title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติคุ้มคำ จังหวัดเชียงใหม่
|
วันพุธที่ 6 กันยายน 2560
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติคุ้มคํา จังหวัดเชียงใหม่
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติคุ้มคํา จังหวัดเชียงใหม่
วันนี้ (วันอังคารที่ 5 กันยายน 2560) เวลา 17.00 น.ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติคุ้มคํา จังหวัดเชียงใหม่
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว เป็นการบูรณาการร่วมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการประมาณ 500 คน เพื่อเพิ่มมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภาคเหนือ”
โครงการนี้จะสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทําให้เกิดความเชื่อมั่นและสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว ที่จะมาเยือน ในปีท่องเที่ยวไทย ปี 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติคุ้มคำ จังหวัดเชียงใหม่
วันพุธที่ 6 กันยายน 2560
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติคุ้มคํา จังหวัดเชียงใหม่
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติคุ้มคํา จังหวัดเชียงใหม่
วันนี้ (วันอังคารที่ 5 กันยายน 2560) เวลา 17.00 น.ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติคุ้มคํา จังหวัดเชียงใหม่
พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว เป็นการบูรณาการร่วมกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการประมาณ 500 คน เพื่อเพิ่มมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภาคเหนือ”
โครงการนี้จะสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทําให้เกิดความเชื่อมั่นและสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว ที่จะมาเยือน ในปีท่องเที่ยวไทย ปี 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6457
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สมชายฯ ตรวจเยี่ยมความก้าวหน้า การจัดตั้งศูนย์ ICT ภาคที่ 3 เพื่อเตรียมความพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง
|
วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2561
รมช.สมชายฯ ตรวจเยี่ยมความก้าวหน้า การจัดตั้งศูนย์ ICT ภาคที่ 3 เพื่อเตรียมความพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง
รมช.สมชายฯ ตรวจเยี่ยมความก้าวหน้า การจัดตั้งศูนย์ ICT ภาคที่ 3 เพื่อเตรียมความพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2561 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามความคืบหน้า การจัดตั้งศูนย์ ICT ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 3 จังหวัดพิจิตร โดยมีนางเฉลา ศรีเพ็ชร ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 3 ณ ศูนย์ ICT จังหวัดพิจิตร
ศูนย์ ICT เป็นศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมด้าน Creative Design/ Packaging Technology/ Co-working Space และการเกษตรแปรรูปอาหาร โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ SMEs และวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็นการให้บริการ บรรจุภัณฑ์ต้นแบบและวัสดุที่เหมาะสม บริการด้าน Product Development บริการด้าน Packaging Technology ภายในศูนย์ ICT แห่งนี้ ประกอบด้วยโซนต่างๆ 3 โซน ได้แก่ โซน Network Working Space โซน Pitching Area การลงทุนและการเงิน และโซน Industrial Exhibition นิทรรศการอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดพิจิตร นครสวรรค์ กําแพงเพชร และอุทัยธานี โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการแก่ผู้ประกอบการอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สมชายฯ ตรวจเยี่ยมความก้าวหน้า การจัดตั้งศูนย์ ICT ภาคที่ 3 เพื่อเตรียมความพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง
วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2561
รมช.สมชายฯ ตรวจเยี่ยมความก้าวหน้า การจัดตั้งศูนย์ ICT ภาคที่ 3 เพื่อเตรียมความพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง
รมช.สมชายฯ ตรวจเยี่ยมความก้าวหน้า การจัดตั้งศูนย์ ICT ภาคที่ 3 เพื่อเตรียมความพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2561 นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามความคืบหน้า การจัดตั้งศูนย์ ICT ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 3 จังหวัดพิจิตร โดยมีนางเฉลา ศรีเพ็ชร ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 3 ณ ศูนย์ ICT จังหวัดพิจิตร
ศูนย์ ICT เป็นศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมด้าน Creative Design/ Packaging Technology/ Co-working Space และการเกษตรแปรรูปอาหาร โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ SMEs และวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็นการให้บริการ บรรจุภัณฑ์ต้นแบบและวัสดุที่เหมาะสม บริการด้าน Product Development บริการด้าน Packaging Technology ภายในศูนย์ ICT แห่งนี้ ประกอบด้วยโซนต่างๆ 3 โซน ได้แก่ โซน Network Working Space โซน Pitching Area การลงทุนและการเงิน และโซน Industrial Exhibition นิทรรศการอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดพิจิตร นครสวรรค์ กําแพงเพชร และอุทัยธานี โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการแก่ผู้ประกอบการอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12932
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เดินสายสร้างวิทยากรแกนนำส่งต่อความรู้การใช้งานเน็ตประชารัฐแก่ชาวสงขลา
|
วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ เดินสายสร้างวิทยากรแกนนําส่งต่อความรู้การใช้งานเน็ตประชารัฐแก่ชาวสงขลา
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ จัดอบรม “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเพื่อการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ” รุ่นที่ 2 จ.สงขลา กระตุ้นการรับรู้การใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลให้ประชาชน พร้อมติดตามการติดตั้งโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ย้ําความมั่นใจเสร็จตามเป้าสิ้นปี 2560
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ร่วมกับ สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสถาบันวิชาการทีโอที บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) จัดการอบรม “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเพื่อการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ” รุ่นที่ 2 จังหวัดสงขลาขึ้น ภายใต้กิจกรรมการสร้างการรับรู้ในการใช้ประโยชน์โครงข่ายและส่งเสริมการใช้งานเน็ตประชารัฐแก่ประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความรู้ด้านดิจิทัลและให้ข้อมูลเกี่ยวกับเน็ตประชารัฐ และการส่งเสริมการใช้งานเน็ตประชารัฐแก่วิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐ เพื่อให้ทําหน้าที่ในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเน็ตประชารัฐ และการใช้งานอินเทอร์เน็ตในระดับพื้นฐานให้กับกลุ่มผู้นําชุมชนต่อยอดการเรียนรู้และสร้างประโยชน์ได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีบุคลากรทางการศึกษาของ กศน. และบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ารับการอบรมฯ ผลักดันการเป็นต้นน้ําในการขับเคลื่อนเครือข่ายในการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐให้กับประชาชนตามเป้าหมาย
การอบรม “พัฒนาวิทยากรแกนนําเพื่อการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ” เป็นหนึ่งในความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อพัฒนาวิทยากรแกนนําจํานวน 1,000 คน โดยกําหนดอบรม 5 รุ่นภายในเดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมาได้มีการอบรมรุ่นที่ 1 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ให้แก่ผู้อบรมจากพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคกลาง สําหรับการอบรมรุ่นที่ 2 จังหวัดสงขลา เน้นผู้อบรมจากภาคใต้ รุ่นที่ 3 กําหนดอบรมบุคลากรจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จังหวัดอุบลราชธานี รุ่นที่ 4 บุคลากรจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จังหวัดขอนแก่น และรุ่นที่ 5 บุคลากรจากภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่
นอกจากนั้น ในการติดตามความคืบหน้าการติดตั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโครงการเน็ตประชารัฐในพื้นที่ภาคใต้ ที่หมู่บ้านหนังสือชุมชน ตําบลเขิงแส อําเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา และหมู่บ้านหัวป่าเขียวทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง พบว่า ประชาชนในพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านการเกษตร การท่องเที่ยว และการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางการจําหน่ายสินค้าของคนในชุมชน ผ่านการใช้งานแอปพลิเคชั่นต่างๆ รวมทั้งสื่อโซเชียลมีเดียยอดนิยม อย่าง เฟซบุ๊ก (Facebook) อินสตาแกรม (instagram) และไลน์ (Line) เป็นต้น
“การดําเนินงานโครงการเน็ตประชารัฐ โดยการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสื่อสัญญาณสายเคเบิลใยแก้วนําแสง (FTTx) ให้ครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมาย จํานวน 24,700 หมู่บ้าน และจัดให้มีจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ใช้บริการ อย่างน้อยหมู่บ้านละ 1 จุดให้บริการ ที่ระดับความเร็วไม่ต่ํากว่า 30 Mbps/10 Mbps (Download/Upload) ณ 31 ตุลาคม 2560 ดําเนินการติดตั้งแล้วเสร็จ 19,965 หมู่บ้าน คงเหลือ 4,735 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 81% จากจํานวนหมู่บ้านเป้าหมาย และจะติดตั้งแล้วเสร็จทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม 2560 แบ่งเป็น กรุงเทพและปริมณฑล 56 หมู่บ้าน ภาคกลาง 1,850 หมู่บ้าน ภาคตะวันออก 1,148 หมู่บ้าน ภาคใต้ 2,942 หมู่บ้าน ภาคเหนือ 3,280 หมู่บ้าน และภาคอีสาน 10,689 หมู่บ้าน โดยจังหวัดที่มีผู้ใช้งานรวมสูงสุด 10 อันดับ คือ ศรีสะเกษ กาญจนบุรี สงขลา ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ นราธิวาส ขอนแก่น ลําปาง เชียงราย และอุบลราชธานี” รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เดินสายสร้างวิทยากรแกนนำส่งต่อความรู้การใช้งานเน็ตประชารัฐแก่ชาวสงขลา
วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ เดินสายสร้างวิทยากรแกนนําส่งต่อความรู้การใช้งานเน็ตประชารัฐแก่ชาวสงขลา
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลฯ จัดอบรม “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเพื่อการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ” รุ่นที่ 2 จ.สงขลา กระตุ้นการรับรู้การใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลให้ประชาชน พร้อมติดตามการติดตั้งโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ย้ําความมั่นใจเสร็จตามเป้าสิ้นปี 2560
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ร่วมกับ สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสถาบันวิชาการทีโอที บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) จัดการอบรม “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเพื่อการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ” รุ่นที่ 2 จังหวัดสงขลาขึ้น ภายใต้กิจกรรมการสร้างการรับรู้ในการใช้ประโยชน์โครงข่ายและส่งเสริมการใช้งานเน็ตประชารัฐแก่ประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความรู้ด้านดิจิทัลและให้ข้อมูลเกี่ยวกับเน็ตประชารัฐ และการส่งเสริมการใช้งานเน็ตประชารัฐแก่วิทยากรแกนนําเน็ตประชารัฐ เพื่อให้ทําหน้าที่ในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเน็ตประชารัฐ และการใช้งานอินเทอร์เน็ตในระดับพื้นฐานให้กับกลุ่มผู้นําชุมชนต่อยอดการเรียนรู้และสร้างประโยชน์ได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีบุคลากรทางการศึกษาของ กศน. และบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ารับการอบรมฯ ผลักดันการเป็นต้นน้ําในการขับเคลื่อนเครือข่ายในการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐให้กับประชาชนตามเป้าหมาย
การอบรม “พัฒนาวิทยากรแกนนําเพื่อการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ” เป็นหนึ่งในความร่วมมือระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อพัฒนาวิทยากรแกนนําจํานวน 1,000 คน โดยกําหนดอบรม 5 รุ่นภายในเดือนธันวาคม 2560 ที่ผ่านมาได้มีการอบรมรุ่นที่ 1 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ให้แก่ผู้อบรมจากพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคกลาง สําหรับการอบรมรุ่นที่ 2 จังหวัดสงขลา เน้นผู้อบรมจากภาคใต้ รุ่นที่ 3 กําหนดอบรมบุคลากรจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จังหวัดอุบลราชธานี รุ่นที่ 4 บุคลากรจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จังหวัดขอนแก่น และรุ่นที่ 5 บุคลากรจากภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่
นอกจากนั้น ในการติดตามความคืบหน้าการติดตั้งโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโครงการเน็ตประชารัฐในพื้นที่ภาคใต้ ที่หมู่บ้านหนังสือชุมชน ตําบลเขิงแส อําเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา และหมู่บ้านหัวป่าเขียวทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง พบว่า ประชาชนในพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านการเกษตร การท่องเที่ยว และการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางการจําหน่ายสินค้าของคนในชุมชน ผ่านการใช้งานแอปพลิเคชั่นต่างๆ รวมทั้งสื่อโซเชียลมีเดียยอดนิยม อย่าง เฟซบุ๊ก (Facebook) อินสตาแกรม (instagram) และไลน์ (Line) เป็นต้น
“การดําเนินงานโครงการเน็ตประชารัฐ โดยการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสื่อสัญญาณสายเคเบิลใยแก้วนําแสง (FTTx) ให้ครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมาย จํานวน 24,700 หมู่บ้าน และจัดให้มีจุดให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายกับผู้ใช้บริการ อย่างน้อยหมู่บ้านละ 1 จุดให้บริการ ที่ระดับความเร็วไม่ต่ํากว่า 30 Mbps/10 Mbps (Download/Upload) ณ 31 ตุลาคม 2560 ดําเนินการติดตั้งแล้วเสร็จ 19,965 หมู่บ้าน คงเหลือ 4,735 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 81% จากจํานวนหมู่บ้านเป้าหมาย และจะติดตั้งแล้วเสร็จทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม 2560 แบ่งเป็น กรุงเทพและปริมณฑล 56 หมู่บ้าน ภาคกลาง 1,850 หมู่บ้าน ภาคตะวันออก 1,148 หมู่บ้าน ภาคใต้ 2,942 หมู่บ้าน ภาคเหนือ 3,280 หมู่บ้าน และภาคอีสาน 10,689 หมู่บ้าน โดยจังหวัดที่มีผู้ใช้งานรวมสูงสุด 10 อันดับ คือ ศรีสะเกษ กาญจนบุรี สงขลา ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ นราธิวาส ขอนแก่น ลําปาง เชียงราย และอุบลราชธานี” รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าว
*******************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8431
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. รับขึ้นเงินรางวัลลอตเตอรี่ เริ่มงวด 1 มีนาคมนี้
|
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563
ธ.ก.ส. รับขึ้นเงินรางวัลลอตเตอรี่ เริ่มงวด 1 มีนาคมนี้
ธ.ก.ส.รับขึ้นเงินรางวัลสลากของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 คิดค่าธรรมเนียม เพียงร้อยละ 1 เริ่มงวดการออกรางวัล 1 มีนาคมนี้ ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมรับขึ้นเงินรางวัลสลากของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ผ่านเคาน์เตอร์สาขาของธนาคารทุกสาขา เริ่มเปิดให้บริการจ่ายเงินรางวัลของงวดแรกในวันที่ 2 มีนาคม 2563 นี้ เพื่อสร้างทางเลือกให้แก่เกษตรกรลูกค้าและประชาชน ผู้ซื้อสลากของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกรางวัลให้สามารถรับเงินรางวัลได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งสะดวกปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งสามารถฝากเงินเข้าบัญชีหรือทําธุรกรรมอื่น ๆ ที่ ธ.ก.ส. สาขาได้ทันที
ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกรางวัลสลากของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลสามารถขึ้นเงินรางวัลได้ทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 ในงวดปัจจุบันที่ออกรางวัลเท่านั้น โดย ธ.ก.ส. คิดค่าธรรมเนียมเพียงร้อยละ 1 ของมูลค่าเงินรางวัล แต่ละรางวัล และค่าอากรแสตมป์/ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามที่กฎหมายกําหนด ในอัตราร้อยละ 0.5 – 1 ของมูลค่าเงินรางวัล ตามประเภทสลาก รวมแล้วไม่เกินร้อยละ 1.5 – 2 ของมูลค่าเงินรางวัล โดยผู้ถูกรางวัล เพียงนําสลากที่ถูกรางวัล พร้อมแสดงบัตรประชาชนหรือกรณีชาวต่างชาติใช้หนังสือเดินทาง (Passport) ประกอบการขอขึ้นเงินรางวัล ก็รับเงินได้ทันที เริ่มเปิดให้บริการจ่ายเงินรางวัลของงวดการออกรางวัลประจําวันที่ 1 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ณ ธ.ก.ส. สาขา 1,272 สาขาทั่วประเทศ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา หรือที่ ธ.ก.ส. Call Center 02 555 0555
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. รับขึ้นเงินรางวัลลอตเตอรี่ เริ่มงวด 1 มีนาคมนี้
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563
ธ.ก.ส. รับขึ้นเงินรางวัลลอตเตอรี่ เริ่มงวด 1 มีนาคมนี้
ธ.ก.ส.รับขึ้นเงินรางวัลสลากของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 คิดค่าธรรมเนียม เพียงร้อยละ 1 เริ่มงวดการออกรางวัล 1 มีนาคมนี้ ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมรับขึ้นเงินรางวัลสลากของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ผ่านเคาน์เตอร์สาขาของธนาคารทุกสาขา เริ่มเปิดให้บริการจ่ายเงินรางวัลของงวดแรกในวันที่ 2 มีนาคม 2563 นี้ เพื่อสร้างทางเลือกให้แก่เกษตรกรลูกค้าและประชาชน ผู้ซื้อสลากของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกรางวัลให้สามารถรับเงินรางวัลได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งสะดวกปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งสามารถฝากเงินเข้าบัญชีหรือทําธุรกรรมอื่น ๆ ที่ ธ.ก.ส. สาขาได้ทันที
ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกรางวัลสลากของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลสามารถขึ้นเงินรางวัลได้ทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 ในงวดปัจจุบันที่ออกรางวัลเท่านั้น โดย ธ.ก.ส. คิดค่าธรรมเนียมเพียงร้อยละ 1 ของมูลค่าเงินรางวัล แต่ละรางวัล และค่าอากรแสตมป์/ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามที่กฎหมายกําหนด ในอัตราร้อยละ 0.5 – 1 ของมูลค่าเงินรางวัล ตามประเภทสลาก รวมแล้วไม่เกินร้อยละ 1.5 – 2 ของมูลค่าเงินรางวัล โดยผู้ถูกรางวัล เพียงนําสลากที่ถูกรางวัล พร้อมแสดงบัตรประชาชนหรือกรณีชาวต่างชาติใช้หนังสือเดินทาง (Passport) ประกอบการขอขึ้นเงินรางวัล ก็รับเงินได้ทันที เริ่มเปิดให้บริการจ่ายเงินรางวัลของงวดการออกรางวัลประจําวันที่ 1 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ณ ธ.ก.ส. สาขา 1,272 สาขาทั่วประเทศ โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา หรือที่ ธ.ก.ส. Call Center 02 555 0555
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26832
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายก ฯ ขอให้ประชาชนมั่นใจแนวทางการรับมือโรคโควิด-19 ของรัฐบาล
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563
นายก ฯ ขอให้ประชาชนมั่นใจแนวทางการรับมือโรคโควิด-19 ของรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นแนวทางการจัดการโรคโควิด–19 ของประเทศไทยมาถูกทาง มีความพร้อมทั้งการดูแลรักษา เตียง ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันตนเอง
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นแนวทางการจัดการโรคโควิด–19 ของประเทศไทยมาถูกทาง มีความพร้อมทั้งการดูแลรักษา เตียง ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันตนเอง
วันนี้ (19 มีนาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมการบริหารจัดการควบคุมป้องกันโรคโควิด-19 ของประเทศไทย โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหาร คณะที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พลเอก ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับสถานการณ์และการแก้ปัญหาโรคโควิด–19 ของประเทศไทย ได้ร่วมรับฟังความคิดเห็นจากคณะที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสาธารณสุข จากทุกภาคส่วน ทั้งการเมือง รัฐ เอกชน และผู้เชี่ยวชาญ ทําให้มีความเชื่อมั่นว่ากระบวนการแก้ปัญหาเป็นไปตามขั้นตอน และปรับตามสถานการณ์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินงานมาถูกทิศทางแล้ว การที่พบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเท่ากับเรามีการคัดกรอง ติดตามได้อย่างครอบคลุม และพบต้นตอการแพร่เชื้อ มีการติดตามผู้ที่มีความเสี่ยงทุกคนให้ครบ นอกจากนี้ รัฐบาลได้ออกประกาศมาตรการต่างๆ รองรับ มอบอํานาจให้ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด และกรุงเทพมหานคร สามารถกําหนดมาตรการเพิ่มเติม เช่น ขยายระยะเวลาปิดสถานที่มีความเสี่ยง และมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ต้องดําเนินงานอย่างเด็ดขาดและรายงานผลทุกวัน ตั้งแต่การคัดกรองที่สนามบิน ด่านต่างๆ ไปจนถึงศูนย์เฝ้าระวังที่รัฐบาลตั้งขึ้น (State quarantine) และการกักกันตัวเองที่บ้าน (Home quarantine)
ด้านมาตรการป้องกันคนภายนอกนําเชื้อเข้าประเทศ ได้เพิ่มให้ผู้เดินทางจากประเทศที่เป็นพื้นที่ระบาดต่อเนื่องต้องมีใบรับรองแพทย์ ทําประกันสุขภาพทุกคน เพื่อสกัดกั้นการนําเชื้อเข้าประเทศให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งมีการติดตามตัวด้วยแอปพลิเคชันระหว่างอยู่ในประเทศไทย หากไม่มีจะไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ
ด้านนายอนุทินกล่าวว่า วันนี้ นายกรัฐมนตรีได้มารับฟังแผนการบริหารจัดการ และพร้อมให้การสนับสนุนทุกอย่างตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ยังได้รับข่าวดีจากประเทศจีนในการสั่งซื้อวัตถุดิบผลิตยา หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดป้องกันตนเอง (PPE) ผ่านองค์การเภสัชกรรม และประเทศไทยมีผู้ผลิตชุด PPE อยู่ระหว่างการรับรองของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอย. นอกจากนี้ ได้เตรียมเตียง ยา เวชภัณฑ์ สําหรับผู้ป่วยอย่างเพียงพอ
“เราถือว่าชีวิตสุขภาพคนไทยสําคัญ เราให้การดูแลตามมาตรฐาน มีความพร้อม ทั้งยา เวชภัณฑ์ เตียง และหอผู้ป่วย สิ่งสําคัญคือประชาชนต้องงดกิจกรรมทางสังคม มาจากพื้นที่เสี่ยงต้องอยู่บ้าน ทําตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข เพราะโรคนี้เป็นโรคที่องค์การอนามัยโลกประกาศว่าเป็นโรคระบาด เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้ป่วย เมื่อพบแล้วต้องรักษาให้หาย” นายอนุทินกล่าว
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร กล่าวว่า ผมเห็นความมุ่งมั่นของกระทรวงสาธารณสุข ผลงานที่ผ่านมาน่าชื่นชม ผู้ปฏิบัติงานมีขวัญกําลังใจ มียาและเวชภัณฑ์ ยืนยันว่าเรามาถูกทาง ซึ่งระยะแรกเป็นเรื่องของการป้องกัน ระยะต่อไปคือความร่วมมือและการสนับสนุนของหน่วยงานด้านการรักษาพยาบาลที่เป็นรูปธรรม ประชาชนจะเป็นคนกั้นไม่ให้โรคระบาด ร่วมมือในการดูแลสุขภาพตนเอง ต้องมีวินัย เชื่อในสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนํา ผู้ที่มีหน้าที่ต้องทําอย่างจริงจัง เมื่อทุกคนร่วมมือกันจะก้าวข้ามผ่านสถานการณ์นี้ไปได้แน่นอน
********************************* 19 มีนาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายก ฯ ขอให้ประชาชนมั่นใจแนวทางการรับมือโรคโควิด-19 ของรัฐบาล
วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2563
นายก ฯ ขอให้ประชาชนมั่นใจแนวทางการรับมือโรคโควิด-19 ของรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นแนวทางการจัดการโรคโควิด–19 ของประเทศไทยมาถูกทาง มีความพร้อมทั้งการดูแลรักษา เตียง ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันตนเอง
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นแนวทางการจัดการโรคโควิด–19 ของประเทศไทยมาถูกทาง มีความพร้อมทั้งการดูแลรักษา เตียง ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ป้องกันตนเอง
วันนี้ (19 มีนาคม 2563) ที่กระทรวงสาธารณสุข พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมการบริหารจัดการควบคุมป้องกันโรคโควิด-19 ของประเทศไทย โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหาร คณะที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พลเอก ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับสถานการณ์และการแก้ปัญหาโรคโควิด–19 ของประเทศไทย ได้ร่วมรับฟังความคิดเห็นจากคณะที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสาธารณสุข จากทุกภาคส่วน ทั้งการเมือง รัฐ เอกชน และผู้เชี่ยวชาญ ทําให้มีความเชื่อมั่นว่ากระบวนการแก้ปัญหาเป็นไปตามขั้นตอน และปรับตามสถานการณ์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ดําเนินงานมาถูกทิศทางแล้ว การที่พบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นเท่ากับเรามีการคัดกรอง ติดตามได้อย่างครอบคลุม และพบต้นตอการแพร่เชื้อ มีการติดตามผู้ที่มีความเสี่ยงทุกคนให้ครบ นอกจากนี้ รัฐบาลได้ออกประกาศมาตรการต่างๆ รองรับ มอบอํานาจให้ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการทุกจังหวัด และกรุงเทพมหานคร สามารถกําหนดมาตรการเพิ่มเติม เช่น ขยายระยะเวลาปิดสถานที่มีความเสี่ยง และมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ต้องดําเนินงานอย่างเด็ดขาดและรายงานผลทุกวัน ตั้งแต่การคัดกรองที่สนามบิน ด่านต่างๆ ไปจนถึงศูนย์เฝ้าระวังที่รัฐบาลตั้งขึ้น (State quarantine) และการกักกันตัวเองที่บ้าน (Home quarantine)
ด้านมาตรการป้องกันคนภายนอกนําเชื้อเข้าประเทศ ได้เพิ่มให้ผู้เดินทางจากประเทศที่เป็นพื้นที่ระบาดต่อเนื่องต้องมีใบรับรองแพทย์ ทําประกันสุขภาพทุกคน เพื่อสกัดกั้นการนําเชื้อเข้าประเทศให้เหลือน้อยที่สุด รวมทั้งมีการติดตามตัวด้วยแอปพลิเคชันระหว่างอยู่ในประเทศไทย หากไม่มีจะไม่อนุญาตให้เข้าประเทศ
ด้านนายอนุทินกล่าวว่า วันนี้ นายกรัฐมนตรีได้มารับฟังแผนการบริหารจัดการ และพร้อมให้การสนับสนุนทุกอย่างตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ยังได้รับข่าวดีจากประเทศจีนในการสั่งซื้อวัตถุดิบผลิตยา หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดป้องกันตนเอง (PPE) ผ่านองค์การเภสัชกรรม และประเทศไทยมีผู้ผลิตชุด PPE อยู่ระหว่างการรับรองของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และอย. นอกจากนี้ ได้เตรียมเตียง ยา เวชภัณฑ์ สําหรับผู้ป่วยอย่างเพียงพอ
“เราถือว่าชีวิตสุขภาพคนไทยสําคัญ เราให้การดูแลตามมาตรฐาน มีความพร้อม ทั้งยา เวชภัณฑ์ เตียง และหอผู้ป่วย สิ่งสําคัญคือประชาชนต้องงดกิจกรรมทางสังคม มาจากพื้นที่เสี่ยงต้องอยู่บ้าน ทําตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข เพราะโรคนี้เป็นโรคที่องค์การอนามัยโลกประกาศว่าเป็นโรคระบาด เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้ป่วย เมื่อพบแล้วต้องรักษาให้หาย” นายอนุทินกล่าว
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร กล่าวว่า ผมเห็นความมุ่งมั่นของกระทรวงสาธารณสุข ผลงานที่ผ่านมาน่าชื่นชม ผู้ปฏิบัติงานมีขวัญกําลังใจ มียาและเวชภัณฑ์ ยืนยันว่าเรามาถูกทาง ซึ่งระยะแรกเป็นเรื่องของการป้องกัน ระยะต่อไปคือความร่วมมือและการสนับสนุนของหน่วยงานด้านการรักษาพยาบาลที่เป็นรูปธรรม ประชาชนจะเป็นคนกั้นไม่ให้โรคระบาด ร่วมมือในการดูแลสุขภาพตนเอง ต้องมีวินัย เชื่อในสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนํา ผู้ที่มีหน้าที่ต้องทําอย่างจริงจัง เมื่อทุกคนร่วมมือกันจะก้าวข้ามผ่านสถานการณ์นี้ไปได้แน่นอน
********************************* 19 มีนาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27537
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอี สัมมนาร่วมเจโทรและซีไอซีซี แลกเปลี่ยนประสบการณ์ไทย-ญี่ปุ่นสู่ ศก.ดิจิทัล
|
วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562
ดีอี สัมมนาร่วมเจโทรและซีไอซีซี แลกเปลี่ยนประสบการณ์ไทย-ญี่ปุ่นสู่ ศก.ดิจิทัล
ดีอี สัมมนาร่วมเจโทรและซีไอซีซี ฯ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเวทีสัมมนาร่วมเจโทร และซีไอซีซี 2 องค์กรชั้นนําของญี่ปุ่น แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดริเริ่มการใช้ 4 เทคโนโลยีมาแรงแห่งยุค IoT, Big Data, AI และ Blockchain ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน ไทยโชว์ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลผ่านโครงการเน็ตประชารัฐ สมาร์ทซิตี้ และการจัดตั้งสถาบันไอโอที
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวในโอกาสเปิดการสัมมนา MDES/CICC Joint Seminar ซึ่งจัดโดยกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับศูนย์ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านงานคอมพิวเตอร์ (CICC) แห่งประเทศญี่ปุ่น และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ว่า เป็นโอกาสอันดีของกระทรวงฯ ที่ได้มีส่วนร่วมจัดงานสัมมนาระดับนานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนวคิดริเริ่มด้านแนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ และนวัตกรรม ความรู้เชิงเทคนิค และแนวปฏิบัติที่ดีในการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่มีเทคโนโลยีด้านไอซีทีเป็นศูนย์กลาง เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม
การสัมมนาครั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดริเริ่มในการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมแอพพลิเคชั่นด้านสารสนเทศและการสื่อสาร (IT) ใหม่ๆ และแนวทางแก้ไขปัญหา (Solutions) ระหว่างหน่วยงานที่มีส่วนได้ส่วนเสียของไทยและญี่ปุ่น กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมภาคธุรกิจ IT ในการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อนําไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ แนวคิดริเริ่มในการประยุกต์ใช้นวัตกรรมในด้าน IoT, AI, Big Data และ Blockchain Technology ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะนําข้อมูลและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากเวทีนี้ไปประกอบการจัดทําแผนปฏิบัติการ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดิจิทัลของไทยอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ดร.พิเชฐ กล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) จะขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรม และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วมและยั่งยืน ที่ผ่านมารัฐบาลมีการทํางานในเรื่องนี้หลายโครงการเพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0 และดิจิทัล ไทยแลนด์ อันเป็นนโยบายสําคัญ ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล กําลังคนดิจิทัล รัฐบาลดิจิทัล การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
“หนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความสําคัญอย่างยิ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ได้แก่ โครงการเน็ตประชารัฐ ซึ่งมีการวางโครงข่ายบรอดแบนด์ครอบคลุมทั่วถึง 75,000 หมู่บ้านในประเทศไทย โครงการจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้ ช่วยให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ได้ใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในหลากหลายด้าน ได้แก่ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การเข้าถึงบริการภาครัฐ การเพิ่มโอกาสค้าขายผ่านอี-คอมเมิร์ซ การค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะสร้างรายได้และการจ้างงานให้กับชุมชนท้องถิ่น” ดร.พิเชฐกล่าว
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังให้ความสําคัญกับการสร้างทักษะความรู้ด้านดิจิทัลให้กับคนในชุมชนท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด สร้างรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาวและยั่งยืน โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ร่วมกับสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จัดหลักสูตรอบรมการรู้เท่าทันดิจิทัล ให้ความรู้พื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ต และการใช้งานแอพพลิเคชั่นบนอินเทอร์เน็ตกับประชาชนในหมู่บ้านที่มีเน็ตประชารัฐเข้าถึง เพื่อสามารถต่อยอดสร้างอาชีพได้ ปัจจุบันจัดอบรมไปแล้ว 1 ล้านคน ขณะเดียวกัน ได้ทํางานร่วมกับภาคเอกชนในโครงการ “Coding Thailand” ส่งเสริมให้เยาวชนไทยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ โดยจัดทําแพลตฟอร์มการเรียนรู้ผ่านออนไลน์ให้เยาวชนมีโอกาสได้เรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา และสามารถก้าวทันเทคโนโลยี รู้เท่าทัน และสร้างสรรค์การใช้เทคโนโลยี
ดร.พิเชฐ ยังได้กล่าวถึงโครงการสมาร์ทซิตี้ ซึ่งสะท้อนชัดเจนถึงการก้าวสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0 ของประเทศไทยว่า ปัจจุบันดําเนินการไปแล้วใน 7 เมือง ได้แก่ ภูเก็ต ขอนแก่น เชียงใหม่ กรุงเทพ รวมถึงฉะเชิงเทรา ระยอง และชลบุรี ซึ่งอยู่ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยจะนําโซลูชั่นด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีมายกระดับชีวิตความเป็นอยู่ สร้างความยั่งยืน และการบริหารจัดการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มการทํางานร่วมกันในรูปแบบรัฐ-เอกชน (PPP) และส่งเสริมผู้ประกอบการดิจิทัลรุ่นใหม่ (ดิจิทัล สตาร์ทอัพ)
อีกทั้ง อยู่ระหว่างการจัดตั้งสถาบันไอโอทีและนวัตกรรม เพื่อเป็นศูนย์กลางของประเทศไทยในการพัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT, Big Data, Robotics และปัญญาประดิษฐ์ (AI) คาดว่าจะมีองค์กรเข้าร่วมมากกว่า 300 ราย ครอบคลุมทั้งบริษัทเอกชน สถาบันวิจัย และมหาวิทยาลัยต่างๆ สร้างให้เกิดเครือข่ายความเป็นเลิศด้าน IoT สถาบันแห่งนี้ ยังเป็นแหล่งพัฒนาโซลูชั่นด้านดิจิทัล และให้คําปรึกษาทางเทคนิค สําหรับภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจต่างๆ ได้แก่ ยานยนต์ เกษตรกรรม อาหาร และสุขภาพ
ล่าสุด ประเทศไทย ร่วมเป็นพันธมิตรกับหัวเว่ย และทํางานร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมหลายราย เดินหน้าศูนย์ปฏิบัติการทดสอบระบบ 5จี (5G Testbed) ที่ จ.ชลบุรี ในพื้นที่อีอีซี เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการใช้งานจริงในปี 2563 โดยถือเป็นวาระสําคัญของประเทศไทยในการก้าวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0
“นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล มีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และช่วยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเหล่านี้จะสร้างประโยชน์สูงสุดได้ ต้องไม่จํากัดอยู่เพียงการสร้างเศรษฐกิจ การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมในระยะยาวเท่านั้น แต่ต้องสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทุกคนในยุคดิจิทัล ให้ก้าวสู่ความสําเร็จในอนาคตดิจิทัลได้ด้วย” ดร.พิเชฐกล่าว
น.พ.พลวรรธน์ วิฑูรกลชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กล่าวเสริมเกี่ยวกับโครงการเน็ตประชารัฐว่า เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อรองรับเป้าหมายระยะยาว 20 ปี ในการสร้างภูมิทัศน์ดิจิทัลของประเทศไทย โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่เข้าถึงชุมชนระดับหมู่บ้านได้อย่างทั่วถึงภายใน 2 ปี ทําให้เกิดการแบ่งปันประสบการณ์ดิจิทัลไปยังคนในพื้นที่ชนบท ทําให้สามารถส่งต่อบริการดิจิทัลไปถึงคนเหล่านั้นได้ อีกทั้งยังช่วยเร่งความเร็วของแผนงานในระยะที่ 2 ซึ่งเคยตั้งเป้าให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างทั่วถึง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังไว้ในระยะเวลา 5 ปีให้เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น ส่วนแผนงานระยะ 3 และ 4 ของเป้าหมาย 20 ปีนี้ ก็คือ การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) และการยกระดับสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยการเป็นหนึ่งในประเทศแถวหน้าของโลกด้านดิจิทัล ตามลําดับ
มร.ฮิโรชิ โยชิดะ รองผู้อํานวยการด้านยุทธศาสตร์เทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักนโยบายอุตสาหกรรมและการค้า กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) กล่าวถึงยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของญี่ปุ่นว่า ปัจจุบันมีการตั้งเป้าหมายที่จะมุ่งไปสู่ Society 5.0 ผ่านการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นผลต่อเนื่องจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุค 4.0 ได้แก่ IoT, AI และ Big Data รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศกรอบแนวคิดที่ว่าด้วย “Connected Industries” หรือการเชื่อมโยงของอุตสาหกรรม ทั้งในด้านคน เครื่องจักร ระบบ และบริษัทต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ และร่วมหาแนวทางแก้ป้ญหาในภาคอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลจะมีการทํางานร่วมกับภาคเอกชนในหลายโครงการ
มร.อากิฮิโระ โอฮาชิ กรรมการบริหาร บริษัท ฮิตาชิ เอเชีย (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า เมื่อปี 2561 ฮิตาชิ ได้จัดตั้งศูนย์ Lumada Center Southeast Asia ขึ้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในจ.ชลบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อีอีซี เพื่อขานรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมและสังคมดิจิทัลสําหรับประเทศไทย ศูนย์แห่งนี้เปิดให้บริการด้าน IoT เป็นเป้าหมายหลัก โดยจะทํางานร่วมกับลูกค้าเพื่อพัฒนาโรงงานอัจฉริยะขั้นสูง (Advanced Smart Manufacturing), Digital Supply Chain และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมในด้านต่างๆ
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอี สัมมนาร่วมเจโทรและซีไอซีซี แลกเปลี่ยนประสบการณ์ไทย-ญี่ปุ่นสู่ ศก.ดิจิทัล
วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2562
ดีอี สัมมนาร่วมเจโทรและซีไอซีซี แลกเปลี่ยนประสบการณ์ไทย-ญี่ปุ่นสู่ ศก.ดิจิทัล
ดีอี สัมมนาร่วมเจโทรและซีไอซีซี ฯ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเวทีสัมมนาร่วมเจโทร และซีไอซีซี 2 องค์กรชั้นนําของญี่ปุ่น แลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดริเริ่มการใช้ 4 เทคโนโลยีมาแรงแห่งยุค IoT, Big Data, AI และ Blockchain ขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน ไทยโชว์ความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลผ่านโครงการเน็ตประชารัฐ สมาร์ทซิตี้ และการจัดตั้งสถาบันไอโอที
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวในโอกาสเปิดการสัมมนา MDES/CICC Joint Seminar ซึ่งจัดโดยกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับศูนย์ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านงานคอมพิวเตอร์ (CICC) แห่งประเทศญี่ปุ่น และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) ว่า เป็นโอกาสอันดีของกระทรวงฯ ที่ได้มีส่วนร่วมจัดงานสัมมนาระดับนานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนวคิดริเริ่มด้านแนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ และนวัตกรรม ความรู้เชิงเทคนิค และแนวปฏิบัติที่ดีในการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่มีเทคโนโลยีด้านไอซีทีเป็นศูนย์กลาง เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม
การสัมมนาครั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดริเริ่มในการพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมแอพพลิเคชั่นด้านสารสนเทศและการสื่อสาร (IT) ใหม่ๆ และแนวทางแก้ไขปัญหา (Solutions) ระหว่างหน่วยงานที่มีส่วนได้ส่วนเสียของไทยและญี่ปุ่น กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมภาคธุรกิจ IT ในการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อนําไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างยั่งยืน การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ แนวคิดริเริ่มในการประยุกต์ใช้นวัตกรรมในด้าน IoT, AI, Big Data และ Blockchain Technology ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะนําข้อมูลและข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากเวทีนี้ไปประกอบการจัดทําแผนปฏิบัติการ เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ดิจิทัลของไทยอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ดร.พิเชฐ กล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) จะขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรม และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วมและยั่งยืน ที่ผ่านมารัฐบาลมีการทํางานในเรื่องนี้หลายโครงการเพื่อพัฒนาไปสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0 และดิจิทัล ไทยแลนด์ อันเป็นนโยบายสําคัญ ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล กําลังคนดิจิทัล รัฐบาลดิจิทัล การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์
“หนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความสําคัญอย่างยิ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ได้แก่ โครงการเน็ตประชารัฐ ซึ่งมีการวางโครงข่ายบรอดแบนด์ครอบคลุมทั่วถึง 75,000 หมู่บ้านในประเทศไทย โครงการจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้ ช่วยให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ได้ใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในหลากหลายด้าน ได้แก่ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การเข้าถึงบริการภาครัฐ การเพิ่มโอกาสค้าขายผ่านอี-คอมเมิร์ซ การค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะสร้างรายได้และการจ้างงานให้กับชุมชนท้องถิ่น” ดร.พิเชฐกล่าว
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังให้ความสําคัญกับการสร้างทักษะความรู้ด้านดิจิทัลให้กับคนในชุมชนท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด สร้างรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีในระยะยาวและยั่งยืน โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้ร่วมกับสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) จัดหลักสูตรอบรมการรู้เท่าทันดิจิทัล ให้ความรู้พื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ต และการใช้งานแอพพลิเคชั่นบนอินเทอร์เน็ตกับประชาชนในหมู่บ้านที่มีเน็ตประชารัฐเข้าถึง เพื่อสามารถต่อยอดสร้างอาชีพได้ ปัจจุบันจัดอบรมไปแล้ว 1 ล้านคน ขณะเดียวกัน ได้ทํางานร่วมกับภาคเอกชนในโครงการ “Coding Thailand” ส่งเสริมให้เยาวชนไทยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ โดยจัดทําแพลตฟอร์มการเรียนรู้ผ่านออนไลน์ให้เยาวชนมีโอกาสได้เรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา และสามารถก้าวทันเทคโนโลยี รู้เท่าทัน และสร้างสรรค์การใช้เทคโนโลยี
ดร.พิเชฐ ยังได้กล่าวถึงโครงการสมาร์ทซิตี้ ซึ่งสะท้อนชัดเจนถึงการก้าวสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0 ของประเทศไทยว่า ปัจจุบันดําเนินการไปแล้วใน 7 เมือง ได้แก่ ภูเก็ต ขอนแก่น เชียงใหม่ กรุงเทพ รวมถึงฉะเชิงเทรา ระยอง และชลบุรี ซึ่งอยู่ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยจะนําโซลูชั่นด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีมายกระดับชีวิตความเป็นอยู่ สร้างความยั่งยืน และการบริหารจัดการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มการทํางานร่วมกันในรูปแบบรัฐ-เอกชน (PPP) และส่งเสริมผู้ประกอบการดิจิทัลรุ่นใหม่ (ดิจิทัล สตาร์ทอัพ)
อีกทั้ง อยู่ระหว่างการจัดตั้งสถาบันไอโอทีและนวัตกรรม เพื่อเป็นศูนย์กลางของประเทศไทยในการพัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT, Big Data, Robotics และปัญญาประดิษฐ์ (AI) คาดว่าจะมีองค์กรเข้าร่วมมากกว่า 300 ราย ครอบคลุมทั้งบริษัทเอกชน สถาบันวิจัย และมหาวิทยาลัยต่างๆ สร้างให้เกิดเครือข่ายความเป็นเลิศด้าน IoT สถาบันแห่งนี้ ยังเป็นแหล่งพัฒนาโซลูชั่นด้านดิจิทัล และให้คําปรึกษาทางเทคนิค สําหรับภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจต่างๆ ได้แก่ ยานยนต์ เกษตรกรรม อาหาร และสุขภาพ
ล่าสุด ประเทศไทย ร่วมเป็นพันธมิตรกับหัวเว่ย และทํางานร่วมกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมหลายราย เดินหน้าศูนย์ปฏิบัติการทดสอบระบบ 5จี (5G Testbed) ที่ จ.ชลบุรี ในพื้นที่อีอีซี เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการใช้งานจริงในปี 2563 โดยถือเป็นวาระสําคัญของประเทศไทยในการก้าวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0
“นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล มีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และช่วยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเหล่านี้จะสร้างประโยชน์สูงสุดได้ ต้องไม่จํากัดอยู่เพียงการสร้างเศรษฐกิจ การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมในระยะยาวเท่านั้น แต่ต้องสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทุกคนในยุคดิจิทัล ให้ก้าวสู่ความสําเร็จในอนาคตดิจิทัลได้ด้วย” ดร.พิเชฐกล่าว
น.พ.พลวรรธน์ วิฑูรกลชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กล่าวเสริมเกี่ยวกับโครงการเน็ตประชารัฐว่า เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อรองรับเป้าหมายระยะยาว 20 ปี ในการสร้างภูมิทัศน์ดิจิทัลของประเทศไทย โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่เข้าถึงชุมชนระดับหมู่บ้านได้อย่างทั่วถึงภายใน 2 ปี ทําให้เกิดการแบ่งปันประสบการณ์ดิจิทัลไปยังคนในพื้นที่ชนบท ทําให้สามารถส่งต่อบริการดิจิทัลไปถึงคนเหล่านั้นได้ อีกทั้งยังช่วยเร่งความเร็วของแผนงานในระยะที่ 2 ซึ่งเคยตั้งเป้าให้ทุกคนได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างทั่วถึง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังไว้ในระยะเวลา 5 ปีให้เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น ส่วนแผนงานระยะ 3 และ 4 ของเป้าหมาย 20 ปีนี้ ก็คือ การขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) และการยกระดับสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยการเป็นหนึ่งในประเทศแถวหน้าของโลกด้านดิจิทัล ตามลําดับ
มร.ฮิโรชิ โยชิดะ รองผู้อํานวยการด้านยุทธศาสตร์เทคโนโลยีสารสนเทศ สํานักนโยบายอุตสาหกรรมและการค้า กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) กล่าวถึงยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของญี่ปุ่นว่า ปัจจุบันมีการตั้งเป้าหมายที่จะมุ่งไปสู่ Society 5.0 ผ่านการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นผลต่อเนื่องจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุค 4.0 ได้แก่ IoT, AI และ Big Data รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศกรอบแนวคิดที่ว่าด้วย “Connected Industries” หรือการเชื่อมโยงของอุตสาหกรรม ทั้งในด้านคน เครื่องจักร ระบบ และบริษัทต่างๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ และร่วมหาแนวทางแก้ป้ญหาในภาคอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลจะมีการทํางานร่วมกับภาคเอกชนในหลายโครงการ
มร.อากิฮิโระ โอฮาชิ กรรมการบริหาร บริษัท ฮิตาชิ เอเชีย (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า เมื่อปี 2561 ฮิตาชิ ได้จัดตั้งศูนย์ Lumada Center Southeast Asia ขึ้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในจ.ชลบุรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อีอีซี เพื่อขานรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมและสังคมดิจิทัลสําหรับประเทศไทย ศูนย์แห่งนี้เปิดให้บริการด้าน IoT เป็นเป้าหมายหลัก โดยจะทํางานร่วมกับลูกค้าเพื่อพัฒนาโรงงานอัจฉริยะขั้นสูง (Advanced Smart Manufacturing), Digital Supply Chain และโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมในด้านต่างๆ
************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18942
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกระดับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ
|
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
ยกระดับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ
รัฐบาลเร่งพัฒนาคุณภาพร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการธงฟ้าประชารัฐ และติดตั้งเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ ECD
ยกระดับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเร่งพัฒนาคุณภาพร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการธงฟ้าประชารัฐ และติดตั้งเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ ECD เพื่อรองรับการจับจ่ายซื้อสินค้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยจัดอบรมการบริหารร้านค้า การซื้อขาย การบริหารจัดการสต็อก การจัดรูปแบบร้านค้า ตลอดจนการวางแผนด้านบัญชีและภาษีอากร ให้แก่ร้านค้าเป็นเวลา 5 วัน ส่วนการติดตั้งเครื่อง EDC ให้แก่ร้านค้านั้นจะดําเนินการครบถ้วน 40,000 แห่ง ภายในเดือน มิ.ย.61 นี้ ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่อง และหากร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐสามารถสมัครได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร.สายด่วน 1570
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยกระดับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561
ยกระดับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ
รัฐบาลเร่งพัฒนาคุณภาพร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการธงฟ้าประชารัฐ และติดตั้งเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ ECD
ยกระดับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเร่งพัฒนาคุณภาพร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการธงฟ้าประชารัฐ และติดตั้งเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ ECD เพื่อรองรับการจับจ่ายซื้อสินค้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยจัดอบรมการบริหารร้านค้า การซื้อขาย การบริหารจัดการสต็อก การจัดรูปแบบร้านค้า ตลอดจนการวางแผนด้านบัญชีและภาษีอากร ให้แก่ร้านค้าเป็นเวลา 5 วัน ส่วนการติดตั้งเครื่อง EDC ให้แก่ร้านค้านั้นจะดําเนินการครบถ้วน 40,000 แห่ง ภายในเดือน มิ.ย.61 นี้ ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่อง และหากร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการร้านธงฟ้าประชารัฐสามารถสมัครได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โทร.สายด่วน 1570
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12348
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์”เป็นห่วงคนไทย ในสถานการณ์โควิด สั่งพาณิชย์ เปิด 3 มาตรการพิเศษ กระจายสินค้าอุปโภคบริโภค ส่งประชาชนถึงบ้าน
|
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
“จุรินทร์”เป็นห่วงคนไทย ในสถานการณ์โควิด สั่งพาณิชย์ เปิด 3 มาตรการพิเศษ กระจายสินค้าอุปโภคบริโภค ส่งประชาชนถึงบ้าน
วันที่ 23 มีนาคม 2563 ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถ้าแรงภายการประชุมร่วมกาแนวทางและมาตรการรองรับสถานการณ์โควิด-19 ของกระทรวงพาณิชย์ ว่า
วันนี้มีการประชุมข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อที่จะเข้ามาดูแลในเรื่องของสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆในภาวะที่สถานการณ์โควิด-19 มีการแพร่กระจายในระดับที่ได้มีมาตรการยกระดับขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สําหรับสินค้าบริโภคอุปโภคต่างๆนั้น ฝ่ายการผลิตที่สําคัญก็คือกระทรวงอุตสาหกรรม และ กระทรวงเกษตรฯ ส่วนในเรื่องของกระทรวงพาณิชย์ต้องกํากับดูแลในเรื่องของราคาและช่องทางของการกระจายสินค้าไปยังผู้บริโภค ซึ่งต้องมีการประสานงานกันโดยใกล้ชิด สําหรับในเรื่องของการดําเนินการกระจายสินค้าเพื่อที่จะดูแลพี่น้องประชาชนผู้บริโภค โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีมาตรการเป็นพิเศษ เช่น กรุงเทพมหานครได้มีการหาข้อสรุปว่าจะเข้าไปช่วยอํานวยความสะดวกเพิ่มเติมได้อย่างไร กล่าวคือ
ประเด็นที่หนึ่งคือ การที่จะทําให้ซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือว่าร้านค้าต่างๆสามารถได้รับสินค้าจากโกดังได้อย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น เพื่อให้ทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคก็มีความเห็นว่าจะให้มีการยืดหยุ่นกฎระเบียบต่างๆในเรื่องของการขนส่งและการลําเลียงสินค้าจากโกดังไปยัง หน่วยจําหน่ายปลีกต่างๆทั่วทั้งกรุงเทพและปริมณฑล
ประเด็นที่สอง จะเร่งส่งเสริมการให้บริการถึงบ้าน คือ ระบบ delivery ซึ่งขณะนี้มีอยู่
ประเด็นที่สาม ส่วนที่ได้มีการดําเนินการในระบบตลาด
ส่วนที่ 1 สําหรับระบบค้าส่งต่างๆได้มีการใช้ระบบส่งถึงบ้านและมีการเพิ่มปริมาณและศักยภาพมากขึ้น เช่น แม็คโครโลตัส บิ๊กซี เซเว่น-อีเลฟเว่น เป็นต้น
ส่วนที่ 2 การให้บริการส่งอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคไปยังบ้านโดยระบบโลจิสติกส์ ไลน์แมน ฟู้ดแพนด้า GET lalamove ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ จะช่วยสนับสนุนให้สามารถดําเนินการในการเพิ่มศักยภาพได้มากขึ้นต่อไป
ส่วนที่ 3 เรื่องของร้านโชห่วย กระทรวงพาณิชย์เข้าไปช่วยกํากับดูแล ทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะเข้าไปช่วยเพิ่มศักยภาพให้โชห่วยสามารถให้บริการส่งสินค้าไปยังที่บ้าน เนื่องจากว่าหากมีการใช้มาตรการเข้มข้นเพิ่มขึ้นในหลายจังหวัดความจําเป็นที่จะต้องส่งสินค้าและบริการไปที่บ้านจะมีมากขึ้น ซึ่งจะเร่งดําเนินการที่จะเป็นตัวเสริมอีกตัว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นในส่วนของกรมการค้าภายในวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป สําหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลก็จะมีการจัดรถคาราวานธงฟ้าสู้ภัยโควิดจํานวนเริ่มต้น 200 คัน ที่จะไปให้บริการสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาประหยัด และที่จําเป็นสําหรับพี่น้องประชาชนที่จะต้องพักอยู่ที่บ้านทั้งในเขตกรุงเทพและปริมณฑลและจะเพิ่มจํานวนขึ้นถัดจากนี้ไป
สําหรับประเด็นการกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภคหรือว่าการกระทําความผิดในเรื่องของการฉวยโอกาสเอาเปรียบขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ตนได้ลงนามแต่งตั้งคณะทํางานเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามการกระทําผิดเกี่ยวกับสินค้าและบริการด้านอุปโภคบริโภคขึ้น 2 คณะ
โดยคณะที่หนึ่งเป็นการดําเนินการในระดับประเทศซึ่งได้รับความเห็นชอบซึ่งได้แจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ทราบแล้ว มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน โดยให้มีอํานาจหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามการทําผิดกฏหมายที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการด้านอุปโภคบริโภคทั้งหมด เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมในช่วงสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
คณะที่สองในระดับจังหวัดจะประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานคณะทํางาน มีภารกิจเช่นเดียวกันกับในระดับประเทศ
“สําหรับในวันพุธนี้จะได้เชิญประชุม กรอ. พาณิชย์ เพื่อประเมินสถานการณ์โควิดร่วมกันทั้งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน นั้นก็คือหอการค้าสภาหอการค้าสภาอุตสาหกรรมสมาคมธนาคารไทย และสมาคมผู้ขนส่งสินค้าท่าเรือและอื่นๆที่เกี่ยวข้องว่าในส่วนของการผลิตการกระจายสินค้าต่างๆในประเทศการส่งออกควรจะได้มีการกําหนดแนวทางร่วมกันอย่างไรเพื่อให้เราผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้อย่างดีที่สุด” รมว.พาณิชย์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“จุรินทร์”เป็นห่วงคนไทย ในสถานการณ์โควิด สั่งพาณิชย์ เปิด 3 มาตรการพิเศษ กระจายสินค้าอุปโภคบริโภค ส่งประชาชนถึงบ้าน
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563
“จุรินทร์”เป็นห่วงคนไทย ในสถานการณ์โควิด สั่งพาณิชย์ เปิด 3 มาตรการพิเศษ กระจายสินค้าอุปโภคบริโภค ส่งประชาชนถึงบ้าน
วันที่ 23 มีนาคม 2563 ที่กระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถ้าแรงภายการประชุมร่วมกาแนวทางและมาตรการรองรับสถานการณ์โควิด-19 ของกระทรวงพาณิชย์ ว่า
วันนี้มีการประชุมข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อที่จะเข้ามาดูแลในเรื่องของสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆในภาวะที่สถานการณ์โควิด-19 มีการแพร่กระจายในระดับที่ได้มีมาตรการยกระดับขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สําหรับสินค้าบริโภคอุปโภคต่างๆนั้น ฝ่ายการผลิตที่สําคัญก็คือกระทรวงอุตสาหกรรม และ กระทรวงเกษตรฯ ส่วนในเรื่องของกระทรวงพาณิชย์ต้องกํากับดูแลในเรื่องของราคาและช่องทางของการกระจายสินค้าไปยังผู้บริโภค ซึ่งต้องมีการประสานงานกันโดยใกล้ชิด สําหรับในเรื่องของการดําเนินการกระจายสินค้าเพื่อที่จะดูแลพี่น้องประชาชนผู้บริโภค โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีมาตรการเป็นพิเศษ เช่น กรุงเทพมหานครได้มีการหาข้อสรุปว่าจะเข้าไปช่วยอํานวยความสะดวกเพิ่มเติมได้อย่างไร กล่าวคือ
ประเด็นที่หนึ่งคือ การที่จะทําให้ซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือว่าร้านค้าต่างๆสามารถได้รับสินค้าจากโกดังได้อย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น เพื่อให้ทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคก็มีความเห็นว่าจะให้มีการยืดหยุ่นกฎระเบียบต่างๆในเรื่องของการขนส่งและการลําเลียงสินค้าจากโกดังไปยัง หน่วยจําหน่ายปลีกต่างๆทั่วทั้งกรุงเทพและปริมณฑล
ประเด็นที่สอง จะเร่งส่งเสริมการให้บริการถึงบ้าน คือ ระบบ delivery ซึ่งขณะนี้มีอยู่
ประเด็นที่สาม ส่วนที่ได้มีการดําเนินการในระบบตลาด
ส่วนที่ 1 สําหรับระบบค้าส่งต่างๆได้มีการใช้ระบบส่งถึงบ้านและมีการเพิ่มปริมาณและศักยภาพมากขึ้น เช่น แม็คโครโลตัส บิ๊กซี เซเว่น-อีเลฟเว่น เป็นต้น
ส่วนที่ 2 การให้บริการส่งอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคไปยังบ้านโดยระบบโลจิสติกส์ ไลน์แมน ฟู้ดแพนด้า GET lalamove ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ จะช่วยสนับสนุนให้สามารถดําเนินการในการเพิ่มศักยภาพได้มากขึ้นต่อไป
ส่วนที่ 3 เรื่องของร้านโชห่วย กระทรวงพาณิชย์เข้าไปช่วยกํากับดูแล ทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะเข้าไปช่วยเพิ่มศักยภาพให้โชห่วยสามารถให้บริการส่งสินค้าไปยังที่บ้าน เนื่องจากว่าหากมีการใช้มาตรการเข้มข้นเพิ่มขึ้นในหลายจังหวัดความจําเป็นที่จะต้องส่งสินค้าและบริการไปที่บ้านจะมีมากขึ้น ซึ่งจะเร่งดําเนินการที่จะเป็นตัวเสริมอีกตัว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นในส่วนของกรมการค้าภายในวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป สําหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลก็จะมีการจัดรถคาราวานธงฟ้าสู้ภัยโควิดจํานวนเริ่มต้น 200 คัน ที่จะไปให้บริการสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาประหยัด และที่จําเป็นสําหรับพี่น้องประชาชนที่จะต้องพักอยู่ที่บ้านทั้งในเขตกรุงเทพและปริมณฑลและจะเพิ่มจํานวนขึ้นถัดจากนี้ไป
สําหรับประเด็นการกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภคหรือว่าการกระทําความผิดในเรื่องของการฉวยโอกาสเอาเปรียบขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ตนได้ลงนามแต่งตั้งคณะทํางานเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามการกระทําผิดเกี่ยวกับสินค้าและบริการด้านอุปโภคบริโภคขึ้น 2 คณะ
โดยคณะที่หนึ่งเป็นการดําเนินการในระดับประเทศซึ่งได้รับความเห็นชอบซึ่งได้แจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ทราบแล้ว มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน โดยให้มีอํานาจหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามการทําผิดกฏหมายที่เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการด้านอุปโภคบริโภคทั้งหมด เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมในช่วงสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
คณะที่สองในระดับจังหวัดจะประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานคณะทํางาน มีภารกิจเช่นเดียวกันกับในระดับประเทศ
“สําหรับในวันพุธนี้จะได้เชิญประชุม กรอ. พาณิชย์ เพื่อประเมินสถานการณ์โควิดร่วมกันทั้งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน นั้นก็คือหอการค้าสภาหอการค้าสภาอุตสาหกรรมสมาคมธนาคารไทย และสมาคมผู้ขนส่งสินค้าท่าเรือและอื่นๆที่เกี่ยวข้องว่าในส่วนของการผลิตการกระจายสินค้าต่างๆในประเทศการส่งออกควรจะได้มีการกําหนดแนวทางร่วมกันอย่างไรเพื่อให้เราผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้อย่างดีที่สุด” รมว.พาณิชย์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27714
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. กอบศักดิ์ฯ บรรยายหัวข้อ “การปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และโครงการประชารัฐ”
|
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561
รมต. นร. กอบศักดิ์ฯ บรรยายหัวข้อ “การปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และโครงการประชารัฐ”
รมต. นร. กอบศักดิ์ฯ ต้อนรับคณะยุวชนประชาธิปไตย พร้อมกล่าวย้ําในการบรรยายฯ ให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างอนาคตของชาติไปสู่การพัฒนาที่ทัดเทียมนานาประเทศ
วันนี้ (15 มี.ค. 61) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนให้การต้อนรับคณะยุวชนประชาธิปไตยและเจ้าหน้าที่ของสํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จํานวน 160 คน ที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นพลเมืองของเยาวชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ยั่งยืน กิจกรรมยุวชนประชาธิปไตย ประจําปี 2561 โดยมี นายประกิจ ธนาเลิศสมบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานด้วย
ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้กล่าวรายงานว่า โครงการส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นพลเมืองของเยาวชนในระบอบประชาธิปไตยเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ยั่งยืน เป็นการดําเนินงานของสํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเยาวชนทั่วทุกภูมิภาคอย่างเท่าเทียม การจัดกิจกรรมยุวชนประชาธิปไตย เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่หลากหลายของโครงการฯ ซึ่งให้ความสําคัญในเรื่องขององค์ความรู้ด้านการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมจะมีโอกาสได้ศึกษาดูงานในสถานที่สําคัญ ๆ ซึ่งเป็นกลไกในการขับเคลื่อนกระบวนการทางการเมืองการปกครองไทย เช่น ศาล และองค์กรอิสระ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การสหประชาชาติ และสถานที่ที่น้อมนําศาสตร์พระราชามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง เป็นต้น เมื่อได้ศึกษาทั้งด้านองค์ความรู้ และประสบการณ์แล้ว เยาวชนจะสามารถนํามาบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาในกรณีศึกษาที่กําหนด ซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งในเรื่องบทบาทสมมติ สถานการณ์จําลอง เวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การระดมสมองในกลุ่มย่อย ฯลฯ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงให้เห็นถึงการใช้องค์ความรู้ และทักษะในเชิงบูรณาการได้อย่างชัดเจน ผลงานที่เยาวชนได้สร้างขึ้นขณะเข้าร่วมกิจกรรม แสดงถึงศักยภาพของการเข้ามามีส่วนร่วมของเยาวชน ในกิจกรรมของสถาบันนิติบัญญัติ ซึ่งสามารถนําไปขยายผลในรูปแบบอื่น ทั้งการเผยแพร่ความรู้ การนําทักษะ และประสบการณ์ไปสานต่อให้เกิดประโยชน์ต่อเยาวชน และเป็นการสร้างเครือข่ายเยาวชนของสถาบันนิติบัญญัติเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “การปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และโครงการประชารัฐ” แก่เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ว่า อยากให้เยาวชนทุกคนเป็นโครงข่ายและเป็นกําลังสําคัญของรัฐสภาต่อไป ซึ่งสมัยก่อนตนได้เคยทํางานที่รัฐสภาเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศและการร่างรัฐธรรมนูญของอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ สิ่งหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟัง คือ รัฐบาลมีความตั้งใจโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยสู่ประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาลอย่างแท้จริงนําประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งคนไทยทุกคนต้องสร้างอนาคตไว้ในใจต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพื่อให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้น รัฐบาลได้จัดทําร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยรัฐบาลได้ดําเนินการจัดทําร่างแผนปฏิรูปประเทศเสร็จแล้วทั้ง11 ด้านเพื่อการสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน การสร้างโอกาส ความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ อีกทั้ง เพื่อให้สังคมไทยมีความปรองดองและสามัคคี ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่9) ที่ทรงมีพระราชดํารัสแก่ชาวไทยว่า การดํารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดําเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ นอกจากนี้ รัฐบาลพร้อมที่จะเดินหน้าปฏิรูปประเทศจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทํางานคู่ขนานกันไปอีกด้วย
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง โครงการประชารัฐที่รัฐบาลได้ขับเคลื่อนพัฒนาประเทศโดยเน้นการสร้างความมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาชนให้เข้ามาช่วยเดินหน้าพัฒนาปฏิรูปประเทศ รวมถึงแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ําในสังคม การยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นอกจากนี้ ยังได้มีการก่อตั้งบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จํากัด โดยเป็นรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ไม่แสวงหาผลกําไรมีหน้าที่ช่วยเหลือต่อยอดชุมชนที่มีความพร้อม ให้สามารถเพิ่มรายได้จากธุรกิจการเกษตร การแปรรูป และการท่องเที่ยวโดยชุมชน เป็นการเสริมความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความมั่นคง ซึ่งปัจจุบันสามารถจัดตั้งบริษัทประชารัฐรักสามัคคีได้ครบทั่วประเทศ 76 จังหวัด และวิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมรับการช่วยเหลือจํานวนมาก สามารถช่วยเหลือต่อยอดทางรายได้ และพัฒนาการบริหารจัดการให้โครงการท้องถิ่นชุมชนประสบความสําเร็จ พร้อมกันนี้ ขอให้เยาวชนทุกคนออมเงิน เพื่อการวางแผนทางการเงิน ซึ่งจะนําไปสู่ความมั่นคงในการลงทุนการสร้างอาชีพรายได้ ซึ่งทุกอาชีพสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเอง โดยการการปลูกฝังนิสัยการออมและการใช้เงินอย่างรู้คุณค่าตั้งแต่วัยเด็ก จะช่วยให้เยาวชนสามารถกําหนดพฤติกรรมทางการเงินของตนเองได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะถูกพัฒนาไปสู่การบริหารการเงินอย่างมีวินัยในระยะยาว
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลกําลังดําเนินการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษและเมือง พัฒนาเขตเศรษฐกิจ พิเศษชายแดน และพัฒนาระบบเมืองศูนย์กลางความเจริญ การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการขนส่ง เพื่อการเชื่อมโยงกับภูมิภาคและเศรษฐกิจโลก เพื่ออนาคตประเทศไทยในระยะยาว จึงได้มีการลงทุนพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงหลายเส้นทาง รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะมีขึ้นภายในปีที่ผ่านมาได้มีแผนดําเนินการใน 2 โครงการคือสาย อ.เด่นชัย จ.แพร่-เชียงราย-เชียงของ และสาย อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น-สกลนคร-มุกดาหาร-นครพนม เพื่อให้สอดรับกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและบริการเป็นพื้นฐานสําคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ที่ครอบคลุม จะเห็นได้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในขณะนั้นประเทศไทยมีปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน ซึ่งจะทําอย่างไรที่จะทําให้ประเทศไทยได้มีการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทุกภาคส่วนต้องมีการปรับและพัฒนาตนเองให้ทัดเทียมกับนานาประเทศอีกด้วย
..................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. กอบศักดิ์ฯ บรรยายหัวข้อ “การปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และโครงการประชารัฐ”
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561
รมต. นร. กอบศักดิ์ฯ บรรยายหัวข้อ “การปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และโครงการประชารัฐ”
รมต. นร. กอบศักดิ์ฯ ต้อนรับคณะยุวชนประชาธิปไตย พร้อมกล่าวย้ําในการบรรยายฯ ให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างอนาคตของชาติไปสู่การพัฒนาที่ทัดเทียมนานาประเทศ
วันนี้ (15 มี.ค. 61) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบหมายนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนให้การต้อนรับคณะยุวชนประชาธิปไตยและเจ้าหน้าที่ของสํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จํานวน 160 คน ที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นพลเมืองของเยาวชนในระบอบประชาธิปไตย เพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ยั่งยืน กิจกรรมยุวชนประชาธิปไตย ประจําปี 2561 โดยมี นายประกิจ ธนาเลิศสมบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานด้วย
ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้กล่าวรายงานว่า โครงการส่งเสริมและสนับสนุนความเป็นพลเมืองของเยาวชนในระบอบประชาธิปไตยเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้ยั่งยืน เป็นการดําเนินงานของสํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร โดยให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมในรูปแบบต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเยาวชนทั่วทุกภูมิภาคอย่างเท่าเทียม การจัดกิจกรรมยุวชนประชาธิปไตย เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่หลากหลายของโครงการฯ ซึ่งให้ความสําคัญในเรื่องขององค์ความรู้ด้านการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมจะมีโอกาสได้ศึกษาดูงานในสถานที่สําคัญ ๆ ซึ่งเป็นกลไกในการขับเคลื่อนกระบวนการทางการเมืองการปกครองไทย เช่น ศาล และองค์กรอิสระ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์การสหประชาชาติ และสถานที่ที่น้อมนําศาสตร์พระราชามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง เป็นต้น เมื่อได้ศึกษาทั้งด้านองค์ความรู้ และประสบการณ์แล้ว เยาวชนจะสามารถนํามาบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาในกรณีศึกษาที่กําหนด ซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งในเรื่องบทบาทสมมติ สถานการณ์จําลอง เวทีเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การระดมสมองในกลุ่มย่อย ฯลฯ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงให้เห็นถึงการใช้องค์ความรู้ และทักษะในเชิงบูรณาการได้อย่างชัดเจน ผลงานที่เยาวชนได้สร้างขึ้นขณะเข้าร่วมกิจกรรม แสดงถึงศักยภาพของการเข้ามามีส่วนร่วมของเยาวชน ในกิจกรรมของสถาบันนิติบัญญัติ ซึ่งสามารถนําไปขยายผลในรูปแบบอื่น ทั้งการเผยแพร่ความรู้ การนําทักษะ และประสบการณ์ไปสานต่อให้เกิดประโยชน์ต่อเยาวชน และเป็นการสร้างเครือข่ายเยาวชนของสถาบันนิติบัญญัติเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมต่อไป
โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “การปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และโครงการประชารัฐ” แก่เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการฯ ว่า อยากให้เยาวชนทุกคนเป็นโครงข่ายและเป็นกําลังสําคัญของรัฐสภาต่อไป ซึ่งสมัยก่อนตนได้เคยทํางานที่รัฐสภาเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศและการร่างรัฐธรรมนูญของอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ สิ่งหนึ่งที่อยากจะเล่าให้ฟัง คือ รัฐบาลมีความตั้งใจโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยสู่ประชาธิปไตยที่มีธรรมาภิบาลอย่างแท้จริงนําประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งคนไทยทุกคนต้องสร้างอนาคตไว้ในใจต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพื่อให้ทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้น รัฐบาลได้จัดทําร่างยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยรัฐบาลได้ดําเนินการจัดทําร่างแผนปฏิรูปประเทศเสร็จแล้วทั้ง11 ด้านเพื่อการสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน การสร้างโอกาส ความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ อีกทั้ง เพื่อให้สังคมไทยมีความปรองดองและสามัคคี ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่9) ที่ทรงมีพระราชดํารัสแก่ชาวไทยว่า การดํารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดําเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ นอกจากนี้ รัฐบาลพร้อมที่จะเดินหน้าปฏิรูปประเทศจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทํางานคู่ขนานกันไปอีกด้วย
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง โครงการประชารัฐที่รัฐบาลได้ขับเคลื่อนพัฒนาประเทศโดยเน้นการสร้างความมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาชนให้เข้ามาช่วยเดินหน้าพัฒนาปฏิรูปประเทศ รวมถึงแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ําในสังคม การยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นอกจากนี้ ยังได้มีการก่อตั้งบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จํากัด โดยเป็นรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ไม่แสวงหาผลกําไรมีหน้าที่ช่วยเหลือต่อยอดชุมชนที่มีความพร้อม ให้สามารถเพิ่มรายได้จากธุรกิจการเกษตร การแปรรูป และการท่องเที่ยวโดยชุมชน เป็นการเสริมความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความมั่นคง ซึ่งปัจจุบันสามารถจัดตั้งบริษัทประชารัฐรักสามัคคีได้ครบทั่วประเทศ 76 จังหวัด และวิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมรับการช่วยเหลือจํานวนมาก สามารถช่วยเหลือต่อยอดทางรายได้ และพัฒนาการบริหารจัดการให้โครงการท้องถิ่นชุมชนประสบความสําเร็จ พร้อมกันนี้ ขอให้เยาวชนทุกคนออมเงิน เพื่อการวางแผนทางการเงิน ซึ่งจะนําไปสู่ความมั่นคงในการลงทุนการสร้างอาชีพรายได้ ซึ่งทุกอาชีพสามารถสร้างรายได้ให้กับตนเอง โดยการการปลูกฝังนิสัยการออมและการใช้เงินอย่างรู้คุณค่าตั้งแต่วัยเด็ก จะช่วยให้เยาวชนสามารถกําหนดพฤติกรรมทางการเงินของตนเองได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะถูกพัฒนาไปสู่การบริหารการเงินอย่างมีวินัยในระยะยาว
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลกําลังดําเนินการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษและเมือง พัฒนาเขตเศรษฐกิจ พิเศษชายแดน และพัฒนาระบบเมืองศูนย์กลางความเจริญ การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการขนส่ง เพื่อการเชื่อมโยงกับภูมิภาคและเศรษฐกิจโลก เพื่ออนาคตประเทศไทยในระยะยาว จึงได้มีการลงทุนพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงหลายเส้นทาง รวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะมีขึ้นภายในปีที่ผ่านมาได้มีแผนดําเนินการใน 2 โครงการคือสาย อ.เด่นชัย จ.แพร่-เชียงราย-เชียงของ และสาย อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น-สกลนคร-มุกดาหาร-นครพนม เพื่อให้สอดรับกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและบริการเป็นพื้นฐานสําคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ที่ครอบคลุม จะเห็นได้ว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในขณะนั้นประเทศไทยมีปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน ซึ่งจะทําอย่างไรที่จะทําให้ประเทศไทยได้มีการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทุกภาคส่วนต้องมีการปรับและพัฒนาตนเองให้ทัดเทียมกับนานาประเทศอีกด้วย
..................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10796
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมกำหนดมาตรการและดูแลประชาชน กรณีการยกระดับปฏิบัติการยับยั้งโควิด-19 [กระทรวงมหาดไทย]
|
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมกําหนดมาตรการและดูแลประชาชน กรณีการยกระดับปฏิบัติการยับยั้งโควิด-19 [กระทรวงมหาดไทย]
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมกําหนดมาตรการและดูแลประชาชน กรณีการยกระดับปฏิบัติการยับยั้งโควิด-19
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมกําหนดมาตรการและดูแลประชาชน กรณีการยกระดับปฏิบัติการยับยั้งโควิด-19
วันนี้ (5 เม.ย.63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความปลอดภัยกับประชาชน
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมพร้อมดําเนินการในกรณีศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยกระดับการปฏิบัติการ ได้แก่ 1) จัดเตรียมพื้นที่รองรับการกักกันตัวของจังหวัด (Local Quarantine) ให้มีความพร้อม โดยสามารถพิจารณาใช้พื้นที่ของภาคเอกชนได้ ทั้งในด้านการจัดทําเป็นสถานที่กักกันตัว โรงพยาบาลสนาม คลังเก็บอาหาร เครื่องดื่ม จุดรับบริจาค จุดประชาสัมพันธ์ให้ข่าว รวมทั้งกําหนดผู้ให้ข่าวที่ชัดเจน 2) ชี้แจงทําความเข้าใจกับประชาชนและทุกภาคส่วน ถึงความจําเป็นในการปฏิบัติการเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยให้ประชาชนอยู่ในที่พํานัก ไม่เคลื่อนย้าย/เดินทาง อีกทั้งมอบหมายภารกิจหน้าที่แก่ส่วนราชการ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ปกครองท้องที่ ถึงภารกิจและแนวทางการปฏิบัติงาน ตลอดจนกําหนดแผนเผชิญเหตุและซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติให้มีความเข้าใจร่วมกัน 3) วางมาตรการควบคุมการกักตุนสินค้า โดยเชิญประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง หากพบการกระทําความผิดให้ดําเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัด 4) วางแผนจัดระบบการขนส่งสินค้า เครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของจําเป็นต่อการดํารงชีวิตประจําวัน มีการกําหนดจุดบริการอาหาร เครื่องดื่ม เพื่อดูแลประชาชนถึงระดับหมู่บ้าน/ชุมชนให้ชัดเจน และกําหนดในแผนปฏิบัติการ
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะผู้กํากับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัด ให้ดําเนินการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในการปฏิบัติการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไสรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อสวัสดิภาพ และชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกคน
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 43/2563
วันที่ 5 เม.ย.2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมกำหนดมาตรการและดูแลประชาชน กรณีการยกระดับปฏิบัติการยับยั้งโควิด-19 [กระทรวงมหาดไทย]
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมกําหนดมาตรการและดูแลประชาชน กรณีการยกระดับปฏิบัติการยับยั้งโควิด-19 [กระทรวงมหาดไทย]
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมกําหนดมาตรการและดูแลประชาชน กรณีการยกระดับปฏิบัติการยับยั้งโควิด-19
มหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดเตรียมความพร้อมกําหนดมาตรการและดูแลประชาชน กรณีการยกระดับปฏิบัติการยับยั้งโควิด-19
วันนี้ (5 เม.ย.63) นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความปลอดภัยกับประชาชน
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดเตรียมพร้อมดําเนินการในกรณีศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ยกระดับการปฏิบัติการ ได้แก่ 1) จัดเตรียมพื้นที่รองรับการกักกันตัวของจังหวัด (Local Quarantine) ให้มีความพร้อม โดยสามารถพิจารณาใช้พื้นที่ของภาคเอกชนได้ ทั้งในด้านการจัดทําเป็นสถานที่กักกันตัว โรงพยาบาลสนาม คลังเก็บอาหาร เครื่องดื่ม จุดรับบริจาค จุดประชาสัมพันธ์ให้ข่าว รวมทั้งกําหนดผู้ให้ข่าวที่ชัดเจน 2) ชี้แจงทําความเข้าใจกับประชาชนและทุกภาคส่วน ถึงความจําเป็นในการปฏิบัติการเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยให้ประชาชนอยู่ในที่พํานัก ไม่เคลื่อนย้าย/เดินทาง อีกทั้งมอบหมายภารกิจหน้าที่แก่ส่วนราชการ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ปกครองท้องที่ ถึงภารกิจและแนวทางการปฏิบัติงาน ตลอดจนกําหนดแผนเผชิญเหตุและซักซ้อมแนวทางการปฏิบัติให้มีความเข้าใจร่วมกัน 3) วางมาตรการควบคุมการกักตุนสินค้า โดยเชิญประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง หากพบการกระทําความผิดให้ดําเนินการตามกฎหมายโดยเคร่งครัด 4) วางแผนจัดระบบการขนส่งสินค้า เครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งของจําเป็นต่อการดํารงชีวิตประจําวัน มีการกําหนดจุดบริการอาหาร เครื่องดื่ม เพื่อดูแลประชาชนถึงระดับหมู่บ้าน/ชุมชนให้ชัดเจน และกําหนดในแผนปฏิบัติการ
