title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยผู้ติดเชื้อ 4 รายใหม่ เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขณะที่ผู้ใช้บริการระบบไอโอเอสสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ได้แล้ววันนี้
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 โฆษก ศบค. เผยผู้ติดเชื้อ 4 รายใหม่ เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขณะที่ผู้ใช้บริการระบบไอโอเอสสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ได้แล้ววันนี้ โฆษก ศบค. เผยผู้ติดเชื้อ 4 รายใหม่ เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขณะที่ผู้ใช้บริการระบบไอโอเอสสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ได้แล้ววันนี้ วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวันเผยผู้ป่วยใหม่ 4 ราย อยู่ในพื้นที่ State Quarantine ขณะที่จํานวนผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศจะเป็น 0 ติดต่อกัน 18 วัน ดังนี้ 1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทยมีผู้ป่วยใหม่ 4 ราย อยู่ในพื้นที่ State Quarantine รวมผู้ป่วยสะสม 3,129 ราย ผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,987 ราย และยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 84 ราย สําหรับผู้ป่วยใหม่ทั้ง 4 ราย เดินทางมาจากประเทศอินเดีย ผู้ป่วยรายที่ 1 เป็นหญิงไทย อายุ 39 ปี อาชีพแม่บ้าน ผู้ป่วยรายที่ 2-4 เป็นชายไทยอายุ 37 และ 53 ปี อาชีพรับจ้าง และหญิงไทย อายุ 44 ปี อาชีพพนักงานนวด โดยทุกรายไม่แสดงอาการ ส่งผลให้ตัวเลขสะสมของผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศอินเดียรวม 2,445 ราย โดยมีผู้ป่วยยืนยัน 14 ราย หรือร้อยละ 5.21 ทั้งนี้ แม้ว่าจากรายงานจะไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศเข้าสู่วันที่ 18 แต่อย่างไรก็ตามมาตรการป้องกันต่าง ๆ ยังคงมีความจําเป็นที่จะต้องปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่อง 2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 7,596,987 ราย เพิ่มขึ้น 144,178 ราย หายป่วยแล้ว 3,841,493 ราย เสียชีวิต 423,844 ราย โดยสหรัฐอเมริกา บราซิล รัสเซีย อินเดีย และสหราชอาณาจักร ยังคงเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมมากที่สุดในโลกตามลําดับ ขณะที่ประเทศไทยเลื่อนลงจากลําดับที่ 86 ของโลก สําหรับประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ ได้แก่ ในอินโดนีเซียผู้ขับขี่รถจักรยานยนตร์รับจ้างในกรุงจาการ์ตา สวมใส่แผ่นพลาสติกใสไว้ด้านหลัง เพื่อป้องกันความเสี่ยงของการติดเชื้อ ทําให้ไม่ต้องสัมผัสกับผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลัง โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ยังตอบคําถามสื่อมวลชน ยืนยันแพลตฟอร์ม/แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” มีความจําเป็น เพราะเป็นระบบป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกเหนือจากการป้องกันส่วนตัว เช่น การสวมใส่หน้ากากอนามัย การล้างมือ สําหรับผู้ใช้บริการระบบไอโอเอส สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ได้แล้ววันนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผยผู้ติดเชื้อ 4 รายใหม่ เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขณะที่ผู้ใช้บริการระบบไอโอเอสสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ได้แล้ววันนี้ วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 โฆษก ศบค. เผยผู้ติดเชื้อ 4 รายใหม่ เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขณะที่ผู้ใช้บริการระบบไอโอเอสสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ได้แล้ววันนี้ โฆษก ศบค. เผยผู้ติดเชื้อ 4 รายใหม่ เดินทางกลับจากต่างประเทศ ขณะที่ผู้ใช้บริการระบบไอโอเอสสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ได้แล้ววันนี้ วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวันเผยผู้ป่วยใหม่ 4 ราย อยู่ในพื้นที่ State Quarantine ขณะที่จํานวนผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศจะเป็น 0 ติดต่อกัน 18 วัน ดังนี้ 1. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในประเทศไทยมีผู้ป่วยใหม่ 4 ราย อยู่ในพื้นที่ State Quarantine รวมผู้ป่วยสะสม 3,129 ราย ผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,987 ราย และยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 84 ราย สําหรับผู้ป่วยใหม่ทั้ง 4 ราย เดินทางมาจากประเทศอินเดีย ผู้ป่วยรายที่ 1 เป็นหญิงไทย อายุ 39 ปี อาชีพแม่บ้าน ผู้ป่วยรายที่ 2-4 เป็นชายไทยอายุ 37 และ 53 ปี อาชีพรับจ้าง และหญิงไทย อายุ 44 ปี อาชีพพนักงานนวด โดยทุกรายไม่แสดงอาการ ส่งผลให้ตัวเลขสะสมของผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศอินเดียรวม 2,445 ราย โดยมีผู้ป่วยยืนยัน 14 ราย หรือร้อยละ 5.21 ทั้งนี้ แม้ว่าจากรายงานจะไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศเข้าสู่วันที่ 18 แต่อย่างไรก็ตามมาตรการป้องกันต่าง ๆ ยังคงมีความจําเป็นที่จะต้องปฏิบัติกันอย่างต่อเนื่อง 2. สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 7,596,987 ราย เพิ่มขึ้น 144,178 ราย หายป่วยแล้ว 3,841,493 ราย เสียชีวิต 423,844 ราย โดยสหรัฐอเมริกา บราซิล รัสเซีย อินเดีย และสหราชอาณาจักร ยังคงเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมมากที่สุดในโลกตามลําดับ ขณะที่ประเทศไทยเลื่อนลงจากลําดับที่ 86 ของโลก สําหรับประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ ได้แก่ ในอินโดนีเซียผู้ขับขี่รถจักรยานยนตร์รับจ้างในกรุงจาการ์ตา สวมใส่แผ่นพลาสติกใสไว้ด้านหลัง เพื่อป้องกันความเสี่ยงของการติดเชื้อ ทําให้ไม่ต้องสัมผัสกับผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลัง โอกาสนี้ โฆษก ศบค. ยังตอบคําถามสื่อมวลชน ยืนยันแพลตฟอร์ม/แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” มีความจําเป็น เพราะเป็นระบบป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกเหนือจากการป้องกันส่วนตัว เช่น การสวมใส่หน้ากากอนามัย การล้างมือ สําหรับผู้ใช้บริการระบบไอโอเอส สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” ได้แล้ววันนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32260
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา 9 คณะ
วันพุธที่ 24 มกราคม 2561 ศธ.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา 9 คณะ รมว.ศึกษาธิการ ลงนามในคําสั่งสภาการศึกษา ตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา 9 คณะ เพื่อให้มีอํานาจหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้านต่าง ๆ ของสภาการศึกษามีประสิทธิภาพ รมว.ศึกษาธิการ ลงนามในคําสั่งสภาการศึกษา ตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา 9 คณะ เพื่อให้มีอํานาจหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้านต่าง ๆ ของสภาการศึกษามีประสิทธิภาพ สามารถผลักดันนโยบาย แผน กฎหมาย และยุทธศาสตร์การศึกษาสู่การปฏิบัติได้อย่างบังเกิดผล นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2561 ตนได้ลงนามในคําสั่งสภาการศึกษา ที่ 1/2561 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา เนื่องจากคณะอนุกรรมการสภาการศึกษาชุดเดิมได้หมดวาระไปในคราวเดียวกับคณะกรรมการสภาการศึกษา เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2559 ซึ่งที่ประชุมสภาการศึกษา ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2560 ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษาด้านต่าง ๆ จํานวน 9 คณะ ดังนี้ คณะที่ 1ด้านนโยบายการศึกษาและกลไกการขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติโดย พล.อ.พหล สง่าเนตร เป็นประธาน คณะที่ 2 ด้านระบบฐานข้อมูลและตัวชี้วัดโดย รศ.บัณฑิต ทิพากร เป็นประธาน คณะที่ 3 ด้านระบบทรัพยากรและการเงินเพื่อการศึกษาโดยนายเกียรติชัย โสภาเสถียรพงษ์ เป็นประธาน คณะที่ 4 ด้านมาตรฐานการศึกษาและการจัดการเรียนรู้โดย ศาสตราจารย์สุพจน์ หารหนองบัว เป็นประธาน คณะที่ 5 ด้านการประเมินผลการศึกษาโดย ศาสตราจารย์กิตติคุณสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ เป็นประธาน คณะที่ 6 ด้านกฎหมายการศึกษาโดย ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ เป็นประธาน คณะที่ 7 ด้านการวิจัยการศึกษาโดย ศาสตราจารย์อุทัย ดุลยเกษม เป็นประธาน คณะที่ 8 ด้านบทบาทของภาคประชาสังคมเพื่อการศึกษาโดยนายวัลลภ ตั้งคณานุรักษ์ เป็นประธาน คณะที่ 9 ด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม กีฬา และภูมิปัญญาโดยพระพรหมุนี (สุชิน อคฺคชิโน) เป็นประธาน ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการสภาการศึกษาทั้ง 9 คณะ มีอํานาจหน้าที่พิจารณา ให้ข้อเสนอแนะและคําแนะนําที่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้านต่าง ๆ เพื่อให้การดําเนินงานของสภาการศึกษามีประสิทธิภาพ สามารถผลักดันนโยบาย แผน กฎหมาย และยุทธศาสตร์การศึกษาสู่การปฏิบัติได้อย่างบังเกิดผล ปารัชญ์ ไชยเวช:สรุป บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง/กราฟิก ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า:ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา 9 คณะ วันพุธที่ 24 มกราคม 2561 ศธ.แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา 9 คณะ รมว.ศึกษาธิการ ลงนามในคําสั่งสภาการศึกษา ตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา 9 คณะ เพื่อให้มีอํานาจหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้านต่าง ๆ ของสภาการศึกษามีประสิทธิภาพ รมว.ศึกษาธิการ ลงนามในคําสั่งสภาการศึกษา ตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา 9 คณะ เพื่อให้มีอํานาจหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้านต่าง ๆ ของสภาการศึกษามีประสิทธิภาพ สามารถผลักดันนโยบาย แผน กฎหมาย และยุทธศาสตร์การศึกษาสู่การปฏิบัติได้อย่างบังเกิดผล นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2561 ตนได้ลงนามในคําสั่งสภาการศึกษา ที่ 1/2561 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา เนื่องจากคณะอนุกรรมการสภาการศึกษาชุดเดิมได้หมดวาระไปในคราวเดียวกับคณะกรรมการสภาการศึกษา เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2559 ซึ่งที่ประชุมสภาการศึกษา ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2560 ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษาด้านต่าง ๆ จํานวน 9 คณะ ดังนี้ คณะที่ 1ด้านนโยบายการศึกษาและกลไกการขับเคลื่อนแผนสู่การปฏิบัติโดย พล.อ.พหล สง่าเนตร เป็นประธาน คณะที่ 2 ด้านระบบฐานข้อมูลและตัวชี้วัดโดย รศ.บัณฑิต ทิพากร เป็นประธาน คณะที่ 3 ด้านระบบทรัพยากรและการเงินเพื่อการศึกษาโดยนายเกียรติชัย โสภาเสถียรพงษ์ เป็นประธาน คณะที่ 4 ด้านมาตรฐานการศึกษาและการจัดการเรียนรู้โดย ศาสตราจารย์สุพจน์ หารหนองบัว เป็นประธาน คณะที่ 5 ด้านการประเมินผลการศึกษาโดย ศาสตราจารย์กิตติคุณสมหวัง พิธิยานุวัฒน์ เป็นประธาน คณะที่ 6 ด้านกฎหมายการศึกษาโดย ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ เป็นประธาน คณะที่ 7 ด้านการวิจัยการศึกษาโดย ศาสตราจารย์อุทัย ดุลยเกษม เป็นประธาน คณะที่ 8 ด้านบทบาทของภาคประชาสังคมเพื่อการศึกษาโดยนายวัลลภ ตั้งคณานุรักษ์ เป็นประธาน คณะที่ 9 ด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม กีฬา และภูมิปัญญาโดยพระพรหมุนี (สุชิน อคฺคชิโน) เป็นประธาน ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการสภาการศึกษาทั้ง 9 คณะ มีอํานาจหน้าที่พิจารณา ให้ข้อเสนอแนะและคําแนะนําที่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้านต่าง ๆ เพื่อให้การดําเนินงานของสภาการศึกษามีประสิทธิภาพ สามารถผลักดันนโยบาย แผน กฎหมาย และยุทธศาสตร์การศึกษาสู่การปฏิบัติได้อย่างบังเกิดผล ปารัชญ์ ไชยเวช:สรุป บัลลังก์ โรหิตเสถียร:เรียบเรียง/กราฟิก ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า:ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9597
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำคณะข้าราชการติดเข็มกลัดดอกลำดวนสัญลักษณ์วันผู้สูงอายุแห่งชาติปี 2561 ให้กับนายกฯ ร่วมรณรงค์ "เตรียมพร้อมทุกวัน สู่สังคมผู้สูงอายุยุคใหม่ที่มั่นคง"
วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561 รมว.พม. นําคณะข้าราชการติดเข็มกลัดดอกลําดวนสัญลักษณ์วันผู้สูงอายุแห่งชาติปี 2561 ให้กับนายกฯ ร่วมรณรงค์ "เตรียมพร้อมทุกวัน สู่สังคมผู้สูงอายุยุคใหม่ที่มั่นคง" รมว.พม. นําคณะข้าราชการติดเข็มกลัดดอกลําดวนสัญลักษณ์วันผู้สูงอายุแห่งชาติปี 2561 ให้กับนายกฯ ร่วมรณรงค์ "เตรียมพร้อมทุกวัน สู่สังคมผู้สูงอายุยุคใหม่ที่มั่นคง" วันนี้ (3 เม.ย. 61) เวลา 08.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วยนางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ นําคณะข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ติดเข็มกลัดดอกลําดวนสัญลักษณ์วันผู้สูงอายุแห่งชาติให้กับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์งาน "วันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจําปี 2561” ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ได้ตระหนักถึงความสําคัญของการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นผลมาจากอัตราการเกิดที่ลดลง และความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์การสาธารณสุข ทําให้ประชาชนมีอายุยืนขึ้น ในปี 2564 คาดว่าประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์ คือมีประชากรสูงอายุสูงถึงร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ และอีก 10 ปี คือปี 2574 คาดว่า ประเทศไทยจะมีสัดส่วนประชากรสูงอายุสูงถึงร้อยละ 28 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด กระทรวง พม. จึงได้กําหนดยุทธศาสตร์ด้านการเตรียมความพร้อมประชากรเพื่อวัยสูงอายุที่มีคุณภาพบรรจุในแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545 - 2564) ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2552 มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ผ่านทางกลไกประชารัฐเพื่อสังคม คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2525 อนุมัติและประกาศให้ วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็น "วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” และเห็นชอบให้มีการจัดกิจกรรมพิเศษเนื่องในโอกาสนี้ โดยได้มีการจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติต่อเนื่องมาเป็นประจําทุกปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 เป็นปีแรก และได้เลือก "ดอกลําดวน" เป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุ ต้นลําดวนเป็นต้นไม้ที่ให้ความร่มเย็น มีอายุยืน มีใบเขียวตลอดปี ให้ร่มเงาดีและดอกมีสีนวล กลิ่นหอม เย็นนาน กลีบแข็งไม่ร่วงง่าย เหมือนกับผู้ทรงวัยวุฒิที่คงคุณธรรมความดีงามไว้ให้เป็นแบบอย่างแก่ลูกหลานตลอดไป สําหรับการจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติประจําปี 2561 กําหนดจัดขึ้นภายใต้แนวคิด "เตรียมพร้อมทุกวัย สู่สังคมผู้สูงอายุยุคใหม่ที่มั่นคง” ซึ่งกิจกรรมเนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจําปี 2561 จะจัดกิจกรรมทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ดังนี้ กิจกรรมในส่วนกลาง ได้แก่ การจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ในวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561 ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยจะมีการมอบรางวัลให้แก่ผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี 2561 ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา มีการชมวีดิทัศน์และรับฟังการกล่าวสุนทรพจน์ของนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่ชนะการประกวดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนทุกวัยและชมการแสดงนิทรรศการและนวัตกรรมสําหรับผู้สูงอายุจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งแบ่งเป็น 5 โซน ได้แก่ สุขภาพ การมีงานทํา นวัตกรรมสร้างสรรค์ การเรียนรู้สังคมและความมั่นคงในชีวิตและท้ายสุดจะมีการเปิดตัว "Gold Application” (Application สําหรับผู้สูงอายุ ของ ผส. และกิจกรรมในส่วนภูมิภาค ได้แก่ การจัดกิจกรรมมอบรางวัลให้กับภูมิปัญญาผู้สูงอายุในพื้นที่ จิตอาสาดีเด่นระดับจังหวัด การแข่งขันกีฬาผู้สูงอายุ เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติระดับจังหวัด การจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติในปีนี้ กระทรวง พม. มีความมุ่งมั่นให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าและความสําคัญของผู้สูงอายุ ทําให้ทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ อีกทั้งคาดหวังให้ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมกิจกรรมวันผู้สูงอายุแห่งชาติได้รับความรู้ สามารถนําความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวันได้ และเกิดความภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม รวมทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมและประเทศชาติต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำคณะข้าราชการติดเข็มกลัดดอกลำดวนสัญลักษณ์วันผู้สูงอายุแห่งชาติปี 2561 ให้กับนายกฯ ร่วมรณรงค์ "เตรียมพร้อมทุกวัน สู่สังคมผู้สูงอายุยุคใหม่ที่มั่นคง" วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561 รมว.พม. นําคณะข้าราชการติดเข็มกลัดดอกลําดวนสัญลักษณ์วันผู้สูงอายุแห่งชาติปี 2561 ให้กับนายกฯ ร่วมรณรงค์ "เตรียมพร้อมทุกวัน สู่สังคมผู้สูงอายุยุคใหม่ที่มั่นคง" รมว.พม. นําคณะข้าราชการติดเข็มกลัดดอกลําดวนสัญลักษณ์วันผู้สูงอายุแห่งชาติปี 2561 ให้กับนายกฯ ร่วมรณรงค์ "เตรียมพร้อมทุกวัน สู่สังคมผู้สูงอายุยุคใหม่ที่มั่นคง" วันนี้ (3 เม.ย. 61) เวลา 08.00 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วยนางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ นําคณะข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ติดเข็มกลัดดอกลําดวนสัญลักษณ์วันผู้สูงอายุแห่งชาติให้กับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์งาน "วันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจําปี 2561” ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ได้ตระหนักถึงความสําคัญของการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ ซึ่งประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นผลมาจากอัตราการเกิดที่ลดลง และความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์การสาธารณสุข ทําให้ประชาชนมีอายุยืนขึ้น ในปี 2564 คาดว่าประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุระดับสมบูรณ์ คือมีประชากรสูงอายุสูงถึงร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ และอีก 10 ปี คือปี 2574 คาดว่า ประเทศไทยจะมีสัดส่วนประชากรสูงอายุสูงถึงร้อยละ 28 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด กระทรวง พม. จึงได้กําหนดยุทธศาสตร์ด้านการเตรียมความพร้อมประชากรเพื่อวัยสูงอายุที่มีคุณภาพบรรจุในแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545 - 2564) ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2552 มีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ผ่านทางกลไกประชารัฐเพื่อสังคม คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2525 อนุมัติและประกาศให้ วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็น "วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” และเห็นชอบให้มีการจัดกิจกรรมพิเศษเนื่องในโอกาสนี้ โดยได้มีการจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติต่อเนื่องมาเป็นประจําทุกปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 เป็นปีแรก และได้เลือก "ดอกลําดวน" เป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุ ต้นลําดวนเป็นต้นไม้ที่ให้ความร่มเย็น มีอายุยืน มีใบเขียวตลอดปี ให้ร่มเงาดีและดอกมีสีนวล กลิ่นหอม เย็นนาน กลีบแข็งไม่ร่วงง่าย เหมือนกับผู้ทรงวัยวุฒิที่คงคุณธรรมความดีงามไว้ให้เป็นแบบอย่างแก่ลูกหลานตลอดไป สําหรับการจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติประจําปี 2561 กําหนดจัดขึ้นภายใต้แนวคิด "เตรียมพร้อมทุกวัย สู่สังคมผู้สูงอายุยุคใหม่ที่มั่นคง” ซึ่งกิจกรรมเนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ประจําปี 2561 จะจัดกิจกรรมทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ดังนี้ กิจกรรมในส่วนกลาง ได้แก่ การจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ในวันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561 ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์บอลรูม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยจะมีการมอบรางวัลให้แก่ผู้สูงอายุแห่งชาติ ปี 2561 ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา มีการชมวีดิทัศน์และรับฟังการกล่าวสุนทรพจน์ของนักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่ชนะการประกวดกิจกรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนทุกวัยและชมการแสดงนิทรรศการและนวัตกรรมสําหรับผู้สูงอายุจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งแบ่งเป็น 5 โซน ได้แก่ สุขภาพ การมีงานทํา นวัตกรรมสร้างสรรค์ การเรียนรู้สังคมและความมั่นคงในชีวิตและท้ายสุดจะมีการเปิดตัว "Gold Application” (Application สําหรับผู้สูงอายุ ของ ผส. และกิจกรรมในส่วนภูมิภาค ได้แก่ การจัดกิจกรรมมอบรางวัลให้กับภูมิปัญญาผู้สูงอายุในพื้นที่ จิตอาสาดีเด่นระดับจังหวัด การแข่งขันกีฬาผู้สูงอายุ เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติระดับจังหวัด การจัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติในปีนี้ กระทรวง พม. มีความมุ่งมั่นให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าและความสําคัญของผู้สูงอายุ ทําให้ทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ อีกทั้งคาดหวังให้ผู้สูงอายุที่เข้าร่วมกิจกรรมวันผู้สูงอายุแห่งชาติได้รับความรู้ สามารถนําความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวันได้ และเกิดความภาคภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม รวมทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมและประเทศชาติต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11302
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.รุกสร้างพื้นที่สีเขียวเมืองนนท์ ลดฝุ่น PM 2.5
วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 ทส.รุกสร้างพื้นที่สีเขียวเมืองนนท์ ลดฝุ่น PM 2.5 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อลดมลพิษจากฝุ่นละออง (101,010 นนทบุรี) พร้อมมอบพันธุ์กล้าไม้ และปลูกต้นไม้ร่วมกับนายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ทส.รุกสร้างพื้นที่สีเขียวเมืองนนท์ ลดฝุ่น PM 2.5 วันที่ 15 ก.พ. 63 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อลดมลพิษจากฝุ่นละออง (101,010 นนทบุรี) พร้อมมอบพันธุ์กล้าไม้ และปลูกต้นไม้ร่วมกับนายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารทส. ณ บริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 หน้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี โดยตั้งเป้าหมายปลูกต้นไม้ให้ครบ 101,010 ต้น ภายในปี 2563 เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ทั่วจังหวัดนนทบุรี แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2562 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ“การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง”ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เสนอ เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในภาพรวมของประเทศและพื้นที่วิกฤติ โดยกิจกรรมการปลูกต้นไม้ในวันนี้ถือเป็นการร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทย ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้หลายอย่าง ทั้งการดักจับฝุ่นและมลพิษทางอากาศ การดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และผลิตออกซิเจน รวมถึงช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องใช้ไฟฟ้าและลดอุณหภูมิบริเวณโดยรอบ ทําให้สิ่งแวดล้อมของประเทศดีขึ้น ลดผลกระทบต่อสุขภาพและส่งต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับลูกหลานต่อไป แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ“การแก้ไข ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” เป็นการดําเนินงานร่วมกันของทุกภาคส่วนด้วย 3 มาตรการ คือ มาตรการที่ 1 เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (การแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนและในช่วงวิกฤต ช่วงเดือนมกราคม-เมษายน) ใช้ระบบบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ หรือ Single Command ให้ผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัดมีอํานาจในการสั่งการแก้ปัญหาให้ทันท่วงที มาตรการที่ 2 ป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง ทั้งจากยานพาหนะ การเผาในที่โล่ง การก่อสร้างและผังเมือง โรงงานอุตสาหกรรม และครัวเรือน และ มาตรการที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ การพัฒนาระบบคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่น เพิ่มประสิทธิภาพและเทคโนโลยีการตรวจวัด พัฒนาระบบฐานข้อมูลและผลกระทบต่อสุขภาพ ตลอดจนเพิ่มเครือข่ายติดตามตรวจสอบให้ครอบคลุม 77 จังหวัด ภายในปี 2567
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.รุกสร้างพื้นที่สีเขียวเมืองนนท์ ลดฝุ่น PM 2.5 วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 ทส.รุกสร้างพื้นที่สีเขียวเมืองนนท์ ลดฝุ่น PM 2.5 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อลดมลพิษจากฝุ่นละออง (101,010 นนทบุรี) พร้อมมอบพันธุ์กล้าไม้ และปลูกต้นไม้ร่วมกับนายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ทส.รุกสร้างพื้นที่สีเขียวเมืองนนท์ ลดฝุ่น PM 2.5 วันที่ 15 ก.พ. 63 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดโครงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อลดมลพิษจากฝุ่นละออง (101,010 นนทบุรี) พร้อมมอบพันธุ์กล้าไม้ และปลูกต้นไม้ร่วมกับนายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะผู้บริหารทส. ณ บริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 หน้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี โดยตั้งเป้าหมายปลูกต้นไม้ให้ครบ 101,010 ต้น ภายในปี 2563 เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ทั่วจังหวัดนนทบุรี แก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองมาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2562 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ“การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง”ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เสนอ เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในภาพรวมของประเทศและพื้นที่วิกฤติ โดยกิจกรรมการปลูกต้นไม้ในวันนี้ถือเป็นการร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทย ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาได้หลายอย่าง ทั้งการดักจับฝุ่นและมลพิษทางอากาศ การดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และผลิตออกซิเจน รวมถึงช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องใช้ไฟฟ้าและลดอุณหภูมิบริเวณโดยรอบ ทําให้สิ่งแวดล้อมของประเทศดีขึ้น ลดผลกระทบต่อสุขภาพและส่งต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับลูกหลานต่อไป แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ“การแก้ไข ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” เป็นการดําเนินงานร่วมกันของทุกภาคส่วนด้วย 3 มาตรการ คือ มาตรการที่ 1 เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (การแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนและในช่วงวิกฤต ช่วงเดือนมกราคม-เมษายน) ใช้ระบบบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ หรือ Single Command ให้ผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัดมีอํานาจในการสั่งการแก้ปัญหาให้ทันท่วงที มาตรการที่ 2 ป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง ทั้งจากยานพาหนะ การเผาในที่โล่ง การก่อสร้างและผังเมือง โรงงานอุตสาหกรรม และครัวเรือน และ มาตรการที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ การพัฒนาระบบคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่น เพิ่มประสิทธิภาพและเทคโนโลยีการตรวจวัด พัฒนาระบบฐานข้อมูลและผลกระทบต่อสุขภาพ ตลอดจนเพิ่มเครือข่ายติดตามตรวจสอบให้ครอบคลุม 77 จังหวัด ภายในปี 2567
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26591
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันไม่นำยางค้างสต๊อกเก่าออกขาย หวั่นซ้ำเติมราคาต่ำลงอีก พร้อมเตรียมพัฒนาอาชีพเสริม สร้างรายได้เพิ่มให้ชาวสวนยาง
วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2561 รัฐบาลยืนยันไม่นํายางค้างสต๊อกเก่าออกขาย หวั่นซ้ําเติมราคาต่ําลงอีก พร้อมเตรียมพัฒนาอาชีพเสริม สร้างรายได้เพิ่มให้ชาวสวนยาง รัฐบาลยืนยันไม่นํายางค้างสต๊อกเก่าออกขาย หวั่นซ้ําเติมราคาต่ําลงอีก พร้อมเตรียมพัฒนาอาชีพเสริม สร้างรายได้เพิ่มให้ชาวสวนยาง วันนี้ (8 ก.ย. 61) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ขณะนี้ไม่มีนโยบายให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) นํายางค้างสต๊อกที่รัฐบาลก่อนปี 2557 ซื้อไว้แล้วขายไม่ออกมาขายอย่างเด็ดขาด แม้ว่าในช่วงนี้ราคายางพาราจะยังไม่มีเสถียรภาพก็ตาม เพราะจะทําให้ราคาถอยลงไปอีก "นายกฯ อยากให้พี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางและสังคมได้เข้าใจข้อมูลที่ถูกต้อง หลังจากที่มีการปล่อยข่าวว่า กยท. จะนํายางแผ่นรมควันชั้น 3 ที่เก็บค้างสต๊อกอยู่ออกขาย โดยยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด" นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า รัฐบาลห่วงใยความเป็นอยู่ของชาวสวนยาง หลังจากราคายางทรงตัวในระดับ 43-45 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่ต้นปีแล้วโดยแนวทางการช่วยเหลือนั้นจะหลีกเลี่ยงการเข้าไปแทรกแซงราคา เพราะการซื้อยางในราคานําตลาดหรือการซื้อมาเก็บ รวมไปถึงการรับจํานํายางด้วยนั้น จะต้องใช้เงินจํานวนมากและจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา เนื่องจากต้องเสียค่าเช่าสถานที่เก็บรักษา และหากขายต่อไม่ได้ก็จะกลายเป็นสต๊อกยางค้าง "นายกฯ ว่าการช่วยเหลือชาวสวนยางจะเน้นการพัฒนาอาชีพเสริม หรือเพิ่มทางเลือกในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการทําสวนยาง โดยขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กําลังพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือค่าครองชีพสําหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนชาวสวนยางของ กยท. ไว้ราว 1.3 ล้านคน แต่ชาวสวนยางจะต้องเข้ารับการฝึกอบรม เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพและนําไปต่อยอดหารายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวต่อไป" ........................................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันไม่นำยางค้างสต๊อกเก่าออกขาย หวั่นซ้ำเติมราคาต่ำลงอีก พร้อมเตรียมพัฒนาอาชีพเสริม สร้างรายได้เพิ่มให้ชาวสวนยาง วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน 2561 รัฐบาลยืนยันไม่นํายางค้างสต๊อกเก่าออกขาย หวั่นซ้ําเติมราคาต่ําลงอีก พร้อมเตรียมพัฒนาอาชีพเสริม สร้างรายได้เพิ่มให้ชาวสวนยาง รัฐบาลยืนยันไม่นํายางค้างสต๊อกเก่าออกขาย หวั่นซ้ําเติมราคาต่ําลงอีก พร้อมเตรียมพัฒนาอาชีพเสริม สร้างรายได้เพิ่มให้ชาวสวนยาง วันนี้ (8 ก.ย. 61) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ขณะนี้ไม่มีนโยบายให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) นํายางค้างสต๊อกที่รัฐบาลก่อนปี 2557 ซื้อไว้แล้วขายไม่ออกมาขายอย่างเด็ดขาด แม้ว่าในช่วงนี้ราคายางพาราจะยังไม่มีเสถียรภาพก็ตาม เพราะจะทําให้ราคาถอยลงไปอีก "นายกฯ อยากให้พี่น้องเกษตรกรชาวสวนยางและสังคมได้เข้าใจข้อมูลที่ถูกต้อง หลังจากที่มีการปล่อยข่าวว่า กยท. จะนํายางแผ่นรมควันชั้น 3 ที่เก็บค้างสต๊อกอยู่ออกขาย โดยยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด" นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า รัฐบาลห่วงใยความเป็นอยู่ของชาวสวนยาง หลังจากราคายางทรงตัวในระดับ 43-45 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่ต้นปีแล้วโดยแนวทางการช่วยเหลือนั้นจะหลีกเลี่ยงการเข้าไปแทรกแซงราคา เพราะการซื้อยางในราคานําตลาดหรือการซื้อมาเก็บ รวมไปถึงการรับจํานํายางด้วยนั้น จะต้องใช้เงินจํานวนมากและจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา เนื่องจากต้องเสียค่าเช่าสถานที่เก็บรักษา และหากขายต่อไม่ได้ก็จะกลายเป็นสต๊อกยางค้าง "นายกฯ ว่าการช่วยเหลือชาวสวนยางจะเน้นการพัฒนาอาชีพเสริม หรือเพิ่มทางเลือกในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการทําสวนยาง โดยขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กําลังพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือค่าครองชีพสําหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนชาวสวนยางของ กยท. ไว้ราว 1.3 ล้านคน แต่ชาวสวนยางจะต้องเข้ารับการฝึกอบรม เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพและนําไปต่อยอดหารายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวต่อไป" ........................................................
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15250
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ รับชมการสาธิต “จมูกอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ”
วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563 รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ รับชมการสาธิต “จมูกอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ” นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รับชมสาธิตการทํางานของอุปกรณ์ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ” ผลิตและพัฒนาขึ้นโดยฝีมือคนไทย ณ ห้องประชุม อก. 2 ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันที่ 3 มีนาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รับชมสาธิตการทํางานของอุปกรณ์ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ” ผลิตและพัฒนาขึ้นโดยฝีมือคนไทย จาก นายกําพล โชคสุนทสุทธิ์ นายกสมาคมไทยไอโอที และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล ณ ห้องประชุม อก. 2 ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม “จมูกอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ” ใช้สําหรับตรวจจับปริมาณสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) เพื่อใช้วิเคราะห์ จําแนกกลิ่น และแสดงผลบนแอปพลิเคชัน สามารถตรวจสอบได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดย “จมูกอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ” ได้ทดลองการทํางานจริงในภาคอุตสาหกรรมภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อีกด้วย ในการนี้ นายศิระ จันทร์เฉิด ผู้อํานวยการกลุ่มเฝ้าระวังและเตือนภัยมลพิษโรงงาน นางสาวธราธร พ่วงพลับ ผู้อํานวยการกลุ่มปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว กองวิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม นายกิตติโชติ ศุภกําเนิด ผู้อํานวยการกลุ่มส่งเสริมมาตรฐานเทคโนโลยีการผลิตและผลิตภัณฑ์ กองพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ได้ให้คําแนะนําถึงความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาอุปกรณ์ดังกล่าว ให้สามารถทํางานได้ตามหลักมาตรฐานสากลต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ รับชมการสาธิต “จมูกอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ” วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563 รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ รับชมการสาธิต “จมูกอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ” นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รับชมสาธิตการทํางานของอุปกรณ์ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ” ผลิตและพัฒนาขึ้นโดยฝีมือคนไทย ณ ห้องประชุม อก. 2 ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันที่ 3 มีนาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รับชมสาธิตการทํางานของอุปกรณ์ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ” ผลิตและพัฒนาขึ้นโดยฝีมือคนไทย จาก นายกําพล โชคสุนทสุทธิ์ นายกสมาคมไทยไอโอที และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล ณ ห้องประชุม อก. 2 ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม “จมูกอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ” ใช้สําหรับตรวจจับปริมาณสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) เพื่อใช้วิเคราะห์ จําแนกกลิ่น และแสดงผลบนแอปพลิเคชัน สามารถตรวจสอบได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดย “จมูกอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ” ได้ทดลองการทํางานจริงในภาคอุตสาหกรรมภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อีกด้วย ในการนี้ นายศิระ จันทร์เฉิด ผู้อํานวยการกลุ่มเฝ้าระวังและเตือนภัยมลพิษโรงงาน นางสาวธราธร พ่วงพลับ ผู้อํานวยการกลุ่มปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็ว กองวิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม นายกิตติโชติ ศุภกําเนิด ผู้อํานวยการกลุ่มส่งเสริมมาตรฐานเทคโนโลยีการผลิตและผลิตภัณฑ์ กองพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และคณะเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ได้ให้คําแนะนําถึงความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาอุปกรณ์ดังกล่าว ให้สามารถทํางานได้ตามหลักมาตรฐานสากลต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26892
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทำงาน
วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทํางาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2561 เวลา 13.30 น. นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี โดยเน้นย้ําเรื่องการพัฒนาหมู่บ้าน CIV โดยสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานีเข้าไปสนับสนุนค้นหาจุดเด่นของชุมชนและร่วมกันพัฒนาโดยดึงชุมชมเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหมู่บ้าน เน้นย้ําการทํางานด้วยจิตอาสา และให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทำงาน วันพุธที่ 13 มิถุนายน 2561 ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทํางาน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2561 เวลา 13.30 น. นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานี โดยเน้นย้ําเรื่องการพัฒนาหมู่บ้าน CIV โดยสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดอุทัยธานีเข้าไปสนับสนุนค้นหาจุดเด่นของชุมชนและร่วมกันพัฒนาโดยดึงชุมชมเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหมู่บ้าน เน้นย้ําการทํางานด้วยจิตอาสา และให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12991
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​หมอไทยดีเด่นแห่งชาติ
วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2560 ​หมอไทยดีเด่นแห่งชาติ หมอไทยดีเด่นแห่งชาติ ปี 2560 แก่ นายทองสา เจริญตา อายุ 80 ปี จาก จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งมีความรู้ความชํานาญด้านการรักษาไข้หมากไม้ ประดง ฝี ไข้ นิ่วในไต สัตว์พิษกัดต่อย โรคเลือด ริดสีดวง โรคเด็กและสตรี โรคบุรุษ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี มอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติและประกาศเกียรติคุณหมอไทยดีเด่นแห่งชาติ ปี 2560 แก่ นายทองสา เจริญตา อายุ 80 ปี จาก จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งมีความรู้ความชํานาญด้านการรักษาไข้หมากไม้ ประดง ฝี ไข้ นิ่วในไต สัตว์พิษกัดต่อย โรคเลือด ริดสีดวง โรคเด็กและสตรี โรคบุรุษ ในพิธีเปิดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 14 “เสน่ห์ไทย สมุนไพรไทย 4.0” โดยมี ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นพ.สุเทพ วัชรปิยานันทน์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมในพิธีด้วย ที่ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ************** สิงหาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​หมอไทยดีเด่นแห่งชาติ วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2560 ​หมอไทยดีเด่นแห่งชาติ หมอไทยดีเด่นแห่งชาติ ปี 2560 แก่ นายทองสา เจริญตา อายุ 80 ปี จาก จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งมีความรู้ความชํานาญด้านการรักษาไข้หมากไม้ ประดง ฝี ไข้ นิ่วในไต สัตว์พิษกัดต่อย โรคเลือด ริดสีดวง โรคเด็กและสตรี โรคบุรุษ พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี มอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติและประกาศเกียรติคุณหมอไทยดีเด่นแห่งชาติ ปี 2560 แก่ นายทองสา เจริญตา อายุ 80 ปี จาก จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งมีความรู้ความชํานาญด้านการรักษาไข้หมากไม้ ประดง ฝี ไข้ นิ่วในไต สัตว์พิษกัดต่อย โรคเลือด ริดสีดวง โรคเด็กและสตรี โรคบุรุษ ในพิธีเปิดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 14 “เสน่ห์ไทย สมุนไพรไทย 4.0” โดยมี ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นพ.สุเทพ วัชรปิยานันทน์ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ร่วมในพิธีด้วย ที่ เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ************** สิงหาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6325
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม.‘จุรินทร์’ ลงพื้นที่อุดรธานี 27 ต.ค. ประชุม 3 ฝ่าย ‘ประกันรายได้มันสำปะหลัง
วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2562 รองนรม.‘จุรินทร์’ ลงพื้นที่อุดรธานี 27 ต.ค. ประชุม 3 ฝ่าย ‘ประกันรายได้มันสําปะหลัง รองนรม.‘จุรินทร์’ ลงพื้นที่อุดรธานี 27 ต.ค. ประชุม 3 ฝ่าย ‘ประกันรายได้มันสําปะหลัง ในวันที่ 27 ตุลาคม 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เตรียมลงพื้นที่เพื่อจัดประชุมร่วม 3 ฝ่ายในการประชุมหารือ การดําเนินโครงการประกันรายได้มันสําปะหลัง ที่จังหวัดอุดรธานี โดยระบุว่า สําหรับโครงการประกันรายได้มันสําปะหลัง จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3 ฝ่ายเข้ามาหารือร่วมกัน ประกอบด้วยกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการ และหน่วยงานของภาครัฐ ว่าจะดําเนินการได้อย่างไรบ้าง โดยจะมีการกําหนดราคาที่จะตกลงประกันรายได้ร่วมกัน สําหรับนโยบายประกันรายได้ชาวนาและชาวสวนปาล์ม ถึงขณะนี้มีการโอนเงินส่วนต่างรอบแรกให้กับชาวสวนปาล์ม และชาวนา เรียบร้อยแล้ว โดยวันที่ 1-15 พฤศจิกายนนี้ จะมีการโอนเงินส่วนต่างรอบแรกให้กับชาวสวนยางพารา โดยมันสําปะหลังถือเป็นพืชเกษตรตัวที่ 4 ที่อยู่ในขั้นตอนหารือเพื่อกําหนดราคาประกันรายได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม.‘จุรินทร์’ ลงพื้นที่อุดรธานี 27 ต.ค. ประชุม 3 ฝ่าย ‘ประกันรายได้มันสำปะหลัง วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2562 รองนรม.‘จุรินทร์’ ลงพื้นที่อุดรธานี 27 ต.ค. ประชุม 3 ฝ่าย ‘ประกันรายได้มันสําปะหลัง รองนรม.‘จุรินทร์’ ลงพื้นที่อุดรธานี 27 ต.ค. ประชุม 3 ฝ่าย ‘ประกันรายได้มันสําปะหลัง ในวันที่ 27 ตุลาคม 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เตรียมลงพื้นที่เพื่อจัดประชุมร่วม 3 ฝ่ายในการประชุมหารือ การดําเนินโครงการประกันรายได้มันสําปะหลัง ที่จังหวัดอุดรธานี โดยระบุว่า สําหรับโครงการประกันรายได้มันสําปะหลัง จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3 ฝ่ายเข้ามาหารือร่วมกัน ประกอบด้วยกลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการ และหน่วยงานของภาครัฐ ว่าจะดําเนินการได้อย่างไรบ้าง โดยจะมีการกําหนดราคาที่จะตกลงประกันรายได้ร่วมกัน สําหรับนโยบายประกันรายได้ชาวนาและชาวสวนปาล์ม ถึงขณะนี้มีการโอนเงินส่วนต่างรอบแรกให้กับชาวสวนปาล์ม และชาวนา เรียบร้อยแล้ว โดยวันที่ 1-15 พฤศจิกายนนี้ จะมีการโอนเงินส่วนต่างรอบแรกให้กับชาวสวนยางพารา โดยมันสําปะหลังถือเป็นพืชเกษตรตัวที่ 4 ที่อยู่ในขั้นตอนหารือเพื่อกําหนดราคาประกันรายได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24071
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาออกไปก่อน
วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561 นายกรัฐมนตรีเผยชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาออกไปก่อน นายกรัฐมนตรีเผยชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาออกไปก่อน วันนี้ (30 มกราคม 2560) เวลา 13.50 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีกลุ่มชาวบ้านคัดค้าน การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จังหวัดสงขลาว่า ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานดําเนินการแก้ไขปัญหา ซึ่งเท่าที่ทราบเบื้องต้นอาจจะต้องชะลอโครงการออกไปก่อน โดยจะมีการชี้แจงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ขณะเดียวกันต้องแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงาน และแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่จะเข้าไปทดแทนในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมฝากไปถึงประชาชนทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยว่า ขอให้คํานึงถึงความมั่นคงด้านพลังงานด้วย ตราบใดก็ตามที่ยังมีกลุ่มคนสองฝ่ายรัฐบาลก็ทํางานลําบาก ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องการจะใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ โดยรัฐบาลจะแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นไปก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขาดแคลนพลังงานในพื้นที่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลรับฟังข้อเสนอจากทุกภาคส่วน ถึงแม้รัฐบาลจะมีอํานาจพิเศษก็ตาม -----------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาออกไปก่อน วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561 นายกรัฐมนตรีเผยชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาออกไปก่อน นายกรัฐมนตรีเผยชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาออกไปก่อน วันนี้ (30 มกราคม 2560) เวลา 13.50 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีกลุ่มชาวบ้านคัดค้าน การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จังหวัดสงขลาว่า ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานดําเนินการแก้ไขปัญหา ซึ่งเท่าที่ทราบเบื้องต้นอาจจะต้องชะลอโครงการออกไปก่อน โดยจะมีการชี้แจงอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ขณะเดียวกันต้องแก้ไขปัญหาการขาดแคลนพลังงาน และแหล่งพลังงานไฟฟ้าที่จะเข้าไปทดแทนในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมฝากไปถึงประชาชนทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยว่า ขอให้คํานึงถึงความมั่นคงด้านพลังงานด้วย ตราบใดก็ตามที่ยังมีกลุ่มคนสองฝ่ายรัฐบาลก็ทํางานลําบาก ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องการจะใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ โดยรัฐบาลจะแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นไปก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขาดแคลนพลังงานในพื้นที่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลรับฟังข้อเสนอจากทุกภาคส่วน ถึงแม้รัฐบาลจะมีอํานาจพิเศษก็ตาม -----------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9713
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญเที่ยวตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เดือน มิ.ย.60
วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2560 รัฐบาลเชิญเที่ยวตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เดือน มิ.ย.60 ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม หรือ ตลาดนายก เปิดตามดําริ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเชิญเที่ยวงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม สุดยอดสินค้า หลากหลายทั่วไทย หาได้ในที่เดียว ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อย และเกษตรกรมีช่องทางจัดจําหน่ายถึงมือผู้บริโภคโดยตรง โดยในเดือนมิถุนายนนี้เน้นแนวคิด "เกษตรปลอดภัย" จัดจําหน่ายสัปปะรดราชบุรี ทุเรียนเกาะช้าง จ.ตราด ส้มเขียวหวาน จ.แพร่ หม้อแกงเพชรบุรี โคขุน นครปฐม มะพร้าวน้ําหอม สมุทรสาคร ทุเรียน ศรีษะเกษและอุตรดิตถ์ รวมทั้งของใช้ เช่น จักสานไม้ไผ่ จ.ชลบุรี เครื่องประดับมุก จากภาคใต้ เป็นต้น ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 24 มิถุนายน 2560 ณ บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ระหว่างเวลา 10.00 – 19.00 น. ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญเที่ยวตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เดือน มิ.ย.60 วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2560 รัฐบาลเชิญเที่ยวตลาดคลองผดุงกรุงเกษม เดือน มิ.ย.60 ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม หรือ ตลาดนายก เปิดตามดําริ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเชิญเที่ยวงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษม สุดยอดสินค้า หลากหลายทั่วไทย หาได้ในที่เดียว ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อย และเกษตรกรมีช่องทางจัดจําหน่ายถึงมือผู้บริโภคโดยตรง โดยในเดือนมิถุนายนนี้เน้นแนวคิด "เกษตรปลอดภัย" จัดจําหน่ายสัปปะรดราชบุรี ทุเรียนเกาะช้าง จ.ตราด ส้มเขียวหวาน จ.แพร่ หม้อแกงเพชรบุรี โคขุน นครปฐม มะพร้าวน้ําหอม สมุทรสาคร ทุเรียน ศรีษะเกษและอุตรดิตถ์ รวมทั้งของใช้ เช่น จักสานไม้ไผ่ จ.ชลบุรี เครื่องประดับมุก จากภาคใต้ เป็นต้น ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 24 มิถุนายน 2560 ณ บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล ระหว่างเวลา 10.00 – 19.00 น. ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4383
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอก ฉัตรชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ
วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561 รอง นรม. พลเอก ฉัตรชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติเห็นชอบอนุมัติสถานประกอบการกิจการเพื่อสังคม จํานวน 15 กิจการ วันนี้ ( 10 สิงหาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 2 /2561 โดยมีคณะกรรมการและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมเห็นชอบ การแก้ไขประกาศคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม ดังนี้ (1) เพิ่มนิยามคําว่า “คนพิการ” ให้หมายความตามที่กฎหมายกําหนด (2) แก้ไขคําว่า “ผู้พิการ” เป็น “คนพิการทุกแห่ง” และขอแก้ไขประกาศคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม พ.ศ.2561 ในประเด็นคําว่า “ผู้พิการ” ให้เป็น “คนพิการที่กฎหมายกําหนด” เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายว่าด้วยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการและกฎหมายอื่น พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบอนุมัติสถานประกอบการที่ยื่นคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคมจํานวน 15 กิจการ ได้แก่ 1) บริษัท ดอยคําผลิตภัณฑ์อาหาร จํากัด 2) บริษัท เรย์วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 3) บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 4) บริษัทแดรี่โฮม จํากัด 5) บริษัท กาแฟอาข่า อาม่า จํากัด 6) บริษัท สยามออร์แกนิค จํากัด 7) บริษัท แจสเบอร์รี่ จํากัด 8) มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูประถัมภ์ 9) กลุ่มเกษตรกรทํานา นาโส่ 10) บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 11) บริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จํากัด 12) บริษัท คิดคิด จํากัด 13) มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ในพระอุปถัมภ์ฯ 14) สหกรณ์กรีนเนท จํากัด 15) บริษัท โลเคิล อไลค์ จํากัด ........................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอก ฉัตรชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม 2561 รอง นรม. พลเอก ฉัตรชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติเห็นชอบอนุมัติสถานประกอบการกิจการเพื่อสังคม จํานวน 15 กิจการ วันนี้ ( 10 สิงหาคม 2561) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 2 /2561 โดยมีคณะกรรมการและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม สรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมเห็นชอบ การแก้ไขประกาศคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม ดังนี้ (1) เพิ่มนิยามคําว่า “คนพิการ” ให้หมายความตามที่กฎหมายกําหนด (2) แก้ไขคําว่า “ผู้พิการ” เป็น “คนพิการทุกแห่ง” และขอแก้ไขประกาศคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม พ.ศ.2561 ในประเด็นคําว่า “ผู้พิการ” ให้เป็น “คนพิการที่กฎหมายกําหนด” เพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายว่าด้วยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการและกฎหมายอื่น พร้อมกันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบอนุมัติสถานประกอบการที่ยื่นคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคมจํานวน 15 กิจการ ได้แก่ 1) บริษัท ดอยคําผลิตภัณฑ์อาหาร จํากัด 2) บริษัท เรย์วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 3) บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 4) บริษัทแดรี่โฮม จํากัด 5) บริษัท กาแฟอาข่า อาม่า จํากัด 6) บริษัท สยามออร์แกนิค จํากัด 7) บริษัท แจสเบอร์รี่ จํากัด 8) มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูประถัมภ์ 9) กลุ่มเกษตรกรทํานา นาโส่ 10) บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 11) บริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จํากัด 12) บริษัท คิดคิด จํากัด 13) มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ในพระอุปถัมภ์ฯ 14) สหกรณ์กรีนเนท จํากัด 15) บริษัท โลเคิล อไลค์ จํากัด ........................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14523
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เข้มงวด ควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้ ขอประชาชนเชื่อมั่นและปฏิบัติตนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข
วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563 นายกรัฐมนตรีย้ํา มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เข้มงวด ควบคุมจํานวนผู้ติดเชื้อได้ ขอประชาชนเชื่อมั่นและปฏิบัติตนตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข นายกรัฐมนตรีย้ํา มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เข้มงวด ควบคุมจํานวนผู้ติดเชื้อได้ ขอประชาชนเชื่อมั่นและปฏิบัติตนตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข วันนี้ (6 มีนาคม 2563) เวลา 15.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงมาตรการตรวจคัดกรองผู้เดินทาง จากประเทศกลุ่มเสี่ยง และประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ ในรายการ Government Weekly สรุปประเด็น ดังนี้ ช่วงแรกนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยรัฐบาลได้มีมาตรการควบคุมที่เข้มข้นขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบัน ตั้งแต่การคัดกรอง ตรวจสอบ การเข้ารักษาที่มีมาตรฐานระดับสูง ทําให้สามารถควบคุมจํานวนผู้ติดเชื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่กระจายในประเทศ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีการตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง สนามบิน ท่าเรือ ชายแดน ด่านตรวจ จุดสกัดทุกด่าน โดยหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ ในส่วนจังหวัดต่างๆ เข้ามาช่วยดูแล นอกจากนี้ได้มีการเตรียมมาตรการรองรับแรงงานไทยที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะแรงงานไทยจากประเทศเกาหลีใต้ ถือว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนไทยที่รัฐบาลต้องดูแล แต่ต้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่น โดยมีมาตรการต้นทาง กักกัน 14 วัน ก่อนเดินทาง และคัดกรองอีกครั้งก่อนออกนอกประเทศ ปลายทางเมื่อผู้ที่กลับจากพื้นที่เสี่ยงและประเทศกลุ่มเสี่ยง จะต้องถูกกักตัวในพื้นที่ควบคุมโรคไม่น้อยกว่า 14 วัน ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคโควิด-19 ที่ทําเนียบรัฐบาล เป็นศูนย์กลางการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ ชี้แจงข้อมูลข่าวสาร ขั้นตอนการเฝ้าระวังและป้องกันการติดเชื้อ รวมทั้งมาตรการบรรเทาผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรค ทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การเกษตร รวมถึงผู้มีรายได้น้อย โดยแบ่งมาตรการออกเป็น 2 ส่วนคือ 1. มาตรการช่วยเหลือประชาชน และ 2. มาตรการการเงินการคลังของรัฐ เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือจากส่วนราชการให้ระงับหรือเลื่อนการเดินทางไปประชุม ศึกษาดูงาน ในประเทศที่มีการระบาด ให้ข้าราชการที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงสังเกตอาการและทํางานที่บ้าน 14 วัน และขอความร่วมมือจากเอกชนหลีกเลี่ยงหรือเลื่อนกิจกรรมที่มีประชาชนรวมตัวกันเป็นจํานวนมาก เช่น การแข่งขันกีฬา การจัดคอนเสิร์ต และมหรสพต่าง ๆ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ขณะเดียวกันรัฐบาลได้บริหารจัดการหน้ากากอนามัย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลน โดยเข้ามาดูแลตั้งแต่การผลิต การกระจาย การส่งออก การจับกุมผู้ฝ่าฝืนที่จําหน่ายเกินราคา สนับสนุนผู้ผลิต ซึ่งพบว่ามีการขาดแคลนวัตถุดิบจากประเทศต้นทางจึงได้มีการส่งเสริมให้ผลิตหน้ากากอนามัยทางเลือก สําหรับบุคคลทั่วไปที่สุขภาพปกติใช้ป้องกันตนเองและลดปริมาณขยะ ระหว่างดําเนินรายการ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเตือนถึงการเสนอข่าวที่เกินกว่าความจริง ที่อาจทําให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก โดยย้ําให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง ตามข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้เกิดการสร้างความรับรู้ที่ผิดซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อด้านอื่น ๆ ของประเทศได้ ........................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เข้มงวด ควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้ ขอประชาชนเชื่อมั่นและปฏิบัติตนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563 นายกรัฐมนตรีย้ํา มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เข้มงวด ควบคุมจํานวนผู้ติดเชื้อได้ ขอประชาชนเชื่อมั่นและปฏิบัติตนตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข นายกรัฐมนตรีย้ํา มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เข้มงวด ควบคุมจํานวนผู้ติดเชื้อได้ ขอประชาชนเชื่อมั่นและปฏิบัติตนตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข วันนี้ (6 มีนาคม 2563) เวลา 15.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงมาตรการตรวจคัดกรองผู้เดินทาง จากประเทศกลุ่มเสี่ยง และประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ ในรายการ Government Weekly สรุปประเด็น ดังนี้ ช่วงแรกนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โดยรัฐบาลได้มีมาตรการควบคุมที่เข้มข้นขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบัน ตั้งแต่การคัดกรอง ตรวจสอบ การเข้ารักษาที่มีมาตรฐานระดับสูง ทําให้สามารถควบคุมจํานวนผู้ติดเชื้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่กระจายในประเทศ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งมีการตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง สนามบิน ท่าเรือ ชายแดน ด่านตรวจ จุดสกัดทุกด่าน โดยหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายความมั่นคง เจ้าหน้าที่ ในส่วนจังหวัดต่างๆ เข้ามาช่วยดูแล นอกจากนี้ได้มีการเตรียมมาตรการรองรับแรงงานไทยที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะแรงงานไทยจากประเทศเกาหลีใต้ ถือว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนไทยที่รัฐบาลต้องดูแล แต่ต้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่น โดยมีมาตรการต้นทาง กักกัน 14 วัน ก่อนเดินทาง และคัดกรองอีกครั้งก่อนออกนอกประเทศ ปลายทางเมื่อผู้ที่กลับจากพื้นที่เสี่ยงและประเทศกลุ่มเสี่ยง จะต้องถูกกักตัวในพื้นที่ควบคุมโรคไม่น้อยกว่า 14 วัน ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคโควิด-19 ที่ทําเนียบรัฐบาล เป็นศูนย์กลางการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ ชี้แจงข้อมูลข่าวสาร ขั้นตอนการเฝ้าระวังและป้องกันการติดเชื้อ รวมทั้งมาตรการบรรเทาผลกระทบและกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรค ทั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การเกษตร รวมถึงผู้มีรายได้น้อย โดยแบ่งมาตรการออกเป็น 2 ส่วนคือ 1. มาตรการช่วยเหลือประชาชน และ 2. มาตรการการเงินการคลังของรัฐ เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ นอกจากนี้ ยังขอความร่วมมือจากส่วนราชการให้ระงับหรือเลื่อนการเดินทางไปประชุม ศึกษาดูงาน ในประเทศที่มีการระบาด ให้ข้าราชการที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงสังเกตอาการและทํางานที่บ้าน 14 วัน และขอความร่วมมือจากเอกชนหลีกเลี่ยงหรือเลื่อนกิจกรรมที่มีประชาชนรวมตัวกันเป็นจํานวนมาก เช่น การแข่งขันกีฬา การจัดคอนเสิร์ต และมหรสพต่าง ๆ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ขณะเดียวกันรัฐบาลได้บริหารจัดการหน้ากากอนามัย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลน โดยเข้ามาดูแลตั้งแต่การผลิต การกระจาย การส่งออก การจับกุมผู้ฝ่าฝืนที่จําหน่ายเกินราคา สนับสนุนผู้ผลิต ซึ่งพบว่ามีการขาดแคลนวัตถุดิบจากประเทศต้นทางจึงได้มีการส่งเสริมให้ผลิตหน้ากากอนามัยทางเลือก สําหรับบุคคลทั่วไปที่สุขภาพปกติใช้ป้องกันตนเองและลดปริมาณขยะ ระหว่างดําเนินรายการ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเตือนถึงการเสนอข่าวที่เกินกว่าความจริง ที่อาจทําให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก โดยย้ําให้ประชาชนรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง ตามข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้เกิดการสร้างความรับรู้ที่ผิดซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อด้านอื่น ๆ ของประเทศได้ ........................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ.บูรณาการงานด้านการอำนวยความยุติธรรม ขับเคลื่อนนโยบาย “ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นำบริการรัฐสู่ประชาชน” ในพื้นที่ภาคใต้
วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2559 ยธ.บูรณาการงานด้านการอํานวยความยุติธรรม ขับเคลื่อนนโยบาย “ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน” ในพื้นที่ภาคใต้ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ ๒”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยธ.บูรณาการงานด้านการอำนวยความยุติธรรม ขับเคลื่อนนโยบาย “ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นำบริการรัฐสู่ประชาชน” ในพื้นที่ภาคใต้ วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2559 ยธ.บูรณาการงานด้านการอํานวยความยุติธรรม ขับเคลื่อนนโยบาย “ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน” ในพื้นที่ภาคใต้ นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “ยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ ๒”
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/823
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งทีมเยี่ยมบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว อ.วังเหนือ จ.ลำปาง
วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 สธ.ส่งทีมเยี่ยมบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว อ.วังเหนือ จ.ลําปาง กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT) ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านดูแลจิตใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ที่อําเภอวังเหนือ จังหวัดลําปาง พบอยู่ในภาวะปกติ ไม่มีอาการตื่นตกใจ ไม่มีภาวะเครียด กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT) ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านดูแลจิตใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ที่อําเภอวังเหนือ จังหวัดลําปาง พบอยู่ในภาวะปกติ ไม่มีอาการตื่นตกใจ ไม่มีภาวะเครียด วันนี้ (15 มีนาคม 2562) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีแผ่นดินไหวที่อําเภอวังเหนือ จังหวัดลําปางว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์ประเสริฐ กิจสุวรรณรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลําปางว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ เป็นอาฟเตอร์ช็อกจากการเกิดแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จึงมีความรุนแรงน้อยกว่า ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ มีบ้านเรือนเสียหายเล็กน้อยประมาณ 4-5 หลังคาเรือน ซึ่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT) ของโรงพยาบาลวังเหนือ และสํานักงานสาธารณสุขอําเภอวังเหนือ ได้ติดตามดูแลสภาพจิตใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งก่อนอย่างต่อเนื่อง และติดตามเยี่ยมบ้านที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน พบว่าไม่มีอาการตื่นตกใจ ผลประเมินความเครียดของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวทั้ง 2 รอบอยู่ในภาวะปกติ และจะเฝ้าระวังติดตามภาวะเครียดต่อเนื่อง นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า จากการสํารวจอาคารโรงพยาบาลไม่พบความเสียหาย และได้ย้ําให้โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง มีแผนบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉินจากกรณีภัยธรรมชาติ ระบบการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ ทั้งทีมเมิร์ท (Medical Emergency Response Team: MERT) และทีมมินิเมิร์ท(Mini-MERT)ทีมเอ็มแคท (Mental Health Crisis Assessment And Treatment Team : MCATT) พร้อมลงพื้นที่ให้การดูแลประชาชน รวมทั้งโครงสร้างอาคารโรงพยาบาลมีระบบรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวประมาณ 7 ริกเตอร์ ***************************************** 15 มีนาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่งทีมเยี่ยมบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว อ.วังเหนือ จ.ลำปาง วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2562 สธ.ส่งทีมเยี่ยมบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว อ.วังเหนือ จ.ลําปาง กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT) ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านดูแลจิตใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ที่อําเภอวังเหนือ จังหวัดลําปาง พบอยู่ในภาวะปกติ ไม่มีอาการตื่นตกใจ ไม่มีภาวะเครียด กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT) ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านดูแลจิตใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ที่อําเภอวังเหนือ จังหวัดลําปาง พบอยู่ในภาวะปกติ ไม่มีอาการตื่นตกใจ ไม่มีภาวะเครียด วันนี้ (15 มีนาคม 2562) นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีแผ่นดินไหวที่อําเภอวังเหนือ จังหวัดลําปางว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์ประเสริฐ กิจสุวรรณรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลําปางว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ เป็นอาฟเตอร์ช็อกจากการเกิดแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จึงมีความรุนแรงน้อยกว่า ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ มีบ้านเรือนเสียหายเล็กน้อยประมาณ 4-5 หลังคาเรือน ซึ่งทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT) ของโรงพยาบาลวังเหนือ และสํานักงานสาธารณสุขอําเภอวังเหนือ ได้ติดตามดูแลสภาพจิตใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งก่อนอย่างต่อเนื่อง และติดตามเยี่ยมบ้านที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกัน พบว่าไม่มีอาการตื่นตกใจ ผลประเมินความเครียดของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวทั้ง 2 รอบอยู่ในภาวะปกติ และจะเฝ้าระวังติดตามภาวะเครียดต่อเนื่อง นายแพทย์สุขุมกล่าวต่อว่า จากการสํารวจอาคารโรงพยาบาลไม่พบความเสียหาย และได้ย้ําให้โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง มีแผนบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉินจากกรณีภัยธรรมชาติ ระบบการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ ทั้งทีมเมิร์ท (Medical Emergency Response Team: MERT) และทีมมินิเมิร์ท(Mini-MERT)ทีมเอ็มแคท (Mental Health Crisis Assessment And Treatment Team : MCATT) พร้อมลงพื้นที่ให้การดูแลประชาชน รวมทั้งโครงสร้างอาคารโรงพยาบาลมีระบบรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวประมาณ 7 ริกเตอร์ ***************************************** 15 มีนาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19374
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี
วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561 เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นางกเษณุกา ธิเรนี เสเนวิรัตนะ (H.E. Mrs. Kshenuka Dhireni Senewiratne) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย เข้าพบนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของการสนทนาดังนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อแนะนําตัว และทําความรู้จัก เนื่องในโอกาสที่รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเข้ารับตําแหน่ง ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเพื่อสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือ ภายหลังจากการเดินทางเยือนศรีลังกาของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และคณะนักธุรกิจไทย เมื่อวันที่ 8 - 12 มีนาคม 2559 โดยไทยและศรีลังกาเห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งศรีลังกาหวังว่าภาคเอกชนไทยจะเข้าไปลงทุนในสาขาที่ไทยมีความเชี่ยวชาญและศรีลังกามีความสนใจมากขึ้น ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศหวังที่จะใช้ความสัมพันธ์ด้านพุทธศาสนาและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงพุทธศาสนาและวัฒนธรรม (Buddhist Circuits) ในศรีลังกา รวมถึงการอํานวยความสะดวกในด้านการตรวจลงตรา (visa) และเห็นพ้องผลักดันการจัดทําความตกลงการค้าเสรีไทย - ศรีลังกา ตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันให้เป็นผลสําเร็จให้ได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ยังได้กล่าวว่า ศรีลังกาหวังที่จะได้รับการสนับสนุนทางวิชาการ รวมถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาในด้านที่ศรีลงกาต้องการ อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์พื้นเมือง OTOP การแปรรูปอาหาร และการท่องเที่ยว กาพัฒนาสินค้าเกษตร และความรู้/ประสบการณ์ในด้านอื่นๆ เป็นต้น **************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี วันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561 เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นางกเษณุกา ธิเรนี เสเนวิรัตนะ (H.E. Mrs. Kshenuka Dhireni Senewiratne) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทย เข้าพบนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญของการสนทนาดังนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะเพื่อแนะนําตัว และทําความรู้จัก เนื่องในโอกาสที่รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเข้ารับตําแหน่ง ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเพื่อสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือ ภายหลังจากการเดินทางเยือนศรีลังกาของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และคณะนักธุรกิจไทย เมื่อวันที่ 8 - 12 มีนาคม 2559 โดยไทยและศรีลังกาเห็นพ้องส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุน ซึ่งศรีลังกาหวังว่าภาคเอกชนไทยจะเข้าไปลงทุนในสาขาที่ไทยมีความเชี่ยวชาญและศรีลังกามีความสนใจมากขึ้น ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศหวังที่จะใช้ความสัมพันธ์ด้านพุทธศาสนาและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงพุทธศาสนาและวัฒนธรรม (Buddhist Circuits) ในศรีลังกา รวมถึงการอํานวยความสะดวกในด้านการตรวจลงตรา (visa) และเห็นพ้องผลักดันการจัดทําความตกลงการค้าเสรีไทย - ศรีลังกา ตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันให้เป็นผลสําเร็จให้ได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ยังได้กล่าวว่า ศรีลังกาหวังที่จะได้รับการสนับสนุนทางวิชาการ รวมถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาในด้านที่ศรีลงกาต้องการ อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์พื้นเมือง OTOP การแปรรูปอาหาร และการท่องเที่ยว กาพัฒนาสินค้าเกษตร และความรู้/ประสบการณ์ในด้านอื่นๆ เป็นต้น **************************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9638
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผย นายกฯ ห่วงใยให้ความสำคัญ กับการดูแลสุขภาพจิตประชาชน ระบุแม้สถานการณ์ในไทยจะดีขึ้น ก็ยังต้องตรึงมาตรการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้มีการนำเชื้อเข้าประเทศ
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. เผย นายกฯ ห่วงใยให้ความสําคัญ กับการดูแลสุขภาพจิตประชาชน ระบุแม้สถานการณ์ในไทยจะดีขึ้น ก็ยังต้องตรึงมาตรการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้มีการนําเชื้อเข้าประเทศ โฆษก ศบค. เผย นายกฯ ห่วงใยให้ความสําคัญ กับการดูแลสุขภาพจิตประชาชน ระบุแม้สถานการณ์ในไทยจะดีขึ้น ก็ยังต้องตรึงมาตรการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้มีการนําเชื้อเข้าประเทศ วันนี้ (29 เม.ย.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย พบผู้ป่วยรายใหม่ 9 ราย ตัวเลขผู้ป่วยใหม่ต่ํากว่า 10 ราย ติดต่อกัน 3 วัน ผู้ป่วยยืนยันสะสมรวม 2,947 ราย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่ม 13 ราย รวมผู้หายป่วย 2,665 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยยังอยู่ในช่วงวัยทํางาน อายุ 30-39 ปี กลุ่มอายุที่สูงสุดคือ 20-29 ปี ซึ่งเป็นวัยที่อาจเป็นพาหะนําเชื้อไปที่อื่น ผู้ที่ติดเชื้อใหม่ 9 ราย เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่สัมผัสกับผู้ป่วยรายก่อนหน้านี้ 6 ราย โดย 1) อยู่ที่กรุงเทพฯ 3 ราย 2) ที่ภูเก็ต 3 ราย ซึ่งอยู่ในครอบเดียวกันถึง 2 ใน 3 ราย และอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 1 ราย บุคลากรทางการแพทย์ 2 ราย รวม 9 ราย สําหรับการกระจายตัวของผู้ป่วยในจังหวัดต่าง ๆ วันนี้ ภูเก็ตเป็นอันดับ 1 พบ 4 ราย กรุงเทพฯ 3 ราย สมุทรปราการ 2 ราย จังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยเลยยังเป็น 9 จังหวัดคงเดิม ส่วนอัตราการป่วยต่อแสนประชากร พบว่า ภูเก็ตยังเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ กรุงเทพฯ ยะลา นนทบุรี ทั้งนี้ จังหวัดสระบุรี ศรีสะเกษ หนองบัวลําภู ไม่มีรายงานผู้ป่วยช่วง 28 วันที่ผ่านมา โฆษก ศบค. วิเคราะห์ลักษณะการเกิดโรคของกลุ่มผู้ป่วยเด็กเล็ก เด็กอ่อน ตั้งแต่ 0-14 ปี ว่า จากรายงานพบผู้ป่วยเด็กกลุ่มนี้ 88 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 ของผู้ป่วยทั้งหมด แต่ไม่พบผู้เสียชีวิตในกลุ่มนี้ ตรงข้ามกับกลุ่มผู้สูงอายุ สัดส่วนผู้ป่วยเด็กเพศชายต่อเพศหญิง คือ 1:1 ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยชาวไทยร้อยละ 90 อายุต่ําสุดคือ 1 เดือน อายุเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0-4 ขวบ ทั้งนี้ ระหว่างเด็กเล็ก เด็กวัยประถม เด็กอายุ 10-14 ปี มีจํานวนเท่า ๆ กัน โดยอายุ 0-4 ปี = ร้อยละ 34 อายุ 5-9 ปี = ร้อยละ 32 และอายุ 10-14 ปี = ร้อยละ 34 พบปัจจัยเสี่ยงที่เด็กติดโรคมาจากการสัมผัสกับผู้ป่วยรายยืนยันก่อนหน้านี้ร้อยละ 86.4 มีประวัติเดินทางมาจากต่างประเทศร้อยละ 3.4 ไปในสถานที่แออัด ชุมชนแออัดร้อยละ 3 จังหวัดที่พบผู้ป่วยเด็กมากที่สุดคือ ภูเก็ต ยะลา ปัตตานี เชื่อมโยงกับผู้ประกอบพิธีทางศาสนาของต่างประเทศ พบเด็กไปสัมผัสเป็นพ่อแม่ มากที่สุดถึงร้อยละ 45รองลงมาคือบุคคลที่อาศัยอยู่ร่วมบ้านร้อยละ 24 ญาติ อื่น ๆ ร้อยละ 8 โฆษก ศบค. ชี้แจง โดยข้อมูลจากมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยรายงานว่า การติดเชื้อไม่ได้ผ่านทางน้ํานมของแม่ ซึ่งแม่ป่วยสามารถให้นมลูกได้แต่ต้องป้องกันในหลายวิธี อย่าเข้าใกล้ลูก อาจจะบีบน้ํานมไว้แล้วมาป้อนลูก หรือจะให้นมลูกด้วยตัวเองแต่ต้องป้องกันทําความสะอาด ใส่หน้ากากอนามัยอย่างดี เพื่อไม่ให้ลูกติดเชื้อจากแม่ เน้นการป้องกันด้วยการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ทั้งนี้ มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยไม่แนะนําการให้นมผงกับทารกที่ไม่ติดเชื้อ เพราะจะเพิ่มค่าใช้จ่ายทั้งค่านม ค่ารักษาความสะอาด ค่ารักษาต่าง ๆ และจะทําให้เด็กไม่ได้รับภูมิคุ้มกันด้วย หากแม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้หรือเลี้ยงลูกด้วยนมผสมอยู่แล้ว และไม่มีเงินที่จะซื้อนมให้ลูกกิน ขอให้ประสานกับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข จะมีบุคคล ทีมงาน เข้าไปช่วยในเรื่องนี้ โฆษก ศบค. รายงานบทวิเคราะห์ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข รายงานการสํารวจชุดพฤติกรรมของคนไทยขณะนี้ โดยทําการสํารวจกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไป ด้วยการตอบแบบสอบถาม ในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ 1. เรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม ในสองช่วงเวลา คือ ช่วงแรก เดือนมีนาคม ช่วงที่สอง กลางเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน พบว่า บุคลากรทางการแพทย์ มีระยะห่างที่ดี จาก ร้อยละ 87.1% เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 87.7 ประชาชนทั่วไป จากร้อยละ 86.9 ลดลงเหลือร้อยละ 82.7 หมายความว่าประชาชนมีการผ่อนปรนพฤติกรรมก่อนถึงช่วงระยะเวลาผ่อนปรน จึงขอให้ประชาชนทุกคนช่วยกันเว้นระยะห่าง เนื่องจากมีความสําคัญสูง 2. การล้างมือ พบการให้ความสําคัญดีขึ้นทั้งสองกลุ่ม มีการล้างมือบ่อยขึ้น ในกลุ่มประชาชนทั่วไปจากร้อยละ 83.6 เป็นร้อยละ 87.5 3. หน้ากากอนามัย พบว่าดีขึ้น มีการสวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า เมื่อไปในที่ชุมชน จากร้อยละ 78.2 เพิ่มเป็นร้อยละ 97.4 ในบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนประชาชน จากร้อยละ 70.0 เพิ่มเป็นร้อยละ 96.8 2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,138,190 ราย เสียชีวิตไป 217,974 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 6,368 ราย โดยสหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก โดยเสียชีวิตเพิ่ม 2,469 ราย รวมเสียชีวิตไปแล้ว 59,266 ราย รองลงมาคืออังกฤษ เสียชีวิตเพิ่ม 586 รายและบราซิล เป็นอันดับที่ 3 สําหรับผู้ป่วยรายใหม่อันดับที่ 1 ก็ยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ตามด้วยรัสเซียและบราซิล ตามลําดับ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์มีผู้ป่วยรายใหม่ 528 ราย ญี่ปุ่นมีผู้รายใหม่ 589 ราย ขณะที่เกาหลีใต้ มีผู้ป่วยรายใหม่อยู่ที่ 9 ราย ซึ่งประเทศรอบไทยยังพบมีผู้ติดเชื้ออยู่จํานวนมากทั้งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โดยอินเดียขึ้นไปอยู่ที่อันดับ 15 ของโลกแล้วตามด้วยสิงคโปร์ ปากีสถาน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ส่วนไทยลงมาอยู่ที่อันดับ 59 ของโลก โฆษก ศบค. กล่าวเตือนว่า การเสียชีวิตจะมากหรือน้อยล้วนต้องมีผลกระทบต่อสุขภาพจิต ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยและให้ความสําคัญในการที่จะดูแลเรื่องนี้ด้วย รวมถึงข้อมูลสถานการณ์โลกต่าง ๆ แม้ว่าสถานการณ์ภายในประเทศไทยจะดีขึ้นก็ตาม หากสถานการณ์โลกยังไม่ดี ก็ยังคงต้องตรึงมาตรการต่าง ๆ ไว้เพื่อไม่ให้นําเชื้อเข้ามายังประเทศไทย 3. รายงานผลการปฏิบัติการตามมาตรการ การปฏิบัติงานตามมาตรการเคอร์ฟิว โฆษก ศบค. รายงานผลจากการปฏิบัติการจากการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 29 เมษายน 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า การพนันยังคงเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งในการกระทําความผิด โดยมีผู้กระทําความผิดกรณีชุมนุมมั่วสุม 79 ราย ลดลง 64 ราย ผู้กระทําความผิดกรณีออกนอกเคหสถาน 589 ราย เพิ่มขึ้น 128 ราย ฝากพี่น้องประชาชนในจังหวัด กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ปัตตานี สมุทรสาคร ภูเก็ต สมุทรปราการ สุรินทร์ สระบุรี ระยอง ซึ่งเป็นจังหวัดที่พบผู้กระทําความผิดมากที่สุด ช่วยกันให้ความร่วมมือ และชื่นชมจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้กระทําความผิด 12 จังหวัด คือ สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา สระแก้ว หนองบัวลําภู พะเยา ยโสธร นครพนม มหาสารคาม ลําปาง พิจิตร สุโขทัย และ อุทัยธานี มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ โฆษก ศบค. กล่าวว่า วันนี้จะมีคนไทยเดินทางกลับมาจากอินเดีย (มุมไบ) 189 คน เดินทางกลับวันพรุ่งนี้ (30 เมษายน 63) จากรัสเซีย 15 คน ศรีลังกา 40 คน และอินเดีย 170 คน ถึงวันที่ 28 เมษายน 63 มีผู้เดินทางกลับมาจาก 22 ประเทศ จํานวน 2,981 คน ในขณะที่มีผู้เดินทางเข้าประเทศทางบกที่ลงทะเบียนไว้แล้ว 364 คน และผู้ไม่ลงทะเบียนมีอีกจํานวนหนึ่ง ทําให้มีผู้เดินทางเข้ามาในประเทศทางบกทั้งหมด 372 คน โดยจากเมียนมา 3 คน สปป.ลาว 2 คน กัมพูชา 3 คน และมาเลเซีย 364 คน ทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine ********************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผย นายกฯ ห่วงใยให้ความสำคัญ กับการดูแลสุขภาพจิตประชาชน ระบุแม้สถานการณ์ในไทยจะดีขึ้น ก็ยังต้องตรึงมาตรการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้มีการนำเชื้อเข้าประเทศ วันพุธที่ 29 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. เผย นายกฯ ห่วงใยให้ความสําคัญ กับการดูแลสุขภาพจิตประชาชน ระบุแม้สถานการณ์ในไทยจะดีขึ้น ก็ยังต้องตรึงมาตรการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้มีการนําเชื้อเข้าประเทศ โฆษก ศบค. เผย นายกฯ ห่วงใยให้ความสําคัญ กับการดูแลสุขภาพจิตประชาชน ระบุแม้สถานการณ์ในไทยจะดีขึ้น ก็ยังต้องตรึงมาตรการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้มีการนําเชื้อเข้าประเทศ วันนี้ (29 เม.ย.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย พบผู้ป่วยรายใหม่ 9 ราย ตัวเลขผู้ป่วยใหม่ต่ํากว่า 10 ราย ติดต่อกัน 3 วัน ผู้ป่วยยืนยันสะสมรวม 2,947 ราย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่ม 13 ราย รวมผู้หายป่วย 2,665 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยยังอยู่ในช่วงวัยทํางาน อายุ 30-39 ปี กลุ่มอายุที่สูงสุดคือ 20-29 ปี ซึ่งเป็นวัยที่อาจเป็นพาหะนําเชื้อไปที่อื่น ผู้ที่ติดเชื้อใหม่ 9 ราย เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่สัมผัสกับผู้ป่วยรายก่อนหน้านี้ 6 ราย โดย 1) อยู่ที่กรุงเทพฯ 3 ราย 2) ที่ภูเก็ต 3 ราย ซึ่งอยู่ในครอบเดียวกันถึง 2 ใน 3 ราย และอยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 1 ราย บุคลากรทางการแพทย์ 2 ราย รวม 9 ราย สําหรับการกระจายตัวของผู้ป่วยในจังหวัดต่าง ๆ วันนี้ ภูเก็ตเป็นอันดับ 1 พบ 4 ราย กรุงเทพฯ 3 ราย สมุทรปราการ 2 ราย จังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยเลยยังเป็น 9 จังหวัดคงเดิม ส่วนอัตราการป่วยต่อแสนประชากร พบว่า ภูเก็ตยังเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ กรุงเทพฯ ยะลา นนทบุรี ทั้งนี้ จังหวัดสระบุรี ศรีสะเกษ หนองบัวลําภู ไม่มีรายงานผู้ป่วยช่วง 28 วันที่ผ่านมา โฆษก ศบค. วิเคราะห์ลักษณะการเกิดโรคของกลุ่มผู้ป่วยเด็กเล็ก เด็กอ่อน ตั้งแต่ 0-14 ปี ว่า จากรายงานพบผู้ป่วยเด็กกลุ่มนี้ 88 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 ของผู้ป่วยทั้งหมด แต่ไม่พบผู้เสียชีวิตในกลุ่มนี้ ตรงข้ามกับกลุ่มผู้สูงอายุ สัดส่วนผู้ป่วยเด็กเพศชายต่อเพศหญิง คือ 1:1 ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยชาวไทยร้อยละ 90 อายุต่ําสุดคือ 1 เดือน อายุเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0-4 ขวบ ทั้งนี้ ระหว่างเด็กเล็ก เด็กวัยประถม เด็กอายุ 10-14 ปี มีจํานวนเท่า ๆ กัน โดยอายุ 0-4 ปี = ร้อยละ 34 อายุ 5-9 ปี = ร้อยละ 32 และอายุ 10-14 ปี = ร้อยละ 34 พบปัจจัยเสี่ยงที่เด็กติดโรคมาจากการสัมผัสกับผู้ป่วยรายยืนยันก่อนหน้านี้ร้อยละ 86.4 มีประวัติเดินทางมาจากต่างประเทศร้อยละ 3.4 ไปในสถานที่แออัด ชุมชนแออัดร้อยละ 3 จังหวัดที่พบผู้ป่วยเด็กมากที่สุดคือ ภูเก็ต ยะลา ปัตตานี เชื่อมโยงกับผู้ประกอบพิธีทางศาสนาของต่างประเทศ พบเด็กไปสัมผัสเป็นพ่อแม่ มากที่สุดถึงร้อยละ 45รองลงมาคือบุคคลที่อาศัยอยู่ร่วมบ้านร้อยละ 24 ญาติ อื่น ๆ ร้อยละ 8 โฆษก ศบค. ชี้แจง โดยข้อมูลจากมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยรายงานว่า การติดเชื้อไม่ได้ผ่านทางน้ํานมของแม่ ซึ่งแม่ป่วยสามารถให้นมลูกได้แต่ต้องป้องกันในหลายวิธี อย่าเข้าใกล้ลูก อาจจะบีบน้ํานมไว้แล้วมาป้อนลูก หรือจะให้นมลูกด้วยตัวเองแต่ต้องป้องกันทําความสะอาด ใส่หน้ากากอนามัยอย่างดี เพื่อไม่ให้ลูกติดเชื้อจากแม่ เน้นการป้องกันด้วยการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ทั้งนี้ มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทยไม่แนะนําการให้นมผงกับทารกที่ไม่ติดเชื้อ เพราะจะเพิ่มค่าใช้จ่ายทั้งค่านม ค่ารักษาความสะอาด ค่ารักษาต่าง ๆ และจะทําให้เด็กไม่ได้รับภูมิคุ้มกันด้วย หากแม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้หรือเลี้ยงลูกด้วยนมผสมอยู่แล้ว และไม่มีเงินที่จะซื้อนมให้ลูกกิน ขอให้ประสานกับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข จะมีบุคคล ทีมงาน เข้าไปช่วยในเรื่องนี้ โฆษก ศบค. รายงานบทวิเคราะห์ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข รายงานการสํารวจชุดพฤติกรรมของคนไทยขณะนี้ โดยทําการสํารวจกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไป ด้วยการตอบแบบสอบถาม ในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ 1. เรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม ในสองช่วงเวลา คือ ช่วงแรก เดือนมีนาคม ช่วงที่สอง กลางเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน พบว่า บุคลากรทางการแพทย์ มีระยะห่างที่ดี จาก ร้อยละ 87.1% เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 87.7 ประชาชนทั่วไป จากร้อยละ 86.9 ลดลงเหลือร้อยละ 82.7 หมายความว่าประชาชนมีการผ่อนปรนพฤติกรรมก่อนถึงช่วงระยะเวลาผ่อนปรน จึงขอให้ประชาชนทุกคนช่วยกันเว้นระยะห่าง เนื่องจากมีความสําคัญสูง 2. การล้างมือ พบการให้ความสําคัญดีขึ้นทั้งสองกลุ่ม มีการล้างมือบ่อยขึ้น ในกลุ่มประชาชนทั่วไปจากร้อยละ 83.6 เป็นร้อยละ 87.5 3. หน้ากากอนามัย พบว่าดีขึ้น มีการสวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า เมื่อไปในที่ชุมชน จากร้อยละ 78.2 เพิ่มเป็นร้อยละ 97.4 ในบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนประชาชน จากร้อยละ 70.0 เพิ่มเป็นร้อยละ 96.8 2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบตัวเลขผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,138,190 ราย เสียชีวิตไป 217,974 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 6,368 ราย โดยสหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในโลก โดยเสียชีวิตเพิ่ม 2,469 ราย รวมเสียชีวิตไปแล้ว 59,266 ราย รองลงมาคืออังกฤษ เสียชีวิตเพิ่ม 586 รายและบราซิล เป็นอันดับที่ 3 สําหรับผู้ป่วยรายใหม่อันดับที่ 1 ก็ยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา ตามด้วยรัสเซียและบราซิล ตามลําดับ สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์มีผู้ป่วยรายใหม่ 528 ราย ญี่ปุ่นมีผู้รายใหม่ 589 ราย ขณะที่เกาหลีใต้ มีผู้ป่วยรายใหม่อยู่ที่ 9 ราย ซึ่งประเทศรอบไทยยังพบมีผู้ติดเชื้ออยู่จํานวนมากทั้งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โดยอินเดียขึ้นไปอยู่ที่อันดับ 15 ของโลกแล้วตามด้วยสิงคโปร์ ปากีสถาน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ส่วนไทยลงมาอยู่ที่อันดับ 59 ของโลก โฆษก ศบค. กล่าวเตือนว่า การเสียชีวิตจะมากหรือน้อยล้วนต้องมีผลกระทบต่อสุขภาพจิต ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยและให้ความสําคัญในการที่จะดูแลเรื่องนี้ด้วย รวมถึงข้อมูลสถานการณ์โลกต่าง ๆ แม้ว่าสถานการณ์ภายในประเทศไทยจะดีขึ้นก็ตาม หากสถานการณ์โลกยังไม่ดี ก็ยังคงต้องตรึงมาตรการต่าง ๆ ไว้เพื่อไม่ให้นําเชื้อเข้ามายังประเทศไทย 3. รายงานผลการปฏิบัติการตามมาตรการ การปฏิบัติงานตามมาตรการเคอร์ฟิว โฆษก ศบค. รายงานผลจากการปฏิบัติการจากการประกาศมาตรการเคอร์ฟิวประจําวันที่ 29 เมษายน 63 โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงพบว่า การพนันยังคงเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งในการกระทําความผิด โดยมีผู้กระทําความผิดกรณีชุมนุมมั่วสุม 79 ราย ลดลง 64 ราย ผู้กระทําความผิดกรณีออกนอกเคหสถาน 589 ราย เพิ่มขึ้น 128 ราย ฝากพี่น้องประชาชนในจังหวัด กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ปัตตานี สมุทรสาคร ภูเก็ต สมุทรปราการ สุรินทร์ สระบุรี ระยอง ซึ่งเป็นจังหวัดที่พบผู้กระทําความผิดมากที่สุด ช่วยกันให้ความร่วมมือ และชื่นชมจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้กระทําความผิด 12 จังหวัด คือ สมุทรสงคราม ฉะเชิงเทรา สระแก้ว หนองบัวลําภู พะเยา ยโสธร นครพนม มหาสารคาม ลําปาง พิจิตร สุโขทัย และ อุทัยธานี มาตรการนําคนไทยกลับจากต่างประเทศ โฆษก ศบค. กล่าวว่า วันนี้จะมีคนไทยเดินทางกลับมาจากอินเดีย (มุมไบ) 189 คน เดินทางกลับวันพรุ่งนี้ (30 เมษายน 63) จากรัสเซีย 15 คน ศรีลังกา 40 คน และอินเดีย 170 คน ถึงวันที่ 28 เมษายน 63 มีผู้เดินทางกลับมาจาก 22 ประเทศ จํานวน 2,981 คน ในขณะที่มีผู้เดินทางเข้าประเทศทางบกที่ลงทะเบียนไว้แล้ว 364 คน และผู้ไม่ลงทะเบียนมีอีกจํานวนหนึ่ง ทําให้มีผู้เดินทางเข้ามาในประเทศทางบกทั้งหมด 372 คน โดยจากเมียนมา 3 คน สปป.ลาว 2 คน กัมพูชา 3 คน และมาเลเซีย 364 คน ทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine ********************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29994
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี อุตตมฯ ลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น พบปะและรับฟังปัญหาจากชาวไร่อ้อยน้ำพอง พร้อมผลักดันพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางและตอนบน เป็นเขตเศรษฐกิจชีวภาพครบวงจร (Bioeconomy)
วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561 รัฐมนตรี อุตตมฯ ลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น พบปะและรับฟังปัญหาจากชาวไร่อ้อยน้ําพอง พร้อมผลักดันพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางและตอนบน เป็นเขตเศรษฐกิจชีวภาพครบวงจร (Bioeconomy) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพบปะและรับฟังปัญหาของชาวไร่อ้อย ณ สมาคมชาวไร่อ้อย อําเภอน้ําพอง จังหวัดขอนแก่น ขอนแก่น : วันนี้ (12 ธันวาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุวินัย ต่อศิริสุข เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณพพงศ์ ธีระวร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภานุวัฒน์ ตริยางกรูศรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพบปะและรับฟังปัญหาของชาวไร่อ้อย โดยมีนายชัยวัฒน์ ค้ําแก่นคูณ นายกสมาคมชาวไร่อ้อยน้ําพอง พี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อย ผู้บริหารโรงงานน้าตาล หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดขอนแก่น ให้การต้อนรับ ณ สมาคมชาวไร่อ้อย อําเภอน้ําพอง จังหวัดขอนแก่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า อ้อยและน้ําตาลทราย เป็นพืชเกษตรและอุตสาหกรรมหลักของประเทศที่กระทรวงอุตสาหกรรมมีบทบาทในการดูแลต้ังแต่ต้นน้ํา คือ พี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อย กลางน้ําคือ โรงงานน้ําตาลทั่วประเทศ รวมถึงปลายน้ําคือ น้ําตาลและสินค้าอื่นๆ ที่ต่อยอดจากอ้อยหรือน้ําตาล โดยรัฐบาลเร่งผลักดันให้เกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ท่ีเรียกว่า เศรษฐกิจฐานชีวภาพ หรือ Bio Economy ซึ่งรัฐบาลต้องการให้เกิดอุตสาหกรรมท่ีนําผลผลิตไปทําสินค้าตัวใหม่ๆ ที่มีมูลค่าสูงกว่าน้ําตาล ส่งผลให้ราคาอ้อยสูงข้ึน โดยรัฐบาลได้มีนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในรูปแบบใหม่ ท่ีเรียกว่า เศรษฐกิจฐานชีวภาพ หรือ Bio Economy ในการที่จะขยายต่อห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ของสินค้าเกษตร เพื่อแก้ปัญหาสินค้าการเกษตรล้นตลาดและราคาตกต่ํา โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 เห็นชอบมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ.2561 - 2570 เพื่อผลักดันให้ไทยเป็น Bio Hub of ASEAN ภายในปี 2570 ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพในประเทศอย่างน้อย 190,000 ล้านบาท สามารถทําให้เกษตรกรมีรายได้ เพิ่มขึ้น 85,000 บาทต่อคนต่อปี โดยประเทศไทยมีข้อได้เปรียบเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและมีศักยภาพด้านวัตถุดิบโดยไทยเป็นผู้ส่งออกน้ําตาลอันดับ 2 ของโลก และส่งออกมันสําปะหลังอันดับ 1 ของโลก ซึ่งหากมีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชเศรษฐกิจหลักโดยนํามาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพใน 3 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ พลาสติกชีวภาพ (Bio Plastic) เคมีชีวภาพ (Biochemical) และชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceutical) ก็จะเป็นการสร้างโอกาสให้กับสินค้าเกษตรในอนาคต และเป็นการเพิ่มรายได้จากฐานเดิมและต่อยอดไปสู่การสร้างฐานรายได้ใหม่ สําหรับพื้นที่ที่มีการผลักดันให้เป็นเขตเศรษฐกิจชีวภาพครบวงจร (Bioeconomy) เพื่อยกระดับเป็น Bio Hub ตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) อยู่แล้ว ขณะนี้รัฐบาลจะต่อยอดอุตสาหกรรมไบโอชีวภาพออกไปนอกเขต EEC โดยภาคเอกชนสนใจที่จะลงทุนในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางและตอนบน ครอบคลุมจังหวัดนครสวรรค์ กําแพงเพชรและขอนแก่น หากขยายพื้นที่การลงทุนต่อไปให้ครอบคลุมในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางและตอนบนในจังหวัดกาฬสินธุ์ ชัยภูมิ มุกดาหาร และอุดรธานี โดยต่อยอดจากอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปจากอ้อย เป็นอุตสาหกรรมชีวภาพ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้มีฐานการผลิตที่แข็งแกร่งในการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพให้ไปสู่ Bio Hub ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์และรายได้เพิ่มขึ้นแก่เกษตรกรในพื้นที่ สําหรับส่วนต่อขยายการลงทุนในโครงการ Bioeconomy ในภาคอีสานตอนกลาง มีการลงทุน 29,705 ล้านบาท ในจังหวัดขอนแก่น ประกอบไปด้วยนิคมอุตสาหกรรม Bioeconomy ของ บริษัท น้ําตาลมิตรผล จํากัด ร่วมกับ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จํากัด (BIG),โครงการผลิตเอ็นไซม์น้ํา YeastProbiotics และ Beta-glucan ของกลุ่มบริษัท เอเชียสตาร์เทรด จํากัด (AST) และบริษัท เอเชียสตาร์แอนิมัล เฮลธ์ จํากัด (ASAH),โครงการ DriedYeast-เอมไซม์ไฟเตส สําหรับอุตสาหกรรมอาหาร-Lactic Acid/Sugar Alcohol สําหรับอุตสาหกรรมอาหาร/เครื่องสําอางของบริษัท น้ําตาลมิตรผล จํากัด ,บริษัท ดีเอสเอ็มนิวทริชั่นแนลโปรดักส์ (ประเทศไทย) จํากัด (DSM), บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท เบทาโกร จํากัด (มหาชน) และบริษัท อูเอโนไฟนเ์คมีคัลส์อินดัสตรี(ประเทศไทย) จํากัด (UENO) นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ดําเนินการโครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต หรือ โครงการเงินช่วยเหลือ 50 บาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการน้ีไปแล้วเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ในวงเงินงบประมาณ 6,500 ล้านบาท โดยที่รัฐบาลเห็นถึงปัญหาท่ีจะเกิดข้ึนกับราคาอ้อยในฤดูการผลิต (61/62) โดยจะช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้ข้ึนทะเบียนเป็นชาวไร่อ้อยกับสํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย จะช่วยเหลือเกษตรกร จํานวน 50 บาทต่อต้นอ้อย แต่ไม่เกินรายละ 5,000 ตัน โดยเงินช่วยเหลืองวดแรกจะดําเนินการจ่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 และส่วนที่เหลือจะจ่ายให้หลังจากปิดหีบแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวต่ออีกว่า ได้มอบนโยบายและสั่งการให้สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ได้ปรับบทบาทเพื่อรองรับและเผชิญกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงคร้ังใหญ่ของระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายของไทย ทั้งเงื่อนไขทางการค้าระหว่างประเทศและปัญหาราคาสินค้าในตลาดโลกตกต่ํา นํามาซึ่งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายทั้งระบบ รวมถึงการปรับแก้กฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องและรองรับกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป แต่อีกบทบาทหรือภารกิจที่กระทรวงอุตสาหกรรมดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องคือ การพัฒนานําหน่วยงานใหม่ที่มีความพร้อม โดยได้ดําเนินการใน 2 เรื่องหลักได้แก่ 1. การจัดต้ังศูนย์ปรับปรุงพันธ์อ้อยแห่งประเทศไทย (Thailand Sugarcane Breeding Center : TSBC) ภายในศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายภาคที่ 1 จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งศูนย์ดังกล่าวได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางปรับปรุงพันธ์อ้อยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ีมีเทคโนโลยชีวภาพที่ดีและทันสมัยท่ีสุดในเอเชีย 2. การพัฒนาศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายทั้ง 4 ศูนย์ภาคให้เป็นศูนยเ์ชี่ยวชาญเฉพาะทาง (IntelligenceUnit)ในแต่ละด้านเพื่อให้คําปรึกษาแนะนําและร่วมศึกษาวิจัยกับภาคเอกชน ประกอบด้วย 1) ศูนย์ฯ ภาคที่1 จังหวัดกาญจนบุรี เชี่ยวชาญในด้านการปรับปรุงพันธ์อ้อย ศูนย์ฯ ภาคที่ 2 จังหวัดกําแพงเพชร เชี่ยวชาญในด้านเกษตรสมัยใหม่ (Modern Farm) ศูนย์ฯ ภาคที่ 3 จังหวัดชลบุรี เชี่ยวชาญในด้านโรคและแมลงศัตรูพืช และมีแผนในการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพข้ึน และศูนย์ฯ ภาคที่4 จังหวัดอุดรธานี เชี่ยวชาญในด้านการวิเคราะห์ดินและปุ๋ย โดยกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมจะขับเคลื่อนอย่างจริงจังเพื่อให้เป็นองค์กรที่สามารถให้ความรู้ให้คําปรึกษาแนะนํากับพี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยและเพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมชีวภาพเกิดข้ึนอย่างเป็นรูปธรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี อุตตมฯ ลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น พบปะและรับฟังปัญหาจากชาวไร่อ้อยน้ำพอง พร้อมผลักดันพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางและตอนบน เป็นเขตเศรษฐกิจชีวภาพครบวงจร (Bioeconomy) วันพุธที่ 12 ธันวาคม 2561 รัฐมนตรี อุตตมฯ ลงพื้นที่ จ.ขอนแก่น พบปะและรับฟังปัญหาจากชาวไร่อ้อยน้ําพอง พร้อมผลักดันพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางและตอนบน เป็นเขตเศรษฐกิจชีวภาพครบวงจร (Bioeconomy) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพบปะและรับฟังปัญหาของชาวไร่อ้อย ณ สมาคมชาวไร่อ้อย อําเภอน้ําพอง จังหวัดขอนแก่น ขอนแก่น : วันนี้ (12 ธันวาคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุวินัย ต่อศิริสุข เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณพพงศ์ ธีระวร ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภานุวัฒน์ ตริยางกรูศรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพบปะและรับฟังปัญหาของชาวไร่อ้อย โดยมีนายชัยวัฒน์ ค้ําแก่นคูณ นายกสมาคมชาวไร่อ้อยน้ําพอง พี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อย ผู้บริหารโรงงานน้าตาล หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดขอนแก่น ให้การต้อนรับ ณ สมาคมชาวไร่อ้อย อําเภอน้ําพอง จังหวัดขอนแก่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า อ้อยและน้ําตาลทราย เป็นพืชเกษตรและอุตสาหกรรมหลักของประเทศที่กระทรวงอุตสาหกรรมมีบทบาทในการดูแลต้ังแต่ต้นน้ํา คือ พี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อย กลางน้ําคือ โรงงานน้ําตาลทั่วประเทศ รวมถึงปลายน้ําคือ น้ําตาลและสินค้าอื่นๆ ที่ต่อยอดจากอ้อยหรือน้ําตาล โดยรัฐบาลเร่งผลักดันให้เกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ท่ีเรียกว่า เศรษฐกิจฐานชีวภาพ หรือ Bio Economy ซึ่งรัฐบาลต้องการให้เกิดอุตสาหกรรมท่ีนําผลผลิตไปทําสินค้าตัวใหม่ๆ ที่มีมูลค่าสูงกว่าน้ําตาล ส่งผลให้ราคาอ้อยสูงข้ึน โดยรัฐบาลได้มีนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในรูปแบบใหม่ ท่ีเรียกว่า เศรษฐกิจฐานชีวภาพ หรือ Bio Economy ในการที่จะขยายต่อห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) ของสินค้าเกษตร เพื่อแก้ปัญหาสินค้าการเกษตรล้นตลาดและราคาตกต่ํา โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 เห็นชอบมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี พ.ศ.2561 - 2570 เพื่อผลักดันให้ไทยเป็น Bio Hub of ASEAN ภายในปี 2570 ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพในประเทศอย่างน้อย 190,000 ล้านบาท สามารถทําให้เกษตรกรมีรายได้ เพิ่มขึ้น 85,000 บาทต่อคนต่อปี โดยประเทศไทยมีข้อได้เปรียบเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและมีศักยภาพด้านวัตถุดิบโดยไทยเป็นผู้ส่งออกน้ําตาลอันดับ 2 ของโลก และส่งออกมันสําปะหลังอันดับ 1 ของโลก ซึ่งหากมีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชเศรษฐกิจหลักโดยนํามาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพใน 3 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ พลาสติกชีวภาพ (Bio Plastic) เคมีชีวภาพ (Biochemical) และชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceutical) ก็จะเป็นการสร้างโอกาสให้กับสินค้าเกษตรในอนาคต และเป็นการเพิ่มรายได้จากฐานเดิมและต่อยอดไปสู่การสร้างฐานรายได้ใหม่ สําหรับพื้นที่ที่มีการผลักดันให้เป็นเขตเศรษฐกิจชีวภาพครบวงจร (Bioeconomy) เพื่อยกระดับเป็น Bio Hub ตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) อยู่แล้ว ขณะนี้รัฐบาลจะต่อยอดอุตสาหกรรมไบโอชีวภาพออกไปนอกเขต EEC โดยภาคเอกชนสนใจที่จะลงทุนในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางและตอนบน ครอบคลุมจังหวัดนครสวรรค์ กําแพงเพชรและขอนแก่น หากขยายพื้นที่การลงทุนต่อไปให้ครอบคลุมในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางและตอนบนในจังหวัดกาฬสินธุ์ ชัยภูมิ มุกดาหาร และอุดรธานี โดยต่อยอดจากอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปจากอ้อย เป็นอุตสาหกรรมชีวภาพ ซึ่งพื้นที่เหล่านี้มีฐานการผลิตที่แข็งแกร่งในการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพให้ไปสู่ Bio Hub ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์และรายได้เพิ่มขึ้นแก่เกษตรกรในพื้นที่ สําหรับส่วนต่อขยายการลงทุนในโครงการ Bioeconomy ในภาคอีสานตอนกลาง มีการลงทุน 29,705 ล้านบาท ในจังหวัดขอนแก่น ประกอบไปด้วยนิคมอุตสาหกรรม Bioeconomy ของ บริษัท น้ําตาลมิตรผล จํากัด ร่วมกับ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จํากัด (BIG),โครงการผลิตเอ็นไซม์น้ํา YeastProbiotics และ Beta-glucan ของกลุ่มบริษัท เอเชียสตาร์เทรด จํากัด (AST) และบริษัท เอเชียสตาร์แอนิมัล เฮลธ์ จํากัด (ASAH),โครงการ DriedYeast-เอมไซม์ไฟเตส สําหรับอุตสาหกรรมอาหาร-Lactic Acid/Sugar Alcohol สําหรับอุตสาหกรรมอาหาร/เครื่องสําอางของบริษัท น้ําตาลมิตรผล จํากัด ,บริษัท ดีเอสเอ็มนิวทริชั่นแนลโปรดักส์ (ประเทศไทย) จํากัด (DSM), บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท เบทาโกร จํากัด (มหาชน) และบริษัท อูเอโนไฟนเ์คมีคัลส์อินดัสตรี(ประเทศไทย) จํากัด (UENO) นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ดําเนินการโครงการเงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเพื่อซื้อปัจจัยการผลิต หรือ โครงการเงินช่วยเหลือ 50 บาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการน้ีไปแล้วเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ในวงเงินงบประมาณ 6,500 ล้านบาท โดยที่รัฐบาลเห็นถึงปัญหาท่ีจะเกิดข้ึนกับราคาอ้อยในฤดูการผลิต (61/62) โดยจะช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้ข้ึนทะเบียนเป็นชาวไร่อ้อยกับสํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย จะช่วยเหลือเกษตรกร จํานวน 50 บาทต่อต้นอ้อย แต่ไม่เกินรายละ 5,000 ตัน โดยเงินช่วยเหลืองวดแรกจะดําเนินการจ่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 และส่วนที่เหลือจะจ่ายให้หลังจากปิดหีบแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวต่ออีกว่า ได้มอบนโยบายและสั่งการให้สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ําตาลทราย ได้ปรับบทบาทเพื่อรองรับและเผชิญกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงคร้ังใหญ่ของระบบอุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายของไทย ทั้งเงื่อนไขทางการค้าระหว่างประเทศและปัญหาราคาสินค้าในตลาดโลกตกต่ํา นํามาซึ่งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายทั้งระบบ รวมถึงการปรับแก้กฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องและรองรับกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป แต่อีกบทบาทหรือภารกิจที่กระทรวงอุตสาหกรรมดําเนินการมาอย่างต่อเนื่องคือ การพัฒนานําหน่วยงานใหม่ที่มีความพร้อม โดยได้ดําเนินการใน 2 เรื่องหลักได้แก่ 1. การจัดต้ังศูนย์ปรับปรุงพันธ์อ้อยแห่งประเทศไทย (Thailand Sugarcane Breeding Center : TSBC) ภายในศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายภาคที่ 1 จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งศูนย์ดังกล่าวได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางปรับปรุงพันธ์อ้อยของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ีมีเทคโนโลยชีวภาพที่ดีและทันสมัยท่ีสุดในเอเชีย 2. การพัฒนาศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายทั้ง 4 ศูนย์ภาคให้เป็นศูนยเ์ชี่ยวชาญเฉพาะทาง (IntelligenceUnit)ในแต่ละด้านเพื่อให้คําปรึกษาแนะนําและร่วมศึกษาวิจัยกับภาคเอกชน ประกอบด้วย 1) ศูนย์ฯ ภาคที่1 จังหวัดกาญจนบุรี เชี่ยวชาญในด้านการปรับปรุงพันธ์อ้อย ศูนย์ฯ ภาคที่ 2 จังหวัดกําแพงเพชร เชี่ยวชาญในด้านเกษตรสมัยใหม่ (Modern Farm) ศูนย์ฯ ภาคที่ 3 จังหวัดชลบุรี เชี่ยวชาญในด้านโรคและแมลงศัตรูพืช และมีแผนในการจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพข้ึน และศูนย์ฯ ภาคที่4 จังหวัดอุดรธานี เชี่ยวชาญในด้านการวิเคราะห์ดินและปุ๋ย โดยกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมจะขับเคลื่อนอย่างจริงจังเพื่อให้เป็นองค์กรที่สามารถให้ความรู้ให้คําปรึกษาแนะนํากับพี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยและเพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมชีวภาพเกิดข้ึนอย่างเป็นรูปธรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17446
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สธ.มอบรางวัลงานวิจัยดีเด่นระดับประเทศ ประจำปี 2561
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561 ​สธ.มอบรางวัลงานวิจัยดีเด่นระดับประเทศ ประจําปี 2561 กระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัลผลงานวิจัย R2R ดีเด่น ระดับประเทศ จํานวน 31 รางวัล เพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่ผู้ทํางานวิจัยเพื่อพัฒนางานประจํา เพิ่มคุณภาพบริการประชาชน วันนี้ (14 กันยายน 2561) ณ โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณะบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ที่ปรึกษาโครงการสนับสนุนการพัฒนางานประจําสู่งานวิจัยระดับประเทศ มอบรางวัล R2R ดีเด่น ระดับประเทศ จํานวน 31 รางวัล รางวัลการประกวดบูธนิทรรศการดีเด่นของกรมวิชาการและเขตสุขภาพ และรางวัลต้นแบบระบบคุณภาพอาหารปลอดภัย ในงานประชุมวิชาการพัฒนางานประจําสู่งานวิจัยประจําปี 2561 เพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่ผู้ทํางานวิจัยเพื่อพัฒนางานประจํา นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสําคัญกับการพัฒนาระบบบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขมาอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้บุคลากรในสังกัดทั่วประเทศ ได้พัฒนากระบวนการทํางานของตนสู่งานวิจัย (Routine to Research: R2R) ซึ่งนอกจากเป็นการพัฒนากระบวนการทํางานประจําให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นแล้ว ยังนําไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่สามารถนํามาเรียนรู้ร่วมกันจนเกิดเป็นวงจรแห่งการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อประโยชน์สูงสุดคือผู้ป่วยและประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ ในปีนี้ มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดจากหน่วยงานด้านสาธารณสุข ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา จํานวนทั้งสิ้น 941 ผลงาน มีผู้ได้รับรางวัล R2R ดีเด่น จํานวน 31 รางวัล แบ่งเป็น ระดับปฐมภูมิ 5 รางวัล ระดับทุติยภูมิ 2 รางวัล ระดับตติยภูมิ ศูนย์ความเชี่ยวชาญระดับสูง และโรงเรียนแพทย์ 9 รางวัล ระดับสนับสนุนบริหารและสนับสนุนบริการ 8 รางวัล ระดับนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ 1 รางวัล ระดับ Meta R2R 6 รางวัล เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ กรมวิชาการและเขตสุขภาพทั่วประเทศ ร่วมจัดแสดงนิทรรศการผลงานวิชาการ โดยมีการมอบรางวัลบูธนิทรรศการดีเด่น ประเภทกรมวิชาการจํานวน 3 รางวัล ได้แก่ กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประเภทเขตสุขภาพ 3 รางวัล ได้แก่ เขตสุขภาพที่ 2 เขตสุขภาพที่ 5 เขตสุขภาพที่ 11 และรางวัลต้นแบบระบบคุณภาพงานอาหารปลอดภัย 3 รางวัล ได้แก่ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา ******************************** 14 กันยายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สธ.มอบรางวัลงานวิจัยดีเด่นระดับประเทศ ประจำปี 2561 วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561 ​สธ.มอบรางวัลงานวิจัยดีเด่นระดับประเทศ ประจําปี 2561 กระทรวงสาธารณสุข มอบรางวัลผลงานวิจัย R2R ดีเด่น ระดับประเทศ จํานวน 31 รางวัล เพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่ผู้ทํางานวิจัยเพื่อพัฒนางานประจํา เพิ่มคุณภาพบริการประชาชน วันนี้ (14 กันยายน 2561) ณ โรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว จังหวัดเชียงใหม่ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณะบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช ที่ปรึกษาโครงการสนับสนุนการพัฒนางานประจําสู่งานวิจัยระดับประเทศ มอบรางวัล R2R ดีเด่น ระดับประเทศ จํานวน 31 รางวัล รางวัลการประกวดบูธนิทรรศการดีเด่นของกรมวิชาการและเขตสุขภาพ และรางวัลต้นแบบระบบคุณภาพอาหารปลอดภัย ในงานประชุมวิชาการพัฒนางานประจําสู่งานวิจัยประจําปี 2561 เพื่อเป็นขวัญกําลังใจแก่ผู้ทํางานวิจัยเพื่อพัฒนางานประจํา นายแพทย์โอภาสกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสําคัญกับการพัฒนาระบบบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขมาอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมให้บุคลากรในสังกัดทั่วประเทศ ได้พัฒนากระบวนการทํางานของตนสู่งานวิจัย (Routine to Research: R2R) ซึ่งนอกจากเป็นการพัฒนากระบวนการทํางานประจําให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นแล้ว ยังนําไปสู่การสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่สามารถนํามาเรียนรู้ร่วมกันจนเกิดเป็นวงจรแห่งการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อประโยชน์สูงสุดคือผู้ป่วยและประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพ ในปีนี้ มีผู้ส่งผลงานเข้าประกวดจากหน่วยงานด้านสาธารณสุข ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา จํานวนทั้งสิ้น 941 ผลงาน มีผู้ได้รับรางวัล R2R ดีเด่น จํานวน 31 รางวัล แบ่งเป็น ระดับปฐมภูมิ 5 รางวัล ระดับทุติยภูมิ 2 รางวัล ระดับตติยภูมิ ศูนย์ความเชี่ยวชาญระดับสูง และโรงเรียนแพทย์ 9 รางวัล ระดับสนับสนุนบริหารและสนับสนุนบริการ 8 รางวัล ระดับนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ 1 รางวัล ระดับ Meta R2R 6 รางวัล เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ กรมวิชาการและเขตสุขภาพทั่วประเทศ ร่วมจัดแสดงนิทรรศการผลงานวิชาการ โดยมีการมอบรางวัลบูธนิทรรศการดีเด่น ประเภทกรมวิชาการจํานวน 3 รางวัล ได้แก่ กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ประเภทเขตสุขภาพ 3 รางวัล ได้แก่ เขตสุขภาพที่ 2 เขตสุขภาพที่ 5 เขตสุขภาพที่ 11 และรางวัลต้นแบบระบบคุณภาพงานอาหารปลอดภัย 3 รางวัล ได้แก่ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดกาฬสินธุ์ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบูรณ์ และสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา ******************************** 14 กันยายน 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15391
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กฤษฎา” เดินหน้าเกษตร 4.0 – บิ๊กดาต้า จีบอินเดียหนุนแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าเทคโนโลยีสารสนเทศการเกษตร
วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561 “กฤษฎา” เดินหน้าเกษตร 4.0 – บิ๊กดาต้า จีบอินเดียหนุนแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าเทคโนโลยีสารสนเทศการเกษตร “กฤษฎา” เดินหน้าเกษตร 4.0 – บิ๊กดาต้า จีบอินเดียหนุนแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าเทคโนโลยีสารสนเทศการเกษตรให้ไทย เตรียมจัดทําความร่วมมือระหว่างศูนย์สารสนเทศแห่งชาติของอินเดียและกระทรวงเกษตรฯไทย นายกฤษฏาบุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในระหว่างการเดินทางเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียน-อินเดียด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 4 ณกรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสหารือกับศูนย์สารสนเทศแห่งชาติ(National Informatics CentreหรือNIC)ของสาธารณรัฐอินเดียเพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อมูลโครงการด้านการเกษตรที่ศูนย์สารสนเทศแห่งชาติดําเนินการรวมทั้งนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการเกษตรของอินเดีย โดยเฉพาะโครงการและซอฟแวร์ด้านการเกษตรที่มีประสิทธิภาพที่NICได้ดําเนินการไปแล้ว รวมทั้งนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการเกษตรของอินเดีย “ศูนย์สารสนเทศแห่งชาติ (NIC)เป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในโครงการออกแบบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อสนับสนุนให้เกิดธรรมาภิบาลในการบริหารและบริการของภาครัฐ หรือe-Governanceรวมถึงการพัฒนาและใช้งานระบบe-Governanceในหลายสาขา โดยเฉพาะด้านเกษตรและอาหาร ด้านพัฒนาพันธุ์สัตว์ ด้านประมง ด้านป่าไม้และสิ่งแวดล้อมเช่นเทคโนโลยีด้านการสํารวจระยะไกล และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์(GIS)ระบบการรายงานและติดตามสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโรคสัตว์ โปรแกรมการรวบรวมข้อมูลผู้ค้าปุ๋ย เครื่องจักรกลการเกษตร เมล็ดพันธุ์ ยาฆ่าแมลง และมีบริการให้คําแนะนําเกษตรกรผ่านข้อความSMSรวมถึง การบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานด้านเกษตรที่เกี่ยวข้องนํามาจัดทําข้อมูลที่สําคัญ เช่น เมล็ดพันธุ์ ราคาและคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ คําแนะนําเกี่ยวกับฤดูการเพาะปลูก สถานที่ และพืชที่เหมาะสม ข้อมูลดินและปุ๋ย เทคนิคการเพาะปลูกของพืชแต่ละชนิด โรคพืช การจําแนกเขตภูมิศาสตร์พืชตามลักษณะอุณหภูมิ/ ความชื้น เป็นต้นซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับที่รัฐบาลไทยดําเนินการอยู่ ดังนั้น หากมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกันก็จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายไทยในการทําการเกษตรแม่นยําเพิ่มมากขึ้นได้” นายกฤษฏา กล่าว อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันที่จะให้มีความร่วมมือระหว่างศูนย์สารสนเทศแห่งชาติและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยจะมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบของทั้งฝ่ายหารือรายละเอียดของความร่วมมือต่อไป เช่น การจัดส่งผู้เชี่ยวชาญอินเดียมาไทย การจัดส่งนักวิชาการไทยไปอินเดีย เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งอินเดียมีความเชี่ยวชาญ หรือการประชุม สัมมนา และทดลองนําซอฟแวร์ของอินเดียมาใช้ในพื้นที่นําร่องในไทย(Pilot projectเป็นต้น เนื่องจากภาคเกษตรของไทยและอินเดีย มีลักษณะคล้ายกันหลายประการ เช่นเกษตรกรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชนบท ปลูกพืชหลักชนิดเดียวกัน อาทิ ข้าว มันสําปะหลัง อ้อยและยางพาราประกอบกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายจัดทําข้อมูล (big data)กลุ่มเกษตรกรให้เป็นระบบ เพื่อให้เชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นๆ ตามกรม กอง ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือให้กระทรวงอื่นๆ นําไปจัดทําโครงการประสานเชื่อมโยงเพื่อนําไปใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางมากขึ้น กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กฤษฎา” เดินหน้าเกษตร 4.0 – บิ๊กดาต้า จีบอินเดียหนุนแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าเทคโนโลยีสารสนเทศการเกษตร วันศุกร์ที่ 12 มกราคม 2561 “กฤษฎา” เดินหน้าเกษตร 4.0 – บิ๊กดาต้า จีบอินเดียหนุนแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าเทคโนโลยีสารสนเทศการเกษตร “กฤษฎา” เดินหน้าเกษตร 4.0 – บิ๊กดาต้า จีบอินเดียหนุนแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าเทคโนโลยีสารสนเทศการเกษตรให้ไทย เตรียมจัดทําความร่วมมือระหว่างศูนย์สารสนเทศแห่งชาติของอินเดียและกระทรวงเกษตรฯไทย นายกฤษฏาบุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในระหว่างการเดินทางเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียน-อินเดียด้านการเกษตรและป่าไม้ ครั้งที่ 4 ณกรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสหารือกับศูนย์สารสนเทศแห่งชาติ(National Informatics CentreหรือNIC)ของสาธารณรัฐอินเดียเพื่อรับฟังและแลกเปลี่ยนข้อมูลโครงการด้านการเกษตรที่ศูนย์สารสนเทศแห่งชาติดําเนินการรวมทั้งนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการเกษตรของอินเดีย โดยเฉพาะโครงการและซอฟแวร์ด้านการเกษตรที่มีประสิทธิภาพที่NICได้ดําเนินการไปแล้ว รวมทั้งนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการเกษตรของอินเดีย “ศูนย์สารสนเทศแห่งชาติ (NIC)เป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในโครงการออกแบบการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อสนับสนุนให้เกิดธรรมาภิบาลในการบริหารและบริการของภาครัฐ หรือe-Governanceรวมถึงการพัฒนาและใช้งานระบบe-Governanceในหลายสาขา โดยเฉพาะด้านเกษตรและอาหาร ด้านพัฒนาพันธุ์สัตว์ ด้านประมง ด้านป่าไม้และสิ่งแวดล้อมเช่นเทคโนโลยีด้านการสํารวจระยะไกล และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์(GIS)ระบบการรายงานและติดตามสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโรคสัตว์ โปรแกรมการรวบรวมข้อมูลผู้ค้าปุ๋ย เครื่องจักรกลการเกษตร เมล็ดพันธุ์ ยาฆ่าแมลง และมีบริการให้คําแนะนําเกษตรกรผ่านข้อความSMSรวมถึง การบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานด้านเกษตรที่เกี่ยวข้องนํามาจัดทําข้อมูลที่สําคัญ เช่น เมล็ดพันธุ์ ราคาและคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ คําแนะนําเกี่ยวกับฤดูการเพาะปลูก สถานที่ และพืชที่เหมาะสม ข้อมูลดินและปุ๋ย เทคนิคการเพาะปลูกของพืชแต่ละชนิด โรคพืช การจําแนกเขตภูมิศาสตร์พืชตามลักษณะอุณหภูมิ/ ความชื้น เป็นต้นซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับที่รัฐบาลไทยดําเนินการอยู่ ดังนั้น หากมีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างกันก็จะเป็นประโยชน์กับฝ่ายไทยในการทําการเกษตรแม่นยําเพิ่มมากขึ้นได้” นายกฤษฏา กล่าว อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องกันที่จะให้มีความร่วมมือระหว่างศูนย์สารสนเทศแห่งชาติและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยจะมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบของทั้งฝ่ายหารือรายละเอียดของความร่วมมือต่อไป เช่น การจัดส่งผู้เชี่ยวชาญอินเดียมาไทย การจัดส่งนักวิชาการไทยไปอินเดีย เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งอินเดียมีความเชี่ยวชาญ หรือการประชุม สัมมนา และทดลองนําซอฟแวร์ของอินเดียมาใช้ในพื้นที่นําร่องในไทย(Pilot projectเป็นต้น เนื่องจากภาคเกษตรของไทยและอินเดีย มีลักษณะคล้ายกันหลายประการ เช่นเกษตรกรส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชนบท ปลูกพืชหลักชนิดเดียวกัน อาทิ ข้าว มันสําปะหลัง อ้อยและยางพาราประกอบกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายจัดทําข้อมูล (big data)กลุ่มเกษตรกรให้เป็นระบบ เพื่อให้เชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นๆ ตามกรม กอง ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือให้กระทรวงอื่นๆ นําไปจัดทําโครงการประสานเชื่อมโยงเพื่อนําไปใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางมากขึ้น กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9356
