title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ประชุม คกก. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เห็นชอบร่างข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมว่าด้วย การเงิน การพัสดุ และการบัญชี พ.ศ. ....
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563 ที่ประชุม คกก. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เห็นชอบร่างข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมว่าด้วย การเงิน การพัสดุ และการบัญชี พ.ศ. .... ที่ประชุม คกก. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เห็นชอบร่างข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมว่าด้วย การเงิน การพัสดุ และการบัญชี พ.ศ. .... วันนี้ (13 ม.ค.63) เวลา 15.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ประชุมเห็นชอบร่างข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมว่าด้วย การเงิน การพัสดุ และการบัญชี พ.ศ. .... (มาตรา 19 (10)(ก)) โดยร่างข้อบังคับฯ มีสาระสําตัญเป็นการกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการรับเงิน จ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินของสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่มีความเหมาะสม และสามารถตรวจสอบได้ รวมถึงกําหนดเรื่องการพัสดุให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และการจัดทําบัญชีกําหนดให้เป็นไปตามหลักการและนโยบายผังบัญชีมาตรฐานและมาตรฐานรายงานการเงินสําหรับหน่วยงานภาครัฐตามที่กระทรวงการคลังประกาศกําหนด ................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ประชุม คกก. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เห็นชอบร่างข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมว่าด้วย การเงิน การพัสดุ และการบัญชี พ.ศ. .... วันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563 ที่ประชุม คกก. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เห็นชอบร่างข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมว่าด้วย การเงิน การพัสดุ และการบัญชี พ.ศ. .... ที่ประชุม คกก. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เห็นชอบร่างข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมว่าด้วย การเงิน การพัสดุ และการบัญชี พ.ศ. .... วันนี้ (13 ม.ค.63) เวลา 15.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ประชุมเห็นชอบร่างข้อบังคับคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมว่าด้วย การเงิน การพัสดุ และการบัญชี พ.ศ. .... (มาตรา 19 (10)(ก)) โดยร่างข้อบังคับฯ มีสาระสําตัญเป็นการกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการรับเงิน จ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินของสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่มีความเหมาะสม และสามารถตรวจสอบได้ รวมถึงกําหนดเรื่องการพัสดุให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และการจัดทําบัญชีกําหนดให้เป็นไปตามหลักการและนโยบายผังบัญชีมาตรฐานและมาตรฐานรายงานการเงินสําหรับหน่วยงานภาครัฐตามที่กระทรวงการคลังประกาศกําหนด ................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25769
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และ สคร.ชี้แจงข้อวิจารณ์ กรณีรัฐบาลไม่ค้ำประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจ 100%
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ และ สคร.ชี้แจงข้อวิจารณ์ กรณีรัฐบาลไม่ค้ําประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจ 100% สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ และ สคร.ชี้แจงข้อวิจารณ์ กรณีรัฐบาลไม่ค้ําประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจ 100% วันที่ 23 มีนาคม 2561 นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์กรณีที่รัฐบาลไม่ค้ําประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจ 100% ตามที่เอเอสทีวีนําเสนอข่าวกรณีนางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความลงสื่อสังคมออนไลน์ Facebook โดยมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการที่รัฐบาลไม่ค้ําประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจของรัฐ 100% ซึ่งจะช่วยให้รัฐวิสาหกิจมีต้นทุนดอกเบี้ยต่ําประมาณ 3 - 4% โดยรัฐบาลอ้างว่าเป็นภาระต่อหนี้สาธารณะ และให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ไปกู้เงินจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) (กองทุนรวมฯ) ซึ่งเป็นกองทุนเอกชนที่มุ่งทํากําไรจากกิจการของรัฐ โดยมองว่าการกระทําเช่นนี้ เป็นการสร้างต้นทุนให้ภาครัฐ สร้างกําไรให้เอกชนในอนาคต ซึ่งจะทําให้ธุรกิจของรัฐอ่อนแอ และกําลังลุกลามไปอีกหลายรัฐวิสาหกิจ นั้น ข้อเท็จจริง • ประเด็นการที่รัฐบาลไม่ค้ําประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจของรัฐ 100% นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอเรียนชี้แจง ดังนี้ 1. การค้ําประกันให้แก่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจต้องคํานึงถึงปัจจัยหลายประการ ทั้งวัตถุประสงค์และผลตอบแทนของโครงการที่จะดําเนินการ สถานะทางการเงินและความสามารถในการดําเนินงานของหน่วยงาน ซึ่งกระทรวงการคลังโดยคณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะจะพิจารณาค้ําประกันตามประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการค้ําประกันการชําระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาวินัยทางการคลังให้การค้ําประกันอยู่ภายใต้กรอบไม่เกินร้อยละ 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจําปี และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะมาตรา 28 รวมทั้งยังเป็นการควบคุมการก่อหนี้ของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับโครงการและศักยภาพของหน่วยงานนั้น ๆ อีกทางหนึ่งด้วย 2. ในกรณีของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) นั้น เนื่องจาก กทพ. เป็นหน่วยงานที่มีฐานะทางการเงินดีและดําเนินโครงการที่มีผลตอบแทนทางการเงินสูง กทพ. จึงสามารถบริหารเงินและภาระหนี้ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถชําระคืนหนี้เพื่อลดยอดหนี้คงค้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทําให้ กทพ. ไม่ต้องขอบรรจุแผนก่อหนี้/ปรับโครงสร้างหนี้ ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีงบประมาณ 2561 • ประเด็นที่ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ไประดมทุนผ่านช่องทางกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ขอเรียนชี้แจง ดังนี้ 1. ประเด็นที่ว่าการดําเนินการดังกล่าวเป็นการสร้างต้นทุนให้ภาครัฐ และทําให้ธุรกิจของรัฐอ่อนแอ ขอชี้แจงว่า การระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ นับเป็นแหล่งระดมทุนทางเลือกใหม่ของรัฐวิสาหกิจในการระดมทุนจากฐานนักลงทุนรายย่อยและสถาบันโดยตรง และเป็นการสร้างความรู้สึกของประชาชนในวงกว้างว่ามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของโครงการที่สร้างขึ้น และเป็นการเพิ่มช่องทางการตรวจสอบความคืบหน้าและความโปร่งใสของโครงการด้วย นอกจากนี้ วิธีการระดมทุนดังกล่าวยังช่วยให้หน่วยงานของรัฐสามารถนําเงินทุนไปใช้ในการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญของประเทศได้มากยิ่งขึ้น โดยไม่เป็นภาระต่องบประมาณ และทําให้ประเทศสามารถใช้แหล่งเงินกู้ที่มีต้นทุนต่ําและมีจํานวนจํากัดไปลงทุนด้านอื่น ๆ ที่จําเป็นและไม่สามารถหารายได้เชิงพาณิชย์ได้ เช่น ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สําหรับ กทพ. การระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ของ กทพ. จะทําให้ กทพ. สามารถลงทุนได้ทันทีโดยไม่ต้องรอสะสมรายได้หรือรอการจัดสรรเงินกู้ในการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขนาดของสินทรัพย์และความสามารถในการสร้างรายได้ของ กทพ. ในอนาคต 2. ประเด็นการจัดตั้งกองทุนรวมฯ ขอชี้แจงว่าการจัดตั้งกองทุนรวมฯ กรณีของ กทพ. เป็นการนํากระแสรายได้ในอนาคตจากโครงการทางพิเศษในปัจจุบันมาระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ในรูปของสัญญาโอนและรับโอนสิทธิในรายได้ (Revenue Transfer Agreement : RTA) ระหว่าง กทพ. และกองทุนรวมฯ เพื่อให้ กทพ. สามารถนําเงินที่ได้จากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ไปใช้ในการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของ กทพ. โดยการระดมทุนดังกล่าวไม่ถือเป็นการที่ กทพ. กู้เงินจากกองทุนรวมฯ เนื่องจากนักลงทุนเป็นผู้รับภาระความเสี่ยงจากกระแสรายได้ค่าผ่านทางของทางพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่นําส่งให้กองทุนรวมฯ ในแต่ละปี ซึ่งเป็นไปตามผลการดําเนินงานจริง ดังนั้น หากรายได้ค่าผ่านทางในอนาคตไม่เป็นไปตามคาดการณ์ กทพ. ก็ไม่มีข้อผูกพันใด ๆ ซึ่งจะแตกต่างจากเงินกู้ซึ่งต้องชําระเงินต้นและดอกเบี้ยเต็มตามจํานวน ดังนั้น จึงขอให้มั่นใจได้ว่า การดําเนินการของกระทรวงการคลังได้มีการคํานึงถึงวินัยทางการคลัง และศักยภาพของรัฐวิสาหกิจในการดําเนินโครงการต่าง ๆ รวมทั้งการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้ลงทุน ได้มีส่วนร่วมในการติดตามการบริหารโครงการของรัฐภายใต้การระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ อีกทางหนึ่งด้วย ----------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และ สคร.ชี้แจงข้อวิจารณ์ กรณีรัฐบาลไม่ค้ำประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจ 100% วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2561 สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ และ สคร.ชี้แจงข้อวิจารณ์ กรณีรัฐบาลไม่ค้ําประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจ 100% สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ และ สคร.ชี้แจงข้อวิจารณ์ กรณีรัฐบาลไม่ค้ําประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจ 100% วันที่ 23 มีนาคม 2561 นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ชี้แจงข้อวิจารณ์กรณีที่รัฐบาลไม่ค้ําประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจ 100% ตามที่เอเอสทีวีนําเสนอข่าวกรณีนางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความลงสื่อสังคมออนไลน์ Facebook โดยมีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการที่รัฐบาลไม่ค้ําประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจของรัฐ 100% ซึ่งจะช่วยให้รัฐวิสาหกิจมีต้นทุนดอกเบี้ยต่ําประมาณ 3 - 4% โดยรัฐบาลอ้างว่าเป็นภาระต่อหนี้สาธารณะ และให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ไปกู้เงินจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) (กองทุนรวมฯ) ซึ่งเป็นกองทุนเอกชนที่มุ่งทํากําไรจากกิจการของรัฐ โดยมองว่าการกระทําเช่นนี้ เป็นการสร้างต้นทุนให้ภาครัฐ สร้างกําไรให้เอกชนในอนาคต ซึ่งจะทําให้ธุรกิจของรัฐอ่อนแอ และกําลังลุกลามไปอีกหลายรัฐวิสาหกิจ นั้น ข้อเท็จจริง • ประเด็นการที่รัฐบาลไม่ค้ําประกันเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจของรัฐ 100% นายประภาศ คงเอียด ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ขอเรียนชี้แจง ดังนี้ 1. การค้ําประกันให้แก่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจต้องคํานึงถึงปัจจัยหลายประการ ทั้งวัตถุประสงค์และผลตอบแทนของโครงการที่จะดําเนินการ สถานะทางการเงินและความสามารถในการดําเนินงานของหน่วยงาน ซึ่งกระทรวงการคลังโดยคณะกรรมการนโยบายและกํากับการบริหารหนี้สาธารณะจะพิจารณาค้ําประกันตามประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการค้ําประกันการชําระหนี้ของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินภาครัฐ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาวินัยทางการคลังให้การค้ําประกันอยู่ภายใต้กรอบไม่เกินร้อยละ 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจําปี และงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะมาตรา 28 รวมทั้งยังเป็นการควบคุมการก่อหนี้ของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับโครงการและศักยภาพของหน่วยงานนั้น ๆ อีกทางหนึ่งด้วย 2. ในกรณีของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) นั้น เนื่องจาก กทพ. เป็นหน่วยงานที่มีฐานะทางการเงินดีและดําเนินโครงการที่มีผลตอบแทนทางการเงินสูง กทพ. จึงสามารถบริหารเงินและภาระหนี้ได้เป็นอย่างดี โดยสามารถชําระคืนหนี้เพื่อลดยอดหนี้คงค้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทําให้ กทพ. ไม่ต้องขอบรรจุแผนก่อหนี้/ปรับโครงสร้างหนี้ ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจําปีงบประมาณ 2561 • ประเด็นที่ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ไประดมทุนผ่านช่องทางกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ขอเรียนชี้แจง ดังนี้ 1. ประเด็นที่ว่าการดําเนินการดังกล่าวเป็นการสร้างต้นทุนให้ภาครัฐ และทําให้ธุรกิจของรัฐอ่อนแอ ขอชี้แจงว่า การระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ นับเป็นแหล่งระดมทุนทางเลือกใหม่ของรัฐวิสาหกิจในการระดมทุนจากฐานนักลงทุนรายย่อยและสถาบันโดยตรง และเป็นการสร้างความรู้สึกของประชาชนในวงกว้างว่ามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของโครงการที่สร้างขึ้น และเป็นการเพิ่มช่องทางการตรวจสอบความคืบหน้าและความโปร่งใสของโครงการด้วย นอกจากนี้ วิธีการระดมทุนดังกล่าวยังช่วยให้หน่วยงานของรัฐสามารถนําเงินทุนไปใช้ในการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญของประเทศได้มากยิ่งขึ้น โดยไม่เป็นภาระต่องบประมาณ และทําให้ประเทศสามารถใช้แหล่งเงินกู้ที่มีต้นทุนต่ําและมีจํานวนจํากัดไปลงทุนด้านอื่น ๆ ที่จําเป็นและไม่สามารถหารายได้เชิงพาณิชย์ได้ เช่น ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สําหรับ กทพ. การระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ของ กทพ. จะทําให้ กทพ. สามารถลงทุนได้ทันทีโดยไม่ต้องรอสะสมรายได้หรือรอการจัดสรรเงินกู้ในการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อม ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขนาดของสินทรัพย์และความสามารถในการสร้างรายได้ของ กทพ. ในอนาคต 2. ประเด็นการจัดตั้งกองทุนรวมฯ ขอชี้แจงว่าการจัดตั้งกองทุนรวมฯ กรณีของ กทพ. เป็นการนํากระแสรายได้ในอนาคตจากโครงการทางพิเศษในปัจจุบันมาระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ในรูปของสัญญาโอนและรับโอนสิทธิในรายได้ (Revenue Transfer Agreement : RTA) ระหว่าง กทพ. และกองทุนรวมฯ เพื่อให้ กทพ. สามารถนําเงินที่ได้จากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ ไปใช้ในการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของ กทพ. โดยการระดมทุนดังกล่าวไม่ถือเป็นการที่ กทพ. กู้เงินจากกองทุนรวมฯ เนื่องจากนักลงทุนเป็นผู้รับภาระความเสี่ยงจากกระแสรายได้ค่าผ่านทางของทางพิเศษที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่นําส่งให้กองทุนรวมฯ ในแต่ละปี ซึ่งเป็นไปตามผลการดําเนินงานจริง ดังนั้น หากรายได้ค่าผ่านทางในอนาคตไม่เป็นไปตามคาดการณ์ กทพ. ก็ไม่มีข้อผูกพันใด ๆ ซึ่งจะแตกต่างจากเงินกู้ซึ่งต้องชําระเงินต้นและดอกเบี้ยเต็มตามจํานวน ดังนั้น จึงขอให้มั่นใจได้ว่า การดําเนินการของกระทรวงการคลังได้มีการคํานึงถึงวินัยทางการคลัง และศักยภาพของรัฐวิสาหกิจในการดําเนินโครงการต่าง ๆ รวมทั้งการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้ลงทุน ได้มีส่วนร่วมในการติดตามการบริหารโครงการของรัฐภายใต้การระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ อีกทางหนึ่งด้วย ----------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11182
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561
วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เนื่องในวันมาฆบูชา ซึ่งปีนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 1 รัฐบาลขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่าน หอบลูก จูงหลาน พาคนในครอบครัว ร่วมใจกันปฏิบัติกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ณ วัด หรือ ศาสนสถานในชุมชน ใกล้บ้าน ด้วยการทําบุญ ตักบาตร เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล เจริญจิตภาวนา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาน้อมนําจิตใจให้ระลึกถึงคําสอน“โอวาทปาฏิโมกข์”ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานไว้ให้ชาวพุทธ อันเป็น“หัวใจพระพุทธศาสนา”คือ“การทําความดี ละเว้นความชั่ว ทําจิตใจบริสุทธิ์” เพื่อเสริมสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ตนเอง เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว อีกทั้งจะนําพาความสงบสุข ความรุ่งเรือง มาสู่สังคมและประเทศชาติ โดยรวมในที่สุดรวมทั้งเป็นการสืบสานพระพุทธศาสนาให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ตลอดไป ทั้งนี้ ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม ที่ศาสนิกชนทุกท่านนับถือ ล้วนสอนให้เราทุกคนเป็นคนดี และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เพียงแต่เราทุกคนต้องเข้าใจคําสั่งสอนของ“องค์ศาสดา”ที่เป็นแก่นสาร ที่แท้จริง แล้วนําไปสู่การประพฤติ ปฏิบัติตน ให้ถูกต้อง ตามทํานองคลองธรรม ทั้งในการดํารงชีวิตประจําวัน และ การประกอบสัมมาอาชีวะด้วย การอบรมสั่งสอนลูกหลาน ตาม“ศาสตร์พระราชา”ที่ว่า“บวร คือ บ้าน - วัด - โรงเรียน”นั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษา ที่เป็น“ไทยนิยม” ครอบครัวไม่ควรทิ้งภาระให้โรงเรียน และ ไม่ห่างไกลศาสนา อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจคน เด็กทุกคน ก็เปรียบเสมือน“ผ้าขาว”หากพ่อแม่ พี่น้อง ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูงรวมทั้งคนในสังคม ช่วยกันรังสรรค์ แต่งเติม สีสัน ให้งดงาม เยาวชนของเรา ก็จะไม่เป็นเพียงผ้าขาว แต่จะเป็น "ผลงานศิลปะ" ที่ทรงคุณค่า แต่หากผู้ใหญ่ อาจารย์ หรือคนในสังคม ใส่“ชุดความรู้”ที่ผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว บิดเบือน อาจด้วยไม่รู้จริง หรือนําเฉพาะหลักวิชาการมาพูด หรืออาจจะมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ หวังผลร้าย ไม่เพียงแต่จะเป็นการทําร้ายเยาวชนของชาติในอนาคต แต่จะเป็นการทําลายสังคมของเราในปัจจุบันอีกด้วย การนําหลักวิชาการ หลักสากล มาปลูกฝังเป็น "หลักคิด" ให้กับลูกหลานเราก็จําเป็นต้องอาศัยความเข้าใจ สามารถแนะนําให้ประยุกต์ใช้ อย่างเหมาะสมกับสังคมของเรา ตามหลัก“ไทยนิยม”การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ก็มีความแตกต่างกัน ในวิธีการปฏิบัติ แต่“แก่นสาร”ก็ยังคงเหมือน ๆ กัน ซึ่งเป็นที่น่าตกใจ จากผลสํารวจของสํานักวิจัยซูเปอร์โพล เรื่อง“ประชาธิปไตยที่ประชาชนต้องการ”จากกลุ่มตัวอย่าง ประชาชนทุกสาขาอาชีพ จํานวนทั้งสิ้น ราว 1 พันตัวอย่าง ด้วยคําถามปลายเปิด สะท้อนว่า ประชาชน 36% หรือมากกว่า 1 ใน 3 ที่เป็น“ส่วนใหญ่”ไม่รู้ ไม่ทราบ แล้วก็ไม่ตอบในเรื่องของประชาธิปไตยนี้ “ส่วนที่เหลือ”ก็มีคําตอบที่แตกต่างกันตามประสบการณ์โดยระบุว่า... ประชาธิปไตย คือ ความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ อิสระในการคิดการพูด ฟังเสียงคนข้างมาก รักสามัคคีกัน การมีส่วนร่วม บางคนนึกถึงการเลือกตั้ง บางคนบอกว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ เมื่อถามถึงความชอบต่อประชาธิปไตยแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ หรือต้องการให้เป็นแบบใด พบว่า 41% ชอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ตอนนี้ขณะที่ 59% ต้องการประชาธิปไตยแบบสงบสุข แบบพอเพียง ไม่มีคอร์รัปชั่น และบางส่วนระบุแบบไหนไม่รู้ แต่ขอให้ดีขึ้นกว่านี้ ที่จําเป็นต้องยกขึ้นมาพูด ซึ่งเป็นผลโพลจากภายนอก ไม่ใช่ของรัฐบาล ของ คสช. เพราะอยากจะให้ทุกคนลองพิจารณาดูว่า สังคมของเรานั้นไดเให้ความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องประชาธิปไตยกันมากพอหรือยัง ใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่เพียงโรงเรียน หรือรัฐบาล แต่ประชาธิปไตยต้องเริ่มตั้งแต่ที่บ้าน ต้องอยู่ในสายเลือด ในจิตสํานึกที่ผ่านมาพรรคการเมือง ก็ถือว่าเป็นสถาบันหลัก ที่มีหน้าที่ส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยด้วย และพรรคการเมืองก็ต้องไม่ถูกแทรกแซง ควบคุม ครอบงํา ชี้นําจากบุคคลอื่นใดนะครับ ที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม จนขาดความอิสระ ซึ่งก็ระบุชัดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ซึ่งไม่ใช่เพียง“ประชาธิปไตยไทยนิยม”แต่เป็นหลักสากล พื้นฐาน ที่กล่าวมานั้น ผมสนับสนุนให้สอนเยาวชนด้วยหลักวิชาการ ควรจะยกกรณีความสําเร็จ ความล้มเหลวของต่างประเทศ มาเปรียบเทียบ แต่ก็ไม่ได้ให้“เดินซ้ํารอยความผิดพลาด” ให้เด็กได้คิด ให้มีพื้นฐานหลักคิดที่ถูกต้อง ว่าประเทศชาติจะสงบสันติได้อย่างไร ด้วยวิธีการอย่างไร ไม่ใช่ให้เอาเยี่ยงอย่าง การล้มล้างสถาบัน การเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยที่ประชาชนยังไม่พร้อมจนต้องบาดเจ็บ ล้มตาย ตามที่หลายประเทศล้มเหลวมาก่อน เราก็ได้รู้ เราได้เห็นแล้ว ก็ไม่จําเป็นต้องให้ประวัติศาสตร์เหล่านั้นซ้ํารอยอีก หรือเจ็บแล้วลืม จนต้องล้มแล้วล้มอีก ลองสอนเด็กง่าย ๆ แบบไทย ๆ แบบนี้ได้หรือไม่ หรือปูพื้นฐานให้เขาก่อน ก่อนที่จะเอาตัวอย่างจากที่อื่น ๆ มาสอนต่อ ไม่อย่างนั้นก็ไปสอนให้คิดนอกกรอบกันไปหมด กรอบที่ว่าคือ กรอบคําว่า สงบ สันติ ให้ได้เสียก่อน เช่น การเลือกตั้ง ถ้าเราเปรียบเทียบก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือก“กล้วย”กล้วยที่เปลือกยังเขียวอยู่ ก็ยังไม่สุก ไม่พร้อมจะรับประทาน คุณสมบัติก็ไม่ครบนะครับ กล้วยเปลือกสีเหลือง คือ สุกงอม กินได้ เหมาะสม แต่ถ้ากล้วยเปลือกดําแล้ว คือ ไม่ดี ไม่ควรเลือกกิน แต่ถ้าเราไปสอนโดยยกตัวอย่าง เป็นผลไม้อื่น เช่น แอปเปิ้ลซึ่งไม่เป็นผลไม้ประจําถิ่นของเรา บางคนเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นต้นแอปเปิ้ลเลย อาจจะเคยทาน แต่ไม่เคยเห็นต้น เด็กไทยคงไม่อาจแยกแยะด้วยสีของเปลือกได้ว่า แอปเปิ้ลผลไหน ดี สุก กินได้ ไม่ง่ายเหมือนกล้วย“แก่นสาร”ของเรื่องนี้คือ ทําอย่างไร ให้คนไทยสามารถแยกแยะว่า ถ้ามีการเลือกตั้งแล้วควรเลือกใคร และเลือกจากอะไร...ไม่ใช่ใช้ความรัก ความชอบ ความคุ้นเคย ใช้อารมณ์ แต่ไม่พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล เช่น ดูที่นโยบายพรรค ดูที่ประวัติการทํางาน เหล่านี้ เป็นต้น ทั้งนี้ การเข้าคูหาเลือกตั้งนั้น ต้องคํานึงถึงการเลือกนักการเมืองที่มีคุณภาพ ไม่มีประวัติเสื่อมเสีย หรือทุจริตมาก่อน เลือกพรรคการเมืองที่น่าเชื่อถือ ดูจากนโยบาย จากการดําเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง หรือ ถูกครอบงํา ตามที่ได้กล่าวไปแล้วนอกจากนี้ ผมอยากให้พี่น้องประชาชน มีความรู้ หลักคิด มีหลักการเลือก ส.ส. ที่มีคุณภาพ หลีกเลี่ยงผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือพรรคที่มีนโยบายในลักษณะสัญญาว่าจะให้ เพื่อดึงดูดใจ ในสิ่งที่ผิด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นนโยบายที่มีผลต่อการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินที่สิ้นเปลืองมากเกินไป ขาดวินัยการเงินการคลัง หรือ ขัดแย้งพันธกรณีต่างประเทศ เป็นต้น สําหรับเส้นทางสู่การเลือกตั้งของเรานั้น บางคนยังเข้าใจผิดว่า การไม่ไปเลือกตั้ง จะทําให้รัฐบาลหรือ คสช. อยู่ต่อไปได้ ความจริงแล้วคือ หากท่านไม่ไปเลือกตั้งแล้ว ผู้สมัครคนใดได้คะแนนมาก ก็ได้เป็น ส.ส. และ พรรคที่มี ส.ส. มากที่สุดก็จะโอกาสได้ตั้งรัฐบาล ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างการออกกฎหมายลูก 4 ฉบับ ที่จําเป็นต่อการเลือกตั้ง ได้แก่ (1) กฎหมายลูกว่าด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) (2) กฎหมายลูกว่าด้วย พรรคการเมือง (3) กฎหมายลูกว่าด้วย การเลือกตั้ง ส.ส. และ (4) กฎหมายลูกว่าด้วย การได้มาซึ่ง ส.ว. ใน 2 ฉบับท้าย กําลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย สนช.กรธ. และ กกต. เพื่อจะพิจารณาในทุกประเด็น ที่ยังเห็นไม่ตรงกัน เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ส่วนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ภาย หลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วในอีก 90 วัน หลังจากประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา การเลือกตั้ง ก็อาจจะเกิดขึ้นในเดือนใดก็ได้ ภายใน 150 วัน หลังจากนั้นทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทุกฝ่าย ทั้งพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และ กกต. ในระหว่างนั้น ครม. จะแจ้ง คสช. ให้เชิญ กกต.กรธ. รวมถึงทุกพรรคการเมืองมาพูดคุยหารือว่า การเลือกตั้งนั้นควรจะเกิดขึ้นเมื่อใด วันเวลา ที่ทุกฝ่ายพร้อม ทุกฝ่ายเห็นพ้องกัน แล้วก็ถือเป็น“วาระสําคัญของชาติ”อาจจะต้องเป็นสัญญาร่วมกันว่า ทําอย่างไรเราจะเดินหน้าประเทศไป ให้เป็นไปตามRoadmapของประเทศ ให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ รัฐบาลและ คสช. ไม่เคยมีความคิด และไม่ไปก้าวล่วงอํานาจใด ๆ ที่จะทําให้เกิดการคว่ําร่างกฎหมายต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะรัฐบาลไม่อยากให้กําหนดเวลาคลาดเคลื่อน ตามที่มีใครหลายคนพยายามบิดเบือน ให้ข้อมูลผิด ๆ ต่อสังคม เว้นอย่างเดียว คือการเกิดความวุ่นวายประชาชนขัดแย้ง ใช้กําลัง ใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง การหาเสียงมีปัญหา ประชาชนขัดแย้งกันอีกนะครับ เกิดความไม่สงบ เหมือนช่วงก่อนปี 57 อันนั้นก็เป็นอีกเรื่อง ทุกคนต้องช่วยกัน อย่าให้เกิดขึ้นดังนั้น ประชาชน นักการเมือง และทุก ๆ ฝ่ายก็ต้องช่วยกัน รักษาบรรยากาศ ความมีเสถียรภาพของประเทศ ต้องไม่ขัดแย้ง ไม่แบ่งฝ่ายกันอีกต่อไป แล้วก็ต้องสัญญากันว่า หลังการเลือกตั้ง เราจะได้มีฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านที่จะต้องร่วมมือกัน ทําในสิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนทั้งประเทศต้องการ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ที่เป็นฐานเสียงของฝ่ายใดก็ตาม รวมทั้ง ร่มกัน หรือช่วยกันในการปฏิรูปประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติต่อไป พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสลงพื้นที่ ไปพบปะพี่น้องประชาชนในจังหวัดนครปฐม และได้เยี่ยมเยียนโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ ยินดีที่เห็นหลายต่อหลายโครงการประสบความสําเร็จ สามารถประยุกต์ใช้ โดยการนําหลักคิดทฤษฎีเกษตรต่างๆ ภายใต้“ศาสตร์พระราชา”มาผสมผสานในการสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างความยั่งยืน ให้กับอาชีพและรายได้ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมด้วย ต้องดูแลให้ความสําคัญด้วยแห่งแรกคือ ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ที่เรียกว่า ศพก. ณ ตําบลแหลมบัว อําเภอนครชัยศรี ที่เป็นจุดเรียนรู้ด้านการเกษตร และเรียนรู้ของเกษตรกร รวมถึงประชาชนที่สนใจ ที่จะเรียนรู้จากเกษตรกรต้นแบบ ในการทําอาชีพการเกษตร และประสบความสําเร็จ ได้มีการน้อมนําแนวทางของ“ศาสตร์พระราชา”ทั้งในเรื่องกระบวนการจัด การศัตรูพืช ชุมชน การบริหารจัดการน้ํา การปศุสัตว์ พืชผักในโรงเรือนการแปรรูปข้าว นาข้าวอินทรีย์ และการทําปุ๋ยหมัก มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ลดต้นทุนการผลิต ผลผลิตที่ได้ก็จะเพิ่มขึ้น และมีคุณภาพมากขึ้น ส่วนต่างของราคาก็จะมากขึ้น ควบคู่ไปกับการน้อมนํา“หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”มาประยุกต์ใช้ด้วย เพื่อจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิต ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรในพื้นที่นําไปสู่กระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้หลักคิด“เกษตรกรพัฒนาเกษตรกรด้วยกันเอง ก็จะเกิดความเข้มแข็งและยั่งยืน” นอกจากนี้ ยังได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมแปลงนาบัว ลุงแจ่ม สวัสดิ์โต ที่บ้านศาลาดิน ตําบลมหาสวัสดิ์ อําเภอพุทธมณฑลก็เป็นหนึ่งในที่ดินพระราชทาน ตามแนวพระราชดําริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ตั้งแต่ปี 2518 เพื่อแก้ปัญหาเกษตรกรไม่มีที่ทํากิน ซึ่งนับเป็นต้นแบบของการปฏิรูปที่ดินของประเทศไทย เนื่องจากราคาข้าวมีความไม่แน่นอนสูง ทําให้ลุงแจ่ม เปลี่ยนมาทํา“นาบัว”แทน เป็นพื้นที่ลุ่มด้วย ได้จัดระบบที่ดินเพื่อการเพาะปลูกให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนที่เป็นนาบัว ก็มีการแบ่งแปลง และคํานวณเวลาปลูก เพื่อให้สามารถเก็บผลผลิตได้ตลอดปี พื้นที่ส่วนที่เหลือเป็นที่อยู่อาศัย และคันนาล้อมพื้นที่ เพื่อทําเกษตรแบบผสมผสาน ตามแนวพระราชดําริ โดยมีการปลูกพืชสวนครัว ไม้ดอก ไม้ผล สร้างรายได้เสริมได้ทุกวัน ซึ่งไม่เพียงแต่ลุงแจ่มเท่านั้น พี่น้องบ้านศาลาดิน ก็ได้น้อมนําแนวทางเกษตรแบบผสมผสานไปปรับใช้ อีกทั้ง ยังพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิต สร้างผลิตภัณฑ์ชุมชน ที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ รวมทั้งผลผลิตทางการเกษตรที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ บนพื้นฐานความต้องการ และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ทําให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเช่นในปัจจุบันที่ผมกล่าวถึง มีรายได้เพียงพอ แล้วก็เหลือใช้ เก็บออมได้เป็นจํานวนมาก ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชน และข้าราชการในพื้นที่ที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยความภาคภูมิใจในผลงาน ด้วยความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งข้าราชการ และประชาชน แล้วภาคธุรกิจก็มาร่วมด้วย หลายบริษัทก็เข้าไปดูในเรื่องของการซื้อสินค้าเกษตรจากพี่น้องเกษตรกร ขอขอบคุณ การที่ผมลงไปนั้น ผมต้องการที่จะเข้าไปรับฟังปัญหาของพื้นที่ด้วยตัวเอง เพื่อช่วยแก้ไขให้ได้อย่างตรงจุด หลายอย่างก็ฟังจากข้าราชการ และผมก็ไปสอบถามประชาชนด้วยว่าใช่หรือไม่ จริงหรือไม่ เป็นการตรวจสอบด้วยตัวผมเอง เราจะได้แก้ไขได้ตรงจุด ซึ่งนับจากวันนี้ เราจะมีคณะทํางานตามโครงการไทยนิยมลงไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ใช่แค่รับฟังปัญหา แต่ลงไปช่วยหาแนวทางแก้ไขให้เท่าที่ทําได้ก่อน ซึ่งจะทําให้รัฐบาลสามารถเข้าไปดูแลพี่น้องประชาชนได้รวดเร็วขึ้น อันนี้จริง ๆ แล้วคือหลักการในเรื่องของยุทธศาสตร์การพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 คือเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ชุดนี้ก็จะลงไปทําความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน คือเข้าใจพื้นที่ เข้าใจประชาชน เข้าถึงปัญหาในทุกมิติ แล้วนําไปสู่การพัฒนา อันนี้คือสิ่งที่เราคาดหวังไว้กับชุดทํางานที่ลงไปในพื้นที่ด้วย พี่น้องประชาชนที่เคารพทุกท่าน ครับ ในอนาคตการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย เราจะมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ ประเด็นต่าง ๆ เป็นกรอบภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ“ฉบับปัจจุบัน”ช่วงนี้อยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม จากทุกภาคส่วน ก่อนที่คณะกรรมการที่รับผิดชอบ จะนําข้อเสนอแนะต่าง ๆ มาปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมแล้วเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทราบ และมีผลบังคับใช้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ก็ยังสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อม ที่อาจจะไม่เป็นไปตามการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ระหว่างการจัดทํายุทธศาสตร์ และแผนปฏิรูป ทั้งนี้ จะต้องเป็นไปตามกลไกที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ คือการรับฟังความคิดเห็นของสาธารณะชน และการพิจารณาของรัฐสภาเป็นสําคัญ ทั้งนี้ จะต้องมีการประเมินทุก ๆ 5 ปี คู่ขนานกับการปรับปรุงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12–15 ด้วย ทุกปี คณะทํางานติดตามก็จะมีการติดตามประเมินผล แล้วก็ปรับเปลี่ยนจากสถานการณ์ภายใน และภายนอกประเทศ ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้เกิดการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่เหมาะสม ปัจจุบัน รัฐบาลและ คสช. กําลังขับเคลื่อนด้วยโครงการ“ไทยนิยมยั่งยืน”มีการจัดตั้ง“คณะทํางานบูรณาการ”หน่วยงานทุกภาคส่วน แบ่งออกเป็นระดับรัฐบาล ระดับจังหวัด อําเภอ ตําบล ออกเยี่ยมเยียนประชาชนเป็นรายครัวเรือน หรือรายบุคคล เพื่อจะร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาความเดือดร้อน ค้นหาความต้องการของประชาชน หมู่บ้าน ชุมชน เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถ การสร้างมูลค่า หรือการลงทุนเพื่อให้ประชาชนร่วมกันคิดจะทําประโยชน์อย่างไรในพื้นที่ ให้พื้นที่นั้นมีรายได้ ทุกคนที่พอเพียง แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรให้ได้ตรงจุดและยั่งยืน ก็เหมือนกับเราไปทําให้เกิดการระเบิดจากข้างใน บางพื้นที่อาจจะนึกอะไรไม่ออก เราก็จะมีคําแนะนําลงไปว่าในพื้นที่อื่น ๆ เขาทําอะไรสําเร็จมาแล้วบ้าง เขาอยากจะทําอย่างนั้นอย่างนี้หรือไม่ ทุกคนก็ต้องเปลี่ยนแปลง วันนี้งบประมาณ เราก็จะมีทั้งจากบนลงไปล่าง แล้วก็จากล่างขึ้นมาบน การจัดทํางบประมาณ เราต้องรับฟังความต้องการของประชาชนด้วย ไม่ใช่กําหนดจาก ท๊อปดาวน์ ลงไปอย่างเดียว เพราะฉะนั้นในการลงไปพื้นที่ครั้งนี้ก็ต้องกําหนดเองจากในพื้นที่ว่า งบประมาณที่เราตั้งกรอบไว้นั้น จะใช้ได้อย่างไร ให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว ในลักษณะที่เป็นกลุ่ม หรือว่าเป็นที่รวมกันได้ ที่จะเกิดมูลค่าขึ้น หลายๆ คน หลายๆ ครอบครัว หากเป็นงบประมาณที่นอกเหนือไปจากนี้ งบประมาณมาก ในการทํากิจกรรมที่ไม่ตรงกับหลักการ ของโครงการ“ไทยนิยมยั่งยืน”ก็จะต้องเป็นการเสนอโครงการเหล่านี้ขึ้นมาในกรอบการเสนอของงบประมาณประจําปี ให้กรรมการที่สูงกว่าขึ้นมา ได้พิจารณานําเสนอการใช้ในงบปกติ หรืองบบูรณาการ ในการใช้จ่ายงบประมาณในปีต่อไปด้วย เหมือกับไปทํา Big data ด้วย สําหรับในเรื่องของใช้จ่ายงบประมาณนั้น หลายคนอาจจะมองว่าทําไมยังทุจริตกันอยู่ จริง ๆ แล้วไม่ใช่ของง่ายเลย แต่ก็ไม่ใช่ของยากเกินไป เพราะเรามีระบบตรวจสอบวันนี้รัฐบาลในฐานะรัฐบาล คสช. ก็มีเรื่องตรวจสอบมากมาย ทุกอย่างกําลังเข้าสู่กระบวนการบางครั้งพูดก่อนก็ไม่ได้ ขอให้รอผลที่ออกมาแล้วกัน ส่วนใหญ่กฎหมายเราไม่ได้บกพร่อง อาจจะมีไม่ทันสมัยบ้าง อะไรทํานองนี้ ก็ต้องแก้ไขไม่ให้ล้าสมัยแต่ปัญหาอยู่ที่ตัวบุคคล ประชาชนที่เกี่ยวข้อง หรืออาจะเรียกได้ว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด อาจจะมีส่วนร่วมในการทุจริต มีการสมยอม เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็เป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ ในระดับจัดทําโครงการ นโยบายก็คือนโยบาย กําหนดลงไป ข้างล่างก็จัดทําโครงการขออนุมัติขึ้นมา ข้างบนก็อนุมัติโครงการลงไป ก็ระมัดระวังเต็มที่ทีนี้เวลาไปทํา ข้างล่างก็มีการจัดทําสัญญา จัดซื้อจัดจ้าง กําหนดทีโออาร์ อีกมากมาย เพราะฉะนั้นต้องไปดูว่าจะอุดรูรั่วเหล่านี้ตรงไหน เพราะมีช่องว่างของกฎหมาย อาจจะมีการใช้อิทธิพลกล่าวอ้าง และมีการใช้กลไกบริหาร ข่มขู่ ข้าราชการให้หวาดกลัว ให้ร่วมมือกับเขา อันนี้ต้องระมัดระวัง บางครั้ง บริหารราชการทุจริตเชิงนโยบายที่มีส่วนได้เสีย ในผลประโยชน์โดยมิชอบ อันนี้ก็เกิดขึ้นมาโดยเราเห็นอยู่แล้วบางครั้ง การตรวจสอบเข้าไม่ถึง บางทีมีข่าวออกมา ถูกแพร่หลายออกไปก็ทําให้ภาพลักษณ์เสียหายไปทั้งหมด ทั้งนี้ ขั้นตอนและการจัดทํางบประมาณถือว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมกําหนดเอง ต้องโปร่งใสเราต้องรักษาสิทธิของเรา อย่ายอมให้ใครโกง ไม่มีรอยรั่ว ไม่ใช่ปล่อยไปยาวนานแล้วก็บานปลายกันมา หลายเรื่องทํามานานแล้ว หลายเรื่องเพิ่งทํามาไม่กี่ปีนี้เอง นโยบายดีหมด แต่เวลาไปทําแล้วมีคนโกงไง แล้วเราปล่อยให้โกงอยู่สองปีสามปี ถึงมีเรื่องขึ้นมาแล้วไม่ได้ ต้องไม่เห็นด้วยตั้งแต่ตอนแรกเช่น ไปให้ใครมาเซ็นชื่อ แล้วไม่ได้รับเงินตามกําหนด ตามจํานวนที่ว่า ก็ต้องเลิกตั้งแต่ตอนนั้นเลย หรือมีการล่ารายชื่อมาแล้วไปขึ้นเงิน โดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าเขาเอาไปทําอะไร นี่คือสิ่งที่เราต้องรู้กฎหมาย ประชาชนทุกคนต้องเรียนรู้ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นนปัญหาก็บานปลายขึ้นมา ต้องนําไปสู่กระบวนการตรวจสอบที่ยืดเยื้อยาวนาน ไปเร่งมากก็ไม่ได้ เพราะหลักฐานต้องใช้มาก เราต้องมีความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้นในเรื่องของการปราบปรามทุจริต ต้องไปแยกแยะให้ออก อะไรคือการทุจริต ทุจริตนั้นจะลงโทษกันด้วยอะไร ทางวินัยก็มี โทษทางกฎหมายคดีอาญา คดีแพ่ง มีหมด เพียงแต่ต้องเข้าใจว่าการดําเนินการเป็นอย่างไร วันนี้เราคิดว่า จะเปิดให้มีช่องทางร้องทุกข์กล่าวโทษ เช่น หาหลักฐานในการร้องทุกข์กล่าวโทษนําเข้ากระบวนการ โดยไม่ต้องกลัวผู้กระทําผิด รัฐบาลจะเป็นผู้ดูแลความลับ ความปลอดภัยให้ทุกคนกรุณาอย่านิ่งดูดาย อย่ากลัว ต้องช่วยกันต่อต้าน อย่าเพียงวิจารณ์ ต้องดูว่าเขาทําโปร่งใสหรือไม่ ตัวเองได้ประโยชน์อย่างไร อย่าให้ใครเอาเราไปหาประโยชน์ต่อไปอีก ต้องแก้ไข ทั้งระบบรัฐบาลนี้ก็มีหลายมาตรการ มีกฎหมาย ทั้งป้องกันและปราบปราม แต่ปัญหาส่วนใหญ่มักอยู่ที่ตัวบุคคล คนเลว ๆ ก็ยังแทรกซึมอยู่ ไม่ใช่ระบบเสียหาย หรือรัฐบาลนี้ทําเสียหาย รัฐบาลนี้ได้ทําหลายอย่างให้เกิดความชัดเจนเกิดขึ้น อะไรที่ไม่ชัดเจนก็ทําต่อไป ไม่ใช่แย่ไปทั้งหมด คงไม่ใช่ เพราะรัฐบาลนี้ คดีความเหล่านี้ได้ออกมาเป็นจํานวนมาก เราไม่ต้องการปกป้องคนทุจริต โดยเฉพาะคนทุจริตที่หลบหนี องค์กรตรวจสอบการทุจริตก็มีมาก ทั้ง สตง.องค์กรอิสระภาคเอกชน ฯลฯ ก็ต้องปรับตัวเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย หลายอย่างเป็นเรื่องของการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง การปฏิรูปประเทศ ฉะนั้นหลักการทางกฎหมายก็ต้องไปดูว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก็เกี่ยวกับการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกปัจจุบัน ช่วยกันแก้ ทั้งระบบเด็ก ๆ เยาวชน คนรุ่นใหม่ต้องให้ความสําคัญเรื่องนี้ให้มากเพราะเป็นการบ่อนทําลายประเทศ อนาคตของท่านของเด็ก ๆ เหล่านั้นที่จะโตขึ้นมาในวันหน้า หากใช้งบประมาณสิ้นเปลือง เกิดผลสัมฤทธิ์น้อย ไม่เป็นผลสัมฤทธิ์ที่ยังยืน เพราะการทํางานโดยไม่มีธรรมาภิบาล เหล่านี้คือปัญหาทั้งสิ้น วันนี้ ผมได้สั่งการให้เพิ่มช่องทางสื่อสารโดยเปิดWebsiteและFacebookชื่อ“สายตรง ไทยนิยม”เพื่อรับคําร้องเรียน ร้องทุกข์ ข้อเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น และใช้ในการกระจายข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐ ข้อมูลสาธารณะประโยชน์ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเป็นสําคัญเสริมช่องทางเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งสายด่วน 1111 และ 1567 ซึ่งโทรฟรีทั่วไทย ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น ส่วนการตอบคําถามนายกรัฐมนตรี 10 ข้อ ที่เราทํามาโดยตลอดนั้น ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วม เราได้รับสรุปผลรายงานมา 15 ครั้ง แล้วต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชน“เกือบ 1 ล้าน 5 แสนคน”ที่ออกมาแสดงความคิดเห็น ผมถือว่าเป็นความสมัครใจ เพราะไม่ได้ไปกะเกณฑ์ใครมา ไม่รู้จักกัน เขามาตอบคําถามในขณะที่เห็นการปฏิบัติงาน ซึ่งอาจจะต่างจากการสํารวจโพลต่าง ๆ ที่อาจไม่ตั้งใจ ไม่สมัครใจ หรือมีความรู้พอเพียงที่จะตอบโพลล์เหล่านั้น อันนี้ไม่ใช่โพลล์แบบนั้น มาตอบคําถามด้วยตัวเอง ยืนยันตัวตน ผู้ที่มาตอบคําถามผมนั้น ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องเกษตรกร อายุช่วงวัยแรงงาน 31 - 60 ปีข้อสําคัญคือการศึกษาระดับประถมศึกษาเท่านั้น โดยข้อมูลบางส่วนที่น่าสนใจ อย่างมีนัยสําคัญ เช่น ต้องการให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง วันนี้เราก็ทํามาอยู่แล้ว 3- 4 ปีที่ผ่านมา ปฏิรูปในเชิงโครงสร้าง ปฏิรูปองค์กร ปฏิรูปวิธีการทํางาน ปฏิรูปกฎหมาย จะได้เตรียมความพร้อมสู่ระยะที่สองโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และคาดหวังว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ซึ่งผมถือว่าเป็น“ภารกิจสําคัญ”ของ คสช. ตั้งแต่ต้น ที่จะต้องทําให้สําเร็จในระยะที่ 1 ที่เราอยู่นี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเห็นในเรื่องของนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือมีความผิด ส่อทุจริตนั้น คําตอบที่ได้จากพี่น้องประชาชน คือต้องการให้ได้รับโทษที่หนักที่สุด โดยการตัดสิทธิ์ทางการเมือง การติดตามเอาผิดจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้สนับสนุน รวมไปถึง การยุบพรรคด้วยซึ่งผมเห็นว่าบางอย่างก็แรงไปหรือไม่ ไม่ทราบ แต่นั่นเป็นความเห็นประชาชนเขา ผมก็เห็นว่าต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ตามหลักฐาน ตามกฎหมายที่มีอยู่ ส่วนที่พี่น้องประชาชนคาดหวังให้ คสช. แก้ปัญหาต่าง ๆ ต่อไป และขอให้ผมนิ่งอารมณ์ดี ยิ้มๆ ไม่หงุดหงิด ผมก็จะพยายามทําให้ดีที่สุด พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ ผมมีเรื่องที่น่ายินดี สําหรับสัปดาห์นี้ 2 เรื่องที่จะนํามาเล่าให้ฟัง ช่วยกันคิดวิเคราะห์ว่า เราจะทําอย่างไรต่อไป เพื่อให้สิ่งที่ดี ๆ อยู่แล้ว ดียิ่งขึ้น และสิ่งที่ยังบกพร่องอยู่ ก็ควรจะได้ร่วมมือ ร่วมใจกัน อย่าเอาแต่ติติงกันอย่างเดียว ต้องช่วยกันแก้ไข หาวิธีที่จะปฏิบัติให้ได้ วันนี้สิ่งที่เราทําได้ น่าจะดีขึ้น อาจจะหลายคนมองว่าไม่ดีก็แล้วแต่ วันนี้ภาพลักษณ์ของบ้านเมืองเรา ในสายตาประชาคมโลก เรื่องที่ 1 รายงานผลการวิเคราะห์ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (CPI) ประจําปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยของเรา ได้คะแนนดีขึ้นเล็กน้อยคําว่า “ดีขึ้นเล็กน้อย” เพราะยาก เพราะมีหลายมิติด้วยกัน เมื่อเทียบกับภาพรวมทั่วโลก ส่วนใหญ่“คงที่”โดยเราได้ 37 คะแนน อยู่ในลําดับที่ 96 จากประเทศที่เข้าร่วมประเมินทั้งหมด 180 ประเทศ ก็อยู่ประมาณกลาง ๆ เทียบกับปีก่อนหน้านี้ เราได้ 35 คะแนน อยู่ในลาดับที่ 101 จาก 176 ประเทศที่เข้าร่วมประเมินทั้งนี้ การประเมินของCPI ได้รับความน่าเชื่อถือจากประชาคมโลก เนื่องจากมีการประเมินจากหลายแหล่ง หลากวิธีการ ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญ นักวิเคราะห์ความเสี่ยง นักวิชาการ รวมทั้งนักธุรกิจ ทั้งในประเทศและทั่วโลก ที่สะท้อนข้อเท็จจริง ให้เห็นในประเด็นสําคัญ อาทิ (1) การรับรู้ถึงความมุ่งมั่น จริงจัง ในการดําเนินการของประเทศไทย เกี่ยวกับการอํานวยความสะดวกทางธุรกิจ การต่อต้านการทุจริตติดสินบน อย่างแข็งขันโดยเฉพาะการเร่งรัดดําเนินการตามประกาศคณะรัฐมนตรี ให้ปี พ.ศ.2560 เป็น“ปีแห่งการอํานวยความสะดวกทางธุรกิจ ต่อต้านการรับสินบนทุกรูปแบบ”เป็นต้น (2) ภาพลักษณ์การรับรู้ระบบราชการไทย สังคมไทยทั้งในสายตาประชาชนไทย นักลงทุน ตลอดจนนักวิชาการนานาชาติ ว่าสังคมไทย ยังคงมีกับดักในเรื่องเจ้าหน้าที่รัฐมีพฤติกรรมการใช้ตําแหน่งหน้าที่ในทางมิชอบและ มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ ซึ่งแม้ว่าจะ“ดีขึ้นเล็กน้อย”จากปีที่แล้วมีกติกาเพิ่มขึ้นหลายอย่าง เช่น เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแต่เราก็ทําคะแนนได้สูงขึ้นอยากให้มองตรงนี้ หากเราเลือกตั้ง ในรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลจริงย่อมจะต้องดีขึ้นกว่านี้อีกในระยะต่อไป เราต้องการยกระดับค่าดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น ในส่วนนี้ให้มีคะแนนเพิ่มสูงขึ้นอีก อย่างมีนัยสําคัญ จําเป็นต้องมีแนวร่วมทุกภาคส่วน อย่าติกันอย่างเดียว ต้องติเพื่อก่อ อย่าสร้างความขัดแย้ง และรู้ถึงกลไกกฎหมายกระบวนการตรวจสอบให้ชัดเจนไม่งั้นมันก็ตีกันไปมาหมด ทั้งนี้ เพื่อจะเพิ่มกลไกให้อํานาจบทบาทให้องค์กรอิสระภาคส่วนต่าง ๆ นอกภาครัฐ ให้สูงขึ้น ปัจจุบันในด้านจิตสานึกของประชาชนไทยในเรื่องการต่อต้านการทุจริตนั้น มีระดับสูงขึ้นมากแล้ว สําหรับในปีนี้ นับว่าเริ่มต้นเป็นทิศทางการพัฒนาที่ดี โดย“จิตสํานึก”นั้น จะเป็นเหมือน“ภูมิคุ้มกัน”ป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริต ตั้งแต่ต้นทาง ช่วยให้มาตรการปราบปราม ที่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ลดความสําคัญลง ซึ่งเราก็เดินทางถูกทางแล้ว ผมขอให้พี่น้องประชาชนทุกคน ร่วมมือกัน“เป็นหู เป็นตา”อย่านิ่งเฉยต่อการกระทําผิด เรื่องที่ 2 คือBloombergมีรายงานว่า ประเทศไทย ยังคงครอง“แชมป์”อันดับ 1 ประเทศที่มีความทุกข์ยากด้านเศรษฐกิจน้อยที่สุดในโลก ปี 2017-2018 เป็นปีที่ 4 ต่อเนื่อง เราก็ต้องมาดูในเรื่องของการกระจายรายได้ การสร้างห่วงโซ่มูลค่า ไทยนิยมกําลังลงไป ทําอย่างไรจะถึงข้างล่าง ทําอย่างไรผู้ผลิตถึงจะได้ เช่น เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อยที่เป็นแรงงานเหล่านี้ ทําอย่างไรถึงจะมีรายได้มากขึ้น หลายอย่าง อาชีพเสริม การปรับเปลี่ยนอาชีพ การรวมกลุ่ม การให้ความรู้ การให้เงินทุน แต่เราไม่สามารถจะให้ทุกครอบครัวได้ ต้องสร้างให้เกิดขึ้นข้างล่างในลักษณะที่เป็นการบูรณาการขึ้นมา ถึงจะทํางานได้ งบประมาณมีจํากัด ก็ขอเป็นกําลังใจให้กับทุกคน ข้าราชการดีๆ ก็มีอยู่มาก ประชาชนที่ร่วมมือก็มีมาก สุดท้ายนี้ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประกาศตัวเลข การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยว่า ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560“ขยายตัว”จากไตรมาสเดียวกัน ปีก่อนหน้าที่ ร้อยละ 4.0โดยเป็นผลจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง ในเกือบทุกหมวดสินค้า สอดคล้องกับความต้องการจากต่างประเทศที่ดีขึ้น และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดี โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการบริโภคในภาคเอกชนที่เร่งขึ้นจากรายได้นอกภาคเกษตร และความเชื่อมั่นที่เริ่มดีขึ้นสําหรับภาคการผลิตเราเห็นว่าภาคอุตสาหกรรมขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหมวดการผลิตเพื่อการส่งออก สอดคล้องไปกับการส่งออก ที่ดีขึ้นต่อเนื่องอีกด้านที่ขยายตัวได้ดี คือ โรงแรมและภัตตาคาร จากนักท่องเที่ยว ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งก็เลยได้ส่งผลดีไปยัง ภาคขนส่งและการคมนาคม รวมถึง การค้าส่งและค้าปลีกด้วย อย่างไรก็ดี ภาคเกษตรในไตรมาสสุดท้าย ต้องประสบปัญหาฝนตกชุก และอุทกภัย ในบางพื้นที่ทําให้ในภาพรวม ยังไม่ดีขึ้นมาก เทียบกับภาคอื่น ๆ ในช่วงนั้น แต่ในปีนี้ การบริหารจัดการน้ําที่รัฐบาลเร่งดําเนินการมาตลอด คาดว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาในช่วงต่อไปของพี่น้องเกษตรกรได้ ตรงไหนยังไม่ดี ก็ต้องช่วยกันยกระดับแก้ไขเพิ่มเติม หากมองภาพรวมทั้งปี 2560 เศรษฐกิจไทยขยายตัว จากปี 2559 ที่ร้อยละ 3.9 หลัก ๆ มาจากการส่งออกสินค้า และภาคการท่องเที่ยว ที่ปรับดีขึ้น สําหรับการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ก็ถือว่าฟื้นตัว ต่อเนื่อง ในภาพรวมและในปี 2561 นี้ ทางสภาพัฒน์ฯ มองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ดี ต่อเนื่อง เพราะมีปัจจัยบวก จากการเติบโตต่อเนื่อง ของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชน ที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจาก โครงการร่วมทุนของรัฐบาลและเอกชนที่จะทยอยมีมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนในEECที่จะมีความชัดเจนมากขึ้น กระตุ้นการลงทุนด้านการก่อสร้าง นอกจากนี้ การลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐเองก็คาดว่าจะเร่งขึ้นได้ โดยได้มีการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมวงเงิน 150,000 ล้านบาท รวมทั้งผมได้เร่งให้ส่วนราชการดําเนินการเบิกจ่ายและก่อหนี้ผูกพัน ให้ได้ตามที่กําหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การใช้จ่ายของภาครัฐ เข้าไปสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ดีขึ้นในปี 2561 นี้รัฐบาลมีแนวทางที่จะบริหารเศรษฐกิจ 4 ด้านเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้กับพี่น้องประชาชน ได้แก่ (1) การสนับสนุนการขยายตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร ให้สามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง ทั้งภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว ผ่านการสร้างความเชื่อมั่น และการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้รายได้กระจายลงไปในฐานรากได้มากขึ้น ในระยะต่อไป (2) การขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐ ทั้งในเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และ ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน และ ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในระยะต่อไป (3) การดูแลพี่น้องเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย รวมถึงSMEsผ่านโครงการต่าง ๆ เพื่อรองรับความผันผวนของดินฟ้าอากาศและ การจัดการกับความเสี่ยง ที่ผลผลิตจะเสียหาย การขับเคลื่อนนโยบายเกษตรแปลงใหญ่ รวมถึงปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ และ ดูแลการเข้าถึงสินเชื่อการสนับสนุนเงินทุนให้กับเกษตรกร ประชาชนผู้มีรายได้น้อย รวมถึงธุรกิจSMEs (4) การเตรียมพร้อมด้านแรงงานและ ยกระดับคุณภาพแรงงาน ให้เพียงพอเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคการผลิตและการลงทุน มาตรการเหล่านี้ นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยเติบโต ได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนแล้ว ยังจะช่วยเป็นรากฐานที่เข้มแข็งในการสนับสนุนการปฏิรูปประเทศตามแผนงาน และแผนยุทธศาสตร์ชาติในระยะต่อไปด้วย ปัญหาสําคัญ คือ การจราจร ความปลอดภัย ในการใช้รถใช้ถนน คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อมอาชีพรายได้ที่พอเพียงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การศึกษาและอื่น ๆ อีกมากมาย อันนี้ก็อยู่ในแผนปฏิรูป และยุทธศาสตร์ชาติด้วย ที่เราต้องร่วมมือกันแก้ไข และใช้การปฏิบัติการแบบไทยนิยม คนไทยต้องร่วมมือกันแบบพอดี เพื่อแผ่นดิน เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่อประเทศชาติ ให้เกิดความร่วมมือในระดับพื้นที่แบบประชารัฐให้เกิดผลสัมฤทธิ์ให้จงได้ ขอบคุณครับ ขอให้“ทุกคน ทุกครอบครัว”มีความสุข พาลูกหลานไปทําบุญ เข้าวัด ฟังเทศน์ เวียนเทียน สนทนาธรรม ในวันมาฆบูชาด้วย จิตใจจะได้ผ่องใสกันทุกคน และว่าง ๆ ก็ไปเที่ยวงานอุ่นไอรักกัน สวัสดีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เนื่องในวันมาฆบูชา ซึ่งปีนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 1 รัฐบาลขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกท่าน หอบลูก จูงหลาน พาคนในครอบครัว ร่วมใจกันปฏิบัติกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ณ วัด หรือ ศาสนสถานในชุมชน ใกล้บ้าน ด้วยการทําบุญ ตักบาตร เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา รักษาศีล เจริญจิตภาวนา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาน้อมนําจิตใจให้ระลึกถึงคําสอน“โอวาทปาฏิโมกข์”ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานไว้ให้ชาวพุทธ อันเป็น“หัวใจพระพุทธศาสนา”คือ“การทําความดี ละเว้นความชั่ว ทําจิตใจบริสุทธิ์” เพื่อเสริมสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ตนเอง เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว อีกทั้งจะนําพาความสงบสุข ความรุ่งเรือง มาสู่สังคมและประเทศชาติ โดยรวมในที่สุดรวมทั้งเป็นการสืบสานพระพุทธศาสนาให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ตลอดไป ทั้งนี้ ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม ที่ศาสนิกชนทุกท่านนับถือ ล้วนสอนให้เราทุกคนเป็นคนดี และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เพียงแต่เราทุกคนต้องเข้าใจคําสั่งสอนของ“องค์ศาสดา”ที่เป็นแก่นสาร ที่แท้จริง แล้วนําไปสู่การประพฤติ ปฏิบัติตน ให้ถูกต้อง ตามทํานองคลองธรรม ทั้งในการดํารงชีวิตประจําวัน และ การประกอบสัมมาอาชีวะด้วย การอบรมสั่งสอนลูกหลาน ตาม“ศาสตร์พระราชา”ที่ว่า“บวร คือ บ้าน - วัด - โรงเรียน”นั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบการศึกษา ที่เป็น“ไทยนิยม” ครอบครัวไม่ควรทิ้งภาระให้โรงเรียน และ ไม่ห่างไกลศาสนา อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจคน เด็กทุกคน ก็เปรียบเสมือน“ผ้าขาว”หากพ่อแม่ พี่น้อง ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูงรวมทั้งคนในสังคม ช่วยกันรังสรรค์ แต่งเติม สีสัน ให้งดงาม เยาวชนของเรา ก็จะไม่เป็นเพียงผ้าขาว แต่จะเป็น "ผลงานศิลปะ" ที่ทรงคุณค่า แต่หากผู้ใหญ่ อาจารย์ หรือคนในสังคม ใส่“ชุดความรู้”ที่ผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว บิดเบือน อาจด้วยไม่รู้จริง หรือนําเฉพาะหลักวิชาการมาพูด หรืออาจจะมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ หวังผลร้าย ไม่เพียงแต่จะเป็นการทําร้ายเยาวชนของชาติในอนาคต แต่จะเป็นการทําลายสังคมของเราในปัจจุบันอีกด้วย การนําหลักวิชาการ หลักสากล มาปลูกฝังเป็น "หลักคิด" ให้กับลูกหลานเราก็จําเป็นต้องอาศัยความเข้าใจ สามารถแนะนําให้ประยุกต์ใช้ อย่างเหมาะสมกับสังคมของเรา ตามหลัก“ไทยนิยม”การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ก็มีความแตกต่างกัน ในวิธีการปฏิบัติ แต่“แก่นสาร”ก็ยังคงเหมือน ๆ กัน ซึ่งเป็นที่น่าตกใจ จากผลสํารวจของสํานักวิจัยซูเปอร์โพล เรื่อง“ประชาธิปไตยที่ประชาชนต้องการ”จากกลุ่มตัวอย่าง ประชาชนทุกสาขาอาชีพ จํานวนทั้งสิ้น ราว 1 พันตัวอย่าง ด้วยคําถามปลายเปิด สะท้อนว่า ประชาชน 36% หรือมากกว่า 1 ใน 3 ที่เป็น“ส่วนใหญ่”ไม่รู้ ไม่ทราบ แล้วก็ไม่ตอบในเรื่องของประชาธิปไตยนี้ “ส่วนที่เหลือ”ก็มีคําตอบที่แตกต่างกันตามประสบการณ์โดยระบุว่า... ประชาธิปไตย คือ ความเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ อิสระในการคิดการพูด ฟังเสียงคนข้างมาก รักสามัคคีกัน การมีส่วนร่วม บางคนนึกถึงการเลือกตั้ง บางคนบอกว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ เมื่อถามถึงความชอบต่อประชาธิปไตยแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ หรือต้องการให้เป็นแบบใด พบว่า 41% ชอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่ตอนนี้ขณะที่ 59% ต้องการประชาธิปไตยแบบสงบสุข แบบพอเพียง ไม่มีคอร์รัปชั่น และบางส่วนระบุแบบไหนไม่รู้ แต่ขอให้ดีขึ้นกว่านี้ ที่จําเป็นต้องยกขึ้นมาพูด ซึ่งเป็นผลโพลจากภายนอก ไม่ใช่ของรัฐบาล ของ คสช. เพราะอยากจะให้ทุกคนลองพิจารณาดูว่า สังคมของเรานั้นไดเให้ความรู้ ความเข้าใจ ในเรื่องประชาธิปไตยกันมากพอหรือยัง ใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่เพียงโรงเรียน หรือรัฐบาล แต่ประชาธิปไตยต้องเริ่มตั้งแต่ที่บ้าน ต้องอยู่ในสายเลือด ในจิตสํานึกที่ผ่านมาพรรคการเมือง ก็ถือว่าเป็นสถาบันหลัก ที่มีหน้าที่ส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยด้วย และพรรคการเมืองก็ต้องไม่ถูกแทรกแซง ควบคุม ครอบงํา ชี้นําจากบุคคลอื่นใดนะครับ ที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม จนขาดความอิสระ ซึ่งก็ระบุชัดในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ซึ่งไม่ใช่เพียง“ประชาธิปไตยไทยนิยม”แต่เป็นหลักสากล พื้นฐาน ที่กล่าวมานั้น ผมสนับสนุนให้สอนเยาวชนด้วยหลักวิชาการ ควรจะยกกรณีความสําเร็จ ความล้มเหลวของต่างประเทศ มาเปรียบเทียบ แต่ก็ไม่ได้ให้“เดินซ้ํารอยความผิดพลาด” ให้เด็กได้คิด ให้มีพื้นฐานหลักคิดที่ถูกต้อง ว่าประเทศชาติจะสงบสันติได้อย่างไร ด้วยวิธีการอย่างไร ไม่ใช่ให้เอาเยี่ยงอย่าง การล้มล้างสถาบัน การเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยที่ประชาชนยังไม่พร้อมจนต้องบาดเจ็บ ล้มตาย ตามที่หลายประเทศล้มเหลวมาก่อน เราก็ได้รู้ เราได้เห็นแล้ว ก็ไม่จําเป็นต้องให้ประวัติศาสตร์เหล่านั้นซ้ํารอยอีก หรือเจ็บแล้วลืม จนต้องล้มแล้วล้มอีก ลองสอนเด็กง่าย ๆ แบบไทย ๆ แบบนี้ได้หรือไม่ หรือปูพื้นฐานให้เขาก่อน ก่อนที่จะเอาตัวอย่างจากที่อื่น ๆ มาสอนต่อ ไม่อย่างนั้นก็ไปสอนให้คิดนอกกรอบกันไปหมด กรอบที่ว่าคือ กรอบคําว่า สงบ สันติ ให้ได้เสียก่อน เช่น การเลือกตั้ง ถ้าเราเปรียบเทียบก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือก“กล้วย”กล้วยที่เปลือกยังเขียวอยู่ ก็ยังไม่สุก ไม่พร้อมจะรับประทาน คุณสมบัติก็ไม่ครบนะครับ กล้วยเปลือกสีเหลือง คือ สุกงอม กินได้ เหมาะสม แต่ถ้ากล้วยเปลือกดําแล้ว คือ ไม่ดี ไม่ควรเลือกกิน แต่ถ้าเราไปสอนโดยยกตัวอย่าง เป็นผลไม้อื่น เช่น แอปเปิ้ลซึ่งไม่เป็นผลไม้ประจําถิ่นของเรา บางคนเกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นต้นแอปเปิ้ลเลย อาจจะเคยทาน แต่ไม่เคยเห็นต้น เด็กไทยคงไม่อาจแยกแยะด้วยสีของเปลือกได้ว่า แอปเปิ้ลผลไหน ดี สุก กินได้ ไม่ง่ายเหมือนกล้วย“แก่นสาร”ของเรื่องนี้คือ ทําอย่างไร ให้คนไทยสามารถแยกแยะว่า ถ้ามีการเลือกตั้งแล้วควรเลือกใคร และเลือกจากอะไร...ไม่ใช่ใช้ความรัก ความชอบ ความคุ้นเคย ใช้อารมณ์ แต่ไม่พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล เช่น ดูที่นโยบายพรรค ดูที่ประวัติการทํางาน เหล่านี้ เป็นต้น ทั้งนี้ การเข้าคูหาเลือกตั้งนั้น ต้องคํานึงถึงการเลือกนักการเมืองที่มีคุณภาพ ไม่มีประวัติเสื่อมเสีย หรือทุจริตมาก่อน เลือกพรรคการเมืองที่น่าเชื่อถือ ดูจากนโยบาย จากการดําเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง หรือ ถูกครอบงํา ตามที่ได้กล่าวไปแล้วนอกจากนี้ ผมอยากให้พี่น้องประชาชน มีความรู้ หลักคิด มีหลักการเลือก ส.ส. ที่มีคุณภาพ หลีกเลี่ยงผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือพรรคที่มีนโยบายในลักษณะสัญญาว่าจะให้ เพื่อดึงดูดใจ ในสิ่งที่ผิด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นนโยบายที่มีผลต่อการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินที่สิ้นเปลืองมากเกินไป ขาดวินัยการเงินการคลัง หรือ ขัดแย้งพันธกรณีต่างประเทศ เป็นต้น สําหรับเส้นทางสู่การเลือกตั้งของเรานั้น บางคนยังเข้าใจผิดว่า การไม่ไปเลือกตั้ง จะทําให้รัฐบาลหรือ คสช. อยู่ต่อไปได้ ความจริงแล้วคือ หากท่านไม่ไปเลือกตั้งแล้ว ผู้สมัครคนใดได้คะแนนมาก ก็ได้เป็น ส.ส. และ พรรคที่มี ส.ส. มากที่สุดก็จะโอกาสได้ตั้งรัฐบาล ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างการออกกฎหมายลูก 4 ฉบับ ที่จําเป็นต่อการเลือกตั้ง ได้แก่ (1) กฎหมายลูกว่าด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) (2) กฎหมายลูกว่าด้วย พรรคการเมือง (3) กฎหมายลูกว่าด้วย การเลือกตั้ง ส.ส. และ (4) กฎหมายลูกว่าด้วย การได้มาซึ่ง ส.ว. ใน 2 ฉบับท้าย กําลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย สนช.กรธ. และ กกต. เพื่อจะพิจารณาในทุกประเด็น ที่ยังเห็นไม่ตรงกัน เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ส่วนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ภาย หลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วในอีก 90 วัน หลังจากประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา การเลือกตั้ง ก็อาจจะเกิดขึ้นในเดือนใดก็ได้ ภายใน 150 วัน หลังจากนั้นทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทุกฝ่าย ทั้งพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และ กกต. ในระหว่างนั้น ครม. จะแจ้ง คสช. ให้เชิญ กกต.กรธ. รวมถึงทุกพรรคการเมืองมาพูดคุยหารือว่า การเลือกตั้งนั้นควรจะเกิดขึ้นเมื่อใด วันเวลา ที่ทุกฝ่ายพร้อม ทุกฝ่ายเห็นพ้องกัน แล้วก็ถือเป็น“วาระสําคัญของชาติ”อาจจะต้องเป็นสัญญาร่วมกันว่า ทําอย่างไรเราจะเดินหน้าประเทศไป ให้เป็นไปตามRoadmapของประเทศ ให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ รัฐบาลและ คสช. ไม่เคยมีความคิด และไม่ไปก้าวล่วงอํานาจใด ๆ ที่จะทําให้เกิดการคว่ําร่างกฎหมายต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะรัฐบาลไม่อยากให้กําหนดเวลาคลาดเคลื่อน ตามที่มีใครหลายคนพยายามบิดเบือน ให้ข้อมูลผิด ๆ ต่อสังคม เว้นอย่างเดียว คือการเกิดความวุ่นวายประชาชนขัดแย้ง ใช้กําลัง ใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง การหาเสียงมีปัญหา ประชาชนขัดแย้งกันอีกนะครับ เกิดความไม่สงบ เหมือนช่วงก่อนปี 57 อันนั้นก็เป็นอีกเรื่อง ทุกคนต้องช่วยกัน อย่าให้เกิดขึ้นดังนั้น ประชาชน นักการเมือง และทุก ๆ ฝ่ายก็ต้องช่วยกัน รักษาบรรยากาศ ความมีเสถียรภาพของประเทศ ต้องไม่ขัดแย้ง ไม่แบ่งฝ่ายกันอีกต่อไป แล้วก็ต้องสัญญากันว่า หลังการเลือกตั้ง เราจะได้มีฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านที่จะต้องร่วมมือกัน ทําในสิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนทั้งประเทศต้องการ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ที่เป็นฐานเสียงของฝ่ายใดก็ตาม รวมทั้ง ร่มกัน หรือช่วยกันในการปฏิรูปประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติต่อไป พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสลงพื้นที่ ไปพบปะพี่น้องประชาชนในจังหวัดนครปฐม และได้เยี่ยมเยียนโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ ยินดีที่เห็นหลายต่อหลายโครงการประสบความสําเร็จ สามารถประยุกต์ใช้ โดยการนําหลักคิดทฤษฎีเกษตรต่างๆ ภายใต้“ศาสตร์พระราชา”มาผสมผสานในการสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างความยั่งยืน ให้กับอาชีพและรายได้ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมด้วย ต้องดูแลให้ความสําคัญด้วยแห่งแรกคือ ศูนย์การเรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ที่เรียกว่า ศพก. ณ ตําบลแหลมบัว อําเภอนครชัยศรี ที่เป็นจุดเรียนรู้ด้านการเกษตร และเรียนรู้ของเกษตรกร รวมถึงประชาชนที่สนใจ ที่จะเรียนรู้จากเกษตรกรต้นแบบ ในการทําอาชีพการเกษตร และประสบความสําเร็จ ได้มีการน้อมนําแนวทางของ“ศาสตร์พระราชา”ทั้งในเรื่องกระบวนการจัด การศัตรูพืช ชุมชน การบริหารจัดการน้ํา การปศุสัตว์ พืชผักในโรงเรือนการแปรรูปข้าว นาข้าวอินทรีย์ และการทําปุ๋ยหมัก มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ลดต้นทุนการผลิต ผลผลิตที่ได้ก็จะเพิ่มขึ้น และมีคุณภาพมากขึ้น ส่วนต่างของราคาก็จะมากขึ้น ควบคู่ไปกับการน้อมนํา“หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”มาประยุกต์ใช้ด้วย เพื่อจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิต ช่วยแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรในพื้นที่นําไปสู่กระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้หลักคิด“เกษตรกรพัฒนาเกษตรกรด้วยกันเอง ก็จะเกิดความเข้มแข็งและยั่งยืน” นอกจากนี้ ยังได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมแปลงนาบัว ลุงแจ่ม สวัสดิ์โต ที่บ้านศาลาดิน ตําบลมหาสวัสดิ์ อําเภอพุทธมณฑลก็เป็นหนึ่งในที่ดินพระราชทาน ตามแนวพระราชดําริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ตั้งแต่ปี 2518 เพื่อแก้ปัญหาเกษตรกรไม่มีที่ทํากิน ซึ่งนับเป็นต้นแบบของการปฏิรูปที่ดินของประเทศไทย เนื่องจากราคาข้าวมีความไม่แน่นอนสูง ทําให้ลุงแจ่ม เปลี่ยนมาทํา“นาบัว”แทน เป็นพื้นที่ลุ่มด้วย ได้จัดระบบที่ดินเพื่อการเพาะปลูกให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนที่เป็นนาบัว ก็มีการแบ่งแปลง และคํานวณเวลาปลูก เพื่อให้สามารถเก็บผลผลิตได้ตลอดปี พื้นที่ส่วนที่เหลือเป็นที่อยู่อาศัย และคันนาล้อมพื้นที่ เพื่อทําเกษตรแบบผสมผสาน ตามแนวพระราชดําริ โดยมีการปลูกพืชสวนครัว ไม้ดอก ไม้ผล สร้างรายได้เสริมได้ทุกวัน ซึ่งไม่เพียงแต่ลุงแจ่มเท่านั้น พี่น้องบ้านศาลาดิน ก็ได้น้อมนําแนวทางเกษตรแบบผสมผสานไปปรับใช้ อีกทั้ง ยังพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิต สร้างผลิตภัณฑ์ชุมชน ที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ รวมทั้งผลผลิตทางการเกษตรที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ บนพื้นฐานความต้องการ และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ทําให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเช่นในปัจจุบันที่ผมกล่าวถึง มีรายได้เพียงพอ แล้วก็เหลือใช้ เก็บออมได้เป็นจํานวนมาก ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชน และข้าราชการในพื้นที่ที่มาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยความภาคภูมิใจในผลงาน ด้วยความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งข้าราชการ และประชาชน แล้วภาคธุรกิจก็มาร่วมด้วย หลายบริษัทก็เข้าไปดูในเรื่องของการซื้อสินค้าเกษตรจากพี่น้องเกษตรกร ขอขอบคุณ การที่ผมลงไปนั้น ผมต้องการที่จะเข้าไปรับฟังปัญหาของพื้นที่ด้วยตัวเอง เพื่อช่วยแก้ไขให้ได้อย่างตรงจุด หลายอย่างก็ฟังจากข้าราชการ และผมก็ไปสอบถามประชาชนด้วยว่าใช่หรือไม่ จริงหรือไม่ เป็นการตรวจสอบด้วยตัวผมเอง เราจะได้แก้ไขได้ตรงจุด ซึ่งนับจากวันนี้ เราจะมีคณะทํางานตามโครงการไทยนิยมลงไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ใช่แค่รับฟังปัญหา แต่ลงไปช่วยหาแนวทางแก้ไขให้เท่าที่ทําได้ก่อน ซึ่งจะทําให้รัฐบาลสามารถเข้าไปดูแลพี่น้องประชาชนได้รวดเร็วขึ้น อันนี้จริง ๆ แล้วคือหลักการในเรื่องของยุทธศาสตร์การพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 คือเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ชุดนี้ก็จะลงไปทําความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน คือเข้าใจพื้นที่ เข้าใจประชาชน เข้าถึงปัญหาในทุกมิติ แล้วนําไปสู่การพัฒนา อันนี้คือสิ่งที่เราคาดหวังไว้กับชุดทํางานที่ลงไปในพื้นที่ด้วย พี่น้องประชาชนที่เคารพทุกท่าน ครับ ในอนาคตการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย เราจะมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ ประเด็นต่าง ๆ เป็นกรอบภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ“ฉบับปัจจุบัน”ช่วงนี้อยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์ เพื่อรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติม จากทุกภาคส่วน ก่อนที่คณะกรรมการที่รับผิดชอบ จะนําข้อเสนอแนะต่าง ๆ มาปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมแล้วเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ทราบ และมีผลบังคับใช้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ก็ยังสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อม ที่อาจจะไม่เป็นไปตามการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ระหว่างการจัดทํายุทธศาสตร์ และแผนปฏิรูป ทั้งนี้ จะต้องเป็นไปตามกลไกที่กําหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ คือการรับฟังความคิดเห็นของสาธารณะชน และการพิจารณาของรัฐสภาเป็นสําคัญ ทั้งนี้ จะต้องมีการประเมินทุก ๆ 5 ปี คู่ขนานกับการปรับปรุงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12–15 ด้วย ทุกปี คณะทํางานติดตามก็จะมีการติดตามประเมินผล แล้วก็ปรับเปลี่ยนจากสถานการณ์ภายใน และภายนอกประเทศ ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้เกิดการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่เหมาะสม ปัจจุบัน รัฐบาลและ คสช. กําลังขับเคลื่อนด้วยโครงการ“ไทยนิยมยั่งยืน”มีการจัดตั้ง“คณะทํางานบูรณาการ”หน่วยงานทุกภาคส่วน แบ่งออกเป็นระดับรัฐบาล ระดับจังหวัด อําเภอ ตําบล ออกเยี่ยมเยียนประชาชนเป็นรายครัวเรือน หรือรายบุคคล เพื่อจะร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาความเดือดร้อน ค้นหาความต้องการของประชาชน หมู่บ้าน ชุมชน เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถ การสร้างมูลค่า หรือการลงทุนเพื่อให้ประชาชนร่วมกันคิดจะทําประโยชน์อย่างไรในพื้นที่ ให้พื้นที่นั้นมีรายได้ ทุกคนที่พอเพียง แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรให้ได้ตรงจุดและยั่งยืน ก็เหมือนกับเราไปทําให้เกิดการระเบิดจากข้างใน บางพื้นที่อาจจะนึกอะไรไม่ออก เราก็จะมีคําแนะนําลงไปว่าในพื้นที่อื่น ๆ เขาทําอะไรสําเร็จมาแล้วบ้าง เขาอยากจะทําอย่างนั้นอย่างนี้หรือไม่ ทุกคนก็ต้องเปลี่ยนแปลง วันนี้งบประมาณ เราก็จะมีทั้งจากบนลงไปล่าง แล้วก็จากล่างขึ้นมาบน การจัดทํางบประมาณ เราต้องรับฟังความต้องการของประชาชนด้วย ไม่ใช่กําหนดจาก ท๊อปดาวน์ ลงไปอย่างเดียว เพราะฉะนั้นในการลงไปพื้นที่ครั้งนี้ก็ต้องกําหนดเองจากในพื้นที่ว่า งบประมาณที่เราตั้งกรอบไว้นั้น จะใช้ได้อย่างไร ให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว ในลักษณะที่เป็นกลุ่ม หรือว่าเป็นที่รวมกันได้ ที่จะเกิดมูลค่าขึ้น หลายๆ คน หลายๆ ครอบครัว หากเป็นงบประมาณที่นอกเหนือไปจากนี้ งบประมาณมาก ในการทํากิจกรรมที่ไม่ตรงกับหลักการ ของโครงการ“ไทยนิยมยั่งยืน”ก็จะต้องเป็นการเสนอโครงการเหล่านี้ขึ้นมาในกรอบการเสนอของงบประมาณประจําปี ให้กรรมการที่สูงกว่าขึ้นมา ได้พิจารณานําเสนอการใช้ในงบปกติ หรืองบบูรณาการ ในการใช้จ่ายงบประมาณในปีต่อไปด้วย เหมือกับไปทํา Big data ด้วย สําหรับในเรื่องของใช้จ่ายงบประมาณนั้น หลายคนอาจจะมองว่าทําไมยังทุจริตกันอยู่ จริง ๆ แล้วไม่ใช่ของง่ายเลย แต่ก็ไม่ใช่ของยากเกินไป เพราะเรามีระบบตรวจสอบวันนี้รัฐบาลในฐานะรัฐบาล คสช. ก็มีเรื่องตรวจสอบมากมาย ทุกอย่างกําลังเข้าสู่กระบวนการบางครั้งพูดก่อนก็ไม่ได้ ขอให้รอผลที่ออกมาแล้วกัน ส่วนใหญ่กฎหมายเราไม่ได้บกพร่อง อาจจะมีไม่ทันสมัยบ้าง อะไรทํานองนี้ ก็ต้องแก้ไขไม่ให้ล้าสมัยแต่ปัญหาอยู่ที่ตัวบุคคล ประชาชนที่เกี่ยวข้อง หรืออาจะเรียกได้ว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด อาจจะมีส่วนร่วมในการทุจริต มีการสมยอม เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ซึ่งก็เป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ ในระดับจัดทําโครงการ นโยบายก็คือนโยบาย กําหนดลงไป ข้างล่างก็จัดทําโครงการขออนุมัติขึ้นมา ข้างบนก็อนุมัติโครงการลงไป ก็ระมัดระวังเต็มที่ทีนี้เวลาไปทํา ข้างล่างก็มีการจัดทําสัญญา จัดซื้อจัดจ้าง กําหนดทีโออาร์ อีกมากมาย เพราะฉะนั้นต้องไปดูว่าจะอุดรูรั่วเหล่านี้ตรงไหน เพราะมีช่องว่างของกฎหมาย อาจจะมีการใช้อิทธิพลกล่าวอ้าง และมีการใช้กลไกบริหาร ข่มขู่ ข้าราชการให้หวาดกลัว ให้ร่วมมือกับเขา อันนี้ต้องระมัดระวัง บางครั้ง บริหารราชการทุจริตเชิงนโยบายที่มีส่วนได้เสีย ในผลประโยชน์โดยมิชอบ อันนี้ก็เกิดขึ้นมาโดยเราเห็นอยู่แล้วบางครั้ง การตรวจสอบเข้าไม่ถึง บางทีมีข่าวออกมา ถูกแพร่หลายออกไปก็ทําให้ภาพลักษณ์เสียหายไปทั้งหมด ทั้งนี้ ขั้นตอนและการจัดทํางบประมาณถือว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมกําหนดเอง ต้องโปร่งใสเราต้องรักษาสิทธิของเรา อย่ายอมให้ใครโกง ไม่มีรอยรั่ว ไม่ใช่ปล่อยไปยาวนานแล้วก็บานปลายกันมา หลายเรื่องทํามานานแล้ว หลายเรื่องเพิ่งทํามาไม่กี่ปีนี้เอง นโยบายดีหมด แต่เวลาไปทําแล้วมีคนโกงไง แล้วเราปล่อยให้โกงอยู่สองปีสามปี ถึงมีเรื่องขึ้นมาแล้วไม่ได้ ต้องไม่เห็นด้วยตั้งแต่ตอนแรกเช่น ไปให้ใครมาเซ็นชื่อ แล้วไม่ได้รับเงินตามกําหนด ตามจํานวนที่ว่า ก็ต้องเลิกตั้งแต่ตอนนั้นเลย หรือมีการล่ารายชื่อมาแล้วไปขึ้นเงิน โดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าเขาเอาไปทําอะไร นี่คือสิ่งที่เราต้องรู้กฎหมาย ประชาชนทุกคนต้องเรียนรู้ตรงนี้ ไม่อย่างนั้นนปัญหาก็บานปลายขึ้นมา ต้องนําไปสู่กระบวนการตรวจสอบที่ยืดเยื้อยาวนาน ไปเร่งมากก็ไม่ได้ เพราะหลักฐานต้องใช้มาก เราต้องมีความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้นในเรื่องของการปราบปรามทุจริต ต้องไปแยกแยะให้ออก อะไรคือการทุจริต ทุจริตนั้นจะลงโทษกันด้วยอะไร ทางวินัยก็มี โทษทางกฎหมายคดีอาญา คดีแพ่ง มีหมด เพียงแต่ต้องเข้าใจว่าการดําเนินการเป็นอย่างไร วันนี้เราคิดว่า จะเปิดให้มีช่องทางร้องทุกข์กล่าวโทษ เช่น หาหลักฐานในการร้องทุกข์กล่าวโทษนําเข้ากระบวนการ โดยไม่ต้องกลัวผู้กระทําผิด รัฐบาลจะเป็นผู้ดูแลความลับ ความปลอดภัยให้ทุกคนกรุณาอย่านิ่งดูดาย อย่ากลัว ต้องช่วยกันต่อต้าน อย่าเพียงวิจารณ์ ต้องดูว่าเขาทําโปร่งใสหรือไม่ ตัวเองได้ประโยชน์อย่างไร อย่าให้ใครเอาเราไปหาประโยชน์ต่อไปอีก ต้องแก้ไข ทั้งระบบรัฐบาลนี้ก็มีหลายมาตรการ มีกฎหมาย ทั้งป้องกันและปราบปราม แต่ปัญหาส่วนใหญ่มักอยู่ที่ตัวบุคคล คนเลว ๆ ก็ยังแทรกซึมอยู่ ไม่ใช่ระบบเสียหาย หรือรัฐบาลนี้ทําเสียหาย รัฐบาลนี้ได้ทําหลายอย่างให้เกิดความชัดเจนเกิดขึ้น อะไรที่ไม่ชัดเจนก็ทําต่อไป ไม่ใช่แย่ไปทั้งหมด คงไม่ใช่ เพราะรัฐบาลนี้ คดีความเหล่านี้ได้ออกมาเป็นจํานวนมาก เราไม่ต้องการปกป้องคนทุจริต โดยเฉพาะคนทุจริตที่หลบหนี องค์กรตรวจสอบการทุจริตก็มีมาก ทั้ง สตง.องค์กรอิสระภาคเอกชน ฯลฯ ก็ต้องปรับตัวเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย หลายอย่างเป็นเรื่องของการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง การปฏิรูปประเทศ ฉะนั้นหลักการทางกฎหมายก็ต้องไปดูว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก็เกี่ยวกับการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกปัจจุบัน ช่วยกันแก้ ทั้งระบบเด็ก ๆ เยาวชน คนรุ่นใหม่ต้องให้ความสําคัญเรื่องนี้ให้มากเพราะเป็นการบ่อนทําลายประเทศ อนาคตของท่านของเด็ก ๆ เหล่านั้นที่จะโตขึ้นมาในวันหน้า หากใช้งบประมาณสิ้นเปลือง เกิดผลสัมฤทธิ์น้อย ไม่เป็นผลสัมฤทธิ์ที่ยังยืน เพราะการทํางานโดยไม่มีธรรมาภิบาล เหล่านี้คือปัญหาทั้งสิ้น วันนี้ ผมได้สั่งการให้เพิ่มช่องทางสื่อสารโดยเปิดWebsiteและFacebookชื่อ“สายตรง ไทยนิยม”เพื่อรับคําร้องเรียน ร้องทุกข์ ข้อเสนอแนะ แสดงความคิดเห็น และใช้ในการกระจายข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐ ข้อมูลสาธารณะประโยชน์ ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเป็นสําคัญเสริมช่องทางเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งสายด่วน 1111 และ 1567 ซึ่งโทรฟรีทั่วไทย ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น ส่วนการตอบคําถามนายกรัฐมนตรี 10 ข้อ ที่เราทํามาโดยตลอดนั้น ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วม เราได้รับสรุปผลรายงานมา 15 ครั้ง แล้วต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชน“เกือบ 1 ล้าน 5 แสนคน”ที่ออกมาแสดงความคิดเห็น ผมถือว่าเป็นความสมัครใจ เพราะไม่ได้ไปกะเกณฑ์ใครมา ไม่รู้จักกัน เขามาตอบคําถามในขณะที่เห็นการปฏิบัติงาน ซึ่งอาจจะต่างจากการสํารวจโพลต่าง ๆ ที่อาจไม่ตั้งใจ ไม่สมัครใจ หรือมีความรู้พอเพียงที่จะตอบโพลล์เหล่านั้น อันนี้ไม่ใช่โพลล์แบบนั้น มาตอบคําถามด้วยตัวเอง ยืนยันตัวตน ผู้ที่มาตอบคําถามผมนั้น ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องเกษตรกร อายุช่วงวัยแรงงาน 31 - 60 ปีข้อสําคัญคือการศึกษาระดับประถมศึกษาเท่านั้น โดยข้อมูลบางส่วนที่น่าสนใจ อย่างมีนัยสําคัญ เช่น ต้องการให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง วันนี้เราก็ทํามาอยู่แล้ว 3- 4 ปีที่ผ่านมา ปฏิรูปในเชิงโครงสร้าง ปฏิรูปองค์กร ปฏิรูปวิธีการทํางาน ปฏิรูปกฎหมาย จะได้เตรียมความพร้อมสู่ระยะที่สองโดยรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และคาดหวังว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล ซึ่งผมถือว่าเป็น“ภารกิจสําคัญ”ของ คสช. ตั้งแต่ต้น ที่จะต้องทําให้สําเร็จในระยะที่ 1 ที่เราอยู่นี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเห็นในเรื่องของนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือมีความผิด ส่อทุจริตนั้น คําตอบที่ได้จากพี่น้องประชาชน คือต้องการให้ได้รับโทษที่หนักที่สุด โดยการตัดสิทธิ์ทางการเมือง การติดตามเอาผิดจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้สนับสนุน รวมไปถึง การยุบพรรคด้วยซึ่งผมเห็นว่าบางอย่างก็แรงไปหรือไม่ ไม่ทราบ แต่นั่นเป็นความเห็นประชาชนเขา ผมก็เห็นว่าต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ตามหลักฐาน ตามกฎหมายที่มีอยู่ ส่วนที่พี่น้องประชาชนคาดหวังให้ คสช. แก้ปัญหาต่าง ๆ ต่อไป และขอให้ผมนิ่งอารมณ์ดี ยิ้มๆ ไม่หงุดหงิด ผมก็จะพยายามทําให้ดีที่สุด พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ ผมมีเรื่องที่น่ายินดี สําหรับสัปดาห์นี้ 2 เรื่องที่จะนํามาเล่าให้ฟัง ช่วยกันคิดวิเคราะห์ว่า เราจะทําอย่างไรต่อไป เพื่อให้สิ่งที่ดี ๆ อยู่แล้ว ดียิ่งขึ้น และสิ่งที่ยังบกพร่องอยู่ ก็ควรจะได้ร่วมมือ ร่วมใจกัน อย่าเอาแต่ติติงกันอย่างเดียว ต้องช่วยกันแก้ไข หาวิธีที่จะปฏิบัติให้ได้ วันนี้สิ่งที่เราทําได้ น่าจะดีขึ้น อาจจะหลายคนมองว่าไม่ดีก็แล้วแต่ วันนี้ภาพลักษณ์ของบ้านเมืองเรา ในสายตาประชาคมโลก เรื่องที่ 1 รายงานผลการวิเคราะห์ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (CPI) ประจําปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยของเรา ได้คะแนนดีขึ้นเล็กน้อยคําว่า “ดีขึ้นเล็กน้อย” เพราะยาก เพราะมีหลายมิติด้วยกัน เมื่อเทียบกับภาพรวมทั่วโลก ส่วนใหญ่“คงที่”โดยเราได้ 37 คะแนน อยู่ในลําดับที่ 96 จากประเทศที่เข้าร่วมประเมินทั้งหมด 180 ประเทศ ก็อยู่ประมาณกลาง ๆ เทียบกับปีก่อนหน้านี้ เราได้ 35 คะแนน อยู่ในลาดับที่ 101 จาก 176 ประเทศที่เข้าร่วมประเมินทั้งนี้ การประเมินของCPI ได้รับความน่าเชื่อถือจากประชาคมโลก เนื่องจากมีการประเมินจากหลายแหล่ง หลากวิธีการ ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญ นักวิเคราะห์ความเสี่ยง นักวิชาการ รวมทั้งนักธุรกิจ ทั้งในประเทศและทั่วโลก ที่สะท้อนข้อเท็จจริง ให้เห็นในประเด็นสําคัญ อาทิ (1) การรับรู้ถึงความมุ่งมั่น จริงจัง ในการดําเนินการของประเทศไทย เกี่ยวกับการอํานวยความสะดวกทางธุรกิจ การต่อต้านการทุจริตติดสินบน อย่างแข็งขันโดยเฉพาะการเร่งรัดดําเนินการตามประกาศคณะรัฐมนตรี ให้ปี พ.ศ.2560 เป็น“ปีแห่งการอํานวยความสะดวกทางธุรกิจ ต่อต้านการรับสินบนทุกรูปแบบ”เป็นต้น (2) ภาพลักษณ์การรับรู้ระบบราชการไทย สังคมไทยทั้งในสายตาประชาชนไทย นักลงทุน ตลอดจนนักวิชาการนานาชาติ ว่าสังคมไทย ยังคงมีกับดักในเรื่องเจ้าหน้าที่รัฐมีพฤติกรรมการใช้ตําแหน่งหน้าที่ในทางมิชอบและ มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ ซึ่งแม้ว่าจะ“ดีขึ้นเล็กน้อย”จากปีที่แล้วมีกติกาเพิ่มขึ้นหลายอย่าง เช่น เป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งแต่เราก็ทําคะแนนได้สูงขึ้นอยากให้มองตรงนี้ หากเราเลือกตั้ง ในรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลจริงย่อมจะต้องดีขึ้นกว่านี้อีกในระยะต่อไป เราต้องการยกระดับค่าดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น ในส่วนนี้ให้มีคะแนนเพิ่มสูงขึ้นอีก อย่างมีนัยสําคัญ จําเป็นต้องมีแนวร่วมทุกภาคส่วน อย่าติกันอย่างเดียว ต้องติเพื่อก่อ อย่าสร้างความขัดแย้ง และรู้ถึงกลไกกฎหมายกระบวนการตรวจสอบให้ชัดเจนไม่งั้นมันก็ตีกันไปมาหมด ทั้งนี้ เพื่อจะเพิ่มกลไกให้อํานาจบทบาทให้องค์กรอิสระภาคส่วนต่าง ๆ นอกภาครัฐ ให้สูงขึ้น ปัจจุบันในด้านจิตสานึกของประชาชนไทยในเรื่องการต่อต้านการทุจริตนั้น มีระดับสูงขึ้นมากแล้ว สําหรับในปีนี้ นับว่าเริ่มต้นเป็นทิศทางการพัฒนาที่ดี โดย“จิตสํานึก”นั้น จะเป็นเหมือน“ภูมิคุ้มกัน”ป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริต ตั้งแต่ต้นทาง ช่วยให้มาตรการปราบปราม ที่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ลดความสําคัญลง ซึ่งเราก็เดินทางถูกทางแล้ว ผมขอให้พี่น้องประชาชนทุกคน ร่วมมือกัน“เป็นหู เป็นตา”อย่านิ่งเฉยต่อการกระทําผิด เรื่องที่ 2 คือBloombergมีรายงานว่า ประเทศไทย ยังคงครอง“แชมป์”อันดับ 1 ประเทศที่มีความทุกข์ยากด้านเศรษฐกิจน้อยที่สุดในโลก ปี 2017-2018 เป็นปีที่ 4 ต่อเนื่อง เราก็ต้องมาดูในเรื่องของการกระจายรายได้ การสร้างห่วงโซ่มูลค่า ไทยนิยมกําลังลงไป ทําอย่างไรจะถึงข้างล่าง ทําอย่างไรผู้ผลิตถึงจะได้ เช่น เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อยที่เป็นแรงงานเหล่านี้ ทําอย่างไรถึงจะมีรายได้มากขึ้น หลายอย่าง อาชีพเสริม การปรับเปลี่ยนอาชีพ การรวมกลุ่ม การให้ความรู้ การให้เงินทุน แต่เราไม่สามารถจะให้ทุกครอบครัวได้ ต้องสร้างให้เกิดขึ้นข้างล่างในลักษณะที่เป็นการบูรณาการขึ้นมา ถึงจะทํางานได้ งบประมาณมีจํากัด ก็ขอเป็นกําลังใจให้กับทุกคน ข้าราชการดีๆ ก็มีอยู่มาก ประชาชนที่ร่วมมือก็มีมาก สุดท้ายนี้ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประกาศตัวเลข การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยว่า ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560“ขยายตัว”จากไตรมาสเดียวกัน ปีก่อนหน้าที่ ร้อยละ 4.0โดยเป็นผลจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่อง ในเกือบทุกหมวดสินค้า สอดคล้องกับความต้องการจากต่างประเทศที่ดีขึ้น และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดี โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการบริโภคในภาคเอกชนที่เร่งขึ้นจากรายได้นอกภาคเกษตร และความเชื่อมั่นที่เริ่มดีขึ้นสําหรับภาคการผลิตเราเห็นว่าภาคอุตสาหกรรมขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหมวดการผลิตเพื่อการส่งออก สอดคล้องไปกับการส่งออก ที่ดีขึ้นต่อเนื่องอีกด้านที่ขยายตัวได้ดี คือ โรงแรมและภัตตาคาร จากนักท่องเที่ยว ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งก็เลยได้ส่งผลดีไปยัง ภาคขนส่งและการคมนาคม รวมถึง การค้าส่งและค้าปลีกด้วย อย่างไรก็ดี ภาคเกษตรในไตรมาสสุดท้าย ต้องประสบปัญหาฝนตกชุก และอุทกภัย ในบางพื้นที่ทําให้ในภาพรวม ยังไม่ดีขึ้นมาก เทียบกับภาคอื่น ๆ ในช่วงนั้น แต่ในปีนี้ การบริหารจัดการน้ําที่รัฐบาลเร่งดําเนินการมาตลอด คาดว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาในช่วงต่อไปของพี่น้องเกษตรกรได้ ตรงไหนยังไม่ดี ก็ต้องช่วยกันยกระดับแก้ไขเพิ่มเติม หากมองภาพรวมทั้งปี 2560 เศรษฐกิจไทยขยายตัว จากปี 2559 ที่ร้อยละ 3.9 หลัก ๆ มาจากการส่งออกสินค้า และภาคการท่องเที่ยว ที่ปรับดีขึ้น สําหรับการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ก็ถือว่าฟื้นตัว ต่อเนื่อง ในภาพรวมและในปี 2561 นี้ ทางสภาพัฒน์ฯ มองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ดี ต่อเนื่อง เพราะมีปัจจัยบวก จากการเติบโตต่อเนื่อง ของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า รวมถึงการลงทุนของภาคเอกชน ที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจาก โครงการร่วมทุนของรัฐบาลและเอกชนที่จะทยอยมีมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนในEECที่จะมีความชัดเจนมากขึ้น กระตุ้นการลงทุนด้านการก่อสร้าง นอกจากนี้ การลงทุนและการใช้จ่ายของภาครัฐเองก็คาดว่าจะเร่งขึ้นได้ โดยได้มีการอนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมวงเงิน 150,000 ล้านบาท รวมทั้งผมได้เร่งให้ส่วนราชการดําเนินการเบิกจ่ายและก่อหนี้ผูกพัน ให้ได้ตามที่กําหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การใช้จ่ายของภาครัฐ เข้าไปสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ดีขึ้นในปี 2561 นี้รัฐบาลมีแนวทางที่จะบริหารเศรษฐกิจ 4 ด้านเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้กับพี่น้องประชาชน ได้แก่ (1) การสนับสนุนการขยายตัวของการผลิตนอกภาคเกษตร ให้สามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง ทั้งภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว ผ่านการสร้างความเชื่อมั่น และการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้รายได้กระจายลงไปในฐานรากได้มากขึ้น ในระยะต่อไป (2) การขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐ ทั้งในเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และ ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน และ ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในระยะต่อไป (3) การดูแลพี่น้องเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย รวมถึงSMEsผ่านโครงการต่าง ๆ เพื่อรองรับความผันผวนของดินฟ้าอากาศและ การจัดการกับความเสี่ยง ที่ผลผลิตจะเสียหาย การขับเคลื่อนนโยบายเกษตรแปลงใหญ่ รวมถึงปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ และ ดูแลการเข้าถึงสินเชื่อการสนับสนุนเงินทุนให้กับเกษตรกร ประชาชนผู้มีรายได้น้อย รวมถึงธุรกิจSMEs (4) การเตรียมพร้อมด้านแรงงานและ ยกระดับคุณภาพแรงงาน ให้เพียงพอเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคการผลิตและการลงทุน มาตรการเหล่านี้ นอกจากจะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยเติบโต ได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนแล้ว ยังจะช่วยเป็นรากฐานที่เข้มแข็งในการสนับสนุนการปฏิรูปประเทศตามแผนงาน และแผนยุทธศาสตร์ชาติในระยะต่อไปด้วย ปัญหาสําคัญ คือ การจราจร ความปลอดภัย ในการใช้รถใช้ถนน คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อมอาชีพรายได้ที่พอเพียงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การศึกษาและอื่น ๆ อีกมากมาย อันนี้ก็อยู่ในแผนปฏิรูป และยุทธศาสตร์ชาติด้วย ที่เราต้องร่วมมือกันแก้ไข และใช้การปฏิบัติการแบบไทยนิยม คนไทยต้องร่วมมือกันแบบพอดี เพื่อแผ่นดิน เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่อประเทศชาติ ให้เกิดความร่วมมือในระดับพื้นที่แบบประชารัฐให้เกิดผลสัมฤทธิ์ให้จงได้ ขอบคุณครับ ขอให้“ทุกคน ทุกครอบครัว”มีความสุข พาลูกหลานไปทําบุญ เข้าวัด ฟังเทศน์ เวียนเทียน สนทนาธรรม ในวันมาฆบูชาด้วย จิตใจจะได้ผ่องใสกันทุกคน และว่าง ๆ ก็ไปเที่ยวงานอุ่นไอรักกัน สวัสดีครับ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10332
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล มอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และสาธารณสุข 2.98 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2563 รัฐบาล มอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และสาธารณสุข 2.98 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินจากรัฐบาล ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และสาธารณสุข ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานในสถานการณ์โรคโควิด 19 จํานวน 88 ราย รวม 2.98 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินจากรัฐบาล ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และสาธารณสุข ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานในสถานการณ์โรคโควิด 19 จํานวน 88 ราย รวม 2.98 ล้านบาท วันนี้ (29 มิถุนายน 2563) ที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล กทม. นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ รับมอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จํานวน 88 ราย รวม 2.98 ล้านบาท จากเงินบริจาค บัญชี “สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมในพิธี นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า ในวันนี้ ได้เป็นตัวแทนรับมอบเงินบริจาคจากรัฐบาล เพื่อนําไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิต ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHOSNET) จํานวน 16 ราย รายละ 30,000 บาท รวม 480,000 บาท สังกัดโรงพยาบาลเอกชน จํานวน 57 ราย รายละ 30,000 บาท รวม 1,710,000 บาท รวมทั้งกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) รวม 15 ราย เป็นเงิน 790,000 บาท โดยมีผู้แทนและทายาท อสม.ผู้เสียชีวิตมารับมอบเงินช่วยเหลือจํานวน 4 ครอบครัว ได้แก่ นางวิไลวรรณ ไชยเทพ อสม.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทุ่งบุหลัง อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล นางน้อย ปากหวาน อสม.รพ.สต.หนองมะค่า อ.ลําปรายมาศ จ.บุรีรัมย์ นายบุญส่ง มะนาวหวาน อสม.รพ.สต.ยางนอน อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี และนางลอย เศรษฐสูงเนิน อสม.รพ.สต.หนองเตาอิฐ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก “ขอขอบคุณรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และอสม.ที่ได้รับผลกระทบจากการทุ่มเทปฏิบัติงานด้วยความเสียสละแม้จะทราบดีว่ามีความเสี่ยงสูงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา จนทําให้ไม่พบผู้ป่วยภายในประเทศกว่า 1 เดือน จนได้รับความชื่นชมจากนานาประเทศว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านสาธารณสุข” นายแพทย์สุขุมกล่าว ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้จัดตั้งกองทุน ดร.นพ.อมร นนทสุต เพื่อดูแล อสม.ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงาน โดยขออนุญาตใช้ชื่อกองทุนจากทายาทท่าน ซึ่งเป็นผู้มีคุณูปการกับงานสาธารณสุขมูลฐานของประเทศไทย เบื้องต้นได้รับบริจาคเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ทายาทของดร.นพ.อมร นนทสุต และแหล่งอื่นๆ โดยมีคณะกรรมการบริหารจัดการกองทุน นอกจากนี้ ยังมีกองทุนช่วยเหลือเยียวยา อสม. เพิ่มเติม เช่น กองทุนช่วยเหลือเยียวยา อสม.ที่ติดเชื้อโควิด 19 จากคุณคีรี กาญจนพาสน์ , เงินช่วยเหลือเยียวยาจาก สปสช., เงินสงเคราะห์จาก ฌกส.อสม.แห่งประเทศไทย, มูลนิธิ อสม.แห่งประเทศไทย โดยให้ อสม.ที่ได้รับผลกระทบหรือทายาท แจ้งขอรับการช่วยเหลือเบื้องต้น ณ สถานบริการที่รับค่าป่วยการ ซึ่งจะแจ้งต่อมายังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป **************************** 29 มิถุนายน 2563 ***************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล มอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และสาธารณสุข 2.98 ล้านบาท วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2563 รัฐบาล มอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และสาธารณสุข 2.98 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินจากรัฐบาล ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และสาธารณสุข ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานในสถานการณ์โรคโควิด 19 จํานวน 88 ราย รวม 2.98 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุข รับมอบเงินจากรัฐบาล ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และสาธารณสุข ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานในสถานการณ์โรคโควิด 19 จํานวน 88 ราย รวม 2.98 ล้านบาท วันนี้ (29 มิถุนายน 2563) ที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล กทม. นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ รับมอบเงินช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จํานวน 88 ราย รวม 2.98 ล้านบาท จากเงินบริจาค บัญชี “สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมในพิธี นายแพทย์สุขุมกล่าวว่า ในวันนี้ ได้เป็นตัวแทนรับมอบเงินบริจาคจากรัฐบาล เพื่อนําไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และสาธารณสุขที่เจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิต ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และเครือข่ายโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (UHOSNET) จํานวน 16 ราย รายละ 30,000 บาท รวม 480,000 บาท สังกัดโรงพยาบาลเอกชน จํานวน 57 ราย รายละ 30,000 บาท รวม 1,710,000 บาท รวมทั้งกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) รวม 15 ราย เป็นเงิน 790,000 บาท โดยมีผู้แทนและทายาท อสม.ผู้เสียชีวิตมารับมอบเงินช่วยเหลือจํานวน 4 ครอบครัว ได้แก่ นางวิไลวรรณ ไชยเทพ อสม.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทุ่งบุหลัง อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล นางน้อย ปากหวาน อสม.รพ.สต.หนองมะค่า อ.ลําปรายมาศ จ.บุรีรัมย์ นายบุญส่ง มะนาวหวาน อสม.รพ.สต.ยางนอน อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี และนางลอย เศรษฐสูงเนิน อสม.รพ.สต.หนองเตาอิฐ อ.วังทอง จ.พิษณุโลก “ขอขอบคุณรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และอสม.ที่ได้รับผลกระทบจากการทุ่มเทปฏิบัติงานด้วยความเสียสละแม้จะทราบดีว่ามีความเสี่ยงสูงตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา จนทําให้ไม่พบผู้ป่วยภายในประเทศกว่า 1 เดือน จนได้รับความชื่นชมจากนานาประเทศว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านสาธารณสุข” นายแพทย์สุขุมกล่าว ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้จัดตั้งกองทุน ดร.นพ.อมร นนทสุต เพื่อดูแล อสม.ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงาน โดยขออนุญาตใช้ชื่อกองทุนจากทายาทท่าน ซึ่งเป็นผู้มีคุณูปการกับงานสาธารณสุขมูลฐานของประเทศไทย เบื้องต้นได้รับบริจาคเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ทายาทของดร.นพ.อมร นนทสุต และแหล่งอื่นๆ โดยมีคณะกรรมการบริหารจัดการกองทุน นอกจากนี้ ยังมีกองทุนช่วยเหลือเยียวยา อสม. เพิ่มเติม เช่น กองทุนช่วยเหลือเยียวยา อสม.ที่ติดเชื้อโควิด 19 จากคุณคีรี กาญจนพาสน์ , เงินช่วยเหลือเยียวยาจาก สปสช., เงินสงเคราะห์จาก ฌกส.อสม.แห่งประเทศไทย, มูลนิธิ อสม.แห่งประเทศไทย โดยให้ อสม.ที่ได้รับผลกระทบหรือทายาท แจ้งขอรับการช่วยเหลือเบื้องต้น ณ สถานบริการที่รับค่าป่วยการ ซึ่งจะแจ้งต่อมายังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป **************************** 29 มิถุนายน 2563 ***************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32903
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ‘หม่อมเต่า’ เปิดเวทีเสวนา “โรคระบาดโควิด - 19 กับการปฏิรูปการส่งเสริมสุขภาวะคนทำงานในสถานประกอบการ”
วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2563 ‘หม่อมเต่า’ เปิดเวทีเสวนา “โรคระบาดโควิด - 19 กับการปฏิรูปการส่งเสริมสุขภาวะคนทํางานในสถานประกอบการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเวทีเสวนา “โรคระบาดโควิด - 19 กับการปฏิรูปการส่งเสริมสุขภาวะคนทํางานในสถานประกอบการ” จัดโดย สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (สพท.) และเครือข่ายประกันสังคมคนทํางาน (คปค.) สนับสนุนโดย สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร วันที่ 19 กรกฎาคม 2563 เวลา 09.00 น. หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้เกียรติ เป็นประธานเปิดงานเสวนา “โรคระบาดโควิด - 19 กับการปฏิรูปการส่งเสริมสุขภาวะคนทํางานในสถานประกอบการ” โดยมีนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในการเปิดงานเสวนาฯ ดังกล่าว ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน สําหรับโครงการเสวนา “โรคระบาดโควิด - 19 กับการปฏิรูปการส่งเสริมสุขภาวะคนทํางานในสถานประกอบการ” มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อเสริมศักยภาพและสนับสนุนกระบวนการทํางานของผู้นําแรงงานและองค์กรเครือข่ายในการขับเคลื่อนและรณรงค์นโยบายสู่การปฏิบัติเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน 2) เพื่อพัฒนากิจกรรมของสถานประกอบการในการส่งเสริมป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 3) เพื่อพัฒนารูปแบบและวิธีการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ําในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ และความเหลื่อมล้ําทางสังคมโดยผ่านกระบวนการความร่วมมือทั้งในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการ และองค์กรแรงงานในสถานประกอบการ และ 4) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางสุขภาพของแรงงาน ในมิติการลดปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน ลดต้นทุน/ ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในสถานประกอบการ การเสวนาครั้งนี้คาดหวังว่าจะได้รับความร่วมมือทั้งในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และองค์กรแรงงานในสถานประกอบการ นักวิชาการ เพื่อการพัฒนาแนวทางการนํานโยบายสู่การปฏิบัติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน โดยองค์กรเข้าร่วมเสวนาฯ ประมาณ 25 องค์กร จํานวน 87 คน หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ในทุกมิติ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทําให้เกิดคําเรียกใหม่ว่า New Normal หรือ ความปกติใหม่ ที่หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือ ประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักในด้านการดูแลสุขภาพทั้งของตนเองและส่วนรวม มีการใช้หน้ากากอนามัย ใช้เจลแอลกอฮอล์และล้างมือเป็นประจํา การออกกําลังกายสม่ําเสมอ และการรับประทานอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน รวมทั้งมีการเว้นระยะห่างทางสังคม กระทรวงแรงงานได้ตระหนักและเห็นถึงความสําคัญต่อการสร้างเสริมสุขภาวะของคนทํางาน เพราะเมื่อมีสุขภาพที่ดี ย่อมส่งผลต่อศักยภาพในการทํางาน ยังผลให้เกิดความพร้อมในการทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกําลังสําคัญในการสร้างผลิตภาพเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ซึ่งการดําเนินการเชิงป้องกันและส่งเสริมเพื่อให้คนทํางานมีสุขภาพอนามัยที่ดีมีความคุ้มค่ามากกว่าการรักษา หรือฟื้นฟูสุขภาพกลับคืนมา ที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสํานักงานประกันสังคม ดําเนินการเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะของคนทํางานอย่างต่อเนื่อง “การดําเนินการสร้างเสริมสุขภาวะของคนทํางานอย่างมีประสิทธิภาพจําเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง ตลอดจนภาคเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีการจัดงานสานเสวนาในวันนี้ เพื่อระดมสมองแสวงหาแนวทางในการทํางานร่วมกัน เพื่อบูรณาการขับเคลื่อนกิจกรรมการสร้างสุขภาวะคนทํางาน ที่มีทุกภาคส่วนร่วมในการดําเนินการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในท้ายสุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ‘หม่อมเต่า’ เปิดเวทีเสวนา “โรคระบาดโควิด - 19 กับการปฏิรูปการส่งเสริมสุขภาวะคนทำงานในสถานประกอบการ” วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2563 ‘หม่อมเต่า’ เปิดเวทีเสวนา “โรคระบาดโควิด - 19 กับการปฏิรูปการส่งเสริมสุขภาวะคนทํางานในสถานประกอบการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเวทีเสวนา “โรคระบาดโควิด - 19 กับการปฏิรูปการส่งเสริมสุขภาวะคนทํางานในสถานประกอบการ” จัดโดย สภาองค์การลูกจ้างพัฒนาแรงงานแห่งประเทศไทย (สพท.) และเครือข่ายประกันสังคมคนทํางาน (คปค.) สนับสนุนโดย สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร วันที่ 19 กรกฎาคม 2563 เวลา 09.00 น. หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้เกียรติ เป็นประธานเปิดงานเสวนา “โรคระบาดโควิด - 19 กับการปฏิรูปการส่งเสริมสุขภาวะคนทํางานในสถานประกอบการ” โดยมีนายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในการเปิดงานเสวนาฯ ดังกล่าว ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน สําหรับโครงการเสวนา “โรคระบาดโควิด - 19 กับการปฏิรูปการส่งเสริมสุขภาวะคนทํางานในสถานประกอบการ” มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อเสริมศักยภาพและสนับสนุนกระบวนการทํางานของผู้นําแรงงานและองค์กรเครือข่ายในการขับเคลื่อนและรณรงค์นโยบายสู่การปฏิบัติเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน 2) เพื่อพัฒนากิจกรรมของสถานประกอบการในการส่งเสริมป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 3) เพื่อพัฒนารูปแบบและวิธีการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ําในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ และความเหลื่อมล้ําทางสังคมโดยผ่านกระบวนการความร่วมมือทั้งในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการ และองค์กรแรงงานในสถานประกอบการ และ 4) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางสุขภาพของแรงงาน ในมิติการลดปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ เพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน ลดต้นทุน/ ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในสถานประกอบการ การเสวนาครั้งนี้คาดหวังว่าจะได้รับความร่วมมือทั้งในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการ และองค์กรแรงงานในสถานประกอบการ นักวิชาการ เพื่อการพัฒนาแนวทางการนํานโยบายสู่การปฏิบัติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน โดยองค์กรเข้าร่วมเสวนาฯ ประมาณ 25 องค์กร จํานวน 87 คน หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด 19 ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ในทุกมิติ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทําให้เกิดคําเรียกใหม่ว่า New Normal หรือ ความปกติใหม่ ที่หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือ ประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักในด้านการดูแลสุขภาพทั้งของตนเองและส่วนรวม มีการใช้หน้ากากอนามัย ใช้เจลแอลกอฮอล์และล้างมือเป็นประจํา การออกกําลังกายสม่ําเสมอ และการรับประทานอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน รวมทั้งมีการเว้นระยะห่างทางสังคม กระทรวงแรงงานได้ตระหนักและเห็นถึงความสําคัญต่อการสร้างเสริมสุขภาวะของคนทํางาน เพราะเมื่อมีสุขภาพที่ดี ย่อมส่งผลต่อศักยภาพในการทํางาน ยังผลให้เกิดความพร้อมในการทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกําลังสําคัญในการสร้างผลิตภาพเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ซึ่งการดําเนินการเชิงป้องกันและส่งเสริมเพื่อให้คนทํางานมีสุขภาพอนามัยที่ดีมีความคุ้มค่ามากกว่าการรักษา หรือฟื้นฟูสุขภาพกลับคืนมา ที่ผ่านมากระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และสํานักงานประกันสังคม ดําเนินการเพื่อสร้างเสริมสุขภาวะของคนทํางานอย่างต่อเนื่อง “การดําเนินการสร้างเสริมสุขภาวะของคนทํางานอย่างมีประสิทธิภาพจําเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้าง ตลอดจนภาคเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีการจัดงานสานเสวนาในวันนี้ เพื่อระดมสมองแสวงหาแนวทางในการทํางานร่วมกัน เพื่อบูรณาการขับเคลื่อนกิจกรรมการสร้างสุขภาวะคนทํางาน ที่มีทุกภาคส่วนร่วมในการดําเนินการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33482
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช. มนัญญา ชวนร่วมงาน
วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2563 รมช. มนัญญา ชวนร่วมงาน รมช. มนัญญา ชวนร่วมงาน "เบสท์ฟู้ดไทยคานิวัล อุทัยธานี" ชูของดีเมืองอุทัยธานี สืบสานอาหารท้องถิ่น สร้างรายได้สู่ชุมชน นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการจัดงาน “เบสท์ฟู้ดไทยคานิวัล อุทัยธานี” (Best Food Thai Carnival Uthaithani) ระหว่างวันที่ 7- 9 สิงหาคม 2563 ซึ่งจะจัดพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 สิงหาคม 2563 นี้ ณ ลานสะแกกรัง อําเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ว่างานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเป็นการรักษาสืบสานอาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์ เป็นภูมิปัญญาของไทย รวมถึงสนับสนุนการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรที่ขึ้นชื่อของจังหวัดอุทัยธานี เช่น ส้มโอพันธุ์ขาวแตงกวา ปลาแรด รวมถึงพืชสมุนไพร และผักสวนครัวที่มีหลากหลายชนิด นํามาสร้างสรรค์เมนูอาหารใหม่ๆ เพื่อเป็นเมนูในการประกอบอาหารรับประทานในครัวเรือน และยังสามารถเป็นเมนูเพื่อสุขภาพจําหน่ายสร้างรายให้ได้แก่คนในชุมชนชาวอุทัยธานีอีกด้วย ปัจจุบันเมืองอุทัยธานีจัดเป็นเมืองรองที่มีของดีวิถีชุมชน ซึ่งได้รับการสนับสนุนหลักจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อสานต่อตามที่รัฐบาลได้จัดทําแนวคิด Gastronomic/Tourism 4 เสาหลักแห่งการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ซึ่งครอบคลุมไปถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบ การผลิต การใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไปจนถึงการบริโภค ผลักดันการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของการท่องเที่ยว อนุรักษ์ ส่งเสริมเรื่องราวและการใช้วัตถุดิบท้องถิ่น เพื่อสร้างโอกาสให้เกิดการปกป้องมรดกอาหารประจําท้องถิ่นให้คงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช. มนัญญา ชวนร่วมงาน วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2563 รมช. มนัญญา ชวนร่วมงาน รมช. มนัญญา ชวนร่วมงาน "เบสท์ฟู้ดไทยคานิวัล อุทัยธานี" ชูของดีเมืองอุทัยธานี สืบสานอาหารท้องถิ่น สร้างรายได้สู่ชุมชน นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการจัดงาน “เบสท์ฟู้ดไทยคานิวัล อุทัยธานี” (Best Food Thai Carnival Uthaithani) ระหว่างวันที่ 7- 9 สิงหาคม 2563 ซึ่งจะจัดพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 สิงหาคม 2563 นี้ ณ ลานสะแกกรัง อําเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ว่างานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเป็นการรักษาสืบสานอาหารพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์ เป็นภูมิปัญญาของไทย รวมถึงสนับสนุนการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรที่ขึ้นชื่อของจังหวัดอุทัยธานี เช่น ส้มโอพันธุ์ขาวแตงกวา ปลาแรด รวมถึงพืชสมุนไพร และผักสวนครัวที่มีหลากหลายชนิด นํามาสร้างสรรค์เมนูอาหารใหม่ๆ เพื่อเป็นเมนูในการประกอบอาหารรับประทานในครัวเรือน และยังสามารถเป็นเมนูเพื่อสุขภาพจําหน่ายสร้างรายให้ได้แก่คนในชุมชนชาวอุทัยธานีอีกด้วย ปัจจุบันเมืองอุทัยธานีจัดเป็นเมืองรองที่มีของดีวิถีชุมชน ซึ่งได้รับการสนับสนุนหลักจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อสานต่อตามที่รัฐบาลได้จัดทําแนวคิด Gastronomic/Tourism 4 เสาหลักแห่งการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ซึ่งครอบคลุมไปถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบ การผลิต การใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไปจนถึงการบริโภค ผลักดันการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของการท่องเที่ยว อนุรักษ์ ส่งเสริมเรื่องราวและการใช้วัตถุดิบท้องถิ่น เพื่อสร้างโอกาสให้เกิดการปกป้องมรดกอาหารประจําท้องถิ่นให้คงอยู่อย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34047