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะผู้กํากับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัด ให้ดําเนินการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในการปฏิบัติการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไสรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อสวัสดิภาพ และชีวิตของพี่น้องประชาชนทุกคน
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 43/2563
วันที่ 5 เม.ย.2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28489
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการ ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ณ ป่าในเมืองสวนพฤกษศาตร์สกุโณทยาน จ.พิษณุโลก”
|
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการ ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ณ ป่าในเมืองสวนพฤกษศาตร์สกุโณทยาน จ.พิษณุโลก”
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการ ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ณ ป่าในเมืองสวนพฤกษศาตร์สกุโณทยาน จ.พิษณุโลก”
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการ ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ณ ป่าในเมืองสวนพฤกษศาตร์สกุโณทยาน จ.พิษณุโลก”
วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561 เวลา 14.00 น. พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิด “โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” ในพื้นที่ป่าในเมือง สวนพฤกษศาตร์สกุโณทยาน สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย โดยมีนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวรายงาน นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวต้อนรับ โดยมี นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ นายจงคล้าย วรพงศธร รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า พันธุ์พืช นายนิพนธ์ จํานงสิริศักดิ์ ผู้อํานวยการสํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 พร้อมด้วยผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้นําชุมชน ผู้นําท้องถิ่น สื่อมวลชน นักเรียน และประชาชน เข้าร่วมงานจํานวน 2,000 คน
กิจกรรมภายในงาน ท่านรัฐมนตรีฯ ท่านปลัดกระทรวงฯ และผู้บริหาร ได้ปลูกต้นรวงผึ้งในสวนรวงผึ้ง พร้อมทั้งได้รวมพลังประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ในพื้นที่ป่าในเมือง ตลอดจนเยี่ยมชมนิทรรศการต้นไม้ของพ่อทรงปลูก 60 ปี เยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้เพาะชํากล้าไม้ ชมศูนย์เรียนรู้สิ่งประเด็นจากวัสดุเทียมไม้ ชมตลาดประชารัฐ ชมลานดนตรีในสวน ชมวีดีทัศน์โครงการป่าในเมือง นอกจากนั้นได้มอบบ้านสัญลักษณ์ให้แก่ผู้พิทักษ์ป่าตามโครงการซ่อมแซมบ้านผู้พิทักษ์ป่า และมอบเกียรติบัตรให้แก่เครือข่ายจิตอาสาที่มีส่วนร่วมและให้การสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ณ สวนพฤกษศาสตร์สกุโณทยาน ต.วังนกแอ่น อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
สบอ.11
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการ ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ณ ป่าในเมืองสวนพฤกษศาตร์สกุโณทยาน จ.พิษณุโลก”
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2561
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการ ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ณ ป่าในเมืองสวนพฤกษศาตร์สกุโณทยาน จ.พิษณุโลก”
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการ ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ณ ป่าในเมืองสวนพฤกษศาตร์สกุโณทยาน จ.พิษณุโลก”
“รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดโครงการ ประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ณ ป่าในเมืองสวนพฤกษศาตร์สกุโณทยาน จ.พิษณุโลก”
วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561 เวลา 14.00 น. พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เดินทางมาเป็นประธานพิธีเปิด “โครงการประชารัฐร่วมใจ ปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน” ในพื้นที่ป่าในเมือง สวนพฤกษศาตร์สกุโณทยาน สวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขของคนไทย โดยมีนายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวรายงาน นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก กล่าวต้อนรับ โดยมี นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ นายจงคล้าย วรพงศธร รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า พันธุ์พืช นายนิพนธ์ จํานงสิริศักดิ์ ผู้อํานวยการสํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 พร้อมด้วยผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้นําชุมชน ผู้นําท้องถิ่น สื่อมวลชน นักเรียน และประชาชน เข้าร่วมงานจํานวน 2,000 คน
กิจกรรมภายในงาน ท่านรัฐมนตรีฯ ท่านปลัดกระทรวงฯ และผู้บริหาร ได้ปลูกต้นรวงผึ้งในสวนรวงผึ้ง พร้อมทั้งได้รวมพลังประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้ในพื้นที่ป่าในเมือง ตลอดจนเยี่ยมชมนิทรรศการต้นไม้ของพ่อทรงปลูก 60 ปี เยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้เพาะชํากล้าไม้ ชมศูนย์เรียนรู้สิ่งประเด็นจากวัสดุเทียมไม้ ชมตลาดประชารัฐ ชมลานดนตรีในสวน ชมวีดีทัศน์โครงการป่าในเมือง นอกจากนั้นได้มอบบ้านสัญลักษณ์ให้แก่ผู้พิทักษ์ป่าตามโครงการซ่อมแซมบ้านผู้พิทักษ์ป่า และมอบเกียรติบัตรให้แก่เครือข่ายจิตอาสาที่มีส่วนร่วมและให้การสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ณ สวนพฤกษศาสตร์สกุโณทยาน ต.วังนกแอ่น อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
สบอ.11
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13072
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมคณะกรรมการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud services : GDCC) ครั้งที่ 1/2563
|
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมคณะกรรมการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud services : GDCC) ครั้งที่ 1/2563
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมคณะกรรมการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud services : GDCC) ครั้งที่ 1/2563
วันที่ 6 มกราคม 2563 (วันนี้) นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data and Cloud services : GDCC) ครั้งที่ 1/2563 พร้อมด้วยนายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ และนางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยร่วมกันพิจารณาร่างขอบเขตและรายละเอียดของงาน (TOR) โครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud services : GDCC) ณ ห้องประชุม 802 ชั้น 8 สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมคณะกรรมการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud services : GDCC) ครั้งที่ 1/2563
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมคณะกรรมการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud services : GDCC) ครั้งที่ 1/2563
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ประชุมคณะกรรมการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud services : GDCC) ครั้งที่ 1/2563
วันที่ 6 มกราคม 2563 (วันนี้) นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data and Cloud services : GDCC) ครั้งที่ 1/2563 พร้อมด้วยนายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ และนางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยร่วมกันพิจารณาร่างขอบเขตและรายละเอียดของงาน (TOR) โครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud services : GDCC) ณ ห้องประชุม 802 ชั้น 8 สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
*******************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25632
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเข้ากราบสักการะองค์พระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราช
|
วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2560
นายกรัฐมนตรีเข้ากราบสักการะองค์พระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราช
นายกรัฐมนตรี และคณะเข้ากราบสักการะองค์พระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราช
วันนี้ (3 พ.ย. 60) เวลา 17.00 น. ณ วิหารหลวง วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อําเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะ เข้ากราบสักการะพระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช พร้อมถวายเครื่องไทยธรรมพระเทพวินยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เจ้าคณะจังหวัด โดยพระเทพวินยาภรณ์ ได้มอบพระพุทธสิหิงค์จําลอง หน้าตัก 9 นิ้วและหนังสือวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารให้แก่นายกรัฐมนตรี
จากนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายประชาชนอย่างเป็นกันเองท่ามกลางสายฝน ตอนหนึ่งว่า ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่มารอให้การต้อนรับในวันนี้ และขอให้ทุกคนต้องสู้ไปด้วยกัน แม้ภาคใต้จะเกิดสถานการณ์ฝนตกหนัก รัฐบาลพร้อมทําหน้าที่อย่างเต็มที่
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเข้ากราบสักการะองค์พระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราช
วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2560
นายกรัฐมนตรีเข้ากราบสักการะองค์พระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราช
นายกรัฐมนตรี และคณะเข้ากราบสักการะองค์พระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราช
วันนี้ (3 พ.ย. 60) เวลา 17.00 น. ณ วิหารหลวง วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อําเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะ เข้ากราบสักการะพระศรีศากยมุนีศรีธรรมราช พร้อมถวายเครื่องไทยธรรมพระเทพวินยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร เจ้าคณะจังหวัด โดยพระเทพวินยาภรณ์ ได้มอบพระพุทธสิหิงค์จําลอง หน้าตัก 9 นิ้วและหนังสือวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารให้แก่นายกรัฐมนตรี
จากนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวทักทายประชาชนอย่างเป็นกันเองท่ามกลางสายฝน ตอนหนึ่งว่า ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่มารอให้การต้อนรับในวันนี้ และขอให้ทุกคนต้องสู้ไปด้วยกัน แม้ภาคใต้จะเกิดสถานการณ์ฝนตกหนัก รัฐบาลพร้อมทําหน้าที่อย่างเต็มที่
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7808
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” เผย รัฐบาลพัฒนาทักษะดิจิทัล ยกระดับกำลังคนสู่ไทยแลนด์ 4.0
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561
“บิ๊กอู๋” เผย รัฐบาลพัฒนาทักษะดิจิทัล ยกระดับกําลังคนสู่ไทยแลนด์ 4.0
รมว.แรงงาน เผย รัฐบาลพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล ยกระดับกําลังคน สนับสนุนการดําเนินงาน
ตามแนวทางประชารัฐ ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0
เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
กล่าวในโอกาสเป็นประธานในพิธีปิดและมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขัน ICDL Digital challenge 2018
เนื่องในงานเสวนา “การสร้างกําลังคนยุคใหม่สู่ไทยแลนด์ 4.0” ณ C ASEAN ชั้น ๑๐ อาคาร CW Tower ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ว่าขอแสดงความยินดีกับเยาวชนผู้ชนะเลิศการแข่งขันระดับประเทศทุกคน ที่จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขัน ICDL ในระดับนานาชาติ ซึ่งการแข่งขันในครั้งนี้จะได้นําประสบการณ์ บทเรียนมาเป็นกุญแจในการต่อสู้เพื่อเพิ่มพูนความสามารถให้ประสบความสําเร็จมากขึ้นเรื่อยๆรัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญกับการพัฒนาทักษะดิจิทัลแก่กําลังคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียน นักศึกษา เนื่องจากเป็นรากฐานความรู้ที่สําคัญในการพัฒนาประเทศไปสู่ Thailand 4.0 ตามแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ดําเนินการวางรากฐานไปแล้วหลายเรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการพื้นฐานรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูงที่จะเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านและจีน รวมทั้งเชื่อมโยง สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา เพื่อขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สําคัญที่จะพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูง และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า สําหรับความร่วมมือในการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียนครั้งที่ 12 หรือ World Skills ASEAN Bangkok 2018 ซึ่งกําหนดจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม ถึง 5 กันยายน 2561 ณ ศูนย์การประชุมและจัดแสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนได้มีการพัฒนาทักษะฝีมือตั้งแต่วัยเรียนจนถึงวัยแรงงาน เพื่อให้เข้าสู่ตลาดแรงงาที่มีความต้องการจํานวนมาก สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลไทยแลนด์ 4.0 โดยมีเยาวชนจากประเทศสมาชิก ASEAN เข้าร่วมกว่า 400 คน ใน 26 สาขา และมีสาขาที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลโดยตรง เช่น เว็บดีไซน์ เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีเครือข่าย และ Internet of Things เป็นต้น
“ขอขอบคุณและชื่นชม ICDL ประเทศไทยที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนาทักษะกําลังคนและมาตรฐานด้านดิจิทัล ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในทักษะสําหรับของกําลังคนในศตวรรษที่ 21 และจําเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลและกระทรวงแรงงานพร้อมสนับสนุนการดําเนินงานของทุกภาคส่วนตามแนวทางประชารัฐ เพื่อพัฒนาเยาวชนไทยและคนไทยให้มีทักษะฝีมือที่ได้มาตรฐาน และเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ต่อไป พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในตอนท้าย
--------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
28 มิถุนายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” เผย รัฐบาลพัฒนาทักษะดิจิทัล ยกระดับกำลังคนสู่ไทยแลนด์ 4.0
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน 2561
“บิ๊กอู๋” เผย รัฐบาลพัฒนาทักษะดิจิทัล ยกระดับกําลังคนสู่ไทยแลนด์ 4.0
รมว.แรงงาน เผย รัฐบาลพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล ยกระดับกําลังคน สนับสนุนการดําเนินงาน
ตามแนวทางประชารัฐ ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0
เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
กล่าวในโอกาสเป็นประธานในพิธีปิดและมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขัน ICDL Digital challenge 2018
เนื่องในงานเสวนา “การสร้างกําลังคนยุคใหม่สู่ไทยแลนด์ 4.0” ณ C ASEAN ชั้น ๑๐ อาคาร CW Tower ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร ว่าขอแสดงความยินดีกับเยาวชนผู้ชนะเลิศการแข่งขันระดับประเทศทุกคน ที่จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขัน ICDL ในระดับนานาชาติ ซึ่งการแข่งขันในครั้งนี้จะได้นําประสบการณ์ บทเรียนมาเป็นกุญแจในการต่อสู้เพื่อเพิ่มพูนความสามารถให้ประสบความสําเร็จมากขึ้นเรื่อยๆรัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญกับการพัฒนาทักษะดิจิทัลแก่กําลังคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียน นักศึกษา เนื่องจากเป็นรากฐานความรู้ที่สําคัญในการพัฒนาประเทศไปสู่ Thailand 4.0 ตามแนวทางของยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้ดําเนินการวางรากฐานไปแล้วหลายเรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการพื้นฐานรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูงที่จะเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านและจีน รวมทั้งเชื่อมโยง สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และอู่ตะเภา เพื่อขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สําคัญที่จะพัฒนาประเทศไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูง และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวต่อว่า สําหรับความร่วมมือในการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน จะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียนครั้งที่ 12 หรือ World Skills ASEAN Bangkok 2018 ซึ่งกําหนดจัดการแข่งขันระหว่างวันที่ 23 สิงหาคม ถึง 5 กันยายน 2561 ณ ศูนย์การประชุมและจัดแสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เพื่อกระตุ้นให้เยาวชนได้มีการพัฒนาทักษะฝีมือตั้งแต่วัยเรียนจนถึงวัยแรงงาน เพื่อให้เข้าสู่ตลาดแรงงาที่มีความต้องการจํานวนมาก สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลไทยแลนด์ 4.0 โดยมีเยาวชนจากประเทศสมาชิก ASEAN เข้าร่วมกว่า 400 คน ใน 26 สาขา และมีสาขาที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลโดยตรง เช่น เว็บดีไซน์ เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีเครือข่าย และ Internet of Things เป็นต้น
“ขอขอบคุณและชื่นชม ICDL ประเทศไทยที่ให้ความสําคัญกับการพัฒนาทักษะกําลังคนและมาตรฐานด้านดิจิทัล ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในทักษะสําหรับของกําลังคนในศตวรรษที่ 21 และจําเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลและกระทรวงแรงงานพร้อมสนับสนุนการดําเนินงานของทุกภาคส่วนตามแนวทางประชารัฐ เพื่อพัฒนาเยาวชนไทยและคนไทยให้มีทักษะฝีมือที่ได้มาตรฐาน และเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ต่อไป พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวในตอนท้าย
--------------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/
สมภพ ศีลบุตร - ภาพ/
28 มิถุนายน 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13437
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” เชิญชวนร่วมงานเดิน-วิ่งการกุศล “Digital Run2020” 29 มีนาคม 2563 ส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล
|
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563
“ดีอีเอส” เชิญชวนร่วมงานเดิน-วิ่งการกุศล “Digital Run2020” 29 มีนาคม 2563 ส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครลงทะเบียนร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศล “Digital Run2020” ส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล ซึ่งกระทรวงฯ ได้ร่วมกับมูลนิธิพัฒนานวัตกรรมสุขภาพ เตรียมจัดขึ้นในว
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครลงทะเบียนร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศล “Digital Run2020” ส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล ซึ่งกระทรวงฯ ได้ร่วมกับมูลนิธิพัฒนานวัตกรรมสุขภาพ เตรียมจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 มุ่งหวังให้เป็นกิจกรรมที่จะสนับสนุนการส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล ส่งเสริมการออกกําลังกายแก่ประชาชนทุกกลุ่ม สร้างความตระหนกัในการรักษาสุขภาพและเป็น เป็นเวทีประชาสัมพันธ์นวัตกรรมสุขภาพด้านการสื่อสารความรู้สุขภาพเฉพาะบุคคล (Health for You)
ทั้งนี้ กิจกรรม Digital Run 2020 มีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เป็นผู้สนับสนุนหลักในการจัดงาน โดยผู้สนใจสามารถสมัครเดิน-วิ่ง แบ่งเป็น 2 ระยะทาง ได้แก่ ระยะทาง 5 กม. และมินิมาราธอน ระยะทาง10 กม.สําหรับบุคคลทั่วไป ค่าสมัคร 600 บาท และสําหรับผู้พิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย (Wheelchair) หรือผู้พิการทางการมองเห็น ไม่เสียค่าใช้จ่าย ลงทะเบียนสมัครได้ทางออนไลน์ผ่าน race.thai.run/DIGITALRUN19 รายได้ส่วนหนึ่งจากกิจกรรมจะนําไปบริจาคให้มูลนิธิคนพิการไทย
*********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” เชิญชวนร่วมงานเดิน-วิ่งการกุศล “Digital Run2020” 29 มีนาคม 2563 ส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563
“ดีอีเอส” เชิญชวนร่วมงานเดิน-วิ่งการกุศล “Digital Run2020” 29 มีนาคม 2563 ส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครลงทะเบียนร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศล “Digital Run2020” ส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล ซึ่งกระทรวงฯ ได้ร่วมกับมูลนิธิพัฒนานวัตกรรมสุขภาพ เตรียมจัดขึ้นในว
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครลงทะเบียนร่วมกิจกรรมเดิน-วิ่งการกุศล “Digital Run2020” ส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล ซึ่งกระทรวงฯ ได้ร่วมกับมูลนิธิพัฒนานวัตกรรมสุขภาพ เตรียมจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2563 มุ่งหวังให้เป็นกิจกรรมที่จะสนับสนุนการส่งต่อสุขภาพดียุคดิจิทัล ส่งเสริมการออกกําลังกายแก่ประชาชนทุกกลุ่ม สร้างความตระหนกัในการรักษาสุขภาพและเป็น เป็นเวทีประชาสัมพันธ์นวัตกรรมสุขภาพด้านการสื่อสารความรู้สุขภาพเฉพาะบุคคล (Health for You)
ทั้งนี้ กิจกรรม Digital Run 2020 มีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เป็นผู้สนับสนุนหลักในการจัดงาน โดยผู้สนใจสามารถสมัครเดิน-วิ่ง แบ่งเป็น 2 ระยะทาง ได้แก่ ระยะทาง 5 กม. และมินิมาราธอน ระยะทาง10 กม.สําหรับบุคคลทั่วไป ค่าสมัคร 600 บาท และสําหรับผู้พิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย (Wheelchair) หรือผู้พิการทางการมองเห็น ไม่เสียค่าใช้จ่าย ลงทะเบียนสมัครได้ทางออนไลน์ผ่าน race.thai.run/DIGITALRUN19 รายได้ส่วนหนึ่งจากกิจกรรมจะนําไปบริจาคให้มูลนิธิคนพิการไทย
*********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26193
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อุตฯ ชี้เอกชนฝรั่งเศสสนใจลงทุนในไทย เตรียมชวนลงพื้นที่อีอีซี
|
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561
อุตฯ ชี้เอกชนฝรั่งเศสสนใจลงทุนในไทย เตรียมชวนลงพื้นที่อีอีซี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการร่วมหารือกับคณะเอกชนไทยในฝรั่งเศส ณ โรงแรม Westin กรุงปารีส
วันที่ 23 มิถุนายน 2561 ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการร่วมหารือกับคณะเอกชนไทยในฝรั่งเศส ณ โรงแรม Westin กรุงปารีส เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมาว่า “ฝรั่งเศสมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ของโลก มีเงินลงทุนทั่วโลกประมาณ 52,000 ล้านยูโร นับเป็นประเทศที่มีแหล่งเงินทุนเป็นอันดับต้นๆ ของโลก นอกจากนี้ ยังมีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีและวิทยาการหลายด้าน อาทิ การบิน การขนส่งระบบราง และพลังงานทดแทน ที่สําคัญคือสัดส่วนการลงทุนของฝรั่งเศสในทวีปเอเชียยังมีสัดส่วนที่น้อยเพียงร้อยละ 7.6 โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงในประเทศไทยที่มีมูลค่าเพียง 228 ล้านยูโร จึงนับเป็นโอกาสสําคัญในการเชื่อมโยงและชักจูงนักลงทุนฝรั่งเศสไปลงทุนในไทยโดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี เป็นการเปิดโอกาสให้ฝรั่งเศสได้เป็นผู้เล่นรายใหม่ในภูมิภาค รวมถึงอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง CLMV ผ่านความร่วมมือในกรอบพหุภาคี ACMECS และ อาเซียนด้วย”
โดยในการประชุมมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีผู้แทนภาคเอกชนของไทย เช่น Thai Union Food, Loxley, มิตรผล, PTTGC, Sea Value, Double A, Michelin Siam, ป่าใหญ่ครีเอชั่น รวมถึงนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเข้าร่วม ซึ่งได้มีการหารือถึงโอกาสและศักยภาพในการขยายการค้าการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ โดย ดร.อุตตมฯ เปิดเผยต่อว่า ”ในขณะนี้ บริษัทชั้นนําของฝรั่งเศสมีความตื่นตัวในเรื่องการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย และการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหรืออีอีซี โดยเบื้องต้นทราบว่าเอกชนฝรั่งเศสมีความสนใจในเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบราง ยานยนต์อนาคต การเกษตรและชีวเศรษฐกิจ (Bio-Economy) พลังงานรูปแบบใหม่ เมืองอัจฉริยะ Smart City รวมไปถึงภาคบริการ เช่น การศึกษา และการท่องเที่ยวด้วย โดยเอกชนฝรั่งเศส เช่น Vinci Group ที่มีความสนใจในเรื่องระบบโครงสร้างพื้นฐาน Transdev ที่เชี่ยวชาญในการบริหารระบบราง หรือ บริษัทEngie ที่เป็นผู้นําในเรื่องพลังงานทางเลือก ต่างต้องการข้อมูลเชิงลึกในเรื่องกระบวนการและขั้นตอนการร่วมลงทุน สภาวะการแข่งขัน สิทธิประโยชน์ต่างๆ ซึ่งผมได้หารือกับท่านสุพันธุ์ฯ ประธานสภาอุตฯ และ ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ ซึ่งเป็นประธานกลุ่มธุรกิจไทย-ฝรั่งเศส ให้ประสานกับสภาผู้จ้างงานของฝรั่งเศส (Mouvement des entreprises de France - MEDEF) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีผู้ประกอบการจากหลากหลายธุรกิจของฝรั่งเศสเป็นสมาชิกมากกว่า 750,000 บริษัท ถือเป็นองค์กรที่มีบทบาทสําคัญในวงการธุรกิจของฝรั่งเศสอย่างใกล้ชิด และเชิญชวนคณะผู้ประกอบการนักลงทุนฝรั่งเศสเดินทางมาเยือนไทยและลงพื้นที่อีอีซีภายในปีนี้”
ทั้งนี้ ในวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561 จะมีการจัดงาน Transforming Thailand : Thailand-France Partnership เพื่อชี้แจงโอกาสและลู่ทางการค้าการลงทุนของไทยในพื้นที่อีอีซี โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิด และการบรรยายในหัวข้อ “Driving Transformation through Thailand 4.0 and Eastern Economic Corridor” โดย ดร.อุตตมฯ ต่อด้วยการเสวนาในเรื่องโอกาสสําหรับธุรกิจฝรั่งเศสต่อโครงการอีอีซี โดย ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกฯ เลขาธิการ BOI และเลขาธิการ EEC มีกิจกรรมสร้างเครือข่ายกับกลุ่มผู้ประกอบการฝรั่งเศส - MEDEF รวมทั้งมีการลงนาม MOU หลายฉบับ อาทิ ความร่วมมือระบบ Digitalization และ Visualization ระหว่างบริษัท PTTGC กับ Dassault System และ ความร่วมมือในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ Smart City ระหว่างบริษัท Loxley กับ POMA เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงพลังในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับฝรั่งเศสต่อไปด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อุตฯ ชี้เอกชนฝรั่งเศสสนใจลงทุนในไทย เตรียมชวนลงพื้นที่อีอีซี
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561
อุตฯ ชี้เอกชนฝรั่งเศสสนใจลงทุนในไทย เตรียมชวนลงพื้นที่อีอีซี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการร่วมหารือกับคณะเอกชนไทยในฝรั่งเศส ณ โรงแรม Westin กรุงปารีส
วันที่ 23 มิถุนายน 2561 ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการร่วมหารือกับคณะเอกชนไทยในฝรั่งเศส ณ โรงแรม Westin กรุงปารีส เมื่อวันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมาว่า “ฝรั่งเศสมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ของโลก มีเงินลงทุนทั่วโลกประมาณ 52,000 ล้านยูโร นับเป็นประเทศที่มีแหล่งเงินทุนเป็นอันดับต้นๆ ของโลก นอกจากนี้ ยังมีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีและวิทยาการหลายด้าน อาทิ การบิน การขนส่งระบบราง และพลังงานทดแทน ที่สําคัญคือสัดส่วนการลงทุนของฝรั่งเศสในทวีปเอเชียยังมีสัดส่วนที่น้อยเพียงร้อยละ 7.6 โดยเฉพาะการลงทุนโดยตรงในประเทศไทยที่มีมูลค่าเพียง 228 ล้านยูโร จึงนับเป็นโอกาสสําคัญในการเชื่อมโยงและชักจูงนักลงทุนฝรั่งเศสไปลงทุนในไทยโดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี เป็นการเปิดโอกาสให้ฝรั่งเศสได้เป็นผู้เล่นรายใหม่ในภูมิภาค รวมถึงอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง CLMV ผ่านความร่วมมือในกรอบพหุภาคี ACMECS และ อาเซียนด้วย”
โดยในการประชุมมี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีผู้แทนภาคเอกชนของไทย เช่น Thai Union Food, Loxley, มิตรผล, PTTGC, Sea Value, Double A, Michelin Siam, ป่าใหญ่ครีเอชั่น รวมถึงนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเข้าร่วม ซึ่งได้มีการหารือถึงโอกาสและศักยภาพในการขยายการค้าการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ โดย ดร.อุตตมฯ เปิดเผยต่อว่า ”ในขณะนี้ บริษัทชั้นนําของฝรั่งเศสมีความตื่นตัวในเรื่องการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย และการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหรืออีอีซี โดยเบื้องต้นทราบว่าเอกชนฝรั่งเศสมีความสนใจในเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบราง ยานยนต์อนาคต การเกษตรและชีวเศรษฐกิจ (Bio-Economy) พลังงานรูปแบบใหม่ เมืองอัจฉริยะ Smart City รวมไปถึงภาคบริการ เช่น การศึกษา และการท่องเที่ยวด้วย โดยเอกชนฝรั่งเศส เช่น Vinci Group ที่มีความสนใจในเรื่องระบบโครงสร้างพื้นฐาน Transdev ที่เชี่ยวชาญในการบริหารระบบราง หรือ บริษัทEngie ที่เป็นผู้นําในเรื่องพลังงานทางเลือก ต่างต้องการข้อมูลเชิงลึกในเรื่องกระบวนการและขั้นตอนการร่วมลงทุน สภาวะการแข่งขัน สิทธิประโยชน์ต่างๆ ซึ่งผมได้หารือกับท่านสุพันธุ์ฯ ประธานสภาอุตฯ และ ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ ซึ่งเป็นประธานกลุ่มธุรกิจไทย-ฝรั่งเศส ให้ประสานกับสภาผู้จ้างงานของฝรั่งเศส (Mouvement des entreprises de France - MEDEF) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีผู้ประกอบการจากหลากหลายธุรกิจของฝรั่งเศสเป็นสมาชิกมากกว่า 750,000 บริษัท ถือเป็นองค์กรที่มีบทบาทสําคัญในวงการธุรกิจของฝรั่งเศสอย่างใกล้ชิด และเชิญชวนคณะผู้ประกอบการนักลงทุนฝรั่งเศสเดินทางมาเยือนไทยและลงพื้นที่อีอีซีภายในปีนี้”
ทั้งนี้ ในวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน 2561 จะมีการจัดงาน Transforming Thailand : Thailand-France Partnership เพื่อชี้แจงโอกาสและลู่ทางการค้าการลงทุนของไทยในพื้นที่อีอีซี โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิด และการบรรยายในหัวข้อ “Driving Transformation through Thailand 4.0 and Eastern Economic Corridor” โดย ดร.อุตตมฯ ต่อด้วยการเสวนาในเรื่องโอกาสสําหรับธุรกิจฝรั่งเศสต่อโครงการอีอีซี โดย ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกฯ เลขาธิการ BOI และเลขาธิการ EEC มีกิจกรรมสร้างเครือข่ายกับกลุ่มผู้ประกอบการฝรั่งเศส - MEDEF รวมทั้งมีการลงนาม MOU หลายฉบับ อาทิ ความร่วมมือระบบ Digitalization และ Visualization ระหว่างบริษัท PTTGC กับ Dassault System และ ความร่วมมือในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ Smart City ระหว่างบริษัท Loxley กับ POMA เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงพลังในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับฝรั่งเศสต่อไปด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13304
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินประกาศความพร้อมคิกออฟ 8 ชนิดกีฬาส่งเสริมกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศ
|
วันพุธที่ 8 มีนาคม 2560
ออมสินประกาศความพร้อมคิกออฟ 8 ชนิดกีฬาส่งเสริมกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศ
ออมสิน ประกาศความพร้อมส่งเสริมกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศ “Thai Sports for Excellence by GSB”หนุน 8 กีฬามวลช
ออมสิน ประกาศความพร้อมส่งเสริมกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศ “Thai Sports for Excellence by GSB”หนุน 8 กีฬามวลชน ฟุตบอล กอล์ฟ แบดมินตัน มวยไทยไฟท์ บาสเกตบอล ปั่นจักรยาน ยิมนาสติก และกีฬาธนาคารโรงเรียน เพื่อเปิดปรากฎการณ์ครั้งสําคัญแห่งปี 60 สานฝันปั้นเด็กไทยและฮีโร่ของชาติสู่ความเป็นเลิศ ตลอดจนพัฒนาวงการกีฬาไทยให้ก้าวไกลอย่างต่อเนื่อง
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินมุ่งมั่นตั้งใจที่จะส่งเสริมกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศโดยแถลงข่าว “Thai Sports for Excellence by GSB” พร้อมสนับสนุน 8 กีฬา เปิดปรากฎการณ์ครั้งสําคัญแห่งปี โดยมีนายกสมาคมยิมนาสติก สมาคมฟุตบอลทีมชาติไทย โปรวาว โปรแหวน และทีมมวยไทยไฟท์ อาทิ อองตวน สุดสาคร เต็งหนึ่ง ปตท.และ แสนชัย เข้าร่วมงานคึกคัก ที่สนามโมโนสเตเดียม 29 ถนนราชพฤษ์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา
สําหรับการส่งเสริมกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศ “Thai Sports for Excellence by GSB” ในครั้งนี้นับเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในแวดวงการกีฬาไทย โดยธนาคารออมสิน ในฐานะสถาบันการเงินเพื่อการออมของประเทศนอกจากจะมีบทบาทสําคัญในการปลูกฝังและส่งเสริมการออมให้กับเยาวชนและประชาชน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคตแล้ว ยังเล็งเห็นความสําคัญของการพัฒนาศักยภาพทางด้านกีฬาของประชาชนในทุกช่วงอายุ ทั้งเด็ก เยาวชน ประชาชน รวมถึงในรุ่นอาวุโส ได้มีเวทีแสดงออก ฝึกฝนทักษะกีฬาอย่างถูกวิธี ตลอดจนสามารถพัฒนาการเล่นไปสู่เกมการแข่งขันระดับประเทศ และระดับนานาชาติ ทั้งนี้เพื่อสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงของประชาชนคนไทยทุกเพศทุกวัยได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างศักยภาพนักกีฬาไทย ก้าวไปสู่ความเป็นเลิศ สร้างชื่อเสียงสู่ระดับโลกในโอกาสต่อไป
ธนาคารออมสินจึงได้ประกาศความพร้อมเต็มรูปแบบในการสนับสนุน 8 ประเภทกีฬาเพื่อต้องการยกระดับวงการกีฬาไทย ก้าวไกลสู่มาตรฐานสากล ตามเจตนารมณ์ของธนาคารที่ว่า “เราเป็นมากกว่าการธนาคาร ธนาคารเพื่อสังคม” โดย 8 ประเภทกีฬาที่ธนาคารออมสินสนับสนุนมีดังนี้
1.กีฬาธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน : ธนาคารออมสิน เป็นธนาคารแรกที่ได้ริเริ่มก่อตั้ง “โครงการธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน” ตั้งแต่ปี 2541 และ ในปี 2552 ได้เกิดไอเดีย “โครงการกีฬาธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน”ขึ้นเป็นครั้งแรก และจัดต่อเนื่องจนถึงปี 2560 โดยจัดแข่งขัน 3 ชนิดกีฬา ได้แก่ ฟุตบอลชาย รุ่นอายุ 18 ปี วอลเลย์บอลหญิง รุ่นอายุ 18 ปี และบาสเกตบอลชาย รุ่นอายุ 18 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆกว่า 2 ล้านคน ที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน จาก 1,000 กว่าแห่งทั่วประเทศ ได้เข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งฟุตบอลชายจะคัดเลือกเอา 6 ทีม เข้าไปชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และคัดเลือกนักเตะฝีเท้าดีเข้าสู่ทีม “ออมสินช้างชมพู” ไปอบรมเทคนิคฟุตบอลชั้นสูงก่อนไปแข่งขันอุ่นเครื่องหาประสบการณ์กับทีมเยาวชนของสโมสรอาชีพของไทย และในปี 2560 มีความพิเศษมากยิ่งขึ้นน้องๆ ที่เข้าสู่ทีม “ออมสินช้างชมพู”จะได้เดินทางหาประสบการณ์ยังต่างแดนแข่งขันกับทีมประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง (AEC) อีกด้วย
2.สมาคมกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทย : ธนาคารออมสิน นอกจากจะทุ่มเทสนับสนุนกิจกรรมกีฬาดีๆ เพื่อเสริมสร้างเยาวชนอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ยังมีนโยบายดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ โดยการสนับสนุนสมาคมกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทยจัดโครงการ “ออมสิน ออมสุขภาพ” ซึ่งดําเนินกิจกรรม 2 ส่วน คือ จัดแข่งขันฟุตบอลระดับอาวุโส “ออมสิน SENIOR THAILAND FOOTBALL CUP 2017” และเปิดอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานการเล่นฟุตบอล ในโครงการ “ออมสิน สร้างฝัน ปั้นเด็กไทยและห่วงใยสุขภาพ” ให้แก่เยาวชนอายุ 7-11 ปี จํานวน 20 ครั้ง โดยคาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมไม่น้อยกว่า 2,000 คน
3.กีฬายิมนาสติก : ธนาคารออมสิน ยังได้สนับสนุนกีฬา “ยิมนาสติก” สู่ความเป็นเลิศตามโครงการ หนึ่งสมาคมกีฬาหนึ่งรัฐวิสาหกิจ โดยเป็นผู้สนับสนุนมาตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน (2560) โดยใช้งบประมาณสนับสนุนรวมเป็นเงินกว่า 109 ล้านบาท เพื่อพัฒนาวงการยิมนาสติกไทยในทุกด้าน รวมถึงส่งนักกีฬาไทยออกแข่งขันสร้างชื่อเสียงสู่ประเทศไทย ตลอดจนพัฒนาบุคลากร และดําเนินการจัดการแข่งขันรายการใหญ่ในประเทศทุกปี ประกอบด้วย การแข่งขันออมสินยิมนาสติกลีลา ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี , การแข่งขันออมสินยิมนาสติกศิลป์และยิมนาสติกแอโรบิก ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี , การแข่งขันออมสินยิมนาสติกเพื่อความเป็นเลิศสโมสรสัมพันธ์ และ การแข่งขันออมสินยิมนาสติกดาวรุ่ง
4.กีฬาแบดมินตัน : ธนาคารออมสิน ได้สนับสนุนทางด้านเงินรางวัล ซึ่งใช้สําหรับการแข่งขันกีฬาแบดมินตันลีก ที่เพิ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นกําลังใจให้กับชมรมแบดมินตัน และนักกีฬา อีกทั้งการแข่งขันในรูปแบบลีก นี้ เด็กและเยาวชนจะได้มีโอกาสเพิ่มประสบการณ์ในเกมการแข่งขันที่มากยิ่งขึ้น และประชาชนทั่วไปจะได้สัมผัสการแข่งขันในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยเกิดในประเทศไทยมาก่อน นับเป็นการส่งเสริมกีฬาแบดมินตันให้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
5.กีฬากอล์ฟ : ธนาคารออมสิน ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนและนักกอล์ฟไทยได้พัฒนาศักยภาพในตัวเอง โดยให้การสนับสนุนทั้งในระดับเยาวชน ระดับอุดมศึกษา เป็นการแข่งขัน “University Golf championship 2017” และระดับอาชีพ โดยสนับสนุน “โปรแหวน” พรอนงค์ เพชรล้ํา โปรสาวคนเก่งของไทยสามารถสร้างผลงานจนเป็นที่ยอมรับและจดจําในการแข่งขันกอล์ฟอาชีพสตรีในระดับสากล อาทิ การแข่งขันเอเชี่ยน-ทัวร์ , เจแปนทัวร์, แอลพีจีเอทัวร์ และเลดี้ยูโรเปี้ยนทัวร์ จนขณะนี้อยู่อันดับที่ 44 ของโลก
6.มวยไทยมวยโลก THAI FIGHT : ธนาคารออมสิน มุ่งมั่นสนับสนุนศิลปะมวยไทย ซึ่งเป็นกีฬาประจําชาติไทยให้คงอยู่สืบต่อไป เพราะมวยไทย เป็นกีฬาที่ต่างชาติให้ความสนใจอย่างยิ่งจึงได้สนับสนุนการแข่งขันชกมวยไทยโลก “THAI FIGHT” มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของชาติไทยสู่สากลด้วยความภาคภูมิใจ
7.ปั่นจักรยาน : ธนาคารออมสิน ให้การสนับสนุนการปั่นจักรยาน ภายใต้ชื่อ ครอบครัวขาปั่น เพราะเล็งเห็นว่า การปั่นจักรยานนั้น นอกจากเป็นการออกกําลังกายเพื่อสุขภาพแล้วยังเชื่อมความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว สร้างโอกาสได้สัมผัสมุมมองใหม่ และในปีนี้กิจกรรม “ครอบครัวขาปั่น” กว่า 2,500 คน เตรียมร่วมงานเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้ชื่อ “ครอบครัวขาปั่น ปั่นหัวหินถิ่นพ่อ ปี 2560” โดยมีความพิเศษ คือ จะจัดกิจกรรมขึ้นที่อุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2560 และเป็นความร่วมมือครั้งแรกของธนาคารออมสิน กองทัพบก กองทัพอากาศ เทศบาลเมืองหัวหิน และหน่วยงานต่างๆ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อมหาบูรพกษัตริย์ ได้ซึมซับพระอัฉริยะภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กษัตริย์ผู้เป็นต้นแบบนักประดิษฐ์ นักสิ่งแวดล้อม และนักพัฒนา ณ อุทยานราชภักดิ์
8.กีฬาบาสเกตบอล : ธนาคารออมสิน ได้ให้การสนับสนุนกีฬาบาสเกตบอลอย่างเต็มที่ โดยสนับสนุสโมสรบางเกตบอลชั้นนําของประเทศ “โมโนแวมไพร์ บาสเกตบอล คลับ” ในฐานะแชมป์เก่า “ทีบีแอล 2015” เข้าร่วมการแข่งขัน “ไทยแลนด์บาสเกตบอลลีก” โดยปีที่แล้วได้มอบเงินสนับสนุนหลักสิบล้านบาท และให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในปี 2560 นี้ เช่นเดียวกับให้การสนับสนุนสมาคมกีฬาบาสเกตบอลอาชีพไทย ซึ่งเป็นองค์กรที่มีภารกิจหลักในการพัฒนาศักยภาพกีฬาบาสเกตบแลอาชีพ ทั้งภายในและต่างประเทศ ที่สามารถต่อยอดให้นักบาสเกตบอลภายในประเทศและนักกีฬาจากธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน ได้พัฒนาตนเองไปสู่ระดับมืออาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากการสนับสนุนวงการกีฬาไทยอย่างเต็มรูปแบบของธนาคารออมสินในครั้งนี้ จะเป็นปรากฎการณ์ครั้งสําคัญที่กําลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งแก่เยาวชนไทยและนักกีฬาไทยในปี 2560 แล้วยังถือได้ว่าธนาคารออมสินได้ส่งเสริมกีฬาไทยให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศ “Thai Sports for Excellence by GSB”อีกด้วย นายชาติชาย กล่าว
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินประกาศความพร้อมคิกออฟ 8 ชนิดกีฬาส่งเสริมกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศ
วันพุธที่ 8 มีนาคม 2560
ออมสินประกาศความพร้อมคิกออฟ 8 ชนิดกีฬาส่งเสริมกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศ
ออมสิน ประกาศความพร้อมส่งเสริมกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศ “Thai Sports for Excellence by GSB”หนุน 8 กีฬามวลช
ออมสิน ประกาศความพร้อมส่งเสริมกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศ “Thai Sports for Excellence by GSB”หนุน 8 กีฬามวลชน ฟุตบอล กอล์ฟ แบดมินตัน มวยไทยไฟท์ บาสเกตบอล ปั่นจักรยาน ยิมนาสติก และกีฬาธนาคารโรงเรียน เพื่อเปิดปรากฎการณ์ครั้งสําคัญแห่งปี 60 สานฝันปั้นเด็กไทยและฮีโร่ของชาติสู่ความเป็นเลิศ ตลอดจนพัฒนาวงการกีฬาไทยให้ก้าวไกลอย่างต่อเนื่อง
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินมุ่งมั่นตั้งใจที่จะส่งเสริมกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศโดยแถลงข่าว “Thai Sports for Excellence by GSB” พร้อมสนับสนุน 8 กีฬา เปิดปรากฎการณ์ครั้งสําคัญแห่งปี โดยมีนายกสมาคมยิมนาสติก สมาคมฟุตบอลทีมชาติไทย โปรวาว โปรแหวน และทีมมวยไทยไฟท์ อาทิ อองตวน สุดสาคร เต็งหนึ่ง ปตท.และ แสนชัย เข้าร่วมงานคึกคัก ที่สนามโมโนสเตเดียม 29 ถนนราชพฤษ์ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา
สําหรับการส่งเสริมกีฬาไทยสู่ความเป็นเลิศ “Thai Sports for Excellence by GSB” ในครั้งนี้นับเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในแวดวงการกีฬาไทย โดยธนาคารออมสิน ในฐานะสถาบันการเงินเพื่อการออมของประเทศนอกจากจะมีบทบาทสําคัญในการปลูกฝังและส่งเสริมการออมให้กับเยาวชนและประชาชน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคตแล้ว ยังเล็งเห็นความสําคัญของการพัฒนาศักยภาพทางด้านกีฬาของประชาชนในทุกช่วงอายุ ทั้งเด็ก เยาวชน ประชาชน รวมถึงในรุ่นอาวุโส ได้มีเวทีแสดงออก ฝึกฝนทักษะกีฬาอย่างถูกวิธี ตลอดจนสามารถพัฒนาการเล่นไปสู่เกมการแข่งขันระดับประเทศ และระดับนานาชาติ ทั้งนี้เพื่อสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงของประชาชนคนไทยทุกเพศทุกวัยได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างศักยภาพนักกีฬาไทย ก้าวไปสู่ความเป็นเลิศ สร้างชื่อเสียงสู่ระดับโลกในโอกาสต่อไป
ธนาคารออมสินจึงได้ประกาศความพร้อมเต็มรูปแบบในการสนับสนุน 8 ประเภทกีฬาเพื่อต้องการยกระดับวงการกีฬาไทย ก้าวไกลสู่มาตรฐานสากล ตามเจตนารมณ์ของธนาคารที่ว่า “เราเป็นมากกว่าการธนาคาร ธนาคารเพื่อสังคม” โดย 8 ประเภทกีฬาที่ธนาคารออมสินสนับสนุนมีดังนี้
1.กีฬาธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน : ธนาคารออมสิน เป็นธนาคารแรกที่ได้ริเริ่มก่อตั้ง “โครงการธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน” ตั้งแต่ปี 2541 และ ในปี 2552 ได้เกิดไอเดีย “โครงการกีฬาธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน”ขึ้นเป็นครั้งแรก และจัดต่อเนื่องจนถึงปี 2560 โดยจัดแข่งขัน 3 ชนิดกีฬา ได้แก่ ฟุตบอลชาย รุ่นอายุ 18 ปี วอลเลย์บอลหญิง รุ่นอายุ 18 ปี และบาสเกตบอลชาย รุ่นอายุ 18 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆกว่า 2 ล้านคน ที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน จาก 1,000 กว่าแห่งทั่วประเทศ ได้เข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งฟุตบอลชายจะคัดเลือกเอา 6 ทีม เข้าไปชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และคัดเลือกนักเตะฝีเท้าดีเข้าสู่ทีม “ออมสินช้างชมพู” ไปอบรมเทคนิคฟุตบอลชั้นสูงก่อนไปแข่งขันอุ่นเครื่องหาประสบการณ์กับทีมเยาวชนของสโมสรอาชีพของไทย และในปี 2560 มีความพิเศษมากยิ่งขึ้นน้องๆ ที่เข้าสู่ทีม “ออมสินช้างชมพู”จะได้เดินทางหาประสบการณ์ยังต่างแดนแข่งขันกับทีมประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง (AEC) อีกด้วย
2.สมาคมกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทย : ธนาคารออมสิน นอกจากจะทุ่มเทสนับสนุนกิจกรรมกีฬาดีๆ เพื่อเสริมสร้างเยาวชนอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ยังมีนโยบายดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ โดยการสนับสนุนสมาคมกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทยจัดโครงการ “ออมสิน ออมสุขภาพ” ซึ่งดําเนินกิจกรรม 2 ส่วน คือ จัดแข่งขันฟุตบอลระดับอาวุโส “ออมสิน SENIOR THAILAND FOOTBALL CUP 2017” และเปิดอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานการเล่นฟุตบอล ในโครงการ “ออมสิน สร้างฝัน ปั้นเด็กไทยและห่วงใยสุขภาพ” ให้แก่เยาวชนอายุ 7-11 ปี จํานวน 20 ครั้ง โดยคาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมไม่น้อยกว่า 2,000 คน
3.กีฬายิมนาสติก : ธนาคารออมสิน ยังได้สนับสนุนกีฬา “ยิมนาสติก” สู่ความเป็นเลิศตามโครงการ หนึ่งสมาคมกีฬาหนึ่งรัฐวิสาหกิจ โดยเป็นผู้สนับสนุนมาตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน (2560) โดยใช้งบประมาณสนับสนุนรวมเป็นเงินกว่า 109 ล้านบาท เพื่อพัฒนาวงการยิมนาสติกไทยในทุกด้าน รวมถึงส่งนักกีฬาไทยออกแข่งขันสร้างชื่อเสียงสู่ประเทศไทย ตลอดจนพัฒนาบุคลากร และดําเนินการจัดการแข่งขันรายการใหญ่ในประเทศทุกปี ประกอบด้วย การแข่งขันออมสินยิมนาสติกลีลา ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี , การแข่งขันออมสินยิมนาสติกศิลป์และยิมนาสติกแอโรบิก ชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี , การแข่งขันออมสินยิมนาสติกเพื่อความเป็นเลิศสโมสรสัมพันธ์ และ การแข่งขันออมสินยิมนาสติกดาวรุ่ง
4.กีฬาแบดมินตัน : ธนาคารออมสิน ได้สนับสนุนทางด้านเงินรางวัล ซึ่งใช้สําหรับการแข่งขันกีฬาแบดมินตันลีก ที่เพิ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นกําลังใจให้กับชมรมแบดมินตัน และนักกีฬา อีกทั้งการแข่งขันในรูปแบบลีก นี้ เด็กและเยาวชนจะได้มีโอกาสเพิ่มประสบการณ์ในเกมการแข่งขันที่มากยิ่งขึ้น และประชาชนทั่วไปจะได้สัมผัสการแข่งขันในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยเกิดในประเทศไทยมาก่อน นับเป็นการส่งเสริมกีฬาแบดมินตันให้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
5.กีฬากอล์ฟ : ธนาคารออมสิน ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนและนักกอล์ฟไทยได้พัฒนาศักยภาพในตัวเอง โดยให้การสนับสนุนทั้งในระดับเยาวชน ระดับอุดมศึกษา เป็นการแข่งขัน “University Golf championship 2017” และระดับอาชีพ โดยสนับสนุน “โปรแหวน” พรอนงค์ เพชรล้ํา โปรสาวคนเก่งของไทยสามารถสร้างผลงานจนเป็นที่ยอมรับและจดจําในการแข่งขันกอล์ฟอาชีพสตรีในระดับสากล อาทิ การแข่งขันเอเชี่ยน-ทัวร์ , เจแปนทัวร์, แอลพีจีเอทัวร์ และเลดี้ยูโรเปี้ยนทัวร์ จนขณะนี้อยู่อันดับที่ 44 ของโลก
6.มวยไทยมวยโลก THAI FIGHT : ธนาคารออมสิน มุ่งมั่นสนับสนุนศิลปะมวยไทย ซึ่งเป็นกีฬาประจําชาติไทยให้คงอยู่สืบต่อไป เพราะมวยไทย เป็นกีฬาที่ต่างชาติให้ความสนใจอย่างยิ่งจึงได้สนับสนุนการแข่งขันชกมวยไทยโลก “THAI FIGHT” มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของชาติไทยสู่สากลด้วยความภาคภูมิใจ
7.ปั่นจักรยาน : ธนาคารออมสิน ให้การสนับสนุนการปั่นจักรยาน ภายใต้ชื่อ ครอบครัวขาปั่น เพราะเล็งเห็นว่า การปั่นจักรยานนั้น นอกจากเป็นการออกกําลังกายเพื่อสุขภาพแล้วยังเชื่อมความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว สร้างโอกาสได้สัมผัสมุมมองใหม่ และในปีนี้กิจกรรม “ครอบครัวขาปั่น” กว่า 2,500 คน เตรียมร่วมงานเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้ชื่อ “ครอบครัวขาปั่น ปั่นหัวหินถิ่นพ่อ ปี 2560” โดยมีความพิเศษ คือ จะจัดกิจกรรมขึ้นที่อุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในวันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน 2560 และเป็นความร่วมมือครั้งแรกของธนาคารออมสิน กองทัพบก กองทัพอากาศ เทศบาลเมืองหัวหิน และหน่วยงานต่างๆ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อมหาบูรพกษัตริย์ ได้ซึมซับพระอัฉริยะภาพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กษัตริย์ผู้เป็นต้นแบบนักประดิษฐ์ นักสิ่งแวดล้อม และนักพัฒนา ณ อุทยานราชภักดิ์
8.กีฬาบาสเกตบอล : ธนาคารออมสิน ได้ให้การสนับสนุนกีฬาบาสเกตบอลอย่างเต็มที่ โดยสนับสนุสโมสรบางเกตบอลชั้นนําของประเทศ “โมโนแวมไพร์ บาสเกตบอล คลับ” ในฐานะแชมป์เก่า “ทีบีแอล 2015” เข้าร่วมการแข่งขัน “ไทยแลนด์บาสเกตบอลลีก” โดยปีที่แล้วได้มอบเงินสนับสนุนหลักสิบล้านบาท และให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในปี 2560 นี้ เช่นเดียวกับให้การสนับสนุนสมาคมกีฬาบาสเกตบอลอาชีพไทย ซึ่งเป็นองค์กรที่มีภารกิจหลักในการพัฒนาศักยภาพกีฬาบาสเกตบแลอาชีพ ทั้งภายในและต่างประเทศ ที่สามารถต่อยอดให้นักบาสเกตบอลภายในประเทศและนักกีฬาจากธนาคารโรงเรียนธนาคารออมสิน ได้พัฒนาตนเองไปสู่ระดับมืออาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากการสนับสนุนวงการกีฬาไทยอย่างเต็มรูปแบบของธนาคารออมสินในครั้งนี้ จะเป็นปรากฎการณ์ครั้งสําคัญที่กําลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งแก่เยาวชนไทยและนักกีฬาไทยในปี 2560 แล้วยังถือได้ว่าธนาคารออมสินได้ส่งเสริมกีฬาไทยให้ก้าวสู่ความเป็นเลิศ “Thai Sports for Excellence by GSB”อีกด้วย นายชาติชาย กล่าว
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2257
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สกรศ.ชี้แจง กรณีแถลงการณ์คัดค้านเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของกลุ่ม EEC WATCH
|
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
สกรศ.ชี้แจง กรณีแถลงการณ์คัดค้านเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของกลุ่ม EEC WATCH
เลขาธิการ กรศ.ชี้แจงกรณีแถลงการณ์คัดค้าน EEC ของกลุ่ม EEC WATCH ร่วมกับแนวร่วมเครือข่ายประชาชนคนภาคตะวันออก ยืนยัน EEC เป็นนโยบายสําคัญของประเทศที่จะผลักดันการพัฒนาและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ประชาชน
วันที่ 6 พ.ย.60 นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (เลขาธิการ กรศ.) สํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงกรณีแถลงการณ์คัดค้านเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของกลุ่มศึกษาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC WATCH) ร่วมกับแนวร่วมเครือข่ายประชาชนคนภาคตะวันออก ที่มีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ 1) ขอให้หัวหน้า คสช. ยกเลิกประกาศคําสั่ง ม.44 ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา EEC ทั้ง 3 ฉบับ เนื่องจากเป็นการใช้อํานาจโดยไม่ได้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล 2) ขอให้ ครม. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. EEC ทบทวนเนื้อหา ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ เพราะแสดงถึงการไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 และจะต้องไม่เร่งรัดหากยังมีข้อกําหนดที่มีปัญหาและยังหาฉันทามติไม่ได้ และ 3) แนวนโยบายและแนวทางการพัฒนา EEC มีหลายอย่างที่ไม่ได้เป็นไปตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นเหตุผลสําคัญที่ทําให้มองได้ว่า EEC คือการพัฒนาที่คนภาคตะวันออกจํานวนไม่น้อยไม่ได้เลือก
สกรศ. ขอชี้แจงต่อประเด็นดังกล่าว ดังนี้
1. EEC เป็นนโยบายสําคัญของประเทศที่จะผลักดันการพัฒนา และความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชน อย่างที่ทราบกันว่า รัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนา EEC ครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ซึ่งต่อไปจะพัฒนาไปเป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อเป็นแกนนําในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้ การพัฒนา EEC เป็นตัวอย่างการบูรณาการการพัฒนาที่คํานึงถึงการต่อเนื่องเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์กับประเทศสูงสุด โดยมีการจัดวางตําแหน่ง สถานประกอบการ และตําแหน่งการจัดวางระบบสาธารณูปการที่เหมาะสม และอยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน ประชาชนในพื้นที่ และผู้ประกอบกิจการ รวมทั้งการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร ซึ่งแน่นอนประชาชนในพื้นที่จะมีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นจากการพัฒนาที่เป็นระบบ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการต่าง ๆ ใน EEC เป็นการต่อยอดจากการพัฒนาโครงการที่มีอยู่เดิม ซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยคํานึงถึงการสร้างนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยถือว่าการพัฒนา EEC เป็นกลไกขับเคลื่อน ‘ประเทศไทย 4.0’ แบบก้าวกระโดด และเป็นพื้นที่เป้าหมายแรกในการสร้าง การลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย สร้างระบบการถ่ายโอนเทคโนโลยีขั้นสูงสู่คนไทย ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม
2. คําสั่ง คสช.ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา EEC ที่ผ่านมามีคําสั่ง คสช.ที่เกี่ยวของกับการพัฒนา EEC เพื่อต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และเป็นแนวในการทํางานในเชิงบูรณาการให้กับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และบรรลุซึ่งวิสัยทัศน์ของประเทศทั้งในด้านความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและการยกกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล หรือที่เรียกว่า “การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี” อย่างไรก็ตาม คําสั่ง คสช. ดังกล่าว จะเป็นอันยกเลิกไป ถ้าพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มีผลบังคับใช้
ตัวอย่างเช่น คําสั่ง คสช. เรื่อง“ข้อกําหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เป็นการทําให้แผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง เป็นการพัฒนาที่บูรณาการที่คํานึงถึงความต่อเนื่องเชื่อมโยงในทุกมิติของทั้ง 3 จังหวัด หรือเป็นการทําผังเมืองกลุ่มจังหวัดครั้งแรก ที่ต้องคํานึงถึงความสัมพันธ์กับชุมชน สภาพแวดล้อม และระบบนิเวศตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วย โดยไม่ละเลยการสร้างความรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนในพื้นที่ และรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้เสีย ประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้อง ควบคู่กับการดําเนินงาน อีกทั้งจะนําไปเป็นมาตรฐานในการจัดทําผังเมืองในอนาคต หรือคําสั่ง คสช. เกี่ยวกับระเบียบการร่วมทุนระหว่างภาครัฐกับเอกชน (PPP) ในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งในการดําเนินงานเป็นเพียงการปรับปรุงกระบวนการทํางานให้รวดเร็วขึ้น โดยไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหลักเกณฑ์ ตาม พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 โดยสามารถลดระยะเวลาจาก 40 เดือน เหลือเพียง 8-10 เดือน ซึ่งจะเป็นมาตรฐานในการนําไปปรับแก้ พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 ต่อไป
3. ร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... ในกระบวนการจัดทําร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... ซึ่งเข้าสู่กระบวนพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะรัฐมนตรีถึง 3 ครั้ง นั้นแสดงถึงการให้ความสําคัญในทุกประเด็น ทุกมิติ อย่างรอบคอบ รัดกุม ของทุกภาคส่วน ถึงแม้ปัจจุบัน ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาเศรษฐพิเศษ ซึ่งกรรมการทุกท่านพิจารณาร่วมกันอย่างรอบคอบทุกมิติ โดยมิได้มีการเร่งรัดหรือละเลยในทุกประเด็นที่หลายฝ่ายกังวล อย่างไรก็ตามที่ผ่านมากระบวนการจัดทําร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... ได้ดําเนินการตามตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ทุกประการ โดยมีการรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วนตามช่องทางสื่อสารต่าง ๆ
4. ประชาชนได้ประโยชน์อะไรจากการพัฒนา EEC ในการพัฒนา EEC เป้าหมายที่สําคัญคือประชาชนในพื้นที่มีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการยกระดับรายได้ให้ใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ ด้วยสภาพชีวิตที่ดีกว่า มีเมืองที่น่าอยู่ที่ดีกว่า อาทิ
o โอกาสมาถึงบ้าน-รายได้มาถึงตัว งานดีมีมากขึ้นเป็นโอกาสใหม่ให้เยาวชน
o ลูกหลานไม่ต้องออกนอกพื้นที่เพื่อหาสถานศึกษาที่ดีขึ้น หางานที่ดีขึ้น ทําให้สามารถอยู่ได้กับพ่อแม่เป็นครอบครัวอบอุ่น
o ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงสถาบันการศึกษา และโรงพยาบาลที่ดีมีคุณภาพมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
o มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งแวดล้อมที่ดี จากโครงการลงทุน และการท่องเที่ยวมีเส้นทางคมนาคมที่ดีขึ้น
o มีกองทุนเพื่อพัฒนาชุมชน หากประชาชนได้รับผลกระทบรัฐจะให้การดูแลอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว โดยมีการตั้งกองทุนขึ้นมาโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม ทางสํานักงานฯ ยินดีให้ข้อมูลตอบข้อซักถามเพิ่มเติม โดยให้ติดต่อได้ที่ 0-20338000
-----------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สกรศ.ชี้แจง กรณีแถลงการณ์คัดค้านเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของกลุ่ม EEC WATCH
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560
สกรศ.ชี้แจง กรณีแถลงการณ์คัดค้านเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของกลุ่ม EEC WATCH
เลขาธิการ กรศ.ชี้แจงกรณีแถลงการณ์คัดค้าน EEC ของกลุ่ม EEC WATCH ร่วมกับแนวร่วมเครือข่ายประชาชนคนภาคตะวันออก ยืนยัน EEC เป็นนโยบายสําคัญของประเทศที่จะผลักดันการพัฒนาและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ประชาชน
วันที่ 6 พ.ย.60 นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (เลขาธิการ กรศ.) สํานักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงกรณีแถลงการณ์คัดค้านเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของกลุ่มศึกษาการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC WATCH) ร่วมกับแนวร่วมเครือข่ายประชาชนคนภาคตะวันออก ที่มีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ 1) ขอให้หัวหน้า คสช. ยกเลิกประกาศคําสั่ง ม.44 ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา EEC ทั้ง 3 ฉบับ เนื่องจากเป็นการใช้อํานาจโดยไม่ได้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล 2) ขอให้ ครม. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. EEC ทบทวนเนื้อหา ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ เพราะแสดงถึงการไม่ได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 และจะต้องไม่เร่งรัดหากยังมีข้อกําหนดที่มีปัญหาและยังหาฉันทามติไม่ได้ และ 3) แนวนโยบายและแนวทางการพัฒนา EEC มีหลายอย่างที่ไม่ได้เป็นไปตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นเหตุผลสําคัญที่ทําให้มองได้ว่า EEC คือการพัฒนาที่คนภาคตะวันออกจํานวนไม่น้อยไม่ได้เลือก
สกรศ. ขอชี้แจงต่อประเด็นดังกล่าว ดังนี้
1. EEC เป็นนโยบายสําคัญของประเทศที่จะผลักดันการพัฒนา และความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชน อย่างที่ทราบกันว่า รัฐบาลมีนโยบายในการพัฒนา EEC ครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง ซึ่งต่อไปจะพัฒนาไปเป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อเป็นแกนนําในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่
ทั้งนี้ การพัฒนา EEC เป็นตัวอย่างการบูรณาการการพัฒนาที่คํานึงถึงการต่อเนื่องเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์กับประเทศสูงสุด โดยมีการจัดวางตําแหน่ง สถานประกอบการ และตําแหน่งการจัดวางระบบสาธารณูปการที่เหมาะสม และอยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน ประชาชนในพื้นที่ และผู้ประกอบกิจการ รวมทั้งการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร ซึ่งแน่นอนประชาชนในพื้นที่จะมีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นจากการพัฒนาที่เป็นระบบ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงการต่าง ๆ ใน EEC เป็นการต่อยอดจากการพัฒนาโครงการที่มีอยู่เดิม ซึ่งสอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยคํานึงถึงการสร้างนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยถือว่าการพัฒนา EEC เป็นกลไกขับเคลื่อน ‘ประเทศไทย 4.0’ แบบก้าวกระโดด และเป็นพื้นที่เป้าหมายแรกในการสร้าง การลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย สร้างระบบการถ่ายโอนเทคโนโลยีขั้นสูงสู่คนไทย ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม
2. คําสั่ง คสช.ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา EEC ที่ผ่านมามีคําสั่ง คสช.ที่เกี่ยวของกับการพัฒนา EEC เพื่อต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน และเป็นแนวในการทํางานในเชิงบูรณาการให้กับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และบรรลุซึ่งวิสัยทัศน์ของประเทศทั้งในด้านความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและการยกกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล หรือที่เรียกว่า “การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี” อย่างไรก็ตาม คําสั่ง คสช. ดังกล่าว จะเป็นอันยกเลิกไป ถ้าพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มีผลบังคับใช้
ตัวอย่างเช่น คําสั่ง คสช. เรื่อง“ข้อกําหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เป็นการทําให้แผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดินสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง เป็นการพัฒนาที่บูรณาการที่คํานึงถึงความต่อเนื่องเชื่อมโยงในทุกมิติของทั้ง 3 จังหวัด หรือเป็นการทําผังเมืองกลุ่มจังหวัดครั้งแรก ที่ต้องคํานึงถึงความสัมพันธ์กับชุมชน สภาพแวดล้อม และระบบนิเวศตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วย โดยไม่ละเลยการสร้างความรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนในพื้นที่ และรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้เสีย ประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้อง ควบคู่กับการดําเนินงาน อีกทั้งจะนําไปเป็นมาตรฐานในการจัดทําผังเมืองในอนาคต หรือคําสั่ง คสช. เกี่ยวกับระเบียบการร่วมทุนระหว่างภาครัฐกับเอกชน (PPP) ในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งในการดําเนินงานเป็นเพียงการปรับปรุงกระบวนการทํางานให้รวดเร็วขึ้น โดยไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหลักเกณฑ์ ตาม พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 โดยสามารถลดระยะเวลาจาก 40 เดือน เหลือเพียง 8-10 เดือน ซึ่งจะเป็นมาตรฐานในการนําไปปรับแก้ พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 ต่อไป
3. ร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... ในกระบวนการจัดทําร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... ซึ่งเข้าสู่กระบวนพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะรัฐมนตรีถึง 3 ครั้ง นั้นแสดงถึงการให้ความสําคัญในทุกประเด็น ทุกมิติ อย่างรอบคอบ รัดกุม ของทุกภาคส่วน ถึงแม้ปัจจุบัน ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาเศรษฐพิเศษ ซึ่งกรรมการทุกท่านพิจารณาร่วมกันอย่างรอบคอบทุกมิติ โดยมิได้มีการเร่งรัดหรือละเลยในทุกประเด็นที่หลายฝ่ายกังวล อย่างไรก็ตามที่ผ่านมากระบวนการจัดทําร่างพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. .... ได้ดําเนินการตามตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ทุกประการ โดยมีการรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วนตามช่องทางสื่อสารต่าง ๆ
4. ประชาชนได้ประโยชน์อะไรจากการพัฒนา EEC ในการพัฒนา EEC เป้าหมายที่สําคัญคือประชาชนในพื้นที่มีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยการยกระดับรายได้ให้ใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ ด้วยสภาพชีวิตที่ดีกว่า มีเมืองที่น่าอยู่ที่ดีกว่า อาทิ
o โอกาสมาถึงบ้าน-รายได้มาถึงตัว งานดีมีมากขึ้นเป็นโอกาสใหม่ให้เยาวชน
o ลูกหลานไม่ต้องออกนอกพื้นที่เพื่อหาสถานศึกษาที่ดีขึ้น หางานที่ดีขึ้น ทําให้สามารถอยู่ได้กับพ่อแม่เป็นครอบครัวอบอุ่น
o ประชาชนในพื้นที่สามารถเข้าถึงสถาบันการศึกษา และโรงพยาบาลที่ดีมีคุณภาพมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
o มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งแวดล้อมที่ดี จากโครงการลงทุน และการท่องเที่ยวมีเส้นทางคมนาคมที่ดีขึ้น
o มีกองทุนเพื่อพัฒนาชุมชน หากประชาชนได้รับผลกระทบรัฐจะให้การดูแลอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว โดยมีการตั้งกองทุนขึ้นมาโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม ทางสํานักงานฯ ยินดีให้ข้อมูลตอบข้อซักถามเพิ่มเติม โดยให้ติดต่อได้ที่ 0-20338000
-----------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7870
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ. คารวะครู พร้อมมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติระดับประเทศ
|
วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม 2561
รมว.ศธ. คารวะครู พร้อมมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติระดับประเทศ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพิธีคารวะครู กล่าวปาฐกถาพิเศษ พร้อมมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติระดับประเทศ
รมว.ศธ. คารวะครู พร้อมมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติระดับประเทศ
เมื่อวันอังคารที่ 16 มกราคม 2561 ณ หอประชุมคุรุสภา นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพิธีคารวะครู กล่าวปาฐกถาพิเศษ พร้อมมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติระดับประเทศ
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวปาฐกถาพิเศษ มีใจความตอนหนึ่งว่า รู้สึกมีความยินดีที่ได้มีโอกาสคารวะครูอาวุโส "ครูสงวน วงศ์สุชาต" ซึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่มีแนวคิดในการค้นคว้าสิ่งใหม่ ๆ มาสอนลูกศิษย์อยู่เสมอ โดยใช้วิวัฒนาการต่าง ๆ มาประกอบการเรียนการสอน เพื่อสร้างความน่าสนใจ ดึงดูดนักเรียนให้อยู่กับบทเรียนได้โดยตลอด ทําให้นักเรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายเมื่อเรียนภาษาอังกฤษ
จึงต้องการให้ครูยุคใหม่ เตรียมการสอนให้มาก ๆ เพื่อสร้างให้เด็กเกิดศรัทธาต่อครู เชื่อมั่นในเรื่องที่ครูสอน รวมทั้งพยายามหาวิทยาการและสิ่งใหม่ ๆ ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ที่จะทําให้เด็กมีความรู้หลากหลาย และเพียงพอต่อการเรียนรู้ ใช้ชีวิต และมีศักยภาพในการแข่งขันในเวทีต่าง ๆ ตลอดจนรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม ประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน และสังคมโลก ซึ่งสอดคล้องกับคําขวัญวันครูของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ความว่า “ศิษย์ดี ก็ด้วยครูดี มีศรัทธา”
นอกจากนี้ ครูควรน้อมนําพระราชหัตถเลขาของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ในหลวงรัชกาลที่ 9) "ครูรักเด็ก เด็กรักครู" เป็นหลักคิดสําคัญต่อการทําหน้าที่ครู เพราะครูคือบุคคลสําคัญที่สุด ในการให้ความรู้เด็ก แม้ว่าเทคโนโลยีจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนครูได้ เนื่องจากเทคโนโลยีไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรสําคัญ และที่สําคัญที่สุดเทคโนโลยีไม่สามารถฝึกให้เป็นคนดีได้ จึงต้องอาศัยมนุษย์ด้วยกัน ในการฝึกทักษะชีวิตแก่เด็กและเยาวชน ให้อยู่ได้ในสังคมปัจจุบันอย่างมีความสุข และมีความพร้อมแข่งขันในโลกอนาคต
อนึ่ง ก่อนการปาฐกถาพิเศษ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติระดับประเทศ แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ทุ่มเท เสียสละ ปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของชีวิตผู้เรียน และเกิดประโยชน์ต่อวงการศึกษา จํานวน 11 รางวัล ประกอบด้วย
1. รางวัลครูภาษาไทยดีเด่น ประจําปี 2560
2. รางวัลครูภาษาฝรั่งเศสดีเด่น ประจําปี 2560
3. รางวัลผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ที่ได้รับรางวัลคุรุสภา ประจําปี 2560 "ระดับยกย่อง"
4. รางวัลครูผู้สอนดีเด่นตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ประจําปี พ.ศ.2560 "ระดับประเทศ"
5. รางวัลผลงานหนึ่งโรงเรียน หนึ่งนวัตกรรม ประจําปี 2560 "ระดับประเทศ"
6. รางวัลผลงานวิจัยของคุรุสภา ประจําปี 2560 "ระดับประเทศ"
7. ผู้ชนะการประกวดข้อเขียน ความประทับใจที่ศิษย์มีต่อครู เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 62
8. ผู้ชนะการประกวดภาพถ่าย เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 62
9. ทุนการศึกษามูลนิธิทวี บุณยเกตุ
10. รางวัลครูดีในดวงใจ
11. รางวัลบุคลากร สพฐ. ดีเด่น
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ. คารวะครู พร้อมมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติระดับประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม 2561
รมว.ศธ. คารวะครู พร้อมมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติระดับประเทศ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพิธีคารวะครู กล่าวปาฐกถาพิเศษ พร้อมมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติระดับประเทศ
รมว.ศธ. คารวะครู พร้อมมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติระดับประเทศ
เมื่อวันอังคารที่ 16 มกราคม 2561 ณ หอประชุมคุรุสภา นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมพิธีคารวะครู กล่าวปาฐกถาพิเศษ พร้อมมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติระดับประเทศ
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวปาฐกถาพิเศษ มีใจความตอนหนึ่งว่า รู้สึกมีความยินดีที่ได้มีโอกาสคารวะครูอาวุโส "ครูสงวน วงศ์สุชาต" ซึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่มีแนวคิดในการค้นคว้าสิ่งใหม่ ๆ มาสอนลูกศิษย์อยู่เสมอ โดยใช้วิวัฒนาการต่าง ๆ มาประกอบการเรียนการสอน เพื่อสร้างความน่าสนใจ ดึงดูดนักเรียนให้อยู่กับบทเรียนได้โดยตลอด ทําให้นักเรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายเมื่อเรียนภาษาอังกฤษ
จึงต้องการให้ครูยุคใหม่ เตรียมการสอนให้มาก ๆ เพื่อสร้างให้เด็กเกิดศรัทธาต่อครู เชื่อมั่นในเรื่องที่ครูสอน รวมทั้งพยายามหาวิทยาการและสิ่งใหม่ ๆ ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ที่จะทําให้เด็กมีความรู้หลากหลาย และเพียงพอต่อการเรียนรู้ ใช้ชีวิต และมีศักยภาพในการแข่งขันในเวทีต่าง ๆ ตลอดจนรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม ประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน และสังคมโลก ซึ่งสอดคล้องกับคําขวัญวันครูของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ความว่า “ศิษย์ดี ก็ด้วยครูดี มีศรัทธา”
นอกจากนี้ ครูควรน้อมนําพระราชหัตถเลขาของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (ในหลวงรัชกาลที่ 9) "ครูรักเด็ก เด็กรักครู" เป็นหลักคิดสําคัญต่อการทําหน้าที่ครู เพราะครูคือบุคคลสําคัญที่สุด ในการให้ความรู้เด็ก แม้ว่าเทคโนโลยีจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่ก็ยังไม่สามารถทดแทนครูได้ เนื่องจากเทคโนโลยีไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรสําคัญ และที่สําคัญที่สุดเทคโนโลยีไม่สามารถฝึกให้เป็นคนดีได้ จึงต้องอาศัยมนุษย์ด้วยกัน ในการฝึกทักษะชีวิตแก่เด็กและเยาวชน ให้อยู่ได้ในสังคมปัจจุบันอย่างมีความสุข และมีความพร้อมแข่งขันในโลกอนาคต
อนึ่ง ก่อนการปาฐกถาพิเศษ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติระดับประเทศ แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ทุ่มเท เสียสละ ปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของชีวิตผู้เรียน และเกิดประโยชน์ต่อวงการศึกษา จํานวน 11 รางวัล ประกอบด้วย
1. รางวัลครูภาษาไทยดีเด่น ประจําปี 2560
2. รางวัลครูภาษาฝรั่งเศสดีเด่น ประจําปี 2560
3. รางวัลผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ที่ได้รับรางวัลคุรุสภา ประจําปี 2560 "ระดับยกย่อง"
4. รางวัลครูผู้สอนดีเด่นตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ประจําปี พ.ศ.2560 "ระดับประเทศ"
5. รางวัลผลงานหนึ่งโรงเรียน หนึ่งนวัตกรรม ประจําปี 2560 "ระดับประเทศ"
6. รางวัลผลงานวิจัยของคุรุสภา ประจําปี 2560 "ระดับประเทศ"
7. ผู้ชนะการประกวดข้อเขียน ความประทับใจที่ศิษย์มีต่อครู เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 62
8. ผู้ชนะการประกวดภาพถ่าย เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 62
9. ทุนการศึกษามูลนิธิทวี บุณยเกตุ
10. รางวัลครูดีในดวงใจ
11. รางวัลบุคลากร สพฐ. ดีเด่น
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น: สรุป
นวรัตน์ รามสูต: เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี: รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9451
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 หลักการอิงภาระภาษีที่จัดเก็บภาษีในปัจจุบัน ไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค
|
วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2560
พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 หลักการอิงภาระภาษีที่จัดเก็บภาษีในปัจจุบัน ไม่ทําให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค
กรมสรรพสามิตปฏิรูปโครงสร้างของระบบกฎหมายภาษีสรรพสามิตและแนวทางการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน จัดทําเป็นพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยรวบรวมกฎหมายภาษีสรรพสามิต 7 ฉบับ เข้าด้วยกัน
กรมสรรพสามิตปฏิรูปโครงสร้างของระบบกฎหมายภาษีสรรพสามิตและแนวทางการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน จัดทําเป็นพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยรวบรวมกฎหมายภาษีสรรพสามิต 7 ฉบับ เข้าด้วยกัน เน้นการสร้างความโปร่งใส เป็นธรรมให้แก่ผู้เสียภาษี และสนับสนุนการดําเนินกิจกรรมทางธุรกิจของผู้ประกอบการ มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (16 กันยายน 2560)
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 ราชกิจจานุเษกษา ประกาศพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ เป็นการรวบรวมกฎหมาย 7 ฉบับเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยสุรา กฎหมายว่าด้วยยาสูบ กฎหมายว่าด้วยไพ่ กฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสรรพสามิต และกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสุรา ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวต่อว่า พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบกฎหมายภาษีสรรพสามิตและแนวทางการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใสเป็นสากล และลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้กฎหมายภาษีสรรพสามิตสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในการบริหารการจัดเก็บภาษีได้ทั้งระบบ และทําให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และหลังจากนี้กรมสรรพสามิตต้องออกกฎหมายลําดับรองประมาณ 80 ฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายแม่บท โดยเฉพาะอัตราการจัดเก็บภาษีสินค้าและบริการต่างๆ เนื่องจากกฎหมายแม่บทที่ออกมานั้น เป็นการปรับขยายเพดานอัตราภาษีสรรพสามิต ซึ่งเพดานใหม่ดังกล่าวจะใช้ไปจนถึง ปี พ.ศ. 2580 สําหรับอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจริงนั้น จะถูกกําหนดไว้ในกฎหมายลําดับรองอีกครั้งหนึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจริงจะลดจากเพดานลงมา เนื่องจากเพดานในกฎหมายนั้นกําหนดไว้สูง เพราะมองถึงอนาคตอีก 20 ปี สําหรับการกําหนดอัตราจัดเก็บภาษีจริง ในหลักการจะอ้างอิงจากภาระภาษีที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
ทั้งนี้สาระสําคัญของร่างกฎหมาย ประกอบด้วย เพิ่มเติมบทนิยามที่สําคัญ เช่น คําว่า “ราคาขายปลีกแนะนํา” “ผลิต” “สุรา” “ยาสูบ” และ”ไพ่” ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีจากจัดเก็บในอัตราตามมูลค่าหรือตามปริมาณ แล้วแต่อัตราใดจะคิดเป็นเงินสูงกว่า เป็น จัดเก็บทั้งตามมูลค่าและตามปริมาณ เปลี่ยนฐานในการคํานวณภาษีตามมูลค่า จากเดิม สินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักร ใช้ราคาขาย ณ โรงอุตสาหกรรม และสินค้านําเข้า ใช้ราคา ซี.ไอ.เอฟ. หรือกรณีสินค้าสุรา ใช้ราคาขายส่งช่วงสุดท้าย เป็น ราคาขายปลีกแนะนํา ปรับปรุงกําหนดระยะเวลาการประเมินภาษีจากเดิม 2 ปี เป็นกําหนดเวลา 2 ปี ขยายได้อีก 3 ปี รวมเป็น 5 ปี ปรับปรุงขั้นตอนการโต้แย้งการประเมินภาษี ปรับปรุงการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนําเข้าสินค้าสุรา ยาสูบ และไพ่ ปรับปรุงระบบการควบคุมสินค้าสุรา ยาสูบ และไพ่ ปรับปรุงบทกําหนดโทษให้เหมาะสมกับปัจจุบัน และปรับปรุงเพดานอัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ และเพดานอัตราภาษี ให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน เป็นต้น
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวทิ้งท้ายว่า หลังจากนี้กรมสรรพสามิตจะประชุมชี้แจงกับภาคเอกชน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รวมถึงหอการค้าต่างประเทศในไทย และจะจัดพิมพ์พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษแจกจ่ายให้แก่ภาคเอกชนและผู้ที่สนใจ รวมทั้งมีคําอธิบายเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตดังกล่าว เพื่อชี้แจงและทําความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ต่อไป
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 หลักการอิงภาระภาษีที่จัดเก็บภาษีในปัจจุบัน ไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค
วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม 2560
พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 หลักการอิงภาระภาษีที่จัดเก็บภาษีในปัจจุบัน ไม่ทําให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค
กรมสรรพสามิตปฏิรูปโครงสร้างของระบบกฎหมายภาษีสรรพสามิตและแนวทางการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน จัดทําเป็นพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยรวบรวมกฎหมายภาษีสรรพสามิต 7 ฉบับ เข้าด้วยกัน
กรมสรรพสามิตปฏิรูปโครงสร้างของระบบกฎหมายภาษีสรรพสามิตและแนวทางการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน จัดทําเป็นพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยรวบรวมกฎหมายภาษีสรรพสามิต 7 ฉบับ เข้าด้วยกัน เน้นการสร้างความโปร่งใส เป็นธรรมให้แก่ผู้เสียภาษี และสนับสนุนการดําเนินกิจกรรมทางธุรกิจของผู้ประกอบการ มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (16 กันยายน 2560)
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2560 ราชกิจจานุเษกษา ประกาศพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ เป็นการรวบรวมกฎหมาย 7 ฉบับเข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยสุรา กฎหมายว่าด้วยยาสูบ กฎหมายว่าด้วยไพ่ กฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสรรพสามิต และกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสุรา ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวต่อว่า พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบกฎหมายภาษีสรรพสามิตและแนวทางการจัดเก็บภาษีแบบใหม่ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใสเป็นสากล และลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ส่งผลให้กฎหมายภาษีสรรพสามิตสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในการบริหารการจัดเก็บภาษีได้ทั้งระบบ และทําให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และหลังจากนี้กรมสรรพสามิตต้องออกกฎหมายลําดับรองประมาณ 80 ฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายแม่บท โดยเฉพาะอัตราการจัดเก็บภาษีสินค้าและบริการต่างๆ เนื่องจากกฎหมายแม่บทที่ออกมานั้น เป็นการปรับขยายเพดานอัตราภาษีสรรพสามิต ซึ่งเพดานใหม่ดังกล่าวจะใช้ไปจนถึง ปี พ.ศ. 2580 สําหรับอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจริงนั้น จะถูกกําหนดไว้ในกฎหมายลําดับรองอีกครั้งหนึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยอัตราภาษีที่จะจัดเก็บจริงจะลดจากเพดานลงมา เนื่องจากเพดานในกฎหมายนั้นกําหนดไว้สูง เพราะมองถึงอนาคตอีก 20 ปี สําหรับการกําหนดอัตราจัดเก็บภาษีจริง ในหลักการจะอ้างอิงจากภาระภาษีที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
