบ รวมถึงข้อขัดแย้งของประชาชนในพื้นที่ เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ โดยให้ผู้ประกอบการที่ได้รับประทานบัตรและใบอนุญาตต่าง ๆ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําทุกราย ระงับการประกอบกิจการไว้จนกว่าคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ จะมีมติเป็นอย่างอื่น ซึ่งกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้ดําเนินการตามคําสั่งดังกล่าวมาโดยตลอดในการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและปัญหา พร้อมทั้งเสนอมาตรการและแนวทางในการแก้ไขปัญหา การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และเสนอกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
นายสมบูรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการดําเนินการของบริษัท คิงส์เกตฯ ตามที่เป็นข่าว เป็นการดําเนินการตามกลไกภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย - ออสเตรเลีย (Thailand - Australia Free Trade Agreement: TAFTA) เพื่อปรึกษาหารือถึงแนวทางปฏิบัติตามสิทธิของบริษัทฯ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างพิจารณาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีความละเอียดอ่อนอย่างรอบด้าน เพื่อวางแนวทางในการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรมเคารพในสิทธิของบริษัทฯ และได้มีการเตรียมความพร้อมโดยจะมีการแต่งตั้งผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทํางานในการเจรจาตามกระบวนการปรึกษาหารือ (Consultations) ร่วมกับบริษัทฯ เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กพร. เตรียมพร้อมเข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือ ภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA)
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560
กพร. เตรียมพร้อมเข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือ ภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA)
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ย้ําคําสั่ง คสช. ระงับการทําเหมืองแร่ทองคําทุกราย ไม่เลือกปฏิบัติ ป้องกันและระงับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน พร้อมตั้งคณะทํางานเจรจาตามกระบวนการปรึกษาหารือ เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจน
ตามที่ปรากฏเป็นข่าวกรณีบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดทเต็ด ลิมิเต็ด ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จํากัด (มหาชน) ส่งหนังสือแจ้งรัฐบาลไทยละเมิดข้อตกลงการค้าเสรีไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA) หลังมีคําสั่งปิด เหมืองทองอย่างไม่เป็นธรรมในช่วงสิ้นปี 2559 นั้น
นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวว่า เนื่องจากมีการร้องเรียนและคัดค้านการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําว่าการประกอบกิจการก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน รวมถึงปัญหาความขัดแย้งของประชาชนในพื้นที่โครงการทําเหมืองแร่ทองคําหลายแห่ง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 72/2559 เรื่องการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคํา เป็นมาตรการตามความจําเป็นในการป้องกันและระงับผลกระทบ รวมถึงข้อขัดแย้งของประชาชนในพื้นที่ เพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ โดยให้ผู้ประกอบการที่ได้รับประทานบัตรและใบอนุญาตต่าง ๆ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคําทุกราย ระงับการประกอบกิจการไว้จนกว่าคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ จะมีมติเป็นอย่างอื่น ซึ่งกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้ดําเนินการตามคําสั่งดังกล่าวมาโดยตลอดในการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ในการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและปัญหา พร้อมทั้งเสนอมาตรการและแนวทางในการแก้ไขปัญหา การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน และเสนอกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคําต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
นายสมบูรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการดําเนินการของบริษัท คิงส์เกตฯ ตามที่เป็นข่าว เป็นการดําเนินการตามกลไกภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทย - ออสเตรเลีย (Thailand - Australia Free Trade Agreement: TAFTA) เพื่อปรึกษาหารือถึงแนวทางปฏิบัติตามสิทธิของบริษัทฯ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างพิจารณาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีความละเอียดอ่อนอย่างรอบด้าน เพื่อวางแนวทางในการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรมเคารพในสิทธิของบริษัทฯ และได้มีการเตรียมความพร้อมโดยจะมีการแต่งตั้งผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทํางานในการเจรจาตามกระบวนการปรึกษาหารือ (Consultations) ร่วมกับบริษัทฯ เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2924
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานแก่กรมพัฒนาที่ดิน [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานแก่กรมพัฒนาที่ดิน [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานแก่กรมพัฒนาที่ดิน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และสถานการณ์ COVID – 19 ผ่านระบบ VDO Conference
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมมอบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และสถานการณ์ COVID – 19 ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผ่านระบบ VDO Conference ณ กรมพัฒนาที่ดิน ว่า ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมพัฒนาที่ดิน เห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรในเรื่องของปัญหาภัยแล้ง และสถานการณ์ COVID – 19 จึงมอบนโยบายในการดําเนินงานช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ ตอนนี้จะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการดําเนินงาน ต้องทํางานแบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานสังกัดอื่นๆ เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรนั้นมีพื้นที่ดินทํากิน มีอาชีพที่มั่นคง ซึ่งอาชีพเกษตรกรรมเป็นหนึ่งอาชีพในการขับเคลื่อนประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้และฟื้นตัวโดยเร็ว พร้อมพัฒนาดูแลดินให้มีคุณภาพ พัฒนาแหล่งน้ํา เพิ่มจํานวน ปรับปรุงดูแลบ่อจิ๋ว เพื่อให้ได้ผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพที่ดี
เนื่องในช่วงเวลานี้ไม่สามารถลงพื้นที่จากสถานการณ์ COVID – 19 ทําให้ไม่สามารถไปดูแลและรับฟังถึงปัญหาของพี่น้องเกษตรกรได้ หากมีการออกปฏิบัติงานนอกพื้นที่ ขอให้มีการป้องกันตัวเอง แต่สิ่งสําคัญที่สุดในการแก้ปัญหาและป้องกันไวรัส COVID – 19 ไม่ใช่เรื่องที่ยาก คือจะต้องดูแลรักษาสุขภาพตนเองให้มีสุขภาพแข็งแรง และมีรับผิดชอบต่อสังคมหากเป็นบุคคลในกลุ่มเสี่ยง
ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติงานภายใต้ประกาศที่ทางรัฐบาลกําหนด แต่ต้องไม่กระทบกับการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร หากมีแนวทาง มาตรการหรือโครงการในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันให้รีบดําเนินการแจ้งมายังส่วนกลาง เพื่อจะได้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายและแนวทางการดำเนินงานแก่กรมพัฒนาที่ดิน [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563
รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานแก่กรมพัฒนาที่ดิน [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
รมช.ธรรมนัส มอบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานแก่กรมพัฒนาที่ดิน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และสถานการณ์ COVID – 19 ผ่านระบบ VDO Conference
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมมอบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และสถานการณ์ COVID – 19 ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผ่านระบบ VDO Conference ณ กรมพัฒนาที่ดิน ว่า ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมพัฒนาที่ดิน เห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรในเรื่องของปัญหาภัยแล้ง และสถานการณ์ COVID – 19 จึงมอบนโยบายในการดําเนินงานช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือ ตอนนี้จะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการดําเนินงาน ต้องทํางานแบบบูรณาการร่วมกับหน่วยงานสังกัดอื่นๆ เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรนั้นมีพื้นที่ดินทํากิน มีอาชีพที่มั่นคง ซึ่งอาชีพเกษตรกรรมเป็นหนึ่งอาชีพในการขับเคลื่อนประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้และฟื้นตัวโดยเร็ว พร้อมพัฒนาดูแลดินให้มีคุณภาพ พัฒนาแหล่งน้ํา เพิ่มจํานวน ปรับปรุงดูแลบ่อจิ๋ว เพื่อให้ได้ผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพที่ดี
เนื่องในช่วงเวลานี้ไม่สามารถลงพื้นที่จากสถานการณ์ COVID – 19 ทําให้ไม่สามารถไปดูแลและรับฟังถึงปัญหาของพี่น้องเกษตรกรได้ หากมีการออกปฏิบัติงานนอกพื้นที่ ขอให้มีการป้องกันตัวเอง แต่สิ่งสําคัญที่สุดในการแก้ปัญหาและป้องกันไวรัส COVID – 19 ไม่ใช่เรื่องที่ยาก คือจะต้องดูแลรักษาสุขภาพตนเองให้มีสุขภาพแข็งแรง และมีรับผิดชอบต่อสังคมหากเป็นบุคคลในกลุ่มเสี่ยง
ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติงานภายใต้ประกาศที่ทางรัฐบาลกําหนด แต่ต้องไม่กระทบกับการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร หากมีแนวทาง มาตรการหรือโครงการในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันให้รีบดําเนินการแจ้งมายังส่วนกลาง เพื่อจะได้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28328
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. เชิญชวนสมาชิก กฟก. รับสิทธิสวัสดิการบำนาญจากรัฐพร้อมรับเงินสมทบสูงสุด 1,200 บาท”
|
วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561
“กอช. เชิญชวนสมาชิก กฟก. รับสิทธิสวัสดิการบํานาญจากรัฐพร้อมรับเงินสมทบสูงสุด 1,200 บาท”
กอช. เชิญชวนผู้ที่สนใจที่มีอายุระหว่าง 15-60 ปี หรือสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร รับสิทธิสวัสดิการบํานาญจากรัฐบาล ผ่านการออมเงินกับ กอช.
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เชิญชวนผู้ที่สนใจที่มีอายุระหว่าง 15-60 ปี หรือสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร รับสิทธิสวัสดิการบํานาญจากรัฐบาล ผ่านการออมเงินกับ กอช. โดยผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบสิทธิก่อนสมัครได้ที่ แอพพลิเคชั่น กอช. ในช่วงโปรโมชันพิเศษส่งท้ายปี 2561 สมัครสมาชิกใหม่ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ออมเงินกับ กอช. 1,200 บาท รับเงินสมทบจากรัฐบาลสูงสุด 100% พร้อมรับสลากออมทรัพย์จาก ธ.ก.ส. ฟรี! ลุ้นโชคเงินรางวัล 10 ล้านบาท ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน – 26 ธันวาคม 2561 ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กอช. ได้ลงนามความร่วมมือกับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรที่ไม่มีสวัสดิการ ได้รับสิทธิสวัสดิการบํานาญจากรัฐบาลผ่านการออมเงินกับ กอช. พร้อมรับเงินสมทบตามช่วงอายุของผู้สมัคร ตั้งแต่ 15–60 ปี โดยสมัครเริ่มต้นแค่ 50 บาท ก่อนการสมัครสามารถตรวจสอบสิทธิง่ายๆ ผ่านแอพพลิเคชั่น “กอช.” เพียงกรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลักและเบอร์โทรศัพท์เท่านั้นเอง
สําหรับท่านที่ตรวจสอบสิทธิเรียบร้อยแล้ว มีสิทธิในการสมัคร สามารถสมัครสมาชิก กอช. ได้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กับช่วงโปรโมชันส่งท้ายปี 2561 สมัครสมาชิกใหม่ออมเงินกับ กอช. 1,200 บาท รับเงินสมทบจากรัฐบาลสูงสุด 100% พร้อมรับสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. 100 บาท ฟรี ลุ้นโชคเงินรางวัล 10 ล้านบาท ได้ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน – 26 ธันวาคม 2561 ของมีจํานวนจํากัด 200,000 คนเท่านั้น ช้าอดหมดสิทธิ
ทั้งนี้ กอช. ยังมีช่องทางอํานวยความสะดวกให้กับสมาชิกและผู้ที่สนใจ สามารถดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน “กอช” เพื่อสมัครสมาชิก ดูข้อมูลบัญชีเงินออม และใช้ตรวจสอบสิทธิการสมัครสมาชิกได้ทั้งระบบ iOS และ Android หรือที่ www.nsf.or.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม ๐๒-๐๔๙-๙๐๐๐ ทั้งนี้ ติดต่อสมัครสมาชิกและรับบริการอื่นๆ ของ กอช. ได้ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสทั่วประเทศ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธอส. และธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา รวมทั้งสํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. เชิญชวนสมาชิก กฟก. รับสิทธิสวัสดิการบำนาญจากรัฐพร้อมรับเงินสมทบสูงสุด 1,200 บาท”
วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561
“กอช. เชิญชวนสมาชิก กฟก. รับสิทธิสวัสดิการบํานาญจากรัฐพร้อมรับเงินสมทบสูงสุด 1,200 บาท”
กอช. เชิญชวนผู้ที่สนใจที่มีอายุระหว่าง 15-60 ปี หรือสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร รับสิทธิสวัสดิการบํานาญจากรัฐบาล ผ่านการออมเงินกับ กอช.
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เชิญชวนผู้ที่สนใจที่มีอายุระหว่าง 15-60 ปี หรือสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร รับสิทธิสวัสดิการบํานาญจากรัฐบาล ผ่านการออมเงินกับ กอช. โดยผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบสิทธิก่อนสมัครได้ที่ แอพพลิเคชั่น กอช. ในช่วงโปรโมชันพิเศษส่งท้ายปี 2561 สมัครสมาชิกใหม่ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ออมเงินกับ กอช. 1,200 บาท รับเงินสมทบจากรัฐบาลสูงสุด 100% พร้อมรับสลากออมทรัพย์จาก ธ.ก.ส. ฟรี! ลุ้นโชคเงินรางวัล 10 ล้านบาท ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน – 26 ธันวาคม 2561 ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กอช. ได้ลงนามความร่วมมือกับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรที่ไม่มีสวัสดิการ ได้รับสิทธิสวัสดิการบํานาญจากรัฐบาลผ่านการออมเงินกับ กอช. พร้อมรับเงินสมทบตามช่วงอายุของผู้สมัคร ตั้งแต่ 15–60 ปี โดยสมัครเริ่มต้นแค่ 50 บาท ก่อนการสมัครสามารถตรวจสอบสิทธิง่ายๆ ผ่านแอพพลิเคชั่น “กอช.” เพียงกรอกเลขบัตรประชาชน 13 หลักและเบอร์โทรศัพท์เท่านั้นเอง
สําหรับท่านที่ตรวจสอบสิทธิเรียบร้อยแล้ว มีสิทธิในการสมัคร สามารถสมัครสมาชิก กอช. ได้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กับช่วงโปรโมชันส่งท้ายปี 2561 สมัครสมาชิกใหม่ออมเงินกับ กอช. 1,200 บาท รับเงินสมทบจากรัฐบาลสูงสุด 100% พร้อมรับสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. 100 บาท ฟรี ลุ้นโชคเงินรางวัล 10 ล้านบาท ได้ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน – 26 ธันวาคม 2561 ของมีจํานวนจํากัด 200,000 คนเท่านั้น ช้าอดหมดสิทธิ
ทั้งนี้ กอช. ยังมีช่องทางอํานวยความสะดวกให้กับสมาชิกและผู้ที่สนใจ สามารถดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน “กอช” เพื่อสมัครสมาชิก ดูข้อมูลบัญชีเงินออม และใช้ตรวจสอบสิทธิการสมัครสมาชิกได้ทั้งระบบ iOS และ Android หรือที่ www.nsf.or.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม ๐๒-๐๔๙-๙๐๐๐ ทั้งนี้ ติดต่อสมัครสมาชิกและรับบริการอื่นๆ ของ กอช. ได้ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสทั่วประเทศ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน ธอส. และธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา รวมทั้งสํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ”
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17263
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวนผู้ประกอบธุรกิจที่พัก “เราเที่ยวด้วยกัน” ร่วมสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยว ไม่ใช้โอกาสขึ้นราคา
|
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563
ชวนผู้ประกอบธุรกิจที่พัก “เราเที่ยวด้วยกัน” ร่วมสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยว ไม่ใช้โอกาสขึ้นราคา
ตามที่รัฐบาลได้ดําเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน (โครงการฯ) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 โดยการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ดําเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน (โครงการฯ) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 โดยการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าที่พักในสัดส่วนร้อยละ 40 ของค่าที่พัก สูงสุด 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน สนับสนุนค่าอาหารและค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว 600 บาทต่อห้องต่อคืน และสนับสนุนค่าบัตรโดยสารสายการบินในสัดส่วนร้อยละ 40 ของค่าบัตรโดยสาร สูงสุด 1,000 บาทต่อที่นั่ง
ในภาพรวมโครงการฯ มีผลตอบรับตามเป้าหมาย ผู้ประกอบธุรกิจที่พักสนใจเข้าร่วมแล้ว 6 พันราย โดยหลังจาก ที่ได้เปิดให้ประชาชนจองที่พักภายใต้โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2563 พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทําให้ประชาชนสามารถวางแผนและเดินทางท่องเที่ยวในประเทศได้โดยมีค่าใช้จ่ายที่ลดลง ในขณะที่ผู้ประกอบการจะเริ่มมีรายได้เข้ามาหล่อเลี้ยงธุรกิจในช่วงที่ขาดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ก่อให้เกิดบรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศที่มีสัญญาณบวกมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของ COVID-19
ดังนั้น เพื่อรักษาแรงส่งต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจไทย จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบธุรกิจที่พักที่เข้าร่วมโครงการฯ ส่วนน้อยบางราย ซึ่งอาศัยโอกาสปรับราคาสูงขึ้นในช่วงนี้ ขอให้เว้นจากการดําเนินธุรกิจตามแนวทางดังกล่าว เนื่องจากผลประโยชน์ในระยะสั้นอาจได้ไม่คุ้มเสียทั้งชื่อเสียงและโอกาสธุรกิจในอนาคต เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันมีการหาข้อมูลวางแผนการเดินทางและมีเทคโนโลยีช่วยในการเปรียบเทียบราคาและคุณภาพการบริการจากหลายแหล่ง ทําให้สามารถเลือกรับบริการจากผู้ประกอบการที่มีคุณภาพในราคาที่เป็นธรรมได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และพิจารณามาตรการที่เหมาะสมมาดูแลต่อไป
สํานักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3234
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชวนผู้ประกอบธุรกิจที่พัก “เราเที่ยวด้วยกัน” ร่วมสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยว ไม่ใช้โอกาสขึ้นราคา
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563
ชวนผู้ประกอบธุรกิจที่พัก “เราเที่ยวด้วยกัน” ร่วมสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยว ไม่ใช้โอกาสขึ้นราคา
ตามที่รัฐบาลได้ดําเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน (โครงการฯ) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 โดยการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้ดําเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน (โครงการฯ) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 โดยการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนค่าที่พักในสัดส่วนร้อยละ 40 ของค่าที่พัก สูงสุด 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน สนับสนุนค่าอาหารและค่าเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว 600 บาทต่อห้องต่อคืน และสนับสนุนค่าบัตรโดยสารสายการบินในสัดส่วนร้อยละ 40 ของค่าบัตรโดยสาร สูงสุด 1,000 บาทต่อที่นั่ง
ในภาพรวมโครงการฯ มีผลตอบรับตามเป้าหมาย ผู้ประกอบธุรกิจที่พักสนใจเข้าร่วมแล้ว 6 พันราย โดยหลังจาก ที่ได้เปิดให้ประชาชนจองที่พักภายใต้โครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2563 พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทําให้ประชาชนสามารถวางแผนและเดินทางท่องเที่ยวในประเทศได้โดยมีค่าใช้จ่ายที่ลดลง ในขณะที่ผู้ประกอบการจะเริ่มมีรายได้เข้ามาหล่อเลี้ยงธุรกิจในช่วงที่ขาดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ก่อให้เกิดบรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศที่มีสัญญาณบวกมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของ COVID-19
ดังนั้น เพื่อรักษาแรงส่งต่อการฟื้นตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจไทย จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบธุรกิจที่พักที่เข้าร่วมโครงการฯ ส่วนน้อยบางราย ซึ่งอาศัยโอกาสปรับราคาสูงขึ้นในช่วงนี้ ขอให้เว้นจากการดําเนินธุรกิจตามแนวทางดังกล่าว เนื่องจากผลประโยชน์ในระยะสั้นอาจได้ไม่คุ้มเสียทั้งชื่อเสียงและโอกาสธุรกิจในอนาคต เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันมีการหาข้อมูลวางแผนการเดินทางและมีเทคโนโลยีช่วยในการเปรียบเทียบราคาและคุณภาพการบริการจากหลายแหล่ง ทําให้สามารถเลือกรับบริการจากผู้ประกอบการที่มีคุณภาพในราคาที่เป็นธรรมได้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และพิจารณามาตรการที่เหมาะสมมาดูแลต่อไป
สํานักนโยบายระบบการเงินและสถาบันการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3234
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33515
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่กฎกระทรวง การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
|
วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2561
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่กฎกระทรวง การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ เผยแพร่กฎกระทรวง กําหนดประเภทของสถานศึกษาและการดําเนินการของสถานศึกษา ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๖๑
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ เผยแพร่กฎกระทรวง กําหนดประเภทของสถานศึกษาและการดําเนินการของสถานศึกษา ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๖๑
โดยมีสาระสําคัญ คือให้สถานศึกษาแต่ละประเภท คือระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ระดับอาชีวศึกษา (ปวช., ปวส.,ปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ) และระดับอุดมศึกษาดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยจัดให้มีการเรียนการสอนเรื่องเพศวิถีศึกษาและทักษะชีวิต ให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียนนักศึกษา โดยมีเนื้อหาและกระบวนการเรียนรู้ในเรื่องเพศที่ครอบคลุมถึงพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่นการพัฒนาทักษะส่วนบุคคล พฤติกรรมทางเพศ สุขภาวะทางเพศ และมิติทางสังคมและวัฒนธรรมที่ส่งผลกระทบต่อเรื่องเพศ รวมทั้งสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและความรู้เกี่ยวกับอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ให้ความสําคัญกับความหลากหลายและความเสมอภาคทางเพศ รวมทั้งจัดให้มีการติดตามและประเมินผลเกี่ยวกับประสิทธิผลของการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ และให้เป็นส่วนหนึ่งของการวัดผลการศึกษา
ทั้งนี้ ให้สถานศึกษาจัดหาและพัฒนาผู้สอนให้มีความรู้ความสามารถ มีทัศนคติที่ดี และมีทักษะการสอนที่เหมาะสม รวมทั้งเข้าใจจิตวิทยาการเรียนรู้ของนักเรียนหรือนักศึกษาแต่ละระดับที่สอดคล้องกับการจัดการศึกษาของสถานศึกษา เพื่อให้สามารถสอนเพศวิถีศึกษา ทักษะชีวิต และให้คําปรึกษาในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นแก่นักเรียนหรือนักศึกษา หากมีผู้สอนและผู้ให้คําปรึกษาไม่เพียงพอ ให้สถานศึกษานั้นประสานงานกับหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานของเอกชนที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ซึ่งมีความรู้ความสามารถในการสอนเพศวิถีศึกษา ทักษะชีวิต และให้คําปรึกษา เพื่อขอรับการสนับสนุนหรือทําหน้าที่เป็นผู้สอนเพศวิถีศึกษา ทักษะชีวิต และให้คําปรึกษาดังกล่าวให้เหมาะสมและเพียงพอ
นอกจากนี้ ให้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาพัฒนาการเรียนการสอนสําหรับนักศึกษาในคณะศึกษาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ หรือคณะหรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้มีความรู้และสามารถสอนเพศวิถีศึกษา ทักษะชีวิต และให้คําปรึกษาในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
สําหรับสถานศึกษาทุกระดับที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษา โดยจัดให้มีระบบการดูแล ช่วยเหลือ และคุ้มครองนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์ ให้ได้รับการศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมและต่อเนื่อง
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
อ่านเพิ่มเติมราชกิจจานุเบกษา
Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่กฎกระทรวง การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2561
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่กฎกระทรวง การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ เผยแพร่กฎกระทรวง กําหนดประเภทของสถานศึกษาและการดําเนินการของสถานศึกษา ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๖๑
ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ เผยแพร่กฎกระทรวง กําหนดประเภทของสถานศึกษาและการดําเนินการของสถานศึกษา ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๖๑
โดยมีสาระสําคัญ คือให้สถานศึกษาแต่ละประเภท คือระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ระดับอาชีวศึกษา (ปวช., ปวส.,ปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ) และระดับอุดมศึกษาดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยจัดให้มีการเรียนการสอนเรื่องเพศวิถีศึกษาและทักษะชีวิต ให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียนนักศึกษา โดยมีเนื้อหาและกระบวนการเรียนรู้ในเรื่องเพศที่ครอบคลุมถึงพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยการมีสัมพันธภาพกับผู้อื่นการพัฒนาทักษะส่วนบุคคล พฤติกรรมทางเพศ สุขภาวะทางเพศ และมิติทางสังคมและวัฒนธรรมที่ส่งผลกระทบต่อเรื่องเพศ รวมทั้งสิทธิการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและความรู้เกี่ยวกับอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ให้ความสําคัญกับความหลากหลายและความเสมอภาคทางเพศ รวมทั้งจัดให้มีการติดตามและประเมินผลเกี่ยวกับประสิทธิผลของการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ และให้เป็นส่วนหนึ่งของการวัดผลการศึกษา
ทั้งนี้ ให้สถานศึกษาจัดหาและพัฒนาผู้สอนให้มีความรู้ความสามารถ มีทัศนคติที่ดี และมีทักษะการสอนที่เหมาะสม รวมทั้งเข้าใจจิตวิทยาการเรียนรู้ของนักเรียนหรือนักศึกษาแต่ละระดับที่สอดคล้องกับการจัดการศึกษาของสถานศึกษา เพื่อให้สามารถสอนเพศวิถีศึกษา ทักษะชีวิต และให้คําปรึกษาในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นแก่นักเรียนหรือนักศึกษา หากมีผู้สอนและผู้ให้คําปรึกษาไม่เพียงพอ ให้สถานศึกษานั้นประสานงานกับหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานของเอกชนที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ซึ่งมีความรู้ความสามารถในการสอนเพศวิถีศึกษา ทักษะชีวิต และให้คําปรึกษา เพื่อขอรับการสนับสนุนหรือทําหน้าที่เป็นผู้สอนเพศวิถีศึกษา ทักษะชีวิต และให้คําปรึกษาดังกล่าวให้เหมาะสมและเพียงพอ
นอกจากนี้ ให้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาพัฒนาการเรียนการสอนสําหรับนักศึกษาในคณะศึกษาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ หรือคณะหรือสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้มีความรู้และสามารถสอนเพศวิถีศึกษา ทักษะชีวิต และให้คําปรึกษาในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
สําหรับสถานศึกษาทุกระดับที่มีนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์อยู่ในสถานศึกษา ต้องไม่ให้นักเรียนหรือนักศึกษานั้นออกจากสถานศึกษาดังกล่าว เว้นแต่เป็นการย้ายสถานศึกษา โดยจัดให้มีระบบการดูแล ช่วยเหลือ และคุ้มครองนักเรียนหรือนักศึกษาซึ่งตั้งครรภ์ ให้ได้รับการศึกษาด้วยรูปแบบที่เหมาะสมและต่อเนื่อง
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๑
ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
อ่านเพิ่มเติมราชกิจจานุเบกษา
Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16102
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ปลื้ม “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา”
|
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้ม “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา”
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้ม “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา” สร้างรายได้มั่นคงแก่เกษตรกร ระบบสหกรณ์การเกษตรเข้มแข็ง
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้ม “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา” สร้างรายได้มั่นคงแก่เกษตรกร ระบบสหกรณ์การเกษตรเข้มแข็ง
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (แปลงนําร่อง) ในโครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลังนาเพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกร ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดําเนินโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา เพื่อเพิ่มปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการของตลาดภายในประเทศ และช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้มีรายได้ที่มั่นคง โดยปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวเป็นการปลูกพืชชนิดอื่น ๆ ที่ตลาดมีความต้องการ ซึ่งในช่วงระยะแรกของการดําเนินโครงการได้ทดลองส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่นําร่อง ในอําเภอพิชัย อุตรดิตถ์ โดยมีเกษตรกรในพื้นที่ 221 ราย และมีเกษตรกร 67 รายเพิ่งหันมาลองปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานาเป็นครั้งแรกในปีนี้ ซึ่งเกษตรกรทั้งหมดเป็นสมาชิกสหกรณ์ 4 แห่ง ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรบ้านหม้อ จํากัด สหกรณ์ผู้ใช้น้ําสถานีสูบน้ําด้วยไฟฟ้าบ้านโรงหม้อ จํากัด สหกรณ์ผู้ใช้น้ําสถานีสูบน้ําด้วยไฟฟ้าบ้านโคกหม้อ จํากัด และสหกรณ์การเกษตรพิชัย จํากัด พื้นที่เพาะปลูก 3,240 ไร่ เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วประมาณ 3,800 ตัน สหกรณ์รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด และส่งต่อให้สหกรณ์การเกษตรเมืองตรอน จํากัด ซึ่งเป็นแม่ข่ายในการรับซื้อผลผลิตจากทั้ง 4 สหกรณ์ เพื่อนําเข้าสู่กระบวนการแปรสภาพอบลดความชื้นให้อยู่ที่ 14.5% และส่งจําหน่ายให้กับบริษัท CPF และบริษัท เบทาโกร จํากัด ซึ่งราคาขณะนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 9.80 บาท เกษตรกรสามารถขายผลผลิตได้ที่ความชื้นประมาณ 27 - 30% โดยราคาที่จุดรับซื้อของสหกรณ์การเกษตรบ้านหม้อ จ.อุตรดิตถ์ ราคาประมาณ 7-8 บาท/กก. เกษตรกรจะมีรายได้เฉลี่ย 8,365 บาทต่อไร่ เมื่อหักต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 3,810 บาทต่อไร่ จะทําให้เกษตรกรมีกําไรเฉลี่ย 4,555 บาท/ไร่
"กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เตรียมแผนการดําเนินงานตั้งแต่ความพร้อมของระบบชลประทาน ความเหมาะสมของสภาพดินในพื้นที่ที่จะปลูกข้าวโพด ตลอดจนช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก สามารถดําเนินการได้ แม้ว่าความชื้นจะเกิน 14% แต่ราคาข้าวโพดไม่ต่ํากว่าจากที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีความต้องการของตลาดโลก และแม้ว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมาจะมีการระบาดของหนอนกระทู้ก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ก็สามารถจํากัดการแพร่ระบาดศัตรูพืชได้ ซึ่งนับว่าทั้งหมดนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดีในการสนับสนุนการปลูกพืชอื่นนอกจากการทํานา เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพทั้งราคาข้าวและช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกพืชอื่นตามความต้องการของตลาด"
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้ปรับแผนการดําเนินงานโดยมีการบูรณาการเชื่อมโยงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน และบริษัทเอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์ ร่วมกันทํางานในพื้นที่เพื่อวิเคราะห์สภาพดินเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างละเอียด ตลอดจนได้ถ่ายทอดเทคนิคการปลูก การดูแลรักษา การลดต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวางแผนการตลาดกับสหกรณ์ซึ่งทําหน้าที่รวบรวมผลผลิตและเชื่อมโยงกับภาคเอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์เข้ามารับซื้อข้าวโพดของเกษตรกร โดยสหกรณ์จะทําหน้าที่ในการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แบบครบวงจร
สําหรับการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทํานา ในปีการผลิต 2561/62 มีเกษตรกรที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ 96,928 ราย พื้นที่ 814,916 ไร่ (ข้อมูล ณ วันที่ 4 มกราคม 2562) โดยการรับสมัครในปี 2561/2562 นี้ ยังรับสมัครไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2562 ซึ่งเกษตรกรมีความสนใจที่จะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทํานาเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯ จะใช้หลักการตลาดนําการผลิต วิเคราะห์แนวโน้มความต้องการของตลาดและส่งเสริมการปลูกพืชที่จะสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรโดยใช้โมเดลการปลูกข้าวโพดเป็นแนวทางในการดําเนินงานส่งเสริมปลูกพืชอื่นๆ อาทิ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง พืชผักต่างๆ ฯลฯ ต่อไป
ด้านนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างความสําเร็จในแปลงนําร่องเป็นของนายสมพร แตงน้อย เนื้อที่ 10 ไร่ เพาะปลูกเดือนสิงหาคม 2561 และเก็บเกี่ยวผลผลิตเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.61 ขายให้กับสหกรณ์การเกษตรบ้านหม้อ จํากัด ในระดับความชื้นที่ 28% ราคา 7.20 บาท/กก. ทําให้มีรายได้ 86,400 บาท และมีกําไรเฉลี่ยไร่ละ 4,850 บาท ส่วนแปลงของนายทองเหลือ มูลนิล สมาชิกสหกรณ์ ที่รมว.กษ. เป็นประธานในการเก็บเกี่ยวข้าวโพดในแปลงนี้ มีเนื้อที่ปลูก 3 ไร่ ลงทุนไป 11,370 บาท เริ่มเพาะปลูกเมื่อวันที่ 3 กันยายน 61 และจะเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จทั้งหมดในวันนี้ คาดว่าจะได้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ประมาณ 1,200 ก.ก. ความชื้นประมาณ 27% ซึ่งสหกรณ์จะรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 8 บาท ทําให้นายทองเหลือ มีรายได้ทั้งสิ้น 28,800 บาท เมื่อหักต้นทุนในการเพาะปลูกผลิต 11,370 บาท จะมีกําไร 17,430 บาท และได้กําไรเฉลี่ย 5,810 บาทต่อไร่.
กลุ่มงานโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews60@gmail.com
moac58@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ปลื้ม “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา”
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้ม “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา”
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้ม “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา” สร้างรายได้มั่นคงแก่เกษตรกร ระบบสหกรณ์การเกษตรเข้มแข็ง
กระทรวงเกษตรฯ ปลื้ม “โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา” สร้างรายได้มั่นคงแก่เกษตรกร ระบบสหกรณ์การเกษตรเข้มแข็ง
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (แปลงนําร่อง) ในโครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลังนาเพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกร ณ จังหวัดอุตรดิตถ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดําเนินโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา เพื่อเพิ่มปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอกับความต้องการของตลาดภายในประเทศ และช่วยให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้มีรายได้ที่มั่นคง โดยปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวเป็นการปลูกพืชชนิดอื่น ๆ ที่ตลาดมีความต้องการ ซึ่งในช่วงระยะแรกของการดําเนินโครงการได้ทดลองส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่นําร่อง ในอําเภอพิชัย อุตรดิตถ์ โดยมีเกษตรกรในพื้นที่ 221 ราย และมีเกษตรกร 67 รายเพิ่งหันมาลองปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานาเป็นครั้งแรกในปีนี้ ซึ่งเกษตรกรทั้งหมดเป็นสมาชิกสหกรณ์ 4 แห่ง ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรบ้านหม้อ จํากัด สหกรณ์ผู้ใช้น้ําสถานีสูบน้ําด้วยไฟฟ้าบ้านโรงหม้อ จํากัด สหกรณ์ผู้ใช้น้ําสถานีสูบน้ําด้วยไฟฟ้าบ้านโคกหม้อ จํากัด และสหกรณ์การเกษตรพิชัย จํากัด พื้นที่เพาะปลูก 3,240 ไร่ เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วประมาณ 3,800 ตัน สหกรณ์รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด และส่งต่อให้สหกรณ์การเกษตรเมืองตรอน จํากัด ซึ่งเป็นแม่ข่ายในการรับซื้อผลผลิตจากทั้ง 4 สหกรณ์ เพื่อนําเข้าสู่กระบวนการแปรสภาพอบลดความชื้นให้อยู่ที่ 14.5% และส่งจําหน่ายให้กับบริษัท CPF และบริษัท เบทาโกร จํากัด ซึ่งราคาขณะนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 9.80 บาท เกษตรกรสามารถขายผลผลิตได้ที่ความชื้นประมาณ 27 - 30% โดยราคาที่จุดรับซื้อของสหกรณ์การเกษตรบ้านหม้อ จ.อุตรดิตถ์ ราคาประมาณ 7-8 บาท/กก. เกษตรกรจะมีรายได้เฉลี่ย 8,365 บาทต่อไร่ เมื่อหักต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 3,810 บาทต่อไร่ จะทําให้เกษตรกรมีกําไรเฉลี่ย 4,555 บาท/ไร่
"กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เตรียมแผนการดําเนินงานตั้งแต่ความพร้อมของระบบชลประทาน ความเหมาะสมของสภาพดินในพื้นที่ที่จะปลูกข้าวโพด ตลอดจนช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก สามารถดําเนินการได้ แม้ว่าความชื้นจะเกิน 14% แต่ราคาข้าวโพดไม่ต่ํากว่าจากที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีความต้องการของตลาดโลก และแม้ว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมาจะมีการระบาดของหนอนกระทู้ก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ก็สามารถจํากัดการแพร่ระบาดศัตรูพืชได้ ซึ่งนับว่าทั้งหมดนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดีในการสนับสนุนการปลูกพืชอื่นนอกจากการทํานา เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพทั้งราคาข้าวและช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกพืชอื่นตามความต้องการของตลาด"
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้ปรับแผนการดําเนินงานโดยมีการบูรณาการเชื่อมโยงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน กรมชลประทาน และบริษัทเอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์ ร่วมกันทํางานในพื้นที่เพื่อวิเคราะห์สภาพดินเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างละเอียด ตลอดจนได้ถ่ายทอดเทคนิคการปลูก การดูแลรักษา การลดต้นทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวางแผนการตลาดกับสหกรณ์ซึ่งทําหน้าที่รวบรวมผลผลิตและเชื่อมโยงกับภาคเอกชนผู้ผลิตอาหารสัตว์เข้ามารับซื้อข้าวโพดของเกษตรกร โดยสหกรณ์จะทําหน้าที่ในการบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แบบครบวงจร
สําหรับการส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทํานา ในปีการผลิต 2561/62 มีเกษตรกรที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ 96,928 ราย พื้นที่ 814,916 ไร่ (ข้อมูล ณ วันที่ 4 มกราคม 2562) โดยการรับสมัครในปี 2561/2562 นี้ ยังรับสมัครไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2562 ซึ่งเกษตรกรมีความสนใจที่จะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทํานาเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามกระทรวงเกษตรฯ จะใช้หลักการตลาดนําการผลิต วิเคราะห์แนวโน้มความต้องการของตลาดและส่งเสริมการปลูกพืชที่จะสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรโดยใช้โมเดลการปลูกข้าวโพดเป็นแนวทางในการดําเนินงานส่งเสริมปลูกพืชอื่นๆ อาทิ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง พืชผักต่างๆ ฯลฯ ต่อไป
ด้านนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างความสําเร็จในแปลงนําร่องเป็นของนายสมพร แตงน้อย เนื้อที่ 10 ไร่ เพาะปลูกเดือนสิงหาคม 2561 และเก็บเกี่ยวผลผลิตเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.61 ขายให้กับสหกรณ์การเกษตรบ้านหม้อ จํากัด ในระดับความชื้นที่ 28% ราคา 7.20 บาท/กก. ทําให้มีรายได้ 86,400 บาท และมีกําไรเฉลี่ยไร่ละ 4,850 บาท ส่วนแปลงของนายทองเหลือ มูลนิล สมาชิกสหกรณ์ ที่รมว.กษ. เป็นประธานในการเก็บเกี่ยวข้าวโพดในแปลงนี้ มีเนื้อที่ปลูก 3 ไร่ ลงทุนไป 11,370 บาท เริ่มเพาะปลูกเมื่อวันที่ 3 กันยายน 61 และจะเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จทั้งหมดในวันนี้ คาดว่าจะได้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ประมาณ 1,200 ก.ก. ความชื้นประมาณ 27% ซึ่งสหกรณ์จะรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 8 บาท ทําให้นายทองเหลือ มีรายได้ทั้งสิ้น 28,800 บาท เมื่อหักต้นทุนในการเพาะปลูกผลิต 11,370 บาท จะมีกําไร 17,430 บาท และได้กําไรเฉลี่ย 5,810 บาทต่อไร่.
