title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงขยายทางหลวงหมายเลข 101 สายสุโขทัย - อ.สวรรคโลก ตอน 1 เปิดให้สัญจรแล้ว
วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2560 กรมทางหลวงขยายทางหลวงหมายเลข 101 สายสุโขทัย - อ.สวรรคโลก ตอน 1 เปิดให้สัญจรแล้ว กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินการโครงการขยายทางหลวงหมายเลข 101 สายสุโขทัย - อ.สวรรคโลก ตอน 1 พื้นที่ตําบลธานี อําเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เพื่อเพิ่มมูลค่าด้านเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒธรรม ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจราจร ทําให้การเดินทางเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ปัจจุบันเปิดให้ประชาชนสัญจรแล้ว นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้กําหนดยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการระบบคมนาคมขนส่ง เชื่อมโยงพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ รองรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เชื่อมโยงการเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น โดย ทล. ได้ดําเนินโครงการขยายทางหลวงหมายเลข 101 สายสุโขทัย - อ.สวรรคโลก ตอน 1 ระหว่าง กม. 82+450 - 89+421 ระยะทาง 6.97 กิโลเมตร งบประมาณ 228,380,000 บาท ลักษณะเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษ ขนาด 4 ช่องจราจร ผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีต กว้างช่องจราจรละ 3.5 เมตร ไหล่ทางกว้าง 2.25 เมตร เกาะกลางแบบยกกว้าง 4.6 เมตร ทางหลวงหมายเลข 101 หรือทางหลวงอาเซียน ๑๓ (AH 13) เดิมคือ ทางหลวงหมายเลข 1080 มีจุดเริ่มต้นจากจุดผ่านแดนถาวร บ้านห้วยโก๋น - น่าน - แพร่ - อ.เด่นชัย - อุตรดิตถ์ - พิษณุโลก - อ.สามง่าม - นครสวรรค์ ระยะทางรวม 577.4 กิโลเมตร ซึ่ง ทล. ได้บรรจุไว้ในแผนงานบูรณาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ กิจกรรมเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 101 สายสุโขทัย - อ.สวรรคโลก ตอน 1 เป็นเส้นทางหลักไปยังจุดผ่านแดนถาวร บ้านห้วยโก๋น อําเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน สามารถเชื่อมโยงไปประเทศเพื่อนบ้าน และช่วยเพิ่มมูลค่าด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒธรรม ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจราจร ทําให้การเดินทางเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แขวงทางหลวงสุโขทัย โทร. 0 5561 1258 ต่อ 115 หรือสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงขยายทางหลวงหมายเลข 101 สายสุโขทัย - อ.สวรรคโลก ตอน 1 เปิดให้สัญจรแล้ว วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2560 กรมทางหลวงขยายทางหลวงหมายเลข 101 สายสุโขทัย - อ.สวรรคโลก ตอน 1 เปิดให้สัญจรแล้ว กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินการโครงการขยายทางหลวงหมายเลข 101 สายสุโขทัย - อ.สวรรคโลก ตอน 1 พื้นที่ตําบลธานี อําเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เพื่อเพิ่มมูลค่าด้านเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒธรรม ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจราจร ทําให้การเดินทางเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ปัจจุบันเปิดให้ประชาชนสัญจรแล้ว นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม และโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมได้กําหนดยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการระบบคมนาคมขนส่ง เชื่อมโยงพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่มีศักยภาพ รองรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เชื่อมโยงการเดินทางเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้สูงขึ้น โดย ทล. ได้ดําเนินโครงการขยายทางหลวงหมายเลข 101 สายสุโขทัย - อ.สวรรคโลก ตอน 1 ระหว่าง กม. 82+450 - 89+421 ระยะทาง 6.97 กิโลเมตร งบประมาณ 228,380,000 บาท ลักษณะเป็นมาตรฐานทางชั้นพิเศษ ขนาด 4 ช่องจราจร ผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีต กว้างช่องจราจรละ 3.5 เมตร ไหล่ทางกว้าง 2.25 เมตร เกาะกลางแบบยกกว้าง 4.6 เมตร ทางหลวงหมายเลข 101 หรือทางหลวงอาเซียน ๑๓ (AH 13) เดิมคือ ทางหลวงหมายเลข 1080 มีจุดเริ่มต้นจากจุดผ่านแดนถาวร บ้านห้วยโก๋น - น่าน - แพร่ - อ.เด่นชัย - อุตรดิตถ์ - พิษณุโลก - อ.สามง่าม - นครสวรรค์ ระยะทางรวม 577.4 กิโลเมตร ซึ่ง ทล. ได้บรรจุไว้ในแผนงานบูรณาการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ กิจกรรมเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร (ระยะที่ 2) ทางหลวงหมายเลข 101 สายสุโขทัย - อ.สวรรคโลก ตอน 1 เป็นเส้นทางหลักไปยังจุดผ่านแดนถาวร บ้านห้วยโก๋น อําเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน สามารถเชื่อมโยงไปประเทศเพื่อนบ้าน และช่วยเพิ่มมูลค่าด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒธรรม ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจราจร ทําให้การเดินทางเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ แขวงทางหลวงสุโขทัย โทร. 0 5561 1258 ต่อ 115 หรือสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6933
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เปิดจุดตรวจคัดกรองไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) อาคาร สมอ.
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 ปลัดกอบชัยฯ เปิดจุดตรวจคัดกรองไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) อาคาร สมอ. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร เปิดจุดตรวจคัดกรองไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ณ ห้องโถงกลาง ชั้น 1 อาคาร สมอ. วันนี้ (2 มีนาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา รองโฆษกประจํากระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเปิดจุดตรวจคัดกรองไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) โดยมี นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ ณ ห้องโถงกลาง ชั้น 1 อาคาร สมอ. โดย สมอ.ได้จัดตั้งจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ พร้อมจัดเตรียมเจลล้างมือ ให้กับเจ้าหน้าที่ และประชาชนที่มาติดต่อราชการ ณ บริเวณประตูทางเข้าอาคาร นอกจากนี้ สมอ. ยังเพิ่มการดูแลสุขอนามัยของสถานที่เพิ่มเติม โดยจัดให้มีการทําความสะอาดพื้นที่ พร้อมใช้แอลกอฮอล์เช็ดบริเวณพื้นผิวสัมผัส เช่น ราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ มือจับประตู ทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไวรัสโคโรน่า(โควิด-19) เนื่องจาก สมอ. มีประชาชนมาติดต่อราชการเป็นจํานวนมาก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เปิดจุดตรวจคัดกรองไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) อาคาร สมอ. วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 ปลัดกอบชัยฯ เปิดจุดตรวจคัดกรองไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) อาคาร สมอ. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร เปิดจุดตรวจคัดกรองไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ณ ห้องโถงกลาง ชั้น 1 อาคาร สมอ. วันนี้ (2 มีนาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นางสาวสุชาดา แทนทรัพย์ โฆษกประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา รองโฆษกประจํากระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเปิดจุดตรวจคัดกรองไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) โดยมี นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ ณ ห้องโถงกลาง ชั้น 1 อาคาร สมอ. โดย สมอ.ได้จัดตั้งจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิ พร้อมจัดเตรียมเจลล้างมือ ให้กับเจ้าหน้าที่ และประชาชนที่มาติดต่อราชการ ณ บริเวณประตูทางเข้าอาคาร นอกจากนี้ สมอ. ยังเพิ่มการดูแลสุขอนามัยของสถานที่เพิ่มเติม โดยจัดให้มีการทําความสะอาดพื้นที่ พร้อมใช้แอลกอฮอล์เช็ดบริเวณพื้นผิวสัมผัส เช่น ราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ มือจับประตู ทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไวรัสโคโรน่า(โควิด-19) เนื่องจาก สมอ. มีประชาชนมาติดต่อราชการเป็นจํานวนมาก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26853
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จัดพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 กระทรวงอุตสาหกรรม จัดพิธีทําบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561 กระทรวงอุตสาหกรรม จัดพิธีทําบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (5 มกราคม 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมถวายภัตตาหารเช้า และทําบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระสงฆ์ จํานวน 61 รูป เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561 ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม จัดพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 กระทรวงอุตสาหกรรม จัดพิธีทําบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561 กระทรวงอุตสาหกรรม จัดพิธีทําบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (5 มกราคม 2560) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ พนักงาน และเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมถวายภัตตาหารเช้า และทําบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งแด่พระสงฆ์ จํานวน 61 รูป เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561 ณ อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9197
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับเกณฑ์ขยายสิทธิเบิกจ่ายตรงรักษาโรคมะเร็งเพิ่มเติม
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561 กรมบัญชีกลางปรับเกณฑ์ขยายสิทธิเบิกจ่ายตรงรักษาโรคมะเร็งเพิ่มเติม กรมบัญชีกลางจะประกาศหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา ซึ่งจําเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูงเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ป่วยโดยไม่ต้องทดรองจ่ายเงินไปก่อน เริ่มใช้ 21 กันยายน 2561 เป็นต้นไป นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางจะประกาศหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาเพิ่มเติม ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้กําหนดเงื่อนไขการเบิกค่ายา 41 รายการ ที่ไม่สามารถเบิกในระบบจ่ายตรง โดยกําหนดให้จํานวน 4 รายการ สามารถเบิกจ่ายตรงได้โดยไม่ต้องทดรองจ่ายไปก่อน สําหรับยาอีก 37 รายการ ที่เหลือ หากแพทย์ผู้ทําการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ใช้ยาหรือวิธีการรักษาอื่นก่อนแล้ว และวินิจฉัยเพิ่มเติมว่าผู้ป่วยมีความจําเป็นต้องใช้ยาดังกล่าว ให้สถานพยาบาลยื่นเรื่องมาที่กรมบัญชีกลางเพื่อขออนุมัติให้เบิกจ่ายตรงสําหรับผู้ป่วยเป็นรายกรณี อธิบดีกรมบัญชีกลาง ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการปรับปรุงหลักเกณฑ์และแนวทางดังกล่าวแล้วกรมบัญชีกลางยังได้ร่วมมือกับคณะทํางานจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการรักษามะเร็งและโลหิตวิทยา พิจารณาเพิ่มรายการยา/เงื่อนไขข้อบ่งชี้ในการเบิกค่ายาอีก 7 รายการ เช่น ยารักษามะเร็งต่อมลูกหมาก ยารักษาโรคมะเร็งรังไข่ ยารักษาโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มสิทธิให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น โดยจะเริ่มใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2561 เป็นต้นไป อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า การปรับปรุงแนวทางในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งและโลหิตวิทยา คณะทํางานได้มีการศึกษาและพิจารณาแนวทางเพื่อให้เข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีการพัฒนาการรักษามะเร็งในแต่ละชนิด ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ประสานความร่วมมือกับคณะทํางานเพื่อพิจารณาทบทวน ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้มีสิทธิอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้มากขึ้นมีมาตรฐานระดับสากลในแนวทางการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ ปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางปรับเกณฑ์ขยายสิทธิเบิกจ่ายตรงรักษาโรคมะเร็งเพิ่มเติม วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561 กรมบัญชีกลางปรับเกณฑ์ขยายสิทธิเบิกจ่ายตรงรักษาโรคมะเร็งเพิ่มเติม กรมบัญชีกลางจะประกาศหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยา ซึ่งจําเป็นต้องใช้ยาที่มีค่าใช้จ่ายสูงเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ป่วยโดยไม่ต้องทดรองจ่ายเงินไปก่อน เริ่มใช้ 21 กันยายน 2561 เป็นต้นไป นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางจะประกาศหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลสําหรับผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวที่เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งและโลหิตวิทยาเพิ่มเติม ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้กําหนดเงื่อนไขการเบิกค่ายา 41 รายการ ที่ไม่สามารถเบิกในระบบจ่ายตรง โดยกําหนดให้จํานวน 4 รายการ สามารถเบิกจ่ายตรงได้โดยไม่ต้องทดรองจ่ายไปก่อน สําหรับยาอีก 37 รายการ ที่เหลือ หากแพทย์ผู้ทําการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ใช้ยาหรือวิธีการรักษาอื่นก่อนแล้ว และวินิจฉัยเพิ่มเติมว่าผู้ป่วยมีความจําเป็นต้องใช้ยาดังกล่าว ให้สถานพยาบาลยื่นเรื่องมาที่กรมบัญชีกลางเพื่อขออนุมัติให้เบิกจ่ายตรงสําหรับผู้ป่วยเป็นรายกรณี อธิบดีกรมบัญชีกลาง ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการปรับปรุงหลักเกณฑ์และแนวทางดังกล่าวแล้วกรมบัญชีกลางยังได้ร่วมมือกับคณะทํางานจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการรักษามะเร็งและโลหิตวิทยา พิจารณาเพิ่มรายการยา/เงื่อนไขข้อบ่งชี้ในการเบิกค่ายาอีก 7 รายการ เช่น ยารักษามะเร็งต่อมลูกหมาก ยารักษาโรคมะเร็งรังไข่ ยารักษาโรคมะเร็งลําไส้ใหญ่ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มสิทธิให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น โดยจะเริ่มใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2561 เป็นต้นไป อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า การปรับปรุงแนวทางในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งและโลหิตวิทยา คณะทํางานได้มีการศึกษาและพิจารณาแนวทางเพื่อให้เข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีการพัฒนาการรักษามะเร็งในแต่ละชนิด ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ประสานความร่วมมือกับคณะทํางานเพื่อพิจารณาทบทวน ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับผู้มีสิทธิอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้มากขึ้นมีมาตรฐานระดับสากลในแนวทางการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ ปลอดภัยและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ป่วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15383
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2559
วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2559 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2559 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2559 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันนี้ ผมอยากขอคุยในเรื่องเบาๆ แต่เป็นเรื่องสําคัญ ก็คือการดูแลประชาชน ผู้มีรายได้น้อยอย่างไร ที่จะต้องควบคู่ไปกับการลงทุน เดินหน้าประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ทั้งนี้ การเดินหน้าสู่ 4.0 นั้น ไม่ใช่ไม่สนใจผู้มีรายได้น้อย แต่ก็จําเป็น ทั้งนี้เพื่อการขยายช่องทาง เปิดกว้าง เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยใช้ระบบดิจิทัล การใช้โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ใช้ประโยชน์ ค้าขายได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางมากนัก หรือใช้การผ่านพ่อค้าคนกลางแต่เพียงอย่างเดียว เราต้องมีผลประโยชน์เกื้อกูลกันทั่วหน้า สําหรับพี่น้องประชาชนตั้งแต่ระดับบน กลาง และฐานราก ​ระยะแรก ประชาชน เกษตรกร ควรต้องมีการรวมกลุ่มอาชีพในพื้นที่เดียวกัน เพื่อให้เกิดช่องทางใหม่ มีผลผลิตที่มีคุณภาพเป็นมวลรวม มีความสมบูรณ์ ควบคุมคุณภาพด้วยตนเอง เพื่อจะเพิ่มอํานาจในการต่อรอง ซึ่งเราคงไม่สามารถจะกดดัน หรือบังคับใครได้ ในระบบการค้าเสรีปัจจุบัน แต่เราจะปล่อยให้ทุกคนมองเพียงไร่นาของตัวเองเพียงอย่างเดียว คงทําอย่างนั้นไม่ได้อีกต่อไป เราจะต้องเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เกิดเป็นเกษตรแปลงใหญ่มีการกําหนดความต้องการของการใช้น้ํา ให้เป็นไปตามสภาพทรัพยากรน้ําที่เรามีอยู่ มีการคํานวณ ประมาณการ เพื่อให้สามารถจัดการปลูกพืชที่เหมาะสม เหลื่อมเวลา สอดคล้องกับตลาดรับซื้อ ทั้งบริโภคเองในประเทศ และส่งออกไปยังต่างประเทศ เราต้องคิดว่าจะทําอย่างไร ให้ผลผลิตทางการเกษตรของเรานั้น ไม่มีความชื้นมาก จนถูกตัดราคาโดยเฉพาะข้าว จะทําอย่างไรให้เกษตรกรมีเครื่องมือเป็นของตนเอง ในชุมชน ในกลุ่ม ในสหกรณ์ หรือในวิสาหกิจชุมชน รัฐบาลจําเป็นต้องหากลุ่มพลังของเกษตรกร เหล่านี้ให้เจอ ประชาชน เกษตรกร ข้าราชการ ผู้นําท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน น่าจะช่วยรัฐบาลตรงนี้ รวบรวมข้อมูลเหล่านี้ให้ได้ก่อน มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน มีการขึ้นบัญชี จัดทําฐานข้อมูล เพื่อสนับสนุนการบริหาร และการกําหนดนโยบายของรัฐบาลด้วย ในปัจจุบันนั้น สหกรณ์มีอยู่กว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ เป็นสหกรณ์ภาคการเกษตรกว่า 4,000 แห่ง จําเป็นต้องได้รับการเสริมสร้างความเข้มแข็ง โดยหากมีการรวมตัวกันอย่างเป็นทางการ มีการลงทะเบียนที่ชัดเจน รัฐก็สามารถจะจัดสรรงบประมาณลงไปตรงจุด แก้ปัญหาอย่างมีระบบ ตรงตามเป้าหมาย และความต้องการ ซึ่งรวมทั้งการลดต้นทุน การจัดหาเครื่องจักร เครื่องสี เครื่องอบ เราไม่อาจแจกจ่ายทุกครัวเรือนได้ หรือจะแก้ปัญหาทุกอย่างรายครอบครัวได้ ประชาชน เกษตรกร จะต้องสร้างความเข้มแข็งของตนเองด้วย ตามคําแนะนําของรัฐบาล หน่วยงานราชการ เราคงต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันอีกมาก สําหรับ​หน่วยงานราชการของแต่ละกระทรวงที่ได้น้อมนําศาสตร์พระราชามาจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้กว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศนั้น ทั้งศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่, ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร และศูนย์การเรีย ​รัฐบาลนั้นเข้าใจ ถ้าหากว่าเราสามารถสร้างความเข้มแข็งให้ระดับฐานรากได้นั้น ตรงกลาง ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าคนกลาง ผู้รับซื้ออื่น ๆ ก็อาจจะสามารถผูกขาด ราคาได้ทั้งหมด เพราะเขาก็จําเป็นต้องหาพืชผลภาคเกษตรกรรมไปป้อนภาคอุตสาหกรรมตลอดเวลาในราคาที่ถูกที่สุด เพื่อมีผลกําไรมากที่สุดโดยไม่ผิดกฎหมาย หากว่าเราเข้มแข็ง พ่อค้าก็ต้องปรับตัว โรงสีก็ต้องปรับตัวไปด้วย ด้วยการมองประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ อาจจะต้องลดกําไรลงในช่วงนี้ เพราะพวกเราก็ต่างเป็นคนไทยด้วยกัน ก็จะแก้ปัญหาได้ครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป การสร้างนวัตกรรม การตลาด ราคาทั้งห่วงโซ่ก็จะดีขึ้นโดยอัตโนมัติ และกลไกการตลาดก็ต้องปรับตัวไปพร้อมด้วย ยกตัวอย่างการรวมกลุ่มน้อมนําศาสตร์ของพระราชา ในเรื่องของการระเบิดจากข้างใน ของมูลนิธิขวัญข้าว, สมาคมโรงสีข้าวสุพรรณบุรี และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุพรรณบุรี ในการร่วมกันพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นเมือง คือ ข้าวตาเคลือบ เป็นสินค้าเด่นประจําจังหวัด และผลิตในลักษณะข้าวปลอดปุ๋ยเคมี ปลอดสารเคมีฆ่าแมลง นับว่าเป็นผลดีต่อสุขภาพชาวนาและผู้บริโภค รวมทั้งสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ที่สําคัญก็คือเกษตรกรชาวนาสามารถร่วมมาเป็นหุ้นส่วน เพิ่มบทบาทตัวเองในห่วงโซ่จากผู้ผลิตเป็นผู้จําหน่ายได้อีกด้วย ในการปรับตัวเข้าหากันของทุกคน ในวงจรข้าว เพื่อจะช่วยพัฒนาตลาดข้าวไทยให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน สําหรับภาพรวมพื้นที่เป้าหมายสําหรับส่งเสริมในการปลูกข้าวในปี 2559 - 2560 คาดการณ์ว่าพื้นที่ ปลูกข้าวทั้งประเทศ 57.86 ล้านไร่ ในการปลูกข้าวนาปีนั้น รัฐบาลส่งเสริมให้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกข้าวด้วยพืช และปศุสัตว์ทดแทนทั้งสิ้น จํานวน 570,000 ไร่ แบ่งเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น 420,000 ไร่ ส่งเสริมปศุสัตว์ 150,000 ไร่ ผลการดําเนินงานที่มีผลสําเร็จแล้ว สามารถปรับเปลี่ยนไปได้แล้วกว่า 350,000 ไร่ โดยได้ปรับเป็นเกษตรกรรมพืชอื่น 200,000 กว่าไร่ ปศุสัตว์กว่า 100,000 ไร่ สําหรับข้าวนาปรังฤดูกาลเพาะปลูกรอบที่สอง คาดการณ์ว่าพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมด 9.26 ล้านไร่ รัฐบาลก็มีแผนส่งเสริมปลูกพืชชนิดอื่นทดแทน 2.52 ล้านไร่ และคงพื้นที่ปลูกข้าวไว้ 6.74 ล้านไร่ และในฤดูกาลเพาะปลูกรอบที่สาม คาดการณ์ว่าพื้นที่เพาะปลูก 500,000 ไร่ เราจะรณรงค์ให้ชาวนาพักแปลง เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน สําหรับพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดของเรานั้น ก็จะมีมาตรการส่งเสริมในเรื่องการลดต้นทุนการผลิต ลดและควบคุมราคาเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ค่าเช่าที่นา เพิ่มคุณภาพ ส่งเสริมการรวมกลุ่มนาแปลงใหญ่ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการทํานาแบบปราณีต สนับสนุนการรับรองมาตรฐานการผลิตที่ดี และบริหารจัดการน้ําชลประทาน รวมทั้งเครื่องจักรเครื่องกล การเกษตร สําหรับความก้าวหน้าความสําเร็จตามนโยบายเกษตรแปลงใหญ่ของรัฐบาลนั้น สามารถดําเนินการได้แล้วกว่า 600 แปลง ด้วยความร่วมมือของประชาชน เกษตรกร และกลไกประชารัฐ โดยไม่ได้บังคับ มีเกษตรกรที่ได้รับผลประโยชน์แล้วราว 97,000 ราย ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมประมาณ 1.5 ล้านไร่ ยังเหลืออีกประมาณหลายล้านไร่ ถ้าหากเรารวมกลุ่มกันได้ รัฐบาลก็พอจะจัดหางบประมาณมาส่งเสริม เติมเต็มในส่วนที่ขาดได้ตรงความต้องการ ตรงศักยภาพของแต่ละพื้นที่ หากเราต้องดูทั้งหมด ทุกกลุ่ม ทุกประเด็นปัญหา งบประมาณเราไม่เพียงพอ กระจัดกระจายกันมากเกินไป เพราะฉะนั้นการรวมกลุ่มกันได้นั้น นอกจากจะช่วยสร้างความเข้มแข็งด้วยตัวเองแล้ว รัฐบาลก็ยังจะหาทางให้การสนับสนุนอย่างบูรณาการ เช่น กรณีสินค้าข้าวสามารถเพิ่มผลผลิตเฉลี่ยร้อยละ 13 และลดต้นทุนการผลิตได้ร้อยละ 19 นอกจากนั้นยังสามารถช่วยเหลือเกษตรกร ในเรื่ององค์ความรู้, การบริหารจัดการ, การเข้าถึงแหล่งเงินทุน, การแปรรูป,การเพิ่มพูนมูลค่าผลิตภัณฑ์ และการตลาด เป็นต้น โดยแผนงานส่งเสริมการรวมกลุ่มเป็นเกษตรแปลงใหญ่ ในปี 2560 มีเป้าหมายเพิ่มเติมอีก 400 แปลงเพื่อจะเป็นทางเลือกใหม่ที่เป็นสากล ที่สําคัญก็คือเป็นไปตามแนวทางพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมุ่งหวังให้เกิดการรวมกลุ่มประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาหลักของชุมชนชนบท ซึ่งเป็นรากฐานสําคัญประการหนึ่งของการพัฒนาแบบพึ่งตนเอง โดยเฉพาะการรวมตัวกันเป็นกลุ่มของสหกรณ์ ดังนั้น ในทุกพื้นที่ที่เสด็จพระราชดําเนิน และมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริขึ้นมา ไม่ว่าลักษณะใด จะทรงเน้นเสมอถึงความจําเป็นที่จะต้องกระตุ้นให้เกิดการรวมตัวกัน ในรูปแบบต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่ชุมชนเผชิญอยู่ร่วมกัน หรือเพื่อให้การทํามาหากินของชุมชนโดยส่วนรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพอเพียง จะเห็นได้ว่ากลุ่มสหกรณ์ในโครงการพระราชดําริที่ประสบความสําเร็จหลายโครงการนั้น พัฒนาขึ้นมาจากการรวมตัวกันของราษฎรกลุ่มเล็ก ๆ ทั้งสิ้น สําหรับในเรื่องการใช้เทคโนโลยีทันสมัยดิจิทัลในตลาดออนไลน์ ไม่อยากให้คิดว่าเป็นการแย่งตลาด หรือเป็นการเกื้อกูลให้กับใคร หากแต่เป็นการเปิดช่องทาง สร้างเครือข่าย เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ อาทิ กลุ่มผู้บริโภคเกษตรอินทรีย์ เป็นต้น ดังนั้น เกษตรกรควรปรับตัว ต้องเข้มแข็ง รวมกลุ่มกันได้ เราก็จะสามารถกําหนดราคากันเองได้ เพื่อเป็นการก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 เราจําเป็นต้องสร้างระบบและนวัตกรรมของเราเองบ้าง ควบคู่ไปกับการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ยกตัวอย่าง การรวมกลุ่มของเกษตรกรชาวอุตรดิตถ์ 24 ราย พื้นที่ 270 ไร่ มีผลผลิตรวมกว่า 150 ตันต่อปี ราคาขาย 50,000 บาทต่อตัน ภายใต้การสร้างแบรนด์ “เพชรคอรุม” ที่ดําเนินการ โดยน้อมนําศาสตร์พระราชามาสู่การปฏิบัติ กว่า 14 ปี ใช้เวลายาวนาน เราต้องเร่งกันพัฒนา ทั้งในเรื่องของการรวมกลุ่มเป็นศูนย์ข้าวชุมชน และการคิดครบวงจร อันได้แก่ การทําเกษตรอินทรีย์ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด การผลิตเมล็ดพันธุ์และการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ปลอดสารพิษ ใช้เองภายในกลุ่ม การถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับสมาชิก การสร้างเครือข่าย การสร้างแบรนด์ และการตลาดเชิงรุก โดยาส่งขายกลุ่มลูกค้าออนไลน์และกลุ่มที่นําไปขายต่อ สามารถขายส่งกิโลกรัมละ 50 บาท ขายปลีกกิโลกรัมละ 70 บาท เป็นต้น ในเกษตรอินทรีย์ ในการปลูกพืชที่ต้องอาศัยน้ํา เราจําเป็นต้องเข้าใจข้อมูลพื้นฐาน ทั้งเรื่องน้ําและระบบเก็บกักน้ํา ส่งน้ํา ทั้งในและนอกเขตชลประทาน ปัจจุบันประเทศไทยนั้นมีพื้นที่ทําการเกษตรที่อยู่ในเขตชลประทานร้อยละ 20 หรือเพียง 30 ล้านไร่ ในขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมส่วนใหญ่อยู่นอกเขตชลประทานถึงร้อยละ 80 หรือราว 120 ล้านไร่ รัฐบาลไม่อาจสามารถหาน้ําได้สมบูรณ์ทั้งหมด แต่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการน้ําให้เป็นระบบได้ ให้เพียงพอต่อความต้องการ ในการใช้สอยของประเทศได้ ทั้งน้ํากิน น้ําใช้ น้ําป้อนภาคการผลิต น้ําให้ภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งน้ําเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ ถ้าเราเก็บกักน้ําไม่ได้ ประชาชนมีการขัดขวางในเรื่องของการขุด การสร้างเขื่อนที่จําเป็น หรือการทําแก้มลิง หรือการทําทางระบายน้ํา เมื่อถึงฤดูน้ําหลาก ปริมาณน้ํามากขึ้น เราจะบริหารจัดการอย่างไร ไม่ให้ท่วม ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ไม่ให้เกษตรกรเดือดร้อน และเราจําเป็นต้องมีน้ําเหลือไว้ใช้ในยามแล้งอีกด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นน้ํามากหรือน้ําน้อยก็ตามนั้น รัฐบาลก็จําเป็นต้องเข้าไปจัดระเบียบการใช้น้ําเป็นพื้นที่ ไม่ให้เหลื่อมล้ํากัน เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ก็จะพอบรรเทาความเสียหายทั้งหมดได้ ต้องปลูกพืชให้ลดหลั่น ลงมาตามน้ําที่มีอยู่ หรือทําเป็นปฏิทินการทําเกษตรกรรมของประเทศที่สอดคล้องกัน ทั้งมิติของประเภทพืช พื้นที่ ฤดูกาล ปริมาณน้ํา และตลาด โดยใช้ Agri Map แผนที่ทางการเกษตรเป็นเครื่องมือช่วยด้วย ร่วมกับคําแนะนําของทางราชการ ก็ทําให้ทุกอย่างแก้ปัญหาไปได้โดยเร็ว รัฐบาลยืนยันว่าเราจะต้องทําควบคู่ไปกัน ทั้งในเรื่องของการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อคนทุกคน และไว้ให้ใช้นานที่สุดในประเทศไทย โดยเราจะต้องรักษาสมดุลกับด้านพัฒนาในการดูแลคนไทยทุกกลุ่มทุกอาชีพ เราไม่ได้มีเกษตรกรอย่างเดียว เกษตรกรเลี้ยงคนทั้งประเทศ แต่ก็จําเป็นต้องมีหลายอาชีพ เราต้องดูแลด้วย เรื่องการเก็บกักน้ํา ลองช่วยกันคิดดูว่าเส้นทางน้ําจากภาคเหนือ ไหลลงมาภาคกลาง แล้วก็ลงสู่อ่าวไทย โดยภาคเหนือตอนบนมีแม่น้ําปิง วัง ยม น่าน เป็นระบบระบายน้ํา และมีเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เป็นอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง ก็มีเพียงแม่น้ําเจ้าพระยา และเราก็ไม่มีแหล่งน้ําขนาดใหญ่ สําหรับรองรับปริมาณน้ําจากภาคเหนือทั้งหมด ถ้าหากเราไม่มีระบบระบายที่ดีแล้ว ก็เสี่ยงต่อสถานการณ์น้ําท่วมอยู่ตลอดเวลา ที่ผ่านมา ก็เกิดเหตุการณ์ น้ําล้นตลิ่งอยู่เสมอ หากไม่สามารถจะน้อมนําแนวทางพระราชดําริศาสตร์พระราชาในเรื่องแก้มลิง มาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หาพื้นที่แก้มลิงไม่ได้ สร้างที่เก็บน้ําหรือเขื่อนไม่ได้ เราจะระบายไปที่ไหน เราจะกักเก็บน้ําไปที่ไหนในหน้าแล้ง เพราะฉะนั้นก็ยังมีปัญหาอยู่บ้างที่ประชาชน ในส่วนของการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ วันนี้ก็เป็นปัญหาหลักของเรา เราก็เลยต้องอยู่กับธรรมชาติตลอดมา น้ํามากก็ท่วม น้ําน้อยก็แล้ง เราจะต้องคิดหาการบริหารจัดการให้ได้ เราก็ต้องอยู่กับธรรมชาติให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเดือดร้อนเหมือนเดิม หากเราไม่ได้สร้างความยั่งยืน และหากว่าเราปล่อยลงทะเลจนหมด หน้าแล้งก็ไม่มีน้ําเก็บไว้ใช้ ถ้าหากมวลน้ํา ไหลจากภาคเหนือตอนล่าง – ภาคกลางตอนบน ผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท สู่กรุงเทพฯ เกินกว่าปริมาณ 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แล้วเราระบายลงทะเลไม่ทัน ก็จะเกิดน้ําท่วม ทั้งกรุงเทพฯ ทั้งภาคกลาง เพราะเป็นพื้นที่ที่ต่ํา กักไว้รอเวลาเก็บเกี่ยวก็ท่วมแปลงเกษตร ปล่อยไปก็ไปไม่ได้ กักไว้นานก็เสี่ยง เราก็ต้องคํานวณให้สัมพันธ์กับภาวะน้ําทะเลหนุนด้วย เพราะว่าระบายไม่ออก รัฐบาลก็บอกว่าถ้าหากเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป พื้นที่น้ําท่วม ก็จะเพิ่มขึ้นในอนาคต จาก 1.66 ล้านไร่ เป็น 4.12 ล้านไร่ หรือสร้างความเสียหายมากขึ้นจาก 25,000 ล้านบาทต่อปี เป็น 150,000 ล้านบาทต่อปี สิ่งเหล่านี้ คือ ความเสียหายจากน้ําท่วม – น้ําแล้ง ที่จะต้องเกิดขึ้นทุกปี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะบริหารอย่างไรก็แก้ไม่ได้ หากประชาชนไม่ร่วมมือ ไม่เข้าใจ น้ํามากก็ไม่ให้ผ่าน น้ําน้อยก็เก็บกักไว้ ไม่ปล่อยไปที่อื่น ทุกคนก็เลยเดือดร้อนกันหมด บานปลาย ใช้งบประมาณมากมาย ทั้งการช่วยเหลือ ทั้งการฟื้นฟู ขอร้องให้ช่วยกันคิดหน่อยนะครับ รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว แต่การแก้ไขอย่างยั่งยืนต้องทําทั้งระบบประชาชนต้องมีส่วนร่วม ข้อร้อง NGO และนักอนุรักษ์ก็ต้องพยายามมองในมุมนี้ด้วย ฉะนั้นผลงานด้านสิทธิมนุษยชน ด้านอนุรักษ์ อาจจะออกมาดีในสายตาโลกภายนอก แต่ประชาชนยากจน เกษตรกรเดือดร้อน พัฒนาไปด้วยไม่ได้ แล้วติเตือนให้รัฐบาลรับผิดชอบ ไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไร เราทําอยู่แล้ว เราควบคุมธรรมชาติ ให้สามารถมีฝนตกมากหรือมีฝนตกน้อยก็ไม่ได้อีก ป่าไม้ก็ถูกทําลายไปมากในอดีตที่ผ่านมา พื้นที่ฝนตกเลื่อนลงมาใต้เขื่อน ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงเราก็เก็บน้ําไม่ได้ในเขื่อนเดิมที่เรามีอยู่ น้ําก็สะสมในพื้นที่นอกเขื่อนใต้เขื่อนเดิม แล้วก็เอ่อล้นไหลต่อลงมาภาคกลาง จนเกิดผลเสียตามที่ผมกล่าวไว้ในขั้นต้น ในเรื่องการบริหารจัดการน้ํา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวทางไว้แล้วทั้งหมด เราได้ทําสําเร็จบ้างบางพื้นที่ ขณะที่บางพื้นที่ก็ทําไม่ได้ เประชาชนยังไม่เข้าใจ แล้วก็ด้วยปัญหาหนี้สินที่มีมายาวนาน มีการต่อต้านจาก NGO ร้องเรียนในโครงการที่น่าจะทําได้ และแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน รัฐบาลก็ทําไม่ได้ทั้งหมด เมื่อเดือดร้อนก็เรียกร้องจากรัฐบาล เราก็ได้แต่เพียงใช้เงินเยียวยาก็หมดไปอย่างสิ้นเปลือง แก้แค่ปลายเหตุเฉพาะหน้า ไร้อนาคต ไม่ยั่งยืน ช่วยกันคิดนะครับ เสนอมา รัฐบาลพร้อมรับฟังทุกอย่าง ขออย่างเดียว ขอความร่วมมือ ที่ผ่านมาไม่ร่วมมือ ไม่เข้าใจนโยบายที่สร้างความเข้มแข็ง แก้ปัญหาแบบยั่งยืน รัฐบาลต้องรับผิดชอบ หาน้ํา หาตลาด รวมทั้งให้รับซื้อผลผลิตในราคาสูง ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่เป็นอันตรายต่อการใช้นโยบายทางการเมือง แก้ปัญหาที่ปลายทางไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ รู้ดีอยู่แล้ว ไม่ได้แก้ปัญหาในระยะยาวครบวงจร ปัญหาเหล่านั้นก็จะยังคงอยู่ตราบลูกหลาน ผมยืนยัน ถ้าหากคิดเพียงแค่นี้ มองปัญหาเพียงผิวเผินแก้ปัญหาแบบวันหน้าทําใหม่ ไม่มีใครจะแก้ได้ ไม่ว่ารัฐบาลใดก็ตาม รัฐบาลนี้สามารถแก้ปัญหาได้มากกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประชาชนเข้าใจ ไม่มีแรงต้าน และได้รับความร่วมมือ แต่มันก็ไม่ต่อเนื่อง เพราะต้องทําทั้งระบบครบทั้งวงจรน้ําของประเทศ การต้องปล่อย การระบายน้ํา จากพื้นที่หนึ่ง ไปสู่พื้นที่อื่น ด้วยระบบชลประทาน แก้มลิง เพื่อกระจายไปในพื้นที่ที่เตรียมไว้รองรับ แต่หลายพื้นที่ไม่ยอม ไม่ร่วมมือ แล้วจะแก้ปัญหากันได้อย่างไร อย่างไก็ตาม ผมก็ขอขอบคุณ สําหรับผู้ที่เสียสละ ช่วยให้บางพื้นที่แก้ปัญหาได้สําเร็จ แต่ต้องแบกภาระแทนพื้นที่อื่นๆ อยู่ครับ ขอให้คนอื่นช่วยกันด้วย ในปัจจุบัน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการตามแผนงานการบรรเทาอุทกภัย พื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง และให้บรรจุไว้ในโครงการบริหารจัดการน้ําแบบบูรณาการต่อไป โดยจะแบ่งการปฏิบัติเป็น 2 ฝั่งของแม่น้ําเจ้าพระยา ดังนี้ 1) การระบายน้ําฝั่งตะวันตก ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําแม่น้ําท่าจีน ซึ่งมี 23 คุ้งน้ํา ปรับปรุงช่วงแคบ 105 กิโลเมตร และตัดช่องลัด 4 แห่ง จะสามารถย่นระยะทางน้ํา จาก 50 กิโลเมตร เหลือ 10 กิโลเมตร เหมือนแนวทางพระราชดําริคลองลัดโพธิ์ รวมทั้ง การปรับปรุงโครงข่ายระบบชลประทานเดิม ตั้งแต่คลองมหาสวัสดิ์ ถึงชายทะเล 2) การระบายน้ําฝั่งตะวันออก อาทิ การปรับปรุง – ขยายระบบชลประทานเดิม เพิ่มศักยภาพการระบายน้ําขึ้น 2 เท่า จาก 200 เป็น 400 ลูกบาศก์เมตร/วินาที การปรับปรุงคลองชัยนาท – ป่าสัก ให้ระบายน้ําได้มากขึ้น 4 เท่า รวมทั้งการหาพื้นที่รับน้ํานอง และการขุดลอกปรับปรุงแม่น้ําเจ้าพระยา เป็นต้น แผนงานดังกล่าว จะช่วยตัดยอดน้ําหลากหน้าเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนพระราม 6 ได้ 1,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที จะช่วยให้แม่น้ําเจ้าพระยาและแม่น้ําท่าจีน สามารถระบายน้ําได้ รวม 3,100 ลูกบาศก์เมตร/วินาที แล้วก็จะมีพื้นที่เก็บกักน้ําหลาก ไว้ในคลองขุดใหม่ ประมาณ 200 ล้านลูกบาศก์เมตร และช่วยลดพื้นที่น้ําท่วมได้ ถึง 3.58 ล้านไร่ ใน 14 จังหวัด ขอความร่วมมือทําความเข้าใจนะครับ ไม่อย่างนั้นทําไม่ได้อีก สําหรับความคืบหน้าตามโครงการบริหารจัดการน้ํา แบบบูรณาการ ทั้งระบบของรัฐบาลนี้ มีความคืบหน้าไปมาก เมื่อเทียบกับ 27 ปี (พ.ศ. 2530 - 2557) ก่อนที่รัฐบาลนี้ จะเข้ามาบริหารจัดการทรัพยากรน้ําของประเทศ ตามแนวทางพระราชดําริ ยกตัวอย่างเช่น 1) การจัดหาแหล่งน้ําบาดาลช่วยภัยแล้ง 27 ปีที่ผ่านมาไม่ปรากฏผลการดําเนินการแต่อย่างใด แต่นับจากปี 2557 ของรัฐบาลนี้ได้ดําเนินขุดแหล่งน้ําบาดาลแล้ว 2,500 กว่าแห่ง ผลิตน้ํากว่า 100 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีพื้นที่รับกว่า 157,000 ไร่ 2) บาดาลเพื่อการเกษตร 27 ปีที่ผ่านมา ทําได้เพียง 1,300 กว่าแห่ง ในขณะที่รัฐบาลนี้ ทําได้ 2,300 กว่าแห่ง ใน 2 ปี มีพื้นที่รับกว่า 122,000 ไร่ 3) ประปาหมู่บ้าน 27 ปีที่ผ่านมา ทําได้ 12,000 กว่าแห่ง 2 ปีของรัฐบาลนี้ ทําได้ 5,700 กว่าแห่ง และ 4) การป้องกันและลดการพังทลายหน้าดิน ซึ่งเป็นอีกกิจกรรมที่อาจจะไม่เคยดําเนินการมาก่อน แต่ก็มีความสําคัญ ในวงจรน้ําและระบบการระบายน้ํา โดยรัฐบาลนี้ ได้ดําเนินการไปแล้ว ครอบคลุมพื้นที่ กว่า 670,000 ไร่ ในเวลา 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลนี้จะพยายามทําต่อไปให้ได้มากที่สุด สําหรับเรื่องป่าที่ถูกบุกรุกต้องหยุดการแผ้วถางป่า ไม่ให้ใครบุกรุกใหม่ ช่วยกันปลูกป่าตามหลักวิชาการ พร้อมกับมีที่อยู่อาศัย มีที่ดินทํากินไปด้วย อยู่ร่วมกับป่า ดูแลป่า ปลูกป่าชุมชน สร้างป่าเศรษฐกิจ จะต้องดําเนินการอย่างถูกกฎหมาย รัฐบาลประกาศพื้นที่ที่ถูกบุกรุกแล้วแล้วจําเป็นต้องเอาคืน ใช่ว่ายึดมาแล้ว ไม่สนใจประชาชน ก็ต้องหาหนทางเยียวยา ช่วยเหลือประชาชน ไม่ช่วยใครที่อยู่เบื้องหลังการบุกป่า ไม่ว่าจะเป็นนายทุน ทุกคนต้องยอมรับกฎหมาย ที่มีมาหลายสิบปี ไม่สนใจ ละเลย การบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมาในวันนี้ อาจทําให้บางคนเดือดร้อน ในปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่จําเป็น แต่ก็พยายามให้เดือดร้อนกันน้อยที่สุด โดยมีมาตรการรองรับ ใช้หลักนิติศาสตร์ – รัฐศาสตร์ - เศรษฐศาสตร์ อย่างสมดุล จะไม่ให้รัฐบาลทําอะไรเลย คงเป็นไปไม่ได้ ภาพที่สังคมเห็นตามสื่อ วันนี้ก็คือ ผู้เดือดร้อนที่เป็นผู้มีรายได้น้อยเป็นเพียงส่วนใหญ่ สร้างความเสียหายน้อย ไม่มีศักยภาพ เมื่อเทียบกับนายทุน – ผู้มีอิทธิพล ใช้ประชาชนบังหน้า สร้างความเสียหายในวงกว้าง เพราะมีศักยภาพสูง ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นประชาชนผู้มีรายได้น้อย หรือนายทุนผู้มีฐานะ ต่างก็ต้องเคารพกฎหมาย อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน วันนี้ รัฐบาลพยายามรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย กลับมาสู่ครรลองของกฎหมายที่ถูกต้อง หากปล่อยปละ หากละเลยคนหนึ่งคนใด คนอื่นก็จะร้องเรียน เป็นปัญหา รักษาความยุติธรรมไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ในที่สุดครับ เรื่องการปลูกป่านี้ ผมขอชื่นชม ร.ต.ต.