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ย้ำข้าราชการทุกระดับต้องนำนโยบายสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างแท้จริง
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563 นายกรัฐมนตรีประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ย้ําข้าราชการทุกระดับต้องนํานโยบายสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างแท้จริง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ย้ําข้าราชการทุกระดับต้องนํานโยบายสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างแท้จริง วันนี้ (9 มี.ค.63) เวลา 09.30 น. ห้องประชุม 9 ชั้น 15 อาคารบี ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ กระทรวงพลังงาน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงพลังงานให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับกระทรวงพลังงาน อาทิ นโยบายปรับสมดุลปาล์มเพื่อความยั่งยืนของกระทรวงพลังงาน โครงการติดตั้งเครื่องมือวัดระดับน้ํามันอัตโนมัติ การพิสูจน์ DNA เพื่อป้องกันการลักลอบนําเข้าน้ํามันปาล์มดิบ (CPO) โครงการนําร่องโรงไฟฟ้าชุมชน ใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรผลิตพลังงานชีวมวล ( ฟางข้าว ใบอ้อย หญ้าเนเปียร์) เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ย้ําถึงการดําเนินโครงการนําร่องโรงไฟฟ้าชุมชนซึ่งเป็นความร่วมมือ 3 ส่วน คือ ภาครัฐ เอกชน และประชาชนว่า ประชาชนในพื้นที่ต้องได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ผลประโยชน์ต้องแบ่งปันอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย มีการนําเงินเข้ากองทุนหมู่บ้านและประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วม ทั้งนี้ ต้องมีการเตรียมพื้นที่และทําแผนปลูกพืชพลังงานอย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับการผลิตพลังงานดังกล่าวด้วย จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เปิดการประชุมฯ โดยกล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ว่า มีผลกระทบต่อการทํางาน สิ่งสําคัญที่สุดคือ การสร้างความเชื่อมั่นและความไว้ใจซึ่งกันและกัน ซึ่งข้าราชการต้องชัดเจนในการทํางาน มีความละเอียดรอบคอบ มีกระบวนการในการติดตามและประเมินการทํางานอย่างเป็นระบบ นายกรัฐมนตรียังย้ําการทํางานวันนี้ว่า รัฐบาลเน้นแก้ปัญหา COVID-19 รวมถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและภัยแล้ง ซึ่งยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกคน และจะนําเข้าสู่กระบวนการพิจารณาและหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก่อนการตัดสินใจด้วย โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเองตามความเหมาะสม จึงขอฝากการทํางานของข้าราชการทุกคนว่า ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทํางานอย่างเป็นระบบ ให้รู้ว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะไปอยู่ที่ใคร ดูแลให้ถึงประชาชนฐานราก กวดขั้นเจ้าหน้าที่ทุกระดับจากบนไปล่าง เพื่อนํานโยบายขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ภายหลังการประชุมฯ นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า การประชุมหัวหน้าส่วนราชการฯ วันนี้ เป็นการหารือเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยย้ําให้ทุกหน่วยงานราชการบูรณาการทํางานร่วมกันทั้งการแก้ไขปัญหาไวรัส COVID-19 ภัยแล้งและปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งการอํานวยความสะดวกและให้บริการประชาชนในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันได้รับการร้องเรียนว่า บางเรื่องยังให้บริการได้ไม่ดีเท่าที่ควร ยังมีเข้าใจคลาดเคลื่อนทั้งการทํางาน กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จึงขอฝากไปถึงหน่วยงานผู้ปฏิบัติ ให้เร่งทําความเข้าใจด้วย หากมีข้อติดขัดตรงไหนก็ให้แจ้งหรือสอบถามทันที จะได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงและอธิบดีต่าง ๆ ไปตรวจสอบ นายกรัฐมนตรียังย้ําสร้างการรับรู้เกี่ยวไวรัส COVID-19ให้ประชาชนเข้าใจอย่างถูกต้อง ยืนยันว่าปัจจุบันไทยยังอยู่ในระยะที่ 2 ยังไม่เข้าสู่ระยะที่ 3 ทั้งนี้ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดําเนินการควบคุมตั้งแต่ต้นทาง การจัดเตรียมสถานที่รองรับสําหรับควบคุมดูแลผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงไว้เรียบร้อยแล้วกว่า200แห่ง ในกรณีที่มีการเดินทางเข้าประเทศจากประเทศกลุ่มเสี่ยง แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐกําหนดก็จะต้องถูกลงโทษและปรับตามกฎหมาย สําหรับการแก้ปัญหาเรื่องหน้ากากอนามัยนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันมีการผลิตหน้ากากอนามัยจาก 11 โรงงานในประเทศ ซึ่งผลิตสูงสุดประมาณ 38 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยรัฐบาลควบคุมดูแลการจัดสรรไปยังส่วนต่างๆ คือ โรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะรับผิดชอบดูแล และอีกส่วนจัดสรรจําหน่ายผ่านช่องทางต่างๆ ที่กระทรวงพาณิชย์ดูแลปกติอื่น ๆ ทั้งนี้ ที่ระบุว่ามีการกักตุนสินค้า รัฐบาลเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว รวมทั้งสั่งการกระทรวงอุตสาหกรรมให้ร่วมผลิตหน้ากากผ้าหรือหน้ากากทางเลือก ซึ่งคาดจะได้ประมาณ 20 ล้านชิ้น นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังได้ทําหน้ากากผ้าแจกจ่ายให้กับประชาชนอีกทางหนึ่งด้วย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 10 มีนาคม 2563 ว่า จะมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเบื้องต้นจะมีมาตรการ 2 ส่วน ที่สําคัญ คือ 1) การคืนเงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้าประมาณ 3,000 บาทต่อครัวเรือน และส่วนที่เกี่ยวข้องกับค่าไฟฟ้า และ 2) มาตรการเงินกู้ระยะสั้นและภาษี เพื่อช่วยเหลือภาคโรงแรมและท่องเที่ยว ส่วนประเด็นที่รัฐบาลจะจ่ายเงิน 1,000- 2,000 บาท สําหรับผู้มีรายได้น้อยนั้น จะยังไม่มีการดําเนินการใดๆทั้งสิ้น นายกรัฐมนตรียืนยันจะนําพาประเทศผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตขณะนี้ไปให้ได้ ซึ่งต้องขอความร่วมมือและความเข้าใจจากประชาชนทุกฝ่าย รัฐบาลพยายามสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง ทํางานโดยยึดกฎหมาย รัฐบาลทํางานเพื่อประชาชนไม่ได้ทํางานเพื่อการเมือง สิ่งสําคัญคือการนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติให้ประชาชนได้รับประโยชน์ ทั้งการให้บริการประชาชน การลดใช้เอกสาร การใช้ e-Wallet นายกรัฐมนตรีย้ําจะทําหน้าที่ให้ดีที่สุดในการทํางานเชิงนโยบาย สั่งการ และตัดสินใจ ส่วนรายละเอียดกระทรวง และหน่วยงานต้องนําไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ----------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ย้ำข้าราชการทุกระดับต้องนำนโยบายสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างแท้จริง วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563 นายกรัฐมนตรีประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ย้ําข้าราชการทุกระดับต้องนํานโยบายสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างแท้จริง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ย้ําข้าราชการทุกระดับต้องนํานโยบายสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างแท้จริง วันนี้ (9 มี.ค.63) เวลา 09.30 น. ห้องประชุม 9 ชั้น 15 อาคารบี ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ กระทรวงพลังงาน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยผู้บริหารและข้าราชการกระทรวงพลังงานให้การต้อนรับ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับกระทรวงพลังงาน อาทิ นโยบายปรับสมดุลปาล์มเพื่อความยั่งยืนของกระทรวงพลังงาน โครงการติดตั้งเครื่องมือวัดระดับน้ํามันอัตโนมัติ การพิสูจน์ DNA เพื่อป้องกันการลักลอบนําเข้าน้ํามันปาล์มดิบ (CPO) โครงการนําร่องโรงไฟฟ้าชุมชน ใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรผลิตพลังงานชีวมวล ( ฟางข้าว ใบอ้อย หญ้าเนเปียร์) เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ย้ําถึงการดําเนินโครงการนําร่องโรงไฟฟ้าชุมชนซึ่งเป็นความร่วมมือ 3 ส่วน คือ ภาครัฐ เอกชน และประชาชนว่า ประชาชนในพื้นที่ต้องได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ผลประโยชน์ต้องแบ่งปันอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย มีการนําเงินเข้ากองทุนหมู่บ้านและประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วม ทั้งนี้ ต้องมีการเตรียมพื้นที่และทําแผนปลูกพืชพลังงานอย่างเป็นระบบ เพื่อรองรับการผลิตพลังงานดังกล่าวด้วย จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เปิดการประชุมฯ โดยกล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ว่า มีผลกระทบต่อการทํางาน สิ่งสําคัญที่สุดคือ การสร้างความเชื่อมั่นและความไว้ใจซึ่งกันและกัน ซึ่งข้าราชการต้องชัดเจนในการทํางาน มีความละเอียดรอบคอบ มีกระบวนการในการติดตามและประเมินการทํางานอย่างเป็นระบบ นายกรัฐมนตรียังย้ําการทํางานวันนี้ว่า รัฐบาลเน้นแก้ปัญหา COVID-19 รวมถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและภัยแล้ง ซึ่งยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกคน และจะนําเข้าสู่กระบวนการพิจารณาและหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก่อนการตัดสินใจด้วย โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตนเองตามความเหมาะสม จึงขอฝากการทํางานของข้าราชการทุกคนว่า ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทํางานอย่างเป็นระบบ ให้รู้ว่าประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะไปอยู่ที่ใคร ดูแลให้ถึงประชาชนฐานราก กวดขั้นเจ้าหน้าที่ทุกระดับจากบนไปล่าง เพื่อนํานโยบายขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ภายหลังการประชุมฯ นายกรัฐมนตรีแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า การประชุมหัวหน้าส่วนราชการฯ วันนี้ เป็นการหารือเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยย้ําให้ทุกหน่วยงานราชการบูรณาการทํางานร่วมกันทั้งการแก้ไขปัญหาไวรัส COVID-19 ภัยแล้งและปัญหาเศรษฐกิจ รวมทั้งการอํานวยความสะดวกและให้บริการประชาชนในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันได้รับการร้องเรียนว่า บางเรื่องยังให้บริการได้ไม่ดีเท่าที่ควร ยังมีเข้าใจคลาดเคลื่อนทั้งการทํางาน กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว จึงขอฝากไปถึงหน่วยงานผู้ปฏิบัติ ให้เร่งทําความเข้าใจด้วย หากมีข้อติดขัดตรงไหนก็ให้แจ้งหรือสอบถามทันที จะได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงและอธิบดีต่าง ๆ ไปตรวจสอบ นายกรัฐมนตรียังย้ําสร้างการรับรู้เกี่ยวไวรัส COVID-19ให้ประชาชนเข้าใจอย่างถูกต้อง ยืนยันว่าปัจจุบันไทยยังอยู่ในระยะที่ 2 ยังไม่เข้าสู่ระยะที่ 3 ทั้งนี้ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดําเนินการควบคุมตั้งแต่ต้นทาง การจัดเตรียมสถานที่รองรับสําหรับควบคุมดูแลผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงไว้เรียบร้อยแล้วกว่า200แห่ง ในกรณีที่มีการเดินทางเข้าประเทศจากประเทศกลุ่มเสี่ยง แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐกําหนดก็จะต้องถูกลงโทษและปรับตามกฎหมาย สําหรับการแก้ปัญหาเรื่องหน้ากากอนามัยนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันมีการผลิตหน้ากากอนามัยจาก 11 โรงงานในประเทศ ซึ่งผลิตสูงสุดประมาณ 38 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยรัฐบาลควบคุมดูแลการจัดสรรไปยังส่วนต่างๆ คือ โรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะรับผิดชอบดูแล และอีกส่วนจัดสรรจําหน่ายผ่านช่องทางต่างๆ ที่กระทรวงพาณิชย์ดูแลปกติอื่น ๆ ทั้งนี้ ที่ระบุว่ามีการกักตุนสินค้า รัฐบาลเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว รวมทั้งสั่งการกระทรวงอุตสาหกรรมให้ร่วมผลิตหน้ากากผ้าหรือหน้ากากทางเลือก ซึ่งคาดจะได้ประมาณ 20 ล้านชิ้น นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังได้ทําหน้ากากผ้าแจกจ่ายให้กับประชาชนอีกทางหนึ่งด้วย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 10 มีนาคม 2563 ว่า จะมีการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเบื้องต้นจะมีมาตรการ 2 ส่วน ที่สําคัญ คือ 1) การคืนเงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้าประมาณ 3,000 บาทต่อครัวเรือน และส่วนที่เกี่ยวข้องกับค่าไฟฟ้า และ 2) มาตรการเงินกู้ระยะสั้นและภาษี เพื่อช่วยเหลือภาคโรงแรมและท่องเที่ยว ส่วนประเด็นที่รัฐบาลจะจ่ายเงิน 1,000- 2,000 บาท สําหรับผู้มีรายได้น้อยนั้น จะยังไม่มีการดําเนินการใดๆทั้งสิ้น นายกรัฐมนตรียืนยันจะนําพาประเทศผ่านพ้นสถานการณ์วิกฤตขณะนี้ไปให้ได้ ซึ่งต้องขอความร่วมมือและความเข้าใจจากประชาชนทุกฝ่าย รัฐบาลพยายามสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง ทํางานโดยยึดกฎหมาย รัฐบาลทํางานเพื่อประชาชนไม่ได้ทํางานเพื่อการเมือง สิ่งสําคัญคือการนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติให้ประชาชนได้รับประโยชน์ ทั้งการให้บริการประชาชน การลดใช้เอกสาร การใช้ e-Wallet นายกรัฐมนตรีย้ําจะทําหน้าที่ให้ดีที่สุดในการทํางานเชิงนโยบาย สั่งการ และตัดสินใจ ส่วนรายละเอียดกระทรวง และหน่วยงานต้องนําไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ----------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27016
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ส่งมอบดอกไม้จันทร์ เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันพุธที่ 20 กันยายน 2560 ก.อุตฯ ส่งมอบดอกไม้จันทร์ เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร กระทรวงอุตสาหกรรม ส่งมอบดอกไม้จันทร์ เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ สํานักงานเขตราชเทวี กรุงเทพฯ วันนี้ (20 กันยายน 2560) นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ส่งมอบดอกไม้จันทน์ จํานวน 22,559 ดอก เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมี นายธีรยุทธ ภูมิภักดิ์ ผู้อํานวยการเขตราชเทวี เป็นผู้รับมอบ ณ สํานักงานเขตราชเทวี กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ส่งมอบดอกไม้จันทร์ เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันพุธที่ 20 กันยายน 2560 ก.อุตฯ ส่งมอบดอกไม้จันทร์ เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร กระทรวงอุตสาหกรรม ส่งมอบดอกไม้จันทร์ เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ สํานักงานเขตราชเทวี กรุงเทพฯ วันนี้ (20 กันยายน 2560) นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ส่งมอบดอกไม้จันทน์ จํานวน 22,559 ดอก เพื่อใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมี นายธีรยุทธ ภูมิภักดิ์ ผู้อํานวยการเขตราชเทวี เป็นผู้รับมอบ ณ สํานักงานเขตราชเทวี กรุงเทพฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6831
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560
วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน นับตั้งแต่วันที่13ตุลาคม ปีที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 20 มกราคมนี้ รวมเป็นระยะเวลาครบ100 วัน แห่งการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของ ประเทศไทย และปวงชนชาวไทยทุกคน จากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทุกเพศ ทุกวัย จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งรวมไปถึงชาวต่างชาติ/ ต่างเดินทางมาแสดงความจงรักภักดี ที่ไม่มีวันเสื่อมคลายและพร้อมใจกันถวายสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสิ้นกว่า3ล้านคน แม้ในหลวงรัชกาลที่9เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่พระเกียรติยศ และ “ศาสตร์พระราชา” ของพระองค์ ที่ได้พระราชทานไว้แก่คนไทย ตลอดระยะเวลา70ปี จะยังคงอยู่คู่แผ่นดินไทย ตลอดไป ในการนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ได้ร่วมกันทําความดี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และสานต่อพระบรมราชปณิธาน ในการที่ร่วมกัน “รู้ รัก สามัคคี” เดินหน้าประเทศ ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ตามวิสัยทัศน์ของเรา ก็คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ปัจจุบันสถานการณ์ “น้ําท่วม” ในพื้นที่ภาคใต้ ยังคงอยู่ในภาวะวิกฤต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพพยวรางกูร ได้มีพระราชหัตถเลขา เพื่อให้กําลังใจประชาชนผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ความว่า “ด้วยความรักและห่วงใย ขอเป็นกําลังใจในการร่วมกันฟื้นฟูและพัฒนา เพื่อความสุข ขวัญที่ดี จิตใจและร่างกายที่เข้มแข็ง นํามาซึ่งความสุข และความมั่นคงของชาติ” ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น แสดงถึงความรัก ความห่วงใย ของพระองค์ที่มีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่สําคัญ เป็นการสะท้อนถึงความผูกพัน ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนคนไทย มากว่า 700 ปี ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานแนวทางเพิ่มเติมให้กับรัฐบาล ในการทบทวน “ศาสตร์พระราชา” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ําท่วม อย่างยั่งยืน /มาพิจารณาดําเนินการอย่างเหมาะสม และบังเกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อความสุขของประชาชน และความมั่นคงของชาติ ซึ่งผมได้สั่งการไปกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ตลอดห้วงเวลาที่เกิดอุทกภัยในครั้งนี้ รัฐบาลก็ได้สร้างกลไกในการทํางาน ตั้งแต่ระดับชาติ ลงไปถึงระดับปฏิบัติ ในพื้นที่ประสบภัย เพื่อให้การบริหารจัดการ และการผลักดันความช่วยเหลือ ไปสู่ผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างอย่างมีประสิทธิภาพ ทันท่วงทีและไม่ซ้ําซ้อน รวมทั้งการจัดกิจกรรม “ประชารัฐร่วมใจ ช่วยอุทกภัยภาคใต้” เพื่อเป็นการระดมความช่วยเหลือจากผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศ ในการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติน้ําท่วม และบริหารโดย“กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี”เพื่อให้การดําเนินการ คล่องตัวและโปร่งใส ปัจจุบันมียอดเงินบริจาค รวมทั้งสิ้นเกือบ 500 ล้านบาท จากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งรายงานจากหน่วยงาน ทั้งข่าวสารจากสื่อมวลชน“ทุกแขนง”ผมได้เห็นภาพแห่งความประทับใจของความร่วมมือในรูปแบบ“ประชารัฐ”ซึ่งเป็นความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาชน และจิตอาสาในการช่วยเหลือเกื้อกูลการแจกจ่ายแบ่งปันและการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ในการที่จะนําพา“สิ่งของบริจาค”และ“ความช่วยเหลือ”ในทุกรูปแบบ ไปให้ถึงผู้ประสบภัยให้จงได้ ในโอกาสแรก ๆ ที่เป็นไปได้ เพื่อสร้าง“รอยยิ้ม บนคราบน้ําตา”สะท้อนความรัก ความเอื้ออาทร อันเป็นเอกลักษณ์ของ “คนไทย”มาช้านาน หลายสถานประกอบการ หรือหน่วยงานราชการต่าง “เปิดประตู” ต้อนรับพี่น้องผู้ประสบภัย ที่“หนีร้อนมาพึ่งเย็น” ซึ่งผมก็ขอขอบคุณ มา ณ โอกาสนี้ด้วย ปัจจุบัน มีอีกหลายมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ในทุกมิติ ที่ผมอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชน ได้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้กับพี่น้องประชาชน ผู้ประสบภัยได้รับทราบเพื่อจะได้ไม่เสียโอกาส พลาดสิทธิประโยชน์ ที่พึงจะได้รับไป อย่างน่าเสียดาย เช่น ... (1) มาตรการยกเว้นภาษีบุคคลธรรมดาสําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายจริง เป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมบ้าน อาคาร หรือห้องชุดไม่เกินหนึ่งแสนบาท และเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถยนต์ ไม่เกินสามหมื่นบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่าย ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 (2) มาตรการพักชําระหนี้เป็นเวลา6เดือน และมาตรการให้วงเงินสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการ วงเงินสูงสุดไม่เกิน5 แสนบาทต่อราย เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ (3) มาตรการพักชําระหนี้เงินต้นเกษตรกรที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. เป็นระยะเวลา1ปี และงดคิดดอกเบี้ยปรับ (4) มาตรการ“สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน”ของธนาคารออมสิน วงเงินครอบครัวละไม่เกิน5หมื่นบาท และสําหรับลูกค้าสินเชื่อที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ําท่วมในครั้งนี้สามารถพักชําระหนี้เงินต้นได้ไม่เกิน 2-3ปี (5) มาตรการช่วยเหลือผู้ประกันตน ของสํานักงานประกันสังคมในการลดการจ่ายเงินสมทบ เหลือ3%เป็นเวลา3เดือน (ม.ค. - มี.ค.60) โดยขยาย เลื่อนเวลา ส่งเงินสมทบ โดยไม่ลดสิทธิประโยชน์แต่อย่างใด และ (6) สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้จัดตั้งศูนย์ซ่อมสร้าง แบบเคลื่อนที่ จํานวน200ศูนย์ให้การบริการประกอบด้วย ช่างยนต์ ช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ช่างก่อสร้าง คอมพิวเตอร์ และอื่น ๆ ในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่น้ําท่วมเหล่านี้ เป็นต้น ผมขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทุกฝ่าย ที่ได้แสดงความมีน้ําใจ ขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นผู้นําในพื้นที่ และก็หน่วยงานของ ทุกกระทรวงในพื้นที่ที่ได้ดําเนินการต่างนโยบายของรัฐบาลมาอย่างดียิ่ง ขอบคุณทุกคนได้มีส่วนร่วมแสดงน้ําใจ มีความขยันอดทนเพื่อจะร่วมมือกันในการแสดง “พลังประชารัฐ” ที่แฝงอยู่ในเลือดเนื้อคนไทย พร้อมที่จะร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน “โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เดือดร้อน พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ เราทุกคนต่างรู้ดี และก็ต่างก็ปรารถนาว่า สักวันหนึ่ง ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง จะไม่มีอะไรติดค้างกันในใจ ไม่มีอดีตที่เจ็บปวด มีแต่อนาคตอันสดใส วันนี้ เราก็ต่างเรียกร้อง “การปรองดอง” ซึ่งจําเป็นต้องรับฟังทุกฝ่าย ทั้งความเห็นตรง ทั้งความเห็นต่างทั้งจากนักกฎหมาย พรรคการเมือง นักการเมืองประชาสังคม ประชาชน ทั้งนี้ ก็เพื่อจะหาคําตอบของประเทศให้ได้ว่า เราจะเดินหน้าประเทศไทยไปข้างหน้า และช่วยกันได้อย่างไร เจตนารมณ์ของ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็คือ อยากเห็นทุกฝ่าย รวมทั้งพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง “หันหน้าเข้าหากัน”ร่วมมือกับประชาชนทุกคน ผลักดันประชาธิปไตยที่แท้จริงสู่สังคมไทย และนําพาบ้านเมืองสู่ความสงบสุขและสันติ เราเสียเวลากันมามากแล้ว เราต้อง “จับเข่าคุยกัน” แสดงความจริงใจ ความเสียสละ และแสดงความรักชาติ ที่ผมเชื่อว่ามีอยู่ในสายเลือดของคนไทยทุกคน ได้ช่วยกันหาแนวทางเดินหน้าประเทศ ด้วยความปรองดอง ในทุกมติ ทั้งความคิด จิตใจ การบังคับใช้กฎหมาย และการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ทั้งในปัจจุบัน และในอนาคตที่เป็นไปได้จริง แสดงให้ลูกหลานเห็นว่า “ทุกปัญหามีทางออก” ไม่ใช่ว่า “ทุกทางออก...มีแต่ปัญหา” ต้องหาให้เจอ แล้วดําเนินการให้ได้ อย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืน เรารู้ว่าไม่ง่ายเหมือน “พลิกฝ่ามือ” แต่ก็ต้องเริ่มนับ “1” วันข้างหน้าก็จะครบ “100” หรือสมบูรณ์ ในที่สุด หลังจาก 2 ปีกว่าที่ รัฐบาลและ คสช. ได้ดําเนินการร่วม กับ “แม่น้ํา” ทั้ง 5 สาย ในมิติที่แตกต่างกันซึ่งแต่ละฝ่ายรับผิดชอบ “คู่ขนาน” กันไป พร้อม ๆ กันโดยไม่รีรอ แต่ได้ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างการรับรู้เป็นระยะ ๆ อีกทั้ง เราจําเป็นต้องสร้าง “ความเชื่อมโยง” นําสิ่งที่แต่ละฝ่าย แม่น้ําแต่ละสาย ได้ทําไว้ ซึ่งแยกย่อยเป็นกิจกรรมย่อย ๆ หลายกิจกรรม เราจะนํากิจกรรมเหล่านั้น “ทั้งหมด” มาจัดกลุ่ม จัดระเบียบ ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ภายใต้กรอบใหญ่ กรอบใหม่ที่ร่วมกันกําหนดขึ้น เพื่อให้เกิด “ความประสานสอดคล้อง” ซึ่งก็จะเป็นการส่งเสริม หรือเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งกันและกัน ทั้งเรื่องการปฏิรูปของ สปท. (สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ)การร่างยุทธศาสตร์ชาติและงานในความรับผิดชอบของ กรธ. (คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ) เราจะเอาทุกอย่างที่กล่าวมานั้นมาต่อเป็น “จิ๊กซอว์” เดียวกัน ที่สมบูรณ์ เติมเต็มกัน เป็น “ภาพอนาคตประเทศไทย” ที่เราอยากเห็น เป็นความหวังของเรา เป็นสิ่งที่เราให้เป็น เป็นสิ่งที่เราเป็นในวันนี้ ช่วยกันสร้างไว้ ให้กับลูกหลานในอนาคต โดยปัจจุบันนั้น มีสิ่งที่ทําแล้ว สําเร็จแล้ว เริ่มต้นแล้ว และอาจต้องทําต่อ หรือยังไม่ได้ทํา แต่ริเริ่มไว้ เตรียมการไว้ เพื่อส่งต่อทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ต้องนํามาดําเนินการ ให้มีผลในทางปฏิบัติให้ได้เร็ว ๆ โดยอาจะบรรจุไว้ในแผนงานโครงการ มีงบประมาณรองรับในชั้นต้น โดยจัดลําดับความเร่งด่วน ให้ความสําคัญ ให้มีความชัดเจน และทุกฝ่ายมีความเข้าใจที่ตรงกัน มีเป้าหมายร่วมกัน แล้วมีการทํางานอย่างเป็นขั้น เป็นตอน ทั้งระยะเร่งด่วน ระยะปานกลาง และระยะยาว ที่จะสร้างความยั่งยืน ในรัฐบาลต่อ ๆ ไป พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นการร่างรูปแบบของการทํางานของ “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ” ที่จะจัดตั้งโดยรัฐธรรมนูญ “ใหม่” ฉบับถาวรทั้งนี้ เพื่อให้การ “เปลี่ยนผ่าน” ประเทศ และ “ส่งต่อ” แผนงาน โครงการที่รัฐบาลนี้ และ คสช. ได้เริ่มไว้แล้ว ไปยังรัฐบาลต่อไป อย่าง “ไร้รอยต่อ” จึงมี “คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง” ที่เรียกว่า (ป.ย.ป.)/ จัดตั้งโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันสําหรับดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่กล่าวมา จะเป็นการวางรากฐาน การเตรียมการสู่อนาคต เพื่อให้มีการเดินหน้าประเทศ และการบริหารราชการแผ่นดิน ที่มีความต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่า “จุดเริ่มต้น” ของความปรองดองนั้น ก็คือ ความเข้าใจ อันจะนํามาซึ่งความร่วมมือเพื่ออยู่อย่างสันติสุขในอนาคต สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากให้ทุกคนได้คิด อาจจะเป็นอุทาหรณ์ เพื่อความเข้าใจซึ่งกันแล้วกัน ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ที่ผ่านมานั้น ในยามที่พืชผลทางการเกษตรตกต่ํา ก็มักจะมีการรวมกลุ่ม ตั้งเวที ปิดถนน เรียกร้อง ต่อรองให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหา เอาประชาชนเป็น “ตัวประกัน” เอาความเดือดร้อนจากการจราจรเป็น “เงื่อนไข” เร่งรัดให้ต้องมีการดําเนินการอย่างใด อย่างหนึ่ง ซึ่งมักจะมี “ผู้อยู่เบื้องหลัง” ซึ่งอาจจะเป็นผู้ที่ไม่หวังดีหรือหวังดีต่อสังคมก็ตาม และอาจจะเป็นผู้ที่หวังผลทางการเมือง แบบนี้ เป็นแนวทางที่ไม่ปรองดอง และนํามาซึ่งการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน แนวทางที่ถูกต้อง ปรองดอง และยั่งยืน ซึ่งอยากจะบอกให้ทุกคนทราบก็ คือ (1) ประชาชนทั่วไปต้องเข้าใจความเดือดร้อนของเกษตรกรเสียก่อนเมื่อเข้าใจกัน ก็พอจะให้อภัยกัน ไม่โกรธกัน (2) การปิดถนนเป็นการกระทําผิดที่กฎหมาย เพราะละเมิดสิทธิผู้อื่น ดังนั้น ผู้กระทําผิด โดยเฉพาะที่อยู่เบื้องหลัง ก็จะมีความผิดตามกฎหมาย ยกเว้นไม่ได้ มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะมีความผิดอีก เนื่องจากจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และหากปล่อยให้เกิดขึ้น ก็จะเป็น “ตัวอย่างผิด ๆ” เกิดขึ้นซ้ําแล้ว ซ้ําเล่า ในสังคมไทย และ (3) เราต้องให้ความรู้กับพี่น้องเกษตรกร ถึงช่องทางสื่อสาร “ที่ถูกต้อง” กับผู้ที่รับผิดชอบ เช่น รัฐบาลปัจจุบันมีOSSศูนย์ดํารงธรรม (สายด่วน 1567) เป็นต้น จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ เป็นเครื่องมือของใคร ที่ไม่หวังดี และไม่ทําผิดกฎหมายอีก ทั้งเจตนาและไม่เจตนา ทั้งนี้ หากทําได้ ตาม 3 ข้อนี้ก่อน ผมเชื่อว่า ปัญหาก็จะไม่บานปลาย ไม่มีใครทําผิดกฎหมาย,เจ้าหน้าที่ก็เอาเวลาไปแก้ปัญหาดูแลประชาชนได้อย่างเต็มที่ ที่สําคัญคือ“การเอาใจเขามาใส่ใจเรา”แล้วความเข้าใจก็จะเกิด“ความปรองดอง” ก็จะอยู่คู่สังคมไทยอยู่เสมอ พูดง่าย ๆ การปรองดอง ก็คือการร่วมกันคิดว่าเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรต่อไปเมื่อเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ทหารไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งของใคร จะทําหน้าที่เป็นผู้อํานวยความสะดวกให้ ที่ผ่านมาเมื่อทุกอย่างติดล็อก จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ อาจจะมีการกล่าวอ้างกัน ทุกคนทราบดีแก่ใจ ก็อยากให้พิจารณาให้ลึกซึ้ง พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ ในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศ มีบทบาทกับชีวิต และอารมณ์ของคนในสังคม ส่งผลให้ “คนไทย” เรามักนิยมความหวือหวา ชอบความสะใจ ชอบตามกระแส อยากเด่นอยากดัง อยากได้เร็ว ๆ หรือมีความอดทนน้อย อาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดา และเข้าใจได้ หากสิ่งที่ทําหรือแสดงออกไป เป็นเพราะต้องการมีชีวิตที่ “ดีขึ้น” รัฐบาลเองไม่ได้ปิดกั้น แต่ก็พร้อมที่จะส่งเสริม ตราบเท่าที่การกระทําเหล่านั้น ไม่ละเมิดกฎหมาย ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี แต่หากเป็นต้นเหตุของปัญหา กระทบต่อผู้คนในสังคมและส่วนรวมแล้ว รัฐบาลก็จําเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย ด้วยความเป็นธรรม และไม่สร้างความเหลื่อมล้ํา บางปัญหาที่ง่าย ก็ อาจจะแก้ไขได้โดยเร็ว บางปัญหาที่สลับซับซ้อน เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน หลายกฎหมาย ก็ต้องมีการบูรณาการ การบูรณาการในเรื่องข้อกฎหมาย หลายฉบับนั้นเป็นสิ่งสําคัญ ต้องใช้เวลา ใช้ทั้งนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ตามแนวทางพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 9 อันเป็น “ศาสตร์พระราชา” ที่รัฐบาลนี้ ยึดถือเป็นแนวทางในการบริหารประเทศเสมอมา เช่น ผลการดําเนินงานแก้ไขปัญหาร้องทุกข์ ให้กับพี่น้องประชาชน ของ “ศูนย์ดํารงธรรม” ที่สามารถขจัดปัญหาได้ ในระยะเวลาอันสั้น มากกว่าร้อยละ90 “ที่เหลือ” ก็ต้องค่อย ๆ หาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา ต้องช่วยกันอดทน การแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ของประเทศ ในปัจจุบัน ต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็น อย่างเปิดกว้าง และเป็นธรรมรัฐบาลและ คสช. เต็มใจที่จะเป็น “สะพาน” เชื่อมโยงความเห็นจากทุกฝ่าย - ประสานความหวังให้เป็นหนึ่งเดียว และเป็น “ตัวกลาง” ในการผนึก “พลังประชารัฐ” เพื่อทําความต้องการของเรา ให้เป็นความจริง เพราะหากมีความต้องการ แต่ก็อ้างว่าทํากันไม่ได้ แล้วไม่เริ่มลงมือทํา ก็จะไม่เกิดประโยชน์ แล้วผมก็เชื่อว่า “ไม่มีอะไร ที่เป็นไปไม่ได้” หากแต่เราทุกคน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ร่วมกับรัฐบาลในการแก้ไข “ปัญหาร่วม” ของพวกเรา ในทุกขั้นตอน อาทิเช่น (1) ประชาชนเสนอความต้องการ(2) รัฐบาลสนองตอบประชาชน ด้วยการกําหนดกติกา มาตรการ นโยบายสาธารณะ รวมทั้งบังคับใช้กฎหมาย ในการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างมีธรรมาภิบาล ซึ่งทั้ง 2 ประการ ต้องการ “จิตสํานึก” และ “ความร่วมมือ” เป็นพื้นฐาน ทั้งสิ้น สําหรับปัญหาสําคัญของประเทศไทยในปัจจุบัน ที่ผมพอสรุปได้ดังนี้ 1. การสร้างความขัดแย้ง การกระทําความผิด ละเมิด ไม่เคารพกฎหมายการบิดเบือนข้อเท็จจริง การกล่าวอ้างหลักการประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน โดยดึงเอามาประเด็นเดียวกัน โดยมีผลประโยชน์ส่วนตนแอบแฝง ไม่จริงใจ ไม่ตระหนักถึงประโยชน์ส่วนรวม ยังมีอยู่ 2. การแก้ปัญหาประเทศในทุกมิติ เป็นการแก้ปัญหา ที่เน้นการใช้จ่ายงบประมาณในมาตรการระยะสั้น และชั่วคราวซึ่งเกิดซ้ําแล้วซ้ําเล่า การบังคับใช้กฎหมายทําไม่ได้มากนัก มีการอ้างสิทธิมนุษยชนโดยNGO บางกลุ่มที่ทํางานหวังผลด้านเดียว ไม่มองในแง่ประเทศชาติ ว่าจะเดินหน้าไปอย่างไร (มีการค้านทุกเรื่อง) รัฐบาล ข้าราชการ ก็จําเป็นต้องทําอย่างโปร่งใส และให้ประชาชนพึงพอใจด้วยความรู้ความเข้าใจ เช่น ปัญหาเรื่องพลังงาน การใช้ที่ดิน การพัฒนา – การแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย เพื่อจะรองรับอนาคต โดยไม่ให้ความสําคัญกับ “การป้องกัน” แต่กลับไปเน้น “การลงโทษ” เราต้องแก้ไขใน เรื่องการพัฒนาด้านการเกษตร การบริหารจัดการน้ําให้พอใช้ โดยใช้Agri-map สําหรับบริหารจัดการเกษตรไทย โดยการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเกษตรและด้านการพาณิชย์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จําเป็นต้องคํานึงถึงสมดุลของทรัพยากรการผลิต (ดิน น้ํา พืช) ผลผลิต อุปสงค์และอุปทาน รวมทั้งปัจจัยการผลิต ซึ่งจะทําให้สามารถบริหารจัดการสินค้าเกษตรสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและสามารถคาดการณ์ในอนาคตได้อย่างครบวงจร การแก้ไขปัญหาน้ําท่วม การพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ถนน รถไฟ รถไฟฟ้า หรืออื่น ๆโดยอาจจะอ้างว่าห้ามทําลายทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างเดียว ไม่ฟังเหตุผล เราก็จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่ได้ เช่น กรณีปัญหาน้ําท่วมที่ขาดการระบายน้ํา มีการก่อสร้างขวางเส้นทางน้ําอะไรเหล่านี้ ติดขัดบ้านเรือนประชาชน เราจําเป็นต้องมีการพัฒนาความเชื่อมโยงทางกายภาพเราจึงมีการพิจารณาแก้ปัญหา และการพิทักษ์ดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล โดยใช้ประโยชน์อย่างประหยัดละคุ้มค่า 3.การแก้ปัญหาความยากจน เศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ํา หลายฝ่าย รวมทั้งประชาชน อาจจะยังไม่เข้าใจในระบบเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจขนาดใหญ่ในยุคใหม่ ที่ดีเพียงพอ ยังคงเอาหลักการใหญ่ พัฒนาองค์รวม มาตีกับเศรษฐกิจฐานราก “ผู้มีรายได้น้อย” กับคนรวย กับทุนนิยม เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว เป็นงานด้านเศรษฐกิจของโลกเสรี ที่เป็นประชาธิปไตย ก็ต้องเป็นอย่างนี้ทุกประเทศ สําคัญที่เราจะเชื่อมโยง เกื้อกูลอย่างไร หลายฝ่ายอาจจะมาโจมตีเป็นส่วน ๆ ก็ไปไม่ได้ ที่จะกลับมาที่เดิม ย้ําเท้าอยู่กับที่ พัฒนาอะไรไม่ได้เลย ใช้งบประมาณช่วย “ผู้มีรายได้น้อย” เกษตรกร อาชีพอิสระ ฯลฯ ไปทีละปัญหา ทีละปี ๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ใช้งบประมาณจํานวนมาก ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ใช้งบประมาณในการสร้างมูลค่า ความเข้มแข็งเพิ่มเติม ใช้เป็นมาตรการเพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ประชาชนก็ไม่เข้มแข็ง ประเทศก็ไม่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ทุกปัญหาเหล่านี้ เราต้องร่วมมือกันว่า อะไรคือสาเหตุ รัฐ ประชาชน เอกชน เป็นอย่างไร เข้มแข็งเพียงพอหรือไม่ เอา3อย่างมาขัดแย้งกัน โดยสื่อ นักวิชาการ “บางคน บางกลุ่ม” ที่มีจิตเจตนาแอบแฝง เลือกข้าง หรืออาจะมองแต่เพียงประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน โดยไม่สนใจว่าประเทศจะเป็นอย่างไร มีการพูดโดยไม่รับผิดชอบ ผู้ที่รับผิดชอบ เดือดร้อน ก็คือ รัฐบาล ประชาชน ประเทศชาติ อาจจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองเหล่านี้บ้าง ซึ่งอาจจะกล่าวหาว่ารัฐบาลไม่เปิดโอกาส รัฐบาลผมเองนั้นเปิดโอกาสตลอดเวลา ให้คําแนะนําหรือการวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่สร้างความขัดแย้งอย่างนั้น ผมก็ยอมรับไม่ได้ เพราะสถานการณ์ต้องการความสงบเรียบร้อย ในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเราก็ยังคงต้องดูแลอยู่บ้าง เพราะเรามีประสบการณ์กันมาแล้ว เมื่อพูดกันอยู่นอกกรอบกันเรื่อย ๆวันหนึ่งก็เกิดความขัดแย้ง เช่นในอดีตขึ้นมาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีต่าง ๆ เรื่องทางกฎหมายต่าง ๆ ก็อาจเป็นชนวนสร้างความขัดแย้งในสังคมของเรา ให้ประชาชน ให้สาธารณชนเกิดความไม่สงบเรียบร้อยนะครับ แล้วก็หลายคน บางคนก็อาจจะมุ่งหวังให้มีการลุกลามบานปลาย โดยการสร้างการรับรู้อย่างผิด ๆ ให้กับองค์กรโลก ประชาคมโลก ว่ารัฐบาลนี้จํากัดตามกฎหมาย สิทธิ ละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้ง ๆ ที่เรามีกฎหมายอยู่ทุกฉบับ ไม่จําเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษแต่อย่างใด ก็สามารถที่จะทําได้ แต่ทุกคนไม่ร่วมมือ ทุกคนก็พยายามหาทางออกหาจุดอ่อนของกฎหมาย เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นความผิดที่นานาอารยประเทศ ต่างก็เห็นตรงกัน ว่าเป็น “ความผิด” การสร้างความเดือดร้อน การสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น เหล่านี้เป็นการกระทําของกลุ่มคนที่ไม่คิดจะเคารพกฎหมาย พอเจ้าหน้าที่เข้มงวดบังคับใช้กฎหมาย ไม่ว่าจะใช้กฎหมายปกติ หรือกฎหมายพิเศษ ก็มักจะตีโพยตีพาย หาว่าจํากัดสิทธิ ละเมิดสิทธิมนุษยชนบ้าง ไปดูว่าผิดกฎหมายหรือไม่ อ่านกฎหมายบ้างหรือไม่ เพราะฉะนั้นเราคงไม่ต้องการให้บ้านเมือง “ไร้ขื่อแป” ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่อยากให้ใครใช้เพื่อการหวังผลการเมือง มุ่งประโยชน์ส่วนตน แล้วก็อ้างคําว่าประชาธิปไตย “สร้างภาพ จอมปลอม ไม่จริงใจ แอบแฝง” รวมทั้ง สิทธิมนุษยชนที่อาจจะทําผิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่น ละเมิดสิทธิสาธารณะ ขณะที่ประชาชน “เกิน90%” เขาปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ก็ต้องพลอยได้รับผลกระทบ เดือดร้อน โดยมีแกนนํา กลุ่มบุคคล บุคคลไม่กี่คน ที่ยังจะคงทําลายประเทศของตัวเองต่อไป อาจจะด้วยรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง ผมก็ได้แต่เพียงขอร้องให้สังคมประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ช่วยกันคิดว่า เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร เราจะยอมให้ผู้ที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยทําอะไรก็ได้ใช่หรือไม่ แล้วกล่าวว่าทหารเข้ามาทําให้ประชาธิปไตยเสียหาย ประชาธิปไตยเสียหายตั้งแต่ก่อนผมเข้ามาแล้ว การที่ผมเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินในขณะนี้นั้น ได้แก้ปัญหาที่พวกท่านได้สร้างปัญหาไว้มากมาย ก็ขอให้ยอมรับตัวเองกันบ้าง คนดีก็มาก คนไม่ดีก็เยอะ สุดท้ายนี้ ผมขอความร่วมมือประชาชน “ผู้ที่รักประเทศชาติ” ได้ร่วมกับรัฐบาล ในการเดินหน้าประเทศ ตามยุทธศาสตร์ ปฏิรูปประเทศ และสร้างการความปรองดอง ในสิ่งที่ควรจะทําได้ โดยไม่ต้องบังคับ ไม่ออกนอกกรอบกฎหมาย อ้างประชาธิปไตย ก็คือ ปรองดอง ไม่มีความผิด เป็นไปไม่ได้ผมว่า “ไม่ใช่” ไปหาตนเองให้เจอ ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ผู้กระทําผิดกฎหมาย นักการเมือง (บางคน) สื่อ (บางสํานัก) ฯลฯ โดยเฉพาะประชาชน “ผู้บริสุทธิ์” ที่ต้องการ “ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ทั่วประเทศ ถามเขาหรือยังว่า ที่เรียกร้องกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นกระบวนการปรองดอง ว่าเขาต้องการอย่างไร มีความเห็นอย่างไร ผมจะรับฟังทุกภาคส่วน อย่าเอาความต้องการตัวเองมาชี้นําให้สังคมวุ่นวาย รัฐบาลและ คสช. จะอํานวยความสะดวกในเรื่องเหล่านี้ ในเวทีที่เปิดการพูดคุยรับฟังความคิดเห็นนี้ ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์สวัสดีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน นับตั้งแต่วันที่13ตุลาคม ปีที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 20 มกราคมนี้ รวมเป็นระยะเวลาครบ100 วัน แห่งการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของ ประเทศไทย และปวงชนชาวไทยทุกคน จากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทุกเพศ ทุกวัย จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งรวมไปถึงชาวต่างชาติ/ ต่างเดินทางมาแสดงความจงรักภักดี ที่ไม่มีวันเสื่อมคลายและพร้อมใจกันถวายสักการะพระบรมศพอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสิ้นกว่า3ล้านคน แม้ในหลวงรัชกาลที่9เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่พระเกียรติยศ และ “ศาสตร์พระราชา” ของพระองค์ ที่ได้พระราชทานไว้แก่คนไทย ตลอดระยะเวลา70ปี จะยังคงอยู่คู่แผ่นดินไทย ตลอดไป ในการนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ได้ร่วมกันทําความดี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และสานต่อพระบรมราชปณิธาน ในการที่ร่วมกัน “รู้ รัก สามัคคี” เดินหน้าประเทศ ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ตามวิสัยทัศน์ของเรา ก็คือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ปัจจุบันสถานการณ์ “น้ําท่วม” ในพื้นที่ภาคใต้ ยังคงอยู่ในภาวะวิกฤต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพพยวรางกูร ได้มีพระราชหัตถเลขา เพื่อให้กําลังใจประชาชนผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ความว่า “ด้วยความรักและห่วงใย ขอเป็นกําลังใจในการร่วมกันฟื้นฟูและพัฒนา เพื่อความสุข ขวัญที่ดี จิตใจและร่างกายที่เข้มแข็ง นํามาซึ่งความสุข และความมั่นคงของชาติ” ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น แสดงถึงความรัก ความห่วงใย ของพระองค์ที่มีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่สําคัญ เป็นการสะท้อนถึงความผูกพัน ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนคนไทย มากว่า 700 ปี ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานแนวทางเพิ่มเติมให้กับรัฐบาล ในการทบทวน “ศาสตร์พระราชา” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานไว้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ําท่วม อย่างยั่งยืน /มาพิจารณาดําเนินการอย่างเหมาะสม และบังเกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อความสุขของประชาชน และความมั่นคงของชาติ ซึ่งผมได้สั่งการไปกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ตลอดห้วงเวลาที่เกิดอุทกภัยในครั้งนี้ รัฐบาลก็ได้สร้างกลไกในการทํางาน ตั้งแต่ระดับชาติ ลงไปถึงระดับปฏิบัติ ในพื้นที่ประสบภัย เพื่อให้การบริหารจัดการ และการผลักดันความช่วยเหลือ ไปสู่ผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างอย่างมีประสิทธิภาพ ทันท่วงทีและไม่ซ้ําซ้อน รวมทั้งการจัดกิจกรรม “ประชารัฐร่วมใจ ช่วยอุทกภัยภาคใต้” เพื่อเป็นการระดมความช่วยเหลือจากผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศ ในการช่วยเหลือฟื้นฟูและเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติน้ําท่วม และบริหารโดย“กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี”เพื่อให้การดําเนินการ คล่องตัวและโปร่งใส ปัจจุบันมียอดเงินบริจาค รวมทั้งสิ้นเกือบ 500 ล้านบาท จากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งรายงานจากหน่วยงาน ทั้งข่าวสารจากสื่อมวลชน“ทุกแขนง”ผมได้เห็นภาพแห่งความประทับใจของความร่วมมือในรูปแบบ“ประชารัฐ”ซึ่งเป็นความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาชน และจิตอาสาในการช่วยเหลือเกื้อกูลการแจกจ่ายแบ่งปันและการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ในการที่จะนําพา“สิ่งของบริจาค”และ“ความช่วยเหลือ”ในทุกรูปแบบ ไปให้ถึงผู้ประสบภัยให้จงได้ ในโอกาสแรก ๆ ที่เป็นไปได้ เพื่อสร้าง“รอยยิ้ม บนคราบน้ําตา”สะท้อนความรัก ความเอื้ออาทร อันเป็นเอกลักษณ์ของ “คนไทย”มาช้านาน หลายสถานประกอบการ หรือหน่วยงานราชการต่าง “เปิดประตู” ต้อนรับพี่น้องผู้ประสบภัย ที่“หนีร้อนมาพึ่งเย็น” ซึ่งผมก็ขอขอบคุณ มา ณ โอกาสนี้ด้วย ปัจจุบัน มีอีกหลายมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ในทุกมิติ ที่ผมอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชน ได้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้กับพี่น้องประชาชน ผู้ประสบภัยได้รับทราบเพื่อจะได้ไม่เสียโอกาส พลาดสิทธิประโยชน์ ที่พึงจะได้รับไป อย่างน่าเสียดาย เช่น ... (1) มาตรการยกเว้นภาษีบุคคลธรรมดาสําหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายจริง เป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมบ้าน อาคาร หรือห้องชุดไม่เกินหนึ่งแสนบาท และเป็นค่าซ่อมแซมหรือค่าวัสดุหรืออุปกรณ์ในการซ่อมแซมรถยนต์ ไม่เกินสามหมื่นบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่าย ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2560 (2) มาตรการพักชําระหนี้เป็นเวลา6เดือน และมาตรการให้วงเงินสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการ วงเงินสูงสุดไม่เกิน5 แสนบาทต่อราย เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ (3) มาตรการพักชําระหนี้เงินต้นเกษตรกรที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. เป็นระยะเวลา1ปี และงดคิดดอกเบี้ยปรับ (4) มาตรการ“สินเชื่อประชารัฐเพื่อประชาชน”ของธนาคารออมสิน วงเงินครอบครัวละไม่เกิน5หมื่นบาท และสําหรับลูกค้าสินเชื่อที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ําท่วมในครั้งนี้สามารถพักชําระหนี้เงินต้นได้ไม่เกิน 2-3ปี (5) มาตรการช่วยเหลือผู้ประกันตน ของสํานักงานประกันสังคมในการลดการจ่ายเงินสมทบ เหลือ3%เป็นเวลา3เดือน (ม.ค. - มี.ค.60) โดยขยาย เลื่อนเวลา ส่งเงินสมทบ โดยไม่ลดสิทธิประโยชน์แต่อย่างใด และ (6) สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้จัดตั้งศูนย์ซ่อมสร้าง แบบเคลื่อนที่ จํานวน200ศูนย์ให้การบริการประกอบด้วย ช่างยนต์ ช่างไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ช่างก่อสร้าง คอมพิวเตอร์ และอื่น ๆ ในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่น้ําท่วมเหล่านี้ เป็นต้น ผมขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทุกฝ่าย ที่ได้แสดงความมีน้ําใจ ขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นผู้นําในพื้นที่ และก็หน่วยงานของ ทุกกระทรวงในพื้นที่ที่ได้ดําเนินการต่างนโยบายของรัฐบาลมาอย่างดียิ่ง ขอบคุณทุกคนได้มีส่วนร่วมแสดงน้ําใจ มีความขยันอดทนเพื่อจะร่วมมือกันในการแสดง “พลังประชารัฐ” ที่แฝงอยู่ในเลือดเนื้อคนไทย พร้อมที่จะร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน “โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เดือดร้อน พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ เราทุกคนต่างรู้ดี และก็ต่างก็ปรารถนาว่า สักวันหนึ่ง ระหว่างคนไทยด้วยกันเอง จะไม่มีอะไรติดค้างกันในใจ ไม่มีอดีตที่เจ็บปวด มีแต่อนาคตอันสดใส วันนี้ เราก็ต่างเรียกร้อง “การปรองดอง” ซึ่งจําเป็นต้องรับฟังทุกฝ่าย ทั้งความเห็นตรง ทั้งความเห็นต่างทั้งจากนักกฎหมาย พรรคการเมือง นักการเมืองประชาสังคม ประชาชน ทั้งนี้ ก็เพื่อจะหาคําตอบของประเทศให้ได้ว่า เราจะเดินหน้าประเทศไทยไปข้างหน้า และช่วยกันได้อย่างไร เจตนารมณ์ของ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็คือ อยากเห็นทุกฝ่าย รวมทั้งพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง “หันหน้าเข้าหากัน”ร่วมมือกับประชาชนทุกคน ผลักดันประชาธิปไตยที่แท้จริงสู่สังคมไทย และนําพาบ้านเมืองสู่ความสงบสุขและสันติ เราเสียเวลากันมามากแล้ว เราต้อง “จับเข่าคุยกัน” แสดงความจริงใจ ความเสียสละ และแสดงความรักชาติ ที่ผมเชื่อว่ามีอยู่ในสายเลือดของคนไทยทุกคน ได้ช่วยกันหาแนวทางเดินหน้าประเทศ ด้วยความปรองดอง ในทุกมติ ทั้งความคิด จิตใจ การบังคับใช้กฎหมาย และการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ทั้งในปัจจุบัน และในอนาคตที่เป็นไปได้จริง แสดงให้ลูกหลานเห็นว่า “ทุกปัญหามีทางออก” ไม่ใช่ว่า “ทุกทางออก...มีแต่ปัญหา” ต้องหาให้เจอ แล้วดําเนินการให้ได้ อย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืน เรารู้ว่าไม่ง่ายเหมือน “พลิกฝ่ามือ” แต่ก็ต้องเริ่มนับ “1” วันข้างหน้าก็จะครบ “100” หรือสมบูรณ์ ในที่สุด หลังจาก 2 ปีกว่าที่ รัฐบาลและ คสช. ได้ดําเนินการร่วม กับ “แม่น้ํา” ทั้ง 5 สาย ในมิติที่แตกต่างกันซึ่งแต่ละฝ่ายรับผิดชอบ “คู่ขนาน” กันไป พร้อม ๆ กันโดยไม่รีรอ แต่ได้ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างการรับรู้เป็นระยะ ๆ อีกทั้ง เราจําเป็นต้องสร้าง “ความเชื่อมโยง” นําสิ่งที่แต่ละฝ่าย แม่น้ําแต่ละสาย ได้ทําไว้ ซึ่งแยกย่อยเป็นกิจกรรมย่อย ๆ หลายกิจกรรม เราจะนํากิจกรรมเหล่านั้น “ทั้งหมด” มาจัดกลุ่ม จัดระเบียบ ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ภายใต้กรอบใหญ่ กรอบใหม่ที่ร่วมกันกําหนดขึ้น เพื่อให้เกิด “ความประสานสอดคล้อง” ซึ่งก็จะเป็นการส่งเสริม หรือเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งกันและกัน ทั้งเรื่องการปฏิรูปของ สปท. (สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ)การร่างยุทธศาสตร์ชาติและงานในความรับผิดชอบของ กรธ. (คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ) เราจะเอาทุกอย่างที่กล่าวมานั้นมาต่อเป็น “จิ๊กซอว์” เดียวกัน ที่สมบูรณ์ เติมเต็มกัน เป็น “ภาพอนาคตประเทศไทย” ที่เราอยากเห็น เป็นความหวังของเรา เป็นสิ่งที่เราให้เป็น เป็นสิ่งที่เราเป็นในวันนี้ ช่วยกันสร้างไว้ ให้กับลูกหลานในอนาคต โดยปัจจุบันนั้น มีสิ่งที่ทําแล้ว สําเร็จแล้ว เริ่มต้นแล้ว และอาจต้องทําต่อ หรือยังไม่ได้ทํา แต่ริเริ่มไว้ เตรียมการไว้ เพื่อส่งต่อทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ต้องนํามาดําเนินการ ให้มีผลในทางปฏิบัติให้ได้เร็ว ๆ โดยอาจะบรรจุไว้ในแผนงานโครงการ มีงบประมาณรองรับในชั้นต้น โดยจัดลําดับความเร่งด่วน ให้ความสําคัญ ให้มีความชัดเจน และทุกฝ่ายมีความเข้าใจที่ตรงกัน มีเป้าหมายร่วมกัน แล้วมีการทํางานอย่างเป็นขั้น เป็นตอน ทั้งระยะเร่งด่วน ระยะปานกลาง และระยะยาว ที่จะสร้างความยั่งยืน ในรัฐบาลต่อ ๆ ไป พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นการร่างรูปแบบของการทํางานของ “คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ” ที่จะจัดตั้งโดยรัฐธรรมนูญ “ใหม่” ฉบับถาวรทั้งนี้ เพื่อให้การ “เปลี่ยนผ่าน” ประเทศ และ “ส่งต่อ” แผนงาน โครงการที่รัฐบาลนี้ และ คสช. ได้เริ่มไว้แล้ว ไปยังรัฐบาลต่อไป อย่าง “ไร้รอยต่อ” จึงมี “คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง” ที่เรียกว่า (ป.ย.ป.)/ จัดตั้งโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันสําหรับดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่กล่าวมา จะเป็นการวางรากฐาน การเตรียมการสู่อนาคต เพื่อให้มีการเดินหน้าประเทศ และการบริหารราชการแผ่นดิน ที่มีความต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่า “จุดเริ่มต้น” ของความปรองดองนั้น ก็คือ ความเข้าใจ อันจะนํามาซึ่งความร่วมมือเพื่ออยู่อย่างสันติสุขในอนาคต สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากให้ทุกคนได้คิด อาจจะเป็นอุทาหรณ์ เพื่อความเข้าใจซึ่งกันแล้วกัน ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ที่ผ่านมานั้น ในยามที่พืชผลทางการเกษตรตกต่ํา ก็มักจะมีการรวมกลุ่ม ตั้งเวที ปิดถนน เรียกร้อง ต่อรองให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหา เอาประชาชนเป็น “ตัวประกัน” เอาความเดือดร้อนจากการจราจรเป็น “เงื่อนไข” เร่งรัดให้ต้องมีการดําเนินการอย่างใด อย่างหนึ่ง ซึ่งมักจะมี “ผู้อยู่เบื้องหลัง” ซึ่งอาจจะเป็นผู้ที่ไม่หวังดีหรือหวังดีต่อสังคมก็ตาม และอาจจะเป็นผู้ที่หวังผลทางการเมือง แบบนี้ เป็นแนวทางที่ไม่ปรองดอง และนํามาซึ่งการแก้ปัญหาที่ไม่ยั่งยืน แนวทางที่ถูกต้อง ปรองดอง และยั่งยืน ซึ่งอยากจะบอกให้ทุกคนทราบก็ คือ (1) ประชาชนทั่วไปต้องเข้าใจความเดือดร้อนของเกษตรกรเสียก่อนเมื่อเข้าใจกัน ก็พอจะให้อภัยกัน ไม่โกรธกัน (2) การปิดถนนเป็นการกระทําผิดที่กฎหมาย เพราะละเมิดสิทธิผู้อื่น ดังนั้น ผู้กระทําผิด โดยเฉพาะที่อยู่เบื้องหลัง ก็จะมีความผิดตามกฎหมาย ยกเว้นไม่ได้ มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะมีความผิดอีก เนื่องจากจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย และหากปล่อยให้เกิดขึ้น ก็จะเป็น “ตัวอย่างผิด ๆ” เกิดขึ้นซ้ําแล้ว ซ้ําเล่า ในสังคมไทย และ (3) เราต้องให้ความรู้กับพี่น้องเกษตรกร ถึงช่องทางสื่อสาร “ที่ถูกต้อง” กับผู้ที่รับผิดชอบ เช่น รัฐบาลปัจจุบันมีOSSศูนย์ดํารงธรรม (สายด่วน 1567) เป็นต้น จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ เป็นเครื่องมือของใคร ที่ไม่หวังดี และไม่ทําผิดกฎหมายอีก ทั้งเจตนาและไม่เจตนา ทั้งนี้ หากทําได้ ตาม 3 ข้อนี้ก่อน ผมเชื่อว่า ปัญหาก็จะไม่บานปลาย ไม่มีใครทําผิดกฎหมาย,เจ้าหน้าที่ก็เอาเวลาไปแก้ปัญหาดูแลประชาชนได้อย่างเต็มที่ ที่สําคัญคือ“การเอาใจเขามาใส่ใจเรา”แล้วความเข้าใจก็จะเกิด“ความปรองดอง” ก็จะอยู่คู่สังคมไทยอยู่เสมอ พูดง่าย ๆ การปรองดอง ก็คือการร่วมกันคิดว่าเราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรต่อไปเมื่อเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ทหารไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งของใคร จะทําหน้าที่เป็นผู้อํานวยความสะดวกให้ ที่ผ่านมาเมื่อทุกอย่างติดล็อก จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ อาจจะมีการกล่าวอ้างกัน ทุกคนทราบดีแก่ใจ ก็อยากให้พิจารณาให้ลึกซึ้ง พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ ในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศ มีบทบาทกับชีวิต และอารมณ์ของคนในสังคม ส่งผลให้ “คนไทย” เรามักนิยมความหวือหวา ชอบความสะใจ ชอบตามกระแส อยากเด่นอยากดัง อยากได้เร็ว ๆ หรือมีความอดทนน้อย อาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดา และเข้าใจได้ หากสิ่งที่ทําหรือแสดงออกไป เป็นเพราะต้องการมีชีวิตที่ “ดีขึ้น” รัฐบาลเองไม่ได้ปิดกั้น แต่ก็พร้อมที่จะส่งเสริม ตราบเท่าที่การกระทําเหล่านั้น ไม่ละเมิดกฎหมาย ไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี แต่หากเป็นต้นเหตุของปัญหา กระทบต่อผู้คนในสังคมและส่วนรวมแล้ว รัฐบาลก็จําเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย ด้วยความเป็นธรรม และไม่สร้างความเหลื่อมล้ํา บางปัญหาที่ง่าย ก็ อาจจะแก้ไขได้โดยเร็ว บางปัญหาที่สลับซับซ้อน เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน หลายกฎหมาย ก็ต้องมีการบูรณาการ การบูรณาการในเรื่องข้อกฎหมาย หลายฉบับนั้นเป็นสิ่งสําคัญ ต้องใช้เวลา ใช้ทั้งนิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ตามแนวทางพระราชดําริของในหลวงรัชกาลที่ 9 อันเป็น “ศาสตร์พระราชา” ที่รัฐบาลนี้ ยึดถือเป็นแนวทางในการบริหารประเทศเสมอมา เช่น ผลการดําเนินงานแก้ไขปัญหาร้องทุกข์ ให้กับพี่น้องประชาชน ของ “ศูนย์ดํารงธรรม” ที่สามารถขจัดปัญหาได้ ในระยะเวลาอันสั้น มากกว่าร้อยละ90 “ที่เหลือ” ก็ต้องค่อย ๆ หาแนวทางที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา ต้องช่วยกันอดทน การแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ของประเทศ ในปัจจุบัน ต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็น อย่างเปิดกว้าง และเป็นธรรมรัฐบาลและ คสช. เต็มใจที่จะเป็น “สะพาน” เชื่อมโยงความเห็นจากทุกฝ่าย - ประสานความหวังให้เป็นหนึ่งเดียว และเป็น “ตัวกลาง” ในการผนึก “พลังประชารัฐ” เพื่อทําความต้องการของเรา ให้เป็นความจริง เพราะหากมีความต้องการ แต่ก็อ้างว่าทํากันไม่ได้ แล้วไม่เริ่มลงมือทํา ก็จะไม่เกิดประโยชน์ แล้วผมก็เชื่อว่า “ไม่มีอะไร ที่เป็นไปไม่ได้” หากแต่เราทุกคน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ร่วมกับรัฐบาลในการแก้ไข “ปัญหาร่วม” ของพวกเรา ในทุกขั้นตอน อาทิเช่น (1) ประชาชนเสนอความต้องการ(2) รัฐบาลสนองตอบประชาชน ด้วยการกําหนดกติกา มาตรการ นโยบายสาธารณะ รวมทั้งบังคับใช้กฎหมาย ในการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างมีธรรมาภิบาล ซึ่งทั้ง 2 ประการ ต้องการ “จิตสํานึก” และ “ความร่วมมือ” เป็นพื้นฐาน ทั้งสิ้น สําหรับปัญหาสําคัญของประเทศไทยในปัจจุบัน ที่ผมพอสรุปได้ดังนี้ 1. การสร้างความขัดแย้ง การกระทําความผิด ละเมิด ไม่เคารพกฎหมายการบิดเบือนข้อเท็จจริง การกล่าวอ้างหลักการประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน โดยดึงเอามาประเด็นเดียวกัน โดยมีผลประโยชน์ส่วนตนแอบแฝง ไม่จริงใจ ไม่ตระหนักถึงประโยชน์ส่วนรวม ยังมีอยู่ 2. การแก้ปัญหาประเทศในทุกมิติ เป็นการแก้ปัญหา ที่เน้นการใช้จ่ายงบประมาณในมาตรการระยะสั้น และชั่วคราวซึ่งเกิดซ้ําแล้วซ้ําเล่า การบังคับใช้กฎหมายทําไม่ได้มากนัก มีการอ้างสิทธิมนุษยชนโดยNGO บางกลุ่มที่ทํางานหวังผลด้านเดียว ไม่มองในแง่ประเทศชาติ ว่าจะเดินหน้าไปอย่างไร (มีการค้านทุกเรื่อง) รัฐบาล ข้าราชการ ก็จําเป็นต้องทําอย่างโปร่งใส และให้ประชาชนพึงพอใจด้วยความรู้ความเข้าใจ เช่น ปัญหาเรื่องพลังงาน การใช้ที่ดิน การพัฒนา – การแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย เพื่อจะรองรับอนาคต โดยไม่ให้ความสําคัญกับ “การป้องกัน” แต่กลับไปเน้น “การลงโทษ” เราต้องแก้ไขใน เรื่องการพัฒนาด้านการเกษตร การบริหารจัดการน้ําให้พอใช้ โดยใช้Agri-map สําหรับบริหารจัดการเกษตรไทย โดยการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเกษตรและด้านการพาณิชย์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จําเป็นต้องคํานึงถึงสมดุลของทรัพยากรการผลิต (ดิน น้ํา พืช) ผลผลิต อุปสงค์และอุปทาน รวมทั้งปัจจัยการผลิต ซึ่งจะทําให้สามารถบริหารจัดการสินค้าเกษตรสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและสามารถคาดการณ์ในอนาคตได้อย่างครบวงจร การแก้ไขปัญหาน้ําท่วม การพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ถนน รถไฟ รถไฟฟ้า หรืออื่น ๆโดยอาจจะอ้างว่าห้ามทําลายทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นอย่างเดียว ไม่ฟังเหตุผล เราก็จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่ได้ เช่น กรณีปัญหาน้ําท่วมที่ขาดการระบายน้ํา มีการก่อสร้างขวางเส้นทางน้ําอะไรเหล่านี้ ติดขัดบ้านเรือนประชาชน เราจําเป็นต้องมีการพัฒนาความเชื่อมโยงทางกายภาพเราจึงมีการพิจารณาแก้ปัญหา และการพิทักษ์ดูแลทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล โดยใช้ประโยชน์อย่างประหยัดละคุ้มค่า 3.การแก้ปัญหาความยากจน เศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ํา หลายฝ่าย รวมทั้งประชาชน อาจจะยังไม่เข้าใจในระบบเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจขนาดใหญ่ในยุคใหม่ ที่ดีเพียงพอ ยังคงเอาหลักการใหญ่ พัฒนาองค์รวม มาตีกับเศรษฐกิจฐานราก “ผู้มีรายได้น้อย” กับคนรวย กับทุนนิยม เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว เป็นงานด้านเศรษฐกิจของโลกเสรี ที่เป็นประชาธิปไตย ก็ต้องเป็นอย่างนี้ทุกประเทศ สําคัญที่เราจะเชื่อมโยง เกื้อกูลอย่างไร หลายฝ่ายอาจจะมาโจมตีเป็นส่วน ๆ ก็ไปไม่ได้ ที่จะกลับมาที่เดิม ย้ําเท้าอยู่กับที่ พัฒนาอะไรไม่ได้เลย ใช้งบประมาณช่วย “ผู้มีรายได้น้อย” เกษตรกร อาชีพอิสระ ฯลฯ ไปทีละปัญหา ทีละปี ๆ ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ใช้งบประมาณจํานวนมาก ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ใช้งบประมาณในการสร้างมูลค่า ความเข้มแข็งเพิ่มเติม ใช้เป็นมาตรการเพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ประชาชนก็ไม่เข้มแข็ง ประเทศก็ไม่มีขีดความสามารถในการแข่งขัน ทุกปัญหาเหล่านี้ เราต้องร่วมมือกันว่า อะไรคือสาเหตุ รัฐ ประชาชน เอกชน เป็นอย่างไร เข้มแข็งเพียงพอหรือไม่ เอา3อย่างมาขัดแย้งกัน โดยสื่อ นักวิชาการ “บางคน บางกลุ่ม” ที่มีจิตเจตนาแอบแฝง เลือกข้าง หรืออาจะมองแต่เพียงประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน โดยไม่สนใจว่าประเทศจะเป็นอย่างไร มีการพูดโดยไม่รับผิดชอบ ผู้ที่รับผิดชอบ เดือดร้อน ก็คือ รัฐบาล ประชาชน ประเทศชาติ อาจจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองเหล่านี้บ้าง ซึ่งอาจจะกล่าวหาว่ารัฐบาลไม่เปิดโอกาส รัฐบาลผมเองนั้นเปิดโอกาสตลอดเวลา ให้คําแนะนําหรือการวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่สร้างความขัดแย้งอย่างนั้น ผมก็ยอมรับไม่ได้ เพราะสถานการณ์ต้องการความสงบเรียบร้อย ในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเราก็ยังคงต้องดูแลอยู่บ้าง เพราะเรามีประสบการณ์กันมาแล้ว เมื่อพูดกันอยู่นอกกรอบกันเรื่อย ๆวันหนึ่งก็เกิดความขัดแย้ง เช่นในอดีตขึ้นมาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีต่าง ๆ เรื่องทางกฎหมายต่าง ๆ ก็อาจเป็นชนวนสร้างความขัดแย้งในสังคมของเรา ให้ประชาชน ให้สาธารณชนเกิดความไม่สงบเรียบร้อยนะครับ แล้วก็หลายคน บางคนก็อาจจะมุ่งหวังให้มีการลุกลามบานปลาย โดยการสร้างการรับรู้อย่างผิด ๆ ให้กับองค์กรโลก ประชาคมโลก ว่ารัฐบาลนี้จํากัดตามกฎหมาย สิทธิ ละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้ง ๆ ที่เรามีกฎหมายอยู่ทุกฉบับ ไม่จําเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษแต่อย่างใด ก็สามารถที่จะทําได้ แต่ทุกคนไม่ร่วมมือ ทุกคนก็พยายามหาทางออกหาจุดอ่อนของกฎหมาย เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นความผิดที่นานาอารยประเทศ ต่างก็เห็นตรงกัน ว่าเป็น “ความผิด” การสร้างความเดือดร้อน การสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น เหล่านี้เป็นการกระทําของกลุ่มคนที่ไม่คิดจะเคารพกฎหมาย พอเจ้าหน้าที่เข้มงวดบังคับใช้กฎหมาย ไม่ว่าจะใช้กฎหมายปกติ หรือกฎหมายพิเศษ ก็มักจะตีโพยตีพาย หาว่าจํากัดสิทธิ ละเมิดสิทธิมนุษยชนบ้าง ไปดูว่าผิดกฎหมายหรือไม่ อ่านกฎหมายบ้างหรือไม่ เพราะฉะนั้นเราคงไม่ต้องการให้บ้านเมือง “ไร้ขื่อแป” ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่อยากให้ใครใช้เพื่อการหวังผลการเมือง มุ่งประโยชน์ส่วนตน แล้วก็อ้างคําว่าประชาธิปไตย “สร้างภาพ จอมปลอม ไม่จริงใจ แอบแฝง” รวมทั้ง สิทธิมนุษยชนที่อาจจะทําผิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิเสรีภาพผู้อื่น ละเมิดสิทธิสาธารณะ ขณะที่ประชาชน “เกิน90%” เขาปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ก็ต้องพลอยได้รับผลกระทบ เดือดร้อน โดยมีแกนนํา กลุ่มบุคคล บุคคลไม่กี่คน ที่ยังจะคงทําลายประเทศของตัวเองต่อไป อาจจะด้วยรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง ผมก็ได้แต่เพียงขอร้องให้สังคมประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ช่วยกันคิดว่า เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไร เราจะยอมให้ผู้ที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยทําอะไรก็ได้ใช่หรือไม่ แล้วกล่าวว่าทหารเข้ามาทําให้ประชาธิปไตยเสียหาย ประชาธิปไตยเสียหายตั้งแต่ก่อนผมเข้ามาแล้ว การที่ผมเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินในขณะนี้นั้น ได้แก้ปัญหาที่พวกท่านได้สร้างปัญหาไว้มากมาย ก็ขอให้ยอมรับตัวเองกันบ้าง คนดีก็มาก คนไม่ดีก็เยอะ สุดท้ายนี้ ผมขอความร่วมมือประชาชน “ผู้ที่รักประเทศชาติ” ได้ร่วมกับรัฐบาล ในการเดินหน้าประเทศ ตามยุทธศาสตร์ ปฏิรูปประเทศ และสร้างการความปรองดอง ในสิ่งที่ควรจะทําได้ โดยไม่ต้องบังคับ ไม่ออกนอกกรอบกฎหมาย อ้างประชาธิปไตย ก็คือ ปรองดอง ไม่มีความผิด เป็นไปไม่ได้ผมว่า “ไม่ใช่” ไปหาตนเองให้เจอ ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ผู้กระทําผิดกฎหมาย นักการเมือง (บางคน) สื่อ (บางสํานัก) ฯลฯ โดยเฉพาะประชาชน “ผู้บริสุทธิ์” ที่ต้องการ “ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” ทั่วประเทศ ถามเขาหรือยังว่า ที่เรียกร้องกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นกระบวนการปรองดอง ว่าเขาต้องการอย่างไร มีความเห็นอย่างไร ผมจะรับฟังทุกภาคส่วน อย่าเอาความต้องการตัวเองมาชี้นําให้สังคมวุ่นวาย รัฐบาลและ คสช. จะอํานวยความสะดวกในเรื่องเหล่านี้ ในเวทีที่เปิดการพูดคุยรับฟังความคิดเห็นนี้ ขอบคุณครับ ขอให้ “ทุกคน” มีความสุข ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์สวัสดีครับ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1433
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวประมงมีเฮ..กระทรวงเกษตรฯ เผย ยกร่าง พ.ร.บ. กองทุนการประมงฯ
วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ชาวประมงมีเฮ..กระทรวงเกษตรฯ เผย ยกร่าง พ.ร.บ. กองทุนการประมงฯ ชาวประมงมีเฮ..กระทรวงเกษตรฯ เผย ยกร่าง พ.ร.บ. กองทุนการประมงฯ และสภาการประมงฯ แล้ว กระทรวงเกษตรฯเผยความคืบหน้า พ.ร.บ. กองทุนการประมงฯ และสภาการประมงฯ ยกร่างเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปต้องนําเข้าสู่กระบวนการประชาพิจารณ์ระดมความคิดเห็น นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ด้วยภาคการประมงของประเทศไทยนั้นมีความสําคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เพราะเป็นภาคการผลิตและส่งออกที่สร้างรายได้ที่สําคัญสาขาหนึ่งของภาคการเกษตรของประเทศ ดังนั้น เพื่อเร่งพัฒนาส่งเสริมศักยภาพในทุกภาคส่วน ตามนโยบายของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และตามนโยบายของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นถึงความจําเป็นและความสําคัญในการการจัดตั้งกองทุนการประมงแห่งชาติและสภาการประมงแห่งประเทศไทย “ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการด้านการประมงมีแหล่งทุนเพิ่มอีกแหล่งหนึ่งในการสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาการประมง จึงจําเป็นต้องมีการจัดตั้งกองทุนการประมงแห่งชาติขึ้น ส่วนของสภาการประมงแห่งประเทศไทย จะทําหน้าที่เป็นสภาที่มีตัวแทนของผู้ประกอบกิจการด้านการประมงทุกภาคส่วนเข้าร่วมเป็นสมาชิกเพื่อเสนอแนวทาง และสนับสนุนการดําเนินงานด้านนโยบายระหว่างภาครัฐและเอกชน เกี่ยวกับกิจการด้านการประมง ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาคการประมง” นายอลงกรณ์กล่าว นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับความคืบหน้าในการดําเนินการ ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติกองทุนการประมงแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสภาการประมงแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ได้ถูกยกร่างโดยคณะอนุกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติสภาการประมง พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนประมง พ.ศ. ....ตามคําสั่งคณะกรรมการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงหรือดําเนินการทางกฎหมายด้านการประมง ที่ 1/2562 ลงวันที่31ตุลาคม 2562 โดยมี นายอรรถพร พลบุตร คณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการรองอธิบดีกรมประมง เป็นรองประธานอนุกรรมการ และมีคณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนจากสมาคม องค์กร และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นอนุกรรมการ และกรมประมงเป็นฝ่ายเลขานุการฯ อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว จะต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็นอันจะเป็นประโยชน์ต่อภาคการประมงต่อไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถดําเนินการจัดให้มรการกระบวนการรับฟังความคิดเห็นได้ในเร็วๆ นี้ ด้าน นางสาวชมัยพร ชูงาน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจการประมง กรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกองทุนการประมงแห่งชาติ ที่จะจัดตั้งขึ้นนี้จะเป็นหน่วยงานของรัฐและมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณรายรับของกองทุนให้นําเข้าสมทบกองทุน โดยไม่ต้องนําส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินโดยผู้มีสิทธิใช้เงินกองทุนได้แก่ ผู้ประกอบกิจการด้านการประมงทุกประเภท ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา และสมาคม/องค์กรต่าง ๆ ทั้งนี้ กองทุนมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนา ผู้ประกอบกิจการด้านการประมงให้มีศักยภาพในการทําการประมง รวมทั้ง ใช้ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ํา “สภาการประมงแห่งประเทศไทย มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นตัวแทนของสมาชิกผู้ประกอบกิจการด้านการประมงในการเสนอความเห็น และสนับสนุนการดําเนินงานด้านนโยบายระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวกับกิจการด้านการประมงรวมทั้ง ส่งเสริมและสนับสนุนการอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ําให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมและสามารถทําการประมงได้อย่างยั่งยืนและดําเนินกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อภาคการประมงทั้งนี้ คณะกรรมการสภาการประมงแห่งประเทศไทย จะมาจากการเลือกตั้งจากผู้แทนสมาชิกสามัญโดยครอบคลุมการประกอบกิจการด้านการประมงทุกประเภท” ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจการประมงกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวประมงมีเฮ..กระทรวงเกษตรฯ เผย ยกร่าง พ.ร.บ. กองทุนการประมงฯ วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ชาวประมงมีเฮ..กระทรวงเกษตรฯ เผย ยกร่าง พ.ร.บ. กองทุนการประมงฯ ชาวประมงมีเฮ..กระทรวงเกษตรฯ เผย ยกร่าง พ.ร.บ. กองทุนการประมงฯ และสภาการประมงฯ แล้ว กระทรวงเกษตรฯเผยความคืบหน้า พ.ร.บ. กองทุนการประมงฯ และสภาการประมงฯ ยกร่างเรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปต้องนําเข้าสู่กระบวนการประชาพิจารณ์ระดมความคิดเห็น นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ด้วยภาคการประมงของประเทศไทยนั้นมีความสําคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เพราะเป็นภาคการผลิตและส่งออกที่สร้างรายได้ที่สําคัญสาขาหนึ่งของภาคการเกษตรของประเทศ ดังนั้น เพื่อเร่งพัฒนาส่งเสริมศักยภาพในทุกภาคส่วน ตามนโยบายของ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และตามนโยบายของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นถึงความจําเป็นและความสําคัญในการการจัดตั้งกองทุนการประมงแห่งชาติและสภาการประมงแห่งประเทศไทย “ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบกิจการด้านการประมงมีแหล่งทุนเพิ่มอีกแหล่งหนึ่งในการสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาการประมง จึงจําเป็นต้องมีการจัดตั้งกองทุนการประมงแห่งชาติขึ้น ส่วนของสภาการประมงแห่งประเทศไทย จะทําหน้าที่เป็นสภาที่มีตัวแทนของผู้ประกอบกิจการด้านการประมงทุกภาคส่วนเข้าร่วมเป็นสมาชิกเพื่อเสนอแนวทาง และสนับสนุนการดําเนินงานด้านนโยบายระหว่างภาครัฐและเอกชน เกี่ยวกับกิจการด้านการประมง ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาคการประมง” นายอลงกรณ์กล่าว นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับความคืบหน้าในการดําเนินการ ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติกองทุนการประมงแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติสภาการประมงแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ได้ถูกยกร่างโดยคณะอนุกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติสภาการประมง พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนประมง พ.ศ. ....ตามคําสั่งคณะกรรมการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงหรือดําเนินการทางกฎหมายด้านการประมง ที่ 1/2562 ลงวันที่31ตุลาคม 2562 โดยมี นายอรรถพร พลบุตร คณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานอนุกรรมการรองอธิบดีกรมประมง เป็นรองประธานอนุกรรมการ และมีคณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้แทนจากสมาคม องค์กร และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นอนุกรรมการ และกรมประมงเป็นฝ่ายเลขานุการฯ อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ. ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว จะต้องผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็นอันจะเป็นประโยชน์ต่อภาคการประมงต่อไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถดําเนินการจัดให้มรการกระบวนการรับฟังความคิดเห็นได้ในเร็วๆ นี้ ด้าน นางสาวชมัยพร ชูงาน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจการประมง กรมประมง กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกองทุนการประมงแห่งชาติ ที่จะจัดตั้งขึ้นนี้จะเป็นหน่วยงานของรัฐและมีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณรายรับของกองทุนให้นําเข้าสมทบกองทุน โดยไม่ต้องนําส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินโดยผู้มีสิทธิใช้เงินกองทุนได้แก่ ผู้ประกอบกิจการด้านการประมงทุกประเภท ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา และสมาคม/องค์กรต่าง ๆ ทั้งนี้ กองทุนมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนา ผู้ประกอบกิจการด้านการประมงให้มีศักยภาพในการทําการประมง รวมทั้ง ใช้ในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ํา “สภาการประมงแห่งประเทศไทย มีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นตัวแทนของสมาชิกผู้ประกอบกิจการด้านการประมงในการเสนอความเห็น และสนับสนุนการดําเนินงานด้านนโยบายระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวกับกิจการด้านการประมงรวมทั้ง ส่งเสริมและสนับสนุนการอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ําให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมและสามารถทําการประมงได้อย่างยั่งยืนและดําเนินกิจการอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อภาคการประมงทั้งนี้ คณะกรรมการสภาการประมงแห่งประเทศไทย จะมาจากการเลือกตั้งจากผู้แทนสมาชิกสามัญโดยครอบคลุมการประกอบกิจการด้านการประมงทุกประเภท” ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจการประมงกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26621
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- หวั่นเทรดวอร์สหรัฐฯ-จีน พ่นพิษ สมอ. เตรียมมาตรการรับมือสินค้าทะลักเข้าไทย
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 หวั่นเทรดวอร์สหรัฐฯ-จีน พ่นพิษ สมอ. เตรียมมาตรการรับมือสินค้าทะลักเข้าไทย นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. เตรียมมาตรการรับมือผลกระทบจากสงครามการค้า (เทรดวอร์) ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่คาดว่าจะ ยืดเยื้อยาวนาน และจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก สมอ. จับตาสถานการณ์เทรดวอร์อย่างใกล้ชิด หวั่นกระทบการค้าไทย เตรียมมาตรการรับมือ สินค้าไม่ได้มาตรฐานทะลักเข้าไทย นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. เตรียมมาตรการรับมือผลกระทบจากสงครามการค้า (เทรดวอร์) ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่คาดว่าจะ ยืดเยื้อยาวนาน และจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศในอาเซียนที่ได้รับ ผลกระทบจากการทะลักของสินค้าจากจีนเข้ามาในประเทศไทยและอาเซียน เช่น สินค้ากลุ่มเหล็ก กลุ่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า และของเล่น ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้ามาตรฐานบังคับที่ สมอ. ควบคุม และอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ อาจก่อให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภคได้ สมอ. ในฐานะหน่วยงานมาตรฐานแห่งชาติ ได้เตรียมการรับมือต่อผลกระทบดังกล่าวไว้แล้ว โดยเฝ้าจับตาการนําเข้าสินค้าดังกล่าวอย่างใกล้ชิดผ่านระบบ National Single Window (NSW) หากพบสินค้าชนิดใดมีการนําเข้าในปริมาณมากผิดปกติ จะเข้าทําการตรวจสอบอย่างเข้มงวดทันที และในกรณีสินค้านั้นยังไม่ได้มีการกําหนดให้เป็นสินค้าบังคับ หากประเมินแล้วว่าจะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ก็จะใช้กลไกของ พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ที่ได้มีการแก้ไขใหม่แล้ว ประกาศให้สินค้านั้นเป็นสินค้ามาตรฐานบังคับที่ต้องถูกควบคุมทันที นอกจากนี้ จะเร่งกําหนดมาตรฐานกับสินค้าที่ยังไม่มีการกําหนดเป็นมาตรฐาน โดยหากมีความจําเป็น สมอ. อาจใช้ข้อกําหนดหรือใช้มาตรฐานที่สากลมีอยู่แล้ว มาประกาศใช้เป็นมาตรฐานได้เลย เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “สมอ. จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและรับรองสินค้าที่มีผลกระทบดังกล่าว โดยจะทําการตรวจโรงงานที่เป็นแหล่งผลิตถี่มากยิ่งขึ้นและเข้มงวดขึ้น รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหวของนักลงทุนจากจีน ที่มาลงทุนทําสินค้าในประเทศเพื่อนบ้านแถบอาเซียน และติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้านั้นอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันก็จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยจะเชิญชวนนักลงทุนจากจีนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น สําหรับในเวทีอาเซียนในฐานะที่ปีนี้ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน และ สมอ. เป็นผู้แทนประเทศไทยในคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านมาตรฐานและคุณภาพของอาเซียน (ASEAN Consultative Committee for Standards and Quality – ACCSQ) ก็จะหยิบยกผลกระทบดังกล่าวหารือในการประชุม ACCSQ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2562 นี้ด้วย” “สุดท้ายเป็นภารกิจที่สําคัญของ สมอ. คือ การคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศ สมอ. จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักและรับรู้เกี่ยวกับมาตรฐาน โดยเฉพาะมาตรฐานของกลุ่มสินค้าที่มีผลกระทบดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สินค้าได้อย่างปลอดภัย” นายวันชัยฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- หวั่นเทรดวอร์สหรัฐฯ-จีน พ่นพิษ สมอ. เตรียมมาตรการรับมือสินค้าทะลักเข้าไทย วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 หวั่นเทรดวอร์สหรัฐฯ-จีน พ่นพิษ สมอ. เตรียมมาตรการรับมือสินค้าทะลักเข้าไทย นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. เตรียมมาตรการรับมือผลกระทบจากสงครามการค้า (เทรดวอร์) ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่คาดว่าจะ ยืดเยื้อยาวนาน และจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก สมอ. จับตาสถานการณ์เทรดวอร์อย่างใกล้ชิด หวั่นกระทบการค้าไทย เตรียมมาตรการรับมือ สินค้าไม่ได้มาตรฐานทะลักเข้าไทย นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. เตรียมมาตรการรับมือผลกระทบจากสงครามการค้า (เทรดวอร์) ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่คาดว่าจะ ยืดเยื้อยาวนาน และจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศในอาเซียนที่ได้รับ ผลกระทบจากการทะลักของสินค้าจากจีนเข้ามาในประเทศไทยและอาเซียน เช่น สินค้ากลุ่มเหล็ก กลุ่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า และของเล่น ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้ามาตรฐานบังคับที่ สมอ. ควบคุม และอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ อาจก่อให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภคได้ สมอ. ในฐานะหน่วยงานมาตรฐานแห่งชาติ ได้เตรียมการรับมือต่อผลกระทบดังกล่าวไว้แล้ว โดยเฝ้าจับตาการนําเข้าสินค้าดังกล่าวอย่างใกล้ชิดผ่านระบบ National Single Window (NSW) หากพบสินค้าชนิดใดมีการนําเข้าในปริมาณมากผิดปกติ จะเข้าทําการตรวจสอบอย่างเข้มงวดทันที และในกรณีสินค้านั้นยังไม่ได้มีการกําหนดให้เป็นสินค้าบังคับ หากประเมินแล้วว่าจะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ก็จะใช้กลไกของ พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ที่ได้มีการแก้ไขใหม่แล้ว ประกาศให้สินค้านั้นเป็นสินค้ามาตรฐานบังคับที่ต้องถูกควบคุมทันที นอกจากนี้ จะเร่งกําหนดมาตรฐานกับสินค้าที่ยังไม่มีการกําหนดเป็นมาตรฐาน โดยหากมีความจําเป็น สมอ. อาจใช้ข้อกําหนดหรือใช้มาตรฐานที่สากลมีอยู่แล้ว มาประกาศใช้เป็นมาตรฐานได้เลย เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “สมอ. จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและรับรองสินค้าที่มีผลกระทบดังกล่าว โดยจะทําการตรวจโรงงานที่เป็นแหล่งผลิตถี่มากยิ่งขึ้นและเข้มงวดขึ้น รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหวของนักลงทุนจากจีน ที่มาลงทุนทําสินค้าในประเทศเพื่อนบ้านแถบอาเซียน และติดตามความเคลื่อนไหวของสินค้านั้นอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันก็จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยจะเชิญชวนนักลงทุนจากจีนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น สําหรับในเวทีอาเซียนในฐานะที่ปีนี้ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียน และ สมอ. เป็นผู้แทนประเทศไทยในคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านมาตรฐานและคุณภาพของอาเซียน (ASEAN Consultative Committee for Standards and Quality – ACCSQ) ก็จะหยิบยกผลกระทบดังกล่าวหารือในการประชุม ACCSQ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2562 นี้ด้วย” “สุดท้ายเป็นภารกิจที่สําคัญของ สมอ. คือ การคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศ สมอ. จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักและรับรู้เกี่ยวกับมาตรฐาน โดยเฉพาะมาตรฐานของกลุ่มสินค้าที่มีผลกระทบดังกล่าว เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สินค้าได้อย่างปลอดภัย” นายวันชัยฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22214
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ เดินหน้าเปิดหลักสูตร TOISC รุ่น 18 ชวนนักลงทุนไทยรุกลงทุนต่างประเทศ
วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2563 บีโอไอ เดินหน้าเปิดหลักสูตร TOISC รุ่น 18 ชวนนักลงทุนไทยรุกลงทุนต่างประเทศ บีโอไอ เดินหน้าเปิดหลักสูตร TOISC รุ่น 18 ชวนนักลงทุนไทยรุกลงทุนต่างประเทศ บีโอไอ เดินหน้าเปิดหลักสูตร TOISC รุ่น 18 ชวนนักลงทุนไทยรุกลงทุนต่างประเทศ บีโอไอ เตรียมเปิดหลักสูตร “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ (TOISC)” รุ่น 18 เดือนมีนาคมนี้ ดึงนักลงทุนไทยศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMVI และเอเชียใต้ พร้อมจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ หนุนสร้างเครือข่ายขยายการลงทุนต่างแดน นายพัลลภ บุญศิริ ผู้อํานวยการกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักลงทุนไทยจํานวนมาก ให้ความสนใจในการออกไปศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMVI ซึ่งประกอบด้วยประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และอินโดนีเซีย รวมไปถึงกลุ่มประเทศในเอเชียใต้ เช่น อินเดีย บังคลาเทศ และศรีลังกา เป็นต้น เนื่องจากเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเหล่านี้มีการขยายตัวมากขึ้น "อุตสาหกรรมหลักที่นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมก่อสร้าง รองลงมาคืออุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมพลังงานและพลังงานทดแทนตามลําดับ โดยมีการลงทุนในเวียดนามและกัมพูชามากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือเมียนมา และ สปป.ลาว ตามลําดับ” นายพัลลภกล่าว ทั้งนี้ กองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ โดยศูนย์พัฒนาการลงทุนไทยในต่างประเทศ (Thailand Overseas Investment Support Center : TOISC) ได้เปิดอบรมหลักสูตร “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” ไปแล้วจํานวน 17 รุ่น โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ในการดําเนินธุรกิจ และสร้างนักลงทุนไทยรุ่นใหม่ให้พร้อมออกไปลงทุนในต่างประเทศ ปัจจุบันมีผู้ผ่านการฝึกอบรมแล้วกว่า 600 ราย สําหรับการเปิดอบรมหลักสูตร “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ (TOISC)” รุ่นที่ 18 จะเปิดรับสมัครในเดือนมีนาคม 2563 โดยมีการอบรมไม่น้อยกว่า 60 ชั่วโมง โครงสร้างหลักสูตรจะเน้นกลยุทธ์และกระบวนการที่จําเป็นในการลงทุน การบริหารจัดการ รวมถึงการนําผลกําไรกลับมายังประเทศ โดยมีวิทยากรที่มีประสบการณ์ด้านการทําธุรกิจในต่างประเทศ ร่วมบรรยายตอบข้อซักถามและปัญหาต่างๆ นอกจากนี้ จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักลงทุน และการเดินทางไปศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศอย่างน้อย 1 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ปากีสถาน บังคลาเทศ เวียดนาม และจีนตอนใต้ ซึ่งผู้เข้าอบรมจะมีโอกาสได้พบปะกับหน่วยงานรัฐและเอกชน และร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้เข้าอบรมกับนักลงทุนท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการติดต่อประสานงานและทําธุรกิจร่วมกับนักลงทุนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง เช่น การซื้อวัตถุดิบระหว่างกัน การทําตลาดร่วมกัน เป็นต้น “ในช่วงแรกนักลงทุนที่เข้าร่วมอบรมหลักสูตร สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศนั้น จะเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันได้เปิดโอกาสให้ตัวแทนจากบริษัทขนาดใหญ่เข้าร่วมอบรมได้ โดยธุรกิจของผู้เข้าร่วมอบรมที่ไปลงทุนในประเทศ CLMVI นั้นค่อนข้างหลากหลาย ทั้งในรูปแบบเทรดดิ้งหรือการซื้อมาขายไป ธุรกิจที่ปรึกษาการออกแบบทางวิศวกรรม ธุรกิจดิจิทัล โลจิสติกส์ สิ่งทอ อาหารแปรรูปและอาหารแช่แข็ง เป็นต้น” นายพัลลภกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอ เดินหน้าเปิดหลักสูตร TOISC รุ่น 18 ชวนนักลงทุนไทยรุกลงทุนต่างประเทศ วันศุกร์ที่ 10 มกราคม 2563 บีโอไอ เดินหน้าเปิดหลักสูตร TOISC รุ่น 18 ชวนนักลงทุนไทยรุกลงทุนต่างประเทศ บีโอไอ เดินหน้าเปิดหลักสูตร TOISC รุ่น 18 ชวนนักลงทุนไทยรุกลงทุนต่างประเทศ บีโอไอ เดินหน้าเปิดหลักสูตร TOISC รุ่น 18 ชวนนักลงทุนไทยรุกลงทุนต่างประเทศ บีโอไอ เตรียมเปิดหลักสูตร “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ (TOISC)” รุ่น 18 เดือนมีนาคมนี้ ดึงนักลงทุนไทยศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMVI และเอเชียใต้ พร้อมจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ หนุนสร้างเครือข่ายขยายการลงทุนต่างแดน นายพัลลภ บุญศิริ ผู้อํานวยการกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีนักลงทุนไทยจํานวนมาก ให้ความสนใจในการออกไปศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMVI ซึ่งประกอบด้วยประเทศกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และอินโดนีเซีย รวมไปถึงกลุ่มประเทศในเอเชียใต้ เช่น อินเดีย บังคลาเทศ และศรีลังกา เป็นต้น เนื่องจากเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเหล่านี้มีการขยายตัวมากขึ้น "อุตสาหกรรมหลักที่นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมก่อสร้าง รองลงมาคืออุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมพลังงานและพลังงานทดแทนตามลําดับ โดยมีการลงทุนในเวียดนามและกัมพูชามากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือเมียนมา และ สปป.ลาว ตามลําดับ” นายพัลลภกล่าว ทั้งนี้ กองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ โดยศูนย์พัฒนาการลงทุนไทยในต่างประเทศ (Thailand Overseas Investment Support Center : TOISC) ได้เปิดอบรมหลักสูตร “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” ไปแล้วจํานวน 17 รุ่น โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ความรู้ในการดําเนินธุรกิจ และสร้างนักลงทุนไทยรุ่นใหม่ให้พร้อมออกไปลงทุนในต่างประเทศ ปัจจุบันมีผู้ผ่านการฝึกอบรมแล้วกว่า 600 ราย สําหรับการเปิดอบรมหลักสูตร “สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ (TOISC)” รุ่นที่ 18 จะเปิดรับสมัครในเดือนมีนาคม 2563 โดยมีการอบรมไม่น้อยกว่า 60 ชั่วโมง โครงสร้างหลักสูตรจะเน้นกลยุทธ์และกระบวนการที่จําเป็นในการลงทุน การบริหารจัดการ รวมถึงการนําผลกําไรกลับมายังประเทศ โดยมีวิทยากรที่มีประสบการณ์ด้านการทําธุรกิจในต่างประเทศ ร่วมบรรยายตอบข้อซักถามและปัญหาต่างๆ นอกจากนี้ จะมีการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักลงทุน และการเดินทางไปศึกษาลู่ทางการลงทุนในต่างประเทศอย่างน้อย 1 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ปากีสถาน บังคลาเทศ เวียดนาม และจีนตอนใต้ ซึ่งผู้เข้าอบรมจะมีโอกาสได้พบปะกับหน่วยงานรัฐและเอกชน และร่วมกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้เข้าอบรมกับนักลงทุนท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการติดต่อประสานงานและทําธุรกิจร่วมกับนักลงทุนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง เช่น การซื้อวัตถุดิบระหว่างกัน การทําตลาดร่วมกัน เป็นต้น “ในช่วงแรกนักลงทุนที่เข้าร่วมอบรมหลักสูตร สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศนั้น จะเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบันได้เปิดโอกาสให้ตัวแทนจากบริษัทขนาดใหญ่เข้าร่วมอบรมได้ โดยธุรกิจของผู้เข้าร่วมอบรมที่ไปลงทุนในประเทศ CLMVI นั้นค่อนข้างหลากหลาย ทั้งในรูปแบบเทรดดิ้งหรือการซื้อมาขายไป ธุรกิจที่ปรึกษาการออกแบบทางวิศวกรรม ธุรกิจดิจิทัล โลจิสติกส์ สิ่งทอ อาหารแปรรูปและอาหารแช่แข็ง เป็นต้น” นายพัลลภกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25708
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล”
วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561 รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษ ภายใต้หัวข้อ “การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล” ในงานนิทรรศการนานาชาติ “Digital Thailand Big Bang 2018” เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวถึงแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของกระทรวงฯ ซึ่งดําเนินการภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 4) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 5) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 6) ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาต่อยอดการยกกระดับโครงสร้างพื้นฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อาทิ โครงการ “เน็ตประชารัฐ” รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่ดําเนินการติดตั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งกําลังจะติดตั้งครบทุกหมู่บ้านทั่วประเทศภายในต้นปีหน้า ผนวกกับโครงการร้านค้าดิจิทัลชุมชน (Point of Sale : PoS) ที่จะดําเนินการเชื่อมโยงต่อยอดซึ่งกันและกัน ผลักดันประโยชน์ต่อประชาชนในแต่ละชุมชนทั่วประเทศ ให้สามารถสร้างรายได้จากการขายสินค้าและบริการในชุมชน ยกระดับเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ทั้งนี้ ยังมีในส่วนของการผลักดันการส่งเสริมพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand : EECd) ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อทําให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นศูนย์รวมของการพัฒนานวัตกรรมด้านดิจิทัล นําไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ในอนาคต **************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล” วันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2561 รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษ ภายใต้หัวข้อ “การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล” ในงานนิทรรศการนานาชาติ “Digital Thailand Big Bang 2018” เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวถึงแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของกระทรวงฯ ซึ่งดําเนินการภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 4) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 5) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 6) ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาต่อยอดการยกกระดับโครงสร้างพื้นฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ อาทิ โครงการ “เน็ตประชารัฐ” รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่ดําเนินการติดตั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งกําลังจะติดตั้งครบทุกหมู่บ้านทั่วประเทศภายในต้นปีหน้า ผนวกกับโครงการร้านค้าดิจิทัลชุมชน (Point of Sale : PoS) ที่จะดําเนินการเชื่อมโยงต่อยอดซึ่งกันและกัน ผลักดันประโยชน์ต่อประชาชนในแต่ละชุมชนทั่วประเทศ ให้สามารถสร้างรายได้จากการขายสินค้าและบริการในชุมชน ยกระดับเศรษฐกิจชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ทั้งนี้ ยังมีในส่วนของการผลักดันการส่งเสริมพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand : EECd) ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อทําให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นศูนย์รวมของการพัฒนานวัตกรรมด้านดิจิทัล นําไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ในอนาคต **************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15558
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีเตรียมตัวก่อนเดินทางด้วยเครื่องบิน
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563 วิธีเตรียมตัวก่อนเดินทางด้วยเครื่องบิน มีวิธีดังนี้ -ตรวจเช็กอุณหภูมิร่างกาย -เว้นระยะห่าง -สวมหน้ากากอนามัย -ปฏิบัติตามเจ้าหน้าที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีเตรียมตัวก่อนเดินทางด้วยเครื่องบิน วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563 วิธีเตรียมตัวก่อนเดินทางด้วยเครื่องบิน มีวิธีดังนี้ -ตรวจเช็กอุณหภูมิร่างกาย -เว้นระยะห่าง -สวมหน้ากากอนามัย -ปฏิบัติตามเจ้าหน้าที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30240
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจราชการและติดตามการเตรียมการจัดทำน้ำอภิเษก พร้อมมอบนโยบายการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทยให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจราชการและติดตามการเตรียมการจัดทําน้ําอภิเษก พร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานของกระทรวงมหาดไทยให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจราชการและติดตามการเตรียมการจัดทําน้ําอภิเษก พร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานของกระทรวงมหาดไทยให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก วันนี้ (15 มี.ค. 62) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมขุนแผน ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการพร้อมมอบนโยบายให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลาง และภาคตะวันออก รวม 25 จังหวัด โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก รวม 25 จังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ร่วมประชุมหารือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้เป็นการติดตามงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งพิธีบรมราชาภิเษกที่กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้รับผิดชอบในเรื่องการจัดทําน้ําอภิเษก รวมทั้งเรื่องนโยบายอื่นๆ ของกระทรวงมหาดไทยโดยในเรื่องการจัดทําน้ําอภิเษกนั้น ได้เดินทางไปตรวจติดตามมาแล้ว 2 ภาค คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 20 จังหวัด และภาคใต้ จํานวน 14 จังหวัด ทําให้ได้รับทราบข้อมูลความคืบหน้าในการเตรียมงานการจัดเตรียมน้ําอภิเษกของจังหวัดหลายเรื่อง ดังนั้นขอให้ผู้ว่าฯ กําหนดเวลาในการดําเนินการ ดังนี้ โดยในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ ขอให้ดําเนินการงานทางกายภาพ เช่น การปรับภูมิทัศน์ การเตรียมการในเรื่องแหล่งน้ํา การพลีกรรมตักน้ํา และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ บริเวณโดยรอบแหล่งน้ํา เช่น เต็นท์ ซุ้มรอบบริเวณ ให้แล้วเสร็จ และระยะเวลาที่เหลือให้เป็นการซักซ้อมขั้นตอนและพิธีการต่างๆ ให้เกิดความเรียบร้อย สมพระเกียรติ จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออกจํานวน 25 จังหวัดได้รายงานการจัดเตรียมแหล่งน้ําและสถานที่ที่เป็นสถานที่ประกอบพิธี โดยทุกจังหวัดได้รายงานการเตรียมความพร้อมของการเตรียมแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ ทั้งด้านพิธีพลีกรรมตักน้ํา และด้านพิธีทําน้ําอภิเษก เป็นต้น ท้ายสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ติดตามการดําเนินงานเรื่องอื่นๆ เช่น การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งปี 2562 การฟื้นฟูและพัฒนาลําน้ําคู คลองเพื่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน โครงการจิตอาสาพระราชทาน การเตรียมความพร้อมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการขยะมูลฝอยและการแก้ไขปัญหาน้ําเสีย การสร้างการรับรู้สู่ชุมชน และการเตรียมการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจราชการและติดตามการเตรียมการจัดทำน้ำอภิเษก พร้อมมอบนโยบายการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทยให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจราชการและติดตามการเตรียมการจัดทําน้ําอภิเษก พร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานของกระทรวงมหาดไทยให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจราชการและติดตามการเตรียมการจัดทําน้ําอภิเษก พร้อมมอบนโยบายการดําเนินงานของกระทรวงมหาดไทยให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก วันนี้ (15 มี.ค. 62) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมขุนแผน ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการพร้อมมอบนโยบายให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลาง และภาคตะวันออก รวม 25 จังหวัด โดยมี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก รวม 25 จังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ร่วมประชุมหารือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในวันนี้เป็นการติดตามงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งพิธีบรมราชาภิเษกที่กระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้รับผิดชอบในเรื่องการจัดทําน้ําอภิเษก รวมทั้งเรื่องนโยบายอื่นๆ ของกระทรวงมหาดไทยโดยในเรื่องการจัดทําน้ําอภิเษกนั้น ได้เดินทางไปตรวจติดตามมาแล้ว 2 ภาค คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 20 จังหวัด และภาคใต้ จํานวน 14 จังหวัด ทําให้ได้รับทราบข้อมูลความคืบหน้าในการเตรียมงานการจัดเตรียมน้ําอภิเษกของจังหวัดหลายเรื่อง ดังนั้นขอให้ผู้ว่าฯ กําหนดเวลาในการดําเนินการ ดังนี้ โดยในช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ ขอให้ดําเนินการงานทางกายภาพ เช่น การปรับภูมิทัศน์ การเตรียมการในเรื่องแหล่งน้ํา การพลีกรรมตักน้ํา และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ บริเวณโดยรอบแหล่งน้ํา เช่น เต็นท์ ซุ้มรอบบริเวณ ให้แล้วเสร็จ และระยะเวลาที่เหลือให้เป็นการซักซ้อมขั้นตอนและพิธีการต่างๆ ให้เกิดความเรียบร้อย สมพระเกียรติ จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออกจํานวน 25 จังหวัดได้รายงานการจัดเตรียมแหล่งน้ําและสถานที่ที่เป็นสถานที่ประกอบพิธี โดยทุกจังหวัดได้รายงานการเตรียมความพร้อมของการเตรียมแหล่งน้ําศักดิ์สิทธิ์ ทั้งด้านพิธีพลีกรรมตักน้ํา และด้านพิธีทําน้ําอภิเษก เป็นต้น ท้ายสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ติดตามการดําเนินงานเรื่องอื่นๆ เช่น การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งปี 2562 การฟื้นฟูและพัฒนาลําน้ําคู คลองเพื่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน โครงการจิตอาสาพระราชทาน การเตรียมความพร้อมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การบริหารจัดการขยะมูลฝอยและการแก้ไขปัญหาน้ําเสีย การสร้างการรับรู้สู่ชุมชน และการเตรียมการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19377
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ชู “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง” ขึ้นทะเบียน GI ในEU