ทั้งนี้สาระสําคัญของร่างกฎหมาย ประกอบด้วย เพิ่มเติมบทนิยามที่สําคัญ เช่น คําว่า “ราคาขายปลีกแนะนํา” “ผลิต” “สุรา” “ยาสูบ” และ”ไพ่” ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีจากจัดเก็บในอัตราตามมูลค่าหรือตามปริมาณ แล้วแต่อัตราใดจะคิดเป็นเงินสูงกว่า เป็น จัดเก็บทั้งตามมูลค่าและตามปริมาณ เปลี่ยนฐานในการคํานวณภาษีตามมูลค่า จากเดิม สินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักร ใช้ราคาขาย ณ โรงอุตสาหกรรม และสินค้านําเข้า ใช้ราคา ซี.ไอ.เอฟ. หรือกรณีสินค้าสุรา ใช้ราคาขายส่งช่วงสุดท้าย เป็น ราคาขายปลีกแนะนํา ปรับปรุงกําหนดระยะเวลาการประเมินภาษีจากเดิม 2 ปี เป็นกําหนดเวลา 2 ปี ขยายได้อีก 3 ปี รวมเป็น 5 ปี ปรับปรุงขั้นตอนการโต้แย้งการประเมินภาษี ปรับปรุงการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนําเข้าสินค้าสุรา ยาสูบ และไพ่ ปรับปรุงระบบการควบคุมสินค้าสุรา ยาสูบ และไพ่ ปรับปรุงบทกําหนดโทษให้เหมาะสมกับปัจจุบัน และปรับปรุงเพดานอัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ และเพดานอัตราภาษี ให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน เป็นต้น
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวทิ้งท้ายว่า หลังจากนี้กรมสรรพสามิตจะประชุมชี้แจงกับภาคเอกชน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รวมถึงหอการค้าต่างประเทศในไทย และจะจัดพิมพ์พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษแจกจ่ายให้แก่ภาคเอกชนและผู้ที่สนใจ รวมทั้งมีคําอธิบายเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตดังกล่าว เพื่อชี้แจงและทําความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ต่อไป
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2635
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”จับต่อเนื่อง รวบขายหน้ากากแพงผ่านไลน์ เฟซบุ๊ก จัดการพวกกักตุน รวม 5 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
|
วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563
“พาณิชย์”จับต่อเนื่อง รวบขายหน้ากากแพงผ่านไลน์ เฟซบุ๊ก จัดการพวกกักตุน รวม 5 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
“พาณิชย์”จับต่อเนื่อง รวบขายหน้ากากแพงผ่านไลน์ เฟซบุ๊ก จัดการพวกกักตุน รวม 5 ราย
“พาณิชย์”เผยจับกุมผู้กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์แพงเกินจริงได้เพิ่มอีก 5 ราย มีทั้งขายผ่านไลน์ เฟซบุ๊ก และกักตุน รวมยอดจับกุมล่าสุด 265 ราย ส่วนไข่ไก่ไม่พบการกระทําความผิดเพิ่มเติม หลังสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ยันจะเดินหน้าตรวจสอบอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เผยหากผู้บริโภคพบเห็นการกักตุนหรือค้ากําไรเกินควร สามารถร้องเรียนได้ทันที
นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 โดยสามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ได้เพิ่มอีก 5 ราย แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 2 ราย เป็นการจับกุมผู้จําหน่ายสินค้าทางแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย ในเขตสายไหม จําหน่ายหน้ากากอนามัย กล่องละ 50 ชิ้น ราคากล่องละ 750 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15 บาท ได้แจ้งข้อหาขายแพงเกินราคาสมควร และอีก 1 ราย เป็นสถานที่ผลิตเจลแอลกอฮอล์ในเขตแจ้งวัฒนะ ข้อหากระทําความผิดตาม มาตรา 25 (5) ไม่แจ้งราคาต้นทุนการซื้อขาย และสต๊อก
ส่วนในต่างจังหวัดจับกุมได้เพิ่ม 3 ราย พบผู้กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร (มาตรา 29) ที่จังหวัดนครราชสีมา 1 ราย โดยทําการล่อซื้อจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก จําหน่ายในราคากล่องละ 730 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 14.60 บาท รวม 5,000 ชิ้น และที่จังหวัดปราจีนบุรี 1 ราย ส่วนอีก 1 ราย เป็นการเข้าตรวจค้นหน้ากากอนามัยและจับกุมชาวจีน ในจังหวัดชลบุรี ในข้อหาไม่แจ้งปริมาณและปฏิเสธการจําหน่ายสินค้าควบคุม มาตรา 25 (5) และมาตรา 30 ทําให้สถิติการจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์และแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้นเป็น 265 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 131 ราย และต่างจังหวัด 134 ราย
สําหรับโทษที่ผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) และมาตรา 25 (5) ไม่แจ้งต้นทุนซื้อ ขาย สต๊อก มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มาตรา 28 มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ข้อหาขายแพงเกินสมควร (มาตรา 29) มีอัตราโทษจําคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ทางด้านการจับกุมผู้กระทําความผิดจําหน่ายไข่ไก่เกินราคาทั่วประเทศ ณ วันที่ 5 เม.ย. 2563 ไม่พบผู้กระทําความผิดเพิ่ม ทําให้มียอดรวมการจับกุมทั่วประเทศอยู่ที่ 26 รายคงเดิม เพราะขณะนี้ สถานการณ์ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งการผลิต การกระจายไข่ไก่ และการจําหน่าย
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นการกักตุนสินค้าหรือค้ากําไรเกินควร ขอให้ร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด จะมีการเข้าไปตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิดทันที
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่ http://line.me/ti/p/%40uld0329i
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์ https://twitter.com/CNAOnlineTwit
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”จับต่อเนื่อง รวบขายหน้ากากแพงผ่านไลน์ เฟซบุ๊ก จัดการพวกกักตุน รวม 5 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
วันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563
“พาณิชย์”จับต่อเนื่อง รวบขายหน้ากากแพงผ่านไลน์ เฟซบุ๊ก จัดการพวกกักตุน รวม 5 ราย [กระทรวงพาณิชย์]
“พาณิชย์”จับต่อเนื่อง รวบขายหน้ากากแพงผ่านไลน์ เฟซบุ๊ก จัดการพวกกักตุน รวม 5 ราย
“พาณิชย์”เผยจับกุมผู้กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์แพงเกินจริงได้เพิ่มอีก 5 ราย มีทั้งขายผ่านไลน์ เฟซบุ๊ก และกักตุน รวมยอดจับกุมล่าสุด 265 ราย ส่วนไข่ไก่ไม่พบการกระทําความผิดเพิ่มเติม หลังสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ ยันจะเดินหน้าตรวจสอบอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เผยหากผู้บริโภคพบเห็นการกักตุนหรือค้ากําไรเกินควร สามารถร้องเรียนได้ทันที
นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการปฏิบัติการกรณีสินค้าอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์ของกระทรวงพาณิชย์ว่า เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการจับกุมผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 โดยสามารถจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ได้เพิ่มอีก 5 ราย แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 2 ราย เป็นการจับกุมผู้จําหน่ายสินค้าทางแอปพลิเคชันไลน์ 1 ราย ในเขตสายไหม จําหน่ายหน้ากากอนามัย กล่องละ 50 ชิ้น ราคากล่องละ 750 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 15 บาท ได้แจ้งข้อหาขายแพงเกินราคาสมควร และอีก 1 ราย เป็นสถานที่ผลิตเจลแอลกอฮอล์ในเขตแจ้งวัฒนะ ข้อหากระทําความผิดตาม มาตรา 25 (5) ไม่แจ้งราคาต้นทุนการซื้อขาย และสต๊อก
ส่วนในต่างจังหวัดจับกุมได้เพิ่ม 3 ราย พบผู้กระทําความผิดจําหน่ายหน้ากากอนามัยแพงเกินราคาสมควร (มาตรา 29) ที่จังหวัดนครราชสีมา 1 ราย โดยทําการล่อซื้อจับกุมผู้จําหน่ายหน้ากากอนามัยผ่านทางเฟซบุ๊ก จําหน่ายในราคากล่องละ 730 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 14.60 บาท รวม 5,000 ชิ้น และที่จังหวัดปราจีนบุรี 1 ราย ส่วนอีก 1 ราย เป็นการเข้าตรวจค้นหน้ากากอนามัยและจับกุมชาวจีน ในจังหวัดชลบุรี ในข้อหาไม่แจ้งปริมาณและปฏิเสธการจําหน่ายสินค้าควบคุม มาตรา 25 (5) และมาตรา 30 ทําให้สถิติการจับกุมผู้กระทําความผิดกรณีหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์และแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้นเป็น 265 ราย แยกเป็นกรุงเทพฯ 131 ราย และต่างจังหวัด 134 ราย
สําหรับโทษที่ผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ข้อหาขายเกินราคาควบคุม มาตรา 25 (1) และมาตรา 25 (5) ไม่แจ้งต้นทุนซื้อ ขาย สต๊อก มีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อหาไม่ปิดป้ายแสดงราคาขาย มาตรา 28 มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ข้อหาขายแพงเกินสมควร (มาตรา 29) มีอัตราโทษจําคุก ไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ทางด้านการจับกุมผู้กระทําความผิดจําหน่ายไข่ไก่เกินราคาทั่วประเทศ ณ วันที่ 5 เม.ย. 2563 ไม่พบผู้กระทําความผิดเพิ่ม ทําให้มียอดรวมการจับกุมทั่วประเทศอยู่ที่ 26 รายคงเดิม เพราะขณะนี้ สถานการณ์ได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งการผลิต การกระจายไข่ไก่ และการจําหน่าย
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นการกักตุนสินค้าหรือค้ากําไรเกินควร ขอให้ร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และในต่างจังหวัดร้องเรียนได้ที่สํานักงานพาณิชย์จังหวัด หรือศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด จะมีการเข้าไปตรวจสอบและดําเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิดทันที
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์แบบฉับไว ส่งตรงถึงมือถือได้ที่ http://line.me/ti/p/%40uld0329i
>>>ติดตามข่าวสารพาณิชย์ ผ่านทวิตเตอร์ https://twitter.com/CNAOnlineTwit
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28531
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ส่งเสริมเครือข่ายแกนนำสตรีในพื้นที่ ร่วมป้องกันกลุ่มเสี่ยงตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์
|
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563
พม. ส่งเสริมเครือข่ายแกนนําสตรีในพื้นที่ ร่วมป้องกันกลุ่มเสี่ยงตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์
พม. ส่งเสริมเครือข่ายแกนนําสตรีในพื้นที่ ร่วมป้องกันกลุ่มเสี่ยงตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์
วันนี้ (17 ม.ค. 63) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมขวัญเมือง มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายแกนนําสตรีและการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ในปัจจุบัน รูปแบบภัยอันตราย วิธีป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากการค้ามนุษย์ โดยมีสตรีจากพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 200 คน เข้าร่วม
นายจุติ กล่าวว่า ปัจจุบัน ปัญหาการค้ามนุษย์มีความรุนแรงและความซับซ้อน ซึ่งขบวนการค้ามนุษย์ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการในการแสวงหาประโยชน์จากการค้ามนุษย์อยู่ตลอดเวลา โดยรูปแบบของการค้ามนุษย์ที่พบในประเทศไทยมากที่สุด คือ การแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ทั้งเรื่องการค้าประเวณี การเผยแพร่ภาพและสื่อลามกทางออนไลน์ รองลงมา คือ การบังคับใช้แรงงาน และการนําคนมาขอทาน อีกทั้งการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์มีความอ่อนไหวและละเอียดอ่อน เพราะต้องทํางานอยู่บนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชนควบคู่กับหลักมนุษยธรรม ทําให้การทํางานของทุกหน่วยงานต้องพบกับความท้าทาย และเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยงานหลักในการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการป้องกันกลุ่มเป้าหมายไม่ให้เข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ จึงได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายแกนนําสตรีและการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ในปัจจุบัน รูปแบบภัยอันตราย วิธีป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากการค้ามนุษย์ และแนวทางการขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือการแจ้งเหตุ โดยมีกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดเป็นสตรีจากพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 200 คน ประกอบด้วย กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เครือข่ายแกนนําสตรี อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) แกนนําสภาเด็กและเยาวชน เป็นต้น
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากวิทยากรผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา อาทิ ศาสตราจารย์พิเศษ กาญจนา เงารังษี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และองค์กรพัฒนาเอกชนที่มีบทบาทสําคัญในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาคุณแม่วัยใส รวมถึงการเสริมสร้างเศรษฐกิจในครัวเรือน เพื่อป้องกันความเสี่ยงมิให้เข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจาก องค์การยุติธรรมนานาชาติ สหรัฐอเมริกา (International Justice Mission - IJM) โดย Mrs. Christa Hayden Sharpe (Regional President, Asia Pacific, IJM) เป็นผู้บรรยายพิเศษในหัวข้อ "การเสริมสร้างพลังแกนนําสตรี เพื่อเป็นเครือข่ายในการต่อต้านการค้ามนุษย์ บทเรียนความสําเร็จของ International Justice Mission" เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์และโอกาสในการรับฟัง แลกเปลี่ยนมุมมอง ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างบทบาทสตรี และการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยไม่สามารถแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ได้โดยเพียงลําพัง แต่จําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรพัฒนาเอกชน องค์การระหว่างประเทศ และทุกท่าน รวมไปถึงสถาบันการศึกษา อาทิ มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ให้การสนับสนุนและความร่วมมือกับกระทรวง พม. อย่างดียิ่ง และหวังว่าการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งนี้ จะสําเร็จลุล่วงตามความความมุ่งมั่นเพื่อให้ปัญหาการค้ามนุษย์หมดสิ้นไปจากประเทศไทย และขอยืนยันว่า กระทรวง พม. พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนการส่งเสริมเครือข่ายแกนนําสตรีให้มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เพื่อเป็นเครือข่ายในการเฝ้าระวังปัญหาการค้ามนุษย์ในพื้นที่ เพื่อให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและทันท่วงที
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ส่งเสริมเครือข่ายแกนนำสตรีในพื้นที่ ร่วมป้องกันกลุ่มเสี่ยงตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563
พม. ส่งเสริมเครือข่ายแกนนําสตรีในพื้นที่ ร่วมป้องกันกลุ่มเสี่ยงตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์
พม. ส่งเสริมเครือข่ายแกนนําสตรีในพื้นที่ ร่วมป้องกันกลุ่มเสี่ยงตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์
วันนี้ (17 ม.ค. 63) เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมขวัญเมือง มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายแกนนําสตรีและการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ในปัจจุบัน รูปแบบภัยอันตราย วิธีป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากการค้ามนุษย์ โดยมีสตรีจากพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 200 คน เข้าร่วม
นายจุติ กล่าวว่า ปัจจุบัน ปัญหาการค้ามนุษย์มีความรุนแรงและความซับซ้อน ซึ่งขบวนการค้ามนุษย์ ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีการในการแสวงหาประโยชน์จากการค้ามนุษย์อยู่ตลอดเวลา โดยรูปแบบของการค้ามนุษย์ที่พบในประเทศไทยมากที่สุด คือ การแสวงหาประโยชน์ทางเพศ ทั้งเรื่องการค้าประเวณี การเผยแพร่ภาพและสื่อลามกทางออนไลน์ รองลงมา คือ การบังคับใช้แรงงาน และการนําคนมาขอทาน อีกทั้งการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์มีความอ่อนไหวและละเอียดอ่อน เพราะต้องทํางานอยู่บนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชนควบคู่กับหลักมนุษยธรรม ทําให้การทํางานของทุกหน่วยงานต้องพบกับความท้าทาย และเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยงานหลักในการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และการป้องกันกลุ่มเป้าหมายไม่ให้เข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ จึงได้จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายแกนนําสตรีและการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ในปัจจุบัน รูปแบบภัยอันตราย วิธีป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากการค้ามนุษย์ และแนวทางการขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือการแจ้งเหตุ โดยมีกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดเป็นสตรีจากพื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด รวม 200 คน ประกอบด้วย กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เครือข่ายแกนนําสตรี อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) แกนนําสภาเด็กและเยาวชน เป็นต้น
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ การประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากวิทยากรผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา อาทิ ศาสตราจารย์พิเศษ กาญจนา เงารังษี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) และองค์กรพัฒนาเอกชนที่มีบทบาทสําคัญในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ปัญหาคุณแม่วัยใส รวมถึงการเสริมสร้างเศรษฐกิจในครัวเรือน เพื่อป้องกันความเสี่ยงมิให้เข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ นอกจากนี้ ยังได้รับเกียรติจาก องค์การยุติธรรมนานาชาติ สหรัฐอเมริกา (International Justice Mission - IJM) โดย Mrs. Christa Hayden Sharpe (Regional President, Asia Pacific, IJM) เป็นผู้บรรยายพิเศษในหัวข้อ "การเสริมสร้างพลังแกนนําสตรี เพื่อเป็นเครือข่ายในการต่อต้านการค้ามนุษย์ บทเรียนความสําเร็จของ International Justice Mission" เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์และโอกาสในการรับฟัง แลกเปลี่ยนมุมมอง ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างบทบาทสตรี และการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยไม่สามารถแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ได้โดยเพียงลําพัง แต่จําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรพัฒนาเอกชน องค์การระหว่างประเทศ และทุกท่าน รวมไปถึงสถาบันการศึกษา อาทิ มหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ให้การสนับสนุนและความร่วมมือกับกระทรวง พม. อย่างดียิ่ง และหวังว่าการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ครั้งนี้ จะสําเร็จลุล่วงตามความความมุ่งมั่นเพื่อให้ปัญหาการค้ามนุษย์หมดสิ้นไปจากประเทศไทย และขอยืนยันว่า กระทรวง พม. พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนการส่งเสริมเครือข่ายแกนนําสตรีให้มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เพื่อเป็นเครือข่ายในการเฝ้าระวังปัญหาการค้ามนุษย์ในพื้นที่ เพื่อให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและทันท่วงที
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25879
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ TCDC กรุงเทพฯ
|
วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ TCDC กรุงเทพฯ
นายกรัฐมนตรีชื่นชม TCDC ที่มุ่งเน้นพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่นําไปสู่การพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
วันนี้ (30 มิ.ย.60) เวลา 09.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เยี่ยมชมศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ กรุงเทพฯ TCDCณ อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ โดยมี เอกอัครราชทูต (ฝรั่งเศส โปรตุเกส) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปลัดกระทรวง ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง มาร่วมเยี่ยมชม ประมาณ 200 คน
นายคณิศ แสงสุพรรณ ประธานกรรมการสํานักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) ในฐานะกํากับดูแลศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือTCDCให้การต้อนรับ พร้อมนํานายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมCreative Spaceณ บริเวณชั้น 5 ซึ่งพื้นที่ให้บริการด้านธุรกิจ และพื้นที่ส่วนกลางสําหรับการทํางานและร้านกาแฟRooftop Gardenโดยมีการจัดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้และสันทนาการข้อมูลโครงการ รวมถึงการแสดงผลงานผู้ประกอบการนักออกแบบ และชมวิดีทัศน์ จากนั้นได้กล่าวรายงานว่าTCDCเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2558 ณ ห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม แต่ด้วยความตั้งใจที่จะปรับบทบาทภารกิจเพื่อขยายงานบริการแก่ประชาชน พร้อมลดภาระงบประมาณภาครัฐ จึงได้ย้ายที่ทําการมายังอาคารไปรษณีย์กลาง บนย่านเจริญกรุงที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์คู่กับกรุงเทพฯ และประเทศไทย โดยเปิดทดลองให้บริการเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
สําหรับบทบาทของTCDCนอกจากการพัฒนาและขยายแห่งเรียนรู้สร้างสรรค์ต้นแบบให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองของเยาวชน นักออกแบบ และผู้ประกอบการไทยแล้ว ยังมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรคมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการวิจัยแผนพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เมืองสร้างสรรค์ และขยายผลสู่ดครงการที่ส่งเสริมการใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือกระบวนการคิดเชิงออกแบบ เพื่อแก้ปัญหาสังคมและเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ ภายใต้โมเดลประเทศไทย 4.0 ทั้งนี้ TCDCได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้ง บริษัท กสท.โทรคมนาคม จํากัด บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กรุงเทพมหานคร ธุรกิจและชุมชนของย่าน เพื่อทําให้ย่านเจริญกรุงเป็นย่างสร้างสรรค์ต้นแบบในระดับสากล อีกทั้ง คณะรัฐมนตรี (20 มิ.ย.60) ได้มีมติเห็นชอบให้ยกฐานะศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ เป็นสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์แห่งการเริ่มต้นเดินหน้าสู่อนาคตเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศอย่างแท้จริง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่TCDCและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพราะสิ่งที่TCDCได้ดําเนินการนั้น จะเป็นอนาคตของประเทศไทยในการที่จะก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 แต่การจะก้าวไปสู่ 4.0 ได้นั้น จะต้องดําเนินการตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ซึ่งTCDCถือว่าอยู่ระหว่างกระบวนการต้นทางกับกลางทาง ก่อนเชื่อมต่อผู้ผลิต เพื่อนําไปสู่การแปรรูปและนวัตกรรม สอดคล้องกับการก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดําเนินการให้ไปสู่เป้าหมายดังกล่าวว่า ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อน ทั้งภาครัฐ องค์กรมหาชน ภาคเอกชน ประชาสังคม และประชาชนในพื้นที่ โดยกําหนดเป้าหมายให้ชัดเจนทั้งในเรื่องของจํานวน กลุ่มบุคคล เป้าหมาย ที่จะเข้ามาเรียนรู้ในเรื่องนี้ ตลอดจนมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ ลงไปในพื้นที่และชุมชน โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ให้เกิดให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งบรรจุเรื่องดังกล่าวไว้ในหลักสูตรการศึกษา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการต้องเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ําว่า การดําเนินงานของTCDCต้องให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 6 ด้าน (1.ความมั่นคง 2. การสร้าง ความสามารถ ในการแข่งขัน 3. การพัฒนาและ เสริมสร้าง ศักยภาพคน 4.การสร้างโอกาส ความเสมอภาคและ เท่าเทียมกันทาง สังคม 5. การสร้าง การเติบโตบน คุณภาพชีวิต ที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม และ 6. การปรับสมดุลและ พัฒนาระบบการ บริหารจัดการ ภาครัฐ) ตลอดจนสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่12และนโยบายการพัฒนาพื้นที่ของรัฐบาลใน 6 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ตะวันออก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อําเภอในจังหวัดสงขลา เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินและการใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ศักยภาพของแต่ละพื้นที่มีอยู่ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม คํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นสําคัญ พร้อมน้อมนําศาสตร์พระราชา เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา มาเป็นแนวทางการปฏิบัติ ซึ่งจะทําให้การดําเนินการต่าง ๆ เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่กําหนดและเกิดผลรูปธรรมอย่างแท้จริง
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ภายใต้การกํากับดูแลของOKMDที่ได้มุ่งเน้นพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะนําไปสู่การพัฒนาประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ การดําเนินการต้องเป็นไปอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง โดยเฉพาะการออกแบบเพื่อนําไปสู่การผลิตและแปรรูป จะต้องมีการออกแบบและผลิตให้สอดคล้อง ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาด โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศอย่างเหมาะสม คุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ ขณะที่อุปสงค์และอุปทานต้องมีความสมดุล รวมถึงเรื่องการผลิตและแปรรูปพืชผลทางการเกษตร ทั้งในเรื่องของปริมาณและความต้องการของผู้บริโภค เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลิตภัณฑ์และผลผลิตที่มีจํานวนมากเกินไปจนทําให้ราคาตกต่ํา
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะเยี่ยมชมแหล่งรวบรวมหนังสือวารสารและสื่อสิ่งพิมพ์ด้านความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบ บริเวณชั้น 4 พร้อมเยี่ยมชมMake spaceห้องปฏิบัติการ เครื่องมือและผู้เชี่ยวชาญเพื่อการเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นงานต้นแบบ ณ บริเวณชั้น 3 รวมทั้งเยี่ยมชมMaterial & Design Innovation Centerศูนย์รวบรวมวัสดุและนวัตกรรมการออกแบบ พร้อมพบปะผู้ประกอบการและนักออกแบบที่จัดแสดง บริเวณชั้น 2 ก่อนเยี่ยมชมGalleryบริเวณชั้น 1 ซึ่งเป็นพื้นที่สําหรับการจัดนิทรรศการ “สํารวจงานสร้างสรรค์ไทยเพื่อไปต่อ” และพื้นที่จัดนิทรรศการไปรษณีย์ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ก่อนเดินทางกลับ
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ TCDC กรุงเทพฯ
วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2560
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ TCDC กรุงเทพฯ
นายกรัฐมนตรีชื่นชม TCDC ที่มุ่งเน้นพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่นําไปสู่การพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
วันนี้ (30 มิ.ย.60) เวลา 09.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เยี่ยมชมศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ กรุงเทพฯ TCDCณ อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ โดยมี เอกอัครราชทูต (ฝรั่งเศส โปรตุเกส) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปลัดกระทรวง ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและเอกชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง มาร่วมเยี่ยมชม ประมาณ 200 คน
นายคณิศ แสงสุพรรณ ประธานกรรมการสํานักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (OKMD) ในฐานะกํากับดูแลศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ หรือTCDCให้การต้อนรับ พร้อมนํานายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมCreative Spaceณ บริเวณชั้น 5 ซึ่งพื้นที่ให้บริการด้านธุรกิจ และพื้นที่ส่วนกลางสําหรับการทํางานและร้านกาแฟRooftop Gardenโดยมีการจัดกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้และสันทนาการข้อมูลโครงการ รวมถึงการแสดงผลงานผู้ประกอบการนักออกแบบ และชมวิดีทัศน์ จากนั้นได้กล่าวรายงานว่าTCDCเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2558 ณ ห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม แต่ด้วยความตั้งใจที่จะปรับบทบาทภารกิจเพื่อขยายงานบริการแก่ประชาชน พร้อมลดภาระงบประมาณภาครัฐ จึงได้ย้ายที่ทําการมายังอาคารไปรษณีย์กลาง บนย่านเจริญกรุงที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์คู่กับกรุงเทพฯ และประเทศไทย โดยเปิดทดลองให้บริการเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
สําหรับบทบาทของTCDCนอกจากการพัฒนาและขยายแห่งเรียนรู้สร้างสรรค์ต้นแบบให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองของเยาวชน นักออกแบบ และผู้ประกอบการไทยแล้ว ยังมีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรคมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการวิจัยแผนพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เมืองสร้างสรรค์ และขยายผลสู่ดครงการที่ส่งเสริมการใช้ความคิดสร้างสรรค์ หรือกระบวนการคิดเชิงออกแบบ เพื่อแก้ปัญหาสังคมและเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ ภายใต้โมเดลประเทศไทย 4.0 ทั้งนี้ TCDCได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้ง บริษัท กสท.โทรคมนาคม จํากัด บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กรุงเทพมหานคร ธุรกิจและชุมชนของย่าน เพื่อทําให้ย่านเจริญกรุงเป็นย่างสร้างสรรค์ต้นแบบในระดับสากล อีกทั้ง คณะรัฐมนตรี (20 มิ.ย.60) ได้มีมติเห็นชอบให้ยกฐานะศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ เป็นสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์แห่งการเริ่มต้นเดินหน้าสู่อนาคตเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศอย่างแท้จริง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความขอบคุณเจ้าหน้าที่TCDCและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพราะสิ่งที่TCDCได้ดําเนินการนั้น จะเป็นอนาคตของประเทศไทยในการที่จะก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 แต่การจะก้าวไปสู่ 4.0 ได้นั้น จะต้องดําเนินการตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ซึ่งTCDCถือว่าอยู่ระหว่างกระบวนการต้นทางกับกลางทาง ก่อนเชื่อมต่อผู้ผลิต เพื่อนําไปสู่การแปรรูปและนวัตกรรม สอดคล้องกับการก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดําเนินการให้ไปสู่เป้าหมายดังกล่าวว่า ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันขับเคลื่อน ทั้งภาครัฐ องค์กรมหาชน ภาคเอกชน ประชาสังคม และประชาชนในพื้นที่ โดยกําหนดเป้าหมายให้ชัดเจนทั้งในเรื่องของจํานวน กลุ่มบุคคล เป้าหมาย ที่จะเข้ามาเรียนรู้ในเรื่องนี้ ตลอดจนมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ ลงไปในพื้นที่และชุมชน โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในพื้นที่ให้เกิดให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งบรรจุเรื่องดังกล่าวไว้ในหลักสูตรการศึกษา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการต้องเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ําว่า การดําเนินงานของTCDCต้องให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 6 ด้าน (1.ความมั่นคง 2. การสร้าง ความสามารถ ในการแข่งขัน 3. การพัฒนาและ เสริมสร้าง ศักยภาพคน 4.การสร้างโอกาส ความเสมอภาคและ เท่าเทียมกันทาง สังคม 5. การสร้าง การเติบโตบน คุณภาพชีวิต ที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม และ 6. การปรับสมดุลและ พัฒนาระบบการ บริหารจัดการ ภาครัฐ) ตลอดจนสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่12และนโยบายการพัฒนาพื้นที่ของรัฐบาลใน 6 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ตะวันออก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อําเภอในจังหวัดสงขลา เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินและการใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ศักยภาพของแต่ละพื้นที่มีอยู่ให้เป็นไปอย่างเหมาะสม คํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นสําคัญ พร้อมน้อมนําศาสตร์พระราชา เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา มาเป็นแนวทางการปฏิบัติ ซึ่งจะทําให้การดําเนินการต่าง ๆ เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่กําหนดและเกิดผลรูปธรรมอย่างแท้จริง
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ภายใต้การกํากับดูแลของOKMDที่ได้มุ่งเน้นพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะนําไปสู่การพัฒนาประเทศและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้ การดําเนินการต้องเป็นไปอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง โดยเฉพาะการออกแบบเพื่อนําไปสู่การผลิตและแปรรูป จะต้องมีการออกแบบและผลิตให้สอดคล้อง ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคและตลาด โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศอย่างเหมาะสม คุ้มค่า เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติ ขณะที่อุปสงค์และอุปทานต้องมีความสมดุล รวมถึงเรื่องการผลิตและแปรรูปพืชผลทางการเกษตร ทั้งในเรื่องของปริมาณและความต้องการของผู้บริโภค เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลิตภัณฑ์และผลผลิตที่มีจํานวนมากเกินไปจนทําให้ราคาตกต่ํา
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะเยี่ยมชมแหล่งรวบรวมหนังสือวารสารและสื่อสิ่งพิมพ์ด้านความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบ บริเวณชั้น 4 พร้อมเยี่ยมชมMake spaceห้องปฏิบัติการ เครื่องมือและผู้เชี่ยวชาญเพื่อการเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นงานต้นแบบ ณ บริเวณชั้น 3 รวมทั้งเยี่ยมชมMaterial & Design Innovation Centerศูนย์รวบรวมวัสดุและนวัตกรรมการออกแบบ พร้อมพบปะผู้ประกอบการและนักออกแบบที่จัดแสดง บริเวณชั้น 2 ก่อนเยี่ยมชมGalleryบริเวณชั้น 1 ซึ่งเป็นพื้นที่สําหรับการจัดนิทรรศการ “สํารวจงานสร้างสรรค์ไทยเพื่อไปต่อ” และพื้นที่จัดนิทรรศการไปรษณีย์ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ก่อนเดินทางกลับ
-------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4915
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ เดินหน้ายกระดับไทยเป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน
|
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2560
ก.เกษตรฯ เดินหน้ายกระดับไทยเป็นผู้นําเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้ายกระดับไทยเป็นผู้นําเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน รุกขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ 5 ปี ตั้งเป้าปี 2564 ขยายพื้นที่ผลิตกว่าล้านไร่ พร้อมส่งเสริมเกษตรกรทําเกษตรอินทรีย์เพิ่มกว่า 9 หมื่นราย
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าวผลการดําเนินงานขับเคลื่อนนโยบายการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กําหนดนโยบายปฏิรูปภาคการเกษตร โดยมุ่งเน้นการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต และยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ตลอดทั้งผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งแนวโน้มปัจจุบันมีความต้องการสินค้าที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้กําหนดเป็นนโยบายการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ซึ่งได้ประโยชน์ทั้งเกษตรกรที่จําหน่ายสินค้าเกษตรที่ได้ราคาสูงขึ้น และผู้บริโภคมีทางเลือกสินค้าที่ปลอดจากสารเคมีตกค้าง ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้เสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 ต่อคณะรัฐมนตรีและได้ผ่านความเห็นชอบ โดยจะใช้เป็นแนวทางขับเคลื่อนและพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ 11 กลยุทธ์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมการวิจัย การสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาการผลิตสินค้าและบริการเกษตรอินทรีย์ ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาการตลาดสินค้าและบริการ และการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรฯ ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ปี 2560-2564 มีเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ในปี 2564 ไม่น้อยกว่า 1,333,860 ไร่ และมีจํานวนเกษตรกรที่ทําเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 96,670 ราย เพิ่มสัดส่วนตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศ ร้อยละ 40 และตลาดต่างประเทศ ร้อยละ 60 รวมทั้งยกระดับกลุ่มเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้านเพิ่มขึ้น โดยมุ่งให้ความสําคัญกับกลุ่มเกษตรอินทรีย์ที่มีความพร้อมเป็นผู้นําต้นแบบในการดําเนินการเพื่อให้มีอาหารปลอดภัยและได้มาตรฐาน
"ผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์จะทําให้เกษตรกรผู้ผลิตมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยปัจจุบันมีพื้นที่ผลิตเกษตรอินทรีย์ทั่วโลกรวม 318 ล้านไร่ ใน 183 ประเทศ ในขณะที่ด้านการตลาดมีมูลค่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั่วโลกรวม 3 ล้านล้านบาท สําหรับในประเทศไทยมีพื้นที่ผลิตรวม 0.3 ล้านไร่ โดยไทยเป็นอันดับที่ 8 ของเอเชีย และอันดับที่ 60 ของโลก ซึ่งสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยที่สําคัญ ได้แก่ กะทิ เครื่องแกง ซอส มูลค่า 1,201 ล้านบาท ข้าว 552 ล้านบาท และอื่นๆ เช่น มะพร้าวน้ําหอม ชา กาแฟ และสมุนไพร 558 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวม 2,310 ล้านบาท โดยยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติจะช่วยผลักดันประเทศไทยเป็นผู้นําในระดับภูมิภาคด้านการผลิต การค้า การบริโภค และการบริการเกษตรอินทรีย์ที่มีความยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล” พลเอกฉัตรชัย กล่าว
นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวถึงผลการดําเนินงานขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ในปี 2560 ว่า ได้แบ่งพื้นที่การดําเนินงานออกเป็น 2 ส่วน คือ จังหวัดยโสธร ซึ่งมีการปลูกข้าวอินทรีย์เป็นพืชหลัก ปลูกพืชผักหลังนา และเลี้ยงไก่อินทรีย์เป็นกิจกรรมเสริม และพื้นที่ทั่วไป ซึ่งมีกิจกรรมหลากหลายทั้งพืช ปศุสัตว์ ประมงอินทรีย์ ส่วนกลไกขับเคลื่อนการดําเนินงานได้แบ่งเกษตรกรออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มเริ่มใหม่ ที่สมัครเข้าร่วมโครงการและได้รับคําแนะนําการปฏิบัติตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และได้รับการสนับสนุนปัจจัยการผลิตหรือความรู้เบื้องต้น กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มเกษตรกรที่พร้อมยกระดับ โดยเป็นกลุ่มเกษตรกรที่ปฏิบัติตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อยู่แล้วและอยู่ระหว่างการขอรับรอง โดยจะให้การสนับสนุนตั้งโรงผลิตปุ๋ยหมักเติมอากาศ ปัจจัยการผลิต จัดทําแปลงสาธิต หมู่บ้านต้นแบบ ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ พัฒนาต่อยอดการผลิต และกลุ่มสุดท้ายได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์แล้ว จะมีการเชื่อมโยงตลาดและเพิ่มช่องทางจําหน่ายสินค้า ส่งเสริมการแปรรูปและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ สร้างตราสินค้าเกษตรอินทรีย์ และติดตั้งระบบการตรวจสอบสินค้า ทั้งนี้ ผลการตรวจรับรองเกษตรอินทรีย์ใน ปี 2560 พื้นที่รวมทั้งประเทศ 109,040 ไร่ แยกเป็นข้าว 98,239 ไร่ และพืชผสมผสาน 9,103 ไร่
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@opsmoac.go.th
moac58@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ เดินหน้ายกระดับไทยเป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน
วันศุกร์ที่ 9 มิถุนายน 2560
ก.เกษตรฯ เดินหน้ายกระดับไทยเป็นผู้นําเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน
กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้ายกระดับไทยเป็นผู้นําเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน รุกขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ 5 ปี ตั้งเป้าปี 2564 ขยายพื้นที่ผลิตกว่าล้านไร่ พร้อมส่งเสริมเกษตรกรทําเกษตรอินทรีย์เพิ่มกว่า 9 หมื่นราย
พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าวผลการดําเนินงานขับเคลื่อนนโยบายการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กําหนดนโยบายปฏิรูปภาคการเกษตร โดยมุ่งเน้นการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต และยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ตลอดทั้งผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งแนวโน้มปัจจุบันมีความต้องการสินค้าที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้กําหนดเป็นนโยบายการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ซึ่งได้ประโยชน์ทั้งเกษตรกรที่จําหน่ายสินค้าเกษตรที่ได้ราคาสูงขึ้น และผู้บริโภคมีทางเลือกสินค้าที่ปลอดจากสารเคมีตกค้าง ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ได้เสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 ต่อคณะรัฐมนตรีและได้ผ่านความเห็นชอบ โดยจะใช้เป็นแนวทางขับเคลื่อนและพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ 11 กลยุทธ์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 ส่งเสริมการวิจัย การสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้และนวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาการผลิตสินค้าและบริการเกษตรอินทรีย์ ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาการตลาดสินค้าและบริการ และการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และ ยุทธศาสตร์ที่ 4 การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรฯ ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ ปี 2560-2564 มีเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่เกษตรอินทรีย์ในปี 2564 ไม่น้อยกว่า 1,333,860 ไร่ และมีจํานวนเกษตรกรที่ทําเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 96,670 ราย เพิ่มสัดส่วนตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ในประเทศ ร้อยละ 40 และตลาดต่างประเทศ ร้อยละ 60 รวมทั้งยกระดับกลุ่มเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้านเพิ่มขึ้น โดยมุ่งให้ความสําคัญกับกลุ่มเกษตรอินทรีย์ที่มีความพร้อมเป็นผู้นําต้นแบบในการดําเนินการเพื่อให้มีอาหารปลอดภัยและได้มาตรฐาน
"ผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์จะทําให้เกษตรกรผู้ผลิตมีรายได้เพิ่มมากขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยปัจจุบันมีพื้นที่ผลิตเกษตรอินทรีย์ทั่วโลกรวม 318 ล้านไร่ ใน 183 ประเทศ ในขณะที่ด้านการตลาดมีมูลค่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ทั่วโลกรวม 3 ล้านล้านบาท สําหรับในประเทศไทยมีพื้นที่ผลิตรวม 0.3 ล้านไร่ โดยไทยเป็นอันดับที่ 8 ของเอเชีย และอันดับที่ 60 ของโลก ซึ่งสินค้าเกษตรอินทรีย์ของไทยที่สําคัญ ได้แก่ กะทิ เครื่องแกง ซอส มูลค่า 1,201 ล้านบาท ข้าว 552 ล้านบาท และอื่นๆ เช่น มะพร้าวน้ําหอม ชา กาแฟ และสมุนไพร 558 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวม 2,310 ล้านบาท โดยยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติจะช่วยผลักดันประเทศไทยเป็นผู้นําในระดับภูมิภาคด้านการผลิต การค้า การบริโภค และการบริการเกษตรอินทรีย์ที่มีความยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล” พลเอกฉัตรชัย กล่าว
นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวถึงผลการดําเนินงานขับเคลื่อนนโยบายเกษตรอินทรีย์ในปี 2560 ว่า ได้แบ่งพื้นที่การดําเนินงานออกเป็น 2 ส่วน คือ จังหวัดยโสธร ซึ่งมีการปลูกข้าวอินทรีย์เป็นพืชหลัก ปลูกพืชผักหลังนา และเลี้ยงไก่อินทรีย์เป็นกิจกรรมเสริม และพื้นที่ทั่วไป ซึ่งมีกิจกรรมหลากหลายทั้งพืช ปศุสัตว์ ประมงอินทรีย์ ส่วนกลไกขับเคลื่อนการดําเนินงานได้แบ่งเกษตรกรออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มเริ่มใหม่ ที่สมัครเข้าร่วมโครงการและได้รับคําแนะนําการปฏิบัติตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และได้รับการสนับสนุนปัจจัยการผลิตหรือความรู้เบื้องต้น กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มเกษตรกรที่พร้อมยกระดับ โดยเป็นกลุ่มเกษตรกรที่ปฏิบัติตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อยู่แล้วและอยู่ระหว่างการขอรับรอง โดยจะให้การสนับสนุนตั้งโรงผลิตปุ๋ยหมักเติมอากาศ ปัจจัยการผลิต จัดทําแปลงสาธิต หมู่บ้านต้นแบบ ศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ พัฒนาต่อยอดการผลิต และกลุ่มสุดท้ายได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์แล้ว จะมีการเชื่อมโยงตลาดและเพิ่มช่องทางจําหน่ายสินค้า ส่งเสริมการแปรรูปและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ สร้างตราสินค้าเกษตรอินทรีย์ และติดตั้งระบบการตรวจสอบสินค้า ทั้งนี้ ผลการตรวจรับรองเกษตรอินทรีย์ใน ปี 2560 พื้นที่รวมทั้งประเทศ 109,040 ไร่ แยกเป็นข้าว 98,239 ไร่ และพืชผสมผสาน 9,103 ไร่
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@opsmoac.go.th
moac58@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4427
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ บนเวที “CLMVT Forum 2018”
|
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ บนเวที “CLMVT Forum 2018”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมงาน CLMVT Forum 2018 : CLMVT Taking-Off Through Technology ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร จัดขึ้น ภายใต้แนวคิด “ทะยานสู่อนาคตด้วยการใช้เทคโนโลยี” (CLMVT Taking-Off Through Technology) พร้อมทั้งได้ร่วมเวทีสนทนาในช่วง “Ministerial Conversation: What’s Next for CLMVT Digital Economy? Candid thoughts-sharing from the couch” ร่วมกับรัฐมนตรีและผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องด้านเทคโนโลยีดิจิทัล จากกลุ่มประเทศ CLMVT และตัวแทนภาคเอกชนจากหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งตัวแทนจากทุกประเทศได้นําเสนอโอกาสและความท้าทายจากการพัฒนาด้านดิจิทัลในแต่ละประเทศ รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในกลุ่ม CLMVT ส่งเสริมให้เอกชนลงทุนในการพัฒนาสาธารณูปโภคและการให้บริการด้านดิจิทัล โดยรัฐทําหน้าที่สนับสนุนและอํานวยความสะดวก ทั้งนี้ รัฐบาลไทยในฐานะเจ้าภาพตั้งใจให้การจัดงาน CLMVT Forum 2018 นําไปสู่การขยายความร่วมมือและการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาธุรกิจออนไลน์ต่อไป เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ บนเวที “CLMVT Forum 2018”
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมสนทนาแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ บนเวที “CLMVT Forum 2018”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมงาน CLMVT Forum 2018 : CLMVT Taking-Off Through Technology ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร จัดขึ้น ภายใต้แนวคิด “ทะยานสู่อนาคตด้วยการใช้เทคโนโลยี” (CLMVT Taking-Off Through Technology) พร้อมทั้งได้ร่วมเวทีสนทนาในช่วง “Ministerial Conversation: What’s Next for CLMVT Digital Economy? Candid thoughts-sharing from the couch” ร่วมกับรัฐมนตรีและผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องด้านเทคโนโลยีดิจิทัล จากกลุ่มประเทศ CLMVT และตัวแทนภาคเอกชนจากหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนาม และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งตัวแทนจากทุกประเทศได้นําเสนอโอกาสและความท้าทายจากการพัฒนาด้านดิจิทัลในแต่ละประเทศ รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในกลุ่ม CLMVT ส่งเสริมให้เอกชนลงทุนในการพัฒนาสาธารณูปโภคและการให้บริการด้านดิจิทัล โดยรัฐทําหน้าที่สนับสนุนและอํานวยความสะดวก ทั้งนี้ รัฐบาลไทยในฐานะเจ้าภาพตั้งใจให้การจัดงาน CLMVT Forum 2018 นําไปสู่การขยายความร่วมมือและการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาธุรกิจออนไลน์ต่อไป เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2561 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14676
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานตำรวจแห่งชาติชี้แจง การแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกิน และการแก้ไขปัญหาส่วยสติ๊กเกอร์
|
วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2560
สํานักงานตํารวจแห่งชาติชี้แจง การแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ําหนักเกิน และการแก้ไขปัญหาส่วยสติ๊กเกอร์
โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ชี้แจงการแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ําหนักเกินและการแก้ไขปัญหาส่วยสติ๊กเกอร์
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 พลตํารวจเอก วิระชัย ทรงเมตตา รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ชี้แจงการแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ําหนักเกินและการแก้ไขปัญหาส่วยสติ๊กเกอร์ ซึ่งมีสาระสําคัญดังนี้
1. ดําเนินมาตรการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับรถบรรทุกสิ่งของที่มีน้ําหนักเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนดในรูปแบบต่าง ๆ โดยให้ทุกสถานีตํารวจทางหลวงสํารวจตรวจสอบเส้นทางหลักเส้นทางหลบเลี่ยงของรถบรรทุกที่มีน้ําหนักเกินและวางแผนตั้งจุดตรวจ Spot Check ในลักษณะโครงข่ายเพื่อทําการจับกุมและดําเนินคดีอย่างเด็ดขาดอย่างต่อเนื่องเป็นประจําทุกเดือนซึ่งศาลนั้นพิพากษายึดรถบรรทุกแทบทุกคัน
2. ประสานขอความร่วมมือกับภาคเอกชนได้แก่สมาคมต่าง ๆ เช่น รถบรรทุก รถอ้อย ผู้ประกอบการขนส่ง เพื่อขอความร่วมมือให้งดการบรรทุกน้ําหนักเกินทุกกรณีไม่มีการผ่อนผันไม่ว่ากรณีใด ๆ รวมทั้งสร้างเครือข่ายด้านการข่าวจากภาคประชาสังคม เกี่ยวกับการให้ข้อมูลและแจ้งข่าวเกี่ยวกับรถบรรทุกน้ําหนักเกินเพื่อสกัดกั้นและดําเนินการบังคับใช้กฎหมายจับกุมอย่างเด็ดขาดโดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารทางโทรศัพท์มือถือเป็นหลัก เช่น การสร้างกลุ่ม LINE และ Facebook ในการแจ้งเบาะแส
3. ขึ้นทะเบียนผู้มีอิทธิพลโดยเฉพาะบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์เกี่ยวกับการเรียกรับผลประโยชน์บนทางหลวง รวมถึงการจําหน่ายป้ายหรือสติ๊กเกอร์ และได้ทําการสืบสวนถึงกลุ่มตัวบุคคลทําให้กลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวเกิดความกลัวเกรงที่จะถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย ทําให้ไม่สามารถประกอบธุรกิจอันผิดกฎหมายและกล่าวอ้างว่าได้จ่ายส่วยให้กับตํารวจแต่อย่างใด
4. มอบให้หน่วยย่อยที่เกี่ยวข้องในระดับกองกํากับการและสถานีตํารวจทางหลวง เข้มงวดกวดขันในการจับกุมรถบรรทุกน้ําหนักเกิน หากมีการปล่อยปละละเลยหรือบกพร่องปล่อยให้มีรถบรรทุกน้ําหนักเกินวิ่งในพื้นที่ที่รับผิดชอบ หรือมีส่วนอื่นมาจับกุมก็จะถูกพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยต่อไป
------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานตำรวจแห่งชาติชี้แจง การแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ำหนักเกิน และการแก้ไขปัญหาส่วยสติ๊กเกอร์
วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2560
สํานักงานตํารวจแห่งชาติชี้แจง การแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ําหนักเกิน และการแก้ไขปัญหาส่วยสติ๊กเกอร์
โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ชี้แจงการแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ําหนักเกินและการแก้ไขปัญหาส่วยสติ๊กเกอร์
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2560 พลตํารวจเอก วิระชัย ทรงเมตตา รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ โฆษกสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ชี้แจงการแก้ไขปัญหารถบรรทุกน้ําหนักเกินและการแก้ไขปัญหาส่วยสติ๊กเกอร์ ซึ่งมีสาระสําคัญดังนี้
1. ดําเนินมาตรการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับรถบรรทุกสิ่งของที่มีน้ําหนักเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนดในรูปแบบต่าง ๆ โดยให้ทุกสถานีตํารวจทางหลวงสํารวจตรวจสอบเส้นทางหลักเส้นทางหลบเลี่ยงของรถบรรทุกที่มีน้ําหนักเกินและวางแผนตั้งจุดตรวจ Spot Check ในลักษณะโครงข่ายเพื่อทําการจับกุมและดําเนินคดีอย่างเด็ดขาดอย่างต่อเนื่องเป็นประจําทุกเดือนซึ่งศาลนั้นพิพากษายึดรถบรรทุกแทบทุกคัน
2. ประสานขอความร่วมมือกับภาคเอกชนได้แก่สมาคมต่าง ๆ เช่น รถบรรทุก รถอ้อย ผู้ประกอบการขนส่ง เพื่อขอความร่วมมือให้งดการบรรทุกน้ําหนักเกินทุกกรณีไม่มีการผ่อนผันไม่ว่ากรณีใด ๆ รวมทั้งสร้างเครือข่ายด้านการข่าวจากภาคประชาสังคม เกี่ยวกับการให้ข้อมูลและแจ้งข่าวเกี่ยวกับรถบรรทุกน้ําหนักเกินเพื่อสกัดกั้นและดําเนินการบังคับใช้กฎหมายจับกุมอย่างเด็ดขาดโดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารทางโทรศัพท์มือถือเป็นหลัก เช่น การสร้างกลุ่ม LINE และ Facebook ในการแจ้งเบาะแส
3. ขึ้นทะเบียนผู้มีอิทธิพลโดยเฉพาะบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์เกี่ยวกับการเรียกรับผลประโยชน์บนทางหลวง รวมถึงการจําหน่ายป้ายหรือสติ๊กเกอร์ และได้ทําการสืบสวนถึงกลุ่มตัวบุคคลทําให้กลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวเกิดความกลัวเกรงที่จะถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย ทําให้ไม่สามารถประกอบธุรกิจอันผิดกฎหมายและกล่าวอ้างว่าได้จ่ายส่วยให้กับตํารวจแต่อย่างใด
4. มอบให้หน่วยย่อยที่เกี่ยวข้องในระดับกองกํากับการและสถานีตํารวจทางหลวง เข้มงวดกวดขันในการจับกุมรถบรรทุกน้ําหนักเกิน หากมีการปล่อยปละละเลยหรือบกพร่องปล่อยให้มีรถบรรทุกน้ําหนักเกินวิ่งในพื้นที่ที่รับผิดชอบ หรือมีส่วนอื่นมาจับกุมก็จะถูกพิจารณาทัณฑ์ทางวินัยต่อไป
------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7998
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งสางปัญหาเคลื่อนย้ายแรงงาน ก.แรงงาน ขอ ครม.ไฟเขียวให้แรงงาน ตาม MoU และ ต่างด้าวที่ทำงานไป-กลับ ชายแดนกว่า 1 แสนคน อยู่ต่อและทำงานในไทย [กระทรวงเเรงงาน]
|
วันพุธที่ 1 เมษายน 2563
เร่งสางปัญหาเคลื่อนย้ายแรงงาน ก.แรงงาน ขอ ครม.ไฟเขียวให้แรงงาน ตาม MoU และ ต่างด้าวที่ทํางานไป-กลับ ชายแดนกว่า 1 แสนคน อยู่ต่อและทํางานในไทย [กระทรวงเเรงงาน]
กระทรวงแรงงาน เผย ครม.ไฟเขียวให้แรงงานต่างด้าว กว่า 100,000 คน ที่เข้ามาทํางานตาม MoU ที่ครบวาระการจ้างงาน และคนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตามฤดูกาล หรือไป-กลับ บริเวณชายแดน สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และให้ทํางานได้เป็นการชั่วคราว
มรว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา เห็นชอบให้แรงงานต่างด้าว กลุ่มที่เข้ามาทํางานตาม MoU ที่ครบวาระการจ้างงาน 4 ปี และคนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตามฤดูกาล หรือไป-กลับ บริเวณชายแดน ซึ่งระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลง แต่ไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ก่อนหรือในวันที่ 30 เมษายน 2563 ให้อยู่ในราชอาณาจักร และให้ทํางานได้เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีการเปิดด่าน
“ จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กระจายเป็นวงกว้าง คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 เห็นชอบมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ ซึ่งเป็นผลให้ส่วนราชการมีการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะการจํากัดการเคลื่อนย้ายของคนเป็นจํานวนมาก ประกอบกับการปิดด่านพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีผลกระทบให้ แรงงานต่างด้าวที่วาระการจ้างงาน และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด กว่า 108,586 คน (กลุ่ม MoU ประมาณการ จํานวน 44,222 คน และ กลุ่มชายแดน ประมาณการ จํานวน 64,364 คน) ไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ก่อน หรือในวันที่ 30 เมษายน 2563 ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศ อันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและเป็นภัยคุกคามต่อทุกภาคส่วน รวมทั้ง เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้าง สถานประกอบการและแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน จึงเสนอแนวทางการดําเนินการต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวเพิ่มเติมว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 เห็นชอบผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ 1) เข้ามาทํางานตามข้อตกลง MoU ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่มีวาระการจ้างงานครบ 4 ปี และระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลง แต่ไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ก่อน หรือ ในวันที่ 30 เมษายน 2563 2) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ที่ถือบัตรผ่านแดน ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทํางานในราชอาณาจักร ซึ่งการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด และไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ก่อน หรือ ในวันที่ 30 เมษายน 2563 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทํางานต่อไปได้พลางก่อน ถึง 30 เมษายน 2563 ตามที่รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร หรือระยะเวลาตามที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพิ่มเติม (หากมี)
“ กรมการจัดหางาน ให้ความสําคัญกับการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเพื่อดําเนินการหามาตรการป้องกัน ”นายสุชาติฯ กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งสางปัญหาเคลื่อนย้ายแรงงาน ก.แรงงาน ขอ ครม.ไฟเขียวให้แรงงาน ตาม MoU และ ต่างด้าวที่ทำงานไป-กลับ ชายแดนกว่า 1 แสนคน อยู่ต่อและทำงานในไทย [กระทรวงเเรงงาน]
วันพุธที่ 1 เมษายน 2563
เร่งสางปัญหาเคลื่อนย้ายแรงงาน ก.แรงงาน ขอ ครม.ไฟเขียวให้แรงงาน ตาม MoU และ ต่างด้าวที่ทํางานไป-กลับ ชายแดนกว่า 1 แสนคน อยู่ต่อและทํางานในไทย [กระทรวงเเรงงาน]
กระทรวงแรงงาน เผย ครม.ไฟเขียวให้แรงงานต่างด้าว กว่า 100,000 คน ที่เข้ามาทํางานตาม MoU ที่ครบวาระการจ้างงาน และคนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตามฤดูกาล หรือไป-กลับ บริเวณชายแดน สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และให้ทํางานได้เป็นการชั่วคราว
มรว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา เห็นชอบให้แรงงานต่างด้าว กลุ่มที่เข้ามาทํางานตาม MoU ที่ครบวาระการจ้างงาน 4 ปี และคนต่างด้าวที่เข้ามาทํางานตามฤดูกาล หรือไป-กลับ บริเวณชายแดน ซึ่งระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลง แต่ไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ก่อนหรือในวันที่ 30 เมษายน 2563 ให้อยู่ในราชอาณาจักร และให้ทํางานได้เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีการเปิดด่าน
“ จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กระจายเป็นวงกว้าง คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 เห็นชอบมาตรการเร่งด่วนในการป้องกันและลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ ซึ่งเป็นผลให้ส่วนราชการมีการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะการจํากัดการเคลื่อนย้ายของคนเป็นจํานวนมาก ประกอบกับการปิดด่านพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีผลกระทบให้ แรงงานต่างด้าวที่วาระการจ้างงาน และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุด กว่า 108,586 คน (กลุ่ม MoU ประมาณการ จํานวน 44,222 คน และ กลุ่มชายแดน ประมาณการ จํานวน 64,364 คน) ไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ก่อน หรือในวันที่ 30 เมษายน 2563 ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศ อันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและเป็นภัยคุกคามต่อทุกภาคส่วน รวมทั้ง เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้าง สถานประกอบการและแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน จึงเสนอแนวทางการดําเนินการต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวเพิ่มเติมว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 เห็นชอบผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าวกลุ่มที่ 1) เข้ามาทํางานตามข้อตกลง MoU ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่มีวาระการจ้างงานครบ 4 ปี และระยะเวลาการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดลง แต่ไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ก่อน หรือ ในวันที่ 30 เมษายน 2563 2) คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา และเมียนมา ที่ถือบัตรผ่านแดน ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทํางานในราชอาณาจักร ซึ่งการอนุญาตให้พํานักในเขตพื้นที่ชายแดนที่ได้รับอนุญาตสิ้นสุด และไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรได้ก่อน หรือ ในวันที่ 30 เมษายน 2563 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทํางานต่อไปได้พลางก่อน ถึง 30 เมษายน 2563 ตามที่รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร หรือระยะเวลาตามที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพิ่มเติม (หากมี)
“ กรมการจัดหางาน ให้ความสําคัญกับการยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องเพื่อดําเนินการหามาตรการป้องกัน ”นายสุชาติฯ กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28267
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วันที่ 31 มีนาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วันที่ 31 มีนาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วันที่ 31 มีนาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วันที่ 31 มีนาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วันที่ 31 มีนาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วันที่ 31 มีนาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28230
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมราชทัณฑ์ ขอแจ้งขยายงดการเยี่ยมญาติถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของการติดเชื้อโควิด-19 [กระทรวงยุติธรรม]
|
วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2563
กรมราชทัณฑ์ ขอแจ้งขยายงดการเยี่ยมญาติถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของการติดเชื้อโควิด-19 [กระทรวงยุติธรรม]
กรมราชทัณฑ์ ขอแจ้งขยายงดการเยี่ยมญาติถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของการติดเชื้อโควิด-19
30 เมษายน 2563 กรมราชทัณฑ์ ขอแจ้งขยายงดการเยี่ยมญาติถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของการติดเชื้อโควิด-19 ยังคงอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยง จึงต้องให้ความสําคัญและเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาลประกาศขยายเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ออกไปอีก 1 เดือน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมราชทัณฑ์ ขอแจ้งขยายงดการเยี่ยมญาติถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของการติดเชื้อโควิด-19 [กระทรวงยุติธรรม]
วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2563
กรมราชทัณฑ์ ขอแจ้งขยายงดการเยี่ยมญาติถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของการติดเชื้อโควิด-19 [กระทรวงยุติธรรม]
กรมราชทัณฑ์ ขอแจ้งขยายงดการเยี่ยมญาติถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของการติดเชื้อโควิด-19
30 เมษายน 2563 กรมราชทัณฑ์ ขอแจ้งขยายงดการเยี่ยมญาติถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของการติดเชื้อโควิด-19 ยังคงอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยง จึงต้องให้ความสําคัญและเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาลประกาศขยายเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ออกไปอีก 1 เดือน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30189
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องการจัดซื้อขีปนาวุธจากสหรัฐฯ
|
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560
นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องการจัดซื้อขีปนาวุธจากสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องการจัดซื้อขีปนาวุธจากสหรัฐฯ
ในวันนี้ (15 สิงหาคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องโถงตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีตอบข้อสงสัยของสื่อมวลชนเกี่ยวกับการจัดซื้อขีปนาวุธจากสหรัฐฯ โดยระบุว่า การจัดซื้อจรวดฮาร์พูน บล็อกทู RGM-84L จํานวน 5 ลูก และจรวดฝึกซ้อม ฮาร์พูน บล็อกทู RTM-84L จํานวน 1 ลูก เป็นการจัดซื้อในงบประมาณประจําปีของกระทรวงกลาโหม มิได้เกี่ยวข้องกับงบกลาง ซึ่งจัดซื้อตามโครงการต่อเรือฟริเกต ที่ครอบคลุมทั้งระบบเรือ ระบบเครื่องจักร ระบบเครื่องยนต์ ระบบการรบ และระบบอาวุธ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า รัฐบาลมีความจําเป็นในการจัดซื้ออาวุธและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ มาแทนที่อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ชํารุดเสียหาย ซึ่งมีความสําคัญต่อการรักษาเสถียรภาพทางความมั่นคงให้แก่ประเทศ โดยสามารถนําไปใช้ในการฝึกรบร่วมกับนานาประเทศและช่วยป้องกันประเทศจากภัยอันตรายต่าง ๆ ได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องการจัดซื้อขีปนาวุธจากสหรัฐฯ
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560
นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องการจัดซื้อขีปนาวุธจากสหรัฐฯ
นายกรัฐมนตรีแถลงต่อสื่อมวลชนเรื่องการจัดซื้อขีปนาวุธจากสหรัฐฯ
ในวันนี้ (15 สิงหาคม 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องโถงตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีตอบข้อสงสัยของสื่อมวลชนเกี่ยวกับการจัดซื้อขีปนาวุธจากสหรัฐฯ โดยระบุว่า การจัดซื้อจรวดฮาร์พูน บล็อกทู RGM-84L จํานวน 5 ลูก และจรวดฝึกซ้อม ฮาร์พูน บล็อกทู RTM-84L จํานวน 1 ลูก เป็นการจัดซื้อในงบประมาณประจําปีของกระทรวงกลาโหม มิได้เกี่ยวข้องกับงบกลาง ซึ่งจัดซื้อตามโครงการต่อเรือฟริเกต ที่ครอบคลุมทั้งระบบเรือ ระบบเครื่องจักร ระบบเครื่องยนต์ ระบบการรบ และระบบอาวุธ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า รัฐบาลมีความจําเป็นในการจัดซื้ออาวุธและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ มาแทนที่อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่ชํารุดเสียหาย ซึ่งมีความสําคัญต่อการรักษาเสถียรภาพทางความมั่นคงให้แก่ประเทศ โดยสามารถนําไปใช้ในการฝึกรบร่วมกับนานาประเทศและช่วยป้องกันประเทศจากภัยอันตรายต่าง ๆ ได้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5945
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รุดช่วยชาวบ้านที่บ้านพังทั้งหลังจากพายุซินลากู ที่ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช
|
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
รมว.พม. รุดช่วยชาวบ้านที่บ้านพังทั้งหลังจากพายุซินลากู ที่ อ.นบพิตํา จ.นครศรีธรรมราช
รมว.พม. รุดช่วยชาวบ้านที่บ้านพังทั้งหลังจากพายุซินลากู ที่ อ.นบพิตํา จ.นครศรีธรรมราช
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 63เวลา 17.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทีม One Home พม. จังหวัดนครศรีธรรมราช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ลงพื้นที่ตําบลกรุงชิง อําเภอนบพิตํา จังหวัดนครศรีธรรมราช
นายจุติ กล่าวว่า ในวันนี้ตนพร้อมด้วยข้าราชการกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและให้กําลังใจครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนซินลากู ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่งผลให้ต้นไม่ใหญ่โค่นล้มทับบ้านของ 2 ครอบครัว ได้รับความเสียหายทั้งหลัง ทําให้ประสบปัญหาด้านที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้มอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน มอบเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น พร้อมทั้งร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง เหมาะสม ถูกสุขลักษณะ
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ จากการมาสถานที่จริงมาเจอเหตุการณ์จริง พบว่าพวกเขาลําบาก มาดูว่าพวกเขาอยู่กันอย่างไร ตนขอขอบคุณทุกฝ่ายที่มาช่วยกันในวันนี้ สําหรับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2563 ซึ่งวันนี้วันที่ 6 สิงหาคม 2563 ทุกอย่างได้ซ่อมแซมแล้ว จะเห็นได้ว่าคนไทยไม่ทอดทิ้งกัน ไม่ว่าพวกท่านอยู่ที่ไหนเราก็จะไม่ทิ้งกัน ทั้งนี้เรามาในนามของรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เพื่อมาดูปัญหาและรับฟังปัญหาของประชาชน โดยจะนําปัญหาไปเสนอให้คณะรัฐมนตรีเพื่อนําไปแก้ไขต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รุดช่วยชาวบ้านที่บ้านพังทั้งหลังจากพายุซินลากู ที่ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563
รมว.พม. รุดช่วยชาวบ้านที่บ้านพังทั้งหลังจากพายุซินลากู ที่ อ.นบพิตํา จ.นครศรีธรรมราช
รมว.พม. รุดช่วยชาวบ้านที่บ้านพังทั้งหลังจากพายุซินลากู ที่ อ.นบพิตํา จ.นครศรีธรรมราช
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 63เวลา 17.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ทีม One Home พม. จังหวัดนครศรีธรรมราช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ลงพื้นที่ตําบลกรุงชิง อําเภอนบพิตํา จังหวัดนครศรีธรรมราช
นายจุติ กล่าวว่า ในวันนี้ตนพร้อมด้วยข้าราชการกระทรวง พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและให้กําลังใจครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนซินลากู ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่งผลให้ต้นไม่ใหญ่โค่นล้มทับบ้านของ 2 ครอบครัว ได้รับความเสียหายทั้งหลัง ทําให้ประสบปัญหาด้านที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้มอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน มอบเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น พร้อมทั้งร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้มีความมั่นคง เหมาะสม ถูกสุขลักษณะ
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ จากการมาสถานที่จริงมาเจอเหตุการณ์จริง พบว่าพวกเขาลําบาก มาดูว่าพวกเขาอยู่กันอย่างไร ตนขอขอบคุณทุกฝ่ายที่มาช่วยกันในวันนี้ สําหรับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2563 ซึ่งวันนี้วันที่ 6 สิงหาคม 2563 ทุกอย่างได้ซ่อมแซมแล้ว จะเห็นได้ว่าคนไทยไม่ทอดทิ้งกัน ไม่ว่าพวกท่านอยู่ที่ไหนเราก็จะไม่ทิ้งกัน ทั้งนี้เรามาในนามของรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานลงพื้นที่ด้วยตัวเอง เพื่อมาดูปัญหาและรับฟังปัญหาของประชาชน โดยจะนําปัญหาไปเสนอให้คณะรัฐมนตรีเพื่อนําไปแก้ไขต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34102
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันกระแสข่าวเปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ถึงวันที่ 30 กันยายนไม่เป็นความจริง
|
วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2560
นายกรัฐมนตรียืนยันกระแสข่าวเปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ถึงวันที่ 30 กันยายนไม่เป็นความจริง
นายกรัฐมนตรียืนยันกระแสข่าวเปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ถึงวันที่ 30 กันยายนไม่เป็นความจริง
วันนี้ (18 กรกฎาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีกรณีโซเชียลมีเดียเผยแพร่ว่าจะเปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ในพระบรมมหาราชวังจนถึงวันที่ 30 กันยายนนี้ ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ขออย่าตื่นตระหนกตกใจ หากจะดําเนินการต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการอํานวยการที่ดูแลเกี่ยวกับพระราชพิธีทั้งหมด และต้องกราบทูลขอพระราชวินิจฉัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10
---------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันกระแสข่าวเปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ถึงวันที่ 30 กันยายนไม่เป็นความจริง
วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2560
นายกรัฐมนตรียืนยันกระแสข่าวเปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ถึงวันที่ 30 กันยายนไม่เป็นความจริง
นายกรัฐมนตรียืนยันกระแสข่าวเปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ถึงวันที่ 30 กันยายนไม่เป็นความจริง
วันนี้ (18 กรกฎาคม 2560) เวลา 13.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีกรณีโซเชียลมีเดียเผยแพร่ว่าจะเปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช ในพระบรมมหาราชวังจนถึงวันที่ 30 กันยายนนี้ ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง ขออย่าตื่นตระหนกตกใจ หากจะดําเนินการต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการอํานวยการที่ดูแลเกี่ยวกับพระราชพิธีทั้งหมด และต้องกราบทูลขอพระราชวินิจฉัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10
---------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5284
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก.ส่งเสริมการชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ลดเสี่ยงติดโรคโควิด-19 ยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม ออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.- 31 พ.ค.63 [กระทรวงคมนาคม]
|
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
ขสมก.ส่งเสริมการชําระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ลดเสี่ยงติดโรคโควิด-19 ยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม ออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.- 31 พ.ค.63 [กระทรวงคมนาคม]
ขสมก.ส่งเสริมการชําระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ลดเสี่ยงติดโรคโควิด-19 ยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม ออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.- 31 พ.ค.63
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จะยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมในการออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษา อิเล็กทรอนิกส์ ใบละ 30 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนผู้ใช้บริการ เปลี่ยนวิธีการชําระค่าโดยสารจากเดิมที่ใช้เงินสด เป็นการชําระค่าโดยสารผ่านบัตรดังกล่าว เพื่อลดการสัมผัสเหรียญกษาปณ์ และธนบัตร ซึ่งเป็นสื่อแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19)
นางพนิดา ทองสุข รองผู้อํานวยการฝ่ายบริหาร รักษาการในตําแหน่ง ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ตามที่ ขสมก.ได้จัดเก็บค่าธรรมเนียม ในการออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษา อิเล็กทรอนิกส์ ใบละ 30 บาท ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นมา แต่เนื่องด้วยปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยยังไม่คลี่คลาย และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสเหรียญกษาปณ์ และธนบัตรในการชําระสินค้าในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ถูกเปลี่ยนมืออย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจมีเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย ติดอยู่เป็นเวลานานหลายวัน ทําให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคดังกล่าว ขสมก.จึงมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนผู้ใช้บริการ เปลี่ยนวิธีการชําระค่าโดยสาร เป็นแบบไร้เงินสดมากขึ้นโดยจะยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมในการออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษา อิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563
นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการยังสามารถชําระค่าโดยสารแบบไร้เงินสดผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (แบบรายเที่ยว) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรเดบิต/เครดิต ที่มีสัญลักษณ์ Contactless และชําระค่าโดยสารผ่านทางแอปพลิเคชันของธนาคารต่าง ๆ (QR Code) ได้อีกด้วย
......................................
ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการ สอบถามเส้นทางรถเมล์ หรือ แนะนําบริการได้ที่ www.bmta.co.th , facebook bmta@bmta.co.th หรือ ศูนย์ Call Center 1348 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00 - 22.00 น. เป็นต้นไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก.ส่งเสริมการชำระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ลดเสี่ยงติดโรคโควิด-19 ยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม ออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.- 31 พ.ค.63 [กระทรวงคมนาคม]
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
ขสมก.ส่งเสริมการชําระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ลดเสี่ยงติดโรคโควิด-19 ยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม ออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.- 31 พ.ค.63 [กระทรวงคมนาคม]
ขสมก.ส่งเสริมการชําระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ลดเสี่ยงติดโรคโควิด-19 ยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม ออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.- 31 พ.ค.63
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จะยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมในการออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษา อิเล็กทรอนิกส์ ใบละ 30 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนผู้ใช้บริการ เปลี่ยนวิธีการชําระค่าโดยสารจากเดิมที่ใช้เงินสด เป็นการชําระค่าโดยสารผ่านบัตรดังกล่าว เพื่อลดการสัมผัสเหรียญกษาปณ์ และธนบัตร ซึ่งเป็นสื่อแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19)
นางพนิดา ทองสุข รองผู้อํานวยการฝ่ายบริหาร รักษาการในตําแหน่ง ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ตามที่ ขสมก.ได้จัดเก็บค่าธรรมเนียม ในการออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษา อิเล็กทรอนิกส์ ใบละ 30 บาท ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นมา แต่เนื่องด้วยปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยยังไม่คลี่คลาย และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสเหรียญกษาปณ์ และธนบัตรในการชําระสินค้าในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ถูกเปลี่ยนมืออย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจมีเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย ติดอยู่เป็นเวลานานหลายวัน ทําให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคดังกล่าว ขสมก.จึงมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนผู้ใช้บริการ เปลี่ยนวิธีการชําระค่าโดยสาร เป็นแบบไร้เงินสดมากขึ้นโดยจะยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมในการออกบัตรโดยสารล่วงหน้าอิเล็กทรอนิกส์ บุคคลทั่วไป และบัตรโดยสารนักเรียน นิสิต นักศึกษา อิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563
นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการยังสามารถชําระค่าโดยสารแบบไร้เงินสดผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (แบบรายเที่ยว) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรเดบิต/เครดิต ที่มีสัญลักษณ์ Contactless และชําระค่าโดยสารผ่านทางแอปพลิเคชันของธนาคารต่าง ๆ (QR Code) ได้อีกด้วย
......................................
ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้บริการ สอบถามเส้นทางรถเมล์ หรือ แนะนําบริการได้ที่ www.bmta.co.th , facebook bmta@bmta.co.th หรือ ศูนย์ Call Center 1348 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00 - 22.00 น. เป็นต้นไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28216
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาการเข้าข่ายโควิด-19 ตามเกณฑ์ สธ.
|
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563
อาการเข้าข่ายโควิด-19 ตามเกณฑ์ สธ.
ลองเช็คกันดูนะคะ
-มีไข้ 37.5 องศาฯ ขึ้นไปร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจ และมีประวัติเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงใน 14 วัน
-ผู้ป่วยปอดอักเสบที่มีอาการเข้าข่าย
-การพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อาการเข้าข่ายโควิด-19 ตามเกณฑ์ สธ.
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน 2563
อาการเข้าข่ายโควิด-19 ตามเกณฑ์ สธ.