วิชัย สุริยุทธ หรือ ที่คนไทยรู้จักในนาม “ดาบวิชัย” ซึ่งน้อมนําแนวทางพระราชดําริ “ปลูกป่าในใจคน” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากโครงการแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง แล้วเริ่มปลูกป่า ด้วย2 มือของเขาเอง กว่า 30 ปี โดยไม่สนว่าใครจะคิด หรือจะเข้าใจหรือไม่อย่างไร แต่ต้นไม้ 3 ล้านต้นที่เขาปลูกขึ้นมาแล้ว ได้เป็นแรงบันดาลใจของเยาวชนและคนไทยจํานวนมาก ในการทําดีเพื่อพ่อถวายในหลวง เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติโดยรวม กลุ่มอื่น ๆ ที่ช่วยกันอนุรักษ์ก็ขอชื่นชมไปด้วย เรื่องการจัดระเบียบรถ – ที่จอดรถ – เส้นทางจราจร – การรับส่ง รวมทั้งการขายของบนทางเท้า ริมถนน ก็เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย จริงแล้วไม่ใช่วิถีชีวิต หรือวัฒนธรรมอันดีงามของไทยที่แท้จริง หากแต่เกิดจากการปล่อยปละ ละเลย ในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนเกิดความเคยชิน นอกจากจะก่อให้เกิดความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังเป็นช่องทางเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวง และความไม่เท่าเทียมในสังคมกับประชาชนกลุ่มอื่น ผู้ใช้เส้นทางสัญจรที่เขาไม่ทําอะไรผิดกฎหมาย ควรได้รับความสะดวก แต่กลับถูกละเมิดสิทธิ โดยการกระทําที่ผิดกฎหมายแบบนี้ ถือว่าไม่เป็นธรรม ขอความร่วมมือด้วยไม่อยากให้อ้างว่าเป็นผู้มีรายได้น้อย แล้วละเมิดกฎหมายได้ ทุกฝ่ายต่างเข้าใจและเห็นใจ รัฐบาลเองก็มีมาตรการรองรับ เช่น การจัดสรรพื้นที่ใหม่ที่ถูกกฎหมาย มีระเบียบ มีที่จอดรถ สะดวกทั้งผู้ซื้อ – ผู้ขาย ช่วงแรกก็อาจต้องปรับตัวยังขายไม่คล่อง เพราะว่ายังไม่คุ้นชินกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาใหม่ แต่ก็สามารถสร้างความสบายใจกว่ากับทุกฝ่าย รัฐบาลก็พร้อมที่จะทําทุกอย่างให้ก้าวหน้าไปโดยมีความเดือดร้อนน้อยที่สุด เราต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะรายได้น้อย รายได้สูงก็ตาม เราต้องแก้ไขด้วยกฎหมาย แล้วก็รักษากฎกติกาที่ชัดเจนต่อไป พ่อแม่พี่น้องชาวไทยทุกท่านครับ เราคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายปัญหาของประเทศ มีต้นตอของปัญหามาจากระบบการศึกษา และกระบวนการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงของประเทศ รวมความไปถึงการพัฒนาประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล ดังนั้น เราต้องให้ความสําคัญอย่างมากกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จําเป็นต้องมีการปฏิรูปการศึกษาอย่างเป็นระบบ ปัจจุบันประเทศไทยก็มีปัญหา “โรงเรียนขนาดเล็ก” ที่มีอยู่จํานวนมากกว่า 15,000 โรงเรียน ซึ่งกว่า 900 โรงเรียน มีนักเรียนน้อยกว่า 20 คน บางโรงเรียนมีนักเรียนเพียง 15 คน แต่มีครู 3 คน แต่รัฐบาลยังคงต้องสนับสนุนงบประมาณเพื่อการศึกษาและจัดหาสื่อการเรียนการสอน ให้กับทุกโรงเรียนที่ผ่านมา นับเป็นรากเหง้าของปัญหาครูไม่ครบชั้น นักเรียนได้รับการศึกษาคุณภาพต่ํา การบริหารงบประมาณไม่คุ้มค่า ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น เหล่านี้เป็นปัญหาสะสมกันมายาวนาน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งด้านเศษรฐกิจการเมือง และสังคมของประเทศ แต่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง รัฐบาลนี้ แก้ไขปัญหาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยให้ชุมชน ที่โรงเรียนตั้งอยู่ ปรึกษาหารือกันเพื่อกําหนดโรงเรียนดีใกล้บ้าน หรือโรงเรียนแม่เหล็ก สําหรับเป็นโรงเรียนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนให้มีคุณภาพการศึกษา ที่ดีและได้มาตรฐาน มีสัดส่วนครูที่เหมาะสม, มีสื่อการเรียนรู้ห้องเรียน สนามกีฬา และสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ความสมบูรณ์ สําหรับโรงเรียนที่ไม่มีนักเรียนแล้ว ก็จะให้ชุมชนตัดสินใจ การใช้ประโยชน์ต่อไปอาจเป็นศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์ดูแลเด็กเล็ก หรือศูนย์ฝึกวิชาชีพ สําหรับชุมชนต่อไปก็ได้ รัฐบาลก็จะเข้ามาสนับสนุน ผลการดําเนินการที่ผ่านมา ยุบโรงเรียนขนาดเล็กไปแล้ว 286 โรงเรียน และจะดําเนินการในปีการศึกษาหน้าอีก 309 โรงเรียน ส่งผลให้มีจํานวนครู เกือบ 2,000 คน จากโรงเรียนที่ถูกยุบ ย้ายไปสอนใน โรงเรียนดีใกล้บ้าน 310 โรงเรียน ทําให้โรงเรียนดีใกล้บ้าน มีครูเพิ่มเฉลี่ย 6 คนต่อโรงเรียน ทั้งนี้ จากผลการประเมินทราบว่า เด็กนักเรียน ผู้ปกครองมีความสุขมากขึ้น ผู้ปกครองมีความพึงพอใจ ขอขอบคุณผู้ปกครอง – ชุมชน ที่เข้าใจ และให้ความร่วมมือ รัฐบาลมุ่งหวังจะดูแลลูกหลานของท่านให้ดีที่สุดให้ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ เช่นเดียวกับเด็กที่เรียนอยู่ในเมือง หรือในโรงเรียนขนาดใหญ่ ให้มีความเท่าเทียมกันในอนาคต สําหรับการพัฒนาการศึกษาพื้นฐานนั้น ถือเป็นกุญแจสําคัญในความสําเร็จของการพัฒนาการศึกษา ซึ่งรัฐบาล โดยคณะทํางาน โครงการสานพลังประชารัฐ ด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นํา ได้ดําเนินงาน โดยอาศัยหลักการสําคัญ คือ การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เด็กต้องสามารถวิเคราะห์และปฏิบัติได้ด้วยตนเอง เน้นความรับผิดชอบต่อสังคม มีคุณธรรมและจริยธรรม รวมทั้ง นําเทคโนโลยีสมัยใหม่ และระบบ ICT เข้ามาสนับสนุน โดยน้อมนําแนวทางพระราชดํารัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า “เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ ที่ว่าจะอบรมโดยใช้สื่อที่ก้าวหน้าที่มีเทคโนโลยีสูงเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องที่ยากที่สุด ไม่มีอะไรแทนคนสอนคน” แสดงให้เห็นว่าครู – อาจารย์ มีความสําคัญอย่างยิ่งในการที่จะสอนคนให้เป็นคน คือ มีความรู้คู่คุณธรรม นอกจากการพัฒนาครูแล้ว รัฐบาลยังให้ความสําคัญกับผู้อํานวยการโรงเรียน – ผู้บริหารการศึกษาระดับต่างๆ รวมทั้งการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการร่วมกันพัฒนาการศึกษา ในแต่ละท้องถิ่นของตนเอง กลไกประชารัฐนั้น ที่มีผลกับการพัฒนาด้านการศึกษาพื้นฐาน ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปมาก ภายใต้โครงการ คอน-เน็ก- อี-ดี (CONNEXT-ED) เพื่อจะดูแลโรงเรียนในช่วงแรก จํานวน 3,342 โรงเรียน และจะขยายผลให้ครบ 7,424 โรงเรียน ในปี 2560 เป็นโรงเรียนต้นแบบประชารัฐในทุกตําบล ทั่วประเทศ โดยการทํางานร่วมกันของผู้นํารุ่นใหม่กับผู้อํานวยการโรงเรียน ทั้งแผนการพัฒนาการศึกษา ตามบริบทของแต่ละโรงเรียน และแผนการพัฒนาโรงเรียน โดย 12 องค์กรเอกชน ที่ร่วมโครงการจะพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ โรงเรียนละ 500,000-1,000,000 บาท เพื่อยกระดับการศึกษาพื้นฐาน สู่มาตรฐานสากล ซึ่งในอนาคต จะจัดตั้งกองทุนการศึกษาวิจัยในการเพิ่มศักยภาพ การส่งเสริมและพัฒนาความเป็นเลิศในด้านการศึกษา การค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีแห่งอนาคต ใน 4 ด้าน คือ Bio, Nano, Robotic และ Digital โดยมุ่งเน้นสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมของผู้นํารุ่นใหม่รองรับการเป็นศูนย์กลางการศึกษาและวิจัยในระดับภูมิภาค และสอดคล้องกับนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 ในการที่จะผลิตแรงงานมีทักษะฝีมือ ป้อน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และการขับเคลื่อนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยนวัตกรรมของประเทศไทยเอง ผมย้ําว่าทุกความสําเร็จในการพัฒนาประเทศนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือกัน ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ อย่างจริงจัง เพื่อสร้างอนาคตของประเทศ ด้วยการพัฒนาคุณภาพคนไทยทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา มีความเท่าเทียมกัน ผมขอความร่วมมือจากครู ผู้ปกครองทุกคน สุดท้ายนี้ ผมขอชื่นชมจิตอาสา และทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันถวายพระเกียรติและร่วมกันทําดีเพื่อพ่อ ในการดูแลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการเดินทางมาถวายบังคมพระบรมศพ ณ พื้นที่ท้องสนามหลวง และพระบรมมหาราชวัง การรวมพลัง เอาชนะความเสียใจ ความเศร้าโศก เพื่อเป็นพลังในทางสร้างสรรค์ และความร่วมมือนี้ ผมถือว่าเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ที่คนไทยร่วมกันทํา ถวายในหลวงของเรา แม้ว่า 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราขาดพลังขับเคลื่อน เพราะไม่สามัคคีกัน ทะเลาะ ขัดแย้ง ติดกับดักตัวเอง จนทําให้ประชาชนไม่ได้รับการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน และขาดการสร้างความเข้มแข็ง อย่างเป็นระบบระเบียบ เป็นเหตุให้เราย่ําอยู่กับที่ และอาจจะช้ากว่าที่ควรจะเป็นก้าวไม่ทันโลก ไม่ทันเพื่อน ซึ่งเราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้ หากเรายังติดอยู่กับความคิดเดิม ๆ นิสัยเดิม ๆ ที่เป็นสะดวกนิยม จนมองข้ามความถูกต้อง ความมีวินัย และความเสียสละ ผมเชื่อว่าทุกคนรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรถูก อะไรผิด ขอให้พวกเราทุกคน ใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงตนเอง หันหน้าเข้าหากัน รู้ รัก สามัคคี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลร่วมกัน ในวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายนนี้ ครบ 30 วัน การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัฐบาลคํานึงถึงการแสดงความอาลัย และน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการเดินหน้าประเทศอย่างราบรื่นต่อเนื่อง ได้ผ่อนผันให้ทุกภาคส่วนดําเนินกิจกรรมได้ ที่ผ่านมาก็ขอให้พิจารณาถึงความรู้สึกของประชาชนด้วย และบรรยากาศของสังคมด้วย สําหรับเทศกาลวันลอยกระทงนี้ ก็ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดําเนินตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย สืบสานความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีความปลอดภัย ทั้งในเรื่องของการเดินทางสัญจร และในเรื่องของกิจกรรม ระมัดระวังอุบัติเหตุต่าง ๆ หลายหน่วยงานได้อํานวยดูแลความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะของเรือโดยสาร ท่าน้ํา ท่าเรือ โป๊ะ และแหล่งน้ําในการลอยกระทง รวมทั้งขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนโดยใช้วัสดุที่ทําจากธรรมชาติ ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในการทํากระทงเพื่อมาลอยมาขายในครั้งนี้ รวมทั้งให้ความรู้แก่ลูกหลานในเทศกาลนี้อย่างถูกต้อง วัตถุประสงค์ก็เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา คงไม่ใช่เพียงมุ่งหวังแต่ความสนุกสนานรื่นเริงแต่เพียงอย่างเดียว ขอบคุณครับ ขอให้มีความสุข สวัสดีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2559 วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2559 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2559 ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2559 เวลา 20.15 น. สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันนี้ ผมอยากขอคุยในเรื่องเบาๆ แต่เป็นเรื่องสําคัญ ก็คือการดูแลประชาชน ผู้มีรายได้น้อยอย่างไร ที่จะต้องควบคู่ไปกับการลงทุน เดินหน้าประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ทั้งนี้ การเดินหน้าสู่ 4.0 นั้น ไม่ใช่ไม่สนใจผู้มีรายได้น้อย แต่ก็จําเป็น ทั้งนี้เพื่อการขยายช่องทาง เปิดกว้าง เพิ่มทางเลือกให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยใช้ระบบดิจิทัล การใช้โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ใช้ประโยชน์ ค้าขายได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางมากนัก หรือใช้การผ่านพ่อค้าคนกลางแต่เพียงอย่างเดียว เราต้องมีผลประโยชน์เกื้อกูลกันทั่วหน้า สําหรับพี่น้องประชาชนตั้งแต่ระดับบน กลาง และฐานราก ​ระยะแรก ประชาชน เกษตรกร ควรต้องมีการรวมกลุ่มอาชีพในพื้นที่เดียวกัน เพื่อให้เกิดช่องทางใหม่ มีผลผลิตที่มีคุณภาพเป็นมวลรวม มีความสมบูรณ์ ควบคุมคุณภาพด้วยตนเอง เพื่อจะเพิ่มอํานาจในการต่อรอง ซึ่งเราคงไม่สามารถจะกดดัน หรือบังคับใครได้ ในระบบการค้าเสรีปัจจุบัน แต่เราจะปล่อยให้ทุกคนมองเพียงไร่นาของตัวเองเพียงอย่างเดียว คงทําอย่างนั้นไม่ได้อีกต่อไป เราจะต้องเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เกิดเป็นเกษตรแปลงใหญ่มีการกําหนดความต้องการของการใช้น้ํา ให้เป็นไปตามสภาพทรัพยากรน้ําที่เรามีอยู่ มีการคํานวณ ประมาณการ เพื่อให้สามารถจัดการปลูกพืชที่เหมาะสม เหลื่อมเวลา สอดคล้องกับตลาดรับซื้อ ทั้งบริโภคเองในประเทศ และส่งออกไปยังต่างประเทศ เราต้องคิดว่าจะทําอย่างไร ให้ผลผลิตทางการเกษตรของเรานั้น ไม่มีความชื้นมาก จนถูกตัดราคาโดยเฉพาะข้าว จะทําอย่างไรให้เกษตรกรมีเครื่องมือเป็นของตนเอง ในชุมชน ในกลุ่ม ในสหกรณ์ หรือในวิสาหกิจชุมชน รัฐบาลจําเป็นต้องหากลุ่มพลังของเกษตรกร เหล่านี้ให้เจอ ประชาชน เกษตรกร ข้าราชการ ผู้นําท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน น่าจะช่วยรัฐบาลตรงนี้ รวบรวมข้อมูลเหล่านี้ให้ได้ก่อน มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน มีการขึ้นบัญชี จัดทําฐานข้อมูล เพื่อสนับสนุนการบริหาร และการกําหนดนโยบายของรัฐบาลด้วย ในปัจจุบันนั้น สหกรณ์มีอยู่กว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ เป็นสหกรณ์ภาคการเกษตรกว่า 4,000 แห่ง จําเป็นต้องได้รับการเสริมสร้างความเข้มแข็ง โดยหากมีการรวมตัวกันอย่างเป็นทางการ มีการลงทะเบียนที่ชัดเจน รัฐก็สามารถจะจัดสรรงบประมาณลงไปตรงจุด แก้ปัญหาอย่างมีระบบ ตรงตามเป้าหมาย และความต้องการ ซึ่งรวมทั้งการลดต้นทุน การจัดหาเครื่องจักร เครื่องสี เครื่องอบ เราไม่อาจแจกจ่ายทุกครัวเรือนได้ หรือจะแก้ปัญหาทุกอย่างรายครอบครัวได้ ประชาชน เกษตรกร จะต้องสร้างความเข้มแข็งของตนเองด้วย ตามคําแนะนําของรัฐบาล หน่วยงานราชการ เราคงต้องเรียนรู้ซึ่งกันและกันอีกมาก สําหรับ​หน่วยงานราชการของแต่ละกระทรวงที่ได้น้อมนําศาสตร์พระราชามาจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้กว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศนั้น ทั้งศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่, ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร และศูนย์การเรีย ​รัฐบาลนั้นเข้าใจ ถ้าหากว่าเราสามารถสร้างความเข้มแข็งให้ระดับฐานรากได้นั้น ตรงกลาง ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าคนกลาง ผู้รับซื้ออื่น ๆ ก็อาจจะสามารถผูกขาด ราคาได้ทั้งหมด เพราะเขาก็จําเป็นต้องหาพืชผลภาคเกษตรกรรมไปป้อนภาคอุตสาหกรรมตลอดเวลาในราคาที่ถูกที่สุด เพื่อมีผลกําไรมากที่สุดโดยไม่ผิดกฎหมาย หากว่าเราเข้มแข็ง พ่อค้าก็ต้องปรับตัว โรงสีก็ต้องปรับตัวไปด้วย ด้วยการมองประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ อาจจะต้องลดกําไรลงในช่วงนี้ เพราะพวกเราก็ต่างเป็นคนไทยด้วยกัน ก็จะแก้ปัญหาได้ครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป การสร้างนวัตกรรม การตลาด ราคาทั้งห่วงโซ่ก็จะดีขึ้นโดยอัตโนมัติ และกลไกการตลาดก็ต้องปรับตัวไปพร้อมด้วย ยกตัวอย่างการรวมกลุ่มน้อมนําศาสตร์ของพระราชา ในเรื่องของการระเบิดจากข้างใน ของมูลนิธิขวัญข้าว, สมาคมโรงสีข้าวสุพรรณบุรี และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุพรรณบุรี ในการร่วมกันพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นเมือง คือ ข้าวตาเคลือบ เป็นสินค้าเด่นประจําจังหวัด และผลิตในลักษณะข้าวปลอดปุ๋ยเคมี ปลอดสารเคมีฆ่าแมลง นับว่าเป็นผลดีต่อสุขภาพชาวนาและผู้บริโภค รวมทั้งสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ที่สําคัญก็คือเกษตรกรชาวนาสามารถร่วมมาเป็นหุ้นส่วน เพิ่มบทบาทตัวเองในห่วงโซ่จากผู้ผลิตเป็นผู้จําหน่ายได้อีกด้วย ในการปรับตัวเข้าหากันของทุกคน ในวงจรข้าว เพื่อจะช่วยพัฒนาตลาดข้าวไทยให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน สําหรับภาพรวมพื้นที่เป้าหมายสําหรับส่งเสริมในการปลูกข้าวในปี 2559 - 2560 คาดการณ์ว่าพื้นที่ ปลูกข้าวทั้งประเทศ 57.86 ล้านไร่ ในการปลูกข้าวนาปีนั้น รัฐบาลส่งเสริมให้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกข้าวด้วยพืช และปศุสัตว์ทดแทนทั้งสิ้น จํานวน 570,000 ไร่ แบ่งเป็นเกษตรกรรมทางเลือกอื่น 420,000 ไร่ ส่งเสริมปศุสัตว์ 150,000 ไร่ ผลการดําเนินงานที่มีผลสําเร็จแล้ว สามารถปรับเปลี่ยนไปได้แล้วกว่า 350,000 ไร่ โดยได้ปรับเป็นเกษตรกรรมพืชอื่น 200,000 กว่าไร่ ปศุสัตว์กว่า 100,000 ไร่ สําหรับข้าวนาปรังฤดูกาลเพาะปลูกรอบที่สอง คาดการณ์ว่าพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมด 9.26 ล้านไร่ รัฐบาลก็มีแผนส่งเสริมปลูกพืชชนิดอื่นทดแทน 2.52 ล้านไร่ และคงพื้นที่ปลูกข้าวไว้ 6.74 ล้านไร่ และในฤดูกาลเพาะปลูกรอบที่สาม คาดการณ์ว่าพื้นที่เพาะปลูก 500,000 ไร่ เราจะรณรงค์ให้ชาวนาพักแปลง เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน สําหรับพื้นที่ปลูกข้าวทั้งหมดของเรานั้น ก็จะมีมาตรการส่งเสริมในเรื่องการลดต้นทุนการผลิต ลดและควบคุมราคาเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ค่าเช่าที่นา เพิ่มคุณภาพ ส่งเสริมการรวมกลุ่มนาแปลงใหญ่ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการทํานาแบบปราณีต สนับสนุนการรับรองมาตรฐานการผลิตที่ดี และบริหารจัดการน้ําชลประทาน รวมทั้งเครื่องจักรเครื่องกล การเกษตร สําหรับความก้าวหน้าความสําเร็จตามนโยบายเกษตรแปลงใหญ่ของรัฐบาลนั้น สามารถดําเนินการได้แล้วกว่า 600 แปลง ด้วยความร่วมมือของประชาชน เกษตรกร และกลไกประชารัฐ โดยไม่ได้บังคับ มีเกษตรกรที่ได้รับผลประโยชน์แล้วราว 97,000 ราย ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมประมาณ 1.5 ล้านไร่ ยังเหลืออีกประมาณหลายล้านไร่ ถ้าหากเรารวมกลุ่มกันได้ รัฐบาลก็พอจะจัดหางบประมาณมาส่งเสริม เติมเต็มในส่วนที่ขาดได้ตรงความต้องการ ตรงศักยภาพของแต่ละพื้นที่ หากเราต้องดูทั้งหมด ทุกกลุ่ม ทุกประเด็นปัญหา งบประมาณเราไม่เพียงพอ กระจัดกระจายกันมากเกินไป เพราะฉะนั้นการรวมกลุ่มกันได้นั้น นอกจากจะช่วยสร้างความเข้มแข็งด้วยตัวเองแล้ว รัฐบาลก็ยังจะหาทางให้การสนับสนุนอย่างบูรณาการ เช่น กรณีสินค้าข้าวสามารถเพิ่มผลผลิตเฉลี่ยร้อยละ 13 และลดต้นทุนการผลิตได้ร้อยละ 19 นอกจากนั้นยังสามารถช่วยเหลือเกษตรกร ในเรื่ององค์ความรู้, การบริหารจัดการ, การเข้าถึงแหล่งเงินทุน, การแปรรูป,การเพิ่มพูนมูลค่าผลิตภัณฑ์ และการตลาด เป็นต้น โดยแผนงานส่งเสริมการรวมกลุ่มเป็นเกษตรแปลงใหญ่ ในปี 2560 มีเป้าหมายเพิ่มเติมอีก 400 แปลงเพื่อจะเป็นทางเลือกใหม่ที่เป็นสากล ที่สําคัญก็คือเป็นไปตามแนวทางพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมุ่งหวังให้เกิดการรวมกลุ่มประชาชน เพื่อแก้ไขปัญหาหลักของชุมชนชนบท ซึ่งเป็นรากฐานสําคัญประการหนึ่งของการพัฒนาแบบพึ่งตนเอง โดยเฉพาะการรวมตัวกันเป็นกลุ่มของสหกรณ์ ดังนั้น ในทุกพื้นที่ที่เสด็จพระราชดําเนิน และมีโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริขึ้นมา ไม่ว่าลักษณะใด จะทรงเน้นเสมอถึงความจําเป็นที่จะต้องกระตุ้นให้เกิดการรวมตัวกัน ในรูปแบบต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่ชุมชนเผชิญอยู่ร่วมกัน หรือเพื่อให้การทํามาหากินของชุมชนโดยส่วนรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพอเพียง จะเห็นได้ว่ากลุ่มสหกรณ์ในโครงการพระราชดําริที่ประสบความสําเร็จหลายโครงการนั้น พัฒนาขึ้นมาจากการรวมตัวกันของราษฎรกลุ่มเล็ก ๆ ทั้งสิ้น สําหรับในเรื่องการใช้เทคโนโลยีทันสมัยดิจิทัลในตลาดออนไลน์ ไม่อยากให้คิดว่าเป็นการแย่งตลาด หรือเป็นการเกื้อกูลให้กับใคร หากแต่เป็นการเปิดช่องทาง สร้างเครือข่าย เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ อาทิ กลุ่มผู้บริโภคเกษตรอินทรีย์ เป็นต้น ดังนั้น เกษตรกรควรปรับตัว ต้องเข้มแข็ง รวมกลุ่มกันได้ เราก็จะสามารถกําหนดราคากันเองได้ เพื่อเป็นการก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 เราจําเป็นต้องสร้างระบบและนวัตกรรมของเราเองบ้าง ควบคู่ไปกับการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ยกตัวอย่าง การรวมกลุ่มของเกษตรกรชาวอุตรดิตถ์ 24 ราย พื้นที่ 270 ไร่ มีผลผลิตรวมกว่า 150 ตันต่อปี ราคาขาย 50,000 บาทต่อตัน ภายใต้การสร้างแบรนด์ “เพชรคอรุม” ที่ดําเนินการ โดยน้อมนําศาสตร์พระราชามาสู่การปฏิบัติ กว่า 14 ปี ใช้เวลายาวนาน เราต้องเร่งกันพัฒนา ทั้งในเรื่องของการรวมกลุ่มเป็นศูนย์ข้าวชุมชน และการคิดครบวงจร อันได้แก่ การทําเกษตรอินทรีย์ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด การผลิตเมล็ดพันธุ์และการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ปลอดสารพิษ ใช้เองภายในกลุ่ม การถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับสมาชิก การสร้างเครือข่าย การสร้างแบรนด์ และการตลาดเชิงรุก โดยาส่งขายกลุ่มลูกค้าออนไลน์และกลุ่มที่นําไปขายต่อ สามารถขายส่งกิโลกรัมละ 50 บาท ขายปลีกกิโลกรัมละ 70 บาท เป็นต้น ในเกษตรอินทรีย์ ในการปลูกพืชที่ต้องอาศัยน้ํา เราจําเป็นต้องเข้าใจข้อมูลพื้นฐาน ทั้งเรื่องน้ําและระบบเก็บกักน้ํา ส่งน้ํา ทั้งในและนอกเขตชลประทาน ปัจจุบันประเทศไทยนั้นมีพื้นที่ทําการเกษตรที่อยู่ในเขตชลประทานร้อยละ 20 หรือเพียง 30 ล้านไร่ ในขณะที่พื้นที่เกษตรกรรมส่วนใหญ่อยู่นอกเขตชลประทานถึงร้อยละ 80 หรือราว 120 ล้านไร่ รัฐบาลไม่อาจสามารถหาน้ําได้สมบูรณ์ทั้งหมด แต่รัฐบาลสามารถบริหารจัดการน้ําให้เป็นระบบได้ ให้เพียงพอต่อความต้องการ ในการใช้สอยของประเทศได้ ทั้งน้ํากิน น้ําใช้ น้ําป้อนภาคการผลิต น้ําให้ภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งน้ําเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ ถ้าเราเก็บกักน้ําไม่ได้ ประชาชนมีการขัดขวางในเรื่องของการขุด การสร้างเขื่อนที่จําเป็น หรือการทําแก้มลิง หรือการทําทางระบายน้ํา เมื่อถึงฤดูน้ําหลาก ปริมาณน้ํามากขึ้น เราจะบริหารจัดการอย่างไร ไม่ให้ท่วม ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน ไม่ให้เกษตรกรเดือดร้อน และเราจําเป็นต้องมีน้ําเหลือไว้ใช้ในยามแล้งอีกด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นน้ํามากหรือน้ําน้อยก็ตามนั้น รัฐบาลก็จําเป็นต้องเข้าไปจัดระเบียบการใช้น้ําเป็นพื้นที่ ไม่ให้เหลื่อมล้ํากัน เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข ก็จะพอบรรเทาความเสียหายทั้งหมดได้ ต้องปลูกพืชให้ลดหลั่น ลงมาตามน้ําที่มีอยู่ หรือทําเป็นปฏิทินการทําเกษตรกรรมของประเทศที่สอดคล้องกัน ทั้งมิติของประเภทพืช พื้นที่ ฤดูกาล ปริมาณน้ํา และตลาด โดยใช้ Agri Map แผนที่ทางการเกษตรเป็นเครื่องมือช่วยด้วย ร่วมกับคําแนะนําของทางราชการ ก็ทําให้ทุกอย่างแก้ปัญหาไปได้โดยเร็ว รัฐบาลยืนยันว่าเราจะต้องทําควบคู่ไปกัน ทั้งในเรื่องของการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อคนทุกคน และไว้ให้ใช้นานที่สุดในประเทศไทย โดยเราจะต้องรักษาสมดุลกับด้านพัฒนาในการดูแลคนไทยทุกกลุ่มทุกอาชีพ เราไม่ได้มีเกษตรกรอย่างเดียว เกษตรกรเลี้ยงคนทั้งประเทศ แต่ก็จําเป็นต้องมีหลายอาชีพ เราต้องดูแลด้วย เรื่องการเก็บกักน้ํา ลองช่วยกันคิดดูว่าเส้นทางน้ําจากภาคเหนือ ไหลลงมาภาคกลาง แล้วก็ลงสู่อ่าวไทย โดยภาคเหนือตอนบนมีแม่น้ําปิง วัง ยม น่าน เป็นระบบระบายน้ํา และมีเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เป็นอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง ก็มีเพียงแม่น้ําเจ้าพระยา และเราก็ไม่มีแหล่งน้ําขนาดใหญ่ สําหรับรองรับปริมาณน้ําจากภาคเหนือทั้งหมด ถ้าหากเราไม่มีระบบระบายที่ดีแล้ว ก็เสี่ยงต่อสถานการณ์น้ําท่วมอยู่ตลอดเวลา ที่ผ่านมา ก็เกิดเหตุการณ์ น้ําล้นตลิ่งอยู่เสมอ หากไม่สามารถจะน้อมนําแนวทางพระราชดําริศาสตร์พระราชาในเรื่องแก้มลิง มาประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หาพื้นที่แก้มลิงไม่ได้ สร้างที่เก็บน้ําหรือเขื่อนไม่ได้ เราจะระบายไปที่ไหน เราจะกักเก็บน้ําไปที่ไหนในหน้าแล้ง เพราะฉะนั้นก็ยังมีปัญหาอยู่บ้างที่ประชาชน ในส่วนของการทําลายทรัพยากรธรรมชาติ วันนี้ก็เป็นปัญหาหลักของเรา เราก็เลยต้องอยู่กับธรรมชาติตลอดมา น้ํามากก็ท่วม น้ําน้อยก็แล้ง เราจะต้องคิดหาการบริหารจัดการให้ได้ เราก็ต้องอยู่กับธรรมชาติให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องเดือดร้อนเหมือนเดิม หากเราไม่ได้สร้างความยั่งยืน และหากว่าเราปล่อยลงทะเลจนหมด หน้าแล้งก็ไม่มีน้ําเก็บไว้ใช้ ถ้าหากมวลน้ํา ไหลจากภาคเหนือตอนล่าง – ภาคกลางตอนบน ผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท สู่กรุงเทพฯ เกินกว่าปริมาณ 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แล้วเราระบายลงทะเลไม่ทัน ก็จะเกิดน้ําท่วม ทั้งกรุงเทพฯ ทั้งภาคกลาง เพราะเป็นพื้นที่ที่ต่ํา กักไว้รอเวลาเก็บเกี่ยวก็ท่วมแปลงเกษตร ปล่อยไปก็ไปไม่ได้ กักไว้นานก็เสี่ยง เราก็ต้องคํานวณให้สัมพันธ์กับภาวะน้ําทะเลหนุนด้วย เพราะว่าระบายไม่ออก รัฐบาลก็บอกว่าถ้าหากเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป พื้นที่น้ําท่วม ก็จะเพิ่มขึ้นในอนาคต จาก 1.66 ล้านไร่ เป็น 4.12 ล้านไร่ หรือสร้างความเสียหายมากขึ้นจาก 25,000 ล้านบาทต่อปี เป็น 150,000 ล้านบาทต่อปี สิ่งเหล่านี้ คือ ความเสียหายจากน้ําท่วม – น้ําแล้ง ที่จะต้องเกิดขึ้นทุกปี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะบริหารอย่างไรก็แก้ไม่ได้ หากประชาชนไม่ร่วมมือ ไม่เข้าใจ น้ํามากก็ไม่ให้ผ่าน น้ําน้อยก็เก็บกักไว้ ไม่ปล่อยไปที่อื่น ทุกคนก็เลยเดือดร้อนกันหมด บานปลาย ใช้งบประมาณมากมาย ทั้งการช่วยเหลือ ทั้งการฟื้นฟู ขอร้องให้ช่วยกันคิดหน่อยนะครับ รัฐบาลปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว แต่การแก้ไขอย่างยั่งยืนต้องทําทั้งระบบประชาชนต้องมีส่วนร่วม ข้อร้อง NGO และนักอนุรักษ์ก็ต้องพยายามมองในมุมนี้ด้วย ฉะนั้นผลงานด้านสิทธิมนุษยชน ด้านอนุรักษ์ อาจจะออกมาดีในสายตาโลกภายนอก แต่ประชาชนยากจน เกษตรกรเดือดร้อน พัฒนาไปด้วยไม่ได้ แล้วติเตือนให้รัฐบาลรับผิดชอบ ไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไร เราทําอยู่แล้ว เราควบคุมธรรมชาติ ให้สามารถมีฝนตกมากหรือมีฝนตกน้อยก็ไม่ได้อีก ป่าไม้ก็ถูกทําลายไปมากในอดีตที่ผ่านมา พื้นที่ฝนตกเลื่อนลงมาใต้เขื่อน ปรากฏการณ์ธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงเราก็เก็บน้ําไม่ได้ในเขื่อนเดิมที่เรามีอยู่ น้ําก็สะสมในพื้นที่นอกเขื่อนใต้เขื่อนเดิม แล้วก็เอ่อล้นไหลต่อลงมาภาคกลาง จนเกิดผลเสียตามที่ผมกล่าวไว้ในขั้นต้น ในเรื่องการบริหารจัดการน้ํา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวทางไว้แล้วทั้งหมด เราได้ทําสําเร็จบ้างบางพื้นที่ ขณะที่บางพื้นที่ก็ทําไม่ได้ เประชาชนยังไม่เข้าใจ แล้วก็ด้วยปัญหาหนี้สินที่มีมายาวนาน มีการต่อต้านจาก NGO ร้องเรียนในโครงการที่น่าจะทําได้ และแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน รัฐบาลก็ทําไม่ได้ทั้งหมด เมื่อเดือดร้อนก็เรียกร้องจากรัฐบาล เราก็ได้แต่เพียงใช้เงินเยียวยาก็หมดไปอย่างสิ้นเปลือง แก้แค่ปลายเหตุเฉพาะหน้า ไร้อนาคต ไม่ยั่งยืน ช่วยกันคิดนะครับ เสนอมา รัฐบาลพร้อมรับฟังทุกอย่าง ขออย่างเดียว ขอความร่วมมือ ที่ผ่านมาไม่ร่วมมือ ไม่เข้าใจนโยบายที่สร้างความเข้มแข็ง แก้ปัญหาแบบยั่งยืน รัฐบาลต้องรับผิดชอบ หาน้ํา หาตลาด รวมทั้งให้รับซื้อผลผลิตในราคาสูง ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่เป็นอันตรายต่อการใช้นโยบายทางการเมือง แก้ปัญหาที่ปลายทางไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ รู้ดีอยู่แล้ว ไม่ได้แก้ปัญหาในระยะยาวครบวงจร ปัญหาเหล่านั้นก็จะยังคงอยู่ตราบลูกหลาน ผมยืนยัน ถ้าหากคิดเพียงแค่นี้ มองปัญหาเพียงผิวเผินแก้ปัญหาแบบวันหน้าทําใหม่ ไม่มีใครจะแก้ได้ ไม่ว่ารัฐบาลใดก็ตาม รัฐบาลนี้สามารถแก้ปัญหาได้มากกว่าที่ผ่านมา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประชาชนเข้าใจ ไม่มีแรงต้าน และได้รับความร่วมมือ แต่มันก็ไม่ต่อเนื่อง เพราะต้องทําทั้งระบบครบทั้งวงจรน้ําของประเทศ การต้องปล่อย การระบายน้ํา จากพื้นที่หนึ่ง ไปสู่พื้นที่อื่น ด้วยระบบชลประทาน แก้มลิง เพื่อกระจายไปในพื้นที่ที่เตรียมไว้รองรับ แต่หลายพื้นที่ไม่ยอม ไม่ร่วมมือ แล้วจะแก้ปัญหากันได้อย่างไร อย่างไก็ตาม ผมก็ขอขอบคุณ สําหรับผู้ที่เสียสละ ช่วยให้บางพื้นที่แก้ปัญหาได้สําเร็จ แต่ต้องแบกภาระแทนพื้นที่อื่นๆ อยู่ครับ ขอให้คนอื่นช่วยกันด้วย ในปัจจุบัน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการตามแผนงานการบรรเทาอุทกภัย พื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง และให้บรรจุไว้ในโครงการบริหารจัดการน้ําแบบบูรณาการต่อไป โดยจะแบ่งการปฏิบัติเป็น 2 ฝั่งของแม่น้ําเจ้าพระยา ดังนี้ 1) การระบายน้ําฝั่งตะวันตก ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําแม่น้ําท่าจีน ซึ่งมี 23 คุ้งน้ํา ปรับปรุงช่วงแคบ 105 กิโลเมตร และตัดช่องลัด 4 แห่ง จะสามารถย่นระยะทางน้ํา จาก 50 กิโลเมตร เหลือ 10 กิโลเมตร เหมือนแนวทางพระราชดําริคลองลัดโพธิ์ รวมทั้ง การปรับปรุงโครงข่ายระบบชลประทานเดิม ตั้งแต่คลองมหาสวัสดิ์ ถึงชายทะเล 2) การระบายน้ําฝั่งตะวันออก อาทิ การปรับปรุง – ขยายระบบชลประทานเดิม เพิ่มศักยภาพการระบายน้ําขึ้น 2 เท่า จาก 200 เป็น 400 ลูกบาศก์เมตร/วินาที การปรับปรุงคลองชัยนาท – ป่าสัก ให้ระบายน้ําได้มากขึ้น 4 เท่า รวมทั้งการหาพื้นที่รับน้ํานอง และการขุดลอกปรับปรุงแม่น้ําเจ้าพระยา เป็นต้น แผนงานดังกล่าว จะช่วยตัดยอดน้ําหลากหน้าเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนพระราม 6 ได้ 1,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที จะช่วยให้แม่น้ําเจ้าพระยาและแม่น้ําท่าจีน สามารถระบายน้ําได้ รวม 3,100 ลูกบาศก์เมตร/วินาที แล้วก็จะมีพื้นที่เก็บกักน้ําหลาก ไว้ในคลองขุดใหม่ ประมาณ 200 ล้านลูกบาศก์เมตร และช่วยลดพื้นที่น้ําท่วมได้ ถึง 3.58 ล้านไร่ ใน 14 จังหวัด ขอความร่วมมือทําความเข้าใจนะครับ ไม่อย่างนั้นทําไม่ได้อีก สําหรับความคืบหน้าตามโครงการบริหารจัดการน้ํา แบบบูรณาการ ทั้งระบบของรัฐบาลนี้ มีความคืบหน้าไปมาก เมื่อเทียบกับ 27 ปี (พ.ศ. 2530 - 2557) ก่อนที่รัฐบาลนี้ จะเข้ามาบริหารจัดการทรัพยากรน้ําของประเทศ ตามแนวทางพระราชดําริ ยกตัวอย่างเช่น 1) การจัดหาแหล่งน้ําบาดาลช่วยภัยแล้ง 27 ปีที่ผ่านมาไม่ปรากฏผลการดําเนินการแต่อย่างใด แต่นับจากปี 2557 ของรัฐบาลนี้ได้ดําเนินขุดแหล่งน้ําบาดาลแล้ว 2,500 กว่าแห่ง ผลิตน้ํากว่า 100 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีพื้นที่รับกว่า 157,000 ไร่ 2) บาดาลเพื่อการเกษตร 27 ปีที่ผ่านมา ทําได้เพียง 1,300 กว่าแห่ง ในขณะที่รัฐบาลนี้ ทําได้ 2,300 กว่าแห่ง ใน 2 ปี มีพื้นที่รับกว่า 122,000 ไร่ 3) ประปาหมู่บ้าน 27 ปีที่ผ่านมา ทําได้ 12,000 กว่าแห่ง 2 ปีของรัฐบาลนี้ ทําได้ 5,700 กว่าแห่ง และ 4) การป้องกันและลดการพังทลายหน้าดิน ซึ่งเป็นอีกกิจกรรมที่อาจจะไม่เคยดําเนินการมาก่อน แต่ก็มีความสําคัญ ในวงจรน้ําและระบบการระบายน้ํา โดยรัฐบาลนี้ ได้ดําเนินการไปแล้ว ครอบคลุมพื้นที่ กว่า 670,000 ไร่ ในเวลา 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลนี้จะพยายามทําต่อไปให้ได้มากที่สุด สําหรับเรื่องป่าที่ถูกบุกรุกต้องหยุดการแผ้วถางป่า ไม่ให้ใครบุกรุกใหม่ ช่วยกันปลูกป่าตามหลักวิชาการ พร้อมกับมีที่อยู่อาศัย มีที่ดินทํากินไปด้วย อยู่ร่วมกับป่า ดูแลป่า ปลูกป่าชุมชน สร้างป่าเศรษฐกิจ จะต้องดําเนินการอย่างถูกกฎหมาย รัฐบาลประกาศพื้นที่ที่ถูกบุกรุกแล้วแล้วจําเป็นต้องเอาคืน ใช่ว่ายึดมาแล้ว ไม่สนใจประชาชน ก็ต้องหาหนทางเยียวยา ช่วยเหลือประชาชน ไม่ช่วยใครที่อยู่เบื้องหลังการบุกป่า ไม่ว่าจะเป็นนายทุน ทุกคนต้องยอมรับกฎหมาย ที่มีมาหลายสิบปี ไม่สนใจ ละเลย การบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมาในวันนี้ อาจทําให้บางคนเดือดร้อน ในปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่จําเป็น แต่ก็พยายามให้เดือดร้อนกันน้อยที่สุด โดยมีมาตรการรองรับ ใช้หลักนิติศาสตร์ – รัฐศาสตร์ - เศรษฐศาสตร์ อย่างสมดุล จะไม่ให้รัฐบาลทําอะไรเลย คงเป็นไปไม่ได้ ภาพที่สังคมเห็นตามสื่อ วันนี้ก็คือ ผู้เดือดร้อนที่เป็นผู้มีรายได้น้อยเป็นเพียงส่วนใหญ่ สร้างความเสียหายน้อย ไม่มีศักยภาพ เมื่อเทียบกับนายทุน – ผู้มีอิทธิพล ใช้ประชาชนบังหน้า สร้างความเสียหายในวงกว้าง เพราะมีศักยภาพสูง ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นประชาชนผู้มีรายได้น้อย หรือนายทุนผู้มีฐานะ ต่างก็ต้องเคารพกฎหมาย อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน วันนี้ รัฐบาลพยายามรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย กลับมาสู่ครรลองของกฎหมายที่ถูกต้อง หากปล่อยปละ หากละเลยคนหนึ่งคนใด คนอื่นก็จะร้องเรียน เป็นปัญหา รักษาความยุติธรรมไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ในที่สุดครับ เรื่องการปลูกป่านี้ ผมขอชื่นชม ร.ต.ต.วิชัย สุริยุทธ หรือ ที่คนไทยรู้จักในนาม “ดาบวิชัย” ซึ่งน้อมนําแนวทางพระราชดําริ “ปลูกป่าในใจคน” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากโครงการแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง แล้วเริ่มปลูกป่า ด้วย2 มือของเขาเอง กว่า 30 ปี โดยไม่สนว่าใครจะคิด หรือจะเข้าใจหรือไม่อย่างไร แต่ต้นไม้ 3 ล้านต้นที่เขาปลูกขึ้นมาแล้ว ได้เป็นแรงบันดาลใจของเยาวชนและคนไทยจํานวนมาก ในการทําดีเพื่อพ่อถวายในหลวง เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติโดยรวม กลุ่มอื่น ๆ ที่ช่วยกันอนุรักษ์ก็ขอชื่นชมไปด้วย เรื่องการจัดระเบียบรถ – ที่จอดรถ – เส้นทางจราจร – การรับส่ง รวมทั้งการขายของบนทางเท้า ริมถนน ก็เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย จริงแล้วไม่ใช่วิถีชีวิต หรือวัฒนธรรมอันดีงามของไทยที่แท้จริง หากแต่เกิดจากการปล่อยปละ ละเลย ในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนเกิดความเคยชิน นอกจากจะก่อให้เกิดความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังเป็นช่องทางเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่ เกิดการฉ้อราษฎร์บังหลวง และความไม่เท่าเทียมในสังคมกับประชาชนกลุ่มอื่น ผู้ใช้เส้นทางสัญจรที่เขาไม่ทําอะไรผิดกฎหมาย ควรได้รับความสะดวก แต่กลับถูกละเมิดสิทธิ โดยการกระทําที่ผิดกฎหมายแบบนี้ ถือว่าไม่เป็นธรรม ขอความร่วมมือด้วยไม่อยากให้อ้างว่าเป็นผู้มีรายได้น้อย แล้วละเมิดกฎหมายได้ ทุกฝ่ายต่างเข้าใจและเห็นใจ รัฐบาลเองก็มีมาตรการรองรับ เช่น การจัดสรรพื้นที่ใหม่ที่ถูกกฎหมาย มีระเบียบ มีที่จอดรถ สะดวกทั้งผู้ซื้อ – ผู้ขาย ช่วงแรกก็อาจต้องปรับตัวยังขายไม่คล่อง เพราะว่ายังไม่คุ้นชินกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาใหม่ แต่ก็สามารถสร้างความสบายใจกว่ากับทุกฝ่าย รัฐบาลก็พร้อมที่จะทําทุกอย่างให้ก้าวหน้าไปโดยมีความเดือดร้อนน้อยที่สุด เราต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าจะรายได้น้อย รายได้สูงก็ตาม เราต้องแก้ไขด้วยกฎหมาย แล้วก็รักษากฎกติกาที่ชัดเจนต่อไป พ่อแม่พี่น้องชาวไทยทุกท่านครับ เราคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายปัญหาของประเทศ มีต้นตอของปัญหามาจากระบบการศึกษา และกระบวนการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงของประเทศ รวมความไปถึงการพัฒนาประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล ดังนั้น เราต้องให้ความสําคัญอย่างมากกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จําเป็นต้องมีการปฏิรูปการศึกษาอย่างเป็นระบบ ปัจจุบันประเทศไทยก็มีปัญหา “โรงเรียนขนาดเล็ก” ที่มีอยู่จํานวนมากกว่า 15,000 โรงเรียน ซึ่งกว่า 900 โรงเรียน มีนักเรียนน้อยกว่า 20 คน บางโรงเรียนมีนักเรียนเพียง 15 คน แต่มีครู 3 คน แต่รัฐบาลยังคงต้องสนับสนุนงบประมาณเพื่อการศึกษาและจัดหาสื่อการเรียนการสอน ให้กับทุกโรงเรียนที่ผ่านมา นับเป็นรากเหง้าของปัญหาครูไม่ครบชั้น นักเรียนได้รับการศึกษาคุณภาพต่ํา การบริหารงบประมาณไม่คุ้มค่า ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น เหล่านี้เป็นปัญหาสะสมกันมายาวนาน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งด้านเศษรฐกิจการเมือง และสังคมของประเทศ แต่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง รัฐบาลนี้ แก้ไขปัญหาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยให้ชุมชน ที่โรงเรียนตั้งอยู่ ปรึกษาหารือกันเพื่อกําหนดโรงเรียนดีใกล้บ้าน หรือโรงเรียนแม่เหล็ก สําหรับเป็นโรงเรียนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนให้มีคุณภาพการศึกษา ที่ดีและได้มาตรฐาน มีสัดส่วนครูที่เหมาะสม, มีสื่อการเรียนรู้ห้องเรียน สนามกีฬา และสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ความสมบูรณ์ สําหรับโรงเรียนที่ไม่มีนักเรียนแล้ว ก็จะให้ชุมชนตัดสินใจ การใช้ประโยชน์ต่อไปอาจเป็นศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์ดูแลเด็กเล็ก หรือศูนย์ฝึกวิชาชีพ สําหรับชุมชนต่อไปก็ได้ รัฐบาลก็จะเข้ามาสนับสนุน ผลการดําเนินการที่ผ่านมา ยุบโรงเรียนขนาดเล็กไปแล้ว 286 โรงเรียน และจะดําเนินการในปีการศึกษาหน้าอีก 309 โรงเรียน ส่งผลให้มีจํานวนครู เกือบ 2,000 คน จากโรงเรียนที่ถูกยุบ ย้ายไปสอนใน โรงเรียนดีใกล้บ้าน 310 โรงเรียน ทําให้โรงเรียนดีใกล้บ้าน มีครูเพิ่มเฉลี่ย 6 คนต่อโรงเรียน ทั้งนี้ จากผลการประเมินทราบว่า เด็กนักเรียน ผู้ปกครองมีความสุขมากขึ้น ผู้ปกครองมีความพึงพอใจ ขอขอบคุณผู้ปกครอง – ชุมชน ที่เข้าใจ และให้ความร่วมมือ รัฐบาลมุ่งหวังจะดูแลลูกหลานของท่านให้ดีที่สุดให้ได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ เช่นเดียวกับเด็กที่เรียนอยู่ในเมือง หรือในโรงเรียนขนาดใหญ่ ให้มีความเท่าเทียมกันในอนาคต สําหรับการพัฒนาการศึกษาพื้นฐานนั้น ถือเป็นกุญแจสําคัญในความสําเร็จของการพัฒนาการศึกษา ซึ่งรัฐบาล โดยคณะทํางาน โครงการสานพลังประชารัฐ ด้านการศึกษาพื้นฐานและการพัฒนาผู้นํา ได้ดําเนินงาน โดยอาศัยหลักการสําคัญ คือ การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เด็กต้องสามารถวิเคราะห์และปฏิบัติได้ด้วยตนเอง เน้นความรับผิดชอบต่อสังคม มีคุณธรรมและจริยธรรม รวมทั้ง นําเทคโนโลยีสมัยใหม่ และระบบ ICT เข้ามาสนับสนุน โดยน้อมนําแนวทางพระราชดํารัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า “เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ ที่ว่าจะอบรมโดยใช้สื่อที่ก้าวหน้าที่มีเทคโนโลยีสูงเพียงอย่างเดียวเป็นเรื่องที่ยากที่สุด ไม่มีอะไรแทนคนสอนคน” แสดงให้เห็นว่าครู – อาจารย์ มีความสําคัญอย่างยิ่งในการที่จะสอนคนให้เป็นคน คือ มีความรู้คู่คุณธรรม นอกจากการพัฒนาครูแล้ว รัฐบาลยังให้ความสําคัญกับผู้อํานวยการโรงเรียน – ผู้บริหารการศึกษาระดับต่างๆ รวมทั้งการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการร่วมกันพัฒนาการศึกษา ในแต่ละท้องถิ่นของตนเอง กลไกประชารัฐนั้น ที่มีผลกับการพัฒนาด้านการศึกษาพื้นฐาน ปัจจุบันมีความคืบหน้าไปมาก ภายใต้โครงการ คอน-เน็ก- อี-ดี (CONNEXT-ED) เพื่อจะดูแลโรงเรียนในช่วงแรก จํานวน 3,342 โรงเรียน และจะขยายผลให้ครบ 7,424 โรงเรียน ในปี 2560 เป็นโรงเรียนต้นแบบประชารัฐในทุกตําบล ทั่วประเทศ โดยการทํางานร่วมกันของผู้นํารุ่นใหม่กับผู้อํานวยการโรงเรียน ทั้งแผนการพัฒนาการศึกษา ตามบริบทของแต่ละโรงเรียน และแผนการพัฒนาโรงเรียน โดย 12 องค์กรเอกชน ที่ร่วมโครงการจะพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ โรงเรียนละ 500,000-1,000,000 บาท เพื่อยกระดับการศึกษาพื้นฐาน สู่มาตรฐานสากล ซึ่งในอนาคต จะจัดตั้งกองทุนการศึกษาวิจัยในการเพิ่มศักยภาพ การส่งเสริมและพัฒนาความเป็นเลิศในด้านการศึกษา การค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีแห่งอนาคต ใน 4 ด้าน คือ Bio, Nano, Robotic และ Digital โดยมุ่งเน้นสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมของผู้นํารุ่นใหม่รองรับการเป็นศูนย์กลางการศึกษาและวิจัยในระดับภูมิภาค และสอดคล้องกับนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0 ในการที่จะผลิตแรงงานมีทักษะฝีมือ ป้อน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และการขับเคลื่อนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยนวัตกรรมของประเทศไทยเอง ผมย้ําว่าทุกความสําเร็จในการพัฒนาประเทศนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือกัน ทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ อย่างจริงจัง เพื่อสร้างอนาคตของประเทศ ด้วยการพัฒนาคุณภาพคนไทยทุกกลุ่ม ทุกพื้นที่ ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา มีความเท่าเทียมกัน ผมขอความร่วมมือจากครู ผู้ปกครองทุกคน สุดท้ายนี้ ผมขอชื่นชมจิตอาสา และทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันถวายพระเกียรติและร่วมกันทําดีเพื่อพ่อ ในการดูแลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการเดินทางมาถวายบังคมพระบรมศพ ณ พื้นที่ท้องสนามหลวง และพระบรมมหาราชวัง การรวมพลัง เอาชนะความเสียใจ ความเศร้าโศก เพื่อเป็นพลังในทางสร้างสรรค์ และความร่วมมือนี้ ผมถือว่าเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ที่คนไทยร่วมกันทํา ถวายในหลวงของเรา แม้ว่า 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราขาดพลังขับเคลื่อน เพราะไม่สามัคคีกัน ทะเลาะ ขัดแย้ง ติดกับดักตัวเอง จนทําให้ประชาชนไม่ได้รับการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน และขาดการสร้างความเข้มแข็ง อย่างเป็นระบบระเบียบ เป็นเหตุให้เราย่ําอยู่กับที่ และอาจจะช้ากว่าที่ควรจะเป็นก้าวไม่ทันโลก ไม่ทันเพื่อน ซึ่งเราจะปล่อยให้เป็นแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้ หากเรายังติดอยู่กับความคิดเดิม ๆ นิสัยเดิม ๆ ที่เป็นสะดวกนิยม จนมองข้ามความถูกต้อง ความมีวินัย และความเสียสละ ผมเชื่อว่าทุกคนรู้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี อะไรถูก อะไรผิด ขอให้พวกเราทุกคน ใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงตนเอง หันหน้าเข้าหากัน รู้ รัก สามัคคี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลร่วมกัน ในวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายนนี้ ครบ 30 วัน การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัฐบาลคํานึงถึงการแสดงความอาลัย และน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการเดินหน้าประเทศอย่างราบรื่นต่อเนื่อง ได้ผ่อนผันให้ทุกภาคส่วนดําเนินกิจกรรมได้ ที่ผ่านมาก็ขอให้พิจารณาถึงความรู้สึกของประชาชนด้วย และบรรยากาศของสังคมด้วย สําหรับเทศกาลวันลอยกระทงนี้ ก็ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดําเนินตามขนบธรรมเนียมประเพณีไทย สืบสานความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีความปลอดภัย ทั้งในเรื่องของการเดินทางสัญจร และในเรื่องของกิจกรรม ระมัดระวังอุบัติเหตุต่าง ๆ หลายหน่วยงานได้อํานวยดูแลความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะของเรือโดยสาร ท่าน้ํา ท่าเรือ โป๊ะ และแหล่งน้ําในการลอยกระทง รวมทั้งขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนโดยใช้วัสดุที่ทําจากธรรมชาติ ในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในการทํากระทงเพื่อมาลอยมาขายในครั้งนี้ รวมทั้งให้ความรู้แก่ลูกหลานในเทศกาลนี้อย่างถูกต้อง วัตถุประสงค์ก็เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา คงไม่ใช่เพียงมุ่งหวังแต่ความสนุกสนานรื่นเริงแต่เพียงอย่างเดียว ขอบคุณครับ ขอให้มีความสุข สวัสดีครับ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/769
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2562 วันนี้ (6 ธ.ค. 62 ) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2562 โดยมีข้อหารือเกี่ยวกับบทบาท ภารกิจ ด้านการต่างประเทศของ กระทรวงอุตสาหกรรม และมีนายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมด้วย ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2562 วันนี้ (6 ธ.ค. 62 ) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านต่างประเทศของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2562 โดยมีข้อหารือเกี่ยวกับบทบาท ภารกิจ ด้านการต่างประเทศของ กระทรวงอุตสาหกรรม และมีนายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมด้วย ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25078
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตา
วันเสาร์ที่ 19 มกราคม 2562 สธ.ผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตา กระทรวงสาธารณสุข ระดมจักษุแพทย์ เครื่องมือแพทย์ จากเขตสุขภาพที่ 4 และมูลนิธิ พอ.สว. ผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตา อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 กระทรวงสาธารณสุข ระดมจักษุแพทย์ เครื่องมือแพทย์ จากเขตสุขภาพที่ 4 และมูลนิธิ พอ.สว. ผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตา อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้ (19 มกราคม 2562) ที่โรงพยาบาลปทุมธานี จ.ปทุมธานี นพ.สมยศ ศรีจารนัย สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 4 เปิดโครงการผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตา อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อส่งเสริมและเพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดการรอคิวผ่าตัด ลดภาวะแทรกซ้อน และลดความพิการ ตลอดจนเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุ นายแพทย์สมยศกล่าวว่า คณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสาขาจักษุ เขตสุขภาพที่ 4 ได้จัดทําโครงการผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตาฯ รองรับผู้ป่วยจากโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งรัฐบาลมอบเป็นของขวัญให้คนไทย และผู้ป่วยอื่นๆที่คัดกรองไว้แล้วจํานวน 109 คน นัดมาทําการผ่าตัดพร้อมกันที่โรงพยาบาลปทุมธานี โดยระดมจักษุแพทย์ พยาบาล เครื่องมือแพทย์ อาทิ กล้องผ่าตัดตา เครื่องสลายต้อกระจก จากโรงพยาบาลอ่างทอง โรงพยาบาลสระบุรี โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า มูลนิธิ พอ.สว. และโรงพยาบาลปทุมธานี ทําให้ผู้ป่วยได้รับบริการได้อย่างรวดเร็ว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นายแพทย์สมยศกล่าวต่อว่า โรคต้อกระจก เกิดจากความผิดปกติของเลนส์ตา พบมากในผู้สูงอายุ เป็นปัญหาสําคัญที่ทําให้ตาบอดได้ ปัจจุบันไทยมีผู้ป่วยโรคต้อกระจกประมาณ 1.2 แสนคนรอคอยการผ่าตัด และมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 4 หมื่นคน กระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญกับปัญหาดังกล่าว ได้กําหนดให้เรื่องตาอยู่ในแผนพัฒนาระบบบริการ (Service Plan) ส่งเสริมและเพิ่มการเข้าถึงบริการให้กับผู้ป่วย ตั้งเป้าลดอัตราความชุกของตาบอดให้ต่ํากว่าร้อยละ 0.5 ตามเกณฑ์องค์การอนามัยโลก ล่าสุดได้จัดทําโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฯ ที่มีบริการตรวจคัดกรองสุขภาพตา ค้นหาและนําผู้ป่วยเข้าสู่ระบบบริการอีกหนึ่งช่องทาง ประชาชนเข้าถึงบริการและพอใจกับโครงการดังกล่าว ************************************** 19 มกราคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตา วันเสาร์ที่ 19 มกราคม 2562 สธ.ผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตา กระทรวงสาธารณสุข ระดมจักษุแพทย์ เครื่องมือแพทย์ จากเขตสุขภาพที่ 4 และมูลนิธิ พอ.สว. ผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตา อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 กระทรวงสาธารณสุข ระดมจักษุแพทย์ เครื่องมือแพทย์ จากเขตสุขภาพที่ 4 และมูลนิธิ พอ.สว. ผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตา อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้ (19 มกราคม 2562) ที่โรงพยาบาลปทุมธานี จ.ปทุมธานี นพ.สมยศ ศรีจารนัย สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 4 เปิดโครงการผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตา อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อส่งเสริมและเพิ่มการเข้าถึงบริการ ลดการรอคิวผ่าตัด ลดภาวะแทรกซ้อน และลดความพิการ ตลอดจนเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้สูงอายุ นายแพทย์สมยศกล่าวว่า คณะกรรมการพัฒนาระบบบริการสาขาจักษุ เขตสุขภาพที่ 4 ได้จัดทําโครงการผ่าตัดต้อกระจกเฉลิมพระเกียรติ 109 ดวงตาฯ รองรับผู้ป่วยจากโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งรัฐบาลมอบเป็นของขวัญให้คนไทย และผู้ป่วยอื่นๆที่คัดกรองไว้แล้วจํานวน 109 คน นัดมาทําการผ่าตัดพร้อมกันที่โรงพยาบาลปทุมธานี โดยระดมจักษุแพทย์ พยาบาล เครื่องมือแพทย์ อาทิ กล้องผ่าตัดตา เครื่องสลายต้อกระจก จากโรงพยาบาลอ่างทอง โรงพยาบาลสระบุรี โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า มูลนิธิ พอ.สว. และโรงพยาบาลปทุมธานี ทําให้ผู้ป่วยได้รับบริการได้อย่างรวดเร็ว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นายแพทย์สมยศกล่าวต่อว่า โรคต้อกระจก เกิดจากความผิดปกติของเลนส์ตา พบมากในผู้สูงอายุ เป็นปัญหาสําคัญที่ทําให้ตาบอดได้ ปัจจุบันไทยมีผู้ป่วยโรคต้อกระจกประมาณ 1.2 แสนคนรอคอยการผ่าตัด และมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 4 หมื่นคน กระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญกับปัญหาดังกล่าว ได้กําหนดให้เรื่องตาอยู่ในแผนพัฒนาระบบบริการ (Service Plan) ส่งเสริมและเพิ่มการเข้าถึงบริการให้กับผู้ป่วย ตั้งเป้าลดอัตราความชุกของตาบอดให้ต่ํากว่าร้อยละ 0.5 ตามเกณฑ์องค์การอนามัยโลก ล่าสุดได้จัดทําโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ฯ ที่มีบริการตรวจคัดกรองสุขภาพตา ค้นหาและนําผู้ป่วยเข้าสู่ระบบบริการอีกหนึ่งช่องทาง ประชาชนเข้าถึงบริการและพอใจกับโครงการดังกล่าว ************************************** 19 มกราคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18232
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาชี้แจง กรณีการปรับหลักสูตรครูเป็น 4 ปี
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2561 เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาชี้แจง กรณีการปรับหลักสูตรครูเป็น 4 ปี เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาชี้แจง กรณีการปรับหลักสูตรครูเป็น 4 ปี วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงประเด็นการปรับหลักสูตรครูเป็น 4 ปี ดังนี้ สาระสําคัญ : นายไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระบุว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายให้สถาบันผลิตครูกลับมาเปิดสอนหลักสูตร 4 ปี เริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2562 เป็นต้นไป ทําให้เกิดผลกระทบกับการปรับหลักสูตรของมหาวิทยาลัยฯ และการรับสมัครนักศึกษาในปีการศึกษา 2562 เพราะมาตรฐานวิชาชีพครูและร่างหลักสูตรมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติระดับปริญญาตรี ที่สถาบันผลิตครูต้องนํามาใช้ในการปรับหลักสูตร เพิ่งได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ทําให้กระบวนการต่างๆ จะประกาศใช้ได้ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งจะทันกับการรับสมัครทีแคสรอบ 2 ทางมหาวิทยาลัยฯ จึงประกาศงดรับนักศึกษาในคณะครุศาสตร์ผ่านระบบทีแคสรอบแรก และนักศึกษาโครงการผลิตครูคืนถิ่น เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าโครงการนี้จะต้องใช้หลักสูตรกี่ปี เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่งดรับนักศึกษาในระบบทีแคสรอบ 1 จึงขอเรียกร้องให้ผู้ที่รับผิดชอบดําเนินการเพื่อให้มีความชัดเจน ข้อชี้แจง 1. ระบบการรับเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาหรือ TCAS ดําเนินวิธีการคัดเลือกโดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีการรับเข้าในปี 2562 รวม 5 รอบ ประมาณ ธ.ค. 61/ มี.ค. 62/ พ.ค.62/ มิ.ย.62/ ก.ค. 62 ตามลําดับ โดยรอบที่ 3 และ 4 จะใช้คะแนนสอบ ส่วนรอบอื่นๆ อาจใช้ PORTFOLIO/ สอบสัมภาษณ์/ โควต้า ฯลฯ 2. ปัจจุบันสถาบันอุดมศึกษาเปิดสอนหลักสูตรครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์ (หลักสูตรครู) 5 ปีเท่านั้น และมีมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งกําลังพัฒนาหลักสูตรครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์ เป็นหลักสูตร 4 ปี ซึ่งคาดว่าจะทําหลักสูตรครู 4 ปี เสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จากนั้น จึงจะประกาศรับสมัครนักศึกษา ดังนั้น มหาวิทยาลัยสามารถเลือกสอนในหลักสูตรครูแบบ 4 ปี หรือ 5 ปีก็ได้ 3. ดังนั้น ในระบบ TCAS เพื่อรับเข้าศึกษาในปีการศึกษา 2562 หากมหาวิทยาลัยเปิดสอนหลักสูตรครู 5 ปี สามารถเปิดรับตามระบบ TCAS ได้ทันที ตั้งแต่รอบที่ 1 – 5 ส่วนมหาวิทยาลัยที่จะเปิดสอนหลักสูตรครู 4 ปี ซึ่งหลักสูตรจะเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จึงเปิดรับตามระบบ TCAS ได้ในรอบ 2 – 5 4. กรณีโครงการผลิตครูคืนถิ่นเป็นโครงการที่คัดเลือกนักศึกษาครูที่มีศักยภาพสูง (เกรด 3.00 ขึ้นไป) โดยสกอ. ไม่ได้กําหนดว่าต้องเป็นหลักสูตรครู 4 ปี หรือ 5 ปี แต่ต้องเป็นหลักสูตรครูที่มีคุณภาพสูงในสาขาวิชานั้น และมีผลผลิต (บัณฑิตครู) ที่มีศักยภาพและสมรรถนะตามที่โครงการผลิตครูคืนถิ่นกําหนด จึงขึ้นอยู่กับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยเป็นสําคัญ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาชี้แจง กรณีการปรับหลักสูตรครูเป็น 4 ปี วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2561 เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาชี้แจง กรณีการปรับหลักสูตรครูเป็น 4 ปี เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาชี้แจง กรณีการปรับหลักสูตรครูเป็น 4 ปี วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงประเด็นการปรับหลักสูตรครูเป็น 4 ปี ดังนี้ สาระสําคัญ : นายไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระบุว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายให้สถาบันผลิตครูกลับมาเปิดสอนหลักสูตร 4 ปี เริ่มตั้งแต่ปีการศึกษา 2562 เป็นต้นไป ทําให้เกิดผลกระทบกับการปรับหลักสูตรของมหาวิทยาลัยฯ และการรับสมัครนักศึกษาในปีการศึกษา 2562 เพราะมาตรฐานวิชาชีพครูและร่างหลักสูตรมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติระดับปริญญาตรี ที่สถาบันผลิตครูต้องนํามาใช้ในการปรับหลักสูตร เพิ่งได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ทําให้กระบวนการต่างๆ จะประกาศใช้ได้ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ซึ่งจะทันกับการรับสมัครทีแคสรอบ 2 ทางมหาวิทยาลัยฯ จึงประกาศงดรับนักศึกษาในคณะครุศาสตร์ผ่านระบบทีแคสรอบแรก และนักศึกษาโครงการผลิตครูคืนถิ่น เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่าโครงการนี้จะต้องใช้หลักสูตรกี่ปี เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่งดรับนักศึกษาในระบบทีแคสรอบ 1 จึงขอเรียกร้องให้ผู้ที่รับผิดชอบดําเนินการเพื่อให้มีความชัดเจน ข้อชี้แจง 1. ระบบการรับเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาหรือ TCAS ดําเนินวิธีการคัดเลือกโดยที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีการรับเข้าในปี 2562 รวม 5 รอบ ประมาณ ธ.ค. 61/ มี.ค. 62/ พ.ค.62/ มิ.ย.62/ ก.ค. 62 ตามลําดับ โดยรอบที่ 3 และ 4 จะใช้คะแนนสอบ ส่วนรอบอื่นๆ อาจใช้ PORTFOLIO/ สอบสัมภาษณ์/ โควต้า ฯลฯ 2. ปัจจุบันสถาบันอุดมศึกษาเปิดสอนหลักสูตรครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์ (หลักสูตรครู) 5 ปีเท่านั้น และมีมหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งกําลังพัฒนาหลักสูตรครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์ เป็นหลักสูตร 4 ปี ซึ่งคาดว่าจะทําหลักสูตรครู 4 ปี เสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จากนั้น จึงจะประกาศรับสมัครนักศึกษา ดังนั้น มหาวิทยาลัยสามารถเลือกสอนในหลักสูตรครูแบบ 4 ปี หรือ 5 ปีก็ได้ 3. ดังนั้น ในระบบ TCAS เพื่อรับเข้าศึกษาในปีการศึกษา 2562 หากมหาวิทยาลัยเปิดสอนหลักสูตรครู 5 ปี สามารถเปิดรับตามระบบ TCAS ได้ทันที ตั้งแต่รอบที่ 1 – 5 ส่วนมหาวิทยาลัยที่จะเปิดสอนหลักสูตรครู 4 ปี ซึ่งหลักสูตรจะเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จึงเปิดรับตามระบบ TCAS ได้ในรอบ 2 – 5 4. กรณีโครงการผลิตครูคืนถิ่นเป็นโครงการที่คัดเลือกนักศึกษาครูที่มีศักยภาพสูง (เกรด 3.00 ขึ้นไป) โดยสกอ. ไม่ได้กําหนดว่าต้องเป็นหลักสูตรครู 4 ปี หรือ 5 ปี แต่ต้องเป็นหลักสูตรครูที่มีคุณภาพสูงในสาขาวิชานั้น และมีผลผลิต (บัณฑิตครู) ที่มีศักยภาพและสมรรถนะตามที่โครงการผลิตครูคืนถิ่นกําหนด จึงขึ้นอยู่กับคุณภาพการจัดการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยเป็นสําคัญ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17060
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ขานรับนโยบายรัฐ ขยาย “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการเพื่อรักษาการจ้างงาน ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19
วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 EXIM BANK ขานรับนโยบายรัฐ ขยาย “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการเพื่อรักษาการจ้างงาน ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 EXIM BANK สนับสนุนสํานักงานประกันสังคม ส่งเสริมการจ้างงานของสถานประกอบการในซัพพลายเชนของการส่งออกไทย โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม โดยจัดทําโครงการ “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” วงเงินสูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยต่ําสุด 3% ต่อปี EXIM BANK สนับสนุนสํานักงานประกันสังคม ส่งเสริมการจ้างงานของสถานประกอบการในซัพพลายเชนของการส่งออกไทย โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม โดยจัดทําโครงการ “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” วงเงินสูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยต่ําสุด 3% ต่อปี ระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ รวมถึงสภาพคล่องของสถานประกอบการ โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งอาจนําไปสู่การลดหรือเลิกจ้างแรงงาน อันจะเป็นการซ้ําเติมเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนยิ่งขึ้นไปอีก EXIM BANK จึงเข้าร่วมสนับสนุน “โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” ของสํานักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้สถานประกอบการดํารงอยู่ได้ รวมทั้งสามารถรักษาการจ้างงาน เพื่อผลิตและจําหน่ายสินค้าได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจปี 2563 ส่งผลให้แรงงานในสถานประกอบการยังคงมีงานทําและอยู่ในระบบประกันสังคมได้ต่อไป สถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกับ สปส. สามารถขอรับบริการ “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท มี 2 ทางเลือก คือ 1. สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน Series 1 เงินกู้ระยะเวลา 3 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 อยู่ที่ 3% ต่อปี กรณีมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน 2. สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน Series 2 เงินกู้ระยะเวลา 7 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 อยู่ที่ 3% ต่อปี ปีที่ 4-7 อยู่ที่ Prime Rate -1.25% ต่อปี หรือประมาณ 4.5% ต่อปี (Prime Rate ณ 14 เมษายน 2563 เท่ากับ 5.75%) ทั้งนี้ สามารถใช้หนังสือค้ําประกันของบรรษัทสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันร่วมได้ ติดต่อขอรับบริการได้ที่ EXIM BANK ตั้งแต่บัดนี้-30 ธันวาคม 2563 สอบถามโทร. 0 2617 2111 ต่อ 3510-2 “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงานเป็นมาตรการหนึ่งของ EXIM BANK ในการเยียวยาความเดือดร้อนของภาคธุรกิจ ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง นอกเหนือจากมาตรการอื่นๆ ที่ EXIM BANK ขานรับนโยบายภาครัฐและร่วมมือกับภาคธุรกิจเพื่อช่วยเหลือให้ทุกภาคส่วนผ่านความยากลําบากในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ไปได้” นายพิศิษฐ์กล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4 EXIM Thailand Responds to Government Policy with Extension of “EXIM Loan for Employment Credit” to Boost Liquidity for Entrepreneurs to Maintain Employment amid COVID-19 Spread EXIM Thailand has supported the SSO in promoting employment of business entities in Thai export supply chain, manufacturing industries in particular, with “EXIM Loan for Employment Credit” which offers a maximum credit line of up to 15 million baht per business entity with a minimum interest rate of 3% per annum for a 7-year maximum loan period. Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that, due to the current broad ranging adverse impacts of the COVID-19 pandemic on business operations and liquidity of business enterprises, particularly manufacturing factories, which may prompt reduction of headcounts or redundancy of workers and further hurt the overall economy and the well-being of the general public. EXIM Thailand has thus participated in “Loan for Employment Credit” scheme of the Social Security Office (SSO), Ministry of Labor, within the total credit budget of 30,000 million baht to enhance business entities’ liquidity so that they can survive with retention of labor force and ongoing production and distribution of products. This will help ensure that the SSO’s insured persons will have continuous employment and remain in the social security system amid the economic circumstances in 2020. Business entities registered with the SSO may apply for a credit facility under “EXIM Loan for Employment Credit” each with a credit line of up to 15 million baht in any of the following two types: 1. EXIM Loan for Employment Credit Series 1, with a 3-year loan period and a minimum interest rate of 3% per annum for the 1st-3rd years in case of asset-based collateral. 2. EXIM Loan for Employment Credit Series 2, with a 7-year loan period and an interest rate of 3% per annum for the 1st-3rd years and prime rate -1.25% or about 4.5% per annum for the 4th-7th years. Prime rate as of April 14, 2020 is 5.75%. The credit facility is available from now until December 30, 2020 and can be secured by a letter of guarantee from Thai Credit Guarantee Corporation (TCG). Interested entities may apply for the facility. For further information, please call 0 2617 2111 ext. 3510-2. “EXIM Loan for Employment Credit is another scheme of EXIM Thailand to relieve the hardship of business sectors, involving both the employers and the employees, in addition to other schemes in response to the government policy and in collaboration with the business sectors to assist all sectors of the economy to weather the COVID-19 contagion situation,” added Mr. Pisit. For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ขานรับนโยบายรัฐ ขยาย “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการเพื่อรักษาการจ้างงาน ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 EXIM BANK ขานรับนโยบายรัฐ ขยาย “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการเพื่อรักษาการจ้างงาน ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 EXIM BANK สนับสนุนสํานักงานประกันสังคม ส่งเสริมการจ้างงานของสถานประกอบการในซัพพลายเชนของการส่งออกไทย โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม โดยจัดทําโครงการ “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” วงเงินสูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยต่ําสุด 3% ต่อปี EXIM BANK สนับสนุนสํานักงานประกันสังคม ส่งเสริมการจ้างงานของสถานประกอบการในซัพพลายเชนของการส่งออกไทย โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม โดยจัดทําโครงการ “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” วงเงินสูงสุด 15 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยต่ําสุด 3% ต่อปี ระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ รวมถึงสภาพคล่องของสถานประกอบการ โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งอาจนําไปสู่การลดหรือเลิกจ้างแรงงาน อันจะเป็นการซ้ําเติมเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนยิ่งขึ้นไปอีก EXIM BANK จึงเข้าร่วมสนับสนุน “โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” ของสํานักงานประกันสังคม (สปส.) กระทรวงแรงงาน วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้สถานประกอบการดํารงอยู่ได้ รวมทั้งสามารถรักษาการจ้างงาน เพื่อผลิตและจําหน่ายสินค้าได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจปี 2563 ส่งผลให้แรงงานในสถานประกอบการยังคงมีงานทําและอยู่ในระบบประกันสังคมได้ต่อไป สถานประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกับ สปส. สามารถขอรับบริการ “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน” วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท มี 2 ทางเลือก คือ 1. สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน Series 1 เงินกู้ระยะเวลา 3 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 อยู่ที่ 3% ต่อปี กรณีมีหลักทรัพย์ค้ําประกัน 2. สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน Series 2 เงินกู้ระยะเวลา 7 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-3 อยู่ที่ 3% ต่อปี ปีที่ 4-7 อยู่ที่ Prime Rate -1.25% ต่อปี หรือประมาณ 4.5% ต่อปี (Prime Rate ณ 14 เมษายน 2563 เท่ากับ 5.75%) ทั้งนี้ สามารถใช้หนังสือค้ําประกันของบรรษัทสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันร่วมได้ ติดต่อขอรับบริการได้ที่ EXIM BANK ตั้งแต่บัดนี้-30 ธันวาคม 2563 สอบถามโทร. 0 2617 2111 ต่อ 3510-2 “สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อส่งเสริมการจ้างงานเป็นมาตรการหนึ่งของ EXIM BANK ในการเยียวยาความเดือดร้อนของภาคธุรกิจ ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง นอกเหนือจากมาตรการอื่นๆ ที่ EXIM BANK ขานรับนโยบายภาครัฐและร่วมมือกับภาคธุรกิจเพื่อช่วยเหลือให้ทุกภาคส่วนผ่านความยากลําบากในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ไปได้” นายพิศิษฐ์กล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4 EXIM Thailand Responds to Government Policy with Extension of “EXIM Loan for Employment Credit” to Boost Liquidity for Entrepreneurs to Maintain Employment amid COVID-19 Spread EXIM Thailand has supported the SSO in promoting employment of business entities in Thai export supply chain, manufacturing industries in particular, with “EXIM Loan for Employment Credit” which offers a maximum credit line of up to 15 million baht per business entity with a minimum interest rate of 3% per annum for a 7-year maximum loan period. Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that, due to the current broad ranging adverse impacts of the COVID-19 pandemic on business operations and liquidity of business enterprises, particularly manufacturing factories, which may prompt reduction of headcounts or redundancy of workers and further hurt the overall economy and the well-being of the general public. EXIM Thailand has thus participated in “Loan for Employment Credit” scheme of the Social Security Office (SSO), Ministry of Labor, within the total credit budget of 30,000 million baht to enhance business entities’ liquidity so that they can survive with retention of labor force and ongoing production and distribution of products. This will help ensure that the SSO’s insured persons will have continuous employment and remain in the social security system amid the economic circumstances in 2020. Business entities registered with the SSO may apply for a credit facility under “EXIM Loan for Employment Credit” each with a credit line of up to 15 million baht in any of the following two types: 1. EXIM Loan for Employment Credit Series 1, with a 3-year loan period and a minimum interest rate of 3% per annum for the 1st-3rd years in case of asset-based collateral. 2. EXIM Loan for Employment Credit Series 2, with a 7-year loan period and an interest rate of 3% per annum for the 1st-3rd years and prime rate -1.25% or about 4.5% per annum for the 4th-7th years. Prime rate as of April 14, 2020 is 5.75%. The credit facility is available from now until December 30, 2020 and can be secured by a letter of guarantee from Thai Credit Guarantee Corporation (TCG). Interested entities may apply for the facility. For further information, please call 0 2617 2111 ext. 3510-2. “EXIM Loan for Employment Credit is another scheme of EXIM Thailand to relieve the hardship of business sectors, involving both the employers and the employees, in addition to other schemes in response to the government policy and in collaboration with the business sectors to assist all sectors of the economy to weather the COVID-19 contagion situation,” added Mr. Pisit. For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29035
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เปิดตัวบัตร “บสย. Digital+”
วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563 บสย. เปิดตัวบัตร “บสย. Digital+” บสย. เปิดตัวบัตร “บสย. Digital+” สแกน ง่าย จ่าย แม่น ชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อผ่าน QR Code สะดวก ปลอดภัย ณ ธนาคารทุกแห่ง ทั่วประเทศ เริ่มแล้ววันนี้ 13 ส.ค. 2563 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดตัวบัตร “บสย. Digital+” (บสย. ดิจิทัล พลัส) สแกน ง่าย จ่าย แม่น ใช้ชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อ และธุรกรรมอื่นๆ ของ บสย. ผ่าน QR Code ช่วยอํานวยความสะดวกให้ลูกค้า บสย. สะดวก ปลอดภัย ณ ธนาคารทุกแห่ง ทั่วประเทศ เริ่มแล้ววันนี้ 13 สิงหาคม 2563 โหลดเก็บไว้ใน e-wallet ง่ายๆ 3 ขั้นตอน 1.ดาวน์โหลดบัตร “บสย. Digital+” ที่ ลิงค์ https://card.tcg.or.th 2.กรอกข้อมูล ลงทะเบียน ขอใช้บริการ 3.รับรหัส OTP ยืนยันตัวตน ระบบจะแสดง QR Code ข้อมูลเฉพาะของลูกค้า บสย. เท่านั้น และบัตร “บสย. Digital+” จะถูกเก็บไว้ใน e-wallet สะดวกและง่ายต่อการทําธุรกรรมครั้งต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. เปิดตัวบัตร “บสย. Digital+” วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม 2563 บสย. เปิดตัวบัตร “บสย. Digital+” บสย. เปิดตัวบัตร “บสย. Digital+” สแกน ง่าย จ่าย แม่น ชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อผ่าน QR Code สะดวก ปลอดภัย ณ ธนาคารทุกแห่ง ทั่วประเทศ เริ่มแล้ววันนี้ 13 ส.ค. 2563 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดตัวบัตร “บสย. Digital+” (บสย. ดิจิทัล พลัส) สแกน ง่าย จ่าย แม่น ใช้ชําระค่าธรรมเนียมค้ําประกันสินเชื่อ และธุรกรรมอื่นๆ ของ บสย. ผ่าน QR Code ช่วยอํานวยความสะดวกให้ลูกค้า บสย. สะดวก ปลอดภัย ณ ธนาคารทุกแห่ง ทั่วประเทศ เริ่มแล้ววันนี้ 13 สิงหาคม 2563 โหลดเก็บไว้ใน e-wallet ง่ายๆ 3 ขั้นตอน 1.ดาวน์โหลดบัตร “บสย. Digital+” ที่ ลิงค์ https://card.tcg.or.th 2.กรอกข้อมูล ลงทะเบียน ขอใช้บริการ 3.รับรหัส OTP ยืนยันตัวตน ระบบจะแสดง QR Code ข้อมูลเฉพาะของลูกค้า บสย. เท่านั้น และบัตร “บสย. Digital+” จะถูกเก็บไว้ใน e-wallet สะดวกและง่ายต่อการทําธุรกรรมครั้งต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34165
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ผนึกกำลังพันธมิตร สานฝันเยาวชนต้นกล้า SMEs ประกาศผลแผนธุรกิจเยี่ยมปูทางสร้าง Startup หน้าใหม่
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ธพว. ผนึกกําลังพันธมิตร สานฝันเยาวชนต้นกล้า SMEs ประกาศผลแผนธุรกิจเยี่ยมปูทางสร้าง Startup หน้าใหม่ ความร่วมมือระหว่างธนาคารกับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย มูลนิธิซิตี้ และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 30 แห่ง จัดกิจกรรม “การเตรียมความพร้อมเยาวชนสู่การเป็นผู้ประกอบการ” ผ่านโครงการเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมสู่วัยทํางาน ปี 3 ธพว. เดินหน้าพันธกิจสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนา ผนึกกําลังมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย มูลนิธิซิตี้ และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 30 แห่ง สร้างโอกาสผลักดันเยาวชนต้นกล้าสู่การเป็น SMEs Startup หน้าใหม่มืออาชีพ เปิดเวทีวัดแผนธุรกิจเยี่ยม ครั้งที่ 3 เสริมแกร่งด้วยหลักสูตรอบรมสุดเข้มข้น เผยคนรุ่นใหม่สนใจสมัครเข้าร่วม 51 ราย ผ่านคัดเลือกคว้ารางวัล 6 ราย รับทุนเริ่มธุรกิจมูลค่ากว่า 4 แสนบาท นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยถึงความร่วมมือระหว่างธนาคารกับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย มูลนิธิซิตี้ และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 30 แห่ง จัดกิจกรรม “การเตรียมความพร้อมเยาวชนสู่การเป็นผู้ประกอบการ” ผ่านโครงการเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมสู่วัยทํางาน ปี 3 โดยเปิดเวทีแข่งขันการประกวดแผนธุรกิจ SMEs ปี 3 ซึ่งได้รับความสนใจจากเยาวชนคนรุ่นใหม่สมัครเข้าร่วมโครงการ จํานวน 51 ราย และร่วมส่งแผนธุรกิจ SMEs เข้าคัดเลือกจํานวน 38 แผน คณะกรรมคัดกรองผ่านการคัดเลือกแผนธุรกิจ จํานวน 15 ราย และเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ได้ประกาศผลผู้คว้ารางวัลแผนธุรกิจดีเด่นอย่างเป็นทางการ โดยมีเยาวชนได้รับรางวัล จํานวน 6 รางวัล มูลค่าเงินรางวัลรวมกว่า 4 แสนบาท พร้อมกันนี้จัด “ลานกิจกรรมอาชีพเยาวชน ปี3” เพื่อให้เยาวชนที่ได้รับรางวัลได้ออกบูธแสดงผลงานด้วย สําหรับเยาวชนที่ได้รับรางวัลการประกวดแข่งขันแผนธุรกิจ SMEs ปี 3 ได้แก่ 1. รางวัลชนะเลิศ จํานวน 1 รางวัล เงินรางวัลมูลค่า 100,000 บาท - นางสาวธนธรณ์ เอียการนา อายุ 19 ปี ผู้นําเสนอแผนธุรกิจ “เทียนหยด” ประเภทอาหารไทย ขยายตลาดรับออเดอร์ผ่านออนไลน์ โดยสแกนคิวอาร์โค้ด 2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จํานวน 2 รางวัล เงินรางวัลต่อรายมูลค่า 80,000 บาท - นางสาวอัจฉรา รสพูน อายุ 20 ปี ผู้นําเสนอแผนธุรกิจ“Nookie make up” ประเภทเสริมสวย-แต่งหน้า บริการนอกสถานที่ แบบดิลิฟเวอร์ลี่ - นางสาวขวัญฤดี อุ่นจิตร์ อายุ 24 ปี ผู้นําเสนอแผนธุรกิจ“Khanitsara fashion shop” ประเภทตัดเย็บเสื้อผ้า ใช้วัสดุจากเศษผ้ามาพลิกโฉมเพิ่มค่า 3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จํานวน 3 รางวัล เงินรางวัลต่อรายมูลค่า 60,000 บาท - นางสาวสุรีรัตน์ ปรีสุวรรณ อายุ 17 ปี ผู้นําเสนอแผนธุรกิจ“Cloting Clinic” ไอเดียรับออกแบบ สร้างแพทเทิร์นชุดแฟชั่นมุสลิม - นางสาวกาญจนา สุหาลา อายุ 17 ปี ผู้นําเสนอแผนธุรกิจ“Cosmetic in Schools” รับแต่งหน้าเด็กนักเรียนทั้งในและนอกโรงเรียน สไตล์ใสๆ เป็นธรรมชาติ - นายเปรม รองรัตน์ อายุ 23 ปี ผู้นําเสนอแผนธุรกิจ“Saint Barber & Salon” ประเภทเสริมสวยตัดผมชาย-หญิง ในสไตล์วินเทจ นางสาวนารถนารี กล่าวเพิ่มเติมว่า ธพว. มีพันธกิจหลักในการเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐบาล เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการ ทั้งรายเดิม และหน้าใหม่ ด้วยการเติมความรู้คู่เงินทุน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ซึ่งการร่วมโครงการดังกล่าวฯ จะช่วยส่งเสริมเยาวชนที่มีความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และมีความมุ่งมั่น ได้มีกิจการเป็นของตนเอง ซึ่งธนาคารได้เล็งเห็นถึงความสําคัญ และพร้อมผลักดันให้เยาวชนกลุ่มนี้ได้รับโอกาสก้าวสู่การเป็น Startup SMEs หน้าใหม่ ผ่านการอบรมหลักสูตรสร้างและยกระดับผู้ประกอบการจากผู้เชี่ยวชาญในโครงการ SME D Campus ของ ธพว. ซึ่งจะคอยติดตามให้คําปรึกษาแนะนําอย่างเข้มข้น สําหรับหลักสูตรเตรียมความพร้อมเป็นผู้ประกอบการให้แก่เยาวชนในโครงการนี้ จํานวน 30 ชั่วโมง ซึ่งเป็นความรู้ที่เหมาะสมและจําเป็นต่อการประกอบธุรกิจในยุคปัจจุบัน เช่น หลักสูตร Business Model Canvas (BMC) การเขียนแผนธุรกิจ องค์ประกอบและประโยชน์ของแผน การวิเคราะห์ SWOT แผนกลยุทธ์การตลาด การบัญชี ด้านธรรมาภิบาล และวินัยทางการเงิน เป็นต้น ซึ่งธนาคาร มั่นใจว่ากิจกรรมดังกล่าว เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกและได้รับรางวัล จะก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการเลือดใหม่ที่มีศักยภาพเป็นพลังสําคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ผนึกกำลังพันธมิตร สานฝันเยาวชนต้นกล้า SMEs ประกาศผลแผนธุรกิจเยี่ยมปูทางสร้าง Startup หน้าใหม่ วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ธพว. ผนึกกําลังพันธมิตร สานฝันเยาวชนต้นกล้า SMEs ประกาศผลแผนธุรกิจเยี่ยมปูทางสร้าง Startup หน้าใหม่ ความร่วมมือระหว่างธนาคารกับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย มูลนิธิซิตี้ และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 30 แห่ง จัดกิจกรรม “การเตรียมความพร้อมเยาวชนสู่การเป็นผู้ประกอบการ” ผ่านโครงการเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมสู่วัยทํางาน ปี 3 ธพว. เดินหน้าพันธกิจสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนา ผนึกกําลังมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย มูลนิธิซิตี้ และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 30 แห่ง สร้างโอกาสผลักดันเยาวชนต้นกล้าสู่การเป็น SMEs Startup หน้าใหม่มืออาชีพ เปิดเวทีวัดแผนธุรกิจเยี่ยม ครั้งที่ 3 เสริมแกร่งด้วยหลักสูตรอบรมสุดเข้มข้น เผยคนรุ่นใหม่สนใจสมัครเข้าร่วม 51 ราย ผ่านคัดเลือกคว้ารางวัล 6 ราย รับทุนเริ่มธุรกิจมูลค่ากว่า 4 แสนบาท นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยถึงความร่วมมือระหว่างธนาคารกับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย มูลนิธิซิตี้ และหน่วยงานพันธมิตรกว่า 30 แห่ง จัดกิจกรรม “การเตรียมความพร้อมเยาวชนสู่การเป็นผู้ประกอบการ” ผ่านโครงการเสริมศักยภาพเยาวชนเพื่อเตรียมความพร้อมสู่วัยทํางาน ปี 3 โดยเปิดเวทีแข่งขันการประกวดแผนธุรกิจ SMEs ปี 3 ซึ่งได้รับความสนใจจากเยาวชนคนรุ่นใหม่สมัครเข้าร่วมโครงการ จํานวน 51 ราย และร่วมส่งแผนธุรกิจ SMEs เข้าคัดเลือกจํานวน 38 แผน คณะกรรมคัดกรองผ่านการคัดเลือกแผนธุรกิจ จํานวน 15 ราย และเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ได้ประกาศผลผู้คว้ารางวัลแผนธุรกิจดีเด่นอย่างเป็นทางการ โดยมีเยาวชนได้รับรางวัล จํานวน 6 รางวัล มูลค่าเงินรางวัลรวมกว่า 4 แสนบาท พร้อมกันนี้จัด “ลานกิจกรรมอาชีพเยาวชน ปี3” เพื่อให้เยาวชนที่ได้รับรางวัลได้ออกบูธแสดงผลงานด้วย สําหรับเยาวชนที่ได้รับรางวัลการประกวดแข่งขันแผนธุรกิจ SMEs ปี 3 ได้แก่ 1. รางวัลชนะเลิศ จํานวน 1 รางวัล เงินรางวัลมูลค่า 100,000 บาท - นางสาวธนธรณ์ เอียการนา อายุ 19 ปี ผู้นําเสนอแผนธุรกิจ “เทียนหยด” ประเภทอาหารไทย ขยายตลาดรับออเดอร์ผ่านออนไลน์ โดยสแกนคิวอาร์โค้ด 2. รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 จํานวน 2 รางวัล เงินรางวัลต่อรายมูลค่า 80,000 บาท - นางสาวอัจฉรา รสพูน อายุ 20 ปี ผู้นําเสนอแผนธุรกิจ“Nookie make up” ประเภทเสริมสวย-แต่งหน้า บริการนอกสถานที่ แบบดิลิฟเวอร์ลี่ - นางสาวขวัญฤดี อุ่นจิตร์ อายุ 24 ปี ผู้นําเสนอแผนธุรกิจ“Khanitsara fashion shop” ประเภทตัดเย็บเสื้อผ้า ใช้วัสดุจากเศษผ้ามาพลิกโฉมเพิ่มค่า 3. รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 จํานวน 3 รางวัล เงินรางวัลต่อรายมูลค่า 60,000 บาท - นางสาวสุรีรัตน์ ปรีสุวรรณ อายุ 17 ปี ผู้นําเสนอแผนธุรกิจ“Cloting Clinic” ไอเดียรับออกแบบ สร้างแพทเทิร์นชุดแฟชั่นมุสลิม - นางสาวกาญจนา สุหาลา อายุ 17 ปี ผู้นําเสนอแผนธุรกิจ“Cosmetic in Schools” รับแต่งหน้าเด็กนักเรียนทั้งในและนอกโรงเรียน สไตล์ใสๆ เป็นธรรมชาติ - นายเปรม รองรัตน์ อายุ 23 ปี ผู้นําเสนอแผนธุรกิจ“Saint Barber & Salon” ประเภทเสริมสวยตัดผมชาย-หญิง ในสไตล์วินเทจ นางสาวนารถนารี กล่าวเพิ่มเติมว่า ธพว. มีพันธกิจหลักในการเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐบาล เพื่อการพัฒนาผู้ประกอบการ ทั้งรายเดิม และหน้าใหม่ ด้วยการเติมความรู้คู่เงินทุน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ซึ่งการร่วมโครงการดังกล่าวฯ จะช่วยส่งเสริมเยาวชนที่มีความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และมีความมุ่งมั่น ได้มีกิจการเป็นของตนเอง ซึ่งธนาคารได้เล็งเห็นถึงความสําคัญ และพร้อมผลักดันให้เยาวชนกลุ่มนี้ได้รับโอกาสก้าวสู่การเป็น Startup SMEs หน้าใหม่ ผ่านการอบรมหลักสูตรสร้างและยกระดับผู้ประกอบการจากผู้เชี่ยวชาญในโครงการ SME D Campus ของ ธพว. ซึ่งจะคอยติดตามให้คําปรึกษาแนะนําอย่างเข้มข้น สําหรับหลักสูตรเตรียมความพร้อมเป็นผู้ประกอบการให้แก่เยาวชนในโครงการนี้ จํานวน 30 ชั่วโมง ซึ่งเป็นความรู้ที่เหมาะสมและจําเป็นต่อการประกอบธุรกิจในยุคปัจจุบัน เช่น หลักสูตร Business Model Canvas (BMC) การเขียนแผนธุรกิจ องค์ประกอบและประโยชน์ของแผน การวิเคราะห์ SWOT แผนกลยุทธ์การตลาด การบัญชี ด้านธรรมาภิบาล และวินัยทางการเงิน เป็นต้น ซึ่งธนาคาร มั่นใจว่ากิจกรรมดังกล่าว เยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกและได้รับรางวัล จะก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการเลือดใหม่ที่มีศักยภาพเป็นพลังสําคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24780
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หน.ผตร. เปิดการประชุม การนำ วทน. ร่วมกับจังหวัด ย้ำเร่งพัฒนารายภูมิภาค
วันพุธที่ 5 เมษายน 2560 หน.ผตร. เปิดการประชุม การนํา วทน. ร่วมกับจังหวัด ย้ําเร่งพัฒนารายภูมิภาค หน.ผตร. เปิดการประชุม การนํา วทน. ร่วมกับจังหวัด ย้ําเร่งพัฒนารายภูมิภาค 24 มีนาคม 2560 / นางนันทวรรณ ชื่นศิริ หัวหน้าผู้ตรวจราชการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ ในหัวข้อเรื่อง "แนวทางในการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมของหน่วยงาน วท. ร่วมมือกับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด โดยมีนางวนิดา บุญนาคค้า ผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี กล่าวรายงานพร้อมเป้าหมายของการประชุม นางสาวภัทริยา ไชยมณี ผู้อํานวยการสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ ให้แนวทางของการจัดประชุม นอกจากนี้ยังมีตัวแทนของแต่ละหน่วยงานเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ระหว่างวันที่ 24-26 มีนาคม 2560 ณ วังรี รีสอร์ท จังหวัดนครนายก นางนันทวรรณ ชื่นศิริกล่าวว่า ในปัจจุบัน งานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีงานวิจัยหลากหลายแขนง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า งานวิจัยเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ได้นํามาใช้จริงหรือไหม กลไกสําคัญคือการลงไปช่วยในระดับภูมิภาค เราจึงเริ่มส่งเจ้าหน้าที่ของกระทรวงลงไปตามภูมิภาคต่างๆ ซึ่งตอนแรกทางกระทรวงวิทย์ฯ ได้ขยายออกไปได้ 4 ภูมิภาค อันได้แก่ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคอีสาน นอกจากนี้ก็มีศูนย์ภาคกลาง ซึ่งอยู่ที่สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทางกระทรวงวิทย์ฯ มีโครงการที่จะนํา วทน. เข้าไปเผยแพร่ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาในแต่ละส่วนจังหวัดต่างๆ ซึ่งมีแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีของแต่ละจังหวัดอยู่แล้ว การนํา วทน. เข้าไปช่วย จะเป็นส่วนหนึ่งที่แก้ปัญหา และวางทิศทางการขับเคลื่อน พร้อมทั้งนําศักยภาพที่ทางกระทรวงวิทย์ฯ มี เข้าไปพัฒนาและให้แต่ละภาคส่วนเข้าไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ยังเป็นตัวกลางในการประสานงานวิจัย หรือนวัตกรรมต่างๆ ตอบสนองต่อความต้องการของแต่ละภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยและตอบรับนโยบายของรัฐบาล สําหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการในวันที่ 25 มีนาคม 2560 จะเป็นการนําเสนอเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมของแต่ละหน่วยงานในสังกัดที่จะนําไปร่วมมือกับจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัด ซึ่งหน่วยงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีทั้งหมด 14 หน่วยงาน แต่ละหน่วยก็มีบทบาทและหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป แต่จุดประสงค์หลัก คือ การนําเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการ ร่วมทั้งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมทั้งช่วยแก้ไขปัญหาพร้อมให้แนวทางในการดําเนินงานต่างๆ อาทิ ในส่วนขอบกรมวิทยาศาสตร์บริการ จะนําเอางานวิจัยไปยกระดับคุณภาพสินค้า Otop รวมทั้งสํารวจกลุ่มผู้ประกอบการ วิจัย ปรับปรุงและนําเข้าสู่กระบวนการ ตัวอย่างงานวิจัย เช่น การนําเอา วทน. ไปพัฒนาสบู่เหลว สเปรย์น้ําแร่ ซึ่งขณะนี้ได้ลงพื้นที่ไปแล้ว 54 จังหวัด,สํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ ทําหน้าที่ในการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์ สําหรับผู้ใช้ โดยเฉพาะการแพทย์ , อุตสาหกรรม เป็นต้น,สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย มีการพัฒนาศูนย์ของ วว. ในแต่ละภูมิภาค เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เข้ามาใช้และบูรณาการร่วมกัน, องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ มีพิพิธภัณฑ์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กรุ่นใหม่หันมาสนใจด้าน วทน. ที่กล่าวมาข้างต้นนี่เป็นส่วนหนึ่งของงานที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมมือกับจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดต่างๆ และในช่วงบ่ายของวันนี้มีการประชุมกลุ่มย่อยรายภูมิภาค ซึ่งแบ่งเป็น 6 กลุ่ม คือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก กลุ่มภาคใต้(ฝั่งอ่าวไทย/ฝั่งอันดามัน) และภาคใต้ชายแดน ในหัวข้อการนําเอา วทน. ไปพัฒนาภูมิภาค ซึ่งแต่ละภูมิภาคมีการพัฒนาในเรื่องต่างกันออกไปอาทิ วทน. เพื่อการพัฒนาสิ่งทอภาคเหนือ การเปลี่ยนเปลือกข้าวโพดเป็นอาหารหมักเลี้ยงโค เพิ่มมูลค่า ลดหมอกควัน การพัฒนาข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา ด้วย วทน. เป็นต้น ในวันที่ 26 มีนาคม 2560 แต่ละส่วนภาคได้สรุปหลังจากมีการวิเคราะห์ รวบรวมข้อมูล ระดมสมองว่ามีสิ่งใดที่จะนําเอา วทน. เข้าไปช่วย เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ และสร้างรายได้ ให้แก่ผู้ประกอบการจากการประชุมย่อยเมื่อวานนี้ อาทิ ภาคใต้ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทําจากขมิ้นชัน ซึ่งสามารถนํามาเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ,ด้านสุขภาพและด้านการแพทย์,ภาคเหนือ ในเรื่องของปัญหาหมอกควันและไฟป่า สมุนไพรและการท่องเที่ยว โดยจุดประสงค์คือจะทําอย่างไรให้เป็นเมืองสีเขียว สะอาด สุขภาพดี จะเน้นที่การพัฒนาโดยนําเครื่องมือเข้าไปช่วยการวิเคราะห์เชืงพื้นที่,ภาคกลาง การนําเอาแผนที่ดาวเทียม มาช่วยในการพัฒนาทางด้านการท่องเที่ยวรวมทั้งการเกษตรรายแปลง การแปรรูปผลไม้และการเกษตรปลอดภัย เป็นต้น ข่าว : นายปวีณ ควรแย้ม ภาพและวีดีโอ : นายภูมินทร์ ปั้นเล็ก กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail : pr@most.go.th Facebook : sciencethailand