กลุ่มงานโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews60@gmail.com
moac58@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18020
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561
|
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561
ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ“ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ แห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
รัฐบาลนี้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ด้วยนโยบาย "ไทยแลนด์4.0"ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมีความก้าวหน้าตามลําดับ ตามแผนที่วางไว้ สิ่งที่จะเล่าให้พี่น้องประชาชนฟังในวันนี้ก็เป็นแนวคิดที่จะเร่งรัดการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ประสบความสําเร็จเร็วขึ้น ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า "BCG" Bก็คือ เศรษฐกิจชีวภาพCก็คือ เศรษฐกิจหมุนเวียน และGคือ เศรษฐกิจสีเขียว หลายท่านคงจะสงสัยว่า ทําไมรัฐบาลจึงจะนําแนวคิดเศรษฐกิจทั้ง3มาหลอมรวมเพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งผมก็มีหลักคิด3ประการก็คือ (1)โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (หรือBCG)ทั้ง3เรื่องนั้น จะสอดรับกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่9(2)เศรษฐกิจBCGจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างถ้วนหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ (3)เศรษฐกิจBCGเป็นรูปแบบเศรษฐกิจที่จะนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือSDGขององค์การสหประชาชาติ ที่ต้องการร่วมกันพัฒนาความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติ และดูแลโลกของเราในทุกมิติซึ่งผมขอขยายความดังนี้ครับ
เศรษฐกิจชีวภาพหรือBio – Economyเป็นการพัฒนาความเข้มแข็งจากภายใน หรือศักยภาพที่เรามีอยู่แล้วในตัวของเราเอง ประกอบไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และการเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรของโลก ด้วยการประยุกต์ใช้ความรู้ ร่วมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาพัฒนาต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรชีวภาพ และผลผลิตทางการเกษตรโดยเน้นสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมายในบ้านเมืองเรา เพียงแต่เราต้องไม่หยุดค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ ประยุกต์จากตัวอย่างความสําเร็จของผู้อื่น และไม่ปิดรับความเปลี่ยนแปลงของโลก อาทิ ข้าวไรซ์เบอรี่ ซึ่งเป็นข้าวที่มีมูลค่าสูง ที่ได้รับการพัฒนาให้มีลักษณะดีด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่สารสกัดจากพืชสมุนไพรเพื่อใช้เป็นเครื่องสําอางหรืออาหารเสริม ซึ่งเพิ่มคุณค่าให้กับสมุนไพรไทยหลายเท่าตัว การผลิตเอทานอล และไบโอดีเซล สําหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่งของประเทศ ช่วยลดการนําเข้าน้ํามันได้ปีละนับแสนล้านบาทจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจชีวภาพนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ภาคเกษตรกรรมของประเทศ ได้สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตดั้งเดิม ซึ่งคงไม่ใช่การขายเป็นวัตถุดิบ แต่เป็นการขายสินค้าแปรรูป โดยอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ ๆ ดังนั้นเราถือได้ว่าเศรษฐกิจชีวภาพจะเป็นกลไกสําคัญในการส่งเสริมการกระจายรายได้และความเจริญ ไปยังสู่ภาคส่วนต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ที่สําคัญเศรษฐกิจชีวภาพมีความเกี่ยวเนื่องกับการจ้างงานในระบบไม่น้อยกว่า16.5ล้านคน ทั้งในภาคเกษตรอุตสาหกรรมและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งนับว่ามากถึงร้อยละ50ของจํานวนแรงงานในปัจจุบัน คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ราว3ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ21ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
สําหรับเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นระบบเศรษฐกิจที่มุ่งสร้างมูลค่าสูงสุดจากทรัพยากรธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการลดของเสียลงให้ น้อยที่สุด หรือเป็นศูนย์ (Zero waste)ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต เพื่อลดการใช้น้ํา พลังงาน แต่เพิ่มการใช้เทคโนโลยีสะอาดมากขึ้นอีกทั้ง ให้ความสําคัญกับการป้องกันการเกิดของเสีย และ คํานึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ กระบวนการผลิต การเลือกใช้วัสดุที่สามารถนํามาใช้ซ้ําได้ หรือนําของเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตมาแปรสภาพ เพื่อกลับมาใช้ในรูปแบบอื่น ๆ ได้
สําหรับตัวอย่างของเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทย เช่น การนําน้ําเสีย หรือของเสีย หลังจากกระบวนการผลิตแอลกอฮอล์ไปใช้เป็นปุ๋ย ทําให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมี ทั้งนี้ เศรษฐกิจหมุนเวียนจะมีส่วนสําคัญในการแก้ปัญหาขยะที่เพิ่มขึ้นทุกปี จากปริมาณ24ล้านตันในปี2551เป็น27ล้านตันในปี2560แต่ละปีจะมีขยะตกค้างเป็นจํานวนมาก ถูกทิ้งลงแม่น้ํา ลําคลอง และท้องทะเล ก็ทําให้คุณภาพแหล่งน้ําเสื่อมโทรม สัตว์น้ําเสียชีวิตจากการกินขยะในทะเล แนวทางการแก้ปัญหาที่ทําไปแล้วมีทั้งการรณรงค์ลดใช้พลาสติก การใช้พลาสติกอื่น ๆ ด้วย หรือนําพลาสติกกลับมาใช้ซ้ําใหม่ ภาคธุรกิจมองหาแนวทางแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง ได้แก่ การค้นคว้า วิจัย และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่บางและเบา มีความแข็งแรงทนทานและสามารถนํากลับมาใช้ใหม่ได้ อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ การนําขยะที่เน่าเสียได้ ไปหมักจนเกิดเป็นก๊าซชีวภาพ แล้วนํามาใช้ในการหุงต้ม ทําให้เกิดการหมุนเวียนจากของเสียไปเป็นพลังงาน แต่ทั้งหมดจะสําเร็จไม่ได้เลย ถ้าพวกเราทุกคนไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง ไม่แยกขยะ ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลืองให้ลดน้อยลง
ส่วนเศรษฐกิจสีเขียวนั้น เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่เข้ามาแก้ปัญหาโลกในปัจจุบัน ที่กําลังเผชิญกับความเสียสมดุล อันเป็นผลกระทบมาจากอดีต จากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก และนําไปสู่ความต้องการอุปโภค-บริโภคที่เพิ่มขึ้น ทั้งด้านอาหารและพลังงาน ความต้องการพื้นที่ทําการเกษตรและที่อยู่อาศัย อีกทั้งการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ทําให้ทรัพยากรลดจํานวนลงไปมาก บางส่วนเสื่อมโทรม มีการปล่อยของเสียออกสู่สิ่งแวดล้อมเป็นจํานวนมาก เกินความสามารถของโลก ที่จะรองรับได้ดังนั้น เศรษฐกิจที่พัฒนาด้วยการคํานึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม และความตระหนักถึงคุณค่า จึงเป็นเศรษฐกิจที่ทุกประเทศต้องนําไปเป็นแนวทางพัฒนา หากทุกประเทศมุ่งแต่จะสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไม่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสมดุลทางธรรมชาติด้วยความต้องการที่มากมายดังกล่าวที่นับวันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็เคยมีคนประเมินว่า ในอีก30ปีข้างหน้า โลกอีก3ใบ ก็ยังไม่สามารถรองรับความต้องการของมนุษย์ได้ ดังนั้น เราทุกคน ทุกประเทศจําเป็นต้องให้ความสําคัญกับการพัฒนาประเทศ ที่สมดุล อย่างยั่งยืน จึงได้ชื่อว่ายุค4.0นะครับ
ที่ผ่านมานั้น เราทุกคนได้ประสบกับผลกระทบจากความแปรปรวนของภูมิอากาศ ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ความรุนแรงของภัยธรรมชาติ น้ําท่วม ฝนแล้ง พายุ ก็ส่งผลกระทบโดยอ้อมกับบางอาชีพ แต่กระทบโดยตรงกับพี่น้องเกษตรกรของเรา ทั้งนี้ แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวนั้น นอกจากต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแล้ว ยังต้องมีนโยบายและการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่ การบริการใหม่ รวมถึงแพลตฟอร์มใหม่ ๆ มากกว่าเพียงแค่เพิ่มคุณค่า แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยต้องใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากขึ้น ประกอบกับการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม ตัวอย่างที่เราสามารถช่วยกันทําได้ทันที อาทิ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการเกษตรที่ใช้ สารชีวภัณฑ์ทดแทนสารเคมี การใช้พันธุ์พืชให้มีคุณสมบัติต้านทานโรค เพื่อลดการใช้สารฆ่าแมลง ซึ่งเป็นผลเสียต่อตัวเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม การผลิตในอุตสาหกรรมที่เกิดของเสียน้อยที่สุด หรือนําของเสียมาใช้ใหม่ เป็นต้น ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ จะดําเนินการในระยะต่อไป คือการเร่งลงทุนทางด้านการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสม
สําหรับประเทศไทยของเราเองนั้น โดยจะต้องเปลี่ยนจากผู้ซื้อมาเป็นผู้ส่งออกนวัตกรรม ในทุกภาคการผลิต และภาคบริการ เพื่อสนับสนุนการพัฒนา เศรษฐกิจBCGหรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ และยั่งยืน ซึ่งความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคน ถือว่าเป็นพลังสําคัญที่จะทําให้ประเทศไทยก้าวเดินไปสู่จุดหมายได้อย่างที่ตั้งใจไว้ครับ
ช่วงนี้ เป็นปลายฤดูฝน รัฐบาลก็ขอชวนพี่น้องเกษตรกรให้มองไปข้างหน้า โดยนําเอาปัญหาในอดีต มาเป็นโจทย์ให้ช่วยกันขบคิด ก็ไม่อยากให้เกิดปัญหาซ้ําซ้อน อาทิ การทํานาปรังหรือปลูกข้าวนอกฤดูทํานาจนมีผลผลิตล้นตลาด ทําให้ราคาข้าวตกต่ํา วนเวียนทุกปี ดังนั้น ครม. จึงอนุมัติหลักการโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา เนื่องจากพบว่าราคาข้าวในปัจจุบันมีราคาสูงขึ้น โดยวิธีป้องกันไม่ให้ราคาข้าวตกนั้น ส่วนหนึ่งคือไม่ปล่อยให้เกษตรกรฝากชีวิตไว้กับการปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว ให้ปลูกพืชชนิดอื่นด้วย แต่ต้องเป็นพืชที่ตลาดต้องการ และอยู่ในพื้นที่ที่สามารถบริหารจัดการเรื่องน้ําได้ ซึ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นพืชชนิดหนึ่งที่ตลาดมีความต้องการสูงแต่ละปีผู้ประกอบกิจการเลี้ยงสัตว์ต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปีละ8ล้านตัน ในขณะที่เราสามารถผลิตได้ เพียงปีละ4ล้านตัน ยังมีความต้องการอีก4ล้านตัน จึงตั้งเป้าหมายให้ดําเนินการในพื้นที่33จังหวัด โดยรัฐบาลไม่ได้ให้เงินไร่ละ2,000บาทแบบให้เปล่า เหมือนที่ผ่าน ๆ มาแต่ครั้งนี้รัฐบาลจะให้สินเชื่อ คือให้กู้วงเงินไร่ละ2,000บาท ไม่เกิน15ไร่ต่อราย และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ4ต่อปี แต่เก็บเกษตรกร หรือสถาบันเกษตรกร ร้อยละ0.01ที่เหลือ ร้อยละ3.99รัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. เป็นระยะเวลา6เดือนอย่างไรก็ตามได้ขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการ ให้รับซื้อข้าวโพดในราคาไม่ต่ํากว่ากิโลกรัมละ8บาท ซึ่งเขาก็ตอบรับ ก็ขอให้ช่วยกันด้วยครับ ทั้งนี้ หากเกษตรกรทําได้ตามกติกาจะมีกําไรตันละ2,000 - 3,000บาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกข้าวแล้วต่างกันมาก ทั้งนี้ ถือเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ที่ทําให้เกษตรกรสามารถมีพืชที่จะปลูกแล้วเป็นรายได้ดีกว่าการปลูกข้าว และไม่ทําให้ปริมาณข้าวล้นตลาด ราคาไม่ตก นี่คือความพยายามในการแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรทั้งระบบ ไม่ใช่ลักษณะที่ใครอยากปลูกข้าวก็ปลูกตามอําเภอใจ เพราะทุกอย่างต้องมีการบริหารจัดการและมองไปข้างหน้า เตรียมแผนป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ําซาก นี่คือหลักคิด และแนวทางการบริหารราชการของรัฐบาลนี้ในทุก ๆ เรื่อง ก็ต้องระวังเรื่องน้ําน้อย น้ํามาก เรื่องคุณภาพของดินด้วย เพราะบางพื้นที่ก็ปลูกได้ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าว แต่ก็ปลูกกันมาโดยตลอด วันนี้รัฐบาลก็หาทางออกให้สามารถจะปลูกพืชชนิดอื่นได้ ไม่ใช่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวหรือปลูกพืชที่มีราคาสูงขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับประชาชน บังคับก็ไม่ได้ แต่ท่านก็ต้องทบทวนตัวเอง ต่อไปขาดทุนมากขึ้นแล้วจะทําอย่างไร รัฐบาลก็ดูแลในด้านการตลาดให้ด้วย
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
เราคงไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า "นวัตกรรม" มีความสําคัญกับประเทศของเราในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจBCGที่ได้กล่าวไปแล้ว รวมทั้งด้านอื่น ๆ ด้วย จากรายงานของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ระบุว่า ในปี2561นี้ ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับ ดัชนีชี้วัดความสามารถทางนวัตกรรม จากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO)ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์การเฉพาะทางของสหประชาชาติให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่44ของโลก จากทั้งหมด126ประเทศ ขยับอันดับดีขึ้นแบบก้าวกระโดด7อันดับ จากปีที่แล้วที่เคยอยู่อันดับที่51และยังเป็นการเลื่อนอันดับที่ดีขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่4นับจากปี2558 - 2561อีกทั้งยังเป็นประเทศที่อยู่ในอันดับที่5ของโลกในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง น่ายินดีนะครับ ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาความสามารถทางนวัตกรรมที่ดีที่สุดอีกด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทุกภาคส่วน และความจริงใจของรัฐบาล ในการขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ภายใต้นโยบาย "ไทยแลนด์4.0"ที่ถือเป็นกลไกสําคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาบ้านเมืองของเราโดยรัฐบาลเน้นกําหนดนโยบาย ปรับปรุงกฎระเบียบ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศ ที่เกื้อกูลต่อการเติบโตด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของทุกภาคส่วนในห่วงโซ่คุณค่า ทั้งบริษัทขนาดใหญ่SMEsหรือStartupให้สามารถเข้มแข็งและแข่งขันได้ ในโลกการค้าเสรีได้
ล่าสุดรัฐบาลมีนโยบายที่จะดึงวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ สตาร์ทอัพ เข้ามาช่วยในระบบบริหาร และบริการของรัฐ โดยการจัดงาน "สตาร์ทอัพ แฟร์" ภายใต้แนวคิด "ปลดล็อคข้อจํากัด พัฒนาสตาร์ทอัพ สู่ตลาดภาครัฐ" ในวันที่28 - 29กันยายน นี้ ณ ฮอลล์5-6อิมแพ็ค เมืองทองธานีเพื่อเบิกทางสตาร์ทอัพ สู่เส้นทางจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ นับว่าเป็นตลาดใหญ่ของสตาร์ทอัพที่มีมูลค่ากว่า30,000ล้านบาท (หรือ ร้อยละ1ของงบประมาณภาครัฐ) อีกทั้งเป็นการสร้างมิติใหม่ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพทางนวัตกรรมของภาครัฐ ที่มุ่งยกระดับการให้บริการประชาชนในวันข้างหน้า ในยุคดิจิทัล โดยคาดหวังว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายเกิดขึ้นในงานนี้ ประมาณ1,000ล้านบาทครับ
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ผ่านมานี้ ผมก็ได้พบปะ พูดคุย และเห็นศักยภาพตัวแทนสตาร์ทอัพ5ราย ที่ประสบความสําเร็จทางธุรกิจ และมีผลงานเป็นคู่ค้ากับภาครัฐแล้ว ซึ่งพร้อมที่จะมาเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนของภาครัฐ ได้แก่
(1)นวัตกรรมด้านความมั่นคง "แพลตฟอร์มระบบเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์" ที่สามารถเชื่อมโยงอุปกรณ์ได้จากหลายประเภท เช่น กล้องCCTV,กล้องติดยานพาหนะ,กล้องบุคคล,อากาศยานไร้คนขับให้ผู้ใช้ระบบ หรือผู้ควบคุมสถานการณ์ สามารถมองเห็น และวิเคราะห์ระบบได้จากทุกมุมมอง และทุกอุปกรณ์ไว้ในระบบเดียว
(2)นวัตกรรมแพลตฟอร์มสื่อกลาง ระหว่างจิตแพทย์ นักจิตวิทยา กับคนไข้ที่ช่วยให้สามารถพูดคุยออนไลน์ ปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตวิทยา ผ่านvideo callในคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือได้ เพื่อความเป็นส่วนตัว ปลอดภัย และมีระบบนัดแนะกันล่วงหน้าได้
(3)นวัตกรรมแอพพลิเคชั่นจองคิวร้านอาหารและศูนย์บริการ ครบวงจร ทราบว่าได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากสอดคล้องกับชีวิตประจําวัน และแก้ปัญหาพื้นฐานของทุก ๆ คน โดยเฉพาะระบบจองคิวโรงพยาบาล นัดหมอ และ แจ้งเตือนผ่านSmartphoneเป็นต้น ทําให้มียอดดาวน์โหลดครบ1ล้านคนแล้ว และมีผู้ใช้งานกว่า1แสน5หมื่นคนต่อเดือน
(4)นวัตกรรมโมเดลธุรกิจเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน ที่ชนะการประกวดโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (หรือBooking.com Booster2017)จากผู้ร่วมแข่งขัน700ทีม จาก102ประเทศทั่วโลก คว้าเงินรางวัลกว่า11ล้านบาท ซึ่งมีส่วนช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวกับชุมชน70แห่งทั่วประเทศ สร้างรายได้กลับคืนสู่ท้องถิ่นกว่า20ล้านบาท
และ (5)นวัตกรรมแพลตฟอร์มที่ช่วยจัดระเบียบงานอีเว้นท์ที่ส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจMICEซึ่งนับวันประเทศไทยของเรา จะเป็นจุดหมายปลายทาง ทั้งการท่องเที่ยว การจัดงานอีเว้นท์ต่าง ๆ ของทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศและต่างประเทศ ได้รับความสนใจอย่างมากในภูมิภาคนี้ ด้วยความพร้อมด้านต่าง ๆ และมาตรฐานการให้บริการ ซึ่งเราก็คงต้องช่วยกันรักษาภาพลักษณ์ที่ดีเหล่านั้นให้คงอยู่ต่อไป
สัปดาห์หน้า เราจะมีงานInnovation Thailand Expo2018ระหว่างวันที่4 - 7ตุลาคม นี้ณ ฮอลล์98ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยในปีนี้ สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้สร้างสรรค์งานขึ้นใหม่ ในรูปแบบเทศกาลนวัตกรรมเป็นครั้งแรกของประเทศโดยได้มีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนของประเทศ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสถาบันการศึกษา ตั้งแต่การให้ทุนวิจัย การพัฒนาทุนมนุษย์และงานจากวิจัย การใช้ประโยชน์งานวิจัย และการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อนําเสนอผลงานนวัตกรรมระดับประเทศ250ผลงาน จาก150หน่วยงาน ให้สมกับที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็น "ประเทศที่มีการพัฒนานวัตกรรมอย่างรวดเร็ว" ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจทุกท่านนะครับ
พี่น้องประชาชนครับ
มาตรการส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเพื่อความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม หรือ สิ่งแวดล้อมนั้น ไม่อาจจะประสบความสําเร็จได้ จากการจัดงาน จัดนิทรรศการ เท่านั้น เราต้องลงลึกไปถึงระบบการศึกษา ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ รัฐบาลก็มีหลาย ๆ มาตรการ อาทิ การอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ที่เกิดจากข้อตกลงระหว่างสถานศึกษากับ สถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ในเรื่องการจัดหลักสูตร การเรียนการสอน การวัดและการประเมินผล โดยผู้เรียนใช้เวลาส่วนหนึ่ง ในสถานศึกษาอาชีวศึกษา และเรียนภาคปฏิบัติในสถานประกอบการ พูดให้ง่าย ก็คือเป็นนักเรียนในโรงเรียนและเป็นพนักงานของสถานประกอบการไปด้วย จะได้ทั้งทักษะอาชีพจากการทํางานจริง ได้รับเบี้ยเลี้ยงจริง ได้ใบประกาศนียบัตรวิชาชีพ และใบรับรองการทํางานจากบริษัทอีกด้วย
วันนี้ผมมีกิจกรรมตัวอย่างเสริมหลักสูตร ได้แก่ โครงการเรื่องความปลอดภัยทางถนนของเด็กและเยาวชน ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคชัยนาท ซึ่งก็เป็นกิจกรรมส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสังคม โดยอาศัยการประชุมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมทําให้นักศึกษาอาชีวะได้รวมกลุ่มกันออกแบบ และทํากิจกรรม เพื่อให้ความรู้และตระหนักในเรื่องของความปลอดภัยบนถนน ของตนเอง ผู้อื่น และชุมชนนวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิSmart Helmetของช่างอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการแจ้งเตือนกรณีสวมหมวกนิรภัยไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่ สัญญาณเตือนขาตั้งรถของช่างยนต์ สําหรับการลืมเอาขาตั้งขึ้น ที่มักก่อให้เกิดอันตรายอยู่บ่อย ๆสื่อการสอนเรื่องความปลอดภัยให้น้อง ๆ ชั้นอนุบาล ที่ออกแบบเป็นเกมให้เล่น เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องของความปลอดภัยทางถนน และรู้จักสัญลักษณ์ต่าง ๆ หรือ สื่อประชาสัมพันธ์ในเรื่องของการตรวจสอบคุณภาพรถมอเตอร์ไซค์ก่อนขับขี่ เป็นต้น
โครงการดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพระปกเกล้า และมูลนิธิประชาปลอดภัย ภายใต้โครงการ "การขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน กรณีศึกษาการใช้แนวคิดประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ในกลุ่มเยาวชนไทย เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยทางถนน"เพื่อเตรียมความพร้อมของคนในสังคมโดยดึงเยาวชนในสถานศึกษาให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม และปลูกฝังจิตสํานึกความปลอดภัยบนท้องถนน ทั้งนี้ ประเทศไทยถูกจัดว่ามีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง รัฐบาลจึงต้องให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างความปลอดภัยด้านการจราจร และถือเป็นเรื่องที่ต้องรีบดําเนินการบูรณาการให้เกิดผลอีกทั้งจะต้องสอดรับกับการประชุมระดับโลก ว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บ และส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่13ซึ่งปีนี้จะจัดขึ้นช่วงวันที่5 - 7พฤศจิกายน ศกนี้ ณ กรุงเทพมหานคร โดยองค์การอนามัยโลกกับรัฐบาลไทย ที่มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพกิจกรรมของเด็กอาชีวะครั้งนี้ ทราบว่าประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี เมื่อสิ้นสุดโครงการและถอดบทเรียนแล้ว นักศึกษาบอกว่าพวกเขามีความภูมิใจ มีความตระหนักรู้ในเรื่องของความปลอดภัยมากขึ้นผมเห็นว่าสมควรที่จะขยายผลในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อลดการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จากภัยทางถนนเป็นกรณีที่เราต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
พี่น้องประชาชนที่เคารพทุกท่านครับ
"ทุนมนุษย์" เป็นปัจจัยสําคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยรัฐบาลนี้มีนโยบายสาธารณะและมาตรการต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกมิติ และทุกช่วงวัยมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา4ปีที่ผ่านมา อาทิ งานดูแลสุขภาพประชาชน ตามกรอบไทยนิยม ยั่งยืน ของกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย4กิจกรรมหลัก ได้แก่
(1)โครงการ อสม.4.0โดยการยกระดับศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ทั่วประเทศ กว่า1ล้านคน ให้สามารถปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในชุมชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด
(2)โครงการมหัศจรรย์1,000วัน คือการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ผ่านเครือข่ายชุมชน ให้เติบโตสมวัย สมส่วน เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และเป็นพลเมืองดีของบ้านเมือง
(3)โครงการสร้างอาชีพสําหรับผู้ลงทะเบียนรายได้น้อยเช่น การเพิ่มพูนทักษะ ความรู้ความสามารถ ในการนวดไทยเพื่อสุขภาพ สามารถนําไปประกอบอาชีพได้ สร้างรายได้เลี้ยงดูตนเอง และครอบครัว รวมทั้งการสร้างผู้ช่วยพยาบาล เพื่อสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล ให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
และ (4)โครงการติดตามผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ผ่านกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและระบบสุขภาพอําเภอ (พชอ.) เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีสุขภาพแข็งแรง มีครอบครัวที่อบอุ่น มีสังคมที่ปลอดภัยจากยาเสพติด
ทั้งนี้ โครงการของ พชอ. เป็นกลไกที่ส่งเสริมการทํางานแบบประชารัฐ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น โดยเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ขยะ และสิ่งแวดล้อมเป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีโครงการหมอครอบครัวซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า การจัดให้มีหมอประจําครอบครัวจะสามารถลดค่าเดินทางไปโรงพยาบาลของประชาชนได้1,655บาทต่อคน ลดเวลาในการรอคอยในโรงพยาบาลใหญ่ได้44นาที จากเดิม3ชั่วโมงลดการตายในทารกแรกเกิดได้ร้อยละ10 - 40และลดค่าใช้จ่ายสุขภาพได้ถึงร้อยละ25 - 30ที่สําคัญก็คือ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ ปีละ50,000ล้านบาท เป็นต้น
ล่าสุดสํานักข่าว "บลูมเบิร์ก" ได้จัดทําดัชนีประสิทธิภาพระบบสุขภาพ เพื่อจัดอันดับประเทศที่มีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพ ซึ่งคํานวณเปรียบเทียบระหว่างค่าใช้จ่ายกับอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนในประเทศ ในปี2561นี้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่27ของโลก จาก56ประเทศ ดีขึ้นจากปีที่แล้วถึง14อันดับ ก็นับว่าเป็นประเทศที่สามารถพัฒนาอย่าง ก้าวกระโดดมากที่สุดในดัชนีนี้ เราทํามาต่อเนื่อง ทําให้ดีขึ้น โดยค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพของไทยต่อประชากร1คนนั้นอยู่ที่7,086บาท มากกว่าเดิมเยอะครับ และอายุเฉลี่ยของประชากรไทยในปีนี้ก็อายุยืนขึ้น ถึง75ปีนอกจากนี้ ในรายงานยังระบุด้วยว่าเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากอีกด้วย หากจัดอันดับภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแล้ว ไทยอยู่ในอันดับที่9
ในขณะที่องค์การอนามัยโลกชื่นชมประเทศไทย ว่าเป็นต้นแบบ และแหล่งเรียนรู้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเห็นว่าเป็นระบบที่ยั่งยืน เพราะสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนได้อย่างเข้มแข็ง ปัจจุบันมีคนไทยกว่า48.8ล้านคน (73.7 %)จากจํานวนประชากรราว61ล้านคน ที่มีสิทธิ์ในหลักประกันสุขภาพ ที่ช่วยคุ้มครองดูแลสุขภาพในด้านการรักษาโรค ป้องกันโรค ส่งเสริมสุขภาพ และฟื้นฟูสมรรถภาพ ตามข้อบ่งชี้ของแพทย์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างไรก็ตาม หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (30บาท รักษาทุกโรค) ยังคงมี ความไม่สมบูรณ์ ในการขอรับบริการด้านสุขภาพ หลายประการ ได้แก่
(1)รักษาได้เฉพาะโรงพยาบาลรัฐ อาจจะสร้างความลําบากให้กับผู้ที่อยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาลรัฐมาก
(2)ไม่คุ้มครองการรักษาที่เกินความจําเป็นพื้นฐาน เช่น การผสมเทียม เพื่อมีบุตร การรักษากรณีที่มีบุตรยาก การบริการทางการแพทย์เพื่อความสวยงาม การเปลี่ยนแปลงเพศ เป็นต้น
(3)ไม่คุ้มครองการรักษาที่มีงบประมาณจัดสรรโดยเฉพาะ เช่น โรคจิต หรืออาการป่วยทางจิต ซึ่งทางการแพทย์จําเป็นต้องรับไว้ เพื่อการรักษาและฟื้นฟูจิตใจของผู้ป่วย โดยให้เป็นผู้ป่วยใน เกินกว่า15วัน การบําบัดผู้ติดยาเสพติด ผู้ที่เกิดอุบัติเหตุทางรถ โดยมี พ.ร.บ. คุ้มครองอยู่ ซึ่งจะต้องใช้สิทธิ พ.ร.บ. ให้ครบก่อน
(4)ไม่คุ้มครองกรณีโรคเรื้อรัง และโรคที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน เกินกว่า180วัน ยกเว้นหากมีความจําเป็นจริง ๆ เช่น เกิดภาวะแทรกซ้อน จึงต้องรักษายาวนานขึ้น เป็นต้น
ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลนี้ ได้ยกระดับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าดังกล่าว โดยการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ใช้สิทธิและเพิ่มเติมในเรื่องยา วัคซีน อุปกรณ์การแพทย์และการให้บริการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอาทิ
(1)การเปิดคลินิกพิเศษนอกเวลา สําหรับโรงพยาบาลที่มีความพร้อม เพื่อรองรับกลุ่มคนที่ประสงค์มารับบริการในช่วงเย็น และสมัครใจจ่ายค่าบริการบางส่วนเอง
(2)การเร่งรัดจัดทําชุดสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะเป็นสิทธิประโยชน์ที่ประชาชน ทุกคนในทุกสิทธิประกันสุขภาพภาครัฐได้รับเหมือนกัน
(3)รัฐบาลไทยสนับสนุนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร้อยละ100โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งประชาชนทั่วไป ประชาชนในกลุ่มเปราะบาง กองทุนสุขภาพท้องถิ่นและการดูแลผู้สูงอายุ
(4)การเข้าถึงสิทธิและบริการของกลุ่มเปราะบาง ตามบริบทของพื้นที่ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีปัญหาในการเข้าถึงบริการสุขภาพ อาทิ ประชาชนที่อยู่ตามพื้นที่ชายขอบ ผู้ต้องขัง พระสงฆ์ และผู้พิการ เป็นต้น
(5)การมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อกระตุ้นและเร่งดําเนินกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น ในการส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค
(6)การดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ ทั้งที่ดําเนินการผ่านกลไก "กองทุนระบบการดูแลระยะยาว" ด้านสาธารณสุข สําหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีภาวะเจ็บป่วยมาก และค่าใช้จ่ายสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้น
และ (7)สิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต รักษาฟรี ภายใน72ชั่วโมง หรือUCEPสําหรับอาการ "เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่" กรณีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนนอกคู่สัญญา3กองทุน (ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า,กองทุนประกันสังคม และ กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ)
ซึ่งในอนาคตเราจะขยายไปยังกองทุนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความครอบคลุม ไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ําในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต อันจะทําให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงบริการอย่างปลอดภัยโดยไม่มีเงื่อนไขในการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรค หรือเป็นความเสี่ยงของการดูแลรักษา ซึ่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ภายใน72ชั่วโมง หรือพ้นภาวะวิกฤต ทุกสิทธิ ทุกโรงพยาบาล เป็นต้น
ขอบคุณนะครับ นี่ก็เป็นการพัฒนาในด้านการสาธารณสุขของประเทศไทย เราทําหลายอย่าง เรื่องของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ต้องทําให้ดีกว่าเดิม เพราะในเมื่อเราตั้งขึ้นมาแล้ว ต้องทําให้ดีขึ้น แก้ปัญหาเก่า ๆ ให้ดีขึ้น แล้วมองไปข้างหน้า เราจะเดินไปข้างหน้าอย่างไรในเรื่องเหล่านี้ เพราะมีการใช้จ่ายงบประมาณสูงขึ้นทุกปี ๆ
ขอบคุณอีกครั้ง ขอให้ทุกคนมีสวัสดิภาพและปลอดภัย ทุกครอบครัวมีความสุขนะครับ สวัสดีครับ
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561
ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ“ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ แห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
รัฐบาลนี้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ด้วยนโยบาย "ไทยแลนด์4.0"ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งมีความก้าวหน้าตามลําดับ ตามแผนที่วางไว้ สิ่งที่จะเล่าให้พี่น้องประชาชนฟังในวันนี้ก็เป็นแนวคิดที่จะเร่งรัดการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ประสบความสําเร็จเร็วขึ้น ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า "BCG" Bก็คือ เศรษฐกิจชีวภาพCก็คือ เศรษฐกิจหมุนเวียน และGคือ เศรษฐกิจสีเขียว หลายท่านคงจะสงสัยว่า ทําไมรัฐบาลจึงจะนําแนวคิดเศรษฐกิจทั้ง3มาหลอมรวมเพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งผมก็มีหลักคิด3ประการก็คือ (1)โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (หรือBCG)ทั้ง3เรื่องนั้น จะสอดรับกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่9(2)เศรษฐกิจBCGจะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างถ้วนหน้า โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ (3)เศรษฐกิจBCGเป็นรูปแบบเศรษฐกิจที่จะนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหรือSDGขององค์การสหประชาชาติ ที่ต้องการร่วมกันพัฒนาความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติ และดูแลโลกของเราในทุกมิติซึ่งผมขอขยายความดังนี้ครับ
เศรษฐกิจชีวภาพหรือBio – Economyเป็นการพัฒนาความเข้มแข็งจากภายใน หรือศักยภาพที่เรามีอยู่แล้วในตัวของเราเอง ประกอบไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และการเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรของโลก ด้วยการประยุกต์ใช้ความรู้ ร่วมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาพัฒนาต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรชีวภาพ และผลผลิตทางการเกษตรโดยเน้นสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมายในบ้านเมืองเรา เพียงแต่เราต้องไม่หยุดค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ ประยุกต์จากตัวอย่างความสําเร็จของผู้อื่น และไม่ปิดรับความเปลี่ยนแปลงของโลก อาทิ ข้าวไรซ์เบอรี่ ซึ่งเป็นข้าวที่มีมูลค่าสูง ที่ได้รับการพัฒนาให้มีลักษณะดีด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่สารสกัดจากพืชสมุนไพรเพื่อใช้เป็นเครื่องสําอางหรืออาหารเสริม ซึ่งเพิ่มคุณค่าให้กับสมุนไพรไทยหลายเท่าตัว การผลิตเอทานอล และไบโอดีเซล สําหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่งของประเทศ ช่วยลดการนําเข้าน้ํามันได้ปีละนับแสนล้านบาทจะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจชีวภาพนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ภาคเกษตรกรรมของประเทศ ได้สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตดั้งเดิม ซึ่งคงไม่ใช่การขายเป็นวัตถุดิบ แต่เป็นการขายสินค้าแปรรูป โดยอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ ๆ ดังนั้นเราถือได้ว่าเศรษฐกิจชีวภาพจะเป็นกลไกสําคัญในการส่งเสริมการกระจายรายได้และความเจริญ ไปยังสู่ภาคส่วนต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ที่สําคัญเศรษฐกิจชีวภาพมีความเกี่ยวเนื่องกับการจ้างงานในระบบไม่น้อยกว่า16.5ล้านคน ทั้งในภาคเกษตรอุตสาหกรรมและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งนับว่ามากถึงร้อยละ50ของจํานวนแรงงานในปัจจุบัน คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ราว3ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ21ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
สําหรับเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นระบบเศรษฐกิจที่มุ่งสร้างมูลค่าสูงสุดจากทรัพยากรธรรมชาติ ควบคู่ไปกับการลดของเสียลงให้ น้อยที่สุด หรือเป็นศูนย์ (Zero waste)ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต เพื่อลดการใช้น้ํา พลังงาน แต่เพิ่มการใช้เทคโนโลยีสะอาดมากขึ้นอีกทั้ง ให้ความสําคัญกับการป้องกันการเกิดของเสีย และ คํานึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ กระบวนการผลิต การเลือกใช้วัสดุที่สามารถนํามาใช้ซ้ําได้ หรือนําของเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตมาแปรสภาพ เพื่อกลับมาใช้ในรูปแบบอื่น ๆ ได้
สําหรับตัวอย่างของเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศไทย เช่น การนําน้ําเสีย หรือของเสีย หลังจากกระบวนการผลิตแอลกอฮอล์ไปใช้เป็นปุ๋ย ทําให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมี ทั้งนี้ เศรษฐกิจหมุนเวียนจะมีส่วนสําคัญในการแก้ปัญหาขยะที่เพิ่มขึ้นทุกปี จากปริมาณ24ล้านตันในปี2551เป็น27ล้านตันในปี2560แต่ละปีจะมีขยะตกค้างเป็นจํานวนมาก ถูกทิ้งลงแม่น้ํา ลําคลอง และท้องทะเล ก็ทําให้คุณภาพแหล่งน้ําเสื่อมโทรม สัตว์น้ําเสียชีวิตจากการกินขยะในทะเล แนวทางการแก้ปัญหาที่ทําไปแล้วมีทั้งการรณรงค์ลดใช้พลาสติก การใช้พลาสติกอื่น ๆ ด้วย หรือนําพลาสติกกลับมาใช้ซ้ําใหม่ ภาคธุรกิจมองหาแนวทางแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง ได้แก่ การค้นคว้า วิจัย และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่บางและเบา มีความแข็งแรงทนทานและสามารถนํากลับมาใช้ใหม่ได้ อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ การนําขยะที่เน่าเสียได้ ไปหมักจนเกิดเป็นก๊าซชีวภาพ แล้วนํามาใช้ในการหุงต้ม ทําให้เกิดการหมุนเวียนจากของเสียไปเป็นพลังงาน แต่ทั้งหมดจะสําเร็จไม่ได้เลย ถ้าพวกเราทุกคนไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง ไม่แยกขยะ ไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลืองให้ลดน้อยลง
ส่วนเศรษฐกิจสีเขียวนั้น เป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่เข้ามาแก้ปัญหาโลกในปัจจุบัน ที่กําลังเผชิญกับความเสียสมดุล อันเป็นผลกระทบมาจากอดีต จากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก และนําไปสู่ความต้องการอุปโภค-บริโภคที่เพิ่มขึ้น ทั้งด้านอาหารและพลังงาน ความต้องการพื้นที่ทําการเกษตรและที่อยู่อาศัย อีกทั้งการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง ทําให้ทรัพยากรลดจํานวนลงไปมาก บางส่วนเสื่อมโทรม มีการปล่อยของเสียออกสู่สิ่งแวดล้อมเป็นจํานวนมาก เกินความสามารถของโลก ที่จะรองรับได้ดังนั้น เศรษฐกิจที่พัฒนาด้วยการคํานึงถึงความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม และความตระหนักถึงคุณค่า จึงเป็นเศรษฐกิจที่ทุกประเทศต้องนําไปเป็นแนวทางพัฒนา หากทุกประเทศมุ่งแต่จะสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไม่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสมดุลทางธรรมชาติด้วยความต้องการที่มากมายดังกล่าวที่นับวันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็เคยมีคนประเมินว่า ในอีก30ปีข้างหน้า โลกอีก3ใบ ก็ยังไม่สามารถรองรับความต้องการของมนุษย์ได้ ดังนั้น เราทุกคน ทุกประเทศจําเป็นต้องให้ความสําคัญกับการพัฒนาประเทศ ที่สมดุล อย่างยั่งยืน จึงได้ชื่อว่ายุค4.0นะครับ
ที่ผ่านมานั้น เราทุกคนได้ประสบกับผลกระทบจากความแปรปรวนของภูมิอากาศ ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ความรุนแรงของภัยธรรมชาติ น้ําท่วม ฝนแล้ง พายุ ก็ส่งผลกระทบโดยอ้อมกับบางอาชีพ แต่กระทบโดยตรงกับพี่น้องเกษตรกรของเรา ทั้งนี้ แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวนั้น นอกจากต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแล้ว ยังต้องมีนโยบายและการบริหารจัดการที่เหมาะสมเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ ผลิตภัณฑ์ใหม่ การบริการใหม่ รวมถึงแพลตฟอร์มใหม่ ๆ มากกว่าเพียงแค่เพิ่มคุณค่า แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยต้องใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่ามากขึ้น ประกอบกับการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม ตัวอย่างที่เราสามารถช่วยกันทําได้ทันที อาทิ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านการเกษตรที่ใช้ สารชีวภัณฑ์ทดแทนสารเคมี การใช้พันธุ์พืชให้มีคุณสมบัติต้านทานโรค เพื่อลดการใช้สารฆ่าแมลง ซึ่งเป็นผลเสียต่อตัวเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม การผลิตในอุตสาหกรรมที่เกิดของเสียน้อยที่สุด หรือนําของเสียมาใช้ใหม่ เป็นต้น ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ จะดําเนินการในระยะต่อไป คือการเร่งลงทุนทางด้านการวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อการสร้างและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสม
สําหรับประเทศไทยของเราเองนั้น โดยจะต้องเปลี่ยนจากผู้ซื้อมาเป็นผู้ส่งออกนวัตกรรม ในทุกภาคการผลิต และภาคบริการ เพื่อสนับสนุนการพัฒนา เศรษฐกิจBCGหรือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ และยั่งยืน ซึ่งความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคน ถือว่าเป็นพลังสําคัญที่จะทําให้ประเทศไทยก้าวเดินไปสู่จุดหมายได้อย่างที่ตั้งใจไว้ครับ
ช่วงนี้ เป็นปลายฤดูฝน รัฐบาลก็ขอชวนพี่น้องเกษตรกรให้มองไปข้างหน้า โดยนําเอาปัญหาในอดีต มาเป็นโจทย์ให้ช่วยกันขบคิด ก็ไม่อยากให้เกิดปัญหาซ้ําซ้อน อาทิ การทํานาปรังหรือปลูกข้าวนอกฤดูทํานาจนมีผลผลิตล้นตลาด ทําให้ราคาข้าวตกต่ํา วนเวียนทุกปี ดังนั้น ครม. จึงอนุมัติหลักการโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทํานา เนื่องจากพบว่าราคาข้าวในปัจจุบันมีราคาสูงขึ้น โดยวิธีป้องกันไม่ให้ราคาข้าวตกนั้น ส่วนหนึ่งคือไม่ปล่อยให้เกษตรกรฝากชีวิตไว้กับการปลูกข้าวเพียงอย่างเดียว ให้ปลูกพืชชนิดอื่นด้วย แต่ต้องเป็นพืชที่ตลาดต้องการ และอยู่ในพื้นที่ที่สามารถบริหารจัดการเรื่องน้ําได้ ซึ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นพืชชนิดหนึ่งที่ตลาดมีความต้องการสูงแต่ละปีผู้ประกอบกิจการเลี้ยงสัตว์ต้องการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปีละ8ล้านตัน ในขณะที่เราสามารถผลิตได้ เพียงปีละ4ล้านตัน ยังมีความต้องการอีก4ล้านตัน จึงตั้งเป้าหมายให้ดําเนินการในพื้นที่33จังหวัด โดยรัฐบาลไม่ได้ให้เงินไร่ละ2,000บาทแบบให้เปล่า เหมือนที่ผ่าน ๆ มาแต่ครั้งนี้รัฐบาลจะให้สินเชื่อ คือให้กู้วงเงินไร่ละ2,000บาท ไม่เกิน15ไร่ต่อราย และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ4ต่อปี แต่เก็บเกษตรกร หรือสถาบันเกษตรกร ร้อยละ0.01ที่เหลือ ร้อยละ3.99รัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. เป็นระยะเวลา6เดือนอย่างไรก็ตามได้ขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการ ให้รับซื้อข้าวโพดในราคาไม่ต่ํากว่ากิโลกรัมละ8บาท ซึ่งเขาก็ตอบรับ ก็ขอให้ช่วยกันด้วยครับ ทั้งนี้ หากเกษตรกรทําได้ตามกติกาจะมีกําไรตันละ2,000 - 3,000บาท ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกข้าวแล้วต่างกันมาก ทั้งนี้ ถือเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ที่ทําให้เกษตรกรสามารถมีพืชที่จะปลูกแล้วเป็นรายได้ดีกว่าการปลูกข้าว และไม่ทําให้ปริมาณข้าวล้นตลาด ราคาไม่ตก นี่คือความพยายามในการแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรทั้งระบบ ไม่ใช่ลักษณะที่ใครอยากปลูกข้าวก็ปลูกตามอําเภอใจ เพราะทุกอย่างต้องมีการบริหารจัดการและมองไปข้างหน้า เตรียมแผนป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ําซาก นี่คือหลักคิด และแนวทางการบริหารราชการของรัฐบาลนี้ในทุก ๆ เรื่อง ก็ต้องระวังเรื่องน้ําน้อย น้ํามาก เรื่องคุณภาพของดินด้วย เพราะบางพื้นที่ก็ปลูกได้ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าว แต่ก็ปลูกกันมาโดยตลอด วันนี้รัฐบาลก็หาทางออกให้สามารถจะปลูกพืชชนิดอื่นได้ ไม่ใช่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวหรือปลูกพืชที่มีราคาสูงขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับประชาชน บังคับก็ไม่ได้ แต่ท่านก็ต้องทบทวนตัวเอง ต่อไปขาดทุนมากขึ้นแล้วจะทําอย่างไร รัฐบาลก็ดูแลในด้านการตลาดให้ด้วย
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
เราคงไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า "นวัตกรรม" มีความสําคัญกับประเทศของเราในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจBCGที่ได้กล่าวไปแล้ว รวมทั้งด้านอื่น ๆ ด้วย จากรายงานของสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ระบุว่า ในปี2561นี้ ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับ ดัชนีชี้วัดความสามารถทางนวัตกรรม จากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาแห่งโลก (WIPO)ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์การเฉพาะทางของสหประชาชาติให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่44ของโลก จากทั้งหมด126ประเทศ ขยับอันดับดีขึ้นแบบก้าวกระโดด7อันดับ จากปีที่แล้วที่เคยอยู่อันดับที่51และยังเป็นการเลื่อนอันดับที่ดีขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่4นับจากปี2558 - 2561อีกทั้งยังเป็นประเทศที่อยู่ในอันดับที่5ของโลกในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง น่ายินดีนะครับ ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาความสามารถทางนวัตกรรมที่ดีที่สุดอีกด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของทุกภาคส่วน และความจริงใจของรัฐบาล ในการขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ภายใต้นโยบาย "ไทยแลนด์4.0"ที่ถือเป็นกลไกสําคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาบ้านเมืองของเราโดยรัฐบาลเน้นกําหนดนโยบาย ปรับปรุงกฎระเบียบ และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศ ที่เกื้อกูลต่อการเติบโตด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ของทุกภาคส่วนในห่วงโซ่คุณค่า ทั้งบริษัทขนาดใหญ่SMEsหรือStartupให้สามารถเข้มแข็งและแข่งขันได้ ในโลกการค้าเสรีได้
ล่าสุดรัฐบาลมีนโยบายที่จะดึงวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ สตาร์ทอัพ เข้ามาช่วยในระบบบริหาร และบริการของรัฐ โดยการจัดงาน "สตาร์ทอัพ แฟร์" ภายใต้แนวคิด "ปลดล็อคข้อจํากัด พัฒนาสตาร์ทอัพ สู่ตลาดภาครัฐ" ในวันที่28 - 29กันยายน นี้ ณ ฮอลล์5-6อิมแพ็ค เมืองทองธานีเพื่อเบิกทางสตาร์ทอัพ สู่เส้นทางจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ นับว่าเป็นตลาดใหญ่ของสตาร์ทอัพที่มีมูลค่ากว่า30,000ล้านบาท (หรือ ร้อยละ1ของงบประมาณภาครัฐ) อีกทั้งเป็นการสร้างมิติใหม่ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพทางนวัตกรรมของภาครัฐ ที่มุ่งยกระดับการให้บริการประชาชนในวันข้างหน้า ในยุคดิจิทัล โดยคาดหวังว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายเกิดขึ้นในงานนี้ ประมาณ1,000ล้านบาทครับ
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ผ่านมานี้ ผมก็ได้พบปะ พูดคุย และเห็นศักยภาพตัวแทนสตาร์ทอัพ5ราย ที่ประสบความสําเร็จทางธุรกิจ และมีผลงานเป็นคู่ค้ากับภาครัฐแล้ว ซึ่งพร้อมที่จะมาเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนของภาครัฐ ได้แก่
(1)นวัตกรรมด้านความมั่นคง "แพลตฟอร์มระบบเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์" ที่สามารถเชื่อมโยงอุปกรณ์ได้จากหลายประเภท เช่น กล้องCCTV,กล้องติดยานพาหนะ,กล้องบุคคล,อากาศยานไร้คนขับให้ผู้ใช้ระบบ หรือผู้ควบคุมสถานการณ์ สามารถมองเห็น และวิเคราะห์ระบบได้จากทุกมุมมอง และทุกอุปกรณ์ไว้ในระบบเดียว
(2)นวัตกรรมแพลตฟอร์มสื่อกลาง ระหว่างจิตแพทย์ นักจิตวิทยา กับคนไข้ที่ช่วยให้สามารถพูดคุยออนไลน์ ปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตวิทยา ผ่านvideo callในคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือได้ เพื่อความเป็นส่วนตัว ปลอดภัย และมีระบบนัดแนะกันล่วงหน้าได้
(3)นวัตกรรมแอพพลิเคชั่นจองคิวร้านอาหารและศูนย์บริการ ครบวงจร ทราบว่าได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากสอดคล้องกับชีวิตประจําวัน และแก้ปัญหาพื้นฐานของทุก ๆ คน โดยเฉพาะระบบจองคิวโรงพยาบาล นัดหมอ และ แจ้งเตือนผ่านSmartphoneเป็นต้น ทําให้มียอดดาวน์โหลดครบ1ล้านคนแล้ว และมีผู้ใช้งานกว่า1แสน5หมื่นคนต่อเดือน
(4)นวัตกรรมโมเดลธุรกิจเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน ที่ชนะการประกวดโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (หรือBooking.com Booster2017)จากผู้ร่วมแข่งขัน700ทีม จาก102ประเทศทั่วโลก คว้าเงินรางวัลกว่า11ล้านบาท ซึ่งมีส่วนช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวกับชุมชน70แห่งทั่วประเทศ สร้างรายได้กลับคืนสู่ท้องถิ่นกว่า20ล้านบาท
และ (5)นวัตกรรมแพลตฟอร์มที่ช่วยจัดระเบียบงานอีเว้นท์ที่ส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจMICEซึ่งนับวันประเทศไทยของเรา จะเป็นจุดหมายปลายทาง ทั้งการท่องเที่ยว การจัดงานอีเว้นท์ต่าง ๆ ของทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศและต่างประเทศ ได้รับความสนใจอย่างมากในภูมิภาคนี้ ด้วยความพร้อมด้านต่าง ๆ และมาตรฐานการให้บริการ ซึ่งเราก็คงต้องช่วยกันรักษาภาพลักษณ์ที่ดีเหล่านั้นให้คงอยู่ต่อไป
สัปดาห์หน้า เราจะมีงานInnovation Thailand Expo2018ระหว่างวันที่4 - 7ตุลาคม นี้ณ ฮอลล์98ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยในปีนี้ สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้สร้างสรรค์งานขึ้นใหม่ ในรูปแบบเทศกาลนวัตกรรมเป็นครั้งแรกของประเทศโดยได้มีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนของประเทศ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสถาบันการศึกษา ตั้งแต่การให้ทุนวิจัย การพัฒนาทุนมนุษย์และงานจากวิจัย การใช้ประโยชน์งานวิจัย และการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อนําเสนอผลงานนวัตกรรมระดับประเทศ250ผลงาน จาก150หน่วยงาน ให้สมกับที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็น "ประเทศที่มีการพัฒนานวัตกรรมอย่างรวดเร็ว" ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจทุกท่านนะครับ
พี่น้องประชาชนครับ
มาตรการส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเพื่อความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม หรือ สิ่งแวดล้อมนั้น ไม่อาจจะประสบความสําเร็จได้ จากการจัดงาน จัดนิทรรศการ เท่านั้น เราต้องลงลึกไปถึงระบบการศึกษา ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ รัฐบาลก็มีหลาย ๆ มาตรการ อาทิ การอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ที่เกิดจากข้อตกลงระหว่างสถานศึกษากับ สถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ ในเรื่องการจัดหลักสูตร การเรียนการสอน การวัดและการประเมินผล โดยผู้เรียนใช้เวลาส่วนหนึ่ง ในสถานศึกษาอาชีวศึกษา และเรียนภาคปฏิบัติในสถานประกอบการ พูดให้ง่าย ก็คือเป็นนักเรียนในโรงเรียนและเป็นพนักงานของสถานประกอบการไปด้วย จะได้ทั้งทักษะอาชีพจากการทํางานจริง ได้รับเบี้ยเลี้ยงจริง ได้ใบประกาศนียบัตรวิชาชีพ และใบรับรองการทํางานจากบริษัทอีกด้วย
วันนี้ผมมีกิจกรรมตัวอย่างเสริมหลักสูตร ได้แก่ โครงการเรื่องความปลอดภัยทางถนนของเด็กและเยาวชน ของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคชัยนาท ซึ่งก็เป็นกิจกรรมส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสังคม โดยอาศัยการประชุมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมทําให้นักศึกษาอาชีวะได้รวมกลุ่มกันออกแบบ และทํากิจกรรม เพื่อให้ความรู้และตระหนักในเรื่องของความปลอดภัยบนถนน ของตนเอง ผู้อื่น และชุมชนนวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิSmart Helmetของช่างอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการแจ้งเตือนกรณีสวมหมวกนิรภัยไม่เหมาะสม หรือ ไม่ได้สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่ สัญญาณเตือนขาตั้งรถของช่างยนต์ สําหรับการลืมเอาขาตั้งขึ้น ที่มักก่อให้เกิดอันตรายอยู่บ่อย ๆสื่อการสอนเรื่องความปลอดภัยให้น้อง ๆ ชั้นอนุบาล ที่ออกแบบเป็นเกมให้เล่น เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องของความปลอดภัยทางถนน และรู้จักสัญลักษณ์ต่าง ๆ หรือ สื่อประชาสัมพันธ์ในเรื่องของการตรวจสอบคุณภาพรถมอเตอร์ไซค์ก่อนขับขี่ เป็นต้น
โครงการดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพระปกเกล้า และมูลนิธิประชาปลอดภัย ภายใต้โครงการ "การขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน กรณีศึกษาการใช้แนวคิดประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ในกลุ่มเยาวชนไทย เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยทางถนน"เพื่อเตรียมความพร้อมของคนในสังคมโดยดึงเยาวชนในสถานศึกษาให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม และปลูกฝังจิตสํานึกความปลอดภัยบนท้องถนน ทั้งนี้ ประเทศไทยถูกจัดว่ามีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง รัฐบาลจึงต้องให้ความสําคัญกับการเสริมสร้างความปลอดภัยด้านการจราจร และถือเป็นเรื่องที่ต้องรีบดําเนินการบูรณาการให้เกิดผลอีกทั้งจะต้องสอดรับกับการประชุมระดับโลก ว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บ และส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่13ซึ่งปีนี้จะจัดขึ้นช่วงวันที่5 - 7พฤศจิกายน ศกนี้ ณ กรุงเทพมหานคร โดยองค์การอนามัยโลกกับรัฐบาลไทย ที่มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพกิจกรรมของเด็กอาชีวะครั้งนี้ ทราบว่าประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี เมื่อสิ้นสุดโครงการและถอดบทเรียนแล้ว นักศึกษาบอกว่าพวกเขามีความภูมิใจ มีความตระหนักรู้ในเรื่องของความปลอดภัยมากขึ้นผมเห็นว่าสมควรที่จะขยายผลในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อลดการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จากภัยทางถนนเป็นกรณีที่เราต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน
พี่น้องประชาชนที่เคารพทุกท่านครับ
"ทุนมนุษย์" เป็นปัจจัยสําคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยรัฐบาลนี้มีนโยบายสาธารณะและมาตรการต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกมิติ และทุกช่วงวัยมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลา4ปีที่ผ่านมา อาทิ งานดูแลสุขภาพประชาชน ตามกรอบไทยนิยม ยั่งยืน ของกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย4กิจกรรมหลัก ได้แก่
(1)โครงการ อสม.4.0โดยการยกระดับศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ทั่วประเทศ กว่า1ล้านคน ให้สามารถปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในชุมชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด
(2)โครงการมหัศจรรย์1,000วัน คือการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก ผ่านเครือข่ายชุมชน ให้เติบโตสมวัย สมส่วน เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ และเป็นพลเมืองดีของบ้านเมือง
(3)โครงการสร้างอาชีพสําหรับผู้ลงทะเบียนรายได้น้อยเช่น การเพิ่มพูนทักษะ ความรู้ความสามารถ ในการนวดไทยเพื่อสุขภาพ สามารถนําไปประกอบอาชีพได้ สร้างรายได้เลี้ยงดูตนเอง และครอบครัว รวมทั้งการสร้างผู้ช่วยพยาบาล เพื่อสนับสนุนการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล ให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
และ (4)โครงการติดตามผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ผ่านกลไกคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและระบบสุขภาพอําเภอ (พชอ.) เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีสุขภาพแข็งแรง มีครอบครัวที่อบอุ่น มีสังคมที่ปลอดภัยจากยาเสพติด
ทั้งนี้ โครงการของ พชอ. เป็นกลไกที่ส่งเสริมการทํางานแบบประชารัฐ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น โดยเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ขยะ และสิ่งแวดล้อมเป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีโครงการหมอครอบครัวซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า การจัดให้มีหมอประจําครอบครัวจะสามารถลดค่าเดินทางไปโรงพยาบาลของประชาชนได้1,655บาทต่อคน ลดเวลาในการรอคอยในโรงพยาบาลใหญ่ได้44นาที จากเดิม3ชั่วโมงลดการตายในทารกแรกเกิดได้ร้อยละ10 - 40และลดค่าใช้จ่ายสุขภาพได้ถึงร้อยละ25 - 30ที่สําคัญก็คือ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ ปีละ50,000ล้านบาท เป็นต้น
ล่าสุดสํานักข่าว "บลูมเบิร์ก" ได้จัดทําดัชนีประสิทธิภาพระบบสุขภาพ เพื่อจัดอันดับประเทศที่มีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพ ซึ่งคํานวณเปรียบเทียบระหว่างค่าใช้จ่ายกับอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนในประเทศ ในปี2561นี้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่27ของโลก จาก56ประเทศ ดีขึ้นจากปีที่แล้วถึง14อันดับ ก็นับว่าเป็นประเทศที่สามารถพัฒนาอย่าง ก้าวกระโดดมากที่สุดในดัชนีนี้ เราทํามาต่อเนื่อง ทําให้ดีขึ้น โดยค่าใช้จ่ายด้านการดูแลสุขภาพของไทยต่อประชากร1คนนั้นอยู่ที่7,086บาท มากกว่าเดิมเยอะครับ และอายุเฉลี่ยของประชากรไทยในปีนี้ก็อายุยืนขึ้น ถึง75ปีนอกจากนี้ ในรายงานยังระบุด้วยว่าเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างมากอีกด้วย หากจัดอันดับภายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแล้ว ไทยอยู่ในอันดับที่9
ในขณะที่องค์การอนามัยโลกชื่นชมประเทศไทย ว่าเป็นต้นแบบ และแหล่งเรียนรู้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเห็นว่าเป็นระบบที่ยั่งยืน เพราะสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนได้อย่างเข้มแข็ง ปัจจุบันมีคนไทยกว่า48.8ล้านคน (73.7 %)จากจํานวนประชากรราว61ล้านคน ที่มีสิทธิ์ในหลักประกันสุขภาพ ที่ช่วยคุ้มครองดูแลสุขภาพในด้านการรักษาโรค ป้องกันโรค ส่งเสริมสุขภาพ และฟื้นฟูสมรรถภาพ ตามข้อบ่งชี้ของแพทย์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างไรก็ตาม หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (30บาท รักษาทุกโรค) ยังคงมี ความไม่สมบูรณ์ ในการขอรับบริการด้านสุขภาพ หลายประการ ได้แก่
(1)รักษาได้เฉพาะโรงพยาบาลรัฐ อาจจะสร้างความลําบากให้กับผู้ที่อยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาลรัฐมาก
(2)ไม่คุ้มครองการรักษาที่เกินความจําเป็นพื้นฐาน เช่น การผสมเทียม เพื่อมีบุตร การรักษากรณีที่มีบุตรยาก การบริการทางการแพทย์เพื่อความสวยงาม การเปลี่ยนแปลงเพศ เป็นต้น
(3)ไม่คุ้มครองการรักษาที่มีงบประมาณจัดสรรโดยเฉพาะ เช่น โรคจิต หรืออาการป่วยทางจิต ซึ่งทางการแพทย์จําเป็นต้องรับไว้ เพื่อการรักษาและฟื้นฟูจิตใจของผู้ป่วย โดยให้เป็นผู้ป่วยใน เกินกว่า15วัน การบําบัดผู้ติดยาเสพติด ผู้ที่เกิดอุบัติเหตุทางรถ โดยมี พ.ร.บ. คุ้มครองอยู่ ซึ่งจะต้องใช้สิทธิ พ.ร.บ. ให้ครบก่อน
(4)ไม่คุ้มครองกรณีโรคเรื้อรัง และโรคที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน เกินกว่า180วัน ยกเว้นหากมีความจําเป็นจริง ๆ เช่น เกิดภาวะแทรกซ้อน จึงต้องรักษายาวนานขึ้น เป็นต้น
ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลนี้ ได้ยกระดับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าดังกล่าว โดยการเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ใช้สิทธิและเพิ่มเติมในเรื่องยา วัคซีน อุปกรณ์การแพทย์และการให้บริการต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอาทิ
(1)การเปิดคลินิกพิเศษนอกเวลา สําหรับโรงพยาบาลที่มีความพร้อม เพื่อรองรับกลุ่มคนที่ประสงค์มารับบริการในช่วงเย็น และสมัครใจจ่ายค่าบริการบางส่วนเอง
(2)การเร่งรัดจัดทําชุดสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะเป็นสิทธิประโยชน์ที่ประชาชน ทุกคนในทุกสิทธิประกันสุขภาพภาครัฐได้รับเหมือนกัน
(3)รัฐบาลไทยสนับสนุนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร้อยละ100โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งประชาชนทั่วไป ประชาชนในกลุ่มเปราะบาง กองทุนสุขภาพท้องถิ่นและการดูแลผู้สูงอายุ
(4)การเข้าถึงสิทธิและบริการของกลุ่มเปราะบาง ตามบริบทของพื้นที่ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีปัญหาในการเข้าถึงบริการสุขภาพ อาทิ ประชาชนที่อยู่ตามพื้นที่ชายขอบ ผู้ต้องขัง พระสงฆ์ และผู้พิการ เป็นต้น
(5)การมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อกระตุ้นและเร่งดําเนินกองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับท้องถิ่น ในการส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค
(6)การดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ ทั้งที่ดําเนินการผ่านกลไก "กองทุนระบบการดูแลระยะยาว" ด้านสาธารณสุข สําหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีภาวะเจ็บป่วยมาก และค่าใช้จ่ายสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้น