ลองเช็คกันดูนะคะ
-มีไข้ 37.5 องศาฯ ขึ้นไปร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจ และมีประวัติเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงใน 14 วัน
-ผู้ป่วยปอดอักเสบที่มีอาการเข้าข่าย
-การพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28384
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการปรับปรุงสายทางเข้า - ออก โครงการพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทางของ
|
วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2559
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการปรับปรุงสายทางเข้า - ออก โครงการพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทั่วประเทศ เพื่ออํานวยความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทางของ
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการปรับปรุงสายทางเข้า - ออก โครงการพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทั่วประเทศ เพื่ออํานวยความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน
ทล. ได้สั่งการให้แขวงทางหลวงทั่วประเทศดําเนินการปรับปรุงสายทางเข้า - ออก โครงการพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในพื้นที่รับผิดชอบของ ทล. จํานวน 50 โครงการ โดยจัดสรรงบประมาณปี 2560 วงเงิน 50 ล้านบาท ดําเนินโครงการ เช่น การตัดแต่งกิ่งไม้ การซ่อมผิวจราจร บํารุงถนนให้สวยงาม ติดไฟฟ้าส่องสว่าง ติดตั้งป้ายบอกทางให้ชัดเจน เป็นต้น เพื่ออํานวยความสะดวก และปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนไปยังสถานที่หรือโครงการสําคัญ อาทิ พิพิธภัณฑ์หรือเขตทางหลวงที่เคยเสด็จฯ และทรงงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนด้วย ทั้งนี้ ทล. ได้ดําเนินการปรับปรุงสายทางเข้า - ออก โครงการพระราชดําริฯ ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และจะดําเนินการให้ครบทุกสายทางต่อไป
สําหรับทางหลวงในความรับผิดชอบของ ทล. ที่เป็นสายทางเข้า - ออก โครงการพระราชดําริฯ 50 โครงการ เช่น ทางหลวงหมายเลข 3203 ทางเข้าศูนย์เรียนรู้โครงการตามพระราชประสงค์หุบกะพง แขวงทางหลวงเพชรบุรี ทางหลวง 3077 (ศาลนเรศวร - เขาใหญ่) แขวงทางหลวงปราจีนบุรี ทางหลวงหมายเลข 1103 (พระบาทตะเมาะ - ฮอด) และทางหลวงหมายเลข 1192 (อินทนนท์ - แม่แจ่ม) แขวงทางหลวงเชียงใหม่ 1 ทางหลวงหมายเลข 1249 (แม่งอน - หนองเต่า) แขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 3 เส้นทางรอบพระตําหนักภูพานราชนิเวศน์ เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดำเนินโครงการปรับปรุงสายทางเข้า - ออก โครงการพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทางของ
วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2559
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการปรับปรุงสายทางเข้า - ออก โครงการพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทั่วประเทศ เพื่ออํานวยความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทางของ
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินโครงการปรับปรุงสายทางเข้า - ออก โครงการพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทั่วประเทศ เพื่ออํานวยความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน
ทล. ได้สั่งการให้แขวงทางหลวงทั่วประเทศดําเนินการปรับปรุงสายทางเข้า - ออก โครงการพระราชดําริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในพื้นที่รับผิดชอบของ ทล. จํานวน 50 โครงการ โดยจัดสรรงบประมาณปี 2560 วงเงิน 50 ล้านบาท ดําเนินโครงการ เช่น การตัดแต่งกิ่งไม้ การซ่อมผิวจราจร บํารุงถนนให้สวยงาม ติดไฟฟ้าส่องสว่าง ติดตั้งป้ายบอกทางให้ชัดเจน เป็นต้น เพื่ออํานวยความสะดวก และปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนไปยังสถานที่หรือโครงการสําคัญ อาทิ พิพิธภัณฑ์หรือเขตทางหลวงที่เคยเสด็จฯ และทรงงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนด้วย ทั้งนี้ ทล. ได้ดําเนินการปรับปรุงสายทางเข้า - ออก โครงการพระราชดําริฯ ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และจะดําเนินการให้ครบทุกสายทางต่อไป
สําหรับทางหลวงในความรับผิดชอบของ ทล. ที่เป็นสายทางเข้า - ออก โครงการพระราชดําริฯ 50 โครงการ เช่น ทางหลวงหมายเลข 3203 ทางเข้าศูนย์เรียนรู้โครงการตามพระราชประสงค์หุบกะพง แขวงทางหลวงเพชรบุรี ทางหลวง 3077 (ศาลนเรศวร - เขาใหญ่) แขวงทางหลวงปราจีนบุรี ทางหลวงหมายเลข 1103 (พระบาทตะเมาะ - ฮอด) และทางหลวงหมายเลข 1192 (อินทนนท์ - แม่แจ่ม) แขวงทางหลวงเชียงใหม่ 1 ทางหลวงหมายเลข 1249 (แม่งอน - หนองเต่า) แขวงทางหลวงเชียงใหม่ที่ 3 เส้นทางรอบพระตําหนักภูพานราชนิเวศน์ เป็นต้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/848
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงาน “Digital Thailand Big Bang 2018”
|
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงาน “Digital Thailand Big Bang 2018”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานงานแถลงข่าวประชาสัมพันธ์การจัดงานนิทรรศการนานาชาติ “Digital Thailand Big Bang 2018” ภายใต้สโลแกน “Thailand BIG DATA : โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน” เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2561 ณ โรงแรมเรเนซองส์ เพลินจิต กรุงเทพฯ การจัดงานฯ ดังกล่าว นับเป็นนิทรรศการดิจิทัลระดับนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีพันธมิตรจาก 12 ประเทศ กว่า 500 หน่วยงานทั้งจากภาครัฐ เอกชน และดิจิทัลสตาร์ทอัพ นําเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีล้ําสมัยหลากหลายสาขา ซึ่งผู้เข้าร่วมงานยังจะได้รับทราบถึงโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เป็นหน่วยงานหลักการจัดงานฯ ได้จัดเตรียมสุดยอดเทคโนโลยีด้านดิจิทัลที่ทันสมัยที่สุด กับ 10 Big Bang 29 ไฮไลท์ เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์ตื่นตาตื่นใจในครั้งนี้ สําหรับการจัดงาน “Digital Thailand Big Bang 2018” จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ทั้งยังเป็นเวทีที่ประเทศไทยจะได้ประกาศศักยภาพในการเป็นผู้นําด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน โดยในวันที่ 19 กันยายน 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานฯ พร้อมมอบรางวัล PM’s Digital Award 2018 แก่ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล 5 ด้าน ทั้งนี้ การจัดงาน “Digital Thailand Big Bang 2018” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-23 กันยายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงาน “Digital Thailand Big Bang 2018”
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานงานแถลงข่าวการจัดงาน “Digital Thailand Big Bang 2018”
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานงานแถลงข่าวประชาสัมพันธ์การจัดงานนิทรรศการนานาชาติ “Digital Thailand Big Bang 2018” ภายใต้สโลแกน “Thailand BIG DATA : โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน” เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2561 ณ โรงแรมเรเนซองส์ เพลินจิต กรุงเทพฯ การจัดงานฯ ดังกล่าว นับเป็นนิทรรศการดิจิทัลระดับนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีพันธมิตรจาก 12 ประเทศ กว่า 500 หน่วยงานทั้งจากภาครัฐ เอกชน และดิจิทัลสตาร์ทอัพ นําเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีล้ําสมัยหลากหลายสาขา ซึ่งผู้เข้าร่วมงานยังจะได้รับทราบถึงโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ โดยกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มอบหมายให้ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เป็นหน่วยงานหลักการจัดงานฯ ได้จัดเตรียมสุดยอดเทคโนโลยีด้านดิจิทัลที่ทันสมัยที่สุด กับ 10 Big Bang 29 ไฮไลท์ เพื่อให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์ตื่นตาตื่นใจในครั้งนี้ สําหรับการจัดงาน “Digital Thailand Big Bang 2018” จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ทั้งยังเป็นเวทีที่ประเทศไทยจะได้ประกาศศักยภาพในการเป็นผู้นําด้านเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน โดยในวันที่ 19 กันยายน 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานฯ พร้อมมอบรางวัล PM’s Digital Award 2018 แก่ผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล 5 ด้าน ทั้งนี้ การจัดงาน “Digital Thailand Big Bang 2018” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-23 กันยายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
*******************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15393
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคมชี้แจงข้อเท็จจริง โครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่
|
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561
กระทรวงคมนาคมชี้แจงข้อเท็จจริง โครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่
กระทรวงคมนาคมชี้แจงข้อเท็จจริง โครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ยืนยันขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจเปลี่ยนเป็นความเร็วปานกลางแต่อย่างใด
ตามที่ได้มีรายงานข่าวจากประเทศญี่ปุ่นระบุว่า รัฐบาลไทยต้องการประหยัดงบประมาณ จึงมีการปรับเปลี่ยนโครงการรถไฟความเร็วสูงที่ใช้ระบบเดียวกับ ‘ชินคันเซ็น’ มาเป็นรถไฟความเร็วปานกลาง จริงหรือไม่ เพราะสาเหตุใด และจะส่งผลกระทบต่อการให้บริการอย่างไร นั้น กระทรวงคมนาคม (คค.) ขอชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริง ดังนี้
คค. และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (MLIT) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือการพัฒนาระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น (MOC) เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนารถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยได้เริ่มทําการศึกษาความเหมาะสมของโครงการระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 แล้วเสร็จเดือน พฤศจิกายน 2560 ปัจจุบัน คค. อยู่ระหว่างการหารือเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินโครงการร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่น เพื่อพิจารณาหารูปแบบการดําเนินโครงการที่มีความเหมาะสมและเกิดความคุ้มค่าสูงสุดในการลงทุน ทั้งนี้ การประชุมหารือดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561
ผลการศึกษาความเหมาะสมโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-พิษณุโลก ขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) มีรายละเอียดสรุป ดังนี้
1. รายละเอียดข้อมูลโครงการ : (1) แนวเส้นทางจากสถานีบางซื่อ-พิษณุโลก ระยะทางรวม 380 กิโลเมตร (2) เทคโนโลยี : ชินคันเซ็น/ความเร็วสูงสุดในการเดินรถ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง/ขนาดราง 1.435 เมตร/สถานี 7 สถานี ประกอบด้วย บางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร และพิษณุโลก/เวลาในการเดินทางจากบางซื่อ-พิษณุโลก 1 ชั่วโมง 58 นาที
2. ผลการวิเคราะห์การคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสาร : (1) กรณีไม่มีการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทาง ปี 2568 (ปีเปิดบริการ) มีปริมาณผู้โดยสารจํานวน 29,000 คน-เที่ยว/วัน และเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 คน-เที่ยว/วัน ในปี 2598 (2) กรณีมีการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทางปี 2568 (ปีเปิดบริการ) มีปริมาณผู้โดยสารจํานวน 29,000 คน-เที่ยว/วัน และเพิ่มขึ้นเป็น 73,200 คน-เที่ยว/วัน ในปี 2598
3. มูลค่าโครงการเบื้องต้น : ตามผลการศึกษาของฝ่ายญี่ปุ่นพบว่ามีมูลค่าการลงทุน ช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก 276,226 ล้านบาท
4. การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ : (1) รวมผลประโยชน์จากการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทางเท่ากับ 14.7% (2) ไม่รวมผลประโยชน์จากการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทางเท่ากับ 7.2% ทั้งนี้ ฝ่ายญี่ปุ่นได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ฝ่ายไทยต้องจัดทําแผนระดับชาติและแผนพัฒนาภูมิภาคตามแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูง เพื่อประโยชน์สูงสุดทางด้านเศรษฐกิจและการลงทุน รวมทั้งจําเป็นต้องจัดทําแผนคมนาคมขนส่งที่ครอบคลุมเพื่อให้การเชื่อมต่อการเดินทางมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ฝ่ายไทยไม่ควรพิจารณาเพียงการสร้างรถไฟความเร็วสูง แต่ควรพิจารณาว่าจะใช้รถไฟความเร็วสูงเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเมืองในภูมิภาคได้อย่างไร
ประเทศไทยกําลังเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เนื่องจากไม่ได้ลงทุนโครงการใหญ่ ๆ สําคัญ ๆ มานานหลายปี ทําให้ไม่สามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในการแข่งขันได้ รัฐบาลนี้เห็นความสําคัญของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเพื่ออนาคตประเทศไทยในระยะยาว จึงตัดสินใจลงทุนพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงหลายเส้นทาง รวมถึงสายเหนือระบบชินคันเซ็นด้วย แต่โครงการรถไฟความเร็วสูงใช้เงินลงทุนสูง คค. จึงต้องพิจารณาการลงทุนรถไฟสายนี้ ว่าหากจะปรับระบบเป็นความเร็วปานกลางจะเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเปรียบเทียบ ขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจเปลี่ยนเป็นความเร็วปานกลางแต่อย่างใด
-----------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงคมนาคมชี้แจงข้อเท็จจริง โครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่
วันจันทร์ที่ 29 มกราคม 2561
กระทรวงคมนาคมชี้แจงข้อเท็จจริง โครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่
กระทรวงคมนาคมชี้แจงข้อเท็จจริง โครงการรถไฟความเร็วสูงสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ยืนยันขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจเปลี่ยนเป็นความเร็วปานกลางแต่อย่างใด
ตามที่ได้มีรายงานข่าวจากประเทศญี่ปุ่นระบุว่า รัฐบาลไทยต้องการประหยัดงบประมาณ จึงมีการปรับเปลี่ยนโครงการรถไฟความเร็วสูงที่ใช้ระบบเดียวกับ ‘ชินคันเซ็น’ มาเป็นรถไฟความเร็วปานกลาง จริงหรือไม่ เพราะสาเหตุใด และจะส่งผลกระทบต่อการให้บริการอย่างไร นั้น กระทรวงคมนาคม (คค.) ขอชี้แจงรายละเอียดข้อเท็จจริง ดังนี้
คค. และกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (MLIT) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือการพัฒนาระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น (MOC) เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนารถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โดยได้เริ่มทําการศึกษาความเหมาะสมของโครงการระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 แล้วเสร็จเดือน พฤศจิกายน 2560 ปัจจุบัน คค. อยู่ระหว่างการหารือเกี่ยวกับแนวทางการดําเนินโครงการร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่น เพื่อพิจารณาหารูปแบบการดําเนินโครงการที่มีความเหมาะสมและเกิดความคุ้มค่าสูงสุดในการลงทุน ทั้งนี้ การประชุมหารือดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561
ผลการศึกษาความเหมาะสมโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะที่ 1 กรุงเทพฯ-พิษณุโลก ขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) มีรายละเอียดสรุป ดังนี้
1. รายละเอียดข้อมูลโครงการ : (1) แนวเส้นทางจากสถานีบางซื่อ-พิษณุโลก ระยะทางรวม 380 กิโลเมตร (2) เทคโนโลยี : ชินคันเซ็น/ความเร็วสูงสุดในการเดินรถ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง/ขนาดราง 1.435 เมตร/สถานี 7 สถานี ประกอบด้วย บางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร และพิษณุโลก/เวลาในการเดินทางจากบางซื่อ-พิษณุโลก 1 ชั่วโมง 58 นาที
2. ผลการวิเคราะห์การคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสาร : (1) กรณีไม่มีการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทาง ปี 2568 (ปีเปิดบริการ) มีปริมาณผู้โดยสารจํานวน 29,000 คน-เที่ยว/วัน และเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 คน-เที่ยว/วัน ในปี 2598 (2) กรณีมีการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทางปี 2568 (ปีเปิดบริการ) มีปริมาณผู้โดยสารจํานวน 29,000 คน-เที่ยว/วัน และเพิ่มขึ้นเป็น 73,200 คน-เที่ยว/วัน ในปี 2598
3. มูลค่าโครงการเบื้องต้น : ตามผลการศึกษาของฝ่ายญี่ปุ่นพบว่ามีมูลค่าการลงทุน ช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก 276,226 ล้านบาท
4. การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ : (1) รวมผลประโยชน์จากการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทางเท่ากับ 14.7% (2) ไม่รวมผลประโยชน์จากการพัฒนาพื้นที่ตามแนวเส้นทางเท่ากับ 7.2% ทั้งนี้ ฝ่ายญี่ปุ่นได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ฝ่ายไทยต้องจัดทําแผนระดับชาติและแผนพัฒนาภูมิภาคตามแนวเส้นทางรถไฟความเร็วสูง เพื่อประโยชน์สูงสุดทางด้านเศรษฐกิจและการลงทุน รวมทั้งจําเป็นต้องจัดทําแผนคมนาคมขนส่งที่ครอบคลุมเพื่อให้การเชื่อมต่อการเดินทางมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ฝ่ายไทยไม่ควรพิจารณาเพียงการสร้างรถไฟความเร็วสูง แต่ควรพิจารณาว่าจะใช้รถไฟความเร็วสูงเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเมืองในภูมิภาคได้อย่างไร
ประเทศไทยกําลังเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เนื่องจากไม่ได้ลงทุนโครงการใหญ่ ๆ สําคัญ ๆ มานานหลายปี ทําให้ไม่สามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ในการแข่งขันได้ รัฐบาลนี้เห็นความสําคัญของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมเพื่ออนาคตประเทศไทยในระยะยาว จึงตัดสินใจลงทุนพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงหลายเส้นทาง รวมถึงสายเหนือระบบชินคันเซ็นด้วย แต่โครงการรถไฟความเร็วสูงใช้เงินลงทุนสูง คค. จึงต้องพิจารณาการลงทุนรถไฟสายนี้ ว่าหากจะปรับระบบเป็นความเร็วปานกลางจะเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเปรียบเทียบ ขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจเปลี่ยนเป็นความเร็วปานกลางแต่อย่างใด
-----------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9668
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. พร้อมดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่
|
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2562
สธ. พร้อมดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่
กระทรวงสาธารณสุข ส่งผู้บริหารลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ติดตามความพร้อมระบบบริการดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่สายใต้ ร่วมมือกับพื้นที่ตั้งด่านชุมชนเพื่อลดอุบัติเหตุ
วันนี้ (24 ธันวาคม 2562) นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช และโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ให้สัมภาษณ์ว่า จากการตรวจเยี่ยม โรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง มีความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรองรับประชาชนที่บาดเจ็บและป่วยฉุกเฉินในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ได้อย่างดี ทั้งระบบดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ห้องฉุกเฉิน มีแผนรับสถานการณ์อุบัติภัยหมู่ ระบบติดตามข้อมูลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินแบบเรียลไทม์ จัดระบบทางด่วน Trauma Fast Track เพิ่มจํานวนบุคลากรที่ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน อุปกรณ์การช่วยชีวิต ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ 2 เท่าตัว รวมถึงได้สํารองเตียงไอซียู คลังเลือด และรณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัยทางถนนร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ชุมชน ในการตั้งด่านชุมชน ด่านครอบครัว เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่
นายแพทย์ยงยศกล่าวต่อว่า ที่โรงพยาบาลนครศรีธรรมราช มีห้องสวนหัวใจพร้อมทีมแพทย์โรคหัวใจรองรับผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน บริการตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Emergency Operation Center : EOC) ได้ทันทีเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ภายในห้องฉุกเฉินมีห้องเอ็กซเรย์ และเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ ทําให้สามารถวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งได้ติดตั้งเครื่องสแกนอาวุธ กล้องวงจรปิดครอบคลุมทุกบริเวณของห้องฉุกเฉิน มีพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ผ่านการฝึกซ้อมร่วมกับตํารวจกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ประจําการตลอด 24 ชั่วโมง จากข้อมูลผู้ประสบอุบัติเหตุจราจรจังหวัดนครศรีธรรมราช ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 วันที่ 27 ธันวาคม 2561 -2 มกราคม 2562 รับผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน 1,286 ราย เสียชีวิต 6 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน 923 ราย อุบัติเหตุ 362 ราย ผู้ประสบอุบัติเหตุร้อยละ 83.1 มาจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ และร้อยละ 10.2 เป็นผู้ดื่มแอลกอฮอล์
สําหรับโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ได้จัดเครือข่ายบริการร่วมกับโรงพยาบาลชุมชน 5 แห่ง คือ โรงพยาบาลกาญจนดิษฐ์ โรงพยาบาลไชยา โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ โรงพยาบาลบ้านนาสาร โรงพยาบาลท่าโรงช้าง ในการรับผู้ป่วยฉุกเฉิน รวมถึงการให้ยาละลายลิ่มเลือดแก่ผู้ป่วย หลอดเลือดสมอง และผู้ป่วยหัวใจขาดเลือด โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหัวใจและหลอดเลือดของโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีให้คําปรึกษา สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ภายใน 9 นาที - 1 ชั่วโมง จากข้อมูลอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี รับผู้ป่วยอุบัติเหตุทางถนน 111 ราย เสียชีวิต 4 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์
************************************ 24 ธันวาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. พร้อมดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2562
สธ. พร้อมดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่
กระทรวงสาธารณสุข ส่งผู้บริหารลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ติดตามความพร้อมระบบบริการดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่สายใต้ ร่วมมือกับพื้นที่ตั้งด่านชุมชนเพื่อลดอุบัติเหตุ
วันนี้ (24 ธันวาคม 2562) นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช และโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ให้สัมภาษณ์ว่า จากการตรวจเยี่ยม โรงพยาบาลทั้ง 2 แห่ง มีความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อรองรับประชาชนที่บาดเจ็บและป่วยฉุกเฉินในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ได้อย่างดี ทั้งระบบดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ห้องฉุกเฉิน มีแผนรับสถานการณ์อุบัติภัยหมู่ ระบบติดตามข้อมูลผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินแบบเรียลไทม์ จัดระบบทางด่วน Trauma Fast Track เพิ่มจํานวนบุคลากรที่ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน อุปกรณ์การช่วยชีวิต ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ 2 เท่าตัว รวมถึงได้สํารองเตียงไอซียู คลังเลือด และรณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัยทางถนนร่วมกับคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอําเภอ (พชอ.) ชุมชน ในการตั้งด่านชุมชน ด่านครอบครัว เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่
นายแพทย์ยงยศกล่าวต่อว่า ที่โรงพยาบาลนครศรีธรรมราช มีห้องสวนหัวใจพร้อมทีมแพทย์โรคหัวใจรองรับผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน บริการตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Emergency Operation Center : EOC) ได้ทันทีเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ภายในห้องฉุกเฉินมีห้องเอ็กซเรย์ และเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ ทําให้สามารถวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งได้ติดตั้งเครื่องสแกนอาวุธ กล้องวงจรปิดครอบคลุมทุกบริเวณของห้องฉุกเฉิน มีพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ผ่านการฝึกซ้อมร่วมกับตํารวจกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ประจําการตลอด 24 ชั่วโมง จากข้อมูลผู้ประสบอุบัติเหตุจราจรจังหวัดนครศรีธรรมราช ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 วันที่ 27 ธันวาคม 2561 -2 มกราคม 2562 รับผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน 1,286 ราย เสียชีวิต 6 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน 923 ราย อุบัติเหตุ 362 ราย ผู้ประสบอุบัติเหตุร้อยละ 83.1 มาจากการขับขี่รถจักรยานยนต์ และร้อยละ 10.2 เป็นผู้ดื่มแอลกอฮอล์
สําหรับโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี ได้จัดเครือข่ายบริการร่วมกับโรงพยาบาลชุมชน 5 แห่ง คือ โรงพยาบาลกาญจนดิษฐ์ โรงพยาบาลไชยา โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเวียงสระ โรงพยาบาลบ้านนาสาร โรงพยาบาลท่าโรงช้าง ในการรับผู้ป่วยฉุกเฉิน รวมถึงการให้ยาละลายลิ่มเลือดแก่ผู้ป่วย หลอดเลือดสมอง และผู้ป่วยหัวใจขาดเลือด โดยมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหัวใจและหลอดเลือดของโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีให้คําปรึกษา สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ภายใน 9 นาที - 1 ชั่วโมง จากข้อมูลอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2562 โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี รับผู้ป่วยอุบัติเหตุทางถนน 111 ราย เสียชีวิต 4 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์
************************************ 24 ธันวาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25442
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีต้อนรับประมุขประเทศ ผู้นำประเทศ หัวหน้าคณะรัฐบาล รัฐมนตรีและผู้แทนร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 (ACD Summit)
|
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
นายกรัฐมนตรีต้อนรับประมุขประเทศ ผู้นําประเทศ หัวหน้าคณะรัฐบาล รัฐมนตรีและผู้แทนร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 (ACD Summit)
พลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อหลัก “เอเชียหนึ่งเดียว หลากหลายในพลัง” ระหว่างวันที่ 9-10 ตุลาคม 2559
วันนี้ 7 ตุลาคม 2559 พลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อหลัก “เอเชียหนึ่งเดียว หลากหลายในพลัง” (One Asia, Diverse Strengths) ระหว่างวันที่ 9-10 ตุลาคม 2559 ณ กระทรวงการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร โดยนายกรัฐมนตรีมีกําหนดการสําคัญในกรอบการประชุมและการหารือทวิภาคีร่วมกับผู้นํา ACD ดังนี้
วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม 2559 เวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีเป็นประธานและกล่าวเปิดการประชุมภาคธุรกิจ (ACD Connect Business Forum 2016) ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ช่วงค่ําเวลา 19.00-21.00 น. นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารค่ําเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นํา ACD และคู่สมรส ณ หอประชุมกองทัพเรือ
วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม 2559 ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีรอให้การต้อนรับผู้นํา ACD ที่เดินทางถึงสถานที่ประชุม ณ วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ โดยในเวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีจะร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 และกล่าวเปิดการประชุม ในฐานะประธานการประชุม และหัวหน้าคณะยูเออี ในฐานะประธาน ACD กล่าวถ้อยแถลง เวลา 13.00 น. นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ผู้นําประเทศ ACD ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ช่วงบ่าย เวลา 15.00-18.30น. ที่ประชุมจะมีการรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม จํานวน 3 ฉบับ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์กรอบความร่วมมือเอเชีย 2030 (ACD Vision for Asia Cooperation 2030 ) ปฏิญญากรุงเทพ Bangkok Declaration และ เอกสารแถลงการณ์ ACD เกี่ยวกับบทบาทเอเชียในการกระตุ้นการเติบโตผ่านความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความเชื่อมโยง (ACD Statement on reigniting Growth through Partnership for Connectivity) ทั้งนี้ ภายหลังปิดการประชุม นายกรัฐมนตรีจะแถลงข่าว ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ ด้วย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 6-11 ตุลาคม 59 นายกรัฐมนตรีจะร่วมหารือทวิภาคีกับประมุขและผู้นํา ACD ที่เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ โดยมีวาระสําคัญ ต่างๆ ดังนี้ วันพฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 59 เวลา 19.30 เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนและถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ํา ณ โรงแรม St. Regis กรุงเทพ ฯ วันศุกร์ที่ 7 ต.ค. 59 เวลา 11.00 น. พบหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีบาห์เรนและถวายเลี้ยงอาหารกลางวัน ณ ทําเนียบรัฐบาล
วันเสาร์ที่ 8 ต.ค. 59 เวลา 18.30 น. นายกรัฐมนตรีหารือกับประธานาธิบดีศรีลังกาและเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ํา ณ ทําเนียบรัฐบาล
วันอาทิตย์ที่ 9 ต.ค. 59 เวลา 10.40 น. นายกรัฐมนตรีพบหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีอิหร่าน และเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารกลางวัน ณ ทําเนียบรัฐบาล ต่อมา เวลา 13.30 น. นายกรัฐมนตรีพบหารือกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เวลา 14..45 น. นายกรัฐมนตรีพบหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีภูฎาน เวลา 15.30 น. นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับ รองประธานาธิบดีจีน
วันจันทร์ที่ 10 ต.ค. 59 ณ เวลา 18.30 นาย Jack Ma ประธานกลุ่มบริษัท Alibaba เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ กระทรวงการต่างประเทศ และวันอังคารที่ 11 ต.ค. 59 เวลา 15.00 นายกรัฐมนตรีพบหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเกาหลี ณ ทําเนียบรัฐบาล
โอกาสนี้ ประเทศไทยยังจะจัดนิทรรศการเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเผยแพร่แนวทางการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วย
รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยว่า การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ เป็นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรี เสถียรภาพทางการเมืองและศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย ไทยยังคงมีบทบาทนําอย่างสร้างสรรค์ในฐานะสมาชิก ACD ที่ร่วมกันกําหนดบทบาทเอเชียให้เป็นเครื่องจักรเพื่อการเติบโต (growth engine) กระตุ้นความหลากหลายของเศรษฐกิจของโลก และส่งเสริมให้เอเชียมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับวาระโลก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดของการรวมตัวในภูมิภาค ACD ให้เอเชียเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือ Pan Asia ในอนาคต
*****************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีต้อนรับประมุขประเทศ ผู้นำประเทศ หัวหน้าคณะรัฐบาล รัฐมนตรีและผู้แทนร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 (ACD Summit)
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
นายกรัฐมนตรีต้อนรับประมุขประเทศ ผู้นําประเทศ หัวหน้าคณะรัฐบาล รัฐมนตรีและผู้แทนร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 (ACD Summit)
พลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อหลัก “เอเชียหนึ่งเดียว หลากหลายในพลัง” ระหว่างวันที่ 9-10 ตุลาคม 2559
วันนี้ 7 ตุลาคม 2559 พลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อหลัก “เอเชียหนึ่งเดียว หลากหลายในพลัง” (One Asia, Diverse Strengths) ระหว่างวันที่ 9-10 ตุลาคม 2559 ณ กระทรวงการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร โดยนายกรัฐมนตรีมีกําหนดการสําคัญในกรอบการประชุมและการหารือทวิภาคีร่วมกับผู้นํา ACD ดังนี้
วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม 2559 เวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีเป็นประธานและกล่าวเปิดการประชุมภาคธุรกิจ (ACD Connect Business Forum 2016) ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี ช่วงค่ําเวลา 19.00-21.00 น. นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารค่ําเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นํา ACD และคู่สมรส ณ หอประชุมกองทัพเรือ
วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม 2559 ช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีรอให้การต้อนรับผู้นํา ACD ที่เดินทางถึงสถานที่ประชุม ณ วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ โดยในเวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีจะร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 และกล่าวเปิดการประชุม ในฐานะประธานการประชุม และหัวหน้าคณะยูเออี ในฐานะประธาน ACD กล่าวถ้อยแถลง เวลา 13.00 น. นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ผู้นําประเทศ ACD ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ช่วงบ่าย เวลา 15.00-18.30น. ที่ประชุมจะมีการรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม จํานวน 3 ฉบับ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์กรอบความร่วมมือเอเชีย 2030 (ACD Vision for Asia Cooperation 2030 ) ปฏิญญากรุงเทพ Bangkok Declaration และ เอกสารแถลงการณ์ ACD เกี่ยวกับบทบาทเอเชียในการกระตุ้นการเติบโตผ่านความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความเชื่อมโยง (ACD Statement on reigniting Growth through Partnership for Connectivity) ทั้งนี้ ภายหลังปิดการประชุม นายกรัฐมนตรีจะแถลงข่าว ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ ด้วย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 6-11 ตุลาคม 59 นายกรัฐมนตรีจะร่วมหารือทวิภาคีกับประมุขและผู้นํา ACD ที่เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ โดยมีวาระสําคัญ ต่างๆ ดังนี้ วันพฤหัสบดีที่ 6 ต.ค. 59 เวลา 19.30 เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนและถวายเลี้ยงพระกระยาหารค่ํา ณ โรงแรม St. Regis กรุงเทพ ฯ วันศุกร์ที่ 7 ต.ค. 59 เวลา 11.00 น. พบหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีบาห์เรนและถวายเลี้ยงอาหารกลางวัน ณ ทําเนียบรัฐบาล
วันเสาร์ที่ 8 ต.ค. 59 เวลา 18.30 น. นายกรัฐมนตรีหารือกับประธานาธิบดีศรีลังกาและเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ํา ณ ทําเนียบรัฐบาล
วันอาทิตย์ที่ 9 ต.ค. 59 เวลา 10.40 น. นายกรัฐมนตรีพบหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีอิหร่าน และเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารกลางวัน ณ ทําเนียบรัฐบาล ต่อมา เวลา 13.30 น. นายกรัฐมนตรีพบหารือกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เวลา 14..45 น. นายกรัฐมนตรีพบหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีภูฎาน เวลา 15.30 น. นายกรัฐมนตรีหารือทวิภาคีกับ รองประธานาธิบดีจีน
วันจันทร์ที่ 10 ต.ค. 59 ณ เวลา 18.30 นาย Jack Ma ประธานกลุ่มบริษัท Alibaba เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ กระทรวงการต่างประเทศ และวันอังคารที่ 11 ต.ค. 59 เวลา 15.00 นายกรัฐมนตรีพบหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเกาหลี ณ ทําเนียบรัฐบาล
โอกาสนี้ ประเทศไทยยังจะจัดนิทรรศการเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเผยแพร่แนวทางการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วย
รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยว่า การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้ เป็นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความเป็นผู้นําของนายกรัฐมนตรี เสถียรภาพทางการเมืองและศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย ไทยยังคงมีบทบาทนําอย่างสร้างสรรค์ในฐานะสมาชิก ACD ที่ร่วมกันกําหนดบทบาทเอเชียให้เป็นเครื่องจักรเพื่อการเติบโต (growth engine) กระตุ้นความหลากหลายของเศรษฐกิจของโลก และส่งเสริมให้เอเชียมีการพัฒนาอย่างยั่งยืนสอดคล้องกับวาระโลก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดของการรวมตัวในภูมิภาค ACD ให้เอเชียเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือ Pan Asia ในอนาคต
*****************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/539
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมกิจกรรมสืบสานพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา แนะทำกิจกรรมสร้างกุศล พร้อมน้อมนำหลักธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิต
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560
นรม. เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมกิจกรรมสืบสานพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา แนะทํากิจกรรมสร้างกุศล พร้อมน้อมนําหลักธรรมไปใช้ในการดําเนินชีวิต
นายกฯ เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมสืบสานพระศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา แนะทํากิจกรรมสร้างกุศล พร้อมน้อมนําหลักธรรมไปใช้ในการดําเนินชีวิต
วันนี้ (10 พ.ค 2560) เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกคนร่วมสืบสานพระพุทธศาสนา น้อมนําคุณค่าของวันนี้มาสู่ตนเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ ด้วยการทําบุญให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม และเวียนเทียน รวมทั้งนําหลักธรรมที่สําคัญคือ อริยสัจ 4 หรือ ความจริงอันประเสริฐ และมรรคมีองค์ 8 หรือแนวทางดับทุกข์ ไปประยุกต์ใช้ในการดําเนินชีวิต
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันสําคัญสากลทางพระพุทธศาสนา และยังเป็นวันสําคัญในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ พุทธศาสนิกชนจึงควรภาคภูมิใจและปฏิบัติตนเป็นคนดี ศึกษาและสืบทอดพระศาสนาให้คงอยู่เป็นเสาหลักสําคัญของบ้านเมือง โดยในส่วนของรัฐบาลนั้นได้จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชาขึ้นทั่วประเทศ ในระหว่างวันที่ 4-10 พ.ค.60 จึงอยากให้ทุกคนไปร่วมกิจกรรม ณ วัดใกล้บ้าน หรือสถานที่ที่แต่ละพื้นที่กําหนด
ในการนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนเฝ้าฯ รับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลและทรงนําสวดมนต์เนื่องในวันวิสาขบูชา พ.ศ.2560 ในช่วงเย็นวันนี้ ตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดําเนิน และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง อย่างพร้อมเพรียงกัน
-------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมกิจกรรมสืบสานพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา แนะทำกิจกรรมสร้างกุศล พร้อมน้อมนำหลักธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิต
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2560
นรม. เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมกิจกรรมสืบสานพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา แนะทํากิจกรรมสร้างกุศล พร้อมน้อมนําหลักธรรมไปใช้ในการดําเนินชีวิต
นายกฯ เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมสืบสานพระศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา แนะทํากิจกรรมสร้างกุศล พร้อมน้อมนําหลักธรรมไปใช้ในการดําเนินชีวิต
วันนี้ (10 พ.ค 2560) เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทุกคนร่วมสืบสานพระพุทธศาสนา น้อมนําคุณค่าของวันนี้มาสู่ตนเอง ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ ด้วยการทําบุญให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม และเวียนเทียน รวมทั้งนําหลักธรรมที่สําคัญคือ อริยสัจ 4 หรือ ความจริงอันประเสริฐ และมรรคมีองค์ 8 หรือแนวทางดับทุกข์ ไปประยุกต์ใช้ในการดําเนินชีวิต
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันสําคัญสากลทางพระพุทธศาสนา และยังเป็นวันสําคัญในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ พุทธศาสนิกชนจึงควรภาคภูมิใจและปฏิบัติตนเป็นคนดี ศึกษาและสืบทอดพระศาสนาให้คงอยู่เป็นเสาหลักสําคัญของบ้านเมือง โดยในส่วนของรัฐบาลนั้นได้จัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันวิสาขบูชาขึ้นทั่วประเทศ ในระหว่างวันที่ 4-10 พ.ค.60 จึงอยากให้ทุกคนไปร่วมกิจกรรม ณ วัดใกล้บ้าน หรือสถานที่ที่แต่ละพื้นที่กําหนด
ในการนี้ รัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนเฝ้าฯ รับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในพระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลและทรงนําสวดมนต์เนื่องในวันวิสาขบูชา พ.ศ.2560 ในช่วงเย็นวันนี้ ตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดําเนิน และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง อย่างพร้อมเพรียงกัน
-------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3653
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ จับมือ แม็คโคร ลงนาม MOU ความร่วมมือพัฒนาเกษตรกรแปลงใหญ่ มุ่งเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ
|
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563
เกษตรฯ จับมือ แม็คโคร ลงนาม MOU ความร่วมมือพัฒนาเกษตรกรแปลงใหญ่ มุ่งเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ
เกษตรฯ จับมือ แม็คโคร ลงนาม MOU ความร่วมมือพัฒนาเกษตรกรแปลงใหญ่ มุ่งเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีระบบตรวจสอบย้อนกลับได้ พร้อมร่วมกันวางแผนการตลาด ยกระดับเกษตรกร โดยใช้หลักตลาดนําการเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาและส่งเสริมกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตร สู่ตลาดนําการเกษตร ระหว่างกรมส่งเสริมการเกษตร และบริษัท สยามแม็คโคร จํากัด (มหาชน) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร และบริษัท สยามแม็คโคร จํากัด (มหาชน) ได้ทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานในการพัฒนาเกษตรกรแปลงใหญ่ ให้สามารถผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ รวมถึงส่งเสริมสนับสนุนความร่วมมือด้านการตลาด เพื่อให้เกษตรกรผลิตสินค้าได้ตามความต้องการของตลาด โดยให้เกษตรกรมีทางเลือกในช่องทางจําหน่ายผลผลิตผ่านสาขาของแม็คโคร ที่มีมากกว่า 130 สาขาทั่วประเทศ
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้ดําเนินการพัฒนาการเกษตรโดยส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มในการทําเกษตรแบบแปลงใหญ่ ซึ่งปัจจุบันมีแปลงใหญ่ จํานวน 6,877 แปลง เกษตรกรเข้าร่วมกว่า 407,493 ครัวเรือน พื้นที่ 6,585,336 ไร่ สินค้าเกษตรประมาณ 90 รายการ โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการกลุ่มและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรให้ได้คุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด มีการเชื่อมโยงกลุ่มผู้ผลิตกับตลาดตามนโยบาย “การตลาดนําการเกษตร” ซึ่งจากการขับเคลื่อนงานที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้ขับเคลื่อนความร่วมมือในการเชื่อมโยงการทํางานด้านการผลิตและการตลาดกับภาคเอกชนต่าง ๆ และได้วางแผนการดําเนินการร่วมกัน ทั้งแผนระยะเร่งด่วน (Quick win) รวมถึงแผนความร่วมมือมาอย่างต่อเนื่อง
“กระทรวงเกษตรฯ พร้อมให้ความมั่นใจในเรื่องของคุณภาพสินค้า ที่จะต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ซึ่งการดําเนินการร่วมกับแม็คโครในครั้งนี้จะมีการขยายไปพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศไทย และทางแม็คโครจะเข้ามาช่วยในเรื่องของการกําหนดตลาดว่าเกษตรกรควรปลูกพืชอะไร ในช่วงเวลาไหน ทําให้พี่น้องเกษตรกรได้ราคาที่มีความเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร ลดต้นทุนการผลิต และมีตลาดรองรับชัดเจน ซึ่งในอนาคตได้ตั้งเป้าหมายว่าจะให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก กระทรวงเกษตรฯ จึงพร้อมที่จะเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงให้กับพี่น้องเกษตรกรเพื่อสร้างความพร้อมที่จะก้าวสู่ยุคปฏิรูปภาคการเกษตรต่อไป” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้านนายเข้มแข็ง ยุติธรรมดํารง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันแม็คโครได้ทดลองซื้อผลผลิตเผือกหอมจากกลุ่มเกษตรกรของแปลงใหญ่เผือก ต.หรเทพ อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ส่งเข้าศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าในปริมาณ 5,000 กิโลกรัม โดยเริ่มส่งผลผลิตตั้งแต่ 28 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา และจะมีแผนความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ ก่อน จากนั้นจึงขยายผลต่อไปยังจังหวัดอื่น ๆ ซึ่งได้ร่วมมือกันส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรกลุ่มผู้ผลิตให้เน้นการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยได้มาตรฐานตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกัน
“บริษัท สยามแม็คโคร จํากัด (มหาชน) เป็นตลาดค้าส่งสมัยใหม่ มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้ประกอบการ ร้านอาหาร ภัตตาคาร และโรงแรม ทําให้มีความต้องการผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานความปลอดภัย โดยแม็คโครจะรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรทั่วไป แต่เนื่องจากปริมาณความต้องการในการรับซื้อได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด จึงทําให้แม็คโครต้องการรับซื้อผลผลิตจากกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ที่มีศักยภาพ สามารถผลิตสินค้าได้มาตรฐาน และปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการและมีคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า” นายเข้มแข็ง กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ จับมือ แม็คโคร ลงนาม MOU ความร่วมมือพัฒนาเกษตรกรแปลงใหญ่ มุ่งเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563
เกษตรฯ จับมือ แม็คโคร ลงนาม MOU ความร่วมมือพัฒนาเกษตรกรแปลงใหญ่ มุ่งเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ
เกษตรฯ จับมือ แม็คโคร ลงนาม MOU ความร่วมมือพัฒนาเกษตรกรแปลงใหญ่ มุ่งเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีระบบตรวจสอบย้อนกลับได้ พร้อมร่วมกันวางแผนการตลาด ยกระดับเกษตรกร โดยใช้หลักตลาดนําการเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาและส่งเสริมกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตร สู่ตลาดนําการเกษตร ระหว่างกรมส่งเสริมการเกษตร และบริษัท สยามแม็คโคร จํากัด (มหาชน) ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร และบริษัท สยามแม็คโคร จํากัด (มหาชน) ได้ทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดําเนินงานในการพัฒนาเกษตรกรแปลงใหญ่ ให้สามารถผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ รวมถึงส่งเสริมสนับสนุนความร่วมมือด้านการตลาด เพื่อให้เกษตรกรผลิตสินค้าได้ตามความต้องการของตลาด โดยให้เกษตรกรมีทางเลือกในช่องทางจําหน่ายผลผลิตผ่านสาขาของแม็คโคร ที่มีมากกว่า 130 สาขาทั่วประเทศ
ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้ดําเนินการพัฒนาการเกษตรโดยส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มในการทําเกษตรแบบแปลงใหญ่ ซึ่งปัจจุบันมีแปลงใหญ่ จํานวน 6,877 แปลง เกษตรกรเข้าร่วมกว่า 407,493 ครัวเรือน พื้นที่ 6,585,336 ไร่ สินค้าเกษตรประมาณ 90 รายการ โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการกลุ่มและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรให้ได้คุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด มีการเชื่อมโยงกลุ่มผู้ผลิตกับตลาดตามนโยบาย “การตลาดนําการเกษตร” ซึ่งจากการขับเคลื่อนงานที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้ขับเคลื่อนความร่วมมือในการเชื่อมโยงการทํางานด้านการผลิตและการตลาดกับภาคเอกชนต่าง ๆ และได้วางแผนการดําเนินการร่วมกัน ทั้งแผนระยะเร่งด่วน (Quick win) รวมถึงแผนความร่วมมือมาอย่างต่อเนื่อง
“กระทรวงเกษตรฯ พร้อมให้ความมั่นใจในเรื่องของคุณภาพสินค้า ที่จะต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ซึ่งการดําเนินการร่วมกับแม็คโครในครั้งนี้จะมีการขยายไปพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศไทย และทางแม็คโครจะเข้ามาช่วยในเรื่องของการกําหนดตลาดว่าเกษตรกรควรปลูกพืชอะไร ในช่วงเวลาไหน ทําให้พี่น้องเกษตรกรได้ราคาที่มีความเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร ลดต้นทุนการผลิต และมีตลาดรองรับชัดเจน ซึ่งในอนาคตได้ตั้งเป้าหมายว่าจะให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลก กระทรวงเกษตรฯ จึงพร้อมที่จะเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงให้กับพี่น้องเกษตรกรเพื่อสร้างความพร้อมที่จะก้าวสู่ยุคปฏิรูปภาคการเกษตรต่อไป” นายเฉลิมชัย กล่าว
ด้านนายเข้มแข็ง ยุติธรรมดํารง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันแม็คโครได้ทดลองซื้อผลผลิตเผือกหอมจากกลุ่มเกษตรกรของแปลงใหญ่เผือก ต.หรเทพ อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ส่งเข้าศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าในปริมาณ 5,000 กิโลกรัม โดยเริ่มส่งผลผลิตตั้งแต่ 28 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา และจะมีแผนความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ ก่อน จากนั้นจึงขยายผลต่อไปยังจังหวัดอื่น ๆ ซึ่งได้ร่วมมือกันส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรกลุ่มผู้ผลิตให้เน้นการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยได้มาตรฐานตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกัน
“บริษัท สยามแม็คโคร จํากัด (มหาชน) เป็นตลาดค้าส่งสมัยใหม่ มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นผู้ประกอบการ ร้านอาหาร ภัตตาคาร และโรงแรม ทําให้มีความต้องการผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานความปลอดภัย โดยแม็คโครจะรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรทั่วไป แต่เนื่องจากปริมาณความต้องการในการรับซื้อได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด จึงทําให้แม็คโครต้องการรับซื้อผลผลิตจากกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ที่มีศักยภาพ สามารถผลิตสินค้าได้มาตรฐาน และปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการและมีคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้า” นายเข้มแข็ง กล่าว
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31973
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนในโครงการ EEC และไทยแลนด์ 4.0
|
วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนในโครงการ EEC และไทยแลนด์ 4.0
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมการประชุมกับ บริษัท หลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จํากัด และบรรดานักลงทุนชั้นนําจากทั่วโลกที่เป็นพันธมิตรกับ ซี แอล เอส เอ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และไทยแลนด์ 4.0 โดยให้ความสําคัญด้านมิติของการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนประเทศ พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ ตลอดจนตอบคําถามที่เกี่ยวข้องในการสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนในประเทศไทยต่อกลุ่มนักลงทุนที่พร้อมจะเติบโตไปกับประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2561 โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ถนนราชดําริ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนในโครงการ EEC และไทยแลนด์ 4.0
วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561
รมว.ดิจิทัลฯ สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนในโครงการ EEC และไทยแลนด์ 4.0
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมการประชุมกับ บริษัท หลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จํากัด และบรรดานักลงทุนชั้นนําจากทั่วโลกที่เป็นพันธมิตรกับ ซี แอล เอส เอ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และไทยแลนด์ 4.0 โดยให้ความสําคัญด้านมิติของการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนประเทศ พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ ตลอดจนตอบคําถามที่เกี่ยวข้องในการสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนในประเทศไทยต่อกลุ่มนักลงทุนที่พร้อมจะเติบโตไปกับประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2561 โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ถนนราชดําริ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
**********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10737
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ส่งเสริมบุคลากรมีบุคลิกภาพที่ดีในการทำงานในยุค 4.0
|
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561
ก.แรงงาน ส่งเสริมบุคลากรมีบุคลิกภาพที่ดีในการทํางานในยุค 4.0
วันที่ 27 มีนาคม 2561 เวลา 09.30 น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “สุขกาย สุขใจในสถานที่ทํางานในยุค Thailand 4.0” ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม อาคารกระทรวงแรงงาน
โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรสังกัดกระทรวงแรงงาน มีความสนใจ มีทักษะในการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง เสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี พัฒนาความสามารถในการสื่อสาร การทํางานเป็นทีม การเรียนรู้ร่วมกัน เสริมสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและการทํางาน เพื่อให้เกิดความสุขในการทํางานร่วมกัน ทั้งหน่วยงานภายในและหน่วยงานภายนอก รวมทั้งเพิ่มความสุขให้แก่ผู้มารับบริการจากกระทรวงแรงงาน โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย ข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากทุกกรมในกระทรวงแรงงาน (ส่วนกลาง) จํานวน 250 คน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ส่งเสริมบุคลากรมีบุคลิกภาพที่ดีในการทำงานในยุค 4.0
วันอังคารที่ 27 มีนาคม 2561
ก.แรงงาน ส่งเสริมบุคลากรมีบุคลิกภาพที่ดีในการทํางานในยุค 4.0
วันที่ 27 มีนาคม 2561 เวลา 09.30 น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “สุขกาย สุขใจในสถานที่ทํางานในยุค Thailand 4.0” ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม อาคารกระทรวงแรงงาน
โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรสังกัดกระทรวงแรงงาน มีความสนใจ มีทักษะในการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง เสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี พัฒนาความสามารถในการสื่อสาร การทํางานเป็นทีม การเรียนรู้ร่วมกัน เสริมสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและการทํางาน เพื่อให้เกิดความสุขในการทํางานร่วมกัน ทั้งหน่วยงานภายในและหน่วยงานภายนอก รวมทั้งเพิ่มความสุขให้แก่ผู้มารับบริการจากกระทรวงแรงงาน โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย ข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากทุกกรมในกระทรวงแรงงาน (ส่วนกลาง) จํานวน 250 คน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11080
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมโรงเรียนเก่าแก่ใน "อ่างทอง"
|
วันอังคารที่ 17 กันยายน 2562
เยี่ยมโรงเรียนเก่าแก่ใน "อ่างทอง"
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนอ่างทองปัทมโรจน์วิทยา อําเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 130 ปี ในจังหวัดอ่างทอง
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ, นายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการ กศน., นายสิทธิพงษ์ พฤกษอาภรณ์ ศึกษาธิการจังหวัดอ่างทอง, นายกวินเกียรติ นันทะ รองเลขาธิการ กช. และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนอ่างทองปัทมโรจน์วิทยา อําเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 130 ปี ในจังหวัดอ่างทอง โดยมีนายเรวัต ประสงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ตลอดจนผู้อํานวยการโรงเรียน คณะครู และนักเรียนให้การต้อนรับ
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวแสดงความยินดี ที่ได้เดินทางมาเยี่ยมโรงเรียนเก่าแก่ของจังหวัดอ่างทอง ซึ่งผลิตกําลังคนที่มีคุณภาพช่วยพัฒนาพื้นที่นี้ และประเทศมาอย่างยาวนาน ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้บริหารสถานศึกษาทุกคน ที่มีส่วนช่วยสนับสนุนเด็กและเยาวชนจังหวัดอ่างทอง ให้มีความพร้อมสมบูรณ์รอบด้าน และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
สําหรับจังหวัดอ่างทอง แม้จะเป็นจังหวัดขนาดเล็ก มีเพียง 7 อําเภอ แต่มีความอุดมสมบูรณ์พร้อมในหลายด้าน อาทิ พืชผักผลไม้หลากหลายชนิด สภาพสังคมที่อบอุ่น และการแบ่งปันสิ่งดีงามให้แก่กัน รวมทั้งการปลูกฝังให้เบาวชนมีระเบียบวินัย รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ และให้ประชาชนในพื้นที่พึ่งพาตนเองได้ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกช่วงวัย ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
ในส่วนของโรงเรียนอ่างทองปัทมโรจน์วิทยา นอกจากประวัติโรงเรียนที่มีความเป็นมายาวนานกว่า 130 ปีแล้ว การจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนแห่งนี้ ก็ถือว่าไม่ธรรมดา ทั้งความโดดเด่นด้านการบริหารที่มีคุณภาพมาตรฐาน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักเรียนได้เป็นตัวแทนจังหวัด เข้าแข่งขันระดับภาค ระดับชาติ และนานาชาติ รวมทั้งเป็นศูนย์ "สะเต็มศึกษา" (STEM) ของ สสวท. และโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ที่จะพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21 ในขณะเดียวกัน ก็มีศักยภาพนําพาประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 ทัดเทียมนานาประเทศในอนาคต
"ขอฝากครูทุกคนเอาใจใส่เด็กนักเรียนของเราทุกกลุ่ม ทั้งเด็กเก่งและเด็กปานกลาง เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนได้พัฒนาตนเอง พร้อมกับสอนให้คิดเป็น วิเคราะห์ได้ ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะด้านต่าง ๆ ควบคู่ไปด้วย ทั้งการประกวดโครงงาน การใช้ภาษาไทย การโต้วาทีในประเด็นเชิงสร้างสรรค์ เป็นต้น
ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่เข้ามารับตําแหน่ง ก็ได้ลงพื้นที่ไปดูงานในความรับผิดชอบ พร้อมรับฟังความคิดเห็นของครูเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้เห็นของจริง และหาแนวทางแก้ปัญหาต่าง ๆ รวมกับผู้บริหารระดับนโยบายและผู้เกี่ยวข้อง จึงเป็นที่มาของการผลักดันนโยบายขยายเพดานค่ารักษาพยาบาลของผู้อํานวยการและครูโรงเรียนเอกชน จากคนละ 1 แสนบาทต่อปี เป็นคนละ 1.5 แสนบาทต่อปี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของครูเอกชนที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายจํานวนมากเอง ให้ได้รักษาตนเองให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างที่ผ่านมา นอกจากนี้ มีแผนที่จะปรับปรุงการเบิกจ่ายตรง และการลดขั้นตอนการเบิกจ่ายให้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่พยายามผลักดัน เพื่อสร้างขวัญและกําลังใจของครูเอกชน ที่ส่งผลโดยตรงต่อการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างเต็มที่ต่อไป" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว.
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เยี่ยมโรงเรียนเก่าแก่ใน "อ่างทอง"
วันอังคารที่ 17 กันยายน 2562
เยี่ยมโรงเรียนเก่าแก่ใน "อ่างทอง"
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนอ่างทองปัทมโรจน์วิทยา อําเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 130 ปี ในจังหวัดอ่างทอง
นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ, นายศรีชัย พรประชาธรรม เลขาธิการ กศน., นายสิทธิพงษ์ พฤกษอาภรณ์ ศึกษาธิการจังหวัดอ่างทอง, นายกวินเกียรติ นันทะ รองเลขาธิการ กช. และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงเรียนอ่างทองปัทมโรจน์วิทยา อําเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 130 ปี ในจังหวัดอ่างทอง โดยมีนายเรวัต ประสงค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ตลอดจนผู้อํานวยการโรงเรียน คณะครู และนักเรียนให้การต้อนรับ
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวแสดงความยินดี ที่ได้เดินทางมาเยี่ยมโรงเรียนเก่าแก่ของจังหวัดอ่างทอง ซึ่งผลิตกําลังคนที่มีคุณภาพช่วยพัฒนาพื้นที่นี้ และประเทศมาอย่างยาวนาน ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ผู้บริหารท้องถิ่น และผู้บริหารสถานศึกษาทุกคน ที่มีส่วนช่วยสนับสนุนเด็กและเยาวชนจังหวัดอ่างทอง ให้มีความพร้อมสมบูรณ์รอบด้าน และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
สําหรับจังหวัดอ่างทอง แม้จะเป็นจังหวัดขนาดเล็ก มีเพียง 7 อําเภอ แต่มีความอุดมสมบูรณ์พร้อมในหลายด้าน อาทิ พืชผักผลไม้หลากหลายชนิด สภาพสังคมที่อบอุ่น และการแบ่งปันสิ่งดีงามให้แก่กัน รวมทั้งการปลูกฝังให้เบาวชนมีระเบียบวินัย รักชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ และให้ประชาชนในพื้นที่พึ่งพาตนเองได้ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทุกช่วงวัย ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
ในส่วนของโรงเรียนอ่างทองปัทมโรจน์วิทยา นอกจากประวัติโรงเรียนที่มีความเป็นมายาวนานกว่า 130 ปีแล้ว การจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนแห่งนี้ ก็ถือว่าไม่ธรรมดา ทั้งความโดดเด่นด้านการบริหารที่มีคุณภาพมาตรฐาน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักเรียนได้เป็นตัวแทนจังหวัด เข้าแข่งขันระดับภาค ระดับชาติ และนานาชาติ รวมทั้งเป็นศูนย์ "สะเต็มศึกษา" (STEM) ของ สสวท. และโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ที่จะพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21 ในขณะเดียวกัน ก็มีศักยภาพนําพาประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 ทัดเทียมนานาประเทศในอนาคต
"ขอฝากครูทุกคนเอาใจใส่เด็กนักเรียนของเราทุกกลุ่ม ทั้งเด็กเก่งและเด็กปานกลาง เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนได้พัฒนาตนเอง พร้อมกับสอนให้คิดเป็น วิเคราะห์ได้ ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะด้านต่าง ๆ ควบคู่ไปด้วย ทั้งการประกวดโครงงาน การใช้ภาษาไทย การโต้วาทีในประเด็นเชิงสร้างสรรค์ เป็นต้น
ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่เข้ามารับตําแหน่ง ก็ได้ลงพื้นที่ไปดูงานในความรับผิดชอบ พร้อมรับฟังความคิดเห็นของครูเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้เห็นของจริง และหาแนวทางแก้ปัญหาต่าง ๆ รวมกับผู้บริหารระดับนโยบายและผู้เกี่ยวข้อง จึงเป็นที่มาของการผลักดันนโยบายขยายเพดานค่ารักษาพยาบาลของผู้อํานวยการและครูโรงเรียนเอกชน จากคนละ 1 แสนบาทต่อปี เป็นคนละ 1.5 แสนบาทต่อปี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของครูเอกชนที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายจํานวนมากเอง ให้ได้รักษาตนเองให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างที่ผ่านมา นอกจากนี้ มีแผนที่จะปรับปรุงการเบิกจ่ายตรง และการลดขั้นตอนการเบิกจ่ายให้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่พยายามผลักดัน เพื่อสร้างขวัญและกําลังใจของครูเอกชน ที่ส่งผลโดยตรงต่อการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนอย่างเต็มที่ต่อไป" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว.
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23166
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยก“ปัตตานีโมเดล”นำร่องรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่
|
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
สธ.ยก“ปัตตานีโมเดล”นําร่องรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่
กระทรวงสาธารณสุข ปรับระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ เชื่อมโยงข้อมูลทั้งระบบเพื่อจัดคัดกรองจัดคิวให้บริการ รวมทั้งการใช้งานห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด งานทันตกรรม โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง นําร่องที่จังหวัดปัตตานี ยกระดับนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ พร้อมผนึกกําล
กระทรวงสาธารณสุข ปรับระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ เชื่อมโยงข้อมูลทั้งระบบเพื่อจัดคัดกรองจัดคิวให้บริการ รวมทั้งการใช้งานห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด งานทันตกรรม โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง นําร่องที่จังหวัดปัตตานี ยกระดับนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ พร้อมผนึกกําลัง อสม.ติดตามผู้ป่วยเพื่อนําข้อมูลมาใช้ในการบริการประชาชนอย่างสูงสุด ท่ามกลางสถานการณ์โควิด 19 ระบาดขณะที่องค์การอนามัยโลกชื่นชม และพร้อมสนับสนุนทุนผลักดันการต่อสู้โควิด 19 ต่อไป
บ่ายวันนี้ (17 มิถุนายน 2563) ที่โรงพยาบาลปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์ธเรศกรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และดร.แดเนียล เคอร์เทซ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย แถลงข่าวการพัฒนารูปแบบระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ (New Normal Medical Service) ในสถานพยาบาลแต่ละระดับในจังหวัดปัตตานี
ดร.สาธิต กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนารูปแบบการให้บริการการแพทย์วิถีใหม่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์อย่างยั่งยืน นําร่องที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 มีเป้าหมาย คือ 1.ให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ (2P Safety) เช่น การผ่าตัดวิถีใหม่ การแพทย์ฉุกเฉินวิถีใหม่ การทําทันตกรรมปลอดภัย 2.การลดความแออัด เน้น 2 กลวิธี คือ จัดระบบการบริการใหม่ เริ่มนําร่องในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง แยกผู้ป่วยเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มควบคุมได้ดี พบแพทย์ครั้งเว้นครั้ง โดยเลือกว่ามาที่โรงพยาบาลหรือผ่านระบบการรักษาทางไกล (Telemedicine) กลุ่มควบคุมได้ปานกลาง ที่มีปัญหาแต่ไม่รุนแรง มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลครั้งเว้นครั้ง และมี อสม. ไปเยี่ยมบ้าน ทั้งกลุ่มควบคุมได้ดีและปานกลางสามารถรับยาผ่านช่องทางด่วนในรอบที่ไม่ต้องพบแพทย์ได้ และกลุ่มที่ควบคุมได้ไม่ดี ยังมีปัญหารุนแรง ต้องมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทุกครั้ง และมีอสม. เยี่ยมบ้าน และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยบริหารจัดการ คัดกรองและลดผู้ป่วยไม่จําเป็นต้องมาโรงพยาบาล และ 3.เพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคมโดยจะขยายการดําเนินงานไปยังระดับภูมิภาคทั่วประเทศต่อไป
ด้าน นายแพทย์สมศักดิ์ กล่าวว่า โครงการพัฒนารูปแบบระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ จังหวัดปัตตานี มุ่งให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสามารถปรับตัวให้เข้ากับฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในช่วงที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคโควิด 19 รวมทั้งพัฒนาการให้บริการของโรงพยาบาลด้วยการนําระบบบริหารจัดการการให้บริการทางการแพทย์ (Model Implementation) ตั้งแต่การคัดกรอง จัดคิวผู้มารับบริการ เพื่อลดความแออัด รวมถึงการให้บริการห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน ด้วยการนําระบบเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการทํางาน ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด
ขณะที่ นายแพทย์ธเรศ กล่าวว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน หรือ อสม. มีบทบาทสําคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการติดตามดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังวิถีใหม่ ที่สามารถเคาะประตูบ้านเก็บข้อมูลผู้ป่วยเพื่อส่งเข้าสู่ระบบการติดตาม ทั้งยังช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการประเมินตัวเองของผู้ป่วยผ่านระบบไอที โปรแกรม/ แอปพลิเคชัน ที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบคัดกรองนัดหมาย และจัดคิวรักษาอย่างเป็นระบบได้ต่อไป ถือว่าเป็นแนวการทํางานภายใต้ระบบการแพทย์วิถีใหม่อย่างเป็นระบบร่วมกัน
ส่วน ดร.แดเนียล เคอเทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ประจําประเทศไทย กล่าวว่า ขอชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ของประเทศไทยทุกคนที่ทุ่มเทการทํางานท่ามกลางการระบาดของโควิด 19 โดยสามารถปรับเปลี่ยนการให้บริการด้วยการแพทย์วิถีใหม่ สะท้อนถึงระบบรากฐานทางสาธารณสุขที่เข้มแข็งของประเทศไทย ทั้งนี้ ทางองค์การอนามัยโลกจะผลักดันแนวทางการแพทย์วิถีใหม่ของประเทศไทยให้เป็นแบบอย่าง และพร้อมสนับสนุนงบประมาณให้กับประเทศไทยในการต่อสู้กับโควิด 19 อย่างเข้มแข็งต่อไป
************************************ 17 มิถุนายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ยก“ปัตตานีโมเดล”นำร่องรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563
สธ.ยก“ปัตตานีโมเดล”นําร่องรูปแบบการแพทย์วิถีใหม่
กระทรวงสาธารณสุข ปรับระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ เชื่อมโยงข้อมูลทั้งระบบเพื่อจัดคัดกรองจัดคิวให้บริการ รวมทั้งการใช้งานห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด งานทันตกรรม โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง นําร่องที่จังหวัดปัตตานี ยกระดับนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ พร้อมผนึกกําล
กระทรวงสาธารณสุข ปรับระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ เชื่อมโยงข้อมูลทั้งระบบเพื่อจัดคัดกรองจัดคิวให้บริการ รวมทั้งการใช้งานห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด งานทันตกรรม โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง นําร่องที่จังหวัดปัตตานี ยกระดับนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ พร้อมผนึกกําลัง อสม.ติดตามผู้ป่วยเพื่อนําข้อมูลมาใช้ในการบริการประชาชนอย่างสูงสุด ท่ามกลางสถานการณ์โควิด 19 ระบาดขณะที่องค์การอนามัยโลกชื่นชม และพร้อมสนับสนุนทุนผลักดันการต่อสู้โควิด 19 ต่อไป
บ่ายวันนี้ (17 มิถุนายน 2563) ที่โรงพยาบาลปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์ธเรศกรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และดร.แดเนียล เคอร์เทซ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย แถลงข่าวการพัฒนารูปแบบระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ (New Normal Medical Service) ในสถานพยาบาลแต่ละระดับในจังหวัดปัตตานี
ดร.สาธิต กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด 19 กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนารูปแบบการให้บริการการแพทย์วิถีใหม่ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์อย่างยั่งยืน นําร่องที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด 19 มีเป้าหมาย คือ 1.ให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ (2P Safety) เช่น การผ่าตัดวิถีใหม่ การแพทย์ฉุกเฉินวิถีใหม่ การทําทันตกรรมปลอดภัย 2.การลดความแออัด เน้น 2 กลวิธี คือ จัดระบบการบริการใหม่ เริ่มนําร่องในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง แยกผู้ป่วยเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มควบคุมได้ดี พบแพทย์ครั้งเว้นครั้ง โดยเลือกว่ามาที่โรงพยาบาลหรือผ่านระบบการรักษาทางไกล (Telemedicine) กลุ่มควบคุมได้ปานกลาง ที่มีปัญหาแต่ไม่รุนแรง มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลครั้งเว้นครั้ง และมี อสม. ไปเยี่ยมบ้าน ทั้งกลุ่มควบคุมได้ดีและปานกลางสามารถรับยาผ่านช่องทางด่วนในรอบที่ไม่ต้องพบแพทย์ได้ และกลุ่มที่ควบคุมได้ไม่ดี ยังมีปัญหารุนแรง ต้องมาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลทุกครั้ง และมีอสม. เยี่ยมบ้าน และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยบริหารจัดการ คัดกรองและลดผู้ป่วยไม่จําเป็นต้องมาโรงพยาบาล และ 3.เพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดความเหลื่อมล้ําทางสังคมโดยจะขยายการดําเนินงานไปยังระดับภูมิภาคทั่วประเทศต่อไป
ด้าน นายแพทย์สมศักดิ์ กล่าวว่า โครงการพัฒนารูปแบบระบบบริการทางการแพทย์วิถีใหม่ จังหวัดปัตตานี มุ่งให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสามารถปรับตัวให้เข้ากับฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในช่วงที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โรคโควิด 19 รวมทั้งพัฒนาการให้บริการของโรงพยาบาลด้วยการนําระบบบริหารจัดการการให้บริการทางการแพทย์ (Model Implementation) ตั้งแต่การคัดกรอง จัดคิวผู้มารับบริการ เพื่อลดความแออัด รวมถึงการให้บริการห้องผ่าตัด ห้องฉุกเฉิน ด้วยการนําระบบเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนการทํางาน ช่วยให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด
ขณะที่ นายแพทย์ธเรศ กล่าวว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน หรือ อสม. มีบทบาทสําคัญในการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการติดตามดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรังวิถีใหม่ ที่สามารถเคาะประตูบ้านเก็บข้อมูลผู้ป่วยเพื่อส่งเข้าสู่ระบบการติดตาม ทั้งยังช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการประเมินตัวเองของผู้ป่วยผ่านระบบไอที โปรแกรม/ แอปพลิเคชัน ที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบคัดกรองนัดหมาย และจัดคิวรักษาอย่างเป็นระบบได้ต่อไป ถือว่าเป็นแนวการทํางานภายใต้ระบบการแพทย์วิถีใหม่อย่างเป็นระบบร่วมกัน
ส่วน ดร.แดเนียล เคอเทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ประจําประเทศไทย กล่าวว่า ขอชื่นชมบุคลากรทางการแพทย์ของประเทศไทยทุกคนที่ทุ่มเทการทํางานท่ามกลางการระบาดของโควิด 19 โดยสามารถปรับเปลี่ยนการให้บริการด้วยการแพทย์วิถีใหม่ สะท้อนถึงระบบรากฐานทางสาธารณสุขที่เข้มแข็งของประเทศไทย ทั้งนี้ ทางองค์การอนามัยโลกจะผลักดันแนวทางการแพทย์วิถีใหม่ของประเทศไทยให้เป็นแบบอย่าง และพร้อมสนับสนุนงบประมาณให้กับประเทศไทยในการต่อสู้กับโควิด 19 อย่างเข้มแข็งต่อไป
************************************ 17 มิถุนายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32445
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เชิญชวนปลูกต้นไม้วันแม่ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
|
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ เชิญชวนปลูกต้นไม้วันแม่ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
กระทรวงเกษตรฯ เชิญชวนปลูกต้นไม้วันแม่ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสเฉลิมพระเกียรติ พระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 ช่วยฟื้นฟูป่าให้อุดมสมบูรณ์ สร้างจิตสํานึกให้ประชาชนรักษ์น้ํา รักษ์ป่า ร
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสเฉลิมพระเกียรติ พระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 ณ โครงการพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือย จังหวัดกาฬสินธุ์ ว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณในการฟื้นฟูป่าไม้ให้อุดมสมบูรณ์ ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากไม้ที่ปลูกได้ สร้างระบบนิเวศน์เกิดความสมดุลธรรมชาติและเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และสํานักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ในพื้นที่ ๗ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อํานาจเจริญ ยโสธร มุกดาหาร และกาฬสินธุ์ จึงจัดให้มีกิจกรรมจิตอาสา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 จํานวน 4,000 ต้น เพื่อสร้างป่า สร้างชีวิต สร้างระบบนิเวศน์ บนวิถีแห่งความพอเพียงเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนโดยรัฐบาลร่วมกับภาคเอกชน และชุมชน ณ พื้นที่โครงการพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือย อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดกาฬสินธุ์
“กิจกรรมปลูกต้นไม้ในวันนี้ เป็นการปลูกโดยยึดแนวเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจัดรูปแบบการปลูกให้เกิดคุณค่า บูรณาการในพื้นที่ให้มีสภาพใกล้เคียงกับป่า สร้างมูลค่าต้นไม้ที่ปลูก ทําให้เป็นทรัพย์และแก้ปัญหาความยากจนในอนาคต โดยการจัดแบ่งพื้นที่ปลูกตามแนวพื้นที่โครงการแก้มลิงหนองเลิงเปือย จัดองค์ประกอบพันธุ์ไม้ตามความเหมาะสม และแบ่งเป็นโซนตามลักษณะของพันธุ์ไม้ อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณและขอให้ทุกภาคส่วนช่วยกันดูแลรักษาต้นไม้ที่ปลูกในวันนี้ให้เจริญเติบโตงอกงามยิ่งขึ้นต่อไป” นายกฤษฎา กล่าว
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงเน้นเรื่องชลประทาน การเกษตร และการพัฒนาชนบท โดยโปรดเกล้าฯ จัดหาแหล่งน้ําให้ราษฎรได้มีน้ําไว้ใช้ในการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ เพราะทรงตระหนักดีว่า “น้ําคือต้นกําเนิดของชีวิต” สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ ก็ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่เกื้อหนุนกัน โดยทรงเน้นเรื่องป่าและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไว้ให้ลูกหลานไทย
“หนองเลิงเปือย” เป็นแหล่งน้ําธรรมชาติสําคัญที่หล่อเลี้ยงผลผลิตทางการเกษตรและการอุปโภคบริโภคของราษฎรในเขตอําเภอกมลาไสย และอําเภอร่องคํา จังหวัดกาฬสินธุ์ มีพื้นที่จํานวน 887 ไร่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงรับโครงการพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือยไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริฯ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2544
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เชิญชวนปลูกต้นไม้วันแม่ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561
กระทรวงเกษตรฯ เชิญชวนปลูกต้นไม้วันแม่ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
กระทรวงเกษตรฯ เชิญชวนปลูกต้นไม้วันแม่ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสเฉลิมพระเกียรติ พระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 ช่วยฟื้นฟูป่าให้อุดมสมบูรณ์ สร้างจิตสํานึกให้ประชาชนรักษ์น้ํา รักษ์ป่า ร
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสเฉลิมพระเกียรติ พระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 ณ โครงการพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือย จังหวัดกาฬสินธุ์ ว่า เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 86 พรรษา 12 สิงหาคม 2561 ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณในการฟื้นฟูป่าไม้ให้อุดมสมบูรณ์ ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากไม้ที่ปลูกได้ สร้างระบบนิเวศน์เกิดความสมดุลธรรมชาติและเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และสํานักงานตรวจบัญชีสหกรณ์ในพื้นที่ ๗ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดอุบลราชธานี ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อํานาจเจริญ ยโสธร มุกดาหาร และกาฬสินธุ์ จึงจัดให้มีกิจกรรมจิตอาสา “เราทําความดี ด้วยหัวใจ” ปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 จํานวน 4,000 ต้น เพื่อสร้างป่า สร้างชีวิต สร้างระบบนิเวศน์ บนวิถีแห่งความพอเพียงเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนโดยรัฐบาลร่วมกับภาคเอกชน และชุมชน ณ พื้นที่โครงการพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือย อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดกาฬสินธุ์
“กิจกรรมปลูกต้นไม้ในวันนี้ เป็นการปลูกโดยยึดแนวเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจัดรูปแบบการปลูกให้เกิดคุณค่า บูรณาการในพื้นที่ให้มีสภาพใกล้เคียงกับป่า สร้างมูลค่าต้นไม้ที่ปลูก ทําให้เป็นทรัพย์และแก้ปัญหาความยากจนในอนาคต โดยการจัดแบ่งพื้นที่ปลูกตามแนวพื้นที่โครงการแก้มลิงหนองเลิงเปือย จัดองค์ประกอบพันธุ์ไม้ตามความเหมาะสม และแบ่งเป็นโซนตามลักษณะของพันธุ์ไม้ อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณและขอให้ทุกภาคส่วนช่วยกันดูแลรักษาต้นไม้ที่ปลูกในวันนี้ให้เจริญเติบโตงอกงามยิ่งขึ้นต่อไป” นายกฤษฎา กล่าว
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ทรงเน้นเรื่องชลประทาน การเกษตร และการพัฒนาชนบท โดยโปรดเกล้าฯ จัดหาแหล่งน้ําให้ราษฎรได้มีน้ําไว้ใช้ในการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ เพราะทรงตระหนักดีว่า “น้ําคือต้นกําเนิดของชีวิต” สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ ก็ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่เกื้อหนุนกัน โดยทรงเน้นเรื่องป่าและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติไว้ให้ลูกหลานไทย
“หนองเลิงเปือย” เป็นแหล่งน้ําธรรมชาติสําคัญที่หล่อเลี้ยงผลผลิตทางการเกษตรและการอุปโภคบริโภคของราษฎรในเขตอําเภอกมลาไสย และอําเภอร่องคํา จังหวัดกาฬสินธุ์ มีพื้นที่จํานวน 887 ไร่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงรับโครงการพัฒนาแก้มลิงหนองเลิงเปือยไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริฯ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2544
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14584
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานเปิดตัวการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน
|
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560
งานเปิดตัวการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน
กระทรวงการคลังจะจัดงานเปิดตัวการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของภาครัฐและหน่วยงานภาคีที่มุ่งมั่นร่วมกัน“ขจัดหนี้นอกระบบในประเทศไทยให้เป็นศูนย์”
นายพรชัย ฐีระเวช รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะจัดงานเปิดตัวการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของภาครัฐและหน่วยงานภาคีที่มุ่งมั่นร่วมกัน“ขจัดหนี้นอกระบบในประเทศไทยให้เป็นศูนย์”โดยให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของลูกหนี้และเจ้าหนี้ควบคู่กันไปอย่างเป็นระบบครบวงจรและต่อเนื่องณห้องประชุมแกรนด์ไดมอนด์บอลรูมอาคารอิมแพ็คฟอรั่มศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานีจังหวัดนนทบุรี ในวันพุธที่ 1 มีนาคม 2560
เวลา 08.00 – 13.00 น.
ในงานดังกล่าวพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีจะกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน”นายอภิศักดิ์ตันติวรวงศ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะมอบใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) รวมทั้ง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสินจะมอบสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ นอกจากนี้ยังจะมีการจัดแสดงนิทรรศการ การเสวนา เรื่อง “ถอดบทเรียนความสําเร็จของการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชน” และการให้คําปรึกษาปัญหาหนี้นอกระบบ
การจัดงานในครั้งนี้มีกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วมงานประมาณ 1,500 คน ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานภาคีและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องผู้แทนจากคณะกรรมการกํากับการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนผู้ว่าราชการจังหวัดผู้แทนจากคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจําจังหวัดและประจํากรุงเทพมหานครผู้แทนจากคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการหารายได้ของลูกหนี้นอกระบบประจําจังหวัดและประจํากรุงเทพมหานครผู้แทนองค์กรการเงินชุมชนและภาคเอกชนที่สนใจประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทําให้คาดว่าการจัดงานในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการแบบเชิงรุกและต่อเนื่องของภาครัฐ อันจะนําไปสู่ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาด้วยความสมัครใจและจริงจังของ
ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทําให้เป้าหมายการขจัดหนี้นอกระบบในประเทศไทยให้เป็นศูนย์สามารถสําเร็จเป็นรูปธรรม
คณะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร.02 2739020 ต่อ 3253 โทรสาร 02 618 3374
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานเปิดตัวการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560
งานเปิดตัวการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน
กระทรวงการคลังจะจัดงานเปิดตัวการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของภาครัฐและหน่วยงานภาคีที่มุ่งมั่นร่วมกัน“ขจัดหนี้นอกระบบในประเทศไทยให้เป็นศูนย์”
นายพรชัย ฐีระเวช รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะจัดงานเปิดตัวการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของภาครัฐและหน่วยงานภาคีที่มุ่งมั่นร่วมกัน“ขจัดหนี้นอกระบบในประเทศไทยให้เป็นศูนย์”โดยให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งในส่วนของลูกหนี้และเจ้าหนี้ควบคู่กันไปอย่างเป็นระบบครบวงจรและต่อเนื่องณห้องประชุมแกรนด์ไดมอนด์บอลรูมอาคารอิมแพ็คฟอรั่มศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานีจังหวัดนนทบุรี ในวันพุธที่ 1 มีนาคม 2560
เวลา 08.00 – 13.00 น.
ในงานดังกล่าวพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีจะกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน”นายอภิศักดิ์ตันติวรวงศ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะมอบใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกํากับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) รวมทั้ง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสินจะมอบสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ นอกจากนี้ยังจะมีการจัดแสดงนิทรรศการ การเสวนา เรื่อง “ถอดบทเรียนความสําเร็จของการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้กับประชาชน” และการให้คําปรึกษาปัญหาหนี้นอกระบบ
การจัดงานในครั้งนี้มีกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าร่วมงานประมาณ 1,500 คน ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานภาคีและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องผู้แทนจากคณะกรรมการกํากับการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชนผู้ว่าราชการจังหวัดผู้แทนจากคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจําจังหวัดและประจํากรุงเทพมหานครผู้แทนจากคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการหารายได้ของลูกหนี้นอกระบบประจําจังหวัดและประจํากรุงเทพมหานครผู้แทนองค์กรการเงินชุมชนและภาคเอกชนที่สนใจประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทําให้คาดว่าการจัดงานในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการแบบเชิงรุกและต่อเนื่องของภาครัฐ อันจะนําไปสู่ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาด้วยความสมัครใจและจริงจังของ
ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทําให้เป้าหมายการขจัดหนี้นอกระบบในประเทศไทยให้เป็นศูนย์สามารถสําเร็จเป็นรูปธรรม
คณะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร.02 2739020 ต่อ 3253 โทรสาร 02 618 3374
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2062
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เผยในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี มีพระราชกระแสห่วงใยประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม โรงครัวจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ในพื้นที่ที่เหมาะสม
|
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรี เผยในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี มีพระราชกระแสห่วงใยประชาชนที่ประสบภัยน้ําท่วม โรงครัวจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ในพื้นที่ที่เหมาะสม
นายกรัฐมนตรี เผยในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี มีพระราชกระแสห่วงใยประชาชนที่ประสบภัยน้ําท่วม โรงครัวจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ในพื้นที่ที่เหมาะสม
วันนี้ (4 ส.ค. 63) เวลา 13.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี มีพระราชกระแสห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในช่วงเวลาที่ผ่านมา จากการประชุมทางไกลระหว่างศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. และราชเลขานุการในพระองค์ มีพระราชกระแสห่วงใยพร้อมทั้งขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันช่วยเหลือประชาชนให้ดีที่สุด ราชเลขานุการในพระองค์ ยังแจ้งว่าขอให้จิตอาสาพระราชทานทุกจังหวัดเปิดโรงครัวพระราชทานในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเป็นมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ รัฐบาลได้สนองพระราโชบายดังกล่าว โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือประชาชน นายกรัฐมนตรียังกล่าวเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงน้ําท่วมหรือมีที่อยู่อาศัยบ้านชั้นเดียว หากมีฝนตกต่อเนื่องยาวนาน ให้ประชาชนเตรียมความพร้อมสําหรับเหตุการณ์อุทกภัย โดยเฉพาะภาคเหนือซึ่งไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์น้ําป่าไหลหลากได้
.........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เผยในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี มีพระราชกระแสห่วงใยประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม โรงครัวจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ในพื้นที่ที่เหมาะสม
วันอังคารที่ 4 สิงหาคม 2563
นายกรัฐมนตรี เผยในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี มีพระราชกระแสห่วงใยประชาชนที่ประสบภัยน้ําท่วม โรงครัวจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ในพื้นที่ที่เหมาะสม
นายกรัฐมนตรี เผยในหลวงและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี มีพระราชกระแสห่วงใยประชาชนที่ประสบภัยน้ําท่วม โรงครัวจิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. ในพื้นที่ที่เหมาะสม
วันนี้ (4 ส.ค. 63) เวลา 13.15 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี มีพระราชกระแสห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในช่วงเวลาที่ผ่านมา จากการประชุมทางไกลระหว่างศูนย์อํานวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน 904 วปร. และราชเลขานุการในพระองค์ มีพระราชกระแสห่วงใยพร้อมทั้งขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันช่วยเหลือประชาชนให้ดีที่สุด ราชเลขานุการในพระองค์ ยังแจ้งว่าขอให้จิตอาสาพระราชทานทุกจังหวัดเปิดโรงครัวพระราชทานในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งเป็นมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดไม่ได้ รัฐบาลได้สนองพระราโชบายดังกล่าว โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือประชาชน นายกรัฐมนตรียังกล่าวเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงน้ําท่วมหรือมีที่อยู่อาศัยบ้านชั้นเดียว หากมีฝนตกต่อเนื่องยาวนาน ให้ประชาชนเตรียมความพร้อมสําหรับเหตุการณ์อุทกภัย โดยเฉพาะภาคเหนือซึ่งไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์น้ําป่าไหลหลากได้
.........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33930
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กทพ. เชิญชวนผู้ใช้ทางพิเศษเปลี่ยนมาใช้บัตร Easy Pass ช่วยลดการแพร่กระจายปลอดภัยจาก COVID-19 [กระทรวงคมนาคม]
|
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
กทพ. เชิญชวนผู้ใช้ทางพิเศษเปลี่ยนมาใช้บัตร Easy Pass ช่วยลดการแพร่กระจายปลอดภัยจาก COVID-19 [กระทรวงคมนาคม]
กทพ. เชิญชวนผู้ใช้ทางพิเศษเปลี่ยนมาใช้บัตร Easy Pass ช่วยลดการแพร่กระจายปลอดภัยจาก COVID-19
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เชิญชวนผู้ใช้ทางพิเศษเปลี่ยนมาใช้บัตร Easy Pass ในการผ่านทางแทนการใช้เงินสดเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับธนบัตรหรือเหรียญที่อาจจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อไวรัสโคโรน่า COVID-19 ซึ่งอาจจะทําให้เกิดการแพร่กระจายไปยังผู้ใช้ทางพิเศษเองหรือตัวพนักงานเก็บค่าผ่านทางพิเศษที่ปฏิบัติงานอยู่ในช่องเก็บค่าผ่านทาง
ทั้งนี้สามารถสมัครใช้บัตร Easy Pass ได้ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษทุกด่าน ทุกสายทางพิเศษ (ยกเว้นทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกฯ) ระหว่างเวลา 05.00 - 22.00 น. หรือที่จุดพักรถสถานีบริการน้ํามันปตท.บางนา (ขาออก ) โดยใช้แค่บัตรประชาชนหรือสําเนาอย่างใดอย่างหนึ่งพร้อมเงินจํานวน 500 บาท (ซึ่ง 500 บาทนี้คือเงินค่าผ่านทางทั้งหมดไม่มีค่าประกันบัตร)
นอกจากนี้ยังสามารถสมัครออนไลน์ผ่าน True Money wallet ซึ่งจะจัดส่งบัตร Easy Pass ให้ถึงบ้าน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1543 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กทพ. เชิญชวนผู้ใช้ทางพิเศษเปลี่ยนมาใช้บัตร Easy Pass ช่วยลดการแพร่กระจายปลอดภัยจาก COVID-19 [กระทรวงคมนาคม]
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
กทพ. เชิญชวนผู้ใช้ทางพิเศษเปลี่ยนมาใช้บัตร Easy Pass ช่วยลดการแพร่กระจายปลอดภัยจาก COVID-19 [กระทรวงคมนาคม]
กทพ. เชิญชวนผู้ใช้ทางพิเศษเปลี่ยนมาใช้บัตร Easy Pass ช่วยลดการแพร่กระจายปลอดภัยจาก COVID-19
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เชิญชวนผู้ใช้ทางพิเศษเปลี่ยนมาใช้บัตร Easy Pass ในการผ่านทางแทนการใช้เงินสดเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับธนบัตรหรือเหรียญที่อาจจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อไวรัสโคโรน่า COVID-19 ซึ่งอาจจะทําให้เกิดการแพร่กระจายไปยังผู้ใช้ทางพิเศษเองหรือตัวพนักงานเก็บค่าผ่านทางพิเศษที่ปฏิบัติงานอยู่ในช่องเก็บค่าผ่านทาง
ทั้งนี้สามารถสมัครใช้บัตร Easy Pass ได้ที่ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษทุกด่าน ทุกสายทางพิเศษ (ยกเว้นทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกฯ) ระหว่างเวลา 05.00 - 22.00 น. หรือที่จุดพักรถสถานีบริการน้ํามันปตท.บางนา (ขาออก ) โดยใช้แค่บัตรประชาชนหรือสําเนาอย่างใดอย่างหนึ่งพร้อมเงินจํานวน 500 บาท (ซึ่ง 500 บาทนี้คือเงินค่าผ่านทางทั้งหมดไม่มีค่าประกันบัตร)
นอกจากนี้ยังสามารถสมัครออนไลน์ผ่าน True Money wallet ซึ่งจะจัดส่งบัตร Easy Pass ให้ถึงบ้าน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1543 ตลอด 24 ชั่วโมง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28679
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแจง สำนักพระราชวังเปิดให้เข้าถวายบังคมพระบรมศพ 30 ก.ย.เป็นวันสุดท้าย ชี้ 317 วันมียอดประชาชนรวมกว่า 10.65 ล้านคน พร้อมยืนยันเตรียมการพระราชพิธีคืบหน้า คาดแล้วเสร็จตามกำหนด
|
วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2560
รัฐบาลแจง สํานักพระราชวังเปิดให้เข้าถวายบังคมพระบรมศพ 30 ก.ย.เป็นวันสุดท้าย ชี้ 317 วันมียอดประชาชนรวมกว่า 10.65 ล้านคน พร้อมยืนยันเตรียมการพระราชพิธีคืบหน้า คาดแล้วเสร็จตามกําหนด
รัฐบาลแจง สํานักพระราชวังเปิดให้เข้าถวายบังคมพระบรมศพ 30 ก.ย.เป็นวันสุดท้าย ชี้ 317 วันมียอดประชาชนรวมกว่า 10.65 ล้านคน พร้อมยืนยันเตรียมการพระราชพิธีคืบหน้า คาดแล้วเสร็จตามกําหนด
วันนี้ (17 กันยายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สํานักพระราชวังได้ออกประกาศ เรื่อง การเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยจะเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 เนื่องจากสํานักพระราชวังจะดําเนินการจัดเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
“ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นวันแรกที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง จนถึงวันที่ 15 กันยายน 2560 รวมเวลา 317 วัน นั้น มีประชาชนเข้ากราบถวายบังคมรวมทั้งสิ้น 10,654,552 คน และมีผู้ถวายเงินเพื่อร่วมบําเพ็ญพระราชกุศล รวมเป็นเงิน 790,646,708.76 บาท”
ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอบคุณเจ้าหน้าที่พลเรือน ตํารวจ ทหาร ภาคเอกชน และจิตอาสาทุกภาคส่วน ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันทําให้การเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ ซึ่งแสดงถึงความจงรักภักดีที่มีต่อองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพรักและเทิดทูนของคนไทย
“นายกฯ ยืนยันว่า การเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในส่วนของรัฐบาลนั้นมีความคืบหน้าไปเป็นลําดับ โดยการจัดสร้างพระเมรุมาศคาดว่าจะแล้วเสร็จตามกําหนดเวลา คือ ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ และขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ทยอยนํางานประติมากรรมและงานประณีตศิลป์เข้าไปติดตั้งแล้ว ส่วนการซักซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ การถ่ายทอดสดและบันทึกภาพภาพเหตุการณ์สําคัญในประวัติศาสตร์การอํานวยความสะดวกพี่น้องประชาชน และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น เป็นไปด้วยความเรียบร้อย”
***************************
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแจง สำนักพระราชวังเปิดให้เข้าถวายบังคมพระบรมศพ 30 ก.ย.เป็นวันสุดท้าย ชี้ 317 วันมียอดประชาชนรวมกว่า 10.65 ล้านคน พร้อมยืนยันเตรียมการพระราชพิธีคืบหน้า คาดแล้วเสร็จตามกำหนด
วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2560
รัฐบาลแจง สํานักพระราชวังเปิดให้เข้าถวายบังคมพระบรมศพ 30 ก.ย.เป็นวันสุดท้าย ชี้ 317 วันมียอดประชาชนรวมกว่า 10.65 ล้านคน พร้อมยืนยันเตรียมการพระราชพิธีคืบหน้า คาดแล้วเสร็จตามกําหนด
รัฐบาลแจง สํานักพระราชวังเปิดให้เข้าถวายบังคมพระบรมศพ 30 ก.ย.เป็นวันสุดท้าย ชี้ 317 วันมียอดประชาชนรวมกว่า 10.65 ล้านคน พร้อมยืนยันเตรียมการพระราชพิธีคืบหน้า คาดแล้วเสร็จตามกําหนด
วันนี้ (17 กันยายน 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สํานักพระราชวังได้ออกประกาศ เรื่อง การเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยจะเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2560 เนื่องจากสํานักพระราชวังจะดําเนินการจัดเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
“ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นวันแรกที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง จนถึงวันที่ 15 กันยายน 2560 รวมเวลา 317 วัน นั้น มีประชาชนเข้ากราบถวายบังคมรวมทั้งสิ้น 10,654,552 คน และมีผู้ถวายเงินเพื่อร่วมบําเพ็ญพระราชกุศล รวมเป็นเงิน 790,646,708.76 บาท”
ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอบคุณเจ้าหน้าที่พลเรือน ตํารวจ ทหาร ภาคเอกชน และจิตอาสาทุกภาคส่วน ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันทําให้การเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและสมพระเกียรติ ซึ่งแสดงถึงความจงรักภักดีที่มีต่อองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่เคารพรักและเทิดทูนของคนไทย
“นายกฯ ยืนยันว่า การเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในส่วนของรัฐบาลนั้นมีความคืบหน้าไปเป็นลําดับ โดยการจัดสร้างพระเมรุมาศคาดว่าจะแล้วเสร็จตามกําหนดเวลา คือ ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ และขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ทยอยนํางานประติมากรรมและงานประณีตศิลป์เข้าไปติดตั้งแล้ว ส่วนการซักซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ การถ่ายทอดสดและบันทึกภาพภาพเหตุการณ์สําคัญในประวัติศาสตร์การอํานวยความสะดวกพี่น้องประชาชน และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องนั้น เป็นไปด้วยความเรียบร้อย”
***************************
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6730
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมนำสื่อมวลชนเยี่ยมชมสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค (OPOAI) ประจำปี พ.ศ.2560
|
วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรมนําสื่อมวลชนเยี่ยมชมสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค (OPOAI) ประจําปี พ.ศ.2560
กระทรวงอุตสาหกรรมนําสื่อมวลชนเยี่ยมชมสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค (OPOAI) ประจําปี พ.ศ.2560
วันนี้ (16 พฤษภาคม 2560) นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมบริษัท ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) จํากัด ตั้งอยู่เลขที่ 336 หมู่ 6 ถนนสุรศักดิ์ ตําบลสุรศักดิ์ อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็ฯสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค (OPOAI) ประจําปี พ.ศ.2560 โดยบริษัทได้ดําเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องหนังจากจระเข้ครบวงจร บนพื้นที่ของฟาร์มและโรงงานรวมประมาณ 250 ไร่ ได้แก่ 1. เลี้ยงดูจระเข้ 2. ผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์สดและแช่เข็ง อบแห้ง และแปรรูป และ 3. โรงฟอกหนังและตัดเย็บผลิตภัณฑ์เครื่องหนังจากจระเข้ โดยมีการจําหน่ายปลีกหน้าฟาร์มภายใต้แบรนด์ SC และ Crocco รวมทั้งรับจ้างผลิตตามแบบที่ลูกค้าต้องการ โดยมีนายสุรพล ชามาตย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเยี่ยมชม และนายสุเมธ ปัญญาสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) จํากัด ให้การต้อนรับ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรมนำสื่อมวลชนเยี่ยมชมสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค (OPOAI) ประจำปี พ.ศ.2560
วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรมนําสื่อมวลชนเยี่ยมชมสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค (OPOAI) ประจําปี พ.ศ.2560
กระทรวงอุตสาหกรรมนําสื่อมวลชนเยี่ยมชมสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค (OPOAI) ประจําปี พ.ศ.2560
วันนี้ (16 พฤษภาคม 2560) นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําทีมสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมบริษัท ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) จํากัด ตั้งอยู่เลขที่ 336 หมู่ 6 ถนนสุรศักดิ์ ตําบลสุรศักดิ์ อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็ฯสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค (OPOAI) ประจําปี พ.ศ.2560 โดยบริษัทได้ดําเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องหนังจากจระเข้ครบวงจร บนพื้นที่ของฟาร์มและโรงงานรวมประมาณ 250 ไร่ ได้แก่ 1. เลี้ยงดูจระเข้ 2. ผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์สดและแช่เข็ง อบแห้ง และแปรรูป และ 3. โรงฟอกหนังและตัดเย็บผลิตภัณฑ์เครื่องหนังจากจระเข้ โดยมีการจําหน่ายปลีกหน้าฟาร์มภายใต้แบรนด์ SC และ Crocco รวมทั้งรับจ้างผลิตตามแบบที่ลูกค้าต้องการ โดยมีนายสุรพล ชามาตย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล รังสิตพล ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเยี่ยมชม และนายสุเมธ ปัญญาสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีราชาฟาร์ม (เอเชีย) จํากัด ให้การต้อนรับ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3758
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือทุกภาคส่วน ประกาศเจตนารมณ์การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ครั้งที่ 2
|
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563
พม. จับมือทุกภาคส่วน ประกาศเจตนารมณ์การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ครั้งที่ 2
พม. จับมือทุกภาคส่วน ประกาศเจตนารมณ์การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ครั้งที่ 2
วันนี้ (20 ก.ค. 63) เวลา 10.00 น.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ เป็นประธานในพิธีประกาศเจตนารมณ์การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่หน่วยงานที่ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์ฯ และมอบเกียรติบัตรแก่สหภาพแรงงานที่ร่วมสนับสนุนการประกาศเจตนารมณ์ฯ ทั้งนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กล่าวรายงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ตัวแทนหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพรรคการเมือง รวมจํานวน 39 หน่วยงาน เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายจุรินทร์กล่าวว่า การประกาศเจตนารมณ์ การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ในวันนี้ นับว่าเป็นการประกาศเจตนารมณ์ ฯ ครั้งที่ 2 ของประเทศไทย โดยครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 และมี 24 หน่วยงานจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ฯ เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันสร้างให้สังคมไทยตระหนักถึงความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ อีกทั้งป้องกันไม่ให้มีการกระทําใดๆ อันเป็นการแบ่งแยกกีดกัน หรือจํากัดสิทธิประโยชน์ เพียงเพราะบุคคลนั้น เป็นเพศชาย เพศหญิง หรือบุคคลที่แสดงออกแตกต่างจากเพศกําเนิด ทั้งนี้ จากการรายงานความก้าวหน้าของหน่วยงานที่ร่วมประกาศเจตนารมณ์ฯ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมา เช่น 1. จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดปทุมธานี ได้ประกาศเจตนารมณ์ เรื่องการส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และ 2. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศมีการพิจารณาเรื่องประกาศการแต่งกายตามเพศสภาพ การจัดทําห้องน้ํา All Gender ภายในมหาวิทยาลัย เป็นต้น นอกจากนี้ การดําเนินงานเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ ยังจําเป็นต้องเร่งรัดการดําเนินงาน 3 ประการ คือ 1) มุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ให้ทุกคนได้รับรู้และเข้าถึงง่าย 2) ปรับเจตคติและค่านิยมของคนในสังคมให้คํานึงถึงความเสมอภาคระหว่างเพศ และยอมรับความหลากหลายทางเพศ และ 3) ร่วมกันขจัดความรุนแรง และเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ผ่านกลไกของรัฐที่มีหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558
นายจุติกล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้ขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาศักยภาพสตรี การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิสตรี และการส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย อีกทั้งผลักดันให้มี พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2558 เป็นต้นมา สําหรับการประกาศเจตนารมณ์ฯ ในวันนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพรรคการเมือง จํานวน 39 หน่วยงานเข้าร่วม ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และรณรงค์ปรับทัศนคติและสร้างการยอมรับของสังคมในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ
นายจุติกล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ พบว่า ภายหลังจากการประกาศเจตนารมณ์ฯ ครั้งแรก หน่วยงานที่ร่วมประกาศเจตนารมณ์ส่วนใหญ่ครบทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ 1) การแต่งกาย ให้บุคลากรหรือนักศึกษาสามารถแต่งกายตามลักษณะเฉพาะทางเพศ ตามข้อบังคับของหน่วยงานหรือสถาบันการศึกษา 2) การจัดพื้นที่ที่เหมาะสมและเอื้อต่อการใช้ประโยชน์สําหรับทุกเพศทุกวัย 3) การประกาศรับสมัครงานและกําหนดคุณสมบัติผู้สมัครงาน ไม่ควรระบุเพศ แต่ควรระบุคุณสมบัติในการปฏิบัติงานที่หน่วยงานต้องการอย่างชัดเจน 4) การใช้ภาษาและท่าทาง หน่วยงานต้องสร้างความรู้ความเข้าใจแก่บุคลากรเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคําหรือภาษาที่เหมาะสมสําหรับใช้เรียกลักษณะเฉพาะทางเพศ หรือท่าทางที่ไม่ควรแสดงออกถึงการมีอคติทางเพศ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการตีตรา เสียดสี หรือลดทอนคุณค่าของบุคคลทุกเพศ 5) การสรรหาคณะกรรมการหรือผู้ดํารงตําแหน่งต่าง ๆ ในหน่วยงาน ควรส่งเสริมให้คนทุกเพศได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นกรรมการในทุกระดับ และ 6) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทํางาน ควรให้ความรู้สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ และมีแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นายจุรินทร์กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอแสดงความชื่นชมกับทุกหน่วยงานที่เข้าร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์ การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ในวันนี้ และขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันดําเนินงานหรือกิจกรรมในการขับเคลื่อนการส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อให้การดําเนินงานสามารถบรรลุผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาประเทศต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จับมือทุกภาคส่วน ประกาศเจตนารมณ์การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ครั้งที่ 2
วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม 2563
พม. จับมือทุกภาคส่วน ประกาศเจตนารมณ์การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ครั้งที่ 2
พม. จับมือทุกภาคส่วน ประกาศเจตนารมณ์การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ครั้งที่ 2
วันนี้ (20 ก.ค. 63) เวลา 10.00 น.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ เป็นประธานในพิธีประกาศเจตนารมณ์การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่หน่วยงานที่ร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์ฯ และมอบเกียรติบัตรแก่สหภาพแรงงานที่ร่วมสนับสนุนการประกาศเจตนารมณ์ฯ ทั้งนี้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กล่าวรายงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ตัวแทนหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพรรคการเมือง รวมจํานวน 39 หน่วยงาน เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ
นายจุรินทร์กล่าวว่า การประกาศเจตนารมณ์ การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ในวันนี้ นับว่าเป็นการประกาศเจตนารมณ์ ฯ ครั้งที่ 2 ของประเทศไทย โดยครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 และมี 24 หน่วยงานจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ฯ เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันสร้างให้สังคมไทยตระหนักถึงความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ อีกทั้งป้องกันไม่ให้มีการกระทําใดๆ อันเป็นการแบ่งแยกกีดกัน หรือจํากัดสิทธิประโยชน์ เพียงเพราะบุคคลนั้น เป็นเพศชาย เพศหญิง หรือบุคคลที่แสดงออกแตกต่างจากเพศกําเนิด ทั้งนี้ จากการรายงานความก้าวหน้าของหน่วยงานที่ร่วมประกาศเจตนารมณ์ฯ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมา เช่น 1. จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดปทุมธานี ได้ประกาศเจตนารมณ์ เรื่องการส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และ 2. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศมีการพิจารณาเรื่องประกาศการแต่งกายตามเพศสภาพ การจัดทําห้องน้ํา All Gender ภายในมหาวิทยาลัย เป็นต้น นอกจากนี้ การดําเนินงานเพื่อส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ ยังจําเป็นต้องเร่งรัดการดําเนินงาน 3 ประการ คือ 1) มุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ให้ทุกคนได้รับรู้และเข้าถึงง่าย 2) ปรับเจตคติและค่านิยมของคนในสังคมให้คํานึงถึงความเสมอภาคระหว่างเพศ และยอมรับความหลากหลายทางเพศ และ 3) ร่วมกันขจัดความรุนแรง และเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ผ่านกลไกของรัฐที่มีหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558
นายจุติกล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้ขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาศักยภาพสตรี การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิสตรี และการส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย อีกทั้งผลักดันให้มี พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2558 เป็นต้นมา สําหรับการประกาศเจตนารมณ์ฯ ในวันนี้ นับเป็นครั้งที่ 2 โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพรรคการเมือง จํานวน 39 หน่วยงานเข้าร่วม ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ และรณรงค์ปรับทัศนคติและสร้างการยอมรับของสังคมในเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ
นายจุติกล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ พบว่า ภายหลังจากการประกาศเจตนารมณ์ฯ ครั้งแรก หน่วยงานที่ร่วมประกาศเจตนารมณ์ส่วนใหญ่ครบทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ 1) การแต่งกาย ให้บุคลากรหรือนักศึกษาสามารถแต่งกายตามลักษณะเฉพาะทางเพศ ตามข้อบังคับของหน่วยงานหรือสถาบันการศึกษา 2) การจัดพื้นที่ที่เหมาะสมและเอื้อต่อการใช้ประโยชน์สําหรับทุกเพศทุกวัย 3) การประกาศรับสมัครงานและกําหนดคุณสมบัติผู้สมัครงาน ไม่ควรระบุเพศ แต่ควรระบุคุณสมบัติในการปฏิบัติงานที่หน่วยงานต้องการอย่างชัดเจน 4) การใช้ภาษาและท่าทาง หน่วยงานต้องสร้างความรู้ความเข้าใจแก่บุคลากรเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคําหรือภาษาที่เหมาะสมสําหรับใช้เรียกลักษณะเฉพาะทางเพศ หรือท่าทางที่ไม่ควรแสดงออกถึงการมีอคติทางเพศ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการตีตรา เสียดสี หรือลดทอนคุณค่าของบุคคลทุกเพศ 5) การสรรหาคณะกรรมการหรือผู้ดํารงตําแหน่งต่าง ๆ ในหน่วยงาน ควรส่งเสริมให้คนทุกเพศได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นกรรมการในทุกระดับ และ 6) การป้องกันและแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทํางาน ควรให้ความรู้สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ และมีแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นายจุรินทร์กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอแสดงความชื่นชมกับทุกหน่วยงานที่เข้าร่วมลงนามประกาศเจตนารมณ์ การส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ในวันนี้ และขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันดําเนินงานหรือกิจกรรมในการขับเคลื่อนการส่งเสริมความเสมอภาคและขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อให้การดําเนินงานสามารถบรรลุผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาประเทศต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33527
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. โดย กรมทรัพยากรธรณีจัดงานครบรอบ ๑๒๖ ปี แถลงเตรียมจัดงานมหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว ครั้งที่ ๓
|
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561
ทส. โดย กรมทรัพยากรธรณีจัดงานครบรอบ ๑๒๖ ปี แถลงเตรียมจัดงานมหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว ครั้งที่ ๓
ทส. โดย กรมทรัพยากรธรณีจัดงานครบรอบ ๑๒๖ ปี แถลงเตรียมจัดงานมหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว ครั้งที่ ๓
วันพฤหัสบดีที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๙ น. เนื่องในโอกาส ครบรอบ ๑๒๖ ปี กรมทรัพยากรธรณี ภายใต้สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศตั้ง “กรมราชโลหกิจและภูมิวิทยา” ขึ้นในกระทรวงเกษตราธิการ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ร.ศ.๑๑๐ (พ.ศ.๒๔๓๔) โดยได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กรมทรัพยากรธรณี" เมื่อครั้งสังกัด กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ภายหลังจากการปฏิรูประบบราชการเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๕ กรมทรัพยากรธรณี จึงได้ย้ายมาสังกัด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และเนื่องในโอกาสอันดีนี้ กรมทรัพยากรธรณีแถลงข่าวเตรียมจัดงานมหกรรมสุดยิ่งใหญ่ในงาน “มหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว” ครั้งที่ ๓ ณ สวนลุมพินี ในระหว่างวันที่ ๑๗ – ๒๑ มกราคม ๒๕๖๑ เพลิดเพลินกับนิทรรศการความรู้ทางธรณีวิทยาผ่านสื่อมัลติมีเดียรูปแบบใหม่ย้อนยุคสู่ดินแดนแห่งโลกไดโนเสาร์ล้านปี ตื่นตากับขบวนพาเหรดไดโนเสาร์เคลื่อนไหวได้เสมือนจริง และโซนกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจที่นํามาจัดบนเนื้อที่กว่า ๑ ไร่
นายทศพร นุชอนงค์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เปิดเผยว่า กรมทรัพยากรธรณีได้ดําเนินการผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงวิชาการภายในพื้นที่ศักยภาพอุทยานธรณี ซึ่งครอบคลุมแหล่ง ธรณีวิทยาที่มีแหล่งธรรมชาติ โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นชุมชน มีการปรับปรุงพื้นที่ และแหล่ง ตามเกณฑ์เพื่อยกระดับการเป็นอุทยานธรณีโลก ทั้งยังช่วยส่งเสริมและสนับสนุน ให้ชุมชนหรือหน่วยงานในท้องถิ่นเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและยังสามารถสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่น รวมถึงเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ตามพื้นที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย งาน“มหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว” ครั้งที่ ๓ แบ่งโซนกิจกรรมหลักทั้งหมด ๕ โซน ประกอบด้วย
๑. โซนนิทรรศการแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาในรูปแบบของ Virtual Tour เรียนรู้เรื่องแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาในระบบทัวร์เสมือนจริง (Virtual Tour) โดยใช้แว่น VR (Virtual Reality Glasses) ซึ่งจะแสดงภาพ หมุนภาพ ลักษณะและรายละเอียดของตําแหน่งสถานที่นั้นๆ เสมือนว่าผู้ชมได้เข้าไปอยู่ในสถานที่นั้นจริงๆ
๒. โซนนิทรรศการไดโนเสาร์ไทย Dino Trail จัดแสดงหุ่นจําลองไดโนเสาร์ จํานวน ๘ ตัวที่มีขนาดและสัดส่วนจริงในระบบนิเวศและป่าดึกดําบรรพ์จําลอง ผ่านรูปแบบนิทรรศการลักษณะเปิดเส้นทาง ท่องเที่ยวโดยขบวนรถไฟ
๓. โซนนิทรรศการพิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา ๗ แห่ง ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์แร่และหิน ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง พิพิธภัณฑ์สิรินธร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติธรณีวิทยาเฉลิมพระเกียรติ ศูนย์วิจัยทรัพยากรแร่และหิน พิพิธภัณฑ์ซากดึกดําบรรพ์ธรณีวิทยาและ ธรรมชาติวิทยาจังหวัดลําปาง และพิพิธภัณฑ์ซากดึกดําบรรพ์ธรณีวิทยาและธรรมชาติวิทยาจังหวัดสุราษฎร์ธานี
๔. โซนกิจกรรมขุดค้นซากดึกดําบรรพ์ ร่วมสนุกกับการจําลองเป็นนักธรณีวิทยาในการขุดค้นซากไดโนเสาร์บริเวณสถานที่จําลองที่ตกแต่งเสมือนจริง
๕. โซนกิจกรรมศิลป์สร้างสรรค์บนก้อนกรวด (Rock Painting) กิจกกรรมวาดภาพ ระบายสีบนก้อนกรวดสีขาว ตามความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง
ทั้งนี้ ยังจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับขบวนพาเหรดไดโนเสาร์ พร้อมร่วมเล่นเกมส์สนุกๆ ลุ้นรับของรางวัลที่กรมทรัพยากรธรณีนํามาแจกมากมายอีกด้วย แล้วพบกันในงาน “มหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว” ครั้งที่ ๓ ย้อนยุคสู่ดินแดนแห่งโลกไดโนเสาร์ล้านปี ระหว่างวันที่ ๑๗ – ๒๑ มกราคม ๒๕๖๑ ตั้งแต่เวลา ๑๒.๐๐ – ๒๒.๐๐ น. ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร
และในวันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๑นี้ พบกับกิจกรรมในงาน วันเด็กแห่งชาติ ประจําปี ๒๕๖๑ น้องๆ หนูๆ จะได้พบกับเหล่าผองเพื่อนไดโนเสาร์ นิทรรศการความรู้ด้านธรณีวิทยา และบรรพชีวิน สนุกสนานกับการขุดค้นซากดึกดําบรรพ์ ร่วมลุ้นรับของรางวัลต่างๆ มากมาย ณ เขตพระราชฐานในพระองค์ฯ ราชวิถี และสวนสัตว์ดุสิต กรุงเทพมหานคร และสําหรับผู้ที่อยู่ในจังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ และปทุมธานี สามารถ เข้าชมพิพิธภัณฑ์ในสังกัดกรมทรัพยากรธรณีทั้ง ๗ แห่ง ได้ฟรี!!! แล้วอย่าลืมไปพบกันในงานวันเด็กแห่งชาติปีนี้กันนะคะ..
