title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับเลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APT)
วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560 รมว.ดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับเลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APT) รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับนางสาวอารีวรรณ ฮาวรังษี เลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (Asia-Pacific Telecommunity : APT) พร้อมด้วย Mr.Masanori Kondo รองเลขาธิการAPT และ Dr.JongbonghParktตําแหน่งeProject Development Director ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและแสดงความขอบคุณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยได้ร่วมกันหารือเกี่ยวกับโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและ APT ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก APT ตั้งแต่ก่อตั้งองค์การฯ เมื่อปี 2522 และได้สนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมและกิจกรรมต่างๆ ของ APT มาโดยตลอด ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 ****************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับเลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APT) วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560 รมว.ดิจิทัลฯ ให้การต้อนรับเลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APT) รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้การต้อนรับนางสาวอารีวรรณ ฮาวรังษี เลขาธิการองค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (Asia-Pacific Telecommunity : APT) พร้อมด้วย Mr.Masanori Kondo รองเลขาธิการAPT และ Dr.JongbonghParktตําแหน่งeProject Development Director ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและแสดงความขอบคุณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยได้ร่วมกันหารือเกี่ยวกับโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและ APT ซึ่งประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก APT ตั้งแต่ก่อตั้งองค์การฯ เมื่อปี 2522 และได้สนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมและกิจกรรมต่างๆ ของ APT มาโดยตลอด ณ ห้องรับรอง ชั้น 9 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 ****************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนตกงาน เร่รอน ไม่มีที่อยู่อาศัย
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนตกงาน เร่รอน ไม่มีที่อยู่อาศัย นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนตกงาน เร่รอน ไม่มีที่อยู่อาศัย ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ตกงาน รวมถึงคนเร่รอน ไม่มีที่อยู่อาศัย ที่รวมตัวกันอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ โดยให้จัดทําอาหารแจกให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้มีอาหารกินครบทุกมื้อ รวมถึงให้จัดทําฐานข้อมูล แนะแนวให้ความช่วยเหลือบุคคลที่ตกงานที่ต้องการจะเดินทางกลับบ้าน ทั้งนี้ จากการดําเนินการมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทําให้ประชาชนได้รับผลกระทบ นายกรัฐมนตรีเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างดี ยืนยันรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ พร้อมกับขอความร่วมมือประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ให้ประสานงานกับส่วนราชการในพื้นที่ เพื่อจะได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันที่กําหนดไว้ต่อไป -------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนตกงาน เร่รอน ไม่มีที่อยู่อาศัย วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนตกงาน เร่รอน ไม่มีที่อยู่อาศัย นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือคนตกงาน เร่รอน ไม่มีที่อยู่อาศัย ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ตกงาน รวมถึงคนเร่รอน ไม่มีที่อยู่อาศัย ที่รวมตัวกันอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ โดยให้จัดทําอาหารแจกให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้ได้มีอาหารกินครบทุกมื้อ รวมถึงให้จัดทําฐานข้อมูล แนะแนวให้ความช่วยเหลือบุคคลที่ตกงานที่ต้องการจะเดินทางกลับบ้าน ทั้งนี้ จากการดําเนินการมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทําให้ประชาชนได้รับผลกระทบ นายกรัฐมนตรีเข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างดี ยืนยันรัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ พร้อมกับขอความร่วมมือประชาชนที่ต้องการช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ให้ประสานงานกับส่วนราชการในพื้นที่ เพื่อจะได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันที่กําหนดไว้ต่อไป -------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29672
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีต่อสื่อมวลชนในประเด็นด้านต่างประเทศ
วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2560 นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีต่อสื่อมวลชนในประเด็นด้านต่างประเทศ นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีต่อสื่อมวลชนในประเด็นด้านต่างประเทศ วันนี้ (2 พฤศภาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงเรื่องการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐบาห์เรนและการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 30 ว่า มีความก้าวหน้าในหลายเรื่องทั้งการค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว สาธารณสุข การเกษตร รวมถึงช่องทางในการส่งออกอาหารฮาลาลและสินค้าเกษตรแปรรูปไปยังกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council: GCC) ไทยก็มีความร่วมมือกับบาห์เรนในลักษณะThailand+1 ที่จะทํากับบาห์เรนและกลุ่มประเทศอาหรับ นอกจากนี้ ทางบาห์เรนในฐานะผู้ประสานงานฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย มีแผนงานที่จะประชุมร่วมกันเร็วนี้ๆ สําหรับความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดิอาระเบีย ทั้งสองฝ่ายมีหลักการว่าจะประสานความสัมพันธ์ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และรัฐบาลมีแผนจะให้รองนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียในอนาคต สําหรับการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 30 ที่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ประเทศสมาชิกได้หารือหลายมิติทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และมีการเจรจาตกลงทางการค้าที่ก้าวหน้ามากขึ้น สําหรับวิกฤตการณ์ในเกาหลีเหนือ ไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนตกลงกันว่าจะให้ประเทศมหาอํานาจได้ตกลงและหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางปฏิบัติอย่างสันติวิธีกับเกาหลีเหนือ ส่วนปัญหาในทะเลจีนใต้ ขณะนี้กําลังเดินหน้าไปสู่การจัดทําแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct: CoC) ซึ่งมีพัฒนาการที่ดีเพราะจีน ฟิลิปปินส์ และอาเซียน ได้หารือกันอย่างต่อเนื่อง ส่วนในระหว่างนี้ที่ประชุมเสนอให้ทําตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ (Declaration on the conduct of Parties in the South China Sea: DoC) ไปก่อน อาทิ การสร้างความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมในทะเล การรักษาเส้นทางการเดินเรือโดยเสรีและปลอดภัย เพื่อให้เป็นทะเลแห่งสันติภาพ ความมั่งคั่ง และผลประโยชน์ร่วมกัน สําหรับการสนทนาทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้สนทนากับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยได้แสดงความยินดีที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ คนที่ 45 พร้อมชื่นชมในความสําเร็จในการบริหารประเทศในช่วง 100 วันที่ผ่านมา และยืนยันต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ไทยพร้อมร่วมมือกับสหรัฐฯในทุกด้านเพื่อทําให้เกิดสันติภาพ ความมั่นคง มั่งคั่ง และเสถียรภาพ มาสู่ภูมิภาคและโลกด้วย ด้านประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวขอบคุณถึงความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ที่มีความเป็นพันธมิตรมายาวนาน 184 ปี และชื่นชมความก้าวหน้าของประเทศไทยภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบัน และยืนยันว่า ไทยเป็นพันธมิตรที่สําคัญของสหรัฐฯ ทั้งสองฝ่ายจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นในอนาคต พร้อมเชิญนายกรัฐมนตรีไปหารือที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐฯ ด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีต่อสื่อมวลชนในประเด็นด้านต่างประเทศ วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม 2560 นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีต่อสื่อมวลชนในประเด็นด้านต่างประเทศ นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีต่อสื่อมวลชนในประเด็นด้านต่างประเทศ วันนี้ (2 พฤศภาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงเรื่องการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐบาห์เรนและการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 30 ว่า มีความก้าวหน้าในหลายเรื่องทั้งการค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว สาธารณสุข การเกษตร รวมถึงช่องทางในการส่งออกอาหารฮาลาลและสินค้าเกษตรแปรรูปไปยังกลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council: GCC) ไทยก็มีความร่วมมือกับบาห์เรนในลักษณะThailand+1 ที่จะทํากับบาห์เรนและกลุ่มประเทศอาหรับ นอกจากนี้ ทางบาห์เรนในฐานะผู้ประสานงานฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย มีแผนงานที่จะประชุมร่วมกันเร็วนี้ๆ สําหรับความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดิอาระเบีย ทั้งสองฝ่ายมีหลักการว่าจะประสานความสัมพันธ์ให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และรัฐบาลมีแผนจะให้รองนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียในอนาคต สําหรับการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 30 ที่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ประเทศสมาชิกได้หารือหลายมิติทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และมีการเจรจาตกลงทางการค้าที่ก้าวหน้ามากขึ้น สําหรับวิกฤตการณ์ในเกาหลีเหนือ ไทยและประเทศสมาชิกอาเซียนตกลงกันว่าจะให้ประเทศมหาอํานาจได้ตกลงและหารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางปฏิบัติอย่างสันติวิธีกับเกาหลีเหนือ ส่วนปัญหาในทะเลจีนใต้ ขณะนี้กําลังเดินหน้าไปสู่การจัดทําแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct: CoC) ซึ่งมีพัฒนาการที่ดีเพราะจีน ฟิลิปปินส์ และอาเซียน ได้หารือกันอย่างต่อเนื่อง ส่วนในระหว่างนี้ที่ประชุมเสนอให้ทําตามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ (Declaration on the conduct of Parties in the South China Sea: DoC) ไปก่อน อาทิ การสร้างความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมในทะเล การรักษาเส้นทางการเดินเรือโดยเสรีและปลอดภัย เพื่อให้เป็นทะเลแห่งสันติภาพ ความมั่งคั่ง และผลประโยชน์ร่วมกัน สําหรับการสนทนาทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้สนทนากับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยได้แสดงความยินดีที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ คนที่ 45 พร้อมชื่นชมในความสําเร็จในการบริหารประเทศในช่วง 100 วันที่ผ่านมา และยืนยันต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ไทยพร้อมร่วมมือกับสหรัฐฯในทุกด้านเพื่อทําให้เกิดสันติภาพ ความมั่นคง มั่งคั่ง และเสถียรภาพ มาสู่ภูมิภาคและโลกด้วย ด้านประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้กล่าวขอบคุณถึงความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ที่มีความเป็นพันธมิตรมายาวนาน 184 ปี และชื่นชมความก้าวหน้าของประเทศไทยภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลปัจจุบัน และยืนยันว่า ไทยเป็นพันธมิตรที่สําคัญของสหรัฐฯ ทั้งสองฝ่ายจะมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นในอนาคต พร้อมเชิญนายกรัฐมนตรีไปหารือที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐฯ ด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3454
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบรรยายพิเศษ “PM 2.5 เดี๋ยวมา... เดี๋ยวไป”
วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบรรยายพิเศษ “PM 2.5 เดี๋ยวมา... เดี๋ยวไป” รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบรรยายพิเศษ “PM 2.5 เดี๋ยวมา... เดี๋ยวไป” นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมบรรยายพิเศษ เรื่อง “PM 2.5 เดี๋ยวมา... เดี๋ยวไป” พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้ การส่งเสริมมิตรภาพ และการดําเนินกิจกรรมต่างๆ ของสโมสรในการบําเพ็ญประโยชน์ต่อผู้ด้อยโอกาสในชุมชน สังคม และประเทศชาติ ให้กับคณะกรรมการและสมาชิกสโมสรโรตารีพระโขนง และสมาชิก “Rotary Home Club of Convernor” ณ ห้องการ์เด้นท์ 1 ชั้น 2 ตึกทาวเวอร์วิง โรงแรม แอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 พร้อมกันนี้รองปลัดกระทรวงฯ กล่าวถึง (กรณีฝุ่น PM 2.5) ว่า กระทรวงฯ อยู่ระหว่างจัดทําแอพพลิเคชั่น สําหรับแจ้งปริมาณฝุ่นในแต่ละพื้นที่ให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งเป็นความร่วมมือของ กรมอุตุนิยมวิทยา และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ******************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบรรยายพิเศษ “PM 2.5 เดี๋ยวมา... เดี๋ยวไป” วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบรรยายพิเศษ “PM 2.5 เดี๋ยวมา... เดี๋ยวไป” รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบรรยายพิเศษ “PM 2.5 เดี๋ยวมา... เดี๋ยวไป” นายภูเวียง ประคํามินทร์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมบรรยายพิเศษ เรื่อง “PM 2.5 เดี๋ยวมา... เดี๋ยวไป” พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้ การส่งเสริมมิตรภาพ และการดําเนินกิจกรรมต่างๆ ของสโมสรในการบําเพ็ญประโยชน์ต่อผู้ด้อยโอกาสในชุมชน สังคม และประเทศชาติ ให้กับคณะกรรมการและสมาชิกสโมสรโรตารีพระโขนง และสมาชิก “Rotary Home Club of Convernor” ณ ห้องการ์เด้นท์ 1 ชั้น 2 ตึกทาวเวอร์วิง โรงแรม แอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 พร้อมกันนี้รองปลัดกระทรวงฯ กล่าวถึง (กรณีฝุ่น PM 2.5) ว่า กระทรวงฯ อยู่ระหว่างจัดทําแอพพลิเคชั่น สําหรับแจ้งปริมาณฝุ่นในแต่ละพื้นที่ให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งเป็นความร่วมมือของ กรมอุตุนิยมวิทยา และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26337
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองฯ ประวิตรรับฟังบรรยายสรุปแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่เพื่อการแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบยั่งยืน
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563 รองฯ ประวิตรรับฟังบรรยายสรุปแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ําในพื้นที่เพื่อการแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบยั่งยืน รองฯ ประวิตรรับฟังบรรยายสรุปแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ําในพื้นที่เพื่อการแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบยั่งยืน วันนี้(18มิถุนายน2563) ‪เวลา11.00น.‬ณโรงเรียนสบปราบพิทยาคมอําเภอสบปราบจังหวัดลําปางพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ําในพื้นที่เพื่อการแก้ไขปัญหาภัยแล้งจังหวัดลําปางอยู่ในลุ่มน้ําวังที่มีพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ําโดยรัฐบาลได้จัดสรรงบกลางแก้ไขภัยแล้งกว่า70โครงการและงบเร่งด่วนอีกกว่า150โครงการทั้งการขุดเจาะบ่อบาดาล การซ่อมแซมระบบประปาการขุดลอกแม่น้ําวังและทําเขื่อนป้องกันตลิ่งรวมทั้งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริและโครงการสําคัญที่อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมอีกกว่า20โครงการที่กําลังเร่งรัดขับเคลื่อนให้สามารถแก้ปัญหาน้ําได้ทั้งระบบทั้งนี้จังหวัดได้ริเริ่มโครงการนําร่องที่สําคัญได้แก่"สิริราชโมเดล"เพื่อแก้ไขภัยแล้งในพื้นที่อย่างยั่งยืนโดยบริหารจัดการน้ําทั้งบนดินและใต้ดินอย่างเป็นระบบ ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปฯรองนายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะกับผู้นําชุมชนและประชาชนในพื้นที่ว่าขอให้ส่วนราชการและผู้นําท้องถิ่นดูแลประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีโดยเฉพาะเรื่องน้ําต้องให้เพียงพอต่อความต้องการทั้งอุปโภคบริโภคและการเกษตรพร้อมกําชับเรื่องการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพสร้างประโยชน์ต่อประชาชนและฝากให้ประชาชนช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะป่าไม้เพื่อให้คงสภาพความสมบูรณ์เป็นมรดกของลูกหลานต่อไปในอนาคต จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานณด่านตรวจยาเสพติดสถานีตํารวจภูธรสบปรามซึ่งเป็นการทํางานร่วมกันอย่างบูรณาการของตํารวจและทหารโดยรองนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนขอให้ทํางานด้วยความระมัดระวังอย่าประมาทซึ่งการป้องกันปราบปรามยาเสพติดเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญทุกคนต้องร่วมมือช่วยกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติดโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นต้องดูแลเป็นพิเศษเพราะเป็นอนาคตและเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต ................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองฯ ประวิตรรับฟังบรรยายสรุปแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่เพื่อการแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบยั่งยืน วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563 รองฯ ประวิตรรับฟังบรรยายสรุปแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ําในพื้นที่เพื่อการแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบยั่งยืน รองฯ ประวิตรรับฟังบรรยายสรุปแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ําในพื้นที่เพื่อการแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบยั่งยืน วันนี้(18มิถุนายน2563) ‪เวลา11.00น.‬ณโรงเรียนสบปราบพิทยาคมอําเภอสบปราบจังหวัดลําปางพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ําในพื้นที่เพื่อการแก้ไขปัญหาภัยแล้งจังหวัดลําปางอยู่ในลุ่มน้ําวังที่มีพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ําโดยรัฐบาลได้จัดสรรงบกลางแก้ไขภัยแล้งกว่า70โครงการและงบเร่งด่วนอีกกว่า150โครงการทั้งการขุดเจาะบ่อบาดาล การซ่อมแซมระบบประปาการขุดลอกแม่น้ําวังและทําเขื่อนป้องกันตลิ่งรวมทั้งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริและโครงการสําคัญที่อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมอีกกว่า20โครงการที่กําลังเร่งรัดขับเคลื่อนให้สามารถแก้ปัญหาน้ําได้ทั้งระบบทั้งนี้จังหวัดได้ริเริ่มโครงการนําร่องที่สําคัญได้แก่"สิริราชโมเดล"เพื่อแก้ไขภัยแล้งในพื้นที่อย่างยั่งยืนโดยบริหารจัดการน้ําทั้งบนดินและใต้ดินอย่างเป็นระบบ ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปฯรองนายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะกับผู้นําชุมชนและประชาชนในพื้นที่ว่าขอให้ส่วนราชการและผู้นําท้องถิ่นดูแลประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีโดยเฉพาะเรื่องน้ําต้องให้เพียงพอต่อความต้องการทั้งอุปโภคบริโภคและการเกษตรพร้อมกําชับเรื่องการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพสร้างประโยชน์ต่อประชาชนและฝากให้ประชาชนช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะป่าไม้เพื่อให้คงสภาพความสมบูรณ์เป็นมรดกของลูกหลานต่อไปในอนาคต จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีเดินทางไปตรวจเยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานณด่านตรวจยาเสพติดสถานีตํารวจภูธรสบปรามซึ่งเป็นการทํางานร่วมกันอย่างบูรณาการของตํารวจและทหารโดยรองนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนขอให้ทํางานด้วยความระมัดระวังอย่าประมาทซึ่งการป้องกันปราบปรามยาเสพติดเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญทุกคนต้องร่วมมือช่วยกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของยาเสพติดโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นต้องดูแลเป็นพิเศษเพราะเป็นอนาคตและเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต ................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32465
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐากถาในงานสัมมนา “TDPG 2.0 : Building Trust with Data Protection”
วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐากถาในงานสัมมนา “TDPG 2.0 : Building Trust with Data Protection” รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐากถาในงานสัมมนา “TDPG 2.0 : Building Trust with Data Protection” นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปาฐากถาในงานสัมมนา “TDPG 2.0 : Building Trust with Data Protection” ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 โดยมีนายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมฯ ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ ได้สนับสนุนโครงการจัดทําคู่มือแนวปฎบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Thailand Data Protection Guidelines : TDPG) ตลอดมา นับตั้งแต่ TDPG 1.0 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่เนื้อหา สร้างความเข้าใจ ตลอดจนแนวปฏิบัติเพื่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่ผู้ประกอบการไทยตามมาตรฐานสากล หรือ EU General Data Protection Regulation (GDPR) โดยในปีนี้ โครงการฯ ได้ดําเนินการจัดทํา TDPG 2.0 โดยศูนย์วิจัยกฎหมายและการพัฒนา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดขึ้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตระหนักรู้ถึงความสําคัญและผลกระทบของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่จะมีต่อผู้ประกอบการไทย และนําเสนอเนื้อหาของ TDPG 2.0 เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไทยต่อการดําเนินการภายในองค์กรให้สอดคล้องกับมาตรฐานตามกฎหมาย *********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐากถาในงานสัมมนา “TDPG 2.0 : Building Trust with Data Protection” วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม 2562 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐากถาในงานสัมมนา “TDPG 2.0 : Building Trust with Data Protection” รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ปาฐากถาในงานสัมมนา “TDPG 2.0 : Building Trust with Data Protection” นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปาฐากถาในงานสัมมนา “TDPG 2.0 : Building Trust with Data Protection” ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 โดยมีนายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมฯ ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ ได้สนับสนุนโครงการจัดทําคู่มือแนวปฎบัติเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Thailand Data Protection Guidelines : TDPG) ตลอดมา นับตั้งแต่ TDPG 1.0 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่เนื้อหา สร้างความเข้าใจ ตลอดจนแนวปฏิบัติเพื่อการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่ผู้ประกอบการไทยตามมาตรฐานสากล หรือ EU General Data Protection Regulation (GDPR) โดยในปีนี้ โครงการฯ ได้ดําเนินการจัดทํา TDPG 2.0 โดยศูนย์วิจัยกฎหมายและการพัฒนา คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดขึ้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตระหนักรู้ถึงความสําคัญและผลกระทบของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่จะมีต่อผู้ประกอบการไทย และนําเสนอเนื้อหาของ TDPG 2.0 เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไทยต่อการดําเนินการภายในองค์กรให้สอดคล้องกับมาตรฐานตามกฎหมาย *********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24043
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ ติดตามการแก้ปัญหาน้ำแล้ง นำตัวแทนชาวนาสุพรรณฯ
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 รมช.เกษตรฯ ติดตามการแก้ปัญหาน้ําแล้ง นําตัวแทนชาวนาสุพรรณฯ รมช.เกษตรฯ ติดตามการแก้ปัญหาน้ําแล้ง นําตัวแทนชาวนาสุพรรณฯ ลุยดูการผันน้ําประตูระบายน้ําชัยนาท มั่นใจอีก 2 วันริมคลองยาวกว่า 400 กม. มีน้ําใช้ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 62 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี พร้อมด้วย นายภูสิต สมจิตต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่กรมชลประทาน ผู้นําท้องถิ่น และตัวแทนเกษตรกร จ.สุพรรณบุรี โดยตรวจดูปริมาณน้ําที่ประตูระบายน้ําพลเทพ จ.ชัยนาท เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกร จ.สุพรรณบุรี ว่าภายใน 2 วัน ปริมาณน้ําจะถึงปลายคลองอย่างแน่นอน โดยเกษตรกรจะมีน้ําสูบใส่นาข้าวที่กําลังขาดน้ําแห้งตายจํานวนมาก โดยเฉพาะเกษตรกรใน 4 อําเภอ ประกอบด้วย อ.เดิมบางบางบวช อ.สามชุก อ.ดอนเจดีย์ และ อ.เมืองสุพรรณบุรี จ.สุพรรณบุรี ที่ใช้น้ําในคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง (คลอง มอ.) ซึ่งกําลังได้รับความเดือดร้อนหนัก ข้าวกําลังขาดน้ํายืนต้นตาย เนื่องจากน้ําในคลองมีปริมาณน้อยจากปัญหาภัยแล้งประกอบกับช่วงนี้ฝนทิ้งช่วง เกษตรกรกว่า 50,000 ครัวเรือน กําลังได้รับความเดือดร้อน พื้นที่กว่า 250,000 ไร่ นายประภัตร เปิดเผยว่า จากปัญหาภัยแล้งทําให้เกษตรกรในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี ได้รับความเดือนร้อน ชาวนาแย่งกันสูบน้ําเข้านาข้าวนั้น ขณะนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งหาทางช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ซึ่งกรมชลประทาน ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ําจากประตูน้ําพลเทพ จ.ชัยนาท ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ําขนาดใหญ่ 2 ท่อ ท่อขนาด 18 นิ้ว จํานวน 2 ท่อ และท่อขนาด 12 นิ้ว จํานวน 7 ท่อ และประตูไฟฟ้าระบายน้ําอีก 3 ประตู เพื่อเร่งส่งน้ําเข้าคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง (คลอง มอ.) โดยขณะนี้สามารถส่งน้ําเข้าคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง ได้ปริมาณ 12 ลบ.ม./วินาที และกําลังเร่งสูบน้ําให้ได้ 15-18 ลบ.ม./วินาที ซึ่งคาดว่าปริมาณน้ําจะถึงช่วงปลายคลอง ภายใน 2 วันนี้ ทั้งนี้ขอความร่วมมือชาวนาให้หยุดลักลอบแย่งกันสูบน้ําเข้านา โดยขอให้รอปริมาณน้ําในคลองมีปริมาณมากพอก่อน แล้วจึงสามารถสูบน้ําเข้านาพร้อมๆ กันในวันอังคารที่ 13 ส.ค. นี้ โดยไม่ต้องจัดคิวรอบเวรให้สูบกันเป็นช่วงๆ เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการแย่งกันสูบน้ําและป้องกันปัญหาความขัดแย้งของชาวนาอีกด้วย “จากการพูดคุย ชาวนาส่วนใหญ่เข้าใจการทํางานของทุกฝ่ายที่หาทางช่วยเหลืออยู่ จึงยอมตกลงหยุดสูบน้ําก่อน และรอให้ปริมาณน้ํามามากพอที่จะสามารถสูบเข้านาได้พร้อมๆ กันทีเดียว ขณะเดียวกันต้องขอร้องชาวนาบางราย ที่ไม่ให้ความร่วมมือตามข้องตกลงได้แอบลักลอบสูบน้ําเข้านาทั้งที่ชาวนาส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือตามกติกาหยุดสูบน้ําเข้านาช่วงนี้ ส่วนนาข้าวที่ได้รับปัญหาจากภัยแล้งเสียหายแล้วนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการสํารวจเก็บข้อมูล เตรียมเสนอรายละเอียดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีประกาศภัยแล้ง เพื่อเตรียมหาทางเยียวยาช่วยเหลือต่อไป” นายประภัตร กล่าว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.เกษตรฯ ติดตามการแก้ปัญหาน้ำแล้ง นำตัวแทนชาวนาสุพรรณฯ วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 รมช.เกษตรฯ ติดตามการแก้ปัญหาน้ําแล้ง นําตัวแทนชาวนาสุพรรณฯ รมช.เกษตรฯ ติดตามการแก้ปัญหาน้ําแล้ง นําตัวแทนชาวนาสุพรรณฯ ลุยดูการผันน้ําประตูระบายน้ําชัยนาท มั่นใจอีก 2 วันริมคลองยาวกว่า 400 กม. มีน้ําใช้ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 62 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี พร้อมด้วย นายภูสิต สมจิตต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่กรมชลประทาน ผู้นําท้องถิ่น และตัวแทนเกษตรกร จ.สุพรรณบุรี โดยตรวจดูปริมาณน้ําที่ประตูระบายน้ําพลเทพ จ.ชัยนาท เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกร จ.สุพรรณบุรี ว่าภายใน 2 วัน ปริมาณน้ําจะถึงปลายคลองอย่างแน่นอน โดยเกษตรกรจะมีน้ําสูบใส่นาข้าวที่กําลังขาดน้ําแห้งตายจํานวนมาก โดยเฉพาะเกษตรกรใน 4 อําเภอ ประกอบด้วย อ.เดิมบางบางบวช อ.สามชุก อ.ดอนเจดีย์ และ อ.เมืองสุพรรณบุรี จ.สุพรรณบุรี ที่ใช้น้ําในคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง (คลอง มอ.) ซึ่งกําลังได้รับความเดือดร้อนหนัก ข้าวกําลังขาดน้ํายืนต้นตาย เนื่องจากน้ําในคลองมีปริมาณน้อยจากปัญหาภัยแล้งประกอบกับช่วงนี้ฝนทิ้งช่วง เกษตรกรกว่า 50,000 ครัวเรือน กําลังได้รับความเดือดร้อน พื้นที่กว่า 250,000 ไร่ นายประภัตร เปิดเผยว่า จากปัญหาภัยแล้งทําให้เกษตรกรในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี ได้รับความเดือนร้อน ชาวนาแย่งกันสูบน้ําเข้านาข้าวนั้น ขณะนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งหาทางช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ซึ่งกรมชลประทาน ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ําจากประตูน้ําพลเทพ จ.ชัยนาท ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ําขนาดใหญ่ 2 ท่อ ท่อขนาด 18 นิ้ว จํานวน 2 ท่อ และท่อขนาด 12 นิ้ว จํานวน 7 ท่อ และประตูไฟฟ้าระบายน้ําอีก 3 ประตู เพื่อเร่งส่งน้ําเข้าคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง (คลอง มอ.) โดยขณะนี้สามารถส่งน้ําเข้าคลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง ได้ปริมาณ 12 ลบ.ม./วินาที และกําลังเร่งสูบน้ําให้ได้ 15-18 ลบ.ม./วินาที ซึ่งคาดว่าปริมาณน้ําจะถึงช่วงปลายคลอง ภายใน 2 วันนี้ ทั้งนี้ขอความร่วมมือชาวนาให้หยุดลักลอบแย่งกันสูบน้ําเข้านา โดยขอให้รอปริมาณน้ําในคลองมีปริมาณมากพอก่อน แล้วจึงสามารถสูบน้ําเข้านาพร้อมๆ กันในวันอังคารที่ 13 ส.ค. นี้ โดยไม่ต้องจัดคิวรอบเวรให้สูบกันเป็นช่วงๆ เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการแย่งกันสูบน้ําและป้องกันปัญหาความขัดแย้งของชาวนาอีกด้วย “จากการพูดคุย ชาวนาส่วนใหญ่เข้าใจการทํางานของทุกฝ่ายที่หาทางช่วยเหลืออยู่ จึงยอมตกลงหยุดสูบน้ําก่อน และรอให้ปริมาณน้ํามามากพอที่จะสามารถสูบเข้านาได้พร้อมๆ กันทีเดียว ขณะเดียวกันต้องขอร้องชาวนาบางราย ที่ไม่ให้ความร่วมมือตามข้องตกลงได้แอบลักลอบสูบน้ําเข้านาทั้งที่ชาวนาส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือตามกติกาหยุดสูบน้ําเข้านาช่วงนี้ ส่วนนาข้าวที่ได้รับปัญหาจากภัยแล้งเสียหายแล้วนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการสํารวจเก็บข้อมูล เตรียมเสนอรายละเอียดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีประกาศภัยแล้ง เพื่อเตรียมหาทางเยียวยาช่วยเหลือต่อไป” นายประภัตร กล่าว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22182
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กก.สำรวจพื้นที่การส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 รมว.กก.สํารวจพื้นที่การส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ (รมว.กก.) เยี่ยมชมและสํารวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดลําปาง ระหว่างวันที่ 25 – 26 มกราคม 2562 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (รมว.กก.) เยี่ยมชมและสํารวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดลําปาง ระหว่างวันที่25 – 26มกราคม2562เพื่อส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง วันที่25มกราคม2562ช่วงเช้า รมว.กก. ลงพื้นที่เยี่ยมชมระบบการบริหารจัดการพื้นที่รอบบริเวณที่ทําการอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ซึ่งได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ปี2560ประเภทแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ชมบ่อน้ําร้อนแจ้ซ้อน และห้องอาบน้ําแร่ และเดินป่าชมน้ําตก พร้อมทั้งชมการให้บริการและวางจําหน่ายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยว จากนั้นในช่วงบ่าย รมว.กก. เยี่ยมชมบ้านหลุยส์ ที เลียวโอโนแวนส์ บ้านไม้โบราณอายุมากกว่า110ปี สมัยรัชกาลที่4และรับฟังบรรยายประวัติการค้าไม้จังหวัดลําปางของนายห้างค้าไม้อังกฤษ โดย ศจ.ดร.กิตติชัย วัฒนานิกร ต่อจากนั้นนั่งรถม้าชมชุมชนและเดินชมกิจกรรมตลาดถนนวัฒนธรรม ก่อนจะร่วมรับประทานอาหารค่ํา และการปาฐกถา (Dinner Talk) สอบถามแลกเปลี่ยนความรู้ กับผู้นําภาครัฐและเอกชน เพื่อการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดลําปางอย่างยั่งยืน วันที่26มกราคม2562รมว.กก. เดินทางไปเยี่ยมชมสถานีรถไฟจังหวัดลําปาง ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยภาคเหนือกับสถาปัตยกรรมยุโรป จากนั้นร่วมขี่จักรยานไปตลาดเก๊าจาว เดินชมบรรยากาศโบราณของตลาดเก๊าจาว ชมอาคารภาพวาดStreet Artและเยี่ยมชมมูลนิธิลําปางสงเคราะห์ ศูนย์รวมชาวจีนในจังหวัดลําปาง เป็นสถานที่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้ยากไร้ มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามมีห้องประดิษฐานเทพเจ้าต่างๆ มีคําคมตัวอักษรภาษาจีนด้วยพู่กันที่สวยงาม ก่อนเดินทางกลับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กก.สำรวจพื้นที่การส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 รมว.กก.สํารวจพื้นที่การส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ (รมว.กก.) เยี่ยมชมและสํารวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดลําปาง ระหว่างวันที่ 25 – 26 มกราคม 2562 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (รมว.กก.) เยี่ยมชมและสํารวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวจังหวัดลําปาง ระหว่างวันที่25 – 26มกราคม2562เพื่อส่งเสริมและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง วันที่25มกราคม2562ช่วงเช้า รมว.กก. ลงพื้นที่เยี่ยมชมระบบการบริหารจัดการพื้นที่รอบบริเวณที่ทําการอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ซึ่งได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ปี2560ประเภทแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ชมบ่อน้ําร้อนแจ้ซ้อน และห้องอาบน้ําแร่ และเดินป่าชมน้ําตก พร้อมทั้งชมการให้บริการและวางจําหน่ายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยว จากนั้นในช่วงบ่าย รมว.กก. เยี่ยมชมบ้านหลุยส์ ที เลียวโอโนแวนส์ บ้านไม้โบราณอายุมากกว่า110ปี สมัยรัชกาลที่4และรับฟังบรรยายประวัติการค้าไม้จังหวัดลําปางของนายห้างค้าไม้อังกฤษ โดย ศจ.ดร.กิตติชัย วัฒนานิกร ต่อจากนั้นนั่งรถม้าชมชุมชนและเดินชมกิจกรรมตลาดถนนวัฒนธรรม ก่อนจะร่วมรับประทานอาหารค่ํา และการปาฐกถา (Dinner Talk) สอบถามแลกเปลี่ยนความรู้ กับผู้นําภาครัฐและเอกชน เพื่อการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวจังหวัดลําปางอย่างยั่งยืน วันที่26มกราคม2562รมว.กก. เดินทางไปเยี่ยมชมสถานีรถไฟจังหวัดลําปาง ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมไทยภาคเหนือกับสถาปัตยกรรมยุโรป จากนั้นร่วมขี่จักรยานไปตลาดเก๊าจาว เดินชมบรรยากาศโบราณของตลาดเก๊าจาว ชมอาคารภาพวาดStreet Artและเยี่ยมชมมูลนิธิลําปางสงเคราะห์ ศูนย์รวมชาวจีนในจังหวัดลําปาง เป็นสถานที่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ผู้ยากไร้ มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามมีห้องประดิษฐานเทพเจ้าต่างๆ มีคําคมตัวอักษรภาษาจีนด้วยพู่กันที่สวยงาม ก่อนเดินทางกลับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18813
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท.เป็นประธานเปิดงาน วันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ประจำปี 2560 ภายใต้ประเด็นหลัก : เป้าหมายปี 2563 ลดการเสียชีวิตและการบาดเจ็บที่รุนแรงจากอุบัติเหตุทางถนนลง 50
วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน 2560 รมว.มท.เป็นประธานเปิดงาน วันโลกรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ประจําปี 2560 ภายใต้ประเด็นหลัก : เป้าหมายปี 2563 ลดการเสียชีวิตและการบาดเจ็บที่รุนแรงจากอุบัติเหตุทางถนนลง 50 รมว.มท.เป็นประธานเปิดงาน วันโลกรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ประจําปี 2560 ภายใต้ประเด็นหลัก : เป้าหมายปี 2563 ลดการเสียชีวิตและการบาดเจ็บที่รุนแรงจากอุบัติเหตุทางถนนลง 50 % วันนี้ (16 พ.ย. 60) เวลา 09.00 น. ที่ห้องกรุงธนบอลล์รูม โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานครพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน เป็นประธานเปิดงาน วันโลกรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ประจําปี 2560ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคีเครือข่าย ภายใต้ประเด็นการรณรงค์ในหัวข้อ“เป้าหมายปี 2563 : ลดการเสียชีวิตและการบาดเจ็บที่รุนแรงจากอุบัติเหตุทางถนนลง 50 เปอร์เซนต์”โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานในสังกัด รวมถึงผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สถานเอกอัครราชฑูตอังกฤษประจําประเทศไทย องค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย องค์การสหประชาชาติ และกลุ่มภาคีเครือข่ายความปลอดภัยทางถนน เข้าร่วมงานซึ่งภายในงานผู้ร่วมงานได้ยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที และวางช่อดอกกล้วยไม้สีขาวไว้อาลัย เพื่อร่วมรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนที่ผ่านมา โอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวว่ารัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสําคัญและมีเจตนา มุ่งมั่น ตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหา อุบัติเหตุ ทางถนนโดยได้มีนโยบายให้หน่วยงานราชการร่วมกับทุกภาคส่วน บูรณาการการดําเนินการภายใต้แนวคิดประชารัฐและได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในหลายกรณีเช่น การเพิ่มโทษกรณีเมาแล้วขับ การคาดเข็มขัดนิรภัยที่นั่งตอนหลัง โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ปัจจุบันมีการนํานวัตกรรม และเทคโนโลยีต่างๆ มาปรับใช้เพื่อให้การดําเนินการด้านความปลอดภัยทางถนน เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลไทยแลนด์ 4.0 เพื่อมุ่งลดอัตราการเสียชีวิตและการบาดเจ็บที่รุนแรงจากอุบัติเหตุทางถนน และเพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการเดินทาง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สําหรับวันโลกรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน (World Day of Remembrance for Road Traffic Victims)ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากองค์การอนามัยโลกได้กําหนดให้วันอาทิตย์ที่สามในเดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันโลกรําลึกถึงผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงความสําคัญของการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมทั้งร่วมกันรําลึกถึงผู้ประสบอุบัติเหตุและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ก็เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกคนได้รําลึกถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุทางถนน และตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน รวมทั้งเพื่อจุดประกายและสร้างกระแสให้ทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนภาคประชาสังคมและ และประชาชนเกิดความตื่นตัวร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าในนามศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ขอแสดงความเสียใจและร่วมรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนทุกท่าน รวมทั้งขอเป็นกําลังใจ ให้แก่ผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนนและครอบครัวของผู้สูญเสียทุกครอบครัว และขอให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีความปลอดภัย มีพลังกายและใจที่เข้มแข็งเพื่อร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนต่อไป. ครั้งที่ 171/2560 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร. 0-22224131-2
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท.เป็นประธานเปิดงาน วันโลกรำลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ประจำปี 2560 ภายใต้ประเด็นหลัก : เป้าหมายปี 2563 ลดการเสียชีวิตและการบาดเจ็บที่รุนแรงจากอุบัติเหตุทางถนนลง 50 วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน 2560 รมว.มท.เป็นประธานเปิดงาน วันโลกรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ประจําปี 2560 ภายใต้ประเด็นหลัก : เป้าหมายปี 2563 ลดการเสียชีวิตและการบาดเจ็บที่รุนแรงจากอุบัติเหตุทางถนนลง 50 รมว.มท.เป็นประธานเปิดงาน วันโลกรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ประจําปี 2560 ภายใต้ประเด็นหลัก : เป้าหมายปี 2563 ลดการเสียชีวิตและการบาดเจ็บที่รุนแรงจากอุบัติเหตุทางถนนลง 50 % วันนี้ (16 พ.ย. 60) เวลา 09.00 น. ที่ห้องกรุงธนบอลล์รูม โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพมหานครพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน เป็นประธานเปิดงาน วันโลกรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน ประจําปี 2560ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคีเครือข่าย ภายใต้ประเด็นการรณรงค์ในหัวข้อ“เป้าหมายปี 2563 : ลดการเสียชีวิตและการบาดเจ็บที่รุนแรงจากอุบัติเหตุทางถนนลง 50 เปอร์เซนต์”โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานในสังกัด รวมถึงผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สถานเอกอัครราชฑูตอังกฤษประจําประเทศไทย องค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย องค์การสหประชาชาติ และกลุ่มภาคีเครือข่ายความปลอดภัยทางถนน เข้าร่วมงานซึ่งภายในงานผู้ร่วมงานได้ยืนสงบนิ่งเป็นเวลา 1 นาที และวางช่อดอกกล้วยไม้สีขาวไว้อาลัย เพื่อร่วมรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนที่ผ่านมา โอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวว่ารัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ให้ความสําคัญและมีเจตนา มุ่งมั่น ตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหา อุบัติเหตุ ทางถนนโดยได้มีนโยบายให้หน่วยงานราชการร่วมกับทุกภาคส่วน บูรณาการการดําเนินการภายใต้แนวคิดประชารัฐและได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในหลายกรณีเช่น การเพิ่มโทษกรณีเมาแล้วขับ การคาดเข็มขัดนิรภัยที่นั่งตอนหลัง โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ปัจจุบันมีการนํานวัตกรรม และเทคโนโลยีต่างๆ มาปรับใช้เพื่อให้การดําเนินการด้านความปลอดภัยทางถนน เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลไทยแลนด์ 4.0 เพื่อมุ่งลดอัตราการเสียชีวิตและการบาดเจ็บที่รุนแรงจากอุบัติเหตุทางถนน และเพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยในการเดินทาง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สําหรับวันโลกรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน (World Day of Remembrance for Road Traffic Victims)ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากองค์การอนามัยโลกได้กําหนดให้วันอาทิตย์ที่สามในเดือนพฤศจิกายนของทุกปีเป็นวันโลกรําลึกถึงผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงความสําคัญของการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมทั้งร่วมกันรําลึกถึงผู้ประสบอุบัติเหตุและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ก็เพื่อกระตุ้นเตือนให้ทุกคนได้รําลึกถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุทางถนน และตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน รวมทั้งเพื่อจุดประกายและสร้างกระแสให้ทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนภาคประชาสังคมและ และประชาชนเกิดความตื่นตัวร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวเพิ่มเติมว่าในนามศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน ขอแสดงความเสียใจและร่วมรําลึกถึงผู้สูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนทุกท่าน รวมทั้งขอเป็นกําลังใจ ให้แก่ผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนนและครอบครัวของผู้สูญเสียทุกครอบครัว และขอให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีความปลอดภัย มีพลังกายและใจที่เข้มแข็งเพื่อร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนต่อไป. ครั้งที่ 171/2560 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร. 0-22224131-2
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8123
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดเสวนา “ย้อนรอย ต่อยอด บุพเพสันนิวาส”กระตุ้นประชาชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์-วิถีวัฒนธรรม มรดกภูมิปัญญาไทยนักประวัติศาสตร์-ผู้เชี่ยวชาญผ้าไทย-ผู้สร้าง-รอมแพง ผู้แต่งนวนิยาย ร่วมถ่
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561 วธ.จัดเสวนา “ย้อนรอย ต่อยอด บุพเพสันนิวาส”กระตุ้นประชาชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์-วิถีวัฒนธรรม มรดกภูมิปัญญาไทยนักประวัติศาสตร์-ผู้เชี่ยวชาญผ้าไทย-ผู้สร้าง-รอมแพง ผู้แต่งนวนิยาย ร่วมถ่ วธ.จัดเสวนา “ย้อนรอย ต่อยอด บุพเพสันนิวาส”กระตุ้นประชาชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์-วิถีวัฒนธรรม มรดกภูมิปัญญาไทยนักประวัติศาสตร์-ผู้เชี่ยวชาญผ้าไทย-ผู้สร้าง-รอมแพง ผู้แต่งนวนิยาย ร่วมถ่ายทอดความรู้ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๑ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ประธานเปิดงานเสวนา "ย้อนรอย ต่อยอด บุพเพสันนิวาส” ว่า เพื่อต่อยอดกระแสความนิยมต่อละครโทรทัศน์ดัง "บุพเพสันนิวาส” ที่ได้รับความนิยมจากคนไทยทั้งประเทศ และจากนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ วธ.ดําเนินการตามแนวทางสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชดํารัส ให้รักษา สืบสาน และต่อยอด ทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีไทยและวัฒนธรรมไทย ซึ่งละครเรื่องนี้ทําให้การท่องเที่ยวตามแหล่งโบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก คนนิยมแต่งกายด้วยชุดไทยย้อนยุคไปท่องเที่ยวไปถ่ายภาพกันอย่างคึกคัก ส่งผลทําให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ ถือเป็นการส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในชุมชนเป็นอย่างดี นายวีระ กล่าวต่อว่า กระทรวงวัฒนธรรม มีนโยบาย ๕ F ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง โดยเริ่มจากสินค้าและการบริการทางวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ ๕ F ประกอบด้วย ๑.อาหาร (Food) ๒.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) ๓.ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น (Fashion) ๔. มวยไทย (Fighting) และ ๕.การอนุรักษ์และขับเคลื่อน เทศกาล ประเพณี สู่ระดับโลก (Festival) ซึ่งละครเรื่องนี้ ถือว่ามีความครบถ้วนตรงตามนโยบาย ๕ F จึงมอบหมายให้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) จัดการเสนา "ย้อนรอยต่อยอด บุพเพสันนิวาส” เพื่อเป็นการต่อยอดให้เด็ก นักเรียน เยาวชนคนรุ่นปัจจุบัน และประชาชนทั่วไป หันมาเรียนรู้และให้ความสําคัญศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติอย่างถูกต้อง ต่อเนื่องและจริงจัง ทั้งในด้านการใช้ภาษา การแต่งกาย ขนบธรรมเนียม ศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อและวิถีชีวิต รวมถึงอาหารการกิน ที่ถือเป็นการสืบสานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่อไป ในเวทีการเสวนา นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า กรมศิลปากรกําลังจัดกิจกรรมชวน ออเจ้า นุ่งโจง ห่มสไบไปบ้านพี่หมื่น เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ภาษาและวรรณกรรม สมัยอยุธยา เยี่ยมชมโบราณสถานตามรอยละคร บุพเพสันนิวาส ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จํานวน ๒ รอบ ในวันที่ ๑๗-๑๘ มีนาคม นี้ ซึ่งขณะนี้มีประชาชนให้ความสนใจจองจนเกินจํานวนที่รับได้ จึงกําลังพิจารณาจะเพิ่มรอบ หรือเพิ่มจํานวนผู้ร่วมกิจกรรมตามรอย ซึ่งจะมีการขยายเส้นทางการนําชมจากอยุธยาถึงเมืองละโว้ หรือลพบุรี ที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์เพิ่มขึ้นด้วย และยังมีแนวคิดที่จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมสถานที่สําคัญๆฟรี หากแต่งกายชุดไทยมาเข้าชม นอกจากนี้ นายบุญเตือน ศรีวรพจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรศาสตร์ สํานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้ถ่ายทอดความรู้และความเข้าใจถึงประวัติศาสตร์ยุคสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ร่วมด้วย นายคเณษ นพณัฐเมทินี ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทยและอาหารไทย ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยา มาสร้างความรู้ความเข้าใจถึงการแต่งกายและอาหารการกินในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีการสืบทอดมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ นอกจากนี้ ผู้ผลิตผู้สร้างสรรค์ละคร บุพเพสันนิวาส นางสาวอรุโณชา ภาณุพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จํากัด ได้เปิดเผยถึงการสร้างสรรค์ละครจนได้รับความนิยมกันทั้งบ้านทั้งเมือง พร้อมกันนี้ รอมแพง (นางสาวจันทร์ยวีร์ สมปรีดา) ผู้แต่งนวนิยายบุพเพสันนิวาส ร่วมเปิดเผยถึงแรงบันดาลใจในแต่งนวนิยายบนเวทีเสวนาด้วย ซึ่งดําเนินรายการเสวนาโดย นายอนุชา ทีรคานนท์ ผู้อํานวยการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายในงานยังมีการแสดงเพลงเรือ ชุด "เพลงเรือ กรุงเก่า เล่าขาน สานต่อความเป็นไทย” ตอน บุพเพสันนิวาส โดยคณะแม่บัวผัน สุพรรณยศ พร้อมกิจกรรมออกร้านอาหารยอดนิยมต่างๆ เช่น มะม่วงน้ําปลาหวาน ขนมไทย โดยให้ผู้ร่วมงานได้ใช้เงินพดด้วงแลกซื้ออาหารอย่างสนุกสนาน การเสนาในครั้งนี้ ทําให้เยาวชนและประชาชนผู้เข้าร่วมฟังการเสวนาได้เข้าใจและเห็นความสําคัญที่จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในแง่มุมต่างๆ พร้อมต่อยอดกิจกรรมด้านวัฒนธรรม ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดเสวนา “ย้อนรอย ต่อยอด บุพเพสันนิวาส”กระตุ้นประชาชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์-วิถีวัฒนธรรม มรดกภูมิปัญญาไทยนักประวัติศาสตร์-ผู้เชี่ยวชาญผ้าไทย-ผู้สร้าง-รอมแพง ผู้แต่งนวนิยาย ร่วมถ่ วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561 วธ.จัดเสวนา “ย้อนรอย ต่อยอด บุพเพสันนิวาส”กระตุ้นประชาชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์-วิถีวัฒนธรรม มรดกภูมิปัญญาไทยนักประวัติศาสตร์-ผู้เชี่ยวชาญผ้าไทย-ผู้สร้าง-รอมแพง ผู้แต่งนวนิยาย ร่วมถ่ วธ.จัดเสวนา “ย้อนรอย ต่อยอด บุพเพสันนิวาส”กระตุ้นประชาชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์-วิถีวัฒนธรรม มรดกภูมิปัญญาไทยนักประวัติศาสตร์-ผู้เชี่ยวชาญผ้าไทย-ผู้สร้าง-รอมแพง ผู้แต่งนวนิยาย ร่วมถ่ายทอดความรู้ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๑ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ประธานเปิดงานเสวนา "ย้อนรอย ต่อยอด บุพเพสันนิวาส” ว่า เพื่อต่อยอดกระแสความนิยมต่อละครโทรทัศน์ดัง "บุพเพสันนิวาส” ที่ได้รับความนิยมจากคนไทยทั้งประเทศ และจากนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ วธ.ดําเนินการตามแนวทางสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชดํารัส ให้รักษา สืบสาน และต่อยอด ทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีไทยและวัฒนธรรมไทย ซึ่งละครเรื่องนี้ทําให้การท่องเที่ยวตามแหล่งโบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก คนนิยมแต่งกายด้วยชุดไทยย้อนยุคไปท่องเที่ยวไปถ่ายภาพกันอย่างคึกคัก ส่งผลทําให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่ ถือเป็นการส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในชุมชนเป็นอย่างดี นายวีระ กล่าวต่อว่า กระทรวงวัฒนธรรม มีนโยบาย ๕ F ส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง โดยเริ่มจากสินค้าและการบริการทางวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ ๕ F ประกอบด้วย ๑.อาหาร (Food) ๒.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) ๓.ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น (Fashion) ๔. มวยไทย (Fighting) และ ๕.การอนุรักษ์และขับเคลื่อน เทศกาล ประเพณี สู่ระดับโลก (Festival) ซึ่งละครเรื่องนี้ ถือว่ามีความครบถ้วนตรงตามนโยบาย ๕ F จึงมอบหมายให้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) จัดการเสนา "ย้อนรอยต่อยอด บุพเพสันนิวาส” เพื่อเป็นการต่อยอดให้เด็ก นักเรียน เยาวชนคนรุ่นปัจจุบัน และประชาชนทั่วไป หันมาเรียนรู้และให้ความสําคัญศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติอย่างถูกต้อง ต่อเนื่องและจริงจัง ทั้งในด้านการใช้ภาษา การแต่งกาย ขนบธรรมเนียม ศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อและวิถีชีวิต รวมถึงอาหารการกิน ที่ถือเป็นการสืบสานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมและพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่อไป ในเวทีการเสวนา นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า กรมศิลปากรกําลังจัดกิจกรรมชวน ออเจ้า นุ่งโจง ห่มสไบไปบ้านพี่หมื่น เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ภาษาและวรรณกรรม สมัยอยุธยา เยี่ยมชมโบราณสถานตามรอยละคร บุพเพสันนิวาส ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จํานวน ๒ รอบ ในวันที่ ๑๗-๑๘ มีนาคม นี้ ซึ่งขณะนี้มีประชาชนให้ความสนใจจองจนเกินจํานวนที่รับได้ จึงกําลังพิจารณาจะเพิ่มรอบ หรือเพิ่มจํานวนผู้ร่วมกิจกรรมตามรอย ซึ่งจะมีการขยายเส้นทางการนําชมจากอยุธยาถึงเมืองละโว้ หรือลพบุรี ที่พระนารายณ์ราชนิเวศน์เพิ่มขึ้นด้วย และยังมีแนวคิดที่จะเปิดให้ประชาชนเข้าชมสถานที่สําคัญๆฟรี หากแต่งกายชุดไทยมาเข้าชม นอกจากนี้ นายบุญเตือน ศรีวรพจน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรศาสตร์ สํานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้ถ่ายทอดความรู้และความเข้าใจถึงประวัติศาสตร์ยุคสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ร่วมด้วย นายคเณษ นพณัฐเมทินี ผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าไทยและอาหารไทย ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยา มาสร้างความรู้ความเข้าใจถึงการแต่งกายและอาหารการกินในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีการสืบทอดมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ นอกจากนี้ ผู้ผลิตผู้สร้างสรรค์ละคร บุพเพสันนิวาส นางสาวอรุโณชา ภาณุพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จํากัด ได้เปิดเผยถึงการสร้างสรรค์ละครจนได้รับความนิยมกันทั้งบ้านทั้งเมือง พร้อมกันนี้ รอมแพง (นางสาวจันทร์ยวีร์ สมปรีดา) ผู้แต่งนวนิยายบุพเพสันนิวาส ร่วมเปิดเผยถึงแรงบันดาลใจในแต่งนวนิยายบนเวทีเสวนาด้วย ซึ่งดําเนินรายการเสวนาโดย นายอนุชา ทีรคานนท์ ผู้อํานวยการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายในงานยังมีการแสดงเพลงเรือ ชุด "เพลงเรือ กรุงเก่า เล่าขาน สานต่อความเป็นไทย” ตอน บุพเพสันนิวาส โดยคณะแม่บัวผัน สุพรรณยศ พร้อมกิจกรรมออกร้านอาหารยอดนิยมต่างๆ เช่น มะม่วงน้ําปลาหวาน ขนมไทย โดยให้ผู้ร่วมงานได้ใช้เงินพดด้วงแลกซื้ออาหารอย่างสนุกสนาน การเสนาในครั้งนี้ ทําให้เยาวชนและประชาชนผู้เข้าร่วมฟังการเสวนาได้เข้าใจและเห็นความสําคัญที่จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยในแง่มุมต่างๆ พร้อมต่อยอดกิจกรรมด้านวัฒนธรรม ต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10990
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยืนยันยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรี พร้อมยินดีไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศติดต่อกันมากกว่า 14 วันแล้ว
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 นายกฯ ยืนยันยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรี พร้อมยินดีไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศติดต่อกันมากกว่า 14 วันแล้ว นายกฯ ยืนยันยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรี พร้อมยินดีไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศติดต่อกันมากกว่า 14 วันแล้ว วันนี้ (9 มิ.ย.63) เวลา 12.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณการปฏิบัติงานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันในประเทศมาเป็นระยะเวลา 14 วันแล้ว นายกรัฐมนตรีเผยหลายจังหวัดเปิดให้มีการเดินทาง และเปิดให้บริการกิจการ/กิจกรรม เพิ่มเติม ตามการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 3 แต่ขอให้ยึดถือมาตรการทางสาธารณสุขอยู่เสมอ เพื่อนําไปสู่การผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 ได้ต่อไป ยืนยัน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ นั้น ใช้เพื่อความสะดวกและความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เท่านั้น สําหรับแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทยนั้น ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ สอดรับกับมาตรการสาธารณสุข โดยมาจากประเทศที่ไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไทยมีการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่มีศักยภาพ สามารถสร้างรายได้จากการที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมารักษาพยาบาล ฟื้นฟูสุขภาพ อย่างไรก็ตามยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ทับซ้อนกับการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเผยถึงคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) มีมติเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) เพื่อดูแลพนักงานและลูกจ้างขององค์กรไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน ทั้งนี้ จะมีการปรับเปลี่ยนรถโดยสาร เส้นทางเดินรถ เพื่ออํานวยความสะดวกสบายให้แก่ประชาชน รวมถึงลดค่าโดยสารอีกด้วย โดยเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในลําดับต่อไป นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเตรียมการสําหรับการเพาะปลูกในฤดูกาลใหม่นี้ อาจทําได้ยากเนื่องจากปริมาณน้ําน้อง ไม่เพียงพอในการเพาะปลูก จึงสั่งการให้ไปดูแลแหล่งกักเก็บน้ํา ขุดเจาะบ่อน้ําบาดาล ปัจจุบันต้องทําการขุดเจาะความลึกระยะ 100 – 130 เมตร รวมถึงต้องคํานึงถึงการกักเก็บน้ําใต้ดินที่อาจมีการเจือปนของสารเคมี พร้อมทั้งฝากให้ประชาชนดูแลตนเองจากอากาศเปลี่ยนแปลงในช่วงฤดูฝนนี้ ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนถึงสถานการณ์การเมืองว่า การปรับคณะกรรมการบริหารพรรค เป็นเรื่องภายในของแต่ละพรรค ไม่เกี่ยวข้องกับการปรับคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นอํานาจของนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่ายังทํางานร่วมกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคน ................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยืนยันยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรี พร้อมยินดีไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศติดต่อกันมากกว่า 14 วันแล้ว วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 นายกฯ ยืนยันยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรี พร้อมยินดีไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศติดต่อกันมากกว่า 14 วันแล้ว นายกฯ ยืนยันยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรี พร้อมยินดีไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศติดต่อกันมากกว่า 14 วันแล้ว วันนี้ (9 มิ.ย.63) เวลา 12.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณการปฏิบัติงานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไทยไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันในประเทศมาเป็นระยะเวลา 14 วันแล้ว นายกรัฐมนตรีเผยหลายจังหวัดเปิดให้มีการเดินทาง และเปิดให้บริการกิจการ/กิจกรรม เพิ่มเติม ตามการผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 3 แต่ขอให้ยึดถือมาตรการทางสาธารณสุขอยู่เสมอ เพื่อนําไปสู่การผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 4 ได้ต่อไป ยืนยัน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ นั้น ใช้เพื่อความสะดวกและความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เท่านั้น สําหรับแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทยนั้น ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ สอดรับกับมาตรการสาธารณสุข โดยมาจากประเทศที่ไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไทยมีการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่มีศักยภาพ สามารถสร้างรายได้จากการที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมารักษาพยาบาล ฟื้นฟูสุขภาพ อย่างไรก็ตามยังต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ทับซ้อนกับการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีเผยถึงคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) มีมติเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) เพื่อดูแลพนักงานและลูกจ้างขององค์กรไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน ทั้งนี้ จะมีการปรับเปลี่ยนรถโดยสาร เส้นทางเดินรถ เพื่ออํานวยความสะดวกสบายให้แก่ประชาชน รวมถึงลดค่าโดยสารอีกด้วย โดยเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในลําดับต่อไป นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเตรียมการสําหรับการเพาะปลูกในฤดูกาลใหม่นี้ อาจทําได้ยากเนื่องจากปริมาณน้ําน้อง ไม่เพียงพอในการเพาะปลูก จึงสั่งการให้ไปดูแลแหล่งกักเก็บน้ํา ขุดเจาะบ่อน้ําบาดาล ปัจจุบันต้องทําการขุดเจาะความลึกระยะ 100 – 130 เมตร รวมถึงต้องคํานึงถึงการกักเก็บน้ําใต้ดินที่อาจมีการเจือปนของสารเคมี พร้อมทั้งฝากให้ประชาชนดูแลตนเองจากอากาศเปลี่ยนแปลงในช่วงฤดูฝนนี้ ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีตอบข้อซักถามของสื่อมวลชนถึงสถานการณ์การเมืองว่า การปรับคณะกรรมการบริหารพรรค เป็นเรื่องภายในของแต่ละพรรค ไม่เกี่ยวข้องกับการปรับคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นอํานาจของนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่ายังทํางานร่วมกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคน ................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32114
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ "ร้อยเอกธรรมนัส" ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562 รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ "ร้อยเอกธรรมนัส" ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ "ร้อยเอกธรรมนัส" ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น สั่งเร่งทําฝนหลวงทั่วประเทศ และพัฒนาแหล่งน้ํา เพื่อบรรเทาภัยแล้งแก่ประชาชนในพื้นที่ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินการพัฒนาแหล่งน้ํา และติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง ณ เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ว่า จากการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนในหลายอําเภอของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับการประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง พบว่า มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบแล้วจํานวน 24 อําเภอ จากทั้งหมด 26 อําเภอ ซึ่งจากการลงพื้นที่และรับฟังปัญหาของประชาชนในวันนี้ ปัญหาภัยแล้งในจังหวัดขอนแก่นส่วนใหญ่มาจากสาเหตุฝนทิ้งช่วง ทั้งนี้ ได้สั่งการให้เร่งทําฝนหลวงทั่วประเทศแล้ว "กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการบรรเทาปัญหาภัยแล้งอย่างเร่งด่วน อาทิ มอบหมายให้กรมชลประทานแก้ไขปัญหาแหล่งน้ําขนาดใหญ่ กรมพัฒนาที่ดินรับผิดชอบพัฒนาแหล่งน้ําขนาดเล็ก กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเร่งทําฝนหลวงทั่วประเทศ เป็นต้น โดยบูรณาการการทํางานร่วมกันทุกภาคส่วนอย่างเอาจริงเอาจัง ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สําหรับการแก้ปัญหาภัยแล้งในจังหวัดขอนแก่น จะได้นําข้อมูลที่รับทราบในวันนี้ไปประชุมหารือ และดําเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อไป" รมช.เกษตรฯ กล่าว นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทานยังเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือและบุคลากร เพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งในพื้นที่อื่น ๆ ด้วย เช่น การสนับสนุนเครื่องสูบน้ํา เพื่อนํามาสูบน้ําในเหมืองซึ่งมีปริมาณมาก ออกไปช่วยพื้นที่การเกษตรในจังหวัดพิจิตร เป็นต้น. สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ "ร้อยเอกธรรมนัส" ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562 รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ "ร้อยเอกธรรมนัส" ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ "ร้อยเอกธรรมนัส" ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น สั่งเร่งทําฝนหลวงทั่วประเทศ และพัฒนาแหล่งน้ํา เพื่อบรรเทาภัยแล้งแก่ประชาชนในพื้นที่ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินการพัฒนาแหล่งน้ํา และติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง ณ เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ว่า จากการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนในหลายอําเภอของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับการประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง พบว่า มีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบแล้วจํานวน 24 อําเภอ จากทั้งหมด 26 อําเภอ ซึ่งจากการลงพื้นที่และรับฟังปัญหาของประชาชนในวันนี้ ปัญหาภัยแล้งในจังหวัดขอนแก่นส่วนใหญ่มาจากสาเหตุฝนทิ้งช่วง ทั้งนี้ ได้สั่งการให้เร่งทําฝนหลวงทั่วประเทศแล้ว "กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการบรรเทาปัญหาภัยแล้งอย่างเร่งด่วน อาทิ มอบหมายให้กรมชลประทานแก้ไขปัญหาแหล่งน้ําขนาดใหญ่ กรมพัฒนาที่ดินรับผิดชอบพัฒนาแหล่งน้ําขนาดเล็ก กรมฝนหลวงและการบินเกษตรเร่งทําฝนหลวงทั่วประเทศ เป็นต้น โดยบูรณาการการทํางานร่วมกันทุกภาคส่วนอย่างเอาจริงเอาจัง ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สําหรับการแก้ปัญหาภัยแล้งในจังหวัดขอนแก่น จะได้นําข้อมูลที่รับทราบในวันนี้ไปประชุมหารือ และดําเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อไป" รมช.เกษตรฯ กล่าว นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทานยังเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือและบุคลากร เพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ที่สามารถช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้งในพื้นที่อื่น ๆ ด้วย เช่น การสนับสนุนเครื่องสูบน้ํา เพื่อนํามาสูบน้ําในเหมืองซึ่งมีปริมาณมาก ออกไปช่วยพื้นที่การเกษตรในจังหวัดพิจิตร เป็นต้น. สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22124
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว./การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จัดการบรรยายพิเศษด้านยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562 วว./การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จัดการบรรยายพิเศษด้านยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม วว./การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จัดการบรรยายพิเศษด้านยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม นายวิรัช จันทรา รองผู้ว่าการบริการอุตสาหกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดร.อาภากร สุปัญญา รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์และจัดการนวัตกรรม วว. ร่วมเป็นประธานเปิดการบรรยายพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และหลักเกณฑ์การพิจารณาให้ทุนวิจัย” โอกาสนี้ นายสายันต์ ตันพานิช รองผู้ว่าการกลุ่มวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ วว. ร่วมเป็นเกียรติด้วย ทั้งนี้การบรรยายพิเศษดังกล่าวอยู่ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง วว.และ กฟภ. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือในการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ไปใช้ประโยชน์ด้านงานรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อให้เกิดคุณค่าทางสังคมและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินการทางวิชาการด้าน วทน. เพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรของทั้งสองหน่วยงาน โดยการเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในระดับฐานรากสู่การแข่งขันในอนาคต ในวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ณ ห้องประชุมใหญ่ชั้น 5 อาคารถ่ายทอดเทคโนโลยี วว. เทคโนธานี คลองห้า จ.ปทุมธานี อนึ่ง การบรรยายพิเศษครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก กฟภ. ดังนี้ นายกิตติกร มณีสว่าง รองผู้อํานวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบไฟฟ้า บรรยายเรื่อง “บทบาทและภารกิจของ กฟภ.” นายกฤษณ์ ศุภคต ผู้ช่วยผู้อํานวยการกองบริหารกองทุนวิจัยและนวัตกรรม บรรยายเรื่อง “หลักเกณฑ์การขอรับทุนวิจัยและการส่งเสริมงานวิจัยด้านพลังงานทดแทน” และ นายโชคชัย พรมพันห่าว ผู้ช่วยผู้อํานวยการกองวิจัย บรรยายเรื่อง “การส่งเสริมการวิจัยด้านแขนกลและโรบอท” เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook :MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว./การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จัดการบรรยายพิเศษด้านยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562 วว./การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จัดการบรรยายพิเศษด้านยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม วว./การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จัดการบรรยายพิเศษด้านยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม นายวิรัช จันทรา รองผู้ว่าการบริการอุตสาหกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดร.อาภากร สุปัญญา รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์และจัดการนวัตกรรม วว. ร่วมเป็นประธานเปิดการบรรยายพิเศษเรื่อง “ยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และหลักเกณฑ์การพิจารณาให้ทุนวิจัย” โอกาสนี้ นายสายันต์ ตันพานิช รองผู้ว่าการกลุ่มวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ วว. ร่วมเป็นเกียรติด้วย ทั้งนี้การบรรยายพิเศษดังกล่าวอยู่ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง วว.และ กฟภ. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือในการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ไปใช้ประโยชน์ด้านงานรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อให้เกิดคุณค่าทางสังคมและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินการทางวิชาการด้าน วทน. เพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรของทั้งสองหน่วยงาน โดยการเสริมสร้างความรู้ ประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในระดับฐานรากสู่การแข่งขันในอนาคต ในวันที่ 17 ตุลาคม 2562 ณ ห้องประชุมใหญ่ชั้น 5 อาคารถ่ายทอดเทคโนโลยี วว. เทคโนธานี คลองห้า จ.ปทุมธานี อนึ่ง การบรรยายพิเศษครั้งนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจาก กฟภ. ดังนี้ นายกิตติกร มณีสว่าง รองผู้อํานวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาระบบไฟฟ้า บรรยายเรื่อง “บทบาทและภารกิจของ กฟภ.” นายกฤษณ์ ศุภคต ผู้ช่วยผู้อํานวยการกองบริหารกองทุนวิจัยและนวัตกรรม บรรยายเรื่อง “หลักเกณฑ์การขอรับทุนวิจัยและการส่งเสริมงานวิจัยด้านพลังงานทดแทน” และ นายโชคชัย พรมพันห่าว ผู้ช่วยผู้อํานวยการกองวิจัย บรรยายเรื่อง “การส่งเสริมการวิจัยด้านแขนกลและโรบอท” เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook :MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ฉลองครบรอบ 66 ปี จัดกิจกรรม “ธอส.วิ่งเพื่อบ้าน GHB RUN FOR HOME 2019” รายได้ทั้งหมดนำไปสร้างและปรับปรุงบ้านให้ผู้ยากไร้
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562 ธอส. ฉลองครบรอบ 66 ปี จัดกิจกรรม “ธอส.วิ่งเพื่อบ้าน GHB RUN FOR HOME 2019” รายได้ทั้งหมดนําไปสร้างและปรับปรุงบ้านให้ผู้ยากไร้ ธอส. ฉลองครบรอบ 66 ปี จัดกิจกรรม “ธอส. วิ่งเพื่อบ้าน GHB RUN FOR HOME 2019” ชวนลูกค้าประชาชนทั่วไปมาร่วมกันออกกําลังกายด้วยการเดิน-วิ่ง ระยะทาง 10 กิโลเมตร และ 5 กิโลเมตร ธอส. ฉลองครบรอบ 66 ปี จัดกิจกรรม “ธอส. วิ่งเพื่อบ้าน GHB RUN FOR HOME 2019” ชวนลูกค้าประชาชนทั่วไปมาร่วมกันออกกําลังกายด้วยการเดิน-วิ่ง ระยะทาง 10 กิโลเมตร และ 5 กิโลเมตร และยังได้ร่วมทําบุญ เพราะรายได้จากค่าสมัครวิ่งเพียงท่านละ 400 บาท ธนาคารจะนําไปสร้างหรือปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้กับผู้ยากไร้โดยไม่หักค่าใช้จ่ายต่อไป สมัครได้แล้วตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 สิงหาคม 2562 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ ธอส. ซึ่งถือเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จะครบรอบวันสถาปนาธนาคารปีที่ 66 ในวันที่ 24 กันยายน 2562 ธนาคารจึงได้กําหนดจัดกิจกรรม “ธอส. วิ่งเพื่อบ้าน : GHB RUN FOR HOME 2019” ในวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2562 โดยเชิญชวนลูกค้าประชาชนทั่วไปมาร่วมกันออกกําลังกายด้วยการเดิน-วิ่งพร้อมกับคณะผู้บริหารและพนักงานธนาคาร เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และส่งเสริมสุขภาพร่างกายให้มีความแข็งแรง และยังได้ร่วมทําบุญ เพราะธนาคารจะนํารายได้จากค่าสมัครวิ่งท่านละ 400 บาท นําไปสร้างหรือปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้กับผู้ยากไร้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายต่อไป ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานตามนโยบายการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร สําหรับรายละเอียดในการจัดกิจกรรมแบ่งการวิ่งออกเป็น 2 ประเภท ประกอบด้วย 1.วิ่งมินิมาราธอน Home Run ระยะทาง 10 กิโลเมตร แบ่งเป็น ชาย 6 รุ่น ได้แก่ อายุไม่เกิน 19 ปี // 20-29 ปี // 30-39 ปี // 40-49 ปี // 50-59 ปี // 60 ปีขึ้นไป ส่วนหญิงอีก 6 รุ่น ได้แก่ อายุไม่เกิน 19 ปี // 20-29 ปี // 30-39 ปี // 40-49 ปี // 50-59 ปี // 60 ปีขึ้นไป และ 2.เดิน/วิ่ง Home Walk ระยะทาง 5 กิโลเมตร (ไม่มีการแข่งขัน) โดยผู้ที่เข้าเส้นชัยทั้งหมดจะได้รับเหรียญรางวัลทรงกุญแจบ้าน ส่วนผู้ที่เข้าเส้นชัยเป็นคนแรกในประเภทวิ่ง Home Run ระยะทาง 10 กิโลเมตรทั้ง ชาย/หญิง จะได้รับถ้วยเกียรติยศพร้อมด้วยเงินรางวัล 10,000 บาท และผู้ที่เข้าเส้นชัยลําดับที่ 1- 5 ในประเภทระยะทาง 10 กิโลเมตรทั้ง ชาย/หญิง ทุกรุ่นอายุจะได้รับถ้วยเกียรติยศ โดยมีจุด Start และเข้าเส้นชัยที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สํานักงานใหญ่ พระราม 9 ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจร่วมกิจกรรมสามารถสมัครได้แล้วตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 สิงหาคม 2562 หรือจนกว่าจะมีการสมัครเต็ม จํานวน 4,000 คน สอบรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ https://www.ghbrun.com หรือ Facebook : GHB RUN 2019 หรือ Line@ GHBRUN และ Hotline โทร.095-558-1556 โดยผู้ที่สมัครและชําระเงินตามเงื่อนไขที่กําหนด จะได้รับเสื้อและเบอร์วิ่งจัดส่งถึงบ้านหรือที่อยู่ที่ผู้สมัครแจ้งไว้ในระบบต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ฉลองครบรอบ 66 ปี จัดกิจกรรม “ธอส.วิ่งเพื่อบ้าน GHB RUN FOR HOME 2019” รายได้ทั้งหมดนำไปสร้างและปรับปรุงบ้านให้ผู้ยากไร้ วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2562 ธอส. ฉลองครบรอบ 66 ปี จัดกิจกรรม “ธอส.วิ่งเพื่อบ้าน GHB RUN FOR HOME 2019” รายได้ทั้งหมดนําไปสร้างและปรับปรุงบ้านให้ผู้ยากไร้ ธอส. ฉลองครบรอบ 66 ปี จัดกิจกรรม “ธอส. วิ่งเพื่อบ้าน GHB RUN FOR HOME 2019” ชวนลูกค้าประชาชนทั่วไปมาร่วมกันออกกําลังกายด้วยการเดิน-วิ่ง ระยะทาง 10 กิโลเมตร และ 5 กิโลเมตร ธอส. ฉลองครบรอบ 66 ปี จัดกิจกรรม “ธอส. วิ่งเพื่อบ้าน GHB RUN FOR HOME 2019” ชวนลูกค้าประชาชนทั่วไปมาร่วมกันออกกําลังกายด้วยการเดิน-วิ่ง ระยะทาง 10 กิโลเมตร และ 5 กิโลเมตร และยังได้ร่วมทําบุญ เพราะรายได้จากค่าสมัครวิ่งเพียงท่านละ 400 บาท ธนาคารจะนําไปสร้างหรือปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้กับผู้ยากไร้โดยไม่หักค่าใช้จ่ายต่อไป สมัครได้แล้วตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 สิงหาคม 2562 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ ธอส. ซึ่งถือเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จะครบรอบวันสถาปนาธนาคารปีที่ 66 ในวันที่ 24 กันยายน 2562 ธนาคารจึงได้กําหนดจัดกิจกรรม “ธอส. วิ่งเพื่อบ้าน : GHB RUN FOR HOME 2019” ในวันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน 2562 โดยเชิญชวนลูกค้าประชาชนทั่วไปมาร่วมกันออกกําลังกายด้วยการเดิน-วิ่งพร้อมกับคณะผู้บริหารและพนักงานธนาคาร เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และส่งเสริมสุขภาพร่างกายให้มีความแข็งแรง และยังได้ร่วมทําบุญ เพราะธนาคารจะนํารายได้จากค่าสมัครวิ่งท่านละ 400 บาท นําไปสร้างหรือปรับปรุงซ่อมแซมบ้านให้กับผู้ยากไร้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายต่อไป ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานตามนโยบายการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือ CSR ของธนาคาร สําหรับรายละเอียดในการจัดกิจกรรมแบ่งการวิ่งออกเป็น 2 ประเภท ประกอบด้วย 1.วิ่งมินิมาราธอน Home Run ระยะทาง 10 กิโลเมตร แบ่งเป็น ชาย 6 รุ่น ได้แก่ อายุไม่เกิน 19 ปี // 20-29 ปี // 30-39 ปี // 40-49 ปี // 50-59 ปี // 60 ปีขึ้นไป ส่วนหญิงอีก 6 รุ่น ได้แก่ อายุไม่เกิน 19 ปี // 20-29 ปี // 30-39 ปี // 40-49 ปี // 50-59 ปี // 60 ปีขึ้นไป และ 2.เดิน/วิ่ง Home Walk ระยะทาง 5 กิโลเมตร (ไม่มีการแข่งขัน) โดยผู้ที่เข้าเส้นชัยทั้งหมดจะได้รับเหรียญรางวัลทรงกุญแจบ้าน ส่วนผู้ที่เข้าเส้นชัยเป็นคนแรกในประเภทวิ่ง Home Run ระยะทาง 10 กิโลเมตรทั้ง ชาย/หญิง จะได้รับถ้วยเกียรติยศพร้อมด้วยเงินรางวัล 10,000 บาท และผู้ที่เข้าเส้นชัยลําดับที่ 1- 5 ในประเภทระยะทาง 10 กิโลเมตรทั้ง ชาย/หญิง ทุกรุ่นอายุจะได้รับถ้วยเกียรติยศ โดยมีจุด Start และเข้าเส้นชัยที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สํานักงานใหญ่ พระราม 9 ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจร่วมกิจกรรมสามารถสมัครได้แล้วตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 สิงหาคม 2562 หรือจนกว่าจะมีการสมัครเต็ม จํานวน 4,000 คน สอบรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ https://www.ghbrun.com หรือ Facebook : GHB RUN 2019 หรือ Line@ GHBRUN และ Hotline โทร.095-558-1556 โดยผู้ที่สมัครและชําระเงินตามเงื่อนไขที่กําหนด จะได้รับเสื้อและเบอร์วิ่งจัดส่งถึงบ้านหรือที่อยู่ที่ผู้สมัครแจ้งไว้ในระบบต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22293
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ชื่นชมมูลนิธิ ช่วยงานการแพทย์ฉุกเฉิน ในสถานการณ์โรคโควิด 19
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563 อนุทิน ชื่นชมมูลนิธิ ช่วยงานการแพทย์ฉุกเฉิน ในสถานการณ์โรคโควิด 19 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมมูลนิธิเอกชนไม่แสวงหากําไร จัดอบรมพัฒนาศักยภาพเป็นชุดปฏิบัติการฉุกเฉินพิเศษเพื่อตอบโต้ COVID-19 มีทักษะ ความรู้ป้องกันตัวเองขณะปฏิบัติงาน เพื่อเป็นทีมสํารองให้แก่ชุดปฏิบัติการระดับสูง จํานวน 63 ท รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมมูลนิธิเอกชนไม่แสวงหากําไร จัดอบรมพัฒนาศักยภาพเป็นชุดปฏิบัติการฉุกเฉินพิเศษเพื่อตอบโต้ COVID-19 มีทักษะ ความรู้ป้องกันตัวเองขณะปฏิบัติงาน เพื่อเป็นทีมสํารองให้แก่ชุดปฏิบัติการระดับสูง จํานวน 63 ทีมทั่วประเทศ วันนี้ (26 เมษายน 2563) มูลนิธิร่วมกตัญญู ตําบลบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุม การดําเนินงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ขององค์กรเอกชนไม่แสวงหากําไร เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการในสถานการณ์ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีนพ.สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแหงชาติ นายชาติชาย อุทัยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ผู้อํานวยการสํานักการแพทย์กรุงเทพมหานคร ผู้อํานวยการโรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการ ประธานมูลนิธิร่วมกตัญญู ประธานและตัวแทนมูลนิธิต่างๆ ทั่วประเทศ จํานวน 24 แห่ง ร่วมประชุม 100 คน และมอบชุดป้องกันการติดเชื้อ ได้แก่ ชุด PPE. หน้ากากอนามัย ถุงคลุมเท้า ถุงมือ แอลกอฮอล์ และ Face shield พร้อมชมการสาธิตกา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ชื่นชมมูลนิธิ ช่วยงานการแพทย์ฉุกเฉิน ในสถานการณ์โรคโควิด 19 วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563 อนุทิน ชื่นชมมูลนิธิ ช่วยงานการแพทย์ฉุกเฉิน ในสถานการณ์โรคโควิด 19 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมมูลนิธิเอกชนไม่แสวงหากําไร จัดอบรมพัฒนาศักยภาพเป็นชุดปฏิบัติการฉุกเฉินพิเศษเพื่อตอบโต้ COVID-19 มีทักษะ ความรู้ป้องกันตัวเองขณะปฏิบัติงาน เพื่อเป็นทีมสํารองให้แก่ชุดปฏิบัติการระดับสูง จํานวน 63 ท รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมมูลนิธิเอกชนไม่แสวงหากําไร จัดอบรมพัฒนาศักยภาพเป็นชุดปฏิบัติการฉุกเฉินพิเศษเพื่อตอบโต้ COVID-19 มีทักษะ ความรู้ป้องกันตัวเองขณะปฏิบัติงาน เพื่อเป็นทีมสํารองให้แก่ชุดปฏิบัติการระดับสูง จํานวน 63 ทีมทั่วประเทศ วันนี้ (26 เมษายน 2563) มูลนิธิร่วมกตัญญู ตําบลบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุม การดําเนินงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ขององค์กรเอกชนไม่แสวงหากําไร เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการในสถานการณ์ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีนพ.สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแหงชาติ นายชาติชาย อุทัยพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ผู้อํานวยการสํานักการแพทย์กรุงเทพมหานคร ผู้อํานวยการโรงพยาบาลในจังหวัดสมุทรปราการ ประธานมูลนิธิร่วมกตัญญู ประธานและตัวแทนมูลนิธิต่างๆ ทั่วประเทศ จํานวน 24 แห่ง ร่วมประชุม 100 คน และมอบชุดป้องกันการติดเชื้อ ได้แก่ ชุด PPE. หน้ากากอนามัย ถุงคลุมเท้า ถุงมือ แอลกอฮอล์ และ Face shield พร้อมชมการสาธิตกา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29794
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดงานประชุมวิชาการ สศอ.“OIE FORUM 2018 GEAR UP SIAM INDUSTRY เร่งเครื่องอุตสาหกรรมไทยทะยานไกลสู่อนาคต”
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดงานประชุมวิชาการ สศอ.“OIE FORUM 2018 GEAR UP SIAM INDUSTRY เร่งเครื่องอุตสาหกรรมไทยทะยานไกลสู่อนาคต” นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี วันนี้ (10 กันยายน 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง วิสัยทัศน์อุตสาหกรรมไทยสู่อนาคต ในประชุมวิชาการ สศอ. (OIE Forum) ประจําปี 2561 “OIE FORUM 2018 GEAR UP SIAM INDUSTRY เร่งเครื่องอุตสาหกรรมไทยทะยานไกลสู่อนาคต” ซึ่งสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) จัดขึ้น โดยมี นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ และนายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสําคัญกับการยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 ในบริบทของประเทศไทย โดยอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมในการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ การยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ การพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ รวมไปถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมในแนวทางที่สอดคล้องกับบริบทโลก ซึ่งการจัดประชุมฯ ในครั้งนี้ นับเป็นการตอกย้ําในการผสานความความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อเร่งเครื่องพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในด้านต่างๆ ภายใต้โมเดล SIAM เพื่อให้สามารถแข่งขันและก้าวไกลสู่อนาคตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไปในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดงานประชุมวิชาการ สศอ.“OIE FORUM 2018 GEAR UP SIAM INDUSTRY เร่งเครื่องอุตสาหกรรมไทยทะยานไกลสู่อนาคต” วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดงานประชุมวิชาการ สศอ.“OIE FORUM 2018 GEAR UP SIAM INDUSTRY เร่งเครื่องอุตสาหกรรมไทยทะยานไกลสู่อนาคต” นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี วันนี้ (10 กันยายน 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง วิสัยทัศน์อุตสาหกรรมไทยสู่อนาคต ในประชุมวิชาการ สศอ. (OIE Forum) ประจําปี 2561 “OIE FORUM 2018 GEAR UP SIAM INDUSTRY เร่งเครื่องอุตสาหกรรมไทยทะยานไกลสู่อนาคต” ซึ่งสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) จัดขึ้น โดยมี นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ และนายณัฐพล รังสิตพล ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสําคัญกับการยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่อุตสาหกรรม 4.0 ในบริบทของประเทศไทย โดยอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมในการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ การยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ การพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพ รวมไปถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมในแนวทางที่สอดคล้องกับบริบทโลก ซึ่งการจัดประชุมฯ ในครั้งนี้ นับเป็นการตอกย้ําในการผสานความความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อเร่งเครื่องพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในด้านต่างๆ ภายใต้โมเดล SIAM เพื่อให้สามารถแข่งขันและก้าวไกลสู่อนาคตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไปในอนาคต
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15272
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี-ครม.ชมกิจกรรม “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง”
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรี-ครม.ชมกิจกรรม “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” นายกรัฐมนตรี-ครม.ชมกิจกรรม “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” วธ.ร่วมหน่วยงานรัฐ-เอกชนจัดนิทรรศการ-แฟชั่นโชว์ผ้าไทยทั้งในไทยและญี่ปุ่นช่วงเดือนส.ค.นี้ นายกรัฐมนตรี-ครม.ชมกิจกรรม “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” วธ.ร่วมหน่วยงานรัฐ-เอกชนจัดนิทรรศการ-แฟชั่นโชว์ผ้าไทยทั้งในไทยและญี่ปุ่นช่วงเดือนส.ค.นี้ วันที่ 6 สิงหาคม 2562 ที่ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) พร้อมด้วยนายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้อนรับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ร่วมชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” โดยชมการนําเสนอผลงานการออกแบบผ้าไทยร่วมสมัยโดยใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) โดยนายประภากาศ อังศุสิงห์ นักออกแบบพัสตราภรณ์ และชมการเดินแบบชุดผ้าไทยร่วมสมัย นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ร่วมกับหน่วยงานรัฐ เอกชน เครือข่ายทางวัฒนธรรมและภาคประชาชนจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 12 สิงหาคม 2562 เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข และความเจริญรุ่งเรืองของประชาชนและประเทศชาติมาโดยตลอด โดยเฉพาะการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมไทยหลากหลายสาขาให้คงอยู่คู่ชาติ อาทิ ผ้าไทย งานศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นจากภูมิปัญญาไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งศูนย์ศิลปาชีพ เพื่อการฝึกอาชีพหัตถศิลป์แขนงต่างๆ และทรงเป็นแบบอย่างในการใช้ผลิตภัณฑ์ของไทย กระทั่งเกิดความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในไทยและต่างประเทศ และทรงเป็นผู้เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของชาวโลกดังพระราชสมัญญา “อัคราภิรักษศิลปิน” นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่หาที่สุดมิได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งเสริมผ้าไทยนั้น วธ.ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ ณ ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 19-26 สิงหาคม 2562 โดยมีกําหนดการจัดกิจกรรม ได้แก่ วันที่ 19 สิงหาคม 2562 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียว กรุงโตเกียว วันที่ 22 สิงหาคม 2562 ณ The Garden Oriental Osaka นครโอซากา และวันที่ 25 สิงหาคม 2562 ณ โรงแรม Okura Fukuoka เมืองฟูกุโอกะ มีกิจกรรมประกอบด้วย 1.การแสดงแฟชั่นโชวฺผ้าไทยร่วมสมัย ผ้าไทยส่วมใส่สบาย โดยการคัดเลือกจากสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยและมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งความพิเศษของแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้คือใช้ผ้า Assajan Silk ที่ใช้ไหมทอกับเส้นใยรีไซเคิลแอนตี้แบคทีเรีย (Perma) นับเป็นวัตกรรมใหม่ของคนไทย 2.การจัดนิทรรศการผ้าไทยที่มีเนื้อหา 3 ส่วน ประกอบด้วย ราชินีกับผ้าไทย ประเภทของผ้าไทย และผ้าไทยสู่สากล โดยนําเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ใช้ในการนําเสนอนิทรรศการพร้อมกับการสาธิตการทอผ้าแบบโบราณ และ3.การบรรเลงดนตรีไทยร่วมสมัย ขณะเดียวกัน วธ.ร่วมกับมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ข้าวตราฉัตร และไอคอนสยาม จัดงาน “ทรัพย์แผ่นดิน ศิลป์สยาม:Thai Treasures” ระหว่างวันที่ 8-12 สิงหาคม 2562 ณ ไอคอนสยาม ภายในงานมีกิจกรรมประกอบด้วย นิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง การแสดงแฟชั่นโชว์ชุดผ้าไทยจากนางแบบชื่อดัง ได้แก่ ชุดไทยพระราชนิยม ชุดไทยพื้นถิ่นและชุดผ้าไทยร่วมสมัย รวมทั้งมีการนํา “ชุดไทยศิวาลัย”จากผ้ายกดอก จ.ลําพูน ที่ตัดเย็บโดยช่างฝีมือชั้นครูมาจัดแสดง อีกทั้งมีการสาธิตและจําหน่ายผ้าไหมคุณภาพเยี่ยมจาก 5 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนคุณธรรมบ้านครัวเหนือ กรุงเทพฯ ชุมชนคุณธรรมวัดสมศรีบ้านเสี้ยวน้อย จ.ชัยภูมิ ชุมชนทอผ้าไหม บ้านดอนข่า จ.ขอนแก่น ชุมชนห้วยไซสุขสวัสดิ์ จ.ลําพูน ชุมชนบ้านท่ากระจาย จ.สุราษฎร์ธานี และมีกิจกรรมที่หาชมได้ยากเกี่ยวกับผ้าไหมและข้าวไทย อาทิ การสาธิตวิธีเก็บผ้าไหมแบบโบราณ เสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับผ้าเบญจภาคี(5 นางพญาผ้าซิ่น) เทคนิคการปักซิ่นไหมคําซิ่น(ซิ่นบัว) และนิทรรศการนวัตกรรมข้าวไทย ทั้งนี้ มีพิธีเปิดงานวันที่ 8 สิงหาคม 2562 เวลา 17.00 น. ณ เจริญนครฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นอกจากนี้ วธ.โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยจัดโครงการหลากศิลป์ร่วมสมัย(Contemporary ART) โดยมีกิจกรรมการเดินแบบและนิทรรศการผ้าไทยร่วมสมัย การแสดงและการสาธิตผลงานดนตรี ประติมากรรม ออกแบบเครื่องประดับ การเสวนา “จากรากเดิมสู่ศิลป์ร่วมสมัย สร้างมูลค่าเพิ่มอย่างไร” การวาดภาพประกอบดนตรีบทเพลง “พระมารดาของแผ่นดิน” และเพลง “จะเดินไปพร้อมเธอ” ที่ชนะการประกวดจากโครงการเลือดใหม่ดนตรีร่วมสมัย เป็นบทเพลงเพื่อแม่ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน กรุงเทพฯ ทั้งนี้ วธ.ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม 1765 --------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี-ครม.ชมกิจกรรม “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรี-ครม.ชมกิจกรรม “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” นายกรัฐมนตรี-ครม.ชมกิจกรรม “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” วธ.ร่วมหน่วยงานรัฐ-เอกชนจัดนิทรรศการ-แฟชั่นโชว์ผ้าไทยทั้งในไทยและญี่ปุ่นช่วงเดือนส.ค.นี้ นายกรัฐมนตรี-ครม.ชมกิจกรรม “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” วธ.ร่วมหน่วยงานรัฐ-เอกชนจัดนิทรรศการ-แฟชั่นโชว์ผ้าไทยทั้งในไทยและญี่ปุ่นช่วงเดือนส.ค.นี้ วันที่ 6 สิงหาคม 2562 ที่ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม(รมว.วธ.) พร้อมด้วยนายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้อนรับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ร่วมชมกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ผ้าไทยสู่สากล เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” โดยชมการนําเสนอผลงานการออกแบบผ้าไทยร่วมสมัยโดยใช้เทคโนโลยี AR (Augmented Reality) โดยนายประภากาศ อังศุสิงห์ นักออกแบบพัสตราภรณ์ และชมการเดินแบบชุดผ้าไทยร่วมสมัย นายอิทธิพล กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ร่วมกับหน่วยงานรัฐ เอกชน เครือข่ายทางวัฒนธรรมและภาคประชาชนจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา 12 สิงหาคม 2562 เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข และความเจริญรุ่งเรืองของประชาชนและประเทศชาติมาโดยตลอด โดยเฉพาะการอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมไทยหลากหลายสาขาให้คงอยู่คู่ชาติ อาทิ ผ้าไทย งานศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นจากภูมิปัญญาไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งศูนย์ศิลปาชีพ เพื่อการฝึกอาชีพหัตถศิลป์แขนงต่างๆ และทรงเป็นแบบอย่างในการใช้ผลิตภัณฑ์ของไทย กระทั่งเกิดความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในไทยและต่างประเทศ และทรงเป็นผู้เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของชาวโลกดังพระราชสมัญญา “อัคราภิรักษศิลปิน” นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่หาที่สุดมิได้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งเสริมผ้าไทยนั้น วธ.ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ ณ ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 19-26 สิงหาคม 2562 โดยมีกําหนดการจัดกิจกรรม ได้แก่ วันที่ 19 สิงหาคม 2562 ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียว กรุงโตเกียว วันที่ 22 สิงหาคม 2562 ณ The Garden Oriental Osaka นครโอซากา และวันที่ 25 สิงหาคม 2562 ณ โรงแรม Okura Fukuoka เมืองฟูกุโอกะ มีกิจกรรมประกอบด้วย 1.การแสดงแฟชั่นโชวฺผ้าไทยร่วมสมัย ผ้าไทยส่วมใส่สบาย โดยการคัดเลือกจากสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยและมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งความพิเศษของแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้คือใช้ผ้า Assajan Silk ที่ใช้ไหมทอกับเส้นใยรีไซเคิลแอนตี้แบคทีเรีย (Perma) นับเป็นวัตกรรมใหม่ของคนไทย 2.การจัดนิทรรศการผ้าไทยที่มีเนื้อหา 3 ส่วน ประกอบด้วย ราชินีกับผ้าไทย ประเภทของผ้าไทย และผ้าไทยสู่สากล โดยนําเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ใช้ในการนําเสนอนิทรรศการพร้อมกับการสาธิตการทอผ้าแบบโบราณ และ3.การบรรเลงดนตรีไทยร่วมสมัย ขณะเดียวกัน วธ.ร่วมกับมูลนิธิข้าวไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ข้าวตราฉัตร และไอคอนสยาม จัดงาน “ทรัพย์แผ่นดิน ศิลป์สยาม:Thai Treasures” ระหว่างวันที่ 8-12 สิงหาคม 2562 ณ ไอคอนสยาม ภายในงานมีกิจกรรมประกอบด้วย นิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง การแสดงแฟชั่นโชว์ชุดผ้าไทยจากนางแบบชื่อดัง ได้แก่ ชุดไทยพระราชนิยม ชุดไทยพื้นถิ่นและชุดผ้าไทยร่วมสมัย รวมทั้งมีการนํา “ชุดไทยศิวาลัย”จากผ้ายกดอก จ.ลําพูน ที่ตัดเย็บโดยช่างฝีมือชั้นครูมาจัดแสดง อีกทั้งมีการสาธิตและจําหน่ายผ้าไหมคุณภาพเยี่ยมจาก 5 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนคุณธรรมบ้านครัวเหนือ กรุงเทพฯ ชุมชนคุณธรรมวัดสมศรีบ้านเสี้ยวน้อย จ.ชัยภูมิ ชุมชนทอผ้าไหม บ้านดอนข่า จ.ขอนแก่น ชุมชนห้วยไซสุขสวัสดิ์ จ.ลําพูน ชุมชนบ้านท่ากระจาย จ.สุราษฎร์ธานี และมีกิจกรรมที่หาชมได้ยากเกี่ยวกับผ้าไหมและข้าวไทย อาทิ การสาธิตวิธีเก็บผ้าไหมแบบโบราณ เสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับผ้าเบญจภาคี(5 นางพญาผ้าซิ่น) เทคนิคการปักซิ่นไหมคําซิ่น(ซิ่นบัว) และนิทรรศการนวัตกรรมข้าวไทย ทั้งนี้ มีพิธีเปิดงานวันที่ 8 สิงหาคม 2562 เวลา 17.00 น. ณ เจริญนครฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม โดยมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นอกจากนี้ วธ.โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยจัดโครงการหลากศิลป์ร่วมสมัย(Contemporary ART) โดยมีกิจกรรมการเดินแบบและนิทรรศการผ้าไทยร่วมสมัย การแสดงและการสาธิตผลงานดนตรี ประติมากรรม ออกแบบเครื่องประดับ การเสวนา “จากรากเดิมสู่ศิลป์ร่วมสมัย สร้างมูลค่าเพิ่มอย่างไร” การวาดภาพประกอบดนตรีบทเพลง “พระมารดาของแผ่นดิน” และเพลง “จะเดินไปพร้อมเธอ” ที่ชนะการประกวดจากโครงการเลือดใหม่ดนตรีร่วมสมัย เป็นบทเพลงเพื่อแม่ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ณ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน กรุงเทพฯ ทั้งนี้ วธ.ขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติฯ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม 1765 --------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22023
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมน้อมรำลึก วันคล้ายวันสวรรคต "ร. 9" จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาวัด
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2562 สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมน้อมรําลึก วันคล้ายวันสวรรคต "ร. 9" จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาวัด เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2562 พสกนิกรทุกหมู่เหล่าล้วนมีความตั้งใจที่จะแสดงออกถึงความจงรักภักดี และรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจ บําบัดทุกข์บํารุงสุขแก่ปวงชนชาวไทยตลอดมา โดยในวันนี้ สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้จัดกําลังพลร่วมทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดคูคลอง ณ วัดธรรมาภิรตาราม เพื่อถวายพระราชกุศล และน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมน้อมรำลึก วันคล้ายวันสวรรคต "ร. 9" จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาวัด วันอังคารที่ 15 ตุลาคม 2562 สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมน้อมรําลึก วันคล้ายวันสวรรคต "ร. 9" จัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาวัด เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2562 พสกนิกรทุกหมู่เหล่าล้วนมีความตั้งใจที่จะแสดงออกถึงความจงรักภักดี และรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่อย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ได้ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจ บําบัดทุกข์บํารุงสุขแก่ปวงชนชาวไทยตลอดมา โดยในวันนี้ สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้จัดกําลังพลร่วมทํากิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทําความสะอาดคูคลอง ณ วัดธรรมาภิรตาราม เพื่อถวายพระราชกุศล และน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23821
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้แทน UNDP ประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส.