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-หน.ผตร. เปิดการประชุม การนำ วทน. ร่วมกับจังหวัด ย้ำเร่งพัฒนารายภูมิภาค วันพุธที่ 5 เมษายน 2560 หน.ผตร. เปิดการประชุม การนํา วทน. ร่วมกับจังหวัด ย้ําเร่งพัฒนารายภูมิภาค หน.ผตร. เปิดการประชุม การนํา วทน. ร่วมกับจังหวัด ย้ําเร่งพัฒนารายภูมิภาค 24 มีนาคม 2560 / นางนันทวรรณ ชื่นศิริ หัวหน้าผู้ตรวจราชการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ ในหัวข้อเรื่อง "แนวทางในการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมของหน่วยงาน วท. ร่วมมือกับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด โดยมีนางวนิดา บุญนาคค้า ผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี กล่าวรายงานพร้อมเป้าหมายของการประชุม นางสาวภัทริยา ไชยมณี ผู้อํานวยการสํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ ให้แนวทางของการจัดประชุม นอกจากนี้ยังมีตัวแทนของแต่ละหน่วยงานเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ระหว่างวันที่ 24-26 มีนาคม 2560 ณ วังรี รีสอร์ท จังหวัดนครนายก นางนันทวรรณ ชื่นศิริกล่าวว่า ในปัจจุบัน งานของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีงานวิจัยหลากหลายแขนง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า งานวิจัยเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ได้นํามาใช้จริงหรือไหม กลไกสําคัญคือการลงไปช่วยในระดับภูมิภาค เราจึงเริ่มส่งเจ้าหน้าที่ของกระทรวงลงไปตามภูมิภาคต่างๆ ซึ่งตอนแรกทางกระทรวงวิทย์ฯ ได้ขยายออกไปได้ 4 ภูมิภาค อันได้แก่ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคอีสาน นอกจากนี้ก็มีศูนย์ภาคกลาง ซึ่งอยู่ที่สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทางกระทรวงวิทย์ฯ มีโครงการที่จะนํา วทน. เข้าไปเผยแพร่ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาในแต่ละส่วนจังหวัดต่างๆ ซึ่งมีแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีของแต่ละจังหวัดอยู่แล้ว การนํา วทน. เข้าไปช่วย จะเป็นส่วนหนึ่งที่แก้ปัญหา และวางทิศทางการขับเคลื่อน พร้อมทั้งนําศักยภาพที่ทางกระทรวงวิทย์ฯ มี เข้าไปพัฒนาและให้แต่ละภาคส่วนเข้าไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ยังเป็นตัวกลางในการประสานงานวิจัย หรือนวัตกรรมต่างๆ ตอบสนองต่อความต้องการของแต่ละภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยและตอบรับนโยบายของรัฐบาล สําหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการในวันที่ 25 มีนาคม 2560 จะเป็นการนําเสนอเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมของแต่ละหน่วยงานในสังกัดที่จะนําไปร่วมมือกับจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัด ซึ่งหน่วยงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีทั้งหมด 14 หน่วยงาน แต่ละหน่วยก็มีบทบาทและหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป แต่จุดประสงค์หลัก คือ การนําเอาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการ ร่วมทั้งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมทั้งช่วยแก้ไขปัญหาพร้อมให้แนวทางในการดําเนินงานต่างๆ อาทิ ในส่วนขอบกรมวิทยาศาสตร์บริการ จะนําเอางานวิจัยไปยกระดับคุณภาพสินค้า Otop รวมทั้งสํารวจกลุ่มผู้ประกอบการ วิจัย ปรับปรุงและนําเข้าสู่กระบวนการ ตัวอย่างงานวิจัย เช่น การนําเอา วทน. ไปพัฒนาสบู่เหลว สเปรย์น้ําแร่ ซึ่งขณะนี้ได้ลงพื้นที่ไปแล้ว 54 จังหวัด,สํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ ทําหน้าที่ในการออกใบอนุญาตเกี่ยวกับวัสดุนิวเคลียร์ สําหรับผู้ใช้ โดยเฉพาะการแพทย์ , อุตสาหกรรม เป็นต้น,สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย มีการพัฒนาศูนย์ของ วว. ในแต่ละภูมิภาค เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เข้ามาใช้และบูรณาการร่วมกัน, องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ มีพิพิธภัณฑ์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กรุ่นใหม่หันมาสนใจด้าน วทน. ที่กล่าวมาข้างต้นนี่เป็นส่วนหนึ่งของงานที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมมือกับจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดต่างๆ และในช่วงบ่ายของวันนี้มีการประชุมกลุ่มย่อยรายภูมิภาค ซึ่งแบ่งเป็น 6 กลุ่ม คือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก กลุ่มภาคใต้(ฝั่งอ่าวไทย/ฝั่งอันดามัน) และภาคใต้ชายแดน ในหัวข้อการนําเอา วทน. ไปพัฒนาภูมิภาค ซึ่งแต่ละภูมิภาคมีการพัฒนาในเรื่องต่างกันออกไปอาทิ วทน. เพื่อการพัฒนาสิ่งทอภาคเหนือ การเปลี่ยนเปลือกข้าวโพดเป็นอาหารหมักเลี้ยงโค เพิ่มมูลค่า ลดหมอกควัน การพัฒนาข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา ด้วย วทน. เป็นต้น ในวันที่ 26 มีนาคม 2560 แต่ละส่วนภาคได้สรุปหลังจากมีการวิเคราะห์ รวบรวมข้อมูล ระดมสมองว่ามีสิ่งใดที่จะนําเอา วทน. เข้าไปช่วย เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ และสร้างรายได้ ให้แก่ผู้ประกอบการจากการประชุมย่อยเมื่อวานนี้ อาทิ ภาคใต้ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทําจากขมิ้นชัน ซึ่งสามารถนํามาเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ,ด้านสุขภาพและด้านการแพทย์,ภาคเหนือ ในเรื่องของปัญหาหมอกควันและไฟป่า สมุนไพรและการท่องเที่ยว โดยจุดประสงค์คือจะทําอย่างไรให้เป็นเมืองสีเขียว สะอาด สุขภาพดี จะเน้นที่การพัฒนาโดยนําเครื่องมือเข้าไปช่วยการวิเคราะห์เชืงพื้นที่,ภาคกลาง การนําเอาแผนที่ดาวเทียม มาช่วยในการพัฒนาทางด้านการท่องเที่ยวรวมทั้งการเกษตรรายแปลง การแปรรูปผลไม้และการเกษตรปลอดภัย เป็นต้น ข่าว : นายปวีณ ควรแย้ม ภาพและวีดีโอ : นายภูมินทร์ ปั้นเล็ก กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail : pr@most.go.th Facebook : sciencethailand
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2901
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อมาติดต่อราชการ [กระทรวงคมนาคม]
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563 กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อมาติดต่อราชการ [กระทรวงคมนาคม] เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนที่มาติดต่อราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรมการขนส่งทางบกมีมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์โรคทวีความรุนแรง กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่มาติดต่อราชการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อมาติดต่อราชการที่สํานักงานขนส่ง ใช้แอลกอฮอล์ชนิดเจลหรือชนิดน้ําทั้งก่อนและหลังการรับบริการ รวมถึงเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1-2 เมตร ระหว่างรอรับบริการ ตามมาตรการ Social Distancing โดยสํานักงานขนส่งทุกแห่งมีการจัดเก้าอี้นั่งเพื่อเว้นระยะห่าง รวมถึงกําหนดจุดยืนคอย เพื่อป้องกันการติดต่อสัมผัสกัน นอกจากนี้ มีการตั้งจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกคน หากพบผู้ที่มีอาการไข้ หรืออาการต้องสงสัยเข้าข่ายอาการโรค แนะนําให้พบแพทย์หรือประสานหน่วยงานสาธารณสุขโดยเร็ว ด้านอาคารสถานที่และสิ่งอํานวยความสะดวกในหน่วยงาน เพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดฆ่าเชื้อโรคพื้นที่ให้บริการภายในสํานักงานขนส่ง โดยเฉพาะจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เช่น เคาน์เตอร์บริการ ที่จับประตู ราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ เป็นต้น รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือประชาชน ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลที่รณรงค์ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ในกรณีจําเป็นต้องมาดําเนินการที่สํานักงานขนส่ง ขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในการติดต่อราชการ และปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ปัจจุบัน กรมการขนส่งทางบก งด การดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่งทุกแห่ง และงดบริการการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติของโรงเรียนสอนขับรถที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบกทุกแห่ง จนกว่าจะมีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินหรือมีประกาศเปลี่ยนแปลง โดยมีการอํานวยความสะดวก ให้อบรมภาคทฤษฎีผ่านระบบออนไลน์ที่www.dlt-elearning.comสําหรับนํามาประกอบการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถเมื่อเปิดให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถ ทั้งนี้ ในส่วนของการให้บริการด้านทะเบียนและภาษีรถที่สํานักงานขนส่ง เปิดให้บริการปกติ โดยประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 7 ปี และรถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี ให้ใช้บริการชําระภาษีรถประจําปีผ่านช่องทางออนไลน์ ที่https://eservice.dlt.go.thส่วนรถที่ไม่สามารถใช้บริการชําระภาษีประจําปีผ่านช่องทางออนไลน์ แนะนําให้ใช้บริการเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax) ชําระภาษีได้โดยไม่ต้องลงจากรถ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อมาติดต่อราชการ [กระทรวงคมนาคม] วันพุธที่ 22 เมษายน 2563 กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อมาติดต่อราชการ [กระทรวงคมนาคม] เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนที่มาติดต่อราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรมการขนส่งทางบกมีมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์โรคทวีความรุนแรง กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่มาติดต่อราชการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าเมื่อมาติดต่อราชการที่สํานักงานขนส่ง ใช้แอลกอฮอล์ชนิดเจลหรือชนิดน้ําทั้งก่อนและหลังการรับบริการ รวมถึงเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1-2 เมตร ระหว่างรอรับบริการ ตามมาตรการ Social Distancing โดยสํานักงานขนส่งทุกแห่งมีการจัดเก้าอี้นั่งเพื่อเว้นระยะห่าง รวมถึงกําหนดจุดยืนคอย เพื่อป้องกันการติดต่อสัมผัสกัน นอกจากนี้ มีการตั้งจุดคัดกรองตรวจวัดอุณหภูมิประชาชนและเจ้าหน้าที่ทุกคน หากพบผู้ที่มีอาการไข้ หรืออาการต้องสงสัยเข้าข่ายอาการโรค แนะนําให้พบแพทย์หรือประสานหน่วยงานสาธารณสุขโดยเร็ว ด้านอาคารสถานที่และสิ่งอํานวยความสะดวกในหน่วยงาน เพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดฆ่าเชื้อโรคพื้นที่ให้บริการภายในสํานักงานขนส่ง โดยเฉพาะจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เช่น เคาน์เตอร์บริการ ที่จับประตู ราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ เป็นต้น รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการขนส่งทางบก ขอความร่วมมือประชาชน ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลที่รณรงค์ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ในกรณีจําเป็นต้องมาดําเนินการที่สํานักงานขนส่ง ขอความร่วมมือประชาชนสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าในการติดต่อราชการ และปฏิบัติตามคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ปัจจุบัน กรมการขนส่งทางบก งด การดําเนินการด้านใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และใบอนุญาตเป็นผู้ประจํารถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ณ ที่ทําการสํานักงานขนส่งทุกแห่ง และงดบริการการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติของโรงเรียนสอนขับรถที่ได้รับการรับรองจากกรมการขนส่งทางบกทุกแห่ง จนกว่าจะมีการประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินหรือมีประกาศเปลี่ยนแปลง โดยมีการอํานวยความสะดวก ให้อบรมภาคทฤษฎีผ่านระบบออนไลน์ที่www.dlt-elearning.comสําหรับนํามาประกอบการขอต่ออายุใบอนุญาตขับรถเมื่อเปิดให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถ ทั้งนี้ ในส่วนของการให้บริการด้านทะเบียนและภาษีรถที่สํานักงานขนส่ง เปิดให้บริการปกติ โดยประชาสัมพันธ์ให้เจ้าของรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 7 ปี และรถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี ให้ใช้บริการชําระภาษีรถประจําปีผ่านช่องทางออนไลน์ ที่https://eservice.dlt.go.thส่วนรถที่ไม่สามารถใช้บริการชําระภาษีประจําปีผ่านช่องทางออนไลน์ แนะนําให้ใช้บริการเลื่อนล้อต่อภาษี (Drive Thru for Tax) ชําระภาษีได้โดยไม่ต้องลงจากรถ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29509
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“มหัศจรรย์เขาขนาบน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำโลก” ป่าในเมืองแห่งแรกจังหวัดกระบี่
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562 “มหัศจรรย์เขาขนาบน้ํา พื้นที่ชุ่มน้ําโลก” ป่าในเมืองแห่งแรกจังหวัดกระบี่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดําเนินโครงการสวนป่าประชารัฐเพื่อความสุขของคนไทย “มหัศจรรย์เขาขนาบน้ํา พื้นที่ชุ่มน้ําโลก” เป็นป่าในเมืองแห่งแรกของจังหวัดกระบี่ ณ สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 26 ตําบลปากน้ํา อ “มหัศจรรย์เขาขนาบน้ํา พื้นที่ชุ่มน้ําโลก” ป่าในเมืองแห่งแรกจังหวัดกระบี่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดําเนินโครงการสวนป่าประชารัฐเพื่อความสุขของคนไทย “มหัศจรรย์เขาขนาบน้ํา พื้นที่ชุ่มน้ําโลก” เป็นป่าในเมืองแห่งแรกของจังหวัดกระบี่ ณ สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 26 ตําบลปากน้ํา อําเภอเมือง จังหวัดกระบี่ โดยเมื่อวานนี้ (14 มี.ค. 2562) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) เป็นประธานเปิดโครงการป่าในเมือง “มหัศจรรย์เขาขนาบน้ํา พื้นที่ชุ่มน้ําโลก” ดําเนินโครงการโดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งร่วมกับจังหวัดกระบี่ จัดตั้งป่าในเมืองเป็นแห่งแรกของจังหวัดกระบี่โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ และ พ.ต.ท.หม่อมหลวง กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวต้อนรับ มีผู้เข้าร่วมได้แก่คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวง ทส.เทศบาลเมืองกระบี่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายทสม. จังหวัดกระบี่ กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และประชาชนในพื้นที่ จํานวนกว่า 1,000 คน เข้าร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่ง โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหนังสือสําคัญแสดงการขึ้นทะเบียนชุมชนชายฝั่ง จังหวัดกระบี่ จํานวน 21 ชุมชน และมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน จํานวน 2 ชุมชนได้แก่ ป่าชุมชนบ้านทุ่งหยีเพ็ง พื้นที่รวม 1,956 ไร่ ซึ่งเป็นป่าชุมชนดีเด่นระดับประเทศที่ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และป่าชุมชนบ้านนา พื้นที่รวม 261 ไร่พร้อมมอบนโยบายการดําเนินกิจกรรมโครงการ เป็นประธานเปิดป้ายโครงการป่าในเมืองฯ เดินเยี่ยมชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน และนั่งเรือชมระบบนิเวศป่าชายเลนทางธรรมชาติระหว่างสองข้างทางของพื้นที่เขาขนาบน้ําด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“มหัศจรรย์เขาขนาบน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำโลก” ป่าในเมืองแห่งแรกจังหวัดกระบี่ วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2562 “มหัศจรรย์เขาขนาบน้ํา พื้นที่ชุ่มน้ําโลก” ป่าในเมืองแห่งแรกจังหวัดกระบี่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดําเนินโครงการสวนป่าประชารัฐเพื่อความสุขของคนไทย “มหัศจรรย์เขาขนาบน้ํา พื้นที่ชุ่มน้ําโลก” เป็นป่าในเมืองแห่งแรกของจังหวัดกระบี่ ณ สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 26 ตําบลปากน้ํา อ “มหัศจรรย์เขาขนาบน้ํา พื้นที่ชุ่มน้ําโลก” ป่าในเมืองแห่งแรกจังหวัดกระบี่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ดําเนินโครงการสวนป่าประชารัฐเพื่อความสุขของคนไทย “มหัศจรรย์เขาขนาบน้ํา พื้นที่ชุ่มน้ําโลก” เป็นป่าในเมืองแห่งแรกของจังหวัดกระบี่ ณ สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 26 ตําบลปากน้ํา อําเภอเมือง จังหวัดกระบี่ โดยเมื่อวานนี้ (14 มี.ค. 2562) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) เป็นประธานเปิดโครงการป่าในเมือง “มหัศจรรย์เขาขนาบน้ํา พื้นที่ชุ่มน้ําโลก” ดําเนินโครงการโดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งร่วมกับจังหวัดกระบี่ จัดตั้งป่าในเมืองเป็นแห่งแรกของจังหวัดกระบี่โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ และ พ.ต.ท.หม่อมหลวง กิติบดี ประวิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ กล่าวต้อนรับ มีผู้เข้าร่วมได้แก่คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวง ทส.เทศบาลเมืองกระบี่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายทสม. จังหวัดกระบี่ กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และประชาชนในพื้นที่ จํานวนกว่า 1,000 คน เข้าร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่ง โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหนังสือสําคัญแสดงการขึ้นทะเบียนชุมชนชายฝั่ง จังหวัดกระบี่ จํานวน 21 ชุมชน และมอบหนังสือแสดงโครงการป่าชุมชน จํานวน 2 ชุมชนได้แก่ ป่าชุมชนบ้านทุ่งหยีเพ็ง พื้นที่รวม 1,956 ไร่ ซึ่งเป็นป่าชุมชนดีเด่นระดับประเทศที่ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และป่าชุมชนบ้านนา พื้นที่รวม 261 ไร่พร้อมมอบนโยบายการดําเนินกิจกรรมโครงการ เป็นประธานเปิดป้ายโครงการป่าในเมืองฯ เดินเยี่ยมชมเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน และนั่งเรือชมระบบนิเวศป่าชายเลนทางธรรมชาติระหว่างสองข้างทางของพื้นที่เขาขนาบน้ําด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19360
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saab เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี
วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2560 ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saab เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saab เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (5 ต.ค. 2560) เวลา 08.30 น. นาย Hakan Buskhe ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saab เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนาย Hakan Buskhe ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saab ในโอกาสเดินทางเยือนไทย ซึ่งประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saab แสดงความขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรีสละเวลามาพบในวันนี้ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมบริษัทฯ ในฐานะที่บริษัทฯ ดําเนินธุรกิจด้านการป้องกันประเทศ การบิน และอวกาศที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับระดับโลก รองนายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณที่บริษัทฯ ได้ให้การสนับสนุนและให้บริการด้านเทคโนโลยีแก่ไทยมาโดยตลอด ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยมีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมอากาศยานและการบินในภูมิภาค ทั้งในด้านการซ่อมบํารุงและการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน โดยขณะนี้รัฐบาลมีแผนจะพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul: MRO) ในภูมิภาค จึงขอให้บริษัทพิจารณาลงทุนตั้งศูนย์ซ่อมบํารุงเครื่องบินและระบบเทคโนโลยีด้านอากาศยานในไทย ที่มีความเชื่อมโยงกับภาคการศึกษาและการวิจัยพัฒนา ซึ่งบริษัทฯ ได้แสดงความสนใจที่จะลงทุนในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าว ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําถึงความสําคัญในการพัฒนา EEC เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมของประเทศ จนทําให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตได้ในระยะยาว ในระยะแรกจะยกระดับให้พื้นที่ในเขตจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ให้เป็นพื้นที่ EEC ที่เน้น 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งมีอุตสาหกรรมอากาศยานและการบินรวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ บริษัทฯ แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในโครงการ EEC เพื่อที่จะขยายการลงทุนให้รอบด้านมากยิ่งขึ้น โดยจะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังแสดงความสนใจที่จะพิจารณาลงทุนในธุรกิจด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และดิจิทัลในไทยมากยิ่งขึ้นด้วย ในช่วงท้าย ทั้งสองฝ่ายแสดงความยินดีกับความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างไทยกับบริษัท Saab ที่มีอย่างยาวนาน พร้อมยืนยันที่จะสานต่อความร่วมมือระหว่างกันต่อไปในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saab เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2560 ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saab เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saab เข้าเยี่ยมคารวะ รองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (5 ต.ค. 2560) เวลา 08.30 น. นาย Hakan Buskhe ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saab เข้าเยี่ยมคารวะ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนาย Hakan Buskhe ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saab ในโอกาสเดินทางเยือนไทย ซึ่งประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Saab แสดงความขอบคุณที่รองนายกรัฐมนตรีสละเวลามาพบในวันนี้ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวชื่นชมบริษัทฯ ในฐานะที่บริษัทฯ ดําเนินธุรกิจด้านการป้องกันประเทศ การบิน และอวกาศที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับระดับโลก รองนายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณที่บริษัทฯ ได้ให้การสนับสนุนและให้บริการด้านเทคโนโลยีแก่ไทยมาโดยตลอด ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยมีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมอากาศยานและการบินในภูมิภาค ทั้งในด้านการซ่อมบํารุงและการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน โดยขณะนี้รัฐบาลมีแผนจะพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์ซ่อมบํารุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul: MRO) ในภูมิภาค จึงขอให้บริษัทพิจารณาลงทุนตั้งศูนย์ซ่อมบํารุงเครื่องบินและระบบเทคโนโลยีด้านอากาศยานในไทย ที่มีความเชื่อมโยงกับภาคการศึกษาและการวิจัยพัฒนา ซึ่งบริษัทฯ ได้แสดงความสนใจที่จะลงทุนในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าว ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําถึงความสําคัญในการพัฒนา EEC เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมของประเทศ จนทําให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตได้ในระยะยาว ในระยะแรกจะยกระดับให้พื้นที่ในเขตจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ให้เป็นพื้นที่ EEC ที่เน้น 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งมีอุตสาหกรรมอากาศยานและการบินรวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ บริษัทฯ แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนในโครงการ EEC เพื่อที่จะขยายการลงทุนให้รอบด้านมากยิ่งขึ้น โดยจะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังแสดงความสนใจที่จะพิจารณาลงทุนในธุรกิจด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และดิจิทัลในไทยมากยิ่งขึ้นด้วย ในช่วงท้าย ทั้งสองฝ่ายแสดงความยินดีกับความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างไทยกับบริษัท Saab ที่มีอย่างยาวนาน พร้อมยืนยันที่จะสานต่อความร่วมมือระหว่างกันต่อไปในอนาคต
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7183
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลบูรณาการทุกหน่วยเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม สั่ง มท.จับมือพลเรือน-ทหาร บรรเทาทุกข์ประชาชน
วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม 2562 รัฐบาลบูรณาการทุกหน่วยเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สั่ง มท.จับมือพลเรือน-ทหาร บรรเทาทุกข์ประชาชน รัฐบาลบูรณาการทุกหน่วยเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สั่ง มท.จับมือพลเรือน-ทหาร บรรเทาทุกข์ประชาชน ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยบูรณาการ ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งพลเรือนและกองทัพเร่งสํารวจ พื้นที่ประสบภัยน้ําท่วมจากอิทธิพลของพายุโพดุล ซึ่งเบื้องต้นได้รับรายงานว่ามีจังหวัดที่น้ําท่วมแล้ว 12 จังหวัด พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยด่วนตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เช่น ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว อพยพผู้ประสบภัย ส่งมอบอาหารและน้ํา จัดส่งเครื่องมือและอุปกรณ์บรรเทาทุกข์ และเร่งระบายน้ํา เป็นต้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนเป็นอย่างมาก โดยย้ําว่ารัฐบาลได้แจ้งเตือนภัยล่วงหน้าทําให้หลายพื้นที่เตรียมพร้อมรับมือได้ดี อย่างไรก็ตามหลายพื้นที่เกิดน้ําท่วมฉับพลันเพราะฝนที่ตกหนักจึงจําเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ขณะนี้ทราบว่าหน่วยงานในพื้นที่ได้ให้ความช่วยเหลือด้านการขนย้ายสิ่งของขึ้นสู่ที่สูง พร้อมระดมเครื่องมือเครื่องจักร เช่น รถแบ็คโฮ เครื่องสูบน้ํา เครื่องผลักดันน้ํา เพื่อเปิดทางน้ําและระบายน้ําที่ท่วมขังอาคารบ้านเรือน ถนนหนทาง และพื้นที่การเกษตร นอกจากนี้ ยังนํากระสอบทรายไปวางตามจุดเสี่ยงสําคัญเพื่อป้องกันน้ําไหลเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ รวมทั้งจัดชุดเผชิญเหตุเข้าประจําจุดเพื่อออกช่วยเหลือประชาชนทันทีเมื่อเกิดภัย โดยหากมีสิ่งใดที่ติดขัดขอให้แจ้งไปยังรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนเชื่อมั่นรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคนว่าจะทํางานอย่างเต็มที่ เพื่อลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด หากต้องการขอความช่วยเหลือสามารถติดต่อหน่วยราชการในพื้นที่ทั้งพลเรือนและทหาร หรือโทร.สายด่วนนิรภัย 1784 สายด่วนกรมชลประทาน 1460
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลบูรณาการทุกหน่วยเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม สั่ง มท.จับมือพลเรือน-ทหาร บรรเทาทุกข์ประชาชน วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม 2562 รัฐบาลบูรณาการทุกหน่วยเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สั่ง มท.จับมือพลเรือน-ทหาร บรรเทาทุกข์ประชาชน รัฐบาลบูรณาการทุกหน่วยเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วม สั่ง มท.จับมือพลเรือน-ทหาร บรรเทาทุกข์ประชาชน ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยบูรณาการ ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งพลเรือนและกองทัพเร่งสํารวจ พื้นที่ประสบภัยน้ําท่วมจากอิทธิพลของพายุโพดุล ซึ่งเบื้องต้นได้รับรายงานว่ามีจังหวัดที่น้ําท่วมแล้ว 12 จังหวัด พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยด่วนตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เช่น ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว อพยพผู้ประสบภัย ส่งมอบอาหารและน้ํา จัดส่งเครื่องมือและอุปกรณ์บรรเทาทุกข์ และเร่งระบายน้ํา เป็นต้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนเป็นอย่างมาก โดยย้ําว่ารัฐบาลได้แจ้งเตือนภัยล่วงหน้าทําให้หลายพื้นที่เตรียมพร้อมรับมือได้ดี อย่างไรก็ตามหลายพื้นที่เกิดน้ําท่วมฉับพลันเพราะฝนที่ตกหนักจึงจําเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ขณะนี้ทราบว่าหน่วยงานในพื้นที่ได้ให้ความช่วยเหลือด้านการขนย้ายสิ่งของขึ้นสู่ที่สูง พร้อมระดมเครื่องมือเครื่องจักร เช่น รถแบ็คโฮ เครื่องสูบน้ํา เครื่องผลักดันน้ํา เพื่อเปิดทางน้ําและระบายน้ําที่ท่วมขังอาคารบ้านเรือน ถนนหนทาง และพื้นที่การเกษตร นอกจากนี้ ยังนํากระสอบทรายไปวางตามจุดเสี่ยงสําคัญเพื่อป้องกันน้ําไหลเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจ รวมทั้งจัดชุดเผชิญเหตุเข้าประจําจุดเพื่อออกช่วยเหลือประชาชนทันทีเมื่อเกิดภัย โดยหากมีสิ่งใดที่ติดขัดขอให้แจ้งไปยังรัฐบาล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอให้ประชาชนเชื่อมั่นรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคนว่าจะทํางานอย่างเต็มที่ เพื่อลดผลกระทบให้ได้มากที่สุด หากต้องการขอความช่วยเหลือสามารถติดต่อหน่วยราชการในพื้นที่ทั้งพลเรือนและทหาร หรือโทร.สายด่วนนิรภัย 1784 สายด่วนกรมชลประทาน 1460
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22671
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก
วันพุธที่ 18 มกราคม 2560 มาตรการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการมาตรการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก รวมทั้งมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และมาตรการส่งเสริมด้านการตลาด นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการมาตรการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก รวมทั้งมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และมาตรการส่งเสริมด้านการตลาด เพื่อช่วยดึงดูดและกระตุ้นให้มีการซื้อขายสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยเพิ่มมากขึ้น และผลักดันสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยให้เป็นสินค้าที่มีศักยภาพ (Product Champion) รวมทั้งสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทย อันจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้มีการจ้างแรงงานฝีมือเพื่ออนุรักษ์การผลิตที่เป็นอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของไทย และแก้ไขข้อจํากัดที่สําคัญนอกเหนือจากอุปสรรคด้านภาษีอากร โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามมาตรการดังกล่าว ซึ่งมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. มาตรการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก ยกเว้นอากรขาเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในตอนที่ 71 จํานวน 32 ประเภทย่อย เช่น เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณ เครื่องทองหรือเครื่องเงิน เครื่องประดับที่ทําด้วยไข่มุก เป็นต้น 2. มาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ 2.1 มาตรการทางภาษี ให้ผู้ประกอบการสามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่าสําหรับรายจ่ายประเภทเงินเดือนและค่าจ้างของแรงงานที่เป็นช่างเครื่องประดับ เป็นเวลา 3 รอบระยะเวลาบัญชี โดยช่างเครื่องประดับจะต้อง จดทะเบียนกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ซึ่งจะเป็นการจูงใจให้ผู้ประกอบการจ้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือเพื่อเป็นการอนุรักษ์การผลิตที่เป็นอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของไทย 2.2 มาตรการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ กระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จะกําหนดมาตรการเพื่อจัดทําและพัฒนามาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก รวมทั้งการกําหนดตราสัญลักษณ์กลางที่ใช้ รับประกันคุณภาพ (Hallmarking) และการจัดประกวดออกแบบเครื่องประดับระดับนานาชาติ 2.3 มาตรการยกระดับฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ กระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จะกําหนดมาตรการเพื่อพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านกระบวนการผลิตและเทคโนโลยีการผลิตจากผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศไปสู่ผู้ผลิตรายย่อย การจัดตั้งโรงเรียนเฉพาะทางเพื่อส่งเสริมและพัฒนาช่างศิลป์ และการพัฒนาทายาทช่างฝีมือเพื่ออนุรักษ์การผลิตที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย 2.4 มาตรการทางการเงิน ขยายระยะเวลาดําเนินมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสําหรับผู้ประกอบกิจการ SMEs ให้สามารถยื่นขอสินเชื่อภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2560 หรือจนกว่าวงเงินที่กําหนดไว้จะถูกจัดสรรหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน และธนาคารออมสินเบิกจ่ายสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2560 จากเดิมผู้ประกอบกิจการ SMEs สามารถยื่นขอสินเชื่อภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 หรือจนกว่าวงเงินที่กําหนดไว้จะถูกจัดสรรหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน และธนาคารออมสินเบิกจ่ายสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ซึ่งขณะนี้เหลือวงเงินอยู่ 17,323 ล้านบาท 3. มาตรการส่งเสริมด้านการตลาด ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดให้มีการประชาสัมพันธ์สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่มีคุณภาพ การประชาสัมพันธ์แหล่งการท่องเที่ยวในย่านการค้าที่สําคัญ เช่น แหล่งการค้าอัญมณีและเครื่องประดับย่านถนนสีลม เจริญกรุง มเหสักข์ ในจังหวัดกรุงเทพฯ ศูนย์กลางการค้าพลอยสี ย่านถนนศรีจันทร์ ในจังหวัดจันทบุรี ศูนย์กลางการค้าพลอยสีที่ข้ามแดนมาจากเมียนมาร์ ย่านถนนประสาทวิถี ในอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นต้น การจัดแสดงสินค้าในงาน Thailand Grand Sale รวมถึงการประชาสัมพันธ์สินค้าที่มีคุณภาพให้แก่นักท่องเที่ยวบนสื่อต่าง ๆ เช่น สื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ในสายการบิน เป็นต้น เพื่อสนับสนุนให้อัญมณีและเครื่องประดับไทยเป็นที่รู้จักและมีการซื้อขายเพิ่มมากขึ้น สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3511, 3514 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก วันพุธที่ 18 มกราคม 2560 มาตรการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการมาตรการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก รวมทั้งมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และมาตรการส่งเสริมด้านการตลาด นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการมาตรการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก รวมทั้งมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ และมาตรการส่งเสริมด้านการตลาด เพื่อช่วยดึงดูดและกระตุ้นให้มีการซื้อขายสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยเพิ่มมากขึ้น และผลักดันสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยให้เป็นสินค้าที่มีศักยภาพ (Product Champion) รวมทั้งสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศไทย อันจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้มีการจ้างแรงงานฝีมือเพื่ออนุรักษ์การผลิตที่เป็นอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของไทย และแก้ไขข้อจํากัดที่สําคัญนอกเหนือจากอุปสรรคด้านภาษีอากร โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามมาตรการดังกล่าว ซึ่งมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. มาตรการสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก ยกเว้นอากรขาเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในตอนที่ 71 จํานวน 32 ประเภทย่อย เช่น เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณ เครื่องทองหรือเครื่องเงิน เครื่องประดับที่ทําด้วยไข่มุก เป็นต้น 2. มาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ 2.1 มาตรการทางภาษี ให้ผู้ประกอบการสามารถหักรายจ่ายได้ 2 เท่าสําหรับรายจ่ายประเภทเงินเดือนและค่าจ้างของแรงงานที่เป็นช่างเครื่องประดับ เป็นเวลา 3 รอบระยะเวลาบัญชี โดยช่างเครื่องประดับจะต้อง จดทะเบียนกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ซึ่งจะเป็นการจูงใจให้ผู้ประกอบการจ้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือเพื่อเป็นการอนุรักษ์การผลิตที่เป็นอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของไทย 2.2 มาตรการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ กระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จะกําหนดมาตรการเพื่อจัดทําและพัฒนามาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก รวมทั้งการกําหนดตราสัญลักษณ์กลางที่ใช้ รับประกันคุณภาพ (Hallmarking) และการจัดประกวดออกแบบเครื่องประดับระดับนานาชาติ 2.3 มาตรการยกระดับฝีมือแรงงานในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ กระทรวงพาณิชย์ โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จะกําหนดมาตรการเพื่อพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านกระบวนการผลิตและเทคโนโลยีการผลิตจากผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้เชี่ยวชาญในต่างประเทศไปสู่ผู้ผลิตรายย่อย การจัดตั้งโรงเรียนเฉพาะทางเพื่อส่งเสริมและพัฒนาช่างศิลป์ และการพัฒนาทายาทช่างฝีมือเพื่ออนุรักษ์การผลิตที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย 2.4 มาตรการทางการเงิน ขยายระยะเวลาดําเนินมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสําหรับผู้ประกอบกิจการ SMEs ให้สามารถยื่นขอสินเชื่อภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2560 หรือจนกว่าวงเงินที่กําหนดไว้จะถูกจัดสรรหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน และธนาคารออมสินเบิกจ่ายสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2560 จากเดิมผู้ประกอบกิจการ SMEs สามารถยื่นขอสินเชื่อภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 หรือจนกว่าวงเงินที่กําหนดไว้จะถูกจัดสรรหมด แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน และธนาคารออมสินเบิกจ่ายสินเชื่อให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ซึ่งขณะนี้เหลือวงเงินอยู่ 17,323 ล้านบาท 3. มาตรการส่งเสริมด้านการตลาด ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดให้มีการประชาสัมพันธ์สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่มีคุณภาพ การประชาสัมพันธ์แหล่งการท่องเที่ยวในย่านการค้าที่สําคัญ เช่น แหล่งการค้าอัญมณีและเครื่องประดับย่านถนนสีลม เจริญกรุง มเหสักข์ ในจังหวัดกรุงเทพฯ ศูนย์กลางการค้าพลอยสี ย่านถนนศรีจันทร์ ในจังหวัดจันทบุรี ศูนย์กลางการค้าพลอยสีที่ข้ามแดนมาจากเมียนมาร์ ย่านถนนประสาทวิถี ในอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นต้น การจัดแสดงสินค้าในงาน Thailand Grand Sale รวมถึงการประชาสัมพันธ์สินค้าที่มีคุณภาพให้แก่นักท่องเที่ยวบนสื่อต่าง ๆ เช่น สื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ในสายการบิน เป็นต้น เพื่อสนับสนุนให้อัญมณีและเครื่องประดับไทยเป็นที่รู้จักและมีการซื้อขายเพิ่มมากขึ้น สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3511, 3514 ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1391
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ ร่วมอนุรักษ์ผ้าทอโบราณ จ. อุทัยธานี
วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563 รมช.มนัญญา ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ ร่วมอนุรักษ์ผ้าทอโบราณ จ. อุทัยธานี รมช.มนัญญา ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ ร่วมอนุรักษ์ผ้าทอโบราณ จ. อุทัยธานี นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดอุทัยธานี ประชาสัมพันธ์นิทรรศการจัดแสดง ผ้าทอลายโบราณ จังหวัดอุทัยธานี กลุ่มผ้าทออําเภอบ้านไร่ โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีให้การเยี่ยมชม ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ทั้งนี้กลุ่มผ้าทออําเภอบ้านไร่ ถือเป็นแหล่งราชินีฝ้าย โดยใช้วิธีถักถอด้วยมือ เอกลักษณ์ของลายผ้าเป็นลายทอโบราณ มีความงดงาม ปราณีต ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ได้ ประจําปี 2546 โดยมีการดําเนินการประชาสัมพันธ์โครงการอย่างต่อเนื่อง โดยมีกําหนดจัดนิทรรศการผ้าสืบสาน อนุรักษ์ศิลปะผ้าถิ่น ดํารงไว้ในแผ่นดินอุทัยธานี "อุทัยธานี ของดีอยู่ที่ผ้า" จังหวัดอุทัยธานี ประจําปี 2563 ของจังหวัดอุทัยธานี ระหว่างวันที่ 5-13 กันยายน ณ สนามกีฬากีฬาจังหวัดอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มนัญญา ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ ร่วมอนุรักษ์ผ้าทอโบราณ จ. อุทัยธานี วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2563 รมช.มนัญญา ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ ร่วมอนุรักษ์ผ้าทอโบราณ จ. อุทัยธานี รมช.มนัญญา ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ ร่วมอนุรักษ์ผ้าทอโบราณ จ. อุทัยธานี นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดอุทัยธานี ประชาสัมพันธ์นิทรรศการจัดแสดง ผ้าทอลายโบราณ จังหวัดอุทัยธานี กลุ่มผ้าทออําเภอบ้านไร่ โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีให้การเยี่ยมชม ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ทั้งนี้กลุ่มผ้าทออําเภอบ้านไร่ ถือเป็นแหล่งราชินีฝ้าย โดยใช้วิธีถักถอด้วยมือ เอกลักษณ์ของลายผ้าเป็นลายทอโบราณ มีความงดงาม ปราณีต ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดหนึ่งตําบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ได้ ประจําปี 2546 โดยมีการดําเนินการประชาสัมพันธ์โครงการอย่างต่อเนื่อง โดยมีกําหนดจัดนิทรรศการผ้าสืบสาน อนุรักษ์ศิลปะผ้าถิ่น ดํารงไว้ในแผ่นดินอุทัยธานี "อุทัยธานี ของดีอยู่ที่ผ้า" จังหวัดอุทัยธานี ประจําปี 2563 ของจังหวัดอุทัยธานี ระหว่างวันที่ 5-13 กันยายน ณ สนามกีฬากีฬาจังหวัดอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34303