วันอังคารที่ 18 เมษายน 2560 กระทรวงเกษตรฯ ชู “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง” ขึ้นทะเบียน GI ในEU กระทรวงเกษตรฯ ชู “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง” ขึ้นทะเบียน GI ในEU ปูทางโอกาสข้าวไทยสู่อินเตอร์ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สหภาพยุโรปได้ประกาศขึ้นทะเบียนข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ในสหภาพยุโรป (EU) นับเป็นสินค้าข้าวลําดับที่ 2 ที่ได้รับการรับรองต่อจากข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ นอกจากจะเป็นการยอมรับคุณภาพของสินค้า ชื่อเสียงป้องกันการปลอมปน และลอกเลียนแบบแล้ว ยังเป็นการขยายโอกาสของผู้ผลิตและส่งออกข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงในการทําตลาดในต่างประเทศให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้กรมการข้าวได้นําข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงร่วมกับข้าวตลาดเฉพาะชนิดพันธุ์อื่นๆ ไปร่วมโปรโมทและประชาสัมพันธ์แก่ผู้บริโภคในต่างประเทศ พบว่ามีกระแสตอบรับค่อนข้างดี เนื่องจากเป็นข้าวที่มีสีสวย โภชนาการสูง และเมื่อได้รับการขึ้นทะเบียน GI จาก EU แล้ว หากมีการจัดกิจกรรมโปรโมทเชื่อมโยงแหล่งผลิตเพื่อให้ผู้บริโภครู้จักมากยิ่งขึ้น โดยเชื่อมโยงกับแหล่งผลิตในเชิงการท่องเที่ยวเพื่อสร้างการจดจําและประทับใจแก่กลุ่มผู้บริโภค ก็จะยิ่งทําให้สินค้าข้าว GI จาก EU นี้เป็นที่รู้จักแก่ผู้บริโภคในต่างประเทศมากยิ่งขึ้นอีก นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง” เป็นข้าวเฉพาะเมื่อได้รับการรับรอง GI จาก สหภาพยุโรปก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการพัฒนาสินค้าข้าวไทยสู่ความสําเร็จ ทั้งในด้านคุณภาพสินค้า ต้องปลูกในพื้นที่ต้นกําเนิดเพื่อรักษาคุณภาพและคงอัตลักษณ์ของข้าวให้มีความเฉพาะถิ่น ผลผลิตต่อปีจึงมีจํากัดและต้องอาศัยขั้นตอนการผลิตที่ละเอียดอ่อนเพื่อรักษาคุณภาพ ราคาจึงสูงกว่าข้าวโดยทั่วไปและคุณประโยชน์ของสินค้าที่พิเศษกว่า เช่น เป็นข้าวที่มีโภชนาการสูง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มที่มีกําลังซื้อสูงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ผลิตข้าวด้วยความปลอดภัยและมีรายได้ที่มั่นคงยิ่งขึ้น” นายอนันต์กล่าวต่อและว่า สําหรับข้าวสังข์หยด เป็นข้าวพื้นเมืองที่อยู่คู่เมืองพัทลุงมานับร้อยปี เมื่อหุงแล้วมีความเหนียว นุ่ม ย่อยง่าย เหมาะกับผู้สูงอายุมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความชราและลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคระบบภูมิคุ้มกันทํางานผิดปกติ มีวิตามินบี ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา มีปริมาณไนอะซินสูงช่วยในการทํางานของระบบประสาทและผิวหนัง แต่ในช่วงหนึ่งเกือบสูญพันธุ์ จนกระทั่งได้รับการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ให้บริสุทธิ์โดยศูนย์วิจัยข้าวพัทลุงและส่งเสริมให้ชาวนาได้หันมาปลูกข้าวสังข์หยดรับประทานในครัวเรือนและเพื่อการค้าจนเป็นที่นิยมในปัจจุบัน และขื้นทะเบียนเป็นข้าว GI สังข์หยดเมืองพัทลุงพันธุ์แรกของไทย เมื่อ 23 มิถุนายน 2549 อธิบดีกรมการข้าว กล่าว ............................... กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ชู “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง” ขึ้นทะเบียน GI ในEU วันอังคารที่ 18 เมษายน 2560 กระทรวงเกษตรฯ ชู “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง” ขึ้นทะเบียน GI ในEU กระทรวงเกษตรฯ ชู “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง” ขึ้นทะเบียน GI ในEU ปูทางโอกาสข้าวไทยสู่อินเตอร์ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สหภาพยุโรปได้ประกาศขึ้นทะเบียนข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ในสหภาพยุโรป (EU) นับเป็นสินค้าข้าวลําดับที่ 2 ที่ได้รับการรับรองต่อจากข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ นอกจากจะเป็นการยอมรับคุณภาพของสินค้า ชื่อเสียงป้องกันการปลอมปน และลอกเลียนแบบแล้ว ยังเป็นการขยายโอกาสของผู้ผลิตและส่งออกข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงในการทําตลาดในต่างประเทศให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้กรมการข้าวได้นําข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุงร่วมกับข้าวตลาดเฉพาะชนิดพันธุ์อื่นๆ ไปร่วมโปรโมทและประชาสัมพันธ์แก่ผู้บริโภคในต่างประเทศ พบว่ามีกระแสตอบรับค่อนข้างดี เนื่องจากเป็นข้าวที่มีสีสวย โภชนาการสูง และเมื่อได้รับการขึ้นทะเบียน GI จาก EU แล้ว หากมีการจัดกิจกรรมโปรโมทเชื่อมโยงแหล่งผลิตเพื่อให้ผู้บริโภครู้จักมากยิ่งขึ้น โดยเชื่อมโยงกับแหล่งผลิตในเชิงการท่องเที่ยวเพื่อสร้างการจดจําและประทับใจแก่กลุ่มผู้บริโภค ก็จะยิ่งทําให้สินค้าข้าว GI จาก EU นี้เป็นที่รู้จักแก่ผู้บริโภคในต่างประเทศมากยิ่งขึ้นอีก นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า “ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง” เป็นข้าวเฉพาะเมื่อได้รับการรับรอง GI จาก สหภาพยุโรปก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการพัฒนาสินค้าข้าวไทยสู่ความสําเร็จ ทั้งในด้านคุณภาพสินค้า ต้องปลูกในพื้นที่ต้นกําเนิดเพื่อรักษาคุณภาพและคงอัตลักษณ์ของข้าวให้มีความเฉพาะถิ่น ผลผลิตต่อปีจึงมีจํากัดและต้องอาศัยขั้นตอนการผลิตที่ละเอียดอ่อนเพื่อรักษาคุณภาพ ราคาจึงสูงกว่าข้าวโดยทั่วไปและคุณประโยชน์ของสินค้าที่พิเศษกว่า เช่น เป็นข้าวที่มีโภชนาการสูง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มที่มีกําลังซื้อสูงช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยให้ผลิตข้าวด้วยความปลอดภัยและมีรายได้ที่มั่นคงยิ่งขึ้น” นายอนันต์กล่าวต่อและว่า สําหรับข้าวสังข์หยด เป็นข้าวพื้นเมืองที่อยู่คู่เมืองพัทลุงมานับร้อยปี เมื่อหุงแล้วมีความเหนียว นุ่ม ย่อยง่าย เหมาะกับผู้สูงอายุมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอความชราและลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคระบบภูมิคุ้มกันทํางานผิดปกติ มีวิตามินบี ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา มีปริมาณไนอะซินสูงช่วยในการทํางานของระบบประสาทและผิวหนัง แต่ในช่วงหนึ่งเกือบสูญพันธุ์ จนกระทั่งได้รับการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ให้บริสุทธิ์โดยศูนย์วิจัยข้าวพัทลุงและส่งเสริมให้ชาวนาได้หันมาปลูกข้าวสังข์หยดรับประทานในครัวเรือนและเพื่อการค้าจนเป็นที่นิยมในปัจจุบัน และขื้นทะเบียนเป็นข้าว GI สังข์หยดเมืองพัทลุงพันธุ์แรกของไทย เมื่อ 23 มิถุนายน 2549 อธิบดีกรมการข้าว กล่าว ............................... กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3110
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” สรุปผลการจับกุมสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ เผยจับผู้กระทำความผิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินจริงได้อีก 2 ราย เป็นการจำหน่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย
วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563 “พาณิชย์” สรุปผลการจับกุมสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ เผยจับผู้กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินจริงได้อีก 2 ราย เป็นการจําหน่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย และร้านค้าทั่วไป 1 ร้าน มียอดรวมจับกุมทั้งสิ้น 267 ราย ส่วนไข่ไก่ไม่พบผู้กระทําผิด หลังสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว (ประจําวันที่ 7 เมษายน 2563) นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 โดยสามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ได้อีก 2 ราย แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 1 ราย เป็นการจับกุมผู้จําหน่ายสินค้าทางแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย ในเขตประเวศ กรุงเทพฯ จําหน่ายหน้ากากอนามัย กล่องละ 50 ชิ้น ราคากล่องละ 750 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15 บาท โดยเป็นสินค้านําเข้าจากจีน มีปริมาณ 5,500 ชิ้น และไม่ได้แจ้งปริมาณ ราคาจําหน่ายต่อคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) จึงได้แจ้งข้อหาตาม มาตรา 25 (5) ไม่แจ้งราคาต้นทุนการซื้อขาย และสต๊อก และข้อหาตามมาตรา 29 ค้ากําไรเกินควร ส่วนในต่างจังหวัดจับกุมได้ 1 ราย เป็นการกระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร (มาตรา 29) ที่อําเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลําภู โดยทําการล่อซื้อจับกุมร้านค้า พบจําหน่ายในราคากล่องละ 750 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15 ได้แจ้งข้อหาตามมาตรา 29 ค้ากําไรเกินควร ทําให้สถิติการจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์และแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้นเป็น 267 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 132 ราย และต่างจังหวัด 135 ราย สําหรับโทษที่ผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) และมาตรา 25 (5) ไม่แจ้งต้นทุนซื้อ ขาย สต๊อก มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ ไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มาตรา 28 มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ข้อหาขายแพงเกินสมควร (มาตรา 29) มีอัตราโทษจําคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ทางด้านการจับกุมผู้กระทําความผิดจําหน่ายไข่ไก่เกินราคาทั่วประเทศ ณ วันที่ 6 เม.ย. 2563 ไม่พบผู้กระทําความผิดเพิ่ม ทําให้มียอดรวมการจับกุมทั่วประเทศอยู่ที่ 26 รายคงเดิม เพราะขณะนี้ สถานการณ์ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งการผลิต การกระจายไข่ไก่ และการจําหน่าย “หากประชาชนพบเห็นการกักตุนสินค้าหรือค้ากําไรเกินควร ขอให้ร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด จะมีการเข้าไปตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิดทันที”นางลลิดากล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” สรุปผลการจับกุมสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ เผยจับผู้กระทำความผิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินจริงได้อีก 2 ราย เป็นการจำหน่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย วันอังคารที่ 7 เมษายน 2563 “พาณิชย์” สรุปผลการจับกุมสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ เผยจับผู้กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินจริงได้อีก 2 ราย เป็นการจําหน่ายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย และร้านค้าทั่วไป 1 ร้าน มียอดรวมจับกุมทั้งสิ้น 267 ราย ส่วนไข่ไก่ไม่พบผู้กระทําผิด หลังสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว (ประจําวันที่ 7 เมษายน 2563) นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อวันที่ 6 เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 โดยสามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ได้อีก 2 ราย แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 1 ราย เป็นการจับกุมผู้จําหน่ายสินค้าทางแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย ในเขตประเวศ กรุงเทพฯ จําหน่ายหน้ากากอนามัย กล่องละ 50 ชิ้น ราคากล่องละ 750 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15 บาท โดยเป็นสินค้านําเข้าจากจีน มีปริมาณ 5,500 ชิ้น และไม่ได้แจ้งปริมาณ ราคาจําหน่ายต่อคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) จึงได้แจ้งข้อหาตาม มาตรา 25 (5) ไม่แจ้งราคาต้นทุนการซื้อขาย และสต๊อก และข้อหาตามมาตรา 29 ค้ากําไรเกินควร ส่วนในต่างจังหวัดจับกุมได้ 1 ราย เป็นการกระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร (มาตรา 29) ที่อําเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลําภู โดยทําการล่อซื้อจับกุมร้านค้า พบจําหน่ายในราคากล่องละ 750 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15 ได้แจ้งข้อหาตามมาตรา 29 ค้ากําไรเกินควร ทําให้สถิติการจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์และแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้นเป็น 267 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 132 ราย และต่างจังหวัด 135 ราย สําหรับโทษที่ผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) และมาตรา 25 (5) ไม่แจ้งต้นทุนซื้อ ขาย สต๊อก มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ ไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มาตรา 28 มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ข้อหาขายแพงเกินสมควร (มาตรา 29) มีอัตราโทษจําคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ทางด้านการจับกุมผู้กระทําความผิดจําหน่ายไข่ไก่เกินราคาทั่วประเทศ ณ วันที่ 6 เม.ย. 2563 ไม่พบผู้กระทําความผิดเพิ่ม ทําให้มียอดรวมการจับกุมทั่วประเทศอยู่ที่ 26 รายคงเดิม เพราะขณะนี้ สถานการณ์ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งการผลิต การกระจายไข่ไก่ และการจําหน่าย “หากประชาชนพบเห็นการกักตุนสินค้าหรือค้ากําไรเกินควร ขอให้ร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด จะมีการเข้าไปตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิดทันที”นางลลิดากล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28551
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.ย้ำไม่ติดใจผลโพลล์ของสถาบันพระปกเกล้า แนะใช้ความระมัดระวังในการนำเสนอ เสี่ยงทำคนสับสนยกย่องการทุจริตผิดกฎหมายเป็นสิ่งดี
วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2560 นรม.ย้ําไม่ติดใจผลโพลล์ของสถาบันพระปกเกล้า แนะใช้ความระมัดระวังในการนําเสนอ เสี่ยงทําคนสับสนยกย่องการทุจริตผิดกฎหมายเป็นสิ่งดี นรม.ย้ําไม่ติดใจผลโพลล์ของสถาบันพระปกเกล้า แนะใช้ความระมัดระวังในการนําเสนอ เสี่ยงทําคนสับสนยกย่องการทุจริตผิดกฎหมายเป็นสิ่งดี แจงข้อมูลคนละเวลาและสถานการณ์เปรียบเทียบกันไม่ได้ วันนี้ (9 กันยายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลสํารวจความเห็นของประชาชนต่อความเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีในช่วงระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจัดทําโดยสถาบันพระปกเกล้า ว่า ส่วนตัวไม่ได้ติดใจหรือไม่พอใจผลคะแนนจากโพลล์ครั้งนี้ เพียงแต่เห็นว่าการนําเอาผลสํารวจที่รวมอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีความผิดและอยู่ระหว่างหลบหนีมานําเสนอเผยแพร่แก่สาธารณะ อาจไม่เหมาะสมนัก เพราะอาจทําให้ประชาชนเกิดความสับสน และเห็นว่าการทําผิดกฎหมาย ทุจริตคอร์รัปชัน เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ “นายกฯ เห็นว่า การนําเสนอข้อมูลบางเรื่องอาจต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความเข้าใจหรือความขัดแย้งในสังคมได้ พร้อมทั้งได้ฝากให้สติกับพี่น้องประชาชนในการเลือกรับข่าวสารด้วยว่า ควรอ่านและศึกษารายละเอียดของข่าวให้ชัดเจน ไม่อ่านหรือตีความเฉพาะแค่เพียงพาดหัวข่าวแต่อย่างเดียว” อย่างไรก็ตาม สถาบันพระปกเกล้าได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า การนําเสนอรายงานผลสํารวจความคิดเห็นความเชื่อมั่นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีการเปรียบเทียบความเชื่อมั่นต่อนายกรัฐมนตรีแต่ละคน แต่มีผู้นําไปเปรียบเทียบกันเอง เพราะในทางปฏิบัติแล้วไม่สามารถนําไปเปรียบเทียบกันได้ เนื่องจากเกิดขึ้นคนละช่วงเวลาและคนละสถานการณ์ นอกจากนี้ ในรายงานยังมีข้อมูลของนายกรัฐมนตรีคนอื่นด้วย ไม่ใช่มีเพียงแค่ 2 คน เท่านั้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม.ย้ำไม่ติดใจผลโพลล์ของสถาบันพระปกเกล้า แนะใช้ความระมัดระวังในการนำเสนอ เสี่ยงทำคนสับสนยกย่องการทุจริตผิดกฎหมายเป็นสิ่งดี วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2560 นรม.ย้ําไม่ติดใจผลโพลล์ของสถาบันพระปกเกล้า แนะใช้ความระมัดระวังในการนําเสนอ เสี่ยงทําคนสับสนยกย่องการทุจริตผิดกฎหมายเป็นสิ่งดี นรม.ย้ําไม่ติดใจผลโพลล์ของสถาบันพระปกเกล้า แนะใช้ความระมัดระวังในการนําเสนอ เสี่ยงทําคนสับสนยกย่องการทุจริตผิดกฎหมายเป็นสิ่งดี แจงข้อมูลคนละเวลาและสถานการณ์เปรียบเทียบกันไม่ได้ วันนี้ (9 กันยายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลสํารวจความเห็นของประชาชนต่อความเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรีในช่วงระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจัดทําโดยสถาบันพระปกเกล้า ว่า ส่วนตัวไม่ได้ติดใจหรือไม่พอใจผลคะแนนจากโพลล์ครั้งนี้ เพียงแต่เห็นว่าการนําเอาผลสํารวจที่รวมอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีความผิดและอยู่ระหว่างหลบหนีมานําเสนอเผยแพร่แก่สาธารณะ อาจไม่เหมาะสมนัก เพราะอาจทําให้ประชาชนเกิดความสับสน และเห็นว่าการทําผิดกฎหมาย ทุจริตคอร์รัปชัน เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ “นายกฯ เห็นว่า การนําเสนอข้อมูลบางเรื่องอาจต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความเข้าใจหรือความขัดแย้งในสังคมได้ พร้อมทั้งได้ฝากให้สติกับพี่น้องประชาชนในการเลือกรับข่าวสารด้วยว่า ควรอ่านและศึกษารายละเอียดของข่าวให้ชัดเจน ไม่อ่านหรือตีความเฉพาะแค่เพียงพาดหัวข่าวแต่อย่างเดียว” อย่างไรก็ตาม สถาบันพระปกเกล้าได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า การนําเสนอรายงานผลสํารวจความคิดเห็นความเชื่อมั่นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้มีการเปรียบเทียบความเชื่อมั่นต่อนายกรัฐมนตรีแต่ละคน แต่มีผู้นําไปเปรียบเทียบกันเอง เพราะในทางปฏิบัติแล้วไม่สามารถนําไปเปรียบเทียบกันได้ เนื่องจากเกิดขึ้นคนละช่วงเวลาและคนละสถานการณ์ นอกจากนี้ ในรายงานยังมีข้อมูลของนายกรัฐมนตรีคนอื่นด้วย ไม่ใช่มีเพียงแค่ 2 คน เท่านั้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6550
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงการคลัง ณ จังหวัดภูเก็ต
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561 การติดตามผลการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงการคลัง ณ จังหวัดภูเก็ต ปลัดกระทรวงการคลัง และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ติดตามผลการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงการคลัง นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันพุธที่ 21 มีนาคม 2561 ปลัดกระทรวงการคลัง พร้อมกับผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง (นางสาวบัณฑรโฉม แก้วสอาด) และคณะ ได้ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยประชุมหารือร่วมกับนายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายถาวรวัฒน์ คงแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน นายวิรัช วาณิชธนากุล ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร คณะผู้บริหารการคลังประจําจังหวัดภูเก็ต อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามผลการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงการคลังในจังหวัดภูเก็ตใน 3 เรื่อง ได้แก่ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ซึ่งพบว่าหน่วยงานทุกภาคส่วนในพื้นที่ได้ให้การสนับสนุนนโยบายของกระทรวงการคลังเป็นอย่างดี ทําให้การดําเนินงานแต่ละเรื่องมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ดี เพื่อให้จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดนําร่องที่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยได้อย่างแท้จริง จึงได้พิจารณาปรับแผนการดําเนินงานเชิงรุกให้มากขึ้นและมีเป้าหมายจะติดตามผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ จํานวน 3,738 ราย มาเข้าสู่กลไกการช่วยเหลือด้านสินเชื่อการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ และการฟื้นฟูศักยภาพ หากมีการดําเนินการตามแผนนี้คาดว่า จะส่งผลให้จังหวัดภูเก็ตมีหนี้นอกระบบเป็นศูนย์ภายในระยะเวลา 2 เดือน ทั้งนี้ จะใช้โมเดลการทํางานดังกล่าวขยายผลไปยังจังหวัดอื่นต่อไป นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ และคณะ ยังได้เข้าเยี่ยมชม Software Park Phuket และได้ติดตามความคืบหน้าของการดําเนินกิจกรรมของคณะครูและนักเรียนจากชมรม Startup Club ของโรงเรียนสตรีภูเก็ต พร้อมกับหารือกับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในจังหวัดภูเก็ตเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคในการดําเนินธุรกิจ จากการหารือพบว่า นโยบายต่างๆ ของภาครัฐ ได้ส่งผลให้เกิด Startup ที่ประสบความสําเร็จจํานวนมาก แต่ยังมี Startup รุ่นใหม่ที่ยังขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ โดยได้ขอให้ภาครัฐเน้นการดําเนินนโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการเมืองอัจฉริยะ หรือสมาร์ต ซิตี้ (Smart City) และสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ในการนี้ ปลัดกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้คณะผู้บริหารการคลังประจําจังหวัดภูเก็ตเป็นหลักในการประสานกับสถาบันการเงินของรัฐในการจัดการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่โดยเร็วต่อไป ในส่วนของการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาให้กับผู้มีรายได้น้อย ได้ตรวจเยี่ยมการทํางานของเจ้าหน้าที่ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer: AO) ณ สวนศรีภูวนาถ ตําบลวิชิต อําเภอเมือง ซึ่งมีผู้มีสิทธิในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจํานวนมากมารอให้เจ้าหน้าที่ AO สัมภาษณ์ โดยปลัดกระทรวงการคลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ AO ได้สัมภาษณ์ผู้มีสิทธิเพื่อหาข้อเท็จจริงรายบุคคลและวางแผนพัฒนาอาชีพตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมีการให้คําปรึกษาแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนกลุ่มดังกล่าวควบคู่กันไป พร้อมนี้ ปลัดกระทรวงการคลังได้มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานให้กับเจ้าหน้าที่ AO ว่า เจ้าหน้าที่ AO เป็นบุคคลสําคัญที่สุดในการที่จะทําให้โครงการประสบความสําเร็จ เนื่องจากเป็นกลไกที่สําคัญที่สามารถค้นหาปัญหาที่แท้จริง เพื่อนําปัญหาที่ได้มาแก้ไขได้อย่างตรงจุดตรงประเด็น ซึ่งจะส่งผลให้ผู้มีสิทธิมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงการคลัง และผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เห็นว่า เนื่องจากจังหวัดภูเก็ตมีผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการจํานวนมาก และได้รับการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว จึงเห็นควรให้จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดนําร่องสําหรับโครงการนี้ด้วย สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทรศัพท์สายด่วน 1359
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงการคลัง ณ จังหวัดภูเก็ต วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม 2561 การติดตามผลการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงการคลัง ณ จังหวัดภูเก็ต ปลัดกระทรวงการคลัง และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ติดตามผลการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงการคลัง นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันพุธที่ 21 มีนาคม 2561 ปลัดกระทรวงการคลัง พร้อมกับผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง (นางสาวบัณฑรโฉม แก้วสอาด) และคณะ ได้ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต โดยประชุมหารือร่วมกับนายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายถาวรวัฒน์ คงแก้ว รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน นายวิรัช วาณิชธนากุล ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร คณะผู้บริหารการคลังประจําจังหวัดภูเก็ต อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดีจังหวัดภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามผลการดําเนินงานตามนโยบายของกระทรวงการคลังในจังหวัดภูเก็ตใน 3 เรื่อง ได้แก่ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ การดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ซึ่งพบว่าหน่วยงานทุกภาคส่วนในพื้นที่ได้ให้การสนับสนุนนโยบายของกระทรวงการคลังเป็นอย่างดี ทําให้การดําเนินงานแต่ละเรื่องมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ดี เพื่อให้จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดนําร่องที่สามารถแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบสําหรับผู้มีรายได้น้อยได้อย่างแท้จริง จึงได้พิจารณาปรับแผนการดําเนินงานเชิงรุกให้มากขึ้นและมีเป้าหมายจะติดตามผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบ จํานวน 3,738 ราย มาเข้าสู่กลไกการช่วยเหลือด้านสินเชื่อการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ และการฟื้นฟูศักยภาพ หากมีการดําเนินการตามแผนนี้คาดว่า จะส่งผลให้จังหวัดภูเก็ตมีหนี้นอกระบบเป็นศูนย์ภายในระยะเวลา 2 เดือน ทั้งนี้ จะใช้โมเดลการทํางานดังกล่าวขยายผลไปยังจังหวัดอื่นต่อไป นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ และคณะ ยังได้เข้าเยี่ยมชม Software Park Phuket และได้ติดตามความคืบหน้าของการดําเนินกิจกรรมของคณะครูและนักเรียนจากชมรม Startup Club ของโรงเรียนสตรีภูเก็ต พร้อมกับหารือกับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในจังหวัดภูเก็ตเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคในการดําเนินธุรกิจ จากการหารือพบว่า นโยบายต่างๆ ของภาครัฐ ได้ส่งผลให้เกิด Startup ที่ประสบความสําเร็จจํานวนมาก แต่ยังมี Startup รุ่นใหม่ที่ยังขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ โดยได้ขอให้ภาครัฐเน้นการดําเนินนโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการเมืองอัจฉริยะ หรือสมาร์ต ซิตี้ (Smart City) และสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ในการนี้ ปลัดกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้คณะผู้บริหารการคลังประจําจังหวัดภูเก็ตเป็นหลักในการประสานกับสถาบันการเงินของรัฐในการจัดการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้แก่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่โดยเร็วต่อไป ในส่วนของการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาให้กับผู้มีรายได้น้อย ได้ตรวจเยี่ยมการทํางานของเจ้าหน้าที่ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer: AO) ณ สวนศรีภูวนาถ ตําบลวิชิต อําเภอเมือง ซึ่งมีผู้มีสิทธิในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจํานวนมากมารอให้เจ้าหน้าที่ AO สัมภาษณ์ โดยปลัดกระทรวงการคลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ AO ได้สัมภาษณ์ผู้มีสิทธิเพื่อหาข้อเท็จจริงรายบุคคลและวางแผนพัฒนาอาชีพตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมีการให้คําปรึกษาแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชนกลุ่มดังกล่าวควบคู่กันไป พร้อมนี้ ปลัดกระทรวงการคลังได้มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานให้กับเจ้าหน้าที่ AO ว่า เจ้าหน้าที่ AO เป็นบุคคลสําคัญที่สุดในการที่จะทําให้โครงการประสบความสําเร็จ เนื่องจากเป็นกลไกที่สําคัญที่สามารถค้นหาปัญหาที่แท้จริง เพื่อนําปัญหาที่ได้มาแก้ไขได้อย่างตรงจุดตรงประเด็น ซึ่งจะส่งผลให้ผู้มีสิทธิมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงการคลัง และผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เห็นว่า เนื่องจากจังหวัดภูเก็ตมีผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการจํานวนมาก และได้รับการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว จึงเห็นควรให้จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดนําร่องสําหรับโครงการนี้ด้วย สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทรศัพท์สายด่วน 1359
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10997
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ถกแนวทางแก้ไขปัญหากลุ่ม P-Move ร่วมกับตัวแทนภาคประชาชนและผู้แทนกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ถกแนวทางแก้ไขปัญหากลุ่ม P-Move ร่วมกับตัวแทนภาคประชาชนและผู้แทนกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ถกแนวทางแก้ไขปัญหากลุ่ม P-Move ร่วมกับตัวแทนภาคประชาชนและผู้แทนกระทรวงที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (20 ธ.ค.62) เวลา 09.30 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายธงชัย ลืออดุลย์ เลขานุการรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายสุรศักดิ์ เรืองเครือ รองปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-Move ณ ห้องประชุม 108 สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี การประชุมในครั้งนี้เป็นการรายงานความคืบหน้าแนวทางการให้ความช่วยเหลือที่กลุ่ม P-Move เรียกร้องต่อรัฐบาล จํานวน 19 เรื่อง โดยพบว่ามีจํานวนกว่า 10 เรื่องที่ยังไม่สามารถดําเนินการได้ เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม รวมถึงต้องมีการแก้ไขกฎระเบียบ และบางส่วนพบว่ามีการชะลอการดําเนินคดี ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ภาคประชาชน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาขับเคลื่อนการดําเนินการแก้ไข โดยให้ประชาขนที่เป็นตัวแทนกลุ่ม P-Move เป็นอนุกรรมการร่วมกับทางกระทรวงต่างๆ เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องของแต่ละกลุ่มได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งอนุกรรมการดังกล่าวคาดว่าจะเสนอให้ท่านวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานรับผิดชอบ ลงนามอนุมัติแต่งตั้งให้ทันก่อนปีใหม่นี้ ............................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ถกแนวทางแก้ไขปัญหากลุ่ม P-Move ร่วมกับตัวแทนภาคประชาชนและผู้แทนกระทรวงที่เกี่ยวข้อง วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ถกแนวทางแก้ไขปัญหากลุ่ม P-Move ร่วมกับตัวแทนภาคประชาชนและผู้แทนกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ถกแนวทางแก้ไขปัญหากลุ่ม P-Move ร่วมกับตัวแทนภาคประชาชนและผู้แทนกระทรวงที่เกี่ยวข้อง วันนี้ (20 ธ.ค.62) เวลา 09.30 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายธงชัย ลืออดุลย์ เลขานุการรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายสุรศักดิ์ เรืองเครือ รองปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ร่วมประชุมติดตามความก้าวหน้าของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-Move ณ ห้องประชุม 108 สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี การประชุมในครั้งนี้เป็นการรายงานความคืบหน้าแนวทางการให้ความช่วยเหลือที่กลุ่ม P-Move เรียกร้องต่อรัฐบาล จํานวน 19 เรื่อง โดยพบว่ามีจํานวนกว่า 10 เรื่องที่ยังไม่สามารถดําเนินการได้ เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม รวมถึงต้องมีการแก้ไขกฎระเบียบ และบางส่วนพบว่ามีการชะลอการดําเนินคดี ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ภาคประชาชน ได้เรียกร้องให้รัฐบาลมีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาขับเคลื่อนการดําเนินการแก้ไข โดยให้ประชาขนที่เป็นตัวแทนกลุ่ม P-Move เป็นอนุกรรมการร่วมกับทางกระทรวงต่างๆ เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องของแต่ละกลุ่มได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งอนุกรรมการดังกล่าวคาดว่าจะเสนอให้ท่านวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานรับผิดชอบ ลงนามอนุมัติแต่งตั้งให้ทันก่อนปีใหม่นี้ ............................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25366
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง ศธ. 4 ราย
วันอังคารที่ 17 มกราคม 2560 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง ศธ. 4 ราย เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2560 ได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ 4 ราย มีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ พ้นจากตําแหน่ง และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 4 ราย ดังนี้ 1. นายประเสริฐ บุญเรืองพ้นจากตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง รองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 2. นายพิษณุ ตุลสุขพ้นจากตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง รองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 3. นายประชาคม จันทรชิตพ้นจากตําแหน่ง ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาช่างอุตสาหกรรม (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 4. นายกฤตชัย อรุณรัตน์พ้นจากตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สํานักงานปลัดกระทรวง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2559 เป็นต้นไป รายละเอียดเพิ่มเติม:เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง ศธ. 4 ราย วันอังคารที่ 17 มกราคม 2560 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง ศธ. 4 ราย เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2560 ได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ 4 ราย มีพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ พ้นจากตําแหน่ง และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 4 ราย ดังนี้ 1. นายประเสริฐ บุญเรืองพ้นจากตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง รองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 2. นายพิษณุ ตุลสุขพ้นจากตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง รองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 3. นายประชาคม จันทรชิตพ้นจากตําแหน่ง ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาช่างอุตสาหกรรม (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 4. นายกฤตชัย อรุณรัตน์พ้นจากตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สํานักงานปลัดกระทรวง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2559 เป็นต้นไป รายละเอียดเพิ่มเติม:เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1377
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ดูงานและเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดของสหประชาชาติที่เยอรมันและออสเตรีย
วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2561 รองนายกรัฐมนตรี ดูงานและเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดของสหประชาชาติที่เยอรมันและออสเตรีย รองนายกรัฐมนตรี ดูงานและเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดของสหประชาชาติที่เยอรมันและออสเตรีย ในระหว่างวันที่ 8-16 มีนาคม 2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเดินทางไปยังสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสาธารณรัฐออสเตรียเพื่อดูงานและเข้าร่วมการประชุม โดยในระหว่างวันที่ 9-11 มีนาคม 2561 เป็นการดูงานและเยี่ยมคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลที่กําลังฝึกงานอยู่ที่ศูนย์ฝึกการเรียนด้านทวิภาคีและด้านระบบมาตรฐานวิชาชีพเยอรมัน ที่เมืองอาเคน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในฐานะที่กํากับดูแลสํานักงานมาตรฐานวิชาชีพ (องค์กรมหาชน) พร้อมทั้งเยี่ยมชมการทํางานของศูนย์ฝึกอบรมอาชีพให้กับผู้กระทําผิดในรัฐอาเคนที่ศูนย์ฝึกเดียวกันแห่งนี้ด้วย จากนั้นในระหว่างวันที่ 12-16 มีนาคม 2561 จะได้เดินทางไปยังสาธารณรัฐออสเตรีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมมาธิการยาเสพติด (Commission on Narcotic Drugs :CND) สมัยที่ 61 ที่กรุงเวียนนา ซึ่งจัดโดยสํานักงาน ว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime :UNODC) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมครั้งนี้ โดยจะได้กล่าวถ้อยแถลงในนามหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในกิจกรรมคู่ขนานเรื่องความร่วมมือ 3 ฝ่ายระหว่างรัฐบาลไทย รัฐบาลโคลอมเบีย และรัฐบาลเยอรมนี ในหัวข้อ Exchange beyond borders :Trilateral cooperation on alternative development between Thailand Colombia and Germany รวมทั้งเข้าร่วมเป็นเกียรติในกิจกรรมคู่ขนานอื่น ๆ อีกด้วย .............................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย : พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ดูงานและเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดของสหประชาชาติที่เยอรมันและออสเตรีย วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2561 รองนายกรัฐมนตรี ดูงานและเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดของสหประชาชาติที่เยอรมันและออสเตรีย รองนายกรัฐมนตรี ดูงานและเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการยาเสพติดของสหประชาชาติที่เยอรมันและออสเตรีย ในระหว่างวันที่ 8-16 มีนาคม 2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะเดินทางไปยังสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสาธารณรัฐออสเตรียเพื่อดูงานและเข้าร่วมการประชุม โดยในระหว่างวันที่ 9-11 มีนาคม 2561 เป็นการดูงานและเยี่ยมคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลที่กําลังฝึกงานอยู่ที่ศูนย์ฝึกการเรียนด้านทวิภาคีและด้านระบบมาตรฐานวิชาชีพเยอรมัน ที่เมืองอาเคน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในฐานะที่กํากับดูแลสํานักงานมาตรฐานวิชาชีพ (องค์กรมหาชน) พร้อมทั้งเยี่ยมชมการทํางานของศูนย์ฝึกอบรมอาชีพให้กับผู้กระทําผิดในรัฐอาเคนที่ศูนย์ฝึกเดียวกันแห่งนี้ด้วย จากนั้นในระหว่างวันที่ 12-16 มีนาคม 2561 จะได้เดินทางไปยังสาธารณรัฐออสเตรีย เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมมาธิการยาเสพติด (Commission on Narcotic Drugs :CND) สมัยที่ 61 ที่กรุงเวียนนา ซึ่งจัดโดยสํานักงาน ว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime :UNODC) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมครั้งนี้ โดยจะได้กล่าวถ้อยแถลงในนามหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในกิจกรรมคู่ขนานเรื่องความร่วมมือ 3 ฝ่ายระหว่างรัฐบาลไทย รัฐบาลโคลอมเบีย และรัฐบาลเยอรมนี ในหัวข้อ Exchange beyond borders :Trilateral cooperation on alternative development between Thailand Colombia and Germany รวมทั้งเข้าร่วมเป็นเกียรติในกิจกรรมคู่ขนานอื่น ๆ อีกด้วย .............................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย : พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10618
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยออกมาตรการช่วยลูกค้าน้ำท่วมภาคใต้
วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2560 กรุงไทยออกมาตรการช่วยลูกค้าน้ําท่วมภาคใต้ กรุงไทยออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบภัยในครั้งนี้ ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยไม่คิดดอกเบี้ยและให้ชําระเพียงเงินต้นล้านละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี ในเดือนที่ 4 -12 นายลือชัย ชัยปริญญา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อยธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันใน 12 จังหวัดภาคใต้ ได้สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อลูกค้าและประชาชน ธนาคารได้เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนชาวภาคใต้ที่ไม่สามารถดําเนินชีวิตและประกอบอาชีพได้ตามปกติ จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบภัยในครั้งนี้ ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยไม่คิดดอกเบี้ยและให้ชําระเพียงเงินต้นล้านละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี ในเดือนที่ 4 -12 สําหรับลูกค้าสินเชื่อ Home for Cash ธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นระยะเวลา 1 ปี นอกจากนี้ ธนาคารยังจัดถุงเยียวยามอบให้กับผู้ประสบภัยน้ําท่วม มูลค่ารวม 2 ล้านบาท ตามนโยบายของนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ อีกด้วย ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4174-7 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยออกมาตรการช่วยลูกค้าน้ำท่วมภาคใต้ วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2560 กรุงไทยออกมาตรการช่วยลูกค้าน้ําท่วมภาคใต้ กรุงไทยออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบภัยในครั้งนี้ ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยไม่คิดดอกเบี้ยและให้ชําระเพียงเงินต้นล้านละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี ในเดือนที่ 4 -12 นายลือชัย ชัยปริญญา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์รายย่อยธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันใน 12 จังหวัดภาคใต้ ได้สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อลูกค้าและประชาชน ธนาคารได้เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนชาวภาคใต้ที่ไม่สามารถดําเนินชีวิตและประกอบอาชีพได้ตามปกติ จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบภัยในครั้งนี้ ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยไม่คิดดอกเบี้ยและให้ชําระเพียงเงินต้นล้านละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ต่อปี ในเดือนที่ 4 -12 สําหรับลูกค้าสินเชื่อ Home for Cash ธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เป็นระยะเวลา 1 ปี นอกจากนี้ ธนาคารยังจัดถุงเยียวยามอบให้กับผู้ประสบภัยน้ําท่วม มูลค่ารวม 2 ล้านบาท ตามนโยบายของนายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ อีกด้วย ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร. 0-2208-4174-7 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1323
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. คลอดกรมธรรม์ใหม่เพื่อประกันภัยอุบัติเหตุสำหรับผู้โดยสารแพ เพิ่มความคุ้มครองแก่นักท่องเที่ยวทางน้ำ
วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 คปภ. คลอดกรมธรรม์ใหม่เพื่อประกันภัยอุบัติเหตุสําหรับผู้โดยสารแพ เพิ่มความคุ้มครองแก่นักท่องเที่ยวทางน้ํา ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเกี่ยวกับแพในรูปแบบต่าง ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของการท่องเที่ยวทางน้ํา สํานักงาน คปภ. มีความห่วงใยประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการแพโดยสารที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเกี่ยวกับแพในรูปแบบต่าง ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของการท่องเที่ยวทางน้ํา สํานักงาน คปภ. มีความห่วงใยประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการแพโดยสารที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ และสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีการคุ้มครองอุบัติเหตุผู้โดยสารที่ใช้บริการแพโดยสารในกรณีประสบอุบัติเหตุ ดังนั้น ในฐานะนายทะเบียนจึงได้ลงนามเห็นชอบในกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุสําหรับผู้โดยสารแพและอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการแพและนักท่องเที่ยวให้ได้รับความคุ้มครองอย่างแท้จริง เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า การลงนามความเห็นชอบกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุสําหรับผู้โดยสารแพและอัตราเบี้ยประกันภัยดังกล่าว ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุจากการใช้แพ และเพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางน้ํา ตลอดจนเป็นการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางน้ํา และสอดคล้องกับหลักการของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และพ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ําไทย พ.ศ. 2456 รวมทั้งประกาศกรมเจ้าท่าที่ 227/2559 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกหนังสือรับรองความปลอดภัยของแพ กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุสําหรับผู้โดยสารแพและอัตราเบี้ยประกันภัย เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการแพโดยสาร และคุ้มครองผู้ประสบภัยทางน้ําที่เกิดอุบัติเหตุขณะใช้บริการแพโดยสาร เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการแพทั่วไปตามลําน้ําในเขื่อนต่างๆ เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนศรีนครินทร์ โดยจะคุ้มครองผู้โดยสารซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวให้ได้รับความคุ้มครองในขณะที่อยู่บนหรือในแพรวมทั้งผู้ที่กําลังขึ้นหรือลงแพ เว้นผู้ควบคุมแพ กรณีเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า หรือสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 100,000 บาทต่อคน และค่ารักษาพยาบาลหากเกิดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุแต่ละครั้งไม่เกิน 15,000 บาทต่อคน เบี้ยประกันภัยเป็นช่วงระหว่าง 100-150 บาทต่อคน ทั้งนี้ หากต้องการซื้อความคุ้มครองให้รวมถึงผู้ควบคุมแพก็สามารถซื้อเพิ่มได้ “แม้กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุสําหรับผู้โดยสารแพนี้ เป็นกรมธรรม์ภาคสมัครใจ เนื่องจากประกาศกรมเจ้าท่าไม่ได้มีการบังคับให้ผู้ประกอบการแพต้องทําประกันภัย แต่อยากให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงความสําคัญของการทําประกันภัย และใช้ประโยชน์จากกรมธรรม์ดังกล่าวเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเป็นการบรรเทาภาระความเสียหายทางการเงินแก่ผู้ประกอบการแพโดยสาร รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว หรือประชาชนที่ได้รับอุบัติเหตุจากการใช้แพให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยอีกด้วย” เลขาธิการ คปภ. กล่าวทิ้งท้าย ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. คลอดกรมธรรม์ใหม่เพื่อประกันภัยอุบัติเหตุสำหรับผู้โดยสารแพ เพิ่มความคุ้มครองแก่นักท่องเที่ยวทางน้ำ วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม 2560 คปภ. คลอดกรมธรรม์ใหม่เพื่อประกันภัยอุบัติเหตุสําหรับผู้โดยสารแพ เพิ่มความคุ้มครองแก่นักท่องเที่ยวทางน้ํา ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเกี่ยวกับแพในรูปแบบต่าง ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของการท่องเที่ยวทางน้ํา สํานักงาน คปภ. มีความห่วงใยประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการแพโดยสารที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเกี่ยวกับแพในรูปแบบต่าง ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของการท่องเที่ยวทางน้ํา สํานักงาน คปภ. มีความห่วงใยประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการแพโดยสารที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ และสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีการคุ้มครองอุบัติเหตุผู้โดยสารที่ใช้บริการแพโดยสารในกรณีประสบอุบัติเหตุ ดังนั้น ในฐานะนายทะเบียนจึงได้ลงนามเห็นชอบในกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุสําหรับผู้โดยสารแพและอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการแพและนักท่องเที่ยวให้ได้รับความคุ้มครองอย่างแท้จริง เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า การลงนามความเห็นชอบกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุสําหรับผู้โดยสารแพและอัตราเบี้ยประกันภัยดังกล่าว ให้ความคุ้มครองอุบัติเหตุจากการใช้แพ และเพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางน้ํา ตลอดจนเป็นการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางน้ํา และสอดคล้องกับหลักการของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และพ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ําไทย พ.ศ. 2456 รวมทั้งประกาศกรมเจ้าท่าที่ 227/2559 เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกหนังสือรับรองความปลอดภัยของแพ กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุสําหรับผู้โดยสารแพและอัตราเบี้ยประกันภัย เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการแพโดยสาร และคุ้มครองผู้ประสบภัยทางน้ําที่เกิดอุบัติเหตุขณะใช้บริการแพโดยสาร เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการแพทั่วไปตามลําน้ําในเขื่อนต่างๆ เช่น เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนศรีนครินทร์ โดยจะคุ้มครองผู้โดยสารซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวให้ได้รับความคุ้มครองในขณะที่อยู่บนหรือในแพรวมทั้งผู้ที่กําลังขึ้นหรือลงแพ เว้นผู้ควบคุมแพ กรณีเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า หรือสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง 100,000 บาทต่อคน และค่ารักษาพยาบาลหากเกิดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุแต่ละครั้งไม่เกิน 15,000 บาทต่อคน เบี้ยประกันภัยเป็นช่วงระหว่าง 100-150 บาทต่อคน ทั้งนี้ หากต้องการซื้อความคุ้มครองให้รวมถึงผู้ควบคุมแพก็สามารถซื้อเพิ่มได้ “แม้กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุสําหรับผู้โดยสารแพนี้ เป็นกรมธรรม์ภาคสมัครใจ เนื่องจากประกาศกรมเจ้าท่าไม่ได้มีการบังคับให้ผู้ประกอบการแพต้องทําประกันภัย แต่อยากให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงความสําคัญของการทําประกันภัย และใช้ประโยชน์จากกรมธรรม์ดังกล่าวเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเป็นการบรรเทาภาระความเสียหายทางการเงินแก่ผู้ประกอบการแพโดยสาร รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว หรือประชาชนที่ได้รับอุบัติเหตุจากการใช้แพให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยอีกด้วย” เลขาธิการ คปภ. กล่าวทิ้งท้าย ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3711
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแนะลดพื้นที่ปลูกยางพารา เปลี่ยนมาปลูกพืชเศรษฐกิจ และผลไม้แทน แก้ไขปัญหาราคาตกต่ำ
วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรีแนะลดพื้นที่ปลูกยางพารา เปลี่ยนมาปลูกพืชเศรษฐกิจ และผลไม้แทน แก้ไขปัญหาราคาตกต่ํา นายกรัฐมนตรีแนะลดพื้นที่ปลูกยางพารา เปลี่ยนมาปลูกพืชเศรษฐกิจ และผลไม้แทน แก้ไขปัญหาราคาตกต่ํา วันนี้ (11 กรกฎาคม 2560) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีราคายางพาราตกต่ําว่า รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง โดยต้องมองว่าต้นทางคืออะไร มีการปลูกยางพาราเยอะเกินไปไหม จากข้อมูลการการปลูกยางพารา มีการบุกรุกปลูกในพื้นที่ป่าสงวนกว่าสามหมื่นไร่เมื่อรวมกับพื้นที่ของชาวสวนยางทําให้ผลิตที่ได้มีจํานวนมากกว่าที่ตลาดต้องการ สําหรับกรณีการเรียกร้องให้รัฐบาลซื้อยางพาราทั้งหมดของชาวสวนยางนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลคงไม่สามารถนํางบประมาณมาซื้อยางพาราของชาวสวนตามข้อเรียกร้องได้ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลยังมียางพาราอยู่ในสต๊อก แต่ได้มอบหมายพร้อมสั่งการให้ส่วนราชการนํายางพารามาแปรรูปให้เกิดประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน เกิดการใช้ยางพาราในประเทศมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนํามาทําถนนเส้นทางต่าง ๆ นํามาใช้ด้านสาธารณสุข ด้านการกีฬา สร้างสนามฟุตซอล เป็นต้น ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาทั้งต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ทั้งนี้ จากการหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน จําเป็นต้องปรับจํานวนยางพาราในประเทศให้มีจํานวนที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาด โดยลดพื้นที่การปลูกยางพารา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมปลูกพืชเศรษฐกิจ และผลไม้ทดแทน เช่น ทุเรียน มังคุด เป็นต้น ---------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแนะลดพื้นที่ปลูกยางพารา เปลี่ยนมาปลูกพืชเศรษฐกิจ และผลไม้แทน แก้ไขปัญหาราคาตกต่ำ วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรีแนะลดพื้นที่ปลูกยางพารา เปลี่ยนมาปลูกพืชเศรษฐกิจ และผลไม้แทน แก้ไขปัญหาราคาตกต่ํา นายกรัฐมนตรีแนะลดพื้นที่ปลูกยางพารา เปลี่ยนมาปลูกพืชเศรษฐกิจ และผลไม้แทน แก้ไขปัญหาราคาตกต่ํา วันนี้ (11 กรกฎาคม 2560) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีราคายางพาราตกต่ําว่า รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทาง โดยต้องมองว่าต้นทางคืออะไร มีการปลูกยางพาราเยอะเกินไปไหม จากข้อมูลการการปลูกยางพารา มีการบุกรุกปลูกในพื้นที่ป่าสงวนกว่าสามหมื่นไร่เมื่อรวมกับพื้นที่ของชาวสวนยางทําให้ผลิตที่ได้มีจํานวนมากกว่าที่ตลาดต้องการ สําหรับกรณีการเรียกร้องให้รัฐบาลซื้อยางพาราทั้งหมดของชาวสวนยางนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลคงไม่สามารถนํางบประมาณมาซื้อยางพาราของชาวสวนตามข้อเรียกร้องได้ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลยังมียางพาราอยู่ในสต๊อก แต่ได้มอบหมายพร้อมสั่งการให้ส่วนราชการนํายางพารามาแปรรูปให้เกิดประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน เกิดการใช้ยางพาราในประเทศมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนํามาทําถนนเส้นทางต่าง ๆ นํามาใช้ด้านสาธารณสุข ด้านการกีฬา สร้างสนามฟุตซอล เป็นต้น ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาทั้งต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ทั้งนี้ จากการหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน จําเป็นต้องปรับจํานวนยางพาราในประเทศให้มีจํานวนที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาด โดยลดพื้นที่การปลูกยางพารา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมปลูกพืชเศรษฐกิจ และผลไม้ทดแทน เช่น ทุเรียน มังคุด เป็นต้น ---------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5142
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจัดโปรโมชั่นพิเศษ สมัครใช้บัตร Easy Pass เพียง 500 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 - 31 มกราคม 2561
วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2560 การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจัดโปรโมชั่นพิเศษ สมัครใช้บัตร Easy Pass เพียง 500 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 - 31 มกราคม 2561 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เชิญชวนผู้ใช้ทางพิเศษสมัครใช้บริการบัตร Easy Pass ด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษ สํารองค่าผ่านทางครั้งแรก 500 บาท จากเดิม 1,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 - 31 มกราคม 2561 โดยไม่มีค่ามัดจําอุปกรณ์ กทพ. มอบความสุขให้กับผู้ใช้ทางพิเศษสามารถสมัครใช้บัตร Easy Pass และสํารองเงินค่าผ่านทางพิเศษครั้งแรก 500 บาท จากเดิม 1,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 - 31 มกราคม 2561 โดยไม่ต้องชําระเงินค่ามัดจําอุปกรณ์ เนื่องจากตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา กทพ. ได้ยกเลิกการเก็บค่าประกันบัตรฯ โดยบัตรฯ ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของ กทพ. เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้ทางพิเศษใช้บัตรฯ จากปัจจุบันที่มีผู้ใช้บัตรฯ มากกว่า 1.3 ล้านใบ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านฯ ได้เป็นอย่างดี กทพ. ได้ดําเนินการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการระบบเก็บค่าผ่านทางพิเศษอัตโนมัติ (Electronic Toll Collection System : ETC) อย่างต่อเนื่องทั้งการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ การจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล และเพิ่มช่อง Easy Pass เพื่อรองรับผู้ใช้บริการ รวมทั้งเพิ่มช่องทางการเติมเงินสํารองค่าผ่านทางพิเศษ อาทิ เคาน์เตอร์เซอร์วิส ตู้ ATM ระบบ Internet Banking Mobile Banking เป็นต้น เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บัตรฯ สามารถตรวจสอบรายละเอียดการเติมเงินและการสมัครใช้บัตรฯ ได้ที่ www.thaieasypass.com หรือ EXAT Call Center โทรศัพท์ 1543 ตลอด 24 ชั่วโมง สําหรับผู้ใช้บริการทางพิเศษที่สนใจสมัครใช้บัตรฯ ในช่วงเวลาโปรโมชั่นดังกล่าว สามารถสมัครได้ที่ อาคารด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษทุกด่านของทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช ทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างเวลา 05.00 - 22.00 น. ศูนย์ราชการสะดวก กทพ. สํานักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน ในวันทําการ ระหว่างเวลา 08.30 - 15.30 น. ศูนย์บริการลูกค้า บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ถนนอโศก - ดินแดง ในวันทําการ ระหว่างเวลา 09.00 - 17.00 น. และศูนย์บริการลูกค้าบัตรอัตโนมัติ Easy Pass Fast Service สถานีบริการน้ํามัน ปตท. บริเวณจุดพักรถบางนา (ขาออก) ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ในวันจันทร์ - เสาร์ ระหว่างเวลา 09.30 - 15.30 น.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจัดโปรโมชั่นพิเศษ สมัครใช้บัตร Easy Pass เพียง 500 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 - 31 มกราคม 2561 วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2560 การทางพิเศษแห่งประเทศไทยจัดโปรโมชั่นพิเศษ สมัครใช้บัตร Easy Pass เพียง 500 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 - 31 มกราคม 2561 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เชิญชวนผู้ใช้ทางพิเศษสมัครใช้บริการบัตร Easy Pass ด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษ สํารองค่าผ่านทางครั้งแรก 500 บาท จากเดิม 1,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 - 31 มกราคม 2561 โดยไม่มีค่ามัดจําอุปกรณ์ กทพ. มอบความสุขให้กับผู้ใช้ทางพิเศษสามารถสมัครใช้บัตร Easy Pass และสํารองเงินค่าผ่านทางพิเศษครั้งแรก 500 บาท จากเดิม 1,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2560 - 31 มกราคม 2561 โดยไม่ต้องชําระเงินค่ามัดจําอุปกรณ์ เนื่องจากตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา กทพ. ได้ยกเลิกการเก็บค่าประกันบัตรฯ โดยบัตรฯ ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของ กทพ. เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้ทางพิเศษใช้บัตรฯ จากปัจจุบันที่มีผู้ใช้บัตรฯ มากกว่า 1.3 ล้านใบ ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านฯ ได้เป็นอย่างดี กทพ. ได้ดําเนินการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการระบบเก็บค่าผ่านทางพิเศษอัตโนมัติ (Electronic Toll Collection System : ETC) อย่างต่อเนื่องทั้งการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ การจัดเก็บและประมวลผลข้อมูล และเพิ่มช่อง Easy Pass เพื่อรองรับผู้ใช้บริการ รวมทั้งเพิ่มช่องทางการเติมเงินสํารองค่าผ่านทางพิเศษ อาทิ เคาน์เตอร์เซอร์วิส ตู้ ATM ระบบ Internet Banking Mobile Banking เป็นต้น เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บัตรฯ สามารถตรวจสอบรายละเอียดการเติมเงินและการสมัครใช้บัตรฯ ได้ที่ www.thaieasypass.com หรือ EXAT Call Center โทรศัพท์ 1543 ตลอด 24 ชั่วโมง สําหรับผู้ใช้บริการทางพิเศษที่สนใจสมัครใช้บัตรฯ ในช่วงเวลาโปรโมชั่นดังกล่าว สามารถสมัครได้ที่ อาคารด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษทุกด่านของทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช ทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างเวลา 05.00 - 22.00 น. ศูนย์ราชการสะดวก กทพ. สํานักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน ในวันทําการ ระหว่างเวลา 08.30 - 15.30 น. ศูนย์บริการลูกค้า บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ถนนอโศก - ดินแดง ในวันทําการ ระหว่างเวลา 09.00 - 17.00 น. และศูนย์บริการลูกค้าบัตรอัตโนมัติ Easy Pass Fast Service สถานีบริการน้ํามัน ปตท. บริเวณจุดพักรถบางนา (ขาออก) ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ในวันจันทร์ - เสาร์ ระหว่างเวลา 09.30 - 15.30 น.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8248
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ย้ำไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า มุ่งสู่สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต เผยยอดส่งเสริมการลงทุน ปี 63 กว่า 26,700 ลบ.
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563 ก.อุตฯ ย้ําไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า มุ่งสู่สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต เผยยอดส่งเสริมการลงทุน ปี 63 กว่า 26,700 ลบ. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นัดหารือร่วมภาครัฐ ภาคเอกชน รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดําเนินงาน ชูยอดส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ฯ 5 เดือนแรก ปี 63 กว่า 26,700 ล้านบาท ยืนยัน ภาคเอกชนยังคงเชื่อมั่นการบริหารจัดการของรัฐบาลไทย 28 พฤษภาคม 2563 : นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นัดหารือร่วมภาครัฐ ภาคเอกชน อาทิ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดําเนินงาน ชูยอดส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ฯ 5 เดือนแรก ปี 2563 กว่า 26,700 ล้านบาท ยืนยัน ภาคเอกชนยังคงเชื่อมั่นการบริหารจัดการของรัฐบาลไทย พร้อมเร่งขยายการลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสําคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมียอดการส่งออกมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท มีการจ้างแรงงานกว่า 1 ล้านคน รวมถึงยอดขอตั้งประกอบโรงงานใหม่และขยายกิจการโรงงานประเภทไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเทียบ 5 เดือนแรกของปี 62 กับปี 63 พบว่าเพิ่มขึ้นจาก 43 โรงงาน เป็น 53 โรงงาน และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น จาก 9,372 คน เป็น 29,064 คน จากการสอบถามนักลงทุนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นักลงทุนชื่นชมการรับมือรัฐบาลไทยสามารถรับมือกับโควิดได้ดี ส่งผลเอื้อประโยชน์ให้ภาคอุตสาหกรรมกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า มียอดการส่งออกเพิ่มมากขึ้น 5-10% นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนที่ทําธุรกิจภายในประเทศอยู่แล้วมีแผนจะขยายการลงทุนภายในปีนี้เพิ่มขึ้นอาทิเช่น ซัมซุง มิตซูบิชิ โตชิบา ซีเกต ไซโจเด็นกิ เป็นต้น ส่วนกิจการที่มีการย้ายฐานการผลิตนั้น การการตรวจสอบพบว่าเป็นการปรับแผนทางธุรกิจที่วางไว้เดิมอยู่แล้ว นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI กล่าวเพิ่มเติมว่าตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน บริษัทต่างชาติและไทยที่ได้รับส่งเสริมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจริยะ อาทิ ซัมซุง (เกาหลี) โตชิบา ( ญี่ปุ่น / จีน) ไมเดีย ( จีน) มิตซูบิชิ ( ญี่ปุ่น) อิเล็กโทรลักส์ ( สวีเดน) แอลไลแอนส์ ลอนดรี้ ( สหรัฐ) แดยู ( เกาหลี) และ ซัยโจ เด็นกิ ( ไทย) โดยมีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทย อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ตู้แช่ เป็นต้น นอกจากนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 ยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ 5 เดือนแรกของปี 2562 โดย 5 เดือนแรกของปี 2563 มียอดคําขอ 62 โครงการ มูลค่ากว่า 26,764 ล้านบาท ประกอบด้วยอุตสาหกรรมประเภทอุปกรณ์ไฟฟ้า ในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบสมาร์ท เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น หมวดผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วงจรรวม หรือ IC (Integrated Circuit) และแผงวงจรพิมพ์ หรือ PCBA เซลล์แสงอาทิตย์ ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่ยังยืนยันยึดไทยเป็นฐานการผลิตและมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ด้านผู้บริหารกลุ่มพานาโซนิค ยืนยันว่าการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนาม นั้น ไม่ได้มีผลเกี่ยวเนื่องกับความเชื่อมั่นการลงทุนในไทย เนื่องจากพานาโซนิค เปิดโรงงานในไทยทั้งสิ้น 20 โรงงาน และย้ายฐานการลงทุนไปเพียง 2 แห่ง ซึ่งเป็นกลุ่มกิจการที่มีเทคโนโลยีแบบเก่าไม่ได้ใช้งานในประเทศไทยแล้ว และยังเหลือบริษัทในประเทศไทยอีก 18 แห่ง โดยยังคงมีการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ย้ำไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า มุ่งสู่สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต เผยยอดส่งเสริมการลงทุน ปี 63 กว่า 26,700 ลบ. วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563 ก.อุตฯ ย้ําไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า มุ่งสู่สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต เผยยอดส่งเสริมการลงทุน ปี 63 กว่า 26,700 ลบ. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นัดหารือร่วมภาครัฐ ภาคเอกชน รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดําเนินงาน ชูยอดส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ฯ 5 เดือนแรก ปี 63 กว่า 26,700 ล้านบาท ยืนยัน ภาคเอกชนยังคงเชื่อมั่นการบริหารจัดการของรัฐบาลไทย 28 พฤษภาคม 2563 : นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นัดหารือร่วมภาครัฐ ภาคเอกชน อาทิ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดําเนินงาน ชูยอดส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ฯ 5 เดือนแรก ปี 2563 กว่า 26,700 ล้านบาท ยืนยัน ภาคเอกชนยังคงเชื่อมั่นการบริหารจัดการของรัฐบาลไทย พร้อมเร่งขยายการลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสําคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมียอดการส่งออกมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท มีการจ้างแรงงานกว่า 1 ล้านคน รวมถึงยอดขอตั้งประกอบโรงงานใหม่และขยายกิจการโรงงานประเภทไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อเทียบ 5 เดือนแรกของปี 62 กับปี 63 พบว่าเพิ่มขึ้นจาก 43 โรงงาน เป็น 53 โรงงาน และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น จาก 9,372 คน เป็น 29,064 คน จากการสอบถามนักลงทุนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นักลงทุนชื่นชมการรับมือรัฐบาลไทยสามารถรับมือกับโควิดได้ดี ส่งผลเอื้อประโยชน์ให้ภาคอุตสาหกรรมกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า มียอดการส่งออกเพิ่มมากขึ้น 5-10% นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนที่ทําธุรกิจภายในประเทศอยู่แล้วมีแผนจะขยายการลงทุนภายในปีนี้เพิ่มขึ้นอาทิเช่น ซัมซุง มิตซูบิชิ โตชิบา ซีเกต ไซโจเด็นกิ เป็นต้น ส่วนกิจการที่มีการย้ายฐานการผลิตนั้น การการตรวจสอบพบว่าเป็นการปรับแผนทางธุรกิจที่วางไว้เดิมอยู่แล้ว นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI กล่าวเพิ่มเติมว่าตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน บริษัทต่างชาติและไทยที่ได้รับส่งเสริมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจริยะ อาทิ ซัมซุง (เกาหลี) โตชิบา ( ญี่ปุ่น / จีน) ไมเดีย ( จีน) มิตซูบิชิ ( ญี่ปุ่น) อิเล็กโทรลักส์ ( สวีเดน) แอลไลแอนส์ ลอนดรี้ ( สหรัฐ) แดยู ( เกาหลี) และ ซัยโจ เด็นกิ ( ไทย) โดยมีผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทย อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ตู้แช่ เป็นต้น นอกจากนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 ยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ 5 เดือนแรกของปี 2562 โดย 5 เดือนแรกของปี 2563 มียอดคําขอ 62 โครงการ มูลค่ากว่า 26,764 ล้านบาท ประกอบด้วยอุตสาหกรรมประเภทอุปกรณ์ไฟฟ้า ในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบสมาร์ท เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น หมวดผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วงจรรวม หรือ IC (Integrated Circuit) และแผงวงจรพิมพ์ หรือ PCBA เซลล์แสงอาทิตย์ ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนใหญ่ยังยืนยันยึดไทยเป็นฐานการผลิตและมีแนวโน้มที่จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ด้านผู้บริหารกลุ่มพานาโซนิค ยืนยันว่าการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนาม นั้น ไม่ได้มีผลเกี่ยวเนื่องกับความเชื่อมั่นการลงทุนในไทย เนื่องจากพานาโซนิค เปิดโรงงานในไทยทั้งสิ้น 20 โรงงาน และย้ายฐานการลงทุนไปเพียง 2 แห่ง ซึ่งเป็นกลุ่มกิจการที่มีเทคโนโลยีแบบเก่าไม่ได้ใช้งานในประเทศไทยแล้ว และยังเหลือบริษัทในประเทศไทยอีก 18 แห่ง โดยยังคงมีการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31663
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายจากคดี “แพรวา”
วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม 2562 กระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายจากคดี “แพรวา” กระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายจากคดี “แพรวา” ในวันอังคารที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ดร.กรศุทธิ์ ขอพ่วงกลาง ผู้อํานวยการศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวร่วมกันถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายจากคดี “แพรวา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมกับศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีการหารือร่วมกันเพื่อรับทราบแนวทางการดําเนินการเกี่ยวกับคดีอุบัติเหตุฯ ซึ่งพบว่า คดีดังกล่าวมีผู้เสียหายที่เป็นโจทก์ มีจํานวน ๒๕ ราย และมีจําเลย จํานวน ๔ ราย โดยศาลฎีกามีคําพิพากษาเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ และได้มีการส่งคําบังคับให้จําเลยทั้ง ๔ ราย รับทราบแล้ว และศาลฎีกาได้มีคําพิพากษาให้จําเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันชําระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในแต่ละคดีรวมเป็นเงินประมาณ ๒๑.๙ ล้านบาท และให้จําเลยที่ ๔ ร่วมรับผิดกับจําเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จํานวน ๒.๘ ล้านบาท รวมค่าเสียหายที่จําเลยที่ ๑-๔ ต้องร่วมกันชําระ จํานวนประมาณ ๒๕ ล้านบาท ซึ่งจะต้องชําระพร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ (วันเกิดเหตุ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ ซึ่งเมื่อคํานวณจนถึงปัจจุบัน (เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒) จําเลยทั้ง ๔ จะต้องชําระหนี้รวมเป็นเงินประมาณ ๔๐ ล้านบาท โดยสถานะของคดีในปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการบังคับคดี ซึ่งโจทก์ได้มอบให้ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้แทนในการดําเนินการ โดยกระทรวงยุติธรรม สามารถให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดีในชั้นบังคับคดีผ่านกองทุนยุติธรรมสําหรับเป็นค่าจ้างทนายความ ค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินคดี ในขณะเดียวกันก็จะมีสํานักงานยุติธรรมจังหวัดช่วยประสานงานอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียหายที่มีภูมิลําเนาในจังหวัดต่างๆ ในการยื่นคําขอรับการสนับสนุนจากกองทุนยุติธรรม และช่วยติดตามแจ้งความคืบหน้าการดําเนินการในขั้นตอนต่างๆ ให้ผู้เสียหายได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง หากจําเลยไม่ชําระหนี้แก่โจทก์ก็จะมีการยื่นขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ซึ่งกรมบังคับคดี จะสามารถดําเนินการยึดทรัพย์ได้ทันที และจากกรณีดังกล่าวกระทรวงยุติธรรมและศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เห็นความสําคัญในการยกระดับความร่วมมืออย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนเพื่อให้เข้าถึงความยุติธรรม โดยจะมีการจัดทําบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนร่วมกันต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายจากคดี “แพรวา” วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม 2562 กระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายจากคดี “แพรวา” กระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายจากคดี “แพรวา” ในวันอังคารที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ดร.กรศุทธิ์ ขอพ่วงกลาง ผู้อํานวยการศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้ที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวร่วมกันถึงแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายจากคดี “แพรวา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมกับศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีการหารือร่วมกันเพื่อรับทราบแนวทางการดําเนินการเกี่ยวกับคดีอุบัติเหตุฯ ซึ่งพบว่า คดีดังกล่าวมีผู้เสียหายที่เป็นโจทก์ มีจํานวน ๒๕ ราย และมีจําเลย จํานวน ๔ ราย โดยศาลฎีกามีคําพิพากษาเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ และได้มีการส่งคําบังคับให้จําเลยทั้ง ๔ ราย รับทราบแล้ว และศาลฎีกาได้มีคําพิพากษาให้จําเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันชําระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในแต่ละคดีรวมเป็นเงินประมาณ ๒๑.๙ ล้านบาท และให้จําเลยที่ ๔ ร่วมรับผิดกับจําเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ จํานวน ๒.๘ ล้านบาท รวมค่าเสียหายที่จําเลยที่ ๑-๔ ต้องร่วมกันชําระ จํานวนประมาณ ๒๕ ล้านบาท ซึ่งจะต้องชําระพร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ (วันเกิดเหตุ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ ซึ่งเมื่อคํานวณจนถึงปัจจุบัน (เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒) จําเลยทั้ง ๔ จะต้องชําระหนี้รวมเป็นเงินประมาณ ๔๐ ล้านบาท โดยสถานะของคดีในปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการบังคับคดี ซึ่งโจทก์ได้มอบให้ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้แทนในการดําเนินการ โดยกระทรวงยุติธรรม สามารถให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดีในชั้นบังคับคดีผ่านกองทุนยุติธรรมสําหรับเป็นค่าจ้างทนายความ ค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินคดี ในขณะเดียวกันก็จะมีสํานักงานยุติธรรมจังหวัดช่วยประสานงานอํานวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียหายที่มีภูมิลําเนาในจังหวัดต่างๆ ในการยื่นคําขอรับการสนับสนุนจากกองทุนยุติธรรม และช่วยติดตามแจ้งความคืบหน้าการดําเนินการในขั้นตอนต่างๆ ให้ผู้เสียหายได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง หากจําเลยไม่ชําระหนี้แก่โจทก์ก็จะมีการยื่นขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ซึ่งกรมบังคับคดี จะสามารถดําเนินการยึดทรัพย์ได้ทันที และจากกรณีดังกล่าวกระทรวงยุติธรรมและศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เห็นความสําคัญในการยกระดับความร่วมมืออย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนเพื่อให้เข้าถึงความยุติธรรม โดยจะมีการจัดทําบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนร่วมกันต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21709
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ นครโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 ผลการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ นครโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ผอ.สบน. ร่วมการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชียครั้งที่ 50 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมี รมว.คลังเป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง และคณะผู้แทนกระทรวงการคลัง ในระหว่างวันที่ 3 – 7 พฤษภาคม 2560 นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้เข้าร่วมการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชียครั้งที่ 50 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง และคณะผู้แทนกระทรวงการคลัง ในระหว่างวันที่ 3 – 7 พฤษภาคม 2560 ซึ่งมีการประชุมหารือที่สําคัญ ดังนี้ 1. การหารือกับ Mr. Takehiko Nakao ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย ในการขอรับการสนับสนุนเงินกู้จาก ADB วงเงินประมาณ 300-500 ล้านเหรียญสหรัฐ สําหรับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ซึ่ง ADB ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามความต้องการของไทยเพื่อให้สามารถบริหารความเสี่ยงหนี้เงินกู้ต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความช่วยเหลือในรูป Transaction Advisory Service เพื่อศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นสําหรับโครงการพัฒนาธุรกิจด้านการเกษตร (Producer Companies) รวมถึงความร่วมมือทางวิชาการ (Technical Assistance) ในด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง โดยสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะยินดีเป็นเจ้าภาพร่วมกับ ADB ในการจัดประชุม Asian Regional Public Debt Management Forum ในปี 2561 2. การหารือกับ Ms. Victoria Kwakwa รองประธานธนาคารโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ในการจัดทํากรอบความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาระดับประเทศ (Country Partnership Framework: CPF) เพื่อกําหนดแผนความร่วมมือของทั้ง 2 ฝ่ายในการสนับสนุนยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะปานกลาง รวมถึงส่งเสริมความรู้และนวัตกรรมในสาขาที่ประเทศไทยยังไม่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งประกอบด้วยความช่วยเหลือทางการเงิน ความช่วยเหลือทางวิชาการและโครงการที่จ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาในด้านต่างๆ 3. การหารือกับธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation: JBIC) ในการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนญี่ปุ่นในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยในรูปแบบ PPP และการลงทุนในเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) รวมถึงบทบาทของ JBIC ในการสนับสนุนความร่วมมือในการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเพื่อเชื่อมต่อการค้าและการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4. การหารือกับสถาบันการเงินต่างประเทศ ได้แก่ Nomura BTMU Citi HSBC Mizuho Daiwa และ Bank of America Merrill Lynch โดยได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการระดมทุนสําหรับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และความเป็นไปได้ในการออกตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศ อย่างไรก็ดี เนื่องจากปัจจุบันสภาพคล่องของตลาดการเงินในประเทศยังอยู่ในระดับสูงทําให้ต้นทุนการกู้เงินในประเทศค่อนข้างต่ํา รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะระดมทุนในประเทศเพื่อใช้สําหรับโครงการที่อยู่ระหว่างดําเนินการ สําหรับโครงการใหม่จะมีการศึกษาแนวทางการให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนภายใต้รูปแบบ PPP โดยจะมีการติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อพิจารณาจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมสําหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่อไป สํานักนโยบายและแผน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2265 8050 ต่อ 5503 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ นครโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 ผลการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ นครโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น ผอ.สบน. ร่วมการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชียครั้งที่ 50 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมี รมว.คลังเป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง และคณะผู้แทนกระทรวงการคลัง ในระหว่างวันที่ 3 – 7 พฤษภาคม 2560 นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้เข้าร่วมการประชุมประจําปีสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชียครั้งที่ 50 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง และคณะผู้แทนกระทรวงการคลัง ในระหว่างวันที่ 3 – 7 พฤษภาคม 2560 ซึ่งมีการประชุมหารือที่สําคัญ ดังนี้ 1. การหารือกับ Mr. Takehiko Nakao ประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย ในการขอรับการสนับสนุนเงินกู้จาก ADB วงเงินประมาณ 300-500 ล้านเหรียญสหรัฐ สําหรับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ซึ่ง ADB ได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินกู้ให้เป็นไปตามความต้องการของไทยเพื่อให้สามารถบริหารความเสี่ยงหนี้เงินกู้ต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความช่วยเหลือในรูป Transaction Advisory Service เพื่อศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นสําหรับโครงการพัฒนาธุรกิจด้านการเกษตร (Producer Companies) รวมถึงความร่วมมือทางวิชาการ (Technical Assistance) ในด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง โดยสํานักงานบริหารหนี้สาธารณะยินดีเป็นเจ้าภาพร่วมกับ ADB ในการจัดประชุม Asian Regional Public Debt Management Forum ในปี 2561 2. การหารือกับ Ms. Victoria Kwakwa รองประธานธนาคารโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ในการจัดทํากรอบความเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาระดับประเทศ (Country Partnership Framework: CPF) เพื่อกําหนดแผนความร่วมมือของทั้ง 2 ฝ่ายในการสนับสนุนยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะปานกลาง รวมถึงส่งเสริมความรู้และนวัตกรรมในสาขาที่ประเทศไทยยังไม่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งประกอบด้วยความช่วยเหลือทางการเงิน ความช่วยเหลือทางวิชาการและโครงการที่จ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาในด้านต่างๆ 3. การหารือกับธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation: JBIC) ในการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนญี่ปุ่นในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยในรูปแบบ PPP และการลงทุนในเขตส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) รวมถึงบทบาทของ JBIC ในการสนับสนุนความร่วมมือในการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเพื่อเชื่อมต่อการค้าและการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4. การหารือกับสถาบันการเงินต่างประเทศ ได้แก่ Nomura BTMU Citi HSBC Mizuho Daiwa และ Bank of America Merrill Lynch โดยได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวทางการระดมทุนสําหรับโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และความเป็นไปได้ในการออกตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศ อย่างไรก็ดี เนื่องจากปัจจุบันสภาพคล่องของตลาดการเงินในประเทศยังอยู่ในระดับสูงทําให้ต้นทุนการกู้เงินในประเทศค่อนข้างต่ํา รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะระดมทุนในประเทศเพื่อใช้สําหรับโครงการที่อยู่ระหว่างดําเนินการ สําหรับโครงการใหม่จะมีการศึกษาแนวทางการให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนภายใต้รูปแบบ PPP โดยจะมีการติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อพิจารณาจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมสําหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่อไป สํานักนโยบายและแผน สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ โทร. 0 2265 8050 ต่อ 5503 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3609
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมหารือแนวทางขับเคลื่อนงานต่อต้านการค้ามนุษย์ตามข้อเสนอแนะของสหรัฐฯ
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563 พม. จัดประชุมหารือแนวทางขับเคลื่อนงานต่อต้านการค้ามนุษย์ตามข้อเสนอแนะของสหรัฐฯ พม. จัดประชุมหารือแนวทางขับเคลื่อนงานต่อต้านการค้ามนุษย์ตามข้อเสนอแนะของสหรัฐฯ วันนี้ (13 ก.ค. 63) เวลา 15.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกํากับและติดตามการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 4/2563 เพื่อพิจารณาแนวทางการดําเนินงานตามข้อเสนอแนะในรายงานการค้ามนุษย์ หรือ Trafficking in Persons Report ประจําปี 2563 (TIP Report 2020) ของสหรัฐอเมริกา โดยมี นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ทั้งในระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน อาทิ กระทรวงยุติธรรม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานอัยการสูงสุด สํานักงานศาลยุติธรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น จํานวน 50 คน เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติกล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอแนะสําคัญในรายงาน TIP Report ประจําปี 2563 ทั้งด้านดําเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย ด้านคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และด้านป้องกันปัญหาค้ามนุษย์ จํานวน 16 ข้อ อีกทั้งมีการมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละข้อเสนอแนะ เพื่อให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการดําเนินงานทั้ง 3 ด้าน และปิดจุดอ่อนที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาการการค้ามนุษย์เพื่อรักษาระดับของประเทศไทย และยกระดับให้ดีขึ้น ในปีต่อไป ทั้งนี้ ตนได้กล่าวขอบคุณและชื่นชมทุกหน่วยงานที่มีส่วนสําคัญในการดําเนินงานต่อต้านการค้ามนุษย์ รวมทั้งได้ร่วมกันจัดทํารายงานผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปราบการค้ามนุษย์ ประจําปี 2563 จนส่งผลให้สหรัฐอเมริกา คงระดับประเทศไทยในรายงาน TIP Report ประจําปี 2563 ในระดับ 2 (Tier 2) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เนื่องจากรัฐบาลไทยยังคงเพิ่มความพยายามอย่างสําคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์โดยรวมอย่างต่อเนื่อง นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. พร้อมบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการดําเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการยกระดับประเทศไทยให้อยู่ในระดับ 1 (Tier 1) โดยเร็วที่สุด สําหรับการดําเนินงานในระยะต่อไปนั้น กระทรวง พม. จะนําผลการหารือและแผนการดําเนินงานตามที่คณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบในวันนี้ เสนอต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่มี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนใช้เป็นกรอบแนวทางการดําเนินงานและติดตามผลให้สําเร็จเป็นรูปธรรมต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดประชุมหารือแนวทางขับเคลื่อนงานต่อต้านการค้ามนุษย์ตามข้อเสนอแนะของสหรัฐฯ วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563 พม. จัดประชุมหารือแนวทางขับเคลื่อนงานต่อต้านการค้ามนุษย์ตามข้อเสนอแนะของสหรัฐฯ พม. จัดประชุมหารือแนวทางขับเคลื่อนงานต่อต้านการค้ามนุษย์ตามข้อเสนอแนะของสหรัฐฯ วันนี้ (13 ก.ค. 63) เวลา 15.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการกํากับและติดตามการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ครั้งที่ 4/2563 เพื่อพิจารณาแนวทางการดําเนินงานตามข้อเสนอแนะในรายงานการค้ามนุษย์ หรือ Trafficking in Persons Report ประจําปี 2563 (TIP Report 2020) ของสหรัฐอเมริกา โดยมี นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ทั้งในระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน อาทิ กระทรวงยุติธรรม สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานอัยการสูงสุด สํานักงานศาลยุติธรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น จํานวน 50 คน เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นายจุติกล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอแนะสําคัญในรายงาน TIP Report ประจําปี 2563 ทั้งด้านดําเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย ด้านคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และด้านป้องกันปัญหาค้ามนุษย์ จํานวน 16 ข้อ อีกทั้งมีการมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละข้อเสนอแนะ เพื่อให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการดําเนินงานทั้ง 3 ด้าน และปิดจุดอ่อนที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาการการค้ามนุษย์เพื่อรักษาระดับของประเทศไทย และยกระดับให้ดีขึ้น ในปีต่อไป ทั้งนี้ ตนได้กล่าวขอบคุณและชื่นชมทุกหน่วยงานที่มีส่วนสําคัญในการดําเนินงานต่อต้านการค้ามนุษย์ รวมทั้งได้ร่วมกันจัดทํารายงานผลการดําเนินงานป้องกันและปราบปราบการค้ามนุษย์ ประจําปี 2563 จนส่งผลให้สหรัฐอเมริกา คงระดับประเทศไทยในรายงาน TIP Report ประจําปี 2563 ในระดับ 2 (Tier 2) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เนื่องจากรัฐบาลไทยยังคงเพิ่มความพยายามอย่างสําคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์โดยรวมอย่างต่อเนื่อง นายจุติกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. พร้อมบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการดําเนินงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการยกระดับประเทศไทยให้อยู่ในระดับ 1 (Tier 1) โดยเร็วที่สุด สําหรับการดําเนินงานในระยะต่อไปนั้น กระทรวง พม. จะนําผลการหารือและแผนการดําเนินงานตามที่คณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบในวันนี้ เสนอต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่มี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนใช้เป็นกรอบแนวทางการดําเนินงานและติดตามผลให้สําเร็จเป็นรูปธรรมต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33350
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลชวนประชาชนร่วมรำลึก วันมหิดล
วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561 รัฐบาลชวนประชาชนร่วมรําลึก วันมหิดล รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อวางรากฐานด้านการแพทย์และสาธารณสุข อาทิตย์ที่ 23 ก.ย.61 รัฐบาลชวนประชาชนร่วมรําลึก วันมหิดล ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อวางรากฐานด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อให้ปวงชนชาวไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและได้รับการดูแลด้านสุขภาพที่เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ โดยในโอกาส “วันมหิดล” หรือวันคล้ายวันสวรรคต 24 กันยายน รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคเงินเพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ด้อยโอกาสของโรงพยาบาลศิริราช โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล นักศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดลจะออกรับบริจาคพร้อมมอบธงวันมหิดลให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้บริจาคต่อไป ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลชวนประชาชนร่วมรำลึก วันมหิดล วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561 รัฐบาลชวนประชาชนร่วมรําลึก วันมหิดล รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อวางรากฐานด้านการแพทย์และสาธารณสุข อาทิตย์ที่ 23 ก.ย.61 รัฐบาลชวนประชาชนร่วมรําลึก วันมหิดล ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อวางรากฐานด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อให้ปวงชนชาวไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและได้รับการดูแลด้านสุขภาพที่เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ โดยในโอกาส “วันมหิดล” หรือวันคล้ายวันสวรรคต 24 กันยายน รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคเงินเพื่อซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ด้อยโอกาสของโรงพยาบาลศิริราช โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล นักศึกษาของมหาวิทยาลัยมหิดลจะออกรับบริจาคพร้อมมอบธงวันมหิดลให้เป็นที่ระลึกแก่ผู้บริจาคต่อไป ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15596
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายการในทีวีหรือสื่อต่าง ๆ หลอกลวง/งมงาย
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563 รายการในทีวีหรือสื่อต่าง ๆ หลอกลวง/งมงาย สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ เรื่อง รายการในทีวีหรือสื่อต่าง ๆ หลอกลวง/งมงาย ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายวันชัย สอนศิริ ถาม นายกรัฐมนตรี ผู้ตอบ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้ถาม : นายวันชัย สอนศิริ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ กรณีรายการโทรทัศน์ที่มีลักษณะเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ และความเชื่อต่าง ๆ อาทิ รายการ ช่องส่องผี ซึ่งรายการลักษณะนี้จะมีบุคคลที่กล่าวอ้างว่าเป็นผู้วิเศษหรือมีลักษณะพิเศษที่สามารถล่วงรู้เรื่อง ลี้ลับต่างๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีการหาผลประโยชน์จากความเชื่อดังกล่าว โดยสร้างรายได้เป็นจํานวนมาก ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคที่อาจมีการหลอกลวง โฆษณาเกินจริง ก่อผลร้าย ต่อสังคมเกิดความแตกแยกขัดแย้งกัน รวมถึงสร้างความงมงายในสังคม โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องดําเนินการ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลก็ตาม แต่ต้องอยู่ภายในกรอบของรัฐธรรมนูญ ที่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ขอเรียนถามว่า รัฐบาลทราบและจะมีมาตรการจัดการ เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกในสังคมไทยหรือไม่ อย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า กรณีรายการช่องส่องผีที่มีเนื้อหารายการเกี่ยวกับคุณย่าโมและคุณย่าบุญเหลือ ซึ่งมีการบิดเบือนประวัติศาสตร์สร้างความขัดแย้งและโกรธเคืองกับประชาชนจังหวัดนครราชสีมา นั้น กรณีดังกล่าวได้มีการดําเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ประการแรกได้ตรวจสอบไปยังวัดศาลาลอย และทราบข้อมูลว่าไม่ได้มีการขออนุญาตเป็น ลายลักษณ์อักษรเพื่อดําเนินรายการมีเพียงประสานงานด้วยวาจาเท่านั้น อีกทั้งทางวัดไม่ได้คิดว่ารายการดังกล่าวจะมีการบิดเบือนประวัติศาสตร์ ประการที่สอง ได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและดําเนินการพร้อมทั้งให้สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ส่งเรื่องให้กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาว่าการกระทําดังกล่าวมีความผิดอย่างไร รวมถึงได้หารือไปยังมหาเถรสมาคมให้ประสานไปยังวัดต่าง ๆ ในกรณีที่จะมีการอนุญาตให้มีการถ่ายทํารายการต่างๆ ให้ช่วยตรวจสอบข้อมูลก่อน ประการที่สาม ได้หารือไปยังคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่าจะมีการดําเนินการทางกฎหมายอย่างไร นอกจากนี้ ในกรณีอื่น ๆ ที่อาจจะเข้าข่ายการหลอกลวงและผิดกฎหมาย นั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดําเนินการตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายการในทีวีหรือสื่อต่าง ๆ หลอกลวง/งมงาย วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563 รายการในทีวีหรือสื่อต่าง ๆ หลอกลวง/งมงาย สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ เรื่อง รายการในทีวีหรือสื่อต่าง ๆ หลอกลวง/งมงาย ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายวันชัย สอนศิริ ถาม นายกรัฐมนตรี ผู้ตอบ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้ถาม : นายวันชัย สอนศิริ ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ กรณีรายการโทรทัศน์ที่มีลักษณะเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ และความเชื่อต่าง ๆ อาทิ รายการ ช่องส่องผี ซึ่งรายการลักษณะนี้จะมีบุคคลที่กล่าวอ้างว่าเป็นผู้วิเศษหรือมีลักษณะพิเศษที่สามารถล่วงรู้เรื่อง ลี้ลับต่างๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีการหาผลประโยชน์จากความเชื่อดังกล่าว โดยสร้างรายได้เป็นจํานวนมาก ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคที่อาจมีการหลอกลวง โฆษณาเกินจริง ก่อผลร้าย ต่อสังคมเกิดความแตกแยกขัดแย้งกัน รวมถึงสร้างความงมงายในสังคม โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องดําเนินการ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลก็ตาม แต่ต้องอยู่ภายในกรอบของรัฐธรรมนูญ ที่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย ไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ขอเรียนถามว่า รัฐบาลทราบและจะมีมาตรการจัดการ เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกในสังคมไทยหรือไม่ อย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ตอบชี้แจงกระทู้โดยสรุปดังนี้ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้ได้รับมอบหมายให้ตอบกระทู้ถามตอบชี้แจงว่า กรณีรายการช่องส่องผีที่มีเนื้อหารายการเกี่ยวกับคุณย่าโมและคุณย่าบุญเหลือ ซึ่งมีการบิดเบือนประวัติศาสตร์สร้างความขัดแย้งและโกรธเคืองกับประชาชนจังหวัดนครราชสีมา นั้น กรณีดังกล่าวได้มีการดําเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ประการแรกได้ตรวจสอบไปยังวัดศาลาลอย และทราบข้อมูลว่าไม่ได้มีการขออนุญาตเป็น ลายลักษณ์อักษรเพื่อดําเนินรายการมีเพียงประสานงานด้วยวาจาเท่านั้น อีกทั้งทางวัดไม่ได้คิดว่ารายการดังกล่าวจะมีการบิดเบือนประวัติศาสตร์ ประการที่สอง ได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและดําเนินการพร้อมทั้งให้สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ส่งเรื่องให้กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาว่าการกระทําดังกล่าวมีความผิดอย่างไร รวมถึงได้หารือไปยังมหาเถรสมาคมให้ประสานไปยังวัดต่าง ๆ ในกรณีที่จะมีการอนุญาตให้มีการถ่ายทํารายการต่างๆ ให้ช่วยตรวจสอบข้อมูลก่อน ประการที่สาม ได้หารือไปยังคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่าจะมีการดําเนินการทางกฎหมายอย่างไร นอกจากนี้ ในกรณีอื่น ๆ ที่อาจจะเข้าข่ายการหลอกลวงและผิดกฎหมาย นั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดําเนินการตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33981
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เชิญชวนคนไทยร่วมท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้วาระครบรอบ 15 ทศวรรษ สุริยุปราคาเต็มดวง ณ บ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรี เชิญชวนคนไทยร่วมท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้วาระครบรอบ 15 ทศวรรษ สุริยุปราคาเต็มดวง ณ บ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายกรัฐมนตรี เชิญชวนคนไทยร่วมท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้วาระครบรอบ 15 ทศวรรษ สุริยุปราคาเต็มดวง ณ บ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วันนี้ (6 มีนาคม 2561) เวลา 12.45 น. ณ บริเวณหน้าห้องประชุมรอยัล ดุสิต บอลรูม เอ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อําเภอชะอํา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า ปีนี้นับเป็นโอกาสสําคัญทางประวัติศาสตร์ และเป็นปีที่มีความหมายต่อวงการวิทยาศาสตร์ เนื่องจากวันที่ 18 สิงหาคม 2561 จะเป็นวันครบรอบ 150 ปีของการเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงที่บ้านหว้ากอ ต.คลองวาฬ อําเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นและสัญลักษณ์ของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ในเมืองไทย นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2411 โดยทรงคํานวณและพยากรณ์ปรากฏการณ์ดังกล่าวไว้ล่วงหน้า 2 ปีได้อย่างแม่นยํา นายกรัฐมนตรีจึงขอเชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมท่องเที่ยวและศึกษาเรียนรู้ในโอกาสดังกล่าว ............................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เชิญชวนคนไทยร่วมท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้วาระครบรอบ 15 ทศวรรษ สุริยุปราคาเต็มดวง ณ บ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรี เชิญชวนคนไทยร่วมท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้วาระครบรอบ 15 ทศวรรษ สุริยุปราคาเต็มดวง ณ บ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายกรัฐมนตรี เชิญชวนคนไทยร่วมท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้วาระครบรอบ 15 ทศวรรษ สุริยุปราคาเต็มดวง ณ บ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ วันนี้ (6 มีนาคม 2561) เวลา 12.45 น. ณ บริเวณหน้าห้องประชุมรอยัล ดุสิต บอลรูม เอ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อําเภอชะอํา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า ปีนี้นับเป็นโอกาสสําคัญทางประวัติศาสตร์ และเป็นปีที่มีความหมายต่อวงการวิทยาศาสตร์ เนื่องจากวันที่ 18 สิงหาคม 2561 จะเป็นวันครบรอบ 150 ปีของการเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงที่บ้านหว้ากอ ต.คลองวาฬ อําเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นและสัญลักษณ์ของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ในเมืองไทย นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2411 โดยทรงคํานวณและพยากรณ์ปรากฏการณ์ดังกล่าวไว้ล่วงหน้า 2 ปีได้อย่างแม่นยํา นายกรัฐมนตรีจึงขอเชิญชวนคนไทยทุกคนร่วมท่องเที่ยวและศึกษาเรียนรู้ในโอกาสดังกล่าว ............................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10554