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 ผู้แทน UNDP ประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. ผู้แทน UNDP ประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. ผู้แทน UNDP ประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ Mr. Renaud Meyer ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ(United Nations Development Programme: UNDP) ประจําประเทศไทย (Resident Representative)และคณะ ได้เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหารือความร่วมมือในการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ การอนุรักษ์สัตว์ป่า การจัดการพื้นที่อนุรักษ์ รวมถึงการจัดการขยะทะเลและขยะพลาสติก ทั้งนี้ UNDP ได้กล่าวชื่นชมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดําเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาการค้างาช้างภายในประเทศอย่างจริงจัง และขอแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Speciesof Wild Fauna and Flora: CITES) ได้มีมติให้ประเทศไทยไม่อยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องพัฒนาและดําเนินการตามแผนปฏิบัติการงาช้าง ซึ่งในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แจ้งให้ผู้แทน UNDP ทราบถึงนโยบายด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าอย่างยั่งยืน อาทิ การส่งเสริมและสร้างความเข้าใจให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างสันติและยั่งยืน การส่งเสริมให้ชุมชนและภาคส่วนต่างๆ มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ การควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยวโดยคํานึงถึงขีดความสามารถในรองรับของพื้นที่อนุรักษ์ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แจ้งให้ผู้แทน UNDP ทราบว่า ในการแก้ไขปัญหาขยะทะเลและขยะพลาสติก หัวใจสําคัญของความสําเร็จในการขับเคลื่อนนโยบายและการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ คือ ประชาชน การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจําเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกคนในการลดใช้พลาสติกในชีวิตประจําวัน รวมถึงการไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ําคูคลอง นอกจากนี้ การสนับสนุนจากภาคเอกชนซึ่งเป็นภาคผู้ผลิตมีความสําคัญ การได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตพลาสติกจากขยะพลาสติกโพลีเอทิลีน (Polyethylene: PE) โดยใช้เทคโนโลยี Upcycling ทั้งนี้ การเสียชีวิตของพะยูนน้อยมาเรียมได้ช่วยกระตุ้นให้คนไทยมีความตื่นตัวและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ภาคส่วนต่างๆ ให้ความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะทะเล โอกาสนี้ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมให้การต้อนรับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้แทน UNDP ประจำประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562 ผู้แทน UNDP ประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. ผู้แทน UNDP ประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. ผู้แทน UNDP ประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ Mr. Renaud Meyer ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ(United Nations Development Programme: UNDP) ประจําประเทศไทย (Resident Representative)และคณะ ได้เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหารือความร่วมมือในการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ การอนุรักษ์สัตว์ป่า การจัดการพื้นที่อนุรักษ์ รวมถึงการจัดการขยะทะเลและขยะพลาสติก ทั้งนี้ UNDP ได้กล่าวชื่นชมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดําเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาการค้างาช้างภายในประเทศอย่างจริงจัง และขอแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Speciesof Wild Fauna and Flora: CITES) ได้มีมติให้ประเทศไทยไม่อยู่ในกลุ่มประเทศที่ต้องพัฒนาและดําเนินการตามแผนปฏิบัติการงาช้าง ซึ่งในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แจ้งให้ผู้แทน UNDP ทราบถึงนโยบายด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าอย่างยั่งยืน อาทิ การส่งเสริมและสร้างความเข้าใจให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างสันติและยั่งยืน การส่งเสริมให้ชุมชนและภาคส่วนต่างๆ มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ การควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยวโดยคํานึงถึงขีดความสามารถในรองรับของพื้นที่อนุรักษ์ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้แจ้งให้ผู้แทน UNDP ทราบว่า ในการแก้ไขปัญหาขยะทะเลและขยะพลาสติก หัวใจสําคัญของความสําเร็จในการขับเคลื่อนนโยบายและการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ คือ ประชาชน การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจําเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนทุกคนในการลดใช้พลาสติกในชีวิตประจําวัน รวมถึงการไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ําคูคลอง นอกจากนี้ การสนับสนุนจากภาคเอกชนซึ่งเป็นภาคผู้ผลิตมีความสําคัญ การได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตพลาสติกจากขยะพลาสติกโพลีเอทิลีน (Polyethylene: PE) โดยใช้เทคโนโลยี Upcycling ทั้งนี้ การเสียชีวิตของพะยูนน้อยมาเรียมได้ช่วยกระตุ้นให้คนไทยมีความตื่นตัวและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ภาคส่วนต่างๆ ให้ความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะทะเล โอกาสนี้ นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมให้การต้อนรับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22530
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อจัดทำคู่มือเกี่ยวกับ “นวัตกรรม”
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อจัดทําคู่มือเกี่ยวกับ “นวัตกรรม” นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อจัดทําคู่มือเกี่ยวกับ “นวัตกรรม” วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อจัดทําคู่มือเกี่ยวกับ “นวัตกรรม” เพื่อการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (นวัตกรรม สร้างอย่างไรให้เป็นสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์) โดยมี นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วรัชญ์ ครุจิต ประธานอนุกรรมการคณะอนุกรรมการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาสื่อปลอดภัย และสร้างสรรค์ ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ โรงภาพยนตร์ ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต ชั้น ๔ ศูนย์การค้าดิเอ็มควอเทียร์ กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อจัดทำคู่มือเกี่ยวกับ “นวัตกรรม” วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อจัดทําคู่มือเกี่ยวกับ “นวัตกรรม” นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อจัดทําคู่มือเกี่ยวกับ “นวัตกรรม” วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นสาธารณะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อจัดทําคู่มือเกี่ยวกับ “นวัตกรรม” เพื่อการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (นวัตกรรม สร้างอย่างไรให้เป็นสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์) โดยมี นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วรัชญ์ ครุจิต ประธานอนุกรรมการคณะอนุกรรมการส่งเสริมสนับสนุนการสร้างนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาสื่อปลอดภัย และสร้างสรรค์ ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ โรงภาพยนตร์ ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต ชั้น ๔ ศูนย์การค้าดิเอ็มควอเทียร์ กรุงเทพฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26855
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมKick off 14 มหาวิทยาลัยตั้งศูนย์ AIC
วันพุธที่ 29 มกราคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ เตรียมKick off 14 มหาวิทยาลัยตั้งศูนย์ AIC กระทรวงเกษตรฯ เตรียมKick off 14 มหาวิทยาลัยตั้งศูนย์ AIC สร้างจุดเปลี่ยนการบริหารจัดการรูปแบบใหม่ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมจัดพิธีลงนามบันทึกความร่วมกันมือการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) เป็นประธาน ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญภาคการเกษตร โดยมุ่งหวังในการแก้ไขปัญหาปากท้องและสร้างรายได้ให้ประชาชนสําหรับพิธีลงนามบันทึกความร่วมกันมือดังกล่าว จะเป็นการลงนามร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับ 12 มหาวิทยาลัยและ 2 ศูนย์ความเป็นเลิศ ที่ผ่านการคัดลือกในเบื้องต้น อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นต้น ภายใต้รูปแบบโครงสร้าง 1 จังหวัด 1 ศูนย์ และจะเป็นการทํางานแบบบูรณาการร่วมกันใน 6 ภาคี คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกร ภาควิชาการ และภาคเอกชน สําหรับวัตถุประสงค์ของศูนย์ AIC ก่อตั้งเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งสนับสนุน และส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม รวมทั้งเครื่องจักรกลเกษตร และเป็นศูนย์อบรมบ่มเพาะเกษตรกร และสนับสนุน Smart Farmer รวมถึง Young Smart Farmer ในแต่ละจังหวัด ตลอดจนผลักดันงานเทคโนโลยีและนวัตกรรมผ่านการวิจัย การพัฒนา การลงทุน การแปรรูป และการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์ มีเป้าหมายในปี 2563 จะดําเนินการจัดตั้งศูนย์ฯ ให้แล้วเสร็จ จํานวน 77 ศูนย์ ภายในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาในพื้นที่จังหวัดทั้ง 77 จังหวัด และให้มีศูนย์เครือข่าย AIC ภายในจังหวัด ประกอบด้วย 1) ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้าน เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตร และ 2) ศูนย์วิจัย ทดลอง ทดสอบด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการเกษตร ทั้งนี้ ศูนย์ AIC จังหวัด มีอํานาจหน้าที่ คือ 1) เป็นแหล่งรวบรวมเทคโนโลยีทางการเกษตร และภูมิปัญญาทางการเกษตร รวมถึงนวัตกรรมด้านการเกษตรของจังหวัด 2) บริการองค์ความรู้และแหล่งเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่ทันสมัย และสร้างสรรค์ 3) พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์และการสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านการเกษตร 4) ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม รวมทั้งเครื่องจักรกลเกษตร 5) จัดอบรมเกษตรกร แหล่งเรียนรู้ และสนับสนุน Smart Farmer รวมถึง Young Smart Farmer 6) ผลักดันเทคโนโลยีทางการเกษตรและนวัตกรรมทางการเกษตร ผ่านการวิจัย การพัฒนา การลงทุน การแปรรูป และการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์ 7) ออกแบบ และจัดทําแผนส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคการเกษตร กลุ่มเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และเกษตรกร รวมถึงประสาน อํานวยการ ขับเคลื่อน กํากับ และติดตามประเมินประเมินผลการดําเนินงานตามแผนงานที่กําหนด 8) พัฒนา เสริมสร้างการเชื่อมโยงความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน ระดับประเทศและระดับโลกในความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรในพื้นที่จังหวัด และภูมิภาค และ 9) เชื่อมโยงการทํางานกับศูนย์เครือข่าย AIC จังหวัด โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมKick off 14 มหาวิทยาลัยตั้งศูนย์ AIC วันพุธที่ 29 มกราคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ เตรียมKick off 14 มหาวิทยาลัยตั้งศูนย์ AIC กระทรวงเกษตรฯ เตรียมKick off 14 มหาวิทยาลัยตั้งศูนย์ AIC สร้างจุดเปลี่ยนการบริหารจัดการรูปแบบใหม่ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์เตรียมจัดพิธีลงนามบันทึกความร่วมกันมือการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน) เป็นประธาน ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญภาคการเกษตร โดยมุ่งหวังในการแก้ไขปัญหาปากท้องและสร้างรายได้ให้ประชาชนสําหรับพิธีลงนามบันทึกความร่วมกันมือดังกล่าว จะเป็นการลงนามร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับ 12 มหาวิทยาลัยและ 2 ศูนย์ความเป็นเลิศ ที่ผ่านการคัดลือกในเบื้องต้น อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นต้น ภายใต้รูปแบบโครงสร้าง 1 จังหวัด 1 ศูนย์ และจะเป็นการทํางานแบบบูรณาการร่วมกันใน 6 ภาคี คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกร ภาควิชาการ และภาคเอกชน สําหรับวัตถุประสงค์ของศูนย์ AIC ก่อตั้งเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งสนับสนุน และส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม รวมทั้งเครื่องจักรกลเกษตร และเป็นศูนย์อบรมบ่มเพาะเกษตรกร และสนับสนุน Smart Farmer รวมถึง Young Smart Farmer ในแต่ละจังหวัด ตลอดจนผลักดันงานเทคโนโลยีและนวัตกรรมผ่านการวิจัย การพัฒนา การลงทุน การแปรรูป และการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์ มีเป้าหมายในปี 2563 จะดําเนินการจัดตั้งศูนย์ฯ ให้แล้วเสร็จ จํานวน 77 ศูนย์ ภายในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาในพื้นที่จังหวัดทั้ง 77 จังหวัด และให้มีศูนย์เครือข่าย AIC ภายในจังหวัด ประกอบด้วย 1) ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้าน เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตร และ 2) ศูนย์วิจัย ทดลอง ทดสอบด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการเกษตร ทั้งนี้ ศูนย์ AIC จังหวัด มีอํานาจหน้าที่ คือ 1) เป็นแหล่งรวบรวมเทคโนโลยีทางการเกษตร และภูมิปัญญาทางการเกษตร รวมถึงนวัตกรรมด้านการเกษตรของจังหวัด 2) บริการองค์ความรู้และแหล่งเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่ทันสมัย และสร้างสรรค์ 3) พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การคิดวิเคราะห์และการสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านการเกษตร 4) ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม รวมทั้งเครื่องจักรกลเกษตร 5) จัดอบรมเกษตรกร แหล่งเรียนรู้ และสนับสนุน Smart Farmer รวมถึง Young Smart Farmer 6) ผลักดันเทคโนโลยีทางการเกษตรและนวัตกรรมทางการเกษตร ผ่านการวิจัย การพัฒนา การลงทุน การแปรรูป และการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์ 7) ออกแบบ และจัดทําแผนส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคการเกษตร กลุ่มเกษตรกร สถาบันเกษตรกร และเกษตรกร รวมถึงประสาน อํานวยการ ขับเคลื่อน กํากับ และติดตามประเมินประเมินผลการดําเนินงานตามแผนงานที่กําหนด 8) พัฒนา เสริมสร้างการเชื่อมโยงความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน ระดับประเทศและระดับโลกในความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตรในพื้นที่จังหวัด และภูมิภาค และ 9) เชื่อมโยงการทํางานกับศูนย์เครือข่าย AIC จังหวัด โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26150
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สบน. ร่วมกับ ADB จัดประชุมนานาชาติ ตั้งเป้าสร้างเครือข่ายด้านการบริหารหนี้สาธารณะในยุคดิจิตัลกับ 48 ประเทศ APAC
วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561 สบน. ร่วมกับ ADB จัดประชุมนานาชาติ ตั้งเป้าสร้างเครือข่ายด้านการบริหารหนี้สาธารณะในยุคดิจิตัลกับ 48 ประเทศ APAC สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะมีกําหนดจัดการประชุม “2018 Asian Regional Public Debt Management Forum” ร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ในระหว่างวันที่ 13 – 15 มิ.ย.2561 ณ โรงแรมโนราบุรี รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ผู้อํานวยการสํานักนโยบายและแผน ในฐานะรองโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ รายงานว่า กระทรวงการคลัง โดยสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ มีกําหนดจัดการประชุม “2018 Asian Regional Public Debt Management Forum” ร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ในระหว่างวันที่ 13 – 15 มิถุนายน 2561 ณ โรงแรมโนราบุรี รีสอร์ท แอนด์ สปา อําเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี ซึ่งจะมีผู้แทนจาก 48 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จํานวนกว่า 180 คน จากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กระทรวงการคลัง สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ธนาคารกลาง องค์การระหว่างประเทศ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด การประชุมดังกล่าวได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Prudent Debt Management for Sustainable Growth in the age of Digital Transformation” ซึ่งจะเป็นเวทีที่ทําให้ผู้แทนจากประเทศต่างๆ ได้หารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการหนี้สาธารณะร่วมกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ของนานาประเทศ นําไปสู่การร่วมกันกําหนดมาตรการการรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการปรับตัวในยุค ดิจิตัลที่ต้องผสมผสานการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดําเนินงาน อาทิ การพัฒนาตลาดตราสารหนี้ การเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ Big Data หรือระบบ Block Chain เป็นต้น โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จะรวมถึงการหารือเกี่ยวกับแนวทางการเฝ้าระวังผลกระทบและการจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างรวดเร็วซึ่งอาจส่งผลต่อการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีนัยสําคัญ ทั้งนี้ ADB จัดการประชุม Asian Regional Public Debt Management Forum ร่วมกับประเทศสมาชิกเป็นประจําทุกปี โดยประเทศไทยเคยได้รับเกียรติร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว เมื่อปี 2011 ณ จังหวัดภูเก็ต นับเป็นเวลาเกือบ 10 ปี กว่าที่โอกาสจะเวียนมาถึงประเทศไทยอีกครั้งในปี 2018 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีที่ประเทศไทยจะได้แบ่งปันประสบการณ์และแสดงศักยภาพด้านการบริหารจัดการทางการเงินการคลังให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับสากล และร่วมกันผลักดันให้เกิดความร่วมมือทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศเพื่อประโยชน์ต่อประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกด้วย สํานักนโยบายและแผน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2265 8050 ต่อ 5503, 5511, 5513
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สบน. ร่วมกับ ADB จัดประชุมนานาชาติ ตั้งเป้าสร้างเครือข่ายด้านการบริหารหนี้สาธารณะในยุคดิจิตัลกับ 48 ประเทศ APAC วันพุธที่ 6 มิถุนายน 2561 สบน. ร่วมกับ ADB จัดประชุมนานาชาติ ตั้งเป้าสร้างเครือข่ายด้านการบริหารหนี้สาธารณะในยุคดิจิตัลกับ 48 ประเทศ APAC สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะมีกําหนดจัดการประชุม “2018 Asian Regional Public Debt Management Forum” ร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ในระหว่างวันที่ 13 – 15 มิ.ย.2561 ณ โรงแรมโนราบุรี รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ผู้อํานวยการสํานักนโยบายและแผน ในฐานะรองโฆษกสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ รายงานว่า กระทรวงการคลัง โดยสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ มีกําหนดจัดการประชุม “2018 Asian Regional Public Debt Management Forum” ร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ในระหว่างวันที่ 13 – 15 มิถุนายน 2561 ณ โรงแรมโนราบุรี รีสอร์ท แอนด์ สปา อําเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี ซึ่งจะมีผู้แทนจาก 48 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จํานวนกว่า 180 คน จากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กระทรวงการคลัง สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ธนาคารกลาง องค์การระหว่างประเทศ และสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ โดยมีนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด การประชุมดังกล่าวได้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Prudent Debt Management for Sustainable Growth in the age of Digital Transformation” ซึ่งจะเป็นเวทีที่ทําให้ผู้แทนจากประเทศต่างๆ ได้หารือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการหนี้สาธารณะร่วมกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ของนานาประเทศ นําไปสู่การร่วมกันกําหนดมาตรการการรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการปรับตัวในยุค ดิจิตัลที่ต้องผสมผสานการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดําเนินงาน อาทิ การพัฒนาตลาดตราสารหนี้ การเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ Big Data หรือระบบ Block Chain เป็นต้น โดยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จะรวมถึงการหารือเกี่ยวกับแนวทางการเฝ้าระวังผลกระทบและการจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างรวดเร็วซึ่งอาจส่งผลต่อการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างมีนัยสําคัญ ทั้งนี้ ADB จัดการประชุม Asian Regional Public Debt Management Forum ร่วมกับประเทศสมาชิกเป็นประจําทุกปี โดยประเทศไทยเคยได้รับเกียรติร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว เมื่อปี 2011 ณ จังหวัดภูเก็ต นับเป็นเวลาเกือบ 10 ปี กว่าที่โอกาสจะเวียนมาถึงประเทศไทยอีกครั้งในปี 2018 ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีที่ประเทศไทยจะได้แบ่งปันประสบการณ์และแสดงศักยภาพด้านการบริหารจัดการทางการเงินการคลังให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับสากล และร่วมกันผลักดันให้เกิดความร่วมมือทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศเพื่อประโยชน์ต่อประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกด้วย สํานักนโยบายและแผน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2265 8050 ต่อ 5503, 5511, 5513
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12815
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา ลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2561
วันพุธที่ 3 มกราคม 2561 นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา ลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2561 นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา ลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2561 วันนี้ (1 ม.ค.61) เวลา 08.30 น. ณ ห้องแดง ศาลาว่าการพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา ภริยา เดินทางมาลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2561 โดยนายกรัฐมนตรีได้ถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมถวายแจกันดอกไม้ ในนามนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และแจกันดอกไม้ในนามหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยาได้ลงนามถวายพระพรชัยมงคลฯ จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยาถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเสร็จภารกิจ --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา ลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2561 วันพุธที่ 3 มกราคม 2561 นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา ลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2561 นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา ลงนามถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2561 วันนี้ (1 ม.ค.61) เวลา 08.30 น. ณ ห้องแดง ศาลาว่าการพระราชวัง ในพระบรมมหาราชวัง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์นราพร จันทร์โอชา ภริยา เดินทางมาลงนามถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2561 โดยนายกรัฐมนตรีได้ถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมถวายแจกันดอกไม้ ในนามนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และแจกันดอกไม้ในนามหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยาได้ลงนามถวายพระพรชัยมงคลฯ จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยาถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเสร็จภารกิจ --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9136
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พัฒนาภาพลักษณ์ใหม่ เชื่อมโยงทุกคนร่วมเป็นผู้ให้ เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563 สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พัฒนาภาพลักษณ์ใหม่ เชื่อมโยงทุกคนร่วมเป็นผู้ให้ เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์องค์กรสร้างแบรนด์ที่สะท้อนความเป็นผู้ให้และเชื่อมทุกฝ่ายให้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ภายใต้แนวคิด “Giving is Rewarding for All การให้ คือรางวัลที่ยั่งยืนเพื่อสังคมคุณภาพ” สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์องค์กรสร้างแบรนด์ที่สะท้อนความเป็นผู้ให้และเชื่อมทุกฝ่ายให้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ภายใต้แนวคิด “Giving is Rewarding for All การให้ คือรางวัลที่ยั่งยืนเพื่อสังคมคุณภาพ” พร้อมเปิดตัวตราสัญลักษณ์ใหม่ GLO และเผยแผนกิจกรรมการสื่อสารทั้งภายในองค์กรและแคมเปญโฆษณาประชาสัมพันธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ในฐานะประธานคณะกรรมการสื่อสารองค์กร สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวถึงที่มาของการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสํานักงานสลากฯ ในรอบ 80 ปีครั้งนี้ ว่า เกิดจากการที่เราต้องการให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงขององค์กรอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นในบริบทปัจจุบัน โดยเน้นย้ําความทันสมัย โปร่งใส และเป็นมืออาชีพ การสื่อสารรูปแบบใหม่ของสํานักงานสลากฯ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับแบรนด์สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ซื้อและผู้จําหน่ายสลากฯ เกิดความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นผู้ให้รางวัลแก่สังคมและเกื้อกูลกันเพื่อให้ประเทศก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ให้ศูนย์วิจัยแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยกลุ่มบริษัท โอกิลวี่ ประเทศไทย (Ogilvy Thailand) และ ซูเปอร์ยูเนียน (Super Union) กําหนดแนวทางปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์และโฆษณาประชาสัมพันธ์ เน้นปลูกฝังความเข้าใจเรื่องการสร้างแบรนด์ในกลุ่มพนักงาน และสื่อสารสู่ประชาชนในวงกว้าง โดยกิจกรรมขับเคลื่อนการปรับภาพลักษณ์ของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในเบื้องต้นประกอบด้วย การจัดฝึกอบรมพนักงานที่เน้นพัฒนาประสิทธิภาพการทํางานและการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น การจัดโครงการ “GLO Brand Ambassador” เพื่อเฟ้นหาตัวแทนผู้ส่งต่อวิสัยทัศน์และวัฒนธรรมองค์กร การจัดทําเครื่องแบบใหม่ให้กับพนักงาน ตลอดจนการเปิดตัวสื่อประชาสัมพันธ์ทั้งภายในและภายนอกสํานักงานสลากฯ ผศ. ดร.ธนวรรธน์ กล่าวต่อไปอีกว่า การสร้างแบรนด์ของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ไม่ใช่แค่เรื่องของการเปลี่ยนโลโก้ ปรับปรุงเทคโนโลยีและบริการ หรือการสื่อสารประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่เป็นการสร้างคุณค่าที่หยั่งลึกไปถึงการสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อบทบาทของสํานักงานสลากฯ ที่มีความหมายมากกว่าการพิมพ์ การจําหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล การออกรางวัล และการมอบรางวัลแก่ผู้โชคดี แต่เราต้องการสื่อสารบทบาทของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในฐานะองค์กรที่ทํางานตอบโจทย์การพัฒนาประเทศในยุคใหม่ โดยสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างองค์กรและประชาชนทั่วประเทศ ให้ทุกฝ่ายมีความผูกพันในการพัฒนาสังคมส่วนรวม เพราะสําหรับสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ‘การให้’ คือรางวัลเพื่อสร้างความหวังและโอกาส เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิต และที่สําคัญเป็นการนํารายได้มาใช้พัฒนา ชุมชน สังคม และประเทศอย่างยั่งยืน การสร้างการมีส่วนร่วมใน “การให้” ร่วมกับประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงจะเน้นที่การสร้างความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนให้รายได้จากการจําหน่ายสลากฯ ถูกนําไปใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ที่จําเป็นของประเทศอย่างแท้จริง อาทิ สนับสนุนด้านการสาธารณสุขผ่านการสร้างอาคารผู้ป่วยและบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ สร้างโอกาสทางการศึกษา การช่วยเหลือผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส ส่งเสริมศาสนา การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสังคมในหลากหลายด้าน เช่น โครงการสลากสรรสร้างเพื่อชุมชน ซึ่งเริ่มดําเนินการในปี 2562 รวม 7 ชุมชน เพื่อส่งเสริมอาชีพและเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น การบริหารจัดการชุมชน การผลิตสินค้าและบริการ การสร้างสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว ทําให้ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ สามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนและการจัดการพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างภายได้ให้กับชุมชนอย่างต่อเนื่อง และในปี 2563 สํานักงานสลากฯ ได้ตั้งเป้าหมายที่จะขยายโครงการนี้ไปในอีก 10 ชุมชน ทั่วประเทศ นอกจากการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนต่างๆ แล้ว ยังคํานึงถึงการกระตุ้นส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศ โดยนําภาพวาดของเมืองรองต่าง ๆ ในประเทศไทยมาประกอบบนสลากกินแบ่งรัฐบาลอีกด้วย นอกจากนี้ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลยังได้ดําเนินการผลิตและเผยแพร่รายการ “โฮป ประกายแสงแห่งความหวัง” เพื่อนําเสนอเกี่ยวกับชีวิตของผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลําบากและขาดโอกาสการช่วยเหลือจากสังคม รวมถึงจัดกิจกรรมรณรงค์แก้ไขปัญหาการพนันในเด็กและเยาวชน ปัญหายาเสพติด ตลอดจนปัญหาสังคมอื่น ๆ ผ่านการให้ความรู้จากวิทยากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ พ.ต.อ. บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า กว่า 80 ปีที่ผ่านมา สํานักงานสลากฯ ได้ลงแรง ลงมือ ร่วมสร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างอนาคตให้กับผู้คนและชุมชน ผ่านเครือข่ายและพันธมิตรมากมาย เพราะทุก ๆ บาทของผู้ซื้อ คือการส่งต่อความหวังและความสุข ทุก ๆ แรงที่ลงไปช่วยทํางานและช่วยเหลือสังคมคือความตั้งใจที่จะมอบรอยยิ้มให้ชุมชน และทุก ๆ วัน เราได้ช่วยเหลือองค์กรทั่วประเทศที่ต้องการแรงผลักดัน ทําให้ประเทศไทยมีโอกาสก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน ผลการดําเนินงานของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลใน 5 ปีที่ผ่านมา นําส่งรายได้ให้แผ่นดินสูงสุดในลําดับต้นตลอดมา โดยมีจํานวนรายได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี ในปี 2562 สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ถือเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้นําส่งรัฐสูงสุดเป็นอันดับ 1 ด้วยจํานวนเงินกว่า 41,000 ล้านบาท และได้ดําเนินการออกสลากการกุศลตามมติคณะรัฐมนตรีให้กับหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 16 หน่วยงาน คิดเป็นมูลค่าร่วม 8,000 ล้านบาทด้วย สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาองค์กร บุคลากร ผลิตภัณฑ์ และบริการ เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียผ่าน Ecosystem ที่มีประสิทธิภาพ โดยมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแก่ทั้งผู้ซื้อและตัวแทนจําหน่ายผ่านแอปพลิเคชั่น ประกอบด้วยแอปพลิเคชั่น GLO Lottery Official สําหรับผู้ซื้อสลากฯ เพื่อตรวจสอบผลรางวัลในงวดปัจจุบันและงวดย้อนหลังได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และแอปพลิเคชั่น my GLO สําหรับผู้จําหน่ายสลากฯ ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลส่วนตัวรวมถึงประวัติการซื้อขายเพื่อใช้ในการตรวจสอบ ความโปร่งใส นอกจากนี้ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลยังได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ LINE เปิด GLO LINE Official เพื่อเป็นสื่อกลางในการอัปเดตข้อมูลข่าวสารและถ่ายทอดสดการออกรางวัล รวมถึงจัดทํา LINE Sticker เพื่อให้สํานักงานสลากฯ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจําวันของผู้คนมากขึ้น ในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม สํานักงานสลากฯ ได้ดําเนินการจัดทําแผนแม่บทในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงรายงานความยั่งยืนขององค์กรตามกรอบแนวทางการรายงานสากล (Global Reporting Initiative: GRI) และแผนประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco Efficiency) ตลอดจนให้ความสําคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มต้นจากการจัดประชุมสีเขียว (Green Meeting) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การรณรงค์ให้เกิดการคัดแยกขยะอย่างเต็มรูปแบบภายในสํานักงานสลากฯ และพื้นที่ใกล้เคียง และการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใช้ภายในสํานักงานสลากฯ “ก้าวย่างของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในวันนี้ จะเป็นก้าวใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม เราจะมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ทําเพื่อทุกชีวิต เพื่อชุมชน และสังคมอย่างแท้จริง โดยเชื่อมโยงให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายได้มาร่วมกันสร้างสังคมแห่งการให้ และร่วมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ของสํานักงานสลากฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตไปด้วยกัน” พ.ต.อ. บุญส่ง กล่าวสรุป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พัฒนาภาพลักษณ์ใหม่ เชื่อมโยงทุกคนร่วมเป็นผู้ให้ เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563 สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พัฒนาภาพลักษณ์ใหม่ เชื่อมโยงทุกคนร่วมเป็นผู้ให้ เพื่อสร้างสังคมที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์องค์กรสร้างแบรนด์ที่สะท้อนความเป็นผู้ให้และเชื่อมทุกฝ่ายให้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ภายใต้แนวคิด “Giving is Rewarding for All การให้ คือรางวัลที่ยั่งยืนเพื่อสังคมคุณภาพ” สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์องค์กรสร้างแบรนด์ที่สะท้อนความเป็นผู้ให้และเชื่อมทุกฝ่ายให้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ภายใต้แนวคิด “Giving is Rewarding for All การให้ คือรางวัลที่ยั่งยืนเพื่อสังคมคุณภาพ” พร้อมเปิดตัวตราสัญลักษณ์ใหม่ GLO และเผยแผนกิจกรรมการสื่อสารทั้งภายในองค์กรและแคมเปญโฆษณาประชาสัมพันธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ในฐานะประธานคณะกรรมการสื่อสารองค์กร สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวถึงที่มาของการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของสํานักงานสลากฯ ในรอบ 80 ปีครั้งนี้ ว่า เกิดจากการที่เราต้องการให้ประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงขององค์กรอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นในบริบทปัจจุบัน โดยเน้นย้ําความทันสมัย โปร่งใส และเป็นมืออาชีพ การสื่อสารรูปแบบใหม่ของสํานักงานสลากฯ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับแบรนด์สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ซื้อและผู้จําหน่ายสลากฯ เกิดความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นผู้ให้รางวัลแก่สังคมและเกื้อกูลกันเพื่อให้ประเทศก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้ให้ศูนย์วิจัยแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยกลุ่มบริษัท โอกิลวี่ ประเทศไทย (Ogilvy Thailand) และ ซูเปอร์ยูเนียน (Super Union) กําหนดแนวทางปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์และโฆษณาประชาสัมพันธ์ เน้นปลูกฝังความเข้าใจเรื่องการสร้างแบรนด์ในกลุ่มพนักงาน และสื่อสารสู่ประชาชนในวงกว้าง โดยกิจกรรมขับเคลื่อนการปรับภาพลักษณ์ของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในเบื้องต้นประกอบด้วย การจัดฝึกอบรมพนักงานที่เน้นพัฒนาประสิทธิภาพการทํางานและการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น การจัดโครงการ “GLO Brand Ambassador” เพื่อเฟ้นหาตัวแทนผู้ส่งต่อวิสัยทัศน์และวัฒนธรรมองค์กร การจัดทําเครื่องแบบใหม่ให้กับพนักงาน ตลอดจนการเปิดตัวสื่อประชาสัมพันธ์ทั้งภายในและภายนอกสํานักงานสลากฯ ผศ. ดร.ธนวรรธน์ กล่าวต่อไปอีกว่า การสร้างแบรนด์ของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ไม่ใช่แค่เรื่องของการเปลี่ยนโลโก้ ปรับปรุงเทคโนโลยีและบริการ หรือการสื่อสารประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่เป็นการสร้างคุณค่าที่หยั่งลึกไปถึงการสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อบทบาทของสํานักงานสลากฯ ที่มีความหมายมากกว่าการพิมพ์ การจําหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล การออกรางวัล และการมอบรางวัลแก่ผู้โชคดี แต่เราต้องการสื่อสารบทบาทของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในฐานะองค์กรที่ทํางานตอบโจทย์การพัฒนาประเทศในยุคใหม่ โดยสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างองค์กรและประชาชนทั่วประเทศ ให้ทุกฝ่ายมีความผูกพันในการพัฒนาสังคมส่วนรวม เพราะสําหรับสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ‘การให้’ คือรางวัลเพื่อสร้างความหวังและโอกาส เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิต และที่สําคัญเป็นการนํารายได้มาใช้พัฒนา ชุมชน สังคม และประเทศอย่างยั่งยืน การสร้างการมีส่วนร่วมใน “การให้” ร่วมกับประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงจะเน้นที่การสร้างความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนให้รายได้จากการจําหน่ายสลากฯ ถูกนําไปใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ที่จําเป็นของประเทศอย่างแท้จริง อาทิ สนับสนุนด้านการสาธารณสุขผ่านการสร้างอาคารผู้ป่วยและบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ สร้างโอกาสทางการศึกษา การช่วยเหลือผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส ส่งเสริมศาสนา การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสังคมในหลากหลายด้าน เช่น โครงการสลากสรรสร้างเพื่อชุมชน ซึ่งเริ่มดําเนินการในปี 2562 รวม 7 ชุมชน เพื่อส่งเสริมอาชีพและเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น การบริหารจัดการชุมชน การผลิตสินค้าและบริการ การสร้างสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว ทําให้ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ สามารถยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนและการจัดการพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างภายได้ให้กับชุมชนอย่างต่อเนื่อง และในปี 2563 สํานักงานสลากฯ ได้ตั้งเป้าหมายที่จะขยายโครงการนี้ไปในอีก 10 ชุมชน ทั่วประเทศ นอกจากการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนต่างๆ แล้ว ยังคํานึงถึงการกระตุ้นส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศ โดยนําภาพวาดของเมืองรองต่าง ๆ ในประเทศไทยมาประกอบบนสลากกินแบ่งรัฐบาลอีกด้วย นอกจากนี้ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลยังได้ดําเนินการผลิตและเผยแพร่รายการ “โฮป ประกายแสงแห่งความหวัง” เพื่อนําเสนอเกี่ยวกับชีวิตของผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลําบากและขาดโอกาสการช่วยเหลือจากสังคม รวมถึงจัดกิจกรรมรณรงค์แก้ไขปัญหาการพนันในเด็กและเยาวชน ปัญหายาเสพติด ตลอดจนปัญหาสังคมอื่น ๆ ผ่านการให้ความรู้จากวิทยากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ พ.ต.อ. บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า กว่า 80 ปีที่ผ่านมา สํานักงานสลากฯ ได้ลงแรง ลงมือ ร่วมสร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างอนาคตให้กับผู้คนและชุมชน ผ่านเครือข่ายและพันธมิตรมากมาย เพราะทุก ๆ บาทของผู้ซื้อ คือการส่งต่อความหวังและความสุข ทุก ๆ แรงที่ลงไปช่วยทํางานและช่วยเหลือสังคมคือความตั้งใจที่จะมอบรอยยิ้มให้ชุมชน และทุก ๆ วัน เราได้ช่วยเหลือองค์กรทั่วประเทศที่ต้องการแรงผลักดัน ทําให้ประเทศไทยมีโอกาสก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน ผลการดําเนินงานของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลใน 5 ปีที่ผ่านมา นําส่งรายได้ให้แผ่นดินสูงสุดในลําดับต้นตลอดมา โดยมีจํานวนรายได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกปี ในปี 2562 สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ถือเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้นําส่งรัฐสูงสุดเป็นอันดับ 1 ด้วยจํานวนเงินกว่า 41,000 ล้านบาท และได้ดําเนินการออกสลากการกุศลตามมติคณะรัฐมนตรีให้กับหน่วยงานต่าง ๆ กว่า 16 หน่วยงาน คิดเป็นมูลค่าร่วม 8,000 ล้านบาทด้วย สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาองค์กร บุคลากร ผลิตภัณฑ์ และบริการ เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียผ่าน Ecosystem ที่มีประสิทธิภาพ โดยมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแก่ทั้งผู้ซื้อและตัวแทนจําหน่ายผ่านแอปพลิเคชั่น ประกอบด้วยแอปพลิเคชั่น GLO Lottery Official สําหรับผู้ซื้อสลากฯ เพื่อตรวจสอบผลรางวัลในงวดปัจจุบันและงวดย้อนหลังได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และแอปพลิเคชั่น my GLO สําหรับผู้จําหน่ายสลากฯ ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลส่วนตัวรวมถึงประวัติการซื้อขายเพื่อใช้ในการตรวจสอบ ความโปร่งใส นอกจากนี้ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลยังได้จับมือเป็นพันธมิตรกับ LINE เปิด GLO LINE Official เพื่อเป็นสื่อกลางในการอัปเดตข้อมูลข่าวสารและถ่ายทอดสดการออกรางวัล รวมถึงจัดทํา LINE Sticker เพื่อให้สํานักงานสลากฯ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจําวันของผู้คนมากขึ้น ในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม สํานักงานสลากฯ ได้ดําเนินการจัดทําแผนแม่บทในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งภายในและภายนอกองค์กร รวมถึงรายงานความยั่งยืนขององค์กรตามกรอบแนวทางการรายงานสากล (Global Reporting Initiative: GRI) และแผนประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco Efficiency) ตลอดจนให้ความสําคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มต้นจากการจัดประชุมสีเขียว (Green Meeting) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การรณรงค์ให้เกิดการคัดแยกขยะอย่างเต็มรูปแบบภายในสํานักงานสลากฯ และพื้นที่ใกล้เคียง และการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใช้ภายในสํานักงานสลากฯ “ก้าวย่างของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในวันนี้ จะเป็นก้าวใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม เราจะมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ทําเพื่อทุกชีวิต เพื่อชุมชน และสังคมอย่างแท้จริง โดยเชื่อมโยงให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายได้มาร่วมกันสร้างสังคมแห่งการให้ และร่วมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์ของสํานักงานสลากฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตไปด้วยกัน” พ.ต.อ. บุญส่ง กล่าวสรุป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27017
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ให้กำลังใจตูน บอดี้สแลม วิ่งการกุศลระดมทุนให้สำเร็จและปลอดภัย พร้อมย้ำรัฐบาลต้องบริหารงบประมาณที่มีจำกัดให้ครอบคลุมการพัฒนาทุกมิติ
วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2560 นายกฯ ให้กําลังใจตูน บอดี้สแลม วิ่งการกุศลระดมทุนให้สําเร็จและปลอดภัย พร้อมย้ํารัฐบาลต้องบริหารงบประมาณที่มีจํากัดให้ครอบคลุมการพัฒนาทุกมิติ นายกฯ ให้กําลังใจตูน บอดี้สแลม วิ่งการกุศลระดมทุนให้สําเร็จและปลอดภัย พร้อมย้ํารัฐบาลต้องบริหารงบประมาณที่มีจํากัดให้ครอบคลุมการพัฒนาทุกมิติ วอนประชาชนเข้าใจและร่วมทําความดีเพื่อบ้านเมือง โดยขอให้ปฏิบัติภารกิจด้วยความสําเร็จ วันนี้ (15 ตุลาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฯ ให้กําลังใจตูน บอดี้สแลม วิ่งการกุศลระดมทุนให้สําเร็จและปลอดภัย พร้อมย้ํารัฐบาลต้องบริหารงบประมาณที่มีจํากัดให้ครอบคลุมการพัฒนาทุกมิติ วอนประชาชนเข้าใจและร่วมทําความดีเพื่อบ้านเมือง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากให้กําลังใจนายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม ที่ตั้งใจวิ่งการกุศลเพื่อหาเงินช่วยเหลือโรงพยาบาล ตามโครงการก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.60 โดยขอให้ปฏิบัติภารกิจด้วยความสําเร็จและปลอดภัย รวมทั้งขอบคุณที่ได้ทําหน้าที่ของคนไทยคนหนึ่งในการช่วยเหลือประเทศชาติและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน “นายกฯ ย้ําว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และไม่ทําให้ใครเสียหาย โดยการทําความดีไม่จําเป็นต้องรอให้ใครมาบังคับ และหากมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ก็จะต้องไม่หวั่นไหวต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น พร้อมทั้งเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ยินดีให้การสนับสนุน และขอเชิญชวนให้ทุกคนลุกขึ้นมาทําสิ่งที่ดีเพื่อชาติบ้านเมืองเช่นเดียวกัน” นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงกระแสวิจารณ์ในโซเชียลมีเดียที่ระบุว่า รัฐบาลนํางบประมาณไปใช้ในทางที่ไม่จําเป็นหรือการบริหารภาษีของรัฐล้มเหลวจนทําให้ตูน บอดี้สแลม ต้องออกมาวิ่งระดมทุนว่า ถือเป็นความเห็นของแต่ละบุคคล พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลมีหน้าที่บริหารบ้านเมืองให้ก้าวหน้าไปในทุกมิติ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกระดับ จึงไม่สามารถทุ่มเทงบประมาณไปในสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ จึงอยากประชาชนเข้าใจในเรื่องนี้ “ส่วนการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพนั้น เป็นการใช้งบประมาณประจําปีที่ได้ตั้งเอาไว้ล่วงหน้า เช่นเดียวกับการพัฒนาด้านอื่น ๆ ทั้งการศึกษา การคมนาคมขนส่ง หรือแม้แต่การสาธารณสุข ซึ่งจะต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยและสร้างให้เกิดความเป็นธรรม โดยเฉพาะการดูแลและพัฒนาโรงพยาบาลทั่วประเทศนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น อัตราประชากร ผู้ป่วย จํานวนแพทย์ พยาบาล ขนาดโรงพยาบาล สถานที่ตั้ง ฯลฯ โดยรัฐบาลต้องดูแลในภาพรวมและเฉลี่ยงบประมาณที่มีอยู่อย่างจํากัดให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุด” ............................................................,
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ให้กำลังใจตูน บอดี้สแลม วิ่งการกุศลระดมทุนให้สำเร็จและปลอดภัย พร้อมย้ำรัฐบาลต้องบริหารงบประมาณที่มีจำกัดให้ครอบคลุมการพัฒนาทุกมิติ วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2560 นายกฯ ให้กําลังใจตูน บอดี้สแลม วิ่งการกุศลระดมทุนให้สําเร็จและปลอดภัย พร้อมย้ํารัฐบาลต้องบริหารงบประมาณที่มีจํากัดให้ครอบคลุมการพัฒนาทุกมิติ นายกฯ ให้กําลังใจตูน บอดี้สแลม วิ่งการกุศลระดมทุนให้สําเร็จและปลอดภัย พร้อมย้ํารัฐบาลต้องบริหารงบประมาณที่มีจํากัดให้ครอบคลุมการพัฒนาทุกมิติ วอนประชาชนเข้าใจและร่วมทําความดีเพื่อบ้านเมือง โดยขอให้ปฏิบัติภารกิจด้วยความสําเร็จ วันนี้ (15 ตุลาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฯ ให้กําลังใจตูน บอดี้สแลม วิ่งการกุศลระดมทุนให้สําเร็จและปลอดภัย พร้อมย้ํารัฐบาลต้องบริหารงบประมาณที่มีจํากัดให้ครอบคลุมการพัฒนาทุกมิติ วอนประชาชนเข้าใจและร่วมทําความดีเพื่อบ้านเมือง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากให้กําลังใจนายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม ที่ตั้งใจวิ่งการกุศลเพื่อหาเงินช่วยเหลือโรงพยาบาล ตามโครงการก้าวคนละก้าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค.60 โดยขอให้ปฏิบัติภารกิจด้วยความสําเร็จและปลอดภัย รวมทั้งขอบคุณที่ได้ทําหน้าที่ของคนไทยคนหนึ่งในการช่วยเหลือประเทศชาติและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน “นายกฯ ย้ําว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และไม่ทําให้ใครเสียหาย โดยการทําความดีไม่จําเป็นต้องรอให้ใครมาบังคับ และหากมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ก็จะต้องไม่หวั่นไหวต่อการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น พร้อมทั้งเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ยินดีให้การสนับสนุน และขอเชิญชวนให้ทุกคนลุกขึ้นมาทําสิ่งที่ดีเพื่อชาติบ้านเมืองเช่นเดียวกัน” นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงกระแสวิจารณ์ในโซเชียลมีเดียที่ระบุว่า รัฐบาลนํางบประมาณไปใช้ในทางที่ไม่จําเป็นหรือการบริหารภาษีของรัฐล้มเหลวจนทําให้ตูน บอดี้สแลม ต้องออกมาวิ่งระดมทุนว่า ถือเป็นความเห็นของแต่ละบุคคล พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลมีหน้าที่บริหารบ้านเมืองให้ก้าวหน้าไปในทุกมิติ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทุกระดับ จึงไม่สามารถทุ่มเทงบประมาณไปในสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ จึงอยากประชาชนเข้าใจในเรื่องนี้ “ส่วนการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพนั้น เป็นการใช้งบประมาณประจําปีที่ได้ตั้งเอาไว้ล่วงหน้า เช่นเดียวกับการพัฒนาด้านอื่น ๆ ทั้งการศึกษา การคมนาคมขนส่ง หรือแม้แต่การสาธารณสุข ซึ่งจะต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยและสร้างให้เกิดความเป็นธรรม โดยเฉพาะการดูแลและพัฒนาโรงพยาบาลทั่วประเทศนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น อัตราประชากร ผู้ป่วย จํานวนแพทย์ พยาบาล ขนาดโรงพยาบาล สถานที่ตั้ง ฯลฯ โดยรัฐบาลต้องดูแลในภาพรวมและเฉลี่ยงบประมาณที่มีอยู่อย่างจํากัดให้เกิดความคุ้มค่าและประโยชน์สูงสุด” ............................................................,
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7414
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561 มท.1 สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง มท.1 สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 61 ที่กระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศเตือนภัยลักษณะอากาศว่าในช่วงต้นเดือนสิงหาคมจะเกิดคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ และฝนตกหนักบริเวณประเทศไทย โดยที่ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งทั่วทุกภาคของประเทศ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยระมัดระวังผลกระทบจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมที่อาจทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก น้ําล้นตลิ่ง และดินโคลนถล่ม อีกทั้งบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีคลื่นสูง 2 - 4 เมตรขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรงที่จะเกิดขึ้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้อํานวยการกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ดําเนินการตามแนวทางการเตรียมความพร้อม และแนวทางเผชิญเหตุ ดังนี้ ด้านการเตรียมความพร้อม 1) เพิ่มประสิทธิภาพการแจ้งเตือนภัยสู่ประชาชนในทุกช่องทางทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น สื่อสังคมออนไลน์ วิทยุชุมชน วิทยุภาคเอกชน หอกระจายข่าวประจําหมู่บ้าน เครือข่ายอาสาสมัครอปพร. มิสเตอร์เตือนภัย กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องให้ความสําคัญในการส่งข้อมูลการแจ้งเตือนถึงประชาชน อย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง และทั่วถึง โดยประชาชนต้องรับทราบข้อมูลการปฏิบัติงาน การเตรียมความพร้อมของภาครัฐ ช่องทางการรับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง แนวทางการปฏิบัติตนของประชาชนให้เกิดความปลอดภัย และช่องทางการแจ้งข้อมูลการขอรับความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์จากภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) ตั้งคณะทํางานติดตามสถานการณ์ขึ้นในส่วนอํานวยการของศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด เพื่อทําหน้าที่ติดตามสถานการณ์ทางด้านสภาวะอากาศและการจัดการน้ํา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีองค์ประกอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ได้แก่ หน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยา สํานักงานเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (องค์การมหาชน) หน่วยงานด้านอุทกวิทยา ประกอบด้วย กรมทรัพยากรน้ํา และกรมชลประทาน หน่วยงานด้านธรณีวิทยา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษาที่มีผู้เชี่ยวชาญ และเครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อทําหน้าที่ติดตาม วิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์สภาวะอากาศ สภาพน้ําท่า น้ําหลาก และคลื่นลมในทะเลในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเมื่อประเมินแล้วเห็นว่ามีแนวโน้มสูงที่จะเกิดสาธารณภัยขึ้นในพื้นที่ ให้เสนอผู้มีอํานาจตามกฎหมายดําเนินการสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปอยู่ในจุดปลอดภัยในทันที และสามารถแจ้งเตือนภัยสู่ประชาชนได้ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ในพื้นที่ 3) กําหนดจุดพื้นที่ปลอดภัย ด้วยการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ เต็นท์สนาม ให้มีความพร้อมในการอพยพประชาชนก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ในพื้นที่ โดยพิจารณากําหนดสถานที่ที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวที่มีความปลอดภัยจากสถานการณ์น้ําท่วมขัง สถานการณ์น้ําป่าไหลหลากในพื้นที่เชิงเขาหรือพื้นที่ลาดเอียง สถานการณ์ดินถล่มในพื้นที่เชิงเขา สถานการณ์คลื่นลมแรงในพื้นที่ริมทะเล 4) ในพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลให้วางมาตรการร่วมกับหน่วยงานที่มีหน้าที่กํากับดูแลด้านการคมนาคมทางทะเลและการท่องเที่ยว เพื่อให้มีมาตรการในการประกาศห้ามการเดินเรือออกจากหรือเข้ามายังฝั่ง ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนประกาศ หรือคําสั่งของทางราชการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมเจ้าท่า กองทัพเรือ ตํารวจน้ํา และหน่วยกู้ภัย ร่วมกันกําหนดแนวทางวิธีการและระบบในการบังคับควบคุมนําเรือที่ฝ่าฝืนซึ่งอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยกลับเข้าสู่ฝั่ง หากมีการฝ่าฝืนให้ดําเนินการทางกฎหมายในทุกกรณี และสําหรับจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติโดยเฉพาะถ้ํา น้ําตก ถ้ําลอด หากมีความเสี่ยงที่จะเกิดภัย ให้สั่งการหน่วยงานที่รับผิดชอบประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นพื้นที่ห้ามนักท่องเที่ยวหรือบุคคลใดเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงดังกล่าวตลอด 24 ชั่วโมง ในด้านการเผชิญเหตุ ให้ยึดแนวทางการจัดการสาธารณภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติและกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการจัดการภาวะฉุกเฉิน โดยจัดระบบและโครงสร้างศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด อําเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีการแบ่งมอบภารกิจและผู้รับผิดชอบให้ชัดเจนตามสถานการณ์ความรุนแรงและความซับซ้อนของภัย โดยกําหนดให้มีกลไกของศูนย์ประสานการปฏิบัติ ศูนย์ข้อมูลประชาสัมพันธ์ร่วม กลุ่มที่ปรึกษา/ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนปฏิบัติการ ส่วนอํานวยการ และส่วนสนับสนุน เพื่อให้เกิดเอกภาพและประสิทธิภาพในการควบคุมสั่งการ โดยในการเผชิญเหตุ ให้ทุกจังหวัดให้ความสําคัญกับการประกาศพื้นที่ประสบสาธารณภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เมื่อเกิดอุทกภัยในพื้นที่เป็นลําดับแรก และกําหนดขั้นตอน วิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการสื่อสาร ด้วยการจัดระบบการสื่อสารระหว่างหน่วยงานภาครัฐ หน่วยทหาร เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มช่องทางและระบบการสื่อสารกับประชาชน โดยจัดให้มีช่องทางที่สามารถติดต่อสื่อสารกับประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้สําหรับการแจ้งข้อมูลข่าวสาร การรับเรื่องราวร้องทุกข์ การขอรับความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ จากประชาชน 2) ด้านการดํารงชีพและการบรรเทาทุกข์ ให้จัดเตรียมคลังเสบียงอาหารให้มีความพร้อมในการจัดตั้งครัวสนาม โรงครัวเคลื่อนที่ เพื่อช่วยเหลือด้านการดํารงชีพ อาหาร น้ําดื่ม แก่ประชาชนได้ทันที ทั้งนี้ หากพื้นที่ใดมีการจัดตั้งโรงครัวพระราชทานขึ้น ให้บูรณาการทุกหน่วยงานร่วมดําเนินการภายใต้โรงครัวพระราชทานให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและโปร่งใส โดยมอบหมายผู้รับผิดชอบดูแลการดําเนินการดังกล่าวอย่างชัดเจน 3) การจัดการทรัพยากรด้านการคมนาคมขนส่ง ให้ปรับปรุงทะเบียนเครื่องจักรกลของจังหวัดให้เป็นปัจจุบัน โดยระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบ การติดต่อประสานงาน ผู้มีอํานาจสั่งการเคลื่อนย้ายยานพาหนะเครื่องจักรกลดังกล่าว เพื่อให้สามารถใช้ในการจัดการสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว 4) การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลประชาสัมพันธ์ร่วม ให้เป็นศูนย์ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง รวดเร็ว สามารถใช้เป็นจุดประสานข้อมูลสถานการณ์ร่วมกันของทุกหน่วยงาน และเพื่อให้การสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้กับประชาชนและสื่อมวลชนเป็นไปอย่างถูกต้อง ชัดเจน อีกทั้งสามารถใช้เป็นช่องทางหนึ่งในการที่ประชาชนจะแจ้งขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐได้ด้วย โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนประสบเหตุการณ์สาธารณภัย สามารถโทรสายด่วนสาธารณภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561 มท.1 สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง มท.1 สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรง เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 61 ที่กระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศเตือนภัยลักษณะอากาศว่าในช่วงต้นเดือนสิงหาคมจะเกิดคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ และฝนตกหนักบริเวณประเทศไทย โดยที่ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งทั่วทุกภาคของประเทศ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยระมัดระวังผลกระทบจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมที่อาจทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลัน น้ําป่าไหลหลาก น้ําล้นตลิ่ง และดินโคลนถล่ม อีกทั้งบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีคลื่นสูง 2 - 4 เมตรขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัย ดินถล่ม และคลื่นลมแรงที่จะเกิดขึ้น พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะผู้อํานวยการกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ดําเนินการตามแนวทางการเตรียมความพร้อม และแนวทางเผชิญเหตุ ดังนี้ ด้านการเตรียมความพร้อม 1) เพิ่มประสิทธิภาพการแจ้งเตือนภัยสู่ประชาชนในทุกช่องทางทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น สื่อสังคมออนไลน์ วิทยุชุมชน วิทยุภาคเอกชน หอกระจายข่าวประจําหมู่บ้าน เครือข่ายอาสาสมัครอปพร. มิสเตอร์เตือนภัย กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องให้ความสําคัญในการส่งข้อมูลการแจ้งเตือนถึงประชาชน อย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง และทั่วถึง โดยประชาชนต้องรับทราบข้อมูลการปฏิบัติงาน การเตรียมความพร้อมของภาครัฐ ช่องทางการรับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง แนวทางการปฏิบัติตนของประชาชนให้เกิดความปลอดภัย และช่องทางการแจ้งข้อมูลการขอรับความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์จากภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) ตั้งคณะทํางานติดตามสถานการณ์ขึ้นในส่วนอํานวยการของศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด เพื่อทําหน้าที่ติดตามสถานการณ์ทางด้านสภาวะอากาศและการจัดการน้ํา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีองค์ประกอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ได้แก่ หน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยา สํานักงานเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (องค์การมหาชน) หน่วยงานด้านอุทกวิทยา ประกอบด้วย กรมทรัพยากรน้ํา และกรมชลประทาน หน่วยงานด้านธรณีวิทยา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษาที่มีผู้เชี่ยวชาญ และเครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อทําหน้าที่ติดตาม วิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์สภาวะอากาศ สภาพน้ําท่า น้ําหลาก และคลื่นลมในทะเลในพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเมื่อประเมินแล้วเห็นว่ามีแนวโน้มสูงที่จะเกิดสาธารณภัยขึ้นในพื้นที่ ให้เสนอผู้มีอํานาจตามกฎหมายดําเนินการสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปอยู่ในจุดปลอดภัยในทันที และสามารถแจ้งเตือนภัยสู่ประชาชนได้ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ในพื้นที่ 3) กําหนดจุดพื้นที่ปลอดภัย ด้วยการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ เต็นท์สนาม ให้มีความพร้อมในการอพยพประชาชนก่อนที่จะเกิดสถานการณ์ในพื้นที่ โดยพิจารณากําหนดสถานที่ที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวที่มีความปลอดภัยจากสถานการณ์น้ําท่วมขัง สถานการณ์น้ําป่าไหลหลากในพื้นที่เชิงเขาหรือพื้นที่ลาดเอียง สถานการณ์ดินถล่มในพื้นที่เชิงเขา สถานการณ์คลื่นลมแรงในพื้นที่ริมทะเล 4) ในพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลให้วางมาตรการร่วมกับหน่วยงานที่มีหน้าที่กํากับดูแลด้านการคมนาคมทางทะเลและการท่องเที่ยว เพื่อให้มีมาตรการในการประกาศห้ามการเดินเรือออกจากหรือเข้ามายังฝั่ง ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนประกาศ หรือคําสั่งของทางราชการ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมเจ้าท่า กองทัพเรือ ตํารวจน้ํา และหน่วยกู้ภัย ร่วมกันกําหนดแนวทางวิธีการและระบบในการบังคับควบคุมนําเรือที่ฝ่าฝืนซึ่งอยู่ในภาวะเสี่ยงภัยกลับเข้าสู่ฝั่ง หากมีการฝ่าฝืนให้ดําเนินการทางกฎหมายในทุกกรณี และสําหรับจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติโดยเฉพาะถ้ํา น้ําตก ถ้ําลอด หากมีความเสี่ยงที่จะเกิดภัย ให้สั่งการหน่วยงานที่รับผิดชอบประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นพื้นที่ห้ามนักท่องเที่ยวหรือบุคคลใดเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงดังกล่าวตลอด 24 ชั่วโมง ในด้านการเผชิญเหตุ ให้ยึดแนวทางการจัดการสาธารณภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติและกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในการจัดการภาวะฉุกเฉิน โดยจัดระบบและโครงสร้างศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด อําเภอ และศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีการแบ่งมอบภารกิจและผู้รับผิดชอบให้ชัดเจนตามสถานการณ์ความรุนแรงและความซับซ้อนของภัย โดยกําหนดให้มีกลไกของศูนย์ประสานการปฏิบัติ ศูนย์ข้อมูลประชาสัมพันธ์ร่วม กลุ่มที่ปรึกษา/ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนปฏิบัติการ ส่วนอํานวยการ และส่วนสนับสนุน เพื่อให้เกิดเอกภาพและประสิทธิภาพในการควบคุมสั่งการ โดยในการเผชิญเหตุ ให้ทุกจังหวัดให้ความสําคัญกับการประกาศพื้นที่ประสบสาธารณภัยตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เมื่อเกิดอุทกภัยในพื้นที่เป็นลําดับแรก และกําหนดขั้นตอน วิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการสื่อสาร ด้วยการจัดระบบการสื่อสารระหว่างหน่วยงานภาครัฐ หน่วยทหาร เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มช่องทางและระบบการสื่อสารกับประชาชน โดยจัดให้มีช่องทางที่สามารถติดต่อสื่อสารกับประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้สําหรับการแจ้งข้อมูลข่าวสาร การรับเรื่องราวร้องทุกข์ การขอรับความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ จากประชาชน 2) ด้านการดํารงชีพและการบรรเทาทุกข์ ให้จัดเตรียมคลังเสบียงอาหารให้มีความพร้อมในการจัดตั้งครัวสนาม โรงครัวเคลื่อนที่ เพื่อช่วยเหลือด้านการดํารงชีพ อาหาร น้ําดื่ม แก่ประชาชนได้ทันที ทั้งนี้ หากพื้นที่ใดมีการจัดตั้งโรงครัวพระราชทานขึ้น ให้บูรณาการทุกหน่วยงานร่วมดําเนินการภายใต้โรงครัวพระราชทานให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและโปร่งใส โดยมอบหมายผู้รับผิดชอบดูแลการดําเนินการดังกล่าวอย่างชัดเจน 3) การจัดการทรัพยากรด้านการคมนาคมขนส่ง ให้ปรับปรุงทะเบียนเครื่องจักรกลของจังหวัดให้เป็นปัจจุบัน โดยระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบ การติดต่อประสานงาน ผู้มีอํานาจสั่งการเคลื่อนย้ายยานพาหนะเครื่องจักรกลดังกล่าว เพื่อให้สามารถใช้ในการจัดการสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว 4) การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลประชาสัมพันธ์ร่วม ให้เป็นศูนย์ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง รวดเร็ว สามารถใช้เป็นจุดประสานข้อมูลสถานการณ์ร่วมกันของทุกหน่วยงาน และเพื่อให้การสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้กับประชาชนและสื่อมวลชนเป็นไปอย่างถูกต้อง ชัดเจน อีกทั้งสามารถใช้เป็นช่องทางหนึ่งในการที่ประชาชนจะแจ้งขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐได้ด้วย โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนประสบเหตุการณ์สาธารณภัย สามารถโทรสายด่วนสาธารณภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14377
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประวิตรฯ สั่งเร่งติดตามแก้ปัญหาน้ำประปาในพื้นที่บางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขุ่น มีกลิ่น กำชับต้องมีน้ำกิน น้ำใช้ เพียงพอจนถึงปลายเดือนมิถุนายน นี้
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563 พลเอก ประวิตรฯ สั่งเร่งติดตามแก้ปัญหาน้ําประปาในพื้นที่บางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขุ่น มีกลิ่น กําชับต้องมีน้ํากิน น้ําใช้ เพียงพอจนถึงปลายเดือนมิถุนายน นี้ พลเอก ประวิตรฯ สั่งเร่งติดตามแก้ปัญหาน้ําประปาในพื้นที่บางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขุ่น มีกลิ่น กําชับต้องมีน้ํากิน น้ําใช้ เพียงพอจนถึงปลายเดือนมิถุนายน นี้ วันนี้ (18 พฤษภาคม 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอํานวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ครั้งที่ 2/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุป ดังนี้ ที่ประชุมได้รับทราบสรุปผลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําฤดูแล้งปี 2562/63 เกี่ยวกับการประเมินปริมาณน้ําต้นทุนและคาดการณ์ ชี้เป้า พื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ํา แผนและผลการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี 2562/63 และมาตรการการแก้ไขปัญหา สรุปสถานการณ์ภัยแล้งและการช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรี รวมถึงการติดตามความคืบหน้าสถานการณ์น้ํา คาดการณ์น้ําฝน น้ําในแหล่งน้ํา น้ําหลากและดินโคลนถล่ม ด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการการวางแผนการจัดสรรน้ําและการเพาะปลูกฤดูฝน ปี 2563 โดยให้หน่วยงานปรับปริมาณการใช้น้ําให้สอดคล้องกับปริมาณน้ําต้นทุน เตรียมการบริหารจัดการน้ําเพื่อรองรับในฤดูฝน ปี 2563 โดยให้จัดทําแผนปฏิบัติการและรายงานผลการดําเนินงานให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบ เพื่อนําเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ต่อไป ทั้งนี้ ประธานได้กําชับให้คณะอนุกรรมการฯ เร่งติดตามความคืบหน้าแผนงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง สทนช. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดกับประชาชนในพื้นที่ จากสภาวะน้ําในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีลักษณะขุ่นและมีกลิ่น รวมทั้งภาคอื่นๆ ด้วย ขณะเดียวกันให้มีการประชาสัมพันธ์สิ่งที่ได้ดําเนินการไปแล้วให้ประชาชนได้รับทราบ เมื่อปรับเข้าสู่ชีวิตวิถีใหม่ New Normal เน้นการพัฒนาตนเอง ด้วยให้ภาคราชการร่วมมือกับภาคเอกชนทําให้เกิดการพัฒนา เพราะน้ําเป็นทรัพยากรสําคัญของประเทศ ทุกฝ่ายต้องร่วมกันบริหารจัดการ เพื่อกระจายน้ําให้ประชาชนมีใช้เพื่ออุปโภคบริโภค รวมทั้งบรรลุเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้ด้วย ........................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ประวิตรฯ สั่งเร่งติดตามแก้ปัญหาน้ำประปาในพื้นที่บางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขุ่น มีกลิ่น กำชับต้องมีน้ำกิน น้ำใช้ เพียงพอจนถึงปลายเดือนมิถุนายน นี้ วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563 พลเอก ประวิตรฯ สั่งเร่งติดตามแก้ปัญหาน้ําประปาในพื้นที่บางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขุ่น มีกลิ่น กําชับต้องมีน้ํากิน น้ําใช้ เพียงพอจนถึงปลายเดือนมิถุนายน นี้ พลเอก ประวิตรฯ สั่งเร่งติดตามแก้ปัญหาน้ําประปาในพื้นที่บางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขุ่น มีกลิ่น กําชับต้องมีน้ํากิน น้ําใช้ เพียงพอจนถึงปลายเดือนมิถุนายน นี้ วันนี้ (18 พฤษภาคม 63) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการอํานวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ครั้งที่ 2/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุป ดังนี้ ที่ประชุมได้รับทราบสรุปผลการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําฤดูแล้งปี 2562/63 เกี่ยวกับการประเมินปริมาณน้ําต้นทุนและคาดการณ์ ชี้เป้า พื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ํา แผนและผลการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งปี 2562/63 และมาตรการการแก้ไขปัญหา สรุปสถานการณ์ภัยแล้งและการช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรี รวมถึงการติดตามความคืบหน้าสถานการณ์น้ํา คาดการณ์น้ําฝน น้ําในแหล่งน้ํา น้ําหลากและดินโคลนถล่ม ด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการการวางแผนการจัดสรรน้ําและการเพาะปลูกฤดูฝน ปี 2563 โดยให้หน่วยงานปรับปริมาณการใช้น้ําให้สอดคล้องกับปริมาณน้ําต้นทุน เตรียมการบริหารจัดการน้ําเพื่อรองรับในฤดูฝน ปี 2563 โดยให้จัดทําแผนปฏิบัติการและรายงานผลการดําเนินงานให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบ เพื่อนําเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ต่อไป ทั้งนี้ ประธานได้กําชับให้คณะอนุกรรมการฯ เร่งติดตามความคืบหน้าแผนงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง สทนช. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดกับประชาชนในพื้นที่ จากสภาวะน้ําในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีลักษณะขุ่นและมีกลิ่น รวมทั้งภาคอื่นๆ ด้วย ขณะเดียวกันให้มีการประชาสัมพันธ์สิ่งที่ได้ดําเนินการไปแล้วให้ประชาชนได้รับทราบ เมื่อปรับเข้าสู่ชีวิตวิถีใหม่ New Normal เน้นการพัฒนาตนเอง ด้วยให้ภาคราชการร่วมมือกับภาคเอกชนทําให้เกิดการพัฒนา เพราะน้ําเป็นทรัพยากรสําคัญของประเทศ ทุกฝ่ายต้องร่วมกันบริหารจัดการ เพื่อกระจายน้ําให้ประชาชนมีใช้เพื่ออุปโภคบริโภค รวมทั้งบรรลุเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้ด้วย ........................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31017
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลฯ มั่นใจ นายกฯ ปรับ ครม.เลือกคนมีความรู้ความสามารถช่วยงาน ขณะที่การเดินสายพบสื่อไม่ใช่เพราะความนิยมนายกฯ ลดลง แต่เพื่อความร่วมมือในการเดินหน้าประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม 2563 โฆษกรัฐบาลฯ มั่นใจ นายกฯ ปรับ ครม.เลือกคนมีความรู้ความสามารถช่วยงาน ขณะที่การเดินสายพบสื่อไม่ใช่เพราะความนิยมนายกฯ ลดลง แต่เพื่อความร่วมมือในการเดินหน้าประเทศ โฆษกรัฐบาลฯ มั่นใจ นายกฯ ปรับ ครม.เลือกคนมีความรู้ความสามารถช่วยงาน ขณะที่การเดินสายพบสื่อไม่ใช่เพราะความนิยมนายกฯ ลดลง แต่เพื่อความร่วมมือในการเดินหน้าประเทศ วันที่ 16 ก.ค.63 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ออกมาระบุให้นายกรัฐมนตรีเร่งปรับ ครม. ภายหลัง 4 รัฐมนตรียื่นหนังสือลาออก โดยระบุว่าต้องเคารพการตัดสินใจของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และอีก 3 รัฐมนตรี และการปรับ ครม. นายกฯ ได้ยืนยันไปแล้วว่าจะทําให้แล้วเสร็จไม่เกินเดือนสิงหาคม โดยจะเป็นผู้พิจารณาเอง พร้อมกันนี้ ยังมั่นใจว่านายกฯ จะคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มาทําหน้าที่ได้ โดยเฉพาะการเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในช่วงนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกเช่นเดียวกัน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 และรัฐบาลได้เตรียมมาตรการ รวมถึงโครงการต่าง ๆ เอาไว้แล้วในการฟื้นฟูประเทศ ขณะเดียวกันการปรับ ครม. ของนายกฯ ไม่ได้เป็นการยอมรับความล้มเหลวในการบริหารประเทศทางด้านเศรษฐกิจ ตามที่นายพิชัยระบุ แต่เป็นไปเพื่อความเหมาะสม ซึ่งในทุกรัฐบาลรวมถึงรัฐบาลก่อนหน้านี้ก็มีการปรับ ครม. เช่นเดียวกัน ส่วนกรณีที่นายพิชัยระบุถึงการเดินสายพบปะกับสื่อมวลชน เพราะความนิยมในตัวนายกฯ ลดลงนั้น โฆษกรัฐบาลระบุว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้เดินสายพบแต่สื่อมวลชนเท่านั้น แต่ยังได้เดินสายพบกับหลายกลุ่มอาชีพ ซึ่งถือว่าเป็นการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง ก่อนที่จะนําไปพิจารณาให้ความช่วยเหลือให้ตรงจุด และยังเป็นการสอบถามถึงความร่วมมือจากประชาชนในการพัฒนาประเทศอีกด้วย ถือว่าเป็นการใส่ใจ แสดงถึงความจริงใจในการบริหารประเทศที่จะทําเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทํามาก่อน -----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลฯ มั่นใจ นายกฯ ปรับ ครม.เลือกคนมีความรู้ความสามารถช่วยงาน ขณะที่การเดินสายพบสื่อไม่ใช่เพราะความนิยมนายกฯ ลดลง แต่เพื่อความร่วมมือในการเดินหน้าประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม 2563 โฆษกรัฐบาลฯ มั่นใจ นายกฯ ปรับ ครม.เลือกคนมีความรู้ความสามารถช่วยงาน ขณะที่การเดินสายพบสื่อไม่ใช่เพราะความนิยมนายกฯ ลดลง แต่เพื่อความร่วมมือในการเดินหน้าประเทศ โฆษกรัฐบาลฯ มั่นใจ นายกฯ ปรับ ครม.เลือกคนมีความรู้ความสามารถช่วยงาน ขณะที่การเดินสายพบสื่อไม่ใช่เพราะความนิยมนายกฯ ลดลง แต่เพื่อความร่วมมือในการเดินหน้าประเทศ วันที่ 16 ก.ค.63 ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ออกมาระบุให้นายกรัฐมนตรีเร่งปรับ ครม. ภายหลัง 4 รัฐมนตรียื่นหนังสือลาออก โดยระบุว่าต้องเคารพการตัดสินใจของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และอีก 3 รัฐมนตรี และการปรับ ครม. นายกฯ ได้ยืนยันไปแล้วว่าจะทําให้แล้วเสร็จไม่เกินเดือนสิงหาคม โดยจะเป็นผู้พิจารณาเอง พร้อมกันนี้ ยังมั่นใจว่านายกฯ จะคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มาทําหน้าที่ได้ โดยเฉพาะการเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในช่วงนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลกเช่นเดียวกัน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 และรัฐบาลได้เตรียมมาตรการ รวมถึงโครงการต่าง ๆ เอาไว้แล้วในการฟื้นฟูประเทศ ขณะเดียวกันการปรับ ครม. ของนายกฯ ไม่ได้เป็นการยอมรับความล้มเหลวในการบริหารประเทศทางด้านเศรษฐกิจ ตามที่นายพิชัยระบุ แต่เป็นไปเพื่อความเหมาะสม ซึ่งในทุกรัฐบาลรวมถึงรัฐบาลก่อนหน้านี้ก็มีการปรับ ครม. เช่นเดียวกัน ส่วนกรณีที่นายพิชัยระบุถึงการเดินสายพบปะกับสื่อมวลชน เพราะความนิยมในตัวนายกฯ ลดลงนั้น โฆษกรัฐบาลระบุว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้เดินสายพบแต่สื่อมวลชนเท่านั้น แต่ยังได้เดินสายพบกับหลายกลุ่มอาชีพ ซึ่งถือว่าเป็นการลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาจากประชาชนโดยตรง ก่อนที่จะนําไปพิจารณาให้ความช่วยเหลือให้ตรงจุด และยังเป็นการสอบถามถึงความร่วมมือจากประชาชนในการพัฒนาประเทศอีกด้วย ถือว่าเป็นการใส่ใจ แสดงถึงความจริงใจในการบริหารประเทศที่จะทําเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยมีรัฐบาลใดทํามาก่อน -----------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33440
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้ารถไฟฟ้า กทม.-ปริมณฑล
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2561 ความคืบหน้ารถไฟฟ้า กทม.-ปริมณฑล รัฐบาลเร่งรัดการก่อสร้างระบบขนส่งทางรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินช่วงหัวลําโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ซึ่งขณะนี้คืบหน้าร้อยละ 87 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2563 สายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ งานโยธาแล้วเสร็จ อังคารที่ 21 ส.ค.61 ความคืบหน้ารถไฟฟ้า กทม.-ปริมณฑล ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเร่งรัดการก่อสร้างระบบขนส่งทางรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินช่วงหัวลําโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ซึ่งขณะนี้คืบหน้าร้อยละ 87 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2563 สายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ งานโยธาแล้วเสร็จ คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2563 สายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี คืบหน้าแล้วร้อยละ 30 และสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สําโรง คืบหน้าแล้วร้อยละ 31 คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2564 ส่วนสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี คืบหน้าร้อยละ 45 คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2565 และสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-วงแหวนกาญจนาภิเษก คืบหน้าร้อยละ 14 ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังลดปัญหาการจราจรติดขัดและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้ารถไฟฟ้า กทม.-ปริมณฑล วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2561 ความคืบหน้ารถไฟฟ้า กทม.-ปริมณฑล รัฐบาลเร่งรัดการก่อสร้างระบบขนส่งทางรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินช่วงหัวลําโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ซึ่งขณะนี้คืบหน้าร้อยละ 87 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2563 สายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ งานโยธาแล้วเสร็จ อังคารที่ 21 ส.ค.61 ความคืบหน้ารถไฟฟ้า กทม.-ปริมณฑล ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเร่งรัดการก่อสร้างระบบขนส่งทางรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินช่วงหัวลําโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ซึ่งขณะนี้คืบหน้าร้อยละ 87 คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 2563 สายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ งานโยธาแล้วเสร็จ คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2563 สายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี คืบหน้าแล้วร้อยละ 30 และสายสีเหลืองช่วงลาดพร้าว-สําโรง คืบหน้าแล้วร้อยละ 31 คาดว่าจะเปิดให้บริการปี 2564 ส่วนสายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี คืบหน้าร้อยละ 45 คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2565 และสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-วงแหวนกาญจนาภิเษก คืบหน้าร้อยละ 14 ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังลดปัญหาการจราจรติดขัดและยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดียิ่งขึ้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14841
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดีประเทศไทยได้อันดับที่ 57 ผลการจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EGDI ขยับขึ้นถึง 16 อันดับ
วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2563 นายกฯ ยินดีประเทศไทยได้อันดับที่ 57 ผลการจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EGDI ขยับขึ้นถึง 16 อันดับ ผลสืบเนื่องจากแผนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ไทยได้รับการจัดอันดับที่ 57 จากผลการจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-government Development Index : EGDI ) ปี 2563 ขององค์การสหประชาชาติ จากเดิมได้ลําดับที่ 73 ในปี 2561 ดีขึ้น 16 อันดับ องค์การสหประชาชาติจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อประเมินความพร้อมของการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศต่างๆ เพื่อให้เห็นถึงทิศทางการพัฒนาทางอิเล็คทรอนิกส์ และสะท้อนความสามารถของภาครัฐในการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการให้บริการประชาชน โดยจัดการประเมินทุก 2 ปี สํารวจจาก 193 ประเทศ ที่เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ พิจารณาจาก 3 ปัจจัยที่สําคัญ ได้แก่ 1 การให้บริการออนไลน์ 2 โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม และ 3 ทุนมนุษย์ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมตั้งใจทํางานจนทําให้การจัดอันดับของไทยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นผลสําคัญสืบเนื่องจากการปฏิรูปประเทศที่ปรากฏผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งตามแผนแม่บทของยุทธศาสตร์ชาติ ด้านที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและการพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดีประเทศไทยได้อันดับที่ 57 ผลการจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EGDI ขยับขึ้นถึง 16 อันดับ วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม 2563 นายกฯ ยินดีประเทศไทยได้อันดับที่ 57 ผลการจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EGDI ขยับขึ้นถึง 16 อันดับ ผลสืบเนื่องจากแผนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ไทยได้รับการจัดอันดับที่ 57 จากผลการจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-government Development Index : EGDI ) ปี 2563 ขององค์การสหประชาชาติ จากเดิมได้ลําดับที่ 73 ในปี 2561 ดีขึ้น 16 อันดับ องค์การสหประชาชาติจัดอันดับดัชนีรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อประเมินความพร้อมของการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศต่างๆ เพื่อให้เห็นถึงทิศทางการพัฒนาทางอิเล็คทรอนิกส์ และสะท้อนความสามารถของภาครัฐในการนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการให้บริการประชาชน โดยจัดการประเมินทุก 2 ปี สํารวจจาก 193 ประเทศ ที่เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ พิจารณาจาก 3 ปัจจัยที่สําคัญ ได้แก่ 1 การให้บริการออนไลน์ 2 โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม และ 3 ทุนมนุษย์ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมตั้งใจทํางานจนทําให้การจัดอันดับของไทยดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นผลสําคัญสืบเนื่องจากการปฏิรูปประเทศที่ปรากฏผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งตามแผนแม่บทของยุทธศาสตร์ชาติ ด้านที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและการพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยเผยประชาชนเข้าใช้บริการศูนย์ดำรงธรรมช่วงเทศกาลปีใหม่แล้วกว่า 2.8 แสนราย
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562 กระทรวงมหาดไทยเผยประชาชนเข้าใช้บริการศูนย์ดํารงธรรมช่วงเทศกาลปีใหม่แล้วกว่า 2.8 แสนราย กระทรวงมหาดไทยเผยประชาชนเข้าใช้บริการศูนย์ดํารงธรรมช่วงเทศกาลปีใหม่แล้วกว่า 2.8 แสนราย พร้อมจัดตั้งศูนย์ดํารงธรรมอําเภอเคลื่อนที่ ณ จุดอํานวยการความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 61 เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทย ได้จัดทําโครงการของขวัญปีใหม่เพื่อมอบให้ประชาชน ปี 2562 ภายใต้แนวคิด “127 ปี มหาดไทย ทุกหัวใจเราดูแล” ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ “ปีใหม่สุขใจไปกับศูนย์ดํารงธรรม 1567” โดย ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดและศูนย์ดํารงธรรมอําเภอทุกแห่งทั่วประเทศ ให้บริการและอํานวยความสะดวกพี่น้องประชาชน ในระหว่างวันที่ 27 ธ.ค.2561 – 4 ม.ค.2562 ผ่านทางสายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งให้บริการศูนย์บริการร่วม/บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) การประสานความช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีเหตุฉุกเฉิน รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สําหรับผลการปฏิบัติงานของศูนย์ดํารงธรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม เป็นต้นมา พบว่า มีประชาชนให้ความสนใจขอรับบริการศูนย์ดํารงธรรมเป็นจํานวนมาก โดยมียอดสะสมผู้รับบริการ ณ วันที่ 29 ธันวาคม 2561 เวลา 19.30 น. จํานวน 279,628 ราย โดยเรื่องที่ประชาชนขอรับบริการมากที่สุด 3 ลําดับแรก คือ บริการรับชําระค่าไฟฟ้า-ประปา 17,563 เรื่อง บริการนักท่องเที่ยว 7,098 เรื่อง รับบริการทางทะเบียนและบัตร 4,559 เรื่อง และสําหรับช่องทางที่ประชาชนขอรับบริการมากที่สุด 3 ลําดับแรก คือ ศูนย์บริการร่วม (One Stop Service) 34,536 เรื่อง เว็บไซต์ศูนย์ดํารงธรรมและ Application MOI 1567 3,913 เรื่อง และช่องทางการรับเรื่องอื่นๆ 670 เรื่อง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย มีความตั้งใจที่จะมอบความสุขให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 นี้ ผ่านการให้บริการด้านต่างๆ ของศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งช่องทางสายด่วน 1567 และแอปพลิเคชัน MOI1567 ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการปกครอง ได้สั่งการให้ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอเคลื่อนที่ให้บริการพี่น้องประชาชน ณ จุดอํานวยการความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนอีกทางหนึ่งด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยเผยประชาชนเข้าใช้บริการศูนย์ดำรงธรรมช่วงเทศกาลปีใหม่แล้วกว่า 2.8 แสนราย วันพุธที่ 2 มกราคม 2562 กระทรวงมหาดไทยเผยประชาชนเข้าใช้บริการศูนย์ดํารงธรรมช่วงเทศกาลปีใหม่แล้วกว่า 2.8 แสนราย กระทรวงมหาดไทยเผยประชาชนเข้าใช้บริการศูนย์ดํารงธรรมช่วงเทศกาลปีใหม่แล้วกว่า 2.8 แสนราย พร้อมจัดตั้งศูนย์ดํารงธรรมอําเภอเคลื่อนที่ ณ จุดอํานวยการความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 61 เวลา 11.00 น. ที่กระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทย ได้จัดทําโครงการของขวัญปีใหม่เพื่อมอบให้ประชาชน ปี 2562 ภายใต้แนวคิด “127 ปี มหาดไทย ทุกหัวใจเราดูแล” ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ “ปีใหม่สุขใจไปกับศูนย์ดํารงธรรม 1567” โดย ศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดและศูนย์ดํารงธรรมอําเภอทุกแห่งทั่วประเทศ ให้บริการและอํานวยความสะดวกพี่น้องประชาชน ในระหว่างวันที่ 27 ธ.ค.2561 – 4 ม.ค.2562 ผ่านทางสายด่วน 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งให้บริการศูนย์บริการร่วม/บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) การประสานความช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีเหตุฉุกเฉิน รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สําหรับผลการปฏิบัติงานของศูนย์ดํารงธรรมในช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม เป็นต้นมา พบว่า มีประชาชนให้ความสนใจขอรับบริการศูนย์ดํารงธรรมเป็นจํานวนมาก โดยมียอดสะสมผู้รับบริการ ณ วันที่ 29 ธันวาคม 2561 เวลา 19.30 น. จํานวน 279,628 ราย โดยเรื่องที่ประชาชนขอรับบริการมากที่สุด 3 ลําดับแรก คือ บริการรับชําระค่าไฟฟ้า-ประปา 17,563 เรื่อง บริการนักท่องเที่ยว 7,098 เรื่อง รับบริการทางทะเบียนและบัตร 4,559 เรื่อง และสําหรับช่องทางที่ประชาชนขอรับบริการมากที่สุด 3 ลําดับแรก คือ ศูนย์บริการร่วม (One Stop Service) 34,536 เรื่อง เว็บไซต์ศูนย์ดํารงธรรมและ Application MOI 1567 3,913 เรื่อง และช่องทางการรับเรื่องอื่นๆ 670 เรื่อง รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย มีความตั้งใจที่จะมอบความสุขให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 นี้ ผ่านการให้บริการด้านต่างๆ ของศูนย์ดํารงธรรมจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งช่องทางสายด่วน 1567 และแอปพลิเคชัน MOI1567 ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการปกครอง ได้สั่งการให้ศูนย์ดํารงธรรมอําเภอเคลื่อนที่ให้บริการพี่น้องประชาชน ณ จุดอํานวยการความปลอดภัยทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนอีกทางหนึ่งด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17867
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ศธ.เรื่อง สถานที่จัดตั้งสำนักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.)