และ (7)สิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต รักษาฟรี ภายใน72ชั่วโมง หรือUCEPสําหรับอาการ "เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่" กรณีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนนอกคู่สัญญา3กองทุน (ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า,กองทุนประกันสังคม และ กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ)
ซึ่งในอนาคตเราจะขยายไปยังกองทุนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความครอบคลุม ไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ําในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต อันจะทําให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตได้รับการคุ้มครองสิทธิในการเข้าถึงบริการอย่างปลอดภัยโดยไม่มีเงื่อนไขในการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรค หรือเป็นความเสี่ยงของการดูแลรักษา ซึ่งไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ภายใน72ชั่วโมง หรือพ้นภาวะวิกฤต ทุกสิทธิ ทุกโรงพยาบาล เป็นต้น
ขอบคุณนะครับ นี่ก็เป็นการพัฒนาในด้านการสาธารณสุขของประเทศไทย เราทําหลายอย่าง เรื่องของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ต้องทําให้ดีกว่าเดิม เพราะในเมื่อเราตั้งขึ้นมาแล้ว ต้องทําให้ดีขึ้น แก้ปัญหาเก่า ๆ ให้ดีขึ้น แล้วมองไปข้างหน้า เราจะเดินไปข้างหน้าอย่างไรในเรื่องเหล่านี้ เพราะมีการใช้จ่ายงบประมาณสูงขึ้นทุกปี ๆ
ขอบคุณอีกครั้ง ขอให้ทุกคนมีสวัสดิภาพและปลอดภัย ทุกครอบครัวมีความสุขนะครับ สวัสดีครับ
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15748
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ชื่นชมศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ศิลปินพื้นบ้าน-ดารา -นักร้อง นักแสดง ร่วมทำคลิปรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ ป้องกันไวรัสโควิด-19
|
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
วธ. ชื่นชมศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ศิลปินพื้นบ้าน-ดารา -นักร้อง นักแสดง ร่วมทําคลิปรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ ป้องกันไวรัสโควิด-19
วธ. ชื่นชมศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ศิลปินพื้นบ้าน-ดารา -นักร้อง นักแสดง ร่วมทําคลิปรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ ป้องกันไวรัสโควิด-19
วธ. ชื่นชมศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ศิลปินพื้นบ้าน-ดารา -นักร้อง นักแสดง
ร่วมทําคลิปรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ ป้องกันไวรัสโควิด-19
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้บูรณาการความร่วมมือกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ จัดทําคลิปศิลปินแห่งชาติ ศิลปินอาวุโส ศิลปินพื้นบ้าน ดารา นักร้อง และนักแสดง เพื่อรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนเกิดความตระหนักรู้ ป้องกันตนเอง ครอบครัว และสังคมให้ห่างไกลเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยมี ศิลปินแขนงต่าง ๆ ร่วมใจกันจัดทําคลิป อาทิ สมบัติ เมทะนี ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์-ละครโทรทัศน์) ประจําปี ๒๕๕๙ รอง เค้ามูลคดี ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์-ละครโทรทัศน์) ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๐ วินัย พันธุรักษ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เมตตา รุ่งรัตน์ อุเทน บุญยงค์ นักแสดงอาวุโส ไกรลาศ เกรียงไกร นักแสดงอาวุโสรางวัลตุ๊กตาทอง สาขานักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม ประจําปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ดาวใจ ไพจิตร นักร้องเพลงลูกกรุง นิรุตติ์ ศิริจรรยา ภัสสร บุญเกียรติ วรรณิศา ศรีวิเชียร ปัทมา ปานทอง เป็นหนึ่ง ไชยชิต นิเวศน์ กันไทยราษฎร์ วาสนา วรรณวงศ์ ดอน แดนสวรรค์ วทัญญู มุ่งหมาย บดินทร์ ดุ๊ก พิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตรและสหภาพ วีระฆามินทร์ (ต่อ วงทู) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีคลิปที่สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดได้ร่วมมือกับศิลปินพื้นบ้านจัดทําในรูปแบบของเพลง-ดนตรีพื้นบ้าน อาทิ แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง(เพลงพื้นบ้าน-อีแซว) ประจําปี ๒๕๓๙ ณรงค์ จันทร์พุ่ม ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หนังตะลุง) ประจําปี ๒๕๕๗ บุญศรี รัตนัง ศิลปินแห่งชาติสาขาการแสดง (ดนตรีพื้นบ้านล้านนา) ประจําปี ๒๕๖๐ และหนังตะลุง คณะสุพัฒน์ ศ.นครินทร์
นายอิทธิพล กล่าวว่า ทั้งนี้ จากความร่วมมือร่วมใจของศิลปินฯ ในการจัดทําคลิปดังกล่าว ทําให้เกิดความตระหนักรู้แก่ประชาชนและสังคมในการตื่นตัวป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในวงกว้าง รวดเร็ว และทั่วถึง รวมทั้ง ลดความตระหนกและสร้างขวัญกําลังใจให้กับประชาชนและสังคมในการฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน กระทรวงวัฒนธรรมจึงขอขอบคุณศิลปินทุกท่านที่ร่วมมือร่วมใจช่วยให้คนไทยก้าวไปข้างหน้าและปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการช่วยเหลือสังคมและนําพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติไปได้ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมยังคงร่วมกับศิลปินแขนงต่างๆ จัดทําคลิปเผยแพร่เพื่อสร้างการรับรู้ต่อไป โดยประชาชนสามารถรับชมผ่านช่องทางสื่อต่างๆ และสื่อสังคมออนไลน์ อาทิ Facebook , Twitter , Instagram และเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th
---------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. ชื่นชมศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ศิลปินพื้นบ้าน-ดารา -นักร้อง นักแสดง ร่วมทำคลิปรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ ป้องกันไวรัสโควิด-19
วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
วธ. ชื่นชมศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ศิลปินพื้นบ้าน-ดารา -นักร้อง นักแสดง ร่วมทําคลิปรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ ป้องกันไวรัสโควิด-19
วธ. ชื่นชมศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ศิลปินพื้นบ้าน-ดารา -นักร้อง นักแสดง ร่วมทําคลิปรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ ป้องกันไวรัสโควิด-19
วธ. ชื่นชมศิลปินแห่งชาติ-ศิลปินอาวุโส-ศิลปินพื้นบ้าน-ดารา -นักร้อง นักแสดง
ร่วมทําคลิปรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ ป้องกันไวรัสโควิด-19
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้บูรณาการความร่วมมือกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ จัดทําคลิปศิลปินแห่งชาติ ศิลปินอาวุโส ศิลปินพื้นบ้าน ดารา นักร้อง และนักแสดง เพื่อรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนเกิดความตระหนักรู้ ป้องกันตนเอง ครอบครัว และสังคมให้ห่างไกลเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) โดยมี ศิลปินแขนงต่าง ๆ ร่วมใจกันจัดทําคลิป อาทิ สมบัติ เมทะนี ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์-ละครโทรทัศน์) ประจําปี ๒๕๕๙ รอง เค้ามูลคดี ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์-ละครโทรทัศน์) ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๐ วินัย พันธุรักษ์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เมตตา รุ่งรัตน์ อุเทน บุญยงค์ นักแสดงอาวุโส ไกรลาศ เกรียงไกร นักแสดงอาวุโสรางวัลตุ๊กตาทอง สาขานักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม ประจําปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ดาวใจ ไพจิตร นักร้องเพลงลูกกรุง นิรุตติ์ ศิริจรรยา ภัสสร บุญเกียรติ วรรณิศา ศรีวิเชียร ปัทมา ปานทอง เป็นหนึ่ง ไชยชิต นิเวศน์ กันไทยราษฎร์ วาสนา วรรณวงศ์ ดอน แดนสวรรค์ วทัญญู มุ่งหมาย บดินทร์ ดุ๊ก พิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตรและสหภาพ วีระฆามินทร์ (ต่อ วงทู) เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีคลิปที่สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดได้ร่วมมือกับศิลปินพื้นบ้านจัดทําในรูปแบบของเพลง-ดนตรีพื้นบ้าน อาทิ แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง(เพลงพื้นบ้าน-อีแซว) ประจําปี ๒๕๓๙ ณรงค์ จันทร์พุ่ม ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (หนังตะลุง) ประจําปี ๒๕๕๗ บุญศรี รัตนัง ศิลปินแห่งชาติสาขาการแสดง (ดนตรีพื้นบ้านล้านนา) ประจําปี ๒๕๖๐ และหนังตะลุง คณะสุพัฒน์ ศ.นครินทร์
นายอิทธิพล กล่าวว่า ทั้งนี้ จากความร่วมมือร่วมใจของศิลปินฯ ในการจัดทําคลิปดังกล่าว ทําให้เกิดความตระหนักรู้แก่ประชาชนและสังคมในการตื่นตัวป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในวงกว้าง รวดเร็ว และทั่วถึง รวมทั้ง ลดความตระหนกและสร้างขวัญกําลังใจให้กับประชาชนและสังคมในการฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน กระทรวงวัฒนธรรมจึงขอขอบคุณศิลปินทุกท่านที่ร่วมมือร่วมใจช่วยให้คนไทยก้าวไปข้างหน้าและปลอดภัยจากเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในการช่วยเหลือสังคมและนําพาประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติไปได้ ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมยังคงร่วมกับศิลปินแขนงต่างๆ จัดทําคลิปเผยแพร่เพื่อสร้างการรับรู้ต่อไป โดยประชาชนสามารถรับชมผ่านช่องทางสื่อต่างๆ และสื่อสังคมออนไลน์ อาทิ Facebook , Twitter , Instagram และเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th
---------------------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28013
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมัน ลดค่าครองชีพประชาชน
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2563
ปรับลดราคาขายปลีกน้ํามัน ลดค่าครองชีพประชาชน
วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ครม. เห็นชอบปรับลดราคาขายปลีกน้ํามันดีเซลบี 10 และแก๊สโซฮอล์ อี 20 ลง 1 บาท/ลิตร เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางช่วงปีใหม่ของประชาชน อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการใช้น้ํามันเชื้อเพลิงชีวภาพ และช่วยส่งเสริมการใช้เอทานอลที่ผลิตจากอ้อยและมันสําปะหลัง โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้ - 10 ม.ค. 63 นอกจากนี้ ยังให้คงอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร หรือค่า FT จํานวน -11.60 สตางค์ต่อหน่วย ต่อไปอีก 4 เดือน สําหรับการเรียกเก็บงวดเดือนม.ค. – เม.ย. 63 ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.64 บาทต่อหน่วย โดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมัน ลดค่าครองชีพประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม 2563
ปรับลดราคาขายปลีกน้ํามัน ลดค่าครองชีพประชาชน
วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ครม. เห็นชอบปรับลดราคาขายปลีกน้ํามันดีเซลบี 10 และแก๊สโซฮอล์ อี 20 ลง 1 บาท/ลิตร เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางช่วงปีใหม่ของประชาชน อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการใช้น้ํามันเชื้อเพลิงชีวภาพ และช่วยส่งเสริมการใช้เอทานอลที่ผลิตจากอ้อยและมันสําปะหลัง โดยมีผลตั้งแต่บัดนี้ - 10 ม.ค. 63 นอกจากนี้ ยังให้คงอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร หรือค่า FT จํานวน -11.60 สตางค์ต่อหน่วย ต่อไปอีก 4 เดือน สําหรับการเรียกเก็บงวดเดือนม.ค. – เม.ย. 63 ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.64 บาทต่อหน่วย โดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25564
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1
|
วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2560
การจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1
กระทรวงการคลังจะออกพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง วงเงิน 15,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 3 ปี และ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ แบบไร้ใบตราสาร (Scripless) จําหน่ายตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 – 30 มีนาคม 2561
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะแถลงข่าวเรื่องพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1 ดังนี้ กระทรวงการคลังจะออกพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง วงเงิน 15,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 3 ปี และ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ แบบไร้ใบตราสาร (Scripless) จําหน่ายตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 – 30 มีนาคม 2561 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมที่มั่นคงของประชาชน และเป็นทางเลือกในการลงทุนของประชาชนที่ถือพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ซึ่งจะครบกําหนดอายุในเดือนธันวาคม 2560 โดยพันธบัตรออมทรัพย์มีรูปแบบและเงื่อนไข ดังนี้
รุ่นอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 1.85 ต่อปี
รุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.45 ต่อปี
วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท
ระยะเวลาจําหน่าย วันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 – 30 มีนาคม 2561
วงเงินซื้อต่อราย 1,000 บาทขึ้นไป ไม่จํากัดวงเงินซื้อขั้นสูง
ธนาคารตัวแทนจําหน่าย 1. ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) 2. ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) 3. ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) 4. ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน)
ผู้มีสิทธิ์ซื้อ บุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย สภากาชาดไทย มูลนิธิ สมาคม วัด สถานศึกษาของรัฐ โรงพยาบาลของรัฐ หรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่มีวัตถุประสงค์ ในการแสวงหากําไร
ผู้ที่สนใจสามารถซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ได้ตั้งแต่เวลา 8.30 น. ของวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 จนถึงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 30 มีนาคม 2561 โดยสามารถทํารายการซื้อผ่าน 1) เคาน์เตอร์ธนาคารตัวแทนจําหน่ายทุกสาขา 2) เครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) 3) ระบบ Internet Banking ของธนาคารตัวแทนจําหน่ายทั้ง 4 แห่ง และ 4) KTB netbank Application ของธนาคารกรุงไทยฯ และ K PLUS Application ของธนาคารกสิกรไทยฯ ซึ่งเป็นการอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนให้สามารถเข้าถึงพันธบัตรออมทรัพย์ได้ตลอดเวลา
โดยผู้มีสิทธิ์ซื้อสามารถทํารายการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ได้ที่
ธนาคารกรุงเทพฯ www.bangkokbank.com/ibanking
ธนาคารกรุงไทยฯ www.ktbnetbank.com
ธนาคารกสิกรไทยฯ https://online.kasikornbankgroup.com
ธนาคารไทยพาณิชย์ฯ www.scbeasy.com
ทั้งนี้ ผู้ซื้อพันธบัตรออมทรัพย์รายใหม่ที่ไม่เคยลงทะเบียนข้อมูลและเปิดบัญชีฝากหลักทรัพย์สําหรับพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) ต้องลงทะเบียนและเปิดบัญชีฝากหลักทรัพย์ที่ธนาคารตัวแทนจําหน่าย
การลงทะเบียน ใช้หลักฐานดังนี้
1. สําเนาบัตรประจําตัวประชาชน พร้อมลงนามรับรองสําเนาถูกต้อง
2. สําเนาหน้าแรกสมุดบัญชีเงินฝาก (ยกเว้นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษและบัญชีเงินฝากประจํา) ของผู้ซื้อที่เปิดบัญชีไว้กับธนาคารตัวแทนจําหน่ายพร้อมลงนามรับรองสําเนาถูกต้อง ในกรณีที่ไม่มีบัญชีเงินฝากผู้ซื้อต้องเปิดบัญชีใหม่
ผู้ที่สนใจซื้อพันธบัตรสามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารตัวแทนจําหน่ายหรือที่ www.pdmo.go.th www.bot.or.th www.bangkokbank.com www.ktb.co.th www.scb.co.th www.kasikornbank.com
จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5308
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1
วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2560
การจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1
กระทรวงการคลังจะออกพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง วงเงิน 15,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 3 ปี และ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ แบบไร้ใบตราสาร (Scripless) จําหน่ายตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 – 30 มีนาคม 2561
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะแถลงข่าวเรื่องพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ครั้งที่ 1 ดังนี้ กระทรวงการคลังจะออกพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง วงเงิน 15,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 3 ปี และ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ แบบไร้ใบตราสาร (Scripless) จําหน่ายตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 – 30 มีนาคม 2561 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมการออมที่มั่นคงของประชาชน และเป็นทางเลือกในการลงทุนของประชาชนที่ถือพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง ซึ่งจะครบกําหนดอายุในเดือนธันวาคม 2560 โดยพันธบัตรออมทรัพย์มีรูปแบบและเงื่อนไข ดังนี้
รุ่นอายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 1.85 ต่อปี
รุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.45 ต่อปี
วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท
ระยะเวลาจําหน่าย วันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 – 30 มีนาคม 2561
วงเงินซื้อต่อราย 1,000 บาทขึ้นไป ไม่จํากัดวงเงินซื้อขั้นสูง
ธนาคารตัวแทนจําหน่าย 1. ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) 2. ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) 3. ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) 4. ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน)
ผู้มีสิทธิ์ซื้อ บุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทยหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย สภากาชาดไทย มูลนิธิ สมาคม วัด สถานศึกษาของรัฐ โรงพยาบาลของรัฐ หรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่มีวัตถุประสงค์ ในการแสวงหากําไร
ผู้ที่สนใจสามารถซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ได้ตั้งแต่เวลา 8.30 น. ของวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 จนถึงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 30 มีนาคม 2561 โดยสามารถทํารายการซื้อผ่าน 1) เคาน์เตอร์ธนาคารตัวแทนจําหน่ายทุกสาขา 2) เครื่องถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) 3) ระบบ Internet Banking ของธนาคารตัวแทนจําหน่ายทั้ง 4 แห่ง และ 4) KTB netbank Application ของธนาคารกรุงไทยฯ และ K PLUS Application ของธนาคารกสิกรไทยฯ ซึ่งเป็นการอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนให้สามารถเข้าถึงพันธบัตรออมทรัพย์ได้ตลอดเวลา
โดยผู้มีสิทธิ์ซื้อสามารถทํารายการซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ได้ที่
ธนาคารกรุงเทพฯ www.bangkokbank.com/ibanking
ธนาคารกรุงไทยฯ www.ktbnetbank.com
ธนาคารกสิกรไทยฯ https://online.kasikornbankgroup.com
ธนาคารไทยพาณิชย์ฯ www.scbeasy.com
ทั้งนี้ ผู้ซื้อพันธบัตรออมทรัพย์รายใหม่ที่ไม่เคยลงทะเบียนข้อมูลและเปิดบัญชีฝากหลักทรัพย์สําหรับพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังแบบไร้ใบตราสาร (Scripless) ต้องลงทะเบียนและเปิดบัญชีฝากหลักทรัพย์ที่ธนาคารตัวแทนจําหน่าย
การลงทะเบียน ใช้หลักฐานดังนี้
1. สําเนาบัตรประจําตัวประชาชน พร้อมลงนามรับรองสําเนาถูกต้อง
2. สําเนาหน้าแรกสมุดบัญชีเงินฝาก (ยกเว้นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์พิเศษและบัญชีเงินฝากประจํา) ของผู้ซื้อที่เปิดบัญชีไว้กับธนาคารตัวแทนจําหน่ายพร้อมลงนามรับรองสําเนาถูกต้อง ในกรณีที่ไม่มีบัญชีเงินฝากผู้ซื้อต้องเปิดบัญชีใหม่
ผู้ที่สนใจซื้อพันธบัตรสามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารตัวแทนจําหน่ายหรือที่ www.pdmo.go.th www.bot.or.th www.bangkokbank.com www.ktb.co.th www.scb.co.th www.kasikornbank.com
จึงขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5809/ 0 2265 8050 ต่อ 5308
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8072
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 มุ่งเน้นการส่งเสริมสิทธิ โอกาส และความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมของคนพิการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
|
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562
พม. จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 มุ่งเน้นการส่งเสริมสิทธิ โอกาส และความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมของคนพิการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา
พม. จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 มุ่งเน้นการส่งเสริมสิทธิ โอกาส และความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมของคนพิการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา
เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 62 เวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วย นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
นายจุติ กล่าวว่า สําหรับการประชุมฯ วันนี้ ที่ประชุมได้หารือในประเด็นที่สําคัญเรื่องการขับเคลื่อนประเด็นตามมติสมัชชาเครือข่ายคนพิการระดับชาติ ประจําปี 2562 และที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นที่สําคัญตามมติสมัชชาเครือข่ายคนพิการ ประจําปี 2562 โดยมีประเด็นสําคัญ ดังนี้ 1) การเข้าถึงสิทธิ สวัสดิการและใช้ประโยชน์จากสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการ 2) การพัฒนาและเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลด้านคนพิการ (Big Data) 3) การพัฒนามาตรการคุ้มครองแรงงานคนพิการและส่งเสริมการทํางานและอาชีพอิสระสําหรับคนพิการ 4) การยกระดับบทบาทหน้าที่ศูนย์บริการคนพิการระดับจังหวัดและทั่วไป และ 5) การสร้างเจตคติที่ดีของสังคมที่มีต่อคนพิการ ทั้งนี้ การขับเคลื่อนงานด้านคนพิการนับเป็นอีกหนึ่งภารกิจสําคัญของรัฐบาล ซึ่งให้ความสําคัญต่อการส่งเสริมสิทธิ โอกาส และความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมของคนพิการ ภายใต้แนวคิด "ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 มุ่งเน้นการส่งเสริมสิทธิ โอกาส และความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมของคนพิการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562
พม. จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 มุ่งเน้นการส่งเสริมสิทธิ โอกาส และความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมของคนพิการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา
พม. จัดประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 มุ่งเน้นการส่งเสริมสิทธิ โอกาส และความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมของคนพิการ เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา
เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 62 เวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2562 โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วย นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม
นายจุติ กล่าวว่า สําหรับการประชุมฯ วันนี้ ที่ประชุมได้หารือในประเด็นที่สําคัญเรื่องการขับเคลื่อนประเด็นตามมติสมัชชาเครือข่ายคนพิการระดับชาติ ประจําปี 2562 และที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นที่สําคัญตามมติสมัชชาเครือข่ายคนพิการ ประจําปี 2562 โดยมีประเด็นสําคัญ ดังนี้ 1) การเข้าถึงสิทธิ สวัสดิการและใช้ประโยชน์จากสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการ 2) การพัฒนาและเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลด้านคนพิการ (Big Data) 3) การพัฒนามาตรการคุ้มครองแรงงานคนพิการและส่งเสริมการทํางานและอาชีพอิสระสําหรับคนพิการ 4) การยกระดับบทบาทหน้าที่ศูนย์บริการคนพิการระดับจังหวัดและทั่วไป และ 5) การสร้างเจตคติที่ดีของสังคมที่มีต่อคนพิการ ทั้งนี้ การขับเคลื่อนงานด้านคนพิการนับเป็นอีกหนึ่งภารกิจสําคัญของรัฐบาล ซึ่งให้ความสําคัญต่อการส่งเสริมสิทธิ โอกาส และความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมของคนพิการ ภายใต้แนวคิด "ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23969
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ปรับกระบวนทัศน์ ทบทวนยุทธศาสตร์กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2560-2564
|
วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561
พม. ปรับกระบวนทัศน์ ทบทวนยุทธศาสตร์กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2560-2564
พม. ปรับกระบวนทัศน์ ทบทวนยุทธศาสตร์กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2560-2564
วันนี้ (27 ก.พ.61) เวลา 14.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการในการทบทวนยุทธศาสตร์กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ.2560-2564 โดยมีผู้บริหารกระทรวง พม. ทั้งระดับสูง ระดับกลาง และคนรุ่นใหม่ (Young Blood) เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมปริ๊นซ์บอลรูม 3 ชั้น 11 โรงแรม ปริ๊นซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)มีนโยบายในการทบทวนยุทธศาสตร์กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2560 - 2564ที่มีความสอดคล้องบนฐานของกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 – 2564 รวมทั้งการปรับโครงสร้างของประเทศไทยไปสู่ประเทศไทย 4.0 เพื่อมุ่งสู่ "ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมภายใต้บริบททางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ตั้งแต่เด็ก สตรี ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในสังคมที่มีแนวโน้มการเข้าสู่ "สังคมสูงวัย” (Aging Society) อัตราการพึ่งพิงของประชากรวัยแรงงานต้องแบกรับการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในปี 2582 จะมีประชากรวัยแรงงานเพียง 35.2 ล้านคน องค์การสหประชาชาติประเมินสถานการณ์ว่าในช่วงปี 2544 - 2643 ประชากร อายุ 60 ปี ขึ้นไปมีมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรโลก จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์/เป้าประสงค์/กลยุทธ์ในการปฏิบัติงานเพื่อตอบโจทย์ของปัญหาอย่างโปร่งใสและยุติธรรม
ในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)จึงได้ให้นโยบายในการทบทวนยุทธศาสตร์ของกระทรวง โดยให้ความสําคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมในการทบทวนวิเคราะห์จุดแข็ง/จุดอ่อนภายในองค์กร สภาพแวดล้อมภายนอก โอกาส และอุปสรรคภายใต้ฐานข้อมูลที่เป็นจริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติงานของกระทรวงที่ดีขึ้น (Change) ในทุกด้าน ซึ่งต้องคํานึงถึงประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มค่า โดยยึดประโยชน์ของประชาชนในทุกกลุ่มเป้าหมายเป็นที่ตั้ง ทั้งนี้ ในกระบวนการทบทวนยุทธศาสตร์ของ พม. ได้แบ่งบุคลากรเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มผู้บริหารระดับสูง กลุ่มผู้บริหารระดับกลาง และกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Young Blood) เพื่อรับทราบแนวคิดการวิเคราะห์ทบทวนยุทธศาสตร์ของแต่ละกลุ่ม อันจะนําไปสู่หนทางปฏิบัติที่ดีที่สุดตามวัตถุประสงค์ข้างต้น เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งองค์กร เป็นผู้นําด้านสังคมที่สามารถขับเคลื่อนงานและบูรณาการการทํางานกับทุกภาคส่วนในสังคมให้มีส่วนร่วมในการพัฒนา สร้างความเป็นธรรม และความเสมอภาคในสังคม ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มได้อย่างยั่งยืน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ปรับกระบวนทัศน์ ทบทวนยุทธศาสตร์กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2560-2564
วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561
พม. ปรับกระบวนทัศน์ ทบทวนยุทธศาสตร์กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2560-2564
พม. ปรับกระบวนทัศน์ ทบทวนยุทธศาสตร์กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2560-2564
วันนี้ (27 ก.พ.61) เวลา 14.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการในการทบทวนยุทธศาสตร์กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ.2560-2564 โดยมีผู้บริหารกระทรวง พม. ทั้งระดับสูง ระดับกลาง และคนรุ่นใหม่ (Young Blood) เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมปริ๊นซ์บอลรูม 3 ชั้น 11 โรงแรม ปริ๊นซ์พาเลซ มหานาค กรุงเทพฯ
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)มีนโยบายในการทบทวนยุทธศาสตร์กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2560 - 2564ที่มีความสอดคล้องบนฐานของกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 – 2564 รวมทั้งการปรับโครงสร้างของประเทศไทยไปสู่ประเทศไทย 4.0 เพื่อมุ่งสู่ "ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมภายใต้บริบททางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ตั้งแต่เด็ก สตรี ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในสังคมที่มีแนวโน้มการเข้าสู่ "สังคมสูงวัย” (Aging Society) อัตราการพึ่งพิงของประชากรวัยแรงงานต้องแบกรับการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในปี 2582 จะมีประชากรวัยแรงงานเพียง 35.2 ล้านคน องค์การสหประชาชาติประเมินสถานการณ์ว่าในช่วงปี 2544 - 2643 ประชากร อายุ 60 ปี ขึ้นไปมีมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรโลก จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์/เป้าประสงค์/กลยุทธ์ในการปฏิบัติงานเพื่อตอบโจทย์ของปัญหาอย่างโปร่งใสและยุติธรรม
ในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)จึงได้ให้นโยบายในการทบทวนยุทธศาสตร์ของกระทรวง โดยให้ความสําคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมในการทบทวนวิเคราะห์จุดแข็ง/จุดอ่อนภายในองค์กร สภาพแวดล้อมภายนอก โอกาส และอุปสรรคภายใต้ฐานข้อมูลที่เป็นจริง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนําไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติงานของกระทรวงที่ดีขึ้น (Change) ในทุกด้าน ซึ่งต้องคํานึงถึงประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มค่า โดยยึดประโยชน์ของประชาชนในทุกกลุ่มเป้าหมายเป็นที่ตั้ง ทั้งนี้ ในกระบวนการทบทวนยุทธศาสตร์ของ พม. ได้แบ่งบุคลากรเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มผู้บริหารระดับสูง กลุ่มผู้บริหารระดับกลาง และกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Young Blood) เพื่อรับทราบแนวคิดการวิเคราะห์ทบทวนยุทธศาสตร์ของแต่ละกลุ่ม อันจะนําไปสู่หนทางปฏิบัติที่ดีที่สุดตามวัตถุประสงค์ข้างต้น เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งองค์กร เป็นผู้นําด้านสังคมที่สามารถขับเคลื่อนงานและบูรณาการการทํางานกับทุกภาคส่วนในสังคมให้มีส่วนร่วมในการพัฒนา สร้างความเป็นธรรม และความเสมอภาคในสังคม ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มได้อย่างยั่งยืน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10408
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเชิญชวนพี่น้องประชาชนทั่วประเทศเข้าร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปีส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560” เพื่อเป็นสิริมงคล เสริมบารมีให้แก่ตนเองและครอบครัว
|
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2559
มหาดไทยเชิญชวนพี่น้องประชาชนทั่วประเทศเข้าร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปีส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560” เพื่อเป็นสิริมงคล เสริมบารมีให้แก่ตนเองและครอบครัว
กระทรวงมหาดไทย เชิญชวนพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เข้าร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560” เพื่อเป็นสิริมงคล เสริมบารมีให้แก่ตนเองและครอบครัว
วันนี้ (30 ธ.ค. 59) ที่กระทรวงมหาดไทยนายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560 โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้จัดกิจกรรมดังกล่าวทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคพร้อมกันทั่วประเทศโดยกําหนดจัดกิจกรรม“สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560”ในวันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2559 และ ลั่นฆ้องชัยต้อนรับปีใหม่ ในวันที่ 1 มกราคม 2560 ณ วัด หรือสถานที่เหมาะสมที่แต่ละหน่วยงานกําหนดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสงบจิตใจต้อนรับปีใหม่ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ แจ่มใส เป็นมงคลกับชีวิต รวมทั้งเพื่อร่วมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ แสดงความจงรักภักดี ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระผู้ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก โดยจัดกิจกรรมต่างๆ พร้อมกันทั่วประเทศ ประกอบด้วย การทําบุญรักษาศีล การเจริญจิตภาวนา การปฏิบัติธรรม การฟังพระธรรมเทศนา การไหว้พระสวดมนต์ การร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และร่วมสวดมนต์ข้ามปี เป็นต้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมดังกล่าวกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานครจึงได้จัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560” ขึ้น ณ วัดราชบพิธฯ ในวันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2559 ระหว่างเวลา 22.00 - 24.00 น. และจัดพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 35 รูป ในเช้าวันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2560 เวลา 06.00 น. ณ บริเวณหน้าพระอุโบสถวัดราชบพิธโดยเชิญชวนผู้บริหาร บุคลากรของส่วนราชการ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งพี่น้องประชาชนพุทธศาสนิกชนบริเวณใกล้เคียงเข้าร่วมกิจกรรม อันเป็นมงคลในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพื่อเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่เป็นมงคล และเป็นการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมแก่บุคลากรในสังกัดและพุทธศาสนิกชน ให้สามารถนําหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้เป็นแนวทางในการดํารงชีวิต และประกอบกิจการเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชน ลด ละ เลิก อบายมุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ และดําเนินชีวิตด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป
สําหรับการจัดงานในส่วนภูมิภาค ในฐานะที่กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานในการประสานการดําเนินงานจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีฯ ได้แจ้งให้ทุกจังหวัดถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2559 ในการจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยให้ประสานการดําเนินการกับสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560 ในระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2560 ณ วัดประจําจังหวัด/อําเภอ/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือสถานที่เหมาะสมที่แต่ละพื้นที่กําหนด พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนทุกภาคส่วนในจังหวัด ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งนอกจากการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีแล้ว จังหวัดยังได้ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ จัดกิจกรรมบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ อาทิเช่น การทําความสะอาดพื้นที่สาธารณะ การบริจาคโลหิต การไถ่ชีวิตโค-กระบือ การเยี่ยมผู้ป่วยยากไร้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาล การปลูกป่า และการปล่อยปลา เป็นต้น ทั้งนี้ จังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ได้มีการเตรียมความพร้อมในการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีไว้เรียบร้อยแล้ว โดยจัดกิจกรรมฯ ที่วัด จํานวน 24,046 วัด และสถานที่อื่นๆ จํานวน 143 แห่ง โอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทยจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศ เข้าร่วมกิจกรรม“สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช2560”เพื่อความเป็นสิริมงคล เสริมบารมีให้แก่ตนเองและครอบครัวตลอดไป.
ครั้งที่ 253/2559
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยเชิญชวนพี่น้องประชาชนทั่วประเทศเข้าร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปีส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560” เพื่อเป็นสิริมงคล เสริมบารมีให้แก่ตนเองและครอบครัว
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2559
มหาดไทยเชิญชวนพี่น้องประชาชนทั่วประเทศเข้าร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปีส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560” เพื่อเป็นสิริมงคล เสริมบารมีให้แก่ตนเองและครอบครัว
กระทรวงมหาดไทย เชิญชวนพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เข้าร่วมกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560” เพื่อเป็นสิริมงคล เสริมบารมีให้แก่ตนเองและครอบครัว
วันนี้ (30 ธ.ค. 59) ที่กระทรวงมหาดไทยนายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560 โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้จัดกิจกรรมดังกล่าวทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคพร้อมกันทั่วประเทศโดยกําหนดจัดกิจกรรม“สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560”ในวันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2559 และ ลั่นฆ้องชัยต้อนรับปีใหม่ ในวันที่ 1 มกราคม 2560 ณ วัด หรือสถานที่เหมาะสมที่แต่ละหน่วยงานกําหนดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสงบจิตใจต้อนรับปีใหม่ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ แจ่มใส เป็นมงคลกับชีวิต รวมทั้งเพื่อร่วมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ แสดงความจงรักภักดี ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระผู้ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก โดยจัดกิจกรรมต่างๆ พร้อมกันทั่วประเทศ ประกอบด้วย การทําบุญรักษาศีล การเจริญจิตภาวนา การปฏิบัติธรรม การฟังพระธรรมเทศนา การไหว้พระสวดมนต์ การร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และร่วมสวดมนต์ข้ามปี เป็นต้น
เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมดังกล่าวกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานครจึงได้จัดกิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560” ขึ้น ณ วัดราชบพิธฯ ในวันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2559 ระหว่างเวลา 22.00 - 24.00 น. และจัดพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 35 รูป ในเช้าวันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2560 เวลา 06.00 น. ณ บริเวณหน้าพระอุโบสถวัดราชบพิธโดยเชิญชวนผู้บริหาร บุคลากรของส่วนราชการ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งพี่น้องประชาชนพุทธศาสนิกชนบริเวณใกล้เคียงเข้าร่วมกิจกรรม อันเป็นมงคลในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เพื่อเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่เป็นมงคล และเป็นการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมแก่บุคลากรในสังกัดและพุทธศาสนิกชน ให้สามารถนําหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้เป็นแนวทางในการดํารงชีวิต และประกอบกิจการเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชน ลด ละ เลิก อบายมุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ และดําเนินชีวิตด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป
สําหรับการจัดงานในส่วนภูมิภาค ในฐานะที่กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานในการประสานการดําเนินงานจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีฯ ได้แจ้งให้ทุกจังหวัดถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2559 ในการจัดกิจกรรมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โดยให้ประสานการดําเนินการกับสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช 2560 ในระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2560 ณ วัดประจําจังหวัด/อําเภอ/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือสถานที่เหมาะสมที่แต่ละพื้นที่กําหนด พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เชิญชวนทุกภาคส่วนในจังหวัด ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งนอกจากการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีแล้ว จังหวัดยังได้ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ จัดกิจกรรมบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ อาทิเช่น การทําความสะอาดพื้นที่สาธารณะ การบริจาคโลหิต การไถ่ชีวิตโค-กระบือ การเยี่ยมผู้ป่วยยากไร้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาล การปลูกป่า และการปล่อยปลา เป็นต้น ทั้งนี้ จังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ได้มีการเตรียมความพร้อมในการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีไว้เรียบร้อยแล้ว โดยจัดกิจกรรมฯ ที่วัด จํานวน 24,046 วัด และสถานที่อื่นๆ จํานวน 143 แห่ง โอกาสนี้ กระทรวงมหาดไทยจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศ เข้าร่วมกิจกรรม“สวดมนต์ข้ามปี ส่งท้ายปีเก่าวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่วิถีพุทธ พุทธศักราช2560”เพื่อความเป็นสิริมงคล เสริมบารมีให้แก่ตนเองและครอบครัวตลอดไป.
ครั้งที่ 253/2559
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1170
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมือ สธ. และ สรอ. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มศักยภาพการรักษาพยาบาลในพื้นที่ทุรกันดาร นำร่องที่ รพ.แม่สอด และ รพ.อุ้มผาง จ.ตาก
|
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมือ สธ. และ สรอ. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มศักยภาพการรักษาพยาบาลในพื้นที่ทุรกันดาร นําร่องที่ รพ.แม่สอด และ รพ.อุ้มผาง จ.ตาก
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ลงพื้นที่เยี่ยมชมระบบการแพทย์ทางไกล (Tele-Medicine) โครงการ “พี่หมอช่วยน้องหมอ” ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาศักยภาพการตรวจรักษา ด้วยอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย ผ่านระบบประชุมทางไกลเครือข่าย GIN ที่มีความปลอดภัยสูง ยกระดับการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชนในพื้นที่ทุรกันดาร นําร่องที่โรงพยาบาลแม่สอดกับโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก ให้คําปรึกษาและวินิจฉัยโรคผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่สามารถทราบข้อมูลและเห็นภาพผู้ป่วยชัดเจน พร้อมขยายสู่พื้นที่ชายขอบทั่วประเทศ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า หลังจากกระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ.ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่อง “การเพิ่มคุณภาพการบริการด้านสาธารณสุขผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล” เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเข้ารับบริการทางการแพทย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลนั้น ขณะนี้ได้มีการนําร่องที่โรงพยาบาล 2 แห่งในจังหวัดตาก จากนั้นจะขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดย สรอ.ให้การสนับสนุนด้านเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (Government Information Network : GIN) ร่วมกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือ CAT และบริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) หรือ TOT ด้วยความเร็ว 30/30 mbps ผ่านเครือข่ายใยแก้วนําแสง เพื่อให้มีเสถียรภาพในการรับ-ส่งสัญญาณภาพและเสียงความเร็วสูง (Latency) ซึ่งได้จัดทําระบบ Tele-Medicine หรือการแพทย์ทางไกล ภายใต้โครงการ “พี่หมอช่วยน้องหมอ” นําร่องแล้ว 2 โรงพยาบาลชายแดนในจังหวัดตาก คือ โรงพยาบาลอุ้มผาง (รพ.น้อง) และโรงพยาบาลแม่สอด (รพ.พี่) ที่ต้องใช้ระยะเวลาเดินทางระหว่างกันกว่า 4 ชั่วโมง
กระทรวงดิจิทัลฯ โดย CAT และ TOT ได้เชื่อมโยงระบบโครงข่ายของทั้งสองโรงพยาบาลให้สามารถใช้เครือข่าย GIN ซึ่งเป็นโครงข่ายภาครัฐ เพื่อช่วยให้แพทย์สื่อสารกันได้อย่างชัดเจนทั้งภาพเคลื่อนไหวและเสียงความเร็วสูง (Latency) ในการให้คําปรึกษาแก่โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลไปยังโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และความพร้อมด้านเครื่องมือแพทย์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและช่วยให้สามารถวินิจฉัยโรคได้มีความถูกต้องแม่นยํามากยิ่งขึ้นนอกจากนี้ยังสามารถนําระบบอื่นๆ เข้ามาทํางานผ่านเครือข่ายเพื่อสร้างมิติการเชื่อมโยงระหว่างกันได้ทันที โดยปัจจุบันมีโซลูชั่นต่างๆ ที่กําลังเข้ามาเชื่อมต่อแล้ว เช่น ระบบระเบียนประวัติคนไข้ เป็นต้น จากการทดสอบระบบระหว่างโรงพยาบาลอุ้มผางไปยังโรงพยาบาลแม่สอด เมื่อเดือนมีนาคม 2560 ที่ผ่านมา พบว่า สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ คาดว่าการนําเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูงมาผสานกับการให้บริการด้านการแพทย์จะนําไปสู่การสร้างสังคมคุณภาพที่ทั่วถึงและเท่าเทียมกันด้านสาธารณสุขให้แก่ประชาชนได้ในอนาคต
ด้าน สรอ. ได้วางโครงสร้างพื้นฐานระบบโครงข่าย GIN ในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตามบันทึกข้อตกลงระยะที่ 1 จํานวน 116 แห่งเรียบร้อยแล้ว พร้อมติดตั้งระบบประชุมทางไกลออนไลน์ภาครัฐ (GIN Conference) เพื่อให้แพทย์ในพื้นที่ห่างไกลสามารถปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโต้ตอบกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสามารถรักษาประชาชนได้อย่างทันท่วงที และได้เตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาทักษะความรู้เพิ่มศักยภาพด้าน Data Scientists, Data Analyst, Enterprise Architecture และ Information Security ให้แก่บุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านไอทีของกระทรวงสาธารณสุข หลังจากนั้นจึงจะมีการเพิ่มระบบ Tele-Medicine และจัดทําการทดสอบระบบให้กับโรงพยาบาลที่มีความพร้อมต่อไป คาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จตามแผนที่กําหนดไว้
*******************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมือ สธ. และ สรอ. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มศักยภาพการรักษาพยาบาลในพื้นที่ทุรกันดาร นำร่องที่ รพ.แม่สอด และ รพ.อุ้มผาง จ.ตาก
วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมมือ สธ. และ สรอ. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มศักยภาพการรักษาพยาบาลในพื้นที่ทุรกันดาร นําร่องที่ รพ.แม่สอด และ รพ.อุ้มผาง จ.ตาก
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ลงพื้นที่เยี่ยมชมระบบการแพทย์ทางไกล (Tele-Medicine) โครงการ “พี่หมอช่วยน้องหมอ” ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาศักยภาพการตรวจรักษา ด้วยอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย ผ่านระบบประชุมทางไกลเครือข่าย GIN ที่มีความปลอดภัยสูง ยกระดับการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชนในพื้นที่ทุรกันดาร นําร่องที่โรงพยาบาลแม่สอดกับโรงพยาบาลอุ้มผาง จ.ตาก ให้คําปรึกษาและวินิจฉัยโรคผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่สามารถทราบข้อมูลและเห็นภาพผู้ป่วยชัดเจน พร้อมขยายสู่พื้นที่ชายขอบทั่วประเทศ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า หลังจากกระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สรอ.ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเรื่อง “การเพิ่มคุณภาพการบริการด้านสาธารณสุขผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล” เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อสนับสนุนการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเข้ารับบริการทางการแพทย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลนั้น ขณะนี้ได้มีการนําร่องที่โรงพยาบาล 2 แห่งในจังหวัดตาก จากนั้นจะขยายพื้นที่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดย สรอ.ให้การสนับสนุนด้านเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (Government Information Network : GIN) ร่วมกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือ CAT และบริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) หรือ TOT ด้วยความเร็ว 30/30 mbps ผ่านเครือข่ายใยแก้วนําแสง เพื่อให้มีเสถียรภาพในการรับ-ส่งสัญญาณภาพและเสียงความเร็วสูง (Latency) ซึ่งได้จัดทําระบบ Tele-Medicine หรือการแพทย์ทางไกล ภายใต้โครงการ “พี่หมอช่วยน้องหมอ” นําร่องแล้ว 2 โรงพยาบาลชายแดนในจังหวัดตาก คือ โรงพยาบาลอุ้มผาง (รพ.น้อง) และโรงพยาบาลแม่สอด (รพ.พี่) ที่ต้องใช้ระยะเวลาเดินทางระหว่างกันกว่า 4 ชั่วโมง
กระทรวงดิจิทัลฯ โดย CAT และ TOT ได้เชื่อมโยงระบบโครงข่ายของทั้งสองโรงพยาบาลให้สามารถใช้เครือข่าย GIN ซึ่งเป็นโครงข่ายภาครัฐ เพื่อช่วยให้แพทย์สื่อสารกันได้อย่างชัดเจนทั้งภาพเคลื่อนไหวและเสียงความเร็วสูง (Latency) ในการให้คําปรึกษาแก่โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลไปยังโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และความพร้อมด้านเครื่องมือแพทย์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและช่วยให้สามารถวินิจฉัยโรคได้มีความถูกต้องแม่นยํามากยิ่งขึ้นนอกจากนี้ยังสามารถนําระบบอื่นๆ เข้ามาทํางานผ่านเครือข่ายเพื่อสร้างมิติการเชื่อมโยงระหว่างกันได้ทันที โดยปัจจุบันมีโซลูชั่นต่างๆ ที่กําลังเข้ามาเชื่อมต่อแล้ว เช่น ระบบระเบียนประวัติคนไข้ เป็นต้น จากการทดสอบระบบระหว่างโรงพยาบาลอุ้มผางไปยังโรงพยาบาลแม่สอด เมื่อเดือนมีนาคม 2560 ที่ผ่านมา พบว่า สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ คาดว่าการนําเทคโนโลยีที่มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูงมาผสานกับการให้บริการด้านการแพทย์จะนําไปสู่การสร้างสังคมคุณภาพที่ทั่วถึงและเท่าเทียมกันด้านสาธารณสุขให้แก่ประชาชนได้ในอนาคต
ด้าน สรอ. ได้วางโครงสร้างพื้นฐานระบบโครงข่าย GIN ในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตามบันทึกข้อตกลงระยะที่ 1 จํานวน 116 แห่งเรียบร้อยแล้ว พร้อมติดตั้งระบบประชุมทางไกลออนไลน์ภาครัฐ (GIN Conference) เพื่อให้แพทย์ในพื้นที่ห่างไกลสามารถปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโต้ตอบกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสามารถรักษาประชาชนได้อย่างทันท่วงที และได้เตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาทักษะความรู้เพิ่มศักยภาพด้าน Data Scientists, Data Analyst, Enterprise Architecture และ Information Security ให้แก่บุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านไอทีของกระทรวงสาธารณสุข หลังจากนั้นจึงจะมีการเพิ่มระบบ Tele-Medicine และจัดทําการทดสอบระบบให้กับโรงพยาบาลที่มีความพร้อมต่อไป คาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จตามแผนที่กําหนดไว้
*******************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4288
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สั่งกองทัพ สนับสนุนเร่งควบคุมต้นเหตุปัญหาฝุ่นพิษเร่งด่วน พร้อมร่วมเสียสละและรับผิดชอบสังคมไปด้วยกัน
|
วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2563
สั่งกองทัพ สนับสนุนเร่งควบคุมต้นเหตุปัญหาฝุ่นพิษเร่งด่วน พร้อมร่วมเสียสละและรับผิดชอบสังคมไปด้วยกัน
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพลงพื้นที่ทํางานร่วมกับจิตอาสา สนับสนุนส่วนราชการต่างๆ เร่งแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่วิกฤตเป็นการเร่งด่วน
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพลงพื้นที่ทํางานร่วมกับจิตอาสา สนับสนุนส่วนราชการต่างๆ เร่งแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่วิกฤตเป็นการเร่งด่วน โดยเฉพาะการควบคุมต้นเหตุของปัญหา
โดยให้กองทัพอากาศ นําอากาศยานไร้คนขับตรวจสภาพอากาศ เพื่อวางแผนสนับสนุนการทําฝนหลวงและขยายผลสํารวจจุดความร้อนในพื้นที่ แจ้งเตือนกําลังภาคพื้น เร่งเข้าไปควบคุมไฟป่าและพื้นที่ก่อให้เกิดควัน พร้อมกับให้กําลังทางบกของหน่วยทหารในพื้น ร่วมตรวจสอบและสนับสนุนส่วนราชการต่างๆกวดขันบังคับใช้กฎหมาย ควบคุมต้นเหตุของปัญหา ทั้งจากการเผาพืชไร่ โรงงาน การก่อสร้างและยานพาหนะควันดํา พร้อมจัดกําลังพลและยานพาหนะ สนับสนุนการชําระล้างถนน ทางเท้าและต้นไม้ริมทาง เพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นระดับต่ําที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง พร้อมกันนี้ให้จัดเจ้าหน้าที่แพทย์สนาม กระจายลงพื้นที่ดูแลสุขภาพเด็กและคนชราและให้คําแนะนํากับประชาชน
ทั้งนี้ นรม.และ รมว.กห.ได้กําชับให้ทุกเหล่าทัพ ขยายผลนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถบรรเทาปัญหา รวมทั้ง เร่งตรวจสอบปรับปรุงยานพาหนะในสังกัดและระงับการนํายานพาหนะเข้าพื้นที่วิกฤตหากไม่จําเป็น พร้อมทั้ง ขอความร่วมมือรณรงค์ให้กําลังพลและครอบครัว รวมทั้งประชาชนในพื้นที่โดยรอบหน่วยทหาร ร่วมเสียสละและรับผิดชอบสังคมไปด้วยกัน ในการลดต้นเหตุกิจการที่ก่อให้เกิดควันและลดการใช้ยานพาหนะส่วนตัวเข้าพื้นที่วิกฤตเป็นการชั่วคราว โดยให้หน่วยพิจารณาจัดยานพาหนะเป็นส่วนรวม สนับสนุนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สั่งกองทัพ สนับสนุนเร่งควบคุมต้นเหตุปัญหาฝุ่นพิษเร่งด่วน พร้อมร่วมเสียสละและรับผิดชอบสังคมไปด้วยกัน
วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม 2563
สั่งกองทัพ สนับสนุนเร่งควบคุมต้นเหตุปัญหาฝุ่นพิษเร่งด่วน พร้อมร่วมเสียสละและรับผิดชอบสังคมไปด้วยกัน
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพลงพื้นที่ทํางานร่วมกับจิตอาสา สนับสนุนส่วนราชการต่างๆ เร่งแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่วิกฤตเป็นการเร่งด่วน
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพลงพื้นที่ทํางานร่วมกับจิตอาสา สนับสนุนส่วนราชการต่างๆ เร่งแก้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่วิกฤตเป็นการเร่งด่วน โดยเฉพาะการควบคุมต้นเหตุของปัญหา
โดยให้กองทัพอากาศ นําอากาศยานไร้คนขับตรวจสภาพอากาศ เพื่อวางแผนสนับสนุนการทําฝนหลวงและขยายผลสํารวจจุดความร้อนในพื้นที่ แจ้งเตือนกําลังภาคพื้น เร่งเข้าไปควบคุมไฟป่าและพื้นที่ก่อให้เกิดควัน พร้อมกับให้กําลังทางบกของหน่วยทหารในพื้น ร่วมตรวจสอบและสนับสนุนส่วนราชการต่างๆกวดขันบังคับใช้กฎหมาย ควบคุมต้นเหตุของปัญหา ทั้งจากการเผาพืชไร่ โรงงาน การก่อสร้างและยานพาหนะควันดํา พร้อมจัดกําลังพลและยานพาหนะ สนับสนุนการชําระล้างถนน ทางเท้าและต้นไม้ริมทาง เพื่อลดการฟุ้งกระจายของฝุ่นระดับต่ําที่มีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง พร้อมกันนี้ให้จัดเจ้าหน้าที่แพทย์สนาม กระจายลงพื้นที่ดูแลสุขภาพเด็กและคนชราและให้คําแนะนํากับประชาชน
ทั้งนี้ นรม.และ รมว.กห.ได้กําชับให้ทุกเหล่าทัพ ขยายผลนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถบรรเทาปัญหา รวมทั้ง เร่งตรวจสอบปรับปรุงยานพาหนะในสังกัดและระงับการนํายานพาหนะเข้าพื้นที่วิกฤตหากไม่จําเป็น พร้อมทั้ง ขอความร่วมมือรณรงค์ให้กําลังพลและครอบครัว รวมทั้งประชาชนในพื้นที่โดยรอบหน่วยทหาร ร่วมเสียสละและรับผิดชอบสังคมไปด้วยกัน ในการลดต้นเหตุกิจการที่ก่อให้เกิดควันและลดการใช้ยานพาหนะส่วนตัวเข้าพื้นที่วิกฤตเป็นการชั่วคราว โดยให้หน่วยพิจารณาจัดยานพาหนะเป็นส่วนรวม สนับสนุนการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25996
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงข่าวแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากร ในการตรวจกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ
|
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2560
แถลงข่าวแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากร ในการตรวจกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ
กรมศุลกากรแถลงข่าวแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากรในการตรวจกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารที่เดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ
วันนี้ (วันที่ 17 พฤษภาคม 2560) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวกรมศุลกากร ชั้น 2 อาคาร 1 กรมศุลกากร นายชัยยุทธ คําคุณ รองอธิบดีกรมศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร และนายบุญเทียม โชควิวัฒน ผู้อํานวยการสํานักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถลงข่าวแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากรในการตรวจกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารที่เดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ
สืบเนื่องจากมีประชาชนที่เดินทางไปต่างประเทศ และขณะเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทย ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ณ สํานักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขอตรวจกระเป๋าสัมภาระที่นําติดตัวเข้ามาและถูกดําเนินคดีทางศุลกากร
โดยอาจมีความสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ศุลกากรมีแนวทางหรือวิธีการในการตรวจกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารอย่างไร
กรมศุลกากร ขออธิบายขั้นตอนและวิธีการในการเลือกตรวจกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ดังนี้
แผนผังประกอบขั้นตอนตั้งแต่ผู้โดยสารลงจากเครื่องบิน จนกระทั่งผ่านการตรวจจากเจ้าหน้าที่ศุลกากร
หลักการตรวจผู้โดยสารขาเข้า ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์มาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลกขององค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization : WCO) กล่าวคือ
1. ใช้หลักเกณฑ์การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) โดยการตรวจสอบข้อมูลผู้โดยสาร ก่อนเดินทางเข้ามาถึงประเทศไทย
2. การสังเกตพฤติกรรมของผู้โดยสาร และลักษณะกระเป๋าสัมภาระเดินทาง
3. งานสืบสวนและงานการข่าว
สําหรับกรณีที่มีการเผยแพร่รายงานการจับกุมนาฬิกา จํานวน 2 เรือน โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร สํานักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ จนเกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่ศุลกากร
จึงจับกุมผู้โดยสารที่นํานาฬิกาติดตัวเข้ามาโดยใส่ไว้บนข้อมือของตนเอง และนํามาซึ่งความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากร นั้น กรมศุลกากรขอชี้แจงในเรื่องดังกล่าว ดังนี้