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งรัดยุติ “เอดส์และวัณโรค” สาเหตุการตายอันดับ 1 ของผู้ติดเชื้อ
วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 สธ.เร่งรัดยุติ “เอดส์และวัณโรค” สาเหตุการตายอันดับ 1 ของผู้ติดเชื้อ กระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดยุติ “เอดส์และวัณโรค”ที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงอันดับ 1 ถึงร้อยละ 13-14 เร่งรัดค้นหาวัณโรค โดยการเอกซเรย์ปอดผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ทุกรายและรายเก่าที่มีอาการ รวมทั้งทดสอบทางผิวหนังค้นหาวัณโรคแฝงเพื่อรีบรักษา วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ประชุมการบริหารจัดการเชิงนโยบายเร่งรัดการดําเนินงาน เพื่อยุติปัญหาวัณโรคและเอดส์ ครั้งที่ 2/2561 เพื่อติดตามความก้าวหน้าการบูรณาการฐานข้อมูลโรค ความจําเป็นการในเอกซเรย์ทรวงอกประจําปีในผู้ติดเชื้อเอชไอวี และการให้ยาป้องกันวัณโรคในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสําคัญปัญหาการติดเชื้อวัณโรคในผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี (เอดส์) เพราะประเทศไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศที่พบวัณโรคร่วมกับเอดส์สูง ได้บูรณาการการดําเนินงานของสํานักโรคเอดส์ฯ และสํานักวัณโรค เพื่อยุติปัญหาวัณโรคและเอดส์ เนื่องจากวัณโรคเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบบ่อยที่สุด 1 ใน 3 ในผู้ป่วยเอดส์ เป็นเหตุให้เสียชีวิตมากที่สุด โดยผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ป่วยเป็นวัณโรคจะมีอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 13 – 14 หรือทุก 7 คนมีเสียชีวิต 1 คน ในขณะที่ผู้ติดเชื้อวัณโรคที่ไม่มีเชื้อเอชไอวีจะมีอัตราการเสียชีวิตเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น ดังนั้นหากวัณโรคถูกวินิจฉัยและเริ่มการรักษาที่รวดเร็ว จะลดอัตราการเสียชีวิต ลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในชุมชน รวมทั้งการค้นหาผู้สัมผัสร่วมบ้านรวดเร็วจะช่วยยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคป้องการระบาดในวงกว้างได้สําเร็จ ด้าน นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สิ่งที่ต้องเร่งรัดดําเนินการเพื่อยุติเอดส์และวัณโรค มี 2 เรื่องสําคัญคือ การพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารเพื่อบูรณาการเชื่อมโยงให้เป็นโปรแกรมเดียว ข้อมูลชุดเดียวกันลดความซ้ําซ้อนของการบันทึกข้อมูล รวมถึงให้มีคืนข้อมูลให้พื้นที่ได้ใช้ประโยชน์โดยประสานกับสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างใกล้ชิด และการเอกซเรย์ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพื่อคัดกรองวัณโรค รวมทั้งการรักษาวัณโรคที่แฝงตัวอยู่โดยยังไม่ปรากฏอาการ สําหรับการดําเนินงานมีรายละเอียด ดังนี้ 1.คัดกรองวัณโรคด้วยการเอกซเรย์ปอดในผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ทุกราย ประมาณ 28,000 รายต่อปี 2.สําหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายเก่า จะเอกซเรย์ผู้ที่มีอาการไอผิดปกติ มีไข้ น้ําหนักลด เหงื่อออกผิดปกติกลางคืน รวมทั้งเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดวัณโรค 3.ค้นหาวัณโรคแฝงในผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ด้วยการทดสอบทางผิวหนัง หากให้ผลบวกจะรักษาทันที ในปี 2561 นําร่องดําเนินการคัดกรองวัณโรคแฝงด้วยการทดสอบทางผิวหนัง ในโรงพยาบาล 31 แห่งและเรือนจํา 58 แห่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนโลกและสํานักวัณโรค ในอนาคตจะผลักดันการทดสอบและรักษาวัณโรคแฝงเข้าชุดสิทธิประโยชน์ต่อไป กุมภาพันธ์ 2/9 ********************************** 16 กุมภาพันธ์ 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เร่งรัดยุติ “เอดส์และวัณโรค” สาเหตุการตายอันดับ 1 ของผู้ติดเชื้อ วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 สธ.เร่งรัดยุติ “เอดส์และวัณโรค” สาเหตุการตายอันดับ 1 ของผู้ติดเชื้อ กระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดยุติ “เอดส์และวัณโรค”ที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงอันดับ 1 ถึงร้อยละ 13-14 เร่งรัดค้นหาวัณโรค โดยการเอกซเรย์ปอดผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ทุกรายและรายเก่าที่มีอาการ รวมทั้งทดสอบทางผิวหนังค้นหาวัณโรคแฝงเพื่อรีบรักษา วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ประชุมการบริหารจัดการเชิงนโยบายเร่งรัดการดําเนินงาน เพื่อยุติปัญหาวัณโรคและเอดส์ ครั้งที่ 2/2561 เพื่อติดตามความก้าวหน้าการบูรณาการฐานข้อมูลโรค ความจําเป็นการในเอกซเรย์ทรวงอกประจําปีในผู้ติดเชื้อเอชไอวี และการให้ยาป้องกันวัณโรคในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสําคัญปัญหาการติดเชื้อวัณโรคในผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี (เอดส์) เพราะประเทศไทยเป็น 1 ใน 14 ประเทศที่พบวัณโรคร่วมกับเอดส์สูง ได้บูรณาการการดําเนินงานของสํานักโรคเอดส์ฯ และสํานักวัณโรค เพื่อยุติปัญหาวัณโรคและเอดส์ เนื่องจากวัณโรคเป็นโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบบ่อยที่สุด 1 ใน 3 ในผู้ป่วยเอดส์ เป็นเหตุให้เสียชีวิตมากที่สุด โดยผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ป่วยเป็นวัณโรคจะมีอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 13 – 14 หรือทุก 7 คนมีเสียชีวิต 1 คน ในขณะที่ผู้ติดเชื้อวัณโรคที่ไม่มีเชื้อเอชไอวีจะมีอัตราการเสียชีวิตเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น ดังนั้นหากวัณโรคถูกวินิจฉัยและเริ่มการรักษาที่รวดเร็ว จะลดอัตราการเสียชีวิต ลดโอกาสการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคในชุมชน รวมทั้งการค้นหาผู้สัมผัสร่วมบ้านรวดเร็วจะช่วยยับยั้งการแพร่กระจายเชื้อวัณโรคป้องการระบาดในวงกว้างได้สําเร็จ ด้าน นพ.เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สิ่งที่ต้องเร่งรัดดําเนินการเพื่อยุติเอดส์และวัณโรค มี 2 เรื่องสําคัญคือ การพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารเพื่อบูรณาการเชื่อมโยงให้เป็นโปรแกรมเดียว ข้อมูลชุดเดียวกันลดความซ้ําซ้อนของการบันทึกข้อมูล รวมถึงให้มีคืนข้อมูลให้พื้นที่ได้ใช้ประโยชน์โดยประสานกับสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างใกล้ชิด และการเอกซเรย์ในผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพื่อคัดกรองวัณโรค รวมทั้งการรักษาวัณโรคที่แฝงตัวอยู่โดยยังไม่ปรากฏอาการ สําหรับการดําเนินงานมีรายละเอียด ดังนี้ 1.คัดกรองวัณโรคด้วยการเอกซเรย์ปอดในผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ทุกราย ประมาณ 28,000 รายต่อปี 2.สําหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายเก่า จะเอกซเรย์ผู้ที่มีอาการไอผิดปกติ มีไข้ น้ําหนักลด เหงื่อออกผิดปกติกลางคืน รวมทั้งเป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดวัณโรค 3.ค้นหาวัณโรคแฝงในผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ด้วยการทดสอบทางผิวหนัง หากให้ผลบวกจะรักษาทันที ในปี 2561 นําร่องดําเนินการคัดกรองวัณโรคแฝงด้วยการทดสอบทางผิวหนัง ในโรงพยาบาล 31 แห่งและเรือนจํา 58 แห่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนโลกและสํานักวัณโรค ในอนาคตจะผลักดันการทดสอบและรักษาวัณโรคแฝงเข้าชุดสิทธิประโยชน์ต่อไป กุมภาพันธ์ 2/9 ********************************** 16 กุมภาพันธ์ 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10145
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่รับฟังสภาพปัญหาสถานการณ์น้ำท่วม และภัยแล้งซ้ำซาก ในพื้นที่อำเภอประทาย
วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่รับฟังสภาพปัญหาสถานการณ์น้ําท่วม และภัยแล้งซ้ําซาก ในพื้นที่อําเภอประทาย รัฐบาลกําลังขับเคลื่อนปฏิรูปและพัฒนารถไฟฟ้าความเร็วสูงที่จะสอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของประเทศ วันนี้ (21 ส.ค. 60) เวลา 16.00 น. ณ บึงกระโตน อําเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ ลงพื้นที่รับฟังสภาพปัญหาสถานการณ์น้ําท่วม และภัยแล้งซ้ําซาก ในพื้นที่อําเภอประทาย โดยมีอธิบดีกรมชลประทาน หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยประชาชนจํานวนมากในพื้นที่มารอให้การต้อนรับ อธิบดีกรมชลประทานได้กล่าวรายงานการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมภัยแล้งและการบริหารจัดการน้ําของจังหวัดนครราชสีมาทั้งระบบว่า อ่างเก็บน้ําบึงกระโตน เป็นแหล่งน้ําสําคัญของชาวอําเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา เป็นอ่างเก็บน้ําขนาดกลาง ก่อสร้างเมื่อปี 2495 ซึ่งตั้งอยู่ในลุ่มน้ําลําสะแทด มีความจุอ่างเก็บน้ํา 10 ล้าน ลบ.ม. อยู่ในเขตพื้นที่ชลประทานประมาณ 3,000 ไร่ เป็นแหล่งน้ําอุปโภคบริโภคสําคัญให้กับประชาชนในเขตพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมาได้ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ํามาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2557 -2559 รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ํา และการบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบ โดยได้มีการพัฒนาอ่างเก็บน้ําให้เต็มศักยภาพ พร้อมได้น้อมนําศาสตร์พระราชา “แก้มลิง” “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาใช้ในการบริหารจัดการน้ําของอ่างเก็บน้ําบึงกระโตน. อีกทั้งกรมชลประทาน ได้ทําการเพิ่มความจุของอ่างจาก 6 ล้านลบ.ม. เป็น 15 ล้านลบ.ม ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ดําเนินการก่อสร้างระบบคลองชักน้ํา จากห้วยแอกไปลงบึงกระโตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อปี 2559 ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการใช้น้ําในพื้นที่อําเภอประทาย ได้เป็นอย่างมาก โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวพบปะกับประชาชนที่มารอให้การต้อนรับว่า รู้สึกดีใจที่ได้มาพบปะพี่น้องประชาชนชาวอําเภอประทาย เมื่อเช้าวันนี้ได้มีการหารือแนวทางการดําเนินการแก้ไขปัญหาของประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งหลายๆอย่างไม่ได้ทําในวันเดียว ต้องสะสมมาเรื่อยๆ รัฐบาลได้พยายามขับเคลื่อนปัญหาของภาคอีสานคือดินไม่ดี น้ําไม่พอ ฝนแล้ง การอุตสาหกรรมไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะได้รับความสนใจน้อย ดังนั้น รัฐบาลมุ่งมั่นหาแนวทางที่จะทําอย่างไรให้ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น พร้อมทั้ง ยังมีการจัดระบบการบริหารราชการแผ่นดินรายภาคใหม่ จากเดิม 4 ภาค เพิ่มเป็น 6 ภาค ได้แก่ ภาคตะวันออกที่มีโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี และกลุ่ม 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องแบ่งภาคเพราะต้องมีกฏหมายบางตัวบางฉบับ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ประกอบด้วย ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การแปรรูปอาหาร เครื่องจักรอัตโนมัติและหุ่นยนต์ การบิน เคมีชีวภาพและปิโตรเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดิจิทัล และการแพทย์ครบวงจรเพื่อนําเงินเหล่านี้มาเติมโครงสร้างพื้นฐานให้กับประเทศ อีกทั้ง รัฐบาลได้ดําเนินการโครงการที่สําคัญต่างๆมากมาย แต่เรื่องของการทุจริตอยู่ที่ประชาชนต้องมาดูและให้ความเป็นธรรมกับเขาด้วย ซึ่งการทุจริตต้องทุจริตด้วยหลักฐาน ในส่วนของรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพ -นครราชสีมา นายกรัฐมนตรีกล่าว่า เป็นโครงการที่รัฐบาลมีความจําเป็นต้องทําเพื่อความเชื่อมโยง ทั้งทางถนนและทางรางที่มีทั้งรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะสอดคล้องกับการเชื่อมโยงคมนาคมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจ ยกระดับศักยภาพการแข่งขัน และลดความเหลื่อมล้ําตามยุทธศาสตร์ของประเทศ นอกจากนี้ ในส่วนของเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของอําเภอประทาย ขอให้เน้นการสร้าง Package การท่องเที่ยวเพื่อให้มีความโดดเด่น อาทิ ประทาย+1 +2 +3 เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง และในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีอยากให้ประชาชนรักบ้านเมือง รักชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ ให้มาก โดยต้องสร้างสิ่งเหล่านี้กลับมาด้วยใจของพวกเราทุกคน ....................................................... กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่รับฟังสภาพปัญหาสถานการณ์น้ำท่วม และภัยแล้งซ้ำซาก ในพื้นที่อำเภอประทาย วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ลงพื้นที่รับฟังสภาพปัญหาสถานการณ์น้ําท่วม และภัยแล้งซ้ําซาก ในพื้นที่อําเภอประทาย รัฐบาลกําลังขับเคลื่อนปฏิรูปและพัฒนารถไฟฟ้าความเร็วสูงที่จะสอดคล้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ของประเทศ วันนี้ (21 ส.ค. 60) เวลา 16.00 น. ณ บึงกระโตน อําเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ ลงพื้นที่รับฟังสภาพปัญหาสถานการณ์น้ําท่วม และภัยแล้งซ้ําซาก ในพื้นที่อําเภอประทาย โดยมีอธิบดีกรมชลประทาน หัวหน้าส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยประชาชนจํานวนมากในพื้นที่มารอให้การต้อนรับ อธิบดีกรมชลประทานได้กล่าวรายงานการแก้ไขปัญหาน้ําท่วมภัยแล้งและการบริหารจัดการน้ําของจังหวัดนครราชสีมาทั้งระบบว่า อ่างเก็บน้ําบึงกระโตน เป็นแหล่งน้ําสําคัญของชาวอําเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา เป็นอ่างเก็บน้ําขนาดกลาง ก่อสร้างเมื่อปี 2495 ซึ่งตั้งอยู่ในลุ่มน้ําลําสะแทด มีความจุอ่างเก็บน้ํา 10 ล้าน ลบ.ม. อยู่ในเขตพื้นที่ชลประทานประมาณ 3,000 ไร่ เป็นแหล่งน้ําอุปโภคบริโภคสําคัญให้กับประชาชนในเขตพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมาได้ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ํามาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2557 -2559 รัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ํา และการบริหารจัดการน้ําอย่างเป็นระบบ โดยได้มีการพัฒนาอ่างเก็บน้ําให้เต็มศักยภาพ พร้อมได้น้อมนําศาสตร์พระราชา “แก้มลิง” “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” มาใช้ในการบริหารจัดการน้ําของอ่างเก็บน้ําบึงกระโตน. อีกทั้งกรมชลประทาน ได้ทําการเพิ่มความจุของอ่างจาก 6 ล้านลบ.ม. เป็น 15 ล้านลบ.ม ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ดําเนินการก่อสร้างระบบคลองชักน้ํา จากห้วยแอกไปลงบึงกระโตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อปี 2559 ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการใช้น้ําในพื้นที่อําเภอประทาย ได้เป็นอย่างมาก โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวพบปะกับประชาชนที่มารอให้การต้อนรับว่า รู้สึกดีใจที่ได้มาพบปะพี่น้องประชาชนชาวอําเภอประทาย เมื่อเช้าวันนี้ได้มีการหารือแนวทางการดําเนินการแก้ไขปัญหาของประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งหลายๆอย่างไม่ได้ทําในวันเดียว ต้องสะสมมาเรื่อยๆ รัฐบาลได้พยายามขับเคลื่อนปัญหาของภาคอีสานคือดินไม่ดี น้ําไม่พอ ฝนแล้ง การอุตสาหกรรมไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะได้รับความสนใจน้อย ดังนั้น รัฐบาลมุ่งมั่นหาแนวทางที่จะทําอย่างไรให้ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น พร้อมทั้ง ยังมีการจัดระบบการบริหารราชการแผ่นดินรายภาคใหม่ จากเดิม 4 ภาค เพิ่มเป็น 6 ภาค ได้แก่ ภาคตะวันออกที่มีโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี และกลุ่ม 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องแบ่งภาคเพราะต้องมีกฏหมายบางตัวบางฉบับ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง ประกอบด้วย ยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การแปรรูปอาหาร เครื่องจักรอัตโนมัติและหุ่นยนต์ การบิน เคมีชีวภาพและปิโตรเคมีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดิจิทัล และการแพทย์ครบวงจรเพื่อนําเงินเหล่านี้มาเติมโครงสร้างพื้นฐานให้กับประเทศ อีกทั้ง รัฐบาลได้ดําเนินการโครงการที่สําคัญต่างๆมากมาย แต่เรื่องของการทุจริตอยู่ที่ประชาชนต้องมาดูและให้ความเป็นธรรมกับเขาด้วย ซึ่งการทุจริตต้องทุจริตด้วยหลักฐาน ในส่วนของรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพ -นครราชสีมา นายกรัฐมนตรีกล่าว่า เป็นโครงการที่รัฐบาลมีความจําเป็นต้องทําเพื่อความเชื่อมโยง ทั้งทางถนนและทางรางที่มีทั้งรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะสอดคล้องกับการเชื่อมโยงคมนาคมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ภายใต้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟของประเทศไทยในกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจ ยกระดับศักยภาพการแข่งขัน และลดความเหลื่อมล้ําตามยุทธศาสตร์ของประเทศ นอกจากนี้ ในส่วนของเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของอําเภอประทาย ขอให้เน้นการสร้าง Package การท่องเที่ยวเพื่อให้มีความโดดเด่น อาทิ ประทาย+1 +2 +3 เพื่อกระจายรายได้สู่ชุมชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง และในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีอยากให้ประชาชนรักบ้านเมือง รักชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ ให้มาก โดยต้องสร้างสิ่งเหล่านี้กลับมาด้วยใจของพวกเราทุกคน ....................................................... กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6094
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง
วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 การประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง การประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง เพื่อขับเคลื่อนผนึกกําลังกันนําความรัก ความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวกันในสังคม เดินหน้าสู่พลังของการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ ณ ศาลาว่าการกลาโหม เมื่อวันที่ 8 ม.ค.61
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง วันพุธที่ 10 มกราคม 2561 การประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง การประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. และ รมว.กห. เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการเตรียมการเพื่อสร้างความสามัคคีปรองดอง เพื่อขับเคลื่อนผนึกกําลังกันนําความรัก ความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวกันในสังคม เดินหน้าสู่พลังของการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ ณ ศาลาว่าการกลาโหม เมื่อวันที่ 8 ม.ค.61
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9279
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำให้เด็กหมั่นศึกษาหาความรู้ เพิ่มทักษะให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และรู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย
วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 นายกรัฐมนตรี ย้ําให้เด็กหมั่นศึกษาหาความรู้ เพิ่มทักษะให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และรู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ของกระทรวงศึกษาธิการ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Wonderful Kids สุดยอดเด็กไทย" ย้ําเด็กต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ เพิ่มทักษะให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และรู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย วันนี้ (11 ม.ค.63) เวลา 08.30 น.ณบริเวณกระทรวงศึกษาธิการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี2563 ของกระทรวงศึกษาธิการ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Wonderful Kids สุดยอดเด็กไทย" มุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนเป็น คนเก่ง คนดี สามัคคี รู้จักหน้าหน้าที่ของตนเอง สอดคล้องกับคําขวัญวันเด็ก "เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย" พร้อมชมการแสดงของเด็กและเยาวชน ชุด “เด็กยุคใหม่ จับมือไว้ ก้าวไปด้วยกัน” โดยมี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เด็กและเยาวชน ครู ผู้ปกครองเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจํานวนมาก โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวส่งความรักและความปรารถนาดีไปยังเด็กและเยาวชนไทยทั่วประเทศ เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้มีโอกาสมาพบกับเด็กและเยาวชนเป็นประจําทุกปี โดยย้ําว่ารัฐบาลตระหนักและให้ความสําคัญกับเด็กและเยาวชนทุกคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าที่จะเติบโตขึ้นเป็นกําลังของชาติในอนาคต เพราะเด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ซึ่งเราต้องทําให้เด็กและเยาวชนไทยมีความเข้มแข็งตั้งแต่วันนี้ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพอย่างเหมาะสมตามช่วงวัย ทั้งในด้านทักษะ ความรู้ ความสามารถ และการเรียนรู้ องค์ความรู้ที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิตในโลกทศวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นโลกของเทคโนโลยีและดิจิทัล โดยฝากให้ครูและผู้ปกครองร่วมกันสนับสนุนเด็กและเยาวชนได้มีการพัฒนาทักษะของตนเองอย่างต่อเนื่องตามศักยภาพและความชอบของเด็กแต่ละคน ตลอดจนเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้เด็กและเยาวชนทุกคนเป็นบุคลากรที่สมบูรณ์พร้อมและสามารถนําพาประเทศชาติให้พัฒนาต่อไปได้ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคําขวัญวันเด็กแห่งชาติ“เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย” ในปีนี้ว่า ต้องการมุ่งหวังให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคนได้ตระหนักถึงความสําคัญของการรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกซึ่งเป็นไปตามแนวทางพระราชดําริหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ 9 รวมทั้งต้องหมั่นศึกษาเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถและเพิ่มพูนทักษะที่แต่ละคนสนใจและถนัดอยู่เสมอเพื่อให้สามารถก้าวทันและนําความรู้ที่ได้มาปรับใช้ในการพัฒนาตนเองและสังคม เพื่อให้บ้านเมืองเกิดการพัฒนาทุกพื้นที่และทุกจังหวัดอันจะนําไปสู่การลดความเหลื่อมล้ําในสังคม รวมทั้งเด็กและเยาวชนไทยทุกคนต้องบ่มเพาะคุณธรรม จริยธรรม และความรักความสามัคคีให้เกิดขึ้นในจิตใจของตนเองเสมอและแบ่งปันเอื้อเฟื้อให้แก่คนรอบข้าง ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สําคัญในการสร้างสังคมที่มีแต่สงบสุขในอนาคต ขณะเดียวกันเด็กและเยาวชนทุกคนต้องรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนในฐานะที่เป็น“พละกําลังของชาติบ้านเมือง”ในการทําคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองตามกําลังความสามารถของตน โดยยึดมั่นในระเบียบวินัย และเป็นผู้มีจิตสาธารณะ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่นตามโอกาสอันสมควร อย่างไรก็ตามการจะพัฒนาให้เด็กและเยาวชนเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าได้นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ทุกคนที่จะช่วยกันปลูกฝังค่านิยมในความเป็นไทย และบอกเล่าเรื่องราวถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยให้เด็กได้ตระหนักสํานึกรู้ถึงคุณค่าแห่งความเป็นมาของชาติไทยจนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างเช่นเรื่องของพันท้ายนรสิงห์ซึ่งเป็นผู้ที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ กฎระเบียบ กติกา และกฎหมาย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะสามารถช่วยกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนมีแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้าและรู้จักคิดวิเคราะห์เป็นระบบ รวมทั้งสอนในเรื่องการ มีคุณธรรม จริยธรรม รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมย้ําให้เด็กเยาวชนตระหนักและรู้จักสํานึกในพระคุณของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมา และประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างในการดํารงชีวิต เพื่อช่วยกันสร้างให้ทรัพยากรมนุษย์เหล่านี้ เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงและสวยงามต่อไป จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมร้องเพลง “ศรัทธา” กับเด็กและเยาวชนบนเวที ก่อนเดินทักทายพบปะเด็กและเยาวชนและถ่ายภาพเซลฟี่อย่างเป็นกันเอง พร้อมมอบของขวัญให้แก่เด็กและเยาวชนที่มาร่วมงาน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่นและสนุกสนาน พร้อมเยี่ยมชมบูธนิทรรศการของภาครัฐและเอกชนที่จัดแสดงไว้ โดยรูปแบบการจัดงานแบ่งเป็น 3 โซนหลักในธีม "Fun Thinking & Doing" สนุกคิด สนุกทํา คือ โซนที่ 1 Citizen Kids: พลเมืองเด็กดี โซนที่ 2 Digital Kids : เด็กยุคดิจิทัล และโซนที่3 Environmental Kids: เด็กรักสิ่งแวดล้อม ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำให้เด็กหมั่นศึกษาหาความรู้ เพิ่มทักษะให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และรู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 นายกรัฐมนตรี ย้ําให้เด็กหมั่นศึกษาหาความรู้ เพิ่มทักษะให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และรู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ของกระทรวงศึกษาธิการ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Wonderful Kids สุดยอดเด็กไทย" ย้ําเด็กต้องหมั่นศึกษาหาความรู้ เพิ่มทักษะให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก และรู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย วันนี้ (11 ม.ค.63) เวลา 08.30 น.ณบริเวณกระทรวงศึกษาธิการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี2563 ของกระทรวงศึกษาธิการ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Wonderful Kids สุดยอดเด็กไทย" มุ่งเน้นให้เด็กและเยาวชนเป็น คนเก่ง คนดี สามัคคี รู้จักหน้าหน้าที่ของตนเอง สอดคล้องกับคําขวัญวันเด็ก "เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย" พร้อมชมการแสดงของเด็กและเยาวชน ชุด “เด็กยุคใหม่ จับมือไว้ ก้าวไปด้วยกัน” โดยมี นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ เด็กและเยาวชน ครู ผู้ปกครองเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจํานวนมาก โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวส่งความรักและความปรารถนาดีไปยังเด็กและเยาวชนไทยทั่วประเทศ เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้มีโอกาสมาพบกับเด็กและเยาวชนเป็นประจําทุกปี โดยย้ําว่ารัฐบาลตระหนักและให้ความสําคัญกับเด็กและเยาวชนทุกคนซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าที่จะเติบโตขึ้นเป็นกําลังของชาติในอนาคต เพราะเด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ซึ่งเราต้องทําให้เด็กและเยาวชนไทยมีความเข้มแข็งตั้งแต่วันนี้ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพอย่างเหมาะสมตามช่วงวัย ทั้งในด้านทักษะ ความรู้ ความสามารถ และการเรียนรู้ องค์ความรู้ที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิตในโลกทศวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นโลกของเทคโนโลยีและดิจิทัล โดยฝากให้ครูและผู้ปกครองร่วมกันสนับสนุนเด็กและเยาวชนได้มีการพัฒนาทักษะของตนเองอย่างต่อเนื่องตามศักยภาพและความชอบของเด็กแต่ละคน ตลอดจนเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้เด็กและเยาวชนทุกคนเป็นบุคลากรที่สมบูรณ์พร้อมและสามารถนําพาประเทศชาติให้พัฒนาต่อไปได้ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคําขวัญวันเด็กแห่งชาติ“เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย” ในปีนี้ว่า ต้องการมุ่งหวังให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคนได้ตระหนักถึงความสําคัญของการรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกซึ่งเป็นไปตามแนวทางพระราชดําริหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของรัชกาลที่ 9 รวมทั้งต้องหมั่นศึกษาเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถและเพิ่มพูนทักษะที่แต่ละคนสนใจและถนัดอยู่เสมอเพื่อให้สามารถก้าวทันและนําความรู้ที่ได้มาปรับใช้ในการพัฒนาตนเองและสังคม เพื่อให้บ้านเมืองเกิดการพัฒนาทุกพื้นที่และทุกจังหวัดอันจะนําไปสู่การลดความเหลื่อมล้ําในสังคม รวมทั้งเด็กและเยาวชนไทยทุกคนต้องบ่มเพาะคุณธรรม จริยธรรม และความรักความสามัคคีให้เกิดขึ้นในจิตใจของตนเองเสมอและแบ่งปันเอื้อเฟื้อให้แก่คนรอบข้าง ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สําคัญในการสร้างสังคมที่มีแต่สงบสุขในอนาคต ขณะเดียวกันเด็กและเยาวชนทุกคนต้องรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนในฐานะที่เป็น“พละกําลังของชาติบ้านเมือง”ในการทําคุณประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองตามกําลังความสามารถของตน โดยยึดมั่นในระเบียบวินัย และเป็นผู้มีจิตสาธารณะ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่นตามโอกาสอันสมควร อย่างไรก็ตามการจะพัฒนาให้เด็กและเยาวชนเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าได้นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ทุกคนที่จะช่วยกันปลูกฝังค่านิยมในความเป็นไทย และบอกเล่าเรื่องราวถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยให้เด็กได้ตระหนักสํานึกรู้ถึงคุณค่าแห่งความเป็นมาของชาติไทยจนถึงปัจจุบัน ตัวอย่างเช่นเรื่องของพันท้ายนรสิงห์ซึ่งเป็นผู้ที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ กฎระเบียบ กติกา และกฎหมาย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะสามารถช่วยกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนมีแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้าและรู้จักคิดวิเคราะห์เป็นระบบ รวมทั้งสอนในเรื่องการ มีคุณธรรม จริยธรรม รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมย้ําให้เด็กเยาวชนตระหนักและรู้จักสํานึกในพระคุณของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นมา และประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างในการดํารงชีวิต เพื่อช่วยกันสร้างให้ทรัพยากรมนุษย์เหล่านี้ เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงและสวยงามต่อไป จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมร้องเพลง “ศรัทธา” กับเด็กและเยาวชนบนเวที ก่อนเดินทักทายพบปะเด็กและเยาวชนและถ่ายภาพเซลฟี่อย่างเป็นกันเอง พร้อมมอบของขวัญให้แก่เด็กและเยาวชนที่มาร่วมงาน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่นและสนุกสนาน พร้อมเยี่ยมชมบูธนิทรรศการของภาครัฐและเอกชนที่จัดแสดงไว้ โดยรูปแบบการจัดงานแบ่งเป็น 3 โซนหลักในธีม "Fun Thinking & Doing" สนุกคิด สนุกทํา คือ โซนที่ 1 Citizen Kids: พลเมืองเด็กดี โซนที่ 2 Digital Kids : เด็กยุคดิจิทัล และโซนที่3 Environmental Kids: เด็กรักสิ่งแวดล้อม ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25717
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 10 เมษายน 2563
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 10 เมษายน 2563 1. สถานการณ์ทั่วโลกใน 209 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 2 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 10 เมษายน 2563 (7.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 1,602,619 ราย เสียชีวิต 95,657 ราย รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่10 เมษายน 2563 1. สถานการณ์ทั่วโลกใน 209 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 2 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่5 มกราคม –10 เมษายน 2563 (7.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 1,602,619 ราย เสียชีวิต 95,657 ราย ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 468,286 ราย เสียชีวิต 16,663 ราย สเปนพบผู้ป่วย 123,222 ราย เสียชีวิต 15,447 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 143,626 ราย เสียชีวิต 18,279 ราย 2. สถานการณ์ในประเทศไทย (9 เมษายน 2563 เวลา 16.00 น.) ผู้ป่วยกลับบ้านได้ 73 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ 50 ราย นับเป็นลําดับที่ 2,424-2,473 จําแนกเป็นกลุ่มดังนี้ กลุ่มที่1ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 27 ราย มีรายละเอียด ดังนี้ 1.1 สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 27 ราย กลุ่มที่2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 15 ราย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 3 ราย 2.2 ไปสถานที่ชุมนุมชน 3 ราย 2.3 อาชีพเสี่ยง 5 ราย 2.4 บุคลากรทางการแพทย์ 4 ราย กลุ่มที่3ได้รับผล lab ยืนยันพบเชื้อ อยู่ระหว่างรอประวัติและสอบสวนโรค 8 ราย (จํานวนนี้มาจากการค้นหาเชิงรุกที่จังหวัดภูเก็ต 4 ราย) วันนี้ ได้รับรายงานผู้ป่วยเสียชีวิต 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 43 ปี อาชีพค้าขาย มีโรคประจําตัวเป็น SLE ประวัติเสี่ยง สัมผัสพูดคุยกับคนจํานวนมาก เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ด้วยอาการไข้ ถ่ายเหลว อาเจียน เสียชีวิตวันที่ 7 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 33) โดยสรุปภาพรวมวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 1,013 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล1,427 ราย เสียชีวิตสะสม 33 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสม 2,473 ราย ***********************************10 เมษายน 2563 ***************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 10 เมษายน 2563 วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 10 เมษายน 2563 1. สถานการณ์ทั่วโลกใน 209 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 2 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 10 เมษายน 2563 (7.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 1,602,619 ราย เสียชีวิต 95,657 ราย รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่10 เมษายน 2563 1. สถานการณ์ทั่วโลกใน 209 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 2 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่5 มกราคม –10 เมษายน 2563 (7.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 1,602,619 ราย เสียชีวิต 95,657 ราย ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 468,286 ราย เสียชีวิต 16,663 ราย สเปนพบผู้ป่วย 123,222 ราย เสียชีวิต 15,447 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 143,626 ราย เสียชีวิต 18,279 ราย 2. สถานการณ์ในประเทศไทย (9 เมษายน 2563 เวลา 16.00 น.) ผู้ป่วยกลับบ้านได้ 73 ราย ผู้ป่วยรายใหม่ 50 ราย นับเป็นลําดับที่ 2,424-2,473 จําแนกเป็นกลุ่มดังนี้ กลุ่มที่1ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 27 ราย มีรายละเอียด ดังนี้ 1.1 สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 27 ราย กลุ่มที่2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 15 ราย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 3 ราย 2.2 ไปสถานที่ชุมนุมชน 3 ราย 2.3 อาชีพเสี่ยง 5 ราย 2.4 บุคลากรทางการแพทย์ 4 ราย กลุ่มที่3ได้รับผล lab ยืนยันพบเชื้อ อยู่ระหว่างรอประวัติและสอบสวนโรค 8 ราย (จํานวนนี้มาจากการค้นหาเชิงรุกที่จังหวัดภูเก็ต 4 ราย) วันนี้ ได้รับรายงานผู้ป่วยเสียชีวิต 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 43 ปี อาชีพค้าขาย มีโรคประจําตัวเป็น SLE ประวัติเสี่ยง สัมผัสพูดคุยกับคนจํานวนมาก เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา ด้วยอาการไข้ ถ่ายเหลว อาเจียน เสียชีวิตวันที่ 7 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 33) โดยสรุปภาพรวมวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 1,013 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล1,427 ราย เสียชีวิตสะสม 33 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสม 2,473 ราย ***********************************10 เมษายน 2563 ***************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28784
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2560 นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจแก้ไขปัญหาน้ําท่วม นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจแก้ไขปัญหาน้ําท่วม วันนี้ (24 ตุลาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงสถานการณ์น้ําท่วมที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ขณะนี้ว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนได้เตรียมแผนตั้งแต่ปีที่ผ่านมา พร้อมนําข้อมูลมาเปรียบเทียบ แต่เนื่องจากอากาศมีความเปลี่ยนแปลง มีปริมาณน้ําฝนตกมากในบางพื้นที่ ประกอบกับอ่างเก็บน้ําและเขื่อนหลักต่าง ๆ มีปริมาณน้ําเต็มเกือบทุกที่ โดยในภาพรวมจะต้องแก้ไขปัญหาทั้งระบบ จําเป็นต้องทยอยปล่อยน้ําเข้าพื้นที่แก้มลิง บางพื้นที่อาจได้รับผลกระทบบ้าง จึงจําเป็นต้องเสียสละส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนมาก ทั้งนี้ รัฐบาลจะบริหารจัดการน้ําให้ดี ให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด พร้อมเร่งดูแลเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบตามระเบียบราชการให้เร็วที่สุด จึงขอให้ทุกคนติดตามการแจ้งเตือนจากส่วนราชการผ่านช่องทางต่าง ๆ และขอให้สื่อช่วยแจ้งเตือนด้วย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความเป็นห่วงต่อประชาชนที่ออกไปทํามาหากินในพื้นที่น้ําท่วมทําให้เกิดการสูญเสียชีวิต ขอให้ระมัดระวัง พร้อมกล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลพยายามทํางานให้รวดเร็วที่สุด จะต้องปฏิรูปให้ได้ หลายเรื่องได้ดําเนินการไปแล้ว เริ่มจากการปฏิรูปจากเล็กเป็นใหญ่ ขอเพียงกําลังใจให้กันและกัน โดยเฉพาะกําลังใจจากสื่อ ขอให้ช่วยกันทําให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จึงอยากฝากให้ประชาชนได้เข้าใจ ถ้ามีเรื่องอะไรขอให้แจ้งมา พร้อมจะดูแลแก้ไขให้ได้ในทุก ๆ เรื่อง --------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจแก้ไขปัญหาน้ำท่วม วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2560 นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจแก้ไขปัญหาน้ําท่วม นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจแก้ไขปัญหาน้ําท่วม วันนี้ (24 ตุลาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงสถานการณ์น้ําท่วมที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ขณะนี้ว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนได้เตรียมแผนตั้งแต่ปีที่ผ่านมา พร้อมนําข้อมูลมาเปรียบเทียบ แต่เนื่องจากอากาศมีความเปลี่ยนแปลง มีปริมาณน้ําฝนตกมากในบางพื้นที่ ประกอบกับอ่างเก็บน้ําและเขื่อนหลักต่าง ๆ มีปริมาณน้ําเต็มเกือบทุกที่ โดยในภาพรวมจะต้องแก้ไขปัญหาทั้งระบบ จําเป็นต้องทยอยปล่อยน้ําเข้าพื้นที่แก้มลิง บางพื้นที่อาจได้รับผลกระทบบ้าง จึงจําเป็นต้องเสียสละส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนมาก ทั้งนี้ รัฐบาลจะบริหารจัดการน้ําให้ดี ให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด พร้อมเร่งดูแลเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบตามระเบียบราชการให้เร็วที่สุด จึงขอให้ทุกคนติดตามการแจ้งเตือนจากส่วนราชการผ่านช่องทางต่าง ๆ และขอให้สื่อช่วยแจ้งเตือนด้วย พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความเป็นห่วงต่อประชาชนที่ออกไปทํามาหากินในพื้นที่น้ําท่วมทําให้เกิดการสูญเสียชีวิต ขอให้ระมัดระวัง พร้อมกล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลพยายามทํางานให้รวดเร็วที่สุด จะต้องปฏิรูปให้ได้ หลายเรื่องได้ดําเนินการไปแล้ว เริ่มจากการปฏิรูปจากเล็กเป็นใหญ่ ขอเพียงกําลังใจให้กันและกัน โดยเฉพาะกําลังใจจากสื่อ ขอให้ช่วยกันทําให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น จึงอยากฝากให้ประชาชนได้เข้าใจ ถ้ามีเรื่องอะไรขอให้แจ้งมา พร้อมจะดูแลแก้ไขให้ได้ในทุก ๆ เรื่อง --------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7601
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ด้าน นั่งคณะอนุกรรมการใน อ.ก.พ.
วันอังคารที่ 3 มีนาคม 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ด้าน นั่งคณะอนุกรรมการใน อ.ก.พ. กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ด้าน นั่งคณะอนุกรรมการใน อ.ก.พ. นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสรรหาและคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิใน อ.ก.พ. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 1/ 2563 โดยมี นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม MDES1 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 ที่ประชุมได้พิจารณาวาระเพื่อทราบ เรื่อง คําสั่ง อ.ก.พ.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ 2 /2563 ลงวันที่ 10 มกราคม 2563 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาและคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิใน อ.ก.พ. กระทรวงดิจิทัลฯ ซึ่งในที่ประชุมได้พิจารณาคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ด้าน เพื่อเป็นคณะอนุกรรมการใน อ.ก.พ. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการและด้านกฎหมาย ****************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ด้าน นั่งคณะอนุกรรมการใน อ.ก.พ. วันอังคารที่ 3 มีนาคม 2563 กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ด้าน นั่งคณะอนุกรรมการใน อ.ก.พ. กระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ด้าน นั่งคณะอนุกรรมการใน อ.ก.พ. นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสรรหาและคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิใน อ.ก.พ. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 1/ 2563 โดยมี นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม MDES1 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 ที่ประชุมได้พิจารณาวาระเพื่อทราบ เรื่อง คําสั่ง อ.ก.พ.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ 2 /2563 ลงวันที่ 10 มกราคม 2563 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาและคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิใน อ.ก.พ. กระทรวงดิจิทัลฯ ซึ่งในที่ประชุมได้พิจารณาคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ด้าน เพื่อเป็นคณะอนุกรรมการใน อ.ก.พ. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการและด้านกฎหมาย ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26869
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมรับคนไทยทยอยเดินทางกลับจากต่างประเทศหลายร้อยชีวิตในสัปดาห์หน้า และช่วยดูแลภาคประมง [กระทรวงกลาโหม]
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563 เตรียมรับคนไทยทยอยเดินทางกลับจากต่างประเทศหลายร้อยชีวิตในสัปดาห์หน้า และช่วยดูแลภาคประมง [กระทรวงกลาโหม] เตรียมรับคนไทยทยอยเดินทางกลับจากต่างประเทศหลายร้อยชีวิตในสัปดาห์หน้า และช่วยดูแลภาคประมง พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 26 เม.ย. 63 : 0900 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้ตรวจเยี่ยมการปฎิบัติงานของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กห. และประชุมร่วมกับ นขต.กห.และเหล่าทัพ เพื่อติดตามการบริหารจัดการมาตรการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ( State Quarantine ) ณ ศาลาว่าการกลาโหม สรุปภาพรวมสัปดาห์หน้า ระหว่าง 26 - 30 เม.ย. 63 จะมีคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ ผ่านท่าอากาศยานนานาชาติ จํานวน 1,071 ราย จาก ออสเตรเลีย 207 คน ญี่ปุ่น 35 คน เนเธอร์แลนด์ 25 คน สเปน 42 คน อินเดีย 601 คน รวมทั้ง นิวซีแลนด์ 168 คน ซึ่งมีเด็กกว่า 50 คน โดยทั้งหมดจะทยอยเดินทางเข้ามาผ่านกระบวนการคัดกรองและเข้าพักในสถานที่ที่กําหนด ตามมาตรการควบคุมโรคแห่งรัฐ โดยการดูแลของ สธ.และหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกันนี้ ทุกเหล่าทัพได้เรียกกําลังพลเหล่าแพทย์ ที่ปฏิบัติงานนอกสายงาน เข้ารับการอบรมฟื้นฟูทักษะการแพทย์ เพื่อเตรียมหมุนเวียนเสริมการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ทหาร ตามโรงพยาบาลต่างๆ ด่านชายแดนและสถานที่กักควบคุมโรคที่จัดตั้งขึ้นให้เพียงพอในการดูแลประชาชนในภาพรวม พล.อ.ชัยชาญ’ ได้ย้ํา ขอให้ทุกเหล่าทัพประสานกับทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันทําหน้าที่ให้ดีที่สุดและเป็นที่เชื่อมั่นร่วมกัน ในการดําเนินการอย่างเข้มข้นตามมาตรการคัดกรองทั้งจากด่านชายแดนและท่าอากาศยานนานาชาติ ต่อเนื่องไปถึงมาตรการดูแลกักควบคุมโรคของรัฐทุกสถานที่ที่จัดตั้งขึ้นอย่างมีมาตรฐานต่อเนื่องกันไป โดยให้ประสานขอประวัติข้อมูลของผู้เดินทางเข้ามาที่มีโรคประจําตัว เพื่อการดูแลรักษาระหว่างการกักควบคุมโรค พร้อมทั้งขอให้ ทร.ขยายประชาสัมพันธ์ให้ความรู้มาตรการป้องกันโรคกับภาคประมงในพื้นที่ต่างๆ และช่วยสนับสนุนแจกจ่ายหน้ากากผ้าที่ผลิตขึ้น กระจายไปยังแรงงานภาคประมงให้มีใช้โดยทั่วกัน ต่อจากนั้น พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้มอบให้ พล.อ.นภนต์ สร้างสมวงษ์ รอง ปล.กห. นําศูนย์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ประสานกับ ผอ.เขตดินแดง และผกก.สน.บางซื่อ รวมทั้งผู้นําชุมชนและสมาคมภริยาข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สํารวจความต้องการของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในชุมชนริมคลองบางซื่อ เขตดินแดง กทม. และร่วมกันจัดหาสิ่งของบรรจุถุงยังชีพและจัดทําอาหารกล่องแจกจ่ายตามบ้านให้กับประชาชน จํานวน 630 คน 220 ครัวเรือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนโดยทั่วกัน ................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมรับคนไทยทยอยเดินทางกลับจากต่างประเทศหลายร้อยชีวิตในสัปดาห์หน้า และช่วยดูแลภาคประมง [กระทรวงกลาโหม] วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563 เตรียมรับคนไทยทยอยเดินทางกลับจากต่างประเทศหลายร้อยชีวิตในสัปดาห์หน้า และช่วยดูแลภาคประมง [กระทรวงกลาโหม] เตรียมรับคนไทยทยอยเดินทางกลับจากต่างประเทศหลายร้อยชีวิตในสัปดาห์หน้า และช่วยดูแลภาคประมง พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า เมื่อ 26 เม.ย. 63 : 0900 พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้ตรวจเยี่ยมการปฎิบัติงานของศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กห. และประชุมร่วมกับ นขต.กห.และเหล่าทัพ เพื่อติดตามการบริหารจัดการมาตรการกักตัวควบคุมโรคของรัฐ ( State Quarantine ) ณ ศาลาว่าการกลาโหม สรุปภาพรวมสัปดาห์หน้า ระหว่าง 26 - 30 เม.ย. 63 จะมีคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ ผ่านท่าอากาศยานนานาชาติ จํานวน 1,071 ราย จาก ออสเตรเลีย 207 คน ญี่ปุ่น 35 คน เนเธอร์แลนด์ 25 คน สเปน 42 คน อินเดีย 601 คน รวมทั้ง นิวซีแลนด์ 168 คน ซึ่งมีเด็กกว่า 50 คน โดยทั้งหมดจะทยอยเดินทางเข้ามาผ่านกระบวนการคัดกรองและเข้าพักในสถานที่ที่กําหนด ตามมาตรการควบคุมโรคแห่งรัฐ โดยการดูแลของ สธ.และหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกันนี้ ทุกเหล่าทัพได้เรียกกําลังพลเหล่าแพทย์ ที่ปฏิบัติงานนอกสายงาน เข้ารับการอบรมฟื้นฟูทักษะการแพทย์ เพื่อเตรียมหมุนเวียนเสริมการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ทหาร ตามโรงพยาบาลต่างๆ ด่านชายแดนและสถานที่กักควบคุมโรคที่จัดตั้งขึ้นให้เพียงพอในการดูแลประชาชนในภาพรวม พล.อ.ชัยชาญ’ ได้ย้ํา ขอให้ทุกเหล่าทัพประสานกับทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันทําหน้าที่ให้ดีที่สุดและเป็นที่เชื่อมั่นร่วมกัน ในการดําเนินการอย่างเข้มข้นตามมาตรการคัดกรองทั้งจากด่านชายแดนและท่าอากาศยานนานาชาติ ต่อเนื่องไปถึงมาตรการดูแลกักควบคุมโรคของรัฐทุกสถานที่ที่จัดตั้งขึ้นอย่างมีมาตรฐานต่อเนื่องกันไป โดยให้ประสานขอประวัติข้อมูลของผู้เดินทางเข้ามาที่มีโรคประจําตัว เพื่อการดูแลรักษาระหว่างการกักควบคุมโรค พร้อมทั้งขอให้ ทร.ขยายประชาสัมพันธ์ให้ความรู้มาตรการป้องกันโรคกับภาคประมงในพื้นที่ต่างๆ และช่วยสนับสนุนแจกจ่ายหน้ากากผ้าที่ผลิตขึ้น กระจายไปยังแรงงานภาคประมงให้มีใช้โดยทั่วกัน ต่อจากนั้น พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ได้มอบให้ พล.อ.นภนต์ สร้างสมวงษ์ รอง ปล.กห. นําศูนย์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ประสานกับ ผอ.เขตดินแดง และผกก.สน.บางซื่อ รวมทั้งผู้นําชุมชนและสมาคมภริยาข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สํารวจความต้องการของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในชุมชนริมคลองบางซื่อ เขตดินแดง กทม. และร่วมกันจัดหาสิ่งของบรรจุถุงยังชีพและจัดทําอาหารกล่องแจกจ่ายตามบ้านให้กับประชาชน จํานวน 630 คน 220 ครัวเรือน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนโดยทั่วกัน ................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29791
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ประชุม คกก.ค่าจ้าง ชุดที่ ๒๐ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑
วันพุธที่ 18 เมษายน 2561 ก.แรงงาน ประชุม คกก.ค่าจ้าง ชุดที่ ๒๐ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง ชุดที่ ๒๐ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ ณ ห้องประชุมมิตรไมตรี ๒ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ตัวแทนภาครัฐ ตัวแทนฝ่ายนายจ้าง และตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ประชุม คกก.ค่าจ้าง ชุดที่ ๒๐ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ วันพุธที่ 18 เมษายน 2561 ก.แรงงาน ประชุม คกก.ค่าจ้าง ชุดที่ ๒๐ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง ชุดที่ ๒๐ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ ณ ห้องประชุมมิตรไมตรี ๒ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ตัวแทนภาครัฐ ตัวแทนฝ่ายนายจ้าง และตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เปิดตัวกิจการเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย
วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 พม. เปิดตัวกิจการเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย พม. เปิดตัวกิจการเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย วันนี้ (28 ส.ค. 61 ) เวลา 08.30 น. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และ นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ นําคณะผู้แทนสถานประกอบการที่ได้รับการรับรองกิจการเพื่อสังคม จํานวนทั้งสิ้น 15 กิจการ จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ บริเวณชั้นล่างโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ตามที่รัฐบาลเห็นความสําคัญกับการพัฒนาธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน จึงผลักดันนโยบายกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ขึ้น ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ดําเนินการ ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ให้อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็น “กรรมการและเลขานุการ” และให้ พส. เป็น “สํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ” โดยบูรณาการการทํางานระหว่างหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ให้เข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบของ “กิจการเพื่อสังคม” เพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน “ปรับเปลี่ยนวิธีคิด” จากองค์กรที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม เป็นองค์กรที่มีวิธีการบริหารจัดการและมีธรรมาภิบาล โดยนําผลกําไรไปลงทุนกับมนุษย์และสังคมทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม สาธารณสุข และการมีส่วนร่วมของชุมชน ทั้งนี้ ปัจจุบันกระทรวง พม. โดย พส. ได้ดําเนินการขับเคลื่อนการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม ดังนี้ 1) ประกาศคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม พ.ศ. 2561 และได้เผยแพร่ทางเว็บไซต์ www.dsdw.go.th 2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทําแผนการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม พ.ศ. 2561 – 2564 รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และนําข้อคิดเห็นมาประกอบการจัดทําร่างแผนกิจการเพื่อสังคมต่อไป 3) จัดงาน Kick off Social Enterprise : SE เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2561 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการส่งเสริม สนับสนุน เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ ให้ภาคธุรกิจที่สนใจได้รับทราบและยื่นคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม 4) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “สร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมกับงานพัฒนาสังคม (Social Enterprise: SE) ภายใต้งาน Thailand Social Expo เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมฟินิกซ์ 5 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยได้รับเกียรติจากนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ การจัดเวทีวิชาการได้สะท้อนแง่คิดที่สําคัญเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมในประเทศไทย การรับรองกิจการเพื่อสังคม และการสนับสนุน Social Enterprise ในหลากหลายมิติ และ 5) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม ซึ่งมีผู้ยื่นขอรับรองและผ่านการรับรองคุณสมบัติเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จํานวน 15 กิจการ ได้แก่ 1) บริษัท ดอยคําผลิตภัณฑ์อาหาร จํากัด 2) บริษัท เรย์วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 3) บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 4) บริษัท เเดรี่โฮม จํากัด 5) บริษัท กาแฟอาข่า อ่ามา จํากัด 6) บริษัท สยามออร์แกนิค จํากัด 7) บริษัท แจสเบอร์รี่ จํากัด 8) กลุ่มเกษตรกรทํานา นาโส่ 9) มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ 10) บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 11) บริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จํากัด 12) บริษัท คิดคิด จํากัด 13) มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในพระอุปถัมภ์ฯ 14) สหกรณ์กรีนเนท จํากัด และ 15) บริษัท โลเคิล อไลค์ จํากัด ทั้งนี้ นอกจากสถานประกอบการที่ได้รับการอนุมัติรับรองจะได้รับการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรแล้ว ยังสามารถได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้ ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 621) พ.ศ. 2559 กระทรวง พม. โดย พส. พร้อมดําเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคมให้เป็นที่รู้จัก และเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ รับทราบการขับเคลื่อนงานกิจการเพื่อสังคมที่เป็นรูปธรรม โดยดําเนินการตามหลักธรรมาภิบาล ทํางานแบบบูรณาการทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งสร้างความตระหนักแก่ภาคเอกชน ให้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา พัฒนาประเทศไทยอย่างเป็นองค์รวมในด้านเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เปิดตัวกิจการเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย วันอังคารที่ 28 สิงหาคม 2561 พม. เปิดตัวกิจการเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย พม. เปิดตัวกิจการเพื่อสังคมที่ได้รับการรับรองเป็นครั้งแรกของประเทศไทย วันนี้ (28 ส.ค. 61 ) เวลา 08.30 น. พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และ นางนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ นําคณะผู้แทนสถานประกอบการที่ได้รับการรับรองกิจการเพื่อสังคม จํานวนทั้งสิ้น 15 กิจการ จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ บริเวณชั้นล่างโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ตามที่รัฐบาลเห็นความสําคัญกับการพัฒนาธุรกิจควบคู่กับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน จึงผลักดันนโยบายกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) ขึ้น ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ดําเนินการ ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ให้อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็น “กรรมการและเลขานุการ” และให้ พส. เป็น “สํานักงานเลขานุการของคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ” โดยบูรณาการการทํางานระหว่างหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ให้เข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบของ “กิจการเพื่อสังคม” เพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน “ปรับเปลี่ยนวิธีคิด” จากองค์กรที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม เป็นองค์กรที่มีวิธีการบริหารจัดการและมีธรรมาภิบาล โดยนําผลกําไรไปลงทุนกับมนุษย์และสังคมทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม สาธารณสุข และการมีส่วนร่วมของชุมชน ทั้งนี้ ปัจจุบันกระทรวง พม. โดย พส. ได้ดําเนินการขับเคลื่อนการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม ดังนี้ 1) ประกาศคณะกรรมการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม พ.ศ. 2561 และได้เผยแพร่ทางเว็บไซต์ www.dsdw.go.th 2) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการจัดทําแผนการสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม พ.ศ. 2561 – 2564 รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และนําข้อคิดเห็นมาประกอบการจัดทําร่างแผนกิจการเพื่อสังคมต่อไป 3) จัดงาน Kick off Social Enterprise : SE เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2561 ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเป็นการส่งเสริม สนับสนุน เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ ให้ภาคธุรกิจที่สนใจได้รับทราบและยื่นคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม 4) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “สร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมกับงานพัฒนาสังคม (Social Enterprise: SE) ภายใต้งาน Thailand Social Expo เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2561 ณ ห้องประชุมฟินิกซ์ 5 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยได้รับเกียรติจากนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ การจัดเวทีวิชาการได้สะท้อนแง่คิดที่สําคัญเกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมในประเทศไทย การรับรองกิจการเพื่อสังคม และการสนับสนุน Social Enterprise ในหลากหลายมิติ และ 5) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาคําขอหนังสือรับรองกิจการเพื่อสังคม ซึ่งมีผู้ยื่นขอรับรองและผ่านการรับรองคุณสมบัติเป็นครั้งแรกในประเทศไทย จํานวน 15 กิจการ ได้แก่ 1) บริษัท ดอยคําผลิตภัณฑ์อาหาร จํากัด 2) บริษัท เรย์วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 3) บริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 4) บริษัท เเดรี่โฮม จํากัด 5) บริษัท กาแฟอาข่า อ่ามา จํากัด 6) บริษัท สยามออร์แกนิค จํากัด 7) บริษัท แจสเบอร์รี่ จํากัด 8) กลุ่มเกษตรกรทํานา นาโส่ 9) มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ 10) บริษัท เด็กพิเศษ วิสาหกิจเพื่อสังคม จํากัด 11) บริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จํากัด 12) บริษัท คิดคิด จํากัด 13) มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรในพระอุปถัมภ์ฯ 14) สหกรณ์กรีนเนท จํากัด และ 15) บริษัท โลเคิล อไลค์ จํากัด ทั้งนี้ นอกจากสถานประกอบการที่ได้รับการอนุมัติรับรองจะได้รับการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรแล้ว ยังสามารถได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้ ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 621) พ.ศ. 2559 กระทรวง พม. โดย พส. พร้อมดําเนินงานด้านกิจการเพื่อสังคมให้เป็นที่รู้จัก และเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ รับทราบการขับเคลื่อนงานกิจการเพื่อสังคมที่เป็นรูปธรรม โดยดําเนินการตามหลักธรรมาภิบาล ทํางานแบบบูรณาการทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมทั้งสร้างความตระหนักแก่ภาคเอกชน ให้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา พัฒนาประเทศไทยอย่างเป็นองค์รวมในด้านเศรษฐกิจ สังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14962
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.ขานรับนโยบาย ธปท. ออกมาตรการเลื่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้ลูกค้า 6 เดือน [กระทรวงการคลัง]
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563 ธพว.ขานรับนโยบาย ธปท. ออกมาตรการเลื่อนชําระเงินต้นและดอกเบี้ยให้ลูกค้า 6 เดือน [กระทรวงการคลัง] ธพว. ได้ดําเนินมาตรการเลื่อนชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติให้ลูกค้า เป็นเวลา 6 เดือน เริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ถึงเดือนกันยายน 2563 สําหรับภาระหนี้ที่พักชําระไว้ ธนาคารจะนํายอดดังกล่าว ไปรวมกับค่างวดในงวดสุดท้าย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ มีความห่วงใย และตระหนักดีถึงความเดือดร้อนของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) สอดคล้องกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือ SMEs โดยให้เลื่อนกําหนดการชําระหนี้สําหรับธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อช่วยให้ SMEs มีสภาพคล่อง ดังนั้น ธพว. ได้ดําเนินมาตรการเลื่อนชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติให้ลูกค้า เป็นเวลา 6 เดือน เริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ถึงเดือนกันยายน 2563 สําหรับภาระหนี้ที่พักชําระไว้ ธนาคารจะนํายอดดังกล่าว ไปรวมกับค่างวดในงวดสุดท้าย ซึ่งในช่วงที่ผ่อนปรนนี้ ไม่ถือว่าเสียประวัติข้อมูลเครดิต ทั้งนี้ ลูกค้าที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวจะได้รับสิทธิโดยอัตโนมัติทันที ไม่ต้องแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการ หรือลงทะเบียนใดๆ ทั้งสิ้น และหากลูกค้าท่านใด ต้องการชําระหนี้ตามเงื่อนไขที่เคยได้รับ สามารถชําระได้ตามปกติ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว.ขานรับนโยบาย ธปท. ออกมาตรการเลื่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้ลูกค้า 6 เดือน [กระทรวงการคลัง] วันพุธที่ 8 เมษายน 2563 ธพว.ขานรับนโยบาย ธปท. ออกมาตรการเลื่อนชําระเงินต้นและดอกเบี้ยให้ลูกค้า 6 เดือน [กระทรวงการคลัง] ธพว. ได้ดําเนินมาตรการเลื่อนชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติให้ลูกค้า เป็นเวลา 6 เดือน เริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ถึงเดือนกันยายน 2563 สําหรับภาระหนี้ที่พักชําระไว้ ธนาคารจะนํายอดดังกล่าว ไปรวมกับค่างวดในงวดสุดท้าย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ มีความห่วงใย และตระหนักดีถึงความเดือดร้อนของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) สอดคล้องกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือ SMEs โดยให้เลื่อนกําหนดการชําระหนี้สําหรับธุรกิจ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อช่วยให้ SMEs มีสภาพคล่อง ดังนั้น ธพว. ได้ดําเนินมาตรการเลื่อนชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยอัตโนมัติให้ลูกค้า เป็นเวลา 6 เดือน เริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 ถึงเดือนกันยายน 2563 สําหรับภาระหนี้ที่พักชําระไว้ ธนาคารจะนํายอดดังกล่าว ไปรวมกับค่างวดในงวดสุดท้าย ซึ่งในช่วงที่ผ่อนปรนนี้ ไม่ถือว่าเสียประวัติข้อมูลเครดิต ทั้งนี้ ลูกค้าที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวจะได้รับสิทธิโดยอัตโนมัติทันที ไม่ต้องแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการ หรือลงทะเบียนใดๆ ทั้งสิ้น และหากลูกค้าท่านใด ต้องการชําระหนี้ตามเงื่อนไขที่เคยได้รับ สามารถชําระได้ตามปกติ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28677
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มติ ครม. 20 พ.ย.61 ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561 มติ ครม. 20 พ.ย.61 ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ 3 เรื่อง คือ เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร การมอบอํานาจของผู้ดํารงตําแหน่งในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่20พฤศจิกายน2561ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ3เรื่อง คือเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรการมอบอํานาจของผู้ดํารงตําแหน่งในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. .... โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ 1. แก้ไขเพิ่มเติมให้สถานศึกษาของเอกชนหมายความว่า โรงเรียนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนที่จัดการศึกษาในระบบโรงเรียนและให้รวมถึงโรงเรียนนานาชาติซึ่งจัดตั้งและเปิดดําเนินการในประเทศไทย 2. แก้ไขเพิ่มเติมให้เงินค่าเล่าเรียนหมายความว่า เงินค่าธรรมเนียมการเรียนหรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งสถานศึกษาของเอกชนเรียกเก็บตามอัตราที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการ หรือกระทรวงอื่นที่มีอํานาจหน้าที่ในทํานองเดียวกัน (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 4) 3. ยกเลิกหลักการ กรณีการนับลําดับบุตรแฝดตามบทบัญญัติมาตรา 7 ตรี แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ เนื่องจากปัจจุบันการนับลําดับการเกิดก่อนหลังของบุตรแฝดสามารถนับลําดับได้แน่ชัดจากวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน 4. แก้ไขเพิ่มเติมให้กระทรวงการคลังกําหนดหลักสูตรการศึกษานอกเหนือจากหลักสูตรการศึกษาที่กําหนดไว้ในบทบัญญัติมาตรา 8 (1)–(5) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ที่สามารถใช้สิทธิเบิกเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรได้ 5. กําหนดเพิ่มเติมให้บุตรของข้าราชการซึ่งมีตําแหน่งหน้าที่ประจําอยู่ในต่างประเทศ แต่บุตรได้ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาในประเทศไทย สิทธิในการได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ประเภท และอัตราที่บุตรศึกษาอยู่ในสถานศึกษาในประเทศไทย ตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกานี้ อนุมัติร่างระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการมอบอํานาจของผู้ดํารงตําแหน่งในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการมอบอํานาจของผู้ดํารงตําแหน่งในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยได้ปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการมอบอํานาจของผู้ดํารงตําแหน่งในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. 2548 ดังนี้ 1. แก้ไขตําแหน่งของผู้มอบอํานาจและผู้รับมอบอํานาจให้ปฏิบัติราชการแทนในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้สอดคล้องกับคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2560 เรื่อง ปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 3 เมษายน พุทธศักราช 2560 2. กําหนดระดับตําแหน่งของข้าราชการผู้รับมอบอํานาจต้องเป็นข้าราชการที่ดํารงตําแหน่งไม่ต่ํากว่าระดับชํานาญการพิเศษ หรือวิทยฐานะชํานาญการพิเศษในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 3. กําหนดให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการอาจมอบอํานาจให้เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครู เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ปฏิบัติราชการแทนได้ 4. กําหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครู เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนอาจมอบอํานาจให้ข้าราชการตําแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนได้ 5. กําหนดให้ศึกษาธิการภาคอาจมอบอํานาจให้รองศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด หรือข้าราชการที่ดํารงตําแหน่งไม่ต่ํากว่าระดับชํานาญการพิเศษ หรือวิทยฐานะชํานาญการพิเศษ ปฏิบัติราชการแทนได้ 6. กําหนดให้ศึกษาธิการจังหวัดอาจมอบอํานาจให้รองศึกษาธิการจังหวัด หรือข้าราชการที่ดํารงตําแหน่งไม่ต่ํากว่าระดับชํานาญการพิเศษ หรือวิทยฐานะชํานาญการพิเศษ ปฏิบัติราชการแทนได้ รับทราบรายงานผลการดําเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เกี่ยวกับผลการดําเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี 2561ซึ่งเห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดําเนินการ ดังนี้ -ให้ส่วนราชการดังต่อไปนี้กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทยกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม และกรุงเทพมหานครพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจําปี พ.ศ. 2562จากโครงการ/รายการ ที่ดําเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้วและมีงบประมาณเหลือจ่าย และ/หรือรายการที่หมดความจําเป็น และ/หรือรายการที่คาดว่าจะไม่สามารถดําเนินการได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และพิจารณาจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณในปีถัดไป เพื่อให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ วัสดุ ครุภัณฑ์ สิ่งก่อสร้าง จากยางพาราเพิ่มมากขึ้น เช่น บล็อกยางปูพื้นภายนอกอาคาร (ทางเท้า สนามเด็กเล่น) ถนนงานยางพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต และถนนงานดินซีเมนต์ผสมยางพารา เป็นต้น - ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทยกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม และกรุงเทพมหานครพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ยางได้แก่ บล็อกยางปูพื้นภายนอกอาคาร (ทางเท้า สนามเด็กเล่น) บล็อกยางปูพื้นสนามฟุตซอล โดยประสานแจ้งความต้องการใช้ต่อการยางแห่งประเทศไทยเพื่อนํายางพาราภายใต้โครงการรักษาเสถียรภาพราคา ที่มีต้นทุนการเก็บรักษางบประมาณภาครัฐปีละ 120 ล้านบาท มาผลิตและส่งมอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องภายในปีงบประมาณ 2562 ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง - ให้ส่วนราชการดังต่อไปนี้กระทรวงสาธารณสุขกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดหาผลิตภัณฑ์เครื่องนอนจากยางพาราเพื่อใช้ในภารกิจของหน่วยงานภายในปีงบประมาณ 2562 ซึ่งจากการสอบถามความต้องการเบื้องต้นจากหน่วยงานดังกล่าว พบว่ามีความต้องการใช้เครื่องนอนรวม 450,000 ชุด คิดเป็นวงเงินประมาณ 1,060 ล้านบาท ซึ่งจะใช้น้ํายางสดประมาณ 13,300 ตัน ดังนั้น เพื่อเพิ่มปริมาณใช้ยางและส่งเสริมการผลิตผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมีแนวคิดให้ส่วนราชการดังกล่าวใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ผลิตจากยางพารา โดยให้การยางแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยจัดหาผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สําหรับค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ ให้สํานักงบประมาณปรับแผนการจัดสรรของส่วนราชการดังกล่าวข้างต้น ให้การยางแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดหาและส่งมอบผลิตภัณฑ์เครื่องนอนตามความต้องการของหน่วยงานต่อไป - เห็นชอบให้ยกเว้นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561เพื่อให้ส่วนราชการดําเนินการโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี 2561 ให้ต่อเนื่องต่อไป Photoบัลลังก์ โรหิตเสถียร Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มติ ครม. 20 พ.ย.61 ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561 มติ ครม. 20 พ.ย.61 ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ 3 เรื่อง คือ เงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร การมอบอํานาจของผู้ดํารงตําแหน่งในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่20พฤศจิกายน2561ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการ3เรื่อง คือเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรการมอบอํานาจของผู้ดํารงตําแหน่งในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร พ.ศ. .... โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ 1. แก้ไขเพิ่มเติมให้สถานศึกษาของเอกชนหมายความว่า โรงเรียนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนที่จัดการศึกษาในระบบโรงเรียนและให้รวมถึงโรงเรียนนานาชาติซึ่งจัดตั้งและเปิดดําเนินการในประเทศไทย 2. แก้ไขเพิ่มเติมให้เงินค่าเล่าเรียนหมายความว่า เงินค่าธรรมเนียมการเรียนหรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ซึ่งสถานศึกษาของเอกชนเรียกเก็บตามอัตราที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงศึกษาธิการ หรือกระทรวงอื่นที่มีอํานาจหน้าที่ในทํานองเดียวกัน (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 4) 3. ยกเลิกหลักการ กรณีการนับลําดับบุตรแฝดตามบทบัญญัติมาตรา 7 ตรี แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ เนื่องจากปัจจุบันการนับลําดับการเกิดก่อนหลังของบุตรแฝดสามารถนับลําดับได้แน่ชัดจากวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบัน 4. แก้ไขเพิ่มเติมให้กระทรวงการคลังกําหนดหลักสูตรการศึกษานอกเหนือจากหลักสูตรการศึกษาที่กําหนดไว้ในบทบัญญัติมาตรา 8 (1)–(5) แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ที่สามารถใช้สิทธิเบิกเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรได้ 5. กําหนดเพิ่มเติมให้บุตรของข้าราชการซึ่งมีตําแหน่งหน้าที่ประจําอยู่ในต่างประเทศ แต่บุตรได้ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาในประเทศไทย สิทธิในการได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ประเภท และอัตราที่บุตรศึกษาอยู่ในสถานศึกษาในประเทศไทย ตามมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกานี้ อนุมัติร่างระเบียบ ศธ.ว่าด้วยการมอบอํานาจของผู้ดํารงตําแหน่งในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการมอบอํานาจของผู้ดํารงตําแหน่งในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยได้ปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการมอบอํานาจของผู้ดํารงตําแหน่งในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. 2548 ดังนี้ 1. แก้ไขตําแหน่งของผู้มอบอํานาจและผู้รับมอบอํานาจให้ปฏิบัติราชการแทนในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้สอดคล้องกับคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 19/2560 เรื่อง ปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 3 เมษายน พุทธศักราช 2560 2. กําหนดระดับตําแหน่งของข้าราชการผู้รับมอบอํานาจต้องเป็นข้าราชการที่ดํารงตําแหน่งไม่ต่ํากว่าระดับชํานาญการพิเศษ หรือวิทยฐานะชํานาญการพิเศษในสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 3. กําหนดให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการอาจมอบอํานาจให้เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครู เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ปฏิบัติราชการแทนได้ 4. กําหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครู เลขาธิการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนอาจมอบอํานาจให้ข้าราชการตําแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนได้ 5. กําหนดให้ศึกษาธิการภาคอาจมอบอํานาจให้รองศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด หรือข้าราชการที่ดํารงตําแหน่งไม่ต่ํากว่าระดับชํานาญการพิเศษ หรือวิทยฐานะชํานาญการพิเศษ ปฏิบัติราชการแทนได้ 6. กําหนดให้ศึกษาธิการจังหวัดอาจมอบอํานาจให้รองศึกษาธิการจังหวัด หรือข้าราชการที่ดํารงตําแหน่งไม่ต่ํากว่าระดับชํานาญการพิเศษ หรือวิทยฐานะชํานาญการพิเศษ ปฏิบัติราชการแทนได้ รับทราบรายงานผลการดําเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ เกี่ยวกับผลการดําเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี 2561ซึ่งเห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดําเนินการ ดังนี้ -ให้ส่วนราชการดังต่อไปนี้กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทยกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม และกรุงเทพมหานครพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจําปี พ.ศ. 2562จากโครงการ/รายการ ที่ดําเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้วและมีงบประมาณเหลือจ่าย และ/หรือรายการที่หมดความจําเป็น และ/หรือรายการที่คาดว่าจะไม่สามารถดําเนินการได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และพิจารณาจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณในปีถัดไป เพื่อให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ วัสดุ ครุภัณฑ์ สิ่งก่อสร้าง จากยางพาราเพิ่มมากขึ้น เช่น บล็อกยางปูพื้นภายนอกอาคาร (ทางเท้า สนามเด็กเล่น) ถนนงานยางพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต และถนนงานดินซีเมนต์ผสมยางพารา เป็นต้น - ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทยกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม และกรุงเทพมหานครพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ยางได้แก่ บล็อกยางปูพื้นภายนอกอาคาร (ทางเท้า สนามเด็กเล่น) บล็อกยางปูพื้นสนามฟุตซอล โดยประสานแจ้งความต้องการใช้ต่อการยางแห่งประเทศไทยเพื่อนํายางพาราภายใต้โครงการรักษาเสถียรภาพราคา ที่มีต้นทุนการเก็บรักษางบประมาณภาครัฐปีละ 120 ล้านบาท มาผลิตและส่งมอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องภายในปีงบประมาณ 2562 ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง - ให้ส่วนราชการดังต่อไปนี้กระทรวงสาธารณสุขกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดหาผลิตภัณฑ์เครื่องนอนจากยางพาราเพื่อใช้ในภารกิจของหน่วยงานภายในปีงบประมาณ 2562 ซึ่งจากการสอบถามความต้องการเบื้องต้นจากหน่วยงานดังกล่าว พบว่ามีความต้องการใช้เครื่องนอนรวม 450,000 ชุด คิดเป็นวงเงินประมาณ 1,060 ล้านบาท ซึ่งจะใช้น้ํายางสดประมาณ 13,300 ตัน ดังนั้น เพื่อเพิ่มปริมาณใช้ยางและส่งเสริมการผลิตผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีศักยภาพ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมีแนวคิดให้ส่วนราชการดังกล่าวใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องนอนที่ผลิตจากยางพารา โดยให้การยางแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยจัดหาผลิตภัณฑ์ดังกล่าว สําหรับค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ ให้สํานักงบประมาณปรับแผนการจัดสรรของส่วนราชการดังกล่าวข้างต้น ให้การยางแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดหาและส่งมอบผลิตภัณฑ์เครื่องนอนตามความต้องการของหน่วยงานต่อไป - เห็นชอบให้ยกเว้นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561เพื่อให้ส่วนราชการดําเนินการโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี 2561 ให้ต่อเนื่องต่อไป Photoบัลลังก์ โรหิตเสถียร Rewriter/Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16972
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาผักตบชวา ดึงประชาชนมีส่วนร่วม
วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560 รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาผักตบชวา ดึงประชาชนมีส่วนร่วม รัฐบาลดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเฝ้าระวังผักตบชวา ไม่ให้แพร่ขยายในแหล่งน้ําในท้องถิ่น พร้อมตั้งเป้าหมายกําจัดผักตบชวา 3 ระยะ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาผักตบชวาโดยดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตามแนวทางประชารัฐ ด้วยการจัดตั้งชมรมคนริมน้ําให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังผักตบชวาไม่ให้แพร่ขยายในแหล่งน้ําในท้องถิ่นของตน ตั้งเป้าหมายกําจัดผักตบชวา 3 ระยะ คือ 1) ภายใน 30 ก.ย. 60 ในแหล่งน้ําปิดขนาดไม่เกิน 100 ไร่ที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานรัฐ 2) ภายใน 30 ก.ย.61 ในแหล่งน้ําปิดสาธารณะขนาดไม่เกิน 200 ไร่ และภายใน 5 ปี ในแหล่งน้ําปิดขนาดใหญ่ เช่น กว๊านพะเยา หนองหาร บึงบอระเพ็ด โดยหน่วยงานท้องถิ่นจะดูแลแหล่งน้ําในพื้นที่ของตนเอง ส่วนหน่วยงานส่วนกลาง เช่น กรมเจ้าท่า กรมชลประทาน กรมโยธาธิการและผังเมือง จะดูแลแหล่งน้ําสายหลัก ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ําและสร้างสมดุลของระบบนิเวศน์อย่างยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาผักตบชวา ดึงประชาชนมีส่วนร่วม วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2560 รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาผักตบชวา ดึงประชาชนมีส่วนร่วม รัฐบาลดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเฝ้าระวังผักตบชวา ไม่ให้แพร่ขยายในแหล่งน้ําในท้องถิ่น พร้อมตั้งเป้าหมายกําจัดผักตบชวา 3 ระยะ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาผักตบชวาโดยดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตามแนวทางประชารัฐ ด้วยการจัดตั้งชมรมคนริมน้ําให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังผักตบชวาไม่ให้แพร่ขยายในแหล่งน้ําในท้องถิ่นของตน ตั้งเป้าหมายกําจัดผักตบชวา 3 ระยะ คือ 1) ภายใน 30 ก.ย. 60 ในแหล่งน้ําปิดขนาดไม่เกิน 100 ไร่ที่อยู่ในความดูแลของหน่วยงานรัฐ 2) ภายใน 30 ก.ย.61 ในแหล่งน้ําปิดสาธารณะขนาดไม่เกิน 200 ไร่ และภายใน 5 ปี ในแหล่งน้ําปิดขนาดใหญ่ เช่น กว๊านพะเยา หนองหาร บึงบอระเพ็ด โดยหน่วยงานท้องถิ่นจะดูแลแหล่งน้ําในพื้นที่ของตนเอง ส่วนหน่วยงานส่วนกลาง เช่น กรมเจ้าท่า กรมชลประทาน กรมโยธาธิการและผังเมือง จะดูแลแหล่งน้ําสายหลัก ทั้งนี้ เพื่อลดปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ําและสร้างสมดุลของระบบนิเวศน์อย่างยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2794
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Digital Thailand BigBang 2018 โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561 Digital Thailand BigBang 2018 โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมงานดิจิทัล ไทยแลนด์ บิ๊กแบง 2018 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิดไทยแลนด์ บิ๊กดาต้า โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน โดยภายในงานประกอบด้วย การจัดแสดงนวัตกรรมคลาวด์คอมพิวติ้ง เชื่อมโลกทั้งใบอย่างไร้ขีดจํากัด เทคโนโลยีที่สนับสนุนการเป็นศูนย์ก พุธที่ 19 ก.ย.61 Digital Thailand BigBang 2018 โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมงานดิจิทัล ไทยแลนด์ บิ๊กแบง 2018 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิดไทยแลนด์ บิ๊กดาต้า โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน โดยภายในงานประกอบด้วย การจัดแสดงนวัตกรรมคลาวด์คอมพิวติ้ง เชื่อมโลกทั้งใบอย่างไร้ขีดจํากัด เทคโนโลยีที่สนับสนุนการเป็นศูนย์กลางข้อมูลของอาเซียน เช่น ระบบเคเบิลใยแก้วนําแสงใต้น้ํา บิ๊กดาต้ากับการพัฒนาประเทศ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากนักพัฒนากว่า 800 ราย ข้อมูลไร้พรมแดนสําหรับคนไทยทุกคน การศึกษาระบบใหม่ เมืองอัจฉริยะ และมหกรรมการแข่งขันดิจิทัลเยาวชน โดยผู้สนใจสามารถเข้าชมงานได้ตั้งแต่วันที่ 19 – 23 ก.ย.61 ณ อิมแพคชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 เมืองทองธานี ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Digital Thailand BigBang 2018 โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน วันพุธที่ 19 กันยายน 2561 Digital Thailand BigBang 2018 โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมงานดิจิทัล ไทยแลนด์ บิ๊กแบง 2018 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิดไทยแลนด์ บิ๊กดาต้า โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน โดยภายในงานประกอบด้วย การจัดแสดงนวัตกรรมคลาวด์คอมพิวติ้ง เชื่อมโลกทั้งใบอย่างไร้ขีดจํากัด เทคโนโลยีที่สนับสนุนการเป็นศูนย์ก พุธที่ 19 ก.ย.61 Digital Thailand BigBang 2018 โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมงานดิจิทัล ไทยแลนด์ บิ๊กแบง 2018 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิดไทยแลนด์ บิ๊กดาต้า โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน โดยภายในงานประกอบด้วย การจัดแสดงนวัตกรรมคลาวด์คอมพิวติ้ง เชื่อมโลกทั้งใบอย่างไร้ขีดจํากัด เทคโนโลยีที่สนับสนุนการเป็นศูนย์กลางข้อมูลของอาเซียน เช่น ระบบเคเบิลใยแก้วนําแสงใต้น้ํา บิ๊กดาต้ากับการพัฒนาประเทศ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากนักพัฒนากว่า 800 ราย ข้อมูลไร้พรมแดนสําหรับคนไทยทุกคน การศึกษาระบบใหม่ เมืองอัจฉริยะ และมหกรรมการแข่งขันดิจิทัลเยาวชน โดยผู้สนใจสามารถเข้าชมงานได้ตั้งแต่วันที่ 19 – 23 ก.ย.61 ณ อิมแพคชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 เมืองทองธานี ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15518
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี ระบุรอถึงเวลาที่เหมาะสม
วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี ระบุรอถึงเวลาที่เหมาะสม นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี ระบุรอถึงเวลาที่เหมาะสม วันนี้ (25 กรกฎาคม 2560) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีกรณีผลโพลสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากแก้ไขปัญหาไม่ได้ตามที่ประชาชนต้องการว่า ยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี พร้อมกล่าวว่า “วันนี้อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย ว่าผมจะเอาใจใคร เอาใจพวก เอาใจพี่ มันไม่ได้ วันนี้ไม่ว่าจะปรับใครเป็นรัฐมนตรีมันทําไม่ได้หมด เพราะความขัดแย้งมันสูง แต่วันนี้ที่รัฐบาลทํางานมาสามปี ทํางานโดยคณะทํางาน รัฐมนตรีกําหนดนโยบายลงไป ติดตามขับเคลื่อน ประเมินผลไม่ใช่ว่าเปลี่ยนรัฐมนตรีแล้วจะไปทํานอกเหนือจากที่รัฐบาลทํา มันทําไม่ได้ ไม่ใช่ต่างคนต่างอิสระไปทําตามใจตัวเอง ไม่คํานึงถึงกฎหมายถึงความชอบธรรม มันจะยิ่งพันกันไปใหญ่ วันนี้ผมประเมินของผมเองถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่ หรือสั่งไปแล้วทํางานไม่มีประสิทธิผล ผมจึงค่อยปรับ” ------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี ระบุรอถึงเวลาที่เหมาะสม วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2560 นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี ระบุรอถึงเวลาที่เหมาะสม นายกรัฐมนตรียืนยันยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี ระบุรอถึงเวลาที่เหมาะสม วันนี้ (25 กรกฎาคม 2560) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรีกรณีผลโพลสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีปรับคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากแก้ไขปัญหาไม่ได้ตามที่ประชาชนต้องการว่า ยังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี พร้อมกล่าวว่า “วันนี้อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย ว่าผมจะเอาใจใคร เอาใจพวก เอาใจพี่ มันไม่ได้ วันนี้ไม่ว่าจะปรับใครเป็นรัฐมนตรีมันทําไม่ได้หมด เพราะความขัดแย้งมันสูง แต่วันนี้ที่รัฐบาลทํางานมาสามปี ทํางานโดยคณะทํางาน รัฐมนตรีกําหนดนโยบายลงไป ติดตามขับเคลื่อน ประเมินผลไม่ใช่ว่าเปลี่ยนรัฐมนตรีแล้วจะไปทํานอกเหนือจากที่รัฐบาลทํา มันทําไม่ได้ ไม่ใช่ต่างคนต่างอิสระไปทําตามใจตัวเอง ไม่คํานึงถึงกฎหมายถึงความชอบธรรม มันจะยิ่งพันกันไปใหญ่ วันนี้ผมประเมินของผมเองถ้าถึงเวลาเมื่อไหร่ หรือสั่งไปแล้วทํางานไม่มีประสิทธิผล ผมจึงค่อยปรับ” ------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5461
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 เมษายน 2563
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 เมษายน 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (7 เมษายน 2563) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี(หลังนอก)ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) (การยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสมที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์) 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กําหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนําจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ..)พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้ รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เศรษฐกิจ - สังคม 6. เรื่อง การขอรับจัดสรรงบประมาณโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2562/63 (เพิ่มเติม) 7. เรื่อง ขออนุมัติหลักการโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในโครงการตามพระราชดําริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ 8. เรื่อง ขออนุมัติดําเนินโครงการปรับปรุงคลองยม – น่าน จังหวัดสุโขทัย 9. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาดําเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง 10. เรื่อง การกําหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 11. เรื่อง สรุปผลการดําเนินการมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา (คณะกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา) 12. เรื่อง รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจําปี พ.ศ. 2561 13. เรื่อง การปรับการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 14. เรื่อง มาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม 15. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดําเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ห้วงวันที่ 31 มีนาคม-6 เมษายน 2563 16. เรื่อง ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นเพื่อบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) 17. เรื่อง ขออนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ และมาตรการเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นสําหรับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข รองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ต่างประเทศ 18. เรื่อง ขอความเห็นชอบการให้สัตยาบันเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 19. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 20. เรื่อง ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี 21. เรื่อง ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสครั้งสุดท้าย ประจําปี 2562 และผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ ประจําปี 2563 แต่งตั้ง 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) 24. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ 25. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม 26. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย 27. เรื่อง การโอนข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี .................... (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) (การยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสมที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้ 1. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสํานักงบประมาณไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย 3. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย กค. เสนอว่า 1. ปัจจุบันยาสูตรผสม เช่น โลปินาเวียร์และริโทนาเวียร์ สูตรผสมสําหรับใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ตามประเภทย่อย 3003.90 ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 มีอัตราอากรขาเข้าร้อยละ 10 ส่วนยาสําเร็จรูปสูตรผสมต้านไวรัสเอดส์ตามประเภทย่อย 3004.90 ได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ประกอบกับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ผู้นําเข้าสินค้าสูตรผสมดังกล่าวเพื่อนํามาผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ จึงขอให้ กค. พิจารณายกเว้นอากรขาเข้าสําหรับโลปินาเวียร์และริโทนาเวียร์ สูตรผสม ด้วย 2. กค. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมศุลกากร อภ. สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา สมาคมอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 12 และ 27 พฤศจิกายน 2562 แล้ว และเห็นควรยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสม (ประเภทย่อย 3003.90) ที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์เท่านั้น โดยไม่จํากัดเฉพาะแต่สินค้าโลปินาเวียร์และริโทนาเวียร์ สูตรผสม เพื่อให้ผู้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์มีความคล่องตัวในการเลือกใช้วัตถุดิบ สําหรับการพิจารณายกเว้นอากรขาเข้าสินค้า ยาสูตรผสมที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ที่รักษาโรคอื่นได้ จะต้องใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลยาในรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ ทั้งนี้ การยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสม (ประเภทย่อย 3003.90) ที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์เท่านั้น สามารถดําเนินการได้โดยการออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) 3. กค. ได้ดําเนินการจัดทําประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งการยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสม (ประเภทย่อย 3003.90) ที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์เท่านั้น จะทําให้สูญเสียรายได้ภาษีอากรประมาณ 50 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการยกเว้นอากรดังกล่าวจะส่งผลให้ลดการนําเข้ายาต้านไวรัสเอดส์สําเร็จรูป ลดภาระต้นทุนการผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ และเพิ่มการเข้าถึงยาต้านไวรัสเอดส์ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ สาระสําคัญของร่างประกาศ ยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสม (ประเภทย่อย 3003.90) ที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์เท่านั้น ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 ภาค 2 พิกัดอัตราอากรขาเข้า 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไป กษ. เสนอว่า 1. ได้มีกฎกระทรวงกําหนดเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. 2560 โดยในข้อ 2 กําหนดให้จังหวัดชลบุรีมีเขตทะเลชายฝั่ง ดังนี้ 1.1 ระยะสามไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง 1.2 ระยะหนึ่งจุดหกไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายเกาะ ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายกฎกระทรวงหมายเลข 2/9 2. โดยที่แผนที่ท้ายกฎกระทรวงหมายเลข 2/9 ตามข้อ 1. ได้กําหนดแนวเขตทะเลชายฝั่งเป็นเส้นโค้งเว้าตามแนวชายฝั่งทะเล มีผลทําให้เกิดความไม่ชัดเจนและเป็นปัญหาสําหรับชาวประมงในการปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาประโยชน์ขัดแย้งระหว่างประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ และเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ําในเขตทะเลชายฝั่งให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมและสามารถทําการประมงได้อย่างยั่งยืน จึงสมควรปรับปรุงแนวเขตทะเลชายฝั่งและแผนที่แนวเขตทะเลชายฝั่งท้ายกฎกระทรวงหมายเลข 2/9 ในส่วนจังหวัดชลบุรีเสียใหม่ ดังนี้ 2.1 เขตทะเลชายฝั่ง (1) เดิม “ระยะสามไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง” เป็น “ระยะสองจุดเจ็ดหนึ่งไมล์ทะเลถึงสามจุดเจ็ดเจ็ดไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง” (2) เดิม “ระยะหนึ่งจุดหกไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายเกาะ” เป็น “ระยะหนึ่งจุดห้าห้าไมล์ทะเลถึงสองจุดสามสามไมล์ทะเลจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายเกาะ” 2.2 แผนที่ท้ายกฎกระทรวงหมายเลข 2/9 เดิม “เส้นโค้งเว้าตามแนวชายฝั่งทะเล” เป็น “เส้นตรงลากผ่านจุดพิกัด” ตามเขตทะเลชายฝั่ง ทั้งนี้ การกําหนดระยะแนวเขตทะเลชายฝั่งดังกล่าวไม่เกินระยะที่กฎหมายกําหนด 3. การปรับปรุงระยะแนวเขตทะเลชายฝั่งและแผนที่ท้ายกฎกระทรวงดังกล่าวได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ และคณะกรรมการประมงประจําจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในพื้นที่ได้เห็นชอบด้วยแล้ว จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง กําหนดให้จังหวัดชลบุรีมีเขตทะเลชายฝั่ง ดังนี้ 1. ระยะสองจุดเจ็ดหนึ่งไมล์ทะเลถึงสามจุดเจ็ดเจ็ดไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง 2. ระยะหนึ่งจุดห้าห้าไมล์ทะเลถึงสองจุดสามสามไมล์ทะเลจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายเกาะ 3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กําหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กําหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดําเนินการต่อไป สาระสําคัญของร่างประกาศ 1. กําหนดบทนิยาม “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” หมายถึง ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หรือเศษ (ไม่รวมเศษจากเครื่องกําเนิดไฟฟ้า) ที่มีส่วนประกอบซึ่งได้แก่ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า และแบตเตอรี่อื่น ๆ สวิตซ์ที่มีปรอทเป็นองค์ประกอบในการทํางาน เศษแก้วจากหลอดรังสีแคโทด และแอกติเวเต็ดกลาสอื่น ๆ ตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่มีสารพีซีบี หรือที่ปนเปื้อนด้วยแคดเมียม ปรอท ตะกั่ว โพลีคลอริเนทเต็ดไบฟีนิล ซึ่งเป็นของเสียเคมีวัตถุ ตามบัญชี 5.2 ลําดับที่ 2.18 ของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 ตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย 2. กําหนดข้อห้าม ให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท 84 และประเภท 85 เฉพาะรหัสสถิติ 899 ตามตารางที่กําหนดไว้ในบัญชีแนบท้าย เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร 3. กําหนดให้มีการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ ในกรณีสงสัยว่าสินค้าใดเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ ให้ พณ. พิจารณาโดยนําความเห็นของกรมโรงงานอุตสาหกรรมและกรมศุลกากรมาประกอบด้วย 4. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนําจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนําจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดําเนินการต่อไป สาระสําคัญของร่างระเบียบ 1. กําหนดบทนิยาม ดังนี้ 1.1 “เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่” หมายความว่า เงินที่จ่ายให้แก่เจ้าพนักงานผู้สืบสวนจับกุมหรือตรวจยึดเกี่ยวกับคดียาเสพติด รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนร่วมดําเนินการ จนนําไปสู่การจับกุมหรือตรวจยึด โดยเป็นข้าราชการตํารวจ ข้าราชการทหาร และข้าราชการพลเรือน ในระดับตําแหน่งที่กําหนด และให้รวมถึงเจ้าพนักงานผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักงานสอบสวนที่สามารถขยายผลจนจับกุมผู้กระทําความผิดได้ 1.2 “การขยายผล” หมายความว่า การสืบสวนหรือสอบสวนขยายผลจากคดียาเสพติดที่มีหรือเคยมีของเจ้าหน้าที่จนนําไปสู่การจับกุมผู้บงการหรือนักค้ายาในคดียาเสพติดรายสําคัญ 1.3 “คดียาเสพติดรายสําคัญ” เช่น คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ฐานผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง และต้องมีพฤติการณ์ดําเนินเป็นเครือข่าย หรือผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นต้น 2. กําหนดให้จ่ายเงินค่าตอบแทนเมื่อเจ้าพนักงานได้ดําเนินคดีตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้ 2.1 คดีที่ยึดได้แต่ยาเสพติดให้จ่ายเงินค่าตอบแทนร้อยละ 25 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งงดการสอบสวน สั่งไม่ฟ้อง หรือมีความเห็นว่าควรสั่งฟ้อง ทั้งนี้ หากสามารถขยายผลได้ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ให้จ่ายเงินค่าตอบแทน ดังนี้ 2.1.1 กรณีเจ้าพนักงานผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักงานสอบสวนขยายผลไปจับกุมเจ้าของยาเสพติด ผู้ร่วมกระทําความผิด ผู้สั่งการ หรือนายทุน ให้จ่ายเงินค่าตอบแทนร้อยละ 25 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง 2.1.2 กรณีเจ้าพนักงานผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักงานสอบสวนขยายผลไปจับกุมเครือข่ายยาเสพติดเป็นคดีใหม่ ให้เจ้าหน้าที่ผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักงานสอบสวนได้รับเงินค่าตอบแทนร้อยละ 25 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง 2.2 คดีที่จับกุมได้ผู้ต้องหาและยาเสพติดของกลางให้จ่ายเงินค่าตอบแทนร้อยละ 50 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง แต่หากพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องให้จ่ายเงินค่าตอบแทนโดยคํานวณจากปริมาณยาเสพติดร้อยละ 25 ของจํานวนเงินตามสิทธิที่จะได้รับ ทั้งนี้ หากสามารถขยายผลได้ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ให้จ่ายเงินค่าตอบแทน ดังนี้ 2.2.1 กรณีเป็นการจับกุมผู้ต้องหารายสําคัญให้จ่ายเงินค่าตอบแทนร้อยละ 25 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง 2.2.2 กรณีเจ้าพนักงานผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักงานสอบสวนขยายผลไปจับกุมเจ้าของยาเสพติด ผู้ร่วมกระทําความผิด ผู้สั่งการหรือนายทุน ให้จ่ายเงินค่าตอบแทนร้อยละ 25 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง 2.2.3 กรณีเจ้าพนักงานผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักสอบสวนขยายผลไปจับกุมเครือข่ายยาเสพติดเป็นคดีใหม่ ให้เจ้าหน้าที่ผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักงานสอบสวนได้รับเงินค่าตอบแทนร้อยละ 25 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง ทั้งนี้ เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 100 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด 3. กําหนดให้ในกรณีที่พนักงานอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาข้อหาจําหน่าย โดยมีพฤติการณ์จําหน่ายยาเสพติดให้กับเด็กหรือเยาวชนในหมู่บ้าน ชุมชน ให้จ่ายเงินเพิ่มอีกคดีหนึ่งไม่เกิน 5,000 บาท 5. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างประกาศ เป็นการยกเว้นอากรศุลกากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไม่ว่าจะอยู่ในพิกัดประเภทใด ทั้งนี้ ตามรายการที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกําหนด โดยแก้ไขวันใช้บังคับจากเดิม “ให้มีผลใช้บังคับนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563” เป็น “ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563” เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 เศรษฐกิจ - สังคม 6. เรื่อง การขอรับจัดสรรงบประมาณโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2562/63 (เพิ่มเติม) คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอดังนี้ 1. รับทราบการขยายเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก ขยายวงเงินสินเชื่อและขยายระยะเวลาการจัดทําสัญญาเงินกู้ ตามโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพิ่มเติม ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) 2. เห็นชอบการจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 วงเงินรวมทั้งสิ้น 682.86 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขอจัดสรรวงเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจําปี เพื่อชําระคืนต้นทุนเงินและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากการดําเนินโครงการฯ จนกว่าจะชําระเสร็จสิ้น 3. รับทราบการขอรับจัดสรรค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกของโครงการสินเชื่อชะลอ การขายข้าวเปลือก (เพิ่มเติม) วงเงิน 750.00 ล้านบาท จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) โดยให้ พณ. ดําเนินการให้เป็นไปตามระเบียบขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป สําหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น ให้ ธ.ก.ส. จัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามผลการดําเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญของเรื่อง นบข. ในการประชุม ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 ได้พิจารณาและมีมติเกี่ยวกับ การขออนุมัติการดําเนินโครงการฯ (เพิ่มเติม) ที่ ธ.ก.ส. เสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการดําเนินโครงการฯ ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ดังนี้ ผลการดําเนินการ จํานวน (ราย) ปริมาณข้าวเปลือก (ตัน) สินเชื่อ (ล้านบาท) 1) ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับสินเชื่อแล้ว 950,310.20 9,958.72 2) ข้อมูลที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อในระบบการจ่ายสินเชื่อตามโครงการฯ ของ ธ.ก.ส. แล้ว รอการโอนเข้าบัญชี 82,962.00 829.62 3) ข้อมูลผู้เข้าร่วมโครงการซึ่งยังมิได้บันทึกข้อมูลเตรียมการจ่ายในระบบการจ่ายสินเชื่อของ ธ.ก.ส. 421,166.00 4,211.66 รวม 1,454,438.20 15,000.00 2. เห็นชอบการปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ และขยายระยะเวลาการจัดทําสัญญาเงินกู้ ของโครงการฯ ดังนี้ การปรับเพิ่ม/ขยาย เดิม มติคณะรัฐมนตรี (11 ธันวาคม 2562) เป็น (เสนอในครั้งนี้) 1) ปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการฯ 1 ล้านต้น 1.5 ล้านตัน 2) ปรับเพิ่มวงเงินสินเชื่อตามโครงการฯ 10,000 ล้านบาท 15,000 ล้านบาท 3) ขยายระยะเวลาการจัดทําสัญญาเงินกู้ตามโครงการฯ สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 สิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2563 (ภาคใต้ ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563) 3. เห็นชอบการจัดสรรวงเงินโครงการฯ (เพิ่มเติม) โดยให้ ธ.ก.ส. ประสาน สงป. ในการขอรับจัดสรรวงเงินจากงบประมาณ ปี 2564 และปีถัด ๆ ไป วงเงินรวมทั้งสิ้น 682.86 ล้านบาท ตามที่ ธ.ก.ส. เสนอ เพื่อให้การดําเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยขอให้รัฐบาลรับภาระเงินชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. จากการให้สินเชื่อเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรตามโครงการฯ ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจําประเภท 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. บวก 1 ต่อปี รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบายข้าว ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงิน ค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว โดยจําแนกเป็นค่าใช้จ่าย ดังนี้ รายการ วงเงิน (ล้านบาท) 1) ค่าชดเชยดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. บวก 1 ซึ่งเป็นอัตราที่ กค. สงป. และ ธ.ก.ส. ทําความตกลงในการชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. และ กค. ได้นําผลการตกลงเสนอคณะรัฐมนตรีทราบแล้วเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 117.50 2) ค่าบริหารโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี ระยะเวลา 6 เดือน ของวงเงินสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น (5,000 ล้านบาท) 50.00 3) ค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบายข้าว ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าวและส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว 515.36 รวม 682.86 โดยมอบหมายกรมการค้าภายในในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป 4. เห็นชอบการขอรับจัดสรรค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกโครงการฯ (เพิ่มเติม) วงเงิน 750 ล้านบาท จาก คชก. เพื่อจ่ายเป็นค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกให้เกษตรกรที่เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง ตันละ 1,500 บาท และสําหรับสถาบันเกษตรกรที่รับฝากได้รับตันละ 1,500 บาท (จําแนกเป็นสถาบันเกษตรกรได้รับตันละ 1,000 บาท และให้เกษตรกรที่นําข้าวมาฝากเก็บกับสถาบันเกษตรกรตันละ 500 บาท) (ตามข้อ 3) ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือกจาก 1 ล้านตัน เป็น 1.5 ล้านตัน ทั้งนี้ ต้องเก็บข้าวไว้อย่างน้อย 1 เดือน ระยะเวลาไถ่ถอน 5 เดือน โดยมอบหมาย ธ.ก.ส. จัดทํารายละเอียดการขอรับจัดสรรงบประมาณจาก คชก. และนําเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรพิจารณาต่อไป 5. การดําเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวของรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งที่ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรจําหน่ายได้มีเสถียรภาพ ลดภาระค่าใช้จ่ายการชดเชยเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยเมื่อเปรียบเทียบราคาข้าวเปลือกในช่วงปัจจุบันกับก่อนดําเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (ปลายเดือนพฤศจิกายน 2562) พบว่า ราคาข้าวเปลือกปรับตัวสูงขึ้นทุกชนิด โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ราคา ชนิดข้าวเปลือก (บาท/ตัน) หอมมะลิ เจ้า ปทุมธานี เหนียว ก่อนการดําเนินโครงการฯ (ปลายเดือนพฤศจิกายน 2562) 14,300 - 14,800 7,400 – 7,800 8,600 – 9,500 15,300 – 16,300 ปัจจุบัน (17 มีนาคม 2563) 14,800 – 15,300 8,500 – 9,400 9,700 – 10,000 15,700 – 16,900 เปลี่ยนแปลง (%) 3.44 17.76 8.84 2.52 อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาราคาตลาดข้าวเปลือกหอมมะลิพบว่า ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว และข้าวเปลือกเหนียวยังคงมีความผันผวนด้านราคา 6. พณ. พิจารณาแล้วเห็นว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปี 2562/63 เป็นเกษตรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิและข้าวเปลือกเหนียวในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งยังเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางและยังมีความประสงค์ขอรับสินเชื่อตามโครงการฯ เนื่องจากขณะนี้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิยังอยู่ในภาวะชะลอตัวเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่น ๆ และข้าวเปลือกเหนียวยังคงมีความผันผวนจึงควรขยายเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก ขยายวงเงินสินเชื่อ และขยายระยะเวลาการจัดทําสัญญาเงินกู้ตามโครงการฯ เพื่อเป็นการชะลอการขายข้าวเปลือกหอมมะลิและเพื่อจะรักษาระดับราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ 7. พณ. ได้จัดทํารายละเอียดข้อมูลตามมาตรา 27 และ 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว โดยมีประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น ชะลอปริมาณข้าวเปลือกในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดในฤดูเก็บเกี่ยวไม่ให้เกินความต้องการตลาด ซึ่งจะทําให้ราคาตลาดข้าวเปลือก มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นและเกษตรกรมีช่องทางเลือกในการตัดสินใจที่จะจําหน่ายหรือเก็บรักษาข้าวเปลือกของตนเองไว้ที่ยุ้งฉางซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนให้เกษตรกรผลิตข้าวเปลือกและเก็บรักษาข้าวเปลือกให้มีคุณภาพ 7. เรื่อง ขออนุมัติหลักการโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในโครงการตามพระราชดําริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในโครงการตามพระราชดําริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ แผนระยะ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2567) เพื่อให้การอุดหนุนด้านอาคารเรียน อาคารประกอบ สื่ออุปกรณ์และการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา ให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในโครงการตามพระราชดําริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยตั้งงบประมาณเป็นรายปี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง โครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในโครงการตามพระราชดําริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาการดําเนินงานของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จํานวน 16 แห่ง (สังกัดสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้รับการอุดหนุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างด้านกายภาพ สื่อ อุปกรณ์การเรียนการสอนเป็นกรณีพิเศษตามหลักเกณฑ์ของประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนและพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) ให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพเช่นเดียวกับสถานศึกษาอื่น ๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้แก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่ให้ได้รับการศึกษาที่ดีทั้งความรู้ด้านศาสนาอิสลาม ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามในท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ในวิชาสามัญและการฝึกทักษะอาชีพ อันจะนําไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยในส่วนของการดําเนินโครงการนั้น สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา ดังนั้น เพื่อให้โครงการดังกล่าวสามารถดําเนินการได้อย่างต่อเนื่องและเป็นต้นแบบให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป ศธ. จึงขออนุมัติหลักการโครงการฯ แผนระยะ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2567) ในกรอบวงเงินทั้งสิ้น 245.239 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) งบลงทุน 185.019 ล้านบาท สําหรับการพัฒนาโครงสร้างด้านกายภาพของโรงเรียน ได้แก่ การก่อสร้าง/ปรับปรุงอาคารเรียน อาคารหอพักนักเรียน อาคารฝึกอาชีพ รวมทั้งการจัดซื้อครุภัณฑ์เพื่อการจัดการเรียนการสอนและการฝึกอาชีพ และ (2) งบรายจ่ายอื่น 60.220 ล้านบาท (ประมาณปีละ 12.044 ล้านบาท) เพื่อจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพด้านวิชาการและการพัฒนาผู้เรียน ทั้งนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2562 มีมติรับทราบการขออนุมัติหลักการและกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดําเนินการโครงการดังกล่าวตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะประธานกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เห็นชอบในหลักการโครงการฯ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2561 ด้วยแล้ว 8. เรื่อง ขออนุมัติดําเนินโครงการปรับปรุงคลองยม – น่าน จังหวัดสุโขทัย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยกรมชลประทาน ดําเนินการโครงการปรับปรุงคลองยม - น่าน จังหวัดสุโขทัย ภายในกรอบวงเงิน 2,875 ล้านบาท ระยะเวลาดําเนินการ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2567) ตามที่ กษ. เสนอ สําหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ให้ใช้จ่ายจากรายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน จํานวน 70,000,000 บาท ที่ได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือ ให้กรมชลประทานจัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่าย และการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัด เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามความจําเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญของเรื่อง กษ. รายงานว่า 1. ปัจจุบันแม่น้ํายมเป็นแม่น้ําสายหลักเพียงสายเดียวที่ยังไม่สามารถบริหารจัดการภายในลุ่มน้ําได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดปัญหาน้ําท่วมและน้ําแล้งเป็นประจําทุกปี โดยเฉพาะลุ่มน้ํายมตอนล่างในเขตพื้นที่จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก และพิจิตร และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเมื่อพิจารณาจากสภาพภูมิประเทศแล้วพบว่า ทางตอนบนของแม่น้ํายมมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแหล่งกักเก็บน้ํา แต่เนื่องจากอุปสรรคทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมจึงยังไม่สามารถพัฒนาเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อเก็บกักน้ํา ประกอบกับภูมิประเทศตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ํายมเป็นที่ราบสภาพเรียวเล็กลงกว่าตอนบน เมื่อเกิดฝนตกหนักทางตอนบน มวลน้ําจะไหลบ่าลงมาสู่ตอนล่างอย่างรวดเร็ว เข้าท่วมพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่เศรษฐกิจสําคัญ เช่น เทศบาลเมืองสุโขทัย ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายค่อนข้างมากประมาณปีละไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท 2. ปริมาณน้ําในแม่น้ํายมที่ไหลผ่านอําเภอศรีสัชนาลัย มีปริมาณเฉลี่ย 1,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สามารถบริหารจัดการน้ําออกสู่คลองสาขาได้ 350 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ไหลออกด้านซ้ายสู่คลองหกบาทและคลองยม – น่าน 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และไหลผ่านตัวเมืองสุโขทัย 800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เกินกว่าความสามารถที่แม่น้ํายมบริเวณดังกล่าวจะรองรับได้ที่ 550 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงทําให้เกิดปัญหาอุทกภัยเป็นประจําทุกปี ดังนั้น เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว กรมชลประทานจึงต้องมีการบริหารจัดการน้ําในแม่น้ําสายหลัก โดยได้พิจารณาใช้แนวทางการตัดยอดน้ําบางส่วนออกจากแม่น้ําสายหลัก เพื่อควบคุมปริมาณน้ําที่ไหลผ่านพื้นที่เขตเศรษฐกิจให้อยู่ในเกณฑ์ที่รับน้ําได้ โดยจะดําเนินการปรับปรุงคลองหกบาทพร้อมกับขุดคลองชักน้ํา (ชักน้ําจากแม่น้ํายมลงสู่คลองหกบาท) เพื่อให้สามารถรับน้ําได้เพิ่มขึ้นเป็น 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และแบ่งการระบายน้ําจากคลองหกบาทออกเป็น 2 ทาง ได้แก่ 1) ระบายไปทางคลองยม – น่าน ที่ได้รับการปรับปรุงให้สามารถระบายน้ําได้ 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที พร้อมขุดช่องลัดลงแม่น้ําน่าน เพื่อชักน้ําจากคลองยม – น่านลงสู่แม่น้ําน่าน 2) ระบายไปสู่คลองยมเก่า ซึ่งสามารถระบายน้ําได้ 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทั้งนี้ การปรับปรุงคลองหกบาทดังกล่าวจะทําให้ปริมาณน้ําที่ไหลผ่านตัวเมืองสุโขทัยลดลงเหลือเพียง 550 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (เท่ากับความสามารถที่รับได้ของแม่น้ํายมที่ไหลผ่านตัวเมืองสุโขทัยในสภาวะปกติ) จึงช่วยบรรเทาปัญหาปริมาณน้ําจากแม่น้ํายมเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่เมืองสุโขทัยและพื้นที่การเกษตร นอกจากนี้ ยังสามารถเก็บกักน้ําไว้ในคลองเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ในฤดูแล้งได้อีกด้วย 3. รายละเอียดของโครงการสรุปได้ดังนี้ หัวข้อ รายละเอียด ระยะเวลาดําเนินโครงการ 5 ปี (ปี 2563 – 2567) ที่ตั้งโครงการ จุดรับน้ําเข้า (คลองหกบาท) อยู่ที่ตําบลป่ากุมเกาะ อําเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย และจุดระบายน้ําลงแม่น้ําน่าน (ปลายคลองยม - น่าน) อยู่ที่ตําบลคอรุม อําเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ งานปรับปรุงคลองระบายน้ํา - งานปรับปรุงคลองหกบาท (กม. 2+600 ถึง กม. 5+700) ความยาว 3.10 กิโลเมตร เพื่อให้สามารถรับน้ําได้ จากเดิม 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยปรับปรุงเป็นคลองดาดคอนกรีต พร้อมก่อสร้างถนนลาดยางและถนนดินลูกรัง - งานปรับปรุงคลองยม - น่าน (กม. 0+000 ถึง กม. 34+850) ความยาว 34.850 กิโลเมตร เพื่อให้สามารถรับน้ําได้ 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยปรับปรุงเป็นคลองดาดคอนกรีต พร้อมก่อสร้างถนนลาดยางและถนนดินลูกรัง - งานขุดคลองชักน้ําและอาคารประกอบ 2 จุด ได้แก่ (1) งานขุดคลองชักน้ําจากแม่น้ํายมลงคลองหกบาท บริเวณ กม. 2+600 ความยาว 400 เมตร ให้สามารถรับน้ําได้ 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที พร้อมก่อสร้างประตูระบายน้ําใหม่ 1 แห่ง (2) งานขุดคลอง 1 ซ้าย เพื่อชักน้ําจากคลองยม - น่าน บริเวณ กม. 34+850 ลงแม่น้ําน่าน ความยาว 450 เมตร ให้สามารถรับน้ําได้ 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที - งานป้องกันตลิ่งประตูระบายน้ําคอรุม โดยปรับปรุงตลิ่งด้านท้ายประตูระบายน้ําคอรุม ซึ่งเป็นจุดที่คลองยม – น่านไหลมาบรรจบกับแม่น้ําน่าน ความยาวประมาณ 120 เมตร งานก่อสร้างและปรับปรุงอาคารประกอบตามแนวคลอง - งานก่อสร้างประตูระบายน้ํา 2 แห่ง และงานปรับปรุงประตูระบายน้ํา 3 แห่ง เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณน้ําจากการปรับปรุงคลองได้ - งานก่อสร้างสะพานรถยนต์ 8 แห่ง และงานก่อสร้างสะพานรถไฟ 1 แห่งเพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรเชื่อมระหว่าง 2 ฝั่งคลอง - งานรื้อถอนฝายเดิมที่กีดขวางทางน้ํา - งานก่อสร้างท่อระบายน้ําปากคลองและอาคารรับน้ํา - งานก่อสร้างท่อส่งน้ําข้ามคลอง สถานภาพโครงการ - การศึกษาความเหมาะสมของโครงการ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อเดือนเมษายน 2547 - การสํารวจ-ออกแบบ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อเดือนตุลาคม 2560 - การจัดหาที่ดิน อยู่ระหว่างการสํารวจปักหลักเขต สามารถเริ่มดําเนินการได้ทันทีหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ - การก่อสร้าง เริ่มดําเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2567 - การมีส่วนร่วมของประชาชน ได้ดําเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับท้องถิ่น รับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชน รวมถึงการประชุมชี้แจงแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบเพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นธรรม รวมถึงการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมเพื่อป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประโยชน์ของโครงการ - เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่อําเภอเมือง อําเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย และอําเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ครอบคลุม 15 ตําบล 27 หมู่บ้าน 5,340 ครัวเรือน - เพื่อกักเก็บน้ําในแนวคลองไว้ใช้เพื่ออุปโภค บริโภค เพื่อทําการเกษตรและการปศุสัตว์ในช่วงฤดูแล้ง ครอบคลุมพื้นที่ 7,300 ไร่ - ทําให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มมากขึ้น การวิเคราะห์ผลตอบแทนด้านเศรษฐศาสตร์ - อัตราคิดลด ร้อยละ 9 - มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value: NPV) 151.79 ล้านบาท - อัตราผลประโยชน์ต่อค่าลงทุน (B/C Ratio) 1.080 - อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (Economic Internal Rate of Return: EIRR) ร้อยละ 9.660 หมายเหตุ: ค่า EIRR สูงกว่าอัตราคิดลด ดังนั้น โครงการฯ จึงมีความคุ้มค่าที่จะลงทุน 4. กษ. แจ้งว่า โครงการฯ เป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ําซึ่งไม่เข้าข่ายที่ต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่ กษ. โดยกรมชลประทานได้กําหนดให้จัดทําแผนงานป้องกัน แก้ไข และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งแผนงบประมาณเพื่อสนับสนุนแผนการดําเนินงานข้างต้นให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ดําเนินการตามแผนที่วางไว้ วงเงินงบประมาณ 20 ล้านบาท (สําหรับดําเนินงานช่วงปีงบประมาณ 2564-2567 ปีละ 5 ล้านบาท) นอกจากนี้ การดําเนินการก่อสร้างโครงการฯ จะทําให้เกิดผลกระทบต่อที่ดินและทรัพย์สินของราษฎร ซึ่ง กษ. โดยกรมชลประทานได้เตรียมมาตรการในการจ่ายค่าทดแทนทรัพย์สินไว้ในแผนงานโครงการด้วยแล้ว 9. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาดําเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดําเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง จากเดิม 14 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548-2561) เป็น 17 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 – 2564) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม 3,670.50 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง กษ. รายงานว่า 1. โครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง ตั้งอยู่ที่อําเภอแจ้ห่ม จังหวัดลําปาง ประกอบด้วย การก่อสร้างเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบ และระบบชลประทาน ดังนี้ 1.1 เขื่อนหัวงานและอาคารประกอบ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2551 ปัจจุบันสามารถกักเก็บน้ําได้ 170 ล้านลูกบาศก์เมตร ประกอบด้วย (1) เขื่อนหลัก (Main dam) ชนิดดินถมบดอัดแน่นแบ่งส่วนความยาว 500 เมตร ความสูง 43.50 เมตร สันเขื่อนกว้าง 8 เมตร (2) ทํานบดินปิดช่องเขาต่ํา (Saddle dam) ชนิดดินถมบดอัดแน่นเนื้อเดียว ความยาว 300 เมตร ความสูง 15.50 เมตร สันเขื่อนกว้าง 3 เมตร (3) อาคารประกอบ ได้แก่ อาคารระบายน้ําล้น (Service apillway) อาคารรับน้ํา (Inclined intake) อาคารส่งน้ําเข้าระบบส่งน้ําและอาคารระบายน้ําลงลําน้ําเดิม และถนนลาดยางเชื่อมระหว่างเขื่อนหลักกับทํานบดินปิดช่องเขาต่ํา 1.2 ระบบชลประทานเพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทาน รวมทั้งสิ้น 90,200 ไร่ ประกอบด้วย (1) ระบบชลประทานแจ้ห่ม ระยะที่ 1 พื้นที่ชลประทาน 12,000 ไร่ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2555 (2) ระบบชลประทานแจ้ห่ม ระยะที่ 2 พื้นที่ชลประทาน 8,000 ไร่ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2558 (3) ระบบชลประทานกิ่วลม 3 ระยะที่ 1 พื้นที่ชลประทาน 5,000 ไร่ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2554 (4) ระบบชลประทานกิ่วลม 3 ระยะที่ 2 พื้นที่ชลประทาน 18,000 ไร่ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2555 (5) ระบบชลประทานกิ่วลม 3 ระยะที่ 3 พื้นที่ชลประทาน 47,200 ไร่ อยู่ระหว่างการดําเนินการ 2. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (22 กุมภาพันธ์ 2555) อนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการระบบชลประทานกิ่วลม 3 ระยะที่ 3 โครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง นั้น กรมชลประทานได้ว่าจ้างผู้รับจ้างก่อสร้างระบบชลประทานดังกล่าว เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2555 วงเงินสัญญา 197.64 ล้านบาท อายุสัญญา 900 วัน เริ่มสัญญาวันที่ 18 ตุลาคม 2555 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 5 เมษายน 2558 ต่อมา กรมชลประทานได้อนุมัติให้มีการขยายอายุสัญญาตามมติคณะรัฐมนตรี (25 พฤศจิกายน 2556) เรื่อง การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ํา 300 บาท เป็นเวลา 150 วัน สิ้นสุดสัญญาวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 ปัจจุบันมีผลงานสะสม ร้อยละ 42.36 3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้อนุมัติให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สําหรับรายการระบบชลประทานกิ่วลม 3 ระยะที่ 3 โครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2558 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2561 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560 4. การก่อสร้างระบบชลประทานกิ่วลม 3 ระยะที่ 3 โครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง ล่าช้ากว่าแผนงานที่วางไว้ เนื่องจากการดําเนินการมีปัญหาและอุปสรรค กล่าวคือ สภาพภูมิประเทศ และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของราษฎรเปลี่ยนแปลงไป ทําให้แบบก่อสร้างที่ออกแบบไว้เดิมไม่สามารถดําเนินการก่อสร้างได้ จึงมีความเป็นต้องแก้ไขแบบก่อสร้างให้มีความสอดคล้องกับภูมิประเทศและมีความเหมาะสมกับทางด้านวิศวกรรม เพื่อให้การใช้งานเป็นไปตามวัตถุประสงค์โครงการและมีผลกระทบต่อราษฎรในพื้นที่น้อยที่สุด ซึ่งปัจจุบันดําเนินการแก้ไขแบบก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างแก้ไขสัญญาจากการแก้ไขแบบและออกแบบเพิ่มเติม 5. การแก้ไขสัญญาส่งผลให้วงเงินในสัญญาเพิ่มขึ้น จากวงเงินในสัญญาเดิม 197.64 ล้านบาท เป็น 203.68 ล้านบาท รวมเป็นเงินที่เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 6.04 ล้านบาท ซึ่ง กษ. แจ้งว่า สงป. ได้เห็นชอบความเหมาะสมของราคาการเพิ่มวงเงินในสัญญาก่อสร้างรายการดังกล่าวแล้ว ตามหนังสือ สงป. ที่ นร. 0718/18328 ลงวันที่ 16 กันยายน 2562 โดยการเพิ่มวงเงินดังกล่าว อยู่ภายในวงเงินงบประมาณ แต่มีระยะเวลาก่อหนี้ผูกพัน ข้ามปีงบประมาณเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ กรมชลประทานจึงต้องนําเสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อขออนุมัติการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2561 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2563 ก่อนลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม ตามนัยข้อ 7 (2) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 6. จากข้อเท็จจริงข้างต้น กษ. โดยกรมชลประทาน จึงมีความจําเป็นต้องปรับแผนการดําเนินโครงการและขยายระยะเวลาโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง ออกไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถดําเนินการให้แล้วเสร็จได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ดังนั้น กษ. จึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง จากเดิม 14 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548-2561) เป็น 17 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548- 2564) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการเดิมจํานวน 3,670.50 ล้านบาท 10. เรื่อง การกําหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 9) ลงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2563 เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับต่อไป ซึ่งเป็นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 88 ที่บัญญัติให้ในการพิจารณากําหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ให้คณะกรรมการค่าจ้างศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในแต่ละอาชีพตามมาตรฐานฝีมือที่กําหนดไว้โดยวัดค่าทักษะ ฝีมือ ความรู้ และความสามารถ แต่ต้องไม่ต่ํากว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ําที่คณะกรรมการค่าจ้างกําหนด และให้คณะกรรมการค่าจ้างประกาศกําหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือโดยเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ จํานวน 13 คณะ เพื่อพิจารณาทบทวนอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ จํานวน 13 กลุ่มสาขาอาชีพ/กลุ่มอุตสาหกรรม รวม 64 สาขาอาชีพ โดยพิจารณาทบทวนอัตราค่าจ้างจากลักษณะการทํางาน การจ่ายค่าจ้างจริงในตลาดแรงงาน ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง รวมทั้งสถานการณ์และสภาพข้อเท็จจริงในแต่ละสาขาอาชีพ และจัดทํา ร่างอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือเสนอคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 แล้ว ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบให้กําหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือจํานวน 13 กลุ่มสาขาอาชีพ/กลุ่มอุตสาหกรรม รวม 64 สาขาอาชีพ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป ดังนี้ หน่วย : บาท/วัน ลําดับ กลุ่มสาขาอาชีพ/กลุ่มอุตสาหกรรม ระดับ 1* ระดับ 2** ระดับ 3*** กลุ่มสาขาอาชีพภาคบริการ ผู้ประกอบอาหารไทย - พนักงานนวดไทย นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (หัตถบําบัด) - นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (สุคนธบําบัด) - นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (วารีบําบัด) - นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (โภชนบําบัด) - กลุ่มสาขาอาชีพช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์ ช่างซ่อมไมโครคอมพิวเตอร์ ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ช่างไฟฟ้าอุตสาหกรรม ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ช่างอิเล็กทรอนิกส์ (โทรทัศน์) - กลุ่มสาขาอาชีพช่างอุตสาหการ ช่างเขียนแบบเครื่องกลด้วยคอมพิวเตอร์ ช่างเชื่อมแม็ก ช่างเชื่อมทิก ช่างเชื่อมท่อพอลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง - - ช่างประกอบท่อ - - ช่างทําแม่พิมพ์ฉีดโลหะ - - กลุ่มสาขาอาชีพช่างก่อสร้าง ช่างไม้ก่อสร้าง ช่างก่ออิฐ ช่างฉาบปูน ช่างอะลูมิเนียมก่อสร้าง ช่างหินขัด - - ช่างฉาบยิบซัม - - ช่างมุมหลังคากระเบื้องคอนกรีต กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พนักงานประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่าง - พนักงานประกอบมอเตอร์สําหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า - ช่างเทคนิคบํารุงรักษาเครื่องจักรกลสําหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ - ช่างเทคนิคระบบรักษาความปลอดภัย - กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ช่างกลึงสําหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ - ช่างเชื่อมมิก-แม็กสําหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ - ช่างเทคนิคบํารุงรักษาเครื่องจักรกลสําหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ - ช่างเทคนิคเครื่องกลึงอัตโนมัติสําหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ - ช่างเทคนิคพ่นสีตัวถังสําหรับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ - ช่างเทคนิคพ่นซีลเลอร์ตัวถังสําหรับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ - พนักงานประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ยานยนต์ (ขั้นสุดท้าย) - ช่างเทคนิคเชื่อมสปอตตัวถังสําหรับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ - กลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณี ช่างเจียระไนพลอย - ช่างหล่อเครื่องประดับ - ช่างตกแต่งเครื่องประดับ - ช่างฝังอัญมณีบนเครื่องประดับ - กลุ่มอุตสาหกรรมจักรกลและโลหะการ ช่างเทคนิคเขียนแบบเครื่องกล - ช่างเชื่อมทิกสําหรับอุตสาหกรรมจักรกลและโลหะการ - ช่างเทคนิคระบบส่งกําลัง - ช่างเทคนิคระบบไฮโดรลิก - กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทําความเย็น ช่างเชื่อมระบบท่อในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทําความเย็น - ช่างเทคนิคเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ - ช่างเทคนิคห้องเย็นขนาดเล็ก - พนักงานประกอบเครื่องปรับอากาศ - กลุ่มอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ ช่างเทคนิคเครื่องกัดอัตโนมัติ - ช่างเทคนิคเครื่องอีดีเอ็ม - ช่างเทคนิคเครื่องไวร์คัทอีดีเอ็ม - ช่างขัดเงาแม่พิมพ์ - กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก พนักงานหลอมเหล็กเตาอาร์คไฟฟ้า - พนักงานปรุงแต่งน้ําเหล็กในเตาปรุงน้ําเหล็ก (Ladle Furnace) - พนักงานหล่อเหล็ก - พนักงานควบคุมการอบเหล็ก - กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก ช่างเทคนิคเครื่องฉีดพลาสติก - ช่างเทคนิคเครื่องเป่าถุงพลาสติก - ช่างเทคนิคเครื่องเป่าภาชนะกลวง - ช่างเทคนิคการซ่อมเครื่องเป่าถุงพลาสติก - กลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า พนักงานตัดวางรองเท้า - พนักงานอัดพื้นรองเท้า - ช่างเย็บรองเท้า - พนักงานประกอบรองเท้า (เย็น) - * มาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ระดับ 1 : ผู้เข้ารับการทดสอบต้องมีอายุไม่ต่ํากว่า 18 ปีบริบูรณ์ และมีประสบการณ์การทํางานในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้อง หรือผ่านการฝึกฝีมือแรงงานหรือฝึกอาชีพ หรือเป็นผู้จบการศึกษาในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้อง ** มาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ระดับ 2 : ผู้เข้ารับการทดสอบต้องมีประสบการณ์การทํางาน หรือประกอบอาชีพในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องนับตั้งแต่ได้รับหนังสือรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติระดับ 1 (ไม่น้อยกว่า 1-2 ปี) หรือได้คะแนนในการทดสอบฯ ระดับ 1 ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 80 *** มาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ระดับ 3 : ผู้เข้ารับการทดสอบต้องมีประสบการณ์การทํางาน หรือประกอบอาชีพในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องนับตั้งแต่ได้รับหนังสือรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติระดับ 2 (ไม่น้อยกว่า 1-2 ปี) หรือได้คะแนนในการทดสอบฯ ระดับ 2 ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 80 2. คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีมติให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 3-8) โดยให้รวบรวมอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือดังกล่าวไว้ในประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 9) เพียงฉบับเดียว เพื่อให้มีความเหมาะสมและสะดวกต่อการถือปฏิบัติต่อไป 11. เรื่อง สรุปผลการดําเนินการมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา (คณะกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา) คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา รายงานความคืบหน้าการดําเนินการมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา (ข้อมูล ณ วันที่ 18 มีนาคม 2563) สรุปได้ ดังนี้ 1. เงินช่วยเหลือตามกฎหมายและสิทธิประโยชน์ส่วนบุคคล หน่วย งาน รายละเอียด กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) จ่ายเงินช่วยเหลือตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้แก่ญาติผู้เสียชีวิตทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนครบ 27 รายแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บ 68 ราย มีผู้ยื่นเอกสารขอรับเงินเยียวยา 68 ราย เอกสารครบถ้วน 49 ราย อยู่ระหว่างการติดตามเอกสารเพิ่มเติม 20 ราย กําหนดพิจารณาในวันที่ 25 มีนาคม 2563 (เดิมมีจํานวนผู้บาดเจ็บที่ได้รายงานต่อคณะรัฐมนตรี 57 ราย แต่ต่อมาคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ ประจําจังหวัด ได้พิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บที่แจ้งเหตุภายหลังเพิ่มเติม 11 ราย รวมเป็น 68 ราย) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จ่ายเงินช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ว่าด้วยการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้แก่ ญาติของผู้เสียชีวิต 27 ราย และผู้บาดเจ็บ 57 ราย และอยู่ระหว่างนําเสนอคณะกรรมการตามกฎหมายพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้บาดเจ็บ 11 ราย ภายในเดือนมีนาคม 2563 สํานักนายกรัฐมนตรี (นร.) จ่ายเงินช่วยเหลือจากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ให้แก่ญาติของผู้เสียชีวิต 27 ราย และผู้บาดเจ็บ 57 ราย ส่วนทุนการศึกษารายปีต่อเนื่องและเงินยังชีพรายเดือนของบุตรเจ้าหน้าที่ 1 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ตช. เพื่อส่งเรื่องให้ นร. ดําเนินการต่อไป กระทรวง การคลัง (กค.) กรณีเงินช่วยพิเศษ บําเหน็จตกทอด บํานาญพิเศษรายเดือน ปูนเหน็จ เลื่อนเงินเดือน กรณีพิเศษ 7 ขั้น ของเจ้าหน้าที่ตํารวจที่เสียชีวิต 3 ราย และพลทหาร 1 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ตช. และ กห. เพื่อส่งเรื่องให้ กค. ดําเนินการต่อไป สําหรับประชาชนที่เป็นพลเมืองดี 2 ราย กค. อยู่ระหว่างนําเสนอคกก.ฯ ตามกฎหมายพิจารณา ส่วนกรณีเงินเพิ่มพิเศษสําหรับการปราบปรามผู้กระทําความผิดสําหรับเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ 11 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อส่งเรื่องให้ กค. ดําเนินการต่อไป กระทรวงแรงงาน (รง.) จ่ายเงินชดเชยจากกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนให้แก่ญาติของผู้เสียชีวิตที่เป็นสมาชิกครบ 11 รายแล้ว ยกเว้นรายการเงินบําเหน็จชราภาพของสมาชิก 1 ราย ที่ต้องรอคําสั่งศาลให้เป็นทายาทตามกฎหมายเพื่อรับเงินช่วยเหลือต่อไป สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ตช.) การบรรจุทายาทตามความสมัครใจ มีผู้ยื่นใช้สิทธิแล้ว 2 ราย ได้แก่ ทายาทของ พ.ต.ท. ชัชวาลย์ แท่งทอง และ พ.ต.ท. เพชรรัตน์ กําจัดภัย กระทรวง กลาโหม (กห.) จ่ายสินไหมทดแทนจากประกันชีวิตให้แก่ญาติของพลทหาร เมธา เลิศศิริ ที่เสียชีวิต เรียบร้อยแล้ว สํานักงานคณะ กรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกัน ภัย(คปภ.) กรณีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ : ผู้เสียชีวิต จํานวน 30 ราย (รวมคู่กรณี) ตรวจสอบแล้วพบว่า มีการทําประกันภัยไว้ทั้งสิ้น 22 ราย ซึ่งขณะนี้ได้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนครบถ้วนแล้ว รวมเป็นเงินจํานวน 32,143,134.90 บาท สําหรับผู้บาดเจ็บที่มีการทําประกันภัยไว้จะได้รับการดูแลและช่วยเหลือตามสัญญาประกันภัยต่อไป กรณีทรัพย์สินเสียหาย : รถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย จํานวน 9 คัน อยู่ระหว่างการจัดซ่อม 8 คัน และมีการคืนทุนประกันภัยรถยนต์ 1 คัน จํานวน 220,000 บาท กรณีศูนย์การค้า Terminal 21 บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) สํารวจความเสียหายแล้ว มีค่าสินไหมทดแทนกรณีทรัพย์สินเสียหาย จํานวน 8,000,000 บาท และค่าชดเชยกรณีธุรกิจหยุดชะงัก 3,000,000 บาท ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างรอเอกสารจากผู้เอาประกันภัย ส่วนกรณีผู้ประกอบการ บริษัท ฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต จํากัด ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว จํานวน 4,000,000 บาท 2. เงินบริจาคและเงินช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ 2.1 เงินประทานจากสมเด็จพระอริยวงษาคตญาณสมเด็จพระสังฆราชฯ ได้จ่ายผ่านสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้แก่ญาติของผู้เสียชีวิต 27 ราย และผู้บาดเจ็บ 57 ราย ครบถ้วนแล้ว 2.2 เงินบริจาคผ่านจังหวัดนครราชสีมา จ่ายให้แก่ญาติของผู้เสียชีวิต 27 ราย และผู้บาดเจ็บ 68 ราย ครบถ้วนแล้ว (จํานวนผู้บาดเจ็บอ้างอิงจาก มติ คกก.ฯ) 2.3 เงินช่วยเหลือจากสวัสดิการหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ เช่น ฌาปนกิจสงเคราะห์ กองทุน และมูลนิธิต่าง ๆ ของ ตช. ตํารวจสอบสวนกลาง ตํารวจนครบาล ตํารวจภูธรภาค 3 ตํารวจภูธรจังหวัด ตํารวจภูธรเมือง และสมาคมแม่บ้านตํารวจ คงเหลือบางรายการที่อยู่ระหว่างติดตามจ่ายให้ญาติของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บให้ครบถ้วน 2.4 เงินช่วยเหลือจากรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มหาวิทยาลัยศรีปทุม บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โปรคเกอร์ จํากัด บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) และนายสุชัย พรชัยศักดิ์อุดม และครอบครัว คงเหลือบางรายการที่อยู่ระหว่างติดตามจ่ายให้ญาติของเจ้าหน้าที่และประชาชนที่เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บให้ครบถ้วน 3. การรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ 69 ราย (รวมคู่กรณี 1 ราย) กลับบ้านแล้ว 64 ราย และรักษาตัวในโรงพยาบาล 5 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยในวิกฤต (ICU) 3 ราย และผู้ป่วยในสามัญ 2 ราย 4. การฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ฯ มีการประเมินสภาพจิตใจ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ กลุ่มผู้อยู่ในเหตุการณ์และกลุ่มประชาชนทั่วไป สรุปรวมมีผู้ได้รับการประเมิน 2,872 ราย มีผลต้องติดตาม 440 ราย คิดเป็นร้อย 15.32 12. เรื่อง รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจําปี พ.ศ. 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจําปี พ.ศ. 2561 ตามที่สํานักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป และ ให้สํานักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และสํานักงาน ก.พ. ไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของเรื่อง ก.พ.ร. ได้ดําเนินการพัฒนาและจัดระบบราชการและงานของรัฐอย่างอื่นเพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐสามารถนํานโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมียุทธศาสตร์ชาติ และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556- พ.ศ. 2561) เป็นกรอบทิศทางในการดําเนินการรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจําปี พ.ศ. 2561 ซึ่งมีเนื้อหาแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1. ส่วนที่ 1 การพัฒนาระบบราชการไทย (ช่วงปี พ.ศ. 2556 – พ.ศ. 2561) ประกอบด้วย ผลการพัฒนาระบบราชการไทยที่สํานักงาน ก.พ.ร. ได้ผลักดันและส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการไทยสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การยกระดับองค์การสู่ความเป็นเลิศ การพัฒนาอย่างยั่งยืนและการก้าวสู่สากล โดยมีผลการพัฒนาระบบราชการที่สําคัญ ดังนี้ 1.1 ด้านการยกระดับองค์การสู่ความเป็นเลิศ มีผลการดําเนินงานที่สําคัญ 1.1.1 การสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน ดังนี้ (1) การจัดตั้งศูนย์บริการร่วมในห้างสรรพสินค้า (Government Service Point) เช่น กรุงเทพมหานคร สํานักงานประกันสังคม กรมการขนส่งทางบกเพื่อจัดเจ้าหน้าที่และนํางานมาบริการแก่ประชาชนในศูนย์การค้าต่าง ๆ เช่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ฯลฯ (2) การพัฒนาระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) (3) ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ หรือ (Government Innovation Lab) เช่น การแก้ปัญหาระบบการรอคิวตรวจรักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐบาลได้นํา Application และตู้ Kiosk มาใช้ในการจัดการระบบคิวต่อเนื่อง (4) การเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศ (Doing Business) การปรับปรุงบทบาทภารกิจ และโครงสร้างส่วนราชการของหน่วยงานภาครัฐ การส่งเสริมและยกระดับการให้บริการประชาชนและ การประสานความร่วมมือระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เป็นต้น 1.1.2 การพัฒนาองค์การให้มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย บุคลากรมีความเป็นมืออาชีพ ดังนี้ (1) การปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างส่วนราชการของหน่วยงานภาครัฐ (2) การพัฒนาระบบการประเมินผลการปฏิบัติราชการ (3) โครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบราชการ (4) โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 1.1.3 การวางระบบการบริหารราชการแบบบูรณาการ 1.2 ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีผลการดําเนินงานที่สําคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชนและภาคประชาสังคม 1.3 ด้านการก้าวสู่สากล โดยการสร้างความพร้อมของระบบราชการไทยเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนโดยได้ดําเนินกิจกรรมร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และดําเนินโครงการส่งเสริมธรรมาภิบาลภาครัฐเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จนเกิดเป็นเครือข่ายธรรมาภิบาลอาเซียน (ASEAN Governance Network) ขึ้น นอกจากกรอบแนวทางในการดําเนินการตามข้อ 1 แล้ว สํานักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า การพัฒนาระบบราชการไทยในอนาคตควรมีทิศทางการพัฒนาระบบราชการไทย ดังนี้ ภาครัฐที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ตอบสนองความต้องการและให้บริการอย่าง สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรมัฐ ภาครัฐที่บริหารงานแบบบูรณาการโดยเชื่อมโยงการพัฒนาในทุกระดับทุกภาคส่วน ทุกพื้นที่ และมีระบบติดตามประเมินผลที่สะท้อนการบรรลุเป้าหมายในทุกระดับ ภาครัฐที่มีขนาดเหมาะสมกับภารกิจ ส่งเสริมให้ประชาชนและทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ในการพัฒนาประเทศ ภาครัฐที่มีวิธีการทํางานที่ทันสมัย ทันต่อการเปลี่ยนแปลง สามารถรองรับกับ สภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานที่มีความหลากหลายซับซ้อนมากขึ้น โดยการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ ภาครัฐที่มีบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ เน้นการสร้างและพัฒนาบุคลากรภาครัฐให้มี ความรู้ความสามารถในการทํางานเพื่อประเทศชาติและประชาชน 2. ส่วนที่ 2 รายงานการดําเนินงานของสํานักงาน ก.พ.ร. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ประกอบด้วย 2.1 ข้อมูลพื้นฐานของสํานักงาน ก.พ.ร. ดังนี้ (1) วิสัยทัศน์ และ ประเด็นยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ (2) โครงสร้างและอัตรากําลัง สํานักงาน ก.พ.ร. แบ่งส่วนราชการออกเป็น 9 กอง 1 สํานัก 2 กลุ่ม 1 ศูนย์ เป็นต้น 2.2 ผลการดําเนินงานที่จําแนกตามประเด็นยุทธศาสตร์ของสํานักงาน ก.พ.ร. รวมทั้ง ผลการประเมินตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติราชการของสํานักงาน ก.พ.ร. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ผลการดําเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี/มติคณะรัฐมนตรี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบแสดงฐานะการเงิน ของสํานักงาน ก.พ.ร. และผลการดําเนินงานและงบแสดงฐานะการเงินของสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี สํานักงาน ก.พ.ร. ดังนี้ (1) การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชนของหน่วยงานภาครัฐ เช่น การดําเนินการตามพระราชบัญญัติการอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 (2) การปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของหน่วยงานภาครัฐ และการพัฒนาองค์การให้มีขีดสมรรถนะสูง (3) การวางระบบบริหารราชการแบบบูรณาการ (4) การพัฒนาระบบบริหารจัดการกําลังคนและพัฒนาบุคลากรภาครัฐ (5) การต่อต้านการทุจริต ประพฤติมิชอบ (6) การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นต้น 13. เรื่อง การปรับการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอการปรับการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 โดยให้สถานศึกษาเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 จากวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะปรับวิธีการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่กําหนดไว้ในแต่ละระดับการศึกษา ของปีการศึกษา 2563 โดยกระทรวงศึกษาธิการจะได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง ศธ. เสนอว่า 1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติในคราวประชุมเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 เห็นชอบมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤตการณ์จากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ข้อ 2 ยับยั้งการระบาดภายในประเทศ ข้อ 2.4 งดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย (สถาบันการศึกษา) โรงเรียน โรงเรียนนานาชาติ และสถาบันกวดวิชา หรือปรับวิธีการเรียนการสอนเป็นทางออนไลน์ ตั้งแต่วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 เป็นระยะเวลา 14 วัน และให้สถานศึกษาดําเนินการป้องกันโรคตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เมื่อสถานศึกษากลับมาเปิดสอนตามปกติ และข้อ 2.6 งดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้ายคนข้ามจังหวัดของหน่วยงานที่มีคนจํานวนมาก ได้แก่ ค่ายทหาร เรือนจํา โรงเรียน รวมถึงการจํากัดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว หรือหากจําเป็นต้องเคลื่อนย้ายต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ของโรค เช่น การตรวจคัดกรองคนก่อนเคลื่อนย้าย 2. ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ. 2549 ข้อ 7 วรรคหนึ่ง ให้สถานศึกษาเปิดและปิดภาคเรียนตามปกติในรอบปีการศึกษาหนึ่งตามที่กําหนดไว้ดังต่อไปนี้ (1) ภาคเรียนที่หนึ่ง วันเปิดภาคเรียน วันที่ 16 พฤษภาคม วันปิดภาคเรียน วันที่ 11 ตุลาคม (2) ภาคเรียนที่สอง วันเปิดภาคเรียน วันที่ 1 พฤศจิกายน วันปิดภาคเรียน วันที่ 1 เมษายน ของปีถัดไป วรรคสอง สถานศึกษาใดประสงค์จะเปิดและปิดภาคเรียนแตกต่างไปจากที่กําหนดไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้ส่วนราชการเจ้าสังกัดเป็นผู้กําหนดตามที่เห็นสมควร ดังนั้น อาศัยอํานาจตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ. 2549 กระทรวงศึกษาธิการเห็นสมควรให้มีการเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง จากวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการเห็นว่าหากมีการเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่งล่วงเลยกําหนดเวลาดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อการวางแผนการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2563 เป็นอย่างยิ่งและจะมีผลกระทบต่อไปถึงการเรียนการสอนในปีการศึกษาต่อ ๆ ไปด้วย โดยกระทรวงศึกษาธิการจะได้ประสานงานกับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ถึงความเหมาะสมในวิธีการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับนโยบายโดยรวมของประเทศต่อไป 3. กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศเรื่องให้สถานศึกษาในสังกัดและในกํากับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ประกาศ ณ วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2563 ให้สถานศึกษาทุกแห่งของรัฐและเอกชน ทั้งในระบบและนอกระบบ ซึ่งอยู่ในสังกัดและในกํากับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ตั้งแต่วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงในระหว่างที่สถานศึกษาต้องปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษดังกล่าว หากมีความจําเป็น ให้ส่วนราชการต้นสังกัดกําหนดแนวทางแก้ปัญหา ทั้งนี้ ให้สถานศึกษาจัดให้มีการเรียนการสอนด้วยการไม่ต้องเข้าชั้นเรียนโดยปรับการเรียนการสอนเป็นทางออนไลน์ 4. เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สามารถติดต่อโดยการแพร่กระจายละอองฝอยของเชื้อโรคเหมือนเชื้อกลุ่มไข้หวัด และการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง จึงติดต่อได้ง่ายและเป็นอันตรายอย่างมากต่อชีวิตประชาชน ประกอบกับในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคทั้งยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง ทําให้มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น กิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนเป็นกลุ่ม หรือการรวมตัวกันของคนหมู่มาก มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวได้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ผู้เรียน ครู ผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบการปรับการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 5. เนื่องจากตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ให้มีผลตั้งแต่ วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 จนถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 และข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) มีคําแนะนําให้ประชาชนอยู่บ้าน โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป กลุ่มคนมีโรคประจําตัว เช่น เบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจ เด็กอายุไม่เกิน 5 ปี อันส่งผลกระทบต่อสถานศึกษาในกระบวนการการรับสมัคร การสอบคัดเลือก การจับฉลาก การประกาศผล การรายงานตัว และการมอบตัวที่ได้กําหนดวันไว้เดิมตามปฏิทินการรับนักเรียน นักศึกษาและผู้เรียนในปีการศึกษา 2563 ซึ่งกําหนดดําเนินการระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2563 โดยขณะนี้สถานศึกษายังไม่สามารถดําเนินการได้ตามกระบวนการข้างต้น ทําให้สถานศึกษาไม่สามารถเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 ในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ. 2549 14. เรื่อง มาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม คณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอดังนี้ 1. เห็นชอบกําหนดนโยบายมาตรการค่าไฟฟ้าฟรีกับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ (ประเภทที่ 1.1 ของการไฟฟ้านครหลวง และประเภทที่ 1.1.1 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) จาก 50 หน่วยต่อเดือนเป็น 90 หน่วยต่อเดือน โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกํากับกิจการพลังงานดําเนินการโดยให้ใช้เงินเรียกคืนรายได้เพื่อให้การไฟฟ้า มีฐานะการเงินตามเกณฑ์ที่กําหนดมาเป็นแหล่งเงินในการสนับสนุนการดําเนินการ 2. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการชําระค่าไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ (ประเภทที่ 1.1 ของการไฟฟ้านครหลวง และประเภทที่ 1.1.1 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนของแต่ละรอบบิลสําหรับใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจําเดือนเมษายน ถึงเดือนมิถุนายน 2563 โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ขยายระยะเวลาการชําระค่าไฟฟ้าให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโดยไม่มีเบี้ยปรับ สาระสําคัญของเรื่อง ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้เสนอมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ต่อคณะรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 ได้รับทราบมาตรการดังกล่าวแล้ว นั้น กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้ว เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจในหลายส่วนทั้งภาคครัวเรือน ธุรกิจ และอุตสาหกรรม โดยคาดว่าจะมีประชาชนจํานวนมากย้ายถิ่นฐานกลับไปยังภูมิลําเนา รวมถึงการทํางานภายในที่พักอาศัย (Work From Home) ทําให้การใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ใช้ไฟฟ้าที่เดิมเคยได้รับสิทธิค่าไฟฟ้าฟรี จํานวน 50 หน่วยไม่ต้องชําระค่าไฟฟ้า จะไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว เป็นผลให้มีภาระต้องชําระค่าไฟฟ้า ซึ่งในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มดังกล่าวอาจไม่สามารถชําระค่าไฟฟ้าได้ กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม ผลกระทบ/ประโยชน์ที่ได้รับ การดําเนินมาตรการดังกล่าวจะเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า เป็นวงเงิน ประมาณ 9,375 ล้านบาท ดังนี้ มาตรการ ระยะเวลา ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น กับประชาชน จํานวนประชาชน ที่ได้รับประโยชน์ 1. ค่าไฟฟ้าฟรี 3 เดือน (เดือนเมษายน – มิถุนายน 2563) รวม 3,029 ล้านบาท (กฟน. 74 ล้านบาท กฟภ. 2,955 ล้านบาท) รวม 6.435 ล้านราย (กฟน. 205,272 ราย กฟภ. 6.23 ล้านราย) 2. ขยายระยะเวลา การชําระค่าไฟฟ้า 3 เดือน (เดือนเมษายน – มิถุนายน 2563) รวม 6,346 ล้านบาท กฟน. 301 ล้านบาท กฟภ. 6,045 ล้านบาท รวม 4.265 ล้านราย กฟน. 165,567 ราย กฟภ. 4.1 ล้านราย รวมทั้งสิ้น 9,375 ล้านบาท 15. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดําเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ห้วงวันที่ 31 มีนาคม-6 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดําเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ห้วงวันที่ 31 มีนาคม-6 เมษายน 2563 ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สาระสําคัญ กระทรวงวัฒนธรรมขอรายงานความคืบหน้าการดําเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ห้วงวันที่ 31 มีนาคม - 6 เมษายน 2563 ดังนี้ 1. จัดทําจดหมายเหตุ เพื่อบันทึกเหตุการณ์สําคัญของประเทศไทย : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงวัฒนธรรมได้รวบรวมข้อมูล ข่าว และเหตุการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรค ทั้งในรูปข้อมูลเอกสาร และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดครอบคลุมทั่วประเทศ ประกอบกับสถานการณ์ดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงได้วางแผนการดําเนินงานให้ครอบคลุมทุกจังหวัด เพื่อให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด โดยจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ และคณะทํางานรับผิดชอบดําเนินการ และจะรายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบอย่างต่อเนื่องต่อไป 2. ออกประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ลงวันที่ 1 เมษายน 2563 เข้มงวดให้มีการงด หรือเลื่อนกิจกรรมทางวัฒนธรรม ประเพณี พิธีทางศาสนาที่เป็นการรวมคนหมู่มากออกไปก่อนตามมาตรการของรัฐบาล และกรณีที่มีความจําเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องจัดงานได้กําหนดแนวทางการปฏิบัติที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้ขอความร่วมมือกรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด รวมทั้งสถานีวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อมวลชนต่าง ๆ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ประกาศดังกล่าวไปยังประชาชนทั่วประเทศเพื่อนําไปใช้เป็นแนวปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง 3. บูรณาการความร่วมมือกับชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ภาคีเครือข่าย และหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นกลไกสําคัญที่กระทรวงวัฒนธรรมใช้ขับเคลื่อนการทํางาน โดยส่งเสริมให้คนมีคุณธรรมตามหลักธรรมทางศาสนา น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจําวัน และมีวิถีทางวัฒนธรรมที่ดีงาม รวมทั้งส่งเสริมบทบาทของแกนนําบวร (บ้าน วัด โรงเรียน/ราชการ) ในการกระจายข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดูแลตนเอง และบุคคลในชุมชนเพื่อป้องกัน เฝ้าระวัง และควบคุมโรค ส่งเสริมให้คนในชุมชนมีความรัก ความสามัคคี มีน้ําใจ ช่วยเหลือ แบ่งปัน เอื้ออาทรกัน พึ่งพาอาศัยกัน อาทิ การแบ่งปันพืชผัก ผลไม้ อาหารการกิน หน้ากากผ้า แอลกอฮอล์เจล โดยมีผลการดําเนินงาน ดังนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 6 เมษายน 2563) 1) จัดทําองค์ความรู้และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น โดยเผยแพร่ผ่านวิทยุชุมชน 1,055 ครั้ง และออกอากาศรายการวิทยุทั้ง AM และ FM 296 ครั้ง รวม 1,351 ครั้ง รวมถึงได้มีการนําไปเผยแพร่ขยายผลผ่านช่องทางสื่อออนไลน์อีกด้วย 2) ผลิตสื่อเพื่อประชาสัมพันธ์ เรื่อง การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เผยแพร่ทางสถานีวิทยุ 84 ชิ้นงาน คลิปวีดิโอ 367 คลิป และอินโฟกราฟฟิค 522 ชิ้นงาน รวม 943 คลิป/ชิ้นงาน 3) สนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลิตหน้ากากอนามัยชนิดผ้า โดยแกนนําพลัง “บวร” ชุมชนคุณธรรมฯ ที่เข้าร่วมเป็นจิตอาสาขับเคลื่อนด้วยพลัง“บวร” 3,163 ชุมชน ผลิตหน้ากากแบบผ้าแล้วเสร็จ จํานวน 6,678,178 ชิ้น (โดยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จํานวน 6,051,923 ชิ้น และชุมชนคุณธรรมฯ ผลิตเองเพื่อแจกจ่ายในชุมชน 626,255 ชิ้น) จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ จํานวน 5 ล้านชิ้น 4) สนับสนุนสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดตั้งโรงทานช่วยเหลือผู้ประสบความยากลําบากในสถานการณ์โรคระบาดตามความจําเป็นในแต่ละพื้นที่ โดยดําเนินการไปแล้ว 40 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) 103 โรงทาน และนํามาตรการของกระทรวงสาธารณสุขมาใช้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อาทิ การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ให้ทุกคนใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย มีจุดตรวจวัดอุณหภูมิและจุดบริการแอลกอฮอล์เจล เป็นต้น 5) สนับสนุนการดําเนินงานของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอื่น ๆ ในทุกมิติเพื่อการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในชุมชน โดยสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดได้รับมอบหมายภารกิจจากผู้ว่าราชการจังหวัด 1,126 เรื่อง อาทิ การดําเนินการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชนฯ โดยอาศัยผู้นําชุมชนพลัง “บวร” เป็นสื่อกลางของชุมชน เป็นต้น 4. การรับรู้ข้อมูลข่าวสารตามแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่าง ๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สํารวจความคิดเห็นของประชาชน เครือข่ายชุมชนคุณธรรม และผู้นําพลัง “บวร” ในชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร เรื่อง การรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระหว่างวันที่ 3-6 เมษายน 2563 ผู้ตอบแบบสํารวจ 18,397 คน เพศชาย ร้อยละ 55.84 และเพศหญิง ร้อยละ 44.16 ครอบคลุมทุกอาชีพ และทุกภูมิภาค พบว่า 1) มีการรับรู้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ร้อยละ 98.64 2) มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการป้องกันตัวเองจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 81.15 รองลงมาคือ ระดับ ปานกลาง ร้อยละ 18.06 และระดับน้อย ร้อยละ 0.79 ตามลําดับ 3) มีการรับรู้ข้อมูลหรือแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธี ทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (โควิด-19) ของกระทรวงวัฒนธรรม ร้อยละ 96.88 และเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารมีประโยชน์อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 84.10 5. การทํางานนอกที่ตั้งสํานักงาน และเหลื่อมเวลาทํางานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม รวมทั้งการดําเนินงานในส่วนที่ให้บริการประชาชน กระทรวงวัฒนธรรมได้มอบหมายให้ ทุกหน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ปรับลดจํานวนบุคลากรในการปฏิบัติงาน ณ ที่ตั้งสํานักงาน การเหลื่อมเวลาทํางาน การทํางานนอกที่ตั้งสํานักงาน (Work from Home) โดยมีการวางระบบการทํางาน การติดตามงาน และการจัดประชุมผ่านระบบออนไลน์ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนใช้ช่องทางออนไลน์ ในการใช้บริการแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมในช่วงเวลาที่ได้มีการประกาศปิดแหล่งเรียนรู้ดังกล่าว อาทิ บริการหนังสือออนไลน์ของสํานักหอสมุดแห่งชาติ บริการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเสมือนจริง (Virtual Museum) และอุทยานประวัติศาสตร์เสมือนจริง (Virtual Historical Park) ทางเว็บไซต์ของกรมศิลปากร 6. แผนการที่กระทรวงวัฒนธรรมจะดําเนินการต่อไป 6.1 ระยะสั้น (ด้านการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)) (1) เผยแพร่แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตลอดจนให้นําพลัง “บวร” โดยชุมชนคุณธรรมฯ จํานวน 22,540 ชุมชน ร่วมกับสภาวัฒนธรรมจังหวัด อําเภอและตําบล ศิลปินพื้นบ้าน รวมถึงเครือข่ายทางวัฒนธรรม ให้การสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานของผู้ว่าราชการจังหวัด (2) เตรียมการปฏิบัติภารกิจงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน กรณีมีผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พร้อมทั้งเตรียมอุปกรณ์ป้องกันและวิธีปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี จํานวน 2,215 คน ประจําอยู่ในสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด ทุกจังหวัดทั่วประเทศ (3) ผลิตสื่อและองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถผลิตสื่ออินโฟกราฟฟิก (Infographic) ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 50 ชิ้น และผลิตคลิปวีดิโอไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 20 คลิป โดยเผยแพร่ไปยังสื่อต่าง ๆ ทุกช่องทางรวมทั้งสื่อสังคมออนไลน์ด้วย 6.2 ระยะยาว (ด้านการฟื้นฟูเยียวยา และช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)) (1) จัดทํามาตรการเยียวยาเพื่อนําเสนอรัฐบาลพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ภายใต้กฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงวัฒนธรรม อาทิ พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 (2) จัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสุข และกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในชุมชนต่าง ๆ 16. เรื่อง ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นเพื่อบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ภายในกรอบวงเงิน 801,066,000 บาท เพื่อดําเนินโครงการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประกอบด้วย (1) ค่าจัดซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์สําหรับกระจายให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง จํานวน 770,400,000 บาท และ (2) ค่าบริหารจัดการและกระจายสินค้า จํานวน 30,666,000 บาท และทําความตกลงในรายละเอียดกับสํานักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป โดยให้กระทรวงพาณิชย์ดําเนินการจัดหาในราคาที่เหมาะสม เกิดความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชนเป็นสําคัญ และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยไม่ให้เกิดความซ้ําซ้อนกับค่าชดเชยส่วนต่างราคาหน้ากากอนามัยให้ผู้ผลิต ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 อีกทั้งกระทรวงพาณิชย์จะต้องพิจารณาความต้องการใช้และกําลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดได้เพียงพอและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้รับทราบและป้องกันการกักตุน โดยประสานงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อดําเนินการจัดสรรและกระจายหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงตามลําดับความสําคัญอย่างเหมาะสม ทั่วถึง และเป็นธรรม ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญ โครงการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มีรายละเอียดดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ เพื่อบริหารจัดการหน้ากากอนามัยให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 ณ ทําเนียบรัฐบาล 2. วิธีดําเนินการ 2.1 การจัดซื้อหน้ากากอนามัย กระทรวงพาณิชย์จัดซื้อหน้ากากอนามัยโดยตรงจากโรงงานผู้ผลิตตามกําลังการผลิตที่มีอย่างเหมาะสม และให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด เป็นผู้จัดส่งหน้ากากอนามัยจากโรงงานผู้ผลิตไปให้กระทรวงมหาดไทยกระจายให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ทุกจังหวัดตามความเหมาะสม 2.2 การจัดสรร/การกระจาย กระทรวงมหาดไทยกระจายให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ทุกจังหวัดตามความเหมาะสม 3. ระยะเวลาดําเนินการ เดือนเมษายน – ตุลาคม 2563 17. เรื่อง ขออนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ และมาตรการเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นสําหรับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข รองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด 19 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการอัตราข้าราชการตั้งใหม่เพื่อบรรจุบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ปฏิบัติงานด่านหน้าในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด 19 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จํานวน 24 สายงาน รวมทั้งสิ้น 38,105 อัตรา และอัตราข้าราชการตั้งใหม่เพื่อบรรจุนักศึกษาผู้สําเร็จการศึกษาในปี 2563 จํานวน 5 สายงาน รวมทั้งสิ้น 7,579 อัตรา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้คณะกรรมการกําหนดเป้าหมายและนโยบายกําลังคนภาครัฐ (คปร.) ไปพิจารณาในรายละเอียดซึ่งรวมถึงมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย สาระสําคัญ ตามที่ประเทศไทยได้มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 และกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนรับมือการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด 19 โดยยึดหลัก “ชีวิตและสุขภาพของประชาชนเป็นสําคัญ” ซึ่งมีความจําเป็นต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถของระบบบริการสุขภาพในเวลาจํากัด เพื่อรองรับการเร่งค้นหาตรวจคัดกรองวินิจฉัยและการเพิ่มขึ้นของจํานวนผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยจํานวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการรุนแรง ที่แม้จะมีการเพิ่มอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ หรือจํานวนเตียงผู้ป่วย แต่หากกําลังคนมีไม่เพียงพอต่อการให้บริการ จะไม่สามารถทําให้ผู้ป่วย และประชาชนมีความปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีอัตรากําลังอยู่เพียงร้อยละ 70 ของกรอบความต้องการ จึงประสบปัญหาความขาดแคลนรุนแรงมากขึ้นในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ดังนั้น เพื่อรองรับสถานการณ์การเพิ่มขึ้นของภาระงานจากการระบาดของโรค กระทรวงสาธารณสุขจึงมีภารกิจที่มีความจําเป็นเร่งด่วนอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในการเพิ่มขีดความสามารถด้านกําลังคนให้มีจํานวนเพียงพอ และมีสมรรถนะเหมาะสมในการตรวจคัดกรอง วินิจฉัยโรค การรักษาพยาบาล การควบคุมป้องกันการแพร่กระจายของโรค รวมทั้งการส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพของประชาชน ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มีการจ้างงานบุคลากรที่ให้บริการผู้ป่วยติดเชื้อโดยตรง และสายงานสนับสนุนงานตรวจรักษาวินิจฉัยคัดกรองที่ต้องสัมผัสกับเชื้อโรค ได้แก่ แพทย์ พยาบาลวิชาชีพ และสหวิชาชีพอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบริการด้านสาธารณสุข ในระบบการจ้างงานทางเลือก ซึ่งบุคลากรเหล่านี้เป็นผู้ที่ได้รับการฝึกอบรม และสั่งสมประสบการณ์การทํางานในสาขาวิชาชีพ เป็นกําลังหลักในการปฏิบัติงานด่านหน้าที่จะต้องทํางานเป็นเวรผลัดตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งเป็นกําลังหลักในการหมุนเวียนไปปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ซึ่งหลักฐานเชิงประจักษ์พบว่า บุคลากรในระบบการจ้างงานทางเลือกดังกล่าว มีอัตราการลาออกจากงานและอาจเป็นปัจจัยผลักให้บุคลากรกลุ่มนี้ลาออกในช่วงที่ประเทศประสบภาวะวิกฤตขาดแคลนกําลังคน กระทรวงสาธารณสุขจึงมีความจําเป็นเร่งด่วนที่จะต้องขออนุมัติตําแหน่งข้าราชการอัตราตั้งใหม่ เพื่อบรรจุบุคลากรดังกล่าวเป็นข้าราชการ รวมทั้งการสร้างขวัญกําลังใจแก่บุคลากรที่ปฏิบัติงานท่ามกลางความเสี่ยง มิฉะนั้นจะเกิดความเสียหายต่อระบบบริการสุขภาพและประชาชน ต่างประเทศ 18. เรื่อง ขอความเห็นชอบการให้สัตยาบันเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 (Convention on Road Traffic, 1968) โดยขอตั้งข้อสงวนตามนัยข้อ 54 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ ได้แก่ 1. ไทยจะไม่ผูกพันโดยข้อ 52 ของอนุสัญญาฯ เกี่ยวกับการยอมรับอํานาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ตามที่ไทยเคยมีคําแถลงเมื่อครั้งลงนามอนุสัญญาฯ ดังนี้ “The Kingdom of Thailand does not consider itself bound by the provisions of article 52 of the Convention on Road Traffic according to any dispute between two or more Contracting Parties which relates to the interpretation or application of the Convention may be referred, at the request of any one of the Parties, to the International Court of Justice.” 2. ไทยจะพิจารณาคําว่า “รถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก” (Moped) หมายถึง รถจักรยานยนต์ ดังนี้ “Pursuant to the provisions of article 3(5) and article 54 (2) of the Convention on Road Traffic, the Kingdom of Thailand shall treat mopeds as motorcycles for the purpose of the application of the Convention” และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดําเนินการยื่นสัตยาบันสารอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 ต่อเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (เลขาธิการ UN) ตามนัยข้อ 45 วรรค 2 ของอนุสัญญาฯ หลังจากคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ตามข้อ 1.1 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ กรณีที่มีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไปแล้ว หากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดําเนินการได้ โดยให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 สาระสําคัญของเรื่อง คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการให้สัตยาบันเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 (Convention on Road Traffic, 1968) โดยไทยจะจัดทําแถลงการณ์เกี่ยวกับการตั้งข้อสงวนต่ออนุสัญญาฉบับนี้ตามนับข้อ 54 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ ได้แก่ (1) ไทยจะไม่ผูกพันตามข้อ 52 ของอนุสัญญาฯ เกี่ยวกับการยอมรับอํานาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ตามนัยข้อ 54 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ และ (2) การถือว่า “Mopeds” หมายถึง รถจักรยานยนต์ ตามที่ไทยเคยมีแถลงการณ์ไว้ในขณะที่ไทยได้ลงนามอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2511 ซึ่งเมื่อคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 แล้ว กระทรวงการต่างประเทศจะได้ดําเนินการยื่นสัตยาบันสารอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 ต่อเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ตามนัยข้อ 45 วรรค 2 ของอนุสัญญาฯ ต่อไป 2. อนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 พัฒนามาจากอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1949 (ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1949 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2505 และได้อนุวัติกฎหมายในประเทศ คือ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าวและมีผลบังคับใช้แล้ว) โดยอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ มีหลักการสําคัญที่คล้ายคลึงกัน คือ เป็นเครื่องมือกฎหมายในการพัฒนากฎจราจรภายในประเทศภาคีอนุสัญญาให้สอดคล้องและมีมาตรฐานเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องความปลอดภัยทางถนน รวมถึงจะช่วยขจัดข้อจํากัดในเรื่องการยอมรับใบอนุญาตขับรถของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ออกตามอนุสัญญานี้ จึงถือเป็นการส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยวภายในประเทศด้วย นอกจากนี้ การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 เป็นการเพิ่มโอกาสที่ใบอนุญาตขับรถของประเทศไทยที่ออกตามอนุสัญญานี้จะได้รับการยอมรับและอํานวยความสะดวกให้แก่คนไทยให้สามารถนําไปใช้ขับขี่ในประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 ได้อีกกว่า 76 ประเทศ เช่น รัฐบาห์เรน สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน สมาพันธรัฐสวิส เป็นต้น [ปัจจุบันใบอนุญาตขับรถของประเทศไทยสามารถนําไปใช้ได้เฉพาะในประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1949 (97 ประเทศ) โดยรวมถึงบางประเทศที่แม้มิใช่ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1949 แต่มีการยอมรับใบอนุญาตขับรถที่ออกตามอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1949 เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สมาพันธรัฐสวิส เป็นต้น และประเทศภูมิภาคอาเซียนตามกรอบความตกลงอาเซียนเท่านั้น 19. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 คณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบ อนุมัติ และรับทราบ ดังนี้ 1. เห็นชอบในการเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 หรือพิธีสารลอนดอน ค.ศ. 1996 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยไม่ต้องตั้งข้อสงวนตามข้อ 7 ของพิธีสารฯ ในเรื่องขอบเขตการใช้บังคับ 2. เห็นชอบพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 หรือพิธีสารลอนดอน ค.ศ. 1996 และภาคผนวกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีสารฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป 3. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทําภาคยานุวัติสาร (Instrument of Accession) เพื่อเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 ภายหลังจากที่การเข้าเป็นภาคีพิธีสารฯ ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และร่างพระราชบัญญัติการป้องกันมลพิษทางทะเลเนื่องจากการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงทะเล พ.ศ. .... ได้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว 4. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการป้องกันมลพิษทางทะเลเนื่องจากการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงทะเล พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรเมื่อพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 หรือพิธีสารลอนดอน ค.ศ. 1996 ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว 5. รับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ 6. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของพิธีสารและร่างพระราชบัญญัติ 1. พิธีสารลอนดอน ค.ศ. 1996 มีสาระสําคัญเป็นการกําหนดกลไกในการควบคุมการทิ้งเทลงในทะเลโดยห้ามทิ้งเทของเสียและวัสดุอย่างอื่นจากเรือ อากาศยาน แท่นหรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่มนุษย์สร้างขึ้นในทะเล ดังนี้ 1.1 กําหนดให้มีผลใช้บังคับบริเวณทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจจําเพาะและเขตไหล่ทวีป ยกเว้นบริเวณน่านน้ําภายใน อย่างไรก็ตาม รัฐภาคีจะพิจารณาการใช้บังคับบทบัญญัติในพิธีสารกับการทิ้งเทหรือเผาในเขตน่านน้ําภายใน หรือใช้ระบบการอนุญาตและมาตรการทางกฎหมายอื่นที่มีประสิทธิภาพ เพื่อควบคุมการทิ้งของเสียหรือวัสดุอย่างอื่นอย่างจงใจลงทะเลในเขตน่านน้ําภายในก็ได้ 1.2 กําหนดกิจกรรมที่ต้องมีการขออนุญาต ได้แก่ การทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงทะเล การเก็บวัสดุต่าง ๆ ใต้ทะเลหรือดินใต้ผิวดินในทะเล และการห้ามเผาวัสดุทุกชนิดและทุกประเภทในทะเล 1.3 กําหนดให้การทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงทะเล และการเก็บวัสดุต่าง ๆ ใต้ทะเลหรือดินใต้ผิวดินในทะเลจะต้องเป็นการทิ้งเทหรือเก็บวัสดุจากเรือหรืออากาศยานซึ่งไม่รวมถึงเรือและอากาศยานที่ได้รับความคุ้มกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ แท่นขุดเจาะ หรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่มนุษย์สร้างขึ้นในทะเล 1.4 กําหนดให้ของเสียหรือวัสดุอื่นที่สามารถทิ้งเทลงทะเลได้จะต้องได้รับอนุญาตก่อนทําการทิ้งเท จํานวน 8 ประเภท ได้แก่ วัสดุที่ขุดลอก กากตะกอนน้ําเสีย ของเสียจากอุตสาหกรรมประมงและวัสดุจากการปฏิบัติการอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ํา เรือหรือแท่นขุดเจาะหรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่มนุษย์สร้างขึ้นในทะเล วัสดุทางธรณีวิทยาหรืออนินทรีย์สารที่มีความเฉื่อย วัสดุอินทรีย์จากธรรมชาติ วัตถุขนาดใหญ่ และกระแสคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งนี้ วัสดุทั้ง 8 ประเภทข้างต้นจะต้องได้รับการอนุญาตก่อนทําการทิ้งเทโดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาอนุญาต ให้เป็นไปตามที่รัฐภาคีกําหนด 1.5 กําหนดให้รัฐภาคีต้องกําหนดหลักเกณฑ์ที่จะใช้ประกอบการพิจารณาประเมินการทิ้งเท ได้แก่ การป้องกันการเกิดของเสีย ทางเลือกในการจัดการของเสีย คุณสมบัติทางเคมี กายภาพและชีวภาพ รายการจัดชั้นสาร สถานที่ทิ้งเท และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น 1.6 กําหนดข้อยกเว้นให้รัฐภาคีสามารถออกใบอนุญาตให้สามารถทิ้งเทวัสดุหรือของเสียลงทะเลได้ หากเข้ากรณีต่อไปนี้ 1.6.1 มีเหตุจําเป็นต้องรักษาความปลอดภัยต่อชีวิตมนุษย์ เรือ อากาศยาน แท่นขุดเจาะหรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่มนุษย์สร้างขึ้นในทะเล ไม่ว่าด้วยเหตุสุดวิสัยจากความรุนแรงของสภาพอากาศ หรือด้วยเหตุสุดวิสัยใด ๆ ก็ตามที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ ภัยคุกคามต่อเรือ อากาศยาน แท่นขุดเจาะ หรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่มนุษย์สร้างขึ้นในทะเล โดยที่การทิ้งเทหรือเผาของเสียหรือวัสดุในทะเลนั้นเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะป้องกันมิให้เกิดภัยคุกคามดังกล่าว รวมถึงป้องกันอันตรายต่อชีวิตมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตในทะเล 1.6.2 เหตุฉุกเฉินจําเป็นที่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพมนุษย์ ความปลอดภัยหรือสิ่งแวดล้อมทางทะเล อย่างไรก็ตาม รัฐภาคีอาจสละสิทธิ์ในการใช้ข้อยกเว้นข้างต้นได้ โดยให้แจ้ง ณ เวลาที่ได้มีการให้สัตยาบันหรือการภาคยานุวัติพิธีสารนี้ 2. ร่างพระราชบัญญัติการป้องกันมลพิษทางทะเลเนื่องจากการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงทะเล พ.ศ. .... เป็นร่างพระราชบัญญัติที่ออกเพื่อรองรับพันธกรณีตามพิธีสารลอนดอน ค.ศ. 1996 มีสาระสําคัญ ดังนี้ 2.1 กําหนดให้มีผลบังคับใช้บริเวณทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจจําเพาะและเขตไหล่ทวีป ยกเว้นบริเวณน่านน้ําภายใน 2.2 กําหนดรองรับเนื้อหาของพิธีสารลอนดอนฯ ในข้อ 1.2 – 1.6 โดยกําหนดให้วัสดุที่สามารถทิ้งเทในทะเลได้ จํานวน 8 ประเภท และกระบวนการและขั้นตอนในการพิจารณาอนุญาตให้ทิ้งเทวัสดุทั้ง 8 ประเภท ตามข้อ 1.4 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวง 2.3 กําหนดให้มี “คณะกรรมการป้องกันมลพิษทางทะเลเนื่องจากการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่น” โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน และอธิบดีกรมเจ้าท่าเป็นกรรมการและเลขานุการ มีอํานาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้ 2.3.1 กําหนดนโยบายและแผนป้องกันมลพิษทางทะเล เนื่องจากการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่น รวมทั้งกําหนดแนวทางและให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกํากับดูแลการดําเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ 2.3.2 กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประเมินการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่น รวมถึงกําหนดคุณสมบัติของบุคคลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องในการประเมินการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นที่ต้องได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ ตลอดจนพิจารณาให้ความเห็นชอบในรายงานการประเมินการทิ้งเทของเสีย หรือวัสดุอื่น 2.3.3 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดแทนหรือตามที่คณะกรรมการมอบหมาย รวมทั้งปฏิบัติการอื่นใดตามที่พระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้เป็นอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการ หรือตามที่คณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย 2.4 กําหนดบทกําหนดโทษ ดังนี้ 2.4.1 มาตรการทางปกครอง กําหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจสั่งระงับการกระทําที่ก่อให้เกิดมลพิษจากการทิ้งเทหรือเผาของเสียหรือวัสดุอื่นลงในทะเล หรือกระทําการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง หรือเงื่อนไขที่กําหนดไว้ในใบอนุญาต 2.4.2 มาตรการทางแพ่ง กําหนดให้ศาลมีอํานาจกําหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเป็นการลงโทษทางแพ่งเพิ่มเติมขึ้นจากจํานวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกําหนดได้ตามที่เห็นสมควร หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ทิ้งเทหรือเผารู้อยู่แล้วว่าของเสียหรือวัสดุอื่นนั้นเป็นของที่ไม่ปลอดภัย หรือมิได้รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเมื่อรู้ว่าไม่ปลอดภัยภายหลังทิ้งเทนั้นแล้วไม่ดําเนินการใด ๆ ตามสมควร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย โดยคํานึงถึงพฤติการณ์แห่งกรณี 2.4.3 กําหนดให้ผู้กระทําการฝ่าฝืนข้อห้ามทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงในทะเล ทิ้งเทหรือเผาของเสียหรือวัสดุอื่นลงในทะเลโดยไม่มีเหตุจําเป็นหรือฉุกเฉินซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายนี้ หรือกระทําการฝ่าฝืนใบอนุญาตต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายในการขจัดมลพิษที่เกิดขึ้น 2.4.4 กําหนดให้ผู้กระทําฝ่าฝืนข้อห้ามเผาของเสียหรือวัสดุอื่นในทะเล ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และค่าใช้จ่ายในการขจัดมลพิษที่เกิดขึ้น 20. เรื่อง ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐ เกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําผลการประชุมฯ ไปปฏิบัติและติดตามผลการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สาระสําคัญ รายงานผลการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีสมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 โดยนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนนครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2562 เพื่อเข้าร่วมการประชุมและกิจกรรมคู่ขนานต่างๆ ที่จัดขึ้นในโอกาสการครบรอบ 30 ปี ของความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ตลอดจนการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงบทบาทนําอย่างมีวิสัยทัศน์และสร้างสรรค์ ในฐานะประธานอาเซียนและประธานร่วมกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ส่งผลให้การประชุมฯ ดําเนินไปด้วยความเรียบร้อยในบรรยากาศที่เป็นมิตร และประสบความสําเร็จในการผลักดันผลลัพธ์ของการประชุมที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และช่วยส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองต่ออาเซียนและภูมิภาคโดยรวม ตลอดจนสามารถผลักดันประเด็นสําคัญภายใต้แนวคิดหลักของการเป็นประธานอาเซียนของไทย ทั้งในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน การเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยง การเสริมสร้างสถาปัตยกรรมของภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลางและความร่วมมือในสาขาต่างๆ ส่วนในด้านการหารือทวิภาคี ไทยสามารถผลักดันความร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีในสาขาที่เอื้อต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การค้าการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ํา ความร่วมมือในสาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม การสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การลงทุนในพื้นที่ EEC และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานไทยผิดกฎหมายในสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อให้ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี เกิดผลเป็นรูปธรรม จึงมีประเด็นที่ต้องมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รับทราบและจะติดตามความคืบหน้าและดําเนินการตามผลการประชุมฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยสํานักงานส่งเสริมการลงทุนได้ดําเนินกิจกรรมชักจูงการลงทุนจากสาธารณรัฐเกาหลีในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพให้มาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และยินดีให้ความร่วมมือกับสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ในการผลักดันและสนับสนุนการลงทุนของสาธารณรัฐเกาหลี ในพื้นที่ EEC และในพื้นที่เฉพาะสําหรับนักลงทุนสาธารณรัฐเกาหลีในนิคมอุตสาหกรรมต่อไป ทั้งนี้ ยังให้เพิ่มกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเด็นที่ 3 ความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ําของตารางติดตามผลการหารือฯ ด้วย ผลการประชุมดังกล่าวมีประเด็นที่จะต้องมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการด้วย ในประเด็นต่างๆ เช่น การส่งเสริมการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและรูปแบบใหม่ การร่วมมือเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ โดยเฉพาะในมิติของการส่งเสริมแรงงานของอาเซียนให้มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายของการปฏิวัติอุสาหกรรมครั้งที่ 4 (4IR) การพัฒนาเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น 21. เรื่อง ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสครั้งสุดท้าย ประจําปี 2562 และผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค อย่างไม่เป็นทางการ ประจําปี 2563 คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคครั้งสุดท้าย ประจําปี 2562 และผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ ประจําปี 2563 และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจที่เกี่ยวเนื่องตามนัยตารางสรุปประเด็น ติดตามผลสําหรับเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562 ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในโอกาสแรก โดยพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการสําหรับการเป็นเจ้าภาพของไทยในปี 2565 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สาระสําคัญของเรื่อง 1. กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคครั้งสุดท้าย ประจําปี 2562 และผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ ประจําปี 2563 โดยอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคครั้งสุดท้าย ประจําปี 2562 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2562 ณ สํานักงานเลขาธิการเอเปค สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายภายใต้วาระการเป็นประธานเอเปคของชีลี โดยที่ประชุมได้รับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562 จํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ (1) แผนลาเซเรนาเพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม (ค.ศ. 2019-2030) (เปลี่ยนชื่อจากแผนซันติอาโกเพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม) (2) แผนเอเปคว่าด้วยขยะทะเล และ (3) แผนเอเปคว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และได้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค อย่างไม่เป็นทางการ (Informal Senior Officials’ Meeting : ISOM) ประจําปี 2563 ระหว่างวันที่ 10-11 ธันวาคม 2562 ณ เมืองลังกาวี มาเลเซีย เพื่อหารือเกี่ยวกับ (1) หัวข้อหลักและประเด็นสําคัญของการประชุมเอเปค ประจําปี 2563 โดยมาเลเซียได้นําเสนอหัวข้อหลักของการประชุมเอเปค ประจําปี 2563 คือ “การใช้ประโยชน์สูงสุดจากศักยภาพมนุษย์เพื่ออนาคตที่รุ่งเรืองร่วมกัน” (2) วิสัยทัศน์เอเปคหลังปี 2563 ซึ่งมาเลเซียได้ยกโครงร่างวิสัยทัศน์เอเปคหลังปี 2563 แบ่งเป็น 4 เสาหลัก ได้แก่ ความยั่งยืนและครอบคลุม การพัฒนาศักยภาพมนุษย์ การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยี และการส่งเสริมการรวมกลุ่มเศรษฐกิจภูมิภาค และ (3) ปฏิทินการดําเนินงานของเอเปค ประจําปี 2563 โดยมาเลเซียกําหนดจะจัดการประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปค ระหว่างวาที่ 11-12 พฤศจิกายน 2563 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และการประชุมระดับรัฐมนตรีอีก 5 สาขา ได้แก่ (1) การประชุมรัฐมนตรีการค้า (2) การประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยว (3) การประชุมรัฐมนตรีด้านการปฏิรูปโครงสร้าง (4) การประชุมรัฐมนตรีการคลัง และ (5) การประชุมรัฐมนตรีเอเปค 2. เพื่อให้มีการติดตามผลจากเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562 และมีการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง จึงมีประเด็นที่ต้องมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นําไปติดตามและดําเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ประเทศไทยควรเริ่มกระบวนการหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกําหนดหัวข้อหลักและประเด็นสําคัญของไทยในการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ปี 2565 รวมถึงตั้งเป้าหมายที่จะนําไปสู่ผลลัพธ์ในโอกาสแรก รวมทั้ง ควรทํางานร่วมกับประเทศมาเลเซียและประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ปี 2564 อย่างใกล้ชิด แต่งตั้ง 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายเฉลิมพงษ์ สุคนธผล ผู้อํานวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอแต่งตั้ง นางสาวดารณี ลิขิตวรศักดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่ง รองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง 24. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นายมนตรี เนรกัณฐี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ แทนผู้ที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2563 เป็นต้นไป โดยให้มีวาระการดํารงตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ซึ่งตนแทน 25. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม รวม 6 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดํารงตําแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้ 1. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ประธานกรรมการ 2. นางสาวชุติมา บุณยประภัศร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3. ศาสตราจารย์ สมคิด เลิศไพฑูรย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4. ศาสตราจารย์ รณชัย คงสกนธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 5. นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6. นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2563 เป็นต้นไป 26. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอการแต่งตั้งและกําหนดเงินเดือนให้ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ดํารงตําแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเงินเดือน 390,000 บาท รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษประจําปี และสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับตามที่กระทรวงการคลังเห็นชอบแล้ว 27. เรื่อง การโอนข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอรับโอน นายดนัย มู่สา รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มาแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง เงินประจําตําแหน่ง 21,000 บาท) สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักนายกรัฐมนตรี ตามกรอบอัตรากําลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 เรื่อง การยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บางฉบับที่หมดความจําเป็น ลงวันที่ 9 กรฎาคม พุทธศักราช 2562 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป โดยผู้มีอํานาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว .............. (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 เมษายน 2563 วันพุธที่ 8 เมษายน 2563 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 7 เมษายน 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (7 เมษายน 2563) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี(หลังนอก)ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) (การยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสมที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์) 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กําหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนําจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ..)พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้ รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เศรษฐกิจ - สังคม 6. เรื่อง การขอรับจัดสรรงบประมาณโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2562/63 (เพิ่มเติม) 7. เรื่อง ขออนุมัติหลักการโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในโครงการตามพระราชดําริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ 8. เรื่อง ขออนุมัติดําเนินโครงการปรับปรุงคลองยม – น่าน จังหวัดสุโขทัย 9. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาดําเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง 10. เรื่อง การกําหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ 11. เรื่อง สรุปผลการดําเนินการมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา (คณะกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา) 12. เรื่อง รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจําปี พ.ศ. 2561 13. เรื่อง การปรับการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 14. เรื่อง มาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม 15. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดําเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ห้วงวันที่ 31 มีนาคม-6 เมษายน 2563 16. เรื่อง ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นเพื่อบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) 17. เรื่อง ขออนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ และมาตรการเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นสําหรับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข รองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ต่างประเทศ 18. เรื่อง ขอความเห็นชอบการให้สัตยาบันเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 19. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 20. เรื่อง ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี 21. เรื่อง ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสครั้งสุดท้าย ประจําปี 2562 และผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ ประจําปี 2563 แต่งตั้ง 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) 24. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ 25. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม 26. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย 27. เรื่อง การโอนข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี .................... (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) (การยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสมที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้ 1. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสํานักงบประมาณไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย 3. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย กค. เสนอว่า 1. ปัจจุบันยาสูตรผสม เช่น โลปินาเวียร์และริโทนาเวียร์ สูตรผสมสําหรับใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ตามประเภทย่อย 3003.90 ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 มีอัตราอากรขาเข้าร้อยละ 10 ส่วนยาสําเร็จรูปสูตรผสมต้านไวรัสเอดส์ตามประเภทย่อย 3004.90 ได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ประกอบกับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ผู้นําเข้าสินค้าสูตรผสมดังกล่าวเพื่อนํามาผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ จึงขอให้ กค. พิจารณายกเว้นอากรขาเข้าสําหรับโลปินาเวียร์และริโทนาเวียร์ สูตรผสม ด้วย 2. กค. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมศุลกากร อภ. สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา สมาคมอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 12 และ 27 พฤศจิกายน 2562 แล้ว และเห็นควรยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสม (ประเภทย่อย 3003.90) ที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์เท่านั้น โดยไม่จํากัดเฉพาะแต่สินค้าโลปินาเวียร์และริโทนาเวียร์ สูตรผสม เพื่อให้ผู้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์มีความคล่องตัวในการเลือกใช้วัตถุดิบ สําหรับการพิจารณายกเว้นอากรขาเข้าสินค้า ยาสูตรผสมที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ที่รักษาโรคอื่นได้ จะต้องใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลยาในรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ ทั้งนี้ การยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสม (ประเภทย่อย 3003.90) ที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์เท่านั้น สามารถดําเนินการได้โดยการออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) 3. กค. ได้ดําเนินการจัดทําประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่จะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งการยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสม (ประเภทย่อย 3003.90) ที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์เท่านั้น จะทําให้สูญเสียรายได้ภาษีอากรประมาณ 50 ล้านบาท อย่างไรก็ตามการยกเว้นอากรดังกล่าวจะส่งผลให้ลดการนําเข้ายาต้านไวรัสเอดส์สําเร็จรูป ลดภาระต้นทุนการผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ และเพิ่มการเข้าถึงยาต้านไวรัสเอดส์ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ สาระสําคัญของร่างประกาศ ยกเว้นอากรขาเข้ายาสูตรผสม (ประเภทย่อย 3003.90) ที่ใช้ผลิตยาต้านไวรัสเอดส์เท่านั้น ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 ภาค 2 พิกัดอัตราอากรขาเข้า 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไป กษ. เสนอว่า 1. ได้มีกฎกระทรวงกําหนดเขตทะเลชายฝั่ง พ.ศ. 2560 โดยในข้อ 2 กําหนดให้จังหวัดชลบุรีมีเขตทะเลชายฝั่ง ดังนี้ 1.1 ระยะสามไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง 1.2 ระยะหนึ่งจุดหกไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายเกาะ ทั้งนี้ ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายกฎกระทรวงหมายเลข 2/9 2. โดยที่แผนที่ท้ายกฎกระทรวงหมายเลข 2/9 ตามข้อ 1. ได้กําหนดแนวเขตทะเลชายฝั่งเป็นเส้นโค้งเว้าตามแนวชายฝั่งทะเล มีผลทําให้เกิดความไม่ชัดเจนและเป็นปัญหาสําหรับชาวประมงในการปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการแก้ไขปัญหาประโยชน์ขัดแย้งระหว่างประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ และเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ําในเขตทะเลชายฝั่งให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมและสามารถทําการประมงได้อย่างยั่งยืน จึงสมควรปรับปรุงแนวเขตทะเลชายฝั่งและแผนที่แนวเขตทะเลชายฝั่งท้ายกฎกระทรวงหมายเลข 2/9 ในส่วนจังหวัดชลบุรีเสียใหม่ ดังนี้ 2.1 เขตทะเลชายฝั่ง (1) เดิม “ระยะสามไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง” เป็น “ระยะสองจุดเจ็ดหนึ่งไมล์ทะเลถึงสามจุดเจ็ดเจ็ดไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง” (2) เดิม “ระยะหนึ่งจุดหกไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายเกาะ” เป็น “ระยะหนึ่งจุดห้าห้าไมล์ทะเลถึงสองจุดสามสามไมล์ทะเลจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายเกาะ” 2.2 แผนที่ท้ายกฎกระทรวงหมายเลข 2/9 เดิม “เส้นโค้งเว้าตามแนวชายฝั่งทะเล” เป็น “เส้นตรงลากผ่านจุดพิกัด” ตามเขตทะเลชายฝั่ง ทั้งนี้ การกําหนดระยะแนวเขตทะเลชายฝั่งดังกล่าวไม่เกินระยะที่กฎหมายกําหนด 3. การปรับปรุงระยะแนวเขตทะเลชายฝั่งและแผนที่ท้ายกฎกระทรวงดังกล่าวได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ และคณะกรรมการประมงประจําจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในพื้นที่ได้เห็นชอบด้วยแล้ว จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดเขตทะเลชายฝั่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง กําหนดให้จังหวัดชลบุรีมีเขตทะเลชายฝั่ง ดังนี้ 1. ระยะสองจุดเจ็ดหนึ่งไมล์ทะเลถึงสามจุดเจ็ดเจ็ดไมล์ทะเลนับจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายฝั่ง 2. ระยะหนึ่งจุดห้าห้าไมล์ทะเลถึงสองจุดสามสามไมล์ทะเลจากแนวชายฝั่งทะเลที่น้ําทะเลจรดแผ่นดินบริเวณชายเกาะ 3. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กําหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กําหนดให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนรับข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดําเนินการต่อไป สาระสําคัญของร่างประกาศ 1. กําหนดบทนิยาม “ขยะอิเล็กทรอนิกส์” หมายถึง ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หรือเศษ (ไม่รวมเศษจากเครื่องกําเนิดไฟฟ้า) ที่มีส่วนประกอบซึ่งได้แก่ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า และแบตเตอรี่อื่น ๆ สวิตซ์ที่มีปรอทเป็นองค์ประกอบในการทํางาน เศษแก้วจากหลอดรังสีแคโทด และแอกติเวเต็ดกลาสอื่น ๆ ตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่มีสารพีซีบี หรือที่ปนเปื้อนด้วยแคดเมียม ปรอท ตะกั่ว โพลีคลอริเนทเต็ดไบฟีนิล ซึ่งเป็นของเสียเคมีวัตถุ ตามบัญชี 5.2 ลําดับที่ 2.18 ของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 ตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย 2. กําหนดข้อห้าม ให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท 84 และประเภท 85 เฉพาะรหัสสถิติ 899 ตามตารางที่กําหนดไว้ในบัญชีแนบท้าย เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร 3. กําหนดให้มีการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ ในกรณีสงสัยว่าสินค้าใดเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ ให้ พณ. พิจารณาโดยนําความเห็นของกรมโรงงานอุตสาหกรรมและกรมศุลกากรมาประกอบด้วย 4. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนําจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจ่ายเงินค่าตอบแทนผู้แจ้งความนําจับ เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ และเงินช่วยเหลือในการปฏิบัติงานยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดําเนินการต่อไป สาระสําคัญของร่างระเบียบ 1. กําหนดบทนิยาม ดังนี้ 1.1 “เงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่” หมายความว่า เงินที่จ่ายให้แก่เจ้าพนักงานผู้สืบสวนจับกุมหรือตรวจยึดเกี่ยวกับคดียาเสพติด รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนร่วมดําเนินการ จนนําไปสู่การจับกุมหรือตรวจยึด โดยเป็นข้าราชการตํารวจ ข้าราชการทหาร และข้าราชการพลเรือน ในระดับตําแหน่งที่กําหนด และให้รวมถึงเจ้าพนักงานผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักงานสอบสวนที่สามารถขยายผลจนจับกุมผู้กระทําความผิดได้ 1.2 “การขยายผล” หมายความว่า การสืบสวนหรือสอบสวนขยายผลจากคดียาเสพติดที่มีหรือเคยมีของเจ้าหน้าที่จนนําไปสู่การจับกุมผู้บงการหรือนักค้ายาในคดียาเสพติดรายสําคัญ 1.3 “คดียาเสพติดรายสําคัญ” เช่น คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ฐานผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง และต้องมีพฤติการณ์ดําเนินเป็นเครือข่าย หรือผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นต้น 2. กําหนดให้จ่ายเงินค่าตอบแทนเมื่อเจ้าพนักงานได้ดําเนินคดีตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้ 2.1 คดีที่ยึดได้แต่ยาเสพติดให้จ่ายเงินค่าตอบแทนร้อยละ 25 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งงดการสอบสวน สั่งไม่ฟ้อง หรือมีความเห็นว่าควรสั่งฟ้อง ทั้งนี้ หากสามารถขยายผลได้ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ให้จ่ายเงินค่าตอบแทน ดังนี้ 2.1.1 กรณีเจ้าพนักงานผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักงานสอบสวนขยายผลไปจับกุมเจ้าของยาเสพติด ผู้ร่วมกระทําความผิด ผู้สั่งการ หรือนายทุน ให้จ่ายเงินค่าตอบแทนร้อยละ 25 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง 2.1.2 กรณีเจ้าพนักงานผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักงานสอบสวนขยายผลไปจับกุมเครือข่ายยาเสพติดเป็นคดีใหม่ ให้เจ้าหน้าที่ผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักงานสอบสวนได้รับเงินค่าตอบแทนร้อยละ 25 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง 2.2 คดีที่จับกุมได้ผู้ต้องหาและยาเสพติดของกลางให้จ่ายเงินค่าตอบแทนร้อยละ 50 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง แต่หากพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องให้จ่ายเงินค่าตอบแทนโดยคํานวณจากปริมาณยาเสพติดร้อยละ 25 ของจํานวนเงินตามสิทธิที่จะได้รับ ทั้งนี้ หากสามารถขยายผลได้ตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ให้จ่ายเงินค่าตอบแทน ดังนี้ 2.2.1 กรณีเป็นการจับกุมผู้ต้องหารายสําคัญให้จ่ายเงินค่าตอบแทนร้อยละ 25 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง 2.2.2 กรณีเจ้าพนักงานผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักงานสอบสวนขยายผลไปจับกุมเจ้าของยาเสพติด ผู้ร่วมกระทําความผิด ผู้สั่งการหรือนายทุน ให้จ่ายเงินค่าตอบแทนร้อยละ 25 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง 2.2.3 กรณีเจ้าพนักงานผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักสอบสวนขยายผลไปจับกุมเครือข่ายยาเสพติดเป็นคดีใหม่ ให้เจ้าหน้าที่ผู้สืบสวนจับกุมหรือพนักงานสอบสวนได้รับเงินค่าตอบแทนร้อยละ 25 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด เมื่อพนักงานอัยการสั่งฟ้อง ทั้งนี้ เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 100 ของจํานวนเงินที่คํานวณได้จากปริมาณยาเสพติด 3. กําหนดให้ในกรณีที่พนักงานอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาข้อหาจําหน่าย โดยมีพฤติการณ์จําหน่ายยาเสพติดให้กับเด็กหรือเยาวชนในหมู่บ้าน ชุมชน ให้จ่ายเงินเพิ่มอีกคดีหนึ่งไม่เกิน 5,000 บาท 5. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างประกาศ เป็นการยกเว้นอากรศุลกากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้รักษา วินิจฉัย หรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไม่ว่าจะอยู่ในพิกัดประเภทใด ทั้งนี้ ตามรายการที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกําหนด โดยแก้ไขวันใช้บังคับจากเดิม “ให้มีผลใช้บังคับนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2563” เป็น “ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563” เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 เศรษฐกิจ - สังคม 6. เรื่อง การขอรับจัดสรรงบประมาณโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2562/63 (เพิ่มเติม) คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอดังนี้ 1. รับทราบการขยายเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก ขยายวงเงินสินเชื่อและขยายระยะเวลาการจัดทําสัญญาเงินกู้ ตามโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพิ่มเติม ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) 2. เห็นชอบการจัดสรรวงเงินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 วงเงินรวมทั้งสิ้น 682.86 ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขอจัดสรรวงเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจําปี เพื่อชําระคืนต้นทุนเงินและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากการดําเนินโครงการฯ จนกว่าจะชําระเสร็จสิ้น 3. รับทราบการขอรับจัดสรรค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกของโครงการสินเชื่อชะลอ การขายข้าวเปลือก (เพิ่มเติม) วงเงิน 750.00 ล้านบาท จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) โดยให้ พณ. ดําเนินการให้เป็นไปตามระเบียบขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป สําหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น ให้ ธ.ก.ส. จัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามผลการดําเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญของเรื่อง นบข. ในการประชุม ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 ได้พิจารณาและมีมติเกี่ยวกับ การขออนุมัติการดําเนินโครงการฯ (เพิ่มเติม) ที่ ธ.ก.ส. เสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการดําเนินโครงการฯ ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ดังนี้ ผลการดําเนินการ จํานวน (ราย) ปริมาณข้าวเปลือก (ตัน) สินเชื่อ (ล้านบาท) 1) ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับสินเชื่อแล้ว 950,310.20 9,958.72 2) ข้อมูลที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อในระบบการจ่ายสินเชื่อตามโครงการฯ ของ ธ.ก.ส. แล้ว รอการโอนเข้าบัญชี 82,962.00 829.62 3) ข้อมูลผู้เข้าร่วมโครงการซึ่งยังมิได้บันทึกข้อมูลเตรียมการจ่ายในระบบการจ่ายสินเชื่อของ ธ.ก.ส. 421,166.00 4,211.66 รวม 1,454,438.20 15,000.00 2. เห็นชอบการปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก วงเงินสินเชื่อ และขยายระยะเวลาการจัดทําสัญญาเงินกู้ ของโครงการฯ ดังนี้ การปรับเพิ่ม/ขยาย เดิม มติคณะรัฐมนตรี (11 ธันวาคม 2562) เป็น (เสนอในครั้งนี้) 1) ปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการฯ 1 ล้านต้น 1.5 ล้านตัน 2) ปรับเพิ่มวงเงินสินเชื่อตามโครงการฯ 10,000 ล้านบาท 15,000 ล้านบาท 3) ขยายระยะเวลาการจัดทําสัญญาเงินกู้ตามโครงการฯ สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 สิ้นสุดวันที่ 30 เมษายน 2563 (ภาคใต้ ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2563) 3. เห็นชอบการจัดสรรวงเงินโครงการฯ (เพิ่มเติม) โดยให้ ธ.ก.ส. ประสาน สงป. ในการขอรับจัดสรรวงเงินจากงบประมาณ ปี 2564 และปีถัด ๆ ไป วงเงินรวมทั้งสิ้น 682.86 ล้านบาท ตามที่ ธ.ก.ส. เสนอ เพื่อให้การดําเนินโครงการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยขอให้รัฐบาลรับภาระเงินชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. จากการให้สินเชื่อเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรตามโครงการฯ ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจําประเภท 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. บวก 1 ต่อปี รวมถึงภาระค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบายข้าว ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงิน ค่าขนย้ายข้าว และส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว โดยจําแนกเป็นค่าใช้จ่าย ดังนี้ รายการ วงเงิน (ล้านบาท) 1) ค่าชดเชยดอกเบี้ย ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา 12 เดือน ของ ธ.ก.ส. บวก 1 ซึ่งเป็นอัตราที่ กค. สงป. และ ธ.ก.ส. ทําความตกลงในการชดเชยต้นทุนเงินให้ ธ.ก.ส. และ กค. ได้นําผลการตกลงเสนอคณะรัฐมนตรีทราบแล้วเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 117.50 2) ค่าบริหารโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี ระยะเวลา 6 เดือน ของวงเงินสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น (5,000 ล้านบาท) 50.00 3) ค่าใช้จ่ายกรณีที่มีการระบายข้าว ได้แก่ ค่าขนย้ายข้าวเปลือก ต้นทุนเงินค่าขนย้ายข้าวและส่วนต่างภาระขาดทุนจากการระบายข้าว 515.36 รวม 682.86 โดยมอบหมายกรมการค้าภายในในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป 4. เห็นชอบการขอรับจัดสรรค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกโครงการฯ (เพิ่มเติม) วงเงิน 750 ล้านบาท จาก คชก. เพื่อจ่ายเป็นค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกให้เกษตรกรที่เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง ตันละ 1,500 บาท และสําหรับสถาบันเกษตรกรที่รับฝากได้รับตันละ 1,500 บาท (จําแนกเป็นสถาบันเกษตรกรได้รับตันละ 1,000 บาท และให้เกษตรกรที่นําข้าวมาฝากเก็บกับสถาบันเกษตรกรตันละ 500 บาท) (ตามข้อ 3) ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือกจาก 1 ล้านตัน เป็น 1.5 ล้านตัน ทั้งนี้ ต้องเก็บข้าวไว้อย่างน้อย 1 เดือน ระยะเวลาไถ่ถอน 5 เดือน โดยมอบหมาย ธ.ก.ส. จัดทํารายละเอียดการขอรับจัดสรรงบประมาณจาก คชก. และนําเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรพิจารณาต่อไป 5. การดําเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวของรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งที่ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรจําหน่ายได้มีเสถียรภาพ ลดภาระค่าใช้จ่ายการชดเชยเงินตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว โดยเมื่อเปรียบเทียบราคาข้าวเปลือกในช่วงปัจจุบันกับก่อนดําเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก (ปลายเดือนพฤศจิกายน 2562) พบว่า ราคาข้าวเปลือกปรับตัวสูงขึ้นทุกชนิด โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ราคา ชนิดข้าวเปลือก (บาท/ตัน) หอมมะลิ เจ้า ปทุมธานี เหนียว ก่อนการดําเนินโครงการฯ (ปลายเดือนพฤศจิกายน 2562) 14,300 - 14,800 7,400 – 7,800 8,600 – 9,500 15,300 – 16,300 ปัจจุบัน (17 มีนาคม 2563) 14,800 – 15,300 8,500 – 9,400 9,700 – 10,000 15,700 – 16,900 เปลี่ยนแปลง (%) 3.44 17.76 8.84 2.52 อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาราคาตลาดข้าวเปลือกหอมมะลิพบว่า ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว และข้าวเปลือกเหนียวยังคงมีความผันผวนด้านราคา 6. พณ. พิจารณาแล้วเห็นว่า เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปี 2562/63 เป็นเกษตรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิและข้าวเปลือกเหนียวในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งยังเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางและยังมีความประสงค์ขอรับสินเชื่อตามโครงการฯ เนื่องจากขณะนี้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิยังอยู่ในภาวะชะลอตัวเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่น ๆ และข้าวเปลือกเหนียวยังคงมีความผันผวนจึงควรขยายเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก ขยายวงเงินสินเชื่อ และขยายระยะเวลาการจัดทําสัญญาเงินกู้ตามโครงการฯ เพื่อเป็นการชะลอการขายข้าวเปลือกหอมมะลิและเพื่อจะรักษาระดับราคาข้าวเปลือกให้มีเสถียรภาพ 7. พณ. ได้จัดทํารายละเอียดข้อมูลตามมาตรา 27 และ 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว โดยมีประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น ชะลอปริมาณข้าวเปลือกในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดในฤดูเก็บเกี่ยวไม่ให้เกินความต้องการตลาด ซึ่งจะทําให้ราคาตลาดข้าวเปลือก มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นและเกษตรกรมีช่องทางเลือกในการตัดสินใจที่จะจําหน่ายหรือเก็บรักษาข้าวเปลือกของตนเองไว้ที่ยุ้งฉางซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนให้เกษตรกรผลิตข้าวเปลือกและเก็บรักษาข้าวเปลือกให้มีคุณภาพ 7. เรื่อง ขออนุมัติหลักการโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในโครงการตามพระราชดําริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในโครงการตามพระราชดําริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ แผนระยะ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2567) เพื่อให้การอุดหนุนด้านอาคารเรียน อาคารประกอบ สื่ออุปกรณ์และการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา ให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในโครงการตามพระราชดําริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยตั้งงบประมาณเป็นรายปี ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง โครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ในโครงการตามพระราชดําริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ โดยโครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาการดําเนินงานของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จํานวน 16 แห่ง (สังกัดสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้รับการอุดหนุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างด้านกายภาพ สื่อ อุปกรณ์การเรียนการสอนเป็นกรณีพิเศษตามหลักเกณฑ์ของประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนและพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) ให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพเช่นเดียวกับสถานศึกษาอื่น ๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้แก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่ให้ได้รับการศึกษาที่ดีทั้งความรู้ด้านศาสนาอิสลาม ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามในท้องถิ่น ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ในวิชาสามัญและการฝึกทักษะอาชีพ อันจะนําไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยในส่วนของการดําเนินโครงการนั้น สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา ดังนั้น เพื่อให้โครงการดังกล่าวสามารถดําเนินการได้อย่างต่อเนื่องและเป็นต้นแบบให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป ศธ. จึงขออนุมัติหลักการโครงการฯ แผนระยะ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2567) ในกรอบวงเงินทั้งสิ้น 245.239 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) งบลงทุน 185.019 ล้านบาท สําหรับการพัฒนาโครงสร้างด้านกายภาพของโรงเรียน ได้แก่ การก่อสร้าง/ปรับปรุงอาคารเรียน อาคารหอพักนักเรียน อาคารฝึกอาชีพ รวมทั้งการจัดซื้อครุภัณฑ์เพื่อการจัดการเรียนการสอนและการฝึกอาชีพ และ (2) งบรายจ่ายอื่น 60.220 ล้านบาท (ประมาณปีละ 12.044 ล้านบาท) เพื่อจัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพด้านวิชาการและการพัฒนาผู้เรียน ทั้งนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2562 มีมติรับทราบการขออนุมัติหลักการและกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดําเนินการโครงการดังกล่าวตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะประธานกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เห็นชอบในหลักการโครงการฯ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2561 ด้วยแล้ว 8. เรื่อง ขออนุมัติดําเนินโครงการปรับปรุงคลองยม – น่าน จังหวัดสุโขทัย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยกรมชลประทาน ดําเนินการโครงการปรับปรุงคลองยม - น่าน จังหวัดสุโขทัย ภายในกรอบวงเงิน 2,875 ล้านบาท ระยะเวลาดําเนินการ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2567) ตามที่ กษ. เสนอ สําหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ให้ใช้จ่ายจากรายการค่าซื้อที่ดิน ค่าทดแทน ค่ารื้อย้ายในการจัดหาที่ดิน จํานวน 70,000,000 บาท ที่ได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือ ให้กรมชลประทานจัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่าย และการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัด เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามความจําเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญของเรื่อง กษ. รายงานว่า 1. ปัจจุบันแม่น้ํายมเป็นแม่น้ําสายหลักเพียงสายเดียวที่ยังไม่สามารถบริหารจัดการภายในลุ่มน้ําได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดปัญหาน้ําท่วมและน้ําแล้งเป็นประจําทุกปี โดยเฉพาะลุ่มน้ํายมตอนล่างในเขตพื้นที่จังหวัดสุโขทัย พิษณุโลก และพิจิตร และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเมื่อพิจารณาจากสภาพภูมิประเทศแล้วพบว่า ทางตอนบนของแม่น้ํายมมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแหล่งกักเก็บน้ํา แต่เนื่องจากอุปสรรคทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมจึงยังไม่สามารถพัฒนาเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อเก็บกักน้ํา ประกอบกับภูมิประเทศตอนกลางและตอนล่างของแม่น้ํายมเป็นที่ราบสภาพเรียวเล็กลงกว่าตอนบน เมื่อเกิดฝนตกหนักทางตอนบน มวลน้ําจะไหลบ่าลงมาสู่ตอนล่างอย่างรวดเร็ว เข้าท่วมพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่เศรษฐกิจสําคัญ เช่น เทศบาลเมืองสุโขทัย ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายค่อนข้างมากประมาณปีละไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท 2. ปริมาณน้ําในแม่น้ํายมที่ไหลผ่านอําเภอศรีสัชนาลัย มีปริมาณเฉลี่ย 1,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สามารถบริหารจัดการน้ําออกสู่คลองสาขาได้ 350 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ไหลออกด้านซ้ายสู่คลองหกบาทและคลองยม – น่าน 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และไหลผ่านตัวเมืองสุโขทัย 800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เกินกว่าความสามารถที่แม่น้ํายมบริเวณดังกล่าวจะรองรับได้ที่ 550 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงทําให้เกิดปัญหาอุทกภัยเป็นประจําทุกปี ดังนั้น เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว กรมชลประทานจึงต้องมีการบริหารจัดการน้ําในแม่น้ําสายหลัก โดยได้พิจารณาใช้แนวทางการตัดยอดน้ําบางส่วนออกจากแม่น้ําสายหลัก เพื่อควบคุมปริมาณน้ําที่ไหลผ่านพื้นที่เขตเศรษฐกิจให้อยู่ในเกณฑ์ที่รับน้ําได้ โดยจะดําเนินการปรับปรุงคลองหกบาทพร้อมกับขุดคลองชักน้ํา (ชักน้ําจากแม่น้ํายมลงสู่คลองหกบาท) เพื่อให้สามารถรับน้ําได้เพิ่มขึ้นเป็น 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และแบ่งการระบายน้ําจากคลองหกบาทออกเป็น 2 ทาง ได้แก่ 1) ระบายไปทางคลองยม – น่าน ที่ได้รับการปรับปรุงให้สามารถระบายน้ําได้ 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที พร้อมขุดช่องลัดลงแม่น้ําน่าน เพื่อชักน้ําจากคลองยม – น่านลงสู่แม่น้ําน่าน 2) ระบายไปสู่คลองยมเก่า ซึ่งสามารถระบายน้ําได้ 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทั้งนี้ การปรับปรุงคลองหกบาทดังกล่าวจะทําให้ปริมาณน้ําที่ไหลผ่านตัวเมืองสุโขทัยลดลงเหลือเพียง 550 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (เท่ากับความสามารถที่รับได้ของแม่น้ํายมที่ไหลผ่านตัวเมืองสุโขทัยในสภาวะปกติ) จึงช่วยบรรเทาปัญหาปริมาณน้ําจากแม่น้ํายมเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่เมืองสุโขทัยและพื้นที่การเกษตร นอกจากนี้ ยังสามารถเก็บกักน้ําไว้ในคลองเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ในฤดูแล้งได้อีกด้วย 3. รายละเอียดของโครงการสรุปได้ดังนี้ หัวข้อ รายละเอียด ระยะเวลาดําเนินโครงการ 5 ปี (ปี 2563 – 2567) ที่ตั้งโครงการ จุดรับน้ําเข้า (คลองหกบาท) อยู่ที่ตําบลป่ากุมเกาะ อําเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย และจุดระบายน้ําลงแม่น้ําน่าน (ปลายคลองยม - น่าน) อยู่ที่ตําบลคอรุม อําเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ งานปรับปรุงคลองระบายน้ํา - งานปรับปรุงคลองหกบาท (กม. 2+600 ถึง กม. 5+700) ความยาว 3.10 กิโลเมตร เพื่อให้สามารถรับน้ําได้ จากเดิม 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยปรับปรุงเป็นคลองดาดคอนกรีต พร้อมก่อสร้างถนนลาดยางและถนนดินลูกรัง - งานปรับปรุงคลองยม - น่าน (กม. 0+000 ถึง กม. 34+850) ความยาว 34.850 กิโลเมตร เพื่อให้สามารถรับน้ําได้ 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยปรับปรุงเป็นคลองดาดคอนกรีต พร้อมก่อสร้างถนนลาดยางและถนนดินลูกรัง - งานขุดคลองชักน้ําและอาคารประกอบ 2 จุด ได้แก่ (1) งานขุดคลองชักน้ําจากแม่น้ํายมลงคลองหกบาท บริเวณ กม. 2+600 ความยาว 400 เมตร ให้สามารถรับน้ําได้ 250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที พร้อมก่อสร้างประตูระบายน้ําใหม่ 1 แห่ง (2) งานขุดคลอง 1 ซ้าย เพื่อชักน้ําจากคลองยม - น่าน บริเวณ กม. 34+850 ลงแม่น้ําน่าน ความยาว 450 เมตร ให้สามารถรับน้ําได้ 300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที - งานป้องกันตลิ่งประตูระบายน้ําคอรุม โดยปรับปรุงตลิ่งด้านท้ายประตูระบายน้ําคอรุม ซึ่งเป็นจุดที่คลองยม – น่านไหลมาบรรจบกับแม่น้ําน่าน ความยาวประมาณ 120 เมตร งานก่อสร้างและปรับปรุงอาคารประกอบตามแนวคลอง - งานก่อสร้างประตูระบายน้ํา 2 แห่ง และงานปรับปรุงประตูระบายน้ํา 3 แห่ง เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณน้ําจากการปรับปรุงคลองได้ - งานก่อสร้างสะพานรถยนต์ 8 แห่ง และงานก่อสร้างสะพานรถไฟ 1 แห่งเพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรเชื่อมระหว่าง 2 ฝั่งคลอง - งานรื้อถอนฝายเดิมที่กีดขวางทางน้ํา - งานก่อสร้างท่อระบายน้ําปากคลองและอาคารรับน้ํา - งานก่อสร้างท่อส่งน้ําข้ามคลอง สถานภาพโครงการ - การศึกษาความเหมาะสมของโครงการ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อเดือนเมษายน 2547 - การสํารวจ-ออกแบบ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อเดือนตุลาคม 2560 - การจัดหาที่ดิน อยู่ระหว่างการสํารวจปักหลักเขต สามารถเริ่มดําเนินการได้ทันทีหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ดําเนินโครงการฯ - การก่อสร้าง เริ่มดําเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2567 - การมีส่วนร่วมของประชาชน ได้ดําเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจกับท้องถิ่น รับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชน รวมถึงการประชุมชี้แจงแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบเพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นธรรม รวมถึงการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมเพื่อป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประโยชน์ของโครงการ - เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่อําเภอเมือง อําเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย และอําเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ ครอบคลุม 15 ตําบล 27 หมู่บ้าน 5,340 ครัวเรือน - เพื่อกักเก็บน้ําในแนวคลองไว้ใช้เพื่ออุปโภค บริโภค เพื่อทําการเกษตรและการปศุสัตว์ในช่วงฤดูแล้ง ครอบคลุมพื้นที่ 7,300 ไร่ - ทําให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มมากขึ้น การวิเคราะห์ผลตอบแทนด้านเศรษฐศาสตร์ - อัตราคิดลด ร้อยละ 9 - มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value: NPV) 151.79 ล้านบาท - อัตราผลประโยชน์ต่อค่าลงทุน (B/C Ratio) 1.080 - อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (Economic Internal Rate of Return: EIRR) ร้อยละ 9.660 หมายเหตุ: ค่า EIRR สูงกว่าอัตราคิดลด ดังนั้น โครงการฯ จึงมีความคุ้มค่าที่จะลงทุน 4. กษ. แจ้งว่า โครงการฯ เป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ําซึ่งไม่เข้าข่ายที่ต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่ กษ. โดยกรมชลประทานได้กําหนดให้จัดทําแผนงานป้องกัน แก้ไข และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งแผนงบประมาณเพื่อสนับสนุนแผนการดําเนินงานข้างต้นให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ดําเนินการตามแผนที่วางไว้ วงเงินงบประมาณ 20 ล้านบาท (สําหรับดําเนินงานช่วงปีงบประมาณ 2564-2567 ปีละ 5 ล้านบาท) นอกจากนี้ การดําเนินการก่อสร้างโครงการฯ จะทําให้เกิดผลกระทบต่อที่ดินและทรัพย์สินของราษฎร ซึ่ง กษ. โดยกรมชลประทานได้เตรียมมาตรการในการจ่ายค่าทดแทนทรัพย์สินไว้ในแผนงานโครงการด้วยแล้ว 9. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาดําเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดําเนินโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง จากเดิม 14 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548-2561) เป็น 17 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 – 2564) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม 3,670.50 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง กษ. รายงานว่า 1. โครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง ตั้งอยู่ที่อําเภอแจ้ห่ม จังหวัดลําปาง ประกอบด้วย การก่อสร้างเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบ และระบบชลประทาน ดังนี้ 1.1 เขื่อนหัวงานและอาคารประกอบ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2551 ปัจจุบันสามารถกักเก็บน้ําได้ 170 ล้านลูกบาศก์เมตร ประกอบด้วย (1) เขื่อนหลัก (Main dam) ชนิดดินถมบดอัดแน่นแบ่งส่วนความยาว 500 เมตร ความสูง 43.50 เมตร สันเขื่อนกว้าง 8 เมตร (2) ทํานบดินปิดช่องเขาต่ํา (Saddle dam) ชนิดดินถมบดอัดแน่นเนื้อเดียว ความยาว 300 เมตร ความสูง 15.50 เมตร สันเขื่อนกว้าง 3 เมตร (3) อาคารประกอบ ได้แก่ อาคารระบายน้ําล้น (Service apillway) อาคารรับน้ํา (Inclined intake) อาคารส่งน้ําเข้าระบบส่งน้ําและอาคารระบายน้ําลงลําน้ําเดิม และถนนลาดยางเชื่อมระหว่างเขื่อนหลักกับทํานบดินปิดช่องเขาต่ํา 1.2 ระบบชลประทานเพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทาน รวมทั้งสิ้น 90,200 ไร่ ประกอบด้วย (1) ระบบชลประทานแจ้ห่ม ระยะที่ 1 พื้นที่ชลประทาน 12,000 ไร่ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2555 (2) ระบบชลประทานแจ้ห่ม ระยะที่ 2 พื้นที่ชลประทาน 8,000 ไร่ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2558 (3) ระบบชลประทานกิ่วลม 3 ระยะที่ 1 พื้นที่ชลประทาน 5,000 ไร่ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2554 (4) ระบบชลประทานกิ่วลม 3 ระยะที่ 2 พื้นที่ชลประทาน 18,000 ไร่ ดําเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2555 (5) ระบบชลประทานกิ่วลม 3 ระยะที่ 3 พื้นที่ชลประทาน 47,200 ไร่ อยู่ระหว่างการดําเนินการ 2. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (22 กุมภาพันธ์ 2555) อนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการระบบชลประทานกิ่วลม 3 ระยะที่ 3 โครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง นั้น กรมชลประทานได้ว่าจ้างผู้รับจ้างก่อสร้างระบบชลประทานดังกล่าว เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2555 วงเงินสัญญา 197.64 ล้านบาท อายุสัญญา 900 วัน เริ่มสัญญาวันที่ 18 ตุลาคม 2555 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 5 เมษายน 2558 ต่อมา กรมชลประทานได้อนุมัติให้มีการขยายอายุสัญญาตามมติคณะรัฐมนตรี (25 พฤศจิกายน 2556) เรื่อง การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ํา 300 บาท เป็นเวลา 150 วัน สิ้นสุดสัญญาวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 ปัจจุบันมีผลงานสะสม ร้อยละ 42.36 3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้อนุมัติให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สําหรับรายการระบบชลประทานกิ่วลม 3 ระยะที่ 3 โครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2558 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2561 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560 4. การก่อสร้างระบบชลประทานกิ่วลม 3 ระยะที่ 3 โครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง ล่าช้ากว่าแผนงานที่วางไว้ เนื่องจากการดําเนินการมีปัญหาและอุปสรรค กล่าวคือ สภาพภูมิประเทศ และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของราษฎรเปลี่ยนแปลงไป ทําให้แบบก่อสร้างที่ออกแบบไว้เดิมไม่สามารถดําเนินการก่อสร้างได้ จึงมีความเป็นต้องแก้ไขแบบก่อสร้างให้มีความสอดคล้องกับภูมิประเทศและมีความเหมาะสมกับทางด้านวิศวกรรม เพื่อให้การใช้งานเป็นไปตามวัตถุประสงค์โครงการและมีผลกระทบต่อราษฎรในพื้นที่น้อยที่สุด ซึ่งปัจจุบันดําเนินการแก้ไขแบบก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างแก้ไขสัญญาจากการแก้ไขแบบและออกแบบเพิ่มเติม 5. การแก้ไขสัญญาส่งผลให้วงเงินในสัญญาเพิ่มขึ้น จากวงเงินในสัญญาเดิม 197.64 ล้านบาท เป็น 203.68 ล้านบาท รวมเป็นเงินที่เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 6.04 ล้านบาท ซึ่ง กษ. แจ้งว่า สงป. ได้เห็นชอบความเหมาะสมของราคาการเพิ่มวงเงินในสัญญาก่อสร้างรายการดังกล่าวแล้ว ตามหนังสือ สงป. ที่ นร. 0718/18328 ลงวันที่ 16 กันยายน 2562 โดยการเพิ่มวงเงินดังกล่าว อยู่ภายในวงเงินงบประมาณ แต่มีระยะเวลาก่อหนี้ผูกพัน ข้ามปีงบประมาณเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ กรมชลประทานจึงต้องนําเสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อขออนุมัติการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2561 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2555-2563 ก่อนลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม ตามนัยข้อ 7 (2) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 6. จากข้อเท็จจริงข้างต้น กษ. โดยกรมชลประทาน จึงมีความจําเป็นต้องปรับแผนการดําเนินโครงการและขยายระยะเวลาโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง ออกไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถดําเนินการให้แล้วเสร็จได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ดังนั้น กษ. จึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาก่อสร้างโครงการกิ่วคอหมา จังหวัดลําปาง จากเดิม 14 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548-2561) เป็น 17 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548- 2564) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการเดิมจํานวน 3,670.50 ล้านบาท 10. เรื่อง การกําหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 9) ลงวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2563 เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับต่อไป ซึ่งเป็นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 88 ที่บัญญัติให้ในการพิจารณากําหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ ให้คณะกรรมการค่าจ้างศึกษาและพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับในแต่ละอาชีพตามมาตรฐานฝีมือที่กําหนดไว้โดยวัดค่าทักษะ ฝีมือ ความรู้ และความสามารถ แต่ต้องไม่ต่ํากว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ําที่คณะกรรมการค่าจ้างกําหนด และให้คณะกรรมการค่าจ้างประกาศกําหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือโดยเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ จํานวน 13 คณะ เพื่อพิจารณาทบทวนอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ จํานวน 13 กลุ่มสาขาอาชีพ/กลุ่มอุตสาหกรรม รวม 64 สาขาอาชีพ โดยพิจารณาทบทวนอัตราค่าจ้างจากลักษณะการทํางาน การจ่ายค่าจ้างจริงในตลาดแรงงาน ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง รวมทั้งสถานการณ์และสภาพข้อเท็จจริงในแต่ละสาขาอาชีพ และจัดทํา ร่างอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือเสนอคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 แล้ว ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบให้กําหนดอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือจํานวน 13 กลุ่มสาขาอาชีพ/กลุ่มอุตสาหกรรม รวม 64 สาขาอาชีพ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป ดังนี้ หน่วย : บาท/วัน ลําดับ กลุ่มสาขาอาชีพ/กลุ่มอุตสาหกรรม ระดับ 1* ระดับ 2** ระดับ 3*** กลุ่มสาขาอาชีพภาคบริการ ผู้ประกอบอาหารไทย - พนักงานนวดไทย นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (หัตถบําบัด) - นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (สุคนธบําบัด) - นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (วารีบําบัด) - นักส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวมสปาตะวันตก (โภชนบําบัด) - กลุ่มสาขาอาชีพช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์ ช่างซ่อมไมโครคอมพิวเตอร์ ช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ช่างไฟฟ้าอุตสาหกรรม ช่างเครื่องปรับอากาศในบ้านและการพาณิชย์ขนาดเล็ก ช่างอิเล็กทรอนิกส์ (โทรทัศน์) - กลุ่มสาขาอาชีพช่างอุตสาหการ ช่างเขียนแบบเครื่องกลด้วยคอมพิวเตอร์ ช่างเชื่อมแม็ก ช่างเชื่อมทิก ช่างเชื่อมท่อพอลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง - - ช่างประกอบท่อ - - ช่างทําแม่พิมพ์ฉีดโลหะ - - กลุ่มสาขาอาชีพช่างก่อสร้าง ช่างไม้ก่อสร้าง ช่างก่ออิฐ ช่างฉาบปูน ช่างอะลูมิเนียมก่อสร้าง ช่างหินขัด - - ช่างฉาบยิบซัม - - ช่างมุมหลังคากระเบื้องคอนกรีต กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พนักงานประกอบอุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่าง - พนักงานประกอบมอเตอร์สําหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า - ช่างเทคนิคบํารุงรักษาเครื่องจักรกลสําหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ - ช่างเทคนิคระบบรักษาความปลอดภัย - กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ช่างกลึงสําหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ - ช่างเชื่อมมิก-แม็กสําหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ - ช่างเทคนิคบํารุงรักษาเครื่องจักรกลสําหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ - ช่างเทคนิคเครื่องกลึงอัตโนมัติสําหรับอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ - ช่างเทคนิคพ่นสีตัวถังสําหรับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ - ช่างเทคนิคพ่นซีลเลอร์ตัวถังสําหรับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ - พนักงานประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ยานยนต์ (ขั้นสุดท้าย) - ช่างเทคนิคเชื่อมสปอตตัวถังสําหรับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ - กลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณี ช่างเจียระไนพลอย - ช่างหล่อเครื่องประดับ - ช่างตกแต่งเครื่องประดับ - ช่างฝังอัญมณีบนเครื่องประดับ - กลุ่มอุตสาหกรรมจักรกลและโลหะการ ช่างเทคนิคเขียนแบบเครื่องกล - ช่างเชื่อมทิกสําหรับอุตสาหกรรมจักรกลและโลหะการ - ช่างเทคนิคระบบส่งกําลัง - ช่างเทคนิคระบบไฮโดรลิก - กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทําความเย็น ช่างเชื่อมระบบท่อในอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทําความเย็น - ช่างเทคนิคเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ - ช่างเทคนิคห้องเย็นขนาดเล็ก - พนักงานประกอบเครื่องปรับอากาศ - กลุ่มอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ ช่างเทคนิคเครื่องกัดอัตโนมัติ - ช่างเทคนิคเครื่องอีดีเอ็ม - ช่างเทคนิคเครื่องไวร์คัทอีดีเอ็ม - ช่างขัดเงาแม่พิมพ์ - กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก พนักงานหลอมเหล็กเตาอาร์คไฟฟ้า - พนักงานปรุงแต่งน้ําเหล็กในเตาปรุงน้ําเหล็ก (Ladle Furnace) - พนักงานหล่อเหล็ก - พนักงานควบคุมการอบเหล็ก - กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก ช่างเทคนิคเครื่องฉีดพลาสติก - ช่างเทคนิคเครื่องเป่าถุงพลาสติก - ช่างเทคนิคเครื่องเป่าภาชนะกลวง - ช่างเทคนิคการซ่อมเครื่องเป่าถุงพลาสติก - กลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า พนักงานตัดวางรองเท้า - พนักงานอัดพื้นรองเท้า - ช่างเย็บรองเท้า - พนักงานประกอบรองเท้า (เย็น) - * มาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ระดับ 1 : ผู้เข้ารับการทดสอบต้องมีอายุไม่ต่ํากว่า 18 ปีบริบูรณ์ และมีประสบการณ์การทํางานในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้อง หรือผ่านการฝึกฝีมือแรงงานหรือฝึกอาชีพ หรือเป็นผู้จบการศึกษาในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้อง ** มาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ระดับ 2 : ผู้เข้ารับการทดสอบต้องมีประสบการณ์การทํางาน หรือประกอบอาชีพในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องนับตั้งแต่ได้รับหนังสือรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติระดับ 1 (ไม่น้อยกว่า 1-2 ปี) หรือได้คะแนนในการทดสอบฯ ระดับ 1 ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 80 *** มาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ระดับ 3 : ผู้เข้ารับการทดสอบต้องมีประสบการณ์การทํางาน หรือประกอบอาชีพในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องนับตั้งแต่ได้รับหนังสือรับรองมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติระดับ 2 (ไม่น้อยกว่า 1-2 ปี) หรือได้คะแนนในการทดสอบฯ ระดับ 2 ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 80 2. คณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 20 ในการประชุมครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีมติให้ยกเลิกประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 3-8) โดยให้รวบรวมอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือดังกล่าวไว้ในประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือ (ฉบับที่ 9) เพียงฉบับเดียว เพื่อให้มีความเหมาะสมและสะดวกต่อการถือปฏิบัติต่อไป 11. เรื่อง สรุปผลการดําเนินการมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา (คณะกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา) คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการติดตามมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา รายงานความคืบหน้าการดําเนินการมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมา (ข้อมูล ณ วันที่ 18 มีนาคม 2563) สรุปได้ ดังนี้ 1. เงินช่วยเหลือตามกฎหมายและสิทธิประโยชน์ส่วนบุคคล หน่วย งาน รายละเอียด กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) จ่ายเงินช่วยเหลือตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้แก่ญาติผู้เสียชีวิตทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนครบ 27 รายแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บ 68 ราย มีผู้ยื่นเอกสารขอรับเงินเยียวยา 68 ราย เอกสารครบถ้วน 49 ราย อยู่ระหว่างการติดตามเอกสารเพิ่มเติม 20 ราย กําหนดพิจารณาในวันที่ 25 มีนาคม 2563 (เดิมมีจํานวนผู้บาดเจ็บที่ได้รายงานต่อคณะรัฐมนตรี 57 ราย แต่ต่อมาคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ ประจําจังหวัด ได้พิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บที่แจ้งเหตุภายหลังเพิ่มเติม 11 ราย รวมเป็น 68 ราย) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จ่ายเงินช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ว่าด้วยการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้แก่ ญาติของผู้เสียชีวิต 27 ราย และผู้บาดเจ็บ 57 ราย และอยู่ระหว่างนําเสนอคณะกรรมการตามกฎหมายพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้บาดเจ็บ 11 ราย ภายในเดือนมีนาคม 2563 สํานักนายกรัฐมนตรี (นร.) จ่ายเงินช่วยเหลือจากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ให้แก่ญาติของผู้เสียชีวิต 27 ราย และผู้บาดเจ็บ 57 ราย ส่วนทุนการศึกษารายปีต่อเนื่องและเงินยังชีพรายเดือนของบุตรเจ้าหน้าที่ 1 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ตช. เพื่อส่งเรื่องให้ นร. ดําเนินการต่อไป กระทรวง การคลัง (กค.) กรณีเงินช่วยพิเศษ บําเหน็จตกทอด บํานาญพิเศษรายเดือน ปูนเหน็จ เลื่อนเงินเดือน กรณีพิเศษ 7 ขั้น ของเจ้าหน้าที่ตํารวจที่เสียชีวิต 3 ราย และพลทหาร 1 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ตช. และ กห. เพื่อส่งเรื่องให้ กค. ดําเนินการต่อไป สําหรับประชาชนที่เป็นพลเมืองดี 2 ราย กค. อยู่ระหว่างนําเสนอคกก.ฯ ตามกฎหมายพิจารณา ส่วนกรณีเงินเพิ่มพิเศษสําหรับการปราบปรามผู้กระทําความผิดสําหรับเจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ 11 ราย อยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อส่งเรื่องให้ กค. ดําเนินการต่อไป กระทรวงแรงงาน (รง.) จ่ายเงินชดเชยจากกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนให้แก่ญาติของผู้เสียชีวิตที่เป็นสมาชิกครบ 11 รายแล้ว ยกเว้นรายการเงินบําเหน็จชราภาพของสมาชิก 1 ราย ที่ต้องรอคําสั่งศาลให้เป็นทายาทตามกฎหมายเพื่อรับเงินช่วยเหลือต่อไป สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ตช.) การบรรจุทายาทตามความสมัครใจ มีผู้ยื่นใช้สิทธิแล้ว 2 ราย ได้แก่ ทายาทของ พ.ต.ท. ชัชวาลย์ แท่งทอง และ พ.ต.ท. เพชรรัตน์ กําจัดภัย กระทรวง กลาโหม (กห.) จ่ายสินไหมทดแทนจากประกันชีวิตให้แก่ญาติของพลทหาร เมธา เลิศศิริ ที่เสียชีวิต เรียบร้อยแล้ว สํานักงานคณะ กรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกัน ภัย(คปภ.) กรณีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ : ผู้เสียชีวิต จํานวน 30 ราย (รวมคู่กรณี) ตรวจสอบแล้วพบว่า มีการทําประกันภัยไว้ทั้งสิ้น 22 ราย ซึ่งขณะนี้ได้มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนครบถ้วนแล้ว รวมเป็นเงินจํานวน 32,143,134.90 บาท สําหรับผู้บาดเจ็บที่มีการทําประกันภัยไว้จะได้รับการดูแลและช่วยเหลือตามสัญญาประกันภัยต่อไป กรณีทรัพย์สินเสียหาย : รถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย จํานวน 9 คัน อยู่ระหว่างการจัดซ่อม 8 คัน และมีการคืนทุนประกันภัยรถยนต์ 1 คัน จํานวน 220,000 บาท กรณีศูนย์การค้า Terminal 21 บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) สํารวจความเสียหายแล้ว มีค่าสินไหมทดแทนกรณีทรัพย์สินเสียหาย จํานวน 8,000,000 บาท และค่าชดเชยกรณีธุรกิจหยุดชะงัก 3,000,000 บาท ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างรอเอกสารจากผู้เอาประกันภัย ส่วนกรณีผู้ประกอบการ บริษัท ฟู้ดแลนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต จํากัด ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้ว จํานวน 4,000,000 บาท 2. เงินบริจาคและเงินช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ 2.1 เงินประทานจากสมเด็จพระอริยวงษาคตญาณสมเด็จพระสังฆราชฯ ได้จ่ายผ่านสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้แก่ญาติของผู้เสียชีวิต 27 ราย และผู้บาดเจ็บ 57 ราย ครบถ้วนแล้ว 2.2 เงินบริจาคผ่านจังหวัดนครราชสีมา จ่ายให้แก่ญาติของผู้เสียชีวิต 27 ราย และผู้บาดเจ็บ 68 ราย ครบถ้วนแล้ว (จํานวนผู้บาดเจ็บอ้างอิงจาก มติ คกก.ฯ) 2.3 เงินช่วยเหลือจากสวัสดิการหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ เช่น ฌาปนกิจสงเคราะห์ กองทุน และมูลนิธิต่าง ๆ ของ ตช. ตํารวจสอบสวนกลาง ตํารวจนครบาล ตํารวจภูธรภาค 3 ตํารวจภูธรจังหวัด ตํารวจภูธรเมือง และสมาคมแม่บ้านตํารวจ คงเหลือบางรายการที่อยู่ระหว่างติดตามจ่ายให้ญาติของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บให้ครบถ้วน 2.4 เงินช่วยเหลือจากรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มหาวิทยาลัยศรีปทุม บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โปรคเกอร์ จํากัด บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จํากัด (มหาชน) และนายสุชัย พรชัยศักดิ์อุดม และครอบครัว คงเหลือบางรายการที่อยู่ระหว่างติดตามจ่ายให้ญาติของเจ้าหน้าที่และประชาชนที่เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บให้ครบถ้วน 3. การรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ 69 ราย (รวมคู่กรณี 1 ราย) กลับบ้านแล้ว 64 ราย และรักษาตัวในโรงพยาบาล 5 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยในวิกฤต (ICU) 3 ราย และผู้ป่วยในสามัญ 2 ราย 4. การฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ ฯ มีการประเมินสภาพจิตใจ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ กลุ่มผู้อยู่ในเหตุการณ์และกลุ่มประชาชนทั่วไป สรุปรวมมีผู้ได้รับการประเมิน 2,872 ราย มีผลต้องติดตาม 440 ราย คิดเป็นร้อย 15.32 12. เรื่อง รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจําปี พ.ศ. 2561 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจําปี พ.ศ. 2561 ตามที่สํานักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป และ ให้สํานักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นและข้อสังเกตของสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และสํานักงาน ก.พ. ไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของเรื่อง ก.พ.ร. ได้ดําเนินการพัฒนาและจัดระบบราชการและงานของรัฐอย่างอื่นเพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานอื่นของรัฐสามารถนํานโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมียุทธศาสตร์ชาติ และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556- พ.ศ. 2561) เป็นกรอบทิศทางในการดําเนินการรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจําปี พ.ศ. 2561 ซึ่งมีเนื้อหาแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1. ส่วนที่ 1 การพัฒนาระบบราชการไทย (ช่วงปี พ.ศ. 2556 – พ.ศ. 2561) ประกอบด้วย ผลการพัฒนาระบบราชการไทยที่สํานักงาน ก.พ.ร. ได้ผลักดันและส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบราชการไทยสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ การยกระดับองค์การสู่ความเป็นเลิศ การพัฒนาอย่างยั่งยืนและการก้าวสู่สากล โดยมีผลการพัฒนาระบบราชการที่สําคัญ ดังนี้ 1.1 ด้านการยกระดับองค์การสู่ความเป็นเลิศ มีผลการดําเนินงานที่สําคัญ 1.1.1 การสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน ดังนี้ (1) การจัดตั้งศูนย์บริการร่วมในห้างสรรพสินค้า (Government Service Point) เช่น กรุงเทพมหานคร สํานักงานประกันสังคม กรมการขนส่งทางบกเพื่อจัดเจ้าหน้าที่และนํางานมาบริการแก่ประชาชนในศูนย์การค้าต่าง ๆ เช่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ฯลฯ (2) การพัฒนาระบบการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz Portal) (3) ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมภาครัฐ หรือ (Government Innovation Lab) เช่น การแก้ปัญหาระบบการรอคิวตรวจรักษาในโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐบาลได้นํา Application และตู้ Kiosk มาใช้ในการจัดการระบบคิวต่อเนื่อง (4) การเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศ (Doing Business) การปรับปรุงบทบาทภารกิจ และโครงสร้างส่วนราชการของหน่วยงานภาครัฐ การส่งเสริมและยกระดับการให้บริการประชาชนและ การประสานความร่วมมือระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น เป็นต้น 1.1.2 การพัฒนาองค์การให้มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย บุคลากรมีความเป็นมืออาชีพ ดังนี้ (1) การปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างส่วนราชการของหน่วยงานภาครัฐ (2) การพัฒนาระบบการประเมินผลการปฏิบัติราชการ (3) โครงการพัฒนานักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่เข้าสู่ระบบราชการ (4) โครงการส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 1.1.3 การวางระบบการบริหารราชการแบบบูรณาการ 1.2 ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีผลการดําเนินงานที่สําคัญ ได้แก่ การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินแบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคประชาชนและภาคประชาสังคม 1.3 ด้านการก้าวสู่สากล โดยการสร้างความพร้อมของระบบราชการไทยเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนโดยได้ดําเนินกิจกรรมร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และดําเนินโครงการส่งเสริมธรรมาภิบาลภาครัฐเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จนเกิดเป็นเครือข่ายธรรมาภิบาลอาเซียน (ASEAN Governance Network) ขึ้น นอกจากกรอบแนวทางในการดําเนินการตามข้อ 1 แล้ว สํานักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า การพัฒนาระบบราชการไทยในอนาคตควรมีทิศทางการพัฒนาระบบราชการไทย ดังนี้ ภาครัฐที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ตอบสนองความต้องการและให้บริการอย่าง สะดวก รวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรมัฐ ภาครัฐที่บริหารงานแบบบูรณาการโดยเชื่อมโยงการพัฒนาในทุกระดับทุกภาคส่วน ทุกพื้นที่ และมีระบบติดตามประเมินผลที่สะท้อนการบรรลุเป้าหมายในทุกระดับ ภาครัฐที่มีขนาดเหมาะสมกับภารกิจ ส่งเสริมให้ประชาชนและทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ในการพัฒนาประเทศ ภาครัฐที่มีวิธีการทํางานที่ทันสมัย ทันต่อการเปลี่ยนแปลง สามารถรองรับกับ สภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานที่มีความหลากหลายซับซ้อนมากขึ้น โดยการนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ ภาครัฐที่มีบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ เน้นการสร้างและพัฒนาบุคลากรภาครัฐให้มี ความรู้ความสามารถในการทํางานเพื่อประเทศชาติและประชาชน 2. ส่วนที่ 2 รายงานการดําเนินงานของสํานักงาน ก.พ.ร. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ประกอบด้วย 2.1 ข้อมูลพื้นฐานของสํานักงาน ก.พ.ร. ดังนี้ (1) วิสัยทัศน์ และ ประเด็นยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ (2) โครงสร้างและอัตรากําลัง สํานักงาน ก.พ.ร. แบ่งส่วนราชการออกเป็น 9 กอง 1 สํานัก 2 กลุ่ม 1 ศูนย์ เป็นต้น 2.2 ผลการดําเนินงานที่จําแนกตามประเด็นยุทธศาสตร์ของสํานักงาน ก.พ.ร. รวมทั้ง ผลการประเมินตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติราชการของสํานักงาน ก.พ.ร. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ผลการดําเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี/มติคณะรัฐมนตรี ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 งบแสดงฐานะการเงิน ของสํานักงาน ก.พ.ร. และผลการดําเนินงานและงบแสดงฐานะการเงินของสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี สํานักงาน ก.พ.ร. ดังนี้ (1) การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชนของหน่วยงานภาครัฐ เช่น การดําเนินการตามพระราชบัญญัติการอํานวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 (2) การปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของหน่วยงานภาครัฐ และการพัฒนาองค์การให้มีขีดสมรรถนะสูง (3) การวางระบบบริหารราชการแบบบูรณาการ (4) การพัฒนาระบบบริหารจัดการกําลังคนและพัฒนาบุคลากรภาครัฐ (5) การต่อต้านการทุจริต ประพฤติมิชอบ (6) การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นต้น 13. เรื่อง การปรับการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอการปรับการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 โดยให้สถานศึกษาเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 จากวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะปรับวิธีการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่กําหนดไว้ในแต่ละระดับการศึกษา ของปีการศึกษา 2563 โดยกระทรวงศึกษาธิการจะได้ประสานงานอย่างใกล้ชิดกับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง ศธ. เสนอว่า 1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติในคราวประชุมเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 เห็นชอบมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันวิกฤตการณ์จากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ข้อ 2 ยับยั้งการระบาดภายในประเทศ ข้อ 2.4 งดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัย (สถาบันการศึกษา) โรงเรียน โรงเรียนนานาชาติ และสถาบันกวดวิชา หรือปรับวิธีการเรียนการสอนเป็นทางออนไลน์ ตั้งแต่วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 เป็นระยะเวลา 14 วัน และให้สถานศึกษาดําเนินการป้องกันโรคตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เมื่อสถานศึกษากลับมาเปิดสอนตามปกติ และข้อ 2.6 งดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้ายคนข้ามจังหวัดของหน่วยงานที่มีคนจํานวนมาก ได้แก่ ค่ายทหาร เรือนจํา โรงเรียน รวมถึงการจํากัดการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว หรือหากจําเป็นต้องเคลื่อนย้ายต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ของโรค เช่น การตรวจคัดกรองคนก่อนเคลื่อนย้าย 2. ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ. 2549 ข้อ 7 วรรคหนึ่ง ให้สถานศึกษาเปิดและปิดภาคเรียนตามปกติในรอบปีการศึกษาหนึ่งตามที่กําหนดไว้ดังต่อไปนี้ (1) ภาคเรียนที่หนึ่ง วันเปิดภาคเรียน วันที่ 16 พฤษภาคม วันปิดภาคเรียน วันที่ 11 ตุลาคม (2) ภาคเรียนที่สอง วันเปิดภาคเรียน วันที่ 1 พฤศจิกายน วันปิดภาคเรียน วันที่ 1 เมษายน ของปีถัดไป วรรคสอง สถานศึกษาใดประสงค์จะเปิดและปิดภาคเรียนแตกต่างไปจากที่กําหนดไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้ส่วนราชการเจ้าสังกัดเป็นผู้กําหนดตามที่เห็นสมควร ดังนั้น อาศัยอํานาจตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ. 2549 กระทรวงศึกษาธิการเห็นสมควรให้มีการเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง จากวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการเห็นว่าหากมีการเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่หนึ่งล่วงเลยกําหนดเวลาดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อการวางแผนการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2563 เป็นอย่างยิ่งและจะมีผลกระทบต่อไปถึงการเรียนการสอนในปีการศึกษาต่อ ๆ ไปด้วย โดยกระทรวงศึกษาธิการจะได้ประสานงานกับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ถึงความเหมาะสมในวิธีการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับนโยบายโดยรวมของประเทศต่อไป 3. กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศเรื่องให้สถานศึกษาในสังกัดและในกํากับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ประกาศ ณ วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2563 ให้สถานศึกษาทุกแห่งของรัฐและเอกชน ทั้งในระบบและนอกระบบ ซึ่งอยู่ในสังกัดและในกํากับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ตั้งแต่วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงในระหว่างที่สถานศึกษาต้องปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษดังกล่าว หากมีความจําเป็น ให้ส่วนราชการต้นสังกัดกําหนดแนวทางแก้ปัญหา ทั้งนี้ ให้สถานศึกษาจัดให้มีการเรียนการสอนด้วยการไม่ต้องเข้าชั้นเรียนโดยปรับการเรียนการสอนเป็นทางออนไลน์ 4. เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สามารถติดต่อโดยการแพร่กระจายละอองฝอยของเชื้อโรคเหมือนเชื้อกลุ่มไข้หวัด และการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง จึงติดต่อได้ง่ายและเป็นอันตรายอย่างมากต่อชีวิตประชาชน ประกอบกับในขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคทั้งยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง ทําให้มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น กิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนเป็นกลุ่ม หรือการรวมตัวกันของคนหมู่มาก มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวได้ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ผู้เรียน ครู ผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบการปรับการเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 5. เนื่องจากตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ให้มีผลตั้งแต่ วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 จนถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 และข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 1) มีคําแนะนําให้ประชาชนอยู่บ้าน โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป กลุ่มคนมีโรคประจําตัว เช่น เบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ โรคทางเดินหายใจ เด็กอายุไม่เกิน 5 ปี อันส่งผลกระทบต่อสถานศึกษาในกระบวนการการรับสมัคร การสอบคัดเลือก การจับฉลาก การประกาศผล การรายงานตัว และการมอบตัวที่ได้กําหนดวันไว้เดิมตามปฏิทินการรับนักเรียน นักศึกษาและผู้เรียนในปีการศึกษา 2563 ซึ่งกําหนดดําเนินการระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2563 โดยขณะนี้สถานศึกษายังไม่สามารถดําเนินการได้ตามกระบวนการข้างต้น ทําให้สถานศึกษาไม่สามารถเปิดภาคเรียนที่หนึ่ง ปีการศึกษา 2563 ในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ. 2549 14. เรื่อง มาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม คณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอดังนี้ 1. เห็นชอบกําหนดนโยบายมาตรการค่าไฟฟ้าฟรีกับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ (ประเภทที่ 1.1 ของการไฟฟ้านครหลวง และประเภทที่ 1.1.1 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) จาก 50 หน่วยต่อเดือนเป็น 90 หน่วยต่อเดือน โดยมอบหมายให้คณะกรรมการกํากับกิจการพลังงานดําเนินการโดยให้ใช้เงินเรียกคืนรายได้เพื่อให้การไฟฟ้า มีฐานะการเงินตามเกณฑ์ที่กําหนดมาเป็นแหล่งเงินในการสนับสนุนการดําเนินการ 2. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการชําระค่าไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ (ประเภทที่ 1.1 ของการไฟฟ้านครหลวง และประเภทที่ 1.1.1 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือนของแต่ละรอบบิลสําหรับใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจําเดือนเมษายน ถึงเดือนมิถุนายน 2563 โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ขยายระยะเวลาการชําระค่าไฟฟ้าให้การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโดยไม่มีเบี้ยปรับ สาระสําคัญของเรื่อง ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้เสนอมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ต่อคณะรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 ได้รับทราบมาตรการดังกล่าวแล้ว นั้น กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้ว เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจในหลายส่วนทั้งภาคครัวเรือน ธุรกิจ และอุตสาหกรรม โดยคาดว่าจะมีประชาชนจํานวนมากย้ายถิ่นฐานกลับไปยังภูมิลําเนา รวมถึงการทํางานภายในที่พักอาศัย (Work From Home) ทําให้การใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ใช้ไฟฟ้าที่เดิมเคยได้รับสิทธิค่าไฟฟ้าฟรี จํานวน 50 หน่วยไม่ต้องชําระค่าไฟฟ้า จะไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว เป็นผลให้มีภาระต้องชําระค่าไฟฟ้า ซึ่งในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มดังกล่าวอาจไม่สามารถชําระค่าไฟฟ้าได้ กระทรวงมหาดไทยจึงได้มีข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เพิ่มเติม ผลกระทบ/ประโยชน์ที่ได้รับ การดําเนินมาตรการดังกล่าวจะเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า เป็นวงเงิน ประมาณ 9,375 ล้านบาท ดังนี้ มาตรการ ระยะเวลา ผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น กับประชาชน จํานวนประชาชน ที่ได้รับประโยชน์ 1. ค่าไฟฟ้าฟรี 3 เดือน (เดือนเมษายน – มิถุนายน 2563) รวม 3,029 ล้านบาท (กฟน. 74 ล้านบาท กฟภ. 2,955 ล้านบาท) รวม 6.435 ล้านราย (กฟน. 205,272 ราย กฟภ. 6.23 ล้านราย) 2. ขยายระยะเวลา การชําระค่าไฟฟ้า 3 เดือน (เดือนเมษายน – มิถุนายน 2563) รวม 6,346 ล้านบาท กฟน. 301 ล้านบาท กฟภ. 6,045 ล้านบาท รวม 4.265 ล้านราย กฟน. 165,567 ราย กฟภ. 4.1 ล้านราย รวมทั้งสิ้น 9,375 ล้านบาท 15. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดําเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ห้วงวันที่ 31 มีนาคม-6 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดําเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ห้วงวันที่ 31 มีนาคม-6 เมษายน 2563 ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สาระสําคัญ กระทรวงวัฒนธรรมขอรายงานความคืบหน้าการดําเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ห้วงวันที่ 31 มีนาคม - 6 เมษายน 2563 ดังนี้ 1. จัดทําจดหมายเหตุ เพื่อบันทึกเหตุการณ์สําคัญของประเทศไทย : กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงวัฒนธรรมได้รวบรวมข้อมูล ข่าว และเหตุการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโรค ทั้งในรูปข้อมูลเอกสาร และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดครอบคลุมทั่วประเทศ ประกอบกับสถานการณ์ดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงได้วางแผนการดําเนินงานให้ครอบคลุมทุกจังหวัด เพื่อให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด โดยจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ และคณะทํางานรับผิดชอบดําเนินการ และจะรายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบอย่างต่อเนื่องต่อไป 2. ออกประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ลงวันที่ 1 เมษายน 2563 เข้มงวดให้มีการงด หรือเลื่อนกิจกรรมทางวัฒนธรรม ประเพณี พิธีทางศาสนาที่เป็นการรวมคนหมู่มากออกไปก่อนตามมาตรการของรัฐบาล และกรณีที่มีความจําเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องจัดงานได้กําหนดแนวทางการปฏิบัติที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้ขอความร่วมมือกรุงเทพมหานครและผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด รวมทั้งสถานีวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อมวลชนต่าง ๆ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ประกาศดังกล่าวไปยังประชาชนทั่วประเทศเพื่อนําไปใช้เป็นแนวปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง 3. บูรณาการความร่วมมือกับชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร ภาคีเครือข่าย และหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นกลไกสําคัญที่กระทรวงวัฒนธรรมใช้ขับเคลื่อนการทํางาน โดยส่งเสริมให้คนมีคุณธรรมตามหลักธรรมทางศาสนา น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจําวัน และมีวิถีทางวัฒนธรรมที่ดีงาม รวมทั้งส่งเสริมบทบาทของแกนนําบวร (บ้าน วัด โรงเรียน/ราชการ) ในการกระจายข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดูแลตนเอง และบุคคลในชุมชนเพื่อป้องกัน เฝ้าระวัง และควบคุมโรค ส่งเสริมให้คนในชุมชนมีความรัก ความสามัคคี มีน้ําใจ ช่วยเหลือ แบ่งปัน เอื้ออาทรกัน พึ่งพาอาศัยกัน อาทิ การแบ่งปันพืชผัก ผลไม้ อาหารการกิน หน้ากากผ้า แอลกอฮอล์เจล โดยมีผลการดําเนินงาน ดังนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 6 เมษายน 2563) 1) จัดทําองค์ความรู้และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น โดยเผยแพร่ผ่านวิทยุชุมชน 1,055 ครั้ง และออกอากาศรายการวิทยุทั้ง AM และ FM 296 ครั้ง รวม 1,351 ครั้ง รวมถึงได้มีการนําไปเผยแพร่ขยายผลผ่านช่องทางสื่อออนไลน์อีกด้วย 2) ผลิตสื่อเพื่อประชาสัมพันธ์ เรื่อง การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เผยแพร่ทางสถานีวิทยุ 84 ชิ้นงาน คลิปวีดิโอ 367 คลิป และอินโฟกราฟฟิค 522 ชิ้นงาน รวม 943 คลิป/ชิ้นงาน 3) สนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลิตหน้ากากอนามัยชนิดผ้า โดยแกนนําพลัง “บวร” ชุมชนคุณธรรมฯ ที่เข้าร่วมเป็นจิตอาสาขับเคลื่อนด้วยพลัง“บวร” 3,163 ชุมชน ผลิตหน้ากากแบบผ้าแล้วเสร็จ จํานวน 6,678,178 ชิ้น (โดยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จํานวน 6,051,923 ชิ้น และชุมชนคุณธรรมฯ ผลิตเองเพื่อแจกจ่ายในชุมชน 626,255 ชิ้น) จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ จํานวน 5 ล้านชิ้น 4) สนับสนุนสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดตั้งโรงทานช่วยเหลือผู้ประสบความยากลําบากในสถานการณ์โรคระบาดตามความจําเป็นในแต่ละพื้นที่ โดยดําเนินการไปแล้ว 40 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) 103 โรงทาน และนํามาตรการของกระทรวงสาธารณสุขมาใช้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อาทิ การเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ให้ทุกคนใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย มีจุดตรวจวัดอุณหภูมิและจุดบริการแอลกอฮอล์เจล เป็นต้น 5) สนับสนุนการดําเนินงานของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอื่น ๆ ในทุกมิติเพื่อการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในชุมชน โดยสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดได้รับมอบหมายภารกิจจากผู้ว่าราชการจังหวัด 1,126 เรื่อง อาทิ การดําเนินการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ในชุมชนฯ โดยอาศัยผู้นําชุมชนพลัง “บวร” เป็นสื่อกลางของชุมชน เป็นต้น 4. การรับรู้ข้อมูลข่าวสารตามแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่าง ๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สํารวจความคิดเห็นของประชาชน เครือข่ายชุมชนคุณธรรม และผู้นําพลัง “บวร” ในชุมชนคุณธรรมน้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขับเคลื่อนด้วยพลังบวร เรื่อง การรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระหว่างวันที่ 3-6 เมษายน 2563 ผู้ตอบแบบสํารวจ 18,397 คน เพศชาย ร้อยละ 55.84 และเพศหญิง ร้อยละ 44.16 ครอบคลุมทุกอาชีพ และทุกภูมิภาค พบว่า 1) มีการรับรู้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ร้อยละ 98.64 2) มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการป้องกันตัวเองจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 81.15 รองลงมาคือ ระดับ ปานกลาง ร้อยละ 18.06 และระดับน้อย ร้อยละ 0.79 ตามลําดับ 3) มีการรับรู้ข้อมูลหรือแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธี ทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (โควิด-19) ของกระทรวงวัฒนธรรม ร้อยละ 96.88 และเห็นว่า ข้อมูลข่าวสารมีประโยชน์อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 84.10 5. การทํางานนอกที่ตั้งสํานักงาน และเหลื่อมเวลาทํางานของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม รวมทั้งการดําเนินงานในส่วนที่ให้บริการประชาชน กระทรวงวัฒนธรรมได้มอบหมายให้ ทุกหน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ปรับลดจํานวนบุคลากรในการปฏิบัติงาน ณ ที่ตั้งสํานักงาน การเหลื่อมเวลาทํางาน การทํางานนอกที่ตั้งสํานักงาน (Work from Home) โดยมีการวางระบบการทํางาน การติดตามงาน และการจัดประชุมผ่านระบบออนไลน์ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนใช้ช่องทางออนไลน์ ในการใช้บริการแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมในช่วงเวลาที่ได้มีการประกาศปิดแหล่งเรียนรู้ดังกล่าว อาทิ บริการหนังสือออนไลน์ของสํานักหอสมุดแห่งชาติ บริการพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเสมือนจริง (Virtual Museum) และอุทยานประวัติศาสตร์เสมือนจริง (Virtual Historical Park) ทางเว็บไซต์ของกรมศิลปากร 6. แผนการที่กระทรวงวัฒนธรรมจะดําเนินการต่อไป 6.1 ระยะสั้น (ด้านการป้องกันและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)) (1) เผยแพร่แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาล ประเพณี พิธีทางศาสนา และพิธีการต่างๆ กรณีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตลอดจนให้นําพลัง “บวร” โดยชุมชนคุณธรรมฯ จํานวน 22,540 ชุมชน ร่วมกับสภาวัฒนธรรมจังหวัด อําเภอและตําบล ศิลปินพื้นบ้าน รวมถึงเครือข่ายทางวัฒนธรรม ให้การสนับสนุนการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพื่อสนับสนุนการดําเนินงานของผู้ว่าราชการจังหวัด (2) เตรียมการปฏิบัติภารกิจงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน กรณีมีผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พร้อมทั้งเตรียมอุปกรณ์ป้องกันและวิธีปฏิบัติเพื่อป้องกันการติดเชื้อของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี จํานวน 2,215 คน ประจําอยู่ในสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด ทุกจังหวัดทั่วประเทศ (3) ผลิตสื่อและองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถผลิตสื่ออินโฟกราฟฟิก (Infographic) ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 50 ชิ้น และผลิตคลิปวีดิโอไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 20 คลิป โดยเผยแพร่ไปยังสื่อต่าง ๆ ทุกช่องทางรวมทั้งสื่อสังคมออนไลน์ด้วย 6.2 ระยะยาว (ด้านการฟื้นฟูเยียวยา และช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)) (1) จัดทํามาตรการเยียวยาเพื่อนําเสนอรัฐบาลพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ภายใต้กฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงวัฒนธรรม อาทิ พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 (2) จัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสุข และกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมในชุมชนต่าง ๆ 16. เรื่อง ขออนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นเพื่อบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ภายในกรอบวงเงิน 801,066,000 บาท เพื่อดําเนินโครงการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประกอบด้วย (1) ค่าจัดซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์สําหรับกระจายให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยง จํานวน 770,400,000 บาท และ (2) ค่าบริหารจัดการและกระจายสินค้า จํานวน 30,666,000 บาท และทําความตกลงในรายละเอียดกับสํานักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป โดยให้กระทรวงพาณิชย์ดําเนินการจัดหาในราคาที่เหมาะสม เกิดความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชนเป็นสําคัญ และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยไม่ให้เกิดความซ้ําซ้อนกับค่าชดเชยส่วนต่างราคาหน้ากากอนามัยให้ผู้ผลิต ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 อีกทั้งกระทรวงพาณิชย์จะต้องพิจารณาความต้องการใช้และกําลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดได้เพียงพอและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนได้รับทราบและป้องกันการกักตุน โดยประสานงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อดําเนินการจัดสรรและกระจายหน้ากากอนามัยให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงตามลําดับความสําคัญอย่างเหมาะสม ทั่วถึง และเป็นธรรม ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญ โครงการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มีรายละเอียดดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ เพื่อบริหารจัดการหน้ากากอนามัยให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 ณ ทําเนียบรัฐบาล 2. วิธีดําเนินการ 2.1 การจัดซื้อหน้ากากอนามัย กระทรวงพาณิชย์จัดซื้อหน้ากากอนามัยโดยตรงจากโรงงานผู้ผลิตตามกําลังการผลิตที่มีอย่างเหมาะสม และให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด เป็นผู้จัดส่งหน้ากากอนามัยจากโรงงานผู้ผลิตไปให้กระทรวงมหาดไทยกระจายให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ทุกจังหวัดตามความเหมาะสม 2.2 การจัดสรร/การกระจาย กระทรวงมหาดไทยกระจายให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ทุกจังหวัดตามความเหมาะสม 3. ระยะเวลาดําเนินการ เดือนเมษายน – ตุลาคม 2563 17. เรื่อง ขออนุมัติอัตราข้าราชการตั้งใหม่ และมาตรการเพิ่มสิทธิประโยชน์อื่นสําหรับบุคลากรกระทรวงสาธารณสุข รองรับภาวะฉุกเฉินในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด 19 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการอัตราข้าราชการตั้งใหม่เพื่อบรรจุบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ปฏิบัติงานด่านหน้าในสถานการณ์ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด 19 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จํานวน 24 สายงาน รวมทั้งสิ้น 38,105 อัตรา และอัตราข้าราชการตั้งใหม่เพื่อบรรจุนักศึกษาผู้สําเร็จการศึกษาในปี 2563 จํานวน 5 สายงาน รวมทั้งสิ้น 7,579 อัตรา ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้คณะกรรมการกําหนดเป้าหมายและนโยบายกําลังคนภาครัฐ (คปร.) ไปพิจารณาในรายละเอียดซึ่งรวมถึงมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย สาระสําคัญ ตามที่ประเทศไทยได้มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 และกระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการวางแผนรับมือการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด 19 โดยยึดหลัก “ชีวิตและสุขภาพของประชาชนเป็นสําคัญ” ซึ่งมีความจําเป็นต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถของระบบบริการสุขภาพในเวลาจํากัด เพื่อรองรับการเร่งค้นหาตรวจคัดกรองวินิจฉัยและการเพิ่มขึ้นของจํานวนผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยจํานวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการรุนแรง ที่แม้จะมีการเพิ่มอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ หรือจํานวนเตียงผู้ป่วย แต่หากกําลังคนมีไม่เพียงพอต่อการให้บริการ จะไม่สามารถทําให้ผู้ป่วย และประชาชนมีความปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีอัตรากําลังอยู่เพียงร้อยละ 70 ของกรอบความต้องการ จึงประสบปัญหาความขาดแคลนรุนแรงมากขึ้นในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ดังนั้น เพื่อรองรับสถานการณ์การเพิ่มขึ้นของภาระงานจากการระบาดของโรค กระทรวงสาธารณสุขจึงมีภารกิจที่มีความจําเป็นเร่งด่วนอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในการเพิ่มขีดความสามารถด้านกําลังคนให้มีจํานวนเพียงพอ และมีสมรรถนะเหมาะสมในการตรวจคัดกรอง วินิจฉัยโรค การรักษาพยาบาล การควบคุมป้องกันการแพร่กระจายของโรค รวมทั้งการส่งเสริมฟื้นฟูสุขภาพของประชาชน ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มีการจ้างงานบุคลากรที่ให้บริการผู้ป่วยติดเชื้อโดยตรง และสายงานสนับสนุนงานตรวจรักษาวินิจฉัยคัดกรองที่ต้องสัมผัสกับเชื้อโรค ได้แก่ แพทย์ พยาบาลวิชาชีพ และสหวิชาชีพอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบริการด้านสาธารณสุข ในระบบการจ้างงานทางเลือก ซึ่งบุคลากรเหล่านี้เป็นผู้ที่ได้รับการฝึกอบรม และสั่งสมประสบการณ์การทํางานในสาขาวิชาชีพ เป็นกําลังหลักในการปฏิบัติงานด่านหน้าที่จะต้องทํางานเป็นเวรผลัดตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งเป็นกําลังหลักในการหมุนเวียนไปปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ซึ่งหลักฐานเชิงประจักษ์พบว่า บุคลากรในระบบการจ้างงานทางเลือกดังกล่าว มีอัตราการลาออกจากงานและอาจเป็นปัจจัยผลักให้บุคลากรกลุ่มนี้ลาออกในช่วงที่ประเทศประสบภาวะวิกฤตขาดแคลนกําลังคน กระทรวงสาธารณสุขจึงมีความจําเป็นเร่งด่วนที่จะต้องขออนุมัติตําแหน่งข้าราชการอัตราตั้งใหม่ เพื่อบรรจุบุคลากรดังกล่าวเป็นข้าราชการ รวมทั้งการสร้างขวัญกําลังใจแก่บุคลากรที่ปฏิบัติงานท่ามกลางความเสี่ยง มิฉะนั้นจะเกิดความเสียหายต่อระบบบริการสุขภาพและประชาชน ต่างประเทศ 18. เรื่อง ขอความเห็นชอบการให้สัตยาบันเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 (Convention on Road Traffic, 1968) โดยขอตั้งข้อสงวนตามนัยข้อ 54 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ ได้แก่ 1. ไทยจะไม่ผูกพันโดยข้อ 52 ของอนุสัญญาฯ เกี่ยวกับการยอมรับอํานาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ตามที่ไทยเคยมีคําแถลงเมื่อครั้งลงนามอนุสัญญาฯ ดังนี้ “The Kingdom of Thailand does not consider itself bound by the provisions of article 52 of the Convention on Road Traffic according to any dispute between two or more Contracting Parties which relates to the interpretation or application of the Convention may be referred, at the request of any one of the Parties, to the International Court of Justice.” 2. ไทยจะพิจารณาคําว่า “รถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก” (Moped) หมายถึง รถจักรยานยนต์ ดังนี้ “Pursuant to the provisions of article 3(5) and article 54 (2) of the Convention on Road Traffic, the Kingdom of Thailand shall treat mopeds as motorcycles for the purpose of the application of the Convention” และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดําเนินการยื่นสัตยาบันสารอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 ต่อเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (เลขาธิการ UN) ตามนัยข้อ 45 วรรค 2 ของอนุสัญญาฯ หลังจากคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ ตามข้อ 1.1 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ กรณีที่มีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไปแล้ว หากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมสามารถดําเนินการได้ โดยให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 สาระสําคัญของเรื่อง คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการให้สัตยาบันเพื่อเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 (Convention on Road Traffic, 1968) โดยไทยจะจัดทําแถลงการณ์เกี่ยวกับการตั้งข้อสงวนต่ออนุสัญญาฉบับนี้ตามนับข้อ 54 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ ได้แก่ (1) ไทยจะไม่ผูกพันตามข้อ 52 ของอนุสัญญาฯ เกี่ยวกับการยอมรับอํานาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ตามนัยข้อ 54 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ และ (2) การถือว่า “Mopeds” หมายถึง รถจักรยานยนต์ ตามที่ไทยเคยมีแถลงการณ์ไว้ในขณะที่ไทยได้ลงนามอนุสัญญาฯ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2511 ซึ่งเมื่อคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 แล้ว กระทรวงการต่างประเทศจะได้ดําเนินการยื่นสัตยาบันสารอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 ต่อเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ตามนัยข้อ 45 วรรค 2 ของอนุสัญญาฯ ต่อไป 2. อนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 พัฒนามาจากอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1949 (ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1949 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2505 และได้อนุวัติกฎหมายในประเทศ คือ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าวและมีผลบังคับใช้แล้ว) โดยอนุสัญญาทั้ง 2 ฉบับ มีหลักการสําคัญที่คล้ายคลึงกัน คือ เป็นเครื่องมือกฎหมายในการพัฒนากฎจราจรภายในประเทศภาคีอนุสัญญาให้สอดคล้องและมีมาตรฐานเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องความปลอดภัยทางถนน รวมถึงจะช่วยขจัดข้อจํากัดในเรื่องการยอมรับใบอนุญาตขับรถของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ออกตามอนุสัญญานี้ จึงถือเป็นการส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยวภายในประเทศด้วย นอกจากนี้ การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 เป็นการเพิ่มโอกาสที่ใบอนุญาตขับรถของประเทศไทยที่ออกตามอนุสัญญานี้จะได้รับการยอมรับและอํานวยความสะดวกให้แก่คนไทยให้สามารถนําไปใช้ขับขี่ในประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1968 ได้อีกกว่า 76 ประเทศ เช่น รัฐบาห์เรน สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน สมาพันธรัฐสวิส เป็นต้น [ปัจจุบันใบอนุญาตขับรถของประเทศไทยสามารถนําไปใช้ได้เฉพาะในประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1949 (97 ประเทศ) โดยรวมถึงบางประเทศที่แม้มิใช่ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1949 แต่มีการยอมรับใบอนุญาตขับรถที่ออกตามอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ค.ศ. 1949 เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สมาพันธรัฐสวิส เป็นต้น และประเทศภูมิภาคอาเซียนตามกรอบความตกลงอาเซียนเท่านั้น 19. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 คณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบ อนุมัติ และรับทราบ ดังนี้ 1. เห็นชอบในการเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 หรือพิธีสารลอนดอน ค.ศ. 1996 ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยไม่ต้องตั้งข้อสงวนตามข้อ 7 ของพิธีสารฯ ในเรื่องขอบเขตการใช้บังคับ 2. เห็นชอบพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 หรือพิธีสารลอนดอน ค.ศ. 1996 และภาคผนวกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีสารฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป 3. ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทําภาคยานุวัติสาร (Instrument of Accession) เพื่อเข้าเป็นภาคีพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 ภายหลังจากที่การเข้าเป็นภาคีพิธีสารฯ ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และร่างพระราชบัญญัติการป้องกันมลพิษทางทะเลเนื่องจากการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงทะเล พ.ศ. .... ได้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว 4. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการป้องกันมลพิษทางทะเลเนื่องจากการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงทะเล พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรเมื่อพิธีสาร ค.ศ. 1996 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลภาวะทางทะเลเนื่องจากการทิ้งวัสดุเหลือใช้และวัสดุอย่างอื่น ค.ศ. 1972 หรือพิธีสารลอนดอน ค.ศ. 1996 ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว 5. รับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ 6. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของพิธีสารและร่างพระราชบัญญัติ 1. พิธีสารลอนดอน ค.ศ. 1996 มีสาระสําคัญเป็นการกําหนดกลไกในการควบคุมการทิ้งเทลงในทะเลโดยห้ามทิ้งเทของเสียและวัสดุอย่างอื่นจากเรือ อากาศยาน แท่นหรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่มนุษย์สร้างขึ้นในทะเล ดังนี้ 1.1 กําหนดให้มีผลใช้บังคับบริเวณทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจจําเพาะและเขตไหล่ทวีป ยกเว้นบริเวณน่านน้ําภายใน อย่างไรก็ตาม รัฐภาคีจะพิจารณาการใช้บังคับบทบัญญัติในพิธีสารกับการทิ้งเทหรือเผาในเขตน่านน้ําภายใน หรือใช้ระบบการอนุญาตและมาตรการทางกฎหมายอื่นที่มีประสิทธิภาพ เพื่อควบคุมการทิ้งของเสียหรือวัสดุอย่างอื่นอย่างจงใจลงทะเลในเขตน่านน้ําภายในก็ได้ 1.2 กําหนดกิจกรรมที่ต้องมีการขออนุญาต ได้แก่ การทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงทะเล การเก็บวัสดุต่าง ๆ ใต้ทะเลหรือดินใต้ผิวดินในทะเล และการห้ามเผาวัสดุทุกชนิดและทุกประเภทในทะเล 1.3 กําหนดให้การทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงทะเล และการเก็บวัสดุต่าง ๆ ใต้ทะเลหรือดินใต้ผิวดินในทะเลจะต้องเป็นการทิ้งเทหรือเก็บวัสดุจากเรือหรืออากาศยานซึ่งไม่รวมถึงเรือและอากาศยานที่ได้รับความคุ้มกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ แท่นขุดเจาะ หรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่มนุษย์สร้างขึ้นในทะเล 1.4 กําหนดให้ของเสียหรือวัสดุอื่นที่สามารถทิ้งเทลงทะเลได้จะต้องได้รับอนุญาตก่อนทําการทิ้งเท จํานวน 8 ประเภท ได้แก่ วัสดุที่ขุดลอก กากตะกอนน้ําเสีย ของเสียจากอุตสาหกรรมประมงและวัสดุจากการปฏิบัติการอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ํา เรือหรือแท่นขุดเจาะหรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่มนุษย์สร้างขึ้นในทะเล วัสดุทางธรณีวิทยาหรืออนินทรีย์สารที่มีความเฉื่อย วัสดุอินทรีย์จากธรรมชาติ วัตถุขนาดใหญ่ และกระแสคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งนี้ วัสดุทั้ง 8 ประเภทข้างต้นจะต้องได้รับการอนุญาตก่อนทําการทิ้งเทโดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาอนุญาต ให้เป็นไปตามที่รัฐภาคีกําหนด 1.5 กําหนดให้รัฐภาคีต้องกําหนดหลักเกณฑ์ที่จะใช้ประกอบการพิจารณาประเมินการทิ้งเท ได้แก่ การป้องกันการเกิดของเสีย ทางเลือกในการจัดการของเสีย คุณสมบัติทางเคมี กายภาพและชีวภาพ รายการจัดชั้นสาร สถานที่ทิ้งเท และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น 1.6 กําหนดข้อยกเว้นให้รัฐภาคีสามารถออกใบอนุญาตให้สามารถทิ้งเทวัสดุหรือของเสียลงทะเลได้ หากเข้ากรณีต่อไปนี้ 1.6.1 มีเหตุจําเป็นต้องรักษาความปลอดภัยต่อชีวิตมนุษย์ เรือ อากาศยาน แท่นขุดเจาะหรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่มนุษย์สร้างขึ้นในทะเล ไม่ว่าด้วยเหตุสุดวิสัยจากความรุนแรงของสภาพอากาศ หรือด้วยเหตุสุดวิสัยใด ๆ ก็ตามที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ ภัยคุกคามต่อเรือ อากาศยาน แท่นขุดเจาะ หรือสิ่งก่อสร้างอื่นที่มนุษย์สร้างขึ้นในทะเล โดยที่การทิ้งเทหรือเผาของเสียหรือวัสดุในทะเลนั้นเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะป้องกันมิให้เกิดภัยคุกคามดังกล่าว รวมถึงป้องกันอันตรายต่อชีวิตมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตในทะเล 1.6.2 เหตุฉุกเฉินจําเป็นที่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพมนุษย์ ความปลอดภัยหรือสิ่งแวดล้อมทางทะเล อย่างไรก็ตาม รัฐภาคีอาจสละสิทธิ์ในการใช้ข้อยกเว้นข้างต้นได้ โดยให้แจ้ง ณ เวลาที่ได้มีการให้สัตยาบันหรือการภาคยานุวัติพิธีสารนี้ 2. ร่างพระราชบัญญัติการป้องกันมลพิษทางทะเลเนื่องจากการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงทะเล พ.ศ. .... เป็นร่างพระราชบัญญัติที่ออกเพื่อรองรับพันธกรณีตามพิธีสารลอนดอน ค.ศ. 1996 มีสาระสําคัญ ดังนี้ 2.1 กําหนดให้มีผลบังคับใช้บริเวณทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจจําเพาะและเขตไหล่ทวีป ยกเว้นบริเวณน่านน้ําภายใน 2.2 กําหนดรองรับเนื้อหาของพิธีสารลอนดอนฯ ในข้อ 1.2 – 1.6 โดยกําหนดให้วัสดุที่สามารถทิ้งเทในทะเลได้ จํานวน 8 ประเภท และกระบวนการและขั้นตอนในการพิจารณาอนุญาตให้ทิ้งเทวัสดุทั้ง 8 ประเภท ตามข้อ 1.4 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวง 2.3 กําหนดให้มี “คณะกรรมการป้องกันมลพิษทางทะเลเนื่องจากการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่น” โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน และอธิบดีกรมเจ้าท่าเป็นกรรมการและเลขานุการ มีอํานาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้ 2.3.1 กําหนดนโยบายและแผนป้องกันมลพิษทางทะเล เนื่องจากการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่น รวมทั้งกําหนดแนวทางและให้ข้อเสนอแนะแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกํากับดูแลการดําเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ 2.3.2 กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการประเมินการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่น รวมถึงกําหนดคุณสมบัติของบุคคลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องในการประเมินการทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นที่ต้องได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ ตลอดจนพิจารณาให้ความเห็นชอบในรายงานการประเมินการทิ้งเทของเสีย หรือวัสดุอื่น 2.3.3 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดแทนหรือตามที่คณะกรรมการมอบหมาย รวมทั้งปฏิบัติการอื่นใดตามที่พระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้เป็นอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการ หรือตามที่คณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย 2.4 กําหนดบทกําหนดโทษ ดังนี้ 2.4.1 มาตรการทางปกครอง กําหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจสั่งระงับการกระทําที่ก่อให้เกิดมลพิษจากการทิ้งเทหรือเผาของเสียหรือวัสดุอื่นลงในทะเล หรือกระทําการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง หรือเงื่อนไขที่กําหนดไว้ในใบอนุญาต 2.4.2 มาตรการทางแพ่ง กําหนดให้ศาลมีอํานาจกําหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเป็นการลงโทษทางแพ่งเพิ่มเติมขึ้นจากจํานวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกําหนดได้ตามที่เห็นสมควร หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ทิ้งเทหรือเผารู้อยู่แล้วว่าของเสียหรือวัสดุอื่นนั้นเป็นของที่ไม่ปลอดภัย หรือมิได้รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือเมื่อรู้ว่าไม่ปลอดภัยภายหลังทิ้งเทนั้นแล้วไม่ดําเนินการใด ๆ ตามสมควร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย โดยคํานึงถึงพฤติการณ์แห่งกรณี 2.4.3 กําหนดให้ผู้กระทําการฝ่าฝืนข้อห้ามทิ้งเทของเสียหรือวัสดุอื่นลงในทะเล ทิ้งเทหรือเผาของเสียหรือวัสดุอื่นลงในทะเลโดยไม่มีเหตุจําเป็นหรือฉุกเฉินซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายนี้ หรือกระทําการฝ่าฝืนใบอนุญาตต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและค่าใช้จ่ายในการขจัดมลพิษที่เกิดขึ้น 2.4.4 กําหนดให้ผู้กระทําฝ่าฝืนข้อห้ามเผาของเสียหรือวัสดุอื่นในทะเล ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท และต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และค่าใช้จ่ายในการขจัดมลพิษที่เกิดขึ้น 20. เรื่อง ผลการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐ เกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําผลการประชุมฯ ไปปฏิบัติและติดตามผลการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สาระสําคัญ รายงานผลการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีสมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 โดยนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนนครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2562 เพื่อเข้าร่วมการประชุมและกิจกรรมคู่ขนานต่างๆ ที่จัดขึ้นในโอกาสการครบรอบ 30 ปี ของความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ตลอดจนการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงบทบาทนําอย่างมีวิสัยทัศน์และสร้างสรรค์ ในฐานะประธานอาเซียนและประธานร่วมกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ส่งผลให้การประชุมฯ ดําเนินไปด้วยความเรียบร้อยในบรรยากาศที่เป็นมิตร และประสบความสําเร็จในการผลักดันผลลัพธ์ของการประชุมที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และช่วยส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองต่ออาเซียนและภูมิภาคโดยรวม ตลอดจนสามารถผลักดันประเด็นสําคัญภายใต้แนวคิดหลักของการเป็นประธานอาเซียนของไทย ทั้งในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน การเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยง การเสริมสร้างสถาปัตยกรรมของภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลางและความร่วมมือในสาขาต่างๆ ส่วนในด้านการหารือทวิภาคี ไทยสามารถผลักดันความร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีในสาขาที่เอื้อต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และคุณภาพชีวิตของประชาชน เช่น การค้าการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการน้ํา ความร่วมมือในสาขาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม การสนับสนุนผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การลงทุนในพื้นที่ EEC และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานไทยผิดกฎหมายในสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อให้ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 และการหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี เกิดผลเป็นรูปธรรม จึงมีประเด็นที่ต้องมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก รับทราบและจะติดตามความคืบหน้าและดําเนินการตามผลการประชุมฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยสํานักงานส่งเสริมการลงทุนได้ดําเนินกิจกรรมชักจูงการลงทุนจากสาธารณรัฐเกาหลีในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพให้มาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และยินดีให้ความร่วมมือกับสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศ ในการผลักดันและสนับสนุนการลงทุนของสาธารณรัฐเกาหลี ในพื้นที่ EEC และในพื้นที่เฉพาะสําหรับนักลงทุนสาธารณรัฐเกาหลีในนิคมอุตสาหกรรมต่อไป ทั้งนี้ ยังให้เพิ่มกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในประเด็นที่ 3 ความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ําของตารางติดตามผลการหารือฯ ด้วย ผลการประชุมดังกล่าวมีประเด็นที่จะต้องมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการด้วย ในประเด็นต่างๆ เช่น การส่งเสริมการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและรูปแบบใหม่ การร่วมมือเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ โดยเฉพาะในมิติของการส่งเสริมแรงงานของอาเซียนให้มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายของการปฏิวัติอุสาหกรรมครั้งที่ 4 (4IR) การพัฒนาเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียนอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น 21. เรื่อง ผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสครั้งสุดท้าย ประจําปี 2562 และผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค อย่างไม่เป็นทางการ ประจําปี 2563 คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคครั้งสุดท้าย ประจําปี 2562 และผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ ประจําปี 2563 และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจที่เกี่ยวเนื่องตามนัยตารางสรุปประเด็น ติดตามผลสําหรับเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562 ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในโอกาสแรก โดยพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมการสําหรับการเป็นเจ้าภาพของไทยในปี 2565 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สาระสําคัญของเรื่อง 1. กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคครั้งสุดท้าย ประจําปี 2562 และผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคอย่างไม่เป็นทางการ ประจําปี 2563 โดยอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคครั้งสุดท้าย ประจําปี 2562 เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2562 ณ สํานักงานเลขาธิการเอเปค สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายภายใต้วาระการเป็นประธานเอเปคของชีลี โดยที่ประชุมได้รับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562 จํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ (1) แผนลาเซเรนาเพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม (ค.ศ. 2019-2030) (เปลี่ยนชื่อจากแผนซันติอาโกเพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม) (2) แผนเอเปคว่าด้วยขยะทะเล และ (3) แผนเอเปคว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และได้เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค อย่างไม่เป็นทางการ (Informal Senior Officials’ Meeting : ISOM) ประจําปี 2563 ระหว่างวันที่ 10-11 ธันวาคม 2562 ณ เมืองลังกาวี มาเลเซีย เพื่อหารือเกี่ยวกับ (1) หัวข้อหลักและประเด็นสําคัญของการประชุมเอเปค ประจําปี 2563 โดยมาเลเซียได้นําเสนอหัวข้อหลักของการประชุมเอเปค ประจําปี 2563 คือ “การใช้ประโยชน์สูงสุดจากศักยภาพมนุษย์เพื่ออนาคตที่รุ่งเรืองร่วมกัน” (2) วิสัยทัศน์เอเปคหลังปี 2563 ซึ่งมาเลเซียได้ยกโครงร่างวิสัยทัศน์เอเปคหลังปี 2563 แบ่งเป็น 4 เสาหลัก ได้แก่ ความยั่งยืนและครอบคลุม การพัฒนาศักยภาพมนุษย์ การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยี และการส่งเสริมการรวมกลุ่มเศรษฐกิจภูมิภาค และ (3) ปฏิทินการดําเนินงานของเอเปค ประจําปี 2563 โดยมาเลเซียกําหนดจะจัดการประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปค ระหว่างวาที่ 11-12 พฤศจิกายน 2563 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และการประชุมระดับรัฐมนตรีอีก 5 สาขา ได้แก่ (1) การประชุมรัฐมนตรีการค้า (2) การประชุมรัฐมนตรีด้านการท่องเที่ยว (3) การประชุมรัฐมนตรีด้านการปฏิรูปโครงสร้าง (4) การประชุมรัฐมนตรีการคลัง และ (5) การประชุมรัฐมนตรีเอเปค 2. เพื่อให้มีการติดตามผลจากเอกสารผลลัพธ์การประชุมเอเปค ประจําปี 2562 และมีการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง จึงมีประเด็นที่ต้องมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นําไปติดตามและดําเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ประเทศไทยควรเริ่มกระบวนการหารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกําหนดหัวข้อหลักและประเด็นสําคัญของไทยในการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ปี 2565 รวมถึงตั้งเป้าหมายที่จะนําไปสู่ผลลัพธ์ในโอกาสแรก รวมทั้ง ควรทํางานร่วมกับประเทศมาเลเซียและประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ปี 2564 อย่างใกล้ชิด แต่งตั้ง 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายเฉลิมพงษ์ สุคนธผล ผู้อํานวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอแต่งตั้ง นางสาวดารณี ลิขิตวรศักดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่ง รองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง 24. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นายมนตรี เนรกัณฐี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ แทนผู้ที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2563 เป็นต้นไป โดยให้มีวาระการดํารงตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ซึ่งตนแทน 25. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม รวม 6 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดํารงตําแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้ 1. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ประธานกรรมการ 2. นางสาวชุติมา บุณยประภัศร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3. ศาสตราจารย์ สมคิด เลิศไพฑูรย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4. ศาสตราจารย์ รณชัย คงสกนธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 5. นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6. นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2563 เป็นต้นไป 26. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอการแต่งตั้งและกําหนดเงินเดือนให้ นายนิรุฒ มณีพันธ์ ดํารงตําแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเงินเดือน 390,000 บาท รวมทั้งค่าตอบแทนพิเศษประจําปี และสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้รับจ้างจะได้รับตามที่กระทรวงการคลังเห็นชอบแล้ว 27. เรื่อง การโอนข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอรับโอน นายดนัย มู่สา รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มาแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง เงินประจําตําแหน่ง 21,000 บาท) สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักนายกรัฐมนตรี ตามกรอบอัตรากําลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 เรื่อง การยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ บางฉบับที่หมดความจําเป็น ลงวันที่ 9 กรฎาคม พุทธศักราช 2562 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป โดยผู้มีอํานาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว .............. (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28560
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2558 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผมคิดว่าหลายท่านคงได้เห็นข่าว การที่มีพี่น้องประชาชนจํานวนมาก ไปเข้าแถวรอรับเสื้อและเข็มกลัดพระราชทาน เพื่อจะเตรียมการ ในการเข้าร่วมกิจกรรม “Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่” ก็เป็นที่น่ายินดี คนจํานวนมากมายที่ไปเข้าแถวรอคอย ตั้งแต่ตี 1 ตี 2 จนกระทั่งบางทีก็ถึงบ่าย เพราะฉะนั้นก็จะแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีที่มีต่อ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แล้วร่วมกิจกรรมของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาส “วันแม่ของแผ่นดิน” แล้วก็แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของปวงชนชาวไทยของเราด้วย ก็อย่าลืมเตรียมร่างกาย อุปกรณ์ ในเรื่องของความปลอดภัย ศึกษากติกา มารยาทในการปั่นจักรยานด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ท่านทรงเป็นห่วงมากในเรื่องนี้ เรื่องความปลอดภัยของพวกเราทุกคนจะได้มีความสุขกัน และก็ในวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม ที่กําลังจะมาถึงนี้ทุกคนก็คงจะได้ร่วมกิจกรรมที่ว่านั้นด้วยความสุข เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ได้มีการออกรายงานประจําปีของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ในเรื่อง “สถานการณ์การค้ามนุษย์” ที่เรียกว่า TIP Report ประจําปี 2558 ซึ่งรัฐบาลได้ติดตามและรับทราบผลก่อนหน้านี้แล้ว เราก็ไม่รู้สึกท้อ ไม่ผิดหวังใด ๆ เราต้องมีความหวัง อย่าไปผิดหวังในเรื่องใดทั้งสิ้น เป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับในกติกาของสากล รัฐบาลไทยก็จะเดินหน้าต่อไป ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เพราะว่าเราก็ต้องสงสารคนเหล่านี้ที่ถูกหลอกลวงที่ถูกนํามาใช้ประโยชน์ มีผู้ได้รับผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจะต้องถูกดําเนินคดีทั้งหมด รัฐบาลนี้ถือว่าเป็น “วาระแห่งชาติ” เราต้องมีหน้าที่ต่อประชาชนทั่วไปทั้งโลก ไม่เฉพาะคนไทยด้วยกันเท่านั้นเอง เราก็พร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศ ทุกองค์กร ในการที่จะมีการปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยให้ได้ แล้วก็สนับสนุนในเรื่องของการต่อต้านแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในอาเซียนทั้งหมดด้วย ในฐานะที่เราเป็นประเทศอาเซียน ด้วยกัน เพราะวันนี้เราว่าบ้านเมืองเรานั้น มีปัญหาหลายอย่างที่ต้องแก้ไข เพราะฉะนั้นใครจะมาว่าเราอย่างไรก็ตาม เราก็อย่าท้อแท้ เราก็ต้องยึดมั่นในเจตนาของเราในสิ่งที่เราต้องทําให้เพื่อประเทศไทย และเพื่อให้สังคมไทยนั้นปลอดภัย แล้วก็ไม่เสียชื่อเสียงของต่างประเทศด้วย เรื่องความเข้าใจนั้นเป็นเรื่องที่ยาก ที่จะต้องอธิบายกัน แต่ถ้าคนไทยด้วยกัน ฟังแล้วก็คิดใคร่ครวญให้ดี การที่เราจะทําอะไรให้ใครเขายอมรับได้ ก็ต้องพิสูจน์ทราบให้เขาเห็นให้ได้ก่อน เขาจะได้เข้าใจเรา การจัดลําดับของเราใน “Tier 3” เราก็ได้รับมาแล้ว ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น วันนี้เราก็ทําอะไรหลายอย่างที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะฉะนั้น การที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้กําหนดมาแล้ว ก็เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เราก็ทําของเรา เรารู้อยู่แล้วว่าดีขึ้น หรือไม่ดีขึ้นอย่างไร เราไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความพยายามในการแก้ปัญหา แต่เพียงแต่ว่าผลการดําเนินการนั้นไม่สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ํา ในช่วงที่เขามาดู อย่าลืมว่าเขามาดูในช่วงต้น ๆ ที่เราเพิ่งแก้ไขไป วันนี้เราแก้ไขมาหลายเดือนแล้ว แล้วก็ถ้าเลยไปอีกก็ต้องดีขึ้น วันนี้ก็ชัดเจนขึ้นหลายอย่าง การลงโทษเจ้าหน้าที่ การลงโทษผู้เกี่ยวข้อง 100 กว่าราย ลองไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ประเทศอื่น ๆ เขาน้อยกว่าเรามาก คดีความก็นําเข้าสู่ขบวนการพิจารณา วันนี้เราต้องแก้ไขให้ได้ทั้งระบบโดยเร็ว เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเรามีความพยายามอย่างชัดเจนแล้ว วันหน้านั้น เราก็จะได้มีผลงานปรากฏออกมา แล้วการยกระดับขึ้นมาเป็น “Tier 2” ได้ในอนาคตโดยเร็ว ในส่วนของปัญหาที่มีซับซ้อนกันอยู่ วันนี้หลายเรื่องด้วยกัน ทั้งค้ามนุษย์ ICAO เหล่านี้ แล้วก็ IUU ก็เช่นเดียวกัน ปัญหาเดียวกัน เพราะฉะนั้น เขาจะตัดสินอย่างไรก็เรื่องของเขา เราก็ต้องทําของเราให้ดีที่สุดแล้วกัน เพื่อคนไทย เพื่อทรัพยากรไทย เพื่อสิทธิมนุษยชน ดูแลทุกคนในโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาเซียนด้วยกัน ที่มีผลกระทบโดยรวมทั้งสิ้น ใครจะว่าเราก็แก้ไข ใครชมเราเราก็ดีใจชื่นใจ แล้วก็เก็บไว้เงียบ ๆ เพราะปัญหาหลายอย่างทับซ้อนกันอยู่ เรารู้ตัวเองเราดีอยู่แล้ว ก็ขอความร่วมมือ ความร่วมแรงร่วมใจจากพี่น้องประชาชน คนไทยทุกคน ก็อย่าพูดกันถึงเรื่องนี้อีกเลย เป็นหน้าที่ของรัฐบาล แล้วก็ส่วนที่เกี่ยวข้องต้องแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ประกอบการ รวมทั้งแรงงานด้วย ก็อย่าตกเป็นเหยื่อเขา ก็ต้องซื่อสัตย์ต่อกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ใกล้ตัวเรามาก ประเทศเรามีผลกระทบหลายอย่าง การค้า การลงทุนต่าง ๆ ต้องทําให้สิ่งเหล่านี้หายไปให้ได้จากสังคมไทย ก็ขอเน้นย้ําเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ว่ารัฐบาลไทยมุ่งมั่นต่อไปทุกเรื่อง การต่อต้านการค้ามนุษย์ IUU, ICAO อะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ที่มีปัญหาทับซ้อนมายาวนานที่ผ่านมาจากหลาย ๆ รัฐบาลที่ผ่านมา รัฐบาลนี้จะจริงจังทุกเรื่อง ให้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรมของโลก และในเรื่องของการรักษาความมั่นคงของประเทศด้วย ลดบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนทั้งคนไทยและคนอาเซียนทั้งหมด ก็ขอร้องให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ต้องเข้าใจเรา เรากําลังแก้ปัญหาอยู่ แล้วก็มีการขยายความร่วมมือกับนานาประเทศด้วย องค์การระหว่างประเทศ ชี้แจง ทําความเข้าใจ ส่งหลักฐาน ผลการดําเนินงานให้อย่างต่อเนื่อง ในส่วนที่รัฐบาลให้ความเร่งด่วนอีกอันหนึ่งก็คือ การแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ วันนี้เราจําเป็นต้องวางรากฐานการสร้างความเข้มแข็งในภาคเศรษฐกิจ แล้วก็เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคตให้ได้ ทั้งนี้ ก็จะทําให้ประเทศไทยนั้น ซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมมายาวนานนั้น แล้วเราก็ต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นสําคัญในเรื่องของรายได้ที่เข้ามาสู่รัฐ เพราะฉะนั้น เราต้องแสวงประโยชน์จาก “ภูมิรัฐศาสตร์” ที่เรามีอยู่แล้วเดิมในการเชื่อมโยง ในการจะสร้างผลประโยชน์ร่วมกันของไทยและของมิตรประเทศ เข้ากับภูมิภาคหลาย ๆ ภูมิภาคด้วยกัน ทิศทางเดียวกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้วย เราก็ต้องหันมามองตัวเองก่อนว่าจะทําอย่างไรให้ถึงจุดนั้นได้ ก็ต้องทําความเข้าใจ แล้วก็จัดระบบ ระเบียบต่าง ๆ ให้ได้ กฎหมาย พันธกรณี ขีดความสามารถของเราเอง เราก็มุ่งเน้นการลงทุนโดยเอกชนไทยก่อน ต่างประเทศเราก็มาเสริมให้ แต่จําเป็น ถ้าเราไม่นําต่างประเทศมาเลยก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักอยู่แล้ว แล้วก็ประชาชนโดยรวม ในการแข่งขันในเรื่องทางด้านเศรษฐกิจนี้ วันนี้ถ้าจะสังเกตดูจะเห็นว่าทุกประเทศ เขาปรับรูปแบบทางด้านธุรกิจใหม่แล้ว เป็นเศรษฐกิจแนวใหม่ คือไม่พึ่งพากิจการที่มีรายได้อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เพียงอย่างเดียว เช่น ไปพึ่งการส่งออกอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องไปดูในคลัสเตอร์อื่น ๆ ด้วย การท่องเที่ยว การลงทุนในเรื่องของการขนส่งขั้นพื้นฐานอะไรต่าง ๆ ที่เราต้องเชื่อมโยงทั้งหมด จะทําให้ทุกคนเพิ่มการลงทุนมา เมื่อลงทุนมาก็มีภาษี มีผลประโยชน์ที่เป็นธุรกิจต่อเนื่อง ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันหมด เรามีศักยภาพหลายอย่างเป็นภูมิรัฐศาสตร์ตรงกลาง เรามีเส้นทางการคมนาคมที่ถือว่าดีมากในอาเซียนในวันนี้ตรงกลาง แล้วเรากําลังพัฒนาไปสู่ความทันสมัยอีกด้วย รถไฟ รถไฟฟ้าอะไรก็แล้วแต่ นอกจากนั้นแล้ว เรามีศักยภาพหลายอย่าง เรื่องผลิตผลทางการเกษตร เรื่องการรักษาพยาบาล เรื่องการท่องเที่ยว เรื่องการอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับเรื่องเครื่องสําอาง เกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร แล้วก็การบริการต่าง ๆ เพราะฉะนั้นเหล่านี้ ต้องนํามาหาว่าจะทํากันอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีรายได้เข้าประเทศให้มาก ๆ จะได้ไปลด ในกรณีที่เศรษฐกิจโลก มีปัญหา ทําให้รายได้เราตกต่ํา ถ้าเราพึ่งการส่งออกอย่างเดียว แล้วก็ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเกษตรกรรมด้วย มีปัญหาหมด เพราฉะนั้น เราได้ตั้งคณะทํางานแล้ว คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เรียกว่า กพข. ก็ได้หารือร่วมกับภาคเอกชน กําหนดแนวทางในการดําเนินงาน เป็นแผนปฏิบัติการ 6 ด้าน คือ 1. ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค เน้นการแสวงหาพันธมิตรและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการสร้างความสอดคล้องในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 2. ก็คือด้านการพัฒนา คลัสเตอร์ ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่ผมกล่าวไปแล้วเมื่อสักครู่ เช่น ภาคการเกษตร ท่องเที่ยว การบิน การรักษาพยาบาล นํามาเชื่อมโยงกัน และผลักดันให้เกิดการทํางานร่วมกัน ในระดับท้องถิ่น ประเทศ ภูมิภาคให้เกื้อกูลต่อกัน 3. คือการพัฒนาเชิงศักยภาพ ประกอบด้วยการจัดทําศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Center) เพื่อจะให้มีการพัฒนาการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างทั่วถึง และส่งเสริมการนําไปใช้ประโยชน์ ในด้านการค้า การลงทุน อุตสาหกรรม การส่งเสริมประสิทธิภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการบริหารจัดการขยะมูลฝอย และการวิจัยและพัฒนา ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา เราอยากให้มีการจัดตั้ง “ศูนย์วิจัย” ซึ่งมีทั้งในส่วนของสถาบันการศึกษา และในส่วนของ “ศูนย์ส่งเสริมการลงทุน” ภาคเอกชน ร่วมกับสถานศึกษาในปัจจุบัน หรือของรัฐอยู่แล้วในปัจจุบันนี้ด้วย จะได้ใช้เงินที่ไม่ซ้ําซ้อนกัน แล้วก็สามารถที่จะบังคับวิถีได้ว่าเราจะเดินหน้าประเทศไปอย่างไร วิจัยเรื่องอะไร แล้วนําสู่การผลิตในเรื่องอะไร ให้ชัดเจนขึ้น 4. คือในเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เราต้องปฏิรูปการศึกษาให้ผลิตคนให้ตรงกับความต้องของตลาดแรงงาน รวมทั้ง การพัฒนาฝีมือแรงงานทั้งด้านทักษะและวิชาชีพ รวมความถึงด้านภาษาอังกฤษ ภาษาเพื่อนบ้านหรือภาษาของประเทศที่มาลงทุนในบ้านเราที่มีหลายประเทศ หลายภาษาด้วยกัน เพื่อจะรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานในปีหน้านี้ในการลงทุนของประชาคมอาเซียนด้วย กระทรวงศึกษาธิการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วางรากฐานการปฏิรูปและการศึกษาของประเทศไว้แล้ว ก็คือใช้คําว่า เน้นการ “สร้างคนดี มีคุณธรรม” คนดีนี้บางทีก็ตอนนี้กําลังไม่ชัดเจน จะดีอย่างไรอีก เอาง่าย ๆ มีคุณธรรมแล้วกัน รู้อะไรดีไม่ดีถึงจะเป็นคนดี ถ้าเป็นคนดีแล้วไม่รู้อะไรดี ไม่ดี ก็คงไม่ใช่ เพราะฉะนั้นผมเลยให้เติมคําว่า มีคุณธรรมเข้าไปด้วย ดีก็ทํา ไม่ดีก็อย่าทําแล้วก็ห้ามคนอื่นเขาไม่ให้ทําในสิ่งที่ไม่ดีด้วย 5. ด้านการพัฒนาประสิทธิภาพภาครัฐ อาทิ มาตรการอํานวยความสะดวก – ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) วันนี้ก็ก้าวหน้าไปตามลําดับในทุกกิจกรรมการให้บริการภาครัฐ สําหรับประชาชนทั่วไป ก็ดูแลเจ้าหน้าที่เขาด้วย เพราะว่าเหน็ดเหนื่อย เรื่องเข้ามาวัน ๆ เป็นหลายร้อย หลายพันเรื่องรวม ๆ กันแล้วจะหลายแสนเรื่องแล้วตอนนี้ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนชาวไทย ชาวต่างชาติ รวมทั้ง การพัฒนากระบวนการทางศุลกากร อาทิ การขึ้นทะเบียนผู้เสียภาษี มีการเชื่อมโยงบัตรประชาชนกับข้อมูลการเสียภาษี 6.ด้านการจัดการข้อมูลภายใต้แผนปฏิบัติการ เพื่อบริหารจัดการข้อมูล ในการที่จะสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลภาครัฐ สร้างความรู้ – ความเข้าใจ ในลักษณะเชิงรุก เพื่อจะใช้ในการบูรณาการแล้วเพื่อสร้างความประสานสอดคล้องเกื้อกูลซึ่งกันและกันในทุกมิติที่กล่าวมา เราต้องยอมรับว่าประเทศไทยนั้นเป็นประเทศเกษตรกรรม มีพี่น้องเกษตรกรเป็นจํานวนมาก ทั้งนี้ในการที่จะยกระดับประเทศจากประเทศที่ทําเกษตรกรรมอย่างเดียว ให้พัฒนาไปเป็นประเทศ “อุตสาหกรรมการเกษตร” หรืออื่น ๆ นั้น ทรัพยากร “น้ํา” มีความสําคัญยิ่ง เพราะฉะนั้นเราจําเป็นจะต้องสร้างความยั่งยืน ความมั่นใจ โดยการบริหารจัดการน้ําที่เหมาะสม ปัจจุบันคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (กนช.) ของรัฐบาล ระยะแรกเป็นของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) วันนี้ได้ส่งแผนมาแล้ว ก็ปรับปรุงแผนดังกล่าวในการประชุมไปเรียบร้อยแล้วก็ได้รับช่วงแผนยุทธศาสตร์มาจากของ คสช. ที่เราทําไว้ในเรื่องของการบริหารจัดการน้ํา พ.ศ. 2558-2569 ของคณะกรรมการกําหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา โดยให้กระทรวง – หน่วยงานปกติของรัฐ ได้มีการบูรณาการ ขับเคลื่อน “แผนน้ํา” ทั้งหมด ทั้ง 6 เรื่อง และ 12 กิจกรรม อันที่จริงแล้วหน่วยงานเหล่านี้ก็ทํางานมากับ คสช. ด้วยตลอดอยู่แล้ว วันนี้ปรับให้ตรงเข้ามาในกรอบของรัฐบาลเท่านั้นเองก็ต่อเนื่องกันไม่ได้ขัดแย้งอะไรกันเลย เราก็ต้องครอบคลุมทั้ง 6 เรื่อง น้ําทุกประเภท ทั้ง 12 กิจกรรม มากกว่าเราจะมุ่งเน้นการป้องกันน้ําท่วมอย่างเดียวหรือขาดน้ําอย่างเดียวต้องแก้ทั้งทุกกิจกรรม ทุก 6 ยุทธศาสตร์ด้วยกัน เพราะฉะนั้น เราจะประกอบไปด้วยเรื่องของการดูแลการประปาหมู่บ้านให้ครบ ของชุมชน ของโรงเรียน การขุดสระน้ําในไร่นา การบริหารแหล่งน้ําในและนอกเขตชลประทาน การพัฒนาแหล่งน้ําเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การพัฒนาแหล่งน้ําบาดาลเพื่อการเกษตร – ช่วยภัยแล้ง การขุดลอกลําน้ําสายหลัก การป้องกันน้ําท่วมชุมชนเมือง การฟื้นฟูผืนป่า รวมทั้ง การทําพื้นที่ป้องกันและลดการพังทลาย เหล่านี้เป็นต้น หลายเรื่องที่เรานําปัญหาที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมามีน้ําท่วม ช่วงแรก ๆ ช่วงครั้งที่แล้ว มหาศาล เสียหายมาก เราก็นําอันนั้นมาแก้ไขหมดเพียงแต่ว่าต้องใช้เวลา ใช้งบประมาณแล้วเดินไปตามสเต็ป ตามขั้นตอนของเรา โรดแมปของเราการดําเนินงานในระยะเร่งด่วน ครั้งนี้ก็เป็นปัญหาภัยแล้ง ซึ่งเกิดขึ้นมาโดยที่เราก็คาดการณ์มาแล้วว่าจะเกิดแต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้เผอิญเป็นเรื่องของเอลนีโญเข้ามาด้วย เพราะฉะนั้นทุกประเทศเดือดร้อนหมด รอบบ้านเราเดือดร้อน เว้นเมียนมาร์ที่ฝนตกเพราะว่าป่าไม้เขายังดีอยู่ เราก็ต้องเตรียมการให้พร้อมรับมือกับปัญหาภัยแล้งให้ได้ในปีนี้และในอนาคต อันนี้เป็นงานเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ สําหรับปานกลาง ระยะยาวที่ต้องไปถึงปี 2569 ก็ได้จัดให้มีคณะอนุกรรมการที่เหมาะสมให้สามารถจะวิเคราะห์แนวโน้ม – ติดตาม – ประเมินสถานการณ์น้ํา ในการที่กําหนดนโยบายระดับชาติ ทั้งในเรื่องของ “อุปสงค์และอุปทาน” ให้มีความสอดคล้องกันก็เป็นไปตามสถานการณ์ของภูมิอากาศโลกด้วย ต้องศึกษาความเป็นไปได้ พร้อมทั้งจัดทําข้อเสนอใหม่ ๆ สําหรับการบริหารจัดการน้ําทั้งระบบ อย่างบูรณาการ อาทิ 1. การนําน้ําจากฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานครมาใช้ให้มากขึ้น เพื่อแทนการใช้น้ําจากแม่น้ําเจ้าพระยา 2. การตัดน้ําโดยตรงจากแม่น้ําเจ้าพระยาลงไปที่คลองสําแล ที่จะสามารถช่วยลดน้ําที่จะผลักดันน้ําเค็มเพื่อรักษาระบบนิเวศ 3.การหาแหล่งน้ําต้นทุนมาเพิ่มให้การประปานครหลวง 4. การกําหนดมาตรการ – ข้อพิจารณาในการใช้ “น้ําก้นอ่าง” (Dead Storage) ในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ที่มีรวมกันราว 7,500 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อมีความจําเป็น 5. การเจรจา – ทําความตกลง ในการขอผันน้ํา จากแม่น้ําสาละวิน – เมย –โขง ในฤดูน้ําหลาก มาใช้ประโยชน์สูงสุดภายในประเทศด้วย รัฐบาลต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย ในทุกกลุ่มที่ยังประสบปัญหาปากท้อง ขณะนี้รัฐบาลได้เดินหน้าในเรื่องของกองทุนการออมแห่งชาติ ที่เรียกว่า กอช. ก็จะเปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ของกองทุนฯ ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ เป็นวันแรก เพื่อจะดูแลพี่น้องประชาชน ช่วงอายุ 15 – 60 ปี ราว 30 ล้านคน ซึ่งประกอบอาชีพอิสระ ไม่อยู่ในระบบบําเหน็จบํานาญของรัฐ หรือกองทุนเอกชนที่มีนายจ้างจ่ายสมทบ เช่น เกษตรกร ค้าขาย รับจ้างทั่วไป คนขับรถแท็กซี่ แม่บ้าน สถาปนิก แพทย์ ทนายความ ลูกจ้างรายวัน ลูกจ้างชั่วคราว นักการเมือง (ส.ส.) นักการเมืองท้องถิ่น นักเรียน นิสิต นักศึกษา เป็นต้น รวมทั้ง ผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณ แต่ยังไม่มีระบบใด ๆ มารองรับด้วยในขณะนี้ หวังเพื่อจะสร้าง “นิสัยการออม” ทุกช่วงวัย อันนี้เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่รัฐจะช่วยจ่าย “เงินสมทบ” ให้ส่วนหนึ่ง และเมื่อผู้ออมมีอายุครบ 60 ปีแล้ว ก็จะได้รับเงินบํานาญเป็น “รายเดือนตลอดชีพ” ถือเป็นการสร้างหลักประกันให้กับชีวิต ในยามที่ไม่มีรายได้ประจํา เป็นส่วนหนึ่งของการลดความเหลื่อมล้ําในสังคม สําหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูล สอบถามได้ที่ “เงินสะสม – เงินสมทบจากภาครัฐ – อัตราผลตอบแทนต่าง ๆ” และสมัครเข้าร่วมกองทุนฯ ได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทุกสาขาทั่วประเทศ ผมได้รับรายงานความคืบหน้า ในการเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการคลัง และในส่วนของ คสช. ในส่วนของกระทรวงกลาโหมก็มาช่วยกันผนึกกําลังกันอยู่ ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง จากการสํารวจภาระหนี้สินของเกษตรกร ทั้งหนี้ใน – นอกระบบ มีเกษตรกรที่เป็นหนี้ทั้งหมด ณ 10 กรกฎาคม 2558 จํานวนประมาณ 1.6 ล้านราย มูลหนี้ราว 4 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยรายละ 240,000 บาท จากนั้น เราก็จะดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวหลายอย่างด้วยกันให้เป็นรูปธรรม ทั้งรูปแบบการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ ทั้งในด้านกฎหมาย การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ และการปลดเปลื้องหนี้สิน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกษตรกรต้องสูญเสียสิทธิ หรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนเอง อาทิ 1) ศูนย์ประสานการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร ของกระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์ จะเป็นหน่วยงานหลัก ในการบูรณาการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร ทุกประเภท 2) กลุ่มลูกหนี้นอกระบบที่จําเป็นเร่งด่วน ได้ให้ “ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม” กระทรวงยุติธรรม ดําเนินการโดยกรมบังคับคดี กับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งจะเป็นหนี้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม หรือเจ้าหนี้ผู้ที่มีอิทธิพล หรือเครือข่าย เพื่อจะให้การช่วยเหลือด้านกฎหมาย เมื่อเสร็จแล้วก็จะจัดส่งให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปลดเปลื้องหนี้สินต่อไป 3) กลุ่มลูกหนี้นอกระบบที่ไม่จําเป็นเร่งด่วน ก็ได้ให้กองทุนหมุนเวียน กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบดําเนินการแล้วก็จะให้ในเรื่องการดําเนินการช่วยเหลือไกล่เกลี่ย – ประนอมหนี้ – ปลดเปลื้องหนี้สินระยะต่อไป 4) กลุ่มลูกหนี้ในระบบ ให้กระทรวงการคลัง ได้กําหนดมาตรการให้กับสถาบันการเงินและสหกรณ์ ดําเนินการช่วยเหลือลูกหนี้ดังกล่าว ทั้งนี้ ก็เพื่อจะให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรนั้น เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วก็บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้โดยเร็ว กลไกหลักที่สําคัญในพื้นที่ก็คือคณะอนุกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน (อชก.) ส่วนจังหวัดและอําเภอ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับจังหวัดจะดําเนินการโดยการไกล่เกลี่ย ประนอมหนี้ในแต่ละพื้นที่ตามจํานวนที่สํารวจไว้แล้ว และจะมีการคัดกรองหนี้สินดังกล่าวส่งมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ไปดําเนินการให้ความช่วยเหลือตามกระบวนการต่อไป และได้มอบให้มีการจัดทําแผนปฏิบัติการเจรจาหนี้ให้ครบทุกรายภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2558 ตามลําดับความจําเป็นเร่งด่วนของหนี้ แล้วก็ให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งเจ้าหนี้ และลูกหนี้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ไปใช้หนี้ ก็จะให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2558 ที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดงาน “เมืองสุขภาพดี วิถีชุมชน” ช่วงนี้ที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดงาน “เมืองสุขภาพดี วิถีชุมชน” มาแล้วกว่า 20 วัน มีประชาชน ทั้งไทยและต่างประเทศเข้าร่วมงานเป็นจํานวนมากให้ความสนใจผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้ดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ เกาหลี จีน กัมพูชามียอดขายและสั่งซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยเป็นจํานวนมาก ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากน้ํามันเปลือกส้มโอและมะกรูด เครื่องดื่มสมุนไพร และเครื่องสําอาง ซึ่งมีผู้มาเที่ยวงานกว่า 95,000 คน และมียอดจําหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพกว่า 22 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์เครื่องสําอาง อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในร้านนวดและสปา มีบริการนวดแผนโบราณ กดจุด ตอกเส้น ตรวจวัดอีคิว ตรวจคัดกรองอัลไซเมอร์ ตรวจวัดไขมันในร่างกาย เรียกว่า “ครบวงจร” ที่นี่ ข้างทําเนียบรัฐบาล เดือนหน้า ตั้งแต่ 3 – 23 สิงหาคม 2558 จะมีการจัดตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ในเรื่องของการจัดงาน “อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ของขวัญแด่แม่” ให้ตรงกับเดือนสิงหาคม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมีการเชื่อมโยงกิจกรรมร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม และกรุงเทพมหานคร เพื่อจะร่วมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องใน “วันแม่แห่งชาติ” และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่เราได้มีผลงานสร้างสรรค์มาเป็นจํานวนมาก มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งบางคนอาจจะยังไม่รู้ บางอย่างเราก็คิดมาแล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องทําให้ไปสู่การผลิตให้ได้ ไปสู่การส่งออกให้ได้ และสร้างแบรนด์ของเราเองบ้าง ก็จะทําให้ประเทศไทยมีรายได้มากขึ้น เป็นการพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมในวันนี้และอนาคตในวันข้างหน้า ไม่อย่างนั้นก็เหมือนเดิม เศรษฐกิจก็ตกต่ําอยู่แบบนี้ ท่านลองไปทําอะไรใหม่ ๆ เราจะต้องยกระดับกระบวนการความคิด วิจัย พัฒนาไปสู่กระบวนการผลิต และไปสู่การตลาด ในลักษณะเป็นอุตสาหกรรม โดยจะต้องคงคุณค่า คุณภาพที่ดี เป็นความพึงพอใจที่ถูกใจผู้บริโภค ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่อไป หลายอย่างมีอนาคต ผมเห็นว่าเป็นโอกาสดีในห้วงวันสําคัญนี้ “วันแม่ของแผ่นดิน” อยากให้บรรดาคุณลูกที่มีความกตัญญูในการสรรหาของขวัญให้กับคุณแม่ ก็ขอให้มาร่วมรับชมจัดหาสิ่งของเหล่านั้นได้ และมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นิทรรศการงานศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อาทิ ผลิตภัณฑ์งานเป่าแก้ว ผลิตภัณฑ์ตุ๊กตาชาววัง ผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผา ผลิตภัณฑ์งานวาดภาพสีน้ํามัน และนิทรรศการของกระทรวงอุตสาหกรรม นโยบายของรัฐบาลที่ขาดไม่ได้ก็คือ ให้เป็นกิจกรรมการให้คําปรึกษา – แนะนํา ในการที่จะพัฒนาธุรกิจ การบริหารจัดการธุรกิจมีความรู้ต่าง ๆ ให้ สร้างเถ้าแก่ใหม่ ในการพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ การดีไซน์ผลิตภัณฑ์ให้น่าซื้อ น่าใช้ และในเรื่องของการยกระดับและพัฒนาคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ทุกงานเวลารัฐบาลจัด ทุกกระทรวงก็ให้เป็นเรื่องของการจัดงานแสดงด้วย ให้มีการเจรจา/จับคู่ธุรกิจด้วย และในส่วนของรัฐ หรือของพาณิชย์ต่าง ๆ ก็มาให้การสนับสนุน ธนาคารต่าง ๆ ให้การสนับสนุน ส่งเสริมแหล่งเงินทุน ธุรกิจ SMEs หรือธุรกิจ Social Business และก็สอนในเรื่องของการทําแผนธุรกิจ ซึ่งก็ตรงกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และมีภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย ไม่อย่างนั้นเราก็จะบริหารธุรกิจแบบเดิม ๆ แบบครอบครัว ซึ่งวันนี้ไม่ได้แล้ว ต้องมี Good Governance การกํากับดูแลกิจการที่ดีด้วย เราจะมีการให้บริการภายในงานด้วย ขอเชิญทุกท่านมาร่วมงาน ทั้งพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการ ข้าราชการ ช่วยมาร่วมกิจกรรมในงานนี้ด้วย แล้วก็ขอให้นําไปขยายผลความสําเร็จ ถ้าเราไม่เพิ่มพูนไม่เรียนรู้ ความรู้ใหม่ ๆ ก็จะอยู่เท่าเดิม ข้าราชการก็จะรู้เท่าเดิม แต่วันนี้รัฐบาลพยายามที่จะขับเคลื่อนสิ่งที่เป็นเรื่องใหม่ ๆ ความทันสมัย เทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนโครงสร้าง การเกษตร อุตสาหกรรม ฯลฯ ต้องใช้ความรู้ใหม่ ๆ เพราะฉะนั้นผมก็ศึกษาด้วย อะไรด้วย ถามผู้รู้บ้าง ไม่ใช่คิดเอาแต่ตัวเอง ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ก็ต้องศึกษาคน ถ้าอะไรทําได้ก็ทํา ถ้ามีปัญหาสั่งไปแล้วไม่ถูก ผมก็ไม่ไปฝืนให้ทําอยู่แล้ว ทุกอย่างที่สั่งไปแล้ว ผมต้องได้รับความเห็นชอบร่วมกันจากทุกคนใน ครม. ผมบอกแล้วว่าผมสามารถริเริ่มให้ได้ แต่ถ้าผิด ท่านก็อย่าปล่อยให้ผมทําผิด เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติต้องยืนยันว่าเราทําได้หรือไม่ได้ อย่างเช่น ปัญหาในเรื่องพลังงาน เรื่องโรงไฟฟ้า ผมว่าก็ต้องทําให้ชัดเจน ได้ข้อยุติว่าจะทําอย่างไรกันต่อไป ผมไม่ได้บอกว่าผมไปดันทุรังว่าต้องทําให้ได้ หรือไม่ได้ ไม่ใช่ ผมยังไม่พูดถึงตรงนั้นเลย อย่าไปตีความกันผิด ๆ ถูก ๆ ก็เพียงแต่รับฟัง และหาทางออกกันให้ได้ เพื่อประโยชน์ของชาติในอนาคต ถ้าไม่ได้จะไปทําที่ไหน จะทําอะไรแทนก็ต้องตอบกันมาให้ชัดเจนทั้ง 2 ฝ่าย แล้วก็มีบุคคลที่ 3 มาด้วย เราจะไม่ปิดกั้นใครทั้งสิ้น ขอให้เข้ามา ฝากข้าราชการในพื้นที่ด้วย เรื่องอื่น ๆ เป็นเรื่องของการเร่งในเรื่องปฏิรูปการศึกษา ได้สั่งการไปแล้วเชิงโครงสร้างระยะแรกว่าจะทําอย่างไร ให้เด็กมีความสุข ผู้ปกครองมีความสุข และครูมีความสุข หนี้สินครูดูอยู่ด้วย วันนี้กระทรวงศึกษาธิการได้ปรับในเรื่องของการใช้จ่าย หนี้ กยศ. หนี้ครู การกู้เงินต่าง ๆ ก็ทํากันทั้งหมด เรื่องเศรษฐกิจ พอดีมีเรื่องภัยแล้งเข้ามาอีก เหมือนกับโรคซ้ํากรรมซัดหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ธรรมดาถ้าเราเผชิญหน้าแบบนี้บ่อย ๆ เราก็จะเข้มแข็งเอง ปัญหาอยู่ที่ว่า “เราเตรียมตัว เตรียมใจ” ได้แค่ไหน อดทนได้แค่ไหน เพราะเราไม่เคยเจอ พอมีปัญหาก็อุด ๆ ช่องกันไป วันนี้ต้องแก้ปัญหาทั้งระบบ ถ้าแก้แบบเดิมก็เป็นแบบเก่า แล้วเงินทองเราก็ใช้จ่ายล่วงหน้ามากมาย วันนี้ก็ต้องอดทนและต้องเข้าใจด้วย ผมไม่เคยคิดอะไรโดยไม่นึกถึงคนรายได้น้อยเลย ทุกเรื่อง แต่เราจําเป็นจะต้องส่งเสริมทุกอัน เป็นธุรกิจต่อเนื่อง มีงานเพิ่ม มีรายได้ไปถึงคนรับจ้าง อะไรก็ว่าไป ถ้าไม่มาช่วยกันตรงนี้ อย่างเดียวที่ไปไม่ได้ แล้วนําเงินไปให้ใช้จ่าย ก็หมดเหมือนเดิม ก็จะให้ตามความจําเป็น ตามความเดือดร้อน เรื่องภัยแล้ง ก็มีปัญหาอยู่พอสมควร ถึงแม้จะมีฝนตกอยู่บ้าง คือน้ําไหลลงอ่างเพิ่มมากขึ้น แต่เปรียบเทียบกับที่เราจ่ายน้ําก็ยังใกล้ ๆ กัน เพราะว่าน้ําเหล่านี้ไม่ได้ส่งจากท่อไปตรงโน้น ตรงนี้ได้ น้ําไหลมาด้วยสายระบบส่งน้ําทางเปิด เพราะฉะนั้นก็ต้องแก้เรื่องระบบส่งน้ํากันคราวหน้า แต่วันนี้อยากจะบอกทุกกระทรวง ทบวง กรม ว่า ถ้ามีงบประมาณเหลือ มีงบประมาณในเรื่องของการจ้างงาน ก็ลองไปขุดเพิ่มเติมดู ตรงไหนพร้อมจะขุดเก็บกักน้ําไว้ได้ ก็ขุดตอนนี้ ผมเป็นห่วงว่าถ้าระยะต่อไปฝนแล้งอีก หรือทิ้งช่วงอีก จะทําอย่างไร ก็มีผลกระทบกับการปลูกพืชใน Crop 2 อีก ก็จะเกิดผลกระทบเหมือนกับแบบ Crop 1 เพราะฉะนั้นฝากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ หรือกระทรวงที่เกี่ยวข้องไปดูว่า เราจะทําอย่างไรกับ Crop 2 ต่อไป จะแก้ปัญหาอย่างไร เรื่องการจ้างงานก็สั่งไปแล้ว เมื่อวันที่ผ่านมาได้เสนอเข้า ครม. แล้ว อนุมัติเงินไปแล้ว เดี๋ยวจะมีการจ้างงานในพื้นที่ที่เดือดร้อนให้ได้ ไม่เดือดร้อนก็คงไม่ได้ ก็ไปสร้างให้เกิดการจ้างงานเกิดขึ้นทุกจังหวัด มากบ้างน้อยบ้างตามความจําเป็น อันที่ 2 คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการปลูกพืช โดยกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบไป อันแรกเป็นของกระทรวงมหาดไทย 3. การเตรียมการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเสียหาย จากการเพาะปลูกพืช กําลังสํารวจอยู่ เราจะไปทุ่มทั้งหมดไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครเสียหายก็ว่ากันไป ใครที่ไม่เสียหายก็ต้องสู้ไป และต้องเตรียมการใน Crop หน้าให้ได้ด้วย เรื่องการปั่นจักรยาน "Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่" ขอขอบคุณทุกคน ขอให้เตรียมร่างกายไว้ให้พร้อมและระมัดระวังช่วงนี้ฝนตกการฝึกต่าง ๆ ก็ระวัง เดี๋ยวจะไม่ได้ร่วมกิจกรรมวันจริง ป่วยไม่ได้ ต้องระวังอย่าให้ล้ม สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นห่วงในเรื่องนี้ให้เกิดความปลอดภัยและเกิดความสุข ในวันที่ 16 ในวันที่ 2 สิงหาคมนี้ ก็จะมีการซ้อม ผมก็ต้องไปตรวจความเรียบร้อยในเส้นทางในจุดต่าง ๆ ให้มีผลกระทบเรื่องการจราจรน้อยที่สุด ผมก็จะเร่งเวลาให้เร็วขึ้นก็เป็นการภายใน อย่าถือว่าเป็นกิจกรรมหลักเลย กิจกรรมหลักคือวันที่ 16 สิงหาคม ทุกคนก็ไปร่วมเฉลิมพระเกียรติ เรื่องการท่องเที่ยว วันหยุดราชการนี้ หยุดหลายวัน 4 วัน ผมก็เป็นห่วงเรื่องเดิม คือ อุบัติเหตุขี่รถ ขับรถ การดื่มสุรา อะไรทํานองนี้ แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ ผมฝากไว้หนึ่งคําแล้วกันในปีนี้ ถ้าหากคนที่ชอบกินเหล้าแล้วขับรถ หรือขับรถเร็ว ถ้าท่านไม่รักชีวิตของท่านเอง ท่านก็นึกถึงคนอื่นเขาบ้าง คนอื่นเขารักชีวิตของเขา ท่านไม่รักชีวิตของท่านก็ไม่เป็นไร อย่าทําให้เขาบาดเจ็บสูญเสีย เป็นความโศกเศร้าเสียใจของครอบครัวเขา ตัวท่านเองผมไม่รู้จะว่าอย่างไร ห้ามไปห้ามมาหลายครั้งแล้วก็ไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ ท่านไม่รักตัวท่านก็ไม่เป็นไร อย่าทําความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง ให้กับคนอื่น ๆ เท่านั้นเอง ให้รู้ว่าชีวิตนั้นมีค่าแค่ไหน อย่างไร ขอขอบคุณ ขอให้มีความสุขในวันหยุดราชการหลายวัน ขอให้ปลอดภัย และขอให้ฝนตกมาก ๆ น้ําลงเขื่อนมาก ๆ พืชไร่ พืชสวนต่าง ๆ ประมง น้ําจืด อะไรก็แล้วแต่ ขอให้ผ่านพ้นภัยดังกล่าวเหล่านี้ให้ได้โดยเร็ว ขอขอบคุณครับ ด้วยความเป็นห่วง สวัสดีครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม 2558 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผมคิดว่าหลายท่านคงได้เห็นข่าว การที่มีพี่น้องประชาชนจํานวนมาก ไปเข้าแถวรอรับเสื้อและเข็มกลัดพระราชทาน เพื่อจะเตรียมการ ในการเข้าร่วมกิจกรรม “Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่” ก็เป็นที่น่ายินดี คนจํานวนมากมายที่ไปเข้าแถวรอคอย ตั้งแต่ตี 1 ตี 2 จนกระทั่งบางทีก็ถึงบ่าย เพราะฉะนั้นก็จะแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีที่มีต่อ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ แล้วร่วมกิจกรรมของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาส “วันแม่ของแผ่นดิน” แล้วก็แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของปวงชนชาวไทยของเราด้วย ก็อย่าลืมเตรียมร่างกาย อุปกรณ์ ในเรื่องของความปลอดภัย ศึกษากติกา มารยาทในการปั่นจักรยานด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ท่านทรงเป็นห่วงมากในเรื่องนี้ เรื่องความปลอดภัยของพวกเราทุกคนจะได้มีความสุขกัน และก็ในวันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม ที่กําลังจะมาถึงนี้ทุกคนก็คงจะได้ร่วมกิจกรรมที่ว่านั้นด้วยความสุข เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ได้มีการออกรายงานประจําปีของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ในเรื่อง “สถานการณ์การค้ามนุษย์” ที่เรียกว่า TIP Report ประจําปี 2558 ซึ่งรัฐบาลได้ติดตามและรับทราบผลก่อนหน้านี้แล้ว เราก็ไม่รู้สึกท้อ ไม่ผิดหวังใด ๆ เราต้องมีความหวัง อย่าไปผิดหวังในเรื่องใดทั้งสิ้น เป็นเรื่องที่เราต้องยอมรับในกติกาของสากล รัฐบาลไทยก็จะเดินหน้าต่อไป ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เพราะว่าเราก็ต้องสงสารคนเหล่านี้ที่ถูกหลอกลวงที่ถูกนํามาใช้ประโยชน์ มีผู้ได้รับผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจะต้องถูกดําเนินคดีทั้งหมด รัฐบาลนี้ถือว่าเป็น “วาระแห่งชาติ” เราต้องมีหน้าที่ต่อประชาชนทั่วไปทั้งโลก ไม่เฉพาะคนไทยด้วยกันเท่านั้นเอง เราก็พร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศ ทุกองค์กร ในการที่จะมีการปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง ให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยให้ได้ แล้วก็สนับสนุนในเรื่องของการต่อต้านแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในอาเซียนทั้งหมดด้วย ในฐานะที่เราเป็นประเทศอาเซียน ด้วยกัน เพราะวันนี้เราว่าบ้านเมืองเรานั้น มีปัญหาหลายอย่างที่ต้องแก้ไข เพราะฉะนั้นใครจะมาว่าเราอย่างไรก็ตาม เราก็อย่าท้อแท้ เราก็ต้องยึดมั่นในเจตนาของเราในสิ่งที่เราต้องทําให้เพื่อประเทศไทย และเพื่อให้สังคมไทยนั้นปลอดภัย แล้วก็ไม่เสียชื่อเสียงของต่างประเทศด้วย เรื่องความเข้าใจนั้นเป็นเรื่องที่ยาก ที่จะต้องอธิบายกัน แต่ถ้าคนไทยด้วยกัน ฟังแล้วก็คิดใคร่ครวญให้ดี การที่เราจะทําอะไรให้ใครเขายอมรับได้ ก็ต้องพิสูจน์ทราบให้เขาเห็นให้ได้ก่อน เขาจะได้เข้าใจเรา การจัดลําดับของเราใน “Tier 3” เราก็ได้รับมาแล้ว ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น วันนี้เราก็ทําอะไรหลายอย่างที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก เพราะฉะนั้น การที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้กําหนดมาแล้ว ก็เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เราก็ทําของเรา เรารู้อยู่แล้วว่าดีขึ้น หรือไม่ดีขึ้นอย่างไร เราไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีความพยายามในการแก้ปัญหา แต่เพียงแต่ว่าผลการดําเนินการนั้นไม่สอดคล้องกับมาตรฐานขั้นต่ํา ในช่วงที่เขามาดู อย่าลืมว่าเขามาดูในช่วงต้น ๆ ที่เราเพิ่งแก้ไขไป วันนี้เราแก้ไขมาหลายเดือนแล้ว แล้วก็ถ้าเลยไปอีกก็ต้องดีขึ้น วันนี้ก็ชัดเจนขึ้นหลายอย่าง การลงโทษเจ้าหน้าที่ การลงโทษผู้เกี่ยวข้อง 100 กว่าราย ลองไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ประเทศอื่น ๆ เขาน้อยกว่าเรามาก คดีความก็นําเข้าสู่ขบวนการพิจารณา วันนี้เราต้องแก้ไขให้ได้ทั้งระบบโดยเร็ว เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเรามีความพยายามอย่างชัดเจนแล้ว วันหน้านั้น เราก็จะได้มีผลงานปรากฏออกมา แล้วการยกระดับขึ้นมาเป็น “Tier 2” ได้ในอนาคตโดยเร็ว ในส่วนของปัญหาที่มีซับซ้อนกันอยู่ วันนี้หลายเรื่องด้วยกัน ทั้งค้ามนุษย์ ICAO เหล่านี้ แล้วก็ IUU ก็เช่นเดียวกัน ปัญหาเดียวกัน เพราะฉะนั้น เขาจะตัดสินอย่างไรก็เรื่องของเขา เราก็ต้องทําของเราให้ดีที่สุดแล้วกัน เพื่อคนไทย เพื่อทรัพยากรไทย เพื่อสิทธิมนุษยชน ดูแลทุกคนในโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาเซียนด้วยกัน ที่มีผลกระทบโดยรวมทั้งสิ้น ใครจะว่าเราก็แก้ไข ใครชมเราเราก็ดีใจชื่นใจ แล้วก็เก็บไว้เงียบ ๆ เพราะปัญหาหลายอย่างทับซ้อนกันอยู่ เรารู้ตัวเองเราดีอยู่แล้ว ก็ขอความร่วมมือ ความร่วมแรงร่วมใจจากพี่น้องประชาชน คนไทยทุกคน ก็อย่าพูดกันถึงเรื่องนี้อีกเลย เป็นหน้าที่ของรัฐบาล แล้วก็ส่วนที่เกี่ยวข้องต้องแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ประกอบการ รวมทั้งแรงงานด้วย ก็อย่าตกเป็นเหยื่อเขา ก็ต้องซื่อสัตย์ต่อกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ใกล้ตัวเรามาก ประเทศเรามีผลกระทบหลายอย่าง การค้า การลงทุนต่าง ๆ ต้องทําให้สิ่งเหล่านี้หายไปให้ได้จากสังคมไทย ก็ขอเน้นย้ําเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ว่ารัฐบาลไทยมุ่งมั่นต่อไปทุกเรื่อง การต่อต้านการค้ามนุษย์ IUU, ICAO อะไรต่าง ๆ ก็แล้วแต่ที่มีปัญหาทับซ้อนมายาวนานที่ผ่านมาจากหลาย ๆ รัฐบาลที่ผ่านมา รัฐบาลนี้จะจริงจังทุกเรื่อง ให้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรมของโลก และในเรื่องของการรักษาความมั่นคงของประเทศด้วย ลดบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนทั้งคนไทยและคนอาเซียนทั้งหมด ก็ขอร้องให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ต้องเข้าใจเรา เรากําลังแก้ปัญหาอยู่ แล้วก็มีการขยายความร่วมมือกับนานาประเทศด้วย องค์การระหว่างประเทศ ชี้แจง ทําความเข้าใจ ส่งหลักฐาน ผลการดําเนินงานให้อย่างต่อเนื่อง ในส่วนที่รัฐบาลให้ความเร่งด่วนอีกอันหนึ่งก็คือ การแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ วันนี้เราจําเป็นต้องวางรากฐานการสร้างความเข้มแข็งในภาคเศรษฐกิจ แล้วก็เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอนาคตให้ได้ ทั้งนี้ ก็จะทําให้ประเทศไทยนั้น ซึ่งเป็นประเทศเกษตรกรรมมายาวนานนั้น แล้วเราก็ต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นสําคัญในเรื่องของรายได้ที่เข้ามาสู่รัฐ เพราะฉะนั้น เราต้องแสวงประโยชน์จาก “ภูมิรัฐศาสตร์” ที่เรามีอยู่แล้วเดิมในการเชื่อมโยง ในการจะสร้างผลประโยชน์ร่วมกันของไทยและของมิตรประเทศ เข้ากับภูมิภาคหลาย ๆ ภูมิภาคด้วยกัน ทิศทางเดียวกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้วย เราก็ต้องหันมามองตัวเองก่อนว่าจะทําอย่างไรให้ถึงจุดนั้นได้ ก็ต้องทําความเข้าใจ แล้วก็จัดระบบ ระเบียบต่าง ๆ ให้ได้ กฎหมาย พันธกรณี ขีดความสามารถของเราเอง เราก็มุ่งเน้นการลงทุนโดยเอกชนไทยก่อน ต่างประเทศเราก็มาเสริมให้ แต่จําเป็น ถ้าเราไม่นําต่างประเทศมาเลยก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักอยู่แล้ว แล้วก็ประชาชนโดยรวม ในการแข่งขันในเรื่องทางด้านเศรษฐกิจนี้ วันนี้ถ้าจะสังเกตดูจะเห็นว่าทุกประเทศ เขาปรับรูปแบบทางด้านธุรกิจใหม่แล้ว เป็นเศรษฐกิจแนวใหม่ คือไม่พึ่งพากิจการที่มีรายได้อย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เพียงอย่างเดียว เช่น ไปพึ่งการส่งออกอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องไปดูในคลัสเตอร์อื่น ๆ ด้วย การท่องเที่ยว การลงทุนในเรื่องของการขนส่งขั้นพื้นฐานอะไรต่าง ๆ ที่เราต้องเชื่อมโยงทั้งหมด จะทําให้ทุกคนเพิ่มการลงทุนมา เมื่อลงทุนมาก็มีภาษี มีผลประโยชน์ที่เป็นธุรกิจต่อเนื่อง ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันหมด เรามีศักยภาพหลายอย่างเป็นภูมิรัฐศาสตร์ตรงกลาง เรามีเส้นทางการคมนาคมที่ถือว่าดีมากในอาเซียนในวันนี้ตรงกลาง แล้วเรากําลังพัฒนาไปสู่ความทันสมัยอีกด้วย รถไฟ รถไฟฟ้าอะไรก็แล้วแต่ นอกจากนั้นแล้ว เรามีศักยภาพหลายอย่าง เรื่องผลิตผลทางการเกษตร เรื่องการรักษาพยาบาล เรื่องการท่องเที่ยว เรื่องการอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับเรื่องเครื่องสําอาง เกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร แล้วก็การบริการต่าง ๆ เพราะฉะนั้นเหล่านี้ ต้องนํามาหาว่าจะทํากันอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีรายได้เข้าประเทศให้มาก ๆ จะได้ไปลด ในกรณีที่เศรษฐกิจโลก มีปัญหา ทําให้รายได้เราตกต่ํา ถ้าเราพึ่งการส่งออกอย่างเดียว แล้วก็ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเกษตรกรรมด้วย มีปัญหาหมด เพราฉะนั้น เราได้ตั้งคณะทํางานแล้ว คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เรียกว่า กพข. ก็ได้หารือร่วมกับภาคเอกชน กําหนดแนวทางในการดําเนินงาน เป็นแผนปฏิบัติการ 6 ด้าน คือ 1. ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค เน้นการแสวงหาพันธมิตรและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการสร้างความสอดคล้องในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 2. ก็คือด้านการพัฒนา คลัสเตอร์ ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่ผมกล่าวไปแล้วเมื่อสักครู่ เช่น ภาคการเกษตร ท่องเที่ยว การบิน การรักษาพยาบาล นํามาเชื่อมโยงกัน และผลักดันให้เกิดการทํางานร่วมกัน ในระดับท้องถิ่น ประเทศ ภูมิภาคให้เกื้อกูลต่อกัน 3. คือการพัฒนาเชิงศักยภาพ ประกอบด้วยการจัดทําศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Center) เพื่อจะให้มีการพัฒนาการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างทั่วถึง และส่งเสริมการนําไปใช้ประโยชน์ ในด้านการค้า การลงทุน อุตสาหกรรม การส่งเสริมประสิทธิภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการบริหารจัดการขยะมูลฝอย และการวิจัยและพัฒนา ภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา เราอยากให้มีการจัดตั้ง “ศูนย์วิจัย” ซึ่งมีทั้งในส่วนของสถาบันการศึกษา และในส่วนของ “ศูนย์ส่งเสริมการลงทุน” ภาคเอกชน ร่วมกับสถานศึกษาในปัจจุบัน หรือของรัฐอยู่แล้วในปัจจุบันนี้ด้วย จะได้ใช้เงินที่ไม่ซ้ําซ้อนกัน แล้วก็สามารถที่จะบังคับวิถีได้ว่าเราจะเดินหน้าประเทศไปอย่างไร วิจัยเรื่องอะไร แล้วนําสู่การผลิตในเรื่องอะไร ให้ชัดเจนขึ้น 4. คือในเรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เราต้องปฏิรูปการศึกษาให้ผลิตคนให้ตรงกับความต้องของตลาดแรงงาน รวมทั้ง การพัฒนาฝีมือแรงงานทั้งด้านทักษะและวิชาชีพ รวมความถึงด้านภาษาอังกฤษ ภาษาเพื่อนบ้านหรือภาษาของประเทศที่มาลงทุนในบ้านเราที่มีหลายประเทศ หลายภาษาด้วยกัน เพื่อจะรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานในปีหน้านี้ในการลงทุนของประชาคมอาเซียนด้วย กระทรวงศึกษาธิการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วางรากฐานการปฏิรูปและการศึกษาของประเทศไว้แล้ว ก็คือใช้คําว่า เน้นการ “สร้างคนดี มีคุณธรรม” คนดีนี้บางทีก็ตอนนี้กําลังไม่ชัดเจน จะดีอย่างไรอีก เอาง่าย ๆ มีคุณธรรมแล้วกัน รู้อะไรดีไม่ดีถึงจะเป็นคนดี ถ้าเป็นคนดีแล้วไม่รู้อะไรดี ไม่ดี ก็คงไม่ใช่ เพราะฉะนั้นผมเลยให้เติมคําว่า มีคุณธรรมเข้าไปด้วย ดีก็ทํา ไม่ดีก็อย่าทําแล้วก็ห้ามคนอื่นเขาไม่ให้ทําในสิ่งที่ไม่ดีด้วย 5. ด้านการพัฒนาประสิทธิภาพภาครัฐ อาทิ มาตรการอํานวยความสะดวก – ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) วันนี้ก็ก้าวหน้าไปตามลําดับในทุกกิจกรรมการให้บริการภาครัฐ สําหรับประชาชนทั่วไป ก็ดูแลเจ้าหน้าที่เขาด้วย เพราะว่าเหน็ดเหนื่อย เรื่องเข้ามาวัน ๆ เป็นหลายร้อย หลายพันเรื่องรวม ๆ กันแล้วจะหลายแสนเรื่องแล้วตอนนี้ เพราะฉะนั้นก็จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนชาวไทย ชาวต่างชาติ รวมทั้ง การพัฒนากระบวนการทางศุลกากร อาทิ การขึ้นทะเบียนผู้เสียภาษี มีการเชื่อมโยงบัตรประชาชนกับข้อมูลการเสียภาษี 6.ด้านการจัดการข้อมูลภายใต้แผนปฏิบัติการ เพื่อบริหารจัดการข้อมูล ในการที่จะสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อมูลภาครัฐ สร้างความรู้ – ความเข้าใจ ในลักษณะเชิงรุก เพื่อจะใช้ในการบูรณาการแล้วเพื่อสร้างความประสานสอดคล้องเกื้อกูลซึ่งกันและกันในทุกมิติที่กล่าวมา เราต้องยอมรับว่าประเทศไทยนั้นเป็นประเทศเกษตรกรรม มีพี่น้องเกษตรกรเป็นจํานวนมาก ทั้งนี้ในการที่จะยกระดับประเทศจากประเทศที่ทําเกษตรกรรมอย่างเดียว ให้พัฒนาไปเป็นประเทศ “อุตสาหกรรมการเกษตร” หรืออื่น ๆ นั้น ทรัพยากร “น้ํา” มีความสําคัญยิ่ง เพราะฉะนั้นเราจําเป็นจะต้องสร้างความยั่งยืน ความมั่นใจ โดยการบริหารจัดการน้ําที่เหมาะสม ปัจจุบันคณะกรรมการทรัพยากรน้ําแห่งชาติ (กนช.) ของรัฐบาล ระยะแรกเป็นของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) วันนี้ได้ส่งแผนมาแล้ว ก็ปรับปรุงแผนดังกล่าวในการประชุมไปเรียบร้อยแล้วก็ได้รับช่วงแผนยุทธศาสตร์มาจากของ คสช. ที่เราทําไว้ในเรื่องของการบริหารจัดการน้ํา พ.ศ. 2558-2569 ของคณะกรรมการกําหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา โดยให้กระทรวง – หน่วยงานปกติของรัฐ ได้มีการบูรณาการ ขับเคลื่อน “แผนน้ํา” ทั้งหมด ทั้ง 6 เรื่อง และ 12 กิจกรรม อันที่จริงแล้วหน่วยงานเหล่านี้ก็ทํางานมากับ คสช. ด้วยตลอดอยู่แล้ว วันนี้ปรับให้ตรงเข้ามาในกรอบของรัฐบาลเท่านั้นเองก็ต่อเนื่องกันไม่ได้ขัดแย้งอะไรกันเลย เราก็ต้องครอบคลุมทั้ง 6 เรื่อง น้ําทุกประเภท ทั้ง 12 กิจกรรม มากกว่าเราจะมุ่งเน้นการป้องกันน้ําท่วมอย่างเดียวหรือขาดน้ําอย่างเดียวต้องแก้ทั้งทุกกิจกรรม ทุก 6 ยุทธศาสตร์ด้วยกัน เพราะฉะนั้น เราจะประกอบไปด้วยเรื่องของการดูแลการประปาหมู่บ้านให้ครบ ของชุมชน ของโรงเรียน การขุดสระน้ําในไร่นา การบริหารแหล่งน้ําในและนอกเขตชลประทาน การพัฒนาแหล่งน้ําเพื่อป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การพัฒนาแหล่งน้ําบาดาลเพื่อการเกษตร – ช่วยภัยแล้ง การขุดลอกลําน้ําสายหลัก การป้องกันน้ําท่วมชุมชนเมือง การฟื้นฟูผืนป่า รวมทั้ง การทําพื้นที่ป้องกันและลดการพังทลาย เหล่านี้เป็นต้น หลายเรื่องที่เรานําปัญหาที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมามีน้ําท่วม ช่วงแรก ๆ ช่วงครั้งที่แล้ว มหาศาล เสียหายมาก เราก็นําอันนั้นมาแก้ไขหมดเพียงแต่ว่าต้องใช้เวลา ใช้งบประมาณแล้วเดินไปตามสเต็ป ตามขั้นตอนของเรา โรดแมปของเราการดําเนินงานในระยะเร่งด่วน ครั้งนี้ก็เป็นปัญหาภัยแล้ง ซึ่งเกิดขึ้นมาโดยที่เราก็คาดการณ์มาแล้วว่าจะเกิดแต่ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้เผอิญเป็นเรื่องของเอลนีโญเข้ามาด้วย เพราะฉะนั้นทุกประเทศเดือดร้อนหมด รอบบ้านเราเดือดร้อน เว้นเมียนมาร์ที่ฝนตกเพราะว่าป่าไม้เขายังดีอยู่ เราก็ต้องเตรียมการให้พร้อมรับมือกับปัญหาภัยแล้งให้ได้ในปีนี้และในอนาคต อันนี้เป็นงานเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ สําหรับปานกลาง ระยะยาวที่ต้องไปถึงปี 2569 ก็ได้จัดให้มีคณะอนุกรรมการที่เหมาะสมให้สามารถจะวิเคราะห์แนวโน้ม – ติดตาม – ประเมินสถานการณ์น้ํา ในการที่กําหนดนโยบายระดับชาติ ทั้งในเรื่องของ “อุปสงค์และอุปทาน” ให้มีความสอดคล้องกันก็เป็นไปตามสถานการณ์ของภูมิอากาศโลกด้วย ต้องศึกษาความเป็นไปได้ พร้อมทั้งจัดทําข้อเสนอใหม่ ๆ สําหรับการบริหารจัดการน้ําทั้งระบบ อย่างบูรณาการ อาทิ 1. การนําน้ําจากฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานครมาใช้ให้มากขึ้น เพื่อแทนการใช้น้ําจากแม่น้ําเจ้าพระยา 2. การตัดน้ําโดยตรงจากแม่น้ําเจ้าพระยาลงไปที่คลองสําแล ที่จะสามารถช่วยลดน้ําที่จะผลักดันน้ําเค็มเพื่อรักษาระบบนิเวศ 3.การหาแหล่งน้ําต้นทุนมาเพิ่มให้การประปานครหลวง 4. การกําหนดมาตรการ – ข้อพิจารณาในการใช้ “น้ําก้นอ่าง” (Dead Storage) ในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ ที่มีรวมกันราว 7,500 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อมีความจําเป็น 5. การเจรจา – ทําความตกลง ในการขอผันน้ํา จากแม่น้ําสาละวิน – เมย –โขง ในฤดูน้ําหลาก มาใช้ประโยชน์สูงสุดภายในประเทศด้วย รัฐบาลต้องการสร้างความเข้มแข็งให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย ในทุกกลุ่มที่ยังประสบปัญหาปากท้อง ขณะนี้รัฐบาลได้เดินหน้าในเรื่องของกองทุนการออมแห่งชาติ ที่เรียกว่า กอช. ก็จะเปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ของกองทุนฯ ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ เป็นวันแรก เพื่อจะดูแลพี่น้องประชาชน ช่วงอายุ 15 – 60 ปี ราว 30 ล้านคน ซึ่งประกอบอาชีพอิสระ ไม่อยู่ในระบบบําเหน็จบํานาญของรัฐ หรือกองทุนเอกชนที่มีนายจ้างจ่ายสมทบ เช่น เกษตรกร ค้าขาย รับจ้างทั่วไป คนขับรถแท็กซี่ แม่บ้าน สถาปนิก แพทย์ ทนายความ ลูกจ้างรายวัน ลูกจ้างชั่วคราว นักการเมือง (ส.ส.) นักการเมืองท้องถิ่น นักเรียน นิสิต นักศึกษา เป็นต้น รวมทั้ง ผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณ แต่ยังไม่มีระบบใด ๆ มารองรับด้วยในขณะนี้ หวังเพื่อจะสร้าง “นิสัยการออม” ทุกช่วงวัย อันนี้เป็นนโยบายของรัฐบาล ที่รัฐจะช่วยจ่าย “เงินสมทบ” ให้ส่วนหนึ่ง และเมื่อผู้ออมมีอายุครบ 60 ปีแล้ว ก็จะได้รับเงินบํานาญเป็น “รายเดือนตลอดชีพ” ถือเป็นการสร้างหลักประกันให้กับชีวิต ในยามที่ไม่มีรายได้ประจํา เป็นส่วนหนึ่งของการลดความเหลื่อมล้ําในสังคม สําหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูล สอบถามได้ที่ “เงินสะสม – เงินสมทบจากภาครัฐ – อัตราผลตอบแทนต่าง ๆ” และสมัครเข้าร่วมกองทุนฯ ได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทุกสาขาทั่วประเทศ ผมได้รับรายงานความคืบหน้า ในการเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงการคลัง และในส่วนของ คสช. ในส่วนของกระทรวงกลาโหมก็มาช่วยกันผนึกกําลังกันอยู่ ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง จากการสํารวจภาระหนี้สินของเกษตรกร ทั้งหนี้ใน – นอกระบบ มีเกษตรกรที่เป็นหนี้ทั้งหมด ณ 10 กรกฎาคม 2558 จํานวนประมาณ 1.6 ล้านราย มูลหนี้ราว 4 แสนล้านบาท หรือเฉลี่ยรายละ 240,000 บาท จากนั้น เราก็จะดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวหลายอย่างด้วยกันให้เป็นรูปธรรม ทั้งรูปแบบการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้ ทั้งในด้านกฎหมาย การไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ และการปลดเปลื้องหนี้สิน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกษตรกรต้องสูญเสียสิทธิ หรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนเอง อาทิ 1) ศูนย์ประสานการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร ของกระทรวงเกษตรกรและสหกรณ์ จะเป็นหน่วยงานหลัก ในการบูรณาการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร ทุกประเภท 2) กลุ่มลูกหนี้นอกระบบที่จําเป็นเร่งด่วน ได้ให้ “ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม” กระทรวงยุติธรรม ดําเนินการโดยกรมบังคับคดี กับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งจะเป็นหนี้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม หรือเจ้าหนี้ผู้ที่มีอิทธิพล หรือเครือข่าย เพื่อจะให้การช่วยเหลือด้านกฎหมาย เมื่อเสร็จแล้วก็จะจัดส่งให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปลดเปลื้องหนี้สินต่อไป 3) กลุ่มลูกหนี้นอกระบบที่ไม่จําเป็นเร่งด่วน ก็ได้ให้กองทุนหมุนเวียน กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบดําเนินการแล้วก็จะให้ในเรื่องการดําเนินการช่วยเหลือไกล่เกลี่ย – ประนอมหนี้ – ปลดเปลื้องหนี้สินระยะต่อไป 4) กลุ่มลูกหนี้ในระบบ ให้กระทรวงการคลัง ได้กําหนดมาตรการให้กับสถาบันการเงินและสหกรณ์ ดําเนินการช่วยเหลือลูกหนี้ดังกล่าว ทั้งนี้ ก็เพื่อจะให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรนั้น เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แล้วก็บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้โดยเร็ว กลไกหลักที่สําคัญในพื้นที่ก็คือคณะอนุกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน (อชก.) ส่วนจังหวัดและอําเภอ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับจังหวัดจะดําเนินการโดยการไกล่เกลี่ย ประนอมหนี้ในแต่ละพื้นที่ตามจํานวนที่สํารวจไว้แล้ว และจะมีการคัดกรองหนี้สินดังกล่าวส่งมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ไปดําเนินการให้ความช่วยเหลือตามกระบวนการต่อไป และได้มอบให้มีการจัดทําแผนปฏิบัติการเจรจาหนี้ให้ครบทุกรายภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2558 ตามลําดับความจําเป็นเร่งด่วนของหนี้ แล้วก็ให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งเจ้าหนี้ และลูกหนี้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ไปใช้หนี้ ก็จะให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2558 ที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดงาน “เมืองสุขภาพดี วิถีชุมชน” ช่วงนี้ที่ตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดงาน “เมืองสุขภาพดี วิถีชุมชน” มาแล้วกว่า 20 วัน มีประชาชน ทั้งไทยและต่างประเทศเข้าร่วมงานเป็นจํานวนมากให้ความสนใจผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้ดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ เกาหลี จีน กัมพูชามียอดขายและสั่งซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยเป็นจํานวนมาก ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากน้ํามันเปลือกส้มโอและมะกรูด เครื่องดื่มสมุนไพร และเครื่องสําอาง ซึ่งมีผู้มาเที่ยวงานกว่า 95,000 คน และมียอดจําหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพกว่า 22 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์เครื่องสําอาง อาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในร้านนวดและสปา มีบริการนวดแผนโบราณ กดจุด ตอกเส้น ตรวจวัดอีคิว ตรวจคัดกรองอัลไซเมอร์ ตรวจวัดไขมันในร่างกาย เรียกว่า “ครบวงจร” ที่นี่ ข้างทําเนียบรัฐบาล เดือนหน้า ตั้งแต่ 3 – 23 สิงหาคม 2558 จะมีการจัดตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ในเรื่องของการจัดงาน “อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ของขวัญแด่แม่” ให้ตรงกับเดือนสิงหาคม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมีการเชื่อมโยงกิจกรรมร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม และกรุงเทพมหานคร เพื่อจะร่วมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องใน “วันแม่แห่งชาติ” และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่เราได้มีผลงานสร้างสรรค์มาเป็นจํานวนมาก มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งบางคนอาจจะยังไม่รู้ บางอย่างเราก็คิดมาแล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องทําให้ไปสู่การผลิตให้ได้ ไปสู่การส่งออกให้ได้ และสร้างแบรนด์ของเราเองบ้าง ก็จะทําให้ประเทศไทยมีรายได้มากขึ้น เป็นการพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมในวันนี้และอนาคตในวันข้างหน้า ไม่อย่างนั้นก็เหมือนเดิม เศรษฐกิจก็ตกต่ําอยู่แบบนี้ ท่านลองไปทําอะไรใหม่ ๆ เราจะต้องยกระดับกระบวนการความคิด วิจัย พัฒนาไปสู่กระบวนการผลิต และไปสู่การตลาด ในลักษณะเป็นอุตสาหกรรม โดยจะต้องคงคุณค่า คุณภาพที่ดี เป็นความพึงพอใจที่ถูกใจผู้บริโภค ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่อไป หลายอย่างมีอนาคต ผมเห็นว่าเป็นโอกาสดีในห้วงวันสําคัญนี้ “วันแม่ของแผ่นดิน” อยากให้บรรดาคุณลูกที่มีความกตัญญูในการสรรหาของขวัญให้กับคุณแม่ ก็ขอให้มาร่วมรับชมจัดหาสิ่งของเหล่านั้นได้ และมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ นิทรรศการงานศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อาทิ ผลิตภัณฑ์งานเป่าแก้ว ผลิตภัณฑ์ตุ๊กตาชาววัง ผลิตภัณฑ์เครื่องเคลือบดินเผา ผลิตภัณฑ์งานวาดภาพสีน้ํามัน และนิทรรศการของกระทรวงอุตสาหกรรม นโยบายของรัฐบาลที่ขาดไม่ได้ก็คือ ให้เป็นกิจกรรมการให้คําปรึกษา – แนะนํา ในการที่จะพัฒนาธุรกิจ การบริหารจัดการธุรกิจมีความรู้ต่าง ๆ ให้ สร้างเถ้าแก่ใหม่ ในการพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ การดีไซน์ผลิตภัณฑ์ให้น่าซื้อ น่าใช้ และในเรื่องของการยกระดับและพัฒนาคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ทุกงานเวลารัฐบาลจัด ทุกกระทรวงก็ให้เป็นเรื่องของการจัดงานแสดงด้วย ให้มีการเจรจา/จับคู่ธุรกิจด้วย และในส่วนของรัฐ หรือของพาณิชย์ต่าง ๆ ก็มาให้การสนับสนุน ธนาคารต่าง ๆ ให้การสนับสนุน ส่งเสริมแหล่งเงินทุน ธุรกิจ SMEs หรือธุรกิจ Social Business และก็สอนในเรื่องของการทําแผนธุรกิจ ซึ่งก็ตรงกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และมีภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย ไม่อย่างนั้นเราก็จะบริหารธุรกิจแบบเดิม ๆ แบบครอบครัว ซึ่งวันนี้ไม่ได้แล้ว ต้องมี Good Governance การกํากับดูแลกิจการที่ดีด้วย เราจะมีการให้บริการภายในงานด้วย ขอเชิญทุกท่านมาร่วมงาน ทั้งพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการ ข้าราชการ ช่วยมาร่วมกิจกรรมในงานนี้ด้วย แล้วก็ขอให้นําไปขยายผลความสําเร็จ ถ้าเราไม่เพิ่มพูนไม่เรียนรู้ ความรู้ใหม่ ๆ ก็จะอยู่เท่าเดิม ข้าราชการก็จะรู้เท่าเดิม แต่วันนี้รัฐบาลพยายามที่จะขับเคลื่อนสิ่งที่เป็นเรื่องใหม่ ๆ ความทันสมัย เทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนโครงสร้าง การเกษตร อุตสาหกรรม ฯลฯ ต้องใช้ความรู้ใหม่ ๆ เพราะฉะนั้นผมก็ศึกษาด้วย อะไรด้วย ถามผู้รู้บ้าง ไม่ใช่คิดเอาแต่ตัวเอง ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ก็ต้องศึกษาคน ถ้าอะไรทําได้ก็ทํา ถ้ามีปัญหาสั่งไปแล้วไม่ถูก ผมก็ไม่ไปฝืนให้ทําอยู่แล้ว ทุกอย่างที่สั่งไปแล้ว ผมต้องได้รับความเห็นชอบร่วมกันจากทุกคนใน ครม. ผมบอกแล้วว่าผมสามารถริเริ่มให้ได้ แต่ถ้าผิด ท่านก็อย่าปล่อยให้ผมทําผิด เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติต้องยืนยันว่าเราทําได้หรือไม่ได้ อย่างเช่น ปัญหาในเรื่องพลังงาน เรื่องโรงไฟฟ้า ผมว่าก็ต้องทําให้ชัดเจน ได้ข้อยุติว่าจะทําอย่างไรกันต่อไป ผมไม่ได้บอกว่าผมไปดันทุรังว่าต้องทําให้ได้ หรือไม่ได้ ไม่ใช่ ผมยังไม่พูดถึงตรงนั้นเลย อย่าไปตีความกันผิด ๆ ถูก ๆ ก็เพียงแต่รับฟัง และหาทางออกกันให้ได้ เพื่อประโยชน์ของชาติในอนาคต ถ้าไม่ได้จะไปทําที่ไหน จะทําอะไรแทนก็ต้องตอบกันมาให้ชัดเจนทั้ง 2 ฝ่าย แล้วก็มีบุคคลที่ 3 มาด้วย เราจะไม่ปิดกั้นใครทั้งสิ้น ขอให้เข้ามา ฝากข้าราชการในพื้นที่ด้วย เรื่องอื่น ๆ เป็นเรื่องของการเร่งในเรื่องปฏิรูปการศึกษา ได้สั่งการไปแล้วเชิงโครงสร้างระยะแรกว่าจะทําอย่างไร ให้เด็กมีความสุข ผู้ปกครองมีความสุข และครูมีความสุข หนี้สินครูดูอยู่ด้วย วันนี้กระทรวงศึกษาธิการได้ปรับในเรื่องของการใช้จ่าย หนี้ กยศ. หนี้ครู การกู้เงินต่าง ๆ ก็ทํากันทั้งหมด เรื่องเศรษฐกิจ พอดีมีเรื่องภัยแล้งเข้ามาอีก เหมือนกับโรคซ้ํากรรมซัดหรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ธรรมดาถ้าเราเผชิญหน้าแบบนี้บ่อย ๆ เราก็จะเข้มแข็งเอง ปัญหาอยู่ที่ว่า “เราเตรียมตัว เตรียมใจ” ได้แค่ไหน อดทนได้แค่ไหน เพราะเราไม่เคยเจอ พอมีปัญหาก็อุด ๆ ช่องกันไป วันนี้ต้องแก้ปัญหาทั้งระบบ ถ้าแก้แบบเดิมก็เป็นแบบเก่า แล้วเงินทองเราก็ใช้จ่ายล่วงหน้ามากมาย วันนี้ก็ต้องอดทนและต้องเข้าใจด้วย ผมไม่เคยคิดอะไรโดยไม่นึกถึงคนรายได้น้อยเลย ทุกเรื่อง แต่เราจําเป็นจะต้องส่งเสริมทุกอัน เป็นธุรกิจต่อเนื่อง มีงานเพิ่ม มีรายได้ไปถึงคนรับจ้าง อะไรก็ว่าไป ถ้าไม่มาช่วยกันตรงนี้ อย่างเดียวที่ไปไม่ได้ แล้วนําเงินไปให้ใช้จ่าย ก็หมดเหมือนเดิม ก็จะให้ตามความจําเป็น ตามความเดือดร้อน เรื่องภัยแล้ง ก็มีปัญหาอยู่พอสมควร ถึงแม้จะมีฝนตกอยู่บ้าง คือน้ําไหลลงอ่างเพิ่มมากขึ้น แต่เปรียบเทียบกับที่เราจ่ายน้ําก็ยังใกล้ ๆ กัน เพราะว่าน้ําเหล่านี้ไม่ได้ส่งจากท่อไปตรงโน้น ตรงนี้ได้ น้ําไหลมาด้วยสายระบบส่งน้ําทางเปิด เพราะฉะนั้นก็ต้องแก้เรื่องระบบส่งน้ํากันคราวหน้า แต่วันนี้อยากจะบอกทุกกระทรวง ทบวง กรม ว่า ถ้ามีงบประมาณเหลือ มีงบประมาณในเรื่องของการจ้างงาน ก็ลองไปขุดเพิ่มเติมดู ตรงไหนพร้อมจะขุดเก็บกักน้ําไว้ได้ ก็ขุดตอนนี้ ผมเป็นห่วงว่าถ้าระยะต่อไปฝนแล้งอีก หรือทิ้งช่วงอีก จะทําอย่างไร ก็มีผลกระทบกับการปลูกพืชใน Crop 2 อีก ก็จะเกิดผลกระทบเหมือนกับแบบ Crop 1 เพราะฉะนั้นฝากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ หรือกระทรวงที่เกี่ยวข้องไปดูว่า เราจะทําอย่างไรกับ Crop 2 ต่อไป จะแก้ปัญหาอย่างไร เรื่องการจ้างงานก็สั่งไปแล้ว เมื่อวันที่ผ่านมาได้เสนอเข้า ครม. แล้ว อนุมัติเงินไปแล้ว เดี๋ยวจะมีการจ้างงานในพื้นที่ที่เดือดร้อนให้ได้ ไม่เดือดร้อนก็คงไม่ได้ ก็ไปสร้างให้เกิดการจ้างงานเกิดขึ้นทุกจังหวัด มากบ้างน้อยบ้างตามความจําเป็น อันที่ 2 คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการปลูกพืช โดยกระทรวงเกษตรฯ รับผิดชอบไป อันแรกเป็นของกระทรวงมหาดไทย 3. การเตรียมการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเสียหาย จากการเพาะปลูกพืช กําลังสํารวจอยู่ เราจะไปทุ่มทั้งหมดไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครเสียหายก็ว่ากันไป ใครที่ไม่เสียหายก็ต้องสู้ไป และต้องเตรียมการใน Crop หน้าให้ได้ด้วย เรื่องการปั่นจักรยาน "Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่" ขอขอบคุณทุกคน ขอให้เตรียมร่างกายไว้ให้พร้อมและระมัดระวังช่วงนี้ฝนตกการฝึกต่าง ๆ ก็ระวัง เดี๋ยวจะไม่ได้ร่วมกิจกรรมวันจริง ป่วยไม่ได้ ต้องระวังอย่าให้ล้ม สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นห่วงในเรื่องนี้ให้เกิดความปลอดภัยและเกิดความสุข ในวันที่ 16 ในวันที่ 2 สิงหาคมนี้ ก็จะมีการซ้อม ผมก็ต้องไปตรวจความเรียบร้อยในเส้นทางในจุดต่าง ๆ ให้มีผลกระทบเรื่องการจราจรน้อยที่สุด ผมก็จะเร่งเวลาให้เร็วขึ้นก็เป็นการภายใน อย่าถือว่าเป็นกิจกรรมหลักเลย กิจกรรมหลักคือวันที่ 16 สิงหาคม ทุกคนก็ไปร่วมเฉลิมพระเกียรติ เรื่องการท่องเที่ยว วันหยุดราชการนี้ หยุดหลายวัน 4 วัน ผมก็เป็นห่วงเรื่องเดิม คือ อุบัติเหตุขี่รถ ขับรถ การดื่มสุรา อะไรทํานองนี้ แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ ผมฝากไว้หนึ่งคําแล้วกันในปีนี้ ถ้าหากคนที่ชอบกินเหล้าแล้วขับรถ หรือขับรถเร็ว ถ้าท่านไม่รักชีวิตของท่านเอง ท่านก็นึกถึงคนอื่นเขาบ้าง คนอื่นเขารักชีวิตของเขา ท่านไม่รักชีวิตของท่านก็ไม่เป็นไร อย่าทําให้เขาบาดเจ็บสูญเสีย เป็นความโศกเศร้าเสียใจของครอบครัวเขา ตัวท่านเองผมไม่รู้จะว่าอย่างไร ห้ามไปห้ามมาหลายครั้งแล้วก็ไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ ท่านไม่รักตัวท่านก็ไม่เป็นไร อย่าทําความเสียหายให้กับชาติบ้านเมือง ให้กับคนอื่น ๆ เท่านั้นเอง ให้รู้ว่าชีวิตนั้นมีค่าแค่ไหน อย่างไร ขอขอบคุณ ขอให้มีความสุขในวันหยุดราชการหลายวัน ขอให้ปลอดภัย และขอให้ฝนตกมาก ๆ น้ําลงเขื่อนมาก ๆ พืชไร่ พืชสวนต่าง ๆ ประมง น้ําจืด อะไรก็แล้วแต่ ขอให้ผ่านพ้นภัยดังกล่าวเหล่านี้ให้ได้โดยเร็ว ขอขอบคุณครับ ด้วยความเป็นห่วง สวัสดีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” ตรวจร้านธงฟ้าประชารัฐ ที่จ.สุพรรณบุรี และอ่างทอง เผยมีความพร้อมรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเริ่มวันที่ 1 ต.ค.นี้
วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560 “พาณิชย์” ตรวจร้านธงฟ้าประชารัฐ ที่จ.สุพรรณบุรี และอ่างทอง เผยมีความพร้อมรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเริ่มวันที่ 1 ต.ค.นี้ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 18กันยายน 2560 ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่ร้านสมิงบ้านไร่ ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี และที่ร้านแต้ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ อ.เมือง จ.อ่างทอง เพื่อติดตามความพร้อมในการเปิดจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และตรวจสอบความพร้อมของการติดตั้งเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) เพื่อรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1ตุลาคม 2560ที่จะถึงนี้ “กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งจัดส่งรายชื่อร้านค้าปลีกรายย่อยที่สมัครเข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐให้กับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้เข้าไปติดตั้งเครื่องรูดบัตร โดยตั้งเป้าที่จะผลักดันให้มีร้านธงฟ้าประชารัฐที่พร้อมเปิดให้บริการตําบลละ 1แห่ง ในวันที่ 1ตุลาคม 2560แต่จากการหารือร่วมกับกรมบัญชีกลางได้รับแจ้งว่าน่าจะติดตั้งได้ประมาณ 2,000แห่ง เพราะติดส่วนที่เหลืออีก 6,000แห่ง จะเร่งติดตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 1-2เดือน” อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมที่จะจัดทํารถธงฟ้าประชารัฐเคลื่อนที่ หรือโมบาย ยูนิต นําสินค้าธงฟ้าประชารัฐจําหน่ายบนรถยนต์ ซึ่งจะติดตั้งเครื่อง EDC ให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้บัตรสวัสดิการรูดซื้อสินค้าได้ โดยจะเน้นจัดส่งเข้าไปในพื้นที่ๆ ที่มีร้านธงฟ้าประชารัฐ แต่ยังไม่สามารถเปิดให้บริการรับรูดบัตรได้ หรือในพื้นที่ ที่ไม่มีร้านธงฟ้าประชารัฐ ซึ่งได้ตั้งเป้าให้มีรถธงฟ้าประชารัฐเคลื่อนที่อย่างน้อยอําเภอละ 1 คัน เพื่อกระจายสินค้าให้กับผู้มีรายได้น้อยได้ซื้อในช่วงที่ยังไม่สามารถซื้อสินค้าในร้านธงฟ้าประชารัฐได้ ส่วนรายการสินค้าที่จะจําหน่ายในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ล่าสุดได้รับความร่วมมือจากผู้ผลิตและผู้จําหน่ายกว่า 50ราย แจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการ โดยจะนําสินค้ามาจําหน่ายในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐรวมกว่า 252รายการ ใน 3กลุ่มสินค้าหลักตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้กําหนดไว้ คือ สินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น อุปกรณ์และชุดนักเรียน และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี เป็นต้นและตรวจเยี่ยมตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตร (ผัก ผลไม้ และสัตว์น้ํา) ณ ตลาดสุวพันธ์ อ.เมือง จ.อ่างทอง และตรวจเยี่ยมตลาดกลางเพื่อการเกษตร (ตลาดกลางกุ้ง) อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยาด้วย สําหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นบัตรที่รัฐบาลได้ออกให้กับผู้ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยจํานวน 11.67ล้านคน โดยจะให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรฯ 2หมวด ได้แก่ หมวดการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ซึ่งประกอบด้วย 1) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคที่จําเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตร จากร้านธงฟ้าประชารัฐ โดยผู้ที่มีรายได้ต่ํากว่า 30,000บาทต่อคนต่อปี จะได้รับ 300บาทต่อคนต่อเดือน ส่วนผู้ที่มีรายได้สูงกว่า 30,000บาท จะได้รับ 200บาทต่อคนต่อเดือน และ 2) วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่ กระทรวงพลังงาน กําหนด 45บาทต่อคนต่อ 3เดือน และหมวดการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางซึ่งประกอบด้วย 1) วงเงินค่าโดยสารรถเมล์/รถไฟฟ้า 500บาทต่อคนต่อเดือน 2) วงเงินค่าโดยสารรถ บขส. 500บาท ต่อคนต่อเดือน และ 3) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ 500บาทต่อคนต่อเดือน ทั้งนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อ Call Center ของบัตรฯ ได้ที่ 02-109-2345จํานวน 150คู่สาย วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.-30น.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” ตรวจร้านธงฟ้าประชารัฐ ที่จ.สุพรรณบุรี และอ่างทอง เผยมีความพร้อมรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเริ่มวันที่ 1 ต.ค.นี้ วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560 “พาณิชย์” ตรวจร้านธงฟ้าประชารัฐ ที่จ.สุพรรณบุรี และอ่างทอง เผยมีความพร้อมรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเริ่มวันที่ 1 ต.ค.นี้ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 18กันยายน 2560 ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ที่ร้านสมิงบ้านไร่ ต.ศรีประจันต์ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี และที่ร้านแต้ซุปเปอร์เซ็นเตอร์ อ.เมือง จ.อ่างทอง เพื่อติดตามความพร้อมในการเปิดจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และตรวจสอบความพร้อมของการติดตั้งเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) เพื่อรองรับการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1ตุลาคม 2560ที่จะถึงนี้ “กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งจัดส่งรายชื่อร้านค้าปลีกรายย่อยที่สมัครเข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐให้กับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้เข้าไปติดตั้งเครื่องรูดบัตร โดยตั้งเป้าที่จะผลักดันให้มีร้านธงฟ้าประชารัฐที่พร้อมเปิดให้บริการตําบลละ 1แห่ง ในวันที่ 1ตุลาคม 2560แต่จากการหารือร่วมกับกรมบัญชีกลางได้รับแจ้งว่าน่าจะติดตั้งได้ประมาณ 2,000แห่ง เพราะติดส่วนที่เหลืออีก 6,000แห่ง จะเร่งติดตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 1-2เดือน” อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมที่จะจัดทํารถธงฟ้าประชารัฐเคลื่อนที่ หรือโมบาย ยูนิต นําสินค้าธงฟ้าประชารัฐจําหน่ายบนรถยนต์ ซึ่งจะติดตั้งเครื่อง EDC ให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถใช้บัตรสวัสดิการรูดซื้อสินค้าได้ โดยจะเน้นจัดส่งเข้าไปในพื้นที่ๆ ที่มีร้านธงฟ้าประชารัฐ แต่ยังไม่สามารถเปิดให้บริการรับรูดบัตรได้ หรือในพื้นที่ ที่ไม่มีร้านธงฟ้าประชารัฐ ซึ่งได้ตั้งเป้าให้มีรถธงฟ้าประชารัฐเคลื่อนที่อย่างน้อยอําเภอละ 1 คัน เพื่อกระจายสินค้าให้กับผู้มีรายได้น้อยได้ซื้อในช่วงที่ยังไม่สามารถซื้อสินค้าในร้านธงฟ้าประชารัฐได้ ส่วนรายการสินค้าที่จะจําหน่ายในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ ล่าสุดได้รับความร่วมมือจากผู้ผลิตและผู้จําหน่ายกว่า 50ราย แจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการ โดยจะนําสินค้ามาจําหน่ายในร้านค้าธงฟ้าประชารัฐรวมกว่า 252รายการ ใน 3กลุ่มสินค้าหลักตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้กําหนดไว้ คือ สินค้าอุปโภคบริโภคที่จําเป็น อุปกรณ์และชุดนักเรียน และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี เป็นต้นและตรวจเยี่ยมตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตร (ผัก ผลไม้ และสัตว์น้ํา) ณ ตลาดสุวพันธ์ อ.เมือง จ.อ่างทอง และตรวจเยี่ยมตลาดกลางเพื่อการเกษตร (ตลาดกลางกุ้ง) อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยาด้วย สําหรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นบัตรที่รัฐบาลได้ออกให้กับผู้ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยจํานวน 11.67ล้านคน โดยจะให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรฯ 2หมวด ได้แก่ หมวดการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ซึ่งประกอบด้วย 1) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคที่จําเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อการเกษตร จากร้านธงฟ้าประชารัฐ โดยผู้ที่มีรายได้ต่ํากว่า 30,000บาทต่อคนต่อปี จะได้รับ 300บาทต่อคนต่อเดือน ส่วนผู้ที่มีรายได้สูงกว่า 30,000บาท จะได้รับ 200บาทต่อคนต่อเดือน และ 2) วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มจากร้านค้าที่ กระทรวงพลังงาน กําหนด 45บาทต่อคนต่อ 3เดือน และหมวดการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางซึ่งประกอบด้วย 1) วงเงินค่าโดยสารรถเมล์/รถไฟฟ้า 500บาทต่อคนต่อเดือน 2) วงเงินค่าโดยสารรถ บขส. 500บาท ต่อคนต่อเดือน และ 3) วงเงินค่าโดยสารรถไฟ 500บาทต่อคนต่อเดือน ทั้งนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อ Call Center ของบัตรฯ ได้ที่ 02-109-2345จํานวน 150คู่สาย วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 08.30 – 17.-30น.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6782
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สธ. แจงเหตุแยกเงินเดือน และค่าตอบแทนส่วนที่เป็นเงินงบประมาณ ออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว เป็นทางออกในการจัดงบบริการประชาชน
วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน 2560 ​สธ. แจงเหตุแยกเงินเดือน และค่าตอบแทนส่วนที่เป็นเงินงบประมาณ ออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว เป็นทางออกในการจัดงบบริการประชาชน กระทรวงสาธารณสุข เผยเหตุที่ขอแยกเงินเดือนและค่าตอบแทนส่วนที่เป็นเงินงบประมาณออกจากงบเหมาจ่ายรายหัวนั้น เป็นไปตามข้อเสนอของนักวิชาการ เนื่องจากใช้กลไกนี้มา 15 ปี ประสบปัญหาต่างๆ จากการผูกเงินเดือนกับงบบริการ กระทรวงสาธารณสุข เผยเหตุที่ขอแยกเงินเดือนและค่าตอบแทนส่วนที่เป็นเงินงบประมาณออกจากงบเหมาจ่ายรายหัวนั้น เป็นไปตามข้อเสนอของนักวิชาการ เนื่องจากใช้กลไกนี้มา15ปี ประสบปัญหาต่างๆ จากการผูกเงินเดือนกับงบบริการ จนกระทั่งประชาชนไม่ได้รับงบประมาณในการบริการอย่างเท่าเทียม นายแพทย์พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปฏิบัติหน้าที่ผู้อํานวยการกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า การกําหนดให้มีโรงพยาบาลในแต่ละพื้นที่ เป็นไปตามนโยบายหรือความต้องการของพื้นที่ เช่น ต้องมีโรงพยาบาลประจําจังหวัด โรงพยาบาลประจําอําเภอและโรงพยาบาลระดับตําบล ซึ่งโรงพยาบาลแต่ละขนาดจะมีค่าจ่ายใช้พื้นฐาน(FIXED COST)และบุคลากรตามกรอบอัตรากําลังที่เหมาะสม ที่ผ่านมากลไกการจ่ายเงิน ตามมาตรา46(2)ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545ให้การผูกเงินเดือนกับงบดําเนินงานไปด้วยกัน โดยมีเหตุผลเพื่อต้องการกระจายบุคลากรและให้หน่วยบริการควบคุมค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับรายได้ที่ได้รับนั้น แต่จากการศึกษาที่ปรากฎพบว่า มาตรการดังกล่าวไม่ได้ผลเท่าที่ตั้งเป้าไว้ แต่ประเด็นที่มีประสิทธิภาพ คือ การควบคุมจากทางสธ. เรื่องโควต้าการบรรจุ และการอนุมัติการจ้างงานในปัจจุบัน แต่การผูกเงินเดือนไว้กับงบบริการนั้น ทําให้เกิดภาระของหน่วยบริการ พบว่าหลายแห่งมีเงินไม่เพียงพอที่จะซื้อเวชภัณฑ์ และจ่ายค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาตั้งแต่เริ่มต้น ต่ําที่สุด คือ ไม่มีรายได้เหลือเลย โดยมีหลายๆ แห่งได้รับผลกระทบเช่นนี้ เช่น รพ.เกาะกูด,รพ.เกาะพีพี,รพ.ท่าช้าง,รพ.วัดเพลง,รพ.ศรีสังวาลฯ,รพ.สิงห์บุรี,รพ.อินทร์บุรี หรือโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงแต่อยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรน้อย เช่น รพ.ระนอง,รพ.นภาลัย,รพ.ตะกั่วป่า,รพ.นครนายก,รพ.พระพุทธบาทฯ เป็นต้น ปัญหาดังกล่าวส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพระบบบริการและไม่เป็นธรรมสําหรับประชาชนในพื้นที่นั้น แม้จะแก้ไขปัญหาโดยปรับเกลี่ยงบประมาณจากหน่วยงาน/หน่วยบริการอื่นๆ มาช่วยให้สามารถจัดบริการได้ แต่ในระยะยาวหน่วยบริการเหล่านี้ก็ไม่สามารถพ้นปัญหาไปได้ นอกจากนี้ การจัดสรรงบเหมาจ่ายรายหัวจํานวน3,100บาทต่อคนต่อปี ที่รัฐบาลจัดสรรให้รวม1.7แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบส่งเสริมป้องกัน งบบริการผู้ป่วยนอก และงบบริการผู้ป่วยใน กระทรวงสาธารณสุขจึงได้รับงบประมาณประมาณ1แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดสรรให้กับหน่วยงานนอกกระทรวงสาธารณสุข ด้านนายแพทย์อนุกูล ไทยถานันดร์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ มีค่าใช้จ่ายในการบริการผู้ป่วยจํานวน50ล้านบาท และต้องจัดสรรเงินให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล12ล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด62ล้านบาท แต่ทางโรงพยาบาลได้รับงบบริการผู้ป่วยนอกจากสปสช. ปีละ20ล้านบาท ทําให้15ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลประสบภาวะเงินบํารุงโรงพยาบาลลดลงกระทั่งปัจจุบันติดลบร่วม200ล้านบาท
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สธ. แจงเหตุแยกเงินเดือน และค่าตอบแทนส่วนที่เป็นเงินงบประมาณ ออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว เป็นทางออกในการจัดงบบริการประชาชน วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน 2560 ​สธ. แจงเหตุแยกเงินเดือน และค่าตอบแทนส่วนที่เป็นเงินงบประมาณ ออกจากงบเหมาจ่ายรายหัว เป็นทางออกในการจัดงบบริการประชาชน กระทรวงสาธารณสุข เผยเหตุที่ขอแยกเงินเดือนและค่าตอบแทนส่วนที่เป็นเงินงบประมาณออกจากงบเหมาจ่ายรายหัวนั้น เป็นไปตามข้อเสนอของนักวิชาการ เนื่องจากใช้กลไกนี้มา 15 ปี ประสบปัญหาต่างๆ จากการผูกเงินเดือนกับงบบริการ กระทรวงสาธารณสุข เผยเหตุที่ขอแยกเงินเดือนและค่าตอบแทนส่วนที่เป็นเงินงบประมาณออกจากงบเหมาจ่ายรายหัวนั้น เป็นไปตามข้อเสนอของนักวิชาการ เนื่องจากใช้กลไกนี้มา15ปี ประสบปัญหาต่างๆ จากการผูกเงินเดือนกับงบบริการ จนกระทั่งประชาชนไม่ได้รับงบประมาณในการบริการอย่างเท่าเทียม นายแพทย์พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปฏิบัติหน้าที่ผู้อํานวยการกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า การกําหนดให้มีโรงพยาบาลในแต่ละพื้นที่ เป็นไปตามนโยบายหรือความต้องการของพื้นที่ เช่น ต้องมีโรงพยาบาลประจําจังหวัด โรงพยาบาลประจําอําเภอและโรงพยาบาลระดับตําบล ซึ่งโรงพยาบาลแต่ละขนาดจะมีค่าจ่ายใช้พื้นฐาน(FIXED COST)และบุคลากรตามกรอบอัตรากําลังที่เหมาะสม ที่ผ่านมากลไกการจ่ายเงิน ตามมาตรา46(2)ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545ให้การผูกเงินเดือนกับงบดําเนินงานไปด้วยกัน โดยมีเหตุผลเพื่อต้องการกระจายบุคลากรและให้หน่วยบริการควบคุมค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับรายได้ที่ได้รับนั้น แต่จากการศึกษาที่ปรากฎพบว่า มาตรการดังกล่าวไม่ได้ผลเท่าที่ตั้งเป้าไว้ แต่ประเด็นที่มีประสิทธิภาพ คือ การควบคุมจากทางสธ. เรื่องโควต้าการบรรจุ และการอนุมัติการจ้างงานในปัจจุบัน แต่การผูกเงินเดือนไว้กับงบบริการนั้น ทําให้เกิดภาระของหน่วยบริการ พบว่าหลายแห่งมีเงินไม่เพียงพอที่จะซื้อเวชภัณฑ์ และจ่ายค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาตั้งแต่เริ่มต้น ต่ําที่สุด คือ ไม่มีรายได้เหลือเลย โดยมีหลายๆ แห่งได้รับผลกระทบเช่นนี้ เช่น รพ.เกาะกูด,รพ.เกาะพีพี,รพ.ท่าช้าง,รพ.วัดเพลง,รพ.ศรีสังวาลฯ,รพ.สิงห์บุรี,รพ.อินทร์บุรี หรือโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงแต่อยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรน้อย เช่น รพ.ระนอง,รพ.นภาลัย,รพ.ตะกั่วป่า,รพ.นครนายก,รพ.พระพุทธบาทฯ เป็นต้น ปัญหาดังกล่าวส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพระบบบริการและไม่เป็นธรรมสําหรับประชาชนในพื้นที่นั้น แม้จะแก้ไขปัญหาโดยปรับเกลี่ยงบประมาณจากหน่วยงาน/หน่วยบริการอื่นๆ มาช่วยให้สามารถจัดบริการได้ แต่ในระยะยาวหน่วยบริการเหล่านี้ก็ไม่สามารถพ้นปัญหาไปได้ นอกจากนี้ การจัดสรรงบเหมาจ่ายรายหัวจํานวน3,100บาทต่อคนต่อปี ที่รัฐบาลจัดสรรให้รวม1.7แสนล้านบาท แบ่งเป็นงบส่งเสริมป้องกัน งบบริการผู้ป่วยนอก และงบบริการผู้ป่วยใน กระทรวงสาธารณสุขจึงได้รับงบประมาณประมาณ1แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดสรรให้กับหน่วยงานนอกกระทรวงสาธารณสุข ด้านนายแพทย์อนุกูล ไทยถานันดร์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ มีค่าใช้จ่ายในการบริการผู้ป่วยจํานวน50ล้านบาท และต้องจัดสรรเงินให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล12ล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด62ล้านบาท แต่ทางโรงพยาบาลได้รับงบบริการผู้ป่วยนอกจากสปสช. ปีละ20ล้านบาท ทําให้15ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลประสบภาวะเงินบํารุงโรงพยาบาลลดลงกระทั่งปัจจุบันติดลบร่วม200ล้านบาท
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4758
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 พิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2562 เวลา 07.15 น. รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมในพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่12สิงหาคม​2562เวลา07.15น.นาย​พิพัฒน์​ รัช​กิจ​ประการ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ พร้อมด้วย​คณะผู้บริหาร​ ข้าราชการ กระทรวงการ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ ร่วมในพิธีทําบุญตักบาตร​ถวาย​พระราช​กุศล​ เนื่องในโอกาสวัน​เฉลิมพระ​ชนมพรรษา​สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจํา​ปีพุทธศักราช​2562​โดยมีพลเอก ประยุทธ์​ จันทร์​โอชา​ นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​กลาโหม​ เป็น​ประธาน​ใน​พิธี​ ณ ท้องสนามหลวง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2562 พิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2562 เวลา 07.15 น. รัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมในพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่12สิงหาคม​2562เวลา07.15น.นาย​พิพัฒน์​ รัช​กิจ​ประการ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ พร้อมด้วย​คณะผู้บริหาร​ ข้าราชการ กระทรวงการ​ท่องเที่ยว​และ​กีฬา​ ร่วมในพิธีทําบุญตักบาตร​ถวาย​พระราช​กุศล​ เนื่องในโอกาสวัน​เฉลิมพระ​ชนมพรรษา​สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจํา​ปีพุทธศักราช​2562​โดยมีพลเอก ประยุทธ์​ จันทร์​โอชา​ นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​กลาโหม​ เป็น​ประธาน​ใน​พิธี​ ณ ท้องสนามหลวง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22187
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” รายงานผลการจับกุมผู้กระทำความผิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ ทั้งขายผ่านออนไลน์ และร้านค้าทั่วไป เพิ่มอีก 9 ราย ทำให้ยอดการจับกุมเพิ่มเป็น 285 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 “พาณิชย์” รายงานผลการจับกุมผู้กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ ทั้งขายผ่านออนไลน์ และร้านค้าทั่วไป เพิ่มอีก 9 ราย ทําให้ยอดการจับกุมเพิ่มเป็น 285 ราย [กระทรวงพาณิชย์] ส่วนสถานการณ์ไข่ไก่เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ โดยยอดรวมทั้งประเทศ 26 ราย คงที่ไม่มีคดีเพิ่ม (ประจําวันที่ 9 เมษายน 2563) นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์และศูนย์ปฏิบัติการด้านการควบคุมสินค้า (ศปส) ฝ่ายสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า ณ วันที่ 9 เม.ย.2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 สามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ เพิ่มอีก 9 ราย แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 4 ราย โดยเป็นการล่อซื้อและจับกุม ผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 665 บาท (เฉลี่ยชิ้นละ 13.30 บาท) รวม 1,750 ชิ้น และร้านขายยา 1 ราย จําหน่ายหน้ากากอนามัยบรรจุ 10 ชิ้น/แพค ในราคา 200 บาท (เฉลี่ยชิ้นละ 20 บาท) ทั้งสองรายกระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร ตามมาตรา 29 และยังจับกุมผู้จําหน่ายแอลกอฮอล์ ได้ 1 ราย ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคา ตามมาตรา 28 นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นสถานที่ผลิตอีก 1 ราย พบของกลางเป็นหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา (สีเขียว) จํานวน 300 ชิ้น หน้ากากอนามัยแบบคาร์บอน จํานวน 44,350 ชิ้น พร้อมกันนี้ยังได้เข้าตรวจค้นโกดังจัดเก็บหน้ากากอนามัยบริเวณใกล้เคียงพบหน้ากากอนามัยอีก จํานวน 215,000 ชิ้น ได้ทําการยึดของกลางและแจ้งข้อหาป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิตต่อ กกร. ตามมาตรา 25 (5) ในส่วนของต่างจังหวัดจับกุมได้เพิ่ม 5 ราย ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา 1 ราย เป็นร้านค้าออนไลน์ บนเฟซบุ๊ก เจ้าหน้าที่ทําการการล่อซื้อและจับกุม พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคา กล่องละ 850 บาท จังหวัดชลบุรี 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไปจําหน่ายหน้ากาอนามัยขนิดกรอง 4 ชั้น ในราคา กล่องละ 790 บาท (เฉลี่ยชิ้นละ 15.8 บาท) ทั้งสองรายกระทําความผิดข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร ตามมาตรา 29 จังหวัดกาฬสินธุ์ 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไปพบจําหน่ายหน้ากากอนามัยโดย ไม่ปิดป้ายแสดงราคา ตามมาตรา 28 จังหวัดสมุทรสงคราม 1 ราย กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัย ในราคา 120 บาท/แพค (เฉลี่ยชิ้นละ 12 บาท) แจ้งข้อหาจําหน่ายเกินราคาควบคุม ตามมาตรา 25 และ จังหวัดเพชรบูรณ์ 1 ราย จําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคากล่องละ 760 บาท (เฉลี่ยชิ้นละ 15.20 บาท) ทําให้สถิติการจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์ มีจํานวนเพิ่มขึ้นเป็น 285 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 140 ราย และ ต่างจังหวัด 145 ราย สําหรับการจับกุมกรณีผู้จําหน่ายไข่ไก่แพงเกินจริงทั่วประเทศ ณ วันที่ 9 เม.ย. 2563 ไม่พบผู้กระทําความผิด ทั้งนี้ โทษที่ผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่แจ้งต้นทุนราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิต ปริมาณคงเหลือ ตามมาตรา 25 (5) มีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะแจ้ง มาตรา 28 ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และมาตรา 29 ข้อหาขายแพงเกินสมควรมีอัตราโทษจําคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นายสุพพัตกล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าตรวจสอบ และจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์ ที่กระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ อย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นสินค้าที่มีความจําเป็นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ การตรวจสอบและจับกุม ยังรวมถึงสินค้าที่ไม่ได้เป็นสินค้าควบคุม แต่หากพบว่ามีการขายแพง มีการกักตุนสินค้า หรือมีการเอารัดเอาเปรียบประชาชน ก็จะดําเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด หากผู้บริโภค พบเห็นการกักตุนหรือค้ากําไรเกินควร ร้องเรียนได้ทันที ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด จะมีการเข้าไปตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิดทันที นายสุพพัตกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์” รายงานผลการจับกุมผู้กระทำความผิดจำหน่ายหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ ทั้งขายผ่านออนไลน์ และร้านค้าทั่วไป เพิ่มอีก 9 ราย ทำให้ยอดการจับกุมเพิ่มเป็น 285 ราย [กระทรวงพาณิชย์] วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563 “พาณิชย์” รายงานผลการจับกุมผู้กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ ทั้งขายผ่านออนไลน์ และร้านค้าทั่วไป เพิ่มอีก 9 ราย ทําให้ยอดการจับกุมเพิ่มเป็น 285 ราย [กระทรวงพาณิชย์] ส่วนสถานการณ์ไข่ไก่เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ โดยยอดรวมทั้งประเทศ 26 ราย คงที่ไม่มีคดีเพิ่ม (ประจําวันที่ 9 เมษายน 2563) นายสุพพัต อ่องแสงคุณ โฆษกกระทรวงพาณิชย์และศูนย์ปฏิบัติการด้านการควบคุมสินค้า (ศปส) ฝ่ายสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า ณ วันที่ 9 เม.ย.2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 สามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ เพิ่มอีก 9 ราย แบ่งเป็น กรุงเทพฯ 4 ราย โดยเป็นการล่อซื้อและจับกุม ผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้น ในราคากล่องละ 665 บาท (เฉลี่ยชิ้นละ 13.30 บาท) รวม 1,750 ชิ้น และร้านขายยา 1 ราย จําหน่ายหน้ากากอนามัยบรรจุ 10 ชิ้น/แพค ในราคา 200 บาท (เฉลี่ยชิ้นละ 20 บาท) ทั้งสองรายกระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร ตามมาตรา 29 และยังจับกุมผู้จําหน่ายแอลกอฮอล์ ได้ 1 ราย ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคา ตามมาตรา 28 นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นสถานที่ผลิตอีก 1 ราย พบของกลางเป็นหน้ากากอนามัยแบบธรรมดา (สีเขียว) จํานวน 300 ชิ้น หน้ากากอนามัยแบบคาร์บอน จํานวน 44,350 ชิ้น พร้อมกันนี้ยังได้เข้าตรวจค้นโกดังจัดเก็บหน้ากากอนามัยบริเวณใกล้เคียงพบหน้ากากอนามัยอีก จํานวน 215,000 ชิ้น ได้ทําการยึดของกลางและแจ้งข้อหาป็นผู้ผลิตไม่แจ้งต้นทุน ราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิตต่อ กกร. ตามมาตรา 25 (5) ในส่วนของต่างจังหวัดจับกุมได้เพิ่ม 5 ราย ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา 1 ราย เป็นร้านค้าออนไลน์ บนเฟซบุ๊ก เจ้าหน้าที่ทําการการล่อซื้อและจับกุม พบจําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคา กล่องละ 850 บาท จังหวัดชลบุรี 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไปจําหน่ายหน้ากาอนามัยขนิดกรอง 4 ชั้น ในราคา กล่องละ 790 บาท (เฉลี่ยชิ้นละ 15.8 บาท) ทั้งสองรายกระทําความผิดข้อหาจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร ตามมาตรา 29 จังหวัดกาฬสินธุ์ 1 ราย เป็นร้านค้าทั่วไปพบจําหน่ายหน้ากากอนามัยโดย ไม่ปิดป้ายแสดงราคา ตามมาตรา 28 จังหวัดสมุทรสงคราม 1 ราย กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัย ในราคา 120 บาท/แพค (เฉลี่ยชิ้นละ 12 บาท) แจ้งข้อหาจําหน่ายเกินราคาควบคุม ตามมาตรา 25 และ จังหวัดเพชรบูรณ์ 1 ราย จําหน่ายหน้ากากอนามัยในราคากล่องละ 760 บาท (เฉลี่ยชิ้นละ 15.20 บาท) ทําให้สถิติการจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์ มีจํานวนเพิ่มขึ้นเป็น 285 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 140 ราย และ ต่างจังหวัด 145 ราย สําหรับการจับกุมกรณีผู้จําหน่ายไข่ไก่แพงเกินจริงทั่วประเทศ ณ วันที่ 9 เม.ย. 2563 ไม่พบผู้กระทําความผิด ทั้งนี้ โทษที่ผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่แจ้งต้นทุนราคาซื้อ ราคาจําหน่าย ปริมาณการผลิต ปริมาณคงเหลือ ตามมาตรา 25 (5) มีโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และปรับไม่เกินวันละ 2,000 บาท ตลอดเวลาที่ฝ่าฝืน หรือจนกว่าจะแจ้ง มาตรา 28 ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และมาตรา 29 ข้อหาขายแพงเกินสมควรมีอัตราโทษจําคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ นายสุพพัตกล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ยังคงเดินหน้าตรวจสอบ และจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัย เจลล้างมือและแอลกอฮอล์ ที่กระทําความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ อย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นสินค้าที่มีความจําเป็นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ การตรวจสอบและจับกุม ยังรวมถึงสินค้าที่ไม่ได้เป็นสินค้าควบคุม แต่หากพบว่ามีการขายแพง มีการกักตุนสินค้า หรือมีการเอารัดเอาเปรียบประชาชน ก็จะดําเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด หากผู้บริโภค พบเห็นการกักตุนหรือค้ากําไรเกินควร ร้องเรียนได้ทันที ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด จะมีการเข้าไปตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิดทันที นายสุพพัตกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28800
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฐานะการคลังภาครัฐบาลตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาวิเคราะห์นโยบายการคลัง (สศค. หรือ GFS) ไตรมาสที่ 3 (เมษายน – มิถุนายน 2562) และในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562
วันพุธที่ 25 กันยายน 2562 ฐานะการคลังภาครัฐบาลตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาวิเคราะห์นโยบายการคลัง (สศค. หรือ GFS) ไตรมาสที่ 3 (เมษายน – มิถุนายน 2562) และในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (ตุลาคม 2561 – มิถุนายน 2562) ภาครัฐบาล (รัฐบาล กองทุนนอกงบประมาณ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) มีรายได้ 2,617,969 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 162,106 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.6 ฐานะการคลังภาครัฐบาลตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาวิเคราะห์นโยบายการคลัง (สศค. หรือ GFS) ไตรมาสที่ 3 (เมษายน – มิถุนายน 2562) และในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (ตุลาคม 2561 – มิถุนายน 2562) ภาครัฐบาล (รัฐบาล กองทุนนอกงบประมาณ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) มีรายได้ 2,617,969 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 162,106 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.6 เป็นผลจากการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล (ภาษีจากฐานเงินได้และฐานการบริโภค และการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ) และรายได้ของกองทุนนอกงบประมาณที่เพิ่มขึ้น 104,752 และ 53,316 ล้านบาท ตามลําดับ สําหรับด้านรายจ่ายมีจํานวนทั้งสิ้น 2,745,035 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 149,178 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.7 ทั้งนี้ จากรายได้และรายจ่ายดังกล่าว ส่งผลให้ดุลการคลังภาครัฐบาลขาดดุล 127,066 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.8 ของ GDP และดุลการคลังเบื้องต้นของภาครัฐบาล (Primary Balance) เกินดุล 13,357 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.1 ของ GDP General Government Fiscal Balance Report (GFS Basis) : The First 9 months of the Fiscal Year 2019 For the first 9 months of fiscal year 2019 (October 2018 – June 2019), general government fiscal revenue was 2,617,969 million Baht, which was 6.6 percent (162,106 million Baht) higher than the same period of last year. These were substantially due to the increases in the revenue from central government (including income base tax, consumption base tax and state-owned entreprise remittances) and extra-budgetary funds by 104,752 and 53,316 million Baht, respectively. Whilst, general government expenditure for the first 9 months of fiscal year 2019 was 2,745,035 million Baht, which was 5.7 percent (149,178 million Baht) higher than the same period of last year. As a consequence, Thailand general government balance for the first 9 months of fiscal year 2019 was in deficit of 127,066 million Baht or 0.8 percent of GDP. Conversely, the consolidated general government primary balance, which excludes interest payment to reflect the substantive performance and the direction of fiscal policy, was in surplus of 13,357 million Baht, or 0.1 percent of GDP.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ฐานะการคลังภาครัฐบาลตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาวิเคราะห์นโยบายการคลัง (สศค. หรือ GFS) ไตรมาสที่ 3 (เมษายน – มิถุนายน 2562) และในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 วันพุธที่ 25 กันยายน 2562 ฐานะการคลังภาครัฐบาลตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาวิเคราะห์นโยบายการคลัง (สศค. หรือ GFS) ไตรมาสที่ 3 (เมษายน – มิถุนายน 2562) และในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (ตุลาคม 2561 – มิถุนายน 2562) ภาครัฐบาล (รัฐบาล กองทุนนอกงบประมาณ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) มีรายได้ 2,617,969 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 162,106 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.6 ฐานะการคลังภาครัฐบาลตามระบบสถิติเพื่อการศึกษาวิเคราะห์นโยบายการคลัง (สศค. หรือ GFS) ไตรมาสที่ 3 (เมษายน – มิถุนายน 2562) และในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 (ตุลาคม 2561 – มิถุนายน 2562) ภาครัฐบาล (รัฐบาล กองทุนนอกงบประมาณ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) มีรายได้ 2,617,969 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 162,106 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.6 เป็นผลจากการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล (ภาษีจากฐานเงินได้และฐานการบริโภค และการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ) และรายได้ของกองทุนนอกงบประมาณที่เพิ่มขึ้น 104,752 และ 53,316 ล้านบาท ตามลําดับ สําหรับด้านรายจ่ายมีจํานวนทั้งสิ้น 2,745,035 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 149,178 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.7 ทั้งนี้ จากรายได้และรายจ่ายดังกล่าว ส่งผลให้ดุลการคลังภาครัฐบาลขาดดุล 127,066 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.8 ของ GDP และดุลการคลังเบื้องต้นของภาครัฐบาล (Primary Balance) เกินดุล 13,357 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.1 ของ GDP General Government Fiscal Balance Report (GFS Basis) : The First 9 months of the Fiscal Year 2019 For the first 9 months of fiscal year 2019 (October 2018 – June 2019), general government fiscal revenue was 2,617,969 million Baht, which was 6.6 percent (162,106 million Baht) higher than the same period of last year. These were substantially due to the increases in the revenue from central government (including income base tax, consumption base tax and state-owned entreprise remittances) and extra-budgetary funds by 104,752 and 53,316 million Baht, respectively. Whilst, general government expenditure for the first 9 months of fiscal year 2019 was 2,745,035 million Baht, which was 5.7 percent (149,178 million Baht) higher than the same period of last year. As a consequence, Thailand general government balance for the first 9 months of fiscal year 2019 was in deficit of 127,066 million Baht or 0.8 percent of GDP. Conversely, the consolidated general government primary balance, which excludes interest payment to reflect the substantive performance and the direction of fiscal policy, was in surplus of 13,357 million Baht, or 0.1 percent of GDP.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23398
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยยกเลิกควบคุมพื้นที่วัดธรรมกาย แต่ยังคงใช้มาตรา 44 คงเดิม ระบุใช้เท่าที่จำเป็น และจะไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ
วันอังคารที่ 11 เมษายน 2560 นายกรัฐมนตรีเผยยกเลิกควบคุมพื้นที่วัดธรรมกาย แต่ยังคงใช้มาตรา 44 คงเดิม ระบุใช้เท่าที่จําเป็น และจะไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีเผยยกเลิกควบคุมพื้นที่วัดธรรมกาย แต่ยังคงใช้มาตรา 44 คงเดิม ระบุใช้เท่าที่จําเป็น และจะไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ วันนี้ (11 เมษายน 2560) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการยกเลิกใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดธรรมกายว่า เป็นการยกเลิกควบคุมพื้นที่วัดธรรมกายเพราะเกิดความสงบในพื้นที่แล้ว แต่การใช้มาตรา 44 ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งหากมีปัญหาเกิดความรุนแรงเกิดขึ้นภายในพื้นที่ที่ยกเลิก ก็สามารถใช้มาตรา 44 กลับมาควบคุมพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยไม่ให้เกิดความรุนแรง ส่วนกรณีที่นักการเมืองออกมาระบุว่า ไม่ต้องการให้รัฐบาลใช้มาตรา 44 ว่า รัฐบาลใช้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งประชาชนทั่วไปไม่ได้รับความเดือนร้อนจากการบังคับใช้มาตรา 44 มีแต่นักการเมืองเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลจะใช้มาตรา 44 เท่าที่จําเป็นและจะไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ ส่วนสถานการณ์บ้านเมืองหลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีคาดหวังว่าทุกคนจะใจเย็นลง เพราะรัฐบาลได้เริ่มต้นนับหนึ่งเข้าสู่กระบวนการตามรัฐธรรมนูญแล้ว ทั้งนี้ สถานการณ์บ้านเมืองเดินหน้าเรียบร้อยไปในทางที่ดี เศรษฐกิจและความเชื่อมั่น รวมถึงการส่งออกมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น จากการประเมินของหน่วยงานภายนอกไม่ใช่จากหน่วยงานของรัฐบาล ---------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยยกเลิกควบคุมพื้นที่วัดธรรมกาย แต่ยังคงใช้มาตรา 44 คงเดิม ระบุใช้เท่าที่จำเป็น และจะไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ วันอังคารที่ 11 เมษายน 2560 นายกรัฐมนตรีเผยยกเลิกควบคุมพื้นที่วัดธรรมกาย แต่ยังคงใช้มาตรา 44 คงเดิม ระบุใช้เท่าที่จําเป็น และจะไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีเผยยกเลิกควบคุมพื้นที่วัดธรรมกาย แต่ยังคงใช้มาตรา 44 คงเดิม ระบุใช้เท่าที่จําเป็น และจะไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ วันนี้ (11 เมษายน 2560) เวลา 15.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการยกเลิกใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่วัดธรรมกายว่า เป็นการยกเลิกควบคุมพื้นที่วัดธรรมกายเพราะเกิดความสงบในพื้นที่แล้ว แต่การใช้มาตรา 44 ยังคงเหมือนเดิม ซึ่งหากมีปัญหาเกิดความรุนแรงเกิดขึ้นภายในพื้นที่ที่ยกเลิก ก็สามารถใช้มาตรา 44 กลับมาควบคุมพื้นที่ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยไม่ให้เกิดความรุนแรง ส่วนกรณีที่นักการเมืองออกมาระบุว่า ไม่ต้องการให้รัฐบาลใช้มาตรา 44 ว่า รัฐบาลใช้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งประชาชนทั่วไปไม่ได้รับความเดือนร้อนจากการบังคับใช้มาตรา 44 มีแต่นักการเมืองเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลจะใช้มาตรา 44 เท่าที่จําเป็นและจะไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ ส่วนสถานการณ์บ้านเมืองหลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีคาดหวังว่าทุกคนจะใจเย็นลง เพราะรัฐบาลได้เริ่มต้นนับหนึ่งเข้าสู่กระบวนการตามรัฐธรรมนูญแล้ว ทั้งนี้ สถานการณ์บ้านเมืองเดินหน้าเรียบร้อยไปในทางที่ดี เศรษฐกิจและความเชื่อมั่น รวมถึงการส่งออกมีแนวโน้มในทางที่ดีขึ้น จากการประเมินของหน่วยงานภายนอกไม่ใช่จากหน่วยงานของรัฐบาล ---------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3029
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ.เปิด“หอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ”สัญลักษณ์ 100 ปีสาธารณสุขไทย อนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไว้เป็นมรดกของชาติ
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2561 รมว.สธ.เปิด“หอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ”สัญลักษณ์ 100 ปีสาธารณสุขไทย อนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไว้เป็นมรดกของชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดหอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ ในวาระครบรอบ 100 ปี การสาธารณสุขไทย (พ.ศ.2461-2561) เสมือนเป็นหนังสือเล่มใหญ่ที่ควรค่าแก่การศึกษาค้นคว้าอนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไว้เป็นมรดกของชาติ วันนี้ (27 พฤศจิกายน 2561) ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดหอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติชั้น 1 อาคารคลังพัสดุ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี โดยมี ผู้บริหาร นักวิชาการ ประชาชนผู้สนใจ ร่วมพิธี ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า หนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา การสาธารณสุขไทยมีบทเรียนความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของผู้คนและหน่วยงานต่าง ๆ ทุ่มเทพัฒนางานด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศ รวมทั้งมีบทเรียนของปัญหา อุปสรรค และความล้มเหลวที่มีคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน พัฒนาการของการสาธารณสุขไทยจึงเป็นเสมือนหนังสือเล่มใหญ่ที่ควรค่าแก่การศึกษาค้นคว้า การจัดเก็บข้อมูลประวัติศาสตร์มาเป็นบทเรียนจึงมีความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะการเรียนรู้อดีต ทําให้เข้าใจปัจจุบันและกําหนดอนาคตได้ดียิ่งขึ้น หอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สําคัญในโอกาสการเฉลิมฉลอง 100 ปีการสาธารณสุขไทย โดยเป็นงานอนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไว้เป็นมรดกของชาติ การส่งเสริมและพัฒนางานจดหมายเหตุของกระทรวงสาธารณสุข ให้มีคุณภาพเป็นศูนย์ข้อมูลสารสนเทศที่เชื่อมโยงฐานข้อมูลเอกสารจดหมายเหตุในหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ สร้างความเข้าใจและส่งเสริมการให้คุณค่าในการเก็บรวบรวม ดูแลรักษา และเรียนรู้จากอดีต เป็นพี่เลี้ยงให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุขให้เกิดการเรียนรู้จากอดีตอย่างเป็นระบบ เชื่อมโยงงานด้านการแพทย์และการสาธารณสุขในปัจจุบันและอนาคต ด้าน นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ เป็นหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข รองรับภารกิจของกระทรวงสาธารณสุขในศตวรรษที่ 2 ต่อไป โดยวางแผนดําเนินงาน 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวางรากฐานขององค์กรและการพัฒนาระบบหอจดหมายเหตุดิจิทัล ระยะที่ 2 การรวบรวมเอกสารสําคัญเพื่อสร้างคลังเอกสารที่สมบูรณ์ และระยะที่ 3 การยกระดับมาตรฐานการให้บริการและสร้างความเข้มแข็งของเครือข่าย งานจดหมายเหตุด้านสาธารณสุขของประเทศที่เชื่อมโยงกับจดหมายเหตุด้านสาธารณสุขในต่างประเทศ ทั้งนี้ หอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ ชั้น 1 เป็นห้องนิทรรศการ ห้องให้บริการจดหมายเหตุ และห้องคลังจดหมายเหตุ มีระบบควบคุมความชื้นและความปลอดภัยตามมาตรฐานของหอจดหมายเหตุสากล ส่วนชั้น 4 เป็นสํานักงานหากต้องการมอบเอกสารด้านสาธารณสุขให้กับหอจดหมายเหตุฯ เก็บรักษาหรือสืบค้นเอกสารสําคัญติดต่อได้ที่หอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ ชั้น 1 ซ.สาธารณสุข 6 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000โทรศัพท์: 0-2590-2364-5, 0-2590-1352 โทรสาร 0-2590-1498 วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00–16.00น. อีเมล์:naph.thailand@gmail.com เว็บไซต์ : www.naph.or.th ********************* 27 พฤศจิกายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สธ.เปิด“หอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ”สัญลักษณ์ 100 ปีสาธารณสุขไทย อนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไว้เป็นมรดกของชาติ วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน 2561 รมว.สธ.เปิด“หอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ”สัญลักษณ์ 100 ปีสาธารณสุขไทย อนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไว้เป็นมรดกของชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดหอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ ในวาระครบรอบ 100 ปี การสาธารณสุขไทย (พ.ศ.2461-2561) เสมือนเป็นหนังสือเล่มใหญ่ที่ควรค่าแก่การศึกษาค้นคว้าอนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไว้เป็นมรดกของชาติ วันนี้ (27 พฤศจิกายน 2561) ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดหอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติชั้น 1 อาคารคลังพัสดุ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี โดยมี ผู้บริหาร นักวิชาการ ประชาชนผู้สนใจ ร่วมพิธี ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า หนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา การสาธารณสุขไทยมีบทเรียนความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของผู้คนและหน่วยงานต่าง ๆ ทุ่มเทพัฒนางานด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศ รวมทั้งมีบทเรียนของปัญหา อุปสรรค และความล้มเหลวที่มีคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน พัฒนาการของการสาธารณสุขไทยจึงเป็นเสมือนหนังสือเล่มใหญ่ที่ควรค่าแก่การศึกษาค้นคว้า การจัดเก็บข้อมูลประวัติศาสตร์มาเป็นบทเรียนจึงมีความสําคัญอย่างยิ่ง เพราะการเรียนรู้อดีต ทําให้เข้าใจปัจจุบันและกําหนดอนาคตได้ดียิ่งขึ้น หอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สําคัญในโอกาสการเฉลิมฉลอง 100 ปีการสาธารณสุขไทย โดยเป็นงานอนุรักษ์เอกสารจดหมายเหตุด้านการแพทย์และการสาธารณสุขไว้เป็นมรดกของชาติ การส่งเสริมและพัฒนางานจดหมายเหตุของกระทรวงสาธารณสุข ให้มีคุณภาพเป็นศูนย์ข้อมูลสารสนเทศที่เชื่อมโยงฐานข้อมูลเอกสารจดหมายเหตุในหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ สร้างความเข้าใจและส่งเสริมการให้คุณค่าในการเก็บรวบรวม ดูแลรักษา และเรียนรู้จากอดีต เป็นพี่เลี้ยงให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุขให้เกิดการเรียนรู้จากอดีตอย่างเป็นระบบ เชื่อมโยงงานด้านการแพทย์และการสาธารณสุขในปัจจุบันและอนาคต ด้าน นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ เป็นหน่วยงานในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข รองรับภารกิจของกระทรวงสาธารณสุขในศตวรรษที่ 2 ต่อไป โดยวางแผนดําเนินงาน 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวางรากฐานขององค์กรและการพัฒนาระบบหอจดหมายเหตุดิจิทัล ระยะที่ 2 การรวบรวมเอกสารสําคัญเพื่อสร้างคลังเอกสารที่สมบูรณ์ และระยะที่ 3 การยกระดับมาตรฐานการให้บริการและสร้างความเข้มแข็งของเครือข่าย งานจดหมายเหตุด้านสาธารณสุขของประเทศที่เชื่อมโยงกับจดหมายเหตุด้านสาธารณสุขในต่างประเทศ ทั้งนี้ หอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ ชั้น 1 เป็นห้องนิทรรศการ ห้องให้บริการจดหมายเหตุ และห้องคลังจดหมายเหตุ มีระบบควบคุมความชื้นและความปลอดภัยตามมาตรฐานของหอจดหมายเหตุสากล ส่วนชั้น 4 เป็นสํานักงานหากต้องการมอบเอกสารด้านสาธารณสุขให้กับหอจดหมายเหตุฯ เก็บรักษาหรือสืบค้นเอกสารสําคัญติดต่อได้ที่หอจดหมายเหตุสาธารณสุขแห่งชาติ ชั้น 1 ซ.สาธารณสุข 6 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000โทรศัพท์: 0-2590-2364-5, 0-2590-1352 โทรสาร 0-2590-1498 วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00–16.00น. อีเมล์:naph.thailand@gmail.com เว็บไซต์ : www.naph.or.th ********************* 27 พฤศจิกายน 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17129
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการเยียวยา 5,000 บาท เริ่มเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ในวันที่ 20 เมษายน 2563 เวลา 6.00 น. ผ่านระบบออนไลน์เท่านั้นที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com
วันเสาร์ที่ 18 เมษายน 2563 มาตรการเยียวยา 5,000 บาท เริ่มเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ในวันที่ 20 เมษายน 2563 เวลา 6.00 น. ผ่านระบบออนไลน์เท่านั้นที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ในวันจันทร์ที่ 20 เม.ย.2563 ตั้งแต่เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดให้ผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ขอทบทวนสิทธิ์ได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยจะเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563 ตั้งแต่เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดให้ผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ขอทบทวนสิทธิ์ได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยจะเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ทั้งต่อตัวผู้ประสงค์จะขอทบทวนสิทธิ์เองและต่อส่วนรวมของสังคมไทย ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของผู้ประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ ขอให้ท่านรีบกรอกข้อมูลที่เว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ไม่จําเป็นต้องมาที่กระทรวงการคลังโดยในระยะแรกนี้จะเปิดกว้างสําหรับทุกกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์และไม่เห็นด้วยกับผลการคัดกรองก่อนและในระยะต่อไปจะขยายไปยังกลุ่มผู้ที่ได้กดยกเลิกการลงทะเบียนโดยความเข้าใจผิดด้วยกลไกการทบทวนสิทธิ์จะดําเนินการอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่จริงเพื่อยืนยันตัวตนและการประกอบอาชีพตามที่ได้ลงทะเบียนทั้งนี้ ขอเน้นย้ําว่าผู้ผ่านการทบทวนสิทธิ์จะยังได้รับเงินเยียวยาครบทั้ง 3 เดือนเนื่องจากการให้เงินเยียวยาจะใช้วันลงทะเบียนในการเริ่มนับสิทธิ์ในกรณีที่ทราบผลการพิจารณาในเดือนพฤษภาคม ผู้ผ่านการทบทวนสิทธิ์จะได้รับเงินเยียวยาครั้งแรกจํานวน 10,000 บาท เพราะได้รวมเงินเยียวยา 5,000 บาท ของเดือนเมษายนด้วย โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2563 เป็นต้นมาได้มีการจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท ต่อเนื่องทุ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการเยียวยา 5,000 บาท เริ่มเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ในวันที่ 20 เมษายน 2563 เวลา 6.00 น. ผ่านระบบออนไลน์เท่านั้นที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com วันเสาร์ที่ 18 เมษายน 2563 มาตรการเยียวยา 5,000 บาท เริ่มเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ในวันที่ 20 เมษายน 2563 เวลา 6.00 น. ผ่านระบบออนไลน์เท่านั้นที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ในวันจันทร์ที่ 20 เม.ย.2563 ตั้งแต่เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดให้ผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ขอทบทวนสิทธิ์ได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยจะเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันจันทร์ที่ 20 เมษายน 2563 ตั้งแต่เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดให้ผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองมาตรการเยียวยา 5,000 บาท ขอทบทวนสิทธิ์ได้ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยจะเปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ทั้งต่อตัวผู้ประสงค์จะขอทบทวนสิทธิ์เองและต่อส่วนรวมของสังคมไทย ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของผู้ประสงค์ขอทบทวนสิทธิ์ ขอให้ท่านรีบกรอกข้อมูลที่เว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ไม่จําเป็นต้องมาที่กระทรวงการคลังโดยในระยะแรกนี้จะเปิดกว้างสําหรับทุกกลุ่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์และไม่เห็นด้วยกับผลการคัดกรองก่อนและในระยะต่อไปจะขยายไปยังกลุ่มผู้ที่ได้กดยกเลิกการลงทะเบียนโดยความเข้าใจผิดด้วยกลไกการทบทวนสิทธิ์จะดําเนินการอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จะลงพื้นที่จริงเพื่อยืนยันตัวตนและการประกอบอาชีพตามที่ได้ลงทะเบียนทั้งนี้ ขอเน้นย้ําว่าผู้ผ่านการทบทวนสิทธิ์จะยังได้รับเงินเยียวยาครบทั้ง 3 เดือนเนื่องจากการให้เงินเยียวยาจะใช้วันลงทะเบียนในการเริ่มนับสิทธิ์ในกรณีที่ทราบผลการพิจารณาในเดือนพฤษภาคม ผู้ผ่านการทบทวนสิทธิ์จะได้รับเงินเยียวยาครั้งแรกจํานวน 10,000 บาท เพราะได้รวมเงินเยียวยา 5,000 บาท ของเดือนเมษายนด้วย โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2563 เป็นต้นมาได้มีการจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาท ต่อเนื่องทุ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29323
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.เผยผลเลือกตั้งนายจ้าง ลูกจ้าง เป็นกรรมการในสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ
วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 กสร.เผยผลเลือกตั้งนายจ้าง ลูกจ้าง เป็นกรรมการในสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เผยผลการเลือกตั้งกรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้างและกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ ชุดที่ 19 นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงง่าน (กสร.) เปิดเผยว่า กรรมการสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ เป็นคณะกรรมการไตรภาคีสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย กรรมการ 20 คน ได้แก่ กรรมการผู้แทนฝ่ายรัฐบาล 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน กรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ฝ่ายละ 5 คน มีวาระในการดํารงตําแหน่งคราวละ 2 ปี เนื่องจากกรรมการชุดปัจจุบันได้หมดวาระลง กสร. จึงได้จัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง เพื่อเป็นคณะกรรมการในสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 ผลการเลือกตั้งปรากฏดังนี้ กรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้างผู้ได้รับการเลือกตั้ง ได้แก่ 1.นายพลพัฒ กรรณสูต 2.นายสมชัย วรจรรยาวงศ์ 3.นายสุรชัย โฆษิตบวรชัย 4.นายนันทพล วงศ์เรืองวิศาล และ5.นายกานต์ สุมาลี กรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างผู้ได้รับการเลือกตั้ง ได้แก่ 1.นายอาทิตย์ มีปากดี 2.นายณัฏฐ์พัฒน์ ปัตตายะโก 3.นายเชาว์ คล้ายเจริญ 4.นายประสิทธิ์ วรรณภาส และ5.นายไพฑูรย์ ตุลาพงษ์ อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า กรรมการในสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติจะทําหน้าที่ เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวกับด้านแรงงาน เช่น พิจารณาข้อเสนอของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับนโยบาย กฎหมาย และมาตรการด้านแรงงานของประเทศ เพื่อให้มีการคุ้มครองและสวัสดิการแก่ผู้ใช้แรงงานอย่างเหมาะสม ขจัดความเหลื่อมล้ําระหว่างกลุ่มผู้ใช้แรงงาน การเสนอความเห็นต่อรัฐบาลในปัญหาแรงงานที่เกิดขึ้น และมาตรการแก้ไข เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร.เผยผลเลือกตั้งนายจ้าง ลูกจ้าง เป็นกรรมการในสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 กสร.เผยผลเลือกตั้งนายจ้าง ลูกจ้าง เป็นกรรมการในสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เผยผลการเลือกตั้งกรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้างและกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างในสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ ชุดที่ 19 นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงง่าน (กสร.) เปิดเผยว่า กรรมการสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ เป็นคณะกรรมการไตรภาคีสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย กรรมการ 20 คน ได้แก่ กรรมการผู้แทนฝ่ายรัฐบาล 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน กรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และกรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ฝ่ายละ 5 คน มีวาระในการดํารงตําแหน่งคราวละ 2 ปี เนื่องจากกรรมการชุดปัจจุบันได้หมดวาระลง กสร. จึงได้จัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง เพื่อเป็นคณะกรรมการในสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 ผลการเลือกตั้งปรากฏดังนี้ กรรมการผู้แทนฝ่ายนายจ้างผู้ได้รับการเลือกตั้ง ได้แก่ 1.นายพลพัฒ กรรณสูต 2.นายสมชัย วรจรรยาวงศ์ 3.นายสุรชัย โฆษิตบวรชัย 4.นายนันทพล วงศ์เรืองวิศาล และ5.นายกานต์ สุมาลี กรรมการผู้แทนฝ่ายลูกจ้างผู้ได้รับการเลือกตั้ง ได้แก่ 1.นายอาทิตย์ มีปากดี 2.นายณัฏฐ์พัฒน์ ปัตตายะโก 3.นายเชาว์ คล้ายเจริญ 4.นายประสิทธิ์ วรรณภาส และ5.นายไพฑูรย์ ตุลาพงษ์ อธิบดีกสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า กรรมการในสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาแรงงานแห่งชาติจะทําหน้าที่ เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลในส่วนที่เกี่ยวกับด้านแรงงาน เช่น พิจารณาข้อเสนอของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับนโยบาย กฎหมาย และมาตรการด้านแรงงานของประเทศ เพื่อให้มีการคุ้มครองและสวัสดิการแก่ผู้ใช้แรงงานอย่างเหมาะสม ขจัดความเหลื่อมล้ําระหว่างกลุ่มผู้ใช้แรงงาน การเสนอความเห็นต่อรัฐบาลในปัญหาแรงงานที่เกิดขึ้น และมาตรการแก้ไข เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช. เปิดกิจกรรม “ก้าวท้าใจ ซีซั่น1” ออกกำลังกาย เดิน-วิ่งสะสม ถึง 31 มีนาคม 2563
วันพุธที่ 15 มกราคม 2563 รมช. เปิดกิจกรรม “ก้าวท้าใจ ซีซั่น1” ออกกําลังกาย เดิน-วิ่งสะสม ถึง 31 มีนาคม 2563 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรมก้าวท้าใจ ซีซั่น 1 เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอสม.ทุกคน ลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2563 ผ่านแอปพลิเคชัน Line เพิ่มเพื่อน @thnvr บันทึกออกกําลังกายสะสม 1 กุมภาพันธ์ถึง 31 มีนาคม 2563 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรมก้าวท้าใจ ซีซั่น 1 เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอสม.ทุกคน ลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2563 ผ่านแอปพลิเคชัน Line เพิ่มเพื่อน @thnvr บันทึกออกกําลังกายสะสม 1 กุมภาพันธ์ถึง 31 มีนาคม 2563 เริ่มต้นที่ 60 วัน ระยะทาง 60 กิโลเมตร วันนี้ (15 มกราคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เปิดกิจกรรมก้าวท้าใจ ซีซั่น 1 และซักซ้อมความเข้าใจการร่วมกิจกรรม ดร.สาธิตกล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และผม ได้ประกาศให้ปี 2563 เป็นปีแห่งการออกกําลังกาย มอบให้กรมอนามัยเป็นเจ้าภาพ สร้างแรงจูงใจและจัดกิจกรรมกระตุ้นให้ประชาชนออกกําลังกาย ใช้เทคโนโลยีท้าทายให้คนรุ่นใหม่เข้าร่วมโครงการ เพื่อให้คนไทยสุขภาพดี ห่างไกลโรค โดยบันทึกสะสมการออกกําลังกาย ผ่านแอปพลิเคชัน Line และเป็นการรวบรวมข้อมูลการออกกําลังกาย ทั้งตัวบุคคล จังหวัด และภาพรวมของประเทศ ในปีนี้จะเริ่มที่บุคลากรสาธารณสุข 400,000 คน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) 1.05 ล้านคน เพื่อให้เป็นต้นแบบด้านส่งเสริมสุขภาพแก่ประชาชน และจะเชิญชวนประชาชนทุกกลุ่มวัยเข้าร่วมกิจกรรม มีเป้าหมายอัตราการเล่นกีฬาหรือออกกําลังกายในปี 2563 เป็นร้อยละ 29 และเพิ่มเป็นร้อยละ 32 ในปี 2564 โดยจะจัดกิจกรรมเปิดตัวที่ส่วนกลางในวันที่ 22 มกราคมนี้ ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ได้ให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ทําความเข้าใจและแนะนําขั้นตอนการลงทะเบียน ให้กับบุคลากรสาธารณสุข และอสม.ในพื้นที่ร่วมกิจกรรมทุกคน ซึ่งเป็นการออกกําลังกายเดิน-วิ่งสะสมระยะทาง ทําได้ทุกที่ ทุกเวลา มีการประเมินดัชนีมวลกาย (BMI) และคําแนะนําในการดูแลร่างกายแต่ละบุคคล โดยลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2563 และเริ่มบันทึกสะสมระยะทางตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคม 2563 เป้าหมายเริ่มต้นที่ 60 วัน ระยะทาง 60 กิโลเมตร จะมอบประกาศนียบัตรอิเลคทรอนิกส์ (E-certificate) การเป็นต้นแบบสุขภาพดีให้กับผู้ที่สะสมระยะทางครบ 60 วัน 60 กิโลเมตร “กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายคือ สร้างดีกว่าซ่อม เราต้องป้องกันส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเอง รักการออกกําลังกายให้มากขึ้น ถ้ามีคนออกกําลังกายมากเท่าไหร่ เราก็จะใช้เงินในการรักษาน้อยลง ถ้ามีคนที่ไม่เคยออกกําลังกายและลุกขึ้นมาออกกําลังกาย 1 ล้านคน จะสามารถลดผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้นี่คือเป้าหมายของโครงการนี้และจะทําไปตลอดทั้งปี” ดร.สาธิตกล่าว ด้านแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2563 ได้เปิดให้ลงทะเบียนฟรีผ่านแอปพลิเคชัน Line เพิ่มเพื่อน @thnvr ทั้งระบบ IOS และ Android เพื่อให้บุคลากรสาธารณสุข และอสม. ออกกําลังกายอย่างต่อเนื่อง สม่ําเสมอ ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแรงระบบการไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ กล้ามเนื้อและกระดูก ความยืดหยุ่นของร่างกาย ลดการป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เกิดความกระตือรือร้น ลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า ลดภาระค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาลลดการขาด/ลางาน ช่วยลดอัตราเสี่ยงการหกล้มและช่วยเสริมสร้างความจํา เตรียมความพร้อมเป็นผู้สูงวัยที่แข็งแรง ********************************* 15 มกราคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช. เปิดกิจกรรม “ก้าวท้าใจ ซีซั่น1” ออกกำลังกาย เดิน-วิ่งสะสม ถึง 31 มีนาคม 2563 วันพุธที่ 15 มกราคม 2563 รมช. เปิดกิจกรรม “ก้าวท้าใจ ซีซั่น1” ออกกําลังกาย เดิน-วิ่งสะสม ถึง 31 มีนาคม 2563 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรมก้าวท้าใจ ซีซั่น 1 เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอสม.ทุกคน ลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2563 ผ่านแอปพลิเคชัน Line เพิ่มเพื่อน @thnvr บันทึกออกกําลังกายสะสม 1 กุมภาพันธ์ถึง 31 มีนาคม 2563 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดกิจกรรมก้าวท้าใจ ซีซั่น 1 เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอสม.ทุกคน ลงทะเบียนตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2563 ผ่านแอปพลิเคชัน Line เพิ่มเพื่อน @thnvr บันทึกออกกําลังกายสะสม 1 กุมภาพันธ์ถึง 31 มีนาคม 2563 เริ่มต้นที่ 60 วัน ระยะทาง 60 กิโลเมตร วันนี้ (15 มกราคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย ประชุมทางไกลผ่านระบบวิดีโอกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เปิดกิจกรรมก้าวท้าใจ ซีซั่น 1 และซักซ้อมความเข้าใจการร่วมกิจกรรม ดร.สาธิตกล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และผม ได้ประกาศให้ปี 2563 เป็นปีแห่งการออกกําลังกาย มอบให้กรมอนามัยเป็นเจ้าภาพ สร้างแรงจูงใจและจัดกิจกรรมกระตุ้นให้ประชาชนออกกําลังกาย ใช้เทคโนโลยีท้าทายให้คนรุ่นใหม่เข้าร่วมโครงการ เพื่อให้คนไทยสุขภาพดี ห่างไกลโรค โดยบันทึกสะสมการออกกําลังกาย ผ่านแอปพลิเคชัน Line และเป็นการรวบรวมข้อมูลการออกกําลังกาย ทั้งตัวบุคคล จังหวัด และภาพรวมของประเทศ ในปีนี้จะเริ่มที่บุคลากรสาธารณสุข 400,000 คน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) 1.05 ล้านคน เพื่อให้เป็นต้นแบบด้านส่งเสริมสุขภาพแก่ประชาชน และจะเชิญชวนประชาชนทุกกลุ่มวัยเข้าร่วมกิจกรรม มีเป้าหมายอัตราการเล่นกีฬาหรือออกกําลังกายในปี 2563 เป็นร้อยละ 29 และเพิ่มเป็นร้อยละ 32 ในปี 2564 โดยจะจัดกิจกรรมเปิดตัวที่ส่วนกลางในวันที่ 22 มกราคมนี้ ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ได้ให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ทําความเข้าใจและแนะนําขั้นตอนการลงทะเบียน ให้กับบุคลากรสาธารณสุข และอสม.ในพื้นที่ร่วมกิจกรรมทุกคน ซึ่งเป็นการออกกําลังกายเดิน-วิ่งสะสมระยะทาง ทําได้ทุกที่ ทุกเวลา มีการประเมินดัชนีมวลกาย (BMI) และคําแนะนําในการดูแลร่างกายแต่ละบุคคล โดยลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2563 และเริ่มบันทึกสะสมระยะทางตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคม 2563 เป้าหมายเริ่มต้นที่ 60 วัน ระยะทาง 60 กิโลเมตร จะมอบประกาศนียบัตรอิเลคทรอนิกส์ (E-certificate) การเป็นต้นแบบสุขภาพดีให้กับผู้ที่สะสมระยะทางครบ 60 วัน 60 กิโลเมตร “กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายคือ สร้างดีกว่าซ่อม เราต้องป้องกันส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเอง รักการออกกําลังกายให้มากขึ้น ถ้ามีคนออกกําลังกายมากเท่าไหร่ เราก็จะใช้เงินในการรักษาน้อยลง ถ้ามีคนที่ไม่เคยออกกําลังกายและลุกขึ้นมาออกกําลังกาย 1 ล้านคน จะสามารถลดผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้นี่คือเป้าหมายของโครงการนี้และจะทําไปตลอดทั้งปี” ดร.สาธิตกล่าว ด้านแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2563 ได้เปิดให้ลงทะเบียนฟรีผ่านแอปพลิเคชัน Line เพิ่มเพื่อน @thnvr ทั้งระบบ IOS และ Android เพื่อให้บุคลากรสาธารณสุข และอสม. ออกกําลังกายอย่างต่อเนื่อง สม่ําเสมอ ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแรงระบบการไหลเวียนโลหิต ระบบหายใจ กล้ามเนื้อและกระดูก ความยืดหยุ่นของร่างกาย ลดการป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เกิดความกระตือรือร้น ลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า ลดภาระค่าใช้จ่ายจากการรักษาพยาบาลลดการขาด/ลางาน ช่วยลดอัตราเสี่ยงการหกล้มและช่วยเสริมสร้างความจํา เตรียมความพร้อมเป็นผู้สูงวัยที่แข็งแรง ********************************* 15 มกราคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25810
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการต้อนรับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา เพื่อรับฟังนโยบายด้านเศรษฐกิจของไท
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม 2560 รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการต้อนรับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสํานักงานการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา เพื่อรับฟังนโยบายด้านเศรษฐกิจของไท รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการต้อนรับนาง Diane Farrell , Deputy Assistant Secretary for Asia เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสํานักงานการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา เพื่อรับฟังนโยบายด้านเศรษฐกิจของไทย เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2560 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการต้อนรับนางDiane Farrell , Deputy Assistant Secretary for Asiaเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสํานักงานการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา เพื่อแนะนําตัวและรับฟังนโยบายด้านเศรษฐกิจของไทยโดยเฉพาะนโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่งรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ข้อมูลถึงวัตถุประสงค์และวิสัยทัศน์ของThailand4.0 ร่วมถึงรายละเอียดและสิทธิประโยชน์ที่นักลงทุนต่างชาติจะได้รับจากการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)โครงการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยเพื่อสนับสนุนThailand4.0 หรือEECมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ให้ความมั่นใจกับคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกาในเรื่องการอํานวยความสะดวกทั้งทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านโยบายของรัฐบาลโดยมีนายภานุวัฒน์ ตรียางกูรศรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการต้อนรับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา เพื่อรับฟังนโยบายด้านเศรษฐกิจของไท วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม 2560 รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการต้อนรับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสํานักงานการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา เพื่อรับฟังนโยบายด้านเศรษฐกิจของไท รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการต้อนรับนาง Diane Farrell , Deputy Assistant Secretary for Asia เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสํานักงานการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา เพื่อรับฟังนโยบายด้านเศรษฐกิจของไทย เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2560 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในการต้อนรับนางDiane Farrell , Deputy Assistant Secretary for Asiaเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสํานักงานการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา เพื่อแนะนําตัวและรับฟังนโยบายด้านเศรษฐกิจของไทยโดยเฉพาะนโยบายประเทศไทย 4.0 ซึ่งรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้ข้อมูลถึงวัตถุประสงค์และวิสัยทัศน์ของThailand4.0 ร่วมถึงรายละเอียดและสิทธิประโยชน์ที่นักลงทุนต่างชาติจะได้รับจากการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)โครงการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยเพื่อสนับสนุนThailand4.0 หรือEECมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ให้ความมั่นใจกับคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกาในเรื่องการอํานวยความสะดวกทั้งทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและด้านโยบายของรัฐบาลโดยมีนายภานุวัฒน์ ตรียางกูรศรี รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมชุณหะวัณ ชั้น 3 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3821
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ผลักดันสหกรณ์การเกษตรนาโยง
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 รมช.มนัญญา ผลักดันสหกรณ์การเกษตรนาโยง รมช.มนัญญา ผลักดันสหกรณ์การเกษตรนาโยง บูรณาการเข้าจัดจําหน่าย ซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และข้าราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของสหกรณ์การเกษตรนาโยง จํากัด ณ สหกรณ์การเกษตรนาโยง อําเภอนาโยง จังหวัดตรัง (ในวันที่ 29 ก.พ. 2563) นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตามนโยบายของของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสําคัญและคุณค่าในการรวมตัวของเกษตรกรในรูปแบบสหกรณ์ พร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุนงานสหกรณ์ในทุกมิติภายใต้กรอบของความเป็นองค์กรแบบสหกรณ์ ซึ่งสอดคล้องกับโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ที่จะเป็นเครือข่ายในช่องทางการจัดจําหน่ายสินค้าภายในสหกรณ์ร่วมกัน ซึ่งกรณีของสหกรณ์การเกษตร นาโยง จํากัด และผลประกอบการการดําเนินงานภายในสหกรณ์มีการบริหารจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ นับเป็นตัวอย่างที่ดีในดําเนินงาน และการบูรณาการพัฒนาร่วมกันของทุกภาคส่วน นอกจากนี้สหกรณ์การเกษตรนาโยง จํากัด ได้ดําเนินงาน 6 ด้าน คือ ธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจรับฝากเงิน ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจําหน่าย ธุรกิจรวบรวมผลผลิต ธุรกิจแปรรูปผลผลิตการเกษตรและการผลิตสินค้า และธุรกิจให้บริการร้านกาแฟซึ่งสหกรณ์ของจังหวัดตรัง ที่ได้พัฒนาตนเองภายใต้การมีส่วนร่วมของสมาชิก โดยสหกรณ์ได้ยกระดับตนเองในการพัฒนาด้านยางพารา อาทิ เช่น - สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านหนองครก จํากัด ยกระดับตนเองเป็นสหกรณ์แปรรูปหมอนยางพารา ที่นอนยางพารา - สหกรณ์การเกษตรปะเหลียน จํากัด ได้ยกระดับในการส่งเสริมอาชีพสมาชิกปลูกพริกไทยพันธุ์ปะเหลียน ซึ่งจังหวัดตรังได้รับเป็นโครงการหนึ่งในการส่งเสริมเพื่อจดทะเบียนพริกไทยพันธุ์ปะเหลียน เป็นพืช GI ของจังหวัดตรัง กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ผลักดันสหกรณ์การเกษตรนาโยง วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 รมช.มนัญญา ผลักดันสหกรณ์การเกษตรนาโยง รมช.มนัญญา ผลักดันสหกรณ์การเกษตรนาโยง บูรณาการเข้าจัดจําหน่าย ซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และข้าราชการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของสหกรณ์การเกษตรนาโยง จํากัด ณ สหกรณ์การเกษตรนาโยง อําเภอนาโยง จังหวัดตรัง (ในวันที่ 29 ก.พ. 2563) นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตามนโยบายของของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสําคัญและคุณค่าในการรวมตัวของเกษตรกรในรูปแบบสหกรณ์ พร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุนงานสหกรณ์ในทุกมิติภายใต้กรอบของความเป็นองค์กรแบบสหกรณ์ ซึ่งสอดคล้องกับโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ที่จะเป็นเครือข่ายในช่องทางการจัดจําหน่ายสินค้าภายในสหกรณ์ร่วมกัน ซึ่งกรณีของสหกรณ์การเกษตร นาโยง จํากัด และผลประกอบการการดําเนินงานภายในสหกรณ์มีการบริหารจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ นับเป็นตัวอย่างที่ดีในดําเนินงาน และการบูรณาการพัฒนาร่วมกันของทุกภาคส่วน นอกจากนี้สหกรณ์การเกษตรนาโยง จํากัด ได้ดําเนินงาน 6 ด้าน คือ ธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจรับฝากเงิน ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจําหน่าย ธุรกิจรวบรวมผลผลิต ธุรกิจแปรรูปผลผลิตการเกษตรและการผลิตสินค้า และธุรกิจให้บริการร้านกาแฟซึ่งสหกรณ์ของจังหวัดตรัง ที่ได้พัฒนาตนเองภายใต้การมีส่วนร่วมของสมาชิก โดยสหกรณ์ได้ยกระดับตนเองในการพัฒนาด้านยางพารา อาทิ เช่น - สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านหนองครก จํากัด ยกระดับตนเองเป็นสหกรณ์แปรรูปหมอนยางพารา ที่นอนยางพารา - สหกรณ์การเกษตรปะเหลียน จํากัด ได้ยกระดับในการส่งเสริมอาชีพสมาชิกปลูกพริกไทยพันธุ์ปะเหลียน ซึ่งจังหวัดตรังได้รับเป็นโครงการหนึ่งในการส่งเสริมเพื่อจดทะเบียนพริกไทยพันธุ์ปะเหลียน เป็นพืช GI ของจังหวัดตรัง กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26840
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หากพบว่ามีอาการคล้ายติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องการรักษาที่โรงพยาบาล ต้องปฏิบัติตนอย่างไร ??
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 หากพบว่ามีอาการคล้ายติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องการรักษาที่โรงพยาบาล ต้องปฏิบัติตนอย่างไร ?? ต้องทําอย่างไรนะ Q : หากพบว่ามีอาการคล้ายติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องการรักษาที่โรงพยาบาล ต้องปฏิบัติตนอย่างไร ?? A : ผู้ป่วยฉุกเฉิน สามารถใช้ระบบบริการฉุกเฉิน โดยติดต่อเบอร์ 1669 ในกรณีที่คนไข้จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง เมื่อโทรติดต่อควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบตามความเป็นจริง เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้เตรียมการรับ-ส่งคนไข้ ให้ถูกต้องและป้องกันอย่างเหมาะสม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หากพบว่ามีอาการคล้ายติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องการรักษาที่โรงพยาบาล ต้องปฏิบัติตนอย่างไร ?? วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 หากพบว่ามีอาการคล้ายติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องการรักษาที่โรงพยาบาล ต้องปฏิบัติตนอย่างไร ?? ต้องทําอย่างไรนะ Q : หากพบว่ามีอาการคล้ายติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องการรักษาที่โรงพยาบาล ต้องปฏิบัติตนอย่างไร ?? A : ผู้ป่วยฉุกเฉิน สามารถใช้ระบบบริการฉุกเฉิน โดยติดต่อเบอร์ 1669 ในกรณีที่คนไข้จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง เมื่อโทรติดต่อควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบตามความเป็นจริง เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้เตรียมการรับ-ส่งคนไข้ ให้ถูกต้องและป้องกันอย่างเหมาะสม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28921
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดันการศึกษาไทยสู่ความเป็นเลิศ ชวนเอกชนร่วมจัด
วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563 ดันการศึกษาไทยสู่ความเป็นเลิศ ชวนเอกชนร่วมจัด -- #ไทยคู่ฟ้านายกรัฐมนตรีเปิดงานยกกําลังสองการศึกษาไทย สู่ความเป็นเลิศ ระบุ การพัฒนาทุนมนุษย์ เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สําคัญภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ต้องการพัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่ง และมีคุณภาพ มีสุขภาวะที่ดี มีจิตสาธารณะ รับผิดชอบต่อสังคม และเป็นพลเมืองดีของชาติ มีหลักคิดถูกต้อง “การปฏิรูปด้านการศึกษา” เป็นรากฐานสําคัญ ที่ต้องอาศัยพลังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม สื่อมวลชน สถาบันการศึกษา และประชาชนทุกคน โดยจําเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้นักเรียนมีทางเลือกตรงกับความสามารถและศักยภาพของตัวเอง สอดคล้องกับความของตลาด Supply และ Demand การพัฒนาประเทศและเทคโนโลยี และสนับสนุนให้คนที่จบแล้วกลับไปทํางานในภูมิลําเนา เพื่อพัฒนาจังหวัด รวมทั้งยกระดับคุณภาพครูทั่วประเทศ “โลกเปลี่ยนไปจากเดิม การศึกษายกกําลังสองน้อยไป ต้องยกกําลังห้าดีกว่า เพราะเรื่องการศึกษาต้องทําให้เร็ว โดยต้องไปดูว่าเด็กต้องการอะไร อยากได้อะไร เช่น ลดการบ้าน ลดการสอบต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าครูสอนทุกวิชาแล้วให้การบ้านทุกวิชา ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม อย่าสร้างภาระให้แก่ผู้ปกครอง” นายกรัฐมนตรีกล่าว รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34277
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดันการศึกษาไทยสู่ความเป็นเลิศ ชวนเอกชนร่วมจัด วันพุธที่ 19 สิงหาคม 2563 ดันการศึกษาไทยสู่ความเป็นเลิศ ชวนเอกชนร่วมจัด -- #ไทยคู่ฟ้านายกรัฐมนตรีเปิดงานยกกําลังสองการศึกษาไทย สู่ความเป็นเลิศ ระบุ การพัฒนาทุนมนุษย์ เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สําคัญภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ต้องการพัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่ง และมีคุณภาพ มีสุขภาวะที่ดี มีจิตสาธารณะ รับผิดชอบต่อสังคม และเป็นพลเมืองดีของชาติ มีหลักคิดถูกต้อง “การปฏิรูปด้านการศึกษา” เป็นรากฐานสําคัญ ที่ต้องอาศัยพลังจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม สื่อมวลชน สถาบันการศึกษา และประชาชนทุกคน โดยจําเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้นักเรียนมีทางเลือกตรงกับความสามารถและศักยภาพของตัวเอง สอดคล้องกับความของตลาด Supply และ Demand การพัฒนาประเทศและเทคโนโลยี และสนับสนุนให้คนที่จบแล้วกลับไปทํางานในภูมิลําเนา เพื่อพัฒนาจังหวัด รวมทั้งยกระดับคุณภาพครูทั่วประเทศ “โลกเปลี่ยนไปจากเดิม การศึกษายกกําลังสองน้อยไป ต้องยกกําลังห้าดีกว่า เพราะเรื่องการศึกษาต้องทําให้เร็ว โดยต้องไปดูว่าเด็กต้องการอะไร อยากได้อะไร เช่น ลดการบ้าน ลดการสอบต่าง ๆ ไม่ใช่ว่าครูสอนทุกวิชาแล้วให้การบ้านทุกวิชา ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม อย่าสร้างภาระให้แก่ผู้ปกครอง” นายกรัฐมนตรีกล่าว รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34277
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34289
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แจงที่มาของรายงานความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ 2019 ขณะที่ พณ. มั่นใจมาตรการรัฐบาล เชื่อเศรษฐกิจไทยรับมือได้
วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แจงที่มาของรายงานความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ 2019 ขณะที่ พณ. มั่นใจมาตรการรัฐบาล เชื่อเศรษฐกิจไทยรับมือได้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แจงที่มาของรายงานความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ 2019 ขณะที่ พณ. มั่นใจมาตรการรัฐบาล เชื่อเศรษฐกิจไทยรับมือได้ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสํานักงานฯ ชี้แจงที่มาของรายงานความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ 2019 (Regional risks for doing business report 2019)ว่าเป็นผลการสํารวจความคิดเห็นจากผู้บริหารภาคธุรกิจ ด้านความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจใน 10 ปีข้างหน้าเพื่อหารือในเวที ดาวอส ในเดือน ม.ค. 2563ซึ่งภาครัฐได้มีมาตรการดําเนินการรองรับมาอย่างต่อเนื่อง สภาเศรษฐกิจโลก หรือ WEF มีการจัดทํารายงาน Regional risks for doing business report โดยใช้วิธีการสํารวจความคิดเห็นจากผู้บริหารภาคธุรกิจ ในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2562 โดยใช้คําถามว่า “From the following list, check the five global risks that you believe to be of most concern for doing business in your country within the next 10 years” สําหรับแบบสอบถามภาษาไทยที่ดําเนินการในประเทศไทยโดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (WEF Partner Institute) ใช้ข้อความว่า “จากรายการด้านล่างนี้ โปรดเลือกความเสี่ยงระดับโลกมา 5 รายการ ที่คุณเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ควรคํานึงถึงมากที่สุดในการทําธุรกิจในประเทศของคุณใน 10 ปีข้างหน้า” โดยให้เลือกจากรายการความเสี่ยง 30 ประการ ทั่วโลกมีผู้ตอบแบบสอบถาม 12,000 กว่าคน ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ตอบแบบสอบถามรวม 102 คน จึงอาจไม่สะท้อนความจริงในภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบัน โดยความเสี่ยงที่นักธุรกิจไทยแสดงความกังวลมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) Asset bubble 2) Failure of national governance 3) Cyberattacks 4) Manmade environmental catastrophes และ 5) Profound social instability ในห้วงเวลาของการสํารวจแบบสอบถาม ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเตรียมการเลือกตั้ง ซึ่งมีผลต่อการตอบแบบสอบถามโดยเฉพาะในเรื่องของความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ ความเสี่ยงในประเด็น Asset bubble นั้น ในห้วงเวลาดังกล่าว อัตราดอกเบี้ยลดต่ําลงและราคาของอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อาจทําให้ภาคธุรกิจมีความกังวล ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงที่เข้มงวดรองรับอยู่แล้ว ประเด็น Failure of national governance เป็นตัวชี้วัดที่มีนิยามกว้าง และในบริบทของรายงานนี้ หมายถึงระบบธรรมาภิบาล การทุจริตคอร์รัปชั่น การบริหารจัดการเชิงสถาบันมากกว่าการเจาะจงไปที่การบริหารงานของรัฐบาลในภาพรวม ปัจจุบันมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้วและมีการเร่งขับเคลื่อนนโยบายอย่างเต็มที่ สําหรับประเด็น Cyberattacks ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แล้ว ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้กับภาครัฐและเอกชนมากขึ้น ส่วนประเด็น Manmade environmental catastrophes เนื่องจากประชาชนรับทราบและมีความตระหนักและรับรู้ในเรื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งมีความรุนแรงในช่วงต้นปีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีมาตรการรองรับแล้ว เช่น เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคุณภาพรถขนส่ง ส่วนปัญหาขยะพลาสติก สังคมได้มีการตื่นตัวในการลดการใช้พลาสติกมากขึ้น นอกจากนี้ ประเด็น Profound social instability การรับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อาจทําให้ประชาชนมีการตีความไปในหลายด้าน มีความหลากหลายทางความคิด เกิดการถกเถียงในสังคมเป็นวงกว้าง ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญกับการสื่อสารสร้างความเข้าใจให้กับภาคประชาชน รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ํา ยกระดับรายได้เกษตรกรด้วยการประกันราคาสินค้าเกษตรสําคัญ เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์ม เป็นต้น และมีมาตรการบัตรสวัสดิการประชารัฐเพื่อช่วยเหลือในด้านค่าครองชีพ นายดนุชา ฯ กล่าวสรุปว่า ความเสี่ยงทั้ง 30 รายการเป็นความท้าทายที่ทุกประเทศและนักธุรกิจทั่วโลกต้องเผชิญอยู่แล้ว แต่มีมิติความรุนแรงแตกต่างกันไปตามบริบทของการพัฒนาของแต่ละประเทศ ภาครัฐเองได้ตระหนักถึงความสําคัญพร้อมรับมือในเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน ขณะที่ นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ประเด็นความเสี่ยงที่ WEF ได้จากการสํารวจความเห็นของภาคธุรกิจนั้น ถือเป็นประเด็นที่เตือนล่วงหน้า (early warning) ให้ประเทศต่าง ๆ มีแนวทางรองรับและป้องกัน ซึ่งในส่วนของไทยได้มีมาตรการออกมาล่วงหน้าแล้ว และอีกบางด้านก็กําลังดําเนินการอยู่ ถือว่าประเทศไทยมีจุดแข็งหลายด้านในการปรับตัวเพื่อรองรับความเสี่ยงเหล่านี้ ทั้งความเข้มแข็งของเศรษฐกิจมหภาค ความสามารถและศักยภาพในการปรับตัวของผู้ส่งออกและผู้ประกอบการของไทย แนวนโยบายของรัฐบาลที่จะสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรและSME การส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็ง และนโยบายที่จะเดินหน้าพัฒนาภาคบริการใหม่ๆ ที่จะเป็นกลไกสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้นให้คนไทยและเศรษฐกิจไทย เช่น ดิจิทัล ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และ Wellness นอกจากนี้ ดังนั้น ประเด็นความเสี่ยงด้านการประกอบธุรกิจของไทย ถือว่ารัฐบาลรับมือไว้แล้ว จึงไม่น่ามีความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และมีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตต่อไปได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แจงที่มาของรายงานความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ 2019 ขณะที่ พณ. มั่นใจมาตรการรัฐบาล เชื่อเศรษฐกิจไทยรับมือได้ วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2562 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แจงที่มาของรายงานความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ 2019 ขณะที่ พณ. มั่นใจมาตรการรัฐบาล เชื่อเศรษฐกิจไทยรับมือได้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แจงที่มาของรายงานความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ 2019 ขณะที่ พณ. มั่นใจมาตรการรัฐบาล เชื่อเศรษฐกิจไทยรับมือได้ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสํานักงานฯ ชี้แจงที่มาของรายงานความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจ 2019 (Regional risks for doing business report 2019)ว่าเป็นผลการสํารวจความคิดเห็นจากผู้บริหารภาคธุรกิจ ด้านความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจใน 10 ปีข้างหน้าเพื่อหารือในเวที ดาวอส ในเดือน ม.ค. 2563ซึ่งภาครัฐได้มีมาตรการดําเนินการรองรับมาอย่างต่อเนื่อง สภาเศรษฐกิจโลก หรือ WEF มีการจัดทํารายงาน Regional risks for doing business report โดยใช้วิธีการสํารวจความคิดเห็นจากผู้บริหารภาคธุรกิจ ในช่วงเดือน ม.ค. – เม.ย. 2562 โดยใช้คําถามว่า “From the following list, check the five global risks that you believe to be of most concern for doing business in your country within the next 10 years” สําหรับแบบสอบถามภาษาไทยที่ดําเนินการในประเทศไทยโดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (WEF Partner Institute) ใช้ข้อความว่า “จากรายการด้านล่างนี้ โปรดเลือกความเสี่ยงระดับโลกมา 5 รายการ ที่คุณเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ควรคํานึงถึงมากที่สุดในการทําธุรกิจในประเทศของคุณใน 10 ปีข้างหน้า” โดยให้เลือกจากรายการความเสี่ยง 30 ประการ ทั่วโลกมีผู้ตอบแบบสอบถาม 12,000 กว่าคน ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ตอบแบบสอบถามรวม 102 คน จึงอาจไม่สะท้อนความจริงในภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบัน โดยความเสี่ยงที่นักธุรกิจไทยแสดงความกังวลมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) Asset bubble 2) Failure of national governance 3) Cyberattacks 4) Manmade environmental catastrophes และ 5) Profound social instability ในห้วงเวลาของการสํารวจแบบสอบถาม ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเตรียมการเลือกตั้ง ซึ่งมีผลต่อการตอบแบบสอบถามโดยเฉพาะในเรื่องของความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ ความเสี่ยงในประเด็น Asset bubble นั้น ในห้วงเวลาดังกล่าว อัตราดอกเบี้ยลดต่ําลงและราคาของอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อาจทําให้ภาคธุรกิจมีความกังวล ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงที่เข้มงวดรองรับอยู่แล้ว ประเด็น Failure of national governance เป็นตัวชี้วัดที่มีนิยามกว้าง และในบริบทของรายงานนี้ หมายถึงระบบธรรมาภิบาล การทุจริตคอร์รัปชั่น การบริหารจัดการเชิงสถาบันมากกว่าการเจาะจงไปที่การบริหารงานของรัฐบาลในภาพรวม ปัจจุบันมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้วและมีการเร่งขับเคลื่อนนโยบายอย่างเต็มที่ สําหรับประเด็น Cyberattacks ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แล้ว ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้กับภาครัฐและเอกชนมากขึ้น ส่วนประเด็น Manmade environmental catastrophes เนื่องจากประชาชนรับทราบและมีความตระหนักและรับรู้ในเรื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งมีความรุนแรงในช่วงต้นปีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีมาตรการรองรับแล้ว เช่น เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคุณภาพรถขนส่ง ส่วนปัญหาขยะพลาสติก สังคมได้มีการตื่นตัวในการลดการใช้พลาสติกมากขึ้น นอกจากนี้ ประเด็น Profound social instability การรับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อาจทําให้ประชาชนมีการตีความไปในหลายด้าน มีความหลากหลายทางความคิด เกิดการถกเถียงในสังคมเป็นวงกว้าง ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญกับการสื่อสารสร้างความเข้าใจให้กับภาคประชาชน รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ํา ยกระดับรายได้เกษตรกรด้วยการประกันราคาสินค้าเกษตรสําคัญ เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์ม เป็นต้น และมีมาตรการบัตรสวัสดิการประชารัฐเพื่อช่วยเหลือในด้านค่าครองชีพ นายดนุชา ฯ กล่าวสรุปว่า ความเสี่ยงทั้ง 30 รายการเป็นความท้าทายที่ทุกประเทศและนักธุรกิจทั่วโลกต้องเผชิญอยู่แล้ว แต่มีมิติความรุนแรงแตกต่างกันไปตามบริบทของการพัฒนาของแต่ละประเทศ ภาครัฐเองได้ตระหนักถึงความสําคัญพร้อมรับมือในเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน ขณะที่ นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ประเด็นความเสี่ยงที่ WEF ได้จากการสํารวจความเห็นของภาคธุรกิจนั้น ถือเป็นประเด็นที่เตือนล่วงหน้า (early warning) ให้ประเทศต่าง ๆ มีแนวทางรองรับและป้องกัน ซึ่งในส่วนของไทยได้มีมาตรการออกมาล่วงหน้าแล้ว และอีกบางด้านก็กําลังดําเนินการอยู่ ถือว่าประเทศไทยมีจุดแข็งหลายด้านในการปรับตัวเพื่อรองรับความเสี่ยงเหล่านี้ ทั้งความเข้มแข็งของเศรษฐกิจมหภาค ความสามารถและศักยภาพในการปรับตัวของผู้ส่งออกและผู้ประกอบการของไทย แนวนโยบายของรัฐบาลที่จะสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรและSME การส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เข้มแข็ง และนโยบายที่จะเดินหน้าพัฒนาภาคบริการใหม่ๆ ที่จะเป็นกลไกสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้นให้คนไทยและเศรษฐกิจไทย เช่น ดิจิทัล ท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และ Wellness นอกจากนี้ ดังนั้น ประเด็นความเสี่ยงด้านการประกอบธุรกิจของไทย ถือว่ารัฐบาลรับมือไว้แล้ว จึงไม่น่ามีความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และมีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจของไทยจะเติบโตต่อไปได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24648
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเห็นชอบ ตั้ง บีโอไอ ภาค 7 ดูแลภาคเหนือตอนล่าง
วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 รัฐบาลเห็นชอบ ตั้ง บีโอไอ ภาค 7 ดูแลภาคเหนือตอนล่าง เพื่อขยายการดูแลภาคธุรกิจและนักลงทุน ในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทยได้อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลจัดตั้งศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 7 ณ จ.พิษณุโลก เพื่อทําหน้าที่สนับสนุนและอํานวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนชาวไทยและต่างชาติในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จ.ตาก และพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ จ.ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ กําแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายนักลงทุนในพื้นที่ เชื่อมโยงอุตสาหกรรมในประเทศและต่างประเทศ และพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอีในท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็งผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุน ทั้งนี้ การดําเนินงานดังกล่าวมุ่งส่งเสริมการพัฒนาระดับพื้นที่ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด สนับสนุนการขยายพื้นที่การลงทุนไปยังจังหวัดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ต่อไป ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเห็นชอบ ตั้ง บีโอไอ ภาค 7 ดูแลภาคเหนือตอนล่าง วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม 2560 รัฐบาลเห็นชอบ ตั้ง บีโอไอ ภาค 7 ดูแลภาคเหนือตอนล่าง เพื่อขยายการดูแลภาคธุรกิจและนักลงทุน ในแต่ละพื้นที่ของประเทศไทยได้อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลจัดตั้งศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 7 ณ จ.พิษณุโลก เพื่อทําหน้าที่สนับสนุนและอํานวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนชาวไทยและต่างชาติในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จ.ตาก และพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ จ.ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ กําแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร และอุทัยธานี พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายนักลงทุนในพื้นที่ เชื่อมโยงอุตสาหกรรมในประเทศและต่างประเทศ และพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอีในท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็งผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุน ทั้งนี้ การดําเนินงานดังกล่าวมุ่งส่งเสริมการพัฒนาระดับพื้นที่ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด สนับสนุนการขยายพื้นที่การลงทุนไปยังจังหวัดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ต่อไป ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7352
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมการวางระบบงานการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560 "สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมการวางระบบงานการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมการวางระบบงานการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่าจากการที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้ตั้งคณะทํางานการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดําเนินการในเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน โดยนายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) หรือศึกษาธิการส่วนหน้า เป็นประธานนั้น เพื่อต้องการสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งนอกจากจะเป็นนโยบายสําคัญของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแล้วต้องการให้หน่วยงานและประชาชนได้เข้าใจการทํางานของกระทรวงศึกษาธิการอย่างกว้างขวาง เพราะเมื่อประชาชนรับรู้และเข้าใจงานของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว จะเกิดความร่วมมือร่วมใจทั้งจากส่วนราชการ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมNGOรวมทั้งสื่อมวลชนในด้านการศึกษาอีกด้วย การตรวจเยี่ยมกิจกรรมการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารครั้งนี้ทําให้เห็นความก้าวหน้าของการเตรียมการดําเนินงานการสร้างเครือข่ายในการสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง"ศึกษาธิการส่วนหน้า"ได้จัดระบบเครือข่ายในการสร้างการรับรู้ออกเป็น3ระดับ คือ1) คณะทํางานสร้างการรับรู้โดยมีนายบุญรักษ์ ยอดเพชร ผอ.ศปบ.จชต. เป็นประธาน2) คณะทํางานขับเคลื่อนโดยมีนายชลํา อรรถธรรม ผู้อํานวยการสํานักติดตามและประเมินผล สพฐ. เป็นประธาน3) เครือข่ายระดับหน่วยงานในพื้นที่ทั้ง63หน่วยงาน โดยได้กําหนดช่องทาง (Media) ในการสร้างการรับรู้ออกเป็น4ช่องทางคือSocial Networkสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ และสื่อโทรทัศน์ พร้อมทั้งกําหนดตัวบุคคลผู้รับผิดชอบ (Admin)ทั้ง4ช่องทางดังกล่าว โดยมีทีมบริหารจัดการ (Control Unit) และทีมรายงานผลการดําเนินงาน (Project Reporter) ร่วมดูแลระบบงานการสร้างการรับรู้ของ ศปบ.จชต. ทั้งก่อนดําเนินการ ระหว่างดําเนินการ และหลังดําเนินการ ดังนั้น จึงต้องการมาพบปะให้กําลังใจ ให้การสนับสนุน และติดตามการทํางาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้กําลังใจแก่คนทํางาน เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด และขอชื่นชมการวางแผนดําเนินการกิจกรรมนี้ที่ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีมากของระบบการสร้างการรับรู้ของกระทรวงศึกษาธิการอีกด้วย นายชลํา อรรถธรรม ผู้อํานวยการสํานักติดตามและประเมินผล สพฐ.ในฐานะประธานคณะทํางานขับเคลื่อนการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้กล่าวว่า โครงสร้างระบบงานการสร้างการรับรู้ของ ศปบ.จชต. ถือเป็นรูปแบบการทํางานที่หน่วยงานทางการศึกษาทุกสังกัดในพื้นที่5จังหวัดชายแดนภาคใต้มีส่วนร่วมและร่วมคิดร่วมวางแผนตามนโยบายของ พล.อ.สุรเชษฐ์ และนโยบายรัฐบาลโดยเน้นการสร้างเครือข่ายบุคคลให้เกิดขึ้นทั้ง63หน่วยงานคือ สพฐ.18หน่วยงาน, กศน.5หน่วยงาน, สช.5หน่วยงาน, สอศ.18หน่วยงาน, สกอ.11หน่วยงาน, ศธจ.5หน่วยงาน และ ศธภ.1หน่วยงาน โดยแบ่งทีมรับผิดชอบดูแลทั้ง4ช่องทางการเผยแพร่ รวมทั้งผ่านเว็บไซต์ ศปบ.จชต.moe-south.orgอีกด้วย ทั้งนี้ การสร้างการรับรู้ดังกล่าวได้ดําเนินการภายใต้กรอบแนวคิดยุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" และเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของแผนยุทธศาสตร์การศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 20 ปีคือ "ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21" รวมทั้ง6ยุทธศาสตร์การศึกษา คือ1. การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง2. การผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน3. การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้4. การสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางการศึกษา5. การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม6. การพัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษาตาม14เป้าหมาย55ตัวชี้วัด18กลยุทธ์ และ81แนวทาง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมการวางระบบงานการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560 "สุรเชษฐ์" ตรวจเยี่ยมการวางระบบงานการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมการวางระบบงานการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่าจากการที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้ตั้งคณะทํางานการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดําเนินการในเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน โดยนายบุญรักษ์ ยอดเพชร รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ประสานงานและบริหารการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปบ.จชต.) หรือศึกษาธิการส่วนหน้า เป็นประธานนั้น เพื่อต้องการสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งนอกจากจะเป็นนโยบายสําคัญของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแล้วต้องการให้หน่วยงานและประชาชนได้เข้าใจการทํางานของกระทรวงศึกษาธิการอย่างกว้างขวาง เพราะเมื่อประชาชนรับรู้และเข้าใจงานของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว จะเกิดความร่วมมือร่วมใจทั้งจากส่วนราชการ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคมNGOรวมทั้งสื่อมวลชนในด้านการศึกษาอีกด้วย การตรวจเยี่ยมกิจกรรมการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารครั้งนี้ทําให้เห็นความก้าวหน้าของการเตรียมการดําเนินงานการสร้างเครือข่ายในการสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง"ศึกษาธิการส่วนหน้า"ได้จัดระบบเครือข่ายในการสร้างการรับรู้ออกเป็น3ระดับ คือ1) คณะทํางานสร้างการรับรู้โดยมีนายบุญรักษ์ ยอดเพชร ผอ.ศปบ.จชต. เป็นประธาน2) คณะทํางานขับเคลื่อนโดยมีนายชลํา อรรถธรรม ผู้อํานวยการสํานักติดตามและประเมินผล สพฐ. เป็นประธาน3) เครือข่ายระดับหน่วยงานในพื้นที่ทั้ง63หน่วยงาน โดยได้กําหนดช่องทาง (Media) ในการสร้างการรับรู้ออกเป็น4ช่องทางคือSocial Networkสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ และสื่อโทรทัศน์ พร้อมทั้งกําหนดตัวบุคคลผู้รับผิดชอบ (Admin)ทั้ง4ช่องทางดังกล่าว โดยมีทีมบริหารจัดการ (Control Unit) และทีมรายงานผลการดําเนินงาน (Project Reporter) ร่วมดูแลระบบงานการสร้างการรับรู้ของ ศปบ.จชต. ทั้งก่อนดําเนินการ ระหว่างดําเนินการ และหลังดําเนินการ ดังนั้น จึงต้องการมาพบปะให้กําลังใจ ให้การสนับสนุน และติดตามการทํางาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้กําลังใจแก่คนทํางาน เป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด และขอชื่นชมการวางแผนดําเนินการกิจกรรมนี้ที่ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีมากของระบบการสร้างการรับรู้ของกระทรวงศึกษาธิการอีกด้วย นายชลํา อรรถธรรม ผู้อํานวยการสํานักติดตามและประเมินผล สพฐ.ในฐานะประธานคณะทํางานขับเคลื่อนการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้กล่าวว่า โครงสร้างระบบงานการสร้างการรับรู้ของ ศปบ.จชต. ถือเป็นรูปแบบการทํางานที่หน่วยงานทางการศึกษาทุกสังกัดในพื้นที่5จังหวัดชายแดนภาคใต้มีส่วนร่วมและร่วมคิดร่วมวางแผนตามนโยบายของ พล.อ.สุรเชษฐ์ และนโยบายรัฐบาลโดยเน้นการสร้างเครือข่ายบุคคลให้เกิดขึ้นทั้ง63หน่วยงานคือ สพฐ.18หน่วยงาน, กศน.5หน่วยงาน, สช.5หน่วยงาน, สอศ.18หน่วยงาน, สกอ.11หน่วยงาน, ศธจ.5หน่วยงาน และ ศธภ.1หน่วยงาน โดยแบ่งทีมรับผิดชอบดูแลทั้ง4ช่องทางการเผยแพร่ รวมทั้งผ่านเว็บไซต์ ศปบ.จชต.moe-south.orgอีกด้วย ทั้งนี้ การสร้างการรับรู้ดังกล่าวได้ดําเนินการภายใต้กรอบแนวคิดยุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" และเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของแผนยุทธศาสตร์การศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 20 ปีคือ "ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุขในสังคมพหุวัฒนธรรม สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21" รวมทั้ง6ยุทธศาสตร์การศึกษา คือ1. การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคง2. การผลิตและพัฒนากําลังคนให้มีสมรรถนะในการแข่งขัน3. การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้4. การสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางการศึกษา5. การจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม6. การพัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษาตาม14เป้าหมาย55ตัวชี้วัด18กลยุทธ์ และ81แนวทาง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาประกอบกิจการได้ในการคลายล็อกเฟสที่ 5 ต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง ??