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวทช. จับมือ ทีเซลส์ ขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัยการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2563 สวทช. จับมือ ทีเซลส์ ขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัยการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ สวทช. จับมือ ทีเซลส์ ขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัยการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 ณ ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) อาคารเอสพีอี ทาวเวอร์ ชั้น 9 พญาไท กรุงเทพฯ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.นเรศ ดํารงชัย ผู้อํานวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (ทีเซลส์) จับมือร่วมลงนามความร่วมมือ “ด้านการเพิ่มศักยภาพการพัฒนานวัตกรรมและงานวิจัยทางการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ในประเทศไทย” เพื่อพัฒนาส่งเสริมและขับเคลื่อนให้เกิดงานวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ สามารถถ่ายทอดและใช้ประโยชน์ได้จริงในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม รวมถึงผลักดันภาคเอกชนในการทดสอบเครื่องมือแพทย์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและได้รับการยอมรับจากทุกประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) พร้อมระบุช่วงแรกจะร่วมกันพัฒนายาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทดแทนยานําเข้าและขาดแคลนในประเทศ เพิ่มองค์ความรู้ ศักยภาพการผลิตยาเพื่อความมั่นคง และตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์ เช่น COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า “สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการแพทย์ภายใต้ศูนย์วิจัยหลัก 4 ศูนย์ คือ ไบโอเทค เนคเทค เอ็มเทค และ นาโนเทค รวมทั้งมีการตั้ง Health Focus Research Center ที่ดูแลในเรื่อง Digital Healthcare, Precision Medicine, Medical Device and Aging Society ตาม 10 TDG หรือ Flagship Technology ที่อยู่ในความสนใจของ สวทช. รวมถึงมีการให้บริการด้านเทคนิค/วิชาการ ที่มีมาตรฐาน ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย และมีเครือข่ายการทํางานทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีแผนยกระดับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการแพทย์ และสร้าง Research and Innovation Community ทางด้าน Health Focus ผ่านศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) และอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งมีความร่วมมือกับหน่วยงานที่พร้อมลงทุนใน Health Cluster จากต่างประเทศ เช่น World Business Angel Forum (WBAF) และ NSTDA Holding บริษัทร่วมทุนทางการแพทย์ ทั้งหมดนี้ สวทช. มีความพร้อมที่จะมุ่งผลักดันให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจบนเวทีระดับโลก ตลอดจนสนับสนุนการทําวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะทางการแพทย์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สําคัญและจําเป็นต่อความมั่นคงในประเทศ” “สําหรับความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับ ทีเซลส์ (TCELS) ในครั้งนี้ เพื่อบูรณาการในการเพิ่มศักยภาพการพัฒนานวัตกรรมและงานวิจัยการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ในประเทศไทย เช่น ยานวัตกรรม (Modified drug) ยาสามัญที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ยามะเร็ง ยาชีววัตถุ ยาสมุนไพร เครื่องมือ ซอฟต์แวร์ทางการแพทย์ การแพทย์แม่นยํา เครื่องสําอาง อาหารฟังก์ชั่น อาหารมีวัตถุประสงค์พิเศษ และอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนําไปใช้ประโยชน์จริงในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการแพทย์ พร้อมทั้งผลักดันการทดสอบเครื่องมือแพทย์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ซึ่งการพัฒนากระบวนการวิจัยและพัฒนานี้ จะเสริมความเข้มแข็งของการวิจัยขั้นสูงทางด้านการแพทย์ และผลักดันการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อนําไปสู่ธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในประเทศ เพื่อสุขภาพคนไทยโดยคนไทย รวมถึงเพิ่มโอกาสพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทย และ Startup ตามนโยบายโมเดล BCG ที่มุ่งขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจทางการด้านการแพทย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศบนเวทีการค้าโลก” ดร.ณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในระยะอันใกล้นี้ สวทช. และ ทีเซลส์ จะร่วมมือผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีการพัฒนายาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยาไทยในรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่เรียกว่า Technology Based Medicine มีเป้าหมายสนับสนุนผู้ประกอบให้พัฒนายาที่มีมูลค่าสูง ซึ่งมักเป็นยาที่ต้องนําเข้าและขาดแคลนในประเทศ รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มองค์ความรู้ ศักยภาพการผลิตยาเพื่อความมั่นคง และตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์ได้มีประสิทธิภาพ เช่น การปรับปรุงยาเพื่อรักษาโรคอุบัติใหม่ ในกรณีโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาหลักสูตรสําหรับผู้สนใจพัฒนาเครื่องมือแพทย์และเทคโนโลยีดิจิทัลทางการแพทย์ และสนับสนุนผู้ประกอบการทดสอบทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกันด้วย เพื่อต่อยอดธุรกิจและอุตสาหกรรมการแพทย์ให้เกิดการขยายตัว พร้อมลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจตามแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพต่อไป” ดร.นเรศ ดํารงชัย ผู้อํานวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า “ทีเซลส์ ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพการพัฒนานวัตกรรมและงานวิจัยทางการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ในประเทศไทย อันประกอบด้วย การพัฒนายาสามัญที่ใช้เทคโนโลยีสูงหรือยานวัตกรรม (Modified drug) โดยมีความร่วมมือกับ KPBMA (The Korea Pharmaceutical and Bio-Pharma Manufacturers Association-สมาคมผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์และชีววัตถุเกาหลี) ประเทศเกาหลี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ประเทศไทยสามารถผลิตยาสามัญ (generic drug) ที่ต้องใช้กระบวนการผลิตและเทคโนโลยีขั้นสูงได้เอง ซึ่งจะทําให้ราคายาที่ขายในประเทศไทยถูกลง ลดการนําเข้ายาจากต่างประเทศ และประชาชนเข้าถึงการรักษาด้วยยาที่มีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ National Quality Infrastructure (NQI) และ โครงการส่งเสริมการ Upskill-Reskill ด้านการทดสอบและการตรวจรับรองมาตรฐาน เพื่อสนับสนุนการสร้าง Ecosystem ขึ้นในประเทศ สําหรับการรับรองตามมาตรฐานในห่วงโซ่คุณค่าการพัฒนาและผลิตเครื่องมือแพทย์อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นเพิ่มศักยภาพให้แก่หน่วยต่างๆ ในห่วงโซ่มูลค่าเครื่องมือแพทย์ เช่น ผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาในภาคเอกชน ผู้ให้บริการทดสอบและตรวจสอบ รวมทั้ง SMEs ผู้ประกอบการด้านเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น และร่วมมือในการสนับสนุนทุนวิจัย เพื่อพัฒนาวัตถุดิบเครื่องสําอางแก่ผู้ประกอบการ ให้ประเทศไทยมีวัตถุดิบที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน และพัฒนาความรู้ผู้ประกอบการในการสร้างแนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Design Thinking) และ Coaching การออกแบบงานวิจัย/ให้ความรู้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและเงื่อนไขการส่งออก ที่เกี่ยวข้องกับอาหารฟังก์ชั่นและเส้นทางสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อต่อยอดไปสู่การวิจัยเชิงคลินิกต่อไป ในเบื้องต้นตั้งเป้าเอาไว้ที่ 60 บริษัท” “การร่วมลงนามความร่วมมือด้วยกันครั้งนี้ จะตอบโจทย์สิ่งที่ประเทศไทยต้องการ คือ ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ด้วยการปฏิวัตินวัตกรรมอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ (Reinventing healthcare industry) อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อน Bioeconomy Circular economy, และ Green economy (BCG) โดย ยกระดับนวัตกรรมการบริการทางการแพทย์และสุขภาพ 8 ด้านคือ 1) Personalized Medicine, 2) Vaccines and New Medicines, 3) Medical Devices, 4) Telemedicine, 5) Clinical Research Infrastructure, 6) Herbal and Traditional Medicine, 7) Nutraceuticals และ 8) Medical Tourism ซึ่งอาศัย 4 กลไกที่สําคัญ คือ การวิจัยและพัฒนา, การสร้างนวัตกรรมและอุตสาหกรรมการผลิต (Research and Development, Innovation and Manufacturing: RDIM), กฎระเบียบ (Regulation) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และการพัฒนาบุคลากร (Human Resource Development) โดยสถานการณ์โควิด-19 เป็นโอกาสที่แสดงให้เห็นถึงความสําคัญของการทํา Healthcare Reinvention ระหว่าง ทีเซลส์ (TCELS) กับ สวทช. ที่ผนึกพลังร่วมกัน” ดร.นเรศ กล่าวทิ้งท้าย ข้อมูลข่าวโดย : ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สวทช. จับมือ ทีเซลส์ ขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัยการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2563 สวทช. จับมือ ทีเซลส์ ขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัยการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ สวทช. จับมือ ทีเซลส์ ขับเคลื่อนนวัตกรรมและงานวิจัยการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 ณ ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) อาคารเอสพีอี ทาวเวอร์ ชั้น 9 พญาไท กรุงเทพฯ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) โดย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ ดร.นเรศ ดํารงชัย ผู้อํานวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (ทีเซลส์) จับมือร่วมลงนามความร่วมมือ “ด้านการเพิ่มศักยภาพการพัฒนานวัตกรรมและงานวิจัยทางการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ในประเทศไทย” เพื่อพัฒนาส่งเสริมและขับเคลื่อนให้เกิดงานวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ สามารถถ่ายทอดและใช้ประโยชน์ได้จริงในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม รวมถึงผลักดันภาคเอกชนในการทดสอบเครื่องมือแพทย์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและได้รับการยอมรับจากทุกประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) พร้อมระบุช่วงแรกจะร่วมกันพัฒนายาที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทดแทนยานําเข้าและขาดแคลนในประเทศ เพิ่มองค์ความรู้ ศักยภาพการผลิตยาเพื่อความมั่นคง และตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์ เช่น COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เปิดเผยว่า “สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการแพทย์ภายใต้ศูนย์วิจัยหลัก 4 ศูนย์ คือ ไบโอเทค เนคเทค เอ็มเทค และ นาโนเทค รวมทั้งมีการตั้ง Health Focus Research Center ที่ดูแลในเรื่อง Digital Healthcare, Precision Medicine, Medical Device and Aging Society ตาม 10 TDG หรือ Flagship Technology ที่อยู่ในความสนใจของ สวทช. รวมถึงมีการให้บริการด้านเทคนิค/วิชาการ ที่มีมาตรฐาน ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย และมีเครือข่ายการทํางานทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีแผนยกระดับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการแพทย์ และสร้าง Research and Innovation Community ทางด้าน Health Focus ผ่านศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) และอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ซึ่งมีความร่วมมือกับหน่วยงานที่พร้อมลงทุนใน Health Cluster จากต่างประเทศ เช่น World Business Angel Forum (WBAF) และ NSTDA Holding บริษัทร่วมทุนทางการแพทย์ ทั้งหมดนี้ สวทช. มีความพร้อมที่จะมุ่งผลักดันให้ประเทศไทยมีความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจบนเวทีระดับโลก ตลอดจนสนับสนุนการทําวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งภาครัฐและเอกชนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะทางการแพทย์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่สําคัญและจําเป็นต่อความมั่นคงในประเทศ” “สําหรับความร่วมมือระหว่าง สวทช. กับ ทีเซลส์ (TCELS) ในครั้งนี้ เพื่อบูรณาการในการเพิ่มศักยภาพการพัฒนานวัตกรรมและงานวิจัยการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ในประเทศไทย เช่น ยานวัตกรรม (Modified drug) ยาสามัญที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น ยามะเร็ง ยาชีววัตถุ ยาสมุนไพร เครื่องมือ ซอฟต์แวร์ทางการแพทย์ การแพทย์แม่นยํา เครื่องสําอาง อาหารฟังก์ชั่น อาหารมีวัตถุประสงค์พิเศษ และอื่น ๆ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและนําไปใช้ประโยชน์จริงในเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการแพทย์ พร้อมทั้งผลักดันการทดสอบเครื่องมือแพทย์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ซึ่งการพัฒนากระบวนการวิจัยและพัฒนานี้ จะเสริมความเข้มแข็งของการวิจัยขั้นสูงทางด้านการแพทย์ และผลักดันการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อนําไปสู่ธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในประเทศ เพื่อสุขภาพคนไทยโดยคนไทย รวมถึงเพิ่มโอกาสพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทย และ Startup ตามนโยบายโมเดล BCG ที่มุ่งขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนาเศรษฐกิจทางการด้านการแพทย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศบนเวทีการค้าโลก” ดร.ณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในระยะอันใกล้นี้ สวทช. และ ทีเซลส์ จะร่วมมือผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีการพัฒนายาเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยาไทยในรูปแบบใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงที่เรียกว่า Technology Based Medicine มีเป้าหมายสนับสนุนผู้ประกอบให้พัฒนายาที่มีมูลค่าสูง ซึ่งมักเป็นยาที่ต้องนําเข้าและขาดแคลนในประเทศ รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มองค์ความรู้ ศักยภาพการผลิตยาเพื่อความมั่นคง และตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์ได้มีประสิทธิภาพ เช่น การปรับปรุงยาเพื่อรักษาโรคอุบัติใหม่ ในกรณีโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาหลักสูตรสําหรับผู้สนใจพัฒนาเครื่องมือแพทย์และเทคโนโลยีดิจิทัลทางการแพทย์ และสนับสนุนผู้ประกอบการทดสอบทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกันด้วย เพื่อต่อยอดธุรกิจและอุตสาหกรรมการแพทย์ให้เกิดการขยายตัว พร้อมลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจตามแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพต่อไป” ดร.นเรศ ดํารงชัย ผู้อํานวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า “ทีเซลส์ ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพการพัฒนานวัตกรรมและงานวิจัยทางการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ในประเทศไทย อันประกอบด้วย การพัฒนายาสามัญที่ใช้เทคโนโลยีสูงหรือยานวัตกรรม (Modified drug) โดยมีความร่วมมือกับ KPBMA (The Korea Pharmaceutical and Bio-Pharma Manufacturers Association-สมาคมผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์และชีววัตถุเกาหลี) ประเทศเกาหลี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ประเทศไทยสามารถผลิตยาสามัญ (generic drug) ที่ต้องใช้กระบวนการผลิตและเทคโนโลยีขั้นสูงได้เอง ซึ่งจะทําให้ราคายาที่ขายในประเทศไทยถูกลง ลดการนําเข้ายาจากต่างประเทศ และประชาชนเข้าถึงการรักษาด้วยยาที่มีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ National Quality Infrastructure (NQI) และ โครงการส่งเสริมการ Upskill-Reskill ด้านการทดสอบและการตรวจรับรองมาตรฐาน เพื่อสนับสนุนการสร้าง Ecosystem ขึ้นในประเทศ สําหรับการรับรองตามมาตรฐานในห่วงโซ่คุณค่าการพัฒนาและผลิตเครื่องมือแพทย์อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังเป็นเพิ่มศักยภาพให้แก่หน่วยต่างๆ ในห่วงโซ่มูลค่าเครื่องมือแพทย์ เช่น ผู้เชี่ยวชาญที่ปรึกษาในภาคเอกชน ผู้ให้บริการทดสอบและตรวจสอบ รวมทั้ง SMEs ผู้ประกอบการด้านเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น และร่วมมือในการสนับสนุนทุนวิจัย เพื่อพัฒนาวัตถุดิบเครื่องสําอางแก่ผู้ประกอบการ ให้ประเทศไทยมีวัตถุดิบที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน และพัฒนาความรู้ผู้ประกอบการในการสร้างแนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Design Thinking) และ Coaching การออกแบบงานวิจัย/ให้ความรู้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและเงื่อนไขการส่งออก ที่เกี่ยวข้องกับอาหารฟังก์ชั่นและเส้นทางสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อต่อยอดไปสู่การวิจัยเชิงคลินิกต่อไป ในเบื้องต้นตั้งเป้าเอาไว้ที่ 60 บริษัท” “การร่วมลงนามความร่วมมือด้วยกันครั้งนี้ จะตอบโจทย์สิ่งที่ประเทศไทยต้องการ คือ ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ด้วยการปฏิวัตินวัตกรรมอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ (Reinventing healthcare industry) อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อน Bioeconomy Circular economy, และ Green economy (BCG) โดย ยกระดับนวัตกรรมการบริการทางการแพทย์และสุขภาพ 8 ด้านคือ 1) Personalized Medicine, 2) Vaccines and New Medicines, 3) Medical Devices, 4) Telemedicine, 5) Clinical Research Infrastructure, 6) Herbal and Traditional Medicine, 7) Nutraceuticals และ 8) Medical Tourism ซึ่งอาศัย 4 กลไกที่สําคัญ คือ การวิจัยและพัฒนา, การสร้างนวัตกรรมและอุตสาหกรรมการผลิต (Research and Development, Innovation and Manufacturing: RDIM), กฎระเบียบ (Regulation) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และการพัฒนาบุคลากร (Human Resource Development) โดยสถานการณ์โควิด-19 เป็นโอกาสที่แสดงให้เห็นถึงความสําคัญของการทํา Healthcare Reinvention ระหว่าง ทีเซลส์ (TCELS) กับ สวทช. ที่ผนึกพลังร่วมกัน” ดร.นเรศ กล่าวทิ้งท้าย ข้อมูลข่าวโดย : ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเซลส์ (TCELS) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33227
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะผู้บริหารภาคเอกชนและสื่อมวลชนชั้นนำของญี่ปุ่นกว่า 600 ราย พร้อมเชิญชวนลงทุนใน EEC
วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560 นายกรัฐมนตรีพบปะผู้บริหารภาคเอกชนและสื่อมวลชนชั้นนําของญี่ปุ่นกว่า 600 ราย พร้อมเชิญชวนลงทุนใน EEC นายกรัฐมนตรีพบปะผู้บริหารภาคเอกชนและสื่อมวลชนชั้นนําของญี่ปุ่นกว่า 600 ราย พร้อมเชิญชวนลงทุนใน EEC วันนี้ (11 ก.ย. 2560) เวลา 15.30 น. นาย Hiroshige Seko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (METI) นําคณะผู้บริหารภาคเอกชนและสื่อมวลชนชั้นนําของญี่ปุ่น จํานวน 600 คน เข้าพบปะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล โดยพลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาพบกับผู้บริหารภาคเอกชนและสื่อมวลชนชั้นนําของญี่ปุ่นในวันนี้ ไทยญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีและยาวนานในทุกระดับกว่า 130 ปี นับว่าญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับไทยมากที่สุด พร้อมแสดงความชื่นชมหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมกันจัดงานในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้นักธุรกิจญี่ปุ่นมั่นใจว่ารัฐบาลไทยจะทําทุกอย่างเพื่อให้ไทยและญี่ปุ่นมีความไว้เนื้อเชื่อใจ โดยอยู่ภายใต้ผลประโยชน์ที่เท่าเทียม ความสัมพันธ์ที่ดีเป็นปัจจัยสําคัญที่ส่งผลให้ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าสําคัญอันดับต้นๆ ของไทยมาอย่างต่อเนื่องจนถึงในปัจจุบัน ในด้านการลงทุน นักลงทุนญี่ปุ่นมีบทบาทสําคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยบริษัทญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนที่สําคัญอันดับหนึ่งของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านอุตสาหกรรมการผลิต ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทั้งสองอุตสาหกรรมดังกล่าว กลายเป็นเสาหลักที่สําคัญของภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกไทยในปัจจุบัน รัฐบาลให้ความสําคัญต่อการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยกําหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศในระยะยาวหรือแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศระยะ 20 ปี เพื่อให้เศรษฐกิจและสังคมไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ท่าเรือ ระบบดิจิทัล ดาวเทียม อวกาศ ส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง พัฒนาคุณภาพการศึกษา พัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ พัฒนาชุมชนและเมืองใหม่ และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รัฐบาลยังได้แก้ไขกฎหมายการส่งเสริมการลงทุน และออกมาตรการเพื่อเร่งรัดการลงทุนเพิ่มเติม โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์และการอํานวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนจํานวนมาก เพื่อขจัดอุปสรรคในการดําเนินธุรกิจ ปราศจากคอรัปชั่น มีความโปร่งใส สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจแก่นักลงทุนไทยและต่างประเทศ โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน EEC เพื่อให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ดีที่สุดและทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์การลงทุนรองรับด้วยความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมทั้งเชื่อมโยงด้วยโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง รวมถึงแผนงานการลงทุนการยกระดับและพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีจุดเด่นคือการเป็นเมืองนวัตกรรม (Innovation City) ที่เป็นต้นแบบของการพัฒนางานวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในลักษณะองค์รวม มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อก่อประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ EEC มีความก้าวหน้าตามลําดับและขอให้มั่นใจว่าจะมีการขับเคลื่อน EEC ต่อไปในระยะยาว รัฐบาลมุ่งผลักดันประเทศไทยเข้าสู่โมเดล “ประเทศไทย 4.0” ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสําคัญในภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อให้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ให้ความสําคัญกับการผลิตด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยมุ่งเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายใน 5 กลุ่ม ได้แก่ 1 กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ 2 กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีการแพทย์ 3 กลุ่มเครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ และระบบเครื่องกลที่ใช้อิเล็กทรอนิกส์ควบคุม 4 กลุ่มดิจิทัล เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อและบังคับอุปกรณ์ต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว และ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง นอกจากนี้ ในเรื่อง SMEs นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยให้ความสําคัญเป็นลําดับต้น ขอให้เชื่อมั่นในศักยภาพในการพัฒนา SMEs ให้เข้มแข็ง พร้อมขอให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs และธุรกิจท้องถิ่นในไทยให้มากขึ้น ซึ่ง BOI ได้พยายามชักจูงการลงทุนและเชื่อมโยงผู้ประกอบการ SMEs ญี่ปุ่นและไทย โดยการร่วมลงทุน การซื้อขายวัตถุดิบและชิ้นส่วน การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีทั้งในสาขาอุตสาหกรรมดั้งเดิม และในสาขานวัตกรรมใหม่ๆ ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณนักธุรกิจจากญี่ปุ่นที่เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยและเชื่อว่าคณะนักลงทุนจะเห็นโอกาสและประโยชน์ และตัดสินใจขยายการลงทุนในไทยมากขึ้น *********************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะผู้บริหารภาคเอกชนและสื่อมวลชนชั้นนำของญี่ปุ่นกว่า 600 ราย พร้อมเชิญชวนลงทุนใน EEC วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560 นายกรัฐมนตรีพบปะผู้บริหารภาคเอกชนและสื่อมวลชนชั้นนําของญี่ปุ่นกว่า 600 ราย พร้อมเชิญชวนลงทุนใน EEC นายกรัฐมนตรีพบปะผู้บริหารภาคเอกชนและสื่อมวลชนชั้นนําของญี่ปุ่นกว่า 600 ราย พร้อมเชิญชวนลงทุนใน EEC วันนี้ (11 ก.ย. 2560) เวลา 15.30 น. นาย Hiroshige Seko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (METI) นําคณะผู้บริหารภาคเอกชนและสื่อมวลชนชั้นนําของญี่ปุ่น จํานวน 600 คน เข้าพบปะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล โดยพลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาพบกับผู้บริหารภาคเอกชนและสื่อมวลชนชั้นนําของญี่ปุ่นในวันนี้ ไทยญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์ที่ดีและยาวนานในทุกระดับกว่า 130 ปี นับว่าญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับไทยมากที่สุด พร้อมแสดงความชื่นชมหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมกันจัดงานในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้นักธุรกิจญี่ปุ่นมั่นใจว่ารัฐบาลไทยจะทําทุกอย่างเพื่อให้ไทยและญี่ปุ่นมีความไว้เนื้อเชื่อใจ โดยอยู่ภายใต้ผลประโยชน์ที่เท่าเทียม ความสัมพันธ์ที่ดีเป็นปัจจัยสําคัญที่ส่งผลให้ญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าสําคัญอันดับต้นๆ ของไทยมาอย่างต่อเนื่องจนถึงในปัจจุบัน ในด้านการลงทุน นักลงทุนญี่ปุ่นมีบทบาทสําคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยบริษัทญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนที่สําคัญอันดับหนึ่งของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านอุตสาหกรรมการผลิต ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทั้งสองอุตสาหกรรมดังกล่าว กลายเป็นเสาหลักที่สําคัญของภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกไทยในปัจจุบัน รัฐบาลให้ความสําคัญต่อการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยกําหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศในระยะยาวหรือแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศระยะ 20 ปี เพื่อให้เศรษฐกิจและสังคมไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ท่าเรือ ระบบดิจิทัล ดาวเทียม อวกาศ ส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง พัฒนาคุณภาพการศึกษา พัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ พัฒนาชุมชนและเมืองใหม่ และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รัฐบาลยังได้แก้ไขกฎหมายการส่งเสริมการลงทุน และออกมาตรการเพื่อเร่งรัดการลงทุนเพิ่มเติม โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์และการอํานวยความสะดวกต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนจํานวนมาก เพื่อขจัดอุปสรรคในการดําเนินธุรกิจ ปราศจากคอรัปชั่น มีความโปร่งใส สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจแก่นักลงทุนไทยและต่างประเทศ โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน EEC เพื่อให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ดีที่สุดและทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์การลงทุนรองรับด้วยความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมทั้งเชื่อมโยงด้วยโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง รวมถึงแผนงานการลงทุนการยกระดับและพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีจุดเด่นคือการเป็นเมืองนวัตกรรม (Innovation City) ที่เป็นต้นแบบของการพัฒนางานวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมในลักษณะองค์รวม มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อก่อประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ EEC มีความก้าวหน้าตามลําดับและขอให้มั่นใจว่าจะมีการขับเคลื่อน EEC ต่อไปในระยะยาว รัฐบาลมุ่งผลักดันประเทศไทยเข้าสู่โมเดล “ประเทศไทย 4.0” ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสําคัญในภาคอุตสาหกรรมไทย เพื่อให้ก้าวเข้าสู่ยุคที่ให้ความสําคัญกับการผลิตด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง โดยมุ่งเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายใน 5 กลุ่ม ได้แก่ 1 กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ 2 กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีการแพทย์ 3 กลุ่มเครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ และระบบเครื่องกลที่ใช้อิเล็กทรอนิกส์ควบคุม 4 กลุ่มดิจิทัล เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อและบังคับอุปกรณ์ต่างๆ ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว และ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และบริการที่มีมูลค่าสูง นอกจากนี้ ในเรื่อง SMEs นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยให้ความสําคัญเป็นลําดับต้น ขอให้เชื่อมั่นในศักยภาพในการพัฒนา SMEs ให้เข้มแข็ง พร้อมขอให้ภาคเอกชนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs และธุรกิจท้องถิ่นในไทยให้มากขึ้น ซึ่ง BOI ได้พยายามชักจูงการลงทุนและเชื่อมโยงผู้ประกอบการ SMEs ญี่ปุ่นและไทย โดยการร่วมลงทุน การซื้อขายวัตถุดิบและชิ้นส่วน การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีทั้งในสาขาอุตสาหกรรมดั้งเดิม และในสาขานวัตกรรมใหม่ๆ ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณนักธุรกิจจากญี่ปุ่นที่เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยและเชื่อว่าคณะนักลงทุนจะเห็นโอกาสและประโยชน์ และตัดสินใจขยายการลงทุนในไทยมากขึ้น *********************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6593
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center)” ออกช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยหลังน้ำท่วมสำหรับในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี
วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562 “ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center)” ออกช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยหลังน้ําท่วมสําหรับในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี .. #ไทยคู่ฟ้าสถานการณ์น้ําท่วมในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลายแล้ว โดยระยะนี้เป็นช่วงฟื้นฟูความเสียหลังน้ําลด หน่วยงานอาชีวศึกษาของแต่ละจังหวัดก็เป็นอีกแรงสําคัญในการออกช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วมในรูปแบบ “ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center)” ที่ออกหน่วยให้บริการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ระบบน้ํา - ไฟ อุปกรณ์ทํามาหากินต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากน้ําท่วม ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการบูรณาการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วม สําหรับในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีสามารถติดต่อได้ที่ “ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center)” วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานีหรือสอบถามข้อมูลได้ที่ 045 255 047 โดยจะมีน้อง ๆ นักศึกษาเข้าไปให้บริการซ่อมแซมฟรีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center)” ออกช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยหลังน้ำท่วมสำหรับในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2562 “ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center)” ออกช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยหลังน้ําท่วมสําหรับในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี .. #ไทยคู่ฟ้าสถานการณ์น้ําท่วมในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลายแล้ว โดยระยะนี้เป็นช่วงฟื้นฟูความเสียหลังน้ําลด หน่วยงานอาชีวศึกษาของแต่ละจังหวัดก็เป็นอีกแรงสําคัญในการออกช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วมในรูปแบบ “ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center)” ที่ออกหน่วยให้บริการซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ระบบน้ํา - ไฟ อุปกรณ์ทํามาหากินต่าง ๆ ที่ได้รับความเสียหายจากน้ําท่วม ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการบูรณาการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วม สําหรับในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีสามารถติดต่อได้ที่ “ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center)” วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานีหรือสอบถามข้อมูลได้ที่ 045 255 047 โดยจะมีน้อง ๆ นักศึกษาเข้าไปให้บริการซ่อมแซมฟรีครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23580
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช. ก.อุตฯ แต่งชุดไทยร่วมชมงาน “อุ่นไอรักคลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์”
วันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2561 รมช. ก.อุตฯ แต่งชุดไทยร่วมชมงาน “อุ่นไอรักคลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์” นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคู่สมรส เข้าร่วมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์" ณ บริเวณลานพระราชวังดุสิต วันนี้ (18 ธันวาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคู่สมรส เข้าร่วมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์" ณ บริเวณลานพระราชวังดุสิต โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นผู้นําคณะ โดยภายในงานที่ทุกท่านจะได้สัมผัสกับความสวยงามของการแต่งกายและบรรยากาศย้อนยุค ความร่มรื่นของต้นไม้นานาพรรณ รวมไปถึงความวิจิตรงดงามของเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ พร้อมการแสดงเห่เรือ ซึ่งงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์" ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2561 - 19 มกราคม 2562 โดยจะเริ่มขึ้นวันอาทิตย์ - วันพฤหัส เวลา 10.00 - 21.00 น. และวันศุกร์ - วันเสาร์ เวลา 10.00 - 22.00 น. โดยในปีนี้ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต และบริเวณสนามเสือป่า
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช. ก.อุตฯ แต่งชุดไทยร่วมชมงาน “อุ่นไอรักคลายความหนาว สายน้ำแห่งรัตนโกสินทร์” วันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2561 รมช. ก.อุตฯ แต่งชุดไทยร่วมชมงาน “อุ่นไอรักคลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์” นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคู่สมรส เข้าร่วมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์" ณ บริเวณลานพระราชวังดุสิต วันนี้ (18 ธันวาคม 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคู่สมรส เข้าร่วมชมงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์" ณ บริเวณลานพระราชวังดุสิต โดยมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นผู้นําคณะ โดยภายในงานที่ทุกท่านจะได้สัมผัสกับความสวยงามของการแต่งกายและบรรยากาศย้อนยุค ความร่มรื่นของต้นไม้นานาพรรณ รวมไปถึงความวิจิตรงดงามของเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ พร้อมการแสดงเห่เรือ ซึ่งงาน "อุ่นไอรัก คลายความหนาว สายน้ําแห่งรัตนโกสินทร์" ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2561 - 19 มกราคม 2562 โดยจะเริ่มขึ้นวันอาทิตย์ - วันพฤหัส เวลา 10.00 - 21.00 น. และวันศุกร์ - วันเสาร์ เวลา 10.00 - 22.00 น. โดยในปีนี้ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนด้วยกันคือ บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต และบริเวณสนามเสือป่า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17591
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 แก่เกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์
วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 รมช.ธรรมนัส มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 แก่เกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ รมช.ธรรมนัส มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 แก่เกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ หวังลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม ให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) แก่เกษตรกร มอบสินเชื่อเงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มอบพันธุ์สัตว์น้ํา และมอบบัตรดินดีให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน ณ อาคารอเนกภิรมย์ ที่ว่าการอําเภอหนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์โดยมีพื้นที่ดําเนินการในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ จํานวน 9 อําเภอ ประมาณ 1,877,504 ไร่ และได้ดําเนินการจัดที่ดินให้เกษตรกรไปแล้ว จํานวน 84,242 ราย 101,813 แปลง เนื้อที่ 1,343,067 ไร่ เพื่อกระจายการถือครอง ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม การใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการจัดหาที่ดินและจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทํากินหรือมีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอต่อการครองชีพ พร้อมให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม ปรับปรุงทรัพยากร และปัจจัยการผลิต ตลอดจนการผลิตและการจําหน่ายให้เกิดผลดียิ่งขึ้น “ในวันนี้ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) แก่พี่น้องเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ อีกทั้งยังได้มอบสินเชื่อเงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มอบพันธุ์สัตว์น้ํา และมอบบัตรดินดีให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน พร้อมพบปะพี่น้องเกษตรกร วันนี้ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) จํานวน 500 ราย 530 แปลง เนื้อที่ 5,709–1–38 ไร่ เป็นแปลงเกษตรกรรมและแปลงชุมชน เมื่อเกษตรกรได้รับการอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้ว ทําให้เกษตรกรได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ได้มีที่ทํากินอย่างถูกต้องตามกฎหมายในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ พร้อมปัจจัยการผลิต” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ทั้งนี้ จังหวัดเพชรบูรณ์มีพื้นที่ทั้งสิ้น 7,917,760 ไร่ มีพื้นที่ถือครองทางการเกษตร เท่ากับ 3,282,383 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 41.5 พื้นที่ป่าไม้ 2,419,304 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 30.5 พื้นที่นอกภาคการเกษตร 2,216,073 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 28.0 มีแม่น้ําป่าสักเป็นแม่น้ําสายสําคัญที่สุดของจังหวัด ทางจังหวัดเพชรบูรณ์ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการพัฒนาด้านการเกษตรที่สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 แก่เกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 รมช.ธรรมนัส มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 แก่เกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ รมช.ธรรมนัส มอบหนังสือ ส.ป.ก.4-01 แก่เกษตรกรจังหวัดเพชรบูรณ์ หวังลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม และพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม ให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. 4-01) แก่เกษตรกร มอบสินเชื่อเงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มอบพันธุ์สัตว์น้ํา และมอบบัตรดินดีให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน ณ อาคารอเนกภิรมย์ ที่ว่าการอําเภอหนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์โดยมีพื้นที่ดําเนินการในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ จํานวน 9 อําเภอ ประมาณ 1,877,504 ไร่ และได้ดําเนินการจัดที่ดินให้เกษตรกรไปแล้ว จํานวน 84,242 ราย 101,813 แปลง เนื้อที่ 1,343,067 ไร่ เพื่อกระจายการถือครอง ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม การใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการจัดหาที่ดินและจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทํากินหรือมีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอต่อการครองชีพ พร้อมให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม ปรับปรุงทรัพยากร และปัจจัยการผลิต ตลอดจนการผลิตและการจําหน่ายให้เกิดผลดียิ่งขึ้น “ในวันนี้ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) แก่พี่น้องเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ อีกทั้งยังได้มอบสินเชื่อเงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มอบพันธุ์สัตว์น้ํา และมอบบัตรดินดีให้แก่เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน พร้อมพบปะพี่น้องเกษตรกร วันนี้ได้มอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.4-01) จํานวน 500 ราย 530 แปลง เนื้อที่ 5,709–1–38 ไร่ เป็นแปลงเกษตรกรรมและแปลงชุมชน เมื่อเกษตรกรได้รับการอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินแล้ว ทําให้เกษตรกรได้รับโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ได้มีที่ทํากินอย่างถูกต้องตามกฎหมายในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ พร้อมปัจจัยการผลิต” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ทั้งนี้ จังหวัดเพชรบูรณ์มีพื้นที่ทั้งสิ้น 7,917,760 ไร่ มีพื้นที่ถือครองทางการเกษตร เท่ากับ 3,282,383 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 41.5 พื้นที่ป่าไม้ 2,419,304 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 30.5 พื้นที่นอกภาคการเกษตร 2,216,073 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 28.0 มีแม่น้ําป่าสักเป็นแม่น้ําสายสําคัญที่สุดของจังหวัด ทางจังหวัดเพชรบูรณ์ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการพัฒนาด้านการเกษตรที่สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26372
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ช่วยเหลือกรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย
วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561 สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ช่วยเหลือกรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ําน้อย กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ช่วยเหลือกรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ําน้อยแตก ที่ส่วนกลางและสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี ให้การสนับสนุนช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช้านี้ ได้ส่งชุดประเมินสถานการณ์ ทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรค สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ช่วยเหลือกรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ําน้อย กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ช่วยเหลือกรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ําน้อยแตก ที่ส่วนกลางและสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี ให้การสนับสนุนช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช้านี้ ได้ส่งชุดประเมินสถานการณ์ ทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วควบคุมโรค และทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจ เข้าไปยังจุดเกิดเหตุ พร้อมเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ตามการร้องขอจาก สปป.ลาว นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ ว่า ศ.คลินิก เกรียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) เพื่อให้การสนับสนุนช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ําน้อย แตก ที่เมืองสนามไซ แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่ส่วนกลางและสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี โดยมอบหมายให้นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพ ที่ 10 เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยเช้าวันนี้ (26 กรกฎาคม 2561) ศูนย์ EOC ได้ส่งทีมประเมินสถานการณ์ ทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจ( MCATT) เข้าไปยังจุดเกิดเหตุ พร้อมเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาชุดน้ําท่วม 5,000 ชุด ตามการประสานงานจากหัวหน้าแผนกสาธารณสุขแขวงจําปาสัก เพื่อช่วยสนับสนุนเติมเต็มในการช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้ ในการดําเนินการช่วยเหลือครั้งนี้ เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจ ลุ่มน้ําโขง ของจังหวัดอุบลราชธานีกับแขวงจําปาสัก ที่มีความร่วมมือช่วยเหลือกันอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การปฏิบัติงานร่วมกับศูนย์อํานวยการตอบโต้ภัยพิบัติระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้การบัญชาการเหตุการณ์ โดยกลไกการดําเนินงานเป็นไปในทิศทางสอดคล้องกับการดําเนินงานของส่วนกลางและระดับประเทศ ด้านนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพ ที่ 10 ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข กล่าวว่า สําหรับ แผนการดําเนินงานสนับสนุนได้เตรียมไว้มีดังนี้ 1.จัดตั้งทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ (Medical Emergency Response Team : MERT) จํานวน 3 ทีม ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่เวชกิจฉุกเฉิน ช่าง และเจ้าหน้าที่อื่นๆ รวม 32 คน เข้าปฏิบัติการในจุดอพยพ เมืองสนามไซ 1 ทีม และเมืองปากซอง 2 ทีม 2.จัดตั้งทีมปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทีม MCATT SRRT และทีมอนามัยสิ่งแวดล้อม 3.เตรียมเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ยานพาหนะ เดินทางเข้าพื้นที่ 4.จัดตั้งชุดคัดกรอง และจุดประสานงานไว้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองช่องเม็ก อําเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อคัดกรองผู้ป่วยและประสานความช่วยเหลือ โดยให้โรงพยาบาลสิรินธร เป็นเจ้าภาพหลักในการปฏิบัติการ 5.การลงทะเบียนจัดเตรียมทีมแพทย์จากภายนอกจังหวัดอุบลราชธานี และโรงพยาบาลเอกชน หรือสังกัดอื่นๆ เพื่อบูรณาการการทํางานเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งในส่วนกลางและระดับจังหวัดส่วนหน้า ****************************** 26 กรกฎาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ช่วยเหลือกรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561 สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ช่วยเหลือกรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ําน้อย กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ช่วยเหลือกรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ําน้อยแตก ที่ส่วนกลางและสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี ให้การสนับสนุนช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช้านี้ ได้ส่งชุดประเมินสถานการณ์ ทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรค สธ.เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ช่วยเหลือกรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ําน้อย กระทรวงสาธารณสุข เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ช่วยเหลือกรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ําน้อยแตก ที่ส่วนกลางและสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี ให้การสนับสนุนช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช้านี้ ได้ส่งชุดประเมินสถานการณ์ ทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วควบคุมโรค และทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจ เข้าไปยังจุดเกิดเหตุ พร้อมเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ตามการร้องขอจาก สปป.ลาว นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ ว่า ศ.คลินิก เกรียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) เพื่อให้การสนับสนุนช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีสันเขื่อนเซเปียน-เซน้ําน้อย แตก ที่เมืองสนามไซ แขวงอัตตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่ส่วนกลางและสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี โดยมอบหมายให้นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพ ที่ 10 เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยเช้าวันนี้ (26 กรกฎาคม 2561) ศูนย์ EOC ได้ส่งทีมประเมินสถานการณ์ ทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) ทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจ( MCATT) เข้าไปยังจุดเกิดเหตุ พร้อมเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาชุดน้ําท่วม 5,000 ชุด ตามการประสานงานจากหัวหน้าแผนกสาธารณสุขแขวงจําปาสัก เพื่อช่วยสนับสนุนเติมเต็มในการช่วยเหลือประชาชน ทั้งนี้ ในการดําเนินการช่วยเหลือครั้งนี้ เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจ ลุ่มน้ําโขง ของจังหวัดอุบลราชธานีกับแขวงจําปาสัก ที่มีความร่วมมือช่วยเหลือกันอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การปฏิบัติงานร่วมกับศูนย์อํานวยการตอบโต้ภัยพิบัติระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้การบัญชาการเหตุการณ์ โดยกลไกการดําเนินงานเป็นไปในทิศทางสอดคล้องกับการดําเนินงานของส่วนกลางและระดับประเทศ ด้านนายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพ ที่ 10 ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข กล่าวว่า สําหรับ แผนการดําเนินงานสนับสนุนได้เตรียมไว้มีดังนี้ 1.จัดตั้งทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ (Medical Emergency Response Team : MERT) จํานวน 3 ทีม ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่เวชกิจฉุกเฉิน ช่าง และเจ้าหน้าที่อื่นๆ รวม 32 คน เข้าปฏิบัติการในจุดอพยพ เมืองสนามไซ 1 ทีม และเมืองปากซอง 2 ทีม 2.จัดตั้งทีมปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทีม MCATT SRRT และทีมอนามัยสิ่งแวดล้อม 3.เตรียมเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ ยานพาหนะ เดินทางเข้าพื้นที่ 4.จัดตั้งชุดคัดกรอง และจุดประสานงานไว้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองช่องเม็ก อําเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อคัดกรองผู้ป่วยและประสานความช่วยเหลือ โดยให้โรงพยาบาลสิรินธร เป็นเจ้าภาพหลักในการปฏิบัติการ 5.การลงทะเบียนจัดเตรียมทีมแพทย์จากภายนอกจังหวัดอุบลราชธานี และโรงพยาบาลเอกชน หรือสังกัดอื่นๆ เพื่อบูรณาการการทํางานเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งในส่วนกลางและระดับจังหวัดส่วนหน้า ****************************** 26 กรกฎาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14174
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล โดย ปธ.กรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ชี้แจงความคืบหน้าปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ กำหนดเป้าหมายประเทศไทยมี “การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง”
วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 รัฐบาล โดย ปธ.กรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ชี้แจงความคืบหน้าปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ กําหนดเป้าหมายประเทศไทยมี “การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง” รัฐบาลแถลงความคืบหน้าแผนปฏิรูปประเทศหัวข้อ "ทรัพยากรมีคุณค่า กับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน" โดยกําหนดเป้าหมายภายใต้กรอบแนวคิดประเทศไทยมี “การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง” วันนี้ (16 ก.พ.61) เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ และ ดร.รอยล จิตรดอน ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันแถลงความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศไทย หัวข้อ "ทรัพยากรมีคุณค่า กับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน" โดยมีสื่อมวลชนสาขาต่าง ๆ เข้าร่วมซักถาม ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ได้กล่าวถึงความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ โดยชี้แจงเกี่ยวกับกรอบความคิดในการดําเนินการว่า คณะกรรมการฯ กําหนดเป้าหมายหลักของการปฏิรูปไว้ว่า มองไปข้างหน้าอยากที่จะเห็นประเทศไทยมี “การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง” ซึ่งที่ผ่านมาแม้การพัฒนาจะช่วยให้ประเทศก้าวหน้าในหลายด้าน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไทยกําลังเผชิญกับความท้าท้าย 2 ส่วนสําคัญ คือ 1) ปัญหาเชิงโครงสร้างหลายเรื่องที่เหนี่ยวรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อาทิ ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจลดลง ปัญหาความเหลื่อมล้ําในหลายมิติปัญหา กลไกและบทบาทภาครัฐที่ไม่เอื้อต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งปัญหากฎหมายและกฎระเบียบที่มีจํานวนมาก ล้าสมัย และมีช่อนโหว่จากการใช้ดุลยพินิจ จนเป็นเหตุหนึ่งให้ปัญหาคอร์รัปชั่นรุนแรง และ 2) บริบทเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป จากความก้าวหน้าทานเทคโนโลยีที่พลิกโฉมกิจกรรมทานเศรษฐกิจ กติกาและมาตรฐานสากลที่ เข้มงวดขึ้น และสันคมผู้สูงอายุ สาระสําคัญของแผนปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ด้านที่ 1 การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ คือ คนไทย ภาคธุรกิจไทย และภาครัฐไทยต้องเก่งขึ้น ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวได้กําหนดเป็นแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดย ระยะสั้น คือ การเพิ่มผลิตภาพ ใน อุตสาหกรรมหลักที่ไทยมีความชํานาญ และสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพเติบโตในอนาคต จึงจําเป็นต้อง มีการพัฒนาทักษะบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม การวิเคราะห์และใช้ประโยชน์จาก ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data analytics) และกฎหมายการแข่นขันทางการค้า รวมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบด้านต่านๆ ระยะกลาง การรวมกลุ่มในภูมิภาค เพื่อขยายตลาดและสร้างฐานการลนทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) บังคลาเทศ และตอนเหนือขอนอินเดีย และ ระยะยาวที่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้คือ การสร้างระบบนิเวศด้านการวิจัย และนวัตกรรม ที่เน้นตอบโจทย์ประเทศและความต้องการใช้งานได้จริง จึงต้องมีการ คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง รวมถึงการจัดตั้งศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา การจัดตั้งศูนย์กลางการพัฒนาศักยภาพสตาร์ทอัพและวิสาหกิจขนาดเล็ก ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานกลางที่จะเอื้อให้เกิดการคิดค้น สร้างสรรค์ สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมใหม่ ด้านที่ 2 ความเท่าเทียมและการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและกระจาย ประโยชน์จากการพัฒนาไปสู่ประชาชนให้ทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในข้อเสนอสําคัญ คือ การจัดตั้งสํานักงานบูรณาการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ํา เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนและผลักดันนโยบายให้เกิดผลจริง โดยแนวทางมีหลายระดับ ทั้งระดับบุคคล มุ่งเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรและแรงงานไร้ฝีมือที่ยากจนในระดับฐานราก ระดับชุมชน มุ่งสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ด้วยการยกระดับสถาบันการเงินชุมชนและพัฒนาธุรกิจชุมชน รวมถึงการพัฒนาผู้นําชุมชน และระดับประเทศ มุ่งพัฒนาเมืองในภูมิภาค และจัดสรรงบประมาณให้กับจันงหวัดที่ยากจนอย่างเหมาะสม การสร้างระบบสวัสดิการพื้นฐานที่จําเป็น อาทิ การปรับปรุง ระบบบํานาญ ให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม และขยายความคุ้มครองของกองทุนประกันสังคมไปยังกลุ่มแรงงานนอกระบบและเกษตรกรเพิ่มขึ้น ด้านที่ 3 การปรับกลไกและบทบาทภาครัฐให้เท่าทันกับบริบทที่เปลี่ยนแปลง โดยภาครัฐ (1) ต้องคํานึงถึง “ประสิทธิภาพ” และ “ความยั่งยืน” มากขึ้น (2) ต้อนโปร่งใส มีการตรวจสอบจากภาคประชาชนได้ (3) กระจายอํานาจให้ท้องถิ่นตัดสินใจมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การแก้ปัญหามีเจ้าภาพชัดเจน และ (4) ปรับบทบาทให้มี ความร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้นในทุกมิติ ที่สําคัญ คือ การยกระดับกระบวนการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพและบูรณาการ (Plan-Do-Check-Act) ใน 3 มิติ ดังนี้ มิติแรก การปฏิรูปหน่วยงานนโยบายที่สําคัญ ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและตอบโจทย์ของประเทศที่ซับซ้อนขึ้น สํานักงานสถิติแห่งชาติ เร่งพัฒนาระบบข้อมูลที่สมบูรณ์ให้มีปริมาณที่เพียงพอ หลากหลาย เรียกใช้ได้รวดเร็ว มิติที่สอง การปฏิรูปหน่วยงานการคลังและงบประมาณให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว ต้องปฏิรูปหน่วยงบประมาณ ให้การจัดสรรงบประมาณสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และปฏิรูปนโยบายการคลังและภาษีเพื่อรองรับภาระทางการคลังในอนาคตที่จะเพิ่มขึ้นจากการดูแลผู้สูงอายุ ด้วยการปฏิรูประบบประกันสุขภาพของประเทศ และเพื่อเพิ่มรายได้รัฐบาลเสนอให้มีองค์กรจัดเก็บภาษีกึ่งอิสระเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี การปรับปรุงระบบภาษีในอัตราก้าวหน้า และขยายฐานการจัดเก็บภาษีไปสู่ทรัพย์สินรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งปฏิรูปหน่วยบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจให้บริหารสินทรัพย์ให้เพิ่มมูลค่าตามศักยภาพ มิติที่สาม การปฏิรูปหน่วยงานดําเนินการและประเมินผล ที่สําคัญ คือ หน่วยงานขับเคลื่อนนโยบาย (Execution Unit) ให้มุ่งผลสัมฤทธิ์รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หน่วยงาน ติดตามและประเมินผล เพื่อเพิ่มศักยภาพและความอิสระในการติดตามประเมินผล และมีข้อมูลให้ติดตาม ประเมินผลให้ถูกต้อง เชื่อถือได้ รวมทั้งมีหน่วยงานที่ทําหน้าที่นําผลข้างต้นย้อนกลับเพื่อปรับปรุงแผนในระยะต่อไป รวมถึงการปฏิรูปสถาบันเพิ่มผลผลิตให้ส่งเสริมผลิตภาพและการมาตรฐานขอนประเทศได้อย่างเป็นระบบ และสถาบันด้านการส่งเสริม SMEs เพื่อช่วยยกระดับความสามารถของ SMEs อย่างบูรณาการและได้ผลจริง พร้อมกันนี้ ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ได้กล่าวถึงความคาดหวังและความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิรูปประเทศว่า เงื่อนไขแห่งความสําเร็จดังกล่าวมีปัจจัย 4 ข้อ คือ 1) บริบทของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะทิศทางและกลไกของธุรกิจภาคเอกชน บริบทของภาวะเศรษฐกิจโลก และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่ไม่แน่นอน ซึ่งมีลักษณะของความเป็นพลวัต ดังนั้น ต้องมีความเข้าใจถึงความเป็นพลวัตดังกล่าวที่เกิดขึ้นแม้จะมีแผนปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์อย่างไร ต้องมีความยืดหยุ่นและสามารถที่จะปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ปัจจัยแห่งความสําเร็จคือการบริหารจัดการเพื่อให้สอดคล้องกับพลวัตที่เปลี่ยนแปลง 2) ต้องเข้าใจเรื่องการทํางานร่วมกันและความสัมพันธ์กับมิติด้านอื่น ๆ 3) การนําแผนหรือความคิดไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลได้มีการตั้งหน่วยที่รับผิดชอบเฉพาะในแต่ละกระทรวงเพื่อขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง และ 4) หน้าที่รับผิดชอบของการปฏิรูป ไม่ควรจะอยู่เฉพาะกับภาครัฐ หรือรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว เป็นหน้าที่ของทุกคนที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยที่สุดคือในฐานะที่เป็นพลเมือง เพราะสิ่งที่จะดําเนินการในการปฏิรูปประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย ที่สําคัญคือทําอย่างไรที่จะนําแนวคิดที่อยู่ในแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยก้าวไปสู่เป้าหมายที่กําหนดไว้ได้อย่างแท้จริง ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล โดย ปธ.กรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ชี้แจงความคืบหน้าปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ กำหนดเป้าหมายประเทศไทยมี “การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง” วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 รัฐบาล โดย ปธ.กรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ชี้แจงความคืบหน้าปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ กําหนดเป้าหมายประเทศไทยมี “การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง” รัฐบาลแถลงความคืบหน้าแผนปฏิรูปประเทศหัวข้อ "ทรัพยากรมีคุณค่า กับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน" โดยกําหนดเป้าหมายภายใต้กรอบแนวคิดประเทศไทยมี “การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง” วันนี้ (16 ก.พ.61) เวลา 10.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ และ ดร.รอยล จิตรดอน ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันแถลงความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศไทย หัวข้อ "ทรัพยากรมีคุณค่า กับการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน" โดยมีสื่อมวลชนสาขาต่าง ๆ เข้าร่วมซักถาม ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ได้กล่าวถึงความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ โดยชี้แจงเกี่ยวกับกรอบความคิดในการดําเนินการว่า คณะกรรมการฯ กําหนดเป้าหมายหลักของการปฏิรูปไว้ว่า มองไปข้างหน้าอยากที่จะเห็นประเทศไทยมี “การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริง” ซึ่งที่ผ่านมาแม้การพัฒนาจะช่วยให้ประเทศก้าวหน้าในหลายด้าน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไทยกําลังเผชิญกับความท้าท้าย 2 ส่วนสําคัญ คือ 1) ปัญหาเชิงโครงสร้างหลายเรื่องที่เหนี่ยวรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อาทิ ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจลดลง ปัญหาความเหลื่อมล้ําในหลายมิติปัญหา กลไกและบทบาทภาครัฐที่ไม่เอื้อต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งปัญหากฎหมายและกฎระเบียบที่มีจํานวนมาก ล้าสมัย และมีช่อนโหว่จากการใช้ดุลยพินิจ จนเป็นเหตุหนึ่งให้ปัญหาคอร์รัปชั่นรุนแรง และ 2) บริบทเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป จากความก้าวหน้าทานเทคโนโลยีที่พลิกโฉมกิจกรรมทานเศรษฐกิจ กติกาและมาตรฐานสากลที่ เข้มงวดขึ้น และสันคมผู้สูงอายุ สาระสําคัญของแผนปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ด้านที่ 1 การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ คือ คนไทย ภาคธุรกิจไทย และภาครัฐไทยต้องเก่งขึ้น ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวได้กําหนดเป็นแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดย ระยะสั้น คือ การเพิ่มผลิตภาพ ใน อุตสาหกรรมหลักที่ไทยมีความชํานาญ และสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพเติบโตในอนาคต จึงจําเป็นต้อง มีการพัฒนาทักษะบุคลากร เพิ่มประสิทธิภาพด้วยการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม การวิเคราะห์และใช้ประโยชน์จาก ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data analytics) และกฎหมายการแข่นขันทางการค้า รวมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบด้านต่านๆ ระยะกลาง การรวมกลุ่มในภูมิภาค เพื่อขยายตลาดและสร้างฐานการลนทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) บังคลาเทศ และตอนเหนือขอนอินเดีย และ ระยะยาวที่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้คือ การสร้างระบบนิเวศด้านการวิจัย และนวัตกรรม ที่เน้นตอบโจทย์ประเทศและความต้องการใช้งานได้จริง จึงต้องมีการ คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจัง รวมถึงการจัดตั้งศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนา การจัดตั้งศูนย์กลางการพัฒนาศักยภาพสตาร์ทอัพและวิสาหกิจขนาดเล็ก ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานกลางที่จะเอื้อให้เกิดการคิดค้น สร้างสรรค์ สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมใหม่ ด้านที่ 2 ความเท่าเทียมและการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและกระจาย ประโยชน์จากการพัฒนาไปสู่ประชาชนให้ทั่วถึงมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในข้อเสนอสําคัญ คือ การจัดตั้งสํานักงานบูรณาการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ํา เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนและผลักดันนโยบายให้เกิดผลจริง โดยแนวทางมีหลายระดับ ทั้งระดับบุคคล มุ่งเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรและแรงงานไร้ฝีมือที่ยากจนในระดับฐานราก ระดับชุมชน มุ่งสร้างชุมชนให้เข้มแข็ง ด้วยการยกระดับสถาบันการเงินชุมชนและพัฒนาธุรกิจชุมชน รวมถึงการพัฒนาผู้นําชุมชน และระดับประเทศ มุ่งพัฒนาเมืองในภูมิภาค และจัดสรรงบประมาณให้กับจันงหวัดที่ยากจนอย่างเหมาะสม การสร้างระบบสวัสดิการพื้นฐานที่จําเป็น อาทิ การปรับปรุง ระบบบํานาญ ให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม และขยายความคุ้มครองของกองทุนประกันสังคมไปยังกลุ่มแรงงานนอกระบบและเกษตรกรเพิ่มขึ้น ด้านที่ 3 การปรับกลไกและบทบาทภาครัฐให้เท่าทันกับบริบทที่เปลี่ยนแปลง โดยภาครัฐ (1) ต้องคํานึงถึง “ประสิทธิภาพ” และ “ความยั่งยืน” มากขึ้น (2) ต้อนโปร่งใส มีการตรวจสอบจากภาคประชาชนได้ (3) กระจายอํานาจให้ท้องถิ่นตัดสินใจมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การแก้ปัญหามีเจ้าภาพชัดเจน และ (4) ปรับบทบาทให้มี ความร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้นในทุกมิติ ที่สําคัญ คือ การยกระดับกระบวนการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพและบูรณาการ (Plan-Do-Check-Act) ใน 3 มิติ ดังนี้ มิติแรก การปฏิรูปหน่วยงานนโยบายที่สําคัญ ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ทํางานอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและตอบโจทย์ของประเทศที่ซับซ้อนขึ้น สํานักงานสถิติแห่งชาติ เร่งพัฒนาระบบข้อมูลที่สมบูรณ์ให้มีปริมาณที่เพียงพอ หลากหลาย เรียกใช้ได้รวดเร็ว มิติที่สอง การปฏิรูปหน่วยงานการคลังและงบประมาณให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว ต้องปฏิรูปหน่วยงบประมาณ ให้การจัดสรรงบประมาณสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และปฏิรูปนโยบายการคลังและภาษีเพื่อรองรับภาระทางการคลังในอนาคตที่จะเพิ่มขึ้นจากการดูแลผู้สูงอายุ ด้วยการปฏิรูประบบประกันสุขภาพของประเทศ และเพื่อเพิ่มรายได้รัฐบาลเสนอให้มีองค์กรจัดเก็บภาษีกึ่งอิสระเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี การปรับปรุงระบบภาษีในอัตราก้าวหน้า และขยายฐานการจัดเก็บภาษีไปสู่ทรัพย์สินรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งปฏิรูปหน่วยบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจให้บริหารสินทรัพย์ให้เพิ่มมูลค่าตามศักยภาพ มิติที่สาม การปฏิรูปหน่วยงานดําเนินการและประเมินผล ที่สําคัญ คือ หน่วยงานขับเคลื่อนนโยบาย (Execution Unit) ให้มุ่งผลสัมฤทธิ์รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หน่วยงาน ติดตามและประเมินผล เพื่อเพิ่มศักยภาพและความอิสระในการติดตามประเมินผล และมีข้อมูลให้ติดตาม ประเมินผลให้ถูกต้อง เชื่อถือได้ รวมทั้งมีหน่วยงานที่ทําหน้าที่นําผลข้างต้นย้อนกลับเพื่อปรับปรุงแผนในระยะต่อไป รวมถึงการปฏิรูปสถาบันเพิ่มผลผลิตให้ส่งเสริมผลิตภาพและการมาตรฐานขอนประเทศได้อย่างเป็นระบบ และสถาบันด้านการส่งเสริม SMEs เพื่อช่วยยกระดับความสามารถของ SMEs อย่างบูรณาการและได้ผลจริง พร้อมกันนี้ ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ได้กล่าวถึงความคาดหวังและความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิรูปประเทศว่า เงื่อนไขแห่งความสําเร็จดังกล่าวมีปัจจัย 4 ข้อ คือ 1) บริบทของเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะทิศทางและกลไกของธุรกิจภาคเอกชน บริบทของภาวะเศรษฐกิจโลก และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ที่ไม่แน่นอน ซึ่งมีลักษณะของความเป็นพลวัต ดังนั้น ต้องมีความเข้าใจถึงความเป็นพลวัตดังกล่าวที่เกิดขึ้นแม้จะมีแผนปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์อย่างไร ต้องมีความยืดหยุ่นและสามารถที่จะปรับตัวให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ปัจจัยแห่งความสําเร็จคือการบริหารจัดการเพื่อให้สอดคล้องกับพลวัตที่เปลี่ยนแปลง 2) ต้องเข้าใจเรื่องการทํางานร่วมกันและความสัมพันธ์กับมิติด้านอื่น ๆ 3) การนําแผนหรือความคิดไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลได้มีการตั้งหน่วยที่รับผิดชอบเฉพาะในแต่ละกระทรวงเพื่อขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง และ 4) หน้าที่รับผิดชอบของการปฏิรูป ไม่ควรจะอยู่เฉพาะกับภาครัฐ หรือรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว เป็นหน้าที่ของทุกคนที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยที่สุดคือในฐานะที่เป็นพลเมือง เพราะสิ่งที่จะดําเนินการในการปฏิรูปประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย ที่สําคัญคือทําอย่างไรที่จะนําแนวคิดที่อยู่ในแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ซึ่งจะทําให้ประเทศไทยก้าวไปสู่เป้าหมายที่กําหนดไว้ได้อย่างแท้จริง ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10140
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฐานะการคลังของรัฐบาลในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562)
วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2562 ฐานะการคลังของรัฐบาลในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) านะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2563) รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น จํานวน 429,707 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น จํานวน 549,527 ล้านบาท ฐานะการคลังของรัฐบาลในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2563) รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น จํานวน 429,707 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น จํานวน 549,527 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 มีจํานวนทั้งสิ้น 340,815 ล้านบาท Government’s Fiscal Balance Report: The First 2 Months of Fiscal Year 2020 (October – November 2019) Mr. Lavaron Sangsnit, Director–General of the Fiscal Policy Office and Spokesperson of the Ministry of Finance, stated that in the first 2 months of fiscal year 2020 (October – November 2019), the government has received 429,707 million baht of revenue on cash basis and disbursed 549,527 million baht of expenditure. Therefore, the treasury reserve at the end of November 2019 was at 340,815 million baht. https://bit.ly/39aHCgy https://bit.ly/2QgWK3l
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฐานะการคลังของรัฐบาลในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2562 ฐานะการคลังของรัฐบาลในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) านะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2563) รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น จํานวน 429,707 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น จํานวน 549,527 ล้านบาท ฐานะการคลังของรัฐบาลในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2562) นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงข่าวฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม – พฤศจิกายน 2563) รัฐบาลมีรายได้นําส่งคลังทั้งสิ้น จํานวน 429,707 ล้านบาท ในขณะที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณทั้งสิ้น จํานวน 549,527 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 มีจํานวนทั้งสิ้น 340,815 ล้านบาท Government’s Fiscal Balance Report: The First 2 Months of Fiscal Year 2020 (October – November 2019) Mr. Lavaron Sangsnit, Director–General of the Fiscal Policy Office and Spokesperson of the Ministry of Finance, stated that in the first 2 months of fiscal year 2020 (October – November 2019), the government has received 429,707 million baht of revenue on cash basis and disbursed 549,527 million baht of expenditure. Therefore, the treasury reserve at the end of November 2019 was at 340,815 million baht. https://bit.ly/39aHCgy https://bit.ly/2QgWK3l
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25468
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงใต้ เปิด สมอ.สัญจร เสริมความรู้เรื่องมาตรฐานแบบครบวงจร พร้อมปูพรมตรวจร้านจำหน่ายสินค้าต้องมี มอก.
วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561 รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงใต้ เปิด สมอ.สัญจร เสริมความรู้เรื่องมาตรฐานแบบครบวงจร พร้อมปูพรมตรวจร้านจําหน่ายสินค้าต้องมี มอก. นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิด การสัมมนา “สมอ. สัญจร” สมอ. สัญจร ลงพื้นที่ภาคใต้ เสริมความรู้เรื่องการมาตรฐานแบบครบวงจร แก่ผู้ประกอบการ SMEs และผู้ผลิตชุมชน พร้อมนําเจ้าหน้าที่ตรวจติดตามร้านจําหน่ายในพื้นที่สุราษฎร์ธานีและใกล้เคียง ขายสินค้าต้องมีมาตรฐาน มอก. และถูกกฎหมาย นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิด การสัมมนา “สมอ. สัญจร” ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสําคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการและ SMEs ตามแนวทาง Industry 4.0 ที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การบริการ และคุณภาพสินค้า ตลอดจนพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีทักษะมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อน การพัฒนาประเทศเข้าสู่สังคมดิจิทัลเต็มรูปแบบตามนโยบาย Thailand 4.0 และล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีมาตรการส่งเสริม SMEs อีก 9 มาตรการ เพื่อยกระดับเอสเอ็มอีไทย โดยมุ่งเน้นไปที่ "ไมโครเอสเอ็มอี" ดันรายได้สู่ท้องถิ่นทั่วประเทศ ทั้ง 9 มาตรการ ประกอบด้วย 1. การขยายศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) ทั่วประเทศ 23 แห่ง เพื่อให้เอสเอ็มอีมีพื้นที่ในการพัฒนาสินค้าต้นแบบใหม่ๆ รวมทั้งการบริการที่ปรึกษาแนะนําเชิงลึก และเชื่อมโยงเครือข่ายองค์กรสนับสนุนต่างๆ 2. ศูนย์สนับสนุนช่วยเหลือเอสเอ็มอี (SME Support & Rescue Center: SSRC) ทําหน้าที่เป็น Front Desk บูรณาการที่ปรึกษา รับคําขอกู้เงิน แก้ไขปัญหาและส่งต่อเอสเอ็มอี 3. Train The Coach หรือการสร้างโค้ช 4. SME Big Data โดยจัดทําข้อมูลเอสเอ็มอีของประเทศผ่าน Data Analytic 5. โครงการ Big Brothers หรือโครงการพี่ช่วยน้อง โดยร่วมมือกับบริษัทและองค์กรชั้นนําระดับประเทศและระดับโลก เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี 6. Digital Value Chain ผลักดันเอสเอ็มอีสู่ห่วงโซ่การผลิตโลกผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม B2B 7. โครงการเสริมแกร่งเอสเอ็มอีรอบรู้การเงิน เพื่อพัฒนาเสริมความรู้ด้านการเงินทั้งก่อนกู้และหลังกู้เพื่อให้มีบัญชีที่เป็นระบบ มุ่งเป้าสู่ระบบบัญชีเดียวในอนาคต 8. SME Standard Up ยกระดับเอสเอ็มอีสู่มาตรฐานที่เหมาะสมโดยพัฒนามาตรฐานเฉพาะ (มอก.S) ให้เหมาะสมกับระดับศักยภาพของเอสเอ็มอีและตรงความต้องการของตลาด เริ่มต้นที่กลุ่มสินค้าท่องเที่ยวเป็นลําดับแรก และ 9. การยกระดับเศรษฐกิจฐานชุมชน ผ่านโครงการยกระดับอุตสาหกรรมชุมชนเชื่อมโยงการท่องเที่ยว (CIV 4.0) โดยจะพัฒนาศักยภาพชุมชนค้นหาอัตลักษณ์ชุมชน ทําแผนการพัฒนาและบริหารจัดการอย่างยั่งยืน รวมทั้งผลักดันการแปรรูปผลิตผลการเกษตร โดยมีเป้าหมายยกระดับเศรษฐกิจฐานรากชุมชนมีรายได้เพิ่มไม่น้อยกว่า 25% ทั้งหมดนี้เป็นมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ของรัฐบาล ที่ต้องการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศสู่ Thailand 4.0 อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ นอกจากจะพบปะผู้ประกอบการและผู้ผลิตชุมชนในท้องถิ่น เพื่อรับทราบปัญหาและอุปสรรคในการทําธุรกิจแล้ว ยังได้เยี่ยมชมกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานของผู้ประกอบการยางพาราในพื้นที่ภาคใต้อีก 2 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสําคัญ รายแรกคือ บริษัท ศรีตรังโกฟส์ จํากัด เป็นผู้ผลิตถุงมือยางทางการแพทย์จากน้ํายางพารา ที่ส่งออก 95 % รายที่สอง คือบริษัท วงศ์บัณฑิต จํากัด เป็นผู้ผลิตยางแผ่นรมควันและยางแท่งชนิดพิเศษ ซึ่งเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตล้อยางเครื่องบิน รถความเร็วสูง ส่งออกประเทศจีน ยุโรปและอเมริกา นายอภิจิณ โชติกเสถียร เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า สมอ. ดําเนินงานตามแนวทาง Industry 4.0 ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs และผู้ผลิตชุมชน นําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยสร้างมูลค่าให้แก่สินค้า เพื่อยกระดับผู้ประกอบการ ตามนโยบาย Thailand 4.0 ขณะเดียวกันได้เดินหน้าส่งเสริมความรู้และสร้างเครือข่ายด้านการมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง โดยจัดการสัมมนา “สมอ.สัญจร” ครั้งที่ 3 ขึ้น ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภายหลังจากที่ได้จัดไปแล้ว 2 ครั้ง คือ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ที่จังหวัดพิษณุโลก และวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งในครั้งนี้ สมอ. ยังคงรูปแบบเดิมในการจัดกิจกรรม โดยบูรณาการกิจกรรมหลายๆ ด้านที่เกี่ยวข้องกับบทบาทภารกิจการดําเนินงานด้านการมาตรฐานของ สมอ. เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs และผู้ผลิตชุมชน มีผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี และใกล้เคียง รวมกว่า 350 คน ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรม ดังนี้ • พิธีมอบใบอนุญาต E-License แก่ผู้ได้รับใบอนุญาต จํานวน 3 ราย • การปล่อยคาราวานตรวจติดตามร้านจําหน่ายในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อตรวจติดตามการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างสม่ําเสมอ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้บริโภค • การสัมมนา “การสร้างเครือข่ายบุคลากรท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิต คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค” เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐาน มอก. และการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไม่ได้มาตรฐานในพื้นที่ให้แก่เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น • การสัมมนา “ก้าวข้ามอุปสรรคสู่ผลิตภัณฑ์ชุมชนยุค Thailad 4.0” เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถึงแนวคิด ความจําเป็น และแนวทางในการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาประยุกต์ใช้ในการประกอบกิจการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบการ เพื่อสร้างกลไกในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานราก ไปสู่ประเทศไทย ๔.๐ • การสัมมนา “การอนุญาตและการตรวจติดตาม” เพื่อให้ความรู้ด้านกระบวนการยื่นขออนุญาตและความร่วมมือทางวิชาการแก่ผู้ประกอบการ ตลอดจนเตรียมความพร้อมในการยื่นขอรับการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐาน มอก. • การสัมมนา “ มอก. S มาตรฐานเพื่อ SMEs ไทย” เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้มีความรู้ ความเข้าใจในมาตรฐาน มอก.S เพื่อนําไปพัฒนา ยกระดับขีดความสามารถในการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน มอก. S รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถขอรับการรับรองให้แสดงเครื่องหมาย มอก. S ได้ • การจัดแสดงนิทรรศการจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 10 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) การแสดงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ที่ประสบความสําเร็จและได้รับการรับรอง มผช. และคลินิกให้คําปรึกษาแนะนําด้านการรับรองมาตรฐานและการตรวจติดตามผล เป็นต้น เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงพื้นที่ สมอ.สัญจรในครั้งนี้ นอกจากจะเผยแพร่บทบาทภารกิจการดําเนินงานของ สมอ. แก่ผู้ประกอบการ และผู้ผลิตชุมชนในท้องถิ่นแล้ว ยังได้ดําเนินการตรวจติดตามเฝ้าระวังการจําหน่ายสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างสม่ําเสมอและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นภารกิจหลักของ สมอ. เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการใช้สินค้าได้อย่างปลอดภัย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงใต้ เปิด สมอ.สัญจร เสริมความรู้เรื่องมาตรฐานแบบครบวงจร พร้อมปูพรมตรวจร้านจำหน่ายสินค้าต้องมี มอก. วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561 รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงใต้ เปิด สมอ.สัญจร เสริมความรู้เรื่องมาตรฐานแบบครบวงจร พร้อมปูพรมตรวจร้านจําหน่ายสินค้าต้องมี มอก. นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิด การสัมมนา “สมอ. สัญจร” สมอ. สัญจร ลงพื้นที่ภาคใต้ เสริมความรู้เรื่องการมาตรฐานแบบครบวงจร แก่ผู้ประกอบการ SMEs และผู้ผลิตชุมชน พร้อมนําเจ้าหน้าที่ตรวจติดตามร้านจําหน่ายในพื้นที่สุราษฎร์ธานีและใกล้เคียง ขายสินค้าต้องมีมาตรฐาน มอก. และถูกกฎหมาย นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิด การสัมมนา “สมอ. สัญจร” ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสําคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการและ SMEs ตามแนวทาง Industry 4.0 ที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การบริการ และคุณภาพสินค้า ตลอดจนพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีทักษะมากขึ้น เพื่อขับเคลื่อน การพัฒนาประเทศเข้าสู่สังคมดิจิทัลเต็มรูปแบบตามนโยบาย Thailand 4.0 และล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีมาตรการส่งเสริม SMEs อีก 9 มาตรการ เพื่อยกระดับเอสเอ็มอีไทย โดยมุ่งเน้นไปที่ "ไมโครเอสเอ็มอี" ดันรายได้สู่ท้องถิ่นทั่วประเทศ ทั้ง 9 มาตรการ ประกอบด้วย 1. การขยายศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) ทั่วประเทศ 23 แห่ง เพื่อให้เอสเอ็มอีมีพื้นที่ในการพัฒนาสินค้าต้นแบบใหม่ๆ รวมทั้งการบริการที่ปรึกษาแนะนําเชิงลึก และเชื่อมโยงเครือข่ายองค์กรสนับสนุนต่างๆ 2. ศูนย์สนับสนุนช่วยเหลือเอสเอ็มอี (SME Support & Rescue Center: SSRC) ทําหน้าที่เป็น Front Desk บูรณาการที่ปรึกษา รับคําขอกู้เงิน แก้ไขปัญหาและส่งต่อเอสเอ็มอี 3. Train The Coach หรือการสร้างโค้ช 4. SME Big Data โดยจัดทําข้อมูลเอสเอ็มอีของประเทศผ่าน Data Analytic 5. โครงการ Big Brothers หรือโครงการพี่ช่วยน้อง โดยร่วมมือกับบริษัทและองค์กรชั้นนําระดับประเทศและระดับโลก เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอี 6. Digital Value Chain ผลักดันเอสเอ็มอีสู่ห่วงโซ่การผลิตโลกผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม B2B 7. โครงการเสริมแกร่งเอสเอ็มอีรอบรู้การเงิน เพื่อพัฒนาเสริมความรู้ด้านการเงินทั้งก่อนกู้และหลังกู้เพื่อให้มีบัญชีที่เป็นระบบ มุ่งเป้าสู่ระบบบัญชีเดียวในอนาคต 8. SME Standard Up ยกระดับเอสเอ็มอีสู่มาตรฐานที่เหมาะสมโดยพัฒนามาตรฐานเฉพาะ (มอก.S) ให้เหมาะสมกับระดับศักยภาพของเอสเอ็มอีและตรงความต้องการของตลาด เริ่มต้นที่กลุ่มสินค้าท่องเที่ยวเป็นลําดับแรก และ 9. การยกระดับเศรษฐกิจฐานชุมชน ผ่านโครงการยกระดับอุตสาหกรรมชุมชนเชื่อมโยงการท่องเที่ยว (CIV 4.0) โดยจะพัฒนาศักยภาพชุมชนค้นหาอัตลักษณ์ชุมชน ทําแผนการพัฒนาและบริหารจัดการอย่างยั่งยืน รวมทั้งผลักดันการแปรรูปผลิตผลการเกษตร โดยมีเป้าหมายยกระดับเศรษฐกิจฐานรากชุมชนมีรายได้เพิ่มไม่น้อยกว่า 25% ทั้งหมดนี้เป็นมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ของรัฐบาล ที่ต้องการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศสู่ Thailand 4.0 อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ นอกจากจะพบปะผู้ประกอบการและผู้ผลิตชุมชนในท้องถิ่น เพื่อรับทราบปัญหาและอุปสรรคในการทําธุรกิจแล้ว ยังได้เยี่ยมชมกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานของผู้ประกอบการยางพาราในพื้นที่ภาคใต้อีก 2 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสําคัญ รายแรกคือ บริษัท ศรีตรังโกฟส์ จํากัด เป็นผู้ผลิตถุงมือยางทางการแพทย์จากน้ํายางพารา ที่ส่งออก 95 % รายที่สอง คือบริษัท วงศ์บัณฑิต จํากัด เป็นผู้ผลิตยางแผ่นรมควันและยางแท่งชนิดพิเศษ ซึ่งเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตล้อยางเครื่องบิน รถความเร็วสูง ส่งออกประเทศจีน ยุโรปและอเมริกา นายอภิจิณ โชติกเสถียร เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวว่า สมอ. ดําเนินงานตามแนวทาง Industry 4.0 ของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs และผู้ผลิตชุมชน นําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยสร้างมูลค่าให้แก่สินค้า เพื่อยกระดับผู้ประกอบการ ตามนโยบาย Thailand 4.0 ขณะเดียวกันได้เดินหน้าส่งเสริมความรู้และสร้างเครือข่ายด้านการมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง โดยจัดการสัมมนา “สมอ.สัญจร” ครั้งที่ 3 ขึ้น ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภายหลังจากที่ได้จัดไปแล้ว 2 ครั้ง คือ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ที่จังหวัดพิษณุโลก และวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งในครั้งนี้ สมอ. ยังคงรูปแบบเดิมในการจัดกิจกรรม โดยบูรณาการกิจกรรมหลายๆ ด้านที่เกี่ยวข้องกับบทบาทภารกิจการดําเนินงานด้านการมาตรฐานของ สมอ. เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs และผู้ผลิตชุมชน มีผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี และใกล้เคียง รวมกว่า 350 คน ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรม ดังนี้ • พิธีมอบใบอนุญาต E-License แก่ผู้ได้รับใบอนุญาต จํานวน 3 ราย • การปล่อยคาราวานตรวจติดตามร้านจําหน่ายในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อตรวจติดตามการจําหน่ายผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างสม่ําเสมอ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้บริโภค • การสัมมนา “การสร้างเครือข่ายบุคลากรท้องถิ่น เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิต คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค” เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐาน มอก. และการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไม่ได้มาตรฐานในพื้นที่ให้แก่เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น • การสัมมนา “ก้าวข้ามอุปสรรคสู่ผลิตภัณฑ์ชุมชนยุค Thailad 4.0” เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถึงแนวคิด ความจําเป็น และแนวทางในการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาประยุกต์ใช้ในการประกอบกิจการ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบการ เพื่อสร้างกลไกในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจฐานราก ไปสู่ประเทศไทย ๔.๐ • การสัมมนา “การอนุญาตและการตรวจติดตาม” เพื่อให้ความรู้ด้านกระบวนการยื่นขออนุญาตและความร่วมมือทางวิชาการแก่ผู้ประกอบการ ตลอดจนเตรียมความพร้อมในการยื่นขอรับการรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐาน มอก. • การสัมมนา “ มอก. S มาตรฐานเพื่อ SMEs ไทย” เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs ให้มีความรู้ ความเข้าใจในมาตรฐาน มอก.S เพื่อนําไปพัฒนา ยกระดับขีดความสามารถในการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน มอก. S รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถขอรับการรับรองให้แสดงเครื่องหมาย มอก. S ได้ • การจัดแสดงนิทรรศการจากศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 10 ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) การแสดงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ที่ประสบความสําเร็จและได้รับการรับรอง มผช. และคลินิกให้คําปรึกษาแนะนําด้านการรับรองมาตรฐานและการตรวจติดตามผล เป็นต้น เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงพื้นที่ สมอ.สัญจรในครั้งนี้ นอกจากจะเผยแพร่บทบาทภารกิจการดําเนินงานของ สมอ. แก่ผู้ประกอบการ และผู้ผลิตชุมชนในท้องถิ่นแล้ว ยังได้ดําเนินการตรวจติดตามเฝ้าระวังการจําหน่ายสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างสม่ําเสมอและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นภารกิจหลักของ สมอ. เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการใช้สินค้าได้อย่างปลอดภัย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14175
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดนิทรรศการเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ๑๓๐ ปี ไทย-ญี่ปุ่น
วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560 รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดนิทรรศการเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ๑๓๐ ปี ไทย-ญี่ปุ่น รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดนิทรรศการเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ๑๓๐ ปี ไทย-ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลาประมาณ ๑๔.๐๐น. (ตามเวลาท้องถิ่นประเทศญี่ปุ่น) พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดนิทรรศการเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ๑๓๐ ปี ไทย-ญี่ปุ่นเรื่อง “ประเทศไทย: แดนแห่งความรุ่งโรจน์ในพระพุทธศาสนา" ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โตเกียวประเทศญี่ปุ่น โดยมีนางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้อํานวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โตเกียว ประธานบริษัทนิเคอิ และผู้มีเกียรติเข้าร่วมในพิธี โดย รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนิทรรศการครั้งนี้ว่าจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ๑๓๐ ปี ไทย-ญี่ปุ่น เป็นสิ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีการติดต่อกันมายาวนานกว่า ๖๐๐ ปี และได้เริ่มสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ เมื่อ ๑๓๐ ปีมาแล้ว ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งล้วนมีรากฐานมาจากพระราชไมตรีอันใกล้ชิดระหว่างพระราชวงศ์ญี่ปุ่น และพระราชวงศ์ไทย โดยได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันในทุกระดับอย่างสม่ําเสมอ นอกจากนี้ คนไทยและคนญี่ปุ่น มีความคล้ายกันหลายประการ เช่น การนับถือพุทธศาสนา และการมีพื้นฐานการดํารงชีวิตมาจากสังคมเกษตรกรรม รัฐบาลไทย โดยกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมครั้งสําคัญนี้ โดยได้นําโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุชิ้นเยี่ยมที่แสดงถึงประวัติศาสตร์ทุกสมัยของประเทศไทยจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ๑๗ แห่ง และหอสมุดแห่งชาติ รวม ๑๑๖ รายการ มาจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โตเกียว ระหว่างวันที่ ๔ กรกฎาคม - ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ บางชิ้นไม่เคยอนุญาตให้นําออกไปจัดแสดงนอกประเทศไทย ได้แก่ บานประตูไม้แกะสลักพระวิหารวัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งเป็นงานฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และได้รับทุนสนับสนุนด้านการอนุรักษ์จากมูลนิธิซูมิโตโม ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้ง โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านการอนุรักษ์จากสถาบันวิจัยมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติ กรุงโตเกียว (NRICPT) และได้นํามาจัดแสดงในนิทรรศการพิเศษครั้งนี้ด้วย หวังว่าจะช่วยส่งเสริมให้ผู้เข้าชมได้รับความรู้ ความเข้าใจในมรดกศิลปวัฒนธรรมไทย อีกทั้งตระหนักถึงความร่วมมือและมิตรไมตรีที่ดีต่อกันของสองประเทศที่มั่นคงยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดนิทรรศการเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ๑๓๐ ปี ไทย-ญี่ปุ่น วันอังคารที่ 4 กรกฎาคม 2560 รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดนิทรรศการเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ๑๓๐ ปี ไทย-ญี่ปุ่น รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดนิทรรศการเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ๑๓๐ ปี ไทย-ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลาประมาณ ๑๔.๐๐น. (ตามเวลาท้องถิ่นประเทศญี่ปุ่น) พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดนิทรรศการเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ๑๓๐ ปี ไทย-ญี่ปุ่นเรื่อง “ประเทศไทย: แดนแห่งความรุ่งโรจน์ในพระพุทธศาสนา" ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โตเกียวประเทศญี่ปุ่น โดยมีนางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้อํานวยการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โตเกียว ประธานบริษัทนิเคอิ และผู้มีเกียรติเข้าร่วมในพิธี โดย รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนิทรรศการครั้งนี้ว่าจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต ๑๓๐ ปี ไทย-ญี่ปุ่น เป็นสิ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีการติดต่อกันมายาวนานกว่า ๖๐๐ ปี และได้เริ่มสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ เมื่อ ๑๓๐ ปีมาแล้ว ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งล้วนมีรากฐานมาจากพระราชไมตรีอันใกล้ชิดระหว่างพระราชวงศ์ญี่ปุ่น และพระราชวงศ์ไทย โดยได้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันในทุกระดับอย่างสม่ําเสมอ นอกจากนี้ คนไทยและคนญี่ปุ่น มีความคล้ายกันหลายประการ เช่น การนับถือพุทธศาสนา และการมีพื้นฐานการดํารงชีวิตมาจากสังคมเกษตรกรรม รัฐบาลไทย โดยกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมครั้งสําคัญนี้ โดยได้นําโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุชิ้นเยี่ยมที่แสดงถึงประวัติศาสตร์ทุกสมัยของประเทศไทยจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ๑๗ แห่ง และหอสมุดแห่งชาติ รวม ๑๑๖ รายการ มาจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โตเกียว ระหว่างวันที่ ๔ กรกฎาคม - ๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ บางชิ้นไม่เคยอนุญาตให้นําออกไปจัดแสดงนอกประเทศไทย ได้แก่ บานประตูไม้แกะสลักพระวิหารวัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งเป็นงานฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และได้รับทุนสนับสนุนด้านการอนุรักษ์จากมูลนิธิซูมิโตโม ประเทศญี่ปุ่น รวมทั้ง โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านการอนุรักษ์จากสถาบันวิจัยมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติ กรุงโตเกียว (NRICPT) และได้นํามาจัดแสดงในนิทรรศการพิเศษครั้งนี้ด้วย หวังว่าจะช่วยส่งเสริมให้ผู้เข้าชมได้รับความรู้ ความเข้าใจในมรดกศิลปวัฒนธรรมไทย อีกทั้งตระหนักถึงความร่วมมือและมิตรไมตรีที่ดีต่อกันของสองประเทศที่มั่นคงยั่งยืนต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4975
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับดูแลช่วยเหลือลูกเรือไทย 18 คน ที่ถูกลอยแพกลางทะเลโซมาเลียอย่างเต็มที่
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562 นายกฯ กําชับดูแลช่วยเหลือลูกเรือไทย 18 คน ที่ถูกลอยแพกลางทะเลโซมาเลียอย่างเต็มที่ นายกฯ กําชับดูแลช่วยเหลือลูกเรือไทย 18 คน ที่ถูกลอยแพกลางทะเลโซมาเลียอย่างเต็มที่ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการช่วยเหลือลูกเรือไทย 18 คน ที่ถูกลอยแพกลางทะเลประเทศโซมาเลีย ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ห่วงใยและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยลูกเรือทั้งหมดจะเดินทางถึงไทยในวันที่ 12 ส.ค. 62 พร้อมกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลลูกเรือไทยอย่างดีที่สุด สําหรับการให้ความช่วยเหลือลูกเรือนั้น หากเป็นแรงงานที่เป็นสมาชิกกองทุนช่วยเหลือคนหางานไปทํางานต่างประเทศ จะได้รับการดูแลตามระเบียบกองทุนฯ เช่น ค่าพาหนะในต่างประเทศ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 30,000 บาท การอํานวยความสะดวกรถรับส่ง จัดหาที่พักก่อนเดินทางกลับภูมิลําเนา และค่าพาหนะ ค่าอาหารในการเดินทางกลับภูมิลําเนา การติดตามสิทธิประโยชน์ให้เมื่อเดินทางถึงไทยแล้ว เช่น ค่าจ้างค้างจ่าย เงินสมาชิกกองทุน รวมทั้งสอบถามความต้องการทํางาน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และดําเนินคดีกับนายหน้าหากมีการฝ่าฝืน พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2537 ด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับดูแลช่วยเหลือลูกเรือไทย 18 คน ที่ถูกลอยแพกลางทะเลโซมาเลียอย่างเต็มที่ วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562 นายกฯ กําชับดูแลช่วยเหลือลูกเรือไทย 18 คน ที่ถูกลอยแพกลางทะเลโซมาเลียอย่างเต็มที่ นายกฯ กําชับดูแลช่วยเหลือลูกเรือไทย 18 คน ที่ถูกลอยแพกลางทะเลโซมาเลียอย่างเต็มที่ ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการช่วยเหลือลูกเรือไทย 18 คน ที่ถูกลอยแพกลางทะเลประเทศโซมาเลีย ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ห่วงใยและติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยลูกเรือทั้งหมดจะเดินทางถึงไทยในวันที่ 12 ส.ค. 62 พร้อมกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลลูกเรือไทยอย่างดีที่สุด สําหรับการให้ความช่วยเหลือลูกเรือนั้น หากเป็นแรงงานที่เป็นสมาชิกกองทุนช่วยเหลือคนหางานไปทํางานต่างประเทศ จะได้รับการดูแลตามระเบียบกองทุนฯ เช่น ค่าพาหนะในต่างประเทศ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 30,000 บาท การอํานวยความสะดวกรถรับส่ง จัดหาที่พักก่อนเดินทางกลับภูมิลําเนา และค่าพาหนะ ค่าอาหารในการเดินทางกลับภูมิลําเนา การติดตามสิทธิประโยชน์ให้เมื่อเดินทางถึงไทยแล้ว เช่น ค่าจ้างค้างจ่าย เงินสมาชิกกองทุน รวมทั้งสอบถามความต้องการทํางาน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และดําเนินคดีกับนายหน้าหากมีการฝ่าฝืน พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2537 ด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22125
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันวัฒนธรรมไทยใน ASTANA EXPO 2017
วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2560 พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันวัฒนธรรมไทยใน ASTANA EXPO 2017 พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันวัฒนธรรมไทยใน ASTANA EXPO 2017 วันนี้ (12 สิงหาคม 2560) เวลา 1300 น. ณ สาธารณรัฐคาซัคสถาน รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันวัฒนธรรมไทยใน ASTANA EXPO 2017 และได้ร่วมลงนามในสมุดเยี่ยม และถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสาธารณรัฐคาซัคสถาน นอกจากนี้รองนายกรัฐมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมนิทรรศการ และการแสดงในอาคารศาลาไทย หลังจากนั้นได้เยี่ยมชม อาคารแสดงของ คาซัคสถาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น ยูอีเอ ที่ทุกอาคารเน้นเรื่อง การประหยัดพลังงาน การเตรียมการด้านพลังงานทางเลือก ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีผู้เข้าชมจากทั่วโลกแล้วประมาณ 2 ล้านคนเศษ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันวัฒนธรรมไทยใน ASTANA EXPO 2017 วันอาทิตย์ที่ 13 สิงหาคม 2560 พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันวัฒนธรรมไทยใน ASTANA EXPO 2017 พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร และพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันวัฒนธรรมไทยใน ASTANA EXPO 2017 วันนี้ (12 สิงหาคม 2560) เวลา 1300 น. ณ สาธารณรัฐคาซัคสถาน รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดงานวันวัฒนธรรมไทยใน ASTANA EXPO 2017 และได้ร่วมลงนามในสมุดเยี่ยม และถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสาธารณรัฐคาซัคสถาน นอกจากนี้รองนายกรัฐมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมนิทรรศการ และการแสดงในอาคารศาลาไทย หลังจากนั้นได้เยี่ยมชม อาคารแสดงของ คาซัคสถาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น ยูอีเอ ที่ทุกอาคารเน้นเรื่อง การประหยัดพลังงาน การเตรียมการด้านพลังงานทางเลือก ซึ่ง ณ ปัจจุบันมีผู้เข้าชมจากทั่วโลกแล้วประมาณ 2 ล้านคนเศษ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5913
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ติดตามการขับเคลื่อนงานการพัฒนาด้านการเกษตรตามนโยบายของรัฐบาล