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562 ประกาศ ศธ.เรื่อง สถานที่จัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 7 มีนาคม 2562 เรื่อง สถานที่จัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 7 มีนาคม 2562 เรื่อง สถานที่จัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การดําเนินงานของ ศธภ. 18 แห่ง สอดคล้องกับเขตตรวจราชการของสํานักนายกรัฐมนตรี และการปฏิบัติงานตามกลุ่มจังหวัดของคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ที่ได้จัดตั้งกลุ่มจังหวัด จํานวน 18 กลุ่มจังหวัด 6 ภาค Photo Creditกลุ่มสารนิเทศ สป.ศธ. Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ศธ.เรื่อง สถานที่จัดตั้งสำนักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2562 ประกาศ ศธ.เรื่อง สถานที่จัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 7 มีนาคม 2562 เรื่อง สถานที่จัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) ลงนามในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 7 มีนาคม 2562 เรื่อง สถานที่จัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค (ศธภ.) สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้การดําเนินงานของ ศธภ. 18 แห่ง สอดคล้องกับเขตตรวจราชการของสํานักนายกรัฐมนตรี และการปฏิบัติงานตามกลุ่มจังหวัดของคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ที่ได้จัดตั้งกลุ่มจังหวัด จํานวน 18 กลุ่มจังหวัด 6 ภาค Photo Creditกลุ่มสารนิเทศ สป.ศธ. Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19316
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย.ระดมทีมให้คำปรึกษาค้ำประกันสินเชื่อในงาน Money Expo
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 บสย.ระดมทีมให้คําปรึกษาค้ําประกันสินเชื่อในงาน Money Expo บสย.ได้ร่วมงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 17 “Money Expo 2017” โดยปีนี้ บสย.ได้ระดมทีมงานให้บริการคําปรึกษาด้านการค้ําประกันสินเชื่อ การขอสินเชื่อ หรือหากต้องการขอสินเชื่อต้องเตรียมตัวอย่างไร รวมถึงการให้คําแนะนําเรื่องการทําธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SMEs บสย. ลุยงาน Money Expo 2017 ขนผลิตภัณฑ์ค้ําประกันสุดฮอต ทั้งโครงการค้ําประกันสินเชื่อ PGS 6, รายย่อย, Start-up & Innovation และ SMEs Tranformation Loan พร้อมจัดทีมงานเพียบคอยบริการให้คําปรึกษาและการขอสินเชื่อเอสเอ็มอีฟรี ตลอดทั้ง 4 วัน ภายในบูธยังเปิดออนไลน์บาร์ ฟรีโซนสําหรับลูกค้าที่ต้องการท่องโลกโซเชียลและใช้อินเตอร์เน็ต พร้อมร่วมเล่นเกมท่องโลกเสมือนจริง รับของรางวัลมากมาย นายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย.ได้ร่วมงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 17 “Money Expo 2017” โดยปีนี้ บสย.ได้ระดมทีมงานให้บริการคําปรึกษาด้านการค้ําประกันสินเชื่อ การขอสินเชื่อ หรือหากต้องการขอสินเชื่อต้องเตรียมตัวอย่างไร รวมถึงการให้คําแนะนําเรื่องการทําธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SMEs ตลอดทั้ง 4 วัน สําหรับผู้ประกอบการ SMEs ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการกลุ่มไหน บสย.มีผลิตภัณฑ์รองรับครบทุกกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการทั่วไป ผลิตภัณฑ์ค้ําประกัน SMEs ทวีทุน (PGS ระยะที่6) ,ผู้ประกอบการรายย่อย บสย.ก็มีผลิตภัณฑ์ค้ําประกันสินเชื่อรายย่อย ระยะที่ 2, ผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรม โครงการค้ําประกันสินเชื่อ Start-up & Innovation หรือผู้ประกอบการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs Tranformation Loan นอกจากทีมงานที่คอยให้คําปรึกษาแล้ว ภายในบูธ บสย.ยังเปิดให้บริการ “ออนไลน์ บาร์” สําหรับลูกค้าได้ท่องโลกโซเชียล และต้องการใช้อินเตอร์เน็ต พร้อมร่วมกิจกรรมออนไลน์ Like & Share และร่วมเล่นเกมท่องโลกเสมือนจริง รับของรางวัลมากมาย และที่พิเศษสุดสําหรับในงาน Money Expo ปีนี้ บสย.ได้จัดสัมมนาหัวข้อ “เทคนิคเตรียมตัวให้ได้เงินกู้ยุค 4.0” โดย คุณประภัสรา เนาวบุตร ผู้ช่วยผู้อํานวยการฝ่ายกิจการสาขา ในวันศุกร์ที่ 12 พ.ค.นี้ 17.30 น.เป็นต้นไป ณ ห้องสัมมนา อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี สําหรับงาน Money Expo 2017 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-14 พฤษภาคม 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยบสย.อยู่ที่บูธ J5 บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2890-9999 ชนิญญา สันสมภาค 081-860-7477 chaninya@tcg.or.th www.tcg.or.th ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 saranyu@tcg.or.th www.facebook.com/tcg.or.th วิขุดา ก้องกีรติ 089-605-9870 wichuda@tcg.or.th ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย.ระดมทีมให้คำปรึกษาค้ำประกันสินเชื่อในงาน Money Expo วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 บสย.ระดมทีมให้คําปรึกษาค้ําประกันสินเชื่อในงาน Money Expo บสย.ได้ร่วมงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 17 “Money Expo 2017” โดยปีนี้ บสย.ได้ระดมทีมงานให้บริการคําปรึกษาด้านการค้ําประกันสินเชื่อ การขอสินเชื่อ หรือหากต้องการขอสินเชื่อต้องเตรียมตัวอย่างไร รวมถึงการให้คําแนะนําเรื่องการทําธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SMEs บสย. ลุยงาน Money Expo 2017 ขนผลิตภัณฑ์ค้ําประกันสุดฮอต ทั้งโครงการค้ําประกันสินเชื่อ PGS 6, รายย่อย, Start-up & Innovation และ SMEs Tranformation Loan พร้อมจัดทีมงานเพียบคอยบริการให้คําปรึกษาและการขอสินเชื่อเอสเอ็มอีฟรี ตลอดทั้ง 4 วัน ภายในบูธยังเปิดออนไลน์บาร์ ฟรีโซนสําหรับลูกค้าที่ต้องการท่องโลกโซเชียลและใช้อินเตอร์เน็ต พร้อมร่วมเล่นเกมท่องโลกเสมือนจริง รับของรางวัลมากมาย นายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย.ได้ร่วมงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 17 “Money Expo 2017” โดยปีนี้ บสย.ได้ระดมทีมงานให้บริการคําปรึกษาด้านการค้ําประกันสินเชื่อ การขอสินเชื่อ หรือหากต้องการขอสินเชื่อต้องเตรียมตัวอย่างไร รวมถึงการให้คําแนะนําเรื่องการทําธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ SMEs ตลอดทั้ง 4 วัน สําหรับผู้ประกอบการ SMEs ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการกลุ่มไหน บสย.มีผลิตภัณฑ์รองรับครบทุกกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการทั่วไป ผลิตภัณฑ์ค้ําประกัน SMEs ทวีทุน (PGS ระยะที่6) ,ผู้ประกอบการรายย่อย บสย.ก็มีผลิตภัณฑ์ค้ําประกันสินเชื่อรายย่อย ระยะที่ 2, ผู้ประกอบการใหม่และนวัตกรรม โครงการค้ําประกันสินเชื่อ Start-up & Innovation หรือผู้ประกอบการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs Tranformation Loan นอกจากทีมงานที่คอยให้คําปรึกษาแล้ว ภายในบูธ บสย.ยังเปิดให้บริการ “ออนไลน์ บาร์” สําหรับลูกค้าได้ท่องโลกโซเชียล และต้องการใช้อินเตอร์เน็ต พร้อมร่วมกิจกรรมออนไลน์ Like & Share และร่วมเล่นเกมท่องโลกเสมือนจริง รับของรางวัลมากมาย และที่พิเศษสุดสําหรับในงาน Money Expo ปีนี้ บสย.ได้จัดสัมมนาหัวข้อ “เทคนิคเตรียมตัวให้ได้เงินกู้ยุค 4.0” โดย คุณประภัสรา เนาวบุตร ผู้ช่วยผู้อํานวยการฝ่ายกิจการสาขา ในวันศุกร์ที่ 12 พ.ค.นี้ 17.30 น.เป็นต้นไป ณ ห้องสัมมนา อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี สําหรับงาน Money Expo 2017 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-14 พฤษภาคม 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยบสย.อยู่ที่บูธ J5 บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2890-9999 ชนิญญา สันสมภาค 081-860-7477 chaninya@tcg.or.th www.tcg.or.th ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 saranyu@tcg.or.th www.facebook.com/tcg.or.th วิขุดา ก้องกีรติ 089-605-9870 wichuda@tcg.or.th ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3600
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 พม. ร่วมประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน พม. ร่วมประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน วันนี้ (9 มิ.ย. 63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม ศปก. ชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กทม. นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) มอบหมายให้ นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน ในรูปแบบการประชุมออนไลน์ ผ่านระบบ Video Conference ซึ่งจัดโดยกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย หัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาและคณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวมีระเบียบวาระสําคัญเกี่ยวกับความร่วมมือในการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน ตลอดจนเตรียมการสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา สมัยพิเศษ ว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน (Special Online ASEAN Ministerial Meeting on Social Welfare and Development (AMMSWD) on Mitigating Impacts of COVID-19 on Vulnerable Groups in ASEAN) ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในวันที่ 10 มิถุนายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 พม. ร่วมประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน พม. ร่วมประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน วันนี้ (9 มิ.ย. 63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม ศปก. ชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถ.กรุงเกษม กทม. นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) มอบหมายให้ นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย เข้าร่วมการประชุมเตรียมการในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน ในรูปแบบการประชุมออนไลน์ ผ่านระบบ Video Conference ซึ่งจัดโดยกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย หัวหน้าเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาและคณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวมีระเบียบวาระสําคัญเกี่ยวกับความร่วมมือในการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน ตลอดจนเตรียมการสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา สมัยพิเศษ ว่าด้วยการบรรเทาผลกระทบของ COVID-19 ต่อกลุ่มเปราะบางในอาเซียน (Special Online ASEAN Ministerial Meeting on Social Welfare and Development (AMMSWD) on Mitigating Impacts of COVID-19 on Vulnerable Groups in ASEAN) ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในวันที่ 10 มิถุนายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32129
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.เผยแรงบันดาลใจแต่งเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” มาจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำเพื่อแผ่นดิน ขอให้ทุกคนช่วยกันทำเพื่อประเทศชาติ ระบุแม้จะมีคำติฉินนินทาหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ขอให้อดทน
วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561 นรม.เผยแรงบันดาลใจแต่งเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” มาจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการทําเพื่อแผ่นดิน ขอให้ทุกคนช่วยกันทําเพื่อประเทศชาติ ระบุแม้จะมีคําติฉินนินทาหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ขอให้อดทน นายกรัฐมนตรีเผยแรงบันดาลใจแต่งเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” มาจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการทําเพื่อแผ่นดิน ขอให้ทุกคนช่วยกันทําเพื่อประเทศชาติ ระบุแม้จะมีคําติฉินนินทาหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ขอให้อดทน วันนี้ (10 เมษายน 2561) เวลา 14.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” ว่า เพลงนี้มีการเรียบเรียงทํานองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เรียบเรียงคําร้อง และทํานองโดยผู้แต่งเพลงบุพเพสันนิวาส ท่วงทํานองจึงมีความคล้ายคลึงกัน โดยแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้มาจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการทําเพื่อแผ่นดิน ขอให้ทุกคนช่วยกันทําเพื่อประเทศชาติ แม้จะมีคําติฉินนินทาหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ขอให้อดทน และในวันนี้ได้กล่าวกับคณะรัฐมนตรีในที่ประชุมว่า ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน คือ หัวใจที่มีความมุ่งมั่นทําเพื่อแผ่นดิน บทเพลงทุกเพลงที่แต่งมาตั้งใจมอบให้ทุกคน ด้วยความศรัทธา และความเชื่อมั่นในการทําเพื่อแผ่นดิน ทําเพื่อประเทศชาติ มุ่งมั่นในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ครบวงจร โดยมียุทธศาสตร์ชาติเป็นแผนหลักในการบริหารประเทศ อาศัยกลไกประชารัฐในการขับเคลื่อน รวมทั้งแนวทางไทยนิยมที่เป็นนโยบายเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีรายได้ที่เพียงพอ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น -------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.เผยแรงบันดาลใจแต่งเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” มาจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำเพื่อแผ่นดิน ขอให้ทุกคนช่วยกันทำเพื่อประเทศชาติ ระบุแม้จะมีคำติฉินนินทาหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ขอให้อดทน วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561 นรม.เผยแรงบันดาลใจแต่งเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” มาจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการทําเพื่อแผ่นดิน ขอให้ทุกคนช่วยกันทําเพื่อประเทศชาติ ระบุแม้จะมีคําติฉินนินทาหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ขอให้อดทน นายกรัฐมนตรีเผยแรงบันดาลใจแต่งเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” มาจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการทําเพื่อแผ่นดิน ขอให้ทุกคนช่วยกันทําเพื่อประเทศชาติ ระบุแม้จะมีคําติฉินนินทาหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ขอให้อดทน วันนี้ (10 เมษายน 2561) เวลา 14.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” ว่า เพลงนี้มีการเรียบเรียงทํานองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เรียบเรียงคําร้อง และทํานองโดยผู้แต่งเพลงบุพเพสันนิวาส ท่วงทํานองจึงมีความคล้ายคลึงกัน โดยแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้มาจากความมุ่งมั่นตั้งใจในการทําเพื่อแผ่นดิน ขอให้ทุกคนช่วยกันทําเพื่อประเทศชาติ แม้จะมีคําติฉินนินทาหรือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ขอให้อดทน และในวันนี้ได้กล่าวกับคณะรัฐมนตรีในที่ประชุมว่า ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน คือ หัวใจที่มีความมุ่งมั่นทําเพื่อแผ่นดิน บทเพลงทุกเพลงที่แต่งมาตั้งใจมอบให้ทุกคน ด้วยความศรัทธา และความเชื่อมั่นในการทําเพื่อแผ่นดิน ทําเพื่อประเทศชาติ มุ่งมั่นในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ครบวงจร โดยมียุทธศาสตร์ชาติเป็นแผนหลักในการบริหารประเทศ อาศัยกลไกประชารัฐในการขับเคลื่อน รวมทั้งแนวทางไทยนิยมที่เป็นนโยบายเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนมีรายได้ที่เพียงพอ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น -------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11447
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด ก.อุตฯ เปิดการสัมมนาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
วันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2561 ปลัด ก.อุตฯ เปิดการสัมมนาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535 ณ โรงแรมเดอะรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพฯ วันนี้ (18 กรกฎาคม 2561) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายสุรพล ชามาตย์หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางเบญจมาพร เอกฉัตร นายจุลพงษ์ ทวีศรี นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ นายพรเทพ การศัพท์ นายวีรศักดิ์ ศุภประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายอดิศัย อยู่อินทร์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ร่วมอภิปราย นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัด ร่วมสัมมนา ณ โรงแรมเดอะรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพฯ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กฎหมาย กฎระเบียบ และข้อปฏิบัติ เป็นเครื่องมือและกลไกที่สําคัญต่อการปฏิบัติงานของบุคลากรภาครัฐ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการ พัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านการบังคับใช้กฎหมาย การทําความเข้าใจและพัฒนาองค์ความรู้ให้เป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่ายิ่งในช่วงที่ผ่านมา มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งนับเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน และส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของชาติ จึงได้มีการจัดสัมมนาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบนําไปปฏิบัติตามกฎหมายและจะนําไปดําเนินการปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด ก.อุตฯ เปิดการสัมมนาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง วันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2561 ปลัด ก.อุตฯ เปิดการสัมมนาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535 ณ โรงแรมเดอะรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพฯ วันนี้ (18 กรกฎาคม 2561) นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายสุรพล ชามาตย์หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางเบญจมาพร เอกฉัตร นายจุลพงษ์ ทวีศรี นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ นายพรเทพ การศัพท์ นายวีรศักดิ์ ศุภประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายอดิศัย อยู่อินทร์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ร่วมอภิปราย นายมงคล พฤกษ์วัฒนา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัดทุกจังหวัด ร่วมสัมมนา ณ โรงแรมเดอะรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพฯ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กฎหมาย กฎระเบียบ และข้อปฏิบัติ เป็นเครื่องมือและกลไกที่สําคัญต่อการปฏิบัติงานของบุคลากรภาครัฐ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการ พัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญด้านการบังคับใช้กฎหมาย การทําความเข้าใจและพัฒนาองค์ความรู้ให้เป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่ายิ่งในช่วงที่ผ่านมา มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งนับเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน และส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของชาติ จึงได้มีการจัดสัมมนาพัฒนาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติโรงงานพ.ศ. 2535 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบนําไปปฏิบัติตามกฎหมายและจะนําไปดําเนินการปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13929
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการ “จูงใจ” ช่วยผู้ประกอบการ SMEs คงการจ้างงานลูกจ้าง หักรายจ่ายค่าจ้างได้สูงถึง 3 เท่า
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 มาตรการ “จูงใจ” ช่วยผู้ประกอบการ SMEs คงการจ้างงานลูกจ้าง หักรายจ่ายค่าจ้างได้สูงถึง 3 เท่า กรมสรรพากรสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่คงการจ้างแรงงานของลูกจ้างสามารถหักรายจ่ายค่าจ้างในช่วงเดือนเมษายน - กรกฎาคม 2563 ได้สูงถึง 3 เท่า เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพธุรกิจ SMEs ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรมสรรพากรสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่คงการจ้างแรงงานของลูกจ้างสามารถหักรายจ่ายค่าจ้างในช่วงเดือนเมษายน - กรกฎาคม 2563 ได้สูงถึง 3 เท่า เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพธุรกิจ SMEs ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามมาตรการส่งเสริมเสถียรภาพของการจ้างงาน ผู้ประกอบการลงทะเบียนใช้สิทธิได้ที่ www.rd.go.th นับตั้งแต่วันที่ระบบเปิดให้ใช้งานจนถึงภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีปีที่ใช้สิทธิ นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากรเล็งเห็นว่าในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน หรืออาจทําให้เกิดการเลิกจ้างงาน กรมสรรพากรจึงได้ออกมาตรการสนับสนุนให้ลูกจ้างของผู้ประกอบการ SMEs ยังมีงานทําต่อไป จึงได้มีมาตรการภาษีสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังคงการจ้างงานลูกจ้างไว้และจ่ายค่าจ้าง สามารถหักรายจ่ายค่าจ้างในช่วงเดือนเมษายน - กรกฎาคม 2563 ในการคํานวณภาษี ได้ 3 เท่า โดยต้องเข้าหลักเกณฑ์ดังนี้ 1. เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้ครบ 12 เดือนในรอบระยะเวลาบัญชีล่าสุดไม่เกิน 500 ล้านบาท และมีลูกจ้างไม่เกิน 200 คน (สําหรับรอบบัญชีสิ้นสุดก่อนหรือในวันที่ 30 กันยายน 2562) 2. คงการจ้างงานของลูกจ้างที่ประกันตน และมีค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาท/คน/เดือน 3. จํานวนลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ต้องไม่น้อยกว่าจํานวนลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนทั้งหมด ณ วันสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2563 ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ให้ลงทะเบียนใช้สิทธิได้ที่ www.rd.go.th นับตั้งแต่วันที่ระบบเปิดให้ใช้งานจนถึงภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีปีที่ใช้สิทธิ โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการส่งเสริมเสถียรภาพของการจ้างงานดังกล่าว เป็นหนึ่งในมาตรการภาษี “จูงใจ” ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้บุคคลหรือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ได้ดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในหลายด้าน เช่น การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ผู้นําเข้ายา เวชภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) หรือการเพิ่มวงเงินค่าลดหย่อน ค่าเบี้ยประกันสุขภาพสําหรับบุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริงเพิ่มขึ้นจากไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 25,000 บาท เป็นต้น” หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการ “จูงใจ” ช่วยผู้ประกอบการ SMEs คงการจ้างงานลูกจ้าง หักรายจ่ายค่าจ้างได้สูงถึง 3 เท่า วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 มาตรการ “จูงใจ” ช่วยผู้ประกอบการ SMEs คงการจ้างงานลูกจ้าง หักรายจ่ายค่าจ้างได้สูงถึง 3 เท่า กรมสรรพากรสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่คงการจ้างแรงงานของลูกจ้างสามารถหักรายจ่ายค่าจ้างในช่วงเดือนเมษายน - กรกฎาคม 2563 ได้สูงถึง 3 เท่า เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพธุรกิจ SMEs ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรมสรรพากรสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่คงการจ้างแรงงานของลูกจ้างสามารถหักรายจ่ายค่าจ้างในช่วงเดือนเมษายน - กรกฎาคม 2563 ได้สูงถึง 3 เท่า เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพธุรกิจ SMEs ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามมาตรการส่งเสริมเสถียรภาพของการจ้างงาน ผู้ประกอบการลงทะเบียนใช้สิทธิได้ที่ www.rd.go.th นับตั้งแต่วันที่ระบบเปิดให้ใช้งานจนถึงภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีปีที่ใช้สิทธิ นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี (กลุ่มธุรกิจพลังงาน) ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กรมสรรพากรเล็งเห็นว่าในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน หรืออาจทําให้เกิดการเลิกจ้างงาน กรมสรรพากรจึงได้ออกมาตรการสนับสนุนให้ลูกจ้างของผู้ประกอบการ SMEs ยังมีงานทําต่อไป จึงได้มีมาตรการภาษีสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังคงการจ้างงานลูกจ้างไว้และจ่ายค่าจ้าง สามารถหักรายจ่ายค่าจ้างในช่วงเดือนเมษายน - กรกฎาคม 2563 ในการคํานวณภาษี ได้ 3 เท่า โดยต้องเข้าหลักเกณฑ์ดังนี้ 1. เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้ครบ 12 เดือนในรอบระยะเวลาบัญชีล่าสุดไม่เกิน 500 ล้านบาท และมีลูกจ้างไม่เกิน 200 คน (สําหรับรอบบัญชีสิ้นสุดก่อนหรือในวันที่ 30 กันยายน 2562) 2. คงการจ้างงานของลูกจ้างที่ประกันตน และมีค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาท/คน/เดือน 3. จํานวนลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ต้องไม่น้อยกว่าจํานวนลูกจ้างที่เป็นผู้ประกันตนทั้งหมด ณ วันสุดท้ายของเดือนมีนาคม 2563 ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ให้ลงทะเบียนใช้สิทธิได้ที่ www.rd.go.th นับตั้งแต่วันที่ระบบเปิดให้ใช้งานจนถึงภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีปีที่ใช้สิทธิ โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรการส่งเสริมเสถียรภาพของการจ้างงานดังกล่าว เป็นหนึ่งในมาตรการภาษี “จูงใจ” ที่กรมสรรพากรส่งเสริมให้บุคคลหรือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ได้ดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในหลายด้าน เช่น การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ผู้นําเข้ายา เวชภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) หรือการเพิ่มวงเงินค่าลดหย่อน ค่าเบี้ยประกันสุขภาพสําหรับบุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริงเพิ่มขึ้นจากไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 25,000 บาท เป็นต้น” หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือที่ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32721
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม 4 หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เห็นชอบกรอบวงเงิน งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2563 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท เตรียมนำเสนอ ครม. 6 ส.ค.นี้
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีประชุม 4 หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เห็นชอบกรอบวงเงิน งบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ 2563 จํานวน 3.2 ล้านล้านบาท เตรียมนําเสนอ ครม. 6 ส.ค.นี้ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมร่วม 4 หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ พิจารณากําหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เห็นชอบกรอบวงเงินฯ 3.2 ล้านล้านบาท ให้ สงป. นําเสนอ ครม. 6 ส.ค.นี้ วันนี้ (1 ส.ค.62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมพิจารณากําหนดวงเงินงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ภายหลังการประชุม นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ แถลงผลการประชุม ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร สรุปสาระสําคัญว่า ที่ประชุมร่วม 4 หน่วยงานวันนี้ประกอบด้วยกระทรวงการคลัง สํานักงบประมาณ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2563 ให้สํานักงบประมาณนําเสนอคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562 ในวงเงิน งบประมาณรายจ่าย 3.2ล้านล้านบาทประกอบด้วย รายได้รัฐบาลสุทธิที่จะจัดเก็บได้ จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่ 2.75 ล้านล้านบาท แต่ปรับลดลงเหลือ 2.731 ล้านล้านบาท หรือลดลงไป 1.9 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่เคยเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อตอนต้นปี ซึ่งสํานักงบประมาณจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบกรอบวงเงินเพื่อจะได้ดําเนินการต่อไป ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณกล่าวต่อไปว่า ตามปฏิทินงบประมาณที่เสนอไปเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสรุปคือ วันนี้มีการประชุม 4 หน่วยงานเพื่อที่จะเห็นชอบให้สํานักงบประมาณนํากรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2563 เสนอคณะรัฐมนตรีวันที่ 6 สิงหาคม 2562 ซึ่งคําของบประมาณจะเข้ามาที่สํานักงบประมาณวันที่ 9 สิงหาคม 2562 โดยสํานักงบประมาณคาดว่าจะสามารถนําเสนอสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาวาระที่ 1 ตามกําหนดการ วันที่ 17 ตุลาคม 2562 และวาระที่ 2-3 ประมาณต้นเดือนมกราคม 2563 จากนั้นจึงเสนอวุฒิสภาพิจารณาประมาณกลางเดือนมกราคม 2563 ซึ่งคาดว่าจะสามารถนําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ขึ้นทูลเกล้าฯ ประมาณปลายเดือนมกราคม 2563 ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณกล่าวถึงแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2563 – 2565) ว่า จะมีการปรับในส่วนของรายได้รัฐบาลสุทธิ จากเดิมกําหนดประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิในปีงบประมาณ 2563 อยู่ที่ 2,750,000 ล้านบาท ก็ได้ปรับลดลงมา 19,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะได้มีการประชุมทบทวนกําหนดกรอบรายได้รัฐบาลสุทธิ ของแผนการคลังระยะปานกลางอีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่าแผนการคลังระยะปานกลางจะสมดุลในปี 2573 ซึ่งต้องดูตามความเป็นจริงอีกครั้งว่าจะสามารถถึงจุดสมดุลได้ในปีนั้นหรือไม่ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วยว่าจะต้องใช้จ่ายงบประมาณเท่าไรในการรักษาเสถียรภาพและกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละปีจากนี้ไป พร้อมกันนี้ ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณเผยว่า ช่วงที่รอพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2563 ประกาศใช้ สํานักงบประมาณจะนําเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบใช้งบประมาณปีก่อนหน้าไปพลางก่อน โดยใช้ฐานงบประมาณปี 2562 จัดสรรให้ไม่เกินกึ่งหนึ่งหรือครึ่งหนึ่ง ประกอบด้วย เรื่องของเงินเดือน รายจ่ายประจํา ที่มีฐานเดิมอยู่ในปี 2562 และงบลงทุนที่มีสัญญาแล้ว ซึ่งงบฯ ไปพลางก่อนจะไม่มีรายการใหม่ ฉะนั้นงบประมาณที่มีการพูดถึงว่าจะหายไปนั้นที่จริงแล้วยังมีอยู่ เงินเดือน ทุกอย่างพร้อมที่จะจ่ายทั้งหมด และงบลงทุนก็ยังมีของรัฐวิสาหกิจอยู่ ยังมีรายการที่ภาครัฐและเอกชนร่วมลงทุน หรือ PPP และมีกองทุน Thailand Future Fund ที่จะนํามาใช้กระตุ้น หรือรักษาเสถียรภาพของการใช้จ่ายในช่วง 3 เดือนจากนี้ไปคือตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคมได้ และเมื่องบประมาณประจําปี พ.ศ. 2563 ออกมาประมาณเดือนมกราคม 2563 ก็เริ่มดําเนินการได้ ซึ่งระหว่างเดือนมกราคม 2563 ก่อนหน้านั้น สํานักงบประมาณจะออกมาตรการด้านการงบประมาณ เพื่อที่จะสนับสนุนให้มีการใช้จ่ายทันทีหลังจากที่พระราชบัญญัติงบประมาณร่ายประจําปี พ.ศ. 2563 ประกาศใช้ ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุม 4 หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เห็นชอบกรอบวงเงิน งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2563 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท เตรียมนำเสนอ ครม. 6 ส.ค.นี้ วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีประชุม 4 หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เห็นชอบกรอบวงเงิน งบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ 2563 จํานวน 3.2 ล้านล้านบาท เตรียมนําเสนอ ครม. 6 ส.ค.นี้ นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมร่วม 4 หน่วยงานด้านเศรษฐกิจ พิจารณากําหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เห็นชอบกรอบวงเงินฯ 3.2 ล้านล้านบาท ให้ สงป. นําเสนอ ครม. 6 ส.ค.นี้ วันนี้ (1 ส.ค.62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมพิจารณากําหนดวงเงินงบประมาณรายจ่าย ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ภายหลังการประชุม นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ แถลงผลการประชุม ที่ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร สรุปสาระสําคัญว่า ที่ประชุมร่วม 4 หน่วยงานวันนี้ประกอบด้วยกระทรวงการคลัง สํานักงบประมาณ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2563 ให้สํานักงบประมาณนําเสนอคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562 ในวงเงิน งบประมาณรายจ่าย 3.2ล้านล้านบาทประกอบด้วย รายได้รัฐบาลสุทธิที่จะจัดเก็บได้ จากเดิมที่ประมาณการไว้ที่ 2.75 ล้านล้านบาท แต่ปรับลดลงเหลือ 2.731 ล้านล้านบาท หรือลดลงไป 1.9 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่เคยเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อตอนต้นปี ซึ่งสํานักงบประมาณจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบกรอบวงเงินเพื่อจะได้ดําเนินการต่อไป ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณกล่าวต่อไปว่า ตามปฏิทินงบประมาณที่เสนอไปเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสรุปคือ วันนี้มีการประชุม 4 หน่วยงานเพื่อที่จะเห็นชอบให้สํานักงบประมาณนํากรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2563 เสนอคณะรัฐมนตรีวันที่ 6 สิงหาคม 2562 ซึ่งคําของบประมาณจะเข้ามาที่สํานักงบประมาณวันที่ 9 สิงหาคม 2562 โดยสํานักงบประมาณคาดว่าจะสามารถนําเสนอสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาวาระที่ 1 ตามกําหนดการ วันที่ 17 ตุลาคม 2562 และวาระที่ 2-3 ประมาณต้นเดือนมกราคม 2563 จากนั้นจึงเสนอวุฒิสภาพิจารณาประมาณกลางเดือนมกราคม 2563 ซึ่งคาดว่าจะสามารถนําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ขึ้นทูลเกล้าฯ ประมาณปลายเดือนมกราคม 2563 ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณกล่าวถึงแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2563 – 2565) ว่า จะมีการปรับในส่วนของรายได้รัฐบาลสุทธิ จากเดิมกําหนดประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิในปีงบประมาณ 2563 อยู่ที่ 2,750,000 ล้านบาท ก็ได้ปรับลดลงมา 19,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะได้มีการประชุมทบทวนกําหนดกรอบรายได้รัฐบาลสุทธิ ของแผนการคลังระยะปานกลางอีกครั้ง โดยคาดการณ์ว่าแผนการคลังระยะปานกลางจะสมดุลในปี 2573 ซึ่งต้องดูตามความเป็นจริงอีกครั้งว่าจะสามารถถึงจุดสมดุลได้ในปีนั้นหรือไม่ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศด้วยว่าจะต้องใช้จ่ายงบประมาณเท่าไรในการรักษาเสถียรภาพและกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละปีจากนี้ไป พร้อมกันนี้ ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณเผยว่า ช่วงที่รอพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2563 ประกาศใช้ สํานักงบประมาณจะนําเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบใช้งบประมาณปีก่อนหน้าไปพลางก่อน โดยใช้ฐานงบประมาณปี 2562 จัดสรรให้ไม่เกินกึ่งหนึ่งหรือครึ่งหนึ่ง ประกอบด้วย เรื่องของเงินเดือน รายจ่ายประจํา ที่มีฐานเดิมอยู่ในปี 2562 และงบลงทุนที่มีสัญญาแล้ว ซึ่งงบฯ ไปพลางก่อนจะไม่มีรายการใหม่ ฉะนั้นงบประมาณที่มีการพูดถึงว่าจะหายไปนั้นที่จริงแล้วยังมีอยู่ เงินเดือน ทุกอย่างพร้อมที่จะจ่ายทั้งหมด และงบลงทุนก็ยังมีของรัฐวิสาหกิจอยู่ ยังมีรายการที่ภาครัฐและเอกชนร่วมลงทุน หรือ PPP และมีกองทุน Thailand Future Fund ที่จะนํามาใช้กระตุ้น หรือรักษาเสถียรภาพของการใช้จ่ายในช่วง 3 เดือนจากนี้ไปคือตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคมได้ และเมื่องบประมาณประจําปี พ.ศ. 2563 ออกมาประมาณเดือนมกราคม 2563 ก็เริ่มดําเนินการได้ ซึ่งระหว่างเดือนมกราคม 2563 ก่อนหน้านั้น สํานักงบประมาณจะออกมาตรการด้านการงบประมาณ เพื่อที่จะสนับสนุนให้มีการใช้จ่ายทันทีหลังจากที่พระราชบัญญัติงบประมาณร่ายประจําปี พ.ศ. 2563 ประกาศใช้ ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21920
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ยกเครื่องกระบวนการออกใบอนุญาตเหลือ 15 วันทำการ “เร็วขึ้น สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น”
วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2559 สมอ. ยกเครื่องกระบวนการออกใบอนุญาตเหลือ 15 วันทําการ “เร็วขึ้น สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น” สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สนองนโยบายรัฐบาลปรับลดขั้นตอน และระยะเวลาการออกใบอนุญาต มอก. เร็วขึ้นเหลือ 15 วันทําการ สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สนองนโยบายรัฐบาลปรับลดขั้นตอน และระยะเวลาการออกใบอนุญาต มอก. เร็วขึ้นเหลือ 15 วันทําการ พร้อมเดินหน้านําระบบสารสนเทศมาใช้ในการออกใบอนุญาต (ระบบ E-License) เพิ่มช่องทางการให้บริการรับคําขอใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการ เพื่อความสะดวกในการขอรับใบอนุญาตมากยิ่งขึ้น นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล เลขาธิการ สมอ. เปิดเผยว่า สมอ. ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการออกใบอนุญาตให้แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน ออกใบอนุญาตให้ทําและนําเข้า สําหรับผู้ทํา และผู้นําเข้าผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม ได้ดําเนินการปรับปรุงกระบวนการอนุญาตเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว โดยได้แต่งตั้งหน่วยตรวจ (IB) ไปแล้วจํานวน 14 หน่วยงาน เพื่อทําหน้าที่ในการตรวจประเมินระบบการควบคุมคุณภาพของโรงงานที่ทําผลิตภัณฑ์มาประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาต การขึ้นทะเบียนโรงงานผู้ทําในต่างประเทศเพื่อลดความซ้ําซ้อนและลดค่าใช้จ่าย การขยายระยะเวลายอมรับผลการตรวจประเมินโรงงานที่เคยออกใบอนุญาตแล้วจาก 1 ปี เป็น 3 ปี การลดระยะ เวลาการให้บริการออกใบอนุญาต จากเดิม 46 วันทําการเป็น 15 วันทําการ พร้อมทั้งได้ปรับปรุงแก้ไขแบบคําขอรับการอนุญาตและแบบใบอนุญาต เพื่อตอบสนองตามนโยบาย Ease of Doing Business ของรัฐบาล โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่1 สิงหาคม ๒๕๕9 ที่ผ่านมา ซึ่งจากการปรับปรุงกระบวนการอนุญาตดังกล่าว ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-เดือนพฤศจิกายน 2559 สมอ. ได้ดําเนินการออกใบอนุญาต ให้ผู้ทํา ผู้นําเข้า ไปแล้วทั้งสิ้น 1,258 ฉบับ และใช้ระยะ เวลาการออกใบอนุญาตโดยเฉลี่ยเพียง 10 วันทําการ/เรื่อง เท่านั้น เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ได้ดําเนินการปรับปรุงกระบวนการออกใบอนุญาตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ สมอ. กําลังอยู่ระหว่างการนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพิจารณาออกใบอนุญาต (ระบบ E-License) เพื่อเพิ่มช่องทางการให้บริการรับคําขอใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น และคาดว่าจะเริ่มนําระบบดังกล่าวมาใช้ประมาณกลางปี 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมอ. ยกเครื่องกระบวนการออกใบอนุญาตเหลือ 15 วันทำการ “เร็วขึ้น สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น” วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม 2559 สมอ. ยกเครื่องกระบวนการออกใบอนุญาตเหลือ 15 วันทําการ “เร็วขึ้น สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น” สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สนองนโยบายรัฐบาลปรับลดขั้นตอน และระยะเวลาการออกใบอนุญาต มอก. เร็วขึ้นเหลือ 15 วันทําการ สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สนองนโยบายรัฐบาลปรับลดขั้นตอน และระยะเวลาการออกใบอนุญาต มอก. เร็วขึ้นเหลือ 15 วันทําการ พร้อมเดินหน้านําระบบสารสนเทศมาใช้ในการออกใบอนุญาต (ระบบ E-License) เพิ่มช่องทางการให้บริการรับคําขอใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการ เพื่อความสะดวกในการขอรับใบอนุญาตมากยิ่งขึ้น นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล เลขาธิการ สมอ. เปิดเผยว่า สมอ. ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการออกใบอนุญาตให้แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน ออกใบอนุญาตให้ทําและนําเข้า สําหรับผู้ทํา และผู้นําเข้าผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม ได้ดําเนินการปรับปรุงกระบวนการอนุญาตเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว โดยได้แต่งตั้งหน่วยตรวจ (IB) ไปแล้วจํานวน 14 หน่วยงาน เพื่อทําหน้าที่ในการตรวจประเมินระบบการควบคุมคุณภาพของโรงงานที่ทําผลิตภัณฑ์มาประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาต การขึ้นทะเบียนโรงงานผู้ทําในต่างประเทศเพื่อลดความซ้ําซ้อนและลดค่าใช้จ่าย การขยายระยะเวลายอมรับผลการตรวจประเมินโรงงานที่เคยออกใบอนุญาตแล้วจาก 1 ปี เป็น 3 ปี การลดระยะ เวลาการให้บริการออกใบอนุญาต จากเดิม 46 วันทําการเป็น 15 วันทําการ พร้อมทั้งได้ปรับปรุงแก้ไขแบบคําขอรับการอนุญาตและแบบใบอนุญาต เพื่อตอบสนองตามนโยบาย Ease of Doing Business ของรัฐบาล โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่1 สิงหาคม ๒๕๕9 ที่ผ่านมา ซึ่งจากการปรับปรุงกระบวนการอนุญาตดังกล่าว ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-เดือนพฤศจิกายน 2559 สมอ. ได้ดําเนินการออกใบอนุญาต ให้ผู้ทํา ผู้นําเข้า ไปแล้วทั้งสิ้น 1,258 ฉบับ และใช้ระยะ เวลาการออกใบอนุญาตโดยเฉลี่ยเพียง 10 วันทําการ/เรื่อง เท่านั้น เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ได้ดําเนินการปรับปรุงกระบวนการออกใบอนุญาตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ สมอ. กําลังอยู่ระหว่างการนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพิจารณาออกใบอนุญาต (ระบบ E-License) เพื่อเพิ่มช่องทางการให้บริการรับคําขอใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการให้มีความสะดวกมากยิ่งขึ้น และคาดว่าจะเริ่มนําระบบดังกล่าวมาใช้ประมาณกลางปี 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1168
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าช่วยเกษตรกรไม่หยุด เผยอนุมัติเงินกู้“โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง”
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าช่วยเกษตรกรไม่หยุด เผยอนุมัติเงินกู้“โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง” กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าช่วยเกษตรกรไม่หยุด เผยอนุมัติเงินกู้“โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง” ให้เกษตรกรโคขุนและแพะขุนแล้ว 4 จังหวัด 13 กลุ่ม รวมวงเงิน 65 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าโครงการอย่างต่อเนื่อง นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างซ้ําซากในหลายพื้นที่ ได้ส่งผลกระทบให้เกษตรกรไม่สามารถทําการเกษตรได้ตามปกติ ผลผลิตได้รับความเสียหายและได้รับผลกระทบด้านราคาตกต่ําจากคุณภาพผลผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังทําให้ขาดโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อใช้ในการฟื้นฟูหรือปรับเปลี่ยนอาชีพ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ “ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ จึงได้ร่วมกับ กระทรวงการคลัง โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งมีเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ โคเนื้อ กระบือ แพะเนื้อ และไก่พื้นเมือง รวมถึงกิจการที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อส่งเสริมและสร้างโอกาสให้กับเกษตรกร ตามนโยบายของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายประภัตร โพธสุธน) โดยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ไปเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีวงเงินสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2562 - 30 พฤศจิกายน 2568” “โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถภาคปศุสัตว์ไทย ฟื้นฟูอาชีพแก่เกษตรกร บรรเทาความเสียหายอันเนื่องมาจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และผลกระทบจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ํา พร้อมทั้งสนับสนุนการจัดการตลาดผลิตผลการเกษตรที่เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ตลอดจนสร้างอาชีพทางเลือกใหม่ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมมาเลี้ยงสัตว์จําหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ” นายอลงกรณ์กล่าว นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการดําเนินงานภายหลังการลงนาม MOU ร่วมกับ กับ ธ.ก.ส.แล้ว กรมปศุสัตว์ได้จัดให้มีการประชุมชี้แจงผู้บริหารของหน่วยงาน ร่วมกับ ธ.ก.ส. จากนั้นได้ดําเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ (kick off) ครั้งที่ 1 ณ จังหวัดขอนแก่น เมื่อ 17 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ยังดําเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศมาโดยตลอด จนถึงเดือนมกราคม 2563 ขณะที่ส่วนของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้มีการประชุมชี้แจงและเผยแพร่คู่มือการปฏิบัติงานลงไปในระดับจังหวัดทั่วประเทศด้วยเช่นกัน สําหรับผลสรุปการดําเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องจนถึงขณะนี้ (ข้อมูลวันที่ 16 มี.ค. 2563) นั้นสําหรับในส่วนของการประชาสัมพันธ์ชี้แจงโครงการแก่กลุ่มเกษตรกรเป้าหมาย ได้ดําเนินการครบทั้ง 9 เขตทั่วประเทศ รวม 64 จังหวัด รวมกลุ่มเกษตรกร 1,721 กลุ่ม เกษตรกร 32,135 ราย ส่วนการจัดการแผนชุมชน/แผนธุรกิจและการจดทะเบียนจัดตั้งกลุ่ม ได้ดําเนินการแล้วใน 25 จังหวัด รวม 704 กลุ่ม เกษตรกร 5,887 ราย ขณะที่การเปิดรับสมัครเกษตรกรให้เข้าร่วมโครงการฯ ได้ดําเนินการแล้วใน 12 จังหวัด มีกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วม 263 กลุ่ม รวมเกษตรกร 2,990 ราย ส่วนการเปิดให้ติดต่อเพื่อขอสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. ขณะนี้ได้ดําเนินการแล้วใน 7 จังหวัด มีกลุ่มเกษตรกรติดต่อขอสินเชื่อแล้ว 37 กลุ่ม เกษตรกรรวม 630 ราย “การดําเนินการอนุมัติเงินกู้ตามโครงการ ขณะนี้มีจังหวัดที่ได้รับการอนุมัติเงินกู้แล้ว รวม 4 จังหวัด ประกอบด้วย ในส่วนของโคขุน มีจังหวัดเชียงราย 1 กลุ่ม เพชรบูรณ์ 10 กลุ่ม เพชรบุรี 1 กลุ่ม และในส่วนของการเลี้ยงแพะขุน 1 กลุ่มที่จังหวัดนครศรีธรรมราช รวม 13 กลุ่ม เกษตรกร 157 ราย ซึ่งมียอดเงินกู้ที่ได้รับการอนุมัติแล้วรวม65,000,000 บาท ซึ่งขณะนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ได้กําหนดให้มีการเร่งรัดการดําเนินงานโครงการอย่างต่อเนื่อง” นายสมชวนกล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าช่วยเกษตรกรไม่หยุด เผยอนุมัติเงินกู้“โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง” วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าช่วยเกษตรกรไม่หยุด เผยอนุมัติเงินกู้“โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง” กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าช่วยเกษตรกรไม่หยุด เผยอนุมัติเงินกู้“โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง” ให้เกษตรกรโคขุนและแพะขุนแล้ว 4 จังหวัด 13 กลุ่ม รวมวงเงิน 65 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าโครงการอย่างต่อเนื่อง นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างซ้ําซากในหลายพื้นที่ ได้ส่งผลกระทบให้เกษตรกรไม่สามารถทําการเกษตรได้ตามปกติ ผลผลิตได้รับความเสียหายและได้รับผลกระทบด้านราคาตกต่ําจากคุณภาพผลผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังทําให้ขาดโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อใช้ในการฟื้นฟูหรือปรับเปลี่ยนอาชีพ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ “ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ จึงได้ร่วมกับ กระทรวงการคลัง โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งมีเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ โคเนื้อ กระบือ แพะเนื้อ และไก่พื้นเมือง รวมถึงกิจการที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อส่งเสริมและสร้างโอกาสให้กับเกษตรกร ตามนโยบายของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายประภัตร โพธสุธน) โดยได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ไปเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีวงเงินสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2562 - 30 พฤศจิกายน 2568” “โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถภาคปศุสัตว์ไทย ฟื้นฟูอาชีพแก่เกษตรกร บรรเทาความเสียหายอันเนื่องมาจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และผลกระทบจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ํา พร้อมทั้งสนับสนุนการจัดการตลาดผลิตผลการเกษตรที่เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ตลอดจนสร้างอาชีพทางเลือกใหม่ด้วยการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมมาเลี้ยงสัตว์จําหน่ายทั้งภายในและต่างประเทศ” นายอลงกรณ์กล่าว นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการดําเนินงานภายหลังการลงนาม MOU ร่วมกับ กับ ธ.ก.ส.แล้ว กรมปศุสัตว์ได้จัดให้มีการประชุมชี้แจงผู้บริหารของหน่วยงาน ร่วมกับ ธ.ก.ส. จากนั้นได้ดําเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ (kick off) ครั้งที่ 1 ณ จังหวัดขอนแก่น เมื่อ 17 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ยังดําเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศมาโดยตลอด จนถึงเดือนมกราคม 2563 ขณะที่ส่วนของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้มีการประชุมชี้แจงและเผยแพร่คู่มือการปฏิบัติงานลงไปในระดับจังหวัดทั่วประเทศด้วยเช่นกัน สําหรับผลสรุปการดําเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์และกิจการที่เกี่ยวเนื่องจนถึงขณะนี้ (ข้อมูลวันที่ 16 มี.ค. 2563) นั้นสําหรับในส่วนของการประชาสัมพันธ์ชี้แจงโครงการแก่กลุ่มเกษตรกรเป้าหมาย ได้ดําเนินการครบทั้ง 9 เขตทั่วประเทศ รวม 64 จังหวัด รวมกลุ่มเกษตรกร 1,721 กลุ่ม เกษตรกร 32,135 ราย ส่วนการจัดการแผนชุมชน/แผนธุรกิจและการจดทะเบียนจัดตั้งกลุ่ม ได้ดําเนินการแล้วใน 25 จังหวัด รวม 704 กลุ่ม เกษตรกร 5,887 ราย ขณะที่การเปิดรับสมัครเกษตรกรให้เข้าร่วมโครงการฯ ได้ดําเนินการแล้วใน 12 จังหวัด มีกลุ่มเกษตรกรเข้าร่วม 263 กลุ่ม รวมเกษตรกร 2,990 ราย ส่วนการเปิดให้ติดต่อเพื่อขอสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. ขณะนี้ได้ดําเนินการแล้วใน 7 จังหวัด มีกลุ่มเกษตรกรติดต่อขอสินเชื่อแล้ว 37 กลุ่ม เกษตรกรรวม 630 ราย “การดําเนินการอนุมัติเงินกู้ตามโครงการ ขณะนี้มีจังหวัดที่ได้รับการอนุมัติเงินกู้แล้ว รวม 4 จังหวัด ประกอบด้วย ในส่วนของโคขุน มีจังหวัดเชียงราย 1 กลุ่ม เพชรบูรณ์ 10 กลุ่ม เพชรบุรี 1 กลุ่ม และในส่วนของการเลี้ยงแพะขุน 1 กลุ่มที่จังหวัดนครศรีธรรมราช รวม 13 กลุ่ม เกษตรกร 157 ราย ซึ่งมียอดเงินกู้ที่ได้รับการอนุมัติแล้วรวม65,000,000 บาท ซึ่งขณะนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ได้กําหนดให้มีการเร่งรัดการดําเนินงานโครงการอย่างต่อเนื่อง” นายสมชวนกล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27457
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุมระดับสูง (High-level opening session) ของการประชุม Asia-Pacific Climate Week 2019
วันพุธที่ 4 กันยายน 2562 รมว.ทส. กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุมระดับสูง (High-level opening session) ของการประชุม Asia-Pacific Climate Week 2019 รมว.ทส. กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุมระดับสูง (High-level opening session) ของการประชุม Asia-Pacific Climate Week 2019 รมว.ทส. กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุมระดับสูง (High-level opening session) ของการประชุม Asia-Pacific Climate Week 2019 วันนี้ (4 กันยายน 2562) เวลา 09.00 น. ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมระดับสูง (High-level opening session) ของการประชุม Asia-Pacific Climate Week 2019 โดยมีผู้แทนระดับสูงเข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุม ได้แก่นาง ArmidaSalsiahAlisjahbana เลขาธิการบริหารคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสําหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) นาย OvaisSarmad รองเลขาธิการบริหารกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เอกอัครราชทูตAmenaYauvoli ประธานMelanesian Spearhead Group (MSG) เอกอัครราชทูตPeter Thomson ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติด้านมหาสมุทร และนางสาวปุณยภา วิศวกรวิศิษฎ์ ตัวแทนเยาวชน ในโอกาสนี้ รมว.ทส ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุม พร้อมเน้นย้ํา ความสําคัญของการประชุมครั้งนี้ที่ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จะใช้เป็นโอกาสในการนําเสนอประเด็นที่มีความสําคัญต่อภูมิภาคในการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีความเปราะบางจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูง โดยที่ผ่านมาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากภัยพิบัติต่าง สอดคล้องกับรายงานของ Asia-Pacific Disaster Report 2019 ที่ระบุว่าภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการเกิดภัยพิบัติถึง ๖๗๕ ล้านเหรียญสหรัฐ และพบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยหลักที่ทําให้สถานการณ์มีความซับซ้อนและยุ่งยากขึ้น นอกจากนี้ รมว.ทส. ได้นําเสนอการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยที่มีการดําเนินงานมาอย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่นมากขึ้นโดยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ร้อยละ ๑๒ จากกรณีปกติ เมื่อปี ๒๕๕๙ ในภาคพลังงานและขนส่งและได้มีการยกระดับการดําเนินงานเพิ่มขึ้นโดยการประกาศเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกําหนด (Nationally Determined Contribution) ที่ครอบคลุมทุกภาคเศรษฐกิจ และกําหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกร้อยละ ๒๐-๒๕ จากกรณีปกติ ภายในปี ๒๕๗๓ ประเทศไทยได้มีการจัดทําแผนที่นําทางในการลดก๊าซเรือนกระจกและแผนปฏิบัติการในสาขาพลังงาน ขนส่ง อุตสาหกรรม และของเสีย และอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมในสาขาเกษตร การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินและป่าไม้ รวมทั้งได้มีการจัดทําแผนการปรับตัวแห่งชาติแล้วเสร็จเพื่อมุ่งสร้างภูมิคุ้มกันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กับภาคส่วนต่าง ๆ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นอกจากนั้น ประเทศไทยก็ยังอยู่ระหว่างการจัดทํากฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศพร้อมๆ กับการเร่งเสริมสร้างขีดความสามารถและความตระหนักรู้ของภาคส่วนต่าง ๆ ไปพร้อมกัน และในฐานะประธานอาเซียน ประเทศไทยได้จัดทําถ้อยแถลงร่วมอาเซียนสําหรับการประชุมสุดยอดด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อแสดงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกที่จะสนับสนุนการประชุมนี้ และ ท้ายที่สุดได้เน้นย้ําว่าการยกระดับการดําเนินงานจะต้องให้ความสําคัญกับการยกระดับการสนับสนุนด้วย เนื่องจากจะเป็นปัจจัยสําคัญที่จะทําให้ประเทศกําลังพัฒนาสามารถขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนาที่มีภูมิคุ้มกันและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ําได้อย่างแท้จริงซึ่งจะนําไปสู่การบรรลุตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ๒๐๓๐ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและกรอบเซนไดสําหรับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติด้วย ทั้งนี้ การประชุม Asia-Pacific Climate Week 2019 มีกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒ – ๖ กันยายน ๒๕๖๒ ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย โดยการประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกนําเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะที่เกี่ยวกับการยกระดับการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อปิดช่องว่างด้านการดําเนินงานที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อมุ่งควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณภูมิโลกให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของความตกลงปารีสและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด รวมถึงการจัดทําข้อริเริ่มต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและสามารถนําไปสู่การดําเนินการ ได้จริง โดยการประชุมครั้งนี้เป็นการเตรียมการสําหรับการประชุมสุดยอดด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะจัดขึ้นโดยเลขาธิการสหประชาชาติ (United Nations Secretary-General’s Climate Summit) ในวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๒ และเพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศการดําเนินงานและเตรียมความพร้อมสําหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๕ ณ กรุงซันติอาโก สาธารณรัฐชิลี ในเดือนธันวาคมนี้ด้วย ซึ่งการประชุมครั้งนี้ มีผู้แทนจากภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกทั้งจากภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และองค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วมประมาณ ๒,๐๐๐ คน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุมระดับสูง (High-level opening session) ของการประชุม Asia-Pacific Climate Week 2019 วันพุธที่ 4 กันยายน 2562 รมว.ทส. กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุมระดับสูง (High-level opening session) ของการประชุม Asia-Pacific Climate Week 2019 รมว.ทส. กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุมระดับสูง (High-level opening session) ของการประชุม Asia-Pacific Climate Week 2019 รมว.ทส. กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุมระดับสูง (High-level opening session) ของการประชุม Asia-Pacific Climate Week 2019 วันนี้ (4 กันยายน 2562) เวลา 09.00 น. ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วยนางรวีวรรณ ภูริเดช เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมระดับสูง (High-level opening session) ของการประชุม Asia-Pacific Climate Week 2019 โดยมีผู้แทนระดับสูงเข้าร่วมในพิธีเปิดการประชุม ได้แก่นาง ArmidaSalsiahAlisjahbana เลขาธิการบริหารคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสําหรับเอเชียและแปซิฟิก (UNESCAP) นาย OvaisSarmad รองเลขาธิการบริหารกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เอกอัครราชทูตAmenaYauvoli ประธานMelanesian Spearhead Group (MSG) เอกอัครราชทูตPeter Thomson ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติด้านมหาสมุทร และนางสาวปุณยภา วิศวกรวิศิษฎ์ ตัวแทนเยาวชน ในโอกาสนี้ รมว.ทส ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุม พร้อมเน้นย้ํา ความสําคัญของการประชุมครั้งนี้ที่ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จะใช้เป็นโอกาสในการนําเสนอประเด็นที่มีความสําคัญต่อภูมิภาคในการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีความเปราะบางจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูง โดยที่ผ่านมาได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากภัยพิบัติต่าง สอดคล้องกับรายงานของ Asia-Pacific Disaster Report 2019 ที่ระบุว่าภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการเกิดภัยพิบัติถึง ๖๗๕ ล้านเหรียญสหรัฐ และพบว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยหลักที่ทําให้สถานการณ์มีความซับซ้อนและยุ่งยากขึ้น นอกจากนี้ รมว.ทส. ได้นําเสนอการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทยที่มีการดําเนินงานมาอย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่นมากขึ้นโดยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ร้อยละ ๑๒ จากกรณีปกติ เมื่อปี ๒๕๕๙ ในภาคพลังงานและขนส่งและได้มีการยกระดับการดําเนินงานเพิ่มขึ้นโดยการประกาศเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกําหนด (Nationally Determined Contribution) ที่ครอบคลุมทุกภาคเศรษฐกิจ และกําหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกร้อยละ ๒๐-๒๕ จากกรณีปกติ ภายในปี ๒๕๗๓ ประเทศไทยได้มีการจัดทําแผนที่นําทางในการลดก๊าซเรือนกระจกและแผนปฏิบัติการในสาขาพลังงาน ขนส่ง อุตสาหกรรม และของเสีย และอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมในสาขาเกษตร การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินและป่าไม้ รวมทั้งได้มีการจัดทําแผนการปรับตัวแห่งชาติแล้วเสร็จเพื่อมุ่งสร้างภูมิคุ้มกันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้กับภาคส่วนต่าง ๆ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นอกจากนั้น ประเทศไทยก็ยังอยู่ระหว่างการจัดทํากฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศพร้อมๆ กับการเร่งเสริมสร้างขีดความสามารถและความตระหนักรู้ของภาคส่วนต่าง ๆ ไปพร้อมกัน และในฐานะประธานอาเซียน ประเทศไทยได้จัดทําถ้อยแถลงร่วมอาเซียนสําหรับการประชุมสุดยอดด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อแสดงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกที่จะสนับสนุนการประชุมนี้ และ ท้ายที่สุดได้เน้นย้ําว่าการยกระดับการดําเนินงานจะต้องให้ความสําคัญกับการยกระดับการสนับสนุนด้วย เนื่องจากจะเป็นปัจจัยสําคัญที่จะทําให้ประเทศกําลังพัฒนาสามารถขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนาที่มีภูมิคุ้มกันและปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ําได้อย่างแท้จริงซึ่งจะนําไปสู่การบรรลุตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ๒๐๓๐ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและกรอบเซนไดสําหรับการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติด้วย ทั้งนี้ การประชุม Asia-Pacific Climate Week 2019 มีกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒ – ๖ กันยายน ๒๕๖๒ ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย โดยการประชุมครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกนําเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะที่เกี่ยวกับการยกระดับการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อปิดช่องว่างด้านการดําเนินงานที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อมุ่งควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณภูมิโลกให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของความตกลงปารีสและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด รวมถึงการจัดทําข้อริเริ่มต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและสามารถนําไปสู่การดําเนินการ ได้จริง โดยการประชุมครั้งนี้เป็นการเตรียมการสําหรับการประชุมสุดยอดด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะจัดขึ้นโดยเลขาธิการสหประชาชาติ (United Nations Secretary-General’s Climate Summit) ในวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๒ และเพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศการดําเนินงานและเตรียมความพร้อมสําหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๕ ณ กรุงซันติอาโก สาธารณรัฐชิลี ในเดือนธันวาคมนี้ด้วย ซึ่งการประชุมครั้งนี้ มีผู้แทนจากภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกทั้งจากภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และองค์กรระหว่างประเทศ เข้าร่วมประมาณ ๒,๐๐๐ คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22791
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บิ๊กตู่ เป็นสักขีพยาน นำ ทส. มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ จ.ราชบุรี และกาญจนบุรี
วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562 บิ๊กตู่ เป็นสักขีพยาน นํา ทส. มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ จ.ราชบุรี และกาญจนบุรี บิ๊กตู่ เป็นสักขีพยาน นํา ทส. มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ จ.ราชบุรี และกาญจนบุรี วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ณ โรงยิมเนเซียม จังหวัดราชบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อดําเนินโครงการการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายที่สําคัญของรัฐบาล ท้องที่ภาคกลาง ในโอกาสลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นผู้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ฯ ให้แก่ผู้ว่าราชการทั้ง 2 จังหวัด จํานวน 4 พื้นที่ รวมเนื้อที่ 8,390-2-52 ไร่ โดยราษฎรได้รับประโยชน์ จํานวน 552 ครอบครัว โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน เป็นการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2557 เรื่อง การสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ซึ่งจะดําเนินการจัดที่ดินให้แก่ผู้ยากไร้ไม่มีที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัย โดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ แต่เป็นการอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินของรัฐในลักษณะแปลงรวม ในรูปแบบสหกรณ์ หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม ดําเนินการภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทั้งนี้ ที่ดินป่าสงวนแห่งชาติในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ ที่ได้อนุญาตเพื่อดําเนินโครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ในครั้งนี้ จํานวน 4 พื้นที่ 2 จังหวัด เนื้อที่ 8,390-2-52 ไร่ ดังนี้ 1. หนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (แบบ ปส.23) อนุญาตให้จังหวัดราชบุรี เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาบิน ท้องที่ตําบลปากช่อง อําเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เพื่อดําเนินโครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน เนื้อที่ 231-1-01 ไร่ 2. หนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (แบบ ปส.23) อนุญาตให้จังหวัดราชบุรี เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขากรวดและป่าเขาพลอง ท้องที่ตําบลหินกอง อําเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เพื่อดําเนินโครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน เนื้อที่ 129-1-48 ไร่ 3. หนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (แบบ ปส.23) อนุญาตให้จังหวัดกาญจนบุรี เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาพระฤาษี และป่าเขาบ่อแร่ แปลงที่หนึ่ง ท้องที่ตําบลท่าขนุน และตําบลเขาชะแล อําเภอทองผาภูมิ ตําบลปรังเผล อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อดําเนินโครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน เนื้อที่ 6,576-2-85 ไร่ 4. หนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (แบบ ปส.23)อนุญาตให้จังหวัดกาญจนบุรี เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดอนแสลบและป่าเลาขวัญ ท้องที่ตําบลหนองนกแก้ว ตําบลหนองปลิง และตําบลหนองฝ้าย อําเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อดําเนินโครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน เนื้อที่ 1,453-1-18 ไร่งวนแห่งชาติ พื้นที่ จ.ราชบุรี และกาญจนบุรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บิ๊กตู่ เป็นสักขีพยาน นำ ทส. มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ จ.ราชบุรี และกาญจนบุรี วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2562 บิ๊กตู่ เป็นสักขีพยาน นํา ทส. มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ จ.ราชบุรี และกาญจนบุรี บิ๊กตู่ เป็นสักขีพยาน นํา ทส. มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่ จ.ราชบุรี และกาญจนบุรี วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ณ โรงยิมเนเซียม จังหวัดราชบุรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานสักขีพยานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เพื่อดําเนินโครงการการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายที่สําคัญของรัฐบาล ท้องที่ภาคกลาง ในโอกาสลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดราชบุรี และจังหวัดกาญจนบุรี และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ โดยมีนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นผู้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ฯ ให้แก่ผู้ว่าราชการทั้ง 2 จังหวัด จํานวน 4 พื้นที่ รวมเนื้อที่ 8,390-2-52 ไร่ โดยราษฎรได้รับประโยชน์ จํานวน 552 ครอบครัว โครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน เป็นการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2557 เรื่อง การสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ซึ่งจะดําเนินการจัดที่ดินให้แก่ผู้ยากไร้ไม่มีที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัย โดยไม่ให้กรรมสิทธิ์ แต่เป็นการอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินของรัฐในลักษณะแปลงรวม ในรูปแบบสหกรณ์ หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม ดําเนินการภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทั้งนี้ ที่ดินป่าสงวนแห่งชาติในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ ที่ได้อนุญาตเพื่อดําเนินโครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ในครั้งนี้ จํานวน 4 พื้นที่ 2 จังหวัด เนื้อที่ 8,390-2-52 ไร่ ดังนี้ 1. หนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (แบบ ปส.23) อนุญาตให้จังหวัดราชบุรี เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาบิน ท้องที่ตําบลปากช่อง อําเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เพื่อดําเนินโครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน เนื้อที่ 231-1-01 ไร่ 2. หนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (แบบ ปส.23) อนุญาตให้จังหวัดราชบุรี เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขากรวดและป่าเขาพลอง ท้องที่ตําบลหินกอง อําเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เพื่อดําเนินโครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน เนื้อที่ 129-1-48 ไร่ 3. หนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (แบบ ปส.23) อนุญาตให้จังหวัดกาญจนบุรี เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาพระฤาษี และป่าเขาบ่อแร่ แปลงที่หนึ่ง ท้องที่ตําบลท่าขนุน และตําบลเขาชะแล อําเภอทองผาภูมิ ตําบลปรังเผล อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อดําเนินโครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน เนื้อที่ 6,576-2-85 ไร่ 4. หนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (แบบ ปส.23)อนุญาตให้จังหวัดกาญจนบุรี เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดอนแสลบและป่าเลาขวัญ ท้องที่ตําบลหนองนกแก้ว ตําบลหนองปลิง และตําบลหนองฝ้าย อําเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อดําเนินโครงการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน เนื้อที่ 1,453-1-18 ไร่งวนแห่งชาติ พื้นที่ จ.ราชบุรี และกาญจนบุรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24533
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ มอบแสตมป์ ร.10 ให้ นรม. พร้อมมอบเงินจากเครือข่ายไปรษณีย์ไทยช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ มอบแสตมป์ ร.10 ให้ นรม. พร้อมมอบเงินจากเครือข่ายไปรษณีย์ไทยช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ มอบแสตมป์ ร.10 ให้ นรม. พร้อมมอบเงินจากเครือข่ายไปรษณีย์ไทยช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม วันนี้ (1 สิงหาคม 2560) เวลา 8.30 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นํา นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) และคณะผู้บริหารไปรษณีย์ไทยมาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อมอบกรอบรูปแสตมป์ดวงแรกรัชกาลที่ 10 แก่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พร้อมส่งต่อน้ําใจสู้ภัยน้ําท่วมโดยมอบเงินช่วยเหลือ 5 แสนบาท พร้อมจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์โครงการขนส่งลําไยจากลําพูนส่งตรงสู่ผู้บริโภค และสนับสนุนโครงการพัฒนาลําไยอบแห้งช่วยเหลือเกษตรกร โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กล่าวรายงานว่า บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ ได้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์แสตป์ 65 พรรษา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พร้อมมอบกรอบรูปบรรจุแสตมป์ที่ระลึกดวงแรกแห่งรัชกาลที่ 10 แก่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี โดยแสตป์ดังกล่าวออกจําหน่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นภาพพระฉายาลักษณ์พระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรากูร ในฉลองพระองค์ครุยมหาจักรีบรมราชวงศ์ ประกอบด้วยอักษรพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. บนพื้นภาพสีเหลืองซึ่งเป็นสีประจําวันพระราชสมภพ พร้อมเทคนิคพิเศษปั๊มฟอยล์ทอง พร้อมกันนี้ คณะผู้บริหารไปรษณีย์ไทย ได้มอบเงินสมทบทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวนเงิน 500,000 บาท แก่นายกรัฐมนตรี พร้อมประชาสัมพันธ์โครงการช่วยเหลือเกษตรกรในการกระจายผลผลิตลําไยสดพันธุ์อีดอ จากกลุ่มสหกรณ์การเกษตรประตูป่า จังหวัดลําพูน ไปสู่ผู้บริโภค ภายใต้บริการ “อร่อยทั่วไทย สั่งได้ที่ไปรษณีย์” ทั้งนี้ สืบเนื่องจากในปัจจุบันผลผลิตทางการเกษตร (ผลไม้) ของประเทศไทยในแต่ละปีที่ผ่านมามีปริมาณออกสู่ตลาดเป็นจํานวนมาก ทําให้ผลผลิตทางการเกษตรมีราคาที่ตกต่ํา ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรโดยรวม จากปัญหาดังกล่าว บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) ร่วมกับสหกรณ์การเกษตรประตูป่า จํากัด (ภายใต้การควบคุมของกรมส่งเสริมสหกรณ์) มีแนวคิดในการใช้ศักยภาพของเครือข่ายที่ทําการไปรษณีย์ไทยที่ครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ ตลอดจนการขนส่ง เพื่อเป็นช่องทางในการกระจายสินค้า และช่วยเหลือการจําหน่ายผลผลิตลําไย ภายใต้สโลแกน “ไปรษณีย์ไทย เครือข่ายชีวิตและเศรษฐกิจไทย” โดยเกษตรกรสามารถเป็นผู้กําหนดราคาขายของผลผลิตได้เอง เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรอีกทางหนึ่ง รวมไปถึงเป็นการช่วยกระจายผลผลิตทางการเกษตรจากแหล่งผลิตโดยตรงไปยังผู้บริโภคในทุกภูมิภาคอีกด้วย ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสั่งซื้อลําไย ในขนาดบรรจุกล่องละ 5 กิโลกรัม ราคา 255 บาท (อาจปรับขึ้นลงตามราคากลางที่เกษตรกรกําหนด) ได้ ณ ที่ทําการไปรษณีย์ทั่วประเทศ พร้อมด้วยโครงการลําไยอบแห้ง ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้โครงการ “ไปรษณีย์เพิ่มสุข” ซึ่งเป็นการต่อยอดการแปรรูปผลผลิตจากลําไยสดเป็นลําไยอบแห้งเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลําไย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ THP Contact Center 1545 *************************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ มอบแสตมป์ ร.10 ให้ นรม. พร้อมมอบเงินจากเครือข่ายไปรษณีย์ไทยช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ มอบแสตมป์ ร.10 ให้ นรม. พร้อมมอบเงินจากเครือข่ายไปรษณีย์ไทยช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ มอบแสตมป์ ร.10 ให้ นรม. พร้อมมอบเงินจากเครือข่ายไปรษณีย์ไทยช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม วันนี้ (1 สิงหาคม 2560) เวลา 8.30 น. ณ ห้องโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นํา นางสมร เทิดธรรมพิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) และคณะผู้บริหารไปรษณีย์ไทยมาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อมอบกรอบรูปแสตมป์ดวงแรกรัชกาลที่ 10 แก่นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พร้อมส่งต่อน้ําใจสู้ภัยน้ําท่วมโดยมอบเงินช่วยเหลือ 5 แสนบาท พร้อมจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์โครงการขนส่งลําไยจากลําพูนส่งตรงสู่ผู้บริโภค และสนับสนุนโครงการพัฒนาลําไยอบแห้งช่วยเหลือเกษตรกร โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กล่าวรายงานว่า บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ ได้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์แสตป์ 65 พรรษา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พร้อมมอบกรอบรูปบรรจุแสตมป์ที่ระลึกดวงแรกแห่งรัชกาลที่ 10 แก่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี โดยแสตป์ดังกล่าวออกจําหน่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นภาพพระฉายาลักษณ์พระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรากูร ในฉลองพระองค์ครุยมหาจักรีบรมราชวงศ์ ประกอบด้วยอักษรพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. บนพื้นภาพสีเหลืองซึ่งเป็นสีประจําวันพระราชสมภพ พร้อมเทคนิคพิเศษปั๊มฟอยล์ทอง พร้อมกันนี้ คณะผู้บริหารไปรษณีย์ไทย ได้มอบเงินสมทบทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวนเงิน 500,000 บาท แก่นายกรัฐมนตรี พร้อมประชาสัมพันธ์โครงการช่วยเหลือเกษตรกรในการกระจายผลผลิตลําไยสดพันธุ์อีดอ จากกลุ่มสหกรณ์การเกษตรประตูป่า จังหวัดลําพูน ไปสู่ผู้บริโภค ภายใต้บริการ “อร่อยทั่วไทย สั่งได้ที่ไปรษณีย์” ทั้งนี้ สืบเนื่องจากในปัจจุบันผลผลิตทางการเกษตร (ผลไม้) ของประเทศไทยในแต่ละปีที่ผ่านมามีปริมาณออกสู่ตลาดเป็นจํานวนมาก ทําให้ผลผลิตทางการเกษตรมีราคาที่ตกต่ํา ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรโดยรวม จากปัญหาดังกล่าว บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด (ปณท) ร่วมกับสหกรณ์การเกษตรประตูป่า จํากัด (ภายใต้การควบคุมของกรมส่งเสริมสหกรณ์) มีแนวคิดในการใช้ศักยภาพของเครือข่ายที่ทําการไปรษณีย์ไทยที่ครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ ตลอดจนการขนส่ง เพื่อเป็นช่องทางในการกระจายสินค้า และช่วยเหลือการจําหน่ายผลผลิตลําไย ภายใต้สโลแกน “ไปรษณีย์ไทย เครือข่ายชีวิตและเศรษฐกิจไทย” โดยเกษตรกรสามารถเป็นผู้กําหนดราคาขายของผลผลิตได้เอง เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรอีกทางหนึ่ง รวมไปถึงเป็นการช่วยกระจายผลผลิตทางการเกษตรจากแหล่งผลิตโดยตรงไปยังผู้บริโภคในทุกภูมิภาคอีกด้วย ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถสั่งซื้อลําไย ในขนาดบรรจุกล่องละ 5 กิโลกรัม ราคา 255 บาท (อาจปรับขึ้นลงตามราคากลางที่เกษตรกรกําหนด) ได้ ณ ที่ทําการไปรษณีย์ทั่วประเทศ พร้อมด้วยโครงการลําไยอบแห้ง ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้โครงการ “ไปรษณีย์เพิ่มสุข” ซึ่งเป็นการต่อยอดการแปรรูปผลผลิตจากลําไยสดเป็นลําไยอบแห้งเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกลําไย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ THP Contact Center 1545 *************************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5601
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 1/2563
วันพุธที่ 15 มกราคม 2563 พม. จัดประชุมคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 1/2563 พม. จัดประชุมคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 1/2563 วันนี้ (15 ม.ค. 63) เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์(คณะกรรมการ ปกค.) ครั้งที่ 1/2563 โดยมี นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจํานวน 50 คน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์(คณะกรรมการ ปกค.) ครั้งที่ 1/2563 มีวาระการพิจารณาที่สําคัญคือ การพิจารณาให้ความเห็นชอบแบบสัมภาษณ์เบื้องต้น เพื่อการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ (ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นําไปใช้ในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งสามารถเป็นข้อมูลเบื้องต้นประกอบการช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายตามสิทธิและเจตนารมณ์ของกฎหมาย นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมครั้งนี้ ที่ประชุม ได้เห็นชอบการเสนอขอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จํานวน 1 ชุด เพื่อเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ได้แก่ 1) คณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายจากการกระทําความผิดฐานค้ามนุษย์เพื่อบังคับคดีให้เป็นไปตามคําพิพากษา โดยมีหน้าที่ดําเนินการช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายจากการกระทําความผิดฐานค้ามนุษย์และบังคับคดีให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล 2) คณะอนุกรรมการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ให้มีเนื้อหาสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และใช้ในการฝึกอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าวให้มีความรู้และปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 3) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เพื่อทําหน้าที่ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2561 - 2580 รวมทั้งกํากับ ติดตาม และประเมินผลการดําเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จะนําคําสั่งดังกล่าวเสนอนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการ ปกค. เพื่อลงนามต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมคณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 1/2563 วันพุธที่ 15 มกราคม 2563 พม. จัดประชุมคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 1/2563 พม. จัดประชุมคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 1/2563 วันนี้ (15 ม.ค. 63) เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์(คณะกรรมการ ปกค.) ครั้งที่ 1/2563 โดยมี นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจํานวน 50 คน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการประสานและกํากับการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์(คณะกรรมการ ปกค.) ครั้งที่ 1/2563 มีวาระการพิจารณาที่สําคัญคือ การพิจารณาให้ความเห็นชอบแบบสัมภาษณ์เบื้องต้น เพื่อการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ (ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นําไปใช้ในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งสามารถเป็นข้อมูลเบื้องต้นประกอบการช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพผู้เสียหายตามสิทธิและเจตนารมณ์ของกฎหมาย นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมครั้งนี้ ที่ประชุม ได้เห็นชอบการเสนอขอแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จํานวน 1 ชุด เพื่อเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ได้แก่ 1) คณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายจากการกระทําความผิดฐานค้ามนุษย์เพื่อบังคับคดีให้เป็นไปตามคําพิพากษา โดยมีหน้าที่ดําเนินการช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายจากการกระทําความผิดฐานค้ามนุษย์และบังคับคดีให้เป็นไปตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล 2) คณะอนุกรรมการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ให้มีเนื้อหาสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และใช้ในการฝึกอบรมพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าวให้มีความรู้และปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 3) คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เพื่อทําหน้าที่ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2561 - 2580 รวมทั้งกํากับ ติดตาม และประเมินผลการดําเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จะนําคําสั่งดังกล่าวเสนอนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการ ปกค. เพื่อลงนามต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25815
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้าต้องทำงานที่บ้าน ตามมาตรการ Work from home ควรดูแลสุขภาพอย่างไร ??
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563 ถ้าต้องทํางานที่บ้าน ตามมาตรการ Work from home ควรดูแลสุขภาพอย่างไร ?? ทํางานที่บ้านควรดูแลสุขภาพอย่างไร Q : ถ้าต้องทํางานที่บ้าน ตามมาตรการ Work from home ควรดูแลสุขภาพอย่างไร ?? A : ควรขยับร่างกาย 10 นาทีขึ้นไป หากไม่มีที่ออกกําลังกาย อาจเลือกทํางานบ้าน เช่น กวาดบ้าน ถูพื้น ติดต่อกัน 10 นาทีขึ้นไป หากสามารถทําได้ 150 นาที/สัปดาห์ จะช่วยส่งเสริมสุขภาพได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้าต้องทำงานที่บ้าน ตามมาตรการ Work from home ควรดูแลสุขภาพอย่างไร ?? วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563 ถ้าต้องทํางานที่บ้าน ตามมาตรการ Work from home ควรดูแลสุขภาพอย่างไร ?? ทํางานที่บ้านควรดูแลสุขภาพอย่างไร Q : ถ้าต้องทํางานที่บ้าน ตามมาตรการ Work from home ควรดูแลสุขภาพอย่างไร ?? A : ควรขยับร่างกาย 10 นาทีขึ้นไป หากไม่มีที่ออกกําลังกาย อาจเลือกทํางานบ้าน เช่น กวาดบ้าน ถูพื้น ติดต่อกัน 10 นาทีขึ้นไป หากสามารถทําได้ 150 นาที/สัปดาห์ จะช่วยส่งเสริมสุขภาพได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31377
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดสัมมนา TISI Transformation
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดสัมมนา TISI Transformation รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดสัมมนา TISI Transformation ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีการเปิดสัมมนา TISI Transformation เรื่อง สมอ. 4.0 : e-license และกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่องอุตสาหกรรม4.0: การพลิกโฉมสู่ สมอ.4.0 โดยมีนายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวรายงาน พร้อมทั้งผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมเป็นเกียรติ ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ระบบ e-license ของ สมอ. ถือเป็นก้าวแรกที่สําคัญของ big data กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้มีการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ปรับปรุงกระบวนการทํางานเพื่อการรับรองผลิตภัณฑ์ของ สมอ. ซึ่งสามารถออกใบอนุญาตได้ภายใน 10 วันทําการ จากเดิม 15 วัน ครอบคลุม 10 มาตรฐาน และจะดําเนินการให้ครอบคลุม 173 มาตรฐาน ภายในปี 2561 โดยมีเป้าหมายให้สามารถออกใบอนุญาตได้ครบทุกมาตรฐาน ภายในปี 2562 เพื่ออํานวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการในการทําธุรกิจตามนโยบาย Ease of Doing Business ของรัฐบาล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดสัมมนา TISI Transformation วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดสัมมนา TISI Transformation รัฐมนตรี ก.อุตฯ เปิดสัมมนา TISI Transformation ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีการเปิดสัมมนา TISI Transformation เรื่อง สมอ. 4.0 : e-license และกล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่องอุตสาหกรรม4.0: การพลิกโฉมสู่ สมอ.4.0 โดยมีนายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวรายงาน พร้อมทั้งผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมเป็นเกียรติ ณ ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ระบบ e-license ของ สมอ. ถือเป็นก้าวแรกที่สําคัญของ big data กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้มีการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ปรับปรุงกระบวนการทํางานเพื่อการรับรองผลิตภัณฑ์ของ สมอ. ซึ่งสามารถออกใบอนุญาตได้ภายใน 10 วันทําการ จากเดิม 15 วัน ครอบคลุม 10 มาตรฐาน และจะดําเนินการให้ครอบคลุม 173 มาตรฐาน ภายในปี 2561 โดยมีเป้าหมายให้สามารถออกใบอนุญาตได้ครบทุกมาตรฐาน ภายในปี 2562 เพื่ออํานวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการในการทําธุรกิจตามนโยบาย Ease of Doing Business ของรัฐบาล
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10180
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” ติดอาวุธทางปัญญา พร้อมดัน SMEs สู่ตลาดโลก
วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 “พาณิชย์” ติดอาวุธทางปัญญา พร้อมดัน SMEs สู่ตลาดโลก นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ถือได้ว่าเป็นกลไกหลักที่สําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยมีความเข้มแข็ง และทันต่อกระแสโลกธุรกิจในอนาคต ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างความเข้มแข็งจากภายใน เชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่โลก กระทรวงพาณิชย์เองก็ได้มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุน SMEs มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดอาวุธทางปัญญาให้กับผู้ประกอบการ SMEs ของไทยเพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้พร้อมในการก้าวสู่ตลาดโลก อาทิ 1. การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้เป็นมืออาชีพ ได้แก่ โครงการ DBD Modern Entrepreneurs คือ การคัดเลือกนักธุรกิจรุ่นใหม่มาให้ความรู้การเป็นผู้ประกอบการที่นํานวัตกรรมมาประยุกต์ใช้โครงการ DBD Smart Professional Entrepreneurs หรือ นักธุรกิจมืออาชีพ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในการพัฒนาต่อยอดเป็นผู้ส่งออก และโครงการ DBD Advance Creative Marketer หรือ นักการตลาดเชิงสร้างสรรค์ จะเป็นการพัฒนาศักยภาพด้านกลยุทธ์และนวัตกรรมของการเป็นผู้นําด้านการตลาดสมัยใหม่ 2. การจัดตั้งสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ หรือ New Economy Academy : NEA ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนายกระดับผู้ประกอบการ SMEs ของไทยให้พร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ผ่านเครือข่ายความร่วมมือที่เชื่อมต่อกันทั่วประเทศ ทั้งนี้มีผลสําเร็จของการดําเนินการสัมมนาและฝึกอบรมให้แก่ผู้ประกอบการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่ผ่านมา อาทิ หลักสูตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันหลักสูตรการรับมือเศรษฐกิจยุคใหม่ (New Economy) หลักสูตรเฉพาะสําหรับกลุ่มธุรกิจ หลักสูตร Smart Businessman และหลักสูตรเตรียมความพร้อมเจาะตลาดโลก เป็นต้น 3. การปฏิรูปอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมสมุนไพรและการตลาด กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งทีมขับเคลื่อน หรือ Task force กําหนดสมุนไพรที่มีศักยภาพในการทําตลาดจํานวน 4 ชนิด ได้แก่ ขมิ้นชัน ไพล บัวบก และกระชายดํา มีประเทศเป้าหมายหลัก คือ อาเซียน รวมทั้งผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือ Herbal Expo ในระดับ ASEAN รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์นอกจากจะช่วยส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้มีความเข้มแข็งจากภายในแล้ว ในขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ยังทําหน้าที่เป็น ผู้อํานวยความสะดวกทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการจะขยายตลาดออกไปยังต่างประเทศด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งในปี 2560 นี้ กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 โดยมีแนวทาง การขับเคลื่อน ดังนี้ 1. การเจรจาความตกลงการค้าแบบทวิภาคีทั้งรูปแบบความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) และความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (Strategic Partnership) ซึ่งเป็นกรอบความตกลงที่เล็กลง เป็นรายอุตสาหกรรม รายสินค้า เพื่อให้ความตกลงระหว่างกันบรรลุเร็วขึ้น ช่วยอํานวยความสะดวกแก่การค้าการลงทุน 2. การใช้หลักการ 3 New คือ New Product นําสินค้าใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มเข้าสู่ตลาด New Place เจาะตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และ New People ทําการค้ากับลูกค้ากลุ่มใหม่ เช่น ผู้บริโภคสินค้าฮาลาล กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยง 3. การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในต่างประเทศ (Outward Investment) ผ่านคณะทํางานด้านการส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ (D4) ด้วยการให้ภาคเอกชนรายใหญ่ที่เคยไปลงทุนแล้วเป็นพี่เลี้ยงให้แก่เอกชนรายอื่น หรือแบบเพื่อนช่วยเพื่อน อีกทั้งเพิ่มเติมแนวคิดที่ปรึกษาระดับภูมิภาค หรือ Regional Advisor เน้นเป็นรายภูมิภาคเชิงรุก โดยเชิญภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละภูมิภาครวม 7 ภูมิภาคมาเป็นที่ปรึกษา เพื่อร่วมจัดทําแผนผลักดันการส่งออกทั้งระยะสั้นและระยะยาว 4. การจัดงานแสดงและจําหน่ายสินค้าระดับนานาชาติ เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการต่างประเทศให้เข้ามาซื้อสินค้าไทยเพิ่มมากขึ้น และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการจากทั่วโลกได้เห็นศักยภาพ ของสินค้าไทย จํานวน 2 งาน ได้แก่ งาน Thaifex World of Food ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม–4 มิถุนายน 2560 ควบคู่กับงาน Thailand Rice Convention ซึ่งจัดงานวันที่ 28–30 พฤษภาคม 2560 โดยคาดว่าจะมี ผู้ซื้อสินค้าอาหารและสินค้าเกษตร ผู้เข้าร่วมเจรจาการค้า ตลอดจนผู้เข้าร่วมงานกว่า 150,000 คน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” ติดอาวุธทางปัญญา พร้อมดัน SMEs สู่ตลาดโลก วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 “พาณิชย์” ติดอาวุธทางปัญญา พร้อมดัน SMEs สู่ตลาดโลก นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ถือได้ว่าเป็นกลไกหลักที่สําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทยมีความเข้มแข็ง และทันต่อกระแสโลกธุรกิจในอนาคต ตามนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีดิจิทัล สร้างความเข้มแข็งจากภายใน เชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่โลก กระทรวงพาณิชย์เองก็ได้มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุน SMEs มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดอาวุธทางปัญญาให้กับผู้ประกอบการ SMEs ของไทยเพื่อสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้พร้อมในการก้าวสู่ตลาดโลก อาทิ 1. การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้เป็นมืออาชีพ ได้แก่ โครงการ DBD Modern Entrepreneurs คือ การคัดเลือกนักธุรกิจรุ่นใหม่มาให้ความรู้การเป็นผู้ประกอบการที่นํานวัตกรรมมาประยุกต์ใช้โครงการ DBD Smart Professional Entrepreneurs หรือ นักธุรกิจมืออาชีพ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในการพัฒนาต่อยอดเป็นผู้ส่งออก และโครงการ DBD Advance Creative Marketer หรือ นักการตลาดเชิงสร้างสรรค์ จะเป็นการพัฒนาศักยภาพด้านกลยุทธ์และนวัตกรรมของการเป็นผู้นําด้านการตลาดสมัยใหม่ 2. การจัดตั้งสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ หรือ New Economy Academy : NEA ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนายกระดับผู้ประกอบการ SMEs ของไทยให้พร้อมเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ผ่านเครือข่ายความร่วมมือที่เชื่อมต่อกันทั่วประเทศ ทั้งนี้มีผลสําเร็จของการดําเนินการสัมมนาและฝึกอบรมให้แก่ผู้ประกอบการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่ผ่านมา อาทิ หลักสูตรการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันหลักสูตรการรับมือเศรษฐกิจยุคใหม่ (New Economy) หลักสูตรเฉพาะสําหรับกลุ่มธุรกิจ หลักสูตร Smart Businessman และหลักสูตรเตรียมความพร้อมเจาะตลาดโลก เป็นต้น 3. การปฏิรูปอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมสมุนไพรและการตลาด กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดตั้งทีมขับเคลื่อน หรือ Task force กําหนดสมุนไพรที่มีศักยภาพในการทําตลาดจํานวน 4 ชนิด ได้แก่ ขมิ้นชัน ไพล บัวบก และกระชายดํา มีประเทศเป้าหมายหลัก คือ อาเซียน รวมทั้งผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดงานผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือ Herbal Expo ในระดับ ASEAN รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์นอกจากจะช่วยส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้มีความเข้มแข็งจากภายในแล้ว ในขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ยังทําหน้าที่เป็น ผู้อํานวยความสะดวกทางการค้าให้กับผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการจะขยายตลาดออกไปยังต่างประเทศด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งในปี 2560 นี้ กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 โดยมีแนวทาง การขับเคลื่อน ดังนี้ 1. การเจรจาความตกลงการค้าแบบทวิภาคีทั้งรูปแบบความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) และความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ (Strategic Partnership) ซึ่งเป็นกรอบความตกลงที่เล็กลง เป็นรายอุตสาหกรรม รายสินค้า เพื่อให้ความตกลงระหว่างกันบรรลุเร็วขึ้น ช่วยอํานวยความสะดวกแก่การค้าการลงทุน 2. การใช้หลักการ 3 New คือ New Product นําสินค้าใหม่ที่มีมูลค่าเพิ่มเข้าสู่ตลาด New Place เจาะตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และ New People ทําการค้ากับลูกค้ากลุ่มใหม่ เช่น ผู้บริโภคสินค้าฮาลาล กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยง 3. การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในต่างประเทศ (Outward Investment) ผ่านคณะทํางานด้านการส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในต่างประเทศ (D4) ด้วยการให้ภาคเอกชนรายใหญ่ที่เคยไปลงทุนแล้วเป็นพี่เลี้ยงให้แก่เอกชนรายอื่น หรือแบบเพื่อนช่วยเพื่อน อีกทั้งเพิ่มเติมแนวคิดที่ปรึกษาระดับภูมิภาค หรือ Regional Advisor เน้นเป็นรายภูมิภาคเชิงรุก โดยเชิญภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละภูมิภาครวม 7 ภูมิภาคมาเป็นที่ปรึกษา เพื่อร่วมจัดทําแผนผลักดันการส่งออกทั้งระยะสั้นและระยะยาว 4. การจัดงานแสดงและจําหน่ายสินค้าระดับนานาชาติ เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการต่างประเทศให้เข้ามาซื้อสินค้าไทยเพิ่มมากขึ้น และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการจากทั่วโลกได้เห็นศักยภาพ ของสินค้าไทย จํานวน 2 งาน ได้แก่ งาน Thaifex World of Food ระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม–4 มิถุนายน 2560 ควบคู่กับงาน Thailand Rice Convention ซึ่งจัดงานวันที่ 28–30 พฤษภาคม 2560 โดยคาดว่าจะมี ผู้ซื้อสินค้าอาหารและสินค้าเกษตร ผู้เข้าร่วมเจรจาการค้า ตลอดจนผู้เข้าร่วมงานกว่า 150,000 คน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3724
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ย้ำรอมติผ่อนปรนมาตรการจากคณะรัฐมนตรี ยืนยันภาครัฐพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. ย้ํารอมติผ่อนปรนมาตรการจากคณะรัฐมนตรี ยืนยันภาครัฐพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โฆษก ศบค. ย้ํารอมติผ่อนปรนมาตรการจากคณะรัฐมนตรี ยืนยันภาครัฐพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน วันนี้ (27 เม.ย. 63) เวลา 12.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนผ่านโซเซียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. ชี้แจงหลังการประชุม ศบค. เพื่อป้องกันความสับสนในการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง กรณีมติการเลื่อนวันหยุดในเดือนพฤษภาคม 2563 ออกไป ได้แก่ วันแรงงานแห่งชาติ วันฉัตรมงคล วันวิสาขบูชา และวันพืชมงคล เป็นเพียงข้อเสนอจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โดยที่ประชุมได้ยึดหลักการทางสาธารณสุข เนื่องจากหากมีวันหยุดก็จะก่อให้เกิดการเดินทางของคนจํานวนมาก สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้จะต้องรอการหารือจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (28 เม.ย. 63) กรณีการผ่อนปรนมาตรการ จากการแบ่งกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสีขาว สีเขียว สีเหลือง และสีแดง ซึ่งมีการนําเสนอข้อมูลว่าเตรียมผ่อนปรนมาตรการเตรียมเปิดห้างสรรพสินค้า ร้านตัดผม ร้านค้าขนาดเล็ก รวมถึงร้านอาหารที่ไม่ติดเครื่องปรับอากาศ และจะมีผลในวันที่ 4 พ.ค. 63 โฆษก ศบค. ยืนยันว่าในขณะนี้ยังไม่มีการลงมติถึงรายละเอียดเรื่องนี้ เพราะจําเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ใช้ข้อมูล สถิติ ต้องคํานึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ที่สําคัญคือยังไม่มีการระบุวันที่ชัดเจนในการผ่อนปรนมาตรการ หากจะมีการผ่อนปรนนั้นจะต้องผ่อนปรนพร้อมกันทั้งประเทศ รวมทั้งยังต้องผ่านการหารือจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก่อน นอกจากนี้ โฆษก ศบค. ได้กล่าวถึงการประชุมของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่มีการหารือกับหลาย ๆ ภาคส่วนด้วยกัน เช่น ภาครัฐ มีผู้เชี่ยวชาญทางระบาดวิทยาจากกรมควบคุมโรค ภาคประชาสังคม ได้แก่ เครือข่าย Thai Safe เครือข่าย NGO สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภาควิชาการ ได้แก่ Thailand Development Research Institute (TDRI) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ภาคเอกชน ได้แก่ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าจังหวัด สมาคมการค้าและเครือข่าย ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย รวมทั้งยังมีหน่วยงานอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ร่วมกันพิจารณาทุกมิติเพื่อจัดเตรียมมาตรการในช่วง 1 เดือนหลังจากนี้ ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ทางภาครัฐยินดีรับฟังเสมอ จากคําถามของสื่อมวลชน กรณีกลุ่มผู้ประกอบการขายสุราขอให้ผ่อนปรนมาตรการ และมีการเยียวยาเพื่อให้ธุรกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ โดยเสนอให้ผ่อนปรนการขายสุราแบบเดลิเวอรีในช่วงเวลา 14.00 น. ถึง 17.00 น. หรือมีการผ่อนปรนให้สามารถซื้อกลับบ้านได้ โฆษก ศบค. ได้กล่าวว่ายังไม่มีการหารือเรื่องนี้ในที่ประชุม ศบค. โดยให้รอรับฟังข้อมูลจากคณะที่ปรึกษาในด้านนี้ โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพศหญิง อายุ 97 ปีที่จังหวัดภูเก็ต และรักษาหายแล้ว ถือว่าเป็นผู้ป่วยที่มีอายุมากที่สุดและรักษาได้ ในส่วนของปัจจัยที่สามารถรักษาให้หายได้นั้น จําเป็นต้องดูข้อมูลการวิเคราะห์ของกองระบาดวิทยาและกรมควบคุมโรค ซึ่งจะนํามารายงานให้ทราบในภายหลัง ในตอนท้าย โฆษก ศบค. ได้ย้ําถึงความสําคัญในการสื่อสารข้อมูลถึงพี่น้องประชาชน โดยจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลในด้านที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม หรืออื่น ๆ เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไข เยียวยา ให้ประชาชนทุกคนผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ย้ำรอมติผ่อนปรนมาตรการจากคณะรัฐมนตรี ยืนยันภาครัฐพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน วันจันทร์ที่ 27 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. ย้ํารอมติผ่อนปรนมาตรการจากคณะรัฐมนตรี ยืนยันภาครัฐพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โฆษก ศบค. ย้ํารอมติผ่อนปรนมาตรการจากคณะรัฐมนตรี ยืนยันภาครัฐพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน วันนี้ (27 เม.ย. 63) เวลา 12.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนผ่านโซเซียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. ชี้แจงหลังการประชุม ศบค. เพื่อป้องกันความสับสนในการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง กรณีมติการเลื่อนวันหยุดในเดือนพฤษภาคม 2563 ออกไป ได้แก่ วันแรงงานแห่งชาติ วันฉัตรมงคล วันวิสาขบูชา และวันพืชมงคล เป็นเพียงข้อเสนอจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โดยที่ประชุมได้ยึดหลักการทางสาธารณสุข เนื่องจากหากมีวันหยุดก็จะก่อให้เกิดการเดินทางของคนจํานวนมาก สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้จะต้องรอการหารือจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (28 เม.ย. 63) กรณีการผ่อนปรนมาตรการ จากการแบ่งกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสีขาว สีเขียว สีเหลือง และสีแดง ซึ่งมีการนําเสนอข้อมูลว่าเตรียมผ่อนปรนมาตรการเตรียมเปิดห้างสรรพสินค้า ร้านตัดผม ร้านค้าขนาดเล็ก รวมถึงร้านอาหารที่ไม่ติดเครื่องปรับอากาศ และจะมีผลในวันที่ 4 พ.ค. 63 โฆษก ศบค. ยืนยันว่าในขณะนี้ยังไม่มีการลงมติถึงรายละเอียดเรื่องนี้ เพราะจําเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ใช้ข้อมูล สถิติ ต้องคํานึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ที่สําคัญคือยังไม่มีการระบุวันที่ชัดเจนในการผ่อนปรนมาตรการ หากจะมีการผ่อนปรนนั้นจะต้องผ่อนปรนพร้อมกันทั้งประเทศ รวมทั้งยังต้องผ่านการหารือจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก่อน นอกจากนี้ โฆษก ศบค. ได้กล่าวถึงการประชุมของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่มีการหารือกับหลาย ๆ ภาคส่วนด้วยกัน เช่น ภาครัฐ มีผู้เชี่ยวชาญทางระบาดวิทยาจากกรมควบคุมโรค ภาคประชาสังคม ได้แก่ เครือข่าย Thai Safe เครือข่าย NGO สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภาควิชาการ ได้แก่ Thailand Development Research Institute (TDRI) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ภาคเอกชน ได้แก่ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าจังหวัด สมาคมการค้าและเครือข่าย ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย รวมทั้งยังมีหน่วยงานอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ร่วมกันพิจารณาทุกมิติเพื่อจัดเตรียมมาตรการในช่วง 1 เดือนหลังจากนี้ ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ทางภาครัฐยินดีรับฟังเสมอ จากคําถามของสื่อมวลชน กรณีกลุ่มผู้ประกอบการขายสุราขอให้ผ่อนปรนมาตรการ และมีการเยียวยาเพื่อให้ธุรกิจสามารถดําเนินต่อไปได้ โดยเสนอให้ผ่อนปรนการขายสุราแบบเดลิเวอรีในช่วงเวลา 14.00 น. ถึง 17.00 น. หรือมีการผ่อนปรนให้สามารถซื้อกลับบ้านได้ โฆษก ศบค. ได้กล่าวว่ายังไม่มีการหารือเรื่องนี้ในที่ประชุม ศบค. โดยให้รอรับฟังข้อมูลจากคณะที่ปรึกษาในด้านนี้ โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพศหญิง อายุ 97 ปีที่จังหวัดภูเก็ต และรักษาหายแล้ว ถือว่าเป็นผู้ป่วยที่มีอายุมากที่สุดและรักษาได้ ในส่วนของปัจจัยที่สามารถรักษาให้หายได้นั้น จําเป็นต้องดูข้อมูลการวิเคราะห์ของกองระบาดวิทยาและกรมควบคุมโรค ซึ่งจะนํามารายงานให้ทราบในภายหลัง ในตอนท้าย โฆษก ศบค. ได้ย้ําถึงความสําคัญในการสื่อสารข้อมูลถึงพี่น้องประชาชน โดยจะเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลในด้านที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม หรืออื่น ๆ เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไข เยียวยา ให้ประชาชนทุกคนผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยส. เห็นชอบให้นำเรื่องการสนับสนุนสตรี ให้เป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ มากำหนดเป็นนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาสตรี
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 กยส. เห็นชอบให้นําเรื่องการสนับสนุนสตรี ให้เป็นพลังสําคัญทางเศรษฐกิจ มากําหนดเป็นนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาสตรี รอง นรม.พลเอก ฉัตรชัยฯ เป็นประธานประชุม กยส. ครั้งที่ 1/61 มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษา ดําเนินการนําประเด็นความรุนแรงในครอบครัว-การสนับสนุนสตรีให้เป็นพลังสําคัญทางเศรษฐกิจ ให้ผู้ชายมีส่วนร่วมดูแลครอบครัว มากําหนดเป็นนโยบายส่งเสริมและพัฒนาสตรี วันนี้ (24 สิงหาคม 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้นําประเด็นความรุนแรงในครอบครัว การสนับสนุนสตรีให้เป็นพลังสําคัญทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งเบาภาระของผู้หญิงในเรื่องการเลี้ยงดูเด็ก ซึ่งเป็นนโยบายที่ทําให้ประเทศสามารถพัฒนาไปในทิศทางที่ดี ในการพัฒนาคุณภาพของสตรีและเด็ก สิ่งที่สําคัญคือการทําให้ผู้ชายเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลครอบครัว รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายบางฉบับ ที่จะนําไปสู่แนวทางการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกันนี้รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดําเนินการศึกษา และดําเนินการ เพื่อกําหนดเป็นนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาสตรี นําไปปฏิบัติร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาสตรี (กสส.) และจัดทําเป็นร่างนโยบายเสนอต่อ กยส. โดยมอบให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นหน่วยงานหลักในการในการจัดทําเป็นแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ในแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. 2560-2561 เพื่อเสนอต่อสํานักงบประมาณให้สอดคล้องกับระยะเวลาการเสนอของบประมาณประจําปี พ.ศ. 2563 **************************** สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยส. เห็นชอบให้นำเรื่องการสนับสนุนสตรี ให้เป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ มากำหนดเป็นนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาสตรี วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561 กยส. เห็นชอบให้นําเรื่องการสนับสนุนสตรี ให้เป็นพลังสําคัญทางเศรษฐกิจ มากําหนดเป็นนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาสตรี รอง นรม.พลเอก ฉัตรชัยฯ เป็นประธานประชุม กยส. ครั้งที่ 1/61 มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษา ดําเนินการนําประเด็นความรุนแรงในครอบครัว-การสนับสนุนสตรีให้เป็นพลังสําคัญทางเศรษฐกิจ ให้ผู้ชายมีส่วนร่วมดูแลครอบครัว มากําหนดเป็นนโยบายส่งเสริมและพัฒนาสตรี วันนี้ (24 สิงหาคม 2561) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ (กยส.) ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้นําประเด็นความรุนแรงในครอบครัว การสนับสนุนสตรีให้เป็นพลังสําคัญทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องการแบ่งเบาภาระของผู้หญิงในเรื่องการเลี้ยงดูเด็ก ซึ่งเป็นนโยบายที่ทําให้ประเทศสามารถพัฒนาไปในทิศทางที่ดี ในการพัฒนาคุณภาพของสตรีและเด็ก สิ่งที่สําคัญคือการทําให้ผู้ชายเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลครอบครัว รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายบางฉบับ ที่จะนําไปสู่แนวทางการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกันนี้รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดําเนินการศึกษา และดําเนินการ เพื่อกําหนดเป็นนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาสตรี นําไปปฏิบัติร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาสตรี (กสส.) และจัดทําเป็นร่างนโยบายเสนอต่อ กยส. โดยมอบให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเป็นหน่วยงานหลักในการในการจัดทําเป็นแผนงาน/โครงการ/กิจกรรม ในแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ. 2560-2561 เพื่อเสนอต่อสํานักงบประมาณให้สอดคล้องกับระยะเวลาการเสนอของบประมาณประจําปี พ.ศ. 2563 **************************** สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14881
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความสำคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความสําคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความสําคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม (15 เม.ย. 63) เวลา 13.00 น. ณ โถงบัญชาการ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีรับทราบถึงความลําบากของประชาชนจากการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน จึงมีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาโดยคํานึงถึงคนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ทั้งมาตรการระยะ 1 และระยะ 2 ตามลําดับ ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลกลุ่มลูกจ้าง – พนักงานเอกชน รวมถึงพนักงานเอกชนในระบบประกันสังคม และแรงงานอิสระด้วย ที่ไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาล 5,000 บาท และยังมีค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัยด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของรัฐบาลทั้งการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ลดค่าน้ําประปา ลดค่าไฟฟ้า การคืนเงินเงินประกันการใช้ไฟฟ้า เพิ่มจํานวนหน่วยของการใช้ไฟฟ้าโดยไม่มีค่าใช้จ่าย กําหนดให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้ารับการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การพักชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย รวมทั้งยังมีการขยายเวลาการชําระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยใช้กลไกงบประมาณ ซึ่งมาจากงบประมาณจําปี งบกลาง มาตรการทางภาษี มาตรการทางการเงิน ผ่านสถาบันการเงินของรัฐและระบบประกันสังคมมาดําเนินการ ซึ่งอยากขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินพาณิชย์ พิจารณาสามารถช่วยเหลือส่วนไหนได้บ้าง เพื่อจะป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายทั้งหมดเนื่องจากระบบการเงินของประเทศ เป็นห่วงโซ่เดียวกัน นายกรัฐมนตรียังชี้แจงการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนว่า รัฐบาลได้ใช้เงินในระบบของประกันสังคมและงบประมาณประจําปีเพื่อควบคุมดูแลมาตรการการเงิน การคลัง สําหรับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนด้วยเงิน 5,000 บาทต่อเดือน ซึ่งปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยาเป็นจํานวนมาก และมีผู้ที่ได้รับเงินเยียวยาบางส่วนแล้ว ยืนยันว่ารัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยพิจารณาจากฐานข้อมูลจํานวนคนที่อยู่ในระบบแรงงานมีประมาณ 37 ล้านคน ประกอบไปด้วยผู้มีอาชีพอิสระ แรงงานนอกระบบ 9 ล้านคน แรงงานในระบบ 11 ล้านคน และเกษตรกร 17 ล้านคน นอกจากนี้ยังจะพิจารณาในส่วนของนักศึกษาที่ทํางานและยังไม่ทํางานอย่างรอบคอบเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า รัฐบาลจําเป็นต้องใช้เงินจากหลายส่วน ส่วนแรก คือ เงินจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณ ที่ต้องใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากต้องผ่านการพิจารณาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา คาดว่าจะสามารถนํางบประมาณในส่วนนี้มาใช้ได้เดือนมิถุนายน 2563 จํานวนไม่เกินแสนล้านบาท เป็นเงินที่ได้คืนมาจากกระทรวงต่าง ๆ และอีกส่วนหนึ่งคือจากพระราชกําหนดกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมการ นอกจากนี้ยังมีพระราชกําหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อบริหารระบบการเงิน การคลัง เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายและความไม่น่าเชื่อถือในตลาดหุ้นที่ยึดโยงกับสถาบันการเงินด้วย ซึ่ง พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทมีขั้นตอน รอประกาศใช้ปลายเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคม 2563 เพราะจะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการ เพื่อให้เป็นไปตามร่าง พ.ร.ก. เงินกู้ โดยรัฐบาลได้ใช้เงินจากงบประมาณกลางประจําปี 2563 และโอนงบประมาณคืนจากบางโครงการที่ยังไม่ได้ดําเนินงาน เป็นวงเงินประมาณ 5 หมื่นล้าน ซึ่งจะครอบคลุมมาตรการช่วยเหลือเยียวยา 5,000 บาท เดือนเดียวและจะนําเงินจาก พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท มาใช้ในเดือนที่ 2 และเดือนที่ 3 ถัดไป ขอยืนยันว่ารัฐบาลจะดูแลประชาชนทุกคนอย่างเต็มความสามารถ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระรับจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว ประกอบกิจการส่วนตัว ค้าขาย รวมถึงอาชีพอิสระตามประกันสังคม มาตรการ 39 และ 40 จากคาดไว้เดิมที่ 3 ล้านคนเป็น 9 ล้านคนนั้น รัฐบาลมีงบประมาณช่วยเหลือในเดือนเมษายน โดยใช้เงินจากงบประมาณกลางและเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน 45,000 ล้าน สําหรับแรงงานในระบบประกันสังคมที่มีรายได้ประจํา ตามประกันสังคม มาตรา 33 จํานวน 11 ล้านคน ได้มีการใช้เงินช่วยเหลือเยียวยาจากกองทุนประกันสังคม 230,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องปิดกิจการ ซึ่งกระทรวงการคลังและกองทุนประกันสังคมจะต้องบริหารจัดการเพื่อช่วยเหลือแรงงานทุกคน รัฐบาลกําลังพิจารณามาตรการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรอีก 17 ล้านคน โดยจะนําเงินจากแหล่งอื่นตามกฎหมายงบประมาณมาให้แก่เกษตรกรในเดือนเมษายนนี้ และในเดือนถัดไปนั้นจากพ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ จะต้องมีการประเมินการให้เงินช่วยเหลือเยียวยาที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน รวมทั้งได้จัดตั้งคณะกรรมการกําดูแล เพื่อติดตาม รวบรวมข้อมูล บูรณาการข้อมูล ผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยจะมีการรับฟังความคิดเห็น ตรวจสอบการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาให้มีความครอบคลุมทั่วถึง จัดทําข้อเสนอแนะ กลไกและขั้นตอนการดําเนินการให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างแท้จริง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับฟังความคิดเห็นจากทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวง เพื่อจัดทํามาตรการเยียวยาเพื่อรายบุคคล การจัดทํา Soft Loan โดยรัฐบาลยังคํานึงถึง NPL ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนและพี่น้องประชาชนเองตระหนักถึงการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐด้วย ที่จะต้องระมัดระวังอยู่เสมอ และขอให้ประชาชนใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความสำคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความสําคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม นายกรัฐมนตรียืนยันให้ความสําคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม (15 เม.ย. 63) เวลา 13.00 น. ณ โถงบัญชาการ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีรับทราบถึงความลําบากของประชาชนจากการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน จึงมีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาโดยคํานึงถึงคนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ทั้งมาตรการระยะ 1 และระยะ 2 ตามลําดับ ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลกลุ่มลูกจ้าง – พนักงานเอกชน รวมถึงพนักงานเอกชนในระบบประกันสังคม และแรงงานอิสระด้วย ที่ไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาล 5,000 บาท และยังมีค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัยด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของรัฐบาลทั้งการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ลดค่าน้ําประปา ลดค่าไฟฟ้า การคืนเงินเงินประกันการใช้ไฟฟ้า เพิ่มจํานวนหน่วยของการใช้ไฟฟ้าโดยไม่มีค่าใช้จ่าย กําหนดให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้ารับการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การพักชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย รวมทั้งยังมีการขยายเวลาการชําระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยใช้กลไกงบประมาณ ซึ่งมาจากงบประมาณจําปี งบกลาง มาตรการทางภาษี มาตรการทางการเงิน ผ่านสถาบันการเงินของรัฐและระบบประกันสังคมมาดําเนินการ ซึ่งอยากขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินพาณิชย์ พิจารณาสามารถช่วยเหลือส่วนไหนได้บ้าง เพื่อจะป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายทั้งหมดเนื่องจากระบบการเงินของประเทศ เป็นห่วงโซ่เดียวกัน นายกรัฐมนตรียังชี้แจงการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนว่า รัฐบาลได้ใช้เงินในระบบของประกันสังคมและงบประมาณประจําปีเพื่อควบคุมดูแลมาตรการการเงิน การคลัง สําหรับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนด้วยเงิน 5,000 บาทต่อเดือน ซึ่งปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยาเป็นจํานวนมาก และมีผู้ที่ได้รับเงินเยียวยาบางส่วนแล้ว ยืนยันว่ารัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม โดยพิจารณาจากฐานข้อมูลจํานวนคนที่อยู่ในระบบแรงงานมีประมาณ 37 ล้านคน ประกอบไปด้วยผู้มีอาชีพอิสระ แรงงานนอกระบบ 9 ล้านคน แรงงานในระบบ 11 ล้านคน และเกษตรกร 17 ล้านคน นอกจากนี้ยังจะพิจารณาในส่วนของนักศึกษาที่ทํางานและยังไม่ทํางานอย่างรอบคอบเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายต่อไป นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า รัฐบาลจําเป็นต้องใช้เงินจากหลายส่วน ส่วนแรก คือ เงินจากพระราชบัญญัติโอนงบประมาณ ที่ต้องใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากต้องผ่านการพิจารณาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา คาดว่าจะสามารถนํางบประมาณในส่วนนี้มาใช้ได้เดือนมิถุนายน 2563 จํานวนไม่เกินแสนล้านบาท เป็นเงินที่ได้คืนมาจากกระทรวงต่าง ๆ และอีกส่วนหนึ่งคือจากพระราชกําหนดกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมการ นอกจากนี้ยังมีพระราชกําหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อบริหารระบบการเงิน การคลัง เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายและความไม่น่าเชื่อถือในตลาดหุ้นที่ยึดโยงกับสถาบันการเงินด้วย ซึ่ง พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทมีขั้นตอน รอประกาศใช้ปลายเดือนเมษายนหรือเดือนพฤษภาคม 2563 เพราะจะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการ เพื่อให้เป็นไปตามร่าง พ.ร.ก. เงินกู้ โดยรัฐบาลได้ใช้เงินจากงบประมาณกลางประจําปี 2563 และโอนงบประมาณคืนจากบางโครงการที่ยังไม่ได้ดําเนินงาน เป็นวงเงินประมาณ 5 หมื่นล้าน ซึ่งจะครอบคลุมมาตรการช่วยเหลือเยียวยา 5,000 บาท เดือนเดียวและจะนําเงินจาก พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท มาใช้ในเดือนที่ 2 และเดือนที่ 3 ถัดไป ขอยืนยันว่ารัฐบาลจะดูแลประชาชนทุกคนอย่างเต็มความสามารถ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระรับจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว ประกอบกิจการส่วนตัว ค้าขาย รวมถึงอาชีพอิสระตามประกันสังคม มาตรการ 39 และ 40 จากคาดไว้เดิมที่ 3 ล้านคนเป็น 9 ล้านคนนั้น รัฐบาลมีงบประมาณช่วยเหลือในเดือนเมษายน โดยใช้เงินจากงบประมาณกลางและเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน 45,000 ล้าน สําหรับแรงงานในระบบประกันสังคมที่มีรายได้ประจํา ตามประกันสังคม มาตรา 33 จํานวน 11 ล้านคน ได้มีการใช้เงินช่วยเหลือเยียวยาจากกองทุนประกันสังคม 230,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ต้องปิดกิจการ ซึ่งกระทรวงการคลังและกองทุนประกันสังคมจะต้องบริหารจัดการเพื่อช่วยเหลือแรงงานทุกคน รัฐบาลกําลังพิจารณามาตรการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรอีก 17 ล้านคน โดยจะนําเงินจากแหล่งอื่นตามกฎหมายงบประมาณมาให้แก่เกษตรกรในเดือนเมษายนนี้ และในเดือนถัดไปนั้นจากพ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ จะต้องมีการประเมินการให้เงินช่วยเหลือเยียวยาที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน รวมทั้งได้จัดตั้งคณะกรรมการกําดูแล เพื่อติดตาม รวบรวมข้อมูล บูรณาการข้อมูล ผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยจะมีการรับฟังความคิดเห็น ตรวจสอบการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาให้มีความครอบคลุมทั่วถึง จัดทําข้อเสนอแนะ กลไกและขั้นตอนการดําเนินการให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างแท้จริง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับฟังความคิดเห็นจากทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวง เพื่อจัดทํามาตรการเยียวยาเพื่อรายบุคคล การจัดทํา Soft Loan โดยรัฐบาลยังคํานึงถึง NPL ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนและพี่น้องประชาชนเองตระหนักถึงการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐด้วย ที่จะต้องระมัดระวังอยู่เสมอ และขอให้ประชาชนใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29164
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ก.แรงงาน ร่วมกับ HERO’ มอบถุงซิป 204,000 ชิ้น ให้ สภากาชาดไทย ส่งต่อประชาชนป้องกันโควิด - 19