คดีดังกล่าวเป็นการจับกุมผู้โดยสารหญิง สัญชาติไทย จํานวน 2 ราย (ขอสงวนชื่อ) ซึ่งเดินทางมาจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 โดยสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ HX769 มาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 02.35 น. ทั้งนี้ จากงานการข่าวแจ้งว่าจะมีผู้โดยสารลักลอบนํานาฬิกามูลค่าสูงเข้ามาเพื่อจําหน่ายในประเทศ โดยได้ส่งกล่องนาฬิกาเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วทางไปรษณีย์ จากการสืบสวน ติดตามของเจ้าหน้าที่พบว่าเมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ผู้โดยสารได้ลักลอบนํานาฬิกาเข้าประเทศด้วยวิธีใส่บนข้อมือเพื่ออําพรางเจ้าหน้าที่ และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าเป็นนาฬิกายี่ห้อ Audemars Piguet และ Patek Philippe ซึ่งเป็นของใหม่และยังไม่ได้มีการใช้งานแต่อย่างใด โดยผู้โดยสารทั้งสองรายยอมรับสารภาพว่าได้กระทําความผิดจริง เจ้าหน้าที่จึงได้จับกุมดําเนินคดีตามกฎหมายศุลกากรต่อไป
ทั้งนี้ นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ได้สั่งกําชับทุกหน่วยงานให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโปร่งใสและสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ที่นําเข้าสินค้ามาจําหน่ายโดยสุจริต ตลอดจนเป็นการปกป้องค่าภาษีอากรอันเป็นรายได้ของประเทศ อนึ่ง สถิติการจับกุมลักลอบนําเข้าสินค้าประเภทนาฬิกา กระเป๋า และรองเท้า ของสํานักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในปีงบประมาณ 2559 (ต.ค. 58 – ก.ย. 59) สามารถจับกุมได้ทั้งสิ้น 203 คดี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 136 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2560 (ต.ค. 59 – เม.ย. 60) สามารถจับกุมได้ทั้งสิ้น 136 คดี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 97.2 ล้านบาท
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงข่าวแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากร ในการตรวจกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2560
แถลงข่าวแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากร ในการตรวจกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ
กรมศุลกากรแถลงข่าวแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากรในการตรวจกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารที่เดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ
วันนี้ (วันที่ 17 พฤษภาคม 2560) เวลา 14.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวกรมศุลกากร ชั้น 2 อาคาร 1 กรมศุลกากร นายชัยยุทธ คําคุณ รองอธิบดีกรมศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร และนายบุญเทียม โชควิวัฒน ผู้อํานวยการสํานักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถลงข่าวแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากรในการตรวจกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารที่เดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ
สืบเนื่องจากมีประชาชนที่เดินทางไปต่างประเทศ และขณะเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทย ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ณ สํานักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขอตรวจกระเป๋าสัมภาระที่นําติดตัวเข้ามาและถูกดําเนินคดีทางศุลกากร
โดยอาจมีความสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ศุลกากรมีแนวทางหรือวิธีการในการตรวจกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารอย่างไร
กรมศุลกากร ขออธิบายขั้นตอนและวิธีการในการเลือกตรวจกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ดังนี้
แผนผังประกอบขั้นตอนตั้งแต่ผู้โดยสารลงจากเครื่องบิน จนกระทั่งผ่านการตรวจจากเจ้าหน้าที่ศุลกากร
หลักการตรวจผู้โดยสารขาเข้า ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์มาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลกขององค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization : WCO) กล่าวคือ
1. ใช้หลักเกณฑ์การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) โดยการตรวจสอบข้อมูลผู้โดยสาร ก่อนเดินทางเข้ามาถึงประเทศไทย
2. การสังเกตพฤติกรรมของผู้โดยสาร และลักษณะกระเป๋าสัมภาระเดินทาง
3. งานสืบสวนและงานการข่าว
สําหรับกรณีที่มีการเผยแพร่รายงานการจับกุมนาฬิกา จํานวน 2 เรือน โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร สํานักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ จนเกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่ศุลกากร
จึงจับกุมผู้โดยสารที่นํานาฬิกาติดตัวเข้ามาโดยใส่ไว้บนข้อมือของตนเอง และนํามาซึ่งความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากร นั้น กรมศุลกากรขอชี้แจงในเรื่องดังกล่าว ดังนี้
คดีดังกล่าวเป็นการจับกุมผู้โดยสารหญิง สัญชาติไทย จํานวน 2 ราย (ขอสงวนชื่อ) ซึ่งเดินทางมาจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 โดยสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ HX769 มาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 02.35 น. ทั้งนี้ จากงานการข่าวแจ้งว่าจะมีผู้โดยสารลักลอบนํานาฬิกามูลค่าสูงเข้ามาเพื่อจําหน่ายในประเทศ โดยได้ส่งกล่องนาฬิกาเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วทางไปรษณีย์ จากการสืบสวน ติดตามของเจ้าหน้าที่พบว่าเมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ผู้โดยสารได้ลักลอบนํานาฬิกาเข้าประเทศด้วยวิธีใส่บนข้อมือเพื่ออําพรางเจ้าหน้าที่ และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าเป็นนาฬิกายี่ห้อ Audemars Piguet และ Patek Philippe ซึ่งเป็นของใหม่และยังไม่ได้มีการใช้งานแต่อย่างใด โดยผู้โดยสารทั้งสองรายยอมรับสารภาพว่าได้กระทําความผิดจริง เจ้าหน้าที่จึงได้จับกุมดําเนินคดีตามกฎหมายศุลกากรต่อไป
ทั้งนี้ นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ได้สั่งกําชับทุกหน่วยงานให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโปร่งใสและสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ที่นําเข้าสินค้ามาจําหน่ายโดยสุจริต ตลอดจนเป็นการปกป้องค่าภาษีอากรอันเป็นรายได้ของประเทศ อนึ่ง สถิติการจับกุมลักลอบนําเข้าสินค้าประเภทนาฬิกา กระเป๋า และรองเท้า ของสํานักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในปีงบประมาณ 2559 (ต.ค. 58 – ก.ย. 59) สามารถจับกุมได้ทั้งสิ้น 203 คดี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 136 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2560 (ต.ค. 59 – เม.ย. 60) สามารถจับกุมได้ทั้งสิ้น 136 คดี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 97.2 ล้านบาท
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3798
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอนามัย แนะชะลอขูดหินปูน-อุดฟัน ช่วงนี้ หวั่นละอองฝอยน้ำลาย เสี่ยงแพร่เชื้อ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
กรมอนามัย แนะชะลอขูดหินปูน-อุดฟัน ช่วงนี้ หวั่นละอองฝอยน้ําลาย เสี่ยงแพร่เชื้อ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมอนามัย แนะชะลอขูดหินปูน-อุดฟัน ช่วงนี้ หวั่นละอองฝอยน้ําลาย เสี่ยงแพร่เชื้อ COVID-19
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนํา ประชาชนชะลอการขูดหินปูน อุดฟัน ผ่าฟันคุด ในช่วงเวลานี้ เพราะเสี่ยงในการแพร่โรคจากน้ําลายที่อาจปนเปื้อนเชื้อ COVID-19 แต่หากมีอาการปวด ยังพบทันตแพทย์ได้ปกติ พร้อมย้ําดูแลสุขภาพช่องปากด้วยหลัก 2-2-2
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019หรือ COVID-19 ในประเทศไทยยังคงต้องมีมาตรการคุมเข้มการคัดกรอง เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งสื่อสารความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ทุกสถานประกอบการต่างป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้นที่สุด แม้กระทั่งคลินิกทันตกรรม ก็เป็นอีกหนึ่งสถานประกอบการที่มีโอกาสเสี่ยงในการแพร่โรคสูงจากน้ําลายที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019จึงขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการทําฟันที่ยังไม่มีอาการ เช่น ขูดหินปูน อุดฟัน ผ่าฟันคุด ทําฟันปลอม ควรรอให้พ้นระยะระบาดของโรคก่อน หากมีอาการฉุกเฉิน เช่น ปวดฟัน เหงือกบวม เป็นหนอง ได้รับอุบัติเหตุฟันหัก สามารถพบทันตแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านได้ตามปกติ
ทางด้าน ทันตแพทย์หญิงปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อํานวยการสํานักทันตสาธารณสุข กล่าวว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาลหรือคลินิกทําฟันในช่วงนี้ประชาชนทุกกลุ่มวัยควรดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาด ด้วยหลัก 2-2-2 คือ แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ อย่างน้อยวันละ2ครั้ง เช้าและก่อนนอน ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์นานอย่างน้อย 2 นาที และภายใน 2 ชั่วโมงหลังแปรงฟันควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่ม ใช้อุปกรณ์เสริมทําความสะอาดซอกฟัน เช่น ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟัน ล้างแปรงสีฟันให้สะอาดหลังการใช้งาน ไม่ควรเก็บแปรงสีฟันใกล้กันจนหัวแปรงสัมผัสกับแปรงสีฟันของคนอื่น เพื่อป้องกันการถ่ายเทเชื้อโรค ลดการรับประทานของหวาน เน้นการรับประทานผักและผลไม้เพื่อป้องกันฟันผุ หากสุขภาพช่องปากดี ก็ไม่จําเป็นต้องไปโรงพยาบาล ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ COVID-19 ได้อีกทางหนึ่ง
***
ศูนย์สื่อสารสาธารณะ / 23 มีนาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมอนามัย แนะชะลอขูดหินปูน-อุดฟัน ช่วงนี้ หวั่นละอองฝอยน้ำลาย เสี่ยงแพร่เชื้อ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
กรมอนามัย แนะชะลอขูดหินปูน-อุดฟัน ช่วงนี้ หวั่นละอองฝอยน้ําลาย เสี่ยงแพร่เชื้อ COVID-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
กรมอนามัย แนะชะลอขูดหินปูน-อุดฟัน ช่วงนี้ หวั่นละอองฝอยน้ําลาย เสี่ยงแพร่เชื้อ COVID-19
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะนํา ประชาชนชะลอการขูดหินปูน อุดฟัน ผ่าฟันคุด ในช่วงเวลานี้ เพราะเสี่ยงในการแพร่โรคจากน้ําลายที่อาจปนเปื้อนเชื้อ COVID-19 แต่หากมีอาการปวด ยังพบทันตแพทย์ได้ปกติ พร้อมย้ําดูแลสุขภาพช่องปากด้วยหลัก 2-2-2
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019หรือ COVID-19 ในประเทศไทยยังคงต้องมีมาตรการคุมเข้มการคัดกรอง เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งสื่อสารความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ทุกสถานประกอบการต่างป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้นที่สุด แม้กระทั่งคลินิกทันตกรรม ก็เป็นอีกหนึ่งสถานประกอบการที่มีโอกาสเสี่ยงในการแพร่โรคสูงจากน้ําลายที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019จึงขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการทําฟันที่ยังไม่มีอาการ เช่น ขูดหินปูน อุดฟัน ผ่าฟันคุด ทําฟันปลอม ควรรอให้พ้นระยะระบาดของโรคก่อน หากมีอาการฉุกเฉิน เช่น ปวดฟัน เหงือกบวม เป็นหนอง ได้รับอุบัติเหตุฟันหัก สามารถพบทันตแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านได้ตามปกติ
ทางด้าน ทันตแพทย์หญิงปิยะดา ประเสริฐสม ผู้อํานวยการสํานักทันตสาธารณสุข กล่าวว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาลหรือคลินิกทําฟันในช่วงนี้ประชาชนทุกกลุ่มวัยควรดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาด ด้วยหลัก 2-2-2 คือ แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ อย่างน้อยวันละ2ครั้ง เช้าและก่อนนอน ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์นานอย่างน้อย 2 นาที และภายใน 2 ชั่วโมงหลังแปรงฟันควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่ม ใช้อุปกรณ์เสริมทําความสะอาดซอกฟัน เช่น ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟัน ล้างแปรงสีฟันให้สะอาดหลังการใช้งาน ไม่ควรเก็บแปรงสีฟันใกล้กันจนหัวแปรงสัมผัสกับแปรงสีฟันของคนอื่น เพื่อป้องกันการถ่ายเทเชื้อโรค ลดการรับประทานของหวาน เน้นการรับประทานผักและผลไม้เพื่อป้องกันฟันผุ หากสุขภาพช่องปากดี ก็ไม่จําเป็นต้องไปโรงพยาบาล ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ COVID-19 ได้อีกทางหนึ่ง
***
ศูนย์สื่อสารสาธารณะ / 23 มีนาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27732
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 4 กรกฎาคม 2560
|
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 4 กรกฎาคม 2560
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ติวเข้มนายจ้างลูกจ้างในกรุง ป้องกันอัคคีภัย
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2561
กสร. ติวเข้มนายจ้างลูกจ้างในกรุง ป้องกันอัคคีภัย
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ติวเข้มกฎหมายความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยและไฟฟ้าให้นายจ้าง ลูกจ้าง สถานประกอบกิจการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายความปลอดภัยแรงงาน มุ่งเป้าแรงงานความปลอดภัยลดอัตราการประสบอันตรายอย่างยั่งยืน
นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวในฐานะประธานเปิดการประชุมปฏิบัติการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน (ความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย และไฟฟ้า) ในวันที่ 12 ธันวาคม 2561 ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ว่า กระทรวงแรงงาน โดยพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยผู้ประกอบการ นายจ้าง ลูกจ้างในเรื่องความปลอดภัยในการทํางาน โดยได้กําหนดให้นโยบาย Safety Thailand เป็นนโยบายเน้นหนักของกระทรวงแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยและไฟฟ้าซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตและทรัพย์สินของนายจ้าง ลูกจ้าง ดังนั้น กสร. จึงได้จัดการประชุมปฏิบัติการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน (ความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย และไฟฟ้า) ขึ้น เพื่อสร้างมาตรการการรับรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 และกฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับไฟฟ้า พ.ศ. 2558 ให้แก่นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องจากสถานประกอบกิจการในพื้นที่เขตพญาไท ราชเทวี ห้วยขวางและดินแดง จํานวน 80 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานประกอบกิจการประเภทโรงแรม สถานประกอบกิจการที่ตั้งบนอาคารสูงที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย
นายทศพล กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ กสร. ได้ดําเนินการให้มีการจัดตั้งเครือข่ายความปลอดภัยในรูปแบบของชมรมความปลอดภัยในเขตกรุงเทพมหานครทั้ง 10 พื้นที่ ร่วมกันเฝ้าระวังความปลอดภัยในการทํางาน และขับเคลื่อนงานความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันคือให้เกิดความปลอดภัย ลดอัตราการประสบอันตราย และร่วมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่แรงงานได้อย่างยั่งยืน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ติวเข้มนายจ้างลูกจ้างในกรุง ป้องกันอัคคีภัย
วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม 2561
กสร. ติวเข้มนายจ้างลูกจ้างในกรุง ป้องกันอัคคีภัย
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ติวเข้มกฎหมายความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยและไฟฟ้าให้นายจ้าง ลูกจ้าง สถานประกอบกิจการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายความปลอดภัยแรงงาน มุ่งเป้าแรงงานความปลอดภัยลดอัตราการประสบอันตรายอย่างยั่งยืน
นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวในฐานะประธานเปิดการประชุมปฏิบัติการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน (ความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย และไฟฟ้า) ในวันที่ 12 ธันวาคม 2561 ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ว่า กระทรวงแรงงาน โดยพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยผู้ประกอบการ นายจ้าง ลูกจ้างในเรื่องความปลอดภัยในการทํางาน โดยได้กําหนดให้นโยบาย Safety Thailand เป็นนโยบายเน้นหนักของกระทรวงแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยและไฟฟ้าซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตและทรัพย์สินของนายจ้าง ลูกจ้าง ดังนั้น กสร. จึงได้จัดการประชุมปฏิบัติการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน (ความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย และไฟฟ้า) ขึ้น เพื่อสร้างมาตรการการรับรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 และกฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับไฟฟ้า พ.ศ. 2558 ให้แก่นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องจากสถานประกอบกิจการในพื้นที่เขตพญาไท ราชเทวี ห้วยขวางและดินแดง จํานวน 80 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานประกอบกิจการประเภทโรงแรม สถานประกอบกิจการที่ตั้งบนอาคารสูงที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย
นายทศพล กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ กสร. ได้ดําเนินการให้มีการจัดตั้งเครือข่ายความปลอดภัยในรูปแบบของชมรมความปลอดภัยในเขตกรุงเทพมหานครทั้ง 10 พื้นที่ ร่วมกันเฝ้าระวังความปลอดภัยในการทํางาน และขับเคลื่อนงานความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันคือให้เกิดความปลอดภัย ลดอัตราการประสบอันตราย และร่วมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่แรงงานได้อย่างยั่งยืน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17469
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งนอกเขตชลประทานอย่างยั่งยืน
|
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
การแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งนอกเขตชลประทานอย่างยั่งยืน
สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๓
เรื่อง การแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งนอกเขตชลประทานอย่างยั่งยืน
ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายระวี รุ่งเรือง สมาชิกวุฒิสภา
ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ผู้ถาม : นายระวี รุ่งเรือง สมาชิกวุฒิสภา ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะสามารถจัดหาแหล่งน้ําเพื่อการเกษตรนอกเขตชลประทานได้หรือไม่ ทุกหมู่บ้านจะมีน้ําใช้เพียงพอได้อย่างไร หลังพบว่าแม้ที่ผ่านมาจะมีฝนจํานวนมาก แต่สามารถเก็บไว้ใช้ประโยชน์ได้ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ขณะเดียวกันพื้นที่นอกเขตชลประทานประมาณ ๙๐ ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๐ ยังต้องพึ่งพาน้ําฝนและน้ําบาดาล นอกจากนี้ ยังพบว่าการบริหารจัดการน้ําทั้งระบบจําเป็นต้องใช้งบประมาณมากกว่า ๖ หมื่นล้าน แต่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะที่กํากับดูแลการจัดหาน้ํานอกเขตชลประทานได้รับงบประมาณไม่ถึง ๑ หมื่นล้าน จึงจะมีความเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะใช้โอกาสที่กระแสการเติมน้ําลงใต้ดินได้รับความสนใจจากสังคม ผลักดันให้เกิดขึ้นโดยชุมชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในภาวะที่มีงบประมาณจํากัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนําหลักการธนาคารน้ําใต้ดินมาใช้ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นทางเลือกในการแก้น้ําท่วมน้ําแล้งกักเก็บน้ําและเติมน้ําในบ่อบาดาลให้มีไว้ใช้ได้ตลอดปี
ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้
ปัจจุบันประเทศไทยสามารถกักเก็บน้ําไว้ใช้ได้ราว ๔๕,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร แต่นํามาใช้ได้จริง ๑๕,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยพบว่าสิ่งจําเป็นอย่างหนึ่งในขณะนี้คือแผนที่น้ําใต้ดิน ซึ่งขณะนี้กรมทรัพยากรน้ําบาดาล ได้เร่งสํารวจในพื้นที่ที่มีน้ําใต้ดินอย่างต่อเนื่องเพื่อนําข้อมูลมาจัดทําแผนที่แจกจ่ายให้กับเกษตรกรนําไปใช้งานต่อไป นอกจากนี้กรมทรัพยากรน้ําบาดาล ยังมีโครงการน้ําบาดาลเพื่อการเกษตร ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ ๔๐ ไร่ ๑๐๐ ไร่ ครอบคลุมไปจนถึง ๕๐๐ ไร่ ประกอบกับมีการบริการกระจายน้ํา และพลังงานไฟฟ้า เช่น พลังงานแสงอาทิตย์เข้าช่วยดึงน้ําใต้ดินขึ้นมาใช้ ซึ่งในแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงฯ ๒๐ ปี ได้ตั้งเป้าขุดบ่อน้ําบาดาลให้ได้ ๓๑,๐๐๐ แห่ง เพื่อบริการเกษตรกรในหลายพื้นที่ ส่วนการจัดตั้งธนาคารน้ําใต้ดิน เพื่อเติมน้ําใต้ดินและการนําน้ําใต้ดินมาใช้นั้นต้องคํานึงทิศทางไหลของน้ํา และแหล่งน้ําที่จะกักเก็บด้วย เพราะหากเป็นพื้นที่ที่มีการใช้สารเคมีก็จะก่อให้เกิดการปนเปื้อนน้ําใต้ดินได้ และย้ําว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความสําคัญกับพื้นที่ทั้งในและนอกเขตชลประทาน โดยในส่วนของแผนบูรณาการจัดการระบบน้ํา ได้ประสานกับทุกหน่วยงานภายในกระทรวง และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ บูรณาการงบประมาณทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ พร้อมกับประสานกระทรวงพลังงาน เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานโซล่าเซลล์ควบคู่กับการทําบ่อบาดาลและธนาคารน้ําใต้ดินด้วย
(โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งนอกเขตชลประทานอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
การแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งนอกเขตชลประทานอย่างยั่งยืน
สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๓
เรื่อง การแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งนอกเขตชลประทานอย่างยั่งยืน
ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายระวี รุ่งเรือง สมาชิกวุฒิสภา
ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ผู้ตอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ผู้ถาม : นายระวี รุ่งเรือง สมาชิกวุฒิสภา ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะสามารถจัดหาแหล่งน้ําเพื่อการเกษตรนอกเขตชลประทานได้หรือไม่ ทุกหมู่บ้านจะมีน้ําใช้เพียงพอได้อย่างไร หลังพบว่าแม้ที่ผ่านมาจะมีฝนจํานวนมาก แต่สามารถเก็บไว้ใช้ประโยชน์ได้ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ขณะเดียวกันพื้นที่นอกเขตชลประทานประมาณ ๙๐ ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ ๗๐ ยังต้องพึ่งพาน้ําฝนและน้ําบาดาล นอกจากนี้ ยังพบว่าการบริหารจัดการน้ําทั้งระบบจําเป็นต้องใช้งบประมาณมากกว่า ๖ หมื่นล้าน แต่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะที่กํากับดูแลการจัดหาน้ํานอกเขตชลประทานได้รับงบประมาณไม่ถึง ๑ หมื่นล้าน จึงจะมีความเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะใช้โอกาสที่กระแสการเติมน้ําลงใต้ดินได้รับความสนใจจากสังคม ผลักดันให้เกิดขึ้นโดยชุมชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในภาวะที่มีงบประมาณจํากัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนําหลักการธนาคารน้ําใต้ดินมาใช้ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นทางเลือกในการแก้น้ําท่วมน้ําแล้งกักเก็บน้ําและเติมน้ําในบ่อบาดาลให้มีไว้ใช้ได้ตลอดปี
ผู้ตอบ : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้
ปัจจุบันประเทศไทยสามารถกักเก็บน้ําไว้ใช้ได้ราว ๔๕,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร แต่นํามาใช้ได้จริง ๑๕,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร โดยพบว่าสิ่งจําเป็นอย่างหนึ่งในขณะนี้คือแผนที่น้ําใต้ดิน ซึ่งขณะนี้กรมทรัพยากรน้ําบาดาล ได้เร่งสํารวจในพื้นที่ที่มีน้ําใต้ดินอย่างต่อเนื่องเพื่อนําข้อมูลมาจัดทําแผนที่แจกจ่ายให้กับเกษตรกรนําไปใช้งานต่อไป นอกจากนี้กรมทรัพยากรน้ําบาดาล ยังมีโครงการน้ําบาดาลเพื่อการเกษตร ซึ่งมีขนาดตั้งแต่ ๔๐ ไร่ ๑๐๐ ไร่ ครอบคลุมไปจนถึง ๕๐๐ ไร่ ประกอบกับมีการบริการกระจายน้ํา และพลังงานไฟฟ้า เช่น พลังงานแสงอาทิตย์เข้าช่วยดึงน้ําใต้ดินขึ้นมาใช้ ซึ่งในแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงฯ ๒๐ ปี ได้ตั้งเป้าขุดบ่อน้ําบาดาลให้ได้ ๓๑,๐๐๐ แห่ง เพื่อบริการเกษตรกรในหลายพื้นที่ ส่วนการจัดตั้งธนาคารน้ําใต้ดิน เพื่อเติมน้ําใต้ดินและการนําน้ําใต้ดินมาใช้นั้นต้องคํานึงทิศทางไหลของน้ํา และแหล่งน้ําที่จะกักเก็บด้วย เพราะหากเป็นพื้นที่ที่มีการใช้สารเคมีก็จะก่อให้เกิดการปนเปื้อนน้ําใต้ดินได้ และย้ําว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความสําคัญกับพื้นที่ทั้งในและนอกเขตชลประทาน โดยในส่วนของแผนบูรณาการจัดการระบบน้ํา ได้ประสานกับทุกหน่วยงานภายในกระทรวง และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ บูรณาการงบประมาณทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ พร้อมกับประสานกระทรวงพลังงาน เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานโซล่าเซลล์ควบคู่กับการทําบ่อบาดาลและธนาคารน้ําใต้ดินด้วย
(โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32968
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับสภาเศรษฐกิจโลก เปิดตัวข้อตกลงร่วมภายใต้โครงการ “ดิจิทัล อาเซียน” สร้างทักษะด้านดิจิทัลเอสเอ็มอีไทย
|
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับสภาเศรษฐกิจโลก เปิดตัวข้อตกลงร่วมภายใต้โครงการ “ดิจิทัล อาเซียน” สร้างทักษะด้านดิจิทัลเอสเอ็มอีไทย
กระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF) ในการเปิดตัวร่วมกับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อนําร่องในการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับแรงงานในอาเซียน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี ณ ห้องปัญญาภิรมย์ ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ศูนย์เรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 โดยข้อตกลงดังกล่าวเป็นการตั้งโจทย์โดยสภาเศรษฐกิจโลก ซึ่งภาคเอกชนและจะนําไปสู่การส่งเสริมการค้าการลงทุน มีจุดมุ่งหมายที่จะผลักดันให้เกิดความร่วมมือในภูมิภาคจากภาคธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประชาชนผ่านการฝึกฝน การเรียนรู้ทักษะ และเสริมสร้างความเชี่ยวชาญ โดยมีกลุ่มบริษัทนําร่อง ได้แก่ ซิสโก้ กูเกิล ไมโครซอฟท์ ลาซาด้า Grab Tokopedia และ Sea Group ซึ่งเป็นบริษัททั้งระดับโลกและระดับอาเซียน การสนับสนุนยังมีทั้งให้ทุนการศึกษา เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษามหาวิทยาลัยในอาเซียนได้เข้าฝึกงานกับบริษัท การอบรมเจ้าหน้าที่ และการร่วมสร้างหลักสูตรเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา ซึ่งคาดว่าจะสร้างให้เกิดการจ้างแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัล 200,000 คนในอาเซียน ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า
*****************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับสภาเศรษฐกิจโลก เปิดตัวข้อตกลงร่วมภายใต้โครงการ “ดิจิทัล อาเซียน” สร้างทักษะด้านดิจิทัลเอสเอ็มอีไทย
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2561
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับสภาเศรษฐกิจโลก เปิดตัวข้อตกลงร่วมภายใต้โครงการ “ดิจิทัล อาเซียน” สร้างทักษะด้านดิจิทัลเอสเอ็มอีไทย
กระทรวงดิจิทัลฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF) ในการเปิดตัวร่วมกับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อนําร่องในการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้กับแรงงานในอาเซียน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี ณ ห้องปัญญาภิรมย์ ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ศูนย์เรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 โดยข้อตกลงดังกล่าวเป็นการตั้งโจทย์โดยสภาเศรษฐกิจโลก ซึ่งภาคเอกชนและจะนําไปสู่การส่งเสริมการค้าการลงทุน มีจุดมุ่งหมายที่จะผลักดันให้เกิดความร่วมมือในภูมิภาคจากภาคธุรกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประชาชนผ่านการฝึกฝน การเรียนรู้ทักษะ และเสริมสร้างความเชี่ยวชาญ โดยมีกลุ่มบริษัทนําร่อง ได้แก่ ซิสโก้ กูเกิล ไมโครซอฟท์ ลาซาด้า Grab Tokopedia และ Sea Group ซึ่งเป็นบริษัททั้งระดับโลกและระดับอาเซียน การสนับสนุนยังมีทั้งให้ทุนการศึกษา เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษามหาวิทยาลัยในอาเซียนได้เข้าฝึกงานกับบริษัท การอบรมเจ้าหน้าที่ และการร่วมสร้างหลักสูตรเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา ซึ่งคาดว่าจะสร้างให้เกิดการจ้างแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัล 200,000 คนในอาเซียน ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า
*****************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17063
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ปักธงสร้างตลาดห้องพักคุณภาพอัพเกรดรายได้ จับมือกูรูมือหนึ่งปลุกกระแส “บูติคโฮเต็ล”ทั่วประเทศ
|
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561
ธพว. ปักธงสร้างตลาดห้องพักคุณภาพอัพเกรดรายได้ จับมือกูรูมือหนึ่งปลุกกระแส “บูติคโฮเต็ล”ทั่วประเทศ
ธพว. ปลุกกระแสท่องเที่ยว-ห้องพักคุณภาพ เตรียมยกระดับผู้ประกอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน-ฐานราก จับมือกูรูมือหนึ่งเดินสายให้ความรู้อัพเกรดธุรกิจบูติคโฮเต็ลสร้างรายได้ครบวงจร
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว. ) กล่าวในการเป็นประธานเปิดงานสัมมนา เคล็ด (ไม่) ลับ...ความสําเร็จ “บูติคโฮเต็ลท่องเที่ยวไทยเติบโต” ว่า ธุรกิจห้องพักคุณภาพ หรือ บูติคโฮเต็ล (Boutique Hotel) เป็นทางอีกเลือกที่น่าสนใจ เพราะหากเปรียบเทียบระหว่าง “บูติคโฮเต็ล”กับโรงแรม หรือรีสอร์ททั่วไปแล้ว ต้นทุนทั้งพื้นที่และการก่อสร้างต่อห้องยังต่ํากว่าหลายเท่า ขณะที่อัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้กลับเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว เช่น โรงแรมสําหรับแบ็กแพ็คเกอร์ หรือ โฮสเทล (Hostel) ราคาต่อห้องที่ 400 บาทต่อคืน ขณะที่บูติคโฮเต็ล ราคาต่อคืนเริ่มหลักพันถึงหลักหมื่นบาท ธุรกิจดังกล่าวจึงมีความน่าสนใจเนื่องจากก่อให้เกิดรายได้ลงลึกถึงชุมชนโดยตรง
อย่างไรก็ดี การลงทุนในธุรกิจดังกล่าวจําเป็นต้องใช้เงินลงทุนปรับปรุงสถานที่ ธพว.พร้อมสนับสนุนทั้งองค์ความรู้และการอํานวยเรื่องสินเชื่อ ซึ่งขณะนี้ธนาคารมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อรองรับผู้ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจบูติคโฮเต็ล หลายผลิตภัณฑ์ด้วยกัน เช่น สินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว วงเงิน 50,000 ล้านบาท ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีขนาดเล็ก หรือ จุลเอสเอ็มอี อีกทั้งยังช่วยการสนับสนุนการท่องเที่ยว-ท่องเที่ยวชุมชน คิดอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ใน 3 ปีแรก, ปีที่ 4 -7 คิดอัตรา MLR เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยตลอดโครงการ 5-7% ระยะเวลากู้ยืม สูงสุดไม่เกิน 7 ปี วงเงินกู้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท, บุคคลธรรมดา วงเงินกู้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 2 ล้านบาท หากเป็นบุคคลธรรมดาที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และนิติบุคคลรับวงเงินสูงสุดต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท พิเศษยื่นกู้วงเงิน 1 ล้านบาท ผ่อนเพียงวันละ 460 บาท เท่านั้น
และสินเชื่อที่น่าจะตอบความต้องการผู้สูงอายุที่ต้องการพัฒนาที่พักอาศัยที่มีอยู่เดิมให้เป็นห้องพักรองรับนักท่องเที่ยวขนาดย่อมๆ สามารถใช้บริการสินเชื่อ “โครงการสินเชื่อ สร้างอาชีพ วัยเก๋า” วงเงินโครงการรวม 1,000 ล้านบาท สําหรับสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ให้สามารถนําไปเริ่มต้นทําธุรกิจใหม่ สร้างรายได้หลังเกษียณจากการทํางานประจํา โดยธนาคารได้ผ่อนปรนเกณฑ์ให้ผู้สูงอายุเข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น ผู้กู้เป็นได้ทั้งบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล กรณีหากมีกรรมการผู้มีอํานาจลงนามหรือผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งต้องมีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปถึง 75 ปี (รวมระยะเวลาให้สินเชื่อแล้วไม่เกินอายุ 75 ปี) กู้สูงสุด ไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 6 เดือน สําหรับผู้สูงวัยที่ต้องการเริ่มต้นทําธุรกิจ หรือต้องการขยาย ปรับปรุงกิจการ ทุกประเภท กู้สูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ MLR+1 ต่อปี หรือเฉลี่ย 6.87% ฟรีค่าธรรมเนียม บสย. 1 ปี และเข้าโครงการ SME ทวีทุน (PGS6) ปรับปรุงใหม่ ฟรีค่าธรรมเนียม บสย.4 ปี ระยะเวลากู้ยืมสูงสุด 7 ปี ปลอดชําระเงินต้น (Grace Period) 6 เดือน สิ้นสุดโครงการภายใน 31 ธันวาคม 2561 หรือจนกว่าจะหมดวงเงินสินเชื่อ
ทั้งนี้ เพื่อจะสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจบูติคโฮเต็ล มีศักยภาพในการดําเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง มีมาตรฐานสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ธนาคารได้ร่วมกับนายวรพันธ์ คล้ามไพบูลย์ กูรูบูติคโฮเต็ลหมายเลขหนึ่งของเมืองไทย ดําเนินโครงการ “พัฒนาผู้ประกอบการที่พักบูติคโฮเต็ลเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจชุมชน” ในรูปแบบสัมมนาอบรมความรู้ ซึ่งจะเน้นให้ข้อมูลแก่ผู้สนใจปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่มีอยู่เดิม รวมถึงนักลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการสร้างธุรกิจในรูปแบบของบูติคโฮเต็ล เน้นข้อมูล 3 ด้านสําคัญ คือ 1.แนะนําให้ผู้ประกอบการเห็นโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากยอดนักท่องเที่ยวปี 2561 คาดว่าจะสูงถึง 38 ล้านคน 2.ให้ผู้ลงทุนเห็นข้อดีจากการพัฒนาห้องพักให้ได้มาตรฐานว่าจะสามารถสร้างรายได้มากกว่าจะเน้นปรับปรุงหรือลงทุนในรูปแบบห้องพักราคาถูก ที่เน้นเพียงตลาดล่างที่เน้นขายตัดราคา และ 3. ถ่ายทอดองค์ความรู้ (Know How) ทั้งการลงทุน การบริหารจัดการ ความรู้ด้านกฎหมายอาคาร เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องปฎิบัติตาม ตลอดจนเทคนิกการตกแต่งห้องพักเพื่อสร้างจุดขายทําให้สามารถปรับราคาห้องพักได้
ทั้งนี้ จากข้อมูลจากสมาคมโรงแรมไทยปี 2560 ประเมินว่า ทั้งระบบมีธุรกิจห้องพัก-โรงแรมถึง 1 แสนแห่ง แต่เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมายเพียง 1 หมื่นแห่ง หรือเพียง 10% เท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติในรูปแบบของโรงแรมและเครือรีสอร์ต (Hotel Chain) โดยมีขนาดห้องพักตั้งแต่ 40-50 ห้องขึ้นไป และยังพบอีกว่า เริ่มมีการนําอพาร์ทเมนท์เก่ามาปรับปรุงเป็นโรงแรมหรือห้องพักให้บริการ
สําหรับการจัดสัมมนา เคล็ด (ไม่) ลับ...ความสําเร็จ “บูติคโฮเต็ลท่องเที่ยวไทยเติบโต” จะจัดหมุนเวียนตลอดทั้งปี เริ่มครั้งแรกจัดวันที่ 20 มี.ค. ณ SME Bank Tower จากนั้น จัดอีก 9 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 21 มีนาคม 2561 จังหวัดสุราษฎร์ธานี, วันที่ 23 มีนาคม 2561 จ.ภูเก็ต, วันที่ 27 มีนาคม 2561 จ.เชียงใหม่, วันที่ 29 มีนาคม 2561 จ.สุโขทัย, วันที่ 31 มีนาคม 2561 จ.ราชบุรี, วันที่ 3 เมษายน 2561 จ.อุบลราชธานี, วันที่ 5 เมษายน 2561 จ.ขอนแก่น, วันที่ 25 เมษายน 2561 จ.กรุงเทพฯ และวันที่ 27 เมษายน 2561 ที่ จ.ระยอง โดยผู้สนใจสมัครเข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ปักธงสร้างตลาดห้องพักคุณภาพอัพเกรดรายได้ จับมือกูรูมือหนึ่งปลุกกระแส “บูติคโฮเต็ล”ทั่วประเทศ
วันอังคารที่ 20 มีนาคม 2561
ธพว. ปักธงสร้างตลาดห้องพักคุณภาพอัพเกรดรายได้ จับมือกูรูมือหนึ่งปลุกกระแส “บูติคโฮเต็ล”ทั่วประเทศ
ธพว. ปลุกกระแสท่องเที่ยว-ห้องพักคุณภาพ เตรียมยกระดับผู้ประกอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน-ฐานราก จับมือกูรูมือหนึ่งเดินสายให้ความรู้อัพเกรดธุรกิจบูติคโฮเต็ลสร้างรายได้ครบวงจร
นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว. ) กล่าวในการเป็นประธานเปิดงานสัมมนา เคล็ด (ไม่) ลับ...ความสําเร็จ “บูติคโฮเต็ลท่องเที่ยวไทยเติบโต” ว่า ธุรกิจห้องพักคุณภาพ หรือ บูติคโฮเต็ล (Boutique Hotel) เป็นทางอีกเลือกที่น่าสนใจ เพราะหากเปรียบเทียบระหว่าง “บูติคโฮเต็ล”กับโรงแรม หรือรีสอร์ททั่วไปแล้ว ต้นทุนทั้งพื้นที่และการก่อสร้างต่อห้องยังต่ํากว่าหลายเท่า ขณะที่อัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้กลับเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว เช่น โรงแรมสําหรับแบ็กแพ็คเกอร์ หรือ โฮสเทล (Hostel) ราคาต่อห้องที่ 400 บาทต่อคืน ขณะที่บูติคโฮเต็ล ราคาต่อคืนเริ่มหลักพันถึงหลักหมื่นบาท ธุรกิจดังกล่าวจึงมีความน่าสนใจเนื่องจากก่อให้เกิดรายได้ลงลึกถึงชุมชนโดยตรง
อย่างไรก็ดี การลงทุนในธุรกิจดังกล่าวจําเป็นต้องใช้เงินลงทุนปรับปรุงสถานที่ ธพว.พร้อมสนับสนุนทั้งองค์ความรู้และการอํานวยเรื่องสินเชื่อ ซึ่งขณะนี้ธนาคารมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อรองรับผู้ที่ต้องการลงทุนในธุรกิจบูติคโฮเต็ล หลายผลิตภัณฑ์ด้วยกัน เช่น สินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว วงเงิน 50,000 ล้านบาท ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีขนาดเล็ก หรือ จุลเอสเอ็มอี อีกทั้งยังช่วยการสนับสนุนการท่องเที่ยว-ท่องเที่ยวชุมชน คิดอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ใน 3 ปีแรก, ปีที่ 4 -7 คิดอัตรา MLR เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยตลอดโครงการ 5-7% ระยะเวลากู้ยืม สูงสุดไม่เกิน 7 ปี วงเงินกู้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท, บุคคลธรรมดา วงเงินกู้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 2 ล้านบาท หากเป็นบุคคลธรรมดาที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และนิติบุคคลรับวงเงินสูงสุดต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท พิเศษยื่นกู้วงเงิน 1 ล้านบาท ผ่อนเพียงวันละ 460 บาท เท่านั้น
และสินเชื่อที่น่าจะตอบความต้องการผู้สูงอายุที่ต้องการพัฒนาที่พักอาศัยที่มีอยู่เดิมให้เป็นห้องพักรองรับนักท่องเที่ยวขนาดย่อมๆ สามารถใช้บริการสินเชื่อ “โครงการสินเชื่อ สร้างอาชีพ วัยเก๋า” วงเงินโครงการรวม 1,000 ล้านบาท สําหรับสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ให้สามารถนําไปเริ่มต้นทําธุรกิจใหม่ สร้างรายได้หลังเกษียณจากการทํางานประจํา โดยธนาคารได้ผ่อนปรนเกณฑ์ให้ผู้สูงอายุเข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น ผู้กู้เป็นได้ทั้งบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล กรณีหากมีกรรมการผู้มีอํานาจลงนามหรือผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งต้องมีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไปถึง 75 ปี (รวมระยะเวลาให้สินเชื่อแล้วไม่เกินอายุ 75 ปี) กู้สูงสุด ไม่เกิน 7 ปี ปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 6 เดือน สําหรับผู้สูงวัยที่ต้องการเริ่มต้นทําธุรกิจ หรือต้องการขยาย ปรับปรุงกิจการ ทุกประเภท กู้สูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ MLR+1 ต่อปี หรือเฉลี่ย 6.87% ฟรีค่าธรรมเนียม บสย. 1 ปี และเข้าโครงการ SME ทวีทุน (PGS6) ปรับปรุงใหม่ ฟรีค่าธรรมเนียม บสย.4 ปี ระยะเวลากู้ยืมสูงสุด 7 ปี ปลอดชําระเงินต้น (Grace Period) 6 เดือน สิ้นสุดโครงการภายใน 31 ธันวาคม 2561 หรือจนกว่าจะหมดวงเงินสินเชื่อ
ทั้งนี้ เพื่อจะสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจบูติคโฮเต็ล มีศักยภาพในการดําเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง มีมาตรฐานสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ธนาคารได้ร่วมกับนายวรพันธ์ คล้ามไพบูลย์ กูรูบูติคโฮเต็ลหมายเลขหนึ่งของเมืองไทย ดําเนินโครงการ “พัฒนาผู้ประกอบการที่พักบูติคโฮเต็ลเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจชุมชน” ในรูปแบบสัมมนาอบรมความรู้ ซึ่งจะเน้นให้ข้อมูลแก่ผู้สนใจปรับปรุงที่อยู่อาศัยที่มีอยู่เดิม รวมถึงนักลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการสร้างธุรกิจในรูปแบบของบูติคโฮเต็ล เน้นข้อมูล 3 ด้านสําคัญ คือ 1.แนะนําให้ผู้ประกอบการเห็นโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากยอดนักท่องเที่ยวปี 2561 คาดว่าจะสูงถึง 38 ล้านคน 2.ให้ผู้ลงทุนเห็นข้อดีจากการพัฒนาห้องพักให้ได้มาตรฐานว่าจะสามารถสร้างรายได้มากกว่าจะเน้นปรับปรุงหรือลงทุนในรูปแบบห้องพักราคาถูก ที่เน้นเพียงตลาดล่างที่เน้นขายตัดราคา และ 3. ถ่ายทอดองค์ความรู้ (Know How) ทั้งการลงทุน การบริหารจัดการ ความรู้ด้านกฎหมายอาคาร เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องปฎิบัติตาม ตลอดจนเทคนิกการตกแต่งห้องพักเพื่อสร้างจุดขายทําให้สามารถปรับราคาห้องพักได้
ทั้งนี้ จากข้อมูลจากสมาคมโรงแรมไทยปี 2560 ประเมินว่า ทั้งระบบมีธุรกิจห้องพัก-โรงแรมถึง 1 แสนแห่ง แต่เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมายเพียง 1 หมื่นแห่ง หรือเพียง 10% เท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติในรูปแบบของโรงแรมและเครือรีสอร์ต (Hotel Chain) โดยมีขนาดห้องพักตั้งแต่ 40-50 ห้องขึ้นไป และยังพบอีกว่า เริ่มมีการนําอพาร์ทเมนท์เก่ามาปรับปรุงเป็นโรงแรมหรือห้องพักให้บริการ
สําหรับการจัดสัมมนา เคล็ด (ไม่) ลับ...ความสําเร็จ “บูติคโฮเต็ลท่องเที่ยวไทยเติบโต” จะจัดหมุนเวียนตลอดทั้งปี เริ่มครั้งแรกจัดวันที่ 20 มี.ค. ณ SME Bank Tower จากนั้น จัดอีก 9 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 21 มีนาคม 2561 จังหวัดสุราษฎร์ธานี, วันที่ 23 มีนาคม 2561 จ.ภูเก็ต, วันที่ 27 มีนาคม 2561 จ.เชียงใหม่, วันที่ 29 มีนาคม 2561 จ.สุโขทัย, วันที่ 31 มีนาคม 2561 จ.ราชบุรี, วันที่ 3 เมษายน 2561 จ.อุบลราชธานี, วันที่ 5 เมษายน 2561 จ.ขอนแก่น, วันที่ 25 เมษายน 2561 จ.กรุงเทพฯ และวันที่ 27 เมษายน 2561 ที่ จ.ระยอง โดยผู้สนใจสมัครเข้าร่วมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10889
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษในงานสัมมนาใหญ่ประจำปี 2560 “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล”
|
วันพุธที่ 10 มกราคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษในงานสัมมนาใหญ่ประจําปี 2560 “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นวิทยากรในงานสัมมนาใหญ่ประจําปี 2560 หัวข้อ “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล” ของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ โดยมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานและปาฐกถาพิเศษ พร้อมด้วย ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คุณปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และคุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ร่วมเป็นวิทยากรในงานฯ ซึ่งสมาคมฯ จัดงานดังกล่าวขึ้น เพื่อส่งเสริมบทบาทของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจในการสร้างองค์ความรู้ต่างๆ และเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการภาคเอกชน ข้าราชการ และประชาชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการรับทราบข้อมูลและมุมมองที่รอบด้านจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งจุดประกายทางความคิดให้กับสังคม นําไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2561 ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม BC โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
**************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษในงานสัมมนาใหญ่ประจำปี 2560 “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล”
วันพุธที่ 10 มกราคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ บรรยายพิเศษในงานสัมมนาใหญ่ประจําปี 2560 “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นวิทยากรในงานสัมมนาใหญ่ประจําปี 2560 หัวข้อ “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล” ของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ โดยมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานและปาฐกถาพิเศษ พร้อมด้วย ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คุณปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย และคุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ร่วมเป็นวิทยากรในงานฯ ซึ่งสมาคมฯ จัดงานดังกล่าวขึ้น เพื่อส่งเสริมบทบาทของสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจในการสร้างองค์ความรู้ต่างๆ และเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการภาคเอกชน ข้าราชการ และประชาชน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการรับทราบข้อมูลและมุมมองที่รอบด้านจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งจุดประกายทางความคิดให้กับสังคม นําไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2561 ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม BC โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
**************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9300
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ นำทีมตรวจเยี่ยมกรมชลประทาน
|
วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2561
รัฐมนตรีเกษตรฯ นําทีมตรวจเยี่ยมกรมชลประทาน
รัฐมนตรีเกษตรฯ นําทีมตรวจเยี่ยมกรมชลประทาน เน้นบูรณาการทํางานร่วมจังหวัด สร้างความเข้าใจกับประชาชน
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายลักษณ์ วัจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้แก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของกรมชลประทาน โดยได้รับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินงานที่ผ่านมา รวมทั้งการขับเคลื่อนงานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกรมชลประทาน ก่อนเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของศูนย์ฏิบัติการน้ําอัจฉริยะ ชั้น 3 อาคาร 99 ปี หม่อมหลวงชูชาติ กําภู กรมชลประทาน สามเสน
นายกฤษฎา กล่าวว่า การตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ได้มอบนโยบายให้แก่กรมชลประทาน ประกอบด้วย 1. ให้สํานักชลประทานจังหวัดประสานงานกับจังหวัด ผู้ว่าราชการ นายอําเภอ เพื่อบูรณาการทํางานร่วมกันในการชี้แจงทําความเข้าใจกับประชาชน 2. การส่งเสริมให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกข้าวรอบ 2 หรือนาปรัง เพื่อปลูกพืชไร่หรือพืชผักอื่นๆ ทดแทน ในพื้นที่นาไม่เหมาะสม โดยต้องแสดงให้เห็นว่าสามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้จํานวนเท่าไร 3. เร่งรัดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริให้เสร็จ โดยกรมชลประทานได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว อีกทั้งได้เน้นย้ําให้ดําเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 10 ทั่วประเทศ อาทิ คลองเปรมประชากร เป็นต้น
ทั้งนี้ กรมชลประทานรายงานสถานการณ์น้ําทั่วประเทศว่า มีปริมาณน้ําเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามแม้มีน้ําเพื่อการเกษตรเพียงพอ แต่แนะนําให้ใช้อย่างประหยัด นอกจากนี้ได้เตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ําไว้ทั่วประเทศ กว่า 1,700 เครื่อง และยังสํารองอีกกว่า 600 เครื่อง โดยให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้กระจายไปในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้ง
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ นำทีมตรวจเยี่ยมกรมชลประทาน
วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2561
รัฐมนตรีเกษตรฯ นําทีมตรวจเยี่ยมกรมชลประทาน
รัฐมนตรีเกษตรฯ นําทีมตรวจเยี่ยมกรมชลประทาน เน้นบูรณาการทํางานร่วมจังหวัด สร้างความเข้าใจกับประชาชน
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายลักษณ์ วัจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้แก่ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของกรมชลประทาน โดยได้รับฟังบรรยายสรุปผลการดําเนินงานที่ผ่านมา รวมทั้งการขับเคลื่อนงานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกรมชลประทาน ก่อนเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของศูนย์ฏิบัติการน้ําอัจฉริยะ ชั้น 3 อาคาร 99 ปี หม่อมหลวงชูชาติ กําภู กรมชลประทาน สามเสน
นายกฤษฎา กล่าวว่า การตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ได้มอบนโยบายให้แก่กรมชลประทาน ประกอบด้วย 1. ให้สํานักชลประทานจังหวัดประสานงานกับจังหวัด ผู้ว่าราชการ นายอําเภอ เพื่อบูรณาการทํางานร่วมกันในการชี้แจงทําความเข้าใจกับประชาชน 2. การส่งเสริมให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกข้าวรอบ 2 หรือนาปรัง เพื่อปลูกพืชไร่หรือพืชผักอื่นๆ ทดแทน ในพื้นที่นาไม่เหมาะสม โดยต้องแสดงให้เห็นว่าสามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้จํานวนเท่าไร 3. เร่งรัดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริให้เสร็จ โดยกรมชลประทานได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว อีกทั้งได้เน้นย้ําให้ดําเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 10 ทั่วประเทศ อาทิ คลองเปรมประชากร เป็นต้น
ทั้งนี้ กรมชลประทานรายงานสถานการณ์น้ําทั่วประเทศว่า มีปริมาณน้ําเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามแม้มีน้ําเพื่อการเกษตรเพียงพอ แต่แนะนําให้ใช้อย่างประหยัด นอกจากนี้ได้เตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ําไว้ทั่วประเทศ กว่า 1,700 เครื่อง และยังสํารองอีกกว่า 600 เครื่อง โดยให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้กระจายไปในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้ง
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10684
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้าปรองดองไร้ปัญหา เน้นพัฒนาการเมือง
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560
เดินหน้าปรองดองไร้ปัญหา เน้นพัฒนาการเมือง
เดินหน้าปรองดองไร้ปัญหา เน้นพัฒนาการเมือง
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอ เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง เผยการประชุมกลุ่มย่อยร่วมกับพรรคการเมืองและภาคส่วนต่างๆ ในวันนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีและมีการเสนอความเห็นที่สร้างสรรค์ โดยได้มีการตรวจสอบข้อสรุปทั้ง 10 ประเด็น ที่ได้ประมวลจากการรับฟังความคิดเห็น ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยสามารถเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมได้
สําหรับวันนี้มีพรรคการเมืองเข้าร่วม 35 พรรค ภาคประชาชน 36 กลุ่ม และกลุ่มการเมือง 1 กลุ่ม คือ นปช. ส่วน กปปส. ได้ส่งเอกสารเข้ามาร่วมเสนอเพิ่มเติม รวมมีผู้เข้าร่วม 124 คน
นอกจากนี้ พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ได้ระบุถึงเนื้อหาที่ได้มีการเน้นย้ําเป็นพิเศษในครั้งนี้ เช่น ด้านการเมือง ให้มีการพัฒนาพรรคการเมือง บุคลากรทางการเมือง ระบบเลือกตั้ง องค์กรอิสระในการตรวจสอบให้มีความเป็นกลางและเป็นธรรม เรื่องการให้ความรู้ด้านประชาธิปไตยกับประชาชน นอกจากนี้ยังมีเรื่องความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา เป็นต้น
หลังจากนี้ หากได้ข้อสรุปจากทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ภายในกรอบวันที่ 28 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2560 จะส่งต่อไปยังคณะกรรมการชุดที่ 2 รวบรวมความเห็นทั้งหมด ก่อนส่งต่อไปยัง คณะอนุกรรมการชุดที่ 3 จัดทําข้อเสนอ สร้างความสามัคคีปรองดอง ที่มี พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธาน คาดว่าร่างสัญญาประชาคมฉบับแรกจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายน ก่อนจะเปิดเวทีสาธารณะให้ประชาชนร่วมวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อปรับปรุงและทําเป็นร่างสัญญาฉบับสมบูรณ์ เพื่อส่งต่อไปยัง ปยป. สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สปท. และรัฐบาล เพื่อนําไปเป็นนโยบายแก้ไขปัญหาและดําเนินการต่อไป ย้ําการเดินหน้าปรองดองขณะนี้ไร้ปัญหา ยืนยันได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เดินหน้าปรองดองไร้ปัญหา เน้นพัฒนาการเมือง
วันพฤหัสบดีที่ 27 เมษายน 2560
เดินหน้าปรองดองไร้ปัญหา เน้นพัฒนาการเมือง
เดินหน้าปรองดองไร้ปัญหา เน้นพัฒนาการเมือง
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอ เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง เผยการประชุมกลุ่มย่อยร่วมกับพรรคการเมืองและภาคส่วนต่างๆ ในวันนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีและมีการเสนอความเห็นที่สร้างสรรค์ โดยได้มีการตรวจสอบข้อสรุปทั้ง 10 ประเด็น ที่ได้ประมวลจากการรับฟังความคิดเห็น ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยสามารถเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติมได้
สําหรับวันนี้มีพรรคการเมืองเข้าร่วม 35 พรรค ภาคประชาชน 36 กลุ่ม และกลุ่มการเมือง 1 กลุ่ม คือ นปช. ส่วน กปปส. ได้ส่งเอกสารเข้ามาร่วมเสนอเพิ่มเติม รวมมีผู้เข้าร่วม 124 คน
นอกจากนี้ พลตรี คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง ได้ระบุถึงเนื้อหาที่ได้มีการเน้นย้ําเป็นพิเศษในครั้งนี้ เช่น ด้านการเมือง ให้มีการพัฒนาพรรคการเมือง บุคลากรทางการเมือง ระบบเลือกตั้ง องค์กรอิสระในการตรวจสอบให้มีความเป็นกลางและเป็นธรรม เรื่องการให้ความรู้ด้านประชาธิปไตยกับประชาชน นอกจากนี้ยังมีเรื่องความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา เป็นต้น
หลังจากนี้ หากได้ข้อสรุปจากทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ภายในกรอบวันที่ 28 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2560 จะส่งต่อไปยังคณะกรรมการชุดที่ 2 รวบรวมความเห็นทั้งหมด ก่อนส่งต่อไปยัง คณะอนุกรรมการชุดที่ 3 จัดทําข้อเสนอ สร้างความสามัคคีปรองดอง ที่มี พลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกเป็นประธาน คาดว่าร่างสัญญาประชาคมฉบับแรกจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายน ก่อนจะเปิดเวทีสาธารณะให้ประชาชนร่วมวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อปรับปรุงและทําเป็นร่างสัญญาฉบับสมบูรณ์ เพื่อส่งต่อไปยัง ปยป. สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สปท. และรัฐบาล เพื่อนําไปเป็นนโยบายแก้ไขปัญหาและดําเนินการต่อไป ย้ําการเดินหน้าปรองดองขณะนี้ไร้ปัญหา ยืนยันได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3332
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เชิญชวนเสนอชื่อเป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นฯ ประจำปี 2563
|
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562
กสร. เชิญชวนเสนอชื่อเป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นฯ ประจําปี 2563
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เชิญชวนสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป เสนอชื่อเป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจําปี 2563 หมดเขต 30 มกราคม 2563
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้จัดให้มีโครงการส่งเสริมสถานประกอบกิจการให้มีระบบบริหารจัดการที่ดีด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานขึ้นเป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการส่งเสริมและจูงใจให้นายจ้าง ลูกจ้างได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการบริหารจัดการด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานที่ดี ร่วมมือกันในฐานะหุ้นส่วนเพื่อสร้างและพัฒนาระบบแรงงานสัมพันธ์ ระบบสวัสดิการแรงงานที่ได้มาตรฐานให้เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการและเป็นต้นแบบที่ดีให้กับสถานประกอบกิจการอื่น ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตลูกจ้าง และส่งผลดีต่อผลผลิตและธุรกิจของผู้ประกอบการ ตลอดจนส่งเสริมให้นายจ้าง ลูกจ้างสามารถทํางานร่วมกันได้อย่างสันติสุข กสร.จึงขอเชิญชวนสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไปร่วมเสนอชื่อเป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจําปี 2563
นายอภิญญา กล่าวต่อว่า สถานประกอบกิจการที่สนใจสามารถขอแบบเสนอชื่อได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ และสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ณ พื้นที่ตั้งของสถานประกอบกิจการตั้งอยู่หรือดาวน์โหลดได้ที่ http://relation.labour.go.th โดยต้องนําเสนอผลงานทั้งด้านแรงงานสัมพันธ์และด้านสวัสดิการแรงงานที่ปฏิบัติในปี พ.ศ. 2562 ให้เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน และส่งแบบเสนอชื่อเพื่อรับการคัดเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 มกราคม 2563 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 2118, 0 2643 4471 และ 081 837 5916
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เชิญชวนเสนอชื่อเป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นฯ ประจำปี 2563
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562
กสร. เชิญชวนเสนอชื่อเป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นฯ ประจําปี 2563
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เชิญชวนสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป เสนอชื่อเป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจําปี 2563 หมดเขต 30 มกราคม 2563
นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้จัดให้มีโครงการส่งเสริมสถานประกอบกิจการให้มีระบบบริหารจัดการที่ดีด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานขึ้นเป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการส่งเสริมและจูงใจให้นายจ้าง ลูกจ้างได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการบริหารจัดการด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงานที่ดี ร่วมมือกันในฐานะหุ้นส่วนเพื่อสร้างและพัฒนาระบบแรงงานสัมพันธ์ ระบบสวัสดิการแรงงานที่ได้มาตรฐานให้เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการและเป็นต้นแบบที่ดีให้กับสถานประกอบกิจการอื่น ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตลูกจ้าง และส่งผลดีต่อผลผลิตและธุรกิจของผู้ประกอบการ ตลอดจนส่งเสริมให้นายจ้าง ลูกจ้างสามารถทํางานร่วมกันได้อย่างสันติสุข กสร.จึงขอเชิญชวนสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไปร่วมเสนอชื่อเป็นสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการแรงงาน ประจําปี 2563