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. โดย กรมทรัพยากรธรณีจัดงานครบรอบ ๑๒๖ ปี แถลงเตรียมจัดงานมหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว ครั้งที่ ๓
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561
ทส. โดย กรมทรัพยากรธรณีจัดงานครบรอบ ๑๒๖ ปี แถลงเตรียมจัดงานมหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว ครั้งที่ ๓
ทส. โดย กรมทรัพยากรธรณีจัดงานครบรอบ ๑๒๖ ปี แถลงเตรียมจัดงานมหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว ครั้งที่ ๓
วันพฤหัสบดีที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๙ น. เนื่องในโอกาส ครบรอบ ๑๒๖ ปี กรมทรัพยากรธรณี ภายใต้สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศตั้ง “กรมราชโลหกิจและภูมิวิทยา” ขึ้นในกระทรวงเกษตราธิการ เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ร.ศ.๑๑๐ (พ.ศ.๒๔๓๔) โดยได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กรมทรัพยากรธรณี" เมื่อครั้งสังกัด กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ภายหลังจากการปฏิรูประบบราชการเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๕ กรมทรัพยากรธรณี จึงได้ย้ายมาสังกัด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และเนื่องในโอกาสอันดีนี้ กรมทรัพยากรธรณีแถลงข่าวเตรียมจัดงานมหกรรมสุดยิ่งใหญ่ในงาน “มหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว” ครั้งที่ ๓ ณ สวนลุมพินี ในระหว่างวันที่ ๑๗ – ๒๑ มกราคม ๒๕๖๑ เพลิดเพลินกับนิทรรศการความรู้ทางธรณีวิทยาผ่านสื่อมัลติมีเดียรูปแบบใหม่ย้อนยุคสู่ดินแดนแห่งโลกไดโนเสาร์ล้านปี ตื่นตากับขบวนพาเหรดไดโนเสาร์เคลื่อนไหวได้เสมือนจริง และโซนกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจที่นํามาจัดบนเนื้อที่กว่า ๑ ไร่
นายทศพร นุชอนงค์ อธิบดีกรมทรัพยากรธรณี เปิดเผยว่า กรมทรัพยากรธรณีได้ดําเนินการผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงวิชาการภายในพื้นที่ศักยภาพอุทยานธรณี ซึ่งครอบคลุมแหล่ง ธรณีวิทยาที่มีแหล่งธรรมชาติ โบราณคดี และศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นชุมชน มีการปรับปรุงพื้นที่ และแหล่ง ตามเกณฑ์เพื่อยกระดับการเป็นอุทยานธรณีโลก ทั้งยังช่วยส่งเสริมและสนับสนุน ให้ชุมชนหรือหน่วยงานในท้องถิ่นเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและยังสามารถสร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่น รวมถึงเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ตามพื้นที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย งาน“มหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว” ครั้งที่ ๓ แบ่งโซนกิจกรรมหลักทั้งหมด ๕ โซน ประกอบด้วย
๑. โซนนิทรรศการแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาในรูปแบบของ Virtual Tour เรียนรู้เรื่องแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาในระบบทัวร์เสมือนจริง (Virtual Tour) โดยใช้แว่น VR (Virtual Reality Glasses) ซึ่งจะแสดงภาพ หมุนภาพ ลักษณะและรายละเอียดของตําแหน่งสถานที่นั้นๆ เสมือนว่าผู้ชมได้เข้าไปอยู่ในสถานที่นั้นจริงๆ
๒. โซนนิทรรศการไดโนเสาร์ไทย Dino Trail จัดแสดงหุ่นจําลองไดโนเสาร์ จํานวน ๘ ตัวที่มีขนาดและสัดส่วนจริงในระบบนิเวศและป่าดึกดําบรรพ์จําลอง ผ่านรูปแบบนิทรรศการลักษณะเปิดเส้นทาง ท่องเที่ยวโดยขบวนรถไฟ
๓. โซนนิทรรศการพิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยา ๗ แห่ง ประกอบด้วย พิพิธภัณฑ์แร่และหิน ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง พิพิธภัณฑ์สิรินธร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติธรณีวิทยาเฉลิมพระเกียรติ ศูนย์วิจัยทรัพยากรแร่และหิน พิพิธภัณฑ์ซากดึกดําบรรพ์ธรณีวิทยาและ ธรรมชาติวิทยาจังหวัดลําปาง และพิพิธภัณฑ์ซากดึกดําบรรพ์ธรณีวิทยาและธรรมชาติวิทยาจังหวัดสุราษฎร์ธานี
๔. โซนกิจกรรมขุดค้นซากดึกดําบรรพ์ ร่วมสนุกกับการจําลองเป็นนักธรณีวิทยาในการขุดค้นซากไดโนเสาร์บริเวณสถานที่จําลองที่ตกแต่งเสมือนจริง
๕. โซนกิจกรรมศิลป์สร้างสรรค์บนก้อนกรวด (Rock Painting) กิจกกรรมวาดภาพ ระบายสีบนก้อนกรวดสีขาว ตามความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง
ทั้งนี้ ยังจะได้ตื่นตาตื่นใจไปกับขบวนพาเหรดไดโนเสาร์ พร้อมร่วมเล่นเกมส์สนุกๆ ลุ้นรับของรางวัลที่กรมทรัพยากรธรณีนํามาแจกมากมายอีกด้วย แล้วพบกันในงาน “มหกรรมเปิดโลกธรณีวิทยาเพื่อการท่องเที่ยว” ครั้งที่ ๓ ย้อนยุคสู่ดินแดนแห่งโลกไดโนเสาร์ล้านปี ระหว่างวันที่ ๑๗ – ๒๑ มกราคม ๒๕๖๑ ตั้งแต่เวลา ๑๒.๐๐ – ๒๒.๐๐ น. ณ สวนลุมพินี กรุงเทพมหานคร
และในวันเสาร์ที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๖๑นี้ พบกับกิจกรรมในงาน วันเด็กแห่งชาติ ประจําปี ๒๕๖๑ น้องๆ หนูๆ จะได้พบกับเหล่าผองเพื่อนไดโนเสาร์ นิทรรศการความรู้ด้านธรณีวิทยา และบรรพชีวิน สนุกสนานกับการขุดค้นซากดึกดําบรรพ์ ร่วมลุ้นรับของรางวัลต่างๆ มากมาย ณ เขตพระราชฐานในพระองค์ฯ ราชวิถี และสวนสัตว์ดุสิต กรุงเทพมหานคร และสําหรับผู้ที่อยู่ในจังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ และปทุมธานี สามารถ เข้าชมพิพิธภัณฑ์ในสังกัดกรมทรัพยากรธรณีทั้ง ๗ แห่ง ได้ฟรี!!! แล้วอย่าลืมไปพบกันในงานวันเด็กแห่งชาติปีนี้กันนะคะ..
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9327
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ที่เชียงรายและเชียงใหม่ ติดตามการดำเนินงานโครงการร้อยใจรักษ์ เพื่อแก้ปัญหายาเสพติด
|
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561
รมว.ศธ.ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ที่เชียงรายและเชียงใหม่ ติดตามการดําเนินงานโครงการร้อยใจรักษ์ เพื่อแก้ปัญหายาเสพติด
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เพื่อติดตามการดําเนินงานตามนโยบายและโครงการของรัฐบาล เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เพื่อติดตามการดําเนินงานตามนโยบายและโครงการของรัฐบาลเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) โดยมี พล.อ.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายสมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา, นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, น.ส.อุษณีย์ ธโนศวรรย์ เลขาธิการ ก.ค.ศ.ตลอดจนศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ฯลฯ ลงพื้นที่
มอบนโยบายแก้ปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา:โครงการร้อยใจรักษ์
ที่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จังหวัดเชียงราย
ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์นําเสนอความเป็นมาและการดําเนินงานของโครงการร้อยใจรักษ์ว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้น้อมนําแนวพระดําริของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ที่ทรงห่วงใยพื้นที่บ้านห้วยส้าน ตําบลท่าตอน อําเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ภายใต้กลุ่มอิทธิพลยาเสพติดอย่างยาวนาน
จึงได้เริ่มดําเนินโครงการ "ร้อยใจรักษ์"เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่เป้าหมายโดยน้อมนําศาสตร์พระราชา ในหลวงรัชกาลที่9เป็นแนวทางดําเนินการตามโครงการด้วยการสร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพ เน้นการลดรายจ่ายสร้างรายได้ในครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีลําดับการพัฒนาให้มีความ “อยู่รอด พอเพียง และยั่งยืน” ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนาศักยภาพของคนในชุมชน ให้มีทักษะ มีองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการดํารงชีวิต และสามารถเข้าถึงและบริหารจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันแก่ชุมชนเป้าหมายต่อปัญหายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายอื่น ๆ
วิธีการทํางาน คือ นําครูและชาวบ้านในพื้นที่ห้วยส้าน ไปดูงานจัดการเรียนการสอนที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง ไม่เน้นสอนตามหลักสูตรที่เป็นวิชาการที่ดอยตุง จากนั้นเอาความรู้กลับมาพัฒนาการเรียนการสอนที่โรงเรียนในพื้นที่
นพ.ธีระเกียรติกล่าวว่า การเดินทางลงพื้นที่ ครม.สัญจร ครั้งนี้ เพื่อต้องการดูแลเรื่องสําคัญที่สุดคือ "ปัญหายาเสพติด" เพราะขณะนี้ได้รับข้อมูลจากธนาคารโลกและโครงการร้อยใจรักษ์อย่างชัดเจนว่าปัญหายาเสพติดของประเทศไทยมีการขยายตัวขึ้นมาก ซึ่งรัฐบาลทําเรื่องควบคุมปราบปรามอย่างเดียวคงไม่เพียงพอพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ได้ให้ความสําคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงต้องมาทบทวนว่าสามารถทําอะไรได้อีกบ้าง
ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้ขอให้หน่วยงานในสังกัดทั้ง3จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของโครงการร้อยใจรักษ์อย่างเต็มที่โดยสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) จะต้องพิจารณาโรงเรียนที่เสี่ยงก่อน หรือโรงเรียนที่โครงการร้อยใจรักษ์เข้าไปดําเนินการแล้ว ขณะที่การทํางานในภาพรวมของ ศธ. เกี่ยวกับการติดตามเด็กที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ต้องมีการปรับรื้อระบบแน่นอน เนื่องจากข้อมูลที่รายงานมาจากแต่ละหน่วยงานยังไม่สอดคล้องกัน ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการเปิดใจให้กว้างและร่วมมือกับหน่วยงานอื่นเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่มีความชัดเจนมากขึ้น
ในส่วนของโรงเรียนจะต้องมีการสอนเรื่องยาเสพติดแบบง่าย ๆ เพื่อให้รู้ว่ายาเสพติดมีโทษอย่างไร เนื่องจากระบบติดตามเด็กที่ดีที่สุดคือ การที่ครูถือว่าเด็กทุกคนคือลูกของตนเอง และเน้นย้ําว่าภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดสําหรับเด็กคือ การรักเด็ก รู้จักเด็ก สอนเด็กว่าอะไรดีและไม่ดี เข้าใจสถานะทางบ้านเด็ก หากเด็กติดยาแล้วต้องส่งไปบําบัดในสถานที่ที่ดีและให้ความรักแก่เด็กได้ สิ่งสําคัญที่สุดเพื่อไม่ให้เด็กติดยาเสพติดคือ เด็กต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ความเสี่ยงน้อย ชุมชนมีความเจริญ เป็นชุมชนที่มีคุณธรรม มีกฎเกณฑ์ และมีหลักนิติธรรมที่ดีสําหรับพื้นที่อื่นอาจจะต้องมาศึกษาดูว่าโครงการร้อยใจรักษ์มีขั้นตอนการทํางานอย่างไร ซึ่งคาดว่าจะสามารถดําเนินการในลักษณะแบบโครงการร้อยใจรักษ์ให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ในการประชุม ครม.สัญจร ที่จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ ศธ.จะเสนอรายงานข้อมูลการติดตามแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยขณะนี้มอบให้ ปลัด ศธ.จัดทํารายละเอียด
ตรวจเยี่ยมโครงการร้อยใจรักษ์
ที่ห้วยส้านโมเดล อําเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน รมว.ศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการร้อยใจรักษ์ ห้วยส้านโมเดล อําเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้พบปะกับผู้บริหาร ครู และผู้ปกครองในโรงเรียน ตชด. ศึกษานารีอนุสรณ์ 3 อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ในนามของรัฐบาล รู้สึกยินดีที่ได้มาพบปะและรับทราบผลการดําเนินงานด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดําเนินการแก้ปัญหายาเสพติดของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งการศึกษากับการป้องกันยาเสพติดเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ เพราะหากบุตรหลานของเรามีการศึกษาที่ดี ก็จะรู้จักผิดชอบชั่วดี และไม่ไปพึ่งยาเสพติด แม้ว่าจะเติบโตในบรรยากาศที่เสี่ยงต่อการติดยาเสพติด
ปัจจุบันปัญหาเรื่องยาเสพติดเปรียบเสมือนสึนามิหรือพายุไต้ฝุ่นที่ถาโถมเข้ามา หากศธ.ยังใช้วิธีการเดิม ๆ อาจไม่ได้ผล โดยวิธีที่ดีที่สุดคือการใช้ "หัวใจ" ดูแลเด็ก กล่าวคือ ครูต้องรักเด็กเหมือนรักลูกของตน ต้องรู้ปัญหาที่แท้จริง เข้าใจสถานะทางบ้าน และไม่ควรคิดว่าเด็กติดยาเสพติดเพราะมีจิตใจอ่อนแอ เพราะหากวิเคราะห์สถานการณ์จริงแล้ว เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากเราเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงกับยาเสพติด เราก็อาจจะติดยาเสพติดได้เช่นเดียวกัน
สําหรับโรงเรียน ตชด. ศึกษานารีอนุสรณ์ 3ได้พัฒนาการศึกษาตามโครงการร้อยใจรักษ์ อาทิ การจัดการเรียนการสอนตามแนวทางมอนเตสซอรี่ ซึ่งมุ่งเน้นพัฒนาการ 4 ด้าน คือ
1) พัฒนาการด้านร่างกายซึ่งเป็นการพัฒนาโดยผ่านสื่อประสาทสัมผัสทั้ง 5 ด้านของเด็ก
2) พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจเพื่อฝึกให้เด็กมีความมุ่งมั่นในการทํากิจกรรม มีอิสระในการเรียนรู้ตรง ตามความต้องการและความสามารถ
3) พัฒนาการด้านสังคมทําให้เด็กได้แสดงออกถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยธรรมชาติ และเด็กจะเกิดระเบียบวินัยทางสังคม
4) พัฒนาการด้านสติปัญญาโดยเด็กได้เรียนรู้โดยการซึมซับเริ่มจากการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว สื่อประสบการณ์ และกระบวนการต่างๆ รวมทั้งกระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาระงานเป็นฐาน (TaskBased Learning) ที่มุ่งเน้นให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการทํากิจกรรม ได้ระดมความคิดทําภาระงานให้สําเร็จ และนําเสนอผลงานของตนเอง ซึ่งครูและนักเรียนได้ร่วมกันวิเคราะห์การนําเสนอผลงานของนักเรียนแต่ละกลุ่ม และมีการสรุปความคิดรวบยอดให้ตรงกับสาระสําคัญ เป็นต้น
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น,ปารัชญ์ ไชยเวช
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, อธิชนม์ สลางสิงห์
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ที่เชียงรายและเชียงใหม่ ติดตามการดำเนินงานโครงการร้อยใจรักษ์ เพื่อแก้ปัญหายาเสพติด
วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561
รมว.ศธ.ลงพื้นที่ ครม.สัญจร ที่เชียงรายและเชียงใหม่ ติดตามการดําเนินงานโครงการร้อยใจรักษ์ เพื่อแก้ปัญหายาเสพติด
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เพื่อติดตามการดําเนินงานตามนโยบายและโครงการของรัฐบาล เมื่อวันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561 ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เพื่อติดตามการดําเนินงานตามนโยบายและโครงการของรัฐบาลเมื่อวันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2561ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 8/2561 กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) โดยมี พล.อ.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, รศ.นพ.ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายสมศักดิ์ ดลประสิทธิ์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา, นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, น.ส.อุษณีย์ ธโนศวรรย์ เลขาธิการ ก.ค.ศ.ตลอดจนศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ฯลฯ ลงพื้นที่
มอบนโยบายแก้ปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา:โครงการร้อยใจรักษ์
ที่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จังหวัดเชียงราย
ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธานมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์นําเสนอความเป็นมาและการดําเนินงานของโครงการร้อยใจรักษ์ว่า มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้น้อมนําแนวพระดําริของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ที่ทรงห่วงใยพื้นที่บ้านห้วยส้าน ตําบลท่าตอน อําเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ภายใต้กลุ่มอิทธิพลยาเสพติดอย่างยาวนาน
จึงได้เริ่มดําเนินโครงการ "ร้อยใจรักษ์"เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่เป้าหมายโดยน้อมนําศาสตร์พระราชา ในหลวงรัชกาลที่9เป็นแนวทางดําเนินการตามโครงการด้วยการสร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพ เน้นการลดรายจ่ายสร้างรายได้ในครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีลําดับการพัฒนาให้มีความ “อยู่รอด พอเพียง และยั่งยืน” ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนาศักยภาพของคนในชุมชน ให้มีทักษะ มีองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการดํารงชีวิต และสามารถเข้าถึงและบริหารจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสร้างภูมิคุ้มกันแก่ชุมชนเป้าหมายต่อปัญหายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายอื่น ๆ
วิธีการทํางาน คือ นําครูและชาวบ้านในพื้นที่ห้วยส้าน ไปดูงานจัดการเรียนการสอนที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง ไม่เน้นสอนตามหลักสูตรที่เป็นวิชาการที่ดอยตุง จากนั้นเอาความรู้กลับมาพัฒนาการเรียนการสอนที่โรงเรียนในพื้นที่
นพ.ธีระเกียรติกล่าวว่า การเดินทางลงพื้นที่ ครม.สัญจร ครั้งนี้ เพื่อต้องการดูแลเรื่องสําคัญที่สุดคือ "ปัญหายาเสพติด" เพราะขณะนี้ได้รับข้อมูลจากธนาคารโลกและโครงการร้อยใจรักษ์อย่างชัดเจนว่าปัญหายาเสพติดของประเทศไทยมีการขยายตัวขึ้นมาก ซึ่งรัฐบาลทําเรื่องควบคุมปราบปรามอย่างเดียวคงไม่เพียงพอพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็ได้ให้ความสําคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการจึงต้องมาทบทวนว่าสามารถทําอะไรได้อีกบ้าง
ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการได้ขอให้หน่วยงานในสังกัดทั้ง3จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของโครงการร้อยใจรักษ์อย่างเต็มที่โดยสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) จะต้องพิจารณาโรงเรียนที่เสี่ยงก่อน หรือโรงเรียนที่โครงการร้อยใจรักษ์เข้าไปดําเนินการแล้ว ขณะที่การทํางานในภาพรวมของ ศธ. เกี่ยวกับการติดตามเด็กที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ต้องมีการปรับรื้อระบบแน่นอน เนื่องจากข้อมูลที่รายงานมาจากแต่ละหน่วยงานยังไม่สอดคล้องกัน ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการเปิดใจให้กว้างและร่วมมือกับหน่วยงานอื่นเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่มีความชัดเจนมากขึ้น
ในส่วนของโรงเรียนจะต้องมีการสอนเรื่องยาเสพติดแบบง่าย ๆ เพื่อให้รู้ว่ายาเสพติดมีโทษอย่างไร เนื่องจากระบบติดตามเด็กที่ดีที่สุดคือ การที่ครูถือว่าเด็กทุกคนคือลูกของตนเอง และเน้นย้ําว่าภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดสําหรับเด็กคือ การรักเด็ก รู้จักเด็ก สอนเด็กว่าอะไรดีและไม่ดี เข้าใจสถานะทางบ้านเด็ก หากเด็กติดยาแล้วต้องส่งไปบําบัดในสถานที่ที่ดีและให้ความรักแก่เด็กได้ สิ่งสําคัญที่สุดเพื่อไม่ให้เด็กติดยาเสพติดคือ เด็กต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ความเสี่ยงน้อย ชุมชนมีความเจริญ เป็นชุมชนที่มีคุณธรรม มีกฎเกณฑ์ และมีหลักนิติธรรมที่ดีสําหรับพื้นที่อื่นอาจจะต้องมาศึกษาดูว่าโครงการร้อยใจรักษ์มีขั้นตอนการทํางานอย่างไร ซึ่งคาดว่าจะสามารถดําเนินการในลักษณะแบบโครงการร้อยใจรักษ์ให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ในการประชุม ครม.สัญจร ที่จังหวัดเชียงราย ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ ศธ.จะเสนอรายงานข้อมูลการติดตามแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยขณะนี้มอบให้ ปลัด ศธ.จัดทํารายละเอียด
ตรวจเยี่ยมโครงการร้อยใจรักษ์
ที่ห้วยส้านโมเดล อําเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
ช่วงบ่ายวันเดียวกัน รมว.ศึกษาธิการ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการร้อยใจรักษ์ ห้วยส้านโมเดล อําเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้พบปะกับผู้บริหาร ครู และผู้ปกครองในโรงเรียน ตชด. ศึกษานารีอนุสรณ์ 3 อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ในนามของรัฐบาล รู้สึกยินดีที่ได้มาพบปะและรับทราบผลการดําเนินงานด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดําเนินการแก้ปัญหายาเสพติดของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งการศึกษากับการป้องกันยาเสพติดเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ เพราะหากบุตรหลานของเรามีการศึกษาที่ดี ก็จะรู้จักผิดชอบชั่วดี และไม่ไปพึ่งยาเสพติด แม้ว่าจะเติบโตในบรรยากาศที่เสี่ยงต่อการติดยาเสพติด
ปัจจุบันปัญหาเรื่องยาเสพติดเปรียบเสมือนสึนามิหรือพายุไต้ฝุ่นที่ถาโถมเข้ามา หากศธ.ยังใช้วิธีการเดิม ๆ อาจไม่ได้ผล โดยวิธีที่ดีที่สุดคือการใช้ "หัวใจ" ดูแลเด็ก กล่าวคือ ครูต้องรักเด็กเหมือนรักลูกของตน ต้องรู้ปัญหาที่แท้จริง เข้าใจสถานะทางบ้าน และไม่ควรคิดว่าเด็กติดยาเสพติดเพราะมีจิตใจอ่อนแอ เพราะหากวิเคราะห์สถานการณ์จริงแล้ว เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากเราเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงกับยาเสพติด เราก็อาจจะติดยาเสพติดได้เช่นเดียวกัน
สําหรับโรงเรียน ตชด. ศึกษานารีอนุสรณ์ 3ได้พัฒนาการศึกษาตามโครงการร้อยใจรักษ์ อาทิ การจัดการเรียนการสอนตามแนวทางมอนเตสซอรี่ ซึ่งมุ่งเน้นพัฒนาการ 4 ด้าน คือ
1) พัฒนาการด้านร่างกายซึ่งเป็นการพัฒนาโดยผ่านสื่อประสาทสัมผัสทั้ง 5 ด้านของเด็ก
2) พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจเพื่อฝึกให้เด็กมีความมุ่งมั่นในการทํากิจกรรม มีอิสระในการเรียนรู้ตรง ตามความต้องการและความสามารถ
3) พัฒนาการด้านสังคมทําให้เด็กได้แสดงออกถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยธรรมชาติ และเด็กจะเกิดระเบียบวินัยทางสังคม
4) พัฒนาการด้านสติปัญญาโดยเด็กได้เรียนรู้โดยการซึมซับเริ่มจากการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว สื่อประสบการณ์ และกระบวนการต่างๆ รวมทั้งกระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ภาระงานเป็นฐาน (TaskBased Learning) ที่มุ่งเน้นให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการทํากิจกรรม ได้ระดมความคิดทําภาระงานให้สําเร็จ และนําเสนอผลงานของตนเอง ซึ่งครูและนักเรียนได้ร่วมกันวิเคราะห์การนําเสนอผลงานของนักเรียนแต่ละกลุ่ม และมีการสรุปความคิดรวบยอดให้ตรงกับสาระสําคัญ เป็นต้น
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น,ปารัชญ์ ไชยเวช
Photo Creditยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี, อธิชนม์ สลางสิงห์
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16380
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมบังคับคดีได้รับเลือกให้ทำหน้าที่เป็นผู้สรุปรายงานการประชุม Rapporteur ของที่ประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) คณะทำงานที่ ๖ ว่าด้ว
|
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561
อธิบดีกรมบังคับคดีได้รับเลือกให้ทําหน้าที่เป็นผู้สรุปรายงานการประชุม Rapporteur ของที่ประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) คณะทํางานที่ ๖ ว่าด้ว
อธิบดีกรมบังคับคดีได้รับเลือกให้ทําหน้าที่เป็นผู้สรุปรายงานการประชุม Rapporteur ของที่ประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) คณะทํางานที่ ๖ ว่าด้วยกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
เมื่อวันพุธที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๙.๔๕ น. ที่ประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) คณะทํางานที่ ๖ ว่าด้วยกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ได้มีมติแต่งตั้งให้ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ทําหน้าที่เป็นผู้สรุปรายงานการประชุม Rapporteur ของที่ประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) คณะทํางานที่ ๖ ว่าด้วยกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ตามที่ผู้แทนจากสมาพันธ์รัฐสวิสเสนอ และผู้แทนจากสาธารณรัฐเกาหลี และประเทศญี่ปุ่นให้การรับรองข้อเสนอของผู้แทนจากสมาพันธ์รัฐสวิส ซึ่งนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี จะทําหน้าที่เป็นผู้สรุปรายงานประชุมในช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑
นอกจากนี้ ในการประชุมช่วงเช้า อธิบดีกรมบังคับคดีได้แสดงความเห็นต่อที่ประชุม โดยสนับสนุนข้อเสนอของผู้แทนราชอาณาจักรสเปนที่เสนอว่า เอกสารเกี่ยวกับการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจขนาดเล็ก Micro Business ควรเพิ่มประเด็นเรื่องการที่เจ้าหนี้ไม่สามารถอายัดเงินของลูกหนี้ตามวงเงินขั้นต่ําที่กฎหมายเกี่ยวกับการบังคับคดีกําหนด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อธิบดีกรมบังคับคดีได้รับเลือกให้ทำหน้าที่เป็นผู้สรุปรายงานการประชุม Rapporteur ของที่ประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) คณะทำงานที่ ๖ ว่าด้ว
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2561
อธิบดีกรมบังคับคดีได้รับเลือกให้ทําหน้าที่เป็นผู้สรุปรายงานการประชุม Rapporteur ของที่ประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) คณะทํางานที่ ๖ ว่าด้ว
อธิบดีกรมบังคับคดีได้รับเลือกให้ทําหน้าที่เป็นผู้สรุปรายงานการประชุม Rapporteur ของที่ประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) คณะทํางานที่ ๖ ว่าด้วยกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
เมื่อวันพุธที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๙.๔๕ น. ที่ประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) คณะทํางานที่ ๖ ว่าด้วยกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ได้มีมติแต่งตั้งให้ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ทําหน้าที่เป็นผู้สรุปรายงานการประชุม Rapporteur ของที่ประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (UNCITRAL) คณะทํางานที่ ๖ ว่าด้วยกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ตามที่ผู้แทนจากสมาพันธ์รัฐสวิสเสนอ และผู้แทนจากสาธารณรัฐเกาหลี และประเทศญี่ปุ่นให้การรับรองข้อเสนอของผู้แทนจากสมาพันธ์รัฐสวิส ซึ่งนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี จะทําหน้าที่เป็นผู้สรุปรายงานประชุมในช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๑
นอกจากนี้ ในการประชุมช่วงเช้า อธิบดีกรมบังคับคดีได้แสดงความเห็นต่อที่ประชุม โดยสนับสนุนข้อเสนอของผู้แทนราชอาณาจักรสเปนที่เสนอว่า เอกสารเกี่ยวกับการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจขนาดเล็ก Micro Business ควรเพิ่มประเด็นเรื่องการที่เจ้าหนี้ไม่สามารถอายัดเงินของลูกหนี้ตามวงเงินขั้นต่ําที่กฎหมายเกี่ยวกับการบังคับคดีกําหนด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17628
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ มุ่งมั่นหนุนโครงการเกษตรสร้างชาติ
|
วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563
กระทรวงเกษตรฯ มุ่งมั่นหนุนโครงการเกษตรสร้างชาติ
กระทรวงเกษตรฯ มุ่งมั่นหนุนโครงการเกษตรสร้างชาติ สร้างโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน 50,000 ล้านบาท
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากผลกระทบภัยพิบัติ อุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้นอย่างซ้ําซากได้ส่งผลกระทบให้เกษตรกรไม่สามารถทําการเกษตรได้ตามปกติ ผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายและได้รับผลกระทบด้านราคาตกต่ําจากคุณภาพผลผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน เกษตรกรสูญเสียรายได้ ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ รัฐบาล และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมีนโยบายจัดทําโครงการเกษตรสร้างชาติ ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมทางการเลี้ยงสัตว์ และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมปศุสัตว์ ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.)โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถภาคเกษตรกรรมของไทย ฟื้นฟูอาชีพแก่เกษตรกร บรรเทา ความเดือดร้อนเสียหายอันเนื่องมาจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และผลกระทบจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ํา พร้อมทั้งสนับสนุนการจัดการตลาดผลิตผลการเกษตร
นายวิวัฒน์ ไชยชะอุ่ม ผู้อํานวยการกองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความก้าวหน้าของ โครงการเกษตรสร้างชาติ ซึ่งมีเจตนารมณ์ในการส่งเสริมการผลิตด้านการเกษตร ทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ และประมง และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง โดยการสร้างโอกาสให้เกษตรกรได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พ.ย.62 และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส.เมื่อวันที่ 29 พ.ย.62 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดําเนินโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย วงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี ระยะเวลา 3 ปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 3.50 ต่อปี นับแต่วันกู้ ไม่เกินวันที่ 30 พ.ย.68 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินประชาชน สถาบันการเงินชุมชน สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม และผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร
ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์มีการดําเนินการส่งเสริมด้านการตลาดและการพัฒนาผลผลิตสัตว์เศรษฐกิจทุกชนิดอาทิ
โคเนื้อ กระบือ แพะ ไก่พื้นเมือง เป็ดเทศ สุกร เป็นต้น โดยส่วนของการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว กรมปศุสัตว์ ดําเนินการประชุมชี้แจงผู้บริหารกรมปศุสัตว์และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ ร่วมกับ ธ.ก.ส.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 โดยมีเป้าหมายดําเนินการลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์(Kick off) ทั่วประเทศ โดยในช่วงเดือน มกราคม 2563 ที่ผ่านมาได้ดําเนินการKick off ในหลายพื้นที่ อาทิ จังหวัดขอนแก่น สุพรรณบุรี เชียงใหม่ นครปฐม นครศรีธรรมราช และพัทลุงเป็นต้น ขณะนี้จังหวัดต่างๆ อยู่ในช่วงเสนอคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฯ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดลงนาม สําหรับส่วนกลางอยู่ระหว่างการทวนสอบคู่มือการปฏิบัติงานร่วมกับธ.ก.ส. คาดว่าจะแล้วเสร็จและส่งให้ผู้ปฏิบัติงานใช้เป็นคู่มือในการปฏิบัติงานได้ภายในไม่เกิน 1 สัปดาห์ต่อจากนี้ โดยตามโครงการกําหนดกระบวนงานไว้ทั้งหมด 5 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1. ประชาสัมพันธ์/ค้นหากลุ่มเป้าหมาย ขั้นตอนที่ 2 จัดทําแผนชุมชน/แผนธุรกิจ ขั้นตอนที่ 3 สมัครเข้าร่วมโครงการ ขั้นตอนที่ 4 ติดต่อขอสินเชื่อ และขั้นตอนที่ 5 ดําเนินการโครงการ ซึ่งการดําเนินกระบวนงานในขั้นตอนที่ 1, 2 และ 3 ได้กําหนดไว้ในช่วงเดือนมกราคม ถึงกุมภาพันธ์ 2563 และคาดว่าจะสามารถขอรับการสนับสนุนสินเชื่อและจ่ายสินเชื่อได้ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภายใต้นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชน ให้สามารถประกอบอาชีพและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ มุ่งมั่นหนุนโครงการเกษตรสร้างชาติ
วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563
กระทรวงเกษตรฯ มุ่งมั่นหนุนโครงการเกษตรสร้างชาติ
กระทรวงเกษตรฯ มุ่งมั่นหนุนโครงการเกษตรสร้างชาติ สร้างโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน 50,000 ล้านบาท
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากผลกระทบภัยพิบัติ อุทกภัยและภัยแล้งที่เกิดขึ้นอย่างซ้ําซากได้ส่งผลกระทบให้เกษตรกรไม่สามารถทําการเกษตรได้ตามปกติ ผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายและได้รับผลกระทบด้านราคาตกต่ําจากคุณภาพผลผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน เกษตรกรสูญเสียรายได้ ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ รัฐบาล และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมีนโยบายจัดทําโครงการเกษตรสร้างชาติ ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งเสริมทางการเลี้ยงสัตว์ และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง ระหว่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมปศุสัตว์ ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.)โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถภาคเกษตรกรรมของไทย ฟื้นฟูอาชีพแก่เกษตรกร บรรเทา ความเดือดร้อนเสียหายอันเนื่องมาจากภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติ และผลกระทบจากราคาพืชผลการเกษตรตกต่ํา พร้อมทั้งสนับสนุนการจัดการตลาดผลิตผลการเกษตร
นายวิวัฒน์ ไชยชะอุ่ม ผู้อํานวยการกองส่งเสริมและพัฒนาการปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความก้าวหน้าของ โครงการเกษตรสร้างชาติ ซึ่งมีเจตนารมณ์ในการส่งเสริมการผลิตด้านการเกษตร ทั้งด้านพืช ปศุสัตว์ และประมง และกิจการที่เกี่ยวเนื่อง โดยการสร้างโอกาสให้เกษตรกรได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พ.ย.62 และมติคณะกรรมการ ธ.ก.ส.เมื่อวันที่ 29 พ.ย.62 เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดําเนินโครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย วงเงินสินเชื่อ 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี ระยะเวลา 3 ปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 3.50 ต่อปี นับแต่วันกู้ ไม่เกินวันที่ 30 พ.ย.68 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินประชาชน สถาบันการเงินชุมชน สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม และผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร
ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์มีการดําเนินการส่งเสริมด้านการตลาดและการพัฒนาผลผลิตสัตว์เศรษฐกิจทุกชนิดอาทิ
โคเนื้อ กระบือ แพะ ไก่พื้นเมือง เป็ดเทศ สุกร เป็นต้น โดยส่วนของการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว กรมปศุสัตว์ ดําเนินการประชุมชี้แจงผู้บริหารกรมปศุสัตว์และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ ร่วมกับ ธ.ก.ส.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 โดยมีเป้าหมายดําเนินการลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์(Kick off) ทั่วประเทศ โดยในช่วงเดือน มกราคม 2563 ที่ผ่านมาได้ดําเนินการKick off ในหลายพื้นที่ อาทิ จังหวัดขอนแก่น สุพรรณบุรี เชียงใหม่ นครปฐม นครศรีธรรมราช และพัทลุงเป็นต้น ขณะนี้จังหวัดต่างๆ อยู่ในช่วงเสนอคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฯ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดลงนาม สําหรับส่วนกลางอยู่ระหว่างการทวนสอบคู่มือการปฏิบัติงานร่วมกับธ.ก.ส. คาดว่าจะแล้วเสร็จและส่งให้ผู้ปฏิบัติงานใช้เป็นคู่มือในการปฏิบัติงานได้ภายในไม่เกิน 1 สัปดาห์ต่อจากนี้ โดยตามโครงการกําหนดกระบวนงานไว้ทั้งหมด 5 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1. ประชาสัมพันธ์/ค้นหากลุ่มเป้าหมาย ขั้นตอนที่ 2 จัดทําแผนชุมชน/แผนธุรกิจ ขั้นตอนที่ 3 สมัครเข้าร่วมโครงการ ขั้นตอนที่ 4 ติดต่อขอสินเชื่อ และขั้นตอนที่ 5 ดําเนินการโครงการ ซึ่งการดําเนินกระบวนงานในขั้นตอนที่ 1, 2 และ 3 ได้กําหนดไว้ในช่วงเดือนมกราคม ถึงกุมภาพันธ์ 2563 และคาดว่าจะสามารถขอรับการสนับสนุนสินเชื่อและจ่ายสินเชื่อได้ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน ฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภายใต้นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชน ให้สามารถประกอบอาชีพและสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26324
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมติดตามการดำเนินงานโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ตามนโยบายของรัฐบาล
|
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
การประชุมติดตามการดําเนินงานโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ตามนโยบายของรัฐบาล
การประชุมติดตามการดําเนินงานโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ตามนโยบายของรัฐบาล ณ ห้องประชุม สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
วันนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมติดตามการดําเนินงานโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ตามนโยบายของรัฐบาล ณ ห้องประชุม สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ได้สั่งการให้ผู้รับผิดชอบโครงการต่างๆ ต้องบูรณาการการทํางานร่วมกันระหว่าง สสว. กสอ. ธพว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยต้องเร่งการทํางานให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะมาตรการกองทุนช่วยเหลือ SME ให้เร่งรัดดําเนินการโดยด่วน เพื่อตอบโจทย์นโยบายของรัฐบาล เป็นไปตามความต้องการของผู้ประกอบการ SME สิ่งสําคัญต้องให้ความสะดวก และเข้าถึงบริการของภาครัฐได้ทุกกลุ่ม ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จะติดตามประเมินผลการดําเนินงานโดยจะเข้ามาประชุมที่ สสว. อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมติดตามการดำเนินงานโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ตามนโยบายของรัฐบาล
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561
การประชุมติดตามการดําเนินงานโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ตามนโยบายของรัฐบาล
การประชุมติดตามการดําเนินงานโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ตามนโยบายของรัฐบาล ณ ห้องประชุม สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
วันนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในการประชุมติดตามการดําเนินงานโครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ตามนโยบายของรัฐบาล ณ ห้องประชุม สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ได้สั่งการให้ผู้รับผิดชอบโครงการต่างๆ ต้องบูรณาการการทํางานร่วมกันระหว่าง สสว. กสอ. ธพว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยต้องเร่งการทํางานให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะมาตรการกองทุนช่วยเหลือ SME ให้เร่งรัดดําเนินการโดยด่วน เพื่อตอบโจทย์นโยบายของรัฐบาล เป็นไปตามความต้องการของผู้ประกอบการ SME สิ่งสําคัญต้องให้ความสะดวก และเข้าถึงบริการของภาครัฐได้ทุกกลุ่ม ทั้งนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จะติดตามประเมินผลการดําเนินงานโดยจะเข้ามาประชุมที่ สสว. อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10048
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีอินเดียพร้อมสนับสนุนแนวทางของไทย ส่งเสริมความยั่งยืนในภูมิภาค พร้อมสนับสนุน RCEP ให้บรรลุผลสำเร็จโดยเร็ว
|
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561
นายกรัฐมนตรีอินเดียพร้อมสนับสนุนแนวทางของไทย ส่งเสริมความยั่งยืนในภูมิภาค พร้อมสนับสนุน RCEP ให้บรรลุผลสําเร็จโดยเร็ว
นายกรัฐมนตรีอินเดียพร้อมสนับสนุนแนวทางของไทย ส่งเสริมความยั่งยืนในภูมิภาค พร้อมสนับสนุน RCEP ให้บรรลุผลสําเร็จโดยเร็ว
วันนี้ (14 พ.ย. 2561) เวลา 16.40 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนายนเรนทร โมที (Mr. Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องหารือทวิภาคี ศูนย์การประชุมและนิทรรศการซันเทค สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยพลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้
ไทย ในฐานะประธานอาเซียนในปี 2562 ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ เพื่ออาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รวมทั้งส่งเสริมเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและอินโด-แปซิฟิก
การเป็นผู้ประสานงานอาเซียน-อินเดีย ระหว่างปี ค.ศ. 2018-2021 ไทยมุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อาเซียนและอินเดียให้มีความก้าวหน้าในทุกมิติ โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมโยงในทุกรูปแบบ รวมถึงการขยายมูลค่าการค้าและการลงทุนของทั้งสองฝ่าย ผ่านการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดียอย่างเต็มที่และพัฒนาขีดความสามารถของ MSMEs โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัลให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ไทยยังมุ่งส่งเสริมความร่วมมือทางทะเล เช่น การเชื่อมโยงท่าเรือสําคัญทางภาคตะวันออกของอินเดียและภาคตะวันตกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจภาคทะเล และสนับสนุนการหารือเชิงนโยบายเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือภาคทะเล
นายกรัฐมนตรีอินเดียยินดีสนับสนุนบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียนในปีหน้า และพร้อมส่งเสริมความตกลงอาร์เซ็ปให้บรรลุการเจรจาสําเร็จโดยมีผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีอินเดียพร้อมสนับสนุนแนวทางของไทย ส่งเสริมความยั่งยืนในภูมิภาค พร้อมสนับสนุน RCEP ให้บรรลุผลสำเร็จโดยเร็ว
วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561
นายกรัฐมนตรีอินเดียพร้อมสนับสนุนแนวทางของไทย ส่งเสริมความยั่งยืนในภูมิภาค พร้อมสนับสนุน RCEP ให้บรรลุผลสําเร็จโดยเร็ว
นายกรัฐมนตรีอินเดียพร้อมสนับสนุนแนวทางของไทย ส่งเสริมความยั่งยืนในภูมิภาค พร้อมสนับสนุน RCEP ให้บรรลุผลสําเร็จโดยเร็ว
วันนี้ (14 พ.ย. 2561) เวลา 16.40 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนายนเรนทร โมที (Mr. Narendra Modi) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดียระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องหารือทวิภาคี ศูนย์การประชุมและนิทรรศการซันเทค สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยพลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้
ไทย ในฐานะประธานอาเซียนในปี 2562 ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ เพื่ออาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง รวมทั้งส่งเสริมเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและอินโด-แปซิฟิก
การเป็นผู้ประสานงานอาเซียน-อินเดีย ระหว่างปี ค.ศ. 2018-2021 ไทยมุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อาเซียนและอินเดียให้มีความก้าวหน้าในทุกมิติ โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมโยงในทุกรูปแบบ รวมถึงการขยายมูลค่าการค้าและการลงทุนของทั้งสองฝ่าย ผ่านการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดียอย่างเต็มที่และพัฒนาขีดความสามารถของ MSMEs โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัลให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ไทยยังมุ่งส่งเสริมความร่วมมือทางทะเล เช่น การเชื่อมโยงท่าเรือสําคัญทางภาคตะวันออกของอินเดียและภาคตะวันตกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและการพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจภาคทะเล และสนับสนุนการหารือเชิงนโยบายเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือภาคทะเล
นายกรัฐมนตรีอินเดียยินดีสนับสนุนบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียนในปีหน้า และพร้อมส่งเสริมความตกลงอาร์เซ็ปให้บรรลุการเจรจาสําเร็จโดยมีผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16798
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลขอขยายโควตา ส่งข้าวอินทรีย์ไปตลาด EU
|
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561
รัฐบาลขอขยายโควตา ส่งข้าวอินทรีย์ไปตลาด EU
จากเดิม 2,000 ตัน เป็น 5,000 ตัน เพื่อสร้างรายได้จากการส่งออกและส่งเสริมให้แก่เกษตรกรผลิตข้าวอินทรีย์และข้าวมาตรฐาน GAP มากขึ้น
พฤหัสบดีที่ 15 พ.ย.61
รัฐบาลขอขยายโควตา ส่งข้าวอินทรีย์ไปตลาด EU
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเตรียมขยายโควตาการส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรปจากเดิม 2,000 ตัน เป็น 5,000 ตัน เพื่อสร้างรายได้จากการส่งออกและส่งเสริมให้แก่เกษตรกรผลิตข้าวอินทรีย์และข้าวมาตรฐาน GAP มากขึ้น โดยที่ผ่านมาภาครัฐได้จัดทําโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร จับคู่กลุ่มชาวนากับผู้ประกอบการค้าข้าวให้ซื้อขายผลผลิตระหว่างกัน ภายใต้การดูแลให้สินเชื่อ ตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการตลาด และสนับสนุนการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป เนื่องจากในปัจจุบันตลาดโลกมีความต้องการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ปลอดภัย ผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการตลาดนําการผลิตด้านการเกษตรของรัฐบาล
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลขอขยายโควตา ส่งข้าวอินทรีย์ไปตลาด EU
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561
รัฐบาลขอขยายโควตา ส่งข้าวอินทรีย์ไปตลาด EU
จากเดิม 2,000 ตัน เป็น 5,000 ตัน เพื่อสร้างรายได้จากการส่งออกและส่งเสริมให้แก่เกษตรกรผลิตข้าวอินทรีย์และข้าวมาตรฐาน GAP มากขึ้น
พฤหัสบดีที่ 15 พ.ย.61
รัฐบาลขอขยายโควตา ส่งข้าวอินทรีย์ไปตลาด EU
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเตรียมขยายโควตาการส่งออกข้าวไปยังสหภาพยุโรปจากเดิม 2,000 ตัน เป็น 5,000 ตัน เพื่อสร้างรายได้จากการส่งออกและส่งเสริมให้แก่เกษตรกรผลิตข้าวอินทรีย์และข้าวมาตรฐาน GAP มากขึ้น โดยที่ผ่านมาภาครัฐได้จัดทําโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร จับคู่กลุ่มชาวนากับผู้ประกอบการค้าข้าวให้ซื้อขายผลผลิตระหว่างกัน ภายใต้การดูแลให้สินเชื่อ ตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการตลาด และสนับสนุนการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป เนื่องจากในปัจจุบันตลาดโลกมีความต้องการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ ปลอดภัย ผ่านกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการตลาดนําการผลิตด้านการเกษตรของรัฐบาล
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16828
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการประชุมร่วม ครม. คสช. พร้อมอวยพรประชาชนเนื่องในเทศกาลปีใหม่นี้
|
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2559
นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการประชุมร่วม ครม. คสช. พร้อมอวยพรประชาชนเนื่องในเทศกาลปีใหม่นี้
นายกรัฐมนตรี สั่งการเจ้าหน้าทุกหน่วยงานดูแลพี่น้องประชาชนในช่วงวันหยุดยาว พร้อมชี้แจงการใช้ ม.44 เพื่อความจําเป็น และเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนเท่านั้น
วันนี้ (27 ธันวาคม 2559) เวลา 14:10 น. ณ ห้องโถงตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังการประชุม ครม. ร่วมกับ คสช. ว่า วันนี้รัฐบาลได้เป็นห่วงความเดือดร้อนของประชาชนมากกว่าเรื่องของการเมืองที่คาดเดาได้ยาก สําหรับผู้ที่มีความคิดต่างจากรัฐบาล ควรมีความคิดที่จะทําเพื่อประเทศชาติเป็นสิ่งสําคัญที่สุด และควรเน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมที่จะดําเนินการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สุขของคนในประเทศเป็นหลักด้วย
ประเด็นเรื่อง มาตรการกวดขันในช่วงปีใหม่นั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ทาง คสช. และหน่วยงานต่าง ๆ ได้เตรียมความพร้อมในวางมาตรการดูแลพี่น้องประชาชนไว้เรียบร้อยแล้ว และได้สั่งการย้ําให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการให้บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ที่สงบมากที่สุด และไม่ให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น อีกทั้งขอฝากความร่วมมือไปยังภาคเอกชนให้ช่วยกันเฝ้าระวังและแจ้งเตือนการก่อให้เกิดความรุนแรง รวมไปถึงงดการดื่มสุราในระหว่างการขับขี่ยานพาหนะ และอย่าฝากความหวังให้เจ้าหน้าที่ดูแลเพียงอย่างเดียว เพราะประชาชนสามารถระมัดระวังอุบัติเหตุได้ดีที่สุด และไม่มีใครดูแลตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า วันหยุดในช่วงปีใหม่ซึ่งจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2559 - 3 มกราคม 2560 มิใช่จะเริ่มตั้งแต่ วันที่ 30 ธันวาคม ที่จะถึงนี้
ส่วนเรื่อง การจารกรรมข้อมูลทางรัฐบาลโดยกลุ่มแฮคเกอร์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กําลังดําเนินการเร่งจับตัวผู้กระทําความผิดรวมไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องมาดําเนินคดี ซึ่งการก่อเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย จะต้องนําตัวมาดําเนินคดี ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนไม่ควรยกย่องถึงความสามารถของผู้ที่กระทําความผิด ควรที่จะคํานึงว่าการนําข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่นมาเผยแพร่เป็นความผิดหรือไม่ สังคมควรทําความเข้าใจเพื่อหยุดกระบวนการเหล่านี้ให้ได้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ตอบคําถามเรื่อง การทําเหมืองแร่ของบริษัทอังคราว่า ขณะนี้เป็นการสั่งการให้ชะลอการทําเหมืองแร่ไปก่อน ไม่ได้มีคําสั่งให้ระงับแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เพื่อรอการออก พรบ. เหมืองแร่ และการจัดตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการทําเหมืองแร่ให้ดูแลและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างดีที่สุด
ส่วนเรื่อง การใช้ ม.44 นายกรัฐมนตรีย้ําว่า เป็นเพียงการทํางานในการเสริมกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชสุขนของพี่น้องประชาชนมากที่สุด และเพื่อเร่งการทํางานที่ติดขัดโดยกฎหมาย ทั้งในเรื่องการแก้ไขกฎหมาย อย. เพื่อให้สามารถผลิตยาสมุนไพรพื้นบ้าน โดยการนําไปสู่การวิจัยและพัฒนา ซึ่งจะทําให้พี่น้องชาวไทยมียารักษาโรคใช้ในราคาถูกได้
ประเด็นเรื่อง คดีวัดพระธรรมกาย นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า กําลังดําเนินการอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลกําลังเร่งควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบ ซึ่งที่ผ่านมาการดําเนินการดังกล่าว กระทรวงยุติธรรมและ DSI ได้ดําเนินการตามขั้นตอนไปเรียบร้อยแล้วทั้งสิ้น ขณะนี้เป็นการรอการดําเนินการในการบังคับใช้กฎหมายโดยหลีกเลี่ยงการเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงจากการปะทะต่อไป
นอกจากนี้ ในประเด็นเรื่อง รถไฟสีม่วงเดิมที่ยังไม่เสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เส้นทางรถไฟดังกล่าว เกี่ยวข้องไปถึงรถไฟสายอื่นด้วย รัฐบาลจึงจําเป็นต้องใช้ ม.44 ให้สามารถทํางานได้สําเร็จในปลายปี 2560 ซึ่งรัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวกับผลประโยชน์แต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน เรื่องการตั้งคณะกรรมการปฎิรูป นายกรัฐมนตรีย้ําว่า เป็นคณะกรรมการที่รวบรวมนโยบายและผลงานการดําเนินงานที่ที่ผ่านมารวมกันให้เกิดความชัดเจน เพื่อการปฏิรูป โดยนํา
แม่น้ํา 5 สาย ร่วมกับยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี เร่งดําเนินการให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด และที่สําคัญจะเป็นแนวทางให้กับรัฐบาลในชุดต่อไป
ตอนท้ายของการให้สัมภาษณ์ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวอวยพรว่า ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ได้รับพรจากอํานาจคุณพระศรีรัตนตรัย พร้อมเดชะพระบารมีขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนารถ และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ได้ทรงปกป้องคุมครองให้ประชาชนคนไทยทั้งหมด สื่อมวลชน รวมไปถึงชาวต่างประเทศซึ่งเป็นผู้ที่พํานักอยู่ในประเทศไทย ขอให้มีความสุขความเจริญทั้งในเรื่องหน้าที่การงานและในเรื่องส่วนตัวตลอดไป
---------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการประชุมร่วม ครม. คสช. พร้อมอวยพรประชาชนเนื่องในเทศกาลปีใหม่นี้
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2559
นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการประชุมร่วม ครม. คสช. พร้อมอวยพรประชาชนเนื่องในเทศกาลปีใหม่นี้
นายกรัฐมนตรี สั่งการเจ้าหน้าทุกหน่วยงานดูแลพี่น้องประชาชนในช่วงวันหยุดยาว พร้อมชี้แจงการใช้ ม.44 เพื่อความจําเป็น และเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนเท่านั้น
วันนี้ (27 ธันวาคม 2559) เวลา 14:10 น. ณ ห้องโถงตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังการประชุม ครม. ร่วมกับ คสช. ว่า วันนี้รัฐบาลได้เป็นห่วงความเดือดร้อนของประชาชนมากกว่าเรื่องของการเมืองที่คาดเดาได้ยาก สําหรับผู้ที่มีความคิดต่างจากรัฐบาล ควรมีความคิดที่จะทําเพื่อประเทศชาติเป็นสิ่งสําคัญที่สุด และควรเน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมที่จะดําเนินการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สุขของคนในประเทศเป็นหลักด้วย
ประเด็นเรื่อง มาตรการกวดขันในช่วงปีใหม่นั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ทาง คสช. และหน่วยงานต่าง ๆ ได้เตรียมความพร้อมในวางมาตรการดูแลพี่น้องประชาชนไว้เรียบร้อยแล้ว และได้สั่งการย้ําให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการให้บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ที่สงบมากที่สุด และไม่ให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น อีกทั้งขอฝากความร่วมมือไปยังภาคเอกชนให้ช่วยกันเฝ้าระวังและแจ้งเตือนการก่อให้เกิดความรุนแรง รวมไปถึงงดการดื่มสุราในระหว่างการขับขี่ยานพาหนะ และอย่าฝากความหวังให้เจ้าหน้าที่ดูแลเพียงอย่างเดียว เพราะประชาชนสามารถระมัดระวังอุบัติเหตุได้ดีที่สุด และไม่มีใครดูแลตัวเราได้ดีกว่าตัวเราเอง ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า วันหยุดในช่วงปีใหม่ซึ่งจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2559 - 3 มกราคม 2560 มิใช่จะเริ่มตั้งแต่ วันที่ 30 ธันวาคม ที่จะถึงนี้
ส่วนเรื่อง การจารกรรมข้อมูลทางรัฐบาลโดยกลุ่มแฮคเกอร์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กําลังดําเนินการเร่งจับตัวผู้กระทําความผิดรวมไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องมาดําเนินคดี ซึ่งการก่อเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย จะต้องนําตัวมาดําเนินคดี ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนไม่ควรยกย่องถึงความสามารถของผู้ที่กระทําความผิด ควรที่จะคํานึงว่าการนําข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่นมาเผยแพร่เป็นความผิดหรือไม่ สังคมควรทําความเข้าใจเพื่อหยุดกระบวนการเหล่านี้ให้ได้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ตอบคําถามเรื่อง การทําเหมืองแร่ของบริษัทอังคราว่า ขณะนี้เป็นการสั่งการให้ชะลอการทําเหมืองแร่ไปก่อน ไม่ได้มีคําสั่งให้ระงับแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เพื่อรอการออก พรบ. เหมืองแร่ และการจัดตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการทําเหมืองแร่ให้ดูแลและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายอย่างดีที่สุด
ส่วนเรื่อง การใช้ ม.44 นายกรัฐมนตรีย้ําว่า เป็นเพียงการทํางานในการเสริมกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชสุขนของพี่น้องประชาชนมากที่สุด และเพื่อเร่งการทํางานที่ติดขัดโดยกฎหมาย ทั้งในเรื่องการแก้ไขกฎหมาย อย. เพื่อให้สามารถผลิตยาสมุนไพรพื้นบ้าน โดยการนําไปสู่การวิจัยและพัฒนา ซึ่งจะทําให้พี่น้องชาวไทยมียารักษาโรคใช้ในราคาถูกได้
ประเด็นเรื่อง คดีวัดพระธรรมกาย นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า กําลังดําเนินการอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลกําลังเร่งควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบ ซึ่งที่ผ่านมาการดําเนินการดังกล่าว กระทรวงยุติธรรมและ DSI ได้ดําเนินการตามขั้นตอนไปเรียบร้อยแล้วทั้งสิ้น ขณะนี้เป็นการรอการดําเนินการในการบังคับใช้กฎหมายโดยหลีกเลี่ยงการเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงจากการปะทะต่อไป
นอกจากนี้ ในประเด็นเรื่อง รถไฟสีม่วงเดิมที่ยังไม่เสร็จสิ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เส้นทางรถไฟดังกล่าว เกี่ยวข้องไปถึงรถไฟสายอื่นด้วย รัฐบาลจึงจําเป็นต้องใช้ ม.44 ให้สามารถทํางานได้สําเร็จในปลายปี 2560 ซึ่งรัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวกับผลประโยชน์แต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน เรื่องการตั้งคณะกรรมการปฎิรูป นายกรัฐมนตรีย้ําว่า เป็นคณะกรรมการที่รวบรวมนโยบายและผลงานการดําเนินงานที่ที่ผ่านมารวมกันให้เกิดความชัดเจน เพื่อการปฏิรูป โดยนํา
แม่น้ํา 5 สาย ร่วมกับยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี เร่งดําเนินการให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด และที่สําคัญจะเป็นแนวทางให้กับรัฐบาลในชุดต่อไป
ตอนท้ายของการให้สัมภาษณ์ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวอวยพรว่า ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ได้รับพรจากอํานาจคุณพระศรีรัตนตรัย พร้อมเดชะพระบารมีขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนารถ และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ได้ทรงปกป้องคุมครองให้ประชาชนคนไทยทั้งหมด สื่อมวลชน รวมไปถึงชาวต่างประเทศซึ่งเป็นผู้ที่พํานักอยู่ในประเทศไทย ขอให้มีความสุขความเจริญทั้งในเรื่องหน้าที่การงานและในเรื่องส่วนตัวตลอดไป
---------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1133
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560
|
วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – มกราคม 2560) จัดเก็บได้ 724,017 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 15,401 ล้านบาท
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – มกราคม 2560) จัดเก็บได้ 724,017 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 15,401 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.2 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.7) มีสาเหตุจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ 14,001 และ 8,875 ล้านบาท หรือร้อยละ 25.1 และ 21.8 ตามลําดับ สําหรับภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย ได้แก่ ภาษีน้ํามัน ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเบียร์”
นายกฤษฎาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณยังคงสูงกว่าเป้าหมาย โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ กระทรวงการคลังจะติดตามดูแลให้การจัดเก็บรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้”
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – มกราคม 2560) และเดือนมกราคม 2560
เดือนมกราคม 2560 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 171,539 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 12,121 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.6 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.4) ส่งผลให้ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – มกราคม 2560) รายได้รัฐบาลสุทธิมีจํานวน 724,017 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 15,401 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.2 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.7)
1. ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – มกราคม 2560) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 724,017 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 15,401 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.2 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.7) โดยเป็นการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจที่สูงกว่าประมาณการ อย่างไรก็ดีที่ผลการจัดเก็บรายได้ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วเนื่องจากในช่วงเดียวกันปีที่แล้วมีรายได้จากการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคม (3G และ 4G) เป็นสําคัญ
ผลการจัดเก็บรายได้ตามหน่วยงานจัดเก็บสรุปได้ ดังนี้
1.1 กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้รวม 498,580 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 3,995 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.8 แต่ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วจํานวน 12,124 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.5 โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าเป้าหมายที่สําคัญ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ํากว่าเป้าหมาย 7,108 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.8 (สูงกว่าช่วงเดียวกัน
ปีที่แล้วร้อยละ 1.5) เนื่องจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากภาคการผลิตโดยเฉพาะด้านเสื้อผ้าได้รับผลกระทบ แต่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากด้านอื่น เช่น การขายส่งขายปลีก ด้านท่องเที่ยว เป็นต้น ยังมีการขยายตัวอยู่ นอกจากนี้ การนําเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางมีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนําเข้า
ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 3,783 และ 890 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.1 และ 0.9 ตามลําดับ (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 7.5 และ 1.3 ตามลําดับ) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผลประกอบการของภาคเอกชน การจ้างงานในตลาดแรงงาน และการออมของประชาชน
ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการบริโภคในประเทศต่อไป
1.2 กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้รวม 177,808 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 2,716 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.5 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.6) โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าเป้าหมาย ได้แก่ภาษียาสูบ ภาษีรถยนต์ และภาษีสุรา จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 3,348 3,241 และ 2,959 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.2 9.6 และ 13.6 ตามลําดับ
การจัดเก็บภาษีน้ํามันสูงกว่าประมาณการ 4,806 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.6 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 30.8) เนื่องจากการจัดเก็บภาษีน้ํามันเบนซินที่สูงกว่าประมาณการ และการจัดเก็บภาษีเบียร์สูงกว่าประมาณการ 2,502 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.0 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.1)
1.3 กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม 34,627 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 6,873 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.6 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 13.3) โดยเป็นผลจากการจัดเก็บอากรขาเข้าต่ํากว่าเป้าหมายจํานวน 6,823 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.8 เนื่องจากผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภาษีศุลกากร ระยะที่ 2 และการใช้สิทธิพิเศษภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ มูลค่าการนําเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐและเงินบาทในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2560 ขยายตัวร้อยละ 6.5 และร้อยละ 4.8 ตามลําดับ และสินค้าที่จัดเก็บอากรขาเข้าได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานบกและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ เครื่องจักรและเครื่องใช้กล ของทําด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า และพลาสติก
1.4 รัฐวิสาหกิจ นําส่งรายได้รวม 49,630 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 8,875 ล้านบาทหรือร้อยละ 21.8 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 42.7) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนําส่งรายได้ที่ค้างนําส่งจากปีก่อนหน้า โดยรัฐวิสาหกิจที่นําส่งรายได้สูงกว่าประมาณการ 5 อันดับแรก ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง โรงงานยาสูบ กองทุนวายุภักษ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการท่าเรือแห่งประเทศไทย
1.5 หน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 69,791 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 14,001 ล้านบาท หรือร้อยละ 25.1 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 39.9) สาเหตุสําคัญมาจากการรับรู้ส่วนเกินจากการจําหน่ายพันธบัตร (Premium) เป็นรายได้แผ่นดิน การส่งคืนเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) ในส่วนที่ไม่มีภาระผูกพันส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน และการนําส่งเงินสภาพคล่องส่วนเกินของกองทุนหมุนเวียน กรมธนารักษ์จัดเก็บรายได้รวม 3,345 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 150 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 13.9) โดยรายได้จากที่ราชพัสดุ และจากการจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ
1.6 การคืนภาษีของกรมสรรพากร จํานวน 83,981 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 6,093 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.8 ประกอบด้วยการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 70,100 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 10,200 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.7 และการคืนภาษีอื่น ๆ (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์) จํานวน 13,881 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 4,107 ล้านบาท หรือร้อยละ 42.0
1.7 อากรถอนคืนกรมศุลกากร จํานวน 3,771 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 191 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.3
1.8 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด จํานวน 4,924 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 726 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.8
1.9 เงินกันชดเชยภาษีสําหรับสินค้าส่งออก จํานวน 5,070 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 224 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.2
1.10 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ. กําหนดแผน และขั้นตอนการกระจายอํานาจฯ งวดที่ 1 จํานวน 8,673 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 743 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.4
2. เดือนมกราคม 2560 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 171,539 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 12,121 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.6 (สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.4) เป็นผลจากภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 4,505 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.5 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.9) การนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจต่ํากว่าประมาณการ 2,757 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.3 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 31.1) เนื่องจากการเลื่อนช่วงเวลานําส่งรายได้ของการประปานครหลวงเป็นสําคัญ และอากรขาเข้าจัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 1,264 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.6 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.2) อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีน้ํามัน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเบียร์ สูงกว่าประมาณการ 1,548 432 และ 311 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.7 1.2 และ 4.8 ตามลําดับ
สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3573
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560
วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – มกราคม 2560) จัดเก็บได้ 724,017 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 15,401 ล้านบาท
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – มกราคม 2560) จัดเก็บได้ 724,017 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 15,401 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.2 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.7) มีสาเหตุจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ สูงกว่าประมาณการ 14,001 และ 8,875 ล้านบาท หรือร้อยละ 25.1 และ 21.8 ตามลําดับ สําหรับภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย ได้แก่ ภาษีน้ํามัน ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเบียร์”
นายกฤษฎาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณยังคงสูงกว่าเป้าหมาย โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ กระทรวงการคลังจะติดตามดูแลให้การจัดเก็บรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้”
ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – มกราคม 2560) และเดือนมกราคม 2560
เดือนมกราคม 2560 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 171,539 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 12,121 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.6 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.4) ส่งผลให้ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – มกราคม 2560) รายได้รัฐบาลสุทธิมีจํานวน 724,017 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 15,401 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.2 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.7)
1. ในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 (ตุลาคม 2559 – มกราคม 2560) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 724,017 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 15,401 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.2 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 2.7) โดยเป็นการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่น และการนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจที่สูงกว่าประมาณการ อย่างไรก็ดีที่ผลการจัดเก็บรายได้ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วเนื่องจากในช่วงเดียวกันปีที่แล้วมีรายได้จากการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคม (3G และ 4G) เป็นสําคัญ
ผลการจัดเก็บรายได้ตามหน่วยงานจัดเก็บสรุปได้ ดังนี้
1.1 กรมสรรพากร จัดเก็บรายได้รวม 498,580 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 3,995 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.8 แต่ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วจํานวน 12,124 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.5 โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าเป้าหมายที่สําคัญ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ํากว่าเป้าหมาย 7,108 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.8 (สูงกว่าช่วงเดียวกัน
ปีที่แล้วร้อยละ 1.5) เนื่องจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากภาคการผลิตโดยเฉพาะด้านเสื้อผ้าได้รับผลกระทบ แต่การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากด้านอื่น เช่น การขายส่งขายปลีก ด้านท่องเที่ยว เป็นต้น ยังมีการขยายตัวอยู่ นอกจากนี้ การนําเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางมีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนําเข้า
ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จัดเก็บได้สูงกว่าเป้าหมาย 3,783 และ 890 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.1 และ 0.9 ตามลําดับ (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 7.5 และ 1.3 ตามลําดับ) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผลประกอบการของภาคเอกชน การจ้างงานในตลาดแรงงาน และการออมของประชาชน
ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการบริโภคในประเทศต่อไป
1.2 กรมสรรพสามิต จัดเก็บรายได้รวม 177,808 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 2,716 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.5 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.6) โดยภาษีที่จัดเก็บได้ต่ํากว่าเป้าหมาย ได้แก่ภาษียาสูบ ภาษีรถยนต์ และภาษีสุรา จัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 3,348 3,241 และ 2,959 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.2 9.6 และ 13.6 ตามลําดับ
การจัดเก็บภาษีน้ํามันสูงกว่าประมาณการ 4,806 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.6 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 30.8) เนื่องจากการจัดเก็บภาษีน้ํามันเบนซินที่สูงกว่าประมาณการ และการจัดเก็บภาษีเบียร์สูงกว่าประมาณการ 2,502 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.0 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.1)
1.3 กรมศุลกากร จัดเก็บรายได้รวม 34,627 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 6,873 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.6 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 13.3) โดยเป็นผลจากการจัดเก็บอากรขาเข้าต่ํากว่าเป้าหมายจํานวน 6,823 ล้านบาท หรือร้อยละ 16.8 เนื่องจากผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภาษีศุลกากร ระยะที่ 2 และการใช้สิทธิพิเศษภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ มูลค่าการนําเข้าในรูปดอลลาร์สหรัฐและเงินบาทในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2560 ขยายตัวร้อยละ 6.5 และร้อยละ 4.8 ตามลําดับ และสินค้าที่จัดเก็บอากรขาเข้าได้สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานบกและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ประกอบ เครื่องจักรและเครื่องใช้กล ของทําด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า และพลาสติก
1.4 รัฐวิสาหกิจ นําส่งรายได้รวม 49,630 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 8,875 ล้านบาทหรือร้อยละ 21.8 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 42.7) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนําส่งรายได้ที่ค้างนําส่งจากปีก่อนหน้า โดยรัฐวิสาหกิจที่นําส่งรายได้สูงกว่าประมาณการ 5 อันดับแรก ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง โรงงานยาสูบ กองทุนวายุภักษ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการท่าเรือแห่งประเทศไทย
1.5 หน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 69,791 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 14,001 ล้านบาท หรือร้อยละ 25.1 (ต่ํากว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 39.9) สาเหตุสําคัญมาจากการรับรู้ส่วนเกินจากการจําหน่ายพันธบัตร (Premium) เป็นรายได้แผ่นดิน การส่งคืนเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (SAL) ในส่วนที่ไม่มีภาระผูกพันส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน และการนําส่งเงินสภาพคล่องส่วนเกินของกองทุนหมุนเวียน กรมธนารักษ์จัดเก็บรายได้รวม 3,345 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 150 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.7 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 13.9) โดยรายได้จากที่ราชพัสดุ และจากการจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์จัดเก็บได้สูงกว่าประมาณการ
1.6 การคืนภาษีของกรมสรรพากร จํานวน 83,981 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 6,093 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.8 ประกอบด้วยการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 70,100 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 10,200 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.7 และการคืนภาษีอื่น ๆ (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์) จํานวน 13,881 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 4,107 ล้านบาท หรือร้อยละ 42.0
1.7 อากรถอนคืนกรมศุลกากร จํานวน 3,771 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 191 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.3
1.8 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด จํานวน 4,924 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 726 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.8
1.9 เงินกันชดเชยภาษีสําหรับสินค้าส่งออก จํานวน 5,070 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 224 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.2
1.10 การจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ. กําหนดแผน และขั้นตอนการกระจายอํานาจฯ งวดที่ 1 จํานวน 8,673 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 743 ล้านบาท หรือร้อยละ 9.4
2. เดือนมกราคม 2560 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 171,539 ล้านบาท ต่ํากว่าประมาณการ 12,121 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.6 (สูงกว่าเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 8.4) เป็นผลจากภาษีมูลค่าเพิ่มจัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 4,505 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.5 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 3.9) การนําส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจต่ํากว่าประมาณการ 2,757 ล้านบาท หรือร้อยละ 38.3 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 31.1) เนื่องจากการเลื่อนช่วงเวลานําส่งรายได้ของการประปานครหลวงเป็นสําคัญ และอากรขาเข้าจัดเก็บได้ต่ํากว่าประมาณการ 1,264 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.6 (สูงกว่าช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 0.2) อย่างไรก็ดี การจัดเก็บภาษีน้ํามัน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเบียร์ สูงกว่าประมาณการ 1,548 432 และ 311 ล้านบาท หรือร้อยละ 8.7 1.2 และ 4.8 ตามลําดับ
สํานักนโยบายการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3573
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2095
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยรุกตลาดลูกค้าญี่ปุ่นในไทย
|
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560
กรุงไทยรุกตลาดลูกค้าญี่ปุ่นในไทย
ธนาคารกรุงไทย จับมือ โตโย บิซิเนส เซอร์วิส บริษัทที่ปรึกษานักลงทุนญี่ปุ่น เปิดตลาดลูกค้าญี่ปุ่นในไทย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ
ธนาคารกรุงไทย จับมือ โตโย บิซิเนส เซอร์วิส บริษัทที่ปรึกษานักลงทุนญี่ปุ่น เปิดตลาดลูกค้าญี่ปุ่นในไทย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ โดยเป็นตัวกลางในการชําระเงินแบบครบวงจร เตรียมปล่อยสินเชื่อทุกขั้นตอนของการทําธุรกิจ เพื่อเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนทั้งผู้ผลิตและผู้จัดจําหน่าย ชี้ปัจจุบันมีนักลงทุนญี่ปุ่นในไทยกว่า 5 พันบริษัท
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย และ มิสเตอร์ฮิเดอากิ นากาโอะ ประธานกรรมการ บมจ.โตโย บิซิเนส เซอร์วิส ได้ร่วมแถลงข่าวการสนับสนุนบริการทางการเงินแก่นักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยธนาคารจะร่วมกับ บมจ.โตโย บิซิเนส เซอร์วิส ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาลูกค้าญี่ปุ่นด้านการตลาด กฎหมาย การเงิน การลงทุน มาเป็นระยะเวลากว่า 40 ปี เปิดตลาดการให้บริการทางการเงินแก่นักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยปัจจุบันนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาดําเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และมีจํานวนสูงกว่า 5,000 บริษัท ซึ่งมีความต้องการบริการทางการเงินหลากหลายรูปแบบ
ธนาคารกรุงไทยจะทําหน้าที่เป็นตัวกลางในการชําระเงินอย่างครบวงจรให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิกของ บมจ.โตโยฯ ซึ่งมีหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารทะเลแปรรูป ผู้จําหน่ายเครื่องมือและเครื่องจักร ผู้พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ และธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยในระยะแรกธนาคารให้บริการรับ - จ่ายเงิน และบริการทางการเงินต่างประเทศ ผ่าน Internet Banking และ Mobile Banking สําหรับในระยะต่อไป ธนาคารจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเฉพาะกลุ่ม เพื่อให้ตรงตามความต้องการและสอดคล้องกับรูปแบบการดําเนินธุรกิจของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม โดยจะสนับสนุนสินเชื่ออัตราพิเศษ เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับลูกค้า และต่อยอดสู่การสนับสนุนสินเชื่อทุกขั้นตอนการทําธุรกิจ เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้ทั้งผู้ผลิต และตัวแทนจัดจําหน่าย
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ กล่าวในตอนท้ายว่า ธนาคารได้เตรียมจัดสัมมนา Business Matching ด้านเทคโนโลยีการเงิน ทิศทางการดําเนินงาน และการบริหารจัดการองค์กร ให้กับลูกค้าของธนาคารและลูกค้าที่เป็นสมาชิกของ บมจ.โตโยฯ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ทางธุรกิจ และเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีทางธุรกิจ
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4176-78
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยรุกตลาดลูกค้าญี่ปุ่นในไทย
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560
กรุงไทยรุกตลาดลูกค้าญี่ปุ่นในไทย
ธนาคารกรุงไทย จับมือ โตโย บิซิเนส เซอร์วิส บริษัทที่ปรึกษานักลงทุนญี่ปุ่น เปิดตลาดลูกค้าญี่ปุ่นในไทย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ
ธนาคารกรุงไทย จับมือ โตโย บิซิเนส เซอร์วิส บริษัทที่ปรึกษานักลงทุนญี่ปุ่น เปิดตลาดลูกค้าญี่ปุ่นในไทย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ โดยเป็นตัวกลางในการชําระเงินแบบครบวงจร เตรียมปล่อยสินเชื่อทุกขั้นตอนของการทําธุรกิจ เพื่อเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนทั้งผู้ผลิตและผู้จัดจําหน่าย ชี้ปัจจุบันมีนักลงทุนญี่ปุ่นในไทยกว่า 5 พันบริษัท
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย และ มิสเตอร์ฮิเดอากิ นากาโอะ ประธานกรรมการ บมจ.โตโย บิซิเนส เซอร์วิส ได้ร่วมแถลงข่าวการสนับสนุนบริการทางการเงินแก่นักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยธนาคารจะร่วมกับ บมจ.โตโย บิซิเนส เซอร์วิส ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาลูกค้าญี่ปุ่นด้านการตลาด กฎหมาย การเงิน การลงทุน มาเป็นระยะเวลากว่า 40 ปี เปิดตลาดการให้บริการทางการเงินแก่นักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยปัจจุบันนักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาดําเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และมีจํานวนสูงกว่า 5,000 บริษัท ซึ่งมีความต้องการบริการทางการเงินหลากหลายรูปแบบ
ธนาคารกรุงไทยจะทําหน้าที่เป็นตัวกลางในการชําระเงินอย่างครบวงจรให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิกของ บมจ.โตโยฯ ซึ่งมีหลายกลุ่มธุรกิจ เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารทะเลแปรรูป ผู้จําหน่ายเครื่องมือและเครื่องจักร ผู้พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ และธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม โดยในระยะแรกธนาคารให้บริการรับ - จ่ายเงิน และบริการทางการเงินต่างประเทศ ผ่าน Internet Banking และ Mobile Banking สําหรับในระยะต่อไป ธนาคารจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเฉพาะกลุ่ม เพื่อให้ตรงตามความต้องการและสอดคล้องกับรูปแบบการดําเนินธุรกิจของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม โดยจะสนับสนุนสินเชื่ออัตราพิเศษ เพื่อช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับลูกค้า และต่อยอดสู่การสนับสนุนสินเชื่อทุกขั้นตอนการทําธุรกิจ เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้ทั้งผู้ผลิต และตัวแทนจัดจําหน่าย
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ กล่าวในตอนท้ายว่า ธนาคารได้เตรียมจัดสัมมนา Business Matching ด้านเทคโนโลยีการเงิน ทิศทางการดําเนินงาน และการบริหารจัดการองค์กร ให้กับลูกค้าของธนาคารและลูกค้าที่เป็นสมาชิกของ บมจ.โตโยฯ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ทางธุรกิจ และเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีทางธุรกิจ
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4176-78
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1736
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ประชุมแนวทางบูรณาการความร่วมมือผลักดันงานวิจัยนวัตกรรมยางพาราสู่เชิงพาณิชย์
|
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2563
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ประชุมแนวทางบูรณาการความร่วมมือผลักดันงานวิจัยนวัตกรรมยางพาราสู่เชิงพาณิชย์
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมแนวทางบูรณาการความร่วมมือผลักดันงานวิจัยนวัตกรรมยางพาราสู่เชิงพาณิชย์ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ ต.ทุ่งใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้แทนจาก สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 ศูนย์นวัตกรรมอย่างยั่งยืนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ และกลุ่มบริษัทนักลงทุนไทย เข้าเยี่ยมชมการดําเนินงานของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ และประชุมแนวทางบูรณาการความร่วมมือผลักดันงานวิจัยนวัตกรรมยางพาราสู่เชิงพาณิชย์ โดยมี ผศ.นพ.สุนทร วงษ์ศิริ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ให้การต้อนรับ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ ต.ทุ่งใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ (Southern Thailand Science Park) นับเป็น “นิคมวิจัยสําหรับเอกชน แห่งแรกของภาคใต้” ให้บริการภาคเอกชนเพื่อทําวิจัยและพัฒนา โดยมีทรัพยากรวิจัยทั้งนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงเครื่องมือ ห้องปฏิบัติการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ พร้อมสิ่งอํานวยความสะดวกครบถ้วน อีกทั้งเป็นตัวกลางเชื่อมโยงการพัฒนานวัตกรรมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคสังคม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนากําลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมระดับภูมิภาค สร้างธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการนําผลงานวิจัยเข้าสู่ระบบการคุ้มครองให้สามารถใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ประชุมแนวทางบูรณาการความร่วมมือผลักดันงานวิจัยนวัตกรรมยางพาราสู่เชิงพาณิชย์
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม 2563
รองปลัดฯ ภานุวัฒน์ ประชุมแนวทางบูรณาการความร่วมมือผลักดันงานวิจัยนวัตกรรมยางพาราสู่เชิงพาณิชย์
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ประชุมแนวทางบูรณาการความร่วมมือผลักดันงานวิจัยนวัตกรรมยางพาราสู่เชิงพาณิชย์ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ ต.ทุ่งใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นําคณะผู้แทนจาก สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสงขลา ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 11 ศูนย์นวัตกรรมอย่างยั่งยืนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ และกลุ่มบริษัทนักลงทุนไทย เข้าเยี่ยมชมการดําเนินงานของอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ และประชุมแนวทางบูรณาการความร่วมมือผลักดันงานวิจัยนวัตกรรมยางพาราสู่เชิงพาณิชย์ โดยมี ผศ.นพ.สุนทร วงษ์ศิริ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ให้การต้อนรับ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ ต.ทุ่งใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
อุทยานวิทยาศาสตร์ภาคใต้ (Southern Thailand Science Park) นับเป็น “นิคมวิจัยสําหรับเอกชน แห่งแรกของภาคใต้” ให้บริการภาคเอกชนเพื่อทําวิจัยและพัฒนา โดยมีทรัพยากรวิจัยทั้งนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงเครื่องมือ ห้องปฏิบัติการวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ พร้อมสิ่งอํานวยความสะดวกครบถ้วน อีกทั้งเป็นตัวกลางเชื่อมโยงการพัฒนานวัตกรรมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคสังคม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการพัฒนากําลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมระดับภูมิภาค สร้างธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการนําผลงานวิจัยเข้าสู่ระบบการคุ้มครองให้สามารถใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33847
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรมประสานภาคเอกชนจัดงานนิทรรศการ “เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจำแห่งโลก” สร้างการมีส่วนร่วมอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรม
|
วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561
กระทรวงวัฒนธรรมประสานภาคเอกชนจัดงานนิทรรศการ “เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจําแห่งโลก” สร้างการมีส่วนร่วมอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรม
กระทรวงวัฒนธรรมประสานภาคเอกชนจัดงานนิทรรศการ “เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจําแห่งโลก” สร้างการมีส่วนร่วมอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรม
วันนี้ (วันพุธที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑) เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีรับมอบเงินสนับสนุนการจัดนิทรรศการเฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจําแห่งโลก Celebrating the National Glass Plate Negative Recognized as UNESCO Memory of the World จากนายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) โดยมีนายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมศิลปากร และผู้บริหารจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) เข้าร่วมในพิธี
กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร โดยสํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติได้ตระหนักถึงความสําคัญของภาพถ่ายจากฟิล์มกระจกซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติด้านจดหมายเหตุ และเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่ประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศให้ฟิล์มกระจกและต้นฉบับภาพถ่ายชุดหอพระสมุดวชิรญาณของสํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เป็นมรดกความทรงจําแห่งโลก ในฐานะที่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่แสดงวิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรมของชาติ ดังนั้นเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าว จึงกําหนดจัดนิทรรศการ “เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจําแห่งโลก” ระหว่างวันที่ ๒๕ พฤษภาคม – ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการจัดงานจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นการดําเนินการตามนโยบายประชารัฐของรัฐบาลในการสร้างความมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ที่ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ
การจัดงานนิทรรศการ “เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจําแห่งโลก” ในครั้งนี้ ได้คัดเลือกภาพมาจัดแสดงกว่า ๑๕๐ ภาพ แบ่งออกเป็น ๘ หัวเรื่อง ได้แก่ ๑. มองสยามผ่านฟิล์มกระจก นําเสนอการถ่ายภาพตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ๒. สัญลักษณ์ของชาตินําเสนอภาพที่เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ของชาติไทย ได้แก่ ช้างไทยและศาลาไทย ๓. พระราชพิธี พิธี และเหตุการณ์สําคัญ อาทิ ภาพที่เกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชพิธีโสกัณต์ พระราชพิธีเปิดพระบรมรูปทรงม้า ๔. การพัฒนาประเทศ นําเสนอภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของวิวัฒนาการความเจริญก้าวหน้าและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ถูกนําเข้ามาใช้ในบ้านเมือง ๕. ศิลปวัฒนธรรมและประเพณี อาทิ ภาพเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่
การแต่งกายของบุรุษและสตรีไทย การแสดงนาฏศิลป์ ๖. อาคารสถานที่นําเสนอภาพเกี่ยวกับโบราณสถาน วัด
อาคารสถานที่ สถาปัตยกรรมต่างๆ ที่สร้างขึ้นในช่วงสมัยนั้น ๗. บุคคล นําเสนอภาพบุคคลสําคัญที่มีบทบาทต่อสังคมสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ และ ๘. สยามกับสังคมโลก นําเสนอภาพการเสด็จประพาสต่างประเทศซึ่งสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับนานาประเทศได้เป็นอย่างดีนอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ การอวดภาพจากนักสะสมและบุคคลที่มีชื่อเสียง อาทิ คุณสิริกิติยา เจนเซนนายฐาปน สิริวัฒนภักดี นายอรรถดา คอมันตร์ การเสวนา การสาธิตการทําฟิล์มกระจกและการถ่ายภาพด้วยฟิล์มกระจก การจําหน่ายของที่ระลึก การถ่ายภาพย้อนยุค ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการและร่วมกิจกรรมต่างๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า ระหว่างวันที่ ๒๕ พฤษภาคม – ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๓๐ – ๑๙.๐๐ น. วันพุธถึงวันอาทิตย์ (หยุดวันจันทร์ – อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) สําหรับคณะบุคคลหรือสถานศึกษาที่ต้องการเข้าชมและร่วมกิจกรรมการเสวนาเป็นหมู่คณะ กรุณาติดต่อเพื่อระบุวัน เวลา และจํานวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. ๐ ๒๒๘๑ ๑๕๙๙ ต่อ ๒๒๒ ในวันและเวลาราชการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรมประสานภาคเอกชนจัดงานนิทรรศการ “เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจำแห่งโลก” สร้างการมีส่วนร่วมอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรม
วันพุธที่ 9 พฤษภาคม 2561
กระทรวงวัฒนธรรมประสานภาคเอกชนจัดงานนิทรรศการ “เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจําแห่งโลก” สร้างการมีส่วนร่วมอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรม
กระทรวงวัฒนธรรมประสานภาคเอกชนจัดงานนิทรรศการ “เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจําแห่งโลก” สร้างการมีส่วนร่วมอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรม
วันนี้ (วันพุธที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑) เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีรับมอบเงินสนับสนุนการจัดนิทรรศการเฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจําแห่งโลก Celebrating the National Glass Plate Negative Recognized as UNESCO Memory of the World จากนายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) โดยมีนายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกรมศิลปากร และผู้บริหารจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) เข้าร่วมในพิธี
กระทรวงวัฒนธรรม กรมศิลปากร โดยสํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติได้ตระหนักถึงความสําคัญของภาพถ่ายจากฟิล์มกระจกซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติด้านจดหมายเหตุ และเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่ประชุมคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศให้ฟิล์มกระจกและต้นฉบับภาพถ่ายชุดหอพระสมุดวชิรญาณของสํานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ เป็นมรดกความทรงจําแห่งโลก ในฐานะที่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่แสดงวิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรมของชาติ ดังนั้นเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสดังกล่าว จึงกําหนดจัดนิทรรศการ “เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจําแห่งโลก” ระหว่างวันที่ ๒๕ พฤษภาคม – ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการจัดงานจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จํากัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นการดําเนินการตามนโยบายประชารัฐของรัฐบาลในการสร้างความมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ที่ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ
การจัดงานนิทรรศการ “เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจําแห่งโลก” ในครั้งนี้ ได้คัดเลือกภาพมาจัดแสดงกว่า ๑๕๐ ภาพ แบ่งออกเป็น ๘ หัวเรื่อง ได้แก่ ๑. มองสยามผ่านฟิล์มกระจก นําเสนอการถ่ายภาพตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ๒. สัญลักษณ์ของชาตินําเสนอภาพที่เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ของชาติไทย ได้แก่ ช้างไทยและศาลาไทย ๓. พระราชพิธี พิธี และเหตุการณ์สําคัญ อาทิ ภาพที่เกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชพิธีโสกัณต์ พระราชพิธีเปิดพระบรมรูปทรงม้า ๔. การพัฒนาประเทศ นําเสนอภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของวิวัฒนาการความเจริญก้าวหน้าและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ถูกนําเข้ามาใช้ในบ้านเมือง ๕. ศิลปวัฒนธรรมและประเพณี อาทิ ภาพเกี่ยวกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่
การแต่งกายของบุรุษและสตรีไทย การแสดงนาฏศิลป์ ๖. อาคารสถานที่นําเสนอภาพเกี่ยวกับโบราณสถาน วัด
อาคารสถานที่ สถาปัตยกรรมต่างๆ ที่สร้างขึ้นในช่วงสมัยนั้น ๗. บุคคล นําเสนอภาพบุคคลสําคัญที่มีบทบาทต่อสังคมสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ และ ๘. สยามกับสังคมโลก นําเสนอภาพการเสด็จประพาสต่างประเทศซึ่งสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับนานาประเทศได้เป็นอย่างดีนอกจากนี้ ภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ การอวดภาพจากนักสะสมและบุคคลที่มีชื่อเสียง อาทิ คุณสิริกิติยา เจนเซนนายฐาปน สิริวัฒนภักดี นายอรรถดา คอมันตร์ การเสวนา การสาธิตการทําฟิล์มกระจกและการถ่ายภาพด้วยฟิล์มกระจก การจําหน่ายของที่ระลึก การถ่ายภาพย้อนยุค ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการและร่วมกิจกรรมต่างๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป ถนนเจ้าฟ้า ระหว่างวันที่ ๒๕ พฤษภาคม – ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๓๐ – ๑๙.๐๐ น. วันพุธถึงวันอาทิตย์ (หยุดวันจันทร์ – อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์) สําหรับคณะบุคคลหรือสถานศึกษาที่ต้องการเข้าชมและร่วมกิจกรรมการเสวนาเป็นหมู่คณะ กรุณาติดต่อเพื่อระบุวัน เวลา และจํานวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. ๐ ๒๒๘๑ ๑๕๙๙ ต่อ ๒๒๒ ในวันและเวลาราชการ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12108
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ฯ เดินหน้าสร้างคน นำโครงการ FabLab พัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชน จ.สุราษฎร์ธานี หนุนประเทศไทย 4.0
|
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
ก.วิทย์ฯ เดินหน้าสร้างคน นําโครงการ FabLab พัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชน จ.สุราษฎร์ธานี หนุนประเทศไทย 4.0
ดร.สุวิทย์ฯ เยี่ยมชมการดําเนินงาน “โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) และโครงการประกวดสิ่งประดิษฐ์”
(20 สิงหาคม 2561) ณ วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี / ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะ เข้าเยี่ยมชมการดําเนินงาน “โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) และโครงการประกวดสิ่งประดิษฐ์” ที่ทางสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับการสนับสนุนงบประมาณดําเนินโครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย ซึ่งโครงการฯ ส่งเสริมให้มีการจัดพื้นที่การเรียนรู้ โดยมี ผศ.ดร.ประภาศ เมืองจันทร์บุรี รองคณบดีฝ่ายบริการวิชาการและชุมชนสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในฐานะผู้จัดการโครงการ FabLab ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และนายศุกเกษม อ่อนพูล นักวิชาการ ฝ่ายวิชาการและกิจกรรมพัฒนาเยาวชนวิทยาศาสตร์ (AYS) ร่วมให้การต้อนรับ
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 อนุมัติงบประมาณสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อภาคสังคมอย่างกว้างขวาง (Big Rock Project) นั้น กระทรวงวิทย์ฯ มอบหมายให้ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดําเนินการและรับการสนับสนุนงบประมาณดําเนินโครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย โดยโครงการฯ ส่งเสริมให้มีการจัดพื้นที่การเรียนรู้ “โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab)” ในสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ทั่วประเทศ และพัฒนากิจกรรมสําหรับนักเรียนและครู ให้มีทักษะด้านวิศวกรรม มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถออกแบบและสร้างชิ้นงาน โดยการใช้เครื่องมือทางวิศวกรรม และเครื่องมือวัดทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเกิดแรงบันดาลใจ และสนใจที่จะมีอาชีพเป็นวิศวกรหรือนวัตกรในอนาคต
โดย สวทช. ได้เชิญชวนโรงเรียน/สถานศึกษาที่มีการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา ที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาเด็กและเยาวชน หรือมีผลงาน/โครงงานที่เคยได้รับรางวัลจากการประกวดแข่งขันระดับภูมิภาค ระดับชาติ และระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมโครงการ เพื่อคัดเลือกสถานศึกษาเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งได้ร่วมมือกับ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) คัดเลือกจัตุรัสวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ซึ่งจัดไว้เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสําหรับเด็ก เยาวชน และผู้สนใจทั่วไป จํานวน 2 แห่ง ส่วนโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) ที่จะจัดให้มีในโรงเรียน และวิทยาลัยอาชีวศึกษา จะพิจารณาคัดเลือกอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่เหมาะสมกับพื้นที่และความพร้อมของโรงเรียน อาทิ เครื่องมือทางวิศวกรรมพื้นฐาน เครื่องพิมพ์ 3 มิติ บอร์ดสําหรับส่งเสริมการเรียนรู้โปรแกรมมิ่ง (Coding/Programming) เช่น Arduino Raspberry Pi เป็นต้น
ทั้งนี้ จะพิจารณารูปแบบ (model / specification ) และจํานวนของครุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความพร้อมของแต่ละโรงเรียน และวิทยาลัย ให้ได้ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันที่สําคัญทําให้เด็กไทย “กล้าคิด กล้าลงมือทํา” เพื่อเพิ่มจํานวนเด็กและเยาวชนที่เรียนสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ให้เข้าสู่อาชีพวิศวกรและนวัตกร อันเป็นรากฐานสําคัญที่จะนําพาประเทศสู่ “Makers Nation” กุญแจสําคัญที่จะสร้างเศรษฐกิจชาติให้เข้มแข็งด้วยนวัตกรรมและผลักดัน “ประเทศไทย 4.0” ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างชาติให้เข้มแข็งด้วยนวัตกรรมอย่างแท้จริง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ฯ เดินหน้าสร้างคน นำโครงการ FabLab พัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชน จ.สุราษฎร์ธานี หนุนประเทศไทย 4.0
วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม 2561
ก.วิทย์ฯ เดินหน้าสร้างคน นําโครงการ FabLab พัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชน จ.สุราษฎร์ธานี หนุนประเทศไทย 4.0
ดร.สุวิทย์ฯ เยี่ยมชมการดําเนินงาน “โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) และโครงการประกวดสิ่งประดิษฐ์”
(20 สิงหาคม 2561) ณ วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี / ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะ เข้าเยี่ยมชมการดําเนินงาน “โครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) และโครงการประกวดสิ่งประดิษฐ์” ที่ทางสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้รับการสนับสนุนงบประมาณดําเนินโครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย ซึ่งโครงการฯ ส่งเสริมให้มีการจัดพื้นที่การเรียนรู้ โดยมี ผศ.ดร.ประภาศ เมืองจันทร์บุรี รองคณบดีฝ่ายบริการวิชาการและชุมชนสัมพันธ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในฐานะผู้จัดการโครงการ FabLab ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และนายศุกเกษม อ่อนพูล นักวิชาการ ฝ่ายวิชาการและกิจกรรมพัฒนาเยาวชนวิทยาศาสตร์ (AYS) ร่วมให้การต้อนรับ
ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 อนุมัติงบประมาณสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อภาคสังคมอย่างกว้างขวาง (Big Rock Project) นั้น กระทรวงวิทย์ฯ มอบหมายให้ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดําเนินการและรับการสนับสนุนงบประมาณดําเนินโครงการโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) เพื่อพัฒนาทักษะความเป็นนวัตกรแก่เด็กและเยาวชนไทย โดยโครงการฯ ส่งเสริมให้มีการจัดพื้นที่การเรียนรู้ “โรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab)” ในสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ทั่วประเทศ และพัฒนากิจกรรมสําหรับนักเรียนและครู ให้มีทักษะด้านวิศวกรรม มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถออกแบบและสร้างชิ้นงาน โดยการใช้เครื่องมือทางวิศวกรรม และเครื่องมือวัดทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเกิดแรงบันดาลใจ และสนใจที่จะมีอาชีพเป็นวิศวกรหรือนวัตกรในอนาคต
โดย สวทช. ได้เชิญชวนโรงเรียน/สถานศึกษาที่มีการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษา ที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาเด็กและเยาวชน หรือมีผลงาน/โครงงานที่เคยได้รับรางวัลจากการประกวดแข่งขันระดับภูมิภาค ระดับชาติ และระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมโครงการ เพื่อคัดเลือกสถานศึกษาเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งได้ร่วมมือกับ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) คัดเลือกจัตุรัสวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ซึ่งจัดไว้เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสําหรับเด็ก เยาวชน และผู้สนใจทั่วไป จํานวน 2 แห่ง ส่วนโรงประลองต้นแบบทางวิศวกรรม (Fabrication Lab) ที่จะจัดให้มีในโรงเรียน และวิทยาลัยอาชีวศึกษา จะพิจารณาคัดเลือกอุปกรณ์ เครื่องมือ ที่เหมาะสมกับพื้นที่และความพร้อมของโรงเรียน อาทิ เครื่องมือทางวิศวกรรมพื้นฐาน เครื่องพิมพ์ 3 มิติ บอร์ดสําหรับส่งเสริมการเรียนรู้โปรแกรมมิ่ง (Coding/Programming) เช่น Arduino Raspberry Pi เป็นต้น
ทั้งนี้ จะพิจารณารูปแบบ (model / specification ) และจํานวนของครุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความพร้อมของแต่ละโรงเรียน และวิทยาลัย ให้ได้ใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันที่สําคัญทําให้เด็กไทย “กล้าคิด กล้าลงมือทํา” เพื่อเพิ่มจํานวนเด็กและเยาวชนที่เรียนสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ให้เข้าสู่อาชีพวิศวกรและนวัตกร อันเป็นรากฐานสําคัญที่จะนําพาประเทศสู่ “Makers Nation” กุญแจสําคัญที่จะสร้างเศรษฐกิจชาติให้เข้มแข็งด้วยนวัตกรรมและผลักดัน “ประเทศไทย 4.0” ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และสร้างชาติให้เข้มแข็งด้วยนวัตกรรมอย่างแท้จริง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15874
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งติดตามสถานะดิจิทัลของไทย เผยผลสำรวจการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล ไทยจัดอยู่ในอันดับ “ดี” สามารถประยุกต์ใช้ในสื่อได้อย่างเหมาะสม
|
วันพุธที่ 30 มกราคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งติดตามสถานะดิจิทัลของไทย เผยผลสํารวจการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล ไทยจัดอยู่ในอันดับ “ดี” สามารถประยุกต์ใช้ในสื่อได้อย่างเหมาะสม
กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งติดตามสถานะดิจิทัลของไทย
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานพิธีเปิดสัมมนาวิชาการเรื่อง “Achieving Thailand's digital competitiveness: the advancement through the years ยกระดับสถานะการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทย : การพัฒนาที่ผ่านมา” พร้อมกล่าวปาฐกถา เรื่อง The State of Digital Thailand : สถานะดิจิทัลประเทศไทย ณ โรงแรมแมริออท บางกอก ถ.สุขุมวิท เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2562 โดยกล่าวถึงข้อมูลสถานภาพการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศและการเข้าใจดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีความจําเป็นในการเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัลให้มากขึ้น เพื่อให้ไม่ถูกหลอกลวงฉ้อโกง รวมถึงสร้างความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ ซึ่งถือเป็นประเด็นสําคัญในระดับสากล ที่ต้องเร่งหาแนวทางในการประเมินสถานภาพและกําหนดแผนงานนโยบายฯ โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีการสํารวจและประเมินระดับความรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศของประชาชน ทั้งนี้จากผลการประเมินสถานภาพการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ ตามกรอบ UNESCO โดย สดช. ปรากฎผลคะแนนเฉลี่ย 68.1 ซึ่งจัดอยู่ในอันดับ “ดี” ประเมินได้ว่าประชาชนคนไทยมีความรู้ ทักษะ ความเข้าใจ และทัศนคติที่สามารถประยุกต์ใช้ในการเปิดรับสื่อและสารสนเทศในชีวิตประจําวันได้อย่างเหมาะสม
*********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งติดตามสถานะดิจิทัลของไทย เผยผลสำรวจการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล ไทยจัดอยู่ในอันดับ “ดี” สามารถประยุกต์ใช้ในสื่อได้อย่างเหมาะสม
วันพุธที่ 30 มกราคม 2562
กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งติดตามสถานะดิจิทัลของไทย เผยผลสํารวจการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล ไทยจัดอยู่ในอันดับ “ดี” สามารถประยุกต์ใช้ในสื่อได้อย่างเหมาะสม
กระทรวงดิจิทัลฯ เร่งติดตามสถานะดิจิทัลของไทย
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานพิธีเปิดสัมมนาวิชาการเรื่อง “Achieving Thailand's digital competitiveness: the advancement through the years ยกระดับสถานะการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทย : การพัฒนาที่ผ่านมา” พร้อมกล่าวปาฐกถา เรื่อง The State of Digital Thailand : สถานะดิจิทัลประเทศไทย ณ โรงแรมแมริออท บางกอก ถ.สุขุมวิท เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2562 โดยกล่าวถึงข้อมูลสถานภาพการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศและการเข้าใจดิจิทัลของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีความจําเป็นในการเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัลให้มากขึ้น เพื่อให้ไม่ถูกหลอกลวงฉ้อโกง รวมถึงสร้างความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ ซึ่งถือเป็นประเด็นสําคัญในระดับสากล ที่ต้องเร่งหาแนวทางในการประเมินสถานภาพและกําหนดแผนงานนโยบายฯ โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีการสํารวจและประเมินระดับความรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศของประชาชน ทั้งนี้จากผลการประเมินสถานภาพการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ ตามกรอบ UNESCO โดย สดช. ปรากฎผลคะแนนเฉลี่ย 68.1 ซึ่งจัดอยู่ในอันดับ “ดี” ประเมินได้ว่าประชาชนคนไทยมีความรู้ ทักษะ ความเข้าใจ และทัศนคติที่สามารถประยุกต์ใช้ในการเปิดรับสื่อและสารสนเทศในชีวิตประจําวันได้อย่างเหมาะสม
*********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18459
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย.เปิดพอร์ตค้ำประกันสินเชื่อ SMEs กลุ่มน้ำท่วม 12 จว.ภาคใต้ สูงสุด 15 ล้านบาท รัฐบาลชดเชยค่าธรรมเนียมปีแรก หมดเขต 7 ส.ค.60
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560
บสย.เปิดพอร์ตค้ําประกันสินเชื่อ SMEs กลุ่มน้ําท่วม 12 จว.ภาคใต้ สูงสุด 15 ล้านบาท รัฐบาลชดเชยค่าธรรมเนียมปีแรก หมดเขต 7 ส.ค.60
บสย. เปิดพอร์ตน้ําท่วม พร้อมค้ําประกันสินเชื่อฟื้นฟูผู้ประกอบการ SMEs ประสบอุทกภัยภาคใต้ 12 จังหวัด ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย วงเงินค้ําประกัน 5,000 ล้านบาท
บสย. เปิดพอร์ตน้ําท่วม พร้อมค้ําประกันสินเชื่อฟื้นฟูผู้ประกอบการ SMEs ประสบอุทกภัยภาคใต้ 12 จังหวัด ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย วงเงินค้ําประกัน 5,000 ล้านบาท รัฐบาลชดเชยค่าธรรมเนียมค้ําประกัน ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ปลอดค่าธรรมเนียม 1 ปี หมดเขตรับคําขอ 7 สิงหาคม 2560 นี้
นายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ บสย.พร้อมรับคําขอค้ําประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยผู้ประกอบการSMEs ที่ประสบอุทกภัยภาคใต้แล้ว หลังจากบรรลุข้อตกลงความร่วมมือและลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ( MOU) โครงการค้ําประกันสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2560 วงเงินค้ําประกันสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท
ผู้ประกอบการ SMEs ที่สามารถยื่นขอสินเชื่อจากโครงการนี้จะต้องอยู่ในพื้นที่ 12 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ พัทลุง นราธิวาส ยะลา สงขลา ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร กระบี่ ระนอง และ ประจวบคีรีขันธ์ ต้องเป็น ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 สําหรับระยะเวลากู้ยืม ตามที่ ธพว.กําหนด ไม่เกิน 7 ปี ในอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 – 3 ที่ ร้อยละ 3 ต่อปี และในปีที่ 4 - 7 ตามอัตราดอกเบี้ยที่ ธพว. กําหนด และการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธพว.