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 นายกรัฐมนตรีนําคณะลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ติดตามการขับเคลื่อนงานการพัฒนาด้านการเกษตรตามนโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีนําคณะลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ติดตามการขับเคลื่อนงานการพัฒนาด้านการเกษตรตามนโยบายของรัฐบาล ชื่นชมกลุ่มเกษตรกร จ.ศรีสะเกษ มีความเข้มแข็งในการรวมกลุ่ม รู้จักปรับตัวในการสร้างโอกาสประกอบอาชีพให้มีความมั่นคงและยั่งยืน วันนี้ (24 ก.พ. 60) เวลา 09.45 น. ณ หอประชุมเพทาย โรงเรียนราษีไศล อําเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมติดตามนโยบายและแนวทางปฏิบัติราชการ การขับเคลื่อนงานตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมพบปะประชาชน โดยมีนายธวัช สุระบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ข้าราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนให้การต้อนรับ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวรายงานว่า จังหวัดศรีสะเกษ มีพื้นที่ประมาณ 5 ล้าน 5 แสนไร่ ประชากร 1.46 ล้านคน ประกอบด้วย 22 อําเภอ 204 ตําบล 2,633 หมู่บ้าน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม พืชเศรษฐกิจที่สําคัญคือข้าวหอมมะลิ มีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) มูลค่า 62,762 ล้านบาท และรายได้ประชากรต่อคนต่อปี จํานวน 60,126 บาท เป็นลําดับที่ 65 ของประเทศ โดยการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลในรอบปีที่ผ่านมามีดังนี้ 1. การทําเกษตรแปลงใหญ่ จํานวน 22 แปลง พื้นที่ 76,060 ไร่ แบ่งเป็น แปลงใหญ่ข้าวหอมมะลิ 20 แปลง พื้นที่ 63,446 ไร่ แปลงใหญ่ทุเรียน จํานวน 2 แปลง พื้นที่ 2,847 ไร่ 2. โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่นาไม่เหมาะสมไปปลูกพืชชนิดอื่นและเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ อาทิ ส่งเสริมการปลูกอ้อยและส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อลูกผสม 3. การพัฒนาหมู่บ้านตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ศาสตร์พระราชา) โดยทางจังหวัดได้ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สนับสนุนงบประมาณขยายผลหมู่บ้านต้นแบบเพิ่มเติม จาก 500 หมู่บ้าน เป็น 799 หมู่บ้าน ในปี 2560 4. การบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอต่อความต้องการ สําหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร เพื่อลดผลกระทบจากภัยแล้ง 5. การบริหารจัดการขยะ "จังหวัดสะอาดตามหลัก 3 ช" ใช้น้อย ใช้ซ้ํา และนํากลับไปใช้ใหม่ ซึ่งจังหวัดมีปริมาณขยะต่อปี 116,000 ตัน ผลการดําเนินงานที่ผ่านมาสามารถลดปริมาณขยะเฉลี่ยเดือนละ 100 ตัน คิดเป็น 15% ซึ่งทางจังหวัดศรีสะเกษ ได้ขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลที่สําคัญ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีรับชมการแสดงชุดออนซอนนครลําดวน จากนักเรียนโรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย พร้อมกล่าวพบปะประชาชนว่า ดีใจที่ได้ลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนชาวจังหวัดศรีสะเกษ ได้มาเห็นความเป็นอยู่และความสําเร็จของพลังประชารัฐที่ภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชนได้ดําเนินการร่วมกัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน วันนี้เราต้องมองตัวเองออกไปให้ไกลสักนิด มองไปหมู่บ้านข้าง ๆ ว่าเราจะอยู่กันอย่างไรต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกัน เพราะไม่มีอะไรที่จะทําให้เราแตกแยกได้เพราะเราเป็นคนไทย ดั้งนั้นทุกคนจะต้องช่วยกันพัฒนาประเทศไปด้วยกันและเสริมสร้างความเข้มแข็งจากเล็กให้ใหญ่ขึ้นไปสู่ประเทศ ซึ่งวันนี้รัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาประเทศในลักษณะเป็นภูมิภาค ที่จะต้องมีความสมบูรณ์ในตัวเอง โดยพิจารณาตั้งแต่ภูมิภาคทั้ง 4 ภูมิภาค ตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินที่แบ่งการปกครองเป็น 4 ภาค โดยวันนี้รัฐบาลได้ปรับในเรื่องของการบริหารในการใช้จ่ายงบประมาณเป็น 6 ภูมิภาค เพราะแต่ละภาคมีความแตกต่างกัน จึงได้เพิ่มภาคตะวันออกและ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาเพื่อที่จะดูแลเป็นพิเศษ โดยทุกภาคส่วนจะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้รัฐบาลได้มีงบประมาณลงกลุ่มจังหวัด 4,000 กว่าล้านบาท ซึ่งไม่เคยมีแบบนี้ แต่รัฐบาลนี้ให้ ทั้งนี้ ไม่ได้ให้เพื่อคะแนนเสียง แต่ให้เพื่อไปสร้างความเข้มแข็งและเพื่อสร้างความเชื่อมโยงของกลุ่มจังหวัด และที่สําคัญคือการสร้างความเชื่อมโยงทางกายภาพ ซึ่งต้องมีการเชื่อมโยงด้วยการสร้างมูลค่าและนวัตกรรม โดยต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน วันนี้ประเทศไทยมีรายได้ 2 ล้านล้านบาท มองดูเหมือนมาก แต่ไม่พอสําหรับการใช้จ่ายในวันนี้และวันข้างหน้า จึงจําเป็นต้องพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ได้ทั้งเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลางคือเศรษฐกิจชุมชน และเศรษฐกิจฐานรากซึ่งรัฐบาลนี้ไม่ได้เคยนิ่งนอนใจ โดยให้ความสําคัญเท่ากับเศรษฐกิจขนาดใหญ่เหมือนกัน อีกทั้งรัฐบาลกําลังดําเนินการแก้ไขปรับระบบและระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป สําหรับในเรื่องการลดหนี้สินของประชาชน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองตามแนวประชารัฐ ได้มีมติอนุมัติสินเชื่อประชารัฐ 50,000 บาทต่อราย เพื่อนําไปทําทุนไม่ใช่การไปใช้หนี้ พร้อมทั้งแก้ปัญหาหนี้นอกระบบและคนปล่อยหนี้ต้องเป็นบริษัท จะเรียกเก็บเงินเกินไม่ได้ ซึ่งจะต้องนําคนเหล่านี้มาลงทะเบียนและเก็บดอกเบี้ยตามที่กําหนด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดศรีสะเกษที่มีความเข้มแข็งในการรวมกลุ่มและรู้จักการปรับตัว ในการสร้างโอกาสการประกอบอาชีพให้มีความมั่นคงและยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาพื้นที่และผลิตผลของตนเองตามความรู้ความสามารถและวิถีของภูมิปัญญาท้องถิ่น และการทําเกษตรแบบแปลงใหญ่ผ่านกลไกประชารัฐ อีกทั้ง การขยายและเชื่อมโยงเครือข่ายทางคมนาคมขนส่ง จึงเป็นเรื่องที่มีความจําเป็นต่อการส่งเสริมเส้นทางการค้าและการลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยว ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนโครงการต่างๆ เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับประชาชนในพื้นที่ ที่จะช่วยส่งผลให้ชีวิตของประชาชนมีคุณภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การสร้างจุดเด่นที่ทําให้ผลิตผลของจังหวัดศรีสะเกษมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งข้าว กระเทียม หอมแดง ทุเรียน และข้าวทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ ซึ่งเป็นสินค้า GI ที่สามารถปลูกได้เฉพาะพื้นที่เท่านั้น จึงทําให้สินค้าของพื้นที่นี้ได้ขยายตลาดจากภายในประเทศไปสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการทําเกษตรแบบแปลงใหญ่ว่า รัฐบาลให้ความสําคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยผลิตสินค้าทาง การเกษตรร่วมกัน บริหารจัดการร่วมกัน ซึ่งเป็นการช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งเรื่องการลดต้นทุนการผลิต การส่งเสริมความสามารถการแข่งขันในตลาด ซึ่งมีเป้าหมายในปี 2560 ไว้ที่ 1,500 แปลง และจะขยายเป็น 7,000 แปลง ภายใน 5 ปี โดยในปัจจุบันนี้ มีอยู่ทั้งหมด 600 แปลง อีกทั้ง ต้องการเห็นการทําเกษตรแบบแปลงใหญ่ออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยพลังความสามัคคีของเกษตรกรในชุมชนที่ร่วมแรงร่วมใจ นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าเกษตรปลอดภัย ซึ่งจะเป็นการทําให้ผู้บริโภคได้รับประทานอาหารปลอดภัย เกษตรกรก็ไม่ต้องเสี่ยงกับกรรมวิธีการใช้สารเคมีในการทําเกษตรกรรม ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน โดยในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอินทรีย์สากล ประมาณ 150,000 ไร่ มีข้าวอินทรีย์ประมาณ 90,000 ไร่ พืชผักอินทรีย์ประมาณ 3,000 ไร่ ไม้ผลอินทรีย์ประมาณ 5,000 ไร่ และอื่น ๆ อีกประมาณ 50,000 ไร่ โดยสามารถผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ประมาณ 50,000 ตัน ซึ่งต้องทําให้คุ้มค่า มีความปลอดภัยทั้งต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตอย่างแท้จริง นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมข้าวลุงบุญมี ซึ่งเป็นตราสินค้าข้าวอินทรีย์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในวงกว้าง ในเรื่องมาตรฐานและการแปรรูปเป็นสินค้าชนิดอื่น ๆ โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนบ้านอุ่มแสง ในการสร้างแบรนด์ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของท้องถิ่นในการพัฒนาสินค้าในพื้นที่ให้มีความโดดเด่นและมีคุณภาพ ซึ่งภาครัฐพร้อมสนับสนุนและส่งเสริมสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้เป็นที่นิยมมากขึ้น จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางไปยังสวนสมุนไพรเพื่อปลูกต้นพะยูง ก่อนเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียนราษีไศล โดยตัวแทนนักเรียนมัธยมศึกษาได้นําเสนอโครงงานวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ฯลฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจเครื่องเป่าสะไน ที่เป็นเครื่องดนตรีอันเก่าแก่ของชนเผ่าเยอ โดยขอให้นักเรียนทุกคนรักษาเอกลักษณ์ วัฒนธรรมอันเก่าแก่นี้ไว้เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว พร้อมขอให้เด็กนักเรียนได้ใช้ภาษาไทยทั้งการเขียน การอ่านให้ถูกต้อง อย่าใช้ศัพท์โซเชียลมากเกินไป ..................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ติดตามการขับเคลื่อนงานการพัฒนาด้านการเกษตรตามนโยบายของรัฐบาล วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 นายกรัฐมนตรีนําคณะลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ติดตามการขับเคลื่อนงานการพัฒนาด้านการเกษตรตามนโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีนําคณะลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ติดตามการขับเคลื่อนงานการพัฒนาด้านการเกษตรตามนโยบายของรัฐบาล ชื่นชมกลุ่มเกษตรกร จ.ศรีสะเกษ มีความเข้มแข็งในการรวมกลุ่ม รู้จักปรับตัวในการสร้างโอกาสประกอบอาชีพให้มีความมั่นคงและยั่งยืน วันนี้ (24 ก.พ. 60) เวลา 09.45 น. ณ หอประชุมเพทาย โรงเรียนราษีไศล อําเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมติดตามนโยบายและแนวทางปฏิบัติราชการ การขับเคลื่อนงานตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมพบปะประชาชน โดยมีนายธวัช สุระบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ข้าราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนให้การต้อนรับ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ กล่าวรายงานว่า จังหวัดศรีสะเกษ มีพื้นที่ประมาณ 5 ล้าน 5 แสนไร่ ประชากร 1.46 ล้านคน ประกอบด้วย 22 อําเภอ 204 ตําบล 2,633 หมู่บ้าน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม พืชเศรษฐกิจที่สําคัญคือข้าวหอมมะลิ มีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) มูลค่า 62,762 ล้านบาท และรายได้ประชากรต่อคนต่อปี จํานวน 60,126 บาท เป็นลําดับที่ 65 ของประเทศ โดยการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลในรอบปีที่ผ่านมามีดังนี้ 1. การทําเกษตรแปลงใหญ่ จํานวน 22 แปลง พื้นที่ 76,060 ไร่ แบ่งเป็น แปลงใหญ่ข้าวหอมมะลิ 20 แปลง พื้นที่ 63,446 ไร่ แปลงใหญ่ทุเรียน จํานวน 2 แปลง พื้นที่ 2,847 ไร่ 2. โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่นาไม่เหมาะสมไปปลูกพืชชนิดอื่นและเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจ อาทิ ส่งเสริมการปลูกอ้อยและส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อลูกผสม 3. การพัฒนาหมู่บ้านตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (ศาสตร์พระราชา) โดยทางจังหวัดได้ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สนับสนุนงบประมาณขยายผลหมู่บ้านต้นแบบเพิ่มเติม จาก 500 หมู่บ้าน เป็น 799 หมู่บ้าน ในปี 2560 4. การบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอต่อความต้องการ สําหรับการอุปโภคบริโภคและการเกษตร เพื่อลดผลกระทบจากภัยแล้ง 5. การบริหารจัดการขยะ "จังหวัดสะอาดตามหลัก 3 ช" ใช้น้อย ใช้ซ้ํา และนํากลับไปใช้ใหม่ ซึ่งจังหวัดมีปริมาณขยะต่อปี 116,000 ตัน ผลการดําเนินงานที่ผ่านมาสามารถลดปริมาณขยะเฉลี่ยเดือนละ 100 ตัน คิดเป็น 15% ซึ่งทางจังหวัดศรีสะเกษ ได้ขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของรัฐบาลที่สําคัญ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีรับชมการแสดงชุดออนซอนนครลําดวน จากนักเรียนโรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย พร้อมกล่าวพบปะประชาชนว่า ดีใจที่ได้ลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนชาวจังหวัดศรีสะเกษ ได้มาเห็นความเป็นอยู่และความสําเร็จของพลังประชารัฐที่ภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชนได้ดําเนินการร่วมกัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน วันนี้เราต้องมองตัวเองออกไปให้ไกลสักนิด มองไปหมู่บ้านข้าง ๆ ว่าเราจะอยู่กันอย่างไรต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกัน เพราะไม่มีอะไรที่จะทําให้เราแตกแยกได้เพราะเราเป็นคนไทย ดั้งนั้นทุกคนจะต้องช่วยกันพัฒนาประเทศไปด้วยกันและเสริมสร้างความเข้มแข็งจากเล็กให้ใหญ่ขึ้นไปสู่ประเทศ ซึ่งวันนี้รัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนาประเทศในลักษณะเป็นภูมิภาค ที่จะต้องมีความสมบูรณ์ในตัวเอง โดยพิจารณาตั้งแต่ภูมิภาคทั้ง 4 ภูมิภาค ตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินที่แบ่งการปกครองเป็น 4 ภาค โดยวันนี้รัฐบาลได้ปรับในเรื่องของการบริหารในการใช้จ่ายงบประมาณเป็น 6 ภูมิภาค เพราะแต่ละภาคมีความแตกต่างกัน จึงได้เพิ่มภาคตะวันออกและ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาเพื่อที่จะดูแลเป็นพิเศษ โดยทุกภาคส่วนจะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้รัฐบาลได้มีงบประมาณลงกลุ่มจังหวัด 4,000 กว่าล้านบาท ซึ่งไม่เคยมีแบบนี้ แต่รัฐบาลนี้ให้ ทั้งนี้ ไม่ได้ให้เพื่อคะแนนเสียง แต่ให้เพื่อไปสร้างความเข้มแข็งและเพื่อสร้างความเชื่อมโยงของกลุ่มจังหวัด และที่สําคัญคือการสร้างความเชื่อมโยงทางกายภาพ ซึ่งต้องมีการเชื่อมโยงด้วยการสร้างมูลค่าและนวัตกรรม โดยต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน วันนี้ประเทศไทยมีรายได้ 2 ล้านล้านบาท มองดูเหมือนมาก แต่ไม่พอสําหรับการใช้จ่ายในวันนี้และวันข้างหน้า จึงจําเป็นต้องพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ได้ทั้งเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลางคือเศรษฐกิจชุมชน และเศรษฐกิจฐานรากซึ่งรัฐบาลนี้ไม่ได้เคยนิ่งนอนใจ โดยให้ความสําคัญเท่ากับเศรษฐกิจขนาดใหญ่เหมือนกัน อีกทั้งรัฐบาลกําลังดําเนินการแก้ไขปรับระบบและระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป สําหรับในเรื่องการลดหนี้สินของประชาชน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองตามแนวประชารัฐ ได้มีมติอนุมัติสินเชื่อประชารัฐ 50,000 บาทต่อราย เพื่อนําไปทําทุนไม่ใช่การไปใช้หนี้ พร้อมทั้งแก้ปัญหาหนี้นอกระบบและคนปล่อยหนี้ต้องเป็นบริษัท จะเรียกเก็บเงินเกินไม่ได้ ซึ่งจะต้องนําคนเหล่านี้มาลงทะเบียนและเก็บดอกเบี้ยตามที่กําหนด พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดศรีสะเกษที่มีความเข้มแข็งในการรวมกลุ่มและรู้จักการปรับตัว ในการสร้างโอกาสการประกอบอาชีพให้มีความมั่นคงและยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาพื้นที่และผลิตผลของตนเองตามความรู้ความสามารถและวิถีของภูมิปัญญาท้องถิ่น และการทําเกษตรแบบแปลงใหญ่ผ่านกลไกประชารัฐ อีกทั้ง การขยายและเชื่อมโยงเครือข่ายทางคมนาคมขนส่ง จึงเป็นเรื่องที่มีความจําเป็นต่อการส่งเสริมเส้นทางการค้าและการลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยว ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนโครงการต่างๆ เพื่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับประชาชนในพื้นที่ ที่จะช่วยส่งผลให้ชีวิตของประชาชนมีคุณภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การสร้างจุดเด่นที่ทําให้ผลิตผลของจังหวัดศรีสะเกษมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งข้าว กระเทียม หอมแดง ทุเรียน และข้าวทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ ซึ่งเป็นสินค้า GI ที่สามารถปลูกได้เฉพาะพื้นที่เท่านั้น จึงทําให้สินค้าของพื้นที่นี้ได้ขยายตลาดจากภายในประเทศไปสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการทําเกษตรแบบแปลงใหญ่ว่า รัฐบาลให้ความสําคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยผลิตสินค้าทาง การเกษตรร่วมกัน บริหารจัดการร่วมกัน ซึ่งเป็นการช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งเรื่องการลดต้นทุนการผลิต การส่งเสริมความสามารถการแข่งขันในตลาด ซึ่งมีเป้าหมายในปี 2560 ไว้ที่ 1,500 แปลง และจะขยายเป็น 7,000 แปลง ภายใน 5 ปี โดยในปัจจุบันนี้ มีอยู่ทั้งหมด 600 แปลง อีกทั้ง ต้องการเห็นการทําเกษตรแบบแปลงใหญ่ออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยพลังความสามัคคีของเกษตรกรในชุมชนที่ร่วมแรงร่วมใจ นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าเกษตรปลอดภัย ซึ่งจะเป็นการทําให้ผู้บริโภคได้รับประทานอาหารปลอดภัย เกษตรกรก็ไม่ต้องเสี่ยงกับกรรมวิธีการใช้สารเคมีในการทําเกษตรกรรม ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน โดยในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอินทรีย์สากล ประมาณ 150,000 ไร่ มีข้าวอินทรีย์ประมาณ 90,000 ไร่ พืชผักอินทรีย์ประมาณ 3,000 ไร่ ไม้ผลอินทรีย์ประมาณ 5,000 ไร่ และอื่น ๆ อีกประมาณ 50,000 ไร่ โดยสามารถผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ประมาณ 50,000 ตัน ซึ่งต้องทําให้คุ้มค่า มีความปลอดภัยทั้งต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตอย่างแท้จริง นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวชื่นชมข้าวลุงบุญมี ซึ่งเป็นตราสินค้าข้าวอินทรีย์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับในวงกว้าง ในเรื่องมาตรฐานและการแปรรูปเป็นสินค้าชนิดอื่น ๆ โดยได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนบ้านอุ่มแสง ในการสร้างแบรนด์ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของท้องถิ่นในการพัฒนาสินค้าในพื้นที่ให้มีความโดดเด่นและมีคุณภาพ ซึ่งภาครัฐพร้อมสนับสนุนและส่งเสริมสินค้าเกษตรอินทรีย์ให้เป็นที่นิยมมากขึ้น จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางไปยังสวนสมุนไพรเพื่อปลูกต้นพะยูง ก่อนเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียนราษีไศล โดยตัวแทนนักเรียนมัธยมศึกษาได้นําเสนอโครงงานวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ฯลฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจเครื่องเป่าสะไน ที่เป็นเครื่องดนตรีอันเก่าแก่ของชนเผ่าเยอ โดยขอให้นักเรียนทุกคนรักษาเอกลักษณ์ วัฒนธรรมอันเก่าแก่นี้ไว้เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว พร้อมขอให้เด็กนักเรียนได้ใช้ภาษาไทยทั้งการเขียน การอ่านให้ถูกต้อง อย่าใช้ศัพท์โซเชียลมากเกินไป ..................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2048
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมสร้างเครือข่าย เชื่อมโยง เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทย
วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมสร้างเครือข่าย เชื่อมโยง เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมสร้างเครือข่าย เชื่อมโยง เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทย ภายใต้โครงการ หนุน SMEs ไทยก้าวไกลไปด้วยกัน ณ ห้องแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคารสํานักงานใหญ่ SME D Bank วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นประธานในการประชุมสร้างเครือข่าย เชื่อมโยง เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทย ภายใต้โครงการ หนุน SMEs ไทยก้าวไกลไปด้วยกัน โดยมี นายสมานพงษ์ เกลี้ยงลํายอง นางจงรักษ์ โปลิตานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ ณ ห้องแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคารสํานักงานใหญ่ SME D Bank จากนั้นปลัดกอบชัยฯ ร่วมงานแถลงข่าว "บอกรัก SME D ยกกําลัง 3" ภายใต้โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ระหว่าง ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมี นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และนายบรรยง วิเศษมงคลชัย ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เข้าร่วม จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา เห็นชอบมาตรการ "ต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย" เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้สามารถเพิ่มขีดความสามรถการแข่งขันของผู้ประกอบการ รวมถึงพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดความเข้มแข็ง สําหรับบริการ "SME D ยกกําลัง3" เปิดโอกาสเติมเงินลงทุนให้ทั้งนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนนําไปใช้หมุนเวียน ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ ซึ่งมีจุดเด่นที่อัตราดอกเบี้ยถูกที่สุดในบรรดาสินเชื่อเอสเอ็มอีของทุกสถาบันการเงินในปัจจุบัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมสร้างเครือข่าย เชื่อมโยง เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทย วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมสร้างเครือข่าย เชื่อมโยง เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทย นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมสร้างเครือข่าย เชื่อมโยง เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทย ภายใต้โครงการ หนุน SMEs ไทยก้าวไกลไปด้วยกัน ณ ห้องแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคารสํานักงานใหญ่ SME D Bank วันนี้ (14 กุมภาพันธ์ 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นประธานในการประชุมสร้างเครือข่าย เชื่อมโยง เพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ไทย ภายใต้โครงการ หนุน SMEs ไทยก้าวไกลไปด้วยกัน โดยมี นายสมานพงษ์ เกลี้ยงลํายอง นางจงรักษ์ โปลิตานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ ณ ห้องแก้ววิเชียร ชั้น 11 อาคารสํานักงานใหญ่ SME D Bank จากนั้นปลัดกอบชัยฯ ร่วมงานแถลงข่าว "บอกรัก SME D ยกกําลัง 3" ภายใต้โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ระหว่าง ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยมี นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และนายบรรยง วิเศษมงคลชัย ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เข้าร่วม จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา เห็นชอบมาตรการ "ต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย" เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้สามารถเพิ่มขีดความสามรถการแข่งขันของผู้ประกอบการ รวมถึงพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดความเข้มแข็ง สําหรับบริการ "SME D ยกกําลัง3" เปิดโอกาสเติมเงินลงทุนให้ทั้งนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้ผู้ประกอบการมีเงินทุนนําไปใช้หมุนเวียน ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ ซึ่งมีจุดเด่นที่อัตราดอกเบี้ยถูกที่สุดในบรรดาสินเชื่อเอสเอ็มอีของทุกสถาบันการเงินในปัจจุบัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26545
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.ช่วยลูกจ้างถูกซ้อมคืบ นายจ้างยอมจ่ายค่าจ้างแล้ว
วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561 กสร.ช่วยลูกจ้างถูกซ้อมคืบ นายจ้างยอมจ่ายค่าจ้างแล้ว อธิบดีกสร. เผยความคืบหน้าช่วยลูกจ้างเหยื่อนายจ้างทําร้ายร่างกาย อ้างทุจริต ล่าสุดหลังเรียกสอบ นายจ้างยอมจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายแล้ว พร้อมเงินช่วยเหลือและค่ารักษาพยาบาล ส่วนค่าชดเชยนัดจ่าย 6 ก.พ.นี้ สําหรับกรณีค้ามนุษย์อยู่ระหว่างพิจารณา นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยความคืบหน้าการช่วยเหลือ นายสันติ เปรินทร์ ลูกจ้างร้านขายอุปกรณ์กอล์ฟ ย่านสีลมที่ถูกนายจ้างทําร้ายร่างกาย และเลิกจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ไม่จ่ายค่าชดเชย รวมทั้งค้างจ่ายค่าจ้าง และไม่คืนหลักประกันที่เป็นเงินสด ว่า หลังจากที่ กสร. พร้อมด้วยสหวิชาชีพได้เชิญลูกจ้างมาสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว จึงได้ประสานไปยังนายจ้างเพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงตามที่ลูกจ้างกล่าวหา ทั้งนี้ กสร. ได้พบผู้แทนนายจ้างซึ่งได้ชี้แจงว่า นายสันติ เปรินทร์ เป็นลูกจ้างของบริษัทฯ จริง โดยเริ่มทํางานเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2560 - 27 มกราคม 2561 ในตําแหน่ง พนักงานขาย หลังจากเกิดเหตุตามที่เป็นข่าว เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา ผู้แทนนายจ้างมอบกระเช้าและเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจํานวน 10,000 บาท และพร้อมยินดีช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด สําหรับเงินค่าจ้างค้างจ่าย ค่าล่วงเวลา ค่าคอมมิชชั่น ได้โอนเงินให้แก่ลูกจ้างผ่านบัญชีธนาคารในวันที่ 1 ก.พ. เรียบร้อยแล้ว นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และหลักประกันที่เป็นเงินสดนั้น บริษัทจะจ่ายให้ลูกจ้างโดยนัดจ่ายที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ในวันที่ 6 ก.พ. 2561 ซึ่งกสร. จะตรวจสอบติดตามให้นายจ้างดําเนินการให้ถูกต้องตามกฏหมาย สําหรับกรณีการทําร้ายร่างกายอยู่ระหว่างการพิจารณาของสหวิชาชีพว่าจะเข้าข่ายการค้ามนุษย์หรือไม่ ทั้งนี้ ลูกจ้างได้ไปแจ้งความที่สถานีตํารวจนครบาลบางรักเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเป็นขั้นตอนของพนักงานสอบสวนที่จะดําเนินการตามกฎหมายต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.ช่วยลูกจ้างถูกซ้อมคืบ นายจ้างยอมจ่ายค่าจ้างแล้ว วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561 กสร.ช่วยลูกจ้างถูกซ้อมคืบ นายจ้างยอมจ่ายค่าจ้างแล้ว อธิบดีกสร. เผยความคืบหน้าช่วยลูกจ้างเหยื่อนายจ้างทําร้ายร่างกาย อ้างทุจริต ล่าสุดหลังเรียกสอบ นายจ้างยอมจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายแล้ว พร้อมเงินช่วยเหลือและค่ารักษาพยาบาล ส่วนค่าชดเชยนัดจ่าย 6 ก.พ.นี้ สําหรับกรณีค้ามนุษย์อยู่ระหว่างพิจารณา นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยความคืบหน้าการช่วยเหลือ นายสันติ เปรินทร์ ลูกจ้างร้านขายอุปกรณ์กอล์ฟ ย่านสีลมที่ถูกนายจ้างทําร้ายร่างกาย และเลิกจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ไม่จ่ายค่าชดเชย รวมทั้งค้างจ่ายค่าจ้าง และไม่คืนหลักประกันที่เป็นเงินสด ว่า หลังจากที่ กสร. พร้อมด้วยสหวิชาชีพได้เชิญลูกจ้างมาสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว จึงได้ประสานไปยังนายจ้างเพื่อให้ชี้แจงข้อเท็จจริงตามที่ลูกจ้างกล่าวหา ทั้งนี้ กสร. ได้พบผู้แทนนายจ้างซึ่งได้ชี้แจงว่า นายสันติ เปรินทร์ เป็นลูกจ้างของบริษัทฯ จริง โดยเริ่มทํางานเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2560 - 27 มกราคม 2561 ในตําแหน่ง พนักงานขาย หลังจากเกิดเหตุตามที่เป็นข่าว เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา ผู้แทนนายจ้างมอบกระเช้าและเงินช่วยเหลือเบื้องต้นจํานวน 10,000 บาท และพร้อมยินดีช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด สําหรับเงินค่าจ้างค้างจ่าย ค่าล่วงเวลา ค่าคอมมิชชั่น ได้โอนเงินให้แก่ลูกจ้างผ่านบัญชีธนาคารในวันที่ 1 ก.พ. เรียบร้อยแล้ว นายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และหลักประกันที่เป็นเงินสดนั้น บริษัทจะจ่ายให้ลูกจ้างโดยนัดจ่ายที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 ในวันที่ 6 ก.พ. 2561 ซึ่งกสร. จะตรวจสอบติดตามให้นายจ้างดําเนินการให้ถูกต้องตามกฏหมาย สําหรับกรณีการทําร้ายร่างกายอยู่ระหว่างการพิจารณาของสหวิชาชีพว่าจะเข้าข่ายการค้ามนุษย์หรือไม่ ทั้งนี้ ลูกจ้างได้ไปแจ้งความที่สถานีตํารวจนครบาลบางรักเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเป็นขั้นตอนของพนักงานสอบสวนที่จะดําเนินการตามกฎหมายต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9817
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บัญชีกลางแจงการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและค่าโลหิตวิทยา
วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561 บัญชีกลางแจงการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและค่าโลหิตวิทยา กรมบัญชีกลางชี้แจงการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและค่าโลหิตวิทยา นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ปรับปรุงสิทธิการเบิกจ่ายค่ายารักษามะเร็งที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยดําเนินการร่วมกับมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทยและสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย เพื่อให้ผู้มีสิทธิสามารถเข้าถึงยาจําเป็นที่มีการพัฒนาตามวิวัฒนาการทางการแพทย์ได้มากขึ้น โดยคํานึงถึงประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างแท้จริง ประกอบกับยากลุ่มดังกล่าวมีความเหมาะสมสําหรับการรักษาเฉพาะบางโรค/บางกรณี และเป็นยาอันตรายซึ่งอาจทําให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงรุนแรงจากการใช้ยาหรืออาจเป็นอันตรายต่อชีวิต อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า การปรับปรุงในครั้งนี้ ได้ขยายสิทธิประโยชน์กลุ่มยาที่ต้องขออนุมัติก่อนเบิก (OCPA) โดยเพิ่มรายการยาจากเดิม 6 รายการ เป็น 9 รายการ พร้อมทั้งปรับเงื่อนไขให้สามารถเบิกจ่ายได้มากขึ้นจาก 7 กลุ่มโรค เป็น 17 กลุ่มโรค เช่น ยารักษามะเร็งเต้านม (ชื่อ Trastuzumab) เดิมให้เบิกได้เฉพาะระยะแพร่กระจาย ก็จะขยายให้เบิกได้ทั้งระยะแพร่กระจายและระยะเริ่มต้น หรือ ยารักษามะเร็งปอด (ชื่อ Gefitinib) เดิมให้เบิกได้เฉพาะการรักษาเป็นขนานที่ 3 (third line therapy) จะปรับให้เบิกได้ตั้งแต่การรักษาเป็นขนานแรก (first line therapy) เป็นต้น ทั้งนี้ จะขยายสิทธิให้ครอบคลุมยาที่มีจําเป็นเพิ่มเติมต่อไปเป็นระยะๆ เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงยาเพื่อการรักษาได้มากขึ้น อนึ่ง ในการจัดระบบการเบิกค่ายานอก OCPA เป็นนโยบายของรัฐที่ส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยให้เบิกตามเงื่อนไขของบัญชียาหลักแห่งชาติ หรือหากมีความจําเป็นต้องใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติจะต้องเป็นไปตามข้อบ่งชี้ที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. พร้อมระบุเหตุผลการใช้ยาในระบบเบิกจ่ายตรง ยกเว้นยาบางรายการที่กําหนดให้เป็นรายการยากลุ่มทางเลือก กรณีดังกล่าวผู้มีสิทธิต้องทดรองจ่ายเงินค่ายาไปก่อน แล้วนําใบเสร็จรับเงินไปเบิกกับต้นสังกัด เนื่องจากทางมะเร็งวิทยาสมาคมฯ และสมาคมโลหิตวิทยาฯ เห็นว่ารายการยากลุ่มทางเลือกมีรายการยาอื่น หรือแนวทางการรักษาอื่นที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือดีกว่า นํามาใช้ทดแทนได้ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้าย หากผู้มีสิทธิได้รับผลกระทบที่ทําให้ไม่สามารถเบิกค่ายาได้ เนื่องจากแพทย์มีความประสงค์จะใช้ยานอกเหนือตามรายการ/ข้อบ่งชี้ ที่กําหนด ผู้มีสิทธิสามารถขอทําความตกลงกับกรมบัญชีกลาง ผ่านส่วนราชการต้นสังกัดระดับกรมเพื่อขออนุมัติเบิกค่ายาเป็นรายกรณีได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บัญชีกลางแจงการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและค่าโลหิตวิทยา วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561 บัญชีกลางแจงการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและค่าโลหิตวิทยา กรมบัญชีกลางชี้แจงการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและค่าโลหิตวิทยา นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางได้ปรับปรุงสิทธิการเบิกจ่ายค่ายารักษามะเร็งที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยดําเนินการร่วมกับมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทยและสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย เพื่อให้ผู้มีสิทธิสามารถเข้าถึงยาจําเป็นที่มีการพัฒนาตามวิวัฒนาการทางการแพทย์ได้มากขึ้น โดยคํานึงถึงประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างแท้จริง ประกอบกับยากลุ่มดังกล่าวมีความเหมาะสมสําหรับการรักษาเฉพาะบางโรค/บางกรณี และเป็นยาอันตรายซึ่งอาจทําให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงรุนแรงจากการใช้ยาหรืออาจเป็นอันตรายต่อชีวิต อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า การปรับปรุงในครั้งนี้ ได้ขยายสิทธิประโยชน์กลุ่มยาที่ต้องขออนุมัติก่อนเบิก (OCPA) โดยเพิ่มรายการยาจากเดิม 6 รายการ เป็น 9 รายการ พร้อมทั้งปรับเงื่อนไขให้สามารถเบิกจ่ายได้มากขึ้นจาก 7 กลุ่มโรค เป็น 17 กลุ่มโรค เช่น ยารักษามะเร็งเต้านม (ชื่อ Trastuzumab) เดิมให้เบิกได้เฉพาะระยะแพร่กระจาย ก็จะขยายให้เบิกได้ทั้งระยะแพร่กระจายและระยะเริ่มต้น หรือ ยารักษามะเร็งปอด (ชื่อ Gefitinib) เดิมให้เบิกได้เฉพาะการรักษาเป็นขนานที่ 3 (third line therapy) จะปรับให้เบิกได้ตั้งแต่การรักษาเป็นขนานแรก (first line therapy) เป็นต้น ทั้งนี้ จะขยายสิทธิให้ครอบคลุมยาที่มีจําเป็นเพิ่มเติมต่อไปเป็นระยะๆ เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงยาเพื่อการรักษาได้มากขึ้น อนึ่ง ในการจัดระบบการเบิกค่ายานอก OCPA เป็นนโยบายของรัฐที่ส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยให้เบิกตามเงื่อนไขของบัญชียาหลักแห่งชาติ หรือหากมีความจําเป็นต้องใช้ยานอกบัญชียาหลักแห่งชาติจะต้องเป็นไปตามข้อบ่งชี้ที่ขึ้นทะเบียนกับ อย. พร้อมระบุเหตุผลการใช้ยาในระบบเบิกจ่ายตรง ยกเว้นยาบางรายการที่กําหนดให้เป็นรายการยากลุ่มทางเลือก กรณีดังกล่าวผู้มีสิทธิต้องทดรองจ่ายเงินค่ายาไปก่อน แล้วนําใบเสร็จรับเงินไปเบิกกับต้นสังกัด เนื่องจากทางมะเร็งวิทยาสมาคมฯ และสมาคมโลหิตวิทยาฯ เห็นว่ารายการยากลุ่มทางเลือกมีรายการยาอื่น หรือแนวทางการรักษาอื่นที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือดีกว่า นํามาใช้ทดแทนได้ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้าย หากผู้มีสิทธิได้รับผลกระทบที่ทําให้ไม่สามารถเบิกค่ายาได้ เนื่องจากแพทย์มีความประสงค์จะใช้ยานอกเหนือตามรายการ/ข้อบ่งชี้ ที่กําหนด ผู้มีสิทธิสามารถขอทําความตกลงกับกรมบัญชีกลาง ผ่านส่วนราชการต้นสังกัดระดับกรมเพื่อขออนุมัติเบิกค่ายาเป็นรายกรณีได้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9703
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หารือความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-อินเดีย
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562 หารือความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-อินเดีย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนางสุจิตรา ทุไร เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจําประเทศไทย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนางสุจิตรา ทุไร เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจําประเทศไทย โดยมีนางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้แทนจากสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป. ร่วมหารือ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ห้องดํารงราชานุภาพ กระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ประเทศไทยและอินเดียมีความสัมพันธ์อันดีและมีความร่วมมือด้านการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการหารือในครั้งนี้เพื่อติดตามความร่วมมือในการจัดการศึกษาหลักสูตรการแพทย์อายุรเวท ของวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ที่จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรเวทจากอินเดียมาร่วมสอน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามผลการดําเนินงานด้วย นอกจากนี้ ยังได้หารือความร่วมมือด้านการศึกษาในด้านอื่น ๆเช่น การจ้างครูภาษาอังกฤษที่เป็นชาวต่างชาติ, การสอนความรู้ทางวัฒนธรรมอินเดียให้กับเด็กไทยที่ไปเรียนที่อินเดีย เป็นต้น ทั้งนี้ ศธ. มีแนวทางที่จะติดตามผลและดูแลนักเรียนไทยที่ไปศึกษาต่อที่อินเดีย โดยเน้นการดําเนินงานที่เป็นรูปธรรมและมีผลลัพธ์ที่นําไปใช้ได้จริง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจําประเทศไทยกล่าวว่า อินเดียและไทยมีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน ปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษาไทยไปศึกษาต่อที่อินเดีย ประมาณ 6,000 คน ในขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาของอินเดียก็มีความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาของไทยหลายแห่ง อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นต้น อินเดียและไทยได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการศึกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2548 และได้มีการจัดการประชุมคณะทํางานร่วมด้านการศึกษาไทย-อินเดีย มาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 3 ในปี 2562 นี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพ นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียได้มอบทุนการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรี-เอก ให้แก่นักเรียนไทยประมาณ 40 ทุนต่อปี ทั้งนี้อินเดียยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนงานด้านการศึกษากับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมครูสอนภาษาอังกฤษให้กับสถานศึกษาของไทย Written byอรพรรณ​ ฤทธิ์มั่น Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriterนวรัตน์​ ราม​สูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หารือความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-อินเดีย วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562 หารือความร่วมมือด้านการศึกษาไทย-อินเดีย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนางสุจิตรา ทุไร เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจําประเทศไทย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนางสุจิตรา ทุไร เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจําประเทศไทย โดยมีนางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และผู้แทนจากสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป. ร่วมหารือ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ห้องดํารงราชานุภาพ กระทรวงศึกษาธิการ รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ประเทศไทยและอินเดียมีความสัมพันธ์อันดีและมีความร่วมมือด้านการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการหารือในครั้งนี้เพื่อติดตามความร่วมมือในการจัดการศึกษาหลักสูตรการแพทย์อายุรเวท ของวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ที่จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรเวทจากอินเดียมาร่วมสอน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามผลการดําเนินงานด้วย นอกจากนี้ ยังได้หารือความร่วมมือด้านการศึกษาในด้านอื่น ๆเช่น การจ้างครูภาษาอังกฤษที่เป็นชาวต่างชาติ, การสอนความรู้ทางวัฒนธรรมอินเดียให้กับเด็กไทยที่ไปเรียนที่อินเดีย เป็นต้น ทั้งนี้ ศธ. มีแนวทางที่จะติดตามผลและดูแลนักเรียนไทยที่ไปศึกษาต่อที่อินเดีย โดยเน้นการดําเนินงานที่เป็นรูปธรรมและมีผลลัพธ์ที่นําไปใช้ได้จริง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจําประเทศไทยกล่าวว่า อินเดียและไทยมีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน ปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษาไทยไปศึกษาต่อที่อินเดีย ประมาณ 6,000 คน ในขณะเดียวกันสถาบันการศึกษาของอินเดียก็มีความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาของไทยหลายแห่ง อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นต้น อินเดียและไทยได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการศึกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2548 และได้มีการจัดการประชุมคณะทํางานร่วมด้านการศึกษาไทย-อินเดีย มาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 3 ในปี 2562 นี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพ นอกจากนี้ รัฐบาลอินเดียได้มอบทุนการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรี-เอก ให้แก่นักเรียนไทยประมาณ 40 ทุนต่อปี ทั้งนี้อินเดียยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนงานด้านการศึกษากับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมครูสอนภาษาอังกฤษให้กับสถานศึกษาของไทย Written byอรพรรณ​ ฤทธิ์มั่น Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี Rewriterนวรัตน์​ ราม​สูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19094
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยประชาชนเข้าใจผิดว่าโรคพิษสุนัขบ้ารักษาหายได้ จึงไม่ไปฉีดวัคซีน ส่งผลให้เสียชีวิต
วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561 สธ. เผยประชาชนเข้าใจผิดว่าโรคพิษสุนัขบ้ารักษาหายได้ จึงไม่ไปฉีดวัคซีน ส่งผลให้เสียชีวิต กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสํารวจพบ ประชาชนร้อยละ 60 เข้าใจผิดคิดว่าโรคพิษสุนัขบ้ารักษาหายได้ และที่สําคัญผู้เสียชีวิตในปีนี้ ถูกสุนัขที่เลี้ยงกัดหรือข่วน เพราะเชื่อว่าสุนัขไม่ป่วย ขอความร่วมมือเจ้าของสัตว์เลี้ยงปฏิบัติตาม พรบ.โรคพิษสุนัขบ้า หากถูกสุนัข แมว นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยปัญหาโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งในปี 2561 นี้ มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย ที่ จ.สุรินทร์ สงขลา และตรัง โดย 2 รายลูกสุนัขกัด มีแผลเล็กน้อย ส่วนอีก 1 รายเป็นสุนัขมีเจ้าของกัด ทั้ง 3 รายไม่ไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีน จึงขอย้ําเตือนประชาชนว่า หากถูกสุนัข แมวกัด หรือข่วน แม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านหรือเป็นลูกสุนัข มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ ต้องฉีดวัคซีนให้ครบชุดและตรงตามนัด จึงจะได้ผลเพราะหากติดเชื้อพิษสุนัขบ้า และปล่อยทิ้งไว้จนเชื้อเข้าสู่ระบบประสาท แสดงอาการป่วยแล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตทุกราย “ที่น่าเป็นห่วงคือผลสํารวจความรู้เกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้าจากประชาชน 11,369 คน พบว่า ระดับความรู้ของประชาชนในจังหวัดที่พบผู้เสียชีวิตหรือพบสุนัขบ้า แตกต่างจากพื้นที่ที่ไม่พบโรค ที่น่าตกใจคือร้อยละ 60 คิดว่าโรคพิษสุนัขบ้าสามารถรักษาให้หายได้ ร้อยละ 34 ไม่ทราบว่าหากฉีดวัคซีนไม่ครบชุด ไม่ตรงตามกําหนดนัด อาจตายได้ถ้าสุนัขที่มากัดเป็นสุนัขบ้า ส่วนร้อยละ 32 ไม่ทราบว่า การล้างแผลด้วยน้ําสะอาด ฟอกสบู่หลายๆ ครั้ง และทายาเบตาดีน ช่วยลดเชื้อที่บาดแผลได้ จึงได้กําชับให้สํานักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด เร่งให้ความรู้ที่ถูกต้อง แก่ประชาชน เน้นการสร้างความตระหนักในการนําสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และผู้ถูกกัด หรือข่วนต้องฉีดวัคซีนให้ครบเพื่อป้องกันการเสียชีวิต” นายแพทย์โอภาสกล่าว ด้านนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขอให้ทุกคนช่วยกันป้องกันโรค พิษสุนัขบ้า โดยนําสัตว์เลี้ยงเช่น สุนัข แมวไปฉีดวัคซีน ครั้งแรกเมื่อมีอายุ 2–4 เดือน และฉีดซ้ําตามกําหนดทุกปี ตาม พรบ.โรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535 ไม่ปล่อยสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้านเพราะอาจติดเชื้อพิษสุนัขบ้าได้ เลือกซื้อสัตว์เลี้ยงที่มีประวัติพ่อแม่ของสัตว์ ประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโรค หลังซื้อให้รีบพาไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์ และฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามเกณฑ์อายุ นอกจากนี้ ให้ยึดหลัก 5 ย.ลดความเสี่ยงถูกสุนัขกัด คือ 1.อย่าแหย่ ให้สุนัขโมโห 2.อย่าเหยียบ หาง หัว ตัว ขา หรือทําให้ตกใจ 3.อย่าแยกสุนัขที่กําลังกัดกันด้วยมือเปล่า 4.อย่าหยิบ ชามข้าวหรือเคลื่อนย้ายอาหารขณะที่สุนัขกําลังกินอาหาร และ5.อย่ายุ่ง หรือเข้าใกล้สุนัขหรือสัตว์ต่าง ๆ นอกบ้าน ที่ไม่มีเจ้าของหรือไม่ทราบประวัติ หากถูกสุนัข แมว กัด ข่วน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านหรือสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ําสะอาดหลายๆ ครั้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อเช่นเบตาดีน ซึ่งจะช่วยลดอัตราเกิดโรคได้ถึงร้อยละ 80-90 และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้เร็วที่สุด หากสัตว์เลี้ยงมีอาการซึม ไม่กินข้าว แอบอยู่ในที่มืด เห่าหอนผิดปกติ หรือพบเห็นสัตว์ที่มีอาการหางตก เดินโซเซ น้ําลายย้อย ลิ้นห้อย ตาขวาง ให้สงสัยว่าอาจเป็นโรคพิษสุนัขบ้า อย่าเข้าไปใกล้ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์หรือผู้นําชุมชน หรือหากเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน ให้ขังไว้ 14 วันหากสัตว์เลี้ยงตาย ให้สงสัยว่าใช่ ขอให้ส่งหัวสัตว์เลี้ยงไปตรวจ ในพื้นที่กทม.ส่งที่สถานเสาวภา สภากาชาดไทย หรือกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ต่างจังหวัดส่งที่สํานักงานปศุสัตว์จังหวัดและอําเภอ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยประชาชนเข้าใจผิดว่าโรคพิษสุนัขบ้ารักษาหายได้ จึงไม่ไปฉีดวัคซีน ส่งผลให้เสียชีวิต วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม 2561 สธ. เผยประชาชนเข้าใจผิดว่าโรคพิษสุนัขบ้ารักษาหายได้ จึงไม่ไปฉีดวัคซีน ส่งผลให้เสียชีวิต กระทรวงสาธารณสุข เผยผลสํารวจพบ ประชาชนร้อยละ 60 เข้าใจผิดคิดว่าโรคพิษสุนัขบ้ารักษาหายได้ และที่สําคัญผู้เสียชีวิตในปีนี้ ถูกสุนัขที่เลี้ยงกัดหรือข่วน เพราะเชื่อว่าสุนัขไม่ป่วย ขอความร่วมมือเจ้าของสัตว์เลี้ยงปฏิบัติตาม พรบ.โรคพิษสุนัขบ้า หากถูกสุนัข แมว นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใยปัญหาโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งในปี 2561 นี้ มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย ที่ จ.สุรินทร์ สงขลา และตรัง โดย 2 รายลูกสุนัขกัด มีแผลเล็กน้อย ส่วนอีก 1 รายเป็นสุนัขมีเจ้าของกัด ทั้ง 3 รายไม่ไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีน จึงขอย้ําเตือนประชาชนว่า หากถูกสุนัข แมวกัด หรือข่วน แม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านหรือเป็นลูกสุนัข มีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้ ต้องฉีดวัคซีนให้ครบชุดและตรงตามนัด จึงจะได้ผลเพราะหากติดเชื้อพิษสุนัขบ้า และปล่อยทิ้งไว้จนเชื้อเข้าสู่ระบบประสาท แสดงอาการป่วยแล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตทุกราย “ที่น่าเป็นห่วงคือผลสํารวจความรู้เกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้าจากประชาชน 11,369 คน พบว่า ระดับความรู้ของประชาชนในจังหวัดที่พบผู้เสียชีวิตหรือพบสุนัขบ้า แตกต่างจากพื้นที่ที่ไม่พบโรค ที่น่าตกใจคือร้อยละ 60 คิดว่าโรคพิษสุนัขบ้าสามารถรักษาให้หายได้ ร้อยละ 34 ไม่ทราบว่าหากฉีดวัคซีนไม่ครบชุด ไม่ตรงตามกําหนดนัด อาจตายได้ถ้าสุนัขที่มากัดเป็นสุนัขบ้า ส่วนร้อยละ 32 ไม่ทราบว่า การล้างแผลด้วยน้ําสะอาด ฟอกสบู่หลายๆ ครั้ง และทายาเบตาดีน ช่วยลดเชื้อที่บาดแผลได้ จึงได้กําชับให้สํานักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด เร่งให้ความรู้ที่ถูกต้อง แก่ประชาชน เน้นการสร้างความตระหนักในการนําสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และผู้ถูกกัด หรือข่วนต้องฉีดวัคซีนให้ครบเพื่อป้องกันการเสียชีวิต” นายแพทย์โอภาสกล่าว ด้านนพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขอให้ทุกคนช่วยกันป้องกันโรค พิษสุนัขบ้า โดยนําสัตว์เลี้ยงเช่น สุนัข แมวไปฉีดวัคซีน ครั้งแรกเมื่อมีอายุ 2–4 เดือน และฉีดซ้ําตามกําหนดทุกปี ตาม พรบ.โรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ. 2535 ไม่ปล่อยสัตว์เลี้ยงออกไปนอกบ้านเพราะอาจติดเชื้อพิษสุนัขบ้าได้ เลือกซื้อสัตว์เลี้ยงที่มีประวัติพ่อแม่ของสัตว์ ประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโรค หลังซื้อให้รีบพาไปตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์ และฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามเกณฑ์อายุ นอกจากนี้ ให้ยึดหลัก 5 ย.ลดความเสี่ยงถูกสุนัขกัด คือ 1.อย่าแหย่ ให้สุนัขโมโห 2.อย่าเหยียบ หาง หัว ตัว ขา หรือทําให้ตกใจ 3.อย่าแยกสุนัขที่กําลังกัดกันด้วยมือเปล่า 4.อย่าหยิบ ชามข้าวหรือเคลื่อนย้ายอาหารขณะที่สุนัขกําลังกินอาหาร และ5.อย่ายุ่ง หรือเข้าใกล้สุนัขหรือสัตว์ต่าง ๆ นอกบ้าน ที่ไม่มีเจ้าของหรือไม่ทราบประวัติ หากถูกสุนัข แมว กัด ข่วน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านหรือสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ําสะอาดหลายๆ ครั้ง ใส่ยาฆ่าเชื้อเช่นเบตาดีน ซึ่งจะช่วยลดอัตราเกิดโรคได้ถึงร้อยละ 80-90 และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้เร็วที่สุด หากสัตว์เลี้ยงมีอาการซึม ไม่กินข้าว แอบอยู่ในที่มืด เห่าหอนผิดปกติ หรือพบเห็นสัตว์ที่มีอาการหางตก เดินโซเซ น้ําลายย้อย ลิ้นห้อย ตาขวาง ให้สงสัยว่าอาจเป็นโรคพิษสุนัขบ้า อย่าเข้าไปใกล้ ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์หรือผู้นําชุมชน หรือหากเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน ให้ขังไว้ 14 วันหากสัตว์เลี้ยงตาย ให้สงสัยว่าใช่ ขอให้ส่งหัวสัตว์เลี้ยงไปตรวจ ในพื้นที่กทม.ส่งที่สถานเสาวภา สภากาชาดไทย หรือกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ต่างจังหวัดส่งที่สํานักงานปศุสัตว์จังหวัดและอําเภอ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10653
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ รัฐบาลมีมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กำชับเร่งจ่ายเงินเยียวยาให้เร็วที่สุดภายในสิ้นเดือนนี้
วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562 นายกรัฐมนตรีย้ํา รัฐบาลมีมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กําชับเร่งจ่ายเงินเยียวยาให้เร็วที่สุดภายในสิ้นเดือนนี้ นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ติดตามการฟื้นฟูเยียวยา ซ่อมแซมบ้านเรือน และสถานที่สาธารณประโยชน์ โดยย้ํารัฐบาลมีมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กําชับเร่งจ่ายเงินเยียวยาให้เร็วที่สุดภายในสิ้นเดือนนี้ วันนี้ (11 ตุลาคม 2562) เวลา 14.00 น. ณ ศาลาประชาวาริน ตําบลวารินชําราบอําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อติดตามการดําเนินการฟื้นฟู เยียวยา รวมถึงการซ่อมแซมบ้านเรือนและสถานที่สาธารณประโยชน์ พร้อมเยี่ยมให้กําลังใจผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ สําหรับสถานการณ์น้ําล่าสุด แม่น้ํามูลได้กลับเข้าสู่ระดับตลิ่ง ลดต่ํากว่าตลิ่ง 4.14 เมตร ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ จังหวัดได้เร่งระดมทุกภาคส่วน รวมถึงจิตอาสาช่วยกันฟื้นฟูเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายกลับเข้าสู่สภาวะปกติ โดยได้จัดกิจกรรม Kick off ปฏิบัติการสูบน้ําออกจากพื้นที่ท่วมขัง ทําความสะอาด เก็บกวาดขยะและตรวจสอบความเสียหาย รวมทั้งแก้ไขปัญหาน้ําเสียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจังหวัดได้ดําเนินการสํารวจความเสียหายบ้านเรือนพบว่า มีบ้านเรือนได้รับความเสียหาย จํานวน 20,675 ครัวเรือน ได้รับดูแลตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือฯ ครัวเรือนละ 5,000 บาท และอยู่ในระหว่างสํารวจเพิ่มเติมบ้านเรือนที่เสียหาย จํานวน 16,245 หลัง แบ่งออกเป็นเสียหายทั้งหลัง จํานวน 3 หลัง เสียหายมาก จํานวน 7,567 หลัง เสียหายน้อย จํานวน 8,675 หลัง ซึ่งได้ซ่อมแซมแล้ว จํานวน 2,002 หลัง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีพบปะและกล่าวให้กําลังใจผู้ประสบอุทกภัยตอนหนึ่งว่า นายกรัฐมนตรีมีแต่กําลังใจมามอบให้ และขอส่งกําลังใจให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยทั้ง 32 จังหวัดด้วย และประเทศญี่ปุ่นที่ คาดการณ์จะประสบภัยพายุในช่วงวันที่ 12-14 ตุลาคม นี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์ผู้ประสบอุทกภัยพร้อมทั้งเสริมมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ โดยได้มีการอนุมัติงบประมาณเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผ่านมาตรการต่างๆ และเร่งการเบิกจ่ายเงินเยียวยาให้เร็วที่สุด หากเป็นไปได้ขอให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ นายกรัฐมนตรียังขอประชาชนให้เชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แจ้งกับส่วนท้องถิ่นและผู้ว่าราชการจังหวัดได้เลย เพียงให้ประชาชนมีความเข้มแข็งมีกําลังใจที่ดีในการต่อสู้กับอุทกภัย นายกรัฐมนตรีกล่าวฝากไปยังนักการเมือง ให้ช่วยกันแก้ไขปัญหาประชาชน ร่วมมือกันเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า โดยรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชนทั้งประเทศให้มีความกินดีอยู่ดี กําลังศึกษาแนวทางของจีนในการเพิ่มรายได้ประชาชน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนร่วมมือกันทําในสิ่งที่ดีงามเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ มีความรับผิดชอบ จิตสํานึก ความรักชาติ และอย่าลืมหน้าที่ทุกคนต้องร่วมมือกันสร้างชาติให้แข็งแรงและมั่นคง ---------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ รัฐบาลมีมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กำชับเร่งจ่ายเงินเยียวยาให้เร็วที่สุดภายในสิ้นเดือนนี้ วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2562 นายกรัฐมนตรีย้ํา รัฐบาลมีมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กําชับเร่งจ่ายเงินเยียวยาให้เร็วที่สุดภายในสิ้นเดือนนี้ นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ติดตามการฟื้นฟูเยียวยา ซ่อมแซมบ้านเรือน และสถานที่สาธารณประโยชน์ โดยย้ํารัฐบาลมีมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กําชับเร่งจ่ายเงินเยียวยาให้เร็วที่สุดภายในสิ้นเดือนนี้ วันนี้ (11 ตุลาคม 2562) เวลา 14.00 น. ณ ศาลาประชาวาริน ตําบลวารินชําราบอําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อติดตามการดําเนินการฟื้นฟู เยียวยา รวมถึงการซ่อมแซมบ้านเรือนและสถานที่สาธารณประโยชน์ พร้อมเยี่ยมให้กําลังใจผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ สําหรับสถานการณ์น้ําล่าสุด แม่น้ํามูลได้กลับเข้าสู่ระดับตลิ่ง ลดต่ํากว่าตลิ่ง 4.14 เมตร ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ จังหวัดได้เร่งระดมทุกภาคส่วน รวมถึงจิตอาสาช่วยกันฟื้นฟูเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายกลับเข้าสู่สภาวะปกติ โดยได้จัดกิจกรรม Kick off ปฏิบัติการสูบน้ําออกจากพื้นที่ท่วมขัง ทําความสะอาด เก็บกวาดขยะและตรวจสอบความเสียหาย รวมทั้งแก้ไขปัญหาน้ําเสียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจังหวัดได้ดําเนินการสํารวจความเสียหายบ้านเรือนพบว่า มีบ้านเรือนได้รับความเสียหาย จํานวน 20,675 ครัวเรือน ได้รับดูแลตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือฯ ครัวเรือนละ 5,000 บาท และอยู่ในระหว่างสํารวจเพิ่มเติมบ้านเรือนที่เสียหาย จํานวน 16,245 หลัง แบ่งออกเป็นเสียหายทั้งหลัง จํานวน 3 หลัง เสียหายมาก จํานวน 7,567 หลัง เสียหายน้อย จํานวน 8,675 หลัง ซึ่งได้ซ่อมแซมแล้ว จํานวน 2,002 หลัง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีพบปะและกล่าวให้กําลังใจผู้ประสบอุทกภัยตอนหนึ่งว่า นายกรัฐมนตรีมีแต่กําลังใจมามอบให้ และขอส่งกําลังใจให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยทั้ง 32 จังหวัดด้วย และประเทศญี่ปุ่นที่ คาดการณ์จะประสบภัยพายุในช่วงวันที่ 12-14 ตุลาคม นี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้ติดตามสถานการณ์ผู้ประสบอุทกภัยพร้อมทั้งเสริมมาตรการที่เหมาะสมในการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ โดยได้มีการอนุมัติงบประมาณเพื่อช่วยเหลือเยียวยาประชาชนผ่านมาตรการต่างๆ และเร่งการเบิกจ่ายเงินเยียวยาให้เร็วที่สุด หากเป็นไปได้ขอให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนนี้ นายกรัฐมนตรียังขอประชาชนให้เชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หากต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แจ้งกับส่วนท้องถิ่นและผู้ว่าราชการจังหวัดได้เลย เพียงให้ประชาชนมีความเข้มแข็งมีกําลังใจที่ดีในการต่อสู้กับอุทกภัย นายกรัฐมนตรีกล่าวฝากไปยังนักการเมือง ให้ช่วยกันแก้ไขปัญหาประชาชน ร่วมมือกันเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้า โดยรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชนทั้งประเทศให้มีความกินดีอยู่ดี กําลังศึกษาแนวทางของจีนในการเพิ่มรายได้ประชาชน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนร่วมมือกันทําในสิ่งที่ดีงามเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ มีความรับผิดชอบ จิตสํานึก ความรักชาติ และอย่าลืมหน้าที่ทุกคนต้องร่วมมือกันสร้างชาติให้แข็งแรงและมั่นคง ---------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23775
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ติดตามสถานการณ์การค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดนด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ “ประชารัฐร่วมใจต่อต้านการค้ามนุษย์”
วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560 พม. ติดตามสถานการณ์การค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดนด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ “ประชารัฐร่วมใจต่อต้านการค้ามนุษย์” พม. ติดตามสถานการณ์การค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดนด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ “ประชารัฐร่วมใจต่อต้านการค้ามนุษย์” เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์กับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน วันนี้ (14 ก.ค. 60) เวลา 09.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์การค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดนด่านช่องจอม อําเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ และประธานพิธีประกาศเจตนารมณ์ "ประชารัฐร่วมใจต่อต้านการค้ามนุษย์” เพื่อขับเคลื่อนการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ผู้บัญชาการกองกําลังสุรนารี ผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ ผู้กํากับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุรินทร์ นายด่านศุลกากรช่องจอม หัวหน้าหน่วยประสานงานชายแดนประจําพื้นที่ 2 ผู้อํานวยการศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทย บริเวณชายแดนจังหวัดสุรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา และผู้แทนสถานเอกอัครราชฑูตประเทศสมาชิกอาเซียน ประจําประเทศไทย รวมทั้งผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายประชารัฐจังหวัดสุรินทร์ จํานวนทั้งสิ้น 350 คน เข้าร่วมงาน ณ บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองช่องจอม อําเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้ให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยกําหนดเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากการค้ามนุษย์เป็นการกระทําที่ลดทอนศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ และนําไปสู่ปัญหาอื่นๆ รวมทั้งปัญหาการขอทานข้ามชาติ ที่จําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดําเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ด้วยการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ตามแนวทาง "ประชารัฐ” ของรัฐบาล รวมทั้งประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงและขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป สําหรับปัญหาการขอทานข้ามชาติ ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุม การขอทาน พ.ศ. 2559 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ดําเนินการจัดระเบียบขอทานตั้งแต่ เดือนตุลาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามีขอทานจํานวน 5,573 ราย แบ่งเป็นขอทานไทย จํานวน 3,548 ราย และขอทานต่างด้าว จํานวน 2,025 ราย โดยได้ขับเคลื่อนการดําเนินงานป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา อย่างครบวงจร พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดย พส. จึงได้ดําเนินโครงการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามกรอบความร่วมมืออาเซียน "ประชารัฐร่วมใจต่อต้านการค้ามนุษย์” ระหว่างวันที่ 12 –14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ณ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ โดยสนับสนุนอาสาสมัครให้มีบทบาท สําคัญในการขับเคลื่อนงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทํางานด้านการค้ามนุษย์ อีกทั้งกําหนดเจตนารมณ์ในการที่จะขจัดปัญหาขอทานให้หมดสิ้นไปจากภูมิภาคอาเซียน พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกิจกรรมในวันนี้ เป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งสําหรับ ความร่วมมือตามแนวทาง "ประชารัฐ” ของรัฐบาล ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งเครือข่ายอาสาสมัครชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะอาสาสมัครของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อร่วมกันป้องกันปัญหาการแสวงหาประโยชน์ และการค้ามนุษย์จากกลุ่มผู้อยู่ในสภาวะยากลําบากในภูมิภาคอาเซียน พร้อมทั้งร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ในทุกรูปแบบ ซึ่งอาสาสมัครและผู้แทนองค์กรเครือข่ายในภูมิภาคอาเซียน ต่างมีเจตนารมณ์ร่วมกัน ดังนี้ 1) เราจะร่วมกันเฝ้าระวังและเป็นเครือข่ายป้องกันการค้ามนุษย์ 2) เราจะประสาน การช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาอย่างทันท่วงที และ 3) เราจะสนับสนุนและเป็นหุ้นส่วนของรัฐ ในการแก้ไขปัญหา อย่างจริงจัง "กระทรวง พม. พร้อมบูรณาการร่วมมือกับทุกภาคส่วนของสังคมตามแนวทาง "ประชารัฐ” ของรัฐบาล เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ในทุกรูปแบบ เพราะเชื่อว่าการประสานความร่วมมือคือพลังสําคัญในการแก้ไขปัญหา (More Hands Make Bigger) ทั้งนี้ ทุกภาคส่วนสามารถร่วมเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังปัญหาการค้ามนุษย์ หากพบเห็น คนขอทานคนไร้ที่พึ่ง โทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ติดตามสถานการณ์การค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดนด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ “ประชารัฐร่วมใจต่อต้านการค้ามนุษย์” วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2560 พม. ติดตามสถานการณ์การค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดนด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ “ประชารัฐร่วมใจต่อต้านการค้ามนุษย์” พม. ติดตามสถานการณ์การค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดนด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ “ประชารัฐร่วมใจต่อต้านการค้ามนุษย์” เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการต่อต้านการค้ามนุษย์กับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน วันนี้ (14 ก.ค. 60) เวลา 09.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์การค้ามนุษย์ในพื้นที่ชายแดนด่านช่องจอม อําเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ และประธานพิธีประกาศเจตนารมณ์ "ประชารัฐร่วมใจต่อต้านการค้ามนุษย์” เพื่อขับเคลื่อนการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ผู้บัญชาการกองกําลังสุรนารี ผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ ผู้กํากับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุรินทร์ นายด่านศุลกากรช่องจอม หัวหน้าหน่วยประสานงานชายแดนประจําพื้นที่ 2 ผู้อํานวยการศูนย์ฝึกและพัฒนาอาชีพราษฎรไทย บริเวณชายแดนจังหวัดสุรินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา และผู้แทนสถานเอกอัครราชฑูตประเทศสมาชิกอาเซียน ประจําประเทศไทย รวมทั้งผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายประชารัฐจังหวัดสุรินทร์ จํานวนทั้งสิ้น 350 คน เข้าร่วมงาน ณ บริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองช่องจอม อําเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้ให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยกําหนดเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากการค้ามนุษย์เป็นการกระทําที่ลดทอนศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ และนําไปสู่ปัญหาอื่นๆ รวมทั้งปัญหาการขอทานข้ามชาติ ที่จําเป็นอย่างยิ่งที่ต้องดําเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ด้วยการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ตามแนวทาง "ประชารัฐ” ของรัฐบาล รวมทั้งประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงและขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ให้หมดสิ้นไป สําหรับปัญหาการขอทานข้ามชาติ ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุม การขอทาน พ.ศ. 2559 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2559 ที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ดําเนินการจัดระเบียบขอทานตั้งแต่ เดือนตุลาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน พบว่ามีขอทานจํานวน 5,573 ราย แบ่งเป็นขอทานไทย จํานวน 3,548 ราย และขอทานต่างด้าว จํานวน 2,025 ราย โดยได้ขับเคลื่อนการดําเนินงานป้องกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวตั้งแต่พื้นที่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา อย่างครบวงจร พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดย พส. จึงได้ดําเนินโครงการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามกรอบความร่วมมืออาเซียน "ประชารัฐร่วมใจต่อต้านการค้ามนุษย์” ระหว่างวันที่ 12 –14 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ณ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ โดยสนับสนุนอาสาสมัครให้มีบทบาท สําคัญในการขับเคลื่อนงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทํางานด้านการค้ามนุษย์ อีกทั้งกําหนดเจตนารมณ์ในการที่จะขจัดปัญหาขอทานให้หมดสิ้นไปจากภูมิภาคอาเซียน พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับกิจกรรมในวันนี้ เป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งสําหรับ ความร่วมมือตามแนวทาง "ประชารัฐ” ของรัฐบาล ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งเครือข่ายอาสาสมัครชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะอาสาสมัครของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อร่วมกันป้องกันปัญหาการแสวงหาประโยชน์ และการค้ามนุษย์จากกลุ่มผู้อยู่ในสภาวะยากลําบากในภูมิภาคอาเซียน พร้อมทั้งร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ในทุกรูปแบบ ซึ่งอาสาสมัครและผู้แทนองค์กรเครือข่ายในภูมิภาคอาเซียน ต่างมีเจตนารมณ์ร่วมกัน ดังนี้ 1) เราจะร่วมกันเฝ้าระวังและเป็นเครือข่ายป้องกันการค้ามนุษย์ 2) เราจะประสาน การช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาอย่างทันท่วงที และ 3) เราจะสนับสนุนและเป็นหุ้นส่วนของรัฐ ในการแก้ไขปัญหา อย่างจริงจัง "กระทรวง พม. พร้อมบูรณาการร่วมมือกับทุกภาคส่วนของสังคมตามแนวทาง "ประชารัฐ” ของรัฐบาล เพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ในทุกรูปแบบ เพราะเชื่อว่าการประสานความร่วมมือคือพลังสําคัญในการแก้ไขปัญหา (More Hands Make Bigger) ทั้งนี้ ทุกภาคส่วนสามารถร่วมเป็นเครือข่ายเฝ้าระวังปัญหาการค้ามนุษย์ หากพบเห็น คนขอทานคนไร้ที่พึ่ง โทรแจ้ง ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง”พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5218
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2562
วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2562 ทส. ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2562 ทส. ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2562 ทส.ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2562 วันนี้ (28 กรกฎาคม 2562) เวลา 07.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมภริยา นําคณะผู้บริหาร ระดับสูง ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้ง พระสงฆ์และสามเณร จํานวน 568 รูป ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน ประจําปี 2562 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2562 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีนําคณะรัฐมนตรี และผู้เข้าร่วมพิธี ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายราชสักการะ กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลฯ และกล่าวนําถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ณ บริเวณ ท้องสนามหลวง หลังจากนั้น เวลาประมาณ 08.00 น. ได้ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคลฯ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2562 ณ พระบรมมหาราชวัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมพิธีทำบุญตักบาตร และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2562 วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2562 ทส. ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2562 ทส. ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2562 ทส.ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร และพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2562 วันนี้ (28 กรกฎาคม 2562) เวลา 07.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมภริยา นําคณะผู้บริหาร ระดับสูง ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมพิธีทําบุญตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้ง พระสงฆ์และสามเณร จํานวน 568 รูป ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนร่วมพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดีและพลังของแผ่นดิน ประจําปี 2562 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2562 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีนําคณะรัฐมนตรี และผู้เข้าร่วมพิธี ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายราชสักการะ กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลฯ และกล่าวนําถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ณ บริเวณ ท้องสนามหลวง หลังจากนั้น เวลาประมาณ 08.00 น. ได้ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคลฯ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2562 ณ พระบรมมหาราชวัง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21815
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีอุ้มพระดำน้ำ
วันพุธที่ 20 กันยายน 2560 รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีอุ้มพระดําน้ํา รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีอุ้มพระดําน้ํา วันนี้ (วันพุธที่ 20 ก.ย. 2560) เวลา 10.00 น. ณ บริเวณแม่น้ําป่าสัก หน้าวัดโบสถ์ชนะมาร จังหวัด เพชรบูรณ์ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีอุ้มพระดําน้ํา พิธีอุ้มพระดําน้ําเป็นประเพณีที่จัดในวันขึ้น 15 ค่ําเดือน10 ของทุกปี ต่อเนื่องมากว่า 400 ปี แล้วโดยมีเจ้าเมือง( ผู้ว่าราชการจังหวัด นาย พิบูลย์ หัตถกิจโกศล) เป็นผู้ทําพิธี เพื่อสักการะพระพุทธมหาธรรมราชา พระคู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์ ให้ปกปักรักษาเกิดความร่มเย็น อุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันพิธีนี้ถือเป็นการธํารงพระพุทธศาสนา รักษาวัฒนธรรม ส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในจังหวัด โดยในปีนี้มีประชาชนมาร่วมพิธีจํานวนมาก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีอุ้มพระดำน้ำ วันพุธที่ 20 กันยายน 2560 รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีอุ้มพระดําน้ํา รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีอุ้มพระดําน้ํา วันนี้ (วันพุธที่ 20 ก.ย. 2560) เวลา 10.00 น. ณ บริเวณแม่น้ําป่าสัก หน้าวัดโบสถ์ชนะมาร จังหวัด เพชรบูรณ์ พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีอุ้มพระดําน้ํา พิธีอุ้มพระดําน้ําเป็นประเพณีที่จัดในวันขึ้น 15 ค่ําเดือน10 ของทุกปี ต่อเนื่องมากว่า 400 ปี แล้วโดยมีเจ้าเมือง( ผู้ว่าราชการจังหวัด นาย พิบูลย์ หัตถกิจโกศล) เป็นผู้ทําพิธี เพื่อสักการะพระพุทธมหาธรรมราชา พระคู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์ ให้ปกปักรักษาเกิดความร่มเย็น อุดมสมบูรณ์ ปัจจุบันพิธีนี้ถือเป็นการธํารงพระพุทธศาสนา รักษาวัฒนธรรม ส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในจังหวัด โดยในปีนี้มีประชาชนมาร่วมพิธีจํานวนมาก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6823
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.ร.ก.การทำงานของคนต่างด้าว บริหารแรงงานอย่างเป็นระบบ
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560 พ.ร.ก.การทํางานของคนต่างด้าว บริหารแรงงานอย่างเป็นระบบ รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาการเข้ามาเพื่อทํางานอย่างผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการป้องกันการค้ามนุษย์ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลให้ความสําคัญกับการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว โดยออกพ.ร.ก.การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ให้ครอบคลุมการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ เป็นกลไกสําคัญในการป้องกันและแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ เช่น เพิ่มโทษปรับนายจ้างใช้แรงงานผิดกฎหมายอัตราสูงสุดถึง 8 แสนบาท เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการมักละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่จดทะเบียนแรงงานให้ถูกต้อง ส่งผลให้การดูแลแรงงานต่างชาติไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ขาดการยอมรับจากต่างประเทศ โดยรัฐบาลยืนยันถึงหลักมนุษยธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน หากผู้ประกอบการต้องการใช้แรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมายสามารถติดต่อได้ที่สนง.จัดหางานจังหวัดหรือสนง.เขตใน กทม. หรือโทร.สายด่วน 1694 ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.ร.ก.การทำงานของคนต่างด้าว บริหารแรงงานอย่างเป็นระบบ วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560 พ.ร.ก.การทํางานของคนต่างด้าว บริหารแรงงานอย่างเป็นระบบ รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อแก้ปัญหาการเข้ามาเพื่อทํางานอย่างผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในมาตรการป้องกันการค้ามนุษย์ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลให้ความสําคัญกับการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว โดยออกพ.ร.ก.การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 ให้ครอบคลุมการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ เป็นกลไกสําคัญในการป้องกันและแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ เช่น เพิ่มโทษปรับนายจ้างใช้แรงงานผิดกฎหมายอัตราสูงสุดถึง 8 แสนบาท เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ประกอบการมักละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่จดทะเบียนแรงงานให้ถูกต้อง ส่งผลให้การดูแลแรงงานต่างชาติไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ขาดการยอมรับจากต่างประเทศ โดยรัฐบาลยืนยันถึงหลักมนุษยธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน หากผู้ประกอบการต้องการใช้แรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมายสามารถติดต่อได้ที่สนง.จัดหางานจังหวัดหรือสนง.เขตใน กทม. หรือโทร.สายด่วน 1694 ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5374
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผู้ป่วยโรคโควิด-19 ชายมีอัตราป่วยตายมากกว่าหญิง 4 เท่า แนะดูแลสุขภาพอนามัย
วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 สธ.เผยผู้ป่วยโรคโควิด-19 ชายมีอัตราป่วยตายมากกว่าหญิง 4 เท่า แนะดูแลสุขภาพอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย ผู้ชายมีอัตราป่วยตายมากกว่าหญิง 4 เท่า แนะดูแลสุขภาพอนามัย สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงไปในพื้นที่เสี่ยง เว้นระยะห่างทางสังคม ระวังตนเองไม่ให้ป่วย วันนี้ (17 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป เปิดเผยว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย ตั้งแต่ 4 มกราคม – 17 เมษายน 2563 มีผู้ป่วย 2,700 รายเสียชีวิต 47 รายคิดเป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 1.7 ต่ํากว่าอัตราป่วยตายของทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 6 ถึง 4 เท่า และพบว่าเพศชายมีอัตราป่วยตายมากกว่าเพศหญิง 4 เท่า เนื่องจากมีพฤติกรรมเสี่ยงมากกว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีโรคประจําตัว ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ไต ภาวะอ้วน เป็นต้น แต่บางรายไม่มีโรคประจําตัว ดังนั้นทุกคนจึงไม่ควรประมาท นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพอนามัยของตนเอง ปฏิบัติตามคําแนะนําของ กระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงไปในพื้นที่เสี่ยง และเว้นระยะห่างทางสังคม หากปฏิบัติได้จะช่วยลดโอกาสการแพร่เชื้อได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเสียชีวิตได้ง่าย จากสถิติพบว่า กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 70 ปี มีอัตราป่วยตายถึงร้อยละ 12.1จึงเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการปกป้องให้ปลอดภัย อย่างไรก็ตามวิธีป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ที่ดีที่สุดคือ ต้องระวังตนเองไม่ให้ป่วย สําหรับตัวเลขการติดเชื้อโควิด-19 ของบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศ ข้อมูล ณ วันที่ 14 เมษายน 2563 พบ 99 ราย เพศหญิง 71 ราย และเพศชาย 28 ราย โดยพบความเสี่ยงในการติดเชื้อ 2 รูปแบบคือ การติดเชื้อขณะปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาล จากการให้การดูแลและรักษาผู้ป่วย ร้อยละ 73.68 สัมผัสเพื่อนร่วมงานที่ติดเชื้อในโรงพยาบาล ร้อยละ15.7 ซักประวัติและคัดกรองผู้ป่วยร้อยละ 2.63 อีกร้อยละ 3 ติดจากการปฏิบัติงานไม่สามารถระบุได้ชัดเจน และการติดเชื้อในขณะใช้ชีวิตประจําวันทั่วไป ดังนั้นสิ่งสําคัญที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องปฏิบัตินอกจากป้องกันตนเองในขณะปฏิบัติงานแล้ว ควรป้องกันขณะดําเนินชีวิตประจําวัน เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า หมั่นล้างมือและรักษาระยะห่างกับผู้อื่น และขอความร่วมมือประชาชนให้แจ้งข้อมูลหรือประวัติความเสี่ยง ซึ่งมีความสําคัญที่จะช่วยลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อสู่บุคลากรทางการแพทย์ ************************* 17 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เผยผู้ป่วยโรคโควิด-19 ชายมีอัตราป่วยตายมากกว่าหญิง 4 เท่า แนะดูแลสุขภาพอนามัย วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2563 สธ.เผยผู้ป่วยโรคโควิด-19 ชายมีอัตราป่วยตายมากกว่าหญิง 4 เท่า แนะดูแลสุขภาพอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย ผู้ชายมีอัตราป่วยตายมากกว่าหญิง 4 เท่า แนะดูแลสุขภาพอนามัย สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงไปในพื้นที่เสี่ยง เว้นระยะห่างทางสังคม ระวังตนเองไม่ให้ป่วย วันนี้ (17 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อํานวยการกองโรคติดต่อทั่วไป เปิดเผยว่า สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทย ตั้งแต่ 4 มกราคม – 17 เมษายน 2563 มีผู้ป่วย 2,700 รายเสียชีวิต 47 รายคิดเป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 1.7 ต่ํากว่าอัตราป่วยตายของทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 6 ถึง 4 เท่า และพบว่าเพศชายมีอัตราป่วยตายมากกว่าเพศหญิง 4 เท่า เนื่องจากมีพฤติกรรมเสี่ยงมากกว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีโรคประจําตัว ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ไต ภาวะอ้วน เป็นต้น แต่บางรายไม่มีโรคประจําตัว ดังนั้นทุกคนจึงไม่ควรประมาท นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพอนามัยของตนเอง ปฏิบัติตามคําแนะนําของ กระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงไปในพื้นที่เสี่ยง และเว้นระยะห่างทางสังคม หากปฏิบัติได้จะช่วยลดโอกาสการแพร่เชื้อได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเสียชีวิตได้ง่าย จากสถิติพบว่า กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 70 ปี มีอัตราป่วยตายถึงร้อยละ 12.1จึงเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการปกป้องให้ปลอดภัย อย่างไรก็ตามวิธีป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ที่ดีที่สุดคือ ต้องระวังตนเองไม่ให้ป่วย สําหรับตัวเลขการติดเชื้อโควิด-19 ของบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศ ข้อมูล ณ วันที่ 14 เมษายน 2563 พบ 99 ราย เพศหญิง 71 ราย และเพศชาย 28 ราย โดยพบความเสี่ยงในการติดเชื้อ 2 รูปแบบคือ การติดเชื้อขณะปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาล จากการให้การดูแลและรักษาผู้ป่วย ร้อยละ 73.68 สัมผัสเพื่อนร่วมงานที่ติดเชื้อในโรงพยาบาล ร้อยละ15.7 ซักประวัติและคัดกรองผู้ป่วยร้อยละ 2.63 อีกร้อยละ 3 ติดจากการปฏิบัติงานไม่สามารถระบุได้ชัดเจน และการติดเชื้อในขณะใช้ชีวิตประจําวันทั่วไป ดังนั้นสิ่งสําคัญที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องปฏิบัตินอกจากป้องกันตนเองในขณะปฏิบัติงานแล้ว ควรป้องกันขณะดําเนินชีวิตประจําวัน เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า หมั่นล้างมือและรักษาระยะห่างกับผู้อื่น และขอความร่วมมือประชาชนให้แจ้งข้อมูลหรือประวัติความเสี่ยง ซึ่งมีความสําคัญที่จะช่วยลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อสู่บุคลากรทางการแพทย์ ************************* 17 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29289
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงานสัมมนาวิชาการ โครงการ Thammasat - Nava Nakorn Smart City : Knowledge Sharing Session
วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงานสัมมนาวิชาการ โครงการ Thammasat - Nava Nakorn Smart City : Knowledge Sharing Session ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงานสัมมนาวิชาการ โครงการ Thammasat - Nava Nakorn Smart City : Knowledge Sharing Session นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวเปิดงานสัมมนาวิชาการ Thammasat - Nava Nakorn Smart City: Knowledge Sharing Session โดยมี รศ.เกศินี วิทูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยผู้แทนจาก Harvard University และบริษัทเอกชนที่ร่วมโครงการฯ ให้การต้อนรับและร่วมฟังบรรยาย ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 สําหรับโครงการ Thammasat - Nava Nakorn Smart City เป็นความร่วมมือระหว่าง ธรรมศาสตร์ กับ Harvard University และบริษัทเอกชนในพื้นที่ใกล้เคียง ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกัน มุ่งสร้างองค์ความรู้สู่การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ พื้นที่รังสิต-นวนคร ให้เป็น Smart City เพื่อเป็นต้นแบบของประเทศไทย หลังจากนี้ธรรมศาสตร์จะประสานความร่วมมือไปยังรัฐบาล เชิญรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องและเห็นความสําคัญโครงการนี้มาพูดคุยกัน เพื่อประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง โดยคาดว่าต้นแบบจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2563 ******************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงานสัมมนาวิชาการ โครงการ Thammasat - Nava Nakorn Smart City : Knowledge Sharing Session วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงานสัมมนาวิชาการ โครงการ Thammasat - Nava Nakorn Smart City : Knowledge Sharing Session ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงานสัมมนาวิชาการ โครงการ Thammasat - Nava Nakorn Smart City : Knowledge Sharing Session นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวเปิดงานสัมมนาวิชาการ Thammasat - Nava Nakorn Smart City: Knowledge Sharing Session โดยมี รศ.เกศินี วิทูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยผู้แทนจาก Harvard University และบริษัทเอกชนที่ร่วมโครงการฯ ให้การต้อนรับและร่วมฟังบรรยาย ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 สําหรับโครงการ Thammasat - Nava Nakorn Smart City เป็นความร่วมมือระหว่าง ธรรมศาสตร์ กับ Harvard University และบริษัทเอกชนในพื้นที่ใกล้เคียง ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกัน มุ่งสร้างองค์ความรู้สู่การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ พื้นที่รังสิต-นวนคร ให้เป็น Smart City เพื่อเป็นต้นแบบของประเทศไทย หลังจากนี้ธรรมศาสตร์จะประสานความร่วมมือไปยังรัฐบาล เชิญรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องและเห็นความสําคัญโครงการนี้มาพูดคุยกัน เพื่อประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง โดยคาดว่าต้นแบบจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2563 ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26514
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“อำเภอขุนหาญ” แบบอย่างความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยกลไก พชอ.
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ​“อําเภอขุนหาญ” แบบอย่างความสําเร็จในการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยกลไก พชอ. คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ประสบความสําเร็จแก้ไขปัญหาของชุมชน ทั้งเรื่อง สิ่งแวดล้อม สุขาภิบาลอาหาร โรคพยาธิใบไม้ในตับ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภออื่นๆ กําหนดจัดตั้งให้ครบทุกอําเภอภายในปีนี นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตามที่ ครม. มีมติเห็นชอบให้มี "คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ" (พชอ.) ขึ้นทุกอําเภอ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกอําเภอ เน้นการทํางานแบบบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน” โดยให้ความสําคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคคล ครอบครัว และชุมชน “ใช้พื้นที่เป็นฐาน ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ดําเนินงานในรูปแบบของคณะกรรมการ มี นายอําเภอ เป็นประธาน สาธารณสุขอําเภอ เป็นเลขานุการ ประชาชน/องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น/หน่วยงานภาคเอกชนและตัวแทนภาครัฐ ร่วมเป็นคณะกรรมการ อําเภอละไม่เกิน 21 คน โดยร่วมกันแก้ไขปัญหาตามสภาพของพื้นที่ เช่น โรคติดต่อ สุขาภิบาลอาหาร หาบเร่แผงลอย ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ เด็ก อุบัติเหตุ ยาเสพติด และปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น นายแพทย์ยงยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการดําเนินงานใน 1 ปีที่ผ่านมา พบว่าคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระดับอําเภอ ที่อําเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ได้ร่วมแก้ไขปัญหาการจัดการสิ่งแวดล้อม ปัญหาขยะที่มีมากและเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย นํามาซึ่งโรคไข้เลือดออก ทางคณะกรรมการฯ ได้ลงพื้นที่เพื่อ ทําความเข้าใจปัญหาของชุมชน และผู้นําในพื้นที่ ทุกคนเห็นปัญหาร่วมกันว่าปัญหาขยะที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากคนในชุมชนที่มีมากถึง 7 ตันต่อวัน จึงแก้ปัญหาโดยส่งเสริมให้คนในชุมชนคัดแยกขยะ ขยะพิษ ขยะอินทรีย์ ทําน้ําหมักชีวภาพ มีการจัดตั้งธนาคารขยะ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน ผลจากการบริหารจัดการขยะ ทําให้จํานวนขยะลดลง โรคไข้เลือดออกลดลง จากการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี ยังผลให้เกิดโครงการใหม่ คือ การรณรงค์ไม่บริโภคของดิบ “ส้มตําปลาร้าสุก” แก้ไขปัญหาเรื่องโรคพยาธิใบไม้ในตับของประชาชนในพื้นที่อําเภอขุนหาญ แต่เดิมที่นิยมบริโภคปลาร้าดิบ ทําให้พบผู้ป่วยเป็นโรคพยาธิใบไม้ในตับ 93 ราย จากประชาชน 100 คน หลังจากที่มีหน่วยงานลงมาให้ความรู้ สร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในชุมชน ทําให้ประชาชนในชุมชนหันมาบริโภคปลาร้าสุก แม้จะไม่อร่อย แต่ได้สุขภาพที่ดี ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ในตับ 7 ราย จากประชาชน 100 คน นับได้ว่าการดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอขุนหาญประสบความสําเร็จ เกิดผลสัมฤทธิ์ และเกิดการมีส่วนร่วมในการบูรณาการการดําเนินงานอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชิวิตระดับอําเภอ ที่อําเภอขุนหาญ จังหวัด ศรีสะเกษ ให้ความสําคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งไม่ใช้การสั่งการจากผู้บริหารลงมาอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่เป็นการสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจริงจากประชาชนในพื้นที่ ยังผลให้เกิดการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยในปีนี้กําหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชิวิตระดับอําเภอ ให้ครบทุกอําเภอ และในเขตกรุงเทพมหานครอีก 50 เขต เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาของชุมชนในแต่ละพื้นที่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป *************************************** 12 พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“อำเภอขุนหาญ” แบบอย่างความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยกลไก พชอ. วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ​“อําเภอขุนหาญ” แบบอย่างความสําเร็จในการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยกลไก พชอ. คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ประสบความสําเร็จแก้ไขปัญหาของชุมชน ทั้งเรื่อง สิ่งแวดล้อม สุขาภิบาลอาหาร โรคพยาธิใบไม้ในตับ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภออื่นๆ กําหนดจัดตั้งให้ครบทุกอําเภอภายในปีนี นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตามที่ ครม. มีมติเห็นชอบให้มี "คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ" (พชอ.) ขึ้นทุกอําเภอ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกอําเภอ เน้นการทํางานแบบบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน” โดยให้ความสําคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคคล ครอบครัว และชุมชน “ใช้พื้นที่เป็นฐาน ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ดําเนินงานในรูปแบบของคณะกรรมการ มี นายอําเภอ เป็นประธาน สาธารณสุขอําเภอ เป็นเลขานุการ ประชาชน/องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น/หน่วยงานภาคเอกชนและตัวแทนภาครัฐ ร่วมเป็นคณะกรรมการ อําเภอละไม่เกิน 21 คน โดยร่วมกันแก้ไขปัญหาตามสภาพของพื้นที่ เช่น โรคติดต่อ สุขาภิบาลอาหาร หาบเร่แผงลอย ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ เด็ก อุบัติเหตุ ยาเสพติด และปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น นายแพทย์ยงยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการดําเนินงานใน 1 ปีที่ผ่านมา พบว่าคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต ระดับอําเภอ ที่อําเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ได้ร่วมแก้ไขปัญหาการจัดการสิ่งแวดล้อม ปัญหาขยะที่มีมากและเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย นํามาซึ่งโรคไข้เลือดออก ทางคณะกรรมการฯ ได้ลงพื้นที่เพื่อ ทําความเข้าใจปัญหาของชุมชน และผู้นําในพื้นที่ ทุกคนเห็นปัญหาร่วมกันว่าปัญหาขยะที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากคนในชุมชนที่มีมากถึง 7 ตันต่อวัน จึงแก้ปัญหาโดยส่งเสริมให้คนในชุมชนคัดแยกขยะ ขยะพิษ ขยะอินทรีย์ ทําน้ําหมักชีวภาพ มีการจัดตั้งธนาคารขยะ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน ผลจากการบริหารจัดการขยะ ทําให้จํานวนขยะลดลง โรคไข้เลือดออกลดลง จากการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี ยังผลให้เกิดโครงการใหม่ คือ การรณรงค์ไม่บริโภคของดิบ “ส้มตําปลาร้าสุก” แก้ไขปัญหาเรื่องโรคพยาธิใบไม้ในตับของประชาชนในพื้นที่อําเภอขุนหาญ แต่เดิมที่นิยมบริโภคปลาร้าดิบ ทําให้พบผู้ป่วยเป็นโรคพยาธิใบไม้ในตับ 93 ราย จากประชาชน 100 คน หลังจากที่มีหน่วยงานลงมาให้ความรู้ สร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในชุมชน ทําให้ประชาชนในชุมชนหันมาบริโภคปลาร้าสุก แม้จะไม่อร่อย แต่ได้สุขภาพที่ดี ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ในตับ 7 ราย จากประชาชน 100 คน นับได้ว่าการดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอขุนหาญประสบความสําเร็จ เกิดผลสัมฤทธิ์ และเกิดการมีส่วนร่วมในการบูรณาการการดําเนินงานอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชิวิตระดับอําเภอ ที่อําเภอขุนหาญ จังหวัด ศรีสะเกษ ให้ความสําคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งไม่ใช้การสั่งการจากผู้บริหารลงมาอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่เป็นการสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจริงจากประชาชนในพื้นที่ ยังผลให้เกิดการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยในปีนี้กําหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชิวิตระดับอําเภอ ให้ครบทุกอําเภอ และในเขตกรุงเทพมหานครอีก 50 เขต เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาของชุมชนในแต่ละพื้นที่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป *************************************** 12 พฤศจิกายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8009
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นาฏศิลป์ไทยร่วมแสดงวัฒนธรรมในงานเลี้ยงอาหารค่ำของการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 4
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561 นาฏศิลป์ไทยร่วมแสดงวัฒนธรรมในงานเลี้ยงอาหารค่ําของการประชุมผู้นํา BIMSTEC ครั้งที่ 4 นาฏศิลป์ไทยร่วมแสดงวัฒนธรรมในงานเลี้ยงอาหารค่ําของการประชุมผู้นํา BIMSTEC ครั้งที่ 4 วันนี้ (พุธ 29 สิงหาคม 2561) พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกําหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นําความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสําหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 30-31 สิงหาคม 2561 ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล โดยมีรัฐมนตรีร่วมคณะ ประกอบด้วย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยนายกรัฐมนตรีมีกําหนดการดังนี้ วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม เวลา 08.15 น.นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) กองทัพอากาศ โดยจะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติตรีภูวัน (Tribhuvan International Airport) กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ในเวลา 10.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเวลาที่กรุงกาฐมาณฑุช้ากว่าเวลาที่กรุงเทพฯ 1 ชั่วโมง 15 นาที หลังจากนั้น เวลา 11.40 น. นายกรัฐมนตรีและผู้นําประเทศที่เข้าร่วมการประชุมฯ เข้าเยี่ยมคารวะนางพิทา เทวี ภันฑรี (The Right Honourable Bidya Devi Bhandari) ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล โดยประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นําประเทศที่เข้าร่วมการประชุมฯ และคู่สมรส เวลา 15.45 - 18.43 น. การประชุมผู้นําความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสําหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4 (Fourth BIMSTEC Summit) ณ โรงแรมโซลธี คราวน์ พลาซ่า และค่ําวันเดียวกันนี้ เวลา 20.00 - 21.30 น. นายคัดห์กา ปราสาด ชาร์มา โอลิ นายกรัฐมนตรีสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ํา (Gala Dinner) เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นําประเทศที่เข้าร่วมการประชุม โอกาสนี้ คณะนาฏศิลป์ ชุด “เถิดเทิง” (Theut-Theung Dance) ร่วมในการแสดงวัฒนธรรม ระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ําแด่ผู้นํา BIMSTEC ด้วย วันศุกร์ที่ 31สิงหาคม เวลา 08.40 น. นายกรัฐมนตรีและผู้นําประเทศที่เข้าร่วมการประชุมฯ ร่วมรับประทานอาหารเช้า (Breakfast Retreat) กับนายกรัฐมนตรีสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เวลา 09.40 น. นายกรัฐมนตรีพบหารือกับนายนเรนทร โมที. (Mr. Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย และเวลา 10.10 น. จะพบหารือกับนายคัดห์กา ปราสาด ชาร์มา โอลิ (The Right Honourable Khadga Prasad Sharma Oli) นายกรัฐมนตรีสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ต่อมา เวลา 11.00 น. พิธีปิดการประชุม (Concluding Session) โดยจะมีการลงนามความตกลง ในกรอบการประชุมความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสําหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ จํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบไฟฟ้า (MoU for the Establishment of the BIMSTEC Grid Interconnection ) ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ ถ่ายทอดเทคโนโลยี ภายใต้กรอบ BIMSTEC (MOA on the Establishment of BIMSTEC Technology Transfer Facility) และ ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือซึ่งกันและกันระหว่างสถาบันการทูตของประเทศสมาชิก BIMSTEC (MoU Cooperation between Diplomatic Academies of BIMSTEC Member States) พิธีส่งมอบตําแหน่งประธานการประชุมความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสําหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ ณ โรงแรมโซลธี คราวน์ พลาซ่า เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เวลา 13.40 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติตรีภูวัน เวลา 18.15 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) กองทัพอากาศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นาฏศิลป์ไทยร่วมแสดงวัฒนธรรมในงานเลี้ยงอาหารค่ำของการประชุมผู้นำ BIMSTEC ครั้งที่ 4 วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561 นาฏศิลป์ไทยร่วมแสดงวัฒนธรรมในงานเลี้ยงอาหารค่ําของการประชุมผู้นํา BIMSTEC ครั้งที่ 4 นาฏศิลป์ไทยร่วมแสดงวัฒนธรรมในงานเลี้ยงอาหารค่ําของการประชุมผู้นํา BIMSTEC ครั้งที่ 4 วันนี้ (พุธ 29 สิงหาคม 2561) พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีกําหนดการเข้าร่วมการประชุมผู้นําความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสําหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 30-31 สิงหาคม 2561 ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล โดยมีรัฐมนตรีร่วมคณะ ประกอบด้วย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยนายกรัฐมนตรีมีกําหนดการดังนี้ วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม เวลา 08.15 น.นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) กองทัพอากาศ โดยจะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติตรีภูวัน (Tribhuvan International Airport) กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ในเวลา 10.15 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเวลาที่กรุงกาฐมาณฑุช้ากว่าเวลาที่กรุงเทพฯ 1 ชั่วโมง 15 นาที หลังจากนั้น เวลา 11.40 น. นายกรัฐมนตรีและผู้นําประเทศที่เข้าร่วมการประชุมฯ เข้าเยี่ยมคารวะนางพิทา เทวี ภันฑรี (The Right Honourable Bidya Devi Bhandari) ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล โดยประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นําประเทศที่เข้าร่วมการประชุมฯ และคู่สมรส เวลา 15.45 - 18.43 น. การประชุมผู้นําความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสําหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4 (Fourth BIMSTEC Summit) ณ โรงแรมโซลธี คราวน์ พลาซ่า และค่ําวันเดียวกันนี้ เวลา 20.00 - 21.30 น. นายคัดห์กา ปราสาด ชาร์มา โอลิ นายกรัฐมนตรีสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาลเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ํา (Gala Dinner) เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นําประเทศที่เข้าร่วมการประชุม โอกาสนี้ คณะนาฏศิลป์ ชุด “เถิดเทิง” (Theut-Theung Dance) ร่วมในการแสดงวัฒนธรรม ระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ําแด่ผู้นํา BIMSTEC ด้วย วันศุกร์ที่ 31สิงหาคม เวลา 08.40 น. นายกรัฐมนตรีและผู้นําประเทศที่เข้าร่วมการประชุมฯ ร่วมรับประทานอาหารเช้า (Breakfast Retreat) กับนายกรัฐมนตรีสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล เวลา 09.40 น. นายกรัฐมนตรีพบหารือกับนายนเรนทร โมที. (Mr. Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย และเวลา 10.10 น. จะพบหารือกับนายคัดห์กา ปราสาด ชาร์มา โอลิ (The Right Honourable Khadga Prasad Sharma Oli) นายกรัฐมนตรีสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ต่อมา เวลา 11.00 น. พิธีปิดการประชุม (Concluding Session) โดยจะมีการลงนามความตกลง ในกรอบการประชุมความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสําหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ จํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบไฟฟ้า (MoU for the Establishment of the BIMSTEC Grid Interconnection ) ความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ ถ่ายทอดเทคโนโลยี ภายใต้กรอบ BIMSTEC (MOA on the Establishment of BIMSTEC Technology Transfer Facility) และ ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือซึ่งกันและกันระหว่างสถาบันการทูตของประเทศสมาชิก BIMSTEC (MoU Cooperation between Diplomatic Academies of BIMSTEC Member States) พิธีส่งมอบตําแหน่งประธานการประชุมความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสําหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ ณ โรงแรมโซลธี คราวน์ พลาซ่า เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เวลา 13.40 น. นายกรัฐมนตรีและคณะเดินทางออกจากท่าอากาศยานนานาชาติตรีภูวัน เวลา 18.15 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2 (กองบิน 6) กองทัพอากาศ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14991
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ (คตปท.) ครั้งที่ 2/2560 การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคม (Area Based Reform)
วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2560 ผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ (คตปท.) ครั้งที่ 2/2560 การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคม (Area Based Reform) ผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ (คตปท.) ครั้งที่ 2/2560 การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคม (Area Based Reform) วันที่ 12 กรกฎาคม 2560 เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ 2/2560 โดยมี พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร้อยเอก ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม การประชุมคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ (คตปท.) ครั้งที่ 2/2560 ได้มีการพิจารณาและรับทราบการรายงานผลการดําเนินงานด้านการปฏิรูปกฎหมาย ด้านการปฏิรูประบบราชการ ด้านการปฏิรูปเชิงระบบและโครงสร้าง และด้านการปฏิรูปเชิงพื้นที่ สรุปสาระสําคัญดังนี้ การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคม (Area Based Reform) คณะอนุกรรมการสานพลังปฏิรูปเพื่อพัฒนาพื้นที่และสังคม ซึ่งมี ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย ประธานคณะอนุกรรมการ ได้นําเสนอโครงการในการสานพลังเพื่อปฏิรูปพื้นที่และสังคม สรุปได้ดังนี้ 1) โครงการสานพลังเพื่อปฏิรูปพื้นที่และสังคม แนวทางการดําเนินการโดยการเปิดพื้นที่เรียนรู้และปฏิบัติการร่วมกัน เพื่อสร้างวาระปฏิรูปของชุมชนท้องถิ่นให้เป็นสัญญาประชาคม : กระบวนการสร้างประชาธิปไตยฐานราก ซึ่งมี พื้นที่นําร่องในระยะเวลา 6 เดือน (ส.ค. 2560 – ม.ค. 2561) จํานวน 878 อําเภอ 878 ตําบล 4400 หมู่บ้าน (ร้อยละ 50 ของจํานวนหมู่บ้านในตําบล) และจัดทําฐานข้อมูลตําบลเข้มแข็งจากภาคีเครือข่ายที่ทํางาน การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งได้ดําเนินการเตรียมการสานพลังเพื่อปฏิรูปพื้นที่แล้ว ได้แก่ สร้างความชัดเจนในแนวทางการขับเคลื่อนกับ มท. จัดทําฐานข้อมูลพื้นที่ตําบลเข้มแข็งเพื่อนําร่องในระยะแรก จัดทําเครื่องมือข้อมูลเพื่อจัดกระบวนการประชาคม สร้างความเข้าใจกลุ่มวิทยากรกระบวนการ ทั้งนี้ การดําเนินการโครงการสานพลังเพื่อปฏิรูปพื้นที่ในระยะแรก 6 เดือน โดยให้ มท. และสํานักงานสภาพัฒนาการเมือง (สพม.) เป็นหน่วยงานหลัก จึงเสนอขออนุมัติหลักการและงบประมาณการดําเนินโครงการฯ ดังกล่าว 2) Quick Win การสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น ภายใต้แนวคิด Participatory Reform โดยใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือดึงคนมาร่วมคิดร่วมทํา ลดความขัดแย้ง ฟื้นพลังร่วมเปิดพื้นที่ ให้เจ้าของวัฒนธรรมเข้ามาร่วมกระบวนการปฏิรูป และสร้างกระบวนการเชิงพื้นที่เพื่อบูรณาการงานเชิงภารกิจ ซึ่งมีพื้นที่นําร่องใน 6 จังหวัดบนฐานทุนวัฒนธรรมที่แตกต่าง ได้แก่ จ.พะเยา จ.เชียงใหม่ จ.สกลนคร จ.กาญจนบุรี จ.นครศรีธรรมราช และกรุงเทพมหานคร โดยมีแนวทางการดําเนินงาน ได้แก่ การสร้างประชาคมวัฒนธรรม การค้นหาทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน การสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรม และการส่งเสริมการประกอบการสร้างรายได้ บนฐานทุนทางวัฒนธรรม 3) โครงการสานพลังคนรุ่นใหม่ร่วมปฏิรูปเพื่อพัฒนาชุมชน 4.0 เป็นการยกระดับการพัฒนาในพื้นที่ให้ได้อย่างรวดเร็ว มุ่งเน้นให้คนรุ่นใหม่กลับไปพัฒนาพื้นที่บ้านเกิดของตน และเป็นแกนประสานการสร้างการปฏิรูปชุมชนหรือให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ (Change Agent) ด้วยความรู้/นวัตกรรม และเป็น การเติมความรู้/นวัตกรรมลงไปในพื้นที่ซึ่งจะสามารถทําได้ง่ายและเร็วผ่านกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยจะดําเนินการโครงการ “สานพลังคนรุ่นใหม่ร่วมปฏิรูปเพื่อพัฒนาชุมชน 4.0” ในช่วง 6 เดือนแรก (กลุ่มเป้าหมาย 900 คน) ตามแนวทางการดําเนินงาน ดังนี้ ความเห็นของที่ประชุม การปฏิรูปในระดับพื้นที่ควรพิจารณาเชื่อมโยงการทํางานร่วมกับองค์กรเครือข่าย สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศซึ่งมีเครือข่ายทั่วประเทศ อาทิ สมาคมกํานันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย สมาคมข้าราชการส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย สมาคมเกษตรแห่งชาติ เป็นต้น ทั้งนี้ แนวทางการบูรณาการส่วนราชการในพื้นที่ให้ใช้หลักการตามแนวทางประชารัฐ โดยร่วมมือระหว่างส่วนราชการกับเอกชน มติที่ประชุม 1. เห็นชอบในหลักการโครงการ “การสานพลังเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปพื้นที่ และสังคม (Area Based Reform)” โดยมอบหมายให้ มท. เป็นหน่วยงานหลัก และสํานักงานสภาพัฒนาการเมือง (สพม.) สนับสนุนการดําเนินการและงบประมาณ 2. เห็นชอบในหลักการโครงการ “สานพลังคนรุ่นใหม่ร่วมปฏิรูปเพื่อพัฒนาชุมชน 4.0” โดยมอบหมายให้เป็นภารกิจสํานักงานสภาพัฒนาการเมือง (สพม.) ดําเนินโครงการดังกล่าวและ ใช้งบประมาณของสํานักงานสภาพัฒนาการเมือง (สพม.) เพื่อดําเนินการตามโครงการ 3. ข้อเสนอ 3.1 เห็นควรรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ 2/2560 ตามข้อ 2.1 – 2.4 และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามมติและข้อสั่งการในส่วนที่เกี่ยวข้อง 3.2 เห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบ และเร่งรัดการดําเนินการของหน่วยงานตามเป้าหมายของการปฏิรูปด้านต่าง ๆ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ (คตปท.) ครั้งที่ 2/2560 การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคม (Area Based Reform) วันจันทร์ที่ 11 กันยายน 2560 ผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ (คตปท.) ครั้งที่ 2/2560 การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคม (Area Based Reform) ผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ (คตปท.) ครั้งที่ 2/2560 การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคม (Area Based Reform) วันที่ 12 กรกฎาคม 2560 เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ 2/2560 โดยมี พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร้อยเอก ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม การประชุมคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ (คตปท.) ครั้งที่ 2/2560 ได้มีการพิจารณาและรับทราบการรายงานผลการดําเนินงานด้านการปฏิรูปกฎหมาย ด้านการปฏิรูประบบราชการ ด้านการปฏิรูปเชิงระบบและโครงสร้าง และด้านการปฏิรูปเชิงพื้นที่ สรุปสาระสําคัญดังนี้ การปฏิรูปเชิงพื้นที่และสังคม (Area Based Reform) คณะอนุกรรมการสานพลังปฏิรูปเพื่อพัฒนาพื้นที่และสังคม ซึ่งมี ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย ประธานคณะอนุกรรมการ ได้นําเสนอโครงการในการสานพลังเพื่อปฏิรูปพื้นที่และสังคม สรุปได้ดังนี้ 1) โครงการสานพลังเพื่อปฏิรูปพื้นที่และสังคม แนวทางการดําเนินการโดยการเปิดพื้นที่เรียนรู้และปฏิบัติการร่วมกัน เพื่อสร้างวาระปฏิรูปของชุมชนท้องถิ่นให้เป็นสัญญาประชาคม : กระบวนการสร้างประชาธิปไตยฐานราก ซึ่งมี พื้นที่นําร่องในระยะเวลา 6 เดือน (ส.ค. 2560 – ม.ค. 2561) จํานวน 878 อําเภอ 878 ตําบล 4400 หมู่บ้าน (ร้อยละ 50 ของจํานวนหมู่บ้านในตําบล) และจัดทําฐานข้อมูลตําบลเข้มแข็งจากภาคีเครือข่ายที่ทํางาน การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งได้ดําเนินการเตรียมการสานพลังเพื่อปฏิรูปพื้นที่แล้ว ได้แก่ สร้างความชัดเจนในแนวทางการขับเคลื่อนกับ มท. จัดทําฐานข้อมูลพื้นที่ตําบลเข้มแข็งเพื่อนําร่องในระยะแรก จัดทําเครื่องมือข้อมูลเพื่อจัดกระบวนการประชาคม สร้างความเข้าใจกลุ่มวิทยากรกระบวนการ ทั้งนี้ การดําเนินการโครงการสานพลังเพื่อปฏิรูปพื้นที่ในระยะแรก 6 เดือน โดยให้ มท. และสํานักงานสภาพัฒนาการเมือง (สพม.) เป็นหน่วยงานหลัก จึงเสนอขออนุมัติหลักการและงบประมาณการดําเนินโครงการฯ ดังกล่าว 2) Quick Win การสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น ภายใต้แนวคิด Participatory Reform โดยใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องมือดึงคนมาร่วมคิดร่วมทํา ลดความขัดแย้ง ฟื้นพลังร่วมเปิดพื้นที่ ให้เจ้าของวัฒนธรรมเข้ามาร่วมกระบวนการปฏิรูป และสร้างกระบวนการเชิงพื้นที่เพื่อบูรณาการงานเชิงภารกิจ ซึ่งมีพื้นที่นําร่องใน 6 จังหวัดบนฐานทุนวัฒนธรรมที่แตกต่าง ได้แก่ จ.พะเยา จ.เชียงใหม่ จ.สกลนคร จ.กาญจนบุรี จ.นครศรีธรรมราช และกรุงเทพมหานคร โดยมีแนวทางการดําเนินงาน ได้แก่ การสร้างประชาคมวัฒนธรรม การค้นหาทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน การสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรม และการส่งเสริมการประกอบการสร้างรายได้ บนฐานทุนทางวัฒนธรรม 3) โครงการสานพลังคนรุ่นใหม่ร่วมปฏิรูปเพื่อพัฒนาชุมชน 4.0 เป็นการยกระดับการพัฒนาในพื้นที่ให้ได้อย่างรวดเร็ว มุ่งเน้นให้คนรุ่นใหม่กลับไปพัฒนาพื้นที่บ้านเกิดของตน และเป็นแกนประสานการสร้างการปฏิรูปชุมชนหรือให้เห็นความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ (Change Agent) ด้วยความรู้/นวัตกรรม และเป็น การเติมความรู้/นวัตกรรมลงไปในพื้นที่ซึ่งจะสามารถทําได้ง่ายและเร็วผ่านกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยจะดําเนินการโครงการ “สานพลังคนรุ่นใหม่ร่วมปฏิรูปเพื่อพัฒนาชุมชน 4.0” ในช่วง 6 เดือนแรก (กลุ่มเป้าหมาย 900 คน) ตามแนวทางการดําเนินงาน ดังนี้ ความเห็นของที่ประชุม การปฏิรูปในระดับพื้นที่ควรพิจารณาเชื่อมโยงการทํางานร่วมกับองค์กรเครือข่าย สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศซึ่งมีเครือข่ายทั่วประเทศ อาทิ สมาคมกํานันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย สมาคมข้าราชการส่วนท้องถิ่นแห่งประเทศไทย สมาคมเกษตรแห่งชาติ เป็นต้น ทั้งนี้ แนวทางการบูรณาการส่วนราชการในพื้นที่ให้ใช้หลักการตามแนวทางประชารัฐ โดยร่วมมือระหว่างส่วนราชการกับเอกชน มติที่ประชุม 1. เห็นชอบในหลักการโครงการ “การสานพลังเพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปพื้นที่ และสังคม (Area Based Reform)” โดยมอบหมายให้ มท. เป็นหน่วยงานหลัก และสํานักงานสภาพัฒนาการเมือง (สพม.) สนับสนุนการดําเนินการและงบประมาณ 2. เห็นชอบในหลักการโครงการ “สานพลังคนรุ่นใหม่ร่วมปฏิรูปเพื่อพัฒนาชุมชน 4.0” โดยมอบหมายให้เป็นภารกิจสํานักงานสภาพัฒนาการเมือง (สพม.) ดําเนินโครงการดังกล่าวและ ใช้งบประมาณของสํานักงานสภาพัฒนาการเมือง (สพม.) เพื่อดําเนินการตามโครงการ 3. ข้อเสนอ 3.1 เห็นควรรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศ ครั้งที่ 2/2560 ตามข้อ 2.1 – 2.4 และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามมติและข้อสั่งการในส่วนที่เกี่ยวข้อง 3.2 เห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบ และเร่งรัดการดําเนินการของหน่วยงานตามเป้าหมายของการปฏิรูปด้านต่าง ๆ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6597
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ดีเดย์ “วิ่งไล่ยุง” 10 มกราคม นี้
วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2562 สาธิต พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ดีเดย์ “วิ่งไล่ยุง” 10 มกราคม นี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขพลิกวิกฤติเป็นโอกาสหลังป่วยโรคไข้ปวดข้อยุงลาย ชิคุนกุนยา จัดกิจกรรม “วิ่งไล่ยุง” กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย ร่วมส่งเสริมการออกกําลังกาย เพื่อคนไทยแข็งแรง 10 มกราคม 2563 สาธิต พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ดีเดย์ “วิ่งไล่ยุง” 10 มกราคม นี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขพลิกวิกฤติเป็นโอกาสหลังป่วยโรคไข้ปวดข้อยุงลาย ชิคุนกุนยา จัดกิจกรรม “วิ่งไล่ยุง” กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย ร่วมส่งเสริมการออกกําลังกาย เพื่อคนไทยแข็งแรง10 มกราคม 2563 ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากประสบการณ์ตรง เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ป่วยด้วยโรคไข้ปวดข้อยุงลาย ชิคุนกุนยา ที่มียุงลายเป็นพาหะ จึงเข้าใจความทรมานการเจ็บปวดของคนที่ป่วยด้วยโรคนี้ จึงอยากใช้เหตุการณ์นี้พลิกวิกฤติเป็นโอกาสในการรณรงค์ ให้คนไทยร่วมกันกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เพื่อป้องกันให้ครอบครัวหรือคนรอบตัวของเราไม่ต้องป่วยด้วย 3 โรคจากยุงลาย อาทิ ไข้เลือดออก ไข้ปวดข้อยุงลาย ติดเชื้อไวรัสซิกา ด้วยการจัดกิจกรรมครั้งใหญ่ “วิ่งไล่ยุง” ให้คนไทยทั้งประเทศหันมาสนใจกับการกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย โดยใช้กิจกรรมวิ่งเป็นการสื่อสาร Kick Off เพื่อปลุกกระแสการรณรงค์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 10 มกราคม 2563 เวลา 15.00 น. เส้นทางกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ถึงแม้ว่าผมจะแข็งแรง แต่ถูกยุงลายซึ่งหากินในช่วงเวลากลางวันกัดก็ป่วยได้ จึงขอเชิญชวนทุกคนช่วยกันสอดส่องดูแล ทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย เช่น จานรองกระถางต้นไม้ ยางรถยนต์เก่า แม้กระทั่งเศษพลาสติกเล็กๆ ที่มีน้ําขังยังมีโอกาสเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ได้ ที่สําคัญในช่วงฤดูแล้งนับเป็นโอกาสทองในการกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลายที่เกาะติดอยู่ตามภาชนะถูกทิ้ง เนื่องจากไข่ยุงลายสามารถอยู่ในสภาวะไร้น้ําได้นานหลายเดือน เมื่อฝนตกไข่ยุงก็จะฟักตัวและกลายเป็นพาหะนําโรคได้ “ผมเป็นคนที่ชอบออกกําลังกาย จึงถือวิกฤติในครั้งนี้เชิญชวนทุกคนมาออกกําลังกาย วิ่งไล่ยุง ด้วยกัน กับผม ในวันที่ 10 มกราคม 2563 พร้อมกันทั่วประเทศ” ดร.สาธิตกล่าว ********************************** 22 ธันวาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สาธิต พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ดีเดย์ “วิ่งไล่ยุง” 10 มกราคม นี้ วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2562 สาธิต พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ดีเดย์ “วิ่งไล่ยุง” 10 มกราคม นี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขพลิกวิกฤติเป็นโอกาสหลังป่วยโรคไข้ปวดข้อยุงลาย ชิคุนกุนยา จัดกิจกรรม “วิ่งไล่ยุง” กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย ร่วมส่งเสริมการออกกําลังกาย เพื่อคนไทยแข็งแรง 10 มกราคม 2563 สาธิต พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ดีเดย์ “วิ่งไล่ยุง” 10 มกราคม นี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขพลิกวิกฤติเป็นโอกาสหลังป่วยโรคไข้ปวดข้อยุงลาย ชิคุนกุนยา จัดกิจกรรม “วิ่งไล่ยุง” กําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย ร่วมส่งเสริมการออกกําลังกาย เพื่อคนไทยแข็งแรง10 มกราคม 2563 ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากประสบการณ์ตรง เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้ป่วยด้วยโรคไข้ปวดข้อยุงลาย ชิคุนกุนยา ที่มียุงลายเป็นพาหะ จึงเข้าใจความทรมานการเจ็บปวดของคนที่ป่วยด้วยโรคนี้ จึงอยากใช้เหตุการณ์นี้พลิกวิกฤติเป็นโอกาสในการรณรงค์ ให้คนไทยร่วมกันกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เพื่อป้องกันให้ครอบครัวหรือคนรอบตัวของเราไม่ต้องป่วยด้วย 3 โรคจากยุงลาย อาทิ ไข้เลือดออก ไข้ปวดข้อยุงลาย ติดเชื้อไวรัสซิกา ด้วยการจัดกิจกรรมครั้งใหญ่ “วิ่งไล่ยุง” ให้คนไทยทั้งประเทศหันมาสนใจกับการกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย โดยใช้กิจกรรมวิ่งเป็นการสื่อสาร Kick Off เพื่อปลุกกระแสการรณรงค์ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 10 มกราคม 2563 เวลา 15.00 น. เส้นทางกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ถึงแม้ว่าผมจะแข็งแรง แต่ถูกยุงลายซึ่งหากินในช่วงเวลากลางวันกัดก็ป่วยได้ จึงขอเชิญชวนทุกคนช่วยกันสอดส่องดูแล ทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย เช่น จานรองกระถางต้นไม้ ยางรถยนต์เก่า แม้กระทั่งเศษพลาสติกเล็กๆ ที่มีน้ําขังยังมีโอกาสเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ได้ ที่สําคัญในช่วงฤดูแล้งนับเป็นโอกาสทองในการกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลายที่เกาะติดอยู่ตามภาชนะถูกทิ้ง เนื่องจากไข่ยุงลายสามารถอยู่ในสภาวะไร้น้ําได้นานหลายเดือน เมื่อฝนตกไข่ยุงก็จะฟักตัวและกลายเป็นพาหะนําโรคได้ “ผมเป็นคนที่ชอบออกกําลังกาย จึงถือวิกฤติในครั้งนี้เชิญชวนทุกคนมาออกกําลังกาย วิ่งไล่ยุง ด้วยกัน กับผม ในวันที่ 10 มกราคม 2563 พร้อมกันทั่วประเทศ” ดร.สาธิตกล่าว ********************************** 22 ธันวาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25386
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนมีนาคม 2563
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563 รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนมีนาคม 2563 สถานการณ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ในเดือนมีนาคม 2563 ยังคงมีผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์และประเภทพิโกพลัส คือ มีจํานวนผู้ยื่นคําขออนุญาตสะสมสุทธิ 1,189 ราย เพิ่มขึ้น 21 รายจากเดือนกุมภาพันธ์ 2563 นายพรชัย ฐีระะเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือนมีนาคม 2563 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 2019 (โรคโควิด 19) ได้แพร่กระจายและแพร่ระบาดไปทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย ส่งผลทําให้ในหลายจังหวัดมีการประกาศปิดพื้นที่และปิดสถานบริการหลายแห่ง รวมทั้งมีการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นอกจากนี้ ในเดือนมีนาคม 2563 สํานักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีหนังสือถึงผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และได้เปิดดําเนินการให้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ เพื่อขอความร่วมมือเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 ด้วยความสมัครใจ และเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จํานวนมากกว่า 250 ราย แจ้งตอบรับเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 ทั้งในเรื่องของการพักชําระต้น การลดอัตราดอกเบี้ย และการขยายระยะเวลาการชําระหนี้ อย่างไรก็ดี ท่ามกลางกระแสการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 สถานการณ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ในเดือนมีนาคม 2563 ยังคงมีผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์และประเภทพิโกพลัส คือ มีจํานวนผู้ยื่นคําขออนุญาตสะสมสุทธิ 1,189 ราย เพิ่มขึ้น 21 รายจากเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ในจํานวนนี้เป็นผู้ยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ (มีทุนจดทะเบียนชําระแล้วไม่ต่ํากว่า 5 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจำเดือนมีนาคม 2563 วันพุธที่ 29 เมษายน 2563 รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบประจําเดือนมีนาคม 2563 สถานการณ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ในเดือนมีนาคม 2563 ยังคงมีผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์และประเภทพิโกพลัส คือ มีจํานวนผู้ยื่นคําขออนุญาตสะสมสุทธิ 1,189 ราย เพิ่มขึ้น 21 รายจากเดือนกุมภาพันธ์ 2563 นายพรชัย ฐีระะเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือนมีนาคม 2563 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 2019 (โรคโควิด 19) ได้แพร่กระจายและแพร่ระบาดไปทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย ส่งผลทําให้ในหลายจังหวัดมีการประกาศปิดพื้นที่และปิดสถานบริการหลายแห่ง รวมทั้งมีการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นอกจากนี้ ในเดือนมีนาคม 2563 สํานักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีหนังสือถึงผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และได้เปิดดําเนินการให้บริการสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ เพื่อขอความร่วมมือเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 ด้วยความสมัครใจ และเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์จํานวนมากกว่า 250 ราย แจ้งตอบรับเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด 19 ทั้งในเรื่องของการพักชําระต้น การลดอัตราดอกเบี้ย และการขยายระยะเวลาการชําระหนี้ อย่างไรก็ดี ท่ามกลางกระแสการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 สถานการณ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ในเดือนมีนาคม 2563 ยังคงมีผู้สนใจยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์และประเภทพิโกพลัส คือ มีจํานวนผู้ยื่นคําขออนุญาตสะสมสุทธิ 1,189 ราย เพิ่มขึ้น 21 รายจากเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ในจํานวนนี้เป็นผู้ยื่นคําขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อประเภทพิโกไฟแนนซ์ (มีทุนจดทะเบียนชําระแล้วไม่ต่ํากว่า 5 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29876
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง จังหวัดนครสวรรค์
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 นรม. เยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมแนะนําให้สร้างเครื่องปั้นดินเผา โดยมีจุดขายและการเล่าเรื่อง ซึ่งมีรูปลักษณ์และสร้างแบรนด์ให้มีคุณค่าเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดสอดคล้องยุค Thailand 4.0 วันนี้ (12 มิถุนายน 2561) เวลา 15.00 น. ณ ตําบลบ้างแก่ง อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง ทั้งนี้ ศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาตําบลบ้านแก่งเป็นแหล่งค้าส่งเครื่องปั้นดินเผาที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับจากประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีการปรับปรุงรูปแบบผลิตภัณฑ์ในการใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย พัฒนาลวดลายให้มีความทันสมัยตามความนิยมของผู้บริโภค ภายในศูนย์มีการจัดจําลองวิธีการผลิตเครื่องปั้นดินเผา ผลิตภัณฑ์จากเครื่องปั้นดินเผาในรูปแบบต่างๆ แสดงถึงภูมิปัญญาของชาวบ้าน “บ้านมอญ” และได้รับการคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) จากกระทรวงอุตสาหกรรม และยังเป็นหมู่บ้าน (GI) คือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์โดยอ้อม (Indirect Geographical Indication) กล่าวคือ เป็นสัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่นใดที่ไม่ใช่ชื่อทางภูมิศาสตร์ ซึ่งใช้เพื่อบ่งบอกแหล่งภูมิศาสตร์อันเป็นแหล่งกําเนิดหรือแหล่งผลิตของสินค้าจากกระทรวงพาณิชย์ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวระหว่างเยี่ยมชมว่า สิ่งที่สําคัญในการสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อจําหน่ายต้องคํานึงถึงความต้องการของตลาด มีรูปลักษณ์ที่ทันสมัย มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง สร้างจุดขายขึ้นมา หรือเรียกว่าการมีสตอรี่ (Story) นั่นคือประวัติศาสตร์ความเป็นมา มีเรื่องราวทางวัฒนธรรม นําไปสู่การสร้างแบรด์ที่มีมูลค่าทางการตลาดที่มากขึ้น รวมทั้ง ต้องคํานึงถึงต้นทุนการผลิต ผลิตสินค้าที่ขายดี ขายดีต่างจากขายได้ ขายดีคือขายได้ทุกวันคนซื้อต่อเนื่องแต่ขายได้คือขายได้เป็นบางวัน มีการปรับปลี่ยนรูปแบบการขายสอดคล้องกับยุคไทยแลนด์ 4.0 นําเทคโนโลยีสร้างการขายทางช่องทางออนไลน์ ก็จะทําให้ขายได้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นให้ผู้นําท้องถิ่นเห็นควรให้การสนับสนุนความต้องการของชุมชนผ่านโครงการไทยนิยมยั่งยืนเพื่อช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่นให้เกิดความเท่าเทียมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม คนในชุมชนต้องรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างการต่อรองทางการตลาด เช่นตลาดประชารัฐ นําไปสู่การกระจายรายได้อย่างเท่าเทียมกัน และมีช่องทางจําหน่ายที่หลากหลาย ก็จะทําให้ชุมชนมีรายได้หมุนเวียนมากขึ้น ก่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งและพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้สลักชื่อบนโอ่งดินเผา เพื่อเป็นที่ระลึกให้กับชุมชนชาวบ้านแก่ง โดยสลักชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม 12 มิ.ย.61” ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ชาวชุมชนบ้านแก่งเป็นอย่างมาก ................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง จังหวัดนครสวรรค์ วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561 นรม. เยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมแนะนําให้สร้างเครื่องปั้นดินเผา โดยมีจุดขายและการเล่าเรื่อง ซึ่งมีรูปลักษณ์และสร้างแบรนด์ให้มีคุณค่าเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดสอดคล้องยุค Thailand 4.0 วันนี้ (12 มิถุนายน 2561) เวลา 15.00 น. ณ ตําบลบ้างแก่ง อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาและชุมชนบ้านแก่ง ทั้งนี้ ศูนย์พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาตําบลบ้านแก่งเป็นแหล่งค้าส่งเครื่องปั้นดินเผาที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับจากประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ มีการปรับปรุงรูปแบบผลิตภัณฑ์ในการใช้ประโยชน์ที่หลากหลาย พัฒนาลวดลายให้มีความทันสมัยตามความนิยมของผู้บริโภค ภายในศูนย์มีการจัดจําลองวิธีการผลิตเครื่องปั้นดินเผา ผลิตภัณฑ์จากเครื่องปั้นดินเผาในรูปแบบต่างๆ แสดงถึงภูมิปัญญาของชาวบ้าน “บ้านมอญ” และได้รับการคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) จากกระทรวงอุตสาหกรรม และยังเป็นหมู่บ้าน (GI) คือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์โดยอ้อม (Indirect Geographical Indication) กล่าวคือ เป็นสัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่นใดที่ไม่ใช่ชื่อทางภูมิศาสตร์ ซึ่งใช้เพื่อบ่งบอกแหล่งภูมิศาสตร์อันเป็นแหล่งกําเนิดหรือแหล่งผลิตของสินค้าจากกระทรวงพาณิชย์ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวระหว่างเยี่ยมชมว่า สิ่งที่สําคัญในการสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อจําหน่ายต้องคํานึงถึงความต้องการของตลาด มีรูปลักษณ์ที่ทันสมัย มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง สร้างจุดขายขึ้นมา หรือเรียกว่าการมีสตอรี่ (Story) นั่นคือประวัติศาสตร์ความเป็นมา มีเรื่องราวทางวัฒนธรรม นําไปสู่การสร้างแบรด์ที่มีมูลค่าทางการตลาดที่มากขึ้น รวมทั้ง ต้องคํานึงถึงต้นทุนการผลิต ผลิตสินค้าที่ขายดี ขายดีต่างจากขายได้ ขายดีคือขายได้ทุกวันคนซื้อต่อเนื่องแต่ขายได้คือขายได้เป็นบางวัน มีการปรับปลี่ยนรูปแบบการขายสอดคล้องกับยุคไทยแลนด์ 4.0 นําเทคโนโลยีสร้างการขายทางช่องทางออนไลน์ ก็จะทําให้ขายได้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวเน้นให้ผู้นําท้องถิ่นเห็นควรให้การสนับสนุนความต้องการของชุมชนผ่านโครงการไทยนิยมยั่งยืนเพื่อช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่นให้เกิดความเท่าเทียมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม คนในชุมชนต้องรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างการต่อรองทางการตลาด เช่นตลาดประชารัฐ นําไปสู่การกระจายรายได้อย่างเท่าเทียมกัน และมีช่องทางจําหน่ายที่หลากหลาย ก็จะทําให้ชุมชนมีรายได้หมุนเวียนมากขึ้น ก่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งและพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้สลักชื่อบนโอ่งดินเผา เพื่อเป็นที่ระลึกให้กับชุมชนชาวบ้านแก่ง โดยสลักชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม 12 มิ.ย.61” ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ชาวชุมชนบ้านแก่งเป็นอย่างมาก ................................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12982
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานวันสหกิจศึกษาไทย ครั้งที่ 8 ปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2560 งานวันสหกิจศึกษาไทย ครั้งที่ 8 ปี 2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานวันสหกิจศึกษาไทย ครั้งที่ 8 ปี 2560 (The 8th Thai Cooperative Education Day & 20th WACE World Conference 2017) ภายใต้แนวคิด “Thailand 4.0 : ความท้าทายสหกิจศึกษา” พร้อมมอบรางวัล "สหกิจศึกษาดีเด่นระดับชาติ" และรางวัล "สหกิจศึกษาโลก" รวม 19 รางวัล เมื่อวันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560 ณ โรงแรม ดิ เอ็มเพลส อําเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า ในนามของรัฐบาลไทยและกระทรวงศึกษาธิการ แสดงความยินดีต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน กรรมการผู้บริหาร และผู้แทนของ WACE World Conference สู่ประเทศไทย และสู่งาน The 8th Thai Cooperative Education Day ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามที่จะให้มีความร่วมมือด้านการศึกษาอย่างเข้มแข็ง ผ่านการแบ่งปันประสบการณ์และการฝึกฝนระหว่างผู้เชี่ยวชาญ สถาบันอุดมศึกษา และภาคธุรกิจ พร้อมการนําเสนอความสําเร็จจากความร่วมมือระดับอุดมศึกษาของไทย ให้เป็นที่ประจักษ์สู่สายตานานาอารยประเทศ งานวันสหกิจศึกษาไทย จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อให้มีความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตบัณฑิต ผู้ใช้บัณฑิต และภาคส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลผลิตของอุดมศึกษาไทยเพื่อให้ทุกภาคมีส่วนร่วมสหกิจศึกษา ตลอดจนภาคสังคมก็ตระหนัก เห็นความสําคัญ และประโยชน์ของการจัดการศึกษาระบบสหกิจศึกษา เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจและความก้าวหน้าในการดําเนินการจัดการศึกษาแบบสหกิจศึกษาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยกย่องและให้เกียรติแก่ผู้ทําคุณประโยชน์กับสหกิจศึกษาไทย ให้องค์กรและบุคคลทั้งภาครัฐและเอกชนที่ร่วมดําเนินการสหกิจศึกษา ได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นอันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมพัฒนาสหกิจศึกษาของประเทศไทยอย่างจริงจังต่อเนื่อง และเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมพัฒนาการ เรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทยต่อไป ต้องยอมรับว่าแม้เราจะมีการรวมตัวกันเพื่อร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่นและหลากหลายรูปแบบ แต่ก็พบว่าบริบทของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เราจึงไม่ควรอยู่กับความสําเร็จในอดีตเท่านั้น ดังนั้น การอุดมศึกษาจะต้องเตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ ตลอดจนสนับสนุนการเรียนรู้สําหรับผู้สูงอายุ เพื่อรับมือกับ “New Normal” ที่จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยยึดหลักทฤษฎีด้านการอุดมศึกษาในทุกรูปแบบอาทิ การศึกษาในชั้นเรียน ความร่วมมือด้านการศึกษา การศึกษาตลอดชีวิต และการเรียนออนไลน์ เพื่อให้ผู้จบการศึกษาได้รับความรู้ มีทักษะความสามารถที่จําเป็นตลอดช่วงชีวิตในทุกด้านอย่างครบถ้วน ทั้งสถานะทางเศรษฐกิจ สังคม และข้อมูลด้านอาชีพในอนาคต ขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล Co-operative Education Good Practices in 2017 ทั้งรางวัล “สหกิจศึกษาโลก” และรางวัล "สหกิจศึกษาดีเด่นระดับชาติ" ปี 2560ถือว่าเป็นผู้มีความสามารถมากและควรส่งเสริมสนับสนุนให้ดํารงไว้ซึ่งความดีต่อไป พร้อมกล่าวแสดงความขอบคุณจังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันอุดมศึกษา และเครือข่ายในเขตภาคเหนือตอนบน ตลอดจน World Association for Co-operative Education ซึ่งสนับสนุนการดําเนินงานเป็นอย่างดีอย่างต่อเนื่องยาวนาน รางวัล "สหกิจศึกษาดีเด่น" ระดับชาติ ปี 2560 ประเภทสถานศึกษา - สถานศึกษาดําเนินการสหกิจศึกษาดีเด่น : มหาวิทยาลัยแม่โจ้ - สถานศึกษาดําเนินการสหกิจศึกษาดาวรุ่ง : มหาวิทยาลัยราชภัฏลําปาง - สถานศึกษาดําเนินการสหกิจศึกษานานาชาติดีเด่น : มหาวิทยาลัยศรีปทุม ประเภทผู้ปฏิบัติงาน - ผู้ปฏิบัติงานสหกิจศึกษาดีเด่นในสถานศึกษา : นายเจนศิริ จันทร์ศิริ หัวหน้างานสหกิจศึกษาและการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคม มหาวิทยาลัยพายัพ - ผู้ปฏิบัติงานสหกิจศึกษาดีเด่นในสถานประกอบการ : นางสาวธนัชพร พรหมทันต์ ผู้อํานวยการบริหารกําลังคน บริษัท เบทาโกร จํากัด (มหาชน) ประเภทสถานประกอบการ - สถานประกอบการขนาดใหญ่ ดําเนินการสหกิจศึกษาดีเด่น : บริษัท จาโตโค (ประเทศไทย) จํากัด - สถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ดําเนินการสหกิจศึกษาดีเด่น : บริษัท กันตนา แอนิเมชั่น สตูดิโอ จํากัด ประเภทนักศึกษา - นักศึกษาสหกิจศึกษานานาชาติ รางวัลดีเด่น ระดับชาติ : นางสาวนพรัตน์ พรหมจรรย์ สาขาวิชาอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปฏิบัติงานที่บริษัท ไทยซัมมิท เวียดนาม จํากัด ผลงาน “พจนานุกรมคําศัพท์เฉพาะในโรงงาน (เวียดนาม อังกฤษ ไทย)” - นักศึกษาสหกิจศึกษานานาชาติ รางวัลรองดีเด่น ระดับชาติ : นางสาวปารวี โภคสวัสดิ์ สาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปฏิบัติงานที่ UVIC Bookstore แคนาดา ผลงาน “การปรับปรุงการรับสินค้าและกระบวนการ Pay&Pickup ของร้านหนังสือมหาวิทยาลัย” ประเภทโครงงาน/ผลงาน - โครงงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รางวัลดีเด่น ระดับชาติ : ผลงาน “การลดของเสียในกระบวนการหล่อเหล็กหล่อเหนียว” (FCD450 PART.CY/C # 4149) ของนายพีระพล ยาสิงห์ทอง สาขาวิชาวิศวกรรมโลหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น ปฏิบัติงานที่บริษัท นวโลหะไทย จํากัด - โครงงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รางวัลรองดีเด่น ระดับชาติ : ผลงาน “การลดเวลาในกระบวนการผลิตขึ้นรูปร้อนในสายการผลิต 1,000 ตัน” ของนายสุปัณโย แดงโคนา และนายอัตตชัย นาคสีเทา สาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการ คณะอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ปฏิบัติงานที่บริษัท สยามฟอร์จิง จํากัด - โครงงานด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และการจัดการ รางวัลดีเด่น ระดับชาติ : ผลงาน “การออกแบบสื่ออินเทอร์แอคทีฟ กรณีศึกษาเว็บไซต์ 360 องศา และสื่อโลกเสมือนผสานโลกจริง” ของนายทศพร สังข์ประคอง และนายศุภณัฐ จงเจริญมณี สาขาวิชาการออกแบบอินเทอร์แอคทีฟและเกม คณะดิจิทัลมีเดีย มหาวิทยาลัยศรีปทุม ปฏิบัติงานที่ CYBERREX DESiGN Co.,Ltd - โครงงานด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และการจัดการ รางวัลรองดีเด่น ระดับชาติ : ผลงาน “การปรับปรุงกระบวนการกักสินค้ารอการบรรจุเข้าตู้คอนเทนเนอร์ (Vanning) โดยการประยุกต์ใช้ระบบ Just in Time และระบบ KANBAN” ของนายบุรินทร์ เกิดผล สาขาวิชาการตลาด คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา ปฏิบัติงานที่บริษัท มิตซูบิชิ อิเล็คทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จํากัด - โครงงานด้านนวัตกรรมสหกิจศึกษา รางวัลดีเด่น ระดับชาติ : ผลงาน “แบบจําลองข้อเข่าเทียมชนิดที่เก็บรักษาเอ็นไขว้หน้าและเอ็นไขว้หลัง” ของนายธนภัทร มุสิกูล สาขาวิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี - โครงงานด้านนวัตกรรมสหกิจศึกษา รางวัลรองดีเด่น ระดับชาติ : ผลงาน “ท่อลดเสียงจากพัดลมโบลเวอร์” ของนางสาวหัทยา พวงผ่อง สาขาวิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สํานักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปฏิบัติงานที่บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) (ชลบุรี) ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษากล่าวถึงการจัดงานว่า งานวันสหกิจศึกษาไทย ครั้งที่ 8 ปี 2560 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Thailand 4.0 : ความท้าทายสหกิจศึกษา” มีกิจกรรมทางวิชาการ ประกอบด้วยการบรรยายพิเศษจากผู้แทนสมาคมสหกิจศึกษาโลก หัวข้อ “CWIE may still be the answer,but what is the question?” โดย Professor Nick Klomp, Vice President, Academics University of Canberra Australia, การเสวนา “สหกิจศึกษากับ Thailand 4.0” ตลอดจนการจัดแสดงนิทรรศการ ผลงานดีเด่นด้านสหกิจศึกษาระดับชาติ และรางวัลสหกิจศึกษาระดับโลก แก่สถาบันอุดมศึกษา องค์กร และบุคคลดีเด่นผู้ทําคุณประโยชน์ด้านสหกิจศึกษาทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 19 รางวัล ตลอดจน การนําเสนอแนว ปฏิบัติที่ดีและผลงานของนักศึกษา ที่ได้รับรางวัล ในประเภทต่าง ๆ ทั้งในประเทศและนานาชาติ ในพิธีเปิดครั้งนี้ มีผู้บริหารสหกิจศึกษา ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา คณาจารย์ และพนักงานมหาวิทยาลัยจากทั่วประเทศ เข้าร่วมจํานวน 800 คน อาทิ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน นายกสมาคมสหกิจศึกษาไทย, Dr.Maurits van Rooijen นายกสมาคมสหกิจศึกษาโลก, ดร.สุเมธ แย้มนุ่น อุปนายกสมาคมสหกิจศึกษาไทย, ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, รศ.บัณฑิต ทิพากร รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นางอรสา ภาววิมล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นายประจวบ กันธิยะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานวันสหกิจศึกษาไทย ครั้งที่ 8 ปี 2560 วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2560 งานวันสหกิจศึกษาไทย ครั้งที่ 8 ปี 2560 นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานวันสหกิจศึกษาไทย ครั้งที่ 8 ปี 2560 (The 8th Thai Cooperative Education Day & 20th WACE World Conference 2017) ภายใต้แนวคิด “Thailand 4.0 : ความท้าทายสหกิจศึกษา” พร้อมมอบรางวัล "สหกิจศึกษาดีเด่นระดับชาติ" และรางวัล "สหกิจศึกษาโลก" รวม 19 รางวัล เมื่อวันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560 ณ โรงแรม ดิ เอ็มเพลส อําเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า ในนามของรัฐบาลไทยและกระทรวงศึกษาธิการ แสดงความยินดีต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน กรรมการผู้บริหาร และผู้แทนของ WACE World Conference สู่ประเทศไทย และสู่งาน The 8th Thai Cooperative Education Day ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามที่จะให้มีความร่วมมือด้านการศึกษาอย่างเข้มแข็ง ผ่านการแบ่งปันประสบการณ์และการฝึกฝนระหว่างผู้เชี่ยวชาญ สถาบันอุดมศึกษา และภาคธุรกิจ พร้อมการนําเสนอความสําเร็จจากความร่วมมือระดับอุดมศึกษาของไทย ให้เป็นที่ประจักษ์สู่สายตานานาอารยประเทศ งานวันสหกิจศึกษาไทย จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อให้มีความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตบัณฑิต ผู้ใช้บัณฑิต และภาคส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลผลิตของอุดมศึกษาไทยเพื่อให้ทุกภาคมีส่วนร่วมสหกิจศึกษา ตลอดจนภาคสังคมก็ตระหนัก เห็นความสําคัญ และประโยชน์ของการจัดการศึกษาระบบสหกิจศึกษา เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจและความก้าวหน้าในการดําเนินการจัดการศึกษาแบบสหกิจศึกษาอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยกย่องและให้เกียรติแก่ผู้ทําคุณประโยชน์กับสหกิจศึกษาไทย ให้องค์กรและบุคคลทั้งภาครัฐและเอกชนที่ร่วมดําเนินการสหกิจศึกษา ได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นอันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมพัฒนาสหกิจศึกษาของประเทศไทยอย่างจริงจังต่อเนื่อง และเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมพัฒนาการ เรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทยต่อไป ต้องยอมรับว่าแม้เราจะมีการรวมตัวกันเพื่อร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่นและหลากหลายรูปแบบ แต่ก็พบว่าบริบทของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เราจึงไม่ควรอยู่กับความสําเร็จในอดีตเท่านั้น ดังนั้น การอุดมศึกษาจะต้องเตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ ตลอดจนสนับสนุนการเรียนรู้สําหรับผู้สูงอายุ เพื่อรับมือกับ “New Normal” ที่จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยยึดหลักทฤษฎีด้านการอุดมศึกษาในทุกรูปแบบอาทิ การศึกษาในชั้นเรียน ความร่วมมือด้านการศึกษา การศึกษาตลอดชีวิต และการเรียนออนไลน์ เพื่อให้ผู้จบการศึกษาได้รับความรู้ มีทักษะความสามารถที่จําเป็นตลอดช่วงชีวิตในทุกด้านอย่างครบถ้วน ทั้งสถานะทางเศรษฐกิจ สังคม และข้อมูลด้านอาชีพในอนาคต ขอแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล Co-operative Education Good Practices in 2017 ทั้งรางวัล “สหกิจศึกษาโลก” และรางวัล "สหกิจศึกษาดีเด่นระดับชาติ" ปี 2560ถือว่าเป็นผู้มีความสามารถมากและควรส่งเสริมสนับสนุนให้ดํารงไว้ซึ่งความดีต่อไป พร้อมกล่าวแสดงความขอบคุณจังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันอุดมศึกษา และเครือข่ายในเขตภาคเหนือตอนบน ตลอดจน World Association for Co-operative Education ซึ่งสนับสนุนการดําเนินงานเป็นอย่างดีอย่างต่อเนื่องยาวนาน รางวัล "สหกิจศึกษาดีเด่น" ระดับชาติ ปี 2560 ประเภทสถานศึกษา - สถานศึกษาดําเนินการสหกิจศึกษาดีเด่น : มหาวิทยาลัยแม่โจ้ - สถานศึกษาดําเนินการสหกิจศึกษาดาวรุ่ง : มหาวิทยาลัยราชภัฏลําปาง - สถานศึกษาดําเนินการสหกิจศึกษานานาชาติดีเด่น : มหาวิทยาลัยศรีปทุม ประเภทผู้ปฏิบัติงาน - ผู้ปฏิบัติงานสหกิจศึกษาดีเด่นในสถานศึกษา : นายเจนศิริ จันทร์ศิริ หัวหน้างานสหกิจศึกษาและการเรียนรู้ด้วยการบริการสังคม มหาวิทยาลัยพายัพ - ผู้ปฏิบัติงานสหกิจศึกษาดีเด่นในสถานประกอบการ : นางสาวธนัชพร พรหมทันต์ ผู้อํานวยการบริหารกําลังคน บริษัท เบทาโกร จํากัด (มหาชน) ประเภทสถานประกอบการ - สถานประกอบการขนาดใหญ่ ดําเนินการสหกิจศึกษาดีเด่น : บริษัท จาโตโค (ประเทศไทย) จํากัด - สถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ดําเนินการสหกิจศึกษาดีเด่น : บริษัท กันตนา แอนิเมชั่น สตูดิโอ จํากัด ประเภทนักศึกษา - นักศึกษาสหกิจศึกษานานาชาติ รางวัลดีเด่น ระดับชาติ : นางสาวนพรัตน์ พรหมจรรย์ สาขาวิชาอาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ปฏิบัติงานที่บริษัท ไทยซัมมิท เวียดนาม จํากัด ผลงาน “พจนานุกรมคําศัพท์เฉพาะในโรงงาน (เวียดนาม อังกฤษ ไทย)” - นักศึกษาสหกิจศึกษานานาชาติ รางวัลรองดีเด่น ระดับชาติ : นางสาวปารวี โภคสวัสดิ์ สาขาวิชาเทคโนโลยีการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปฏิบัติงานที่ UVIC Bookstore แคนาดา ผลงาน “การปรับปรุงการรับสินค้าและกระบวนการ Pay&Pickup ของร้านหนังสือมหาวิทยาลัย” ประเภทโครงงาน/ผลงาน - โครงงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รางวัลดีเด่น ระดับชาติ : ผลงาน “การลดของเสียในกระบวนการหล่อเหล็กหล่อเหนียว” (FCD450 PART.CY/C # 4149) ของนายพีระพล ยาสิงห์ทอง สาขาวิชาวิศวกรรมโลหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น ปฏิบัติงานที่บริษัท นวโลหะไทย จํากัด - โครงงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รางวัลรองดีเด่น ระดับชาติ : ผลงาน “การลดเวลาในกระบวนการผลิตขึ้นรูปร้อนในสายการผลิต 1,000 ตัน” ของนายสุปัณโย แดงโคนา และนายอัตตชัย นาคสีเทา สาขาวิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการ คณะอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ปฏิบัติงานที่บริษัท สยามฟอร์จิง จํากัด - โครงงานด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และการจัดการ รางวัลดีเด่น ระดับชาติ : ผลงาน “การออกแบบสื่ออินเทอร์แอคทีฟ กรณีศึกษาเว็บไซต์ 360 องศา และสื่อโลกเสมือนผสานโลกจริง” ของนายทศพร สังข์ประคอง และนายศุภณัฐ จงเจริญมณี สาขาวิชาการออกแบบอินเทอร์แอคทีฟและเกม คณะดิจิทัลมีเดีย มหาวิทยาลัยศรีปทุม ปฏิบัติงานที่ CYBERREX DESiGN Co.,Ltd - โครงงานด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และการจัดการ รางวัลรองดีเด่น ระดับชาติ : ผลงาน “การปรับปรุงกระบวนการกักสินค้ารอการบรรจุเข้าตู้คอนเทนเนอร์ (Vanning) โดยการประยุกต์ใช้ระบบ Just in Time และระบบ KANBAN” ของนายบุรินทร์ เกิดผล สาขาวิชาการตลาด คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา ปฏิบัติงานที่บริษัท มิตซูบิชิ อิเล็คทริค คอนซูมเมอร์ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จํากัด - โครงงานด้านนวัตกรรมสหกิจศึกษา รางวัลดีเด่น ระดับชาติ : ผลงาน “แบบจําลองข้อเข่าเทียมชนิดที่เก็บรักษาเอ็นไขว้หน้าและเอ็นไขว้หลัง” ของนายธนภัทร มุสิกูล สาขาวิชาวิศวกรรมชีวการแพทย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี - โครงงานด้านนวัตกรรมสหกิจศึกษา รางวัลรองดีเด่น ระดับชาติ : ผลงาน “ท่อลดเสียงจากพัดลมโบลเวอร์” ของนางสาวหัทยา พวงผ่อง สาขาวิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย สํานักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปฏิบัติงานที่บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) (ชลบุรี) ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษากล่าวถึงการจัดงานว่า งานวันสหกิจศึกษาไทย ครั้งที่ 8 ปี 2560 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Thailand 4.0 : ความท้าทายสหกิจศึกษา” มีกิจกรรมทางวิชาการ ประกอบด้วยการบรรยายพิเศษจากผู้แทนสมาคมสหกิจศึกษาโลก หัวข้อ “CWIE may still be the answer,but what is the question?” โดย Professor Nick Klomp, Vice President, Academics University of Canberra Australia, การเสวนา “สหกิจศึกษากับ Thailand 4.0” ตลอดจนการจัดแสดงนิทรรศการ ผลงานดีเด่นด้านสหกิจศึกษาระดับชาติ และรางวัลสหกิจศึกษาระดับโลก แก่สถาบันอุดมศึกษา องค์กร และบุคคลดีเด่นผู้ทําคุณประโยชน์ด้านสหกิจศึกษาทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 19 รางวัล ตลอดจน การนําเสนอแนว ปฏิบัติที่ดีและผลงานของนักศึกษา ที่ได้รับรางวัล ในประเภทต่าง ๆ ทั้งในประเทศและนานาชาติ ในพิธีเปิดครั้งนี้ มีผู้บริหารสหกิจศึกษา ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา คณาจารย์ และพนักงานมหาวิทยาลัยจากทั่วประเทศ เข้าร่วมจํานวน 800 คน อาทิ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน นายกสมาคมสหกิจศึกษาไทย, Dr.Maurits van Rooijen นายกสมาคมสหกิจศึกษาโลก, ดร.สุเมธ แย้มนุ่น อุปนายกสมาคมสหกิจศึกษาไทย, ดร.สุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, รศ.บัณฑิต ทิพากร รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นางอรสา ภาววิมล รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นายประจวบ กันธิยะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4374
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กป้อม”ดีเดย์ เปิดศูนย์จ็อบเรดี้เซ็นเตอร์ 11 แห่งทั่วประเทศ ช่วยผู้จบ ป.ตรี มีงานทำครบวงจร
วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม 2561 “บิ๊กป้อม”ดีเดย์ เปิดศูนย์จ็อบเรดี้เซ็นเตอร์ 11 แห่งทั่วประเทศ ช่วยผู้จบ ป.ตรี มีงานทําครบวงจร “รองนายกรัฐมนตรี” เปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา Job Ready Center ช่วยเหลือผู้จบปริญญาตรีให้มีงานทํา บริการให้คําปรึกษา พัฒนาทักษะฝีมือ แนะแนวอาชีพ จับคู่ตําแหน่งงาน เริ่มเปิดดําเนินการ 11 แห่ง พร้อมกันทั่วประเทศ ตามแนวทาง“ประชารัฐ ร่วมใจ เพื่อคนไทยมีงานทํา” “รองนายกรัฐมนตรี” เปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา Job Ready Center ช่วยเหลือผู้จบปริญญาตรีให้มีงานทํา บริการให้คําปรึกษา พัฒนาทักษะฝีมือ แนะแนวอาชีพ จับคู่ตําแหน่งงาน เริ่มเปิดดําเนินการ 11 แห่ง พร้อมกันทั่วประเทศ ตามแนวทาง“ประชารัฐ ร่วมใจ เพื่อคนไทยมีงานทํา” วันนี้ (19 ก.ค.61) เวลา 09.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) ณ อาคารศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทยกระทรวงแรงงาน โดยมี พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้กล่าวรายงาน โดย พลตํารวจเอก อดุลย์ฯ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ด้วยการยกระดับและปฏิรูประบบราชการ ให้เป็นที่พึ่งของประชาชน กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกํากับดูแลของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงได้จัดตั้งศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) ขึ้น ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐ ร่วมใจ เพื่อคนไทยมีงานทํา” โดยมีกลุ่มผู้สําเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีที่ยังไม่มีงานทํา เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในเบื้องต้น เพื่อส่งเสริมให้มีงานทํา มีรายได้ ตรงกับความต้องการและความสามารถของตนเอง สอดคล้องกับภารกิจหลักของกระทรวงแรงงาน ที่มุ่งเน้นให้คนไทยมีงานทําอย่างมีศักดิ์ศรี ด้วยการสร้างโอกาสในการเข้าถึงตําแหน่งงานว่าง โอกาสในการพัฒนาทักษะอย่างเท่าเทียม ได้รับการคุ้มครอง และมีหลักประกันเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งทรัพยากรบุคคลเหล่านี้ คือรากฐานสําคัญในการนําพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า พล.ต.อ. อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า ศูนย์ที่นี่มีงานทํา จะให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ (19 ก.ค.61) เป็นต้นไป โดยศูนย์ดังกล่าว มีภารกิจหลัก 4 ประการ ประกอบด้วย 1. การแนะแนวงานที่เหมาะสมกับความสามารถ และความสนใจของผู้เข้ารับบริการ โดยจัดให้มีการทดสอบความพร้อม และความถนัดทางอาชีพเบื้องต้น 2. การจับคู่งาน (Matching) ระหว่างผู้ที่กําลังหางานกับนายจ้าง สถานประกอบการ โดยใช้ฐานข้อมูลของ ก.แรงงานและหน่วยงานภาคีเครือข่าย ทั้งงานในประเทศ ต่างประเทศ ผ่าน Job fair, Mobile App, Line Jobs, Job Box เป็นต้น รวมทั้งการรับงานไปทําที่บ้าน 3. การพัฒนาทักษะ ในกรณีที่ต้องการยกระดับความสามารถของตนเอง (Up skill/Re-skill) โดยได้จัดให้มีการฝึกอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ ทั้งในระยะสั้น 18 – 60 ชั่วโมง และระยะยาว 60 วันขึ้นไป และ 4. การให้การคุ้มครองการจ้างงาน สภาพการทํางาน สวัสดิการที่ลูกจ้างพึงได้รับ และการนําเข้าสู่ระบบประกันสังคมเพื่อสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับชีวิต ซึ่งการดําเนินงานของศูนย์ที่นี่มีงานทําฯ ได้แบ่งการดําเนินการเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรก คือระยะนําร่องมีการดําเนินการทั้งสิ้น จํานวน 11 แห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา และกรุงเทพมหานคร และในระยะต่อไป จะขยายการดําเนินการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งนี้ ภายในงานเปิดศูนย์ฯ ได้มีกิจกรรม “นัดพบแรงงาน (JOBS FAIR)” เพื่อให้บริการจับคู่งาน (Matching) ระหว่างผู้ที่กําลังหางานกับนายจ้าง สถานประกอบการ โดยมีบริษัทชั้นนํากว่า 30 บริษัท มารับสมัครงานและสัมภาษณ์งาน อาทิ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ, บมจ.ซีพี ออลล์, บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ, บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น, บมจ.อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล็อปเม้นต์, บจก.โตโยต้าบัสส์, บจก.อยุธยาแคปปิตอล เซอร์วิสเซส และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น โดยมีตําแหน่งงานว่างพร้อมบรรจุกว่า 3,000 อัตรา นอกจากนี้ ยังได้จัดบริการให้คําแนะนํา/แนะแนวอาชีพ/ทดสอบความพร้อมทางอาชีพ/ให้คําปรึกษาด้านอาชีพ/การรับงานไปทําที่บ้าน/หลักสูตรฝึกอบรม/สิทธิประโยชน์ประกันสังคม และให้ความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน ฯลฯ พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ศูนย์ที่นี่มีงานทํา จะเป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแนวทางประชารัฐ ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถานศึกษา เพื่อผนึกกําลังประสานข้อมูล และบูรณาการการทํางานให้คนไทยมีงานทํา มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งจะเป็นการพัฒนากําลังคนให้พร้อมที่จะการนําพาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโยบายของรัฐบาล” ในท้ายนี้ พล.อ.ประวิตรฯ ได้เชิญชวนผู้ที่จบการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรี ที่กําลังหางานทํา มาใช้บริการศูนย์ที่นี่มีงานทําฯ ทั้ง 11 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งมีบริการที่ครบวงจร พร้อมเน้นย้ํา รัฐบาลได้วางแนวทางการสร้างคน ให้มีคุณภาพ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ศูนย์ที่นี่มีงานทําฯ ของกระทรวงแรงงาน จะนําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว อันนําไปสู่การยกระดับสภาพความเป็นอยู่ของแรงงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ------------------------------------ กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ณัฏฐภัทร์ ชื่นเอี่ยม – ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/ 19 กรกฎาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กป้อม”ดีเดย์ เปิดศูนย์จ็อบเรดี้เซ็นเตอร์ 11 แห่งทั่วประเทศ ช่วยผู้จบ ป.ตรี มีงานทำครบวงจร วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม 2561 “บิ๊กป้อม”ดีเดย์ เปิดศูนย์จ็อบเรดี้เซ็นเตอร์ 11 แห่งทั่วประเทศ ช่วยผู้จบ ป.ตรี มีงานทําครบวงจร “รองนายกรัฐมนตรี” เปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา Job Ready Center ช่วยเหลือผู้จบปริญญาตรีให้มีงานทํา บริการให้คําปรึกษา พัฒนาทักษะฝีมือ แนะแนวอาชีพ จับคู่ตําแหน่งงาน เริ่มเปิดดําเนินการ 11 แห่ง พร้อมกันทั่วประเทศ ตามแนวทาง“ประชารัฐ ร่วมใจ เพื่อคนไทยมีงานทํา” “รองนายกรัฐมนตรี” เปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา Job Ready Center ช่วยเหลือผู้จบปริญญาตรีให้มีงานทํา บริการให้คําปรึกษา พัฒนาทักษะฝีมือ แนะแนวอาชีพ จับคู่ตําแหน่งงาน เริ่มเปิดดําเนินการ 11 แห่ง พร้อมกันทั่วประเทศ ตามแนวทาง“ประชารัฐ ร่วมใจ เพื่อคนไทยมีงานทํา” วันนี้ (19 ก.ค.61) เวลา 09.00 น. พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) ณ อาคารศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทยกระทรวงแรงงาน โดยมี พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้กล่าวรายงาน โดย พลตํารวจเอก อดุลย์ฯ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ด้วยการยกระดับและปฏิรูประบบราชการ ให้เป็นที่พึ่งของประชาชน กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกํากับดูแลของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงได้จัดตั้งศูนย์ที่นี่มีงานทํา (Job Ready Center) ขึ้น ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐ ร่วมใจ เพื่อคนไทยมีงานทํา” โดยมีกลุ่มผู้สําเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีที่ยังไม่มีงานทํา เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในเบื้องต้น เพื่อส่งเสริมให้มีงานทํา มีรายได้ ตรงกับความต้องการและความสามารถของตนเอง สอดคล้องกับภารกิจหลักของกระทรวงแรงงาน ที่มุ่งเน้นให้คนไทยมีงานทําอย่างมีศักดิ์ศรี ด้วยการสร้างโอกาสในการเข้าถึงตําแหน่งงานว่าง โอกาสในการพัฒนาทักษะอย่างเท่าเทียม ได้รับการคุ้มครอง และมีหลักประกันเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งทรัพยากรบุคคลเหล่านี้ คือรากฐานสําคัญในการนําพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า พล.ต.อ. อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า ศูนย์ที่นี่มีงานทํา จะให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ (19 ก.ค.61) เป็นต้นไป โดยศูนย์ดังกล่าว มีภารกิจหลัก 4 ประการ ประกอบด้วย 1. การแนะแนวงานที่เหมาะสมกับความสามารถ และความสนใจของผู้เข้ารับบริการ โดยจัดให้มีการทดสอบความพร้อม และความถนัดทางอาชีพเบื้องต้น 2. การจับคู่งาน (Matching) ระหว่างผู้ที่กําลังหางานกับนายจ้าง สถานประกอบการ โดยใช้ฐานข้อมูลของ ก.แรงงานและหน่วยงานภาคีเครือข่าย ทั้งงานในประเทศ ต่างประเทศ ผ่าน Job fair, Mobile App, Line Jobs, Job Box เป็นต้น รวมทั้งการรับงานไปทําที่บ้าน 3. การพัฒนาทักษะ ในกรณีที่ต้องการยกระดับความสามารถของตนเอง (Up skill/Re-skill) โดยได้จัดให้มีการฝึกอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ ทั้งในระยะสั้น 18 – 60 ชั่วโมง และระยะยาว 60 วันขึ้นไป และ 4. การให้การคุ้มครองการจ้างงาน สภาพการทํางาน สวัสดิการที่ลูกจ้างพึงได้รับ และการนําเข้าสู่ระบบประกันสังคมเพื่อสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับชีวิต ซึ่งการดําเนินงานของศูนย์ที่นี่มีงานทําฯ ได้แบ่งการดําเนินการเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรก คือระยะนําร่องมีการดําเนินการทั้งสิ้น จํานวน 11 แห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา และกรุงเทพมหานคร และในระยะต่อไป จะขยายการดําเนินการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งนี้ ภายในงานเปิดศูนย์ฯ ได้มีกิจกรรม “นัดพบแรงงาน (JOBS FAIR)” เพื่อให้บริการจับคู่งาน (Matching) ระหว่างผู้ที่กําลังหางานกับนายจ้าง สถานประกอบการ โดยมีบริษัทชั้นนํากว่า 30 บริษัท มารับสมัครงานและสัมภาษณ์งาน อาทิ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ, บมจ.ซีพี ออลล์, บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ, บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น, บมจ.อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล็อปเม้นต์, บจก.โตโยต้าบัสส์, บจก.อยุธยาแคปปิตอล เซอร์วิสเซส และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น โดยมีตําแหน่งงานว่างพร้อมบรรจุกว่า 3,000 อัตรา นอกจากนี้ ยังได้จัดบริการให้คําแนะนํา/แนะแนวอาชีพ/ทดสอบความพร้อมทางอาชีพ/ให้คําปรึกษาด้านอาชีพ/การรับงานไปทําที่บ้าน/หลักสูตรฝึกอบรม/สิทธิประโยชน์ประกันสังคม และให้ความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน ฯลฯ พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ศูนย์ที่นี่มีงานทํา จะเป็นการบูรณาการการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแนวทางประชารัฐ ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถานศึกษา เพื่อผนึกกําลังประสานข้อมูล และบูรณาการการทํางานให้คนไทยมีงานทํา มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งจะเป็นการพัฒนากําลังคนให้พร้อมที่จะการนําพาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโยบายของรัฐบาล” ในท้ายนี้ พล.อ.ประวิตรฯ ได้เชิญชวนผู้ที่จบการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรี ที่กําลังหางานทํา มาใช้บริการศูนย์ที่นี่มีงานทําฯ ทั้ง 11 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งมีบริการที่ครบวงจร พร้อมเน้นย้ํา รัฐบาลได้วางแนวทางการสร้างคน ให้มีคุณภาพ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ศูนย์ที่นี่มีงานทําฯ ของกระทรวงแรงงาน จะนําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว อันนําไปสู่การยกระดับสภาพความเป็นอยู่ของแรงงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ------------------------------------ กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ณัฏฐภัทร์ ชื่นเอี่ยม – ข่าว/ สมภพ ศีลบุตร – ภาพ/ 19 กรกฎาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13963
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดยิ่งใหญ่ “งานของดีจากชายแดนใต้” ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 25 ส.ค. - 3 ก.ย. นี้ ณ ตลาด อ.ต.ก.
วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ จัดยิ่งใหญ่ “งานของดีจากชายแดนใต้” ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 25 ส.ค. - 3 ก.ย. นี้ ณ ตลาด อ.ต.ก. กระทรวงเกษตรฯ จัดยิ่งใหญ่ “งานของดีจากชายแดนใต้” ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 25 ส.ค. - 3 ก.ย. นี้ ณ ตลาด อ.ต.ก. เขตจตุจักร หวังส่งเสริมการพัฒนาสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ระดับชุมชนให้เป็นที่ยอมรับ และเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่น กระทรวงเกษตรฯ จัดยิ่งใหญ่ “งานของดีจากชายแดนใต้” ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 25 ส.ค. - 3 ก.ย. นี้ ณ ตลาด อ.ต.ก. เขตจตุจักร หวังส่งเสริมการพัฒนาสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ระดับชุมชนให้เป็นที่ยอมรับ และเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่น น.ส.ชุติมา บุณยประภัสร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ส่งผลต่อ ความเป็นอยู่ การดําเนินชีวิต การประกอบอาชีพและคุณภาพชีวิตประชาชน และส่งผลต่อเนื่องไปยัง มิติเศรษฐกิจทั้งในระดับพื้นที่และภาพรวมประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานในสังกัดได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในมิติเศรษฐกิจในกลุ่มภารกิจงานพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่และคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเตรียมจัดงาน “ของดีจากชายแดนใต้” ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม - 3 กันยายน 2560 รวม 10 วัน ณ ตลาด อ.ต.ก. เขตจตุจักร กรุงเทพฯในพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตรมีร้านค้า จํานวน 120 ร้านค้า กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การจําหน่ายสินค้า ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผลไม้ตามฤดูกาล อาทิ ลองกอง ทุเรียน สละอินโด จําปาดะ พืชผักพื้นบ้าน สินค้าแปรรูป ของฝาก ของที่ระลึก อาหารปรุงสําเร็จ อาหารพื้นเมืองภาคใต้ อาทิ โรตี ชาชัก ข้าวยําน้ําบูดู ข้าวมันไก่เบตง การสาธิต ฝึกอาชีพ การแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น การแสดงดนตรีร่วมสมัย และนิทรรศการ โครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” จัดโดยสํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ร่วมกับ ศอ.บต. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้แนวคิดเป้าหมายการพัฒนา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็น “เมืองต้นแบบ อุตสาหกรรมเกษตรผสมผสาน” อ.เบตง จ.ยะลา เป็น “เมืองต้นแบบ การพัฒนาแบบพึ่งพาตนเอง อย่างยั่งยืน”และ อ.สุไหงโก - ลก จ.นราธิวาส เป็น “เมืองต้นแบบ การค้าชายแดนระหว่างประเทศ” นายกมลวิศว์ แก้วแฝก ผู้อํานวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการจัดงาน “ของดีจากชายแดนใต้” มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานการพัฒนาอาชีพการเกษตรที่สามารถขยายผล และเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งเสริมการพัฒนาสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ระดับชุมชนให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไป อีกทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนจะได้มีส่วนช่วยสนับสนุนสินค้า และสร้างรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดงานแล้ว จํานวน 9 ครั้ง ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเกษตรกรประชาชนและเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลานราธิวาส และสงขลา ทั้งนี้ ผลการจัดงานในปีที่ผ่านมาซึ่งจัดที่กรมชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ระหว่างวันที่ 3 - 11 กันยายน 2559 จํานวน 80 ร้านค้า มียอดจําหน่ายสินค้ารวม 8.61 ล้านบาท (เฉลี่ยวันละ 950,000 บาท หรือ ร้านค้าละ 11,900 บาทต่อวัน) สินค้าที่มียอดจําหน่ายมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ผลไม้ (ทุเรียน ลองกอง) 2) ข้าวมันไก่เบตง และ 3) เครื่องประดับมุก (สร้อย แหวน) และผ้าบาติก ผลการประเมินของสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร เกษตรกรที่มาออกร้านจําหน่ายสินค้า ร้อยละ 97 เห็นว่าการจัดงานช่วยเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้า ทําให้สินค้าเป็นที่รู้จักของลูกค้ากลุ่มใหม่ๆและผู้เข้าชมงาน ร้อยละ 73 มีความพึงพอใจต่อสินค้าที่จําหน่ายภายในงานระดับมาก และร้อยละ 88 จะกลับมาเที่ยวชมงานอีกในปีต่อไป “ขอเชิญชวนทุกท่านมาเที่ยวชม และมาร่วมให้กําลังใจพี่น้อง เกษตรกร จาก ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในงานของดีจากชายแดนใต้ ครั้งที่ 10 นี้ นอกจาก ช่วยอุดหนุนของดีจากจังหวัดชายแดนใต้แล้ว ยังอาจได้แนวคิดดีๆ เพื่อสร้างอาชีพ และมีรายได้เสริม จากกิจกรรมสาธิต ฝึกอบรมอาชีพจากหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วย” กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดยิ่งใหญ่ “งานของดีจากชายแดนใต้” ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 25 ส.ค. - 3 ก.ย. นี้ ณ ตลาด อ.ต.ก. วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ จัดยิ่งใหญ่ “งานของดีจากชายแดนใต้” ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 25 ส.ค. - 3 ก.ย. นี้ ณ ตลาด อ.ต.ก. กระทรวงเกษตรฯ จัดยิ่งใหญ่ “งานของดีจากชายแดนใต้” ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 25 ส.ค. - 3 ก.ย. นี้ ณ ตลาด อ.ต.ก. เขตจตุจักร หวังส่งเสริมการพัฒนาสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ระดับชุมชนให้เป็นที่ยอมรับ และเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่น กระทรวงเกษตรฯ จัดยิ่งใหญ่ “งานของดีจากชายแดนใต้” ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 25 ส.ค. - 3 ก.ย. นี้ ณ ตลาด อ.ต.ก. เขตจตุจักร หวังส่งเสริมการพัฒนาสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ระดับชุมชนให้เป็นที่ยอมรับ และเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่น น.ส.ชุติมา บุณยประภัสร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ส่งผลต่อ ความเป็นอยู่ การดําเนินชีวิต การประกอบอาชีพและคุณภาพชีวิตประชาชน และส่งผลต่อเนื่องไปยัง มิติเศรษฐกิจทั้งในระดับพื้นที่และภาพรวมประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานในสังกัดได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในมิติเศรษฐกิจในกลุ่มภารกิจงานพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่และคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเตรียมจัดงาน “ของดีจากชายแดนใต้” ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม - 3 กันยายน 2560 รวม 10 วัน ณ ตลาด อ.ต.ก. เขตจตุจักร กรุงเทพฯในพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตรมีร้านค้า จํานวน 120 ร้านค้า กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย การจําหน่ายสินค้า ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผลไม้ตามฤดูกาล อาทิ ลองกอง ทุเรียน สละอินโด จําปาดะ พืชผักพื้นบ้าน สินค้าแปรรูป ของฝาก ของที่ระลึก อาหารปรุงสําเร็จ อาหารพื้นเมืองภาคใต้ อาทิ โรตี ชาชัก ข้าวยําน้ําบูดู ข้าวมันไก่เบตง การสาธิต ฝึกอาชีพ การแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น การแสดงดนตรีร่วมสมัย และนิทรรศการ โครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” จัดโดยสํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ร่วมกับ ศอ.บต. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้แนวคิดเป้าหมายการพัฒนา อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เป็น “เมืองต้นแบบ อุตสาหกรรมเกษตรผสมผสาน” อ.เบตง จ.ยะลา เป็น “เมืองต้นแบบ การพัฒนาแบบพึ่งพาตนเอง อย่างยั่งยืน”และ อ.สุไหงโก - ลก จ.นราธิวาส เป็น “เมืองต้นแบบ การค้าชายแดนระหว่างประเทศ” นายกมลวิศว์ แก้วแฝก ผู้อํานวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการจัดงาน “ของดีจากชายแดนใต้” มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานการพัฒนาอาชีพการเกษตรที่สามารถขยายผล และเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งเสริมการพัฒนาสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ระดับชุมชนให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไป อีกทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนจะได้มีส่วนช่วยสนับสนุนสินค้า และสร้างรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดงานแล้ว จํานวน 9 ครั้ง ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเกษตรกรประชาชนและเจ้าหน้าที่หน่วยงาน ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลานราธิวาส และสงขลา ทั้งนี้ ผลการจัดงานในปีที่ผ่านมาซึ่งจัดที่กรมชลประทาน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ระหว่างวันที่ 3 - 11 กันยายน 2559 จํานวน 80 ร้านค้า มียอดจําหน่ายสินค้ารวม 8.61 ล้านบาท (เฉลี่ยวันละ 950,000 บาท หรือ ร้านค้าละ 11,900 บาทต่อวัน) สินค้าที่มียอดจําหน่ายมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ผลไม้ (ทุเรียน ลองกอง) 2) ข้าวมันไก่เบตง และ 3) เครื่องประดับมุก (สร้อย แหวน) และผ้าบาติก ผลการประเมินของสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร เกษตรกรที่มาออกร้านจําหน่ายสินค้า ร้อยละ 97 เห็นว่าการจัดงานช่วยเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้า ทําให้สินค้าเป็นที่รู้จักของลูกค้ากลุ่มใหม่ๆและผู้เข้าชมงาน ร้อยละ 73 มีความพึงพอใจต่อสินค้าที่จําหน่ายภายในงานระดับมาก และร้อยละ 88 จะกลับมาเที่ยวชมงานอีกในปีต่อไป “ขอเชิญชวนทุกท่านมาเที่ยวชม และมาร่วมให้กําลังใจพี่น้อง เกษตรกร จาก ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในงานของดีจากชายแดนใต้ ครั้งที่ 10 นี้ นอกจาก ช่วยอุดหนุนของดีจากจังหวัดชายแดนใต้แล้ว ยังอาจได้แนวคิดดีๆ เพื่อสร้างอาชีพ และมีรายได้เสริม จากกิจกรรมสาธิต ฝึกอบรมอาชีพจากหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด้วย” กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6133
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ ช่วงครึ่งแรกปี 2562
วันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2562 รายงานผลสํารวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ ช่วงครึ่งแรกปี 2562 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จัดทํารายงานสรุปผลการสํารวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งแรกปี 2562 พื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ํากว่า 6 หน่วย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทํารายงานสรุปผลการสํารวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งแรกปี 2562 ในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ํากว่า 6 หน่วย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า จากการสํารวจในช่วงครึ่งแรกปี 2562 มีจํานวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขาย 473 โครงการ มีหน่วยเหลือขายจํานวน 16,529 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 81,655 ล้านบาท โดยจํานวนโครงการลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 4.4 แต่จํานวนหน่วยเหลือขายและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 และร้อยละ 11.0 ตามลําดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 495 โครงการ มีจํานวนหน่วยเหลือขาย 14,346 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 73,584 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรมีจํานวนโครงการ 310 โครงการ มีหน่วยเหลือขายจํานวน 10,075 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 38,872 ล้านบาท โดยจํานวนโครงการและมูลค่าลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 3.7 และร้อยละ 2.9 ตามลําดับ แต่จํานวนหน่วยเหลือขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 (ครึ่งแรกปี 2561 มี 322 โครงการ มีจํานวนหน่วยเหลือขาย 9,711 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 40,019 ล้านบาท) และโครงการอาคารชุดมีจํานวน 100 โครงการ มีหน่วยเหลือขายจํานวน 6,031 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 29,814 ล้านบาท จํานวนโครงการลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 9.9 แต่จํานวนหน่วยเหลือขายและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.2 และร้อยละ41.5 ตามลําดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 111 โครงการ มีจํานวนหน่วยเหลือขาย 4,302หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 21,065 ล้านบาท) สําหรับโครงการวิลล่า มีจํานวนโครงการ 63 โครงการ มีหน่วยเหลือขายจํานวน 423 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 12,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 1.6 ร้อยละ 27.0 และร้อยละ 3.8 ตามลําดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 62 โครงการ มีจํานวนหน่วยเหลือขาย 333 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 12,500 ล้านบาท) โครงการบ้านจัดสรรที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดภูเก็ต ในจํานวนหน่วยเหลือขาย 3,206 หน่วย เมื่อแยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างจํานวน 1,989 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 62.0 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด รองลงมาเป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้างจํานวน 771 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 24.0 และหน่วยที่สร้างเสร็จเหลือขายจํานวน 446 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 13.9 โดยหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย(พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory ในตลาดมีจํานวน 2,435 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 76.0 ของหน่วยที่เหลือขายทั้งหมด ทําเลบ้านจัดสรรที่เหลือขายมากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ โดยดูจากหน่วยเหลือขายสะสม ได้แก่ 1) ทําเลเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร มีจํานวน 1,512 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 5,130 ล้านบาท 2) ทําเลเกาะแก้ว-รัษฎา มีจํานวน 838 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 3,766 ล้านบาท 3) ทําเลในเมืองกะทู้ มีจํานวน 256 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 1,532 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่แล้วเกือบทั้ง 3 ทําเลนี้เหลือขายในประเภททาวน์เฮ้าส์ และอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด ยกเว้นทําเลในเมืองกะทู้ ส่วนใหญ่เหลือขายในประเภทบ้านทาวน์เฮ้าส์ อยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด ทําเลบ้านจัดสรรที่ขายได้ใหม่มากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยขายได้ใหม่ ได้แก่ 1) ทําเลเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร มีจํานวน 177 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 678 ล้านบาท 2) ทําเลหาดในยาง-หาดไม้ขาว มีจํานวน 165 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 456 ล้านบาท และ3)ทําเลเกาะแก้ว-รัษฎา มีจํานวน 159 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 776 ล้านบาท โดยทั้ง 3 ทําเลนี้ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภททาวน์เฮ้าส์ และอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด โครงการอาคารชุดที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดภูเก็ต ในจํานวนหน่วยเหลือขาย 5,278หน่วย เมื่อแยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างจํานวน 2,828 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 53.6 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด รองลงมาเป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้างจํานวน 2,062 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 39.1 และหน่วยที่สร้างเสร็จเหลือขายจํานวน 388 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 7.4โดยหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย(พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory ในตลาดมีจํานวน 3,216 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 60.9 ของหน่วยที่เหลือขายทั้งหมด ทําเลอาคารชุดที่เหลือขายมากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยเหลือขายสะสม ได้แก่ 1) ทําเลหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ มีจํานวน 1,952 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 11,186 ล้านบาท ส่วนใหญ่เหลือขาย ในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาทมากที่สุด 2) ทําเลหาดกมลา มีจํานวน 1,028 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 6,160 ล้านบาท ส่วนใหญ่เหลือขายในประเภทสติดิโอ และอยู่ในระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาทมากที่สุด 3) ทําเลหาดในยาง-หาดไม้ขาว มีจํานวน 949 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 2,894 ล้านบาท ส่วนใหญ่เหลือขายในประเภทสตูดิโอ และอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด ทําเลอาคารชุดที่ขายได้ใหม่มากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยขายได้ใหม่ ได้แก่ 1) ทําเลหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ จํานวน 640 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 3,416 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภทสตูดิโอ และอยู่ในระดับราคา 3.01 -5.00 ล้านบาทมากที่สุด 2) ทําเลหาดกมลา มีจํานวน 363หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 2,162 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภทสตูดิโอ และอยู่ในระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาทมากที่สุด 3)ทําเลหาดกะรน-หาดกะตะ มีจํานวน 197 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 1,105 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด โครงการบ้านจัดสรรที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดสงขลา ในจํานวนหน่วยเหลือขาย 2,768หน่วย เมื่อแยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างจํานวน 1,245 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 45.0 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด รองลงมาเป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้างจํานวน 1,031 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 37.2 และหน่วยที่สร้างเสร็จเหลือขายจํานวน 492 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 17.8 โดยหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย(พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory ในตลาดมีจํานวน 1,737 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 62.8 ของหน่วยที่เหลือขายทั้งหมด ทําเลบ้านจัดสรรที่เหลือขายมากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยเหลือขายสะสม ได้แก่ 1) ทําเลบ้านพรุ มีจํานวน 654 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 2,404 ล้านบาท 2) ทําเลท่าข้าม-ควนหิน มีจํานวน 405หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 1,273 ล้านบาท 3) ทําเลควนลัง มีจํานวน 385 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 1,667 ล้านบาท โดยเกือบทั้ง 3 ทําเลส่วนใหญ่เหลือขายในประเภทบ้านเดี่ยว และอยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด ยกเว้นทําเลบ้านพรุ ส่วนใหญ่เหลือขายในประเภทบ้านแฝด และอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด ทําเลบ้านจัดสรรที่ขายได้ใหม่มากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยขายได้ใหม่ ได้แก่ 1) ทําเลท่าข้าม-ควนหิน มีจํานวน 89 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 255 ล้านบาท 2) ทําเลควนลัง มีจํานวน 84 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 295 ล้านบาท 3)ทําเลบ้านพรุ มีจํานวน 61 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 192 ล้านบาท โดยเกือบทั้ง 3 ทําเลส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภทบ้านเดี่ยว และอยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด ยกเว้นทําเลบ้านพรุ ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภทบ้านเดี่ยว อยู่ในระดับราคา 3.01 -5.00 ล้านบาท และประเภททาวน์เฮ้าส์ อยู่ในระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาทมากที่สุด โครงการอาคารชุดที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดสงขลา ในจํานวนหน่วยเหลือขาย 474 หน่วย เมื่อแยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหน่วยที่สร้างเสร็จเหลือขายจํานวน 187 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 39.5 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด รองลงมาเป็นหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างจํานวน 146 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 30.8 และหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้างจํานวน 141 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 29.7โดยหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย(พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory ในตลาดมีจํานวน 333 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 70.3 ของหน่วยที่เหลือขายทั้งหมด ทําเลอาคารชุดที่เหลือขายมากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยเหลือขายสะสม ได้แก่ 1) ทําเลในเมืองหาดใหญ่ มีจํานวน 212 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 544 ล้านบาท ส่วนใหญ่เหลือขาย ในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาทมากที่สุด 2) ทําเลคอหงส์-ทุ่งงาย มีจํานวน 104 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 254 ล้านบาท ส่วนใหญ่เหลือขายในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด 3) ทําเลคลองเตย มีจํานวน 86 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 277ล้านบาท ส่วนใหญ่เหลือขายในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 2.01 - 3.00 ล้านบาทมากที่สุด ทําเลอาคารชุดที่ขายได้ใหม่มากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยขายได้ใหม่ ได้แก่ 1) ทําเล ในเมืองหาดใหญ่ จํานวน 133 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 308 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภทสตูดิโอ และอยู่ในระดับราคา 2.01 -3.00 ล้านบาทมากที่สุด 2) ทําเลควนลัง มีจํานวน 96 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 107 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 1.01 – 1.50 ล้านบาทมากที่สุด 3)ทําเลคลองเตย มีจํานวน 7 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 14 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0-2645-9675-6 ฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานผลสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ ช่วงครึ่งแรกปี 2562 วันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2562 รายงานผลสํารวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ ช่วงครึ่งแรกปี 2562 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จัดทํารายงานสรุปผลการสํารวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งแรกปี 2562 พื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ํากว่า 6 หน่วย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทํารายงานสรุปผลการสํารวจอุปทานและอุปสงค์ของโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งแรกปี 2562 ในพื้นที่ภาคใต้ ได้แก่ ภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ํากว่า 6 หน่วย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า จากการสํารวจในช่วงครึ่งแรกปี 2562 มีจํานวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขาย 473 โครงการ มีหน่วยเหลือขายจํานวน 16,529 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 81,655 ล้านบาท โดยจํานวนโครงการลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 4.4 แต่จํานวนหน่วยเหลือขายและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.2 และร้อยละ 11.0 ตามลําดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 495 โครงการ มีจํานวนหน่วยเหลือขาย 14,346 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 73,584 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรมีจํานวนโครงการ 310 โครงการ มีหน่วยเหลือขายจํานวน 10,075 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 38,872 ล้านบาท โดยจํานวนโครงการและมูลค่าลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 3.7 และร้อยละ 2.9 ตามลําดับ แต่จํานวนหน่วยเหลือขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 (ครึ่งแรกปี 2561 มี 322 โครงการ มีจํานวนหน่วยเหลือขาย 9,711 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 40,019 ล้านบาท) และโครงการอาคารชุดมีจํานวน 100 โครงการ มีหน่วยเหลือขายจํานวน 6,031 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 29,814 ล้านบาท จํานวนโครงการลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 9.9 แต่จํานวนหน่วยเหลือขายและมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.2 และร้อยละ41.5 ตามลําดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 111 โครงการ มีจํานวนหน่วยเหลือขาย 4,302หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 21,065 ล้านบาท) สําหรับโครงการวิลล่า มีจํานวนโครงการ 63 โครงการ มีหน่วยเหลือขายจํานวน 423 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 12,970 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 1.6 ร้อยละ 27.0 และร้อยละ 3.8 ตามลําดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 62 โครงการ มีจํานวนหน่วยเหลือขาย 333 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 12,500 ล้านบาท) โครงการบ้านจัดสรรที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดภูเก็ต ในจํานวนหน่วยเหลือขาย 3,206 หน่วย เมื่อแยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างจํานวน 1,989 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 62.0 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด รองลงมาเป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้างจํานวน 771 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 24.0 และหน่วยที่สร้างเสร็จเหลือขายจํานวน 446 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 13.9 โดยหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย(พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory ในตลาดมีจํานวน 2,435 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 76.0 ของหน่วยที่เหลือขายทั้งหมด ทําเลบ้านจัดสรรที่เหลือขายมากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ โดยดูจากหน่วยเหลือขายสะสม ได้แก่ 1) ทําเลเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร มีจํานวน 1,512 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 5,130 ล้านบาท 2) ทําเลเกาะแก้ว-รัษฎา มีจํานวน 838 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 3,766 ล้านบาท 3) ทําเลในเมืองกะทู้ มีจํานวน 256 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 1,532 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่แล้วเกือบทั้ง 3 ทําเลนี้เหลือขายในประเภททาวน์เฮ้าส์ และอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด ยกเว้นทําเลในเมืองกะทู้ ส่วนใหญ่เหลือขายในประเภทบ้านทาวน์เฮ้าส์ อยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด ทําเลบ้านจัดสรรที่ขายได้ใหม่มากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยขายได้ใหม่ ได้แก่ 1) ทําเลเทพกระษัตรี-ศรีสุนทร มีจํานวน 177 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 678 ล้านบาท 2) ทําเลหาดในยาง-หาดไม้ขาว มีจํานวน 165 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 456 ล้านบาท และ3)ทําเลเกาะแก้ว-รัษฎา มีจํานวน 159 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 776 ล้านบาท โดยทั้ง 3 ทําเลนี้ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภททาวน์เฮ้าส์ และอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด โครงการอาคารชุดที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดภูเก็ต ในจํานวนหน่วยเหลือขาย 5,278หน่วย เมื่อแยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างจํานวน 2,828 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 53.6 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด รองลงมาเป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้างจํานวน 2,062 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 39.1 และหน่วยที่สร้างเสร็จเหลือขายจํานวน 388 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 7.4โดยหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย(พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory ในตลาดมีจํานวน 3,216 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 60.9 ของหน่วยที่เหลือขายทั้งหมด ทําเลอาคารชุดที่เหลือขายมากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยเหลือขายสะสม ได้แก่ 1) ทําเลหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ มีจํานวน 1,952 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 11,186 ล้านบาท ส่วนใหญ่เหลือขาย ในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาทมากที่สุด 2) ทําเลหาดกมลา มีจํานวน 1,028 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 6,160 ล้านบาท ส่วนใหญ่เหลือขายในประเภทสติดิโอ และอยู่ในระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาทมากที่สุด 3) ทําเลหาดในยาง-หาดไม้ขาว มีจํานวน 949 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 2,894 ล้านบาท ส่วนใหญ่เหลือขายในประเภทสตูดิโอ และอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด ทําเลอาคารชุดที่ขายได้ใหม่มากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยขายได้ใหม่ ได้แก่ 1) ทําเลหาดบางเทา-หาดสุรินทร์ จํานวน 640 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 3,416 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภทสตูดิโอ และอยู่ในระดับราคา 3.01 -5.00 ล้านบาทมากที่สุด 2) ทําเลหาดกมลา มีจํานวน 363หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 2,162 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภทสตูดิโอ และอยู่ในระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาทมากที่สุด 3)ทําเลหาดกะรน-หาดกะตะ มีจํานวน 197 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 1,105 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด โครงการบ้านจัดสรรที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดสงขลา ในจํานวนหน่วยเหลือขาย 2,768หน่วย เมื่อแยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างจํานวน 1,245 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 45.0 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด รองลงมาเป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้างจํานวน 1,031 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 37.2 และหน่วยที่สร้างเสร็จเหลือขายจํานวน 492 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 17.8 โดยหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย(พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory ในตลาดมีจํานวน 1,737 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 62.8 ของหน่วยที่เหลือขายทั้งหมด ทําเลบ้านจัดสรรที่เหลือขายมากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยเหลือขายสะสม ได้แก่ 1) ทําเลบ้านพรุ มีจํานวน 654 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 2,404 ล้านบาท 2) ทําเลท่าข้าม-ควนหิน มีจํานวน 405หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 1,273 ล้านบาท 3) ทําเลควนลัง มีจํานวน 385 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 1,667 ล้านบาท โดยเกือบทั้ง 3 ทําเลส่วนใหญ่เหลือขายในประเภทบ้านเดี่ยว และอยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด ยกเว้นทําเลบ้านพรุ ส่วนใหญ่เหลือขายในประเภทบ้านแฝด และอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด ทําเลบ้านจัดสรรที่ขายได้ใหม่มากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยขายได้ใหม่ ได้แก่ 1) ทําเลท่าข้าม-ควนหิน มีจํานวน 89 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 255 ล้านบาท 2) ทําเลควนลัง มีจํานวน 84 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 295 ล้านบาท 3)ทําเลบ้านพรุ มีจํานวน 61 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 192 ล้านบาท โดยเกือบทั้ง 3 ทําเลส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภทบ้านเดี่ยว และอยู่ในระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาทมากที่สุด ยกเว้นทําเลบ้านพรุ ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภทบ้านเดี่ยว อยู่ในระดับราคา 3.01 -5.00 ล้านบาท และประเภททาวน์เฮ้าส์ อยู่ในระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาทมากที่สุด โครงการอาคารชุดที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดสงขลา ในจํานวนหน่วยเหลือขาย 474 หน่วย เมื่อแยกตามสถานะของการก่อสร้าง พบว่า ส่วนใหญ่เป็นหน่วยที่สร้างเสร็จเหลือขายจํานวน 187 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 39.5 ของหน่วยเหลือขายทั้งหมด รองลงมาเป็นหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างจํานวน 146 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 30.8 และหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้างจํานวน 141 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 29.7โดยหน่วยที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย(พร้อมโอน) หรือเป็น Inventory ในตลาดมีจํานวน 333 หน่วย คิดเป็นร้อยละ 70.3 ของหน่วยที่เหลือขายทั้งหมด ทําเลอาคารชุดที่เหลือขายมากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยเหลือขายสะสม ได้แก่ 1) ทําเลในเมืองหาดใหญ่ มีจํานวน 212 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 544 ล้านบาท ส่วนใหญ่เหลือขาย ในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาทมากที่สุด 2) ทําเลคอหงส์-ทุ่งงาย มีจํานวน 104 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 254 ล้านบาท ส่วนใหญ่เหลือขายในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด 3) ทําเลคลองเตย มีจํานวน 86 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 277ล้านบาท ส่วนใหญ่เหลือขายในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 2.01 - 3.00 ล้านบาทมากที่สุด ทําเลอาคารชุดที่ขายได้ใหม่มากที่สุด 3 อันดับแรก โดยดูจากหน่วยขายได้ใหม่ ได้แก่ 1) ทําเล ในเมืองหาดใหญ่ จํานวน 133 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 308 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภทสตูดิโอ และอยู่ในระดับราคา 2.01 -3.00 ล้านบาทมากที่สุด 2) ทําเลควนลัง มีจํานวน 96 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 107 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 1.01 – 1.50 ล้านบาทมากที่สุด 3)ทําเลคลองเตย มีจํานวน 7 หน่วย มีมูลค่าขายได้ใหม่ 14 ล้านบาท ส่วนใหญ่ขายได้ใหม่ในประเภท 1 ห้องนอน และอยู่ในระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาทมากที่สุด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 0-2645-9675-6 ฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24130
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก. แรงงาน แถลงจัดงาน “วันแรงงานแห่งชาติ 1 พ.ค.61” ณ ลานคนเมือง กทม.
วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 ก. แรงงาน แถลงจัดงาน “วันแรงงานแห่งชาติ 1 พ.ค.61” ณ ลานคนเมือง กทม. รมว.แรงงาน แถลงข่าวการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคม 2561 เผยเริ่มเคลื่อนริ้วขบวนจากสนามม้านางเลิ้ง พร้อมพิธีเปิดและรับข้อเรียกร้องจากแรงงาน โดยนายกรัฐมนตรี ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แถลงข่าวการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ประจําปี 2561 ว่า การจัดงานในปีนี้มีคณะกรรมการจัดงานจาก 15 สภาองค์การลูกจ้างและสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทยและกลุ่มแรงงานนอกระบบ โดยมี นายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ทําหน้าที่ประธานจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ในวันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561 โดยในช่วงเช้า เวลา 07.15 น. มีพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์ ณ ปะรําพิธี บริเวณราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมถ์ (สนามม้านางเลิ้ง) และในเวลา 09.45 น. เคลื่อนริ้วขบวนเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ริ้วขบวนของกระทรวงแรงงาน และริ้วขบวนของผู้ใช้แรงงาน จํานวน 17 องค์กร จากบริเวณสนามม้านางเลิ้งไปยังบริเวณลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานครและในเวลา 14.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานวันแรงงานแห่งชาติ 2561 รับข้อเรียกร้อง และกล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้ใช้แรงงาน นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานได้จัดให้มีกิจกรรมสนับสนุนการจัดงานของทุกหน่วยงานในสังกัด อาทิ การให้ความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน บูธนิทรรศการ เล่นเกมตอบปัญหาชิงรางวัล พร้อมรับชมคอนเสิร์ตจากศิลปินแกรมมี่ โกลด์ รมว.แรงงาน กล่าวต่อไปว่า สําหรับข้อเรียกร้องวันแรงงานชาติในปีที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานได้ให้ความสําคัญกับการดําเนินการตามข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะจากพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกข้อซึ่งบางข้อได้ดําเนินการแล้วและบางข้อ อยู่ระหว่างดําเนินการ และในปี 2561 ผู้ใช้แรงงานมีข้อเรียกร้องที่จะยื่นต่อนายกรัฐมนตรี 10 ข้อ อาทิ ขอให้แก้ไขพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยกําหนดให้ลูกจ้างเกษียณอายุที่ 60 ปี ปรับฐานการรับเงินบํานาญให้มีอัตราเริ่มต้นที่ 5,000 บาทต่อเดือน ให้ผู้ประกันตนที่พ้นสภาพการเป็นมาตรา 33 และรับบํานาญให้มีสิทธิสมัครมาตรา 39 ได้โดยไม่ตัดสิทธิการรับเงินบํานาญ ขอให้รัฐบาลกําหนดให้กองทุนสํารองเลี้ยงชีพเป็นภาคบังคับและลูกจ้างต้องได้รับเงินเมื่อสิ้นสุด การเป็นลูกจ้าง และขอให้รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองส่งเสริมพัฒนาคุณภาพแรงงานนอกระบบและให้จัดตั้งองค์กรได้ เป็นต้น “กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยและตระหนักถึงความสําคัญของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน จึงมุ่งมั่นในการกําหนดนโยบายต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานและครอบครัวให้มีความมั่นคงและสามารถดํารงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรีตามนโยบายของรัฐบาล” พล.ต.อ. อดุลย์ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก. แรงงาน แถลงจัดงาน “วันแรงงานแห่งชาติ 1 พ.ค.61” ณ ลานคนเมือง กทม. วันพุธที่ 25 เมษายน 2561 ก. แรงงาน แถลงจัดงาน “วันแรงงานแห่งชาติ 1 พ.ค.61” ณ ลานคนเมือง กทม. รมว.แรงงาน แถลงข่าวการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคม 2561 เผยเริ่มเคลื่อนริ้วขบวนจากสนามม้านางเลิ้ง พร้อมพิธีเปิดและรับข้อเรียกร้องจากแรงงาน โดยนายกรัฐมนตรี ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แถลงข่าวการจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ประจําปี 2561 ว่า การจัดงานในปีนี้มีคณะกรรมการจัดงานจาก 15 สภาองค์การลูกจ้างและสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจแห่งประเทศไทยและกลุ่มแรงงานนอกระบบ โดยมี นายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ทําหน้าที่ประธานจัดงานวันแรงงานแห่งชาติ ในวันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561 โดยในช่วงเช้า เวลา 07.15 น. มีพิธีทางศาสนา เจริญพระพุทธมนต์ ณ ปะรําพิธี บริเวณราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมถ์ (สนามม้านางเลิ้ง) และในเวลา 09.45 น. เคลื่อนริ้วขบวนเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ริ้วขบวนของกระทรวงแรงงาน และริ้วขบวนของผู้ใช้แรงงาน จํานวน 17 องค์กร จากบริเวณสนามม้านางเลิ้งไปยังบริเวณลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานครและในเวลา 14.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานวันแรงงานแห่งชาติ 2561 รับข้อเรียกร้อง และกล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้ใช้แรงงาน นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานได้จัดให้มีกิจกรรมสนับสนุนการจัดงานของทุกหน่วยงานในสังกัด อาทิ การให้ความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน บูธนิทรรศการ เล่นเกมตอบปัญหาชิงรางวัล พร้อมรับชมคอนเสิร์ตจากศิลปินแกรมมี่ โกลด์ รมว.แรงงาน กล่าวต่อไปว่า สําหรับข้อเรียกร้องวันแรงงานชาติในปีที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานได้ให้ความสําคัญกับการดําเนินการตามข้อเรียกร้องและข้อเสนอแนะจากพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกข้อซึ่งบางข้อได้ดําเนินการแล้วและบางข้อ อยู่ระหว่างดําเนินการ และในปี 2561 ผู้ใช้แรงงานมีข้อเรียกร้องที่จะยื่นต่อนายกรัฐมนตรี 10 ข้อ อาทิ ขอให้แก้ไขพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยกําหนดให้ลูกจ้างเกษียณอายุที่ 60 ปี ปรับฐานการรับเงินบํานาญให้มีอัตราเริ่มต้นที่ 5,000 บาทต่อเดือน ให้ผู้ประกันตนที่พ้นสภาพการเป็นมาตรา 33 และรับบํานาญให้มีสิทธิสมัครมาตรา 39 ได้โดยไม่ตัดสิทธิการรับเงินบํานาญ ขอให้รัฐบาลกําหนดให้กองทุนสํารองเลี้ยงชีพเป็นภาคบังคับและลูกจ้างต้องได้รับเงินเมื่อสิ้นสุด การเป็นลูกจ้าง และขอให้รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองส่งเสริมพัฒนาคุณภาพแรงงานนอกระบบและให้จัดตั้งองค์กรได้ เป็นต้น “กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยและตระหนักถึงความสําคัญของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน จึงมุ่งมั่นในการกําหนดนโยบายต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานและครอบครัวให้มีความมั่นคงและสามารถดํารงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรีตามนโยบายของรัฐบาล” พล.ต.อ. อดุลย์ กล่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11748
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​อนุทิน เยี่ยมผู้ป่วยเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ที่สถาบันบำราศฯ เตรียมกลับประเทศ [กระทรวงสาธารณสุข]
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563 ​อนุทิน เยี่ยมผู้ป่วยเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ที่สถาบันบําราศฯ เตรียมกลับประเทศ [กระทรวงสาธารณสุข] รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจผู้ป่วยที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น มีไข้ และส่งตัวเข้ารับการรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สถาบันบําราศนราดูร หากผลการตรวจเชื้อทางห้องปฏิบัติการเป็นผลลบสามารถกลับประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจผู้ป่วยที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นมีไข้ และส่งตัวเข้ารับการรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สถาบันบําราศนราดูร หากผลการตรวจเชื้อทางห้องปฏิบัติการเป็นผลลบสามารถกลับประเทศได้ วันนี้ (14 มกราคม 2563) ที่สถาบันบําราศนราดูร กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เยี่ยมให้กําลังใจผู้ป่วยที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นและพบมีไข้ ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ห้องแยกโรคความดันลบ สถาบันบําราศนราดูร พร้อมมอบกระเช้าให้กับญาติผู้ป่วย นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ ผู้ป่วยอาการดีขึ้นเป็นปกติ ไม่มีไข้ นอนหลับได้ รอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการตามขั้นตอนทางการแพทย์ เนื่องจากต้องรอผลการยืนยันจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และจากคณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการทํางานร่วมกัน เมื่อผลเป็นลบและเชื้อไวรัสหมดจากทางเดินหายใจแล้ว ก็ถือว่าผู้ป่วยหาย สามารถเดินทางกลับประเทศได้ อีก 3 รายที่เหลือเป็นเชื้อไข้หวัดธรรมดา ไม่มีเชื้อที่เราเฝ้าระวังอยู่ เนื่องจากมาจากเมืองอู่ฮั่นและมีไข้ จึงจําเป็นต้องแยกมาดูอาการ เมื่อหายแล้วมีความประสงค์จะอยู่เที่ยวต่อก็สามารถเที่ยวต่อได้ “อยากเรียนประชาชนว่าอย่าตื่นตระหนกเกินเหตุ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่มีคนเยอะแยะ เห็นคนไอจาม มีน้ํามูก หลีกเลี่ยงได้ก็ดี ดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง โรคนี้ยังไม่มียารักษา ไม่มีวัคซีนป้องกัน เป็นการรักษาตามอาการให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานก็จะหายถ้ามาหาหมอทันเวลา ซึ่งไทยมีระบบการเฝ้าระวังโรค พบเร็วรักษาเร็ว ขอให้มั่นใจว่าเราประสานการทํางานร่วมกันภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ ทุกอย่างปฏิบัติตามขั้นตอนที่องค์การอนามัยโลกกําหนด ขอให้สบายใจได้”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​อนุทิน เยี่ยมผู้ป่วยเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ที่สถาบันบำราศฯ เตรียมกลับประเทศ [กระทรวงสาธารณสุข] วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563 ​อนุทิน เยี่ยมผู้ป่วยเดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น ที่สถาบันบําราศฯ เตรียมกลับประเทศ [กระทรวงสาธารณสุข] รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจผู้ป่วยที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น มีไข้ และส่งตัวเข้ารับการรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สถาบันบําราศนราดูร หากผลการตรวจเชื้อทางห้องปฏิบัติการเป็นผลลบสามารถกลับประเทศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจผู้ป่วยที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นมีไข้ และส่งตัวเข้ารับการรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สถาบันบําราศนราดูร หากผลการตรวจเชื้อทางห้องปฏิบัติการเป็นผลลบสามารถกลับประเทศได้ วันนี้ (14 มกราคม 2563) ที่สถาบันบําราศนราดูร กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เยี่ยมให้กําลังใจผู้ป่วยที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่นและพบมีไข้ ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาการติดเชื้อไวรัสโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ห้องแยกโรคความดันลบ สถาบันบําราศนราดูร พร้อมมอบกระเช้าให้กับญาติผู้ป่วย นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ ผู้ป่วยอาการดีขึ้นเป็นปกติ ไม่มีไข้ นอนหลับได้ รอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการตามขั้นตอนทางการแพทย์ เนื่องจากต้องรอผลการยืนยันจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และจากคณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการทํางานร่วมกัน เมื่อผลเป็นลบและเชื้อไวรัสหมดจากทางเดินหายใจแล้ว ก็ถือว่าผู้ป่วยหาย สามารถเดินทางกลับประเทศได้ อีก 3 รายที่เหลือเป็นเชื้อไข้หวัดธรรมดา ไม่มีเชื้อที่เราเฝ้าระวังอยู่ เนื่องจากมาจากเมืองอู่ฮั่นและมีไข้ จึงจําเป็นต้องแยกมาดูอาการ เมื่อหายแล้วมีความประสงค์จะอยู่เที่ยวต่อก็สามารถเที่ยวต่อได้ “อยากเรียนประชาชนว่าอย่าตื่นตระหนกเกินเหตุ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่มีคนเยอะแยะ เห็นคนไอจาม มีน้ํามูก หลีกเลี่ยงได้ก็ดี ดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง โรคนี้ยังไม่มียารักษา ไม่มีวัคซีนป้องกัน เป็นการรักษาตามอาการให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานก็จะหายถ้ามาหาหมอทันเวลา ซึ่งไทยมีระบบการเฝ้าระวังโรค พบเร็วรักษาเร็ว ขอให้มั่นใจว่าเราประสานการทํางานร่วมกันภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ ทุกอย่างปฏิบัติตามขั้นตอนที่องค์การอนามัยโลกกําหนด ขอให้สบายใจได้”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ย้ำครู กศน. เร่งร่วมมือแก้ปัญหาสุขภาพประชาชน จชต.