นายอภิญญา กล่าวต่อว่า สถานประกอบกิจการที่สนใจสามารถขอแบบเสนอชื่อได้ที่ สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ และสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ณ พื้นที่ตั้งของสถานประกอบกิจการตั้งอยู่หรือดาวน์โหลดได้ที่ http://relation.labour.go.th โดยต้องนําเสนอผลงานทั้งด้านแรงงานสัมพันธ์และด้านสวัสดิการแรงงานที่ปฏิบัติในปี พ.ศ. 2562 ให้เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน และส่งแบบเสนอชื่อเพื่อรับการคัดเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 มกราคม 2563 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 2118, 0 2643 4471 และ 081 837 5916
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24979
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เผยผลการดำเนินงานมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
|
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
ธ.ก.ส. เผยผลการดําเนินงานมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
ธ.ก.ส. เผยผลการดําเนินงาน 7 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ผ่านระบบ ธ.ก.ส. ทั้งการขยายเวลาชําระหนี้ การพักชําระหนี้และการสนับสนุนเงินทุนให้กับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน SMEs เกษตร
ธ.ก.ส. เผยผลการดําเนินงาน 7 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ผ่านระบบ ธ.ก.ส. ทั้งการขยายเวลาชําระหนี้ การพักชําระหนี้และการสนับสนุนเงินทุนให้กับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน SMEs เกษตร โดยมีเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. และบุคคลในครัวเรือนได้รับประโยชน์กว่า 4 ล้านราย มูลหนี้รวมกว่า 1.42 ล้านล้านบาท ส่วนสินเชื่อฉุกเฉิน เป้าหมาย 2 ล้านราย วงเงิน 20,000 ล้านบาท มีผู้ลงทะเบียนรับสินเชื่อจํานวน 2,082,967 ราย จ่ายไปแล้วกว่า 2 แสนราย เป็นจํานวนเงินกว่า 2,000 ล้านบาท แจงยอดติดตามทบทวนสิทธิ์ตามมาตรการเราไม่ทิ้งกันไปแล้วกว่า 2 แสนราย และการจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกร เป้าหมาย 10 ล้านราย จ่ายไปแล้วกว่า 4.72 ล้านราย เป็นเงินกว่า 23,000 ล้านบาท พร้อมเตรียมสินเชื่อและ แผนฟื้นฟูหลังสถานการณ์คลี่คลาย
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้ดําเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากการสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยมีความคืบหน้าในการดําเนินงาน แบ่งเป็น 7 มาตรการ ดังนี้
1) มาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ในภาพรวม ประกอบด้วยการขยายระยะเวลาชําระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย ปลอดชําระต้นเงินใน 3 ปีแรก ให้กับลูกหนี้ปกติ และลูกหนี้ NPL ครอบคลุมทั้งเกษตรกรลูกค้า ผู้ประกอบการและสถาบัน ระยะเวลาดําเนินมาตรการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 - 31 ธันวาคม 2564 และยังมีสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) ในการประกอบอาชีพแก่ลูกหนี้เพิ่มเติมเพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งมีลูกค้าที่เข้าข่ายการได้รับความช่วยเหลือจํานวนกว่า 3.85 ล้ายราย มูลหนี้รวมกว่า 1.42 ล้านล้านบาท
2) มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีงวดชําระเป็นรายเดือน โดยพักชําระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ย 3 เดือน โดยอัตโนมัติ (เมษายน - มิถุนายน 2563) ทั้งในส่วนของเกษตรกรและบุคคลทั่วไป ทั้งประเภทสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ลูกค้าที่เข้าข่ายการได้รับความช่วยเหลือจํานวน 89,735 ราย มูลหนี้รวม 32,647 ล้านบาท
3) มาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินลูกค้า SMEs แบ่งเป็น 2 มาตรการ ได้แก่
1. มาตรการพักชําระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ย 6 เดือน (เมษายน - กันยายน 2563) แบบอัตโนมัติทุกรายให้กับ SMEs ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีวงเงินกู้รวมไม่เกิน 100 ล้านบาท และในระหว่างพักชําระหนี้ ลูกค้าที่ประสงค์ชําระหนี้ ธ.ก.ส. จะคืนดอกเบี้ยร้อยละ 10 ของเงินที่ส่งชําระ (Cash Back) ซึ่งมีลูกค้า SMEs ที่ได้รับความช่วยเหลือจํานวน 667,928 ราย มูลหนี้รวม 221,104 ล้านบาท
2. มาตรการสนับสนุนสินเชื่อธุรกิจ SMEs (Soft Loan ของ ธปท.) เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการที่มีวงเงินกู้รวมไม่เกิน 500 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี รัฐบาลรับภาระจ่ายดอกเบี้ยแทน 6 เดือนแรก วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 20 ของยอดหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยมีผู้ประกอบการได้รับการสนับสนุนสินเชื่อไปแล้วจํานวน 11,341 ราย เป็นจํานวนเงิน 5,564.41 ล้านบาท
4) มาตรการพักชําระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งระบบ ที่ถึงกําหนดชําระตั้งแต่งวดเมษายน 2563 - มีนาคม 2564 เป็นเวลา 1 ปี โดยอัตโนมัติ และยังคงชั้นหนี้เดิมของลูกค้าก่อนเข้าโครงการฯ ให้กับเกษตรกรลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งที่เป็นเกษตรกรรายคน บุคคล ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ซึ่งมีลูกค้าที่เข้าข่ายการได้รับความช่วยเหลือจํานวน 3,348,378 ราย มูลหนี้รวม 1,265,492 ล้านบาท
5) มาตรการสินเชื่อฉุกเฉิน วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและครอบครัวของเกษตรกรในการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายจําเป็นและฉุกเฉินในครัวเรือน ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0.1 ต่อเดือน วงเงินกู้รายละไม่เกิน 10,000 บาท กําหนดชําระคืนไม่เกิน 2 ปี 6 เดือนนับจากวันกู้ ไม่ต้องใช้หลักประกัน โดยปลอดชําระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรกนับจากวันกู้ ซึ่งล่าสุดมีเกษตรกรและครอบครัวเกษตรกรให้ความสนใจลงทะเบียนเพื่อรับสินเชื่อแล้วจํานวน 2,082,967 ราย โดย ธ.ก.ส. ได้นัดหมายลูกค้ามาทําสัญญาและอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว จํานวน 201,573 ราย เป็นจํานวนเงินกว่า 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ธ.ก.ส. จะเปิดให้กลุ่มเป้าหมายที่ธนาคารคัดกรองแล้ว สามารถทําสัญญาอิเล็คทรอนิกส์ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมาติดต่อที่ ธ.ก.ส. สาขา โดยจะเริ่มดําเนินการได้ภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2563
6) มาตรการชดเชยรายได้สําหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ “เราไม่ทิ้งกัน” ของกระทรวงการคลัง โดยจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท (3 เดือน) ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้กําหนดให้มีผู้พิทักษ์สิทธิ์จํานวน 5,630 ราย เพื่อทําหน้าที่สอบทานการประกอบอาชีพของผู้ขอทบทวนสิทธิ์ไปแล้วจํานวน 212,987 ราย จากทั้งหมด 218,621 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 97.4
7) มาตรการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรี รายละ 15,000 บาท โดยจ่ายเดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (พฤษภาคม – กรกฎาคม 2563) จํานวน 10 ล้านราย วงเงินงบประมาณจํานวน 150,000 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. ได้ดําเนินการโอนเงินเยียวยาให้เกษตรกรไปแล้วจํานวน 4,722,198 ราย เป็นเงิน 23,610.98 ล้านบาท
นายอภิรมย์กล่าวต่อไปว่า ธ.ก.ส. ได้เตรียมออกสินเชื่อช่วยเหลือสนับสนุนเกษตรกรหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายแล้ว เพื่อให้มีเงินทุนในการประกอบอาชีพหรือสามารถดําเนินกิจการต่อไปได้ จํานวน 3 โครงการ ประกอบด้วย 1) สินเชื่อพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ สําหรับเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจซึ่งไม่เคยเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. มาก่อน ได้มีเงินทุนประกอบอาชีพตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท วงเงินกู้รายละ ไม่เกิน 50,000 บาท 2) สินเชื่อนิวเจนฮักบ้านเกิด สําหรับเกษตรกร ทายาทเกษตรกร หรือคนรุ่นใหม่ที่กลับคืนสู่ภูมิลําเนาและสนใจในการทําเกษตรกรรม วงเงินรวม 60,000 ล้านบาท และ 3) สินเชื่อระยะสั้นฤดูการผลิตใหม่ สําหรับเกษตกรที่ได้รับการพักชําระหนี้ เพื่อเป็นเงินทุนในการทําการเกษตรระยะสั้น ปีการผลิต 2563/64 วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท วงเงินกู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท ทั้งนี้ สินเชื่อทั้ง 3 โครงการ อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน อย่างไรก็ตาม ธ.ก.ส. จะเร่งนําเสนอโครงการเพื่อให้คณะกรรมการธนาคารพิจารณาเห็นชอบโดยเร็วต่อไป
นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังได้เตรียมมาตรการในการฟื้นฟู เพื่อช่วยเหลือให้เกษตรกรลูกค้า กลับมาพัฒนาอาชีพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและชุมชน มีรายได้ ควบคู่กับการร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชนอย่างยั่งยืน โดยน้อมนําความรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดําเนินชีวิต ซึ่ง ธ.ก.ส. มุ่งหวังว่าสามารถช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ จํานวนกว่า 1,000,000 ราย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. เผยผลการดำเนินงานมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563
ธ.ก.ส. เผยผลการดําเนินงานมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 [กระทรวงการคลัง]
ธ.ก.ส. เผยผลการดําเนินงาน 7 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ผ่านระบบ ธ.ก.ส. ทั้งการขยายเวลาชําระหนี้ การพักชําระหนี้และการสนับสนุนเงินทุนให้กับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน SMEs เกษตร
ธ.ก.ส. เผยผลการดําเนินงาน 7 มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด-19 ผ่านระบบ ธ.ก.ส. ทั้งการขยายเวลาชําระหนี้ การพักชําระหนี้และการสนับสนุนเงินทุนให้กับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน SMEs เกษตร โดยมีเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. และบุคคลในครัวเรือนได้รับประโยชน์กว่า 4 ล้านราย มูลหนี้รวมกว่า 1.42 ล้านล้านบาท ส่วนสินเชื่อฉุกเฉิน เป้าหมาย 2 ล้านราย วงเงิน 20,000 ล้านบาท มีผู้ลงทะเบียนรับสินเชื่อจํานวน 2,082,967 ราย จ่ายไปแล้วกว่า 2 แสนราย เป็นจํานวนเงินกว่า 2,000 ล้านบาท แจงยอดติดตามทบทวนสิทธิ์ตามมาตรการเราไม่ทิ้งกันไปแล้วกว่า 2 แสนราย และการจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกร เป้าหมาย 10 ล้านราย จ่ายไปแล้วกว่า 4.72 ล้านราย เป็นเงินกว่า 23,000 ล้านบาท พร้อมเตรียมสินเชื่อและ แผนฟื้นฟูหลังสถานการณ์คลี่คลาย
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้ดําเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากการสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดยมีความคืบหน้าในการดําเนินงาน แบ่งเป็น 7 มาตรการ ดังนี้
1) มาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ในภาพรวม ประกอบด้วยการขยายระยะเวลาชําระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย ปลอดชําระต้นเงินใน 3 ปีแรก ให้กับลูกหนี้ปกติ และลูกหนี้ NPL ครอบคลุมทั้งเกษตรกรลูกค้า ผู้ประกอบการและสถาบัน ระยะเวลาดําเนินมาตรการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 - 31 ธันวาคม 2564 และยังมีสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) ในการประกอบอาชีพแก่ลูกหนี้เพิ่มเติมเพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งมีลูกค้าที่เข้าข่ายการได้รับความช่วยเหลือจํานวนกว่า 3.85 ล้ายราย มูลหนี้รวมกว่า 1.42 ล้านล้านบาท
2) มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีงวดชําระเป็นรายเดือน โดยพักชําระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ย 3 เดือน โดยอัตโนมัติ (เมษายน - มิถุนายน 2563) ทั้งในส่วนของเกษตรกรและบุคคลทั่วไป ทั้งประเภทสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ลูกค้าที่เข้าข่ายการได้รับความช่วยเหลือจํานวน 89,735 ราย มูลหนี้รวม 32,647 ล้านบาท
3) มาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินลูกค้า SMEs แบ่งเป็น 2 มาตรการ ได้แก่
1. มาตรการพักชําระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ย 6 เดือน (เมษายน - กันยายน 2563) แบบอัตโนมัติทุกรายให้กับ SMEs ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีวงเงินกู้รวมไม่เกิน 100 ล้านบาท และในระหว่างพักชําระหนี้ ลูกค้าที่ประสงค์ชําระหนี้ ธ.ก.ส. จะคืนดอกเบี้ยร้อยละ 10 ของเงินที่ส่งชําระ (Cash Back) ซึ่งมีลูกค้า SMEs ที่ได้รับความช่วยเหลือจํานวน 667,928 ราย มูลหนี้รวม 221,104 ล้านบาท
2. มาตรการสนับสนุนสินเชื่อธุรกิจ SMEs (Soft Loan ของ ธปท.) เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการที่มีวงเงินกู้รวมไม่เกิน 500 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี รัฐบาลรับภาระจ่ายดอกเบี้ยแทน 6 เดือนแรก วงเงินกู้สูงสุดไม่เกินร้อยละ 20 ของยอดหนี้คงค้าง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยมีผู้ประกอบการได้รับการสนับสนุนสินเชื่อไปแล้วจํานวน 11,341 ราย เป็นจํานวนเงิน 5,564.41 ล้านบาท
4) มาตรการพักชําระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งระบบ ที่ถึงกําหนดชําระตั้งแต่งวดเมษายน 2563 - มีนาคม 2564 เป็นเวลา 1 ปี โดยอัตโนมัติ และยังคงชั้นหนี้เดิมของลูกค้าก่อนเข้าโครงการฯ ให้กับเกษตรกรลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งที่เป็นเกษตรกรรายคน บุคคล ผู้ประกอบการ (นิติบุคคล) กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ซึ่งมีลูกค้าที่เข้าข่ายการได้รับความช่วยเหลือจํานวน 3,348,378 ราย มูลหนี้รวม 1,265,492 ล้านบาท
5) มาตรการสินเชื่อฉุกเฉิน วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและครอบครัวของเกษตรกรในการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายจําเป็นและฉุกเฉินในครัวเรือน ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0.1 ต่อเดือน วงเงินกู้รายละไม่เกิน 10,000 บาท กําหนดชําระคืนไม่เกิน 2 ปี 6 เดือนนับจากวันกู้ ไม่ต้องใช้หลักประกัน โดยปลอดชําระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรกนับจากวันกู้ ซึ่งล่าสุดมีเกษตรกรและครอบครัวเกษตรกรให้ความสนใจลงทะเบียนเพื่อรับสินเชื่อแล้วจํานวน 2,082,967 ราย โดย ธ.ก.ส. ได้นัดหมายลูกค้ามาทําสัญญาและอนุมัติสินเชื่อไปแล้ว จํานวน 201,573 ราย เป็นจํานวนเงินกว่า 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ธ.ก.ส. จะเปิดให้กลุ่มเป้าหมายที่ธนาคารคัดกรองแล้ว สามารถทําสัญญาอิเล็คทรอนิกส์ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมาติดต่อที่ ธ.ก.ส. สาขา โดยจะเริ่มดําเนินการได้ภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2563
6) มาตรการชดเชยรายได้สําหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ “เราไม่ทิ้งกัน” ของกระทรวงการคลัง โดยจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท (3 เดือน) ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้กําหนดให้มีผู้พิทักษ์สิทธิ์จํานวน 5,630 ราย เพื่อทําหน้าที่สอบทานการประกอบอาชีพของผู้ขอทบทวนสิทธิ์ไปแล้วจํานวน 212,987 ราย จากทั้งหมด 218,621 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 97.4
7) มาตรการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร ตามมติคณะรัฐมนตรี รายละ 15,000 บาท โดยจ่ายเดือนละ 5,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (พฤษภาคม – กรกฎาคม 2563) จํานวน 10 ล้านราย วงเงินงบประมาณจํานวน 150,000 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. ได้ดําเนินการโอนเงินเยียวยาให้เกษตรกรไปแล้วจํานวน 4,722,198 ราย เป็นเงิน 23,610.98 ล้านบาท
นายอภิรมย์กล่าวต่อไปว่า ธ.ก.ส. ได้เตรียมออกสินเชื่อช่วยเหลือสนับสนุนเกษตรกรหลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายแล้ว เพื่อให้มีเงินทุนในการประกอบอาชีพหรือสามารถดําเนินกิจการต่อไปได้ จํานวน 3 โครงการ ประกอบด้วย 1) สินเชื่อพอเพียงเพื่อเลี้ยงชีพ สําหรับเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจซึ่งไม่เคยเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. มาก่อน ได้มีเงินทุนประกอบอาชีพตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท วงเงินกู้รายละ ไม่เกิน 50,000 บาท 2) สินเชื่อนิวเจนฮักบ้านเกิด สําหรับเกษตรกร ทายาทเกษตรกร หรือคนรุ่นใหม่ที่กลับคืนสู่ภูมิลําเนาและสนใจในการทําเกษตรกรรม วงเงินรวม 60,000 ล้านบาท และ 3) สินเชื่อระยะสั้นฤดูการผลิตใหม่ สําหรับเกษตกรที่ได้รับการพักชําระหนี้ เพื่อเป็นเงินทุนในการทําการเกษตรระยะสั้น ปีการผลิต 2563/64 วงเงินรวม 100,000 ล้านบาท วงเงินกู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท ทั้งนี้ สินเชื่อทั้ง 3 โครงการ อัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน อย่างไรก็ตาม ธ.ก.ส. จะเร่งนําเสนอโครงการเพื่อให้คณะกรรมการธนาคารพิจารณาเห็นชอบโดยเร็วต่อไป
นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังได้เตรียมมาตรการในการฟื้นฟู เพื่อช่วยเหลือให้เกษตรกรลูกค้า กลับมาพัฒนาอาชีพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและชุมชน มีรายได้ ควบคู่กับการร่วมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชนอย่างยั่งยืน โดยน้อมนําความรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดําเนินชีวิต ซึ่ง ธ.ก.ส. มุ่งหวังว่าสามารถช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ จํานวนกว่า 1,000,000 ราย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31427
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“แรงใจจากคุณครู สู่คุณหมอสู้โควิด” สพฐ.มอบ Face Shield ให้บุคลากรทางการแพทย์ 2.5 หมื่นชิ้น [กระทรวงศึกษาธิการ]
|
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
“แรงใจจากคุณครู สู่คุณหมอสู้โควิด” สพฐ.มอบ Face Shield ให้บุคลากรทางการแพทย์ 2.5 หมื่นชิ้น [กระทรวงศึกษาธิการ]
“แรงใจจากคุณครู สู่คุณหมอสู้โควิด” สพฐ.มอบ Face Shield ให้บุคลากรทางการแพทย์ 2.5 หมื่นชิ้น
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายอํานาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รับมอบหน้ากาก Face Shied จากสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 1 และ 2 จํานวน 25,000 ชิ้น เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 ที่ สพฐ.
โดยนายนิพนธ์ ก้องเวหา ผู้อํานวยการ สพม. 1 เป็นตัวแทนส่งมอบหน้ากาก Face Shield“แรงใจจากคุณครู สู่คุณหมอสู้โควิด”ซึ่งคณะครู ผู้บริหาร บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน และผู้ปกครองร่วมกันผลิตขึ้น เพื่อส่งมอบไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์นําไปใช้เป็นเกราะป้องกันในการปฏิบัติหน้าที่ต่อสู้กับโรคโควิด-19 ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“แรงใจจากคุณครู สู่คุณหมอสู้โควิด” สพฐ.มอบ Face Shield ให้บุคลากรทางการแพทย์ 2.5 หมื่นชิ้น [กระทรวงศึกษาธิการ]
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
“แรงใจจากคุณครู สู่คุณหมอสู้โควิด” สพฐ.มอบ Face Shield ให้บุคลากรทางการแพทย์ 2.5 หมื่นชิ้น [กระทรวงศึกษาธิการ]
“แรงใจจากคุณครู สู่คุณหมอสู้โควิด” สพฐ.มอบ Face Shield ให้บุคลากรทางการแพทย์ 2.5 หมื่นชิ้น
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายอํานาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รับมอบหน้ากาก Face Shied จากสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 1 และ 2 จํานวน 25,000 ชิ้น เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 ที่ สพฐ.
โดยนายนิพนธ์ ก้องเวหา ผู้อํานวยการ สพม. 1 เป็นตัวแทนส่งมอบหน้ากาก Face Shield“แรงใจจากคุณครู สู่คุณหมอสู้โควิด”ซึ่งคณะครู ผู้บริหาร บุคลากรทางการศึกษา นักเรียน และผู้ปกครองร่วมกันผลิตขึ้น เพื่อส่งมอบไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์นําไปใช้เป็นเกราะป้องกันในการปฏิบัติหน้าที่ต่อสู้กับโรคโควิด-19 ต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28680
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โมร็อกโกพร้อมกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับไทยทั้งในกรอบทวิภาคีและภูมิภาคอาเซียน
|
วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562
โมร็อกโกพร้อมกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับไทยทั้งในกรอบทวิภาคีและภูมิภาคอาเซียน
โมร็อกโกพร้อมกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับไทยทั้งในกรอบทวิภาคีและภูมิภาคอาเซียน
วันนี้ (28 สิงหาคม 2562) เวลา 11.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายฮาบิบ เอล มัลกี้ (Mr. Habib El Malki) ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
รองนายกรัฐมนตรียินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกรัฐสภาของทั้งสองประเทศดําเนินไปอย่างราบรื่นใกล้ชิด มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันมากว่า 34 ปี โดยหวังว่าความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองประเทศจะแนบแน่นมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการศึกษาและวัฒนธรรม โมร็อกโกมีความโดดเด่นด้านมุสลิมสายกลาง ทําให้มีนักศึกษาไทยมุสลิมสนใจไปศึกษาต่อที่โมร็อกโกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณโมร็อกโกที่สนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาไทยเป็นประจําทุกปี ตลอดจนดูแลนักศึกษาไทยมาโดยตลอด
ประธานรัฐสภาโมร็อกโกกล่าวว่าโมร็อกโกพิจารณาจัดการฝึกอบรมอิหม่ามจากประเทศไทยเป็นประเทศแรกของเอเชียที่สถาบันโมฮัมเหม็ดที่ 6 เพื่อการฝึกอบรมอิหม่ามและครูสอนศาสนา ซึ่งโมร็อกโกเห็นถึงความสําคัญที่จะปลูกฝังเยาวชนทุกเชื้อชาติและศาสนาให้ยอมรับความแตกต่าง และอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพในอัตลักษณ์ของผู้อื่น เพื่อสร้างสังคมเข้มแข็งและอยู่ร่วมกันโดยสันติ ทั้งนี้โมร็อกโกประสงค์ขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยเห็นว่าอาเซียนมีศักยภาพในการเติบโตเป็นผู้นําทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าไทยและโมร็อกโกมีความคล้ายคลึงกัน คือ มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร และมีระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยภาคอุตสาหกรรมการเกษตร จึงหวังที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือต่างๆ ระหว่างกันให้มากขึ้น สําหรับด้านการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายจะประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และเพิ่มจํานวนนักท่องเที่ยวระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการมีปฏิสัมพันธ์ในระดับประชาชนได้อย่างมีนัยสําคัญ
***********
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โมร็อกโกพร้อมกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับไทยทั้งในกรอบทวิภาคีและภูมิภาคอาเซียน
วันพุธที่ 28 สิงหาคม 2562
โมร็อกโกพร้อมกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับไทยทั้งในกรอบทวิภาคีและภูมิภาคอาเซียน
โมร็อกโกพร้อมกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับไทยทั้งในกรอบทวิภาคีและภูมิภาคอาเซียน
วันนี้ (28 สิงหาคม 2562) เวลา 11.30 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายฮาบิบ เอล มัลกี้ (Mr. Habib El Malki) ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโก เข้าเยี่ยมคารวะ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
รองนายกรัฐมนตรียินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกรัฐสภาของทั้งสองประเทศดําเนินไปอย่างราบรื่นใกล้ชิด มีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันมากว่า 34 ปี โดยหวังว่าความสัมพันธ์และความร่วมมือของทั้งสองประเทศจะแนบแน่นมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการศึกษาและวัฒนธรรม โมร็อกโกมีความโดดเด่นด้านมุสลิมสายกลาง ทําให้มีนักศึกษาไทยมุสลิมสนใจไปศึกษาต่อที่โมร็อกโกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้รองนายกรัฐมนตรีขอบคุณโมร็อกโกที่สนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาไทยเป็นประจําทุกปี ตลอดจนดูแลนักศึกษาไทยมาโดยตลอด
ประธานรัฐสภาโมร็อกโกกล่าวว่าโมร็อกโกพิจารณาจัดการฝึกอบรมอิหม่ามจากประเทศไทยเป็นประเทศแรกของเอเชียที่สถาบันโมฮัมเหม็ดที่ 6 เพื่อการฝึกอบรมอิหม่ามและครูสอนศาสนา ซึ่งโมร็อกโกเห็นถึงความสําคัญที่จะปลูกฝังเยาวชนทุกเชื้อชาติและศาสนาให้ยอมรับความแตกต่าง และอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพในอัตลักษณ์ของผู้อื่น เพื่อสร้างสังคมเข้มแข็งและอยู่ร่วมกันโดยสันติ ทั้งนี้โมร็อกโกประสงค์ขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยเห็นว่าอาเซียนมีศักยภาพในการเติบโตเป็นผู้นําทางเศรษฐกิจของทวีปเอเชีย
ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าไทยและโมร็อกโกมีความคล้ายคลึงกัน คือ มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร และมีระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยภาคอุตสาหกรรมการเกษตร จึงหวังที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือต่างๆ ระหว่างกันให้มากขึ้น สําหรับด้านการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายจะประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว และเพิ่มจํานวนนักท่องเที่ยวระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการมีปฏิสัมพันธ์ในระดับประชาชนได้อย่างมีนัยสําคัญ
***********
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22577
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยืนยันการดำเนินการเรื่องวัคซีน “เอชพีวี” ประหยัดเงินงบประมาณได้ 36.8 ล้านบาทและช่วยป้องกันหญิงไทยจากมะเร็งปากมดลูก
|
วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560
สธ.ยืนยันการดําเนินการเรื่องวัคซีน “เอชพีวี” ประหยัดเงินงบประมาณได้ 36.8 ล้านบาทและช่วยป้องกันหญิงไทยจากมะเร็งปากมดลูก
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย การบรรจุวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือเอชพีวี อยู่ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย การบรรจุวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือเอชพีวี อยู่ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ เป็นความร่วมมือหน่วยงานในรูปแบบคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อทําให้คนไทยได้รับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ที่มีประสิทธิผลในการป้องกันโรค คุ้มทุนกับการนํามาใช้และช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย
นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การดําเนินการบรรจุวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือเอชพีวี อยู่ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ เป็นความร่วมมือหน่วยงานในรูปแบบคณะกรรมการระดับชาติ โดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติได้วางแผนดําเนินการมาหลายปี ที่ต้องการให้เด็กได้วัคซีน เพื่อหวังผลป้องกันมะเร็งปากมดลูกในอีก 20-30 ปีข้างหน้า โดยในระยะแรกยังไม่สามารถดําเนินการได้ เพราะวัคซีนมีราคาแพงเข็มละ 1,000 กว่าบาท ทําให้ไม่สามารถจัดหาได้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย แต่เมื่อราคาที่คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติต่อรองได้ราคาที่ 375 บาท ที่จะช่วยลดโรคมะเร็งปากมดลูกได้ ถือว่าเป็นความคุ้มค่าที่จะนํามาใช้ แต่ได้รับการคัดค้านจากกลุ่มประชาสังคมเพราะราคายังแพง
กระทรวงสาธารณสุขต้องคํานึงถึงความคุ้มทุน ตามข้อเสนอของภาคประชาสังคมที่เสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งแนะนําของดร.นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้าโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ ที่ให้ยึดหลัก คือคุ้มค่ากับคุ้มทุน ทําให้เกิดการหารือในเชิงนโยบายจะทําอย่างไรที่จะซื้อได้ถูกกว่านี้ เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีประสิทธิผลในการป้องกันโรค มีความคุ้มทุนกับการนํามาใช้และช่วยให้ทุ่นค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วยลงได้
ขณะนี้สายพันธุ์ของวัคซีนมีขายในประเทศไทย มี 2บริษัท คือบริษัทที่มี 4 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ที่ 6, 11, 16, 18 และบริษัทที่มี 2 สายพันธุ์ คือ 16,18 ซึ่งสายพันธุ์ที่ตรงกับวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกใช้แค่สายพันธุ์ 16 กับ 18 ก็เพียงพอแล้ว ส่วนสายพันธุ์ 6 กับ 11 เป็นเรื่องของหูด ส่วนใหญ่จะใช้ในในกลุ่มชายรักชาย ดังนั้น กรมควบคุมโรคได้เสนอว่าควรจะเป็นชื่อสามัญ เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทเข้าร่วมในการเสนอราคา เกิดการแข่งขันโดยเสรี ซึ่งคณะกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติก็ยืนยันว่ามีประสิทธิผลเท่ากัน และคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเห็นชอบให้เพิ่มวัคซีนเอชพีวี เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์และ 2 สายพันธุ์ ทางองค์การเภสัชกรรมและกรมควบคุมโรคจึงทําการจัดซื้อด้วยวิธีประกวดราคา จากราคาที่คณะกรรมการยาหลักแห่งชาติกําหนดไว้ที่ราคา 375 บาท ทําให้จัดซื้อได้ที่ราคา 279 บาท จากจํานวนที่ต้องการ 4 แสนโด๊ส วงเงิน 302.46 ล้านบาท ทําให้ประหยัดงบประมาณของประเทศได้ 36.8 ล้านบาทและได้วัคซีนที่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทยได้ โดยการฉีดวัคซีนเอชพีวีจะฉีด 2 เข็มห่างกัน 6 เดือนในเด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4 แสนคนทั่วประเทศ จะเริ่มฉีดวัคซีนในเดือนสิงหาคม 2560 นี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยืนยันการดำเนินการเรื่องวัคซีน “เอชพีวี” ประหยัดเงินงบประมาณได้ 36.8 ล้านบาทและช่วยป้องกันหญิงไทยจากมะเร็งปากมดลูก
วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560
สธ.ยืนยันการดําเนินการเรื่องวัคซีน “เอชพีวี” ประหยัดเงินงบประมาณได้ 36.8 ล้านบาทและช่วยป้องกันหญิงไทยจากมะเร็งปากมดลูก
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย การบรรจุวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือเอชพีวี อยู่ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย การบรรจุวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือเอชพีวี อยู่ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ เป็นความร่วมมือหน่วยงานในรูปแบบคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อทําให้คนไทยได้รับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ที่มีประสิทธิผลในการป้องกันโรค คุ้มทุนกับการนํามาใช้และช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย
นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า การดําเนินการบรรจุวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกหรือเอชพีวี อยู่ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ เป็นความร่วมมือหน่วยงานในรูปแบบคณะกรรมการระดับชาติ โดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติได้วางแผนดําเนินการมาหลายปี ที่ต้องการให้เด็กได้วัคซีน เพื่อหวังผลป้องกันมะเร็งปากมดลูกในอีก 20-30 ปีข้างหน้า โดยในระยะแรกยังไม่สามารถดําเนินการได้ เพราะวัคซีนมีราคาแพงเข็มละ 1,000 กว่าบาท ทําให้ไม่สามารถจัดหาได้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย แต่เมื่อราคาที่คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติต่อรองได้ราคาที่ 375 บาท ที่จะช่วยลดโรคมะเร็งปากมดลูกได้ ถือว่าเป็นความคุ้มค่าที่จะนํามาใช้ แต่ได้รับการคัดค้านจากกลุ่มประชาสังคมเพราะราคายังแพง
กระทรวงสาธารณสุขต้องคํานึงถึงความคุ้มทุน ตามข้อเสนอของภาคประชาสังคมที่เสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมทั้งแนะนําของดร.นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ หัวหน้าโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ ที่ให้ยึดหลัก คือคุ้มค่ากับคุ้มทุน ทําให้เกิดการหารือในเชิงนโยบายจะทําอย่างไรที่จะซื้อได้ถูกกว่านี้ เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีประสิทธิผลในการป้องกันโรค มีความคุ้มทุนกับการนํามาใช้และช่วยให้ทุ่นค่าใช้จ่ายเมื่อเจ็บป่วยลงได้
ขณะนี้สายพันธุ์ของวัคซีนมีขายในประเทศไทย มี 2บริษัท คือบริษัทที่มี 4 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ที่ 6, 11, 16, 18 และบริษัทที่มี 2 สายพันธุ์ คือ 16,18 ซึ่งสายพันธุ์ที่ตรงกับวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกใช้แค่สายพันธุ์ 16 กับ 18 ก็เพียงพอแล้ว ส่วนสายพันธุ์ 6 กับ 11 เป็นเรื่องของหูด ส่วนใหญ่จะใช้ในในกลุ่มชายรักชาย ดังนั้น กรมควบคุมโรคได้เสนอว่าควรจะเป็นชื่อสามัญ เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทเข้าร่วมในการเสนอราคา เกิดการแข่งขันโดยเสรี ซึ่งคณะกรรมการบัญชียาหลักแห่งชาติก็ยืนยันว่ามีประสิทธิผลเท่ากัน และคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติเห็นชอบให้เพิ่มวัคซีนเอชพีวี เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์และ 2 สายพันธุ์ ทางองค์การเภสัชกรรมและกรมควบคุมโรคจึงทําการจัดซื้อด้วยวิธีประกวดราคา จากราคาที่คณะกรรมการยาหลักแห่งชาติกําหนดไว้ที่ราคา 375 บาท ทําให้จัดซื้อได้ที่ราคา 279 บาท จากจํานวนที่ต้องการ 4 แสนโด๊ส วงเงิน 302.46 ล้านบาท ทําให้ประหยัดงบประมาณของประเทศได้ 36.8 ล้านบาทและได้วัคซีนที่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกในหญิงไทยได้ โดยการฉีดวัคซีนเอชพีวีจะฉีด 2 เข็มห่างกัน 6 เดือนในเด็กหญิงชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งมีอยู่ประมาณ 4 แสนคนทั่วประเทศ จะเริ่มฉีดวัคซีนในเดือนสิงหาคม 2560 นี้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4526
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
|
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
ทส. ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ทส. ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ทส. ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2562 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารระดับสูงประกอบด้วย รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อธิบดี รองอธิบดี เลขาธิการ รองเลขาธิการ ผู้อํานวยการรัฐวิสาหกิจ รองผู้อํานวยการรัฐวิสาหกิจ ผู้อํานวยการองค์การมหาชน รองผู้อํานวยการองค์การมหาชน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงนามถวายพระพร แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ณ พระบรมมหาราชวัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
ทส. ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ทส. ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
ทส. ลงนามถวายพระพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2562 พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําคณะผู้บริหารระดับสูงประกอบด้วย รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อธิบดี รองอธิบดี เลขาธิการ รองเลขาธิการ ผู้อํานวยการรัฐวิสาหกิจ รองผู้อํานวยการรัฐวิสาหกิจ ผู้อํานวยการองค์การมหาชน รองผู้อํานวยการองค์การมหาชน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงนามถวายพระพร แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ณ พระบรมมหาราชวัง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17877
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งสานงานประชารัฐเพื่อสังคม (E6) มุ่งสร้างชุมชนเข้มแข็ง ประชาชนมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
|
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561
พม. เร่งสานงานประชารัฐเพื่อสังคม (E6) มุ่งสร้างชุมชนเข้มแข็ง ประชาชนมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
พม. เร่งสานงานประชารัฐเพื่อสังคม (E6) มุ่งสร้างชุมชนเข้มแข็ง ประชาชนมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
วันนี้ (25 มิ.ย.61) เวลา 09.30 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ เป็นประธานการประชุมคณะทํางานประชารัฐเพื่อสังคม (E6) ครั้งที่ 2/2561 พร้อมด้วยนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานอาวุโสหอการค้าไทย ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน และ ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในฐานะหัวหน้าทีม ภาคประชาสังคม โดยมีผู้แทนหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานในประเด็นเร่งด่วน (5 Quick Win) ได้แก่ 1.การส่งเสริมการมีรายได้และมีงานทําของผู้พิการ 2.การส่งเสริมการมีรายได้และมีงานทําของผู้สูงอายุ 3. การออมเพื่อการเกษียณอายุ 4.ที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมเพื่อการอยู่อาศัย และ 5.ความปลอดภัยทางถนน ณ ห้องประชุม 501 สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ซอยงามดูพลี เขตสาทร กรุงเทพฯ
การพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง จําเป็นต้องพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับ การพัฒนาสังคม ซึ่งปี 2561 เป็นปีแห่งการพัฒนาสังคม เพื่อให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชนร่วมเป็นกําลังหลัก ในการขับเคลื่อนงานให้เป็นรูปธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงขอมนุษย์ (พม.) พร้อมบูรณาการความร่วมมือในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ อาทิ อัตราค่าจ้างไม่เต็มเวลาของผู้สูงอายุ ตามมาตรา 35 ซึ่งกําหนดอัตราค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อีกทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในมาตรการต่างๆ เพื่อให้การดําเนินงานใน 5 ประเด็นเร่งด่วนเป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ คือ การสร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิต และชุมชนเข้มแข็ง และควบคู่ไปกับการดําเนินโครงการธุรกิจไทยใส่ใจสังคม หรือ Building a Good Society ซึ่งทุกภาคส่วนจําเป็นต้องร่วมขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อให้เป็นโครงการสําคัญของคณะ E6 โดยในปี 2561 ภาคเอกชนหรือภาคประชาสังคมที่มีโครงการที่ดีหรือเป็นโมเดล การพัฒนาสังคม สามารถนําเสนอเพื่อต่อยอดตามยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาล เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์กรสหประชาชาติ หรือแผนปฏิรูปฯ
คณะทํางานย่อยทั้ง 5 ประเด็นเร่งด่วน ได้ดําเนินงานตามแผนและภารกิจของเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยในส่วนภาคประชาสังคมได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผน กําหนดเป้าหมาย และสนับสนุนความรู้ด้านวิชาการ ร่วมกับเครือข่ายในการทํางานเชิงประเด็นร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อาจมีข้อจํากัด ในการปรับแก้ระเบียบให้เอื้อต่อการดําเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย เช่น การจ้างงานคนพิการ และการจ้างงานผู้สูงอายุ ตลอดจนการขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เช่น การรณรงค์ความปลอดภัยทางถนน การสนับสนุนกิจกรรมปิดเทอมสร้างสรรค์ จากภาคเอกชน เพื่อ "สร้างโอกาส” ให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ต่างๆ ได้เข้าถึงเปิดพื้นที่เรียนรู้อาชีพ และตําแหน่งงานเพื่อหารายได้พิเศษอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
นอกจาก 5 ประเด็นเร่งด่วน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนงานประชารัฐเพื่อสังคมแล้ว การประชุมครั้งนี้ได้มีการเสนอกรอบการดําเนินงานภายใต้แนวคิด "ธุรกิจไทย ใส่ใจสังคม อย่างยั่งยืน” ประกอบด้วย 3 แนวทางสําคัญ ได้แก่ 1. สร้างงานสร้างรายได้ โดยเร่งการจ้างงานคนพิการและผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งฝึกทักษะและพัฒนาศักยภาพคนพิการและผู้สูงอายุในการประกอบอาชีพ 2.พัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการสร้างความตระหนักและส่งเสริมการออม การพัฒนาที่อยู่อาศัย และการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล (Universal Design) อีกทั้งการส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน และ 3.ชุมชนเข้มแข็ง โดยการสร้างจิตอาสาประชารัฐ วิสาหกิจชุมชน เศรษฐกิจชุมชน และการสร้างสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมประสานความร่วมมืออย่างเต็มที่กับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ขับเคลื่อนงานด้านสังคมให้เป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสังคมไทยที่มีคุณภาพต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งสานงานประชารัฐเพื่อสังคม (E6) มุ่งสร้างชุมชนเข้มแข็ง ประชาชนมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561
พม. เร่งสานงานประชารัฐเพื่อสังคม (E6) มุ่งสร้างชุมชนเข้มแข็ง ประชาชนมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
พม. เร่งสานงานประชารัฐเพื่อสังคม (E6) มุ่งสร้างชุมชนเข้มแข็ง ประชาชนมีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
วันนี้ (25 มิ.ย.61) เวลา 09.30 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ เป็นประธานการประชุมคณะทํางานประชารัฐเพื่อสังคม (E6) ครั้งที่ 2/2561 พร้อมด้วยนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานอาวุโสหอการค้าไทย ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน และ ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในฐานะหัวหน้าทีม ภาคประชาสังคม โดยมีผู้แทนหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานในประเด็นเร่งด่วน (5 Quick Win) ได้แก่ 1.การส่งเสริมการมีรายได้และมีงานทําของผู้พิการ 2.การส่งเสริมการมีรายได้และมีงานทําของผู้สูงอายุ 3. การออมเพื่อการเกษียณอายุ 4.ที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมเพื่อการอยู่อาศัย และ 5.ความปลอดภัยทางถนน ณ ห้องประชุม 501 สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ซอยงามดูพลี เขตสาทร กรุงเทพฯ
การพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง จําเป็นต้องพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับ การพัฒนาสังคม ซึ่งปี 2561 เป็นปีแห่งการพัฒนาสังคม เพื่อให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชนร่วมเป็นกําลังหลัก ในการขับเคลื่อนงานให้เป็นรูปธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงขอมนุษย์ (พม.) พร้อมบูรณาการความร่วมมือในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ อาทิ อัตราค่าจ้างไม่เต็มเวลาของผู้สูงอายุ ตามมาตรา 35 ซึ่งกําหนดอัตราค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อีกทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในมาตรการต่างๆ เพื่อให้การดําเนินงานใน 5 ประเด็นเร่งด่วนเป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ คือ การสร้างรายได้ พัฒนาคุณภาพชีวิต และชุมชนเข้มแข็ง และควบคู่ไปกับการดําเนินโครงการธุรกิจไทยใส่ใจสังคม หรือ Building a Good Society ซึ่งทุกภาคส่วนจําเป็นต้องร่วมขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อให้เป็นโครงการสําคัญของคณะ E6 โดยในปี 2561 ภาคเอกชนหรือภาคประชาสังคมที่มีโครงการที่ดีหรือเป็นโมเดล การพัฒนาสังคม สามารถนําเสนอเพื่อต่อยอดตามยุทธศาสตร์ชาติของรัฐบาล เป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์กรสหประชาชาติ หรือแผนปฏิรูปฯ
คณะทํางานย่อยทั้ง 5 ประเด็นเร่งด่วน ได้ดําเนินงานตามแผนและภารกิจของเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยในส่วนภาคประชาสังคมได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผน กําหนดเป้าหมาย และสนับสนุนความรู้ด้านวิชาการ ร่วมกับเครือข่ายในการทํางานเชิงประเด็นร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ อาจมีข้อจํากัด ในการปรับแก้ระเบียบให้เอื้อต่อการดําเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย เช่น การจ้างงานคนพิการ และการจ้างงานผู้สูงอายุ ตลอดจนการขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เช่น การรณรงค์ความปลอดภัยทางถนน การสนับสนุนกิจกรรมปิดเทอมสร้างสรรค์ จากภาคเอกชน เพื่อ "สร้างโอกาส” ให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ต่างๆ ได้เข้าถึงเปิดพื้นที่เรียนรู้อาชีพ และตําแหน่งงานเพื่อหารายได้พิเศษอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น
นอกจาก 5 ประเด็นเร่งด่วน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนงานประชารัฐเพื่อสังคมแล้ว การประชุมครั้งนี้ได้มีการเสนอกรอบการดําเนินงานภายใต้แนวคิด "ธุรกิจไทย ใส่ใจสังคม อย่างยั่งยืน” ประกอบด้วย 3 แนวทางสําคัญ ได้แก่ 1. สร้างงานสร้างรายได้ โดยเร่งการจ้างงานคนพิการและผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งฝึกทักษะและพัฒนาศักยภาพคนพิการและผู้สูงอายุในการประกอบอาชีพ 2.พัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการสร้างความตระหนักและส่งเสริมการออม การพัฒนาที่อยู่อาศัย และการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล (Universal Design) อีกทั้งการส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน และ 3.ชุมชนเข้มแข็ง โดยการสร้างจิตอาสาประชารัฐ วิสาหกิจชุมชน เศรษฐกิจชุมชน และการสร้างสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมประสานความร่วมมืออย่างเต็มที่กับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ขับเคลื่อนงานด้านสังคมให้เป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสังคมไทยที่มีคุณภาพต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13330
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลำน้ำกับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน ครั้งที่ 1/2561
|
วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลําน้ํากับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน ครั้งที่ 1/2561
รมต.นร. สุวพันธุ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลําน้ํากับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน ครั้งที่ 1/2561
วันนี้ (8 มีนาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม301ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลําน้ํากับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุม สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ประธานแจ้งที่ประชุมรับทราบถึงการกําหนดยุทธศาสตร์ กรอบแนวทางการดําเนินงานโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลําน้ํากับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน เพื่อสืบสานรักษา ต่อยอด สร้างสุขปวงประชาพัฒนาพื้นที่ตามแนวพระราชดําริและพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยการศึกษา วิเคราะห์รูปแบบ การส่งเสริม ช่วยเหลือ และสนับสนุนการดําเนินโครงการ และการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่มีวิถีชีวิตริมน้ํา และการขยายผลการดําเนินโครงการเพื่อการพัฒนาเป็นไปอย่างเป็นระบบและแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน อีกทั้ง สร้างความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน ภาคีเครือข่ายสนับสนุนและการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมในโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลําน้ํากับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชนอีกด้วย
ที่ประชุมเห็นชอบชุมชนต้นแบบ ที่จะดําเนินโครงการ รวม 76 แห่ง (76 จังหวัด) โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทุกแห่งคัดเลือกชุมชนต้นแบบจังหวัดละ 1 แห่ง ส่งให้สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี โดยมีลักษณะ ดังนี้ 1. เป็นชุมชนที่มีวิถีริมน้ํา หมายถึง ชุมชนที่มีบ้านเรือนอยู่ริมน้ํา ริมคลอง หนอง บึง หรือคลองชลประทาน ที่ไม่ใช่แม่น้ําสายหลัก 2. เป็นชุมชนที่มีปัญหากับลําน้ํา เช่น น้ําเน่าเสีย คลองตื้นเขิน มีวัชพืช ที่ก่อให้เกิดอุปสรรคในการสัญจร เป็นต้น 3. เป็นชุมชนที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิต ต้องการแก้ปัญหาให้ชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 4. เป็นชุมชนที่มีความพอเพียง มีความพอดีในการดํารงชีวิต สามารถบริหารจัดการในลําน้ําของตนเองได้ และ 5. เป็นชุมชนที่มีจิตอาสาเข้มแข็ง มีการรวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นในการบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ในชุมชนของตนเอง
สําหรับรูปแบบและแนวทางการแก้ไขปัญหาของชุมชนต้นแบบมี 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ชุมชนที่มีปัญหาผักตบชวา จํานวน 21 แห่ง กลุ่มที่ 2 ชุมชนที่มีปัญหาวัชพืช จํานวน 24 แห่ง และกลุ่มที่ 3 ชุมชนที่มีปัญหาน้ําเน่าเสียและแหล่งน้ําตื้นเขิน จํานวน 31 แห่ง
ทั้งนี้ การกําหนดกรอบแนวทางการดําเนินการของชุมชนต้นแบบ มีดังนี้ 1.การลงทะเบียนจัดตั้งกลุ่ม โดยมีประธานและกรรมการบริหารกลุ่มและสมาชิกกลุ่ม เพื่อค้นหา รวบรวม วิเคราะห์ปัญหา หาแนวทางแก้ไข และการเสนอโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาการบริการโครงการของชุมชน โดยให้ อบจ. หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เทศบาล จิตอาสาในเขตพื้นที่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าไปเป็นพี่เลี้ยงสนับสนุน ช่วยเหลือให้คําปรึกษาในการดําเนินโครงการฯ 2.การระดมจิตอาสา เพื่อพัฒนาลําน้ําและชุมชน 3.แนวทางการพัฒนาของชุมชนต้นแบบโดยชุมชนเป็นผู้เสนอโครงการ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน (CSR) อาทิ
1) การแก้ไขปัญหาที่เกิดจากลําน้ํา เช่น การกําจัดขยะ วัชพืช บําบัดน้ําเสีย การชุดลอก คู คลอง สระ ฯลฯ โดยใช้แรงงานจิตอาสาเป็นหลัก
2) การพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนริมน้ํา สร้างระบบการออม การจัดทําบัญชีครัวเรือน การดําเนินชีวิตภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
3) การจัดให้มีโรงงาน / ศูนย์การเรียนรู้ เป็นแหล่งฝึกฝน สร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อดําเนินการเป็นอุทยานการเรียนรู้ ส่งเสริมการผลิต ต่อยอดอาชีพเสริมรายได้ และเกิดวิถีชีวิตคนริมน้ํา ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณตามโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
4) แนวทางในการพัฒนาอาชีพ หรือการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ตามความต้องการของชุมชน และสอดคล้องกับสภาพพื้นที่และความพร้อมของชุมชน เพื่อเป็นการส่งเสริมการร่วมแรงร่วมใจ สร้างงานและจ้างงาน โดยใช้ประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก
5) เป็นชุมชนต้นแบบในการขยายผลการพัฒนาไปยังชุมชนอื่น ๆ
.......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลำน้ำกับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน ครั้งที่ 1/2561
วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561
ผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลําน้ํากับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน ครั้งที่ 1/2561
รมต.นร. สุวพันธุ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลําน้ํากับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน ครั้งที่ 1/2561
วันนี้ (8 มีนาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม301ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลําน้ํากับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุม สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
ประธานแจ้งที่ประชุมรับทราบถึงการกําหนดยุทธศาสตร์ กรอบแนวทางการดําเนินงานโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลําน้ํากับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชน เพื่อสืบสานรักษา ต่อยอด สร้างสุขปวงประชาพัฒนาพื้นที่ตามแนวพระราชดําริและพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยการศึกษา วิเคราะห์รูปแบบ การส่งเสริม ช่วยเหลือ และสนับสนุนการดําเนินโครงการ และการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่มีวิถีชีวิตริมน้ํา และการขยายผลการดําเนินโครงการเพื่อการพัฒนาเป็นไปอย่างเป็นระบบและแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน อีกทั้ง สร้างความร่วมมือภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน ภาคีเครือข่ายสนับสนุนและการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมในโครงการจิตอาสาเพื่อการพัฒนาลําน้ํากับชีวิต บนวิถีแห่งความพอเพียง เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชนอีกด้วย
ที่ประชุมเห็นชอบชุมชนต้นแบบ ที่จะดําเนินโครงการ รวม 76 แห่ง (76 จังหวัด) โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทุกแห่งคัดเลือกชุมชนต้นแบบจังหวัดละ 1 แห่ง ส่งให้สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี โดยมีลักษณะ ดังนี้ 1. เป็นชุมชนที่มีวิถีริมน้ํา หมายถึง ชุมชนที่มีบ้านเรือนอยู่ริมน้ํา ริมคลอง หนอง บึง หรือคลองชลประทาน ที่ไม่ใช่แม่น้ําสายหลัก 2. เป็นชุมชนที่มีปัญหากับลําน้ํา เช่น น้ําเน่าเสีย คลองตื้นเขิน มีวัชพืช ที่ก่อให้เกิดอุปสรรคในการสัญจร เป็นต้น 3. เป็นชุมชนที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิต ต้องการแก้ปัญหาให้ชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 4. เป็นชุมชนที่มีความพอเพียง มีความพอดีในการดํารงชีวิต สามารถบริหารจัดการในลําน้ําของตนเองได้ และ 5. เป็นชุมชนที่มีจิตอาสาเข้มแข็ง มีการรวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นในการบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ในชุมชนของตนเอง
สําหรับรูปแบบและแนวทางการแก้ไขปัญหาของชุมชนต้นแบบมี 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ชุมชนที่มีปัญหาผักตบชวา จํานวน 21 แห่ง กลุ่มที่ 2 ชุมชนที่มีปัญหาวัชพืช จํานวน 24 แห่ง และกลุ่มที่ 3 ชุมชนที่มีปัญหาน้ําเน่าเสียและแหล่งน้ําตื้นเขิน จํานวน 31 แห่ง
ทั้งนี้ การกําหนดกรอบแนวทางการดําเนินการของชุมชนต้นแบบ มีดังนี้ 1.การลงทะเบียนจัดตั้งกลุ่ม โดยมีประธานและกรรมการบริหารกลุ่มและสมาชิกกลุ่ม เพื่อค้นหา รวบรวม วิเคราะห์ปัญหา หาแนวทางแก้ไข และการเสนอโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาการบริการโครงการของชุมชน โดยให้ อบจ. หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เทศบาล จิตอาสาในเขตพื้นที่ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าไปเป็นพี่เลี้ยงสนับสนุน ช่วยเหลือให้คําปรึกษาในการดําเนินโครงการฯ 2.การระดมจิตอาสา เพื่อพัฒนาลําน้ําและชุมชน 3.แนวทางการพัฒนาของชุมชนต้นแบบโดยชุมชนเป็นผู้เสนอโครงการ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน (CSR) อาทิ
1) การแก้ไขปัญหาที่เกิดจากลําน้ํา เช่น การกําจัดขยะ วัชพืช บําบัดน้ําเสีย การชุดลอก คู คลอง สระ ฯลฯ โดยใช้แรงงานจิตอาสาเป็นหลัก
2) การพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนริมน้ํา สร้างระบบการออม การจัดทําบัญชีครัวเรือน การดําเนินชีวิตภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
3) การจัดให้มีโรงงาน / ศูนย์การเรียนรู้ เป็นแหล่งฝึกฝน สร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อดําเนินการเป็นอุทยานการเรียนรู้ ส่งเสริมการผลิต ต่อยอดอาชีพเสริมรายได้ และเกิดวิถีชีวิตคนริมน้ํา ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณตามโครงการขับเคลื่อนการพัฒนาตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
4) แนวทางในการพัฒนาอาชีพ หรือการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ตามความต้องการของชุมชน และสอดคล้องกับสภาพพื้นที่และความพร้อมของชุมชน เพื่อเป็นการส่งเสริมการร่วมแรงร่วมใจ สร้างงานและจ้างงาน โดยใช้ประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก
5) เป็นชุมชนต้นแบบในการขยายผลการพัฒนาไปยังชุมชนอื่น ๆ
.......................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10615
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย แจ้งจังหวัดและอำเภอเตรียมความพร้อมจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ของประชาชนในส่วนภูมิภาค
|
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560
กระทรวงมหาดไทย แจ้งจังหวัดและอําเภอเตรียมความพร้อมจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ของประชาชนในส่วนภูมิภาค
กระทรวงมหาดไทย แจ้งจังหวัดและอําเภอเตรียมความพร้อมจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ของประชาชนในส่วนภูมิภาค
วันนี้ (18 ก.พ. 60) นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดพิธีการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2560 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค
กระทรวงมหาดไทยขอเรียนให้ทราบถึงการดําเนินการในเรื่องของการจัดพิธีฯ ที่จะจัดขึ้นในส่วนภูมิภาค ซึ่งขณะนี้ กระทรวงมหาดไทยแจ้งให้ทุกจังหวัดได้เตรียมความพร้อมโดยพิจารณาคัดเลือกวัดหรือสถานที่ที่เหมาะสม อาทิ วัดประจําจังหวัด/อําเภอ หรือสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด/อําเภอ เพื่อเป็นสถานที่ในการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์และเผาดอกไม้จันทน์ จังหวัด/อําเภอละ 1 แห่ง (ยกเว้นอําเภอเมืองให้จัดร่วมกับจังหวัด) โดยจะต้องมีพื้นที่เพียงพอสําหรับรองรับประชาชนที่มาร่วมพิธี
สําหรับการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ อาทิ การจัดเตรียมสถานที่ตั้งภาพพระบรมโกศ การเชิญชวนจิตอาสา ประชาชน นักเรียน นักศึกษา เพื่อร่วมจัดทําดอกไม้จันทน์เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนผู้มาร่วมพิธี และเตรียมการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ซึ่งจังหวัดและอําเภอจะดําเนินการตามหมายกําหนดการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ อย่างสมพระเกียรติ และให้จังหวัดได้จัดเตรียมข้อมูลภาพพระราชประวัติและภาพพระราชกรณียกิจที่สําคัญของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงงานในพื้นที่จังหวัด/อําเภอ อาทิ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริสําหรับใช้ในการจัดแสดงนิทรรศการ เพื่อให้ประชาชนได้น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณในบริเวณสถานที่จัดพิธีฯ ซึ่งทั้งหมดจะเป็นกิจกรรมที่จะจัดขึ้นพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ
นอกจากนี้ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการติดตามรับชมการถ่ายทอดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง จากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ทุกจังหวัดจะมีการติดตั้งจอ LED ขนาดใหญ่ เพื่อให้ประชาชนที่มาร่วมงานได้รับชม ณ สถานที่จัดงานของจังหวัด พร้อมจัดเจ้าหน้าที่แจกจ่ายแผ่นพับพระราชประวัติให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมพิธีด้วย
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย จังหวัด อําเภอ ตลอดจนหน่วยงาน และภาคประชาชนในพื้นที่จะได้ร่วมกันเตรียมความพร้อมในการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค ทั้งในเรื่องของสถานที่และขั้นตอนต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สวยงาม และสมพระเกียรติ ซึ่งจะได้แจ้งรายละเอียดต่าง ๆ ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่องต่อไป.