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563 ‘ก.แรงงาน ร่วมกับ HERO’ มอบถุงซิป 204,000 ชิ้น ให้ สภากาชาดไทย ส่งต่อประชาชนป้องกันโควิด - 19 กระทรวงแรงงาน ร่วมกับ แบรนด์ HERO มอบผลิตภัณฑ์ถุงซิปพลาสติก จํานวน 204,000 ชิ้น ให้กับสภากาชาดไทย นําไปมอบให้ประชาชนใช้บรรจุหน้ากากผ้าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส COVID -19 วันนี้ (23 เม.ย. 63) เวลา 10.00 น. นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมกับ นายทวี จุลศักดิ์ศรีสกุล กรรมการบริษัท คิงส์แพ็ค อินดัสเตรียล จํากัด ผู้จัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ “HERO” มอบผลิตภัณฑ์ถุงซิปพลาสติก จํานวน 102,000 ชิ้น ให้กับ นางสุนันทา ศรอนุสิน ผู้อํานวยการสํานักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย และคณะ ณ ห้องประชุม ชั้น 4 อาคารเฉลิม บูรณะนนท์ สภากาชาดไทย ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา สภากาชาดไทย ได้มอบผ้าสาลูแก่กระทรวงแรงงาน จํานวน 67 ม้วน นําไปให้สถาบัน/สํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ ตัดเย็บเป็นหน้ากากอนามัย จํานวน 200,000 ชิ้น แต่หน้ากากผ้าดังกล่าวยังไม่มีถุงใส่ เพื่อความสะอาดและปลอดภัยแก่ผู้ใช้กระทรวงแรงงานจึงได้ประสานบริษัท คิงส์แพ็ค อินดัสเตรียล จํากัด ผู้จัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ “HERO” ได้นําถุงซิปพลาสติกมามอบให้สํานักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย จํานวน 102,000 ชิ้น เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา และในวันนี้ (23 เม.ย.63) บริษัทฯ มอบให้อีกจํานวน 102,000 ชิ้น รวมเป็นจํานวนทั้งสิ้น 204,000 ชิ้น เพื่อนําไปส่งมอบให้แก่สํานักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย ไว้ใช้บรรจุใส่หน้ากากผ้าก่อนที่จะได้นําไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 ต่อไป +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว 23 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ก.แรงงาน ร่วมกับ HERO’ มอบถุงซิป 204,000 ชิ้น ให้ สภากาชาดไทย ส่งต่อประชาชนป้องกันโควิด - 19 วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563 ‘ก.แรงงาน ร่วมกับ HERO’ มอบถุงซิป 204,000 ชิ้น ให้ สภากาชาดไทย ส่งต่อประชาชนป้องกันโควิด - 19 กระทรวงแรงงาน ร่วมกับ แบรนด์ HERO มอบผลิตภัณฑ์ถุงซิปพลาสติก จํานวน 204,000 ชิ้น ให้กับสภากาชาดไทย นําไปมอบให้ประชาชนใช้บรรจุหน้ากากผ้าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส COVID -19 วันนี้ (23 เม.ย. 63) เวลา 10.00 น. นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมกับ นายทวี จุลศักดิ์ศรีสกุล กรรมการบริษัท คิงส์แพ็ค อินดัสเตรียล จํากัด ผู้จัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ “HERO” มอบผลิตภัณฑ์ถุงซิปพลาสติก จํานวน 102,000 ชิ้น ให้กับ นางสุนันทา ศรอนุสิน ผู้อํานวยการสํานักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย และคณะ ณ ห้องประชุม ชั้น 4 อาคารเฉลิม บูรณะนนท์ สภากาชาดไทย ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา สภากาชาดไทย ได้มอบผ้าสาลูแก่กระทรวงแรงงาน จํานวน 67 ม้วน นําไปให้สถาบัน/สํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ ตัดเย็บเป็นหน้ากากอนามัย จํานวน 200,000 ชิ้น แต่หน้ากากผ้าดังกล่าวยังไม่มีถุงใส่ เพื่อความสะอาดและปลอดภัยแก่ผู้ใช้กระทรวงแรงงานจึงได้ประสานบริษัท คิงส์แพ็ค อินดัสเตรียล จํากัด ผู้จัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ “HERO” ได้นําถุงซิปพลาสติกมามอบให้สํานักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย จํานวน 102,000 ชิ้น เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา และในวันนี้ (23 เม.ย.63) บริษัทฯ มอบให้อีกจํานวน 102,000 ชิ้น รวมเป็นจํานวนทั้งสิ้น 204,000 ชิ้น เพื่อนําไปส่งมอบให้แก่สํานักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย ไว้ใช้บรรจุใส่หน้ากากผ้าก่อนที่จะได้นําไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 ต่อไป +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว 23 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29580
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการศึกษาและพัฒนาระบบบ้านอัจฉริยะ (Smart Home)
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 ผู้ช่วย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการศึกษาและพัฒนาระบบบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ผู้ช่วย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการศึกษาและพัฒนาระบบบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ระหว่าง บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ และการเคหะแห่งชาติ ซึ่งมีเจตจํานงร่วมกันที่จะร่วมมือศึกษาและพัฒนาระบบบ้านอัจฉริยะ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยปรับปรุงสภาพแวดล้อมชุมชน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐในเรื่อง “การพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ คนพิการ” เป็นการขับเคลื่อนชุมชนอย่างบูรณาการ อันจะรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต และนําไปสู่ชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ สําหรับการนําเทคโนโลยีด้านดิจิทัลและระบบสื่อสารโทรคมนาคมของ บมจ.กสท โทรคมนาคม มาเพิ่มเติมในการสร้างบ้านอัจฉริยะให้กับประชาชน ถือเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีที่พักอาศัยเป็นหลักแหล่ง ส่งผลให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการหาที่อยู่ เพิ่มศักยภาพการดูแลตนเองต่อยอดไปถึงการพัฒนาครอบครัว และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลลาดพร้าว ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ *********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการศึกษาและพัฒนาระบบบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 ผู้ช่วย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการศึกษาและพัฒนาระบบบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ผู้ช่วย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการศึกษาและพัฒนาระบบบ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ระหว่าง บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ และการเคหะแห่งชาติ ซึ่งมีเจตจํานงร่วมกันที่จะร่วมมือศึกษาและพัฒนาระบบบ้านอัจฉริยะ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่อยู่อาศัยปรับปรุงสภาพแวดล้อมชุมชน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐในเรื่อง “การพัฒนาที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ คนพิการ” เป็นการขับเคลื่อนชุมชนอย่างบูรณาการ อันจะรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต และนําไปสู่ชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ สําหรับการนําเทคโนโลยีด้านดิจิทัลและระบบสื่อสารโทรคมนาคมของ บมจ.กสท โทรคมนาคม มาเพิ่มเติมในการสร้างบ้านอัจฉริยะให้กับประชาชน ถือเป็นการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีที่พักอาศัยเป็นหลักแหล่ง ส่งผลให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการหาที่อยู่ เพิ่มศักยภาพการดูแลตนเองต่อยอดไปถึงการพัฒนาครอบครัว และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศอย่างยั่งยืน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลลาดพร้าว ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ *********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13157
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย.รักพี่วิน ทะลุ 8,300 ราย คาดสัปดาห์นี้เคลียร์ครบ 22 มี.ค.เปิด“ติวพี่วินก่อนกู้เงิน”สร้างภูมิคุ้มกันหนี้นอกระบบ
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2562 บสย.รักพี่วิน ทะลุ 8,300 ราย คาดสัปดาห์นี้เคลียร์ครบ 22 มี.ค.เปิด“ติวพี่วินก่อนกู้เงิน”สร้างภูมิคุ้มกันหนี้นอกระบบ บสย. เร่งประสานธนาคารพันธมิตร เดินหน้าโครงการ บสย.รักพี่วิน หลังยอดขอสินเชื่อพี่วิน พุ่งทะยานกว่า 8,300 ราย มั่นใจเคลียร์ทั้งหมดสัปดาห์นี้ เตรียมผนึกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย เปิดหลักสูตร “ติวพี่วินก่อนกู้เงิน” สร้างภูมิคุ้มกัน ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่าโครงการ บสย.รักพี่วิน ประสบความสําเร็จเกินความคาดหมายมีพี่วินเข้าร่วมโครงการ และลงทะเบียนกับ บสย. ระหว่าง 21 ก.พ. – 4 มี.ค. กว่า 8,300 ราย โดยมีพี่วินผ่านขั้นตอนการติดต่อกลับจาก บสย. และได้สัมภาษณ์เพื่อประเมินความสามารถในการชําระหนี้เบื้องต้น พร้อมส่งรายชื่อให้ธนาคารแล้ว จํานวน 3,800 ราย ส่วนที่เหลืออีก 4,500 รายอยู่ในกระบวนการติดต่อกลับ คาดว่าภายในสัปดาห์นี้ จะนําส่งรายชื่อและข้อมูลให้กับสถาบันการเงินได้ทั้งหมด โดยสถาบันการเงินจะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อประมาณ 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน “กระบวนการการพิจารณาเบื้องต้นของ บสย.จะเร็วขึ้นเป็นลําดับ สําหรับพี่วิน ที่ลงทะเบียนที่เหลืออีก 4,400 คน จะได้รับการติดต่อกลับไม่เกิน 3 วันทําการ เนื่องจากเราได้นําเครื่องมือทางด้านดิจิทัลแพลทฟอร์ม มาใช้ในการพิจารณาคัดกรองเบื้องต้น (Prescreening) ก่อนนําส่งสถาบันการเงิน และหลังจากนี้จะเข้าสู่ภาวะปกติ แบบเรียลไทม์ ” ดร.รักษ์ กล่าว นอกจากนี้ บสย.ยังได้เร่งประสานธนาคารพันธมิตร เพื่อเดินหน้าโครงการรักพี่วิน โดยติดตามผลการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพันธมิตร รวมถึงการประสานธนาคารเพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการ การขอสินเชื่อ นอกเหนือธนาคารที่ร่วมโครงการกับบสย.ในขณะนี้แล้ว คือ ธนาคารออมสิน ธนาคารทิสโก้ จํากัด (มหาชน) บริษัท ไฮเวย์ จํากัด (สมหวังเงินสั่งได้) ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย จํากัด (มหาชน) และ อีกหนึ่งสถาบันการเงิน โดยธนาคารพันธมิตร ยังได้เตรียมอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนให้พี่วินด้วย ทั้งนี้ บสย. ร่วมกับสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย เปิดโครงการ Financial Literacy หลักสูตรอบรมให้ความรู้ทางการเงินกลุ่มอาชีพอิสระ กลุ่มพี่วิน จํานวน 100 คน หัวข้อ “ติวพี่วินก่อนกู้เงิน” โดย นายสุรชัย กําพลานนท์วัฒน หรือ MR. Banker เนื้อหาหลักสูตร ประกอบด้วย การแนะนําการเตรียมเอกสารประกอบเพื่อขอสินเชื่อกับธนาคาร การทําเวิร์คชอป ให้ความรู้การสร้างวินัยทางการเงิน การตรวจสุขภาพทางการเงิน และ หัวข้อ “วิน..เปลี่ยนเมือง” โดยนายเฉลิม ชั่งทอง นายกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย ในวันที่ 22 มีนาคม นี้ เวลา 13.30 -15.00 น. ณ อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี ซอยศูนย์วิจัย ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ และ ในวันที่ 26 มีนาคม นี้ บสย.และธนาคารออมสิน ภาค 14 ได้ร่วมกันจัดโครงการอบรม ณ โรบินสัน สาขาอยุธยา ตั้งแต่เวลา 10.00 น – 16.00 น. ตั้งเป้าพี่วิน เข้าร่วมอบรม จํานวน 500 คน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย.รักพี่วิน ทะลุ 8,300 ราย คาดสัปดาห์นี้เคลียร์ครบ 22 มี.ค.เปิด“ติวพี่วินก่อนกู้เงิน”สร้างภูมิคุ้มกันหนี้นอกระบบ วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 2562 บสย.รักพี่วิน ทะลุ 8,300 ราย คาดสัปดาห์นี้เคลียร์ครบ 22 มี.ค.เปิด“ติวพี่วินก่อนกู้เงิน”สร้างภูมิคุ้มกันหนี้นอกระบบ บสย. เร่งประสานธนาคารพันธมิตร เดินหน้าโครงการ บสย.รักพี่วิน หลังยอดขอสินเชื่อพี่วิน พุ่งทะยานกว่า 8,300 ราย มั่นใจเคลียร์ทั้งหมดสัปดาห์นี้ เตรียมผนึกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย เปิดหลักสูตร “ติวพี่วินก่อนกู้เงิน” สร้างภูมิคุ้มกัน ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่าโครงการ บสย.รักพี่วิน ประสบความสําเร็จเกินความคาดหมายมีพี่วินเข้าร่วมโครงการ และลงทะเบียนกับ บสย. ระหว่าง 21 ก.พ. – 4 มี.ค. กว่า 8,300 ราย โดยมีพี่วินผ่านขั้นตอนการติดต่อกลับจาก บสย. และได้สัมภาษณ์เพื่อประเมินความสามารถในการชําระหนี้เบื้องต้น พร้อมส่งรายชื่อให้ธนาคารแล้ว จํานวน 3,800 ราย ส่วนที่เหลืออีก 4,500 รายอยู่ในกระบวนการติดต่อกลับ คาดว่าภายในสัปดาห์นี้ จะนําส่งรายชื่อและข้อมูลให้กับสถาบันการเงินได้ทั้งหมด โดยสถาบันการเงินจะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อประมาณ 2 สัปดาห์ ถึง 1 เดือน “กระบวนการการพิจารณาเบื้องต้นของ บสย.จะเร็วขึ้นเป็นลําดับ สําหรับพี่วิน ที่ลงทะเบียนที่เหลืออีก 4,400 คน จะได้รับการติดต่อกลับไม่เกิน 3 วันทําการ เนื่องจากเราได้นําเครื่องมือทางด้านดิจิทัลแพลทฟอร์ม มาใช้ในการพิจารณาคัดกรองเบื้องต้น (Prescreening) ก่อนนําส่งสถาบันการเงิน และหลังจากนี้จะเข้าสู่ภาวะปกติ แบบเรียลไทม์ ” ดร.รักษ์ กล่าว นอกจากนี้ บสย.ยังได้เร่งประสานธนาคารพันธมิตร เพื่อเดินหน้าโครงการรักพี่วิน โดยติดตามผลการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพันธมิตร รวมถึงการประสานธนาคารเพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการ การขอสินเชื่อ นอกเหนือธนาคารที่ร่วมโครงการกับบสย.ในขณะนี้แล้ว คือ ธนาคารออมสิน ธนาคารทิสโก้ จํากัด (มหาชน) บริษัท ไฮเวย์ จํากัด (สมหวังเงินสั่งได้) ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย จํากัด (มหาชน) และ อีกหนึ่งสถาบันการเงิน โดยธนาคารพันธมิตร ยังได้เตรียมอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนให้พี่วินด้วย ทั้งนี้ บสย. ร่วมกับสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย เปิดโครงการ Financial Literacy หลักสูตรอบรมให้ความรู้ทางการเงินกลุ่มอาชีพอิสระ กลุ่มพี่วิน จํานวน 100 คน หัวข้อ “ติวพี่วินก่อนกู้เงิน” โดย นายสุรชัย กําพลานนท์วัฒน หรือ MR. Banker เนื้อหาหลักสูตร ประกอบด้วย การแนะนําการเตรียมเอกสารประกอบเพื่อขอสินเชื่อกับธนาคาร การทําเวิร์คชอป ให้ความรู้การสร้างวินัยทางการเงิน การตรวจสุขภาพทางการเงิน และ หัวข้อ “วิน..เปลี่ยนเมือง” โดยนายเฉลิม ชั่งทอง นายกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย ในวันที่ 22 มีนาคม นี้ เวลา 13.30 -15.00 น. ณ อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี ซอยศูนย์วิจัย ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ และ ในวันที่ 26 มีนาคม นี้ บสย.และธนาคารออมสิน ภาค 14 ได้ร่วมกันจัดโครงการอบรม ณ โรบินสัน สาขาอยุธยา ตั้งแต่เวลา 10.00 น – 16.00 น. ตั้งเป้าพี่วิน เข้าร่วมอบรม จํานวน 500 คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19257
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ร่วมจัดประชุมระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๓
วันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2562 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ร่วมจัดประชุมระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๓ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๓ ในวันศุกร์ที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว กรุงเทพ ฟอร์จูน ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๓ : อะไรที่ภาคธุรกิจจําเป็นต้องรู้? (๓ rd National Dialogue on Business and Human Rights Sustainable Financing : What companies need to know?) โดยมีว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสมณ์ พรหมรส อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอล คอมแพ็ค ประเทศไทย พร้อมด้วยผู้แทนจากภาคธุรกิจ เข้าร่วม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า หลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน หรือ หลักการ UNGPs เป็นมาตรฐานสากลที่ได้รับการรับรองจากสหประชาชาติ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ อันเป็นผลสืบเนื่องจากการตื่นตัวของกระแสประชาคมโลกเกี่ยวกับการแข่งขันและขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ กล่าวคือ ในเชิงบวก : การพัฒนาทางเศรษฐกิจย่อมทําให้เกิดรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ในขณะเดียวกันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดังกล่าว อาจส่งผลให้เกิดปัญหาการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมกัน การเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิด้านแรงงาน สิทธิในที่ดินทํากิน สิทธิในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น โดยเฉพาะการดําเนินธุรกิจ/โครงการ/กิจการขนาดใหญ่หลายกรณีส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชนท้องถิ่น จึงเกิดการเรียกร้องให้ผู้ดําเนินธุรกิจรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนดังกล่าว ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ตระหนักถึงความสําคัญ จําเป็น และเร่งด่วนในการส่งเสริมการดําเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน จึงได้กําหนดให้ประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในกิจกรรมสําคัญภายใต้วาระแห่งชาติด้านสิทธิมนุษยชน ตลอดจนให้คํามั่น รวมทั้งยืนยันท่าทีไทยในเวทีต่างๆ ทั้งในประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับระหว่างประเทศ ว่าจะกําหนดให้ประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในนโยบายสําคัญของรัฐบาล พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในการขับเคลื่อนหลักการ UNGPs และจัดทํา “แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน” ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยคาดว่าจะได้รับการรับรองและประกาศใช้อย่างเป็นทางการในเร็ววันนี้ โดยแผนดังกล่าวจะเป็นแผนฯ ฉบับแรกในเอเชียที่ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศต้นแบบในภูมิภาคนี้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสําคัญที่ภาคธุรกิจจะต้องรับทราบและเตรียมความพร้อมในการนําแผนปฏิบัติการฯ ไปสู่การปฏิบัติ นอกจากนี้ หนึ่งในมาตรการสําคัญที่สามารถช่วยส่งเสริมการดําเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนได้ คือ หลักการเงินที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Financing ซึ่งสนับสนุนให้สถาบันการเงินมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการดําเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ โดยนําผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโครงการที่ให้สินเชื่อ ทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล มาเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืน เพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจคํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวม รวมทั้งให้ความสําคัญกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง มากกว่าการคํานึงถึงเฉพาะประโยชน์ของบริษัทตนเองเท่านั้น บนหลักการ Win – Win กล่าวคือ ธุรกิจก้าวไกลในขณะที่สังคมก็พัฒนาไปพร้อมกัน ดังนั้น การประชุมฯ ในวันนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างความรู้ความเข้าใจในความเชื่อมโยงระหว่างประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน และหลักการเงินที่ยั่งยืน ซึ่งจะเป็นหนึ่งในมาตรการที่ช่วยส่งเสริมการดําเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน และเตรียมความพร้อมสําหรับการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ร่วมจัดประชุมระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๓ วันศุกร์ที่ 13 กันยายน 2562 กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ร่วมจัดประชุมระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๓ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๓ ในวันศุกร์ที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว กรุงเทพ ฟอร์จูน ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ ๓ : อะไรที่ภาคธุรกิจจําเป็นต้องรู้? (๓ rd National Dialogue on Business and Human Rights Sustainable Financing : What companies need to know?) โดยมีว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสมณ์ พรหมรส อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ นายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอล คอมแพ็ค ประเทศไทย พร้อมด้วยผู้แทนจากภาคธุรกิจ เข้าร่วม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า หลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน หรือ หลักการ UNGPs เป็นมาตรฐานสากลที่ได้รับการรับรองจากสหประชาชาติ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๔ อันเป็นผลสืบเนื่องจากการตื่นตัวของกระแสประชาคมโลกเกี่ยวกับการแข่งขันและขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบ กล่าวคือ ในเชิงบวก : การพัฒนาทางเศรษฐกิจย่อมทําให้เกิดรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แต่ในขณะเดียวกันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดังกล่าว อาจส่งผลให้เกิดปัญหาการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมกัน การเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ รวมทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิด้านแรงงาน สิทธิในที่ดินทํากิน สิทธิในทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น โดยเฉพาะการดําเนินธุรกิจ/โครงการ/กิจการขนาดใหญ่หลายกรณีส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชนท้องถิ่น จึงเกิดการเรียกร้องให้ผู้ดําเนินธุรกิจรับผิดชอบต่อผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนดังกล่าว ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ตระหนักถึงความสําคัญ จําเป็น และเร่งด่วนในการส่งเสริมการดําเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน จึงได้กําหนดให้ประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในกิจกรรมสําคัญภายใต้วาระแห่งชาติด้านสิทธิมนุษยชน ตลอดจนให้คํามั่น รวมทั้งยืนยันท่าทีไทยในเวทีต่างๆ ทั้งในประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับระหว่างประเทศ ว่าจะกําหนดให้ประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในนโยบายสําคัญของรัฐบาล พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในการขับเคลื่อนหลักการ UNGPs และจัดทํา “แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน” ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยคาดว่าจะได้รับการรับรองและประกาศใช้อย่างเป็นทางการในเร็ววันนี้ โดยแผนดังกล่าวจะเป็นแผนฯ ฉบับแรกในเอเชียที่ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศต้นแบบในภูมิภาคนี้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสําคัญที่ภาคธุรกิจจะต้องรับทราบและเตรียมความพร้อมในการนําแผนปฏิบัติการฯ ไปสู่การปฏิบัติ นอกจากนี้ หนึ่งในมาตรการสําคัญที่สามารถช่วยส่งเสริมการดําเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนได้ คือ หลักการเงินที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Financing ซึ่งสนับสนุนให้สถาบันการเงินมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการดําเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ โดยนําผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโครงการที่ให้สินเชื่อ ทั้งมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล มาเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืน เพื่อส่งเสริมให้ภาคธุรกิจคํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวม รวมทั้งให้ความสําคัญกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง มากกว่าการคํานึงถึงเฉพาะประโยชน์ของบริษัทตนเองเท่านั้น บนหลักการ Win – Win กล่าวคือ ธุรกิจก้าวไกลในขณะที่สังคมก็พัฒนาไปพร้อมกัน ดังนั้น การประชุมฯ ในวันนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการสร้างความรู้ความเข้าใจในความเชื่อมโยงระหว่างประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน และหลักการเงินที่ยั่งยืน ซึ่งจะเป็นหนึ่งในมาตรการที่ช่วยส่งเสริมการดําเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชน และเตรียมความพร้อมสําหรับการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23083
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เชิญร่วมบริจาคช่วยเหลือ มูลนิธิเด็ก ได้รับผลกระทบ โควิด-19 [กระทรวงแรงงาน]
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563 ก.แรงงาน เชิญร่วมบริจาคช่วยเหลือ มูลนิธิเด็ก ได้รับผลกระทบ โควิด-19 [กระทรวงแรงงาน] ก.แรงงาน เชิญร่วมบริจาคช่วยเหลือ มูลนิธิเด็ก ได้รับผลกระทบ โควิด-19 กระทรวงแรงงาน ขอเชิญผู้มีเมตตาทุกท่านร่วมบริจาคช่วยเหลือมูลนิธิเด็ก ที่ต้องดูแลเด็กกว่า ๒๑๐ คน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ และพร้อมเข้าดูแลสิทธิประโยชน์เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ ประสานกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดูแลช่วยเหลือเด็กต่อไป วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น.รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้การต้อนรับนางรัชนี ธงไชย กรรมการเลขานุการมูลนิธิเด็กและคณะ เข้าพบหารือและขอคําปรึกษา จากการที่มูลนิธิเด็กได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ ซึ่งทําให้ยอดเงินบริจาคเข้ามูลนิธิเด็กมียอดเงินบริจาคลดลง ซึ่งทําให้เด็กที่อยู่ในความดูแลจํานวนกว่า ๒๑๐ คน พนักงานและบุคลากรของมูลนิธิได้รับผลกระทบ ณ ห้องประชุมแสงสิงแก้ว ชั้น ๕ อาคารกระทรวงแรงงาน รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ฯกล่าวว่า กระทรวงแรงงาน พร้อมเข้าไปดูแลเรื่องของสิทธิประโยชน์สําหรับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ ประสานกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่องของการดูแลและการช่วยเหลือเด็กของมูลนิธิ และขอเชิญชวนให้ทุกท่านที่มีความพร้อมให้การช่วยเหลือได้ช่วยกันบริจาคทรัพย์สิน เงินทอง และสิ่งของบริโภคต่างๆ เนื่องจากปัจจัยสี่เป็นเรื่องสําคัญต่อเด็กๆ และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่จะใช้ในการดํารงชีพ นางรัชนี ธงไชย กรรมการเลขานุการมูลนิธิเด็กกล่าวว่า การเข้าพบในครั้งนี้ทางมูลนิธิเด็กต้องการให้กระทรวงแรงงานช่วยเหลือเรื่องของการประชาสัมพันธ์ การช่วยเหลือด้านสวัสดิการต่อพนักงานที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้พนักงานได้มีขวัญกําลังใจมากขึ้น และขอให้ผู้มีเมตตาต่อเด็กๆ สามารถร่วมบริจาคได้ที่ มูลนิธิเด็ก เลขที่ ๙๕/๒๔ หมู่ ๖ ซอยกระทุ่มล้ม ๑๘ ((ซอยเกียรติร่วมมิตร) ถนนพุทธมณฑลสาย ๔ ตําบลกระทุ่มล้ม อําเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เบอร์โทร ๐๒-๘๑๔-๑๔๘๑ โทรสาร ๐๒-๘๑๔-๐๓๖๙ E-mail Address :children@ffc.or.thHomepage :www.ffc.or.thหรือโอนผ่านทางธนาคาร ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเพชรเกษมซอย ๑๑๔ เลขที่บัญชี ๑๑๕-๒-๑๔๗๓๓-๐, ธนาคารกสิการไทย สาขาพุทธมณฑลสาย ๔ เลขที่บัญชี ๒๖๑-๒-๘๔๔๘๑-๒, ธนาคารกรุงเทพ สาขาหนองแขม เลขที่บัญชี ๒๓๖-๐-๓๐๘๗๘-๘ และธนาคารกรุงไทย สาขาเพชรเกษม ๙๑ (อ้อมน้อย) เลขที่บัญชี ๗๓๒-๑-๒๕๒๙๘-๑ ———————————- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เชิญร่วมบริจาคช่วยเหลือ มูลนิธิเด็ก ได้รับผลกระทบ โควิด-19 [กระทรวงแรงงาน] วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563 ก.แรงงาน เชิญร่วมบริจาคช่วยเหลือ มูลนิธิเด็ก ได้รับผลกระทบ โควิด-19 [กระทรวงแรงงาน] ก.แรงงาน เชิญร่วมบริจาคช่วยเหลือ มูลนิธิเด็ก ได้รับผลกระทบ โควิด-19 กระทรวงแรงงาน ขอเชิญผู้มีเมตตาทุกท่านร่วมบริจาคช่วยเหลือมูลนิธิเด็ก ที่ต้องดูแลเด็กกว่า ๒๑๐ คน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ และพร้อมเข้าดูแลสิทธิประโยชน์เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ ประสานกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดูแลช่วยเหลือเด็กต่อไป วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น.รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้การต้อนรับนางรัชนี ธงไชย กรรมการเลขานุการมูลนิธิเด็กและคณะ เข้าพบหารือและขอคําปรึกษา จากการที่มูลนิธิเด็กได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ ซึ่งทําให้ยอดเงินบริจาคเข้ามูลนิธิเด็กมียอดเงินบริจาคลดลง ซึ่งทําให้เด็กที่อยู่ในความดูแลจํานวนกว่า ๒๑๐ คน พนักงานและบุคลากรของมูลนิธิได้รับผลกระทบ ณ ห้องประชุมแสงสิงแก้ว ชั้น ๕ อาคารกระทรวงแรงงาน รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ฯกล่าวว่า กระทรวงแรงงาน พร้อมเข้าไปดูแลเรื่องของสิทธิประโยชน์สําหรับเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ ประสานกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่องของการดูแลและการช่วยเหลือเด็กของมูลนิธิ และขอเชิญชวนให้ทุกท่านที่มีความพร้อมให้การช่วยเหลือได้ช่วยกันบริจาคทรัพย์สิน เงินทอง และสิ่งของบริโภคต่างๆ เนื่องจากปัจจัยสี่เป็นเรื่องสําคัญต่อเด็กๆ และเจ้าหน้าที่ทุกคนที่จะใช้ในการดํารงชีพ นางรัชนี ธงไชย กรรมการเลขานุการมูลนิธิเด็กกล่าวว่า การเข้าพบในครั้งนี้ทางมูลนิธิเด็กต้องการให้กระทรวงแรงงานช่วยเหลือเรื่องของการประชาสัมพันธ์ การช่วยเหลือด้านสวัสดิการต่อพนักงานที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้พนักงานได้มีขวัญกําลังใจมากขึ้น และขอให้ผู้มีเมตตาต่อเด็กๆ สามารถร่วมบริจาคได้ที่ มูลนิธิเด็ก เลขที่ ๙๕/๒๔ หมู่ ๖ ซอยกระทุ่มล้ม ๑๘ ((ซอยเกียรติร่วมมิตร) ถนนพุทธมณฑลสาย ๔ ตําบลกระทุ่มล้ม อําเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เบอร์โทร ๐๒-๘๑๔-๑๔๘๑ โทรสาร ๐๒-๘๑๔-๐๓๖๙ E-mail Address :children@ffc.or.thHomepage :www.ffc.or.thหรือโอนผ่านทางธนาคาร ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเพชรเกษมซอย ๑๑๔ เลขที่บัญชี ๑๑๕-๒-๑๔๗๓๓-๐, ธนาคารกสิการไทย สาขาพุทธมณฑลสาย ๔ เลขที่บัญชี ๒๖๑-๒-๘๔๔๘๑-๒, ธนาคารกรุงเทพ สาขาหนองแขม เลขที่บัญชี ๒๓๖-๐-๓๐๘๗๘-๘ และธนาคารกรุงไทย สาขาเพชรเกษม ๙๑ (อ้อมน้อย) เลขที่บัญชี ๗๓๒-๑-๒๕๒๙๘-๑ ———————————- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30722
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัล ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ICT for Education and Professional Development in Thailand : How Far We Go”
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560 รมว.ดิจิทัล ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ICT for Education and Professional Development in Thailand : How Far We Go” รมว.ดิจิทัล ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ICT for Education and Professional Development in Thailand : How Far We Go” ในการประชุมวิชาการประจําปีระดับชาติ “การพัฒนาการศึกษาสําหรับบุคลากรด้านสุขภาพ” ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “เทคโนโลยีสารสนเทศ เสริมพลัง สร้างวิชาชีพสุขภาพ (ICT to Empower Health Professional Education)” ซึ่งมูลนิธิการพัฒนาการศึกษาบุคลากรสุขภาพแห่งชาติ (ศสช.) ร่วมกับ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างสุขภาพ (สสส.) จัดขึ้น โดยมีเป้าหมายให้เกิดการเชื่อมโยงการเรียนการสอนและการวิจัยระบบสุขภาพเชิงนโยบายในสถาบันการศึกษา ร่วมกับเครือข่ายวิจัยระบบสุขภาพและกระทรวงสาธารณสุขอย่างเป็นรูปธรรมด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ โดยการนําเอาระบบบริการและการทํางานร่วมกันเป็นทีมสหสาขาวิชาชีพเป็นตัวตั้ง พัฒนาขีดความสามารถเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพอย่างครบวงจร ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่มุ่งพัฒนากําลังคนทุกสาขาอาชีพให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ณ ห้องอินฟินิตี้ บอลรูม โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ํา กรุงเทพฯ ************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัล ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ICT for Education and Professional Development in Thailand : How Far We Go” วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560 รมว.ดิจิทัล ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ICT for Education and Professional Development in Thailand : How Far We Go” รมว.ดิจิทัล ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ICT for Education and Professional Development in Thailand : How Far We Go” ในการประชุมวิชาการประจําปีระดับชาติ “การพัฒนาการศึกษาสําหรับบุคลากรด้านสุขภาพ” ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “เทคโนโลยีสารสนเทศ เสริมพลัง สร้างวิชาชีพสุขภาพ (ICT to Empower Health Professional Education)” ซึ่งมูลนิธิการพัฒนาการศึกษาบุคลากรสุขภาพแห่งชาติ (ศสช.) ร่วมกับ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างสุขภาพ (สสส.) จัดขึ้น โดยมีเป้าหมายให้เกิดการเชื่อมโยงการเรียนการสอนและการวิจัยระบบสุขภาพเชิงนโยบายในสถาบันการศึกษา ร่วมกับเครือข่ายวิจัยระบบสุขภาพและกระทรวงสาธารณสุขอย่างเป็นรูปธรรมด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ โดยการนําเอาระบบบริการและการทํางานร่วมกันเป็นทีมสหสาขาวิชาชีพเป็นตัวตั้ง พัฒนาขีดความสามารถเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพอย่างครบวงจร ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ที่มุ่งพัฒนากําลังคนทุกสาขาอาชีพให้พร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 ณ ห้องอินฟินิตี้ บอลรูม โรงแรมพูลแมน คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ํา กรุงเทพฯ ************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7878
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลวางเป้าหมายจัดการด้านอาหาร สู่การเป็นครัวของโลก
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561 รัฐบาลวางเป้าหมายจัดการด้านอาหาร สู่การเป็นครัวของโลก รัฐบาลมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นครัวของโลกโดยได้จัดทํายุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศ ปี2560 – 2579 เชื่อมโยงการผลิต การแปรรูป การตลาด และการบริการจนถึงมือผู้บริโภค และน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักคิดพื้นฐาน อาทิตย์ที่ 15 ก.ค. 61 รัฐบาลวางเป้าหมายจัดการด้านอาหาร สู่การเป็นครัวของโลก ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นครัวของโลกโดยได้จัดทํายุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศ ปี2560 – 2579 เชื่อมโยงการผลิต การแปรรูป การตลาด และการบริการจนถึงมือผู้บริโภค และน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักคิดพื้นฐาน ประกอบด้วย การสร้างความมั่นคงด้านอาหาร คุณภาพและความปลอดภัย อาหารศึกษา และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดจํานวนผู้ที่ขาดแคลนอาหารลดปริมาณขยะอาหาร สร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพและความปลอดภัยในอาหาร เพิ่มมูลค่าการค้าของสินค้าอาหาร ลดจํานวนผู้ที่มีปัญหาโภชนาการ และให้มีหน่วยงานกลางประสานการดําเนินงาน ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปเป็นครัวที่ได้รับความไว้วางใจจากคนทั่วโลก ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลวางเป้าหมายจัดการด้านอาหาร สู่การเป็นครัวของโลก วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561 รัฐบาลวางเป้าหมายจัดการด้านอาหาร สู่การเป็นครัวของโลก รัฐบาลมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นครัวของโลกโดยได้จัดทํายุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศ ปี2560 – 2579 เชื่อมโยงการผลิต การแปรรูป การตลาด และการบริการจนถึงมือผู้บริโภค และน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักคิดพื้นฐาน อาทิตย์ที่ 15 ก.ค. 61 รัฐบาลวางเป้าหมายจัดการด้านอาหาร สู่การเป็นครัวของโลก ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นครัวของโลกโดยได้จัดทํายุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศ ปี2560 – 2579 เชื่อมโยงการผลิต การแปรรูป การตลาด และการบริการจนถึงมือผู้บริโภค และน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักคิดพื้นฐาน ประกอบด้วย การสร้างความมั่นคงด้านอาหาร คุณภาพและความปลอดภัย อาหารศึกษา และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลดจํานวนผู้ที่ขาดแคลนอาหารลดปริมาณขยะอาหาร สร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพและความปลอดภัยในอาหาร เพิ่มมูลค่าการค้าของสินค้าอาหาร ลดจํานวนผู้ที่มีปัญหาโภชนาการ และให้มีหน่วยงานกลางประสานการดําเนินงาน ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปเป็นครัวที่ได้รับความไว้วางใจจากคนทั่วโลก ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13868
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟสูง High Seer
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563 เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟสูง High Seer วันที่ 17 ธันวาคม 2562 เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟสูง High SEER ซึ่งสามารถต่อ internet ได้ และกรอง PM2.5 ได้ ของบริษัท ซัยโจเด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากบริษัท ซัยโจเด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด นําเสนอเทคโนโลยีของบริษัทฯ ที่ได้รับการขึ้นบัญชีนวัตกรรม ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นําเครื่องที่ขึ้นบัญชีฯ แล้ว ไปติดตั้งให้กับกรมสรรพากร สํานักงานใหญ่ จากการติดตั้งไปแล้ว การทํางานได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยประหยัดพลังงาน และจัดการฝุ่น PM2.5 พร้อมด้วย เครื่องฟอกอากาศที่สามารถกรอง PM2.5 และเชื่อมต่ออินเตอร์เน็นได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟสูง High Seer วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563 เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟสูง High Seer วันที่ 17 ธันวาคม 2562 เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟสูง High SEER ซึ่งสามารถต่อ internet ได้ และกรอง PM2.5 ได้ ของบริษัท ซัยโจเด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทย ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากบริษัท ซัยโจเด็นกิ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด นําเสนอเทคโนโลยีของบริษัทฯ ที่ได้รับการขึ้นบัญชีนวัตกรรม ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นําเครื่องที่ขึ้นบัญชีฯ แล้ว ไปติดตั้งให้กับกรมสรรพากร สํานักงานใหญ่ จากการติดตั้งไปแล้ว การทํางานได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยประหยัดพลังงาน และจัดการฝุ่น PM2.5 พร้อมด้วย เครื่องฟอกอากาศที่สามารถกรอง PM2.5 และเชื่อมต่ออินเตอร์เน็นได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33188
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ มีโอกาสในการรับเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้มากกว่าผู้ที่มีสุขภาพร่างกายปกติหรือไม่ ??
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563 ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ มีโอกาสในการรับเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้มากกว่าผู้ที่มีสุขภาพร่างกายปกติหรือไม่ ?? เป็นโรคหัวใจ มีโอกาสในการรับเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่าผู้ที่มีสุขภาพร่างกายปกติหรือไม่ ?? Q : ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ มีโอกาสในการรับเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้มากกว่าผู้ที่มีสุขภาพร่างกายปกติหรือไม่ ?? A : ไม่ใช่ ผู้ป่วยโรคหัวใจนั้นมีโอกาสติดเชื้อโควิด-19 ได้ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่หากติดเชื้อแล้ว มีโอกาสที่จะมีอาการป่วยรุนแรงได้มากกว่า
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ มีโอกาสในการรับเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้มากกว่าผู้ที่มีสุขภาพร่างกายปกติหรือไม่ ?? วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563 ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ มีโอกาสในการรับเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้มากกว่าผู้ที่มีสุขภาพร่างกายปกติหรือไม่ ?? เป็นโรคหัวใจ มีโอกาสในการรับเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่าผู้ที่มีสุขภาพร่างกายปกติหรือไม่ ?? Q : ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ มีโอกาสในการรับเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้มากกว่าผู้ที่มีสุขภาพร่างกายปกติหรือไม่ ?? A : ไม่ใช่ ผู้ป่วยโรคหัวใจนั้นมีโอกาสติดเชื้อโควิด-19 ได้ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่หากติดเชื้อแล้ว มีโอกาสที่จะมีอาการป่วยรุนแรงได้มากกว่า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30680
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายจ้าง เผย พอใจการยื่นแบบรายการรวดเร็ว ยอดรับแจ้งวันแรกทะลุ 12,482 ราย ต่างด้าว 38,107 ราย สระบุรีครองแชมป์
วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2560 นายจ้าง เผย พอใจการยื่นแบบรายการรวดเร็ว ยอดรับแจ้งวันแรกทะลุ 12,482 ราย ต่างด้าว 38,107 ราย สระบุรีครองแชมป์ นายจ้าง เผย พอใจการยื่นแบบรายการรวดเร็ว วันแรก (ข้อมูล 24 ก.ค. ณ เวลา 20.30น.) ยอดรับแจ้งนายจ้างรวม 12,482 ราย ต่างด้าว 38,107 ราย แยกเป็นนายจ้างยื่นที่ศูนย์ฯ 10,872 ราย ต่างด้าว 35,545 ราย ยื่นออนไลน์ 1,610 ราย ต่างด้าว 2,352 ราย พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว ณ สําเพ็ง 2 (เฟส 3 ) ถ.กัลปพฤกษ์ เขตบางแค ว่า การปฏิบัติงานในวันแรกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทุกศูนย์ฯ ทั้ง 100 แห่ง ยังไม่พบรายงานปัญหาหรืออุปสรรคแต่อย่างใด ทั้งนี้ ขอประชาสัมพันธ์ให้นายจ้างรีบมาดําเนินการแจ้งการใช้แรงงานต่างด้าวภายในระยะเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันนี้ – 7 ส.ค.2560 เพื่อหลีกเลี่ยงการดําเนินการในระยะกระชั้นชิด สําหรับภาพรวมในการปฏิบัติตาม พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. เป็นต้นมา ถือว่าพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เนื่องจากทุกคนต่างให้ความร่วมมือที่จะใช้แรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องตามกฎหมาย สังเกตได้จากการการดําเนินการซึ่งมียอดสะสมตั้งแต่ 23 มิ.ย. – ปัจจุบันการขอเปลี่ยนนายจ้าง 50,522 ราย การขอใบอนุญาตทํางาน 95,552 ราย การยื่นขอโควตา 390,272 ราย พบว่าแต่ละรายการมียอดที่สูงขึ้นกว่าช่วงเวลาปกติ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมว่านายจ้างต้องการให้มีการใช้แรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งในห้วงที่ผ่านมามีการนําเข้าแรงงานแบบ MOU แล้วกว่า 190,000 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยังได้เน้นย้ําในเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์จากจากเจ้าหน้าที่ว่าจะต้องไม่มีเด็ดขาด หากพบเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานเรียกรับผลประโยชน์จะถูกลงโทษทางวินัยสถานหนัก ซึ่งสามารถแจ้งเบาะแสผ่านทางรัฐบาล โดย คสช. มีศูนย์รับแจ้งการปราบปรามการทุจริตในหน่วยทหาร ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์กระทรวงแรงงาน และสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 รวมทั้งได้ยืนยันอีกครั้งว่า หลังจากเปิดการรับแจ้งครั้งนี้แล้ว จะไม่มีการเปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวอีกแน่นอน จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะ ยังได้ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานที่ศูนย์รับแจ้งฯ จุดที่ 2 อาคารสโมสรวังนันทอุทยาน กองทัพเรือ จุดที่ 3 โรงเรียนเสนาธิการทหารบก กรมยุทธศึกษาทหารบก และจุดที่ 4 บริเวณชั้นล่างอาคารกระทรวงแรงงาน ซึ่งมีนายจ้างมายื่นแบบขอจ้างแรงงาน รวมทั้งขอแบบฟอร์มกลับไปเขียนรายละเอียดเพิ่มอีกจํานวนหลายราย ต่อมา รมว.แรงงาน เป็นประธานการประชุมสรุปภาพรวมของศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวในตลอดวันที่ผ่านมา ณ ห้อง War Room ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน พบว่า (ข้อมูลในวันที่ 24 ก.ค. ณ เวลา 20.30 น.) มีนายจ้างที่มาลงทะเบียนทั้งหมด 12,482 ราย แรงงานต่างด้าวรวม 38,107 ราย แบ่งเป็นนายจ้างที่มีการยื่นคําขอลงทะเบียนที่ศูนย์ฯ 10,872 ราย และแรงงานต่างด้าวที่ขอลงทะเบียนที่ศูนย์ฯ 35,545 ราย ขณะที่ยอดลงทะเบียนออนไลน์ แบ่งเป็นนายจ้าง 1,610 ราย และแรงงานต่างด้าว 2,352 ราย ทั้งนี้ จํานวนแรงงานต่างด้าว ที่ขอลงทะเบียนออนไลน์ไม่สมบูรณ์ 210 ราย ได้แก่ เมียนมาสูงสุด รองลงมาคือ กัมพูชา และลาว ส่วนจังหวัดที่นายจ้างมายื่นแจ้งการทํางานมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ สระบุรี ชลบุรี บุรีรัมย์ กําแพงเพชร ตรัง ระยอง จันทบุรี ยโสธร กาญจนบุรี และพัทลุง จากการสอบถามผู้มาใช้บริการที่ศูนย์รับแจ้งฯ กระทรวงแรงงาน นางสาวปัณฑิตา บัวบุญ อายุ 44 ปี นายจ้างเจ้าของร้านกําไรเงิน ผู้ประกอบธุรกิจด้านเสื้อผ้า มีลูกจ้างในสถานประกอบกิจการที่เป็นต่างด้าวมาลงทะเบียนจํานวน 15 คน กล่าวว่า การมายื่นการทํางานของคนต่างด้าวในครั้งนี้มีความสะดวก รวดเร็ว ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาเพียง 15 นาที ซึ่งได้รับบริการที่ดีจากเจ้าหน้าที่ จึงอยากเชิญชวนนายจ้างรายอื่นๆ ให้รีบมายื่นให้ทันภายใน 15 วันตามที่กําหนด ถ้าต้องการความสะดวกสบายยิ่งขึ้นให้ดาวน์โหลดเอกสารขอรับคําขอที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน www.doe.go.th --------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/ 24 กรกฎาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายจ้าง เผย พอใจการยื่นแบบรายการรวดเร็ว ยอดรับแจ้งวันแรกทะลุ 12,482 ราย ต่างด้าว 38,107 ราย สระบุรีครองแชมป์ วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2560 นายจ้าง เผย พอใจการยื่นแบบรายการรวดเร็ว ยอดรับแจ้งวันแรกทะลุ 12,482 ราย ต่างด้าว 38,107 ราย สระบุรีครองแชมป์ นายจ้าง เผย พอใจการยื่นแบบรายการรวดเร็ว วันแรก (ข้อมูล 24 ก.ค. ณ เวลา 20.30น.) ยอดรับแจ้งนายจ้างรวม 12,482 ราย ต่างด้าว 38,107 ราย แยกเป็นนายจ้างยื่นที่ศูนย์ฯ 10,872 ราย ต่างด้าว 35,545 ราย ยื่นออนไลน์ 1,610 ราย ต่างด้าว 2,352 ราย พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าว ณ สําเพ็ง 2 (เฟส 3 ) ถ.กัลปพฤกษ์ เขตบางแค ว่า การปฏิบัติงานในวันแรกเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทุกศูนย์ฯ ทั้ง 100 แห่ง ยังไม่พบรายงานปัญหาหรืออุปสรรคแต่อย่างใด ทั้งนี้ ขอประชาสัมพันธ์ให้นายจ้างรีบมาดําเนินการแจ้งการใช้แรงงานต่างด้าวภายในระยะเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันนี้ – 7 ส.ค.2560 เพื่อหลีกเลี่ยงการดําเนินการในระยะกระชั้นชิด สําหรับภาพรวมในการปฏิบัติตาม พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย. เป็นต้นมา ถือว่าพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เนื่องจากทุกคนต่างให้ความร่วมมือที่จะใช้แรงงานต่างด้าวให้ถูกต้องตามกฎหมาย สังเกตได้จากการการดําเนินการซึ่งมียอดสะสมตั้งแต่ 23 มิ.ย. – ปัจจุบันการขอเปลี่ยนนายจ้าง 50,522 ราย การขอใบอนุญาตทํางาน 95,552 ราย การยื่นขอโควตา 390,272 ราย พบว่าแต่ละรายการมียอดที่สูงขึ้นกว่าช่วงเวลาปกติ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมว่านายจ้างต้องการให้มีการใช้แรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งในห้วงที่ผ่านมามีการนําเข้าแรงงานแบบ MOU แล้วกว่า 190,000 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยังได้เน้นย้ําในเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์จากจากเจ้าหน้าที่ว่าจะต้องไม่มีเด็ดขาด หากพบเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานเรียกรับผลประโยชน์จะถูกลงโทษทางวินัยสถานหนัก ซึ่งสามารถแจ้งเบาะแสผ่านทางรัฐบาล โดย คสช. มีศูนย์รับแจ้งการปราบปรามการทุจริตในหน่วยทหาร ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์กระทรวงแรงงาน และสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 รวมทั้งได้ยืนยันอีกครั้งว่า หลังจากเปิดการรับแจ้งครั้งนี้แล้ว จะไม่มีการเปิดจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวอีกแน่นอน จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และคณะ ยังได้ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานที่ศูนย์รับแจ้งฯ จุดที่ 2 อาคารสโมสรวังนันทอุทยาน กองทัพเรือ จุดที่ 3 โรงเรียนเสนาธิการทหารบก กรมยุทธศึกษาทหารบก และจุดที่ 4 บริเวณชั้นล่างอาคารกระทรวงแรงงาน ซึ่งมีนายจ้างมายื่นแบบขอจ้างแรงงาน รวมทั้งขอแบบฟอร์มกลับไปเขียนรายละเอียดเพิ่มอีกจํานวนหลายราย ต่อมา รมว.แรงงาน เป็นประธานการประชุมสรุปภาพรวมของศูนย์รับแจ้งการทํางานของคนต่างด้าวในตลอดวันที่ผ่านมา ณ ห้อง War Room ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน พบว่า (ข้อมูลในวันที่ 24 ก.ค. ณ เวลา 20.30 น.) มีนายจ้างที่มาลงทะเบียนทั้งหมด 12,482 ราย แรงงานต่างด้าวรวม 38,107 ราย แบ่งเป็นนายจ้างที่มีการยื่นคําขอลงทะเบียนที่ศูนย์ฯ 10,872 ราย และแรงงานต่างด้าวที่ขอลงทะเบียนที่ศูนย์ฯ 35,545 ราย ขณะที่ยอดลงทะเบียนออนไลน์ แบ่งเป็นนายจ้าง 1,610 ราย และแรงงานต่างด้าว 2,352 ราย ทั้งนี้ จํานวนแรงงานต่างด้าว ที่ขอลงทะเบียนออนไลน์ไม่สมบูรณ์ 210 ราย ได้แก่ เมียนมาสูงสุด รองลงมาคือ กัมพูชา และลาว ส่วนจังหวัดที่นายจ้างมายื่นแจ้งการทํางานมากที่สุด 10 อันดับแรก คือ สระบุรี ชลบุรี บุรีรัมย์ กําแพงเพชร ตรัง ระยอง จันทบุรี ยโสธร กาญจนบุรี และพัทลุง จากการสอบถามผู้มาใช้บริการที่ศูนย์รับแจ้งฯ กระทรวงแรงงาน นางสาวปัณฑิตา บัวบุญ อายุ 44 ปี นายจ้างเจ้าของร้านกําไรเงิน ผู้ประกอบธุรกิจด้านเสื้อผ้า มีลูกจ้างในสถานประกอบกิจการที่เป็นต่างด้าวมาลงทะเบียนจํานวน 15 คน กล่าวว่า การมายื่นการทํางานของคนต่างด้าวในครั้งนี้มีความสะดวก รวดเร็ว ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาเพียง 15 นาที ซึ่งได้รับบริการที่ดีจากเจ้าหน้าที่ จึงอยากเชิญชวนนายจ้างรายอื่นๆ ให้รีบมายื่นให้ทันภายใน 15 วันตามที่กําหนด ถ้าต้องการความสะดวกสบายยิ่งขึ้นให้ดาวน์โหลดเอกสารขอรับคําขอที่เว็บไซต์กรมการจัดหางาน www.doe.go.th --------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/ 24 กรกฎาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5434
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย. มั่นใจ เตรียมมาตรการพร้อม สำรองยารับสถานการณ์โควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563 อย. มั่นใจ เตรียมมาตรการพร้อม สํารองยารับสถานการณ์โควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข] อย. มั่นใจ เตรียมมาตรการพร้อม สํารองยารับสถานการณ์โควิด-19 อย. เผยมาตรการเตรียมความพร้อมและการสํารองยาที่จําเป็นสําหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 รวมทั้งกลุ่มยาโรคเรื้อรัง เพื่อป้องกันการขาดแคลนยาในสถานการณ์โรคระบาด และประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการด้านยา เพื่ออํานวยความสะดวกนําเข้ายาที่จําเป็น ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการ เตรียมความพร้อมสํารองยาในประเทศ นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาเปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคอุบัติใหม่โควิด-19 ทั่วโลก ทําให้มีการใช้ยาต้านไวรัสหลายขนานเป็นสูตรยาในการรักษา เช่น ยาฟาวิพิราเวียร์ ยารักษามาลาเรีย ยารักษาเอดส์ ยาปฏิชีวนะ ส่งผลให้ทั่วโลกมีความต้องการนําเข้ายาสําเร็จรูปและวัตถุดิบในการผลิตยาสูงขึ้น จนอาจเสี่ยงต่อการขาดแคลนยาที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ซึ่ง อย. เล็งเห็นถึงปัญหาที่ อาจตามมาจากการขาดแคลนยาดังกล่าว จึงได้อํานวยความสะดวกให้องค์การเภสัชกรรมนําเข้ายาฟาวิพิราเวียร์จากประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีนจํานวน 187,000 เม็ด และได้กระจายยาไปทั่วประเทศแล้ว รวมทั้งพร้อมจะนําเข้ายาอีกจํานวน 100,000 เม็ดสําหรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในเดือนเมษายน และ หากมีความจําเป็นต้องสํารองยาให้มากขึ้นอีกในอนาคต จะเร่งรัดประสานงานองค์การเภสัชกรรมต่อไปโดยเร็ว ในด้านการนําเข้ายาสําหรับรักษาโรคโควิด-19 รายการอื่น ๆ นั้น อย. ได้จัดให้มีช่องทางด่วนเพื่อเร่งรัดการขึ้นทะเบียนตํารับยาที่ใช้รักษาโรคโควิด-19 ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และยังให้ผู้ประกอบการแจ้งปริมาณยาคงคลังเป็นรายสัปดาห์ โดยหากพบมีปัญหาการนําเข้าหรือผลิตยาให้รีบแจ้ง อย. เพื่อ อย. จะเร่งแก้ไขปัญหาพร้อมอํานวยความสะดวกให้ทันต่อสถานการณ์ ซึ่ง ณ ขณะนี้ อย. ได้อํานวยความสะดวกโดยประสาน ไปยังกรมศุลกากรเพื่อขอยกเว้นภาษีการนําเข้ายาและการบริจาคยาที่ใช้รักษาโรคโควิด-19 ไว้ด้วยแล้ว ​​​​​​​เลขาธิการ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการในการเตรียมความพร้อมและสํารองยาจําเป็นอย่างเพียงพอสําหรับกรณีโรคโควิท-19 รวมทั้งยาที่ใช้รักษาโรคกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะยาในกลุ่มโรคเรื้อรัง เช่น ยาเบาหวาน ยาความดันโลหิตสูง ยาโรคหัวใจ ************************************* วันที่เผยแพร่ข่าว 9 เมษายน2563 ข่าวแจก 74 / ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อย. มั่นใจ เตรียมมาตรการพร้อม สำรองยารับสถานการณ์โควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข] วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563 อย. มั่นใจ เตรียมมาตรการพร้อม สํารองยารับสถานการณ์โควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข] อย. มั่นใจ เตรียมมาตรการพร้อม สํารองยารับสถานการณ์โควิด-19 อย. เผยมาตรการเตรียมความพร้อมและการสํารองยาที่จําเป็นสําหรับรักษาผู้ป่วยโควิด-19 รวมทั้งกลุ่มยาโรคเรื้อรัง เพื่อป้องกันการขาดแคลนยาในสถานการณ์โรคระบาด และประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการด้านยา เพื่ออํานวยความสะดวกนําเข้ายาที่จําเป็น ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการ เตรียมความพร้อมสํารองยาในประเทศ นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาเปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคอุบัติใหม่โควิด-19 ทั่วโลก ทําให้มีการใช้ยาต้านไวรัสหลายขนานเป็นสูตรยาในการรักษา เช่น ยาฟาวิพิราเวียร์ ยารักษามาลาเรีย ยารักษาเอดส์ ยาปฏิชีวนะ ส่งผลให้ทั่วโลกมีความต้องการนําเข้ายาสําเร็จรูปและวัตถุดิบในการผลิตยาสูงขึ้น จนอาจเสี่ยงต่อการขาดแคลนยาที่ใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 ซึ่ง อย. เล็งเห็นถึงปัญหาที่ อาจตามมาจากการขาดแคลนยาดังกล่าว จึงได้อํานวยความสะดวกให้องค์การเภสัชกรรมนําเข้ายาฟาวิพิราเวียร์จากประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีนจํานวน 187,000 เม็ด และได้กระจายยาไปทั่วประเทศแล้ว รวมทั้งพร้อมจะนําเข้ายาอีกจํานวน 100,000 เม็ดสําหรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในเดือนเมษายน และ หากมีความจําเป็นต้องสํารองยาให้มากขึ้นอีกในอนาคต จะเร่งรัดประสานงานองค์การเภสัชกรรมต่อไปโดยเร็ว ในด้านการนําเข้ายาสําหรับรักษาโรคโควิด-19 รายการอื่น ๆ นั้น อย. ได้จัดให้มีช่องทางด่วนเพื่อเร่งรัดการขึ้นทะเบียนตํารับยาที่ใช้รักษาโรคโควิด-19 ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และยังให้ผู้ประกอบการแจ้งปริมาณยาคงคลังเป็นรายสัปดาห์ โดยหากพบมีปัญหาการนําเข้าหรือผลิตยาให้รีบแจ้ง อย. เพื่อ อย. จะเร่งแก้ไขปัญหาพร้อมอํานวยความสะดวกให้ทันต่อสถานการณ์ ซึ่ง ณ ขณะนี้ อย. ได้อํานวยความสะดวกโดยประสาน ไปยังกรมศุลกากรเพื่อขอยกเว้นภาษีการนําเข้ายาและการบริจาคยาที่ใช้รักษาโรคโควิด-19 ไว้ด้วยแล้ว ​​​​​​​เลขาธิการ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการในการเตรียมความพร้อมและสํารองยาจําเป็นอย่างเพียงพอสําหรับกรณีโรคโควิท-19 รวมทั้งยาที่ใช้รักษาโรคกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะยาในกลุ่มโรคเรื้อรัง เช่น ยาเบาหวาน ยาความดันโลหิตสูง ยาโรคหัวใจ ************************************* วันที่เผยแพร่ข่าว 9 เมษายน2563 ข่าวแจก 74 / ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28740
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ ร่วมสานฝันทางการศึกษา เพื่ออนาคตให้นักเรียน-นักศึกษา ด้วยบริการเปิดบัญชีรับโอนเงิน กยศ. ผ่านช่องทางการเงินตามหลักอิสลาม
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2562 ไอแบงก์ ร่วมสานฝันทางการศึกษา เพื่ออนาคตให้นักเรียน-นักศึกษา ด้วยบริการเปิดบัญชีรับโอนเงิน กยศ. ผ่านช่องทางการเงินตามหลักอิสลาม ไอแบงก์เปิดบริการบัญชีเพื่อรับเงินโอนจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ผ่านช่องทางของธนาคารอิสลามฯ เปิดบัญชีแค่ “0”(ศูนย์) บาท จะได้รับสิทธิ์ ฟรีค่าธรรมเนียมทําบัตร ATM ใบแรก ปีแรก ปีต่อไปคิดค่าธรรมเนียม 150 บาท ต่อปี ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ร่วมสานฝันทางการศึกษาและติดอาวุธทางปัญญาเพื่ออนาคตที่ดีให้นักเรียน นักศึกษา ด้วยบริการเปิดบัญชีเพื่อรับเงินโอนจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ผ่านช่องทางของธนาคารอิสลามฯ โดยน้องๆ สามารถเปิดบัญชีกับไอแบงก์ เพื่อรับโอนเงินค่าครองชีพรายเดือน เปิดบัญชีแค่ “0”(ศูนย์) บาท จะได้รับสิทธิ์ ฟรีค่าธรรมเนียมทําบัตร ATM ใบแรก ปีแรก ปีต่อไปคิดค่าธรรมเนียม 150 บาท ต่อปี สามารถกดเงินที่ตู้ ATM ทุกธนาคารฟรี 4 ครั้งต่อเดือน (ฟรีค่าธรรมเนียมในเขตพื้นที่เดียวกัน) สามารเช็คยอดเงินโอนเข้าบัญชี และตรวจสอบยอดหนี้ ผ่านระบบ QR Code ได้ นอกจากนี้ ไอแบงก์ ยังเปิดให้บริการรับชําระหนี้ กยศ.ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร สามารถจ่ายได้ตลอดปี ไม่จํากัดจํานวนเงิน โดยชําระเงินได้ง่ายๆ เพียงนําบัตรประจําตัวประชาชนไปยื่นที่เคาน์เตอร์ไอแบงก์ทุกสาขาทั่วประเทศ ไอแบงก์ ได้ร่วมกับ กยศ.ตั้งแต่ปี 2553 เพื่อแก้ปัญหาการขาดความเชื่อมั่นว่า การกู้ยืม กยศ.ไม่เป็นไปตามหลักศาสนาอิสลาม ทําให้นักเรียน นักศึกษา ที่นับถือศาสนาอิสลามส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาได้ เนื่องจากขาดแคลนทุนทรัพย์ ไอแบงก์ จึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นช่องทางการเงินที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม และตระหนักเสมอว่าเพื่อความจําเริญต่อตัว นักเรียน นักศึกษามุสลิมเอง ถ้าสามารถใช้ธุรกรรมทางการเงินที่ถูกต้องตั้งแต่ชีวิตวัยเรียน ก็จะทําให้ชีวิตราบรื่นอยู่ในหลักการที่ศาสนาบัญญัติไว้ นักเรียน นักศึกษาที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ไอแบงก์ ทุกสาขา หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ iBank Call center 1302 และติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการ กยศ. ของธนาคารทางเว็บไซต์ www.ibank.co.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไอแบงก์ ร่วมสานฝันทางการศึกษา เพื่ออนาคตให้นักเรียน-นักศึกษา ด้วยบริการเปิดบัญชีรับโอนเงิน กยศ. ผ่านช่องทางการเงินตามหลักอิสลาม วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม 2562 ไอแบงก์ ร่วมสานฝันทางการศึกษา เพื่ออนาคตให้นักเรียน-นักศึกษา ด้วยบริการเปิดบัญชีรับโอนเงิน กยศ. ผ่านช่องทางการเงินตามหลักอิสลาม ไอแบงก์เปิดบริการบัญชีเพื่อรับเงินโอนจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ผ่านช่องทางของธนาคารอิสลามฯ เปิดบัญชีแค่ “0”(ศูนย์) บาท จะได้รับสิทธิ์ ฟรีค่าธรรมเนียมทําบัตร ATM ใบแรก ปีแรก ปีต่อไปคิดค่าธรรมเนียม 150 บาท ต่อปี ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ร่วมสานฝันทางการศึกษาและติดอาวุธทางปัญญาเพื่ออนาคตที่ดีให้นักเรียน นักศึกษา ด้วยบริการเปิดบัญชีเพื่อรับเงินโอนจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ผ่านช่องทางของธนาคารอิสลามฯ โดยน้องๆ สามารถเปิดบัญชีกับไอแบงก์ เพื่อรับโอนเงินค่าครองชีพรายเดือน เปิดบัญชีแค่ “0”(ศูนย์) บาท จะได้รับสิทธิ์ ฟรีค่าธรรมเนียมทําบัตร ATM ใบแรก ปีแรก ปีต่อไปคิดค่าธรรมเนียม 150 บาท ต่อปี สามารถกดเงินที่ตู้ ATM ทุกธนาคารฟรี 4 ครั้งต่อเดือน (ฟรีค่าธรรมเนียมในเขตพื้นที่เดียวกัน) สามารเช็คยอดเงินโอนเข้าบัญชี และตรวจสอบยอดหนี้ ผ่านระบบ QR Code ได้ นอกจากนี้ ไอแบงก์ ยังเปิดให้บริการรับชําระหนี้ กยศ.ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร สามารถจ่ายได้ตลอดปี ไม่จํากัดจํานวนเงิน โดยชําระเงินได้ง่ายๆ เพียงนําบัตรประจําตัวประชาชนไปยื่นที่เคาน์เตอร์ไอแบงก์ทุกสาขาทั่วประเทศ ไอแบงก์ ได้ร่วมกับ กยศ.ตั้งแต่ปี 2553 เพื่อแก้ปัญหาการขาดความเชื่อมั่นว่า การกู้ยืม กยศ.ไม่เป็นไปตามหลักศาสนาอิสลาม ทําให้นักเรียน นักศึกษา ที่นับถือศาสนาอิสลามส่วนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาได้ เนื่องจากขาดแคลนทุนทรัพย์ ไอแบงก์ จึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นช่องทางการเงินที่ถูกต้องตามหลักการอิสลาม และตระหนักเสมอว่าเพื่อความจําเริญต่อตัว นักเรียน นักศึกษามุสลิมเอง ถ้าสามารถใช้ธุรกรรมทางการเงินที่ถูกต้องตั้งแต่ชีวิตวัยเรียน ก็จะทําให้ชีวิตราบรื่นอยู่ในหลักการที่ศาสนาบัญญัติไว้ นักเรียน นักศึกษาที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ไอแบงก์ ทุกสาขา หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ iBank Call center 1302 และติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการ กยศ. ของธนาคารทางเว็บไซต์ www.ibank.co.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21954
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563 มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เรื่อง มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมกันเปิดเผยถึงมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 โดยเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ขยายวงกว้างขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของจํานวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 การสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว เช่น ห้างสรรพสินค้า การระงับการให้บริการของสถานบริการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และในอีกหลายพื้นที่ การงดกิจกรรม อาทิ การแข่งขันกีฬา งานบันเทิง งานอบรมสัมมนา การแสดงสินค้า เป็นต้น ซึ่งส่งผลกับการดําเนินชีวิตของประชาชน คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงการคลังจัดทํามาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไปได้ กระทรวงการคลังรับผิดชอบดูแลเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ตระหนัก รับทราบ และเข้าใจถึงความยากลําบากของประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วนและไม่นิ่งดูดาย จึงได้ออกมาตรการดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งประชาชนและผู้ประกอบการอย่างเร่งด่วน โดยยึดหลักการเดิม “ทันการณ์ ตรงเป้าหมาย และชั่วคราวตามจําเป็น” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน รวมถึงบรรเทาผลกระทบและเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ สามารถผ่านพ้นวิกฤตความยากลําบากไปได้ และเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เรื่อง มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.มาตรการดูแลและเยียวยา “แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม” ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ประกอบด้วย 8 มาตรการ ดังนี้ 1..1 มาตรการชดเชยรายได้แก่แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) เพื่อช่วยเหลือเยียวยาให้กับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดประกอบกิจการของสถานประกอบการที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีคนแออัด เบียดเสียด ง่ายต่อการแพร่เชื้อ เช่น สนามมวย สนามกีฬา ผับ สถานบันเทิง โรงมหรสพ นวดแผนโบราณ สปา ฟิตเนส สถานบริการอื่น ๆ เป็นต้น หรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ทั้งนี้ ไม่รวมผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไขการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสํานักงานประกันสังคม ไม่รวมข้าราชการและข้าราชการบํานาญ และไม่รวมเกษตรกร (กลุ่มเกษตรกรได้รับความช่วยเหลืออื่น ๆ จากรัฐบาลอยู่แล้ว) ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ เป้าหมายรวมทั้งสิ้น 3 ล้านคน โดยการสนับสนุนเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563) ผ่านการลงทะเบียนแสดงความจํานงตรวจสอบคุณสมบัติและการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น พร้อมเพย์ตามเลขบัตรประจําตัวประชาชน โอนเข้าบัญชีธนาคาร กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ส่วนวิธีการขอรับความช่วยเหลือจะเป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงการคลังกําหนด 1.2 โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดํารงชีวิตแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 โดยไม่จําเป็นต้องมีหลักประกัน โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 40,000 ล้านบาท (ธนาคารออมสิน 20,000 ล้านบาท และ ธ.ก.ส. 20,000 ล้านบาท) วงเงินต่อรายไม่เกิน 10,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.10 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 2 ปี 6 เดือน ปลอดชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนรับคําขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 1.3 โครงการสินเชื่อพิเศษเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดํารงชีวิตแก่ประชาชนที่มีรายได้ประจํา โดยมีหลักประกัน โดยธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี รับคําขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 1.4 โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําสําหรับสํานักงานธนานุเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของไวรัส COVID-19 เพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 โดยธนาคารออมสินสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ําวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในนามของสํานักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.10 ต่อปี และ สธค. คิดดอกเบี้ยจากประชาชนในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.125 ต่อเดือน ระยะเวลา 2 ปี 1.5 มาตรการเสริมความรู้ พิจารณาดําเนินการจัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะ เสริมอาชีพ เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 หรือผู้ที่สนใจ พร้อมทั้งจัดทํากิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) 1.6 มาตรการเลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม 2563 เพื่อบรรเทาภาระให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น 1.7 มาตรการเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ โดยเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพจากเดิมตามจ่ายจริงไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับการหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันชีวิตและเงินฝากประเภทสงเคราะห์ชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีภาษี 2563 เป็นต้นไป เพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นและมีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพลดลง และรัฐสามารถนํารายจ่ายด้านสาธารณสุขที่ลดลงจากการทําประกันสุขภาพของประชาชนไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั้งในด้านสาธารณสุขและด้านอื่น ๆ ได้มากขึ้น 1.8 มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับค่าตอบแทนในการเสี่ยงภัยของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับ (1) ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยในการเฝ้าระวัง สอบสวน ป้องกัน ควบคุม และรักษาผู้ป่วยจากไวรัส COVID-19 (2) ค่าตอบแทนบุคคลที่มิใช่ข้าราชการหรือข้าราชการที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการให้คําปรึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษี 2563 เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ไม่มีภาระภาษีสําหรับค่าตอบแทนพิเศษจากการปฏิบัติงานดังกล่าวและมีขวัญกําลังใจในการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น 2. มาตรการดูแลและเยียวยา “ผู้ประกอบการ” ประกอบด้วย 7 มาตรการ ดังนี้ 2.1 โครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดําเนินธุรกิจและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 ได้แก่ ธุรกิจทัวร์ ธุรกิจสปา ธุรกิจขนส่งที่เกี่ยวเนื่อง (รถทัวร์ รถบัส รถตู้ รถแท็กซี่ เรือนําเที่ยว รถเช่า) บริษัทนําเที่ยว โรงแรม ห้องพัก และร้านอาหาร โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 สําหรับ 2 ปีแรก ระยะเวลาการกู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 5 ปี รับคําขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 สําหรับมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ภายใต้มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัส COVID -19 ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงทางอ้อม ระยะที่ 1 นั้น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินโครงการ คณะรัฐมนตรีจึงได้มอบหมายให้ธนาคารออมสินเป็นผู้นําหลักในการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว เพื่อประคองให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดในภาวะเช่นนี้ 2.2 มาตรการเลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยเลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนี้ (1) รอบระยะเวลาบัญชีปี 2562 (ภ.ง.ด. 50) สําหรับกรณีที่จะต้องยื่นรายการชําระภาษีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2563 ออกไปเป็นภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 (2) รอบระยะเวลาบัญชีปี 2563 (ภ.ง.ด. 51) สําหรับกรณีที่จะต้องยื่นรายการชําระภาษีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 29 กันยายน 2563 ออกไปเป็นภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 เพื่อให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นจากการเลื่อนชําระภาษีตาม ภ.ง.ด. 50 ประมาณ 120,000 ล้านบาท และจากการเลื่อนชําระภาษีตาม ภ.ง.ด. 51 ประมาณ 30,000 ล้านบาท 2.3 มาตรการเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นําส่ง และชําระภาษี โดยเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นําส่ง และชําระภาษีทุกประเภทที่กรมสรรพากรจัดเก็บ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นต้น ให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้แก่ (1) ผู้ประกอบการที่ต้องปิดสถานประกอบการตามคําสั่งของทางราชการ เช่น กระทรวงมหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น (2) ผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เฉพาะที่มีเหตุอันสมควรให้เลื่อนเวลาออกไป โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาเป็นรายกรณี เพื่อเป็นการลดภาระในการจัดทําเอกสารและการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว 2.4 มาตรการขยายเวลาการชําระภาษีให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสินค้าน้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน เพื่อบรรเทาภาระภาษีแก่ผู้เสียภาษีที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากการแพร่ระบาดไวรัส COVID กรมสรรพสามิตให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามันจากเดิมยื่นขอชําระภาษีภายใน 10 วันเป็นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่นําสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บน โดยให้ดําเนินการดังกล่าวเป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563) 2.5 มาตรการขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับชําระภาษีของการประกอบกิจการสถานบริการที่จัดเป็นบริการตามบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อบรรเทาภาระภาษีแก่ผู้ประกอบกิจการสถานบันเทิงที่ได้รับผลกระทบจากการให้ปิดสถานที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดที่มีคนแออัด เบียดเสียด ง่ายต่อการแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 เป็นการชั่วคราว กรมสรรพสามิตขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับชําระภาษีของการประกอบกิจการสถานบริการ ได้แก่ ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ โดยรวมถึงสถานที่ที่จําหน่ายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยจัดให้มีการแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทําการหลังเวลา 24.00 นาฬิกา และสถานอาบน้ําหรืออบตัว และนวด ตลอดจนกิจการเสี่ยงโชคประเภทสนามแข่งม้า และสนามกอล์ฟ ให้ยื่นแบบรายการและชําระภาษีภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 2.6 มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าของที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดยยกเว้นอากรขาเข้าของที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตามรายการที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกําหนด ตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลังมีผลบังคับใช้ จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงการรักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้มากขึ้น 2.7 มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของเจ้าหนี้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด เช่าซื้อ ลีสซิ่ง และเจ้าหนี้อื่นที่ทําสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกับสถาบันการเงิน) 2.7.1 (1) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ลูกหนี้สําหรับเงินได้ที่ได้จากการปลดหนี้ของเจ้าหนี้ (2) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้และเจ้าหนี้สําหรับเงินได้ที่ได้จากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทําตราสารอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (3) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้สําหรับเงินได้ที่ได้จากการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่จํานองเป็นประกันหนี้ของเจ้าหนี้ให้แก่ผู้อื่นซึ่งมิใช่เจ้าหนี้และการกระทําตราสารอันเนื่องมาจากการโอนอสังหาริมทรัพย์ ดังกล่าว โดยลูกหนี้ต้องนําเงินนั้นไปชําระหนี้แก่เจ้าหนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชําระหรือมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันหนี้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกําหนด และ (4) ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจําหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้สําหรับหนี้ที่เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ โดยไม่ต้องดําเนินการตามหลักเกณฑ์ปกติ ทั้งนี้ สําหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 2.7.2 ลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจํานองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และห้องชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สําหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามกรณีที่กําหนด ซึ่งกรมที่ดินจะดําเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังกล่าว ร้อยละ 0.01 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ การดําเนินการข้างต้นเป็นการขยายหลักเกณฑ์จากมาตรการภาษีอากรและค่าธรรมเนียมภายใต้มาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 เพื่อให้ครอบคลุมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สําหรับลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและสามารถฟื้นฟูฐานะและกิจการแล้วประกอบอาชีพและธุรกิจต่อไปได้ และเจ้าหนี้และระบบสถาบันการเงินในภาพรวมมีต้นทุนลดลงและสามารถให้สินเชื่อแก่ประชาชนและธุรกิจต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ กระทรวงการคลังขอให้คํามั่นว่าจะดูแลประชาชนทุกคนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังโดยมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนาต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 จะช่วยบรรเทาความยากลําบากของประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 โดยกระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมเพื่อดูแลเศรษฐกิจไทยอย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม o มาตรการข้อ 1.1 1.5 โทร 0 2273 9020 ต่อ 3558 o มาตรการข้อ 1.2 – 1.4 และ 2.1 โทร 0 2273 9020 ต่อ 3235 o มาตรการข้อ 1.6 – 1.8 และ 2.2 2.3 2.6 2.7 โทร 0 2273 9020 ต่อ 3697 3529 3512 o มาตรการข้อ 2.4 – 2.5 โทร 0 2241 5600
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563 มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เรื่อง มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมกันเปิดเผยถึงมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 โดยเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ขยายวงกว้างขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของจํานวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 การสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว เช่น ห้างสรรพสินค้า การระงับการให้บริการของสถานบริการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และในอีกหลายพื้นที่ การงดกิจกรรม อาทิ การแข่งขันกีฬา งานบันเทิง งานอบรมสัมมนา การแสดงสินค้า เป็นต้น ซึ่งส่งผลกับการดําเนินชีวิตของประชาชน คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงการคลังจัดทํามาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไปได้ กระทรวงการคลังรับผิดชอบดูแลเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ตระหนัก รับทราบ และเข้าใจถึงความยากลําบากของประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วนและไม่นิ่งดูดาย จึงได้ออกมาตรการดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งประชาชนและผู้ประกอบการอย่างเร่งด่วน โดยยึดหลักการเดิม “ทันการณ์ ตรงเป้าหมาย และชั่วคราวตามจําเป็น” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน รวมถึงบรรเทาผลกระทบและเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ สามารถผ่านพ้นวิกฤตความยากลําบากไปได้ และเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เรื่อง มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.มาตรการดูแลและเยียวยา “แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม” ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ประกอบด้วย 8 มาตรการ ดังนี้ 1..1 มาตรการชดเชยรายได้แก่แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคมหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) เพื่อช่วยเหลือเยียวยาให้กับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดประกอบกิจการของสถานประกอบการที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีคนแออัด เบียดเสียด ง่ายต่อการแพร่เชื้อ เช่น สนามมวย สนามกีฬา ผับ สถานบันเทิง โรงมหรสพ นวดแผนโบราณ สปา ฟิตเนส สถานบริการอื่น ๆ เป็นต้น หรือผู้ได้รับผลกระทบอื่น ๆ ทั้งนี้ ไม่รวมผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไขการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสํานักงานประกันสังคม ไม่รวมข้าราชการและข้าราชการบํานาญ และไม่รวมเกษตรกร (กลุ่มเกษตรกรได้รับความช่วยเหลืออื่น ๆ จากรัฐบาลอยู่แล้ว) ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ เป้าหมายรวมทั้งสิ้น 3 ล้านคน โดยการสนับสนุนเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563) ผ่านการลงทะเบียนแสดงความจํานงตรวจสอบคุณสมบัติและการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น พร้อมเพย์ตามเลขบัตรประจําตัวประชาชน โอนเข้าบัญชีธนาคาร กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ส่วนวิธีการขอรับความช่วยเหลือจะเป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงการคลังกําหนด 1.2 โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดํารงชีวิตแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 โดยไม่จําเป็นต้องมีหลักประกัน โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 40,000 ล้านบาท (ธนาคารออมสิน 20,000 ล้านบาท และ ธ.ก.ส. 20,000 ล้านบาท) วงเงินต่อรายไม่เกิน 10,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.10 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 2 ปี 6 เดือน ปลอดชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนรับคําขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 1.3 โครงการสินเชื่อพิเศษเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดํารงชีวิตแก่ประชาชนที่มีรายได้ประจํา โดยมีหลักประกัน โดยธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี รับคําขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 1.4 โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําสําหรับสํานักงานธนานุเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของไวรัส COVID-19 เพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 โดยธนาคารออมสินสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ําวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในนามของสํานักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.10 ต่อปี และ สธค. คิดดอกเบี้ยจากประชาชนในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.125 ต่อเดือน ระยะเวลา 2 ปี 1.5 มาตรการเสริมความรู้ พิจารณาดําเนินการจัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะ เสริมอาชีพ เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 หรือผู้ที่สนใจ พร้อมทั้งจัดทํากิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) 1.6 มาตรการเลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม 2563 เพื่อบรรเทาภาระให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น 1.7 มาตรการเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ โดยเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพจากเดิมตามจ่ายจริงไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับการหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันชีวิตและเงินฝากประเภทสงเคราะห์ชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีภาษี 2563 เป็นต้นไป เพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นและมีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพลดลง และรัฐสามารถนํารายจ่ายด้านสาธารณสุขที่ลดลงจากการทําประกันสุขภาพของประชาชนไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อยทั้งในด้านสาธารณสุขและด้านอื่น ๆ ได้มากขึ้น 1.8 มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับค่าตอบแทนในการเสี่ยงภัยของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับ (1) ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยในการเฝ้าระวัง สอบสวน ป้องกัน ควบคุม และรักษาผู้ป่วยจากไวรัส COVID-19 (2) ค่าตอบแทนบุคคลที่มิใช่ข้าราชการหรือข้าราชการที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการให้คําปรึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษี 2563 เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ไม่มีภาระภาษีสําหรับค่าตอบแทนพิเศษจากการปฏิบัติงานดังกล่าวและมีขวัญกําลังใจในการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น 2. มาตรการดูแลและเยียวยา “ผู้ประกอบการ” ประกอบด้วย 7 มาตรการ ดังนี้ 2.1 โครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดําเนินธุรกิจและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส COVID-19 ได้แก่ ธุรกิจทัวร์ ธุรกิจสปา ธุรกิจขนส่งที่เกี่ยวเนื่อง (รถทัวร์ รถบัส รถตู้ รถแท็กซี่ เรือนําเที่ยว รถเช่า) บริษัทนําเที่ยว โรงแรม ห้องพัก และร้านอาหาร โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 สําหรับ 2 ปีแรก ระยะเวลาการกู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 5 ปี รับคําขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563 สําหรับมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ภายใต้มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัส COVID -19 ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงทางอ้อม ระยะที่ 1 นั้น เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินโครงการ คณะรัฐมนตรีจึงได้มอบหมายให้ธนาคารออมสินเป็นผู้นําหลักในการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว เพื่อประคองให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดในภาวะเช่นนี้ 2.2 มาตรการเลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยเลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนี้ (1) รอบระยะเวลาบัญชีปี 2562 (ภ.ง.ด. 50) สําหรับกรณีที่จะต้องยื่นรายการชําระภาษีตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 30 สิงหาคม 2563 ออกไปเป็นภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 (2) รอบระยะเวลาบัญชีปี 2563 (ภ.ง.ด. 51) สําหรับกรณีที่จะต้องยื่นรายการชําระภาษีตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ถึงวันที่ 29 กันยายน 2563 ออกไปเป็นภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 เพื่อให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นจากการเลื่อนชําระภาษีตาม ภ.ง.ด. 50 ประมาณ 120,000 ล้านบาท และจากการเลื่อนชําระภาษีตาม ภ.ง.ด. 51 ประมาณ 30,000 ล้านบาท 2.3 มาตรการเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นําส่ง และชําระภาษี โดยเลื่อนเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ นําส่ง และชําระภาษีทุกประเภทที่กรมสรรพากรจัดเก็บ เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นต้น ให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้แก่ (1) ผู้ประกอบการที่ต้องปิดสถานประกอบการตามคําสั่งของทางราชการ เช่น กระทรวงมหาดไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น (2) ผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 เฉพาะที่มีเหตุอันสมควรให้เลื่อนเวลาออกไป โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาเป็นรายกรณี เพื่อเป็นการลดภาระในการจัดทําเอกสารและการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว 2.4 มาตรการขยายเวลาการชําระภาษีให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมสินค้าน้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน เพื่อบรรเทาภาระภาษีแก่ผู้เสียภาษีที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากการแพร่ระบาดไวรัส COVID กรมสรรพสามิตให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามันจากเดิมยื่นขอชําระภาษีภายใน 10 วันเป็นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่นําสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บน โดยให้ดําเนินการดังกล่าวเป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนายน 2563) 2.5 มาตรการขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับชําระภาษีของการประกอบกิจการสถานบริการที่จัดเป็นบริการตามบัญชีพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อบรรเทาภาระภาษีแก่ผู้ประกอบกิจการสถานบันเทิงที่ได้รับผลกระทบจากการให้ปิดสถานที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดที่มีคนแออัด เบียดเสียด ง่ายต่อการแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 เป็นการชั่วคราว กรมสรรพสามิตขยายเวลาการยื่นแบบรายการภาษีพร้อมกับชําระภาษีของการประกอบกิจการสถานบริการ ได้แก่ ไนต์คลับ ดิสโกเธค ผับ บาร์ ค็อกเทลเลาจน์ โดยรวมถึงสถานที่ที่จําหน่ายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยจัดให้มีการแสดงดนตรีหรือการแสดงอื่นใดเพื่อการบันเทิง ซึ่งปิดทําการหลังเวลา 24.00 นาฬิกา และสถานอาบน้ําหรืออบตัว และนวด ตลอดจนกิจการเสี่ยงโชคประเภทสนามแข่งม้า และสนามกอล์ฟ ให้ยื่นแบบรายการและชําระภาษีภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 2.6 มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าของที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา (COVID-19) โดยยกเว้นอากรขาเข้าของที่ใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรค ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตามรายการที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกําหนด ตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลังมีผลบังคับใช้ จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงการรักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้มากขึ้น 2.7 มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของเจ้าหนี้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด เช่าซื้อ ลีสซิ่ง และเจ้าหนี้อื่นที่ทําสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ร่วมกับสถาบันการเงิน) 2.7.1 (1) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ลูกหนี้สําหรับเงินได้ที่ได้จากการปลดหนี้ของเจ้าหนี้ (2) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้และเจ้าหนี้สําหรับเงินได้ที่ได้จากการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้าหรือการให้บริการ และการกระทําตราสารอันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (3) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้สําหรับเงินได้ที่ได้จากการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่จํานองเป็นประกันหนี้ของเจ้าหนี้ให้แก่ผู้อื่นซึ่งมิใช่เจ้าหนี้และการกระทําตราสารอันเนื่องมาจากการโอนอสังหาริมทรัพย์ ดังกล่าว โดยลูกหนี้ต้องนําเงินนั้นไปชําระหนี้แก่เจ้าหนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชําระหรือมีภาระผูกพันตามสัญญาประกันหนี้ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกําหนด และ (4) ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การจําหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้สําหรับหนี้ที่เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ โดยไม่ต้องดําเนินการตามหลักเกณฑ์ปกติ ทั้งนี้ สําหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 2.7.2 ลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจํานองอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน และห้องชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด สําหรับกรณีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามกรณีที่กําหนด ซึ่งกรมที่ดินจะดําเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยให้เรียกเก็บค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมดังกล่าว ร้อยละ 0.01 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ การดําเนินการข้างต้นเป็นการขยายหลักเกณฑ์จากมาตรการภาษีอากรและค่าธรรมเนียมภายใต้มาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 เพื่อให้ครอบคลุมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สําหรับลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่น ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและสามารถฟื้นฟูฐานะและกิจการแล้วประกอบอาชีพและธุรกิจต่อไปได้ และเจ้าหนี้และระบบสถาบันการเงินในภาพรวมมีต้นทุนลดลงและสามารถให้สินเชื่อแก่ประชาชนและธุรกิจต่าง ๆ เพิ่มเติมได้ กระทรวงการคลังขอให้คํามั่นว่าจะดูแลประชาชนทุกคนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังโดยมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนาต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 จะช่วยบรรเทาความยากลําบากของประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 โดยกระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะออกมาตรการที่เหมาะสมเพื่อดูแลเศรษฐกิจไทยอย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม o มาตรการข้อ 1.1 1.5 โทร 0 2273 9020 ต่อ 3558 o มาตรการข้อ 1.2 – 1.4 และ 2.1 โทร 0 2273 9020 ต่อ 3235 o มาตรการข้อ 1.6 – 1.8 และ 2.2 2.3 2.6 2.7 โทร 0 2273 9020 ต่อ 3697 3529 3512 o มาตรการข้อ 2.4 – 2.5 โทร 0 2241 5600
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27755
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กระทรวงศึกษาธิการ" Ministry of Education In Our Time
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2559 "กระทรวงศึกษาธิการ" Ministry of Education In Our Time ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว "Panadda Diskul" ในหัวข้อ 'กระทรวงศึกษาธิการ' Ministry of Education In Our Time โดยมีใจความ ดังนี้ "พบปะสนทนากับนักวิชาการ ครูอาจารย์ในยามนี้ ถือเป็นกําไรชีวิตแก่ข้าพเจ้าในบั้นปลายชีวิตราชการเพราะท่านผู้อํานวยการสถานศึกษาทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้พบ ตามจริงแล้วหากเราทุกคนจะไม่ลืม และจดจําไว้ในใจอยู่เสมอ ท่านคือ 'ครูใหญ่' หรือ 'อาจารย์ใหญ่' ที่เรากล่าวถึงท่านในอดีต ชื่อนี้จึงสื่อความหมายและมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ในการดํารงรักษาชีวิตประเทศชาติและประชาชนที่เราต้องจดจํา เป็นหน้าที่เกียรติยศและเสียสละเพื่ออนาคตของชาติ ที่เราทุกคนขอฝากความหวังไว้ โดยทุกท่านถือเป็น 'ต้นแบบ' และ 'ไอดอล' แก่ศิษย์ทุกคน ข้าพเจ้าได้เริ่มต้นเข้ามารับราชการในกระทรวงศึกษาธิการเมื่อ 3 วันที่ผ่านมาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเป็นอันมากจากเพื่อนข้าราชการทุกคน และเมื่อข้าพเจ้ามองย้อนกลับไปหลายปีก่อนเมื่อตนเองรับราชการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มีโอกาสปฏิบัติราชการร่วมกับส่วนราชการของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น สพฐ. มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาภาคเอกชน สถาบันอาชีวศึกษา โรงเรียนนานาชาติ องค์การระหว่างประเทศ ฯลฯ ต่างให้ความร่วมมือร่วมใจกับส่วนราชการในการมุ่งเสริมสร้างลูกหลานเยาวชนให้เป็นอนาคตของชาติอันแข็งแกร่งผู้ต้องช่วยกันดํารงรักษาและเชิดชูเกียรติยศของแผ่นดินไทยแทนบุพการีชนในวันนี้ ประการสําคัญในการดํารงรักษาประเทศชาติ ได้แก่ การช่วยกันเสริมสร้างแบบอย่างที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในแวดวงทางการศึกษาเช่น การที่ลูกหลานเยาวชนไทย มีความเคารพ เชื่อมั่น ศรัทธาในความเมตตากรุณาของครูอาจารย์ในอดีต อาทิ ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล รองศาสตราจารย์ ไพเราะ ตัณฑิกุล ท่านอาจารย์เสาวภาคย์ ประดิษฐพงษ์ คุณหญิงพวงรัตน์ วิเวกานนท์ ศาสตราจารย์ ไชยยศ เหมะรัชตะ เป็นต้น เราต้องช่วยกันดํารงรักษาเอกลักษณ์ของชาติว่าด้วยความเป็นไทยในการแสดงออกด้วยความสุขุมรอบคอบ มีความสง่างาม อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่หลงลืมตัว มีความสํารวมด้วยกิริยา วาจา ใจสําคัญยิ่ง คือ ความสัตย์ซื่อสุจริตที่กระทรวงศึกษาธิการถือเป็นกระทรวงเกียรติยศ กระทรวงพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีความไว้วางพระราชหฤทัยอย่างที่สุด และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดํารัสในครั้งหนึ่งว่า "กระทรวงศึกษาธิการมีหน้าที่สร้างบ้านสร้างเมือง มีภาระหน้าที่สําคัญใหญ่หลวงในการเสริมสร้างลูกหลานเยาวชนให้เป็นคนดีมีความรู้ความสามารถ เพื่อให้ลูกหลานเยาวชนไปพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรือง มีความร่มเย็นเป็นสุข เป็นทรัพยากรบุคคลของแผ่นดิน" ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นศรัทธาในความดีงามของแผ่นดินไทยผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบย่อมเป็นศักดิ์เป็นศรีเกิดขึ้นแก่ตน ครอบครัว องค์กร และประเทศชาติ ผู้ปฏิบัติมิชอบ ทุจริตคดโกง ขาดความซื่อตรง คิดไม่ดีต่อแผ่นดิน ย่อมประสบความไม่ดีที่เป็นความชั่วร้ายเกิดขึ้นแก่ตน คําสั่งสอนอบรมประการนี้ บรรพชนมีให้แก่ลูกหลานไทยมาช้านาน มากและสามารถดํารงรักษาประเทศนี้มาได้ตราบจนทุกวันนี้ ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจในเกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งกระทรวงศึกษาธิการ ขอพี่น้องเพื่อนข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการได้ช่วยกันดํารงยึดมั่นความรู้รักสามัคคี หลักคําสอนพระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาหัวใจของประเทศ คือ ลูกหลานเยาวชนเป็นสําคัญ สรรสร้างคนดีมีวิชา ซื่อสัตย์สุจริต สืบสานพระราชปณิธาน เดินตามรอยพระยุคลบาท องค์พระผู้ทรงเป็นดวงใจไทยทั้งชาติสืบไป /ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล พิพิธภัณฑ์และหอสมุดสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ วังวรดิศ 24 ธ.ค. 59
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กระทรวงศึกษาธิการ" Ministry of Education In Our Time วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม 2559 "กระทรวงศึกษาธิการ" Ministry of Education In Our Time ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว "Panadda Diskul" ในหัวข้อ 'กระทรวงศึกษาธิการ' Ministry of Education In Our Time โดยมีใจความ ดังนี้ "พบปะสนทนากับนักวิชาการ ครูอาจารย์ในยามนี้ ถือเป็นกําไรชีวิตแก่ข้าพเจ้าในบั้นปลายชีวิตราชการเพราะท่านผู้อํานวยการสถานศึกษาทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้พบ ตามจริงแล้วหากเราทุกคนจะไม่ลืม และจดจําไว้ในใจอยู่เสมอ ท่านคือ 'ครูใหญ่' หรือ 'อาจารย์ใหญ่' ที่เรากล่าวถึงท่านในอดีต ชื่อนี้จึงสื่อความหมายและมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่ในการดํารงรักษาชีวิตประเทศชาติและประชาชนที่เราต้องจดจํา เป็นหน้าที่เกียรติยศและเสียสละเพื่ออนาคตของชาติ ที่เราทุกคนขอฝากความหวังไว้ โดยทุกท่านถือเป็น 'ต้นแบบ' และ 'ไอดอล' แก่ศิษย์ทุกคน ข้าพเจ้าได้เริ่มต้นเข้ามารับราชการในกระทรวงศึกษาธิการเมื่อ 3 วันที่ผ่านมาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างเป็นอันมากจากเพื่อนข้าราชการทุกคน และเมื่อข้าพเจ้ามองย้อนกลับไปหลายปีก่อนเมื่อตนเองรับราชการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ได้มีโอกาสปฏิบัติราชการร่วมกับส่วนราชการของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น สพฐ. มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาภาคเอกชน สถาบันอาชีวศึกษา โรงเรียนนานาชาติ องค์การระหว่างประเทศ ฯลฯ ต่างให้ความร่วมมือร่วมใจกับส่วนราชการในการมุ่งเสริมสร้างลูกหลานเยาวชนให้เป็นอนาคตของชาติอันแข็งแกร่งผู้ต้องช่วยกันดํารงรักษาและเชิดชูเกียรติยศของแผ่นดินไทยแทนบุพการีชนในวันนี้ ประการสําคัญในการดํารงรักษาประเทศชาติ ได้แก่ การช่วยกันเสริมสร้างแบบอย่างที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นในแวดวงทางการศึกษาเช่น การที่ลูกหลานเยาวชนไทย มีความเคารพ เชื่อมั่น ศรัทธาในความเมตตากรุณาของครูอาจารย์ในอดีต อาทิ ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล รองศาสตราจารย์ ไพเราะ ตัณฑิกุล ท่านอาจารย์เสาวภาคย์ ประดิษฐพงษ์ คุณหญิงพวงรัตน์ วิเวกานนท์ ศาสตราจารย์ ไชยยศ เหมะรัชตะ เป็นต้น เราต้องช่วยกันดํารงรักษาเอกลักษณ์ของชาติว่าด้วยความเป็นไทยในการแสดงออกด้วยความสุขุมรอบคอบ มีความสง่างาม อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่หลงลืมตัว มีความสํารวมด้วยกิริยา วาจา ใจสําคัญยิ่ง คือ ความสัตย์ซื่อสุจริตที่กระทรวงศึกษาธิการถือเป็นกระทรวงเกียรติยศ กระทรวงพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงมีความไว้วางพระราชหฤทัยอย่างที่สุด และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดํารัสในครั้งหนึ่งว่า "กระทรวงศึกษาธิการมีหน้าที่สร้างบ้านสร้างเมือง มีภาระหน้าที่สําคัญใหญ่หลวงในการเสริมสร้างลูกหลานเยาวชนให้เป็นคนดีมีความรู้ความสามารถ เพื่อให้ลูกหลานเยาวชนไปพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรือง มีความร่มเย็นเป็นสุข เป็นทรัพยากรบุคคลของแผ่นดิน" ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นศรัทธาในความดีงามของแผ่นดินไทยผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบย่อมเป็นศักดิ์เป็นศรีเกิดขึ้นแก่ตน ครอบครัว องค์กร และประเทศชาติ ผู้ปฏิบัติมิชอบ ทุจริตคดโกง ขาดความซื่อตรง คิดไม่ดีต่อแผ่นดิน ย่อมประสบความไม่ดีที่เป็นความชั่วร้ายเกิดขึ้นแก่ตน คําสั่งสอนอบรมประการนี้ บรรพชนมีให้แก่ลูกหลานไทยมาช้านาน มากและสามารถดํารงรักษาประเทศนี้มาได้ตราบจนทุกวันนี้ ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจในเกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งกระทรวงศึกษาธิการ ขอพี่น้องเพื่อนข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการได้ช่วยกันดํารงยึดมั่นความรู้รักสามัคคี หลักคําสอนพระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาหัวใจของประเทศ คือ ลูกหลานเยาวชนเป็นสําคัญ สรรสร้างคนดีมีวิชา ซื่อสัตย์สุจริต สืบสานพระราชปณิธาน เดินตามรอยพระยุคลบาท องค์พระผู้ทรงเป็นดวงใจไทยทั้งชาติสืบไป /ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล พิพิธภัณฑ์และหอสมุดสมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ วังวรดิศ 24 ธ.ค. 59
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1106
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดงานวันคุ้มครองโลก 2560 (Earth Day) ภายใต้แนวคิด
วันเสาร์ที่ 22 เมษายน 2560 ทส.ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดงานวันคุ้มครองโลก 2560 (Earth Day) ภายใต้แนวคิด ทส.จัดงานวันคุ้มครองโลก ปี 2560 ภายใต้แนวคิด "ผนึกพลังไทยทั้งชาติ ลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน" เพื่อเสริมสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสําคัญของวันคุ้มครองโลก (Earth Day) วันนี้ 21 เมษายน 2560 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สํานักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ร่วมจัดงานวันคุ้มครองโลก ปี 2560 ภายใต้แนวคิด "ผนึกพลังไทยทั้งชาติ ลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน" เพื่อเสริมสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสําคัญของวันคุ้มครองโลก (Earth Day) ซึ่งจะนํามาซึ่งการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการลดก๊าซเรือนกระจก โอกาสนี้ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานพร้อมทั้งแสดงเจตนารมณ์เชิญชวนคนไทย มีส่วนร่วมลดโลกร้อน ซึ่งแนวทางในการดําเนินงานให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางบนฐานการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างสมดุลและยั่งยืนนั้น ทั้งนี้ ในการดําเนินงานให้ทุกภาคส่วนน้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นหลักและแนวทางในการดําเนินการลดก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนร่วมสนับสนุนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน อีกทั้งส่งเสริมส่งเสริมให้มีการปลูกป่าในเมืองและเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ประเทศไทยจะมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20 ถึง 25 ภายในปี พ.ศ. 2573 สําหรับกิจกรรมภายในงานมีดังนี้ 1. ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ เดินรณรงค์ลดโลกร้อน โดยเริ่มต้นจากด้านหน้าอาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถึง กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2. การนําเสนอบทเพลงเทิดพระเกียรติ "พ่อแห่งแผ่นดิน” เพลง "ใต้เงาไม้แห่งแผ่นดิน” "แม่แห่งแผ่นดิน” เพลง "สายน้ําของแผ่นดิน” 3. การมอบรางวัลชนะเลิศการประกวดเรียงความในหัวข้อ "คนไทยจะช่วยกันลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อนได้อย่างไร” 4. การประกวดภาพถ่ายในหัวข้อ "มหันตภัยโลกร้อนกับวิถีพอเพียง” ให้แก่เด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษา 5. การแสดงเจตนารมณ์และบทบาทในการมีส่วนร่วมลดโลกร้อนจากผู้แทนภาคเอกชน เมือง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดงานวันคุ้มครองโลก 2560 (Earth Day) ภายใต้แนวคิด วันเสาร์ที่ 22 เมษายน 2560 ทส.ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดงานวันคุ้มครองโลก 2560 (Earth Day) ภายใต้แนวคิด ทส.จัดงานวันคุ้มครองโลก ปี 2560 ภายใต้แนวคิด "ผนึกพลังไทยทั้งชาติ ลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน" เพื่อเสริมสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสําคัญของวันคุ้มครองโลก (Earth Day) วันนี้ 21 เมษายน 2560 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สํานักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ร่วมจัดงานวันคุ้มครองโลก ปี 2560 ภายใต้แนวคิด "ผนึกพลังไทยทั้งชาติ ลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน" เพื่อเสริมสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสําคัญของวันคุ้มครองโลก (Earth Day) ซึ่งจะนํามาซึ่งการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการลดก๊าซเรือนกระจก โอกาสนี้ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานพร้อมทั้งแสดงเจตนารมณ์เชิญชวนคนไทย มีส่วนร่วมลดโลกร้อน ซึ่งแนวทางในการดําเนินงานให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางบนฐานการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างสมดุลและยั่งยืนนั้น ทั้งนี้ ในการดําเนินงานให้ทุกภาคส่วนน้อมนําปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นหลักและแนวทางในการดําเนินการลดก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนร่วมสนับสนุนการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน อีกทั้งส่งเสริมส่งเสริมให้มีการปลูกป่าในเมืองและเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ประเทศไทยจะมีส่วนร่วมลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20 ถึง 25 ภายในปี พ.ศ. 2573 สําหรับกิจกรรมภายในงานมีดังนี้ 1. ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงฯ เดินรณรงค์ลดโลกร้อน โดยเริ่มต้นจากด้านหน้าอาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถึง กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม 2. การนําเสนอบทเพลงเทิดพระเกียรติ "พ่อแห่งแผ่นดิน” เพลง "ใต้เงาไม้แห่งแผ่นดิน” "แม่แห่งแผ่นดิน” เพลง "สายน้ําของแผ่นดิน” 3. การมอบรางวัลชนะเลิศการประกวดเรียงความในหัวข้อ "คนไทยจะช่วยกันลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อนได้อย่างไร” 4. การประกวดภาพถ่ายในหัวข้อ "มหันตภัยโลกร้อนกับวิถีพอเพียง” ให้แก่เด็กนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลายและมัธยมศึกษา 5. การแสดงเจตนารมณ์และบทบาทในการมีส่วนร่วมลดโลกร้อนจากผู้แทนภาคเอกชน เมือง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทัพยัน พร้อมระดมกำลังพลและยุทโธปกรณ์เพิ่ม ช่วยชาวเพชรบุรี สนับสนุนการบริหารวิกฤตนำ้เขื่อนแก่งประจาน
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561 กองทัพยัน พร้อมระดมกําลังพลและยุทโธปกรณ์เพิ่ม ช่วยชาวเพชรบุรี สนับสนุนการบริหารวิกฤตนํา้เขื่อนแก่งประจาน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า หลังจากที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. ได้สั่งการด่วน ให้ทุกเหล่าทัพจัดกําลังพลและเครื่องมือช่าง ร ระดมเข้าไปช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหาบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ จว.เพชรบุรี เพื่อช่วยเหลือประชาชนจากผลกระทบของการระบายน้ําจากเขื่อนแก่งกระจาน ปัจจุบัน กองทัพไทยโดยทุกเหล่าทัพในพื้นที่ ได้จัดกําลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมทั้งเครื่องมือช่าง เร่งเข้าไปเสริมและสนับสนุนการทํางานของ กรมชลประทานและส่วนราชการอื่นๆ ในพื้นที่ ร่วมป้องกันและแก้ปัญหาในพื้นที่เสี่ยง ด้วยการขุดลอกคลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําในพื้นที่ อ.ท่ายาง, การติดตั้งระบบสูบนํา้บริเวณเขื่อนแก่งกระจาน, การติดตั้งเรือผลักดันนํา้ จํานวน 20 ลํา เร่งระบายนํา้ในแม่นํา้เพชรบุรี, การบรรจุกระสอบทรายจัดทําแนวป้องกันน้ําและเสริมความมั่นคงพนังกั้นนํา้ตามแนวตลิ่งในพื้นที่ อ.เมือง รวมทั้งช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของไปยังพื้นที่ปลอดภัย ทั้งนี้ ได้จัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมให้การสนับสนุนช่วยเหลือเพิ่มเติมให้ทันต่อสถานการณ์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทัพยัน พร้อมระดมกำลังพลและยุทโธปกรณ์เพิ่ม ช่วยชาวเพชรบุรี สนับสนุนการบริหารวิกฤตนำ้เขื่อนแก่งประจาน วันอังคารที่ 7 สิงหาคม 2561 กองทัพยัน พร้อมระดมกําลังพลและยุทโธปกรณ์เพิ่ม ช่วยชาวเพชรบุรี สนับสนุนการบริหารวิกฤตนํา้เขื่อนแก่งประจาน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า หลังจากที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. ได้สั่งการด่วน ให้ทุกเหล่าทัพจัดกําลังพลและเครื่องมือช่าง ร ระดมเข้าไปช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหาบริหารจัดการน้ําในพื้นที่ จว.เพชรบุรี เพื่อช่วยเหลือประชาชนจากผลกระทบของการระบายน้ําจากเขื่อนแก่งกระจาน ปัจจุบัน กองทัพไทยโดยทุกเหล่าทัพในพื้นที่ ได้จัดกําลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมทั้งเครื่องมือช่าง เร่งเข้าไปเสริมและสนับสนุนการทํางานของ กรมชลประทานและส่วนราชการอื่นๆ ในพื้นที่ ร่วมป้องกันและแก้ปัญหาในพื้นที่เสี่ยง ด้วยการขุดลอกคลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําในพื้นที่ อ.ท่ายาง, การติดตั้งระบบสูบนํา้บริเวณเขื่อนแก่งกระจาน, การติดตั้งเรือผลักดันนํา้ จํานวน 20 ลํา เร่งระบายนํา้ในแม่นํา้เพชรบุรี, การบรรจุกระสอบทรายจัดทําแนวป้องกันน้ําและเสริมความมั่นคงพนังกั้นนํา้ตามแนวตลิ่งในพื้นที่ อ.เมือง รวมทั้งช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของไปยังพื้นที่ปลอดภัย ทั้งนี้ ได้จัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมให้การสนับสนุนช่วยเหลือเพิ่มเติมให้ทันต่อสถานการณ์
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14410
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเลี้ยงต้อนรับคณะนักกีฬา พร้อมมอบเงินรางวัลจากการแข่งขันกีฬาทั้ง 3 รายการใหญ่
วันพุธที่ 5 ธันวาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเลี้ยงต้อนรับคณะนักกีฬา พร้อมมอบเงินรางวัลจากการแข่งขันกีฬาทั้ง 3 รายการใหญ่ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเลี้ยงต้อนรับคณะนักกีฬาและมอบเงินรางวัลจากการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 รัฐบาลมอบเงินรางวัล 401 ล้านบาท ให้นักกีฬาที่ได้เหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬา 3 รายการใหญ่ วันนี้ (4 ธันวาคม 2561) เวลา 18.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเลี้ยงต้อนรับคณะนักกีฬาและมอบเงินรางวัลจากการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 พร้อมด้วย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายกองศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวรายงานผลการเข้าร่วมแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม – 2 กันยายน 2561 ณ กรุงจาการ์ตาและเมืองปาเล็มบัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย นักกีฬาทีมชาติไทยทําผลงานได้ 11 เหรียญทอง 16 เหรียญเงิน และ 46 เหรียญทองแดง กีฬาเอเชี่ยนพาราเกมส์ ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 6 - 13 ตุลาคม 2561 ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้ 23 เหรียญทอง 33 เหรียญเงิน และ 50 เหรียญทองแดง และกีฬายูธโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 6 – 18 ตุลาคม 2561 ณ กรุงโนสไอเรส สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ทําผลงานได้ 5 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง รัฐบาลโดยกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย ในฐานะองค์กีฬาที่ให้การสนับสนุน พัฒนากีฬาของชาติ ได้มอบเงินรางวัลสําหรับนักกีฬา Guide Runner ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬาที่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขัน ทั้ง 3 รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 401,200,000 บาท แบ่งเป็น ดังนี้ กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 กรีฑา กาบัดดี้ ขี่ม้า แข่งเรือใบ คาราเต้ จักรยาน เจ็ตสกี ตะกร้อ กีฬาทางอากาศ เทควันโด เทนนิส บริดจ์ บาสเกตบอล แบดมินตัน ปันจักสีลัต มวยสากล ยกน้ําหนัก ยิงเป้าบิน ยูโด ยูยิตสู ยิงปืน เรือพาย วอลเลย์บอล วินด์เซิร์ฟ และวูซู กีฬาเอเชี่ยนพาราเกมส์ ครั้งที่ 3 จํานวน 14 ชนิดกีฬา ใน 4 สมาคมกีฬา ทําผลงานได้ 23 เหรียญทอง 33 เหรียญเงิน และ50 เหรียญทองแดง รวมเป็นเงิน 105,750,000 บาท ประกอบด้วย นักกีฬา คนพิการในสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาคนพิการทางสมองแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาคนพิการทางปัญญาแห่งประเทศไทย กีฬายูธโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 3 จํานวน 5 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง รวมเป็นเงิน 27,000,000 บาท ประกอบด้วย กอล์ฟ เทควันโด แบดมินตัน มวยสากล และยกน้ําหนัก โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบของที่ระลึกแก่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย และกองเชียร์ทีมซาติไทย พร้อมมอบเงินรางวัลและของที่ระลึก แก่นักกีฬากีฬาดังกล่าว จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ร่วมงานเลี้ยงรับรองความตอนหนึ่งว่า มีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มามอบของที่ระลึกและรับประทานอาหารร่วมกัน และร่วมแสดงความยินดีแก่กีฬาทั้ง 3 รายการ ขอชื่นชมนักกีฬาทุกคนรวมถึงกองเชียร์ที่ร่วมกันทําให้ประสบความสําเร็จเกินเป้าหมายที่กําหนดไว้ เป็นการสร้างชื่อเสียงและแสดงศักยภาพด้านการกีฬาของไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนการพัฒนาด้านการกีฬามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ มหาวิทยาลัยเพื่อการกีฬา วิทยาศาสตร์เพื่อการกีฬา และสนามกีฬาที่มีมาตรฐานสากล เป็นต้น โดยมุ่งพัฒนาทักษะด้านกีฬาอย่างบูรณาการ นายกรัฐมนตรีกล่าวในช่วงท้ายว่า กีฬายังเป็นสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ของคนในชาติ ขออวยพรให้นักกีฬาทุกคนให้ประสบความสําเร็จและหวังให้ทุกคนเร่งพัฒนาทักษะด้านกีฬาให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเลี้ยงต้อนรับคณะนักกีฬา พร้อมมอบเงินรางวัลจากการแข่งขันกีฬาทั้ง 3 รายการใหญ่ วันพุธที่ 5 ธันวาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเลี้ยงต้อนรับคณะนักกีฬา พร้อมมอบเงินรางวัลจากการแข่งขันกีฬาทั้ง 3 รายการใหญ่ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเลี้ยงต้อนรับคณะนักกีฬาและมอบเงินรางวัลจากการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 รัฐบาลมอบเงินรางวัล 401 ล้านบาท ให้นักกีฬาที่ได้เหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬา 3 รายการใหญ่ วันนี้ (4 ธันวาคม 2561) เวลา 18.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเลี้ยงต้อนรับคณะนักกีฬาและมอบเงินรางวัลจากการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 พร้อมด้วย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายกองศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวรายงานผลการเข้าร่วมแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 ระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม – 2 กันยายน 2561 ณ กรุงจาการ์ตาและเมืองปาเล็มบัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย นักกีฬาทีมชาติไทยทําผลงานได้ 11 เหรียญทอง 16 เหรียญเงิน และ 46 เหรียญทองแดง กีฬาเอเชี่ยนพาราเกมส์ ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 6 - 13 ตุลาคม 2561 ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้ 23 เหรียญทอง 33 เหรียญเงิน และ 50 เหรียญทองแดง และกีฬายูธโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 6 – 18 ตุลาคม 2561 ณ กรุงโนสไอเรส สาธารณรัฐอาร์เจนตินา ทําผลงานได้ 5 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง รัฐบาลโดยกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย ในฐานะองค์กีฬาที่ให้การสนับสนุน พัฒนากีฬาของชาติ ได้มอบเงินรางวัลสําหรับนักกีฬา Guide Runner ผู้ฝึกสอน และสมาคมกีฬาที่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขัน ทั้ง 3 รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 401,200,000 บาท แบ่งเป็น ดังนี้ กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 18 กรีฑา กาบัดดี้ ขี่ม้า แข่งเรือใบ คาราเต้ จักรยาน เจ็ตสกี ตะกร้อ กีฬาทางอากาศ เทควันโด เทนนิส บริดจ์ บาสเกตบอล แบดมินตัน ปันจักสีลัต มวยสากล ยกน้ําหนัก ยิงเป้าบิน ยูโด ยูยิตสู ยิงปืน เรือพาย วอลเลย์บอล วินด์เซิร์ฟ และวูซู กีฬาเอเชี่ยนพาราเกมส์ ครั้งที่ 3 จํานวน 14 ชนิดกีฬา ใน 4 สมาคมกีฬา ทําผลงานได้ 23 เหรียญทอง 33 เหรียญเงิน และ50 เหรียญทองแดง รวมเป็นเงิน 105,750,000 บาท ประกอบด้วย นักกีฬา คนพิการในสมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย สมาคมกีฬาคนพิการทางสมองแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาคนพิการทางปัญญาแห่งประเทศไทย กีฬายูธโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 3 จํานวน 5 เหรียญทอง 5 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง รวมเป็นเงิน 27,000,000 บาท ประกอบด้วย กอล์ฟ เทควันโด แบดมินตัน มวยสากล และยกน้ําหนัก โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีมอบของที่ระลึกแก่ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกแห่งประเทศไทย และกองเชียร์ทีมซาติไทย พร้อมมอบเงินรางวัลและของที่ระลึก แก่นักกีฬากีฬาดังกล่าว จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีแก่ผู้ร่วมงานเลี้ยงรับรองความตอนหนึ่งว่า มีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มามอบของที่ระลึกและรับประทานอาหารร่วมกัน และร่วมแสดงความยินดีแก่กีฬาทั้ง 3 รายการ ขอชื่นชมนักกีฬาทุกคนรวมถึงกองเชียร์ที่ร่วมกันทําให้ประสบความสําเร็จเกินเป้าหมายที่กําหนดไว้ เป็นการสร้างชื่อเสียงและแสดงศักยภาพด้านการกีฬาของไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนการพัฒนาด้านการกีฬามาอย่างต่อเนื่อง อาทิ มหาวิทยาลัยเพื่อการกีฬา วิทยาศาสตร์เพื่อการกีฬา และสนามกีฬาที่มีมาตรฐานสากล เป็นต้น โดยมุ่งพัฒนาทักษะด้านกีฬาอย่างบูรณาการ นายกรัฐมนตรีกล่าวในช่วงท้ายว่า กีฬายังเป็นสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ของคนในชาติ ขออวยพรให้นักกีฬาทุกคนให้ประสบความสําเร็จและหวังให้ทุกคนเร่งพัฒนาทักษะด้านกีฬาให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป ................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17323
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ วันที่ 18 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องรับรองชั้น 20อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์)ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทยนายไฆเม นัวลาร์ต (H.E. Mr. Jaime Nualart)โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการขยะ และแนวทางการดําเนินงานเพื่อแก้ปัญหามลพิษทางดินและอากาศ โดยเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทย มีความเห็นว่า สาธารณรัฐเม็กซิโกและไทยมีความเหมือนกันในหลายด้าน ทั้งในเรื่องลักษณะความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ ดังนั้น จึงควรมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการดําเนินงานในเรื่องดังกล่าว ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กล่าวถึงปัญหาขยะพลาสติกซึ่งเป็นปัญหาที่ประเทศไทยให้ความสําคัญอย่างยิ่งในขณะนี้ โดยในประเทศไทยได้มีการดําเนินการเพื่อลดปัญหาขยะ ได้แก่ การยกเลิกการใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้พ (Cap Seal) ด้วยความสมัครใจของผู้ประกอบการ โดยมีแนวทางการดําเนินการ 5 ประการ ได้แก่ งดใช้พลาสติกในพื้นที่ที่สามารถดําเนินการได้ อาทิ มหาวิทยาลัย และอุทยานแห่งชาติ 155 แห่งทั่วประเทศ สวนสัตว์ 7 แห่ง และตลาดขององค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อตก.) โดยลดการใช้พลาสติกและสนับสนุนให้ใช้อย่างคุ้มค่่า แสวงหานวัตกรรมใหม่ และนําพลาสติกที่ใช้แล้วหมุนเวียนกลับเข้ามาใช้ในระบบ การจัดการขยะจากบกลงสู่ทะเล รวมทั้ง การบังคับใช้กฎหมายกับเรือสินค้าต่างประเทศ การลดขยะพลาสติกและโฟมในแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลและอุทยานแห่งชาติทางทะเล ซึ่งประเทศไทยนําองค์ความรู้จากต่างประเทศมาปรับใช้ในประเทศให้เหมาะสม นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมสัมมนาวิชาการในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้าน 3R ของ๓ูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 9 (The High-level Ninth Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) ในปี พ.ศ. 2562 เพื่อนําภูมิภาคก้าวสู่สังคมรีไซเคิล โดยการนําหลักการ 3R มาใช้ในการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนขยะทะเล ของเสียอันตราย ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีด้าน 3R เพื่อไปสู่การพัฒนาปรับปรุงระบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายในประเทศให้ครบวงจร ทันสมัยและเป็นไปตามหลักสากล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.ทส. ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ วันที่ 18 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องรับรองชั้น 20อาคารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์)ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทยนายไฆเม นัวลาร์ต (H.E. Mr. Jaime Nualart)โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการขยะ และแนวทางการดําเนินงานเพื่อแก้ปัญหามลพิษทางดินและอากาศ โดยเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเม็กซิโกประจําประเทศไทย มีความเห็นว่า สาธารณรัฐเม็กซิโกและไทยมีความเหมือนกันในหลายด้าน ทั้งในเรื่องลักษณะความหลากหลายทางชีวภาพของพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์ ดังนั้น จึงควรมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการดําเนินงานในเรื่องดังกล่าว ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กล่าวถึงปัญหาขยะพลาสติกซึ่งเป็นปัญหาที่ประเทศไทยให้ความสําคัญอย่างยิ่งในขณะนี้ โดยในประเทศไทยได้มีการดําเนินการเพื่อลดปัญหาขยะ ได้แก่ การยกเลิกการใช้พลาสติกหุ้มฝาขวดน้พ (Cap Seal) ด้วยความสมัครใจของผู้ประกอบการ โดยมีแนวทางการดําเนินการ 5 ประการ ได้แก่ งดใช้พลาสติกในพื้นที่ที่สามารถดําเนินการได้ อาทิ มหาวิทยาลัย และอุทยานแห่งชาติ 155 แห่งทั่วประเทศ สวนสัตว์ 7 แห่ง และตลาดขององค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อตก.) โดยลดการใช้พลาสติกและสนับสนุนให้ใช้อย่างคุ้มค่่า แสวงหานวัตกรรมใหม่ และนําพลาสติกที่ใช้แล้วหมุนเวียนกลับเข้ามาใช้ในระบบ การจัดการขยะจากบกลงสู่ทะเล รวมทั้ง การบังคับใช้กฎหมายกับเรือสินค้าต่างประเทศ การลดขยะพลาสติกและโฟมในแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลและอุทยานแห่งชาติทางทะเล ซึ่งประเทศไทยนําองค์ความรู้จากต่างประเทศมาปรับใช้ในประเทศให้เหมาะสม นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2562 ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมสัมมนาวิชาการในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้าน 3R ของ๓ูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 9 (The High-level Ninth Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) ในปี พ.ศ. 2562 เพื่อนําภูมิภาคก้าวสู่สังคมรีไซเคิล โดยการนําหลักการ 3R มาใช้ในการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนขยะทะเล ของเสียอันตราย ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีด้าน 3R เพื่อไปสู่การพัฒนาปรับปรุงระบบการบริหารจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายในประเทศให้ครบวงจร ทันสมัยและเป็นไปตามหลักสากล
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14042
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง
วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2560 รัฐบาลเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง รถไฟฟ้าสายสีชมพู และสีเหลือง เป็นรถไฟฟ้าสายรองที่จะขนส่งประชาชนจากรอบนอกกรุงเทพฯ เข้าสู่เส้นทางสายหลักในเมือง ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กิโลเมตร เพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่ จ.นนทบุรี และกทม. เชื่อมกับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม รวมทั้งยังได้อนุมัติโครงการสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-บางกะปิ-สําโรง ระยะทาง 30.4 กิโลเมตร เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในกทม.และปริมาณฑล โดยเฉพาะ ถ.ลาดพร้าว โดยจะลงนามในสัญญาการก่อสร้างภายในเดือน มิ.ย.นี้ และใช้ระยะเวลาดําเนินการประมาณ 3 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จเปิดให้บริการได้ในปี 2563 ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในการเดินทาง ลดปัญหาการจราจรติดขัด และสนับสนุนให้เกิดธุรกิจและบริการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนตลอดเส้นทาง ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2560 รัฐบาลเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง รถไฟฟ้าสายสีชมพู และสีเหลือง เป็นรถไฟฟ้าสายรองที่จะขนส่งประชาชนจากรอบนอกกรุงเทพฯ เข้าสู่เส้นทางสายหลักในเมือง ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กิโลเมตร เพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งมวลชนในพื้นที่ จ.นนทบุรี และกทม. เชื่อมกับโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม รวมทั้งยังได้อนุมัติโครงการสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-บางกะปิ-สําโรง ระยะทาง 30.4 กิโลเมตร เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในกทม.และปริมาณฑล โดยเฉพาะ ถ.ลาดพร้าว โดยจะลงนามในสัญญาการก่อสร้างภายในเดือน มิ.ย.นี้ และใช้ระยะเวลาดําเนินการประมาณ 3 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จเปิดให้บริการได้ในปี 2563 ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในการเดินทาง ลดปัญหาการจราจรติดขัด และสนับสนุนให้เกิดธุรกิจและบริการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนตลอดเส้นทาง ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4392
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" มอบนโยบายแก่ผู้บริหาร สกศ.
วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2560 "ปนัดดา" มอบนโยบายแก่ผู้บริหาร สกศ. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะและมอบนโยบายแก่ผู้บริหารสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยมี ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา, ดร.วัฒนาพร ระงับทุกข์ และ ดร.สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ตลอดจนผู้บริหารและข้าราชการให้การต้อนรับและร่วมรับฟัง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2560 ที่ห้องประชุมกําแหง พลางกูร อาคาร 56 ปี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า จากการรับฟังสรุปรายงานการดําเนินงานของ สกศ. ถือว่ามีแผนดําเนินงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรมชัดเจน และสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย โดยส่วนตัวมองว่ากระทรวงศึกษาธิการเป็นหัวใจของแผ่นดินและเป็นกระทรวงที่สร้างคนอย่างแท้จริง ทําให้เด็กได้มีที่เรียน เติบโตเป็นผู้ใหญ่มีงานทํา และมีชีวิตที่ดีงาม ดังนั้นขอให้ทุกคนรักษาจุดยืนและหลักวิชาการ ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดทําแผนการศึกษาแห่งชาติ ที่บูรณาการทางด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และกีฬา กับการศึกษาทุกระดับ และจัดทําข้อเสนอนโยบายและแผนในการสนับสนุนทรัพยากรด้านการศึกษาของชาติ ตลอดจนประสานการจัดทําข้อเสนอนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษาของชาติอย่างมั่นคง หากมีสิ่งใดให้ช่วยขับเคลื่อนก็พร้อมที่จะทํางานร่วมกัน เพราะตนและทีมงาน สกศ. เปรียบเสมือนญาติพี่น้องกัน อย่าได้คิดเป็นอื่นไกล เราต้องช่วยกันทํางานเพื่อบ้านเมือง ส่วนสําคัญที่ต้องการผลักดัน จะเป็นแผนการศึกษาแห่งชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)ซึ่งผ่านการแก้ไขปรับปรุงร่างตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา (ซุปเปอร์บอร์ดการศึกษา) เรียบร้อยแล้ว จากนี้คงต้องเร่งเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและนําไปสู่การขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติ ที่จะมีความเชื่อมโยงการทํางานระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการผลิตครูให้มีความเป็นมืออาชีพ, การเพิ่มวิชาซื่อสัตย์สุจริต, การสร้างเด็กให้มีความเป็นพลเมืองที่ดีมีคุณภาพ โดยในเรื่องการเป็นทั้งคนดีและคนเก่ง กระทรวงศึกษาธิการจะน้อมนําแนวพระราชดําริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ใส่เกล้าฯ และสั่งสอนให้กับลูกหลานเพื่อปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการใช้ชีวิต, การพัฒนาคนด้วยแนวคิด บ้าน-วัด-โรงเรียน หรือ บวร เป็นต้น ทั้งนี้ สกศ.ได้กําหนดแผนการศึกษาไว้อย่างครบถ้วนชัดเจนแล้ว สิ่งสําคัญต่อจากนี้คือการนําไปสู่การปฏิบัติที่จะมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานเช่น คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ซึ่งพบว่าที่ผ่านมางานยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก และจากการลงพื้นที่ในจังหวัดสงขลา เชียงใหม่ และนครพนมทุกแห่งมีความต้องการตรงกันคือ กศจ.ต้องการให้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อช่วยกลั่นกรองงานให้ กศจ. โดยมีองค์ประกอบ เช่น อธิการบดี คณบดี ผู้ทรงคุณวุฒิ หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น เพื่อทําให้การประชุมรวดเร็วและงานเดินหน้ามากขึ้นซึ่งการคัดเลือกคณะอนุกรรมการฯ อยู่ในอํานาจของผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาตามความจําเป็นและภูมิสังคมของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะมีจํานวนไม่มากนัก แต่แม้จะกระจายอํานาจให้กับประธาน กศจ.ตั้งคณะอนุกรรมการได้เอง เราก็ยังเป็นประเทศเดียวกันที่จะต้องขับเคลื่อนเดินหน้าไปด้วยกัน นอกจากนี้ ฝากให้ช่วยส่งเสริมเด็กไทยให้รักการอ่านหนังสือมากขึ้นเพราะการอ่านช่วยเพิ่มความคิด และเมื่ออ่านมาก ๆ ก็จะทําให้พูดได้ดี และเขียนหนังสืออย่างเป็นแบบแผนมากขึ้น ส่วนการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ควรใช้อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ เคารพสิทธิส่วนบุคคลและผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวม ตลอดจนการสอนให้เด็กรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยเพื่อความภาคภูมิใจ ทั้งการไหว้ที่สวยงาม ความสุขุมรอบคอบ และความอ่อนน้อมถ่อมตน ในส่วนการสื่อสารภาษาอังกฤษกับนานาประเทศนั้น เชื่อว่าประเทศเราไม่เป็นรองใครและได้รับการยอมรับพอสมควร แม้จะพูดช้า แต่ก็ถูกหลักไวยากรณ์ จึงขอให้รักษามาตรฐานนี้เอาไว้ ดร. กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษากล่าวว่า สกศ. ดําเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นองค์กรนําขับเคลื่อนการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันสู่เวทีโลก” มีอํานาจหน้าที่จัดทําแผนการศึกษาแห่งชาติที่บูรณาการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และกํากับการศึกษาทุกระดับ จัดทําข้อเสนอนโยบายและแผนในการสนันสนุนทรัพยากรด้านการศึกษาของชาติ ประสานการจัดทําข้อเสนอนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา วิจัยและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการศึกษา เครือข่ายการเรียนรู้และภูมิปัญญา ประเมินผลการจัดการศึกษา ตลอดจนให้ความเห็นเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยมีบุคลากรทั้งสิ้น 185 คน แบ่งเป็นข้าราชการ 170 คน และลูกจ้าง 15 คน ผลการดําเนินงานที่สําคัญได้แก่ เตรียมนําแผนการศึกษาแห่งชาติ 20 ปี เสนอต่อคณะรัฐมนตรีและนําไปสู่การปฏิบัติ, มาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ จัดประชุมระดมความคิดเห็นและจะมีการยกระดับการจัดการเรียนรู้ของสถาบันศึกษาปอเนาะ, กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เตรียมเสนอร่างกรอบคุณวุฒิฉบับปรับปรุงต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อขับเคลื่อนตาม Road Map, การผลิตและพัฒนาครู จะขับเคลื่อนการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา, จัดทํามาตรฐานขั้นต่ําการเลี้ยงดูและให้การศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย, จัดทําบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาและสถิติการศึกษาของประเทศไทย ปี 2558-2559, จัดทํากฎหมายปฏิรูปการศึกษา อาทิ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ร.บ.การศึกษาปฐมวัย พ.ร.บ.เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา, จัดประชุมโต๊ะกลมไทย-สหรัฐ และไทย-ฟินแลนด์ เป็นต้น โอกาสนี้ คณะผู้บริหาร สกศ. ได้นําม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเยี่ยมชมศูนย์สารสนเทศและองค์ความรู้ (OEC Knowledge & Data Center) ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคาร สกศ.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" มอบนโยบายแก่ผู้บริหาร สกศ. วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2560 "ปนัดดา" มอบนโยบายแก่ผู้บริหาร สกศ. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะและมอบนโยบายแก่ผู้บริหารสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา โดยมี ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา, ดร.วัฒนาพร ระงับทุกข์ และ ดร.สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา ตลอดจนผู้บริหารและข้าราชการให้การต้อนรับและร่วมรับฟัง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2560 ที่ห้องประชุมกําแหง พลางกูร อาคาร 56 ปี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวว่า จากการรับฟังสรุปรายงานการดําเนินงานของ สกศ. ถือว่ามีแผนดําเนินงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน มีความก้าวหน้าเป็นรูปธรรมชัดเจน และสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย โดยส่วนตัวมองว่ากระทรวงศึกษาธิการเป็นหัวใจของแผ่นดินและเป็นกระทรวงที่สร้างคนอย่างแท้จริง ทําให้เด็กได้มีที่เรียน เติบโตเป็นผู้ใหญ่มีงานทํา และมีชีวิตที่ดีงาม ดังนั้นขอให้ทุกคนรักษาจุดยืนและหลักวิชาการ ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่จัดทําแผนการศึกษาแห่งชาติ ที่บูรณาการทางด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และกีฬา กับการศึกษาทุกระดับ และจัดทําข้อเสนอนโยบายและแผนในการสนับสนุนทรัพยากรด้านการศึกษาของชาติ ตลอดจนประสานการจัดทําข้อเสนอนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษาของชาติอย่างมั่นคง หากมีสิ่งใดให้ช่วยขับเคลื่อนก็พร้อมที่จะทํางานร่วมกัน เพราะตนและทีมงาน สกศ. เปรียบเสมือนญาติพี่น้องกัน อย่าได้คิดเป็นอื่นไกล เราต้องช่วยกันทํางานเพื่อบ้านเมือง ส่วนสําคัญที่ต้องการผลักดัน จะเป็นแผนการศึกษาแห่งชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579)ซึ่งผ่านการแก้ไขปรับปรุงร่างตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา (ซุปเปอร์บอร์ดการศึกษา) เรียบร้อยแล้ว จากนี้คงต้องเร่งเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและนําไปสู่การขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติ ที่จะมีความเชื่อมโยงการทํางานระหว่างหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการผลิตครูให้มีความเป็นมืออาชีพ, การเพิ่มวิชาซื่อสัตย์สุจริต, การสร้างเด็กให้มีความเป็นพลเมืองที่ดีมีคุณภาพ โดยในเรื่องการเป็นทั้งคนดีและคนเก่ง กระทรวงศึกษาธิการจะน้อมนําแนวพระราชดําริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ใส่เกล้าฯ และสั่งสอนให้กับลูกหลานเพื่อปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการใช้ชีวิต, การพัฒนาคนด้วยแนวคิด บ้าน-วัด-โรงเรียน หรือ บวร เป็นต้น ทั้งนี้ สกศ.ได้กําหนดแผนการศึกษาไว้อย่างครบถ้วนชัดเจนแล้ว สิ่งสําคัญต่อจากนี้คือการนําไปสู่การปฏิบัติที่จะมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานเช่น คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ซึ่งพบว่าที่ผ่านมางานยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก และจากการลงพื้นที่ในจังหวัดสงขลา เชียงใหม่ และนครพนมทุกแห่งมีความต้องการตรงกันคือ กศจ.ต้องการให้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อช่วยกลั่นกรองงานให้ กศจ. โดยมีองค์ประกอบ เช่น อธิการบดี คณบดี ผู้ทรงคุณวุฒิ หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น เพื่อทําให้การประชุมรวดเร็วและงานเดินหน้ามากขึ้นซึ่งการคัดเลือกคณะอนุกรรมการฯ อยู่ในอํานาจของผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาตามความจําเป็นและภูมิสังคมของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะมีจํานวนไม่มากนัก แต่แม้จะกระจายอํานาจให้กับประธาน กศจ.ตั้งคณะอนุกรรมการได้เอง เราก็ยังเป็นประเทศเดียวกันที่จะต้องขับเคลื่อนเดินหน้าไปด้วยกัน นอกจากนี้ ฝากให้ช่วยส่งเสริมเด็กไทยให้รักการอ่านหนังสือมากขึ้นเพราะการอ่านช่วยเพิ่มความคิด และเมื่ออ่านมาก ๆ ก็จะทําให้พูดได้ดี และเขียนหนังสืออย่างเป็นแบบแผนมากขึ้น ส่วนการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ควรใช้อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ เคารพสิทธิส่วนบุคคลและผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวม ตลอดจนการสอนให้เด็กรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยเพื่อความภาคภูมิใจ ทั้งการไหว้ที่สวยงาม ความสุขุมรอบคอบ และความอ่อนน้อมถ่อมตน ในส่วนการสื่อสารภาษาอังกฤษกับนานาประเทศนั้น เชื่อว่าประเทศเราไม่เป็นรองใครและได้รับการยอมรับพอสมควร แม้จะพูดช้า แต่ก็ถูกหลักไวยากรณ์ จึงขอให้รักษามาตรฐานนี้เอาไว้ ดร. กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษากล่าวว่า สกศ. ดําเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นองค์กรนําขับเคลื่อนการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันสู่เวทีโลก” มีอํานาจหน้าที่จัดทําแผนการศึกษาแห่งชาติที่บูรณาการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และกํากับการศึกษาทุกระดับ จัดทําข้อเสนอนโยบายและแผนในการสนันสนุนทรัพยากรด้านการศึกษาของชาติ ประสานการจัดทําข้อเสนอนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา วิจัยและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการศึกษา เครือข่ายการเรียนรู้และภูมิปัญญา ประเมินผลการจัดการศึกษา ตลอดจนให้ความเห็นเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยมีบุคลากรทั้งสิ้น 185 คน แบ่งเป็นข้าราชการ 170 คน และลูกจ้าง 15 คน ผลการดําเนินงานที่สําคัญได้แก่ เตรียมนําแผนการศึกษาแห่งชาติ 20 ปี เสนอต่อคณะรัฐมนตรีและนําไปสู่การปฏิบัติ, มาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ จัดประชุมระดมความคิดเห็นและจะมีการยกระดับการจัดการเรียนรู้ของสถาบันศึกษาปอเนาะ, กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เตรียมเสนอร่างกรอบคุณวุฒิฉบับปรับปรุงต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อขับเคลื่อนตาม Road Map, การผลิตและพัฒนาครู จะขับเคลื่อนการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา, จัดทํามาตรฐานขั้นต่ําการเลี้ยงดูและให้การศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย, จัดทําบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาและสถิติการศึกษาของประเทศไทย ปี 2558-2559, จัดทํากฎหมายปฏิรูปการศึกษา อาทิ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ร.บ.การศึกษาปฐมวัย พ.ร.บ.เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา, จัดประชุมโต๊ะกลมไทย-สหรัฐ และไทย-ฟินแลนด์ เป็นต้น โอกาสนี้ คณะผู้บริหาร สกศ. ได้นําม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการเยี่ยมชมศูนย์สารสนเทศและองค์ความรู้ (OEC Knowledge & Data Center) ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคาร สกศ.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1335
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบการเตรียมความพร้อม การจัดการเรียนการสอน เพื่อรองรับการเปิดภาคเรียนที่ 1/2563 [กระทรวงศึกษาธิการ]
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563 ครม.รับทราบการเตรียมความพร้อม การจัดการเรียนการสอน เพื่อรองรับการเปิดภาคเรียนที่ 1/2563 [กระทรวงศึกษาธิการ] ครม.รับทราบการเตรียมความพร้อม การจัดการเรียนการสอน เพื่อรองรับการเปิดภาคเรียนที่ 1/2563 (21 เมษายน 2563) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ การเตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนเพื่อรองรับการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 โดยจะดําเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รมว.ศธ. กล่าวว่า ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเปิดเรียนของสถานศึกษาในสังกัดและในกํากับของกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 9 เมษายน 2563 ได้ประกาศให้สถานศึกษาทั้งในและนอกระบบ ซึ่งอยู่ในสังกัดและในกํากับของกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเรียนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ดําเนินการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดภาคเรียนในวันดังกล่าว ดังนี้ 1. ปฏิทินการรับนักเรียน 1.1 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน การรับนักเรียน โดยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 รับสมัครระหว่างวันที่ 3-12 พฤษภาคม 2563 ส่วนสถานศึกษาที่จัดการศึกษาพิเศษเพื่อเด็กพิการ และผู้ด้อยโอกาส รับสมัครระหว่างวันที่ 3-31 พฤษภาคม 2563 การสอบ/คัดเลือก ในห้วงเวลาเดือนมิถุนายน 2563 การจัดหาสถานศึกษาและการรับรายงานตัว/มอบตัว ของนักเรียนทุกคน จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2563 1.2 สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (โรงเรียนในระบบประเภทสามัญศึกษา) การรับนักเรียน การสอบ/คัดเลือก และการประกาศผล ให้อยู่ในดุลพินิจของแต่ละโรงเรียน โดยต้องแล้วเสร็จก่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 การรับนักเรียนผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งได้จัดทําระบบรับสมัครนักเรียนออนไลน์สําหรับภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 ให้โรงเรียนเอกชนในระบบประเภทสามัญศึกษาทั้งหมด โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย การจัดประชุมชี้แจงทําความเข้าใจ การเตรียมความพร้อมให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในวันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 โดยผ่านระบบการประชุมทางไกล เพื่อให้โรงเรียนดําเนินการรับสมัครนักเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 1.3 สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สถานศึกษาอาชีวศึกษารัฐและเอกชน สามารถดําเนินการรับสมัครนักเรียน นักศึกษาทั้งผ่านระบบออนไลน์ หรือสมัครด้วยตนเองที่สถานศึกษา ดังนี้ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 (ปวช.1) รับสมัคร ระหว่างวันที่ 3-12 พฤษภาคม 2563 ประกาศผลการสอบ/คัดเลือก วันที่ 13 พฤษภาคม 2563 และมอบตัว ระหว่างวันที่ 15 – 16 มิถุนายน 2563 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 (ปวส.1) รับสมัคร ประกาศผลการสอบ/คัดเลือก และมอบตัว ให้สถานศึกษากําหนดตามความเหมาะสมและทันต่อการเปิดภาคเรียน 1.4 สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) การรับสมัครผู้เรียนใหม่และลงทะเบียนเรียนผู้เรียนเก่า ดําเนินการโดยผ่านระบบออนไลน์ หรือสมัครด้วยตนเองที่สถานศึกษา ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 16 พฤษภาคม 2563 2. การจัดการเรียนการสอนระบบทางไกล และอุปกรณ์ทางการสื่อสาร 2.1 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระยะที่ 1 การเตรียมความพร้อม (7 เมษายน – 17 พฤษภาคม 2563) สํารวจความพร้อมในด้านอุปกรณ์การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ของนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และระบบการบริหารจัดการการเรียนการสอน ขออนุมัติใช้ช่องรายการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล จากสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ขออนุมัติเผยแพร่การเรียนการสอนจากห้องเรียนต้นทาง ในระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ของสถานีวิทยุโทรทัศน์การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) จากมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดทําสื่อวีดิทัศน์การสอน โดยครูต้นแบบ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จํานวน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวบรวมสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ใน OBEC Content Center ชุดโปรแกรมและแพลตฟอร์มการเรียนรู้ครบวงจรของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น Tutor ติวฟรี.com, e-Book เป็นต้น เตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบเครือข่าย เพื่อรองรับการให้บริการ แพลตฟอร์มการเรียนรู้ให้เชื่อมโยงกับระบบ Digital e-Learning ของกระทรวงศึกษาธิการ ระยะที่ 2 การทดลองจัดการเรียนการสอนทางไกล (18 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2563) ทดลองจัดการเรียนการสอนทางไกล ดังนี้ (1) ระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ผ่านช่องรายการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล โดยการเผยแพร่สัญญาณจากมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ (DLTV) ทั้งนี้ ระดับปฐมวัยเน้นกิจกรรมเตรียมความพร้อมเด็ก และระดับประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จํานวน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และ (2) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ผ่านช่องรายการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัลและระบบออนไลน์โดยครูต้นแบบ ด้วยเครื่องมือการเรียนรู้ตามความเหมาะสมและบริบทของสถานศึกษา เปิดศูนย์รับฟังความคิดเห็นการเรียนการสอนทางไกล จากผู้ปกครอง ประชาชน และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางการปรับปรุงและพัฒนา ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ แนะนําช่องทางการเรียนทางไกลให้กับผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง ระยะที่ 3 การจัดการเรียนการสอน (1 กรกฎาคม 2563 – 30 เมษายน 2564) สําหรับ 2 สถานการณ์ ดังนี้ สถานการณ์ที่ 1 กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ไม่คลี่คลาย จะจัดการเรียนการสอนระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ด้วยระบบทางไกลผ่าน DLTV และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ด้วยวีดิทัศน์การสอนโดยครูต้นแบบ และระบบออนไลน์ด้วยเครื่องมือการเรียนรู้ตามความเหมาะสมและบริบทของสถานศึกษา สถานการณ์ที่ 2 กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid–19) คลี่คลาย จะจัดการเรียนการสอนปกติในโรงเรียน โดยให้เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และมีแผนเตรียมการเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ โดยจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ระยะที่ 4 การทดสอบและการศึกษาต่อ (1 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2564) โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบและคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ ได้แก่ (1) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เกี่ยวกับระบบคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา (TCAS GAT PAT) (2) สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ เกี่ยวกับการทดสอบ O-net ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2.2 สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ประสานงานขอความร่วมมือกับโรงเรียน หรือหน่วยงานที่มีความพร้อมด้านสื่อการเรียนการสอนหรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้สําหรับจัดการเรียนการสอนออนไลน์ เพื่อให้โรงเรียนเอกชนใช้จัดการเรียนการสอนได้ตามเงื่อนไขที่แต่ละหน่วยงานกําหนด และโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย อยู่ระหว่างจัดทําสารบัญกลุ่มสาระการเรียนรู้จําแนกตามระดับชั้นและตัวชี้วัด เพื่อการเชื่อมต่อไปยังสื่อการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในคลังข้อมูลที่ได้จัดทําขึ้น ให้แล้วเสร็จภายในต้นเดือนพฤษภาคม 2563 จัดทําเว็บไซต์ที่ใช้เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยง ไปยังข้อ 1 และข้อ 2 2.3 สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดําเนินการเตรียมความพร้อมด้านการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ดังนี้ (1) เตรียมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เชื่อมโยง Platform กับกระทรวงศึกษาธิการ (2) เตรียมระบบ Cloud Computing (3) พัฒนาคลังความรู้ทางวิชาชีพบนระบบ Cloud และ (4) อยู่ระหว่างประสานงานเพื่อขอสนับสนุนช่องสัญญาณทีวีระบบดิจิทัลเพิ่มเติม จากเดิมที่มี DLTV ช่อง 13 (ถ่ายทอด 3 วัน/สัปดาห์) ไปยังมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดการเรียนการสอนออนไลน์ในสถานศึกษาภาครัฐและเอกชน มี 4 แนวทาง ดังนี้ (1) ใช้แบบเรียนหรือเอกสารประกอบการสอนที่บ้าน โดยครูผู้สอนมีระบบออนไลน์ที่ติดต่อถึงผู้เรียนได้หลากหลายช่องทาง (2) ใช้ชุดการเรียนออนไลน์ (Online Course) ซึ่งมีรูปแบบเหมือนกับ DLTV โดยครูผู้สอนสามารถสื่อสารถึงผู้เรียนผ่านสื่อได้หลายช่องทาง อาทิ โทรทัศน์ YouTube เป็นต้น (3) ใช้ระบบการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ของสถานศึกษา ได้แก่ (3.1) ประยุกต์ใช้แอปพลิเคชันที่สถานศึกษาสร้างขึ้น หรือที่มีใช้แพร่หลายในสังคมออนไลน์ รวมถึงการผลิตบทเรียนออนไลน์ด้วยตนเอง และ (3.2) ใช้ห้องเรียนที่มีระบบการเรียนการสอนออนไลน์ของสถานศึกษา ซึ่งสามารถจัดการเรียนการสอนแบบ Realtime ได้ และ (4) ในบางสาขาวิชาที่ขาดแคลนครูผู้สอนหรือต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการสอน อาทิ ช่างซ่อมบํารุงอากาศยาน ช่างเทคนิคระบบขนส่งทางราง อาจเรียนโดยการรับชมการถ่ายทอดสดการจัดการเรียนการสอน (Live) ผ่านศูนย์การสอนออนไลน์ของสถานศึกษาแม่ข่าย (วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง และศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและกําลังคนอาชีวศึกษา) 2.4 สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีเรียน กศน. แบบออนไลน์ โดยผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ (1.1) แอปพลิเคชัน ONIE Online (1.2) ETV และทีวีระบบดิจิทัล ช่อง 37 (1.3) http://www.ETVThai.tv และ http://www.ceted.org และ (1.4) โปรแกรมการสื่อสารอื่น ๆ เช่น Line, Google Classroom, Microsoft Teams, Zoom Meeting, E-book เป็นต้น รวมทั้งพบปะครูผู้สอนตามความเหมาะสมของเนื้อหาวิชา และบริบทพื้นที่ จัดช่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ (2.1) ทางสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษา ETV และทีวีระบบดิจิทัล ช่อง 37 ออกอากาศคู่ขนานพร้อมกันทุกวัน เวลา 06.00 น. – 24.00 น. โดยปรับตารางออกอากาศในเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน 2563 เพื่อสนับสนุนสื่อสําหรับในและนอกระบบการศึกษา รวมทั้งกําหนดช่องทางออกอากาศ ได้แก่ GMMz ช่อง 185, DTV ช่อง 252, PSI ช่อง 110, True ช่อง 371 และ (2.2) ทางแอพพลิเคชั่น ONIE Online ดําเนินการวัดและประเมินผล โดยจัดสอบด้วยข้อสอบกลางสําหรับนักศึกษา กศน. ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั้งในรูปแบบข้อสอบและจัดสอบด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามศูนย์ทดสอบอําเภอ จํานวน 148 แห่งทั่วประเทศ 3. การเตรียมความพร้อมสําหรับครู 3.1 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องสําหรับการเรียนการสอนทางไกล ดังนี้ (1) จัดทําคู่มือแนวทางการจัดการเรียนการสอนทางไกลสําหรับครู บุคลากรทางการศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้อง (2) ให้ความรู้ในการใช้เครื่องมือ เทคนิคและวิธีการจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านช่องทาง DLTV และ OBEC Channel และ (3) นิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนการสอนทางไกล 3.2 สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จัดฝึกอบรมครูให้สามารถใช้โปรแกรมที่มีอยู่อย่างแพร่หลายให้แล้วเสร็จประมาณต้นเดือนพฤษภาคม 2563 และใช้โปรแกรมจัดการเรียนการสอนออนไลน์ที่อยู่ระหว่างพัฒนา ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายเดือนพฤษภาคม 2563 3.3 สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดําเนินการพัฒนาครู โดย (1.1) ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเพื่อพัฒนาครูอาชีวศึกษาให้สร้างบทเรียนออนไลน์ สื่อการสอน เทคนิควิธีสอน และการประเมินผลที่เหมาะสมกับการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ โดยกําหนดบทบาทครูเป็น 3 กลุ่ม คือ Excellent Teacher, Mentor Teacherและ Network Teacher และ (1.2) พัฒนาทักษะการใช้โปรแกรม ที่สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ เพื่อให้ครูสามารถพัฒนาบทเรียนออนไลน์ได้ตามความสนใจ การพัฒนาชุดการเรียนออนไลน์ (Online Course) ทุกรายวิชาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษากําหนด สําหรับระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ซึ่งสถาบันการอาชีวศึกษากําหนด 3.4 สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ดําเนินการเตรียมความพร้อม ได้แก่ (1) การชี้แจงผู้เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับจังหวัด และผู้บริหารระดับอําเภอ (2) การอบรมครู ประกอบด้วย การจัดการเรียนรู้ผ่านระบบทางไกล และการสร้างแบบทดสอบแบบออนไลน์ (3) การชี้แจงนักศึกษา และ (4) การจัดทําคู่มือการจัดการเรียนรู้ผ่านระบบทางไกล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบการเตรียมความพร้อม การจัดการเรียนการสอน เพื่อรองรับการเปิดภาคเรียนที่ 1/2563 [กระทรวงศึกษาธิการ] วันพุธที่ 22 เมษายน 2563 ครม.รับทราบการเตรียมความพร้อม การจัดการเรียนการสอน เพื่อรองรับการเปิดภาคเรียนที่ 1/2563 [กระทรวงศึกษาธิการ] ครม.รับทราบการเตรียมความพร้อม การจัดการเรียนการสอน เพื่อรองรับการเปิดภาคเรียนที่ 1/2563 (21 เมษายน 2563) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ การเตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนเพื่อรองรับการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 โดยจะดําเนินการให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รมว.ศธ. กล่าวว่า ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเปิดเรียนของสถานศึกษาในสังกัดและในกํากับของกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 9 เมษายน 2563 ได้ประกาศให้สถานศึกษาทั้งในและนอกระบบ ซึ่งอยู่ในสังกัดและในกํากับของกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเรียนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ดําเนินการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดภาคเรียนในวันดังกล่าว ดังนี้ 1. ปฏิทินการรับนักเรียน 1.1 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน การรับนักเรียน โดยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 รับสมัครระหว่างวันที่ 3-12 พฤษภาคม 2563 ส่วนสถานศึกษาที่จัดการศึกษาพิเศษเพื่อเด็กพิการ และผู้ด้อยโอกาส รับสมัครระหว่างวันที่ 3-31 พฤษภาคม 2563 การสอบ/คัดเลือก ในห้วงเวลาเดือนมิถุนายน 2563 การจัดหาสถานศึกษาและการรับรายงานตัว/มอบตัว ของนักเรียนทุกคน จะแล้วเสร็จภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2563 1.2 สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (โรงเรียนในระบบประเภทสามัญศึกษา) การรับนักเรียน การสอบ/คัดเลือก และการประกาศผล ให้อยู่ในดุลพินิจของแต่ละโรงเรียน โดยต้องแล้วเสร็จก่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 การรับนักเรียนผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งได้จัดทําระบบรับสมัครนักเรียนออนไลน์สําหรับภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 ให้โรงเรียนเอกชนในระบบประเภทสามัญศึกษาทั้งหมด โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย การจัดประชุมชี้แจงทําความเข้าใจ การเตรียมความพร้อมให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในวันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 โดยผ่านระบบการประชุมทางไกล เพื่อให้โรงเรียนดําเนินการรับสมัครนักเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 1.3 สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สถานศึกษาอาชีวศึกษารัฐและเอกชน สามารถดําเนินการรับสมัครนักเรียน นักศึกษาทั้งผ่านระบบออนไลน์ หรือสมัครด้วยตนเองที่สถานศึกษา ดังนี้ ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 (ปวช.1) รับสมัคร ระหว่างวันที่ 3-12 พฤษภาคม 2563 ประกาศผลการสอบ/คัดเลือก วันที่ 13 พฤษภาคม 2563 และมอบตัว ระหว่างวันที่ 15 – 16 มิถุนายน 2563 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 (ปวส.1) รับสมัคร ประกาศผลการสอบ/คัดเลือก และมอบตัว ให้สถานศึกษากําหนดตามความเหมาะสมและทันต่อการเปิดภาคเรียน 1.4 สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) การรับสมัครผู้เรียนใหม่และลงทะเบียนเรียนผู้เรียนเก่า ดําเนินการโดยผ่านระบบออนไลน์ หรือสมัครด้วยตนเองที่สถานศึกษา ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 16 พฤษภาคม 2563 2. การจัดการเรียนการสอนระบบทางไกล และอุปกรณ์ทางการสื่อสาร 2.1 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระยะที่ 1 การเตรียมความพร้อม (7 เมษายน – 17 พฤษภาคม 2563) สํารวจความพร้อมในด้านอุปกรณ์การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ของนักเรียน ผู้ปกครอง ครู และระบบการบริหารจัดการการเรียนการสอน ขออนุมัติใช้ช่องรายการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล จากสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ขออนุมัติเผยแพร่การเรียนการสอนจากห้องเรียนต้นทาง ในระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ของสถานีวิทยุโทรทัศน์การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLTV) จากมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดทําสื่อวีดิทัศน์การสอน โดยครูต้นแบบ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จํานวน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวบรวมสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ใน OBEC Content Center ชุดโปรแกรมและแพลตฟอร์มการเรียนรู้ครบวงจรของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น Tutor ติวฟรี.com, e-Book เป็นต้น เตรียมโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบเครือข่าย เพื่อรองรับการให้บริการ แพลตฟอร์มการเรียนรู้ให้เชื่อมโยงกับระบบ Digital e-Learning ของกระทรวงศึกษาธิการ ระยะที่ 2 การทดลองจัดการเรียนการสอนทางไกล (18 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2563) ทดลองจัดการเรียนการสอนทางไกล ดังนี้ (1) ระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ผ่านช่องรายการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล โดยการเผยแพร่สัญญาณจากมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ (DLTV) ทั้งนี้ ระดับปฐมวัยเน้นกิจกรรมเตรียมความพร้อมเด็ก และระดับประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จํานวน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และ (2) ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ผ่านช่องรายการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัลและระบบออนไลน์โดยครูต้นแบบ ด้วยเครื่องมือการเรียนรู้ตามความเหมาะสมและบริบทของสถานศึกษา เปิดศูนย์รับฟังความคิดเห็นการเรียนการสอนทางไกล จากผู้ปกครอง ประชาชน และผู้เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นแนวทางการปรับปรุงและพัฒนา ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ แนะนําช่องทางการเรียนทางไกลให้กับผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง ระยะที่ 3 การจัดการเรียนการสอน (1 กรกฎาคม 2563 – 30 เมษายน 2564) สําหรับ 2 สถานการณ์ ดังนี้ สถานการณ์ที่ 1 กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid – 19) ไม่คลี่คลาย จะจัดการเรียนการสอนระดับปฐมวัยถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ด้วยระบบทางไกลผ่าน DLTV และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ด้วยวีดิทัศน์การสอนโดยครูต้นแบบ และระบบออนไลน์ด้วยเครื่องมือการเรียนรู้ตามความเหมาะสมและบริบทของสถานศึกษา สถานการณ์ที่ 2 กรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid–19) คลี่คลาย จะจัดการเรียนการสอนปกติในโรงเรียน โดยให้เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) และมีแผนเตรียมการเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ โดยจะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ระยะที่ 4 การทดสอบและการศึกษาต่อ (1 เมษายน – 15 พฤษภาคม 2564) โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบและคัดเลือกเข้าศึกษาต่อ ได้แก่ (1) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เกี่ยวกับระบบคัดเลือกเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา (TCAS GAT PAT) (2) สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ เกี่ยวกับการทดสอบ O-net ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2.2 สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ประสานงานขอความร่วมมือกับโรงเรียน หรือหน่วยงานที่มีความพร้อมด้านสื่อการเรียนการสอนหรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้สําหรับจัดการเรียนการสอนออนไลน์ เพื่อให้โรงเรียนเอกชนใช้จัดการเรียนการสอนได้ตามเงื่อนไขที่แต่ละหน่วยงานกําหนด และโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย อยู่ระหว่างจัดทําสารบัญกลุ่มสาระการเรียนรู้จําแนกตามระดับชั้นและตัวชี้วัด เพื่อการเชื่อมต่อไปยังสื่อการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องซึ่งอยู่ในคลังข้อมูลที่ได้จัดทําขึ้น ให้แล้วเสร็จภายในต้นเดือนพฤษภาคม 2563 จัดทําเว็บไซต์ที่ใช้เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยง ไปยังข้อ 1 และข้อ 2 2.3 สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดําเนินการเตรียมความพร้อมด้านการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ ดังนี้ (1) เตรียมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เชื่อมโยง Platform กับกระทรวงศึกษาธิการ (2) เตรียมระบบ Cloud Computing (3) พัฒนาคลังความรู้ทางวิชาชีพบนระบบ Cloud และ (4) อยู่ระหว่างประสานงานเพื่อขอสนับสนุนช่องสัญญาณทีวีระบบดิจิทัลเพิ่มเติม จากเดิมที่มี DLTV ช่อง 13 (ถ่ายทอด 3 วัน/สัปดาห์) ไปยังมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดการเรียนการสอนออนไลน์ในสถานศึกษาภาครัฐและเอกชน มี 4 แนวทาง ดังนี้ (1) ใช้แบบเรียนหรือเอกสารประกอบการสอนที่บ้าน โดยครูผู้สอนมีระบบออนไลน์ที่ติดต่อถึงผู้เรียนได้หลากหลายช่องทาง (2) ใช้ชุดการเรียนออนไลน์ (Online Course) ซึ่งมีรูปแบบเหมือนกับ DLTV โดยครูผู้สอนสามารถสื่อสารถึงผู้เรียนผ่านสื่อได้หลายช่องทาง อาทิ โทรทัศน์ YouTube เป็นต้น (3) ใช้ระบบการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ของสถานศึกษา ได้แก่ (3.1) ประยุกต์ใช้แอปพลิเคชันที่สถานศึกษาสร้างขึ้น หรือที่มีใช้แพร่หลายในสังคมออนไลน์ รวมถึงการผลิตบทเรียนออนไลน์ด้วยตนเอง และ (3.2) ใช้ห้องเรียนที่มีระบบการเรียนการสอนออนไลน์ของสถานศึกษา ซึ่งสามารถจัดการเรียนการสอนแบบ Realtime ได้ และ (4) ในบางสาขาวิชาที่ขาดแคลนครูผู้สอนหรือต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการสอน อาทิ ช่างซ่อมบํารุงอากาศยาน ช่างเทคนิคระบบขนส่งทางราง อาจเรียนโดยการรับชมการถ่ายทอดสดการจัดการเรียนการสอน (Live) ผ่านศูนย์การสอนออนไลน์ของสถานศึกษาแม่ข่าย (วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง และศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและกําลังคนอาชีวศึกษา) 2.4 สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีเรียน กศน. แบบออนไลน์ โดยผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ (1.1) แอปพลิเคชัน ONIE Online (1.2) ETV และทีวีระบบดิจิทัล ช่อง 37 (1.3) http://www.ETVThai.tv และ http://www.ceted.org และ (1.4) โปรแกรมการสื่อสารอื่น ๆ เช่น Line, Google Classroom, Microsoft Teams, Zoom Meeting, E-book เป็นต้น รวมทั้งพบปะครูผู้สอนตามความเหมาะสมของเนื้อหาวิชา และบริบทพื้นที่ จัดช่องทางการเรียนรู้ ได้แก่ (2.1) ทางสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษา ETV และทีวีระบบดิจิทัล ช่อง 37 ออกอากาศคู่ขนานพร้อมกันทุกวัน เวลา 06.00 น. – 24.00 น. โดยปรับตารางออกอากาศในเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน 2563 เพื่อสนับสนุนสื่อสําหรับในและนอกระบบการศึกษา รวมทั้งกําหนดช่องทางออกอากาศ ได้แก่ GMMz ช่อง 185, DTV ช่อง 252, PSI ช่อง 110, True ช่อง 371 และ (2.2) ทางแอพพลิเคชั่น ONIE Online ดําเนินการวัดและประเมินผล โดยจัดสอบด้วยข้อสอบกลางสําหรับนักศึกษา กศน. ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั้งในรูปแบบข้อสอบและจัดสอบด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามศูนย์ทดสอบอําเภอ จํานวน 148 แห่งทั่วประเทศ 3. การเตรียมความพร้อมสําหรับครู 3.1 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องสําหรับการเรียนการสอนทางไกล ดังนี้ (1) จัดทําคู่มือแนวทางการจัดการเรียนการสอนทางไกลสําหรับครู บุคลากรทางการศึกษาและผู้ที่เกี่ยวข้อง (2) ให้ความรู้ในการใช้เครื่องมือ เทคนิคและวิธีการจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านช่องทาง DLTV และ OBEC Channel และ (3) นิเทศ ติดตามและประเมินผลการจัดการเรียนการสอนทางไกล 3.2 สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จัดฝึกอบรมครูให้สามารถใช้โปรแกรมที่มีอยู่อย่างแพร่หลายให้แล้วเสร็จประมาณต้นเดือนพฤษภาคม 2563 และใช้โปรแกรมจัดการเรียนการสอนออนไลน์ที่อยู่ระหว่างพัฒนา ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายเดือนพฤษภาคม 2563 3.3 สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดําเนินการพัฒนาครู โดย (1.1) ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือเพื่อพัฒนาครูอาชีวศึกษาให้สร้างบทเรียนออนไลน์ สื่อการสอน เทคนิควิธีสอน และการประเมินผลที่เหมาะสมกับการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ โดยกําหนดบทบาทครูเป็น 3 กลุ่ม คือ Excellent Teacher, Mentor Teacherและ Network Teacher และ (1.2) พัฒนาทักษะการใช้โปรแกรม ที่สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ เพื่อให้ครูสามารถพัฒนาบทเรียนออนไลน์ได้ตามความสนใจ การพัฒนาชุดการเรียนออนไลน์ (Online Course) ทุกรายวิชาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษากําหนด สําหรับระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ซึ่งสถาบันการอาชีวศึกษากําหนด 3.4 สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ดําเนินการเตรียมความพร้อม ได้แก่ (1) การชี้แจงผู้เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับจังหวัด และผู้บริหารระดับอําเภอ (2) การอบรมครู ประกอบด้วย การจัดการเรียนรู้ผ่านระบบทางไกล และการสร้างแบบทดสอบแบบออนไลน์ (3) การชี้แจงนักศึกษา และ (4) การจัดทําคู่มือการจัดการเรียนรู้ผ่านระบบทางไกล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29521
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รัก ทุกท่าน เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดงาน“อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์”ระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2561 ถึง วันที่ 19 มกราคม 2562 ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่าและได้พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดกิจกรรมปั่นจักรยาน“Bikeอุ่นไอรัก”ในโอกาสพิธีเปิดงานอุ่นไอรักฯ วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสําคัญในการรักษาสุขภาพด้วยการออกกําลังกายอีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี ในครอบครัวและสังคม ในการนี้จะทรงจักรยานในเส้นทางประวัติศาสตร์ ผ่านสายน้ําคูคลองสําคัญต่าง ๆ อาทิ คลองมหานาค คลองผดุงกรุงเกษม คลองหลักของกรุงรัตนโกสินทร์ ไปยังคลองลัดโพธิ์ อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริด้านการบริหารจัดการน้ําของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รวมระยะทางไป - กลับ 39 กิโลเมตร ซึ่งกิจกรรมปั่นจักรยานนี้จะดําเนินการอย่างพร้อมเพียงกัน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอําเภอทั่วประเทศ และระบบออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์บนหน้าจอ ทั้งนี้ ปัจจุบัน มีผู้ลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้นกว่า 2 แสนคนจากทั่วประเทศ นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเสื้อที่ทรงออกแบบด้วยพระองค์เอง แก่ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมปั่นจักรยานในกิจกรรม“Bikeอุ่นไอรัก”ในครั้งนี้ด้วย โดยเป็นเสื้อพระราชทานสีเหลืองคาดด้วยสีฟ้า ด้านหลังมีภาพวาดการ์ตูนฝีพระหัตถ์ พร้อมทั้งพระปรมาภิไธย ซึ่งในวันที่ 28 พฤศจิกายน นี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด จะเข้ารับพระราชทานเสื้อ เพื่อเชิญไปมอบแก่ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมทุกคน ในวันที่ 1 และ 2 ธันวาคม นี้ ณ ศาลากลางจังหวัด ทุกจังหวัด ส่วนในกรุงเทพฯ รับที่สนามศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งชาติ นะครับ พี่น้องประชาชนครับ ผมยังมีเรื่องติดค้างจากภารกิจ ณ ต่างประเทศ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือการเข้าร่วมประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจ เอเปค ครั้งที่ 26 ที่รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยหัวข้อหลักในการประชุม ได้แก่“การสร้างโอกาสอย่างครอบคลุมเพื่อเปิดรับอนาคตทางดิจิทัล”ที่เน้นการหารือในประเด็นสําคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ (1) การพัฒนาความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค(2) การส่งเสริมการเจริญเติบโตให้ทั่วถึงและยั่งยืนและ (3) การเสริมสร้างการเจริญเติบโตอย่างทั่วถึง ผ่านการปฏิรูปโครงสร้าง ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุมร่วมกับตัวแทนสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจ เอเปค นั้น ผมได้เล่าเรื่องให้ที่ประชุมฟัง ถึงความก้าวหน้าของไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ด้วยการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่เราเรียกว่า“เน็ตประชารัฐ”ให้กับประชาชนทั่วประเทศ แม้ในพื้นที่ห่างไกล การปรับปรุงกฎระเบียบให้เหมาะสมกับยุคดิจิทัล และการร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อจะพัฒนาทักษะวิชาชีพให้กับแรงงานและผู้มีรายได้น้อย เพื่อจะเพิ่มรายได้ นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งPlatformส่งเสริมวิสาหกิจขนาดย่อม - ขนาดเล็ก และขนาดกลาง หรือที่เรียกกว่าMicro SMEsให้สามารถทําการค้าขายOnlineและe-Commerceได้ เพื่อเปิดกว้างสู่ตลาดโลกอีกทั้งมีความร่วมมือกับบริษัทใหญ่ อย่างAlibabaเพื่อจะเสริมสร้างศักยภาพให้MicroSMEsของเราด้วย ก็จะทําให้ไทยมีความพร้อมในการเชื่อมโยง ทั้งด้านการค้าและการลงทุนกับธุรกิจในภูมิภาค ในการประชุมกับผู้นําเอเปค นั้น ผมได้ชักชวนให้เอเปคมองไปข้างหน้า และกระชับความร่วมมือในเรื่องของการพัฒนาทักษะและการศึกษา เพื่อจะรองรับการการเข้าสู่ยุคดิจิทัล การเสริมสร้างศักยภาพและบุคลากรด้านCyber Securityการสนับสนุนการค้าแบบพหุภาคีและการจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างกัน ที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร เกษตรกรรม และประมง ที่ยั่งยืนซึ่งผมได้ขอให้เน้นส่งเสริมการเปิดเสรีการค้า ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างครอบคลุม โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งส่งเสริมธุรกิจที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตของคนรุ่นหลังด้วย จากการประชุมครั้งนี้ เราได้เห็นถึงประเด็นปัญหาด้านการค้าระหว่างประเทศใหญ่ ๆ ที่ยังมีความเห็นอาจจะไม่ตรงกันอยู่บ้าง ซึ่งก็เป็นประเด็นที่เราได้ยิน ได้ฟัง มาระยะหนึ่งแล้ว รัฐบาลได้ตระหนักและเตรียมมาตรการรองรับล่วงหน้าสําหรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น สําหรับท่าทีของไทยนั้น ยังคงสนับสนุนความร่วมมือกับมิตรประเทศ ในการที่จะส่งเสริมการค้าแบบพหุภาคี ที่เปิดกว้าง เสรี ทั่วถึง และยั่งยืน อันจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนในระยะยาว ขณะเดียวกัน ประเทศในภูมิภาคนี้ ก็ยังสามารถร่วมมือกัน ยกระดับความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างกัน เพื่อการสร้างศักยภาพในด้านอื่น ๆ ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น การส่งเสริมให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทั่วถึงและยั่งยืน และเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้ในการเตรียมคนไทย เยาวชนไทยไปสู่อนาคต เพื่อจะรองรับการเปลี่ยนแปลงดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั้น ในที่ประชุมต่าง ๆ เราได้มีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายมาอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงสุดสัปดาห์นี้ ระหว่างวันที่ 23 - 25 พฤศจิกายน ก็จะมีการจัดงาน“ขับเคลื่อน ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม”ณ พื้นที่สยามสแควร์ เพื่อแสดงให้เห็นทิศทางในการขับเคลื่อนประเทศในยุคดิจิทัลของรัฐบาลนี้ เพื่อจะนําไปสู่การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การขยายผลและการต่อยอดงานวิจัยและพัฒนาไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์ อีกทั้งการยกระดับSMEsและStartupผ่านกลไกประชารัฐ เป็นต้นผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชน ที่จะเติบโตขึ้นมาเป็น“คนไทยในศตวรรษที่ 21”ได้มาร่วมในงานตามวันและเวลาดังกล่าวด้วยนะครับ พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ ภายใต้สภาวะสงครามการค้า และเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว เศรษฐกิจไทยในภาพรวม ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง การส่งออก 9 เดือนแรก ยังขยายตัว 8.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกัน ของปีก่อน รายได้จากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวชาวจีน แม้จะลดลง แต่ไทยก็ยังครองความเป็นที่หมายอันดับ 1 ของชาวจีนอยู่ในปัจจุบัน สิ่งสําคัญที่รัฐบาลให้ความสนใจอยู่เสมอ คือทําอย่างไรการกระจายรายได้ลงไปสู่พี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มฐานราก และพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งรัฐบาลก็ได้ดําเนินการในหลาย ๆ เรื่องด้วยกัน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนกลุ่มนี้ ทั้งการเพิ่มรายได้ การปรับปรุงและขยายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน และอินเทอร์เน็ต การเสริมทักษะและฝึกอาชีพ รวมทั้งแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ หรือความเดือดร้อนจากการขายฝากที่ไม่เป็นธรรมเพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถดําเนินชีวิตได้อย่างไม่ลําบากจนเกินไป อีกหนึ่งมาตรการสําคัญที่รัฐบาลนี้ได้ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องก็คือการช่วยเหลือพี่น้องผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาทิ การบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวันด้านต่าง ๆ เช่น การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น ก๊าซหุงต้ม ค่าเดินทาง เงินเพิ่มสําหรับผู้ต้องการพัฒนาอาชีพ และผู้สูงอายุ รวมถึงการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปในกระเป๋าเงิน ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นต้น อย่างไรก็ดี จากการสํารวจและสอบถามถึงปัญหา และความต้องการได้รับความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งการวิเคราะห์ฐานข้อมูลที่มีในปัจจุบัน ทราบว่าการดําเนินการที่ผ่านมานั้น สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด เราก็จําเป็นต้องมีมาตรการที่เจาะจงเฉพาะกลุ่มลงไปเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ผมคิดว่าการอยู่ร่วมกันในสังคม เราจําเป็นต้องเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข โดยเฉพาะความทุกข์ที่เป็นผลมาจากการขาดโอกาสในอดีต หรือเลือกเกิดไม่ได้ ซึ่งเขาเหล่านั้นต้องการโอกาสตั้งตัว หรือการผ่อนปรนภาระบางส่วน ซึ่งรัฐบาลก็พยายามจะปรับมาตรการให้ตรงจุด ตรงความเดือดร้อนของแต่ละกลุ่ม โดยล่าสุดก็ได้มีมาตรการเพิ่มเติม อีก 4 มาตรการ คือ 1. มาตรการช่วยเหลือค่าน้ํา - ค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากการที่ผู้มีรายได้น้อยใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน ติดกัน 3 เดือน ซึ่งจะมีสิทธิค่าไฟฟ้าฟรีอยู่แล้ว ซึ่งมาตรการนี้ จะช่วยเหลือผู้ที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วย แต่ไม่เกิน 230 บาทต่อเดือน และน้ําประปาไม่เกิน 100 บาทต่อเดือน ซึ่ง 1 ครัวเรือน ใช้ได้เพียง 1 สิทธิ เท่านั้น โดยให้ไปชําระค่าน้ํา - ค่าไฟ ตามปกติ พร้อมกับยื่นบัตรสวัสดิการ จากนั้นภาครัฐจะโอนเงินคืนไปยังกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้สามารถถอนเงินสดออกมาได้ในเดือนถัดไป มาตรการชั่วคราวนี้ จะเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 คิดเป็นระยะเวลา 10 เดือน เท่านั้นครับ 2. การสนับสนุนค่าใช้จ่ายช่วงปลายปีคนละ 500 บาท ในเดือนธันวาคมเพียงเดือนเดีย ซึ่งจะมีการโอนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของท่านเช่นกัน เพื่อจะรองรับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้น ในช่วงสิ้นปีสําหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว แต่มักมีรายจ่ายเพิ่มเป็นค่าเดินทางกลับภูมิลําเนา กลับไปหาครอบครัว หรือซื้อของฝาก 3. ค่าเดินทางไปรักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพ คนละ 1,000 บาท สําหรับผู้มีบัตรสวัสดิการฯ ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป โดยจะได้รับครั้งเดียวในเดือนธันวาคมนี้ และจะสามารถใช้วงเงินนี้ได้ จนถึงเดือนกันยายนปีหน้า และ 4. ค่าเช่าบ้าน คนละ 400 บาทต่อเดือน สําหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะได้รับเงินในกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีนี้ ถึงเดือนกันยายน ปีหน้า ซึ่งเป็นการเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ จากทั้ง 4 มาตรการนี้ ผู้มีรายได้น้อยสามารถจะถอนเป็นเงินไปใช้จ่ายได้ เหมือนบัตรATMโดยงบประมาณที่ใช้ เป็นเงินจากกองทุนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้มีรายได้น้อย ได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เนื่องจากประเทศไทยกําลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สู่วัย ปัจจุบันยังมีผู้สูงอายุต้องเผชิญกับปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย เนื่องจากค่าครองชีพสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อค่ายา และค่าเดินทาง ซึ่งข้าราชการเกษียณจํานวนไม่น้อย หากได้รับการปรับอัตราและวิธีการจ่ายบําเหน็จ - บํานาญใหม่ ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้สามารถดํารงชีพอยู่ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น โดยอยู่ระหว่างการปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2 เรื่อง ได้แก่ 1.การปรับเพิ่มเบี้ยหวัดบํานาญ ซึ่งปัจจุบันยังต่ํากว่าเดือนละ 10,000 บาท ให้ได้รับเต็มจํานวน 10,000 บาทต่อเดือน และ 2. การขยายเพดานของวงเงินบําเหน็จดํารงชีพ ให้แก่ผู้รับบํานาญซึ่งมีอายุตั้งแต่ 70 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพิ่มอีก 100,000 บาท จากเดิมเพดาน ไม่เกิน 400,000 บาท ปรับใหม่เป็น 500,000 บาทอันนี้ก็เป็นวงเงินของท่านอยู่แล้วนะครับ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มประชาชนที่พอมีรายได้แต่ไม่มากนัก ทําให้ไม่สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้รัฐบาลต้องสร้างความมั่นคงให้กับพี่น้องประชาชนและครอบครัวในกลุ่มนี้ จึงได้ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดทํา "โครงการบ้านล้านหลัง" ขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีบ้านเป็นของตนเอง ในระดับราคาที่ไม่สูงมาก และเหมาะสมกับศักยภาพการหารายได้ของประชาชนในแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ กลุ่มวัยทํางาน หรือประชาชนที่กําลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ โดยจะมีการสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในเงื่อนไขผ่อนปรนสําหรับลูกค้ารายย่อย เพื่อจะนําไปจัดซื้อหรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท มีระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี เป็นต้น ซึ่งโครงการนี้ จะมีระยะเวลาดําเนินโครงการ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบโครงการ คือ วันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ไปจนถึง วันที่ 30 ธันวาคม ปีหน้าครับ ทั้งนี้ รายละเอียดสวัสดิการต่าง ๆ ผมอยากให้พี่น้องประชาชนได้ติดตาม สอบถาม ตรวจสอบข้อมูล ตามช่องทางต่าง ๆ ของภาครัฐด้วย เพื่อจะขอรับสวัสดิการหรือสิทธิที่พึงมี พึงได้ของท่าน จะได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เนื่องจากเป็นโอกาสที่รัฐบาลพยายามที่จะหยิบยื่นให้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ผมเข้าใจดี ถึงความรู้สึกพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง เป็นอย่างดี และรัฐบาลนี้ ก็มีเจตนาที่ชัดเจนว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้จะเป็นความสุขเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม คนที่มีรายได้น้อยเราต้องดูแล อันนี้เป็นเรื่องของความเป็นธรรม พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ สําหรับความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางผมก็อยากให้ทุกคนได้เข้าใจสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับตลาดยางพาราเสียก่อนนะครับ มิฉะนั้นคงไม่อาจเข้าใจว่าเราจะทําอะไร เพื่ออะไรแล้วการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และระยะยาว ควรจะเป็นอย่างไรจึงจะเหมาะสม ที่สําคัญก็คือ เราต้องร่วมือกันในการแก้ปัญหา ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา เป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว ที่ได้มีการสนับสนุนให้มีการปลูกยางพารา ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศนับล้านไร่โดยไม่ได้มีการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด จึงส่งผลให้ประเทศไทยเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ส่งออกยางพารามากที่สุดในโลก แต่ในปัจจุบันราคายางพาราในประเทศและในตลาดโลก มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทําให้เกษตรกรชาวสวนยางส่วนใหญ่ประสบความเดือดร้อน มีรายได้ไม่เพียงพอ รัฐบาลก็จําเป็นต้องเข้ามาช่วยเหลือ เช่นเดียวกับพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยได้ทําการศึกษาข้อมูลพื้นฐานของปัญหา ที่มาของภาวะวิกฤติ ราคายางพาราและแนวทางแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ํา จากข้อมูลและข้อเท็จจริงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้งรวบรวมข้อมูลจากองค์การศึกษาเรื่องยางระหว่างประเทศ (IRSG)หน่วยงานของรัฐ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จนค้นพบข้อเท็จจริงที่สําคัญ สรุปได้ดังนี้ 1. ประเทศไทยมีพื้นที่กรีดยางมากที่สุด ในกลุ่มประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ อันได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย จีน เวียดนาม อินเดีย และไทย โดยในปี 2560 ประเทศไทยมีพื้นที่กรีดยางได้มากกว่า 20 ล้านไร่ ทําให้ประเทศไทยมีผลผลิตยางมากที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับการผลิตยางธรรมชาติของทั้ง 6 ประเทศรายใหญ่ของโลก คือประมาณ 4.5 ล้านตัน 2. ต้นทุนการผลิตยางแผ่นดิบของประเทศไทย ปี 50 - 59 มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น เป็นระยะ ๆ ประมาณร้อยละ 7 โดยไม่มีท่าทีว่าจะลดลงแต่อย่างใด 3. ในขณะที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น แต่ราคาขายยางพารากลับลดลง โดยปี 50 - 59 มี ต้นทุนเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 6.94แต่ราคาขายเฉลี่ยติดลบ ร้อยละ 3.76 4. ปัจจุบัน ราคายางพาราอยู่ในภาวะขาลง โดยช่วงปี 51 - 60 ราคายางแท่งหดตัวลง เฉลี่ยร้อยละ 4.12 และราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 หดตัวลงเฉลี่ยร้อยละ 2.86 และ 5. สถานการณ์ราคายางพาราเมื่อเปรียบเทียบกับผลผลิตทั้งประเทศ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ปริมาณผลผลิตยางเฉลี่ยในประเทศไทย มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็นระยะ ๆ โดยช่วง 4 ปีท้ายนี้ มีปริมาณผลผลิตยางมากที่สุดราว 4.5 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าทุก ๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมา ในขณะที่ราคายางพาราในตลาดโลก กลับลดลงเรื่อย ๆ สวนทางกับปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ยิ่งกว่านั้น ราคาน้ํามันดิบในตลาดโลก ช่วงปี 2557 - 2561 ก็มีราคาลดต่ําลง ทําให้มีการใช้ยางสังเคราะห์แบบน้ํามัน แทนการใช้ยางพาราเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้ง ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน และประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ของสหรัฐอเมริกาส่งผลให้การส่งออกยางพาราจากไทยไปยังประเทศจีน หรือ ประเทศลูกค้ารายสําคัญลดลง ทําให้ราคายางในประเทศไทยลดลงตามไปด้วย จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าการแก้ไขปัญหาราคายางพาราในประเทศไทยให้ยั่งยืน และไม่มีผลกระทบต่อระบบการคลังของประเทศ ก็คือการลดการพึ่งพาการส่งออกเพราะราคายางพาราในต่างประเทศอยู่ในภาวะเวลาลดลงทุกตลาดและราคายางพาราซื้อขายในประเทศ ก็ยังอิงกับราคาซื้อขายยางพาราล่วงหน้าในต่างประเทศด้วย ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้น พร้อมกับการปรับสมดุลลดปริมาณ ยางพาราลงด้วย ซึ่งก็จะทําให้ราคายางพาราในประเทศมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้น รัฐบาลก็จึงมีข้อเสนอในการแก้ไขปัญหายางพาราต่อคณะกรรมการยางพารา และ คณะกรรมการนโยบายยางพาราธรรมชาติ ในระยะเร่งด่วน เพื่อจะทุเลาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาวพารา ดังนี้ 1. การจัดทําโครงการเร่งด่วนพัฒนาอาชีพ เพื่อจะสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยางและเป็นรายครอบครัว เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นในระหว่างราคายางพาราตกต่ํา 2. การลดปริมาณการผลิตยางพารา โดยส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนต้นยางพาราที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป หรืออายุ 15 ปีที่มีต้นโทรม ให้น้ํายางน้อย ไม่คุ้มค่าไปปลูกพืชอื่น ๆ รวมทั้งมีการสนับสนุนให้มีการปลูกพืชอื่นแซมในสวนยางโดยอาจพิจารณาให้แรงจูงใจกับเกษตรกรมากกว่าปัจจุบันเพื่อจะเร่งการตัดสินใจลดปริมาณการผลิตยาง โดยจะต้องทําควบคู่กับการให้แรงจูงใจกับผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ที่ใช้ไม้ยางพาราในประเทศเป็นวัตถุดิบ หรือลดภาษีสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ไม้ยางพาราในประเทศเป็นวัตถุดิบ เพื่อจะเพิ่มอุปสงค์ไม้ยางพารา ให้สอดรับกับอุปทานที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 3. เชิญชวนและเปิดรับสมัครเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศ ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการฝากน้ํายางไว้กับต้นยาง ช่วงราคาตกต่ํา หรืออาจจะช่วยกันหยุดกรีดยาง เป็นเวลา 1 - 2 เดือน อาจจะทําให้ยางพาราลดลงจากตลาดไปในทันที จํานวน 5 แสนตันต่อเดือน ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นราคายางพาราในตลาด เพราะการซื้อขายยางนั้นใช้รูปแบบเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีการซื้อขายแบบส่งมอบสินค้า และซื้อขายล่วงหน้า มีสัญญาส่งมอบสินค้า เมื่อครบอายุสัญญา ซึ่งวิธีการหยุดกรีดยางนี้ หากสามารถควบคุมการหยุดกรีดได้จริง ก็จะมีผลต่อราคายางพาราให้สูงขึ้นมาก หากมีเกษตรกรชาวสวนยางทั้งประเทศเห็นด้วย ร่วมมือกับมาตรการดังกล่าว และสมัครเข้าร่วมโครงการ มากกว่าร้อยละ 80 ของเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศ ก็จะได้ให้ กยท. ไปจัดทําโครงการ อันนี้ไม่ได้บังคับนะครับ เชิญชวนความสมัครใจของท่าน ถ้าถึง 80% เราก็จะไปจัดทําโครงการเหล่านี้ ในการที่จะส่งเสริมอาชีพชาวสวนยางระหว่างโครงการเพื่อให้มีรายได้มาชดเชย ช่วงหยุดกรีดยางต่อไป 4. ขอความร่วมมือบริษัทหรือภาคเอกชน ที่มีธุรกิจแปรรูปหรือโรงงานอุตสาหกรรมผลิตล้อยางส่งขายในต่างประเทศ และภายในประเทศเพื่อจะขอให้เข้าร่วมรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนเปลี่ยนยางล้อรถยนต์ในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางถนน ในราคาถูก โดยให้ประชาชนได้สิทธินําใบเสร็จซื้อยางล้อรถยนต์ไปลดภาษีเงินได้บุคคล หรือนิติบุคคลประจําปี ในขณะที่บริษัทเอกชน หรือโรงงานที่เข้าร่วมโครงการผลิตยางรถยนต์ราคาถูก ก็จะได้สิทธิพิเศษทางภาษีเช่นกัน โดยมีเงื่อนไขและหลักฐานว่า ได้ซื้อยางพาราจากกลุ่มเกษตรกร หรือสถาบันเกษตรกรที่มี กยท. รับรองโดยตรงด้วย รวมทั้งให้เชิญชวนบริษัทเอกชนทั้งของไทยและต่างประเทศ ให้เข้ามาลงทุนผลิต หรือรับแปรรูปยางส่งไปขายต่างประเทศ ให้มีสิทธิพิเศษทางการลงทุน ตามที่หน่วยงานรัฐ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)จะได้กําหนดต่อไป และ 5. ส่งเสริมและเร่งรัดการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยส่งเสริมการใช้ยางพารา และผลิตภัณฑ์จากยางพาราในทุกรูปแบบ โดยเริ่มจากหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐก่อน แล้วขยายไปสู่ตลาด หรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งนี้ แนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น เป็นการดําเนินการในระยะเร่งด่วน เพื่อจะบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรเท่านั้น รัฐบาลยังคงสํารวจมาตรการใหม่ ๆ ที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับวงการยางพาราของไทยสิ่งสําคัญที่สุดก็คือความเข้าใจในข้อมูลพื้นฐานที่ผมได้กล่าวไปแล้ว จะทําให้เกิดความร่วมมือที่เราจะร่วมกันทํา ดําเนินการต่อไปให้เป็นผลตามที่รัฐบาลแนะนํานะครับ เรื่องยางพารานี่ก็มีปัญหาอีกอัน ก็คือเราไม่ใช่มีเฉพาะเจ้าของยางพารา เรามีผู้กรีดยางอีกด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องพิจารณาสัดส่วนในการที่จะช่วยเหลือทั้งเจ้าของสวนยางและผู้รับจ้างกรีดยางด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มีการขึ้นทะเบียนไปแล้ว เราจะดูแลในส่วนนี้ได้ สุดท้ายนี้ ผมได้เตรียมของขวัญปีใหม่สําหรับเยาวชน และพี่น้องประชาชนทุกคน ด้วยการสนับสนุนให้รักการอ่าน และการเข้าถึงหนังสือคุณภาพของทางราชการ และสถาบันการศึกษา โดยได้สั่งการให้มีการจัดทําสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Books)วีดิทัศน์ ไฟล์เสียง เป็นต้น เพื่อให้มีความทันสมัย และเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเอกสารความรู้ และ หนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ หรือหน่วยงานต่าง ๆ ให้ได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งก็มีเป้าหมายจะเปิดตัวโครงการNational e-Libraryในงานวันเด็กแห่งชาติปีหน้า ประกอบไปด้วย2 ระบบ ก็คือ ประเภทสื่อการเรียนรู้ และข้อมูลความรู้สําหรับเยาวชน และประชาชนโดยทั่วไป ขอให้ทุกกระทรวงตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ได้จัดทําไฟล์ข้อมูลเพื่อการอัพโหลดเข้าสู่ระบบ ที่ได้พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อจะเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากe-Libraryของนักเรียนและประชาชนทั่วประเทศ ขอให้ติดตามผลงานที่สร้างสรรค์ เพื่อให้ทุก ๆ คน ได้เติบโต ก้าวหน้า พัฒนาตนเอง เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพของบ้านเมืองในอนาคตด้วย ผมเชื่อว่าศักยภาพของคนทุกคนไร้ขีดจํากัด หากได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้อง เหมาะสม รวมทั้งการสนับสนุนที่ดี และต่อเนื่อง อาทิ“โปรเม”เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟสาวไทยมือ 1 ของโลก ได้สร้างประวัติศาสตร์กวาดรางวัลใหญ่ ปิดท้ายฤดูกาลของLPGA Tourได้ครบทุกรางวัล และ รางวัลใหญ่ประจําปี อีกหลายรางวัล และ“ครูไอซ์”ดําเกิง มุ่งธัญญาหรือ“อัจฉริยะในโลกมืด”ที่แม้จะพิการทางสายตา แต่ก็สามารถจะเอาชนะข้อจํากัดทางร่างกาย ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง สามารถจบการศึกษาคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับ 1 มาเป็นครูภาษาอังกฤษ สมความตั้งใจ ก็ขอชื่นชม ขอให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนไทยทุก ๆ คน อย่าได้ลดละความพยายาม อย่ายอมจํานนต่ออุปสรรค หรืออย่าย่อท้อต่อโชคชะตานะครับ ขอบคุณนะครับขอให้ทุกคนมีจิตใจที่มุ่งมั่น และทุกครอบครัวมีความอบอุ่น สวัสดีครับ ................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รัก ทุกท่าน เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดงาน“อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์”ระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2561 ถึง วันที่ 19 มกราคม 2562 ณ พระลานพระราชวังดุสิตและสนามเสือป่าและได้พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดกิจกรรมปั่นจักรยาน“Bikeอุ่นไอรัก”ในโอกาสพิธีเปิดงานอุ่นไอรักฯ วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสําคัญในการรักษาสุขภาพด้วยการออกกําลังกายอีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี ในครอบครัวและสังคม ในการนี้จะทรงจักรยานในเส้นทางประวัติศาสตร์ ผ่านสายน้ําคูคลองสําคัญต่าง ๆ อาทิ คลองมหานาค คลองผดุงกรุงเกษม คลองหลักของกรุงรัตนโกสินทร์ ไปยังคลองลัดโพธิ์ อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการซึ่งเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริด้านการบริหารจัดการน้ําของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รวมระยะทางไป - กลับ 39 กิโลเมตร ซึ่งกิจกรรมปั่นจักรยานนี้จะดําเนินการอย่างพร้อมเพียงกัน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ณ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอําเภอทั่วประเทศ และระบบออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์บนหน้าจอ ทั้งนี้ ปัจจุบัน มีผู้ลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้นกว่า 2 แสนคนจากทั่วประเทศ นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเสื้อที่ทรงออกแบบด้วยพระองค์เอง แก่ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมปั่นจักรยานในกิจกรรม“Bikeอุ่นไอรัก”ในครั้งนี้ด้วย โดยเป็นเสื้อพระราชทานสีเหลืองคาดด้วยสีฟ้า ด้านหลังมีภาพวาดการ์ตูนฝีพระหัตถ์ พร้อมทั้งพระปรมาภิไธย ซึ่งในวันที่ 28 พฤศจิกายน นี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด จะเข้ารับพระราชทานเสื้อ เพื่อเชิญไปมอบแก่ผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมทุกคน ในวันที่ 1 และ 2 ธันวาคม นี้ ณ ศาลากลางจังหวัด ทุกจังหวัด ส่วนในกรุงเทพฯ รับที่สนามศุภชลาศัย สนามกีฬาแห่งชาติ นะครับ พี่น้องประชาชนครับ ผมยังมีเรื่องติดค้างจากภารกิจ ณ ต่างประเทศ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็คือการเข้าร่วมประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจ เอเปค ครั้งที่ 26 ที่รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยหัวข้อหลักในการประชุม ได้แก่“การสร้างโอกาสอย่างครอบคลุมเพื่อเปิดรับอนาคตทางดิจิทัล”ที่เน้นการหารือในประเด็นสําคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ (1) การพัฒนาความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในภูมิภาค(2) การส่งเสริมการเจริญเติบโตให้ทั่วถึงและยั่งยืนและ (3) การเสริมสร้างการเจริญเติบโตอย่างทั่วถึง ผ่านการปฏิรูปโครงสร้าง ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุมร่วมกับตัวแทนสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจ เอเปค นั้น ผมได้เล่าเรื่องให้ที่ประชุมฟัง ถึงความก้าวหน้าของไทยในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ด้วยการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่เราเรียกว่า“เน็ตประชารัฐ”ให้กับประชาชนทั่วประเทศ แม้ในพื้นที่ห่างไกล การปรับปรุงกฎระเบียบให้เหมาะสมกับยุคดิจิทัล และการร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อจะพัฒนาทักษะวิชาชีพให้กับแรงงานและผู้มีรายได้น้อย เพื่อจะเพิ่มรายได้ นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งPlatformส่งเสริมวิสาหกิจขนาดย่อม - ขนาดเล็ก และขนาดกลาง หรือที่เรียกกว่าMicro SMEsให้สามารถทําการค้าขายOnlineและe-Commerceได้ เพื่อเปิดกว้างสู่ตลาดโลกอีกทั้งมีความร่วมมือกับบริษัทใหญ่ อย่างAlibabaเพื่อจะเสริมสร้างศักยภาพให้MicroSMEsของเราด้วย ก็จะทําให้ไทยมีความพร้อมในการเชื่อมโยง ทั้งด้านการค้าและการลงทุนกับธุรกิจในภูมิภาค ในการประชุมกับผู้นําเอเปค นั้น ผมได้ชักชวนให้เอเปคมองไปข้างหน้า และกระชับความร่วมมือในเรื่องของการพัฒนาทักษะและการศึกษา เพื่อจะรองรับการการเข้าสู่ยุคดิจิทัล การเสริมสร้างศักยภาพและบุคลากรด้านCyber Securityการสนับสนุนการค้าแบบพหุภาคีและการจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างกัน ที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร เกษตรกรรม และประมง ที่ยั่งยืนซึ่งผมได้ขอให้เน้นส่งเสริมการเปิดเสรีการค้า ควบคู่ไปกับการสนับสนุนให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างครอบคลุม โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง รวมทั้งส่งเสริมธุรกิจที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตของคนรุ่นหลังด้วย จากการประชุมครั้งนี้ เราได้เห็นถึงประเด็นปัญหาด้านการค้าระหว่างประเทศใหญ่ ๆ ที่ยังมีความเห็นอาจจะไม่ตรงกันอยู่บ้าง ซึ่งก็เป็นประเด็นที่เราได้ยิน ได้ฟัง มาระยะหนึ่งแล้ว รัฐบาลได้ตระหนักและเตรียมมาตรการรองรับล่วงหน้าสําหรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น สําหรับท่าทีของไทยนั้น ยังคงสนับสนุนความร่วมมือกับมิตรประเทศ ในการที่จะส่งเสริมการค้าแบบพหุภาคี ที่เปิดกว้าง เสรี ทั่วถึง และยั่งยืน อันจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมืองและพี่น้องประชาชนในระยะยาว ขณะเดียวกัน ประเทศในภูมิภาคนี้ ก็ยังสามารถร่วมมือกัน ยกระดับความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างกัน เพื่อการสร้างศักยภาพในด้านอื่น ๆ ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น การส่งเสริมให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทั่วถึงและยั่งยืน และเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้ในการเตรียมคนไทย เยาวชนไทยไปสู่อนาคต เพื่อจะรองรับการเปลี่ยนแปลงดังที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั้น ในที่ประชุมต่าง ๆ เราได้มีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายมาอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงสุดสัปดาห์นี้ ระหว่างวันที่ 23 - 25 พฤศจิกายน ก็จะมีการจัดงาน“ขับเคลื่อน ไทยแลนด์ 4.0 ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม”ณ พื้นที่สยามสแควร์ เพื่อแสดงให้เห็นทิศทางในการขับเคลื่อนประเทศในยุคดิจิทัลของรัฐบาลนี้ เพื่อจะนําไปสู่การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การขยายผลและการต่อยอดงานวิจัยและพัฒนาไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงพาณิชย์ อีกทั้งการยกระดับSMEsและStartupผ่านกลไกประชารัฐ เป็นต้นผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชน ที่จะเติบโตขึ้นมาเป็น“คนไทยในศตวรรษที่ 21”ได้มาร่วมในงานตามวันและเวลาดังกล่าวด้วยนะครับ พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ ภายใต้สภาวะสงครามการค้า และเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว เศรษฐกิจไทยในภาพรวม ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง การส่งออก 9 เดือนแรก ยังขยายตัว 8.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกัน ของปีก่อน รายได้จากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวชาวจีน แม้จะลดลง แต่ไทยก็ยังครองความเป็นที่หมายอันดับ 1 ของชาวจีนอยู่ในปัจจุบัน สิ่งสําคัญที่รัฐบาลให้ความสนใจอยู่เสมอ คือทําอย่างไรการกระจายรายได้ลงไปสู่พี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะกลุ่มฐานราก และพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งรัฐบาลก็ได้ดําเนินการในหลาย ๆ เรื่องด้วยกัน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนกลุ่มนี้ ทั้งการเพิ่มรายได้ การปรับปรุงและขยายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน และอินเทอร์เน็ต การเสริมทักษะและฝึกอาชีพ รวมทั้งแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ หรือความเดือดร้อนจากการขายฝากที่ไม่เป็นธรรมเพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถดําเนินชีวิตได้อย่างไม่ลําบากจนเกินไป อีกหนึ่งมาตรการสําคัญที่รัฐบาลนี้ได้ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องก็คือการช่วยเหลือพี่น้องผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาทิ การบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวันด้านต่าง ๆ เช่น การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น ก๊าซหุงต้ม ค่าเดินทาง เงินเพิ่มสําหรับผู้ต้องการพัฒนาอาชีพ และผู้สูงอายุ รวมถึงการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปในกระเป๋าเงิน ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นต้น อย่างไรก็ดี จากการสํารวจและสอบถามถึงปัญหา และความต้องการได้รับความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งการวิเคราะห์ฐานข้อมูลที่มีในปัจจุบัน ทราบว่าการดําเนินการที่ผ่านมานั้น สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด เราก็จําเป็นต้องมีมาตรการที่เจาะจงเฉพาะกลุ่มลงไปเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ผมคิดว่าการอยู่ร่วมกันในสังคม เราจําเป็นต้องเฉลี่ยทุกข์ เฉลี่ยสุข โดยเฉพาะความทุกข์ที่เป็นผลมาจากการขาดโอกาสในอดีต หรือเลือกเกิดไม่ได้ ซึ่งเขาเหล่านั้นต้องการโอกาสตั้งตัว หรือการผ่อนปรนภาระบางส่วน ซึ่งรัฐบาลก็พยายามจะปรับมาตรการให้ตรงจุด ตรงความเดือดร้อนของแต่ละกลุ่ม โดยล่าสุดก็ได้มีมาตรการเพิ่มเติม อีก 4 มาตรการ คือ 1. มาตรการช่วยเหลือค่าน้ํา - ค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากการที่ผู้มีรายได้น้อยใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน ติดกัน 3 เดือน ซึ่งจะมีสิทธิค่าไฟฟ้าฟรีอยู่แล้ว ซึ่งมาตรการนี้ จะช่วยเหลือผู้ที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 50 หน่วย แต่ไม่เกิน 230 บาทต่อเดือน และน้ําประปาไม่เกิน 100 บาทต่อเดือน ซึ่ง 1 ครัวเรือน ใช้ได้เพียง 1 สิทธิ เท่านั้น โดยให้ไปชําระค่าน้ํา - ค่าไฟ ตามปกติ พร้อมกับยื่นบัตรสวัสดิการ จากนั้นภาครัฐจะโอนเงินคืนไปยังกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้สามารถถอนเงินสดออกมาได้ในเดือนถัดไป มาตรการชั่วคราวนี้ จะเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน 2562 คิดเป็นระยะเวลา 10 เดือน เท่านั้นครับ 2. การสนับสนุนค่าใช้จ่ายช่วงปลายปีคนละ 500 บาท ในเดือนธันวาคมเพียงเดือนเดีย ซึ่งจะมีการโอนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของท่านเช่นกัน เพื่อจะรองรับค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้น ในช่วงสิ้นปีสําหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว แต่มักมีรายจ่ายเพิ่มเป็นค่าเดินทางกลับภูมิลําเนา กลับไปหาครอบครัว หรือซื้อของฝาก 3. ค่าเดินทางไปรักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพ คนละ 1,000 บาท สําหรับผู้มีบัตรสวัสดิการฯ ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป โดยจะได้รับครั้งเดียวในเดือนธันวาคมนี้ และจะสามารถใช้วงเงินนี้ได้ จนถึงเดือนกันยายนปีหน้า และ 4. ค่าเช่าบ้าน คนละ 400 บาทต่อเดือน สําหรับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยจะได้รับเงินในกระเป๋าอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีนี้ ถึงเดือนกันยายน ปีหน้า ซึ่งเป็นการเติมเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ จากทั้ง 4 มาตรการนี้ ผู้มีรายได้น้อยสามารถจะถอนเป็นเงินไปใช้จ่ายได้ เหมือนบัตรATMโดยงบประมาณที่ใช้ เป็นเงินจากกองทุนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้มีรายได้น้อย ได้อย่างตรงจุดมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เนื่องจากประเทศไทยกําลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สู่วัย ปัจจุบันยังมีผู้สูงอายุต้องเผชิญกับปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย เนื่องจากค่าครองชีพสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อค่ายา และค่าเดินทาง ซึ่งข้าราชการเกษียณจํานวนไม่น้อย หากได้รับการปรับอัตราและวิธีการจ่ายบําเหน็จ - บํานาญใหม่ ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้สามารถดํารงชีพอยู่ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น โดยอยู่ระหว่างการปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 2 เรื่อง ได้แก่ 1.การปรับเพิ่มเบี้ยหวัดบํานาญ ซึ่งปัจจุบันยังต่ํากว่าเดือนละ 10,000 บาท ให้ได้รับเต็มจํานวน 10,000 บาทต่อเดือน และ 2. การขยายเพดานของวงเงินบําเหน็จดํารงชีพ ให้แก่ผู้รับบํานาญซึ่งมีอายุตั้งแต่ 70 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพิ่มอีก 100,000 บาท จากเดิมเพดาน ไม่เกิน 400,000 บาท ปรับใหม่เป็น 500,000 บาทอันนี้ก็เป็นวงเงินของท่านอยู่แล้วนะครับ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มประชาชนที่พอมีรายได้แต่ไม่มากนัก ทําให้ไม่สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้รัฐบาลต้องสร้างความมั่นคงให้กับพี่น้องประชาชนและครอบครัวในกลุ่มนี้ จึงได้ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดทํา "โครงการบ้านล้านหลัง" ขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีบ้านเป็นของตนเอง ในระดับราคาที่ไม่สูงมาก และเหมาะสมกับศักยภาพการหารายได้ของประชาชนในแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ กลุ่มวัยทํางาน หรือประชาชนที่กําลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ โดยจะมีการสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในเงื่อนไขผ่อนปรนสําหรับลูกค้ารายย่อย เพื่อจะนําไปจัดซื้อหรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท มีระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี เป็นต้น ซึ่งโครงการนี้ จะมีระยะเวลาดําเนินโครงการ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบโครงการ คือ วันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ไปจนถึง วันที่ 30 ธันวาคม ปีหน้าครับ ทั้งนี้ รายละเอียดสวัสดิการต่าง ๆ ผมอยากให้พี่น้องประชาชนได้ติดตาม สอบถาม ตรวจสอบข้อมูล ตามช่องทางต่าง ๆ ของภาครัฐด้วย เพื่อจะขอรับสวัสดิการหรือสิทธิที่พึงมี พึงได้ของท่าน จะได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เนื่องจากเป็นโอกาสที่รัฐบาลพยายามที่จะหยิบยื่นให้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ผมเข้าใจดี ถึงความรู้สึกพี่น้องประชาชนผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง เป็นอย่างดี และรัฐบาลนี้ ก็มีเจตนาที่ชัดเจนว่าเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แม้จะเป็นความสุขเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม คนที่มีรายได้น้อยเราต้องดูแล อันนี้เป็นเรื่องของความเป็นธรรม พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ สําหรับความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางผมก็อยากให้ทุกคนได้เข้าใจสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับตลาดยางพาราเสียก่อนนะครับ มิฉะนั้นคงไม่อาจเข้าใจว่าเราจะทําอะไร เพื่ออะไรแล้วการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และระยะยาว ควรจะเป็นอย่างไรจึงจะเหมาะสม ที่สําคัญก็คือ เราต้องร่วมือกันในการแก้ปัญหา ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา เป็นเวลา 10 กว่าปีแล้ว ที่ได้มีการสนับสนุนให้มีการปลูกยางพารา ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศนับล้านไร่โดยไม่ได้มีการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด จึงส่งผลให้ประเทศไทยเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ส่งออกยางพารามากที่สุดในโลก แต่ในปัจจุบันราคายางพาราในประเทศและในตลาดโลก มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทําให้เกษตรกรชาวสวนยางส่วนใหญ่ประสบความเดือดร้อน มีรายได้ไม่เพียงพอ รัฐบาลก็จําเป็นต้องเข้ามาช่วยเหลือ เช่นเดียวกับพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ โดยได้ทําการศึกษาข้อมูลพื้นฐานของปัญหา ที่มาของภาวะวิกฤติ ราคายางพาราและแนวทางแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ํา จากข้อมูลและข้อเท็จจริงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้งรวบรวมข้อมูลจากองค์การศึกษาเรื่องยางระหว่างประเทศ (IRSG)หน่วยงานของรัฐ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จนค้นพบข้อเท็จจริงที่สําคัญ สรุปได้ดังนี้ 1. ประเทศไทยมีพื้นที่กรีดยางมากที่สุด ในกลุ่มประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ อันได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย จีน เวียดนาม อินเดีย และไทย โดยในปี 2560 ประเทศไทยมีพื้นที่กรีดยางได้มากกว่า 20 ล้านไร่ ทําให้ประเทศไทยมีผลผลิตยางมากที่สุดในโลก เมื่อเทียบกับการผลิตยางธรรมชาติของทั้ง 6 ประเทศรายใหญ่ของโลก คือประมาณ 4.5 ล้านตัน 2. ต้นทุนการผลิตยางแผ่นดิบของประเทศไทย ปี 50 - 59 มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น เป็นระยะ ๆ ประมาณร้อยละ 7 โดยไม่มีท่าทีว่าจะลดลงแต่อย่างใด 3. ในขณะที่ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น แต่ราคาขายยางพารากลับลดลง โดยปี 50 - 59 มี ต้นทุนเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 6.94แต่ราคาขายเฉลี่ยติดลบ ร้อยละ 3.76 4. ปัจจุบัน ราคายางพาราอยู่ในภาวะขาลง โดยช่วงปี 51 - 60 ราคายางแท่งหดตัวลง เฉลี่ยร้อยละ 4.12 และราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 หดตัวลงเฉลี่ยร้อยละ 2.86 และ 5. สถานการณ์ราคายางพาราเมื่อเปรียบเทียบกับผลผลิตทั้งประเทศ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ปริมาณผลผลิตยางเฉลี่ยในประเทศไทย มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเป็นระยะ ๆ โดยช่วง 4 ปีท้ายนี้ มีปริมาณผลผลิตยางมากที่สุดราว 4.5 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าทุก ๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมา ในขณะที่ราคายางพาราในตลาดโลก กลับลดลงเรื่อย ๆ สวนทางกับปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ยิ่งกว่านั้น ราคาน้ํามันดิบในตลาดโลก ช่วงปี 2557 - 2561 ก็มีราคาลดต่ําลง ทําให้มีการใช้ยางสังเคราะห์แบบน้ํามัน แทนการใช้ยางพาราเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้ง ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน และประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ของสหรัฐอเมริกาส่งผลให้การส่งออกยางพาราจากไทยไปยังประเทศจีน หรือ ประเทศลูกค้ารายสําคัญลดลง ทําให้ราคายางในประเทศไทยลดลงตามไปด้วย จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าการแก้ไขปัญหาราคายางพาราในประเทศไทยให้ยั่งยืน และไม่มีผลกระทบต่อระบบการคลังของประเทศ ก็คือการลดการพึ่งพาการส่งออกเพราะราคายางพาราในต่างประเทศอยู่ในภาวะเวลาลดลงทุกตลาดและราคายางพาราซื้อขายในประเทศ ก็ยังอิงกับราคาซื้อขายยางพาราล่วงหน้าในต่างประเทศด้วย ขณะเดียวกันก็ต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้น พร้อมกับการปรับสมดุลลดปริมาณ ยางพาราลงด้วย ซึ่งก็จะทําให้ราคายางพาราในประเทศมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้น รัฐบาลก็จึงมีข้อเสนอในการแก้ไขปัญหายางพาราต่อคณะกรรมการยางพารา และ คณะกรรมการนโยบายยางพาราธรรมชาติ ในระยะเร่งด่วน เพื่อจะทุเลาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยาวพารา ดังนี้ 1. การจัดทําโครงการเร่งด่วนพัฒนาอาชีพ เพื่อจะสร้างความเข้มแข็งแก่เกษตรกรชาวสวนยางและเป็นรายครอบครัว เพื่อให้มีรายได้เพิ่มขึ้นในระหว่างราคายางพาราตกต่ํา 2. การลดปริมาณการผลิตยางพารา โดยส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนต้นยางพาราที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป หรืออายุ 15 ปีที่มีต้นโทรม ให้น้ํายางน้อย ไม่คุ้มค่าไปปลูกพืชอื่น ๆ รวมทั้งมีการสนับสนุนให้มีการปลูกพืชอื่นแซมในสวนยางโดยอาจพิจารณาให้แรงจูงใจกับเกษตรกรมากกว่าปัจจุบันเพื่อจะเร่งการตัดสินใจลดปริมาณการผลิตยาง โดยจะต้องทําควบคู่กับการให้แรงจูงใจกับผู้ผลิตในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ที่ใช้ไม้ยางพาราในประเทศเป็นวัตถุดิบ หรือลดภาษีสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ไม้ยางพาราในประเทศเป็นวัตถุดิบ เพื่อจะเพิ่มอุปสงค์ไม้ยางพารา ให้สอดรับกับอุปทานที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 3. เชิญชวนและเปิดรับสมัครเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศ ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการฝากน้ํายางไว้กับต้นยาง ช่วงราคาตกต่ํา หรืออาจจะช่วยกันหยุดกรีดยาง เป็นเวลา 1 - 2 เดือน อาจจะทําให้ยางพาราลดลงจากตลาดไปในทันที จํานวน 5 แสนตันต่อเดือน ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นราคายางพาราในตลาด เพราะการซื้อขายยางนั้นใช้รูปแบบเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีการซื้อขายแบบส่งมอบสินค้า และซื้อขายล่วงหน้า มีสัญญาส่งมอบสินค้า เมื่อครบอายุสัญญา ซึ่งวิธีการหยุดกรีดยางนี้ หากสามารถควบคุมการหยุดกรีดได้จริง ก็จะมีผลต่อราคายางพาราให้สูงขึ้นมาก หากมีเกษตรกรชาวสวนยางทั้งประเทศเห็นด้วย ร่วมมือกับมาตรการดังกล่าว และสมัครเข้าร่วมโครงการ มากกว่าร้อยละ 80 ของเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศ ก็จะได้ให้ กยท. ไปจัดทําโครงการ อันนี้ไม่ได้บังคับนะครับ เชิญชวนความสมัครใจของท่าน ถ้าถึง 80% เราก็จะไปจัดทําโครงการเหล่านี้ ในการที่จะส่งเสริมอาชีพชาวสวนยางระหว่างโครงการเพื่อให้มีรายได้มาชดเชย ช่วงหยุดกรีดยางต่อไป 4. ขอความร่วมมือบริษัทหรือภาคเอกชน ที่มีธุรกิจแปรรูปหรือโรงงานอุตสาหกรรมผลิตล้อยางส่งขายในต่างประเทศ และภายในประเทศเพื่อจะขอให้เข้าร่วมรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนเปลี่ยนยางล้อรถยนต์ในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางถนน ในราคาถูก โดยให้ประชาชนได้สิทธินําใบเสร็จซื้อยางล้อรถยนต์ไปลดภาษีเงินได้บุคคล หรือนิติบุคคลประจําปี ในขณะที่บริษัทเอกชน หรือโรงงานที่เข้าร่วมโครงการผลิตยางรถยนต์ราคาถูก ก็จะได้สิทธิพิเศษทางภาษีเช่นกัน โดยมีเงื่อนไขและหลักฐานว่า ได้ซื้อยางพาราจากกลุ่มเกษตรกร หรือสถาบันเกษตรกรที่มี กยท. รับรองโดยตรงด้วย รวมทั้งให้เชิญชวนบริษัทเอกชนทั้งของไทยและต่างประเทศ ให้เข้ามาลงทุนผลิต หรือรับแปรรูปยางส่งไปขายต่างประเทศ ให้มีสิทธิพิเศษทางการลงทุน ตามที่หน่วยงานรัฐ และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)จะได้กําหนดต่อไป และ 5. ส่งเสริมและเร่งรัดการใช้ยางพาราในประเทศให้มากขึ้นอย่างเร่งด่วน โดยส่งเสริมการใช้ยางพารา และผลิตภัณฑ์จากยางพาราในทุกรูปแบบ โดยเริ่มจากหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐก่อน แล้วขยายไปสู่ตลาด หรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งนี้ แนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้น เป็นการดําเนินการในระยะเร่งด่วน เพื่อจะบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรเท่านั้น รัฐบาลยังคงสํารวจมาตรการใหม่ ๆ ที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับวงการยางพาราของไทยสิ่งสําคัญที่สุดก็คือความเข้าใจในข้อมูลพื้นฐานที่ผมได้กล่าวไปแล้ว จะทําให้เกิดความร่วมมือที่เราจะร่วมกันทํา ดําเนินการต่อไปให้เป็นผลตามที่รัฐบาลแนะนํานะครับ เรื่องยางพารานี่ก็มีปัญหาอีกอัน ก็คือเราไม่ใช่มีเฉพาะเจ้าของยางพารา เรามีผู้กรีดยางอีกด้วย เพราะฉะนั้นเราต้องพิจารณาสัดส่วนในการที่จะช่วยเหลือทั้งเจ้าของสวนยางและผู้รับจ้างกรีดยางด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มีการขึ้นทะเบียนไปแล้ว เราจะดูแลในส่วนนี้ได้ สุดท้ายนี้ ผมได้เตรียมของขวัญปีใหม่สําหรับเยาวชน และพี่น้องประชาชนทุกคน ด้วยการสนับสนุนให้รักการอ่าน และการเข้าถึงหนังสือคุณภาพของทางราชการ และสถาบันการศึกษา โดยได้สั่งการให้มีการจัดทําสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Books)วีดิทัศน์ ไฟล์เสียง เป็นต้น เพื่อให้มีความทันสมัย และเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลเอกสารความรู้ และ หนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาธิการ หรือหน่วยงานต่าง ๆ ให้ได้ใช้ประโยชน์ ซึ่งก็มีเป้าหมายจะเปิดตัวโครงการNational e-Libraryในงานวันเด็กแห่งชาติปีหน้า ประกอบไปด้วย2 ระบบ ก็คือ ประเภทสื่อการเรียนรู้ และข้อมูลความรู้สําหรับเยาวชน และประชาชนโดยทั่วไป ขอให้ทุกกระทรวงตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับ ได้จัดทําไฟล์ข้อมูลเพื่อการอัพโหลดเข้าสู่ระบบ ที่ได้พัฒนาขึ้นภายใต้โครงการนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อจะเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากe-Libraryของนักเรียนและประชาชนทั่วประเทศ ขอให้ติดตามผลงานที่สร้างสรรค์ เพื่อให้ทุก ๆ คน ได้เติบโต ก้าวหน้า พัฒนาตนเอง เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพของบ้านเมืองในอนาคตด้วย ผมเชื่อว่าศักยภาพของคนทุกคนไร้ขีดจํากัด หากได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้อง เหมาะสม รวมทั้งการสนับสนุนที่ดี และต่อเนื่อง อาทิ“โปรเม”เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟสาวไทยมือ 1 ของโลก ได้สร้างประวัติศาสตร์กวาดรางวัลใหญ่ ปิดท้ายฤดูกาลของLPGA Tourได้ครบทุกรางวัล และ รางวัลใหญ่ประจําปี อีกหลายรางวัล และ“ครูไอซ์”ดําเกิง มุ่งธัญญาหรือ“อัจฉริยะในโลกมืด”ที่แม้จะพิการทางสายตา แต่ก็สามารถจะเอาชนะข้อจํากัดทางร่างกาย ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง สามารถจบการศึกษาคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับ 1 มาเป็นครูภาษาอังกฤษ สมความตั้งใจ ก็ขอชื่นชม ขอให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนไทยทุก ๆ คน อย่าได้ลดละความพยายาม อย่ายอมจํานนต่ออุปสรรค หรืออย่าย่อท้อต่อโชคชะตานะครับ ขอบคุณนะครับขอให้ทุกคนมีจิตใจที่มุ่งมั่น และทุกครอบครัวมีความอบอุ่น สวัสดีครับ ................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17041