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ย้ําครู กศน. เร่งร่วมมือแก้ปัญหาสุขภาพประชาชน จชต. วันนี้ (25 ก.ค. 61) ที่โรงแรมหรรษา เจ.บี หาดใหญ่ จ.สงขลา พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในโครงการพัฒนาครู กศน. วันนี้ (25 ก.ค. 61) ที่โรงแรมหรรษา เจ.บี หาดใหญ่ จ.สงขลา พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในโครงการพัฒนาครู กศน. เพื่อส่งเสริมสุขภาวะชุมชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ โรงแรมเจบี หาดใหญ่ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พลเอกสุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า" ปัญหาด้านสุขภาพอนามัย ถือเป็นปัญหาหลักประการหนึ่ง ของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเข้าถึงความรู้เกี่ยวกับโรคต่าง ๆ ได้ยาก เนื่องจากข้อจํากัดในเรื่องของภาษา รวมถึงความยากลําบากในการเข้าถึงพื้นที่ จึงต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการบูรณาการนําความรู้ด้านการสาธารณสุขไปสู่ประชาชนให้ได้มากที่สุด"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ย้ำครู กศน. เร่งร่วมมือแก้ปัญหาสุขภาพประชาชน จชต. วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ย้ําครู กศน. เร่งร่วมมือแก้ปัญหาสุขภาพประชาชน จชต. วันนี้ (25 ก.ค. 61) ที่โรงแรมหรรษา เจ.บี หาดใหญ่ จ.สงขลา พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในโครงการพัฒนาครู กศน. วันนี้ (25 ก.ค. 61) ที่โรงแรมหรรษา เจ.บี หาดใหญ่ จ.สงขลา พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในโครงการพัฒนาครู กศน. เพื่อส่งเสริมสุขภาวะชุมชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ โรงแรมเจบี หาดใหญ่ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พลเอกสุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า" ปัญหาด้านสุขภาพอนามัย ถือเป็นปัญหาหลักประการหนึ่ง ของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเข้าถึงความรู้เกี่ยวกับโรคต่าง ๆ ได้ยาก เนื่องจากข้อจํากัดในเรื่องของภาษา รวมถึงความยากลําบากในการเข้าถึงพื้นที่ จึงต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการบูรณาการนําความรู้ด้านการสาธารณสุขไปสู่ประชาชนให้ได้มากที่สุด"
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14146
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเลือกท้องถิ่นแน่นอน เชื่อทุกคนมีความพร้อมในการเลือกตั้ง
วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561 นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเลือกท้องถิ่นแน่นอน เชื่อทุกคนมีความพร้อมในการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเลือกท้องถิ่นแน่นอน เชื่อทุกคนมีความพร้อมในการเลือกตั้ง วันนี้ (10 เมษายน 2561) เวลา 14.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีการเลือกตั้งท้องถิ่นว่า จะต้องมีเลือกตั้งท้องถิ่น และอาจจะมีก่อนสักครั้ง หรือสองครั้ง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โดยเชื่อว่าทุกคนมีความพร้อมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเลือกวันไหนก็พร้อมหมด นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า สําหรับที่มีการออกมาเรียกร้องอยู่ทุกวันนี้ เมื่อถึงเวลา กําหนดวันเลือกตั้ง จะมาคัดค้านว่าไม่พร้อม เวลาไม่พอ ไม่ได้ และขอความร่วมมือสื่ออย่านําเสนอประเด็นของบุคคลเหล่านี้มากนัก ------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเลือกท้องถิ่นแน่นอน เชื่อทุกคนมีความพร้อมในการเลือกตั้ง วันอังคารที่ 10 เมษายน 2561 นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเลือกท้องถิ่นแน่นอน เชื่อทุกคนมีความพร้อมในการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรียืนยันมีการเลือกท้องถิ่นแน่นอน เชื่อทุกคนมีความพร้อมในการเลือกตั้ง วันนี้ (10 เมษายน 2561) เวลา 14.20 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีการเลือกตั้งท้องถิ่นว่า จะต้องมีเลือกตั้งท้องถิ่น และอาจจะมีก่อนสักครั้ง หรือสองครั้ง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โดยเชื่อว่าทุกคนมีความพร้อมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเลือกวันไหนก็พร้อมหมด นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า สําหรับที่มีการออกมาเรียกร้องอยู่ทุกวันนี้ เมื่อถึงเวลา กําหนดวันเลือกตั้ง จะมาคัดค้านว่าไม่พร้อม เวลาไม่พอ ไม่ได้ และขอความร่วมมือสื่ออย่านําเสนอประเด็นของบุคคลเหล่านี้มากนัก ------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11453
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 24 พฤษภาคม 2563
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 24 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย วันนี้ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้าน 5 ราย รวมกลับบ้านได้สะสม 2,921 หรือคิดเป็นร้อยละ 96.08 ของผู้ป่วยทั้งหมด ทําให้ขณะนี้มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 63 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่24 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย วันนี้ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้าน 5 ราย รวมกลับบ้านได้สะสม 2,921 หรือคิดเป็นร้อยละ 96.08 ของผู้ป่วยทั้งหมด ทําให้ขณะนี้มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 63 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 2.07 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ผู้เสียชีวิตสะสม 56 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 3,040 ราย จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อของประเทศไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นไม่ถึง 10 รายต่อวัน แต่ยังคงมีการพบการติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดและผู้ที่มีประวัติเดินทางไปในสถานที่ชุมชน แสดงให้เห็นว่า ความประมาทไม่ป้องกันตนเอง การสัมผัสใกล้ชิด การอยู่ในสถานที่แออัด ยังมีความเสี่ยงที่อาจติดเชื้อโควิด19 ได้ ขอเน้นย้ําว่ามาตรการรักษาระยะห่าง 1-2 เมตร การสวมใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า การล้างมือบ่อยๆ นั้นมีความสําคัญเป็นเกราะป้องกันตนเองจากเชื้อโรค ขอให้ประชาชนร่วมมือ ร่วมใจรักษาการ์ด “การ์ดอย่าตก” และปฏิบัติต่อเนื่องให้เป็นนิสัยเพื่อความปลอดภัยของทุกคน เมื่อวานนี้ (23 พฤษภาคม 2563) ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ทําการคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศจํานวน 77 ราย พบผู้สงสัยเข้าเกณฑ์เฝ้าระวัง 2 ราย และผู้ติดตาม 1 ราย ขณะนี้ได้นําเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังแล้ว สําหรับสถานที่กักตัวของรัฐ (State Quarantine) ในเขตสุขภาพที่ 6 จํานวนทั้งสิ้น 11 แห่ง มีผู้เข้ารับการกักตัวสะสม 5,198 ราย กลับบ้านแล้ว 2,781 ราย มีผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังสอบสวนโรค 38 ราย พบผู้ป่วยยืนยันสะสม 21 ราย ขณะนี้มีผู้ที่อยู่ระหว่างเข้ารับการกักตัว จํานวน 2,777 ราย โดยในวันนี้ (24 พฤษภาคม 2563) ทีมบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลระยองได้ทําการ Swab เก็บสิ่งส่งตรวจคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 จํานวน 58 ราย และทีมบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ได้ดําเนินการ Swab เก็บสิ่งส่งตรวจผู้เดินทางจากกลับประเทศรัสเซียจํานวน 97 ราย และประเทศฟิลิปปินส์จํานวน 163 ราย เป็นครั้งที่ 2 รวมถึงช่างแอร์อีก 2 ราย ทุกรายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี **************************************** 24 พฤษภาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 24 พฤษภาคม 2563 วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 24 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย วันนี้ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้าน 5 ราย รวมกลับบ้านได้สะสม 2,921 หรือคิดเป็นร้อยละ 96.08 ของผู้ป่วยทั้งหมด ทําให้ขณะนี้มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 63 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่24 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย วันนี้ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ มีผู้ป่วยกลับบ้าน 5 ราย รวมกลับบ้านได้สะสม 2,921 หรือคิดเป็นร้อยละ 96.08 ของผู้ป่วยทั้งหมด ทําให้ขณะนี้มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 63 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 2.07 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ผู้เสียชีวิตสะสม 56 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 3,040 ราย จากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อของประเทศไทยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นไม่ถึง 10 รายต่อวัน แต่ยังคงมีการพบการติดเชื้อจากการสัมผัสใกล้ชิดและผู้ที่มีประวัติเดินทางไปในสถานที่ชุมชน แสดงให้เห็นว่า ความประมาทไม่ป้องกันตนเอง การสัมผัสใกล้ชิด การอยู่ในสถานที่แออัด ยังมีความเสี่ยงที่อาจติดเชื้อโควิด19 ได้ ขอเน้นย้ําว่ามาตรการรักษาระยะห่าง 1-2 เมตร การสวมใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า การล้างมือบ่อยๆ นั้นมีความสําคัญเป็นเกราะป้องกันตนเองจากเชื้อโรค ขอให้ประชาชนร่วมมือ ร่วมใจรักษาการ์ด “การ์ดอย่าตก” และปฏิบัติต่อเนื่องให้เป็นนิสัยเพื่อความปลอดภัยของทุกคน เมื่อวานนี้ (23 พฤษภาคม 2563) ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ทําการคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศจํานวน 77 ราย พบผู้สงสัยเข้าเกณฑ์เฝ้าระวัง 2 ราย และผู้ติดตาม 1 ราย ขณะนี้ได้นําเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังแล้ว สําหรับสถานที่กักตัวของรัฐ (State Quarantine) ในเขตสุขภาพที่ 6 จํานวนทั้งสิ้น 11 แห่ง มีผู้เข้ารับการกักตัวสะสม 5,198 ราย กลับบ้านแล้ว 2,781 ราย มีผู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังสอบสวนโรค 38 ราย พบผู้ป่วยยืนยันสะสม 21 ราย ขณะนี้มีผู้ที่อยู่ระหว่างเข้ารับการกักตัว จํานวน 2,777 ราย โดยในวันนี้ (24 พฤษภาคม 2563) ทีมบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลระยองได้ทําการ Swab เก็บสิ่งส่งตรวจคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 จํานวน 58 ราย และทีมบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี ได้ดําเนินการ Swab เก็บสิ่งส่งตรวจผู้เดินทางจากกลับประเทศรัสเซียจํานวน 97 ราย และประเทศฟิลิปปินส์จํานวน 163 ราย เป็นครั้งที่ 2 รวมถึงช่างแอร์อีก 2 ราย ทุกรายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี **************************************** 24 พฤษภาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31382
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินแจ้งปิดให้บริการชั่วคราวสาขาในห้างฯ พื้นที่ กทม.-ปริมณฑล จำนวน 15 แห่ง
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 ออมสินแจ้งปิดให้บริการชั่วคราวสาขาในห้างฯ พื้นที่ กทม.-ปริมณฑล จํานวน 15 แห่ง ธนาคารออมสินขอแจ้งปิดการให้บริการสาขาในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ช้อปปิ้งมอลล์ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จํานวน 15 แห่ง รายงานข่าวจากธนาคารออมสิน แจ้งว่า ตามที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดในเขตปริมณฑลมีประกาศเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2563 สั่งปิดสถานที่ในพื้นที่เป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม 2563 ถึง วันที่ 12 เมษายน 2563 เพื่อลดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตราย ด้วยการจํากัดการรวมคน โดยประกาศดังกล่าวครอบคลุมบริษัทห้างร้านและองค์กรที่เปิดให้บริการในห้างสรรพสินค้าด้วยนั้น ธนาคารออมสิน จึงขอแจ้งปิดการให้บริการสาขาในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ช้อปปิ้งมอลล์ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จํานวน 15 แห่ง ได้แก่ สาขาสุพรีมคอมเพล็กซ์, สาขาเซ็นทรัลพลาซาฯพระราม 9, สาขาเซ็นทรัลฯอิสต์วิลล์, สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ, สาขาอิมพีเรียลฯลาดพร้าว, สาขาสยามพารากอน, สาขาเซ็นทรัลเวิลด์, สาขาไอคอนสยาม, สาขาเซ็นทรัลพลาซาปิ่นเกล้า, สาขาเดอะมอลล์ท่าพระ, สาขาเซ็นทรัลพลาซาแจ้งวัฒนะ, สาขาเซ็นทรัลพลาซารัตนาธิเบศร์, สาขาเดอะมอลล์งามวงศ์วาน, สาขาเซ็นทรัลเวสต์เกต และ สาขาอินเด็กซ์บางใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม – 12 เมษายน 2563 ซึ่งธนาคารฯ จะประชาสัมพันธ์ข่าวการเปิดหรือปิดให้บริการสาขาให้ทราบอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถใช้บริการของธนาคารออมสินในสาขาใกล้เคียง หรือใช้บริการผ่าน Digital Banking ของธนาคารออมสิน (MyMo My Card, MyMo Pay, GSB PAY, Digital Salak, PromptPay, เครื่อง Self Service, เครื่อง ATM, ADM, VTM) จึงขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ด้วย หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน โทร.1115 หรือตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคาร ได้แก่ Website : www.gsb.or.th , Facebook และ Official Line : GSB Society
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินแจ้งปิดให้บริการชั่วคราวสาขาในห้างฯ พื้นที่ กทม.-ปริมณฑล จำนวน 15 แห่ง วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 ออมสินแจ้งปิดให้บริการชั่วคราวสาขาในห้างฯ พื้นที่ กทม.-ปริมณฑล จํานวน 15 แห่ง ธนาคารออมสินขอแจ้งปิดการให้บริการสาขาในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ช้อปปิ้งมอลล์ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จํานวน 15 แห่ง รายงานข่าวจากธนาคารออมสิน แจ้งว่า ตามที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดในเขตปริมณฑลมีประกาศเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2563 สั่งปิดสถานที่ในพื้นที่เป็นการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม 2563 ถึง วันที่ 12 เมษายน 2563 เพื่อลดการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตราย ด้วยการจํากัดการรวมคน โดยประกาศดังกล่าวครอบคลุมบริษัทห้างร้านและองค์กรที่เปิดให้บริการในห้างสรรพสินค้าด้วยนั้น ธนาคารออมสิน จึงขอแจ้งปิดการให้บริการสาขาในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ช้อปปิ้งมอลล์ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จํานวน 15 แห่ง ได้แก่ สาขาสุพรีมคอมเพล็กซ์, สาขาเซ็นทรัลพลาซาฯพระราม 9, สาขาเซ็นทรัลฯอิสต์วิลล์, สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ, สาขาอิมพีเรียลฯลาดพร้าว, สาขาสยามพารากอน, สาขาเซ็นทรัลเวิลด์, สาขาไอคอนสยาม, สาขาเซ็นทรัลพลาซาปิ่นเกล้า, สาขาเดอะมอลล์ท่าพระ, สาขาเซ็นทรัลพลาซาแจ้งวัฒนะ, สาขาเซ็นทรัลพลาซารัตนาธิเบศร์, สาขาเดอะมอลล์งามวงศ์วาน, สาขาเซ็นทรัลเวสต์เกต และ สาขาอินเด็กซ์บางใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม – 12 เมษายน 2563 ซึ่งธนาคารฯ จะประชาสัมพันธ์ข่าวการเปิดหรือปิดให้บริการสาขาให้ทราบอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถใช้บริการของธนาคารออมสินในสาขาใกล้เคียง หรือใช้บริการผ่าน Digital Banking ของธนาคารออมสิน (MyMo My Card, MyMo Pay, GSB PAY, Digital Salak, PromptPay, เครื่อง Self Service, เครื่อง ATM, ADM, VTM) จึงขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ด้วย หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน โทร.1115 หรือตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคาร ได้แก่ Website : www.gsb.or.th , Facebook และ Official Line : GSB Society
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27669
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่าย จัดแถลงข่าวโครงการรณรงค์ “สุขสงกรานต์ : งดสุรา หยุดคุกคามทางเพศ”
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560 พม. จับมือภาคีเครือข่าย จัดแถลงข่าวโครงการรณรงค์ “สุขสงกรานต์ : งดสุรา หยุดคุกคามทางเพศ” พม. จับมือภาคีเครือข่าย จัดแถลงข่าวโครงการรณรงค์ “สุขสงกรานต์ : งดสุรา หยุดคุกคามทางเพศ” เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเล่นน้ําสงกรานต์อยู่ในกรอบ เคารพสิทธิส่วนตัว ให้เกียรติ ไม่ฉวยโอกาส และปลอดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วันนี้ (7 เม.ย. 60) เวลา 10.30 น. ที่บริเวณ ชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยนายบัณฑิต สอนไพศาล รองผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ภก. สงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อํานวยการสํานักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อํานวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร และผู้แทนจากสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าว โครงการรณรงค์ "สุขสงกรานต์ : งดสุรา หยุดคุกคามทางเพศ” เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเล่นน้ําสงกรานต์อยู่ในกรอบ เคารพสิทธิส่วนตัว ให้เกียรติ ไม่ฉวยโอกาส และปลอดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายไมตรี กล่าวว่า เทศกาลสงกรานต์ ถือเป็นประเพณีการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ของไทย เป็นเทศกาลที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทั้งในครอบครัว ชุมชน และสังคม แต่ในปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์มีการเปลี่ยนแปลงไป ในบางพื้นที่กลายเป็นเทศกาลที่เน้นความสนุกสนาน การดื่มสุรา การไม่เคารพให้เกียรติล่วงเกินสตรี ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การทะเลาะวิวาท การคุกคามทางเพศ อุบัติเหตุทางถนน ทําให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน และมักพบการลวนลามหรือคุกคามทางเพศจากผลการสํารวจ เมื่อปี 2559 พบว่า สตรีร้อยละ 51.9 เคยถูกฉวยโอกาสคุกคามทางเพศในระหว่างการเล่นน้ําสงกรานต์ นายไมตรี กล่าวต่อไปว่า หลายภาคส่วนจึงมีความตระหนักและให้ความสําคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดย กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) จึงร่วมกับ กรุงเทพมหานคร (กทม.) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล สํานักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทําโครงการรณรงค์เพื่อยุติการคุกคามทางเพศในเทศกาลสงกรานต์ การสร้างกระแสให้การเล่นน้ําสงกรานต์อยู่ในกรอบเคารพสิทธิส่วนตัวให้เกียรติ ไม่ฉวยโอกาส และปลอดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้โครงการรณรงค์ "สุขสงกรานต์ : งดสุรา หยุดคุกคามทางเพศ” นายไมตรี กล่าวต่ออีกว่า โครงการดังกล่าว กําหนดให้มีกิจกรรมการรณรงค์ ดังนี้ 1) ในระดับประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ประสานทุกจังหวัด ให้มอบหมายพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ดําเนินการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ สร้างกระแส ยุติการคุกคามทางเพศ ตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ และจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังรับแจ้งเหตุ ร่วมกับภาคีเครือข่ายองค์กรงดเหล้าของทุกจังหวัด เพื่อประสานฝ่ายตํารวจและฝ่ายปกครอง รวมทั้งมอบหมายให้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เป็นหน่วยรับแจ้งเหตุด้วย 2) ในกรุงเทพมหานคร จะจัดกิจกรรมการเดินรณรงค์ ถือป้ายประชาสัมพันธ์ แจกสติ๊กเกอร์ เพื่อสร้างกระแสการรับรู้ให้สังคมเกิดความตระหนัก ในวันอังคารที่ 11 เมษายน 2560 เวลา 11.00 น. ณ บริเวณถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ "กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และองค์กรเครือข่าย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดกิจกรรมการรณรงค์ "สุขสงกรานต์ : งดสุรา หยุดคุกคามทางเพศ” จะทําให้การเล่นน้ําสงกรานต์มีความปลอดภัยต่อผู้หญิง เด็ก และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ สื่อถึงประเพณีวัฒนธรรมของสังคมไทย ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศต่อไป” นายไมตรี กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือภาคีเครือข่าย จัดแถลงข่าวโครงการรณรงค์ “สุขสงกรานต์ : งดสุรา หยุดคุกคามทางเพศ” วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560 พม. จับมือภาคีเครือข่าย จัดแถลงข่าวโครงการรณรงค์ “สุขสงกรานต์ : งดสุรา หยุดคุกคามทางเพศ” พม. จับมือภาคีเครือข่าย จัดแถลงข่าวโครงการรณรงค์ “สุขสงกรานต์ : งดสุรา หยุดคุกคามทางเพศ” เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเล่นน้ําสงกรานต์อยู่ในกรอบ เคารพสิทธิส่วนตัว ให้เกียรติ ไม่ฉวยโอกาส และปลอดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วันนี้ (7 เม.ย. 60) เวลา 10.30 น. ที่บริเวณ ชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยนายบัณฑิต สอนไพศาล รองผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ภก. สงกรานต์ ภาคโชคดี ผู้อํานวยการสํานักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อํานวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร และผู้แทนจากสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ร่วมแถลงข่าว โครงการรณรงค์ "สุขสงกรานต์ : งดสุรา หยุดคุกคามทางเพศ” เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเล่นน้ําสงกรานต์อยู่ในกรอบ เคารพสิทธิส่วนตัว ให้เกียรติ ไม่ฉวยโอกาส และปลอดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายไมตรี กล่าวว่า เทศกาลสงกรานต์ ถือเป็นประเพณีการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ของไทย เป็นเทศกาลที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทั้งในครอบครัว ชุมชน และสังคม แต่ในปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์มีการเปลี่ยนแปลงไป ในบางพื้นที่กลายเป็นเทศกาลที่เน้นความสนุกสนาน การดื่มสุรา การไม่เคารพให้เกียรติล่วงเกินสตรี ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น การทะเลาะวิวาท การคุกคามทางเพศ อุบัติเหตุทางถนน ทําให้เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน และมักพบการลวนลามหรือคุกคามทางเพศจากผลการสํารวจ เมื่อปี 2559 พบว่า สตรีร้อยละ 51.9 เคยถูกฉวยโอกาสคุกคามทางเพศในระหว่างการเล่นน้ําสงกรานต์ นายไมตรี กล่าวต่อไปว่า หลายภาคส่วนจึงมีความตระหนักและให้ความสําคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดย กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) จึงร่วมกับ กรุงเทพมหานคร (กทม.) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล สํานักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทําโครงการรณรงค์เพื่อยุติการคุกคามทางเพศในเทศกาลสงกรานต์ การสร้างกระแสให้การเล่นน้ําสงกรานต์อยู่ในกรอบเคารพสิทธิส่วนตัวให้เกียรติ ไม่ฉวยโอกาส และปลอดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้โครงการรณรงค์ "สุขสงกรานต์ : งดสุรา หยุดคุกคามทางเพศ” นายไมตรี กล่าวต่ออีกว่า โครงการดังกล่าว กําหนดให้มีกิจกรรมการรณรงค์ ดังนี้ 1) ในระดับประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ประสานทุกจังหวัด ให้มอบหมายพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ดําเนินการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ สร้างกระแส ยุติการคุกคามทางเพศ ตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ และจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังรับแจ้งเหตุ ร่วมกับภาคีเครือข่ายองค์กรงดเหล้าของทุกจังหวัด เพื่อประสานฝ่ายตํารวจและฝ่ายปกครอง รวมทั้งมอบหมายให้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เป็นหน่วยรับแจ้งเหตุด้วย 2) ในกรุงเทพมหานคร จะจัดกิจกรรมการเดินรณรงค์ ถือป้ายประชาสัมพันธ์ แจกสติ๊กเกอร์ เพื่อสร้างกระแสการรับรู้ให้สังคมเกิดความตระหนัก ในวันอังคารที่ 11 เมษายน 2560 เวลา 11.00 น. ณ บริเวณถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ "กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และองค์กรเครือข่าย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดกิจกรรมการรณรงค์ "สุขสงกรานต์ : งดสุรา หยุดคุกคามทางเพศ” จะทําให้การเล่นน้ําสงกรานต์มีความปลอดภัยต่อผู้หญิง เด็ก และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ สื่อถึงประเพณีวัฒนธรรมของสังคมไทย ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศต่อไป” นายไมตรี กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2967
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. มอบหมาย รอง นรม.วิษณุฯ แถลงผลงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแก่สื่อมวลชนในโอกาส ครบรอบ 2 ปีของรัฐบาล
วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559 นรม. มอบหมาย รอง นรม.วิษณุฯ แถลงผลงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแก่สื่อมวลชนในโอกาส ครบรอบ 2 ปีของรัฐบาล นรม. มอบหมาย รอง นรม.วิษณุฯ แถลงผลงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแก่สื่อมวลชนในโอกาส ครบรอบ 2 ปีของรัฐบาล วันนี้ (15 กันยายน 2559) เวลา 11.55 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ได้พบปะสื่อมวลชนในโอกาสครบรอบ 2 ปีของรัฐบาล โอกาสนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลงานรัฐบาลในส่วนด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมสรุปความว่า เมื่อรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศได้ฟื้นฟูจัดการคืนความสุขให้ประชาชนทันทีด้วยการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง ซึ่งมีตัวช่วย 4 ประการ ได้แก่งบประมาณ บุคลากร ความรู้ความคิด เทคโนโลยีและหลักวิชาการตลอดจนใช้อํานาจผ่านกระบวนการกฎหมายมาช่วยสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้อยู่ครบ 2 ปี ได้ออกกฎหมายมาแล้วกว่า 187 ฉบับ ค้างสภานิติบัญญัติแห่งชาติอีก 27 ฉบับ ซึ่งกําลังจะผ่านกระบวนการทางสภาฯ ออกเป็นกฎหมายอย่างสมบูรณ์เร็ว ๆ นี้ อีกทั้งนายกรัฐมนตรีโดย คสช. ได้ใช้มาตรา 44 แก้ไขปัญหาประเทศด้านต่าง ๆ อีก 104 ฉบับ จะเห็นได้ว่ากฎหมายถือเป็นเครื่องมือสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศได้อย่างดียิ่ง ที่ผ่านมา พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีการกระทรวงยุติธรรมมีบทบาทสําคัญในการเป็นฝ่ายกฎหมายที่ช่วยแก้ไขกฎหมายให้กระทรวงต่าง ๆ ทั้ง 20 กระทรวงให้สามารถทํางานช่วยเหลือประชาชนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ที่ผ่านมาในอดีต ประเทศไทยเคยให้สัญญากับต่างประเทศ ธนาคารโลก องค์การสหประชาชาติและสนธิสัญญาต่าง ๆ ที่จะช่วยแก้ไขกฎหมายของไทยให้สอดคล้องกับกฎหมายนานาชาติ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้ดําเนินการได้แล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เช่นลงนามสนธิสัญญาไซเตรต แก้กฎหมายการค้างาช้าง กฎหมายการคุ้มครองสัตว์ป่า กฎหมายแรงงานประมงทางทะเล กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายสากล กฎหมายการฟอกเงิน กฎหมายการทวงถามหนี้ กฎหมายการคุ้มครองเด็กแรกเกิดจากการเจริญพันธุ์ทางการผสมเทียม กฎหมายป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ กฎหมายภาษีมรดกเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคม กฎหมายดูแลคนไร้ที่พึง กฎหมายความเท่าเทียมระหว่างเพศ และกฎหมายแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ตลอดจนกฎหมายขอทาน และกฎหมายเกี่ยวกับหอพักเป็นต้น ประการสําคัญ กฎหมายยาเสพติดที่มีมากกว่า 20 ฉบับจะเหลือเพียงฉบับเดียวที่ครอบคลุมทั้งหมด ทั้งนี้ ระบบการศึกษาของไทยในระดับอุดมศึกษาในสถานศึกษาต่าง ๆ ได้มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม เช่น พรบ. โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าสามารถผลิตบัณฑิตได้ถึงระดับปริญญาเอก รวมทั้ง พรบ. โรงเรียนนายร้อยตํารวจ สถาบันจุฬาภรณ์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ วิทยาลัยชุมชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ตลอดจนมหาวิทยาลัยมหามงกุฎราชวิทยาลัยด้วย พร้อมกันนี้ กระบวนการยุติธรรมได้มีการแก้ไขให้มีบทบาทช่วยเหลือคนยากจนมากยิ่งขึ้น เช่น พรบ. กองทุนยุติธรรม ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการไม่ถึง 1 ปีเต็ม มีประชาชนมาขอความช่วยเหลือกว่า 2,000 ราย เป็นเงินกว่า 140 ล้านบาท ส่วนเรื่องคอร์รัปชั่น รัฐบาลชุดนี้ถือเป็นเรื่องสําคัญอย่างยิ่ง จะไม่ให้คนโกงลอยนวลอย่างแน่นอน โดยมีการจัดตั้งศาลอาญาทุจริตขึ้นภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2559 โดยเปิดทําการทั่วประเทศ ซึ่งคดีนี้จะผ่านเพียง 2 ศาล เท่านั้นไม่ถึงศาลฎีกา และจะตามยึดทรัพย์ให้ได้ เพราะว่าคดีไม่มีวันหมดอายุความ สําหรับประเด็น “คอร์รัปขั่น” นั้นรัฐบาลกําหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยยึดหลัก 5 ป ได้แก่ 1.ปฏิบัติ โดยไม่มีการคดโกง 2.ประชาสัมพันธ์ ด้วยการสร้างการรับรู้และความเข้าใจพร้อมมีหลักสูตรให้ข้าราชการอบรมเรียกว่า “สํานึกข้าราชการไม่โกง” และ “หลักสูตรกรรมสนองโกง” 3.ป้องกัน ด้วยการเปิดโอกาสไม่ให้มีการทุจริต โดยมี พรบ. อํานวยความสะดวกทางราชการ เพื่ออํานวยความสะดวกสบายแก่ประชาชน หากการดําเนินการใด ๆ กําหนดไว้ว่า ต้องดําเนินการภายใน 7 วัน หากเจ้าหน้าที่ดําเนินการไม่แล้วเสร็จ ควรมีหนังสือกล่าวขอโทษประชาชนแจ้งรายละเอียดให้ทราบด้วย มิฉะนั้นถือว่ามีความผิด 4.ปราบปราม โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับที่กระทําความผิดและสอบสวนแล้ว พบว่า “ผิดจริง” ได้ดําเนินการสั่งพักงานแล้วกว่า 270 ราย และให้ออกจากราชการแล้วกว่า 50 รายและแม้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะเกษียณอายุราชการแล้ว ก็สามารถดําเนินการสอบสวนต่อได้อีก 3 ปี ตลอดจนมีคดีสําคัญ ๆ ที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลนี้ได้ดําเนินการอย่างเคร่งครัดไปแล้วเช่น คดีทุจริตจํานําข้าว คดียูเนียนคลองจั่น คดีบําบัดน้ําเสียคลองด่าน และคดีวัดธรรมกาย เป็นต้น และ 5.โปร่งใส โดยมีคู่มือปฏิบัติงานให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐให้ดําเนินการตามคู่มือโดยเคร่งครัดว่าควรนําเอกสารใดมาบ้าง มิใช่ว่าในคู่มือกําหนดไว้ขอเอกสาร 7 ชุด แต่ต่อมาจะมาขอเพิ่มอีก 1 ชุด เป็น 8 ชุดย่อมกระทําไม่ได้ และหากไม่ดําเนินการให้ประชาชนภายในเวลากําหนดและตามที่คู่มือระบุต้องมีความผิดอย่างชัดเจนพร้อมทั้งได้นําร่องศูนย์บริการร่วม “One stop service” ไปแล้วเช่นที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ถนนเพลินจิต และธัญญปาร์ค ถนนศรีนครินทร์ อนาคตอันใกล้จะมีการขยายศูนย์ดังกล่าวให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคต่อไป รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลชุดนี้ได้ระดมสรรพกําลังแก้ไขปัญหาให้ชาติบ้านเมืองมากมายด้วยความวิริยอุตสาหะเพื่อให้ประเทศไทยดีขึ้นในสายตาชาวโลกเดิมความโปร่งใสของประเทศไทยอยู่ในลําดับที่ 102 ปัจจุบันอยู่ในลําดับที่ 76 ส่วนระดับความสามารถในการแข่งขันกับนานาชาติเดิมอยู่ในลําดับที่ 30 ปัจจุบันอยู่ในลําดับที่ 28 รวมทั้งองค์การสหประชาชาติได้จัดระดับความสามารถของรัฐบาลไทยในบทบาทรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) เดิมอยู่ในลําดับที่ 102 ปัจจุบันอยู่ในลําดับที่ 77 รองนายกรัฐมนตรีกล่าว ในตอนท้ายอีกว่ารัฐบาลชุดนี้แบกภาระเพื่อขับเคลื่อนประเทศทั้ง 2 บ่า โดยบ่าซ้ายเกี่ยวกับกฎหมายที่ประชาชนต้องการและหน่วยงานทุกภาคส่วนต้องการเห็น ด้วยการผลักดันพร้อมขับเคลื่อนให้เกิดผลอย่างจริงจังเช่นกฎหมายสรรพสามิต กฎหมายศุลกากร กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ และกฎหมายพื้นฐานต่าง ๆ ของประเทศ ส่วนบ่าขวาประกอบด้วยการปฏิรูปการเมือง การปฏิรูปกฎหมาย การปฏิรูปข้าราชการ การปฏิรูปเศรษฐกิจการปฏิรูปด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ทั้งนี้ เพื่อคนไทยและชาวต่างชาติจะได้มองเห็นทิศทางของประเทศไทยว่าจะเป็นอย่างไรคนไทยและประเทศไทยจะมีอนาคตเป็นอย่างไรบ้าง และประชาชนได้อะไรบ้างจากการกําหนดยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าว ดังนั้น หากไม่มีกฎหมายมารองรับ รัฐบาลย่อมไม่สามารถพัฒนาประเทศชาติไปได้ ซึ่งกฎหมายทั้งหมดล้วนแล้วแต่ทําเพื่อลดความทุกข์และเพิ่มความสุขสบายให้แก่ประชาชน เพื่อนําประเทศชาติสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป ************************************ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก อภิวัฒน์ / รายงาน ดวงใจ / ตรวจ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. มอบหมาย รอง นรม.วิษณุฯ แถลงผลงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแก่สื่อมวลชนในโอกาส ครบรอบ 2 ปีของรัฐบาล วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม 2559 นรม. มอบหมาย รอง นรม.วิษณุฯ แถลงผลงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแก่สื่อมวลชนในโอกาส ครบรอบ 2 ปีของรัฐบาล นรม. มอบหมาย รอง นรม.วิษณุฯ แถลงผลงานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมแก่สื่อมวลชนในโอกาส ครบรอบ 2 ปีของรัฐบาล วันนี้ (15 กันยายน 2559) เวลา 11.55 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี ได้พบปะสื่อมวลชนในโอกาสครบรอบ 2 ปีของรัฐบาล โอกาสนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลงานรัฐบาลในส่วนด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมสรุปความว่า เมื่อรัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศได้ฟื้นฟูจัดการคืนความสุขให้ประชาชนทันทีด้วยการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง ซึ่งมีตัวช่วย 4 ประการ ได้แก่งบประมาณ บุคลากร ความรู้ความคิด เทคโนโลยีและหลักวิชาการตลอดจนใช้อํานาจผ่านกระบวนการกฎหมายมาช่วยสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้อยู่ครบ 2 ปี ได้ออกกฎหมายมาแล้วกว่า 187 ฉบับ ค้างสภานิติบัญญัติแห่งชาติอีก 27 ฉบับ ซึ่งกําลังจะผ่านกระบวนการทางสภาฯ ออกเป็นกฎหมายอย่างสมบูรณ์เร็ว ๆ นี้ อีกทั้งนายกรัฐมนตรีโดย คสช. ได้ใช้มาตรา 44 แก้ไขปัญหาประเทศด้านต่าง ๆ อีก 104 ฉบับ จะเห็นได้ว่ากฎหมายถือเป็นเครื่องมือสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศได้อย่างดียิ่ง ที่ผ่านมา พลเอก ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีการกระทรวงยุติธรรมมีบทบาทสําคัญในการเป็นฝ่ายกฎหมายที่ช่วยแก้ไขกฎหมายให้กระทรวงต่าง ๆ ทั้ง 20 กระทรวงให้สามารถทํางานช่วยเหลือประชาชนได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ที่ผ่านมาในอดีต ประเทศไทยเคยให้สัญญากับต่างประเทศ ธนาคารโลก องค์การสหประชาชาติและสนธิสัญญาต่าง ๆ ที่จะช่วยแก้ไขกฎหมายของไทยให้สอดคล้องกับกฎหมายนานาชาติ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้ดําเนินการได้แล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เช่นลงนามสนธิสัญญาไซเตรต แก้กฎหมายการค้างาช้าง กฎหมายการคุ้มครองสัตว์ป่า กฎหมายแรงงานประมงทางทะเล กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายสากล กฎหมายการฟอกเงิน กฎหมายการทวงถามหนี้ กฎหมายการคุ้มครองเด็กแรกเกิดจากการเจริญพันธุ์ทางการผสมเทียม กฎหมายป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ กฎหมายภาษีมรดกเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในสังคม กฎหมายดูแลคนไร้ที่พึง กฎหมายความเท่าเทียมระหว่างเพศ และกฎหมายแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ตลอดจนกฎหมายขอทาน และกฎหมายเกี่ยวกับหอพักเป็นต้น ประการสําคัญ กฎหมายยาเสพติดที่มีมากกว่า 20 ฉบับจะเหลือเพียงฉบับเดียวที่ครอบคลุมทั้งหมด ทั้งนี้ ระบบการศึกษาของไทยในระดับอุดมศึกษาในสถานศึกษาต่าง ๆ ได้มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม เช่น พรบ. โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าสามารถผลิตบัณฑิตได้ถึงระดับปริญญาเอก รวมทั้ง พรบ. โรงเรียนนายร้อยตํารวจ สถาบันจุฬาภรณ์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ วิทยาลัยชุมชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ตลอดจนมหาวิทยาลัยมหามงกุฎราชวิทยาลัยด้วย พร้อมกันนี้ กระบวนการยุติธรรมได้มีการแก้ไขให้มีบทบาทช่วยเหลือคนยากจนมากยิ่งขึ้น เช่น พรบ. กองทุนยุติธรรม ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการไม่ถึง 1 ปีเต็ม มีประชาชนมาขอความช่วยเหลือกว่า 2,000 ราย เป็นเงินกว่า 140 ล้านบาท ส่วนเรื่องคอร์รัปชั่น รัฐบาลชุดนี้ถือเป็นเรื่องสําคัญอย่างยิ่ง จะไม่ให้คนโกงลอยนวลอย่างแน่นอน โดยมีการจัดตั้งศาลอาญาทุจริตขึ้นภายในวันที่ 1 ตุลาคม 2559 โดยเปิดทําการทั่วประเทศ ซึ่งคดีนี้จะผ่านเพียง 2 ศาล เท่านั้นไม่ถึงศาลฎีกา และจะตามยึดทรัพย์ให้ได้ เพราะว่าคดีไม่มีวันหมดอายุความ สําหรับประเด็น “คอร์รัปขั่น” นั้นรัฐบาลกําหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยยึดหลัก 5 ป ได้แก่ 1.ปฏิบัติ โดยไม่มีการคดโกง 2.ประชาสัมพันธ์ ด้วยการสร้างการรับรู้และความเข้าใจพร้อมมีหลักสูตรให้ข้าราชการอบรมเรียกว่า “สํานึกข้าราชการไม่โกง” และ “หลักสูตรกรรมสนองโกง” 3.ป้องกัน ด้วยการเปิดโอกาสไม่ให้มีการทุจริต โดยมี พรบ. อํานวยความสะดวกทางราชการ เพื่ออํานวยความสะดวกสบายแก่ประชาชน หากการดําเนินการใด ๆ กําหนดไว้ว่า ต้องดําเนินการภายใน 7 วัน หากเจ้าหน้าที่ดําเนินการไม่แล้วเสร็จ ควรมีหนังสือกล่าวขอโทษประชาชนแจ้งรายละเอียดให้ทราบด้วย มิฉะนั้นถือว่ามีความผิด 4.ปราบปราม โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกระดับที่กระทําความผิดและสอบสวนแล้ว พบว่า “ผิดจริง” ได้ดําเนินการสั่งพักงานแล้วกว่า 270 ราย และให้ออกจากราชการแล้วกว่า 50 รายและแม้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะเกษียณอายุราชการแล้ว ก็สามารถดําเนินการสอบสวนต่อได้อีก 3 ปี ตลอดจนมีคดีสําคัญ ๆ ที่ทราบกันดีว่ารัฐบาลนี้ได้ดําเนินการอย่างเคร่งครัดไปแล้วเช่น คดีทุจริตจํานําข้าว คดียูเนียนคลองจั่น คดีบําบัดน้ําเสียคลองด่าน และคดีวัดธรรมกาย เป็นต้น และ 5.โปร่งใส โดยมีคู่มือปฏิบัติงานให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐให้ดําเนินการตามคู่มือโดยเคร่งครัดว่าควรนําเอกสารใดมาบ้าง มิใช่ว่าในคู่มือกําหนดไว้ขอเอกสาร 7 ชุด แต่ต่อมาจะมาขอเพิ่มอีก 1 ชุด เป็น 8 ชุดย่อมกระทําไม่ได้ และหากไม่ดําเนินการให้ประชาชนภายในเวลากําหนดและตามที่คู่มือระบุต้องมีความผิดอย่างชัดเจนพร้อมทั้งได้นําร่องศูนย์บริการร่วม “One stop service” ไปแล้วเช่นที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ถนนเพลินจิต และธัญญปาร์ค ถนนศรีนครินทร์ อนาคตอันใกล้จะมีการขยายศูนย์ดังกล่าวให้ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคต่อไป รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลชุดนี้ได้ระดมสรรพกําลังแก้ไขปัญหาให้ชาติบ้านเมืองมากมายด้วยความวิริยอุตสาหะเพื่อให้ประเทศไทยดีขึ้นในสายตาชาวโลกเดิมความโปร่งใสของประเทศไทยอยู่ในลําดับที่ 102 ปัจจุบันอยู่ในลําดับที่ 76 ส่วนระดับความสามารถในการแข่งขันกับนานาชาติเดิมอยู่ในลําดับที่ 30 ปัจจุบันอยู่ในลําดับที่ 28 รวมทั้งองค์การสหประชาชาติได้จัดระดับความสามารถของรัฐบาลไทยในบทบาทรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) เดิมอยู่ในลําดับที่ 102 ปัจจุบันอยู่ในลําดับที่ 77 รองนายกรัฐมนตรีกล่าว ในตอนท้ายอีกว่ารัฐบาลชุดนี้แบกภาระเพื่อขับเคลื่อนประเทศทั้ง 2 บ่า โดยบ่าซ้ายเกี่ยวกับกฎหมายที่ประชาชนต้องการและหน่วยงานทุกภาคส่วนต้องการเห็น ด้วยการผลักดันพร้อมขับเคลื่อนให้เกิดผลอย่างจริงจังเช่นกฎหมายสรรพสามิต กฎหมายศุลกากร กฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ และกฎหมายพื้นฐานต่าง ๆ ของประเทศ ส่วนบ่าขวาประกอบด้วยการปฏิรูปการเมือง การปฏิรูปกฎหมาย การปฏิรูปข้าราชการ การปฏิรูปเศรษฐกิจการปฏิรูปด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ทั้งนี้ เพื่อคนไทยและชาวต่างชาติจะได้มองเห็นทิศทางของประเทศไทยว่าจะเป็นอย่างไรคนไทยและประเทศไทยจะมีอนาคตเป็นอย่างไรบ้าง และประชาชนได้อะไรบ้างจากการกําหนดยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าว ดังนั้น หากไม่มีกฎหมายมารองรับ รัฐบาลย่อมไม่สามารถพัฒนาประเทศชาติไปได้ ซึ่งกฎหมายทั้งหมดล้วนแล้วแต่ทําเพื่อลดความทุกข์และเพิ่มความสุขสบายให้แก่ประชาชน เพื่อนําประเทศชาติสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป ************************************ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก อภิวัฒน์ / รายงาน ดวงใจ / ตรวจ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/362
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ ปลื้ม ม.อุบลฯ หากสำเร็จเตรียมพลิกโฉมอีสาน 4.0
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561 ดร.สุวิทย์ ปลื้ม ม.อุบลฯ หากสําเร็จเตรียมพลิกโฉมอีสาน 4.0 “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลื้มอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี สร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่กว่า 100 ราย สร้างการจ้างงานมากกว่า 230 ตําแหน่งงาน สร้างรายได้ของผู้ประกอบการและเงินลงทุนของเอกชน กว่า 300 ล้านบาท “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลื้มอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี สร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่กว่า 100 ราย สร้างการจ้างงานมากกว่า 230 ตําแหน่งงาน สร้างรายได้ของผู้ประกอบการและเงินลงทุนของเอกชน กว่า 300 ล้านบาท เผยมีสตาร์ทอัพจากกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี เชียงใหม่ ระยองเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจเพียบ ดึง ม.ราชภัฎอุบลฯ ศรีสะเกษ สุรินทร์ ขยายเครือข่าย เมื่อเวลา 13.30 น. (23 ก.ค. 61) ณ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี / ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) พร้อมคณะ เดินทางเข้าเยี่ยมชมและติดตามความก้าวหน้าของอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งดําเนินงานภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.) (Science Park Promotion Agency : SPA) มาตั้งแต่ปี 2555 มีพื้นที่รับผิดชอบในการพัฒนาผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี(SMEs) และสตาร์ทอัพ( Startup) ในบริเวณกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นฮับของเอสเอ็มอี(SMEs) และสตาร์ทอัพ(Startup)ในภูมิภาค ให้บริการบ่มเพาะธุรกิจที่เน้นเทคโนโลยี สร้างสตาร์ทอัพที่ศักยภาพในการเติบโตได้ระดับโลกปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะวิสาหกิจของอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีจํานวนมาก ที่ผ่านมาอุทยานวิทยาศาสตร์สามารถสร้างผู้ประกอบการใหม่ในพื้นที่ไปแล้วกว่าร้อยราย สร้างการจ้างงานมากกว่า 230 ตําแหน่งงาน สร้างรายได้ของผู้ประกอบการและเงินลงทุนของเอกชน กว่า 300 ล้านบาท ดร.สุวิทย์ฯ เปิดเผยหลังการเยี่ยมชมว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีความโดดเด่นอย่างมากในการสร้างผู้ประกอบการใหม่ และสตาร์ทอัพ โดยพบว่ามีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจจํานวนมาก และมาจากแทบทุกภูมิภาคของประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ประกอบการจาก กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี เชียงใหม่ ระยอง เป็นต้น ที่ผ่านมามีการสร้างนักศึกษาไปเป็นผู้ประกอบการจริงแล้วเป็นจํานวนมาก เช่น บริษัท Control C ผู้ผลิตและจําหน่ายซอฟท์แวร์ด้านการจัดการร้านค้า บริษัท Smart Think Control ผู้ผลิตระบบ Smart Farm สําหรับแปลงเกษตรสมัยใหม่ บริษัทดีไลท์ 888 ผู้ผลิตและจําหน่ายกวยจั๊บอุบลกึ่งสําเร็จรูป ซึ่งล้วนเป็นนักศึกษาที่กลายผู้ประกอบการที่ประสบความสําเร็จและมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งสิ้น นอกจากนี้ผู้ประกอบการของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานียังได้รับรางวัลระดับชาติ และระดับนานาชาติอีกมากมาย เช่น หจก.พลังเทวดา ผู้ผลิตและจําหน่ายเตาชีวมวลใช้พลังงานจากขี้เลื่อย โดยได้รับรางวัลรองชนะเลิศ Thailand Energy Award ปี 2011 จากนายกรัฐมนตรีบริษัท Ideaan ผู้ผลิตและจําหน่ายหวดอัจฉริยะสําหรับนึ่งข้าวเหนียวในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ได้รับรางวัล 7 Innovations Awards ปี 2557 ด้านสังคม บริษัท Ubon Forage Seeds ได้รับรางวัล Award for Internationalization Incubatee จากสมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย (Thai Bispa) ปี 2559 บริษัทดีไลท์ 888 ผู้ผลิตและจําหน่ายก๋วยจั๊บอุบลกึ่งสําเร็จรูป ได้รับรางวัล 7 Innovations Awards ปี 2560 ด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น นอกจากนี้ อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ยังมีความร่วมมือด้านการพัฒนาสตาร์ทอัพกับต่างประเทศ และมีการสนับสนุนกิจกรรมด้านสตาร์ทอัพ อย่างมากมาย เช่น มีนักศึกษาผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมค่ายสตาร์ทอัพ ระดับนานาชาติ Be Young Beyond Startup Boothcamp ณ เกาะไต้หวัน ระหว่างวันที่ 18 – 21 ก.ค.2561 โดยมีนักศึกษาผ่านเข้ารอบถึง 3 ราย มากที่สุดในประเทศไทย และในปี 2560 ยังสามารถพัฒนา นักศึกษาผ่านเข้าโครงการ Startup Thailand League จํานวนมากถึง 20 ทีม ซึ่งอยู่ในกลุ่มมหาวิทายาลัยที่มีจํานวนสตาร์ทอัพ เข้ารอบมากในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ กับประเทศต่างๆอีกมากมาย เช่นการส่งผู้ประกอบการไป matching ธุรกิจกับผู้ประกอบการในประเทศ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย จีน ลาว กัมพูชา เวียดนาม เป็นต้น รศ.ดร.ชวลิต ถิ่นวงศ์พิทักษ์ ผอ.โครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ สอว. มีแนวคิดที่จะขยายเครือข่ายการทํางาน โดยขยายความร่วมมือในการพัฒนาผู้ประกอบการกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฎในพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี มหาวิทยา ลัยราชภัฎศรีสะเกษ และมหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ เพื่อขยายขอบเขตการทํางานให้เข้าถึงผู้ประกอบการให้กว้างขวางขึ้นด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ ปลื้ม ม.อุบลฯ หากสำเร็จเตรียมพลิกโฉมอีสาน 4.0 วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561 ดร.สุวิทย์ ปลื้ม ม.อุบลฯ หากสําเร็จเตรียมพลิกโฉมอีสาน 4.0 “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลื้มอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี สร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่กว่า 100 ราย สร้างการจ้างงานมากกว่า 230 ตําแหน่งงาน สร้างรายได้ของผู้ประกอบการและเงินลงทุนของเอกชน กว่า 300 ล้านบาท “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลื้มอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี สร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่กว่า 100 ราย สร้างการจ้างงานมากกว่า 230 ตําแหน่งงาน สร้างรายได้ของผู้ประกอบการและเงินลงทุนของเอกชน กว่า 300 ล้านบาท เผยมีสตาร์ทอัพจากกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี เชียงใหม่ ระยองเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจเพียบ ดึง ม.ราชภัฎอุบลฯ ศรีสะเกษ สุรินทร์ ขยายเครือข่าย เมื่อเวลา 13.30 น. (23 ก.ค. 61) ณ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี / ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(วท.) พร้อมคณะ เดินทางเข้าเยี่ยมชมและติดตามความก้าวหน้าของอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งดําเนินงานภายใต้การสนับสนุนของคณะกรรมการส่งเสริมกิจการอุทยานวิทยาศาสตร์ (สอว.) (Science Park Promotion Agency : SPA) มาตั้งแต่ปี 2555 มีพื้นที่รับผิดชอบในการพัฒนาผู้ประกอบการ เอสเอ็มอี(SMEs) และสตาร์ทอัพ( Startup) ในบริเวณกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นฮับของเอสเอ็มอี(SMEs) และสตาร์ทอัพ(Startup)ในภูมิภาค ให้บริการบ่มเพาะธุรกิจที่เน้นเทคโนโลยี สร้างสตาร์ทอัพที่ศักยภาพในการเติบโตได้ระดับโลกปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะวิสาหกิจของอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีจํานวนมาก ที่ผ่านมาอุทยานวิทยาศาสตร์สามารถสร้างผู้ประกอบการใหม่ในพื้นที่ไปแล้วกว่าร้อยราย สร้างการจ้างงานมากกว่า 230 ตําแหน่งงาน สร้างรายได้ของผู้ประกอบการและเงินลงทุนของเอกชน กว่า 300 ล้านบาท ดร.สุวิทย์ฯ เปิดเผยหลังการเยี่ยมชมว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีความโดดเด่นอย่างมากในการสร้างผู้ประกอบการใหม่ และสตาร์ทอัพ โดยพบว่ามีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะธุรกิจจํานวนมาก และมาจากแทบทุกภูมิภาคของประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ประกอบการจาก กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี เชียงใหม่ ระยอง เป็นต้น ที่ผ่านมามีการสร้างนักศึกษาไปเป็นผู้ประกอบการจริงแล้วเป็นจํานวนมาก เช่น บริษัท Control C ผู้ผลิตและจําหน่ายซอฟท์แวร์ด้านการจัดการร้านค้า บริษัท Smart Think Control ผู้ผลิตระบบ Smart Farm สําหรับแปลงเกษตรสมัยใหม่ บริษัทดีไลท์ 888 ผู้ผลิตและจําหน่ายกวยจั๊บอุบลกึ่งสําเร็จรูป ซึ่งล้วนเป็นนักศึกษาที่กลายผู้ประกอบการที่ประสบความสําเร็จและมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งสิ้น นอกจากนี้ผู้ประกอบการของมหาวิทยาลัยอุบลราชธานียังได้รับรางวัลระดับชาติ และระดับนานาชาติอีกมากมาย เช่น หจก.พลังเทวดา ผู้ผลิตและจําหน่ายเตาชีวมวลใช้พลังงานจากขี้เลื่อย โดยได้รับรางวัลรองชนะเลิศ Thailand Energy Award ปี 2011 จากนายกรัฐมนตรีบริษัท Ideaan ผู้ผลิตและจําหน่ายหวดอัจฉริยะสําหรับนึ่งข้าวเหนียวในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ได้รับรางวัล 7 Innovations Awards ปี 2557 ด้านสังคม บริษัท Ubon Forage Seeds ได้รับรางวัล Award for Internationalization Incubatee จากสมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย (Thai Bispa) ปี 2559 บริษัทดีไลท์ 888 ผู้ผลิตและจําหน่ายก๋วยจั๊บอุบลกึ่งสําเร็จรูป ได้รับรางวัล 7 Innovations Awards ปี 2560 ด้านเศรษฐกิจ เป็นต้น นอกจากนี้ อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ยังมีความร่วมมือด้านการพัฒนาสตาร์ทอัพกับต่างประเทศ และมีการสนับสนุนกิจกรรมด้านสตาร์ทอัพ อย่างมากมาย เช่น มีนักศึกษาผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมค่ายสตาร์ทอัพ ระดับนานาชาติ Be Young Beyond Startup Boothcamp ณ เกาะไต้หวัน ระหว่างวันที่ 18 – 21 ก.ค.2561 โดยมีนักศึกษาผ่านเข้ารอบถึง 3 ราย มากที่สุดในประเทศไทย และในปี 2560 ยังสามารถพัฒนา นักศึกษาผ่านเข้าโครงการ Startup Thailand League จํานวนมากถึง 20 ทีม ซึ่งอยู่ในกลุ่มมหาวิทายาลัยที่มีจํานวนสตาร์ทอัพ เข้ารอบมากในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ กับประเทศต่างๆอีกมากมาย เช่นการส่งผู้ประกอบการไป matching ธุรกิจกับผู้ประกอบการในประเทศ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย จีน ลาว กัมพูชา เวียดนาม เป็นต้น รศ.ดร.ชวลิต ถิ่นวงศ์พิทักษ์ ผอ.โครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า อุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ สอว. มีแนวคิดที่จะขยายเครือข่ายการทํางาน โดยขยายความร่วมมือในการพัฒนาผู้ประกอบการกับเครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฎในพื้นที่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี มหาวิทยา ลัยราชภัฎศรีสะเกษ และมหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ เพื่อขยายขอบเขตการทํางานให้เข้าถึงผู้ประกอบการให้กว้างขวางขึ้นด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15714
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขั้นตอนการใช้งาน THAI STOP COVID
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563 ขั้นตอนการใช้งาน THAI STOP COVID มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขั้นตอนการใช้งาน THAI STOP COVID วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563 ขั้นตอนการใช้งาน THAI STOP COVID มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33533
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว นายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมผู้บัญชาการสูงสุด ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ประจำปี 2562 (Chiefs of Defense Conference 2019)
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2562 คํากล่าว นายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมผู้บัญชาการสูงสุด ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ประจําปี 2562 (Chiefs of Defense Conference 2019) ณ โรงแรม ดิ แอทธินี กรุงเทพฯ ท่านผู้นําทางทหาร และท่านผู้มีเกียรติ ทุกท่าน ในนามของนายกรัฐมนตรี ผมขอเป็นผู้แทนประชาชนชาวไทย ยินดีต้อนรับผู้มีเกียรติ ทุกท่านสู่ราชอาณาจักรไทย พร้อมทั้งขอแสดงความชื่นชมกองกําลังสหรัฐอเมริกาประจํา ภาคพื้นอินโดแปซิฟิก และกองทัพไทย ที่ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ครั้งนี้ อันเป็นเวทีสําคัญ ที่เปิดโอกาสให้ผู้นําทางทหารระดับสูงของกองทัพทุกท่าน จากประเทศทั้งในและนอกภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ได้มาร่วมกันหารือและแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง อย่างสร้างสรรค์ สิ่งที่เราทุกคน ณ ที่นี่ ต่างตระหนักดีว่าสภาพแวดล้อมของโลก ในปัจจุบันนั้น มีพลวัตสูงมาก ยากแก่การคาดการณ์ ซึ่งเป็นความท้าทาย ปัญหา อุปสรรค และภัยคุกคาม ที่กระทบต่อความมั่นคงของมวลมนุษยชาติ และสังคมโลก อาทิ ปัญหาสิ่งแวดล้อม มลพิษ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่สะท้อนออกมาในรูปแบบภัยพิบัติทางธรรมชาติ และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งปวง รวมทั้งพวกเราทุกคนด้วย ปัญหาด้านคุณภาพและปริมาณของผลิตผลทางการเกษตร ก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต นําไปสู่ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ําทางสังคม เข้าไม่ถึงสวัสดิการ ทรัพยากร และแหล่งพลังงาน ในขณะเดียวกันหลายประเทศก็เข้าสู่ “สังคมผู้สู่วัย” นอกจากนี้ยังมีภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น ยาเสพติด การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ การย้ายถิ่นอย่างไม่ปกติ และที่สําคัญอีกประการ คือ การนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกภาคส่วน (Digital Transformation) ที่ประชาชนทุกกลุ่มต้องปรับตัว ได้รับการดูแล โดยไม่ทิงใครไว้ข้างหลัง อีกทั้งก่อให้เกิด “สื่อโซเชี่ยล” ที่เต็มไปด้วย Fake news และ Hate speech ที่กระทบต่อหลักการคิด และกระบวนการตัดสินใจของคนในสังคมที่ผิดเพี้ยนไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ผมเห็นว่าเป็นโจทย์สําคัญของเราทุกคน ของคนทุกประเทศที่ควรหันมาร่วมกันแสวงหา แนวทางป้องกันและแก้ไข อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้เป้าหมายร่วมกัน คือ การรักษาเสถียรอย่างยั่งยืน ในโลกที่เราต้องใช้ชีวิตร่วมกันนี้ การที่จะเป็นเช่นนั้นได้ เราจะต้องเปลี่ยนมุมมองต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก จาก “ภูมิภาคแห่งการแข่งขัน” เป็น “ภูมิภาคแห่งการเจรจาและสร้างความร่วมมือ” เพื่อให้เกิดการพัฒนาและสร้างความเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน โดยจะต้องสร้างบรรยากาศแห่งสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงในภูมิภาค ด้วยการยึดกฎกติกาสากล สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน และทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก มีภูมิรัฐศาสตร์ที่ครอบคลุม 2 มหาสมุทรสําคัญของโลก คือ มหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันออก เป็นดินแดนที่มีความหลากหลาย และมีพลวัตในมิติต่างๆ มากมาย ด้านสังคม ภูมิภาคนี้มีจํานวนประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ศาสนา และความเชื่อในด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ภูมิภาคอินโดแปซิฟิกนับว่าเป็นศูนย์กลางการเจริญเติบโตทางการค้า การลงทุน และการพัฒนา สําหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคอินโดแปซิฟิกด้วยตั้งอยู่กึ่งกลางของภูมิภาคนี้ ทําให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่สําคัญทางยุทธศาสตร์ ในทุกๆ ด้าน ทั้งนี้ อาเซียนในฐานะประชาคมหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงให้ความสําคัญต่อ ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ภายใต้มุมมองที่ว่า “ASEAN Outlook on Indo - Pacific” ซึ่งเป็นแนวทางของ อาเซียนในการดําเนินความสัมพันธ์ และความร่วมมือ กับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ด้วยการส่งเสริมบทบาทการทํางานของอาเซียน ที่มุ่งเสริมสร้างความร่วมมือในภูมิภาค เสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่สันติ ความมั่นคง และผาสุก ทั้งนี้ กลไกสําคัญของอาเซียน ในการเป็น “ผู้นํา” สร้างความร่วมมือ อาทิ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (The East Asia Summit : EAS) การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือ ด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (The ASEAN Regional Forum : ARF) รวมทั้ง การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (The ASEAN Defense Ministers Meeting Plus : ADMM - Plus) โดยมีกรอบความร่วมมือหลัก 4 ประการ ได้แก่ (1) ความร่วมมือทางทะเล (2) การติดต่อเชื่อมโยง (connectivity) (3) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) และ (4) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และอื่น ๆ ท่านผู้นําทางทหาร และผู้มีเกียรติ ทั้งหลาย ระเทศไทยได้ตระหนักถึงความสําคัญในการสร้างความมั่นคง อย่างยั่งยืน ให้เกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียนที่เป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคอินโดแปซิฟิกมาโดยตลอด สําหรับปี ค.ศ. 2019 นี้ ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน ได้ประกาศแนวคิดหลัก “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” ที่จะส่งผลต่อเสถียรภาพของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งจําเป็นต้องสร้างความร่วมมือ และร่วมใจ ของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน ทั้งในและนอกภูมิภาค ส่งเสริมความเชื่อมั่น ความเชื่อใจต่อกันให้เกิดความมั่นคงอย่างยั่งยืน ในที่สุด ดังนั้น ประเทศไทยจึงสนับสนุนการพูดคุยและการเจรจาในเวทีระดับนานาชาติ ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศในแต่ละระดับ ซึ่งรวมถึงความร่วมมือ ด้านความมั่นคง ในการรับมือกับภัยคุกคามต่อความมั่นคงของภูมิภาค นอกจากนี้ ผมยังเห็นว่าการที่ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกจะเกิดความมั่นคง อย่างยั่งยืนได้นั้น เราจะต้องสร้างความยั่งยืนในมิติอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องจากทุกมิติมีความสัมพันธ์เชื่อมโยง จึงมิอาจละเลยด้านใดด้านหนึ่งไปได้ ซึ่งนับจากนี้ความยั่งยืนในทุกมิติ หรือเอสโอที (Sustainability of Things : SOT) เป็นแนวทางใหม่ที่ทุกประเทศควรคํานึงในทุกการตัดสินใจ และจะต้องถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นต่อไป เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อความเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคและโลกในระยะยาว ท่านผู้นําทางทหาร และผู้มีเกียรติ ทั้งหลาย ผมอยากจะเน้นย้ําว่า ความมั่นคงอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความร่วมมือ ร่วมใจของพวกเราทุกคน ซึ่งจะต้องช่วยกันเสริมสร้างบรรยากาศ แห่งมิตรภาพ ขับเคลื่อนและสานต่อความร่วมมือต่างๆ ด้วยความจริงใจ เปิดใจ และสร้างสรรค์ ตลอดจนถ่ายทอดแนวความคิดดังกล่าวไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง และคนรุ่นต่อๆ ไป โดยเราจะจับมือกันและ “ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน” เพื่อวางรากฐานให้ภูมิภาคของเรา มีสันติภาพ เสถียรภาพ และความรุ่งเรือง อย่างยั่งยืน ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะได้ใช้โอกาสนี้ ในการพบปะหารือ แลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ อย่างเปิดกว้าง เพื่อให้การประชุมฯ ในครั้งนี้ เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด สุดท้ายนี้ ผมขอให้การประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ประจําปี 2019 ครั้งนี้ ประสบความสําเร็จตามวัตถุประสงค์ “ร่วมกัน” ทุกประการ ที่จะนําไปสู่ “สังคมโลกที่สงบสันติ” ต่อไป ขอบคุณครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว นายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมผู้บัญชาการสูงสุด ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ประจำปี 2562 (Chiefs of Defense Conference 2019) วันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2562 คํากล่าว นายกรัฐมนตรีเปิดการประชุมผู้บัญชาการสูงสุด ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ประจําปี 2562 (Chiefs of Defense Conference 2019) ณ โรงแรม ดิ แอทธินี กรุงเทพฯ ท่านผู้นําทางทหาร และท่านผู้มีเกียรติ ทุกท่าน ในนามของนายกรัฐมนตรี ผมขอเป็นผู้แทนประชาชนชาวไทย ยินดีต้อนรับผู้มีเกียรติ ทุกท่านสู่ราชอาณาจักรไทย พร้อมทั้งขอแสดงความชื่นชมกองกําลังสหรัฐอเมริกาประจํา ภาคพื้นอินโดแปซิฟิก และกองทัพไทย ที่ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ครั้งนี้ อันเป็นเวทีสําคัญ ที่เปิดโอกาสให้ผู้นําทางทหารระดับสูงของกองทัพทุกท่าน จากประเทศทั้งในและนอกภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ได้มาร่วมกันหารือและแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง อย่างสร้างสรรค์ สิ่งที่เราทุกคน ณ ที่นี่ ต่างตระหนักดีว่าสภาพแวดล้อมของโลก ในปัจจุบันนั้น มีพลวัตสูงมาก ยากแก่การคาดการณ์ ซึ่งเป็นความท้าทาย ปัญหา อุปสรรค และภัยคุกคาม ที่กระทบต่อความมั่นคงของมวลมนุษยชาติ และสังคมโลก อาทิ ปัญหาสิ่งแวดล้อม มลพิษ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่สะท้อนออกมาในรูปแบบภัยพิบัติทางธรรมชาติ และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งปวง รวมทั้งพวกเราทุกคนด้วย ปัญหาด้านคุณภาพและปริมาณของผลิตผลทางการเกษตร ก็ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต นําไปสู่ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ําทางสังคม เข้าไม่ถึงสวัสดิการ ทรัพยากร และแหล่งพลังงาน ในขณะเดียวกันหลายประเทศก็เข้าสู่ “สังคมผู้สู่วัย” นอกจากนี้ยังมีภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น ยาเสพติด การก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ การย้ายถิ่นอย่างไม่ปกติ และที่สําคัญอีกประการ คือ การนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกภาคส่วน (Digital Transformation) ที่ประชาชนทุกกลุ่มต้องปรับตัว ได้รับการดูแล โดยไม่ทิงใครไว้ข้างหลัง อีกทั้งก่อให้เกิด “สื่อโซเชี่ยล” ที่เต็มไปด้วย Fake news และ Hate speech ที่กระทบต่อหลักการคิด และกระบวนการตัดสินใจของคนในสังคมที่ผิดเพี้ยนไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ผมเห็นว่าเป็นโจทย์สําคัญของเราทุกคน ของคนทุกประเทศที่ควรหันมาร่วมกันแสวงหา แนวทางป้องกันและแก้ไข อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้เป้าหมายร่วมกัน คือ การรักษาเสถียรอย่างยั่งยืน ในโลกที่เราต้องใช้ชีวิตร่วมกันนี้ การที่จะเป็นเช่นนั้นได้ เราจะต้องเปลี่ยนมุมมองต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก จาก “ภูมิภาคแห่งการแข่งขัน” เป็น “ภูมิภาคแห่งการเจรจาและสร้างความร่วมมือ” เพื่อให้เกิดการพัฒนาและสร้างความเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน โดยจะต้องสร้างบรรยากาศแห่งสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงในภูมิภาค ด้วยการยึดกฎกติกาสากล สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน และทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก มีภูมิรัฐศาสตร์ที่ครอบคลุม 2 มหาสมุทรสําคัญของโลก คือ มหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันออก เป็นดินแดนที่มีความหลากหลาย และมีพลวัตในมิติต่างๆ มากมาย ด้านสังคม ภูมิภาคนี้มีจํานวนประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ศาสนา และความเชื่อในด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ภูมิภาคอินโดแปซิฟิกนับว่าเป็นศูนย์กลางการเจริญเติบโตทางการค้า การลงทุน และการพัฒนา สําหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคอินโดแปซิฟิกด้วยตั้งอยู่กึ่งกลางของภูมิภาคนี้ ทําให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นที่สําคัญทางยุทธศาสตร์ ในทุกๆ ด้าน ทั้งนี้ อาเซียนในฐานะประชาคมหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงให้ความสําคัญต่อ ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ภายใต้มุมมองที่ว่า “ASEAN Outlook on Indo - Pacific” ซึ่งเป็นแนวทางของ อาเซียนในการดําเนินความสัมพันธ์ และความร่วมมือ กับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ด้วยการส่งเสริมบทบาทการทํางานของอาเซียน ที่มุ่งเสริมสร้างความร่วมมือในภูมิภาค เสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่สันติ ความมั่นคง และผาสุก ทั้งนี้ กลไกสําคัญของอาเซียน ในการเป็น “ผู้นํา” สร้างความร่วมมือ อาทิ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (The East Asia Summit : EAS) การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือ ด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (The ASEAN Regional Forum : ARF) รวมทั้ง การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (The ASEAN Defense Ministers Meeting Plus : ADMM - Plus) โดยมีกรอบความร่วมมือหลัก 4 ประการ ได้แก่ (1) ความร่วมมือทางทะเล (2) การติดต่อเชื่อมโยง (connectivity) (3) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) และ (4) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และอื่น ๆ ท่านผู้นําทางทหาร และผู้มีเกียรติ ทั้งหลาย ระเทศไทยได้ตระหนักถึงความสําคัญในการสร้างความมั่นคง อย่างยั่งยืน ให้เกิดขึ้นในภูมิภาคอาเซียนที่เป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคอินโดแปซิฟิกมาโดยตลอด สําหรับปี ค.ศ. 2019 นี้ ประเทศไทยในฐานะประธานอาเซียน ได้ประกาศแนวคิดหลัก “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” ที่จะส่งผลต่อเสถียรภาพของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งจําเป็นต้องสร้างความร่วมมือ และร่วมใจ ของความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน ทั้งในและนอกภูมิภาค ส่งเสริมความเชื่อมั่น ความเชื่อใจต่อกันให้เกิดความมั่นคงอย่างยั่งยืน ในที่สุด ดังนั้น ประเทศไทยจึงสนับสนุนการพูดคุยและการเจรจาในเวทีระดับนานาชาติ ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนกลไกความร่วมมือระหว่างประเทศในแต่ละระดับ ซึ่งรวมถึงความร่วมมือ ด้านความมั่นคง ในการรับมือกับภัยคุกคามต่อความมั่นคงของภูมิภาค นอกจากนี้ ผมยังเห็นว่าการที่ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกจะเกิดความมั่นคง อย่างยั่งยืนได้นั้น เราจะต้องสร้างความยั่งยืนในมิติอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของมนุษย์ เนื่องจากทุกมิติมีความสัมพันธ์เชื่อมโยง จึงมิอาจละเลยด้านใดด้านหนึ่งไปได้ ซึ่งนับจากนี้ความยั่งยืนในทุกมิติ หรือเอสโอที (Sustainability of Things : SOT) เป็นแนวทางใหม่ที่ทุกประเทศควรคํานึงในทุกการตัดสินใจ และจะต้องถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นต่อไป เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อความเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคและโลกในระยะยาว ท่านผู้นําทางทหาร และผู้มีเกียรติ ทั้งหลาย ผมอยากจะเน้นย้ําว่า ความมั่นคงอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความร่วมมือ ร่วมใจของพวกเราทุกคน ซึ่งจะต้องช่วยกันเสริมสร้างบรรยากาศ แห่งมิตรภาพ ขับเคลื่อนและสานต่อความร่วมมือต่างๆ ด้วยความจริงใจ เปิดใจ และสร้างสรรค์ ตลอดจนถ่ายทอดแนวความคิดดังกล่าวไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง และคนรุ่นต่อๆ ไป โดยเราจะจับมือกันและ “ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน” เพื่อวางรากฐานให้ภูมิภาคของเรา มีสันติภาพ เสถียรภาพ และความรุ่งเรือง อย่างยั่งยืน ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะได้ใช้โอกาสนี้ ในการพบปะหารือ แลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ อย่างเปิดกว้าง เพื่อให้การประชุมฯ ในครั้งนี้ เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด สุดท้ายนี้ ผมขอให้การประชุมผู้บัญชาการทหารสูงสุดภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ประจําปี 2019 ครั้งนี้ ประสบความสําเร็จตามวัตถุประสงค์ “ร่วมกัน” ทุกประการ ที่จะนําไปสู่ “สังคมโลกที่สงบสันติ” ต่อไป ขอบคุณครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22533
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยจัดแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน ช่วยร้านอาหารฝ่าวิกฤติโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563 กรุงไทยจัดแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน ช่วยร้านอาหารฝ่าวิกฤติโควิด-19 ธ.กรุงไทยจึงได้จัดแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน โดยเป็นการรวมของอร่อยที่มาจากการรีวิวร้านอาหารข้างทาง ที่ผู้บริโภคประทับใจและอยากจะช่วยบอกต่อทางสื่อโซเชียลมีเดีย ผ่าน #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน นายกฤษณ์ ฉมาภิสิษฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลก สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทยได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มทุกขนาดที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างต่อเนื่อง และล่าสุด ธนาคารยังได้เพิ่มมาตรการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารที่มีสถานะชําระปกติทั้งรายย่อยและลูกค้าธุรกิจ เพื่อให้สามารถเดินหน้าดําเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยขณะนี้มีมาตรการช่วยเหลือทั้งสิ้น 5 มาตรการ เป็นยอดวงเงินช่วยเหลือรวมกว่า 1.12 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ในภาวะวิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้ ร้านอาหารขนาดเล็กที่อยู่ละแวกใกล้เคียงบ้านเรา เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ดังนั้นเพื่อให้ร้านอาหารเหล่านี้ สามารถอยู่รอดได้ ธนาคารจึงได้จัดแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน โดยเป็นการรวมของอร่อยที่มาจากการรีวิวร้านอาหารข้างทาง ที่ผู้บริโภคประทับใจและอยากจะช่วยบอกต่อทางสื่อโซเชียลมีเดีย ผ่าน #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ร้านอาหารข้างทางที่เรารักยังคงมีรายได้ต่อไปเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มตัวเลือกร้านอาหารใหม่ ๆ ให้กับผู้บริโภคอีกด้วย ซึ่งมีการรีวิวร้านอาหารข้างทางไปแล้วจํานวนหลายพันร้านค้า และเป็น Hashtag ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ทาง Facebook Instagram รวมทั้งยังติด Trend Twitter อันดับ 1 อย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ร่วม Retweet กว่า 68,000 ครั้ง และมีผู้เข้ามา Engagement กว่า 350,000 ครั้ง ธนาคารจึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญนี้ เพียงร่วมโพสแนะนําร้านอาหารข้างทางที่ประทับใจลงในโซเชียลมีเดีย บอกที่ตั้งของร้าน รีวิวเมนูเด็ดสั้นๆ และใส่เบอร์โทรศัพท์ที่เป็นช่องทางในการสั่งอาหาร พร้อมติด Hashtag #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันในการกระจายข่าวให้บรรดาร้านอาหารเล็ก ๆ เหล่านี้ สามารถอยู่รอดและผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยจัดแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน ช่วยร้านอาหารฝ่าวิกฤติโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563 กรุงไทยจัดแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน ช่วยร้านอาหารฝ่าวิกฤติโควิด-19 ธ.กรุงไทยจึงได้จัดแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน โดยเป็นการรวมของอร่อยที่มาจากการรีวิวร้านอาหารข้างทาง ที่ผู้บริโภคประทับใจและอยากจะช่วยบอกต่อทางสื่อโซเชียลมีเดีย ผ่าน #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน นายกฤษณ์ ฉมาภิสิษฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลก สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทยได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มทุกขนาดที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างต่อเนื่อง และล่าสุด ธนาคารยังได้เพิ่มมาตรการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารที่มีสถานะชําระปกติทั้งรายย่อยและลูกค้าธุรกิจ เพื่อให้สามารถเดินหน้าดําเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยขณะนี้มีมาตรการช่วยเหลือทั้งสิ้น 5 มาตรการ เป็นยอดวงเงินช่วยเหลือรวมกว่า 1.12 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ในภาวะวิกฤติโควิด-19 ในครั้งนี้ ร้านอาหารขนาดเล็กที่อยู่ละแวกใกล้เคียงบ้านเรา เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ดังนั้นเพื่อให้ร้านอาหารเหล่านี้ สามารถอยู่รอดได้ ธนาคารจึงได้จัดแคมเปญ #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน โดยเป็นการรวมของอร่อยที่มาจากการรีวิวร้านอาหารข้างทาง ที่ผู้บริโภคประทับใจและอยากจะช่วยบอกต่อทางสื่อโซเชียลมีเดีย ผ่าน #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ร้านอาหารข้างทางที่เรารักยังคงมีรายได้ต่อไปเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มตัวเลือกร้านอาหารใหม่ ๆ ให้กับผู้บริโภคอีกด้วย ซึ่งมีการรีวิวร้านอาหารข้างทางไปแล้วจํานวนหลายพันร้านค้า และเป็น Hashtag ที่ถูกพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ทาง Facebook Instagram รวมทั้งยังติด Trend Twitter อันดับ 1 อย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ร่วม Retweet กว่า 68,000 ครั้ง และมีผู้เข้ามา Engagement กว่า 350,000 ครั้ง ธนาคารจึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในแคมเปญนี้ เพียงร่วมโพสแนะนําร้านอาหารข้างทางที่ประทับใจลงในโซเชียลมีเดีย บอกที่ตั้งของร้าน รีวิวเมนูเด็ดสั้นๆ และใส่เบอร์โทรศัพท์ที่เป็นช่องทางในการสั่งอาหาร พร้อมติด Hashtag #ร้านข้างทางต้องอยู่ข้างกัน เพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันในการกระจายข่าวให้บรรดาร้านอาหารเล็ก ๆ เหล่านี้ สามารถอยู่รอดและผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30032
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเสนอสภาฯ พิจารณา พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ย้ำเพื่อเยียวยาและบรรเทาปัญหาจากผลกระทบโควิด-19
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเสนอสภาฯ พิจารณา พ.ร.ก. ให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ย้ําเพื่อเยียวยาและบรรเทาปัญหาจากผลกระทบโควิด-19 นายกรัฐมนตรีเสนอสภาฯ พิจารณา พ.ร.ก. ให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ย้ําเพื่อเยียวยาและบรรเทาปัญหาจากผลกระทบโควิด-19 วันนี้ (27 พฤษภาคม 2563) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อภิปรายเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ทั้ง 4 ฉบับ โดยระบุว่า การตราพระราชกําหนดดังกล่าวนั้นมีเหตุผลและความจําเป็นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เป็นการแพร่ระบาดในวงกว้างและไม่สามารถคาดการณ์ระยะเวลาสิ้นสุดได้ ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจโลกและประเทศไทยเกิดการหดตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่เดือน ม.ค.63 ทําให้รัฐบาลต้องประกาศปิดพื้นที่เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ทําให้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของประเทศและประชาชน ซึ่งรัฐบาลได้พยายามทําทุกวิถีทางในการบริหารจัดการแหล่งเงินภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่ เพื่อแก้ปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมและเพื่อประโยชน์ที่จะรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ทั้งนี้ การตรา พ.ร.ก. ให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินนี้ รัฐบาลตระหนักถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายเงินกู้ จึงได้กําหนดกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก. ให้ใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ 3 ด้าน คือด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ด้านการช่วยเหลือ เยียวยา และด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม สําหรับแนวทางกู้เงินจะพิจารณาแหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นหลัก ส่วนแนวทางการชําระหนี้ก็อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ พร้อมยืนยันว่าการใช้จ่ายเงินกู้จะเป็นไปอย่างโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบทางการเงินของประชาชนในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 รวมทั้งมีมาตรการดูแลและเยียวยาเศรษฐกิจ ทั้งทางตรงและทางอ้อมระยะที่ 3 ซึ่งระยะแรกสามารถช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและเกษตรกรกว่า 26 ล้านคน นอกจากนี้ รัฐบาลยังดูแลด้านรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง รัฐบาลจําเป็นต้องเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจ ให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเสนอสภาฯ พิจารณา พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ย้ำเพื่อเยียวยาและบรรเทาปัญหาจากผลกระทบโควิด-19 วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 นายกรัฐมนตรีเสนอสภาฯ พิจารณา พ.ร.ก. ให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ย้ําเพื่อเยียวยาและบรรเทาปัญหาจากผลกระทบโควิด-19 นายกรัฐมนตรีเสนอสภาฯ พิจารณา พ.ร.ก. ให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ย้ําเพื่อเยียวยาและบรรเทาปัญหาจากผลกระทบโควิด-19 วันนี้ (27 พฤษภาคม 2563) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อภิปรายเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ทั้ง 4 ฉบับ โดยระบุว่า การตราพระราชกําหนดดังกล่าวนั้นมีเหตุผลและความจําเป็นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เป็นการแพร่ระบาดในวงกว้างและไม่สามารถคาดการณ์ระยะเวลาสิ้นสุดได้ ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจโลกและประเทศไทยเกิดการหดตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่เดือน ม.ค.63 ทําให้รัฐบาลต้องประกาศปิดพื้นที่เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ทําให้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของประเทศและประชาชน ซึ่งรัฐบาลได้พยายามทําทุกวิถีทางในการบริหารจัดการแหล่งเงินภายใต้กรอบกฎหมายที่มีอยู่ เพื่อแก้ปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมและเพื่อประโยชน์ที่จะรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ทั้งนี้ การตรา พ.ร.ก. ให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินนี้ รัฐบาลตระหนักถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายเงินกู้ จึงได้กําหนดกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก. ให้ใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ 3 ด้าน คือด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ด้านการช่วยเหลือ เยียวยา และด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม สําหรับแนวทางกู้เงินจะพิจารณาแหล่งเงินกู้ในประเทศเป็นหลัก ส่วนแนวทางการชําระหนี้ก็อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ พร้อมยืนยันว่าการใช้จ่ายเงินกู้จะเป็นไปอย่างโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการเยียวยาผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบทางการเงินของประชาชนในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 รวมทั้งมีมาตรการดูแลและเยียวยาเศรษฐกิจ ทั้งทางตรงและทางอ้อมระยะที่ 3 ซึ่งระยะแรกสามารถช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและเกษตรกรกว่า 26 ล้านคน นอกจากนี้ รัฐบาลยังดูแลด้านรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง รัฐบาลจําเป็นต้องเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจ ให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31575
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ ในฐานะกลุ่ม 77 และจีน
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559 นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ ในฐานะกลุ่ม 77 และจีน นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ ในฐานะกลุ่ม 77 และจีน วันนี้ 21 กันยายน 2559 เวลา 10.10 น. ณ สํานักงานใหญ่สหประชาชาติ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมพิธีเปิดการประชุมและกล่าวถ้อยแถลง ในฐานะกลุ่ม 77 และจีน ในการประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ (High-Level Meeting on Anti-Microbial Resistance (AMR) นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยมีประธานสมัชชาสหประชาชาติเลขาธิการสหประชาชาติ และผู้บริหารระดับสูงขององค์การสหประชาชาติเข้าร่วมด้วย อาทิ ผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ผู้อํานวยการใหญ่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ผู้อํานวยการใหญ่องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ เป็นต้นพลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวรู้สึกเป็นเกียรติเป็นตัวแทนกล่าวถ้อยแถลงในนามกลุ่ม 77 และจีน สําหรับการประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพในครั้งนี้ เป็นโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการดื้อยาต้านจุลชีพทั่วโลก และยังเป็นโอกาสกระตุ้นเจตจํานงทางการเมืองในระดับสูงเพื่อสนับสนุนความพยายามเร่งด่วนต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการระดับโลกในเรื่องนี้ และเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ 5 ประการที่สนับสนุนการทํางานของภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคการสาธารณสุข และภาคสังคม เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพบนพื้นฐานของแนวทางสุขภาพหนึ่งเดียว ทั้งนี้ การดื้อยาต้านจุลชีพเป็นความท้าทายของมวลมนุษยชาติ และส่งผลกระทบต่อผู้คนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ในขณะที่ขีดความสามารถของประเทศต่างๆ ในการจัดการกับปัญหาเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพแตกต่างกันอย่างมาก ตามระดับการพัฒนาประเทศและศักยภาพของระบบสุขภาพ ดังนั้น ประเทศกําลังพัฒนาจะได้รับผลกระทบอย่างมากหากไม่แก้ไขปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่ม 77 และจีน เน้นประเด็นทั้งหมดนี้ โดยการดําเนินนโยบายแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพต้องไม่กระทบการซื้อและเข้าถึงยาต้านจุลชีพทั้งชนิดเดิมและที่ค้นพบใหม่ รวมทั้งวัคซีน และเครื่องมือตรวจวินิจฉัย การแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพต้องสนับสนุนเป้าหมายต่างๆ ที่ครอบคลุม ดังนี้ (หนึ่ง) ส่งเสริมการสร้างความตระหนักรู้กรณีการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ คน และการเกษตรอย่างเหมาะสม (สอง) เสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันการติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการสร้างหลักประกันการเข้าถึงน้ําสะอาด สุขลักษณะและสุขอนามัย การสร้างภูมิคุ้มกัน และการควบคุมการติดเชื้อทั้งในและนอกสถานพยาบาล (สาม) สร้างความเข้มแข็งให้ระบบสุขภาพและส่งเสริมหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สี่) สนับสนุนการวิจัยและการพัฒนายาต้านจุลชีพ โดยเฉพาะ ยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ วัคซีน เครื่องมือตรวจวินิจฉัย และนวัตกรรม ซึ่งรวมถึง ยาแผนดั้งเดิมและยาสมุนไพร อย่างเร่งด่วน โดยมีหลักประกันว่าต้องเป็นไปตามความจําเป็น มีหลักฐานเชิงประจักษ์ และรับผิดชอบร่วมกัน โดยยึดหลักราคาสมเหตุสมผล มีประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และความเท่าเทียม โดยตัดความเชื่อมโยงระหว่างต้นทุนการวิจัยและพัฒนาจากราคาและปริมาณในการขาย กลุ่ม 77 และจีน ยินดีที่หลักการการตัดความเชื่อมโยงนี้ได้รับการเน้นความสําคัญในปฏิญญาทางการเมือง (ห้า) สร้างหลักประกันให้ราคายาไม่สูงเกินไปและสามารถเข้าถึงยาปฏิชีวนะ วัคซีน เครื่องมือตรวจวินิจฉัย และเครื่องมือทางการแพทย์อื่นๆ ทั้งที่มีอยู่และแบบใหม่ ซึ่งยินดีต่อผลลัพธ์ของการอภิปรายระดับสูงเรื่องการเข้าถึงยา ซึ่งจัดโดยเลขาธิการสหประชาชาติ (หก) เสริมสร้างศักยภาพ การถ่ายทอดเทคโนโลยี การให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการระดับชาติ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาและการเฝ้าระวังการดื้อยาต้านจุลชีพ และการติดตามดูแลการใช้ยาต้านจุลชีพ เราต้องสนับสนุนการวิจัยระบบสาธารณสุข และการวิจัยและพัฒนา ทั้งประเด็นการใช้ยาปฏิชีวะอย่างสมเหตุสมผล ตลอดจนการคุ้มครองและสร้างหลักประกันในการเข้าถึงยา ทั้งหมดนี้ จะต้องทําโดยคํานึงถึงการมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม โดยไม่เป็นภัยต่อสุขภาพ หรือก่อให้เกิดอุปสรรคในการเข้าถึงการดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีประเทศที่มีรายได้ต่ําและรายได้ปานกลาง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังยืนยันการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการระดับโลกอีกครั้งผ่านปฏิญญาทางการเมือง โดยให้คํามั่นที่จะลงมือปฏิบัติในเรื่องความร่วมมือระหว่างประเทศ การระดมกําลังคนและแหล่งเงินทุน การสนับสนุนด้านเทคนิคและด้านอื่นๆ เพื่อพัฒนาและดําเนินการตามแผนปฏิบัติการระดับชาติ โดยเฉพาะให้ความสําคัญในมิติด้านสาธารณสุขในความพยายามประสานงาน และ ความร่วมมือของเราจะต้องก่อให้เกิดผลลัพธ์ด้านสาธารณสุขที่สําคัญสําหรับคนรุ่นเราและคนรุ่นลูก ทั้งนี้ กลุ่ม 77 และจีน จะรอคอยรายงานที่อ้างถึงในปฏิญญาทางการเมืองเพื่อสานต่อการพิจารณาและการดําเนินงานที่สําคัญในเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ ในส่วนของประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีของไทยได้เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพฉบับแรกของประเทศ ทั้งนี้ ไทยเน้นการส่งเสริมการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุสมผล การเข้าถึงยาต้านจุลชีพที่จําเป็นในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตั้งแต่ปี ๒๕๔๕เป็นหลัก เพื่อให้บรรลุปณิธานทั้งสอง เราได้ริเริ่มสิ่งจูงใจเพื่อให้เกิดหนทางในการลดการใช้ยาต้านจุลชีพในการรักษาบาดแผลถลอก การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน และอาการท้องร่วง อนึ่ง การบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืน ข้อ 3.8 และความพยายามในการแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ เป็นการรวมสรรพกําลังในบริบทของประเทศไทย และอาจเป็นโอกาสเพิ่มเติมให้สามารถเชื่อมโยงระหว่างความพยายามด้านการพัฒนาสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจเพื่อต่อสู้กับการดื้อยาต้านจุลชีพ เรายินดีที่จะสานต่อความร่วมมือกับทุกภาคส่วนและมีส่วนร่วมในความพยายามระดับโลกอย่างสร้างสรรค์..........................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ ในฐานะกลุ่ม 77 และจีน วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม 2559 นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ ในฐานะกลุ่ม 77 และจีน นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ ในฐานะกลุ่ม 77 และจีน วันนี้ 21 กันยายน 2559 เวลา 10.10 น. ณ สํานักงานใหญ่สหประชาชาติ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมพิธีเปิดการประชุมและกล่าวถ้อยแถลง ในฐานะกลุ่ม 77 และจีน ในการประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ (High-Level Meeting on Anti-Microbial Resistance (AMR) นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยมีประธานสมัชชาสหประชาชาติเลขาธิการสหประชาชาติ และผู้บริหารระดับสูงขององค์การสหประชาชาติเข้าร่วมด้วย อาทิ ผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ผู้อํานวยการใหญ่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ผู้อํานวยการใหญ่องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ เป็นต้นพลตรีวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวรู้สึกเป็นเกียรติเป็นตัวแทนกล่าวถ้อยแถลงในนามกลุ่ม 77 และจีน สําหรับการประชุมระดับสูงเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพในครั้งนี้ เป็นโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการดื้อยาต้านจุลชีพทั่วโลก และยังเป็นโอกาสกระตุ้นเจตจํานงทางการเมืองในระดับสูงเพื่อสนับสนุนความพยายามเร่งด่วนต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการระดับโลกในเรื่องนี้ และเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ 5 ประการที่สนับสนุนการทํางานของภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคการสาธารณสุข และภาคสังคม เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพบนพื้นฐานของแนวทางสุขภาพหนึ่งเดียว ทั้งนี้ การดื้อยาต้านจุลชีพเป็นความท้าทายของมวลมนุษยชาติ และส่งผลกระทบต่อผู้คนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ในขณะที่ขีดความสามารถของประเทศต่างๆ ในการจัดการกับปัญหาเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพแตกต่างกันอย่างมาก ตามระดับการพัฒนาประเทศและศักยภาพของระบบสุขภาพ ดังนั้น ประเทศกําลังพัฒนาจะได้รับผลกระทบอย่างมากหากไม่แก้ไขปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่ม 77 และจีน เน้นประเด็นทั้งหมดนี้ โดยการดําเนินนโยบายแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพต้องไม่กระทบการซื้อและเข้าถึงยาต้านจุลชีพทั้งชนิดเดิมและที่ค้นพบใหม่ รวมทั้งวัคซีน และเครื่องมือตรวจวินิจฉัย การแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพต้องสนับสนุนเป้าหมายต่างๆ ที่ครอบคลุม ดังนี้ (หนึ่ง) ส่งเสริมการสร้างความตระหนักรู้กรณีการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ คน และการเกษตรอย่างเหมาะสม (สอง) เสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันการติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการสร้างหลักประกันการเข้าถึงน้ําสะอาด สุขลักษณะและสุขอนามัย การสร้างภูมิคุ้มกัน และการควบคุมการติดเชื้อทั้งในและนอกสถานพยาบาล (สาม) สร้างความเข้มแข็งให้ระบบสุขภาพและส่งเสริมหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สี่) สนับสนุนการวิจัยและการพัฒนายาต้านจุลชีพ โดยเฉพาะ ยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ วัคซีน เครื่องมือตรวจวินิจฉัย และนวัตกรรม ซึ่งรวมถึง ยาแผนดั้งเดิมและยาสมุนไพร อย่างเร่งด่วน โดยมีหลักประกันว่าต้องเป็นไปตามความจําเป็น มีหลักฐานเชิงประจักษ์ และรับผิดชอบร่วมกัน โดยยึดหลักราคาสมเหตุสมผล มีประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และความเท่าเทียม โดยตัดความเชื่อมโยงระหว่างต้นทุนการวิจัยและพัฒนาจากราคาและปริมาณในการขาย กลุ่ม 77 และจีน ยินดีที่หลักการการตัดความเชื่อมโยงนี้ได้รับการเน้นความสําคัญในปฏิญญาทางการเมือง (ห้า) สร้างหลักประกันให้ราคายาไม่สูงเกินไปและสามารถเข้าถึงยาปฏิชีวนะ วัคซีน เครื่องมือตรวจวินิจฉัย และเครื่องมือทางการแพทย์อื่นๆ ทั้งที่มีอยู่และแบบใหม่ ซึ่งยินดีต่อผลลัพธ์ของการอภิปรายระดับสูงเรื่องการเข้าถึงยา ซึ่งจัดโดยเลขาธิการสหประชาชาติ (หก) เสริมสร้างศักยภาพ การถ่ายทอดเทคโนโลยี การให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิค ความร่วมมือระหว่างประเทศ และการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการระดับชาติ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาและการเฝ้าระวังการดื้อยาต้านจุลชีพ และการติดตามดูแลการใช้ยาต้านจุลชีพ เราต้องสนับสนุนการวิจัยระบบสาธารณสุข และการวิจัยและพัฒนา ทั้งประเด็นการใช้ยาปฏิชีวะอย่างสมเหตุสมผล ตลอดจนการคุ้มครองและสร้างหลักประกันในการเข้าถึงยา ทั้งหมดนี้ จะต้องทําโดยคํานึงถึงการมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม โดยไม่เป็นภัยต่อสุขภาพ หรือก่อให้เกิดอุปสรรคในการเข้าถึงการดูแล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีประเทศที่มีรายได้ต่ําและรายได้ปานกลาง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังยืนยันการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการระดับโลกอีกครั้งผ่านปฏิญญาทางการเมือง โดยให้คํามั่นที่จะลงมือปฏิบัติในเรื่องความร่วมมือระหว่างประเทศ การระดมกําลังคนและแหล่งเงินทุน การสนับสนุนด้านเทคนิคและด้านอื่นๆ เพื่อพัฒนาและดําเนินการตามแผนปฏิบัติการระดับชาติ โดยเฉพาะให้ความสําคัญในมิติด้านสาธารณสุขในความพยายามประสานงาน และ ความร่วมมือของเราจะต้องก่อให้เกิดผลลัพธ์ด้านสาธารณสุขที่สําคัญสําหรับคนรุ่นเราและคนรุ่นลูก ทั้งนี้ กลุ่ม 77 และจีน จะรอคอยรายงานที่อ้างถึงในปฏิญญาทางการเมืองเพื่อสานต่อการพิจารณาและการดําเนินงานที่สําคัญในเรื่องการดื้อยาต้านจุลชีพ ในส่วนของประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีของไทยได้เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพฉบับแรกของประเทศ ทั้งนี้ ไทยเน้นการส่งเสริมการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างสมเหตุสมผล การเข้าถึงยาต้านจุลชีพที่จําเป็นในหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตั้งแต่ปี ๒๕๔๕เป็นหลัก เพื่อให้บรรลุปณิธานทั้งสอง เราได้ริเริ่มสิ่งจูงใจเพื่อให้เกิดหนทางในการลดการใช้ยาต้านจุลชีพในการรักษาบาดแผลถลอก การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน และอาการท้องร่วง อนึ่ง การบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืน ข้อ 3.8 และความพยายามในการแก้ปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพ เป็นการรวมสรรพกําลังในบริบทของประเทศไทย และอาจเป็นโอกาสเพิ่มเติมให้สามารถเชื่อมโยงระหว่างความพยายามด้านการพัฒนาสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจเพื่อต่อสู้กับการดื้อยาต้านจุลชีพ เรายินดีที่จะสานต่อความร่วมมือกับทุกภาคส่วนและมีส่วนร่วมในความพยายามระดับโลกอย่างสร้างสรรค์..........................................
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/496
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยปั้นคนรุ่นใหม่เป็นนักธุรกิจ
วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2560 กรุงไทยปั้นคนรุ่นใหม่เป็นนักธุรกิจ ธนาคารกรุงไทยได้จัดโครงการ Krungthai Young Enterprise Awards ครั้งที่ 15 เพื่อร่วมสร้างผู้ประกอบการธุรกิจรายใหม่ (Startup) โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีศักยภาพในการสร้างธุรกิจ นางศิริพร นพวัฒนพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดโครงการ Krungthai Young Enterprise Awards ครั้งที่ 15 เพื่อร่วมสร้างผู้ประกอบการธุรกิจรายใหม่ (Startup) โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีศักยภาพในการสร้างธุรกิจ โดยผู้สนใจเข้าร่วมโครงการเพียงรวมกลุ่มเป็นทีมไม่เกิน 3 คน ส่งแผนธุรกิจความยาวไม่เกิน 3 หน้า เข้าร่วมประกวด โดย 100 ทีมที่ได้รับคัดเลือก ธนาคารจะจัดอบรมเสริมสร้างทักษะ ด้านการลงทุนและด้านการตลาด เพื่อนําความรู้ และประสบการณ์ที่ได้ไปต่อแผนธุรกิจและดําเนินธุกิจให้ก้าวหน้าต่อไป การประกวดแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.ประเภท Best Startup Project สําหรับบุคคลทั่วไป หรือนิติบุคคล ที่มีการพัฒนาสินค้าและบริการต้นแบบ (Prototype) เตรียมเข้าสู่ตลาดหรืออยู่ระหว่างทดลองตลาดไม่เกิน 2 ปี 2.ประเภท Best Startup Idea สําหรับบุคคลทั่วไปที่มีไอเดียในการทําธุรกิจ แต่ยังไม่มีสินค้าและบริการที่พัฒนาเพื่อเข้าสู่ตลาด โดยผลงานที่ส่งเข้าประกวดทั้ง 2 ประเภทจะต้องไม่ลอกเลียนแบบหรือละเมิดแนวคิด แผนธุรกิจ หรือทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น ทีมที่ผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายจะได้รับเงินสนุบสนุนธุรกิจและเกียรติบัตร แบ่งเป็น ประเภท Best Startup Project จํานวน 5 รางวัล ๆ ละ 50,000 บาท และ ประเภท Best Startup Idea จํานวน 5 รางวัล ๆ ละ 20,000บาท สําหรับรอบชิงชนะเลิศจะได้รับเงินสนุบสนุนธุรกิจ เกียรติบัตร และโล่รางวัล โดยประเภท Best Startup Project ชนะเลิศรางวัลที่ 1 ได้เงินสนับสนุนธุรกิจ 1,500,000 บาท รางวัลที่ 2 เงินสนับสนุนธุรกิจ 500,000 บาท รางวัลที่ 3 เงินสนับสนุนธุรกิจ 200,000 บาท และ ประเภท Best Startup Idea ชนะเลิศรางวัลที่ 1 ได้เงินสนับสนุนธุรกิจ 200,000 บาท รางวัลที่ 2 เงินสนับสนุนธุรกิจ 100,000 บาท รางวัลที่ 3 เงินสนับสนุนธุรกิจ 50,000 บาทและมีรางวัล Popular 2 รางวัล ๆ ละ 50,000 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 3,000,000 บาท สมัครผ่านทาง www.ktb.co.th/csr ภายในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ สอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายกิจการเพื่อสังคม โทร.0-2208-4460 ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร.0-2208-4174-8
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยปั้นคนรุ่นใหม่เป็นนักธุรกิจ วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2560 กรุงไทยปั้นคนรุ่นใหม่เป็นนักธุรกิจ ธนาคารกรุงไทยได้จัดโครงการ Krungthai Young Enterprise Awards ครั้งที่ 15 เพื่อร่วมสร้างผู้ประกอบการธุรกิจรายใหม่ (Startup) โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีศักยภาพในการสร้างธุรกิจ นางศิริพร นพวัฒนพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้จัดโครงการ Krungthai Young Enterprise Awards ครั้งที่ 15 เพื่อร่วมสร้างผู้ประกอบการธุรกิจรายใหม่ (Startup) โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์และมีศักยภาพในการสร้างธุรกิจ โดยผู้สนใจเข้าร่วมโครงการเพียงรวมกลุ่มเป็นทีมไม่เกิน 3 คน ส่งแผนธุรกิจความยาวไม่เกิน 3 หน้า เข้าร่วมประกวด โดย 100 ทีมที่ได้รับคัดเลือก ธนาคารจะจัดอบรมเสริมสร้างทักษะ ด้านการลงทุนและด้านการตลาด เพื่อนําความรู้ และประสบการณ์ที่ได้ไปต่อแผนธุรกิจและดําเนินธุกิจให้ก้าวหน้าต่อไป การประกวดแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1.ประเภท Best Startup Project สําหรับบุคคลทั่วไป หรือนิติบุคคล ที่มีการพัฒนาสินค้าและบริการต้นแบบ (Prototype) เตรียมเข้าสู่ตลาดหรืออยู่ระหว่างทดลองตลาดไม่เกิน 2 ปี 2.ประเภท Best Startup Idea สําหรับบุคคลทั่วไปที่มีไอเดียในการทําธุรกิจ แต่ยังไม่มีสินค้าและบริการที่พัฒนาเพื่อเข้าสู่ตลาด โดยผลงานที่ส่งเข้าประกวดทั้ง 2 ประเภทจะต้องไม่ลอกเลียนแบบหรือละเมิดแนวคิด แผนธุรกิจ หรือทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น ทีมที่ผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายจะได้รับเงินสนุบสนุนธุรกิจและเกียรติบัตร แบ่งเป็น ประเภท Best Startup Project จํานวน 5 รางวัล ๆ ละ 50,000 บาท และ ประเภท Best Startup Idea จํานวน 5 รางวัล ๆ ละ 20,000บาท สําหรับรอบชิงชนะเลิศจะได้รับเงินสนุบสนุนธุรกิจ เกียรติบัตร และโล่รางวัล โดยประเภท Best Startup Project ชนะเลิศรางวัลที่ 1 ได้เงินสนับสนุนธุรกิจ 1,500,000 บาท รางวัลที่ 2 เงินสนับสนุนธุรกิจ 500,000 บาท รางวัลที่ 3 เงินสนับสนุนธุรกิจ 200,000 บาท และ ประเภท Best Startup Idea ชนะเลิศรางวัลที่ 1 ได้เงินสนับสนุนธุรกิจ 200,000 บาท รางวัลที่ 2 เงินสนับสนุนธุรกิจ 100,000 บาท รางวัลที่ 3 เงินสนับสนุนธุรกิจ 50,000 บาทและมีรางวัล Popular 2 รางวัล ๆ ละ 50,000 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 3,000,000 บาท สมัครผ่านทาง www.ktb.co.th/csr ภายในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ สอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายกิจการเพื่อสังคม โทร.0-2208-4460 ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ โทร.0-2208-4174-8
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6088
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2560 (Prime Minister's Export Awards 2017) วันที่ 30 สิงหาคม 2560
วันพุธที่ 6 กันยายน 2560 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2560 (Prime Minister's Export Awards 2017) วันที่ 30 สิงหาคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2560 (Prime Minister's Export Awards 2017) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล วันที่ 30 สิงหาคม 2560 เวลา 09.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี2560 (Prime Minister's Export Awards 2017) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล วันที่30สิงหาคม2560เวลา09.30น. ................................. รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ คณะทูตานุทูต คณะกรรมการและคณะทํางานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบธุรกิจดีเด่นเข้าร่วม และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมมีความรู้สึกยินดีและรู้สึกเป็นสุขที่เราได้มาร่วมกันมอบรางวัลให้แก่ผู้ผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี2560 Prime Minister's Export Awards 2017ซึ่งได้มอบให้แก่ผู้ประกอบการส่งออกสินค้าและบริการดีเด่นปีนี้ ยินดีและเป็นเกียรติภาคภูมิใจ จะเห็นความสําเร็จของผู้ประกอบการไทยทุกท่านที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง พัฒนาสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับนโยบาย 4.0 ของเรา วันนี้ความเป็นมาเป็นไปคงไม่ต้องกล่าวแล้วนะครับ เพราะกล่าวไปหมดแล้วเมื่อสักครู่นี้ การจัดการครั้งนี้เป็นครั้งที่ 26 และหลาย ๆ ท่านได้รับรางวัลมาก็หลายปีด้วยกัน บางท่านบอกประมาณ 10 ครั้งได้ บางท่านก็บอกเพิ่งได้รับ แสดงให้เห็นถึงมีการพัฒนาที่มีตามลําดับ อย่างไรก็ตามผมคิดว่าเราต้องพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งก็สอดคล้องนโยบายประเทศไทยในเวลานี้ คือเราต้องพัฒนาประเทศไทยของเราให้พ้นจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้ที่มีระดับสูงด้วยนโยบายThailand 4.0 วิสัยทัศน์ของเราด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามสหประชาชาติหรือในส่วนของการพัฒนาศตวรรษ 2015 – 2030 โดยเราใช้คําว่าเพื่อนของเราต้องไปด้วยกัน“Stronger Together”เราต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เราต้องทําหน้าที่ของเราเพื่อประเทศของเราและเพื่อนของเราที่มาในวันนี้ด้วยนะครับ ในการที่จะสร้างความเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ให้ครบวงจรจะได้เกิดประโยชน์กับพวกเราอย่างมหาศาล คําว่าพวกเราคือประเทศของเราและเพื่อนของเรา ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าทั้งสองทางหลังจากมีการสร้างห่วงโซ่ระหว่างกันให้ได้ ฉะนั้นวันนี้ผมก็ไม่มีอะไรที่จะกล่าวไปได้มากกว่า ยินดีและภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย และได้มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานี้ ในช่วงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนผ่านประเทศของเราไปสู่ความยั่งยืน เมื่อสักครู่ผมก็ได้กําลังใจจากหลายท่านก็ได้ถามว่า นายกฯ เหนื่อยไหมครับ ผมบอกว่า ผมไม่เหนื่อย ผมเหนื่อยไม่ได้ ท้อไม่ได้ ผมจะต้องทําทุกอย่างเพื่อให้ดีขึ้น แต่ท่านทั้งหลายบอกว่าขอบคุณท่านนายกฯ ที่ทําให้ธุรกิจดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกอบการหลายท่านก็บอกว่า การสั่งซื้อของเขามากขึ้น ทั้งนี้ จากการจัดทํานโยบายหรือในเรื่องของกฎหมาย กฎระเบียบ ต่าง ๆ ให้เป็นสากลและสร้างแรงจูงใจให้กับทุกคนทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค อันนี้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และประชาชน ฉะนั้น 3 อย่างต้องประกอบกันไปด้วย วันนี้เรามีคณะทํางาน คณะยุทธศาสตร์ชาติ ไม่ว่าจะการปฏิรูปเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ขอขอบคุณรัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจที่ได้ดําเนินการตามแนวทางให้ทุกอย่างดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคิดว่าเราต้องทําให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก ด้วยความร่วมมือจากพวกท่านทุกคน ในการที่จะพัฒนาตนเอง พัฒนาสินค้า และบริการต่าง ๆ เพื่อจะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้ได้อย่างไม่หยุดยั้งในระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการต่างๆมารองรับว่าในอนาคตเราต้องเจอกับปัญหาอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเรื่องกองระเบียบกติกาของโลกมากมาย วันนี้ความแตกต่างและการรวมกลุ่มเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องเตรียมมาตรการและการเปลี่ยนที่เรียกว่าเพื่อการสร้างภูมิคุ้มกันซึ่งเป็นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวความมีเหตุมีผลในการลงทุนความพอประมาณในการลงทุนระยะแรกและระยะต่อไปและเรื่องภูมิคุ้มกันคู่กับคุณธรรม ทั้งหมดที่ผมคิดว่าที่ได้รับรางวัลได้จากการคัดเลือกรอบแรกๆ ก็คงจะใช้หลักการเหล่านี้ในการทําธุรกิจของท่าน ทั้งนี้เพื่อเกิดความยั่งยืนของสินค้าของท่านได้รับความเชื่อมั่นจากต่างประเทศได้รับความยอมรับในเอกลักษณ์อันโดดเด่นและมีในส่วนของการออกแบบ วันนี้เราต้องปรับวิธีการในความคิดของผมคือการปรับออกแบบที่เป็นรูปแบบอื่น ๆ เรื่องความมีเอกลักษณ์ของประเทศไทยที่จะต้องเป็นคอลเลคชั่นเก็บสะสมต้องทําเหล่านี้เหมือนที่หลาย ๆ ยี่ห้อ หลาย ๆ แบรนด์เขาทําเป็นลิมิเต็ด อิดิชั่นเพระฉะนั้นต้องมีแต่ละปี ๆ ของที่ผลิตมาจํานวนไม่มากนัก แต่ราคาค่อนข้างสูงสักหน่อย จะมีมูลค่า ยิ่งเล็กยิ่งแพง เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเราต้องพัฒนาทั้งในเรื่องของการเน้นการใช้นวัตกรรม เมื่อสักครู่เรื่องเอกลักษณ์พูดไปแล้ว ด้วยคําว่าเอกลักษณ์ คือเป็นการขายในเชิงคุณภาพ และการขายในเชิงปริมาณเราก็ผสมผสานในบางส่วนนี้ต้องใช้วัสดุต้องใช้เอกลักษณ์ของเราแต่โมเดิ้ลให้คนใช้ทั่วไป ไม่อย่างนั้นก็ซื้อเก็บไว้เฉย ๆ ฉะนั้นต้องออกแบบทั้งสองทางนะครับ เพื่อจะเพิ่มปริมาณให้มากยิ่งขึ้นและพัฒนาคุณภาพตลอดเวลา ให้เป็นที่นิยมและต้องหาการตลาดให้เหมาะสมว่าแต่ละประเทศเขาใช้แบบไหนความคุ้นเคยในการใช้ของเหล่านี้ เราก็ออกแบบให้สอดคล้องในการใช้ประโยชน์ ลองคิดดูนะครับ เป็นความคิดของผม เพราะฉะนั้นสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ รัฐบาลอยากจะบอกว่าขอบคุณทุกท่าน ขอบคุณที่ได้มีการพัฒนาตนเองได้รับรางวัลในครั้งนี้ ครั้งที่ 26 ผมคิดว่ารางวัลนี้ เป็นรางวัลที่รัฐบาลมุ่งมั่นเป็นเวที เวทีหนึ่งที่จะประกาศให้ทุกคนเห็นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้เห็นมาตรฐานในการควบคุมดูแลกํากับดูแลคุณภาพและในเรื่องของการความร่วมมือระหว่างรัฐ กับภาคธุรกิจเอกชน รัฐบาลนําพาคนเดียวไม่ได้จะไป 4.0 หรืออะไรแล้วแต่ไปไม่ได้หรอก ถ้าไม่ใช่พวกเราทุกคนมาช่วยกัน เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้อยากให้ทุกคนได้ทําความเข้าใจและช่วยขยายความเข้าใจไปยังกับประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียของประเทศนี้ด้วย ถ้าเราไม่ให้ความร่วมมือกันไปไม่ได้ รัฐบาลพูดคนเดียวก็พูดไม่ได้ ไม่สามารถเข้าใจกันทั้งหมด สิ่งที่รัฐบาลทําได้เวลานี้คือการสร้างความมีเสถียรภาพทางด้านการเมือง ความมั่นคงและในเรื่องของการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ สิ่งนี้เป็นปัจจัยที่จะทําทุกอย่างให้เดินหน้าไปได้ ไม่ว่าจะการประกอบการธุรกิจใด ก็ตามเพราะในวันนี้มีหลายประเทศร่วมพบปะพูดคุยเจรจาทางการค้า การลงทุนกับท่านรองนายกรัฐมนตรีเองกับผมเอง ในเอกอัครราชทูลหรือสถานทูตต่าง ๆ ก็พูดเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก เรื่องการเมืองก็เป็นเรื่องของแต่ละประเทศที่ต้องพัฒนาเดินตามความจําเป็นของแต่ละประเทศ ซึ่งเราก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านั้นเราต้องเดินหน้าไปสู่ทางประชาธิปไตยที่เป็นสากล วันนี้ถ้าเราทําให้ประชาธิปไตยขึ้นเป็นสากลและยั่งยืน เราต้องแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งหมดของเราให้ได้ ในเรื่องเศรษฐกิจ ที่เราต้องสร้างห่วงโซ่เหล่านี้ให้ถึงคนข้างล่างให้ได้ ผู้ประกอบการ ผู้ผลิต เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการต้องคํานึงถึงผู้ผลิตต้นทางให้มากที่สุด เพราะนั่นคือคนของทั้งประเทศ ในการที่จะผลิตวัตถุต้นทุนออกมาอะไรก็ตาม ไม่ว่าในเรื่องของการเกษตร ไม่ว่าในเรื่องของอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด วันนี้ผมก็ยังกังวลเรื่องกะทิ มะพร้าว ปลูกน้อยมาก และก็โดนหนอนหัวดํากินเรียบ เพราะนั้นต้องส่งเสริมการปลูกมะพร้าว มะพร้าวแกง มะพร้าวกะทิให้มากขึ้น ต้องนําเข้าแล้วราคาค่อนข้างจะแพง เพราะฉะนั้นเราต้องเร่งรัดเหล่านี้ ทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทางทางการตลาดในส่วนของเราวันนี้ รัฐบาลตั้งใจจัดทําขึ้นหลายปีมาแล้ว เพื่อจะช่วยชูเกียรติ ท่านได้รับกิจไปแล้ววันนี้ ทั้งที่ผ่านมาด้วยในช่วงที่ก่อนผมเข้ามา อันนี้เราก็แสดงให้เห็นให้รัฐบาลเห็นให้ทุกคนเห็นว่าเรามุ่งมั่นทุ่มเท อุตสาหะ ตั้งใจพัฒนาตนเองในการต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม วันนี้เราต้องสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อจะสร้างส่งผลให้สินค้าที่มีอัตลักษณ์ความเป็นไทยนั้น สามารถสร้างชื่อเสียงได้รับความนิยมเพื่อสร้างมูลค่าได้อย่างเต็มภาคภูมิ และก็ที่ท่านได้รับไปต้นแบบในการในขยายไปเป็นแรงบันดาลใจให้กับให้กับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ด้วย ขอบคุณทั้งสมาคมผู้ประกอบการทั้งหมด สมาคมหอการค้า สมาคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งหมด เป็นองค์ประกอบของเศรษฐกิจทุกภาคส่วน วันนี้ก็ทั้งรายย่อย องค์การรายใหญ่ สินค้าภายในประเทศเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพประเทศชาติไปพร้อม ๆ กัน การพัฒนาประเทศชาติมีอยู่ 2 อย่าง การประกอบการ มีรายได้ และเสียภาษีให้กับรัฐบาลในการที่จะไปพัฒนาในด้านอื่น ๆ ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งในการที่จะเขื่อมโยงในการจะไปประกอบการกับธุรกิจขาดใหญ่ที่ต่างประเทศหรือแม้แต่การลงทุนของต่างประเทศในประเทศไทย ทั้งหมดนั้นมาห่วงโซ่เดียวกันทั้งหมด อย่าให้เขาบอกว่าวันนี้เราดูแลแต่ผู้ประกอบการไม่ดูแลของต้นทางก็คือเกษตรกร ประชาชน ผู้ผลิตที่มีรายได้น้อยซึ่งมีความเลื่อมล้ําในคุณภาพชีวิตสิ่งสําคัญของโลกใบนี้คงไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ทุกประเทศในโลกใบนี้มีปัญหาด้วยกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราจะดูแลผู้มีรายได้น้อยได้อย่างไร รัฐบาลไม่สามารถดูแลได้แต่เพียงผู้เดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากฝากท่านวันนี้ก็คือ ทุกท่านที่มีการประกอบการที่มีผลกําไรที่มีรายได้ที่ดีขึ้นสูงขึ้นฝากไปทบทวนเรื่องงบของท่านด้วยว่าทางจะดูแลประชาชนได้อย่างไร กลุ่มนั้น กลุ่มนี้ การศึกษา การพัฒนาต่าง ๆ อยากให้ท่านช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลบ้าง อย่างน้อยเขาจะได้ไม่มีความคาดคางแคลงใจในเรื่องของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเรื่องของการจ้างแรงงาน ส่วนผมคิดว่ามีทั้งแรงงานไทย แรงงานต่างประเทศ เราก็ต้องดูแลงานต่างประเทศเขาให้ดีที่สุด ทั้งแรงงานไทยด้วยการพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน แล้วเราก็ต้องเตรียมมาตรการลดความเสี่ยง ในวันหน้าในเรื่องของแรงงานสูงอายุ ในเรื่องของแรงงานที่ต้องกลับไปพัฒนาบ้านเมืองของตนเองภายใน 5 ปี ข้างหน้า แต่อย่างไรก็ตามก็อย่าเพิ่งละทิ้งเขาในเวลานี้ก็เพราะว่าเรากําลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศทั้งหมดซึ่งก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ท่านทราบดีอยู่ทั้งหมดแล้วแต่ผมต้องการเน้นย้ําท่าน stakeholder ทั้งหมด ทั้งในส่วนองค์กรของท่าน ผู้ประกอบการ สมาคมทั้งหมด และรวมความไปถึงประชาชนในประเทศไทยทั้งหมดว่าท่านจะมีส่วนร่วมอย่างไรในการจะดูแลเขาไปช่วยเหลือให้เขามีคุณภาพชีวิตที่พอเพียง สามารถอยู่ได้อย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรีอันนั้นเป็นสิ่งสําคัญ ผมอยากให้ท่านดูแลเขาเหมือนคนในครอบครัว ฉะนั้นวันนี้เราต้องสร้างคนที่มีคุณธรรม สถานประกอบการที่มีคนคุณธรรมทํางาน มีธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการเป็นองค์กรที่มีจริยธรรมไม่ว่าจะบริษัทใด ห้างใดหรือร้านค้าใด ๆ ก็ตามทุกกิจการ มีธรรมภิบาล 6 ข้อ ท่านนํามาทบทวนดู ท่านทําให้ครบเถอะครับและก็ดูแลผู้ที่มีรายได้น้อยไปด้วย ดูแลคนไทยไปด้วย ดูแลคนต่างประเทศที่มาร่วมทุน ร่วมประกอบการในห่วงโซ่ของท่านด้วย ทุกอย่างจะไปพร้อมกับ โลกใบนี้จะลดความขัดแย้งไปได้เยอะ ต้องติดตามสถานการณ์ต่างประเทศด้วยนะครับและพัฒนาในเศรษฐกิจของเรา ให้เดินหน้าไปให้ได้ โดยพูดจาหารือซึ่งกันและกันหลายคณะกรรมการที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็หลายท่าน หลายท่านบอกว่าที่ทําใหม่ ๆ แล้วนี้ คือทําให้ดีขึ้นมีการสั่งสินค้ามากขึ้น หลายคนให้กําลังใจนายกฯ ถามว่า นายกฯ เหนื่อยไหม ผมบอกผมเหนื่อยไม่ได้หรอกครับ ผมก็ยังเหมือนเดิมแต่ผมพยายามจะลดภาระอื่น ๆ ออกไปบ้าง เอามาเดินหน้า อย่างนี้แบบเดียวดีกว่า ผมไม่อยากทะเลาะขัดแย้งกับใคร ก็ขอให้ทุกคนมีหลักคิดในการทํางานนะครับ เข้าใจและช่วยกันพูด ทําให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ฝ่ายพัฒนาเศรษฐกิจก็พร้อมในการแก้ปัญหาร่วมกับผมให้ได้ การพัฒนาแรงงาน การเพิ่มมูลค่า การไปดูการก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ซึ่งจะไปตอบสนองนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลอย่างยั่งยืนและรวดเร็วขึ้น เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการออกแบบการผลิตสินค้าที่มีเอกลักษณ์ เมื่อวานนี้ผมได้ให้เขาออก วีดีทัศน์เรื่องของหุ่นยนต์ เป็นการรองรับอนาคตอันไม่นานนัก ก็มีบางส่วนต้องปรับตัวเรื่องการลงทุนใหม่ อันเก่าก็มีปรับเปลี่ยนเครื่องจักรสร้างนวัตกรรม เพื่อจะทําอย่างไรให้สามารถที่จะมีราคาแข่งขันกับตลาดอื่นเขาได้ อันนั้นคือสิ่งที่สําคัญเป็นเรื่องของต้นทุนในการผลิตสินค้า แต่ท่านอย่าไปลดค่าแรง อย่าไปลดสิทธิประโยชน์ของเขา ต้องลดบางส่วนออกไป ลดกําไรลงหน่อยนึง เพื่อไปตอบแทนเขา แล้วสามารถลดราคาได้ นี่คือการแข่งขันทางการตลาดเป็นอย่างนี้อยู่ เดินหน้ามาถึงตรงนี้แล้ว เราถอยอย่างอื่นไม่ได้ ก็ต้องขอความรู้ท่าน เห็นอกเห็นใจคน และวันนี้ หลายอย่างอยากให้ติดตาม เรามีมาตรการต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะการเดินหน้าเศรษฐกิจ เศรษฐกิจใหม่ EEC เศรษฐกิจพิเศษ กฎกติกาของ BOI สิทธิประโยชน์ ทุกคนช่วยกันศึกษาทําความเข้าใจ แล้วก็ไปพิจารณาในแผนของการปรับปรุงของท่าน ยุทธศาสตร์ของท่าน ในการที่จะขยายกิจการที่จะลงทุน อยากให้ท่านขยายการลงทุนให้เพิ่มขึ้นด้านเกษตรกรรมให้มากยิ่งขึ้น ไปดูกันนะครับใน 5 New Curve และมีมาตราการอีกเยอะ ถ้าท่านมีปัญหาหรืออยากปรึกษาก็บอกมา เราพร้อมจะสนับสนุนท่าน คือวันนี้เศรษฐกิจต้องเดินหน้า ต้องเดินหน้าให้ได้คู่ไปกับความมั่นคง ความมีเสถียรภาพ เมื่อวานก็ได้ข่าวตลาดหุ้นเขียวทั้งกระดานเลยใช่ไหม ให้เขียวอย่างนี้ทุกวันได้ มันก็ต้องมีมาตรการลดความเสี่ยงด้วยละกัน ผมก็ยืนยันว่าจะทําเต็มที่นะครับ ความสําเร็จของท่านวันนี้ขึ้นตรง สมกับที่รับรางวัลจากรัฐบาล เป็นกําไรให้กันและกัน หวังว่าท่านจะเป็นฟันเฟืองสําคัญให้กับประเทศของเราในการเดินหน้าเศรษฐกิจไทยให้รุดหน้า อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน สิ่งสําคัญสร้างวัฒนธรรมในองค์กร ในธุรกิจของท่าน ในสถานประกอบการของท่าน ให้เป็นองค์กรที่มีจริยธรรม มีคนที่มีคุณธรรมทํางานอยู่ในหน่วยงานของท่าน ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน คนไทย คนต่างด้าว อะไรต่าง ๆ ดูแลเขาให้ดี เหมือนเขาเป็นคนในครอบครัว แล้วเขาจะรู้สึกมีส่วนร่วมในการพัฒนาสินค้า ในการทํางานกับท่าน ที่เป็นสิ่งที่เราต้องใช้ความเป็นไทย เราเคยมีมาตลอด วันนี้ก็ยังมีอยู่ ผมคิดว่าบางครั้งอาจจะลืมไปนิดหนึ่ง ความโอบอ้อมอารี ความประนีประนอมในการทํางาน ในการพบปะพูดคุยหารือซึ่งกันและกัน ซึ่งหลายอย่างเราไม่ได้ให้ความสําคัญในเรื่องเหล่านี้มา ซึ่งมันเป็นวัฒนธรรมของคนไทย ประเทศไทย และต้องดูแลคนต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทย พร้อมทั้งสนับสนุนคนไทยให้ไปลงทุนในต่างประเทศด้วย เพราะการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด ผมอยากให้เป็นฝีมือของคนไทยเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่สองก็คือการลงทุนจากต่างประเทศ ผมต้องการมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมีความสําคัญเท่าเทียมกัน ก็ทั้งสองฝ่ายฝากด้วย เพราะฉะนั้นก็ให้คํานึงถึงประเทศชาติ และคํานึงถึงประชาชนให้มากที่สุดควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันจําเป็นต้องมีมาตรการที่เข้มงวดในเรื่องของการรักษาสภาวะและสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เราต้องเก็บไว้ให้ลูกให้หลานของเราในอนาคต เรามีไม่มากนัก เพราะฉะนั้นเราต้องใช้อย่างประหยัด และอย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ การปฏิบัติตามพันธสัญญาเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมายการค้ามนุษย์ กฎหมายแรงงานเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกท่านจะต้องไม่ผิดในเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น เพราะท่านเป็นแบบอย่าง เป็นตัวอย่างที่จะสร้างแรงจูงใจให้คนอื่น แล้วก็ดูแลเรื่องพิจารณาสิทธิมนุษยชน แล้วเราก็ขอให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีก็คือคนไทยทุกคน อยู่ที่ท่าน รัฐบาลก็ทําได้วันหน้ารัฐบาลก็เหลือมีหน้าที่เป็นเพียงRegulatoryสนับสนุน กฎกติกา อํานวยความสะดวก ประเทศต้องขับเคลื่อนด้วยภาคเอกชน ธุรกิจ ประชาชน อันนี้คือหลักการในอนาคตของรัฐบาล ขอบคุณที่ให้กําลังใจทุกคนให้มีผลการประกอบการที่ยอดเยี่ยม ดีมากยิ่งขึ้นวันหน้าก็มีรางวัลอะไรเพิ่มขึ้นก็ไม่รู้นะ คือมีรายได้ยอดเยี่ยมแล้วก็อะไรละ ดูแลประชาชนยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้นะ พิจารณายอดเยี่ยม มันจะได้นึกถึงคนอื่นเขา จําผมไว้เถอะครับ อันนี้มันเป็นกุศลเข้าใจไหม ทําอะไรก็ตามก็ขอให้นึกถึงคนอื่นทุกวัน ทุกอย่าง ไม่ว่าจะทําอะไร ถ้าทําจะทําอะไรตรงนี้ ตรงนี้ได้เท่าไร ต้นทางเขาได้ไหม ประชาชนเขาได้ไหม นี้มันเป็นกุศล ถ้าเรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นใช่ไหม ทุกอย่างมันก็มีความสุข อย่าให้ขัดแย้งกันไม่ได้แล้ว โลกมีความขัดแย้งกันสูงอยู่แล้ว เราต้องลดความขัดแย้งให้ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของเราทั้งในประเทศแล้วก็ในประชาคมโลกด้วย แล้วก็โลกใบนี้ เราอาศัยอยู่ร่วมกัน 6 พันกว่าล้านคน เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่ในการพิทักษ์โลกด้วย ถึงแม้จะเป็นประเทศไทยเล็ก ๆ เราก็ต้องพิทักษ์โลกด้วย ไม่ว่าจะดิน ฟ้า อากาศ น้ํา มันเชื่อมต่อกันทั้งโลก ถ้าเสียตรงนี้วันหน้าก็เสียตรงโน้น วันนี้ขั้วโลกเหนือละลายน้ําแข็งมันมาถึงเราหมดนั้นแหละ เพราะน้ํามันมากขึ้น นั้นก็คือปัญหาของเรา การเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมของอากาศ โรคระบาดชนิดใหม่เขาก็พัฒนา เชื้อโรคก็พัฒนาของเขานะ เราก็ต้องพัฒนาในเรื่องของสุขภาพ เรื่องสาธารณสุขให้รองรับให้ได้ รัฐบาลนี้มุ่งมั่นทุกเรื่อง ปัญหามีมากมายสิ่งที่เราต้องปฏิรูปประเทศนั้นมี 37 เรื่องมั่ง 30-37 เรื่องทั้งหมดเกือบ 200 กิจกรรม ใน 200 กิจกรรมแยกออกเป็นกิจกรรมย่อยเป็น 10-20 เพราะฉะนั้นเท่ากับพัน นั้นแหละเขาเรียกว่าการปฏิรูป ซึ่งต้องมีทั้งกฎหมาย มีทั้งระเบียบ กฎหมายวันนี้มี 5 หมื่นกว่าฉบับ กฎหมายใหญ่ พรบ. กฎหมายลูก กฎกระทรวง กฎอะไรต่าง ๆ อีกแสนกว่าฉบับ ก็ต้องฏิรูปทั้งหมดเหมือนกัน นั้นแหละเขาเรียกว่าการปฏิรูปReformไม่ใช่ปฏิรูปสั่งวันนี้พรุ่งนี้เสร็จมันไม่ได้หรอกครับ เพียงแต่ว่าหาอะไรที่มีปัญหาติดขัดอุปสรรคมาคุยกันก่อนพูดกันก่อน การอํานวยความสะดวก การให้ข้อมูลข่าวสาร การช่วยเหลือตามกฎกติกาให้สอดคล้องตามหลักสากล เหล่านี้คือสิ่งที่รัฐบาลนี้พยายามอย่างเต็มที่ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา แล้วเราจะทําต่อไป แล้วก็จะส่งมอบให้รัฐบาลต่อ ๆ ไปได้ทําอย่างต่อเนื่องนะครับ ก็พร้อมจะรับฟังความคิดเห็นทุกท่าน ขอขอบคุณ ขอแสดงความยินดีอีกครั้งนะครับ ขอชื่นชมผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลนะครับทุกท่าน ขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และหน่วยงานอื่น ๆ รวมทั้งบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่ร่วมมือจัดงานในวันนี้ อีกอันคือสิ่งที่เราจะต้องแก้ไขให้ได้ ให้เป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ให้ได้คือการทุจริตคอร์รัปชั่น นั้นนี้คือสิ่งที่ผมสัญญาไว้แล้วกับคนไทยทั้งประเทศนะครับ จะต้องไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ แต่ต้องมีการเสนอผลประโยชน์ เราต้องทําให้มันโปร่งใส เราถึงจะได้รับการยอมรับนะครับ อันนี้คือสิ่งที่รัฐบาลคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง ขอขอบคุณทุกท่าน ขอบคุณผู้ประกอบการให้มีรายสูงขึ้น เสียภาษีให้มากขึ้น อัตราเดิม ๆ ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เดี๋ยวหาว่าผมไปขึ้นภาษีอีก พูดไม่ได้ภาษี ไม่รู้กลัวอะไรกันนักหนา ทุกคนทุกประเทศก็มีการพัฒนา เราก็ยังไม่ไปตรงนั้น เพราะยังมีปัญหาอยู่นะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุข ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมความปรารถนาทุกคน สวัสดีครับ ขอบคุณครับ .....................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2560 (Prime Minister's Export Awards 2017) วันที่ 30 สิงหาคม 2560 วันพุธที่ 6 กันยายน 2560 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2560 (Prime Minister's Export Awards 2017) วันที่ 30 สิงหาคม 2560 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2560 (Prime Minister's Export Awards 2017) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล วันที่ 30 สิงหาคม 2560 เวลา 09.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี2560 (Prime Minister's Export Awards 2017) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล วันที่30สิงหาคม2560เวลา09.30น. ................................. รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ คณะทูตานุทูต คณะกรรมการและคณะทํางานที่เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบธุรกิจดีเด่นเข้าร่วม และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมมีความรู้สึกยินดีและรู้สึกเป็นสุขที่เราได้มาร่วมกันมอบรางวัลให้แก่ผู้ผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี2560 Prime Minister's Export Awards 2017ซึ่งได้มอบให้แก่ผู้ประกอบการส่งออกสินค้าและบริการดีเด่นปีนี้ ยินดีและเป็นเกียรติภาคภูมิใจ จะเห็นความสําเร็จของผู้ประกอบการไทยทุกท่านที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเอง พัฒนาสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับนโยบาย 4.0 ของเรา วันนี้ความเป็นมาเป็นไปคงไม่ต้องกล่าวแล้วนะครับ เพราะกล่าวไปหมดแล้วเมื่อสักครู่นี้ การจัดการครั้งนี้เป็นครั้งที่ 26 และหลาย ๆ ท่านได้รับรางวัลมาก็หลายปีด้วยกัน บางท่านบอกประมาณ 10 ครั้งได้ บางท่านก็บอกเพิ่งได้รับ แสดงให้เห็นถึงมีการพัฒนาที่มีตามลําดับ อย่างไรก็ตามผมคิดว่าเราต้องพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งก็สอดคล้องนโยบายประเทศไทยในเวลานี้ คือเราต้องพัฒนาประเทศไทยของเราให้พ้นจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศรายได้ที่มีระดับสูงด้วยนโยบายThailand 4.0 วิสัยทัศน์ของเราด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามสหประชาชาติหรือในส่วนของการพัฒนาศตวรรษ 2015 – 2030 โดยเราใช้คําว่าเพื่อนของเราต้องไปด้วยกัน“Stronger Together”เราต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เราต้องทําหน้าที่ของเราเพื่อประเทศของเราและเพื่อนของเราที่มาในวันนี้ด้วยนะครับ ในการที่จะสร้างความเชื่อมโยงตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ให้ครบวงจรจะได้เกิดประโยชน์กับพวกเราอย่างมหาศาล คําว่าพวกเราคือประเทศของเราและเพื่อนของเรา ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าทั้งสองทางหลังจากมีการสร้างห่วงโซ่ระหว่างกันให้ได้ ฉะนั้นวันนี้ผมก็ไม่มีอะไรที่จะกล่าวไปได้มากกว่า ยินดีและภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย และได้มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานี้ ในช่วงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนผ่านประเทศของเราไปสู่ความยั่งยืน เมื่อสักครู่ผมก็ได้กําลังใจจากหลายท่านก็ได้ถามว่า นายกฯ เหนื่อยไหมครับ ผมบอกว่า ผมไม่เหนื่อย ผมเหนื่อยไม่ได้ ท้อไม่ได้ ผมจะต้องทําทุกอย่างเพื่อให้ดีขึ้น แต่ท่านทั้งหลายบอกว่าขอบคุณท่านนายกฯ ที่ทําให้ธุรกิจดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกอบการหลายท่านก็บอกว่า การสั่งซื้อของเขามากขึ้น ทั้งนี้ จากการจัดทํานโยบายหรือในเรื่องของกฎหมาย กฎระเบียบ ต่าง ๆ ให้เป็นสากลและสร้างแรงจูงใจให้กับทุกคนทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค อันนี้เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และประชาชน ฉะนั้น 3 อย่างต้องประกอบกันไปด้วย วันนี้เรามีคณะทํางาน คณะยุทธศาสตร์ชาติ ไม่ว่าจะการปฏิรูปเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ขอขอบคุณรัฐมนตรีทางด้านเศรษฐกิจที่ได้ดําเนินการตามแนวทางให้ทุกอย่างดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคิดว่าเราต้องทําให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก ด้วยความร่วมมือจากพวกท่านทุกคน ในการที่จะพัฒนาตนเอง พัฒนาสินค้า และบริการต่าง ๆ เพื่อจะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้ได้อย่างไม่หยุดยั้งในระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการต่างๆมารองรับว่าในอนาคตเราต้องเจอกับปัญหาอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเรื่องกองระเบียบกติกาของโลกมากมาย วันนี้ความแตกต่างและการรวมกลุ่มเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องเตรียมมาตรการและการเปลี่ยนที่เรียกว่าเพื่อการสร้างภูมิคุ้มกันซึ่งเป็นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวความมีเหตุมีผลในการลงทุนความพอประมาณในการลงทุนระยะแรกและระยะต่อไปและเรื่องภูมิคุ้มกันคู่กับคุณธรรม ทั้งหมดที่ผมคิดว่าที่ได้รับรางวัลได้จากการคัดเลือกรอบแรกๆ ก็คงจะใช้หลักการเหล่านี้ในการทําธุรกิจของท่าน ทั้งนี้เพื่อเกิดความยั่งยืนของสินค้าของท่านได้รับความเชื่อมั่นจากต่างประเทศได้รับความยอมรับในเอกลักษณ์อันโดดเด่นและมีในส่วนของการออกแบบ วันนี้เราต้องปรับวิธีการในความคิดของผมคือการปรับออกแบบที่เป็นรูปแบบอื่น ๆ เรื่องความมีเอกลักษณ์ของประเทศไทยที่จะต้องเป็นคอลเลคชั่นเก็บสะสมต้องทําเหล่านี้เหมือนที่หลาย ๆ ยี่ห้อ หลาย ๆ แบรนด์เขาทําเป็นลิมิเต็ด อิดิชั่นเพระฉะนั้นต้องมีแต่ละปี ๆ ของที่ผลิตมาจํานวนไม่มากนัก แต่ราคาค่อนข้างสูงสักหน่อย จะมีมูลค่า ยิ่งเล็กยิ่งแพง เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเราต้องพัฒนาทั้งในเรื่องของการเน้นการใช้นวัตกรรม เมื่อสักครู่เรื่องเอกลักษณ์พูดไปแล้ว ด้วยคําว่าเอกลักษณ์ คือเป็นการขายในเชิงคุณภาพ และการขายในเชิงปริมาณเราก็ผสมผสานในบางส่วนนี้ต้องใช้วัสดุต้องใช้เอกลักษณ์ของเราแต่โมเดิ้ลให้คนใช้ทั่วไป ไม่อย่างนั้นก็ซื้อเก็บไว้เฉย ๆ ฉะนั้นต้องออกแบบทั้งสองทางนะครับ เพื่อจะเพิ่มปริมาณให้มากยิ่งขึ้นและพัฒนาคุณภาพตลอดเวลา ให้เป็นที่นิยมและต้องหาการตลาดให้เหมาะสมว่าแต่ละประเทศเขาใช้แบบไหนความคุ้นเคยในการใช้ของเหล่านี้ เราก็ออกแบบให้สอดคล้องในการใช้ประโยชน์ ลองคิดดูนะครับ เป็นความคิดของผม เพราะฉะนั้นสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ รัฐบาลอยากจะบอกว่าขอบคุณทุกท่าน ขอบคุณที่ได้มีการพัฒนาตนเองได้รับรางวัลในครั้งนี้ ครั้งที่ 26 ผมคิดว่ารางวัลนี้ เป็นรางวัลที่รัฐบาลมุ่งมั่นเป็นเวที เวทีหนึ่งที่จะประกาศให้ทุกคนเห็นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้เห็นมาตรฐานในการควบคุมดูแลกํากับดูแลคุณภาพและในเรื่องของการความร่วมมือระหว่างรัฐ กับภาคธุรกิจเอกชน รัฐบาลนําพาคนเดียวไม่ได้จะไป 4.0 หรืออะไรแล้วแต่ไปไม่ได้หรอก ถ้าไม่ใช่พวกเราทุกคนมาช่วยกัน เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้อยากให้ทุกคนได้ทําความเข้าใจและช่วยขยายความเข้าใจไปยังกับประชาชนที่มีส่วนได้ส่วนเสียของประเทศนี้ด้วย ถ้าเราไม่ให้ความร่วมมือกันไปไม่ได้ รัฐบาลพูดคนเดียวก็พูดไม่ได้ ไม่สามารถเข้าใจกันทั้งหมด สิ่งที่รัฐบาลทําได้เวลานี้คือการสร้างความมีเสถียรภาพทางด้านการเมือง ความมั่นคงและในเรื่องของการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ สิ่งนี้เป็นปัจจัยที่จะทําทุกอย่างให้เดินหน้าไปได้ ไม่ว่าจะการประกอบการธุรกิจใด ก็ตามเพราะในวันนี้มีหลายประเทศร่วมพบปะพูดคุยเจรจาทางการค้า การลงทุนกับท่านรองนายกรัฐมนตรีเองกับผมเอง ในเอกอัครราชทูลหรือสถานทูตต่าง ๆ ก็พูดเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก เรื่องการเมืองก็เป็นเรื่องของแต่ละประเทศที่ต้องพัฒนาเดินตามความจําเป็นของแต่ละประเทศ ซึ่งเราก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องเหล่านั้นเราต้องเดินหน้าไปสู่ทางประชาธิปไตยที่เป็นสากล วันนี้ถ้าเราทําให้ประชาธิปไตยขึ้นเป็นสากลและยั่งยืน เราต้องแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งหมดของเราให้ได้ ในเรื่องเศรษฐกิจ ที่เราต้องสร้างห่วงโซ่เหล่านี้ให้ถึงคนข้างล่างให้ได้ ผู้ประกอบการ ผู้ผลิต เพราะฉะนั้นผู้ประกอบการต้องคํานึงถึงผู้ผลิตต้นทางให้มากที่สุด เพราะนั่นคือคนของทั้งประเทศ ในการที่จะผลิตวัตถุต้นทุนออกมาอะไรก็ตาม ไม่ว่าในเรื่องของการเกษตร ไม่ว่าในเรื่องของอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด วันนี้ผมก็ยังกังวลเรื่องกะทิ มะพร้าว ปลูกน้อยมาก และก็โดนหนอนหัวดํากินเรียบ เพราะนั้นต้องส่งเสริมการปลูกมะพร้าว มะพร้าวแกง มะพร้าวกะทิให้มากขึ้น ต้องนําเข้าแล้วราคาค่อนข้างจะแพง เพราะฉะนั้นเราต้องเร่งรัดเหล่านี้ ทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทางทางการตลาดในส่วนของเราวันนี้ รัฐบาลตั้งใจจัดทําขึ้นหลายปีมาแล้ว เพื่อจะช่วยชูเกียรติ ท่านได้รับกิจไปแล้ววันนี้ ทั้งที่ผ่านมาด้วยในช่วงที่ก่อนผมเข้ามา อันนี้เราก็แสดงให้เห็นให้รัฐบาลเห็นให้ทุกคนเห็นว่าเรามุ่งมั่นทุ่มเท อุตสาหะ ตั้งใจพัฒนาตนเองในการต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม วันนี้เราต้องสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อจะสร้างส่งผลให้สินค้าที่มีอัตลักษณ์ความเป็นไทยนั้น สามารถสร้างชื่อเสียงได้รับความนิยมเพื่อสร้างมูลค่าได้อย่างเต็มภาคภูมิ และก็ที่ท่านได้รับไปต้นแบบในการในขยายไปเป็นแรงบันดาลใจให้กับให้กับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ด้วย ขอบคุณทั้งสมาคมผู้ประกอบการทั้งหมด สมาคมหอการค้า สมาคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งหมด เป็นองค์ประกอบของเศรษฐกิจทุกภาคส่วน วันนี้ก็ทั้งรายย่อย องค์การรายใหญ่ สินค้าภายในประเทศเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาคุณภาพประเทศชาติไปพร้อม ๆ กัน การพัฒนาประเทศชาติมีอยู่ 2 อย่าง การประกอบการ มีรายได้ และเสียภาษีให้กับรัฐบาลในการที่จะไปพัฒนาในด้านอื่น ๆ ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งในการที่จะเขื่อมโยงในการจะไปประกอบการกับธุรกิจขาดใหญ่ที่ต่างประเทศหรือแม้แต่การลงทุนของต่างประเทศในประเทศไทย ทั้งหมดนั้นมาห่วงโซ่เดียวกันทั้งหมด อย่าให้เขาบอกว่าวันนี้เราดูแลแต่ผู้ประกอบการไม่ดูแลของต้นทางก็คือเกษตรกร ประชาชน ผู้ผลิตที่มีรายได้น้อยซึ่งมีความเลื่อมล้ําในคุณภาพชีวิตสิ่งสําคัญของโลกใบนี้คงไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ทุกประเทศในโลกใบนี้มีปัญหาด้วยกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราจะดูแลผู้มีรายได้น้อยได้อย่างไร รัฐบาลไม่สามารถดูแลได้แต่เพียงผู้เดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยากฝากท่านวันนี้ก็คือ ทุกท่านที่มีการประกอบการที่มีผลกําไรที่มีรายได้ที่ดีขึ้นสูงขึ้นฝากไปทบทวนเรื่องงบของท่านด้วยว่าทางจะดูแลประชาชนได้อย่างไร กลุ่มนั้น กลุ่มนี้ การศึกษา การพัฒนาต่าง ๆ อยากให้ท่านช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาลบ้าง อย่างน้อยเขาจะได้ไม่มีความคาดคางแคลงใจในเรื่องของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเรื่องสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเรื่องของการจ้างแรงงาน ส่วนผมคิดว่ามีทั้งแรงงานไทย แรงงานต่างประเทศ เราก็ต้องดูแลงานต่างประเทศเขาให้ดีที่สุด ทั้งแรงงานไทยด้วยการพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน แล้วเราก็ต้องเตรียมมาตรการลดความเสี่ยง ในวันหน้าในเรื่องของแรงงานสูงอายุ ในเรื่องของแรงงานที่ต้องกลับไปพัฒนาบ้านเมืองของตนเองภายใน 5 ปี ข้างหน้า แต่อย่างไรก็ตามก็อย่าเพิ่งละทิ้งเขาในเวลานี้ก็เพราะว่าเรากําลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศทั้งหมดซึ่งก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ท่านทราบดีอยู่ทั้งหมดแล้วแต่ผมต้องการเน้นย้ําท่าน stakeholder ทั้งหมด ทั้งในส่วนองค์กรของท่าน ผู้ประกอบการ สมาคมทั้งหมด และรวมความไปถึงประชาชนในประเทศไทยทั้งหมดว่าท่านจะมีส่วนร่วมอย่างไรในการจะดูแลเขาไปช่วยเหลือให้เขามีคุณภาพชีวิตที่พอเพียง สามารถอยู่ได้อย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรีอันนั้นเป็นสิ่งสําคัญ ผมอยากให้ท่านดูแลเขาเหมือนคนในครอบครัว ฉะนั้นวันนี้เราต้องสร้างคนที่มีคุณธรรม สถานประกอบการที่มีคนคุณธรรมทํางาน มีธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการเป็นองค์กรที่มีจริยธรรมไม่ว่าจะบริษัทใด ห้างใดหรือร้านค้าใด ๆ ก็ตามทุกกิจการ มีธรรมภิบาล 6 ข้อ ท่านนํามาทบทวนดู ท่านทําให้ครบเถอะครับและก็ดูแลผู้ที่มีรายได้น้อยไปด้วย ดูแลคนไทยไปด้วย ดูแลคนต่างประเทศที่มาร่วมทุน ร่วมประกอบการในห่วงโซ่ของท่านด้วย ทุกอย่างจะไปพร้อมกับ โลกใบนี้จะลดความขัดแย้งไปได้เยอะ ต้องติดตามสถานการณ์ต่างประเทศด้วยนะครับและพัฒนาในเศรษฐกิจของเรา ให้เดินหน้าไปให้ได้ โดยพูดจาหารือซึ่งกันและกันหลายคณะกรรมการที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็หลายท่าน หลายท่านบอกว่าที่ทําใหม่ ๆ แล้วนี้ คือทําให้ดีขึ้นมีการสั่งสินค้ามากขึ้น หลายคนให้กําลังใจนายกฯ ถามว่า นายกฯ เหนื่อยไหม ผมบอกผมเหนื่อยไม่ได้หรอกครับ ผมก็ยังเหมือนเดิมแต่ผมพยายามจะลดภาระอื่น ๆ ออกไปบ้าง เอามาเดินหน้า อย่างนี้แบบเดียวดีกว่า ผมไม่อยากทะเลาะขัดแย้งกับใคร ก็ขอให้ทุกคนมีหลักคิดในการทํางานนะครับ เข้าใจและช่วยกันพูด ทําให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ฝ่ายพัฒนาเศรษฐกิจก็พร้อมในการแก้ปัญหาร่วมกับผมให้ได้ การพัฒนาแรงงาน การเพิ่มมูลค่า การไปดูการก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ซึ่งจะไปตอบสนองนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลอย่างยั่งยืนและรวดเร็วขึ้น เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการออกแบบการผลิตสินค้าที่มีเอกลักษณ์ เมื่อวานนี้ผมได้ให้เขาออก วีดีทัศน์เรื่องของหุ่นยนต์ เป็นการรองรับอนาคตอันไม่นานนัก ก็มีบางส่วนต้องปรับตัวเรื่องการลงทุนใหม่ อันเก่าก็มีปรับเปลี่ยนเครื่องจักรสร้างนวัตกรรม เพื่อจะทําอย่างไรให้สามารถที่จะมีราคาแข่งขันกับตลาดอื่นเขาได้ อันนั้นคือสิ่งที่สําคัญเป็นเรื่องของต้นทุนในการผลิตสินค้า แต่ท่านอย่าไปลดค่าแรง อย่าไปลดสิทธิประโยชน์ของเขา ต้องลดบางส่วนออกไป ลดกําไรลงหน่อยนึง เพื่อไปตอบแทนเขา แล้วสามารถลดราคาได้ นี่คือการแข่งขันทางการตลาดเป็นอย่างนี้อยู่ เดินหน้ามาถึงตรงนี้แล้ว เราถอยอย่างอื่นไม่ได้ ก็ต้องขอความรู้ท่าน เห็นอกเห็นใจคน และวันนี้ หลายอย่างอยากให้ติดตาม เรามีมาตรการต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะการเดินหน้าเศรษฐกิจ เศรษฐกิจใหม่ EEC เศรษฐกิจพิเศษ กฎกติกาของ BOI สิทธิประโยชน์ ทุกคนช่วยกันศึกษาทําความเข้าใจ แล้วก็ไปพิจารณาในแผนของการปรับปรุงของท่าน ยุทธศาสตร์ของท่าน ในการที่จะขยายกิจการที่จะลงทุน อยากให้ท่านขยายการลงทุนให้เพิ่มขึ้นด้านเกษตรกรรมให้มากยิ่งขึ้น ไปดูกันนะครับใน 5 New Curve และมีมาตราการอีกเยอะ ถ้าท่านมีปัญหาหรืออยากปรึกษาก็บอกมา เราพร้อมจะสนับสนุนท่าน คือวันนี้เศรษฐกิจต้องเดินหน้า ต้องเดินหน้าให้ได้คู่ไปกับความมั่นคง ความมีเสถียรภาพ เมื่อวานก็ได้ข่าวตลาดหุ้นเขียวทั้งกระดานเลยใช่ไหม ให้เขียวอย่างนี้ทุกวันได้ มันก็ต้องมีมาตรการลดความเสี่ยงด้วยละกัน ผมก็ยืนยันว่าจะทําเต็มที่นะครับ ความสําเร็จของท่านวันนี้ขึ้นตรง สมกับที่รับรางวัลจากรัฐบาล เป็นกําไรให้กันและกัน หวังว่าท่านจะเป็นฟันเฟืองสําคัญให้กับประเทศของเราในการเดินหน้าเศรษฐกิจไทยให้รุดหน้า อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน สิ่งสําคัญสร้างวัฒนธรรมในองค์กร ในธุรกิจของท่าน ในสถานประกอบการของท่าน ให้เป็นองค์กรที่มีจริยธรรม มีคนที่มีคุณธรรมทํางานอยู่ในหน่วยงานของท่าน ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน คนไทย คนต่างด้าว อะไรต่าง ๆ ดูแลเขาให้ดี เหมือนเขาเป็นคนในครอบครัว แล้วเขาจะรู้สึกมีส่วนร่วมในการพัฒนาสินค้า ในการทํางานกับท่าน ที่เป็นสิ่งที่เราต้องใช้ความเป็นไทย เราเคยมีมาตลอด วันนี้ก็ยังมีอยู่ ผมคิดว่าบางครั้งอาจจะลืมไปนิดหนึ่ง ความโอบอ้อมอารี ความประนีประนอมในการทํางาน ในการพบปะพูดคุยหารือซึ่งกันและกัน ซึ่งหลายอย่างเราไม่ได้ให้ความสําคัญในเรื่องเหล่านี้มา ซึ่งมันเป็นวัฒนธรรมของคนไทย ประเทศไทย และต้องดูแลคนต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทย พร้อมทั้งสนับสนุนคนไทยให้ไปลงทุนในต่างประเทศด้วย เพราะการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด ผมอยากให้เป็นฝีมือของคนไทยเป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่สองก็คือการลงทุนจากต่างประเทศ ผมต้องการมากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมีความสําคัญเท่าเทียมกัน ก็ทั้งสองฝ่ายฝากด้วย เพราะฉะนั้นก็ให้คํานึงถึงประเทศชาติ และคํานึงถึงประชาชนให้มากที่สุดควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันจําเป็นต้องมีมาตรการที่เข้มงวดในเรื่องของการรักษาสภาวะและสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เราต้องเก็บไว้ให้ลูกให้หลานของเราในอนาคต เรามีไม่มากนัก เพราะฉะนั้นเราต้องใช้อย่างประหยัด และอย่างคุ้มค่า นอกจากนี้ การปฏิบัติตามพันธสัญญาเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมายการค้ามนุษย์ กฎหมายแรงงานเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกท่านจะต้องไม่ผิดในเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น เพราะท่านเป็นแบบอย่าง เป็นตัวอย่างที่จะสร้างแรงจูงใจให้คนอื่น แล้วก็ดูแลเรื่องพิจารณาสิทธิมนุษยชน แล้วเราก็ขอให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีก็คือคนไทยทุกคน อยู่ที่ท่าน รัฐบาลก็ทําได้วันหน้ารัฐบาลก็เหลือมีหน้าที่เป็นเพียงRegulatoryสนับสนุน กฎกติกา อํานวยความสะดวก ประเทศต้องขับเคลื่อนด้วยภาคเอกชน ธุรกิจ ประชาชน อันนี้คือหลักการในอนาคตของรัฐบาล ขอบคุณที่ให้กําลังใจทุกคนให้มีผลการประกอบการที่ยอดเยี่ยม ดีมากยิ่งขึ้นวันหน้าก็มีรางวัลอะไรเพิ่มขึ้นก็ไม่รู้นะ คือมีรายได้ยอดเยี่ยมแล้วก็อะไรละ ดูแลประชาชนยอดเยี่ยมอะไรอย่างนี้นะ พิจารณายอดเยี่ยม มันจะได้นึกถึงคนอื่นเขา จําผมไว้เถอะครับ อันนี้มันเป็นกุศลเข้าใจไหม ทําอะไรก็ตามก็ขอให้นึกถึงคนอื่นทุกวัน ทุกอย่าง ไม่ว่าจะทําอะไร ถ้าทําจะทําอะไรตรงนี้ ตรงนี้ได้เท่าไร ต้นทางเขาได้ไหม ประชาชนเขาได้ไหม นี้มันเป็นกุศล ถ้าเรามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นใช่ไหม ทุกอย่างมันก็มีความสุข อย่าให้ขัดแย้งกันไม่ได้แล้ว โลกมีความขัดแย้งกันสูงอยู่แล้ว เราต้องลดความขัดแย้งให้ได้ เพราะเป็นหน้าที่ของเราทั้งในประเทศแล้วก็ในประชาคมโลกด้วย แล้วก็โลกใบนี้ เราอาศัยอยู่ร่วมกัน 6 พันกว่าล้านคน เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่ในการพิทักษ์โลกด้วย ถึงแม้จะเป็นประเทศไทยเล็ก ๆ เราก็ต้องพิทักษ์โลกด้วย ไม่ว่าจะดิน ฟ้า อากาศ น้ํา มันเชื่อมต่อกันทั้งโลก ถ้าเสียตรงนี้วันหน้าก็เสียตรงโน้น วันนี้ขั้วโลกเหนือละลายน้ําแข็งมันมาถึงเราหมดนั้นแหละ เพราะน้ํามันมากขึ้น นั้นก็คือปัญหาของเรา การเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมของอากาศ โรคระบาดชนิดใหม่เขาก็พัฒนา เชื้อโรคก็พัฒนาของเขานะ เราก็ต้องพัฒนาในเรื่องของสุขภาพ เรื่องสาธารณสุขให้รองรับให้ได้ รัฐบาลนี้มุ่งมั่นทุกเรื่อง ปัญหามีมากมายสิ่งที่เราต้องปฏิรูปประเทศนั้นมี 37 เรื่องมั่ง 30-37 เรื่องทั้งหมดเกือบ 200 กิจกรรม ใน 200 กิจกรรมแยกออกเป็นกิจกรรมย่อยเป็น 10-20 เพราะฉะนั้นเท่ากับพัน นั้นแหละเขาเรียกว่าการปฏิรูป ซึ่งต้องมีทั้งกฎหมาย มีทั้งระเบียบ กฎหมายวันนี้มี 5 หมื่นกว่าฉบับ กฎหมายใหญ่ พรบ. กฎหมายลูก กฎกระทรวง กฎอะไรต่าง ๆ อีกแสนกว่าฉบับ ก็ต้องฏิรูปทั้งหมดเหมือนกัน นั้นแหละเขาเรียกว่าการปฏิรูปReformไม่ใช่ปฏิรูปสั่งวันนี้พรุ่งนี้เสร็จมันไม่ได้หรอกครับ เพียงแต่ว่าหาอะไรที่มีปัญหาติดขัดอุปสรรคมาคุยกันก่อนพูดกันก่อน การอํานวยความสะดวก การให้ข้อมูลข่าวสาร การช่วยเหลือตามกฎกติกาให้สอดคล้องตามหลักสากล เหล่านี้คือสิ่งที่รัฐบาลนี้พยายามอย่างเต็มที่ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา แล้วเราจะทําต่อไป แล้วก็จะส่งมอบให้รัฐบาลต่อ ๆ ไปได้ทําอย่างต่อเนื่องนะครับ ก็พร้อมจะรับฟังความคิดเห็นทุกท่าน ขอขอบคุณ ขอแสดงความยินดีอีกครั้งนะครับ ขอชื่นชมผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลนะครับทุกท่าน ขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และหน่วยงานอื่น ๆ รวมทั้งบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่ร่วมมือจัดงานในวันนี้ อีกอันคือสิ่งที่เราจะต้องแก้ไขให้ได้ ให้เป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ให้ได้คือการทุจริตคอร์รัปชั่น นั้นนี้คือสิ่งที่ผมสัญญาไว้แล้วกับคนไทยทั้งประเทศนะครับ จะต้องไม่มีการเรียกรับผลประโยชน์ แต่ต้องมีการเสนอผลประโยชน์ เราต้องทําให้มันโปร่งใส เราถึงจะได้รับการยอมรับนะครับ อันนี้คือสิ่งที่รัฐบาลคาดหวังเป็นอย่างยิ่ง แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง ขอขอบคุณทุกท่าน ขอบคุณผู้ประกอบการให้มีรายสูงขึ้น เสียภาษีให้มากขึ้น อัตราเดิม ๆ ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เดี๋ยวหาว่าผมไปขึ้นภาษีอีก พูดไม่ได้ภาษี ไม่รู้กลัวอะไรกันนักหนา ทุกคนทุกประเทศก็มีการพัฒนา เราก็ยังไม่ไปตรงนั้น เพราะยังมีปัญหาอยู่นะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุข ความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมความปรารถนาทุกคน สวัสดีครับ ขอบคุณครับ .....................................