ครั้งที่ 28/2560
ข่าวมหาดไทย
กลุ่มงานเผยแพร่การประชาสัมพันธ์
กองสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
MOINews
Publication Sub-Division
Information Division
Office of the Permanent Secretary forInterior,
Ministry of Interior, THAILAND
Tel/Fax +662-222-1871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย แจ้งจังหวัดและอำเภอเตรียมความพร้อมจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ของประชาชนในส่วนภูมิภาค
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560
กระทรวงมหาดไทย แจ้งจังหวัดและอําเภอเตรียมความพร้อมจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ของประชาชนในส่วนภูมิภาค
กระทรวงมหาดไทย แจ้งจังหวัดและอําเภอเตรียมความพร้อมจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ของประชาชนในส่วนภูมิภาค
วันนี้ (18 ก.พ. 60) นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดพิธีการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2560 โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค
กระทรวงมหาดไทยขอเรียนให้ทราบถึงการดําเนินการในเรื่องของการจัดพิธีฯ ที่จะจัดขึ้นในส่วนภูมิภาค ซึ่งขณะนี้ กระทรวงมหาดไทยแจ้งให้ทุกจังหวัดได้เตรียมความพร้อมโดยพิจารณาคัดเลือกวัดหรือสถานที่ที่เหมาะสม อาทิ วัดประจําจังหวัด/อําเภอ หรือสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด/อําเภอ เพื่อเป็นสถานที่ในการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์และเผาดอกไม้จันทน์ จังหวัด/อําเภอละ 1 แห่ง (ยกเว้นอําเภอเมืองให้จัดร่วมกับจังหวัด) โดยจะต้องมีพื้นที่เพียงพอสําหรับรองรับประชาชนที่มาร่วมพิธี
สําหรับการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ อาทิ การจัดเตรียมสถานที่ตั้งภาพพระบรมโกศ การเชิญชวนจิตอาสา ประชาชน นักเรียน นักศึกษา เพื่อร่วมจัดทําดอกไม้จันทน์เพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนผู้มาร่วมพิธี และเตรียมการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ ซึ่งจังหวัดและอําเภอจะดําเนินการตามหมายกําหนดการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ อย่างสมพระเกียรติ และให้จังหวัดได้จัดเตรียมข้อมูลภาพพระราชประวัติและภาพพระราชกรณียกิจที่สําคัญของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ทรงงานในพื้นที่จังหวัด/อําเภอ อาทิ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริสําหรับใช้ในการจัดแสดงนิทรรศการ เพื่อให้ประชาชนได้น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณในบริเวณสถานที่จัดพิธีฯ ซึ่งทั้งหมดจะเป็นกิจกรรมที่จะจัดขึ้นพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ
นอกจากนี้ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการติดตามรับชมการถ่ายทอดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง จากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ทุกจังหวัดจะมีการติดตั้งจอ LED ขนาดใหญ่ เพื่อให้ประชาชนที่มาร่วมงานได้รับชม ณ สถานที่จัดงานของจังหวัด พร้อมจัดเจ้าหน้าที่แจกจ่ายแผ่นพับพระราชประวัติให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมพิธีด้วย
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย จังหวัด อําเภอ ตลอดจนหน่วยงาน และภาคประชาชนในพื้นที่จะได้ร่วมกันเตรียมความพร้อมในการจัดพิธีถวายดอกไม้จันทน์ของประชาชนในส่วนภูมิภาค ทั้งในเรื่องของสถานที่และขั้นตอนต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สวยงาม และสมพระเกียรติ ซึ่งจะได้แจ้งรายละเอียดต่าง ๆ ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่องต่อไป.
ครั้งที่ 28/2560
ข่าวมหาดไทย
กลุ่มงานเผยแพร่การประชาสัมพันธ์
กองสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
MOINews
Publication Sub-Division
Information Division
Office of the Permanent Secretary forInterior,
Ministry of Interior, THAILAND
Tel/Fax +662-222-1871
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1931
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2558 เวลา 20.15 น.
|
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
วันที่ 12 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันต่อต้านการใช้แรงงานเด็กโลก ประเทศไทยได้ร่วมลงนามในข้อตกลงร่วมกันระหว่างนานาประเทศเพื่อกําหนดภารกิจที่สําคัญที่ต้องดําเนินการ ในการป้องกันและขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายให้หมดไปอย่างเร่งด่วน การใช้แรงงานเด็กนั้นถือว่าเป็นปัญหาที่มีความเชื่อมโยงกับปัญหาอื่น ๆ ที่ต้องให้ความสําคัญ เช่น ปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ที่ผ่านมานั้นกระทรวงแรงงาน ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ดําเนินการประเมินผล ในการดําเนินนโยบายและแผนระดับชาติ เพื่อจะขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ฉบับที่ 1 ทํามาแล้ว ปีงบประมาณ 2552 - 2557 มี 5 ยุทธศาสตร์ด้วยกัน คือการสร้างความตระหนักรับรู้ให้ชุมชนถึงปัญหาการใช้แรงงานเด็กและเฝ้าระวัง การสร้างและพัฒนาระบบรับแจ้งเหตุ และรับเรื่องราวร้องทุกข์ในภาคต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเหยื่อที่เป็นแรงงานเด็ก การบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ การให้ความรู้ด้านกฎหมายและแนวทางการปฏิบัติ การพัฒนากลไกและระบบบริหารจัดการ เพื่อขจัดปัญหาการใช้แรงงานเด็กอายุต่ํากว่า 15 ปี ผลประเมินดังกล่าวก็จะนํามาวิเคราะห์เพื่อจะนําไปจัดทําร่างนโยบายและแผนระดับชาติ เพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายฉบับที่ 2 ในรัฐบาลนี้ ปีงบประมาณ 2558 - 2563 ต่อไป เรื่องนี้สําคัญ เพราะว่าเราจะต้องปรับปรุงทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพ ใน 5 ประการที่กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ และทําให้เป็นรูปธรรม มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ ไม่อย่างนั้นร่างกันไว้ ทํากันไว้ แล้วก็ไม่ได้ทําให้ได้เกิดเป็นผลสําเร็จ
เรื่องการค้ามนุษย์ เช่นเดียวกัน ต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคนได้ช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา เห็นอะไรที่อาจจะเข้าข่ายการใช้แรงงานเด็ก ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ตามโรงงาน ตามสถานประกอบการต่าง ๆ นั้น ก็ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ขอให้แจ้งหน่วยงานรัฐด้วย
สําหรับปีนี้นั้น องค์การแรงงานระหว่างประเทศจะมุ่งเน้นไปที่การรณรงค์พัฒนาประสิทธิภาพด้านการศึกษา ซึ่งตรงกับนโยบายที่รัฐบาลนี้ได้กําหนดไว้ ตั้งแต่เริ่มเข้ามาบริหารประเทศ เรามองเห็นว่าการศึกษานั้นเป็นรากฐานที่สําคัญ ในการที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับเยาวชนที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นอนาคตของชาติ
เรื่องการปฏิรูปการศึกษา รัฐบาลให้ความสําคัญและความเร่งด่วนกับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้กํากับดูแล โดยงานของ สพฐ. นั้น จะมีผลโดยตรงต่อนักเรียนทั้งประเทศหลายล้านคน มีผลต่ออนาคตของชาติเพราะฉะนั้น ผมได้กําชับให้รีบดําเนินการเพื่อจะให้เกิดการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด เพราะเป็นพื้นฐานของการศึกษาในขั้นตอนต่อไปทั้งหมด
ต้นเดือนที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้มีการหารือถึงยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2558-2563 ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก คือ ด้านการปฏิรูปการเรียนการสอน ด้านปฏิรูปการพัฒนาวิชาชีพ และด้านปฏิรูประบบการบริหารจัดการ โดยยุทธศาสตร์เร่งด่วนที่จะต้องดําเนินการไปจนถึงเดือนมีนาคม 2559 นั้น ได้แก่ 1. การอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนในวิชาภาษาไทย ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 โดยการสอนแจกลูกสะกดคํา ก็ลองดูโบราณก็เคยสอนกันมาแล้ว วันนี้การสอนก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ช่วยเหลือครู ช่วยเหลือเด็ก ก็ต้องไปดูว่าวิธีการที่สอนมาใช้ได้หรือไม่ได้ ถ้าไม่ได้ก็ย้อนกลับแบบเดิมได้หรือไม่ ก็ต้องไปพิจารณากันดูให้ดี บางครั้งการเริ่มของใหม่ โดยของเก่าก็คือไม่ได้ดีกว่าเก่า ผมว่าของเก่าดีกว่า ไปลองพิจารณาดูแล้วกัน อาจจะดีกว่า วันนี้ผมก็เชื่อมั่นในบุคลากรทางการศึกษา ในเมื่อคิดว่าดีก็ทํา และเรื่องของการจัดทําสื่อนวัตกรรมการเรียนการสอน 2. การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามทักษะอาชีพ โดยเฉพาะการจัดสอนทักษะอาชีพในโรงเรียนขยายโอกาส และการจัดสอนทักษะอาชีพแบบเต็มระบบในโรงเรียนเขตเศรษฐกิจพิเศษ 5 จังหวัด 3. การพัฒนาการสอนภาษาอังกฤษระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เช่น จัดระบบเทียบระดับ จัดทําความร่วมมือกับประเทศอังกฤษและบริติสเคาท์ซิล เพื่อเป็นการเตรียมการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปลายปีนี้ 4. การผลิตและพัฒนาครู จัดการอบรมพัฒนาผู้บริหาร ครู และศึกษานิเทศก์ 5. ยกระดับการศึกษาทางไกล และ 6. การพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียน
ผมอยากเห็นการศึกษาไทยพัฒนา คงไม่ใช่เน้นแต่เรื่องความฉลาดทางเชาว์ปัญญา แต่ต้องเน้นถึงเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ด้วย ปัจจุบันหลักสูตรและการเรียนการสอนของไทย มุ่งแต่การพัฒนาสติปัญญาของเด็กอย่างเดียว ทําให้ต้องเรียนหนัก ต้องไปกวดวิชา ไปเรียนพิเศษ ซึ่งก็เน้นแต่การท่องจําเป็นหลัก ทําให้เด็ก ๆ ไม่มีเวลาพอที่จะพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ตามวัย ซึ่งจะทําให้เขารับรู้และเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของตนเอง ทําให้เกิดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ทําให้เกิดน้อยลง เพราะฉะนั้นหากเด็กมีความฉลาดทางอารมณ์ที่เหมาะสมตามวัย ก็จะมีสุขภาพจิตที่ดี มีความสุข รู้จักการควบคุมอารมณ์ แต่ก็สามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างถูกกาลเทศะ วันนี้ก็ต้องทบทวนทั้งหมด มาจากพื้นฐานทั้งสิ้น เขาจะได้ปรับตัวให้เข้ากับสังคมอย่างเหมาะสม ไม่เป็นภาระต่อสังคม วันนี้ก็มาใช้กฎหมาย ใช้เจ้าหน้าที่มากมาย เพื่อจะดูแลเด็กเหล่านี้ ในที่ออกนอกลู่นอกทาง ก็กลับเข้ามาซะ เพราะฉะนั้นคือสิ่งที่เป็นอนาคตของชาติที่ผมอยากเห็น รัฐบาลนี้อยากเห็น ผมคิดว่าพ่อแม่ผู้ปกครองก็อยากเห็นแบบนี้ เราต้องการคนที่มีความฉลาด และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ ไม่ใช่ขัดแย้งเขาทั่วไปหมด ใช้ชีวิตการทํางานร่วมกับคนอื่นได้ เห็นต่างอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่ใช้ความรุนแรง
ถ้าพูดถึงเรื่องการศึกษา ต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้า สถาบันอุดมศึกษาในปีนี้ เท่าที่ผมทราบนั้น คณะและสาขาวิชาที่มีอัตราการแข่งขันสูงที่สุด 5 อันดับแรก ส่วนใหญ่เป็นคณะศึกษาศาสตร์ และครุศาสตร์ ซึ่งผมถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น รัฐบาลให้ความสําคัญกับการปฏิรูปการศึกษา และวิชาชีพครูด้วย เราอยากเห็นคนรุ่นใหม่หันมาให้ความสําคัญกับระบบการศึกษาของประเทศไทยเรา
ส่วนคณะและสาขาวิชาที่มีผู้สมัครมากที่สุด ได้แก่ คณะพยาบาลศาสตร์ ดีเพราะแสดงให้เห็นว่าเยาวชนของไทย มีความสนใจในหลากหลายสาขาวิชาชีพ และก็เชื่อว่าไม่ว่าจะเรียนอะไร ถ้ามีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจ มีความสุข ทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้ และมีขีดความสามรถในการที่จะช่วยเหลือสังคม พัฒนาประเทศชาติได้ทั้งสิ้น
ในทางกลับกัน ถ้าเรียนไปแล้ว และไม่นําความรู้ ความสามารถมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะเราจะเสียคนเหล่านี้ไปเปล่า ๆ เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการศึกษา นอกการศึกษา มาดูแลเรื่องพวกนี้ นําคนมาใช้ประโยชน์ เอาพลังศักยภาพมาใช้ประโยชน์ ไม่ใช่ใช้อํานาจไปในทางที่ไม่สร้างสรรค์ ไปขัดแย้ง ไปประท้วงต่าง ๆ ซึ่งทุกคนต้องเข้าใจ ปรับอารมณ์ตัวเองให้ได้ เรียนรู้ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร เรียนรู้ว่าประเทศชาติอยู่ในสถานะอะไร วันนี้ เพราะฉะนั้นถ้าทําได้อย่างนี้ ผมว่าประเทศไทยไปได้ ไม่ใช่ว่าผมจะไปปิดกั้นอะไรใครทั้งสิ้น
เรื่องผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุด น.ส. ศิรดา ไตรตรึงษ์ทัศนา ได้เลือกที่จะเรียนนิเทศศาสตร์ ก็ขอแสดงความยินดีในความสําเร็จครั้งนี้ ขอแสดงความชื่นชมต่อผู้ปกครองและครูอาจารย์ด้วย สําหรับคุณพ่อของ น.ส. ศิรดาฯ ก็ได้ออกมาให้ข้อคิดที่ว่า “หากลูกได้เรียนในสิ่งที่รัก จะยากดีมีจนก็คงมีความสุข และความภูมิใจ และความสําเร็จจะตามมาเอง อันนี้เป็นข้อเท็จจริง ก็อยากให้ทุกคนได้ทําตามนี้ ซึ่งลูกเรียนนิเทศฯ ก็สามารถจะทําสื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่คนทั่วไป ปรับทัศนคติ หรือค่านิยมไปในทางที่ถูกต้องได้เช่นกัน ลูกสาวก็บอกว่าการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นั้น ก็ไม่จําเป็นต้องเป็นแพทย์อะไรอย่างเดียว อาชีพอื่นก็ทําได้ เพียงแต่ไม่เลือกสอบเข้าแพทย์ ก็เท่ากับไม่ไปแย่งที่นั่งคนอื่นที่อยากเรียนแพทย์ ” อันนี้เป็นแนวคิดที่มีเหตุมีผลของเด็กเอง ของผู้ปกครองก็มีส่วนในการที่จะให้เด็กได้ตัดสินใจในสิ่งที่เขาชอบ และสิ่งที่เขาอยากทํา อย่าไปบังคับเขามาก แต่เขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่เพื่ออนาคตเขาอย่างไรในวันหน้า เพราะว่าเราก็ไม่ได้อยู่กับเขาอีกแล้ว วันหน้ามีครอบครัวไปอะไรไป เขาก็ต้องไปเรียนรู้ของเขาเองด้วย
เรื่องโครงการดูงานต่างประเทศของพี่น้องเกษตรกร รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เร่งรัดดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันภายใต้ “โครงการศึกษาดูงานเพื่อการสร้างและพัฒนาผู้นําการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตร” โดยจะเริ่มการคัดเลือกผู้แทนกลุ่ม องค์กรเกษตรกร จํานวน 45 รุ่น ๆ ละ 20 คน รวม 900 คน จากทั่วประเทศ ในสาขาต่าง ๆ อาทิ ทํานา ทําไร่ อ้อย มันสําปะหลัง ทําสวน ไม้ผล ยางพารา ไม้ดอกไม้ประดับ ผัก หรืออื่น ๆ เกษตรกรรุ่นใหม่ แม่บ้านเกษตรกร เยาวชน ยุวชนการเกษตร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร ประมง ปศุสัตว์ เป็นต้น เพื่อจะไปดูงานต่างประเทศ เกี่ยวกับสาขาของตน ใน 6 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย จีน ไต้หวัน และมาเลเซีย ทั้งนี้เพื่อได้มีโอกาสไปเห็น ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เทคโนโลยีในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการตลาด การใช้เครื่องจักรกลการเกษตร เทคโนโลยีการผลิต วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว การแปรรูปผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการองค์กร ระบบโลจิสติกส์ การสร้างทายาทเกษตรกรรุ่นใหม่ การบรรจุภัณฑ์ และการสร้างมูลค่าเพิ่ม การพัฒนาจากศักยภาพชุมชน เป็นต้น เหล่านี้ สิ่งใดที่เห็นว่าดี เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมบ้านเรา ก็นํามาต่อยอด นํามาขยาย นํามาประยุกต์ และถ่ายทอดให้คนในชุมชนด้วย สิ่งใดที่ไม่เหมาะสมกับประเทศไทย ไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมเรา หรืออย่างไรก็ไปไม่เหมือนกัน หรือเป็นไปไม่ได้ก็ไม่ต้องนํามาที่มาเป็นระบบ และใช้ได้นํามาประยุกต์ ไม่ใช่นํามาทั้งหมด ก็ทําไม่ได้อยู่ได้ สอดคล้องกับบ้านเราด้วย น่าที่จะเป็นแนวทางหนึ่งที่รัฐบาลนี้มีความตั้งใจ ในการที่ประยุกต์ ในการที่พัฒนาต่าง ๆ ทั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบประกอบการต่าง ๆ ทั้งหมด ให้กับคนไทยที่เป็นเกษตรกร ซึ่งมีรายได้น้อย ถ้าเป็นไปได้เราก็เป็นการเพิ่มศักยภาพการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของทางด้านการเกษตรด้วย อย่างน้อยก็เพิ่มวิสัยทัศน์ เห็นเขาบ้าง เขาทําอะไรกันบ้าง ผู้นํากลุ่ม องค์กรการเกษตร จะได้นํากลับมาพัฒนาท้องถิ่น แบ่ง ๆ กันไป ไม่ใช่ไปเที่ยว ไปศึกษาดูงาน และเก็บอะไรกลับมา กลับมาก็รายงานรัฐบาลด้วย ว่าไปดูแล้วเห็นอะไร อะไรที่เป็นประโยชน์
การไปดูงานอยากให้ตั้งเป้าว่าจะไปดูอะไร เมื่อไปดูแล้วเราต้องจับอะไรไว้บ้าง เตรียมการไว้ก่อน เราจะไปถามคําถามอะไร จะไปดูเรื่องการผลิต จะไปดูการตลาด จะไปดูเรื่องการบริหารจัดการหรืออะไร เตรียมคําถามของตัวเองไว้ แล้วก็คิดว่าเมืองไทยมีปัญหาตรงไหนนี่ เวลาไปดูงานต้องตั้งอะไรไว้ ไม่ใช่ไปลอย ๆ ไปแล้วกลับมาถามว่าได้อะไรบ้างไหม ไม่ได้อะไร ได้แต่ไปเที่ยวซื้อของ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สําคัญในวันนี้ก็ให้เกิดความเป็นธรรม กระบวนการคัดสรรก็ไปด้วยความยุติธรรม โปร่งใส ก็อาจจะให้สมาชิกของเกษตรกรเขาคัดเลือกมาก่อนในขั้นต้นอะไรทํานองนี้ แต่ก็อย่าทําให้เขาเสียใจก็มีรุ่น 1 รุ่น 2 รุ่น 3 ก็ว่าไปเรื่อย ๆ อันนี้ผมพูดไปทุกกระทรวงแล้ว ถ้าทุกกระทรวงมีโอกาสแบบนี้ก็ดูแลคนรุ่นหลังเราด้วย เยาวชนต่าง ๆ ในกิจการของทุกกระทรวงมีส่วนร่วมมากบ้าง น้อยบ้างอะไรก็ว่ากันไป คัดเลือกเข้าไปร่วมโครงการ ถ้าสามารถที่จะนํามาจากพื้นที่ได้ ภูมิภาคนี้ได้มีผลิตผลทางการเกษตรอะไร ก็ไปดูสาขานั้น ๆ ไปดูการตลาด ไปดูตั้งแต่การผลิต การปลูก การดูแลต่าง ๆ ทั้งหมดต้องมาพัฒนาถ้าเราไม่เห็นเขาเราทําไม่ได้หรอก วันนี้รัฐอย่างเดียวไปนําไม่ไหวทุกคนต้องไปดูด้วยตาตัวเอง
อันนี้ก็ฝากไปถึงเรื่องพลังงานเรื่องของอะไรต่าง ๆ ที่มีปัญหาทั้งหมด บ้านเมืองเราถ้าเขามีได้เราก็ต้องมีได้ แต่จะมีอย่างไรไปว่ากันมา วันนี้ก็ต่อต้านกันทุกเรื่องก็ไม่ไหวนะ บ้านเมืองวันหน้าเราจะไม่เข้มแข็ง ทําไม่ได้ในการพัฒนาประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความรู้ มีวิสัยทัศน์ก็จะเกิดความภาคภูมิใจในการที่กลับมาแล้วทําให้เกิดความก้าวหน้าในวิชาชีพ ในอาชีพของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรหากเป็นที่ยอมรับในกลุ่ม ในองค์กร ในชุมชนของตนคนเหล่านี้ก็สามารถที่จะมาเป็นครูหรือเป็นวิทยากร แล้วนําสาระที่ได้จากการดูงานนี้มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการของเรานํามาถ่ายทอดขยายผล
ผมคิดว่าวันนี้เราต้องการผู้นําการเปลี่ยนแปลง ผู้นําที่ต้องการให้ประเทศของเรามีการเปลี่ยนแปลงในทุกระดับ ไม่ใช่เฉพาะประเทศอย่างเดียว ในชุมชน ตําบล หมู่บ้าน อําเภอต้องมีคนเหล่านี้ แต่นําการเปลี่ยนแปลงในทางที่ถูกต้อง ภายใต้กฎหมาย ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ถูกต้องเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ไม่ใช่เสรีภาพจนไร้ขีดจํากัด ต้องมีหน้าที่ มีความรับผิดชอบและให้ความร่วมมือกับรัฐบาลด้วยเหล่านี้ เชื่อฟังผู้ใหญ่ เคารพกฎหมาย วันนี้มีปัญหาทั้งหมด
วันนี้ต้องกําหนดทิศทาง อนาคตแล้วก็เตรียมการในการสร้างทายาทเกษตรกรรุ่นใหม่ต่อไปด้วย เยาวชน ยุวชนเกษตรสําคัญ วันนี้ผมได้สั่งการไปมากพอสมควรในเรื่องนี้ ถ้าสร้างได้วันหน้าเราก็มีความสบายใจที่ชุมชนจะมีความเข้มแข็งเกษตรกรมีความรู้ความสามารถในการแข่งขันแล้วก็สร้างจุดแข็งของตนเองให้ตรงกับพื้นที่ ตรงกับวัฒนธรรมอะไรของตนเองในแต่ละภูมิภาค ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องเรียนรู้หมดทุกอันคงไม่ได้ ให้เหมาะสมกับพื้นที่ของตนเอง แล้วจะได้ทํางานในพื้นที่ ในจังหวัดที่ตนเองเกิดเหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญ ไม่ใช่ส่งเสริมให้คนไปหากินในพื้นที่อื่น ๆ บ้านเมืองตัวเองก็ไม่ได้พัฒนาก็ไปแออัดในเมืองใหญ่ ๆ
วันนี้ต้องมาขยายเมือง ผมอยากให้มีการขยายเมืองไป 4 มุมเมือง ไม่ใช่ขยายใหญ่โตอะไรเพียงแต่ไปสร้างชุมชนขึ้นมา การที่เราย้ายคนออกไป ไปมีเส้นทางการสัญจรไป-มา การค้าขายมีตลาดมีอะไรต่าง ๆ มีที่อยู่ที่ไม่ใช่สลัม เหล่านี้ต้องคิดต่อ แล้วจะทําอย่างไรก็ไปว่ากัน ผมใช่ไม่จะไปบังคับใครแต่ถ้ามีโอกาสผมว่าคนเราก็ต้องเลือกโอกาสที่ดีกว่าเดิม
เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถทําเครือข่ายได้ในทุกมิติให้มาร่วมกันได้ ไม่ใช่เศรษฐกิจก็ทําเศรษฐกิจ มั่นคงก็มั่นคง สังคมก็ทําสังคม ไม่ได้ทั้งหมดเชื่อมโยง Cluster กันทั้งหมด คือเกิดเป็นประเทศขึ้นมา จากแหล่งผลิตสู่ตลาด จะทําอย่างไร จะตัดพ่อค้าคนกลางได้อย่างไร คือตัดทั้งหมดคงไม่ได้ เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการค้าขายระบบเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจภูมิภาค เศรษฐกิจประชาคมอาเซียน แต่ทําอย่างไรจะมีเศรษฐกิจชุมชนเกิดขึ้นมาโดยสหกรณ์ โดยประชาชนมีการจัดตั้งขึ้นมาเอง ร้านค้าชุมชน การที่จะทํา Social Business คือการทําธุรกิจเพื่อสังคม ไม่หวังผลกําไรมีเงินทุนมาซื้อจากเกษตรกรโดยตรงมาปรับปรุงแล้วจําหน่าย กําไรกลับมา ทําในเรื่องของเครื่องจักร เครื่องไม้เครื่องมือเพิ่มเติมเป็นของชุมชนตัวเองอะไรเหล่านี้ตั้งสร้างความเข้มแข็งแบบนี้
ในส่วนของพ่อค้าคนกลางก็ว่าไป เขาค้าเสรี เราไปอะไรเขามากก็ไม่ได้ ทําอย่างไรจะไปถ่วงดุลกันตรงนี้กับของชุมชน ทั้งหมดก็ต้องเชื่อมโยงไปยังเศรษฐกิจพิเศษ หรือนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือการค้าชายแดนหรืออาเซียน หรือประชาคมโลก เหล่านี้เป็นเสี้ยวกันทั้งหมด เป็นเสี้ยวเล็ก ๆ อยู่ในแต่ละอัน ถ้าทุกคนดูแลกัน ช่วยเหลือกัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันก็ไม่มีปัญหา รัฐก็จะเป็นพี่เลี้ยงให้จะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่อย่างนั้นเราต้องคอยแก้ปัญหาเดิม ๆ ทุกปี ๆ ไป ก็เหมือนกับคนเป็นไข้ให้ยาไปก็กินยาไปเรื่อย ๆ แต่ยาก็ไม่มีคุณภาพ ยาก็อ่อนบ้าง ยาก็ปลอมบ้าง ก็เลยทําให้เกิดนโยบายประชานิยมเข้ามาอีก วันนี้แก้อะไรไม่ได้ ถ้ายังเป็นอย่างนั้นอยู่
เขตเศรษฐกิจพิเศษ วันนี้มีความคืบหน้าการดําเนินการพอสมควร วันนี้ต้องกราบเรียนว่า วันนี้ก็เดินหน้ามากที่ผ่านมาไม่มีการเริ่มต้นที่ดีพอ เราใช้เวลาประมาณ 1 ปี ทําเรื่องแผนงานการ “เครือข่าย” Connectivity ถนนหนทางด่าน ศุลกากร เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาต้องเห็นใจเวลามีเพียงแค่นี้เข้ามา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว เรื่องความขัดแย้งอะไรต่าง ๆ อีกครึ่งหนึ่งอีก 6 เดือนจริง ๆ ก็ใช้ในเรื่องของการเป็นรัฐบาลในการเริ่มต้น ในการทําแผนอะไรต่าง ๆ แล้วก็จัดสรรงบประมาณคือหลายจังหวัดก็บอกว่ามีโอกาส มีศักยภาพมาก เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องเร่งอนุมัติงบประมาณมา จังหวัดนี้ต้องการ 3,000 ล้าน จังหวัดนี้ต้องการ 5,000 ล้าน ขอให้รัฐบาลอนุมัติ ผมพร้อมอนุมัติแต่มีเงินให้ผมอนุมัติหรือเปล่าที่ผ่านมายังไม่เริ่มต้นกันเลย
วันนี้ผมก็มาเริ่มให้แล้วมาทําเรื่องเร่งด่านตรวจ ศุลกากร ถนนขยาย ทุกคนจะเอาวันนี้หมด สะพานก็สร้าง กําลังสร้าง กําลังอนุมัติงบประมาณ ถามว่าผมจะนําเงินมาจากที่ไหนถ้าไม่มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น วันนี้ก็ต้องทยอยไปอะไรก่อน สําคัญกว่าก็ทําอันนั้น อะไรต้องใช้เงินกู้ ก็กู้เท่าที่จําเป็น แต่ถ้าทุกคนต้องการโครงการ ๆ ทั้งหมด แล้วเอาแต่จะต้องเร็วต้องได้อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ ในการทําแล้วประโยชน์จะกลับมาก็ภายใน 2 – 3 ปีด้วยซ้ําไป ปีเดียวก็คงได้เฉพาะเศรษฐกิจในท้องที่ ท้องถิ่นก็ว่าไป แต่เศรษฐกิจในมหภาค ในใหญ่ ๆ จะเกิดประโยชน์ในประเทศอย่างน้อยก็ 2 -3 ปี อันนั้นวันนี้นั้นจะได้มีเงินไปทําตรงอื่นเพิ่มปีหน้าก็ต้องเพิ่มอีกตั้ง 6 แห่ง ปีหน้าก็ต้องไปทําอีก
วันนี้ก็กําลังเร่งแบบแผนงาน หรือ Blueprint ออกมา เรื่องพื้นที่ เรื่องสิทธิประโยชน์ก็บางคนบอกสิทธิประโยชน์ไม่เพียงพอ ผมถามว่าเท่าไหร่จะเพียงพอ ถ้าเพียงพอคือให้ทุกอย่างแล้วรัฐจะหาตรงไหนมา รัฐก็ลงทุนไปแต่ก็ไม่มีอะไรกลับมา ในขณะนี้แล้วจะเอาเงินที่ไหน เพราะฉะนั้นก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน รัฐก็ให้เท่านี้ไปก่อน วันหน้าพอดีขึ้น ก็ค่อยมากขึ้นได้ไหม ถ้าทุกคนบอกว่ารัฐต้องให้ ๆ นี่คือปัญหาของการเป็นประชาธิปไตยด้วย การบริหารราชการแผ่นดินมีปัญหาหมดทุกคนอยากได้ก็ได้ไม่ครบ ได้ไม่ทุกคน ก็ได้บางกลุ่มบางพวก เพราะฉะนั้นก็ต้องปรับตัวเองด้วย
เรื่องการพัฒนาเหล่านี้ในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในจังหวัดที่มีศักยภาพ แล้วก็ในการค้าขายชายแดน การค้าขายอาเซียนวันนี้รัฐบาลนี้เสริมสร้างบทบาทในการนําของไทยในภูมิภาคอาเซียน ทั้งในเรื่องของการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศก็คือ การสร้างนวัตกรรมการมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ การใช้เทคโนโลยีในการผลิตแล้วก็ไปแข่งขันกับต่างชาติได้ ประเด็นสําคัญก็คือต้นทุนการผลิต แรงงานบ้าง อะไรบ้าง มีความผูกพันไปหมดก็ขอให้ช่วยกันคิด ช่วยกันทํา ใช้เวลา เข้าใจกัน
เรื่องของการดําเนินการเหล่านี้ จะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น แต่อย่างไรวันนี้ก็เดินหน้ากันไปก่อน ใครช่วยตรงไหนได้ก็เดินไป ตรงไหนทําได้ก็ทําไปก่อน ตรงไหนยังไม่ได้ ติดขัดก็เดี๋ยวคอยเล็กน้อย เงินทองค่อย ๆ มา ค่อย ๆ ลงไป เพราะต้องลงไปทั้งหมด 6 พื้นที่ปีนี้ จะทําอย่างไร สําหรับ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลนี้พิจารณาแล้วจะมีส่วนทําให้ประเทศดีขึ้นเราต้องคํานึงถึงศักยภาพของเรา ว่าประเทศเรานั้น มีขีดความสามารถไหนที่สูงอยู่ มีโอกาสอยู่ที่เราจะเร่งสนับสนุนในระยะแรกให้ได้ ซึ่งได้แก่ คลัสเตอร์กลุ่มผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อาหารแปรรูป ยางพารา แล้วก็ด้านสุขภาพ สมุนไพร การแพทย์ กลุ่มอากาศยาน ศูนย์ซ่อม ขณะนี้สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย ร่วมกันพิจารณา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในแต่ละเขตพัฒนา
เขตเศรษฐกิจพิเศษ ได้แก่ ที่ด่านแม่สอด จังหวัดตาก การสร้างถนนเชิงเขาตะนาวศรี – กอกะเร็กทางเลี่ยงเมืองแม่สอด พร้อมสะพานข้ามแม่น้ําเมยแห่งที่ 2 ทางหลวงเส้น 105 ตาก – แม่สอด การปรับปรุงขยายท่าอากาศยานแม่สอด
เขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว ได้แก่ การปรับปรุงทางรถไฟให้มีมาตรฐาน เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัย และการสร้างถนนสายทางแยก ทางหลวง 33 – ชายแดนด่านคลองลึก
เขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ด่านมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ได้แก่ การสร้างทางหลวงหมายเลข 12 กาฬสินธุ์ – บ้านนาไคร้ และทางหลวงชนบท ถนนสาย 22 และ 23
เขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ด่านคลองใหญ่ จังหวัดตราด ได้แก่ การสร้างทางหลวงหมายเลข 3 ตราด – หาดเล็ก และโครงการสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์
เขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ด่านปาดังเบซาร์ และด่านสะเดา จังหวัดสงขลา ได้แก่ การสร้างทางหลวงพิเศษ ระหว่างเมือง สายหาดใหญ่ –ชายแดนไทย/มาเลเซีย โครงการสร้างท่าเทียบเรือน้ําลึกสงขลา แห่งที่ 2 และการปรับปรุงทางรถไฟ ให้ปลอดภัยต่อการเดินรถ ระหว่างชุมทางหาดใหญ่ –สุไหงโกลก และชุมทางทุ่งสง – หาดใหญ่ – ปาดังเบซาร์
เขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ด่านหนองคาย จังหวัดหนองคาย ได้แก่ การสร้างทางหลวงหมายเลข 212 หนองคาย – โพนพิสัย และทางหลวงหมายเลข 212 โพนพิสัย – บึงกาฬ
ทั้งหมดนี้บางส่วนก็ดําเนินการไปแล้ว บางส่วนก็ดําเนินการ บางส่วนก็กําลังจัดหางบประมาณแต่แผนออกมาหมดแล้วก็ถึงจะมีเงินมากก็ทําเร็วไม่ได้ เพราะทําปีนี้ที่รัฐบาลเข้ามาก็เริ่มทําปีนี้เป็นหลัก เพราะฉะนั้นอย่าเร่งนักเลยเงินทองก็หายังไม่ค่อยได้ แต่เราก็ทําไว้แล้ว วันนี้อะไรทําได้ทําก่อน อะไรมีเงินทําไปก่อน ถึงจะมีเงินมากก็ทําไม่ได้ เพราะปีเดียว เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้เวลาแต่ทั้งหมดก็ต้องมีความชัดเจนโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่นักลงทุน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ผมมุ่งเน้นว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษจริง ๆ ก็อยากให้เกิดในพื้นที่ของตัวเองว่า เรามีวัตถุดิบอะไรบ้างจะแปรรูปได้อย่างไร จะรองรับในเรื่องของสิทธิทางภาษีประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างไร มาเพิ่มมูลค่าได้อย่างไรไม่ให้เกิดปัญหากับประเทศเราต่อไปในอนาคต สิ่งสําคัญคือเราจะต้องมีแรงงานที่ทํางานที่ทํางานในพื้นที่เหล่านี้ก็อยากให้เป็นลูกหลานของท่านในจังหวัดโน่นจังหวัดนี่ก็ทําในจังหวัดของตัวเองจะได้พัฒนาจังหวัดของตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องมากรุงเทพมหานคร ไปเชียงใหม่ ไปอะไรที่เจริญ ๆ วันหน้าก็แน่นไปหมด แล้วก็เกิดปัญหาทับซ้อนกันอยู่ทุกเรื่องไป ถ้าเราทําอย่างนี้ประเทศไทยทั้งประเทศจะได้เจริญทั้งประเทศทั้ง 77 จังหวัด
เรื่องทวงคืนผืนป่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการบุกรุกผืนป่าในเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และป่าสงวน ป่าต้นน้ํา เป็นปัญหาสําคัญถูกละเลยกันมานาน วันนี้ถูกทําลายกันไปเป็นจํานวนมากที่ผ่านมาก็มีรายงานกันมาตลอดก็แก้ปัญหาไม่ได้สักครั้ง วันนี้เอาปัญหาทั้งระบบมาแก้ไขแต่ก็ต้องใช้เวลาในการที่จะปลูกทดแทน ในการที่จะปรับพื้นที่การเกษตรในการโซนนิ่งแล้วแต่เป็นปัญหาที่หมักหมก ยาวนานทับซ้อนหลายเรื่องต้องแก้ให้ได้ ปัญหาสําคัญอีกประการหนึ่งคือความแห้งแล้ง หลายคนบ่นมาว่าการบริหารจัดการน้ําไม่เกิด ไปดูเขาบ้างหรือเปล่าว่าเขาเกิดอะไรไปแล้วบ้างในปี 2557 ก็ทําไปเป็นจํานวนมากเป็นหลายพันโครงการแต่ไม่ใหญ่โตเหมือนที่ผ่านมาจะกระจายไปทั่วพื้นที่ แต่ตรงไหนมีน้ําก็ทําได้มาก ทําทันที ตรงไหนยังไม่มีน้ําฝนไม่ตกมาปีแล้ว ไม่ตกปีนี้ ก็ไม่ตกอีกจะทําอย่างไร ไปขุดไว้ก็เสียเปล่าก็ต้องไปปรับพื้นที่ให้ตรงกับตรงนั้น ตรงไหนที่ไม่มีน้ํา น้ําต้นทุนไม่มีก็ต้องหาวิธีการอื่นให้คนอยู่ได้ น้ําอุปโภคบริโภค การเพาะปลูกพืชอื่น ๆ มาทดแทน วันนี้ฝนตกไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์น้อยกว่าเดิมมาก มีน้ําใช้ได้ประมาณสัก 9 % อยู่ตอนนี้ ก็คาดหวังว่าต่อไปจะดีขึ้น ส่วนใหญ่ไปตกนอกพื้นที่การเกษตร ตกกรุงเทพฯ อีกมากเลยน้ําท่วมอีก
เพราะฉะนั้น ในเรื่องของสาเหตุการบุกรุกผืนป่านั้น เกิดจากนโยบายการส่งเสริมการปลูกพืชที่ผ่านมาในทุกภูมิภาคของประเทศ ทําให้มีเกษตรกรจริง ๆ ผู้ยากจนจริง ๆ ก็มีนายทุนบางส่วนด้วยบุกรุกผืนป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลูกยางพารากว่า 5.5 ล้านไร่ วันนี้ผลผลิตยางพาราก็มากมายล้นตลาดด้วย พอตลาดโลกเขารับซื้อน้อยลงที่ปลูกตรงนี้ก็เกินถึงแม้ราคาจะต่ําอยู่ แล้ว ยิ่งมีมากยิ่งต่ํามากกว่าเขาอีก เพราะต้นทุนเราสูง ต้นทุนการปลูก ต้นทุนการกรีด เพราะเป็นกิจการขนาดใหญ่ทั้งสิ้น แล้วคนจนอยู่ในระบบนี้ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นเราต้องมีการควบคุม สร้างความสมดุลในเรื่อง Demand Supply ให้ได้ รัฐบาลต้องเสียเงินในการจัดสรรงบประมาณในแต่ละปี เพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องชาวเกษตรที่เดือดร้อน เรื่องราคาสวนยางตกต่ํา ราคายางตกต่ํา การกรีดยางตกต่ํา รายได้ไม่ได้ เมื่อยางราคาตก การกรีดยางก็ไม่ได้ค่าจ้าง วันนี้มี 2 อย่าง คือ เจ้าของสวนยางกับคนกรีดยาง ต้องดูแลทั้งคู่ เจ้าของสวนยางก็จะมีประชาชนที่ถูกต้อง กับประชาชนที่ไม่ถูกต้อง และมีนายทุนไม่ถูกต้องอีก ก็ต้องแก้กันทั้งระบบ
ขอขอบคุณกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ทหาร คสช. ก็ได้มีการบูรณาการแผนงานบุคลากรและเครื่องมือในการทวงคืนผืนป่าให้กับชาติ เพื่อจะเก็บไว้ให้กับชนรุ่นหลัง ได้กําหนดแผนพัฒนาที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการทางการปกครอง และเน้นการทวงผืนป่าคืนจากนายทุนมาเป็นของรัฐ และตั้งใจว่าจะทําให้ได้เบื้องต้น 1.5 ล้านไร่ ภายใน 2 ปีที่เราอยู่
จากนั้นจะดําเนินการฟื้นฟูสภาพป่า ให้กลับมาเป็นป่าต้นน้ํา ให้คนที่อยู่ตรงนั้นดูแล จะทําอย่างไรก็หนักใจอยู่เหมือนกัน เพราะมีมาก น้ําฝนก็มีปัญหา น้ําฝนก็ไม่ตกตามฤดูกาล ตกน้อย จะทําอย่างไร เราจะฟื้นฟูสภาพป่าได้อย่างไร ได้แต่พูดกันมานานแล้ว ปลูกป่าต้นน้ํา ผมก็ไม่เห็นจะขึ้นเท่าไหร่เลย นี่จะทําอย่างไร เราจะรักษาความชื้นระบบนิเวศเราอย่างไรต่อไป ฝนจะได้ตกตามฤดูกาล เพราะว่าเราเป็นป่าฝน เราไม่มีป่า ก็ไม่มีฝน ไม่มีน้ํา ใครก็ไม่สามารถจะให้ได้ เพราะเราสร้างน้ําเองไม่ได้ นอกจากช่วยกันสร้าง ให้ป่าเป็นคนสร้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งไว้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นน้ํา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นป่า ก็เพื่อจะสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในการที่จะทําให้ประชาชนคนไทยได้มีที่อยู่ที่ทํากิน ที่อาศัย ที่เพาะปลูก นี่เป็นสิ่งที่สถาบันทํามาโดยตลอด
ที่ผ่านมา ผู้ที่นํามาปฏิบัติอาจจะไม่ให้ความสําคัญเท่าที่ควร และไม่สามารถที่จะไปสู้กับระบบนายทุนได้ อะไรได้ นายทุนที่ดี ๆ เขาก็มี ไม่ใช่บอกนายทุนไม่ดีทุกคน บางคนเขาก็ทําประโยชน์มากมายกับประเทศนี้ เราก็ต้องมีมาตรการเยียวยากับผู้ที่ยากจน และบุกรุกเข้าไป แล้วก็ปลูกพืชผิดกฎหมาย จะทําอย่างไร จะมีการปลูกพืชทดแทนขึ้น พัฒนาให้หันมาเลี้ยงสัตว์ มาทําประมงได้ไหม แล้วก็ให้ชาวบ้านเหล่านั้นได้มีความรัก หวงแหนต่อไป ใช้ประโยชน์จากป่าได้ อาศัยป่าเป็นเหมือนแหล่งน้ํา แหล่งอาหาร เพื่อจะหล่อเลี้ยงชีวิตคน และสัตว์ป่า อันนี้ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในเรื่องการอนุรักษ์ป่า สัตว์ป่า สิ่งแวดล้อม และปัญหาผลผลิตยางพารา หรือผลผลิตอื่น ๆ ที่เป็นความต้องการของตลาดในคราวเดียวกันด้วย ขอชมเชยมูลนิธิป่าตะวันออก 5 จังหวัด ที่สามารถทําได้อย่างดี ขอให้ที่อื่น ๆ ทําด้วย ให้มีผล มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนขึ้น จับต้องได้
เรื่องการปฏิรูปรูปแบบการให้บริการภาครัฐ ตาม Roadmap ของ คสช. นั้น ปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 2 แก้ปัญหา วางรากฐาน และการพัฒนาประเทศ สิ่งหนึ่งที่เร่งดําเนินการอยู่ คือ การปรับปรุงรูปแบบการให้บริการ เปิดช่องทางเข้าถึงบริการของภาครัฐ สะดวก ลดขั้นตอน เริ่มจากรูปแบบง่าย ๆ เช่น การจัดตั้งศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop-service) ศูนย์ดํารงธรรม หรือสายด่วน จากนั้นก็จะขยายกรอบการดําเนินงานให้ครอบคลุม อาจจะต้องใช้เวลามากขึ้น เช่น การปรับปรุงกฎหมาย
วันนี้ พ.ร.บ.การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ ก็ออกมาแล้ว การจัดทําฐานข้อมูลเพื่อบูรณาการข้อมูลภาครัฐ ไปสู่การเป็นดิจิตอลอะคาเดมี่ และการพัฒนาแอพพลิเคชั่น เพื่อให้การบริการของหน่วยงานภาครัฐบนมือถือ เช่น แอพฯ WMSC ซึ่งรวบรวมข้อมูลข่าวสาร ในการบริหารจัดการน้ํา ปริมาณน้ําท่า ข้อมูลปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ํา ข้อมูลอัตราการไหลของน้ําในแม่น้ําต่าง ๆ ข้อมูลปริมาณน้ําฝน พื้นที่เพาะปลูกของกรมชลประทาน หลายเรื่องผมสั่งไปแล้วก็กําลังดําเนินการอยู่ทุกกระทรวง
สิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ขณะนี้คือการสร้างการรับรู้โดยทั่วไป ข้อมูลพื้นฐาน ประชาชนไม่รับรู้ ข้าราชการไม่มีการบูรณาการ เพราะฉะนั้นต่อไปจะต้องมีการบูรณาการในระบบดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์อะไรก็แล้วแต่ ไปทํามา ข้อมูลเหล่านี้ 1 ให้ทุกกระทรวงประสานกันได้ในกลุ่มงานเดียวกัน ถ้าน้ําหลายกระทรวงก็มา Join ข้อมูลกันตรงนี้ ไม่ใช่แต่ละกระทรวงก็ไปทําของตนเอง ๆ แล้วก็ไม่ต่อกัน เริ่มจากฐานข้อมูลอันเดียวกัน ประชาชนก็ต้องเรียนรู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากแอพฯ เหล่านี้ได้อย่างไร ไม่ใช่ใช้โทรศัพท์ในทางติดต่อสื่อสาร ในทางพูดคุยอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ เสียเงินมากมายในการพูดคุยที่ไม่ได้ประโยชน์ ไปเปิดดูว่าบ้านตัวเองตรงนี้มีน้ําใต้ดินไหม ตรงนี้ปลูกพืชอะไรถึงจะเหมาะสม ใช้ปุ๋ยอะไร ต้องเข้าใจการพัฒนาของรัฐบาลด้วย การบริหารราชการ ถ้าไม่เช่นนั้นเราพัฒนาไม่ทันกัน ความคิดไม่เกิด เมื่อความคิดไม่เกิดวิสัยทัศน์ก็ไม่เกิด ความร่วมมือก็ไม่เกิด
วันนี้มีกองบัญชาการตํารวจนครบาลมาร่วมด้วย ร่วมมือกับเอกชนในการพัฒนาแอพฯ ใหม่ ชื่อ “Police I lert You” (โปลิส ไอ เลิด ยู) ไม่ใช่ I Love You ขึ้นมา เพื่อจะปรับปรุงรูปแบบการให้บริการ เสริมระบบสายด่วน 191 ให้มีศักยภาพสูงขึ้น โดยประชาชนผู้ประสบเหตุ หรือผู้เห็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน ที่ลงทะเบียนเข้ามาใช้บริการล่วงหน้า สามารถแจ้งขอรับการช่วยเหลือ ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว และตํารวจสายตรวจ ที่มีอยู่ราว 5,000 นาย จาก 88 สถานีตํารวจเขตนครบาล จะได้รับสัญญาณแจ้งเหตุพร้อมกันทั้งหมด ในเวลาเดียวกัน ซึ่งศูนย์วิทยุ 191 จะควบคุมและกํากับดูแลตํารวจสายตรวจในภาพรวม ก็จะทําให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ ภายในระยะเวลา ไม่เกิน 10 นาที ด้วยการแจ้งพิกัดของ GPS ในมือถือ อาจจะทําให้สถานการณ์จากหนักเป็นเบา ลดการสูญเสีย ขจัดปัญหาการแจ้งความเท็จ ซึ่งวันนี้มีถึง 80% เห็นใจบ้างวันนี้ระบบนี้ ต้องระมัดระวัง ตํารวจเขาตรวจสอบได้ ถ้าแจ้งไปแล้วไม่ได้เป็นข้อเท็จจริง แจ้งเพื่อความคึกคะนองมีความผิดทั้งสิ้น สามารถตรวจสอบข้อมูลผู้แจ้งย้อนหลังได้ทั้งหมด