สําหรับค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อ บสย.คิดอัตรา 1.75% ของวงเงินค้ําประกันสินเชื่อ ตลอดอายุการค้ําประกัน 7 ปี โดยปีแรกรัฐบาลชดเชยค่าธรรมเนียมให้ผู้ประกอบการSMEs
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย.เปิดพอร์ตค้ำประกันสินเชื่อ SMEs กลุ่มน้ำท่วม 12 จว.ภาคใต้ สูงสุด 15 ล้านบาท รัฐบาลชดเชยค่าธรรมเนียมปีแรก หมดเขต 7 ส.ค.60
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560
บสย.เปิดพอร์ตค้ําประกันสินเชื่อ SMEs กลุ่มน้ําท่วม 12 จว.ภาคใต้ สูงสุด 15 ล้านบาท รัฐบาลชดเชยค่าธรรมเนียมปีแรก หมดเขต 7 ส.ค.60
บสย. เปิดพอร์ตน้ําท่วม พร้อมค้ําประกันสินเชื่อฟื้นฟูผู้ประกอบการ SMEs ประสบอุทกภัยภาคใต้ 12 จังหวัด ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย วงเงินค้ําประกัน 5,000 ล้านบาท
บสย. เปิดพอร์ตน้ําท่วม พร้อมค้ําประกันสินเชื่อฟื้นฟูผู้ประกอบการ SMEs ประสบอุทกภัยภาคใต้ 12 จังหวัด ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย วงเงินค้ําประกัน 5,000 ล้านบาท รัฐบาลชดเชยค่าธรรมเนียมค้ําประกัน ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ปลอดค่าธรรมเนียม 1 ปี หมดเขตรับคําขอ 7 สิงหาคม 2560 นี้
นายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ บสย.พร้อมรับคําขอค้ําประกันสินเชื่อ เพื่อช่วยผู้ประกอบการSMEs ที่ประสบอุทกภัยภาคใต้แล้ว หลังจากบรรลุข้อตกลงความร่วมมือและลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ( MOU) โครงการค้ําประกันสินเชื่อฟื้นฟู SMEs จากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2560 วงเงินค้ําประกันสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท
ผู้ประกอบการ SMEs ที่สามารถยื่นขอสินเชื่อจากโครงการนี้จะต้องอยู่ในพื้นที่ 12 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ พัทลุง นราธิวาส ยะลา สงขลา ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร กระบี่ ระนอง และ ประจวบคีรีขันธ์ ต้องเป็น ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับความเสียหาย หรือได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยภาคใต้ ปี 2560 สําหรับระยะเวลากู้ยืม ตามที่ ธพว.กําหนด ไม่เกิน 7 ปี ในอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 – 3 ที่ ร้อยละ 3 ต่อปี และในปีที่ 4 - 7 ตามอัตราดอกเบี้ยที่ ธพว. กําหนด และการพิจารณาสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธพว.
สําหรับค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อ บสย.คิดอัตรา 1.75% ของวงเงินค้ําประกันสินเชื่อ ตลอดอายุการค้ําประกัน 7 ปี โดยปีแรกรัฐบาลชดเชยค่าธรรมเนียมให้ผู้ประกอบการSMEs
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2430
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'คุณธรรม จริยธรรมที่ยั่งยืนกับการพัฒนาอาชีวศึกษา' ให้แก่ ครูอาจารย์ ในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง ๑-๕
|
วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'คุณธรรม จริยธรรมที่ยั่งยืนกับการพัฒนาอาชีวศึกษา' ให้แก่ ครูอาจารย์ ในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง ๑-๕
ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'คุณธรรม จริยธรรมที่ยั่งยืนกับการพัฒนาอาชีวศึกษา' ให้แก่ ครูอาจารย์ ในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง ๑-๕
ในวันศุกร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'คุณธรรม จริยธรรมที่ยั่งยืนกับการพัฒนาอาชีวะ' ให้แก่ ครูอาจารย์ของสถานศึกษาอาชีวศึกษา ในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง ๑-๕ ในการประชุมวิชาการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับนานาชาติ ครั้งที่ ๑ ของสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง ๑-๕ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมไมด้า แกรนด์ ทวารวดี นครปฐม อ.เมือง จ.นครปฐม
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า "ผมมีความเชื่อมั่นในพัฒนาการของสถาบันอาชีวศึกษา เมื่อครั้งรับราชการอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้แลเห็นวิวัฒนาการ ที่เรียกว่า 'ความก้าวหน้า ก้าวไกล ของการอาชีวศึกษา' ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างผิดหูผิดตา ความคิดและการเรียนรู้นอกกรอบ นํามาซึ่งนวัตกรรมแปลกใหม่ที่หลายคนคาดคิดไม่ถึง และถือเป็นทิศทางของการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบแบบแผน ในขณะเดียวกัน ยังความทันสมัย และพัฒนาไปสู่แนวคิดของความมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ยั่งยืน และพอเพียง ผลพวงจากการนี้ คือ ชื่อเสียงและเกียรติคุณของประเทศไทย การจัดการเรียนการสอนในวันนี้ของการอาชีวศึกษา ได้มีการพัฒนาสู่วิสัยทัศน์ของความเป็นมืออาชีพ อันมีความผิดแผกไปจากอดีตมาก ที่จะมองสายงานอย่างพื้นๆ ตามความจําเป็นขั้นพื้นฐาน มีระบบการจัดการเรียนการสอนทั้งในรูปแบบ 'โรงงาน โรงเรียน' และ 'โรงเรียน โรงงาน' สถาบันการอาชีวศึกษามุ่งผลิตทรัพยากรบุคคลด้านอาชีพที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล อีกประการสําคัญ ที่ถือเป็นพัฒนาการในเชิงบวกและเป็นผลดีต่อการพัฒนาสังคมขั้นพื้นฐาน คือ การที่นักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา ได้มีโอกาสรับการฝึกงานอันถือเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา กับอีกมีรายได้ระหว่างเรียน และมีสัมมาชีพภายหลังเรียนจบ สุดท้ายที่สําคัญจริงๆ คือ การที่ทุกๆ สถาบันการศึกษาเน้นให้ความสําคัญในเรื่องคุณธรรมจริยธรรม ที่ปัจจุบันทางภาครัฐและการศึกษาใช้คําว่า 'การวัดมาตรฐานทางธรรมาภิบาล' โดยอาศัยช่องทางคณะกรรมการธรรมาภิบาลประจําส่วนราชการ สถาบัน และจังหวัด สิ่งนี้คงต้องช่วยกันเร่งรัดดําเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่การออกข่าวตําหนิติเตียนหน่วยงานในความรับผิดชอบของตนเอง เสมือนการ 'สาวไส้ให้กากิน' ซึ่งมีความหมายถึง 'การเอาความไม่ดีของฝ่ายตนไปเปิดเผยให้คนอื่นรู้ อันเท่ากับเป็นการประจานตนหรือพรรคพวกของตน' ถือเป็นการทําลายขวัญและกําลังใจ ทําลายเกียรติและชื่อเสียงของสถาบัน ย่อมไม่ใช่หนทางแก้ไขที่ถูกวิธี"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'คุณธรรม จริยธรรมที่ยั่งยืนกับการพัฒนาอาชีวศึกษา' ให้แก่ ครูอาจารย์ ในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง ๑-๕
วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน 2561
ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'คุณธรรม จริยธรรมที่ยั่งยืนกับการพัฒนาอาชีวศึกษา' ให้แก่ ครูอาจารย์ ในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง ๑-๕
ม.ล.ปนัดดาฯ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'คุณธรรม จริยธรรมที่ยั่งยืนกับการพัฒนาอาชีวศึกษา' ให้แก่ ครูอาจารย์ ในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง ๑-๕
ในวันศุกร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํานายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการกระทรวงยุติธรรม ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง 'คุณธรรม จริยธรรมที่ยั่งยืนกับการพัฒนาอาชีวะ' ให้แก่ ครูอาจารย์ของสถานศึกษาอาชีวศึกษา ในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง ๑-๕ ในการประชุมวิชาการด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับนานาชาติ ครั้งที่ ๑ ของสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง ๑-๕ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมไมด้า แกรนด์ ทวารวดี นครปฐม อ.เมือง จ.นครปฐม
ม.ล.ปนัดดาฯ กล่าวว่า "ผมมีความเชื่อมั่นในพัฒนาการของสถาบันอาชีวศึกษา เมื่อครั้งรับราชการอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้แลเห็นวิวัฒนาการ ที่เรียกว่า 'ความก้าวหน้า ก้าวไกล ของการอาชีวศึกษา' ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างผิดหูผิดตา ความคิดและการเรียนรู้นอกกรอบ นํามาซึ่งนวัตกรรมแปลกใหม่ที่หลายคนคาดคิดไม่ถึง และถือเป็นทิศทางของการพัฒนาประเทศอย่างเป็นระบบแบบแผน ในขณะเดียวกัน ยังความทันสมัย และพัฒนาไปสู่แนวคิดของความมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ยั่งยืน และพอเพียง ผลพวงจากการนี้ คือ ชื่อเสียงและเกียรติคุณของประเทศไทย การจัดการเรียนการสอนในวันนี้ของการอาชีวศึกษา ได้มีการพัฒนาสู่วิสัยทัศน์ของความเป็นมืออาชีพ อันมีความผิดแผกไปจากอดีตมาก ที่จะมองสายงานอย่างพื้นๆ ตามความจําเป็นขั้นพื้นฐาน มีระบบการจัดการเรียนการสอนทั้งในรูปแบบ 'โรงงาน โรงเรียน' และ 'โรงเรียน โรงงาน' สถาบันการอาชีวศึกษามุ่งผลิตทรัพยากรบุคคลด้านอาชีพที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากล อีกประการสําคัญ ที่ถือเป็นพัฒนาการในเชิงบวกและเป็นผลดีต่อการพัฒนาสังคมขั้นพื้นฐาน คือ การที่นักเรียน นักศึกษาอาชีวศึกษา ได้มีโอกาสรับการฝึกงานอันถือเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา กับอีกมีรายได้ระหว่างเรียน และมีสัมมาชีพภายหลังเรียนจบ สุดท้ายที่สําคัญจริงๆ คือ การที่ทุกๆ สถาบันการศึกษาเน้นให้ความสําคัญในเรื่องคุณธรรมจริยธรรม ที่ปัจจุบันทางภาครัฐและการศึกษาใช้คําว่า 'การวัดมาตรฐานทางธรรมาภิบาล' โดยอาศัยช่องทางคณะกรรมการธรรมาภิบาลประจําส่วนราชการ สถาบัน และจังหวัด สิ่งนี้คงต้องช่วยกันเร่งรัดดําเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่การออกข่าวตําหนิติเตียนหน่วยงานในความรับผิดชอบของตนเอง เสมือนการ 'สาวไส้ให้กากิน' ซึ่งมีความหมายถึง 'การเอาความไม่ดีของฝ่ายตนไปเปิดเผยให้คนอื่นรู้ อันเท่ากับเป็นการประจานตนหรือพรรคพวกของตน' ถือเป็นการทําลายขวัญและกําลังใจ ทําลายเกียรติและชื่อเสียงของสถาบัน ย่อมไม่ใช่หนทางแก้ไขที่ถูกวิธี"
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12718
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ ร.พ.จุฬาภรณ์ รักษาผู้ประกันตนโรคหัวใจ 24 ชม. ไม่ต้องสำรองจ่าย
|
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561
ก.แรงงาน จับมือ ร.พ.จุฬาภรณ์ รักษาผู้ประกันตนโรคหัวใจ 24 ชม. ไม่ต้องสํารองจ่าย
ก.แรงงาน ร่วมกับ ร.พ.จุฬาภรณ์ ลงนามบันทึกข้อตกลงให้บริการทางการแพทย์ผู้ประกันตนโรคหัวใจและหลอดเลือดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องสํารองจ่าย ไม่เสียค่าส่วนเกิน เข้าถึงการรักษารวดเร็ว ทันเวลา ลดอัตราการเสียชีวิต ยกระดับบริการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการทางการแพทย์ตามโครงการรักษาหัวใจ 7/24 เฉลิมพระเกียรติ ระหว่างราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และสํานักงานประกันสังคม ณ ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ ศูนย์ประชุมสถาบันจุฬาภรณ์ โดยกล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้ให้ความสําคัญในการดําเนินการยกระดับคุณภาพการบริการสาธารณสุขและสุขภาพของผู้ประกันตน โดยพัฒนาระบบประกันสุขภาพ จัดบริการการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและเท่าเทียม ซึ่งปัจจุบันกระทรวงแรงงาน โดยสํานักงานประกันสังคม มีโรงพยาบาลเครือข่ายระบบประกันสังคมอยู่ทั่วประเทศจํานวน 237 แห่ง แบ่งเป็น โรงพยาบาลรัฐบาล 159 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชน 78 แห่ง ซึ่งดูแลสิทธิประโยชน์ของแรงงานซึ่งเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม จํานวนทั้งสิ้น 12,965,913 คน แบ่งเป็น ผู้ประกันตนมาตรา 33 จํานวน 11,475,042 คน มาตรา 39 จํานวน 1,490,871 คน (ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2561)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อไปว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการทางการแพทย์ตามโครงการรักษาหัวใจ 7/24 เฉลิมพระเกียรติเพื่อให้ผู้ประกันตนหรือผู้ป่วยที่อยู่ในวัยทํางานสามารถเข้ารับการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยทําหัตถการ 7 หัตถการ ประกอบด้วย 1) การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ 2) การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจและขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน 3) การศึกษาสรีระวิทยาไฟฟ้าหัวใจ และการจี้ไฟฟ้าหัวใจ 4) การจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ไฟฟ้าในการสร้างภาพ3 มิติ 5) การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจแบบถาวรชนิดสองห้อง 6) การใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจถาวร และ7) การใส่เครื่องสมานฉันท์หัวใจ ในภาวะหัวใจล้มเหลว ในห้องปฏิบัติการสวนหัวใจและหลอดเลือด ณ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โดยไม่ต้องสํารองจ่ายค่ารักษา และไม่เสียค่าส่วนเกิน รักษาด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัย ดูแลผู้ประกันตนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ได้รับการรักษาตามมาตรฐานสากล และสามารถกลับเข้าทํางานได้ตามปกติ สามารถสร้างรายได้ และความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติต่อไป
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขปัจจุบัน พบว่า สถานการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือด มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเฉลี่ยอยู่ที่ 7,000 ล้านบาทต่อปี เฉพาะในปี 2557 มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 54,530 ราย ส่งผลกระทบต่อการสูญเสียทรัพยากรในวัยทํางาน และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่หากได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ทันเวลา จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลง สามารถกลับคืนสู่การทํางานได้ตามปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง
---------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์-ข่าว/
สํานักงานประกันสังคม-ข้อมูล/
สมภพ ศีลบุตร -ภาพ/
29 สิงหาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน จับมือ ร.พ.จุฬาภรณ์ รักษาผู้ประกันตนโรคหัวใจ 24 ชม. ไม่ต้องสำรองจ่าย
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561
ก.แรงงาน จับมือ ร.พ.จุฬาภรณ์ รักษาผู้ประกันตนโรคหัวใจ 24 ชม. ไม่ต้องสํารองจ่าย
ก.แรงงาน ร่วมกับ ร.พ.จุฬาภรณ์ ลงนามบันทึกข้อตกลงให้บริการทางการแพทย์ผู้ประกันตนโรคหัวใจและหลอดเลือดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องสํารองจ่าย ไม่เสียค่าส่วนเกิน เข้าถึงการรักษารวดเร็ว ทันเวลา ลดอัตราการเสียชีวิต ยกระดับบริการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการทางการแพทย์ตามโครงการรักษาหัวใจ 7/24 เฉลิมพระเกียรติ ระหว่างราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดยโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ และสํานักงานประกันสังคม ณ ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ ศูนย์ประชุมสถาบันจุฬาภรณ์ โดยกล่าวว่า กระทรวงแรงงานได้ให้ความสําคัญในการดําเนินการยกระดับคุณภาพการบริการสาธารณสุขและสุขภาพของผู้ประกันตน โดยพัฒนาระบบประกันสุขภาพ จัดบริการการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและเท่าเทียม ซึ่งปัจจุบันกระทรวงแรงงาน โดยสํานักงานประกันสังคม มีโรงพยาบาลเครือข่ายระบบประกันสังคมอยู่ทั่วประเทศจํานวน 237 แห่ง แบ่งเป็น โรงพยาบาลรัฐบาล 159 แห่ง และโรงพยาบาลเอกชน 78 แห่ง ซึ่งดูแลสิทธิประโยชน์ของแรงงานซึ่งเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม จํานวนทั้งสิ้น 12,965,913 คน แบ่งเป็น ผู้ประกันตนมาตรา 33 จํานวน 11,475,042 คน มาตรา 39 จํานวน 1,490,871 คน (ข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคม 2561)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวต่อไปว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการทางการแพทย์ตามโครงการรักษาหัวใจ 7/24 เฉลิมพระเกียรติเพื่อให้ผู้ประกันตนหรือผู้ป่วยที่อยู่ในวัยทํางานสามารถเข้ารับการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยทําหัตถการ 7 หัตถการ ประกอบด้วย 1) การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ 2) การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจและขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน 3) การศึกษาสรีระวิทยาไฟฟ้าหัวใจ และการจี้ไฟฟ้าหัวใจ 4) การจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยเทคโนโลยีที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ไฟฟ้าในการสร้างภาพ3 มิติ 5) การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจแบบถาวรชนิดสองห้อง 6) การใช้เครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจถาวร และ7) การใส่เครื่องสมานฉันท์หัวใจ ในภาวะหัวใจล้มเหลว ในห้องปฏิบัติการสวนหัวใจและหลอดเลือด ณ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โดยไม่ต้องสํารองจ่ายค่ารักษา และไม่เสียค่าส่วนเกิน รักษาด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัย ดูแลผู้ประกันตนตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ได้รับการรักษาตามมาตรฐานสากล และสามารถกลับเข้าทํางานได้ตามปกติ สามารถสร้างรายได้ และความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติต่อไป
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขปัจจุบัน พบว่า สถานการณ์โรคหัวใจและหลอดเลือด มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเฉลี่ยอยู่ที่ 7,000 ล้านบาทต่อปี เฉพาะในปี 2557 มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 54,530 ราย ส่งผลกระทบต่อการสูญเสียทรัพยากรในวัยทํางาน และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่หากได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ทันเวลา จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลง สามารถกลับคืนสู่การทํางานได้ตามปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง
---------------------------------------
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์-ข่าว/
สํานักงานประกันสังคม-ข้อมูล/
สมภพ ศีลบุตร -ภาพ/
29 สิงหาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15009
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณพรรรคร่วมรัฐบาล ที่ช่วยกันทำงานตลอดระยะเวลา 1 ปี สั่งการทุกกระทรวงประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานให้สาธารณชนรับรู้ อย่างชัดเจน
|
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
นายกรัฐมนตรีขอบคุณพรรรคร่วมรัฐบาล ที่ช่วยกันทํางานตลอดระยะเวลา 1 ปี สั่งการทุกกระทรวงประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานให้สาธารณชนรับรู้ อย่างชัดเจน
นายกรัฐมนตรีขอบคุณพรรรคร่วมรัฐบาล ที่ช่วยกันทํางานตลอดระยะเวลา 1 ปี สั่งการทุกกระทรวงประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานให้สาธารณชนรับรู้ อย่างชัดเจน
วันนี้ (2 มิถุนายน 2563) ศาตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ขอบคุณคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาลทุกท่านที่ทํางานร่วมกันมาตลอดระยะเวลา 1 ปี และช่วยกันชี้แจงความจําเป็นและประโยชน์ของร่าง พ.ร.ก.การเงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 ทั้ง 3 ฉบับ ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ทําให้ที่ประชุมฯ มีมติผ่าน พ.ร.ก. ดังกล่าว ทั้งนี้ ขอให้ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณ และเงินจาก พ.ร.ก.การเงินทั้ง 3 ฉบับ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามระเบียบ เกิดเป็นประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด สําหรับวันที่ 4 มิถุนายน 2563 จะเป็นการชี้แจงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2563 ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ทุกคนช่วยกันชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อที่ประชุมฯ เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนและประโยชน์ของประเทศชาติ
สําหรับเรื่องการศึกษา นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยสั่งการให้กระทรวงอุดมศึกษา ไปพิจารณาแผนการรับนักศึกษาของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับจํานวนและความต้องการของตลาดแรงงานด้วย พร้อมกับฝากให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณา เรื่องการบรรจุบุคลากรทางการแพทย์ที่จะทําเป็น 3 ระยะว่า ไากเป็นไปได้ ขอให้พิจารณาสัดส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ทุกประเภทในแต่ละรอบที่จะทําการบรรจุให้ครอบคลุมอย่างเหมาะสม ในส่วนของการดูแลผู้พิการ นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้บริการอํานวยความสะดวกให้ผู้พิการเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมต่อไป
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงต่างๆ ร่วมกันประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานของทุกกระทรวงให้สาธารณชนได้รับรู้ อย่างชัดเจน และสั่งการให้สร้างการรับรู้เรื่องของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้ประชาชนได้เข้าใจ พร้อมกับทํากรณีศึกษาของโรคดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ขอให้ช่วยกันระมัดระวังเรื่องของการให้ข่าวที่อาจนําไปสู่การปลุกปั่น สร้างความขัดแย้งในสังคม
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีขอบคุณพรรรคร่วมรัฐบาล ที่ช่วยกันทำงานตลอดระยะเวลา 1 ปี สั่งการทุกกระทรวงประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานให้สาธารณชนรับรู้ อย่างชัดเจน
วันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2563
นายกรัฐมนตรีขอบคุณพรรรคร่วมรัฐบาล ที่ช่วยกันทํางานตลอดระยะเวลา 1 ปี สั่งการทุกกระทรวงประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานให้สาธารณชนรับรู้ อย่างชัดเจน
นายกรัฐมนตรีขอบคุณพรรรคร่วมรัฐบาล ที่ช่วยกันทํางานตลอดระยะเวลา 1 ปี สั่งการทุกกระทรวงประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานให้สาธารณชนรับรู้ อย่างชัดเจน
วันนี้ (2 มิถุนายน 2563) ศาตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ขอบคุณคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาลทุกท่านที่ทํางานร่วมกันมาตลอดระยะเวลา 1 ปี และช่วยกันชี้แจงความจําเป็นและประโยชน์ของร่าง พ.ร.ก.การเงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 ทั้ง 3 ฉบับ ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ทําให้ที่ประชุมฯ มีมติผ่าน พ.ร.ก. ดังกล่าว ทั้งนี้ ขอให้ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณ และเงินจาก พ.ร.ก.การเงินทั้ง 3 ฉบับ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามระเบียบ เกิดเป็นประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด สําหรับวันที่ 4 มิถุนายน 2563 จะเป็นการชี้แจงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2563 ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ทุกคนช่วยกันชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อที่ประชุมฯ เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนและประโยชน์ของประเทศชาติ
สําหรับเรื่องการศึกษา นายกรัฐมนตรีแสดงความห่วงใยสั่งการให้กระทรวงอุดมศึกษา ไปพิจารณาแผนการรับนักศึกษาของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับจํานวนและความต้องการของตลาดแรงงานด้วย พร้อมกับฝากให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณา เรื่องการบรรจุบุคลากรทางการแพทย์ที่จะทําเป็น 3 ระยะว่า ไากเป็นไปได้ ขอให้พิจารณาสัดส่วนของบุคลากรทางการแพทย์ทุกประเภทในแต่ละรอบที่จะทําการบรรจุให้ครอบคลุมอย่างเหมาะสม ในส่วนของการดูแลผู้พิการ นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาสร้างสิ่งอํานวยความสะดวกตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้บริการอํานวยความสะดวกให้ผู้พิการเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมต่อไป
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงต่างๆ ร่วมกันประชาสัมพันธ์ผลการดําเนินงานของทุกกระทรวงให้สาธารณชนได้รับรู้ อย่างชัดเจน และสั่งการให้สร้างการรับรู้เรื่องของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้ประชาชนได้เข้าใจ พร้อมกับทํากรณีศึกษาของโรคดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ขอให้ช่วยกันระมัดระวังเรื่องของการให้ข่าวที่อาจนําไปสู่การปลุกปั่น สร้างความขัดแย้งในสังคม
........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31839
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.แจงประชาชนสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพไปลดหย่อนภาษีได้เลย
|
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
คปภ.แจงประชาชนสามารถนําเบี้ยประกันสุขภาพไปลดหย่อนภาษีได้เลย
การประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2560 โดยให้ผู้มีเงินได้สามารถนําเบี้ยประกันสุขภาพมาลดหย่อนภาษีเงินได้ตามจํานวนเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติมาตรการหักลดหย่อนภาษีสําหรับการประกันสุขภาพ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนทําประกันสุขภาพจากบริษัทประกันภัยมากขึ้น โดยให้ผู้เอาประกันภัยสามารถนําเบี้ยประกันสุขภาพไปหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้นั้น ต่อมากรมสรรพากรได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 315) เรื่องกําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2560 โดยให้ผู้มีเงินได้สามารถนําเบี้ยประกันสุขภาพมาลดหย่อนภาษีเงินได้ตามจํานวนเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาทนั้น
ด้วยปรากฏตามที่มีการเสนอข่าวว่ามีบริษัทประกันภัยบางบริษัทกล่าวอ้างกับผู้เอาประกันภัยว่า การขอหนังสือรับรองการชําระเบี้ยสุขภาพต้องขออนุมัติจากสํานักงาน คปภ. ก่อน เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์การลดหย่อนภาษีดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้สํานักงาน คปภ. ขอเรียนว่า ไม่เป็นความจริง จึงขอชี้แจงว่า ผู้มีเงินได้ที่จะยื่นยกเว้นภาษีตามเงื่อนไขดังกล่าวให้ใช้เอกสารหลักฐาน ดังนี้ กรณีปีภาษี 2560 ผู้มีเงินได้สามารถใช้ใบเสร็จรับเงินหรือหนังสือรับรองจากบริษัทเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการยื่นภาษี
ในส่วนของปีภาษี 2561 เป็นต้นไป ผู้มีเงินได้ต้องแจ้งความประสงค์การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้สําหรับเบี้ยประกันสุขภาพให้บริษัททราบ เพื่อให้บริษัทสามารถนําส่งข้อมูลเบี้ยประกันสุขภาพให้แก่กรมสรรพากร โดยผู้มีเงินได้ไม่ต้องใช้หลักฐานประกอบการยื่นขอลดหย่อนภาษี เพียงแต่แจ้งความประสงค์การนําเบี้ยประกันสุขภาพไปลดหย่อนภาษีตามแบบฟอร์มที่ได้รับจากบริษัท ก็สามารถดําเนินการยื่นภาษีได้เลย ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถโทรศัพท์สอบถาม รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.แจงประชาชนสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพไปลดหย่อนภาษีได้เลย
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561
คปภ.แจงประชาชนสามารถนําเบี้ยประกันสุขภาพไปลดหย่อนภาษีได้เลย
การประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2560 โดยให้ผู้มีเงินได้สามารถนําเบี้ยประกันสุขภาพมาลดหย่อนภาษีเงินได้ตามจํานวนเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติมาตรการหักลดหย่อนภาษีสําหรับการประกันสุขภาพ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนทําประกันสุขภาพจากบริษัทประกันภัยมากขึ้น โดยให้ผู้เอาประกันภัยสามารถนําเบี้ยประกันสุขภาพไปหักเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้นั้น ต่อมากรมสรรพากรได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 315) เรื่องกําหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สําหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สําหรับการประกันสุขภาพของผู้มีเงินได้ ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2560 โดยให้ผู้มีเงินได้สามารถนําเบี้ยประกันสุขภาพมาลดหย่อนภาษีเงินได้ตามจํานวนเงินที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาทนั้น
ด้วยปรากฏตามที่มีการเสนอข่าวว่ามีบริษัทประกันภัยบางบริษัทกล่าวอ้างกับผู้เอาประกันภัยว่า การขอหนังสือรับรองการชําระเบี้ยสุขภาพต้องขออนุมัติจากสํานักงาน คปภ. ก่อน เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์การลดหย่อนภาษีดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้สํานักงาน คปภ. ขอเรียนว่า ไม่เป็นความจริง จึงขอชี้แจงว่า ผู้มีเงินได้ที่จะยื่นยกเว้นภาษีตามเงื่อนไขดังกล่าวให้ใช้เอกสารหลักฐาน ดังนี้ กรณีปีภาษี 2560 ผู้มีเงินได้สามารถใช้ใบเสร็จรับเงินหรือหนังสือรับรองจากบริษัทเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการยื่นภาษี
ในส่วนของปีภาษี 2561 เป็นต้นไป ผู้มีเงินได้ต้องแจ้งความประสงค์การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้สําหรับเบี้ยประกันสุขภาพให้บริษัททราบ เพื่อให้บริษัทสามารถนําส่งข้อมูลเบี้ยประกันสุขภาพให้แก่กรมสรรพากร โดยผู้มีเงินได้ไม่ต้องใช้หลักฐานประกอบการยื่นขอลดหย่อนภาษี เพียงแต่แจ้งความประสงค์การนําเบี้ยประกันสุขภาพไปลดหย่อนภาษีตามแบบฟอร์มที่ได้รับจากบริษัท ก็สามารถดําเนินการยื่นภาษีได้เลย ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถโทรศัพท์สอบถาม รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9508
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.เร่งคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านประกันภัย
|
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561
คปภ.เร่งคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านประกันภัย
• เลขาธิการ คปภ. สั่งการผู้ช่วยเลขาธิการฯลงพื้นที่จังหวัดลําปาง เยียวยาปัญหาประกันภัยจนได้ข้อยุติ บริษัทยอมปฏิบัติตามคําวินิจฉัยนายทะเบียนแล้ว
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ. ให้ความสําคัญต่อการคุ้มครองสิทธิประโยชน์พี่น้องประชาชนด้านประกันภัย และได้ขับเคลื่อนการคุ้มครองผู้บริโภคด้านการประกันภัยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วนบนพื้นฐานของความถูกต้องและเป็นธรรม และรวดเร็ว อันจะเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีของระบบประกันภัยไทย ทั้งนี้ จากกรณีผู้เอาประกันภัยรายหนึ่งได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสํานักงาน คปภ.ว่าได้ทําสัญญาประกันชีวิต จํานวน 2 ฉบับ เป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ 90/20 และกรมธรรม์ประกันชีวิต แบบสะสมทรัพย์ 20/20 ซึ่งบริษัทคํานวณและจ่ายเงินปันผลไม่ครบถ้วนตามที่กําหนดในกรมธรรม์จึงได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสํานักงาน คปภ. ซึ่งสํานักงาน คปภ. โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ให้บริษัทพิจารณาจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติมสําหรับแบบกรมธรรม์ 20/20 และให้ปรับปรุงการคํานวณการจ่ายเงินปันผลสําหรับแบบกรมธรรม์ 90/20 โดยแบบกรมธรรม์ 20/20 บริษัทดําเนินการตามความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนแบบกรมธรรม์ 90/20 บริษัทยังมิได้ดําเนินการปรับปรุงการคํานวณให้สอดคล้องตามเงื่อนไขกรมธรรม์ นายทะเบียนจึงได้มีคําวินิจฉัยให้บริษัทปรับปรุงวิธีการคํานวณเงินปันผลให้แก่ ผู้เอาประกันภัย ต่อมามีการเสนอข่าวว่าบริษัทประกันภัยอาจไม่ปฏิบัติตามคําวินิจฉัยนายทะเบียน ทําให้ผู้เอาประกันภัยอาจต้องไปเรียกร้องสิทธิโดยนําคดีไปฟ้องต่อศาลเองนั้น
จากประเด็นปัญหาดังกล่าว เลขาธิการ คปภ.ได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ผู้เอาประกันภัยได้รับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์อย่างเป็นธรรมจากการประกันภัย โดยเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 เลขาธิการ คปภ. ได้มอบหมายให้นายชัยยุทธ มังศรี ผู้ช่วยเลขาธิการ สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ และนายชนะพล มหาวงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค พร้อมด้วยนายชาตรี เขมะชาติ ผู้อํานวยการสํานักงาน คปภ. จังหวัดลําปาง ลงพื้นที่ ณ จังหวัดลําปาง โดยได้นัดหมายกับฝ่ายผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัย ประชุมเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อหาข้อยุติเป็นที่ยอมรับของ ทุกฝ่าย และเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคด้านประกันภัย ณ ห้องประชุมศาลากลาง จังหวัดลําปาง
โดยนายชนะพล มหาวงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค ได้อธิบายให้คู่กรณีเข้าใจเกี่ยวกับความคุ้มครองและผลประโยชน์ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันชีวิตตลอดจนสาระสําคัญของคําวินิจฉัยนายทะเบียนในกรณีดังกล่าว ซึ่งผลการประชุมทําให้เกิดความเข้าใจและได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายโดยบริษัทประกันภัยตกลงที่จะปรับปรุงการคํานวณเงินปันผลให้สอดคล้องตามคําวินิจฉัยของนายทะเบียน และได้มีการบันทึกข้อตกลงไว้เป็นหลักฐานลงนามโดยคู่กรณีทั้งสองฝ่าย และมีผู้ช่วยเลขาธิการทั้งสองคนลงนามเป็นพยานด้วย ซึ่งผู้เอาประกันภัยพอใจ จึงขอยุติเรื่องร้องเรียนที่ได้ยื่นต่อสํานักงาน คปภ.
“เรื่องนี้นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สํานักงาน คปภ. เข้าไปช่วยเหลือคุ้มครองผู้บริโภคด้านประกันภัยอย่างใกล้ชิด และคู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ให้ความร่วมมืออย่างดีจนทําให้ข้อพิพาทยุติลงด้วยความเรียบร้อย จึงอยากจะเรียนพี่น้องประชาชนว่าหากท่านเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย สํานักงาน คปภ. พร้อมจะดูแลสิทธิประโยชน์ของประชาชนอย่างเต็มที่ มีปัญหาด้านประกันภัย ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.เร่งคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านประกันภัย
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561
คปภ.เร่งคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านประกันภัย
• เลขาธิการ คปภ. สั่งการผู้ช่วยเลขาธิการฯลงพื้นที่จังหวัดลําปาง เยียวยาปัญหาประกันภัยจนได้ข้อยุติ บริษัทยอมปฏิบัติตามคําวินิจฉัยนายทะเบียนแล้ว
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ. ให้ความสําคัญต่อการคุ้มครองสิทธิประโยชน์พี่น้องประชาชนด้านประกันภัย และได้ขับเคลื่อนการคุ้มครองผู้บริโภคด้านการประกันภัยมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างครบถ้วนบนพื้นฐานของความถูกต้องและเป็นธรรม และรวดเร็ว อันจะเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีของระบบประกันภัยไทย ทั้งนี้ จากกรณีผู้เอาประกันภัยรายหนึ่งได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสํานักงาน คปภ.ว่าได้ทําสัญญาประกันชีวิต จํานวน 2 ฉบับ เป็นกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ 90/20 และกรมธรรม์ประกันชีวิต แบบสะสมทรัพย์ 20/20 ซึ่งบริษัทคํานวณและจ่ายเงินปันผลไม่ครบถ้วนตามที่กําหนดในกรมธรรม์จึงได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสํานักงาน คปภ. ซึ่งสํานักงาน คปภ. โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ให้บริษัทพิจารณาจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติมสําหรับแบบกรมธรรม์ 20/20 และให้ปรับปรุงการคํานวณการจ่ายเงินปันผลสําหรับแบบกรมธรรม์ 90/20 โดยแบบกรมธรรม์ 20/20 บริษัทดําเนินการตามความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนแบบกรมธรรม์ 90/20 บริษัทยังมิได้ดําเนินการปรับปรุงการคํานวณให้สอดคล้องตามเงื่อนไขกรมธรรม์ นายทะเบียนจึงได้มีคําวินิจฉัยให้บริษัทปรับปรุงวิธีการคํานวณเงินปันผลให้แก่ ผู้เอาประกันภัย ต่อมามีการเสนอข่าวว่าบริษัทประกันภัยอาจไม่ปฏิบัติตามคําวินิจฉัยนายทะเบียน ทําให้ผู้เอาประกันภัยอาจต้องไปเรียกร้องสิทธิโดยนําคดีไปฟ้องต่อศาลเองนั้น
จากประเด็นปัญหาดังกล่าว เลขาธิการ คปภ.ได้สั่งการให้สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ผู้เอาประกันภัยได้รับการคุ้มครองสิทธิประโยชน์อย่างเป็นธรรมจากการประกันภัย โดยเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 เลขาธิการ คปภ. ได้มอบหมายให้นายชัยยุทธ มังศรี ผู้ช่วยเลขาธิการ สายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ และนายชนะพล มหาวงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค พร้อมด้วยนายชาตรี เขมะชาติ ผู้อํานวยการสํานักงาน คปภ. จังหวัดลําปาง ลงพื้นที่ ณ จังหวัดลําปาง โดยได้นัดหมายกับฝ่ายผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัย ประชุมเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อหาข้อยุติเป็นที่ยอมรับของ ทุกฝ่าย และเพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคด้านประกันภัย ณ ห้องประชุมศาลากลาง จังหวัดลําปาง
โดยนายชนะพล มหาวงษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายส่งเสริมและประกันภัยภูมิภาค ได้อธิบายให้คู่กรณีเข้าใจเกี่ยวกับความคุ้มครองและผลประโยชน์ตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันชีวิตตลอดจนสาระสําคัญของคําวินิจฉัยนายทะเบียนในกรณีดังกล่าว ซึ่งผลการประชุมทําให้เกิดความเข้าใจและได้ข้อยุติที่เป็นที่ยอมรับของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายโดยบริษัทประกันภัยตกลงที่จะปรับปรุงการคํานวณเงินปันผลให้สอดคล้องตามคําวินิจฉัยของนายทะเบียน และได้มีการบันทึกข้อตกลงไว้เป็นหลักฐานลงนามโดยคู่กรณีทั้งสองฝ่าย และมีผู้ช่วยเลขาธิการทั้งสองคนลงนามเป็นพยานด้วย ซึ่งผู้เอาประกันภัยพอใจ จึงขอยุติเรื่องร้องเรียนที่ได้ยื่นต่อสํานักงาน คปภ.