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษก สธ. แนะช่วยร่างกายพร้อมทำงาน หลังฉลองสงกรานต์
วันจันทร์ที่ 16 เมษายน 2561 ​โฆษก สธ. แนะช่วยร่างกายพร้อมทํางาน หลังฉลองสงกรานต์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แนะวิธีช่วยฟื้นร่างกายพร้อมทํางานหลังฉลองสงกรานต์ ดื่มน้ําเปล่ารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ หากต้องขับรถ ง่วงไม่ขับ ให้จอดพัก 15 นาที หรือเปลี่ยนคนอื่นขับ ป้องกันการบาดเจ็บจากการจราจร โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แนะวิธีช่วยฟื้นร่างกายพร้อมทํางานหลังฉลองสงกรานต์ดื่มน้ําเปล่ารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ หากต้องขับรถ ง่วงไม่ขับ ให้จอดพัก 15 นาที หรือเปลี่ยนคนอื่นขับ ป้องกันการบาดเจ็บจากการจราจร วันนี้(16 เมษายน 2561)แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์หลายคนใช้เป็นโอกาสดีในการเดินทางกลับบ้าน เยี่ยมครอบครัว ญาติมิตรจัดงานสังสรรค์มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันหลายวัน ร่างกายอาจเกิดอาการอ่อนเพลีย หรือที่เรียกว่า เมาค้าง วิธีการแก้ไขอาการดังกล่าวและเป็นการเตรียมความพร้อมร่างกายก่อนทํางาน คือ ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มน้ําเปล่ามากๆ ดื่มน้ําผลไม้ หรือ ดื่มน้ําสมุนไพร อาทิ น้ําขิงอุ่น ที่มีรสชาติเผ็ดร้อนช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีและฟื้นจากอาการปวดหัวได้ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้พอเหมาะ ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีกากใยมากจะช่วยให้ขับถ่ายได้ดี ทําให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น หากไม่ปฏิบัติตัวให้ถูกต้องก็จะมีอาการเพลียนาน อาจเป็นปัญหาสุขภาพในระยะยาวต่อไป ส่วนผู้ที่อดนอนและต้องทําหน้าที่ขับรถควรนอนให้เพียงพอก่อนออกเดินทางอย่างน้อย 8 ชั่วโมง หากรู้สึกว่าง่วง หาวบ่อยๆ อย่าฝืน ขอให้จอดนอนพักประมาณ 15 นาทีก่อนขับรถต่อ ล้างหน้า ดื่มเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นแก่ร่างกาย หรือเปลี่ยนคนอื่นขับ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ และให้คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ส่วนผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์ทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้าย ให้สวมหมวกกันน็อคทุกครั้ง แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษก สธ. แนะช่วยร่างกายพร้อมทำงาน หลังฉลองสงกรานต์ วันจันทร์ที่ 16 เมษายน 2561 ​โฆษก สธ. แนะช่วยร่างกายพร้อมทํางาน หลังฉลองสงกรานต์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แนะวิธีช่วยฟื้นร่างกายพร้อมทํางานหลังฉลองสงกรานต์ ดื่มน้ําเปล่ารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ หากต้องขับรถ ง่วงไม่ขับ ให้จอดพัก 15 นาที หรือเปลี่ยนคนอื่นขับ ป้องกันการบาดเจ็บจากการจราจร โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แนะวิธีช่วยฟื้นร่างกายพร้อมทํางานหลังฉลองสงกรานต์ดื่มน้ําเปล่ารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ หากต้องขับรถ ง่วงไม่ขับ ให้จอดพัก 15 นาที หรือเปลี่ยนคนอื่นขับ ป้องกันการบาดเจ็บจากการจราจร วันนี้(16 เมษายน 2561)แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์หลายคนใช้เป็นโอกาสดีในการเดินทางกลับบ้าน เยี่ยมครอบครัว ญาติมิตรจัดงานสังสรรค์มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดต่อกันหลายวัน ร่างกายอาจเกิดอาการอ่อนเพลีย หรือที่เรียกว่า เมาค้าง วิธีการแก้ไขอาการดังกล่าวและเป็นการเตรียมความพร้อมร่างกายก่อนทํางาน คือ ควรหยุดดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มน้ําเปล่ามากๆ ดื่มน้ําผลไม้ หรือ ดื่มน้ําสมุนไพร อาทิ น้ําขิงอุ่น ที่มีรสชาติเผ็ดร้อนช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีและฟื้นจากอาการปวดหัวได้ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้พอเหมาะ ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีกากใยมากจะช่วยให้ขับถ่ายได้ดี ทําให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น หากไม่ปฏิบัติตัวให้ถูกต้องก็จะมีอาการเพลียนาน อาจเป็นปัญหาสุขภาพในระยะยาวต่อไป ส่วนผู้ที่อดนอนและต้องทําหน้าที่ขับรถควรนอนให้เพียงพอก่อนออกเดินทางอย่างน้อย 8 ชั่วโมง หากรู้สึกว่าง่วง หาวบ่อยๆ อย่าฝืน ขอให้จอดนอนพักประมาณ 15 นาทีก่อนขับรถต่อ ล้างหน้า ดื่มเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่นแก่ร่างกาย หรือเปลี่ยนคนอื่นขับ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ และให้คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ส่วนผู้ที่ใช้รถจักรยานยนต์ทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้าย ให้สวมหมวกกันน็อคทุกครั้ง แพทย์หญิงพรรณพิมล กล่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11503
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" บรรยายที่ รร.บดินทรเดชาฯ
วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 "ปนัดดา" บรรยายที่ รร.บดินทรเดชาฯ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดนิทรรศการ "พลวัตการศึกษา บดินทรเดชา 4.0" และบรรยายพิเศษแก่นักเรียน ครู ผู้บริหาร โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวตอนหนึ่งว่า ต้องการเน้นย้ําให้นักเรียน ซึ่งเปรียบเสมือนลูก ๆ หลาน ๆ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ดํารงไว้ซึ่งความกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่ ครูอาจารย์ และบรรพบุรุษ ซึ่งเสียสละเพื่อรักษาแผ่นดินให้เราอยู่มาตราบจนทุกวันนี้ มีความอ่อนน้อมถ่อมตนตามเอกลักษณ์ของชาติเช่น พูดจาด้วยความสุภาพ อ่อนน้อม ถ่อมตนดังเช่นพิธีกรนักเรียน2คนของโรงเรียนที่พูดจาได้ไพเราะงดงามมากอีกประการที่สําคัญที่สุดของคนไทย คือ การสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10) นอกจากนี้ หากกล่าวถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยที่ก้าวไปสู่ไทยแลนด์4.0ที่มีการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมสิ่งสําคัญคือ การพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม อุตสาหกรรม ตามแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันจะนําไปสู่การเป็นประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในอนาคต แต่ขณะนี้บ้านเมืองเรายังคงมีปัญหาเรื่อง"ธรรมาภิบาล"จึงได้เน้นย้ํากับนักเรียนนักศึกษา ครูบาอาจารย์มาโดยตลอดว่า"การทุจริตคอร์รัปชัน"เป็นปัญหาสําคัญยิ่งที่เราจะต้องช่วยกันใช้"ความซื่อสัตย์สุจริตสร้างชาติ" สิ่งสําคัญที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความสําคัญในเวลานี้ จึงต้องการปลูกฝังให้เยาวชนเป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรม โดยได้มีแนวทางการดําเนินงานที่สําคัญ คือ "โครงการโรงเรียนคุณธรรม"เพื่อให้นักเรียน ครู ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษา ได้ตระหนักรู้ เข้าใจ และมีกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล ซึมซับคุณค่าแห่งคุณธรรมความดีอย่างเป็นธรรมชาติ สร้างความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ภูมิใจในการทําความดี ตลอดจนสร้างเครือข่ายชุมชนองค์กรแห่งคุณธรรม สําหรับโรงเรียนบดินทรเดชาฯ เห็นว่าเป็นโรงเรียนที่มีคุณธรรมโดยธรรมชาติอยู่แล้วและเชื่อว่าผลการดําเนินงานตามตัวชี้วัดสูงเกินมาตรฐานที่กําหนดไว้ในโครงการโรงเรียนคุณธรรม ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการโดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) จะได้เร่งรัดผลักดันขยายโรงเรียนคุณธรรมให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ คือ การขยายโรงเรียนคุณธรรมให้ครบทั้ง 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานครโดยเริ่มตั้งแต่ระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา จึงฝากผู้อํานวยการโรงเรียน ครู และลูกหลานทุกคนให้ช่วยกันสร้างความสําเร็จของโรงเรียนคุณธรรมให้เกิดขึ้น เพราะความสําเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปรบมือข้างเดียว ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวให้ข้อคิดเกี่ยวกับ "จารีตประเพณี" ด้วยว่า เป็นระเบียบแบบแผนหรือแนวทางการประพฤติปฏิบัติที่สืบทอดกันมาช้านานจนเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ซึ่งจารีตประเพณีเปรียบเสมือนเป็น "กฎระเบียบซึ่งเกิดขึ้นจากหัวใจ"
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" บรรยายที่ รร.บดินทรเดชาฯ วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 "ปนัดดา" บรรยายที่ รร.บดินทรเดชาฯ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดนิทรรศการ "พลวัตการศึกษา บดินทรเดชา 4.0" และบรรยายพิเศษแก่นักเรียน ครู ผู้บริหาร โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวตอนหนึ่งว่า ต้องการเน้นย้ําให้นักเรียน ซึ่งเปรียบเสมือนลูก ๆ หลาน ๆ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ดํารงไว้ซึ่งความกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่ ครูอาจารย์ และบรรพบุรุษ ซึ่งเสียสละเพื่อรักษาแผ่นดินให้เราอยู่มาตราบจนทุกวันนี้ มีความอ่อนน้อมถ่อมตนตามเอกลักษณ์ของชาติเช่น พูดจาด้วยความสุภาพ อ่อนน้อม ถ่อมตนดังเช่นพิธีกรนักเรียน2คนของโรงเรียนที่พูดจาได้ไพเราะงดงามมากอีกประการที่สําคัญที่สุดของคนไทย คือ การสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10) นอกจากนี้ หากกล่าวถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยที่ก้าวไปสู่ไทยแลนด์4.0ที่มีการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมสิ่งสําคัญคือ การพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม อุตสาหกรรม ตามแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อันจะนําไปสู่การเป็นประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนในอนาคต แต่ขณะนี้บ้านเมืองเรายังคงมีปัญหาเรื่อง"ธรรมาภิบาล"จึงได้เน้นย้ํากับนักเรียนนักศึกษา ครูบาอาจารย์มาโดยตลอดว่า"การทุจริตคอร์รัปชัน"เป็นปัญหาสําคัญยิ่งที่เราจะต้องช่วยกันใช้"ความซื่อสัตย์สุจริตสร้างชาติ" สิ่งสําคัญที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความสําคัญในเวลานี้ จึงต้องการปลูกฝังให้เยาวชนเป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรม โดยได้มีแนวทางการดําเนินงานที่สําคัญ คือ "โครงการโรงเรียนคุณธรรม"เพื่อให้นักเรียน ครู ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษา ได้ตระหนักรู้ เข้าใจ และมีกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล ซึมซับคุณค่าแห่งคุณธรรมความดีอย่างเป็นธรรมชาติ สร้างความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ภูมิใจในการทําความดี ตลอดจนสร้างเครือข่ายชุมชนองค์กรแห่งคุณธรรม สําหรับโรงเรียนบดินทรเดชาฯ เห็นว่าเป็นโรงเรียนที่มีคุณธรรมโดยธรรมชาติอยู่แล้วและเชื่อว่าผลการดําเนินงานตามตัวชี้วัดสูงเกินมาตรฐานที่กําหนดไว้ในโครงการโรงเรียนคุณธรรม ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการโดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.) จะได้เร่งรัดผลักดันขยายโรงเรียนคุณธรรมให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ คือ การขยายโรงเรียนคุณธรรมให้ครบทั้ง 76 จังหวัด และกรุงเทพมหานครโดยเริ่มตั้งแต่ระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา จึงฝากผู้อํานวยการโรงเรียน ครู และลูกหลานทุกคนให้ช่วยกันสร้างความสําเร็จของโรงเรียนคุณธรรมให้เกิดขึ้น เพราะความสําเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปรบมือข้างเดียว ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวให้ข้อคิดเกี่ยวกับ "จารีตประเพณี" ด้วยว่า เป็นระเบียบแบบแผนหรือแนวทางการประพฤติปฏิบัติที่สืบทอดกันมาช้านานจนเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ซึ่งจารีตประเพณีเปรียบเสมือนเป็น "กฎระเบียบซึ่งเกิดขึ้นจากหัวใจ"
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1922
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมกับเทสโก้โลตัสจัดกิจกรรมรณรงค์ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” เชิญชวนใช้ถุงผ้า
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561 ทส. ร่วมกับเทสโก้โลตัสจัดกิจกรรมรณรงค์ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” เชิญชวนใช้ถุงผ้า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมกับห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาบางกรวย – ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” และกิจกรรม “รับบริจาคถุงผ้าใส่ย ทส. ร่วมกับเทสโก้โลตัสจัดกิจกรรมรณรงค์“ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก”เชิญชวนใช้ถุงผ้า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมกับห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาบางกรวย – ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” และกิจกรรม “รับบริจาคถุงผ้าใส่ยากลับบ้าน” เชิญชวนประชาชนแบ่งปันถุงผ้าเพื่อใช้ทดแทนถุงพลาสติกใส่ยาในโรงพยาบาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมกับห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาบางกรวย – ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” และกิจกรรม “รับบริจาคถุงผ้าใส่ยากลับบ้าน”เพื่อยกระดับการดําเนินกิจกรรมให้มีความหลากหลายต่อยอดให้เกิดการลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างจริงจัง เกิดการใช้ซ้ําถุงผ้าอย่างคุ้มค่าส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการใช้ถุงผ้าซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ําได้ อันเป็นการสร้างวินัยในการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและประโยชน์สูงสุด รวมถึงปลูกฝังความพอเพียงในการแบ่งปันในสังคมโดยในวันนี้ (20พฤศจิกายน 61)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) เป็นประธานเปิดกิจกรรมดังกล่าวและนําทีมแจกถุงผ้าแก่ร้านค้าและประชาชนผู้มาใช้บริการณ ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาบางกรวย – ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี พร้อมทั้งเชิญชวนประชาชนบริจาคผ้าเหลือใช้เพื่อนําไปมอบให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศสําหรับใส่ยากลับบ้านแทนถุงพลาสติก ในโอกาสต่อไป กิจกรรม “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม”ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐเอกชน และประชาชน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกและพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งหรือ Single use plastic ในตลาดสด ห้างสรรพสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ทั่วประเทศ โดยในการดําเนินกิจกรรม“ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ16 กลุ่มทั่วประเทศร่วมรณรงค์ประชาสัมพันธ์และดําเนินการสนับสนุนให้เกิดการลดใช้ถุงพลาสติกเพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกอย่างจริงจัง รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลดใช้ถุงพลาสติกแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป โดยการจัดกิจกรรมเชิงรุกเพื่อสร้างสร้างความตระหนักและการรับรู้ และส่งเสริมการลดใช้ถุงพลาสติกอย่างต่อเนื่องแก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ทั้งนี้ จากข้อมูลของสถาบันพลาสติกระบุว่าคนไทยใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วในห้างสรรพสินค้าตลาดสด และ ร้านขายของชํา มากกว่า45,000 ล้านใบต่อปี สอดคล้องกับรายงานของกรมควบคุมมลพิษที่ระบุว่าคนไทยใช้ถุงพลาสติกเฉลี่ยคนละ 8 ใบต่อวันสร้างขยะพลาสติกมากถึง 80 ล้านใบต่อวัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. ร่วมกับเทสโก้โลตัสจัดกิจกรรมรณรงค์ “ทำความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” เชิญชวนใช้ถุงผ้า วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561 ทส. ร่วมกับเทสโก้โลตัสจัดกิจกรรมรณรงค์ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” เชิญชวนใช้ถุงผ้า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมกับห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาบางกรวย – ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” และกิจกรรม “รับบริจาคถุงผ้าใส่ย ทส. ร่วมกับเทสโก้โลตัสจัดกิจกรรมรณรงค์“ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก”เชิญชวนใช้ถุงผ้า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมกับห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาบางกรวย – ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” และกิจกรรม “รับบริจาคถุงผ้าใส่ยากลับบ้าน” เชิญชวนประชาชนแบ่งปันถุงผ้าเพื่อใช้ทดแทนถุงพลาสติกใส่ยาในโรงพยาบาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดย กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมกับห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาบางกรวย – ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี จัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” และกิจกรรม “รับบริจาคถุงผ้าใส่ยากลับบ้าน”เพื่อยกระดับการดําเนินกิจกรรมให้มีความหลากหลายต่อยอดให้เกิดการลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างจริงจัง เกิดการใช้ซ้ําถุงผ้าอย่างคุ้มค่าส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการใช้ถุงผ้าซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้ซ้ําได้ อันเป็นการสร้างวินัยในการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าและประโยชน์สูงสุด รวมถึงปลูกฝังความพอเพียงในการแบ่งปันในสังคมโดยในวันนี้ (20พฤศจิกายน 61)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) เป็นประธานเปิดกิจกรรมดังกล่าวและนําทีมแจกถุงผ้าแก่ร้านค้าและประชาชนผู้มาใช้บริการณ ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส สาขาบางกรวย – ไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี พร้อมทั้งเชิญชวนประชาชนบริจาคผ้าเหลือใช้เพื่อนําไปมอบให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศสําหรับใส่ยากลับบ้านแทนถุงพลาสติก ในโอกาสต่อไป กิจกรรม “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการ “ทําความดีด้วยหัวใจ ลดภัยสิ่งแวดล้อม”ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 เพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐเอกชน และประชาชน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกและพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งหรือ Single use plastic ในตลาดสด ห้างสรรพสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ทั่วประเทศ โดยในการดําเนินกิจกรรม“ทําความดีด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” ได้รับความร่วมมือจากกลุ่มห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ16 กลุ่มทั่วประเทศร่วมรณรงค์ประชาสัมพันธ์และดําเนินการสนับสนุนให้เกิดการลดใช้ถุงพลาสติกเพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกอย่างจริงจัง รวมทั้งเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลดใช้ถุงพลาสติกแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป โดยการจัดกิจกรรมเชิงรุกเพื่อสร้างสร้างความตระหนักและการรับรู้ และส่งเสริมการลดใช้ถุงพลาสติกอย่างต่อเนื่องแก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ทั้งนี้ จากข้อมูลของสถาบันพลาสติกระบุว่าคนไทยใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วในห้างสรรพสินค้าตลาดสด และ ร้านขายของชํา มากกว่า45,000 ล้านใบต่อปี สอดคล้องกับรายงานของกรมควบคุมมลพิษที่ระบุว่าคนไทยใช้ถุงพลาสติกเฉลี่ยคนละ 8 ใบต่อวันสร้างขยะพลาสติกมากถึง 80 ล้านใบต่อวัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลขอให้แรงงานมั่นใจ ไทยแลนด์ 4.0 ไม่ทำให้ตกงาน
วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2560 รัฐบาลขอให้แรงงานมั่นใจ ไทยแลนด์ 4.0 ไม่ทําให้ตกงาน แรงงาน เป็นปัจจัยสําคัญของการพัฒนา ดังนั้น การเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 นําเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาใช้เพิ่มมูลค่าการผลิต สินค้าและบริการ จึงไม่ได้ทําให้ประชาชนตกงาน กลับกัน แรงงานจะมีศักยภาพสูงขึ้น เพื่อนําพาประเทศก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเร่งพัฒนาศักยภาพแรงงานไทยให้แข่งขันได้มากขึ้นในตลาดแรงงานสากล ทั้งด้านภาษาและทักษะฝีมือ โดยขอให้แรงงานทุกคนเตรียมพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการเรียนรู้และประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิต เพิ่มช่องทางทางการค้า และยกระดับรายได้ให้สูงขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญกับการพัฒนาแรงงานเพราะถือเป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศ โดยขอให้พี่น้องแรงงานปรับตัวและมุ่งมั่นพัฒนาตนเอง รวมทั้งต้องการเชิญชวนให้พ่อแม่ผู้ปกครองส่งเสริมให้บุตรหลานเรียนสายอาชีพ เมื่อเรียนจบแล้วมีงานทําทันที และยังสนับสนุนให้ประเทศไทยเกิดความเจริญก้าวหน้าจากกําลังคนที่มีทักษะฝีมือ และก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลขอให้แรงงานมั่นใจ ไทยแลนด์ 4.0 ไม่ทำให้ตกงาน วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม 2560 รัฐบาลขอให้แรงงานมั่นใจ ไทยแลนด์ 4.0 ไม่ทําให้ตกงาน แรงงาน เป็นปัจจัยสําคัญของการพัฒนา ดังนั้น การเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 นําเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาใช้เพิ่มมูลค่าการผลิต สินค้าและบริการ จึงไม่ได้ทําให้ประชาชนตกงาน กลับกัน แรงงานจะมีศักยภาพสูงขึ้น เพื่อนําพาประเทศก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเร่งพัฒนาศักยภาพแรงงานไทยให้แข่งขันได้มากขึ้นในตลาดแรงงานสากล ทั้งด้านภาษาและทักษะฝีมือ โดยขอให้แรงงานทุกคนเตรียมพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการเรียนรู้และประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิต เพิ่มช่องทางทางการค้า และยกระดับรายได้ให้สูงขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญกับการพัฒนาแรงงานเพราะถือเป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศ โดยขอให้พี่น้องแรงงานปรับตัวและมุ่งมั่นพัฒนาตนเอง รวมทั้งต้องการเชิญชวนให้พ่อแม่ผู้ปกครองส่งเสริมให้บุตรหลานเรียนสายอาชีพ เมื่อเรียนจบแล้วมีงานทําทันที และยังสนับสนุนให้ประเทศไทยเกิดความเจริญก้าวหน้าจากกําลังคนที่มีทักษะฝีมือ และก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3836
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางร่างกฎหมายลูกการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 19 ฉบับ ประกาศใช้ 24 ส.ค. 60
วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560 กรมบัญชีกลางร่างกฎหมายลูกการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 19 ฉบับ ประกาศใช้ 24 ส.ค. 60 ภายหลังจากที่ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 23 ส.ค.2560 ในระหว่างนี้ กรมบัญชีกลางได้ร่างกฎหมายลูกตามพ.ร.บ. ดังกล่าวไว้แล้ว รวม 19 ฉบับ นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งจะมีผลใช้บังคับ ในวันที่ 23 สิงหาคม 2560 ในระหว่างนี้ กรมบัญชีกลางได้ร่างกฎหมายลูกตามพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวไว้แล้ว รวม 19 ฉบับ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า สําหรับกฎหมายลูกที่จะดําเนินการให้แล้วเสร็จ พร้อมประกาศใช้ในวันที่ 24 สิงหาคม 2560 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันที่ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างมีผลใช้บังคับ มีจํานวน 8 ฉบับ ได้แก่ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... จํานวน 1 ฉบับ กฎกระทรวง จํานวน 7 ฉบับ ในส่วนของกฎกระทรวง ทั้ง 7 ฉบับ ได้แก่ (1) วงเงินที่ใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างแต่ละวิธี (2) คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบการ การตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามหรือการตรวจติดตาม การเพิกถอนรายชื่อออกจากทะเบียน และอัตราค่าธรรมเนียมการขอขึ้นทะเบียน รวมทั้งหลักเกณฑ์วิธีการอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์ (3) การจัดซื้อจัดจ้างและการจ้างที่ปรึกษาที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (4) การขึ้นทะเบียนที่ปรึกษา (5) อัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง (6) นิยามการจัดซื้อจัดจ้าง เพิ่มเติม (7) ข้อห้ามอุทธรณ์ เพิ่มเติม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐ สามารถปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุได้อย่างต่อเนื่องทันที สําหรับประกาศคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ประกาศคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ และประกาศคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต จํานวน 11 ฉบับ ได้เตรียมยกร่างประกาศไว้แล้วเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากประกาศดังกล่าวต้องมีการเสนอคณะกรรมการฯ แต่ละชุดพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนจึงจะประกาศใช้ได้ ซึ่งจะดําเนินการได้หลังวันที่ 23 สิงหาคม 2560 คาดว่ากฎหมายทั้ง 11 ฉบับ จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับได้ประมาณปลายเดือนกันยายน 2560 อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า ในการจัดหาพัสดุของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ในระหว่างนี้จนถึงก่อนวันที่ 23 สิงหาคม 2560 หากหน่วยงานของรัฐได้ทราบยอดเงินเบื้องต้นที่จะนํามาใช้ในการจัดหาแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐรีบดําเนินการจัดหาพัสดุตามขั้นตอนของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 หรือระเบียบข้อบังคับ ประกาศ ข้อบัญญัติ หรือข้อกําหนดใดๆ เกี่ยวกับพัสดุ การจัดซื้อจัดจ้างหรือการบริหารพัสดุของหน่วยงานของรัฐ แล้วแต่กรณี เพื่อให้พร้อมที่จะทําสัญญาได้ทันทีเมื่อได้รับอนุมัติทางการเงินแล้ว ทั้งนี้ให้หน่วยงานของรัฐสามารถดําเนินการจัดหาพัสดุได้ต่อไปก่อนในช่วงการเปลี่ยนผ่านมาใช้พระราชบัญญัติฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางร่างกฎหมายลูกการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 19 ฉบับ ประกาศใช้ 24 ส.ค. 60 วันอังคารที่ 27 มิถุนายน 2560 กรมบัญชีกลางร่างกฎหมายลูกการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 19 ฉบับ ประกาศใช้ 24 ส.ค. 60 ภายหลังจากที่ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 23 ส.ค.2560 ในระหว่างนี้ กรมบัญชีกลางได้ร่างกฎหมายลูกตามพ.ร.บ. ดังกล่าวไว้แล้ว รวม 19 ฉบับ นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งจะมีผลใช้บังคับ ในวันที่ 23 สิงหาคม 2560 ในระหว่างนี้ กรมบัญชีกลางได้ร่างกฎหมายลูกตามพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวไว้แล้ว รวม 19 ฉบับ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า สําหรับกฎหมายลูกที่จะดําเนินการให้แล้วเสร็จ พร้อมประกาศใช้ในวันที่ 24 สิงหาคม 2560 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันที่ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างมีผลใช้บังคับ มีจํานวน 8 ฉบับ ได้แก่ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. .... จํานวน 1 ฉบับ กฎกระทรวง จํานวน 7 ฉบับ ในส่วนของกฎกระทรวง ทั้ง 7 ฉบับ ได้แก่ (1) วงเงินที่ใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างแต่ละวิธี (2) คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบการ การตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามหรือการตรวจติดตาม การเพิกถอนรายชื่อออกจากทะเบียน และอัตราค่าธรรมเนียมการขอขึ้นทะเบียน รวมทั้งหลักเกณฑ์วิธีการอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์ (3) การจัดซื้อจัดจ้างและการจ้างที่ปรึกษาที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (4) การขึ้นทะเบียนที่ปรึกษา (5) อัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง (6) นิยามการจัดซื้อจัดจ้าง เพิ่มเติม (7) ข้อห้ามอุทธรณ์ เพิ่มเติม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐ สามารถปฏิบัติงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุได้อย่างต่อเนื่องทันที สําหรับประกาศคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ประกาศคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ และประกาศคณะกรรมการความร่วมมือป้องกันการทุจริต จํานวน 11 ฉบับ ได้เตรียมยกร่างประกาศไว้แล้วเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากประกาศดังกล่าวต้องมีการเสนอคณะกรรมการฯ แต่ละชุดพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนจึงจะประกาศใช้ได้ ซึ่งจะดําเนินการได้หลังวันที่ 23 สิงหาคม 2560 คาดว่ากฎหมายทั้ง 11 ฉบับ จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับได้ประมาณปลายเดือนกันยายน 2560 อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวในตอนท้ายว่า ในการจัดหาพัสดุของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ในระหว่างนี้จนถึงก่อนวันที่ 23 สิงหาคม 2560 หากหน่วยงานของรัฐได้ทราบยอดเงินเบื้องต้นที่จะนํามาใช้ในการจัดหาแล้ว ให้หน่วยงานของรัฐรีบดําเนินการจัดหาพัสดุตามขั้นตอนของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 หรือระเบียบข้อบังคับ ประกาศ ข้อบัญญัติ หรือข้อกําหนดใดๆ เกี่ยวกับพัสดุ การจัดซื้อจัดจ้างหรือการบริหารพัสดุของหน่วยงานของรัฐ แล้วแต่กรณี เพื่อให้พร้อมที่จะทําสัญญาได้ทันทีเมื่อได้รับอนุมัติทางการเงินแล้ว ทั้งนี้ให้หน่วยงานของรัฐสามารถดําเนินการจัดหาพัสดุได้ต่อไปก่อนในช่วงการเปลี่ยนผ่านมาใช้พระราชบัญญัติฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4821
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเตือน! การซื้อ-ขายใบกำกับภาษีปลอม มีโทษหนัก ปรับจริง ติดคุกยาว
วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562 กรมสรรพากรเตือน! การซื้อ-ขายใบกํากับภาษีปลอม มีโทษหนัก ปรับจริง ติดคุกยาว ตามที่มีการเผยแพร่ข้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีการประกาศขายใบกํากับภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าประเภท วัสดุก่อสร้าง หมึก สิ่งพิมพ์ เครื่องใช้สํานักงาน เครื่องอุปโภคบริโภค และอื่นๆ ให้กับผู้ที่ต้องการนําใบกํากับภาษีไปใช้ในทางภาษี ตามที่มีการเผยแพร่ข้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีการประกาศขายใบกํากับภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าประเภท วัสดุก่อสร้าง หมึก สิ่งพิมพ์ เครื่องใช้สํานักงาน เครื่องอุปโภคบริโภค และอื่น ๆ ให้กับผู้ที่ต้องการนําใบกํากับภาษีไปใช้ในทางภาษี โดยแอบอ้างว่าสามารถนําไปใช้ในการยื่นภาษีได้จริง ซึ่งมีผู้ซื้อที่หลงเชื่อเป็นจํานวนมากทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจหลีกเลี่ยงภาษีอากร นั้น นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ รักษาการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า การประกาศซื้อขายใบกํากับภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและมีความผิดตามกฎหมาย โดยทางอาญามีโทษจําคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี และถูกปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท และรับโทษทางแพ่ง ต้องเสียเบี้ยปรับอีกสองเท่าของเงินภาษี และเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของจํานวนเงินภาษีอีกด้วย โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพากรได้ดําเนินคดีทางแพ่งและทางอาญากับผู้ประกอบการทั้งที่เป็นผู้ออกและผู้ใช้ใบกํากับภาษีโดยมิชอบด้วยกฎหมายมาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยในปี ที่ผ่านมาได้ดําเนินคดีทางแพ่งโดยมีการประเมินภาษีผู้ออกใบกํากับภาษีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย มีจํานวน 15 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 1.9 พันล้านบาท และประเมินภาษีผู้ใช้ใบกํากับภาษีโดยมิชอบด้วยกฎหมายจํานวน 408 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 4.1 พันล้านบาท รวมทั้งได้มีการดําเนินคดีอาญากรณีความผิดฐานออกใบกํากับภาษีโดยไม่มีสิทธิออกจํานวน 59 ราย มีมูลค่าความเสียหายกว่า 1.8 พันล้านบาท จึงขอแจ้งเตือนผู้ทําผิดกฎหมายทุกรายให้ยุติการกระทําในลักษณะดังกล่าว และปัจจุบันกรมสรรพากรได้นําระบบ Data Analytics มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเฉพาะฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยจะติดตามตรวจสอบตลอดจนจับกุมผู้เสียภาษีที่เป็นผู้ออกและผู้ใช้ใบกํากับภาษีที่ไม่มีการซื้อขายสินค้าจริงมาลงโทษตามกฎหมาย และหากพบเห็น การกระทําใด ๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู “แจ้งเบาะแสข้อมูลแหล่งภาษี” เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้เสียภาษีทุกรายที่มีการปฏิบัติทางภาษีอย่างถูกต้องต่อไป” ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรเตือน! การซื้อ-ขายใบกำกับภาษีปลอม มีโทษหนัก ปรับจริง ติดคุกยาว วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2562 กรมสรรพากรเตือน! การซื้อ-ขายใบกํากับภาษีปลอม มีโทษหนัก ปรับจริง ติดคุกยาว ตามที่มีการเผยแพร่ข้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ว่ามีการประกาศขายใบกํากับภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าประเภท วัสดุก่อสร้าง หมึก สิ่งพิมพ์ เครื่องใช้สํานักงาน เครื่องอุปโภคบริโภค และอื่นๆ ให้กับผู้ที่ต้องการนําใบกํากับภาษีไปใช้ในทางภาษี ตามที่มีการเผยแพร่ข้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า มีการประกาศขายใบกํากับภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าประเภท วัสดุก่อสร้าง หมึก สิ่งพิมพ์ เครื่องใช้สํานักงาน เครื่องอุปโภคบริโภค และอื่น ๆ ให้กับผู้ที่ต้องการนําใบกํากับภาษีไปใช้ในทางภาษี โดยแอบอ้างว่าสามารถนําไปใช้ในการยื่นภาษีได้จริง ซึ่งมีผู้ซื้อที่หลงเชื่อเป็นจํานวนมากทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจหลีกเลี่ยงภาษีอากร นั้น นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ รักษาการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า การประกาศซื้อขายใบกํากับภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องและมีความผิดตามกฎหมาย โดยทางอาญามีโทษจําคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี และถูกปรับตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท และรับโทษทางแพ่ง ต้องเสียเบี้ยปรับอีกสองเท่าของเงินภาษี และเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของจํานวนเงินภาษีอีกด้วย โฆษกกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กรมสรรพากรได้ดําเนินคดีทางแพ่งและทางอาญากับผู้ประกอบการทั้งที่เป็นผู้ออกและผู้ใช้ใบกํากับภาษีโดยมิชอบด้วยกฎหมายมาอย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยในปี ที่ผ่านมาได้ดําเนินคดีทางแพ่งโดยมีการประเมินภาษีผู้ออกใบกํากับภาษีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย มีจํานวน 15 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 1.9 พันล้านบาท และประเมินภาษีผู้ใช้ใบกํากับภาษีโดยมิชอบด้วยกฎหมายจํานวน 408 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 4.1 พันล้านบาท รวมทั้งได้มีการดําเนินคดีอาญากรณีความผิดฐานออกใบกํากับภาษีโดยไม่มีสิทธิออกจํานวน 59 ราย มีมูลค่าความเสียหายกว่า 1.8 พันล้านบาท จึงขอแจ้งเตือนผู้ทําผิดกฎหมายทุกรายให้ยุติการกระทําในลักษณะดังกล่าว และปัจจุบันกรมสรรพากรได้นําระบบ Data Analytics มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเฉพาะฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) โดยจะติดตามตรวจสอบตลอดจนจับกุมผู้เสียภาษีที่เป็นผู้ออกและผู้ใช้ใบกํากับภาษีที่ไม่มีการซื้อขายสินค้าจริงมาลงโทษตามกฎหมาย และหากพบเห็น การกระทําใด ๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู “แจ้งเบาะแสข้อมูลแหล่งภาษี” เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้เสียภาษีทุกรายที่มีการปฏิบัติทางภาษีอย่างถูกต้องต่อไป” ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25384
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งประชุมเตรียมออกมาตการแก้วิกฤตฝุ่นละออง จี้ทุกส่วนราชการต้องเป็นที่พึ่งประชาชน วอนทุกฝ่ายร่วมมือผ่านวิกฤตไปด้วยกัน
วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562 เร่งประชุมเตรียมออกมาตการแก้วิกฤตฝุ่นละออง จี้ทุกส่วนราชการต้องเป็นที่พึ่งประชาชน วอนทุกฝ่ายร่วมมือผ่านวิกฤตไปด้วยกัน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. ได้สั่งให้ทุกส่วนราชการประสานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เร่งเตรียมข้อมูลรอบด้าน เพื่อจัดประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้ง ขอให้ศึกษาแนวคิดความเป็นไปได้ในการหมุนเวียนการปฏิบัติงานจากบ้านพัก การลดใช้ยานพาหนะ เป็นต้น เพื่อกําหนดแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างยั่งยืน เสนอ ครม.เป็นการเร่งด่วน สําหรับมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ได้กําชับขอให้ทุกส่วนราชการ โดยเฉพาะ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมการขนส่งทางบก กรมควบคุมมลพิษ และฝ่ายปกครองระดับจังหวัดและตํารวจ เร่งทําหน้าที่ในความรับผิดชอบ ทั้งการขอความร่วมมือและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เข้าควบคุมพื้นที่หรือแหล่งกําเนิดมลภาวะโดยตรง ทั้งจากโรงงานอุตสาหกรรม การเผาในที่โล่งแจ้ง หรือรถยนต์ควันดํา เป็นต้น. พร้อมทั้งสั่งการให้กองทัพ จัดกําลังพลเข้าไปสนับสนุนการทําหน้าที่ตรวจโรงงานอุตสาหกรรมและการเผาในที่โล่ง ที่ก่อให้เกิดมลภาวะในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ประกาศควบคุม ทั้งนี้ขอให้กระทรวงสาธารณสุข ได้ลงพื้นที่ไปตรวจและให้คําแนะนําด้านสุขภาพแก่ประชาชน โดยเฉพาะคนชราและเด็ก ควบคู่กันไป ทั้งนี้ ขอให้ทุกส่วนราชการ โดยเฉพาะกทม. ประสานการทํางานกับภาคเอกชนและภาคประชาชน ร่วมสร้างสํานึกและความตระหนักรู้ต่อส่วนรวม เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในกิจกรรมต่างๆที่สามารถดําเนินการร่วมกันมากขึ้น เช่น การลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดควันและฝุ่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การฉีดพ่นละอองน้ําในพื้นที่ควบคุมและเขตก่อสร้าง รวมทั้งการล้างถนนและใบไม้จากต้นไม้ริมถนนและสวนสาธารณะ ซึ่งขอให้หน่วยทหารพัฒนาสนับสนุนการทํางานร่วมกับ กทม.ต่อเนื่องกันไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เร่งประชุมเตรียมออกมาตการแก้วิกฤตฝุ่นละออง จี้ทุกส่วนราชการต้องเป็นที่พึ่งประชาชน วอนทุกฝ่ายร่วมมือผ่านวิกฤตไปด้วยกัน วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม 2562 เร่งประชุมเตรียมออกมาตการแก้วิกฤตฝุ่นละออง จี้ทุกส่วนราชการต้องเป็นที่พึ่งประชาชน วอนทุกฝ่ายร่วมมือผ่านวิกฤตไปด้วยกัน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. ได้สั่งให้ทุกส่วนราชการประสานกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เร่งเตรียมข้อมูลรอบด้าน เพื่อจัดประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้ง ขอให้ศึกษาแนวคิดความเป็นไปได้ในการหมุนเวียนการปฏิบัติงานจากบ้านพัก การลดใช้ยานพาหนะ เป็นต้น เพื่อกําหนดแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ทั้งระยะสั้นและระยะยาวอย่างยั่งยืน เสนอ ครม.เป็นการเร่งด่วน สําหรับมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ได้กําชับขอให้ทุกส่วนราชการ โดยเฉพาะ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมการขนส่งทางบก กรมควบคุมมลพิษ และฝ่ายปกครองระดับจังหวัดและตํารวจ เร่งทําหน้าที่ในความรับผิดชอบ ทั้งการขอความร่วมมือและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เข้าควบคุมพื้นที่หรือแหล่งกําเนิดมลภาวะโดยตรง ทั้งจากโรงงานอุตสาหกรรม การเผาในที่โล่งแจ้ง หรือรถยนต์ควันดํา เป็นต้น. พร้อมทั้งสั่งการให้กองทัพ จัดกําลังพลเข้าไปสนับสนุนการทําหน้าที่ตรวจโรงงานอุตสาหกรรมและการเผาในที่โล่ง ที่ก่อให้เกิดมลภาวะในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ประกาศควบคุม ทั้งนี้ขอให้กระทรวงสาธารณสุข ได้ลงพื้นที่ไปตรวจและให้คําแนะนําด้านสุขภาพแก่ประชาชน โดยเฉพาะคนชราและเด็ก ควบคู่กันไป ทั้งนี้ ขอให้ทุกส่วนราชการ โดยเฉพาะกทม. ประสานการทํางานกับภาคเอกชนและภาคประชาชน ร่วมสร้างสํานึกและความตระหนักรู้ต่อส่วนรวม เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมรับผิดชอบในกิจกรรมต่างๆที่สามารถดําเนินการร่วมกันมากขึ้น เช่น การลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดควันและฝุ่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การฉีดพ่นละอองน้ําในพื้นที่ควบคุมและเขตก่อสร้าง รวมทั้งการล้างถนนและใบไม้จากต้นไม้ริมถนนและสวนสาธารณะ ซึ่งขอให้หน่วยทหารพัฒนาสนับสนุนการทํางานร่วมกับ กทม.ต่อเนื่องกันไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18488