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563 สถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาประกอบกิจการได้ในการคลายล็อกเฟสที่ 5 ต้องดําเนินการอย่างไรบ้าง ?? สถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตในการคลายล็อกเฟสที่ 5 ต้องดําเนินการอย่างไรบ้าง ?? Q :สถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาประกอบกิจการได้ในการคลายล็อกเฟสที่ 5 ต้องดําเนินการอย่างไรบ้าง?? A : - มีการลงทะเบียนกิจการและกิจกรรม โดยแอปพลิเคชัน“ไทยชนะ” - ทุกกิจการและกิจกรรมต้องมีการจัดลงทะเบียนก่อนเข้า-ออกสถานที่ และเพิ่มมาตรการใช้แอปพลิเคชัน“ผู้พิทักษ์ไทยชนะ”สําหรับเจ้าหน้าที่ - มีมาตรการคัดกรองไข้ และอาการไอ หอบเหนื่อย จาม หรือเป็นหวัด สําหรับพนักงานบริการและผู้ใช้บริการ - พิจารณาพัฒนานวัตกรรม เช่น ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ ระบบการเรียนการสอน การจองคิวแบบออนไลน์ - รายงานผลการตรวจประเมิน ติดตาม กํากับ ตามมาตรการควบคุมหลัก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาประกอบกิจการได้ในการคลายล็อกเฟสที่ 5 ต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง ?? วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2563 สถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาประกอบกิจการได้ในการคลายล็อกเฟสที่ 5 ต้องดําเนินการอย่างไรบ้าง ?? สถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตในการคลายล็อกเฟสที่ 5 ต้องดําเนินการอย่างไรบ้าง ?? Q :สถานประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้กลับมาประกอบกิจการได้ในการคลายล็อกเฟสที่ 5 ต้องดําเนินการอย่างไรบ้าง?? A : - มีการลงทะเบียนกิจการและกิจกรรม โดยแอปพลิเคชัน“ไทยชนะ” - ทุกกิจการและกิจกรรมต้องมีการจัดลงทะเบียนก่อนเข้า-ออกสถานที่ และเพิ่มมาตรการใช้แอปพลิเคชัน“ผู้พิทักษ์ไทยชนะ”สําหรับเจ้าหน้าที่ - มีมาตรการคัดกรองไข้ และอาการไอ หอบเหนื่อย จาม หรือเป็นหวัด สําหรับพนักงานบริการและผู้ใช้บริการ - พิจารณาพัฒนานวัตกรรม เช่น ลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ ระบบการเรียนการสอน การจองคิวแบบออนไลน์ - รายงานผลการตรวจประเมิน ติดตาม กํากับ ตามมาตรการควบคุมหลัก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32989
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” เตรียมคลอดประกาศมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลฯ
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 “ดีอีเอส” เตรียมคลอดประกาศมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลฯ “ดีอีเอส” เตรียมคลอดประกาศมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลฯ กระทรวงดิจิทัลฯ เตรียมคลอดประกาศมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลเบื้องต้น วางแนวทางภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชนเตรียมพร้อมก่อน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีผลบังคับใช้ทั้งฉบับในปี 2564 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ทําหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวบนเวทีเสวนาหัวข้อ เลื่อน "คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล" ต้องเตรียมตัวอย่างไร ไม่ให้ผิดกฎหมาย จัดโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ว่าตาม พ.ร.ฎ.ยกเว้นการบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในบางหมวด เป็นเวลา 1 ปี ซึ่ง ครม.เห็นชอบในหลักการไปแล้ว ได้ระบุไว้ให้กระทรวงดิจิทัลฯ ออกประกาศมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลเบื้องต้น โดยมุ่งเน้นหัวข้อหลักๆ ได้แก่ 1.ข้อมูลส่วนบุคคล ต้องมีการจัดเก็บแยกออกจากข้อมูลทั่วไป 2. มีมาตรการการจัดเก็บ ใช้ การเปิดเผยอย่างปลอดภัย และ 3.มีการกําหนดสิทธิการเข้าถึง และสิทธิในการนําไปใช้หรือเปิดเผย ดังนั้น แม้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จะเลื่อนการบังคับใช้บางหมวดไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 แต่ก็จะมีประกาศฯ ข้างต้นที่จะออกมาในอีกไม่นานนี้ “ยิ่งปัจจุบันกิจกรรม กิจการร้านค้าต่างๆ ที่ยังไม่ได้ผ่อนปรนตามระยะ 3 ซึ่งมีการประกาศภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้กิจกรรม/กิจการเก็บข้อมูลคนเข้า-ออก ทั้งผ่านแพลตฟอร์ม/แอปไทยชนะ และการเขียนชื่อ-เบอร์มือถือ ดังนั้นร้านค้า/สถานประกอบการที่ทําตรงนี้ ต้องมีการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลกระดาษก็ต้องมีตู้จัดเก็บเอกสารบันทึกข้อมูล มีการกําหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลเอกสารนั้น และเมื่อครบเดือนต้องจัดเก็บทําเป็นรายงานไว้ด้วย แม้จะมี พ.ร.ฎ.ยกเว้นการบังคับใช้ไปอีก 1 ปีก็ตาม” นายภุชพงค์กล่าว รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ย้ําว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นกฎหมายใหม่ มุ่งรักษาสิทธิคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหลัก และที่สําคัญมีมาตรการในการเยียวยาการถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เป็นกฏหมาย ที่จะสร้างการยอมรับและมาตรฐานสากล โดยการเลื่อนบังคับใช้บางมาตราออกไป ก็เพราะมีความไม่พร้อมจากกลุ่มที่เกี่ยวข้อง 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มภาครัฐ กลุ่มภาคเอกชน และกลุ่มประชาชน ทั้งนี้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ กําหนดให้มีคณะกรรมการ 3 ชุด คือ คณะกรรมการคุ้มครองขัอมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นบอร์ดคณะใหญ่ ที่ผ่าน ครม. แล้วและรอประกาศในราชกิจจาฯ, คณะกรรมการกํากับ ที่จะกําหนดแผนงาน โครงการต่างๆ และอีกชุดหนึ่งที่โดยส่วนตัวมองว่ามีความสําคัญ คือ คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ จะทําหน้าที่มารับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล ไกล่เกลี่ย เจรจา เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้กําหนดโทษไว้ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง “ดังนั้นในช่วง 1 ปี ไปจนถึงวันที่ 31 พ.ค. 64 นี้ที่กฎหมายจะมีผลการบังคับใช้ เรามีเวลาที่จะให้ประชาชนทําความเข้าใจกฎหมายฉบับนี้ เพราะในยุคนี้โซเชียลทําให้เกิดการละเมิดข้อมูลฯ ได้ง่ายมาก ในโลกออนไลน์ ทําให้การเผยแพร่ข้อมูลเกิดขึ้นได้เร็ว ต้องตระหนักถึงสิทธิของผู้อื่น ดังนั้นแนะนําให้ เก็บเท่าที่จําเป็น ใช้อย่างจํากัด และเปิดเผยอย่างเหมาะสม" นายภุชพงค์กล่าวย้ํา สําหรับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีทั้งหมด 96 มาตรา โดยหมวดที่ 1 และ 4 บังคับใช้ไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนหมวดที่ 2,3,5,6,7 เดิมกําหนดงคับใช้เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 แต่ต้องเลื่อนออกไปอีก 1 ปี เพราะมีความไม่พร้อมหลายๆ อย่าง โดยส่วนหนึ่งเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 *************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” เตรียมคลอดประกาศมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลฯ วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563 “ดีอีเอส” เตรียมคลอดประกาศมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลฯ “ดีอีเอส” เตรียมคลอดประกาศมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลฯ กระทรวงดิจิทัลฯ เตรียมคลอดประกาศมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลเบื้องต้น วางแนวทางภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชนเตรียมพร้อมก่อน พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีผลบังคับใช้ทั้งฉบับในปี 2564 นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ทําหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล กล่าวบนเวทีเสวนาหัวข้อ เลื่อน "คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล" ต้องเตรียมตัวอย่างไร ไม่ให้ผิดกฎหมาย จัดโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ว่าตาม พ.ร.ฎ.ยกเว้นการบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในบางหมวด เป็นเวลา 1 ปี ซึ่ง ครม.เห็นชอบในหลักการไปแล้ว ได้ระบุไว้ให้กระทรวงดิจิทัลฯ ออกประกาศมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคลเบื้องต้น โดยมุ่งเน้นหัวข้อหลักๆ ได้แก่ 1.ข้อมูลส่วนบุคคล ต้องมีการจัดเก็บแยกออกจากข้อมูลทั่วไป 2. มีมาตรการการจัดเก็บ ใช้ การเปิดเผยอย่างปลอดภัย และ 3.มีการกําหนดสิทธิการเข้าถึง และสิทธิในการนําไปใช้หรือเปิดเผย ดังนั้น แม้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จะเลื่อนการบังคับใช้บางหมวดไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 แต่ก็จะมีประกาศฯ ข้างต้นที่จะออกมาในอีกไม่นานนี้ “ยิ่งปัจจุบันกิจกรรม กิจการร้านค้าต่างๆ ที่ยังไม่ได้ผ่อนปรนตามระยะ 3 ซึ่งมีการประกาศภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้กิจกรรม/กิจการเก็บข้อมูลคนเข้า-ออก ทั้งผ่านแพลตฟอร์ม/แอปไทยชนะ และการเขียนชื่อ-เบอร์มือถือ ดังนั้นร้านค้า/สถานประกอบการที่ทําตรงนี้ ต้องมีการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลกระดาษก็ต้องมีตู้จัดเก็บเอกสารบันทึกข้อมูล มีการกําหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลเอกสารนั้น และเมื่อครบเดือนต้องจัดเก็บทําเป็นรายงานไว้ด้วย แม้จะมี พ.ร.ฎ.ยกเว้นการบังคับใช้ไปอีก 1 ปีก็ตาม” นายภุชพงค์กล่าว รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ย้ําว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นกฎหมายใหม่ มุ่งรักษาสิทธิคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหลัก และที่สําคัญมีมาตรการในการเยียวยาการถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เป็นกฏหมาย ที่จะสร้างการยอมรับและมาตรฐานสากล โดยการเลื่อนบังคับใช้บางมาตราออกไป ก็เพราะมีความไม่พร้อมจากกลุ่มที่เกี่ยวข้อง 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มภาครัฐ กลุ่มภาคเอกชน และกลุ่มประชาชน ทั้งนี้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลฯ กําหนดให้มีคณะกรรมการ 3 ชุด คือ คณะกรรมการคุ้มครองขัอมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นบอร์ดคณะใหญ่ ที่ผ่าน ครม. แล้วและรอประกาศในราชกิจจาฯ, คณะกรรมการกํากับ ที่จะกําหนดแผนงาน โครงการต่างๆ และอีกชุดหนึ่งที่โดยส่วนตัวมองว่ามีความสําคัญ คือ คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ จะทําหน้าที่มารับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิข้อมูลส่วนบุคคล ไกล่เกลี่ย เจรจา เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้กําหนดโทษไว้ทั้งทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง “ดังนั้นในช่วง 1 ปี ไปจนถึงวันที่ 31 พ.ค. 64 นี้ที่กฎหมายจะมีผลการบังคับใช้ เรามีเวลาที่จะให้ประชาชนทําความเข้าใจกฎหมายฉบับนี้ เพราะในยุคนี้โซเชียลทําให้เกิดการละเมิดข้อมูลฯ ได้ง่ายมาก ในโลกออนไลน์ ทําให้การเผยแพร่ข้อมูลเกิดขึ้นได้เร็ว ต้องตระหนักถึงสิทธิของผู้อื่น ดังนั้นแนะนําให้ เก็บเท่าที่จําเป็น ใช้อย่างจํากัด และเปิดเผยอย่างเหมาะสม" นายภุชพงค์กล่าวย้ํา สําหรับ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 มีทั้งหมด 96 มาตรา โดยหมวดที่ 1 และ 4 บังคับใช้ไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนหมวดที่ 2,3,5,6,7 เดิมกําหนดงคับใช้เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2563 แต่ต้องเลื่อนออกไปอีก 1 ปี เพราะมีความไม่พร้อมหลายๆ อย่าง โดยส่วนหนึ่งเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32099
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม เรื่อง “แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 กับการขับเคลื่อนสู่ไทยแลนด์ 4.0”
วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2560 รอง นรม. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม เรื่อง “แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 กับการขับเคลื่อนสู่ไทยแลนด์ 4.0” รอง นรม. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม เรื่อง “แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 กับการขับเคลื่อนสู้ไทยแลนด์ 4.0” วันนี้ (20 เมษายน 2560) เวลา 13.00 น. ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม เรื่อง “แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 กับการขับเคลื่อนสู่ไทยแลนด์ 4.0” จัดโดยสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) โดยมีผู้แทนจาก 5 องค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วย สํานักงานปลัด กระทรวงศึกษาธิการ สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสํานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ตลอดจนผู้แทนการศึกษาทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน นักวิชาการ เครือข่ายประชารัฐด้านการศึกษา และสื่อมวลชน จํานวนกว่า 1,000 คน เข้าร่วมงาน โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 มีเป้าหมายสําคัญคือคนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างมีความสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21 สําหรับกรอบการเตรียมทรัพยากรบุคคลของแผนการศึกษาแห่งชาติ ระยะ 20 ปีนั้น รัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนากําลังคนเพื่อรองรับ 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) ประกอบด้วย อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals) อุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital) และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) จากนนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางขับเคลื่อนตามแผนการศึกษาชาติ ระยะ 20 ปี โดยรัฐบาลเน้นความสําคัญในยุทธศาสตร์ที่ 2 คือ การผลิตและพัฒนากําลังคน การวิจัย และนวัตกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ที่มีแผนงานและโครงการที่สําคัญของยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนสู่ประเทศไทย 4.0 เน้นการพัฒนาแรงงานคุณภาพในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนฯ การพัฒนาครูช่างและช่างซ่อมบํารุงอากาศยาน ดังนั้น จึงต้องเพิ่มสมรรถนะกําลังคนในอนาคต 20 ปี ด้วยการเสริมทักษะด้านสะเต็มศึกษา (STEM) เร่งจัดทําฐานข้อมูลความต้องการกําลังคน ผลักดันผู้เรียนสายวิทยาศาสตร์และสายสังคมให้มีสัดส่วนเท่ากันคือ 50 ต่อ 50 ขณะเดียวกันส่งเสริมให้มีผู้เรียนสายอาชีวศึกษาและสายสามัญศึกษาเพิ่มสัดส่วนเป็น 70 ต่อ 30 ส่งเสริมการเรียนเชิงปฏิบัติเพื่อเพิ่มทักษะด้านอาชีพด้วยทวิศึกษา และสหกิจศึกษา รวมทั้งยกระดับมาตรฐานอุดมศึกษาไทยเพื่อผลักดัน 7 สถาบันอุดมศึกษาให้ติด 200 อันดับแรกของโลก อย่างไรก็ตาม การพัฒนาแต่ละยุทธศาสตร์แปลงสู่การปฏิบัติ และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างแผนการศึกษาชาติ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นโยบายของรัฐบาล แผนพัฒนาการศึกษาระยะ 5 ปี พร้อมรองรับการพัฒนากําลังคนสู่ความเป็นประเทศไทย 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม จากนั้น นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา ได้กล่าวบรรยายพิเศษเพิ่มเติมว่า สกศ. สนองนโยบายรัฐบาล และแผนยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 พร้อมขับเคลื่อนแผนการศึกษาชาติ ระยะ 20 ปี สู่การปฏิบัติภายใต้กรอบดําเนินงาน 4 ช่วง ระยะละ 5 ปีคือช่วงแรก ปี 2560 - 2564 ช่วงที่ 2 ปี 2565 - 2569 ช่วงที่ 3 ปี 2570 -2574 และช่วงสุดท้าย ปี 2575 - 2579 โดยช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2560 สกศ. ได้จัดคณะทํางานลงพื้นที่เพื่อชี้แจงแผน 4 ภูมิภาค โดยเริ่มภาคใต้ที่จังหวัดภูเก็ต ภาคกลางที่จังหวัดระยอง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดมหาสารคาม และภาคเหนือที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รายงานความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมการจัดนิทรรศการบริเวณรอบพื้นที่จัดงาน ประกอบด้วย 5 บู้ธหลักของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด นําเสนอการศึกษาระดับปฐมวัย โรงเรียนสตรีวิทยา นําเสนอมิติการศึกษาไฮเทคด้วยโรงเรียนดิจิทัล วิทยาลัยเทคนิคถลาง จังหวัดภูเก็ต นําเสนอพัฒนาการด้านอาชีวศึกษาด้วยหลักสูตรช่างอากาศยานรุ่นแรกของการอาชีวศึกษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นําเสนอโครงการส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน (Talent Mobility) และ เทศบาลตําบลหนองลาย นําเสนอโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตําบลหนองลาน อําเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งประสบความสําเร็จในการสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่ผู้สูงวัยในพื้นที่ พร้อมได้กล่าวซักถามเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ จากวิทยากรประจําบู้ธเหล่านี้ด้วยความสนใจ *************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม เรื่อง “แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 กับการขับเคลื่อนสู่ไทยแลนด์ 4.0” วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2560 รอง นรม. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม เรื่อง “แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 กับการขับเคลื่อนสู่ไทยแลนด์ 4.0” รอง นรม. ประจินฯ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม เรื่อง “แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 กับการขับเคลื่อนสู้ไทยแลนด์ 4.0” วันนี้ (20 เมษายน 2560) เวลา 13.00 น. ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุม เรื่อง “แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 กับการขับเคลื่อนสู่ไทยแลนด์ 4.0” จัดโดยสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) โดยมีผู้แทนจาก 5 องค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ประกอบด้วย สํานักงานปลัด กระทรวงศึกษาธิการ สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสํานักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ตลอดจนผู้แทนการศึกษาทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน นักวิชาการ เครือข่ายประชารัฐด้านการศึกษา และสื่อมวลชน จํานวนกว่า 1,000 คน เข้าร่วมงาน โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 มีเป้าหมายสําคัญคือคนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างมีความสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21 สําหรับกรอบการเตรียมทรัพยากรบุคคลของแผนการศึกษาแห่งชาติ ระยะ 20 ปีนั้น รัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนากําลังคนเพื่อรองรับ 5 อุตสาหกรรมอนาคต (New S-Curve) ประกอบด้วย อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation and Logistics) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (Biofuels and Biochemicals) อุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital) และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub) จากนนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางขับเคลื่อนตามแผนการศึกษาชาติ ระยะ 20 ปี โดยรัฐบาลเน้นความสําคัญในยุทธศาสตร์ที่ 2 คือ การผลิตและพัฒนากําลังคน การวิจัย และนวัตกรรม เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ที่มีแผนงานและโครงการที่สําคัญของยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนสู่ประเทศไทย 4.0 เน้นการพัฒนาแรงงานคุณภาพในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนฯ การพัฒนาครูช่างและช่างซ่อมบํารุงอากาศยาน ดังนั้น จึงต้องเพิ่มสมรรถนะกําลังคนในอนาคต 20 ปี ด้วยการเสริมทักษะด้านสะเต็มศึกษา (STEM) เร่งจัดทําฐานข้อมูลความต้องการกําลังคน ผลักดันผู้เรียนสายวิทยาศาสตร์และสายสังคมให้มีสัดส่วนเท่ากันคือ 50 ต่อ 50 ขณะเดียวกันส่งเสริมให้มีผู้เรียนสายอาชีวศึกษาและสายสามัญศึกษาเพิ่มสัดส่วนเป็น 70 ต่อ 30 ส่งเสริมการเรียนเชิงปฏิบัติเพื่อเพิ่มทักษะด้านอาชีพด้วยทวิศึกษา และสหกิจศึกษา รวมทั้งยกระดับมาตรฐานอุดมศึกษาไทยเพื่อผลักดัน 7 สถาบันอุดมศึกษาให้ติด 200 อันดับแรกของโลก อย่างไรก็ตาม การพัฒนาแต่ละยุทธศาสตร์แปลงสู่การปฏิบัติ และสร้างความเชื่อมโยงระหว่างแผนการศึกษาชาติ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นโยบายของรัฐบาล แผนพัฒนาการศึกษาระยะ 5 ปี พร้อมรองรับการพัฒนากําลังคนสู่ความเป็นประเทศไทย 4.0 อย่างเป็นรูปธรรม จากนั้น นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา ได้กล่าวบรรยายพิเศษเพิ่มเติมว่า สกศ. สนองนโยบายรัฐบาล และแผนยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 พร้อมขับเคลื่อนแผนการศึกษาชาติ ระยะ 20 ปี สู่การปฏิบัติภายใต้กรอบดําเนินงาน 4 ช่วง ระยะละ 5 ปีคือช่วงแรก ปี 2560 - 2564 ช่วงที่ 2 ปี 2565 - 2569 ช่วงที่ 3 ปี 2570 -2574 และช่วงสุดท้าย ปี 2575 - 2579 โดยช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2560 สกศ. ได้จัดคณะทํางานลงพื้นที่เพื่อชี้แจงแผน 4 ภูมิภาค โดยเริ่มภาคใต้ที่จังหวัดภูเก็ต ภาคกลางที่จังหวัดระยอง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดมหาสารคาม และภาคเหนือที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รายงานความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมการจัดนิทรรศการบริเวณรอบพื้นที่จัดงาน ประกอบด้วย 5 บู้ธหลักของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด นําเสนอการศึกษาระดับปฐมวัย โรงเรียนสตรีวิทยา นําเสนอมิติการศึกษาไฮเทคด้วยโรงเรียนดิจิทัล วิทยาลัยเทคนิคถลาง จังหวัดภูเก็ต นําเสนอพัฒนาการด้านอาชีวศึกษาด้วยหลักสูตรช่างอากาศยานรุ่นแรกของการอาชีวศึกษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นําเสนอโครงการส่งเสริมบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของภาครัฐไปปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในภาคเอกชน (Talent Mobility) และ เทศบาลตําบลหนองลาย นําเสนอโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตําบลหนองลาน อําเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งประสบความสําเร็จในการสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิตแก่ผู้สูงวัยในพื้นที่ พร้อมได้กล่าวซักถามเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ จากวิทยากรประจําบู้ธเหล่านี้ด้วยความสนใจ *************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบประชาชนจังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน
วันพุธที่ 19 กันยายน 2561 นายกรัฐมนตรีพบประชาชนจังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน นรม. กล่าวย้ําว่าการดูแลประชาชนเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ว่าจังหวัดไหนก็ตาม เพราะล้วนแล้วแต่เป็นคนไทย พร้อมขอให้ให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันทํางานเพื่อพัฒนาประเทศให้เจริญและมั่นคงในทุกด้าน วันนี้ (18 กันยายน 2561) เวลา 14.10 น. ณ หอประชุมประกายเพชร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้พบประชาชนจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมทั้ง เป็นสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนใน 4 พื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก หนองคาย และจังหวัดเพชรบูรณ์ และหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนให้แก่ประธานป่าชุมชน 5 พื้นที่ใน 5 จังหวัดของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ได้แก่ จังหวัดตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ พร้อมเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสือคู่มือการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลให้ราษฎร 434 ราย จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมอบให้แก่ผู้แทนประชาชน 3 ราย จาก 3 ตําบล เพื่อแก้ปัญหาไร้ที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของประชาชน รวมถึงการรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติและการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนความตอนหนึ่งว่า ดีใจที่ได้มาพบปะประชาชนจังหวัดเพชรบูรณ์ และขอบคุณในความปราถนาดีที่มอบให้ ทั้งนี้ การดูแลประชาชนเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ว่าจังหวัดไหนก็ตาม เพราะล้วนแล้วแต่เป็นคนไทย ไม่ต้องหวังว่ารัฐบาลไม่ดูแล ทุกคนต้องเดินหน้าไปด้วยกัน และจะต้องเติบโตไปพร้อมกันบนพื้นฐานความเท่าเทียม และลดช่องว่างความเหลื่อมล้ําให้ได้ พร้อมกันนี้ ขอให้ประชาชนเตรียมความพร้อมเข้าสู่โลกศตวรรษที่ 21 โดยนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยเหลือมากขึ้น ซึ่งจะต้องทําให้โลกวันนี้เชื่อมโยงกับโลกวันข้างหน้า แต่ที่ผ่านมายังติดปัญหาเรื่องความยากจน และความเหลื่อมล้ํา ความไม่เท่าเทียมของโอกาสในด้านต่าง ๆ ทําให้การทํางานติดขัด ส่งผลให้มีการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งทุกคนควรปลดล็อคความต้องการส่วนตัวให้กลายเป็นความต้องการส่วนรวม จะต้องไม่ทําให้ความขัดแย้งเกิดขึ้นอีก ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวฝากให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันทํางานเพื่อพัฒนาประเทศให้เจริญและมั่นคงในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคการเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัย การท่องเที่ยว รวมถึงการต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นประเด็นสําคัญที่จะช่วยยกระดับชุมชนของเราให้มีความโดดเด่น แตกต่าง ด้วยการดึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และนําไปสู่การดําเนินงานตามนโยบายไทยนิยมยั่งยืน ที่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพในท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง พร้อมทั้งช่วยกันสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับชุมชน และสังคมของตนเองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป .............................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบประชาชนจังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน วันพุธที่ 19 กันยายน 2561 นายกรัฐมนตรีพบประชาชนจังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชน นรม. กล่าวย้ําว่าการดูแลประชาชนเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ว่าจังหวัดไหนก็ตาม เพราะล้วนแล้วแต่เป็นคนไทย พร้อมขอให้ให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันทํางานเพื่อพัฒนาประเทศให้เจริญและมั่นคงในทุกด้าน วันนี้ (18 กันยายน 2561) เวลา 14.10 น. ณ หอประชุมประกายเพชร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้พบประชาชนจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมทั้ง เป็นสักขีพยานในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนใน 4 พื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก หนองคาย และจังหวัดเพชรบูรณ์ และหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชนให้แก่ประธานป่าชุมชน 5 พื้นที่ใน 5 จังหวัดของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ได้แก่ จังหวัดตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ พร้อมเป็นสักขีพยานในการมอบหนังสือคู่มือการจัดที่ดินทํากินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาลให้ราษฎร 434 ราย จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมอบให้แก่ผู้แทนประชาชน 3 ราย จาก 3 ตําบล เพื่อแก้ปัญหาไร้ที่ทํากินและที่อยู่อาศัยของประชาชน รวมถึงการรักษาทรัพยากรทางธรรมชาติและการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนความตอนหนึ่งว่า ดีใจที่ได้มาพบปะประชาชนจังหวัดเพชรบูรณ์ และขอบคุณในความปราถนาดีที่มอบให้ ทั้งนี้ การดูแลประชาชนเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ว่าจังหวัดไหนก็ตาม เพราะล้วนแล้วแต่เป็นคนไทย ไม่ต้องหวังว่ารัฐบาลไม่ดูแล ทุกคนต้องเดินหน้าไปด้วยกัน และจะต้องเติบโตไปพร้อมกันบนพื้นฐานความเท่าเทียม และลดช่องว่างความเหลื่อมล้ําให้ได้ พร้อมกันนี้ ขอให้ประชาชนเตรียมความพร้อมเข้าสู่โลกศตวรรษที่ 21 โดยนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยเหลือมากขึ้น ซึ่งจะต้องทําให้โลกวันนี้เชื่อมโยงกับโลกวันข้างหน้า แต่ที่ผ่านมายังติดปัญหาเรื่องความยากจน และความเหลื่อมล้ํา ความไม่เท่าเทียมของโอกาสในด้านต่าง ๆ ทําให้การทํางานติดขัด ส่งผลให้มีการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งทุกคนควรปลดล็อคความต้องการส่วนตัวให้กลายเป็นความต้องการส่วนรวม จะต้องไม่ทําให้ความขัดแย้งเกิดขึ้นอีก ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวฝากให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันทํางานเพื่อพัฒนาประเทศให้เจริญและมั่นคงในทุกด้าน โดยเฉพาะภาคการเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัย การท่องเที่ยว รวมถึงการต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นประเด็นสําคัญที่จะช่วยยกระดับชุมชนของเราให้มีความโดดเด่น แตกต่าง ด้วยการดึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และนําไปสู่การดําเนินงานตามนโยบายไทยนิยมยั่งยืน ที่จะช่วยส่งเสริมศักยภาพในท้องถิ่นให้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง พร้อมทั้งช่วยกันสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับชุมชน และสังคมของตนเองให้เจริญก้าวหน้าต่อไป .............................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15493
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เตรียมสรรหาเลขาธิการคุรุสภาคนใหม่
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ศธ.เตรียมสรรหาเลขาธิการคุรุสภาคนใหม่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการสรรหาผู้มาดํารงตําแหน่ง "เลขาธิการคุรุสภา" โดยให้ดําเนินการเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการสรรหาผู้มาดํารงตําแหน่ง "เลขาธิการคุรุสภา" โดยให้ดําเนินการเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีมติให้ใช้คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 17 ในการสรรหาผู้มาดํารงตําแหน่งเลขาธิการคุรุสภา โดยหลักเกณฑ์ของการสรรหา รมว.ศึกษาธิการจะเป็นผู้กําหนดร่วมกับคณะกรรมการคุรุสภา ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นหลักเกณฑ์รูปแบบใหม่ตามหลักสากล เปิดกว้าง และผู้สมัครยังคงต้องมีประวัติและคุณสมบัติตามเงื่อนไขของคุรุสภาเช่นเดิม และสิ่งสําคัญอีกประการคือ การมีหลักฐานอ้างอิง (Reference) เพื่อแนะนําและรับรองการทํางานในหน่วยงานต่าง ๆ ที่ผ่านมาด้วย สําหรับคณะกรรมการกลั่นกรองจะแบ่งเป็น 2 ชุด ๆ ละไม่เกิน 10 คนโดยคณะกรรมการกลั่นกรองชุดแรกทําหน้าที่คัดเลือก โดยพิจารณาจากประวัติและผลงาน พร้อมให้คะแนนผู้สมัครส่วนคณะกรรมการกลั่นกรองชุดที่ 2ทําหน้าที่สอบสัมภาษณ์ โดยจะพิจารณาและคัดเลือกองค์ประกอบของคณะกรรมการชุดนี้เอง ซึ่งจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่วงการครูให้การยอมรับและนับถือไม่ใช่ข้าราชการระดับสูงของ ศธ. แต่อย่างใดจากนั้นคณะกรรมการกลั่นกรองทั้ง 2 ชุด จะคัดเลือกจนเหลือผู้สมัครเพียง 2 คน พร้อมเรียงลําดับและระบุเหตุผล นํารายชื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการคุรุสภาเพื่อคัดเลือกผู้มาดํารงตําแหน่งเลขาธิการคุรุสภาต่อไปทั้งนี้คาดว่าจะดําเนินการสรรหาแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคมนี้ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า เป้าหมายของการสรรหา คือ ต้องการบุคคลซึ่งมาทําหน้าที่เลขาธิการคุรุสภาที่เป็นที่ยอมรับและนับถือของชาวการศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา ดังนั้น จึงได้เตรียมลําดับขั้นตอนการทํางานที่มีความชัดเจน โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ และจะประกาศหลักเกณฑ์การสรรหาให้ทราบโดยทั่วกันภายในเดือนมีนาคมนี้ นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติแก้ไขระเบียบคณะกรรมการคุรุสภาว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันคุรุพัฒนา พ.ศ.2560 โดยปรับสัดส่วนองค์ประกอบของคณะกรรมการ จากเดิมมีคณะกรรมการ 17 คน ให้เหลือ 11 คน เพื่อให้ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ขับเคลื่อนงาน ที่จะเกิดความคล่องตัวมากขึ้น และทําให้การทํางานเดินหน้าต่อไปได้ Written & Rewriterนวรัตน์ รามสูต Photo Creditนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.เตรียมสรรหาเลขาธิการคุรุสภาคนใหม่ วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ศธ.เตรียมสรรหาเลขาธิการคุรุสภาคนใหม่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการสรรหาผู้มาดํารงตําแหน่ง "เลขาธิการคุรุสภา" โดยให้ดําเนินการเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการคุรุสภา เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการสรรหาผู้มาดํารงตําแหน่ง "เลขาธิการคุรุสภา" โดยให้ดําเนินการเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ที่ประชุมได้มีมติให้ใช้คําสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 17 ในการสรรหาผู้มาดํารงตําแหน่งเลขาธิการคุรุสภา โดยหลักเกณฑ์ของการสรรหา รมว.ศึกษาธิการจะเป็นผู้กําหนดร่วมกับคณะกรรมการคุรุสภา ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นหลักเกณฑ์รูปแบบใหม่ตามหลักสากล เปิดกว้าง และผู้สมัครยังคงต้องมีประวัติและคุณสมบัติตามเงื่อนไขของคุรุสภาเช่นเดิม และสิ่งสําคัญอีกประการคือ การมีหลักฐานอ้างอิง (Reference) เพื่อแนะนําและรับรองการทํางานในหน่วยงานต่าง ๆ ที่ผ่านมาด้วย สําหรับคณะกรรมการกลั่นกรองจะแบ่งเป็น 2 ชุด ๆ ละไม่เกิน 10 คนโดยคณะกรรมการกลั่นกรองชุดแรกทําหน้าที่คัดเลือก โดยพิจารณาจากประวัติและผลงาน พร้อมให้คะแนนผู้สมัครส่วนคณะกรรมการกลั่นกรองชุดที่ 2ทําหน้าที่สอบสัมภาษณ์ โดยจะพิจารณาและคัดเลือกองค์ประกอบของคณะกรรมการชุดนี้เอง ซึ่งจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่วงการครูให้การยอมรับและนับถือไม่ใช่ข้าราชการระดับสูงของ ศธ. แต่อย่างใดจากนั้นคณะกรรมการกลั่นกรองทั้ง 2 ชุด จะคัดเลือกจนเหลือผู้สมัครเพียง 2 คน พร้อมเรียงลําดับและระบุเหตุผล นํารายชื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการคุรุสภาเพื่อคัดเลือกผู้มาดํารงตําแหน่งเลขาธิการคุรุสภาต่อไปทั้งนี้คาดว่าจะดําเนินการสรรหาแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคมนี้ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวด้วยว่า เป้าหมายของการสรรหา คือ ต้องการบุคคลซึ่งมาทําหน้าที่เลขาธิการคุรุสภาที่เป็นที่ยอมรับและนับถือของชาวการศึกษา ครู และบุคลากรทางการศึกษา ดังนั้น จึงได้เตรียมลําดับขั้นตอนการทํางานที่มีความชัดเจน โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ และจะประกาศหลักเกณฑ์การสรรหาให้ทราบโดยทั่วกันภายในเดือนมีนาคมนี้ นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีมติแก้ไขระเบียบคณะกรรมการคุรุสภาว่าด้วยการจัดตั้งสถาบันคุรุพัฒนา พ.ศ.2560 โดยปรับสัดส่วนองค์ประกอบของคณะกรรมการ จากเดิมมีคณะกรรมการ 17 คน ให้เหลือ 11 คน เพื่อให้ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ขับเคลื่อนงาน ที่จะเกิดความคล่องตัวมากขึ้น และทําให้การทํางานเดินหน้าต่อไปได้ Written & Rewriterนวรัตน์ รามสูต Photo Creditนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10431
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดมหกรรมสร้างการตระหนักรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติ เชิญชวนประชาชนร่วมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย
วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 นายกรัฐมนตรีเปิดมหกรรมสร้างการตระหนักรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติ เชิญชวนประชาชนร่วมเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย นายกรัฐมนตรีเปิดมหกรรมสร้างการตระหนักรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติ วันนี้ (30 มกราคม 62 ) เวลา 09.00 น. ณ ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดมหกรรมสร้างการตระหนักรู้ ต่อยุทธศาสตร์ชาติ (Big Bang อนาคตไทย อนาคตเรา) และ ปาถกฐาพิเศษเรื่อง “อนาคตไทย อนาคตเรา : Our Country Our Future โดยมีกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ กรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ กรรมการปฏิรูปประเทศ กรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด เลขาธิการสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม หน่วยงานภาครัฐและเอกชน นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมกว่า 3000 คน สําหรับงานมหกรรมสร้างการตระหนักรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติ (Big Bang อนาคตไทย อนาคตเรา) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจแนวคิดและสาระสําคัญของยุทธศาสตร์ชาติรวมทั้งการมีส่วนร่วม ให้กับทุกภาคส่วนในสังคม นําไปสู่ความร่วมมือในการขับเคลื่อนประเทศให้บรรลุเป้าหมายระยะยาวได้อย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ โดยสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับบริษัท อสมท จํากัด (มหาชน) โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงาน และกล่าวปาถกฐาพิเศษตอนหนึ่งว่า การพัฒนาประเทศไทยที่ผ่านมาส่งผลให้ประเทศมีการพัฒนาในทุกมิติ ได้รับการยกระดับเป็นประเทศในกลุ่มบนของกลุ่มประเทศระดับรายได้ปานกลาง มีการพัฒนาในด้านสังคมที่มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนมีการพัฒนาในแต่ละช่วงวัย ซึ่งประชาชนไทยทุกคนจะต้องเข้าถึงสวัสดิการของรัฐอย่างเท่าเทียม เพื่อนําไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในอนาคต อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขที่ยั่งยืนในสังคม มีความสามัคคีปรองดอง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความสงบและปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีภาครัฐที่ทํางานเพื่อประชาชน อย่างสุจริต โปร่งใส่ สิ่งที่สําคัญที่สุดในการพัฒนาคือการพัฒนาที่ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่ดีงามของไทย รอยยิ้ม ที่เป็นอัตลักษณ์ของชาติ การพัฒนาที่ไม่ลืมรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ นําไปสู่การสร้างสังคมที่เป็นธรรมและเท่าเทียม ประเทศไทยกําลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีสัดส่วนประชากรวัยแรงงานลดลง และการมีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดความท้าทายใหม่ ๆ เทคโนโลยีเข้ามาอย่างรวดเร็ว ต้องมีการเรียนรู้เท่าทันใช้เทคโนโลยี ใช้ในทางที่เกิดประโยชน์ ในด้านการศึกษาเป็นเครื่องมือสําคัญในการลดความเหลื่อมล้ํา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยการยกระดับคุณภาพการศึกษาในอีก 20 ปีข้างหน้า สร้าง “ดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้แห่งชาติ” ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล นําความรู้และวิธีการเรียนรู้ไปสู่โรงเรียน นักเรียน และครูทั่วประเทศโดยเฉพาะในท้องถิ่นห่างไกล ให้ได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมและทั่วถึงในทุก ๆ พื้นที่ รวมทั้งได้รับการปลูกฝังวัฒนธรรม การใช้ชีวิตในสังคมที่ดี ให้เป็นคนดี มีจิตสาธารณะ มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ในด้านการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ในภูมิภาค และการเปิดเสรีด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจรัฐบาล การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ นโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ภายใต้ ไทยแลนด์ 4.0 ภาครัฐมีความพยายามในการดําเนินการแผนงานและโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับกรอบแนวทางการพัฒนาของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างประสบความสําเร็จได้นั้น จะต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมการขับเคลื่อน และพัฒนาจากทุกภาคส่วน เป้าหมายเพื่อให้คนไทยมีความสุขบนพื้นฐานของกฎหมาย ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนประชาชนในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาประเทศ ให้เข้าใจในสาระและการดําเนินการพัฒนาตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อร่วมเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยของเราสู่วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อ “อนาคตไทย อนาคตเรา” จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ และสื่อผสมต่าง ๆ โดยแบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนที่ 1 เล่าถึงความจําเป็นที่ต้องจัดทํายุทธศาสตร์ชาติและภาพรวมยุทธศาสตร์ชาติ โซนที่ 2 เล่าถึงประโยชน์ที่ประชาชนแต่ละช่วงวัยจะได้รับจากการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ โซนที่ 3 เป็นการสรุปภาพจํา แสดงให้เห็นความสุขทั้ง 6 ด้าน ทั้งความสุขจากความปลอดภัย ความพอเพียง สุขกาย ใจ ปัญญา สุขจากความเสมอภาค สุขยั่งยืน และสุขบริการ ---------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดมหกรรมสร้างการตระหนักรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติ เชิญชวนประชาชนร่วมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย วันพุธที่ 30 มกราคม 2562 นายกรัฐมนตรีเปิดมหกรรมสร้างการตระหนักรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติ เชิญชวนประชาชนร่วมเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย นายกรัฐมนตรีเปิดมหกรรมสร้างการตระหนักรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติ วันนี้ (30 มกราคม 62 ) เวลา 09.00 น. ณ ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดมหกรรมสร้างการตระหนักรู้ ต่อยุทธศาสตร์ชาติ (Big Bang อนาคตไทย อนาคตเรา) และ ปาถกฐาพิเศษเรื่อง “อนาคตไทย อนาคตเรา : Our Country Our Future โดยมีกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ กรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ กรรมการปฏิรูปประเทศ กรรมการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด เลขาธิการสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม หน่วยงานภาครัฐและเอกชน นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมกว่า 3000 คน สําหรับงานมหกรรมสร้างการตระหนักรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติ (Big Bang อนาคตไทย อนาคตเรา) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจแนวคิดและสาระสําคัญของยุทธศาสตร์ชาติรวมทั้งการมีส่วนร่วม ให้กับทุกภาคส่วนในสังคม นําไปสู่ความร่วมมือในการขับเคลื่อนประเทศให้บรรลุเป้าหมายระยะยาวได้อย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพ โดยสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับบริษัท อสมท จํากัด (มหาชน) โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดงาน และกล่าวปาถกฐาพิเศษตอนหนึ่งว่า การพัฒนาประเทศไทยที่ผ่านมาส่งผลให้ประเทศมีการพัฒนาในทุกมิติ ได้รับการยกระดับเป็นประเทศในกลุ่มบนของกลุ่มประเทศระดับรายได้ปานกลาง มีการพัฒนาในด้านสังคมที่มีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนมีการพัฒนาในแต่ละช่วงวัย ซึ่งประชาชนไทยทุกคนจะต้องเข้าถึงสวัสดิการของรัฐอย่างเท่าเทียม เพื่อนําไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในอนาคต อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขที่ยั่งยืนในสังคม มีความสามัคคีปรองดอง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความสงบและปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีภาครัฐที่ทํางานเพื่อประชาชน อย่างสุจริต โปร่งใส่ สิ่งที่สําคัญที่สุดในการพัฒนาคือการพัฒนาที่ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์วัฒนธรรมที่ดีงามของไทย รอยยิ้ม ที่เป็นอัตลักษณ์ของชาติ การพัฒนาที่ไม่ลืมรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ นําไปสู่การสร้างสังคมที่เป็นธรรมและเท่าเทียม ประเทศไทยกําลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีสัดส่วนประชากรวัยแรงงานลดลง และการมีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดความท้าทายใหม่ ๆ เทคโนโลยีเข้ามาอย่างรวดเร็ว ต้องมีการเรียนรู้เท่าทันใช้เทคโนโลยี ใช้ในทางที่เกิดประโยชน์ ในด้านการศึกษาเป็นเครื่องมือสําคัญในการลดความเหลื่อมล้ํา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยการยกระดับคุณภาพการศึกษาในอีก 20 ปีข้างหน้า สร้าง “ดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้แห่งชาติ” ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล นําความรู้และวิธีการเรียนรู้ไปสู่โรงเรียน นักเรียน และครูทั่วประเทศโดยเฉพาะในท้องถิ่นห่างไกล ให้ได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมและทั่วถึงในทุก ๆ พื้นที่ รวมทั้งได้รับการปลูกฝังวัฒนธรรม การใช้ชีวิตในสังคมที่ดี ให้เป็นคนดี มีจิตสาธารณะ มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ในด้านการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ ในภูมิภาค และการเปิดเสรีด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจรัฐบาล การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ นโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ภายใต้ ไทยแลนด์ 4.0 ภาครัฐมีความพยายามในการดําเนินการแผนงานและโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับกรอบแนวทางการพัฒนาของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างประสบความสําเร็จได้นั้น จะต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมการขับเคลื่อน และพัฒนาจากทุกภาคส่วน เป้าหมายเพื่อให้คนไทยมีความสุขบนพื้นฐานของกฎหมาย ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเชิญชวนประชาชนในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาประเทศ ให้เข้าใจในสาระและการดําเนินการพัฒนาตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อร่วมเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยของเราสู่วิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อ “อนาคตไทย อนาคตเรา” จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เยี่ยมชมนิทรรศการ และสื่อผสมต่าง ๆ โดยแบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนที่ 1 เล่าถึงความจําเป็นที่ต้องจัดทํายุทธศาสตร์ชาติและภาพรวมยุทธศาสตร์ชาติ โซนที่ 2 เล่าถึงประโยชน์ที่ประชาชนแต่ละช่วงวัยจะได้รับจากการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ โซนที่ 3 เป็นการสรุปภาพจํา แสดงให้เห็นความสุขทั้ง 6 ด้าน ทั้งความสุขจากความปลอดภัย ความพอเพียง สุขกาย ใจ ปัญญา สุขจากความเสมอภาค สุขยั่งยืน และสุขบริการ ---------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18436
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆราวาสใน"พิธีหล่อเทียนพรรษา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาเเละเข้าพรรษา"
วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560 รมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆราวาสใน"พิธีหล่อเทียนพรรษา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาเเละเข้าพรรษา" รมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆราวาสใน"พิธีหล่อเทียนพรรษา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาเเละเข้าพรรษา" วันจันทร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์เป็นประธานฝ่ายฆราวาสใน"พิธีหล่อเทียนพรรษา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาเเละเข้าพรรษา"โดยมีพระธรรมปัญญาบดี เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยมี นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวรายงานในพิธี พร้อมด้วย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และองค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา ผู้บริหาร เเละเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาเเละพุทธศาสนิกชน ร่วมงาน ณ พระอุโบสถ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร กรมการศาสนากับภาคคณะสงฆ์ องค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา และภาคเอกชน จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา ประจําปี ๒๕๖๐ ระหว่างวันที่ ๓ - ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคพร้อมกันทั่วประเทศ ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมด้วยมิติศาสนา เช่น เข้าวัด สืบสานประเพณีถวายเทียนพรรษาตั้งแต่พิธีหล่อเทียน ถวายเทียน และเวียนเทียน ถวายเป็นพุทธบูชา ประดับธงธรรมจักรในหน่วยงานหรือตามความเหมาะสมนําหลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนามาประพฤติปฏิบัติในวิถีชีวิต อนุรักษ์สืบสานประเพณีวัฒนธรรมไทย ให้เป็นมรดกตกทอดแก่เด็ก เยาวชน และประชาชนสืบไป ในส่วนกลาง กรมการศาสนา ร่วมกับวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ คณะสงฆ์ เครือข่ายองค์การเผยแผ่พระพุทธศาสนา สถานศึกษา คณะครู นักเรียน ร่วมจัดพิธีหล่อเทียนพรรษา 9 ต้น เพื่อถวายพระอารามหลวง ๙ วัด คือ ๑. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ๒. วัดบวรนิเวศวิหาร ๓. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ๔. วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ๕. วัดปทุมวนาราม ๖. วัดสามพระยา ๗. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ๘. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และ ๙. วัดสุวรรณาราม ทั้งนี้กรมการศาสนา ยังร่วมกับองค์กรเครือข่ายเผยแพร่ศีลธรรม และหน่วยเผยแพร่พุทธศาสนาในสถานศึกษา จัดพิธีปล่อยขบวนรถแห่เทียนพรรษา วันที่ ๘ กรกฎาคม เวลา ๐๘.๐๐ น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อสืบทอดรักษาประเพณีอันดีงามและสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนในส่วนภูมิภาค มีการจัดกิจกรรมสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา ณ วัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีกิจกรรม อาทิ การหล่อเทียนพรรษา ถวายเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ําฝน การตักบาตร เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา เจริญจิตภาวนา และเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนแต่งกายด้วยชุดขาว รักษาศีล ๕ ตลอดเทศกาลอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆราวาสใน"พิธีหล่อเทียนพรรษา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาเเละเข้าพรรษา" วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม 2560 รมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆราวาสใน"พิธีหล่อเทียนพรรษา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาเเละเข้าพรรษา" รมว.วธ.เป็นประธานฝ่ายฆราวาสใน"พิธีหล่อเทียนพรรษา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาเเละเข้าพรรษา" วันจันทร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๓๐ น. นายวีระ โรจน์พจนรัตน์เป็นประธานฝ่ายฆราวาสใน"พิธีหล่อเทียนพรรษา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาเเละเข้าพรรษา"โดยมีพระธรรมปัญญาบดี เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ โดยมี นายมานัส ทารัตน์ใจ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวรายงานในพิธี พร้อมด้วย ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และองค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา ผู้บริหาร เเละเจ้าหน้าที่กรมการศาสนาเเละพุทธศาสนิกชน ร่วมงาน ณ พระอุโบสถ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร กรมการศาสนากับภาคคณะสงฆ์ องค์กรเครือข่ายทางพระพุทธศาสนา และภาคเอกชน จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา ประจําปี ๒๕๖๐ ระหว่างวันที่ ๓ - ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคพร้อมกันทั่วประเทศ ขอเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมด้วยมิติศาสนา เช่น เข้าวัด สืบสานประเพณีถวายเทียนพรรษาตั้งแต่พิธีหล่อเทียน ถวายเทียน และเวียนเทียน ถวายเป็นพุทธบูชา ประดับธงธรรมจักรในหน่วยงานหรือตามความเหมาะสมนําหลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนามาประพฤติปฏิบัติในวิถีชีวิต อนุรักษ์สืบสานประเพณีวัฒนธรรมไทย ให้เป็นมรดกตกทอดแก่เด็ก เยาวชน และประชาชนสืบไป ในส่วนกลาง กรมการศาสนา ร่วมกับวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ คณะสงฆ์ เครือข่ายองค์การเผยแผ่พระพุทธศาสนา สถานศึกษา คณะครู นักเรียน ร่วมจัดพิธีหล่อเทียนพรรษา 9 ต้น เพื่อถวายพระอารามหลวง ๙ วัด คือ ๑. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ๒. วัดบวรนิเวศวิหาร ๓. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ๔. วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ๕. วัดปทุมวนาราม ๖. วัดสามพระยา ๗. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ๘. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และ ๙. วัดสุวรรณาราม ทั้งนี้กรมการศาสนา ยังร่วมกับองค์กรเครือข่ายเผยแพร่ศีลธรรม และหน่วยเผยแพร่พุทธศาสนาในสถานศึกษา จัดพิธีปล่อยขบวนรถแห่เทียนพรรษา วันที่ ๘ กรกฎาคม เวลา ๐๘.๐๐ น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อสืบทอดรักษาประเพณีอันดีงามและสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนในส่วนภูมิภาค มีการจัดกิจกรรมสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา ณ วัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีกิจกรรม อาทิ การหล่อเทียนพรรษา ถวายเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ําฝน การตักบาตร เวียนเทียน ฟังพระธรรมเทศนา เจริญจิตภาวนา และเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนแต่งกายด้วยชุดขาว รักษาศีล ๕ ตลอดเทศกาลอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4974
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'เฉลิมชัย' มอบ 'นราพัฒน์' ดูแล Young Smart Farmer
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 'เฉลิมชัย' มอบ 'นราพัฒน์' ดูแล Young Smart Farmer 'เฉลิมชัย' มอบ 'นราพัฒน์' ดูแล Young Smart Farmer ส่งเสริม-ต่อยอด ให้มีการพัฒนาสู่เกษตรกรยุคใหม่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพบปะกลุ่มเกษตรกรโครงการ Young Smart Farmer จังหวัดลําพูน ณ ศูนย์เศรษฐกิจพอเพียง มหาวิชชาลัยอุโมงค์สร้างพลเมือง ว่า Young Smart Farmer ถือเป็นกําลังสําคัญที่จะขับเคลื่อนภาคการเกษตรของประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูปภาคการเกษตร จะต้องมีการทํางานอย่างต่อเนื่องและชัดเจน ซึ่งภาครัฐพร้อมสนับสนุนการดําเนินงานของ Young Smart Farmer เพื่อสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ อาทิ การใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี การลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต หรือระบบตลาดนําการผลิต เข้ามาสนับสนุนเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายนายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้มาดูแลในเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งได้มีการหารือถึงแนวทางการพัฒนา Young Smart Farmer ให้สามารถปรับตัวสู่เกษตรกรยุคใหม่ได้ ด้านนายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ พร้อมเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงให้แก่เกษตรกร Young Smart Farmer ทุกคน พร้อมรับฟังปัญหา รวมถึงช่วยต่อยอดแนวคิดเพื่อให้ไปสู่ตลาดในวงกว้างได้ อย่างไรก็ตาม ภาครัฐพร้อมสนับสนุนบุคคลากรในการให้ความรู้ รวมถึงประสานภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนทั้งในเรื่องของปัจจัยและช่องทางการตลาดต่อไป ทั้งนี้ จังหวัดลําพูนมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ Young Smart Farmer ตั้งแต่ปี 2557 - 2563 จํานวน 137 ราย โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'เฉลิมชัย' มอบ 'นราพัฒน์' ดูแล Young Smart Farmer วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 'เฉลิมชัย' มอบ 'นราพัฒน์' ดูแล Young Smart Farmer 'เฉลิมชัย' มอบ 'นราพัฒน์' ดูแล Young Smart Farmer ส่งเสริม-ต่อยอด ให้มีการพัฒนาสู่เกษตรกรยุคใหม่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพบปะกลุ่มเกษตรกรโครงการ Young Smart Farmer จังหวัดลําพูน ณ ศูนย์เศรษฐกิจพอเพียง มหาวิชชาลัยอุโมงค์สร้างพลเมือง ว่า Young Smart Farmer ถือเป็นกําลังสําคัญที่จะขับเคลื่อนภาคการเกษตรของประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูปภาคการเกษตร จะต้องมีการทํางานอย่างต่อเนื่องและชัดเจน ซึ่งภาครัฐพร้อมสนับสนุนการดําเนินงานของ Young Smart Farmer เพื่อสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ อาทิ การใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี การลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต หรือระบบตลาดนําการผลิต เข้ามาสนับสนุนเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ได้มอบหมายนายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้มาดูแลในเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งได้มีการหารือถึงแนวทางการพัฒนา Young Smart Farmer ให้สามารถปรับตัวสู่เกษตรกรยุคใหม่ได้ ด้านนายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ พร้อมเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงให้แก่เกษตรกร Young Smart Farmer ทุกคน พร้อมรับฟังปัญหา รวมถึงช่วยต่อยอดแนวคิดเพื่อให้ไปสู่ตลาดในวงกว้างได้ อย่างไรก็ตาม ภาครัฐพร้อมสนับสนุนบุคคลากรในการให้ความรู้ รวมถึงประสานภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนทั้งในเรื่องของปัจจัยและช่องทางการตลาดต่อไป ทั้งนี้ จังหวัดลําพูนมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ Young Smart Farmer ตั้งแต่ปี 2557 - 2563 จํานวน 137 ราย โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26231
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์ “ ประธานประชุม “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ -มันสำปะหลัง” หาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรในสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ชูนโยบาย”เกษตรผลิต พาณิชย์การตลาด” [กระทรวงพาณิชย์]
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 “จุรินทร์ “ ประธานประชุม “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ -มันสําปะหลัง” หาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรในสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ชูนโยบาย”เกษตรผลิต พาณิชย์การตลาด” [กระทรวงพาณิชย์] เห็นชอบประกันภัย 7 อย่างผู้ปลูกข้าวโพด ช่วยเหลือผู้ปลูกมันสําปะหลัง ที่ตกหล่นยังไม่ได้รับเงินส่วนต่างประกันรายได้ เตรียมนําเข้า ประชุม ครม. ขอเพิ่มงบช่วยเหลือเกษตรกร วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 เวลา09.30 -13.00 น. ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน การประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ - มันสําปะหลัง ครั้งที่ 1/2563 ภายหลังการประชุม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานในที่ประชุม แถลงผลการประชุมว่า วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ให้ความเห็นชอบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด 2 เรื่อง คือ เรื่องที่หนึ่งการประกันภัยพืชผลหรือการประกันภัยข้าวโพดจะช่วยให้ชาวไร่ข้าวโพด หากประสบภัย7 ชนิด หรือประสบภัยจากโรคระบาดจะได้รับเงินชดเชยเพื่อช่วยเหลือพืชผลทางการเกษตรที่เสียหาย โดยรัฐบาลกับ ธกส.จะร่วมมือกันในการจ่ายเบี้ยประกันแทนชาวไร่ข้าวโพดไร่ละ 160 บาท โดยเบี้ยประกัน 160 บาทต่อไร่นั้น รัฐบาลจะจ่ายให้ 96 บาท และ ธกส. จะช่วยจ่ายให้ 64 บาท ถ้าชาวไร่ข้าวโพดผลผลิตเสียหายจากเหตุ 7 ชนิด เช่น น้ําท่วม ภัยแล้ง พายุ เป็นต้น จะได้รับเงินชดเชยไร่ละ 1,500 บาท แต่ถ้าเกิดจากโรคระบาดจะได้รับการชดเชยไร่ละ 750 บาท โดยจะใช้วงเงินทั้งหมด 313 ล้านบาท เพื่อดําเนินการเรื่องนี้โดยให้ ธกส. สํารองจ่ายไปก่อนและรัฐบาลจะตั้งวงเงินชดเชยให้ในปีถัดไป เรื่องที่สองการขยายระยะเวลานโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดซึ่งแต่เดิมนั้นได้กําหนดระยะเวลาการประกันรายได้ไว้สําหรับผู้ปลูกข้าวโพดตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ทําให้เกิดช่องว่างระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2562 ทําให้เกษตรกรที่ปลูกในช่วงเดือนนี้ไม่สามารถได้รับเงินส่วนต่างจากนโยบายประกันรายได้ได้ วันนี้ที่ประชุมจึงมีมติให้ความเห็นชอบว่าเปิดโอกาสให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2562 สามารถได้รับเงินจากโครงการประกันรายได้ได้ด้วยโดยมีเกษตรกรอยู่ประมาณ 150,000 ราย ใช้วงเงินงบประมาณ 670 ล้านบาทจะได้รับเงินส่วนต่างชดเชยกิโลกรัมละ 29 สตางค์โดยประมาณ ซึ่งจะให้ ธกส. สํารองจ่ายไปก่อนและรัฐบาลจัดตั้งงบประมาณชดเชยให้ในปีถัดไป พร้อมทั้งจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป สําหรับเรื่องมันสําปะหลัง ที่ประชุมมีความเห็นชอบในเรื่องสําคัญ 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องที่ 1 การปฎิบัติตามนโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลัง ซึ่งได้มีการประกันรายได้ไว้ที่กิโลกรัมละ 2.50 บาทและมีการกําหนดการจ่ายเงินส่วนต่างรวม 12 งวด คือเดือนละ 1 งวดทุกวันที่ 1 ของเดือน ที่ผ่านมาได้มีการจ่ายไปแล้ว 5 งวดด้วยกัน ยังเหลืออยู่อีก 7 งวดซึ่งงวดถัดไปวันที่ 1 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากช่วงเวลาที่ผ่านมาราคาหัวมันสดตกต่ําลงไปมากส่วนหนึ่งเกิดจากภัยแล้งทําให้เชื้อแป้งไม่ได้ตามเกณฑ์ที่ควรจะเป็นทําให้เกษตรกรมีรายได้ในราคาที่ต่ําลงประกอบกับโควิดทําให้ความต้องการในตลาดต่างประเทศมีปัญหาในเรื่องของการส่งออกหลายส่วน เพราะฉะนั้นรัฐบาลจําเป็นต้องจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างเพิ่มมากขึ้น ทําให้งวดที่ 6 ถึงงวดที่ 12 ที่ยังค้างอยู่นั้นจําเป็นจะต้องใช้เงินเพิ่มเติมอีกประมาณ 460 ล้านบาท จึงจําเป็นต้องขอมติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยดูแลในงบประมาณส่วนนี้ต่อไป โดยจะขอให้ ธกส. ได้จ่ายสํารองไปก่อนและรัฐบาลก็จะตั้งจ่ายชดเชยในปีถัดไป เรื่องที่ 2 เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าควรขอความร่วมมือจากสมาคมที่เกี่ยวข้องกับมันสําปะหลังทั้งหมด 4 สมาคมด้วยกันประกอบด้วย สมาคมแป้งมัน สมาคมการค้ามันสําปะหลัง สมาคมมันสําปะหลังภาคอีสาน และสมาคมมันสําปะหลังภาคตะวันออก ได้หารือร่วมกันเพื่อที่จะหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังในช่วงระยะเวลาวิกฤตในปัจจุบันนี้ โดยขอให้หารือกันว่าสามารถที่จะช่วยรับซื้อหัวมันสดจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 2.30 บาท ที่เชื้อแป้ง 25% ได้หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นในยามวิกฤตและขณะเดียวกันเพื่อเป็นการลดภาระการจ่ายเงินส่วนต่างของรัฐบาลไปอีกจํานวนหนึ่งได้ด้วยในเวลาเดียวกันซึ่งขอให้ 4 สมาคมนี้ ได้ไปหารือร่วมกันกับผู้แทนของกระทรวงพาณิชย์และขอคําตอบว่าจะสามารถดําเนินการได้หรือไม่อย่างไรโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามสําหรับนโยบายประกันรายได้เกษตรกรที่ได้ดําเนินการมาของรัฐบาลทั้งในส่วนของข้าว มัน ยางพารา ปาล์มน้ํามัน และข้าวโพดนั้นมีความคืบหน้าเป็นลําดับ เกษตรกรจํานวนมากได้รับเงินส่วนต่างไปโดยลําดับ อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายังมีเกษตรกรจํานวนหนึ่งที่ยังประสบปัญหาติดขัดไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดในเรื่องใดก็ตามที่มีสิทธิ์แต่ยังไม่ได้รับเงินส่วนต่างจากนโยบายประกันรายได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้จึงเป็นที่มาที่วันนี้ได้มีการสั่งการให้กรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ได้จัดตั้งศูนย์รับเรื่องจากเกษตรกรที่ เชื่อว่าตนเองมีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินส่วนต่างจากนโยบายประกันรายได้แต่ยังไม่ได้รับเงินเนื่องจากติดปัญหาอุปสรรค นอกจากจะไปร้องเรียนที่เกษตรตําบล กํานันผู้ใหญ่บ้าน หรือที่ ธกส. โดยตรงแล้ว กระทรวงพาณิชย์ก็จะเปิดรับเรื่องจากเกษตรกรโดยตรงผ่านหมายเลข 1569 โดยจะจัดเจ้าหน้าที่ไว้รับเรื่องนี้เป็นการเฉพาะและตรวจแยกข้อมูลเพื่อที่จะได้สั่งการไปยังผู้รับผิดชอบในแต่ละจังหวัดให้เร่งดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรที่มีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินส่วนต่างให้ได้รับเงินส่วนต่างโดยเร็ว “เรื่องที่ผมได้เคยเรียนให้ทุกท่านได้รับทราบว่าภายใต้สถานการณ์วิกฤติโควิดที่เกิดขึ้นและรัฐบาลมีนโยบายที่จะออกพระราชกําหนดในการกู้เงินเพื่อมาใช้ในการเยียวยาและสนับสนุนให้ภาคส่วนต่าง ๆ สามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้ด้วยดีถือว่าเป็นนโยบายที่สังคมให้การตอบรับมาก” นายจุรินทร์กล่าว ในส่วนของกระทรวงเกษตรกับกระทรวงพาณิชย์นั้น นายจุรินทร์กล่าวว่า เรื่องนี้คิดว่าจะต้องมีการดําเนินการบูรณาการร่วมกันในการทํางานเพราะทั้งหมดทั้ง 2 ส่วน ก็มีเป้าหมายเพื่อที่จะช่วยเหลือเกษตรกรจะดําเนินการบูรณาการร่วมกันภายใต้หลักการ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เพื่อควบคู่กันไปและจะมีการดําเนินการในโครงการต่าง ๆ เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรแบบครบวงจรทั้งในภาคการผลิตและภาคการแปรรูปรวมทั้งการตลาด ต่อไปไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรครัวละ 5,000 บาท ซึ่งกระทรวงเกษตรได้เตรียมการในการตั้งเรื่องที่เกี่ยวกับในเรื่องนี้แล้วและจะช่วยเหลือทั้งในส่วนของเกษตรด้านพืช ปศุสัตว์ ประมง และเกษตรแปรรูปต่อไปในภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งการเตรียมการที่จะลดต้นทุนการผลิตปุ๋ยหรือในเรื่องอื่นๆ เรื่องของแหล่งน้ํา ในเรื่องของการเพิ่มผลผลิตให้มีคุณภาพมาตรฐานขึ้น รวมทั้งในเรื่องของการประสานการตลาด ซึ่งจะมุ่งเน้น 3 ส่วนทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ หมายรวมถึงการส่งออกและตลาดอีคอมเมิร์ซหรือตลาดออนไลน์ซึ่งเป็นเรื่องที่จําเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นตลาดออนไลน์เพื่อการค้าในประเทศหรือต่างประเทศก็ตาม โดยทั้งหมดนี้ภายใต้หลักการ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ตนจะนําเรื่องนี้เข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีเพื่อขอการสนับสนุนต่อไปเพื่อให้รัฐบาลสามารถที่จะเดินหน้าในการเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์ “ ประธานประชุม “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ -มันสำปะหลัง” หาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรในสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ชูนโยบาย”เกษตรผลิต พาณิชย์การตลาด” [กระทรวงพาณิชย์] วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 “จุรินทร์ “ ประธานประชุม “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ -มันสําปะหลัง” หาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรในสถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ชูนโยบาย”เกษตรผลิต พาณิชย์การตลาด” [กระทรวงพาณิชย์] เห็นชอบประกันภัย 7 อย่างผู้ปลูกข้าวโพด ช่วยเหลือผู้ปลูกมันสําปะหลัง ที่ตกหล่นยังไม่ได้รับเงินส่วนต่างประกันรายได้ เตรียมนําเข้า ประชุม ครม. ขอเพิ่มงบช่วยเหลือเกษตรกร วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 เวลา09.30 -13.00 น. ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน การประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ - มันสําปะหลัง ครั้งที่ 1/2563 ภายหลังการประชุม นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานในที่ประชุม แถลงผลการประชุมว่า วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ให้ความเห็นชอบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด 2 เรื่อง คือ เรื่องที่หนึ่งการประกันภัยพืชผลหรือการประกันภัยข้าวโพดจะช่วยให้ชาวไร่ข้าวโพด หากประสบภัย7 ชนิด หรือประสบภัยจากโรคระบาดจะได้รับเงินชดเชยเพื่อช่วยเหลือพืชผลทางการเกษตรที่เสียหาย โดยรัฐบาลกับ ธกส.จะร่วมมือกันในการจ่ายเบี้ยประกันแทนชาวไร่ข้าวโพดไร่ละ 160 บาท โดยเบี้ยประกัน 160 บาทต่อไร่นั้น รัฐบาลจะจ่ายให้ 96 บาท และ ธกส. จะช่วยจ่ายให้ 64 บาท ถ้าชาวไร่ข้าวโพดผลผลิตเสียหายจากเหตุ 7 ชนิด เช่น น้ําท่วม ภัยแล้ง พายุ เป็นต้น จะได้รับเงินชดเชยไร่ละ 1,500 บาท แต่ถ้าเกิดจากโรคระบาดจะได้รับการชดเชยไร่ละ 750 บาท โดยจะใช้วงเงินทั้งหมด 313 ล้านบาท เพื่อดําเนินการเรื่องนี้โดยให้ ธกส. สํารองจ่ายไปก่อนและรัฐบาลจะตั้งวงเงินชดเชยให้ในปีถัดไป เรื่องที่สองการขยายระยะเวลานโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดซึ่งแต่เดิมนั้นได้กําหนดระยะเวลาการประกันรายได้ไว้สําหรับผู้ปลูกข้าวโพดตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 ไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ทําให้เกิดช่องว่างระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2562 ทําให้เกษตรกรที่ปลูกในช่วงเดือนนี้ไม่สามารถได้รับเงินส่วนต่างจากนโยบายประกันรายได้ได้ วันนี้ที่ประชุมจึงมีมติให้ความเห็นชอบว่าเปิดโอกาสให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2562 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2562 สามารถได้รับเงินจากโครงการประกันรายได้ได้ด้วยโดยมีเกษตรกรอยู่ประมาณ 150,000 ราย ใช้วงเงินงบประมาณ 670 ล้านบาทจะได้รับเงินส่วนต่างชดเชยกิโลกรัมละ 29 สตางค์โดยประมาณ ซึ่งจะให้ ธกส. สํารองจ่ายไปก่อนและรัฐบาลจัดตั้งงบประมาณชดเชยให้ในปีถัดไป พร้อมทั้งจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อขอความเห็นชอบต่อไป สําหรับเรื่องมันสําปะหลัง ที่ประชุมมีความเห็นชอบในเรื่องสําคัญ 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องที่ 1 การปฎิบัติตามนโยบายประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลัง ซึ่งได้มีการประกันรายได้ไว้ที่กิโลกรัมละ 2.50 บาทและมีการกําหนดการจ่ายเงินส่วนต่างรวม 12 งวด คือเดือนละ 1 งวดทุกวันที่ 1 ของเดือน ที่ผ่านมาได้มีการจ่ายไปแล้ว 5 งวดด้วยกัน ยังเหลืออยู่อีก 7 งวดซึ่งงวดถัดไปวันที่ 1 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากช่วงเวลาที่ผ่านมาราคาหัวมันสดตกต่ําลงไปมากส่วนหนึ่งเกิดจากภัยแล้งทําให้เชื้อแป้งไม่ได้ตามเกณฑ์ที่ควรจะเป็นทําให้เกษตรกรมีรายได้ในราคาที่ต่ําลงประกอบกับโควิดทําให้ความต้องการในตลาดต่างประเทศมีปัญหาในเรื่องของการส่งออกหลายส่วน เพราะฉะนั้นรัฐบาลจําเป็นต้องจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างเพิ่มมากขึ้น ทําให้งวดที่ 6 ถึงงวดที่ 12 ที่ยังค้างอยู่นั้นจําเป็นจะต้องใช้เงินเพิ่มเติมอีกประมาณ 460 ล้านบาท จึงจําเป็นต้องขอมติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยดูแลในงบประมาณส่วนนี้ต่อไป โดยจะขอให้ ธกส. ได้จ่ายสํารองไปก่อนและรัฐบาลก็จะตั้งจ่ายชดเชยในปีถัดไป เรื่องที่ 2 เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าควรขอความร่วมมือจากสมาคมที่เกี่ยวข้องกับมันสําปะหลังทั้งหมด 4 สมาคมด้วยกันประกอบด้วย สมาคมแป้งมัน สมาคมการค้ามันสําปะหลัง สมาคมมันสําปะหลังภาคอีสาน และสมาคมมันสําปะหลังภาคตะวันออก ได้หารือร่วมกันเพื่อที่จะหาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสําปะหลังในช่วงระยะเวลาวิกฤตในปัจจุบันนี้ โดยขอให้หารือกันว่าสามารถที่จะช่วยรับซื้อหัวมันสดจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 2.30 บาท ที่เชื้อแป้ง 25% ได้หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นในยามวิกฤตและขณะเดียวกันเพื่อเป็นการลดภาระการจ่ายเงินส่วนต่างของรัฐบาลไปอีกจํานวนหนึ่งได้ด้วยในเวลาเดียวกันซึ่งขอให้ 4 สมาคมนี้ ได้ไปหารือร่วมกันกับผู้แทนของกระทรวงพาณิชย์และขอคําตอบว่าจะสามารถดําเนินการได้หรือไม่อย่างไรโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามสําหรับนโยบายประกันรายได้เกษตรกรที่ได้ดําเนินการมาของรัฐบาลทั้งในส่วนของข้าว มัน ยางพารา ปาล์มน้ํามัน และข้าวโพดนั้นมีความคืบหน้าเป็นลําดับ เกษตรกรจํานวนมากได้รับเงินส่วนต่างไปโดยลําดับ อย่างไรก็ตามเชื่อว่ายังมีเกษตรกรจํานวนหนึ่งที่ยังประสบปัญหาติดขัดไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดในเรื่องใดก็ตามที่มีสิทธิ์แต่ยังไม่ได้รับเงินส่วนต่างจากนโยบายประกันรายได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้จึงเป็นที่มาที่วันนี้ได้มีการสั่งการให้กรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ได้จัดตั้งศูนย์รับเรื่องจากเกษตรกรที่ เชื่อว่าตนเองมีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินส่วนต่างจากนโยบายประกันรายได้แต่ยังไม่ได้รับเงินเนื่องจากติดปัญหาอุปสรรค นอกจากจะไปร้องเรียนที่เกษตรตําบล กํานันผู้ใหญ่บ้าน หรือที่ ธกส. โดยตรงแล้ว กระทรวงพาณิชย์ก็จะเปิดรับเรื่องจากเกษตรกรโดยตรงผ่านหมายเลข 1569 โดยจะจัดเจ้าหน้าที่ไว้รับเรื่องนี้เป็นการเฉพาะและตรวจแยกข้อมูลเพื่อที่จะได้สั่งการไปยังผู้รับผิดชอบในแต่ละจังหวัดให้เร่งดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาให้เกษตรกรที่มีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินส่วนต่างให้ได้รับเงินส่วนต่างโดยเร็ว “เรื่องที่ผมได้เคยเรียนให้ทุกท่านได้รับทราบว่าภายใต้สถานการณ์วิกฤติโควิดที่เกิดขึ้นและรัฐบาลมีนโยบายที่จะออกพระราชกําหนดในการกู้เงินเพื่อมาใช้ในการเยียวยาและสนับสนุนให้ภาคส่วนต่าง ๆ สามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้ด้วยดีถือว่าเป็นนโยบายที่สังคมให้การตอบรับมาก” นายจุรินทร์กล่าว ในส่วนของกระทรวงเกษตรกับกระทรวงพาณิชย์นั้น นายจุรินทร์กล่าวว่า เรื่องนี้คิดว่าจะต้องมีการดําเนินการบูรณาการร่วมกันในการทํางานเพราะทั้งหมดทั้ง 2 ส่วน ก็มีเป้าหมายเพื่อที่จะช่วยเหลือเกษตรกรจะดําเนินการบูรณาการร่วมกันภายใต้หลักการ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เพื่อควบคู่กันไปและจะมีการดําเนินการในโครงการต่าง ๆ เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรแบบครบวงจรทั้งในภาคการผลิตและภาคการแปรรูปรวมทั้งการตลาด ต่อไปไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรครัวละ 5,000 บาท ซึ่งกระทรวงเกษตรได้เตรียมการในการตั้งเรื่องที่เกี่ยวกับในเรื่องนี้แล้วและจะช่วยเหลือทั้งในส่วนของเกษตรด้านพืช ปศุสัตว์ ประมง และเกษตรแปรรูปต่อไปในภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งการเตรียมการที่จะลดต้นทุนการผลิตปุ๋ยหรือในเรื่องอื่นๆ เรื่องของแหล่งน้ํา ในเรื่องของการเพิ่มผลผลิตให้มีคุณภาพมาตรฐานขึ้น รวมทั้งในเรื่องของการประสานการตลาด ซึ่งจะมุ่งเน้น 3 ส่วนทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ หมายรวมถึงการส่งออกและตลาดอีคอมเมิร์ซหรือตลาดออนไลน์ซึ่งเป็นเรื่องที่จําเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นตลาดออนไลน์เพื่อการค้าในประเทศหรือต่างประเทศก็ตาม โดยทั้งหมดนี้ภายใต้หลักการ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” ตนจะนําเรื่องนี้เข้าหารือกับนายกรัฐมนตรีเพื่อขอการสนับสนุนต่อไปเพื่อให้รัฐบาลสามารถที่จะเดินหน้าในการเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28945
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.อรรชกา พบปะ ประชาคมวิสาหกิจเริ่มต้น หารือผลักดันธุรกิจ Startup
วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2560 ดร.อรรชกา พบปะ ประชาคมวิสาหกิจเริ่มต้น หารือผลักดันธุรกิจ Startup รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พบปะกับ ประชาคมวิสาหกิจเริ่มต้น(Startup) 22 มิถุนายน 2560 ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พบปะกับ ประชาคมวิสาหกิจเริ่มต้น(Startup) นําโดย นายวัชระ เอมวัฒน์ นายกสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ , นายธนพงษ์ ณ ระนอง ผู้แทนสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน และนายราชิต ไชยรัตน์ คณะทํางานแก้ไขกฎหมาย ร่วมหารือแนวทางการดําเนินงานและสนับสนุน Startup ในการพัฒนาประเทศ เพื่อสร้างเป้าหมายภายในปี 2020 ณ สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยว่า " รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดําเนินธุรกิจ (Startup) หลายอย่างในอนาคตอาจจะต้องมีกฎหมายที่เข้ามารองรับกลุ่มธุรกิจ Startup ให้ชัดเจนซึ่งในปัจจุบัน สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สนช. ได้แบ่งธุรกิจ Startup ออกเป็น 9 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ ธุรกิจเกษตรและอาหาร , ธุรกิจการแพทย์และสาธารณสุข , ธุรกิจการเงินและการธนาคาร, ธุรกิจอุตสาหกรรมการศึกษา , ธุรกิจการท่องเที่ยว , ธุรกิจไลฟ์สไตล์ , ธุรกิจพาณิชยกรรมอิเล็กทรอนิกส์ , ธุรกิจภาครัฐ/การศึกษา และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อไม่ให้เกิดการสับสน ในการที่จะสนับสนุนธุรกิจ Startup แต่ละประเภท เช่น ด้านการเงิน ก็จะมีกองทุนสนับสนุนธุรกิจที่อยู่ในช่วงกําลังพัฒนาร่วมไปถึงในกลุ่มของนักศึกษาที่จะก่อเกิดธุรกิจ Startup ในจํานวนที่เพียงพอกับนักลงทุน เพื่อพัฒนาตลาด Startup ในประเทศไทย”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.อรรชกา พบปะ ประชาคมวิสาหกิจเริ่มต้น หารือผลักดันธุรกิจ Startup วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2560 ดร.อรรชกา พบปะ ประชาคมวิสาหกิจเริ่มต้น หารือผลักดันธุรกิจ Startup รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พบปะกับ ประชาคมวิสาหกิจเริ่มต้น(Startup) 22 มิถุนายน 2560 ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) พบปะกับ ประชาคมวิสาหกิจเริ่มต้น(Startup) นําโดย นายวัชระ เอมวัฒน์ นายกสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ , นายธนพงษ์ ณ ระนอง ผู้แทนสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน และนายราชิต ไชยรัตน์ คณะทํางานแก้ไขกฎหมาย ร่วมหารือแนวทางการดําเนินงานและสนับสนุน Startup ในการพัฒนาประเทศ เพื่อสร้างเป้าหมายภายในปี 2020 ณ สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยว่า " รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดําเนินธุรกิจ (Startup) หลายอย่างในอนาคตอาจจะต้องมีกฎหมายที่เข้ามารองรับกลุ่มธุรกิจ Startup ให้ชัดเจนซึ่งในปัจจุบัน สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สนช. ได้แบ่งธุรกิจ Startup ออกเป็น 9 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ ธุรกิจเกษตรและอาหาร , ธุรกิจการแพทย์และสาธารณสุข , ธุรกิจการเงินและการธนาคาร, ธุรกิจอุตสาหกรรมการศึกษา , ธุรกิจการท่องเที่ยว , ธุรกิจไลฟ์สไตล์ , ธุรกิจพาณิชยกรรมอิเล็กทรอนิกส์ , ธุรกิจภาครัฐ/การศึกษา และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อไม่ให้เกิดการสับสน ในการที่จะสนับสนุนธุรกิจ Startup แต่ละประเภท เช่น ด้านการเงิน ก็จะมีกองทุนสนับสนุนธุรกิจที่อยู่ในช่วงกําลังพัฒนาร่วมไปถึงในกลุ่มของนักศึกษาที่จะก่อเกิดธุรกิจ Startup ในจํานวนที่เพียงพอกับนักลงทุน เพื่อพัฒนาตลาด Startup ในประเทศไทย”
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4727
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดจุลพงษ์ฯ เป็นประธานพิธีมอบรางวัล CAR & BIKE OF THE YEAR 2020
วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563 รองปลัดจุลพงษ์ฯ เป็นประธานพิธีมอบรางวัล CAR & BIKE OF THE YEAR 2020 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีมอบรางวัล CAR & BIKE OF THE YEAR 2020 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคาร ชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี วันนี้ (5 มีนาคม 2563) นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล CAR & BIKE OF THE YEAR 2020 จัดโดย บริษัท กรังด์ปรีย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (มหาชน) ผู้จัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ โดยมี นายอโณทัย เอี่ยมลําเนา ประธานจัดงาน CAR & BIKE OF THE YEAR 2020 และนายปราจิน เอี่ยมลําเนา ประธานจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ให้การต้อนรับ ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคาร ชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี สําหรับ พิธีมอบรางวัล CAR & BIKE OF THE YEAR 2020 เป็นรางวัลที่มอบให้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง ที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกตามกฎกติกา และมาตรฐานจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ซึ่งการมอบรางวัลดังกล่าวในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และผลักดันให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการยกระดับความเป็นผู้นําด้านเทคโนโลยี และแสดงถึงศักยภาพความก้าวหน้าของการออกแบบและผลิตรถยนต์ในประเทศไทย และรถยนต์นําเข้าจากต่างประเทศ ทั้งนี้ รางวัลได้แบ่งออกเป็น ประเภทรถยนต์ จํานวน 86 รางวัล และประเภทรถจักรยานยนต์ จํานวน 31 รางวัล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดจุลพงษ์ฯ เป็นประธานพิธีมอบรางวัล CAR & BIKE OF THE YEAR 2020 วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม 2563 รองปลัดจุลพงษ์ฯ เป็นประธานพิธีมอบรางวัล CAR & BIKE OF THE YEAR 2020 นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีมอบรางวัล CAR & BIKE OF THE YEAR 2020 ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคาร ชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี วันนี้ (5 มีนาคม 2563) นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล CAR & BIKE OF THE YEAR 2020 จัดโดย บริษัท กรังด์ปรีย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด (มหาชน) ผู้จัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ โดยมี นายอโณทัย เอี่ยมลําเนา ประธานจัดงาน CAR & BIKE OF THE YEAR 2020 และนายปราจิน เอี่ยมลําเนา ประธานจัดงาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ให้การต้อนรับ ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคาร ชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี สําหรับ พิธีมอบรางวัล CAR & BIKE OF THE YEAR 2020 เป็นรางวัลที่มอบให้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง ที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกตามกฎกติกา และมาตรฐานจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ซึ่งการมอบรางวัลดังกล่าวในครั้งนี้ ถือเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และผลักดันให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการยกระดับความเป็นผู้นําด้านเทคโนโลยี และแสดงถึงศักยภาพความก้าวหน้าของการออกแบบและผลิตรถยนต์ในประเทศไทย และรถยนต์นําเข้าจากต่างประเทศ ทั้งนี้ รางวัลได้แบ่งออกเป็น ประเภทรถยนต์ จํานวน 86 รางวัล และประเภทรถจักรยานยนต์ จํานวน 31 รางวัล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26948
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เปิดงาน Exclusive Fashion Show EP. ไฮโซบ้านนาและเยี่ยมชมวิถีชุมชนหมู่บ้าน CIV ณ ออนใต้ฟาร์ม จ.เชียงใหม่
วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน 2561 รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เปิดงาน Exclusive Fashion Show EP. ไฮโซบ้านนาและเยี่ยมชมวิถีชุมชนหมู่บ้าน CIV ณ ออนใต้ฟาร์ม จ.เชียงใหม่ รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เปิดงาน Exclusive Fashion Show EP. ไฮโซบ้านนาและเยี่ยมชมวิถีชุมชนหมู่บ้าน CIV ณ ออนใต้ฟาร์ม จ.เชียงใหม่ วันนี้ (30 มิถุนายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Exclusive Fashion Show EP.ไฮโซบ้านนา โดยมีนายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาณุวัฒน์ ตริยางกูรศรี และ นายจารุพันธุ์ จารุโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอตุสาหกรรม นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ รองอธิบดีกรมอตุสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายณพพงศ์ ธีระวร คณะทํางานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเปิดงาน และมีนายสุรพล ปลื้มใจ ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมอตุสาหกรรมภาคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ และอุตสาหกรรมจังหวัดภาคเหนือ นายอําเภอสันกําแพง กํานันตําบลออนใต้ คุณฉัตรรุ่ง ประกอบไวทยกิจ เจ้าของออนใต้ฟาร์ม ให้การต้อนรับ ณ ออนใต้ฟาร์ม อําเภอสันกําแพง จังหวัดเชียงใหม่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผยหลังจากการเยี่ยมชมความเข้มแข็งของการท่องเที่ยววิถีชุมชน หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) ชุมชนออนใต้ ว่า ปีนี้ในพื้นที่ของชุมชนแต่ละชุมชนล้วนแล้วแต่มีคุณค่าไม่ว่าจะเป็นทางทรัพยากรทางธรรมชาติ หรือทางศิลปวัฒนธรรม หรือวิถีของความเป็นอยู่ ซึ่งเป็นการสืบทอดมรดกตั้งแต่บรรพชนสู่ลูกหลานสืบทอดกันมาอย่างสวยงามเสมือนมรดกอันทรงคุณค่าที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทําให้วันนี้รัฐบาลได้เห็นโอกาสที่จะสนับสนุนและหนุนส่งให้ชุมชนนั้นๆ ยังทรงคุณค่านั้นตลอดไปและยั่งยืนมั่นคงถาวร จึงได้ส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยววิถีชุมชน หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) ชุมชนออนใต้ขึ้นมา เพื่อที่จะส่งเสริมและสนับสนุนหรือส่งไม้ต่อจากรุ่นลูกสู่รุ่นหลาน โดยรัฐบาลได้กําหนดให้การท่องเที่ยววิถีชุมชน หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) เป็นตัวชี้วัดผลงาน โดยในแต่ละชมุชมที่จะยืนได้มีความสุขและสงบสุขได้อย่างมั่นคงชุมชน มีความสุข โดยวัดจากฐานความสุขของประชาชน กระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะที่เป็นเจ้าภาพหลักในการรณรงค์ส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยววิถีชุมชนหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) ได้เห็นการจัดงานที่ดีที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของภาคส่วนของชุมชนร่วมกับภาคเอกชน ถือเป็นความตั้งใจและ พยายามเพื่อที่จะพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็งและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานในครั้งนี้ ทุกหน่วยงานจะตระหนักถึงเรื่องการส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยววิถีชุมชน หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) และไปดําเนินงานในหน่วยงานของตนอย่างจริงจังและต่อเนื่องต่อไปรวมทั้งเยาวชนทั้งหลายที่จะรับไม้สืบต่อมรดกจากบรรพบุรุษต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เปิดงาน Exclusive Fashion Show EP. ไฮโซบ้านนาและเยี่ยมชมวิถีชุมชนหมู่บ้าน CIV ณ ออนใต้ฟาร์ม จ.เชียงใหม่ วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน 2561 รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เปิดงาน Exclusive Fashion Show EP. ไฮโซบ้านนาและเยี่ยมชมวิถีชุมชนหมู่บ้าน CIV ณ ออนใต้ฟาร์ม จ.เชียงใหม่ รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ เปิดงาน Exclusive Fashion Show EP. ไฮโซบ้านนาและเยี่ยมชมวิถีชุมชนหมู่บ้าน CIV ณ ออนใต้ฟาร์ม จ.เชียงใหม่ วันนี้ (30 มิถุนายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Exclusive Fashion Show EP.ไฮโซบ้านนา โดยมีนายพรเทพ การศัพท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภาณุวัฒน์ ตริยางกูรศรี และ นายจารุพันธุ์ จารุโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอตุสาหกรรม นายนิรันดร์ ยิ่งมหิศรานนท์ รองอธิบดีกรมอตุสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายณพพงศ์ ธีระวร คณะทํางานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเปิดงาน และมีนายสุรพล ปลื้มใจ ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมอตุสาหกรรมภาคที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ และอุตสาหกรรมจังหวัดภาคเหนือ นายอําเภอสันกําแพง กํานันตําบลออนใต้ คุณฉัตรรุ่ง ประกอบไวทยกิจ เจ้าของออนใต้ฟาร์ม ให้การต้อนรับ ณ ออนใต้ฟาร์ม อําเภอสันกําแพง จังหวัดเชียงใหม่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผยหลังจากการเยี่ยมชมความเข้มแข็งของการท่องเที่ยววิถีชุมชน หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) ชุมชนออนใต้ ว่า ปีนี้ในพื้นที่ของชุมชนแต่ละชุมชนล้วนแล้วแต่มีคุณค่าไม่ว่าจะเป็นทางทรัพยากรทางธรรมชาติ หรือทางศิลปวัฒนธรรม หรือวิถีของความเป็นอยู่ ซึ่งเป็นการสืบทอดมรดกตั้งแต่บรรพชนสู่ลูกหลานสืบทอดกันมาอย่างสวยงามเสมือนมรดกอันทรงคุณค่าที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ทําให้วันนี้รัฐบาลได้เห็นโอกาสที่จะสนับสนุนและหนุนส่งให้ชุมชนนั้นๆ ยังทรงคุณค่านั้นตลอดไปและยั่งยืนมั่นคงถาวร จึงได้ส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยววิถีชุมชน หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) ชุมชนออนใต้ขึ้นมา เพื่อที่จะส่งเสริมและสนับสนุนหรือส่งไม้ต่อจากรุ่นลูกสู่รุ่นหลาน โดยรัฐบาลได้กําหนดให้การท่องเที่ยววิถีชุมชน หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) เป็นตัวชี้วัดผลงาน โดยในแต่ละชมุชมที่จะยืนได้มีความสุขและสงบสุขได้อย่างมั่นคงชุมชน มีความสุข โดยวัดจากฐานความสุขของประชาชน กระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะที่เป็นเจ้าภาพหลักในการรณรงค์ส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยววิถีชุมชนหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) ได้เห็นการจัดงานที่ดีที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของภาคส่วนของชุมชนร่วมกับภาคเอกชน ถือเป็นความตั้งใจและ พยายามเพื่อที่จะพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็งและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดงานในครั้งนี้ ทุกหน่วยงานจะตระหนักถึงเรื่องการส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยววิถีชุมชน หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (CIV) และไปดําเนินงานในหน่วยงานของตนอย่างจริงจังและต่อเนื่องต่อไปรวมทั้งเยาวชนทั้งหลายที่จะรับไม้สืบต่อมรดกจากบรรพบุรุษต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13484
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นบข. เห็นชอบเพิ่มงบประมาณ ช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 61/62 จำนวน 5,068.73 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562 นบข. เห็นชอบเพิ่มงบประมาณ ช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 61/62 จํานวน 5,068.73 ล้านบาท นายกฯ ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/62 รับทราบราคาส่งออกข้าวไทยเกือบทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้นเดือน ม.ค.62 เห็นชอบเพิ่มงบประมาณช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว-ปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 61/62 จํานวน 5,068.73 ล้านบาท วันนี้ (11 ก.พ.62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 2/2562 โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังการประชุม นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุม นบข. ดังนี้ 1. นบข. รับทราบสถานการณ์ข้าวโลกข้าวไทย ปี 2561/2562 ประกอบด้วย 1.1 การผลิต บริโภค สต็อกข้าวโลก ปีการผลิต 61/62 คาดว่าผลผลิตข้าวโลกจะลดลง เป็น 491.14 ล้านตัน ลดลง 3.93 ล้านตันจากปี 60/61 ปัจจัยสําคัญมาจากชาวนาจีนทํางานในเมืองมากขึ้น ทําให้ปลูกข้าวลดลง และบางส่วนเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และอินเดียประสบภาวะพื้นที่เพาะปลูกช่วงฤดูหนาวลดลง ร้อยละ 21.5 เนื่องจากปริมาณน้ําฝนน้อย สําหรับการบริโภคข้าวโลกปี 62 จะมีปริมาณ 489.56 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6.74 ล้านตันจากปี 61 เนื่องจากแนวโน้มการบริโภคในประเทศหลักของโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น จีน อินเดีย และไนจีเรีย ด้านการค้าข้าวโลกปี 62 คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณทั้งหมด 48.31 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.10 ล้านตันจากปี 61 เนื่องจากผลผลิตข้าวในสหรัฐฯ และเวียดนามมีปริมาณเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ส่งออกได้เพิ่มขึ้น และไนจีเรียประสบปัญหาอุทกภัยต้องนําเข้าข้าวเพิ่มขึ้น สต็อกข้าวโลกปลายปี 62 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 163.25 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.57 ล้านตันจากปลายปี 61 เนื่องจากจีนมีสต็อกข้าวเก่ามากถึง 113 ล้านตัน หรือร้อยละ 70 ของสต็อกข้าวทั่วโลก 1.2 การส่งออกข้าวไทยเทียบกับประเทศผู้ส่งออกสําคัญ วันที่ 1-29 มกราคม 2562 ไทยส่งออกอันดับ 1 ของโลก ประมาณ 724,000 ตัน รองลงมา ได้แก่ อินเดีย 721,000 ตัน ปากีสถาน 397,000 ตัน เวียดนาม 252,000 ตัน และสหรัฐฯ 207,000 ตัน ภาพรวมการค้าข้าวโลกค่อนข้างซบเซา โดยไทยส่งออกลดลงเนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาททําให้ผู้ซื้อชะลอการสั่งซื้อลง ส่วนอินเดียส่งออกลดลงเนื่องจากความต้องการจากประเทศคู่ค้าลดลง ขณะที่เวียดนามส่งออกลดลง เนื่องจากจีน ฟิลิปปินส์นําเข้าน้อยลง อีกทั้งจีนยังกําหนดมาตรการนําเข้าข้าวที่เข้มงวด 1.3 ราคาข้าวไทยเทียบกับประเทศผู้ส่งออกสําคัญ เดือนมกราคม 2562 ราคาส่งออกข้าวไทยเกือบทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นและปริมาณข้าวหอมมะลิมีจํากัด ส่วนเวียดนาม ราคาส่งออกลดลงเนื่องจากข้าวฤดูใหม่ออกสู่ตลาดรวมทั้งความต้องการข้าวจากจีนลดลง และปากีสถานราคาส่งออกข้าวปรับตัวลดลงเนื่องจากอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าชะลอตัว สําหรับอินเดีย ราคาส่งออข้าวค่อนข้างทรงตัว 1.4 ปริมาณและมูลค่าการส่งออกข้าวคุณภาพสูง (Premium Rice) ปี 61 การส่งออกข้าวคุณภาพสูงของไทยประมาณ 1.27 ล้านตัน ลดจากปี 60 ร้อยละ 21.27 ขณะที่มูลค่าส่งออก 1,437 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 13.98 เนื่องจากราคาข้าวไทยเกือบทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 61 การส่งออกข้าวเคลือบวิตามิน ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ และข้าวกล้องดํา มีปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการของประเทศคู่ค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง 1.5 แนวโน้มสถานการณ์ตลาดข้าวไทย ปี 62 สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดว่าไทยจะส่งออกข้าวได้ 9.5 ล้านตัน ลดจากปี 61 ร้อยละ 14 เนื่องจากเงินบาทแข็งค่า ทําให้ข้าวไทยราคาสูงกว่าคู่แข็ง และจีนมีสต็อกข้าวมาก ระบายออกมาอย่างต่อเนื่องและบางส่วนส่งออกไปแอฟริกา ส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวไทยในแอฟริกา นอกจากนี้อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียมีแนวโน้มลดปริมาณการนําเข้า ปัจจัยบวก คือ อินเดีย ซึ่งเป็นคู่แข่งรายใหญ่ มีนโยบายรับซื้อข้าวในประเทศเพื่อเก็บสต็อก ส่งผลให้มีข้าวออกสู่ตลาดน้อยลง รวมทั้งการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับรัฐบาลจีนที่ยังต้องทยอยส่งมอบ นอกจากนี้ ปรากฏการณ์เอลนิโญ่อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวของประเทศผู้ผลิตข้าวรายสําคัญอย่างจีนและอินเดีย 2. สถานการณ์ข้าวไทย ปี 61/62 2.1 การเพาะปลูกข้าว ปี 61/62 รอบที่ 1 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กําหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว 58.21 ล้านไร่ ผลผลิต 25.33 ล้านตันข้าวเปลือก ปลูกแล้ว 59.21 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 101.72 เก็บเกี่ยวแล้ว 53.35 ล้านไร่ ผลผลิต 24.22 ล้านตันข้าวเปลือก รอบที่ 2 กระทรวงเกษตรฯ กําหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว 11.36 ล้านไร่ ผลผลิต 7.57 ล้านตันข้าวเปลือก ปลูกแล้ว 9.36 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 82.39 เก็บเกี่ยวแล้ว 0.14 ล้านไร่ สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรคาดการณ์ผลผลิตรอบที่ 2 จํานวน 7.86 ล้านตันข้าวเปลือก 2.2 ผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ปี 61/62 รอบที่ 1 ขึ้นทะเบียนแล้ว 4.30 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 107.51 ของเป้าหมายพื้นที่ 58.37 ล้านไร่ รอบที่ 2 ขึ้นทะเบียนแล้ว 0.20 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 68.56 ของเป้าหมายพื้นที่ 3.89 ล้านไร่ 2.3 สถานการณ์ด้านราคา ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยเนื่องจากปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับเกษตรกรบางส่วนเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก และความต้องการข้าวยังมีอยู่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเสนอราคารับซื้อเพิ่มขึ้น ข้าวเปลือกเจ้า 5% ราคาทรงตัว ข้าวเปลือกปทุมธานี 1 ราคาเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตลดลงประกอบกับมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มสถานการณ์ด้านราคาข้าว ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากความต้องการมีอย่างต่อเนื่อง ทําให้ผู้ประกอบการเสนอราคารับซื้อเพื่อจูงใจให้เกษตรกรนําเข้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการออกมาขาย ข้าวเปลือกปทุมธานี 1 ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกับข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียวและข้าวเปลือกเจ้า 5% ราคามีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย เนื่องจากผลผลิตนาปรังที่จะเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ประกอบกับผลผลิตของเวียดนามและกัมพูชากําลังออกสู่ตลาดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ในขณะที่ความต้องการรับซื้อเพื่อใช้ในประเทศหรือส่งมอบยังมีอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ นบข. เห็นชอบเพิ่มงบประมาณช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561/62 ตามที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เสนอ จํานวน 5,068.73 ล้านบาท ก่อนนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ เดิมทีได้มีการคํานวณว่าเกษตรกรที่จะมาขึ้นทะเบียนจะมีประมาณ 4 ล้านครัวเรือน ซึ่งเมื่อนับถึงวันที่ 28 มกราคม 2562 ปรากฏว่ามีเกษตรกรมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 4.29 ล้านครัวเรือน ทําให้งบประมาณที่คํานวณไว้มีไม่เพียงพอ ธ.ก.ส. จึงขอเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นราว 5,000 พันล้านบาท แต่ทั้งหมดนี้เป็นกรอบวงเงิน อาจจะไม่ใช่ตัวเลขนี้ ซึ่งจะมีการทําตัวเลขอีกครั้ง นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการดําเนินงานมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าวช่วงผลผลิตออกสู่ตลาด จํานวน 4 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561/62 ของ ธ.ก.ส. 1.1 โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2562 เกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 136,344 ราย ปริมาณข้าว 768,325.60 ล้านตัน จํานวนเงิน 8,544.63 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 38.42 ของเป้าหมาย 2 ล้านตัน 1.2 การช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ธ.ก.ส. ทยอยจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรแล้ว 4.082 ล้านราย จํานวนเงิน 56,208.18 ล้านบาท จากเป้าหมาย 4.057 ล้านราย วงเงิน 56,474.02 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 99.53 ของเป้าหมาย 2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2561/62 ธ.ก.ส. จ่ายเงินสินเชื่อให้แก่สถาบันเกษตรกรแล้ว 264 ราย สินเชื่อ 9,282.28 ล้านบาท ปริมาณข้าวเปลือก 1.031 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 51.55 ของเป้าหมาย 2 ล้านตัน 3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก 3.1 ผลการดําเนินการ ปีการผลิต 2561/62 ผู้เข้าร่วมโครงการรับซื้อข้าวเปลือกจํานวน 194 ราย เก็บสต็อกสูงสุด รวมเป็นข้าวเปลือกรับซื้อจากเกษตรกรเพื่อเก็บสต็อกทั้งสิ้นประมาณ 2.956 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 59.12 ของเป้าหมาย 5 ล้านตัน มูลค่าการตรวจสอบสต็อกสูงสุด จํานวน 40,412.02 ล้านบาท 4. โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ธ.ก.ส. ทยอยจ่ายเงินสินเชื่อให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร 4,847 ราย สินเชื่อ 528.83 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 48.47 ของเป้าหมาย 10,000 ราย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ยังกล่าวถึงสต็อกข้าวของรัฐบาลในปัจจุบันว่าคงเหลืออยู่น้อยแล้ว และยังมีเรื่องที่มีคดีความอยู่ ทําให้ไม่สามารถนําข้าวมาจําหน่ายได้อีกมาก ซึ่งกําลังสรุปตัวเลขกันอยู่ ที่เคยมีประเด็นว่ายังมีส่วนต่าง มีอะไร ที่คนไปบอกข้าวหาย ๆ นั้น ที่จริงแล้วข้าวไม่ได้หาย ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่มีหลายเรื่องมีหลายสาเหตุ เช่น มีข้าวติดคดีส่วนหนึ่ง และมีส่วนหนึ่งที่เป็นข้าวตั้งแต่โครงการสมัยรัฐบาลชุดก่อนที่ไปทําข้าวถุง ส่งไปโรงงานทําข้าวถุงแล้วไม่ได้คืนมา รวมทั้งมีข้าวกองล้ม จึงตรวจไม่ได้ แต่มีอยู่ในบัญชี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้ดําเนินการทางคดี โดยทุกอย่างต้องจบก่อนสิ้นสุดอายุความของแต่ละคดี ที่รวมแล้วมีอยู่เป็น 100 คดีให้ได้ ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นบข. เห็นชอบเพิ่มงบประมาณ ช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 61/62 จำนวน 5,068.73 ล้านบาท วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562 นบข. เห็นชอบเพิ่มงบประมาณ ช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 61/62 จํานวน 5,068.73 ล้านบาท นายกฯ ประชุม นบข.ครั้งที่ 2/62 รับทราบราคาส่งออกข้าวไทยเกือบทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้นเดือน ม.ค.62 เห็นชอบเพิ่มงบประมาณช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว-ปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 61/62 จํานวน 5,068.73 ล้านบาท วันนี้ (11 ก.พ.62) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 2/2562 โดยมี พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังการประชุม นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุม นบข. ดังนี้ 1. นบข. รับทราบสถานการณ์ข้าวโลกข้าวไทย ปี 2561/2562 ประกอบด้วย 1.1 การผลิต บริโภค สต็อกข้าวโลก ปีการผลิต 61/62 คาดว่าผลผลิตข้าวโลกจะลดลง เป็น 491.14 ล้านตัน ลดลง 3.93 ล้านตันจากปี 60/61 ปัจจัยสําคัญมาจากชาวนาจีนทํางานในเมืองมากขึ้น ทําให้ปลูกข้าวลดลง และบางส่วนเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และอินเดียประสบภาวะพื้นที่เพาะปลูกช่วงฤดูหนาวลดลง ร้อยละ 21.5 เนื่องจากปริมาณน้ําฝนน้อย สําหรับการบริโภคข้าวโลกปี 62 จะมีปริมาณ 489.56 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6.74 ล้านตันจากปี 61 เนื่องจากแนวโน้มการบริโภคในประเทศหลักของโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น จีน อินเดีย และไนจีเรีย ด้านการค้าข้าวโลกปี 62 คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณทั้งหมด 48.31 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.10 ล้านตันจากปี 61 เนื่องจากผลผลิตข้าวในสหรัฐฯ และเวียดนามมีปริมาณเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ส่งออกได้เพิ่มขึ้น และไนจีเรียประสบปัญหาอุทกภัยต้องนําเข้าข้าวเพิ่มขึ้น สต็อกข้าวโลกปลายปี 62 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 163.25 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 1.57 ล้านตันจากปลายปี 61 เนื่องจากจีนมีสต็อกข้าวเก่ามากถึง 113 ล้านตัน หรือร้อยละ 70 ของสต็อกข้าวทั่วโลก 1.2 การส่งออกข้าวไทยเทียบกับประเทศผู้ส่งออกสําคัญ วันที่ 1-29 มกราคม 2562 ไทยส่งออกอันดับ 1 ของโลก ประมาณ 724,000 ตัน รองลงมา ได้แก่ อินเดีย 721,000 ตัน ปากีสถาน 397,000 ตัน เวียดนาม 252,000 ตัน และสหรัฐฯ 207,000 ตัน ภาพรวมการค้าข้าวโลกค่อนข้างซบเซา โดยไทยส่งออกลดลงเนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาททําให้ผู้ซื้อชะลอการสั่งซื้อลง ส่วนอินเดียส่งออกลดลงเนื่องจากความต้องการจากประเทศคู่ค้าลดลง ขณะที่เวียดนามส่งออกลดลง เนื่องจากจีน ฟิลิปปินส์นําเข้าน้อยลง อีกทั้งจีนยังกําหนดมาตรการนําเข้าข้าวที่เข้มงวด 1.3 ราคาข้าวไทยเทียบกับประเทศผู้ส่งออกสําคัญ เดือนมกราคม 2562 ราคาส่งออกข้าวไทยเกือบทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นและปริมาณข้าวหอมมะลิมีจํากัด ส่วนเวียดนาม ราคาส่งออกลดลงเนื่องจากข้าวฤดูใหม่ออกสู่ตลาดรวมทั้งความต้องการข้าวจากจีนลดลง และปากีสถานราคาส่งออกข้าวปรับตัวลดลงเนื่องจากอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าชะลอตัว สําหรับอินเดีย ราคาส่งออข้าวค่อนข้างทรงตัว 1.4 ปริมาณและมูลค่าการส่งออกข้าวคุณภาพสูง (Premium Rice) ปี 61 การส่งออกข้าวคุณภาพสูงของไทยประมาณ 1.27 ล้านตัน ลดจากปี 60 ร้อยละ 21.27 ขณะที่มูลค่าส่งออก 1,437 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ร้อยละ 13.98 เนื่องจากราคาข้าวไทยเกือบทุกชนิดปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 61 การส่งออกข้าวเคลือบวิตามิน ข้าวกล้องหอมมะลิอินทรีย์ และข้าวกล้องดํา มีปริมาณและมูลค่าเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการของประเทศคู่ค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง 1.5 แนวโน้มสถานการณ์ตลาดข้าวไทย ปี 62 สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดว่าไทยจะส่งออกข้าวได้ 9.5 ล้านตัน ลดจากปี 61 ร้อยละ 14 เนื่องจากเงินบาทแข็งค่า ทําให้ข้าวไทยราคาสูงกว่าคู่แข็ง และจีนมีสต็อกข้าวมาก ระบายออกมาอย่างต่อเนื่องและบางส่วนส่งออกไปแอฟริกา ส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวไทยในแอฟริกา นอกจากนี้อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียมีแนวโน้มลดปริมาณการนําเข้า ปัจจัยบวก คือ อินเดีย ซึ่งเป็นคู่แข่งรายใหญ่ มีนโยบายรับซื้อข้าวในประเทศเพื่อเก็บสต็อก ส่งผลให้มีข้าวออกสู่ตลาดน้อยลง รวมทั้งการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับรัฐบาลจีนที่ยังต้องทยอยส่งมอบ นอกจากนี้ ปรากฏการณ์เอลนิโญ่อาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตข้าวของประเทศผู้ผลิตข้าวรายสําคัญอย่างจีนและอินเดีย 2. สถานการณ์ข้าวไทย ปี 61/62 2.1 การเพาะปลูกข้าว ปี 61/62 รอบที่ 1 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กําหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว 58.21 ล้านไร่ ผลผลิต 25.33 ล้านตันข้าวเปลือก ปลูกแล้ว 59.21 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 101.72 เก็บเกี่ยวแล้ว 53.35 ล้านไร่ ผลผลิต 24.22 ล้านตันข้าวเปลือก รอบที่ 2 กระทรวงเกษตรฯ กําหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว 11.36 ล้านไร่ ผลผลิต 7.57 ล้านตันข้าวเปลือก ปลูกแล้ว 9.36 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 82.39 เก็บเกี่ยวแล้ว 0.14 ล้านไร่ สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรคาดการณ์ผลผลิตรอบที่ 2 จํานวน 7.86 ล้านตันข้าวเปลือก 2.2 ผลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ปี 61/62 รอบที่ 1 ขึ้นทะเบียนแล้ว 4.30 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 107.51 ของเป้าหมายพื้นที่ 58.37 ล้านไร่ รอบที่ 2 ขึ้นทะเบียนแล้ว 0.20 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 68.56 ของเป้าหมายพื้นที่ 3.89 ล้านไร่ 2.3 สถานการณ์ด้านราคา ข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยเนื่องจากปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับเกษตรกรบางส่วนเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก และความต้องการข้าวยังมีอยู่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเสนอราคารับซื้อเพิ่มขึ้น ข้าวเปลือกเจ้า 5% ราคาทรงตัว ข้าวเปลือกปทุมธานี 1 ราคาเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตลดลงประกอบกับมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มสถานการณ์ด้านราคาข้าว ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องจากความต้องการมีอย่างต่อเนื่อง ทําให้ผู้ประกอบการเสนอราคารับซื้อเพื่อจูงใจให้เกษตรกรนําเข้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการออกมาขาย ข้าวเปลือกปทุมธานี 1 ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกับข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียวและข้าวเปลือกเจ้า 5% ราคามีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย เนื่องจากผลผลิตนาปรังที่จะเริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ประกอบกับผลผลิตของเวียดนามและกัมพูชากําลังออกสู่ตลาดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ในขณะที่ความต้องการรับซื้อเพื่อใช้ในประเทศหรือส่งมอบยังมีอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ นบข. เห็นชอบเพิ่มงบประมาณช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561/62 ตามที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เสนอ จํานวน 5,068.73 ล้านบาท ก่อนนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ เดิมทีได้มีการคํานวณว่าเกษตรกรที่จะมาขึ้นทะเบียนจะมีประมาณ 4 ล้านครัวเรือน ซึ่งเมื่อนับถึงวันที่ 28 มกราคม 2562 ปรากฏว่ามีเกษตรกรมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 4.29 ล้านครัวเรือน ทําให้งบประมาณที่คํานวณไว้มีไม่เพียงพอ ธ.ก.ส. จึงขอเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นราว 5,000 พันล้านบาท แต่ทั้งหมดนี้เป็นกรอบวงเงิน อาจจะไม่ใช่ตัวเลขนี้ ซึ่งจะมีการทําตัวเลขอีกครั้ง นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้าการดําเนินงานมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าวช่วงผลผลิตออกสู่ตลาด จํานวน 4 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561/62 ของ ธ.ก.ส. 1.1 โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2562 เกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 136,344 ราย ปริมาณข้าว 768,325.60 ล้านตัน จํานวนเงิน 8,544.63 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 38.42 ของเป้าหมาย 2 ล้านตัน 1.2 การช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ธ.ก.ส. ทยอยจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรแล้ว 4.082 ล้านราย จํานวนเงิน 56,208.18 ล้านบาท จากเป้าหมาย 4.057 ล้านราย วงเงิน 56,474.02 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 99.53 ของเป้าหมาย 2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2561/62 ธ.ก.ส. จ่ายเงินสินเชื่อให้แก่สถาบันเกษตรกรแล้ว 264 ราย สินเชื่อ 9,282.28 ล้านบาท ปริมาณข้าวเปลือก 1.031 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 51.55 ของเป้าหมาย 2 ล้านตัน 3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก 3.1 ผลการดําเนินการ ปีการผลิต 2561/62 ผู้เข้าร่วมโครงการรับซื้อข้าวเปลือกจํานวน 194 ราย เก็บสต็อกสูงสุด รวมเป็นข้าวเปลือกรับซื้อจากเกษตรกรเพื่อเก็บสต็อกทั้งสิ้นประมาณ 2.956 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 59.12 ของเป้าหมาย 5 ล้านตัน มูลค่าการตรวจสอบสต็อกสูงสุด จํานวน 40,412.02 ล้านบาท 4. โครงการสินเชื่อเพื่อสร้างยุ้งฉางให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ธ.ก.ส. ทยอยจ่ายเงินสินเชื่อให้แก่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร 4,847 ราย สินเชื่อ 528.83 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 48.47 ของเป้าหมาย 10,000 ราย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ยังกล่าวถึงสต็อกข้าวของรัฐบาลในปัจจุบันว่าคงเหลืออยู่น้อยแล้ว และยังมีเรื่องที่มีคดีความอยู่ ทําให้ไม่สามารถนําข้าวมาจําหน่ายได้อีกมาก ซึ่งกําลังสรุปตัวเลขกันอยู่ ที่เคยมีประเด็นว่ายังมีส่วนต่าง มีอะไร ที่คนไปบอกข้าวหาย ๆ นั้น ที่จริงแล้วข้าวไม่ได้หาย ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่มีหลายเรื่องมีหลายสาเหตุ เช่น มีข้าวติดคดีส่วนหนึ่ง และมีส่วนหนึ่งที่เป็นข้าวตั้งแต่โครงการสมัยรัฐบาลชุดก่อนที่ไปทําข้าวถุง ส่งไปโรงงานทําข้าวถุงแล้วไม่ได้คืนมา รวมทั้งมีข้าวกองล้ม จึงตรวจไม่ได้ แต่มีอยู่ในบัญชี ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้ดําเนินการทางคดี โดยทุกอย่างต้องจบก่อนสิ้นสุดอายุความของแต่ละคดี ที่รวมแล้วมีอยู่เป็น 100 คดีให้ได้ ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18693
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเห็นชอบยกเว้นค่าทางด่วนหมายเลข 7และ 9 ช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่อง
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 รัฐบาลเห็นชอบยกเว้นค่าทางด่วนหมายเลข 7และ 9 ช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่อง วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงกรุงเทพฯ - เมืองพัทยา และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี และ ตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางในช่วงวันหยุดยาว หลัง ครม. มีมติให้วันที่ 27 ก.ค. 63 เป็นวันหยุดชดเชยเทศกาลสงกรานต์ปี 2563 โดยจะมีผลตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 24 ก.ค. 63 จนถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 29 ก.ค. 63 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บเงิน ช่วยประหยัดพลังงาน และส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศอีกด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเห็นชอบยกเว้นค่าทางด่วนหมายเลข 7และ 9 ช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่อง วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 รัฐบาลเห็นชอบยกเว้นค่าทางด่วนหมายเลข 7และ 9 ช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่อง วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเห็นชอบยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงกรุงเทพฯ - เมืองพัทยา และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ (ถนนกาญจนาภิเษก) ตอนบางปะอิน – บางพลี และ ตอนพระประแดง – บางแค ช่วงพระประแดง – ต่างระดับบางขุนเทียน เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนที่เดินทางในช่วงวันหยุดยาว หลัง ครม. มีมติให้วันที่ 27 ก.ค. 63 เป็นวันหยุดชดเชยเทศกาลสงกรานต์ปี 2563 โดยจะมีผลตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันที่ 24 ก.ค. 63 จนถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 29 ก.ค. 63 ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บเงิน ช่วยประหยัดพลังงาน และส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศอีกด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33601
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อติดตามสถานการณ์ผลไม้
วันอังคารที่ 14 มีนาคม 2560 ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อติดตามสถานการณ์ผลไม้ นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สํานักงานพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี สํานักงานเกษตรจังหวัดจันทบุรีสภาเกษตรจังหวัดจันทบุรี หอการค้าจังหวัดจันทบุรี เครือข่ายธุรกิจบิสคลับจันทบุรี สหกรณ์การเกษตรท่าใหม่ จํากัด และเกษตรกรประมาณ 20คน ณ สหกรณ์การเกษตรท่าใหม่ จํากัด ตําบลเขาบายศรี อําเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เพื่อประเมินสถานการณ์ผลไม้ของจังหวัดจันทบุรีในฤดูการผลิต 2560/61 และเยี่ยมชมกิจการบริษัท วรรัตน์เฟรชฟรุ๊ต จํากัด (ล้งเจ้ทิพย์) เพื่อติดตามสถานการณ์การส่งออกทุเรียนของจังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อติดตามสถานการณ์ผลไม้ วันอังคารที่ 14 มีนาคม 2560 ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี เพื่อติดตามสถานการณ์ผลไม้ นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และคณะ ลงพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สํานักงานพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี สํานักงานเกษตรจังหวัดจันทบุรีสภาเกษตรจังหวัดจันทบุรี หอการค้าจังหวัดจันทบุรี เครือข่ายธุรกิจบิสคลับจันทบุรี สหกรณ์การเกษตรท่าใหม่ จํากัด และเกษตรกรประมาณ 20คน ณ สหกรณ์การเกษตรท่าใหม่ จํากัด ตําบลเขาบายศรี อําเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เพื่อประเมินสถานการณ์ผลไม้ของจังหวัดจันทบุรีในฤดูการผลิต 2560/61 และเยี่ยมชมกิจการบริษัท วรรัตน์เฟรชฟรุ๊ต จํากัด (ล้งเจ้ทิพย์) เพื่อติดตามสถานการณ์การส่งออกทุเรียนของจังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2379
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