สําหรับการลงทะเบียนในครั้งแรกนี้ ลองไปโหลดมาใช้กันดู ปัจจุบันจะเริ่มให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นการนําร่องก่อน ต่อไปจะขยายผลไปเมืองใหญ่ เมืองสําคัญ ทั่วประเทศต่อไป ก็ต้องใช้เวลา ทุกอย่างเริ่มพร้อมกันไปหมดเลยปีนี้ ก็จําเป็นต้องขอความร่วมมือ ขอให้เข้าใจนโยบายรัฐบาล เราได้สั่งการไปแล้วให้หน่วยงานราชการ ข้าราชการ ตํารวจ ทหาร ปฏิรูปปรับปรุงรูปแบบการทํางานของตนให้ดีขึ้น ปรับปรุงประสิทธิภาพ เอาผลประโยชน์ของประชาชนมาเป็นที่ตั้ง แล้วก็แสวงหาความร่วมมือกับภาคเอกชน ภาคประชาชน ประชาสังคมต่าง ๆ ด้วย ไม่ใช่ขัดแย้งกันทุกเรื่อง รัฐบาลก็มีส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น อปท. ก็ต้องเป็นหลัก วันนี้ท่านก็ต้องสร้างความเข้าใจให้ได้ ถ้ารัฐบาลไม่สามารถไปลงทุน ไปก่อสร้างอะไรในพื้นที่ได้เลย ภาพรวมของท้องถิ่นของท่านก็เจริญไปไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ทําให้ตรงอื่นไปไม่ได้ด้วย เพราะบางอย่างตรงเกิดในตรงนี้ ตรงนั้น เช่น เรื่องพลังงาน เรื่องสายส่ง เรื่องสถานีโน่นนี่ ก็ต้องมีที่ตั้ง จะไปตั้งที่ไหนได้ ก็ต้องช่วยกัน ทําความเข้าใจ ตรงไหนที่ประชาชนยังไม่เห็นดีเห็นดีเห็นงามอาจจะต้องพาขึ้นเครื่องบินไปหรือ ไปดูโรงงานแบบนี้ แบบนั้น โรงงานไฟฟ้าแบบนี้ ลิกไนท์เป็นอย่างไร เหมืองแร่ทําอย่างไร ไปดูเพื่อจะได้ดูว่า ถ้าอย่างนี้รับได้หรือไม่ ไม่ใช่ต่อต้านทั้งหมดเลย แล้วจะอย่างไร ผมไม่รู้
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง อยากให้พี่น้องประชาชนรักษาสุขภาพด้วย เชื้อโรคต่าง ๆ แพร่กระจายได้รวดเร็วในฤดูฝน อากาศชื้น เป็นสาเหตุของการเจ็บไข้ได้ป่วย และโรคระบาด ปัจจุบันก็มีเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธ์ 2012 (MERS “เมอร์ส”) กําลังระบาดในประเทศเกาหลีใต้ ซาอุดิอาระเบีย และประเทศแถบตะวันออกกลาง ทั้งนี้ก็ยังไม่ปรากฏการระบาดในประเทศไทย ผมก็ได้สั่งการใน ครม. ไปแล้ว ให้กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความสําคัญในเรื่องนี้ เหมือนกับที่เราเคยดูแลเรื่องซาร์ เรื่องไข้หวัดนก อีโบลาด้วย
วันนี้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขก็ได้มีมาตรการในการเฝ้าระวัง ทั้งในเรื่องของการป้องกัน การให้คําแนะนํากลุ่มเสี่ยง สถานที่ ๆ จะต้องเข้าไปแจ้ง ไปพิสูจน์ว่าเป็น หรือไม่เป็นอะไรเหล่านี้ ก็มีโรงพยาบาล 69 แห่งที่ผมจําได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ต้องดูแลนักท่องเที่ยว และแรงงานที่มีความเสี่ยง กลับมาจากประเทศเหล่านั้น ได้มีการดูแลในเบื้องต้น ปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด
สําหรับประชาชนที่มีข้อสงสัยว่า โรคนี้เป็นอะไร อย่างไร ก็มีอยู่แล้ว มีอาการอย่างไรบ้าง หากต้องการแจ้งการระบาดของโรคเมอร์ส หรือสงสัยและทุก ๆ โรค ท่านจะปรึกษา ได้ที่ “สายด่วน 1422” แล้วจะได้ถามเขาว่า ผมเป็นอย่างนี้ปวดหัว ตัวร้อน ท้องเสีย หรือไม่สบายมาก ๆ เป็นอะไร ปรึกษาเขา เพราะแต่ละโรคไม่เหมือนกันอยู่แล้ว 1422
มีหลายเรื่องที่ผมอยากจะคุยกับท่าน พยายามที่จะใช้เวลาให้น้อยที่สุด หลายเรื่องวันนี้ก็มีเรื่องกีฬา เราก็ได้รับรางวัลชนะเลิศมาหลายประเภทเหมือนกัน เหรียญทองก็มากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ขอเป็นกําลังใจให้นักกีฬาด้วย
เรื่องอื่น ๆ คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูป ขอยืนยันอีกครั้งสําหรับการปฏิรูปในขณะนี้ เราเริ่มต้นแล้วอยู่ในระยะที่ 2 ของรัฐบาล ของ คสช. เพราะฉะนั้นถ้าเราทําได้แค่ไหนก็แค่นั้น ในเรื่องของการปฏิรูปต่อไปก็เป็นการส่งต่อ ระยะที่ 3 การเลือกตั้งรัฐบาลก็ว่าไป ก็ทําต่อ หรือไม่ก็แล้วแต่ เพราะว่าผมก็ทําได้แค่นี้ แต่พยายามจะทําให้มากที่สุด เท่าที่เวลาผมมีอยู่ตาม Roadmap อย่ามาถามผมอีกเรื่องเหล่านี้ ผมเสียเวลา ผมทํางานด้วย ต้องเอาเวลามาตอบคําถามแบบนี้มาตลอดเวลา นักข่าวก็ชอบถามเรื่องแบบนี้ แล้วก็ทําให้ผมไม่มีเวลาทํางาน แล้วก็อารมณ์หงุดหงิด แล้วบอกว่าทําไมผมหงุดหงิด ก็ถามคําถามที่มีสาระหน่อยแล้วกัน ได้ไหม
เรื่องยุทธศาสตร์การลงทุนต่าง ๆ นั้น ของเราก็ชัดเจน ไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศ วันนี้เดินหน้าหมด ทุกประเทศก็พูดคุยกัน ปรับปรุงในเรื่องของระเบียบการลงทุน ในเรื่องสิทธิประโยชน์มากมาย ถ้าหากว่าติดตามก็จะรู้ วันนี้ก็อาจจะต้องไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ ในเฟซบุ๊กบ้าง ผมดูแล้วหลาย ๆ คนมาพูดออกสื่อหรือเขียนในหนังสือพิมพ์บ้าง แต่ไม่รู้ว่าเราทําไปแล้ว ที่พูดก็ติติงตรงนู้นตรงนี้ ถ้าจะติผมไม่ว่า แต่ให้รู้ก่อนว่าเขาทําหรือยัง
การหาตลาดทางการส่งออก วันนี้ก็มีแนวโน้มดีขึ้น วันนี้เราก็เดินตลาดล่างด้วย หลายประเทศให้ความร่วมมือในการที่จะรับซื้อ ไม่ว่าจะเป็นผลผลิตทางการเกษตร ด้านผลไม้อะไรต่าง ๆ มากขึ้น ก็ต้องรอในไตรมาสต่อ ๆ ไปว่าจะดีขึ้นอย่างไร ดูรอบบ้านเขาด้วย ถ้ารอบบ้านเขาตก แล้วเราจะไม่ตกเลยก็ไม่ได้ หรือโลกเขาตกแล้วอาเซียนไม่ตกก็ไม่ได้อีก แต่จริง ๆ แล้วต้องมีฐาน เขาเรียกว่าฐานทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันแต่ละประเทศ เพราะฉะนั้นตัวเลขในเรื่องของการเพิ่มขึ้นลดลง เหล่านี้บางทีก็ต้องเปรียบเทียบในความกว้างหรือความใหญ่โตของฐานเศรษฐกิจ โดยไทยเรากว้าง-ใหญ่ แต่ทําอย่างไรเราจะเข้มแข็งทั้งหมด อันนี้จะทําให้บ้านเราได้เปรียบคนอื่นเขาด้วย
เรื่องการวิจัยพัฒนา วันนี้ก็เดินหน้าไปมาก จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเรื่องของการใช้พลังงานทดแทน อันนี้ต้องเข้าใจว่าเราไม่สามารถจะรับซื้อไฟฟ้าได้จากทุกที่ ขึ้นกับสายส่ง ผมพูดไปหลายครั้งแล้ว ถ้าอยากทําก็ทําใช้ในบ้าน อันนี้เรายินดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปสิ้นเปลือง ไม่ต้องไปเพิ่มศักยภาพโรงไฟฟ้าเขามากนัก ท่านก็ใช้ของท่านเอง แล้วเขาบอกประมาณ 5 – 7 ปี ก็คุ้ม ในการที่จะเสียค่าไฟ แต่ถ้าท่านทําแล้วมาขายก็มีปัญหาอีก ท่านก็อยากขายราคาสูงขึ้น ราคาที่รับได้ คือทุกคนจะเอาแต่ประโยชน์ไม่ได้ ต้องมีได้ประโยชน์ เสียประโยชน์ ต้องมีเผื่อแผ่แบ่งปัน
เรื่องของความเชื่อมโยงเหล่านี้ ความเชื่อมโยงไม่ใช่เฉพาะ Connectivity ไม่ใช่ถนน เส้นทางรถไฟ รถไฟฟ้า ไม่ใช่ เชื่อมโยงจิตใจของท่านเข้าด้วยกัน ร้อยหัวใจทั้ง 70 ล้านดวงของเราโดยประมาณ ให้ต่อกัน ถึงกัน เผื่อแผ่กันให้ได้ และก็ตามไปสู่ว่า เราจะช่วยกันอย่างไร เราจะพัฒนา เราจะสร้างความเข้มแข็งของประเทศนี้อย่างไร เป็นประเทศของคนไทยทุกคน ถ้าใครไม่ใช่คนไทยเขายังรักเราเลย เมื่อวานผมเจอกับทูตต่างประเทศ เขาเกษียณอายุ พูดก็ได้เม็กซิโก เขาก็จะอาศัยในเมืองไทยอยู่ต่อไป บ้านจะอยู่แถว ๆ เพชรบุรีซอย 11 เขารักเมืองไทย เขารักอาหารไทย เกษียณอายุเขาไม่กลับบ้าน อยู่เมืองไทย ผมก็บอกว่าดีใจที่คนต่างประเทศให้ความไว้วางใจเรา และก็ขอให้เขาเป็นเพื่อนเรา เป็นมิตรกับเราตลอดเวลา เพราะว่าเป็นเพื่อนเราเป็นวันเดียวก็เป็นทุกวัน เป็นจนตายจากกัน เพื่อนดี ๆ หายาก ก็ช่วยกันหาด้วย อย่าไปหาเพื่อนที่ไม่ดี คบไม่ดี คนไม่ดี คบได้ไม่กี่วัน วันหน้าก็ออกลายไปทั้งหมด ก็ขอให้ไตร่ตรอง ใคร่ครวญให้ดี มีหลายเรื่องที่ผมอยากคุยกับท่าน แต่รบกวนเวลามาเพียงเท่านี้
ขอบคุณในกําลังใจทุกอย่างที่ให้กับผม ให้กับรัฐบาลมา ขอให้กับทุกคนด้วย และอย่าลืมให้กําลังใจตัวเองด้วย อย่าไปตื่นตระหนก อย่าไปวิตกจริต อย่าไปอะไรทั้งสิ้น ขอให้เริ่มจากการไว้วางใจซึ่งกันและกัน และร่วมมือกันในการแก้ปัญหา ไม่มีอะไรที่จะแก้ไม่ได้ ถ้าคนไทยทุกคนร่วมกันในการทํางาน ขอบคุณครับ สวัสดีครับ ขอให้มีความสุขในวันสุดสัปดาห์ครับ
|
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน
วันที่ 12 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันต่อต้านการใช้แรงงานเด็กโลก ประเทศไทยได้ร่วมลงนามในข้อตกลงร่วมกันระหว่างนานาประเทศเพื่อกําหนดภารกิจที่สําคัญที่ต้องดําเนินการ ในการป้องกันและขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายให้หมดไปอย่างเร่งด่วน การใช้แรงงานเด็กนั้นถือว่าเป็นปัญหาที่มีความเชื่อมโยงกับปัญหาอื่น ๆ ที่ต้องให้ความสําคัญ เช่น ปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ที่ผ่านมานั้นกระทรวงแรงงาน ได้ร่วมกับสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ดําเนินการประเมินผล ในการดําเนินนโยบายและแผนระดับชาติ เพื่อจะขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ฉบับที่ 1 ทํามาแล้ว ปีงบประมาณ 2552 - 2557 มี 5 ยุทธศาสตร์ด้วยกัน คือการสร้างความตระหนักรับรู้ให้ชุมชนถึงปัญหาการใช้แรงงานเด็กและเฝ้าระวัง การสร้างและพัฒนาระบบรับแจ้งเหตุ และรับเรื่องราวร้องทุกข์ในภาคต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเหยื่อที่เป็นแรงงานเด็ก การบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพ การให้ความรู้ด้านกฎหมายและแนวทางการปฏิบัติ การพัฒนากลไกและระบบบริหารจัดการ เพื่อขจัดปัญหาการใช้แรงงานเด็กอายุต่ํากว่า 15 ปี ผลประเมินดังกล่าวก็จะนํามาวิเคราะห์เพื่อจะนําไปจัดทําร่างนโยบายและแผนระดับชาติ เพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายฉบับที่ 2 ในรัฐบาลนี้ ปีงบประมาณ 2558 - 2563 ต่อไป เรื่องนี้สําคัญ เพราะว่าเราจะต้องปรับปรุงทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพ ใน 5 ประการที่กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ และทําให้เป็นรูปธรรม มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ ไม่อย่างนั้นร่างกันไว้ ทํากันไว้ แล้วก็ไม่ได้ทําให้ได้เกิดเป็นผลสําเร็จ
เรื่องการค้ามนุษย์ เช่นเดียวกัน ต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคนได้ช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา เห็นอะไรที่อาจจะเข้าข่ายการใช้แรงงานเด็ก ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ตามโรงงาน ตามสถานประกอบการต่าง ๆ นั้น ก็ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ขอให้แจ้งหน่วยงานรัฐด้วย
สําหรับปีนี้นั้น องค์การแรงงานระหว่างประเทศจะมุ่งเน้นไปที่การรณรงค์พัฒนาประสิทธิภาพด้านการศึกษา ซึ่งตรงกับนโยบายที่รัฐบาลนี้ได้กําหนดไว้ ตั้งแต่เริ่มเข้ามาบริหารประเทศ เรามองเห็นว่าการศึกษานั้นเป็นรากฐานที่สําคัญ ในการที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับเยาวชนที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นอนาคตของชาติ
เรื่องการปฏิรูปการศึกษา รัฐบาลให้ความสําคัญและความเร่งด่วนกับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้กํากับดูแล โดยงานของ สพฐ. นั้น จะมีผลโดยตรงต่อนักเรียนทั้งประเทศหลายล้านคน มีผลต่ออนาคตของชาติเพราะฉะนั้น ผมได้กําชับให้รีบดําเนินการเพื่อจะให้เกิดการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด เพราะเป็นพื้นฐานของการศึกษาในขั้นตอนต่อไปทั้งหมด
ต้นเดือนที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้มีการหารือถึงยุทธศาสตร์การปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2558-2563 ประกอบด้วยยุทธศาสตร์ 3 ด้านหลัก คือ ด้านการปฏิรูปการเรียนการสอน ด้านปฏิรูปการพัฒนาวิชาชีพ และด้านปฏิรูประบบการบริหารจัดการ โดยยุทธศาสตร์เร่งด่วนที่จะต้องดําเนินการไปจนถึงเดือนมีนาคม 2559 นั้น ได้แก่ 1. การอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนในวิชาภาษาไทย ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 โดยการสอนแจกลูกสะกดคํา ก็ลองดูโบราณก็เคยสอนกันมาแล้ว วันนี้การสอนก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ช่วยเหลือครู ช่วยเหลือเด็ก ก็ต้องไปดูว่าวิธีการที่สอนมาใช้ได้หรือไม่ได้ ถ้าไม่ได้ก็ย้อนกลับแบบเดิมได้หรือไม่ ก็ต้องไปพิจารณากันดูให้ดี บางครั้งการเริ่มของใหม่ โดยของเก่าก็คือไม่ได้ดีกว่าเก่า ผมว่าของเก่าดีกว่า ไปลองพิจารณาดูแล้วกัน อาจจะดีกว่า วันนี้ผมก็เชื่อมั่นในบุคลากรทางการศึกษา ในเมื่อคิดว่าดีก็ทํา และเรื่องของการจัดทําสื่อนวัตกรรมการเรียนการสอน 2. การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามทักษะอาชีพ โดยเฉพาะการจัดสอนทักษะอาชีพในโรงเรียนขยายโอกาส และการจัดสอนทักษะอาชีพแบบเต็มระบบในโรงเรียนเขตเศรษฐกิจพิเศษ 5 จังหวัด 3. การพัฒนาการสอนภาษาอังกฤษระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เช่น จัดระบบเทียบระดับ จัดทําความร่วมมือกับประเทศอังกฤษและบริติสเคาท์ซิล เพื่อเป็นการเตรียมการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปลายปีนี้ 4. การผลิตและพัฒนาครู จัดการอบรมพัฒนาผู้บริหาร ครู และศึกษานิเทศก์ 5. ยกระดับการศึกษาทางไกล และ 6. การพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียน
ผมอยากเห็นการศึกษาไทยพัฒนา คงไม่ใช่เน้นแต่เรื่องความฉลาดทางเชาว์ปัญญา แต่ต้องเน้นถึงเรื่องความฉลาดทางอารมณ์ด้วย ปัจจุบันหลักสูตรและการเรียนการสอนของไทย มุ่งแต่การพัฒนาสติปัญญาของเด็กอย่างเดียว ทําให้ต้องเรียนหนัก ต้องไปกวดวิชา ไปเรียนพิเศษ ซึ่งก็เน้นแต่การท่องจําเป็นหลัก ทําให้เด็ก ๆ ไม่มีเวลาพอที่จะพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ตามวัย ซึ่งจะทําให้เขารับรู้และเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของตนเอง ทําให้เกิดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ทําให้เกิดน้อยลง เพราะฉะนั้นหากเด็กมีความฉลาดทางอารมณ์ที่เหมาะสมตามวัย ก็จะมีสุขภาพจิตที่ดี มีความสุข รู้จักการควบคุมอารมณ์ แต่ก็สามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างถูกกาลเทศะ วันนี้ก็ต้องทบทวนทั้งหมด มาจากพื้นฐานทั้งสิ้น เขาจะได้ปรับตัวให้เข้ากับสังคมอย่างเหมาะสม ไม่เป็นภาระต่อสังคม วันนี้ก็มาใช้กฎหมาย ใช้เจ้าหน้าที่มากมาย เพื่อจะดูแลเด็กเหล่านี้ ในที่ออกนอกลู่นอกทาง ก็กลับเข้ามาซะ เพราะฉะนั้นคือสิ่งที่เป็นอนาคตของชาติที่ผมอยากเห็น รัฐบาลนี้อยากเห็น ผมคิดว่าพ่อแม่ผู้ปกครองก็อยากเห็นแบบนี้ เราต้องการคนที่มีความฉลาด และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ ไม่ใช่ขัดแย้งเขาทั่วไปหมด ใช้ชีวิตการทํางานร่วมกับคนอื่นได้ เห็นต่างอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่ใช้ความรุนแรง
ถ้าพูดถึงเรื่องการศึกษา ต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้า สถาบันอุดมศึกษาในปีนี้ เท่าที่ผมทราบนั้น คณะและสาขาวิชาที่มีอัตราการแข่งขันสูงที่สุด 5 อันดับแรก ส่วนใหญ่เป็นคณะศึกษาศาสตร์ และครุศาสตร์ ซึ่งผมถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น รัฐบาลให้ความสําคัญกับการปฏิรูปการศึกษา และวิชาชีพครูด้วย เราอยากเห็นคนรุ่นใหม่หันมาให้ความสําคัญกับระบบการศึกษาของประเทศไทยเรา
ส่วนคณะและสาขาวิชาที่มีผู้สมัครมากที่สุด ได้แก่ คณะพยาบาลศาสตร์ ดีเพราะแสดงให้เห็นว่าเยาวชนของไทย มีความสนใจในหลากหลายสาขาวิชาชีพ และก็เชื่อว่าไม่ว่าจะเรียนอะไร ถ้ามีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจ มีความสุข ทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้ และมีขีดความสามรถในการที่จะช่วยเหลือสังคม พัฒนาประเทศชาติได้ทั้งสิ้น
ในทางกลับกัน ถ้าเรียนไปแล้ว และไม่นําความรู้ ความสามารถมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะเราจะเสียคนเหล่านี้ไปเปล่า ๆ เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกส่วนราชการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการศึกษา นอกการศึกษา มาดูแลเรื่องพวกนี้ นําคนมาใช้ประโยชน์ เอาพลังศักยภาพมาใช้ประโยชน์ ไม่ใช่ใช้อํานาจไปในทางที่ไม่สร้างสรรค์ ไปขัดแย้ง ไปประท้วงต่าง ๆ ซึ่งทุกคนต้องเข้าใจ ปรับอารมณ์ตัวเองให้ได้ เรียนรู้ว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างไร เรียนรู้ว่าประเทศชาติอยู่ในสถานะอะไร วันนี้ เพราะฉะนั้นถ้าทําได้อย่างนี้ ผมว่าประเทศไทยไปได้ ไม่ใช่ว่าผมจะไปปิดกั้นอะไรใครทั้งสิ้น
เรื่องผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุด น.ส. ศิรดา ไตรตรึงษ์ทัศนา ได้เลือกที่จะเรียนนิเทศศาสตร์ ก็ขอแสดงความยินดีในความสําเร็จครั้งนี้ ขอแสดงความชื่นชมต่อผู้ปกครองและครูอาจารย์ด้วย สําหรับคุณพ่อของ น.ส. ศิรดาฯ ก็ได้ออกมาให้ข้อคิดที่ว่า “หากลูกได้เรียนในสิ่งที่รัก จะยากดีมีจนก็คงมีความสุข และความภูมิใจ และความสําเร็จจะตามมาเอง อันนี้เป็นข้อเท็จจริง ก็อยากให้ทุกคนได้ทําตามนี้ ซึ่งลูกเรียนนิเทศฯ ก็สามารถจะทําสื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่คนทั่วไป ปรับทัศนคติ หรือค่านิยมไปในทางที่ถูกต้องได้เช่นกัน ลูกสาวก็บอกว่าการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นั้น ก็ไม่จําเป็นต้องเป็นแพทย์อะไรอย่างเดียว อาชีพอื่นก็ทําได้ เพียงแต่ไม่เลือกสอบเข้าแพทย์ ก็เท่ากับไม่ไปแย่งที่นั่งคนอื่นที่อยากเรียนแพทย์ ” อันนี้เป็นแนวคิดที่มีเหตุมีผลของเด็กเอง ของผู้ปกครองก็มีส่วนในการที่จะให้เด็กได้ตัดสินใจในสิ่งที่เขาชอบ และสิ่งที่เขาอยากทํา อย่าไปบังคับเขามาก แต่เขาก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่เพื่ออนาคตเขาอย่างไรในวันหน้า เพราะว่าเราก็ไม่ได้อยู่กับเขาอีกแล้ว วันหน้ามีครอบครัวไปอะไรไป เขาก็ต้องไปเรียนรู้ของเขาเองด้วย
เรื่องโครงการดูงานต่างประเทศของพี่น้องเกษตรกร รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เร่งรัดดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันภายใต้ “โครงการศึกษาดูงานเพื่อการสร้างและพัฒนาผู้นําการเปลี่ยนแปลงในภาคเกษตร” โดยจะเริ่มการคัดเลือกผู้แทนกลุ่ม องค์กรเกษตรกร จํานวน 45 รุ่น ๆ ละ 20 คน รวม 900 คน จากทั่วประเทศ ในสาขาต่าง ๆ อาทิ ทํานา ทําไร่ อ้อย มันสําปะหลัง ทําสวน ไม้ผล ยางพารา ไม้ดอกไม้ประดับ ผัก หรืออื่น ๆ เกษตรกรรุ่นใหม่ แม่บ้านเกษตรกร เยาวชน ยุวชนการเกษตร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร ประมง ปศุสัตว์ เป็นต้น เพื่อจะไปดูงานต่างประเทศ เกี่ยวกับสาขาของตน ใน 6 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย จีน ไต้หวัน และมาเลเซีย ทั้งนี้เพื่อได้มีโอกาสไปเห็น ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เทคโนโลยีในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการตลาด การใช้เครื่องจักรกลการเกษตร เทคโนโลยีการผลิต วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว การแปรรูปผลิตภัณฑ์ การบริหารจัดการองค์กร ระบบโลจิสติกส์ การสร้างทายาทเกษตรกรรุ่นใหม่ การบรรจุภัณฑ์ และการสร้างมูลค่าเพิ่ม การพัฒนาจากศักยภาพชุมชน เป็นต้น เหล่านี้ สิ่งใดที่เห็นว่าดี เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมบ้านเรา ก็นํามาต่อยอด นํามาขยาย นํามาประยุกต์ และถ่ายทอดให้คนในชุมชนด้วย สิ่งใดที่ไม่เหมาะสมกับประเทศไทย ไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมเรา หรืออย่างไรก็ไปไม่เหมือนกัน หรือเป็นไปไม่ได้ก็ไม่ต้องนํามาที่มาเป็นระบบ และใช้ได้นํามาประยุกต์ ไม่ใช่นํามาทั้งหมด ก็ทําไม่ได้อยู่ได้ สอดคล้องกับบ้านเราด้วย น่าที่จะเป็นแนวทางหนึ่งที่รัฐบาลนี้มีความตั้งใจ ในการที่ประยุกต์ ในการที่พัฒนาต่าง ๆ ทั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบประกอบการต่าง ๆ ทั้งหมด ให้กับคนไทยที่เป็นเกษตรกร ซึ่งมีรายได้น้อย ถ้าเป็นไปได้เราก็เป็นการเพิ่มศักยภาพการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของทางด้านการเกษตรด้วย อย่างน้อยก็เพิ่มวิสัยทัศน์ เห็นเขาบ้าง เขาทําอะไรกันบ้าง ผู้นํากลุ่ม องค์กรการเกษตร จะได้นํากลับมาพัฒนาท้องถิ่น แบ่ง ๆ กันไป ไม่ใช่ไปเที่ยว ไปศึกษาดูงาน และเก็บอะไรกลับมา กลับมาก็รายงานรัฐบาลด้วย ว่าไปดูแล้วเห็นอะไร อะไรที่เป็นประโยชน์
การไปดูงานอยากให้ตั้งเป้าว่าจะไปดูอะไร เมื่อไปดูแล้วเราต้องจับอะไรไว้บ้าง เตรียมการไว้ก่อน เราจะไปถามคําถามอะไร จะไปดูเรื่องการผลิต จะไปดูการตลาด จะไปดูเรื่องการบริหารจัดการหรืออะไร เตรียมคําถามของตัวเองไว้ แล้วก็คิดว่าเมืองไทยมีปัญหาตรงไหนนี่ เวลาไปดูงานต้องตั้งอะไรไว้ ไม่ใช่ไปลอย ๆ ไปแล้วกลับมาถามว่าได้อะไรบ้างไหม ไม่ได้อะไร ได้แต่ไปเที่ยวซื้อของ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สําคัญในวันนี้ก็ให้เกิดความเป็นธรรม กระบวนการคัดสรรก็ไปด้วยความยุติธรรม โปร่งใส ก็อาจจะให้สมาชิกของเกษตรกรเขาคัดเลือกมาก่อนในขั้นต้นอะไรทํานองนี้ แต่ก็อย่าทําให้เขาเสียใจก็มีรุ่น 1 รุ่น 2 รุ่น 3 ก็ว่าไปเรื่อย ๆ อันนี้ผมพูดไปทุกกระทรวงแล้ว ถ้าทุกกระทรวงมีโอกาสแบบนี้ก็ดูแลคนรุ่นหลังเราด้วย เยาวชนต่าง ๆ ในกิจการของทุกกระทรวงมีส่วนร่วมมากบ้าง น้อยบ้างอะไรก็ว่ากันไป คัดเลือกเข้าไปร่วมโครงการ ถ้าสามารถที่จะนํามาจากพื้นที่ได้ ภูมิภาคนี้ได้มีผลิตผลทางการเกษตรอะไร ก็ไปดูสาขานั้น ๆ ไปดูการตลาด ไปดูตั้งแต่การผลิต การปลูก การดูแลต่าง ๆ ทั้งหมดต้องมาพัฒนาถ้าเราไม่เห็นเขาเราทําไม่ได้หรอก วันนี้รัฐอย่างเดียวไปนําไม่ไหวทุกคนต้องไปดูด้วยตาตัวเอง
อันนี้ก็ฝากไปถึงเรื่องพลังงานเรื่องของอะไรต่าง ๆ ที่มีปัญหาทั้งหมด บ้านเมืองเราถ้าเขามีได้เราก็ต้องมีได้ แต่จะมีอย่างไรไปว่ากันมา วันนี้ก็ต่อต้านกันทุกเรื่องก็ไม่ไหวนะ บ้านเมืองวันหน้าเราจะไม่เข้มแข็ง ทําไม่ได้ในการพัฒนาประเทศ เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความรู้ มีวิสัยทัศน์ก็จะเกิดความภาคภูมิใจในการที่กลับมาแล้วทําให้เกิดความก้าวหน้าในวิชาชีพ ในอาชีพของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรหากเป็นที่ยอมรับในกลุ่ม ในองค์กร ในชุมชนของตนคนเหล่านี้ก็สามารถที่จะมาเป็นครูหรือเป็นวิทยากร แล้วนําสาระที่ได้จากการดูงานนี้มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการของเรานํามาถ่ายทอดขยายผล
ผมคิดว่าวันนี้เราต้องการผู้นําการเปลี่ยนแปลง ผู้นําที่ต้องการให้ประเทศของเรามีการเปลี่ยนแปลงในทุกระดับ ไม่ใช่เฉพาะประเทศอย่างเดียว ในชุมชน ตําบล หมู่บ้าน อําเภอต้องมีคนเหล่านี้ แต่นําการเปลี่ยนแปลงในทางที่ถูกต้อง ภายใต้กฎหมาย ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ถูกต้องเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ไม่ใช่เสรีภาพจนไร้ขีดจํากัด ต้องมีหน้าที่ มีความรับผิดชอบและให้ความร่วมมือกับรัฐบาลด้วยเหล่านี้ เชื่อฟังผู้ใหญ่ เคารพกฎหมาย วันนี้มีปัญหาทั้งหมด
วันนี้ต้องกําหนดทิศทาง อนาคตแล้วก็เตรียมการในการสร้างทายาทเกษตรกรรุ่นใหม่ต่อไปด้วย เยาวชน ยุวชนเกษตรสําคัญ วันนี้ผมได้สั่งการไปมากพอสมควรในเรื่องนี้ ถ้าสร้างได้วันหน้าเราก็มีความสบายใจที่ชุมชนจะมีความเข้มแข็งเกษตรกรมีความรู้ความสามารถในการแข่งขันแล้วก็สร้างจุดแข็งของตนเองให้ตรงกับพื้นที่ ตรงกับวัฒนธรรมอะไรของตนเองในแต่ละภูมิภาค ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องเรียนรู้หมดทุกอันคงไม่ได้ ให้เหมาะสมกับพื้นที่ของตนเอง แล้วจะได้ทํางานในพื้นที่ ในจังหวัดที่ตนเองเกิดเหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญ ไม่ใช่ส่งเสริมให้คนไปหากินในพื้นที่อื่น ๆ บ้านเมืองตัวเองก็ไม่ได้พัฒนาก็ไปแออัดในเมืองใหญ่ ๆ
วันนี้ต้องมาขยายเมือง ผมอยากให้มีการขยายเมืองไป 4 มุมเมือง ไม่ใช่ขยายใหญ่โตอะไรเพียงแต่ไปสร้างชุมชนขึ้นมา การที่เราย้ายคนออกไป ไปมีเส้นทางการสัญจรไป-มา การค้าขายมีตลาดมีอะไรต่าง ๆ มีที่อยู่ที่ไม่ใช่สลัม เหล่านี้ต้องคิดต่อ แล้วจะทําอย่างไรก็ไปว่ากัน ผมใช่ไม่จะไปบังคับใครแต่ถ้ามีโอกาสผมว่าคนเราก็ต้องเลือกโอกาสที่ดีกว่าเดิม
เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถทําเครือข่ายได้ในทุกมิติให้มาร่วมกันได้ ไม่ใช่เศรษฐกิจก็ทําเศรษฐกิจ มั่นคงก็มั่นคง สังคมก็ทําสังคม ไม่ได้ทั้งหมดเชื่อมโยง Cluster กันทั้งหมด คือเกิดเป็นประเทศขึ้นมา จากแหล่งผลิตสู่ตลาด จะทําอย่างไร จะตัดพ่อค้าคนกลางได้อย่างไร คือตัดทั้งหมดคงไม่ได้ เพราะเป็นส่วนหนึ่งในการค้าขายระบบเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจภูมิภาค เศรษฐกิจประชาคมอาเซียน แต่ทําอย่างไรจะมีเศรษฐกิจชุมชนเกิดขึ้นมาโดยสหกรณ์ โดยประชาชนมีการจัดตั้งขึ้นมาเอง ร้านค้าชุมชน การที่จะทํา Social Business คือการทําธุรกิจเพื่อสังคม ไม่หวังผลกําไรมีเงินทุนมาซื้อจากเกษตรกรโดยตรงมาปรับปรุงแล้วจําหน่าย กําไรกลับมา ทําในเรื่องของเครื่องจักร เครื่องไม้เครื่องมือเพิ่มเติมเป็นของชุมชนตัวเองอะไรเหล่านี้ตั้งสร้างความเข้มแข็งแบบนี้
ในส่วนของพ่อค้าคนกลางก็ว่าไป เขาค้าเสรี เราไปอะไรเขามากก็ไม่ได้ ทําอย่างไรจะไปถ่วงดุลกันตรงนี้กับของชุมชน ทั้งหมดก็ต้องเชื่อมโยงไปยังเศรษฐกิจพิเศษ หรือนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือการค้าชายแดนหรืออาเซียน หรือประชาคมโลก เหล่านี้เป็นเสี้ยวกันทั้งหมด เป็นเสี้ยวเล็ก ๆ อยู่ในแต่ละอัน ถ้าทุกคนดูแลกัน ช่วยเหลือกัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันก็ไม่มีปัญหา รัฐก็จะเป็นพี่เลี้ยงให้จะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่อย่างนั้นเราต้องคอยแก้ปัญหาเดิม ๆ ทุกปี ๆ ไป ก็เหมือนกับคนเป็นไข้ให้ยาไปก็กินยาไปเรื่อย ๆ แต่ยาก็ไม่มีคุณภาพ ยาก็อ่อนบ้าง ยาก็ปลอมบ้าง ก็เลยทําให้เกิดนโยบายประชานิยมเข้ามาอีก วันนี้แก้อะไรไม่ได้ ถ้ายังเป็นอย่างนั้นอยู่
เขตเศรษฐกิจพิเศษ วันนี้มีความคืบหน้าการดําเนินการพอสมควร วันนี้ต้องกราบเรียนว่า วันนี้ก็เดินหน้ามากที่ผ่านมาไม่มีการเริ่มต้นที่ดีพอ เราใช้เวลาประมาณ 1 ปี ทําเรื่องแผนงานการ “เครือข่าย” Connectivity ถนนหนทางด่าน ศุลกากร เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาต้องเห็นใจเวลามีเพียงแค่นี้เข้ามา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว เรื่องความขัดแย้งอะไรต่าง ๆ อีกครึ่งหนึ่งอีก 6 เดือนจริง ๆ ก็ใช้ในเรื่องของการเป็นรัฐบาลในการเริ่มต้น ในการทําแผนอะไรต่าง ๆ แล้วก็จัดสรรงบประมาณคือหลายจังหวัดก็บอกว่ามีโอกาส มีศักยภาพมาก เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องเร่งอนุมัติงบประมาณมา จังหวัดนี้ต้องการ 3,000 ล้าน จังหวัดนี้ต้องการ 5,000 ล้าน ขอให้รัฐบาลอนุมัติ ผมพร้อมอนุมัติแต่มีเงินให้ผมอนุมัติหรือเปล่าที่ผ่านมายังไม่เริ่มต้นกันเลย
วันนี้ผมก็มาเริ่มให้แล้วมาทําเรื่องเร่งด่านตรวจ ศุลกากร ถนนขยาย ทุกคนจะเอาวันนี้หมด สะพานก็สร้าง กําลังสร้าง กําลังอนุมัติงบประมาณ ถามว่าผมจะนําเงินมาจากที่ไหนถ้าไม่มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น วันนี้ก็ต้องทยอยไปอะไรก่อน สําคัญกว่าก็ทําอันนั้น อะไรต้องใช้เงินกู้ ก็กู้เท่าที่จําเป็น แต่ถ้าทุกคนต้องการโครงการ ๆ ทั้งหมด แล้วเอาแต่จะต้องเร็วต้องได้อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ ในการทําแล้วประโยชน์จะกลับมาก็ภายใน 2 – 3 ปีด้วยซ้ําไป ปีเดียวก็คงได้เฉพาะเศรษฐกิจในท้องที่ ท้องถิ่นก็ว่าไป แต่เศรษฐกิจในมหภาค ในใหญ่ ๆ จะเกิดประโยชน์ในประเทศอย่างน้อยก็ 2 -3 ปี อันนั้นวันนี้นั้นจะได้มีเงินไปทําตรงอื่นเพิ่มปีหน้าก็ต้องเพิ่มอีกตั้ง 6 แห่ง ปีหน้าก็ต้องไปทําอีก
วันนี้ก็กําลังเร่งแบบแผนงาน หรือ Blueprint ออกมา เรื่องพื้นที่ เรื่องสิทธิประโยชน์ก็บางคนบอกสิทธิประโยชน์ไม่เพียงพอ ผมถามว่าเท่าไหร่จะเพียงพอ ถ้าเพียงพอคือให้ทุกอย่างแล้วรัฐจะหาตรงไหนมา รัฐก็ลงทุนไปแต่ก็ไม่มีอะไรกลับมา ในขณะนี้แล้วจะเอาเงินที่ไหน เพราะฉะนั้นก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน รัฐก็ให้เท่านี้ไปก่อน วันหน้าพอดีขึ้น ก็ค่อยมากขึ้นได้ไหม ถ้าทุกคนบอกว่ารัฐต้องให้ ๆ นี่คือปัญหาของการเป็นประชาธิปไตยด้วย การบริหารราชการแผ่นดินมีปัญหาหมดทุกคนอยากได้ก็ได้ไม่ครบ ได้ไม่ทุกคน ก็ได้บางกลุ่มบางพวก เพราะฉะนั้นก็ต้องปรับตัวเองด้วย
เรื่องการพัฒนาเหล่านี้ในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นนอกเขตเศรษฐกิจพิเศษ ในจังหวัดที่มีศักยภาพ แล้วก็ในการค้าขายชายแดน การค้าขายอาเซียนวันนี้รัฐบาลนี้เสริมสร้างบทบาทในการนําของไทยในภูมิภาคอาเซียน ทั้งในเรื่องของการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศก็คือ การสร้างนวัตกรรมการมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ การใช้เทคโนโลยีในการผลิตแล้วก็ไปแข่งขันกับต่างชาติได้ ประเด็นสําคัญก็คือต้นทุนการผลิต แรงงานบ้าง อะไรบ้าง มีความผูกพันไปหมดก็ขอให้ช่วยกันคิด ช่วยกันทํา ใช้เวลา เข้าใจกัน
เรื่องของการดําเนินการเหล่านี้ จะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น แต่อย่างไรวันนี้ก็เดินหน้ากันไปก่อน ใครช่วยตรงไหนได้ก็เดินไป ตรงไหนทําได้ก็ทําไปก่อน ตรงไหนยังไม่ได้ ติดขัดก็เดี๋ยวคอยเล็กน้อย เงินทองค่อย ๆ มา ค่อย ๆ ลงไป เพราะต้องลงไปทั้งหมด 6 พื้นที่ปีนี้ จะทําอย่างไร สําหรับ 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลนี้พิจารณาแล้วจะมีส่วนทําให้ประเทศดีขึ้นเราต้องคํานึงถึงศักยภาพของเรา ว่าประเทศเรานั้น มีขีดความสามารถไหนที่สูงอยู่ มีโอกาสอยู่ที่เราจะเร่งสนับสนุนในระยะแรกให้ได้ ซึ่งได้แก่ คลัสเตอร์กลุ่มผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ อาหารแปรรูป ยางพารา แล้วก็ด้านสุขภาพ สมุนไพร การแพทย์ กลุ่มอากาศยาน ศูนย์ซ่อม ขณะนี้สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย ร่วมกันพิจารณา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในแต่ละเขตพัฒนา
เขตเศรษฐกิจพิเศษ ได้แก่ ที่ด่านแม่สอด จังหวัดตาก การสร้างถนนเชิงเขาตะนาวศรี – กอกะเร็กทางเลี่ยงเมืองแม่สอด พร้อมสะพานข้ามแม่น้ําเมยแห่งที่ 2 ทางหลวงเส้น 105 ตาก – แม่สอด การปรับปรุงขยายท่าอากาศยานแม่สอด
เขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว ได้แก่ การปรับปรุงทางรถไฟให้มีมาตรฐาน เพิ่มระบบรักษาความปลอดภัย และการสร้างถนนสายทางแยก ทางหลวง 33 – ชายแดนด่านคลองลึก
เขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ด่านมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ได้แก่ การสร้างทางหลวงหมายเลข 12 กาฬสินธุ์ – บ้านนาไคร้ และทางหลวงชนบท ถนนสาย 22 และ 23
เขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ด่านคลองใหญ่ จังหวัดตราด ได้แก่ การสร้างทางหลวงหมายเลข 3 ตราด – หาดเล็ก และโครงการสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์
เขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ด่านปาดังเบซาร์ และด่านสะเดา จังหวัดสงขลา ได้แก่ การสร้างทางหลวงพิเศษ ระหว่างเมือง สายหาดใหญ่ –ชายแดนไทย/มาเลเซีย โครงการสร้างท่าเทียบเรือน้ําลึกสงขลา แห่งที่ 2 และการปรับปรุงทางรถไฟ ให้ปลอดภัยต่อการเดินรถ ระหว่างชุมทางหาดใหญ่ –สุไหงโกลก และชุมทางทุ่งสง – หาดใหญ่ – ปาดังเบซาร์
เขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ด่านหนองคาย จังหวัดหนองคาย ได้แก่ การสร้างทางหลวงหมายเลข 212 หนองคาย – โพนพิสัย และทางหลวงหมายเลข 212 โพนพิสัย – บึงกาฬ
ทั้งหมดนี้บางส่วนก็ดําเนินการไปแล้ว บางส่วนก็ดําเนินการ บางส่วนก็กําลังจัดหางบประมาณแต่แผนออกมาหมดแล้วก็ถึงจะมีเงินมากก็ทําเร็วไม่ได้ เพราะทําปีนี้ที่รัฐบาลเข้ามาก็เริ่มทําปีนี้เป็นหลัก เพราะฉะนั้นอย่าเร่งนักเลยเงินทองก็หายังไม่ค่อยได้ แต่เราก็ทําไว้แล้ว วันนี้อะไรทําได้ทําก่อน อะไรมีเงินทําไปก่อน ถึงจะมีเงินมากก็ทําไม่ได้ เพราะปีเดียว เพราะฉะนั้นก็ต้องใช้เวลาแต่ทั้งหมดก็ต้องมีความชัดเจนโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่นักลงทุน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ผมมุ่งเน้นว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษจริง ๆ ก็อยากให้เกิดในพื้นที่ของตัวเองว่า เรามีวัตถุดิบอะไรบ้างจะแปรรูปได้อย่างไร จะรองรับในเรื่องของสิทธิทางภาษีประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างไร มาเพิ่มมูลค่าได้อย่างไรไม่ให้เกิดปัญหากับประเทศเราต่อไปในอนาคต สิ่งสําคัญคือเราจะต้องมีแรงงานที่ทํางานที่ทํางานในพื้นที่เหล่านี้ก็อยากให้เป็นลูกหลานของท่านในจังหวัดโน่นจังหวัดนี่ก็ทําในจังหวัดของตัวเองจะได้พัฒนาจังหวัดของตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องมากรุงเทพมหานคร ไปเชียงใหม่ ไปอะไรที่เจริญ ๆ วันหน้าก็แน่นไปหมด แล้วก็เกิดปัญหาทับซ้อนกันอยู่ทุกเรื่องไป ถ้าเราทําอย่างนี้ประเทศไทยทั้งประเทศจะได้เจริญทั้งประเทศทั้ง 77 จังหวัด
เรื่องทวงคืนผืนป่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการบุกรุกผืนป่าในเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และป่าสงวน ป่าต้นน้ํา เป็นปัญหาสําคัญถูกละเลยกันมานาน วันนี้ถูกทําลายกันไปเป็นจํานวนมากที่ผ่านมาก็มีรายงานกันมาตลอดก็แก้ปัญหาไม่ได้สักครั้ง วันนี้เอาปัญหาทั้งระบบมาแก้ไขแต่ก็ต้องใช้เวลาในการที่จะปลูกทดแทน ในการที่จะปรับพื้นที่การเกษตรในการโซนนิ่งแล้วแต่เป็นปัญหาที่หมักหมก ยาวนานทับซ้อนหลายเรื่องต้องแก้ให้ได้ ปัญหาสําคัญอีกประการหนึ่งคือความแห้งแล้ง หลายคนบ่นมาว่าการบริหารจัดการน้ําไม่เกิด ไปดูเขาบ้างหรือเปล่าว่าเขาเกิดอะไรไปแล้วบ้างในปี 2557 ก็ทําไปเป็นจํานวนมากเป็นหลายพันโครงการแต่ไม่ใหญ่โตเหมือนที่ผ่านมาจะกระจายไปทั่วพื้นที่ แต่ตรงไหนมีน้ําก็ทําได้มาก ทําทันที ตรงไหนยังไม่มีน้ําฝนไม่ตกมาปีแล้ว ไม่ตกปีนี้ ก็ไม่ตกอีกจะทําอย่างไร ไปขุดไว้ก็เสียเปล่าก็ต้องไปปรับพื้นที่ให้ตรงกับตรงนั้น ตรงไหนที่ไม่มีน้ํา น้ําต้นทุนไม่มีก็ต้องหาวิธีการอื่นให้คนอยู่ได้ น้ําอุปโภคบริโภค การเพาะปลูกพืชอื่น ๆ มาทดแทน วันนี้ฝนตกไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์น้อยกว่าเดิมมาก มีน้ําใช้ได้ประมาณสัก 9 % อยู่ตอนนี้ ก็คาดหวังว่าต่อไปจะดีขึ้น ส่วนใหญ่ไปตกนอกพื้นที่การเกษตร ตกกรุงเทพฯ อีกมากเลยน้ําท่วมอีก
เพราะฉะนั้น ในเรื่องของสาเหตุการบุกรุกผืนป่านั้น เกิดจากนโยบายการส่งเสริมการปลูกพืชที่ผ่านมาในทุกภูมิภาคของประเทศ ทําให้มีเกษตรกรจริง ๆ ผู้ยากจนจริง ๆ ก็มีนายทุนบางส่วนด้วยบุกรุกผืนป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลูกยางพารากว่า 5.5 ล้านไร่ วันนี้ผลผลิตยางพาราก็มากมายล้นตลาดด้วย พอตลาดโลกเขารับซื้อน้อยลงที่ปลูกตรงนี้ก็เกินถึงแม้ราคาจะต่ําอยู่ แล้ว ยิ่งมีมากยิ่งต่ํามากกว่าเขาอีก เพราะต้นทุนเราสูง ต้นทุนการปลูก ต้นทุนการกรีด เพราะเป็นกิจการขนาดใหญ่ทั้งสิ้น แล้วคนจนอยู่ในระบบนี้ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นเราต้องมีการควบคุม สร้างความสมดุลในเรื่อง Demand Supply ให้ได้ รัฐบาลต้องเสียเงินในการจัดสรรงบประมาณในแต่ละปี เพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องชาวเกษตรที่เดือดร้อน เรื่องราคาสวนยางตกต่ํา ราคายางตกต่ํา การกรีดยางตกต่ํา รายได้ไม่ได้ เมื่อยางราคาตก การกรีดยางก็ไม่ได้ค่าจ้าง วันนี้มี 2 อย่าง คือ เจ้าของสวนยางกับคนกรีดยาง ต้องดูแลทั้งคู่ เจ้าของสวนยางก็จะมีประชาชนที่ถูกต้อง กับประชาชนที่ไม่ถูกต้อง และมีนายทุนไม่ถูกต้องอีก ก็ต้องแก้กันทั้งระบบ
ขอขอบคุณกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ทหาร คสช. ก็ได้มีการบูรณาการแผนงานบุคลากรและเครื่องมือในการทวงคืนผืนป่าให้กับชาติ เพื่อจะเก็บไว้ให้กับชนรุ่นหลัง ได้กําหนดแผนพัฒนาที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบังคับใช้กฎหมาย มาตรการทางการปกครอง และเน้นการทวงผืนป่าคืนจากนายทุนมาเป็นของรัฐ และตั้งใจว่าจะทําให้ได้เบื้องต้น 1.5 ล้านไร่ ภายใน 2 ปีที่เราอยู่
จากนั้นจะดําเนินการฟื้นฟูสภาพป่า ให้กลับมาเป็นป่าต้นน้ํา ให้คนที่อยู่ตรงนั้นดูแล จะทําอย่างไรก็หนักใจอยู่เหมือนกัน เพราะมีมาก น้ําฝนก็มีปัญหา น้ําฝนก็ไม่ตกตามฤดูกาล ตกน้อย จะทําอย่างไร เราจะฟื้นฟูสภาพป่าได้อย่างไร ได้แต่พูดกันมานานแล้ว ปลูกป่าต้นน้ํา ผมก็ไม่เห็นจะขึ้นเท่าไหร่เลย นี่จะทําอย่างไร เราจะรักษาความชื้นระบบนิเวศเราอย่างไรต่อไป ฝนจะได้ตกตามฤดูกาล เพราะว่าเราเป็นป่าฝน เราไม่มีป่า ก็ไม่มีฝน ไม่มีน้ํา ใครก็ไม่สามารถจะให้ได้ เพราะเราสร้างน้ําเองไม่ได้ นอกจากช่วยกันสร้าง ให้ป่าเป็นคนสร้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งไว้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นน้ํา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นป่า ก็เพื่อจะสนับสนุนซึ่งกันและกัน ในการที่จะทําให้ประชาชนคนไทยได้มีที่อยู่ที่ทํากิน ที่อาศัย ที่เพาะปลูก นี่เป็นสิ่งที่สถาบันทํามาโดยตลอด