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวร่วมกับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน วันอังคารที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2562 คํากล่าวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวร่วมกับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน วันอังคารที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ คํากล่าวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวร่วมกับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน วันอังคารที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ฯพณฯ หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนทุกท่าน ในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ในการเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ซึ่งเป็นการเยือนที่เกิดขึ้นในปีที่มีความสําคัญ เป็นปีที่ไทยได้จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง รวมถึงเป็นประธานอาเซียน ขณะที่จีนก็เฉลิมฉลองการครบรอบ ๗๐ ปีแห่งการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ที่ผ่านมา ในสภาวะความผันแปรของสภาวะเศรษฐกิจโลก ผมและท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ได้หารือกันอย่างกว้างขวางทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และสังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนสถานการณ์ในภูมิภาคและในโลก ผมและท่านนายกรัฐมนตรีหลี่เห็นความสําคัญของการส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะระหว่างยุทธศาสตร์และกรอบความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ (MPAC 2025) และ ACMECS เป็นต้น กับข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ของจีน ซึ่งก็คล้องกับยุทธศาสตร์ “Connecting the Connectivities” ที่ไทยเสนอ เรายังเห็นพ้องที่จะเชื่อมระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ของไทยกับกรอบความร่วมมือเขตอ่าวกวางตุ้ง –มาเก๊า – ฮ่องกง หรือ GBA ของจีนผ่านโครงการความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดตั้งกลไกหารือระดับสูงระหว่างกันเพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้ ผมได้เชิญชวนให้จีนขยายการลงทุนในไทย ขณะเดียวกัน ก็ได้ฝากให้ท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ช่วยดูแลภาคเอกชนไทยที่ลงทุนในจีน และดูแลเรื่องสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวและยางพารา นอกจากนี้ ได้ย้ําความตั้งใจของรัฐบาลไทยที่จะปรับปรุงมาตรฐานการให้ความคุ้มครองและดูแลนักท่องเที่ยว ขณะที่ท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ได้แสดงความพร้อมที่จะถ่ายทอดแนวปฏิบัติที่ดีของจีนในเรื่องการขจัดความยากจนให้ไทย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและเมืองอัจฉริยะเพื่อสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหา หมอกควัน/PM 2.5 ในด้านการเมืองและความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันให้ส่งเสริมความร่วมมือด้านการต่อต้านอาชญกรรมข้ามชาติ และจะสนับสนุนการดําเนินความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย การเยือนไทยของท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ฯ และการลงนามความตกลงต่าง ๆ ระหว่างทั้งสองฝ่ายเมื่อสักครู่ สะท้อนถึงพัฒนาการของความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างไทย-จีน ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศ ประชาชนและภูมิภาคโดยรวม ขอเชิญท่านนายกรัฐมนตรีแถลงข่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวร่วมกับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน วันอังคารที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2562 คํากล่าวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวร่วมกับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน วันอังคารที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ คํากล่าวของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวร่วมกับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน วันอังคารที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ฯพณฯ หลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนทุกท่าน ในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ในการเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ซึ่งเป็นการเยือนที่เกิดขึ้นในปีที่มีความสําคัญ เป็นปีที่ไทยได้จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง รวมถึงเป็นประธานอาเซียน ขณะที่จีนก็เฉลิมฉลองการครบรอบ ๗๐ ปีแห่งการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ที่ผ่านมา ในสภาวะความผันแปรของสภาวะเศรษฐกิจโลก ผมและท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ได้หารือกันอย่างกว้างขวางทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และสังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนสถานการณ์ในภูมิภาคและในโลก ผมและท่านนายกรัฐมนตรีหลี่เห็นความสําคัญของการส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้น โดยเฉพาะระหว่างยุทธศาสตร์และกรอบความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ (MPAC 2025) และ ACMECS เป็นต้น กับข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ของจีน ซึ่งก็คล้องกับยุทธศาสตร์ “Connecting the Connectivities” ที่ไทยเสนอ เรายังเห็นพ้องที่จะเชื่อมระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ของไทยกับกรอบความร่วมมือเขตอ่าวกวางตุ้ง –มาเก๊า – ฮ่องกง หรือ GBA ของจีนผ่านโครงการความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดตั้งกลไกหารือระดับสูงระหว่างกันเพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้ ผมได้เชิญชวนให้จีนขยายการลงทุนในไทย ขณะเดียวกัน ก็ได้ฝากให้ท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ช่วยดูแลภาคเอกชนไทยที่ลงทุนในจีน และดูแลเรื่องสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าวและยางพารา นอกจากนี้ ได้ย้ําความตั้งใจของรัฐบาลไทยที่จะปรับปรุงมาตรฐานการให้ความคุ้มครองและดูแลนักท่องเที่ยว ขณะที่ท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ได้แสดงความพร้อมที่จะถ่ายทอดแนวปฏิบัติที่ดีของจีนในเรื่องการขจัดความยากจนให้ไทย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและเมืองอัจฉริยะเพื่อสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหา หมอกควัน/PM 2.5 ในด้านการเมืองและความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันให้ส่งเสริมความร่วมมือด้านการต่อต้านอาชญกรรมข้ามชาติ และจะสนับสนุนการดําเนินความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมาย การเยือนไทยของท่านนายกรัฐมนตรีหลี่ฯ และการลงนามความตกลงต่าง ๆ ระหว่างทั้งสองฝ่ายเมื่อสักครู่ สะท้อนถึงพัฒนาการของความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านระหว่างไทย-จีน ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศ ประชาชนและภูมิภาคโดยรวม ขอเชิญท่านนายกรัฐมนตรีแถลงข่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24327
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมมัสยิดกมาลุลอิสลาม โครงการไทยนิยม ยั่งยืน สินค้าเกษตรของดีเขตคลองสามวา และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนกมาลุลอิสลาม
วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2561 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมมัสยิดกมาลุลอิสลาม โครงการไทยนิยม ยั่งยืน สินค้าเกษตรของดีเขตคลองสามวา และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนกมาลุลอิสลาม นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมมัสยิดกมาลุลอิสลาม โครงการไทยนิยม ยั่งยืน สินค้าเกษตรของดีเขตคลองสามวา และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนกมาลุลอิสลาม ระบุขอให้ชาวชุนคลองสามวาคงรักษาความสามัคคี ให้คลองสามวาเป็นชุมชนที่น่าอยู่ตลอดไป วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2561) เวลา 10.15 น. ณ มัสยิดกมาลุลอิสลาม เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมมัสยิดกมาลุลอิสลาม โครงการไทยนิยม ยั่งยืน สินค้าเกษตรของดีเขตคลองสามวา และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนกมาลุลอิสลาม โดยมี ผู้อํานวยการเขต ผู้นํามัสยิด นักเรียน และประชาชนให้การต้อนรับ สําหรับมัสยิดกมาลุลอิสลาม ตั้งอยู่ในชุมชนเครือข่ายมัสยิดกมาลุลอิสลาม เป็นชุมชนชานเมืองที่ประสบความสําเร็จในการพัฒนาคลองแสนแสบโดยอาศัยหลักคําสอนทางศาสนามาประยุกต์กับงานพัฒนาสังคม ตามคําสอนของศาสนาอิสลามที่เน้นว่า "ความสะอาด เป็นส่วนหนึ่งของศรัทธา" เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงมัสยิดกลาลุลอิสลาม ผู้นําศาสนาขอพรดูอาร์ให้แก่นายกรัฐมนตรี เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงและมีกําลังในการทํางานพัฒนาประเทศยิ่งขึ้นไป จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะผู้นําศาสนา นักเรียนและประชาชนที่มาให้การต้อนรับตอนหนึ่งว่า ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของทุกคน แสดงให้เห็นว่าอยู่ในสังคมที่ดี สังคมพหุวัฒนธรรม ไม่ว่าเชื้อชาติไหน ศาสนาใดต้องอยู่รวมกันอย่างสงบสุขเพราะทุกคนอยู่บนแผ่นดินไทย ล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยด้วยกันทั้งหมด จะต้องไม่มีการแบ่งแยก ขอให้ภูมิใจในความเป็นไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าศาสนาใดต่างก็สอนให้คนเป็นคนดี อยู่รวมกันอย่างสันติ ในส่วนการแก้ไขปัญหาภาคใต้ รัฐบาลไม่มีนโยบายใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา แต่ใช้หลักความเข้าใจ ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาภายใต้หลักของกฎหมาย นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลบริหารประเทศโดยมุ่งหวังแก้ไขปัญหา เพื่อให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ และเพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป ผ่านนโยบายและมาตรการต่าง ๆ บนความเท่าเทียมอย่างเป็นธรรม ซึ่งจากการเดินทางไปพบผู้นําต่างประเทศ ล้วนแล้วแต่ชื่นชมประเทศไทย จากการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาล ทําให้ประเทศมีความมั่นคงมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการท่องเที่ยว ขอให้ทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร ในส่วนของการศึกษา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนได้ให้ความสําคัญกับเด็กที่จะเติบโตมาเป็นกําลังสําคัญของบ้านเมืองในอนาคต การดูแลและปลูกฝังสิ่งดีงามให้กับเด็กจะเป็นพื้นฐานที่จะนําไปสู่การเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ ที่จะช่วยกันพัฒนาชุมชนและสังคมของเราต่อไป ทั้งนี้ ขอฝากให้ครูสอนนักเรียนให้ค้นพบความต้องการของตัวเอง อย่าเรียนเพื่อใบปริญญา จบมาต้องมีงานทํา และต้องทํางานเป็น ซึ่งนักเรียนต้องพัฒนา เรียนรู้ให้ทันเทคโนโลยี ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบทในปัจจุบัน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความชื่นชมพี่น้องประชาชนชาวคลองสามวาทุกคน ที่ได้ร่วมกันดูแลชุมชนของตนเองอย่างดี ซึ่งทุกอย่างจะราบรื่นและสําเร็จได้นั้น ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุก ๆ คน ที่ได้สร้างสรรค์และพัฒนาชุมชนอย่างเต็มที่ ขอให้คงรักษาความสามัคคีเช่นนี้ เพื่อจะยกระดับเขตคลองสามวาให้สอดคล้องกับความต้องการของทุกคน และเป็นชุมชนที่น่าอยู่เช่นนี้ตลอดไป จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทักทายเด็กนักเรียนที่มาให้การต้อนรับพร้อมร่วมถ่ายภาพ ก่อนจะเยี่ยมชมนิทรรศการและผลิตภัณฑ์ที่มาจากโครงการไทยนิยม ยั่งยืน และสินค้าเกษตรของดีเขตคลองสามวา ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมมัสยิดกมาลุลอิสลาม โครงการไทยนิยม ยั่งยืน สินค้าเกษตรของดีเขตคลองสามวา และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนกมาลุลอิสลาม วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2561 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมมัสยิดกมาลุลอิสลาม โครงการไทยนิยม ยั่งยืน สินค้าเกษตรของดีเขตคลองสามวา และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนกมาลุลอิสลาม นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมมัสยิดกมาลุลอิสลาม โครงการไทยนิยม ยั่งยืน สินค้าเกษตรของดีเขตคลองสามวา และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนกมาลุลอิสลาม ระบุขอให้ชาวชุนคลองสามวาคงรักษาความสามัคคี ให้คลองสามวาเป็นชุมชนที่น่าอยู่ตลอดไป วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2561) เวลา 10.15 น. ณ มัสยิดกมาลุลอิสลาม เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมมัสยิดกมาลุลอิสลาม โครงการไทยนิยม ยั่งยืน สินค้าเกษตรของดีเขตคลองสามวา และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนชุมชนกมาลุลอิสลาม โดยมี ผู้อํานวยการเขต ผู้นํามัสยิด นักเรียน และประชาชนให้การต้อนรับ สําหรับมัสยิดกมาลุลอิสลาม ตั้งอยู่ในชุมชนเครือข่ายมัสยิดกมาลุลอิสลาม เป็นชุมชนชานเมืองที่ประสบความสําเร็จในการพัฒนาคลองแสนแสบโดยอาศัยหลักคําสอนทางศาสนามาประยุกต์กับงานพัฒนาสังคม ตามคําสอนของศาสนาอิสลามที่เน้นว่า "ความสะอาด เป็นส่วนหนึ่งของศรัทธา" เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงมัสยิดกลาลุลอิสลาม ผู้นําศาสนาขอพรดูอาร์ให้แก่นายกรัฐมนตรี เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงและมีกําลังในการทํางานพัฒนาประเทศยิ่งขึ้นไป จากนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวพบปะผู้นําศาสนา นักเรียนและประชาชนที่มาให้การต้อนรับตอนหนึ่งว่า ดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของทุกคน แสดงให้เห็นว่าอยู่ในสังคมที่ดี สังคมพหุวัฒนธรรม ไม่ว่าเชื้อชาติไหน ศาสนาใดต้องอยู่รวมกันอย่างสงบสุขเพราะทุกคนอยู่บนแผ่นดินไทย ล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยด้วยกันทั้งหมด จะต้องไม่มีการแบ่งแยก ขอให้ภูมิใจในความเป็นไทย ทั้งนี้ ไม่ว่าศาสนาใดต่างก็สอนให้คนเป็นคนดี อยู่รวมกันอย่างสันติ ในส่วนการแก้ไขปัญหาภาคใต้ รัฐบาลไม่มีนโยบายใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา แต่ใช้หลักความเข้าใจ ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาภายใต้หลักของกฎหมาย นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลบริหารประเทศโดยมุ่งหวังแก้ไขปัญหา เพื่อให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ และเพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป ผ่านนโยบายและมาตรการต่าง ๆ บนความเท่าเทียมอย่างเป็นธรรม ซึ่งจากการเดินทางไปพบผู้นําต่างประเทศ ล้วนแล้วแต่ชื่นชมประเทศไทย จากการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาล ทําให้ประเทศมีความมั่นคงมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการท่องเที่ยว ขอให้ทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร ในส่วนของการศึกษา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนได้ให้ความสําคัญกับเด็กที่จะเติบโตมาเป็นกําลังสําคัญของบ้านเมืองในอนาคต การดูแลและปลูกฝังสิ่งดีงามให้กับเด็กจะเป็นพื้นฐานที่จะนําไปสู่การเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ ที่จะช่วยกันพัฒนาชุมชนและสังคมของเราต่อไป ทั้งนี้ ขอฝากให้ครูสอนนักเรียนให้ค้นพบความต้องการของตัวเอง อย่าเรียนเพื่อใบปริญญา จบมาต้องมีงานทํา และต้องทํางานเป็น ซึ่งนักเรียนต้องพัฒนา เรียนรู้ให้ทันเทคโนโลยี ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบทในปัจจุบัน ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความชื่นชมพี่น้องประชาชนชาวคลองสามวาทุกคน ที่ได้ร่วมกันดูแลชุมชนของตนเองอย่างดี ซึ่งทุกอย่างจะราบรื่นและสําเร็จได้นั้น ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทุก ๆ คน ที่ได้สร้างสรรค์และพัฒนาชุมชนอย่างเต็มที่ ขอให้คงรักษาความสามัคคีเช่นนี้ เพื่อจะยกระดับเขตคลองสามวาให้สอดคล้องกับความต้องการของทุกคน และเป็นชุมชนที่น่าอยู่เช่นนี้ตลอดไป จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทักทายเด็กนักเรียนที่มาให้การต้อนรับพร้อมร่วมถ่ายภาพ ก่อนจะเยี่ยมชมนิทรรศการและผลิตภัณฑ์ที่มาจากโครงการไทยนิยม ยั่งยืน และสินค้าเกษตรของดีเขตคลองสามวา ----------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17001
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ติดตามสถานการณ์สินค้าเกษตรและสินค้าชุมชน
วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นําผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ติดตามสถานการณ์สินค้าเกษตรและสินค้าชุมชน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการเดินทางไปตรวจราชการร่วมกับคณะของนายกรัฐมนตรีในวันที่ 17 มกราคม 2561 นี้ ได้มอบหมายให้นางนันทวัลย์ ศกุนตนาคปลัดกระทรวงพาณิชย์และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์สินค้าเกษตรและการดําเนินงานส่งเสริมสินค้าชุมชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือประชาชน ให้ความสําคัญกับการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ส่งเสริมอาชีพ และรายได้ให้กับประชาชน และเกษตรกร นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทวงพาณิชย์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนจะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนในวันที่ 16 มกราคม 2561 ทั้งนี้ จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ซึ่งได้กําหนดยุทธศาสตร์ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเมืองนวัตกรรมเกษตรและอาหารภาคเหนือ ตลอดจนพืชผักและผลไม้แปรรูป โดยที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีภูมิอากาศที่เย็นตลอดปีในเวลาค่ําคืน มีความชุ่มชื้นพอประมาณ ทําให้เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชประเภท ถั่วเหลือง งา และที่มากที่สุด คือ กระเทียม ดังนั้น การเดินทางครั้งนี้ จะไปพบเกษตรกร ผู้ปลูกกระเทียม ณ บ้านปางแปก ตําบลแม่นาเติง อําเภอปาย เพื่อติดตามสถานการณ์ผลผลิตและความต้องการเกษตรกรด้านการตลาด รวมทั้งเยี่ยมชมการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรของบริษัท กุ๊ปไต จํากัด ตั้งอยู่ ณ อําเภอเมือง ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจําหน่ายกระเทียมปลอดภัยจากสารพิษ รวมทั้งแปรรูปกระเทียม อาทิ กระเทียมเจียวพร้อมกากหมู เพื่อใช้กับก๋วยเตี๋ยว ในการปรุงรส น้ํามันกระเทียมเจียวพร้อมเปลือกอ่อน เพื่อใช้กับอาหารไทย หลากชนิด เช่น คลุกเคล้ากับเส้นก๋วยเตี๋ยว หรือโรยบนอาหารทั่วไป เป็นต้น กระเทียวเจียวแห้งพร้อมเปลือกอ่อน เพื่อใช้ในการโรยบนอาหารหลากชนิด เช่น ผัดผัก แกงจืด เป็นต้น และกระเทียมเจียวแห้งแกะเปลือกสับละเอียด เพื่อใช้โรยหน้าขนมปังกระเทียม สาคูไส้หมู หรือ ขนมจีบ เป็นต้น รวมทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากถั่วลายเสือ และถั่วเหลือง นอกจากนั้น มีกําหนดการเยี่ยมชมการแปรรูปน้ํามันงา และขนมงาของ หจก.ไท ไท แบรนด์ ตําบลผาบ่อง อําเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นผู้ผลิต ขายส่ง ขายปลีก ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับความนิยม ได้แก่ น้ํามันงา(Sesame oil)และขนมงารสทิพย์(Sesame bars)หลากหลายรสสําหรับเมล็ดงาที่ใช้ในการผลิตขนมงารสทิพย์ ประกอบด้วย งาดํา งาขาว และงาม่อนหรืองาสีน้ําตาล ส่วนผสมที่เป็นธัญพืช ประกอบด้วยข้าวกล้อง ลูกเดือยและข้าวฟ่าง ซึ่งเป็นธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสําหรับคนรักสุขภาพ “ในปี 2561 กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายยกระดับสินค้าเกษตรพื้นฐานสู่สินค้าเกษตรนวัตกรรมและสินค้าเกษตรแปรรูประดับพรีเมี่ยมให้มากขึ้น โดยจังหวัดแม่ฮ่องสอนก็เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปเพื่อสุขภาพซึ่งสามารถพัฒนาสู่การเป็นผลิตภัณฑ์เด่นระดับจังหวัดที่นักท่องเที่ยวต้องซื้อหาเป็นของฝากหรือของที่ระลึก รวมทั้งมีแหล่งผลิตสินค้าชุมชนซึ่งสามารถเชื่อมโยงสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจเพิ่มเติมจากแหล่งท่องเที่ยวหลักของจังหวัด อันจะนํามาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นสู่ท้องถิ่น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวทิ้งท้าย โดยในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และปลัดกระทรวงพาณิชย์จะเข้าร่วมประชุมกับภาครัฐและเอกชนของจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคที่ประสงค์จะให้ภาครัฐแก้ไข ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ยินดีที่จะส่งเสริมด้านการค้าและการตลาดเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและจังหวัด และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าในทันที
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ติดตามสถานการณ์สินค้าเกษตรและสินค้าชุมชน วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นําผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ติดตามสถานการณ์สินค้าเกษตรและสินค้าชุมชน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการเดินทางไปตรวจราชการร่วมกับคณะของนายกรัฐมนตรีในวันที่ 17 มกราคม 2561 นี้ ได้มอบหมายให้นางนันทวัลย์ ศกุนตนาคปลัดกระทรวงพาณิชย์และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์สินค้าเกษตรและการดําเนินงานส่งเสริมสินค้าชุมชนในจังหวัดแม่ฮ่องสอนด้วย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือประชาชน ให้ความสําคัญกับการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ส่งเสริมอาชีพ และรายได้ให้กับประชาชน และเกษตรกร นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค ปลัดกระทวงพาณิชย์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนจะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนในวันที่ 16 มกราคม 2561 ทั้งนี้ จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นหนึ่งในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ซึ่งได้กําหนดยุทธศาสตร์ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเมืองนวัตกรรมเกษตรและอาหารภาคเหนือ ตลอดจนพืชผักและผลไม้แปรรูป โดยที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนมีภูมิอากาศที่เย็นตลอดปีในเวลาค่ําคืน มีความชุ่มชื้นพอประมาณ ทําให้เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชประเภท ถั่วเหลือง งา และที่มากที่สุด คือ กระเทียม ดังนั้น การเดินทางครั้งนี้ จะไปพบเกษตรกร ผู้ปลูกกระเทียม ณ บ้านปางแปก ตําบลแม่นาเติง อําเภอปาย เพื่อติดตามสถานการณ์ผลผลิตและความต้องการเกษตรกรด้านการตลาด รวมทั้งเยี่ยมชมการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรของบริษัท กุ๊ปไต จํากัด ตั้งอยู่ ณ อําเภอเมือง ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจําหน่ายกระเทียมปลอดภัยจากสารพิษ รวมทั้งแปรรูปกระเทียม อาทิ กระเทียมเจียวพร้อมกากหมู เพื่อใช้กับก๋วยเตี๋ยว ในการปรุงรส น้ํามันกระเทียมเจียวพร้อมเปลือกอ่อน เพื่อใช้กับอาหารไทย หลากชนิด เช่น คลุกเคล้ากับเส้นก๋วยเตี๋ยว หรือโรยบนอาหารทั่วไป เป็นต้น กระเทียวเจียวแห้งพร้อมเปลือกอ่อน เพื่อใช้ในการโรยบนอาหารหลากชนิด เช่น ผัดผัก แกงจืด เป็นต้น และกระเทียมเจียวแห้งแกะเปลือกสับละเอียด เพื่อใช้โรยหน้าขนมปังกระเทียม สาคูไส้หมู หรือ ขนมจีบ เป็นต้น รวมทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปจากถั่วลายเสือ และถั่วเหลือง นอกจากนั้น มีกําหนดการเยี่ยมชมการแปรรูปน้ํามันงา และขนมงาของ หจก.ไท ไท แบรนด์ ตําบลผาบ่อง อําเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นผู้ผลิต ขายส่ง ขายปลีก ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับความนิยม ได้แก่ น้ํามันงา(Sesame oil)และขนมงารสทิพย์(Sesame bars)หลากหลายรสสําหรับเมล็ดงาที่ใช้ในการผลิตขนมงารสทิพย์ ประกอบด้วย งาดํา งาขาว และงาม่อนหรืองาสีน้ําตาล ส่วนผสมที่เป็นธัญพืช ประกอบด้วยข้าวกล้อง ลูกเดือยและข้าวฟ่าง ซึ่งเป็นธัญพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสําหรับคนรักสุขภาพ “ในปี 2561 กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายยกระดับสินค้าเกษตรพื้นฐานสู่สินค้าเกษตรนวัตกรรมและสินค้าเกษตรแปรรูประดับพรีเมี่ยมให้มากขึ้น โดยจังหวัดแม่ฮ่องสอนก็เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปเพื่อสุขภาพซึ่งสามารถพัฒนาสู่การเป็นผลิตภัณฑ์เด่นระดับจังหวัดที่นักท่องเที่ยวต้องซื้อหาเป็นของฝากหรือของที่ระลึก รวมทั้งมีแหล่งผลิตสินค้าชุมชนซึ่งสามารถเชื่อมโยงสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจเพิ่มเติมจากแหล่งท่องเที่ยวหลักของจังหวัด อันจะนํามาซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นสู่ท้องถิ่น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวทิ้งท้าย โดยในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และปลัดกระทรวงพาณิชย์จะเข้าร่วมประชุมกับภาครัฐและเอกชนของจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อหารือเกี่ยวกับยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตลอดจนปัญหาและอุปสรรคที่ประสงค์จะให้ภาครัฐแก้ไข ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ยินดีที่จะส่งเสริมด้านการค้าและการตลาดเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนและจังหวัด และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าในทันที
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9394
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมตัวทดสอบความรู้เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) กับกรมสรรพากร เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 - 16 กันยายน 2560
วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560 เตรียมตัวทดสอบความรู้เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) กับกรมสรรพากร เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 - 16 กันยายน 2560 กรมสรรพากร เปิดรับสมัครผู้สําเร็จการศึกษาปริญญาตรี (สาขาทางการบัญชี) เข้ารับการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) สมัครผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เท่านั้น ระหว่างวันที่ 1 - 16 กันยายน 2560 กรมสรรพากรจะเปิดรับสมัครทดสอบความรู้เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) ครั้งที่ 43 (3/2560) โดยผู้ประสงค์จะเข้ารับการทดสอบต้องสําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีทางการบัญชีหรือประกาศนียบัตรทางการบัญชี ผู้สนใจสามารถยื่นคําขอเข้ารับการทดสอบผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างวันที่ 1 - 16 กันยายน 2560 โดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบในวันที่ 2 ตุลาคม 2560 และจะดําเนินการทดสอบในวันที่ 7 - 8 ตุลาคม 2560 ณ โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ จากนั้นจะประกาศผลการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร ในวันที่ 30 ธันวาคม 2560 ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2272 8188 ในวันและเวลาราชการ หรือที่กองมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร ชั้น 17 อาคารกรมสรรพากร เลขที่ 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตรียมตัวทดสอบความรู้เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) กับกรมสรรพากร เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 - 16 กันยายน 2560 วันอังคารที่ 1 สิงหาคม 2560 เตรียมตัวทดสอบความรู้เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) กับกรมสรรพากร เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 - 16 กันยายน 2560 กรมสรรพากร เปิดรับสมัครผู้สําเร็จการศึกษาปริญญาตรี (สาขาทางการบัญชี) เข้ารับการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) สมัครผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เท่านั้น ระหว่างวันที่ 1 - 16 กันยายน 2560 กรมสรรพากรจะเปิดรับสมัครทดสอบความรู้เป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร (Tax Auditor) ครั้งที่ 43 (3/2560) โดยผู้ประสงค์จะเข้ารับการทดสอบต้องสําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีทางการบัญชีหรือประกาศนียบัตรทางการบัญชี ผู้สนใจสามารถยื่นคําขอเข้ารับการทดสอบผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th เพียงช่องทางเดียวเท่านั้น ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างวันที่ 1 - 16 กันยายน 2560 โดยจะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการทดสอบในวันที่ 2 ตุลาคม 2560 และจะดําเนินการทดสอบในวันที่ 7 - 8 ตุลาคม 2560 ณ โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี กรุงเทพฯ จากนั้นจะประกาศผลการทดสอบเป็นผู้สอบบัญชีภาษีอากร ในวันที่ 30 ธันวาคม 2560 ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2272 8188 ในวันและเวลาราชการ หรือที่กองมาตรฐานการสอบบัญชีภาษีอากร ชั้น 17 อาคารกรมสรรพากร เลขที่ 90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5603
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมองค์กรหลัก 11/2560
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560 ผลประชุมองค์กรหลัก 11/2560 ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 11/2560 โดยมี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุม รวมทั้ง พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และ ม.ล.ปนัดดาดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมประชุม ดร.กมล รอดคล้าย โฆษกกระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยว่า ในการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้แจ้งเรื่องผลการประชุมคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ใน 3 เรื่องหลัก คือ 1) เห็นชอบ(ร่าง) แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาการศึกษาในช่วงระยะเวลาดังกล่าวต่อไปโดยมี 6 ยุทธศาสตร์หลักที่สําคัญ ดังนี้ยุทธศาสตร์ที่ 1การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติยุทธศาสตร์ที่ 2การผลิตและพัฒนากําลังคนการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศยุทธศาสตร์ที่ 3การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ยุทธศาสตร์ที่ 4การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษายุทธศาสตร์ที่ 5การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยุทธศาสตร์ที่ 6การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษา(อ่านข่าวนี้เพิ่มเติมที่ 129/2560) 2) ThailandDigital นายกรัฐมนตรีได้ปรารภเกี่ยวกับการก้าวสู่ ThailandDigital ว่าขอให้ทุกหน่วยงานประเมินและทบทวนการทํางานรองรับแนวทางพัฒนาของประเทศ จึงขอให้ทุกองค์กรหลัก โดยมีสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพ พิจารณาทบทวนกระบวนการทํางาน เพื่อปรับให้มีความทันสมัยมากขึ้น มีการนําระบบเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านต่าง ๆ เช่น การประสานงาน การสื่อสารภายในหน่วยงาน การประชุมการจัดระบบให้บริการแก่ประชาชน อาทิ การรับสมัคร เอกสาร แบบฟอร์มออนไลน์เป็นต้น โดยให้เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นหลัก 3) การวิจัยสมุนไพร จากการที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี พบว่าโรงพยาบาลดังกล่าวและหน่วยงานในพื้นที่ ได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรจํานวนมาก จึงขอให้มหาวิทยาลัยในพื้นที่ใกล้เคียงให้การสนับสนุนงานด้านวิชาการแก่โรงพยาบาล องค์กร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ รวมทั้งให้การสนับสนุนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อต่อยอดกิจกรรมที่ดําเนินการอยู่แล้ว นําไปสู่การเกิดนวัตกรรมใหม่และเพิ่มมูลค่าสินค้าท้องถิ่น นอกจากนี้ที่ประชุมได้หารือในเรื่องต่าง ๆ เพิ่มเติม ดังนี้ การเตรียมความพร้อมการจัดประชุมชี้แจงระบบการทํางานคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.)ในวันพุธที่ 29 มีนาคม 2560 ที่โรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค เพื่อเตรียมประกาศจัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค ตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 11/2559ลงวันที่21มีนาคม2559เรื่อง การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค และการจัดตั้งศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) โดยจะมีการหารือใน 4 เรื่องหลัก คือ 1) สถานที่ตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาคและสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดทั้ง 76จังหวัดและกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมในทุกจังหวัดทั่วประเทศ 2) การโอนงบประมาณซึ่งได้รับจากสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) รวม 1,400 ล้านบาท โดยจะต้องโอนงบประมาณดังกล่าวลงไปยังสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด/กรุงเทพมหานคร ต่อไป 3) การเกลี่ยบุคลากรซึ่งจะต้องดําเนินการอย่างเป็นระบบ 4) การมอบอํานาจการดําเนินงานจากส่วนกลางลงไปส่วนภูมิภาคพร้อมออกเป็นประกาศแจ้งบุคลากรรับทราบอย่างทั่วถึงต่อไป การสอบบรรจุครูของ สพฐ. ในช่วงระหว่างภาคเรียนซึ่งเป็นข้อกังวลของโรงเรียนเอกชนเสมอมา เพราะเกิดผลกระทบต่อการเรียนการสอน ที่ไม่สามารถหาครูมาทดแทนได้ทัน ซึ่ง สพฐ. ได้เตรียมการปรับระบบการสอบและการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูผู้ช่วยให้แล้วเสร็จภายในกลางเดือนเมษายนนี้ (หรือเร็วขึ้นจากปีที่ผ่านมา 15 วัน) เพื่อให้โรงเรียนเอกชนหาครูมาทดแทนได้ทันก่อนเปิดภาคเรียน ส่วนการบรรจุครูทดแทนการเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนั้น สพฐ. จะได้มีการหารือกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการได้รายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานในความรับผิดชอบ 2 เรื่อง คือ 1) การศึกษาพื้นที่ชายแดนขณะนี้ได้จัดทําร่างแผนการศึกษาพื้นที่ชายแดนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมตั้งคณะกรรมการดําเนินการ จํานวน 4 ชุด คือ คณะกรรมการอํานวยการฯ, คณะกรรมการดําเนินงาน, คณะกรรมการระดับภาค, คณะกรรมการระดับจังหวัด เพื่อดําเนินการขับเคลื่อนแผนจัดการศึกษาและพัฒนาที่ครอบคลุม 27 จังหวัดที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยในปีการศึกษา 2560 ได้กําหนดพื้นที่ดําเนินการเร่งด่วนใน 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก และแม่ฮ่องสอน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาเรื่องชาติพันธุ์และปัญหาการอ่านออกเขียนได้ ทั้งนี้ ได้เตรียมการจัดการประชุมชี้แจงแผนการศึกษาพื้นที่ชายแดน ในวันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 ณ โรงแรมเอสดี อเวนิว กรุงเทพฯ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน ได้แก่ ผู้บริหารองค์กรหลัก ศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด ประธานกรรมการการอาชีวศึกษา ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ตลอดจนข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้ทั้ง 4 จังหวัดกลับไปร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาการศึกษาของจังหวัด พร้อมส่งให้ศึกษาธิการภาคภายในวันที่ 15 เมษายน 2560 เพื่อรวบรวมจัดทําเป็นแผนการศึกษาพื้นที่ชายแดนระดับภาค และนําไปสู่การขับเคลื่อนได้ทันเปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2560 ต่อไป 2) การจัดทําแผนยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกซึ่งที่ผ่านมาได้มีการประชุมการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครบถ้วนทั้ง 3 จังหวัดแล้ว คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา และขณะนี้จะจัดประชุมสัมมนาทางวิชาการการจัดทําแผนยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อพัฒนากําลังคนไปส่งเสริมเขตเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าว ระหว่างวันที่ 23-25 มีนาคม 2560 ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน จังหวัดชลบุรีโดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเปิดการประชุม และพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีร่วมรับฟังแผนยุทธศาสตร์ของจังหวัดแบบบูรณาการในการจัดการศึกษาเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกในภาพรวม พร้อมทั้งมีการบรรยายพิเศษของ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เรื่อง แนวทางการจัดทําแผนยุทธศาสตร์แบบบูรณาการเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมกว่า 1,000 คน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมองค์กรหลัก 11/2560 วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560 ผลประชุมองค์กรหลัก 11/2560 ดร.กมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 11/2560 โดยมี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุม รวมทั้ง พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ และ ม.ล.ปนัดดาดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมประชุม ดร.กมล รอดคล้าย โฆษกกระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยว่า ในการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้แจ้งเรื่องผลการประชุมคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ใน 3 เรื่องหลัก คือ 1) เห็นชอบ(ร่าง) แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาการศึกษาในช่วงระยะเวลาดังกล่าวต่อไปโดยมี 6 ยุทธศาสตร์หลักที่สําคัญ ดังนี้ยุทธศาสตร์ที่ 1การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติยุทธศาสตร์ที่ 2การผลิตและพัฒนากําลังคนการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศยุทธศาสตร์ที่ 3การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยและการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ยุทธศาสตร์ที่ 4การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษายุทธศาสตร์ที่ 5การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยุทธศาสตร์ที่ 6การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษา(อ่านข่าวนี้เพิ่มเติมที่ 129/2560) 2) ThailandDigital นายกรัฐมนตรีได้ปรารภเกี่ยวกับการก้าวสู่ ThailandDigital ว่าขอให้ทุกหน่วยงานประเมินและทบทวนการทํางานรองรับแนวทางพัฒนาของประเทศ จึงขอให้ทุกองค์กรหลัก โดยมีสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพ พิจารณาทบทวนกระบวนการทํางาน เพื่อปรับให้มีความทันสมัยมากขึ้น มีการนําระบบเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านต่าง ๆ เช่น การประสานงาน การสื่อสารภายในหน่วยงาน การประชุมการจัดระบบให้บริการแก่ประชาชน อาทิ การรับสมัคร เอกสาร แบบฟอร์มออนไลน์เป็นต้น โดยให้เน้นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นหลัก 3) การวิจัยสมุนไพร จากการที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี พบว่าโรงพยาบาลดังกล่าวและหน่วยงานในพื้นที่ ได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรจํานวนมาก จึงขอให้มหาวิทยาลัยในพื้นที่ใกล้เคียงให้การสนับสนุนงานด้านวิชาการแก่โรงพยาบาล องค์กร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ รวมทั้งให้การสนับสนุนทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อต่อยอดกิจกรรมที่ดําเนินการอยู่แล้ว นําไปสู่การเกิดนวัตกรรมใหม่และเพิ่มมูลค่าสินค้าท้องถิ่น นอกจากนี้ที่ประชุมได้หารือในเรื่องต่าง ๆ เพิ่มเติม ดังนี้ การเตรียมความพร้อมการจัดประชุมชี้แจงระบบการทํางานคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.)ในวันพุธที่ 29 มีนาคม 2560 ที่โรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค เพื่อเตรียมประกาศจัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค ตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 11/2559ลงวันที่21มีนาคม2559เรื่อง การบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค และการจัดตั้งศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) โดยจะมีการหารือใน 4 เรื่องหลัก คือ 1) สถานที่ตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาคและสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดทั้ง 76จังหวัดและกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมในทุกจังหวัดทั่วประเทศ 2) การโอนงบประมาณซึ่งได้รับจากสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) รวม 1,400 ล้านบาท โดยจะต้องโอนงบประมาณดังกล่าวลงไปยังสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด/กรุงเทพมหานคร ต่อไป 3) การเกลี่ยบุคลากรซึ่งจะต้องดําเนินการอย่างเป็นระบบ 4) การมอบอํานาจการดําเนินงานจากส่วนกลางลงไปส่วนภูมิภาคพร้อมออกเป็นประกาศแจ้งบุคลากรรับทราบอย่างทั่วถึงต่อไป การสอบบรรจุครูของ สพฐ. ในช่วงระหว่างภาคเรียนซึ่งเป็นข้อกังวลของโรงเรียนเอกชนเสมอมา เพราะเกิดผลกระทบต่อการเรียนการสอน ที่ไม่สามารถหาครูมาทดแทนได้ทัน ซึ่ง สพฐ. ได้เตรียมการปรับระบบการสอบและการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการครูผู้ช่วยให้แล้วเสร็จภายในกลางเดือนเมษายนนี้ (หรือเร็วขึ้นจากปีที่ผ่านมา 15 วัน) เพื่อให้โรงเรียนเอกชนหาครูมาทดแทนได้ทันก่อนเปิดภาคเรียน ส่วนการบรรจุครูทดแทนการเกษียณอายุราชการในเดือนตุลาคมนั้น สพฐ. จะได้มีการหารือกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการได้รายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานในความรับผิดชอบ 2 เรื่อง คือ 1) การศึกษาพื้นที่ชายแดนขณะนี้ได้จัดทําร่างแผนการศึกษาพื้นที่ชายแดนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พร้อมตั้งคณะกรรมการดําเนินการ จํานวน 4 ชุด คือ คณะกรรมการอํานวยการฯ, คณะกรรมการดําเนินงาน, คณะกรรมการระดับภาค, คณะกรรมการระดับจังหวัด เพื่อดําเนินการขับเคลื่อนแผนจัดการศึกษาและพัฒนาที่ครอบคลุม 27 จังหวัดที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยในปีการศึกษา 2560 ได้กําหนดพื้นที่ดําเนินการเร่งด่วนใน 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก และแม่ฮ่องสอน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาเรื่องชาติพันธุ์และปัญหาการอ่านออกเขียนได้ ทั้งนี้ ได้เตรียมการจัดการประชุมชี้แจงแผนการศึกษาพื้นที่ชายแดน ในวันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560 ณ โรงแรมเอสดี อเวนิว กรุงเทพฯ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบแผนพัฒนาการศึกษาพื้นที่ชายแดน ได้แก่ ผู้บริหารองค์กรหลัก ศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด ประธานกรรมการการอาชีวศึกษา ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ตลอดจนข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้ทั้ง 4 จังหวัดกลับไปร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาการศึกษาของจังหวัด พร้อมส่งให้ศึกษาธิการภาคภายในวันที่ 15 เมษายน 2560 เพื่อรวบรวมจัดทําเป็นแผนการศึกษาพื้นที่ชายแดนระดับภาค และนําไปสู่การขับเคลื่อนได้ทันเปิดภาคเรียน ปีการศึกษา 2560 ต่อไป 2) การจัดทําแผนยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกซึ่งที่ผ่านมาได้มีการประชุมการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาแบบบูรณาการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ครบถ้วนทั้ง 3 จังหวัดแล้ว คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา และขณะนี้จะจัดประชุมสัมมนาทางวิชาการการจัดทําแผนยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาแบบบูรณาการเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อพัฒนากําลังคนไปส่งเสริมเขตเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าว ระหว่างวันที่ 23-25 มีนาคม 2560 ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน จังหวัดชลบุรีโดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเปิดการประชุม และพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีร่วมรับฟังแผนยุทธศาสตร์ของจังหวัดแบบบูรณาการในการจัดการศึกษาเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกในภาพรวม พร้อมทั้งมีการบรรยายพิเศษของ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เรื่อง แนวทางการจัดทําแผนยุทธศาสตร์แบบบูรณาการเพื่อรองรับระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมกว่า 1,000 คน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2434