วันเสาร์ที่ 18 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันนี้ (17 เม.ย. 2563 ) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้อํานวยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ดังนี้ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ วันนี้ ผมต้องการรายงานให้ทุกท่านทราบ ถึงงานที่ผมกําลังจะทํา และบทบาทสําคัญของพวกเราคนไทยทุกคน ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า ก่อนอื่น ผมขอถือโอกาสวันปีใหม่ไทยที่เพิ่งผ่านไป กล่าวสวัสดีวันปีใหม่ไทย กับคนไทยทั้งประเทศ ผมขอให้ทุกท่าน มีสุขภาพกาย สุขภาพใจ ที่สมบูรณ์แข็งแรง และผมหวังว่าทุกท่านจะมีความสุข ในวันสําคัญอีกวันของคนไทย นั่นคือวันครอบครัว ถึงแม้ว่าปีนี้ จะแตกต่างไปจากทุกปีที่ผ่านมา แต่ก็ยัง เป็นวันสงกรานต์ และวันครอบครัว ที่มีความหมาย เพราะเป็นช่วงเวลา ที่ทําให้เราได้เห็นว่า สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของเรา คือครอบครัว ไม่ว่าเราจะต้องเจอกับปัญหาใดๆ ก็ตาม คนที่อยู่เคียงข้างเรา ก็คือ พ่อ แม่ พี่น้อง และลูกหลานของเรา ปีนี้ ครอบครัวของพวกเรา ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มากกว่าเพียงแค่ญาติพี่น้อง ทางสายเลือด แต่ครอบครัวของเรา คือเป็นคนไทยทั้งประเทศ ที่อยู่รอบข้างเรา 70 ล้านคน ในช่วงวิกฤตนี้ มีแค่พวกเรากันเอง ในครอบครัวไทยเท่านั้น ที่จะพึ่งพากันได้ ที่จะช่วยกันบรรเทาความทุกข์ร้อน และความยากลําบากที่ทุกคนต้องเผชิญร่วมกัน อย่างเช่นคนแปลกหน้าที่ซื้ออาหาร มาแบ่งปันให้เราได้อิ่มท้อง แบ่งเบาภาระให้เราอยู่รอดต่อไปได้ นี่ คือหมายความของการเป็นครอบครัวเดียวกัน ปัจจุบัน ประเทศไทยของเรากําลังอยู่ในภาวะการณ์ที่ตึงเครียดที่สุดกําลังทําลายชีวิต และการดํารงชีวิตของคนไทย จํานวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อถ้ามองไปทั่วโลกเราก็เห็นได้ว่าวิกฤตโควิด ได้ก่อให้เกิดความเสียหายมากมาย โดยไม่สนใจว่าเป็นประเทศร่ํารวย ประเทศยากจน หรือประเทศมหาอํานาจ ปัจจุบันหลายประเทศ ทั้งในภูมิภาคตะวันตก ยุโรป และอื่นๆ รวมถึงประเทศที่มีการพัฒนาสูงสุด ก็มีผู้ติดเชื้อเป็นจํานวนมาก และมีจํานวนผู้เสียชีวิตเป็นหลักหมื่นโดยผู้เชี่ยวชาญยังคาดการณ์ว่าตัวเลขผู้เสียชีวิต อาจพุ่งสูงไปถึงหลักแสน ต่อไปในอนาคต ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ ไม่เพียงเกิดกับชีวิตของผู้คนเท่านั้น แต่ยังเสียหายไปถึงการทํางาน การค้าขาย และการทํามาหากิน ที่เกือบจะหยุดชะงักทั้งหมด นี่จึงเป็นภาวะวิกฤตครั้งใหญ่ ที่ทุกรัฐบาลจําเป็นต้องดึงศักยภาพที่ดีที่สุดออกมาให้ได้ ตอนนี้ งานที่ผมมุ่งเน้นเป็นสําคัญแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มงานหลัก กลุ่มงานแรก คือ งานที่เกี่ยวกับสุขภาพ หมายถึง สิ่งที่เราต้องทํา เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 และ เพื่อเพิ่มความสามารถ ในการรักษาผู้ติดเชื้อ กลุ่มงานที่ 2 คือ งานเกี่ยวกับ การช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ให้มีเงินเพียงพอต่อการดํารงชีวิต ผ่านมาตรการและความช่วยเหลือต่างๆ ซึ่งผมได้มอบหมายให้ กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการคิดและปฏิบัติมาตรการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ หน้าที่ของผม คือ การบัญชาการ และควบคุมการทํางานทั้งหมดของรัฐบาล แทนพี่น้องประชาชน ผมต้องเป็นผู้นํา ให้ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน ทําหน้าที่อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ผมทราบดีถึงความกังวล ของพี่น้องประชาชน เกี่ยวกับมาตรการเยียวยา 5,000 บาท และมาตรการอื่นๆ ของกระทรวงการคลัง ผมไม่ได้นิ่งนอนใจ วันนี้ ผมได้สั่งการ เรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้เกี่ยวข้อง ให้เข้ามาพบผม เพื่ออธิบายที่มาที่ไป และเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผมทราบ ว่าปัญหาเกิดจากอะไร และจะแก้ไขอย่างไร นอกจากเงิน 5,000 บาทแล้ว ช่วยไปติดตามงานของหลายกระทรวง มีมาตรการช่วยเหลือออกมาเกือบทุกกระทรวง ทุกกระทรวงช่วยเหลือเต็มที่ โดยภาครัฐจะเข้าไปดูแลกลุ่มเป้าหมาย นอกเหนือจาก 2 งานหลัก ที่ผมเพิ่งกล่าวไปแล้ว ผมขอพูดถึง อีกหนึ่งหน้าที่ ที่ผมถือว่าสําคัญที่สุด และเป็นหน้าที่ ที่คนไทยทุกคน จะต้องมีบทบาทร่วมกันกับผม หน้าที่สําคัญนี้ จะสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้น ได้มากกว่าที่ผ่านมาหลายเท่า เป็นหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับ วิธีการทํางานของเรา ถ้าเราต้องการจะเอาชนะสงครามกับไวรัสโควิด-19 ให้ได้ ซึ่งหน้าที่นี้ ต้องเริ่มจากการยอมรับความจริง เราต้องยอมรับจุดแข็ง จุดอ่อน และข้อจํากัดของตัวเอง เราต้องยอมรับว่า - ปัญหาความเสียหายที่เกิดจากไวรัสโควิด-19 จะแก้ไขได้ ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับภาคส่วนต่างๆ- และเราต้องยอมรับว่า รัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว คงไม่สามารถหาคําตอบให้กับทุกปัญหาได้ คนกลุ่มอื่น และภาคส่วนอื่นๆ ก็อาจจะมีคําตอบที่ดี และมีความคิดที่ดีได้ด้วยเช่นเดียวกัน วิกฤตโควิดครั้งนี้ ใหญ่และซับซ้อนมาก หน้าที่ของเราจึงต้องต่อสู้ไปด้วยกันแบบเป็นหนึ่งเดียวทั้งประเทศ เราทุกคน จะต้องเป็นทีมประเทศไทย ด้วยกัน เราจะต้องหา ความร่วมมือ ดึงทุกภาคส่วนของสังคม รวมถึงกลุ่มธุรกิจ ทุกกลุ่ม ทุกคนที่มีความรู้ความสามารถ และพร้อมที่จะช่วยเหลือประเทศ เราต้องการคนเก่ง ที่มีอยู่มากมายในประเทศของเรา ให้มาร่วมมือกัน นี่คือ ทีมประเทศไทย ไม่ว่าจะมาจากภาครัฐ จากมหาวิทยาลัย ศูนย์วิจัยต่างๆ มาจากภาคเอกชน กลุ่มมหาเศรษฐี หรือพี่น้องประชาชน ที่ยอมเสียสละตัวเอง เข้ามาร่วมกันต่อสู้ เหมือนกับที่ทําอยู่ทุกวันนี้ ร่วมกับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข และอาสาสมัครมากมายได้เสียสละตัวเองอย่างกล้าหาญ เผชิญความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อยู่ทุกวัน เพื่อช่วยรักษาชีวิตของผู้อื่น ผมทราบว่า หลายภาคส่วนในทีมประเทศไทย ได้เริ่มลงมือทําอะไรที่สําคัญ และมีประโยชน์ ไปแล้วหลายอย่าง แต่วันนี้ ผมต้องการเพิ่มความร่วมมือ กับท่านทั้งหลาย ให้มากยิ่งขึ้น โดยเริ่มที่ภาคเอกชนก่อน สิ่งที่ผมจะทําในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า ประการแรก คือ ผมจะออกจดหมายเปิดผนึก ถึงมหาเศรษฐีที่ร่ํารวยที่สุดในประเทศไทย 20 ท่าน ขอให้ท่านเหล่านั้นได้บอกผมว่า ในฐานะที่ท่านเป็นผู้อาวุโสของสังคม ท่านจะร่วมมือกันกับเราอย่างไร และท่านจะลงมือ ช่วยเหลือประเทศไทยของเรา ให้มากขึ้น ได้อย่างไรบ้าง มหาเศรษฐีของประเทศไทยทั้งหลาย ล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มบุคคล ที่ร่ํารวยที่สุดในโลก ผมขอให้ท่าน ได้มีบทบาทสําคัญ ในการร่วมกันช่วยเหลือประเทศ และร่วมเป็นทีมประเทศไทย ด้วยกันกับเรา ผมเข้าใจและซาบซึ้ง ที่หลายท่าน ได้ลงมือทําไปแล้วหลายเรื่อง แต่ผมต้องการให้ทุกท่าน ทําเพิ่มเติม มากกว่าที่ท่านได้ทําไป..ผมรู้ว่าทุกท่านต่างก็เต็มใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลา ที่ประเทศ ต้องการความช่วยเหลืออย่างมากที่สุด เพราะผมรู้ว่า ความเดือดร้อนของคนไทย ก็คือความเจ็บปวดของท่านด้วย ผมขอให้ทุกท่าน ได้แบ่งปันความสามารถ และความฉลาดหลักแหลมรวมทั้งมุมมองอันมีวิสัยทัศน์ของพวกท่านพร้อมกับใช้องค์กรที่มีศักยภาพสูงของท่าน มาช่วยกันจัดการกับวิกฤต ที่เรากําลังเผชิญอยู่ในวันนี้ นอกเหนือจากกลุ่มมหาเศรษฐีของประเทศไทย ผมยังอยากจะรับฟัง และใช้ความรู้ความสามารถ ของภาคเอกชนทั้งหมดอีกด้วย ดังนั้น สิ่งที่ผมจะทํา ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า ประการที่สอง คือ ผมจะไปพบกับสมาคมภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะขนาดกลาง หรือขนาดเล็ก เพื่อรับฟังพวกท่าน ด้วยตัวของผมเอง โดยตรง ไม่ต้องผ่านหน่วยงานใด เพื่อให้ผมจะได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่แท้จริง ผมต้องการเข้าถึงความรู้ขีดความสามารถ และความเชี่ยวชาญอันหลากหลายของภาคเอกชน นอกจากนี้ ผมต้องการรับฟังความความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ความต้องการ และความท้าทายที่ทุกคนกําลังเผชิญอยู่ ผมต้องการรับฟังว่า พวกท่านต้องการที่จะร่วมมีบทบาทในการแก้ปัญหาครั้งนี้อย่างไร รวมทั้งสิ่งที่ท่านได้ทําไปแล้ว และสิ่งที่ท่านจะช่วยกันทําต่อไป และที่สําคัญ ผมต้องการได้ยินความคิดเห็นของพวกท่าน ว่า มีจุดไหนบ้าง ที่รัฐบาลควรจะทํางาน ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมแน่นอนว่า เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของรัฐบาล ที่ต้องช่วยเหลือคนไทยทั้งประเทศ แต่เราสามารถขยายแรงกําลังในการช่วยเหลือ ให้ใหญ่ขึ้นได้ ด้วยการร่วมมือกับภาคเอกชน ที่มีทรัพยากรมาก มีวิธีการทํางาน และวิธีการเข้าถึงผู้เดือดร้อน ได้อย่างรวดเร็ว และคล่องตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากรัฐบาลจะเข้าไปช่วยอํานวยความสะดวกให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมมีความคิดเห็นที่หลากหลาย แม้กระทั่งในกลุ่ม ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้วยกันเอง ก็ยังมีมุมมองการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน ซึ่งผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ผมอยากจะรับฟังทุกท่าน เพื่อช่วยกันหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด ผมเชื่อว่า ความคิดเห็นของท่านทั้งหลาย แม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ล้วนเกิดจากความรักชาติ และความปรารถนาดีต่อประเทศทั้งสิ้น และเมื่อเราเลือกที่จะปฏิบัติทางใดทางหนึ่งแล้ว ขอให้ทุกคนร่วมมือกัน สนับสนุนเพื่อช่วยกันผลักดัน ให้เกิดความสําเร็จตามที่เราต้องการ ผมขอให้พวกเราทุกคน ทํางานร่วมกัน เป็นครอบครัวเดียวกันขอให้พวกเราใช้วิกฤตครั้งนี้ เป็นโอกาส ที่จะช่วยสร้างประเทศไทยของเรา ให้แข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้ง มีความเป็นปึกแผ่น และมีความเป็นหนึ่งเดียวกันของพี่น้องคนไทย ในช่วงเวลาที่ประเทศของเรา กําลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลําบาก ขอให้พวกเราทุกคน ได้ร่วมกันแสดงพลังของความเป็นไทยออกมาอีกครั้ง ให้โลกได้เห็นว่าพวกเราคนไทย ได้ร่วมมือช่วยเหลือกัน และต่อสู้ไปด้วยกัน โดยไม่มีสีเสื้อ และไม่มีฝัก มีฝ่ายทางการเมือง ในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะเห็นว่า เป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก และความเสียหายมากมาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง เราจะเห็นว่านี่คือช่วงเวลา ที่เราได้อะไรที่ยิ่งใหญ่กลับคืนมาด้วย นั่นคือ เราได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง ของคนไทยอีกครั้ง และเราได้ค้นพบ ความกลมเกลียว เป็นครอบครัวเดียวกัน ของพวกเราคนไทยทั้งประเทศ ผมมีความหวังแบบนั้นครับ และผมเชื่อว่า คนไทยทุกคนก็มีความหวังแบบนั้นเช่นกัน ผมขอให้ทุกคนมาร่วมมือกัน ทําให้ความหวังของพวกเราเป็นความจริง เราจะต้องชนะไปด้วยกัน ขอบคุณครับ .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันเสาร์ที่ 18 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันนี้ (17 เม.ย. 2563 ) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้อํานวยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ดังนี้ พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ วันนี้ ผมต้องการรายงานให้ทุกท่านทราบ ถึงงานที่ผมกําลังจะทํา และบทบาทสําคัญของพวกเราคนไทยทุกคน ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า ก่อนอื่น ผมขอถือโอกาสวันปีใหม่ไทยที่เพิ่งผ่านไป กล่าวสวัสดีวันปีใหม่ไทย กับคนไทยทั้งประเทศ ผมขอให้ทุกท่าน มีสุขภาพกาย สุขภาพใจ ที่สมบูรณ์แข็งแรง และผมหวังว่าทุกท่านจะมีความสุข ในวันสําคัญอีกวันของคนไทย นั่นคือวันครอบครัว ถึงแม้ว่าปีนี้ จะแตกต่างไปจากทุกปีที่ผ่านมา แต่ก็ยัง เป็นวันสงกรานต์ และวันครอบครัว ที่มีความหมาย เพราะเป็นช่วงเวลา ที่ทําให้เราได้เห็นว่า สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของเรา คือครอบครัว ไม่ว่าเราจะต้องเจอกับปัญหาใดๆ ก็ตาม คนที่อยู่เคียงข้างเรา ก็คือ พ่อ แม่ พี่น้อง และลูกหลานของเรา ปีนี้ ครอบครัวของพวกเรา ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มากกว่าเพียงแค่ญาติพี่น้อง ทางสายเลือด แต่ครอบครัวของเรา คือเป็นคนไทยทั้งประเทศ ที่อยู่รอบข้างเรา 70 ล้านคน ในช่วงวิกฤตนี้ มีแค่พวกเรากันเอง ในครอบครัวไทยเท่านั้น ที่จะพึ่งพากันได้ ที่จะช่วยกันบรรเทาความทุกข์ร้อน และความยากลําบากที่ทุกคนต้องเผชิญร่วมกัน อย่างเช่นคนแปลกหน้าที่ซื้ออาหาร มาแบ่งปันให้เราได้อิ่มท้อง แบ่งเบาภาระให้เราอยู่รอดต่อไปได้ นี่ คือหมายความของการเป็นครอบครัวเดียวกัน ปัจจุบัน ประเทศไทยของเรากําลังอยู่ในภาวะการณ์ที่ตึงเครียดที่สุดกําลังทําลายชีวิต และการดํารงชีวิตของคนไทย จํานวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อถ้ามองไปทั่วโลกเราก็เห็นได้ว่าวิกฤตโควิด ได้ก่อให้เกิดความเสียหายมากมาย โดยไม่สนใจว่าเป็นประเทศร่ํารวย ประเทศยากจน หรือประเทศมหาอํานาจ ปัจจุบันหลายประเทศ ทั้งในภูมิภาคตะวันตก ยุโรป และอื่นๆ รวมถึงประเทศที่มีการพัฒนาสูงสุด ก็มีผู้ติดเชื้อเป็นจํานวนมาก และมีจํานวนผู้เสียชีวิตเป็นหลักหมื่นโดยผู้เชี่ยวชาญยังคาดการณ์ว่าตัวเลขผู้เสียชีวิต อาจพุ่งสูงไปถึงหลักแสน ต่อไปในอนาคต ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ ไม่เพียงเกิดกับชีวิตของผู้คนเท่านั้น แต่ยังเสียหายไปถึงการทํางาน การค้าขาย และการทํามาหากิน ที่เกือบจะหยุดชะงักทั้งหมด นี่จึงเป็นภาวะวิกฤตครั้งใหญ่ ที่ทุกรัฐบาลจําเป็นต้องดึงศักยภาพที่ดีที่สุดออกมาให้ได้ ตอนนี้ งานที่ผมมุ่งเน้นเป็นสําคัญแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มงานหลัก กลุ่มงานแรก คือ งานที่เกี่ยวกับสุขภาพ หมายถึง สิ่งที่เราต้องทํา เพื่อลดการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 และ เพื่อเพิ่มความสามารถ ในการรักษาผู้ติดเชื้อ กลุ่มงานที่ 2 คือ งานเกี่ยวกับ การช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ให้มีเงินเพียงพอต่อการดํารงชีวิต ผ่านมาตรการและความช่วยเหลือต่างๆ ซึ่งผมได้มอบหมายให้ กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการคิดและปฏิบัติมาตรการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ หน้าที่ของผม คือ การบัญชาการ และควบคุมการทํางานทั้งหมดของรัฐบาล แทนพี่น้องประชาชน ผมต้องเป็นผู้นํา ให้ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน ทําหน้าที่อย่างถูกต้อง เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ผมทราบดีถึงความกังวล ของพี่น้องประชาชน เกี่ยวกับมาตรการเยียวยา 5,000 บาท และมาตรการอื่นๆ ของกระทรวงการคลัง ผมไม่ได้นิ่งนอนใจ วันนี้ ผมได้สั่งการ เรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้เกี่ยวข้อง ให้เข้ามาพบผม เพื่ออธิบายที่มาที่ไป และเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผมทราบ ว่าปัญหาเกิดจากอะไร และจะแก้ไขอย่างไร นอกจากเงิน 5,000 บาทแล้ว ช่วยไปติดตามงานของหลายกระทรวง มีมาตรการช่วยเหลือออกมาเกือบทุกกระทรวง ทุกกระทรวงช่วยเหลือเต็มที่ โดยภาครัฐจะเข้าไปดูแลกลุ่มเป้าหมาย นอกเหนือจาก 2 งานหลัก ที่ผมเพิ่งกล่าวไปแล้ว ผมขอพูดถึง อีกหนึ่งหน้าที่ ที่ผมถือว่าสําคัญที่สุด และเป็นหน้าที่ ที่คนไทยทุกคน จะต้องมีบทบาทร่วมกันกับผม หน้าที่สําคัญนี้ จะสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้น ได้มากกว่าที่ผ่านมาหลายเท่า เป็นหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับ วิธีการทํางานของเรา ถ้าเราต้องการจะเอาชนะสงครามกับไวรัสโควิด-19 ให้ได้ ซึ่งหน้าที่นี้ ต้องเริ่มจากการยอมรับความจริง เราต้องยอมรับจุดแข็ง จุดอ่อน และข้อจํากัดของตัวเอง เราต้องยอมรับว่า - ปัญหาความเสียหายที่เกิดจากไวรัสโควิด-19 จะแก้ไขได้ ด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับภาคส่วนต่างๆ- และเราต้องยอมรับว่า รัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว คงไม่สามารถหาคําตอบให้กับทุกปัญหาได้ คนกลุ่มอื่น และภาคส่วนอื่นๆ ก็อาจจะมีคําตอบที่ดี และมีความคิดที่ดีได้ด้วยเช่นเดียวกัน วิกฤตโควิดครั้งนี้ ใหญ่และซับซ้อนมาก หน้าที่ของเราจึงต้องต่อสู้ไปด้วยกันแบบเป็นหนึ่งเดียวทั้งประเทศ เราทุกคน จะต้องเป็นทีมประเทศไทย ด้วยกัน เราจะต้องหา ความร่วมมือ ดึงทุกภาคส่วนของสังคม รวมถึงกลุ่มธุรกิจ ทุกกลุ่ม ทุกคนที่มีความรู้ความสามารถ และพร้อมที่จะช่วยเหลือประเทศ เราต้องการคนเก่ง ที่มีอยู่มากมายในประเทศของเรา ให้มาร่วมมือกัน นี่คือ ทีมประเทศไทย ไม่ว่าจะมาจากภาครัฐ จากมหาวิทยาลัย ศูนย์วิจัยต่างๆ มาจากภาคเอกชน กลุ่มมหาเศรษฐี หรือพี่น้องประชาชน ที่ยอมเสียสละตัวเอง เข้ามาร่วมกันต่อสู้ เหมือนกับที่ทําอยู่ทุกวันนี้ ร่วมกับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข และอาสาสมัครมากมายได้เสียสละตัวเองอย่างกล้าหาญ เผชิญความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อยู่ทุกวัน เพื่อช่วยรักษาชีวิตของผู้อื่น ผมทราบว่า หลายภาคส่วนในทีมประเทศไทย ได้เริ่มลงมือทําอะไรที่สําคัญ และมีประโยชน์ ไปแล้วหลายอย่าง แต่วันนี้ ผมต้องการเพิ่มความร่วมมือ กับท่านทั้งหลาย ให้มากยิ่งขึ้น โดยเริ่มที่ภาคเอกชนก่อน สิ่งที่ผมจะทําในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า ประการแรก คือ ผมจะออกจดหมายเปิดผนึก ถึงมหาเศรษฐีที่ร่ํารวยที่สุดในประเทศไทย 20 ท่าน ขอให้ท่านเหล่านั้นได้บอกผมว่า ในฐานะที่ท่านเป็นผู้อาวุโสของสังคม ท่านจะร่วมมือกันกับเราอย่างไร และท่านจะลงมือ ช่วยเหลือประเทศไทยของเรา ให้มากขึ้น ได้อย่างไรบ้าง มหาเศรษฐีของประเทศไทยทั้งหลาย ล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มบุคคล ที่ร่ํารวยที่สุดในโลก ผมขอให้ท่าน ได้มีบทบาทสําคัญ ในการร่วมกันช่วยเหลือประเทศ และร่วมเป็นทีมประเทศไทย ด้วยกันกับเรา ผมเข้าใจและซาบซึ้ง ที่หลายท่าน ได้ลงมือทําไปแล้วหลายเรื่อง แต่ผมต้องการให้ทุกท่าน ทําเพิ่มเติม มากกว่าที่ท่านได้ทําไป..ผมรู้ว่าทุกท่านต่างก็เต็มใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลา ที่ประเทศ ต้องการความช่วยเหลืออย่างมากที่สุด เพราะผมรู้ว่า ความเดือดร้อนของคนไทย ก็คือความเจ็บปวดของท่านด้วย ผมขอให้ทุกท่าน ได้แบ่งปันความสามารถ และความฉลาดหลักแหลมรวมทั้งมุมมองอันมีวิสัยทัศน์ของพวกท่านพร้อมกับใช้องค์กรที่มีศักยภาพสูงของท่าน มาช่วยกันจัดการกับวิกฤต ที่เรากําลังเผชิญอยู่ในวันนี้ นอกเหนือจากกลุ่มมหาเศรษฐีของประเทศไทย ผมยังอยากจะรับฟัง และใช้ความรู้ความสามารถ ของภาคเอกชนทั้งหมดอีกด้วย ดังนั้น สิ่งที่ผมจะทํา ในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า ประการที่สอง คือ ผมจะไปพบกับสมาคมภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะขนาดกลาง หรือขนาดเล็ก เพื่อรับฟังพวกท่าน ด้วยตัวของผมเอง โดยตรง ไม่ต้องผ่านหน่วยงานใด เพื่อให้ผมจะได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่แท้จริง ผมต้องการเข้าถึงความรู้ขีดความสามารถ และความเชี่ยวชาญอันหลากหลายของภาคเอกชน นอกจากนี้ ผมต้องการรับฟังความความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ความต้องการ และความท้าทายที่ทุกคนกําลังเผชิญอยู่ ผมต้องการรับฟังว่า พวกท่านต้องการที่จะร่วมมีบทบาทในการแก้ปัญหาครั้งนี้อย่างไร รวมทั้งสิ่งที่ท่านได้ทําไปแล้ว และสิ่งที่ท่านจะช่วยกันทําต่อไป และที่สําคัญ ผมต้องการได้ยินความคิดเห็นของพวกท่าน ว่า มีจุดไหนบ้าง ที่รัฐบาลควรจะทํางาน ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมแน่นอนว่า เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของรัฐบาล ที่ต้องช่วยเหลือคนไทยทั้งประเทศ แต่เราสามารถขยายแรงกําลังในการช่วยเหลือ ให้ใหญ่ขึ้นได้ ด้วยการร่วมมือกับภาคเอกชน ที่มีทรัพยากรมาก มีวิธีการทํางาน และวิธีการเข้าถึงผู้เดือดร้อน ได้อย่างรวดเร็ว และคล่องตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากรัฐบาลจะเข้าไปช่วยอํานวยความสะดวกให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมมีความคิดเห็นที่หลากหลาย แม้กระทั่งในกลุ่ม ผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้วยกันเอง ก็ยังมีมุมมองการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน ซึ่งผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ผมอยากจะรับฟังทุกท่าน เพื่อช่วยกันหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด ผมเชื่อว่า ความคิดเห็นของท่านทั้งหลาย แม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ล้วนเกิดจากความรักชาติ และความปรารถนาดีต่อประเทศทั้งสิ้น และเมื่อเราเลือกที่จะปฏิบัติทางใดทางหนึ่งแล้ว ขอให้ทุกคนร่วมมือกัน สนับสนุนเพื่อช่วยกันผลักดัน ให้เกิดความสําเร็จตามที่เราต้องการ ผมขอให้พวกเราทุกคน ทํางานร่วมกัน เป็นครอบครัวเดียวกันขอให้พวกเราใช้วิกฤตครั้งนี้ เป็นโอกาส ที่จะช่วยสร้างประเทศไทยของเรา ให้แข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้ง มีความเป็นปึกแผ่น และมีความเป็นหนึ่งเดียวกันของพี่น้องคนไทย ในช่วงเวลาที่ประเทศของเรา กําลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลําบาก ขอให้พวกเราทุกคน ได้ร่วมกันแสดงพลังของความเป็นไทยออกมาอีกครั้ง ให้โลกได้เห็นว่าพวกเราคนไทย ได้ร่วมมือช่วยเหลือกัน และต่อสู้ไปด้วยกัน โดยไม่มีสีเสื้อ และไม่มีฝัก มีฝ่ายทางการเมือง ในอนาคต เมื่อมองย้อนกลับมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้จะเห็นว่า เป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยาก และความเสียหายมากมาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง เราจะเห็นว่านี่คือช่วงเวลา ที่เราได้อะไรที่ยิ่งใหญ่กลับคืนมาด้วย นั่นคือ เราได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริง ของคนไทยอีกครั้ง และเราได้ค้นพบ ความกลมเกลียว เป็นครอบครัวเดียวกัน ของพวกเราคนไทยทั้งประเทศ ผมมีความหวังแบบนั้นครับ และผมเชื่อว่า คนไทยทุกคนก็มีความหวังแบบนั้นเช่นกัน ผมขอให้ทุกคนมาร่วมมือกัน ทําให้ความหวังของพวกเราเป็นความจริง เราจะต้องชนะไปด้วยกัน ขอบคุณครับ .................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29301
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ กำหนดแผนการผลิตข้าว ปี 2561/62
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561 กระทรวงเกษตรฯ กําหนดแผนการผลิตข้าว ปี 2561/62 กระทรวงเกษตรฯ กําหนดแผนการผลิตข้าว ปี 2561/62 จํานวน 70.42 ล้านไร่ ผลผลิต 33.422 ล้านตันข้าวเปลือก ตามกรอบเป้าหมายความต้องการใช้ข้าว ภายใต้ตลาดนําการผลิต (Demand Driven) จํานวน 30.42 ล้านตันข้าวเปลือก นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร (ด้านการผลิต) ณ กรมการข้าว ว่า จากมติที่ประชุมคณะทํางานวางแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ที่มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ได้มีการเห็นชอบกรอบเป้าหมายความต้องการใช้ข้าว สําหรับการผลิต ปี 2561/62 ภายใต้ตลาดนําการผลิต (Demand Driven) จํานวน 30.42 ล้านตันข้าวเปลือก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าว จึงได้กําหนดแผนการผลิตข้าว ปี 2561/62 ตามความต้องการใช้ข้าวดังกล่าว จํานวน 70.42 ล้านไร่ ผลผลิต 33.422 ล้านตันข้าวเปลือก แบ่งเป็น รอบที่ 1 จํานวน 58.21 ล้านไร่ ผลผลิต 25.336 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 จํานวน 12.20 ล้านไร่ ผลผลิต 8.084 ล้านตันข้าวเปลือก นายลักษณ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบการกําหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2561/62 รอบที่ 1 จํานวน 58.21 ล้านไร่ แยกเป็น ข้าวหอมมะลิ 23.27 ล้านไร่ ข้าวหอมจังหวัด 2.82 ล้านไร่ ข้าวหอมไทย (ข้าวหอมปทุม) 1.03 ล้านไร่ ข้าวเจ้า 14.84 ล้านไร่ (ข้าวเจ้าพื้นนิ่ม 0.74 ล้านไร่ ข้าวเจ้าพื้นแข็ง 14.10 ล้านไร่) ข้าวเหนียว 15.78 ล้านไร่ ข้าว กข43 0.12 ล้านไร่ ข้าวอินทรีย์ 0.28 ล้านไร่ และข้าวสี 0.07 ล้านไร่ โดยได้มอบหมายกรมการข้าวจัดทําข้อมูลพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2561/62 รอบที่ 1 เป็นรายชนิดข้าวและรายอําเภอ เพื่อออกประกาศให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 30 เมษายน 2561 นี้ สําหรับผลการดําเนินงานภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีพื้นที่ปลูกข้าว รอบที่ 1 จํานวน 57.18 ล้านไร่ ผลผลิต 22.65 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 มีพื้นที่ปลูกข้าว (ณ วันที่ 18 เม.ย. 61) จํานวน 12.61 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 7.86 ล้านตันข้าวเปลือก ทั้งนี้ การตลาดข้าว ในปี 2560 ไทยสามารถส่งออกข้าวได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ปริมาณ 11.63 ล้านตัน และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 13 มีนาคม 2561 ประเทศไทยสามารถส่งออกข้าวได้เป็นอันดับ 2 ของโลก จํานวน 1.84 ล้านตัน รองจากประเทศอินเดีย อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2561 คาดว่าการค้าข้าวโลกมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากประเทศผู้นําเข้าหลายประเทศมีความต้องการนําเข้าข้าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มแอฟริกาและตะวันออกกลาง ประกอบกับผลผลิตข้าวของประเทศผู้นําเข้าข้าวสําคัญ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ มีไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทยจะสามารถส่งออกข้าวสู่ตลาดต่างประเทศต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ กำหนดแผนการผลิตข้าว ปี 2561/62 วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561 กระทรวงเกษตรฯ กําหนดแผนการผลิตข้าว ปี 2561/62 กระทรวงเกษตรฯ กําหนดแผนการผลิตข้าว ปี 2561/62 จํานวน 70.42 ล้านไร่ ผลผลิต 33.422 ล้านตันข้าวเปลือก ตามกรอบเป้าหมายความต้องการใช้ข้าว ภายใต้ตลาดนําการผลิต (Demand Driven) จํานวน 30.42 ล้านตันข้าวเปลือก นายลักษณ์ วจนานวัช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร (ด้านการผลิต) ณ กรมการข้าว ว่า จากมติที่ประชุมคณะทํางานวางแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ที่มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ได้มีการเห็นชอบกรอบเป้าหมายความต้องการใช้ข้าว สําหรับการผลิต ปี 2561/62 ภายใต้ตลาดนําการผลิต (Demand Driven) จํานวน 30.42 ล้านตันข้าวเปลือก กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าว จึงได้กําหนดแผนการผลิตข้าว ปี 2561/62 ตามความต้องการใช้ข้าวดังกล่าว จํานวน 70.42 ล้านไร่ ผลผลิต 33.422 ล้านตันข้าวเปลือก แบ่งเป็น รอบที่ 1 จํานวน 58.21 ล้านไร่ ผลผลิต 25.336 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 จํานวน 12.20 ล้านไร่ ผลผลิต 8.084 ล้านตันข้าวเปลือก นายลักษณ์ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบการกําหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2561/62 รอบที่ 1 จํานวน 58.21 ล้านไร่ แยกเป็น ข้าวหอมมะลิ 23.27 ล้านไร่ ข้าวหอมจังหวัด 2.82 ล้านไร่ ข้าวหอมไทย (ข้าวหอมปทุม) 1.03 ล้านไร่ ข้าวเจ้า 14.84 ล้านไร่ (ข้าวเจ้าพื้นนิ่ม 0.74 ล้านไร่ ข้าวเจ้าพื้นแข็ง 14.10 ล้านไร่) ข้าวเหนียว 15.78 ล้านไร่ ข้าว กข43 0.12 ล้านไร่ ข้าวอินทรีย์ 0.28 ล้านไร่ และข้าวสี 0.07 ล้านไร่ โดยได้มอบหมายกรมการข้าวจัดทําข้อมูลพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปี 2561/62 รอบที่ 1 เป็นรายชนิดข้าวและรายอําเภอ เพื่อออกประกาศให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 30 เมษายน 2561 นี้ สําหรับผลการดําเนินงานภายใต้แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปี 2560/61 ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีพื้นที่ปลูกข้าว รอบที่ 1 จํานวน 57.18 ล้านไร่ ผลผลิต 22.65 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 มีพื้นที่ปลูกข้าว (ณ วันที่ 18 เม.ย. 61) จํานวน 12.61 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 7.86 ล้านตันข้าวเปลือก ทั้งนี้ การตลาดข้าว ในปี 2560 ไทยสามารถส่งออกข้าวได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ปริมาณ 11.63 ล้านตัน และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 13 มีนาคม 2561 ประเทศไทยสามารถส่งออกข้าวได้เป็นอันดับ 2 ของโลก จํานวน 1.84 ล้านตัน รองจากประเทศอินเดีย อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2561 คาดว่าการค้าข้าวโลกมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากประเทศผู้นําเข้าหลายประเทศมีความต้องการนําเข้าข้าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มแอฟริกาและตะวันออกกลาง ประกอบกับผลผลิตข้าวของประเทศผู้นําเข้าข้าวสําคัญ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ มีไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทยจะสามารถส่งออกข้าวสู่ตลาดต่างประเทศต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11680
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อุตตม”ย้ำสิทธิประโยชน์การลงทุนใน EEC ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขปัดข่าวเช่าพื้นที่ได้ 99 ปี เชื่อเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
วันพุธที่ 19 เมษายน 2560 “อุตตม”ย้ําสิทธิประโยชน์การลงทุนใน EEC ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขปัดข่าวเช่าพื้นที่ได้ 99 ปี เชื่อเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ย้ําสิทธิประโยชน์การลงทุนใน EEC ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขปัดข่าวเช่าพื้นที่ได้ 99 ปี เชื่อเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยกรณีมีข่าวว่านักลงทุนต่างชาติสามารถเช่าพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก( Eastern Economic Corridor Development หรือ EEC) เป็นเวลา 99 ปี ว่า น่าจะเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากการให้สิทธิประโยชน์กับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกกําหนด ประกอบด้วย 1.ต้องเป็นพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก 3 จังหวัด (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง) 2.ต้องเป็นโครงการที่สนับสนุน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ 3.ทุกโครงการต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ เช่น ประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ ผลกระทบที่เกิดกับชุมชน และการแนวทางการเยียวยา และ 4.ก่อนการอนุมัติโครงการต้องมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมถึงมีการเปิดเผยผลการศึกษา และร่างผังของเขตส่งเสริมที่จะขอรับการสนับสนุน “ผมขอเรียนชี้แจงถึงกําหนดระยะเวลาในการใช้สิทธิประโยชน์ของการเช่าที่ดินในเขตพื้นที่ EEC ไม่ใช่ 99 ปี แต่สัญญาครั้งแรกไม่เกิน 50 ปี และขยายตัวได้ตามความตกลงอีกไม่เกิน 49 ปี เหมือนกับเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และเป็นไปตามกฎหมายที่ปฏิบัติในปัจจุบัน ซึ่งการให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวเป็นไปตาม พ.ร.บ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์และการพาณิชย์ พ.ศ.2542 ซึ่งการให้สิทธิการเช่าที่ดินในระยะยาวเป็นสิ่งที่หลายประเทศได้ดําเนินการเป็นปกติ 50 ปี สามารถขยายได้ 49 ปี เช่น ประเทศมาเลเซียให้เช่าที่ดินได้ 60 ปี ขยายรวมได้ไม่เกิน 99 ปี แต่ทั้งนี้ การให้ระยะเวลานานเท่าใดขึ้นอยู่กับแต่ละผลการศึกษาของแต่ละโครงการควรจะได้เท่าใดจึงจะเหมาะสม” นายอุตตม กล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวยืนยันด้วยว่า “รัฐบาลตระหนักดีว่าต้องดูแลในเรื่องของสิทธิประโยชน์ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และจะไม่มีการต่ออายุการเช่าที่ดินโดยอัตโนมัติหลังหมดระยะเวลาการเช่าที่ดินครั้งแรก ทุกโครงการจะต้องทําการศึกษาและตรงตามเงื่อนไขที่ทางคณะกรรมการบริหาร EEC กําหนด เช่น จํานวนเงินลงทุน การจ้างงาน และสร้างประโยชน์ให้กับโครงการอย่างไร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อุตตม”ย้ำสิทธิประโยชน์การลงทุนใน EEC ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขปัดข่าวเช่าพื้นที่ได้ 99 ปี เชื่อเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน วันพุธที่ 19 เมษายน 2560 “อุตตม”ย้ําสิทธิประโยชน์การลงทุนใน EEC ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขปัดข่าวเช่าพื้นที่ได้ 99 ปี เชื่อเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ย้ําสิทธิประโยชน์การลงทุนใน EEC ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขปัดข่าวเช่าพื้นที่ได้ 99 ปี เชื่อเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยกรณีมีข่าวว่านักลงทุนต่างชาติสามารถเช่าพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก( Eastern Economic Corridor Development หรือ EEC) เป็นเวลา 99 ปี ว่า น่าจะเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากการให้สิทธิประโยชน์กับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการนโยบายพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกกําหนด ประกอบด้วย 1.ต้องเป็นพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก 3 จังหวัด (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง) 2.ต้องเป็นโครงการที่สนับสนุน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ 3.ทุกโครงการต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ เช่น ประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการ ผลกระทบที่เกิดกับชุมชน และการแนวทางการเยียวยา และ 4.ก่อนการอนุมัติโครงการต้องมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมถึงมีการเปิดเผยผลการศึกษา และร่างผังของเขตส่งเสริมที่จะขอรับการสนับสนุน “ผมขอเรียนชี้แจงถึงกําหนดระยะเวลาในการใช้สิทธิประโยชน์ของการเช่าที่ดินในเขตพื้นที่ EEC ไม่ใช่ 99 ปี แต่สัญญาครั้งแรกไม่เกิน 50 ปี และขยายตัวได้ตามความตกลงอีกไม่เกิน 49 ปี เหมือนกับเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และเป็นไปตามกฎหมายที่ปฏิบัติในปัจจุบัน ซึ่งการให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวเป็นไปตาม พ.ร.บ.การเช่าอสังหาริมทรัพย์และการพาณิชย์ พ.ศ.2542 ซึ่งการให้สิทธิการเช่าที่ดินในระยะยาวเป็นสิ่งที่หลายประเทศได้ดําเนินการเป็นปกติ 50 ปี สามารถขยายได้ 49 ปี เช่น ประเทศมาเลเซียให้เช่าที่ดินได้ 60 ปี ขยายรวมได้ไม่เกิน 99 ปี แต่ทั้งนี้ การให้ระยะเวลานานเท่าใดขึ้นอยู่กับแต่ละผลการศึกษาของแต่ละโครงการควรจะได้เท่าใดจึงจะเหมาะสม” นายอุตตม กล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวยืนยันด้วยว่า “รัฐบาลตระหนักดีว่าต้องดูแลในเรื่องของสิทธิประโยชน์ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และจะไม่มีการต่ออายุการเช่าที่ดินโดยอัตโนมัติหลังหมดระยะเวลาการเช่าที่ดินครั้งแรก ทุกโครงการจะต้องทําการศึกษาและตรงตามเงื่อนไขที่ทางคณะกรรมการบริหาร EEC กําหนด เช่น จํานวนเงินลงทุน การจ้างงาน และสร้างประโยชน์ให้กับโครงการอย่างไร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3137
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วม แม่โจ้ หนุนการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสู่การพัฒนาภาคเกษตร
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 ธ.ก.ส. ร่วม แม่โจ้ หนุนการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสู่การพัฒนาภาคเกษตร ธ.ก.ส. จับมือ ม.แม่โจ้ ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแก่ทั้งบุคลากรของ ธ.ก.ส และ ม.แม่โจ้ ตลอดจนเกษตรกรลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมร่วมจัดทําหน่วยการเรียน (Module) สําหรับเป็นเครื่องมือการจัดการเรียน ธ.ก.ส. จับมือ ม.แม่โจ้ ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแก่ทั้งบุคลากรของ ธ.ก.ส และ ม.แม่โจ้ ตลอดจนเกษตรกรลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมร่วมจัดทําหน่วยการเรียน (Module) สําหรับเป็นเครื่องมือการจัดการเรียน การสอน รองรับนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้านระบบคลังเครดิต (Credit bank) ต่อยอดสู่การยกระดับภาคเกษตรของประเทศ วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) ณ ห้องประชุมเบญจมาศ แม่โจ้กอล์ฟคลับ & รีสอร์ท อําเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ “ความร่วมมือทางวิชาการการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต” ระหว่าง รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กับ นายภานิต ภัทรสาริน ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อร่วมกันจัดการเรียนการสอนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับบุคลากรของทั้งสองหน่วยงานตลอดจนนักศึกษาและเกษตรกรลูกค้าให้ได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติงานจริง นายภานิต ภัทรสาริน ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ ธ.ก.ส. จะร่วมดําเนินโครงการงานวิจัยหรืองานบริการวิชาการกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ อีกทั้งสนับสนุนบุคลากรในด้านวิชาการและดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์การทํางานในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องแก่นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัย สนับสนุนการรับนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้เข้าร่วมกิจกรรมฝึกประสบการณ์ทางวิชาชีพ (สหกิจศึกษา) เพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์ทํางานก่อนสําเร็จการศึกษา นอกจากนี้ยังสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากรของ ธ.ก.ส. เกษตรกรลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เข้าร่วมการฝึกอบรมและการเรียนการสอนในลักษณะการจัดแบบหน่วยการเรียน (Module) เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการให้ความรู้แก่บุคลากรของธนาคารจะทําให้สามารถนําความรู้เหล่านั้นไปต่อยอดสู่การยกระดับภาคเกษตรของประเทศต่อไป รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยจะร่วมให้บริการวิชาการด้านต่าง ๆ ตลอดจนการวิจัยทางด้านการเกษตร และเข้าร่วมโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้การดําเนินงานของ ธ.ก.ส. อีกทั้งให้การสนับสนุนบุคลากรด้านวิชาการในการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยี และดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์การทํางานในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องแก่บุคลากรและเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ รวมถึงการร่วมกันจัดทําหน่วยการเรียน (Module) กับมหาวิทยาลัย สําหรับเป็นเครื่องมือการจัดการเรียน การสอน เพื่อการรองรับนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้านระบบคลังเครดิต (Credit bank) และการเทียบโอนประสบการณ์/หลักสูตร Non-degree ของมหาวิทยาลัย ตลอดจนการสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยเข้าร่วมการฝึกอบรมและการเรียนการสอน ในลักษณะการจัดแบบหน่วยการเรียน (Module) เพื่อเกิดการพัฒนาตนเอง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. ร่วม แม่โจ้ หนุนการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสู่การพัฒนาภาคเกษตร วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563 ธ.ก.ส. ร่วม แม่โจ้ หนุนการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสู่การพัฒนาภาคเกษตร ธ.ก.ส. จับมือ ม.แม่โจ้ ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแก่ทั้งบุคลากรของ ธ.ก.ส และ ม.แม่โจ้ ตลอดจนเกษตรกรลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมร่วมจัดทําหน่วยการเรียน (Module) สําหรับเป็นเครื่องมือการจัดการเรียน ธ.ก.ส. จับมือ ม.แม่โจ้ ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแก่ทั้งบุคลากรของ ธ.ก.ส และ ม.แม่โจ้ ตลอดจนเกษตรกรลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมร่วมจัดทําหน่วยการเรียน (Module) สําหรับเป็นเครื่องมือการจัดการเรียน การสอน รองรับนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้านระบบคลังเครดิต (Credit bank) ต่อยอดสู่การยกระดับภาคเกษตรของประเทศ วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) ณ ห้องประชุมเบญจมาศ แม่โจ้กอล์ฟคลับ & รีสอร์ท อําเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ “ความร่วมมือทางวิชาการการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต” ระหว่าง รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กับ นายภานิต ภัทรสาริน ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อร่วมกันจัดการเรียนการสอนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับบุคลากรของทั้งสองหน่วยงานตลอดจนนักศึกษาและเกษตรกรลูกค้าให้ได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติงานจริง นายภานิต ภัทรสาริน ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ ธ.ก.ส. จะร่วมดําเนินโครงการงานวิจัยหรืองานบริการวิชาการกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ อีกทั้งสนับสนุนบุคลากรในด้านวิชาการและดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์การทํางานในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องแก่นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัย สนับสนุนการรับนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้เข้าร่วมกิจกรรมฝึกประสบการณ์ทางวิชาชีพ (สหกิจศึกษา) เพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์ทํางานก่อนสําเร็จการศึกษา นอกจากนี้ยังสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากรของ ธ.ก.ส. เกษตรกรลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เข้าร่วมการฝึกอบรมและการเรียนการสอนในลักษณะการจัดแบบหน่วยการเรียน (Module) เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการให้ความรู้แก่บุคลากรของธนาคารจะทําให้สามารถนําความรู้เหล่านั้นไปต่อยอดสู่การยกระดับภาคเกษตรของประเทศต่อไป รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยจะร่วมให้บริการวิชาการด้านต่าง ๆ ตลอดจนการวิจัยทางด้านการเกษตร และเข้าร่วมโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้การดําเนินงานของ ธ.ก.ส. อีกทั้งให้การสนับสนุนบุคลากรด้านวิชาการในการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยี และดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์การทํางานในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องแก่บุคลากรและเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ รวมถึงการร่วมกันจัดทําหน่วยการเรียน (Module) กับมหาวิทยาลัย สําหรับเป็นเครื่องมือการจัดการเรียน การสอน เพื่อการรองรับนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้านระบบคลังเครดิต (Credit bank) และการเทียบโอนประสบการณ์/หลักสูตร Non-degree ของมหาวิทยาลัย ตลอดจนการสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยเข้าร่วมการฝึกอบรมและการเรียนการสอน ในลักษณะการจัดแบบหน่วยการเรียน (Module) เพื่อเกิดการพัฒนาตนเอง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32256
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เร่งพัฒนา 5 โรงพยาบาล “ชัยพัฒน์” จ.พังงา
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560 ปลัด สธ. เร่งพัฒนา 5 โรงพยาบาล “ชัยพัฒน์” จ.พังงา ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เร่งพัฒนา 5 โรงพยาบาลที่ได้รับพระราชทานนาม “ชัยพัฒน์” จังหวัดพังงา ให้ประชาชนได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ รองรับการท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน วันนี้ (20 ตุลาคม 2560) ที่จังหวัดพังงา นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและคณะ ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลกะปงชัยพัฒน์ และโรงพยาบาลท้ายเหมืองชัยพัฒน์ จ.พังงา และให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาล “ชัยพัฒน์” เป็นโรงพยาบาลชุมชนในพื้นที่พิเศษและพื้นที่เกาะ ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชานุมัติงบประมาณมูลนิธิชัยพัฒนาในการปรับปรุงโรงพยาบาลที่มีสภาพทรุดโทรม และได้รับความเสียหายจากภัยสึนามิ รวม 5 แห่ง โดยทรงเสด็จพระราชดําเนินมาทรงเปิด พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า “โรงพยาบาลคุระบุรีชัยพัฒน์” “โรงพยาบาลเกาะยาวชัยพัฒน์” “โรงพยาบาลกะปงชัยพัฒน์” “โรงพยาบาลท้ายเหมืองชัยพัฒน์” และ “โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทุ่งรักชัยพัฒน์” “จากการตรวจเยี่ยมพบว่า โรงพยาบาลได้ปรับปรุง ทั้งด้านภูมิทัศน์ ความสะอาดของอาคารบริการ รวมทั้งพื้นที่โดยรอบ ในส่วนอาคารที่ชํารุดเช่น ฝ้าเพดาน สีหลุดลอก ได้ให้ช่างจากกองแบบแผน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ประเมินพร้อมวางแผนปรับปรุง โดยส่วนที่ซ่อมแซมได้เช่น การเปลี่ยนฝ้าเพดาน การทาสี จะใช้งบเหลือจ่ายดําเนินการไปก่อน ส่วนที่ต้องก่อสร้างเพิ่มเติมได้เตรียมขอรับการสนับสนุนจากงบรัฐบาลต่อไป เพื่อให้เป็นโรงพยาบาลของประชาชนที่มีบริการเป็นเลิศ อาคารสถานที่สะอาดสง่างาม สมพระเกียรติที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” นายแพทย์เจษฎากล่าว ทั้งนี้ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดพังงาได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนพัฒนาโรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลในมูลนิธิชัยพัฒนาทั้ง 5 แห่ง เน้นการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิให้เข้มแข็ง ด้วย 4 ประเด็นยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1. การส่งเสริมแรงบันดาลใจ เจ้าหน้าที่ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาล/โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล : “ชัยพัฒน์” (inspiration) 2. การพัฒนาอาคาร สถานที่ เพื่อสื่อสารให้ รับรู้ถึงการเป็น : “ชัยพัฒน์” (Theme) 3. การพัฒนาคน ทุน และกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพบุคลากร : “ชัยพัฒน์” (Human) 4. การพัฒนามาตรฐานระบบบริการสุขภาพประชาชนด้วยหัวใจ : “ชัยพัฒน์” (Standard Service) ตั้งเป้าในปีงบประมาณ 2561 จะพัฒนาคุณภาพการบริการโรงพยาบาลทั้ง 5 แห่ง ให้มีประสิทธิภาพในดูแลสุขภาพประชาชนในชุมชนให้ดียิ่งขึ้น รองรับการท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน ตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตุลาคม3/3 ******************************** 20 ตุลาคม 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เร่งพัฒนา 5 โรงพยาบาล “ชัยพัฒน์” จ.พังงา วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560 ปลัด สธ. เร่งพัฒนา 5 โรงพยาบาล “ชัยพัฒน์” จ.พังงา ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เร่งพัฒนา 5 โรงพยาบาลที่ได้รับพระราชทานนาม “ชัยพัฒน์” จังหวัดพังงา ให้ประชาชนได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ รองรับการท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน วันนี้ (20 ตุลาคม 2560) ที่จังหวัดพังงา นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและคณะ ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลกะปงชัยพัฒน์ และโรงพยาบาลท้ายเหมืองชัยพัฒน์ จ.พังงา และให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาล “ชัยพัฒน์” เป็นโรงพยาบาลชุมชนในพื้นที่พิเศษและพื้นที่เกาะ ที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชานุมัติงบประมาณมูลนิธิชัยพัฒนาในการปรับปรุงโรงพยาบาลที่มีสภาพทรุดโทรม และได้รับความเสียหายจากภัยสึนามิ รวม 5 แห่ง โดยทรงเสด็จพระราชดําเนินมาทรงเปิด พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า “โรงพยาบาลคุระบุรีชัยพัฒน์” “โรงพยาบาลเกาะยาวชัยพัฒน์” “โรงพยาบาลกะปงชัยพัฒน์” “โรงพยาบาลท้ายเหมืองชัยพัฒน์” และ “โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทุ่งรักชัยพัฒน์” “จากการตรวจเยี่ยมพบว่า โรงพยาบาลได้ปรับปรุง ทั้งด้านภูมิทัศน์ ความสะอาดของอาคารบริการ รวมทั้งพื้นที่โดยรอบ ในส่วนอาคารที่ชํารุดเช่น ฝ้าเพดาน สีหลุดลอก ได้ให้ช่างจากกองแบบแผน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ประเมินพร้อมวางแผนปรับปรุง โดยส่วนที่ซ่อมแซมได้เช่น การเปลี่ยนฝ้าเพดาน การทาสี จะใช้งบเหลือจ่ายดําเนินการไปก่อน ส่วนที่ต้องก่อสร้างเพิ่มเติมได้เตรียมขอรับการสนับสนุนจากงบรัฐบาลต่อไป เพื่อให้เป็นโรงพยาบาลของประชาชนที่มีบริการเป็นเลิศ อาคารสถานที่สะอาดสง่างาม สมพระเกียรติที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” นายแพทย์เจษฎากล่าว ทั้งนี้ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดพังงาได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนพัฒนาโรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลในมูลนิธิชัยพัฒนาทั้ง 5 แห่ง เน้นการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิให้เข้มแข็ง ด้วย 4 ประเด็นยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1. การส่งเสริมแรงบันดาลใจ เจ้าหน้าที่ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาล/โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล : “ชัยพัฒน์” (inspiration) 2. การพัฒนาอาคาร สถานที่ เพื่อสื่อสารให้ รับรู้ถึงการเป็น : “ชัยพัฒน์” (Theme) 3. การพัฒนาคน ทุน และกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพบุคลากร : “ชัยพัฒน์” (Human) 4. การพัฒนามาตรฐานระบบบริการสุขภาพประชาชนด้วยหัวใจ : “ชัยพัฒน์” (Standard Service) ตั้งเป้าในปีงบประมาณ 2561 จะพัฒนาคุณภาพการบริการโรงพยาบาลทั้ง 5 แห่ง ให้มีประสิทธิภาพในดูแลสุขภาพประชาชนในชุมชนให้ดียิ่งขึ้น รองรับการท่องเที่ยวฝั่งอันดามัน ตามพระราชดําริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตุลาคม3/3 ******************************** 20 ตุลาคม 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7542
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ แถลงผลการประชุม “คณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ” ครั้งที่ 1/2561
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ แถลงผลการประชุม “คณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ” ครั้งที่ 1/2561 รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงผลการประชุม “คณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561” โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ ซึ่งการประชุมฯครั้งนี้ ได้พิจารณา 4 เรื่อง คือ 1) กรอบแนวคิดนโยบายและแผนระดับชาติ เพื่อปกป้อง รับมือ ป้องกัน และลดความเสี่ยงและความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน 2) แนวทางการกําหนดโครงสร้างพื้นฐานสําคัญทางสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure: CII) ของประเทศ และแนวปฏิบัติเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินทางความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Standard Operating Procedure: SOP) 3) แนวทางการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระยะเร่งด่วน และ 4) แนวทางการจัดตั้ง Cybersecurity Agency (CSA) ทําหน้าที่หน่วยประสานงานกลางและหน่วยงานเผชิญเหตุด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ชั่วคราว เพื่อให้ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของชาติอยู่ในระดับมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบการจัดกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานสําคัญทางสารสนเทศของประเทศ (Critical Information Infrastructure: CII) 6 กลุ่มแรก ได้แก่ 1) กลุ่มความมั่นคงและบริการภาครัฐ 2) กลุ่มการเงิน 3) กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม 4) กลุ่มการขนส่งและโลจิสติกส์ 5) กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค และ 6) กลุ่มสาธารณสุข พร้อมยกระดับแผน การทํางานร่วมกัน เช่น ซ้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ รวมถึงจัดทําแผนปฏิบัติการรับมือไซเบอร์ (National Incident Handling Flow) ด้วย เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ ***********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ แถลงผลการประชุม “คณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ” ครั้งที่ 1/2561 วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ แถลงผลการประชุม “คณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ” ครั้งที่ 1/2561 รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงผลการประชุม “คณะกรรมการเตรียมการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2561” โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ ซึ่งการประชุมฯครั้งนี้ ได้พิจารณา 4 เรื่อง คือ 1) กรอบแนวคิดนโยบายและแผนระดับชาติ เพื่อปกป้อง รับมือ ป้องกัน และลดความเสี่ยงและความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน 2) แนวทางการกําหนดโครงสร้างพื้นฐานสําคัญทางสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure: CII) ของประเทศ และแนวปฏิบัติเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินทางความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Standard Operating Procedure: SOP) 3) แนวทางการพัฒนาบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระยะเร่งด่วน และ 4) แนวทางการจัดตั้ง Cybersecurity Agency (CSA) ทําหน้าที่หน่วยประสานงานกลางและหน่วยงานเผชิญเหตุด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ชั่วคราว เพื่อให้ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของชาติอยู่ในระดับมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบการจัดกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานสําคัญทางสารสนเทศของประเทศ (Critical Information Infrastructure: CII) 6 กลุ่มแรก ได้แก่ 1) กลุ่มความมั่นคงและบริการภาครัฐ 2) กลุ่มการเงิน 3) กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม 4) กลุ่มการขนส่งและโลจิสติกส์ 5) กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค และ 6) กลุ่มสาธารณสุข พร้อมยกระดับแผน การทํางานร่วมกัน เช่น ซ้อมรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ รวมถึงจัดทําแผนปฏิบัติการรับมือไซเบอร์ (National Incident Handling Flow) ด้วย เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ ***********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12116
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รวบรวมวีดิทัศน์เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ-ถวายอาลัยรัชกาลที่ 9 เผยแพร่ทางสื่อโทรทัศน์-เว็บไซต์ เผยคืบหน้าจดหมายเหตุ-แผ่นพับ 11 รายการ ในงานพระบรมศพฯ
วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2560 วธ.รวบรวมวีดิทัศน์เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ-ถวายอาลัยรัชกาลที่ 9 เผยแพร่ทางสื่อโทรทัศน์-เว็บไซต์ เผยคืบหน้าจดหมายเหตุ-แผ่นพับ 11 รายการ ในงานพระบรมศพฯ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานแถลงข่าวการเผยแพร่วีดิทัศน์ หนังสือที่ระลึกและจดหมายเหตุงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วธ.รวบรวมวีดิทัศน์เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ-ถวายอาลัยรัชกาลที่ 9 เผยแพร่ทางสื่อโทรทัศน์-เว็บไซต์ เผยคืบหน้าจดหมายเหตุ-แผ่นพับ11รายการ ในงานพระบรมศพฯ วันที่ 3 ตุลาคม 2560 ที่ห้องประชุมดํารงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นายวีระ โรจน์พจนรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.)เป็นประธานแถลงข่าวการเผยแพร่วีดิทัศน์ หนังสือที่ระลึกและจดหมายเหตุงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่ารัฐบาล ได้การดําเนินการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในระหว่างวันที่25-29ตุลาคม2560โดยระยะเวลา1ปีที่ผ่านมารัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทําและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพระราชประวัติ พระอัจฉริยภาพ พระปรีชาสามารถ พระราชกรณียกิจด้านต่างๆ ของในหลวงรัชกาลที่9โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ร่วมกันรวบรวมข้อมูลและจัดทําเป็นสื่อวีดิทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และอีบุ๊คจํานวนมาก เพื่อใช้สําหรับเผยแพร่ผ่านสื่อทุกแขนงระหว่างช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เพื่อให้สื่อมวลชนนําไปใช้เป็นข้อมูลและเผยแพร่ผ่านสื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชน เป็นข้อมูลประกอบการรายงานข่าว โดยสื่อมวลชนและประชาชน สามารถดาวน์โหลด สื่อวีดิทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และอีบุ๊คที่เว็บไซต์กระทรวงวัฒนธรรมwww.m-culture.go.thและหน่วยงานในสังกัดกระทรวง ดังนี้ วีดิทัศน์ จํานวน29เรื่อง รวม548ตอน อาทิ - สารคดี“ทรงสถิตในดวงใจไทยนิรันดร์”เป็นสารคดีบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่13ตุลาคม2559กระทั่งสิ้นสุดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ จํานวน 32ตอน ๆ ละ3–5นาที ดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรมwww.m-culture.go.th -สารคดี ๓๖๕ วันนี้ในอดีต พระราชกรณียกิจในรัชกาลที่9ที่ได้รวบรวมพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรในอดีต ระหว่างปี2503–2523ดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์หอภาพยนตร์(องค์การมหาชน)www.fapot.org - วีดิทัศน์ศิลปินพื้นบ้านแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรในฐานะองค์อัครศิลปินได้แก่ การขับซอ โนรา ลิเก หมอลํา โดยเปิดให้เข้าชมและดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรมwww.culture.go.th -ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่น เรื่อง เมืองนิรมิตแห่งจิตตนครเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรทรงสนพระทัยและมีพระราชประสงค์ให้เผยแพร่คําสอนพระพุทธศาสนาที่ไม่ยากเกินไป และสอนบทธรรมะที่สามารถเข้าใจได้ง่ายโดยดาวน์โหลดได้ที่ผ่านเว็บไซต์กรมการศาสนาwww.dra.go.th นอกจากนี้กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทําหนังสือพระราชประวัติ หนังสือพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรรวมถึงหนังสือคําศัพท์และราชรถ ราชยาน ในงานพระบรมศพฯ เผยแพร่แก่ประชาชน โดยสามารถรับชมและดาวน์โหลดทางเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรมwww.m-culture.go.th ที่สําคัญ รัฐบาลมอบหมายให้จัดทําหนังสือที่ระลึกและจดหมายเหตุงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรจํานวน11รายการประกอบด้วย หนังสือจดหมายเหตุฉบับหลัก1รายการ หนังสือจดหมายเหตุฉบับรอง6รายการ หนังสือที่ระลึก3รายการ และแผ่นพับที่ระลึก1รายการ ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าในการดําเนินการอย่างต่อเนื่อง อาทิ หนังสือจดหมายเหตุฉบับหลัก -หนังสือจดหมายเหตุงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร หนังสือจดหมายเหตุฉบับรอง อาทิ - หนังสือจดหมายเหตุงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ฉบับประชาชน และฉบับสื่อมวลชน -หนังสือและซีดีบทเพลงแสดงความอาลัยฯ“บทเพลงแด่ในหลวงรัชกาลที่9พระผู้สถิตในหทัยราษฎร์” - หนังสือ“พระผู้สถิตในหทัยราษฎร์”สมุดภาพรวมแผ่นป้ายแสดงความอาลัยฯ หนังสือที่ระลึก อาทิ - หนังสือที่ระลึก“พระเมรุมาศสมัยรัตนโกสินทร์และพระเมรุในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร” -หนังสือที่ระลึก“เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร” แผ่นพับที่ระลึก - แผ่นพับที่ระลึก เนื่องในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพเพื่อแจกประชาชนที่ร่วมถวายดอกไม้จันทน์ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด ชาวต่างประเทศ และผู้เข้าชมนิทรรศการหลังงานถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวด้วยว่า วธ.ได้จัดทําวีดิทัศน์ สิ่งพิมพ์ หนังสือที่ระลึกและจดหมายเหตุงานพระบรมศพฯในครั้งนี้ เพื่อให้คนไทยได้แสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้และเพื่อบันทึกเหตุการณ์สําคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.รวบรวมวีดิทัศน์เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ-ถวายอาลัยรัชกาลที่ 9 เผยแพร่ทางสื่อโทรทัศน์-เว็บไซต์ เผยคืบหน้าจดหมายเหตุ-แผ่นพับ 11 รายการ ในงานพระบรมศพฯ วันพุธที่ 4 ตุลาคม 2560 วธ.รวบรวมวีดิทัศน์เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ-ถวายอาลัยรัชกาลที่ 9 เผยแพร่ทางสื่อโทรทัศน์-เว็บไซต์ เผยคืบหน้าจดหมายเหตุ-แผ่นพับ 11 รายการ ในงานพระบรมศพฯ นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานแถลงข่าวการเผยแพร่วีดิทัศน์ หนังสือที่ระลึกและจดหมายเหตุงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วธ.รวบรวมวีดิทัศน์เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ-ถวายอาลัยรัชกาลที่ 9 เผยแพร่ทางสื่อโทรทัศน์-เว็บไซต์ เผยคืบหน้าจดหมายเหตุ-แผ่นพับ11รายการ ในงานพระบรมศพฯ วันที่ 3 ตุลาคม 2560 ที่ห้องประชุมดํารงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นายวีระ โรจน์พจนรัตน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.)เป็นประธานแถลงข่าวการเผยแพร่วีดิทัศน์ หนังสือที่ระลึกและจดหมายเหตุงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมีผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่ารัฐบาล ได้การดําเนินการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ จัดงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในระหว่างวันที่25-29ตุลาคม2560โดยระยะเวลา1ปีที่ผ่านมารัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทําและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพระราชประวัติ พระอัจฉริยภาพ พระปรีชาสามารถ พระราชกรณียกิจด้านต่างๆ ของในหลวงรัชกาลที่9โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ ร่วมกันรวบรวมข้อมูลและจัดทําเป็นสื่อวีดิทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และอีบุ๊คจํานวนมาก เพื่อใช้สําหรับเผยแพร่ผ่านสื่อทุกแขนงระหว่างช่วงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เพื่อให้สื่อมวลชนนําไปใช้เป็นข้อมูลและเผยแพร่ผ่านสื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชน เป็นข้อมูลประกอบการรายงานข่าว โดยสื่อมวลชนและประชาชน สามารถดาวน์โหลด สื่อวีดิทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และอีบุ๊คที่เว็บไซต์กระทรวงวัฒนธรรมwww.m-culture.go.thและหน่วยงานในสังกัดกระทรวง ดังนี้ วีดิทัศน์ จํานวน29เรื่อง รวม548ตอน อาทิ - สารคดี“ทรงสถิตในดวงใจไทยนิรันดร์”เป็นสารคดีบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่13ตุลาคม2559กระทั่งสิ้นสุดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ จํานวน 32ตอน ๆ ละ3–5นาที ดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรมwww.m-culture.go.th -สารคดี ๓๖๕ วันนี้ในอดีต พระราชกรณียกิจในรัชกาลที่9ที่ได้รวบรวมพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรในอดีต ระหว่างปี2503–2523ดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์หอภาพยนตร์(องค์การมหาชน)www.fapot.org - วีดิทัศน์ศิลปินพื้นบ้านแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรในฐานะองค์อัครศิลปินได้แก่ การขับซอ โนรา ลิเก หมอลํา โดยเปิดให้เข้าชมและดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรมwww.culture.go.th -ภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชั่น เรื่อง เมืองนิรมิตแห่งจิตตนครเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรทรงสนพระทัยและมีพระราชประสงค์ให้เผยแพร่คําสอนพระพุทธศาสนาที่ไม่ยากเกินไป และสอนบทธรรมะที่สามารถเข้าใจได้ง่ายโดยดาวน์โหลดได้ที่ผ่านเว็บไซต์กรมการศาสนาwww.dra.go.th นอกจากนี้กระทรวงวัฒนธรรม ได้จัดทําหนังสือพระราชประวัติ หนังสือพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรรวมถึงหนังสือคําศัพท์และราชรถ ราชยาน ในงานพระบรมศพฯ เผยแพร่แก่ประชาชน โดยสามารถรับชมและดาวน์โหลดทางเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรมwww.m-culture.go.th ที่สําคัญ รัฐบาลมอบหมายให้จัดทําหนังสือที่ระลึกและจดหมายเหตุงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตรจํานวน11รายการประกอบด้วย หนังสือจดหมายเหตุฉบับหลัก1รายการ หนังสือจดหมายเหตุฉบับรอง6รายการ หนังสือที่ระลึก3รายการ และแผ่นพับที่ระลึก1รายการ ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าในการดําเนินการอย่างต่อเนื่อง อาทิ หนังสือจดหมายเหตุฉบับหลัก -หนังสือจดหมายเหตุงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร หนังสือจดหมายเหตุฉบับรอง อาทิ - หนังสือจดหมายเหตุงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ฉบับประชาชน และฉบับสื่อมวลชน -หนังสือและซีดีบทเพลงแสดงความอาลัยฯ“บทเพลงแด่ในหลวงรัชกาลที่9พระผู้สถิตในหทัยราษฎร์” - หนังสือ“พระผู้สถิตในหทัยราษฎร์”สมุดภาพรวมแผ่นป้ายแสดงความอาลัยฯ หนังสือที่ระลึก อาทิ - หนังสือที่ระลึก“พระเมรุมาศสมัยรัตนโกสินทร์และพระเมรุในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร” -หนังสือที่ระลึก“เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร” แผ่นพับที่ระลึก - แผ่นพับที่ระลึก เนื่องในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพเพื่อแจกประชาชนที่ร่วมถวายดอกไม้จันทน์ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด ชาวต่างประเทศ และผู้เข้าชมนิทรรศการหลังงานถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวด้วยว่า วธ.ได้จัดทําวีดิทัศน์ สิ่งพิมพ์ หนังสือที่ระลึกและจดหมายเหตุงานพระบรมศพฯในครั้งนี้ เพื่อให้คนไทยได้แสดงความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรและน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้และเพื่อบันทึกเหตุการณ์สําคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ในอนาคต
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7167
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มิวสิควิดีโอ “เพลงจิตอาสา” เวอร์ชั่นภาพวาดการ์ตูนประกอบเพลง
วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562 มิวสิควิดีโอ “เพลงจิตอาสา” เวอร์ชั่นภาพวาดการ์ตูนประกอบเพลง เพื่อประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันทําความดีด้วยการเป็นจิตอาสา มิวสิควิดีโอ “เพลงจิตอาสา” เวอร์ชั่นภาพวาดการ์ตูนประกอบเพลง เพื่อประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันทําความดีด้วยการเป็นจิตอาสา โดยที่ผ่านมาได้จัดทํามิวสิควิดีโอประมวลภาพกิจกรรมของเหล่าจิตอาสา และได้รับความสนใจจากประชาชนและหน่วยงานต่างๆเป็นอย่างมาก ที่มา : GMM GRAMMY OFFICIAL
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มิวสิควิดีโอ “เพลงจิตอาสา” เวอร์ชั่นภาพวาดการ์ตูนประกอบเพลง วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562 มิวสิควิดีโอ “เพลงจิตอาสา” เวอร์ชั่นภาพวาดการ์ตูนประกอบเพลง เพื่อประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันทําความดีด้วยการเป็นจิตอาสา มิวสิควิดีโอ “เพลงจิตอาสา” เวอร์ชั่นภาพวาดการ์ตูนประกอบเพลง เพื่อประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันทําความดีด้วยการเป็นจิตอาสา โดยที่ผ่านมาได้จัดทํามิวสิควิดีโอประมวลภาพกิจกรรมของเหล่าจิตอาสา และได้รับความสนใจจากประชาชนและหน่วยงานต่างๆเป็นอย่างมาก ที่มา : GMM GRAMMY OFFICIAL
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22320
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีปาฐกถาพิเศษการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 นายกรัฐมนตรีปาฐกถาพิเศษการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รัฐบาลมีความจําเป็นที่ต้องกําหนดนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนในหลาย ๆ ด้านของประเทศไทยให้เกิดเป็นรูปธรรม วันนี้ (21 มิถุนายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ อาคารศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ประกอบด้วย พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการ ณ จังหวัดขอนแก่น เพื่อติดตามความก้าวหน้าผลการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมเยี่ยมชมผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การขับเคลื่อน ไทยแลนด์ 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ตอนหนึ่งว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคอับดับ ต้น ๆ ของประเทศ ถือเป็นความภูมิใจของคนภาคอีสาน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแนวหน้าด้านการเรียนการสอน และดีเลิศทางด้านการวิจัย รวมถึงการพัฒนา ซึ่งเปิดการเรียนการสอนมากกว่า 300 หลักสูตร สําหรับนโยบาย Thailand 4.0 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีความจําเป็นที่ต้องกําหนดนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนในหลาย ๆ ด้านของประเทศไทยให้เกิดเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ จากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกในหลาย ๆ ด้านอย่างเฉียบพลัน ทําให้คนไทยต้องเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมถึงการการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง มีโอกาส ภัยคุกคาม และข้อจํากัดมากมายเกิดขึ้น ทุกประเทศต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาเพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น สําหรับโมเดล Thailand 4.0 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลต้องการนําประเทศไปสู่ ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยนําหลักคิดจากบทเรียนและกับดักในอดีตมาเป็นบทเรียน บนหลักคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่ทั้งนี้ต้องคํานึงถึงความสมดุลในเรื่องของมิติด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และคุณค่าความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เน้นการพัฒนาประเทศทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ควบคู่กับศึกษา และนําสิ่งที่ดี ๆ จากอดีตมาพิจารณาและวิเคราะห์เพื่อสร้างเป็นรูปแบบใหม่ที่เหมาะสมกับปัจจุบัน โดยผ่านกระบวนการพัฒนาที่ถูกต้อง คือ การใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่สมดุลระหว่างมิติในทุก ๆ ด้าน หากไม่เพียงพอก็ต้องมีการปรับเติมเสริมเข้าไป แต่เมื่อเพียงพอแล้วก็ต้องรู้จักหยุด และรู้จักแบ่งปัน รวมถึงต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในแทนการพึ่งพาเศรษฐกิจโลกเพียงอย่างเดียว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า Thailand 4.0 ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสร้างความสมดุลตอบโจทย์ความยั่งยืนอย่างทั่วถึงไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ความมั่นคงอย่างแท้จริง และสิ่งที่จะตอบโจทย์ทั้งหมดภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือ “คน” ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมให้คนไทยมีความสมบูรณ์ที่มีความรู้คู่คุณธรรม มีศักดิ์ศรีความเป็นไทยอยู่ในโลกร่วมกับประชาคมโลกได้ ต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ นําเทคโนโลยี นวัตกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สร้างมูลค่าเพิ่มทําให้อุตสาหกรรมหรือเศรษฐกิจนําไปสู่ความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่สังคมโลก โดยรัฐบาลชุดนี้จะเน้นเรื่องการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําให้ลดน้อยลง เพิ่มความเข้มแข็งให้กระจายลงสู่พื้นที่ ไม่ให้กระจุกอยู่แต่ในเมืองใหญ่ ๆ ตอนท้ายนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณประชาชนจังหวัดขอนแก่น ที่ร่วมกันตอบ 4 คําถามของนายกรัฐมตรีมากที่สุดกว่าหมื่นคน พร้อมกล่าวชี้แจงว่า การตั้งคําถามดังกล่าวนี้ เพื่อต้องการรับทราบถึงปัญหาของประชาชนว่ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตย และต้องการให้ทุกคนช่วยกันตอบ เพื่อไม่ให้ถูกนําไปบิดเบือนว่านายกรัฐมนตรีตั้งคําถามแล้วไม่มีคนตอบ เช่นเดียวกับเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ถูกบิดเบือนว่า จะเป็นการยกเลิกโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ซึ่งไม่เป็นความจริง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงคดีความต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นว่า รัฐบาลทําทุกคดีที่มีปัญหา และไม่ได้ละเลยที่จะจับคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย รัฐบาลนี้จะทําสิ่งใดก็ตาม ต้องนึกถึงความรู้สึกของทุกคน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ขอให้ทุกคนเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร อย่าพยายามสร้างความขัดแย้งกัน ต้องรักประเทศชาติให้มาก เพื่อความสงบสุขของคนไทยทุกคน ----------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีปาฐกถาพิเศษการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 นายกรัฐมนตรีปาฐกถาพิเศษการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รัฐบาลมีความจําเป็นที่ต้องกําหนดนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนในหลาย ๆ ด้านของประเทศไทยให้เกิดเป็นรูปธรรม วันนี้ (21 มิถุนายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ อาคารศูนย์ประชุมอเนกประสงค์กาญจนภิเษก มหาวิทยาลัยขอนแก่น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ประกอบด้วย พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการ ณ จังหวัดขอนแก่น เพื่อติดตามความก้าวหน้าผลการดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมเยี่ยมชมผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การขับเคลื่อน ไทยแลนด์ 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ตอนหนึ่งว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคอับดับ ต้น ๆ ของประเทศ ถือเป็นความภูมิใจของคนภาคอีสาน ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแนวหน้าด้านการเรียนการสอน และดีเลิศทางด้านการวิจัย รวมถึงการพัฒนา ซึ่งเปิดการเรียนการสอนมากกว่า 300 หลักสูตร สําหรับนโยบาย Thailand 4.0 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีความจําเป็นที่ต้องกําหนดนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนในหลาย ๆ ด้านของประเทศไทยให้เกิดเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ จากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกในหลาย ๆ ด้านอย่างเฉียบพลัน ทําให้คนไทยต้องเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมถึงการการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง มีโอกาส ภัยคุกคาม และข้อจํากัดมากมายเกิดขึ้น ทุกประเทศต้องปรับเปลี่ยนและพัฒนาเพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น สําหรับโมเดล Thailand 4.0 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลต้องการนําประเทศไปสู่ ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยนําหลักคิดจากบทเรียนและกับดักในอดีตมาเป็นบทเรียน บนหลักคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่ทั้งนี้ต้องคํานึงถึงความสมดุลในเรื่องของมิติด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และคุณค่าความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เน้นการพัฒนาประเทศทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ควบคู่กับศึกษา และนําสิ่งที่ดี ๆ จากอดีตมาพิจารณาและวิเคราะห์เพื่อสร้างเป็นรูปแบบใหม่ที่เหมาะสมกับปัจจุบัน โดยผ่านกระบวนการพัฒนาที่ถูกต้อง คือ การใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่สมดุลระหว่างมิติในทุก ๆ ด้าน หากไม่เพียงพอก็ต้องมีการปรับเติมเสริมเข้าไป แต่เมื่อเพียงพอแล้วก็ต้องรู้จักหยุด และรู้จักแบ่งปัน รวมถึงต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในแทนการพึ่งพาเศรษฐกิจโลกเพียงอย่างเดียว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า Thailand 4.0 ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสร้างความสมดุลตอบโจทย์ความยั่งยืนอย่างทั่วถึงไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ความมั่นคงอย่างแท้จริง และสิ่งที่จะตอบโจทย์ทั้งหมดภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงคือ “คน” ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมให้คนไทยมีความสมบูรณ์ที่มีความรู้คู่คุณธรรม มีศักดิ์ศรีความเป็นไทยอยู่ในโลกร่วมกับประชาคมโลกได้ ต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ นําเทคโนโลยี นวัตกรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สร้างมูลค่าเพิ่มทําให้อุตสาหกรรมหรือเศรษฐกิจนําไปสู่ความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยงเศรษฐกิจไทยสู่สังคมโลก โดยรัฐบาลชุดนี้จะเน้นเรื่องการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ําให้ลดน้อยลง เพิ่มความเข้มแข็งให้กระจายลงสู่พื้นที่ ไม่ให้กระจุกอยู่แต่ในเมืองใหญ่ ๆ ตอนท้ายนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณประชาชนจังหวัดขอนแก่น ที่ร่วมกันตอบ 4 คําถามของนายกรัฐมตรีมากที่สุดกว่าหมื่นคน พร้อมกล่าวชี้แจงว่า การตั้งคําถามดังกล่าวนี้ เพื่อต้องการรับทราบถึงปัญหาของประชาชนว่ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตย และต้องการให้ทุกคนช่วยกันตอบ เพื่อไม่ให้ถูกนําไปบิดเบือนว่านายกรัฐมนตรีตั้งคําถามแล้วไม่มีคนตอบ เช่นเดียวกับเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ถูกบิดเบือนว่า จะเป็นการยกเลิกโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ซึ่งไม่เป็นความจริง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงคดีความต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นว่า รัฐบาลทําทุกคดีที่มีปัญหา และไม่ได้ละเลยที่จะจับคนผิดมาลงโทษตามกฎหมาย รัฐบาลนี้จะทําสิ่งใดก็ตาม ต้องนึกถึงความรู้สึกของทุกคน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ขอให้ทุกคนเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร อย่าพยายามสร้างความขัดแย้งกัน ต้องรักประเทศชาติให้มาก เพื่อความสงบสุขของคนไทยทุกคน ----------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4688
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ของขวัญปีใหม่ปี 2563 ของกระทรวงการคลัง
วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2562 ของขวัญปีใหม่ปี 2563 ของกระทรวงการคลัง ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ได้จัดทําของขวัญปีใหม่ปี 2563 สําหรับประชาชนทั่วไป ผู้เสียภาษี เกษตรกรรายย่อย ผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ได้จัดทําของขวัญปีใหม่ปี 2563 สําหรับประชาชนทั่วไป ผู้เสียภาษี เกษตรกรรายย่อย ผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยมีรายละเอียดดังนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เริ่มดําเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือตามโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 แก่เกษตรกรที่ลงทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปีกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและทําให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวและรักษาคุณภาพข้าว ในอัตราไร่ละ 500 บาท ตามพื้นที่ที่ปลูกข้าวจริงแต่ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ วงเงิน 25,793 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2562 ธ.ก.ส. ได้เริ่มโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรไปแล้วจํานวน 285,887 ราย เป็นเงิน 1,537 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าจะเร่งทยอยโอนเงินได้ร้อยละ 80 ของเป้าหมายทั้งหมด หรือประมาณ 20,000 ล้านบาท ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 นี้ ยกเว้นพื้นที่ภาคใต้ซึ่งจะทยอยจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 เมษายน 2563 ธนาคารออมสิน จัดทํา 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการคืนดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ลูกค้ารายย่อย คืนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ธนาคารได้รับในรอบ 12 เดือนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 ถึงเดือนตุลาคม 2562 สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินรวมทุกสัญญาไม่เกิน 200,000 บาท 2) โครงการมอบอัตราดอกเบี้ยพิเศษสําหรับลูกค้าเงินฝากประจํา โดยเพิ่มจากอัตราดอกเบี้ยตามประกาศเดิมอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี สําหรับเงินฝากไม่เกินรายละ 1 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) คืนเงิน (Cash Back) จํานวน 1,000 บาท ให้แก่ลูกค้าที่มีประวัติการผ่อนชําระหนี้ดีย้อนหลัง 48 เดือน โดยชําระตรงเวลาและไม่น้อยกว่าเงินงวดที่ธนาคารกําหนด สําหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยผู้ที่สนใจสามารถแสดงความจํานงที่ ธอส. ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยธนาคารจะโอนเงินผ่านทางบัญชีเงินฝากที่ผูกกับแอปพลิเคชั่น GHB ALL ของทางธนาคารภายในเดือนธันวาคม 2562 ถึงเดือนมกราคม 2563 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย จัดทํา 2 โครงการ ดังนี้ 1) โครงการเสริมสภาพคล่องผู้ส่งออก วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท สําหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ที่เป็นผู้ส่งออก ผู้ผลิตเพื่อผู้ส่งออก หรือผู้นําเข้าเพื่อการส่งออก เพื่อใช้เป็นเงินหมุนเวียน หรือปรับปรุงเครื่องจักร โรงงาน วงเงินอนุมัติสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 ร้อยละ 3.99 ต่อปี และฟรีค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อสูงสุด 4 ปี 2) โครงการการลดภาระในการชําระหนี้ สําหรับลูกค้า SMEs ของธนาคารที่ไม่ต้องการวงเงินเพิ่ม แต่ต้องการลดภาระในการผ่อนชําระหนี้ แบ่งเป็น • ลูกค้าเงินกู้ระยะยาว ขยายระยะเวลาผ่อนชําระเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 2 ปี และลดอัตราดอกเบี้ยลงจากเดิมร้อยละ 0.125 ต่อปี • ลูกค้าเงินกู้ระยะสั้น เพิ่มสัดส่วนการเบิกเงินกู้สูงสุดร้อยละ 95 ของมูลค่าเลตเตอร์ออฟเครดิต (Letter of Credit : L/C) และร้อยละ 85 ของมูลค่าใบสั่งซื้อสินค้า (Purchase Order : P/O) และลดอัตราดอกเบี้ยและอัตรารับซื้อลดเอกสารส่งออกลงจากเดิมร้อยละ 0.125 ต่อปี ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ยกเว้นค่าธรรมเนียมที่ธนาคารเรียกเก็บทุกประเภท ได้แก่ ค่าประเมินหลักประกัน ค่าธรรมเนียมนิติกรรมสัญญา สําหรับลูกค้าที่ขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อบ้านแลกเงินที่ทําสัญญาสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 นอกจากนี้ ธนาคารยังมีอัตรากําไรพิเศษสําหรับ Refinance สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ในอัตราเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรกเท่ากับร้อยละ 3.056 ต่อปี และได้รับเงื่อนไขการยกเว้นค่าธรรมเนียมต่างๆ ข้างต้นด้วยเช่นกัน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย จัดทํา 3 โครงการ ดังนี้ 1) มาตรการลดภาระการชําระหนี้ สําหรับลูกค้าชั้นดีที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาท พักชําระเงินต้นคงเหลือ (ชําระเฉพาะดอกเบี้ย) ได้นานถึงสูงสุด 6 เดือน 2) มาตรการสร้างรายได้ให้แก่ SMEs โดยหาช่องทางการจําหน่ายให้ลูกค้า ในงานออกบูธจําหน่ายสินค้า SMEs ภายใต้โครงการ “SMEs Gift Fest” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2562 - 5 มกราคม 2563 ณ ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ 3) สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ สําหรับลูกค้าทุกกลุ่ม อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเฉลี่ยร้อยละ 0.33 ต่อเดือน วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 15 ล้านบาท 4) สินเชื่อ SMART Factoring บัญชีเดียว อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 0.57 ต่อเดือน วงเงินสูงสุดร้อยละ 90 ของมูลหนี้ทางการค้า พร้อมทั้งให้เครดิตนาน 180 วัน บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม จัดทําโครงการ บสย. SMEs D ยกกําลังสาม วงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท (ภายใต้โครงการ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 8) วงเงินค้ําประกันต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท คิดอัตราค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.75 ฟรีค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก สําหรับการค้ําประกันสินเชื่อภายใต้โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย กรมสรรพากร จัดทํา 2 โครงการ ดังนี้ 1) SME โปรดีบัญชีเดียว เป็นมาตรการที่กรมสรรพากรร่วมมือกับสถาบันการเงินทั้ง 19 แห่ง ในการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนแจ้งใช้สิทธิตาม พ.ร.บ. ยกเว้นเบี้ยปรับฯ พ.ศ. 2562 โดยให้สิทธิประโยชน์พิเศษทางการเงินในรูปแบบสินเชื่ออัตราพิเศษหรือรูปแบบอื่น ๆ อันจะช่วยสร้างรากฐานทางธุรกิจที่มั่นคงให้กับผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งจะเปิดตัวในวันที่ 7 มกราคม 2563 2) เว้นภาษี แก้หนี้ NPL เป็นมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เพื่อเป็นการลดภาระและเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจ กรมสรรพสามิต จัดทําแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านการประชาสัมพันธ์รณรงค์ไม่ดื่มสุราขณะขับขี่ยานพาหนะ และใช้ความระมัดระวังในการขับขี่และรักษาวินัยจราจร เข้มงวดการห้ามจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลา สถานที่ และบุคคลที่ห้ามจําหน่าย จัดเจ้าหน้าที่ร่วมปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ระดับจังหวัด และระดับอําเภอ และจัดชุดเฉพาะกิจสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม พร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามแหล่งสถานบริการ แหล่งชุมชน และพื้นที่เป้าหมายอื่นๆ กรมศุลกากร จัดทําโครงการผู้ประกอบการโดนใจได้ประโยชน์ เพื่ออํานวยความสะดวกในการจัดเก็บค่าภาษีอากรให้กับผู้ประกอบการที่ชําระค่าภาษีอากรไม่ครบถ้วนได้ทบทวนตนเอง และเปิดโอกาสให้ชําระค่าภาษีอากรที่ขาดด้วยความสมัครใจ โดยโครงการดังกล่าวได้กําหนดระเบียบปฏิบัติให้เจ้าหน้าที่มีหนังสือแจ้งผู้ประกอบการที่ได้รับการพิจารณาเบื้องต้นว่าเป็นผู้ประกอบการสุจริตแต่อาจชําระค่าภาษีอากรไว้ไม่ครบถ้วน ได้ทบทวนตนเอง ตามประเด็นข้อสงสัยที่เจ้าหน้าที่มีหนังสือแจ้งให้ทราบ และไปชําระค่าภาษีอากรที่ขาดให้ครบถ้วนด้วยความสมัครใจตามประเด็นที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หากไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่ากระทําการโดยทุจริต ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการพิจารณาคดีโดยการผ่อนผันการปรับ กรมธนารักษ์ จัดทําโครงการตลาดประชารัฐตามแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน “จัดทําชุมชนให้เป็นห้องประชุมในที่ราชพัสดุ” ในพื้นที่ 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร โดยจัดพื้นที่ในที่ราชพัสดุเพื่อจําหน่ายสินค้าที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของวิถีชุมชน พร้อมทั้งจัดหาสิ่งอํานวยความสะดวกที่จําเป็นในการซื้อขายให้มีสุขอนามัยที่ดี รวมถึงเชื่อมโยงการซื้อขายสินค้าเกษตร สินค้าหัตถกรรม สินค้า OTOP ของชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียงมาจําหน่าย เป็นต้น โดยจะเริ่มโครงการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 ถึงเดือนกันยายน 2563 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สาขาสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ร่วมโครงการทุกแห่ง กรมสรรพากร โทร 1161 กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call Center 1713 กรมศุลกากร โทร 0 2667 6000 ต่อ 6667 สํานักพัฒนาธุรกิจและศักยภาพที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ โทร 0 2279 7032 https://bit.ly/2MsF03V
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ของขวัญปีใหม่ปี 2563 ของกระทรวงการคลัง วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2562 ของขวัญปีใหม่ปี 2563 ของกระทรวงการคลัง ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ได้จัดทําของขวัญปีใหม่ปี 2563 สําหรับประชาชนทั่วไป ผู้เสียภาษี เกษตรกรรายย่อย ผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ได้จัดทําของขวัญปีใหม่ปี 2563 สําหรับประชาชนทั่วไป ผู้เสียภาษี เกษตรกรรายย่อย ผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยมีรายละเอียดดังนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เริ่มดําเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือตามโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63 แก่เกษตรกรที่ลงทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปีกับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและทําให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวและรักษาคุณภาพข้าว ในอัตราไร่ละ 500 บาท ตามพื้นที่ที่ปลูกข้าวจริงแต่ไม่เกินครัวเรือนละ 20 ไร่ วงเงิน 25,793 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2562 ธ.ก.ส. ได้เริ่มโอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรไปแล้วจํานวน 285,887 ราย เป็นเงิน 1,537 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าจะเร่งทยอยโอนเงินได้ร้อยละ 80 ของเป้าหมายทั้งหมด หรือประมาณ 20,000 ล้านบาท ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 นี้ ยกเว้นพื้นที่ภาคใต้ซึ่งจะทยอยจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 เมษายน 2563 ธนาคารออมสิน จัดทํา 2 โครงการ ได้แก่ 1) โครงการคืนดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ลูกค้ารายย่อย คืนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ของดอกเบี้ยที่ธนาคารได้รับในรอบ 12 เดือนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2561 ถึงเดือนตุลาคม 2562 สําหรับลูกค้าที่มีวงเงินรวมทุกสัญญาไม่เกิน 200,000 บาท 2) โครงการมอบอัตราดอกเบี้ยพิเศษสําหรับลูกค้าเงินฝากประจํา โดยเพิ่มจากอัตราดอกเบี้ยตามประกาศเดิมอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี สําหรับเงินฝากไม่เกินรายละ 1 ล้านบาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) คืนเงิน (Cash Back) จํานวน 1,000 บาท ให้แก่ลูกค้าที่มีประวัติการผ่อนชําระหนี้ดีย้อนหลัง 48 เดือน โดยชําระตรงเวลาและไม่น้อยกว่าเงินงวดที่ธนาคารกําหนด สําหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยผู้ที่สนใจสามารถแสดงความจํานงที่ ธอส. ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยธนาคารจะโอนเงินผ่านทางบัญชีเงินฝากที่ผูกกับแอปพลิเคชั่น GHB ALL ของทางธนาคารภายในเดือนธันวาคม 2562 ถึงเดือนมกราคม 2563 ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย จัดทํา 2 โครงการ ดังนี้ 1) โครงการเสริมสภาพคล่องผู้ส่งออก วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท สําหรับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium Enterprises : SMEs) ที่เป็นผู้ส่งออก ผู้ผลิตเพื่อผู้ส่งออก หรือผู้นําเข้าเพื่อการส่งออก เพื่อใช้เป็นเงินหมุนเวียน หรือปรับปรุงเครื่องจักร โรงงาน วงเงินอนุมัติสูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 ร้อยละ 3.99 ต่อปี และฟรีค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อสูงสุด 4 ปี 2) โครงการการลดภาระในการชําระหนี้ สําหรับลูกค้า SMEs ของธนาคารที่ไม่ต้องการวงเงินเพิ่ม แต่ต้องการลดภาระในการผ่อนชําระหนี้ แบ่งเป็น • ลูกค้าเงินกู้ระยะยาว ขยายระยะเวลาผ่อนชําระเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 2 ปี และลดอัตราดอกเบี้ยลงจากเดิมร้อยละ 0.125 ต่อปี • ลูกค้าเงินกู้ระยะสั้น เพิ่มสัดส่วนการเบิกเงินกู้สูงสุดร้อยละ 95 ของมูลค่าเลตเตอร์ออฟเครดิต (Letter of Credit : L/C) และร้อยละ 85 ของมูลค่าใบสั่งซื้อสินค้า (Purchase Order : P/O) และลดอัตราดอกเบี้ยและอัตรารับซื้อลดเอกสารส่งออกลงจากเดิมร้อยละ 0.125 ต่อปี ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ยกเว้นค่าธรรมเนียมที่ธนาคารเรียกเก็บทุกประเภท ได้แก่ ค่าประเมินหลักประกัน ค่าธรรมเนียมนิติกรรมสัญญา สําหรับลูกค้าที่ขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อบ้านแลกเงินที่ทําสัญญาสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 นอกจากนี้ ธนาคารยังมีอัตรากําไรพิเศษสําหรับ Refinance สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ในอัตราเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรกเท่ากับร้อยละ 3.056 ต่อปี และได้รับเงื่อนไขการยกเว้นค่าธรรมเนียมต่างๆ ข้างต้นด้วยเช่นกัน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย จัดทํา 3 โครงการ ดังนี้ 1) มาตรการลดภาระการชําระหนี้ สําหรับลูกค้าชั้นดีที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาท พักชําระเงินต้นคงเหลือ (ชําระเฉพาะดอกเบี้ย) ได้นานถึงสูงสุด 6 เดือน 2) มาตรการสร้างรายได้ให้แก่ SMEs โดยหาช่องทางการจําหน่ายให้ลูกค้า ในงานออกบูธจําหน่ายสินค้า SMEs ภายใต้โครงการ “SMEs Gift Fest” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2562 - 5 มกราคม 2563 ณ ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ 3) สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ สําหรับลูกค้าทุกกลุ่ม อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเฉลี่ยร้อยละ 0.33 ต่อเดือน วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 15 ล้านบาท 4) สินเชื่อ SMART Factoring บัญชีเดียว อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 0.57 ต่อเดือน วงเงินสูงสุดร้อยละ 90 ของมูลหนี้ทางการค้า พร้อมทั้งให้เครดิตนาน 180 วัน บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม จัดทําโครงการ บสย. SMEs D ยกกําลังสาม วงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท (ภายใต้โครงการ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 8) วงเงินค้ําประกันต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท คิดอัตราค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.75 ฟรีค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก สําหรับการค้ําประกันสินเชื่อภายใต้โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย กรมสรรพากร จัดทํา 2 โครงการ ดังนี้ 1) SME โปรดีบัญชีเดียว เป็นมาตรการที่กรมสรรพากรร่วมมือกับสถาบันการเงินทั้ง 19 แห่ง ในการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนแจ้งใช้สิทธิตาม พ.ร.บ. ยกเว้นเบี้ยปรับฯ พ.ศ. 2562 โดยให้สิทธิประโยชน์พิเศษทางการเงินในรูปแบบสินเชื่ออัตราพิเศษหรือรูปแบบอื่น ๆ อันจะช่วยสร้างรากฐานทางธุรกิจที่มั่นคงให้กับผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งจะเปิดตัวในวันที่ 7 มกราคม 2563 2) เว้นภาษี แก้หนี้ NPL เป็นมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เพื่อเป็นการลดภาระและเพิ่มสภาพคล่องให้แก่ภาคธุรกิจ กรมสรรพสามิต จัดทําแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่านการประชาสัมพันธ์รณรงค์ไม่ดื่มสุราขณะขับขี่ยานพาหนะ และใช้ความระมัดระวังในการขับขี่และรักษาวินัยจราจร เข้มงวดการห้ามจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลา สถานที่ และบุคคลที่ห้ามจําหน่าย จัดเจ้าหน้าที่ร่วมปฏิบัติงานศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ระดับจังหวัด และระดับอําเภอ และจัดชุดเฉพาะกิจสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม พร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามแหล่งสถานบริการ แหล่งชุมชน และพื้นที่เป้าหมายอื่นๆ กรมศุลกากร จัดทําโครงการผู้ประกอบการโดนใจได้ประโยชน์ เพื่ออํานวยความสะดวกในการจัดเก็บค่าภาษีอากรให้กับผู้ประกอบการที่ชําระค่าภาษีอากรไม่ครบถ้วนได้ทบทวนตนเอง และเปิดโอกาสให้ชําระค่าภาษีอากรที่ขาดด้วยความสมัครใจ โดยโครงการดังกล่าวได้กําหนดระเบียบปฏิบัติให้เจ้าหน้าที่มีหนังสือแจ้งผู้ประกอบการที่ได้รับการพิจารณาเบื้องต้นว่าเป็นผู้ประกอบการสุจริตแต่อาจชําระค่าภาษีอากรไว้ไม่ครบถ้วน ได้ทบทวนตนเอง ตามประเด็นข้อสงสัยที่เจ้าหน้าที่มีหนังสือแจ้งให้ทราบ และไปชําระค่าภาษีอากรที่ขาดให้ครบถ้วนด้วยความสมัครใจตามประเด็นที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หากไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่ากระทําการโดยทุจริต ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการพิจารณาคดีโดยการผ่อนผันการปรับ กรมธนารักษ์ จัดทําโครงการตลาดประชารัฐตามแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน “จัดทําชุมชนให้เป็นห้องประชุมในที่ราชพัสดุ” ในพื้นที่ 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร โดยจัดพื้นที่ในที่ราชพัสดุเพื่อจําหน่ายสินค้าที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของวิถีชุมชน พร้อมทั้งจัดหาสิ่งอํานวยความสะดวกที่จําเป็นในการซื้อขายให้มีสุขอนามัยที่ดี รวมถึงเชื่อมโยงการซื้อขายสินค้าเกษตร สินค้าหัตถกรรม สินค้า OTOP ของชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียงมาจําหน่าย เป็นต้น โดยจะเริ่มโครงการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 ถึงเดือนกันยายน 2563 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สาขาสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ร่วมโครงการทุกแห่ง กรมสรรพากร โทร 1161 กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call Center 1713 กรมศุลกากร โทร 0 2667 6000 ต่อ 6667 สํานักพัฒนาธุรกิจและศักยภาพที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ โทร 0 2279 7032 https://bit.ly/2MsF03V
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25469
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมพร้อมนำคนไทยจากอู่ฮั่นกลับประเทศ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563
วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563 รัฐบาลเตรียมพร้อมนําคนไทยจากอู่ฮั่นกลับประเทศ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 รัฐบาลเตรียมพร้อมนําคนไทยจากอู่ฮั่นกลับประเทศ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 วันที่ 2 ก.พ.63 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ ทีมแพทย์สาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข กรมการกงสุล สอท กรุงปักกิ่ง ท่าอากาศยานดอนเมือง การท่าอากาศยานไทย สํานักงานตํารวจตรวจคนเข้าเมือง และสายการบินแอร์เอเชีย เตรียมความพร้อมในแต่ละส่วนเพื่อรับคนไทยกลับจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 โดยกําชับทั้งเรื่องความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่กําลังจะเดินทางไปรับ และความปลอดภัยของคนไทยที่อยู่ในเมืองอู่ฮั่น ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการเตรียมการการดูแล ตั้งแต่ก่อนเดินทาง ระหว่างเดินทาง และเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยโดยมีการเตรียมความพร้อมของทีมแพทย์ รวมทั้งทีมเจ้าหน้าที่จากกรมการกงสุล และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องประมาณ 10 คน เพื่อร่วมเดินทางไปในภารกิจนี้ พร้อมเตรียมอุปกรณ์ที่จําเป็นในการปฏิบัติภารกิจโดยการประสานงานทุกภาคส่วนนี้เป็นไปอย่างใกล้ชิด ทั้งทีมแพทย์ไทยและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งทหารและพลเรือน สําหรับขั้นตอนในการรับกลับนั้น จะมีการตรวจคัดกรองก่อนขึ้นเครื่องบิน และดูแลระหว่างเดินทาง จนถึงเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย จะต้องผ่านจุดคัดกรองที่ได้เตรียมไว้ และหากตรวจพบผู้โดยสารมีอาการเข้าเกณฑ์ต้องเฝ้าระวังจะมีการลําเลียงไปยังโรงพยาบาลที่กําหนดด้วยมาตรฐานการควบคุมโรคสูงสุด และส่วนผู้ที่ไม่มีอาการจะมีการตรวจคัดกรอง เฝ้าระวังโรคอย่างเข้มข้นโดยทีมแพทย์ ติดตามต่อเนื่องไปจนครบกําหนด 14 วัน ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานที่อู่ฮั่น เพื่อประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง และดูแลการส่งคนไทยกลับด้วยแล้ว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมพร้อมนำคนไทยจากอู่ฮั่นกลับประเทศ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563 รัฐบาลเตรียมพร้อมนําคนไทยจากอู่ฮั่นกลับประเทศ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 รัฐบาลเตรียมพร้อมนําคนไทยจากอู่ฮั่นกลับประเทศ ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 วันที่ 2 ก.พ.63 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ ทีมแพทย์สาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข กรมการกงสุล สอท กรุงปักกิ่ง ท่าอากาศยานดอนเมือง การท่าอากาศยานไทย สํานักงานตํารวจตรวจคนเข้าเมือง และสายการบินแอร์เอเชีย เตรียมความพร้อมในแต่ละส่วนเพื่อรับคนไทยกลับจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 โดยกําชับทั้งเรื่องความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ที่กําลังจะเดินทางไปรับ และความปลอดภัยของคนไทยที่อยู่ในเมืองอู่ฮั่น ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการเตรียมการการดูแล ตั้งแต่ก่อนเดินทาง ระหว่างเดินทาง และเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยโดยมีการเตรียมความพร้อมของทีมแพทย์ รวมทั้งทีมเจ้าหน้าที่จากกรมการกงสุล และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องประมาณ 10 คน เพื่อร่วมเดินทางไปในภารกิจนี้ พร้อมเตรียมอุปกรณ์ที่จําเป็นในการปฏิบัติภารกิจโดยการประสานงานทุกภาคส่วนนี้เป็นไปอย่างใกล้ชิด ทั้งทีมแพทย์ไทยและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งทหารและพลเรือน สําหรับขั้นตอนในการรับกลับนั้น จะมีการตรวจคัดกรองก่อนขึ้นเครื่องบิน และดูแลระหว่างเดินทาง จนถึงเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย จะต้องผ่านจุดคัดกรองที่ได้เตรียมไว้ และหากตรวจพบผู้โดยสารมีอาการเข้าเกณฑ์ต้องเฝ้าระวังจะมีการลําเลียงไปยังโรงพยาบาลที่กําหนดด้วยมาตรฐานการควบคุมโรคสูงสุด และส่วนผู้ที่ไม่มีอาการจะมีการตรวจคัดกรอง เฝ้าระวังโรคอย่างเข้มข้นโดยทีมแพทย์ ติดตามต่อเนื่องไปจนครบกําหนด 14 วัน ทั้งนี้ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปักกิ่ง ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานที่อู่ฮั่น เพื่อประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง และดูแลการส่งคนไทยกลับด้วยแล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรชี้แจง การชดเชยเงินให้ชาวนากรณีเป็นพื้นที่รับน้ำจากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน
วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม 2561 อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรชี้แจง การชดเชยเงินให้ชาวนากรณีเป็นพื้นที่รับน้ําจากถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรชี้แจง การชดเชยเงินให้ชาวนากรณีเป็นพื้นที่รับน้ําจากถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ชี้แจงการชดเชยเงินให้ชาวนากรณีเป็นพื้นที่รับน้ําจากถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ตามที่กรณีเพจ “ต้องแฉ” ซึ่งมีผู้ติดตาม 24,313 คน ตั้งข้อสังเกตถึงเงินช่วยเหลือชาวนาที่เป็นพื้นที่รับน้ําจากการสูบออกจากถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน เพื่อช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนทีมหมูป่าอคาเดมี ว่าเหตุใดจึงได้รับการชดเชยค่าเสียหายเพียง 1,100 บาท / ไร่ ขณะที่ระเบียบกําหนดจ่าย 1,260 บาท/ไร่ กรมส่งเสริมการเกษตร ขอชี้แจงว่า สําหรับขั้นตอนการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีที่เกษตรกรได้รับผลกระทบหรือประสบภัยพิบัติ กรมส่งเสริมการเกษตรได้ยึดหลักปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 ดังนี้ สําหรับหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือ เกษตรกรที่จะได้รับความช่วยเหลือต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร ไว้ก่อนเกิดภัย และช่วยเหลือเกษตรกรตามจํานวนพื้นที่จริงที่ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ รายละไม่เกิน 30 ไร่ โดยมีอัตราการช่วยเหลือชดเชยความเสียหาย ตามระเบียบ กําหนดว่า ข้าว อัตราไร่ละ 1,113 บาท พืชไร่ อัตราไร่ละ 1,148 บาท พืชสวนและอื่น ๆ อัตราไร่ละ 1,690 บาท สําหรับขั้นตอนและวิธีการดําเนินการให้ความช่วยเหลือ คือ เมื่อเกิดภัยพิบัติ ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องประกาศเขตพื้นที่การให้ความช่วยเหลือฯ และผู้ว่าราชการจังหวัด/นายอําเภอประกาศให้เกษตรกรยื่นแบบความจํานงขอรับการช่วยเหลือ (กษ 01) พร้อมทั้งมีการรับรองโดยผู้นําท้องถิ่น นอกจากนี้การตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย มีการตรวจสอบกับทะเบียนเกษตรกร รวมถึงคณะกรรมการตรวจสอบระดับหมู่บ้านตรวจสอบพื้นที่เสียหายจริงและรับรอง หลังจากนั้นทําการบันทึกและประมวลข้อมูล ติดประกาศการคัดค้านไม่น้อยกว่า 3 วัน โดยเสนอคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติระดับอําเภอ/จังหวัด (ก.ช.ภ.อ./ก.ช.ภ.จ.) พิจารณาให้ความช่วยเหลือ โดยใช้เงินทดรองในอํานาจผู้ว่าราชการจังหวัด วงเงิน 20 ล้านบาท ซึ่งหากไม่เพียงพอ นําเสนอกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อขอใช้เงินทดรองราชการในอํานาจปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน 50 ล้านบาท ได้ต่อไป และเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย จะโอนผ่านบัญชีของเกษตรกรที่ได้ยื่นพร้อมแบบความจํานงขอรับการช่วยเหลือ ตั้งแต่แรก สําหรับกรณีเกษตรกรที่เป็นพื้นที่รับน้ําจากการสูบออกจากถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน นั้น กรมส่งเสริมการเกษตร ในเบื้องต้นสํารวจแล้วพบว่า มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ําฝนที่ตกสะสมและปริมาณน้ําที่สูบออกลงลําธารสาธารณะ จํานวน 1,397 ไร่ เกษตรกร 101 ราย คิดเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบราว 8.39% เมื่อเทียบกับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้ ในฤดูกาลผลิต ปี 60/61 ในพื้นที่ 3 ตําบล 16,646 ไร่ 907 ครัวเรือน ซึ่งการช่วยเหลือ ขณะนี้ได้กําชับเกษตรจังหวัดให้ติดตาม และลงพื้นที่ให้กําลังใจเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจัดทําแผนการปฏิบัติงานการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีได้รับผลกระทบจากการระบายน้ําจากวนอุทยานถ้ําหลวง – ขุนน้ํานางนอน อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ขณะนี้ (5 ก.ค.61) อยู่ระหว่างการให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบมาแจ้งความเสียหายตามแบบยื่นความจํานง และคณะกรรมการตรวจสอบความเสียหายจากภัยพิบัติด้านพืชระดับหมู่บ้าน จะลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายที่แท้จริงเป็นรายแปลง ทุกแปลง เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามระเบียบและหลักเกณฑ์ ต่อไป -------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรชี้แจง การชดเชยเงินให้ชาวนากรณีเป็นพื้นที่รับน้ำจากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม 2561 อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรชี้แจง การชดเชยเงินให้ชาวนากรณีเป็นพื้นที่รับน้ําจากถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรชี้แจง การชดเชยเงินให้ชาวนากรณีเป็นพื้นที่รับน้ําจากถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ชี้แจงการชดเชยเงินให้ชาวนากรณีเป็นพื้นที่รับน้ําจากถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน ตามที่กรณีเพจ “ต้องแฉ” ซึ่งมีผู้ติดตาม 24,313 คน ตั้งข้อสังเกตถึงเงินช่วยเหลือชาวนาที่เป็นพื้นที่รับน้ําจากการสูบออกจากถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน เพื่อช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนทีมหมูป่าอคาเดมี ว่าเหตุใดจึงได้รับการชดเชยค่าเสียหายเพียง 1,100 บาท / ไร่ ขณะที่ระเบียบกําหนดจ่าย 1,260 บาท/ไร่ กรมส่งเสริมการเกษตร ขอชี้แจงว่า สําหรับขั้นตอนการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีที่เกษตรกรได้รับผลกระทบหรือประสบภัยพิบัติ กรมส่งเสริมการเกษตรได้ยึดหลักปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2556 ดังนี้ สําหรับหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือ เกษตรกรที่จะได้รับความช่วยเหลือต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร ไว้ก่อนเกิดภัย และช่วยเหลือเกษตรกรตามจํานวนพื้นที่จริงที่ได้รับความเสียหาย ทั้งนี้ รายละไม่เกิน 30 ไร่ โดยมีอัตราการช่วยเหลือชดเชยความเสียหาย ตามระเบียบ กําหนดว่า ข้าว อัตราไร่ละ 1,113 บาท พืชไร่ อัตราไร่ละ 1,148 บาท พืชสวนและอื่น ๆ อัตราไร่ละ 1,690 บาท สําหรับขั้นตอนและวิธีการดําเนินการให้ความช่วยเหลือ คือ เมื่อเกิดภัยพิบัติ ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องประกาศเขตพื้นที่การให้ความช่วยเหลือฯ และผู้ว่าราชการจังหวัด/นายอําเภอประกาศให้เกษตรกรยื่นแบบความจํานงขอรับการช่วยเหลือ (กษ 01) พร้อมทั้งมีการรับรองโดยผู้นําท้องถิ่น นอกจากนี้การตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย มีการตรวจสอบกับทะเบียนเกษตรกร รวมถึงคณะกรรมการตรวจสอบระดับหมู่บ้านตรวจสอบพื้นที่เสียหายจริงและรับรอง หลังจากนั้นทําการบันทึกและประมวลข้อมูล ติดประกาศการคัดค้านไม่น้อยกว่า 3 วัน โดยเสนอคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติระดับอําเภอ/จังหวัด (ก.ช.ภ.อ./ก.ช.ภ.จ.) พิจารณาให้ความช่วยเหลือ โดยใช้เงินทดรองในอํานาจผู้ว่าราชการจังหวัด วงเงิน 20 ล้านบาท ซึ่งหากไม่เพียงพอ นําเสนอกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อขอใช้เงินทดรองราชการในอํานาจปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน 50 ล้านบาท ได้ต่อไป และเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย จะโอนผ่านบัญชีของเกษตรกรที่ได้ยื่นพร้อมแบบความจํานงขอรับการช่วยเหลือ ตั้งแต่แรก สําหรับกรณีเกษตรกรที่เป็นพื้นที่รับน้ําจากการสูบออกจากถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน นั้น กรมส่งเสริมการเกษตร ในเบื้องต้นสํารวจแล้วพบว่า มีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ําฝนที่ตกสะสมและปริมาณน้ําที่สูบออกลงลําธารสาธารณะ จํานวน 1,397 ไร่ เกษตรกร 101 ราย คิดเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบราว 8.39% เมื่อเทียบกับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรไว้ ในฤดูกาลผลิต ปี 60/61 ในพื้นที่ 3 ตําบล 16,646 ไร่ 907 ครัวเรือน ซึ่งการช่วยเหลือ ขณะนี้ได้กําชับเกษตรจังหวัดให้ติดตาม และลงพื้นที่ให้กําลังใจเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจัดทําแผนการปฏิบัติงานการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีได้รับผลกระทบจากการระบายน้ําจากวนอุทยานถ้ําหลวง – ขุนน้ํานางนอน อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ขณะนี้ (5 ก.ค.61) อยู่ระหว่างการให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบมาแจ้งความเสียหายตามแบบยื่นความจํานง และคณะกรรมการตรวจสอบความเสียหายจากภัยพิบัติด้านพืชระดับหมู่บ้าน จะลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายที่แท้จริงเป็นรายแปลง ทุกแปลง เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามระเบียบและหลักเกณฑ์ ต่อไป -------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14093
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยแนะใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์อาหาร ลดต้นทุนและเพิ่มยอดขายในธุรกิจอาหาร
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562 กรุงไทยแนะใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์อาหาร ลดต้นทุนและเพิ่มยอดขายในธุรกิจอาหาร Krungthai COMPASS แนะใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ สร้างมูลค่าเพิ่มและความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะ Active Packaging ซึ่งเป็นเทรนด์บรรจุภัณฑ์อาหารแห่งอนาคตที่ช่วยยืดการเก็บรักษาอาหาร คงคุณภาพทั้งด้านสี รสชาติ คุณค่าอาหารและความปลอดภัย Krungthai COMPASS แนะใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ สร้างมูลค่าเพิ่มและความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะ Active Packaging ซึ่งเป็นเทรนด์บรรจุภัณฑ์อาหารแห่งอนาคต ที่ช่วยยืดการเก็บรักษาอาหาร เพื่อคงคุณภาพทั้งด้านสี รสชาติ คุณค่าอาหารและความปลอดภัย รวมทั้งลดต้นทุนจากการสูญเสียของอาหารตั้งแต่หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรจนก่อนถึงมือผู้บริโภคที่สูงถึง 1.88 แสนล้านบาทต่อปี และยังช่วยให้เพิ่มยอดขายในตลาดที่อยู่ห่างไกลและตลาดออนไลน์ได้ง่ายขึ้น ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจอาหารทวีความรุนแรงมากขึ้น สําหรับประเทศไทยซึ่งวางบทบาทเป็นครัวของโลก จําเป็นต้องเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องของบรรจุภัณฑ์อาหารที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก ซึ่งเป็นส่วนสําคัญในการช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจอาหาร และจากการทําบทวิจัยเรื่อง “Active Packaging ตัวช่วยของผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร” พบว่า Active Packaging ซึ่งเป็นเทรนด์บรรจุภัณฑ์แห่งอนาคตเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจของผู้ประกอบการ SME เพราะนอกจากทําหน้าที่บรรจุภัณฑ์แล้ว ยังช่วยยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์อาหาร คงคุณภาพทั้งในด้านสี รสชาติ คุณค่าทางอาหาร รวมทั้งความปลอดภัยของอาหารให้นานขึ้น ดังนั้นจึงช่วยตอบโจทย์เรื่องการสูญเสียในกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งในแต่ละปีมีมูลค่าการสูญเสีย 30% หรือกว่า 188,000 ล้านบาท ช่วยรับมือกับความท้าทายในยุคอาหาร Clean Label ซึ่งไม่ใช้สารสังเคราะห์ในการแต่งเติมและสารกันบูด อีกทั้งช่วยเพิ่มยอดขายในตลาดที่อยู่ห่างไกล รวมทั้งขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดออนไลน์ ในกลุ่ม E-grocery และ Food Delivery เพื่อรองรับตลาด E-Commerce ที่กําลังเติบโต “Active Packaging เหมาะกับผู้ประกอบการที่ยังมีอายุการเก็บรักษาของอาหารสั้นกว่ามาตรฐาน จนเกิดปัญหาต้นทุนจากการสูญเสียและการคืนสินค้าเนื่องจากผลิตภัณฑ์เน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค ซึ่งรูปแบบที่นิยมใช้ คือ การผสมเป็นส่วนหนึ่งของวัสดุที่ใช้ทําบรรจุภัณฑ์ เช่น การใช้ฟิล์มที่เคลือบสารต้านเชื้อแบคทีเรีย หรือฟิล์มที่ช่วยดัดแปลงสภาวะบรรยากาศภายในบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับอาหารแต่ละประเภท ซึ่งต้องพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนให้เหมาะกับอาหารแต่ละประเภท ตัวอย่างของการนําเทคโนโลยีนี้มาใช้ เช่น ประเทศเอกวาดอร์ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกกล้วยรายใหญ่อันดับ 1 ของโลกมูลค่าการส่งออกกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี ใช้บรรจุภัณฑ์ Active Packaging ที่ช่วยดูดซับก๊าซที่เป็นสาเหตุทําให้ผลไม้เน่าเสียเร็ว ส่งผลให้ยืดอายุความสดของกล้วยนานถึง 70 วัน ทําให้สามารถส่งออกไปได้ไกลกว่าค่าเฉลี่ยระยะทางในการส่งออกกล้วยในตลาดโลกถึง 2 เท่า” นายอภินันทร์ สู่ประเสริฐ รองผู้อํานวยการฝ่าย ผู้ร่วมทําวิจัยกล่าวเสริมว่า ในการเตรียมตัวเพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Active Packaging ผู้ประกอบการควรทําความรู้จักและเป็น Partnership กับหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการช่วยทํา R&D เพื่อลดความเสี่ยงในการทํา R&D เอง และช่วยให้สามารถใช้เทคโนโลยีให้ประสบความสําเร็จได้ง่ายขึ้น ได้แก่ หน่วยงานวิจัยจากภาครัฐหรือสถาบันการศึกษา เช่น ภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุและวัสดุ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งผู้ผลิตและจําหน่าย Packaging Technology ซึ่งในไทยมีหลายรายที่มีความรู้และสามารถช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการได้ “อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่ต้องการใช้เทคโนโลยี Active Packaging ควรเริ่มจากการศึกษาลักษณะของผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นเป้าหมายว่าปัจจัยใดที่ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีอายุการเก็บรักษาที่สั้นลง เพื่อเลือกใช้ Active Packaging Solution อย่างเหมาะสม ที่สําคัญต้องไม่ทําให้เกิดการปนเปื้อนหรือสารตกค้าง รวมทั้งทําให้รสชาติ สี กลิ่น และสารอาหารเปลี่ยนไป โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารสด เช่น เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ ธัญพืช นม ขนมปัง ขนมอบ เค้ก คุกกี้ ไปจนถึงอาหารปรุงสําเร็จพร้อมรับประทาน ซึ่งในไทยสินค้ากลุ่มนี้มีมูลค่าตลาดถึง 3.67 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของมูลค่าสินค้าอาหารทั้งหมด โดยเป็นผู้ประกอบการ SME กว่า 30% หรือประมาณ 1.1 แสนล้านบาท” ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด โทร. 0-2208-4174-8
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยแนะใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์อาหาร ลดต้นทุนและเพิ่มยอดขายในธุรกิจอาหาร วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562 กรุงไทยแนะใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์อาหาร ลดต้นทุนและเพิ่มยอดขายในธุรกิจอาหาร Krungthai COMPASS แนะใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ สร้างมูลค่าเพิ่มและความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะ Active Packaging ซึ่งเป็นเทรนด์บรรจุภัณฑ์อาหารแห่งอนาคตที่ช่วยยืดการเก็บรักษาอาหาร คงคุณภาพทั้งด้านสี รสชาติ คุณค่าอาหารและความปลอดภัย Krungthai COMPASS แนะใช้เทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ สร้างมูลค่าเพิ่มและความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจอาหาร โดยเฉพาะ Active Packaging ซึ่งเป็นเทรนด์บรรจุภัณฑ์อาหารแห่งอนาคต ที่ช่วยยืดการเก็บรักษาอาหาร เพื่อคงคุณภาพทั้งด้านสี รสชาติ คุณค่าอาหารและความปลอดภัย รวมทั้งลดต้นทุนจากการสูญเสียของอาหารตั้งแต่หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรจนก่อนถึงมือผู้บริโภคที่สูงถึง 1.88 แสนล้านบาทต่อปี และยังช่วยให้เพิ่มยอดขายในตลาดที่อยู่ห่างไกลและตลาดออนไลน์ได้ง่ายขึ้น ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจอาหารทวีความรุนแรงมากขึ้น สําหรับประเทศไทยซึ่งวางบทบาทเป็นครัวของโลก จําเป็นต้องเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องของบรรจุภัณฑ์อาหารที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก ซึ่งเป็นส่วนสําคัญในการช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจอาหาร และจากการทําบทวิจัยเรื่อง “Active Packaging ตัวช่วยของผู้ประกอบการธุรกิจอาหาร” พบว่า Active Packaging ซึ่งเป็นเทรนด์บรรจุภัณฑ์แห่งอนาคตเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจของผู้ประกอบการ SME เพราะนอกจากทําหน้าที่บรรจุภัณฑ์แล้ว ยังช่วยยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์อาหาร คงคุณภาพทั้งในด้านสี รสชาติ คุณค่าทางอาหาร รวมทั้งความปลอดภัยของอาหารให้นานขึ้น ดังนั้นจึงช่วยตอบโจทย์เรื่องการสูญเสียในกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งในแต่ละปีมีมูลค่าการสูญเสีย 30% หรือกว่า 188,000 ล้านบาท ช่วยรับมือกับความท้าทายในยุคอาหาร Clean Label ซึ่งไม่ใช้สารสังเคราะห์ในการแต่งเติมและสารกันบูด อีกทั้งช่วยเพิ่มยอดขายในตลาดที่อยู่ห่างไกล รวมทั้งขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดออนไลน์ ในกลุ่ม E-grocery และ Food Delivery เพื่อรองรับตลาด E-Commerce ที่กําลังเติบโต “Active Packaging เหมาะกับผู้ประกอบการที่ยังมีอายุการเก็บรักษาของอาหารสั้นกว่ามาตรฐาน จนเกิดปัญหาต้นทุนจากการสูญเสียและการคืนสินค้าเนื่องจากผลิตภัณฑ์เน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค ซึ่งรูปแบบที่นิยมใช้ คือ การผสมเป็นส่วนหนึ่งของวัสดุที่ใช้ทําบรรจุภัณฑ์ เช่น การใช้ฟิล์มที่เคลือบสารต้านเชื้อแบคทีเรีย หรือฟิล์มที่ช่วยดัดแปลงสภาวะบรรยากาศภายในบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับอาหารแต่ละประเภท ซึ่งต้องพิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนให้เหมาะกับอาหารแต่ละประเภท ตัวอย่างของการนําเทคโนโลยีนี้มาใช้ เช่น ประเทศเอกวาดอร์ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกกล้วยรายใหญ่อันดับ 1 ของโลกมูลค่าการส่งออกกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อปี ใช้บรรจุภัณฑ์ Active Packaging ที่ช่วยดูดซับก๊าซที่เป็นสาเหตุทําให้ผลไม้เน่าเสียเร็ว ส่งผลให้ยืดอายุความสดของกล้วยนานถึง 70 วัน ทําให้สามารถส่งออกไปได้ไกลกว่าค่าเฉลี่ยระยะทางในการส่งออกกล้วยในตลาดโลกถึง 2 เท่า” นายอภินันทร์ สู่ประเสริฐ รองผู้อํานวยการฝ่าย ผู้ร่วมทําวิจัยกล่าวเสริมว่า ในการเตรียมตัวเพื่อประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Active Packaging ผู้ประกอบการควรทําความรู้จักและเป็น Partnership กับหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการช่วยทํา R&D เพื่อลดความเสี่ยงในการทํา R&D เอง และช่วยให้สามารถใช้เทคโนโลยีให้ประสบความสําเร็จได้ง่ายขึ้น ได้แก่ หน่วยงานวิจัยจากภาครัฐหรือสถาบันการศึกษา เช่น ภาควิชาเทคโนโลยีการบรรจุและวัสดุ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมทั้งผู้ผลิตและจําหน่าย Packaging Technology ซึ่งในไทยมีหลายรายที่มีความรู้และสามารถช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการได้ “อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่ต้องการใช้เทคโนโลยี Active Packaging ควรเริ่มจากการศึกษาลักษณะของผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นเป้าหมายว่าปัจจัยใดที่ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีอายุการเก็บรักษาที่สั้นลง เพื่อเลือกใช้ Active Packaging Solution อย่างเหมาะสม ที่สําคัญต้องไม่ทําให้เกิดการปนเปื้อนหรือสารตกค้าง รวมทั้งทําให้รสชาติ สี กลิ่น และสารอาหารเปลี่ยนไป โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อาหารสด เช่น เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ ธัญพืช นม ขนมปัง ขนมอบ เค้ก คุกกี้ ไปจนถึงอาหารปรุงสําเร็จพร้อมรับประทาน ซึ่งในไทยสินค้ากลุ่มนี้มีมูลค่าตลาดถึง 3.67 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของมูลค่าสินค้าอาหารทั้งหมด โดยเป็นผู้ประกอบการ SME กว่า 30% หรือประมาณ 1.1 แสนล้านบาท” ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด โทร. 0-2208-4174-8
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24402
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ห่างเท่าไร ถึงปลอดภัยไร้ COVID-19
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 ห่างเท่าไร ถึงปลอดภัยไร้ COVID-19 ห่างเท่าไร ถึงปลอดภัยไร้ COVID-19
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ห่างเท่าไร ถึงปลอดภัยไร้ COVID-19 วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 ห่างเท่าไร ถึงปลอดภัยไร้ COVID-19 ห่างเท่าไร ถึงปลอดภัยไร้ COVID-19
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31397
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 17 มกราคม 2560
วันอังคารที่ 17 มกราคม 2560 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 17 มกราคม 2560 วันนี้ (17 มกราคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 17 มกราคม 2560 วันอังคารที่ 17 มกราคม 2560 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 17 มกราคม 2560 วันนี้ (17 มกราคม 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1385
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนพฤศจิกายน 2561
วันพุธที่ 26 ธันวาคม 2561 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนพฤศจิกายน 2561 เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 ได้รับแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศเป็นสําคัญ โดยการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปีสูงสุดในรอบ 4 เดือน และการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 ได้รับแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศเป็นสําคัญ โดยการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปีสูงสุดในรอบ 4 เดือน และการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 26.9 ต่อปีสําหรับด้านอุปสงค์ภายนอกประเทศจากการส่งออกสินค้ามีสัญญาณทรงตัวเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่จํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาขยายตัวเป็นบวก” นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วย นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้อํานวยการส่วนการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนพฤศจิกายนปี 2561 ว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 ได้รับแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศเป็นสําคัญ โดยการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปี สูงสุดในรอบ 4 เดือน และการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 26.9 ต่อปี สําหรับด้านอุปสงค์ภายนอกประเทศจากการส่งออกสินค้ามีสัญญาณทรงตัวเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่จํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาขยายตัวเป็นบวก” โดยมีรายละเอียดสรุป ได้ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่ขยายตัวได้ดีที่ระดับร้อยละ 12.8 ต่อปี ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปี ขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 เดือน และปริมาณการนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ขยายตัวร้อยละ 9.4 ต่อปี สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 67.5 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย โดยมีปัจจัยลบจากราคาพืชผลทางการเกษตร จํานวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยลดลง สถานการณ์สงครามการค้า และการขยายตัวชะลอลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในไตรมาสที่ 3 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้ดีจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างส่งสัญญาณชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ที่ระดับร้อยละ 26.9 ต่อปี เนื่องจากยอดจําหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ขยายตัว ร้อยละ 27.5 ต่อปี สําหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้าง สะท้อนจากภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.1 ต่อปี ขณะที่ปริมาณจําหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในเดือนพฤศจิกายน 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 5.4 ต่อปี ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับตั้งแต่เดือน มีนาคม 2561 จากการขยายตัวตามการก่อสร้าง สําหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 108.0 คิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 1.3 ต่อปี จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กสูงขึ้นร้อยละ 3.3 อุปสงค์จากต่างประเทศผ่านการส่งออกสินค้ากลับมาส่งสัญญาณชะลอตัว โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนพฤศจิกายน 2561 มีมูลค่า 21.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาหดตัวที่ร้อยละ -0.95 ต่อปี อย่างไรก็ดี การส่งออกในตลาดสําคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และ CLMV ยังคงขยายตัวในระดับสูง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือน ทั้งนี้ สินค้าที่สนับสนุนการส่งออกที่สําคัญ ได้แก่ สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เช่น เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง และทูน่ากระป๋อง เป็นต้น สําหรับมูลค่าการนําเข้าสินค้า มีมูลค่า 22.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนพฤศจิกายน 2561 กลับมาขาดดุลจํานวน 1,178 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานในเดือนพฤศจิกายน 2561 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเดือนพฤศจิกายน 2561 หดตัวที่ร้อยละ -2.9 ต่อปี โดยหดตัวใน หมวดพืชผลสําคัญ และหมวดประมง ที่ร้อยละ -3.3 และ -17.0 ตามลําดับ ขณะที่ หมวดปศุสัตว์ยังคงขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) อยู่ที่ระดับ 93.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 66 เดือน โดยค่าดัชนีที่เพิ่มขึ้นเกิดจากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการทั้งขนาดย่อม กลาง และขนาดใหญ่ เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งผลิตสินค้าชดเชยวันทํางานน้อยกว่าปกติในเดือนธันวาคม และมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ แฟชั่น อาหาร กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการปรับลดของราคาน้ํามันส่งผลดีทําให้ต้นทุนการประกอบการลดต่ําลง นอกจากนี้ จํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 มีจํานวน 3.18 ล้านคน กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.5 ต่อปี จากการขยายตัวต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ที่ขยายตัวในระดับสูงร้อยละ 44.6 ต่อปี ซึ่งนับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 41 เดือน นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวประเทศอื่นยังคงขยายตัวได้ดี ได้แก่ นักท่องเที่ยวอินเดียและฮ่องกง เป็นต้น ทั้งนี้ ส่งผลทําให้เดือนพฤศจิกายน 2561 มีรายได้จากการท่องเที่ยวต่างประเทศ มูลค่า 167,418 ล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 5.18 ต่อปี เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ตามราคาน้ํามันเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่ขยายตัวในอัตราชะลอลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานทั้งหมด หรือคิดเป็นจํานวนผู้ว่างงาน 3.7 แสนคน ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 ทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 41.7 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งเพดานไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ต่อ GDP ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สําหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ เดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 203.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3.2 เท่า