“เรื่องนี้นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สํานักงาน คปภ. เข้าไปช่วยเหลือคุ้มครองผู้บริโภคด้านประกันภัยอย่างใกล้ชิด และคู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ให้ความร่วมมืออย่างดีจนทําให้ข้อพิพาทยุติลงด้วยความเรียบร้อย จึงอยากจะเรียนพี่น้องประชาชนว่าหากท่านเดือดร้อนหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านประกันภัย สํานักงาน คปภ. พร้อมจะดูแลสิทธิประโยชน์ของประชาชนอย่างเต็มที่ มีปัญหาด้านประกันภัย ติดต่อสายด่วน คปภ. 1186” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13170
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สดร. ก้าวสู่มิติใหม่มุ่งใช้ดาราศาสตร์เป็นโจทย์พัฒนาเทคโนโลยี หวังพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต
|
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560
สดร. ก้าวสู่มิติใหม่มุ่งใช้ดาราศาสตร์เป็นโจทย์พัฒนาเทคโนโลยี หวังพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สดร.) จัดงาน NARIT : The Next Step ก้าวต่อไปของ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
19 กรกฎาคม 2560 / สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมาหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สดร.) จัดงาน NARIT : The Next Step ก้าวต่อไปของ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเวทีผู้บริหารพบสื่อมวลชน เผยกลยุทธ์ก้าวใหม่มุ่งใช้ดาราศาสตร์เป็นโจทย์พัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาคน หวังพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต โดยมี นายณัชนพงศ์ วชิรวงศ์บุรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้เกียรติเข้าร่วมงาน ณ ห้องโถงชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยี
ปัจจุบัน สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ทําหน้าที่ ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาด้านดาราศาสตร์ สร้างเครือข่ายการวิจัยและวิชาการด้านดาราศาสตร์ในระดับชาติและนานาชาติกับสถาบันต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศส่งเสริม สนับสนุน และประสานความร่วมมือด้านดาราศาสตร์กับหน่วยงานอื่นของรัฐ สถาบันการศึกษาอื่นที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านดาราศาสตร์
ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า การศึกษาวิจัยทางดาราศาสตร์ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ต้องอศัยเทคโนโลยี เครื่องมือ อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ทันสมัย เพื่อข้อมูลที่แม่นยํา และรวดเร็ว จําเป็นต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงหลาย ๆ ด้าน เพื่อรองรับการศึกษาวิจัยด้านดาราศาสตร์ ซึ่งจะสามารถต่อยอดไปสู่การผลิตในอุตสหกรรมขั้นสูงของประเทศต่อไปในอนาคต
การค้นพบองค์ความรู้ใหม่ทางดาราศาสตร์และอวกาศ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีการพัฒนา เทคโนโลยีขั้นสูงมารองรับ เมื่อนักดาราศาสตร์ตั้งเป้าหมายในการศึกษาวิจัย ทีมวิศวกรและนักเทคโนโลยีจะร่วมกันพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ให้สามารถแก้โจทย์ยากๆ เหล่านั้น เป้าหมายในก้าวต่อไปของ สดร. เราจึงใช้ดาราศาสตร์เป็นโจทย์พัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาคน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สดร. ก้าวสู่มิติใหม่มุ่งใช้ดาราศาสตร์เป็นโจทย์พัฒนาเทคโนโลยี หวังพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560
สดร. ก้าวสู่มิติใหม่มุ่งใช้ดาราศาสตร์เป็นโจทย์พัฒนาเทคโนโลยี หวังพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สดร.) จัดงาน NARIT : The Next Step ก้าวต่อไปของ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
19 กรกฎาคม 2560 / สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมาหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สดร.) จัดงาน NARIT : The Next Step ก้าวต่อไปของ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเวทีผู้บริหารพบสื่อมวลชน เผยกลยุทธ์ก้าวใหม่มุ่งใช้ดาราศาสตร์เป็นโจทย์พัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาคน หวังพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต โดยมี นายณัชนพงศ์ วชิรวงศ์บุรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้เกียรติเข้าร่วมงาน ณ ห้องโถงชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยี
ปัจจุบัน สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ทําหน้าที่ ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาด้านดาราศาสตร์ สร้างเครือข่ายการวิจัยและวิชาการด้านดาราศาสตร์ในระดับชาติและนานาชาติกับสถาบันต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศส่งเสริม สนับสนุน และประสานความร่วมมือด้านดาราศาสตร์กับหน่วยงานอื่นของรัฐ สถาบันการศึกษาอื่นที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านดาราศาสตร์
ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า การศึกษาวิจัยทางดาราศาสตร์ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ต้องอศัยเทคโนโลยี เครื่องมือ อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ทันสมัย เพื่อข้อมูลที่แม่นยํา และรวดเร็ว จําเป็นต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงหลาย ๆ ด้าน เพื่อรองรับการศึกษาวิจัยด้านดาราศาสตร์ ซึ่งจะสามารถต่อยอดไปสู่การผลิตในอุตสหกรรมขั้นสูงของประเทศต่อไปในอนาคต
การค้นพบองค์ความรู้ใหม่ทางดาราศาสตร์และอวกาศ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีการพัฒนา เทคโนโลยีขั้นสูงมารองรับ เมื่อนักดาราศาสตร์ตั้งเป้าหมายในการศึกษาวิจัย ทีมวิศวกรและนักเทคโนโลยีจะร่วมกันพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ให้สามารถแก้โจทย์ยากๆ เหล่านั้น เป้าหมายในก้าวต่อไปของ สดร. เราจึงใช้ดาราศาสตร์เป็นโจทย์พัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาคน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5362
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงกรณีการลดอัตราการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาสำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2560
ชี้แจงกรณีการลดอัตราการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาสําหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ไม่เห็นด้วยในการลดอัตราการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในการคํานวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สําหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ไม่เห็นด้วยในการลดอัตราการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในการคํานวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สําหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร และเป็นการออกกฎหมายที่เป็นโทษจึงใช้ย้อนหลังไม่ได้ นั้น
นางแพตริเซีย มงคลวนิช รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร ขอเรียนว่า
1. คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในหลักการตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2559 ให้มีการปรับปรุงอัตราการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาสําหรับเงินได้จากการรับเหมาและเงินได้จากการประกอบธุรกิจอันเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร จากร้อยละ 60-85 เหลือร้อยละ 60 เพียงอัตราเดียว อย่างไรก็ดี หากผู้เสียภาษีมีหลักฐานค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจซึ่งมีจํานวนค่าใช้จ่ายมากกว่าร้อยละ 60 ก็สามารถหักค่าใช้จ่ายตามหลักฐานนั้นได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นการสนับสนุนให้บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจ หักค่าใช้จ่ายตามความจําเป็นและสมควร (หักค่าใช้จ่ายตามจริง) อันเป็นการแสดงผลการประกอบการที่แท้จริงในการประกอบกิจการ
2. กรมสรรพากรได้มีการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ผู้เสียภาษีเตรียมตัวในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2559 ได้แก่ การออกแถลงข่าวกระทรวงการคลัง การประชาสัมพันธ์ผ่านทางเว็บไซต์กรมสรรพากร การจัดอบรมสัมมนาภาษี รวมถึงการประชาสัมพันธ์ผ่านสํานักงานสรรพากรพื้นที่ และ RD Intelligence Center
3. เมื่อกระบวนการทางกฎหมายแล้วเสร็จ พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกําหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 629) พ.ศ. 2560 กําหนดให้เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร สามารถหักค่าใช้จ่ายเหมาได้สูงสุดไม่เกินอัตรา ร้อยละ 60 โดยให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปีภาษี พ.ศ. 2560 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป จึงได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2560 ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวเป็นการกําหนดค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ของเงินได้ตามมาตรา 40 (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ครึ่งปี ภายในเดือนกันยายน 2560 และยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ประจําปีภายในเดือนมีนาคม 2561 เป็นต้นไป จึงมิได้เป็นการบังคับใช้กฎหมายย้อนหลังแต่อย่างใด
4. ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 161) เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจัดทําบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2549 (http://www.rd.go.th/publish/33189.0.html) กําหนดให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มิได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและมีเงินได้ตามมาตรา 40(5) (6) (7) (8) แห่งประมวลรัษฎากร จัดทํารายงานเงินสดรับ-จ่าย ซึ่งเป็นการจัดทําบัญชีอย่างง่ายด้วยตนเอง ดังนั้น ผู้เสียภาษีที่มีเงินได้ตาม มาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร แม้ว่าในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเลือกหักค่าใช้จ่ายด้วยวิธีการเหมาก็ตาม มีหน้าที่ต้องจัดทํารายงานเงินสดรับ-จ่ายซึ่งใช้แสดงรายการการรับและจ่ายเงินในการประกอบกิจการอยู่แล้ว ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2549 ซึ่งหากผู้เสียภาษีเลือกหักค่าใช้จ่ายตามความจําเป็นและสมควร (หักค่าใช้จ่ายตามจริง) ผู้เสียภาษีสามารถใช้รายงานเงินสดรับ-จ่ายดังกล่าว เป็นหลักฐานประกอบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
5. กรณีผู้เสียภาษีที่มีเงินได้ตาม มาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ประสงค์จะหักค่าใช้จ่ายตามความจําเป็นและสมควร (หักค่าใช้จ่ายตามจริง) หากได้จ่ายค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการประกอบการ แต่ผู้รับเงินไม่ยอมออกหลักฐานการรับเงิน รวมถึงไม่ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้ได้รับเงิน ผู้เสียภาษีสามารถจัดทําใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานการจ่ายเงิน โดยให้ผู้เสียภาษีเองเป็นผู้รับรองการจ่ายเงินดังกล่าว
6. การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายนี้เป็นการสนับสนุนให้บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจจัดทําบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงินเพื่อให้ทราบฐานะในการประกอบการของตน ทั้งทางด้านรายได้ ต้นทุน และกําไรหรือขาดทุน ซึ่งจะเป็นการช่วยให้สามารถแข่งขันได้ในยุคการค้าไร้พรมแดน รวมถึงเป็นการสร้างความโปร่งใสและเป็นธรรมในการเสียภาษี ให้สอดคล้องตามผลการประกอบการที่แท้จริงอีกด้วย
หากผู้เสียภาษีมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่ง หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชี้แจงกรณีการลดอัตราการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาสำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร
วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2560
ชี้แจงกรณีการลดอัตราการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาสําหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ไม่เห็นด้วยในการลดอัตราการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในการคํานวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สําหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร
ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ไม่เห็นด้วยในการลดอัตราการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในการคํานวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สําหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร และเป็นการออกกฎหมายที่เป็นโทษจึงใช้ย้อนหลังไม่ได้ นั้น
นางแพตริเซีย มงคลวนิช รองอธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร ขอเรียนว่า
1. คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในหลักการตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2559 ให้มีการปรับปรุงอัตราการหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาสําหรับเงินได้จากการรับเหมาและเงินได้จากการประกอบธุรกิจอันเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร จากร้อยละ 60-85 เหลือร้อยละ 60 เพียงอัตราเดียว อย่างไรก็ดี หากผู้เสียภาษีมีหลักฐานค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจซึ่งมีจํานวนค่าใช้จ่ายมากกว่าร้อยละ 60 ก็สามารถหักค่าใช้จ่ายตามหลักฐานนั้นได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นการสนับสนุนให้บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจ หักค่าใช้จ่ายตามความจําเป็นและสมควร (หักค่าใช้จ่ายตามจริง) อันเป็นการแสดงผลการประกอบการที่แท้จริงในการประกอบกิจการ
2. กรมสรรพากรได้มีการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ผู้เสียภาษีเตรียมตัวในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2559 ได้แก่ การออกแถลงข่าวกระทรวงการคลัง การประชาสัมพันธ์ผ่านทางเว็บไซต์กรมสรรพากร การจัดอบรมสัมมนาภาษี รวมถึงการประชาสัมพันธ์ผ่านสํานักงานสรรพากรพื้นที่ และ RD Intelligence Center
3. เมื่อกระบวนการทางกฎหมายแล้วเสร็จ พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกําหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 629) พ.ศ. 2560 กําหนดให้เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร สามารถหักค่าใช้จ่ายเหมาได้สูงสุดไม่เกินอัตรา ร้อยละ 60 โดยให้ใช้บังคับสําหรับเงินได้พึงประเมินประจําปีภาษี พ.ศ. 2560 ที่จะต้องยื่นรายการใน พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป จึงได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2560 ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวเป็นการกําหนดค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ของเงินได้ตามมาตรา 40 (7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ครึ่งปี ภายในเดือนกันยายน 2560 และยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ประจําปีภายในเดือนมีนาคม 2561 เป็นต้นไป จึงมิได้เป็นการบังคับใช้กฎหมายย้อนหลังแต่อย่างใด
4. ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 161) เรื่อง กําหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจัดทําบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2549 (http://www.rd.go.th/publish/33189.0.html) กําหนดให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มิได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและมีเงินได้ตามมาตรา 40(5) (6) (7) (8) แห่งประมวลรัษฎากร จัดทํารายงานเงินสดรับ-จ่าย ซึ่งเป็นการจัดทําบัญชีอย่างง่ายด้วยตนเอง ดังนั้น ผู้เสียภาษีที่มีเงินได้ตาม มาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร แม้ว่าในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเลือกหักค่าใช้จ่ายด้วยวิธีการเหมาก็ตาม มีหน้าที่ต้องจัดทํารายงานเงินสดรับ-จ่ายซึ่งใช้แสดงรายการการรับและจ่ายเงินในการประกอบกิจการอยู่แล้ว ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2549 ซึ่งหากผู้เสียภาษีเลือกหักค่าใช้จ่ายตามความจําเป็นและสมควร (หักค่าใช้จ่ายตามจริง) ผู้เสียภาษีสามารถใช้รายงานเงินสดรับ-จ่ายดังกล่าว เป็นหลักฐานประกอบการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
5. กรณีผู้เสียภาษีที่มีเงินได้ตาม มาตรา 40(7) และ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ประสงค์จะหักค่าใช้จ่ายตามความจําเป็นและสมควร (หักค่าใช้จ่ายตามจริง) หากได้จ่ายค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการประกอบการ แต่ผู้รับเงินไม่ยอมออกหลักฐานการรับเงิน รวมถึงไม่ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้ได้รับเงิน ผู้เสียภาษีสามารถจัดทําใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานการจ่ายเงิน โดยให้ผู้เสียภาษีเองเป็นผู้รับรองการจ่ายเงินดังกล่าว
6. การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายนี้เป็นการสนับสนุนให้บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจจัดทําบัญชีแสดงรายการรับจ่ายเงินเพื่อให้ทราบฐานะในการประกอบการของตน ทั้งทางด้านรายได้ ต้นทุน และกําไรหรือขาดทุน ซึ่งจะเป็นการช่วยให้สามารถแข่งขันได้ในยุคการค้าไร้พรมแดน รวมถึงเป็นการสร้างความโปร่งใสและเป็นธรรมในการเสียภาษี ให้สอดคล้องตามผลการประกอบการที่แท้จริงอีกด้วย
หากผู้เสียภาษีมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่ง หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7191
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ส.ส.อนุสรี’มอบอาหารเครื่องดื่มและหน้ากากอนามัยแก่สมาคมคนตาบอด รวมใจสู้ภัยโควิด-19 [กระทรวงแรงงาน]
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
‘ส.ส.อนุสรี’มอบอาหารเครื่องดื่มและหน้ากากอนามัยแก่สมาคมคนตาบอด รวมใจสู้ภัยโควิด-19 [กระทรวงแรงงาน]
‘ส.ส.อนุสรี’มอบอาหารเครื่องดื่มและหน้ากากอนามัยแก่สมาคมคนตาบอด รวมใจสู้ภัยโควิด-19
‘อนุสรี ทับสุวรรณ’ โฆษกคณะกรรมาธิการการแรงงาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พบปะเยี่ยมเยี่ยนสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เพื่อมอบอาหาร เครื่องดื่ม และหน้ากากอนามัยแก่ผู้พิการทางสายตา เป็นขวัญและกําลังใจในการร่วมกันต่อสู้และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 เวลา 10.00 น. นางสาวอนุสรี ทับสุวรรณ โฆษกคณะกรรมาธิการการแรงงาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในนาม “กลุ่มอนุสรีรวมใจให้กัน” ร่วมมอบอาหาร เครื่องดื่ม และหน้ากากอนามัยให้แก่ผู้พิการทางสายตา โดยมี นายพิทยา ศรีโกตะเพชร ผู้อํานวยการสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เป็นผู้รับมอบ เพื่อนําไปให้แก่ผู้พิการทางสายตาของสมาคมฯ ซึ่งประกอบด้วย อาหารและน้ําดื่มจํานวน 300 ชุด หน้ากากอนามัย จํานวน 200 ชิ้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจแก่ผู้พิการทางสายตาในการร่วมกันต่อสู้และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ณ สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ซอยบุญอยู่ ถนนอโศก – ดินแดง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพ
ชนินทร เพ็ชรทับ ข่าว
7 พฤษภาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ส.ส.อนุสรี’มอบอาหารเครื่องดื่มและหน้ากากอนามัยแก่สมาคมคนตาบอด รวมใจสู้ภัยโควิด-19 [กระทรวงแรงงาน]
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563
‘ส.ส.อนุสรี’มอบอาหารเครื่องดื่มและหน้ากากอนามัยแก่สมาคมคนตาบอด รวมใจสู้ภัยโควิด-19 [กระทรวงแรงงาน]
‘ส.ส.อนุสรี’มอบอาหารเครื่องดื่มและหน้ากากอนามัยแก่สมาคมคนตาบอด รวมใจสู้ภัยโควิด-19
‘อนุสรี ทับสุวรรณ’ โฆษกคณะกรรมาธิการการแรงงาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พบปะเยี่ยมเยี่ยนสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เพื่อมอบอาหาร เครื่องดื่ม และหน้ากากอนามัยแก่ผู้พิการทางสายตา เป็นขวัญและกําลังใจในการร่วมกันต่อสู้และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 เวลา 10.00 น. นางสาวอนุสรี ทับสุวรรณ โฆษกคณะกรรมาธิการการแรงงาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในนาม “กลุ่มอนุสรีรวมใจให้กัน” ร่วมมอบอาหาร เครื่องดื่ม และหน้ากากอนามัยให้แก่ผู้พิการทางสายตา โดยมี นายพิทยา ศรีโกตะเพชร ผู้อํานวยการสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย เป็นผู้รับมอบ เพื่อนําไปให้แก่ผู้พิการทางสายตาของสมาคมฯ ซึ่งประกอบด้วย อาหารและน้ําดื่มจํานวน 300 ชุด หน้ากากอนามัย จํานวน 200 ชิ้น ทั้งนี้ เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจแก่ผู้พิการทางสายตาในการร่วมกันต่อสู้และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ณ สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ซอยบุญอยู่ ถนนอโศก – ดินแดง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพ
ชนินทร เพ็ชรทับ ข่าว
7 พฤษภาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30409
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมหมู่บ้านอินเตอร์เน็ตประชารัฐของจีน
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2560
รองนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมหมู่บ้านอินเตอร์เน็ตประชารัฐของจีน
ภายหลังจากการเป็นประธานร่วมในพิธีเปิดโครงการสัมมนาวิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน ครั้งที่ 6 และเข้าร่วมการประชุมเจรจาความร่วมมือกับฝ่ายจีนแบบโต๊ะกลม ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ที่เมืองเซีรนเกมิน มณฑลฝูเจี้ยน เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 แล้ว
วันนี้ (9 พฤศจิกายน 2560) เวลา 15.10 น. (ตามเวลาท้องถิ่นตรงกับเวลา 14.10 น.ประเทศไทย) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังอําเภอหวงสุ่ย เขตซวงหลิว มณฑลเสฉวน เพื่อดูงานโครงสร้างเครือข่ายและการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลงานทางด้านเน็ตประชารัฐร่วมกับนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเข้าชมโครงการด้านอินเตอร์เน็ตประชารัฐของมณฑลเสฉวน โดยมีนายซุนคังหมิ่น รองประธานบริษัท ไชน่า เทเลคอม จํากัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีน และนายเจิ้งเฉิงหยู ผู้จัดการทั่วไปของบริษัท เสฉวน เทเลคอม จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ไชน่า เทเลคอม จํากัด ให้การต้อนรับและนําชมหมู่บ้านเกษตรกรรมที่ใช้ระบบอินเตอร์เน็ตประชารัฐของจีน
ทั้งนี้ บริษัท เสฉวน เทเลคอม จํากัด ร่วมกับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี จํากัด ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในส่วนของอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงหรือเครือข่ายบรอดแบนด์และการพัฒนาธุรกิจ IPTV แพลตฟอร์มในชุมชนของมณฑลเสฉวน การพัฒนาดังกล่าวทําให้เกิดความเชื่อมโยงแบบนิเวศอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาการให้บริการภาครัฐ เพื่อรองรับการใช้งานของประชาชน โครงการดังกล่าวประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก ภายหลังจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวแล้ว ยังทําให้เกิดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาผ่านระบบการศึกษาออนไลน์ การเข้าถึงทางการแพทย์ รวมไปถึงการศึกษารูปแบบการลงทุนในโครงการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน รวมไปถึงนโยบายการบริหารจัดการและเงินรายได้ พร้อมทั้งได้เยี่ยมชมสถานที่ติดตั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและการพัฒนาธุรกิจ IPTV ตัวอย่าง และการดําเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วย
ทั้งนี้คณะของรองนายกรัฐมนตรีได้เข้าชมหมู่บ้านเกษตรกรหวงสุ่ย ที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความทันสมัยทั้งในเรื่องของโทรทัศน์วงจรปิดเพื่อความปลอดภัยของชุมชน การใช้ IPTV เพื่อเชื่อมโครงข่ายระหว่างบ้านพักอาศัย ทําให้สามารถรับชมโทรทัศน์ด้วยระบบความคมชัดสูงและไม่มีสัญญาณรบกวน รวมถึงการสามารถใช้เป็นการประชุมร่วมผ่านทางโทรทัศน์ในลักษณะ Home Conference และดูแลความปลอดภัยด้วยการตั้งกล้องโทรทัศน์ไว้ตามจุดต่าง ๆ ของหมู่บ้าน ทําให้สามารถเห็นความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้จากภายในบ้าน เนื่องจากระบบ IPTV สามารถทําให้รับชมภาพต่าง ๆ ได้ถึง ๙ ช่อง ในเวลาพร้อมกัน
จากนั้นคณะของรองนายกรัฐมนตรีได้เข้าเยี่ยมชมสหกรณ์การเกษตรของหมู่บ้าน ซึ่งมีการใช้แพลตฟอร์มการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผ่านระบบ E-commerce ที่ทันสมัยและสามารถอํานวยความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี
................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลจาก พล.อ.อ. มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมหมู่บ้านอินเตอร์เน็ตประชารัฐของจีน
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2560
รองนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมหมู่บ้านอินเตอร์เน็ตประชารัฐของจีน
ภายหลังจากการเป็นประธานร่วมในพิธีเปิดโครงการสัมมนาวิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน ครั้งที่ 6 และเข้าร่วมการประชุมเจรจาความร่วมมือกับฝ่ายจีนแบบโต๊ะกลม ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ที่เมืองเซีรนเกมิน มณฑลฝูเจี้ยน เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 แล้ว
วันนี้ (9 พฤศจิกายน 2560) เวลา 15.10 น. (ตามเวลาท้องถิ่นตรงกับเวลา 14.10 น.ประเทศไทย) พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะได้เดินทางไปยังอําเภอหวงสุ่ย เขตซวงหลิว มณฑลเสฉวน เพื่อดูงานโครงสร้างเครือข่ายและการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลงานทางด้านเน็ตประชารัฐร่วมกับนายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อเข้าชมโครงการด้านอินเตอร์เน็ตประชารัฐของมณฑลเสฉวน โดยมีนายซุนคังหมิ่น รองประธานบริษัท ไชน่า เทเลคอม จํากัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีน และนายเจิ้งเฉิงหยู ผู้จัดการทั่วไปของบริษัท เสฉวน เทเลคอม จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ไชน่า เทเลคอม จํากัด ให้การต้อนรับและนําชมหมู่บ้านเกษตรกรรมที่ใช้ระบบอินเตอร์เน็ตประชารัฐของจีน
ทั้งนี้ บริษัท เสฉวน เทเลคอม จํากัด ร่วมกับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี จํากัด ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในส่วนของอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงหรือเครือข่ายบรอดแบนด์และการพัฒนาธุรกิจ IPTV แพลตฟอร์มในชุมชนของมณฑลเสฉวน การพัฒนาดังกล่าวทําให้เกิดความเชื่อมโยงแบบนิเวศอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาการให้บริการภาครัฐ เพื่อรองรับการใช้งานของประชาชน โครงการดังกล่าวประสบความสําเร็จเป็นอย่างมาก ภายหลังจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวแล้ว ยังทําให้เกิดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาผ่านระบบการศึกษาออนไลน์ การเข้าถึงทางการแพทย์ รวมไปถึงการศึกษารูปแบบการลงทุนในโครงการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน รวมไปถึงนโยบายการบริหารจัดการและเงินรายได้ พร้อมทั้งได้เยี่ยมชมสถานที่ติดตั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและการพัฒนาธุรกิจ IPTV ตัวอย่าง และการดําเนินชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วย
ทั้งนี้คณะของรองนายกรัฐมนตรีได้เข้าชมหมู่บ้านเกษตรกรหวงสุ่ย ที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความทันสมัยทั้งในเรื่องของโทรทัศน์วงจรปิดเพื่อความปลอดภัยของชุมชน การใช้ IPTV เพื่อเชื่อมโครงข่ายระหว่างบ้านพักอาศัย ทําให้สามารถรับชมโทรทัศน์ด้วยระบบความคมชัดสูงและไม่มีสัญญาณรบกวน รวมถึงการสามารถใช้เป็นการประชุมร่วมผ่านทางโทรทัศน์ในลักษณะ Home Conference และดูแลความปลอดภัยด้วยการตั้งกล้องโทรทัศน์ไว้ตามจุดต่าง ๆ ของหมู่บ้าน ทําให้สามารถเห็นความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้จากภายในบ้าน เนื่องจากระบบ IPTV สามารถทําให้รับชมภาพต่าง ๆ ได้ถึง ๙ ช่อง ในเวลาพร้อมกัน
จากนั้นคณะของรองนายกรัฐมนตรีได้เข้าเยี่ยมชมสหกรณ์การเกษตรของหมู่บ้าน ซึ่งมีการใช้แพลตฟอร์มการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผ่านระบบ E-commerce ที่ทันสมัยและสามารถอํานวยความสะดวก รวดเร็วและปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี
................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ข้อมูลจาก พล.อ.อ. มณฑล สัชฌุกร
โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7956
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม SportAccord Convention 2018
|
วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม SportAccord Convention 2018
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม SportAccord Convention 2018
วันนี้ (17 เม.ย. 2561) เวลา 20.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม SportAccord Convention 2018 ณ หอประชุมกองทัพเรือ กรุงเทพฯ โดยพลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีมีความยินดีและเป็นเกียรติที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมสปอร์ตแอคคอร์ต ประจําปี ค.ศ.2018 และกล่าวต้อนรับประธานคณะกรรมการโอลิมปิกระหว่างประเทศ ประธานสปอร์ตแอคคอร์ดและสมัชชาสหพันธ์กีฬานานาชาติ ตลอดจนแขกผู้ทรงเกียรติสู่ประเทศไทย ดินแดนแห่งมรดกทางอารยธรรมและวัฒนธรรมอันงดงาม นายกรัฐมนตรีมีความภาคภูมิใจที่การประชุมด้านกีฬาที่สําคัญยิ่งครั้งนี้มาจัดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้ทราบว่า ผู้แทนจากองค์กรกีฬาต่างๆ ดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้าร่วมการประชุมฯ เพื่อร่วมจัดทําแผนงาน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสมาชิก นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการส่งเสริมประชาสัมพันธ์ผลงาน นวัตกรรมกีฬา ตลอดจนการแข่งขันกีฬารายการสําคัญในระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้นํากีฬาจากทั่วโลกได้พบปะหารือ และสร้างภาคีเครือข่ายด้านกีฬาระหว่างกัน ดังคําขวัญของการประชุมสปอร์ตแอคคอร์ด ที่ว่า “Where Sport Meets” ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีแสดงความเชื่อมั่นว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าและแนวทางความร่วมมือด้านกีฬาในระดับนานาชาติ โดยรัฐบาลไทยในฐานะเจ้าภาพและคณะผู้จัดงานขอให้การสนับสนุนการประชุมอย่างเต็มที่
ช่วงเวลานี้ตรงกับเทศกาลสงกรานต์ ปีใหม่ของไทย นับว่าเป็นโอกาสพิเศษ นายกรัฐมนตรีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้เข้าร่วมการประชุมจะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีไทยที่ยังคงงดงามมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องด้วยในปีนี้รัฐบาลได้ประกาศให้เป็น “ปีท่องเที่ยวไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” จึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่ผู้เข้าร่วมการประชุมจะพาครอบครัวมาท่องเที่ยว และทํากิจกรรมเพื่อเป็นการบันเทิงและพักผ่อนได้สัมผัสกับความงดงามของวัฒนธรรมไทย เที่ยวชมทิวทัศน์ที่สวยงาม แปลกตา ตลอดจนทดลองชิมอาหารริมทาง หรือ สตรีทฟู้ด รสเลิศ ซึ่งประเทศไทยได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเมืองหลัก ที่มีอาหารริมทางที่ดีที่สุดในโลกด้วย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณคณะผู้จัดงาน ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องทั้งจากภาครัฐและเอกชน ที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ และมีความซาบซึ้งใจที่คณะผู้แทนสปอร์ตแอคคอร์ด และผู้เข้าร่วมการประชุมให้การสนับสนุน อุทิศตน และร่วมมือกันเป็นอย่างดี พร้อมอวยพรให้การประชุมสปอร์ตแอคคอร์ด 2018 สัมฤทธิผลทุกประการ
***********
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม SportAccord Convention 2018
วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม SportAccord Convention 2018
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม SportAccord Convention 2018
วันนี้ (17 เม.ย. 2561) เวลา 20.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุม SportAccord Convention 2018 ณ หอประชุมกองทัพเรือ กรุงเทพฯ โดยพลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีมีความยินดีและเป็นเกียรติที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมสปอร์ตแอคคอร์ต ประจําปี ค.ศ.2018 และกล่าวต้อนรับประธานคณะกรรมการโอลิมปิกระหว่างประเทศ ประธานสปอร์ตแอคคอร์ดและสมัชชาสหพันธ์กีฬานานาชาติ ตลอดจนแขกผู้ทรงเกียรติสู่ประเทศไทย ดินแดนแห่งมรดกทางอารยธรรมและวัฒนธรรมอันงดงาม นายกรัฐมนตรีมีความภาคภูมิใจที่การประชุมด้านกีฬาที่สําคัญยิ่งครั้งนี้มาจัดเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้ทราบว่า ผู้แทนจากองค์กรกีฬาต่างๆ ดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายที่จะเข้าร่วมการประชุมฯ เพื่อร่วมจัดทําแผนงาน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสมาชิก นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการส่งเสริมประชาสัมพันธ์ผลงาน นวัตกรรมกีฬา ตลอดจนการแข่งขันกีฬารายการสําคัญในระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้นํากีฬาจากทั่วโลกได้พบปะหารือ และสร้างภาคีเครือข่ายด้านกีฬาระหว่างกัน ดังคําขวัญของการประชุมสปอร์ตแอคคอร์ด ที่ว่า “Where Sport Meets” ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีแสดงความเชื่อมั่นว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าและแนวทางความร่วมมือด้านกีฬาในระดับนานาชาติ โดยรัฐบาลไทยในฐานะเจ้าภาพและคณะผู้จัดงานขอให้การสนับสนุนการประชุมอย่างเต็มที่
ช่วงเวลานี้ตรงกับเทศกาลสงกรานต์ ปีใหม่ของไทย นับว่าเป็นโอกาสพิเศษ นายกรัฐมนตรีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้เข้าร่วมการประชุมจะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีไทยที่ยังคงงดงามมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องด้วยในปีนี้รัฐบาลได้ประกาศให้เป็น “ปีท่องเที่ยวไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” จึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่ผู้เข้าร่วมการประชุมจะพาครอบครัวมาท่องเที่ยว และทํากิจกรรมเพื่อเป็นการบันเทิงและพักผ่อนได้สัมผัสกับความงดงามของวัฒนธรรมไทย เที่ยวชมทิวทัศน์ที่สวยงาม แปลกตา ตลอดจนทดลองชิมอาหารริมทาง หรือ สตรีทฟู้ด รสเลิศ ซึ่งประเทศไทยได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเมืองหลัก ที่มีอาหารริมทางที่ดีที่สุดในโลกด้วย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณคณะผู้จัดงาน ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องทั้งจากภาครัฐและเอกชน ที่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ และมีความซาบซึ้งใจที่คณะผู้แทนสปอร์ตแอคคอร์ด และผู้เข้าร่วมการประชุมให้การสนับสนุน อุทิศตน และร่วมมือกันเป็นอย่างดี พร้อมอวยพรให้การประชุมสปอร์ตแอคคอร์ด 2018 สัมฤทธิผลทุกประการ
***********
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11552
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พุทธิพงษ์ รมว.ดีอีเอส จับมือ Facebook พร้อมรุดหน้าแก้ปัญหาดิจิทัล 4 ด้าน
|
วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563
พุทธิพงษ์ รมว.ดีอีเอส จับมือ Facebook พร้อมรุดหน้าแก้ปัญหาดิจิทัล 4 ด้าน
พุทธิพงษ์ รมว.ดีอีเอส จับมือ Facebook พร้อมรุดหน้าแก้ปัญหาดิจิทัล 4 ด้าน
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกัณต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และคณะฯ เดินหน้าโรดโชว์หารือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านดิจิทัล ที่ซิลิคอน วัลเล่ย์ ของสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2563 กระทรวงดีอีเอส คณะผู้บริหารกระทรวงฯ และสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้เข้าหารือความร่วมมือกับผู้บริหารระดับสูงของ Facebook
ทางผู้บริหาร Facebook แจ้งว่าเป็นครั้งแรกที่มีรัฐมนตรีจากประเทศไทยมาเข้าพบ ทาง Facebook จึงให้ความสําคัญมาก ซึ่งการพบกันคราวนี้ ทําให้ได้มีการหารือในประเด็นต่างๆ ที่ประเทศไทยได้เคยเสนอในเชิงลึกยิ่งขึ้นใน 4 ด้าน ดังนี้
ด้าน Privacy การร่วมมือกันระหว่าง Facebook และกระทรวงดีอีเอส เพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชน มีความรู้ความเข้าใจเรื่อง privacy ของตนเอง จะทําอย่างไรให้ปลอดภัยในโลกออนไลน์ และให้ความรู้ SMEs ในเรื่อง protocol ที่จําเป็น
ด้าน Digital Inclusion เน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยผู้พิการทางสายตา พิการทางการได้ยิน พิการทางร่างกาย และผู้ที่มีความยากลําบากในการเรียนรู้ ให้สามารถใช้เทคโนโลยีเป็น ซึ่งหลายโครงการประสบความสําเร็จเป็นอย่างสูงและกําลังอยู่ระหว่างการขยายผล และมีแนวคิดในการร่วมกันจัด hackathon เพื่อประดิษฐ์เทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือคนพิการ
ด้าน Commercial Experience โดยมีแนวทางในการทํางานร่วมกัน เช่น เรื่องการเก็บภาษีจาก Facebook สําหรับการซื้อขายโฆษณาในประเทศไทย เรื่องการควบคุมสินค้าปลอมหรือไม่ถูกกฎหมายที่ขายผ่านช่องทาง Facebook
ด้าน Fake news โดยได้หารือแนวทางความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม กับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมบน Facebook รวมถึงการสร้างขั้นตอนในการทํางานร่วมกันอย่างชัดเจน และ timeline ของกระบวนการแจ้งลบแอ็คเค้าท์ปลอม หรือข้อมูลเท็จได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถอธิบายให้ประชาชนรับทราบได้
การเข้าพบ Facebook ในครั้งนี้ นอกจากจะได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์กันแล้ว นายพุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า “ผู้บริหาร Facebook ยังให้ข้อมูลกับผมว่า Market Place ของ Facebook นั้นได้รับแรงบันดาลจากคนไทย เนื่องจากคนไทยใช้ Facebook ในการขายของเป็นจํานวนมาก และเป็นชาติที่มีวิธีที่น่าสนใจและแปลกใหม่ในการประยุกต์ใช้ social media ในการขายของออนไลน์” รมว.ดีอีเอส กล่าว
นอกจากนี้ รมว.ดีอีเอส ยังได้พบกับกลุ่มคนไทยที่ทํางานใน Facebook และนักศึกษาในมหาวิทยาลัย Stanford ซึ่งท่านได้ในความเห็นว่า“คนไทยเหล่านี้ เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดน่าสนใจ เป็นอีกหนึ่งความหวังของประเทศไทย เพราะนอกจากมีความสามารถแล้ว ยังได้มีโอกาสอยู่ในสภาพแวดล้อมของเทคโนโลยีและ network ระดับโลก ผมได้ฝากน้องๆ ไว้ว่าหากได้มีโอกาส ขอให้กลับมาช่วยประเทศไทย เพราะคนเหล่านี้มีศักยภาพสูงมาก หากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสมและมีโอกาส จะใช้ความสามารถที่มีอยู่สร้างประโยชน์ ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศได้เป็นอย่างมาก”
ทั้งนี้ นายพุทธิพงษ์ และคณะฯ ยังอยู่ระหว่างการเดินทางโรดโชว์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในระหว่างวันที่ 14 – 22 มกราคม 2563 เพื่อเชิญชวนนักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทย อาทิ เช่น plug and play Tech center, Seagate, Facebook, CISCO, Google, AWS, เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พุทธิพงษ์ รมว.ดีอีเอส จับมือ Facebook พร้อมรุดหน้าแก้ปัญหาดิจิทัล 4 ด้าน
วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม 2563
พุทธิพงษ์ รมว.ดีอีเอส จับมือ Facebook พร้อมรุดหน้าแก้ปัญหาดิจิทัล 4 ด้าน
พุทธิพงษ์ รมว.ดีอีเอส จับมือ Facebook พร้อมรุดหน้าแก้ปัญหาดิจิทัล 4 ด้าน
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกัณต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และคณะฯ เดินหน้าโรดโชว์หารือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านดิจิทัล ที่ซิลิคอน วัลเล่ย์ ของสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2563 กระทรวงดีอีเอส คณะผู้บริหารกระทรวงฯ และสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ได้เข้าหารือความร่วมมือกับผู้บริหารระดับสูงของ Facebook
ทางผู้บริหาร Facebook แจ้งว่าเป็นครั้งแรกที่มีรัฐมนตรีจากประเทศไทยมาเข้าพบ ทาง Facebook จึงให้ความสําคัญมาก ซึ่งการพบกันคราวนี้ ทําให้ได้มีการหารือในประเด็นต่างๆ ที่ประเทศไทยได้เคยเสนอในเชิงลึกยิ่งขึ้นใน 4 ด้าน ดังนี้
ด้าน Privacy การร่วมมือกันระหว่าง Facebook และกระทรวงดีอีเอส เพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชน มีความรู้ความเข้าใจเรื่อง privacy ของตนเอง จะทําอย่างไรให้ปลอดภัยในโลกออนไลน์ และให้ความรู้ SMEs ในเรื่อง protocol ที่จําเป็น
ด้าน Digital Inclusion เน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยผู้พิการทางสายตา พิการทางการได้ยิน พิการทางร่างกาย และผู้ที่มีความยากลําบากในการเรียนรู้ ให้สามารถใช้เทคโนโลยีเป็น ซึ่งหลายโครงการประสบความสําเร็จเป็นอย่างสูงและกําลังอยู่ระหว่างการขยายผล และมีแนวคิดในการร่วมกันจัด hackathon เพื่อประดิษฐ์เทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือคนพิการ
ด้าน Commercial Experience โดยมีแนวทางในการทํางานร่วมกัน เช่น เรื่องการเก็บภาษีจาก Facebook สําหรับการซื้อขายโฆษณาในประเทศไทย เรื่องการควบคุมสินค้าปลอมหรือไม่ถูกกฎหมายที่ขายผ่านช่องทาง Facebook
ด้าน Fake news โดยได้หารือแนวทางความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม กับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมบน Facebook รวมถึงการสร้างขั้นตอนในการทํางานร่วมกันอย่างชัดเจน และ timeline ของกระบวนการแจ้งลบแอ็คเค้าท์ปลอม หรือข้อมูลเท็จได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถอธิบายให้ประชาชนรับทราบได้
การเข้าพบ Facebook ในครั้งนี้ นอกจากจะได้แลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์กันแล้ว นายพุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า “ผู้บริหาร Facebook ยังให้ข้อมูลกับผมว่า Market Place ของ Facebook นั้นได้รับแรงบันดาลจากคนไทย เนื่องจากคนไทยใช้ Facebook ในการขายของเป็นจํานวนมาก และเป็นชาติที่มีวิธีที่น่าสนใจและแปลกใหม่ในการประยุกต์ใช้ social media ในการขายของออนไลน์” รมว.ดีอีเอส กล่าว
นอกจากนี้ รมว.ดีอีเอส ยังได้พบกับกลุ่มคนไทยที่ทํางานใน Facebook และนักศึกษาในมหาวิทยาลัย Stanford ซึ่งท่านได้ในความเห็นว่า“คนไทยเหล่านี้ เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดน่าสนใจ เป็นอีกหนึ่งความหวังของประเทศไทย เพราะนอกจากมีความสามารถแล้ว ยังได้มีโอกาสอยู่ในสภาพแวดล้อมของเทคโนโลยีและ network ระดับโลก ผมได้ฝากน้องๆ ไว้ว่าหากได้มีโอกาส ขอให้กลับมาช่วยประเทศไทย เพราะคนเหล่านี้มีศักยภาพสูงมาก หากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสมและมีโอกาส จะใช้ความสามารถที่มีอยู่สร้างประโยชน์ ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศได้เป็นอย่างมาก”
ทั้งนี้ นายพุทธิพงษ์ และคณะฯ ยังอยู่ระหว่างการเดินทางโรดโชว์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในระหว่างวันที่ 14 – 22 มกราคม 2563 เพื่อเชิญชวนนักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทย อาทิ เช่น plug and play Tech center, Seagate, Facebook, CISCO, Google, AWS, เป็นต้น
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25900
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี ชมเชยการเรียนการสอนภาษาอังกฤษผ่านบทเพลง สร้างการรับรู้สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน
|
วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2562
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี ชมเชยการเรียนการสอนภาษาอังกฤษผ่านบทเพลง สร้างการรับรู้สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี
วันนี้ (19 มีนาคม 2562) เวลา 15.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจกรรมเยี่ยมชมของกระทรวงต่างๆ ดังนี้ โครงการในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ โดย กระทรวงศึกษาธิการ นิทรรศการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่:กรณีแปลงใหญ่แบบมะม่วง โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การจัดงาน Crafts Bangkok 2019 โดยศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ และการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแก่ผู้ประกันตนในสถานประกอบการ โดยกระทรวงแรงงาน
นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการนําคณะประชาสัมพันธ์โครงการในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเน้นวิธีการฝึกฝนภาษาอังกฤษจากคําศัพท์ คําสนทนาง่ายๆ ผ่านการฝึกท่องจําคําศัพท์ โดยนักเรียนโรงเรียนถนนมิตรภาพ 4 คน ได้นําเสนอกิจกรรม My English Chant การท่องจําคําศัพท์ผ่านบทเพลง โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมว่า เป็นการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นสร้างการเรียนรู้ให้จดจําคําศัพท์ได้ง่ายเป็นการยกระดับการเรียนการสอนให้เหมาะกับยุคปัจจุบัน
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดประชาสัมพันธ์ นิทรรศการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่:กรณีแปลงใหญ่แบบมะม่วง ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มทําการเกษตรแปลงใหญ่แบบบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ให้เห็นถึงความเข้มแข็งของเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วง จนเป็นสมาคมชาวสวนมะม่วงมีการแปรรูปผลิตพภัณฑ์จากมะม่วง ภายใต้ concept “Mango So Good !” อาทิเช่น ทาร์ตข้าวเหนียว มะม่วงส้มตํามะม่วง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชิมผลิตภัณฑ์และกล่าวว่า การรวมกลุ่มในกลุ่มเกษตรกรในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การต่อรองทางการตลาดโดยมีเป้าหมายให้กลุ่มเกษตรแปลงใหญ่มีความเข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการกิจกรรมของกลุ่ม ตั้งแต่ต้นน้ําจนถึงปลายน้ําได้อย่างยั่งยืน
จากนั้น นางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT ประชาสัมพันธ์การจัดงาน Crafts Bangkok 2019 ภายใต้แนวคิด "Retell the Details”นําเสนอเรื่องราวอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของงานหัตถศิลป์ของไทย ในรูปแบบ อาทิ ผ้าทอมือ งานจักสาน งานเครื่องปั้นดินเผา และงานเครื่องประดับ โดยครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม ทายาท ช่างศิลปหัตถกรรม ทั้งในและต่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมผลิตภัณฑ์ฝีมือคนไทยว่า มีความวิจิตรงดงาม มีเอกลักษณ์ ให้คํานึงถึงการใช้งานได้จริงประยุกต์ลายดั้งเดิมและลายใหม่ให้มีความแปลกใหม่และทันสมัย
อนึ่งบริเวณงาน พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นําคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแก่ผู้ประกันตนในสถานประกอบการ โดยสํานักงานประกันสังคมได้ร่วมมือกับ 9 หน่วยงาน ได้แก่ กรมสวัสดิการและ คุ้มครองแรงงาน หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข คือ กรมการแพทย์ กรมอนามัย กรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต พร้อมสมาคมโรงพยาบาลเอกชน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยความร่วมมือจากสถานประกอบการ และสถานพยาบาลที่มาร่วมโครงการฯ ให้บริการการตรวจสุขภาพช่องปาก ตรวจวัดสายตา/การได้ยิน ตรวจทางห้องปฏิบัติการ เอกซเรย์ทรวงอก ตรวจมะเร็งปากมดลูก โดยมีทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมให้คําแนะนําแก่ผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง ผู้ประกันตน โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมมาโดยตลอด ขอให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบถึงสิทธิที่สามารถใช้ได้ เช่น สายด่วนการเจ็บป่วยฉุกเฉิน UCEP 1669 เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างเท่าเทียม
.............................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี ชมเชยการเรียนการสอนภาษาอังกฤษผ่านบทเพลง สร้างการรับรู้สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน
วันอังคารที่ 19 มีนาคม 2562
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี ชมเชยการเรียนการสอนภาษาอังกฤษผ่านบทเพลง สร้างการรับรู้สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน
นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมกิจกรรมก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี
วันนี้ (19 มีนาคม 2562) เวลา 15.30 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมกิจกรรมเยี่ยมชมของกระทรวงต่างๆ ดังนี้ โครงการในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ โดย กระทรวงศึกษาธิการ นิทรรศการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่:กรณีแปลงใหญ่แบบมะม่วง โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การจัดงาน Crafts Bangkok 2019 โดยศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ และการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแก่ผู้ประกันตนในสถานประกอบการ โดยกระทรวงแรงงาน
นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการนําคณะประชาสัมพันธ์โครงการในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเน้นวิธีการฝึกฝนภาษาอังกฤษจากคําศัพท์ คําสนทนาง่ายๆ ผ่านการฝึกท่องจําคําศัพท์ โดยนักเรียนโรงเรียนถนนมิตรภาพ 4 คน ได้นําเสนอกิจกรรม My English Chant การท่องจําคําศัพท์ผ่านบทเพลง โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมว่า เป็นการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นสร้างการเรียนรู้ให้จดจําคําศัพท์ได้ง่ายเป็นการยกระดับการเรียนการสอนให้เหมาะกับยุคปัจจุบัน
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดประชาสัมพันธ์ นิทรรศการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่:กรณีแปลงใหญ่แบบมะม่วง ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มทําการเกษตรแปลงใหญ่แบบบูรณาการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ให้เห็นถึงความเข้มแข็งของเกษตรกรผู้ปลูกมะม่วง จนเป็นสมาคมชาวสวนมะม่วงมีการแปรรูปผลิตพภัณฑ์จากมะม่วง ภายใต้ concept “Mango So Good !” อาทิเช่น ทาร์ตข้าวเหนียว มะม่วงส้มตํามะม่วง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชิมผลิตภัณฑ์และกล่าวว่า การรวมกลุ่มในกลุ่มเกษตรกรในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การต่อรองทางการตลาดโดยมีเป้าหมายให้กลุ่มเกษตรแปลงใหญ่มีความเข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการกิจกรรมของกลุ่ม ตั้งแต่ต้นน้ําจนถึงปลายน้ําได้อย่างยั่งยืน
จากนั้น นางอัมพวัน พิชาลัย ผู้อํานวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ SACICT ประชาสัมพันธ์การจัดงาน Crafts Bangkok 2019 ภายใต้แนวคิด "Retell the Details”นําเสนอเรื่องราวอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของงานหัตถศิลป์ของไทย ในรูปแบบ อาทิ ผ้าทอมือ งานจักสาน งานเครื่องปั้นดินเผา และงานเครื่องประดับ โดยครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม ทายาท ช่างศิลปหัตถกรรม ทั้งในและต่างประเทศ โดยนายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมผลิตภัณฑ์ฝีมือคนไทยว่า มีความวิจิตรงดงาม มีเอกลักษณ์ ให้คํานึงถึงการใช้งานได้จริงประยุกต์ลายดั้งเดิมและลายใหม่ให้มีความแปลกใหม่และทันสมัย
อนึ่งบริเวณงาน พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นําคณะเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อประชาสัมพันธ์การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคแก่ผู้ประกันตนในสถานประกอบการ โดยสํานักงานประกันสังคมได้ร่วมมือกับ 9 หน่วยงาน ได้แก่ กรมสวัสดิการและ คุ้มครองแรงงาน หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข คือ กรมการแพทย์ กรมอนามัย กรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต พร้อมสมาคมโรงพยาบาลเอกชน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยความร่วมมือจากสถานประกอบการ และสถานพยาบาลที่มาร่วมโครงการฯ ให้บริการการตรวจสุขภาพช่องปาก ตรวจวัดสายตา/การได้ยิน ตรวจทางห้องปฏิบัติการ เอกซเรย์ทรวงอก ตรวจมะเร็งปากมดลูก โดยมีทีมแพทย์เฉพาะทาง พร้อมให้คําแนะนําแก่ผู้ใช้แรงงาน ลูกจ้าง ผู้ประกันตน โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมมาโดยตลอด ขอให้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้ทราบถึงสิทธิที่สามารถใช้ได้ เช่น สายด่วนการเจ็บป่วยฉุกเฉิน UCEP 1669 เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและเข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างเท่าเทียม
.............................................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19439
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดกิจกรรมนำร่อง ถนนคนเดิน “เดิน กิน ชิม เที่ยว Walking Street” ถ.สีลมและเยาวราช ก่อนขยายสู่พื้นอื่น ๆ ทั่วประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย
|
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562
นายกรัฐมนตรีเปิดกิจกรรมนําร่อง ถนนคนเดิน “เดิน กิน ชิม เที่ยว Walking Street” ถ.สีลมและเยาวราช ก่อนขยายสู่พื้นอื่น ๆ ทั่วประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย
นายกรัฐมนตรีเปิดกิจกรรมนําร่องถนนคนเดิน “เดิน กิน ชิม เที่ยว Walking Street” ถ.สีลมและเยาวราช ก่อนขยายสู่พื้นอื่น ๆ ทั่วประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย
วันนี้ (15 ธ.ค.62) เวลา 18.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดโครงการนําร่องกิจกรรมถนนคนเดิน (Walking Street) “เดิน กิน ชิม เที่ยว Walking Street” ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ บริเวณถนนสีลมและถนนเยาวราช พร้อมเดินเยี่ยมชมกิจกรรมภายในงาน ซึ่งแบ่งเป็นโซนกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ถนนสายศิลป์ ถนนต้องชิม ถนนต้องชม ถนนวัยเก๋า ถนนต้องเดิน และถนนคนกรุง ตลอดจนกิจกรรมแสดงดนตรี ศิลปะ วัฒนธรรม และการจําหน่ายสินค้าและอาหารอร่อยมากมายกว่า 400 ร้าน ซึ่งโครงการดังกล่าวกรุงเทพมหานครดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ รวมทั้งสนับสนุน Street Food จัดขึ้นที่ถนนสีลม (จัดทุกวันอาทิตย์ที่ 3 ของทุกเดือน เริ่ม 15 ธ.ค.62 เป็นต้นไป) ถนนเยาวราช (13 -15 ธ.ค. 62) และถนนข้าวสาร (เริ่มวันจันทร์ที่ 16 ธ.ค.62 เป็นต้นไป) เป็นโครงการนําร่องก่อนขยายไปจัดกิจกรรมในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สื่อมวลชน และประชาชนเข้าร่วมงานจํานวนมาก
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้มาเปิด “โครงการนําร่อง ถนนคนเดิน Walking Street ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” ภายใต้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน พร้อมกล่าวว่า กทม. เป็นเมืองที่ได้รับรางวัลจัดอันดับเมืองจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ทําให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มมูลค่าเพิ่มได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพราะเมืองไทยมีดี 3 อย่างคือ ธรรมชาติสวยงาม อาหารอร่อย และรอยยิ้มของคนไทย ส่งผลให้รัฐบาลสามารถเก็บภาษีเป็นรายได้กลับมาพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของประเทศ จึงขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลางหรือขนาดเล็ก รวมถึงการค้าปลีก ทั้งในเมืองหลัก และเมืองรอง ช่วยกันขับเคลื่อน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ และประชาชน รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยในประเทศ และทําให้เกิดความสงบสุข เพื่อให้บ้านเมืองมีความเรียบร้อยและมีเสถียรภาพ โดยย้ําว่ารัฐบาลให้ความสําคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ทั้งการคมนาคมนาคมขนส่ง การท่องเที่ยว ซึ่งไทยมีความโดดเด่นทั้ง 4 ภาค โดยวันที่ 22 ธันวาคม 2562 รัฐบาลจะมีการขับเคลื่อนกิจกรรมคนเดินถนนทั่วประเทศ
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของรัฐบาลได้มีมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เช่น ชิมช้อปใช้ ที่ทําให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชนให้เป็นไปอย่างเหมาะสม โดยขอให้ทุกคนใช้จ่ายอยู่บนความพอดีและพอเพียงตามศักยภาพของตนเอง รวมทั้งรัฐบาลจะส่งเสริมการจัดการประชุมขนาดใหญ่ หรือ MICE การจัดกีฬา หรือมหกรรมดนตรีของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงของโลกในสถานที่เหมาะสมและสวยงามของไทย และฝากให้ทุกคนช่วยกันทําความดีบนแผ่นดินนี้ ที่เป็นแผ่นดินธรรมและแผ่นดินทอง รวมถึงการสร้างบ้านเมืองให้น่าอยู่ น่าเที่ยว และสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน โดยขอให้ทุกคนรู้จักเผื่อแผ่ แบ่งปันซึ่งกันและกัน ไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้เชิญชวนประชาชนในกรุงเทพมหานครและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งในโอกาสต่อไป จะมีการขยายจัดกิจกรรมไปยังจังหวัดต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมโครงการให้ถนนคนเดิน เป็นถนนแห่งความสุขของพี่น้องประชาชนทุกคน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางโดยรถไฟฟ้า MRT จากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสีลม ไปยังสถานีวัดมังกร เพื่อเยี่ยมชมกิจกรรมถนนคนเดินเยาวราช ซึ่งจัดในรูปแบบ Street Food ณ ถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ ภายในงานมีอาหารเด็ดอาหารอร่อยในย่านเยาวราชกว่า 166 ร้าน โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวทักทายประชาชนและผู้ประกอบการที่อยู่บริเวณโดยรอบพื้นที่ถนนคนเดินเยาวราช อย่างเป็นกันเอง และชมการแสดงชุดเชิดสิงโตกวางตุ้ง เป็นการแสดงจากคณะศิษย์วัดโลกานุเคราะห์ เพื่อต้อนรับนายกรัฐมนตรี
รวมทั้งเยี่ยมชมบรรยากาศผู้ประกอบการร้านอาหารแนว Street food อาทิ ก๋วยจั๊บนายอ้วนโภชนา หอยจ้อปูทอง แกงกะหรี่นายโย่ง และเยี่ยมชมร้าน Street food ในส่วนต่อขยาย ถนนมังกร – ถนนราชวงศ์ พร้อมร่วมกิจกรรมร้องเพลงกับประชาชนในเพลงต้องสู้ถึงจะชนะ หยุดตรงนี้ที่เธอ และ ศรัทธา และนายกรัฐมนตรีกล่าวฝากให้ประชาชนคนไทย รู้รักสามัคคี ทําความดี เสียสละ เพื่อประเทศชาติ
ทั้งนี้ ในวันที่ 22 ธันวาคม 2562 รัฐบาลจะ kickoff กิจกรรมคนเดินถนนทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยจะมีพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ที่ถนนสีลม เขตบางรัก
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดกิจกรรมนำร่อง ถนนคนเดิน “เดิน กิน ชิม เที่ยว Walking Street” ถ.สีลมและเยาวราช ก่อนขยายสู่พื้นอื่น ๆ ทั่วประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562
นายกรัฐมนตรีเปิดกิจกรรมนําร่อง ถนนคนเดิน “เดิน กิน ชิม เที่ยว Walking Street” ถ.สีลมและเยาวราช ก่อนขยายสู่พื้นอื่น ๆ ทั่วประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย
นายกรัฐมนตรีเปิดกิจกรรมนําร่องถนนคนเดิน “เดิน กิน ชิม เที่ยว Walking Street” ถ.สีลมและเยาวราช ก่อนขยายสู่พื้นอื่น ๆ ทั่วประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย
วันนี้ (15 ธ.ค.62) เวลา 18.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดโครงการนําร่องกิจกรรมถนนคนเดิน (Walking Street) “เดิน กิน ชิม เที่ยว Walking Street” ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ บริเวณถนนสีลมและถนนเยาวราช พร้อมเดินเยี่ยมชมกิจกรรมภายในงาน ซึ่งแบ่งเป็นโซนกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ถนนสายศิลป์ ถนนต้องชิม ถนนต้องชม ถนนวัยเก๋า ถนนต้องเดิน และถนนคนกรุง ตลอดจนกิจกรรมแสดงดนตรี ศิลปะ วัฒนธรรม และการจําหน่ายสินค้าและอาหารอร่อยมากมายกว่า 400 ร้าน ซึ่งโครงการดังกล่าวกรุงเทพมหานครดําเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ รวมทั้งสนับสนุน Street Food จัดขึ้นที่ถนนสีลม (จัดทุกวันอาทิตย์ที่ 3 ของทุกเดือน เริ่ม 15 ธ.ค.62 เป็นต้นไป) ถนนเยาวราช (13 -15 ธ.ค. 62) และถนนข้าวสาร (เริ่มวันจันทร์ที่ 16 ธ.ค.62 เป็นต้นไป) เป็นโครงการนําร่องก่อนขยายไปจัดกิจกรรมในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สื่อมวลชน และประชาชนเข้าร่วมงานจํานวนมาก
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้มาเปิด “โครงการนําร่อง ถนนคนเดิน Walking Street ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” ภายใต้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชนและประชาชน พร้อมกล่าวว่า กทม. เป็นเมืองที่ได้รับรางวัลจัดอันดับเมืองจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ทําให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มมูลค่าเพิ่มได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพราะเมืองไทยมีดี 3 อย่างคือ ธรรมชาติสวยงาม อาหารอร่อย และรอยยิ้มของคนไทย ส่งผลให้รัฐบาลสามารถเก็บภาษีเป็นรายได้กลับมาพัฒนาประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสําคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของประเทศ จึงขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลางหรือขนาดเล็ก รวมถึงการค้าปลีก ทั้งในเมืองหลัก และเมืองรอง ช่วยกันขับเคลื่อน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ และประชาชน รวมทั้งการรักษาความปลอดภัยในประเทศ และทําให้เกิดความสงบสุข เพื่อให้บ้านเมืองมีความเรียบร้อยและมีเสถียรภาพ โดยย้ําว่ารัฐบาลให้ความสําคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ทั้งการคมนาคมนาคมขนส่ง การท่องเที่ยว ซึ่งไทยมีความโดดเด่นทั้ง 4 ภาค โดยวันที่ 22 ธันวาคม 2562 รัฐบาลจะมีการขับเคลื่อนกิจกรรมคนเดินถนนทั่วประเทศ
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของรัฐบาลได้มีมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เช่น ชิมช้อปใช้ ที่ทําให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชนให้เป็นไปอย่างเหมาะสม โดยขอให้ทุกคนใช้จ่ายอยู่บนความพอดีและพอเพียงตามศักยภาพของตนเอง รวมทั้งรัฐบาลจะส่งเสริมการจัดการประชุมขนาดใหญ่ หรือ MICE การจัดกีฬา หรือมหกรรมดนตรีของนักดนตรีที่มีชื่อเสียงของโลกในสถานที่เหมาะสมและสวยงามของไทย และฝากให้ทุกคนช่วยกันทําความดีบนแผ่นดินนี้ ที่เป็นแผ่นดินธรรมและแผ่นดินทอง รวมถึงการสร้างบ้านเมืองให้น่าอยู่ น่าเที่ยว และสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน โดยขอให้ทุกคนรู้จักเผื่อแผ่ แบ่งปันซึ่งกันและกัน ไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้เชิญชวนประชาชนในกรุงเทพมหานครและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งในโอกาสต่อไป จะมีการขยายจัดกิจกรรมไปยังจังหวัดต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมโครงการให้ถนนคนเดิน เป็นถนนแห่งความสุขของพี่น้องประชาชนทุกคน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางโดยรถไฟฟ้า MRT จากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสีลม ไปยังสถานีวัดมังกร เพื่อเยี่ยมชมกิจกรรมถนนคนเดินเยาวราช ซึ่งจัดในรูปแบบ Street Food ณ ถนนเยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ ภายในงานมีอาหารเด็ดอาหารอร่อยในย่านเยาวราชกว่า 166 ร้าน โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวทักทายประชาชนและผู้ประกอบการที่อยู่บริเวณโดยรอบพื้นที่ถนนคนเดินเยาวราช อย่างเป็นกันเอง และชมการแสดงชุดเชิดสิงโตกวางตุ้ง เป็นการแสดงจากคณะศิษย์วัดโลกานุเคราะห์ เพื่อต้อนรับนายกรัฐมนตรี
รวมทั้งเยี่ยมชมบรรยากาศผู้ประกอบการร้านอาหารแนว Street food อาทิ ก๋วยจั๊บนายอ้วนโภชนา หอยจ้อปูทอง แกงกะหรี่นายโย่ง และเยี่ยมชมร้าน Street food ในส่วนต่อขยาย ถนนมังกร – ถนนราชวงศ์ พร้อมร่วมกิจกรรมร้องเพลงกับประชาชนในเพลงต้องสู้ถึงจะชนะ หยุดตรงนี้ที่เธอ และ ศรัทธา และนายกรัฐมนตรีกล่าวฝากให้ประชาชนคนไทย รู้รักสามัคคี ทําความดี เสียสละ เพื่อประเทศชาติ
ทั้งนี้ ในวันที่ 22 ธันวาคม 2562 รัฐบาลจะ kickoff กิจกรรมคนเดินถนนทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยจะมีพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ที่ถนนสีลม เขตบางรัก
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
ก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25221
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ตรวจติดตามความก้าวหน้าบ้านประชาร่วมใจ 2 ชุมชนริมคลองเปรมประชากร คืบหน้ากว่า 184 หลัง
|
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
มท.1 ตรวจติดตามความก้าวหน้าบ้านประชาร่วมใจ 2 ชุมชนริมคลองเปรมประชากร คืบหน้ากว่า 184 หลัง
มท.1 ตรวจติดตามความก้าวหน้าบ้านประชาร่วมใจ 2 ชุมชนริมคลองเปรมประชากร คืบหน้ากว่า 184 หลัง
วันนี้ (8 พ.ค. 63) เวลา 09.00 น. ที่ชุมชนประชาร่วมใจ 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตรวจติดตามการดําเนินงานตามแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร โดยมี นายอนุชา โมกขะเวส ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายไมตรี อินทุสุต ประธานคณะกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) พลโท ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพภาค 1 ผู้แทนกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจติดตามการดําเนินงานฯ
โอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และคณะ รับฟังการบรรยายสรุปความก้าวหน้าการดําเนินงานตามแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร โดยการก่อสร้างสหกรณ์เคหสถานประชาร่วมใจ 2 จํากัด มีเป้าหมายการก่อสร้าง 203 ครัวเรือน อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 184 หลัง แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 4 โซน โซนที่ 1 จํานวน 56 หลัง โซนที่ 2 จํานวน 41 หลัง โซนที่ 3 จํานวน 67 หลัง และโซนที่ 4 จํานวน 20 หลัง ซึ่งตามแผนจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2563 แบ่งประเภทบ้านออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) บ้านแถวชั้นเดียว 4 × 7 เมตร 2) บ้านแถว 2 ชั้น 4 × 7 เมตร 3) บ้านแถว 2 ชั้น 6 × 5 เมตร และ 4) บ้านแถว 2 ชั้น 6 × 7 เมตร ทั้งนี้มีบ้านอยู่ระหว่างรอรื้อถอน จํานวน 19 หลัง
สําหรับชุมชนประชาร่วมใจ 2 เป็นชุมชนที่อยู่บริเวณใกล้กับวัดเสมียนนารี ตลาดบองมาร์เช่ เดิมชุมชนเป็นที่ดินบุกรุกริมคลอง ซึ่งต่อมามีการทําแนวเขื่อนโดยกรุงเทพมหานคร มีขนาดพื้นที่ชุมชนเล็กน้อย ระบบสาธารณูปโภคไม่เหมาะสม มีความแออัด มีทางเข้า-ออกของชุมชนที่ขนาดเล็กและบ้านเรือนที่ทรุดโทรด ซึ่งชุมชนประชาร่วมใจ 2 ถือเป็นชุมชนแห่งแรกในคลองเปรมประชากรที่ชาวชุมชนร่วมใจกันรื้อย้าย บ้านเรือนออกจากแนวคลอง เพื่อให้ภาครัฐดําเนินการพัฒนาคลองเปรมประชากรทั้งระบบ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ตรวจติดตามความก้าวหน้าบ้านประชาร่วมใจ 2 ชุมชนริมคลองเปรมประชากร คืบหน้ากว่า 184 หลัง
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
มท.1 ตรวจติดตามความก้าวหน้าบ้านประชาร่วมใจ 2 ชุมชนริมคลองเปรมประชากร คืบหน้ากว่า 184 หลัง
มท.1 ตรวจติดตามความก้าวหน้าบ้านประชาร่วมใจ 2 ชุมชนริมคลองเปรมประชากร คืบหน้ากว่า 184 หลัง
วันนี้ (8 พ.ค. 63) เวลา 09.00 น. ที่ชุมชนประชาร่วมใจ 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตรวจติดตามการดําเนินงานตามแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร โดยมี นายอนุชา โมกขะเวส ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายไมตรี อินทุสุต ประธานคณะกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) พลโท ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพภาค 1 ผู้แทนกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจติดตามการดําเนินงานฯ
โอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และคณะ รับฟังการบรรยายสรุปความก้าวหน้าการดําเนินงานตามแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร โดยการก่อสร้างสหกรณ์เคหสถานประชาร่วมใจ 2 จํากัด มีเป้าหมายการก่อสร้าง 203 ครัวเรือน อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 184 หลัง แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 4 โซน โซนที่ 1 จํานวน 56 หลัง โซนที่ 2 จํานวน 41 หลัง โซนที่ 3 จํานวน 67 หลัง และโซนที่ 4 จํานวน 20 หลัง ซึ่งตามแผนจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2563 แบ่งประเภทบ้านออกเป็น 4 ประเภท คือ 1) บ้านแถวชั้นเดียว 4 × 7 เมตร 2) บ้านแถว 2 ชั้น 4 × 7 เมตร 3) บ้านแถว 2 ชั้น 6 × 5 เมตร และ 4) บ้านแถว 2 ชั้น 6 × 7 เมตร ทั้งนี้มีบ้านอยู่ระหว่างรอรื้อถอน จํานวน 19 หลัง
สําหรับชุมชนประชาร่วมใจ 2 เป็นชุมชนที่อยู่บริเวณใกล้กับวัดเสมียนนารี ตลาดบองมาร์เช่ เดิมชุมชนเป็นที่ดินบุกรุกริมคลอง ซึ่งต่อมามีการทําแนวเขื่อนโดยกรุงเทพมหานคร มีขนาดพื้นที่ชุมชนเล็กน้อย ระบบสาธารณูปโภคไม่เหมาะสม มีความแออัด มีทางเข้า-ออกของชุมชนที่ขนาดเล็กและบ้านเรือนที่ทรุดโทรด ซึ่งชุมชนประชาร่วมใจ 2 ถือเป็นชุมชนแห่งแรกในคลองเปรมประชากรที่ชาวชุมชนร่วมใจกันรื้อย้าย บ้านเรือนออกจากแนวคลอง เพื่อให้ภาครัฐดําเนินการพัฒนาคลองเปรมประชากรทั้งระบบ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30536
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยยกระดับด้าน Market Conduct ขั้นสูงสุดตั้งแต่ต้นปี
|
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561
กรุงไทยยกระดับด้าน Market Conduct ขั้นสูงสุดตั้งแต่ต้นปี
ธนาคารกรุงไทยได้สั่งการสาขาทั่วประเทศยกระดับการปฏิบัติตาม Market Conduct อย่างเคร่งครัด โดยปรับกระบวนการทํางานครั้งใหญ่ เน้นการบริหารความเสี่ยง 3 ระดับ ภายในธนาคารอย่างใกล้ชิด
ธนาคารกรุงไทยได้สั่งการสาขาทั่วประเทศยกระดับการปฏิบัติตาม Market Conduct อย่างเคร่งครัด โดยปรับกระบวนการทํางานครั้งใหญ่ เน้นการบริหารความเสี่ยง 3 ระดับ ภายในธนาคารอย่างใกล้ชิด ทั้งสายงานเครือข่ายสาขา สายงานกํากับฯและสายงานตรวจสอบ พร้อมสื่อสารและอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับพนักงานมาตั้งแต่ต้นปี และสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง หากพบข้อผิดพลาด มีมาตรการลงโทษที่ชัดเจน เชื่อมั่นสาขาปฏิบัติอย่างเต็มที่ เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการธนาคารมีนโยบายที่ชัดเจนให้ธนาคารมุ่งเน้นเรื่องโครงการกรุงไทยคุณธรรม ทั้งการปลูกจิตสํานึก ปรับเปลี่ยนและป้องกัน เช่น โครงการ Compliance Champion, CG in Process, Zero tolerance รวมทั้งให้ความสําคัญกับเรื่องการบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct) ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศ โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารได้ปรับกระบวนการทํางานครั้งใหญ่ทั่วทั้งธนาคาร ตลอดจนยกระดับการบริหารความเสี่ยง 3 ระดับ ทั้งสายงานเครือข่ายสาขา สายงานกํากับฯและสายงานตรวจสอบ รวมทั้งกําชับสาขาทั่วประเทศให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องกับลูกค้าเพื่อประกอบการตัดสินใจ และที่สําคัญต้องไม่บังคับขาย เพื่อสร้างความมั่นใจและพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า
ตั้งแต่ต้นปี ธนาคารเอาจริงเอาจังและให้ความสําคัญสูงสุดในเรื่อง Market Conduct โดยเฉพาะการให้บริการที่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า โดยได้สื่อสารและอบรมเพื่อให้พนักงานทุกคนเข้าใจและตระหนักผ่านช่องทางต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ Train the Trainer เพื่อให้เป็นต้นแบบการฝึกฝนทีมงานสาขาทั้งประเทศให้ปฎิบัติได้ครบถ้วน ถูกต้องตามMarket Conduct ในมาตรฐานเดียวกัน และสามารถกระจายการฝึกฝนได้ทั่วถึง ภายในระยะเวลาที่กําหนด พร้อมทําตัวอย่างวิธีการเสนอบริการให้ลูกค้าตามMarket Conduct ในทุกผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นตัวอย่างในการฝึกฝน และหากไม่ผ่านการทดสอบหลังฝึกฝน จะไม่อนุญาตให้นําเสนอแก่ลูกค้าการทดสอบหลังฝึกฝนจะทําอย่างเข้มข้น ทั้งภายในสาขาตนเอง ทีมสํานักงานเขต และการทดสอบในลักษณะ Mystery Shopping จากทีมต่างเขต
นอกจากนี้ กําลังรณรงค์การรับประกัน Quality Assurance Market Conduct โดยประกาศรับประกันด้านสถานที่/พื้นที่การขายถูกต้องตามMarket Conduct ทุกสาขาทั่วประเทศเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาและสาขาอันดับหนึ่งของกลุ่มเครือข่ายที่เข้าประกวดแข่งขัน Star of QA ในปีนี้ต้องมีการประกาศรับประกันด้านพนักงาน ที่เสนอขายให้ถูกต้องตาม Market Conduct ด้วยเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทะยอยประกาศทุกสาขาต่อไป
นายผยง ศรีวณิช กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมา ธนาคารให้ความสําคัญกับความสะดวกของลูกค้า ดังนั้นบางครั้งในการเสนอบริการประกันอัคคีภัย มีบางสาขาเสนอบริการและผลิตภัณฑ์เฉพาะของบริษัทในเครือที่คัดสรรว่ามั่นคงแล้ว ทําให้ธนาคารแห่งประเทศมีคําสั่งเปรียบเทียบปรับธนาคาร อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารได้สั่งการทุกสาขาอย่างเด็ดขาด ในกรณีการทําประกันอัคคีภัยสิ่งปลูกสร้างที่เป็นหลักประกันของสินเชื่อ ไม่ให้เสนอผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครืออย่างเดียวเท่านั้น แต่ให้ลูกค้ามีสิทธิ์เลือกได้ตามความต้องการ ความเหมาะสมและความสมัครใจ
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยยกระดับด้าน Market Conduct ขั้นสูงสุดตั้งแต่ต้นปี
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561
กรุงไทยยกระดับด้าน Market Conduct ขั้นสูงสุดตั้งแต่ต้นปี
ธนาคารกรุงไทยได้สั่งการสาขาทั่วประเทศยกระดับการปฏิบัติตาม Market Conduct อย่างเคร่งครัด โดยปรับกระบวนการทํางานครั้งใหญ่ เน้นการบริหารความเสี่ยง 3 ระดับ ภายในธนาคารอย่างใกล้ชิด
ธนาคารกรุงไทยได้สั่งการสาขาทั่วประเทศยกระดับการปฏิบัติตาม Market Conduct อย่างเคร่งครัด โดยปรับกระบวนการทํางานครั้งใหญ่ เน้นการบริหารความเสี่ยง 3 ระดับ ภายในธนาคารอย่างใกล้ชิด ทั้งสายงานเครือข่ายสาขา สายงานกํากับฯและสายงานตรวจสอบ พร้อมสื่อสารและอบรมเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับพนักงานมาตั้งแต่ต้นปี และสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง หากพบข้อผิดพลาด มีมาตรการลงโทษที่ชัดเจน เชื่อมั่นสาขาปฏิบัติอย่างเต็มที่ เพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการธนาคารมีนโยบายที่ชัดเจนให้ธนาคารมุ่งเน้นเรื่องโครงการกรุงไทยคุณธรรม ทั้งการปลูกจิตสํานึก ปรับเปลี่ยนและป้องกัน เช่น โครงการ Compliance Champion, CG in Process, Zero tolerance รวมทั้งให้ความสําคัญกับเรื่องการบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct) ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศ โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารได้ปรับกระบวนการทํางานครั้งใหญ่ทั่วทั้งธนาคาร ตลอดจนยกระดับการบริหารความเสี่ยง 3 ระดับ ทั้งสายงานเครือข่ายสาขา สายงานกํากับฯและสายงานตรวจสอบ รวมทั้งกําชับสาขาทั่วประเทศให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องกับลูกค้าเพื่อประกอบการตัดสินใจ และที่สําคัญต้องไม่บังคับขาย เพื่อสร้างความมั่นใจและพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า
ตั้งแต่ต้นปี ธนาคารเอาจริงเอาจังและให้ความสําคัญสูงสุดในเรื่อง Market Conduct โดยเฉพาะการให้บริการที่สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า โดยได้สื่อสารและอบรมเพื่อให้พนักงานทุกคนเข้าใจและตระหนักผ่านช่องทางต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ Train the Trainer เพื่อให้เป็นต้นแบบการฝึกฝนทีมงานสาขาทั้งประเทศให้ปฎิบัติได้ครบถ้วน ถูกต้องตามMarket Conduct ในมาตรฐานเดียวกัน และสามารถกระจายการฝึกฝนได้ทั่วถึง ภายในระยะเวลาที่กําหนด พร้อมทําตัวอย่างวิธีการเสนอบริการให้ลูกค้าตามMarket Conduct ในทุกผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นตัวอย่างในการฝึกฝน และหากไม่ผ่านการทดสอบหลังฝึกฝน จะไม่อนุญาตให้นําเสนอแก่ลูกค้าการทดสอบหลังฝึกฝนจะทําอย่างเข้มข้น ทั้งภายในสาขาตนเอง ทีมสํานักงานเขต และการทดสอบในลักษณะ Mystery Shopping จากทีมต่างเขต
นอกจากนี้ กําลังรณรงค์การรับประกัน Quality Assurance Market Conduct โดยประกาศรับประกันด้านสถานที่/พื้นที่การขายถูกต้องตามMarket Conduct ทุกสาขาทั่วประเทศเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาและสาขาอันดับหนึ่งของกลุ่มเครือข่ายที่เข้าประกวดแข่งขัน Star of QA ในปีนี้ต้องมีการประกาศรับประกันด้านพนักงาน ที่เสนอขายให้ถูกต้องตาม Market Conduct ด้วยเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทะยอยประกาศทุกสาขาต่อไป
นายผยง ศรีวณิช กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมา ธนาคารให้ความสําคัญกับความสะดวกของลูกค้า ดังนั้นบางครั้งในการเสนอบริการประกันอัคคีภัย มีบางสาขาเสนอบริการและผลิตภัณฑ์เฉพาะของบริษัทในเครือที่คัดสรรว่ามั่นคงแล้ว ทําให้ธนาคารแห่งประเทศมีคําสั่งเปรียบเทียบปรับธนาคาร อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ธนาคารได้สั่งการทุกสาขาอย่างเด็ดขาด ในกรณีการทําประกันอัคคีภัยสิ่งปลูกสร้างที่เป็นหลักประกันของสินเชื่อ ไม่ให้เสนอผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครืออย่างเดียวเท่านั้น แต่ให้ลูกค้ามีสิทธิ์เลือกได้ตามความต้องการ ความเหมาะสมและความสมัครใจ
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร.0-2208-4174-8
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15702
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมถวายพระพรชัยมงคล และถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
|
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563
ข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมถวายพระพรชัยมงคล และถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย คุณรมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖๘ พรรษา ๒๘ ก.ค.๖๓
เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โดยมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลพระสงฆ์ จํานวน ๑๐ รูป ณ ห้องพินิตประชานาถ และพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน ๖๙ รูป และพิธีลงนามถวายพระพร ณ บริเวณห้องโถง หน้าห้องยุทธนาธิการ ในศาลาว่าการกลาโหม
ทั้งนี้ ในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ของทุกปี
เป็นวันสําคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย ที่จักได้แสดงถึงความจงรักภักดี และเฉลิมพระเกียรติคุณใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ซึ่งเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยโดยล้วนสํานึกใน
พระมหากรุณาธิคุณ
ล้นเกล้าล้นกระหม่อม
หาที่สุดมิได้ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงสถิตในดวงใจของอาณาประชาราษฎร์
นอกจากนี้ เหล่าข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ยังได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี ด้วยการถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดี และเป็นพลังของแผ่นดิน โดยจะประพฤติตนเป็นข้าราชการที่ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท มุ่งมั่นแน่วแน่แก้ไขปัญหาของประเทศชาติ และประชาชน สร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่แผ่นดิน และดําเนินชีวิตโดยยึดมั่นในหลักธรรมคําสอนแห่งศาสนาตามแนวทางในพระบรมราโชวาทตลอดไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมถวายพระพรชัยมงคล และถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563
ข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมถวายพระพรชัยมงคล และถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย คุณรมิดา อินทรเจริญ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๖๘ พรรษา ๒๘ ก.ค.๖๓
เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โดยมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพรชัยมงคลพระสงฆ์ จํานวน ๑๐ รูป ณ ห้องพินิตประชานาถ และพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จํานวน ๖๙ รูป และพิธีลงนามถวายพระพร ณ บริเวณห้องโถง หน้าห้องยุทธนาธิการ ในศาลาว่าการกลาโหม
ทั้งนี้ ในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ของทุกปี
เป็นวันสําคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย ที่จักได้แสดงถึงความจงรักภักดี และเฉลิมพระเกียรติคุณใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ซึ่งเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยโดยล้วนสํานึกใน
พระมหากรุณาธิคุณ
ล้นเกล้าล้นกระหม่อม
หาที่สุดมิได้ ที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงสถิตในดวงใจของอาณาประชาราษฎร์
นอกจากนี้ เหล่าข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ยังได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี ด้วยการถวายสัตย์ปฏิญาณเพื่อเป็นข้าราชการที่ดี และเป็นพลังของแผ่นดิน โดยจะประพฤติตนเป็นข้าราชการที่ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท มุ่งมั่นแน่วแน่แก้ไขปัญหาของประเทศชาติ และประชาชน สร้างสรรค์คุณประโยชน์แก่แผ่นดิน และดําเนินชีวิตโดยยึดมั่นในหลักธรรมคําสอนแห่งศาสนาตามแนวทางในพระบรมราโชวาทตลอดไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33651
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ยุติธรรม นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมพื้นที่ใน จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง
|
วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ยุติธรรม นําคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมพื้นที่ใน จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมพื้นที่ใน จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง
ในวันจันทร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๓๐ น.
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
ตรวจเยี่ยมอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (SPACE INSPIRIUM) ของสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
(องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เทศบาลนครแหลมฉบัง อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
โดยมี รศ.นพ. สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี
และ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อํานวยการ GISTDA ให้การต้อนรับ
ต่อจากนั้น เวลา ๑๑.๐๐ น. รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและหารือการบูรณาการเตรียมความพร้อม
ด้านกําลังคนรองรับอุตสาหกรรม ๔.๐ ณ วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
โดยมีพลเอก สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เยี่ยมชมบูธนิทรรศการ
ผลงานของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ ในสาขาต่างๆ อาทิ สาขาช่างอากาศยาน
สาขาเทคนิคระบบขนส่งทางราง และช่างไฟฟ้ายานยนต์ เป็นต้น
ต่อจากนั้น เวลา ๑๔.๓๐ น. รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการในการอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในระดับพื้นที่
เพื่อรับฟังผลการดําเนินงานเชิงบูรณาการในการอํานวยความยุติธรรม
โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง
และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในจังหวัดระยอง เข้าร่วมประชุม
ณ ห้องประชุมภักดีศรีสงคราม ศาลากลางจังหวัดระยอง
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมได้ให้ความสําคัญ
กับการดูแลทุกข์สุขของประชาชน รวมทั้งการลดปัญหาความเหลื่อมล้ําของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ
โดยเฉพาะประชาชนที่มีรายได้น้อยและเข้าไม่ถึงบริการของภาครัฐ เพื่อให้สามารถเข้าถึงงานบริการดังกล่าว
โดยให้ผู้แทนของกระทรวงยุติธรรมในระดับพื้นที่ หรือที่เรียกว่า สํานักงานยุติธรรมจังหวัด
ได้เข้าไปช่วยเหลือและดูแลประชาชน ซึ่งจําเป็นต้องได้รับความร่วมมือ
จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบบูรณาการอํานวยความยุติธรรมร่วมกัน
นอกจากนี้ ขอให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ดําเนินงานตามหลักการบริหารความยุติธรรมที่สําคัญ คือ
อํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา ขจัดความทุกข์ยาก สร้างประชาสามัคคี ส่งเสริมคนดีสู่สังคม
เร่งรัดต้านภัยยาเสพติด เร่งรัดปราบปรามทุจริต คอร์รัปชัน คุ้มครองสิทธิเสรีภาพคู่คุณธรรม
สร้างกระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืน สร้างการรับรู้กฎ-กติกา ร่วมพัฒนาเครือข่ายจิตอาสา
มุ่งเดินหน้าสามัคคีปรองดอง
ต่อจากนั้น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
ได้ตรวจเยี่ยมการทํางานเชิงบูรณาการในการอํานวยความยุติธรรมของศูนย์ชุมชนเข้มแข็งบ้านท้ายโขด
ตําบลหนองละลอก อําเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวว่า
กระทรวงยุติธรรม ตระหนักถึงความสําคัญในการให้ประชาชนได้เข้าถึงความยุติธรรม
ซึ่งในพื้นที่อําเภอบ้านค่าย ประชาชนประสบปัญหาทั้งเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน หนี้นอกระบบ
โดยสํานักงานยุติธรรมจังหวัด ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในพื้นที่ได้บูรณาการการทํางานร่วมกับศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด
เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ควบคู่ไปกับการดําเนินงานในเชิงป้องกัน โดยร่วมมือกับอัยการ ศาล
กระทรวงมหาดไทย เร่งสร้างการรับรู้ด้านกฎหมาย เพื่อไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงทั้งจากปัญหาแชร์ลูกโซ่
หรือการเป็นหนี้นอกระบบ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมในชุมชน โดยอาศัยผู้นําในชุมชน
อาทิ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ในการสร้างหมู่บ้านสีขาว ปลอดจากยาเสพติดและอบายมุข
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ยุติธรรม นำคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมพื้นที่ใน จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง
วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ยุติธรรม นําคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมพื้นที่ใน จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมพื้นที่ใน จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง
ในวันจันทร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เวลา ๐๘.๓๐ น.
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
ตรวจเยี่ยมอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (SPACE INSPIRIUM) ของสํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
(องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เทศบาลนครแหลมฉบัง อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
โดยมี รศ.นพ. สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี
และ ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อํานวยการ GISTDA ให้การต้อนรับ
ต่อจากนั้น เวลา ๑๑.๐๐ น. รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและหารือการบูรณาการเตรียมความพร้อม
ด้านกําลังคนรองรับอุตสาหกรรม ๔.๐ ณ วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
โดยมีพลเอก สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ
ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เยี่ยมชมบูธนิทรรศการ
ผลงานของนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ ในสาขาต่างๆ อาทิ สาขาช่างอากาศยาน
สาขาเทคนิคระบบขนส่งทางราง และช่างไฟฟ้ายานยนต์ เป็นต้น
ต่อจากนั้น เวลา ๑๔.๓๐ น. รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการในการอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ําในระดับพื้นที่
เพื่อรับฟังผลการดําเนินงานเชิงบูรณาการในการอํานวยความยุติธรรม
โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง
และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในจังหวัดระยอง เข้าร่วมประชุม
ณ ห้องประชุมภักดีศรีสงคราม ศาลากลางจังหวัดระยอง
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมได้ให้ความสําคัญ
กับการดูแลทุกข์สุขของประชาชน รวมทั้งการลดปัญหาความเหลื่อมล้ําของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ
โดยเฉพาะประชาชนที่มีรายได้น้อยและเข้าไม่ถึงบริการของภาครัฐ เพื่อให้สามารถเข้าถึงงานบริการดังกล่าว
โดยให้ผู้แทนของกระทรวงยุติธรรมในระดับพื้นที่ หรือที่เรียกว่า สํานักงานยุติธรรมจังหวัด
ได้เข้าไปช่วยเหลือและดูแลประชาชน ซึ่งจําเป็นต้องได้รับความร่วมมือ
จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในรูปแบบบูรณาการอํานวยความยุติธรรมร่วมกัน
นอกจากนี้ ขอให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ดําเนินงานตามหลักการบริหารความยุติธรรมที่สําคัญ คือ
อํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา ขจัดความทุกข์ยาก สร้างประชาสามัคคี ส่งเสริมคนดีสู่สังคม
เร่งรัดต้านภัยยาเสพติด เร่งรัดปราบปรามทุจริต คอร์รัปชัน คุ้มครองสิทธิเสรีภาพคู่คุณธรรม
สร้างกระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืน สร้างการรับรู้กฎ-กติกา ร่วมพัฒนาเครือข่ายจิตอาสา
มุ่งเดินหน้าสามัคคีปรองดอง
ต่อจากนั้น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
ได้ตรวจเยี่ยมการทํางานเชิงบูรณาการในการอํานวยความยุติธรรมของศูนย์ชุมชนเข้มแข็งบ้านท้ายโขด
ตําบลหนองละลอก อําเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวว่า
กระทรวงยุติธรรม ตระหนักถึงความสําคัญในการให้ประชาชนได้เข้าถึงความยุติธรรม
ซึ่งในพื้นที่อําเภอบ้านค่าย ประชาชนประสบปัญหาทั้งเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน หนี้นอกระบบ
โดยสํานักงานยุติธรรมจังหวัด ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในพื้นที่ได้บูรณาการการทํางานร่วมกับศูนย์ดํารงธรรมจังหวัด
เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ควบคู่ไปกับการดําเนินงานในเชิงป้องกัน โดยร่วมมือกับอัยการ ศาล
กระทรวงมหาดไทย เร่งสร้างการรับรู้ด้านกฎหมาย เพื่อไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงทั้งจากปัญหาแชร์ลูกโซ่
หรือการเป็นหนี้นอกระบบ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมในชุมชน โดยอาศัยผู้นําในชุมชน
อาทิ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ในการสร้างหมู่บ้านสีขาว ปลอดจากยาเสพติดและอบายมุข
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9882
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
|
วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561
กระทรวงยุติธรรม ทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
กระทรวงยุติธรรม ทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ในวันอังคารที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ โรงแรมทีเค พาเลซ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ นางสาวรวิวรรณ จตุรพิธพร ผู้อํานวยการกองกฎหมาย สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อเร่งรัดการปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยมี ผู้เชี่ยวชาญจากสํานักงานคณะกรรมการสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ร่วมให้ความรู้ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมายของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมสัมมนากว่า ๔๐ คน เพื่อลดผลกระทบและภาระต่อประชาชนที่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมาย และเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตาม รวมทั้งการจัดทําคําแปลกฎหมายทั้งหมดเป็นภาษากลางของอาเซียนและเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้
โอกาสนี้ นางสาวรวิวรรณฯ กล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงยุติธรรมมีกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบและอยู่ภายใต้บังคับของพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ จํานวนทั้งสิ้น ๔๔๐ ฉบับ แบ่งออกเป็น กฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ๕๗ ฉบับ และกฎหมายลําดับรองอีก ๓๘๓ ฉบับ ซึ่งมีความจําเป็นจะต้องมีการทบทวนและแก้ไขกฎหมายเดิมให้ทันสมัยตามพลวัตรของสังคม กติการะหว่างประเทศ นโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ และรัฐธรรมนูญ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2561
กระทรวงยุติธรรม ทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
กระทรวงยุติธรรม ทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ในวันอังคารที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ โรงแรมทีเค พาเลซ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ นางสาวรวิวรรณ จตุรพิธพร ผู้อํานวยการกองกฎหมาย สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อเร่งรัดการปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยมี ผู้เชี่ยวชาญจากสํานักงานคณะกรรมการสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ร่วมให้ความรู้ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านกฎหมายของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมสัมมนากว่า ๔๐ คน เพื่อลดผลกระทบและภาระต่อประชาชนที่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมาย และเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตาม รวมทั้งการจัดทําคําแปลกฎหมายทั้งหมดเป็นภาษากลางของอาเซียนและเผยแพร่ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้
โอกาสนี้ นางสาวรวิวรรณฯ กล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงยุติธรรมมีกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบและอยู่ภายใต้บังคับของพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ จํานวนทั้งสิ้น ๔๔๐ ฉบับ แบ่งออกเป็น กฎหมายระดับพระราชบัญญัติ ๕๗ ฉบับ และกฎหมายลําดับรองอีก ๓๘๓ ฉบับ ซึ่งมีความจําเป็นจะต้องมีการทบทวนและแก้ไขกฎหมายเดิมให้ทันสมัยตามพลวัตรของสังคม กติการะหว่างประเทศ นโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ และรัฐธรรมนูญ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17620
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำส่งท้ายปี ดอกเบี้ย 2.90% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี!! เงินฝากออมทรัพย์ “ซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษ” ดอกเบี้ยสูง 1.75% ต่อปี
|
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560
ธอส.จัดโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ําส่งท้ายปี ดอกเบี้ย 2.90% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี!! เงินฝากออมทรัพย์ “ซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษ” ดอกเบี้ยสูง 1.75% ต่อปี
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมผลิตภัณฑ์พิเศษมอบให้ลูกค้าประชาชนส่งท้ายปี 2560 ในงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2017” ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2560 ณ Sky Hall ชั้น 3 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมผลิตภัณฑ์พิเศษมอบให้ลูกค้าประชาชนส่งท้ายปี 2560 นําโดยสินเชื่อ Home For All ดอกเบี้ยสุดพิเศษเพียง 2.90% ต่อปี นานถึง 3 ปีแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี (1) ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (2) ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (3) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ (4) ฟรีค่าจดทะเบียนจํานอง 1% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ ซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษ รับดอกเบี้ยพิเศษสูงสุด 1.75% ต่อปี พร้อมแนะนําบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA คุณภาพดีทําเลเด่น ที่ธนาคารจะคงราคาจําหน่ายด้วยส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติ ถึง 29 ธันวาคม 2560 ในงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2017” ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2560 ณ Sky Hall ชั้น 3 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสร้างโอกาสทําให้ คนไทยมีบ้าน ธอส.จึงได้ร่วมออกบูธในงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2017” โดยแบ่งโซนการจัดบูธออกเป็น 4 โซนหลัก ประกอบด้วย 1.โซนสินเชื่อ Home For All อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 – 3 เท่ากับ MRR-3.85% ต่อปี (หรือเท่ากับ 2.90% ต่อปีเท่านั้น!! คิดจาก MRR ธอส.ปัจจุบันเท่ากับ 6.75% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ให้กู้เพื่อซื้อปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น และซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับกู้เพื่อซื้อ หรือ ไถ่ถอนจํานอง พิเศษ!! ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี ได้แก่ (1)ฟรีค่าธรรมเนียม การยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินทํานิติกรรม) (2)ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (1,900 / 2,800 /3,100 บาท ตามวงเงินกู้) (3)ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท) และ (4)ฟรีค่าจดทะเบียนจํานอง 1% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี จองสิทธิ์ภายในงาน ยื่นคําขอกู้ทําและนิติกรรมภายในวันที่ 29 ธันวาคม 2560 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด
2.โซนเงินฝากอัตราดอกเบี้ยสูง นําเสนอผลิตภัณฑ์ “เงินฝากซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษ บวกอัตราดอกเบี้ยเพิ่ม 0.25% ต่อปี” โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษเท่ากับ 1.50% ต่อปี รวมรับดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษเท่ากับ 1.75% ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันที่เปิดบัญชี เพียงจองสิทธิ์ภายในงาน และเปิดบัญชีที่สาขาของธนาคารฝากครั้งแรกขั้นต่ํา 10,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 15-28 ธันวาคม 2560 พิเศษ!! สําหรับลูกค้าที่จองสิทธิ์และเปิดบัญชี ณ สาขาของ ธอส. ณ สาขาในสังกัดนครหลวงตามระยะเวลาที่กําหนด จะได้รับฟรี!! “ตุ๊กตาหมี ธอส.” ขนาด 8.5 นิ้ว จํานวน 1 ตัว ต่อ 1 ราย (มีจํานวนจํากัด)
3.โซนบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA แนะนําทรัพย์ NPA ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งบ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์เฮ้าส์, อาคารพาณิชย์, ห้องชุด และที่ดินเปล่า ที่ธนาคารคงราคาจําหน่ายพร้อมส่วนลดพิเศษสูงสุด 50% จากราคาปกติ พร้อมกับรับแคมเปญพิเศษ “ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน” (เฉพาะทรัพย์รายการที่ธนาคารกําหนด) พร้อมเข้าอยู่อาศัยในช่วงผ่อนดาวน์ได้ทันทีเพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้อ หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน ไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน และผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถติดต่อซื้อทรัพย์ในราคาพิเศษได้ที่ฝ่ายบริหาร NPA อาคาร 1 ชั้น 8 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สํานักงานใหญ่ พระราม 9 ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2560 เท่านั้น ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0-202-1582, 0-2202-1583 และ 0-2202-1016
4.โซนโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะมาให้คําแนะนํา และส่งเสริมความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy เมื่อปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่และเงื่อนไขที่ธนาคารกําหนด จะช่วยให้มีโอกาสยื่นคําขอพิจารณาสินเชื่อกับธนาคารได้ในอนาคต และยังให้บริการประชาชนตอบแบบสํารวจความต้องการที่อยู่อาศัยตาม “โครงการแอพพลิเคชั่น คนไทยมีบ้าน : Home for All” โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนําผลสํารวจที่ได้ไปวางแผนพัฒนาปริมาณที่อยู่อาศัยใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ขณะที่ ธอส. จะเตรียมแคมเปญสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยพิเศษมอบให้ผู้ที่ร่วมตอบแบบสํารวจเพื่อช่วยให้คนไทยได้มีบ้านอย่างทั่วถึงต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถจองสิทธิ์ใช้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ของ ธอส. ด้วยสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตผ่าน Application : Ghbank Smart Booth เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของประชาชนยุคดิจิทัลในปัจจุบัน โดยงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2017” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2560 ณ Sky Hall ชั้น 3 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.จัดโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำส่งท้ายปี ดอกเบี้ย 2.90% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี!! เงินฝากออมทรัพย์ “ซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษ” ดอกเบี้ยสูง 1.75% ต่อปี
วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2560
ธอส.จัดโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ําส่งท้ายปี ดอกเบี้ย 2.90% ต่อปี นาน 3 ปีแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี!! เงินฝากออมทรัพย์ “ซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษ” ดอกเบี้ยสูง 1.75% ต่อปี
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมผลิตภัณฑ์พิเศษมอบให้ลูกค้าประชาชนส่งท้ายปี 2560 ในงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2017” ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2560 ณ Sky Hall ชั้น 3 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมผลิตภัณฑ์พิเศษมอบให้ลูกค้าประชาชนส่งท้ายปี 2560 นําโดยสินเชื่อ Home For All ดอกเบี้ยสุดพิเศษเพียง 2.90% ต่อปี นานถึง 3 ปีแรก ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี (1) ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (2) ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (3) ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และ (4) ฟรีค่าจดทะเบียนจํานอง 1% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ ซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษ รับดอกเบี้ยพิเศษสูงสุด 1.75% ต่อปี พร้อมแนะนําบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA คุณภาพดีทําเลเด่น ที่ธนาคารจะคงราคาจําหน่ายด้วยส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติ ถึง 29 ธันวาคม 2560 ในงาน Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2017” ระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2560 ณ Sky Hall ชั้น 3 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสร้างโอกาสทําให้ คนไทยมีบ้าน ธอส.จึงได้ร่วมออกบูธในงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2017” โดยแบ่งโซนการจัดบูธออกเป็น 4 โซนหลัก ประกอบด้วย 1.โซนสินเชื่อ Home For All อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 – 3 เท่ากับ MRR-3.85% ต่อปี (หรือเท่ากับ 2.90% ต่อปีเท่านั้น!! คิดจาก MRR ธอส.ปัจจุบันเท่ากับ 6.75% ต่อปี) ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้ กรณีลูกค้าสวัสดิการดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อยทั่วไป ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ซื้ออุปกรณ์และสิ่งอํานวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ให้กู้เพื่อซื้อปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจํานองจากสถาบันการเงินอื่น และซื้ออุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัยพร้อมกับกู้เพื่อซื้อ หรือ ไถ่ถอนจํานอง พิเศษ!! ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี ได้แก่ (1)ฟรีค่าธรรมเนียม การยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินทํานิติกรรม) (2)ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกันทุกวงเงินกู้ (1,900 / 2,800 /3,100 บาท ตามวงเงินกู้) (3)ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท) และ (4)ฟรีค่าจดทะเบียนจํานอง 1% ของวงเงินกู้ตามสัญญากู้เงิน ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 40 ปี จองสิทธิ์ภายในงาน ยื่นคําขอกู้ทําและนิติกรรมภายในวันที่ 29 ธันวาคม 2560 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกําหนด
2.โซนเงินฝากอัตราดอกเบี้ยสูง นําเสนอผลิตภัณฑ์ “เงินฝากซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษ บวกอัตราดอกเบี้ยเพิ่ม 0.25% ต่อปี” โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยซุปเปอร์ออมทรัพย์พิเศษเท่ากับ 1.50% ต่อปี รวมรับดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษเท่ากับ 1.75% ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันที่เปิดบัญชี เพียงจองสิทธิ์ภายในงาน และเปิดบัญชีที่สาขาของธนาคารฝากครั้งแรกขั้นต่ํา 10,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 15-28 ธันวาคม 2560 พิเศษ!! สําหรับลูกค้าที่จองสิทธิ์และเปิดบัญชี ณ สาขาของ ธอส. ณ สาขาในสังกัดนครหลวงตามระยะเวลาที่กําหนด จะได้รับฟรี!! “ตุ๊กตาหมี ธอส.” ขนาด 8.5 นิ้ว จํานวน 1 ตัว ต่อ 1 ราย (มีจํานวนจํากัด)
3.โซนบ้านมือสอง หรือ ทรัพย์ NPA แนะนําทรัพย์ NPA ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งบ้านเดี่ยว, บ้านแฝด, ทาวน์เฮ้าส์, อาคารพาณิชย์, ห้องชุด และที่ดินเปล่า ที่ธนาคารคงราคาจําหน่ายพร้อมส่วนลดพิเศษสูงสุด 50% จากราคาปกติ พร้อมกับรับแคมเปญพิเศษ “ผ่อนดาวน์ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 48 เดือน” (เฉพาะทรัพย์รายการที่ธนาคารกําหนด) พร้อมเข้าอยู่อาศัยในช่วงผ่อนดาวน์ได้ทันทีเพียงชําระเงินประกันไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาซื้อ หรือหากเทเงินดาวน์ 20% ของราคาซื้อขาย ส่วนที่เหลืออีก 80% รับสินเชื่อดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน ไม่เสียค่าประเมินราคาทรัพย์สิน และผ่อนชําระได้นานสูงสุดถึง 40 ปี ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถติดต่อซื้อทรัพย์ในราคาพิเศษได้ที่ฝ่ายบริหาร NPA อาคาร 1 ชั้น 8 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สํานักงานใหญ่ พระราม 9 ถึงวันที่ 29 ธันวาคม 2560 เท่านั้น ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0-202-1582, 0-2202-1583 และ 0-2202-1016
4.โซนโครงการ ธอส. โรงเรียนการเงิน เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะมาให้คําแนะนํา และส่งเสริมความรู้ในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ หรือ Financial Literacy เมื่อปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่และเงื่อนไขที่ธนาคารกําหนด จะช่วยให้มีโอกาสยื่นคําขอพิจารณาสินเชื่อกับธนาคารได้ในอนาคต และยังให้บริการประชาชนตอบแบบสํารวจความต้องการที่อยู่อาศัยตาม “โครงการแอพพลิเคชั่น คนไทยมีบ้าน : Home for All” โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนําผลสํารวจที่ได้ไปวางแผนพัฒนาปริมาณที่อยู่อาศัยใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ขณะที่ ธอส. จะเตรียมแคมเปญสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยพิเศษมอบให้ผู้ที่ร่วมตอบแบบสํารวจเพื่อช่วยให้คนไทยได้มีบ้านอย่างทั่วถึงต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถจองสิทธิ์ใช้บริการผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ของ ธอส. ด้วยสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตผ่าน Application : Ghbank Smart Booth เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของประชาชนยุคดิจิทัลในปัจจุบัน โดยงาน “Thailand Smart Money กรุงเทพฯ 2017” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2560 ณ Sky Hall ชั้น 3 เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8792
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่7/2559
|
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559
ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่7/2559
........
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2559) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่7/2559 ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมเห็นชอบการศึกษาแนวทางในการประกาศเขตพัฒนาการท่องเที่ยวเพิ่มเติม โดยครอบคลุมในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร และพื้นที่หมู่เกาะทะเลใต้ ซึ่งประกอบด้วย (เกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า และหมู่เกาะอ่างทอง) โดยให้ใช้เกณฑ์การพัฒนาการท่องเที่ยว อย่างสมดุลทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านเศรษฐกิจ 2) ด้านสังคมและวัฒนธรรม 3) ด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับนโยบาย และมาตราการของรัฐบาล และให้นําแนวทางการพัฒนาเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบเกณฑ์การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อร่วมกันพัฒนาเกณฑ์มาตราฐานการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามแนวทางของ Global Sustainable Tourism Criteria (GSTC) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืนในพื้นที่พิเศษ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการประเมินและพัฒนาศักยภาพชุมชน โดยมีองค์ประกอบ 5 ด้าน ดังนี้ 1) การบริหารและจัดการ 2) เศรษฐกิจ 3) สังคม-วัฒนธรรม 4) สิ่งแวดล้อม 5) การบริการและความปลอดภัย เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนทั่วประเทศ
รวมทั้ง เห็นชอบแนวทางการจัดกิจกรรม “แสงเทียนแห่งสยาม” ณ สะพานภูมิพล ในวันที่ 5 ธันวาคม 2559 และการจัดกิจกรรมสวดมนต์ส่งท้ายปีเก่าและสวดมนต์รับปีใหม่ทั่วประเทศในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 อีกด้วย
...................................................................
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่7/2559
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559
ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่7/2559
........
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2559) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ ครั้งที่7/2559 ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมเห็นชอบการศึกษาแนวทางในการประกาศเขตพัฒนาการท่องเที่ยวเพิ่มเติม โดยครอบคลุมในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร และพื้นที่หมู่เกาะทะเลใต้ ซึ่งประกอบด้วย (เกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า และหมู่เกาะอ่างทอง) โดยให้ใช้เกณฑ์การพัฒนาการท่องเที่ยว อย่างสมดุลทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านเศรษฐกิจ 2) ด้านสังคมและวัฒนธรรม 3) ด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับนโยบาย และมาตราการของรัฐบาล และให้นําแนวทางการพัฒนาเสนอในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบเกณฑ์การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อร่วมกันพัฒนาเกณฑ์มาตราฐานการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชน ตามแนวทางของ Global Sustainable Tourism Criteria (GSTC) เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาชุมชนต้นแบบด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืนในพื้นที่พิเศษ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางในการประเมินและพัฒนาศักยภาพชุมชน โดยมีองค์ประกอบ 5 ด้าน ดังนี้ 1) การบริหารและจัดการ 2) เศรษฐกิจ 3) สังคม-วัฒนธรรม 4) สิ่งแวดล้อม 5) การบริการและความปลอดภัย เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนทั่วประเทศ
รวมทั้ง เห็นชอบแนวทางการจัดกิจกรรม “แสงเทียนแห่งสยาม” ณ สะพานภูมิพล ในวันที่ 5 ธันวาคม 2559 และการจัดกิจกรรมสวดมนต์ส่งท้ายปีเก่าและสวดมนต์รับปีใหม่ทั่วประเทศในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 อีกด้วย
...................................................................