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าจัดงานเสวนาวิชาการ และเปิดตัวระบบ TIS : Trade Intelligence System “1st TPSO Mini Symposium 2017”
วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 สํานักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าจัดงานเสวนาวิชาการ และเปิดตัวระบบ TIS : Trade Intelligence System “1st TPSO Mini Symposium 2017” นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เป็นประธานเปิดงาน เสวนาวิชาการและเปิดตัวระบบ TIS : Trade Intelligence System “1st TPSO Mini Symposium 2017” ของสํานักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ด้วยเล็งเห็นว่ากระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของประเทศ อีกทั้งยังเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาการค้าและเพื่อให้รองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กําหนดทิศทางด้านเศรษฐกิจให้ชัดเจนเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและบริบทที่แตกต่างต่างกัน ตลอดจนเป็นสื่อกลางกับทุกภาคส่วนในการรับรู้มาตรการและแนวทางการค้าที่ชัดเจน นอกจากนี้ ยังเอื้อประโยชน์ ในการประสาน บูรณาการและเชื่อมโยงแผนงาน/โครงการกับหน่วยงานราชการอื่น ๆ ภาคเอกชน ทั้งผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก เกษตรกร และผู้บริโภค รวมทั้งสถาบันการศึกษาเพื่อให้ได้รับรู้ และมีข้อมูลเพียงพอในการประกอบการตัดสินใจเชื่อมโยงเชิงนโยบายในการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป จึงจําเป็นต้องพัฒนาระบบสารสนเทศเชิงลึกด้านเศรษฐกิจการค้า เพื่อเสริมสร้างให้เศรษฐกิจการค้าของไทยมีความเข้มแข็ง เติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืน โดยมีเป้าหมายมุ่งเน้นให้การจัดทํานโยบายและยุทธศาสตร์การค้า มีข้อมูลและเครื่องมือที่ใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการเศรษฐกิจการค้าของประเทศ ตลอดจนมีฐานข้อมูลเศรษฐกิจการค้าที่บูรณาการเชิงลึก และครอบคลุมสาขาเศรษฐกิจการค้าด้านต่างๆ แต่เนื่องจากคลังข้อมูลกลางกระทรวงพาณิชย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีข้อจํากัดด้านเทคโนโลยี และข้อจํากัดด้านข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมทุกสาขาเศรษฐกิจ ดังนั้นเพื่อให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลเศรษฐกิจการค้า ภายในหน่วยงาน และภายนอกกระทรวงพาณิชย์ให้ครอบคลุมทุกสาขาเศรษฐกิจ จึงจําเป็นต้องวิเคราะห์ ออกแบบ และพัฒนา ต่อยอดคลังข้อมูลกลางใหม่ เพื่อสร้างช่องทางการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ ไปสู่ระบบสารสนเทศเชิงลึกด้านเศรษฐกิจการค้า (Trade Intelligence System) โดยระบบจะให้บริการข้อมูลด้านการค้า และการวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจการค้าเชิงลึก สําหรับการจัดทํานโยบายมาตรการเศรษฐกิจการค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในงานดังกล่าวยังมีการเสวนาเรื่อง “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าไทยด้วยข้อมูลเชิงลึกแบบบูรณาการ” โดยมีวิทยากรเข้าร่วมงาน ได้แก่ ผู้อํานวยการสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ผู้อํานวยการบริหารสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร) ตลอดจนมีการสาธิตระบบ Trade Intelligence System และการนําเสนอผลงานวิชาการ “1st TPSO Mini Symposium 2017”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าจัดงานเสวนาวิชาการ และเปิดตัวระบบ TIS : Trade Intelligence System “1st TPSO Mini Symposium 2017” วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 สํานักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าจัดงานเสวนาวิชาการ และเปิดตัวระบบ TIS : Trade Intelligence System “1st TPSO Mini Symposium 2017” นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เป็นประธานเปิดงาน เสวนาวิชาการและเปิดตัวระบบ TIS : Trade Intelligence System “1st TPSO Mini Symposium 2017” ของสํานักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ด้วยเล็งเห็นว่ากระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของประเทศ อีกทั้งยังเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาการค้าและเพื่อให้รองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กําหนดทิศทางด้านเศรษฐกิจให้ชัดเจนเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจและบริบทที่แตกต่างต่างกัน ตลอดจนเป็นสื่อกลางกับทุกภาคส่วนในการรับรู้มาตรการและแนวทางการค้าที่ชัดเจน นอกจากนี้ ยังเอื้อประโยชน์ ในการประสาน บูรณาการและเชื่อมโยงแผนงาน/โครงการกับหน่วยงานราชการอื่น ๆ ภาคเอกชน ทั้งผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก เกษตรกร และผู้บริโภค รวมทั้งสถาบันการศึกษาเพื่อให้ได้รับรู้ และมีข้อมูลเพียงพอในการประกอบการตัดสินใจเชื่อมโยงเชิงนโยบายในการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป จึงจําเป็นต้องพัฒนาระบบสารสนเทศเชิงลึกด้านเศรษฐกิจการค้า เพื่อเสริมสร้างให้เศรษฐกิจการค้าของไทยมีความเข้มแข็ง เติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืน โดยมีเป้าหมายมุ่งเน้นให้การจัดทํานโยบายและยุทธศาสตร์การค้า มีข้อมูลและเครื่องมือที่ใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการเศรษฐกิจการค้าของประเทศ ตลอดจนมีฐานข้อมูลเศรษฐกิจการค้าที่บูรณาการเชิงลึก และครอบคลุมสาขาเศรษฐกิจการค้าด้านต่างๆ แต่เนื่องจากคลังข้อมูลกลางกระทรวงพาณิชย์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีข้อจํากัดด้านเทคโนโลยี และข้อจํากัดด้านข้อมูลเชิงลึกที่ครอบคลุมทุกสาขาเศรษฐกิจ ดังนั้นเพื่อให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลเศรษฐกิจการค้า ภายในหน่วยงาน และภายนอกกระทรวงพาณิชย์ให้ครอบคลุมทุกสาขาเศรษฐกิจ จึงจําเป็นต้องวิเคราะห์ ออกแบบ และพัฒนา ต่อยอดคลังข้อมูลกลางใหม่ เพื่อสร้างช่องทางการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ ไปสู่ระบบสารสนเทศเชิงลึกด้านเศรษฐกิจการค้า (Trade Intelligence System) โดยระบบจะให้บริการข้อมูลด้านการค้า และการวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจการค้าเชิงลึก สําหรับการจัดทํานโยบายมาตรการเศรษฐกิจการค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในงานดังกล่าวยังมีการเสวนาเรื่อง “การขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าไทยด้วยข้อมูลเชิงลึกแบบบูรณาการ” โดยมีวิทยากรเข้าร่วมงาน ได้แก่ ผู้อํานวยการสํานักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ผู้อํานวยการบริหารสมาคมผู้ค้าปลีกไทย และผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร) ตลอดจนมีการสาธิตระบบ Trade Intelligence System และการนําเสนอผลงานวิชาการ “1st TPSO Mini Symposium 2017”
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3732
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมรับฟังการนำเสนอแผนปฎิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ
วันพุธที่ 31 มกราคม 2561 การประชุมรับฟังการนําเสนอแผนปฎิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ การประชุมรับฟังการนําเสนอแผนปฎิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ ณ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย สถาบันอาหาร วันนี้ (31 มกราคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารสูง ร่วมประชุมรับฟังการนําเสนอแผนปฎิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ โดยมีนายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันอาหาร ให้การต้อนรับและนําเยี่ยมชมห้องปฎิบัติการด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ห้องตรวจวิเคราะห์ และนําเสนอแผนปฎิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ ณ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย สถาบันอาหาร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมรับฟังการนำเสนอแผนปฎิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ วันพุธที่ 31 มกราคม 2561 การประชุมรับฟังการนําเสนอแผนปฎิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ การประชุมรับฟังการนําเสนอแผนปฎิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ ณ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย สถาบันอาหาร วันนี้ (31 มกราคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารสูง ร่วมประชุมรับฟังการนําเสนอแผนปฎิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ โดยมีนายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อํานวยการสถาบันอาหาร ให้การต้อนรับและนําเยี่ยมชมห้องปฎิบัติการด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ห้องตรวจวิเคราะห์ และนําเสนอแผนปฎิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งชาติ ณ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคารศูนย์การเรียนรู้อาหารไทย สถาบันอาหาร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9758
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เฝ้าระวัง โรค COVID–19 กับภาวะอักเสบหลายระบบในเด็ก ยืนยันยังไม่พบในไทย [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563 สธ.เฝ้าระวัง โรค COVID–19 กับภาวะอักเสบหลายระบบในเด็ก ยืนยันยังไม่พบในไทย [กระทรวงสาธารณสุข] สธ.เฝ้าระวัง โรค COVID–19 กับภาวะอักเสบหลายระบบในเด็ก ยืนยันยังไม่พบในไทย กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ร่วมกับองค์การอนามัยโลก เฝ้าระวังภาวะอักเสบหลายระบบในผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อ COVID-19 ยืนยันไทยยังไม่พบภาวะนี้ในผู้ป่วยเด็ก วันนี้ (1 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ รศ.พญ.วารุณี พรรณพานิช วานเดอพิทท์ แพทย์เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ผศ.นพ.วรการ พรหมพันธุ์ กุมารเวชศาสตร์ - โรคหัวใจ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีรายงานจากทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือพบผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่เจ็บป่วยรุนแรงรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต ด้วยลักษณะที่คล้ายกับกลุ่มอาการคาวาซากิ ร่วมกับมีภาวะช็อก คือมีอาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ด้วยการอักเสบรุนแรงในหลายอวัยวะทั่วร่างกาย บางรายที่อาการรุนแรงทําให้เกิดการทํางานของร่างกายล้มเหลวหลายๆ ระบบ พร้อมกับมีภาวะช็อก สมมติฐานเบื้องต้นเชื่อว่ากลุ่มอาการนี้สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสโควิด 19 เนื่องจากพบหลักฐานของการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจพบเชื้อโดยตรง หรือการตรวจพบการตอบสนองของร่างกาย หรือแอนติบอดีต่อเชื้อโควิด 19 ในผู้ป่วยหลายราย และเรียกภาวะนี้ว่า Multisystem Inflammatory Syndrome in Children and Adolescents (MIS-C) จากการทบทวนรายงานทางการแพทย์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคม ทําให้มีความเข้าใจในภาวะนี้มากขึ้น โดยพบว่า แม้กลุ่มอาการนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับโรคคาวาซากิ ที่ทําให้เกิดภาวะหลอดเลือดอักเสบทั่วร่างกายที่พบในภูมิภาคเอเชีย แต่ก็มีหลายประเด็นที่แตกต่างกันคือ กลุ่มอาการ MIS-C พบในเด็กโตอายุเกิน 5 ปีได้บ่อยกว่า มีอาการของระบบทางเดินอาหารได้บ่อยถึงร้อยละ 67-100 และบางครั้งเป็นอาการนําก่อนที่จะมีอาการอื่นๆ หลายระบบตามมา มีความผิดปกติของการทํางานหัวใจที่ค่อนข้างรุนแรง และมีระดับของเอนไซม์บางตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน (Triponin, BNPs) ซึ่งไม่ค่อยได้พบในโรคคาวาซากิ และมีปริมาณเกร็ดเลือดที่ค่อนข้างต่ําซึ่งต่างจากโรคคาวาซากิที่มักมีภาวะเกล็ดเลือดสูง บางรายยังมีอาการของระบบประสาทหรือเยื่อหุ้มสมอง เช่น ปวดศีรษะ ซึม กระสับกระส่าย คอแข็ง ในรายที่รุนแรงพบเนื้อสมองบวม แต่สิ่งที่น่ายินดีคือพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ แม้ว่าจะมีอาการรุนแรง แต่ตอบสนองดีต่อการรักษาด้วยยาลดการอักเสบกลุ่ม IVIG หรือ สเตียรอยด์ เกือบทั้งหมดสามารถหายและกลับบ้าน ได้มีเพียงผู้ป่วยจํานวนน้อยที่เสียชีวิต การรายงานเคสผู้ป่วยในแต่ละภูมิภาคมีความหลากหลาย จึงยากที่จะนํามาวิเคราะห์หาข้อสรุปว่าสัมพันธ์กับการติดเชื้อ COVID-19 มากน้อยเพียงใด องค์การอนามัยโลกจึงพัฒนาฐานข้อมูลที่มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลทางคลินิกและข้อมูลเชิงระบาดวิทยา สามารถนํามาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและมีความน่าเชื่อถือสําหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ โดยขอความร่วมมือแพทย์ทั่วโลก บันทึกข้อมูลในแพลตฟอร์ม ชื่อ WHO COVID-19 Clinical Data Platform เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจสอบแนวโน้ม ความรุนแรง และภาระโรค สําหรับในประเทศไทย กรมการแพทย์ ได้มอบหมายให้สถานพยาบาลทุกแห่ง เฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการเข้าได้กับ MIS-C บันทึกข้อมูลและส่งต่อข้อมูลในกรณีมีเคสที่สงสัย จนถึงปัจจุบัน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ยังไม่พบความผิดปกติดังกล่าว นอกจากนั้น ยังพบว่าอุบัติการณ์ในการเกิดโรคคาวาซากิที่มาเข้ารับการรักษาในสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เปรียบเทียบกับอัตราที่พบย้อนหลัง ในช่วง 5 เดือนแรกของปี ตั้งแต่ปี 60 จนถึงปี 63 พบว่าในช่วงปี 2563 จํานวนผู้ป่วยคาวาซากิลดลงประมาณกว่าครึ่ง และไม่พบผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัยของ MIS-C เหมือนในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากผู้ปกครองพบมีเด็กอาการน่าสงสัยคือไข้สูงเกิน 3 วัน มีอาการทางเดินอาหาร หรือมีผื่นผิวหนัง ตาแดง สามารถปรึกษากุมารแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี call center 1415 เพื่อรับคําแนะนําในการตรวจรักษาที่ถูกต้องต่อไป ********************************************* 2 มิถุนายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เฝ้าระวัง โรค COVID–19 กับภาวะอักเสบหลายระบบในเด็ก ยืนยันยังไม่พบในไทย [กระทรวงสาธารณสุข] วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563 สธ.เฝ้าระวัง โรค COVID–19 กับภาวะอักเสบหลายระบบในเด็ก ยืนยันยังไม่พบในไทย [กระทรวงสาธารณสุข] สธ.เฝ้าระวัง โรค COVID–19 กับภาวะอักเสบหลายระบบในเด็ก ยืนยันยังไม่พบในไทย กรมการแพทย์ โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ร่วมกับองค์การอนามัยโลก เฝ้าระวังภาวะอักเสบหลายระบบในผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อ COVID-19 ยืนยันไทยยังไม่พบภาวะนี้ในผู้ป่วยเด็ก วันนี้ (1 มิถุนายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ รศ.พญ.วารุณี พรรณพานิช วานเดอพิทท์ แพทย์เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ผศ.นพ.วรการ พรหมพันธุ์ กุมารเวชศาสตร์ - โรคหัวใจ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีรายงานจากทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือพบผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นที่เจ็บป่วยรุนแรงรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤต ด้วยลักษณะที่คล้ายกับกลุ่มอาการคาวาซากิ ร่วมกับมีภาวะช็อก คือมีอาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ด้วยการอักเสบรุนแรงในหลายอวัยวะทั่วร่างกาย บางรายที่อาการรุนแรงทําให้เกิดการทํางานของร่างกายล้มเหลวหลายๆ ระบบ พร้อมกับมีภาวะช็อก สมมติฐานเบื้องต้นเชื่อว่ากลุ่มอาการนี้สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสโควิด 19 เนื่องจากพบหลักฐานของการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจพบเชื้อโดยตรง หรือการตรวจพบการตอบสนองของร่างกาย หรือแอนติบอดีต่อเชื้อโควิด 19 ในผู้ป่วยหลายราย และเรียกภาวะนี้ว่า Multisystem Inflammatory Syndrome in Children and Adolescents (MIS-C) จากการทบทวนรายงานทางการแพทย์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤษภาคม ทําให้มีความเข้าใจในภาวะนี้มากขึ้น โดยพบว่า แม้กลุ่มอาการนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับโรคคาวาซากิ ที่ทําให้เกิดภาวะหลอดเลือดอักเสบทั่วร่างกายที่พบในภูมิภาคเอเชีย แต่ก็มีหลายประเด็นที่แตกต่างกันคือ กลุ่มอาการ MIS-C พบในเด็กโตอายุเกิน 5 ปีได้บ่อยกว่า มีอาการของระบบทางเดินอาหารได้บ่อยถึงร้อยละ 67-100 และบางครั้งเป็นอาการนําก่อนที่จะมีอาการอื่นๆ หลายระบบตามมา มีความผิดปกติของการทํางานหัวใจที่ค่อนข้างรุนแรง และมีระดับของเอนไซม์บางตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน (Triponin, BNPs) ซึ่งไม่ค่อยได้พบในโรคคาวาซากิ และมีปริมาณเกร็ดเลือดที่ค่อนข้างต่ําซึ่งต่างจากโรคคาวาซากิที่มักมีภาวะเกล็ดเลือดสูง บางรายยังมีอาการของระบบประสาทหรือเยื่อหุ้มสมอง เช่น ปวดศีรษะ ซึม กระสับกระส่าย คอแข็ง ในรายที่รุนแรงพบเนื้อสมองบวม แต่สิ่งที่น่ายินดีคือพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ แม้ว่าจะมีอาการรุนแรง แต่ตอบสนองดีต่อการรักษาด้วยยาลดการอักเสบกลุ่ม IVIG หรือ สเตียรอยด์ เกือบทั้งหมดสามารถหายและกลับบ้าน ได้มีเพียงผู้ป่วยจํานวนน้อยที่เสียชีวิต การรายงานเคสผู้ป่วยในแต่ละภูมิภาคมีความหลากหลาย จึงยากที่จะนํามาวิเคราะห์หาข้อสรุปว่าสัมพันธ์กับการติดเชื้อ COVID-19 มากน้อยเพียงใด องค์การอนามัยโลกจึงพัฒนาฐานข้อมูลที่มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลทางคลินิกและข้อมูลเชิงระบาดวิทยา สามารถนํามาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและมีความน่าเชื่อถือสําหรับกรณีนี้โดยเฉพาะ โดยขอความร่วมมือแพทย์ทั่วโลก บันทึกข้อมูลในแพลตฟอร์ม ชื่อ WHO COVID-19 Clinical Data Platform เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการตรวจสอบแนวโน้ม ความรุนแรง และภาระโรค สําหรับในประเทศไทย กรมการแพทย์ ได้มอบหมายให้สถานพยาบาลทุกแห่ง เฝ้าระวังผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการเข้าได้กับ MIS-C บันทึกข้อมูลและส่งต่อข้อมูลในกรณีมีเคสที่สงสัย จนถึงปัจจุบัน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ยังไม่พบความผิดปกติดังกล่าว นอกจากนั้น ยังพบว่าอุบัติการณ์ในการเกิดโรคคาวาซากิที่มาเข้ารับการรักษาในสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เปรียบเทียบกับอัตราที่พบย้อนหลัง ในช่วง 5 เดือนแรกของปี ตั้งแต่ปี 60 จนถึงปี 63 พบว่าในช่วงปี 2563 จํานวนผู้ป่วยคาวาซากิลดลงประมาณกว่าครึ่ง และไม่พบผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัยของ MIS-C เหมือนในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม หากผู้ปกครองพบมีเด็กอาการน่าสงสัยคือไข้สูงเกิน 3 วัน มีอาการทางเดินอาหาร หรือมีผื่นผิวหนัง ตาแดง สามารถปรึกษากุมารแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน หรือสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี call center 1415 เพื่อรับคําแนะนําในการตรวจรักษาที่ถูกต้องต่อไป ********************************************* 2 มิถุนายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31857
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ผนึกกำลัง 6 หน่วยงาน สร้างโรงพยาบาลทุกแห่งเป็น “โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย” ภายในปี 2561
วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2560 สธ. ผนึกกําลัง 6 หน่วยงาน สร้างโรงพยาบาลทุกแห่งเป็น “โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย” ภายในปี 2561 กระทรวงสาธารณสุข ลงนามความร่วมมือ 6 หน่วยงาน สร้างความปลอดภัยอาหารในโรงพยาบาล ให้โรงครัว ร้านอาหารในโรงพยาบาลปรุงอาหารจากผัก ผลไม้ปลอดสารพิษ เพื่อสุขภาพของผู้ป่วยและประชาชน สร้างรายได้ให้เกษตรกร เริ่มในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทั้ง 116 แห่งในปี 2560 และขยายครอบคลุมโรงพยาบาลชุมชนครบ 780 แห่งภายในปี 2561 วันนี้ (11 กันยายน 2560) ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการดําเนินงานโรงพยาบาลอาหารปลอดภัย สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระหว่าง 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการบริษัทประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จํากัด ผู้ช่วยผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) พร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานแก่ผู้บริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผู้อํานวยการโรงพยาบาล รองผู้อํานวยการด้านบริหารของโรงพยาบาล และผู้รับผิดชอบงานอาหารปลอดภัยของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป จํานวน 400 คน ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการดําเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์แห่งชาติของรัฐบาล และนโยบายโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยของกระทรวงสาธารณสุข ที่ประกาศให้ปี 2560 เป็นปีแห่งผักและผลไม้ปลอดภัย เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับประทานอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษและสารปนเปื้อน โดย 6 หน่วยงานจะบูรณาการการทํางานเพื่อสนับสนุนให้โรงพยาบาลมีการบริหารจัดการความปลอดภัยด้านอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสร้างรายได้ให้เกษตรกร ในปีนี้ ตั้งเป้าหมายดําเนินการในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง รวม 116 โรงพยาบาล ขณะนี้ มีโรงพยาบาลที่เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 สามารถเป็นต้นแบบโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยแล้ว 5 แห่ง คือ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โรงพยาบาลนครปฐม โรงพยาบาลแพร่ โรงพยาบาลตรัง และโรงพยาบาลอํานาจเจริญ และจะขยายไปยังโรงพยาบาลชุมชนให้ครบทั้ง 780 แห่งภายในปีงบประมาณ 2561 ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวต่อว่า ตามโครงการนี้ โรงพยาบาลจะจัดหาผักและผลไม้ปลอดสารพิษนํามาปรุงอาหารให้ผู้ป่วยและญาติ มีมาตรการควบคุม ตรวจสอบ คุณภาพความปลอดภัยของอาหารทุกกระบวนการ ตั้งแต่การผลิต วัตถุดิบ การขนส่ง การปรุง ส่วนโรงครัวที่ปรุงอาหารผู้ป่วยและร้านอาหารในโรงพยาบาลผ่านมาตรฐานด้านสุขาภิบาลอาหารตามเกณฑ์ที่กําหนด เพื่อสร้างความมั่นใจและสุขภาพที่ดีแก่ผู้ป่วยและประชาชนที่มารับบริการในโรงพยาบาล รวมทั้งการจัดพื้นที่จําหน่ายผักและผลไม้ปลอดสารพิษที่ได้มาตรฐานและสินค้าเกษตรแปรรูปที่ปลอดภัยในโรงพยาบาล เพื่อให้ประชาชนซื้อหาได้สะดวก และสนับสนุนเกษตรกรอย่างยั่งยืนต่อไป **************************************** 11 กันยายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ผนึกกำลัง 6 หน่วยงาน สร้างโรงพยาบาลทุกแห่งเป็น “โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย” ภายในปี 2561 วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2560 สธ. ผนึกกําลัง 6 หน่วยงาน สร้างโรงพยาบาลทุกแห่งเป็น “โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย” ภายในปี 2561 กระทรวงสาธารณสุข ลงนามความร่วมมือ 6 หน่วยงาน สร้างความปลอดภัยอาหารในโรงพยาบาล ให้โรงครัว ร้านอาหารในโรงพยาบาลปรุงอาหารจากผัก ผลไม้ปลอดสารพิษ เพื่อสุขภาพของผู้ป่วยและประชาชน สร้างรายได้ให้เกษตรกร เริ่มในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทั้ง 116 แห่งในปี 2560 และขยายครอบคลุมโรงพยาบาลชุมชนครบ 780 แห่งภายในปี 2561 วันนี้ (11 กันยายน 2560) ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการดําเนินงานโรงพยาบาลอาหารปลอดภัย สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระหว่าง 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานกรรมการบริษัทประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จํากัด ผู้ช่วยผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) พร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานแก่ผู้บริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผู้อํานวยการโรงพยาบาล รองผู้อํานวยการด้านบริหารของโรงพยาบาล และผู้รับผิดชอบงานอาหารปลอดภัยของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป จํานวน 400 คน ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการดําเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์แห่งชาติของรัฐบาล และนโยบายโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยของกระทรวงสาธารณสุข ที่ประกาศให้ปี 2560 เป็นปีแห่งผักและผลไม้ปลอดภัย เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับประทานอาหารที่ปลอดภัยจากสารพิษและสารปนเปื้อน โดย 6 หน่วยงานจะบูรณาการการทํางานเพื่อสนับสนุนให้โรงพยาบาลมีการบริหารจัดการความปลอดภัยด้านอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสร้างรายได้ให้เกษตรกร ในปีนี้ ตั้งเป้าหมายดําเนินการในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง รวม 116 โรงพยาบาล ขณะนี้ มีโรงพยาบาลที่เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 สามารถเป็นต้นแบบโรงพยาบาลอาหารปลอดภัยแล้ว 5 แห่ง คือ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ โรงพยาบาลนครปฐม โรงพยาบาลแพร่ โรงพยาบาลตรัง และโรงพยาบาลอํานาจเจริญ และจะขยายไปยังโรงพยาบาลชุมชนให้ครบทั้ง 780 แห่งภายในปีงบประมาณ 2561 ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าวต่อว่า ตามโครงการนี้ โรงพยาบาลจะจัดหาผักและผลไม้ปลอดสารพิษนํามาปรุงอาหารให้ผู้ป่วยและญาติ มีมาตรการควบคุม ตรวจสอบ คุณภาพความปลอดภัยของอาหารทุกกระบวนการ ตั้งแต่การผลิต วัตถุดิบ การขนส่ง การปรุง ส่วนโรงครัวที่ปรุงอาหารผู้ป่วยและร้านอาหารในโรงพยาบาลผ่านมาตรฐานด้านสุขาภิบาลอาหารตามเกณฑ์ที่กําหนด เพื่อสร้างความมั่นใจและสุขภาพที่ดีแก่ผู้ป่วยและประชาชนที่มารับบริการในโรงพยาบาล รวมทั้งการจัดพื้นที่จําหน่ายผักและผลไม้ปลอดสารพิษที่ได้มาตรฐานและสินค้าเกษตรแปรรูปที่ปลอดภัยในโรงพยาบาล เพื่อให้ประชาชนซื้อหาได้สะดวก และสนับสนุนเกษตรกรอย่างยั่งยืนต่อไป **************************************** 11 กันยายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6588
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องมาตรการเพิ่มเงินชดเชยและการออมเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อย
วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม 2561 กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องมาตรการเพิ่มเงินชดเชยและการออมเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อย กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องมาตรการชดเชยเงินจากภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้มีรายได้น้อย พร้อมขยายเวลาการรับสมัครร้านธงฟ้าประชารัฐถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2561 สนใจสมัครหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กรมบัญชีกลาง หรือสํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยใช้ข้อมูลจากจํานวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชําระว่าขณะนี้กรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างเปิดรับสมัครร้านธงฟ้าประชารัฐกลุ่มเป้าหมาย จํานวน 3,000 ร้านค้า และมีร้านธงฟ้าประชารัฐ กว่า 1,300 ร้านค้า สมัครเข้าร่วมมาตรการดังกล่าวแล้ว ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ส่งข้อมูลร้านค้าให้ บมจ. ธนาคารกรุงไทย เตรียมติดตั้งอุปกรณ์เครื่องบันทึกการเก็บเงิน (Point of Sale : POS) แล้ว และเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้กับร้านค้าที่สนใจแต่ยังไม่ได้สมัครเข้าร่วมโครงการ จึงได้ขยายวันปิดรับสมัครจากเดิม ในวันที่ 15 ตุลาคม เป็นวันที่ 26 ตุลาคม 2561 ร้านค้าที่มีที่ตั้ง ในเขต กทม. สมัครได้ที่กรมบัญชีกลาง ส่วนในต่างจังหวัด สมัครได้ที่สํานักงานคลังจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ สําหรับการติดตั้งเครื่อง POS นั้น เมื่อกรมบัญชีกลาง/สํานักงานคลังจังหวัด ได้รับข้อมูลการสมัครและบันทึกข้อมูลร้านค้าที่จะติดตั้งเครื่อง POS เข้าระบบเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจะส่งข้อมูลดังกล่าว ให้ บมจ. ธนาคารกรุงไทย ดําเนินการติดตั้งเครื่อง POS ให้กับร้านค้าที่สมัครเข้ามาก่อน ภายใน 15 วัน นอกจากนี้จะติดสติ๊กเกอร์ไว้ที่หน้าร้านค้าเพื่อแสดงว่าเป็นร้านที่เข้าร่วมโครงการอีกด้วย ที่สําคัญร้านค้าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแต่อย่างใด และเนื่องจากขณะนี้มีมิจฉาชีพได้แอบอ้างและติดต่อไปยังร้านธงฟ้าประชารัฐเพื่อเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่อง POS ขอให้อย่าหลงเชื่อ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่กรมบัญชีกลางและสํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ หากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าเอกชนอื่นที่สนใจเข้าร่วมมาตรการนี้ ก็สามารถสมัครได้ โดยร้านค้าที่ยังไม่มีเครื่อง POS จะต้องลงทุนในการติดตั้งเครื่องเองก่อน และแจ้งความประสงค์มาที่กรมบัญชีกลางหรือสํานักงานคลังจังหวัด ส่วนร้านค้าที่มีเครื่อง POS อยู่แล้ว ก็ให้แจ้งความประสงค์มาที่กรมบัญชีกลางหรือสํานักงานคลังจังหวัดได้เช่นเดียวกัน เพื่อรวบรวมข้อมูลของร้านค้าส่งให้ บมจ. ธนาคารกรุงไทย ทดสอบการรับส่งข้อมูลต่อไป มาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บมจ. ธนาคารกรุงไทย จะเริ่มดําเนินการคัดแยกข้อมูลภาษีเมื่อผู้มีสิทธิได้ชําระราคาสินค้าหรือบริการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 - 30 เมษายน 2562 ซึ่งเป็นการใช้จ่ายจริงผ่านบัตรในแต่ละเดือน โดยแบ่งออก เป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1) ร้อยละ 1 จะกันไว้เป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม 2) ร้อยละ 6 จะจําแนกออกเป็น 2.1 ร้อยละ 5 เพื่อนําไปใช้จ่ายเงิน ในส่วนนี้จะโอนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e - Money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2.2 ร้อยละ 1 เพื่อการออม เมื่อรวมกันทั้งสองส่วนแล้วต้องไม่เกิน 500 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งเงินชดเชยดังกล่าวกรมบัญชีกลางจะโอนให้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากตรงกับวันหยุดจะเลื่อนเป็นวันทําการก่อนวันหยุด อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า สําหรับการออมของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อกําหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน กรมบัญชีกลางจึงได้เชิญผู้แทนจากกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน และ บมจ. ธนาคารกรุงไทย ประชุมร่วมกัน ซึ่งได้ข้อสรุปว่ากรมบัญชีกลางจะตรวจสอบฐานข้อมูลของระบบ e - Social Welfare ก่อนจะส่งข้อมูลให้กับธนาคารต่อไป และเพื่ออํานวยความสะดวกในการเปิดบัญชีธนาคารให้กับผู้มีรายได้น้อย โดยไม่ต้องไปติดต่อที่ธนาคารซึ่งการดําเนินการผ่อนคลายเงื่อนไขนี้ กรมบัญชีกลางได้หารือสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วยแล้ว ซึ่งในกรณีนี้ธนาคารสามารถเปิดบัญชีให้ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามที่กรมบัญชีกลางจะส่งข้อมูลให้ได้ก่อน โดย ธ.ก.ส. จะเปิดบัญชีให้กับผู้มีรายได้น้อยที่มีอาชีพเกษตรกร และลูกจ้างภาคเกษตรกรรม (รับจ้างทํานา ทําสวน กรีดยาง) ส่วนธนาคารออมสินจะเปิดบัญชีให้กับผู้มีรายได้น้อยในอาชีพอื่น ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป สําหรับเงื่อนไขในการออมมี 3 กรณี ดังนี้ กรณีที่ 1 เป็นสมาชิก กอช. อยู่แล้ว กรมบัญชีกลางจะโอนเข้าบัญชี เงินฝากที่ได้เปิดไว้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป กรณีที่ 2 ยังไม่เป็นสมาชิก กอช. แต่มีคุณสมบัติในการสมัคร กรมบัญชีกลางจะโอนเข้าบัญชี ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปเช่นเดียวกัน และจะแจ้งให้ กอช. รับสมัครเป็นสมาชิกต่อไปซึ่งต้องรวบรวมเงินให้ครบ 50 บาท ก่อนจึงจะโอนเงินเข้าบัญชีรายตัวเช่นเดียวกันทั้งสองกรณี โดยมีอัตราผลตอบแทนและการถอนเงินเป็นไปตามเงื่อนไขของ กอช. และ กอช. จะส่ง Statement ให้สมาชิกเพื่อตรวจสอบเงินออม ปีละ 1 ครั้ง ในเดือนกุมภาพันธ์ กรณีที่ 3 หากเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิก กอช. เงินออมดังกล่าวจะถูกสะสมไว้ในบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้มีรายได้น้อยที่ ธ.ก.ส./ธนาคารออมสิน โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม และห้ามถอนออกเป็นระยะเวลา 3 ปี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องมาตรการเพิ่มเงินชดเชยและการออมเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อย วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม 2561 กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องมาตรการเพิ่มเงินชดเชยและการออมเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อย กรมบัญชีกลางเร่งเครื่องมาตรการชดเชยเงินจากภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้มีรายได้น้อย พร้อมขยายเวลาการรับสมัครร้านธงฟ้าประชารัฐถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2561 สนใจสมัครหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กรมบัญชีกลาง หรือสํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโดยใช้ข้อมูลจากจํานวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้มีรายได้น้อยได้ชําระว่าขณะนี้กรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างเปิดรับสมัครร้านธงฟ้าประชารัฐกลุ่มเป้าหมาย จํานวน 3,000 ร้านค้า และมีร้านธงฟ้าประชารัฐ กว่า 1,300 ร้านค้า สมัครเข้าร่วมมาตรการดังกล่าวแล้ว ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ส่งข้อมูลร้านค้าให้ บมจ. ธนาคารกรุงไทย เตรียมติดตั้งอุปกรณ์เครื่องบันทึกการเก็บเงิน (Point of Sale : POS) แล้ว และเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้กับร้านค้าที่สนใจแต่ยังไม่ได้สมัครเข้าร่วมโครงการ จึงได้ขยายวันปิดรับสมัครจากเดิม ในวันที่ 15 ตุลาคม เป็นวันที่ 26 ตุลาคม 2561 ร้านค้าที่มีที่ตั้ง ในเขต กทม. สมัครได้ที่กรมบัญชีกลาง ส่วนในต่างจังหวัด สมัครได้ที่สํานักงานคลังจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ สําหรับการติดตั้งเครื่อง POS นั้น เมื่อกรมบัญชีกลาง/สํานักงานคลังจังหวัด ได้รับข้อมูลการสมัครและบันทึกข้อมูลร้านค้าที่จะติดตั้งเครื่อง POS เข้าระบบเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจะส่งข้อมูลดังกล่าว ให้ บมจ. ธนาคารกรุงไทย ดําเนินการติดตั้งเครื่อง POS ให้กับร้านค้าที่สมัครเข้ามาก่อน ภายใน 15 วัน นอกจากนี้จะติดสติ๊กเกอร์ไว้ที่หน้าร้านค้าเพื่อแสดงว่าเป็นร้านที่เข้าร่วมโครงการอีกด้วย ที่สําคัญร้านค้าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแต่อย่างใด และเนื่องจากขณะนี้มีมิจฉาชีพได้แอบอ้างและติดต่อไปยังร้านธงฟ้าประชารัฐเพื่อเรียกเก็บเงินค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเครื่อง POS ขอให้อย่าหลงเชื่อ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่กรมบัญชีกลางและสํานักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศ หากร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าเอกชนอื่นที่สนใจเข้าร่วมมาตรการนี้ ก็สามารถสมัครได้ โดยร้านค้าที่ยังไม่มีเครื่อง POS จะต้องลงทุนในการติดตั้งเครื่องเองก่อน และแจ้งความประสงค์มาที่กรมบัญชีกลางหรือสํานักงานคลังจังหวัด ส่วนร้านค้าที่มีเครื่อง POS อยู่แล้ว ก็ให้แจ้งความประสงค์มาที่กรมบัญชีกลางหรือสํานักงานคลังจังหวัดได้เช่นเดียวกัน เพื่อรวบรวมข้อมูลของร้านค้าส่งให้ บมจ. ธนาคารกรุงไทย ทดสอบการรับส่งข้อมูลต่อไป มาตรการชดเชยเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บมจ. ธนาคารกรุงไทย จะเริ่มดําเนินการคัดแยกข้อมูลภาษีเมื่อผู้มีสิทธิได้ชําระราคาสินค้าหรือบริการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 - 30 เมษายน 2562 ซึ่งเป็นการใช้จ่ายจริงผ่านบัตรในแต่ละเดือน โดยแบ่งออก เป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1) ร้อยละ 1 จะกันไว้เป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม 2) ร้อยละ 6 จะจําแนกออกเป็น 2.1 ร้อยละ 5 เพื่อนําไปใช้จ่ายเงิน ในส่วนนี้จะโอนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e - Money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2.2 ร้อยละ 1 เพื่อการออม เมื่อรวมกันทั้งสองส่วนแล้วต้องไม่เกิน 500 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งเงินชดเชยดังกล่าวกรมบัญชีกลางจะโอนให้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากตรงกับวันหยุดจะเลื่อนเป็นวันทําการก่อนวันหยุด อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า สําหรับการออมของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อกําหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน กรมบัญชีกลางจึงได้เชิญผู้แทนจากกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน และ บมจ. ธนาคารกรุงไทย ประชุมร่วมกัน ซึ่งได้ข้อสรุปว่ากรมบัญชีกลางจะตรวจสอบฐานข้อมูลของระบบ e - Social Welfare ก่อนจะส่งข้อมูลให้กับธนาคารต่อไป และเพื่ออํานวยความสะดวกในการเปิดบัญชีธนาคารให้กับผู้มีรายได้น้อย โดยไม่ต้องไปติดต่อที่ธนาคารซึ่งการดําเนินการผ่อนคลายเงื่อนไขนี้ กรมบัญชีกลางได้หารือสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วยแล้ว ซึ่งในกรณีนี้ธนาคารสามารถเปิดบัญชีให้ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามที่กรมบัญชีกลางจะส่งข้อมูลให้ได้ก่อน โดย ธ.ก.ส. จะเปิดบัญชีให้กับผู้มีรายได้น้อยที่มีอาชีพเกษตรกร และลูกจ้างภาคเกษตรกรรม (รับจ้างทํานา ทําสวน กรีดยาง) ส่วนธนาคารออมสินจะเปิดบัญชีให้กับผู้มีรายได้น้อยในอาชีพอื่น ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป สําหรับเงื่อนไขในการออมมี 3 กรณี ดังนี้ กรณีที่ 1 เป็นสมาชิก กอช. อยู่แล้ว กรมบัญชีกลางจะโอนเข้าบัญชี เงินฝากที่ได้เปิดไว้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป กรณีที่ 2 ยังไม่เป็นสมาชิก กอช. แต่มีคุณสมบัติในการสมัคร กรมบัญชีกลางจะโอนเข้าบัญชี ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปเช่นเดียวกัน และจะแจ้งให้ กอช. รับสมัครเป็นสมาชิกต่อไปซึ่งต้องรวบรวมเงินให้ครบ 50 บาท ก่อนจึงจะโอนเงินเข้าบัญชีรายตัวเช่นเดียวกันทั้งสองกรณี โดยมีอัตราผลตอบแทนและการถอนเงินเป็นไปตามเงื่อนไขของ กอช. และ กอช. จะส่ง Statement ให้สมาชิกเพื่อตรวจสอบเงินออม ปีละ 1 ครั้ง ในเดือนกุมภาพันธ์ กรณีที่ 3 หากเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิก กอช. เงินออมดังกล่าวจะถูกสะสมไว้ในบัญชีเงินฝากธนาคารของผู้มีรายได้น้อยที่ ธ.ก.ส./ธนาคารออมสิน โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม และห้ามถอนออกเป็นระยะเวลา 3 ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16155
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดงาน “ตลาดจตุจักรสะพานปลา 60” เพื่อเป็นศูนย์กลางตลาดซื้อขายสินค้าสัตว์น้ำสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปของกลุ่มเกษตรกรประมง
วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดงาน “ตลาดจตุจักรสะพานปลา 60” เพื่อเป็นศูนย์กลางตลาดซื้อขายสินค้าสัตว์น้ําสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปของกลุ่มเกษตรกรประมง กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดงาน “ตลาดจตุจักรสะพานปลา 60” ระหว่างวันที่ 22 - 26 พ.ค. 60 ณ สะพานปลากรุงเทพฯ ซ.เจริญกรุง 58 เพื่อเป็นศูนย์กลางตลาดซื้อขายสินค้าสัตว์น้ําสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปของกลุ่มเกษตรกรประมงและผู้ผลิตที่ทําประมงถูกกฎหมายและยั่งยืน น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังแถลงข่าวการจัดงาน “ตลาดจตุจักรสะพานปลา 2560” ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การสะพานปลา (อสป.) กําหนดจัดงาน “ตลาดจตุจักรสะพานปลา 60” ขึ้นระหว่างวันที่ 22 - 26 พฤษภาคม 2560 ณ สะพานปลากรุงเทพฯ ซอยเจริญกรุง 58 เวลา 11.00 – 21.00 น. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นศูนย์กลางตลาดซื้อขายสินค้าสัตว์น้ําสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปของกลุ่มเกษตรกรประมงและผู้ผลิตที่ทําประมงถูกกฎหมายและยั่งยืน (Fresh and Non IUU Fishing Market Center) และให้ประชาชนได้เข้าถึงสินค้าดีมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ถูกสุขอนามัย ในราคายุติธรรม รวมทั้งเป็นการส่งเสริม สนับสนุน อุดหนุนอาชีพของชาวประมงผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา กลุ่มเกษตรกร ชุมนุมสหกรณ์เกษตรแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบกิจการแพปลา กลุ่มอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องกับการประมง สินค้าเกษตร ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) นอกจากนั้น ยังเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลด้านการเกษตรยั่งยืน และการให้ความรู้ในการทําประมงถูกกฎหมายและคัดค้านการค้ามนุษย์ ซึ่งการจัดงานดังกล่าว ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมจัดจําหน่ายสินค้าและแสดงนิทรรศการที่น่าสนใจเป็นจํานวนมาก “ตลาดจตุจักรสะพานปลา 2560 จะเป็นโครงการที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าสัตว์น้ําและผลิตภัณฑ์แปรรูป นําไปสู่การยกระดับและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมประมง ที่จะสร้างความมั่นคงด้านอาหาร อีกทั้งยังส่งผลสะท้อนกลับไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องชาวประมงและเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ําของไทยด้วย” น.ส.ชุติมา กล่าว ด้าน ผศ.มานพ กาญจนบุรางกูร ผู้อํานวยการองค์การสะพานปลา กล่าวเพิ่มเติมว่า องค์การสะพานปลา ได้จัดงานตลาดจตุจักรสะพานปลา 60 ขึ้น เพื่อนําสินค้าสัตว์น้ําและผลิตภัณฑ์แปรรูป ตลอดจนสินค้าเกษตรที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน โดยมีกว่า 50 ร้านค้า อาทิ หอยแมลงภู่และหอยแครงไซส์นอก จากสุรกิจฟาร์ม ที่ได้มาตรฐาน GAP จากกรมประมง ปลาอินทรีย์และกุ้งแชร์บ๊วยสด จากท่าเทียบเรือประมงชุมพร พืชผักออร์แกนิคจากฟาร์มลุงเครา รวมถึงสินค้าจากวิสาหกิจชุมชน อาทิ น้ําตาลมะพร้าว/เกสรดอกเกลือ นอกจากนี้ ยังมีสินค้า OTOP อีกมากมาย อาทิ ปลาเค็มอบโอโซน ทองม้วนปลา ผ้าบาติก จากกลุ่มบ้านบาติก โรตีชาชัก ข้าวยํา/ข้าวคลุกกะปิ สินค้าจากกลุ่มเกษตรกร Innovative ข้าวกล้องไรซ์เบอรรี่ ไข่ไก่อินทรีย์ สินค้ากลุ่มเกษตรกรราชภูมิฟาร์มแก่นตะวันพุดดิ้งมะพร้าวอ่อน และสินค้าทะเลแปรรูปอีกมากมาย สําหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย นิทรรศการส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการทําประมงถูกกฎหมาย การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําอินทรีย์ การจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) การตรวจสอบย้อนกลับโดยระบบ QR Code เวทีแสดงการสาธิตการทําอาหาร การแจกพันธุ์ไม้ยืนต้นและผักสวนครัว และช่วงนาทีทองจําหน่ายสินค้าราคาถูกต่ํากว่าทุนอีกด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดงาน “ตลาดจตุจักรสะพานปลา 60” เพื่อเป็นศูนย์กลางตลาดซื้อขายสินค้าสัตว์น้ำสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปของกลุ่มเกษตรกรประมง วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดงาน “ตลาดจตุจักรสะพานปลา 60” เพื่อเป็นศูนย์กลางตลาดซื้อขายสินค้าสัตว์น้ําสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปของกลุ่มเกษตรกรประมง กระทรวงเกษตรฯ เตรียมจัดงาน “ตลาดจตุจักรสะพานปลา 60” ระหว่างวันที่ 22 - 26 พ.ค. 60 ณ สะพานปลากรุงเทพฯ ซ.เจริญกรุง 58 เพื่อเป็นศูนย์กลางตลาดซื้อขายสินค้าสัตว์น้ําสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปของกลุ่มเกษตรกรประมงและผู้ผลิตที่ทําประมงถูกกฎหมายและยั่งยืน น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังแถลงข่าวการจัดงาน “ตลาดจตุจักรสะพานปลา 2560” ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การสะพานปลา (อสป.) กําหนดจัดงาน “ตลาดจตุจักรสะพานปลา 60” ขึ้นระหว่างวันที่ 22 - 26 พฤษภาคม 2560 ณ สะพานปลากรุงเทพฯ ซอยเจริญกรุง 58 เวลา 11.00 – 21.00 น. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นศูนย์กลางตลาดซื้อขายสินค้าสัตว์น้ําสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปของกลุ่มเกษตรกรประมงและผู้ผลิตที่ทําประมงถูกกฎหมายและยั่งยืน (Fresh and Non IUU Fishing Market Center) และให้ประชาชนได้เข้าถึงสินค้าดีมีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ถูกสุขอนามัย ในราคายุติธรรม รวมทั้งเป็นการส่งเสริม สนับสนุน อุดหนุนอาชีพของชาวประมงผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา กลุ่มเกษตรกร ชุมนุมสหกรณ์เกษตรแห่งประเทศไทย ผู้ประกอบกิจการแพปลา กลุ่มอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องกับการประมง สินค้าเกษตร ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) นอกจากนั้น ยังเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลด้านการเกษตรยั่งยืน และการให้ความรู้ในการทําประมงถูกกฎหมายและคัดค้านการค้ามนุษย์ ซึ่งการจัดงานดังกล่าว ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมจัดจําหน่ายสินค้าและแสดงนิทรรศการที่น่าสนใจเป็นจํานวนมาก “ตลาดจตุจักรสะพานปลา 2560 จะเป็นโครงการที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าสัตว์น้ําและผลิตภัณฑ์แปรรูป นําไปสู่การยกระดับและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมประมง ที่จะสร้างความมั่นคงด้านอาหาร อีกทั้งยังส่งผลสะท้อนกลับไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องชาวประมงและเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ําของไทยด้วย” น.ส.ชุติมา กล่าว ด้าน ผศ.มานพ กาญจนบุรางกูร ผู้อํานวยการองค์การสะพานปลา กล่าวเพิ่มเติมว่า องค์การสะพานปลา ได้จัดงานตลาดจตุจักรสะพานปลา 60 ขึ้น เพื่อนําสินค้าสัตว์น้ําและผลิตภัณฑ์แปรรูป ตลอดจนสินค้าเกษตรที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน โดยมีกว่า 50 ร้านค้า อาทิ หอยแมลงภู่และหอยแครงไซส์นอก จากสุรกิจฟาร์ม ที่ได้มาตรฐาน GAP จากกรมประมง ปลาอินทรีย์และกุ้งแชร์บ๊วยสด จากท่าเทียบเรือประมงชุมพร พืชผักออร์แกนิคจากฟาร์มลุงเครา รวมถึงสินค้าจากวิสาหกิจชุมชน อาทิ น้ําตาลมะพร้าว/เกสรดอกเกลือ นอกจากนี้ ยังมีสินค้า OTOP อีกมากมาย อาทิ ปลาเค็มอบโอโซน ทองม้วนปลา ผ้าบาติก จากกลุ่มบ้านบาติก โรตีชาชัก ข้าวยํา/ข้าวคลุกกะปิ สินค้าจากกลุ่มเกษตรกร Innovative ข้าวกล้องไรซ์เบอรรี่ ไข่ไก่อินทรีย์ สินค้ากลุ่มเกษตรกรราชภูมิฟาร์มแก่นตะวันพุดดิ้งมะพร้าวอ่อน และสินค้าทะเลแปรรูปอีกมากมาย สําหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย นิทรรศการส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการทําประมงถูกกฎหมาย การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําอินทรีย์ การจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) การตรวจสอบย้อนกลับโดยระบบ QR Code เวทีแสดงการสาธิตการทําอาหาร การแจกพันธุ์ไม้ยืนต้นและผักสวนครัว และช่วงนาทีทองจําหน่ายสินค้าราคาถูกต่ํากว่าทุนอีกด้วย กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3719
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์เด็กเล็กฯ นครปฐม เปิดรับเด็กปฐมวัย ม.ค.61
วันพุธที่ 3 มกราคม 2561 ศูนย์เด็กเล็กฯ นครปฐม เปิดรับเด็กปฐมวัย ม.ค.61 ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดนครปฐม เปิดรับสมัคร เด็กปฐมวัย เข้ารับการเลี้ยงดูในปีการศึกษา 2561 เริ่มรับใบสมัครตั้งแต่มกราคม 61 เป็นต้นไป นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดนครปฐม เปิดรับสมัครเด็กปฐมวัยที่อายุครบ 2 ปีครึ่ง ถึง 6 ปี หรือเด็กที่เกิดในปี พ.ศ. 2555 – 2558 เข้ารับการเลี้ยงดูในปีการศึกษา 2561 โดยเปิดรับใบสมัครได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 เป็นต้นไป ในวัน เวลา ราชการ และสามารถยื่นหลักฐานการรับสมัครและสัมภาษณ์ได้ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม ถึง 11 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัยฯจังหวัดนครปฐม โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ โทรศัพท์ 0-2420-4351-2 อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ เป็นโครงการตามพระราชดําริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดําริให้จัดสร้างสถานที่ รับเลี้ยงดูแลและพัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน โดยจัดตั้งขึ้นที่ตําบลอ้อมใหญ่ อําเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม และตําบลท้ายบ้าน อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเป็นการจัดสวัสดิการและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งสามารถทํางานได้เต็มที่โดยไม่มีความกังวลห่วงใยบุตรหลานเนื่องจากเปิดเรียนตลอดไม่มีการปิดภาคเรียน และมีตลอดจนให้เด็กได้รับการพัฒนาทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การศึกษาภาคบังคับต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์เด็กเล็กฯ นครปฐม เปิดรับเด็กปฐมวัย ม.ค.61 วันพุธที่ 3 มกราคม 2561 ศูนย์เด็กเล็กฯ นครปฐม เปิดรับเด็กปฐมวัย ม.ค.61 ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดนครปฐม เปิดรับสมัคร เด็กปฐมวัย เข้ารับการเลี้ยงดูในปีการศึกษา 2561 เริ่มรับใบสมัครตั้งแต่มกราคม 61 เป็นต้นไป นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดนครปฐม เปิดรับสมัครเด็กปฐมวัยที่อายุครบ 2 ปีครึ่ง ถึง 6 ปี หรือเด็กที่เกิดในปี พ.ศ. 2555 – 2558 เข้ารับการเลี้ยงดูในปีการศึกษา 2561 โดยเปิดรับใบสมัครได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 เป็นต้นไป ในวัน เวลา ราชการ และสามารถยื่นหลักฐานการรับสมัครและสัมภาษณ์ได้ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม ถึง 11 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัยฯจังหวัดนครปฐม โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ โทรศัพท์ 0-2420-4351-2 อธิบดี กสร. กล่าวต่อไปว่า ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ เป็นโครงการตามพระราชดําริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดําริให้จัดสร้างสถานที่ รับเลี้ยงดูแลและพัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน โดยจัดตั้งขึ้นที่ตําบลอ้อมใหญ่ อําเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม และตําบลท้ายบ้าน อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเป็นการจัดสวัสดิการและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งสามารถทํางานได้เต็มที่โดยไม่มีความกังวลห่วงใยบุตรหลานเนื่องจากเปิดเรียนตลอดไม่มีการปิดภาคเรียน และมีตลอดจนให้เด็กได้รับการพัฒนาทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การศึกษาภาคบังคับต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9148
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานวันต่อต้านคอร์รัปชั่น 2560 ภาคใต้แนวคิด "รัฐบาลใหม่! คอร์รัปชั่นเก่า?"
วันพุธที่ 6 กันยายน 2560 งานวันต่อต้านคอร์รัปชั่น 2560 ภาคใต้แนวคิด "รัฐบาลใหม่! คอร์รัปชั่นเก่า?" กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชั่น 2560 ภาคใต้แนวคิด "รัฐบาลใหม่! คอร์รัปชั่นเก่า?" ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ วันนี้ (6 กันยายน 2560) นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และนายสมศักดิ์ จันทรรวงทอง เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย พร้อมคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงอุสาหกรรม เข้าร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชั่น 2560 ภาคใต้แนวคิด "รัฐบาลใหม่! คอร์รัปชั่นเก่า?" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สังคมไทยได้ตระหนักรู้ว่าในอนาคตการที่เราจะมีรัฐบาลที่ดีไม่ทําให้ประชาชนผิดหวังไม่โกงกิน ไม่ใช้อํานาจโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง จําเป็นที่คนไทยต้องแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันให้มีการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันที่จําเป็นให้สําเร็จ รวมทั้งสร้างแนวทางที่จะทําให้ประชาชนสามารถรู้เท่าทันเพื่อการตัดสินใจเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติร่วมกัน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานวันต่อต้านคอร์รัปชั่น 2560 ภาคใต้แนวคิด "รัฐบาลใหม่! คอร์รัปชั่นเก่า?" วันพุธที่ 6 กันยายน 2560 งานวันต่อต้านคอร์รัปชั่น 2560 ภาคใต้แนวคิด "รัฐบาลใหม่! คอร์รัปชั่นเก่า?" กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชั่น 2560 ภาคใต้แนวคิด "รัฐบาลใหม่! คอร์รัปชั่นเก่า?" ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ วันนี้ (6 กันยายน 2560) นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และนายสมศักดิ์ จันทรรวงทอง เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย พร้อมคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงอุสาหกรรม เข้าร่วมงานวันต่อต้านคอร์รัปชั่น 2560 ภาคใต้แนวคิด "รัฐบาลใหม่! คอร์รัปชั่นเก่า?" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สังคมไทยได้ตระหนักรู้ว่าในอนาคตการที่เราจะมีรัฐบาลที่ดีไม่ทําให้ประชาชนผิดหวังไม่โกงกิน ไม่ใช้อํานาจโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง จําเป็นที่คนไทยต้องแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันให้มีการขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันที่จําเป็นให้สําเร็จ รวมทั้งสร้างแนวทางที่จะทําให้ประชาชนสามารถรู้เท่าทันเพื่อการตัดสินใจเรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติร่วมกัน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6477
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ “รามเกียรติ์” หวังให้เด็ก-เยาวชน ๔.๐ เข้าถึงมรดกภูมิปัญญาของชาติโดยง่าย
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561 วธ.เปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ “รามเกียรติ์” หวังให้เด็ก-เยาวชน ๔.๐ เข้าถึงมรดกภูมิปัญญาของชาติโดยง่าย วธ.เปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ “รามเกียรติ์” หวังให้เด็ก-เยาวชน ๔.๐ เข้าถึงมรดกภูมิปัญญาของชาติโดยง่าย เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ประธานแถลงข่าวกล่าวว่า การสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่น "รามเกียรติ์ จากจิตรกรรมรอบพระระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม" ตอน "รามาวตาร” เป็นหนึ่งในโครงการสําคัญ ของกระทรวงวัฒนธรรมที่ดําเนินการตามนโยบายประเทศไทย ๔.๐ ของรัฐบาล เพื่อนําพาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยขับเคลื่อนด้วยทุนทางวัฒนธรรม ๕ ประเภท หรือ ๕F คือ ๑) Fightings ศิลปะการต่อสู้ เช่น มวยไทย ฟันดาบ กระบี่กระบอง ๒) Festivals งานประเพณีต่างๆของไทย ๓) Foods อาหารไทย เช่น อาหารท้องถิ่น อาหารสุขภาพ ขนมไทย ๔) Fashions ศิลปะการแต่งกาย เช่น การใช้ผ้าไทย เครื่องประดับ การแต่งกายชุดไทยในกิจกรรมสําคัญ และ ๕) คือ Films ภาพยนตร์ เพื่อส่งเสริมการต่อยอดสร้างสรรค์ การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและสื่อบันเทิงประเภทต่างๆ "ภาพยนตร์แอนิเมชั่น ตอน รามาวตาร ถือเป็นนวัตกรรมสร้างสรรค์ โดยการนําภาพจิตรกรรมฝาผนังรอบพระระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เรื่อง รามเกียรติ์ ซึ่งเป็นวรรณคดีสําคัญของไทยและอาเซียน ดัดแปลงมาจาก รามายณะของอินเดีย และมีอิทธิพลทางความคิด ความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรม และหลักการดําเนินชีวิตของคนในภูมิภาคนี้มาแต่โบราณ มาสร้างสรรค์ให้เคลื่อนไหวเสมือนจริง ในรูปแบบแอนิเมชั่น ซึ่งมีส่วนสําคัญที่จะทําให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้เรื่องรามเกียรติ์ ได้ง่ายยิ่งขึ้น และเข้าถึงศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของไทยอย่างน่าสนใจ สนุกสนาน เพลิดเพลิน สอดคล้องกับยุคสมัย ถือเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้ผู้ผลิตสื่อรุ่นใหม่ ในการสร้างสรรค์สื่อที่ดีเพื่อสังคม” นางฉวีรัตน์ กล่าว จากนั้นเป็นการเสวนา เรื่อง "คุณค่าวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ จากจิตรกรรมรอบระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สู่มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมวลมนุษยชาติ” โดย นายสาคร โสภา นายช่างใหญ่ผู้ดูแลการอนุรักษ์ภาพจิตรกรรมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กล่าวถึงคุณค่าจิตรกรรมฝาผนัง ร่วมด้วย นายนนทรีย์ นิมิบุตร ผู้อํานวยการบริหารภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ กล่าวถึงการผลิตภาพยนตร์ของไทยและต่างประเทศ นายอธิปัตย์ กมลเพ็ชร ผู้กํากับภาพยนตร์แอนิเมชั่น รามเกียรติ์ กล่าวถึงแนวคิดและเทคนิคการผลิตแอนิเมชั่น และดําเนินรายการโดย นายอนุชา ทีรคานนท์ ผู้อํานวยการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ทั้งนี้ ประชาชนผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชั่น รามเกียรติ์ ตอน "รามาวตาร” ได้ทาง www.culture.go.th หรือ https://www.facebook.com/DCP.culture ซึ่งเมื่อผลิตแล้วเสร็จ ทางกระทรวงวัฒนธรรม จะดําเนินการเผยแพร่ทางโรงภาพยนตร์และสถานศึกษาต่างๆ ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ “รามเกียรติ์” หวังให้เด็ก-เยาวชน ๔.๐ เข้าถึงมรดกภูมิปัญญาของชาติโดยง่าย วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561 วธ.เปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ “รามเกียรติ์” หวังให้เด็ก-เยาวชน ๔.๐ เข้าถึงมรดกภูมิปัญญาของชาติโดยง่าย วธ.เปิดตัวภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ “รามเกียรติ์” หวังให้เด็ก-เยาวชน ๔.๐ เข้าถึงมรดกภูมิปัญญาของชาติโดยง่าย เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๑ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ประธานแถลงข่าวกล่าวว่า การสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่น "รามเกียรติ์ จากจิตรกรรมรอบพระระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม" ตอน "รามาวตาร” เป็นหนึ่งในโครงการสําคัญ ของกระทรวงวัฒนธรรมที่ดําเนินการตามนโยบายประเทศไทย ๔.๐ ของรัฐบาล เพื่อนําพาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยขับเคลื่อนด้วยทุนทางวัฒนธรรม ๕ ประเภท หรือ ๕F คือ ๑) Fightings ศิลปะการต่อสู้ เช่น มวยไทย ฟันดาบ กระบี่กระบอง ๒) Festivals งานประเพณีต่างๆของไทย ๓) Foods อาหารไทย เช่น อาหารท้องถิ่น อาหารสุขภาพ ขนมไทย ๔) Fashions ศิลปะการแต่งกาย เช่น การใช้ผ้าไทย เครื่องประดับ การแต่งกายชุดไทยในกิจกรรมสําคัญ และ ๕) คือ Films ภาพยนตร์ เพื่อส่งเสริมการต่อยอดสร้างสรรค์ การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและสื่อบันเทิงประเภทต่างๆ "ภาพยนตร์แอนิเมชั่น ตอน รามาวตาร ถือเป็นนวัตกรรมสร้างสรรค์ โดยการนําภาพจิตรกรรมฝาผนังรอบพระระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เรื่อง รามเกียรติ์ ซึ่งเป็นวรรณคดีสําคัญของไทยและอาเซียน ดัดแปลงมาจาก รามายณะของอินเดีย และมีอิทธิพลทางความคิด ความเชื่อ ศิลปวัฒนธรรม และหลักการดําเนินชีวิตของคนในภูมิภาคนี้มาแต่โบราณ มาสร้างสรรค์ให้เคลื่อนไหวเสมือนจริง ในรูปแบบแอนิเมชั่น ซึ่งมีส่วนสําคัญที่จะทําให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้เรื่องรามเกียรติ์ ได้ง่ายยิ่งขึ้น และเข้าถึงศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของไทยอย่างน่าสนใจ สนุกสนาน เพลิดเพลิน สอดคล้องกับยุคสมัย ถือเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้ผู้ผลิตสื่อรุ่นใหม่ ในการสร้างสรรค์สื่อที่ดีเพื่อสังคม” นางฉวีรัตน์ กล่าว จากนั้นเป็นการเสวนา เรื่อง "คุณค่าวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ จากจิตรกรรมรอบระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สู่มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมวลมนุษยชาติ” โดย นายสาคร โสภา นายช่างใหญ่ผู้ดูแลการอนุรักษ์ภาพจิตรกรรมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กล่าวถึงคุณค่าจิตรกรรมฝาผนัง ร่วมด้วย นายนนทรีย์ นิมิบุตร ผู้อํานวยการบริหารภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ กล่าวถึงการผลิตภาพยนตร์ของไทยและต่างประเทศ นายอธิปัตย์ กมลเพ็ชร ผู้กํากับภาพยนตร์แอนิเมชั่น รามเกียรติ์ กล่าวถึงแนวคิดและเทคนิคการผลิตแอนิเมชั่น และดําเนินรายการโดย นายอนุชา ทีรคานนท์ ผู้อํานวยการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ทั้งนี้ ประชาชนผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชั่น รามเกียรติ์ ตอน "รามาวตาร” ได้ทาง www.culture.go.th หรือ https://www.facebook.com/DCP.culture ซึ่งเมื่อผลิตแล้วเสร็จ ทางกระทรวงวัฒนธรรม จะดําเนินการเผยแพร่ทางโรงภาพยนตร์และสถานศึกษาต่างๆ ต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10993
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยช่วงเวลาที่ทำงานต่างประเทศ คิดถึงทุกคนเสมอ ระบุอยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่ากับอยู่บ้านเรา
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 นายกรัฐมนตรีเผยช่วงเวลาที่ทํางานต่างประเทศ คิดถึงทุกคนเสมอ ระบุอยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่ากับอยู่บ้านเรา นายกรัฐมนตรีเผยช่วงเวลาที่ทํางานต่างประเทศ คิดถึงทุกคนเสมอ ระบุอยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่ากับอยู่บ้านเรา วันนี้ (20 พฤศจิกายน 2561) เวลา 14.45 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า “คิดถึงกันหรือเปล่าไม่รู้ นายกไม่อยู่หลายวัน นายกคิดถึงทุกคนเสมอ คิดถึงสื่อ คิดถึงคนไทย คิดถึงคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ถึงแม้นายกจะไม่อยู่ นายกได้มอบหมายภารกิจต่าง ๆ ไว้แล้ว ก็ทราบดีว่ามีปัญหาหลายด้าน” นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ตอนนี้อยากให้คนไทยนึกถึงเพลง “บ้านเรา” พร้อมกับร้องเพลงบ้านเราตอนหนึ่งว่า “บ้านเรา แสนสุขใจ แม้จะอยู่ที่ไหน ๆ ไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา” และพูดว่า ไปไหนก็ทานข้าวไม่อร่อย แต่ต้องไปทํางาน จึงต้องไป เพื่อติดต่อกับต่างประเทศด้านการค้า การลงทุนกับต่างประเทศ รวมถึงเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ และแสดงความคิดเห็นในเวทีโลก ---------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยช่วงเวลาที่ทำงานต่างประเทศ คิดถึงทุกคนเสมอ ระบุอยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่ากับอยู่บ้านเรา วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 นายกรัฐมนตรีเผยช่วงเวลาที่ทํางานต่างประเทศ คิดถึงทุกคนเสมอ ระบุอยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่ากับอยู่บ้านเรา นายกรัฐมนตรีเผยช่วงเวลาที่ทํางานต่างประเทศ คิดถึงทุกคนเสมอ ระบุอยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่ากับอยู่บ้านเรา วันนี้ (20 พฤศจิกายน 2561) เวลา 14.45 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า “คิดถึงกันหรือเปล่าไม่รู้ นายกไม่อยู่หลายวัน นายกคิดถึงทุกคนเสมอ คิดถึงสื่อ คิดถึงคนไทย คิดถึงคนทุกกลุ่มทุกฝ่าย ถึงแม้นายกจะไม่อยู่ นายกได้มอบหมายภารกิจต่าง ๆ ไว้แล้ว ก็ทราบดีว่ามีปัญหาหลายด้าน” นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ตอนนี้อยากให้คนไทยนึกถึงเพลง “บ้านเรา” พร้อมกับร้องเพลงบ้านเราตอนหนึ่งว่า “บ้านเรา แสนสุขใจ แม้จะอยู่ที่ไหน ๆ ไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา” และพูดว่า ไปไหนก็ทานข้าวไม่อร่อย แต่ต้องไปทํางาน จึงต้องไป เพื่อติดต่อกับต่างประเทศด้านการค้า การลงทุนกับต่างประเทศ รวมถึงเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ และแสดงความคิดเห็นในเวทีโลก ---------------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16936
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอฟังแนวทางการแก้ปัญหาสารเคมีรอบด้าน ชูเกษตรอินทรีย์เป็นแนวทางเกษตรกรรม
วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562 นายกรัฐมนตรีขอฟังแนวทางการแก้ปัญหาสารเคมีรอบด้าน ชูเกษตรอินทรีย์เป็นแนวทางเกษตรกรรม นายกรัฐมนตรี แถลงแก่สื่อมวลชน ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (3 ก.ย 62) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณโถงกลาง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแถลงแก่สื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงการใช้สารเคมีในอุสาหกรรมการเกษตรว่า ตนเองเข้าใจเหตุผลหลักการความจําเป็นในการใช้สารเคมี พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ซึ่งเกี่ยวข้องกับ 3 กระทรวงทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม จากรายงานของคณะกรรมการวัตถุอันตราย โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แจงว่าต้องหาสารชดเชยให้ได้ก่อน รวมทั้งต้องพิจารณาหลายมิติทั้งรัฐ ผู้บริโภค เกษตรกร เพื่อไม่ให้กระทบทุกด้านๆ โดยส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยในการใช้สารเคมี อย่างไรก็ตามจะเดินหน้าสู่การทําเกษตรอินทรีย์หรือเกษตร Gap ที่ควบคุมได้ โดยจะร่วมมือกันแก้ปัญหาโดยเร็ว ....................................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอฟังแนวทางการแก้ปัญหาสารเคมีรอบด้าน ชูเกษตรอินทรีย์เป็นแนวทางเกษตรกรรม วันอังคารที่ 3 กันยายน 2562 นายกรัฐมนตรีขอฟังแนวทางการแก้ปัญหาสารเคมีรอบด้าน ชูเกษตรอินทรีย์เป็นแนวทางเกษตรกรรม นายกรัฐมนตรี แถลงแก่สื่อมวลชน ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (3 ก.ย 62) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณโถงกลาง ชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแถลงแก่สื่อมวลชนภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงการใช้สารเคมีในอุสาหกรรมการเกษตรว่า ตนเองเข้าใจเหตุผลหลักการความจําเป็นในการใช้สารเคมี พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ซึ่งเกี่ยวข้องกับ 3 กระทรวงทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม จากรายงานของคณะกรรมการวัตถุอันตราย โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แจงว่าต้องหาสารชดเชยให้ได้ก่อน รวมทั้งต้องพิจารณาหลายมิติทั้งรัฐ ผู้บริโภค เกษตรกร เพื่อไม่ให้กระทบทุกด้านๆ โดยส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยในการใช้สารเคมี อย่างไรก็ตามจะเดินหน้าสู่การทําเกษตรอินทรีย์หรือเกษตร Gap ที่ควบคุมได้ โดยจะร่วมมือกันแก้ปัญหาโดยเร็ว ....................................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22761
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ศธ. ปลูกป่าร่วมใจทำดีเพื่อพ่อ" จำนวน 999,989 ต้นทั่วประเทศ
วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560 "ศธ. ปลูกป่าร่วมใจทําดีเพื่อพ่อ" จํานวน 999,989 ต้นทั่วประเทศ กระทรวงศึกษาธิการจัดกิจกรรม "ศธ.ปลูกป่าร่วมใจทําดีเพื่อพ่อ" เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อส่งเสริมให้บุคลากร นักเรียน นิสิตนักศึกษาเรียนรู้แนวพระราชดําริ รวมถึงได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ของชาติโดยส่วนกลางจัดขึ้นในพื้นที่เขาพระยาเดินธง อําเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี พร้อมกับส่วนภูมิภาคซึ่งจัดกิจกรรมพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ จํานวน 999,989 ต้นในวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า โครงการ "ศธ.ปลูกป่าร่วมใจทําดีเพื่อพ่อ" จัดขึ้นเพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเพื่อสืบสานพระราชปณิธาน ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพระองค์ โดยจัดให้มีกิจกรรมปลูกต้นไม้ ซึ่งกรมป่าไม้ได้ให้การสนับสนุนกล้าไม้แก่กระทรวงศึกษาธิการ จํานวน 999,989 ต้น เพื่อปลูกพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 โดยกําหนดพื้นที่ปลูก ดังนี้ ส่วนกลางจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ จํานวน 5,089 ต้น ณ พื้นที่บริเวณเขาพระยาเดินธง ตําบลดีลัง อําเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี โดยเรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการ และนําผู้บริหาร บุคลากร นิสิตนักศึกษา นักเรียน ร่วมกันปลูกต้นไม้จํานวน 5,089 ต้น ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจํานวน 2,020 คน ประกอบด้วยผู้บริหารและบุคลากร จํานวน 520 คน และมีนักเรียนนิสิตนักศึกษาในจังหวัดลพบุรี อีก 1,500 คน ส่วนภูมิภาคกําหนดให้สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดทุกจังหวัด (ยกเว้นจังหวัดลพบุรี) ร่วมกับหน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัดจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ จังหวัดละประมาณ 13,265 ต้น โดยปลูกภายในพื้นที่ของหน่วยงาน สถาบัน และสถานศึกษา หรือพื้นที่ที่เหมาะสม การดูแลรักษาต้นไม้ที่ปลูกกระทรวงศึกษาธิการกําหนดให้หน่วยงานหลักที่ปลูกต้นไม้ ได้แก่ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (รับผิดชอบในภาพรวม) สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สํานักงาน กศน. และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน รวมทั้งสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดทุกจังหวัด ซึ่งรับผิดชอบกิจกรรมปลูกต้นไม้ในส่วนภูมิภาค ให้รายงานผลการจัดกิจกรรม รายงานผลการเจริญเติบโตของต้นไม้ พร้อมทั้งกําหนดให้มีการดูแลและบํารุงรักษาต้นไม้ที่ปลูกให้เจริญงอกงาม โดยอาจจะกําหนดให้หน่วยงานหรือสถานศึกษาในสังกัดจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการดูแลและบํารุงรักษาต้นไม้ที่ปลูกอย่างต่อเนื่อง กล้าไม้ที่ปลูกในโครงการ ศธ.ปลูกป่าร่วมใจทําดีเพื่อพ่อกรมป่าไม้ได้ให้การสนับสนุนพื้นที่ปลูกป่าของส่วนกลาง และมอบกล้าไม้เพื่อนําไปปลูกทั้งประเทศ จํานวน 999,989 ต้น ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ สามารถติดต่อรับกล้าไม้ได้ที่ศูนย์เพาะชํากล้าไม้และสถานีเพาะชํากล้าไม้ สังกัดกรมป่าไม้ ได้ทุกแห่งทั่วประเทศ สําหรับพันธุ์ไม้ที่กรมป่าไม้ให้การสนับสนุนเพื่อปลูกของส่วนกลางประกอบด้วย ต้นรวงผึ้ง (ต้นไม้ประจํารัชกาลที่ 10) ต้นพิกุล (ต้นไม้ประจําจังหวัดลพบุรี)และพันธุ์ไม้อื่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมต่อพสกนิกรชาวไทย ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ และพระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริอย่างมากมาย เช่น โครงการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร ด้านการพัฒนาการศึกษาของชาติ และด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งนําความเจริญมาสู่ประเทศชาติและประชาชนอย่างไพศาล กระทรวงศึกษาธิการสํานึกในพระมหากรุณาที่คุณเป็นล้นพ้น จึงกําหนดจัดโครงการ "ศธ. ปลูกป่าร่วมใจทําดีเพื่อพ่อ"โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อส่งเสริมให้บุคลากร นักศึกษา และนักเรียน ได้ศึกษาเรียนรู้แนวพระราชดําริ รวมถึงได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ของชาติ นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ได้ ทรงย้ําและกระตุ้นตลอดเวลาว่าขอให้เราร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ขอขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี อธิบดีกรมป่าไม้ที่ได้มอบกล้าไม้จํานวนมากและมอบหมายให้รองอธิบดีกรมป่าไม้เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ รวมทั้งผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทุกฝ่าย นิสิตนักศึกษา นักเรียนที่ได้ร่วมกันจัดโครงการครั้งนี้ขึ้น เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ขออนุโมทนาให้ทุกท่านที่ตั้งใจทําความดีเพื่อพระองค์และประเทศชาติในวันนี้ บัลลังก์ โรหิตเสถียร:สรุป/รายงาน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี:ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ศธ. ปลูกป่าร่วมใจทำดีเพื่อพ่อ" จำนวน 999,989 ต้นทั่วประเทศ วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560 "ศธ. ปลูกป่าร่วมใจทําดีเพื่อพ่อ" จํานวน 999,989 ต้นทั่วประเทศ กระทรวงศึกษาธิการจัดกิจกรรม "ศธ.ปลูกป่าร่วมใจทําดีเพื่อพ่อ" เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อส่งเสริมให้บุคลากร นักเรียน นิสิตนักศึกษาเรียนรู้แนวพระราชดําริ รวมถึงได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ของชาติโดยส่วนกลางจัดขึ้นในพื้นที่เขาพระยาเดินธง อําเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี พร้อมกับส่วนภูมิภาคซึ่งจัดกิจกรรมพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ จํานวน 999,989 ต้นในวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า โครงการ "ศธ.ปลูกป่าร่วมใจทําดีเพื่อพ่อ" จัดขึ้นเพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเพื่อสืบสานพระราชปณิธาน ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพระองค์ โดยจัดให้มีกิจกรรมปลูกต้นไม้ ซึ่งกรมป่าไม้ได้ให้การสนับสนุนกล้าไม้แก่กระทรวงศึกษาธิการ จํานวน 999,989 ต้น เพื่อปลูกพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2560 โดยกําหนดพื้นที่ปลูก ดังนี้ ส่วนกลางจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ จํานวน 5,089 ต้น ณ พื้นที่บริเวณเขาพระยาเดินธง ตําบลดีลัง อําเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี โดยเรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดโครงการ และนําผู้บริหาร บุคลากร นิสิตนักศึกษา นักเรียน ร่วมกันปลูกต้นไม้จํานวน 5,089 ต้น ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจํานวน 2,020 คน ประกอบด้วยผู้บริหารและบุคลากร จํานวน 520 คน และมีนักเรียนนิสิตนักศึกษาในจังหวัดลพบุรี อีก 1,500 คน ส่วนภูมิภาคกําหนดให้สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดทุกจังหวัด (ยกเว้นจังหวัดลพบุรี) ร่วมกับหน่วยงานและสถานศึกษาในสังกัดจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ จังหวัดละประมาณ 13,265 ต้น โดยปลูกภายในพื้นที่ของหน่วยงาน สถาบัน และสถานศึกษา หรือพื้นที่ที่เหมาะสม การดูแลรักษาต้นไม้ที่ปลูกกระทรวงศึกษาธิการกําหนดให้หน่วยงานหลักที่ปลูกต้นไม้ ได้แก่ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (รับผิดชอบในภาพรวม) สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สํานักงาน กศน. และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน รวมทั้งสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดทุกจังหวัด ซึ่งรับผิดชอบกิจกรรมปลูกต้นไม้ในส่วนภูมิภาค ให้รายงานผลการจัดกิจกรรม รายงานผลการเจริญเติบโตของต้นไม้ พร้อมทั้งกําหนดให้มีการดูแลและบํารุงรักษาต้นไม้ที่ปลูกให้เจริญงอกงาม โดยอาจจะกําหนดให้หน่วยงานหรือสถานศึกษาในสังกัดจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการดูแลและบํารุงรักษาต้นไม้ที่ปลูกอย่างต่อเนื่อง กล้าไม้ที่ปลูกในโครงการ ศธ.ปลูกป่าร่วมใจทําดีเพื่อพ่อกรมป่าไม้ได้ให้การสนับสนุนพื้นที่ปลูกป่าของส่วนกลาง และมอบกล้าไม้เพื่อนําไปปลูกทั้งประเทศ จํานวน 999,989 ต้น ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ สามารถติดต่อรับกล้าไม้ได้ที่ศูนย์เพาะชํากล้าไม้และสถานีเพาะชํากล้าไม้ สังกัดกรมป่าไม้ ได้ทุกแห่งทั่วประเทศ สําหรับพันธุ์ไม้ที่กรมป่าไม้ให้การสนับสนุนเพื่อปลูกของส่วนกลางประกอบด้วย ต้นรวงผึ้ง (ต้นไม้ประจํารัชกาลที่ 10) ต้นพิกุล (ต้นไม้ประจําจังหวัดลพบุรี)และพันธุ์ไม้อื่นที่เหมาะสมกับท้องถิ่น นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมต่อพสกนิกรชาวไทย ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ และพระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริอย่างมากมาย เช่น โครงการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร ด้านการพัฒนาการศึกษาของชาติ และด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งนําความเจริญมาสู่ประเทศชาติและประชาชนอย่างไพศาล กระทรวงศึกษาธิการสํานึกในพระมหากรุณาที่คุณเป็นล้นพ้น จึงกําหนดจัดโครงการ "ศธ. ปลูกป่าร่วมใจทําดีเพื่อพ่อ"โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อส่งเสริมให้บุคลากร นักศึกษา และนักเรียน ได้ศึกษาเรียนรู้แนวพระราชดําริ รวมถึงได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ของชาติ นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ได้ ทรงย้ําและกระตุ้นตลอดเวลาว่าขอให้เราร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป นอกจากนี้ การจัดกิจกรรมโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ขอขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี อธิบดีกรมป่าไม้ที่ได้มอบกล้าไม้จํานวนมากและมอบหมายให้รองอธิบดีกรมป่าไม้เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ รวมทั้งผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทุกฝ่าย นิสิตนักศึกษา นักเรียนที่ได้ร่วมกันจัดโครงการครั้งนี้ขึ้น เพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ขออนุโมทนาให้ทุกท่านที่ตั้งใจทําความดีเพื่อพระองค์และประเทศชาติในวันนี้ บัลลังก์ โรหิตเสถียร:สรุป/รายงาน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี:ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5228
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงาน ได้ให้การต้อนรับ ดร.ฟาร์ตี้ ไบโรล์ ผู้อำนวยการทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (IEA)
วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม 2561 กระทรวงพลังงาน ได้ให้การต้อนรับ ดร.ฟาร์ตี้ ไบโรล์ ผู้อํานวยการทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ดร.ฟาร์ตี้ ไบโรล์ ผู้อํานวยการทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ให้เกียรติเยือนกระทรวงพลังงานอย่างเป็นทางการ พร้อมบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ สถานการณ์ทิศทางพลังงานโลก ตลาดน้ํามัน เทคโนโลยีด้านพลังงาน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นพลังงานโลกที่สําคัญๆ กระทรวงพลังงาน โดยดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้การต้อนรับ ดร.ฟาร์ตี้ ไบโรล์ ผู้อํานวยการทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (Dr.Fatih Birol Executive Director of International Energy Agency : IEA) ซึ่งได้ให้เกียรติเยือนกระทรวงพลังงานอย่างเป็นทางการ พร้อมบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ สถานการณ์ทิศทางพลังงานโลก ตลาดน้ํามัน เทคโนโลยีด้านพลังงาน ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นพลังงานโลกที่สําคัญ ๆ โดยมีผู้บริหารจากกระทรวงพลังงาน รวมทั้งผู้บริหารตลอดจนเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานด้านพลังงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ทั้งนี้ ภายหลังการบรรยายพิเศษ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพลังงาน ได้ทําการหารือร่วมกับ ดร.ฟาร์ตี ไบโรล์ ผู้อํานวยการ IEA ดังกล่าว โดยมีประเด็นและกรอบการหารือด้านพลังงานที่สําคัญ ๆ ประกอบด้วย แนวโน้มและทิศทางของตลาดน้ํามัน ทิศทางของตลาดพลังงานในปัจจุบันและอนาคต การพัฒนาพลังงานทดแทน ทิศทางของการใช้เทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อาทิ เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) และรูปแบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว เป็นต้น นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานได้ใช้โอกาสในการมาเยือนของผู้อํานวยการ IEA ครั้งนี้ หารือประเด็นสําคัญ เช่น ทิศทางความร่วมมือระหว่างไทย และทบวงพลังงานระหว่างประเทศ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเบื้องต้นกระทรวงพลังงาน ได้ขอความร่วมมือให้ทบวงพลังงานระหว่างประเทศ ร่วมพัฒนาและศึกษานโยบาย องค์ความรู้ ข้อมูล และการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานในสาขาต่างๆ เข้ามาให้คําปรึกษากับไทย โดยเฉพาะในด้านการวางแผนแม่บทการพัฒนาพลังงานระยะยาวของไทย การจัดทําเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals–SDGs) และการวางแผนด้านการจัดทําสํารองน้ํามัน เป็นต้น โดยองค์ความรู้จาก IEA กระทรวงพลังงานจะได้นําไปปรับใช้ในกระบวนการวางแผนและกําหนดยุทธศาสตร์ด้านพลังงานอย่างเป็นมาตรฐาน เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศในระยะยาว สําหรับการมาเยือนของผู้บริหารระดับสูงจากทบวงพลังงานระหว่างประเทศหรือ IEA นี้ แสดงให้เห็นถึงความสําเร็จของการกําหนดนโยบายด้านพลังงานของไทยในเวทีโลก และย้ําถึงการเป็นพันธมิตรที่ดีระหว่างไทยและ IEA ที่แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่สมาชิกหลัก แต่ถือได้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับความร่วมมือและการช่วยเหลือด้านการแบ่งปันองค์ความรู้ด้านพลังงานในระดับสากลด้วยดีมาโดยตลอด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพลังงาน ได้ให้การต้อนรับ ดร.ฟาร์ตี้ ไบโรล์ ผู้อำนวยการทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม 2561 กระทรวงพลังงาน ได้ให้การต้อนรับ ดร.ฟาร์ตี้ ไบโรล์ ผู้อํานวยการทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ดร.ฟาร์ตี้ ไบโรล์ ผู้อํานวยการทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ให้เกียรติเยือนกระทรวงพลังงานอย่างเป็นทางการ พร้อมบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ สถานการณ์ทิศทางพลังงานโลก ตลาดน้ํามัน เทคโนโลยีด้านพลังงาน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นพลังงานโลกที่สําคัญๆ กระทรวงพลังงาน โดยดร.ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้การต้อนรับ ดร.ฟาร์ตี้ ไบโรล์ ผู้อํานวยการทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (Dr.Fatih Birol Executive Director of International Energy Agency : IEA) ซึ่งได้ให้เกียรติเยือนกระทรวงพลังงานอย่างเป็นทางการ พร้อมบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ สถานการณ์ทิศทางพลังงานโลก ตลาดน้ํามัน เทคโนโลยีด้านพลังงาน ตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นพลังงานโลกที่สําคัญ ๆ โดยมีผู้บริหารจากกระทรวงพลังงาน รวมทั้งผู้บริหารตลอดจนเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานด้านพลังงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ทั้งนี้ ภายหลังการบรรยายพิเศษ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพลังงาน ได้ทําการหารือร่วมกับ ดร.ฟาร์ตี ไบโรล์ ผู้อํานวยการ IEA ดังกล่าว โดยมีประเด็นและกรอบการหารือด้านพลังงานที่สําคัญ ๆ ประกอบด้วย แนวโน้มและทิศทางของตลาดน้ํามัน ทิศทางของตลาดพลังงานในปัจจุบันและอนาคต การพัฒนาพลังงานทดแทน ทิศทางของการใช้เทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อาทิ เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (EV) และรูปแบบการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว เป็นต้น นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานได้ใช้โอกาสในการมาเยือนของผู้อํานวยการ IEA ครั้งนี้ หารือประเด็นสําคัญ เช่น ทิศทางความร่วมมือระหว่างไทย และทบวงพลังงานระหว่างประเทศ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเบื้องต้นกระทรวงพลังงาน ได้ขอความร่วมมือให้ทบวงพลังงานระหว่างประเทศ ร่วมพัฒนาและศึกษานโยบาย องค์ความรู้ ข้อมูล และการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานในสาขาต่างๆ เข้ามาให้คําปรึกษากับไทย โดยเฉพาะในด้านการวางแผนแม่บทการพัฒนาพลังงานระยะยาวของไทย การจัดทําเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals–SDGs) และการวางแผนด้านการจัดทําสํารองน้ํามัน เป็นต้น โดยองค์ความรู้จาก IEA กระทรวงพลังงานจะได้นําไปปรับใช้ในกระบวนการวางแผนและกําหนดยุทธศาสตร์ด้านพลังงานอย่างเป็นมาตรฐาน เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้แก่ประเทศในระยะยาว สําหรับการมาเยือนของผู้บริหารระดับสูงจากทบวงพลังงานระหว่างประเทศหรือ IEA นี้ แสดงให้เห็นถึงความสําเร็จของการกําหนดนโยบายด้านพลังงานของไทยในเวทีโลก และย้ําถึงการเป็นพันธมิตรที่ดีระหว่างไทยและ IEA ที่แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่สมาชิกหลัก แต่ถือได้ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับความร่วมมือและการช่วยเหลือด้านการแบ่งปันองค์ความรู้ด้านพลังงานในระดับสากลด้วยดีมาโดยตลอด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13960
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุม ก.ค.ศ. 6/2560
วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560 ผลการประชุม ก.ค.ศ. 6/2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 6/2560 ว่าที่ประชุมได้มีมติที่สําคัญเกี่ยวกับการสอบครูผู้ช่วย รวมทั้งเห็นชอบตั้ง อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ เพื่อทําการใด ๆ แทน ก.ค.ศ. 11 คณะและยกเลิกเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะเชิงประจักษ์ ว13/2556แต่ยังคงให้สํานักงาน ก.ค.ศ.พิจารณาคําขอที่เหลือทั้งหมดตามกระบวนการขั้นตอน ซึ่งในระหว่างการพิจารณาคุณสมบัติ สามารถยกเลิกคําขอตามหลักเกณฑ์เก่า และมายื่นเสนอขอตามหลักเกณฑ์ใหม่ได้ โดยขั้นตอนการประเมินคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ●การสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัด สพฐ.พ.ศ.2560 ที่ประชุมเห็นชอบให้นักศึกษาที่สําเร็จการศึกษาในหลักสูตรปริญญาตรี 5 ปี หรือปริญญาตรี 4 ปี ที่มีการศึกษาต่อในระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตอีก 1 ปี ที่อยู่ในระหว่างการขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจากคุรุสภาสามารถใช้เอกสารที่สําเนาจากหน้าจอ“การตรวจสอบสถานะการขึ้นทะเบียนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ”ซึ่งระบุเลขที่บัตรประจําตัวประชาชน ชื่อผู้ขอ เลขที่ใบอนุญาต และกําหนดวันออกใบสมัคร ไปใช้ในการยื่นสมัครสอบใน 36 สาขาวิชาได้ก่อน เมื่อเป็นผู้สอบแข่งขันได้และอยู่ในลําดับที่จะบรรจุและแต่งตั้ง จึงนําใบอนุญาตฉบับจริงมาแสดงในวันรายงานตัว ทั้งนี้มีเงื่อนไขสําหรับผู้สมัครสอบเป็นครุผู้ช่วยใน36วิชา ต้องได้รับอนุญาตภายในวันที่4เมษายน2560เท่านั้น สําหรับการนับหน่วยกิต กรณีมีชื่อคุณวุฒิ หรือสาขาวิชาที่ไม่ตรงตามประกาศรับสมัคร ให้นับหน่วยกิตจากรายวิชาที่ศึกษาที่อยู่ในกลุ่มวิชาให้ครบ 30 หน่วยกิต โดยไม่ต้องได้ระดับคะแนนไม่ต่ํากว่าเกรด C นอกจากนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติตั้ง อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเฉพาะกิจเกี่ยวกับการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัด สพฐ.โดยให้มีหน้าที่ในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหา และตอบข้อซักถามที่เกี่ยวข้องกับการสอบแข่งขันฯ ในครั้งนี้ โดยมีคณะกรรมการมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย เป็นประธานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากสํานักงาน ก.ค.ศ. สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา ที่ปรึกษาสํานักงาน ก.ค.ศ. ด้านกฎหมาย เป็นกรรมการ โดยสามารถดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ●เห็นชอบตั้ง อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ เพื่อทําการใด ๆ แทน ก.ค.ศ. จํานวน 11 คณะดังนี้ 1) อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับการพัฒนานโยบายและระบบบริหารงานบุคคล 2) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพและการปฏิบัติราชการ 3) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 4) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 5) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับวินัย และการออกจากราชการ 6) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ 7) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 8) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการกํากับ ติดตาม และประเมินผลการบริหารงานบุคคล 9) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 10) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 11) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) ●การยกเลิกเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะเชิงประจักษ์ ว13/2556 ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสําเร็จเป็นที่ประจักษ์ มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชํานาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ตามหลักเกณฑ์ ว13/2556 สํานักงาน ก.ค.ศ. ได้รายงานว่าขณะนี้ได้รับคําขอจากส่วนราชการต้นสังกัด จํานวน 5,337 ราย ขณะนี้ได้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมินไปแล้ว 6 ครั้ง ในรายที่จะเกษียณอายุราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ซึ่งจากการพิจารณาจาก 154 รายเป็นผู้มีคุณสมบัติเพียง 30 ราย ไม่มีคุณสมบัติ 123 ราย ขอถอนคําขอรับการประเมิน 1 รายพบว่าผู้ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติส่วนใหญ่รายงานไม่ครบถ้วนตามที่ ก.ค.ศ. กําหนด และรางวัลที่ได้รับไม่เป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กําหนด เป็นต้น จึงเสนอขอความเห็นต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาแนวปฏิบัติในการดําเนินการจาก ก.ค.ศ. ซึ่ง ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้ 1) เห็นควรให้สํานักงาน ก.ค.ศ.ดําเนินการในการพิจารณาคําขอที่เหลือทั้งหมดตามกระบวนการขั้นตอนหากผู้ใดเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติตามที่ ก.ค.ศ. กําหนด ให้ถือว่าผู้นั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการประเมิน โดยมติ ก.ค.ศ. ถือเป็นอันสิ้นสุดไม่ให้มีการขอพิจารณาทบทวน และเพื่อให้การดําเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เสนอแนะให้สํานักงาน ก.ค.ศ. เร่งรัดประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติของผู้เสนอขอให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กําหนด 2) ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์และวิธีการการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสําเร็จเป็นที่ประจักษ์มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชํานาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ตามหลักเกณฑ์ ว13/2556 3) สําหรับผู้ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคุณสมบัติหากมีการประกาศใช้หลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่สามารถยกเลิกคําขอตามหลักเกณฑ์เก่า และมายื่นเสนอขอตามหลักเกณฑ์ใหม่ได้ซึ่งขั้นตอนการประเมินคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุม ก.ค.ศ. 6/2560 วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2560 ผลการประชุม ก.ค.ศ. 6/2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 6/2560 ว่าที่ประชุมได้มีมติที่สําคัญเกี่ยวกับการสอบครูผู้ช่วย รวมทั้งเห็นชอบตั้ง อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ เพื่อทําการใด ๆ แทน ก.ค.ศ. 11 คณะและยกเลิกเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะเชิงประจักษ์ ว13/2556แต่ยังคงให้สํานักงาน ก.ค.ศ.พิจารณาคําขอที่เหลือทั้งหมดตามกระบวนการขั้นตอน ซึ่งในระหว่างการพิจารณาคุณสมบัติ สามารถยกเลิกคําขอตามหลักเกณฑ์เก่า และมายื่นเสนอขอตามหลักเกณฑ์ใหม่ได้ โดยขั้นตอนการประเมินคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ●การสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัด สพฐ.พ.ศ.2560 ที่ประชุมเห็นชอบให้นักศึกษาที่สําเร็จการศึกษาในหลักสูตรปริญญาตรี 5 ปี หรือปริญญาตรี 4 ปี ที่มีการศึกษาต่อในระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตอีก 1 ปี ที่อยู่ในระหว่างการขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจากคุรุสภาสามารถใช้เอกสารที่สําเนาจากหน้าจอ“การตรวจสอบสถานะการขึ้นทะเบียนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ”ซึ่งระบุเลขที่บัตรประจําตัวประชาชน ชื่อผู้ขอ เลขที่ใบอนุญาต และกําหนดวันออกใบสมัคร ไปใช้ในการยื่นสมัครสอบใน 36 สาขาวิชาได้ก่อน เมื่อเป็นผู้สอบแข่งขันได้และอยู่ในลําดับที่จะบรรจุและแต่งตั้ง จึงนําใบอนุญาตฉบับจริงมาแสดงในวันรายงานตัว ทั้งนี้มีเงื่อนไขสําหรับผู้สมัครสอบเป็นครุผู้ช่วยใน36วิชา ต้องได้รับอนุญาตภายในวันที่4เมษายน2560เท่านั้น สําหรับการนับหน่วยกิต กรณีมีชื่อคุณวุฒิ หรือสาขาวิชาที่ไม่ตรงตามประกาศรับสมัคร ให้นับหน่วยกิตจากรายวิชาที่ศึกษาที่อยู่ในกลุ่มวิชาให้ครบ 30 หน่วยกิต โดยไม่ต้องได้ระดับคะแนนไม่ต่ํากว่าเกรด C นอกจากนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติตั้ง อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเฉพาะกิจเกี่ยวกับการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัด สพฐ.โดยให้มีหน้าที่ในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหา และตอบข้อซักถามที่เกี่ยวข้องกับการสอบแข่งขันฯ ในครั้งนี้ โดยมีคณะกรรมการมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย เป็นประธานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากสํานักงาน ก.ค.ศ. สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสํานักงานเลขาธิการคุรุสภา ที่ปรึกษาสํานักงาน ก.ค.ศ. ด้านกฎหมาย เป็นกรรมการ โดยสามารถดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ●เห็นชอบตั้ง อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ เพื่อทําการใด ๆ แทน ก.ค.ศ. จํานวน 11 คณะดังนี้ 1) อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับการพัฒนานโยบายและระบบบริหารงานบุคคล 2) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพและการปฏิบัติราชการ 3) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 4) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 5) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับวินัย และการออกจากราชการ 6) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ 7) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการร้องทุกข์ และการร้องเรียนขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 8) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการกํากับ ติดตาม และประเมินผลการบริหารงานบุคคล 9) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 10) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 11) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) ●การยกเลิกเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะเชิงประจักษ์ ว13/2556 ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสําเร็จเป็นที่ประจักษ์ มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชํานาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ตามหลักเกณฑ์ ว13/2556 สํานักงาน ก.ค.ศ. ได้รายงานว่าขณะนี้ได้รับคําขอจากส่วนราชการต้นสังกัด จํานวน 5,337 ราย ขณะนี้ได้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมินไปแล้ว 6 ครั้ง ในรายที่จะเกษียณอายุราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ซึ่งจากการพิจารณาจาก 154 รายเป็นผู้มีคุณสมบัติเพียง 30 ราย ไม่มีคุณสมบัติ 123 ราย ขอถอนคําขอรับการประเมิน 1 รายพบว่าผู้ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติส่วนใหญ่รายงานไม่ครบถ้วนตามที่ ก.ค.ศ. กําหนด และรางวัลที่ได้รับไม่เป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กําหนด เป็นต้น จึงเสนอขอความเห็นต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาแนวปฏิบัติในการดําเนินการจาก ก.ค.ศ. ซึ่ง ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วมีมติดังนี้ 1) เห็นควรให้สํานักงาน ก.ค.ศ.ดําเนินการในการพิจารณาคําขอที่เหลือทั้งหมดตามกระบวนการขั้นตอนหากผู้ใดเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติตามที่ ก.ค.ศ. กําหนด ให้ถือว่าผู้นั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการประเมิน โดยมติ ก.ค.ศ. ถือเป็นอันสิ้นสุดไม่ให้มีการขอพิจารณาทบทวน และเพื่อให้การดําเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เสนอแนะให้สํานักงาน ก.ค.ศ. เร่งรัดประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณากลั่นกรองคุณสมบัติของผู้เสนอขอให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กําหนด 2) ให้ยกเลิกหลักเกณฑ์และวิธีการการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นที่ประสบผลสําเร็จเป็นที่ประจักษ์มีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะชํานาญการพิเศษและวิทยฐานะเชี่ยวชาญ ตามหลักเกณฑ์ ว13/2556 3) สําหรับผู้ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคุณสมบัติหากมีการประกาศใช้หลักเกณฑ์การประเมินวิทยฐานะใหม่สามารถยกเลิกคําขอตามหลักเกณฑ์เก่า และมายื่นเสนอขอตามหลักเกณฑ์ใหม่ได้ซึ่งขั้นตอนการประเมินคาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2748
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. ขอชี้แจงการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund)
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 สคร. ขอชี้แจงการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ชี้แจงการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะโฆษก สคร. กล่าวว่า ตามที่เว็ปไซด์แนวหน้าออนไลน์ได้เผยแพร่ข่าวเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และสมาชิก เดินทางมาที่ศูนย์บริการประชาชน สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อคัดค้านการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศ หรือ Thailand Future fund (กองทุน TFF) สคร. ขอชี้แจงดังนี้ 1. การจัดตั้งกองทุน TFF เป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีความต้องการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานจํานวนมาก แต่รัฐมีข้อจํากัดเรื่องงบประมาณและหนี้สาธารณะ ดังนั้น การระดมทุนผ่าน TFF ซึ่งไม่ถือว่าเป็นหนี้สาธารณะ จึงถือเป็นแหล่งเงินทุนทางเลือกใหม่เพื่อใช้ในการลงทุนและพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้เกิดได้เร็วขึ้น ลดภาระการคลังระดับประเทศ ลดการพึ่งพิงเงินกู้ และเงินงบประมาณ ทําให้รัฐสามารถจัดสรรเงินงบประมาณไปลงทุนในโครงการทางสังคมที่จําเป็นอื่นๆ ได้มากขึ้น เช่น การศึกษา สาธารณสุขได้ 2. การนําโครงการโครงสร้างพื้นฐานของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เข้ามาระดมทุนผ่านกองทุน TFF เนื่องจาก กทพ. เป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพ และมีทรัพย์สินที่มีรายได้ที่มั่นคงแน่นอนและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคต รวมทั้ง กทพ. มีความต้องการเงินลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ ดังนั้น กองทุน TFF เป็นโอกาสของ กทพ. ที่จะมีแหล่งเงินทุนสําหรับลงทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ กทพ. ในระยะยาว 3. ตามที่ สรส. ได้มีประเด็นว่า “ดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนสูงถึงร้อยละ 8 อาจทําให้สภาพคล่องทางการเงินมีปัญหา" สคร. ขอชี้แจงว่า ต้นทุนในการระดมทุนด้วยกองทุน TFF เหมือนกับการระดมทุนด้วยวิธีออก Infrastructure Fund (IFF) ซึ่ง กทพ. มีแผนการระดมทุนด้วย IFF อยู่แล้ว ซึ่งทั้งกองทุน TFFและ IFF เป็นรูปแบบการระดมทุนด้วยตราสารทุน (Equity) ซึ่งไม่สามารถเปรียบเทียบกับการกู้ยืมเงิน (Debt) ซึ่งการระดมทุนของกองทุน TFF ไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ ทําให้ภาครัฐมีเพดานหนี้สาธารณะเหลือไว้ใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ การระดมทุนผ่านกองทุน TFF ในอนาคตจะมีการนําโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่หลากหลายเข้ามาระดมทุนทําให้มีการกระจายความเสี่ยง ซึ่งจะส่งผลให้กองทุน TFF มีต้นทุนทางการเงินถูกกว่าที่ กทพ. ออก IFF เอง สําหรับการจ่ายดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนสูงถึงร้อยละ 8 ต่อปี ตามที่ปรากฏในข่าวนั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ทั้งนี้ การจําหน่ายหน่วยลงทุนโดยใช้กระแสรายได้ของ กทพ. ดังกล่าวจะทําในลักษณะของให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเข้ามาประมูล (Book Build) ทําให้ต้นทุนทางการเงินที่แท้จริงขึ้นอยู่กับการแข่งขันของเอกชนผู้เข้ามาลงทุน และการจ่ายผลตอบแทนขอกองทุน TFF เป็นการจ่ายผลตอบแทนในลักษณะตัดจําหน่ายต้นเงินและผลตอบแทนในคราวเดียวกันจนสิ้นสุดอายุสัญญา นอกจากนี้ เงินที่ กทพ. ได้รับจากการระดมทุนผ่านกองทุน TFF กทพ. สามารถนําไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มสภาพคล่องให้กับ กทพ. ได้ 4. สําหรับประเด็นเรื่อง การแปลงรูปแบบการลงทุนของรัฐบาลต่อการลงทุนพัฒนาบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สคร. ขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า การระดมทุนผ่านกองทุน TFF เป็นการระดมทุนโดยการขายกระแสรายได้ในอนาคต ไม่เป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization) และไม่ใช่การขายทรัพย์สินของภาครัฐ โดยทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานยังเป็นของ กทพ. ทั้งหมด และอยู่ภายใต้การกํากับและการดําเนินงานของ กทพ. ซึ่งมีหน้าที่ในการให้บริการสาธารณะ และยังเป็นการจัดหาแหล่งเงินทุนใหม่เพื่อให้ กทพ. สามารถให้บริการสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการจราจรของประเทศได้มากขึ้น ซึ่งเป็นภารกิจของ กทพ. อยู่แล้ว 5. กระทรวงการคลังได้มีการกําหนดมาตรการสร้างแรงจูงใจให้รัฐวิสาหกิจนําโครงการเข้ามาระดมทุนผ่านกองทุน TFF โดยมีมาตรการรองรับที่จะดูแลไม่ให้มีผลกระทบกับผลตอบแทนพนักงาน รวมทั้งได้เตรียมแนวทางในการรองรับการขาดสภาพคล่อง (หากมี) ซึ่งถือเป็นหน้าที่ปกติที่กระทรวงการคลังในฐานะที่เป็นผู้ดูแลด้านการเงินจะเป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านสภาพคล่องให้แก่รัฐวิสาหกิจให้สามารถดําเนินการได้ตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ สํานักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ โทร. 02 298 5880 – 7 ต่อ 3160 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. ขอชี้แจงการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 สคร. ขอชี้แจงการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) ชี้แจงการจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะโฆษก สคร. กล่าวว่า ตามที่เว็ปไซด์แนวหน้าออนไลน์ได้เผยแพร่ข่าวเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) และสมาชิก เดินทางมาที่ศูนย์บริการประชาชน สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อคัดค้านการตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศ หรือ Thailand Future fund (กองทุน TFF) สคร. ขอชี้แจงดังนี้ 1. การจัดตั้งกองทุน TFF เป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีความต้องการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานจํานวนมาก แต่รัฐมีข้อจํากัดเรื่องงบประมาณและหนี้สาธารณะ ดังนั้น การระดมทุนผ่าน TFF ซึ่งไม่ถือว่าเป็นหนี้สาธารณะ จึงถือเป็นแหล่งเงินทุนทางเลือกใหม่เพื่อใช้ในการลงทุนและพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานของประเทศให้เกิดได้เร็วขึ้น ลดภาระการคลังระดับประเทศ ลดการพึ่งพิงเงินกู้ และเงินงบประมาณ ทําให้รัฐสามารถจัดสรรเงินงบประมาณไปลงทุนในโครงการทางสังคมที่จําเป็นอื่นๆ ได้มากขึ้น เช่น การศึกษา สาธารณสุขได้ 2. การนําโครงการโครงสร้างพื้นฐานของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เข้ามาระดมทุนผ่านกองทุน TFF เนื่องจาก กทพ. เป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่มีศักยภาพ และมีทรัพย์สินที่มีรายได้ที่มั่นคงแน่นอนและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคต รวมทั้ง กทพ. มีความต้องการเงินลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ ดังนั้น กองทุน TFF เป็นโอกาสของ กทพ. ที่จะมีแหล่งเงินทุนสําหรับลงทุนเพิ่มขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อ กทพ. ในระยะยาว 3. ตามที่ สรส. ได้มีประเด็นว่า “ดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนสูงถึงร้อยละ 8 อาจทําให้สภาพคล่องทางการเงินมีปัญหา" สคร. ขอชี้แจงว่า ต้นทุนในการระดมทุนด้วยกองทุน TFF เหมือนกับการระดมทุนด้วยวิธีออก Infrastructure Fund (IFF) ซึ่ง กทพ. มีแผนการระดมทุนด้วย IFF อยู่แล้ว ซึ่งทั้งกองทุน TFFและ IFF เป็นรูปแบบการระดมทุนด้วยตราสารทุน (Equity) ซึ่งไม่สามารถเปรียบเทียบกับการกู้ยืมเงิน (Debt) ซึ่งการระดมทุนของกองทุน TFF ไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ ทําให้ภาครัฐมีเพดานหนี้สาธารณะเหลือไว้ใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ การระดมทุนผ่านกองทุน TFF ในอนาคตจะมีการนําโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่หลากหลายเข้ามาระดมทุนทําให้มีการกระจายความเสี่ยง ซึ่งจะส่งผลให้กองทุน TFF มีต้นทุนทางการเงินถูกกว่าที่ กทพ. ออก IFF เอง สําหรับการจ่ายดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนแก่ผู้ลงทุนสูงถึงร้อยละ 8 ต่อปี ตามที่ปรากฏในข่าวนั้น เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ทั้งนี้ การจําหน่ายหน่วยลงทุนโดยใช้กระแสรายได้ของ กทพ. ดังกล่าวจะทําในลักษณะของให้ผู้ถือหน่วยลงทุนเข้ามาประมูล (Book Build) ทําให้ต้นทุนทางการเงินที่แท้จริงขึ้นอยู่กับการแข่งขันของเอกชนผู้เข้ามาลงทุน และการจ่ายผลตอบแทนขอกองทุน TFF เป็นการจ่ายผลตอบแทนในลักษณะตัดจําหน่ายต้นเงินและผลตอบแทนในคราวเดียวกันจนสิ้นสุดอายุสัญญา นอกจากนี้ เงินที่ กทพ. ได้รับจากการระดมทุนผ่านกองทุน TFF กทพ. สามารถนําไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มสภาพคล่องให้กับ กทพ. ได้ 4. สําหรับประเด็นเรื่อง การแปลงรูปแบบการลงทุนของรัฐบาลต่อการลงทุนพัฒนาบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ สคร. ขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า การระดมทุนผ่านกองทุน TFF เป็นการระดมทุนโดยการขายกระแสรายได้ในอนาคต ไม่เป็นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization) และไม่ใช่การขายทรัพย์สินของภาครัฐ โดยทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานยังเป็นของ กทพ. ทั้งหมด และอยู่ภายใต้การกํากับและการดําเนินงานของ กทพ. ซึ่งมีหน้าที่ในการให้บริการสาธารณะ และยังเป็นการจัดหาแหล่งเงินทุนใหม่เพื่อให้ กทพ. สามารถให้บริการสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการจราจรของประเทศได้มากขึ้น ซึ่งเป็นภารกิจของ กทพ. อยู่แล้ว 5. กระทรวงการคลังได้มีการกําหนดมาตรการสร้างแรงจูงใจให้รัฐวิสาหกิจนําโครงการเข้ามาระดมทุนผ่านกองทุน TFF โดยมีมาตรการรองรับที่จะดูแลไม่ให้มีผลกระทบกับผลตอบแทนพนักงาน รวมทั้งได้เตรียมแนวทางในการรองรับการขาดสภาพคล่อง (หากมี) ซึ่งถือเป็นหน้าที่ปกติที่กระทรวงการคลังในฐานะที่เป็นผู้ดูแลด้านการเงินจะเป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านสภาพคล่องให้แก่รัฐวิสาหกิจให้สามารถดําเนินการได้ตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ สํานักนโยบายและแผนรัฐวิสาหกิจ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ โทร. 02 298 5880 – 7 ต่อ 3160 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2060
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัด บังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
วันพุธที่ 11 เมษายน 2561 ปลัด สธ. ขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัด บังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ขอความร่วมมือดําเนินการตามมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เพื่อลดการบาดเจ็บจากการจราจร ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561 นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการเป็นประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ครั้งที่ 1/2561 ว่า ที่ประชุมให้ความสําคัญและเร่งดําเนินการตามมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตาม พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561 โดยส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อขอความร่วมมือในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัด ให้ดําเนินการอย่างเคร่งครัด ได้แก่ 1.ห้ามดื่มบนทางในขณะขับขี่หรือโดยสารยานพาหนะ 2.ห้ามขายบนทาง 3.ห้ามขายนอกเวลาที่กฎหมายกําหนด 4.ห้ามขายให้บุคคลอายุต่ํากว่า 20 ปีบริบูรณ์ นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ดําเนินโครงการ “ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจากผู้ขับขี่ที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิต” สําหรับกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเจ้าหน้าที่ตํารวจจะทําการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ ในผู้ขับขี่ทุกราย หากไม่สามารถตรวจวัดแอลกอฮอล์ทางลมหายใจได้ จะส่งตัวผู้ขับขี่ไปเจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ที่ รพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนําผลไปประกอบการดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตที่อายุต่ํากว่า 20 ปีบริบูรณ์ที่สงสัยว่าดื่มสุรา ให้โรงพยาบาลรายงานและแจ้งไปยังสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือสํานักงานป้องกันควบคุมโรค เพื่อสอบสวนหาผู้กระทําผิด ด้าน นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ว่า จากการลงพื้นที่พบผู้ประกอบการ ร้านค้า ที่เข้าดําเนินการกว่าร้อยละ 80แจ้งว่าไม่ทราบกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรคจึงได้ดําเนินการสํารวจข้อมูลเพิ่มเติมในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 พบว่าผู้ประกอบการ ร้านค้าส่วนใหญ่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ้าง ร้อยละ 66 ไม่มีความรู้เลย ร้อยละ 14 ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 91 คิดว่าผู้ที่จะขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องมีความรู้เรื่องของกฎหมาย และการให้ข้อมูลนั้นควรใช้เวลาประมาณ 5 – 10 นาที กรมควบคุมโรคและกรมสรรพสามิต จึงร่วมจัดทําโครงการศึกษาการให้ความรู้แก่ผู้ขอใบอนุญาตจําหน่ายสุรา ในพื้นที่นําร่อง เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ขอใบอนุญาตจําหน่ายสุราอันจะนําไปสู่การไม่กระทําผิดกฎหมาย โดยไม่เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ประชาชนเกินสมควร และอาจนําไปสู่การกําหนดนโยบายหรือมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ ข้อมูลช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2555 - 2559 พบผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จํานวนถึง 137,385 คน พบการบาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด ในวันที่ 13เมษายน โดยพบว่าผู้ประสบอุบัติเหตุที่บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดเป็นกลุ่มเยาวชนอายุตั้งแต่ 15 – 19 ปี **********************************11 เมษายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัด บังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วันพุธที่ 11 เมษายน 2561 ปลัด สธ. ขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัด บังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ขอความร่วมมือดําเนินการตามมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เพื่อลดการบาดเจ็บจากการจราจร ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561 นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการเป็นประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ครั้งที่ 1/2561 ว่า ที่ประชุมให้ความสําคัญและเร่งดําเนินการตามมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและบังคับใช้กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตาม พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2561 โดยส่งหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อขอความร่วมมือในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จังหวัด ให้ดําเนินการอย่างเคร่งครัด ได้แก่ 1.ห้ามดื่มบนทางในขณะขับขี่หรือโดยสารยานพาหนะ 2.ห้ามขายบนทาง 3.ห้ามขายนอกเวลาที่กฎหมายกําหนด 4.ห้ามขายให้บุคคลอายุต่ํากว่า 20 ปีบริบูรณ์ นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ดําเนินโครงการ “ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดจากผู้ขับขี่ที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิต” สําหรับกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเจ้าหน้าที่ตํารวจจะทําการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ ในผู้ขับขี่ทุกราย หากไม่สามารถตรวจวัดแอลกอฮอล์ทางลมหายใจได้ จะส่งตัวผู้ขับขี่ไปเจาะเลือดตรวจแอลกอฮอล์ที่ รพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนําผลไปประกอบการดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตที่อายุต่ํากว่า 20 ปีบริบูรณ์ที่สงสัยว่าดื่มสุรา ให้โรงพยาบาลรายงานและแจ้งไปยังสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือสํานักงานป้องกันควบคุมโรค เพื่อสอบสวนหาผู้กระทําผิด ด้าน นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ว่า จากการลงพื้นที่พบผู้ประกอบการ ร้านค้า ที่เข้าดําเนินการกว่าร้อยละ 80แจ้งว่าไม่ทราบกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรคจึงได้ดําเนินการสํารวจข้อมูลเพิ่มเติมในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 พบว่าผู้ประกอบการ ร้านค้าส่วนใหญ่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ้าง ร้อยละ 66 ไม่มีความรู้เลย ร้อยละ 14 ส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 91 คิดว่าผู้ที่จะขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องมีความรู้เรื่องของกฎหมาย และการให้ข้อมูลนั้นควรใช้เวลาประมาณ 5 – 10 นาที กรมควบคุมโรคและกรมสรรพสามิต จึงร่วมจัดทําโครงการศึกษาการให้ความรู้แก่ผู้ขอใบอนุญาตจําหน่ายสุรา ในพื้นที่นําร่อง เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ขอใบอนุญาตจําหน่ายสุราอันจะนําไปสู่การไม่กระทําผิดกฎหมาย โดยไม่เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ประชาชนเกินสมควร และอาจนําไปสู่การกําหนดนโยบายหรือมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ต่อไป ทั้งนี้ ข้อมูลช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2555 - 2559 พบผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการจราจรทางถนนที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จํานวนถึง 137,385 คน พบการบาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด ในวันที่ 13เมษายน โดยพบว่าผู้ประสบอุบัติเหตุที่บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดเป็นกลุ่มเยาวชนอายุตั้งแต่ 15 – 19 ปี **********************************11 เมษายน 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11476
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน วันสงกรานต์ วันปีใหม่ไทยเพิ่งผ่านพ้นไป หลายคนคงได้มีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อน เดินทางกลับภูมิลําเนาเพื่อพบปะญาติมิตร กราบผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือกัน สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ก็มีเรื่องที่น่ายินดีหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวแรงงานประมงไทย 68 คน ที่รัฐได้ช่วยเหลือให้เดินทางกลับประเทศตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2558 ทันวันครอบครัวช่วงสงกรานต์พอดี คงมีความสุขมากเพราะว่าหลายปีมาแล้ว ที่ต้องไปตกระกําลําบากอยู่ต่างประเทศ ฉะนั้นทุกคน รัฐบาลจะนําเข้าสู่ระบบการเยียวยาของรัฐ มีการตรวจสุขภาพเบื้องต้น จัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ การมอบเงินช่วยเหลือกลับภูมิลําเนา และการจัดหาสถานที่พักชั่วคราว หากจําเป็น โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จะบูรณาการ ร่วมกับอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วก็จะติดตามช่วยเหลือ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่อง ก็ยังมีหลายคนที่ยังตกระกําลําบากอยู่ คงต้องทยอยช่วยเหลือต่อ ๆ ไป จนกว่าจะครบถ้วน และจะมุ่งเน้นการป้องกันการถูกล่อลวง ทําลายกระบวนการทั้งหมด ทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งผู้ที่ทําผิดกฎหมายด้วย ไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ในอนาคตต่อไปให้ได้ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน พนักงานส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) อาสาสมัคร ตํารวจ ทหาร ที่ช่วยกันดูแลความปลอดภัย ส่งพี่น้องประชาชน และลูกหลานไทย เดินทางไป-กลับโดยสวัสดิภาพ ในห้วงสงกรานต์ ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ร่วมมือ ร่วมใจกัน อนุรักษ์และสืบสานประเพณีสงกรานต์อันงดงามของไทยเรา มีการปฏิบัติตามข้อแนะนําของภาครัฐ ในการร่วมกันแต่งกายตามประเพณี รดน้ําคลายร้อนไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น รวมทั้งการโซนนิ่งพื้นที่เล่นน้ําไร้แอลกอฮอล์ อันจะเป็นสาเหตุของการทะเลาะเบาะแว้งและอุบัติเหตุ นานแล้วที่เรารณรงค์เพียงแค่การออกนโยบาย แต่ไม่เน้นการปฏิบัติ เราก็เริ่มเน้นการปฏิบัติให้มากขึ้น การบังคับใช้กติกาสังคมอย่างจริงจัง ในบางครั้งเยาวชนรุ่นใหม่หลงลืมวัฒนธรรมอันดีงาม แล้วกลับคุ้นชินกับสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งอาจจะไม่ใช่อารยธรรมไทย การสนุกสนานต้องมีขอบเขต มีขีดจํากัด อย่างที่รัฐบาลได้กําหนดข้อแนะนําไป 8 ประการ ก็เห็นมีคนต่อว่าเหมือนกันว่าทําไมต้องไปกําหนดด้วย ผมก็ไม่เห็นว่า 8 ข้อมีผลเสียกับใครเลย เพียงแต่ว่าไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ไม่ให้เกิดการเสื่อมเสียต่อประเพณีของเรา หรือใครคิดว่าถูกต้อง ก็บอกรัฐบาลก็แล้วกัน เช่น ห้ามแต่งกายโป๊ ล่อแหลมต่าง ๆ เหล่านี้ ผมไม่เห็นสร้างสรรค์อะไรเลย คนที่มาติ ๆ อยู่ทุกวันนี้ บอกว่าการท่องเที่ยวปีนี้ สงกรานต์ปีนี้หงอย เพราะว่า มี 8 มาตรการของรัฐมาเลยทําให้ไม่สนุก ก็ไปคิดกันเอาเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราทําต่อไปเหล่านั้น เอกลักษณ์ความเป็นไทย ก็จะไม่หลงเหลืออีกเลย ให้ภาคภูมิใจ วันนี้ มีทั้งชาวต่างชาติเข้ามาประเทศของเรา คนไทยมาเที่ยวกันเอง ถ้าต่างชาติเขาต้องการสัมผัสธรรมชาติอันบริสุทธิ์งดงามชองชาติ เพราะฉะนั้นการต้อนรับขับสู้ ด้วย “ยิ้มสยาม” และความมีน้ําใจของคนไทยแล้ว และให้รับทราบถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม อันงดงาม ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งเดียวในโลก และจะเป็นสิ่งดึงดูดให้ชาวโลกเดินทางมาพักผ่อน มาศึกษาความเป็นไทย วัฒนธรรมแบบไทย ๆ ซึ่งอาจจะหาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว แต่คนไทยอยากจะเป็นอย่างเขา ผมก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนกัน สําหรับ ตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม พิสูจน์แล้วว่ายอดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะนี้เพิ่มขึ้น 20 กว่า % ในไตรมาสแรกของปีนี้ ฉะนั้นอย่าไปเชื่อตัวเลขอื่น ๆ และเพิ่มขึ้น 30 กว่า % ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ก็ไปดูแล้วกันว่าเขานําข้อมูลมาจากไหน ถ้าหากว่าเราเลิกขัดแย้งกันเอง เป็นเจ้าบ้านที่ดี มีเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล ผู้ที่มาเยือนก็จะรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ระหว่างใช้ชีวิตในเมืองไทย ก็ช่วยกันชักชวนกันกลับมาเที่ยวใหม่อีกครั้งปีหน้า เราก็อาจจะมีอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นไปตามวัฒนธรรมประเพณีของไทย เราจัดการท่องเที่ยวทั้งปี ปีนี้เป็นปีแห่งท่องเที่ยว วิถีไทย ช่วยกันเชิญมา หรือช่วยกันไปเที่ยวด้วย เวลาวันว่าง หยุดจากราชการต่าง ๆ ในส่วนของการสร้างจิตสํานึกนั้น คําว่า “ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ” จะเป็นสิ่งที่ทําได้เลย ทําทันที ส่วนสิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลา อาศัยความร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคเอกชนก็คือในเรื่องของการปฏิรูปประเทศในทุก ๆ ด้าน ซึ่งวันนี้เรามีความพร้อมที่จะเริ่มการปฏิรูป บ้านเมืองสงบร่มเย็นพอสมควร รัฐบาลมีเอกภาพในการบริหารงานแผ่นดิน สามารถที่จะบูรณาการงานทุกกระทรวงให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วก็ทุกคนจะต้องมองผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ก็ขอให้พี่น้องทุกคน ทุกภาคส่วน ช่วยกันหยิบยื่นความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ เพื่อใช้โอกาสนี้ ในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ซี่งเราเริ่มต้นมาได้แต่เพียงเล็กน้อย ถ้าพูดถึงการบริหารราชการทําไปได้มาก แต่เกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูปที่ต้องทําใหม่ อะไรเหล่านี้ เพียงเริ่มต้นเท่านั้นเอง ต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร เราต้องเดินหน้าปฏิรูปประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และหลุดพ้นจากคําว่ากับดักทางการเมืองอย่างยั่งยืน วันนี้ ผมมีบุคคลตัวอย่าง ที่หลายคนอาจรู้จักกันดีมานานแล้ว ในนาม “มนุษย์เพนกวิน” เป็นตัวอย่างของการไม่ยอมแพ้ สู้ชีวิต คิดบวก และที่สําคัญคือ การไม่ทําตนให้เป็นภาระสังคม แต่กลับช่วยสร้างสรรค์สังคม ประเทศชาติให้งดงาม ในขีดความสามารถของตนเอง ถึงแม้ว่าจะมีข้อจํากัดด้านร่างกายของเขาเอง คนดีที่ผมอยากจะพูดถึง คือ คุณเอกชัย วรรณแก้ว แม้ไร้แขนทั้งสองข้าง แต่เขากลับสามารถสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เขาจบปริญญาตรี คณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง จากนั้นก็อาศัยวิชาชีพ ออกไปวาดรูปตามงานต่าง ๆ ได้รายได้มาช่วยปลดหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้แม่ ปลูกบ้านหลังใหม่ให้ครอบครัว ส่งเสียเงินให้แม่ทุกเดือน ทั้งนี้ สิ่งสําคัญที่สุดที่คุณเอกชัยฯ ยึดถือในการดํารงชีวิต ก็คือ“โอกาสคนเราไม่เท่ากัน ต้องใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์มากที่สุด” ส่วนการทําประโยชน์ให้กับประเทศชาติ อันได้แก่ “ช่วยกันทําคนละนิด พอรวมกัน มันก็เยอะเอง” และทวงถามสํานึกความเป็นคนไทยว่า “มือของพวกคุณ ทําอะไรให้ประเทศดีขึ้นบ้าง” เปรียบเทียบกับตัวเขา ผมก็หวังว่าจะเป็นคติ สร้างความตระหนักรู้ และเรียกร้องให้พี่น้องทุกท่าน กลับมาสํารวจความพร้อมของตนเอง ว่า “วันนี้ เราได้ทําอะไร ที่เป็นประโยชน์ เพื่อประเทศชาติ หรือส่วนรวมหรือยัง” โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังหลงผิดอยู่ ไม่หวังดีอยู่เหมือนเดิม คอยบ่อนทําลาย สร้างสถานการณ์ ประสงค์ร้าย ป้ายสีต่าง ๆ ทุกเรื่อง เหมือนจะต้องการให้กลับไปสู่ความขัดแย้ง ไปสู่วังวนเก่า ๆ เหมือนที่ผ่านมา ผมไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ขอให้หันกลับมาใช้ชีวิตด้วยศักยภาพของท่านในทางสร้างสรรค์ดีกว่า พัฒนา ปฏิรูปประเทศ ร่วมมือกัน ไม่ใช่ศัตรูกันอยู่แล้ว กฎหมายก็คือกฎหมาย แต่เราเป็นคนไทยด้วยกัน เพราะฉะนั้นขอให้ความร่วมมือกับทางการ ยุติความขัดแย้ง ร่วมมือในการปฏิรูป เดินหน้าประเทศไทยต้องมีกติกา ถ้าจะปฏิรูปให้ได้ ถ้าท่านไม่ยอมรับกติกาเลย ก็ไปไม่ได้อยู่ดี รัฐธรรมนูญจะเขียนอย่างไร ถ้าไม่ทําไม่ร่วมมือก็ไปไม่ได้อยู่ดี ผมบอกไว้ก่อน เพราะประเทศเพื่อนบ้านเขาไม่รอคอยเรา ประชาคมโลกเขาก็มีการพัฒนาก้าวหน้าไปทุกประเทศยกระดับตัวเองมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ แล้วเราจะรอเขาอยู่อย่างไร แล้ววันหน้าถ้าเขาแซงเราไปแล้ว เขาก็ไม่รอเราแล้ว เราก็จะเสียทั้งโอกาส เสียทั้งตําแหน่ง ในบทบาทที่สําคัญของเวทีการเมือง – เศรษฐกิจโลก อย่างน่าเสียดาย อีกประการหนึ่งขอขอบคุณ กลุ่ม “มะโน ละเมอ” (Manoramer Group) ที่สร้างสรรค์คลิปและนํามาเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ (เมื่อ 30 มีนาคม 2558) ซึ่งเป็นการสร้างขึ้นมา โดยไม่ได้หวังผลกําไร และเพื่อเตือนคนไทยทุกคนว่า “เราสามารถทําให้ประเทศนี้ ดีขึ้นได้ ขอเพียงทํากันคนละนิด ในแบบที่ตนเองถนัด” เรื่องความคืบหน้าการริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เมื่อเช้านี้ (17 เมษายน 2558) มีการสรุปผลงานของรัฐบาลในห้วง 6 เดือน ก็ต่อจาก 3 เดือนแรก ตามแนวทางนโยบาย ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ของรัฐบาลได้ประกาศไว้ 11 ด้าน ได้แถลงไปแล้ว กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2557) โจทย์ที่สําคัญของประเทศและรัฐบาลคือ การสร้างความรัก ความสามัคคี ปรองดองของคนในชาติให้ได้ แล้วก็แก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศ ที่ไม่ได้มีการสร้างความเข้มแข็งไว้เพียงพอ ยังไม่มีความพร้อม ไม่มีมาตรการลดความเสี่ยงต่าง ๆ มาเป็นเวลาเกือบ 10 กว่าปีแล้ว ทําให้ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกนั้น มีผลกระทบกับเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นอย่างมาก หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เราไม่เตรียมการไว้ ก็คงยังทําแบบเดิมมาตลอด วันนี้ต้องแก้ไขทั้งหมด คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล เข้ามาบริหาราชการแผ่นดิน ก็ทําให้เศรษฐกิจ เมื่อปีที่แล้วติดลบอยู่ อย่าลืมตัวเลขติดลบไม่ใช่นําตัวเลขปีที่ไม่มีเหตุการณ์มาเทียบไม่ได้ เรารับมาติดลบอยู่ จาก 22 พฤษภาคม แล้ววันนี้เศรษฐกิจโลกก็แย่ลง แต่วันนี้ก็ตัวเลขก็ดีขึ้น โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 (ตุลาคม – ธันวาคม 2557) เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.3 เดิมเราตั้งไว้แค่ 2 ก็เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม – กันยายน 2557) ขยายตัวร้อยละ 0.6 เอง เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าความความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นตามลําดับ ในด้านเสถียรภาพของทางด้านเศรษฐกิจ ใน 2 เดือนแรกของปีนี้ มกราคม ถึง กุมภาพันธ์ 2558 ทั้งดุลการค้าและดุลบริการของประเทศยังคงเกินดุลอยู่ จํานวน 3,960 ล้านบาท และ 2,054 ล้านบาท ตามลําดับ และเมื่อรวมกับดุลเงินทุนแล้ว ประเทศเรายังมีดุลการชําระเงินที่เกินดุลจํานวน 2,889 ล้านบาท ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอยู่บ้าง แต่ทางแบงค์ชาติ ก็ดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด ก็มีมาตรการที่รองรับไว้ตลอดเวลา ในด้านเสถียรภาพภาคการคลัง รัฐบาลยังคงมีการจัดเก็บรายได้ที่สูงกว่าปีที่แล้ว โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ตุลาคม 2557- มีนาคม 2558) จัดเก็บรายได้สุทธิจํานวน 973,952 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 3.5 ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมจะเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาที่มีผลกระทบโดยตรงต่อพี่น้องเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ธุรกิจ SME เหล่านี้ รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ หาทางทุกอย่าง ไม่ได้หยุดคิดเลยว่าทําอย่างไร ราคาสินค้าทางการเกษตรที่ตกต่ําจะทําอย่างไร การค้าขายภายนอก คือปริมาณมากกว่าเก่า แต่ราคาน้อยกว่าเก่า เป็นประเด็น ก็พยายามจะหาทาง ว่าทําอย่างไร จะใช้ในประเทศได้หรือไม่ อยู่ในตลาดชุมชนบ้างได้หรือไม่ แล้วไปสู่การแปรรูปได้หรือไม่ กําลังทําอยู่ ต้องใช้เวลา ตั้งโรงงานอะไรต่าง ๆ อย่างน้อยก็ ปี ถึงสองปี สามปี ก็จะทยอยมาตามลําดับ เราก็ได้เร่งรัดจัดเตรียมมาตรการต่าง ๆ บางอย่างก็ทําไปแล้ว ผลักดันเม็ดเงินผ่านโครงการต่าง ๆ ให้เกิดการหมุนเวียนของเงินลงสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น เร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย ช่วยกันดําเนินการก่อสร้างถนนหนทางในพื้นที่ชนบท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดําเนินการจัดหาแหล่งกักเก็บน้ํา ให้มีน้ําเพียงพอต่อการเกษตร กระทรวงการคลัง ดูแลเรื่องการให้กู้ยืมแก่ธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งตอนนี้ขาดสภาพคล่องให้สามารถดําเนินธุรกิจต่อไปได้ ในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว อันนี้ต้องดูแลธุรกิจขนาดเล็กด้วย การค้าปลีกอะไรต่าง ๆ ก็มีความเดือดร้อน กําลังจะให้เชิญธนาคารพาณิชย์ แล้วก็ธนาคารรัฐมาดูซิว่าจะช่วยเหลือกันอย่างไร อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมในการที่จะพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนนั้น จําเป็นต้องมีกฎ กติกาใหม่ เพื่อจะจัดทํากฎหมายรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับประเทศด้วย และได้รับการยอมรับว่าเราจะต้องปฏิรูปหรือไม่อย่างไร ถ้าประชาชนคิดว่าวันนี้เราดีอยู่แล้ว ผมก็ลําบากใจ ผมคิดว่าปัญหามีมาก ถ้าคนมาอยู่อย่างที่ผมอยู่ จะรู้ว่ามากขนาดไหน ไม่ใช่ข้อแก้ตัวพยายามทําเต็มที่แล้ว ไม่ได้หยุดเลย ก็ยังทําได้เท่านี้ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราจะแก้ปัญหาที่ผ่านมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วประชาชนก็จะได้รับผลประโยชน์ที่เท่าเทียมเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ําด้วยเหล่านี้ กําลังเดินมาถูกทาง ที่ให้เราได้มีโอกาสทํางานตรงนี้ แต่ต้องดูกันว่าจะร่วมมือกันต่อไป อย่างไร แก้ไขอย่างไร Road map ที่ว่าเป็นอย่างไร จะปฏิรูปได้หรือไม่ สําหรับการวางรากฐานที่มั่นคงในทุกมิติ 6 เดือนที่ผ่านมานั้น รัฐบาลดําเนินการไปแล้วเบื้องต้น แล้วก็พร้อมจะส่งต่อให้รัฐบาลต่อ ๆ ไป ถ้าสามารถได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล แล้วก็ยอมรับในกติกา เรื่องการปฏิรูป เราก็สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ของประเทศได้คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ในทุกระดับ สัปดาห์นี้ ผมขอชี้แจงความคืบหน้าบางประการ ให้พี่น้องได้รับทราบ ดังนี้ ด้านเกษตรกรรม อันนี้สําคัญลําดับต้น ๆ ของเรา ประเทศของเราเป็นประเทศเกษตรกรรม ปัญหาคือ เกษตรกรมีรายได้น้อย ราคาผลผลิตตกต่ํา ขาดความรู้เรื่องการตลาด น้ําแล้ง ขาดที่ดินทํากินเป็นของตนเอง รัฐบาลจึงได้กําหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาอย่างครบวงจร และบูรณาการทุกหน่วยงาน ให้เป็นไปในแนวทางอันเดียวกัน เช่น - การ Zoning ด้านพืช ปศุสัตว์ ต้องมีการนําร่อง ประมง ก็ต้องมีระบบส่งเสริมการเกษตรมิติใหม่ ทั้งพืช ปศุสัตว์ ประมง หรือจะหาอาชีพเสริมอะไรก็แล้วแต่ ก็ได้แก่การนํา MRCF System มาใช้ ได้แก่ M-Mapping คือเรียกว่า “ระบบแผนที่และฐานข้อมูล” ในการบริหารจัดการพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้ง R-Remote Sensing “คือการเข้าถึงข้อมูลระยะไกล” ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระหว่างบุคลากรภาครัฐ – เกษตรกร และ C-Community Participation “การมีส่วนร่วมของชุมชน” ด้วยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ จํานวน 882 ศูนย์ เป็นของชุมชนเอง มีนักส่งเสริมการเกษตรเข้าไปจัดกระบวนการเรียนรู้ มีเกษตรกรต้นแบบ มีสินค้าจริง มีแปลงสาธิต และ F-Specific Field Service “มีจุดเน้นเฉพาะ” ไม่ไร้ทิศทาง สร้าง OTOP ให้เข้มแข็ง ก็ต้องเลือกกันมาว่าจะทําอะไร ทําแล้วขายได้ ทําแล้วมีลูกค้า ถ้าทําแล้วไม่มีลูกค้าก็เปล่าประโยชน์ เสียเวลา - การจัดกิจกรรม Business Matching เพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และพัฒนาสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวสินค้าท้องถิ่นและสินค้า OTOP และจัดให้มีตลาดชุมชนกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ ในปัจจุบัน เพื่อลดกลไกพ่อค้าคนกลาง สร้างทักษะ ความรู้ด้านการตลาดให้แก่เกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมการรวมกลุ่ม ตั้งสหกรณ์การเกษตร เพื่อเพิ่มอํานาจการต่อรอง และกําหนดราคาสินค้าในตลาดเองได้ อันนี้เราต้องทําควบคู่ไปกับในเรื่องของการบริหารจัดการน้ํา ตามยุทธศาสตร์ 10 ปี ก็คือทําทุกปี ทําไปเรื่อย ๆ จะไปจบในปี 2569 ก็เป็นไปตามงบประมาณที่มีอยู่ เราก็จะมองปัญหาน้ําทั้งระบบ จะไปดําเนินการแบบบูรณาการ ทุกกระทรวงเพื่อยุติปัญหาอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมาไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นพื้นที่ ไม่เชื่อมโยง ก็ไม่จบกันซะที วันนี้เราจะทําให้จบ ก็ขนาดนี้ยัง 69 เลย งบประมาณเราก็จํากัด ปัญหาการขาดแคลนน้ําภาคการผลิต น้ําอุปโภคบริโภค การป้องกันและบรรเทาอุทกภัย ต้องทั้ง 3 งานให้ได้พร้อมกัน และปัญหาคุณภาพน้ํา จากแหล่งกําเนิด 22 ลุ่มน้ํา และน้ําที่จะต้องเตรียมการ สําหรับผลักดันน้ําทะเลหนุน ด้วย 5 เขื่อนหลัก กับ 4 ลุ่มน้ําภาคกลาง การฟื้นฟูป่าต้นน้ําและป้องกันการพังทลายของดิน รวมทั้ง ระบบโทรมาตร และศูนย์ระบบป้องกันภัยน้ําท่วม โดยคาดว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในสิ้นปี 2558 นี้ เช่น 1. น้ําเพื่อการผลิต ได้แก่ การปรับปรุงระบบชลประทานเดิม 35,000 ล้านไร่ พัฒนาแหล่งน้ําใหม่ 1.6 ล้านไร่ ฟื้นฟูแหล่งน้ําและทางน้ําธรรมชาติ 2,000 กว่าแห่ง สระน้ําในไร่นา 50,000 บ่อ รวมทั้งสระน้ําชุมชนและระบบน้ําบาดาลเพื่อการเกษตร กว่า 1,500 แห่ง ครอบคลุมพื้นประมาณ 2 แสนไร่ เป็นต้น 2. น้ําเพื่อการอุปโภค บริโภค ได้แก่ ประปาหมูบ้าน 2,310 หมู่บ้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบประปาชนบท 683 แห่ง จัดหาน้ําดื่ม น้ําบาดาลให้โรงเรียนและชุมชน 700 แห่ง โดยแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ทั้งระบบนี้ ได้รับความชื่นชมจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ครั้งที่แล้วมีการจัดวันน้ําโลก ก็จัดที่ประเทศไทยส่วนหนึ่ง เขาเห็นว่าเราเสนอแผนนี้ออกไป เขาพอใจเพราะเขาเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ํา การเข้าถึงแหล่งน้ําของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งหลายประเทศในโลกนี้ยังเข้าไม่ถึงเลย 70 กว่าเปอร์เซ็น เหมือนกัน เขาเห็นของเราเป็นรูปธรรมมากที่สุด อยากให้เราเป็น ตัวอย่าง เป็นแบบอย่างในการเตรียมความพร้อม และป้องกันสภาวะการขาดแคลนแหล่งน้ําของโลกในอนาคตได้ ถ้าเราไม่มีน้ํามาจากหิมะ มาจากน้ําแข็งเราก็ลําบาก เราต้องเตรียมการตั้งแต่วันนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถทําได้ ประชาชนคนไทยก็จะไม่เดือดร้อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงเป็นห่วงอยู่แล้ว พูดมาหลายปี รับสั่งมาหลายปีกับเราแล้วว่า เราจะมีปัญหาเรื่องน้ําในอนาคต คนมากขึ้นการเพาะปลูกถ้ายังทําแบบนี้อยู่ ใช้น้ํามาก ต้องแก้ทั้งหมด ทั้งใช้ที่ให้น้อย ใช้น้ําให้น้อย ได้ผลผลิต ในเรื่องนี้เรื่องการเกษตรสําคัญที่สุด คือเรื่องของการลดต้นทุน วันนี้ผมสั่งการไปแล้วชัดเจนว่าต้องทําให้ได้ภายในปีการผลิตนี้ โดยเริ่มจากสหกรณ์ที่เข้มแข็งก่อน สหกรณ์ต้องเข้าไปดูแล ผมอาจจะจัดเครื่องไม้เครื่องมือให้สหกรณ์ที่เข้มแข็งอยู่แล้วในเวลานี้ ไปรวมกลุ่มมา แล้วก็ทั้งเมล็ดพันธ์ ทั้งปุ๋ยอินทรีย์ เครื่องจักรเครื่องมืออะไรต่าง ๆ รวมความถึงเรื่องโรงสีขนาดกลาง ขนาดเล็ก รวมความไปถึงโรงอบข้าวอะไรทํานองนี้ ไม่อย่างนั้นไปอยู่กับโรงสีใหญ่ ๆ หมด เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยตัวเองสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ให้ได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนกรุณาไปขึ้นบัญชีสหกรณ์ ให้ได้ เราจะได้ดูแลตามลําดับความเร่งด่วนต่อไป ถ้าเอาพร้อมกันทั้งหมด ผมไม่มีสตางค์ให้อยู่แล้ว ตังก็ไม่พออยู่แล้วที่จะให้แบบเดิมไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น เราจะต้องทําให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชนอย่างยั่งยืน และการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรน้ําอย่างเท่าเทียม ด้านระบบโครงสร้างคมนาคมพื้นฐาน การสัญจรของคนในเมือง ระหว่างเมืองขนส่งสินค้าผลผลิตทางการเกษตรและโรงงาน – นิคมอุตสาหกรรม จากแหล่งผลิตสู่เมืองหลวง เมืองสําคัญ เมืองท่า หรือเมืองการค้าชายแดน และเพื่อเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยว และการเชื่อมโยงเมืองสําคัญของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลได้จัดทําแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง 7 ปี พ.ศ. 2558–2565 ก็ทําเป็นรายปีไป อันไหนผูกพันได้ก็ผูกพัน อันไหนมีเงินพอ ก็ทําให้จบ ทํานองนี้ มีการร่วมทุนกัน ทั้ง จี ทู จี กับต่างประเทศ และอาจจะลงทุนร่วมกันกับภาคเอกชนขอเราเองด้วย ก็ขอเรียนว่าสิ่งที่กําลังจะเกิดขึ้น ภายในปี 2558 นี้ มีอะไรบ้าง 1. การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง จะมีการส่งมอบรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) 489 คัน จาก 3,183 คัน ในเดือนกรกฎาคม 2558 2. Motorway 3 เส้นทาง ได้แก่ บางปะอิน – นครราชสีมา (196 กม.) บางใหญ่ – กาญจนบุรี (96 กม.) และ พัทยา – มาบตาพุด (32 กม.) ทั้งนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม สํารวจ ออกแบบเส้นทาง เพื่อจะลงมือก่อสร้างทันที ให้พร้อมใช้งานในปี 2562 3. รถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล 10 เส้นทาง 464 กิโลเมตร โดยสายสีน้ําเงินตะวันออกเปิดให้บริการแล้วสายสีม่วงเหนือจะเปิดบริการในปีหน้า สายสีน้ําเงินตะวันตกและสายสีเขียวใต้ อยู่ระหว่างก่อสร้าง จะแล้วเสร็จตามกําหนด พร้อมใช้งานในปี 2563 ส่วนสายที่เหลือ 6 สาย จะอยู่ระหว่างการดําเนินการตามขั้นตอน ตามกฎหมายจนแล้วเสร็จในปี 2563 ทั้งหมด 4. โครงข่ายรถไฟทางคู่ระหว่างเมือง ระยะเร่งด่วน 6 เส้นทาง 903 กิโลเมตร ได้แก่ เส้นทางฉะเชิงเทราคลอง 19 แก่งคอย 106 กิโลเมตร เส้นทางมาบกะเบา ถนนจิระ 132 กิโลเมตร เส้นทางถนนจิระ ขอนแก่น 185 กิโลเมตร เส้นทางลพบุรี ปากน้ําโพ 148 กิโลเมตร เส้นทางประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร 167 กิโลเมตร เส้นทางนครปฐม หัวหิน 165 กิโลเมตร ทั้งหมดจะเริ่มก่อสร้างในปี 2558 โดยประมาณ และจะแล้วเสร็จในปี 2561 5. ระบบขนส่งโดยสารทางน้ําในแม่น้ําเจ้าพระยา ให้สามารถรองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวได้ 200,000 คนต่อวัน และเชื่อมโยงการเดินทางกับระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทได้ มีการยกระดับท่าเทียบเรือ ทั้ง 19 แห่งให้เป็น “สถานีเรือ” นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการท่าเรือน้ําลึกปากบารา จังหวัดสตูล อันนี้ก็ขอความกรุณาว่าอย่าขัดแย้งกันมากเลย เราพยายามที่จะดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ เยียวยาให้สบายใจ ถ้าเราไม่สร้างตรงนี้ก็เป็นปัญหาอีก ประตูการค้าฝั่งอันดามันเราจะไม่มีแล้วก็เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าสู่ทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกาไม่ได้ ต่อไปก็คือโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง ท่าเทียบเรือ A ท่าเรือแหลมฉบังโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 2 ทั้งนี้ เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปี โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร 12.5 ล้านคนต่อปี และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานทหารอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่ 3 เป็นต้น รวมทั้ง ความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย จีน ไทย ญี่ปุ่น ผมได้เรียนให้พี่น้องทราบเป็นระยะ ๆ แล้ว โครงการเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเสมือน “เส้นเลือด” ที่หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจของเราทั้งภายในและระหว่างประเทศ รัฐบาลนี้ได้ริเริ่ม เร่งรัด ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้ คือ ต้องบอกประชาชนให้ทราบไว้ก่อนไม่มาบอกทีหลัง ทําอะไรต้องบอกก่อนแล้วก็มั่นใจว่าถ้าทําสําเร็จก็จะเป็นสิ่งที่ดี ถ้ามาบอกทีหลังก็เหมือนเราไปงุบงิบ ๆ ทํา ไม่ใช่ ผมก็บอกมาตลอดก็ขอให้เข้าใจด้วย เราจะต้องยกฐานะขีดความสามารถในการแข่งขันของเราให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจในภูมิภาคในเวทีโลกให้ได้ การจัดตั้งศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) นั้น เราก็ได้ “พลิกโฉม” การให้บริการภาครัฐ ที่เคยเป็นอุปสรรควงจรธุรกิจต่าง ๆ ขจัดช่องทางการทุจริตได้ด้วย การจ่ายเงินใต้โต๊ะของเจ้าหน้าที่บางส่วน อันนี้จะต้องไม่ให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เราจะเปิดให้บริการข้อมูลอํานวยความสะดวกมีกําหนดระยะเวลาที่ชัดเจนแก่ผู้ประกอบการและนักลงทุนในหลากหลายช่องทาง ขอเรียนอีกทีว่า ตรงนี้หลายท่านก็ยังบอกว่าไม่รู้อะไรที่ไหนอย่างไร ได้ยินแต่พูดแต่ไม่รู้จะไปไหน นี่ผมพูดให้ฟังแล้ว ได้แก่ 1. ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (One Start One Stop Investment Center) โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับด้านธุรกิจและการลงทุนมากกว่า 20 หน่วยงานร่วมบริการให้คําปรึกษา และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินธุรกิจจะเป็นการให้คําแนะนําเกี่ยวกับการขออนุมัติ อนุญาตต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุน การจดทะเบียนนิติบุคคล การขออนุญาตประกอบธุรกิจคนต่างด้าว อันนี้ก็จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการจัดตั้งอยู่ 2. ศูนย์บริการต่อวีซ่าใบอนุญาตทํางาน (One - stop Service Center for Visas and Work Permits ) ให้บริการต่ออายุวีซ่า การขอใบอนุญาตทํางาน ขยายระยะเวลาใบอนุญาตทํางาน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) สํานักงานตรวจสอบคนเข้าเมือง กระทรวงแรงงานร่วมให้บริการ 3. ในเรื่องของศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนในภูมิภาค 6 แห่ง อันนี้ถ้าใครจะไปลงทุนต่างจังหวัดก็มีอยู่ 6 แห่ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี ก็จะให้บริการข้อมูลตลอดจนรับคําร้องและพิจารณาอนุมัติตามที่ได้รับมอบอํานาจ ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น อันนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น ในการแจ้งผลงานของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกพวกทุกฝ่ายอย่างดียิ่งก็จะเป็นการเริ่มต้นในการวางรากฐานของประเทศที่ดี ที่มั่นคง ในทุกมิติ ขอขอบคุณในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน หวังว่าจะได้รับการสานต่อ จากทุก ๆ รัฐบาลต่อไป โดยพี่น้องคนไทยทุกคน ข้าราชการทุกท่าน ต้องช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ต่าง ๆ สําเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วยครับ อีกเรื่องหนึ่งอยากจะคุยกับพวกเราเท่านั้น ไม่ได้ไปตําหนิติเตียนใครมีคนเขียนมาในสื่อ หนังสือพิมพ์ ผมก็อ่านมาก็เข้าท่าดีเหมือนกันไม่รู้ว่าจะเห็นเป็นอย่างไร เขาบอกว่านิสัยที่ไม่ดี ๆ ของคนไทยก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่ดีอยู่แล้ว ดีมากกว่าไม่ดี ไม่อย่างนั้นก็เราคงเป็นประเทศไทยมาถึงทุกวันนี้ไม่ได้ ส่วนที่ไม่ดีแต่สําคัญหรือไม่ ไม่รู้ ท่านลองฟังดู 1. ไม่ชอบศึกษาอะไรที่เป็นรายละเอียด ที่มีปีกย่อยมาก ๆ คือ ไม่คิดแล้วก็เร่งรีบวิจารณ์ไปก่อน เช่น พูดเรื่องภาษีก็โวยมาก่อนว่าเก็บเงินอีกแล้วอะไรทํานองนี้ ไม่ดูว่าจะดีหรือไม่ดี จําเป็นต่อประเทศหรือไม่ ประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร พอเห็นพาดหัวข่าวจากสื่อที่ค่อนข้างจะเลือกข้างบ้างอะไรบ้างหรือหัวเว็บไซต์ต่างก็ด่ารัฐบาลบ้าง ด่าคนคิดบ้าง คือยังไม่รู้เลยว่าเขาจะทําเพื่ออะไร บางทีมีวาทกรรม เดี๋ยวผมจะพูดให้ฟังวาทกรรม 2. นักการเมืองที่เป็นนักเลือกตั้ง คนดี ๆ มากแต่บางคนก็ยังใช้วิธีการเดิม ๆ อยู่ วัน ๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าใครจะพลาดตรงไหนจะเก็บคะแนนได้ตรงไหนแล้วก็ฉวยโอกาสโจมตีทุกคนที่พลาด ไม่ว่าจะนักการเมืองด้วยกัน ไม่ว่าจะรัฐบาลหรือใครก็แล้วแต่ที่ตั้งใจจะมาทําความดีก็ด่าไปหมด ใช้วาทกรรมเจ็บ ๆ วันนี้รัฐบาลพยายามจะทําเพื่อคนจนก็มาหาว่ารัฐบาลแกล้งคนจน ไม่มีจะกินอยู่แล้ว เอาแต่ขูดรีด เก็บภาษี ซึ่งก็ยังไม่ได้ไปเก็บตรงไหนเลย ถ้าเราต้องการให้ประเทศก้าวหน้าต้องปฏิรูปคนสองพวกนี้ก่อน นิสัยไม่ดี คือ นิสัยไม่ศึกษาอะไรให้ละเอียดแล้วก็ตําหนิติเตียน อันที่สองก็คือ ไม่นึกถึงสังคมส่วนรวม สังคมไทยตกอยู่ในสังคมวาทกรรม เชือดเฉือนด้วยถ้อยคํามากกว่าให้โอกาสพิสูจน์การทํางาน ประเทศต้องการเงินงบประมาณไปทําให้ประชาชนเติมในสิ่งที่ขาด สร้างความเข้มแข็ง ทําอย่างไรคนยากจนไม่เหลื่อมล้ํา เป็นธรรมอะไรเหล่านี้ ไม่ให้เดือดร้อนก็กลับไปพูดเป็นวาทกรรมว่า ก็อุตสาห์หาเงินซื้อบ้านมาแทบตายยังจะมาเก็บภาษีบ้านเราอีก อย่างนี้ใช่หรือเปล่าผมไม่รู้ หรือรู้หรือยังว่าที่เขาพูด ๆ กันออกมาเป็นการเสนอให้คิดแล้วตัวเองดูหรือยังว่าเก็บจากใคร เก็บเท่าไหร่ เก็บเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลยก็ว่าไปก่อน เพราะไม่ได้ดูตัวเอง อะไรที่เสียก็ไม่ยอมทั้งสิ้น แล้วไปสร้างวาทกรรมผิด ๆ ออกมา แล้วก็ติไว้แล้วประเทศชาติจะไปตรงไหน สร้างแนวร่วมว่าไปก่อน รัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ต้องการความร่วมมือในการแก้ปัญหา ท่านอย่าไปสร้างความเข้าใจผิด ไม่คํานึงถึงผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชน เรื่องภาษี ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องส่วนรวมของประเทศ คนไทยหลายคนไม่ชอบอยู่แล้วเรื่องภาษี แต่เมื่อถามดูว่าเทียบกับรถคันแรก จํานําข้าว พอแต่ละคนได้ประโยชน์ ส่วนรวมเสียประโยชน์ วันนี้ไม่เห็นมีใครพูดถึง ชื่นชมด้วยซ้ําไปว่าทําดีเพื่อประชาชน เสียหายเท่าไหร่ไปดู อันตรายนะครับ นักการเมืองเหล่านี้ ก็พยายามจะทําไปสร้างความนิยมส่วนตัวแล้วก็ของพรรคการเมืองอะไรก็แล้วแต่ ด้วยการใช้วาทกรรม ผมว่าเลิกสักทีใช้วาทกรรมที่ฟังดูแล้วแปลก ๆ ไม่รู้จะทําอะไร มีหลายคนพูดแล้วว่าต้องทําอย่างไรให้คนจนมาอยู่กับเราให้ได้ อันที่สองจะทําอย่างไรให้สื่อมาอยู่กับเราให้ได้ มีคนพูดเรื่องนี้อยู่แล้วเราจะชนะทุกอย่าง ซึ่งผมไม่ได้ใช้แบบนั้น เพราะฉะนั้น อย่าไปสร้างวาทกรรมว่าคนจนจะได้ลืมตาอ้าปากสักที ให้ราคาข้าว ราคาผลิตผลเกษตรสูง ๆ หรือให้ไปผ่อนรถคันแรกคืนภาษีให้เหล่านี้แล้วก็บางคนเขาบอกว่าจะไม่ให้คนจนมีโอกาสหรืออย่างไร ไม่มีโอกาสที่จะขับรถเลยหรืออย่างไรแล้วขับได้หรือไม่ ผ่อนเขาไหวไหม ในเมื่อตอนเองยังไม่ได้สร้างรายได้กับเขาเลยแล้วไปให้เขาซื้อก่อนจะเป็นอย่างไร Demand กับ Supply ก็เป็น Demand เทียมทั้งหมด ขยายโรงงานไปมากมายแล้ววันนี้ขายได้น้อยลงก็บอกว่าเป็นความผิดของรัฐบาลเข้าไปอีก ทั้ง ๆ ที่ขยายสมัยใครก็ไม่รู้ไปหามา ขยายเพราะรถคันแรกบางคนก็ซื้อกันมาก ซื้อกันมากก็ต้องขยายโรงงาน วันนี้พอไม่มีสตางค์ซื้อต้องมายึดคืนกันหมดแล้วทําอย่างไร แต่เสียเงินไปแล้วรายละแสนเท่าไหร่ละ ก็โอเคเขาบอกว่ากลับไปให้ประชาชน ผมถามว่ากลับไปที่ประชาชนจริง ๆ ทั้งหมดเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นไม่มีระบบอะไรที่จะสร้างความปรองดองในประเทศได้ ไม่มีระบบการปกครองใดทําให้ประเทศเจริญได้หากคนในชาติยังไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตน แนวคิด ในทุกกลุ่มทุกภาคส่วนต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็คือต้องศึกษารายละเอียดให้มากขึ้น ฟังก่อนพูด คิดก่อนทําแล้วก็คํานึงถึงส่วนรวมมาก่อนส่วนตนแล้วก็สิ่งใดที่เป็นการขัดขวางความเจริญของประเทศก็ไม่สมควรทํา รัฐบาลจะจับตาดูบุคคลเหล่านี้ว่าเขาทําให้ประเทศชาติเสียหายหรือเปล่า อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องดูกัน เพราะฉะนั้น ประชาชนช่วยกันดูด้วย ช่วยกันพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าเขาพูดมาเป็นจริงหรือไม่ แล้วผมพูดมาจริงหรือไม่ไปดูว่าเกิดขึ้นตรงไหนบ้าง อันไหนเกิดก่อน อันไหนเกิดหลัง อันไหนต้องเกิดระยะยาว เกิดพร้อมกันไม่ได้หรอกครับ เพราะว่า หมักหมกมายาวนาน เพราะฉะนั้นเราจะทําเรื่องเหล่านี้ให้เป็นจริงจัง สําเร็จ เพื่อประชาชน ประเทศชาติการปรองดองถึงจะเกิดขึ้น ต้องช่วยกันรัฐบาล ข้าราชการ ประชาชนแล้วก็คําว่า สิทธิ เสรีภาพ หน้าที่เคารพกฎหมายศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม เป็นสิ่งสําคัญประกอบกันทั้งหมด ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2558 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน วันสงกรานต์ วันปีใหม่ไทยเพิ่งผ่านพ้นไป หลายคนคงได้มีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อน เดินทางกลับภูมิลําเนาเพื่อพบปะญาติมิตร กราบผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือกัน สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ก็มีเรื่องที่น่ายินดีหลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวแรงงานประมงไทย 68 คน ที่รัฐได้ช่วยเหลือให้เดินทางกลับประเทศตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2558 ทันวันครอบครัวช่วงสงกรานต์พอดี คงมีความสุขมากเพราะว่าหลายปีมาแล้ว ที่ต้องไปตกระกําลําบากอยู่ต่างประเทศ ฉะนั้นทุกคน รัฐบาลจะนําเข้าสู่ระบบการเยียวยาของรัฐ มีการตรวจสุขภาพเบื้องต้น จัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ การมอบเงินช่วยเหลือกลับภูมิลําเนา และการจัดหาสถานที่พักชั่วคราว หากจําเป็น โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์จะบูรณาการ ร่วมกับอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วก็จะติดตามช่วยเหลือ ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่อง ก็ยังมีหลายคนที่ยังตกระกําลําบากอยู่ คงต้องทยอยช่วยเหลือต่อ ๆ ไป จนกว่าจะครบถ้วน และจะมุ่งเน้นการป้องกันการถูกล่อลวง ทําลายกระบวนการทั้งหมด ทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งผู้ที่ทําผิดกฎหมายด้วย ไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ในอนาคตต่อไปให้ได้ ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน พนักงานส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) อาสาสมัคร ตํารวจ ทหาร ที่ช่วยกันดูแลความปลอดภัย ส่งพี่น้องประชาชน และลูกหลานไทย เดินทางไป-กลับโดยสวัสดิภาพ ในห้วงสงกรานต์ ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ร่วมมือ ร่วมใจกัน อนุรักษ์และสืบสานประเพณีสงกรานต์อันงดงามของไทยเรา มีการปฏิบัติตามข้อแนะนําของภาครัฐ ในการร่วมกันแต่งกายตามประเพณี รดน้ําคลายร้อนไม่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น รวมทั้งการโซนนิ่งพื้นที่เล่นน้ําไร้แอลกอฮอล์ อันจะเป็นสาเหตุของการทะเลาะเบาะแว้งและอุบัติเหตุ นานแล้วที่เรารณรงค์เพียงแค่การออกนโยบาย แต่ไม่เน้นการปฏิบัติ เราก็เริ่มเน้นการปฏิบัติให้มากขึ้น การบังคับใช้กติกาสังคมอย่างจริงจัง ในบางครั้งเยาวชนรุ่นใหม่หลงลืมวัฒนธรรมอันดีงาม แล้วกลับคุ้นชินกับสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งอาจจะไม่ใช่อารยธรรมไทย การสนุกสนานต้องมีขอบเขต มีขีดจํากัด อย่างที่รัฐบาลได้กําหนดข้อแนะนําไป 8 ประการ ก็เห็นมีคนต่อว่าเหมือนกันว่าทําไมต้องไปกําหนดด้วย ผมก็ไม่เห็นว่า 8 ข้อมีผลเสียกับใครเลย เพียงแต่ว่าไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ไม่ให้เกิดการเสื่อมเสียต่อประเพณีของเรา หรือใครคิดว่าถูกต้อง ก็บอกรัฐบาลก็แล้วกัน เช่น ห้ามแต่งกายโป๊ ล่อแหลมต่าง ๆ เหล่านี้ ผมไม่เห็นสร้างสรรค์อะไรเลย คนที่มาติ ๆ อยู่ทุกวันนี้ บอกว่าการท่องเที่ยวปีนี้ สงกรานต์ปีนี้หงอย เพราะว่า มี 8 มาตรการของรัฐมาเลยทําให้ไม่สนุก ก็ไปคิดกันเอาเอง เพราะฉะนั้นถ้าเราทําต่อไปเหล่านั้น เอกลักษณ์ความเป็นไทย ก็จะไม่หลงเหลืออีกเลย ให้ภาคภูมิใจ วันนี้ มีทั้งชาวต่างชาติเข้ามาประเทศของเรา คนไทยมาเที่ยวกันเอง ถ้าต่างชาติเขาต้องการสัมผัสธรรมชาติอันบริสุทธิ์งดงามชองชาติ เพราะฉะนั้นการต้อนรับขับสู้ ด้วย “ยิ้มสยาม” และความมีน้ําใจของคนไทยแล้ว และให้รับทราบถึงขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปวัฒนธรรม อันงดงาม ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งเดียวในโลก และจะเป็นสิ่งดึงดูดให้ชาวโลกเดินทางมาพักผ่อน มาศึกษาความเป็นไทย วัฒนธรรมแบบไทย ๆ ซึ่งอาจจะหาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว แต่คนไทยอยากจะเป็นอย่างเขา ผมก็ไม่เข้าใจอีกเหมือนกัน สําหรับ ตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม พิสูจน์แล้วว่ายอดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะนี้เพิ่มขึ้น 20 กว่า % ในไตรมาสแรกของปีนี้ ฉะนั้นอย่าไปเชื่อตัวเลขอื่น ๆ และเพิ่มขึ้น 30 กว่า % ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ก็ไปดูแล้วกันว่าเขานําข้อมูลมาจากไหน ถ้าหากว่าเราเลิกขัดแย้งกันเอง เป็นเจ้าบ้านที่ดี มีเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล ผู้ที่มาเยือนก็จะรู้สึกปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ระหว่างใช้ชีวิตในเมืองไทย ก็ช่วยกันชักชวนกันกลับมาเที่ยวใหม่อีกครั้งปีหน้า เราก็อาจจะมีอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นไปตามวัฒนธรรมประเพณีของไทย เราจัดการท่องเที่ยวทั้งปี ปีนี้เป็นปีแห่งท่องเที่ยว วิถีไทย ช่วยกันเชิญมา หรือช่วยกันไปเที่ยวด้วย เวลาวันว่าง หยุดจากราชการต่าง ๆ ในส่วนของการสร้างจิตสํานึกนั้น คําว่า “ค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการ” จะเป็นสิ่งที่ทําได้เลย ทําทันที ส่วนสิ่งที่ต้องใช้ระยะเวลา อาศัยความร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคเอกชนก็คือในเรื่องของการปฏิรูปประเทศในทุก ๆ ด้าน ซึ่งวันนี้เรามีความพร้อมที่จะเริ่มการปฏิรูป บ้านเมืองสงบร่มเย็นพอสมควร รัฐบาลมีเอกภาพในการบริหารงานแผ่นดิน สามารถที่จะบูรณาการงานทุกกระทรวงให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วก็ทุกคนจะต้องมองผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ก็ขอให้พี่น้องทุกคน ทุกภาคส่วน ช่วยกันหยิบยื่นความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ เพื่อใช้โอกาสนี้ ในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ซี่งเราเริ่มต้นมาได้แต่เพียงเล็กน้อย ถ้าพูดถึงการบริหารราชการทําไปได้มาก แต่เกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูปที่ต้องทําใหม่ อะไรเหล่านี้ เพียงเริ่มต้นเท่านั้นเอง ต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร เราต้องเดินหน้าปฏิรูปประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และหลุดพ้นจากคําว่ากับดักทางการเมืองอย่างยั่งยืน วันนี้ ผมมีบุคคลตัวอย่าง ที่หลายคนอาจรู้จักกันดีมานานแล้ว ในนาม “มนุษย์เพนกวิน” เป็นตัวอย่างของการไม่ยอมแพ้ สู้ชีวิต คิดบวก และที่สําคัญคือ การไม่ทําตนให้เป็นภาระสังคม แต่กลับช่วยสร้างสรรค์สังคม ประเทศชาติให้งดงาม ในขีดความสามารถของตนเอง ถึงแม้ว่าจะมีข้อจํากัดด้านร่างกายของเขาเอง คนดีที่ผมอยากจะพูดถึง คือ คุณเอกชัย วรรณแก้ว แม้ไร้แขนทั้งสองข้าง แต่เขากลับสามารถสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เขาจบปริญญาตรี คณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง จากนั้นก็อาศัยวิชาชีพ ออกไปวาดรูปตามงานต่าง ๆ ได้รายได้มาช่วยปลดหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ให้แม่ ปลูกบ้านหลังใหม่ให้ครอบครัว ส่งเสียเงินให้แม่ทุกเดือน ทั้งนี้ สิ่งสําคัญที่สุดที่คุณเอกชัยฯ ยึดถือในการดํารงชีวิต ก็คือ“โอกาสคนเราไม่เท่ากัน ต้องใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์มากที่สุด” ส่วนการทําประโยชน์ให้กับประเทศชาติ อันได้แก่ “ช่วยกันทําคนละนิด พอรวมกัน มันก็เยอะเอง” และทวงถามสํานึกความเป็นคนไทยว่า “มือของพวกคุณ ทําอะไรให้ประเทศดีขึ้นบ้าง” เปรียบเทียบกับตัวเขา ผมก็หวังว่าจะเป็นคติ สร้างความตระหนักรู้ และเรียกร้องให้พี่น้องทุกท่าน กลับมาสํารวจความพร้อมของตนเอง ว่า “วันนี้ เราได้ทําอะไร ที่เป็นประโยชน์ เพื่อประเทศชาติ หรือส่วนรวมหรือยัง” โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังหลงผิดอยู่ ไม่หวังดีอยู่เหมือนเดิม คอยบ่อนทําลาย สร้างสถานการณ์ ประสงค์ร้าย ป้ายสีต่าง ๆ ทุกเรื่อง เหมือนจะต้องการให้กลับไปสู่ความขัดแย้ง ไปสู่วังวนเก่า ๆ เหมือนที่ผ่านมา ผมไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ขอให้หันกลับมาใช้ชีวิตด้วยศักยภาพของท่านในทางสร้างสรรค์ดีกว่า พัฒนา ปฏิรูปประเทศ ร่วมมือกัน ไม่ใช่ศัตรูกันอยู่แล้ว กฎหมายก็คือกฎหมาย แต่เราเป็นคนไทยด้วยกัน เพราะฉะนั้นขอให้ความร่วมมือกับทางการ ยุติความขัดแย้ง ร่วมมือในการปฏิรูป เดินหน้าประเทศไทยต้องมีกติกา ถ้าจะปฏิรูปให้ได้ ถ้าท่านไม่ยอมรับกติกาเลย ก็ไปไม่ได้อยู่ดี รัฐธรรมนูญจะเขียนอย่างไร ถ้าไม่ทําไม่ร่วมมือก็ไปไม่ได้อยู่ดี ผมบอกไว้ก่อน เพราะประเทศเพื่อนบ้านเขาไม่รอคอยเรา ประชาคมโลกเขาก็มีการพัฒนาก้าวหน้าไปทุกประเทศยกระดับตัวเองมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ แล้วเราจะรอเขาอยู่อย่างไร แล้ววันหน้าถ้าเขาแซงเราไปแล้ว เขาก็ไม่รอเราแล้ว เราก็จะเสียทั้งโอกาส เสียทั้งตําแหน่ง ในบทบาทที่สําคัญของเวทีการเมือง – เศรษฐกิจโลก อย่างน่าเสียดาย อีกประการหนึ่งขอขอบคุณ กลุ่ม “มะโน ละเมอ” (Manoramer Group) ที่สร้างสรรค์คลิปและนํามาเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ (เมื่อ 30 มีนาคม 2558) ซึ่งเป็นการสร้างขึ้นมา โดยไม่ได้หวังผลกําไร และเพื่อเตือนคนไทยทุกคนว่า “เราสามารถทําให้ประเทศนี้ ดีขึ้นได้ ขอเพียงทํากันคนละนิด ในแบบที่ตนเองถนัด” เรื่องความคืบหน้าการริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เมื่อเช้านี้ (17 เมษายน 2558) มีการสรุปผลงานของรัฐบาลในห้วง 6 เดือน ก็ต่อจาก 3 เดือนแรก ตามแนวทางนโยบาย ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ของรัฐบาลได้ประกาศไว้ 11 ด้าน ได้แถลงไปแล้ว กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2557) โจทย์ที่สําคัญของประเทศและรัฐบาลคือ การสร้างความรัก ความสามัคคี ปรองดองของคนในชาติให้ได้ แล้วก็แก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศ ที่ไม่ได้มีการสร้างความเข้มแข็งไว้เพียงพอ ยังไม่มีความพร้อม ไม่มีมาตรการลดความเสี่ยงต่าง ๆ มาเป็นเวลาเกือบ 10 กว่าปีแล้ว ทําให้ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกนั้น มีผลกระทบกับเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นอย่างมาก หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เราไม่เตรียมการไว้ ก็คงยังทําแบบเดิมมาตลอด วันนี้ต้องแก้ไขทั้งหมด คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล เข้ามาบริหาราชการแผ่นดิน ก็ทําให้เศรษฐกิจ เมื่อปีที่แล้วติดลบอยู่ อย่าลืมตัวเลขติดลบไม่ใช่นําตัวเลขปีที่ไม่มีเหตุการณ์มาเทียบไม่ได้ เรารับมาติดลบอยู่ จาก 22 พฤษภาคม แล้ววันนี้เศรษฐกิจโลกก็แย่ลง แต่วันนี้ก็ตัวเลขก็ดีขึ้น โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2557 (ตุลาคม – ธันวาคม 2557) เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.3 เดิมเราตั้งไว้แค่ 2 ก็เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม – กันยายน 2557) ขยายตัวร้อยละ 0.6 เอง เพราะฉะนั้นก็แสดงว่าความความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นตามลําดับ ในด้านเสถียรภาพของทางด้านเศรษฐกิจ ใน 2 เดือนแรกของปีนี้ มกราคม ถึง กุมภาพันธ์ 2558 ทั้งดุลการค้าและดุลบริการของประเทศยังคงเกินดุลอยู่ จํานวน 3,960 ล้านบาท และ 2,054 ล้านบาท ตามลําดับ และเมื่อรวมกับดุลเงินทุนแล้ว ประเทศเรายังมีดุลการชําระเงินที่เกินดุลจํานวน 2,889 ล้านบาท ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอยู่บ้าง แต่ทางแบงค์ชาติ ก็ดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด ก็มีมาตรการที่รองรับไว้ตลอดเวลา ในด้านเสถียรภาพภาคการคลัง รัฐบาลยังคงมีการจัดเก็บรายได้ที่สูงกว่าปีที่แล้ว โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ตุลาคม 2557- มีนาคม 2558) จัดเก็บรายได้สุทธิจํานวน 973,952 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 3.5 ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมจะเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาที่มีผลกระทบโดยตรงต่อพี่น้องเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ธุรกิจ SME เหล่านี้ รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ หาทางทุกอย่าง ไม่ได้หยุดคิดเลยว่าทําอย่างไร ราคาสินค้าทางการเกษตรที่ตกต่ําจะทําอย่างไร การค้าขายภายนอก คือปริมาณมากกว่าเก่า แต่ราคาน้อยกว่าเก่า เป็นประเด็น ก็พยายามจะหาทาง ว่าทําอย่างไร จะใช้ในประเทศได้หรือไม่ อยู่ในตลาดชุมชนบ้างได้หรือไม่ แล้วไปสู่การแปรรูปได้หรือไม่ กําลังทําอยู่ ต้องใช้เวลา ตั้งโรงงานอะไรต่าง ๆ อย่างน้อยก็ ปี ถึงสองปี สามปี ก็จะทยอยมาตามลําดับ เราก็ได้เร่งรัดจัดเตรียมมาตรการต่าง ๆ บางอย่างก็ทําไปแล้ว ผลักดันเม็ดเงินผ่านโครงการต่าง ๆ ให้เกิดการหมุนเวียนของเงินลงสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น เร่งรัดให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย ช่วยกันดําเนินการก่อสร้างถนนหนทางในพื้นที่ชนบท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดําเนินการจัดหาแหล่งกักเก็บน้ํา ให้มีน้ําเพียงพอต่อการเกษตร กระทรวงการคลัง ดูแลเรื่องการให้กู้ยืมแก่ธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งตอนนี้ขาดสภาพคล่องให้สามารถดําเนินธุรกิจต่อไปได้ ในภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว อันนี้ต้องดูแลธุรกิจขนาดเล็กด้วย การค้าปลีกอะไรต่าง ๆ ก็มีความเดือดร้อน กําลังจะให้เชิญธนาคารพาณิชย์ แล้วก็ธนาคารรัฐมาดูซิว่าจะช่วยเหลือกันอย่างไร อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมในการที่จะพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนนั้น จําเป็นต้องมีกฎ กติกาใหม่ เพื่อจะจัดทํากฎหมายรัฐธรรมนูญที่เหมาะสมกับประเทศด้วย และได้รับการยอมรับว่าเราจะต้องปฏิรูปหรือไม่อย่างไร ถ้าประชาชนคิดว่าวันนี้เราดีอยู่แล้ว ผมก็ลําบากใจ ผมคิดว่าปัญหามีมาก ถ้าคนมาอยู่อย่างที่ผมอยู่ จะรู้ว่ามากขนาดไหน ไม่ใช่ข้อแก้ตัวพยายามทําเต็มที่แล้ว ไม่ได้หยุดเลย ก็ยังทําได้เท่านี้ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราจะแก้ปัญหาที่ผ่านมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วประชาชนก็จะได้รับผลประโยชน์ที่เท่าเทียมเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ําด้วยเหล่านี้ กําลังเดินมาถูกทาง ที่ให้เราได้มีโอกาสทํางานตรงนี้ แต่ต้องดูกันว่าจะร่วมมือกันต่อไป อย่างไร แก้ไขอย่างไร Road map ที่ว่าเป็นอย่างไร จะปฏิรูปได้หรือไม่ สําหรับการวางรากฐานที่มั่นคงในทุกมิติ 6 เดือนที่ผ่านมานั้น รัฐบาลดําเนินการไปแล้วเบื้องต้น แล้วก็พร้อมจะส่งต่อให้รัฐบาลต่อ ๆ ไป ถ้าสามารถได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล แล้วก็ยอมรับในกติกา เรื่องการปฏิรูป เราก็สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ของประเทศได้คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ในทุกระดับ สัปดาห์นี้ ผมขอชี้แจงความคืบหน้าบางประการ ให้พี่น้องได้รับทราบ ดังนี้ ด้านเกษตรกรรม อันนี้สําคัญลําดับต้น ๆ ของเรา ประเทศของเราเป็นประเทศเกษตรกรรม ปัญหาคือ เกษตรกรมีรายได้น้อย ราคาผลผลิตตกต่ํา ขาดความรู้เรื่องการตลาด น้ําแล้ง ขาดที่ดินทํากินเป็นของตนเอง รัฐบาลจึงได้กําหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาอย่างครบวงจร และบูรณาการทุกหน่วยงาน ให้เป็นไปในแนวทางอันเดียวกัน เช่น - การ Zoning ด้านพืช ปศุสัตว์ ต้องมีการนําร่อง ประมง ก็ต้องมีระบบส่งเสริมการเกษตรมิติใหม่ ทั้งพืช ปศุสัตว์ ประมง หรือจะหาอาชีพเสริมอะไรก็แล้วแต่ ก็ได้แก่การนํา MRCF System มาใช้ ได้แก่ M-Mapping คือเรียกว่า “ระบบแผนที่และฐานข้อมูล” ในการบริหารจัดการพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้ง R-Remote Sensing “คือการเข้าถึงข้อมูลระยะไกล” ผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระหว่างบุคลากรภาครัฐ – เกษตรกร และ C-Community Participation “การมีส่วนร่วมของชุมชน” ด้วยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ จํานวน 882 ศูนย์ เป็นของชุมชนเอง มีนักส่งเสริมการเกษตรเข้าไปจัดกระบวนการเรียนรู้ มีเกษตรกรต้นแบบ มีสินค้าจริง มีแปลงสาธิต และ F-Specific Field Service “มีจุดเน้นเฉพาะ” ไม่ไร้ทิศทาง สร้าง OTOP ให้เข้มแข็ง ก็ต้องเลือกกันมาว่าจะทําอะไร ทําแล้วขายได้ ทําแล้วมีลูกค้า ถ้าทําแล้วไม่มีลูกค้าก็เปล่าประโยชน์ เสียเวลา - การจัดกิจกรรม Business Matching เพื่อสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และพัฒนาสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวสินค้าท้องถิ่นและสินค้า OTOP และจัดให้มีตลาดชุมชนกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ ในปัจจุบัน เพื่อลดกลไกพ่อค้าคนกลาง สร้างทักษะ ความรู้ด้านการตลาดให้แก่เกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมการรวมกลุ่ม ตั้งสหกรณ์การเกษตร เพื่อเพิ่มอํานาจการต่อรอง และกําหนดราคาสินค้าในตลาดเองได้ อันนี้เราต้องทําควบคู่ไปกับในเรื่องของการบริหารจัดการน้ํา ตามยุทธศาสตร์ 10 ปี ก็คือทําทุกปี ทําไปเรื่อย ๆ จะไปจบในปี 2569 ก็เป็นไปตามงบประมาณที่มีอยู่ เราก็จะมองปัญหาน้ําทั้งระบบ จะไปดําเนินการแบบบูรณาการ ทุกกระทรวงเพื่อยุติปัญหาอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมาไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นพื้นที่ ไม่เชื่อมโยง ก็ไม่จบกันซะที วันนี้เราจะทําให้จบ ก็ขนาดนี้ยัง 69 เลย งบประมาณเราก็จํากัด ปัญหาการขาดแคลนน้ําภาคการผลิต น้ําอุปโภคบริโภค การป้องกันและบรรเทาอุทกภัย ต้องทั้ง 3 งานให้ได้พร้อมกัน และปัญหาคุณภาพน้ํา จากแหล่งกําเนิด 22 ลุ่มน้ํา และน้ําที่จะต้องเตรียมการ สําหรับผลักดันน้ําทะเลหนุน ด้วย 5 เขื่อนหลัก กับ 4 ลุ่มน้ําภาคกลาง การฟื้นฟูป่าต้นน้ําและป้องกันการพังทลายของดิน รวมทั้ง ระบบโทรมาตร และศูนย์ระบบป้องกันภัยน้ําท่วม โดยคาดว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในสิ้นปี 2558 นี้ เช่น 1. น้ําเพื่อการผลิต ได้แก่ การปรับปรุงระบบชลประทานเดิม 35,000 ล้านไร่ พัฒนาแหล่งน้ําใหม่ 1.6 ล้านไร่ ฟื้นฟูแหล่งน้ําและทางน้ําธรรมชาติ 2,000 กว่าแห่ง สระน้ําในไร่นา 50,000 บ่อ รวมทั้งสระน้ําชุมชนและระบบน้ําบาดาลเพื่อการเกษตร กว่า 1,500 แห่ง ครอบคลุมพื้นประมาณ 2 แสนไร่ เป็นต้น 2. น้ําเพื่อการอุปโภค บริโภค ได้แก่ ประปาหมูบ้าน 2,310 หมู่บ้าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบประปาชนบท 683 แห่ง จัดหาน้ําดื่ม น้ําบาดาลให้โรงเรียนและชุมชน 700 แห่ง โดยแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ทั้งระบบนี้ ได้รับความชื่นชมจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ครั้งที่แล้วมีการจัดวันน้ําโลก ก็จัดที่ประเทศไทยส่วนหนึ่ง เขาเห็นว่าเราเสนอแผนนี้ออกไป เขาพอใจเพราะเขาเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ํา การเข้าถึงแหล่งน้ําของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งหลายประเทศในโลกนี้ยังเข้าไม่ถึงเลย 70 กว่าเปอร์เซ็น เหมือนกัน เขาเห็นของเราเป็นรูปธรรมมากที่สุด อยากให้เราเป็น ตัวอย่าง เป็นแบบอย่างในการเตรียมความพร้อม และป้องกันสภาวะการขาดแคลนแหล่งน้ําของโลกในอนาคตได้ ถ้าเราไม่มีน้ํามาจากหิมะ มาจากน้ําแข็งเราก็ลําบาก เราต้องเตรียมการตั้งแต่วันนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถทําได้ ประชาชนคนไทยก็จะไม่เดือดร้อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงเป็นห่วงอยู่แล้ว พูดมาหลายปี รับสั่งมาหลายปีกับเราแล้วว่า เราจะมีปัญหาเรื่องน้ําในอนาคต คนมากขึ้นการเพาะปลูกถ้ายังทําแบบนี้อยู่ ใช้น้ํามาก ต้องแก้ทั้งหมด ทั้งใช้ที่ให้น้อย ใช้น้ําให้น้อย ได้ผลผลิต ในเรื่องนี้เรื่องการเกษตรสําคัญที่สุด คือเรื่องของการลดต้นทุน วันนี้ผมสั่งการไปแล้วชัดเจนว่าต้องทําให้ได้ภายในปีการผลิตนี้ โดยเริ่มจากสหกรณ์ที่เข้มแข็งก่อน สหกรณ์ต้องเข้าไปดูแล ผมอาจจะจัดเครื่องไม้เครื่องมือให้สหกรณ์ที่เข้มแข็งอยู่แล้วในเวลานี้ ไปรวมกลุ่มมา แล้วก็ทั้งเมล็ดพันธ์ ทั้งปุ๋ยอินทรีย์ เครื่องจักรเครื่องมืออะไรต่าง ๆ รวมความถึงเรื่องโรงสีขนาดกลาง ขนาดเล็ก รวมความไปถึงโรงอบข้าวอะไรทํานองนี้ ไม่อย่างนั้นไปอยู่กับโรงสีใหญ่ ๆ หมด เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยตัวเองสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ให้ได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนกรุณาไปขึ้นบัญชีสหกรณ์ ให้ได้ เราจะได้ดูแลตามลําดับความเร่งด่วนต่อไป ถ้าเอาพร้อมกันทั้งหมด ผมไม่มีสตางค์ให้อยู่แล้ว ตังก็ไม่พออยู่แล้วที่จะให้แบบเดิมไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น เราจะต้องทําให้เกิดความเข้มแข็งในชุมชนอย่างยั่งยืน และการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรน้ําอย่างเท่าเทียม ด้านระบบโครงสร้างคมนาคมพื้นฐาน การสัญจรของคนในเมือง ระหว่างเมืองขนส่งสินค้าผลผลิตทางการเกษตรและโรงงาน – นิคมอุตสาหกรรม จากแหล่งผลิตสู่เมืองหลวง เมืองสําคัญ เมืองท่า หรือเมืองการค้าชายแดน และเพื่อเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยว และการเชื่อมโยงเมืองสําคัญของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลได้จัดทําแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง 7 ปี พ.ศ. 2558–2565 ก็ทําเป็นรายปีไป อันไหนผูกพันได้ก็ผูกพัน อันไหนมีเงินพอ ก็ทําให้จบ ทํานองนี้ มีการร่วมทุนกัน ทั้ง จี ทู จี กับต่างประเทศ และอาจจะลงทุนร่วมกันกับภาคเอกชนขอเราเองด้วย ก็ขอเรียนว่าสิ่งที่กําลังจะเกิดขึ้น ภายในปี 2558 นี้ มีอะไรบ้าง 1. การพัฒนาโครงข่ายรถไฟระหว่างเมือง จะมีการส่งมอบรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) 489 คัน จาก 3,183 คัน ในเดือนกรกฎาคม 2558 2. Motorway 3 เส้นทาง ได้แก่ บางปะอิน – นครราชสีมา (196 กม.) บางใหญ่ – กาญจนบุรี (96 กม.) และ พัทยา – มาบตาพุด (32 กม.) ทั้งนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสม สํารวจ ออกแบบเส้นทาง เพื่อจะลงมือก่อสร้างทันที ให้พร้อมใช้งานในปี 2562 3. รถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล 10 เส้นทาง 464 กิโลเมตร โดยสายสีน้ําเงินตะวันออกเปิดให้บริการแล้วสายสีม่วงเหนือจะเปิดบริการในปีหน้า สายสีน้ําเงินตะวันตกและสายสีเขียวใต้ อยู่ระหว่างก่อสร้าง จะแล้วเสร็จตามกําหนด พร้อมใช้งานในปี 2563 ส่วนสายที่เหลือ 6 สาย จะอยู่ระหว่างการดําเนินการตามขั้นตอน ตามกฎหมายจนแล้วเสร็จในปี 2563 ทั้งหมด 4. โครงข่ายรถไฟทางคู่ระหว่างเมือง ระยะเร่งด่วน 6 เส้นทาง 903 กิโลเมตร ได้แก่ เส้นทางฉะเชิงเทราคลอง 19 แก่งคอย 106 กิโลเมตร เส้นทางมาบกะเบา ถนนจิระ 132 กิโลเมตร เส้นทางถนนจิระ ขอนแก่น 185 กิโลเมตร เส้นทางลพบุรี ปากน้ําโพ 148 กิโลเมตร เส้นทางประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร 167 กิโลเมตร เส้นทางนครปฐม หัวหิน 165 กิโลเมตร ทั้งหมดจะเริ่มก่อสร้างในปี 2558 โดยประมาณ และจะแล้วเสร็จในปี 2561 5. ระบบขนส่งโดยสารทางน้ําในแม่น้ําเจ้าพระยา ให้สามารถรองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวได้ 200,000 คนต่อวัน และเชื่อมโยงการเดินทางกับระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทได้ มีการยกระดับท่าเทียบเรือ ทั้ง 19 แห่งให้เป็น “สถานีเรือ” นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการขนาดใหญ่ เช่น โครงการท่าเรือน้ําลึกปากบารา จังหวัดสตูล อันนี้ก็ขอความกรุณาว่าอย่าขัดแย้งกันมากเลย เราพยายามที่จะดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบ เยียวยาให้สบายใจ ถ้าเราไม่สร้างตรงนี้ก็เป็นปัญหาอีก ประตูการค้าฝั่งอันดามันเราจะไม่มีแล้วก็เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าสู่ทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกาไม่ได้ ต่อไปก็คือโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง ท่าเทียบเรือ A ท่าเรือแหลมฉบังโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 2 ทั้งนี้ เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปี โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร 12.5 ล้านคนต่อปี และโครงการพัฒนาท่าอากาศยานทหารอู่ตะเภาให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่ 3 เป็นต้น รวมทั้ง ความร่วมมือด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างไทย จีน ไทย ญี่ปุ่น ผมได้เรียนให้พี่น้องทราบเป็นระยะ ๆ แล้ว โครงการเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเสมือน “เส้นเลือด” ที่หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจของเราทั้งภายในและระหว่างประเทศ รัฐบาลนี้ได้ริเริ่ม เร่งรัด ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในอนาคตอันใกล้ คือ ต้องบอกประชาชนให้ทราบไว้ก่อนไม่มาบอกทีหลัง ทําอะไรต้องบอกก่อนแล้วก็มั่นใจว่าถ้าทําสําเร็จก็จะเป็นสิ่งที่ดี ถ้ามาบอกทีหลังก็เหมือนเราไปงุบงิบ ๆ ทํา ไม่ใช่ ผมก็บอกมาตลอดก็ขอให้เข้าใจด้วย เราจะต้องยกฐานะขีดความสามารถในการแข่งขันของเราให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจในภูมิภาคในเวทีโลกให้ได้ การจัดตั้งศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) นั้น เราก็ได้ “พลิกโฉม” การให้บริการภาครัฐ ที่เคยเป็นอุปสรรควงจรธุรกิจต่าง ๆ ขจัดช่องทางการทุจริตได้ด้วย การจ่ายเงินใต้โต๊ะของเจ้าหน้าที่บางส่วน อันนี้จะต้องไม่ให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เราจะเปิดให้บริการข้อมูลอํานวยความสะดวกมีกําหนดระยะเวลาที่ชัดเจนแก่ผู้ประกอบการและนักลงทุนในหลากหลายช่องทาง ขอเรียนอีกทีว่า ตรงนี้หลายท่านก็ยังบอกว่าไม่รู้อะไรที่ไหนอย่างไร ได้ยินแต่พูดแต่ไม่รู้จะไปไหน นี่ผมพูดให้ฟังแล้ว ได้แก่ 1. ศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (One Start One Stop Investment Center) โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับด้านธุรกิจและการลงทุนมากกว่า 20 หน่วยงานร่วมบริการให้คําปรึกษา และให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดําเนินธุรกิจจะเป็นการให้คําแนะนําเกี่ยวกับการขออนุมัติ อนุญาตต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุน การจดทะเบียนนิติบุคคล การขออนุญาตประกอบธุรกิจคนต่างด้าว อันนี้ก็จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการจัดตั้งอยู่ 2. ศูนย์บริการต่อวีซ่าใบอนุญาตทํางาน (One - stop Service Center for Visas and Work Permits ) ให้บริการต่ออายุวีซ่า การขอใบอนุญาตทํางาน ขยายระยะเวลาใบอนุญาตทํางาน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) สํานักงานตรวจสอบคนเข้าเมือง กระทรวงแรงงานร่วมให้บริการ 3. ในเรื่องของศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนในภูมิภาค 6 แห่ง อันนี้ถ้าใครจะไปลงทุนต่างจังหวัดก็มีอยู่ 6 แห่ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา และสุราษฎร์ธานี ก็จะให้บริการข้อมูลตลอดจนรับคําร้องและพิจารณาอนุมัติตามที่ได้รับมอบอํานาจ ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น อันนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น ในการแจ้งผลงานของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกพวกทุกฝ่ายอย่างดียิ่งก็จะเป็นการเริ่มต้นในการวางรากฐานของประเทศที่ดี ที่มั่นคง ในทุกมิติ ขอขอบคุณในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน หวังว่าจะได้รับการสานต่อ จากทุก ๆ รัฐบาลต่อไป โดยพี่น้องคนไทยทุกคน ข้าราชการทุกท่าน ต้องช่วยกันรักษาผลประโยชน์ของชาติ เพื่อให้แผนยุทธศาสตร์ต่าง ๆ สําเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วยครับ อีกเรื่องหนึ่งอยากจะคุยกับพวกเราเท่านั้น ไม่ได้ไปตําหนิติเตียนใครมีคนเขียนมาในสื่อ หนังสือพิมพ์ ผมก็อ่านมาก็เข้าท่าดีเหมือนกันไม่รู้ว่าจะเห็นเป็นอย่างไร เขาบอกว่านิสัยที่ไม่ดี ๆ ของคนไทยก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่ดีอยู่แล้ว ดีมากกว่าไม่ดี ไม่อย่างนั้นก็เราคงเป็นประเทศไทยมาถึงทุกวันนี้ไม่ได้ ส่วนที่ไม่ดีแต่สําคัญหรือไม่ ไม่รู้ ท่านลองฟังดู 1. ไม่ชอบศึกษาอะไรที่เป็นรายละเอียด ที่มีปีกย่อยมาก ๆ คือ ไม่คิดแล้วก็เร่งรีบวิจารณ์ไปก่อน เช่น พูดเรื่องภาษีก็โวยมาก่อนว่าเก็บเงินอีกแล้วอะไรทํานองนี้ ไม่ดูว่าจะดีหรือไม่ดี จําเป็นต่อประเทศหรือไม่ ประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร พอเห็นพาดหัวข่าวจากสื่อที่ค่อนข้างจะเลือกข้างบ้างอะไรบ้างหรือหัวเว็บไซต์ต่างก็ด่ารัฐบาลบ้าง ด่าคนคิดบ้าง คือยังไม่รู้เลยว่าเขาจะทําเพื่ออะไร บางทีมีวาทกรรม เดี๋ยวผมจะพูดให้ฟังวาทกรรม 2. นักการเมืองที่เป็นนักเลือกตั้ง คนดี ๆ มากแต่บางคนก็ยังใช้วิธีการเดิม ๆ อยู่ วัน ๆ ก็ตั้งหน้าตั้งตารอว่าใครจะพลาดตรงไหนจะเก็บคะแนนได้ตรงไหนแล้วก็ฉวยโอกาสโจมตีทุกคนที่พลาด ไม่ว่าจะนักการเมืองด้วยกัน ไม่ว่าจะรัฐบาลหรือใครก็แล้วแต่ที่ตั้งใจจะมาทําความดีก็ด่าไปหมด ใช้วาทกรรมเจ็บ ๆ วันนี้รัฐบาลพยายามจะทําเพื่อคนจนก็มาหาว่ารัฐบาลแกล้งคนจน ไม่มีจะกินอยู่แล้ว เอาแต่ขูดรีด เก็บภาษี ซึ่งก็ยังไม่ได้ไปเก็บตรงไหนเลย ถ้าเราต้องการให้ประเทศก้าวหน้าต้องปฏิรูปคนสองพวกนี้ก่อน นิสัยไม่ดี คือ นิสัยไม่ศึกษาอะไรให้ละเอียดแล้วก็ตําหนิติเตียน อันที่สองก็คือ ไม่นึกถึงสังคมส่วนรวม สังคมไทยตกอยู่ในสังคมวาทกรรม เชือดเฉือนด้วยถ้อยคํามากกว่าให้โอกาสพิสูจน์การทํางาน ประเทศต้องการเงินงบประมาณไปทําให้ประชาชนเติมในสิ่งที่ขาด สร้างความเข้มแข็ง ทําอย่างไรคนยากจนไม่เหลื่อมล้ํา เป็นธรรมอะไรเหล่านี้ ไม่ให้เดือดร้อนก็กลับไปพูดเป็นวาทกรรมว่า ก็อุตสาห์หาเงินซื้อบ้านมาแทบตายยังจะมาเก็บภาษีบ้านเราอีก อย่างนี้ใช่หรือเปล่าผมไม่รู้ หรือรู้หรือยังว่าที่เขาพูด ๆ กันออกมาเป็นการเสนอให้คิดแล้วตัวเองดูหรือยังว่าเก็บจากใคร เก็บเท่าไหร่ เก็บเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลยก็ว่าไปก่อน เพราะไม่ได้ดูตัวเอง อะไรที่เสียก็ไม่ยอมทั้งสิ้น แล้วไปสร้างวาทกรรมผิด ๆ ออกมา แล้วก็ติไว้แล้วประเทศชาติจะไปตรงไหน สร้างแนวร่วมว่าไปก่อน รัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ต้องการความร่วมมือในการแก้ปัญหา ท่านอย่าไปสร้างความเข้าใจผิด ไม่คํานึงถึงผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชน เรื่องภาษี ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องส่วนรวมของประเทศ คนไทยหลายคนไม่ชอบอยู่แล้วเรื่องภาษี แต่เมื่อถามดูว่าเทียบกับรถคันแรก จํานําข้าว พอแต่ละคนได้ประโยชน์ ส่วนรวมเสียประโยชน์ วันนี้ไม่เห็นมีใครพูดถึง ชื่นชมด้วยซ้ําไปว่าทําดีเพื่อประชาชน เสียหายเท่าไหร่ไปดู อันตรายนะครับ นักการเมืองเหล่านี้ ก็พยายามจะทําไปสร้างความนิยมส่วนตัวแล้วก็ของพรรคการเมืองอะไรก็แล้วแต่ ด้วยการใช้วาทกรรม ผมว่าเลิกสักทีใช้วาทกรรมที่ฟังดูแล้วแปลก ๆ ไม่รู้จะทําอะไร มีหลายคนพูดแล้วว่าต้องทําอย่างไรให้คนจนมาอยู่กับเราให้ได้ อันที่สองจะทําอย่างไรให้สื่อมาอยู่กับเราให้ได้ มีคนพูดเรื่องนี้อยู่แล้วเราจะชนะทุกอย่าง ซึ่งผมไม่ได้ใช้แบบนั้น เพราะฉะนั้น อย่าไปสร้างวาทกรรมว่าคนจนจะได้ลืมตาอ้าปากสักที ให้ราคาข้าว ราคาผลิตผลเกษตรสูง ๆ หรือให้ไปผ่อนรถคันแรกคืนภาษีให้เหล่านี้แล้วก็บางคนเขาบอกว่าจะไม่ให้คนจนมีโอกาสหรืออย่างไร ไม่มีโอกาสที่จะขับรถเลยหรืออย่างไรแล้วขับได้หรือไม่ ผ่อนเขาไหวไหม ในเมื่อตอนเองยังไม่ได้สร้างรายได้กับเขาเลยแล้วไปให้เขาซื้อก่อนจะเป็นอย่างไร Demand กับ Supply ก็เป็น Demand เทียมทั้งหมด ขยายโรงงานไปมากมายแล้ววันนี้ขายได้น้อยลงก็บอกว่าเป็นความผิดของรัฐบาลเข้าไปอีก ทั้ง ๆ ที่ขยายสมัยใครก็ไม่รู้ไปหามา ขยายเพราะรถคันแรกบางคนก็ซื้อกันมาก ซื้อกันมากก็ต้องขยายโรงงาน วันนี้พอไม่มีสตางค์ซื้อต้องมายึดคืนกันหมดแล้วทําอย่างไร แต่เสียเงินไปแล้วรายละแสนเท่าไหร่ละ ก็โอเคเขาบอกว่ากลับไปให้ประชาชน ผมถามว่ากลับไปที่ประชาชนจริง ๆ ทั้งหมดเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นไม่มีระบบอะไรที่จะสร้างความปรองดองในประเทศได้ ไม่มีระบบการปกครองใดทําให้ประเทศเจริญได้หากคนในชาติยังไม่ได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตน แนวคิด ในทุกกลุ่มทุกภาคส่วนต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็คือต้องศึกษารายละเอียดให้มากขึ้น ฟังก่อนพูด คิดก่อนทําแล้วก็คํานึงถึงส่วนรวมมาก่อนส่วนตนแล้วก็สิ่งใดที่เป็นการขัดขวางความเจริญของประเทศก็ไม่สมควรทํา รัฐบาลจะจับตาดูบุคคลเหล่านี้ว่าเขาทําให้ประเทศชาติเสียหายหรือเปล่า อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องดูกัน เพราะฉะนั้น ประชาชนช่วยกันดูด้วย ช่วยกันพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าเขาพูดมาเป็นจริงหรือไม่ แล้วผมพูดมาจริงหรือไม่ไปดูว่าเกิดขึ้นตรงไหนบ้าง อันไหนเกิดก่อน อันไหนเกิดหลัง อันไหนต้องเกิดระยะยาว เกิดพร้อมกันไม่ได้หรอกครับ เพราะว่า หมักหมกมายาวนาน เพราะฉะนั้นเราจะทําเรื่องเหล่านี้ให้เป็นจริงจัง สําเร็จ เพื่อประชาชน ประเทศชาติการปรองดองถึงจะเกิดขึ้น ต้องช่วยกันรัฐบาล ข้าราชการ ประชาชนแล้วก็คําว่า สิทธิ เสรีภาพ หน้าที่เคารพกฎหมายศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม เป็นสิ่งสําคัญประกอบกันทั้งหมด ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘หม่อมเต่า’ ห่วงแรงงานนั่งร้านถล่มที่ภูเก็ต ส่ง ‘ที่ปรึกษารัฐมนตรี’ รุดเยี่ยมอาการคนงาน พร้อมกำชับนายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 ‘หม่อมเต่า’ ห่วงแรงงานนั่งร้านถล่มที่ภูเก็ต ส่ง ‘ที่ปรึกษารัฐมนตรี’ รุดเยี่ยมอาการคนงาน พร้อมกําชับนายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยแรงงานเหตุนั่งร้านก่อสร้างคอนโดฯ ถล่มทับคนงานจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 8 ราย โดยได้มอบหมายให้ รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน และคณะ ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยแรงงานเหตุนั่งร้านก่อสร้างคอนโดฯ ถล่มทับคนงานจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 8 ราย โดยได้มอบหมายให้ รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน และคณะ ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ติดตามความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างตามสิทธิประโยชน์จากประกันสังคม พร้อมกําชับนายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะได้รับความคุ้มครองตามสิทธิที่กฎหมายกําหนด ทั้งนี้ kayw Soe wai ฑูตแรงงานเมียนมา ประจําจังหวัดระนอง (Labor attache Myanman Embassy in Thailand) ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายหมายให้ รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตไปยังสถานที่เกิดเหตุนั่งร้านของโครงสร้างอาคารคอนโดมิเนียมถล่มทับคนงานจํานวน 11 คน ซึ่งตั้งอยู่บนถนนวิเศษ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต เพื่อติดตามความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว พบว่า มีคนงานได้รับบาดเจ็บ 8 คน อีก 3 รายติดอยู่ในอาคารและพบร่างเสียชีวิตในเวลาต่อมา สําหรับบริษัท ภูเก็ต บิลท์ จํากัด มีผู้รับเหมาเป็นนายจ้างของแรงงานที่ประสบเหตุ ประกอบกิจการก่อสร้างที่พักอาศัย จากนั้น ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ฑูตแรงงานเมียนมา ประจําจังหวัดระนอง และคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบกระเช้าแก่ลูกจ้างที่นอนพักรักษาตัว ณ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จํานวน 2 ราย รายแรกบาดเจ็บเนื่องจากกระดูกเชิงกรานด้านซ้ายหัก ส่วนอีกรายกระดูกต้นแขนขวาหักและซี่โครงหัก สําหรับการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างที่เสียชีวิตจํานวน 3 ราย จะได้รับสิทธิประโยชน์จากสํานักงานประกันสังคม แบ่งเป็น ค่าทําศพเป็นเงินรายละ 33,000 บาท ค่าทดแทนเสียชีวิตร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือนเป็นระยะเวลา 10 ปี เป็นเงินจํานวน 720,720 บาทต่อราย เงินบําเหน็จชราภาพ ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะเวลาการทํางานและอัตราค่าจ้างที่ได้รับ รวมทั้งสิ้น 2,320,121.20 บาท ซึ่งยังไม่รวมค่ารักษาพยาบาลและค่าทดแทนของลูกจ้างที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล นอกจากนั้นในวันนี้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยรองอธิบดีกรมการจัดหางาน ได้เดินทางมาร่วมงานศพ ที่วัดสว่างอารมณ์ ตําบลราไวย์ อําเภอเมืองภูเก็ต โดยในเบื้องต้นได้มอบเงินค่าทําศพให้กับญาติของผู้เสียชีวิต รายละ 33,000 บาท ------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สํานักงานประกันสังคม - ข้อมูล/ 14 สิงหาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘หม่อมเต่า’ ห่วงแรงงานนั่งร้านถล่มที่ภูเก็ต ส่ง ‘ที่ปรึกษารัฐมนตรี’ รุดเยี่ยมอาการคนงาน พร้อมกำชับนายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 ‘หม่อมเต่า’ ห่วงแรงงานนั่งร้านถล่มที่ภูเก็ต ส่ง ‘ที่ปรึกษารัฐมนตรี’ รุดเยี่ยมอาการคนงาน พร้อมกําชับนายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวถูกกฎหมาย ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยแรงงานเหตุนั่งร้านก่อสร้างคอนโดฯ ถล่มทับคนงานจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 8 ราย โดยได้มอบหมายให้ รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน และคณะ ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยแรงงานเหตุนั่งร้านก่อสร้างคอนโดฯ ถล่มทับคนงานจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 8 ราย โดยได้มอบหมายให้ รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษา รมว.แรงงาน และคณะ ลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ติดตามความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างตามสิทธิประโยชน์จากประกันสังคม พร้อมกําชับนายจ้างใช้แรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะได้รับความคุ้มครองตามสิทธิที่กฎหมายกําหนด ทั้งนี้ kayw Soe wai ฑูตแรงงานเมียนมา ประจําจังหวัดระนอง (Labor attache Myanman Embassy in Thailand) ร่วมลงพื้นที่ในครั้งนี้ด้วย เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายหมายให้ รองศาสตราจารย์ ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตไปยังสถานที่เกิดเหตุนั่งร้านของโครงสร้างอาคารคอนโดมิเนียมถล่มทับคนงานจํานวน 11 คน ซึ่งตั้งอยู่บนถนนวิเศษ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต เพื่อติดตามความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว พบว่า มีคนงานได้รับบาดเจ็บ 8 คน อีก 3 รายติดอยู่ในอาคารและพบร่างเสียชีวิตในเวลาต่อมา สําหรับบริษัท ภูเก็ต บิลท์ จํากัด มีผู้รับเหมาเป็นนายจ้างของแรงงานที่ประสบเหตุ ประกอบกิจการก่อสร้างที่พักอาศัย จากนั้น ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ฑูตแรงงานเมียนมา ประจําจังหวัดระนอง และคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบกระเช้าแก่ลูกจ้างที่นอนพักรักษาตัว ณ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จํานวน 2 ราย รายแรกบาดเจ็บเนื่องจากกระดูกเชิงกรานด้านซ้ายหัก ส่วนอีกรายกระดูกต้นแขนขวาหักและซี่โครงหัก สําหรับการให้ความช่วยเหลือลูกจ้างที่เสียชีวิตจํานวน 3 ราย จะได้รับสิทธิประโยชน์จากสํานักงานประกันสังคม แบ่งเป็น ค่าทําศพเป็นเงินรายละ 33,000 บาท ค่าทดแทนเสียชีวิตร้อยละ 70 ของค่าจ้างรายเดือนเป็นระยะเวลา 10 ปี เป็นเงินจํานวน 720,720 บาทต่อราย เงินบําเหน็จชราภาพ ซึ่งขึ้นอยู่กับระยะเวลาการทํางานและอัตราค่าจ้างที่ได้รับ รวมทั้งสิ้น 2,320,121.20 บาท ซึ่งยังไม่รวมค่ารักษาพยาบาลและค่าทดแทนของลูกจ้างที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล นอกจากนั้นในวันนี้ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยรองอธิบดีกรมการจัดหางาน ได้เดินทางมาร่วมงานศพ ที่วัดสว่างอารมณ์ ตําบลราไวย์ อําเภอเมืองภูเก็ต โดยในเบื้องต้นได้มอบเงินค่าทําศพให้กับญาติของผู้เสียชีวิต รายละ 33,000 บาท ------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/ สํานักงานประกันสังคม - ข้อมูล/ 14 สิงหาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22218