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนพฤศจิกายน 2561 วันพุธที่ 26 ธันวาคม 2561 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนพฤศจิกายน 2561 เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 ได้รับแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศเป็นสําคัญ โดยการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปีสูงสุดในรอบ 4 เดือน และการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 ได้รับแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศเป็นสําคัญ โดยการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปีสูงสุดในรอบ 4 เดือน และการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 26.9 ต่อปีสําหรับด้านอุปสงค์ภายนอกประเทศจากการส่งออกสินค้ามีสัญญาณทรงตัวเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่จํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาขยายตัวเป็นบวก” นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วย นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้อํานวยการส่วนการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนพฤศจิกายนปี 2561 ว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 ได้รับแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศเป็นสําคัญ โดยการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปี สูงสุดในรอบ 4 เดือน และการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 26.9 ต่อปี สําหรับด้านอุปสงค์ภายนอกประเทศจากการส่งออกสินค้ามีสัญญาณทรงตัวเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่จํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาขยายตัวเป็นบวก” โดยมีรายละเอียดสรุป ได้ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่ขยายตัวได้ดีที่ระดับร้อยละ 12.8 ต่อปี ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปี ขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 เดือน และปริมาณการนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ขยายตัวร้อยละ 9.4 ต่อปี สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 67.5 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย โดยมีปัจจัยลบจากราคาพืชผลทางการเกษตร จํานวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยลดลง สถานการณ์สงครามการค้า และการขยายตัวชะลอลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในไตรมาสที่ 3 เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้ดีจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างส่งสัญญาณชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ที่ระดับร้อยละ 26.9 ต่อปี เนื่องจากยอดจําหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ขยายตัว ร้อยละ 27.5 ต่อปี สําหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้าง สะท้อนจากภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.1 ต่อปี ขณะที่ปริมาณจําหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในเดือนพฤศจิกายน 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 5.4 ต่อปี ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับตั้งแต่เดือน มีนาคม 2561 จากการขยายตัวตามการก่อสร้าง สําหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 108.0 คิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 1.3 ต่อปี จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กสูงขึ้นร้อยละ 3.3 อุปสงค์จากต่างประเทศผ่านการส่งออกสินค้ากลับมาส่งสัญญาณชะลอตัว โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนพฤศจิกายน 2561 มีมูลค่า 21.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาหดตัวที่ร้อยละ -0.95 ต่อปี อย่างไรก็ดี การส่งออกในตลาดสําคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และ CLMV ยังคงขยายตัวในระดับสูง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือน ทั้งนี้ สินค้าที่สนับสนุนการส่งออกที่สําคัญ ได้แก่ สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เช่น เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง และทูน่ากระป๋อง เป็นต้น สําหรับมูลค่าการนําเข้าสินค้า มีมูลค่า 22.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนพฤศจิกายน 2561 กลับมาขาดดุลจํานวน 1,178 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานในเดือนพฤศจิกายน 2561 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเดือนพฤศจิกายน 2561 หดตัวที่ร้อยละ -2.9 ต่อปี โดยหดตัวใน หมวดพืชผลสําคัญ และหมวดประมง ที่ร้อยละ -3.3 และ -17.0 ตามลําดับ ขณะที่ หมวดปศุสัตว์ยังคงขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) อยู่ที่ระดับ 93.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 66 เดือน โดยค่าดัชนีที่เพิ่มขึ้นเกิดจากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการทั้งขนาดย่อม กลาง และขนาดใหญ่ เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งผลิตสินค้าชดเชยวันทํางานน้อยกว่าปกติในเดือนธันวาคม และมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ แฟชั่น อาหาร กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการปรับลดของราคาน้ํามันส่งผลดีทําให้ต้นทุนการประกอบการลดต่ําลง นอกจากนี้ จํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 มีจํานวน 3.18 ล้านคน กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.5 ต่อปี จากการขยายตัวต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ที่ขยายตัวในระดับสูงร้อยละ 44.6 ต่อปี ซึ่งนับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 41 เดือน นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวประเทศอื่นยังคงขยายตัวได้ดี ได้แก่ นักท่องเที่ยวอินเดียและฮ่องกง เป็นต้น ทั้งนี้ ส่งผลทําให้เดือนพฤศจิกายน 2561 มีรายได้จากการท่องเที่ยวต่างประเทศ มูลค่า 167,418 ล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 5.18 ต่อปี เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ตามราคาน้ํามันเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่ขยายตัวในอัตราชะลอลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกําลังแรงงานทั้งหมด หรือคิดเป็นจํานวนผู้ว่างงาน 3.7 แสนคน ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 ทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 41.7 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งเพดานไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ต่อ GDP ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สําหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ เดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 203.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3.2 เท่า
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17784
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เปิดงานสัมมนา ครบรอบ 25 ปี สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ International Forum on Transforming Productivity for Tomorrow Success
วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ปลัดกอบชัยฯ เปิดงานสัมมนา ครบรอบ 25 ปี สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ International Forum on Transforming Productivity for Tomorrow Success นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนา ครบรอบ 25 ปี สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ณ ห้อง Grand Hall ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 09.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนา ครบรอบ 25 ปี สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ International Forum on Transforming Productivity for Tomorrow Success โดยมี นายพานิช เหล่าศิริรัตน์ ผู้อํานวยการสถาบันเพิ่มผลิตแห่งชาติ คณะผู้บริหาร และผู้เข้าร่วมสัมมนา ให้การต้อนรับ ณ ห้อง Grand Hall ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ สําหรับงานสัมมนาครบรอบ 25 ปี สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ “International Forum on Transforming Productivity for Tomorrow Success” จัดขึ้นโดยการนําเสนอมุมมองการขับเคลื่อนผลิตภาพใน 4 มิติ ที่จะเป็นรูปแบบเครื่องมือสําคัญในการสนับสนุนผู้ประกอบการ และองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนให้สามารถเติบโตและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเท่าทัน ประกอบด้วย การส่งเสริมกระบวนการพัฒนาองค์กร Industry Upgrading, Creativity & Innovation, Data Analytics and Digital Technology และ High Skilled Workforce รวมถึงนําเสนอวิสัยทัศน์จากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ รวมถึงผู้บริหารระดับสูงองค์กรชั้นนําทั้งในและต่างประเทศที่จะให้มุมมองรอบด้านในเรื่องความสําคัญของผลิตภาพเพื่อยกระดับประสิทธิภาพขององค์กร เสริมความรู้ด้านผลิตภาพให้สามารถพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้อย่างยั่งยืนต่อไป ปลัดกอบชัยฯ กล่าวว่า ปัจจุบันสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ได้มีการขยายขอบเขตการดําเนินงานไปในทุกภาคส่วนไม่ได้เฉพาะแต่ภาคอุตสาหกรรม แต่ยังครอบคลุมถึงภาคบริการ ภาครัฐ และภาคเกษตรแปรรูป เพื่อผลักดันให้เกิดการเพิ่มผลิตภาพในทุกภาคส่วนของประเทศ และมีบทบาทหน้าที่ในการชี้นํา และยกระดับผลิตภาพขององค์กร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เสริมสร้างการเติบโตที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืนขององค์กรและประเทศ ภายใต้เป้าหมายสําคัญของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ได้กําหนดไว้ว่าประเทศไทยจะต้องเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2580 ซึ่งในมิติเศรษฐกิจ “ประเทศที่พัฒนาแล้ว” หมายถึง ประเทศที่มีสถานะทางเศรษฐกิจอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูง โดยการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน เพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าวยังอยู่ภายใต้ข้อจํากัดทั้งในเรื่องทรัพยากรและความท้าทายจากประเทศเกิดใหม่ (Emerging Countries) การเพิ่มผลิตภาพของประเทศจึงเป็นองค์ประกอบที่สําคัญควบคู่ไปกับองค์ประกอบด้านอื่นๆในการนําพาประเทศไปสู่การบรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนด นอกจากนี้ ในยุคที่โลกกําลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีดิจิทัลจึงจําเป็นต้องก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเพราะความสามารถในการนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้จะนํามาซึ่งผลสําเร็จในการเพิ่มผลิตภาพอย่างก้าวกระโดด ควบคู่ไปกับเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มผลิตภาพต่าง ๆ อาทิ ลีน (Lean) ไคเซน (Kaizen) การวิเคราะห์ OEE และ Sig sigma เป็นต้น อย่างไรก็ดีในโอกาสที่สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติครบรอบ 25 ปี ในฐานะเป็นสถาบันแห่งชาติ ที่มีบทบาทหน้าที่ในการชี้นําและยกระดับผลิตภาพขององค์กรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เสริมสร้างการเติบโตที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืนขององค์กรและประเทศในอนาคต #กระทรวงอุตสาหกรรม #สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ #ยกระดับผลิตภาพ #25 ปี สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เปิดงานสัมมนา ครบรอบ 25 ปี สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ International Forum on Transforming Productivity for Tomorrow Success วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 ปลัดกอบชัยฯ เปิดงานสัมมนา ครบรอบ 25 ปี สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ International Forum on Transforming Productivity for Tomorrow Success นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนา ครบรอบ 25 ปี สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ณ ห้อง Grand Hall ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ วันนี้ (19 กุมภาพันธ์ 2563) เวลา 09.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดงานสัมมนา ครบรอบ 25 ปี สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ International Forum on Transforming Productivity for Tomorrow Success โดยมี นายพานิช เหล่าศิริรัตน์ ผู้อํานวยการสถาบันเพิ่มผลิตแห่งชาติ คณะผู้บริหาร และผู้เข้าร่วมสัมมนา ให้การต้อนรับ ณ ห้อง Grand Hall ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ สําหรับงานสัมมนาครบรอบ 25 ปี สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ “International Forum on Transforming Productivity for Tomorrow Success” จัดขึ้นโดยการนําเสนอมุมมองการขับเคลื่อนผลิตภาพใน 4 มิติ ที่จะเป็นรูปแบบเครื่องมือสําคัญในการสนับสนุนผู้ประกอบการ และองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนให้สามารถเติบโตและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเท่าทัน ประกอบด้วย การส่งเสริมกระบวนการพัฒนาองค์กร Industry Upgrading, Creativity & Innovation, Data Analytics and Digital Technology และ High Skilled Workforce รวมถึงนําเสนอวิสัยทัศน์จากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ รวมถึงผู้บริหารระดับสูงองค์กรชั้นนําทั้งในและต่างประเทศที่จะให้มุมมองรอบด้านในเรื่องความสําคัญของผลิตภาพเพื่อยกระดับประสิทธิภาพขององค์กร เสริมความรู้ด้านผลิตภาพให้สามารถพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคตได้อย่างยั่งยืนต่อไป ปลัดกอบชัยฯ กล่าวว่า ปัจจุบันสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ได้มีการขยายขอบเขตการดําเนินงานไปในทุกภาคส่วนไม่ได้เฉพาะแต่ภาคอุตสาหกรรม แต่ยังครอบคลุมถึงภาคบริการ ภาครัฐ และภาคเกษตรแปรรูป เพื่อผลักดันให้เกิดการเพิ่มผลิตภาพในทุกภาคส่วนของประเทศ และมีบทบาทหน้าที่ในการชี้นํา และยกระดับผลิตภาพขององค์กร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เสริมสร้างการเติบโตที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืนขององค์กรและประเทศ ภายใต้เป้าหมายสําคัญของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันที่ได้กําหนดไว้ว่าประเทศไทยจะต้องเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2580 ซึ่งในมิติเศรษฐกิจ “ประเทศที่พัฒนาแล้ว” หมายถึง ประเทศที่มีสถานะทางเศรษฐกิจอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูง โดยการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน เพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าวยังอยู่ภายใต้ข้อจํากัดทั้งในเรื่องทรัพยากรและความท้าทายจากประเทศเกิดใหม่ (Emerging Countries) การเพิ่มผลิตภาพของประเทศจึงเป็นองค์ประกอบที่สําคัญควบคู่ไปกับองค์ประกอบด้านอื่นๆในการนําพาประเทศไปสู่การบรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนด นอกจากนี้ ในยุคที่โลกกําลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีดิจิทัลจึงจําเป็นต้องก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเพราะความสามารถในการนําเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้จะนํามาซึ่งผลสําเร็จในการเพิ่มผลิตภาพอย่างก้าวกระโดด ควบคู่ไปกับเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มผลิตภาพต่าง ๆ อาทิ ลีน (Lean) ไคเซน (Kaizen) การวิเคราะห์ OEE และ Sig sigma เป็นต้น อย่างไรก็ดีในโอกาสที่สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติครบรอบ 25 ปี ในฐานะเป็นสถาบันแห่งชาติ ที่มีบทบาทหน้าที่ในการชี้นําและยกระดับผลิตภาพขององค์กรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เสริมสร้างการเติบโตที่เข้มแข็งอย่างยั่งยืนขององค์กรและประเทศในอนาคต #กระทรวงอุตสาหกรรม #สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ #ยกระดับผลิตภาพ #25 ปี สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26629
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๒๙ เมษายน วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563 ๒๙ เมษายน วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร "ทรงพระเจริญ"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๒๙ เมษายน วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร วันพุธที่ 29 เมษายน 2563 ๒๙ เมษายน วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร "ทรงพระเจริญ"
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29947
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล อุทิศถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีบําเพ็ญพระราชกุศล อุทิศถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561 วันนี้ (21 ก.ค.61) เวลา 18.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561 ณ พระลานพระราชวังดุสิตโดยมี นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนประชาชนจํานวนมาก เข้าร่วมในพิธีฯ ตามลําดับพิธีฯ ดังนี้ เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยา เดินทางถึงพระลานพระราชวังดุสิต นายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเข้าสู่พลับพลาพิธี ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร นายกรัฐมนตรีเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้น เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาอาราธนาศีล สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ให้ศีล พระสงฆ์ 243 รูป สวดมาติกา เจ้าพนักงานภูษามาลาลาดภูษาโยง นายกรัฐมนตรีทอดผ้าไตรพระสงฆ์แถวหน้า จํานวน 10 รูป แล้วข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทอดผ้าไตรจนครบ 243 รูป พระสงฆ์สดับปกรณ์ นายกรัฐมนตรีกรวดน้ํา พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาอาราธนาประปริตร พระสงฆ์ 243 รูป เจริญพระพุทธมนต์ถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พระสยามเทวาธิราช สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วนายกรัฐมนตรีประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์ จํานวน 10 รูป ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมจนครบ 243 รูป นายกรัฐมนตรีกรวดน้ํา พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก จากนั้น นายกรัฐมนตรีกราบที่หน้าพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) กราบที่หน้าเครื่องนมัสการ กราบที่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายกรัฐมนตรีและภริยา ยืนประนมมือส่งริ้วขบวนอัญเชิญพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) พลอากาศเอก เกษม อยู่สุข กราบพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) เพื่ออัญเชิญกลับพระที่นั่งอัมพรสถาน เจ้าพนักงานอัญเชิญพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) ออกจากพลับพลาพิธี ขึ้นประดิษฐานบนรถยนต์พระประเทียบ เสร็จภารกิจ นายกรัฐมนตรีและภริยา เดินทางกลับ ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล อุทิศถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีบําเพ็ญพระราชกุศล อุทิศถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561 วันนี้ (21 ก.ค.61) เวลา 18.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีบําเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2561 ณ พระลานพระราชวังดุสิตโดยมี นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตลอดจนประชาชนจํานวนมาก เข้าร่วมในพิธีฯ ตามลําดับพิธีฯ ดังนี้ เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยา เดินทางถึงพระลานพระราชวังดุสิต นายกรัฐมนตรีและภริยา ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเข้าสู่พลับพลาพิธี ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร นายกรัฐมนตรีเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้น เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาอาราธนาศีล สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ให้ศีล พระสงฆ์ 243 รูป สวดมาติกา เจ้าพนักงานภูษามาลาลาดภูษาโยง นายกรัฐมนตรีทอดผ้าไตรพระสงฆ์แถวหน้า จํานวน 10 รูป แล้วข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทอดผ้าไตรจนครบ 243 รูป พระสงฆ์สดับปกรณ์ นายกรัฐมนตรีกรวดน้ํา พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาอาราธนาประปริตร พระสงฆ์ 243 รูป เจริญพระพุทธมนต์ถวายสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พระสยามเทวาธิราช สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วนายกรัฐมนตรีประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมพระสงฆ์ จํานวน 10 รูป ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมจนครบ 243 รูป นายกรัฐมนตรีกรวดน้ํา พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก จากนั้น นายกรัฐมนตรีกราบที่หน้าพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) กราบที่หน้าเครื่องนมัสการ กราบที่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายกรัฐมนตรีและภริยา ยืนประนมมือส่งริ้วขบวนอัญเชิญพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) พลอากาศเอก เกษม อยู่สุข กราบพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) เพื่ออัญเชิญกลับพระที่นั่งอัมพรสถาน เจ้าพนักงานอัญเชิญพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) ออกจากพลับพลาพิธี ขึ้นประดิษฐานบนรถยนต์พระประเทียบ เสร็จภารกิจ นายกรัฐมนตรีและภริยา เดินทางกลับ ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14020
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถวายราชสักการะสมเด็จย่า เนื่องในวันพระราชสมภพและวันพยาบาลแห่งชาติ
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถวายราชสักการะสมเด็จย่า เนื่องในวันพระราชสมภพและวันพยาบาลแห่งชาติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําข้าราชการ บุคลากรสายพยาบาลทั้งจากภาครัฐและเอกชน วางพานพุ่มถวายราชสักการะสมเด็จพระศรีนคริทราบรมราชชนนี เนื่องวันคล้ายวันพระราชสมภพและวันพยาบาลแห่งชาติ วันนี้ (21 ตุลาคม 2562) ที่ กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นําผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ตัวแทนพยาบาลจากภาครัฐและเอกชน และนักศึกษาพยาบาล ร่วมพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนกและ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และวันพยาบาลแห่งชาติ นายอนุทินกล่าวว่า วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และรัฐบาลประกาศให้เป็นวันพยาบาลแห่งชาติ ตั้งแต่ พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา ซึ่งวันนี้มีความสําคัญยิ่งต่อวิชาชีพการพยาบาล ในฐานะที่พระองค์ท่านทรงสําเร็จการศึกษาวิชาการพยาบาล และตลอดพระชนม์ชีพ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการพัฒนาสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา วิริยะอุตสาหะ นําสิริสุขแก่ปวงชน ทุกก้าวพระบาทที่เสด็จไปถึง สมควรเป็นแบบอย่างแก่ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาล ให้ตระหนักในภารกิจของวิชาชีพแห่งตนว่าเป็นงานบริการสุขภาพที่มีความสําคัญ ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขพยาบาลนับเป็นบุคลากรที่มีมากที่สุดและเป็นกําลังหลักในระบบริการสาธารณสุข ปัจจุบันมีพยาบาลที่ปฏิบัติงานในกระทรวงสาธารณสุขที่เป็นข้าราชการและจ้างงานอื่นๆ จํานวนประมาณ110,000คน โดยปฏิบัติงานสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขประมาณ100,000คนในโรงพยาบาลทุกระดับ โดยพยาบาลที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล จะเน้นด้านการรักษาพยาบาลขั้นต้น การส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรคไม่ให้เจ็บป่วย รวมทั้งการฟื้นฟูสุขภาพ ส่วนในโรงพยาบาลใหญ่ คือโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป เน้นด้านการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มีความยุ่งยากซับซ้อนต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ อย่างทั่วถึง สะดวก และรวดเร็ว กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายการพัฒนาศักยภาพและจัดการกระจายกําลังคนด้านการพยาบาลให้ได้ในสัดส่วนพยาบาล 1 คน ต่อ 300 ประชากร เพื่อยกระดับมาตรฐานบริการสุขภาพของประเทศตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ *************************** 21 ตุลาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถวายราชสักการะสมเด็จย่า เนื่องในวันพระราชสมภพและวันพยาบาลแห่งชาติ วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ถวายราชสักการะสมเด็จย่า เนื่องในวันพระราชสมภพและวันพยาบาลแห่งชาติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นําข้าราชการ บุคลากรสายพยาบาลทั้งจากภาครัฐและเอกชน วางพานพุ่มถวายราชสักการะสมเด็จพระศรีนคริทราบรมราชชนนี เนื่องวันคล้ายวันพระราชสมภพและวันพยาบาลแห่งชาติ วันนี้ (21 ตุลาคม 2562) ที่ กระทรวงสาธารณสุขจ.นนทบุรีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นําผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ตัวแทนพยาบาลจากภาครัฐและเอกชน และนักศึกษาพยาบาล ร่วมพิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนกและ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และวันพยาบาลแห่งชาติ นายอนุทินกล่าวว่า วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และรัฐบาลประกาศให้เป็นวันพยาบาลแห่งชาติ ตั้งแต่ พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา ซึ่งวันนี้มีความสําคัญยิ่งต่อวิชาชีพการพยาบาล ในฐานะที่พระองค์ท่านทรงสําเร็จการศึกษาวิชาการพยาบาล และตลอดพระชนม์ชีพ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการพัฒนาสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา วิริยะอุตสาหะ นําสิริสุขแก่ปวงชน ทุกก้าวพระบาทที่เสด็จไปถึง สมควรเป็นแบบอย่างแก่ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาล ให้ตระหนักในภารกิจของวิชาชีพแห่งตนว่าเป็นงานบริการสุขภาพที่มีความสําคัญ ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขพยาบาลนับเป็นบุคลากรที่มีมากที่สุดและเป็นกําลังหลักในระบบริการสาธารณสุข ปัจจุบันมีพยาบาลที่ปฏิบัติงานในกระทรวงสาธารณสุขที่เป็นข้าราชการและจ้างงานอื่นๆ จํานวนประมาณ110,000คน โดยปฏิบัติงานสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขประมาณ100,000คนในโรงพยาบาลทุกระดับ โดยพยาบาลที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล จะเน้นด้านการรักษาพยาบาลขั้นต้น การส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรคไม่ให้เจ็บป่วย รวมทั้งการฟื้นฟูสุขภาพ ส่วนในโรงพยาบาลใหญ่ คือโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป เน้นด้านการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มีความยุ่งยากซับซ้อนต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพ อย่างทั่วถึง สะดวก และรวดเร็ว กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายการพัฒนาศักยภาพและจัดการกระจายกําลังคนด้านการพยาบาลให้ได้ในสัดส่วนพยาบาล 1 คน ต่อ 300 ประชากร เพื่อยกระดับมาตรฐานบริการสุขภาพของประเทศตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ *************************** 21 ตุลาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23936
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มูลนิธิศุภนิมิตฯ จับมือ ธพว. ปั้นเยาวชนกลุ่มเปราะบางสู่ SMEs หน้าใหม่ ร่วมพัฒนาหลักสูตรความรู้ทำธุรกิจแบบมืออาชีพตอบโจทย์ตลาดแรงงาน
วันพุธที่ 4 กันยายน 2562 มูลนิธิศุภนิมิตฯ จับมือ ธพว. ปั้นเยาวชนกลุ่มเปราะบางสู่ SMEs หน้าใหม่ ร่วมพัฒนาหลักสูตรความรู้ทําธุรกิจแบบมืออาชีพตอบโจทย์ตลาดแรงงาน มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยลงนามความร่วมมือกับ SME D Bank พัฒนาหลักสูตรปั้นเยาวชนกลุ่มเปราะบางก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการ SMEs หน้าใหม่ที่มีศักยภาพ ตอบโจทย์ตรงความต้องการตลาดแรงงาน มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ลงนามความร่วมมือกับ SME D Bank พัฒนาหลักสูตรปั้นเยาวชนกลุ่มเปราะบางก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการSMEs หน้าใหม่ที่มีศักยภาพ ตอบโจทย์ตรงความต้องการตลาดแรงงาน เผยแนวทางสนับสนุนจัดทีมวิทยากรจาก SME D Campus ถ่ายทอดความรู้การทําธุรกิจแบบมืออาชีพ พร้อมมอบทุนเริ่มต้นธุรกิจ ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง ผู้อํานวยการมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างมูลนิธิศุภนิมิตฯ และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ในครั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันดําเนินโครงการพัฒนาหลักสูตรส่งเสริม “เยาวชนเป็นผู้ประกอบการ SMEs” เพื่อเตรียมพร้อม เพิ่มศักยภาพ และปลดล็อคข้อจํากัดให้เยาวชนกลุ่มเปราะบางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อายุระหว่าง 16-25 ปี ที่เข้าร่วมโครงการเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมสู่วัยทํางานของมูลนิธิศุภนิมิตฯที่มีแนวโน้มอาจไม่ได้ศึกษาต่อ เป็นแรงงานไร้ทักษะ ตกงานหรือขาดโอกาสในการประกอบอาชีพให้ได้รับโอกาสเข้าถึงเส้นทางอาชีพที่ตนเองถนัด อย่างสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ในอนาคต ซึ่งจะก่อประโยชน์ทั้งเชิงเศรษฐกิจ และสังคม สําหรับการพัฒนาเยาวชนในโครงการฯ จะมีผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาอาชีพทําหน้าที่เป็นวิทยากร และที่ปรึกษาดูแลอย่างใกล้ชิด รวมถึง มีเจ้าของวิสาหกิจตัวจริงที่ประสบความสําเร็จ มาถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์โดยตรง ดร.สราวุธ เผยด้วยว่า การพัฒนาหลักสูตรครั้งนี้ จะทําการคัดเลือกเยาวชนในโครงการฯ ร่วมประมาณ 60 คน เพื่ออบรมอย่างเข้มข้น รวม 9 วัน หรือ 54 ชั่วโมง ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้ประกอบการ SMEs การสอนเขียนแผนธุรกิจ และเตรียม Pitching แยกตามประเภทวิชาชีพ ทั้งภาคบริการและภาคการผลิต นําเสนอแผนธุรกิจ และคัดเลือกเยาวชนที่มีแผนธุรกิจโดดเด่นให้ได้รับทุนสนับสนุนเริ่มต้นสู่การเป็นผู้ประกอบการ SMEs หน้าใหม่ จํานวน 6 ทุน สูงสุด 100,000 บาทต่อราย โดยจะมีการประกาศผลและแสดงผลงาน วันที่ 25 ตุลาคม 2562 ในงานตลาดนัด “สุดยอดเอสเอ็มอีของดีทั่วไทย” ณ Co Working Space สํานักงานใหญ่ SME D Bank สําหรับโครงการดังกล่าว เป็นการดําเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิตในเด็กและเยาวชนของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ผ่านกระบวนการค้นหาตัวตนจากหลักสูตร Youth Ready Work ขององค์กรศุภนิมิตสากล โดยดําเนินการมาต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 3 ปี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิซิตี้ (CITI Foundation) และความร่วมมือจากสถาบันวิชาชีพชั้นนํากว่า 20 สถาบัน ในการฝึกอบรมอาชีพให้แก่เยาวชนรวมกว่า 350 คน ในกลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ อาทิ กลุ่มช่างบริการ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มเสริมสวย กลุ่มบริการสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน นายพงชาญ สําเภาเงิน รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า นอกเหนือจากการสนับสนุนเงินทุนแก่เอสเอ็มอี ธนาคารยังมีภารกิจหลักในการพัฒนาผู้ประกอบการให้มีศักยภาพ สามารถประกอบธุรกิจได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน การผนึกกําลังกับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย จึงสร้างประโยชน์อย่างยิ่ง ช่วยปูพื้นฐาน พัฒนาทักษะ และเติมความรู้เชิงธุรกิจให้แก่เยาวชนพร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพ และจัดตั้งธุรกิจได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ธนาคารมีการจัดตั้ง SME D Campus สร้างบุคลากรภายในองค์กรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ ออกไปทําหน้าที่วิทยากรและที่ปรึกษาธุรกิจ เพื่อช่วยยกระดับ สร้างผู้ประกอบการใหม่ และ Startup ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ซึ่งธนาคารพร้อมจัดทีมวิทยากรจาก SME D Campus ทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง พัฒนาหลักสูตร และมอบความรู้ในแก่เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาหลักสูตรส่งเสริม “เยาวชนเป็นผู้ประกอบการ SMEs” อาทิ หลักสูตรเตรียมความพร้อมการเป็นผู้ประกอบการ การเขียนแผนธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด การบริหารจัดการธุรกิจ การจัดทําบัญชี/ภาษี และการเตรียมพร้อมเข้าสู่แหล่งทุน เป็นต้น นอกจากนั้น หากเยาวชนที่ผ่านโครงการนี้ ต้องการเงินทุนไปเริ่มต้นธุรกิจ ธนาคารพร้อมเป็นที่ปรึกษาและแนะนําเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยพิเศษของธนาคารต่อไปในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มูลนิธิศุภนิมิตฯ จับมือ ธพว. ปั้นเยาวชนกลุ่มเปราะบางสู่ SMEs หน้าใหม่ ร่วมพัฒนาหลักสูตรความรู้ทำธุรกิจแบบมืออาชีพตอบโจทย์ตลาดแรงงาน วันพุธที่ 4 กันยายน 2562 มูลนิธิศุภนิมิตฯ จับมือ ธพว. ปั้นเยาวชนกลุ่มเปราะบางสู่ SMEs หน้าใหม่ ร่วมพัฒนาหลักสูตรความรู้ทําธุรกิจแบบมืออาชีพตอบโจทย์ตลาดแรงงาน มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยลงนามความร่วมมือกับ SME D Bank พัฒนาหลักสูตรปั้นเยาวชนกลุ่มเปราะบางก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการ SMEs หน้าใหม่ที่มีศักยภาพ ตอบโจทย์ตรงความต้องการตลาดแรงงาน มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ลงนามความร่วมมือกับ SME D Bank พัฒนาหลักสูตรปั้นเยาวชนกลุ่มเปราะบางก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการSMEs หน้าใหม่ที่มีศักยภาพ ตอบโจทย์ตรงความต้องการตลาดแรงงาน เผยแนวทางสนับสนุนจัดทีมวิทยากรจาก SME D Campus ถ่ายทอดความรู้การทําธุรกิจแบบมืออาชีพ พร้อมมอบทุนเริ่มต้นธุรกิจ ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง ผู้อํานวยการมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างมูลนิธิศุภนิมิตฯ และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ในครั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันดําเนินโครงการพัฒนาหลักสูตรส่งเสริม “เยาวชนเป็นผู้ประกอบการ SMEs” เพื่อเตรียมพร้อม เพิ่มศักยภาพ และปลดล็อคข้อจํากัดให้เยาวชนกลุ่มเปราะบางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อายุระหว่าง 16-25 ปี ที่เข้าร่วมโครงการเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมสู่วัยทํางานของมูลนิธิศุภนิมิตฯที่มีแนวโน้มอาจไม่ได้ศึกษาต่อ เป็นแรงงานไร้ทักษะ ตกงานหรือขาดโอกาสในการประกอบอาชีพให้ได้รับโอกาสเข้าถึงเส้นทางอาชีพที่ตนเองถนัด อย่างสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ในอนาคต ซึ่งจะก่อประโยชน์ทั้งเชิงเศรษฐกิจ และสังคม สําหรับการพัฒนาเยาวชนในโครงการฯ จะมีผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาอาชีพทําหน้าที่เป็นวิทยากร และที่ปรึกษาดูแลอย่างใกล้ชิด รวมถึง มีเจ้าของวิสาหกิจตัวจริงที่ประสบความสําเร็จ มาถ่ายทอดองค์ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์โดยตรง ดร.สราวุธ เผยด้วยว่า การพัฒนาหลักสูตรครั้งนี้ จะทําการคัดเลือกเยาวชนในโครงการฯ ร่วมประมาณ 60 คน เพื่ออบรมอย่างเข้มข้น รวม 9 วัน หรือ 54 ชั่วโมง ตั้งแต่การเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้ประกอบการ SMEs การสอนเขียนแผนธุรกิจ และเตรียม Pitching แยกตามประเภทวิชาชีพ ทั้งภาคบริการและภาคการผลิต นําเสนอแผนธุรกิจ และคัดเลือกเยาวชนที่มีแผนธุรกิจโดดเด่นให้ได้รับทุนสนับสนุนเริ่มต้นสู่การเป็นผู้ประกอบการ SMEs หน้าใหม่ จํานวน 6 ทุน สูงสุด 100,000 บาทต่อราย โดยจะมีการประกาศผลและแสดงผลงาน วันที่ 25 ตุลาคม 2562 ในงานตลาดนัด “สุดยอดเอสเอ็มอีของดีทั่วไทย” ณ Co Working Space สํานักงานใหญ่ SME D Bank สําหรับโครงการดังกล่าว เป็นการดําเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิตในเด็กและเยาวชนของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ผ่านกระบวนการค้นหาตัวตนจากหลักสูตร Youth Ready Work ขององค์กรศุภนิมิตสากล โดยดําเนินการมาต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 3 ปี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิซิตี้ (CITI Foundation) และความร่วมมือจากสถาบันวิชาชีพชั้นนํากว่า 20 สถาบัน ในการฝึกอบรมอาชีพให้แก่เยาวชนรวมกว่า 350 คน ในกลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ อาทิ กลุ่มช่างบริการ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มเสริมสวย กลุ่มบริการสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน นายพงชาญ สําเภาเงิน รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า นอกเหนือจากการสนับสนุนเงินทุนแก่เอสเอ็มอี ธนาคารยังมีภารกิจหลักในการพัฒนาผู้ประกอบการให้มีศักยภาพ สามารถประกอบธุรกิจได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน การผนึกกําลังกับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย จึงสร้างประโยชน์อย่างยิ่ง ช่วยปูพื้นฐาน พัฒนาทักษะ และเติมความรู้เชิงธุรกิจให้แก่เยาวชนพร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพ และจัดตั้งธุรกิจได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ธนาคารมีการจัดตั้ง SME D Campus สร้างบุคลากรภายในองค์กรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ ออกไปทําหน้าที่วิทยากรและที่ปรึกษาธุรกิจ เพื่อช่วยยกระดับ สร้างผู้ประกอบการใหม่ และ Startup ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ซึ่งธนาคารพร้อมจัดทีมวิทยากรจาก SME D Campus ทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง พัฒนาหลักสูตร และมอบความรู้ในแก่เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาหลักสูตรส่งเสริม “เยาวชนเป็นผู้ประกอบการ SMEs” อาทิ หลักสูตรเตรียมความพร้อมการเป็นผู้ประกอบการ การเขียนแผนธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด การบริหารจัดการธุรกิจ การจัดทําบัญชี/ภาษี และการเตรียมพร้อมเข้าสู่แหล่งทุน เป็นต้น นอกจากนั้น หากเยาวชนที่ผ่านโครงการนี้ ต้องการเงินทุนไปเริ่มต้นธุรกิจ ธนาคารพร้อมเป็นที่ปรึกษาและแนะนําเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยพิเศษของธนาคารต่อไปในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ มุ่งพัฒนาระบบการตลาดของไก่งวง เปิดตัว “โรงปฏิบัติการสร้างมูลค่าเพิ่มสัตว์ปีก”
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561 กระทรวงเกษตรฯ มุ่งพัฒนาระบบการตลาดของไก่งวง เปิดตัว “โรงปฏิบัติการสร้างมูลค่าเพิ่มสัตว์ปีก” กระทรวงเกษตรฯ มุ่งพัฒนาระบบการตลาดของไก่งวง เปิดตัว “โรงปฏิบัติการสร้างมูลค่าเพิ่มสัตว์ปีก” หวังเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาระบบการผลิตและการตลาดไก่งวงครบวงจร นายสุพัฒน์ เอี้ยวฉาย ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดงาน “งานไก่งวงแห่งชาติ ครั้งที่ 1” พร้อมเปิด “โรงปฏิบัติการสร้างมูลค่าเพิ่มสัตว์ปีก” ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 19 - 21 ธันวาคม 2561 ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์มหาสารคาม และศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์มหาสารคาม ตําบลเชียงยืน อําเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ว่า ประเทศไทยได้มีการส่งเสริมให้เลี้ยงไก่งวงอย่างจริงจังได้ไม่นาน ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้มีการศึกษาทดลองก่อนนําไปส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยง แต่เนื่องจากไก่งวงเป็นสัตว์ปีกที่นําเข้ามาจากต่างประเทศ จึงยังไม่คุ้นเคยกับการเลี้ยงและวัฒนธรรมการบริโภคโดยทั่วไป แต่พอได้มีการพัฒนาและส่งเสริม จึงพบว่าไก่งวงเป็นสัตว์ปีกที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว และสามารถปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาติได้เช่นเดียวกับไก่บ้านหรือไก่พื้นเมืองไทย ซึ่งขณะนี้มีหลายจังหวัดที่ให้การสนับสนุนส่งเสริมการเลี้ยงไก่งวง ภายใต้งบยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัด และกลุ่มจังหวัด จึงนับว่าเป็นสัตว์ปีกที่มีโอกาสและมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สําคัญอีกทางเลือกหนึ่งสําหรับเกษตรกรรายย่อย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าไก่งวงจะให้ผลผลิตเนื้อคุณภาพดี มีโปรตีนสูง และมีคลอเลสเตอรอลต่ํา สามารถนํามาปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย แต่ความต้องการของตลาดยังเป็นในลักษณะตลาดเฉพาะ (Niche market) จึงจําเป็นต้องพัฒนาด้านระบบการตลาดของไก่งวงให้มากยิ่งขึ้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของเกษตรกรผู้เลี้ยงและผู้แปรรูปผลิตภัณฑ์จากไก่งวง จึงได้ปรับปรุง “โรงปฏิบัติการสร้างมูลค่าเพิ่มสัตว์ปีก” ซึ่งเป็นอาคารปฏิบัติการที่มีทั้งโรงฆ่าสัตว์ปีกและห้องแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาระบบการผลิตและการตลาดไก่งวงครบวงจรอย่างแท้จริง สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ให้ยึดแนวทาง “ตลาดนําการผลิต” ให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย ด้าน นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องกับระบบการผลิตและการตลาดไก่งวงในระดับภูมิภาค การประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้สู่ผู้บริโภค รวมทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์จากไก่งวง และสําหรับ “โรงปฏิบัติการสร้างมูลค่าเพิ่มสัตว์ปีก” เป็นอาคารปฏิบัติการที่มีทั้งโรงฆ่าสัตว์ปีกและห้องแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ที่มีมาตรฐานระดับ GMP ที่สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้พัฒนาเพิ่มช่องทางการตลาดสินค้าแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไก่งวงให้มีมูลค่าและปริมาณการจําหน่ายเพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งยังจะเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาระบบการผลิตและการตลาดไก่งวงครบวงจรต่อไป ทั้งนี้ ประเทศไทยมีผู้เลี้ยงไก่งวงที่ขึ้นทะเบียนกับกรมปศุสัตว์ จํานวน 4,687 ราย มีไก่งวง 74,588 ตัว โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่มีการเลี้ยงมากที่สุดของประเทศ จํานวน 3,116 ราย มีไก่งวง 48,223 ตัว คิดเป็นร้อยละ 64.65 เปอร์เซ็นต์ (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ก.ย. 60) นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ยังได้เก็บรวบรวมพันธุ์และทดสอบการเลี้ยงไก่งวง การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไก่งวง และได้ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เกษตรกร เป็นผลทําให้มีผู้เลี้ยงมากกว่า 4,600 ราย จําหน่ายไก่งวงขุนมากกว่า 40,000 ตัว/ปี คิดเป็นน้ําหนักมากกว่า 200 ตัน/ปี โดยมีมูลค่าการจําหน่ายไก่งวงมีชีวิต/ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อไก่งวง มากกว่า 50 ล้านบาท/ปี ซึ่งจังหวัดมหาสารคามเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยงไก่งวงอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ มุ่งพัฒนาระบบการตลาดของไก่งวง เปิดตัว “โรงปฏิบัติการสร้างมูลค่าเพิ่มสัตว์ปีก” วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561 กระทรวงเกษตรฯ มุ่งพัฒนาระบบการตลาดของไก่งวง เปิดตัว “โรงปฏิบัติการสร้างมูลค่าเพิ่มสัตว์ปีก” กระทรวงเกษตรฯ มุ่งพัฒนาระบบการตลาดของไก่งวง เปิดตัว “โรงปฏิบัติการสร้างมูลค่าเพิ่มสัตว์ปีก” หวังเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาระบบการผลิตและการตลาดไก่งวงครบวงจร นายสุพัฒน์ เอี้ยวฉาย ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดงาน “งานไก่งวงแห่งชาติ ครั้งที่ 1” พร้อมเปิด “โรงปฏิบัติการสร้างมูลค่าเพิ่มสัตว์ปีก” ที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 19 - 21 ธันวาคม 2561 ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์มหาสารคาม และศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์มหาสารคาม ตําบลเชียงยืน อําเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ว่า ประเทศไทยได้มีการส่งเสริมให้เลี้ยงไก่งวงอย่างจริงจังได้ไม่นาน ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้มีการศึกษาทดลองก่อนนําไปส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยง แต่เนื่องจากไก่งวงเป็นสัตว์ปีกที่นําเข้ามาจากต่างประเทศ จึงยังไม่คุ้นเคยกับการเลี้ยงและวัฒนธรรมการบริโภคโดยทั่วไป แต่พอได้มีการพัฒนาและส่งเสริม จึงพบว่าไก่งวงเป็นสัตว์ปีกที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว และสามารถปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาติได้เช่นเดียวกับไก่บ้านหรือไก่พื้นเมืองไทย ซึ่งขณะนี้มีหลายจังหวัดที่ให้การสนับสนุนส่งเสริมการเลี้ยงไก่งวง ภายใต้งบยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัด และกลุ่มจังหวัด จึงนับว่าเป็นสัตว์ปีกที่มีโอกาสและมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สําคัญอีกทางเลือกหนึ่งสําหรับเกษตรกรรายย่อย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าไก่งวงจะให้ผลผลิตเนื้อคุณภาพดี มีโปรตีนสูง และมีคลอเลสเตอรอลต่ํา สามารถนํามาปรุงเป็นอาหารได้หลากหลาย แต่ความต้องการของตลาดยังเป็นในลักษณะตลาดเฉพาะ (Niche market) จึงจําเป็นต้องพัฒนาด้านระบบการตลาดของไก่งวงให้มากยิ่งขึ้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมปศุสัตว์ ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของเกษตรกรผู้เลี้ยงและผู้แปรรูปผลิตภัณฑ์จากไก่งวง จึงได้ปรับปรุง “โรงปฏิบัติการสร้างมูลค่าเพิ่มสัตว์ปีก” ซึ่งเป็นอาคารปฏิบัติการที่มีทั้งโรงฆ่าสัตว์ปีกและห้องแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาระบบการผลิตและการตลาดไก่งวงครบวงจรอย่างแท้จริง สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ให้ยึดแนวทาง “ตลาดนําการผลิต” ให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย ด้าน นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องกับระบบการผลิตและการตลาดไก่งวงในระดับภูมิภาค การประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้สู่ผู้บริโภค รวมทั้งเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์จากไก่งวง และสําหรับ “โรงปฏิบัติการสร้างมูลค่าเพิ่มสัตว์ปีก” เป็นอาคารปฏิบัติการที่มีทั้งโรงฆ่าสัตว์ปีกและห้องแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ที่มีมาตรฐานระดับ GMP ที่สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้พัฒนาเพิ่มช่องทางการตลาดสินค้าแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไก่งวงให้มีมูลค่าและปริมาณการจําหน่ายเพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งยังจะเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาระบบการผลิตและการตลาดไก่งวงครบวงจรต่อไป ทั้งนี้ ประเทศไทยมีผู้เลี้ยงไก่งวงที่ขึ้นทะเบียนกับกรมปศุสัตว์ จํานวน 4,687 ราย มีไก่งวง 74,588 ตัว โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นพื้นที่มีการเลี้ยงมากที่สุดของประเทศ จํานวน 3,116 ราย มีไก่งวง 48,223 ตัว คิดเป็นร้อยละ 64.65 เปอร์เซ็นต์ (ข้อมูล ณ วันที่ 29 ก.ย. 60) นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ยังได้เก็บรวบรวมพันธุ์และทดสอบการเลี้ยงไก่งวง การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากไก่งวง และได้ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เกษตรกร เป็นผลทําให้มีผู้เลี้ยงมากกว่า 4,600 ราย จําหน่ายไก่งวงขุนมากกว่า 40,000 ตัว/ปี คิดเป็นน้ําหนักมากกว่า 200 ตัน/ปี โดยมีมูลค่าการจําหน่ายไก่งวงมีชีวิต/ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อไก่งวง มากกว่า 50 ล้านบาท/ปี ซึ่งจังหวัดมหาสารคามเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการส่งเสริมและพัฒนาการเลี้ยงไก่งวงอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17633
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา”ลุยจังหวัดขอนแก่น ตรวจเยี่ยม อ.ส.ค.ภาคอีสาน และสหกรณ์โคนม
วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2562 “รมช.มนัญญา”ลุยจังหวัดขอนแก่น ตรวจเยี่ยม อ.ส.ค.ภาคอีสาน และสหกรณ์โคนม “รมช.มนัญญา”ลุยจังหวัดขอนแก่น ตรวจเยี่ยม อ.ส.ค.ภาคอีสาน และสหกรณ์โคนม พร้อมให้กําลังใจและเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ําท่วมจากพายุโพดุล วันนี้ (4 ก.ย.62) นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยได้ตรวจเยี่ยมสํานักงานองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้มอบนโยบายการดําเนินงานให้กับผู้บริหารและพนักงาน อ.ส.ค.ให้ร่วมสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ด้านการส่งเสริมเลี้ยงโคนม ซึ่งเป็นอาชีพพระราชทานให้มีการพัฒนาการเลี้ยงโคนมให้แก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งเน้นย้ําด้านการบริหารจัดการผลิตน้ํานมให้มีคุณภาพมาตรฐาน ตั้งแต่ระดับต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา โดยให้คํานึงถึงคุณภาพด้านการขนส่งและการจัดเก็บนมให้อยู่ในอุณหภูมิที่ดีมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการขนส่งนมโรงเรียน ซึ่งผู้รับผิดชอบด้านการขนส่งนมโรงเรียนจะต้องดูแลไปจนถึงปลายน้ํา เพื่อให้นมโรงเรียนถึงมือเด็กนักเรียนอย่างปลอดภัย เพราะเด็กเป็นอนาคตของชาติที่ควรได้รับการส่งเสริมด้านโภชนาการอย่างถูกสุขลักษณะ เพื่อให้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ส่วนในด้านการตลาด ขอให้ อ.ส.ค. ขยายตลาดให้มากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยให้เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรรุ่นใหม่เข้ามาประกอบอาชีพเลี้ยงโคนมให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้อาชีพเลี้ยงโคนมมีผู้สืบทอด โดยไม่ละทิ้งเกษตรกรรุ่นเก่า นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําให้การทําการเกษตร สหกรณ์ และโคนม มีการบูรณาการเชื่อมโยงเกื้อหนุนกัน เพื่อส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรให้เกิดประสิทธิภาพอย่างครบวงจร “สิ่งสําคัญที่เน้นย้ําคือ การยกระดับคุณภาพมาตรฐานด้านการผลิตน้ํานม โดยเฉพาะนมโรงเรียน ต้องให้ความสําคัญตั้งแต่ระดับต้นน้ํา จนถึงปลายน้ํา โดยเฉพาะการขนส่งและการจัดเก็บน้ํานม เพื่อให้เด็กนักเรียนได้บริโภคนมที่มีคุณภาพมาตรฐานและมีคุณประโยชน์สูงสุด” นางสาวมนัญญา กล่าว ทั้งนี้ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้มีการดําเนินการผลิตแบบครบวงจร มีโคนมที่ดูแลทั้งหมด จํานวน 25,333 ตัว และโคนมรีด 10,421 ตัว มีปริมาณน้ํานมดิบ จํานวน 37,709ตัน/ปี โดยมีกระบวนการผลิต ประกอบด้วย การรับน้ํานมจากเกษตรกร การตรวจคุณภาพน้ํานมดิบ การส่งไปยังศูนย์รวบรวมน้ํานมดิบ การตรวจคุณภาพน้ํานมดิบ และการเข้าสู่ขบวนการผลิต มีปริมาณน้ํานมดิบ เฉลี่ยประมาณวันละ 131.24 ตัน. รวมมูลค่าน้ํานมดิบ 682,635,945ล้านบาท และรายได้เฉลี่ย/ฟาร์ม/เดือน จํานวน 115,976 บาท จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของสหกรณ์โคนมขอนแก่น จํากัด ณ ตําบลบ้านค้อ อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พร้อมทั้งพบปะเกษตรกรในพื้นที่ ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้แสดงความชื่นชมสหกรณ์โคนมขอนแก่น จํากัด ที่มีความเข้มแข็ง เป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน พร้อมทั้งฝากเรื่องการคิดดอกเบี้ยกับสมาชิกสหกรณ์ ขอให้อยู่บนพื้นฐานของความเมตตา เมื่อมีกําไรให้แบ่งปันแก่เกษตรกรโดยขณะนี้เกษตรกรในพื้นที่ประสบภัยน้ําท่วมได้รับความเดือดร้อน จึงได้สั่งการให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เตรียมมาตรการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ เพื่อฟื้นฟูอาชีพหลังเกิดภัยพิบัติจากพายุโพดุล รวมทั้งพิจารณาแนวทางขยายเวลาชําระหนี้ให้สมาชิกสหกรณ์ที่ประสบความเดือดร้อน สําหรับสหกรณ์โคนมขอนแก่น จํากัด ปัจจุบันมีสมาชิก จํานวน 175 ราย มีจํานวนโคนมทั้งสิ้น 9,063 ตัว โดยสหกรณ์มีการดําเนินธุรกิจ 8 ธุรกิจ ได้แก่ 1) การรับฝากเงิน 2) ธุรกิจสินเชื่อ 3)ธุรกิจจัดหาวัสดุมาจําหน่าย 4)ธุรกิจรวบรวมนํา้นมดิบ 5)ธุรกิจแปรรูป. 6)ธุรกิจการให้บริการ 7) ธุรกิจการผลิตอาหารสัตว์ และ 8) ธุรกิจธนาคารโคนมทดแทนฝูง ในรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2561 สหกรณ์มีทุนดําเนินงานทั้งสิ้น 236.85 ล้านบาท เป็นทุนภายในของสหกรณ์จํานวน 82.71 ล้านบาท ปริมาณธุรกิจรวมทั้งสิ้น 759.082 ล้านบาท ผลการดําเนินธุรกิจมีกําไรสุทธิ 16.907 ล้านบาท ด้านการรวบรวมน้ํานมดิบ สหกรณ์รับน้ํานมดิบจากสมาชิกวันละ 47.23 ตัน/วัน แปรรูปเป็นนมพาสเจอร์ไรส์(นมโรงเรียน) 20.42 ตัน/วัน รอบปีบัญชี 2561 สหกรณ์รวบรวมน้ํานมดิบได้ทั้งสิ้น 17,756.28 ตัน คิดเป็นมูลค่า 324.230 ล้านบาท และแปรรูปนมพาสเจอร์ไรส์ (นมโรงเรียน) 7,351.20 ตัน ที่เหลือ 10,405.08 ตัน จําหน่ายในรูปน้ํานมดิบให้กับผู้ประกอบการที่ ได้ทําบันทึกข้อตกลง (MOU)ไว้ โดยสหกรณ์ฯ ได้เข้าร่วมโครงการตามนโยบายภาครัฐ อาทิ โครงการส่งเสริมระบบ การเกษตรแบบแปลงใหญ่ โครงการธนาคารสินค้าเกษตร (ธนาคารโคนมทดแทนฝูง) โครงการไทย นิยม ยั่งยืน (การสนับสนุนอุปกรณ์แปรรูปผลผลิตทางการเกษตร) โครงการส่งเสริมการใช้ เครื่องจักรกลทดแทนแรงงานเกษตร เป็นต้น เพื่อให้สมาชิกมีการวางแผนการผลิตร่วมกัน เพื่อลดต้นทุนและพัฒนาคุณภาพผลผลิตน้านมดิบ สมาชิกสามารถลดต้นทุนการเลี้ยงโคนมได้ จํานวน 1,326 บาท/ตัว/เดือน และพัฒนาฟาร์มได้รับการรับรองมาตรฐานทุกฟาร์ม ส่งผลให้คุณภาพน้ํานม ดิบดีขึ้น ส่งผลให้สมาชิกมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และคณะ ได้เดินทางไปให้กําลังใจและตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ําท่วม พร้อมทั้งมอบถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง นมจาก อ.ส.ค.และน้ําดื่มไปมอบช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเบื้องต้น ณ โรงเรียนเบญมิตร อําเภอบ้านไผ่จังหวัดขอนแก่น “การลงพื้นที่ตรวจราชการในวันนี้จะกลับไปประมวลความช่วยเหลือในเบื้องต้น ในส่วนผู้ประสบภัยที่อยู่ในสหกรณ์ว่าจะดําเนินการช่วยเหลือได้อย่างไร ซึ่งจะบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องเกษตรกรให้มากที่สุดอย่างเต็มกําลังความสามารถ โดยในวันนี้ได้นํานมจากอ.ส.ค.มามอบให้กับเด็กๆ เพื่อบํารุงสุขภาพให้เจริญเติบโต เพราะทุกช่วงเวลาของเด็กไม่ควรต้องขาดการดื่มนม ทั้งที่อยู่ในโรงเรียนและระหว่างน้ําท่วม หรือในพื้นที่อื่นๆหากประสบปัญหาเช่นเดียว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.มนัญญา”ลุยจังหวัดขอนแก่น ตรวจเยี่ยม อ.ส.ค.ภาคอีสาน และสหกรณ์โคนม วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน 2562 “รมช.มนัญญา”ลุยจังหวัดขอนแก่น ตรวจเยี่ยม อ.ส.ค.ภาคอีสาน และสหกรณ์โคนม “รมช.มนัญญา”ลุยจังหวัดขอนแก่น ตรวจเยี่ยม อ.ส.ค.ภาคอีสาน และสหกรณ์โคนม พร้อมให้กําลังใจและเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ําท่วมจากพายุโพดุล วันนี้ (4 ก.ย.62) นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการตามนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยได้ตรวจเยี่ยมสํานักงานองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้มอบนโยบายการดําเนินงานให้กับผู้บริหารและพนักงาน อ.ส.ค.ให้ร่วมสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ด้านการส่งเสริมเลี้ยงโคนม ซึ่งเป็นอาชีพพระราชทานให้มีการพัฒนาการเลี้ยงโคนมให้แก่เกษตรกรอย่างต่อเนื่องพร้อมทั้งเน้นย้ําด้านการบริหารจัดการผลิตน้ํานมให้มีคุณภาพมาตรฐาน ตั้งแต่ระดับต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา โดยให้คํานึงถึงคุณภาพด้านการขนส่งและการจัดเก็บนมให้อยู่ในอุณหภูมิที่ดีมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการขนส่งนมโรงเรียน ซึ่งผู้รับผิดชอบด้านการขนส่งนมโรงเรียนจะต้องดูแลไปจนถึงปลายน้ํา เพื่อให้นมโรงเรียนถึงมือเด็กนักเรียนอย่างปลอดภัย เพราะเด็กเป็นอนาคตของชาติที่ควรได้รับการส่งเสริมด้านโภชนาการอย่างถูกสุขลักษณะ เพื่อให้มีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ส่วนในด้านการตลาด ขอให้ อ.ส.ค. ขยายตลาดให้มากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยให้เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรรุ่นใหม่เข้ามาประกอบอาชีพเลี้ยงโคนมให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้อาชีพเลี้ยงโคนมมีผู้สืบทอด โดยไม่ละทิ้งเกษตรกรรุ่นเก่า นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําให้การทําการเกษตร สหกรณ์ และโคนม มีการบูรณาการเชื่อมโยงเกื้อหนุนกัน เพื่อส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรให้เกิดประสิทธิภาพอย่างครบวงจร “สิ่งสําคัญที่เน้นย้ําคือ การยกระดับคุณภาพมาตรฐานด้านการผลิตน้ํานม โดยเฉพาะนมโรงเรียน ต้องให้ความสําคัญตั้งแต่ระดับต้นน้ํา จนถึงปลายน้ํา โดยเฉพาะการขนส่งและการจัดเก็บน้ํานม เพื่อให้เด็กนักเรียนได้บริโภคนมที่มีคุณภาพมาตรฐานและมีคุณประโยชน์สูงสุด” นางสาวมนัญญา กล่าว ทั้งนี้ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้มีการดําเนินการผลิตแบบครบวงจร มีโคนมที่ดูแลทั้งหมด จํานวน 25,333 ตัว และโคนมรีด 10,421 ตัว มีปริมาณน้ํานมดิบ จํานวน 37,709ตัน/ปี โดยมีกระบวนการผลิต ประกอบด้วย การรับน้ํานมจากเกษตรกร การตรวจคุณภาพน้ํานมดิบ การส่งไปยังศูนย์รวบรวมน้ํานมดิบ การตรวจคุณภาพน้ํานมดิบ และการเข้าสู่ขบวนการผลิต มีปริมาณน้ํานมดิบ เฉลี่ยประมาณวันละ 131.24 ตัน. รวมมูลค่าน้ํานมดิบ 682,635,945ล้านบาท และรายได้เฉลี่ย/ฟาร์ม/เดือน จํานวน 115,976 บาท จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของสหกรณ์โคนมขอนแก่น จํากัด ณ ตําบลบ้านค้อ อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พร้อมทั้งพบปะเกษตรกรในพื้นที่ ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้แสดงความชื่นชมสหกรณ์โคนมขอนแก่น จํากัด ที่มีความเข้มแข็ง เป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน พร้อมทั้งฝากเรื่องการคิดดอกเบี้ยกับสมาชิกสหกรณ์ ขอให้อยู่บนพื้นฐานของความเมตตา เมื่อมีกําไรให้แบ่งปันแก่เกษตรกรโดยขณะนี้เกษตรกรในพื้นที่ประสบภัยน้ําท่วมได้รับความเดือดร้อน จึงได้สั่งการให้กรมส่งเสริมสหกรณ์เตรียมมาตรการช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ เพื่อฟื้นฟูอาชีพหลังเกิดภัยพิบัติจากพายุโพดุล รวมทั้งพิจารณาแนวทางขยายเวลาชําระหนี้ให้สมาชิกสหกรณ์ที่ประสบความเดือดร้อน สําหรับสหกรณ์โคนมขอนแก่น จํากัด ปัจจุบันมีสมาชิก จํานวน 175 ราย มีจํานวนโคนมทั้งสิ้น 9,063 ตัว โดยสหกรณ์มีการดําเนินธุรกิจ 8 ธุรกิจ ได้แก่ 1) การรับฝากเงิน 2) ธุรกิจสินเชื่อ 3)ธุรกิจจัดหาวัสดุมาจําหน่าย 4)ธุรกิจรวบรวมนํา้นมดิบ 5)ธุรกิจแปรรูป. 6)ธุรกิจการให้บริการ 7) ธุรกิจการผลิตอาหารสัตว์ และ 8) ธุรกิจธนาคารโคนมทดแทนฝูง ในรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2561 สหกรณ์มีทุนดําเนินงานทั้งสิ้น 236.85 ล้านบาท เป็นทุนภายในของสหกรณ์จํานวน 82.71 ล้านบาท ปริมาณธุรกิจรวมทั้งสิ้น 759.082 ล้านบาท ผลการดําเนินธุรกิจมีกําไรสุทธิ 16.907 ล้านบาท ด้านการรวบรวมน้ํานมดิบ สหกรณ์รับน้ํานมดิบจากสมาชิกวันละ 47.23 ตัน/วัน แปรรูปเป็นนมพาสเจอร์ไรส์(นมโรงเรียน) 20.42 ตัน/วัน รอบปีบัญชี 2561 สหกรณ์รวบรวมน้ํานมดิบได้ทั้งสิ้น 17,756.28 ตัน คิดเป็นมูลค่า 324.230 ล้านบาท และแปรรูปนมพาสเจอร์ไรส์ (นมโรงเรียน) 7,351.20 ตัน ที่เหลือ 10,405.08 ตัน จําหน่ายในรูปน้ํานมดิบให้กับผู้ประกอบการที่ ได้ทําบันทึกข้อตกลง (MOU)ไว้ โดยสหกรณ์ฯ ได้เข้าร่วมโครงการตามนโยบายภาครัฐ อาทิ โครงการส่งเสริมระบบ การเกษตรแบบแปลงใหญ่ โครงการธนาคารสินค้าเกษตร (ธนาคารโคนมทดแทนฝูง) โครงการไทย นิยม ยั่งยืน (การสนับสนุนอุปกรณ์แปรรูปผลผลิตทางการเกษตร) โครงการส่งเสริมการใช้ เครื่องจักรกลทดแทนแรงงานเกษตร เป็นต้น เพื่อให้สมาชิกมีการวางแผนการผลิตร่วมกัน เพื่อลดต้นทุนและพัฒนาคุณภาพผลผลิตน้านมดิบ สมาชิกสามารถลดต้นทุนการเลี้ยงโคนมได้ จํานวน 1,326 บาท/ตัว/เดือน และพัฒนาฟาร์มได้รับการรับรองมาตรฐานทุกฟาร์ม ส่งผลให้คุณภาพน้ํานม ดิบดีขึ้น ส่งผลให้สมาชิกมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และคณะ ได้เดินทางไปให้กําลังใจและตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ําท่วม พร้อมทั้งมอบถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง นมจาก อ.ส.ค.และน้ําดื่มไปมอบช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเบื้องต้น ณ โรงเรียนเบญมิตร อําเภอบ้านไผ่จังหวัดขอนแก่น “การลงพื้นที่ตรวจราชการในวันนี้จะกลับไปประมวลความช่วยเหลือในเบื้องต้น ในส่วนผู้ประสบภัยที่อยู่ในสหกรณ์ว่าจะดําเนินการช่วยเหลือได้อย่างไร ซึ่งจะบรรเทาความเดือดร้อนให้พี่น้องเกษตรกรให้มากที่สุดอย่างเต็มกําลังความสามารถ โดยในวันนี้ได้นํานมจากอ.ส.ค.มามอบให้กับเด็กๆ เพื่อบํารุงสุขภาพให้เจริญเติบโต เพราะทุกช่วงเวลาของเด็กไม่ควรต้องขาดการดื่มนม ทั้งที่อยู่ในโรงเรียนและระหว่างน้ําท่วม หรือในพื้นที่อื่นๆหากประสบปัญหาเช่นเดียว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22819
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ. ฉัตรชัยฯ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 1/2561
วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 พล.อ. ฉัตรชัยฯ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 1/2561 พล.อ. ฉัตรชัยฯ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 1/2561 โดยมีมติเห็นชอบมาตรการให้เงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุ โครงการบริจาคเบี้ยยังชีพเข้ากองทุนผู้สูงอายุ วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 อาคารตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 1/2561 เพื่อพิจารณามาตรการให้เงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุ โครงการบริจาคเบี้ยยังชีพเข้ากองทุนผู้สูงอายุ โดยมี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ นางไพรวรรณ พลวันรองปลัดกระทรวงฯ นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมด้วย ที่ประชุม พิจารณาและมีมติเห็นชอบให้เพิ่มช่องทางการบริจาคเบี้ยยังชีพเข้ากองทุนผู้สูงอายุ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุ และการสร้างแรงจูงใจในการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การสร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้ผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ โดยจัดทําแผนประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจน และให้สํานักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือให้กระทรวงมหาดไทยรณรงค์สร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายเฉพาะในระดับพื้นที่ให้มากขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมและจูงใจให้ภาคเอกชนดําเนินการกิจการดูแลผู้สูงอายุ โดยจําแนกกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนและกําหนดมาตรการในการดําเนินกิจการดูแลผู้สูงอายุให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและการดูแลที่เหมาะสมในทุกระดับ ได้กําหนดเรื่องในแผนผู้สูงอายุ ฉบับที่ 2 ฯ และประสานกับทุกหน่วยงานรับข้อเสนอแนะจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และให้เร่งปรับแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับการดําเนินกิจการดูแลผู้สูงอายุในภาคเอกชน ................................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย กลุ่มสื่อสารองค์กร สํานักงานเลขานุการกรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ. ฉัตรชัยฯ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 1/2561 วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 พล.อ. ฉัตรชัยฯ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 1/2561 พล.อ. ฉัตรชัยฯ เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 1/2561 โดยมีมติเห็นชอบมาตรการให้เงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุ โครงการบริจาคเบี้ยยังชีพเข้ากองทุนผู้สูงอายุ วันนี้ (1 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 อาคารตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ครั้งที่ 1/2561 เพื่อพิจารณามาตรการให้เงินช่วยเหลือเพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุ โครงการบริจาคเบี้ยยังชีพเข้ากองทุนผู้สูงอายุ โดยมี พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ นางไพรวรรณ พลวันรองปลัดกระทรวงฯ นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมด้วย ที่ประชุม พิจารณาและมีมติเห็นชอบให้เพิ่มช่องทางการบริจาคเบี้ยยังชีพเข้ากองทุนผู้สูงอายุ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้สูงอายุ และการสร้างแรงจูงใจในการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การสร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้ผู้บริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุ โดยจัดทําแผนประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจน และให้สํานักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือให้กระทรวงมหาดไทยรณรงค์สร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายเฉพาะในระดับพื้นที่ให้มากขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมและจูงใจให้ภาคเอกชนดําเนินการกิจการดูแลผู้สูงอายุ โดยจําแนกกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนและกําหนดมาตรการในการดําเนินกิจการดูแลผู้สูงอายุให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและการดูแลที่เหมาะสมในทุกระดับ ได้กําหนดเรื่องในแผนผู้สูงอายุ ฉบับที่ 2 ฯ และประสานกับทุกหน่วยงานรับข้อเสนอแนะจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และให้เร่งปรับแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับการดําเนินกิจการดูแลผู้สูงอายุในภาคเอกชน ................................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย กลุ่มสื่อสารองค์กร สํานักงานเลขานุการกรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9787
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวประมงเฮ หลังรัฐบาลไฟเขียวสินเชื่อประมงหมื่นล้านยุควิกฤติโควิด “คณะกก.ฟื้นฟูประมง”นัดประชุมศุกร์นี้ เตรียมคิกออฟสินเชื่อเดือนหน้า [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 ชาวประมงเฮ หลังรัฐบาลไฟเขียวสินเชื่อประมงหมื่นล้านยุควิกฤติโควิด “คณะกก.ฟื้นฟูประมง”นัดประชุมศุกร์นี้ เตรียมคิกออฟสินเชื่อเดือนหน้า [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] คณะรัฐมนตรี ไฟเขียวสินเชื่อประมงหมื่นล้านยุควิกฤติโควิด ด้าน “คณะกก.ฟื้นฟูประมง” นัดประชุมศุกร์นี้ เตรียมคิกออฟสินเชื่อเดือนมิถุนายน 2563 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย แถลงวันนี้ (27พ.ค.) ว่า คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบอนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง วงเงินสินเชื่อรวม 10,300 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 63 ซึ่งเป็นโครงการสินเชื่อประมงที่มีเงินมากที่สุดครอบคลุมทั้งประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ครั้งแรกของประเทศ และยังเป็นโครงการที่เกิดจากการมีส่วนร่วมมากที่สุดของทุกภาคส่วนภายใต้การทํางานของคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยกับกรมประมงและสมาคมประมงทุกสมาคมโดยจะมีการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูฯในวันศุกร์ที่ 29 พ.ค. นี้ ที่กรมประมงเพื่อซักซ้อมความเข้าใจและเตรียมพร้อมในการคิกออฟเปิดโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมงทันทีในเดือนมิถุนายน 2563 นายอลงกรณ์ กล่าวว่า จากผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐ-จีนและวิกฤติโควิด19 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายการให้ความช่วยเหลือประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านเพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพด้วยการจัดหาแหล่งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมงให้สามารถกลับมาประกอบอาชีพประมงเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอาชีพต่อไป โดยตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยเป็นกลไกทํางานขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบตั้งแต่ปีที่แล้ว และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เห็นชอบให้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีเกษตรฯ นําเสนอโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมง10,300 ล้านบาทให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวานนี้ นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง วงเงินสินเชื่อรวม 10,300 ล้านบาท และกรอบวงเงินงบประมาณในการดําเนินโครงการ จํานวน 2,164.1 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าชดเชยดอกเบี้ย จํานวน 2,163 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการประมงกู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี และผู้ประกอบการประมงสมทบร้อยละ 4 ต่อปี เป็นระยะเวลา 7 ปี นับแต่วันที่กู้ แบ่งเป็น (1) ธนาคารออมสิน ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ให้กู้รายละไม่เกิน10ล้านบาทรวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย จํานวน 1,050 ล้านบาท และ (2) ธ.ก.ส. ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงขนาดต่ํากว่า 60 ตันกรอส วงเงินสินเชื่อ 5,300 ล้านบาท ให้กู้รายละไม่เกิน5ล้านบาทรวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย จํานวน 1,113 ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวประมงเฮ หลังรัฐบาลไฟเขียวสินเชื่อประมงหมื่นล้านยุควิกฤติโควิด “คณะกก.ฟื้นฟูประมง”นัดประชุมศุกร์นี้ เตรียมคิกออฟสินเชื่อเดือนหน้า [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 ชาวประมงเฮ หลังรัฐบาลไฟเขียวสินเชื่อประมงหมื่นล้านยุควิกฤติโควิด “คณะกก.ฟื้นฟูประมง”นัดประชุมศุกร์นี้ เตรียมคิกออฟสินเชื่อเดือนหน้า [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] คณะรัฐมนตรี ไฟเขียวสินเชื่อประมงหมื่นล้านยุควิกฤติโควิด ด้าน “คณะกก.ฟื้นฟูประมง” นัดประชุมศุกร์นี้ เตรียมคิกออฟสินเชื่อเดือนมิถุนายน 2563 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย แถลงวันนี้ (27พ.ค.) ว่า คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบอนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง วงเงินสินเชื่อรวม 10,300 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 63 ซึ่งเป็นโครงการสินเชื่อประมงที่มีเงินมากที่สุดครอบคลุมทั้งประมงพื้นบ้านและประมงพาณิชย์ครั้งแรกของประเทศ และยังเป็นโครงการที่เกิดจากการมีส่วนร่วมมากที่สุดของทุกภาคส่วนภายใต้การทํางานของคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยกับกรมประมงและสมาคมประมงทุกสมาคมโดยจะมีการประชุมคณะกรรมการฟื้นฟูฯในวันศุกร์ที่ 29 พ.ค. นี้ ที่กรมประมงเพื่อซักซ้อมความเข้าใจและเตรียมพร้อมในการคิกออฟเปิดโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมงทันทีในเดือนมิถุนายน 2563 นายอลงกรณ์ กล่าวว่า จากผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐ-จีนและวิกฤติโควิด19 ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายการให้ความช่วยเหลือประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านเพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพด้วยการจัดหาแหล่งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมงให้สามารถกลับมาประกอบอาชีพประมงเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอาชีพต่อไป โดยตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทยเป็นกลไกทํางานขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบตั้งแต่ปีที่แล้ว และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เห็นชอบให้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีเกษตรฯ นําเสนอโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมง10,300 ล้านบาทให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวานนี้ นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง วงเงินสินเชื่อรวม 10,300 ล้านบาท และกรอบวงเงินงบประมาณในการดําเนินโครงการ จํานวน 2,164.1 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าชดเชยดอกเบี้ย จํานวน 2,163 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการประมงกู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี และผู้ประกอบการประมงสมทบร้อยละ 4 ต่อปี เป็นระยะเวลา 7 ปี นับแต่วันที่กู้ แบ่งเป็น (1) ธนาคารออมสิน ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ให้กู้รายละไม่เกิน10ล้านบาทรวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย จํานวน 1,050 ล้านบาท และ (2) ธ.ก.ส. ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงขนาดต่ํากว่า 60 ตันกรอส วงเงินสินเชื่อ 5,300 ล้านบาท ให้กู้รายละไม่เกิน5ล้านบาทรวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย จํานวน 1,113 ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31596
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ดิจิทัลฯ ประชุมผู้บริหารถกความคืบหน้างานโครงการตามนโยบายรัฐบาล เผย 4 ร่าง พ.ร.บ.สำคัญ ผ่านการเห็นชอบ สนช. แล้ว
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560 ก.ดิจิทัลฯ ประชุมผู้บริหารถกความคืบหน้างานโครงการตามนโยบายรัฐบาล เผย 4 ร่าง พ.ร.บ.สําคัญ ผ่านการเห็นชอบ สนช. แล้ว กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดฯ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดฯ หารือ-ติดตามการดําเนินโครงการสําคัญ พร้อมรับทราบความคืบหน้าการร่างกฎหมาย เผย 4 ร่าง พ.ร.บ.สําคัญ ผ่านความเห็นชอบจาก สนช. แล้ว ด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์เตรียมออกกฎหมายลูกใช้ก่อน ประกาศเดินหน้าจัดงาน Thailand Digital Big Bang 2017 ปลายเดือนกันยายนนี้ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงข่าวหลังเป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงฯ และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดฯ ประจําเดือนพฤษภาคม 2560 ว่า การประชุมครั้งนี้ ได้ติดตามความคืบหน้าของร่างกฎหมายต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการปรับแก้ 3 - 4 ฉบับ ซึ่งล่าสุดผ่านขั้นตอนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ร่าง พ.ร.บ.สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .... สําหรับกฎหมายตัวใดที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบในการปรับแก้ไขนั้น กระทรวงดิจิทัลฯ จะมีการออกกฎหมายลูกเพื่อกํากับดูแลไปพลางก่อน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบกําหนดการจัดงาน Thailand Digital Big Bang 2017 ซึ่งจะจัดขึ้นภายใต้แนวคิด Digital Transformation Thailand และรูปแบบการจัดงานจะเน้นการให้ความรู้เรื่องนวัตกรรมเทคโนโลยีโลกแห่งดิจิทัล โดยภายในงานจะแบ่งเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ โซนแรก “Digital Ecosystem Thailand” พื้นที่ในส่วนนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนําเสนอต้นกําเนิดของนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่สามารถนําไปประยุกต์ให้เกิดการใช้งานได้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งเทคโนโลยีปัจจุบัน และเทคโนโลยีใหม่ ตลอดจนแนวทางการนําไปใช้ ทั้งในรูปแบบของสินค้าและบริการ โซนที่ 2 “Digital Playground” เป็นพื้นที่ของการจัดแสดงไอเดียแห่งการลองผิดลองถูก การเล่นสนุกกับไอเดียใหม่ๆ แลกเปลี่ยนประสบการณ์และเทคนิคเพื่อพัฒนานวัตกรรม รวมถึง Business model โซนที่ 3 “Digital Park” เป็นส่วนของการสะท้อนแนวคิด Thailand opportunity เน้นการสัมผัสประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งจะได้เห็นภาพดิจิทัลพาร์ค (Digital Park) ที่กําลังจะเกิดขึ้นว่ามีองค์ประกอบอย่างไร และโซนที่ 4 “Smart City” เป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการจําลองอัจฉริยะ ด้วยการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือดําเนินการให้สามารถมองเห็นภาพของเมืองอัจฉริยะ โดยงาน “Thailand Digital Big Bang 2017 : Digital Transformation Thailand” กําหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 - 24 กันยายน 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี “จากการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลฯ ช่วยผลักดันและสนับสนุนนวัตกรรมของคนไทยเป็นสําคัญ โดยที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าสินค้าที่เป็นนวัตกรรมของคนไทยมาตรฐานยังสู้กับต่างประเทศไม่ได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งกระทรวงฯ เองให้ความสําคัญในการสนับสนุนประชาชนให้เข้าใจถึงพื้นฐานของการใช้อินเทอร์เน็ตและสามารถใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพสร้างรายได้มาตลอด โดยเฉพาะโครงการเน็ตประชารัฐ หรืออินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน ถือเป็นโครงการนําร่องในการขยายรากฐานความรู้ที่ดีให้กับประชาชน เป็นการสร้างคนดิจิทัล เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงที่ชัดเจน รวมถึงการสร้าง “ดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์” สร้างความรู้ให้แก่สังคม ซึ่งตั้งเป้าหมายในระยะเวลา 5 ปี จะต้องมีคนที่มีความรู้ในเรื่องของดิจิทัลไม่น้อยกว่า 5 แสนคน โดยเน้นไปที่ความหลากหลายขององค์ความรู้เป็นสําคัญ” ดร.พิเชฐ กล่าวในที่สุด *************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ดิจิทัลฯ ประชุมผู้บริหารถกความคืบหน้างานโครงการตามนโยบายรัฐบาล เผย 4 ร่าง พ.ร.บ.สำคัญ ผ่านการเห็นชอบ สนช. แล้ว วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560 ก.ดิจิทัลฯ ประชุมผู้บริหารถกความคืบหน้างานโครงการตามนโยบายรัฐบาล เผย 4 ร่าง พ.ร.บ.สําคัญ ผ่านการเห็นชอบ สนช. แล้ว กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดฯ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประชุมผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดฯ หารือ-ติดตามการดําเนินโครงการสําคัญ พร้อมรับทราบความคืบหน้าการร่างกฎหมาย เผย 4 ร่าง พ.ร.บ.สําคัญ ผ่านความเห็นชอบจาก สนช. แล้ว ด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์เตรียมออกกฎหมายลูกใช้ก่อน ประกาศเดินหน้าจัดงาน Thailand Digital Big Bang 2017 ปลายเดือนกันยายนนี้ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แถลงข่าวหลังเป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงฯ และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดฯ ประจําเดือนพฤษภาคม 2560 ว่า การประชุมครั้งนี้ ได้ติดตามความคืบหน้าของร่างกฎหมายต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการปรับแก้ 3 - 4 ฉบับ ซึ่งล่าสุดผ่านขั้นตอนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ร่าง พ.ร.บ.สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .... สําหรับกฎหมายตัวใดที่ยังไม่ผ่านความเห็นชอบในการปรับแก้ไขนั้น กระทรวงดิจิทัลฯ จะมีการออกกฎหมายลูกเพื่อกํากับดูแลไปพลางก่อน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบกําหนดการจัดงาน Thailand Digital Big Bang 2017 ซึ่งจะจัดขึ้นภายใต้แนวคิด Digital Transformation Thailand และรูปแบบการจัดงานจะเน้นการให้ความรู้เรื่องนวัตกรรมเทคโนโลยีโลกแห่งดิจิทัล โดยภายในงานจะแบ่งเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ โซนแรก “Digital Ecosystem Thailand” พื้นที่ในส่วนนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนําเสนอต้นกําเนิดของนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่สามารถนําไปประยุกต์ให้เกิดการใช้งานได้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งเทคโนโลยีปัจจุบัน และเทคโนโลยีใหม่ ตลอดจนแนวทางการนําไปใช้ ทั้งในรูปแบบของสินค้าและบริการ โซนที่ 2 “Digital Playground” เป็นพื้นที่ของการจัดแสดงไอเดียแห่งการลองผิดลองถูก การเล่นสนุกกับไอเดียใหม่ๆ แลกเปลี่ยนประสบการณ์และเทคนิคเพื่อพัฒนานวัตกรรม รวมถึง Business model โซนที่ 3 “Digital Park” เป็นส่วนของการสะท้อนแนวคิด Thailand opportunity เน้นการสัมผัสประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งจะได้เห็นภาพดิจิทัลพาร์ค (Digital Park) ที่กําลังจะเกิดขึ้นว่ามีองค์ประกอบอย่างไร และโซนที่ 4 “Smart City” เป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการจําลองอัจฉริยะ ด้วยการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือดําเนินการให้สามารถมองเห็นภาพของเมืองอัจฉริยะ โดยงาน “Thailand Digital Big Bang 2017 : Digital Transformation Thailand” กําหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 - 24 กันยายน 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี “จากการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลฯ ช่วยผลักดันและสนับสนุนนวัตกรรมของคนไทยเป็นสําคัญ โดยที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าสินค้าที่เป็นนวัตกรรมของคนไทยมาตรฐานยังสู้กับต่างประเทศไม่ได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งกระทรวงฯ เองให้ความสําคัญในการสนับสนุนประชาชนให้เข้าใจถึงพื้นฐานของการใช้อินเทอร์เน็ตและสามารถใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพสร้างรายได้มาตลอด โดยเฉพาะโครงการเน็ตประชารัฐ หรืออินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน ถือเป็นโครงการนําร่องในการขยายรากฐานความรู้ที่ดีให้กับประชาชน เป็นการสร้างคนดิจิทัล เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงที่ชัดเจน รวมถึงการสร้าง “ดิจิทัลพาร์คไทยแลนด์” สร้างความรู้ให้แก่สังคม ซึ่งตั้งเป้าหมายในระยะเวลา 5 ปี จะต้องมีคนที่มีความรู้ในเรื่องของดิจิทัลไม่น้อยกว่า 5 แสนคน โดยเน้นไปที่ความหลากหลายขององค์ความรู้เป็นสําคัญ” ดร.พิเชฐ กล่าวในที่สุด *************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3505
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยการประชุมร่วมคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติประเมินสถานการณ์ความมั่นคงมากกว่าการเมือง ฝากเตือนให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
วันอังคารที่ 8 สิงหาคม 2560 นายกรัฐมนตรีเผยการประชุมร่วมคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติประเมินสถานการณ์ความมั่นคงมากกว่าการเมือง ฝากเตือนให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด นายกรัฐมนตรีเผยการประชุมร่วมคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติประเมินสถานการณ์ความมั่นคงมากกว่าการเมือง ฝากเตือนให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด วันนี้ (8 สิงหาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า การประชุมร่วมคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติในวันนี้ว่า เป็นการประเมินสถานการณ์ความมั่นคงมากกว่าประเมินสถานการณ์การเมือง รวมทั้ง เตรียมความพร้อมมาตรการรองรับพระราชพิธีที่สําคัญของประเทศไทย คือพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทั้งนี้ รัฐบาลต้องรักษาสถานการณ์รวมถึงรักษาความมีเสถียรภาพของรัฐบาลให้ได้ พร้อมทั้งฝากเตือนให้ทุกคน ทุกกลุ่มปฏบัติตามกฎหมาย และ พ.ร.บ. ต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด อย่าทําผิดกฎหมาย -------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยการประชุมร่วมคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติประเมินสถานการณ์ความมั่นคงมากกว่าการเมือง ฝากเตือนให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด วันอังคารที่ 8 สิงหาคม 2560 นายกรัฐมนตรีเผยการประชุมร่วมคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติประเมินสถานการณ์ความมั่นคงมากกว่าการเมือง ฝากเตือนให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด นายกรัฐมนตรีเผยการประชุมร่วมคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติประเมินสถานการณ์ความมั่นคงมากกว่าการเมือง ฝากเตือนให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด วันนี้ (8 สิงหาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า การประชุมร่วมคณะรัฐมนตรีและคณะรักษาความสงบแห่งชาติในวันนี้ว่า เป็นการประเมินสถานการณ์ความมั่นคงมากกว่าประเมินสถานการณ์การเมือง รวมทั้ง เตรียมความพร้อมมาตรการรองรับพระราชพิธีที่สําคัญของประเทศไทย คือพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทั้งนี้ รัฐบาลต้องรักษาสถานการณ์รวมถึงรักษาความมีเสถียรภาพของรัฐบาลให้ได้ พร้อมทั้งฝากเตือนให้ทุกคน ทุกกลุ่มปฏบัติตามกฎหมาย และ พ.ร.บ. ต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด อย่าทําผิดกฎหมาย -------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5796
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ผนึกกำลังภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ส่งเสริมกิจกรรมด้านกีฬาของคนพิการ
วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 คปภ. ผนึกกําลังภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ส่งเสริมกิจกรรมด้านกีฬาของคนพิการ • มอบกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มสําหรับคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมทีม ในการแข่งขันกีฬานักเรียนคนพิการแห่งชาติ “นครนายกเกมส์” ครั้งที่ 19 รวมมูลค่ากว่า 315 ล้านบาท ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ได้รับเกียรติมาเป็นประธานในพิธีมอบกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มและน้ําดื่มสําหรับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมทีม การแข่งขันกีฬานักเรียนคนพิการแห่งชาติ“นครนายกเกมส์” ครั้งที่ 19 ซึ่งจังหวัดนครนายก ได้ร่วมกับกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดการแข่งขันกีฬานักเรียนคนพิการแห่งชาติ ในระหว่างวันที่ 1 - 6 มีนาคม 2561 โดยมีนายณัฐพงศ์ ศิริชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก เป็นผู้รับมอบ สํานักงาน คปภ. ได้เล็งเห็นความสําคัญกับกลุ่มคนพิการเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากยังขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานบางอย่าง ฉะนั้นจึงควรที่จะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อช่วยเหลือและให้ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง และได้รับการส่งเสริมโอกาสของการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างเต็มที่ ซึ่งที่ผ่านมาสํานักงาน คปภ. ได้ดําเนินการร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย จัดทํากรมธรรม์ประกันภัยเพื่อคนพิการขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ภายใต้ชื่อ “กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุเพื่อคนพิการสําหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์)” ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลที่ให้ความคุ้มครอง กรณีเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ วงเงินคุ้มครอง 1 แสนบาท โดยเพิ่มผลประโยชน์ชดเชยเงินปลอบขวัญเนื่องจากอุบัติเหตุ วงเงิน 5,000 บาท และผลประโยชน์การชดเชยรายได้ ระหว่างการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลวันละ 200 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 วัน มีเบี้ยประกันภัยเพียง 300 บาทต่อปี และได้มีการพัฒนากรมธรรม์สําหรับ คนพิการ คือ “กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุพิเศษเพื่อมวลชน” ที่มีการให้ความคุ้มครองเพิ่มในส่วนของผลประโยชน์ชดเชยการบาดเจ็บทางร่างกายและค่าใช้จ่ายสําหรับกายอุปกรณ์เนื่องจากอุบัติเหตุตลอดระยะเวลาประกันภัย สําหรับการแข่งขันกีฬานักเรียนคนพิการแห่งชาติในครั้งนี้ สํานักงาน คปภ. ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ในการจัดทํากรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มจํานวน 3,156 ฉบับ รวมทั้งสนับสนุนน้ําดื่มจํานวน 40,000 ขวด มอบให้กับคณะนักกีฬา และเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมที “นครนายกเกมส์” โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มนี้ ให้ความคุ้มครองการเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จํานวนเงินเอาประกันภัย 1 แสนบาท และผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากอุบัติเหตุตามจํานวนเงินที่จ่ายจริง จํานวนเงินเอาประกันภัย 5,000 บาท ระยะเวลาการคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 7 มีนาคม 2561 รวม 8 วัน โดยคุ้มครองการแข่งขันกีฬารวม 11 ชนิด ได้แก่ กรีฑา โกลบอล เซปักตะกร้อ เทเบิลเทนนิส วอลเลย์บอลชายหาด เปตอง แบดมินตัน ฟุตซอล ยูโด บอคเซีย และว่ายน้ํา รวมวงเงิน คุ้มครองมากกว่า315 ล้านบาท เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า สํานักงาน คปภ. มีนโยบายส่งเสริมการเข้าถึงระบบประกันภัย แก่ประชาชนในทุกระดับ ตลอดจนได้ตระหนักถึงความสําคัญของการส่งเสริมพัฒนากิจกรรมด้านการกีฬา และการส่งเสริมสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แก่เด็กและเยาวชนมาโดยตลอด ล่าสุดได้ร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเป็นการเฉพาะ ซึ่งได้ให้ความเห็นชอบกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มสําหรับคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมทีม พร้อมได้สนับสนุนกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่ม จํานวน 8,360 คน รวมวงเงินคุ้มครองทั้งสิ้น 836 ล้านบาท ในการแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 39 “ขุนด่านเกมส์” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-30 มกราคม 2561 ไปเรียบร้อยแล้ว “ระบบประกันภัยถือเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัย ซึ่งสามารถช่วยแบ่งเบาภาระความเดือดร้อนกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนให้ความสําคัญกับการทําประกันภัยโดยพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสมกับความต้องการของท่านและครอบครัว อย่างไรก็ตามควรคํานึงถึงความสามารถในการชําระเบี้ยประกันภัยและเงื่อนไขความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการประกันภัย หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการประกันภัยสามารถสอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ.กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ผนึกกำลังภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ส่งเสริมกิจกรรมด้านกีฬาของคนพิการ วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 คปภ. ผนึกกําลังภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ส่งเสริมกิจกรรมด้านกีฬาของคนพิการ • มอบกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มสําหรับคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมทีม ในการแข่งขันกีฬานักเรียนคนพิการแห่งชาติ “นครนายกเกมส์” ครั้งที่ 19 รวมมูลค่ากว่า 315 ล้านบาท ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ได้รับเกียรติมาเป็นประธานในพิธีมอบกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มและน้ําดื่มสําหรับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมทีม การแข่งขันกีฬานักเรียนคนพิการแห่งชาติ“นครนายกเกมส์” ครั้งที่ 19 ซึ่งจังหวัดนครนายก ได้ร่วมกับกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดการแข่งขันกีฬานักเรียนคนพิการแห่งชาติ ในระหว่างวันที่ 1 - 6 มีนาคม 2561 โดยมีนายณัฐพงศ์ ศิริชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก เป็นผู้รับมอบ สํานักงาน คปภ. ได้เล็งเห็นความสําคัญกับกลุ่มคนพิการเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากยังขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานบางอย่าง ฉะนั้นจึงควรที่จะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อช่วยเหลือและให้ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง และได้รับการส่งเสริมโอกาสของการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างเต็มที่ ซึ่งที่ผ่านมาสํานักงาน คปภ. ได้ดําเนินการร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย จัดทํากรมธรรม์ประกันภัยเพื่อคนพิการขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ภายใต้ชื่อ “กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุเพื่อคนพิการสําหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์)” ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลที่ให้ความคุ้มครอง กรณีเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ วงเงินคุ้มครอง 1 แสนบาท โดยเพิ่มผลประโยชน์ชดเชยเงินปลอบขวัญเนื่องจากอุบัติเหตุ วงเงิน 5,000 บาท และผลประโยชน์การชดเชยรายได้ ระหว่างการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลวันละ 200 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 วัน มีเบี้ยประกันภัยเพียง 300 บาทต่อปี และได้มีการพัฒนากรมธรรม์สําหรับ คนพิการ คือ “กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุพิเศษเพื่อมวลชน” ที่มีการให้ความคุ้มครองเพิ่มในส่วนของผลประโยชน์ชดเชยการบาดเจ็บทางร่างกายและค่าใช้จ่ายสําหรับกายอุปกรณ์เนื่องจากอุบัติเหตุตลอดระยะเวลาประกันภัย สําหรับการแข่งขันกีฬานักเรียนคนพิการแห่งชาติในครั้งนี้ สํานักงาน คปภ. ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ในการจัดทํากรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มจํานวน 3,156 ฉบับ รวมทั้งสนับสนุนน้ําดื่มจํานวน 40,000 ขวด มอบให้กับคณะนักกีฬา และเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมที “นครนายกเกมส์” โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มนี้ ให้ความคุ้มครองการเสียชีวิต สูญเสียอวัยวะทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จํานวนเงินเอาประกันภัย 1 แสนบาท และผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากอุบัติเหตุตามจํานวนเงินที่จ่ายจริง จํานวนเงินเอาประกันภัย 5,000 บาท ระยะเวลาการคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 7 มีนาคม 2561 รวม 8 วัน โดยคุ้มครองการแข่งขันกีฬารวม 11 ชนิด ได้แก่ กรีฑา โกลบอล เซปักตะกร้อ เทเบิลเทนนิส วอลเลย์บอลชายหาด เปตอง แบดมินตัน ฟุตซอล ยูโด บอคเซีย และว่ายน้ํา รวมวงเงิน คุ้มครองมากกว่า315 ล้านบาท เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า สํานักงาน คปภ. มีนโยบายส่งเสริมการเข้าถึงระบบประกันภัย แก่ประชาชนในทุกระดับ ตลอดจนได้ตระหนักถึงความสําคัญของการส่งเสริมพัฒนากิจกรรมด้านการกีฬา และการส่งเสริมสุขภาพร่างกายและจิตใจให้แก่เด็กและเยาวชนมาโดยตลอด ล่าสุดได้ร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทยและสมาคมประกันวินาศภัยไทย พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเป็นการเฉพาะ ซึ่งได้ให้ความเห็นชอบกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่มสําหรับคณะนักกีฬาและเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมทีม พร้อมได้สนับสนุนกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุกลุ่ม จํานวน 8,360 คน รวมวงเงินคุ้มครองทั้งสิ้น 836 ล้านบาท ในการแข่งขันกีฬานักเรียน นักศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 39 “ขุนด่านเกมส์” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-30 มกราคม 2561 ไปเรียบร้อยแล้ว “ระบบประกันภัยถือเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัย ซึ่งสามารถช่วยแบ่งเบาภาระความเดือดร้อนกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนให้ความสําคัญกับการทําประกันภัยโดยพิจารณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่เหมาะสมกับความต้องการของท่านและครอบครัว อย่างไรก็ตามควรคํานึงถึงความสามารถในการชําระเบี้ยประกันภัยและเงื่อนไขความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัย เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการประกันภัย หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการประกันภัยสามารถสอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ.กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10433
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”ฝาก แรงงานไทยไปทำงานเกาหลี ตั้งใจ เก็บประสบการณ์มาต่อยอดอาชีพ
วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน 2561 “บิ๊กอู๋”ฝาก แรงงานไทยไปทํางานเกาหลี ตั้งใจ เก็บประสบการณ์มาต่อยอดอาชีพ รมว.แรงงาน พบปะแรงงานไทยที่ได้รับคัดเลือกไปทํางานเกาหลี ตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) พร้อมมอบสัญญาจ้างงาน ย้ํา ตั้งใจทํางาน ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ยุ่งเกี่ยวอบายมุข รู้จักเก็บออม นําประสบการณ์มาต่อยอดในการประกอบอาชีพ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานกล่าวให้โอวาทและมอบสัญญาจ้างงานให้กับแรงงานไทยที่ได้รับการคัดเลือกไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลี ตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมีแรงงานไทยเข้าร่วมจํานวน 320 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานในสาขาอุตสาหกรรมโดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับทุกคน ที่ได้รับการคัดเลือกจากนายจ้างให้เดินทางไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งกว่าจะถึงวันนี้ต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือกหลายครั้ง รวมทั้งต้องฝึกฝนภาษาเกาหลี และทักษะการทํางานซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องขอชื่นชม การไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลี เป็นความใฝ่ฝันของคนไทยจํานวนไม่น้อย เนื่องจากอัตราค่าจ้างที่สูงมาก ประมาณ 40,000 – 45,000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันมีแรงงานไทยอยู่ทํางานในเกาหลีประมาณ 188,202 คน โดยเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ประมาณ 122,192 คน โดยตั้งแต่ ม.ค. – พ.ย.61 มีแรงงานไทยเดินทางไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลีแล้ว 5,176 คน ซึ่ง รมว.แรงงาน ได้มีนโยบายการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาแรงงานไทยไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อดูแลแรงงานไทยโดยการจัดตั้งศูนย์ประสานงานแรงงานไทยที่สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อให้การช่วยเหลือแรงงานไทยและอํานวยความสะดวกในการเปลี่ยนงาน การเดินทางกลับประเทศไทย จัดตั้งที่พักพิงสําหรับแรงงานระบบ EPS ที่รอเปลี่ยนนายจ้าง ณ วัดป่าพุทธรังษี ติดตามและผลักดันการเจรจากับสาธารณรัฐเกาหลีในประเด็นต่าง ๆ อาทิ การเพิ่มโควตาแรงงานไทยในระบบ EPS จาก 5,000 คน เป็น 15,000 คน การต่ออายุสัญญาจ้างแรงงานงานไทย จาก 9 ปี เป็น 14 ปี และคุณสมบัติด้านอายุจากไม่เกิน 39 ปี เป็น 45 ปี การเพิ่มตําแหน่งงานสําหรับสตรี การลดระยะเวลาขั้นตอนเอกสารจาก 89 วัน เหลือ 30 วัน จัดทําระบบรองรับการกลับมาของแรงงานไทยตามระบบ EPS โดยมีฐานข้อมูลแรงงานไทยที่กลับมาจากเกาหลี ฐานข้อมูลตําแหน่งงานรองรับในประเทศไทย รวมทั้งสถานประกอบการของทางเกาหลีที่มาลงทุนในประเทศไทย เป็นต้น พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ยังได้เน้นย้ําให้แรงงานไทยที่ได้รับการคัดเลือกไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลีทุกคน ตั้งใจทํางาน รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด ปฏิบัติตามกฎหมาย และวัฒนธรรมของสาธารณรัฐเกาหลี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด สิ่งของมึนเมา และการพนัน รู้จักเก็บออม และส่งเงินให้กับครอบครัว รวมทั้งเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทํางาน “สิ่งใดที่ดีเป็นประโยชน์ ขอให้จดจําและนํากลับมาใช้ในประเทศไทย โดยเฉพาะภาษาเกาหลี ซึ่งเมื่อครบสัญญาจ้างและเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว จะสามารถหางานทําได้โดยง่าย รวมทั้งถ่ายทอดให้กับสมาชิกในครอบครัว หรือคนในชุมชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับตัวเอง ครอบครัว และชื่อเสียงของประเทศไทย รวมทั้งแรงงานไทยที่จะได้เดินทางไปทํางานในรุ่นต่อ ๆ ไปอีกด้วย”พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายสุด ----------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/13 พฤศจิกายน 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋”ฝาก แรงงานไทยไปทำงานเกาหลี ตั้งใจ เก็บประสบการณ์มาต่อยอดอาชีพ วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน 2561 “บิ๊กอู๋”ฝาก แรงงานไทยไปทํางานเกาหลี ตั้งใจ เก็บประสบการณ์มาต่อยอดอาชีพ รมว.แรงงาน พบปะแรงงานไทยที่ได้รับคัดเลือกไปทํางานเกาหลี ตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) พร้อมมอบสัญญาจ้างงาน ย้ํา ตั้งใจทํางาน ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ยุ่งเกี่ยวอบายมุข รู้จักเก็บออม นําประสบการณ์มาต่อยอดในการประกอบอาชีพ สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นประธานกล่าวให้โอวาทและมอบสัญญาจ้างงานให้กับแรงงานไทยที่ได้รับการคัดเลือกไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลี ตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมีแรงงานไทยเข้าร่วมจํานวน 320 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานในสาขาอุตสาหกรรมโดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับทุกคน ที่ได้รับการคัดเลือกจากนายจ้างให้เดินทางไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งกว่าจะถึงวันนี้ต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือกหลายครั้ง รวมทั้งต้องฝึกฝนภาษาเกาหลี และทักษะการทํางานซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องขอชื่นชม การไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลี เป็นความใฝ่ฝันของคนไทยจํานวนไม่น้อย เนื่องจากอัตราค่าจ้างที่สูงมาก ประมาณ 40,000 – 45,000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันมีแรงงานไทยอยู่ทํางานในเกาหลีประมาณ 188,202 คน โดยเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ประมาณ 122,192 คน โดยตั้งแต่ ม.ค. – พ.ย.61 มีแรงงานไทยเดินทางไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลีแล้ว 5,176 คน ซึ่ง รมว.แรงงาน ได้มีนโยบายการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาแรงงานไทยไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อดูแลแรงงานไทยโดยการจัดตั้งศูนย์ประสานงานแรงงานไทยที่สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อให้การช่วยเหลือแรงงานไทยและอํานวยความสะดวกในการเปลี่ยนงาน การเดินทางกลับประเทศไทย จัดตั้งที่พักพิงสําหรับแรงงานระบบ EPS ที่รอเปลี่ยนนายจ้าง ณ วัดป่าพุทธรังษี ติดตามและผลักดันการเจรจากับสาธารณรัฐเกาหลีในประเด็นต่าง ๆ อาทิ การเพิ่มโควตาแรงงานไทยในระบบ EPS จาก 5,000 คน เป็น 15,000 คน การต่ออายุสัญญาจ้างแรงงานงานไทย จาก 9 ปี เป็น 14 ปี และคุณสมบัติด้านอายุจากไม่เกิน 39 ปี เป็น 45 ปี การเพิ่มตําแหน่งงานสําหรับสตรี การลดระยะเวลาขั้นตอนเอกสารจาก 89 วัน เหลือ 30 วัน จัดทําระบบรองรับการกลับมาของแรงงานไทยตามระบบ EPS โดยมีฐานข้อมูลแรงงานไทยที่กลับมาจากเกาหลี ฐานข้อมูลตําแหน่งงานรองรับในประเทศไทย รวมทั้งสถานประกอบการของทางเกาหลีที่มาลงทุนในประเทศไทย เป็นต้น พล.ต.อ.อดุลย์ฯ ยังได้เน้นย้ําให้แรงงานไทยที่ได้รับการคัดเลือกไปทํางานสาธารณรัฐเกาหลีทุกคน ตั้งใจทํางาน รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด ปฏิบัติตามกฎหมาย และวัฒนธรรมของสาธารณรัฐเกาหลี ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด สิ่งของมึนเมา และการพนัน รู้จักเก็บออม และส่งเงินให้กับครอบครัว รวมทั้งเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทํางาน “สิ่งใดที่ดีเป็นประโยชน์ ขอให้จดจําและนํากลับมาใช้ในประเทศไทย โดยเฉพาะภาษาเกาหลี ซึ่งเมื่อครบสัญญาจ้างและเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว จะสามารถหางานทําได้โดยง่าย รวมทั้งถ่ายทอดให้กับสมาชิกในครอบครัว หรือคนในชุมชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับตัวเอง ครอบครัว และชื่อเสียงของประเทศไทย รวมทั้งแรงงานไทยที่จะได้เดินทางไปทํางานในรุ่นต่อ ๆ ไปอีกด้วย”พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในท้ายสุด ----------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/13 พฤศจิกายน 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16759
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรี ข้าราชการและประชาชนทุกหมู่เหล่ารวมพลังแห่งความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน 2559 นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรี ข้าราชการและประชาชนทุกหมู่เหล่ารวมพลังแห่งความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และรําลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นายกรัฐมนตรีนําประชาชนหมู่เหล่าทั่วประเทศ แสดงความจงรักภักดี และรําลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ปีที่ 89 วันนี้ (22 พ.ย. 59) เวลา 08.00 น. ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวนําคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และพสกนิกรทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศ ปฏิญาณตนเพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชอย่างพร้อมกันหลังเคารพธงชาติ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและพสกนิกรทุกหมู่เหล่าร่วมถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมกล่าวนําถวายสัตย์ปฏิญาณว่า "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขอนําประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า และทุกภาคส่วน ซึ่งชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อแสดงความจงรักภักดี และรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ปกเกล้าปกกระหม่อมให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรชาวไทย อีกทั้งทรงบันดาลให้เกิดการพัฒนาประเทศในทุกด้านตลอดมาเป็นเวลาถึง ๗๐ ปี แม้บัดนี้จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ก็ยังทรงสถิตอยู่ในใจของปวงประชาชาวไทยด้วยความวิปโยคอาลัยอย่างไม่มีวันลืมเลือน ณ วาระนี้ ซึ่งปกติเคยเปล่งสัจวาจา ถวายพระพรชัยมงคลเสมอมา จึงขอตั้งสัตยาธิษฐานถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเครื่องบูชาพระมหากรุณาธิคุณแทนด้วยข้อความดังต่อไปนี้ ข้าพระพุทธเจ้า.....(ออกชื่อแต่ละคนพร้อมกัน).....จะซื่อตรงจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ในพระบรมราชจักรีวงศ์จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติตามหน้าที่พลเมือง เคารพกฎหมาย รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งจะร่วมกันปฏิรูปประเทศ และสนับสนุนให้มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ปกครองประเทศด้วยหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สุขแห่งประชาชนชาวไทย ข้าพระพุทธเจ้าจะเป็นคนดี มีคุณธรรม ร่วมกันนําพาประเทศชาติไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน สงบสันติสุข จะรู้รักสามัคคีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชนตลอดไป ข้าพระพุทธเจ้าขอปวารณาตัวว่า จะพัฒนาตนเอง เพิ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเป็นพลังที่ยั่งยืนในการพัฒนาประเทศต่อไป ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายสัจวาจาว่า จะประพฤติปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาท และศาสตร์ของพระราชาผู้ทรงธรรม น้อมนําพระราชดํารัส ดําเนินตามพระราชกรณียกิจ และเชิญพระราชคุณธรรมจรรยามาเป็นแนวทางการดํารงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ เพื่อสืบสานพระบรมราชปณิธาน เพื่อความสุข ความเจริญของปวงข้าพระพุทธเจ้า และเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของราชอาณาจักรไทยสืบไป ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ” จากนั้น นายกรัฐมนตรีและผู้เข้าร่วมพิธี ได้ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ฯ เป็นอันเสร็จพิธี สําหรับการจัดกิจกรรมรวมพลังแห่งความภักดี เพื่อประกาศความจงรักภักดีและร่วมกันน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในครั้งนี้รัฐบาลได้จัดขึ้นในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ 89 โดยจัดกิจกรรมแบ่งเป็น 3 แบบ คือ 1) การทําดีด้วยกาย คือ การจัดกิจกรรมทําความดีเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เช่น ทําความสะอาดสาธารณะสถาน ให้บริการสาธารณะ เยี่ยมคนป่วยไข้ตามโรงพยาบาล อ่านหนังสือพิมพ์ให้เด็กพิการฟัง บําเพ็ญกุศลทางศาสนา การจัดนิทรรศการหรือกิจกรรมอื่น ๆ ดังที่ได้เคยปฏิบัติมาแล้ว 2) การทําดีด้วยวาจา คือ การจัดกิจกรรมปฏิญาณตนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี หรือเพลงอื่น ๆ ตามความเหมาะสม และ 3) การทําดีด้วยใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนกระทําอยู่แล้ว เช่น การจัดกิจกรรมอธิษฐาน ทําสมาธิสํารวมจิตภาวนาแผ่เมตตาตั้งใจดี ........................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรี ข้าราชการและประชาชนทุกหมู่เหล่ารวมพลังแห่งความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน 2559 นายกรัฐมนตรีนําคณะรัฐมนตรี ข้าราชการและประชาชนทุกหมู่เหล่ารวมพลังแห่งความภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และรําลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นายกรัฐมนตรีนําประชาชนหมู่เหล่าทั่วประเทศ แสดงความจงรักภักดี และรําลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ปีที่ 89 วันนี้ (22 พ.ย. 59) เวลา 08.00 น. ณ สนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวนําคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และพสกนิกรทุกหมู่เหล่าทั่วประเทศ ปฏิญาณตนเพื่อน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชอย่างพร้อมกันหลังเคารพธงชาติ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและพสกนิกรทุกหมู่เหล่าร่วมถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมกล่าวนําถวายสัตย์ปฏิญาณว่า "ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขอนําประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า และทุกภาคส่วน ซึ่งชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ถวายสัตย์ปฏิญาณเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อแสดงความจงรักภักดี และรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ปกเกล้าปกกระหม่อมให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่พสกนิกรชาวไทย อีกทั้งทรงบันดาลให้เกิดการพัฒนาประเทศในทุกด้านตลอดมาเป็นเวลาถึง ๗๐ ปี แม้บัดนี้จะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ก็ยังทรงสถิตอยู่ในใจของปวงประชาชาวไทยด้วยความวิปโยคอาลัยอย่างไม่มีวันลืมเลือน ณ วาระนี้ ซึ่งปกติเคยเปล่งสัจวาจา ถวายพระพรชัยมงคลเสมอมา จึงขอตั้งสัตยาธิษฐานถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นเครื่องบูชาพระมหากรุณาธิคุณแทนด้วยข้อความดังต่อไปนี้ ข้าพระพุทธเจ้า.....(ออกชื่อแต่ละคนพร้อมกัน).....จะซื่อตรงจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ในพระบรมราชจักรีวงศ์จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ข้าพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติตามหน้าที่พลเมือง เคารพกฎหมาย รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งจะร่วมกันปฏิรูปประเทศ และสนับสนุนให้มีรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ปกครองประเทศด้วยหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สุขแห่งประชาชนชาวไทย ข้าพระพุทธเจ้าจะเป็นคนดี มีคุณธรรม ร่วมกันนําพาประเทศชาติไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน สงบสันติสุข จะรู้รักสามัคคีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชนตลอดไป ข้าพระพุทธเจ้าขอปวารณาตัวว่า จะพัฒนาตนเอง เพิ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเป็นพลังที่ยั่งยืนในการพัฒนาประเทศต่อไป ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายสัจวาจาว่า จะประพฤติปฏิบัติตามรอยพระยุคลบาท และศาสตร์ของพระราชาผู้ทรงธรรม น้อมนําพระราชดํารัส ดําเนินตามพระราชกรณียกิจ และเชิญพระราชคุณธรรมจรรยามาเป็นแนวทางการดํารงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ เพื่อสืบสานพระบรมราชปณิธาน เพื่อความสุข ความเจริญของปวงข้าพระพุทธเจ้า และเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของราชอาณาจักรไทยสืบไป ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ” จากนั้น นายกรัฐมนตรีและผู้เข้าร่วมพิธี ได้ร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ฯ เป็นอันเสร็จพิธี สําหรับการจัดกิจกรรมรวมพลังแห่งความภักดี เพื่อประกาศความจงรักภักดีและร่วมกันน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในครั้งนี้รัฐบาลได้จัดขึ้นในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ 89 โดยจัดกิจกรรมแบ่งเป็น 3 แบบ คือ 1) การทําดีด้วยกาย คือ การจัดกิจกรรมทําความดีเพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เช่น ทําความสะอาดสาธารณะสถาน ให้บริการสาธารณะ เยี่ยมคนป่วยไข้ตามโรงพยาบาล อ่านหนังสือพิมพ์ให้เด็กพิการฟัง บําเพ็ญกุศลทางศาสนา การจัดนิทรรศการหรือกิจกรรมอื่น ๆ ดังที่ได้เคยปฏิบัติมาแล้ว 2) การทําดีด้วยวาจา คือ การจัดกิจกรรมปฏิญาณตนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี หรือเพลงอื่น ๆ ตามความเหมาะสม และ 3) การทําดีด้วยใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนกระทําอยู่แล้ว เช่น การจัดกิจกรรมอธิษฐาน ทําสมาธิสํารวมจิตภาวนาแผ่เมตตาตั้งใจดี ........................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/853
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พบปะผู้นำศาสนา ชาวไทยพุทธ-มุสลิม ขอให้ช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น ความรักความสามัคคี พร้อมขอให้ทุกภาคส่วนเป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา จชต. ร่วมกับรัฐบาลต่อไป
วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563 นายกฯ พบปะผู้นําศาสนา ชาวไทยพุทธ-มุสลิม ขอให้ช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น ความรักความสามัคคี พร้อมขอให้ทุกภาคส่วนเป็นกําลังสําคัญขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา จชต. ร่วมกับรัฐบาลต่อไป นายกรัฐมนตรีพบปะผู้นําศาสนา ชาวไทยพุทธ-มุสลิม ขอให้ช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น ความรักความสามัคคี พร้อมขอให้ทุกภาคส่วนเป็นกําลังสําคัญขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกับรัฐบาลต่อไป วันนี้ (20 มกราคม 2563) เวลา 15.50 น. ณ หอประชุมบรมราชกุมารี สํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดนราธิวาส พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พบปะผู้นําศาสนาและชาวไทยพุทธมุสลิม โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวตอนหนึ่งว่า พรที่ผู้นําศาสนาและประชาชนดุอาร์ขอพรให้กับตนเอง ขอให้พรนั้นกลับไปสู่ทุกคน โดยเฉพาะพี่น้องชาวอิสลามทุกคน เพราะทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าเชื้อชาติ ศาสนาใด ล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งหมด นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันบ้านเมืองมีปัญหาหลายอย่าง รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความมั่นคง ปัจจุบันปัญหาดีขึ้นตามลําดับ ทั้งนี้ เพราะความร่วมมือของทุกภาคส่วนช่วยกันแก้ไขปัญหาในรูปแบบของประชารัฐ ซึ่งรัฐบาลฝ่ายเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ผู้นําศาสนา ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนต้องร่วมกันเพื่อให้เกิดความสันติอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อทุกอย่างดีขึ้น สงบขึ้น จะทําให้รัฐบาลทํางานเดินหน้าในด้านอื่น ๆ ต่อไปได้ สําหรับเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิต ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันการเปลี่ยนแปลง ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการตัดสินใจ รวมถึงการค้าขายให้เกิดประโยชน์ที่สุด โดยเฉพาะการปลูกพืชจะต้องไม่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ขอให้ปลูกพืชแบบผสมผสาน ในส่วนเรื่องของการสร้างโอกาส จะต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก ไม่ละเมิดกฎหมาย อย่าทําให้คนอื่นเดือดร้อน และอย่าสร้างความไม่สงบในพื้นที่และในประเทศชาติ อะไรที่ไม่ดีอย่าให้เกิดขึ้น ต้องช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น สร้างความรักความสามัคคี บนความหลากหลายของเชื้อชาติ ศาสนา ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมของทุกศาสนา ในส่วนของพี่น้องชาวไทยมุสลิม รัฐบาลได้สนับสนุน ทั้งกิจการฮัจย์เพื่อให้พี่น้องมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้รับความสะดวกสบาย ปลอดภัย และได้ประกอบศาสนกิจอันสําคัญยิ่งอย่างสมบูรณ์ พร้อมกล่าวขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ประธานกรรมการอิสลามประจําจังหวัดนราธิวาสและคณะ กลุ่มผู้นําศาสนาตลอดจนพี่น้องประชาชนมุสลิมในพื้นที่ และขอให้ทุกภาคส่วนผนึกเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกับรัฐบาลต่อไป --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พบปะผู้นำศาสนา ชาวไทยพุทธ-มุสลิม ขอให้ช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น ความรักความสามัคคี พร้อมขอให้ทุกภาคส่วนเป็นกำลังสำคัญขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา จชต. ร่วมกับรัฐบาลต่อไป วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563 นายกฯ พบปะผู้นําศาสนา ชาวไทยพุทธ-มุสลิม ขอให้ช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น ความรักความสามัคคี พร้อมขอให้ทุกภาคส่วนเป็นกําลังสําคัญขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา จชต. ร่วมกับรัฐบาลต่อไป นายกรัฐมนตรีพบปะผู้นําศาสนา ชาวไทยพุทธ-มุสลิม ขอให้ช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น ความรักความสามัคคี พร้อมขอให้ทุกภาคส่วนเป็นกําลังสําคัญขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกับรัฐบาลต่อไป วันนี้ (20 มกราคม 2563) เวลา 15.50 น. ณ หอประชุมบรมราชกุมารี สํานักงานคณะกรรมการอิสลามประจําจังหวัดนราธิวาส พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พบปะผู้นําศาสนาและชาวไทยพุทธมุสลิม โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวตอนหนึ่งว่า พรที่ผู้นําศาสนาและประชาชนดุอาร์ขอพรให้กับตนเอง ขอให้พรนั้นกลับไปสู่ทุกคน โดยเฉพาะพี่น้องชาวอิสลามทุกคน เพราะทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าเชื้อชาติ ศาสนาใด ล้วนเป็นคนไทยด้วยกันทั้งหมด นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันบ้านเมืองมีปัญหาหลายอย่าง รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความมั่นคง ปัจจุบันปัญหาดีขึ้นตามลําดับ ทั้งนี้ เพราะความร่วมมือของทุกภาคส่วนช่วยกันแก้ไขปัญหาในรูปแบบของประชารัฐ ซึ่งรัฐบาลฝ่ายเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ผู้นําศาสนา ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนต้องร่วมกันเพื่อให้เกิดความสันติอย่างยั่งยืน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อทุกอย่างดีขึ้น สงบขึ้น จะทําให้รัฐบาลทํางานเดินหน้าในด้านอื่น ๆ ต่อไปได้ สําหรับเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิต ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้ทันการเปลี่ยนแปลง ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการตัดสินใจ รวมถึงการค้าขายให้เกิดประโยชน์ที่สุด โดยเฉพาะการปลูกพืชจะต้องไม่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ขอให้ปลูกพืชแบบผสมผสาน ในส่วนเรื่องของการสร้างโอกาส จะต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก ไม่ละเมิดกฎหมาย อย่าทําให้คนอื่นเดือดร้อน และอย่าสร้างความไม่สงบในพื้นที่และในประเทศชาติ อะไรที่ไม่ดีอย่าให้เกิดขึ้น ต้องช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น สร้างความรักความสามัคคี บนความหลากหลายของเชื้อชาติ ศาสนา ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมของทุกศาสนา ในส่วนของพี่น้องชาวไทยมุสลิม รัฐบาลได้สนับสนุน ทั้งกิจการฮัจย์เพื่อให้พี่น้องมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้รับความสะดวกสบาย ปลอดภัย และได้ประกอบศาสนกิจอันสําคัญยิ่งอย่างสมบูรณ์ พร้อมกล่าวขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ประธานกรรมการอิสลามประจําจังหวัดนราธิวาสและคณะ กลุ่มผู้นําศาสนาตลอดจนพี่น้องประชาชนมุสลิมในพื้นที่ และขอให้ทุกภาคส่วนผนึกเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกับรัฐบาลต่อไป --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25928