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/931
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.สุริยะฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสา"เราทำความดีด้วยหัวใจ"
|
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562
รมต.สุริยะฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสา"เราทําความดีด้วยหัวใจ"
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกิจกรรมจิตอาสา"เราทําความดีด้วยหัวใจ" ณ สวนวชิรเบญจทัศ เขตจตุจักร
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2562) เวลา 10.30 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกิจกรรมจิตอาสา"เราทําความดีด้วยหัวใจ" ณ สวนวชิรเบญจทัศ เขตจตุจักร โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีนายประกอบ วิวิธจินดา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมด้วย โดยภายในงานมีกิจกรรมการรับมอบต้นไม้จากภาคีเครือข่าย จํานวน 1,010 ต้น จากนั้นทุกภาคส่วนปลูกต้นไม้ร่วมกัน ก่อนจะเยี่ยมชมทุ่งดอกไม้และอุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.สุริยะฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสา"เราทำความดีด้วยหัวใจ"
วันพุธที่ 24 กรกฎาคม 2562
รมต.สุริยะฯ ร่วมกิจกรรมจิตอาสา"เราทําความดีด้วยหัวใจ"
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกิจกรรมจิตอาสา"เราทําความดีด้วยหัวใจ" ณ สวนวชิรเบญจทัศ เขตจตุจักร
วันนี้ (24 กรกฎาคม 2562) เวลา 10.30 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกิจกรรมจิตอาสา"เราทําความดีด้วยหัวใจ" ณ สวนวชิรเบญจทัศ เขตจตุจักร โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีนายประกอบ วิวิธจินดา ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมด้วย โดยภายในงานมีกิจกรรมการรับมอบต้นไม้จากภาคีเครือข่าย จํานวน 1,010 ต้น จากนั้นทุกภาคส่วนปลูกต้นไม้ร่วมกัน ก่อนจะเยี่ยมชมทุ่งดอกไม้และอุทยานผีเสื้อและแมลงกรุงเทพ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21736
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๕ ชาติอาเซียน "กัมพูชา-อินโดนีเซีย- เมียนมา-ฟิลิปปินส์-เวียดนาม” ร่วมฉลอง ๒๓๖ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ โชว์สุดยอดการแสดงพื้นบ้ านนานาชาติ ขับร้องระบำ-เล่นดนตรี แลกเปลี่ยนเรียนรู้-ใช้ว
|
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561
๕ ชาติอาเซียน "กัมพูชา-อินโดนีเซีย- เมียนมา-ฟิลิปปินส์-เวียดนาม” ร่วมฉลอง ๒๓๖ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ โชว์สุดยอดการแสดงพื้นบ้ านนานาชาติ ขับร้องระบํา-เล่นดนตรี แลกเปลี่ยนเรียนรู้-ใช้ว
๕ ชาติอาเซียน "กัมพูชา-อินโดนีเซีย- เมียนมา-ฟิลิปปินส์-เวียดนาม” ร่วมฉลอง ๒๓๖ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ โชว์สุดยอดการแสดงพื้นบ้านนานาชาติ ขับร้องระบํา-เล่นดนตรี แลกเปลี่ยนเรียนรู้-ใช้วั ฒนธรรมกระชับความสัมพันธ์ไทย-ปร ะเทศเพื่อนบ้าน
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับหน่วยงานรัฐภาคเอกชน และภาคประชาชน จัดงานมหกรรมวัฒนธรรม"ใต้ร่มพระบารมี๒๓๖ปี กรุงรัตนโกสินทร์”วันที่๒๑ – ๒๕เม.ย.๒๕๖๑ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และรอบเกาะรัตนโกสินทร์ โดยในส่วนสํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม จัดกิจกรรมมหกรรมการแสดงพื้นบ้านนานาชาติ วันที่๒๑-๒๕เม.ย.๒๕๖๑จํานวน ๕ เวที ได้แก่ ลานคนเมือง สวนสันติชัยปราการ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน โรงละครแห่งชาติ และสังคีตศาลา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยมีคณะนักแสดงจาก๕ประเทศ ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ร่วมกิจกรรม
นายวีระ กล่าวอีกว่า สําหรับการแสดงแต่ประเทศ ได้แก่๑.กัมพูชา แสดงโดยคณะนักแสดง กรมศิลปะการแสดง กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ นําเสนอการแสดงประจําชาติ ทั้งในรูปแบบราชสํานักและการแสดงท้องถิ่นกัมพูชา ได้แก่ แสดงชุด "RobamMonosanhchetana (Expression of Sentiment Dance)"ซึ่งเดิมเป็นการแสดงในราชสํานัก และการแสดงชุด "รําเก็บกระวาน (Cardamom Picking Dance)"ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากทรัพยากรทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และวิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อยในชนบทของกัมพูชา และการแสดงชุด "พลอยสวย (Ploy Suoy Dance)"ผู้แสดงจะบรรเลงเครื่องเป่าที่เรียกว่า"พลอย(Ploy)”เพื่อระลึกถึงต้นกําเนิดแห่งกาลเวลาและความเชื่อเรื่องการกลับคืนสู่นิรันดร์
๒.อินโดนีเซีย แสดงโดยคณะ"Animal pop”นําแสนอการแสดงชุด"In Front of Papua”เล่าเรื่องราวของเมืองจายาปุระ และเมืองวาเมน่าที่เป็นเมืองแห่งชนพื้นเมืองดั้งเดิมของจังหวัดปาปัวตั้งอยู่บนเกาะด้านทิศตะวันออกสุดของอินโดนีเซีย วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ธรรมชาติ ผู้คน และสัตว์ป่า ได้ถูกถ่ายทอดผ่านการแสดงร่วมสมัยชุดนี้อย่างลงตัว๓.เมียนมา แสดงโดยคณะนักแสดงจากกรมศิลปากร กระทรวงศาสนาและวัฒนธรรม เมียนมา นําเสนอชุดการแสดงพื้นบ้าน เช่น การแสดงระบํากลองMoozarกลองOoziและกลองDoobatรวมถึงการแสดงดนตรีพื้นบ้าน การแสดงตลก และการแสดงศิลปะป้องกันตัวในชุดBeautiful Bow Dance
๔.ฟิลิปปินส์ แสดงโดยคณะHinugyaw Cultural Danceนําเสนอการแสดงพื้นบ้าน ชุด"PYESTA KOLON DATAL”เป็นการแสดงที่แสดงถึงความสงบสุขและมิตรภาพ โดยผสมผสานการแสดงพื้นบ้านของชาวมินดาเนาและการแสดงชุด"KAGTABO BLAAN”ที่บอกเล่าถึงคติความเชื่อและประเพณีของชาวBlaanรวมถึงการแสดงชุด"PAWAKAN”เป็นการแสดงศิลปะการต่อสู้ ของชาวMaguindanaoซึ่งมีท่วงท่าเลียนแบบมาจากการชนไก่๕.เวียดนาม แสดงโดยคณะ"Lac Hong”เป็นคณะอาจารย์และนักดนตรีอาชีพแห่งวิทยาลัยดนตรีเมืองโฮจิมินห์นําเสนอการแสดงดนตรีและการขับร้องที่ถ่ายทอดโดยบทเพลงดั้งเดิม รวมถึงการแสดงดนตรีและการขับร้องที่ได้นําเครื่องดนตรีพื้นบ้านอันมีเอกลักษณ์จากชนบนพื้นที่สูงตลอดจนถึงกลุ่มชนบริเวณปากแม่น้ํา ถ่ายทอดผ่านศิลปะหลากหลายแขนง เช่น เครื่องดนตรี การร้องเพลง บทสวดในพิธีกรรม เป็นต้น ทั้งนี้ กิจกรรมครั้งเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมและช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-๕ ชาติอาเซียน "กัมพูชา-อินโดนีเซีย- เมียนมา-ฟิลิปปินส์-เวียดนาม” ร่วมฉลอง ๒๓๖ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ โชว์สุดยอดการแสดงพื้นบ้ านนานาชาติ ขับร้องระบำ-เล่นดนตรี แลกเปลี่ยนเรียนรู้-ใช้ว
วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561
๕ ชาติอาเซียน "กัมพูชา-อินโดนีเซีย- เมียนมา-ฟิลิปปินส์-เวียดนาม” ร่วมฉลอง ๒๓๖ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ โชว์สุดยอดการแสดงพื้นบ้ านนานาชาติ ขับร้องระบํา-เล่นดนตรี แลกเปลี่ยนเรียนรู้-ใช้ว
๕ ชาติอาเซียน "กัมพูชา-อินโดนีเซีย- เมียนมา-ฟิลิปปินส์-เวียดนาม” ร่วมฉลอง ๒๓๖ ปี กรุงรัตนโกสินทร์ โชว์สุดยอดการแสดงพื้นบ้านนานาชาติ ขับร้องระบํา-เล่นดนตรี แลกเปลี่ยนเรียนรู้-ใช้วั ฒนธรรมกระชับความสัมพันธ์ไทย-ปร ะเทศเพื่อนบ้าน
นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ร่วมกับหน่วยงานรัฐภาคเอกชน และภาคประชาชน จัดงานมหกรรมวัฒนธรรม"ใต้ร่มพระบารมี๒๓๖ปี กรุงรัตนโกสินทร์”วันที่๒๑ – ๒๕เม.ย.๒๕๖๑ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และรอบเกาะรัตนโกสินทร์ โดยในส่วนสํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม จัดกิจกรรมมหกรรมการแสดงพื้นบ้านนานาชาติ วันที่๒๑-๒๕เม.ย.๒๕๖๑จํานวน ๕ เวที ได้แก่ ลานคนเมือง สวนสันติชัยปราการ หอศิลป์ร่วมสมัยราชดําเนิน โรงละครแห่งชาติ และสังคีตศาลา พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยมีคณะนักแสดงจาก๕ประเทศ ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ร่วมกิจกรรม
นายวีระ กล่าวอีกว่า สําหรับการแสดงแต่ประเทศ ได้แก่๑.กัมพูชา แสดงโดยคณะนักแสดง กรมศิลปะการแสดง กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์ นําเสนอการแสดงประจําชาติ ทั้งในรูปแบบราชสํานักและการแสดงท้องถิ่นกัมพูชา ได้แก่ แสดงชุด "RobamMonosanhchetana (Expression of Sentiment Dance)"ซึ่งเดิมเป็นการแสดงในราชสํานัก และการแสดงชุด "รําเก็บกระวาน (Cardamom Picking Dance)"ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากทรัพยากรทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และวิถีชีวิตของชนกลุ่มน้อยในชนบทของกัมพูชา และการแสดงชุด "พลอยสวย (Ploy Suoy Dance)"ผู้แสดงจะบรรเลงเครื่องเป่าที่เรียกว่า"พลอย(Ploy)”เพื่อระลึกถึงต้นกําเนิดแห่งกาลเวลาและความเชื่อเรื่องการกลับคืนสู่นิรันดร์
๒.อินโดนีเซีย แสดงโดยคณะ"Animal pop”นําแสนอการแสดงชุด"In Front of Papua”เล่าเรื่องราวของเมืองจายาปุระ และเมืองวาเมน่าที่เป็นเมืองแห่งชนพื้นเมืองดั้งเดิมของจังหวัดปาปัวตั้งอยู่บนเกาะด้านทิศตะวันออกสุดของอินโดนีเซีย วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ธรรมชาติ ผู้คน และสัตว์ป่า ได้ถูกถ่ายทอดผ่านการแสดงร่วมสมัยชุดนี้อย่างลงตัว๓.เมียนมา แสดงโดยคณะนักแสดงจากกรมศิลปากร กระทรวงศาสนาและวัฒนธรรม เมียนมา นําเสนอชุดการแสดงพื้นบ้าน เช่น การแสดงระบํากลองMoozarกลองOoziและกลองDoobatรวมถึงการแสดงดนตรีพื้นบ้าน การแสดงตลก และการแสดงศิลปะป้องกันตัวในชุดBeautiful Bow Dance
๔.ฟิลิปปินส์ แสดงโดยคณะHinugyaw Cultural Danceนําเสนอการแสดงพื้นบ้าน ชุด"PYESTA KOLON DATAL”เป็นการแสดงที่แสดงถึงความสงบสุขและมิตรภาพ โดยผสมผสานการแสดงพื้นบ้านของชาวมินดาเนาและการแสดงชุด"KAGTABO BLAAN”ที่บอกเล่าถึงคติความเชื่อและประเพณีของชาวBlaanรวมถึงการแสดงชุด"PAWAKAN”เป็นการแสดงศิลปะการต่อสู้ ของชาวMaguindanaoซึ่งมีท่วงท่าเลียนแบบมาจากการชนไก่๕.เวียดนาม แสดงโดยคณะ"Lac Hong”เป็นคณะอาจารย์และนักดนตรีอาชีพแห่งวิทยาลัยดนตรีเมืองโฮจิมินห์นําเสนอการแสดงดนตรีและการขับร้องที่ถ่ายทอดโดยบทเพลงดั้งเดิม รวมถึงการแสดงดนตรีและการขับร้องที่ได้นําเครื่องดนตรีพื้นบ้านอันมีเอกลักษณ์จากชนบนพื้นที่สูงตลอดจนถึงกลุ่มชนบริเวณปากแม่น้ํา ถ่ายทอดผ่านศิลปะหลากหลายแขนง เช่น เครื่องดนตรี การร้องเพลง บทสวดในพิธีกรรม เป็นต้น ทั้งนี้ กิจกรรมครั้งเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมและช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศอาเซียน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11699
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีภูฏาน
|
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
ผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีภูฏาน
นายเชอริ่ง ต็อบเกย์ (Mr. Tshering Tobgay) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2
วันนี้ (9 ต.ค. 59) เวลา 14.45 น. นายเชอริ่ง ต็อบเกย์ (Mr. Tshering Tobgay) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล โดยพลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบกับนายกรัฐมนตรีภูฏานอีกครั้ง และแสดงความขอบคุณภูฏานที่ได้รับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อย่างสมพระเกียรติเมื่อเดือนพฤษภาคม เชื่อว่าการเสด็จฯ เยือนภูฏาน ของพระองค์จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ไทยมีความยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสถวายการต้อนรับพระราชวงศ์ของภูฏานในโอกาสเสด็จเยือนไทยอย่างสม่ําเสมอ
ทั้งสองฝ่ายยินดีในความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกันซึ่งเป็นไปอย่างราบรื่นและใกล้ชิดตลอดระยะเวลากว่า 27 ปี นับตั้งแต่ที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยและภูฏานมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เนื่องจากทั้งสองประเทศมีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจําชาติ และมีความคล้ายคลึงในด้านวัฒนธรรม
นายกรัฐมนตรีภูฏานแสดงความชื่นชมโครงการ OTOP ของไทย และกล่าวว่าโครงการหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Gewog One Product-OGOP) ของภูฏานประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี โดยนายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติที่ฝ่ายไทยมีส่วนร่วมในการริเริ่มโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงการพระราชดําริของสมเด็จพระราชาธิบดีภูฏาน
ความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน ทั้งสองฝ่ายมุ่งหวังเพิ่มพูนมูลค่าการค้าการลงทุน และยินดีที่การประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานั้นประสบความสําเร็จด้วยดี โดยมั่นใจว่าจะเป็นแนวทางสําคัญในการขยายโอกาสความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีหวังให้ภูฏานสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนไทยในภูฏานในทุกสาขาโดยเฉพาะสาขาก่อสร้าง และโรงแรม
ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีภูฏานกล่าวว่าภูฏานยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทย และหวังให้ชาวไทยเดินทางไปท่องเที่ยวภูฏานให้มากขึ้น โดยเห็นว่าการท่องเที่ยวจะช่วยกระชับความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ รวมถึงความเข้าใจอันดีระหว่างกันในระดับประชาชน
ความร่วมมือด้านการเกษตร ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือด้านการเกษตร เนื่องจากไทยและภูฏานเป็นประเทศเกษตรกรรมเช่นเดียวกัน โดยภูฏานประสงค์ที่จะเรียนรู้และส่งเสริมความร่วมมือด้านวิชาการและการพัฒนาจากไทย และแสดงความชื่นชมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ําว่าไทยพร้อมที่จะให้การสนับสนุนแก่ภูฏานด้านวิชาการเกษตรในทุกสาขา
ก่อนจบการสนทนานายกรัฐมนตรีภูฏานย้ําว่าภูฏานยินดีร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิด และหวังเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ
*******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีภูฏาน
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2559
ผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีภูฏาน
นายเชอริ่ง ต็อบเกย์ (Mr. Tshering Tobgay) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2
วันนี้ (9 ต.ค. 59) เวลา 14.45 น. นายเชอริ่ง ต็อบเกย์ (Mr. Tshering Tobgay) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรภูฏาน เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล โดยพลโทวีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบกับนายกรัฐมนตรีภูฏานอีกครั้ง และแสดงความขอบคุณภูฏานที่ได้รับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อย่างสมพระเกียรติเมื่อเดือนพฤษภาคม เชื่อว่าการเสด็จฯ เยือนภูฏาน ของพระองค์จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งนี้ไทยมีความยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสถวายการต้อนรับพระราชวงศ์ของภูฏานในโอกาสเสด็จเยือนไทยอย่างสม่ําเสมอ
ทั้งสองฝ่ายยินดีในความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกันซึ่งเป็นไปอย่างราบรื่นและใกล้ชิดตลอดระยะเวลากว่า 27 ปี นับตั้งแต่ที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยและภูฏานมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เนื่องจากทั้งสองประเทศมีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจําชาติ และมีความคล้ายคลึงในด้านวัฒนธรรม
นายกรัฐมนตรีภูฏานแสดงความชื่นชมโครงการ OTOP ของไทย และกล่าวว่าโครงการหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Gewog One Product-OGOP) ของภูฏานประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี โดยนายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติที่ฝ่ายไทยมีส่วนร่วมในการริเริ่มโครงการดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงการพระราชดําริของสมเด็จพระราชาธิบดีภูฏาน
ความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน ทั้งสองฝ่ายมุ่งหวังเพิ่มพูนมูลค่าการค้าการลงทุน และยินดีที่การประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ภูฏาน ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานั้นประสบความสําเร็จด้วยดี โดยมั่นใจว่าจะเป็นแนวทางสําคัญในการขยายโอกาสความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีหวังให้ภูฏานสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนไทยในภูฏานในทุกสาขาโดยเฉพาะสาขาก่อสร้าง และโรงแรม
ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีภูฏานกล่าวว่าภูฏานยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทย และหวังให้ชาวไทยเดินทางไปท่องเที่ยวภูฏานให้มากขึ้น โดยเห็นว่าการท่องเที่ยวจะช่วยกระชับความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ รวมถึงความเข้าใจอันดีระหว่างกันในระดับประชาชน
ความร่วมมือด้านการเกษตร ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือด้านการเกษตร เนื่องจากไทยและภูฏานเป็นประเทศเกษตรกรรมเช่นเดียวกัน โดยภูฏานประสงค์ที่จะเรียนรู้และส่งเสริมความร่วมมือด้านวิชาการและการพัฒนาจากไทย และแสดงความชื่นชมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ําว่าไทยพร้อมที่จะให้การสนับสนุนแก่ภูฏานด้านวิชาการเกษตรในทุกสาขา
ก่อนจบการสนทนานายกรัฐมนตรีภูฏานย้ําว่าภูฏานยินดีร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิด และหวังเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ
*******************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/543
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงสู้ภัย COVID-19 รณรงค์คนไทยลดใช้เงินสด จัดโปรโมชั่นเติม M-Pass 1,000 บาท คืนเงิน 150 บาท [กระทรวงคมนาคม]
|
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
กรมทางหลวงสู้ภัย COVID-19 รณรงค์คนไทยลดใช้เงินสด จัดโปรโมชั่นเติม M-Pass 1,000 บาท คืนเงิน 150 บาท [กระทรวงคมนาคม]
กรมทางหลวงสู้ภัย COVID-19 รณรงค์คนไทยลดใช้เงินสด จัดโปรโมชั่นเติม M-Pass 1,000 บาท คืนเงิน 150 บาท
ฉบับที่ 301/2563
กรมทางหลวงสู้ภัย COVID-19 รณรงค์คนไทยลดใช้เงินสด จัดโปรโมชั่นเติม M-Pass 1,000 บาท คืนเงิน 150 บาท
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม จัดโปรโมชั่น “ลดเสี่ยง เลี่ยงเงินสด” เติมเงินบัตร M-Pass 1,000 บาท รับเครดิตเงินคืน 150 บาท จูงใจใช้บัตรอัตโนมัติจ่ายค่าผ่านทางพิเศษระหว่างเมือง หรือมอเตอร์เวย์ แทนการใช้เงินสดที่อาจปนเปื้อนเชื้อไวรัส COVID-19 ร่วมรณรงค์คนไทยห่างไกลโรคฯ
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า ทล. ขอร่วมเป็นอีกองค์กรหนึ่งในการควบคุมและลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ด้วยการออกมาตรการรณรงค์และสนับสนุนให้ผู้ใช้ทางใช้บัตรอัตโนมัติ (M-Pass) ชําระค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์ของ ทล. แทนการใช้เงินสด ซึ่งสาเหตุหนึ่งของการแพร่เชื้อที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดมาจากการใช้ธนบัตรหรือเหรียญชําระค่าบริการและสินค้าต่าง ๆ ดังนั้นเพื่อตัดต้นตอการแพร่เชื้อคือต้องลดการใช้เงินสด ทล. จึงรณรงค์ให้คนใช้ M-Pass มากขึ้นด้วยการมอบส่วนลดเงินคืน
ทล. จัดโปรโมชั่น ลดเสี่ยง เลี่ยงเงินสด ด้วย M-Pass มอบเครดิตเงินคืน จํานวน 150 บาท เข้า Tag M-Pass ทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าสมัครบัตรใหม่ เพียงเติมเงินในบัตร M-Pass ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป จํานวน 1,000 บาท ผ่านทุกช่องทางทั้ง QR Code บนแอพพลิเคชั่น ด้วย Mobile Banking ของธนาคารต่าง ๆ เช่น Krungthai NEXT Krungthai Netbank เป็นต้น โดยเครดิตเงินคืนดังกล่าวจะคืนเข้าสู่บัตร M-Pass ภายใน 15 วันทําการ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทางสามารถสมัครและรับบัตร M-Pass ได้ทันทีผ่านธนาคารกรุงไทย 162 สาขา และจุดบริการบนมอเตอร์เวย์ทั้ง 5 จุด คือ ด่านฯ ทับช้าง 1 ด่านฯ ทับช้าง 2 Service Area ขาเข้า Service Area ขาออก และด่านฯ โป่ง 3
การใช้บัตร M-Pass ชําระค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์เพิ่มความสะดวกการเดินทาง รวมทั้งประหยัดเวลาเพราะช่วยลดปัญหาการจราจรบริเวณหน้าด่าน และช่วยลดมลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 นอกจากนั้น จะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายการเดินทางเพราะ ทล. มีแผนส่งเสริมการตลาดและให้ส่วนลดต่าง ๆ ในการใช้บัตรตลอดทั้งปี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงสู้ภัย COVID-19 รณรงค์คนไทยลดใช้เงินสด จัดโปรโมชั่นเติม M-Pass 1,000 บาท คืนเงิน 150 บาท [กระทรวงคมนาคม]
วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563
กรมทางหลวงสู้ภัย COVID-19 รณรงค์คนไทยลดใช้เงินสด จัดโปรโมชั่นเติม M-Pass 1,000 บาท คืนเงิน 150 บาท [กระทรวงคมนาคม]
กรมทางหลวงสู้ภัย COVID-19 รณรงค์คนไทยลดใช้เงินสด จัดโปรโมชั่นเติม M-Pass 1,000 บาท คืนเงิน 150 บาท
ฉบับที่ 301/2563
กรมทางหลวงสู้ภัย COVID-19 รณรงค์คนไทยลดใช้เงินสด จัดโปรโมชั่นเติม M-Pass 1,000 บาท คืนเงิน 150 บาท
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม จัดโปรโมชั่น “ลดเสี่ยง เลี่ยงเงินสด” เติมเงินบัตร M-Pass 1,000 บาท รับเครดิตเงินคืน 150 บาท จูงใจใช้บัตรอัตโนมัติจ่ายค่าผ่านทางพิเศษระหว่างเมือง หรือมอเตอร์เวย์ แทนการใช้เงินสดที่อาจปนเปื้อนเชื้อไวรัส COVID-19 ร่วมรณรงค์คนไทยห่างไกลโรคฯ
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่า ทล. ขอร่วมเป็นอีกองค์กรหนึ่งในการควบคุมและลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ด้วยการออกมาตรการรณรงค์และสนับสนุนให้ผู้ใช้ทางใช้บัตรอัตโนมัติ (M-Pass) ชําระค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์ของ ทล. แทนการใช้เงินสด ซึ่งสาเหตุหนึ่งของการแพร่เชื้อที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดมาจากการใช้ธนบัตรหรือเหรียญชําระค่าบริการและสินค้าต่าง ๆ ดังนั้นเพื่อตัดต้นตอการแพร่เชื้อคือต้องลดการใช้เงินสด ทล. จึงรณรงค์ให้คนใช้ M-Pass มากขึ้นด้วยการมอบส่วนลดเงินคืน
ทล. จัดโปรโมชั่น ลดเสี่ยง เลี่ยงเงินสด ด้วย M-Pass มอบเครดิตเงินคืน จํานวน 150 บาท เข้า Tag M-Pass ทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าสมัครบัตรใหม่ เพียงเติมเงินในบัตร M-Pass ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป จํานวน 1,000 บาท ผ่านทุกช่องทางทั้ง QR Code บนแอพพลิเคชั่น ด้วย Mobile Banking ของธนาคารต่าง ๆ เช่น Krungthai NEXT Krungthai Netbank เป็นต้น โดยเครดิตเงินคืนดังกล่าวจะคืนเข้าสู่บัตร M-Pass ภายใน 15 วันทําการ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ทางสามารถสมัครและรับบัตร M-Pass ได้ทันทีผ่านธนาคารกรุงไทย 162 สาขา และจุดบริการบนมอเตอร์เวย์ทั้ง 5 จุด คือ ด่านฯ ทับช้าง 1 ด่านฯ ทับช้าง 2 Service Area ขาเข้า Service Area ขาออก และด่านฯ โป่ง 3
การใช้บัตร M-Pass ชําระค่าผ่านทางมอเตอร์เวย์เพิ่มความสะดวกการเดินทาง รวมทั้งประหยัดเวลาเพราะช่วยลดปัญหาการจราจรบริเวณหน้าด่าน และช่วยลดมลพิษด้านฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 นอกจากนั้น จะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายการเดินทางเพราะ ทล. มีแผนส่งเสริมการตลาดและให้ส่วนลดต่าง ๆ ในการใช้บัตรตลอดทั้งปี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28211
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตร ฯ เผยผลการจัดกิจกรรม "ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์"
|
วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2560
กระทรวงเกษตร ฯ เผยผลการจัดกิจกรรม "ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์"
กระทรวงเกษตร ฯ เผยผลการจัดกิจกรรม "ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์" ประชาชนได้รับประโยชน์ 245,000 คน และมียอดจําหน่ายสินค้าเกษตรกว่า 6 ล้านบาท
นายสุรพงศ์ เจียสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดกิจกรรม"ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์"โดยทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมบูรณาการกิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2559 - 12 มกราคม 2560 ซึ่งประกอบด้วย 3 กิจกรรม คือ1. กิจกรรมส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรี กว่า 143 แห่งทั่วประเทศ อาทิ ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาอาชีพการเกษตร จ. เชียงราย ดอยวาวี ขุนวาง เขื่อนต่าง ๆ ทั่วประเทศ สถานีเรดาร์ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ฟาร์มโคนม พันธุ์สัตว์น้ํา และพันธุ์ปศุสัตว์ มีประชาชนเข้าชมจํานวน 125,115 คน และจัดตั้งพื้นที่ให้เกษตรกรนําสินค้าเกษตรมาจําหน่าย มียอดจําหน่ายรวมทั้งสิ้น 3,930,992 บาท
2. กิจกรรมส่งเสริมแหล่งบริการประชาชน มอบความรู้ และพัฒนาอาชีพเกษตรโดยหน่วยงานในสังกัดที่ตั้งอยู่บริเวณถนนสายหลัก และสายรองที่สําคัญจัดตั้งจุดบริการพักรถที่ปลอดภัย ห้องน้ําสะอาดไว้บริการประชาชนกว่า 338 จุด มีประชาชนเข้ารับบริการจํานวน 114,023คน แบ่งออกเป็น ภาคเหนือ 98 จุด รวม 26,979 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 96 จุด รวม 34,587 คน ภาคกลาง 98 จุด 26,849 คน ภาคใต้ 46 จุด 25,608 คน และจัดตั้งพื้นที่ให้เกษตรกรนําสินค้าเกษตรมาจําหน่าย จํานวน 125 จุด แบ่งออกเป็น ภาคเหนือ 31 จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 38 จุด ภาคกลาง 34 จุด ภาคใต้ 22 จุด มียอดจําหน่ายรวมทิ้งสิ้น 784,112 บาท นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมมอบความรู้และพัฒนาอาชีพ อาทิ การบริการให้ความรู้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา โดย กรมประมง กิจกรรมฝึกอบรมส่งเสริมการแปรรูปและเพิ่มมูลค่าข้าว โดย กรมการข้าว รณรงการไถกลบตอซังเพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน โดย กรมพัฒนาที่ดิน
3. กิจกรรมส่งเสริมการลดรายจ่ายในครัวเรือนประกอบด้วย 6 กิจกรรม ได้แก่ 1. กิจกรรมส่งมอบแหล่งน้ํากว่า 1,090 แห่ง พื้นที่รับประโยชน์กว่า 600 ไร่ 2. กิจกรรมคืนหอยลายสู่ทะเลตราด 1 ล้านตัว เป็นการเพิ่มปริมาณหอยลายกว่า 500 ล้านตัว 3. จําหน่ายข้าวสารและสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยได้มาตรฐานโดยสหกรณ์ ยอดจําหน่ายกว่า 1,200,000 บาท 4. บริการจัดกระเช้าของขวัญปีใหม่ในราคาพิเศษ จํานวน กว่า 1,000 กระเช้า 5. แจกผลิตภัณฑ์ยางพาราแก่ลูกค้า กยท. ตามช่องทางที่ร่วมรายการ กว่า 400 ราย 6. บริการฉีดวัคซีน ผ่าตัดทําหมั่น สัตว์เลี้ยง สุนัข แมว จํานวนกว่า 8,500 ตัว โดยรวมแล้วมีประชาชนมาใช้บริการทั้ง 3 กิจกรรม เป็นจํานวน 245,000 คน และมียอดจําหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์เกษตรรวมกว่า 6 ล้านบาท
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตร ฯ เผยผลการจัดกิจกรรม "ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์"
วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2560
กระทรวงเกษตร ฯ เผยผลการจัดกิจกรรม "ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์"
กระทรวงเกษตร ฯ เผยผลการจัดกิจกรรม "ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์" ประชาชนได้รับประโยชน์ 245,000 คน และมียอดจําหน่ายสินค้าเกษตรกว่า 6 ล้านบาท
นายสุรพงศ์ เจียสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดกิจกรรม"ส่งสุขปีใหม่ 2560 จากใจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์"โดยทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมบูรณาการกิจกรรมดังกล่าวขึ้น เพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่เกษตรกรและประชาชนทั่วประเทศ โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 ธันวาคม 2559 - 12 มกราคม 2560 ซึ่งประกอบด้วย 3 กิจกรรม คือ1. กิจกรรมส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมฟรี กว่า 143 แห่งทั่วประเทศ อาทิ ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาอาชีพการเกษตร จ. เชียงราย ดอยวาวี ขุนวาง เขื่อนต่าง ๆ ทั่วประเทศ สถานีเรดาร์ของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ฟาร์มโคนม พันธุ์สัตว์น้ํา และพันธุ์ปศุสัตว์ มีประชาชนเข้าชมจํานวน 125,115 คน และจัดตั้งพื้นที่ให้เกษตรกรนําสินค้าเกษตรมาจําหน่าย มียอดจําหน่ายรวมทั้งสิ้น 3,930,992 บาท
2. กิจกรรมส่งเสริมแหล่งบริการประชาชน มอบความรู้ และพัฒนาอาชีพเกษตรโดยหน่วยงานในสังกัดที่ตั้งอยู่บริเวณถนนสายหลัก และสายรองที่สําคัญจัดตั้งจุดบริการพักรถที่ปลอดภัย ห้องน้ําสะอาดไว้บริการประชาชนกว่า 338 จุด มีประชาชนเข้ารับบริการจํานวน 114,023คน แบ่งออกเป็น ภาคเหนือ 98 จุด รวม 26,979 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 96 จุด รวม 34,587 คน ภาคกลาง 98 จุด 26,849 คน ภาคใต้ 46 จุด 25,608 คน และจัดตั้งพื้นที่ให้เกษตรกรนําสินค้าเกษตรมาจําหน่าย จํานวน 125 จุด แบ่งออกเป็น ภาคเหนือ 31 จุด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 38 จุด ภาคกลาง 34 จุด ภาคใต้ 22 จุด มียอดจําหน่ายรวมทิ้งสิ้น 784,112 บาท นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมมอบความรู้และพัฒนาอาชีพ อาทิ การบริการให้ความรู้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา โดย กรมประมง กิจกรรมฝึกอบรมส่งเสริมการแปรรูปและเพิ่มมูลค่าข้าว โดย กรมการข้าว รณรงการไถกลบตอซังเพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน โดย กรมพัฒนาที่ดิน
3. กิจกรรมส่งเสริมการลดรายจ่ายในครัวเรือนประกอบด้วย 6 กิจกรรม ได้แก่ 1. กิจกรรมส่งมอบแหล่งน้ํากว่า 1,090 แห่ง พื้นที่รับประโยชน์กว่า 600 ไร่ 2. กิจกรรมคืนหอยลายสู่ทะเลตราด 1 ล้านตัว เป็นการเพิ่มปริมาณหอยลายกว่า 500 ล้านตัว 3. จําหน่ายข้าวสารและสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยได้มาตรฐานโดยสหกรณ์ ยอดจําหน่ายกว่า 1,200,000 บาท 4. บริการจัดกระเช้าของขวัญปีใหม่ในราคาพิเศษ จํานวน กว่า 1,000 กระเช้า 5. แจกผลิตภัณฑ์ยางพาราแก่ลูกค้า กยท. ตามช่องทางที่ร่วมรายการ กว่า 400 ราย 6. บริการฉีดวัคซีน ผ่าตัดทําหมั่น สัตว์เลี้ยง สุนัข แมว จํานวนกว่า 8,500 ตัว โดยรวมแล้วมีประชาชนมาใช้บริการทั้ง 3 กิจกรรม เป็นจํานวน 245,000 คน และมียอดจําหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์เกษตรรวมกว่า 6 ล้านบาท
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1208
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยคงประมาณการศก.ไทยปีนี้โต 4.5% มองครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง
|
วันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2561
กรุงไทยคงประมาณการศก.ไทยปีนี้โต 4.5% มองครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง
Krungthai Macro Research ประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ โต 4.5% มองเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก แต่ไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงครึ่งปีแรก
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส สายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ ไว้ที่ 4.5% มองเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังของปียังเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก แต่ไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงครึ่งปีแรก เพราะในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ภาคเกษตรเติบโตดีมาก จากสภาพอากาศเอื้ออํานวย มองเป็นปัจจัยชั่วคราว จึงคาดว่าการเติบโตจะลดความร้อนแรงลง ทั้งนี้ เศรษฐกิจนอกภาคเกษตรยังคงสามารถขยายตัวได้ในครึ่งหลังปีนี้ และอาจจะดีขึ้นจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เนื่องจากคาดว่าการก่อสร้างของภาครัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ กล่าวต่อไปว่า ภาคอุตสาหกรรมอาจเริ่มได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีนําเข้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มแล้วในไตรมาส 3 นี้ และมีความเสี่ยงจากกําลังซื้อของประเทศตลาดเกิดใหม่(Emerging Market) เช่น ตุรกี รัสเซีย และอินโดนีเซีย ที่จะชะลอลงจากภาวะการเงินที่ตึงตัว และค่าเงินอ่อนค่าลง
อย่างไรก็ตาม Krungthai Macro Research ประเมินว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะยังไม่เร่งปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในปีนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 จะเติบโตได้ดี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 เติบโตดีจากปัจจัยชั่วคราวของภาคเกษตรเท่านั้น ขณะที่นอกภาคเกษตรไม่ได้เติบโตร้อนแรงมากนัก สอดคล้องกับคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้มีทิศทางดีขึ้นชัดเจนนัก
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4178
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยคงประมาณการศก.ไทยปีนี้โต 4.5% มองครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง
วันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2561
กรุงไทยคงประมาณการศก.ไทยปีนี้โต 4.5% มองครึ่งปีหลังโตต่อเนื่อง
Krungthai Macro Research ประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ โต 4.5% มองเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก แต่ไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงครึ่งปีแรก
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส สายงาน Global Business Development and Strategy ธนาคารกรุงไทย ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ ไว้ที่ 4.5% มองเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลังของปียังเติบโตต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก แต่ไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงครึ่งปีแรก เพราะในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ภาคเกษตรเติบโตดีมาก จากสภาพอากาศเอื้ออํานวย มองเป็นปัจจัยชั่วคราว จึงคาดว่าการเติบโตจะลดความร้อนแรงลง ทั้งนี้ เศรษฐกิจนอกภาคเกษตรยังคงสามารถขยายตัวได้ในครึ่งหลังปีนี้ และอาจจะดีขึ้นจากไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เนื่องจากคาดว่าการก่อสร้างของภาครัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ กล่าวต่อไปว่า ภาคอุตสาหกรรมอาจเริ่มได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีนําเข้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่เริ่มแล้วในไตรมาส 3 นี้ และมีความเสี่ยงจากกําลังซื้อของประเทศตลาดเกิดใหม่(Emerging Market) เช่น ตุรกี รัสเซีย และอินโดนีเซีย ที่จะชะลอลงจากภาวะการเงินที่ตึงตัว และค่าเงินอ่อนค่าลง
อย่างไรก็ตาม Krungthai Macro Research ประเมินว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะยังไม่เร่งปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในปีนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 จะเติบโตได้ดี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 เติบโตดีจากปัจจัยชั่วคราวของภาคเกษตรเท่านั้น ขณะที่นอกภาคเกษตรไม่ได้เติบโตร้อนแรงมากนัก สอดคล้องกับคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้มีทิศทางดีขึ้นชัดเจนนัก
ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์
โทร. 0-2208-4178
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14765
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.คุณหญิงกัลยา ลงพื้นที่เยี่ยมชมการเรียนอาชีวะเกษตรและอาชีพ
|
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2562
รมช.คุณหญิงกัลยา ลงพื้นที่เยี่ยมชมการเรียนอาชีวะเกษตรและอาชีพ
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่เยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนด้านอาชีวะเกษตร เทคโนโลยี และการประมง ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เมื่อวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่เยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนด้านอาชีวะเกษตร เทคโนโลยี และการประมง ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และโครงการอาชีวศึกษาเพื่อการพัฒนาชนบท จ.มหาสารคาม รวมทั้งการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทําของวิทยาลัยการอาชีพสตึก จ.บุรีรัมย์
โดยในส่วนของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.มหาสารคาม จัดการเรียนการสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และหลักสูตรปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) สาขาเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังได้พบปะกับกลุ่มผู้เรียนตามโครงการอาชีวศึกษาเพื่อการพัฒนาชนบท (อศ.กช.) กลุ่มยางสีสุราช กลุ่มหนองโน กลุ่มหนองบัวแปะ บ้านหนองบัวชุม ต.นาภู อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม ด้วย
ส่วนวิทยาลัยการอาชีพสตึก จ.บุรีรัมย์ จัดการเรียนการสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาอุตสาหกรรมและวิชาพณิชยการ และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ประเภทวิชาอุตสาหกรรมและวิชาบริหารธุรกิจ พร้อมรับเทียบโอนประสบการณ์ และจัดหลักสูตรระยะสั้น หลักสูตรเสริมวิชาชีพ และหลักสูตรพิเศษ สําหรับประชาชนทั่วไป อาทิ 108 อาชีพ, ศูนย์บ่มเพาะ, Fix it Center เป็นต้น
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
ขอบคุณภาพถ่าย: คณะทํางาน รมช.ศธ.
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.คุณหญิงกัลยา ลงพื้นที่เยี่ยมชมการเรียนอาชีวะเกษตรและอาชีพ
วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2562
รมช.คุณหญิงกัลยา ลงพื้นที่เยี่ยมชมการเรียนอาชีวะเกษตรและอาชีพ
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่เยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนด้านอาชีวะเกษตร เทคโนโลยี และการประมง ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เมื่อวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่เยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนด้านอาชีวะเกษตร เทคโนโลยี และการประมง ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และโครงการอาชีวศึกษาเพื่อการพัฒนาชนบท จ.มหาสารคาม รวมทั้งการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทําของวิทยาลัยการอาชีพสตึก จ.บุรีรัมย์
โดยในส่วนของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาสารคาม สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.มหาสารคาม จัดการเรียนการสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และหลักสูตรปริญญาตรี (ต่อเนื่อง) สาขาเทคโนโลยี นอกจากนี้ ยังได้พบปะกับกลุ่มผู้เรียนตามโครงการอาชีวศึกษาเพื่อการพัฒนาชนบท (อศ.กช.) กลุ่มยางสีสุราช กลุ่มหนองโน กลุ่มหนองบัวแปะ บ้านหนองบัวชุม ต.นาภู อ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม ด้วย
ส่วนวิทยาลัยการอาชีพสตึก จ.บุรีรัมย์ จัดการเรียนการสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประเภทวิชาอุตสาหกรรมและวิชาพณิชยการ และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ประเภทวิชาอุตสาหกรรมและวิชาบริหารธุรกิจ พร้อมรับเทียบโอนประสบการณ์ และจัดหลักสูตรระยะสั้น หลักสูตรเสริมวิชาชีพ และหลักสูตรพิเศษ สําหรับประชาชนทั่วไป อาทิ 108 อาชีพ, ศูนย์บ่มเพาะ, Fix it Center เป็นต้น
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
ขอบคุณภาพถ่าย: คณะทํางาน รมช.ศธ.
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22256
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ร่วมกับ สกช. เร่งสร้างวิทยากรตัวคูณ บอกต่อสิทธิประโยชน์ กอช.
|
วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560
กอช. ร่วมกับ สกช. เร่งสร้างวิทยากรตัวคูณ บอกต่อสิทธิประโยชน์ กอช.
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ร่วมกับสมาคมสวัสดิการชุมชนกรุงเทพมหานคร (สกช.) จัดโครงการอบรมสร้างวิทยากรตัวคูณ กอช. หวังให้เป็นกระบอกเสียงบอกต่อข้อมูลสิทธิประโยชน์ แก่ประชาชน สอดคล้องภารกิจขยายฐานสมาชิก
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับ สมาคมสวัสดิการชุมชนกรุงเทพมหานคร (สกช.) จัดฝึกอบรมการสร้างวิทยากรตัวคูณ กอช. และเทคนิคการเป็นวิทยากรมืออาชีพกับเครือข่ายสวัสดิการชุมชน ภายใต้ “โครงการอบรมสร้างวิทยากรตัวคูณกับสมาคมสวัสดิการชุมชนกรุงเทพมหานคร” โดยมี นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ออมสบาย ได้บํานาญ” และ ดร.อนุสรณ์ รังสิโยธิน นายกสมาคมสวัสดิการชุมชนกรุงเทพมหานคร ให้เกียรติเป็นวิทยากร ในหัวข้อ “การเป็นวิทยากรมืออาชีพกับเครือข่ายสวัสดิการชุมชน” โดยมุ่งหวังในการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับการออมเงินเพื่อการชราภาพและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับตามกฎหมายของ กอช. แก่ผู้นําองค์กรสวัสดิการชุมชนทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค เพื่อสร้างวิทยากรที่มีคุณภาพ สามารถถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์ของ กอช. แก่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรองค์กรเชื่อมโยงกลุ่มเป้าหมายของ กอช. ผ่านสมาคมสวัสดิการชุมชนกรุงเทพมหานครด้วย โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมวิทยากรตัวคูณ กอช. กว่า 150 คน ณ โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆนี้
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า การหาสมาชิกการออมกับ กอช. จําเป็นต้องใช้วิธีการหลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นกลยุทธ์การตลาด เทคนิคการขาย ตลอดจนกลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก แต่ที่สําคัญละเลยไม่ได้ก็คือ การรณรงค์ส่งเสริมการตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับการออมเพื่อการชราภาพและความรู้ทางการเงิน หรือ Financial Literacy ที่ กอช. จะต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นอีกแรงหนึ่งในการปลูกฝังทัศนคติการรู้จักออมให้กับประชาชน เช่นเดียวกับภารกิจของอีกหลายหน่วยงานที่ดําเนินการเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน อาทิ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ เป็นต้น
"การสร้างวิทยากรตัวคูณโดยความร่วมมือของสมาคมสวัสดิการชุมชนกรุงเทพมหานคร จึงเท่ากับเป็นการสร้างภาคีเครือข่ายการส่งเสริมการออมที่จะเป็นกระบอกเสียงในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการออมและสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย กอช. ให้แก่ชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้มีปริมาณการออมเพื่อการชราภาพเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีประชากรเพียงประมาณ 33,000 คนที่เป็นสมาชิก กอช." นายสมพรกล่าว
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร :
โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224
Email : info@nsf.or.th
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ร่วมกับ สกช. เร่งสร้างวิทยากรตัวคูณ บอกต่อสิทธิประโยชน์ กอช.
วันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560
กอช. ร่วมกับ สกช. เร่งสร้างวิทยากรตัวคูณ บอกต่อสิทธิประโยชน์ กอช.
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ร่วมกับสมาคมสวัสดิการชุมชนกรุงเทพมหานคร (สกช.) จัดโครงการอบรมสร้างวิทยากรตัวคูณ กอช. หวังให้เป็นกระบอกเสียงบอกต่อข้อมูลสิทธิประโยชน์ แก่ประชาชน สอดคล้องภารกิจขยายฐานสมาชิก
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ร่วมกับ สมาคมสวัสดิการชุมชนกรุงเทพมหานคร (สกช.) จัดฝึกอบรมการสร้างวิทยากรตัวคูณ กอช. และเทคนิคการเป็นวิทยากรมืออาชีพกับเครือข่ายสวัสดิการชุมชน ภายใต้ “โครงการอบรมสร้างวิทยากรตัวคูณกับสมาคมสวัสดิการชุมชนกรุงเทพมหานคร” โดยมี นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ออมสบาย ได้บํานาญ” และ ดร.อนุสรณ์ รังสิโยธิน นายกสมาคมสวัสดิการชุมชนกรุงเทพมหานคร ให้เกียรติเป็นวิทยากร ในหัวข้อ “การเป็นวิทยากรมืออาชีพกับเครือข่ายสวัสดิการชุมชน” โดยมุ่งหวังในการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับการออมเงินเพื่อการชราภาพและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับตามกฎหมายของ กอช. แก่ผู้นําองค์กรสวัสดิการชุมชนทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค เพื่อสร้างวิทยากรที่มีคุณภาพ สามารถถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์ของ กอช. แก่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งเป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรองค์กรเชื่อมโยงกลุ่มเป้าหมายของ กอช. ผ่านสมาคมสวัสดิการชุมชนกรุงเทพมหานครด้วย โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมวิทยากรตัวคูณ กอช. กว่า 150 คน ณ โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆนี้
นายสมพร จิตเป็นธม เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. กล่าวว่า การหาสมาชิกการออมกับ กอช. จําเป็นต้องใช้วิธีการหลายรูปแบบ ทั้งที่เป็นกลยุทธ์การตลาด เทคนิคการขาย ตลอดจนกลยุทธ์การสื่อสารแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก แต่ที่สําคัญละเลยไม่ได้ก็คือ การรณรงค์ส่งเสริมการตระหนักรู้ของประชาชนเกี่ยวกับการออมเพื่อการชราภาพและความรู้ทางการเงิน หรือ Financial Literacy ที่ กอช. จะต้องดําเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นอีกแรงหนึ่งในการปลูกฝังทัศนคติการรู้จักออมให้กับประชาชน เช่นเดียวกับภารกิจของอีกหลายหน่วยงานที่ดําเนินการเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน อาทิ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ เป็นต้น
"การสร้างวิทยากรตัวคูณโดยความร่วมมือของสมาคมสวัสดิการชุมชนกรุงเทพมหานคร จึงเท่ากับเป็นการสร้างภาคีเครือข่ายการส่งเสริมการออมที่จะเป็นกระบอกเสียงในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการออมและสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย กอช. ให้แก่ชุมชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้มีปริมาณการออมเพื่อการชราภาพเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีประชากรเพียงประมาณ 33,000 คนที่เป็นสมาชิก กอช." นายสมพรกล่าว
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกองทุนการออมแห่งชาติได้ที่ กอช. สายด่วนเงินออม 02-017-0789 ในวันและเวลาทําการ และติดต่อสมัครสมาชิกได้ที่ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ... “กอช. ออมสบาย ได้บํานาญ” www.nsf.or.th
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร :
โทร. 02-017-0789 ต่อ 213, 224
Email : info@nsf.or.th
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2836
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. แถลงสารนายกฯ ย้ำมาตรการผ่อนปรน ต้องควบคุมไวรัส ลดผลกระทบเศรษฐกิจ เผยตลาดสด ตลาดน้ำ ตลาดชุมชน ถนนคนเดิน แผงลอย ร้านอาหาร เป็น 1 ใน 6 กลุ่มกิจการแรกที่เปิดบริการ 3 พ.ค.นี้
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
โฆษก ศบค. แถลงสารนายกฯ ย้ํามาตรการผ่อนปรน ต้องควบคุมไวรัส ลดผลกระทบเศรษฐกิจ เผยตลาดสด ตลาดน้ํา ตลาดชุมชน ถนนคนเดิน แผงลอย ร้านอาหาร เป็น 1 ใน 6 กลุ่มกิจการแรกที่เปิดบริการ 3 พ.ค.นี้
โฆษก ศบค. แถลงสารนายกรัฐมนตรี ในนาม ผอ.ศบค. ย้ํามาตรการผ่อนปรน ต้องควบคุมไวรัส ลดผลกระทบเศรษฐกิจ เผยตลาดสด ตลาดน้ํา ตลาดชุมชน ถนนคนเดิน แผงลอย ร้านอาหาร เป็น 1 ใน 6 กลุ่มกิจการแรกที่ให้เปิดบริการ 3 พ.ค.นี้
วันนี้ (30 เม.ย.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย พบผู้ป่วยรายใหม่ 7 ราย ผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 2,954 ราย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 22 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,684 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม ผู้เสียชีวิตยังคงที่ที่ 54 ราย ผู้ที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 213 รายใน 68 จังหวัด ถือเป็นวันแรกที่ผู้ป่วยรายใหม่ที่เกิดขึ้นจากระบบเฝ้าระวังโรคจากผู้ป่วยรายยืนยันก่อนหน้า มีตัวเลขเป็นศูนย์ราย สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ 7 รายนี้ 4 รายเป็นผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชนที่ภูเก็ต 3 ราย กระบี่ 1 ราย และผู้ป่วยที่เดินทางกลับมาจากมาเลเซียอยู่ใน State Quarantine กรุงเทพฯ 3 ราย ทําให้กรุงเทพฯ มีตัวเลขผู้ป่วยสะสมมากที่สุด 1,488 ราย รองลงมาคือ ภูเก็ต 216 ราย ขณะที่อัตราส่วนของผู้ป่วยต่อแสนประชากร ภูเก็ตจะเป็นอันดับ 1 คือ 52 รองลงมา ได้แก่ นนทบุรี ยะลา และสมุทรปราการ ตามลําดับ
โฆษก ศบค. กล่าวถึงผู้ป่วย PUI หรือผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การสอบสวนโรค ขณะนี้ มีรวมทั้งหมด 62,000 กว่าราย ซึ่งได้มีการปรับเกณฑ์ผู้ป่วย PUI เมื่อ 7 เมษายน ที่ผ่านมา ทําให้ผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากหรือแค่มีประวัติมีไข้ก็รับการตรวจได้ ซึ่งตั้งแต่ 7 เมษายน ถึงปัจจุบันประมาณ 3 สัปดาห์ สามารถตรวจได้ถึงเกือบครึ่งหนึ่งของช่วงที่ผ่านมาคือเกือบ 30,000 กว่าราย
2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,220,000 กว่าคน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในวันเดียวกว่า 82,000 รายและเสียชีวิตไปแล้วกว่า 228,000 ราย เสียชีวิตวันเดียวถึง 10,249 ราย รวมแล้วมากถึงร้อยละ 7.1 ของผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมทั้งหมด ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยรายใหม่ภายในวันเดียวเพิ่มถึง 28,000 กว่าราย บราซิล 6,400 กว่าราย รัสเซีย ประมาณ 5,800 กว่าราย ประเทศที่มีการเสียชีวิตสูงที่สุดในรอบ 24 ชั่วโมง คือ อังกฤษ 4,419 ราย สหรัฐอเมริกา 2,402 รายและสเปน 453 ราย สะท้อนว่าสถานการณ์โรคในต่างประเทศ โดยเฉพาะทางตะวันตกยังคงมีความรุนแรง
สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) โซนเอเชีย อินเดียมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 1,738 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 33,000 กว่าราย ส่วนประเทศไทยเลื่อนลงมาอยู่ที่อันดับ 59 ของโลก สิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 25 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 690 ราย รวมผู้ติดเชื้อยันยันสะสม 15,000 กว่าราย ญี่ปุ่น มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 13,000 ราย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 159 ราย ขณะที่เกาหลีใต้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย ตัวเลขสะสมรวมของเกาหลีใต้ 10,765 ราย มากกว่าไทยประมาณ 4 เท่า อินโดนีเซีย ผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 7,900 ราย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 260 ราย ฟิลิปปินส์ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 259 ราย รวมผู้ติดเชื้อยืนยันสะสม 8,200 ราย มาเลเซีย ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 94 ราย รวมผู้ติดเชื้อยืนยันสะสม 5,900 ราย สําหรับอันดับของประเทศกลุ่มอาเซียนและเอเชียขณะนี้ พบว่า อินเดียนําเป็นอันดับที่ 1 ตามด้วยสิงคโปร์ ปากีสถาน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
แนวโน้มสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด -19 พบว่า สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มลดลง แต่จํานวนตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันยังเพิ่มขึ้น ขณะที่รัสเซียมีแนวโน้มคงที่และเพิ่มขึ้น เพราะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น ในเอเชีย อินเดียยังมีแนวโน้มพุ่งขึ้นต่อเนื่อง เนื่องมาจากมีประชากรจํานวนมากและพื้นที่กว้างใหญ่ ขณะที่ปากีสถานและสิงคโปร์ มีแนวโน้มทรงตัวอยู่
3. สารนายกรัฐมนตรี
สารจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในนามผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ต่อการเริ่มดําเนินการมาตรการผ่อนปรนในวันที่ 30 เมษายน 2563 ความว่า
“เน้นย้ําว่าการดําเนินการในครั้งนี้ ถือเป็นความรับผิดชอบของคนไทยทั้งประเทศ ที่ได้ตัดสินใจร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสถานการณ์การระบาดของไวรัส โควิด-19 ไปด้วยกัน ทั้งในเรื่องของการระบาด และผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยหากเราสามารถควบคุมสถานการณ์ทางด้านสาธารณสุขในระยะแรกนี้ได้ ก็จะมีการดําเนินมาตรการผ่อนปรนในระยะต่อ ๆ ไปได้ และขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคน ร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความเสียสละ ทําให้ประชาชนปลอดภัย บรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องค่าครองชีพ ค่าใช้จ่าย วิถีชีวิตของประชาชน และป้องกันการแพร่ระบาดไม่ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้ หากเราควบคุมได้ไม่ดี ทุกอย่างอาจจะแย่ลง ทุกคนเข้าใจดีว่าภารกิจนี้อาจจะเป็นงานที่ยาก ท้าทาย แต่หากเราทุกคนโดยเฉพาะผู้ประกอบการ ผู้รับบริการ ผู้อุปโภคบริโภค และประชาชนร่วมมือกันด้วยความตั้งใจ มุ่งเน้นในเรื่องของการป้องกันตนเองและผู้อื่น มีสํานึกในความรับผิดชอบต่อสังคม มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เผื่อแผ่แบ่งปันกัน ก็จะสําเร็จได้ ต้องขอขอบคุณทุกคนที่มาร่วมกันในคณะกรรมการพิจารณามาตรการผ่อนปรน ซึ่งประกอบไปด้วยภาครัฐ ธุรกิจ เอกชน ประชาชน ผู้ประกอบการ บุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ให้ข้อเสนอ และหามาตรการที่เหมาะสมในการดําเนินการมาอย่างรอบคอบ คงไม่ใช่เพราะคําสั่ง หรือการตัดสินใจของนายกฯ เพียงคนเดียว และต่อจากนี้จะเป็นหน้าที่ของคนไทยทั้งประเทศที่ต้องช่วยกัน ร่วมมือกัน มาตรการครั้งนี้ถึงจะสําเร็จได้”
โฆษก ศบค. ชี้แจงการขยายเวลาประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ต่อไปอีก 1 เดือน จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ได้กําหนดมาตรการผ่อนปรนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพียงหลักเดียว โดยยังคงต้องตรึงในมาตรการตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ที่ต่าง ๆ ดังนี้
1. มาตรการเคอร์ฟิว ยังคงอยู่ที่เวลา 22.00 – 04.00 น.
2. มาตรการควบคุมการเดินทางเข้า - ออก ราชอาณาจักร ทั้งทางบก ทางน้ํา ทางอากาศ
3. มาตรการสถานกักกันโดยรัฐจัดให้หรือ State Quarantine ซึ่งมีผู้ยังคงเฝ้าระวังพํานักอยู่กว่าพันราย ตรวจพบผู้ติดเชื้อกว่า 80 ราย หากคนกลุ่มเหล่านี้ไม่ถูกกักตัวใน State Quarantine อาจจะทําให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นร่วมหมื่นราย
4. มาตรการจํากัดการบินเข้า – ออก ของสายการบินระหว่างประเทศ โดยอนุญาตเฉพาะสายการบินบางประเภทเท่านั้น เช่น กรณีขนส่งสินค้า และรับคนไทยกลับมาจากต่างประเทศ
5. งดการเดินทางข้ามจังหวัดโดยไม่มีเหตุจําเป็น
6. คงแนวทางการทํางานที่บ้านให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 และ
7. เข้มงวดไม่ให้ประชาชนเข้าไปในพื้นที่ หรือสถานที่ที่มีคนจํานวนมากไปทํากิจกรรมร่วมกัน หรือเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเป็นการชั่วคราว โดยมาตรการดังกล่าวเหล่านี้ จะขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563
4. การผ่อนปรนมาตรการ
ศบค. จะเป็นผู้กําหนดมาตรการผ่อนปรน ต้องคํานึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลัก และนําปัจจัยด้านสังคม เศรษฐกิจ มาประกอบการพิจารณาโดยจะกําหนดให้มีมาตรฐานกลางของแต่ละประเภทกิจการและกิจกรรม เพื่อให้ทุกพื้นที่ยึดถือปฏิบัติ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สามารถกําหนดรายละเอียดต่อไปได้ โดยสามารถมีความเข้มข้นมากกว่าได้ แต่เข้มข้นน้อยกว่ามาตรฐานกลางไม่ได้ ทั้งนี้ แนวทางการดําเนินงานยึดถือข้อกําหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปี พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 1 ข้อ 11 ซึ่งมีมาตรการดําเนินการดังต่อไปนี้ เช่น การทําความสะอาดพื้นผิวของสถานที่ที่เกี่ยวข้องก่อนและหลังการทํากิจกรรม การกําจัดขยะมูลฝอย การใส่หน้ากากผ้าอยู่เสมอทั้งผู้ใช้และผู้ให้บริการ การล้างมือ การเว้นระยะนั่งหรือยืน 1 เมตร ยังต้องมีมาตรฐานเหล่านี้ในข้อกําหนด โดยนําไปปรับใช้ในการประกอบกิจการและกิจกรรมต่อไป
ทั้งนี้ กลุ่มแรกที่เห็นชอบให้ผ่อนปรน ทั้งหมด 6 กลุ่มกิจกรรมและกิจการ ได้แก่
1. ตลาด ตลาดสด ตลาดน้ํา ตลาดชุมชน ถนนคนเดิน แผงลอย
2. ร้านจําหน่ายอาหาร ร้านอาหารทั่วไป ร้านเครื่องดื่ม ขนมหวาน ไอศกรีม (นอกห้างฯ) ร้านอาหารริมทาง หาบเร่ รถเข็น
3. กิจการค้า ปลีก-ส่ง ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อบริเวณพื้นที่นั่ง/ยืนรับประทาน รถเร่หรือรถวิ่งขายสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านค้าปลีกขนาดย่อม/ร้านค้าปลีกชุมชน ร้านขายปลีกสื่อสารโทรคมนาคม
4. กีฬาสันทนาการ กิจกรรมในที่สาธารณะ เดิน รําไทเก็ก สนามกีฬากลางแจ้งที่เป็นการออกกําลังกาย โดยไม่ได้เล่นเป็นทีมและไม่มีการแข่งขัน ได้แก่ เทนนิส ยิงปืน ยิงธนู จักรยาน กอล์ฟและสนามซ้อม
5. ร้านตัดผมเสริมสวย เฉพาะตัด สระ และไดร์ผม
6. อื่น ๆ ได้แก่ ร้านตัดขนสัตว์และร้านรับเลี้ยงรับฝากสัตว์
มาตรการการควบคุมหลักและมาตรการเสริม จะมีรายละเอียดปลีกย่อยเชื่อมโยงปรับไปตามสถานการณ์ของแต่ละที่ โดยกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จะร่วมกันส่งชุดข้อมูลไปถึงจังหวัดต่าง ๆ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ โดยเริ่มมาตรการผ่อนปรนตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 63 เป็นต้นไป และใช้เวลาประมาณ 14 วัน ติดตามประเมินผล หากแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดี ก็สามารถเลื่อนลําดับกิจการ/กิจกรรม ให้ผ่อนคลายมากขึ้น แต่ถ้ามีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น จะต้องทบทวนมาตรการใหม่ และกลับมาตรึงกิจการและกิจกรรม ซึ่งประชาชนทุกคนต่างมีส่วนร่วมมือ ร่วมศึกษาและปรับพฤติกรรมร่วมไปด้วยกัน
**********************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. แถลงสารนายกฯ ย้ำมาตรการผ่อนปรน ต้องควบคุมไวรัส ลดผลกระทบเศรษฐกิจ เผยตลาดสด ตลาดน้ำ ตลาดชุมชน ถนนคนเดิน แผงลอย ร้านอาหาร เป็น 1 ใน 6 กลุ่มกิจการแรกที่เปิดบริการ 3 พ.ค.นี้
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
โฆษก ศบค. แถลงสารนายกฯ ย้ํามาตรการผ่อนปรน ต้องควบคุมไวรัส ลดผลกระทบเศรษฐกิจ เผยตลาดสด ตลาดน้ํา ตลาดชุมชน ถนนคนเดิน แผงลอย ร้านอาหาร เป็น 1 ใน 6 กลุ่มกิจการแรกที่เปิดบริการ 3 พ.ค.นี้
โฆษก ศบค. แถลงสารนายกรัฐมนตรี ในนาม ผอ.ศบค. ย้ํามาตรการผ่อนปรน ต้องควบคุมไวรัส ลดผลกระทบเศรษฐกิจ เผยตลาดสด ตลาดน้ํา ตลาดชุมชน ถนนคนเดิน แผงลอย ร้านอาหาร เป็น 1 ใน 6 กลุ่มกิจการแรกที่ให้เปิดบริการ 3 พ.ค.นี้
วันนี้ (30 เม.ย.63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์ประจําวัน และมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ในประเทศไทย พบผู้ป่วยรายใหม่ 7 ราย ผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 2,954 ราย มีผู้ที่หายป่วยเพิ่มขึ้น 22 ราย รวมผู้ที่หายป่วยแล้ว 2,684 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม ผู้เสียชีวิตยังคงที่ที่ 54 ราย ผู้ที่ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 213 รายใน 68 จังหวัด ถือเป็นวันแรกที่ผู้ป่วยรายใหม่ที่เกิดขึ้นจากระบบเฝ้าระวังโรคจากผู้ป่วยรายยืนยันก่อนหน้า มีตัวเลขเป็นศูนย์ราย สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ 7 รายนี้ 4 รายเป็นผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชนที่ภูเก็ต 3 ราย กระบี่ 1 ราย และผู้ป่วยที่เดินทางกลับมาจากมาเลเซียอยู่ใน State Quarantine กรุงเทพฯ 3 ราย ทําให้กรุงเทพฯ มีตัวเลขผู้ป่วยสะสมมากที่สุด 1,488 ราย รองลงมาคือ ภูเก็ต 216 ราย ขณะที่อัตราส่วนของผู้ป่วยต่อแสนประชากร ภูเก็ตจะเป็นอันดับ 1 คือ 52 รองลงมา ได้แก่ นนทบุรี ยะลา และสมุทรปราการ ตามลําดับ
โฆษก ศบค. กล่าวถึงผู้ป่วย PUI หรือผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การสอบสวนโรค ขณะนี้ มีรวมทั้งหมด 62,000 กว่าราย ซึ่งได้มีการปรับเกณฑ์ผู้ป่วย PUI เมื่อ 7 เมษายน ที่ผ่านมา ทําให้ผู้ป่วยที่มีอาการไม่มากหรือแค่มีประวัติมีไข้ก็รับการตรวจได้ ซึ่งตั้งแต่ 7 เมษายน ถึงปัจจุบันประมาณ 3 สัปดาห์ สามารถตรวจได้ถึงเกือบครึ่งหนึ่งของช่วงที่ผ่านมาคือเกือบ 30,000 กว่าราย
2. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ของโลก พบผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,220,000 กว่าคน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในวันเดียวกว่า 82,000 รายและเสียชีวิตไปแล้วกว่า 228,000 ราย เสียชีวิตวันเดียวถึง 10,249 ราย รวมแล้วมากถึงร้อยละ 7.1 ของผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมทั้งหมด ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยรายใหม่ภายในวันเดียวเพิ่มถึง 28,000 กว่าราย บราซิล 6,400 กว่าราย รัสเซีย ประมาณ 5,800 กว่าราย ประเทศที่มีการเสียชีวิตสูงที่สุดในรอบ 24 ชั่วโมง คือ อังกฤษ 4,419 ราย สหรัฐอเมริกา 2,402 รายและสเปน 453 ราย สะท้อนว่าสถานการณ์โรคในต่างประเทศ โดยเฉพาะทางตะวันตกยังคงมีความรุนแรง
สําหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) โซนเอเชีย อินเดียมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 1,738 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 33,000 กว่าราย ส่วนประเทศไทยเลื่อนลงมาอยู่ที่อันดับ 59 ของโลก สิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ 25 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 690 ราย รวมผู้ติดเชื้อยันยันสะสม 15,000 กว่าราย ญี่ปุ่น มีผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 13,000 ราย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 159 ราย ขณะที่เกาหลีใต้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 4 ราย ตัวเลขสะสมรวมของเกาหลีใต้ 10,765 ราย มากกว่าไทยประมาณ 4 เท่า อินโดนีเซีย ผู้ติดเชื้อยืนยันสะสมอยู่ที่ 7,900 ราย ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 260 ราย ฟิลิปปินส์ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ 259 ราย รวมผู้ติดเชื้อยืนยันสะสม 8,200 ราย มาเลเซีย ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 94 ราย รวมผู้ติดเชื้อยืนยันสะสม 5,900 ราย สําหรับอันดับของประเทศกลุ่มอาเซียนและเอเชียขณะนี้ พบว่า อินเดียนําเป็นอันดับที่ 1 ตามด้วยสิงคโปร์ ปากีสถาน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
แนวโน้มสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด -19 พบว่า สหรัฐอเมริกามีแนวโน้มลดลง แต่จํานวนตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันยังเพิ่มขึ้น ขณะที่รัสเซียมีแนวโน้มคงที่และเพิ่มขึ้น เพราะพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น ในเอเชีย อินเดียยังมีแนวโน้มพุ่งขึ้นต่อเนื่อง เนื่องมาจากมีประชากรจํานวนมากและพื้นที่กว้างใหญ่ ขณะที่ปากีสถานและสิงคโปร์ มีแนวโน้มทรงตัวอยู่
3. สารนายกรัฐมนตรี
สารจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในนามผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ต่อการเริ่มดําเนินการมาตรการผ่อนปรนในวันที่ 30 เมษายน 2563 ความว่า
“เน้นย้ําว่าการดําเนินการในครั้งนี้ ถือเป็นความรับผิดชอบของคนไทยทั้งประเทศ ที่ได้ตัดสินใจร่วมมือกันแก้ไขปัญหาสถานการณ์การระบาดของไวรัส โควิด-19 ไปด้วยกัน ทั้งในเรื่องของการระบาด และผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยหากเราสามารถควบคุมสถานการณ์ทางด้านสาธารณสุขในระยะแรกนี้ได้ ก็จะมีการดําเนินมาตรการผ่อนปรนในระยะต่อ ๆ ไปได้ และขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคน ร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความเสียสละ ทําให้ประชาชนปลอดภัย บรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องค่าครองชีพ ค่าใช้จ่าย วิถีชีวิตของประชาชน และป้องกันการแพร่ระบาดไม่ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้ หากเราควบคุมได้ไม่ดี ทุกอย่างอาจจะแย่ลง ทุกคนเข้าใจดีว่าภารกิจนี้อาจจะเป็นงานที่ยาก ท้าทาย แต่หากเราทุกคนโดยเฉพาะผู้ประกอบการ ผู้รับบริการ ผู้อุปโภคบริโภค และประชาชนร่วมมือกันด้วยความตั้งใจ มุ่งเน้นในเรื่องของการป้องกันตนเองและผู้อื่น มีสํานึกในความรับผิดชอบต่อสังคม มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เผื่อแผ่แบ่งปันกัน ก็จะสําเร็จได้ ต้องขอขอบคุณทุกคนที่มาร่วมกันในคณะกรรมการพิจารณามาตรการผ่อนปรน ซึ่งประกอบไปด้วยภาครัฐ ธุรกิจ เอกชน ประชาชน ผู้ประกอบการ บุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ให้ข้อเสนอ และหามาตรการที่เหมาะสมในการดําเนินการมาอย่างรอบคอบ คงไม่ใช่เพราะคําสั่ง หรือการตัดสินใจของนายกฯ เพียงคนเดียว และต่อจากนี้จะเป็นหน้าที่ของคนไทยทั้งประเทศที่ต้องช่วยกัน ร่วมมือกัน มาตรการครั้งนี้ถึงจะสําเร็จได้”
โฆษก ศบค. ชี้แจงการขยายเวลาประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ต่อไปอีก 1 เดือน จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ได้กําหนดมาตรการผ่อนปรนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเพียงหลักเดียว โดยยังคงต้องตรึงในมาตรการตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ที่ต่าง ๆ ดังนี้
1. มาตรการเคอร์ฟิว ยังคงอยู่ที่เวลา 22.00 – 04.00 น.
2. มาตรการควบคุมการเดินทางเข้า - ออก ราชอาณาจักร ทั้งทางบก ทางน้ํา ทางอากาศ
3. มาตรการสถานกักกันโดยรัฐจัดให้หรือ State Quarantine ซึ่งมีผู้ยังคงเฝ้าระวังพํานักอยู่กว่าพันราย ตรวจพบผู้ติดเชื้อกว่า 80 ราย หากคนกลุ่มเหล่านี้ไม่ถูกกักตัวใน State Quarantine อาจจะทําให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นร่วมหมื่นราย
4. มาตรการจํากัดการบินเข้า – ออก ของสายการบินระหว่างประเทศ โดยอนุญาตเฉพาะสายการบินบางประเภทเท่านั้น เช่น กรณีขนส่งสินค้า และรับคนไทยกลับมาจากต่างประเทศ
5. งดการเดินทางข้ามจังหวัดโดยไม่มีเหตุจําเป็น
6. คงแนวทางการทํางานที่บ้านให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 และ
7. เข้มงวดไม่ให้ประชาชนเข้าไปในพื้นที่ หรือสถานที่ที่มีคนจํานวนมากไปทํากิจกรรมร่วมกัน หรือเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคเป็นการชั่วคราว โดยมาตรการดังกล่าวเหล่านี้ จะขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563
4. การผ่อนปรนมาตรการ
ศบค. จะเป็นผู้กําหนดมาตรการผ่อนปรน ต้องคํานึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลัก และนําปัจจัยด้านสังคม เศรษฐกิจ มาประกอบการพิจารณาโดยจะกําหนดให้มีมาตรฐานกลางของแต่ละประเภทกิจการและกิจกรรม เพื่อให้ทุกพื้นที่ยึดถือปฏิบัติ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สามารถกําหนดรายละเอียดต่อไปได้ โดยสามารถมีความเข้มข้นมากกว่าได้ แต่เข้มข้นน้อยกว่ามาตรฐานกลางไม่ได้ ทั้งนี้ แนวทางการดําเนินงานยึดถือข้อกําหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปี พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 1 ข้อ 11 ซึ่งมีมาตรการดําเนินการดังต่อไปนี้ เช่น การทําความสะอาดพื้นผิวของสถานที่ที่เกี่ยวข้องก่อนและหลังการทํากิจกรรม การกําจัดขยะมูลฝอย การใส่หน้ากากผ้าอยู่เสมอทั้งผู้ใช้และผู้ให้บริการ การล้างมือ การเว้นระยะนั่งหรือยืน 1 เมตร ยังต้องมีมาตรฐานเหล่านี้ในข้อกําหนด โดยนําไปปรับใช้ในการประกอบกิจการและกิจกรรมต่อไป
ทั้งนี้ กลุ่มแรกที่เห็นชอบให้ผ่อนปรน ทั้งหมด 6 กลุ่มกิจกรรมและกิจการ ได้แก่
1. ตลาด ตลาดสด ตลาดน้ํา ตลาดชุมชน ถนนคนเดิน แผงลอย
2. ร้านจําหน่ายอาหาร ร้านอาหารทั่วไป ร้านเครื่องดื่ม ขนมหวาน ไอศกรีม (นอกห้างฯ) ร้านอาหารริมทาง หาบเร่ รถเข็น
3. กิจการค้า ปลีก-ส่ง ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อบริเวณพื้นที่นั่ง/ยืนรับประทาน รถเร่หรือรถวิ่งขายสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านค้าปลีกขนาดย่อม/ร้านค้าปลีกชุมชน ร้านขายปลีกสื่อสารโทรคมนาคม
4. กีฬาสันทนาการ กิจกรรมในที่สาธารณะ เดิน รําไทเก็ก สนามกีฬากลางแจ้งที่เป็นการออกกําลังกาย โดยไม่ได้เล่นเป็นทีมและไม่มีการแข่งขัน ได้แก่ เทนนิส ยิงปืน ยิงธนู จักรยาน กอล์ฟและสนามซ้อม
5. ร้านตัดผมเสริมสวย เฉพาะตัด สระ และไดร์ผม
6. อื่น ๆ ได้แก่ ร้านตัดขนสัตว์และร้านรับเลี้ยงรับฝากสัตว์
มาตรการการควบคุมหลักและมาตรการเสริม จะมีรายละเอียดปลีกย่อยเชื่อมโยงปรับไปตามสถานการณ์ของแต่ละที่ โดยกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จะร่วมกันส่งชุดข้อมูลไปถึงจังหวัดต่าง ๆ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ โดยเริ่มมาตรการผ่อนปรนตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 63 เป็นต้นไป และใช้เวลาประมาณ 14 วัน ติดตามประเมินผล หากแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดี ก็สามารถเลื่อนลําดับกิจการ/กิจกรรม ให้ผ่อนคลายมากขึ้น แต่ถ้ามีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น จะต้องทบทวนมาตรการใหม่ และกลับมาตรึงกิจการและกิจกรรม ซึ่งประชาชนทุกคนต่างมีส่วนร่วมมือ ร่วมศึกษาและปรับพฤติกรรมร่วมไปด้วยกัน
**********************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30070
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ระดมความเห็นร่างพระราชบัญญัติยุติธรรมชุมชนฯ เพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม
|
วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560
“ยุติธรรม” ระดมความเห็นร่างพระราชบัญญัติยุติธรรมชุมชนฯ เพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม นําเสนอหลักการและสาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติยุติธรรมชุมชน พ.ศ. .... ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาและให้ข้อคิดเห็น ต่อหลักการสาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติยุติธรรมชุมชน พ.ศ. ....
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๑๕ น.
ณ ห้องประชุมบีบี ๒๐๓ ชั้น ๒ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม
นําเสนอหลักการและสาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติยุติธรรมชุมชน พ.ศ. ....
ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาและให้ข้อคิดเห็น
ต่อหลักการสาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติยุติธรรมชุมชน พ.ศ. ....
เพื่อรองรับและสนับสนุนการปฏิบัติงานการอํานวยความยุติธรรม
ส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและสามารถบริหารจัดการปัญหาความไม่เป็นธรรมในชุมชน
เพื่อเป้าหมายให้เกิดความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ความสามัคคีปรองดอง
และความสงบเรียบร้อยในชุมชนได้อย่างยั่งยืน
โดยมีผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้แทนจากยุติธรรมจังหวัด เข้าร่วมฯ
ทั้งนี้ ภายหลังจากการปรับปรุงและพัฒนาเนื้อหาให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง และสมบูรณ์แล้ว
กระทรวงยุติธรรมจะนํากฎหมายฉบับดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา
เพื่อพิจารณาและดําเนินการเสนอร่างกฎหมายตามขั้นตอนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ระดมความเห็นร่างพระราชบัญญัติยุติธรรมชุมชนฯ เพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม
วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน 2560
“ยุติธรรม” ระดมความเห็นร่างพระราชบัญญัติยุติธรรมชุมชนฯ เพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงความยุติธรรม
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม นําเสนอหลักการและสาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติยุติธรรมชุมชน พ.ศ. .... ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาและให้ข้อคิดเห็น ต่อหลักการสาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติยุติธรรมชุมชน พ.ศ. ....
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๑๕ น.
ณ ห้องประชุมบีบี ๒๐๓ ชั้น ๒ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม
นําเสนอหลักการและสาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติยุติธรรมชุมชน พ.ศ. ....
ในการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาและให้ข้อคิดเห็น
ต่อหลักการสาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติยุติธรรมชุมชน พ.ศ. ....
เพื่อรองรับและสนับสนุนการปฏิบัติงานการอํานวยความยุติธรรม
ส่งเสริมให้ชุมชนมีความเข้มแข็งและสามารถบริหารจัดการปัญหาความไม่เป็นธรรมในชุมชน
เพื่อเป้าหมายให้เกิดความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ ความสามัคคีปรองดอง
และความสงบเรียบร้อยในชุมชนได้อย่างยั่งยืน
โดยมีผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้แทนจากยุติธรรมจังหวัด เข้าร่วมฯ
ทั้งนี้ ภายหลังจากการปรับปรุงและพัฒนาเนื้อหาให้มีความครบถ้วน ถูกต้อง และสมบูรณ์แล้ว
กระทรวงยุติธรรมจะนํากฎหมายฉบับดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา
เพื่อพิจารณาและดําเนินการเสนอร่างกฎหมายตามขั้นตอนต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4550
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียินดีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยรัฐบาลแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 ไม่นิ่งนอนใจแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง
|
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรียินดีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยรัฐบาลแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 ไม่นิ่งนอนใจแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง
นายกรัฐมนตรียินดีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยรัฐบาลแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 ไม่นิ่งนอนใจแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง
วันนี้ (12 พ.ค. 63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พร้อมขอบคุณคณะรัฐมนตรี พรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจนแรงสนับสนุนจากภาคเอกชน ภาคธุรกิจต่าง ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และพร้อมนําข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน มาพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นายกรัฐมนตรีย้ําว่า แม้จํานวนตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลดน้อยลงแต่นิ่งนอนใจไม่ได้ ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อไม่ให้จํานวนตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จะมีการหารือมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 และในระยะที่ 3 เพราะรัฐบาลเห็นใจและต้องการบรรเทาผลกระทบผู้มีรายได้น้อย ขณะเดียวกันก็ให้เศรษฐกิจดําเนินต่อไปได้ รวมทั้งรักษาศักยภาพห่วงโซ่การผลิตของไทยทั้งการแปรรูป การตลาด การท่องเที่ยว การบริการ ที่ทํารายได้ให้แก่ประเทศไทยมาตลอด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า พ.ร.ก. กู้เงินฯ นั้นมีจุดประสงค์เพื่อเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมาย รวมถึงดูแลจัดสรรงบประมาณในระยะยาวทั้งงบประมาณประจําปี 2564 และ ปี 2565 ด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมถึงการขยายระยะเวลาการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ว่า ต้องผ่านการหารือจากที่ประชุมศบค. โดยคํานึงถึงมาตรฐานด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ผลสํารวจความคิดเห็นโดยสื่อมวลชนปรากฏว่า มีผู้เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ถึงร้อยละ 88 และไม่เห็นชอบร้อยละ 12 ซึ่งเป็นการสํารวจของความคิดเห็นโดยสื่อมวลชนเอง ยืนยันว่ารัฐบาลยังไม่มีการจัดทําผลสํารวจความคิดเห็น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ําถึงความมั่นคงว่า ขณะนี้เป็นช่วงสถานการณ์วิกฤตที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลมุ่งมั่นเพียงแต่การช่วยเหลือเยียวยาประชาชน การกระทําใด ๆ ที่ไม่ดีถือว่าไม่เหมาะสมทั้งสิ้น
.................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียินดีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยรัฐบาลแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 ไม่นิ่งนอนใจแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรียินดีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยรัฐบาลแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 ไม่นิ่งนอนใจแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง
นายกรัฐมนตรียินดีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยรัฐบาลแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 ไม่นิ่งนอนใจแม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง
วันนี้ (12 พ.ค. 63) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีฟ้า ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พร้อมขอบคุณคณะรัฐมนตรี พรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจนแรงสนับสนุนจากภาคเอกชน ภาคธุรกิจต่าง ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และพร้อมนําข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน มาพิจารณาเพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นายกรัฐมนตรีย้ําว่า แม้จํานวนตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลดน้อยลงแต่นิ่งนอนใจไม่ได้ ยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อไม่ให้จํานวนตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จะมีการหารือมาตรการผ่อนปรนระยะที่ 2 และในระยะที่ 3 เพราะรัฐบาลเห็นใจและต้องการบรรเทาผลกระทบผู้มีรายได้น้อย ขณะเดียวกันก็ให้เศรษฐกิจดําเนินต่อไปได้ รวมทั้งรักษาศักยภาพห่วงโซ่การผลิตของไทยทั้งการแปรรูป การตลาด การท่องเที่ยว การบริการ ที่ทํารายได้ให้แก่ประเทศไทยมาตลอด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า พ.ร.ก. กู้เงินฯ นั้นมีจุดประสงค์เพื่อเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมาย รวมถึงดูแลจัดสรรงบประมาณในระยะยาวทั้งงบประมาณประจําปี 2564 และ ปี 2565 ด้วย
นายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มเติมถึงการขยายระยะเวลาการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ว่า ต้องผ่านการหารือจากที่ประชุมศบค. โดยคํานึงถึงมาตรฐานด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ผลสํารวจความคิดเห็นโดยสื่อมวลชนปรากฏว่า มีผู้เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ถึงร้อยละ 88 และไม่เห็นชอบร้อยละ 12 ซึ่งเป็นการสํารวจของความคิดเห็นโดยสื่อมวลชนเอง ยืนยันว่ารัฐบาลยังไม่มีการจัดทําผลสํารวจความคิดเห็น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ําถึงความมั่นคงว่า ขณะนี้เป็นช่วงสถานการณ์วิกฤตที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลมุ่งมั่นเพียงแต่การช่วยเหลือเยียวยาประชาชน การกระทําใด ๆ ที่ไม่ดีถือว่าไม่เหมาะสมทั้งสิ้น
.................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30715
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากครูปรีชา ใคร่ครวญ
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากครูปรีชา ใคร่ครวญ
ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากครูปรีชา ใคร่ครวญ
ในวันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561 เวลา 09.30 น.
ณ ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ชั้น 2 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายบํานาญ สุวรรณรักษ์ หัวหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม
เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงยุติธรรม รับหนังสือร้องทุกข์จากนายปรีชา ใคร่ครวญ และนางสาวรัตนาพร สุภาทิพย์
กรณียื่นหนังสือขอให้กระทรวงยุติธรรม พิจารณาให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ
รับคดีล็อตเตอรี่ 30 ล้าน เป็นคดีพิเศษ
ทั้งนี้ ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ได้รับหนังสือร้องทุกข์
จากนายปรีชา และนางสาวรัตนาพร ไว้แล้วและจะดําเนินการตามลําดับขั้นตอนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากครูปรีชา ใคร่ครวญ
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากครูปรีชา ใคร่ครวญ
ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องร้องทุกข์จากครูปรีชา ใคร่ครวญ
ในวันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561 เวลา 09.30 น.
ณ ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ชั้น 2 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
นายบํานาญ สุวรรณรักษ์ หัวหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม
เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงยุติธรรม รับหนังสือร้องทุกข์จากนายปรีชา ใคร่ครวญ และนางสาวรัตนาพร สุภาทิพย์
กรณียื่นหนังสือขอให้กระทรวงยุติธรรม พิจารณาให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ
รับคดีล็อตเตอรี่ 30 ล้าน เป็นคดีพิเศษ
ทั้งนี้ ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ได้รับหนังสือร้องทุกข์
จากนายปรีชา และนางสาวรัตนาพร ไว้แล้วและจะดําเนินการตามลําดับขั้นตอนต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10961
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” นำเสนอการป้องกันการกระทำผิดซ้ำของผู้กระทำผิดในคดีทางเพศสู่สาธารณชน
|
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560
“ยุติธรรม” นําเสนอการป้องกันการกระทําผิดซ้ําของผู้กระทําผิดในคดีทางเพศสู่สาธารณชน
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในประเด็น "แนวทางการป้องกันการกระทําผิดซ้ําของผู้กระทําผิดในคดีทางเพศ"
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๘.๓๐ น.
ณ อาคารรัฐสภา กรุงเทพฯ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม
ให้สัมภาษณ์ในประเด็น "แนวทางการป้องกันการกระทําผิดซ้ําของผู้กระทําผิดในคดีทางเพศ"
ทั้งนี้ ออกอากาศผ่านทางรายการพลิกปมข่าว ในช่วงข่าวค่ํามิติใหม่ทั่วไทย
ในวันศุกร์ที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๙.๓๐ น. เป็นต้นไป
ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” นำเสนอการป้องกันการกระทำผิดซ้ำของผู้กระทำผิดในคดีทางเพศสู่สาธารณชน
วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2560
“ยุติธรรม” นําเสนอการป้องกันการกระทําผิดซ้ําของผู้กระทําผิดในคดีทางเพศสู่สาธารณชน
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ในประเด็น "แนวทางการป้องกันการกระทําผิดซ้ําของผู้กระทําผิดในคดีทางเพศ"
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๘.๓๐ น.
ณ อาคารรัฐสภา กรุงเทพฯ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกกระทรวงยุติธรรม
ให้สัมภาษณ์ในประเด็น "แนวทางการป้องกันการกระทําผิดซ้ําของผู้กระทําผิดในคดีทางเพศ"
ทั้งนี้ ออกอากาศผ่านทางรายการพลิกปมข่าว ในช่วงข่าวค่ํามิติใหม่ทั่วไทย
ในวันศุกร์ที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๙.๓๐ น. เป็นต้นไป
ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5392
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.