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.กลาโหม ย้ำกองทัพ เป็นหลักและคงความต่อเนื่องสนับสนุนการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ คู่ไปกับเฝ้าระวังและสนับสนุนมาตรการผ่อนคลายระยะ 4 [กระทรวงกลาโหม]
วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2563 ก.กลาโหม ย้ํากองทัพ เป็นหลักและคงความต่อเนื่องสนับสนุนการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ คู่ไปกับเฝ้าระวังและสนับสนุนมาตรการผ่อนคลายระยะ 4 [กระทรวงกลาโหม] ก.กลาโหม ย้ํากองทัพ เป็นหลักและคงความต่อเนื่องสนับสนุนการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ คู่ไปกับเฝ้าระวังและสนับสนุนมาตรการผ่อนคลายระยะ 4 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า 0900 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. นขต.กห.และเหล่าทัพ เพื่อติดตามการบริหารจัดการมาตรการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ณ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กห. ในศาลาว่าการกลาโหม สรุปสถานภาพคนไทยที่เดินทางผ่านสายการบินกลับจากต่างประเทศ ตั้งแต่ 4 ก.พ. ถึงปัจจุบัน และเข้าสู่สถานที่กักกันตัวของรัฐ ( State Quarantine ) จํานวน 20,165 คน ในสถานกักกันตัวที่กําหนด 36 แห่ง พบผู้ติดเชื้อและส่งเข้ารักษาระหว่างกักตัว 104 ราย ส่งกลับภูมิลําเนาแล้ว 13,623 คน ยังอยู่ระหว่างพักกักตัว 6,533 คน โดยระหว่าง 13 -14 มิ.ย.63 จะมีคนไทยเดินทางเข้ามาอีกจํานวน 974 คน ใน 7 เที่ยวบิน พร้อมรับทราบ สถานภาพของคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศรอบบ้าน ผ่านช่องทางผ่านแดนทางบก และเข้าสู่สถานที่กักกันตัวในพื้นที่จังหวัด ( Local Quarantine ) ที่กําหนด รวม 25,835 คน ใน 878 สถานที่ 77 จว. โดยยังอยู่ระหว่างพักกักตัว 4,902 คน พล.อ.ชัยชาญ‘ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณทุกเหล่าทัพและเจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงาน ที่ร่วมกันดูแลคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศและปฏิบัติหน้าที่เป็นหลักตามมาตรการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ซึ่งมีส่วนสําคัญยิ่งต่อการคัดกรองและควบคุมการแพร่ระบาดจากภายนอกประเทศที่ผ่านมา ในระหว่างที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโลกในภาพรวมยังไม่สามารถควบคุม โดยย้ําขอให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่องกันไปด้วยความไม่ประมาทและให้พัฒนาความสามารถรองรับคนไทยกลับจากต่างประเทศที่ยังตกค้างอยู่จํานวนมาก พร้อมขอให้ทุกเหล่าทัพ ยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์ของโรคและเตรียมการสนับสนุนมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 4 ที่จะมีขึ้นหลัง 15 มิ.ย.นี้ โดยจําเป็นต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังคงจําเป็นต้องเตรียมความพร้อมแผนปฏิบัติการหากมีสถานการณ์แพร่ระบาดซ้ํา. และขอให้ทุกเหล่าทัพยังคงสนับสนุนให้การช่วยเหลือประชาชนในหลายกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องกันไป โดยเฉพาะการกระจายจัดชุดซ่อมเคลื่อนที่ สนับสนุนซ่อมเครื่องมือการเกษตรกับเกษตรกรพื้นบ้าน เพื่อเตรียมพร้อมการฟื้นตัวของภาคการเกษตรในฤดูฝนที่กําลังมาถึง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.กลาโหม ย้ำกองทัพ เป็นหลักและคงความต่อเนื่องสนับสนุนการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ คู่ไปกับเฝ้าระวังและสนับสนุนมาตรการผ่อนคลายระยะ 4 [กระทรวงกลาโหม] วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน 2563 ก.กลาโหม ย้ํากองทัพ เป็นหลักและคงความต่อเนื่องสนับสนุนการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ คู่ไปกับเฝ้าระวังและสนับสนุนมาตรการผ่อนคลายระยะ 4 [กระทรวงกลาโหม] ก.กลาโหม ย้ํากองทัพ เป็นหลักและคงความต่อเนื่องสนับสนุนการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ คู่ไปกับเฝ้าระวังและสนับสนุนมาตรการผ่อนคลายระยะ 4 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า 0900 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. นขต.กห.และเหล่าทัพ เพื่อติดตามการบริหารจัดการมาตรการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ณ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กห. ในศาลาว่าการกลาโหม สรุปสถานภาพคนไทยที่เดินทางผ่านสายการบินกลับจากต่างประเทศ ตั้งแต่ 4 ก.พ. ถึงปัจจุบัน และเข้าสู่สถานที่กักกันตัวของรัฐ ( State Quarantine ) จํานวน 20,165 คน ในสถานกักกันตัวที่กําหนด 36 แห่ง พบผู้ติดเชื้อและส่งเข้ารักษาระหว่างกักตัว 104 ราย ส่งกลับภูมิลําเนาแล้ว 13,623 คน ยังอยู่ระหว่างพักกักตัว 6,533 คน โดยระหว่าง 13 -14 มิ.ย.63 จะมีคนไทยเดินทางเข้ามาอีกจํานวน 974 คน ใน 7 เที่ยวบิน พร้อมรับทราบ สถานภาพของคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศรอบบ้าน ผ่านช่องทางผ่านแดนทางบก และเข้าสู่สถานที่กักกันตัวในพื้นที่จังหวัด ( Local Quarantine ) ที่กําหนด รวม 25,835 คน ใน 878 สถานที่ 77 จว. โดยยังอยู่ระหว่างพักกักตัว 4,902 คน พล.อ.ชัยชาญ‘ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณทุกเหล่าทัพและเจ้าหน้าที่จากทุกหน่วยงาน ที่ร่วมกันดูแลคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศและปฏิบัติหน้าที่เป็นหลักตามมาตรการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ซึ่งมีส่วนสําคัญยิ่งต่อการคัดกรองและควบคุมการแพร่ระบาดจากภายนอกประเทศที่ผ่านมา ในระหว่างที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโลกในภาพรวมยังไม่สามารถควบคุม โดยย้ําขอให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อเนื่องกันไปด้วยความไม่ประมาทและให้พัฒนาความสามารถรองรับคนไทยกลับจากต่างประเทศที่ยังตกค้างอยู่จํานวนมาก พร้อมขอให้ทุกเหล่าทัพ ยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์ของโรคและเตรียมการสนับสนุนมาตรการผ่อนคลายในระยะที่ 4 ที่จะมีขึ้นหลัง 15 มิ.ย.นี้ โดยจําเป็นต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังคงจําเป็นต้องเตรียมความพร้อมแผนปฏิบัติการหากมีสถานการณ์แพร่ระบาดซ้ํา. และขอให้ทุกเหล่าทัพยังคงสนับสนุนให้การช่วยเหลือประชาชนในหลายกลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องกันไป โดยเฉพาะการกระจายจัดชุดซ่อมเคลื่อนที่ สนับสนุนซ่อมเครื่องมือการเกษตรกับเกษตรกรพื้นบ้าน เพื่อเตรียมพร้อมการฟื้นตัวของภาคการเกษตรในฤดูฝนที่กําลังมาถึง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32298
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.พบครูภาษาจีน รุ่น 4
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 รมว.ศธ.พบครูภาษาจีน รุ่น 4 สถาบันภาษาจีน สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดโครงการค่ายอบรมครูภาษาจีน รุ่นที่ 4 โดยได้รับเกียรติจาก นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะและให้กําลังใจครูที่เข้ารับการอบรม สถาบันภาษาจีน สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดโครงการค่ายอบรมครูภาษาจีน รุ่นที่ 4 โดยได้รับเกียรติจาก นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะและให้กําลังใจครูที่เข้ารับการอบรมเมื่อวันพุธที่ 13 มีนาคม 2562 ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพฯโดยมีนายพีระ รัตนวิจิตร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.), ศาสตราจารย์พิเศษ ประพิณ มโนมัยวิบูลย์ คณะทํางานด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีน, ผศ.ปราณี โชคขจิตสัมพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านหลักสูตรการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่ที่ปรึกษาพิเศษสถาบันภาษาจีน สพฐ., ผู้บริหาร สพฐ. และครูภาษาจีน จํานวน 144 คน เข้าร่วม รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า โครงการค่ายอบรมครูภาษาจีนเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการจัดการเรียนการสอนภาษาจีน ที่ดําเนินการอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 โดยใช้รูปแบบการอบรมเช่นเดียวกับการอบรมครูภาษาอังกฤษแบบเข้ม (Boot Camp) เป็นระยะเวลา 1 เดือนในช่วงปิดภาคเรียน เพราะไม่ต้องการดึงครูออกจากห้องเรียน ซึ่งครูที่เข้าอบรมจะได้รับการประเมินความสามารถด้านภาษาจีนก่อนเข้ารับการอบรม อีกทั้งมีวิทยากรชาวไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาจีน ทําหน้าที่ให้ความรู้และฝึกปฏิบัติอย่างเข้มข้น โดยครูที่เข้ารับการอบรมสามารถนําชั่วโมงการอบรมไปนับชั่วโมง เพื่อเชื่อมโยงกับการเลื่อนวิทยฐานะได้ นอกจากการจัดค่ายอบรมครูภาษาจีนแล้ว สพฐ. ยังได้จัดการเรียนการสอนห้องเรียนภาษาจีนในสถานศึกษา5 แห่ง ในปีการศึกษา 2561 และในปีการศึกษา 2562 โดยจะเพิ่มห้องเรียนภาษาจีนอีก 7 แห่งในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศซึ่งมุ่งหวังให้นักเรียนได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมจีนอย่างลึกซึ้ง พร้อมกับฝึกฝนการใช้ภาษาจีนอย่างสม่ําเสมอจนเกิดความคล่องแคล่ว ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. ได้ตั้งเป้าหมายในการขยายผลห้องเรียนภาษาจีนให้มากขึ้น เพื่อสร้างพื้นฐานด้านภาษาจีนที่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่องจนเกิดการขยายผลอย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ การปฏิรูปการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนในสถานศึกษาของไทยเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ทําให้เกิดภาคภูมิใจ เพราะในอนาคตภาษาจีนจะมีความสําคัญไม่แพ้ภาษาอังกฤษ โดยจะเห็นได้จากความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในหลายด้าน อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง, การลงทุนในประเทศจีน เป็นต้น ดังนั้น กระบวนการเตรียมกําลังคนที่มีความสามารถด้านภาษาจีนเป็นเรื่องที่มีความสําคัญอย่างยิ่ง จึงส่งเสริมการสอนภาษาจีนในโรงเรียนของรัฐเพิ่มมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์ ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ และสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ จึงขอให้ครูภาษาจีนทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจและร่วมเป็นกําลังสําคัญของประวัติศาสตร์การพัฒนาการศึกษาของประเทศด้วย นายพีระ รัตนวิจิตร รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า ทักษะภาษาจีนเป็นอีกหนึ่งทักษะที่มีความสําคัญในโลกยุคปัจจุบัน ประกอบกับประเทศจีนสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างก้าวหน้าและรวดเร็วอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก จึงเกิดแนวโน้มความจําเป็นและต้องการด้านการสื่อสารภาษาจีนมากขึ้นทั่วโลก อีกทั้งด้วยกระแสการพัฒนาของประเทศแถบตะวันออกของโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น ทําให้กระทรวงศึกษาธิการตระหนักถึงความสําคัญและจําเป็นในการเร่งสร้างทักษะและความสามารถในการสื่อสารภาษาที่ 2-3 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อสร้างคุณลักษณะและทักษะแก่กําลังคนของเราให้มีความพร้อมรอบด้าน ซึ่งทักษะภาษาเป็นทักษะหนึ่งที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบทางด้านการติดต่อสื่อสารอย่างมีนัยสําคัญในโลกอนาคต ในนามของ สพฐ. จึงได้จัดโครงการอบรมครูภาษาจีน รุ่นที่ 4 เพื่อแสดงจุดยืนและสานต่อโครงการดี ๆ ที่จะช่วยพัฒนาครูที่เก่งและดี เพื่อไปสร้างการเรียนรู้และถ่ายทอดทักษะทางภาษาจีนให้กับเด็กและเยาวชนที่จะเป็นกําลังสําคัญของประเทศต่อไป Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.พบครูภาษาจีน รุ่น 4 วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 รมว.ศธ.พบครูภาษาจีน รุ่น 4 สถาบันภาษาจีน สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดโครงการค่ายอบรมครูภาษาจีน รุ่นที่ 4 โดยได้รับเกียรติจาก นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะและให้กําลังใจครูที่เข้ารับการอบรม สถาบันภาษาจีน สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดโครงการค่ายอบรมครูภาษาจีน รุ่นที่ 4 โดยได้รับเกียรติจาก นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะและให้กําลังใจครูที่เข้ารับการอบรมเมื่อวันพุธที่ 13 มีนาคม 2562 ณ โรงแรมรอยัล ริเวอร์ กรุงเทพฯโดยมีนายพีระ รัตนวิจิตร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.), ศาสตราจารย์พิเศษ ประพิณ มโนมัยวิบูลย์ คณะทํางานด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีน, ผศ.ปราณี โชคขจิตสัมพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านหลักสูตรการศึกษา ปฏิบัติหน้าที่ที่ปรึกษาพิเศษสถาบันภาษาจีน สพฐ., ผู้บริหาร สพฐ. และครูภาษาจีน จํานวน 144 คน เข้าร่วม รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า โครงการค่ายอบรมครูภาษาจีนเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการจัดการเรียนการสอนภาษาจีน ที่ดําเนินการอย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 โดยใช้รูปแบบการอบรมเช่นเดียวกับการอบรมครูภาษาอังกฤษแบบเข้ม (Boot Camp) เป็นระยะเวลา 1 เดือนในช่วงปิดภาคเรียน เพราะไม่ต้องการดึงครูออกจากห้องเรียน ซึ่งครูที่เข้าอบรมจะได้รับการประเมินความสามารถด้านภาษาจีนก่อนเข้ารับการอบรม อีกทั้งมีวิทยากรชาวไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาจีน ทําหน้าที่ให้ความรู้และฝึกปฏิบัติอย่างเข้มข้น โดยครูที่เข้ารับการอบรมสามารถนําชั่วโมงการอบรมไปนับชั่วโมง เพื่อเชื่อมโยงกับการเลื่อนวิทยฐานะได้ นอกจากการจัดค่ายอบรมครูภาษาจีนแล้ว สพฐ. ยังได้จัดการเรียนการสอนห้องเรียนภาษาจีนในสถานศึกษา5 แห่ง ในปีการศึกษา 2561 และในปีการศึกษา 2562 โดยจะเพิ่มห้องเรียนภาษาจีนอีก 7 แห่งในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศซึ่งมุ่งหวังให้นักเรียนได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมจีนอย่างลึกซึ้ง พร้อมกับฝึกฝนการใช้ภาษาจีนอย่างสม่ําเสมอจนเกิดความคล่องแคล่ว ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ โดย สพฐ. ได้ตั้งเป้าหมายในการขยายผลห้องเรียนภาษาจีนให้มากขึ้น เพื่อสร้างพื้นฐานด้านภาษาจีนที่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่องจนเกิดการขยายผลอย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ การปฏิรูปการจัดการเรียนการสอนภาษาจีนในสถานศึกษาของไทยเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ทําให้เกิดภาคภูมิใจ เพราะในอนาคตภาษาจีนจะมีความสําคัญไม่แพ้ภาษาอังกฤษ โดยจะเห็นได้จากความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในหลายด้าน อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง, การลงทุนในประเทศจีน เป็นต้น ดังนั้น กระบวนการเตรียมกําลังคนที่มีความสามารถด้านภาษาจีนเป็นเรื่องที่มีความสําคัญอย่างยิ่ง จึงส่งเสริมการสอนภาษาจีนในโรงเรียนของรัฐเพิ่มมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์ ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ และสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ จึงขอให้ครูภาษาจีนทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจและร่วมเป็นกําลังสําคัญของประวัติศาสตร์การพัฒนาการศึกษาของประเทศด้วย นายพีระ รัตนวิจิตร รองเลขาธิการ กพฐ.กล่าวว่า ทักษะภาษาจีนเป็นอีกหนึ่งทักษะที่มีความสําคัญในโลกยุคปัจจุบัน ประกอบกับประเทศจีนสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างก้าวหน้าและรวดเร็วอยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก จึงเกิดแนวโน้มความจําเป็นและต้องการด้านการสื่อสารภาษาจีนมากขึ้นทั่วโลก อีกทั้งด้วยกระแสการพัฒนาของประเทศแถบตะวันออกของโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น ทําให้กระทรวงศึกษาธิการตระหนักถึงความสําคัญและจําเป็นในการเร่งสร้างทักษะและความสามารถในการสื่อสารภาษาที่ 2-3 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อสร้างคุณลักษณะและทักษะแก่กําลังคนของเราให้มีความพร้อมรอบด้าน ซึ่งทักษะภาษาเป็นทักษะหนึ่งที่จะช่วยสร้างความได้เปรียบทางด้านการติดต่อสื่อสารอย่างมีนัยสําคัญในโลกอนาคต ในนามของ สพฐ. จึงได้จัดโครงการอบรมครูภาษาจีน รุ่นที่ 4 เพื่อแสดงจุดยืนและสานต่อโครงการดี ๆ ที่จะช่วยพัฒนาครูที่เก่งและดี เพื่อไปสร้างการเรียนรู้และถ่ายทอดทักษะทางภาษาจีนให้กับเด็กและเยาวชนที่จะเป็นกําลังสําคัญของประเทศต่อไป Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19351
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ ธอส. มีผลบังคับใช้แล้ว เตรียมออกรางวัลงวดที่ 1 วันที่ 16 ตุลาคมนี้
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562 กฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ ธอส. มีผลบังคับใช้แล้ว เตรียมออกรางวัลงวดที่ 1 วันที่ 16 ตุลาคมนี้ กฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2562 และกําหนดให้มีการออกรางวัลครั้งที่ 1 ในวันที่ 16 ตุลาคม 2562 กฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2562 สําหรับผู้ที่ได้รับสิทธิ์ซื้อสลากฯ ธนาคารจะโอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคเพื่อซื้อสลากฯ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 โดยลูกค้าสามารถรับสลากได้ที่สาขาที่เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคได้ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป และกําหนดให้มีการออกรางวัลครั้งที่ 1 ในวันที่ 16 ตุลาคม 2562 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ตามที่ ธอส. ได้เตรียมความพร้อมในการเปิดขายสลากออมทรัพย์ ธอส.รุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ จํานวน 27,000 หน่วย หรือ 27,000 ล้านบาท โดยให้ลูกค้าเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคและฝากเงิน เพื่อเตรียมซื้อสลากฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม - 15 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา และได้ทําการ Random รายชื่อลูกค้าทั่วไปที่ได้รับสิทธิ์ซื้อสลากฯ ไปแล้วเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2562 นั้น ล่าสุด กฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. 2562 ได้มีผลบังคับใช้เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2562 ธนาคารจึงขอแจ้งให้ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ซื้อสลากฯ ทราบว่า ธนาคารจะโอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคเพื่อซื้อสลากฯ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 โดยลูกค้าสามารถติดต่อขอรับสลากฯ ได้ที่สาขาที่เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคได้ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป และธนาคารได้กําหนดให้มีการออกรางวัล งวดที่ 1 ในวันที่ 16 ตุลาคม 2562 ซึ่งมีจํานวน 27 รางวัล ๆ ละ 200,000 บาท และจะออกรางวัลต่อเนื่องทุกวันที่ 16 ของเดือน ตลอด 3 ปี รวม 36 งวด 972 รางวัล มูลค่ารางวัลรวมสูงถึง 194.4 ล้านบาทสําหรับผลตอบแทนเมื่อฝากสลากฯ ครบ 3 ปี จะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยหน่วยละ 42,000 บาท หรือคิดเป็น 1.4% ต่อปี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ ธอส. มีผลบังคับใช้แล้ว เตรียมออกรางวัลงวดที่ 1 วันที่ 16 ตุลาคมนี้ วันพุธที่ 18 กันยายน 2562 กฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ ธอส. มีผลบังคับใช้แล้ว เตรียมออกรางวัลงวดที่ 1 วันที่ 16 ตุลาคมนี้ กฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2562 และกําหนดให้มีการออกรางวัลครั้งที่ 1 ในวันที่ 16 ตุลาคม 2562 กฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2562 สําหรับผู้ที่ได้รับสิทธิ์ซื้อสลากฯ ธนาคารจะโอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคเพื่อซื้อสลากฯ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 โดยลูกค้าสามารถรับสลากได้ที่สาขาที่เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคได้ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป และกําหนดให้มีการออกรางวัลครั้งที่ 1 ในวันที่ 16 ตุลาคม 2562 นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ตามที่ ธอส. ได้เตรียมความพร้อมในการเปิดขายสลากออมทรัพย์ ธอส.รุ่นที่ 1 ชุดวิมานเมฆ จํานวน 27,000 หน่วย หรือ 27,000 ล้านบาท โดยให้ลูกค้าเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคและฝากเงิน เพื่อเตรียมซื้อสลากฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม - 15 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา และได้ทําการ Random รายชื่อลูกค้าทั่วไปที่ได้รับสิทธิ์ซื้อสลากฯ ไปแล้วเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2562 นั้น ล่าสุด กฎกระทรวงว่าด้วยการออกและขายสลากออมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พ.ศ. 2562 ได้มีผลบังคับใช้เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2562 ธนาคารจึงขอแจ้งให้ผู้ที่ได้รับสิทธิ์ซื้อสลากฯ ทราบว่า ธนาคารจะโอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคเพื่อซื้อสลากฯ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 โดยลูกค้าสามารถติดต่อขอรับสลากฯ ได้ที่สาขาที่เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์รับโชคได้ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป และธนาคารได้กําหนดให้มีการออกรางวัล งวดที่ 1 ในวันที่ 16 ตุลาคม 2562 ซึ่งมีจํานวน 27 รางวัล ๆ ละ 200,000 บาท และจะออกรางวัลต่อเนื่องทุกวันที่ 16 ของเดือน ตลอด 3 ปี รวม 36 งวด 972 รางวัล มูลค่ารางวัลรวมสูงถึง 194.4 ล้านบาทสําหรับผลตอบแทนเมื่อฝากสลากฯ ครบ 3 ปี จะได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยหน่วยละ 42,000 บาท หรือคิดเป็น 1.4% ต่อปี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23175
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 21 มีนาคม 2563
วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 21 มีนาคม 2563 1. สถานการณ์ ถึงวันที่ 21 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 366 ราย กลับบ้านแล้ว 44 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 411 ราย รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่21 มีนาคม 2563 1. สถานการณ์ ถึงวันที่21 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 366 ราย กลับบ้านแล้ว 44 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 411 ราย 2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 20 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 9,670 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 335 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 9,335 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 5,937 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 3,733 ราย 3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 179 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 นครรัฐ 2 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 21 มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 265,867 ราย เสียชีวิต 11,179 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 80,967 ราย เสียชีวิต 3,248 ราย 2.สธ.เผยพบผู้ติดเชื้อโคโรนา2019 ใหม่เพิ่ม 89 ราย กลับบ้าน1 ราย กระทรวงสาธารณสุขเผยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 89 ราย กลับบ้าน 1 ราย ขอประชาชนอย่าวิตกกังวล ปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 10 และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค และคณะแถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า โดยในวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 1 ราย และมีผู้ป่วยเพิ่ม 89 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 51 ราย ได้แก่ กลุ่มสนามมวย 32 ราย ,กลุ่มสถานบันเทิง 2 ราย ,กลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 11 ราย และกลุ่มที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาในประเทศมาเลเซีย 6 ราย กลุ่มที่ 2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 38 ราย ได้แก่ กลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศ/ชาวต่างชาติ 12 ราย ใน จํานวนนี้มีหลายรายที่มีประวัติเดินทางกลับจากเที่ยวผับปอยเปต ที่ประเทศกัมพูชา ร่วมกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ ,กลุ่มผู้ทํางานหรืออาศัยในสถานที่แออัดต้องใกล้ชิดคนจํานวนมาก หรือเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ 6 ราย และรอผลสอบสวนโรค / ประวัติเสี่ยงเพิ่มเติม 20 ราย สําหรับผู้ป่วยอาการหนักมี 7 ราย จาก สถาบันบําราศนราดูร โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาลบาลเอกชน ทุกรายใส่เครื่องช่วยหายใจ และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยสรุปมีผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว 44 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 366 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 411 ราย ทั้งนี้ เมื่อกระทรวงสาธารณสุข ได้รับรายงานผู้ป่วยรายใหม่ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะเข้าควบคุมสอบโรคทันทีภายใน 12 ชั่วโมงและรายงานจํานวนผู้ป่วยรายใหม่ไปยังองค์การอนามัยโลกทุกวัน ในการรายงานผู้ป่วยต้องมีผลสอบสวนโรคประกอบกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทําให้ข้อมูลที่รายงานแต่ละวันเป็นการทบยอดข้อมูลสะสมบางวันอาจมีรายงานผู้ป่วยจํานวนมากหรือไม่ตรงกับข้อมูลในพื้นที่ ดังนั้นเพื่อให้ทันเหตุการณ์กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ให้จังหวัดรายงานผู้ป่วยรายใหม่เบื้องต้นได้ทันทีหลังจากมีผลยืนยันทางห้องปฏิบัติการ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยรายใหม่ที่พบในช่วงนี้เป็น วัยหนุ่มสาว วัยทํางาน มีพฤติกรรมเสี่ยง ไม่ลดกิจกรรมทางสังคม ไม่เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล อาจทําให้นําโรคไปติดคนใกล้ชิดในครอบครัว รวมทั้งเพื่อนๆ ที่สําคัญโรคนี้มีความรุนแรงในกลุ่มเปราะบาง คือ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้มีโรคประจําตัว ขอให้ประชาชนยึดหลักปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข งดร่วมกิจกรรมทางสังคม เว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 1 เมตร ตามคําแนะนําขององค์การอนามัยโลก งด/ลด การเดินทางโดยไม่จําเป็น ไม่ไปในพื้นที่แออัด ทํางานอยู่ที่บ้าน หากประชาชนช่วยกันปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด จะทําให้ช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคได้ สําหรับผู้ที่เคยไปในพื้นที่ที่มีรายงานผู้ป่วย อาทิ สนามมวย สถานบันเทิง สนามชนไก่ ชมมหรสพ ให้กักกันตัวเองที่บ้านอย่างเคร่งครัด อย่างน้อย 14 วัน ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้อื่น สังเกตอาการ หากยังไม่มีอาการ ไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ยังไม่ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อ เพราะหากยังไม่มีอาการโอกาสตรวจพบเชื้อมีน้อยมาก จะทําให้ขาดการระมัดระวังตัวเองนึกว่าไม่ติดเชื้อ 3. คําแนะนําสําหรับประชาชน ขอความร่วมมือประชาชนทุกคน ตื่นตัว และรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia /และ “ไทยรู้ สู้โควิด” ทาง Twitter, Facebook, Line official, TikTok และChatBot 1422 ทาง ID : @COVID-19 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่www.antifakenewscenter.com ***************************21 มีนาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 21 มีนาคม 2563 วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 21 มีนาคม 2563 1. สถานการณ์ ถึงวันที่ 21 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 366 ราย กลับบ้านแล้ว 44 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 411 ราย รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่21 มีนาคม 2563 1. สถานการณ์ ถึงวันที่21 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 366 ราย กลับบ้านแล้ว 44 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 411 ราย 2. ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 20 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 9,670 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 335 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 9,335 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 5,937 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 3,733 ราย 3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 179 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 นครรัฐ 2 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 21 มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 265,867 ราย เสียชีวิต 11,179 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 80,967 ราย เสียชีวิต 3,248 ราย 2.สธ.เผยพบผู้ติดเชื้อโคโรนา2019 ใหม่เพิ่ม 89 ราย กลับบ้าน1 ราย กระทรวงสาธารณสุขเผยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 89 ราย กลับบ้าน 1 ราย ขอประชาชนอย่าวิตกกังวล ปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 10 และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค และคณะแถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า โดยในวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 1 ราย และมีผู้ป่วยเพิ่ม 89 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 51 ราย ได้แก่ กลุ่มสนามมวย 32 ราย ,กลุ่มสถานบันเทิง 2 ราย ,กลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 11 ราย และกลุ่มที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาในประเทศมาเลเซีย 6 ราย กลุ่มที่ 2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 38 ราย ได้แก่ กลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศ/ชาวต่างชาติ 12 ราย ใน จํานวนนี้มีหลายรายที่มีประวัติเดินทางกลับจากเที่ยวผับปอยเปต ที่ประเทศกัมพูชา ร่วมกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ ,กลุ่มผู้ทํางานหรืออาศัยในสถานที่แออัดต้องใกล้ชิดคนจํานวนมาก หรือเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ 6 ราย และรอผลสอบสวนโรค / ประวัติเสี่ยงเพิ่มเติม 20 ราย สําหรับผู้ป่วยอาการหนักมี 7 ราย จาก สถาบันบําราศนราดูร โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาลบาลเอกชน ทุกรายใส่เครื่องช่วยหายใจ และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยสรุปมีผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว 44 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 366 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 411 ราย ทั้งนี้ เมื่อกระทรวงสาธารณสุข ได้รับรายงานผู้ป่วยรายใหม่ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะเข้าควบคุมสอบโรคทันทีภายใน 12 ชั่วโมงและรายงานจํานวนผู้ป่วยรายใหม่ไปยังองค์การอนามัยโลกทุกวัน ในการรายงานผู้ป่วยต้องมีผลสอบสวนโรคประกอบกับผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ทําให้ข้อมูลที่รายงานแต่ละวันเป็นการทบยอดข้อมูลสะสมบางวันอาจมีรายงานผู้ป่วยจํานวนมากหรือไม่ตรงกับข้อมูลในพื้นที่ ดังนั้นเพื่อให้ทันเหตุการณ์กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ให้จังหวัดรายงานผู้ป่วยรายใหม่เบื้องต้นได้ทันทีหลังจากมีผลยืนยันทางห้องปฏิบัติการ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยรายใหม่ที่พบในช่วงนี้เป็น วัยหนุ่มสาว วัยทํางาน มีพฤติกรรมเสี่ยง ไม่ลดกิจกรรมทางสังคม ไม่เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล อาจทําให้นําโรคไปติดคนใกล้ชิดในครอบครัว รวมทั้งเพื่อนๆ ที่สําคัญโรคนี้มีความรุนแรงในกลุ่มเปราะบาง คือ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้มีโรคประจําตัว ขอให้ประชาชนยึดหลักปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข งดร่วมกิจกรรมทางสังคม เว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 1 เมตร ตามคําแนะนําขององค์การอนามัยโลก งด/ลด การเดินทางโดยไม่จําเป็น ไม่ไปในพื้นที่แออัด ทํางานอยู่ที่บ้าน หากประชาชนช่วยกันปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัด จะทําให้ช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคได้ สําหรับผู้ที่เคยไปในพื้นที่ที่มีรายงานผู้ป่วย อาทิ สนามมวย สถานบันเทิง สนามชนไก่ ชมมหรสพ ให้กักกันตัวเองที่บ้านอย่างเคร่งครัด อย่างน้อย 14 วัน ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้อื่น สังเกตอาการ หากยังไม่มีอาการ ไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ยังไม่ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อ เพราะหากยังไม่มีอาการโอกาสตรวจพบเชื้อมีน้อยมาก จะทําให้ขาดการระมัดระวังตัวเองนึกว่าไม่ติดเชื้อ 3. คําแนะนําสําหรับประชาชน ขอความร่วมมือประชาชนทุกคน ตื่นตัว และรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia /และ “ไทยรู้ สู้โควิด” ทาง Twitter, Facebook, Line official, TikTok และChatBot 1422 ทาง ID : @COVID-19 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่www.antifakenewscenter.com ***************************21 มีนาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27614
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2563
วันอังคารที่ 14 มกราคม 2563 การอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2563 ตามที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การอนุญาตให้ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2549 และที่แก้ไขเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 4 ฉบับ นั้น การอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2563 ตามที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การอนุญาตให้ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2549 และที่แก้ไขเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 4 ฉบับ นั้น กระทรวงการคลังขอเรียนว่า การพิจารณาอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศสามารถออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทยในแต่ละครั้ง กระทรวงการคลังได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนไทย โอกาสที่นักลงทุนในประเทศสามารถลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม การส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย และผลกระทบต่อตลาดการเงินของไทย ซึ่งในรอบการพิจารณาอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย รอบที่ 1/2563 ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2563 กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศ จํานวน 2 ราย ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทยได้ภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 โดยมีเงื่อนไขให้ใช้เงินที่ได้รับจากการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทได้ตามที่กระทรวงการคลังกําหนด ดังนี้ 1) Nam Ngum 2 Power Company Limited (NN2PC) 2) Vingroup Joint Stock Company (Vingroup) ทั้งนี้ กระทรวงการคลังขอสงวนสิทธิ์ในการระงับการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ในกรณีที่สถานภาพ สถานะการเงิน หรือการอื่นใดที่เกี่ยวข้องของผู้ได้รับอนุญาตมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินอย่างมีนัยสําคัญ หรือเมื่อผู้ได้รับอนุญาตมีการดําเนินการไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต กระทรวงการคลังขอขอบคุณผู้ยื่นคําขออนุญาตทุกรายที่ให้ความสนใจในการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย สําหรับผู้มีความประสงค์จะขออนุญาตในรอบถัดไปสามารถยื่นหนังสือแสดงความจํานงได้ปีละ 3 ครั้ง ในเดือนมีนาคม กรกฎาคม และพฤศจิกายน ของทุกปี สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5819 Permission to Issue Baht-denominated Bonds or Debentures by Foreign Entity in Thailand during 1st January – 30th September 2020 Pursuant to the Ministry of Finance’s Ministerial Notification re: Permission to Issue Baht-Denominated Bonds or Debentures in Thailand on the 11th April 2006 and four amendments, which stipulates criteria for permission to issue Baht-denominated bonds or debentures in Thailand. The Ministry of Finance would like to inform that the criteria to be considered comprise of impacts on Thai corporate bond issuance, the opportunity for domestic investors to invest in quality bonds, the development of Baht-denominated bond market and its impact on Thailand’s financial market. For the issuance period during the 1st January to the 30th September 2020, the Minister of Finance has permitted 2 foreign entities to issue Baht-dominated bonds or debentures in Thailand within the 30th September 2020 upon the agreement that the 2 foreign entities must use all proceeds of the bonds or debentures according to the term and conditions specified by the Ministry of Finance. The lists of the permitted entities are as follows; 1) Nam Ngum 2 Power Company Limited (NN2PC) 2) Vingroup Joint Stock Company (Vingroup) The Ministry of Finance, thereby, reserves the right to restrain any Baht-denominated bond or debenture issuance if there appears to be significant changes in the financial status or structure of the permitted entities or the permitted entities fail to perform according to the conditions stated in the approval letter. The Ministry of Finance extends its sincere appreciation to all applicants for their interests in Baht-denominated bonds in the Thai bond market. For the next submission periods, qualified entities who may be interested in issuing Baht-dominated bonds or debentures are able to submit their applications three times a year in March, July and November. Bond Market Development Bureau, Public Debt Management Office Tel: 02-2717999 #5819
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2563 วันอังคารที่ 14 มกราคม 2563 การอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2563 ตามที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การอนุญาตให้ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2549 และที่แก้ไขเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 4 ฉบับ นั้น การอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2563 ตามที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การอนุญาตให้ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2549 และที่แก้ไขเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 4 ฉบับ นั้น กระทรวงการคลังขอเรียนว่า การพิจารณาอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศสามารถออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทยในแต่ละครั้ง กระทรวงการคลังได้พิจารณาถึงผลกระทบต่อการออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนไทย โอกาสที่นักลงทุนในประเทศสามารถลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม การส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย และผลกระทบต่อตลาดการเงินของไทย ซึ่งในรอบการพิจารณาอนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย รอบที่ 1/2563 ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2563 กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้นิติบุคคลต่างประเทศ จํานวน 2 ราย ออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทยได้ภายในวันที่ 30 กันยายน 2563 โดยมีเงื่อนไขให้ใช้เงินที่ได้รับจากการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทได้ตามที่กระทรวงการคลังกําหนด ดังนี้ 1) Nam Ngum 2 Power Company Limited (NN2PC) 2) Vingroup Joint Stock Company (Vingroup) ทั้งนี้ กระทรวงการคลังขอสงวนสิทธิ์ในการระงับการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย ในกรณีที่สถานภาพ สถานะการเงิน หรือการอื่นใดที่เกี่ยวข้องของผู้ได้รับอนุญาตมีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินอย่างมีนัยสําคัญ หรือเมื่อผู้ได้รับอนุญาตมีการดําเนินการไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ได้รับอนุญาต กระทรวงการคลังขอขอบคุณผู้ยื่นคําขออนุญาตทุกรายที่ให้ความสนใจในการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้สกุลเงินบาทในประเทศไทย สําหรับผู้มีความประสงค์จะขออนุญาตในรอบถัดไปสามารถยื่นหนังสือแสดงความจํานงได้ปีละ 3 ครั้ง ในเดือนมีนาคม กรกฎาคม และพฤศจิกายน ของทุกปี สํานักพัฒนาตลาดตราสารหนี้ สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2271 7999 ต่อ 5819 Permission to Issue Baht-denominated Bonds or Debentures by Foreign Entity in Thailand during 1st January – 30th September 2020 Pursuant to the Ministry of Finance’s Ministerial Notification re: Permission to Issue Baht-Denominated Bonds or Debentures in Thailand on the 11th April 2006 and four amendments, which stipulates criteria for permission to issue Baht-denominated bonds or debentures in Thailand. The Ministry of Finance would like to inform that the criteria to be considered comprise of impacts on Thai corporate bond issuance, the opportunity for domestic investors to invest in quality bonds, the development of Baht-denominated bond market and its impact on Thailand’s financial market. For the issuance period during the 1st January to the 30th September 2020, the Minister of Finance has permitted 2 foreign entities to issue Baht-dominated bonds or debentures in Thailand within the 30th September 2020 upon the agreement that the 2 foreign entities must use all proceeds of the bonds or debentures according to the term and conditions specified by the Ministry of Finance. The lists of the permitted entities are as follows; 1) Nam Ngum 2 Power Company Limited (NN2PC) 2) Vingroup Joint Stock Company (Vingroup) The Ministry of Finance, thereby, reserves the right to restrain any Baht-denominated bond or debenture issuance if there appears to be significant changes in the financial status or structure of the permitted entities or the permitted entities fail to perform according to the conditions stated in the approval letter. The Ministry of Finance extends its sincere appreciation to all applicants for their interests in Baht-denominated bonds in the Thai bond market. For the next submission periods, qualified entities who may be interested in issuing Baht-dominated bonds or debentures are able to submit their applications three times a year in March, July and November. Bond Market Development Bureau, Public Debt Management Office Tel: 02-2717999 #5819
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25786
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยิ่งใหญ่ ไทยโชว์โขน "รามเกียรติ์" ฉลองครบรอบ 70 ปี ไทย-เมียนมา จัดแสดง 3 เมือง “กรุงเนปิดอ กรุงย่างกุ้ง เมืองมัณฑะเลย์”
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561 ยิ่งใหญ่ ไทยโชว์โขน "รามเกียรติ์" ฉลองครบรอบ 70 ปี ไทย-เมียนมา จัดแสดง 3 เมือง “กรุงเนปิดอ กรุงย่างกุ้ง เมืองมัณฑะเลย์” ยิ่งใหญ่ ไทยโชว์โขน "รามเกียรติ์" ฉลองครบรอบ 70 ปี ไทย-เมียนมา จัดแสดง 3 เมือง “กรุงเนปิดอ กรุงย่างกุ้ง เมืองมัณฑะเลย์” นําวัฒนธรรมเชื่อมความสัมพันธ์ สร้างภาพลักษณ์ เกียรติภูมิของไทยสู่สากล เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2561 ที่ Myanmar International Convention Center 2 กรุงเนปิดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานเปิดการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เมียนมา โดยมีนางอองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา แขกเกียรติยศ เอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนาและวัฒนธรรมเมียนม่า ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ประชาชนชาวเมียนมาและชาวไทย เข้าร่วม นายวีระ กล่าวว่า ประเทศไทย โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ร่วมกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรมการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ณ กรุงเนปิดอ กรุงย่างกุ้ง และเมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างวันที่ 17 - 25 มิถุนายน 2561 เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เมียนมา ทั้งนี้ ประเทศไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2491 และปัจจุบันทั้งสองประเทศ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งระดับรัฐบาลและประชาชน มีการพบปะและเยี่ยมเยือนกันอย่างเสมอมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ณ Yangon National Theater กรุงย่างกุ้ง และวันนี้ (21 มิถุนายน) ได้จัดการแสดงโขนขึ้น ณ Myanmar International Convention Center 2 กรุงเนปิดอ หลังจากนั้นจะมีพิธีเปิดและจัดการแสดงโขนในวันที่ 23 มิถุนายน ณ Mandalay National Theater เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ทั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทย และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งการแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ แบ่งการแสดงเป็น 4 องก์ ได้แก่ องก์ 1 นารายณ์ปราบนนทุก แสดงโดยนักแสดงจากประเทศไทย องก์ 2 พระรามยกศร แสดงโดยนักแสดงจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา องก์ 3 ลักสีดา แสดงโดยนักแสดงจากประเทศไทย และ องก์ 4 ยกรบ แสดงโดยนักแสดงจากประเทศไทย ซึ่งในส่วนประเทศไทยนั้น ได้นําคณะนาฏศิลป์จากกรมศิลปากรไปจัดการแสดงในครั้งนี้ นายวีระ กล่าวด้วยว่า การแสดงโขนเป็นศิลปะชั้นสูงและเป็นการแสดงที่งดงาม ซึ่งความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของวธ.ในการใช้มิติทางวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ เสริมสร้างภาพลักษณ์และเกียรติภูมิของประเทศไทยและนําความเป็นไทยสู่สากล รวมถึงจะส่งผลต่อความสัมพันธ์และการขยายความร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การลงทุนและการส่งออกระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน -----------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยิ่งใหญ่ ไทยโชว์โขน "รามเกียรติ์" ฉลองครบรอบ 70 ปี ไทย-เมียนมา จัดแสดง 3 เมือง “กรุงเนปิดอ กรุงย่างกุ้ง เมืองมัณฑะเลย์” วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน 2561 ยิ่งใหญ่ ไทยโชว์โขน "รามเกียรติ์" ฉลองครบรอบ 70 ปี ไทย-เมียนมา จัดแสดง 3 เมือง “กรุงเนปิดอ กรุงย่างกุ้ง เมืองมัณฑะเลย์” ยิ่งใหญ่ ไทยโชว์โขน "รามเกียรติ์" ฉลองครบรอบ 70 ปี ไทย-เมียนมา จัดแสดง 3 เมือง “กรุงเนปิดอ กรุงย่างกุ้ง เมืองมัณฑะเลย์” นําวัฒนธรรมเชื่อมความสัมพันธ์ สร้างภาพลักษณ์ เกียรติภูมิของไทยสู่สากล เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2561 ที่ Myanmar International Convention Center 2 กรุงเนปิดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานเปิดการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เมียนมา โดยมีนางอองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา แขกเกียรติยศ เอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนาและวัฒนธรรมเมียนม่า ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ประชาชนชาวเมียนมาและชาวไทย เข้าร่วม นายวีระ กล่าวว่า ประเทศไทย โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง ร่วมกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรมการแสดงโขน เรื่อง รามเกียรติ์ ณ กรุงเนปิดอ กรุงย่างกุ้ง และเมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างวันที่ 17 - 25 มิถุนายน 2561 เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 70 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เมียนมา ทั้งนี้ ประเทศไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2491 และปัจจุบันทั้งสองประเทศ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งระดับรัฐบาลและประชาชน มีการพบปะและเยี่ยมเยือนกันอย่างเสมอมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ณ Yangon National Theater กรุงย่างกุ้ง และวันนี้ (21 มิถุนายน) ได้จัดการแสดงโขนขึ้น ณ Myanmar International Convention Center 2 กรุงเนปิดอ หลังจากนั้นจะมีพิธีเปิดและจัดการแสดงโขนในวันที่ 23 มิถุนายน ณ Mandalay National Theater เมืองมัณฑะเลย์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ทั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศไทย และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งการแสดงโขนเรื่อง รามเกียรติ์ แบ่งการแสดงเป็น 4 องก์ ได้แก่ องก์ 1 นารายณ์ปราบนนทุก แสดงโดยนักแสดงจากประเทศไทย องก์ 2 พระรามยกศร แสดงโดยนักแสดงจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา องก์ 3 ลักสีดา แสดงโดยนักแสดงจากประเทศไทย และ องก์ 4 ยกรบ แสดงโดยนักแสดงจากประเทศไทย ซึ่งในส่วนประเทศไทยนั้น ได้นําคณะนาฏศิลป์จากกรมศิลปากรไปจัดการแสดงในครั้งนี้ นายวีระ กล่าวด้วยว่า การแสดงโขนเป็นศิลปะชั้นสูงและเป็นการแสดงที่งดงาม ซึ่งความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นการขับเคลื่อนนโยบายของวธ.ในการใช้มิติทางวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ เสริมสร้างภาพลักษณ์และเกียรติภูมิของประเทศไทยและนําความเป็นไทยสู่สากล รวมถึงจะส่งผลต่อความสัมพันธ์และการขยายความร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งด้านวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การลงทุนและการส่งออกระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน -----------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13273
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เร่งเครื่องยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัทประกันภัย มุ่งสู่มาตรฐานสากลด้วยการบริหารความเสี่ยงโดยออกประกาศ ERM
วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560 คปภ. เร่งเครื่องยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัทประกันภัย มุ่งสู่มาตรฐานสากลด้วยการบริหารความเสี่ยงโดยออกประกาศ ERM บอร์ดคปภ. ได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศ คกก.กํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกําหนดมาตรฐานขั้นต่ําในการบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทประกันชีวิต และ ประกาศ ERM ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ที่ประชุมคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ดคปภ.) ได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกําหนดมาตรฐานขั้นต่ําในการบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทประกันชีวิต และประกาศคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกําหนดมาตรฐานขั้นต่ําในการบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทประกันวินาศภัย (ประกาศ ERM) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการนําเสนอปลัดกระทรวงการคลังในฐานะประธานกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยลงนามก่อนประกาศใช้ต่อไป ดร.สุทธิพล กล่าวว่า ภายใต้บริบทการดําเนินธุรกิจในปัจจุบันซึ่งอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล ท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยีในการดําเนินธุรกิจ พฤติกรรมของผู้บริโภค ความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงภัยคุกคามที่เติบโตขึ้นควบคู่กับนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งในส่วนของประกันภัยก็มีพัฒนาการในเรื่องเทคโนโลยี การประกันภัย (InsurTech) ซึ่งในฐานะองค์กรกํากับดูแลด้านประกันภัย สํานักงาน คปภ. จําเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ และเข้าใจถึงผลกระทบที่มีต่อองค์กรอย่างถ่องแท้รวมถึงให้ความสําคัญในเรื่องความสามารถในการปรับกลยุทธ์ของภาคธุรกิจประกันภัยในการดําเนินธุรกิจให้ทันต่อสถานการณ์ และการพัฒนาศักยภาพขององค์กรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นหัวใจสําคัญที่จะนําพาให้องค์กรก้าวขึ้นเป็นผู้นําในอุตสาหกรรมได้ “เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นสากลร่วมสมัย ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ผมได้เข้าร่วมประชุม Asia General Insurance Executive Forum ที่ประเทศญี่ปุ่นก็มีการนําประเด็นเรื่องการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยมาเป็นหัวข้อสําคัญในการอภิปรายกัน ผมจึงเห็นว่าขณะนี้ถือเป็นช่วงเวลาเหมาะสม สําหรับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยง (Enterprise Risk Management หรือ ERM) ของบริษัทประกันภัยหลังจากที่ได้มีการประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2551 เพื่อเน้นถึงบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัทในการจัดให้องค์กรมีองค์ประกอบของการบริหารความเสี่ยงครบถ้วนตามแนว COSO ทั้งนี้สาระสําคัญของประกาศดังกล่าวประกอบด้วย วัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง โครงสร้างการกํากับดูแลการบริหารความเสี่ยง นโยบายการบริหารความเสี่ยง ขอบเขตการบริหารความเสี่ยง กระบวนการบริหารความเสี่ยง ระบบสารสนเทศเพื่อรองรับการบริหารความเสี่ยง การรายงานการทดสอบภาวะวิกฤตและการติดตามประเมินผล” สําหรับการทดสอบภาวะวิกฤตเป็นหลักเกณฑ์ใหม่ที่เพิ่มเติมจากประกาศฉบับปี 2551 ซึ่งเดิมไม่ได้บัญญัติไว้ ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์ถึงผลกระทบจากความเสี่ยงที่คาดไม่ถึง และเพื่อสนับสนุนให้บริษัทมีการบูรณาการแนวคิดเรื่องการบริหารความเสี่ยงเข้ากับการดําเนินธุรกิจประจําวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงกําหนดให้บริษัทต้องจัดระเบียบโครงสร้างองค์กรให้เป็นไปตาม Three Lines of Defense Model ซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับสถาบันการเงิน โดยแบ่งการบริหารความเสี่ยงออกเป็น 3 ด้าน 1) เจ้าของความเสี่ยง 2) ผู้กํากับดูแลความเสี่ยง และ 3) ผู้ตรวจสอบและประเมินประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยง โดยบริษัทต้องจัดให้มีการรายงานสถานะความเสี่ยง ทั้งความเสี่ยงด้านการเงิน เช่น ความเสี่ยงด้านตลาด ความเสี่ยงด้านเครดิต ความเสี่ยงด้านการกระจุกตัว และความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เช่น ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการ ความเสี่ยง ด้านชื่อเสียง เป็นประจําทุกไตรมาสเพื่อให้มีการทบทวนเป้าหมายและกลยุทธ์ในการดําเนินธุรกิจให้ เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ สําหรับการจัดทําประกาศฯดังกล่าว สํานักงาน คปภ. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2559 และได้ร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย ในการจัดสัมมนาภาคธุรกิจเพื่อสื่อสารทําความเข้าใจและเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง สําหรับประกาศ ERM ได้กําหนดระยะเวลาเตรียมความพร้อมโดยจะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนด 180 วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะทําให้ภาคธุรกิจมีเวลาเพียงพอในการเตรียมความพร้อมเพื่อปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของประกาศที่กําหนดไว้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เร่งเครื่องยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัทประกันภัย มุ่งสู่มาตรฐานสากลด้วยการบริหารความเสี่ยงโดยออกประกาศ ERM วันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2560 คปภ. เร่งเครื่องยกระดับธรรมาภิบาลของบริษัทประกันภัย มุ่งสู่มาตรฐานสากลด้วยการบริหารความเสี่ยงโดยออกประกาศ ERM บอร์ดคปภ. ได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศ คกก.กํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกําหนดมาตรฐานขั้นต่ําในการบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทประกันชีวิต และ ประกาศ ERM ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ที่ประชุมคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ดคปภ.) ได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกําหนดมาตรฐานขั้นต่ําในการบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทประกันชีวิต และประกาศคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกําหนดมาตรฐานขั้นต่ําในการบริหารจัดการความเสี่ยงของบริษัทประกันวินาศภัย (ประกาศ ERM) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการนําเสนอปลัดกระทรวงการคลังในฐานะประธานกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยลงนามก่อนประกาศใช้ต่อไป ดร.สุทธิพล กล่าวว่า ภายใต้บริบทการดําเนินธุรกิจในปัจจุบันซึ่งอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล ท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเทคโนโลยีในการดําเนินธุรกิจ พฤติกรรมของผู้บริโภค ความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงภัยคุกคามที่เติบโตขึ้นควบคู่กับนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งในส่วนของประกันภัยก็มีพัฒนาการในเรื่องเทคโนโลยี การประกันภัย (InsurTech) ซึ่งในฐานะองค์กรกํากับดูแลด้านประกันภัย สํานักงาน คปภ. จําเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์อยู่เสมอ และเข้าใจถึงผลกระทบที่มีต่อองค์กรอย่างถ่องแท้รวมถึงให้ความสําคัญในเรื่องความสามารถในการปรับกลยุทธ์ของภาคธุรกิจประกันภัยในการดําเนินธุรกิจให้ทันต่อสถานการณ์ และการพัฒนาศักยภาพขององค์กรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นหัวใจสําคัญที่จะนําพาให้องค์กรก้าวขึ้นเป็นผู้นําในอุตสาหกรรมได้ “เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นสากลร่วมสมัย ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ผมได้เข้าร่วมประชุม Asia General Insurance Executive Forum ที่ประเทศญี่ปุ่นก็มีการนําประเด็นเรื่องการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยมาเป็นหัวข้อสําคัญในการอภิปรายกัน ผมจึงเห็นว่าขณะนี้ถือเป็นช่วงเวลาเหมาะสม สําหรับการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารความเสี่ยง (Enterprise Risk Management หรือ ERM) ของบริษัทประกันภัยหลังจากที่ได้มีการประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อปี 2551 เพื่อเน้นถึงบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการบริษัทในการจัดให้องค์กรมีองค์ประกอบของการบริหารความเสี่ยงครบถ้วนตามแนว COSO ทั้งนี้สาระสําคัญของประกาศดังกล่าวประกอบด้วย วัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง โครงสร้างการกํากับดูแลการบริหารความเสี่ยง นโยบายการบริหารความเสี่ยง ขอบเขตการบริหารความเสี่ยง กระบวนการบริหารความเสี่ยง ระบบสารสนเทศเพื่อรองรับการบริหารความเสี่ยง การรายงานการทดสอบภาวะวิกฤตและการติดตามประเมินผล” สําหรับการทดสอบภาวะวิกฤตเป็นหลักเกณฑ์ใหม่ที่เพิ่มเติมจากประกาศฉบับปี 2551 ซึ่งเดิมไม่ได้บัญญัติไว้ ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์ถึงผลกระทบจากความเสี่ยงที่คาดไม่ถึง และเพื่อสนับสนุนให้บริษัทมีการบูรณาการแนวคิดเรื่องการบริหารความเสี่ยงเข้ากับการดําเนินธุรกิจประจําวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงกําหนดให้บริษัทต้องจัดระเบียบโครงสร้างองค์กรให้เป็นไปตาม Three Lines of Defense Model ซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับสถาบันการเงิน โดยแบ่งการบริหารความเสี่ยงออกเป็น 3 ด้าน 1) เจ้าของความเสี่ยง 2) ผู้กํากับดูแลความเสี่ยง และ 3) ผู้ตรวจสอบและประเมินประสิทธิภาพการบริหารความเสี่ยง โดยบริษัทต้องจัดให้มีการรายงานสถานะความเสี่ยง ทั้งความเสี่ยงด้านการเงิน เช่น ความเสี่ยงด้านตลาด ความเสี่ยงด้านเครดิต ความเสี่ยงด้านการกระจุกตัว และความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เช่น ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติการ ความเสี่ยง ด้านชื่อเสียง เป็นประจําทุกไตรมาสเพื่อให้มีการทบทวนเป้าหมายและกลยุทธ์ในการดําเนินธุรกิจให้ เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ สําหรับการจัดทําประกาศฯดังกล่าว สํานักงาน คปภ. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2559 และได้ร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย ในการจัดสัมมนาภาคธุรกิจเพื่อสื่อสารทําความเข้าใจและเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง สําหรับประกาศ ERM ได้กําหนดระยะเวลาเตรียมความพร้อมโดยจะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนด 180 วัน นับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะทําให้ภาคธุรกิจมีเวลาเพียงพอในการเตรียมความพร้อมเพื่อปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของประกาศที่กําหนดไว้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4479
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย - อียู พัฒนาความร่วมมือทางวิชาการ ยกระดับมาตรฐานแรงงานสู่สากล
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ไทย - อียู พัฒนาความร่วมมือทางวิชาการ ยกระดับมาตรฐานแรงงานสู่สากล ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายจูเซปเป บูซินี่ (Mr.Giuseppe Busini) รองหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย โอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการ กระชับความร่วมมือด้านแรงงานให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายจูเซปเป บูซินี่ (Mr.Giuseppe Busini) รองหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการในประเด็นความคืบหน้าของความร่วมมือประเด็นที่ประสงค์ จะผลักดันหรือขอรับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป อาทิ โครงการประชุมวิชาการด้านแรงงานระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป โครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่ง โครงการความปลอดภัยและยุติธรรม : สิทธิและโอกาสของแรงงานต่างด้าวสตรีในภูมิภาคอาเซียน ผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย และการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานเก็บผลไม้ป่าในประเทศฟินแลนด์ ณ ห้องประชุมปลัดกระทรวงแรงงาน ชั้น 7 อาคารกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การหารือในประเด็นต่าง ๆ กับทางการอียูในวันนี้ถือว่าเป็นประโยชน์กับกระทรวงแรงงานอย่างยิ่ง ซึ่งที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณอียูที่ช่วยเป็นที่ปรึกษาในหลายโครงการที่ได้ดําเนินการร่วมกัน โดยเฉพาะการปรับปรุงร่างกฎหมายให้ประสบความสําเร็จ ซึ่งจะได้หารือรายละเอียดในโอกาสต่อไป อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยให้ความมุ่งมั่นในการคุ้มครองสิทธิความเสมอภาคเท่าเทียมของมนุษย์ ขณะเดียวกันได้คุ้มครองลูกจ้างผู้ใช้แรงงานและสิทธิแก่นายจ้างในสถานประกอบการ เพื่อสร้างสํานึกที่ดีร่วมกันระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ขณะที่กรมการจัดหางานได้เน้นย้ําสหภาพยุโรปให้การคุ้มครองดูแลแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานเก็บผลไม้ป่า (ลูกเบอร์รี่) ในประเทศฟินแลนด์และสวีเดน ซึ่งเป็นรัฐสมาชิกของสหภาพยุโรปให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน เนื่องจากเดิมแรงงานไทยเดินทางไปทํางานด้วยวีซ่าประเภท seasonal work แต่ขณะนี้ไปทํางานด้วยวีซ่าประเภท Tourist Visa ซึ่งหากประสบปัญหาจะไม่ได้รับการคุ้มครองดูแลทางกฎหมาย ด้านกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ให้อียูสนับสนุนความร่วมมือทางวิชาการแก่แรงงานนอกระบบซึ่งมีอยู่จํานวนมากในประเทศไทยและส่งเสริมการยกระดับมาตรฐานแรงงานไทย (Thai Labour Stand : TLS) ให้ผู้ประกอบการไม่ใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ และการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อให้เกิดการยอมรับในระดับสากลมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย - อียู พัฒนาความร่วมมือทางวิชาการ ยกระดับมาตรฐานแรงงานสู่สากล วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ไทย - อียู พัฒนาความร่วมมือทางวิชาการ ยกระดับมาตรฐานแรงงานสู่สากล ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายจูเซปเป บูซินี่ (Mr.Giuseppe Busini) รองหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย โอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการ กระชับความร่วมมือด้านแรงงานให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับ นายจูเซปเป บูซินี่ (Mr.Giuseppe Busini) รองหัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการในประเด็นความคืบหน้าของความร่วมมือประเด็นที่ประสงค์ จะผลักดันหรือขอรับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป อาทิ โครงการประชุมวิชาการด้านแรงงานระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป โครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่ง โครงการความปลอดภัยและยุติธรรม : สิทธิและโอกาสของแรงงานต่างด้าวสตรีในภูมิภาคอาเซียน ผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจําประเทศไทย และการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานเก็บผลไม้ป่าในประเทศฟินแลนด์ ณ ห้องประชุมปลัดกระทรวงแรงงาน ชั้น 7 อาคารกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การหารือในประเด็นต่าง ๆ กับทางการอียูในวันนี้ถือว่าเป็นประโยชน์กับกระทรวงแรงงานอย่างยิ่ง ซึ่งที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณอียูที่ช่วยเป็นที่ปรึกษาในหลายโครงการที่ได้ดําเนินการร่วมกัน โดยเฉพาะการปรับปรุงร่างกฎหมายให้ประสบความสําเร็จ ซึ่งจะได้หารือรายละเอียดในโอกาสต่อไป อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยให้ความมุ่งมั่นในการคุ้มครองสิทธิความเสมอภาคเท่าเทียมของมนุษย์ ขณะเดียวกันได้คุ้มครองลูกจ้างผู้ใช้แรงงานและสิทธิแก่นายจ้างในสถานประกอบการ เพื่อสร้างสํานึกที่ดีร่วมกันระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ขณะที่กรมการจัดหางานได้เน้นย้ําสหภาพยุโรปให้การคุ้มครองดูแลแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานเก็บผลไม้ป่า (ลูกเบอร์รี่) ในประเทศฟินแลนด์และสวีเดน ซึ่งเป็นรัฐสมาชิกของสหภาพยุโรปให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน เนื่องจากเดิมแรงงานไทยเดินทางไปทํางานด้วยวีซ่าประเภท seasonal work แต่ขณะนี้ไปทํางานด้วยวีซ่าประเภท Tourist Visa ซึ่งหากประสบปัญหาจะไม่ได้รับการคุ้มครองดูแลทางกฎหมาย ด้านกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ให้อียูสนับสนุนความร่วมมือทางวิชาการแก่แรงงานนอกระบบซึ่งมีอยู่จํานวนมากในประเทศไทยและส่งเสริมการยกระดับมาตรฐานแรงงานไทย (Thai Labour Stand : TLS) ให้ผู้ประกอบการไม่ใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ และการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน เพื่อให้เกิดการยอมรับในระดับสากลมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16508
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการข้าวชี้แจง ข้อวิจารณ์กรณีรัฐบาลเตรียมใช้นโยบาย ปรับโครงสร้างการผลิตเกษตรกรรม
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561 กรมการข้าวชี้แจง ข้อวิจารณ์กรณีรัฐบาลเตรียมใช้นโยบาย ปรับโครงสร้างการผลิตเกษตรกรรม อธิบดีกรมการข้าวชี้แจงข้อวิจารณ์กรณีรัฐบาลเตรียมใช้นโยบาย ปรับโครงสร้างการผลิตเกษตรกรรม นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงประเด็นที่นายพายัพ ปั้นเกตุ กล่าววิจารณ์ถึงกรณีรัฐบาลเตรียมใช้นโยบายปรับโครงสร้างการผลิตเกษตรกรรม 23,300 ล้านบาท โดยให้ชาวนาลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง จํานวน 3 ล้านไร่ และไปปลูกพืชระยะสั้นหรือทําเกษตรอย่างอื่นแทน และกล่าวหารัฐบาลไร้ความสามารถในการส่งออกข้าวที่ชาวนาผลิตได้ภายในประเทศ ซึ่งนโยบายดังกล่าว เป็นการซ้ําเติมชาวนามากเกินไป เนื่องจากปัจจุบันชาวนาสามารถขายข้าวได้ราคาตันละ 5,000 - 7,000 บาท ถือว่าต่ํามากแทบไม่เหลือกําไร รวมทั้งการลดปริมาณเพาะปลูกก็จะยิ่งทําให้ชาวนามีรายได้ลดลงไปอีก การปลูกพืชระยะสั้น แม้จะใช้น้ําน้อย แต่ตลาดอ่อนไหวง่าย มีราคาต่ํา ตลอดจนรัฐบาลไม่มีหลักประกันราคา ขณะเดียวกันยังมีแนวความคิดเก็บค่าน้ําเพื่อการเกษตร จึงเสมือนยิ่งเป็นการซ้ําเติมชาวนา และเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งส่งออกข้าว โดยขอความร่วมมือจากตลาดนําเข้าเดิมในแถบแอฟริกา จีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเชีย และประเทศอื่น เพื่อให้กลับมารับซื้อข้าวจากไทย ซึ่งมีคุณภาพดีกว่าประเทศคู่แข่ง กรมการข้าวขอชี้แจง ดังนี้ รัฐบาลปัจจุบันโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย ร่วมกันจัดทําแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร โดยใช้หลักการตลาดนําการผลิต ต้องทําการผลิตข้าวให้ตรงกับความต้องการของตลาด ทําการปรับโครงสร้างการผลิตข้าว และสร้างความเป็นธรรมในการขายข้าวให้แก่ชาวนา โดยมีเป้าหมายที่จะให้อุปทานข้าวสมดุลกับอุปสงค์ ทําให้ราคาข้าวมีเสถียรภาพ ไม่อ่อนตัวลง ต้นทุนการผลิตข้าวต่ําลง ทําให้ชาวนาขายข้าวได้ในราคาที่สูง มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปี 2561 ชาวนาขายข้าวเปลือกเจ้าได้ตันละ 7,691 – 8,162 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลิสามารถขายได้สูงถึงตันละ 15,078 – 17,076 บาท อย่างไรก็ตามการเพาะปลูกข้าวมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น อาจทําให้ข้าวราคาตกต่ํา โดยเฉพาะการปลูกข้าวนาปรัง มีการใช้ทรัพยากรน้ํามาก มีการปลูกอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการพักดิน ทําให้สูญเสียความสมดุลของระบบนิเวศน์ รวมทั้งมีการปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม ทําให้การปลูกข้าวได้ผลผลิตต่ํา ต้นทุนการผลิตสูง ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะลดพื้นที่การปลูกข้าวนาปรัง โดยให้ชาวนาหันไปปลูกพืชอื่นทดแทน อายุสั้น ประหยัดน้ํา และมีตลาดรองรับ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเขียว พืชผัก เป็นต้น พร้อมทั้งมีมาตรการการบริหารจัดการน้ํา การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การสนับสนุนปัจจัยการผลิต และการเชื่อมโยงการตลาดให้แก่ชาวนา ซึ่งจะทําให้ชาวนามีรายได้มากกว่าการปลูกข้าว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีรายได้มากกว่าการปลูกข้าวนาปรังไร่ละ 1,187.20 บาท (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ผลตอบแทนไร่ละ 1,450 บาท และข้าวนาปรังให้ผลตอบแทนไร่ละ 306.29 บาท) ---------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการข้าวชี้แจง ข้อวิจารณ์กรณีรัฐบาลเตรียมใช้นโยบาย ปรับโครงสร้างการผลิตเกษตรกรรม วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561 กรมการข้าวชี้แจง ข้อวิจารณ์กรณีรัฐบาลเตรียมใช้นโยบาย ปรับโครงสร้างการผลิตเกษตรกรรม อธิบดีกรมการข้าวชี้แจงข้อวิจารณ์กรณีรัฐบาลเตรียมใช้นโยบาย ปรับโครงสร้างการผลิตเกษตรกรรม นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงประเด็นที่นายพายัพ ปั้นเกตุ กล่าววิจารณ์ถึงกรณีรัฐบาลเตรียมใช้นโยบายปรับโครงสร้างการผลิตเกษตรกรรม 23,300 ล้านบาท โดยให้ชาวนาลดพื้นที่ปลูกข้าวนาปรัง จํานวน 3 ล้านไร่ และไปปลูกพืชระยะสั้นหรือทําเกษตรอย่างอื่นแทน และกล่าวหารัฐบาลไร้ความสามารถในการส่งออกข้าวที่ชาวนาผลิตได้ภายในประเทศ ซึ่งนโยบายดังกล่าว เป็นการซ้ําเติมชาวนามากเกินไป เนื่องจากปัจจุบันชาวนาสามารถขายข้าวได้ราคาตันละ 5,000 - 7,000 บาท ถือว่าต่ํามากแทบไม่เหลือกําไร รวมทั้งการลดปริมาณเพาะปลูกก็จะยิ่งทําให้ชาวนามีรายได้ลดลงไปอีก การปลูกพืชระยะสั้น แม้จะใช้น้ําน้อย แต่ตลาดอ่อนไหวง่าย มีราคาต่ํา ตลอดจนรัฐบาลไม่มีหลักประกันราคา ขณะเดียวกันยังมีแนวความคิดเก็บค่าน้ําเพื่อการเกษตร จึงเสมือนยิ่งเป็นการซ้ําเติมชาวนา และเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งส่งออกข้าว โดยขอความร่วมมือจากตลาดนําเข้าเดิมในแถบแอฟริกา จีน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเชีย และประเทศอื่น เพื่อให้กลับมารับซื้อข้าวจากไทย ซึ่งมีคุณภาพดีกว่าประเทศคู่แข่ง กรมการข้าวขอชี้แจง ดังนี้ รัฐบาลปัจจุบันโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย ร่วมกันจัดทําแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร โดยใช้หลักการตลาดนําการผลิต ต้องทําการผลิตข้าวให้ตรงกับความต้องการของตลาด ทําการปรับโครงสร้างการผลิตข้าว และสร้างความเป็นธรรมในการขายข้าวให้แก่ชาวนา โดยมีเป้าหมายที่จะให้อุปทานข้าวสมดุลกับอุปสงค์ ทําให้ราคาข้าวมีเสถียรภาพ ไม่อ่อนตัวลง ต้นทุนการผลิตข้าวต่ําลง ทําให้ชาวนาขายข้าวได้ในราคาที่สูง มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปี 2561 ชาวนาขายข้าวเปลือกเจ้าได้ตันละ 7,691 – 8,162 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลิสามารถขายได้สูงถึงตันละ 15,078 – 17,076 บาท อย่างไรก็ตามการเพาะปลูกข้าวมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น อาจทําให้ข้าวราคาตกต่ํา โดยเฉพาะการปลูกข้าวนาปรัง มีการใช้ทรัพยากรน้ํามาก มีการปลูกอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการพักดิน ทําให้สูญเสียความสมดุลของระบบนิเวศน์ รวมทั้งมีการปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม ทําให้การปลูกข้าวได้ผลผลิตต่ํา ต้นทุนการผลิตสูง ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะลดพื้นที่การปลูกข้าวนาปรัง โดยให้ชาวนาหันไปปลูกพืชอื่นทดแทน อายุสั้น ประหยัดน้ํา และมีตลาดรองรับ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเขียว พืชผัก เป็นต้น พร้อมทั้งมีมาตรการการบริหารจัดการน้ํา การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต การสนับสนุนปัจจัยการผลิต และการเชื่อมโยงการตลาดให้แก่ชาวนา ซึ่งจะทําให้ชาวนามีรายได้มากกว่าการปลูกข้าว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีรายได้มากกว่าการปลูกข้าวนาปรังไร่ละ 1,187.20 บาท (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ผลตอบแทนไร่ละ 1,450 บาท และข้าวนาปรังให้ผลตอบแทนไร่ละ 306.29 บาท) ---------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14634
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดคอนเสิร์ต “S2S : Light of Love” ครั้งแรกของประเทศไทยที่ผู้พิการทางการเห็นกว่า 50 คน ร่วมแสดงคอนเสิร์ต เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560 พม. จัดคอนเสิร์ต “S2S : Light of Love” ครั้งแรกของประเทศไทยที่ผู้พิการทางการเห็นกว่า 50 คน ร่วมแสดงคอนเสิร์ต เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พม. จัดคอนเสิร์ต “S2S : Light of Love” ครั้งแรกของประเทศไทยที่ผู้พิการทางการเห็นกว่า 50 คน ร่วมแสดงคอนเสิร์ตอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 60เวลา 18.30 น. ที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน) บริษัท อาร์เอส จํากัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) รวมทั้ง สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย และมูลนิธิสถาบันดนตรีคนตาบอด จัดคอนเสิร์ตS2S : Light of Loveซึ่งเป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกของประเทศไทยที่มีผู้พิการทางการเห็นกว่า 50 คน ร่วมแสดงคอนเสิร์ตอย่างยิ่งใหญ่กับศิลปินรับเชิญจาก 3 ค่ายเพลงดัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์ และร่วมส่งเสริมศักยภาพและความสามารถด้านการแสดงดนตรีและร้องเพลงของนักร้องนักดนตรีตาบอดในนาม "ศิลปิน S2S” ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สังคมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) คณะผู้บริหารกระทรวง พม. สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป จํานวนกว่า 1,600 คน เข้าร่วมงาน พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสําคัญของการส่งเสริมศักยภาพและความสามารถของคนพิการ โดยเฉพาะกลุ่มนักร้องนักดนตรีตาบอดในที่สาธารณะ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติควบคุม การขอทาน พ.ศ. 2559 ที่มีการแยกกลุ่มบุคคลที่แสดงความสามารถในที่สาธารณะ ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่ผิดกฎหมาย กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) จึงได้ดําเนินโครงการพัฒนาศักยภาพนักร้อง นักดนตรีตาบอดในที่สาธารณะ : จากถนนสู่ดวงดาว หรือ From Street to Stars โดยความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐเพื่อสังคมร่วมกับ 3 ค่ายเพลงดัง เพื่อยกระดับและพัฒนาศักยภาพนักร้องนักดนตรีตาบอดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการคัดเลือกนักร้องนักดนตรีตาบอดที่มีความสามารถจากทั่วประเทศ จํานวนกว่า 1,000 คน ซึ่งมีผู้ที่ผ่าน การคัดเลือกจํานวน 50 คน โดยได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ทั้งนี้ ปัจจุบัน ปรากฎว่านักร้องนักดนตรีตาบอดของโครงการดังกล่าว มีชื่อเสียงภายใต้ชื่อ "ศิลปิน S2S” และได้ร่วมแสดงความสามารถด้านดนตรีและร้องเพลงกับศิลปินชื่อดัง พร้อมร่วมร้องเพลงในงานคอนเสิร์ตกับบุคคลสําคัญระดับประเทศ รวมทั้งการได้รับเชิญไปร่วมรายการต่างๆ มากมาย ทําให้เกิดการยอมรับอย่างมากจากทุกภาคส่วนในสังคม พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากความสําเร็จของโครงการฯ ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการต่อยอดสู่การยกระดับความสามารถของศิลปิน S2S เป็นศิลปินมืออาชีพ จึงได้กําหนดจัดคอนเสิร์ต ภายใต้ชื่อ "S2S : Light of Love” ซึ่งหมายถึงแสงสว่างแห่งรัก ที่สร้างคุณค่า และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ทุกคนในสังคม ซึ่งเป็น การแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกของประเทศไทยที่ผู้พิการทางการเห็นกว่า 50 คน ร่วมแสดงคอนเสิร์ตอย่างยิ่งใหญ่กับศิลปินรับเชิญจาก 3 ค่ายเพลงดัง รวมถึงมีการแสดงความสามารถของคนพิการประเภทอื่นด้วย ภายใต้การกํากับและร้อยเรียงบทเพลงการแสดงจากคุณหนึ่ง-จักรวาล เสาธงยุติธรรม โปรดิวเซอร์และมิวสิกไดเรกเตอร์ชื่อดัง โดยมี การน้อมนําศาสตร์ของพระราชาผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บทเพลงให้โอกาส เกียรติ กําลังใจ บทเพลงแห่งความหวัง สําหรับการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่ 1) บทเพลงพระราชนิพนธ์ และเพลงเทิดพระเกียรติอันทรงคุณค่า 2) บทเพลงแห่งโอกาส เกียรติ กําลังใจ 3) บทเพลงแห่งความหวัง และพลังชีวิต และ 4) บทเพลงแห่งความรัก และสร้างแรงบันดาลใจ "คอนเสิร์ตดังกล่าว นับเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สําคัญของความสําเร็จของคนพิการ และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจแก่คนพิการทุกคนในสังคม ถือได้ว่าเป็นการลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเท่าเทียมกันในสังคม ทั้งนี้ ตนขอขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมชมการแสดงคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ในวันนี้ นับเป็นการร่วมสร้างและให้โอกาส เกียรติ กําลังใจ "ศิลปิน S2S” โดยหวังว่า ทุกคนจะได้รับความสุข ความประทับใจ และรอยยิ้มแห่งการให้กลับไปจากการแสดงและขับร้องบทเพลงอันไพเราะของ "ศิลปิน S2S” ร่วมกับศิลปินจากค่ายเพลงดัง อย่างไรก็ตาม กระทรวง พม. มีความมุ่งมั่นในการสร้างความตระหนักให้ทุกคนร่วมกันปรับเปลี่ยนเจตคติของสังคม "จากภาระเป็นพลัง” ทําให้สังคมได้ประจักษ์ถึงความสามารถและศักยภาพของคนพิการ ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วนในสังคม ด้วยการสนับสนุน ส่งเสริม พัฒนาศักยภาพ และยกระดับความสามารถของนักร้องนักดนตรีตาบอดในที่สาธารณะ เพื่อให้สามารถก้าวเดินจากถนนไปสู่ดวงดาว เป็นศิลปินมืออาชีพ สามารถมีรายได้ที่พอเพียงและมั่นคงในการเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคงต่อไป”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดคอนเสิร์ต “S2S : Light of Love” ครั้งแรกของประเทศไทยที่ผู้พิการทางการเห็นกว่า 50 คน ร่วมแสดงคอนเสิร์ต เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560 พม. จัดคอนเสิร์ต “S2S : Light of Love” ครั้งแรกของประเทศไทยที่ผู้พิการทางการเห็นกว่า 50 คน ร่วมแสดงคอนเสิร์ต เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พม. จัดคอนเสิร์ต “S2S : Light of Love” ครั้งแรกของประเทศไทยที่ผู้พิการทางการเห็นกว่า 50 คน ร่วมแสดงคอนเสิร์ตอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 60เวลา 18.30 น. ที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จํากัด (มหาชน) บริษัท อาร์เอส จํากัด (มหาชน) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) รวมทั้ง สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย และมูลนิธิสถาบันดนตรีคนตาบอด จัดคอนเสิร์ตS2S : Light of Loveซึ่งเป็นคอนเสิร์ตครั้งแรกของประเทศไทยที่มีผู้พิการทางการเห็นกว่า 50 คน ร่วมแสดงคอนเสิร์ตอย่างยิ่งใหญ่กับศิลปินรับเชิญจาก 3 ค่ายเพลงดัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์ และร่วมส่งเสริมศักยภาพและความสามารถด้านการแสดงดนตรีและร้องเพลงของนักร้องนักดนตรีตาบอดในนาม "ศิลปิน S2S” ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สังคมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยนายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) คณะผู้บริหารกระทรวง พม. สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป จํานวนกว่า 1,600 คน เข้าร่วมงาน พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสําคัญของการส่งเสริมศักยภาพและความสามารถของคนพิการ โดยเฉพาะกลุ่มนักร้องนักดนตรีตาบอดในที่สาธารณะ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติควบคุม การขอทาน พ.ศ. 2559 ที่มีการแยกกลุ่มบุคคลที่แสดงความสามารถในที่สาธารณะ ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่ผิดกฎหมาย กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) จึงได้ดําเนินโครงการพัฒนาศักยภาพนักร้อง นักดนตรีตาบอดในที่สาธารณะ : จากถนนสู่ดวงดาว หรือ From Street to Stars โดยความร่วมมือในรูปแบบประชารัฐเพื่อสังคมร่วมกับ 3 ค่ายเพลงดัง เพื่อยกระดับและพัฒนาศักยภาพนักร้องนักดนตรีตาบอดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการคัดเลือกนักร้องนักดนตรีตาบอดที่มีความสามารถจากทั่วประเทศ จํานวนกว่า 1,000 คน ซึ่งมีผู้ที่ผ่าน การคัดเลือกจํานวน 50 คน โดยได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ทั้งนี้ ปัจจุบัน ปรากฎว่านักร้องนักดนตรีตาบอดของโครงการดังกล่าว มีชื่อเสียงภายใต้ชื่อ "ศิลปิน S2S” และได้ร่วมแสดงความสามารถด้านดนตรีและร้องเพลงกับศิลปินชื่อดัง พร้อมร่วมร้องเพลงในงานคอนเสิร์ตกับบุคคลสําคัญระดับประเทศ รวมทั้งการได้รับเชิญไปร่วมรายการต่างๆ มากมาย ทําให้เกิดการยอมรับอย่างมากจากทุกภาคส่วนในสังคม พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากความสําเร็จของโครงการฯ ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการต่อยอดสู่การยกระดับความสามารถของศิลปิน S2S เป็นศิลปินมืออาชีพ จึงได้กําหนดจัดคอนเสิร์ต ภายใต้ชื่อ "S2S : Light of Love” ซึ่งหมายถึงแสงสว่างแห่งรัก ที่สร้างคุณค่า และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ทุกคนในสังคม ซึ่งเป็น การแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกของประเทศไทยที่ผู้พิการทางการเห็นกว่า 50 คน ร่วมแสดงคอนเสิร์ตอย่างยิ่งใหญ่กับศิลปินรับเชิญจาก 3 ค่ายเพลงดัง รวมถึงมีการแสดงความสามารถของคนพิการประเภทอื่นด้วย ภายใต้การกํากับและร้อยเรียงบทเพลงการแสดงจากคุณหนึ่ง-จักรวาล เสาธงยุติธรรม โปรดิวเซอร์และมิวสิกไดเรกเตอร์ชื่อดัง โดยมี การน้อมนําศาสตร์ของพระราชาผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บทเพลงให้โอกาส เกียรติ กําลังใจ บทเพลงแห่งความหวัง สําหรับการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่ 1) บทเพลงพระราชนิพนธ์ และเพลงเทิดพระเกียรติอันทรงคุณค่า 2) บทเพลงแห่งโอกาส เกียรติ กําลังใจ 3) บทเพลงแห่งความหวัง และพลังชีวิต และ 4) บทเพลงแห่งความรัก และสร้างแรงบันดาลใจ "คอนเสิร์ตดังกล่าว นับเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สําคัญของความสําเร็จของคนพิการ และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจแก่คนพิการทุกคนในสังคม ถือได้ว่าเป็นการลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเท่าเทียมกันในสังคม ทั้งนี้ ตนขอขอบคุณทุกคนที่เข้าร่วมชมการแสดงคอนเสิร์ตครั้งยิ่งใหญ่ในวันนี้ นับเป็นการร่วมสร้างและให้โอกาส เกียรติ กําลังใจ "ศิลปิน S2S” โดยหวังว่า ทุกคนจะได้รับความสุข ความประทับใจ และรอยยิ้มแห่งการให้กลับไปจากการแสดงและขับร้องบทเพลงอันไพเราะของ "ศิลปิน S2S” ร่วมกับศิลปินจากค่ายเพลงดัง อย่างไรก็ตาม กระทรวง พม. มีความมุ่งมั่นในการสร้างความตระหนักให้ทุกคนร่วมกันปรับเปลี่ยนเจตคติของสังคม "จากภาระเป็นพลัง” ทําให้สังคมได้ประจักษ์ถึงความสามารถและศักยภาพของคนพิการ ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วนในสังคม ด้วยการสนับสนุน ส่งเสริม พัฒนาศักยภาพ และยกระดับความสามารถของนักร้องนักดนตรีตาบอดในที่สาธารณะ เพื่อให้สามารถก้าวเดินจากถนนไปสู่ดวงดาว เป็นศิลปินมืออาชีพ สามารถมีรายได้ที่พอเพียงและมั่นคงในการเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคงต่อไป”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4052