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6332
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร" หารือความร่วมมือด้านการศึกษากับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 รมช.ศธ."ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร" หารือความร่วมมือด้านการศึกษากับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือกับ H.E. Mr. Asim Iftikhar Ahmad เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือกับ H.E. Mr. Asim Iftikhar Ahmad เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจําประเทศไทย โดยมีนางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้แทนจากสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป. ร่วมหารือ เมื่อวันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562 ณ ห้องดํารงราชานุภาพ กระทรวงศึกษาธิการ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าในอนาคตจะมีความท้าทายด้านการศึกษาเกิดขึ้นในหลายด้าน ทั้งการร่วมมือกันของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย การส่งเสริมการแบ่งปันทรัพยากร ตลอดจนการหาจุดแข็งร่วมกันของแต่ละประเทศ และความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัย จะเป็นพลังสําคัญในการพัฒนาประเทศในภูมิภาคนี้ ให้มีความก้าวหน้าอย่างเข้มแข็งทัดเทียมกับนานาประเทศได้ ในเรื่องการศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษาไทยไปเรียน "อิสลามศึกษา" ที่ปากีสถานจํานวนมาก เนื่องจากปากีสถานตั้งอยู่ไม่ไกลจากไทยมากนัก และมีการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษาระหว่างกัน โดย ศธ.มีความยินดีและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษาอย่างต่อเนื่องต่อไป รมช.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการดําเนินงานของ ศธ.ด้วยว่า ในขณะนี้กําลังเร่งปฏิรูปและพัฒนาการศึกษาในหลายด้าน อาทิ การส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาสร้างนวัตกรรมที่สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ และสอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0, การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม, การกระจายอํานาจการบริหารให้กับสถานศึกษาในพื้นที่, ลดการควบคุมอํานาจจากส่วนกลาง เป็นต้น เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน กล่าวว่า การเข้าเยี่ยมคารวะในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดี ที่ได้หารือความร่วมมือด้านการศึกษาร่วมกัน โดยปากีสถานยินดีที่จะร่วมสนับสนุนและพัฒนาการศึกษาของทั้งสองฝ่ายให้มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษาจากปากีสถาน มาศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาของไทยหลายแห่ง อาทิ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (Asian Institute of Technology) มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น ในส่วนของปากีสถานเอง ได้จัดสรรทุนการศึกษาให้กับนักเรียนนักศึกษาไทยสําหรับไปเรียนต่อที่ปากีสถานเช่นเดียวกัน ซึ่งทําให้คนรู้จักปากีสถานมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ คาดหวังว่าไทยและปากีสถานจะได้มีการลงนามความร่วมมือด้านการศึกษาร่วมกันในอนาคต Written by อรพรรณ​ ฤทธิ์มั่น Photo Credit อิทธิพล​ รุ่ง​ก่อน Rewriter นวรัตน์​ ราม​สูต Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ศธ."ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร" หารือความร่วมมือด้านการศึกษากับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 รมช.ศธ."ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร" หารือความร่วมมือด้านการศึกษากับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือกับ H.E. Mr. Asim Iftikhar Ahmad เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้การต้อนรับและหารือกับ H.E. Mr. Asim Iftikhar Ahmad เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจําประเทศไทย โดยมีนางสาวดุริยา อมตวิวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนผู้แทนจากสํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และสํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป. ร่วมหารือ เมื่อวันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562 ณ ห้องดํารงราชานุภาพ กระทรวงศึกษาธิการ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าในอนาคตจะมีความท้าทายด้านการศึกษาเกิดขึ้นในหลายด้าน ทั้งการร่วมมือกันของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กับประเทศต่าง ๆ ในทวีปเอเชีย การส่งเสริมการแบ่งปันทรัพยากร ตลอดจนการหาจุดแข็งร่วมกันของแต่ละประเทศ และความร่วมมือด้านการศึกษาและการวิจัย จะเป็นพลังสําคัญในการพัฒนาประเทศในภูมิภาคนี้ ให้มีความก้าวหน้าอย่างเข้มแข็งทัดเทียมกับนานาประเทศได้ ในเรื่องการศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษาไทยไปเรียน "อิสลามศึกษา" ที่ปากีสถานจํานวนมาก เนื่องจากปากีสถานตั้งอยู่ไม่ไกลจากไทยมากนัก และมีการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษาระหว่างกัน โดย ศธ.มีความยินดีและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษาอย่างต่อเนื่องต่อไป รมช.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการดําเนินงานของ ศธ.ด้วยว่า ในขณะนี้กําลังเร่งปฏิรูปและพัฒนาการศึกษาในหลายด้าน อาทิ การส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาสร้างนวัตกรรมที่สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ และสอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0, การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม, การกระจายอํานาจการบริหารให้กับสถานศึกษาในพื้นที่, ลดการควบคุมอํานาจจากส่วนกลาง เป็นต้น เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน กล่าวว่า การเข้าเยี่ยมคารวะในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดี ที่ได้หารือความร่วมมือด้านการศึกษาร่วมกัน โดยปากีสถานยินดีที่จะร่วมสนับสนุนและพัฒนาการศึกษาของทั้งสองฝ่ายให้มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีนักเรียนนักศึกษาจากปากีสถาน มาศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาของไทยหลายแห่ง อาทิ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (Asian Institute of Technology) มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น ในส่วนของปากีสถานเอง ได้จัดสรรทุนการศึกษาให้กับนักเรียนนักศึกษาไทยสําหรับไปเรียนต่อที่ปากีสถานเช่นเดียวกัน ซึ่งทําให้คนรู้จักปากีสถานมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ คาดหวังว่าไทยและปากีสถานจะได้มีการลงนามความร่วมมือด้านการศึกษาร่วมกันในอนาคต Written by อรพรรณ​ ฤทธิ์มั่น Photo Credit อิทธิพล​ รุ่ง​ก่อน Rewriter นวรัตน์​ ราม​สูต Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18009
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ถกแนวคิด-กรอบมาตรฐาน ข้อกำหนดขั้นต่ำด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ นัดแรก
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563 ดีอีเอส ถกแนวคิด-กรอบมาตรฐาน ข้อกําหนดขั้นต่ําด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ นัดแรก ดีอีเอส ถกแนวคิด-กรอบมาตรฐาน ข้อกําหนดขั้นต่ําด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ นัดแรก นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกํากับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทําหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และนายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงฯ พร้อมผู้แทน เช้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม สพธอ. เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 63 สําหรับการประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมนัดแรกของคณะกรรมการรชุดดังกล่าว โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาแผนการทํางานของคณะกรรมการ และพิจารณาแนวคิดการกําหนดกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ อันเป็นข้อกําหนดขั้นต่ําในการดําเนินการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สําหรับหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสําคัญทางสารสนเทศ เพื่อยกระดับการป้องกัน รับมือ และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 กําหนด *************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ถกแนวคิด-กรอบมาตรฐาน ข้อกำหนดขั้นต่ำด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ นัดแรก วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563 ดีอีเอส ถกแนวคิด-กรอบมาตรฐาน ข้อกําหนดขั้นต่ําด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ นัดแรก ดีอีเอส ถกแนวคิด-กรอบมาตรฐาน ข้อกําหนดขั้นต่ําด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ นัดแรก นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกํากับดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทําหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ และนายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงฯ พร้อมผู้แทน เช้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม สพธอ. เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 63 สําหรับการประชุมครั้งนี้ เป็นการประชุมนัดแรกของคณะกรรมการรชุดดังกล่าว โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาแผนการทํางานของคณะกรรมการ และพิจารณาแนวคิดการกําหนดกรอบมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ อันเป็นข้อกําหนดขั้นต่ําในการดําเนินการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สําหรับหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสําคัญทางสารสนเทศ เพื่อยกระดับการป้องกัน รับมือ และลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 กําหนด *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33584
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"บังคับคดี" โชว์ผลงานไตรมาสแรก ปี'๖๐ ผลักดันทรัพย์สินได้กว่า ๒๙,๙๕๕ ล้านบาท
วันพุธที่ 18 มกราคม 2560 "บังคับคดี" โชว์ผลงานไตรมาสแรก ปี'๖๐ ผลักดันทรัพย์สินได้กว่า ๒๙,๙๕๕ ล้านบาท แถลงผลการปฏิบัติงานของกรมบังคับคดี ในไตรมาสที่ ๑ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมผู้บริหารกรมบังคับคดี แถลงผลการปฏิบัติงานของกรมบังคับคดี ในไตรมาสที่ ๑ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งกรมบังคับคดีสามารถผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบบังคับคดี ได้จํานวน ๒๙,๙๕๕,๖๔๖,๖๕๓ บาท มีเรื่องเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี จํานวน ๓,๒๐๕ เรื่อง ทุนทรัพย์๑,๐๙๑,๕๙๖,๖๓๙.๓๒ บาท ไกล่เกลี่ยสําเร็จ จํานวน ๒,๘๕๖ เรื่อง ทุนทรัพย์ ๘๓๘,๒๑๔,๙๙๕.๑๕ บาท และเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ได้รับรางวัลชมเชยองค์กรโปร่งใส ครั้งที่ ๖ ประจําปี ๒๕๕๙ จากสํานักงาน ป.ป.ช.โดยมีสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังจํานวนมาก ณ ศูนย์บังคับคดีล้มละลายส่วนหน้า อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"บังคับคดี" โชว์ผลงานไตรมาสแรก ปี'๖๐ ผลักดันทรัพย์สินได้กว่า ๒๙,๙๕๕ ล้านบาท วันพุธที่ 18 มกราคม 2560 "บังคับคดี" โชว์ผลงานไตรมาสแรก ปี'๖๐ ผลักดันทรัพย์สินได้กว่า ๒๙,๙๕๕ ล้านบาท แถลงผลการปฏิบัติงานของกรมบังคับคดี ในไตรมาสที่ ๑ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี พร้อมผู้บริหารกรมบังคับคดี แถลงผลการปฏิบัติงานของกรมบังคับคดี ในไตรมาสที่ ๑ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งกรมบังคับคดีสามารถผลักดันทรัพย์สินออกจากระบบบังคับคดี ได้จํานวน ๒๙,๙๕๕,๖๔๖,๖๕๓ บาท มีเรื่องเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี จํานวน ๓,๒๐๕ เรื่อง ทุนทรัพย์๑,๐๙๑,๕๙๖,๖๓๙.๓๒ บาท ไกล่เกลี่ยสําเร็จ จํานวน ๒,๘๕๖ เรื่อง ทุนทรัพย์ ๘๓๘,๒๑๔,๙๙๕.๑๕ บาท และเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ได้รับรางวัลชมเชยองค์กรโปร่งใส ครั้งที่ ๖ ประจําปี ๒๕๕๙ จากสํานักงาน ป.ป.ช.โดยมีสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังจํานวนมาก ณ ศูนย์บังคับคดีล้มละลายส่วนหน้า อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1399
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Startup ไทย เตรียมเฮ รมว.ดีอีเอส ชักชวน Amazon Web Services ร่วมสนับสนุน Startup ไทย
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563 Startup ไทย เตรียมเฮ รมว.ดีอีเอส ชักชวน Amazon Web Services ร่วมสนับสนุน Startup ไทย Startup ไทย เตรียมเฮ รมว.ดีอีเอส ชักชวน Amazon Web Services ร่วมสนับสนุน Startup ไทย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกัณต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และคณะฯ เดินหน้า โรดโชว์หารือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านดิจิทัลของสหรัฐอเมริกา เพื่อเชิญชวนนักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทยอย่าง ต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 คณะผู้บริหารกระทรวงดีอีเอส และสานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้เดินทางเข้าหารือความร่วมมือกับผู้บริหารระดับสูงของ Amazon Web Services (AWS) ณ สานักงาน ใหญ่ Amazon Seattle โดยปกติแล้วคนไทยส่วนใหญ่จะรู้จัก Amazon ในฐานะแฟลตฟอร์ม e-commerce ที่ ได้รับความนิยม แต่สําหรับ AWS นี้จะมีความถนัดในเรื่องระบบ cloud ซึ่งมีระบบสนับสนุนหลายระบบ รวมถึง e-commerce ของ Amazon เองและยังมีบริการเรื่องระบบความปลอดภัยของข้อมูล และมีโครงการพัฒนา startup ด้วย “ซึ่งผมเห็นว่า Amazon มีโอกาสมากในไทย เพราะเป็นบริษัทที่ startup ในไทยรู้จักเป็นอย่างดี ผมจึง ชักชวนให้ AWS มาทํากิจกรรมเพิ่มขึ้นในประเทศไทย และสนับสนุนประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งต่อไปจะเห็นความร่วมมือระหว่าง depa และ AWS มากขึ้น จะมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนระหว่าง startup และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสร้างเครือข่าย startup ไทยและอเมริกา จะมีการจัดกิจกรรมในประเทศไทยมากขึ้น รวมไปถึงการขายใน launch pad ซึ่งเป็น platform ขายสินค้าที่เป็นนวัตกรรมของ startup บน amazon.com เป็นประโยชน์อย่างมากในการยกระดับ startup ไทยสู่สากล” รมว.ดีอีเอส กล่าว การหารือในคราวนี้ เป็นการสร้างความชัดเจนและความเชื่อมั่นด้านการลงทุนดิจิทัลของประเทศไทยสาหรับ Amazon เป็นอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ทั้งในด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และการเชื่อมต่อด้านดิจิทัล จึงได้มีการตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น Digital Hub ของอาเซียน ดังนั้นการลงทุนด้านดิจิทัลในไทยจึงเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้ตลาดในอาเซียนอีกด้วย นายพุทธิพงษ์ ให้ความเห็นว่า “ผมคิดว่าหลังจากนี้ ประเทศไทยต้องไปทําการบ้านในรายละเอียดมากขึ้น และ Amazon ซึ่งถือว่าเป็นอีกบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ให้ความสนใจประเทศไทย และเนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีการทํา ประชาสัมพันธ์เชิงรุก เราจึงอยู่เฉยไม่ได้ ต้องออกมาอธิบายนําเสนอโครงสร้างพื้นฐาน สิทธิประโยชน์ที่ประเทศ ไทยมีให้นักลงทุนรับทราบ นอกจากนี้ผมยังต้องการรับฟังความเห็นจากบริษัทระดับโลก ว่าหากจะมาลงทุนใน ประเทศไทย บริษัทเหล่านี้ต้องการอะไรบ้าง ซึ่งทาง AWS สนใจเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม และแรงงานที่สามารถรองรับการลงทุนได้ ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมอยู่แล้ว และเรื่องที่ทาง AWS ให้ความสนใจคือเรื่อง การใช้พลังงานทดแทน พลังงานสะอาด ซึ่งประเทศไทยก็มีความพร้อมด้านนี้ หากบริษัทนี้มาลงทุนในประเทศไทย จะทําให้การลงทุนขนาดใหญ่และกิจกรรมสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง ตามมาด้วย ซึ่งผมหวังว่าจะมีข่าวดีในเร็วๆ นี้”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Startup ไทย เตรียมเฮ รมว.ดีอีเอส ชักชวน Amazon Web Services ร่วมสนับสนุน Startup ไทย วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563 Startup ไทย เตรียมเฮ รมว.ดีอีเอส ชักชวน Amazon Web Services ร่วมสนับสนุน Startup ไทย Startup ไทย เตรียมเฮ รมว.ดีอีเอส ชักชวน Amazon Web Services ร่วมสนับสนุน Startup ไทย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกัณต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และคณะฯ เดินหน้า โรดโชว์หารือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านดิจิทัลของสหรัฐอเมริกา เพื่อเชิญชวนนักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทยอย่าง ต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 คณะผู้บริหารกระทรวงดีอีเอส และสานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้เดินทางเข้าหารือความร่วมมือกับผู้บริหารระดับสูงของ Amazon Web Services (AWS) ณ สานักงาน ใหญ่ Amazon Seattle โดยปกติแล้วคนไทยส่วนใหญ่จะรู้จัก Amazon ในฐานะแฟลตฟอร์ม e-commerce ที่ ได้รับความนิยม แต่สําหรับ AWS นี้จะมีความถนัดในเรื่องระบบ cloud ซึ่งมีระบบสนับสนุนหลายระบบ รวมถึง e-commerce ของ Amazon เองและยังมีบริการเรื่องระบบความปลอดภัยของข้อมูล และมีโครงการพัฒนา startup ด้วย “ซึ่งผมเห็นว่า Amazon มีโอกาสมากในไทย เพราะเป็นบริษัทที่ startup ในไทยรู้จักเป็นอย่างดี ผมจึง ชักชวนให้ AWS มาทํากิจกรรมเพิ่มขึ้นในประเทศไทย และสนับสนุนประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งต่อไปจะเห็นความร่วมมือระหว่าง depa และ AWS มากขึ้น จะมีกิจกรรมแลกเปลี่ยนระหว่าง startup และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสร้างเครือข่าย startup ไทยและอเมริกา จะมีการจัดกิจกรรมในประเทศไทยมากขึ้น รวมไปถึงการขายใน launch pad ซึ่งเป็น platform ขายสินค้าที่เป็นนวัตกรรมของ startup บน amazon.com เป็นประโยชน์อย่างมากในการยกระดับ startup ไทยสู่สากล” รมว.ดีอีเอส กล่าว การหารือในคราวนี้ เป็นการสร้างความชัดเจนและความเชื่อมั่นด้านการลงทุนดิจิทัลของประเทศไทยสาหรับ Amazon เป็นอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ทั้งในด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และการเชื่อมต่อด้านดิจิทัล จึงได้มีการตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็น Digital Hub ของอาเซียน ดังนั้นการลงทุนด้านดิจิทัลในไทยจึงเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้ตลาดในอาเซียนอีกด้วย นายพุทธิพงษ์ ให้ความเห็นว่า “ผมคิดว่าหลังจากนี้ ประเทศไทยต้องไปทําการบ้านในรายละเอียดมากขึ้น และ Amazon ซึ่งถือว่าเป็นอีกบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ให้ความสนใจประเทศไทย และเนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีการทํา ประชาสัมพันธ์เชิงรุก เราจึงอยู่เฉยไม่ได้ ต้องออกมาอธิบายนําเสนอโครงสร้างพื้นฐาน สิทธิประโยชน์ที่ประเทศ ไทยมีให้นักลงทุนรับทราบ นอกจากนี้ผมยังต้องการรับฟังความเห็นจากบริษัทระดับโลก ว่าหากจะมาลงทุนใน ประเทศไทย บริษัทเหล่านี้ต้องการอะไรบ้าง ซึ่งทาง AWS สนใจเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อม และแรงงานที่สามารถรองรับการลงทุนได้ ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมอยู่แล้ว และเรื่องที่ทาง AWS ให้ความสนใจคือเรื่อง การใช้พลังงานทดแทน พลังงานสะอาด ซึ่งประเทศไทยก็มีความพร้อมด้านนี้ หากบริษัทนี้มาลงทุนในประเทศไทย จะทําให้การลงทุนขนาดใหญ่และกิจกรรมสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง ตามมาด้วย ซึ่งผมหวังว่าจะมีข่าวดีในเร็วๆ นี้”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26050
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในกำกับที่จังหวัดอุทัยธานี ก่อนการประชุม ครม.สัญจร
วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2561 รองนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในกํากับที่จังหวัดอุทัยธานี ก่อนการประชุม ครม.สัญจร รองนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในกํากับที่จังหวัดอุทัยธานี ก่อนการประชุม ครม.สัญจร ​ตามที่นายกรัฐมนตรีกําหนดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดนครสวรรค์ ในวันที่ 12 มิถุนายน 2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กําหนดลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการหน่วยงานในกํากับด้านยุติธรรม ด้านวิจัย ด้านการศึกษา และด้านดิจิทัล ในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี ในวันที่ 11 มิถุนายน 2561 เพื่อเป็นการเตรียมข้อมูลสําหรับการเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ในวันที่ 12 มิถุนายน 2561 ต่อไป ทั้งนี้พื้นที่ในการลงตรวจราชการของพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะ ได้แก่ ​ เวลา 09.30 น. เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการยุติธรรมสู่บ้านนําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ 8/2561 และเยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานภาคี พร้อมพบปะประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนเรื่องหนี้นอกระบบและเรื่องอื่น ๆ ณ ที่ว่าการอําเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ​ เวลา 11.40 น. เดินทางไปยังตําบลทุ่งโพ อําเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อตรวจเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ และขับเคลื่อนงานวิจัยมุ่งเป้ากลุ่ม “ข้าว” สู่การใช้ประโยชน์ ​ เวลา 13.50 น. เดินทางไปยังเรือนจําจังหวัดอุทัยธานี อําเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อตรวจเยี่ยมการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาสําหรับผู้ต้องขังในเรือนจํา ​ เวลา 16.00 น. เดินทางไปตรวจเยี่ยมจุดเน็ตประชารัฐที่หมู่ ๗ บ้านเขาพระแวง ตําบลเนินแจง อําเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ตามโครงการเน็ตประชารัฐ ​ จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อเตรียมเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในวันรุ่งขึ้นต่อไป ......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในกำกับที่จังหวัดอุทัยธานี ก่อนการประชุม ครม.สัญจร วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2561 รองนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในกํากับที่จังหวัดอุทัยธานี ก่อนการประชุม ครม.สัญจร รองนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในกํากับที่จังหวัดอุทัยธานี ก่อนการประชุม ครม.สัญจร ​ตามที่นายกรัฐมนตรีกําหนดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดนครสวรรค์ ในวันที่ 12 มิถุนายน 2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กําหนดลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการหน่วยงานในกํากับด้านยุติธรรม ด้านวิจัย ด้านการศึกษา และด้านดิจิทัล ในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี ในวันที่ 11 มิถุนายน 2561 เพื่อเป็นการเตรียมข้อมูลสําหรับการเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ในวันที่ 12 มิถุนายน 2561 ต่อไป ทั้งนี้พื้นที่ในการลงตรวจราชการของพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยคณะ ได้แก่ ​ เวลา 09.30 น. เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการยุติธรรมสู่บ้านนําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ 8/2561 และเยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานภาคี พร้อมพบปะประชาชนเพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนเรื่องหนี้นอกระบบและเรื่องอื่น ๆ ณ ที่ว่าการอําเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี ​ เวลา 11.40 น. เดินทางไปยังตําบลทุ่งโพ อําเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อตรวจเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตข้าวอินทรีย์ และขับเคลื่อนงานวิจัยมุ่งเป้ากลุ่ม “ข้าว” สู่การใช้ประโยชน์ ​ เวลา 13.50 น. เดินทางไปยังเรือนจําจังหวัดอุทัยธานี อําเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อตรวจเยี่ยมการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาสําหรับผู้ต้องขังในเรือนจํา ​ เวลา 16.00 น. เดินทางไปตรวจเยี่ยมจุดเน็ตประชารัฐที่หมู่ ๗ บ้านเขาพระแวง ตําบลเนินแจง อําเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ตามโครงการเน็ตประชารัฐ ​ จากนั้นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อเตรียมเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในวันรุ่งขึ้นต่อไป ......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12898
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ อัดแพ็คเกจ 5 โครงการใหญ่ ช่วยยางทั้งระบบ กว่า 50,000 ล้านบาท เตรียมเข้าครม.ด่วน
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 เกษตรฯ อัดแพ็คเกจ 5 โครงการใหญ่ ช่วยยางทั้งระบบ กว่า 50,000 ล้านบาท เตรียมเข้าครม.ด่วน เกษตรฯ ดันแพ็คเกจช่วยยางทั้งระบบ เดินเครื่องออกมาตรการช่วยเหลือครบทั้งเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางพารา บรรเทาผลกระทบจากการสถานการณ์โควิด-19 เผยเตรียมนําเข้าครม.พิจารณา นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบไปในทุกภาคส่วน ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งในส่วนของยางพารานั้น ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้เร่งหามาตรการต่าง ๆ และได้นัดประชุมคณะกรรมการ กยท. กรณีพิเศษ เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา เพื่อเร่งออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางพารา บรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) โดยได้เห็นชอบให้ดําเนินการใน 5 โครงการ คือ 1) โครงการประกันรายได้ระยะที่ 2 งบประมาณ 42,000 ล้านบาท 2) โครงการพัฒนาความร่วมมือการผลิตและการตลาดภาคอุตสาหกรรมยางพารา งบประมาณ 11.3 ล้านบาท 3) โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง (วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท) 4) โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) (วงเงินสินเชื่อ 20,000 ล้านบาท) และ 5) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์ วงเงิน 20,000 ล้านบาท ด้าน นางณพรัตน์ วิชิตชลชัย รองผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ด้านอุตสาหกรรมยางและการผลิตยาง กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับโครงการประกันรายได้ระยะที่ 2 เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง เริ่มดําเนินการตั้งแต่เดือนเมษายน – กันยายน 2563 เริ่มจ่าย 1 พฤษภาคม 2563 ให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง ผู้กรีดยางที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2563 จํานวน 1,730,000 ราย พื้นที่สวนยางกรีดได้ 19.4 ล้านไร่ โดยราคายางที่ประกันรายได้ แบ่งเป็น ยางแผ่นดิบคุณภาพดี 60.00 บาท/กิโลกรัม น้ํายางสด (DRC 100%) 57.00 บาท/กิโลกรัม ยางก้อนถ้วย (DRC 100%) 46.00 บาท/กิโลกรัม แบ่งสัดส่วนรายได้เจ้าของสวน ร้อยละ 60 และคนกรีดยาง ร้อยละ 40 ของรายได้ทั้งหมด งบประมาณวงเงินรวมทั้งสิ้น 42,000 ล้านบาท ส่วน โครงการพัฒนาความร่วมมือการผลิตและการตลาดภาคอุตสาหกรรมยางพารา เป็นการช่วยเหลือสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง โดยการเพิ่มสภาพคล่องให้สถาบันเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตหมอนยางพารา ซึ่ง กยท. จะเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนให้แก่สถาบันเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตหมอนยางพารา เป้าหมาย จํานวน 50 สถาบัน โดยใช้หมอนยางพาราเป็นหลักประกัน จํานวน 50,000 ใบ และในส่วนของการช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยางพารา ประกอบด้วย โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง จะปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดําเนินงาน ในปี 2563 โดยผู้ประกอบกิจการยางที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางไม่น้อยกว่า 2 ตันต่อปี ในทุกวงเงิน 1 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มปริมาณการใช้ยางไม่น้อยกว่า 50,000 ตัน และ โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) เพิ่มกิจกรรมให้ผู้ประกอบกิจการยางที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ ต้องซื้อยางมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของฤดูกาลใหม่ รัฐบาลสนับสนุนชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่ผู้ประกอบกิจการไม่มีกําลังการซื้อ ให้เกิดการหมุนเวียนผลผลิตของเกษตรกรชาวสวนยาง สุดท้ายคือ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์ วงเงิน 20,000 ล้านบาท รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี กระตุ้นการโค่นยาง 400,000 ไร่ ดูดซับปริมาณไม้ยางจากการกระตุ้นการโค่นจํานวน 12 ล้านตัน ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมปลูกแทนวงเงิน 6,400 ล้านบาท “ทั้งนี้ ทาง กยท. จะรีบดําเนินการเสนอคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) และนําเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป” นางณพรัตน์ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ อัดแพ็คเกจ 5 โครงการใหญ่ ช่วยยางทั้งระบบ กว่า 50,000 ล้านบาท เตรียมเข้าครม.ด่วน วันพุธที่ 15 เมษายน 2563 เกษตรฯ อัดแพ็คเกจ 5 โครงการใหญ่ ช่วยยางทั้งระบบ กว่า 50,000 ล้านบาท เตรียมเข้าครม.ด่วน เกษตรฯ ดันแพ็คเกจช่วยยางทั้งระบบ เดินเครื่องออกมาตรการช่วยเหลือครบทั้งเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางพารา บรรเทาผลกระทบจากการสถานการณ์โควิด-19 เผยเตรียมนําเข้าครม.พิจารณา นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบไปในทุกภาคส่วน ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งในส่วนของยางพารานั้น ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้เร่งหามาตรการต่าง ๆ และได้นัดประชุมคณะกรรมการ กยท. กรณีพิเศษ เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา เพื่อเร่งออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และผู้ประกอบกิจการยางพารา บรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) โดยได้เห็นชอบให้ดําเนินการใน 5 โครงการ คือ 1) โครงการประกันรายได้ระยะที่ 2 งบประมาณ 42,000 ล้านบาท 2) โครงการพัฒนาความร่วมมือการผลิตและการตลาดภาคอุตสาหกรรมยางพารา งบประมาณ 11.3 ล้านบาท 3) โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง (วงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท) 4) โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) (วงเงินสินเชื่อ 20,000 ล้านบาท) และ 5) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์ วงเงิน 20,000 ล้านบาท ด้าน นางณพรัตน์ วิชิตชลชัย รองผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ด้านอุตสาหกรรมยางและการผลิตยาง กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับโครงการประกันรายได้ระยะที่ 2 เป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง เริ่มดําเนินการตั้งแต่เดือนเมษายน – กันยายน 2563 เริ่มจ่าย 1 พฤษภาคม 2563 ให้กับเกษตรกรชาวสวนยาง ผู้กรีดยางที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. ก่อนวันที่ 1 เมษายน 2563 จํานวน 1,730,000 ราย พื้นที่สวนยางกรีดได้ 19.4 ล้านไร่ โดยราคายางที่ประกันรายได้ แบ่งเป็น ยางแผ่นดิบคุณภาพดี 60.00 บาท/กิโลกรัม น้ํายางสด (DRC 100%) 57.00 บาท/กิโลกรัม ยางก้อนถ้วย (DRC 100%) 46.00 บาท/กิโลกรัม แบ่งสัดส่วนรายได้เจ้าของสวน ร้อยละ 60 และคนกรีดยาง ร้อยละ 40 ของรายได้ทั้งหมด งบประมาณวงเงินรวมทั้งสิ้น 42,000 ล้านบาท ส่วน โครงการพัฒนาความร่วมมือการผลิตและการตลาดภาคอุตสาหกรรมยางพารา เป็นการช่วยเหลือสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง โดยการเพิ่มสภาพคล่องให้สถาบันเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตหมอนยางพารา ซึ่ง กยท. จะเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนให้แก่สถาบันเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตหมอนยางพารา เป้าหมาย จํานวน 50 สถาบัน โดยใช้หมอนยางพาราเป็นหลักประกัน จํานวน 50,000 ใบ และในส่วนของการช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการยางพารา ประกอบด้วย โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง จะปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการดําเนินงาน ในปี 2563 โดยผู้ประกอบกิจการยางที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องเพิ่มปริมาณการใช้ยางไม่น้อยกว่า 2 ตันต่อปี ในทุกวงเงิน 1 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มปริมาณการใช้ยางไม่น้อยกว่า 50,000 ตัน และ โครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบกิจการยาง (ยางแห้ง) เพิ่มกิจกรรมให้ผู้ประกอบกิจการยางที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ ต้องซื้อยางมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตของฤดูกาลใหม่ รัฐบาลสนับสนุนชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่ผู้ประกอบกิจการไม่มีกําลังการซื้อ ให้เกิดการหมุนเวียนผลผลิตของเกษตรกรชาวสวนยาง สุดท้ายคือ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการไม้ยางและผลิตภัณฑ์ วงเงิน 20,000 ล้านบาท รัฐชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี กระตุ้นการโค่นยาง 400,000 ไร่ ดูดซับปริมาณไม้ยางจากการกระตุ้นการโค่นจํานวน 12 ล้านตัน ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมปลูกแทนวงเงิน 6,400 ล้านบาท “ทั้งนี้ ทาง กยท. จะรีบดําเนินการเสนอคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) และนําเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป” นางณพรัตน์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29098
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสหายป่วยสูงหรือไม่ ??
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสหายป่วยสูงหรือไม่ ?? ถ้าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสจะหายไหม? Q: ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสหายป่วยสูงหรือไม่ ?? A: ผู้ป่วยทั่วไปมีโอกาสหายจากโรคได้เอง สูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แต่หากพบว่ามีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทําการรักษาโดยทันที
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสหายป่วยสูงหรือไม่ ?? วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสหายป่วยสูงหรือไม่ ?? ถ้าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสจะหายไหม? Q: ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสหายป่วยสูงหรือไม่ ?? A: ผู้ป่วยทั่วไปมีโอกาสหายจากโรคได้เอง สูงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ แต่หากพบว่ามีอาการป่วยรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทําการรักษาโดยทันที
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27484
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระบบ Creden สร้างการลงนามเอกสารออนไลน์
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 ระบบ Creden สร้างการลงนามเอกสารออนไลน์ วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นระบบการสร้างและลงนามเอกสารออนไลน์นําเสนอเทคโนโลยีการให้บริการด้านการยืนยันตัวตนออนไลน์และการลงลายชื่อรูปแบบดิจิทัลรวมถึงการประเมินความเสี่ยงของลูกค้า
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ระบบ Creden สร้างการลงนามเอกสารออนไลน์ วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 ระบบ Creden สร้างการลงนามเอกสารออนไลน์ วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นระบบการสร้างและลงนามเอกสารออนไลน์นําเสนอเทคโนโลยีการให้บริการด้านการยืนยันตัวตนออนไลน์และการลงลายชื่อรูปแบบดิจิทัลรวมถึงการประเมินความเสี่ยงของลูกค้า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31756
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561
วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2561 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแก้ไขร่างกฎกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการขอและออกใบอนุญาตขับรถรถยนต์ รวมถึงการขอต่ออายุใบอนุญาตฯ วันนี้ (21 สิงหาคม 61 )ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ตําบลชุมโค อําเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 โดยพลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแก้ไขร่างกฎกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการขอและออกใบอนุญาตขับรถยนต์รวมถึงการขอต่ออายุใบอนุญาตฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อส่งผลดีต่อการแก้ไขปัญหาการลดจํานวนอุบัติเหตุบนท้องถนนของรถยนต์และจักรยานยนต์ รวมทั้งให้มีการควบคุมดูแลผู้ที่ใช้ยานพาหนะทั้งหลายให้มีความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงดังกล่าว โดยเฉพาะเน้นใบรับรองแพทย์ ซึ่งจะต้องแสดงว่าผู้ที่จะขอใบอนุญาตฯ นอกจากไม่มีโรคประจําตัวแล้ว ยังจะต้องไม่มีสภาวะของโรคที่อาจจะเป็นอันตรายต่อการขับรถยนต์ และจักรยานยนต์ เช่น มีอาการทางประสาท หรือมีความบกพร่องทางระบบการได้ยินและระบบการมองเห็น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ดียิ่งขึ้น ........................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2561 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแก้ไขร่างกฎกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการขอและออกใบอนุญาตขับรถรถยนต์ รวมถึงการขอต่ออายุใบอนุญาตฯ วันนี้ (21 สิงหาคม 61 )ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) วิทยาเขตชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ตําบลชุมโค อําเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 โดยพลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแก้ไขร่างกฎกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการขอและออกใบอนุญาตขับรถยนต์รวมถึงการขอต่ออายุใบอนุญาตฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อส่งผลดีต่อการแก้ไขปัญหาการลดจํานวนอุบัติเหตุบนท้องถนนของรถยนต์และจักรยานยนต์ รวมทั้งให้มีการควบคุมดูแลผู้ที่ใช้ยานพาหนะทั้งหลายให้มีความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงดังกล่าว โดยเฉพาะเน้นใบรับรองแพทย์ ซึ่งจะต้องแสดงว่าผู้ที่จะขอใบอนุญาตฯ นอกจากไม่มีโรคประจําตัวแล้ว ยังจะต้องไม่มีสภาวะของโรคที่อาจจะเป็นอันตรายต่อการขับรถยนต์ และจักรยานยนต์ เช่น มีอาการทางประสาท หรือมีความบกพร่องทางระบบการได้ยินและระบบการมองเห็น ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้ดียิ่งขึ้น ........................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14803
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. มั่นใจเศรษฐกิจไทยกระเตื้องขึ้นขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ แต่กังวลบาทแข็งค่ากระทบการส่งออก
วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562 กบข. มั่นใจเศรษฐกิจไทยกระเตื้องขึ้นขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ แต่กังวลบาทแข็งค่ากระทบการส่งออก กบข. มั่นใจเศรษฐกิจไทยขยายตัวกระเตื้องขึ้น โดยในไตรมาส 3 คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.9% และไตรมาส 4 ที่ 3.1% ขึ้นไป ซึ่งเป็นการฟื้นตัวจากอัตราการเติบโตที่ 2.5% ในครึ่งปีแรก เนื่องจากได้รับอานิสงส์โดยตรงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ดําเนินการ นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า กบข. มั่นใจเศรษฐกิจไทยขยายตัวกระเตื้องขึ้น โดยในไตรมาส 3 คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.9% และไตรมาส 4 ที่ 3.1% ขึ้นไป ซึ่งเป็นการฟื้นตัวจากอัตราการเติบโตที่ 2.5% ในครึ่งปีแรก เนื่องจากได้รับอานิสงส์โดยตรงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนที่เป็นมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสําหรับผู้มีรายได้น้อย และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร การกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการลงทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะทําให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 3.2 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองในเรื่อง ค่าเงินบาท ที่ปัจจุบันแข็งค่าขึ้น 7.82% เป็นสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย มีสาเหตุหลักมาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องของไทย ขณะที่สกุลเงินของประเทศอื่นในภูมิภาคไม่แข็งค่าเท่าเงินบาท เช่น ค่าเงินวอนเกาหลีอ่อนค่าลง 4.1% ค่าเงินมาเลเซียริงกิตอ่อนค่าลง 1.1% และค่าเงินฟิลิปปินส์เปโซ 3.5% ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทจะส่งผลลบต่อการขยายตัวของการส่งออกทั้งสินค้าและบริการของไทยในระยะต่อไป ประกอบกับปัจจัยเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ํามาก โดยธนาคารกลางทั่วโลกประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ซึ่ง กบข. คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อย่างน้อยหนึ่งครั้งภายในสิ้นปีนี้ สําหรับผลตอบแทนการลงทุน กบข. ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 กองทุนสามารถทําผลตอบแทนได้ 4.7% ปรับตัวขึ้นจากผลตอบแทนตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว และการลดลงของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรทั่วโลก ปัจจุบัน กบข. มีเงินกองทุนภายใต้การบริหารจัดการ 935,000 ล้านบาท โดยกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ 15 ประเภท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 9.35 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 2562) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสําหรับสื่อมวลชน : ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , มือถือ 099-465-6249, raviwan@gpf.or.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. มั่นใจเศรษฐกิจไทยกระเตื้องขึ้นขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ แต่กังวลบาทแข็งค่ากระทบการส่งออก วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562 กบข. มั่นใจเศรษฐกิจไทยกระเตื้องขึ้นขานรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ แต่กังวลบาทแข็งค่ากระทบการส่งออก กบข. มั่นใจเศรษฐกิจไทยขยายตัวกระเตื้องขึ้น โดยในไตรมาส 3 คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.9% และไตรมาส 4 ที่ 3.1% ขึ้นไป ซึ่งเป็นการฟื้นตัวจากอัตราการเติบโตที่ 2.5% ในครึ่งปีแรก เนื่องจากได้รับอานิสงส์โดยตรงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ดําเนินการ นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า กบข. มั่นใจเศรษฐกิจไทยขยายตัวกระเตื้องขึ้น โดยในไตรมาส 3 คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.9% และไตรมาส 4 ที่ 3.1% ขึ้นไป ซึ่งเป็นการฟื้นตัวจากอัตราการเติบโตที่ 2.5% ในครึ่งปีแรก เนื่องจากได้รับอานิสงส์โดยตรงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนที่เป็นมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสําหรับผู้มีรายได้น้อย และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร การกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการลงทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะทําให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 3.2 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองในเรื่อง ค่าเงินบาท ที่ปัจจุบันแข็งค่าขึ้น 7.82% เป็นสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย มีสาเหตุหลักมาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องของไทย ขณะที่สกุลเงินของประเทศอื่นในภูมิภาคไม่แข็งค่าเท่าเงินบาท เช่น ค่าเงินวอนเกาหลีอ่อนค่าลง 4.1% ค่าเงินมาเลเซียริงกิตอ่อนค่าลง 1.1% และค่าเงินฟิลิปปินส์เปโซ 3.5% ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทจะส่งผลลบต่อการขยายตัวของการส่งออกทั้งสินค้าและบริการของไทยในระยะต่อไป ประกอบกับปัจจัยเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ํามาก โดยธนาคารกลางทั่วโลกประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ซึ่ง กบข. คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อย่างน้อยหนึ่งครั้งภายในสิ้นปีนี้ สําหรับผลตอบแทนการลงทุน กบข. ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 กองทุนสามารถทําผลตอบแทนได้ 4.7% ปรับตัวขึ้นจากผลตอบแทนตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว และการลดลงของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรทั่วโลก ปัจจุบัน กบข. มีเงินกองทุนภายใต้การบริหารจัดการ 935,000 ล้านบาท โดยกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ 15 ประเภท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 9.35 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 2562) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสําหรับสื่อมวลชน : ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , มือถือ 099-465-6249, raviwan@gpf.or.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24312
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรชี้แจงกรณีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 กรมศุลกากรชี้แจงกรณีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาหลักจากเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการจัดเก็บภาษีนําเข้าข้าวสาลี 27 % จากต่างประเทศตามหลักการขององค์การการค้าโลกหรือดับเบิลยูทีโอ ผ่านไป 5 ปี รวมยุครัฐบาล คสช. ด้วย ทําให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีนําเข้าเกือบ 20,000 ล้านบาท จากกรณีที่ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาหลักจากเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการจัดเก็บภาษีนําเข้าข้าวสาลี 27 % จากต่างประเทศตามหลักการขององค์การการค้าโลกหรือดับเบิลยูทีโอ ผ่านไป 5 ปี รวมยุครัฐบาล คสช. ด้วย ทําให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีนําเข้าเกือบ 20,000 ล้านบาท ผ่านมติชนออนไลน์ ประจําวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561 นั้น นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า จากข่าวดังกล่าว กรมศุลกากร มีข้อเท็จจริง 2 ประการที่จะชี้แจงให้ทราบ ได้แก่ 1. ประเด็นที่กล่าวว่ากระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์เพิกเฉยต่อการจัดเก็บภาษีนําเข้าพืชเศรษฐกิจจากต่างประเทศ เข้าข่ายเอื้อผลประโยชน์ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ กรมศุลกากร ขอชี้แจงในส่วนของกระทรวงกาคลัง ดังนี้ การผูกพันอัตราอากรขาเข้าภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นการผูกพันอัตราเพดานที่ประเทศสมาชิก WTO จัดเก็บระหว่างกัน ซึ่งประเทศสมาชิก WTO สามารถกําหนดอัตราอากรที่เหมาะสมตามนโยบายของแต่ละประเทศได้ แต่อัตราอากรที่จัดเก็บจากสินค้าที่นําเข้าจากประเทศสมาชิก WTO จะต้องไม่เกินอัตราที่ผูกพันดังกล่าว ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้มีการปฏิรูปโครงสร้างภาษีศุลกากรมาเป็นลําดับ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งการปรับโครงสร้างภาษีศุลกากรได้ยึดหลักการของการไต่มูลค่าเพิ่ม (Value Added Escalation) ของสินค้ามาเป็นเกณฑ์ ดังนี้ (1) วัตถุดิบ สินค้าทุน ให้ลดอัตราอากรลงเหลือร้อยละ 0 (2) สินค้ากึ่งสําเร็จรูป ให้ลดอัตราอากรลงเหลือร้อยละ 5 (ยกเว้นสินค้าที่เป็นปัจจัยการผลิตสินค้าของอื่น ให้ลดอัตราอากรลงเหลือร้อยละ 3) (3) สินค้าสําเร็จรูป ให้ลดอัตราอากรลงเหลือร้อยละ 10 (ยกเว้นสินค้าที่เป็นปัจจัยการผลิตของสินค้าอื่น ให้ลดอัตราอากรลงเหลือร้อยละ 7) อัตราอากรขาเข้าข้าวสาลีได้มีการปรับลดจากกิโลกรัมละ 0.10 บาท เป็นยกเว้นอากร ตั้งแต่ปี 2550 ตามโครงสร้างภาษีศุลกากรดังกล่าวข้างต้น เนื่องจากเป็นวัตถุดิบที่ไม่มีการผลิตในประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในประเทศที่ใช้สินค้าดังกล่าวเป็นวัตถุดิบให้สามารถแข่งขันได้ 2. ประเด็นที่กรมปศุสัตว์ ของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่สามารถตอบข้อสงสัยต่อกรณีมีบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่นําเข้าข้าวบาร์เล่ย์ 120,000 ตัน ซึ่งแสดงกับศุลกากรว่าเป็นอาหาร แต่แท้จริงแล้วเป็นวัตถุดิบทดแทนข้าวสาลีเพื่อทําอาหารสัตว์ใช่หรือไม่ กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ขอชี้แจงว่า ข้าวบาร์เล่ย์ จัดเข้าประเภทพิกัด 4 หลัก 10.03 อัตราอากร 2. 75 บาท/ กก. แบ่ง เป็นประเภทย่อยได้ดังนี้1003.10.00 ใช้สําหรับการเพาะปลูก1003.90.00 อื่นๆถ้าเป็นเกรดสําหรับมนุษย์บริโภค จะมีกฎหมายอื่นควบคุม เช่น มีหนังสือรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาหากเป็นเกรดสําหรับใช้เลี้ยงสัตว์ มีกฎหมายอื่นควบคุม เช่น หนังสือรับรองจากกรมปศุสัตว์กรมศุลกากรจะตรวจปล่อยตามที่ผู้นําเข้ามีหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่กํากับดูแลมาแสดง หลังจากนําเข้ามาภายในประเทศแล้ว หากมีกฎหมายอื่นที่ต้องปฏิบัติ หน่วยงานตามกฎหมายนั้น ๆ ต้องเป็นผู้ควบคุม กํากับดูแลต่อไป https://www.facebook.com/customsdepartment.thai/videos/1792313970829251/
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรชี้แจงกรณีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์ วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 กรมศุลกากรชี้แจงกรณีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาหลักจากเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการจัดเก็บภาษีนําเข้าข้าวสาลี 27 % จากต่างประเทศตามหลักการขององค์การการค้าโลกหรือดับเบิลยูทีโอ ผ่านไป 5 ปี รวมยุครัฐบาล คสช. ด้วย ทําให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีนําเข้าเกือบ 20,000 ล้านบาท จากกรณีที่ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาหลักจากเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการจัดเก็บภาษีนําเข้าข้าวสาลี 27 % จากต่างประเทศตามหลักการขององค์การการค้าโลกหรือดับเบิลยูทีโอ ผ่านไป 5 ปี รวมยุครัฐบาล คสช. ด้วย ทําให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีนําเข้าเกือบ 20,000 ล้านบาท ผ่านมติชนออนไลน์ ประจําวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2561 นั้น นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า จากข่าวดังกล่าว กรมศุลกากร มีข้อเท็จจริง 2 ประการที่จะชี้แจงให้ทราบ ได้แก่ 1. ประเด็นที่กล่าวว่ากระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์เพิกเฉยต่อการจัดเก็บภาษีนําเข้าพืชเศรษฐกิจจากต่างประเทศ เข้าข่ายเอื้อผลประโยชน์ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ กรมศุลกากร ขอชี้แจงในส่วนของกระทรวงกาคลัง ดังนี้ การผูกพันอัตราอากรขาเข้าภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) เป็นการผูกพันอัตราเพดานที่ประเทศสมาชิก WTO จัดเก็บระหว่างกัน ซึ่งประเทศสมาชิก WTO สามารถกําหนดอัตราอากรที่เหมาะสมตามนโยบายของแต่ละประเทศได้ แต่อัตราอากรที่จัดเก็บจากสินค้าที่นําเข้าจากประเทศสมาชิก WTO จะต้องไม่เกินอัตราที่ผูกพันดังกล่าว ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้มีการปฏิรูปโครงสร้างภาษีศุลกากรมาเป็นลําดับ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งการปรับโครงสร้างภาษีศุลกากรได้ยึดหลักการของการไต่มูลค่าเพิ่ม (Value Added Escalation) ของสินค้ามาเป็นเกณฑ์ ดังนี้ (1) วัตถุดิบ สินค้าทุน ให้ลดอัตราอากรลงเหลือร้อยละ 0 (2) สินค้ากึ่งสําเร็จรูป ให้ลดอัตราอากรลงเหลือร้อยละ 5 (ยกเว้นสินค้าที่เป็นปัจจัยการผลิตสินค้าของอื่น ให้ลดอัตราอากรลงเหลือร้อยละ 3) (3) สินค้าสําเร็จรูป ให้ลดอัตราอากรลงเหลือร้อยละ 10 (ยกเว้นสินค้าที่เป็นปัจจัยการผลิตของสินค้าอื่น ให้ลดอัตราอากรลงเหลือร้อยละ 7) อัตราอากรขาเข้าข้าวสาลีได้มีการปรับลดจากกิโลกรัมละ 0.10 บาท เป็นยกเว้นอากร ตั้งแต่ปี 2550 ตามโครงสร้างภาษีศุลกากรดังกล่าวข้างต้น เนื่องจากเป็นวัตถุดิบที่ไม่มีการผลิตในประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในประเทศที่ใช้สินค้าดังกล่าวเป็นวัตถุดิบให้สามารถแข่งขันได้ 2. ประเด็นที่กรมปศุสัตว์ ของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่สามารถตอบข้อสงสัยต่อกรณีมีบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่นําเข้าข้าวบาร์เล่ย์ 120,000 ตัน ซึ่งแสดงกับศุลกากรว่าเป็นอาหาร แต่แท้จริงแล้วเป็นวัตถุดิบทดแทนข้าวสาลีเพื่อทําอาหารสัตว์ใช่หรือไม่ กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ขอชี้แจงว่า ข้าวบาร์เล่ย์ จัดเข้าประเภทพิกัด 4 หลัก 10.03 อัตราอากร 2. 75 บาท/ กก. แบ่ง เป็นประเภทย่อยได้ดังนี้1003.10.00 ใช้สําหรับการเพาะปลูก1003.90.00 อื่นๆถ้าเป็นเกรดสําหรับมนุษย์บริโภค จะมีกฎหมายอื่นควบคุม เช่น มีหนังสือรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาหากเป็นเกรดสําหรับใช้เลี้ยงสัตว์ มีกฎหมายอื่นควบคุม เช่น หนังสือรับรองจากกรมปศุสัตว์กรมศุลกากรจะตรวจปล่อยตามที่ผู้นําเข้ามีหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่กํากับดูแลมาแสดง หลังจากนําเข้ามาภายในประเทศแล้ว หากมีกฎหมายอื่นที่ต้องปฏิบัติ หน่วยงานตามกฎหมายนั้น ๆ ต้องเป็นผู้ควบคุม กํากับดูแลต่อไป https://www.facebook.com/customsdepartment.thai/videos/1792313970829251/
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13182
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กสาววัย 18 ปี ที่พิการตาบอด ถูกลูกชายวัย 12 ปี ของพี่เลี้ยงทำร้ายร่างกาย ที่ จ.สมุทรปราการ และเด็กหญิงวัย 12 ปี ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.เชียงใหม่
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561 พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กสาววัย 18 ปี ที่พิการตาบอด ถูกลูกชายวัย 12 ปี ของพี่เลี้ยงทําร้ายร่างกาย ที่ จ.สมุทรปราการ และเด็กหญิงวัย 12 ปี ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.เชียงใหม่ พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กสาววัย 18 ปี ที่พิการตาบอด ถูกลูกชายวัย 12 ปี ของพี่เลี้ยง ทําร้ายร่างกาย ที่ จ.สมุทรปราการ และเด็กหญิงวัย 12 ปี ที่ถูกสามีใหม่ของยาย บังคับล่วงละเมิดทางเพศจนตั้งครรภ์ ที่ จ.เชียงใหม่ วันนี้ (2 ต.ค. 61) เวลา 08.30 น.นางสุภัชชา สุทธิพล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 125/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทาง การป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นางสุภัชชากล่าวว่า จากกรณีผู้ปกครองของเด็กสาววัย 18 ปี ที่พิการตาบอด พาลูกสาวเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตํารวจ ว่าถูกลูกชายของพี่เลี้ยงวัย 12 ปี ทําร้ายร่างกาย โดยใช้มีดกรีดที่แขนและขาจํานวนหลายแผล และทําร้ายร่างกายเป็นรอยฟกช้ํา ทําให้ได้รับบาดเจ็บทั่วร่างกาย ที่จังหวัดสมุทรปราการ และกรณีเจ้าหน้าที่ตํารวจเข้าจับกุมชายวัย 36 ปี ที่ก่อเหตุบังคับข่มขืนกระทําชําเราเด็กหญิงวัย 12 ปี ซึ่งเป็นหลานสาวของภรรยา จนเด็กหญิงตั้งครรภ์ และข่มขู่ห้ามบอกใคร ที่จังหวัดเชียงใหม่ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ได้แก่ พมจ.สมุทรปราการ และ พมจ.เชียงใหม่ พร้อมทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กทั้ง 2 คนอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้มีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุด อีกทั้งดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บของเด็กสาววัย 18 ปี อย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ทางกระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการและเชียงใหม่ พร้อมดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้ปกครองและบุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้อง หากพบเบาะแสการกระทําความรุนแรงต่อเด็กในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โทรฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป นางสุภัชชากล่าวต่อไปว่า อีกกรณีพบเด็กทารกเพศชายวัยแรกคลอด ยังมีสายสะดือติดอยู่ สภาพโดนแมลงและมดกัดทั่วทั้งตัว ถูกทิ้งไว้บริเวณพงหญ้าข้างหอพักแห่งหนึ่ง แต่เคราะห์ดีมีพลเมืองดีพบเห็นแจ้งเจ้าหน้าที่ เข้าช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย ที่จังหวัดสมุทรปราการ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรปราการ (พมจ.สมุทรปราการ) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมเด็กทารกดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. อีกทั้ง เร่งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือในเรื่องการติดตามหาครอบครัว ทั้งนี้ หากไม่พบครอบครัว หรือครอบครัวไม่พร้อมที่จะรับเด็กไปดูแล ทางกระทรวง พม. มีหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ คือ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมรับเด็กมาอยู่ในความดูแลเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต่อไป นางสุภัชชากล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ กรณีหญิงวัย 39 ปี พิการทางการเคลื่อนไหว กระดูกสันหลังคดงอผิดรูป เดินไม่ได้ แต่สู้ชีวิต ประกอบอาชีพรับจ้างคัดแยกปลา เพื่อหารายได้เลี้ยงดูหลานทั้ง 7 คน ที่จังหวัดปัตตานี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อให้กําลังใจ พร้อมมอบเครื่องอุปโภค บริโภคที่จําเป็น และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมอบทุน ทางการศึกษาและอุปกรณ์การเรียน ทุนการประกอบอาชีพให้แก่ครอบครัวที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน เงินสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พร้อมแนะนําการกู้ยืมเงินเพื่อประกอบอาชีพแก่คนพิการ และปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับคนพิการ นอกจากนี้ เมื่อปี 2557 ทางครอบครัวเคยได้รับการช่วยเหลือจากสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปัตตานี โดยการมอบรถเข็นสําหรับคนพิการ และเครื่องอุปโภค บริโภค
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กสาววัย 18 ปี ที่พิการตาบอด ถูกลูกชายวัย 12 ปี ของพี่เลี้ยงทำร้ายร่างกาย ที่ จ.สมุทรปราการ และเด็กหญิงวัย 12 ปี ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.เชียงใหม่ วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561 พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กสาววัย 18 ปี ที่พิการตาบอด ถูกลูกชายวัย 12 ปี ของพี่เลี้ยงทําร้ายร่างกาย ที่ จ.สมุทรปราการ และเด็กหญิงวัย 12 ปี ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ที่ จ.เชียงใหม่ พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กสาววัย 18 ปี ที่พิการตาบอด ถูกลูกชายวัย 12 ปี ของพี่เลี้ยง ทําร้ายร่างกาย ที่ จ.สมุทรปราการ และเด็กหญิงวัย 12 ปี ที่ถูกสามีใหม่ของยาย บังคับล่วงละเมิดทางเพศจนตั้งครรภ์ ที่ จ.เชียงใหม่ วันนี้ (2 ต.ค. 61) เวลา 08.30 น.นางสุภัชชา สุทธิพล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 125/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทาง การป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นางสุภัชชากล่าวว่า จากกรณีผู้ปกครองของเด็กสาววัย 18 ปี ที่พิการตาบอด พาลูกสาวเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตํารวจ ว่าถูกลูกชายของพี่เลี้ยงวัย 12 ปี ทําร้ายร่างกาย โดยใช้มีดกรีดที่แขนและขาจํานวนหลายแผล และทําร้ายร่างกายเป็นรอยฟกช้ํา ทําให้ได้รับบาดเจ็บทั่วร่างกาย ที่จังหวัดสมุทรปราการ และกรณีเจ้าหน้าที่ตํารวจเข้าจับกุมชายวัย 36 ปี ที่ก่อเหตุบังคับข่มขืนกระทําชําเราเด็กหญิงวัย 12 ปี ซึ่งเป็นหลานสาวของภรรยา จนเด็กหญิงตั้งครรภ์ และข่มขู่ห้ามบอกใคร ที่จังหวัดเชียงใหม่ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) ได้แก่ พมจ.สมุทรปราการ และ พมจ.เชียงใหม่ พร้อมทีม One Home ทั้ง 2 จังหวัด เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและคนพิการของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กทั้ง 2 คนอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้มีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุด อีกทั้งดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บของเด็กสาววัย 18 ปี อย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง ทางกระทรวง พม. มีบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการและเชียงใหม่ พร้อมดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้ปกครองและบุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้อง หากพบเบาะแสการกระทําความรุนแรงต่อเด็กในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โทรฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป นางสุภัชชากล่าวต่อไปว่า อีกกรณีพบเด็กทารกเพศชายวัยแรกคลอด ยังมีสายสะดือติดอยู่ สภาพโดนแมลงและมดกัดทั่วทั้งตัว ถูกทิ้งไว้บริเวณพงหญ้าข้างหอพักแห่งหนึ่ง แต่เคราะห์ดีมีพลเมืองดีพบเห็นแจ้งเจ้าหน้าที่ เข้าช่วยเหลือได้อย่างปลอดภัย ที่จังหวัดสมุทรปราการ นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสมุทรปราการ (พมจ.สมุทรปราการ) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมเด็กทารกดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. อีกทั้ง เร่งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือในเรื่องการติดตามหาครอบครัว ทั้งนี้ หากไม่พบครอบครัว หรือครอบครัวไม่พร้อมที่จะรับเด็กไปดูแล ทางกระทรวง พม. มีหน่วยงานในสังกัดในพื้นที่ คือ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมรับเด็กมาอยู่ในความดูแลเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ต่อไป นางสุภัชชากล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ กรณีหญิงวัย 39 ปี พิการทางการเคลื่อนไหว กระดูกสันหลังคดงอผิดรูป เดินไม่ได้ แต่สู้ชีวิต ประกอบอาชีพรับจ้างคัดแยกปลา เพื่อหารายได้เลี้ยงดูหลานทั้ง 7 คน ที่จังหวัดปัตตานี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อให้กําลังใจ พร้อมมอบเครื่องอุปโภค บริโภคที่จําเป็น และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมอบทุน ทางการศึกษาและอุปกรณ์การเรียน ทุนการประกอบอาชีพให้แก่ครอบครัวที่ประสบปัญหาความเดือดร้อน เงินสงเคราะห์และฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พร้อมแนะนําการกู้ยืมเงินเพื่อประกอบอาชีพแก่คนพิการ และปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับคนพิการ นอกจากนี้ เมื่อปี 2557 ทางครอบครัวเคยได้รับการช่วยเหลือจากสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปัตตานี โดยการมอบรถเข็นสําหรับคนพิการ และเครื่องอุปโภค บริโภค
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15800
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ รมว.อว. หารือความร่วมมือด้าน อววน. กับ AMCHAM หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ดร.สุวิทย์ รมว.อว. หารือความร่วมมือด้าน อววน. กับ AMCHAM หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย ดร.สุวิทย์ รมว.อว. หารือความร่วมมือด้าน อววน. กับ AMCHAM หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (13 พฤศจิกายน 2562) Ms. Heidi Gallant, Executive Director ของหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) และคณะ เข้าพบหารือ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) พร้อมด้วย รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ปอว.) และผู้แทนหน่วยงานในสังกัด ณ ห้องประชุมรัฐมนตรี ชั้น 22 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ สําหรับการประชุมหารือระหว่าง 2 ฝ่ายในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปรับโครงการองค์กร เพื่อการพัฒนาด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อววน. ทั้งในด้านการบริหารจัดการ กฎระเบียบและงบประมาณ โดยการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ซึ่งเป็นกระทรวงใหม่ที่จะขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 พัฒนากําลังคนให้เป็น Smart Citizen และ Lifelong Learning พัฒนาการวิจัยให้ตอบโจทย์นโยบายชาติและนําไปสู่นวัตกรรม รวมไปถึงการใช้ประโยชน์จากการพัฒนาระบบนิเวศการวิจัย อาทิ ศักยภาพของบุคลากร และ Incentive เพื่อส่งเสริมการทําวิจัยสําหรับเอกชน ทั้งนี้ AMCHAM ยินดีที่จะทําความร่วมมือกับกระทรวง เนื่องจากมีโครงการสนับสนุนด้านการศึกษาโดยร่วมมือกับภาคอาชีวะศึกษา และมีทุนการศึกษาแก่นักศึกษาระดับปริญญาตรี รวมถึงความร่วมมือกับบริษัท/ Startup ของไทย นอกจากนี้ ท่าน รมว.อว. ยังสนับสนุนให้ AMCHAM ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทย อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏต่าง ๆ สมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา และโครงการ YSEALI เพื่อพัฒนาบุคลากรและการศึกษาไปสู่สากล รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคอีกด้วย เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ รมว.อว. หารือความร่วมมือด้าน อววน. กับ AMCHAM หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2562 ดร.สุวิทย์ รมว.อว. หารือความร่วมมือด้าน อววน. กับ AMCHAM หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย ดร.สุวิทย์ รมว.อว. หารือความร่วมมือด้าน อววน. กับ AMCHAM หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (13 พฤศจิกายน 2562) Ms. Heidi Gallant, Executive Director ของหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMCHAM) และคณะ เข้าพบหารือ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) พร้อมด้วย รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ปอว.) และผู้แทนหน่วยงานในสังกัด ณ ห้องประชุมรัฐมนตรี ชั้น 22 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพฯ สําหรับการประชุมหารือระหว่าง 2 ฝ่ายในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปรับโครงการองค์กร เพื่อการพัฒนาด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อววน. ทั้งในด้านการบริหารจัดการ กฎระเบียบและงบประมาณ โดยการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ซึ่งเป็นกระทรวงใหม่ที่จะขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0 พัฒนากําลังคนให้เป็น Smart Citizen และ Lifelong Learning พัฒนาการวิจัยให้ตอบโจทย์นโยบายชาติและนําไปสู่นวัตกรรม รวมไปถึงการใช้ประโยชน์จากการพัฒนาระบบนิเวศการวิจัย อาทิ ศักยภาพของบุคลากร และ Incentive เพื่อส่งเสริมการทําวิจัยสําหรับเอกชน ทั้งนี้ AMCHAM ยินดีที่จะทําความร่วมมือกับกระทรวง เนื่องจากมีโครงการสนับสนุนด้านการศึกษาโดยร่วมมือกับภาคอาชีวะศึกษา และมีทุนการศึกษาแก่นักศึกษาระดับปริญญาตรี รวมถึงความร่วมมือกับบริษัท/ Startup ของไทย นอกจากนี้ ท่าน รมว.อว. ยังสนับสนุนให้ AMCHAM ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทย อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏต่าง ๆ สมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา และโครงการ YSEALI เพื่อพัฒนาบุคลากรและการศึกษาไปสู่สากล รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคอีกด้วย เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24598
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอยึดแนวทาง BCG หนุนลงทุนยั่งยืน
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563 บีโอไอยึดแนวทาง BCG หนุนลงทุนยั่งยืน บีโอไอยึดแนวทาง BCG หนุนลงทุนยั่งยืน บีโอไอยึดแนวทาง BCG หนุนลงทุนยั่งยืน บีโอไอเห็นชอบส่งเสริมการลงทุนตามหลัก BCG สร้างความเข้มแข็งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการปรับสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรตามแนวคิด BCG เพื่อนําความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมเกษตร มาตรการส่งเสริมลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรตามแนวคิด BCG ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมการเกษตรภายใต้แนวคิด BCG ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจ สีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่จะนําไปสู่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานรากควบคู่กับการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ ที่ผ่านมา บีโอไอให้การส่งเสริมการลงทุนแก่ภาคเกษตรตลอดสายห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงอุตสาหกรรมและบริการที่เกี่ยวข้อง และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการลงทุนยกระดับและสร้างความเข้มแข็งของภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร บีโอไอจึงปรับปรุงประเภทกิจการ เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ ดังนี้ (1) เพิ่มประเภทกิจการด้านการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ กิจการโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) ซึ่งเป็นระบบการเพาะปลูกที่มีระบบควบคุมสภาพแวดล้อมในการปลูกพืชทั้งทางกายภาพ เช่น การควบคุมความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แร่ธาตุต่าง ๆ และการควบคุมสภาพแวดล้อมทางชีวภาพ เช่น การปนเปื้อนของเชื้อโรคและแมลงจากน้ํา อากาศ และผู้ปฏิบัติงาน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์เกษตรที่ได้ต้องมีคุณภาพ ความปลอดภัย และตอบสนองความต้องการทั้งในประเทศและส่งออกได้ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 5 ปี (2) ปรับปรุงขอบข่าย เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ของบางประเภทกิจการ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และให้มีความยืดหยุ่นในการให้การส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น ได้แก่ กิจการคัดคุณภาพ บรรจุ และเก็บรักษาพืช ผัก ผลไม้ หรือดอกไม้ กิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุทางการเกษตร หรือผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบที่มาจากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุหรือของเสียจากการเกษตร กิจการผลิตอาหารสัตว์/ส่วนผสมอาหารสัตว์ โดยกระตุ้นให้มีการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในกิจการ รวมทั้งมีการรักษาสิ่งแวดล้อม ************************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอยึดแนวทาง BCG หนุนลงทุนยั่งยืน วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563 บีโอไอยึดแนวทาง BCG หนุนลงทุนยั่งยืน บีโอไอยึดแนวทาง BCG หนุนลงทุนยั่งยืน บีโอไอยึดแนวทาง BCG หนุนลงทุนยั่งยืน บีโอไอเห็นชอบส่งเสริมการลงทุนตามหลัก BCG สร้างความเข้มแข็งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการปรับสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรตามแนวคิด BCG เพื่อนําความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมเกษตร มาตรการส่งเสริมลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรตามแนวคิด BCG ที่ประชุมได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมการเกษตรภายใต้แนวคิด BCG ประกอบด้วย เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจ สีเขียว (Green Economy) ซึ่งเป็นรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่จะนําไปสู่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฐานรากควบคู่กับการพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ ที่ผ่านมา บีโอไอให้การส่งเสริมการลงทุนแก่ภาคเกษตรตลอดสายห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงอุตสาหกรรมและบริการที่เกี่ยวข้อง และเพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีการลงทุนยกระดับและสร้างความเข้มแข็งของภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร บีโอไอจึงปรับปรุงประเภทกิจการ เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ ดังนี้ (1) เพิ่มประเภทกิจการด้านการเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ กิจการโรงงานผลิตพืช (Plant Factory) ซึ่งเป็นระบบการเพาะปลูกที่มีระบบควบคุมสภาพแวดล้อมในการปลูกพืชทั้งทางกายภาพ เช่น การควบคุมความเข้มแสง อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แร่ธาตุต่าง ๆ และการควบคุมสภาพแวดล้อมทางชีวภาพ เช่น การปนเปื้อนของเชื้อโรคและแมลงจากน้ํา อากาศ และผู้ปฏิบัติงาน เป็นต้น ผลิตภัณฑ์เกษตรที่ได้ต้องมีคุณภาพ ความปลอดภัย และตอบสนองความต้องการทั้งในประเทศและส่งออกได้ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 5 ปี (2) ปรับปรุงขอบข่าย เงื่อนไข และสิทธิประโยชน์ของบางประเภทกิจการ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และให้มีความยืดหยุ่นในการให้การส่งเสริมการลงทุนมากขึ้น ได้แก่ กิจการคัดคุณภาพ บรรจุ และเก็บรักษาพืช ผัก ผลไม้ หรือดอกไม้ กิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็น กิจการผลิตผลิตภัณฑ์จากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุทางการเกษตร หรือผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบที่มาจากผลพลอยได้หรือเศษวัสดุหรือของเสียจากการเกษตร กิจการผลิตอาหารสัตว์/ส่วนผสมอาหารสัตว์ โดยกระตุ้นให้มีการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในกิจการ รวมทั้งมีการรักษาสิ่งแวดล้อม ************************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32423
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เครือข่ายสหภาพแรงงานธนาคารฯ พบ “หม่อมเต่า” หาแนวทางช่วยเหลือพนักงานธนาคาร จากกรณีการควบรวม ธ.ธนชาต กับ ธ.ทหารไทย
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562 เครือข่ายสหภาพแรงงานธนาคารฯ พบ “หม่อมเต่า” หาแนวทางช่วยเหลือพนักงานธนาคาร จากกรณีการควบรวม ธ.ธนชาต กับ ธ.ทหารไทย เครือข่ายสหภาพแรงงานธนาคารและสถาบันการเงิน เข้าพบ รมว.แรงงาน เพื่อหารือประเด็นการควบรวมของธนาคารธนชาต จํากัด (มหาชน) กับธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) เนื่องจากพนักงานทั้งสองธนาคารมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับกระแสเลิกจ้าง วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับนายไวทิต ศิริสุวรรณ ประธานเครือข่ายสหภาพแรงงานธนาคารและสถาบันการเงิน BFUN และคณะ ที่มาขอเข้าพบและหารือผลกระทบจากกรณีการควบรวมธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) กับธนาคารธนชาต จํากัด (มหาชน) ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น ๖ อาคารกระทรวงแรงงาน โดย นายไวทิตฯ กล่าวว่า จากการควบรวมของธนาคารธนชาต จํากัด (มหาชน) กับธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) ทําให้พนักงานทั้งสองธนาคารมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต และความมั่นคงในการทํางาน ถึงสถานะความดํารงอยู่ในการเป็นพนักงาน หลังจากควบรวมกิจการแล้วเสร็จว่า พนักงานจะยังคงสถานภาพการเป็นพนักงานของธนาคารอยู่หรือไม่ รวมถึงสภาพการจ้างหลังควบรวมกิจการ เนื่องจากมีกระแสการเลิกจ้าง การลดอัตรากําลังลงทั้งสองธนาคาร จึงต้องขอเข้าพบหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อร่วมหาแนวทาง รวมถึงแก้ไขปัญหาที่กําลังจะเกิดขึ้นจากการควบรวมธนาคารธนชาต จํากัด (มหาชน) กับธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) และเพื่อป้องกันการละเมิดต่อพนักงาน การบีบพนักงานทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ได้รับทราบ พร้อมทั้งสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว เพื่อเตรียมความพร้อมหากเกิดกรณีการเลิกจ้างขึ้น ด้าน ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า หากเกิดกรณีการเลิกจ้างขึ้นจริง จะเป็นอํานาจหน้าที่ของกระทรวงแรงงานในการดูแลพนักงานธนาคารที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับสิทธิความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างครบถ้วน รวมถึงเตรียมมาตรการการช่วยเหลือในด้านต่างๆ ตามภารกิจของกระทรวงแรงงาน นอกจากนี้จะดําเนินการประสานหารือร่วมกับผู้บริหารธนาคารฯ เพื่อรับทราบข้อมูลและแนวทางการปฏิบัติต่อพนักงานเกี่ยวกับสถานภาพความดํารงอยู่ของพนักงานต่อไป --------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เครือข่ายสหภาพแรงงานธนาคารฯ พบ “หม่อมเต่า” หาแนวทางช่วยเหลือพนักงานธนาคาร จากกรณีการควบรวม ธ.ธนชาต กับ ธ.ทหารไทย วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562 เครือข่ายสหภาพแรงงานธนาคารฯ พบ “หม่อมเต่า” หาแนวทางช่วยเหลือพนักงานธนาคาร จากกรณีการควบรวม ธ.ธนชาต กับ ธ.ทหารไทย เครือข่ายสหภาพแรงงานธนาคารและสถาบันการเงิน เข้าพบ รมว.แรงงาน เพื่อหารือประเด็นการควบรวมของธนาคารธนชาต จํากัด (มหาชน) กับธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) เนื่องจากพนักงานทั้งสองธนาคารมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับกระแสเลิกจ้าง วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ให้การต้อนรับนายไวทิต ศิริสุวรรณ ประธานเครือข่ายสหภาพแรงงานธนาคารและสถาบันการเงิน BFUN และคณะ ที่มาขอเข้าพบและหารือผลกระทบจากกรณีการควบรวมธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) กับธนาคารธนชาต จํากัด (มหาชน) ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชั้น ๖ อาคารกระทรวงแรงงาน โดย นายไวทิตฯ กล่าวว่า จากการควบรวมของธนาคารธนชาต จํากัด (มหาชน) กับธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) ทําให้พนักงานทั้งสองธนาคารมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต และความมั่นคงในการทํางาน ถึงสถานะความดํารงอยู่ในการเป็นพนักงาน หลังจากควบรวมกิจการแล้วเสร็จว่า พนักงานจะยังคงสถานภาพการเป็นพนักงานของธนาคารอยู่หรือไม่ รวมถึงสภาพการจ้างหลังควบรวมกิจการ เนื่องจากมีกระแสการเลิกจ้าง การลดอัตรากําลังลงทั้งสองธนาคาร จึงต้องขอเข้าพบหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อร่วมหาแนวทาง รวมถึงแก้ไขปัญหาที่กําลังจะเกิดขึ้นจากการควบรวมธนาคารธนชาต จํากัด (มหาชน) กับธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) และเพื่อป้องกันการละเมิดต่อพนักงาน การบีบพนักงานทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ได้รับทราบ พร้อมทั้งสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว เพื่อเตรียมความพร้อมหากเกิดกรณีการเลิกจ้างขึ้น ด้าน ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า หากเกิดกรณีการเลิกจ้างขึ้นจริง จะเป็นอํานาจหน้าที่ของกระทรวงแรงงานในการดูแลพนักงานธนาคารที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับสิทธิความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างครบถ้วน รวมถึงเตรียมมาตรการการช่วยเหลือในด้านต่างๆ ตามภารกิจของกระทรวงแรงงาน นอกจากนี้จะดําเนินการประสานหารือร่วมกับผู้บริหารธนาคารฯ เพื่อรับทราบข้อมูลและแนวทางการปฏิบัติต่อพนักงานเกี่ยวกับสถานภาพความดํารงอยู่ของพนักงานต่อไป --------------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23446
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เปิดประเด็นสัมภาษณ์ รวท. โครงการรากฟันเทียม / นักวิชาชีพไทยในยุโรปเข้าเยี่ยม รวท.
วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560 เปิดประเด็นสัมภาษณ์ รวท. โครงการรากฟันเทียม / นักวิชาชีพไทยในยุโรปเข้าเยี่ยม รวท. เปิดประเด็นสัมภาษณ์ รวท. โครงการรากฟันเทียม / นักวิชาชีพไทยในยุโรปเข้าเยี่ยม รวท. เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 ณ ห้องประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้สัมภาษณ์กับทีมงานจากศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง ภายใต้สังกัดศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ ซึ่งนําโดย ผศ.ทพ.วิจิตร ธรานนท์ พร้อมร่วมปรึกษาหารือเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ในการช่วยให้ความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุดีขึ้น เมื่อเวลา 14.30 น. ผศ.ทพ. วิจิตร ธรานนท์ และทีมงานจากศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง สัมภาษณ์ ดร. อรรชกา ในประเด็นต่างๆ อาทิ ความรู้สึกที่มีต่อโครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติฯ 7 รอบ , แนวทางส่งเสริม สนับสนุนหรือผลักดันต่อการพัฒนาวิจัยและคิดค้นเทคโนโลยีในด้านการแพทย์และด้านต่างๆ, แนวทางการพัฒนาโครงการต่างๆ หรือโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นการน้อมนําแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเกี่ยวกับการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาพัฒนาประเทศ ดร. อรรชกา สีบุญเรือง กล่าวว่า โครงการรากฟันเทียม เป็นโครงการที่ดีมาก และน่ายินดีที่ประสบผลสําเร็จเป็นอย่างยิ่ง และเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชดํารัสเกี่ยวกับโครงนี้โดยตรง ที่ทรงห่วงใยผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาสที่เข้าไม่ถึงบริการ นับว่าเป็นการสร้างโอกาส ความเท่าเทียมกันทางคุณภาพชีวิต ให้ได้รับการส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพช่องปากที่ดี นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานนามรากฟันเทียมในโครงการว่า "ข้าวอร่อย" ซึ่งเป็นรากฟันเทียมที่พัฒนาจากต้นแบบงานวิจัยของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร.อรรชกา กล่าวต่อไปว่า การทําวิจัย ค้นคว้าและพัฒนาเกี่ยวกับการแพทย์นับเป็นสิ่งสําคัญมากสําหรับประเทศไทยและมีประโยชน์ต่อประชาชนชาวไทยอย่างมาก ซึ่งทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีโครงการต่างๆที่สนับสนุนทางการแพทย์ อาทิ โครงการรากฟันเทียม โครงการเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ ยา ซึ่งสอดคล้องกับ Thailand 4.0 และ สัมพันธ์กับงานทันตกรรม นอกจาก โครงการเกี่ยวกับทางการแพทย์แล้ว ทางกระทรวงวิทย์ฯ ยังมีโครงการอีกมากมายที่ได้น้อมนําแนวทางพระราชดําริมาเป็นแนวทางในการพัฒนาด้านต่างๆ เช่น ด้านคลังข้อมูลน้ํา ด้านดาวเทียมและอื่นๆ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด นอกจากนี้ในด้านทันตกรรม ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์มีโครงการที่อยู่ในขั้นตอนการค้นคว้าวิจัยในชื่อโครงการ ฟันเดี่ยว เพื่อตอบสนอมต่อความต้องการของประชาชนและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสําหรับคนไม่มีรากฟัน และเมื่อเวลา 15.30 น. ของวันเดียวกัน นักวิชาชีพไทยในยุโรป นําโดย ดร. กฤษณา รุ่งเรืองศักดิ์ ทอร์ริสสัน นายกสมาคม ATPERเข้าเยี่ยม ดร.อรรชกา สีบุญเรือง เนื่องในโอกาสรับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมร่วมปรึกษาหารือในโปรเจคต่างๆที่ทีมนักวิชาชีพไทยในยุโรปได้พัฒนาขึ้นมา อาทิ โปรเจคฟาร์มกุ้ง, อุตสาหกรรม 4.0 ทั้งนี้ ดร.อรรชกา สีบุญเรือง ได้ให้คําแนะนําพร้อมทั้งร่วมหาทางออกถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นและยินดีที่จะช่วยสนับสนุนโปรเจคต่างๆต่อไป ข่าว : นายปวีณ ควรแย้ม ภาพและวีดีโอ : นางสาวศิริวรรณ หมินหมันและนายธนฉัตร มาลาเจริญ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail :pr@most.go.th Facebook : sciencethailand
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เปิดประเด็นสัมภาษณ์ รวท. โครงการรากฟันเทียม / นักวิชาชีพไทยในยุโรปเข้าเยี่ยม รวท. วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560 เปิดประเด็นสัมภาษณ์ รวท. โครงการรากฟันเทียม / นักวิชาชีพไทยในยุโรปเข้าเยี่ยม รวท. เปิดประเด็นสัมภาษณ์ รวท. โครงการรากฟันเทียม / นักวิชาชีพไทยในยุโรปเข้าเยี่ยม รวท. เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 ณ ห้องประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้สัมภาษณ์กับทีมงานจากศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง ภายใต้สังกัดศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ ซึ่งนําโดย ผศ.ทพ.วิจิตร ธรานนท์ พร้อมร่วมปรึกษาหารือเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ในการช่วยให้ความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุดีขึ้น เมื่อเวลา 14.30 น. ผศ.ทพ. วิจิตร ธรานนท์ และทีมงานจากศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง สัมภาษณ์ ดร. อรรชกา ในประเด็นต่างๆ อาทิ ความรู้สึกที่มีต่อโครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติฯ 7 รอบ , แนวทางส่งเสริม สนับสนุนหรือผลักดันต่อการพัฒนาวิจัยและคิดค้นเทคโนโลยีในด้านการแพทย์และด้านต่างๆ, แนวทางการพัฒนาโครงการต่างๆ หรือโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเป็นการน้อมนําแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเกี่ยวกับการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาพัฒนาประเทศ ดร. อรรชกา สีบุญเรือง กล่าวว่า โครงการรากฟันเทียม เป็นโครงการที่ดีมาก และน่ายินดีที่ประสบผลสําเร็จเป็นอย่างยิ่ง และเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระราชดํารัสเกี่ยวกับโครงนี้โดยตรง ที่ทรงห่วงใยผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาสที่เข้าไม่ถึงบริการ นับว่าเป็นการสร้างโอกาส ความเท่าเทียมกันทางคุณภาพชีวิต ให้ได้รับการส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพช่องปากที่ดี นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานนามรากฟันเทียมในโครงการว่า "ข้าวอร่อย" ซึ่งเป็นรากฟันเทียมที่พัฒนาจากต้นแบบงานวิจัยของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดร.อรรชกา กล่าวต่อไปว่า การทําวิจัย ค้นคว้าและพัฒนาเกี่ยวกับการแพทย์นับเป็นสิ่งสําคัญมากสําหรับประเทศไทยและมีประโยชน์ต่อประชาชนชาวไทยอย่างมาก ซึ่งทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีโครงการต่างๆที่สนับสนุนทางการแพทย์ อาทิ โครงการรากฟันเทียม โครงการเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ ยา ซึ่งสอดคล้องกับ Thailand 4.0 และ สัมพันธ์กับงานทันตกรรม นอกจาก โครงการเกี่ยวกับทางการแพทย์แล้ว ทางกระทรวงวิทย์ฯ ยังมีโครงการอีกมากมายที่ได้น้อมนําแนวทางพระราชดําริมาเป็นแนวทางในการพัฒนาด้านต่างๆ เช่น ด้านคลังข้อมูลน้ํา ด้านดาวเทียมและอื่นๆ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด นอกจากนี้ในด้านทันตกรรม ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์มีโครงการที่อยู่ในขั้นตอนการค้นคว้าวิจัยในชื่อโครงการ ฟันเดี่ยว เพื่อตอบสนอมต่อความต้องการของประชาชนและเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสําหรับคนไม่มีรากฟัน และเมื่อเวลา 15.30 น. ของวันเดียวกัน นักวิชาชีพไทยในยุโรป นําโดย ดร. กฤษณา รุ่งเรืองศักดิ์ ทอร์ริสสัน นายกสมาคม ATPERเข้าเยี่ยม ดร.อรรชกา สีบุญเรือง เนื่องในโอกาสรับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมร่วมปรึกษาหารือในโปรเจคต่างๆที่ทีมนักวิชาชีพไทยในยุโรปได้พัฒนาขึ้นมา อาทิ โปรเจคฟาร์มกุ้ง, อุตสาหกรรม 4.0 ทั้งนี้ ดร.อรรชกา สีบุญเรือง ได้ให้คําแนะนําพร้อมทั้งร่วมหาทางออกถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นและยินดีที่จะช่วยสนับสนุนโปรเจคต่างๆต่อไป ข่าว : นายปวีณ ควรแย้ม ภาพและวีดีโอ : นางสาวศิริวรรณ หมินหมันและนายธนฉัตร มาลาเจริญ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail :pr@most.go.th Facebook : sciencethailand
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2395