ที่ผ่านมา ผู้ที่นํามาปฏิบัติอาจจะไม่ให้ความสําคัญเท่าที่ควร และไม่สามารถที่จะไปสู้กับระบบนายทุนได้ อะไรได้ นายทุนที่ดี ๆ เขาก็มี ไม่ใช่บอกนายทุนไม่ดีทุกคน บางคนเขาก็ทําประโยชน์มากมายกับประเทศนี้ เราก็ต้องมีมาตรการเยียวยากับผู้ที่ยากจน และบุกรุกเข้าไป แล้วก็ปลูกพืชผิดกฎหมาย จะทําอย่างไร จะมีการปลูกพืชทดแทนขึ้น พัฒนาให้หันมาเลี้ยงสัตว์ มาทําประมงได้ไหม แล้วก็ให้ชาวบ้านเหล่านั้นได้มีความรัก หวงแหนต่อไป ใช้ประโยชน์จากป่าได้ อาศัยป่าเป็นเหมือนแหล่งน้ํา แหล่งอาหาร เพื่อจะหล่อเลี้ยงชีวิตคน และสัตว์ป่า อันนี้ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในเรื่องการอนุรักษ์ป่า สัตว์ป่า สิ่งแวดล้อม และปัญหาผลผลิตยางพารา หรือผลผลิตอื่น ๆ ที่เป็นความต้องการของตลาดในคราวเดียวกันด้วย ขอชมเชยมูลนิธิป่าตะวันออก 5 จังหวัด ที่สามารถทําได้อย่างดี ขอให้ที่อื่น ๆ ทําด้วย ให้มีผล มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนขึ้น จับต้องได้
เรื่องการปฏิรูปรูปแบบการให้บริการภาครัฐ ตาม Roadmap ของ คสช. นั้น ปัจจุบันอยู่ในระยะที่ 2 แก้ปัญหา วางรากฐาน และการพัฒนาประเทศ สิ่งหนึ่งที่เร่งดําเนินการอยู่ คือ การปรับปรุงรูปแบบการให้บริการ เปิดช่องทางเข้าถึงบริการของภาครัฐ สะดวก ลดขั้นตอน เริ่มจากรูปแบบง่าย ๆ เช่น การจัดตั้งศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (One-stop-service) ศูนย์ดํารงธรรม หรือสายด่วน จากนั้นก็จะขยายกรอบการดําเนินงานให้ครอบคลุม อาจจะต้องใช้เวลามากขึ้น เช่น การปรับปรุงกฎหมาย
วันนี้ พ.ร.บ.การอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ ก็ออกมาแล้ว การจัดทําฐานข้อมูลเพื่อบูรณาการข้อมูลภาครัฐ ไปสู่การเป็นดิจิตอลอะคาเดมี่ และการพัฒนาแอพพลิเคชั่น เพื่อให้การบริการของหน่วยงานภาครัฐบนมือถือ เช่น แอพฯ WMSC ซึ่งรวบรวมข้อมูลข่าวสาร ในการบริหารจัดการน้ํา ปริมาณน้ําท่า ข้อมูลปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ํา ข้อมูลอัตราการไหลของน้ําในแม่น้ําต่าง ๆ ข้อมูลปริมาณน้ําฝน พื้นที่เพาะปลูกของกรมชลประทาน หลายเรื่องผมสั่งไปแล้วก็กําลังดําเนินการอยู่ทุกกระทรวง
สิ่งที่เป็นปัญหาอยู่ขณะนี้คือการสร้างการรับรู้โดยทั่วไป ข้อมูลพื้นฐาน ประชาชนไม่รับรู้ ข้าราชการไม่มีการบูรณาการ เพราะฉะนั้นต่อไปจะต้องมีการบูรณาการในระบบดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์อะไรก็แล้วแต่ ไปทํามา ข้อมูลเหล่านี้ 1 ให้ทุกกระทรวงประสานกันได้ในกลุ่มงานเดียวกัน ถ้าน้ําหลายกระทรวงก็มา Join ข้อมูลกันตรงนี้ ไม่ใช่แต่ละกระทรวงก็ไปทําของตนเอง ๆ แล้วก็ไม่ต่อกัน เริ่มจากฐานข้อมูลอันเดียวกัน ประชาชนก็ต้องเรียนรู้ว่าจะใช้ประโยชน์จากแอพฯ เหล่านี้ได้อย่างไร ไม่ใช่ใช้โทรศัพท์ในทางติดต่อสื่อสาร ในทางพูดคุยอะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ เสียเงินมากมายในการพูดคุยที่ไม่ได้ประโยชน์ ไปเปิดดูว่าบ้านตัวเองตรงนี้มีน้ําใต้ดินไหม ตรงนี้ปลูกพืชอะไรถึงจะเหมาะสม ใช้ปุ๋ยอะไร ต้องเข้าใจการพัฒนาของรัฐบาลด้วย การบริหารราชการ ถ้าไม่เช่นนั้นเราพัฒนาไม่ทันกัน ความคิดไม่เกิด เมื่อความคิดไม่เกิดวิสัยทัศน์ก็ไม่เกิด ความร่วมมือก็ไม่เกิด
วันนี้มีกองบัญชาการตํารวจนครบาลมาร่วมด้วย ร่วมมือกับเอกชนในการพัฒนาแอพฯ ใหม่ ชื่อ “Police I lert You” (โปลิส ไอ เลิด ยู) ไม่ใช่ I Love You ขึ้นมา เพื่อจะปรับปรุงรูปแบบการให้บริการ เสริมระบบสายด่วน 191 ให้มีศักยภาพสูงขึ้น โดยประชาชนผู้ประสบเหตุ หรือผู้เห็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน ที่ลงทะเบียนเข้ามาใช้บริการล่วงหน้า สามารถแจ้งขอรับการช่วยเหลือ ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว และตํารวจสายตรวจ ที่มีอยู่ราว 5,000 นาย จาก 88 สถานีตํารวจเขตนครบาล จะได้รับสัญญาณแจ้งเหตุพร้อมกันทั้งหมด ในเวลาเดียวกัน ซึ่งศูนย์วิทยุ 191 จะควบคุมและกํากับดูแลตํารวจสายตรวจในภาพรวม ก็จะทําให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ ภายในระยะเวลา ไม่เกิน 10 นาที ด้วยการแจ้งพิกัดของ GPS ในมือถือ อาจจะทําให้สถานการณ์จากหนักเป็นเบา ลดการสูญเสีย ขจัดปัญหาการแจ้งความเท็จ ซึ่งวันนี้มีถึง 80% เห็นใจบ้างวันนี้ระบบนี้ ต้องระมัดระวัง ตํารวจเขาตรวจสอบได้ ถ้าแจ้งไปแล้วไม่ได้เป็นข้อเท็จจริง แจ้งเพื่อความคึกคะนองมีความผิดทั้งสิ้น สามารถตรวจสอบข้อมูลผู้แจ้งย้อนหลังได้ทั้งหมด
สําหรับการลงทะเบียนในครั้งแรกนี้ ลองไปโหลดมาใช้กันดู ปัจจุบันจะเริ่มให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นการนําร่องก่อน ต่อไปจะขยายผลไปเมืองใหญ่ เมืองสําคัญ ทั่วประเทศต่อไป ก็ต้องใช้เวลา ทุกอย่างเริ่มพร้อมกันไปหมดเลยปีนี้ ก็จําเป็นต้องขอความร่วมมือ ขอให้เข้าใจนโยบายรัฐบาล เราได้สั่งการไปแล้วให้หน่วยงานราชการ ข้าราชการ ตํารวจ ทหาร ปฏิรูปปรับปรุงรูปแบบการทํางานของตนให้ดีขึ้น ปรับปรุงประสิทธิภาพ เอาผลประโยชน์ของประชาชนมาเป็นที่ตั้ง แล้วก็แสวงหาความร่วมมือกับภาคเอกชน ภาคประชาชน ประชาสังคมต่าง ๆ ด้วย ไม่ใช่ขัดแย้งกันทุกเรื่อง รัฐบาลก็มีส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น อปท. ก็ต้องเป็นหลัก วันนี้ท่านก็ต้องสร้างความเข้าใจให้ได้ ถ้ารัฐบาลไม่สามารถไปลงทุน ไปก่อสร้างอะไรในพื้นที่ได้เลย ภาพรวมของท้องถิ่นของท่านก็เจริญไปไม่ได้ ขณะเดียวกันก็ทําให้ตรงอื่นไปไม่ได้ด้วย เพราะบางอย่างตรงเกิดในตรงนี้ ตรงนั้น เช่น เรื่องพลังงาน เรื่องสายส่ง เรื่องสถานีโน่นนี่ ก็ต้องมีที่ตั้ง จะไปตั้งที่ไหนได้ ก็ต้องช่วยกัน ทําความเข้าใจ ตรงไหนที่ประชาชนยังไม่เห็นดีเห็นดีเห็นงามอาจจะต้องพาขึ้นเครื่องบินไปหรือ ไปดูโรงงานแบบนี้ แบบนั้น โรงงานไฟฟ้าแบบนี้ ลิกไนท์เป็นอย่างไร เหมืองแร่ทําอย่างไร ไปดูเพื่อจะได้ดูว่า ถ้าอย่างนี้รับได้หรือไม่ ไม่ใช่ต่อต้านทั้งหมดเลย แล้วจะอย่างไร ผมไม่รู้
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง อยากให้พี่น้องประชาชนรักษาสุขภาพด้วย เชื้อโรคต่าง ๆ แพร่กระจายได้รวดเร็วในฤดูฝน อากาศชื้น เป็นสาเหตุของการเจ็บไข้ได้ป่วย และโรคระบาด ปัจจุบันก็มีเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธ์ 2012 (MERS “เมอร์ส”) กําลังระบาดในประเทศเกาหลีใต้ ซาอุดิอาระเบีย และประเทศแถบตะวันออกกลาง ทั้งนี้ก็ยังไม่ปรากฏการระบาดในประเทศไทย ผมก็ได้สั่งการใน ครม. ไปแล้ว ให้กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความสําคัญในเรื่องนี้ เหมือนกับที่เราเคยดูแลเรื่องซาร์ เรื่องไข้หวัดนก อีโบลาด้วย
วันนี้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขก็ได้มีมาตรการในการเฝ้าระวัง ทั้งในเรื่องของการป้องกัน การให้คําแนะนํากลุ่มเสี่ยง สถานที่ ๆ จะต้องเข้าไปแจ้ง ไปพิสูจน์ว่าเป็น หรือไม่เป็นอะไรเหล่านี้ ก็มีโรงพยาบาล 69 แห่งที่ผมจําได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ต้องดูแลนักท่องเที่ยว และแรงงานที่มีความเสี่ยง กลับมาจากประเทศเหล่านั้น ได้มีการดูแลในเบื้องต้น ปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด
สําหรับประชาชนที่มีข้อสงสัยว่า โรคนี้เป็นอะไร อย่างไร ก็มีอยู่แล้ว มีอาการอย่างไรบ้าง หากต้องการแจ้งการระบาดของโรคเมอร์ส หรือสงสัยและทุก ๆ โรค ท่านจะปรึกษา ได้ที่ “สายด่วน 1422” แล้วจะได้ถามเขาว่า ผมเป็นอย่างนี้ปวดหัว ตัวร้อน ท้องเสีย หรือไม่สบายมาก ๆ เป็นอะไร ปรึกษาเขา เพราะแต่ละโรคไม่เหมือนกันอยู่แล้ว 1422
มีหลายเรื่องที่ผมอยากจะคุยกับท่าน พยายามที่จะใช้เวลาให้น้อยที่สุด หลายเรื่องวันนี้ก็มีเรื่องกีฬา เราก็ได้รับรางวัลชนะเลิศมาหลายประเภทเหมือนกัน เหรียญทองก็มากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ขอเป็นกําลังใจให้นักกีฬาด้วย
เรื่องอื่น ๆ คงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูป ขอยืนยันอีกครั้งสําหรับการปฏิรูปในขณะนี้ เราเริ่มต้นแล้วอยู่ในระยะที่ 2 ของรัฐบาล ของ คสช. เพราะฉะนั้นถ้าเราทําได้แค่ไหนก็แค่นั้น ในเรื่องของการปฏิรูปต่อไปก็เป็นการส่งต่อ ระยะที่ 3 การเลือกตั้งรัฐบาลก็ว่าไป ก็ทําต่อ หรือไม่ก็แล้วแต่ เพราะว่าผมก็ทําได้แค่นี้ แต่พยายามจะทําให้มากที่สุด เท่าที่เวลาผมมีอยู่ตาม Roadmap อย่ามาถามผมอีกเรื่องเหล่านี้ ผมเสียเวลา ผมทํางานด้วย ต้องเอาเวลามาตอบคําถามแบบนี้มาตลอดเวลา นักข่าวก็ชอบถามเรื่องแบบนี้ แล้วก็ทําให้ผมไม่มีเวลาทํางาน แล้วก็อารมณ์หงุดหงิด แล้วบอกว่าทําไมผมหงุดหงิด ก็ถามคําถามที่มีสาระหน่อยแล้วกัน ได้ไหม
เรื่องยุทธศาสตร์การลงทุนต่าง ๆ นั้น ของเราก็ชัดเจน ไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศ วันนี้เดินหน้าหมด ทุกประเทศก็พูดคุยกัน ปรับปรุงในเรื่องของระเบียบการลงทุน ในเรื่องสิทธิประโยชน์มากมาย ถ้าหากว่าติดตามก็จะรู้ วันนี้ก็อาจจะต้องไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ ในเฟซบุ๊กบ้าง ผมดูแล้วหลาย ๆ คนมาพูดออกสื่อหรือเขียนในหนังสือพิมพ์บ้าง แต่ไม่รู้ว่าเราทําไปแล้ว ที่พูดก็ติติงตรงนู้นตรงนี้ ถ้าจะติผมไม่ว่า แต่ให้รู้ก่อนว่าเขาทําหรือยัง
การหาตลาดทางการส่งออก วันนี้ก็มีแนวโน้มดีขึ้น วันนี้เราก็เดินตลาดล่างด้วย หลายประเทศให้ความร่วมมือในการที่จะรับซื้อ ไม่ว่าจะเป็นผลผลิตทางการเกษตร ด้านผลไม้อะไรต่าง ๆ มากขึ้น ก็ต้องรอในไตรมาสต่อ ๆ ไปว่าจะดีขึ้นอย่างไร ดูรอบบ้านเขาด้วย ถ้ารอบบ้านเขาตก แล้วเราจะไม่ตกเลยก็ไม่ได้ หรือโลกเขาตกแล้วอาเซียนไม่ตกก็ไม่ได้อีก แต่จริง ๆ แล้วต้องมีฐาน เขาเรียกว่าฐานทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันแต่ละประเทศ เพราะฉะนั้นตัวเลขในเรื่องของการเพิ่มขึ้นลดลง เหล่านี้บางทีก็ต้องเปรียบเทียบในความกว้างหรือความใหญ่โตของฐานเศรษฐกิจ โดยไทยเรากว้าง-ใหญ่ แต่ทําอย่างไรเราจะเข้มแข็งทั้งหมด อันนี้จะทําให้บ้านเราได้เปรียบคนอื่นเขาด้วย
เรื่องการวิจัยพัฒนา วันนี้ก็เดินหน้าไปมาก จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเรื่องของการใช้พลังงานทดแทน อันนี้ต้องเข้าใจว่าเราไม่สามารถจะรับซื้อไฟฟ้าได้จากทุกที่ ขึ้นกับสายส่ง ผมพูดไปหลายครั้งแล้ว ถ้าอยากทําก็ทําใช้ในบ้าน อันนี้เรายินดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปสิ้นเปลือง ไม่ต้องไปเพิ่มศักยภาพโรงไฟฟ้าเขามากนัก ท่านก็ใช้ของท่านเอง แล้วเขาบอกประมาณ 5 – 7 ปี ก็คุ้ม ในการที่จะเสียค่าไฟ แต่ถ้าท่านทําแล้วมาขายก็มีปัญหาอีก ท่านก็อยากขายราคาสูงขึ้น ราคาที่รับได้ คือทุกคนจะเอาแต่ประโยชน์ไม่ได้ ต้องมีได้ประโยชน์ เสียประโยชน์ ต้องมีเผื่อแผ่แบ่งปัน
เรื่องของความเชื่อมโยงเหล่านี้ ความเชื่อมโยงไม่ใช่เฉพาะ Connectivity ไม่ใช่ถนน เส้นทางรถไฟ รถไฟฟ้า ไม่ใช่ เชื่อมโยงจิตใจของท่านเข้าด้วยกัน ร้อยหัวใจทั้ง 70 ล้านดวงของเราโดยประมาณ ให้ต่อกัน ถึงกัน เผื่อแผ่กันให้ได้ และก็ตามไปสู่ว่า เราจะช่วยกันอย่างไร เราจะพัฒนา เราจะสร้างความเข้มแข็งของประเทศนี้อย่างไร เป็นประเทศของคนไทยทุกคน ถ้าใครไม่ใช่คนไทยเขายังรักเราเลย เมื่อวานผมเจอกับทูตต่างประเทศ เขาเกษียณอายุ พูดก็ได้เม็กซิโก เขาก็จะอาศัยในเมืองไทยอยู่ต่อไป บ้านจะอยู่แถว ๆ เพชรบุรีซอย 11 เขารักเมืองไทย เขารักอาหารไทย เกษียณอายุเขาไม่กลับบ้าน อยู่เมืองไทย ผมก็บอกว่าดีใจที่คนต่างประเทศให้ความไว้วางใจเรา และก็ขอให้เขาเป็นเพื่อนเรา เป็นมิตรกับเราตลอดเวลา เพราะว่าเป็นเพื่อนเราเป็นวันเดียวก็เป็นทุกวัน เป็นจนตายจากกัน เพื่อนดี ๆ หายาก ก็ช่วยกันหาด้วย อย่าไปหาเพื่อนที่ไม่ดี คบไม่ดี คนไม่ดี คบได้ไม่กี่วัน วันหน้าก็ออกลายไปทั้งหมด ก็ขอให้ไตร่ตรอง ใคร่ครวญให้ดี มีหลายเรื่องที่ผมอยากคุยกับท่าน แต่รบกวนเวลามาเพียงเท่านี้
ขอบคุณในกําลังใจทุกอย่างที่ให้กับผม ให้กับรัฐบาลมา ขอให้กับทุกคนด้วย และอย่าลืมให้กําลังใจตัวเองด้วย อย่าไปตื่นตระหนก อย่าไปวิตกจริต อย่าไปอะไรทั้งสิ้น ขอให้เริ่มจากการไว้วางใจซึ่งกันและกัน และร่วมมือกันในการแก้ปัญหา ไม่มีอะไรที่จะแก้ไม่ได้ ถ้าคนไทยทุกคนร่วมกันในการทํางาน ขอบคุณครับ สวัสดีครับ ขอให้มีความสุขในวันสุดสัปดาห์ครับ
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ร่วมกิจกรรม SME Bank กับ “ภารกิจจิตอาสา ส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย ฉับไวไปถึงถิ่น”
|
วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2561
รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ร่วมกิจกรรม SME Bank กับ “ภารกิจจิตอาสา ส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย ฉับไวไปถึงถิ่น”
รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ร่วมกิจกรรม SME Bank กับ “ภารกิจจิตอาสา ส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย ฉับไวไปถึงถิ่น” ณ ชุมชนเกาะเกร็ด จ.นนทบุรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ร่วมกิจกรรม SME Bank กับ “ภารกิจจิตอาสา ส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย ฉับไวไปถึงถิ่น”
วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2561
รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ร่วมกิจกรรม SME Bank กับ “ภารกิจจิตอาสา ส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย ฉับไวไปถึงถิ่น”
รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ร่วมกิจกรรม SME Bank กับ “ภารกิจจิตอาสา ส่งเสริมเอสเอ็มอีไทย ฉับไวไปถึงถิ่น” ณ ชุมชนเกาะเกร็ด จ.นนทบุรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11024
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยหนุนธุรกิจรับเหมาก่อสร้างครบวงจรมุ่งเป็นผู้นำโซลูชั่นผ่านระบบออนไลน์
|
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560
กรุงไทยหนุนธุรกิจรับเหมาก่อสร้างครบวงจรมุ่งเป็นผู้นําโซลูชั่นผ่านระบบออนไลน์
ธนาคารกรุงไทยออกแคมเปญ ก่อสร้างไหนๆ ก็ใช้กรุงไทย ดูแลเรื่องการเงินให้ผู้รับเหมาก่อสร้างทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความพร้อมด้านเงินทุนทั้งก่อนและหลังประมูลงาน ด้วยหนังสือค้ําประกันทันใจ 1 วัน
ธนาคารกรุงไทยออกแคมเปญ ก่อสร้างไหนๆ ก็ใช้กรุงไทย ดูแลเรื่องการเงินให้ผู้รับเหมาก่อสร้างทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความพร้อมด้านเงินทุนทั้งก่อนและหลังประมูลงาน ด้วยหนังสือค้ําประกันทันใจ 1 วัน ให้สินเชื่อหมุนเวียนทั้งโครงการ และสินเชื่อไม่ต้องมีหลักประกัน พร้อมจัดหนักสมนาคุณลูกค้าที่เข้าร่วมแคมเปญ ให้สิทธิประโยชน์ 3 ต่อ
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากที่ธนาคารมีความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่รับงานจากหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ประกอบกับเห็นแนวโน้มการเติบโตของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ธนาคารจึงได้ออกแคมเปญ ก่อสร้างไหนๆ ก็ใช้กรุงไทย เพื่อดูแลเรื่องการเงินให้กับผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกหนังสือค้ําประกันทันใจ วงเงินสูงสุด 10 ล้านบาท ภายใน 1 วัน ผ่านทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อใช้ค้ําประกันการยื่นซองประกวดราคาในการประมูลงาน การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั้งโครงการ โดยก่อนเริ่มงานให้สูงสุด 30% ของมูลค่าโครงการ และหลังส่งมอบงานให้สูงสุด 90% ของมูลค่าสุทธิในแต่ละงวดงาน รวมทั้งสนับสนุนสินเชื่อไม่มีหลักประกัน เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นแก่ลูกค้า ภายหลังส่งมอบงานอีกด้วย
“ลูกค้าผู้รับเหมาก่อสร้างที่ใช้แคมเปญก่อสร้างไหนๆ ก็ใช้กรุงไทย ในช่วงนี้ถึง 24 สิงหาคม 2560 ยังได้รับสิทธิพิเศษ 3 ต่อ ต่อที่ 1 บัตรกํานัล KTB E-Money มูลค่าสูงสุด 10,000 บาท เมื่อใช้บริการหนังสือค้ําประกันและสะสมค่าธรรมเนียม ต่อที่ 2 ระยะเวลาการให้วงเงินสินเชื่อสูงสุด 180 วัน ต่อที่ 3 สินเชื่อไม่มีหลักประกัน รับเงินทันทีหลังส่งมอบงานสูงสุด 90% ของมูลค่างาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ําสุด MOR -1.25% ต่อปี”
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ธนาคารตั้งเป้าเป็นผู้นําโซลูชั่นในกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง และเตรียมให้บริการ KTB e-Credit Solution ผ่านระบบ KTB Corporate Online ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งลูกค้าสามารถขอออกหนังสือค้ําประกันผ่านระบบ และรับหนังสือค้ําประกันได้ที่ทุกสาขาทั่วประเทศ รวมทั้งส่งคําขอเบิกตั๋วสัญญาใช้เงินทางออนไลน์ ซึ่งธนาคารจะโอนเงินให้ภายใน 1 วันทําการ คาดว่าจะเริ่มให้บริการในเดือนพฤษภาคมนี้
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4174-7
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยหนุนธุรกิจรับเหมาก่อสร้างครบวงจรมุ่งเป็นผู้นำโซลูชั่นผ่านระบบออนไลน์
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560
กรุงไทยหนุนธุรกิจรับเหมาก่อสร้างครบวงจรมุ่งเป็นผู้นําโซลูชั่นผ่านระบบออนไลน์
ธนาคารกรุงไทยออกแคมเปญ ก่อสร้างไหนๆ ก็ใช้กรุงไทย ดูแลเรื่องการเงินให้ผู้รับเหมาก่อสร้างทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความพร้อมด้านเงินทุนทั้งก่อนและหลังประมูลงาน ด้วยหนังสือค้ําประกันทันใจ 1 วัน
ธนาคารกรุงไทยออกแคมเปญ ก่อสร้างไหนๆ ก็ใช้กรุงไทย ดูแลเรื่องการเงินให้ผู้รับเหมาก่อสร้างทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความพร้อมด้านเงินทุนทั้งก่อนและหลังประมูลงาน ด้วยหนังสือค้ําประกันทันใจ 1 วัน ให้สินเชื่อหมุนเวียนทั้งโครงการ และสินเชื่อไม่ต้องมีหลักประกัน พร้อมจัดหนักสมนาคุณลูกค้าที่เข้าร่วมแคมเปญ ให้สิทธิประโยชน์ 3 ต่อ
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากที่ธนาคารมีความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่รับงานจากหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ ประกอบกับเห็นแนวโน้มการเติบโตของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ธนาคารจึงได้ออกแคมเปญ ก่อสร้างไหนๆ ก็ใช้กรุงไทย เพื่อดูแลเรื่องการเงินให้กับผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกหนังสือค้ําประกันทันใจ วงเงินสูงสุด 10 ล้านบาท ภายใน 1 วัน ผ่านทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อใช้ค้ําประกันการยื่นซองประกวดราคาในการประมูลงาน การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนทั้งโครงการ โดยก่อนเริ่มงานให้สูงสุด 30% ของมูลค่าโครงการ และหลังส่งมอบงานให้สูงสุด 90% ของมูลค่าสุทธิในแต่ละงวดงาน รวมทั้งสนับสนุนสินเชื่อไม่มีหลักประกัน เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นแก่ลูกค้า ภายหลังส่งมอบงานอีกด้วย
“ลูกค้าผู้รับเหมาก่อสร้างที่ใช้แคมเปญก่อสร้างไหนๆ ก็ใช้กรุงไทย ในช่วงนี้ถึง 24 สิงหาคม 2560 ยังได้รับสิทธิพิเศษ 3 ต่อ ต่อที่ 1 บัตรกํานัล KTB E-Money มูลค่าสูงสุด 10,000 บาท เมื่อใช้บริการหนังสือค้ําประกันและสะสมค่าธรรมเนียม ต่อที่ 2 ระยะเวลาการให้วงเงินสินเชื่อสูงสุด 180 วัน ต่อที่ 3 สินเชื่อไม่มีหลักประกัน รับเงินทันทีหลังส่งมอบงานสูงสุด 90% ของมูลค่างาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ําสุด MOR -1.25% ต่อปี”
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ธนาคารตั้งเป้าเป็นผู้นําโซลูชั่นในกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง และเตรียมให้บริการ KTB e-Credit Solution ผ่านระบบ KTB Corporate Online ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งลูกค้าสามารถขอออกหนังสือค้ําประกันผ่านระบบ และรับหนังสือค้ําประกันได้ที่ทุกสาขาทั่วประเทศ รวมทั้งส่งคําขอเบิกตั๋วสัญญาใช้เงินทางออนไลน์ ซึ่งธนาคารจะโอนเงินให้ภายใน 1 วันทําการ คาดว่าจะเริ่มให้บริการในเดือนพฤษภาคมนี้
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4174-7
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3246
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PPP เห็นชอบแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุนรัฐ - เอกชน ปี 2563 - 2570 มูลค่า 1.09 ล้านล้านบาท เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563
PPP เห็นชอบแผนการจัดทําโครงการร่วมลงทุนรัฐ - เอกชน ปี 2563 - 2570 มูลค่า 1.09 ล้านล้านบาท เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน
ผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันพุธที่ 15 เมษายน 2563 ผ่านระบบ VDO Conference ณ กระทรวงการคลัง โดยมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการ PPP) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันพุธที่ 15 เมษายน 2563 ผ่านระบบ VDO Conference ณ กระทรวงการคลัง โดยมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ซึ่งมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
1. เห็นชอบแผนการจัดทําโครงการร่วมลงทุน พ.ศ. 2563 - 2570 (แผนการจัดทําโครงการ PPP) ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562) ซึ่งได้นําหลักการสําคัญ รวมถึงนโยบายและทิศทางในการพัฒนาประเทศที่กําหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ มาใช้เป็นกรอบแนวคิดในการดําเนินการ ทั้งนี้ ในแผนการจัดทําโครงการ PPP มีรายการโครงการที่ประสงค์จะร่วมลงทุนทั้งหมดรวม 92 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมประมาณ 1.09 ล้านล้านบาท โดยเป็นโครงการร่วมลงทุนในกลุ่มที่มีความสําคัญและความจําเป็นเร่งด่วน (High Priority PPP Project) จํานวน 18 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมประมาณ 472,049 ล้านบาท ทั้งนี้ แผนการจัดทําโครงการ PPP ข้างต้นจะช่วยสร้างความสนใจและดึงดูดให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการร่วมลงทุนภายใต้แผนดังกล่าว เพื่อลดข้อจํากัดการลงทุนจากเงินงบประมาณแผ่นดินและเงินกู้จากภาครัฐ ตลอดจนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชนจากความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมของเอกชนในการให้บริการสาธารณะ
2. คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบร่างกฎหมายลําดับรองภายใต้ พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการเสนอโครงการและการคัดเลือกเอกชน จํานวนรวม 6 เรื่อง ได้แก่ 1) เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน พ.ศ. .... 2) เรื่อง รายละเอียดที่ต้องมีในรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการและหลักเกณฑ์ และวิธีการในการนําความเห็นของหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน มาประกอบการพิจารณาจัดทํารายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ พ.ศ. .... 3) เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และกรอบระยะเวลาในการเสนอโครงการ พ.ศ. .... 4) เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเอกชน พ.ศ. .... 5) เรื่อง รายละเอียดของร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสําหรับการคัดเลือกเอกชน และสาระสําคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุน พ.ศ. .... และ 6) เรื่อง เงื่อนไขสําคัญของสัญญาร่วมลงทุน พ.ศ. .... ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกําหนดรายละเอียดแนวทางเพื่อรองรับการดําเนินการตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ในแต่ละเรื่องให้เกิดความชัดเจน และเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินการของหน่วยงานของรัฐ
3. คณะกรรมการ PPP ได้วินิจฉัยกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ตามมาตรา 20 (9) ตามที่มีหน่วยงานหารือ ได้แก่ 1) กรณีโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกําจัดขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี และ 2) กรณีแนวทางการดําเนินการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PPP เห็นชอบแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุนรัฐ - เอกชน ปี 2563 - 2570 มูลค่า 1.09 ล้านล้านบาท เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563
PPP เห็นชอบแผนการจัดทําโครงการร่วมลงทุนรัฐ - เอกชน ปี 2563 - 2570 มูลค่า 1.09 ล้านล้านบาท เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน
ผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันพุธที่ 15 เมษายน 2563 ผ่านระบบ VDO Conference ณ กระทรวงการคลัง โดยมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน
นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการ PPP) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ PPP ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันพุธที่ 15 เมษายน 2563 ผ่านระบบ VDO Conference ณ กระทรวงการคลัง โดยมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ซึ่งมีผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
1. เห็นชอบแผนการจัดทําโครงการร่วมลงทุน พ.ศ. 2563 - 2570 (แผนการจัดทําโครงการ PPP) ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ. การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562) ซึ่งได้นําหลักการสําคัญ รวมถึงนโยบายและทิศทางในการพัฒนาประเทศที่กําหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ มาใช้เป็นกรอบแนวคิดในการดําเนินการ ทั้งนี้ ในแผนการจัดทําโครงการ PPP มีรายการโครงการที่ประสงค์จะร่วมลงทุนทั้งหมดรวม 92 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมประมาณ 1.09 ล้านล้านบาท โดยเป็นโครงการร่วมลงทุนในกลุ่มที่มีความสําคัญและความจําเป็นเร่งด่วน (High Priority PPP Project) จํานวน 18 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมประมาณ 472,049 ล้านบาท ทั้งนี้ แผนการจัดทําโครงการ PPP ข้างต้นจะช่วยสร้างความสนใจและดึงดูดให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการร่วมลงทุนภายใต้แผนดังกล่าว เพื่อลดข้อจํากัดการลงทุนจากเงินงบประมาณแผ่นดินและเงินกู้จากภาครัฐ ตลอดจนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชนจากความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมของเอกชนในการให้บริการสาธารณะ
2. คณะกรรมการ PPP ได้เห็นชอบร่างกฎหมายลําดับรองภายใต้ พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการเสนอโครงการและการคัดเลือกเอกชน จํานวนรวม 6 เรื่อง ได้แก่ 1) เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชน พ.ศ. .... 2) เรื่อง รายละเอียดที่ต้องมีในรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการและหลักเกณฑ์ และวิธีการในการนําความเห็นของหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชน มาประกอบการพิจารณาจัดทํารายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ พ.ศ. .... 3) เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และกรอบระยะเวลาในการเสนอโครงการ พ.ศ. .... 4) เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเอกชน พ.ศ. .... 5) เรื่อง รายละเอียดของร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสําหรับการคัดเลือกเอกชน และสาระสําคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุน พ.ศ. .... และ 6) เรื่อง เงื่อนไขสําคัญของสัญญาร่วมลงทุน พ.ศ. .... ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกําหนดรายละเอียดแนวทางเพื่อรองรับการดําเนินการตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ในแต่ละเรื่องให้เกิดความชัดเจน และเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินการของหน่วยงานของรัฐ
3. คณะกรรมการ PPP ได้วินิจฉัยกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 ตามมาตรา 20 (9) ตามที่มีหน่วยงานหารือ ได้แก่ 1) กรณีโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนก่อสร้างและบริหารจัดการระบบกําจัดขยะมูลฝอยขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี และ 2) กรณีแนวทางการดําเนินการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29178
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”เปรียบเทียบราคาจำหน่ายปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยกับประเทศในอาเซียน พบส่วนใหญ่ไทยมีราคาถูกกว่า ชี้ให้เห็นว่าค่าครองชีพของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำ
|
วันพุธที่ 4 กรกฎาคม 2561
“พาณิชย์”เปรียบเทียบราคาจําหน่ายปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยกับประเทศในอาเซียน พบส่วนใหญ่ไทยมีราคาถูกกว่า ชี้ให้เห็นว่าค่าครองชีพของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ํา
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มีการติดตามสถานการณ์การจําหน่ายปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคที่สําคัญของไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียน
ได้แก่ ไก่สดชําแหละ (น่องติดสะโพก) ไข่ไก่ น้ําตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ปลากระป๋อง นมสดพาสเจอร์ไรส์ น้ํามันปาล์ม ข้าวสาร เนื้อหมู และบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป เป็นต้น โดยพบว่าราคาจําหน่ายของไทยเฉลี่ยต่ําสุด เมื่อเทียบกับราคาจําหน่ายในประเทศอาเซียนเกือบทุกสินค้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าจําเป็นของไทย มีราคา ถูกกว่าและมีค่าครองชีพที่ต่ํากว่าชาติอาเซียนอื่น
สําหรับราคาจําหน่ายไก่สดชําแหละของไทย เฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 67.50 บาท ต่ําที่สุด ในอาเซียน รองลงมา คือ สปป.ลาว กก.ละ 97 บาท เวียดนาม กก.ละ 104.20 บาท กัมพูชา กก.ละ 104.30 บาท ฟิลิปปินส์ กก.ละ 104.60 บาท มาเลเซีย กก.ละ 105.80 บาท อินโดนีเซีย กก.ละ 139.40 บาท เมียนมา กก.ละ 161.70 บาท บรูไน กก.ละ 164.20 บาท และสิงคโปร์สูงสุด กก.ละ 218.70 บาท
ไข่ไก่ เวียดนามต่ําสุดเฉลี่ยฟองละ 3.10 บาท ไทยอันดับ 2 ฟองละ 3.35 บาท ตามมาด้วยมาเลเซียฟองละ 3.65 บาท สปป.ลาว ฟองละ 3.80 บาท เมียนมาและกัมพูชาเท่ากันฟองละ 4 บาท ฟิลิปปินส์ฟองละ 4.20 บาท อินโดนีเซีย ฟองละ 4.30 บาท สิงคโปร์ฟองละ 5.60 บาท และบรูไนสูงสุด ฟองละ 6 บาท
น้ําตาลทราย บรูไนต่ําสุด กก.ละ 16 บาท ไทยอันดับ 2 กก.ละ 22 บาท ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ กก.ละ 26 บาท เมียนมา กก.ละ 28 บาท เวียดนาม กก.ละ 31 บาท มาเลเซียและสิงคโปร์ กก.ละ 32 บาท สปป.ลาวและกัมพูชา กก.ละ 33 บาท อินโดนีเซียสูงสุด กก.ละ 36 บาท
ปลากระป๋อง (155 กรัม) ฟิลิปปินส์ต่ําสุด กระป๋องละ 14 บาท เวียดนามอันดับ 2 กระป๋องละ 16 บาท ตามด้วยไทย 18.50 บาท กัมพูชา 19.50 บาท สปป.ลาว 20 บาท อินโดนีเซีย 21 บาท เมียนมา 25 บาท มาเลเซีย 33 บาท สิงคโปร์ 36 บาท และบรูไนสูงสุด 39 บาท
นมสดพาสเจอร์ไรส์ (200 มล.) ไทยต่ําสุดเฉลี่ย 12.25 บาท รองลงมา คือ เวียดนาม 12.37 บาท บรูไน 12.97 บาท อินโดนีเซีย 14.97 บาท สปป.ลาว 15.62 บาท ฟิลิปปินส์ 16.80 บาท กัมพูชา 17.79 บาท มาเลเซีย 18.44 บาท สิงคโปร์ 18.80 บาท และเมียนมาสูงสุด 18.88 บาท
น้ํามันปาล์ม (1 ลิตร) ไทยต่ําสุดเฉลี่ยขวดละ 31 บาท รองลงมา คือ มาเลเซีย 36 บาท อินโดนีเซีย 38 บาท เมียนมา 40 บาท สปป.ลาว 49 บาท บรูไน 50 บาท กัมพูชา 56 บาท เวียดนาม 64 บาท สิงคโปร์ 70 บาท และฟิลิปปินส์สูงสุด 86 บาท
นอกจากนี้ ยังได้มีการสํารวจราคาจําหน่ายข้าวสาร โดยไทยและเวียดนามราคาใกล้เคียงกันที่กก.ละ 28-30 บาท ส่วนกัมพูชา กก.ละ 31.35 บาท สปป.ลาว กก.ละ 36.40 บาท และเมียนมา กก.ละ 37.92 บาท สําหรับราคาเนื้อหมูของไทยต่ําสุด กก.ละ 120-125 บาท สปป.ลาว กก.ละ 132-140 บาท เวียดนาม กก.ละ 136.5-138.88 บาท และกัมพูชา กก.ละ 140.25 บาท ในส่วนของบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปต่อซองของไทย 5 บาท เวียดนาม 5.40 บาท กัมพูชา 7 บาท และ สปป.ลาว 8 บาท
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ให้ความสําคัญในการดูแลราคาสินค้าไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยมอบหมายให้ กรมการค้าภายใน จัดเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการจําหน่ายสินค้าให้มีราคา คุณภาพ ปริมาณที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อผู้บริโภค ตลอดจนการตรวจสอบการปิดป้ายแสดงราคาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องปรามการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า ทั้งนี้ หากประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้า และบริการ แจ้งได้ที่สายด่วน 1569 หรือ สํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”เปรียบเทียบราคาจำหน่ายปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยกับประเทศในอาเซียน พบส่วนใหญ่ไทยมีราคาถูกกว่า ชี้ให้เห็นว่าค่าครองชีพของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำ
วันพุธที่ 4 กรกฎาคม 2561
“พาณิชย์”เปรียบเทียบราคาจําหน่ายปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยกับประเทศในอาเซียน พบส่วนใหญ่ไทยมีราคาถูกกว่า ชี้ให้เห็นว่าค่าครองชีพของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ํา
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มีการติดตามสถานการณ์การจําหน่ายปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคที่สําคัญของไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียน
ได้แก่ ไก่สดชําแหละ (น่องติดสะโพก) ไข่ไก่ น้ําตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ปลากระป๋อง นมสดพาสเจอร์ไรส์ น้ํามันปาล์ม ข้าวสาร เนื้อหมู และบะหมี่กึ่งสําเร็จรูป เป็นต้น โดยพบว่าราคาจําหน่ายของไทยเฉลี่ยต่ําสุด เมื่อเทียบกับราคาจําหน่ายในประเทศอาเซียนเกือบทุกสินค้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าจําเป็นของไทย มีราคา ถูกกว่าและมีค่าครองชีพที่ต่ํากว่าชาติอาเซียนอื่น
สําหรับราคาจําหน่ายไก่สดชําแหละของไทย เฉลี่ยอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 67.50 บาท ต่ําที่สุด ในอาเซียน รองลงมา คือ สปป.ลาว กก.ละ 97 บาท เวียดนาม กก.ละ 104.20 บาท กัมพูชา กก.ละ 104.30 บาท ฟิลิปปินส์ กก.ละ 104.60 บาท มาเลเซีย กก.ละ 105.80 บาท อินโดนีเซีย กก.ละ 139.40 บาท เมียนมา กก.ละ 161.70 บาท บรูไน กก.ละ 164.20 บาท และสิงคโปร์สูงสุด กก.ละ 218.70 บาท
ไข่ไก่ เวียดนามต่ําสุดเฉลี่ยฟองละ 3.10 บาท ไทยอันดับ 2 ฟองละ 3.35 บาท ตามมาด้วยมาเลเซียฟองละ 3.65 บาท สปป.ลาว ฟองละ 3.80 บาท เมียนมาและกัมพูชาเท่ากันฟองละ 4 บาท ฟิลิปปินส์ฟองละ 4.20 บาท อินโดนีเซีย ฟองละ 4.30 บาท สิงคโปร์ฟองละ 5.60 บาท และบรูไนสูงสุด ฟองละ 6 บาท
น้ําตาลทราย บรูไนต่ําสุด กก.ละ 16 บาท ไทยอันดับ 2 กก.ละ 22 บาท ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ กก.ละ 26 บาท เมียนมา กก.ละ 28 บาท เวียดนาม กก.ละ 31 บาท มาเลเซียและสิงคโปร์ กก.ละ 32 บาท สปป.ลาวและกัมพูชา กก.ละ 33 บาท อินโดนีเซียสูงสุด กก.ละ 36 บาท
ปลากระป๋อง (155 กรัม) ฟิลิปปินส์ต่ําสุด กระป๋องละ 14 บาท เวียดนามอันดับ 2 กระป๋องละ 16 บาท ตามด้วยไทย 18.50 บาท กัมพูชา 19.50 บาท สปป.ลาว 20 บาท อินโดนีเซีย 21 บาท เมียนมา 25 บาท มาเลเซีย 33 บาท สิงคโปร์ 36 บาท และบรูไนสูงสุด 39 บาท
นมสดพาสเจอร์ไรส์ (200 มล.) ไทยต่ําสุดเฉลี่ย 12.25 บาท รองลงมา คือ เวียดนาม 12.37 บาท บรูไน 12.97 บาท อินโดนีเซีย 14.97 บาท สปป.ลาว 15.62 บาท ฟิลิปปินส์ 16.80 บาท กัมพูชา 17.79 บาท มาเลเซีย 18.44 บาท สิงคโปร์ 18.80 บาท และเมียนมาสูงสุด 18.88 บาท
น้ํามันปาล์ม (1 ลิตร) ไทยต่ําสุดเฉลี่ยขวดละ 31 บาท รองลงมา คือ มาเลเซีย 36 บาท อินโดนีเซีย 38 บาท เมียนมา 40 บาท สปป.ลาว 49 บาท บรูไน 50 บาท กัมพูชา 56 บาท เวียดนาม 64 บาท สิงคโปร์ 70 บาท และฟิลิปปินส์สูงสุด 86 บาท
นอกจากนี้ ยังได้มีการสํารวจราคาจําหน่ายข้าวสาร โดยไทยและเวียดนามราคาใกล้เคียงกันที่กก.ละ 28-30 บาท ส่วนกัมพูชา กก.ละ 31.35 บาท สปป.ลาว กก.ละ 36.40 บาท และเมียนมา กก.ละ 37.92 บาท สําหรับราคาเนื้อหมูของไทยต่ําสุด กก.ละ 120-125 บาท สปป.ลาว กก.ละ 132-140 บาท เวียดนาม กก.ละ 136.5-138.88 บาท และกัมพูชา กก.ละ 140.25 บาท ในส่วนของบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปต่อซองของไทย 5 บาท เวียดนาม 5.40 บาท กัมพูชา 7 บาท และ สปป.ลาว 8 บาท
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ให้ความสําคัญในการดูแลราคาสินค้าไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยมอบหมายให้ กรมการค้าภายใน จัดเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการจําหน่ายสินค้าให้มีราคา คุณภาพ ปริมาณที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อผู้บริโภค ตลอดจนการตรวจสอบการปิดป้ายแสดงราคาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องปรามการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า ทั้งนี้ หากประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้า และบริการ แจ้งได้ที่สายด่วน 1569 หรือ สํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13568
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.