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19 นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการเร่งรัดลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ สนับสนุนการปรับเปลี่ยนสายการผลิต เพื่อรองรับความต้องการใช้ในประเทศ พร้อมมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วันนี้ (13 เม.ย.63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังการประชุม นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บอร์ดได้อนุมัติมาตรการหลายประการ ทั้งการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็วสนองต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในสถานการณ์ปัจจุบัน และส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีของประชาชนในประเทศ และมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขและบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการ เร่งรัดให้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จําเป็นเพื่อรับมือกับ COVID-19 มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ประกอบด้วย (1) มาตรการเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อรับมือกับ COVID-19 โดยให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 ปี ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งปกติจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3-8 ปี อยู่แล้ว เช่น การผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึง Non- Woven Fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ชุดตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ยาและสารออกฤทธิ์สําคัญในยา เป็นต้น โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมถึงโครงการที่ยื่นคําขอรับการส่งเสริมระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 และต้องเริ่มผลิตและมีรายได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ จะต้องจําหน่ายและหรือบริจาคภายในประเทศอย่างน้อยร้อยละ 50 ของปริมาณที่ผลิตได้ในปี 2563-2564 (2) มาตรการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนสายการผลิตเดิมเพื่อผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร โดยต้องนําเข้าภายในปี 2563 และยื่นขอแก้ไขโครงการภายในเดือนกันยายน 2563 (3) การปรับสิทธิประโยชน์สําหรับกิจการผลิตวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมต้นน้ําและกลางน้ําในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ โดยเพิ่มเติมขอบข่ายประเภทกิจการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร ให้ครอบคลุมถึงการผลิตแอลกอฮอล์ทางการแพทย์ (Pharmaceutical Grade) ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ให้กิจการผลิต Non- Woven Fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์การแพทย์ จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี เป็น 5 ปี นางสาวดวงใจ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ทําให้ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนหลายรายไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ภายในกรอบเวลาที่คณะกรรมการกําหนดได้ บอร์ดจึงเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยผ่อนปรนเงื่อนไขและพิจารณาขยายเวลาการดําเนินการสําหรับกรณีที่เกี่ยวข้อง เช่น การขยายเวลานําเข้าเครื่องจักรและเปิดดําเนินการ การขยายเวลาการดําเนินการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล การผ่อนผันการขออนุญาตหยุดดําเนินกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 เดือน เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสํานักงานจะออกประกาศแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอยังมีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นในการบริหารจัดการน้ําแบบองค์รวม เพื่อบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง และการแก้ปัญหาน้ําท่วม ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง หรือพื้นที่ที่เกิดปัญหาน้ําท่วมซ้ําซาก โดยแผนการดําเนินการบริหารจัดการน้ํา ต้องได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติและสอดคล้องกับแผนการบริหารจัดการน้ําของประเทศด้วย และต้องยื่นคําขอรับการส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2564 ทั้งนี้ ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ผู้ประกอบการจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี สัดส่วนไม่เกินร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน หรือให้ได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน แล้วแต่กรณี ปรับปรุงสิทธิประโยชน์และประเภทกิจการเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม และเกษตรสมัยใหม่ นอกจากนั้น บอร์ดบีโอไอยังได้เห็นชอบให้ขยายขอบข่ายการให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาให้ครอบคลุมประเภทกิจการอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ ประเภทกิจการที่มีเงื่อนไขกําหนดให้ทําการวิจัยและพัฒนา ประเภทกิจการที่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงขึ้นเมื่อมีการวิจัยและพัฒนา รวมถึงโครงการที่ทําการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงประเภทกิจการผลิตหรือบริการระบบเกษตรสมัยใหม่ เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีการลงทุนในกิจการผลิตหรือบริการระบบเกษตรสมัยใหม่ให้มากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาระบบ หรือดิจิทัลแพลตฟอร์มในประเทศ โดยผ่อนปรนเงื่อนไขของประเภทกิจการให้ครอบคลุมถึงกิจการที่ไม่มีการออกแบบระบบและซอฟต์แวร์ด้วยตัวเอง แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบหรือซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์ม โดยผู้พัฒนาในประเทศไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอได้อนุมัติโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จํากัด มูลค่าการลงทุนรวม 5,480 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสายการผลิตรถยนต์เดิมที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี สําหรับผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีกําลังการผลิตรวม 39,000 คันต่อปี แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicles - BEV) ประมาณ 9,500 คันต่อปี และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (Hybrid Electric Vehicles - HEV) ประมาณ 29,500 คันต่อปี โดยจะเริ่มผลิตประมาณปี 2566 และจะมีการส่งออกไปตลาดอาเซียนด้วย บีโอไอยังได้รายงานภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 3 เดือนของปี 2563 (มกราคม-มีนาคม) โดยมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 378 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจํานวน 368 โครงการ ขณะที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 71,380 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่า 128,460 ล้านบาท เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยมูลค่าเงินลงทุนสูงสุดอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 10,620 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 5,690 ล้านบาท และยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 2,400 ล้านบาท สําหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่าการขอรับส่งเสริมรวม 27,425 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นมีการลงทุนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 7,402 ล้านบาท อันดับ 2 คือ จีน มีมูลค่าเงินลงทุน 6,510 ล้านบาท และอันดับ 3 ฮ่องกง มีมูลค่าเงินลงทุน 3,458 ล้านบาท ทั้งนี้ ยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวม 47,580 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 67 ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าอีอีซียังเป็นพื้นที่เป้าหมายของนักลงทุนส่วนใหญ่ ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19 วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการชุดใหญ่ ช่วยรับมือ-บรรเทาผลกระทบโควิด-19 นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ดบีโอไอ เห็นชอบมาตรการเร่งรัดลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ สนับสนุนการปรับเปลี่ยนสายการผลิต เพื่อรองรับความต้องการใช้ในประเทศ พร้อมมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วันนี้ (13 เม.ย.63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังการประชุม นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บอร์ดได้อนุมัติมาตรการหลายประการ ทั้งการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็วสนองต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในสถานการณ์ปัจจุบัน และส่งเสริมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีของประชาชนในประเทศ และมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขและบรรเทาผลกระทบต่อผู้ประกอบการ เร่งรัดให้มีการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่จําเป็นเพื่อรับมือกับ COVID-19 มาตรการเพื่อสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ประกอบด้วย (1) มาตรการเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อรับมือกับ COVID-19 โดยให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 ปี ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ซึ่งปกติจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3-8 ปี อยู่แล้ว เช่น การผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึง Non- Woven Fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล ชุดตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ ยาและสารออกฤทธิ์สําคัญในยา เป็นต้น โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมถึงโครงการที่ยื่นคําขอรับการส่งเสริมระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 และต้องเริ่มผลิตและมีรายได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ จะต้องจําหน่ายและหรือบริจาคภายในประเทศอย่างน้อยร้อยละ 50 ของปริมาณที่ผลิตได้ในปี 2563-2564 (2) มาตรการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนสายการผลิตเดิมเพื่อผลิตเครื่องมือแพทย์หรือชิ้นส่วน รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร โดยต้องนําเข้าภายในปี 2563 และยื่นขอแก้ไขโครงการภายในเดือนกันยายน 2563 (3) การปรับสิทธิประโยชน์สําหรับกิจการผลิตวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมต้นน้ําและกลางน้ําในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ โดยเพิ่มเติมขอบข่ายประเภทกิจการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร ให้ครอบคลุมถึงการผลิตแอลกอฮอล์ทางการแพทย์ (Pharmaceutical Grade) ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์ให้กิจการผลิต Non- Woven Fabric ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตหน้ากากอนามัยหรืออุปกรณ์การแพทย์ จากเดิมยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี เป็น 5 ปี นางสาวดวงใจ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งถือเป็นเหตุสุดวิสัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม ทําให้ผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนหลายรายไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขต่าง ๆ ภายในกรอบเวลาที่คณะกรรมการกําหนดได้ บอร์ดจึงเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยผ่อนปรนเงื่อนไขและพิจารณาขยายเวลาการดําเนินการสําหรับกรณีที่เกี่ยวข้อง เช่น การขยายเวลานําเข้าเครื่องจักรและเปิดดําเนินการ การขยายเวลาการดําเนินการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล การผ่อนผันการขออนุญาตหยุดดําเนินกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลาเกินกว่า 2 เดือน เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสํานักงานจะออกประกาศแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอยังมีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นในการบริหารจัดการน้ําแบบองค์รวม เพื่อบรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง และการแก้ปัญหาน้ําท่วม ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง หรือพื้นที่ที่เกิดปัญหาน้ําท่วมซ้ําซาก โดยแผนการดําเนินการบริหารจัดการน้ํา ต้องได้รับความเห็นชอบจากสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติและสอดคล้องกับแผนการบริหารจัดการน้ําของประเทศด้วย และต้องยื่นคําขอรับการส่งเสริมการลงทุนภายในปี 2564 ทั้งนี้ ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก ผู้ประกอบการจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี สัดส่วนไม่เกินร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน หรือให้ได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 120 ของเงินสนับสนุน แล้วแต่กรณี ปรับปรุงสิทธิประโยชน์และประเภทกิจการเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม และเกษตรสมัยใหม่ นอกจากนั้น บอร์ดบีโอไอยังได้เห็นชอบให้ขยายขอบข่ายการให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรสําหรับของที่นําเข้ามาเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาให้ครอบคลุมประเภทกิจการอื่น ๆ เพิ่มเติม ได้แก่ ประเภทกิจการที่มีเงื่อนไขกําหนดให้ทําการวิจัยและพัฒนา ประเภทกิจการที่ให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงขึ้นเมื่อมีการวิจัยและพัฒนา รวมถึงโครงการที่ทําการวิจัยและพัฒนาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงประเภทกิจการผลิตหรือบริการระบบเกษตรสมัยใหม่ เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีการลงทุนในกิจการผลิตหรือบริการระบบเกษตรสมัยใหม่ให้มากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาระบบ หรือดิจิทัลแพลตฟอร์มในประเทศ โดยผ่อนปรนเงื่อนไขของประเภทกิจการให้ครอบคลุมถึงกิจการที่ไม่มีการออกแบบระบบและซอฟต์แวร์ด้วยตัวเอง แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบหรือซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์ม โดยผู้พัฒนาในประเทศไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ดบีโอไอได้อนุมัติโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จํากัด มูลค่าการลงทุนรวม 5,480 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงสายการผลิตรถยนต์เดิมที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี สําหรับผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยมีกําลังการผลิตรวม 39,000 คันต่อปี แบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicles - BEV) ประมาณ 9,500 คันต่อปี และรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม (Hybrid Electric Vehicles - HEV) ประมาณ 29,500 คันต่อปี โดยจะเริ่มผลิตประมาณปี 2566 และจะมีการส่งออกไปตลาดอาเซียนด้วย บีโอไอยังได้รายงานภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 3 เดือนของปี 2563 (มกราคม-มีนาคม) โดยมียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 378 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจํานวน 368 โครงการ ขณะที่มีมูลค่าการลงทุนรวม 71,380 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่า 128,460 ล้านบาท เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยมูลค่าเงินลงทุนสูงสุดอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 10,620 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 5,690 ล้านบาท และยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 2,400 ล้านบาท สําหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่าการขอรับส่งเสริมรวม 27,425 ล้านบาท โดยญี่ปุ่นมีการลงทุนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 7,402 ล้านบาท อันดับ 2 คือ จีน มีมูลค่าเงินลงทุน 6,510 ล้านบาท และอันดับ 3 ฮ่องกง มีมูลค่าเงินลงทุน 3,458 ล้านบาท ทั้งนี้ ยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวม 47,580 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 67 ของมูลค่าการขอรับส่งเสริมทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าอีอีซียังเป็นพื้นที่เป้าหมายของนักลงทุนส่วนใหญ่ ------------------ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28966
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ร่วมจัดแสดงนิทรรศการ ในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการทรัพยากรไทย : ศักยภาพมากล้นมีให้เห็น ประจำปี พ.ศ.2560
วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 2560 ทส.ร่วมจัดแสดงนิทรรศการ ในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการทรัพยากรไทย : ศักยภาพมากล้นมีให้เห็น ประจําปี พ.ศ.2560 เนื่องในโอกาส สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินเป็นองค์ประธานในการเปิดการประชุมวิชาการและนิทรรศการทรัพยากรไทย : ศักยภาพมากล้นมีให้เห็น ประจําปี พ.ศ. 2560 เนื่องในโอกาส สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินเป็นองค์ประธานในการเปิดการประชุมวิชาการและนิทรรศการทรัพยากรไทย : ศักยภาพมากล้นมีให้เห็น ประจําปี พ.ศ. 2560ในการนี้ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการสนองงานพระราชดําริโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ในงานประชุมวิชาการฯ ดังกล่าว ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน – 4 ธันวาคม 2560ณ โครงการพัฒนาที่ดินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย – สระบุรี อําเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ทั้งนี้ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อีกทั้ง เพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วน ได้นําผลการดําเนินงาน รวมถึงองค์ความรู้จากการดําเนินงานสนองงานพระราชดําริฯ ในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ, ระบบนิเวศ, พันธุ์พืชและสัตว์, ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, ภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากพืช, การพัฒนาแหล่งน้ํา, และการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ ตลอดจนการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สืบไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ร่วมจัดแสดงนิทรรศการ ในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการทรัพยากรไทย : ศักยภาพมากล้นมีให้เห็น ประจำปี พ.ศ.2560 วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 2560 ทส.ร่วมจัดแสดงนิทรรศการ ในงานประชุมวิชาการและนิทรรศการทรัพยากรไทย : ศักยภาพมากล้นมีให้เห็น ประจําปี พ.ศ.2560 เนื่องในโอกาส สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินเป็นองค์ประธานในการเปิดการประชุมวิชาการและนิทรรศการทรัพยากรไทย : ศักยภาพมากล้นมีให้เห็น ประจําปี พ.ศ. 2560 เนื่องในโอกาส สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดําเนินเป็นองค์ประธานในการเปิดการประชุมวิชาการและนิทรรศการทรัพยากรไทย : ศักยภาพมากล้นมีให้เห็น ประจําปี พ.ศ. 2560ในการนี้ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการสนองงานพระราชดําริโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดําริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ในงานประชุมวิชาการฯ ดังกล่าว ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน – 4 ธันวาคม 2560ณ โครงการพัฒนาที่ดินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย – สระบุรี อําเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ทั้งนี้ เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อีกทั้ง เพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วน ได้นําผลการดําเนินงาน รวมถึงองค์ความรู้จากการดําเนินงานสนองงานพระราชดําริฯ ในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ, ระบบนิเวศ, พันธุ์พืชและสัตว์, ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง, ภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากพืช, การพัฒนาแหล่งน้ํา, และการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนต่าง ๆ ตลอดจนการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สืบไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8651
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอหนุนกิจการออกแบบสมองกลฝังตัว เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับบ้านอัจฉริยะ
วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560 บีโอไอหนุนกิจการออกแบบสมองกลฝังตัว เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติสําหรับบ้านอัจฉริยะ บีโอไอให้ส่งเสริมกิจการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์หรือสมองกลฝังตัว แก่บริษัท มี คอนเนคเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด เพื่อสร้างระบบอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยสําหรับบ้านอัจฉริยะ สามารถควบคุมอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าปัจจุบันการก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ตั้งแต่ระดับบ้านพักอาศัย อาคารสํานักงาน โรงงาน ตลอดจนโรงพยาบาล ได้มุ่งเน้นการนําเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการอํานวยความสะดวก และความปลอดภัย บีโอไอจึงส่งเสริมให้มีการนําระบบอัตโนมัติมาใช้มากขึ้น จึงให้การส่งเสริมการลงทุนแก่บริษัท มี คอนเนคเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด เพื่อดําเนินกิจการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ (EMBEDDED ELECTRONICS DESIGN) สําหรับบ้านอัจฉริยะ โดยโครงการนี้ จะเป็นการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือสมองกลฝังตัวเพื่อสร้างระบบบริการอุปกรณ์อัจฉริยะ โดยจะนําไปใช้กับระบบบ้านอัจฉริยะ เช่น ระบบป้องกันอัคคีภัย ระบบควบคุมการเปิดปิดหลอดไฟ และระบะควบคุมอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะช่วยอํานวยความสะดวกและความปลอดภัย ทั้งยังช่วยบริหารค่าใช้จ่ายด้วยระบบจัดการพลังงานอีกด้วย โดยระบบสามารถควบคุมและตรวจสอบการทํางานของระบบและอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของบุคคลภายในบ้าน หากพบการเคลื่อนไหว ระบบจะทําการวิเคราะห์และสั่งการอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ตอบสนองในรูปแบบที่เหมาะสม ทั้งนี้ บริษัท มี คอนเนคเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัดเป็นบริษัทของคนไทย มีประสบการณ์ในด้านการวิจัยพัฒนาและออกแบบระบบการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีแบบไร้สาย และคาดว่าจะก้าวไปสู่การวิจัยและผลิตระบบอัตโนมัติสําหรับ สมาร์ท ฟาร์มมิ่ง ในอนาคต ตอบรับนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาล *********************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอหนุนกิจการออกแบบสมองกลฝังตัว เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับบ้านอัจฉริยะ วันอังคารที่ 19 กันยายน 2560 บีโอไอหนุนกิจการออกแบบสมองกลฝังตัว เพื่อสร้างระบบอัตโนมัติสําหรับบ้านอัจฉริยะ บีโอไอให้ส่งเสริมกิจการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์หรือสมองกลฝังตัว แก่บริษัท มี คอนเนคเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด เพื่อสร้างระบบอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยสําหรับบ้านอัจฉริยะ สามารถควบคุมอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าปัจจุบันการก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ตั้งแต่ระดับบ้านพักอาศัย อาคารสํานักงาน โรงงาน ตลอดจนโรงพยาบาล ได้มุ่งเน้นการนําเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการอํานวยความสะดวก และความปลอดภัย บีโอไอจึงส่งเสริมให้มีการนําระบบอัตโนมัติมาใช้มากขึ้น จึงให้การส่งเสริมการลงทุนแก่บริษัท มี คอนเนคเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด เพื่อดําเนินกิจการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ (EMBEDDED ELECTRONICS DESIGN) สําหรับบ้านอัจฉริยะ โดยโครงการนี้ จะเป็นการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือสมองกลฝังตัวเพื่อสร้างระบบบริการอุปกรณ์อัจฉริยะ โดยจะนําไปใช้กับระบบบ้านอัจฉริยะ เช่น ระบบป้องกันอัคคีภัย ระบบควบคุมการเปิดปิดหลอดไฟ และระบะควบคุมอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะช่วยอํานวยความสะดวกและความปลอดภัย ทั้งยังช่วยบริหารค่าใช้จ่ายด้วยระบบจัดการพลังงานอีกด้วย โดยระบบสามารถควบคุมและตรวจสอบการทํางานของระบบและอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ยังได้ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของบุคคลภายในบ้าน หากพบการเคลื่อนไหว ระบบจะทําการวิเคราะห์และสั่งการอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ตอบสนองในรูปแบบที่เหมาะสม ทั้งนี้ บริษัท มี คอนเนคเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัดเป็นบริษัทของคนไทย มีประสบการณ์ในด้านการวิจัยพัฒนาและออกแบบระบบการควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีแบบไร้สาย และคาดว่าจะก้าวไปสู่การวิจัยและผลิตระบบอัตโนมัติสําหรับ สมาร์ท ฟาร์มมิ่ง ในอนาคต ตอบรับนโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาล *********************************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6789
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.พิเชฐ เป็นประธานการเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ SEE 2016
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ดร.พิเชฐ เป็นประธานการเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ SEE 2016 28 พฤศจิกายน 2559 / ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในการเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ SEE 2016 และแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อเรื่อง “บทบาทของนโยบาย ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม กับการบรรลุเป้าหมายด้านการลดภาวะโลกร้อนของประเทศไทย” ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ โดยมีนักวิชาการนานาชาติเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น และร่วมเสนอผลงานวิจัยมากกว่า 100 เรื่อง จาก 15 ประเทศ ภายใต้หัวข้อหลัก เรื่อง พลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสร้างนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความั่นคงด้านพลังงานและแก้ไขปัญหาโลกร้อน ซึ่งพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม นอกจากนี้ ยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่เกี่ยวเนื่องกับความท้าทายในการจัดการปัญหาด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นการประชุมนานาชาติที่เน้นการพัฒนาและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อรองรับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ การจัดประชุมวิชาการนานาชาติด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนครั้งที่ 6 (6 International Conference on Sustainable Energy and Environment) หรือ SEE 2016 จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28-30 พฤศจิกายน 2559 ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ข่าวโดย : นางสาวศิริวรรณ หมินหมัน ถ่ายภาพและวีดิโอโดย : นายภูมินทร์ ปั้นเล็ก,นายไววิทย์ ยอดประสิทธิ์ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728-3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail: pr@most.go.th Facebook : sciencethailand Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.พิเชฐ เป็นประธานการเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ SEE 2016 วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ดร.พิเชฐ เป็นประธานการเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ SEE 2016 28 พฤศจิกายน 2559 / ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในการเปิดการประชุมวิชาการนานาชาติ SEE 2016 และแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อเรื่อง “บทบาทของนโยบาย ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม กับการบรรลุเป้าหมายด้านการลดภาวะโลกร้อนของประเทศไทย” ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ โดยมีนักวิชาการนานาชาติเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น และร่วมเสนอผลงานวิจัยมากกว่า 100 เรื่อง จาก 15 ประเทศ ภายใต้หัวข้อหลัก เรื่อง พลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสร้างนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างความั่นคงด้านพลังงานและแก้ไขปัญหาโลกร้อน ซึ่งพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม นอกจากนี้ ยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่เกี่ยวเนื่องกับความท้าทายในการจัดการปัญหาด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นการประชุมนานาชาติที่เน้นการพัฒนาและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อรองรับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ การจัดประชุมวิชาการนานาชาติด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนครั้งที่ 6 (6 International Conference on Sustainable Energy and Environment) หรือ SEE 2016 จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28-30 พฤศจิกายน 2559 ณ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ข่าวโดย : นางสาวศิริวรรณ หมินหมัน ถ่ายภาพและวีดิโอโดย : นายภูมินทร์ ปั้นเล็ก,นายไววิทย์ ยอดประสิทธิ์ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728-3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail: pr@most.go.th Facebook : sciencethailand Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 1313
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/927
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบเงินช่วยเหลือแก่เอกอัครราชทูต สปป.ลาว ประจำประเทศไทย
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีมอบเงินช่วยเหลือแก่เอกอัครราชทูต สปป.ลาว ประจําประเทศไทย นายกรัฐมนตรีมอบเงินช่วยเหลือแก่เอกอัครราชทูต สปป.ลาว ประจําประเทศไทย วันนี้ (พ 25 ก.ค. 61) เวลา 14.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมอบเงินช่วยเหลือจํานวน 5 ล้านบาทแก่นายแสง สุขะทิวง เอกอัครราชทูต สปป.ลาวประจําประเทศไทย ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ได้มอบเงินช่วยเหลือจํานวน 5 ล้านบาท หรือ ประมาณ 1,300 ล้านกีบ แก่นายแสง สุขะทิวง เอกอัครราชทูต สปป.ลาว เพื่อแสดงความห่วงใยและน้ําใจของประชาชนชาวไทย ในฐานะมิตรประเทศที่ใกล้ชิด สําหรับใช้ช่วยบรรเทาผลกระทบจากเหตุกรณีเขื่อนเซเปียน – เซน้ําน้อย ที่ชํารุดเสียหายสืบเนื่องจากการที่มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องทําให้มีปริมาณนํา้จํานวนมาก จนเกิดเหตุอุทกภัย ทําให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ที่แขวงจําปาสักและแขวงอัตตะปือ ทางภาคใต้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า พร้อมให้ความช่วยเหลือทั้งในด้านอาหาร น้ําสะอาด ยา และเต็นท์พลาสติก ในการบรรเทาอุทกภัยในครั้งนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้ ทราบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทหารและพลเรือน อาสาบรรเทาสาธารณภัยได้มีการประชุมเพื่อร่วมกันกําหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือต่อไป เอกอัครราชทูต สปป.ลาว ได้กล่าวแสดงความซาบซึ้งในไมตรีของรัฐบาลและประชาชนไทย ความช่วยเหลือของรัฐบาลและประชาชนไทยครั้งนี้ ยืนยันให้เห็นถึงมิตรภาพและน้ําจิตน้ําใจคนไทยที่มีต่อเพื่อนทั้งในยามปกติและเมื่อเพื่อนต้องการความช่วยเหลือ เป็นมิตรภาพที่แท้จริง ขอขอบคุณอีกครั้ง ขณะนี้ทราบว่า หน่วยงานของลาวได้เร่งแก้ไขและให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ โอกาสเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มีสารแสดงความเสียใจส่งไปถึงนายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นของประชาชนชาวลาว พี่น้องชาวลาวจะสามารถก้าวผ่านภัยพิบัติในครั้งนี้และสถานการณ์จะผ่านพ้นไปด้วยดีในเร็ววัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบเงินช่วยเหลือแก่เอกอัครราชทูต สปป.ลาว ประจำประเทศไทย วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีมอบเงินช่วยเหลือแก่เอกอัครราชทูต สปป.ลาว ประจําประเทศไทย นายกรัฐมนตรีมอบเงินช่วยเหลือแก่เอกอัครราชทูต สปป.ลาว ประจําประเทศไทย วันนี้ (พ 25 ก.ค. 61) เวลา 14.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมอบเงินช่วยเหลือจํานวน 5 ล้านบาทแก่นายแสง สุขะทิวง เอกอัครราชทูต สปป.ลาวประจําประเทศไทย ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรี ได้มอบเงินช่วยเหลือจํานวน 5 ล้านบาท หรือ ประมาณ 1,300 ล้านกีบ แก่นายแสง สุขะทิวง เอกอัครราชทูต สปป.ลาว เพื่อแสดงความห่วงใยและน้ําใจของประชาชนชาวไทย ในฐานะมิตรประเทศที่ใกล้ชิด สําหรับใช้ช่วยบรรเทาผลกระทบจากเหตุกรณีเขื่อนเซเปียน – เซน้ําน้อย ที่ชํารุดเสียหายสืบเนื่องจากการที่มีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องทําให้มีปริมาณนํา้จํานวนมาก จนเกิดเหตุอุทกภัย ทําให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ที่แขวงจําปาสักและแขวงอัตตะปือ ทางภาคใต้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า พร้อมให้ความช่วยเหลือทั้งในด้านอาหาร น้ําสะอาด ยา และเต็นท์พลาสติก ในการบรรเทาอุทกภัยในครั้งนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้ ทราบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งทหารและพลเรือน อาสาบรรเทาสาธารณภัยได้มีการประชุมเพื่อร่วมกันกําหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือต่อไป เอกอัครราชทูต สปป.ลาว ได้กล่าวแสดงความซาบซึ้งในไมตรีของรัฐบาลและประชาชนไทย ความช่วยเหลือของรัฐบาลและประชาชนไทยครั้งนี้ ยืนยันให้เห็นถึงมิตรภาพและน้ําจิตน้ําใจคนไทยที่มีต่อเพื่อนทั้งในยามปกติและเมื่อเพื่อนต้องการความช่วยเหลือ เป็นมิตรภาพที่แท้จริง ขอขอบคุณอีกครั้ง ขณะนี้ทราบว่า หน่วยงานของลาวได้เร่งแก้ไขและให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ โอกาสเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรียังได้มีสารแสดงความเสียใจส่งไปถึงนายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นของประชาชนชาวลาว พี่น้องชาวลาวจะสามารถก้าวผ่านภัยพิบัติในครั้งนี้และสถานการณ์จะผ่านพ้นไปด้วยดีในเร็ววัน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14148
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตือนเกษตรกรปรับปรุงทะเบียนก่อน 31 ส.ค.61
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561 รัฐบาลเตือนเกษตรกรปรับปรุงทะเบียนก่อน 31 ส.ค.61 รัฐบาลแจ้งเตือนเกษตรกรที่ต้องการขอรับสินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62 ไร่ละ 1,500 บาท ให้ไปขึ้นทะเบียนเพื่อรับสิทธิภายในวันที่ 31 ส.ค. อังคารที่ 28 ส.ค.61 รัฐบาลเตือนเกษตรกรปรับปรุงทะเบียนก่อน 31 ส.ค.61 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลแจ้งเตือนเกษตรกรที่ต้องการขอรับสินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62 ไร่ละ 1,500 บาท ให้ไปขึ้นทะเบียนเพื่อรับสิทธิภายในวันที่ 31 ส.ค. นี้ที่สํานักงานเกษตรอําเภอทุกแห่ง นอกจากนี้ ยังขอเชิญชวนให้เกษตรกรทุกรายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อยไปขึ้นทะเบียนหรือปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลสําหรับแจ้งสิทธิและให้ความช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด สอดคล้องกับนโยบายการจัดสวัสดิการของภาครัฐ โดยหากเกษตรกรไม่ไปปรับปรุงข้อมูลนานเกินกว่า 3 ปี จะถูกตัดออกจากระบบบัญชีเกษตรกร ซึ่งอาจทําให้พลาดโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์ดี ๆ จากภาครัฐไปได้ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตือนเกษตรกรปรับปรุงทะเบียนก่อน 31 ส.ค.61 วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561 รัฐบาลเตือนเกษตรกรปรับปรุงทะเบียนก่อน 31 ส.ค.61 รัฐบาลแจ้งเตือนเกษตรกรที่ต้องการขอรับสินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62 ไร่ละ 1,500 บาท ให้ไปขึ้นทะเบียนเพื่อรับสิทธิภายในวันที่ 31 ส.ค. อังคารที่ 28 ส.ค.61 รัฐบาลเตือนเกษตรกรปรับปรุงทะเบียนก่อน 31 ส.ค.61 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลแจ้งเตือนเกษตรกรที่ต้องการขอรับสินเชื่อเพื่อชะลอการขายข้าวเปลือกและการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62 ไร่ละ 1,500 บาท ให้ไปขึ้นทะเบียนเพื่อรับสิทธิภายในวันที่ 31 ส.ค. นี้ที่สํานักงานเกษตรอําเภอทุกแห่ง นอกจากนี้ ยังขอเชิญชวนให้เกษตรกรทุกรายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อยไปขึ้นทะเบียนหรือปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลสําหรับแจ้งสิทธิและให้ความช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด สอดคล้องกับนโยบายการจัดสวัสดิการของภาครัฐ โดยหากเกษตรกรไม่ไปปรับปรุงข้อมูลนานเกินกว่า 3 ปี จะถูกตัดออกจากระบบบัญชีเกษตรกร ซึ่งอาจทําให้พลาดโอกาสได้รับสิทธิประโยชน์ดี ๆ จากภาครัฐไปได้ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14992
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ลงพื้นที่สมุทรสาคร เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. ....
วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ก.แรงงาน ลงพื้นที่สมุทรสาคร เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... กระทรวงแรงงาน เปิดเวทีประชาพิจารณ์นอกสถานที่ ณ จังหวัดสมุทรสาคร รับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติการป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... สู่การปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยและสังคมโลก วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 09.30 น. นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติการป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... ร่วมกับผู้ประกอบการภาคประมง ผู้แทนภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และนักวิชาการ จํานวนประมาณ 200 คน ณ ห้องประชุมสมาคมการประมงสมุทรสาคร อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร โดยกล่าวว่า การลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติการป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... ร่วมกับผู้ประกอบกิจการภาคประมงในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและพื้นที่ใกล้เคียง เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่ครอบคลุมการกําหนดลักษณะความผิดเกี่ยวกับการกระทําอันเป็นความผิดฐานใช้แรงงานบังคับที่ไม่เข้าข่ายค้ามนุษย์ไว้อย่างชัดเจน และไม่มีกลไกคุ้มครองช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อผู้เสียหาย ทําให้ไม่สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานบังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจําเป็นต้องมีการพิจารณาตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ขึ้น เพื่อกําหนดลักษณะความผิดให้ครอบคลุมถึงการกระทําอันเป็นความผิดดังกล่าว และกําหนดมาตรการในการช่วยเหลือและคุ้มครองผู้เสียหายจากการใช้แรงงานบังคับ ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน อันจะเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านแรงงาน เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเปิดรับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... เป็นการสร้างความเข้าใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากทุกภาคส่วน นําไปสู่การปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยและสังคมโลกได้อย่างครบถ้วน” ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... ผ่านเว็บไซต์กระทรวงแรงงาน http://www.mol.go.th ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ และเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นที่กระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา หลังจากนี้จะนําข้อเสนอแนะที่ได้รับไปปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้มีความเหมาะสม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ลงพื้นที่สมุทรสาคร เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ก.แรงงาน ลงพื้นที่สมุทรสาคร เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... กระทรวงแรงงาน เปิดเวทีประชาพิจารณ์นอกสถานที่ ณ จังหวัดสมุทรสาคร รับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติการป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... สู่การปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยและสังคมโลก วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 09.30 น. นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติการป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... ร่วมกับผู้ประกอบการภาคประมง ผู้แทนภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และนักวิชาการ จํานวนประมาณ 200 คน ณ ห้องประชุมสมาคมการประมงสมุทรสาคร อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร โดยกล่าวว่า การลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติการป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... ร่วมกับผู้ประกอบกิจการภาคประมงในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและพื้นที่ใกล้เคียง เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่ครอบคลุมการกําหนดลักษณะความผิดเกี่ยวกับการกระทําอันเป็นความผิดฐานใช้แรงงานบังคับที่ไม่เข้าข่ายค้ามนุษย์ไว้อย่างชัดเจน และไม่มีกลไกคุ้มครองช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อผู้เสียหาย ทําให้ไม่สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานบังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจําเป็นต้องมีการพิจารณาตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ขึ้น เพื่อกําหนดลักษณะความผิดให้ครอบคลุมถึงการกระทําอันเป็นความผิดดังกล่าว และกําหนดมาตรการในการช่วยเหลือและคุ้มครองผู้เสียหายจากการใช้แรงงานบังคับ ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน อันจะเป็นการสร้างความมั่นคงทางด้านแรงงาน เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเปิดรับฟังความคิดเห็นร่าง พ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... เป็นการสร้างความเข้าใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากทุกภาคส่วน นําไปสู่การปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยและสังคมโลกได้อย่างครบถ้วน” ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้เปิดรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพ.ร.บ.การป้องกันและปราบปรามการใช้แรงงานบังคับ พ.ศ. .... ผ่านเว็บไซต์กระทรวงแรงงาน http://www.mol.go.th ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ และเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นที่กระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา หลังจากนี้จะนําข้อเสนอแนะที่ได้รับไปปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้มีความเหมาะสม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10379
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ 2/2560
วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ 2/2560 รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ป.ป.ส. ครั้งที่ 2/2560 พร้อมเผยว่าเร่งงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดโดยมุ่งแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเข้มข้น และเกิดผลปฏิบัติอย่างจริงจัง วันนี้ (29 กันยายน 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ 2/2560 ซึ่งมีสาระสําคัญของการประชุมในดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ เรื่อง แผนประชารัฐร่วมใจ ปลอดภัยยาเสพติด พ.ศ. 2561 ประกอบด้วย 1) แผนป้องกันยาเสพติด โดยมุ่งเน้นการป้องกันอันตรายจากการใช้ยาในทางที่ผิด และควบคุมสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลต่อสุขภาวะ คุณภาพชีวิตของประชาชนในสังคม 2) แผนปราบปรามยาเสพติด โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมให้เหมาะสมกับพฤติการณ์การกระทําความผิด และควบคุมสถานการณ์ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) แผนบําบัดรักษายาเสพติด มุ่งเน้นการให้ผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดเข้าถึงบริการสาธารณะสุข และตระหนักถึงโทษพิษภัยของยาเสพติด เข้าใจการปรับสภาพการดํารงชีวิต และลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อตนเองและบุคคลอื่นในสังคม และ4) แผนบริหารจัดการแบบบูรณาการ มุ่งเน้นบูรณาการการดําเนินงานตามแผนประชารัฐร่วมใจ ปลอดภัยยาเสพติด ด้วยการวางระบบอํานวยการ ระบบสารสนเทศ ระบบติดตามประเมินผล และสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ ให้เกิดเอกภาพในการดําเนินงาน พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการมอบอํานาจเปรียบเทียบปรับตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519 มาตรา 17 ทวิ จากกรณีผู้กระทําความผิดมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขายยาเสพติด โดยอาศัยเทคโนโลยีและการส่งยาเสพติดผ่านช่องทางการรับจ้างขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์มากขึ้น ประกอบกับผู้รับจ้างขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์บางรายปล่อยปละละเลย ให้มีการรับฝากสินค้าและพัสดุภัณฑ์โดยไม่มีการบันทึกรายละเอียดของผู้รับ-ผู้ส่ง ซึ่งเป็นช่องว่างให้ไม่สามารถสืบสวนดําเนินคดีได้ เพื่อให้การดําเนินการมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ จึงได้เสนอให้เลขาธิการ ป.ป.ส. มีอํานาจในการเปรียบเทียบปรับแทนคณะกรรมการ ป.ป.ส. ซึ่งเป็นกรอบในการดําเนินการเปรียบเทียบปรับเจ้าของหรือผู้ดําเนินกิจการสถานประกอบการที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งในการดําเนินการเปรียบเทียบปรับนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ส. ได้ออกระเบียบว่าด้วยการตักเตือน การเปรียบเทียบปรับ และการปิดชั่วคราวสถานประกอบการ หรือการพักใช้ใบอนุญาตประกอบการ พ.ศ. 2544 ซึ่งเป็นกรอบในการดําเนินการในเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว (ตามความในข้อ 17 ของระเบียบดังกล่าว) ตอนท้ายของการประชุมได้รับทราบผลงานในปีที่ผ่านมาของสํานักงาน ป.ป.ส. ซึ่งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดําเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ภายใต้แผน “ประชารัฐร่วมใจ สร้างหมู่บ้าน/ชุมชนมั่นคง ปลอดภัยยาเสพติด พ.ศ. 2559 - 2560” โดยเน้นการดําเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน เป้าหมาย 81,962 แห่ง เพื่อลดปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดในระดับพื้นที่ ผ่านกลไก “ประชารัฐ” โดยดําเนินงาน ตาม 3 มาตรการ ดังนี้ 1) มาตรการด้านการปราบปราม สําหรับผู้ค้ายาเสพติด และเครือข่ายถูกจับกุมและดําเนินการ ตามกระบวนการยุติธรรม 2) มาตรการด้านการบําบัดรักษา สําหรับผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดได้รับการบําบัดรักษา ติดตามดูแล และให้ความช่วยเหลือ และ 3) มาตรการด้านการป้องกัน สําหรับเด็ก เยาวชน ผู้ใช้แรงงาน และประชาชน ได้รับการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน พื้นที่เป้าหมายมีการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจเห็นได้จากการสํารวจความพึงพอใจของประชาชน โดยสํานักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับสํานักงานสถิติแห่งชาติ สํารวจความคิดเห็นของประชาชน กลุ่มตัวอย่าง 47,000 คน ใน 77 จังหวัด รอบ 6 เดือน พบว่าประชาชนมีความพึงพอใจต่อผลการดําเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ร้อยละ 97.50 และมีความเชื่อมั่นต่อนโยบายของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ร้อยละ 97.30 .................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลจากสํานักงาน ป.ป.ส.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ 2/2560 วันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2560 รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ 2/2560 รองนรม. วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ป.ป.ส. ครั้งที่ 2/2560 พร้อมเผยว่าเร่งงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดโดยมุ่งแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเข้มข้น และเกิดผลปฏิบัติอย่างจริงจัง วันนี้ (29 กันยายน 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ 2/2560 ซึ่งมีสาระสําคัญของการประชุมในดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ เรื่อง แผนประชารัฐร่วมใจ ปลอดภัยยาเสพติด พ.ศ. 2561 ประกอบด้วย 1) แผนป้องกันยาเสพติด โดยมุ่งเน้นการป้องกันอันตรายจากการใช้ยาในทางที่ผิด และควบคุมสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลต่อสุขภาวะ คุณภาพชีวิตของประชาชนในสังคม 2) แผนปราบปรามยาเสพติด โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมให้เหมาะสมกับพฤติการณ์การกระทําความผิด และควบคุมสถานการณ์ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) แผนบําบัดรักษายาเสพติด มุ่งเน้นการให้ผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดเข้าถึงบริการสาธารณะสุข และตระหนักถึงโทษพิษภัยของยาเสพติด เข้าใจการปรับสภาพการดํารงชีวิต และลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อตนเองและบุคคลอื่นในสังคม และ4) แผนบริหารจัดการแบบบูรณาการ มุ่งเน้นบูรณาการการดําเนินงานตามแผนประชารัฐร่วมใจ ปลอดภัยยาเสพติด ด้วยการวางระบบอํานวยการ ระบบสารสนเทศ ระบบติดตามประเมินผล และสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ ให้เกิดเอกภาพในการดําเนินงาน พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบการมอบอํานาจเปรียบเทียบปรับตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519 มาตรา 17 ทวิ จากกรณีผู้กระทําความผิดมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขายยาเสพติด โดยอาศัยเทคโนโลยีและการส่งยาเสพติดผ่านช่องทางการรับจ้างขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์มากขึ้น ประกอบกับผู้รับจ้างขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์บางรายปล่อยปละละเลย ให้มีการรับฝากสินค้าและพัสดุภัณฑ์โดยไม่มีการบันทึกรายละเอียดของผู้รับ-ผู้ส่ง ซึ่งเป็นช่องว่างให้ไม่สามารถสืบสวนดําเนินคดีได้ เพื่อให้การดําเนินการมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ จึงได้เสนอให้เลขาธิการ ป.ป.ส. มีอํานาจในการเปรียบเทียบปรับแทนคณะกรรมการ ป.ป.ส. ซึ่งเป็นกรอบในการดําเนินการเปรียบเทียบปรับเจ้าของหรือผู้ดําเนินกิจการสถานประกอบการที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งในการดําเนินการเปรียบเทียบปรับนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ส. ได้ออกระเบียบว่าด้วยการตักเตือน การเปรียบเทียบปรับ และการปิดชั่วคราวสถานประกอบการ หรือการพักใช้ใบอนุญาตประกอบการ พ.ศ. 2544 ซึ่งเป็นกรอบในการดําเนินการในเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว (ตามความในข้อ 17 ของระเบียบดังกล่าว) ตอนท้ายของการประชุมได้รับทราบผลงานในปีที่ผ่านมาของสํานักงาน ป.ป.ส. ซึ่งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดําเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ภายใต้แผน “ประชารัฐร่วมใจ สร้างหมู่บ้าน/ชุมชนมั่นคง ปลอดภัยยาเสพติด พ.ศ. 2559 - 2560” โดยเน้นการดําเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในระดับพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน เป้าหมาย 81,962 แห่ง เพื่อลดปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติดในระดับพื้นที่ ผ่านกลไก “ประชารัฐ” โดยดําเนินงาน ตาม 3 มาตรการ ดังนี้ 1) มาตรการด้านการปราบปราม สําหรับผู้ค้ายาเสพติด และเครือข่ายถูกจับกุมและดําเนินการ ตามกระบวนการยุติธรรม 2) มาตรการด้านการบําบัดรักษา สําหรับผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดได้รับการบําบัดรักษา ติดตามดูแล และให้ความช่วยเหลือ และ 3) มาตรการด้านการป้องกัน สําหรับเด็ก เยาวชน ผู้ใช้แรงงาน และประชาชน ได้รับการสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน พื้นที่เป้าหมายมีการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งได้ผลเป็นที่น่าพอใจเห็นได้จากการสํารวจความพึงพอใจของประชาชน โดยสํานักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับสํานักงานสถิติแห่งชาติ สํารวจความคิดเห็นของประชาชน กลุ่มตัวอย่าง 47,000 คน ใน 77 จังหวัด รอบ 6 เดือน พบว่าประชาชนมีความพึงพอใจต่อผลการดําเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ร้อยละ 97.50 และมีความเชื่อมั่นต่อนโยบายของรัฐบาล ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ร้อยละ 97.30 .................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลจากสํานักงาน ป.ป.ส.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7089
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 16 มิถุนายน 2563
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน 2563 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 16 มิถุนายน 2563 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (16 มิถุนายน 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุย วิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [กําหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562] 3. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดแบบ บัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน รวม 6 ฉบับ 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการออกหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือ พ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานข้อบังคับสําหรับการป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. .... 8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการแจ้งและการออกหนังสือรับรองการแจ้งผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ 9. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 พ.ศ. .... 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน พ.ศ. .... เศรษฐกิจ - สังคม 11. เรื่อง การปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไข “โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง)” สําหรับลูกค้ารายย่อย (Post Finance) 12. เรื่อง ขออนุมัติค่าปรับปรุงอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อนให้เป็นหอประวัติราชบัณฑิตยสภา ค่าก่อสร้างอาคารศูนย์ประชุมราชบัณฑิตยสภา และขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ 13. เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 14. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 15. เรื่อง ผลการดําเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 16. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทยเดือนเมษายน 2563 17. เรื่อง เพลงสําคัญของแผ่นดิน 18. เรื่อง รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 19. เรื่อง กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 20. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 5/2563 และครั้งที่ 6/2563 21. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 5 22. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ ต่างประเทศ 23. เรื่อง ร่างข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งออสเตรเลีย ประกอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนด้านการส่งกําลังบํารุงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลีย 24. เรื่อง ร่างกรอบความตกลงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ฉบับใหม่ 25. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme: IMSAS) 26. เรื่อง การขอขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Center) ของทางการเมียนมา 27. เรื่อง ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนวาระพิเศษผ่านระบบการประชุมทางไกล (Special Meeting of ASEAN Tourism Ministers on COVID-19) (กก.) 28. เรื่อง ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมระดับสูงผ่านระบบการประชุมทางไกลว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง: การต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 29. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสําหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 (Joint Ministerial Statement of the Twenty Third ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council) 30. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน- รัสเซีย สมัยพิเศษว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แต่งตั้ง 31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) 34. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนคร ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะเข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา 1. กําหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสําหรับสาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ และสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ 2. กําหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ 3. กําหนดลักษณะของเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ 4. กําหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยประจําตําแหน่ง และสีประจําคณะของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ เรื่องเดิมและข้อเท็จจริง ได้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะเข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของสถาบันการพลศึกษา พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งออกโดยอาศัยอํานาจตามความแห่งพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ซึ่งมาตรา 68 วรรคสอง บัญญัติให้การกําหนดให้สาขาวิชาใดมีปริญญาชั้นใด และจะใช้อักษรย่อสําหรับปริญญานั้นอย่างไร ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา มาตรา 72 วรรคสอง บัญญัติให้การกําหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่ง ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ประกอบมาตรา 95 บัญญัติให้ในระหว่างที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นําพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา พ.ศ. 2548 ที่ใช้อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว กก.โดยมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ จึงได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่ง ของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... ขึ้นใหม่ เพื่อกําหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสําหรับสาขาวิชา รวมทั้งกําหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ ครุยประจําตําแหน่ง และกําหนดสีประจําคณะของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ประชุมพิจารณาแล้วได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่ง ของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [กําหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562] คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สํานักงาน กสทช.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง กําหนดให้สํานักงาน กสทช. เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการทางปกครองแทนได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ทั้งนี้ สํานักงาน กสทช. เสนอว่า 1. พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาตรา 63/15 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ในกรณีที่มีการบังคับให้ชําระเงินและคําสั่งทางปกครองที่กําหนดให้ชําระเงินเป็นที่สุดแล้ว หากหน่วยงานของรัฐที่ออกคําสั่งให้ชําระเงินประสงค์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดีดําเนินการบังคับให้เป็นไปตามคําสั่งทางปกครองดังกล่าว ให้ยื่นคําขอต่อศาลเพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคําสั่งทางปกครองนั้น โดยระบุจํานวนเงินที่ผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองยังมิได้ชําระตามคําสั่งทางปกครอง ทั้งนี้ ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้บังคับทางปกครองหรือได้ดําเนินการบังคับทางปกครองแล้ว แต่ยังไม่ได้รับชําระเงิน หรือได้รับชําระเงินไม่ครบถ้วน และมาตรา 63/15 วรรคหก บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐตามมาตรานี้ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กําหนดในกฎกระทรวง 2. โดยที่สํานักงาน กสทช. มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน แต่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 สํานักงาน กสทช. จึงมิได้มีฐานะเป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กําหนดในกฎกระทรวง ตามนัยบทบัญญัติมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ประกอบกับพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 บัญญัติให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ มีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการ รวมถึงค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และในกรณีที่ต้องกํากับดูแลและบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย มีอํานาจในการปรับทางปกครอง โดยจะมีคําสั่งทางปกครองกําหนดให้ชําระเงิน แต่เมื่อถึงกําหนดเวลาชําระเงินแล้วไม่มีการชําระเงินโดยถูกต้องครบถ้วน จึงมีความจําเป็นต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยการยึดหรืออายัดทรัพย์สิน และขายทอดตลาดเพื่อชําระเงินให้ครบถ้วน แต่เนื่องจากสํานักงาน กสทช. ไม่มีบุคลากรที่มีประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญในด้านการบังคับทางปกครอง ส่งผลให้ไม่สามารถบังคับตามคําสั่งของศาลปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ดังนั้น เพื่อให้การดําเนินการบังคับตามคําสั่งทางปกครองที่กําหนดให้ชําระเงินของสํานักงาน กสทช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมการกํากับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม จําเป็นต้องออกกฎกระทรวงเพื่อกําหนดให้สํานักงาน กสทช. เป็นหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ 3. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ สลน. เสนอว่า 1. โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในประเด็นเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยบุคคลผู้ที่จะเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีต้อง “ไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” และ “ไม่เป็นผู้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา 98 และมาตรา 101 ประกอบกับมาตรา 184 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยร่างระเบียบในเรื่องนี้ได้จัดทําร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 2. นายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นชอบให้นําเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป จึงได้เสนอร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างระเบียบ กําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และไม่เป็นผู้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 4. เรื่อง ร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดแบบบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดแบบบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. .... ของสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดําเนินการต่อไปได้ ร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดแบบบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ เป็นการปรับปรุงจากร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว (มติคณะรัฐมนตรี 29 ตุลาคม 2562) เพื่อให้เป็นประกาศกลางในการกําหนดแบบบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. 2561 ที่ออกร่วมกันโดยรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ําฯ ซึ่งจะทําให้บัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมีรูปแบบเดียวกัน และสร้างความชัดเจนในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ สาระสําคัญของร่างประกาศ 1. กําหนดให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ออกบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่สําหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งดํารงตําแหน่งหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับกรมขึ้นไปและผู้ว่าราชการจังหวัด 2. กําหนดให้เลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติเป็นผู้ออกบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่สําหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งดํารงตําแหน่งนอกเหนือจากข้อ 1. 3. กําหนดให้บัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ใช้ได้ตามระยะเวลาที่กําหนดไว้แต่ต้องไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันออกบัตร เว้นแต่กรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องพ้นจากตําแหน่งก่อนวันบัตรหมดอายุ ให้ถือว่าบัตรนั้นหมดอายุก่อนวันหมดอายุที่กําหนดในบัตรนั้น และให้คืนบัตรดังกล่าวแก่ผู้มีอํานาจออกบัตร 4. กําหนดให้เลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติประกาศกําหนดวิธีการในการยื่นคําขอมีบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่เห็นสมควร 5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน รวม 6 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน รวม 6 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลเมืองเก่า อําเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร พ.ศ. .... 2. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลเขื่อน ตําบลยางน้อย และตําบลยางท่าแจ้ง อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. .... 3. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลชัยนาท อําเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... 4. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลโพธิ์ อําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... 5. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลเมืองเพีย อําเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... 6. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลเชียงเครือ อําเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 6 ฉบับที่ กษ. เสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการ (มติคณะรัฐมนตรี 9 พฤษภาคม 2560, 30 พฤษภาคม 2560, 18 กรกฎาคม 2560, 22 สิงหาคม 2560 และ3 มกราคม 2561) และสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลเมืองเก่า อําเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร ในท้องที่ตําบลเขื่อน ตําบลยางน้อย และตําบลยาง ท่าแจ้ง อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ในท้องที่ตําบลชัยนาท อําเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท ในท้องที่ตําบลโพธิ์ อําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ในท้องที่ตําบลเมืองเพีย อําเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี และในท้องที่ตําบลเชียงเครือ อําเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปทําการสํารวจพื้นที่ที่จะจัดทําเป็นโครงการจัดรูปที่ดิน อันจะเป็นการส่งเสริมเกษตรกรรมของประเทศให้เจริญก้าวหน้า ส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางได้เห็นชอบด้วยแล้ว 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการออกหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการออกหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือ พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดให้หนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือ ได้แก่ หนังสือคนประจําเรือและหนังสือคนประจําเรือประมง โดยหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือต้องมีรายการหนังสือแสดงตนคนประจําเรือ (Seafarers’ identity document) เพื่อแสดงรายการข้อมูลบุคคลที่ระบุตัวตนของผู้ถือหนังสือคนประจําเรือ ในกรณีที่ออกให้แก่ผู้มีสัญชาติไทย ให้แสดงเลขประจําตัวคนประจําเรือไทยด้วย แต่หนังสือคนประจําเรือและหนังสือคนประจําเรือประมงจะใช้แทนกันไม่ได้ 2. กําหนดให้ผู้ซึ่งจะขอรับหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ 2.1 กรณีหนังสือคนประจําเรือ ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย หรือเป็นคนต่างด้าว อายุไม่ต่ํากว่าสิบหกปี เป็นผู้ได้รับการรับรองจากแพทย์ว่ามีสุขภาพแข็งแรงพร้อมที่จะทํางานในเรือได้ และมีคุณสมบัติอื่นตามที่อธิบดีกรมเจ้าท่าประกาศกําหนด 2.2 กรณีหนังสือคนประจําเรือประมง ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทยอายุไม่ต่ํากว่าสิบแปดปี เป็นผู้ได้รับการรับรองจากแพทย์ว่ามีสุขภาพแข็งแรงพร้อมที่จะทํางานในเรือประมงได้ และมีคุณสมบัติอื่นตามที่อธิบดีกรมเจ้าท่าประกาศกําหนด 3. กําหนดให้ผู้ซึ่งจะขอรับหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือยื่นคําขอต่อเจ้าท่า ตามแบบคําขอที่อธิบดีกรมเจ้าท่าประกาศกําหนด ณ กองมาตรฐานคนประจําเรือ กรมเจ้าท่า หรือสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา พร้อมด้วยเอกสารหลักฐาน เช่น บัตรประจําตัวประชาชน หรือกรณีคนต่างด้าวให้ใช้หนังสือเดินทางพร้อมด้วยสําเนาหลักฐานแสดงการเข้าเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย รูปถ่าย ใบรับรองแพทย์ หนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือเล่มเดิม (ถ้ามี) และกรณีคนต่างด้าวให้ยื่นหนังสือรับรองการจ้างให้ทําการในเรือไทยจากเจ้าของเรือ 4. กําหนดให้หนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือมีอายุไม่เกินห้าปี 5. กําหนดให้เจ้าท่าอาจเพิกถอนหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือและเรียกคืนหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือเมื่อปรากฏเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น ผู้ถือหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามข้อ 2. และหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือถูกใช้โดยบุคคลอื่น เป็นต้น 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานข้อบังคับสําหรับการป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานข้อบังคับสําหรับการป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ คค. เสนอว่า 1. ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยกฎข้อบังคับระหว่างประเทศสําหรับป้องกันเรือโดนกันระหว่างประเทศ ค.ศ. 1972 (The International Regulation for Preventing Collisions at Sea 1972; COLERG 1972) ซึ่งได้มีการตราพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 และออกกฎกระทรวง (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 เพื่อรองรับพันธกรณีและข้อกําหนดของอนุสัญญาดังกล่าวซึ่งพระราชบัญญัติและกฎกระทรวงดังกล่าวได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว แต่อนุสัญญา COLERG 1972 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้งในปี 2530 ปี 2532 ปี 2536 ปี 2544 และปี 2550 ในขณะที่ประเทศไทยได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงเพียงครั้งเดียวในปี 2533 โดยออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2533) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 2. คค. พิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การกําหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานข้อบังคับสําหรับการป้องกันเรือโดนกันของประเทศไทยสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน สมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงเพื่อรองรับการตรวจประเมินขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization; IMO) ตามโครงการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO Member State Audit Scheme; IMSAS) ที่จะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานข้อบังคับสําหรับการป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างกฎหมาย แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีของอนุสัญญาว่าด้วยกฎข้อบังคับระหว่างประเทศสําหรับป้องกันเรือโดนกันระหว่างประเทศ ค.ศ. 1972 ซึ่งได้มีการแก้ไขปรับปรุงในปี พ.ศ. 2530 พ.ศ. 2532 พ.ศ. 2536 พ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2550 ตามลําดับ ในเรื่องดังต่อไปนี้ 1. กําหนดให้เรือที่ไม่สามารถปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎกระทรวงนี้ได้ครบถ้วน จะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติอื่นซึ่งรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามีผลบังคับต่อเรือนั้นได้ใกล้เคียงกับกฎกระทรวงนี้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ในส่วนที่เกี่ยวกับจํานวนที่ติดตั้ง ระยะหรือขอบทัศนวิสัยของแสงไฟ หรือทุ่นเครื่องหมาย รวมทั้งการเปลี่ยนที่ติดตั้งและคุณสมบัติของเครื่องทําสัญญาณเสียง 2. แก้ไขเพิ่มเติมนิยาม ดังนี้ 2.1 คําว่า “เรือ” ให้หมายความถึง ยานบินเบาะอากาศ 2.2 คําว่า “เรือที่บังคับยากเพราะอัตรากินน้ําลึกของเรือ” ให้หมายความรวมถึง เรือกลที่ความสัมพันธ์ระหว่างอัตรากินน้ําลึกของเรือกับความลึกของน้ําและความกว้างของร่องน้ําที่เรือนั้นกําลังเดินอยู่ 2.3 เพิ่มเติมนิยามคําว่า “ยานบินเบาะอากาศ” หมายความว่า ยานพาหนะต่อเนื่องหลายรูปแบบ ซึ่งในโหมดปฏิบัติการหลักจะบินเข้าใกล้กับพื้นผิวโดยอาศัยการกระทําจากอิทธิพลของพื้นผิว 3. เพิ่มเติมการกําหนดเกี่ยวกับการปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนกันโดยให้เรือจะต้องกระทําแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่กีดขวางทางเดินหรือทางเดินอันปลอดภัยของเรือลําอื่น เพื่อให้ทะเลกว้างพอสําหรับทางเดินอันปลอดภัยของเรือลําอื่น และมีความรับผิดชอบที่จะต้องกระทําเช่นนั้นอยู่ตลอด 4. เพิ่มเติมการกําหนดเกี่ยวกับแผนแบ่งแนวจราจร โดยให้เรืออาจใช้เขตจราจรชายฝั่งทะเลเมื่ออยู่ระหว่างเส้นทางไปหรือมาจากท่าเรือ สิ่งติดตั้งหรือโครงสร้างนอกฝั่งสถานีนําร่อง หรือสถานที่อื่นใดที่อยู่ภายในเขตจราจรชายฝั่งทะเล หรือเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นโดยกะทันหัน 5. เพิ่มเติมการกําหนดเกี่ยวกับความรับผิดชอบระหว่างเรือต่อเรือโดยกําหนดให้ยานบินเบาะอากาศ ขณะบินขึ้น ลงจอด และบินใกล้ผิวน้ํา ต้องหลีกทางให้พ้นเรืออื่น และต้องหลีกเลี่ยงการกีดขวางการเดินเรือ ส่วนยานบินเบาะอากาศที่ปฏิบัติงานบนผิวน้ําต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติเช่นเดียวกับเรือกล 6. เพิ่มเติมการกําหนดเกี่ยวกับเรือกลกําลังเดิน โดยให้ยานบินเบาะอากาศต้องเปิดโคมไฟวับมองเห็นได้รอบทิศสีแดงที่มีความเข้มสูง เฉพาะเวลาขณะบินขึ้น ลงจอด และบินใกล้ผิวน้ํา 7. แก้ไขถ้อยคําและข้อบังคับต่างๆ ในรายละเอียด ให้สอดคล้องกับการแก้ไขอนุสัญญาว่าด้วยกฎข้อบังคับระหว่างประเทศสําหรับป้องกันเรือโดนกันระหว่างประเทศ ค.ศ. 1972 8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการแจ้งและการออกหนังสือรับรองการแจ้งผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการแจ้งและการออกหนังสือรับรองการแจ้งผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอและให้ดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกํากับดูแล เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558 เกี่ยวกับการผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 เช่น กลุ่มแบคทีเรีย Abiotrophia balaena กลุ่มไวรัส Coronavirus กลุ่มที่ 3 เช่น ไวรัส Middle East respiratory syndrome (MERS) coronavirus หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 เช่น คางคกบ้าน กิ้งก่าลูกปัด กิ้งกือ กลุ่มที่ 2 เช่น งูเห่า งูทับสมิงคลา งูสามเหลี่ยม ซึ่งเป็นการดําเนินการตามข้อกฎหมายพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558 สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ร่างกฎกระทรวง สาระสําคัญ 1. ร่างกฎกระทรวงการแจ้งและการออกหนังสือรับรองการแจ้งผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 พ.ศ. .... กําหนดให้ “หนังสือรับรองการแจ้ง” หมายความว่า หนังสือรับรองการแจ้งผลิตนําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 กําหนดให้การยื่นคําขอ การออกใบรับแจ้ง และการออกหนังสือรับรองการแจ้ง ให้ดําเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก ในระหว่างที่ยังไม่สามารถดําเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ให้ยื่นคําขอทางไปรษณีย์หรือให้ยื่นคําขอ ณ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สธ. หรือสถานที่อื่นตามที่อธิบดีกําหนดในราชกิจจานุเบกษา - กําหนดให้ใบรับแจ้ง หนังสือรับรองการแจ้ง หนังสือแจ้งกรณีเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์มีระดับความรุนแรงสูงขึ้น หนังสือแจ้งเลิกดําเนินการและคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกําหนด - กําหนดหลักเกณฑ์การยื่นคําขอรับหนังสือรับรองการแจ้งผลิต นําเข้า ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 ให้ยื่นคําขอต่ออธิบดี พร้อมด้วยข้อมูล เอกสาร หรือหลักฐานตามที่กําหนด กําหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบการยื่นขอรับหนังสือรับรองดังกล่าว และกําหนดให้หนังสือรับรองการแจ้งให้มีอายุ 1 ปีนับแต่วันที่ออกหนังสือรับรองการแจ้ง - กําหนดให้ในกรณีที่การดําเนินการผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองในเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 ปรากฏว่าเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ดังกล่าวมีระดับความรุนแรงสูงขึ้นกว่าระดับที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองการแจ้ง ให้ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งต้องหยุดดําเนินการ และแจ้งให้อธิบดีทราบภายใน 3 วัน พร้อมด้วยข้อมูลเอกสาร หรือหลักฐานอื่นที่แสดงให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ และวิธีการเพื่อความปลอดภัย และการป้องกันอันตรายต่อบุคคล เป็นต้น - กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอต่ออายุหนังสือรับรองการแจ้ง ให้ยื่นคําขอต่ออธิบดีภายใน 90 วัน ก่อนหนังสือรับรองการแจ้งสิ้นอายุ - กําหนดให้ผู้ประสงค์จะเลิกผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 ให้แจ้งเป็นหนังสือต่ออธิบดีล่วงหน้าก่อนวันที่ประสงค์จะเลิกดําเนินการดังกล่าว และให้ถือว่าหนังสือรับรองการแจ้งสิ้นอายุนับแต่วันที่ประสงค์จะเลิกดําเนินการนั้น ในกรณีได้แจ้งเลิกการดําเนินการเกี่ยวกับเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์แล้ว ให้ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งทําลายหรือส่งมอบเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ที่เหลืออยู่ และให้แจ้งผลการดําเนินการให้อธิบดีทราบโดยเร็ว และนําหนังสือรับรองการแจ้งส่งคืนต่ออธิบดีเพื่อประทับตรายกเลิกต่อไป 2. ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 พ.ศ. .... - กําหนดบทนิยาม “ใบอนุญาต” หมายความว่าใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 - กําหนดให้การยื่นคําขอและการอนุญาต ให้ดําเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในระหว่างที่ยังไม่สามารถดําเนินการได้ให้ยื่นคําขอโดยวิธีการทางไปรษณีย์หรือให้ยื่นคําขอ ณ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สธ. หรือสถานที่อื่นตามที่อธิบดีกําหนดในราชกิจจานุเบกษา - กําหนดให้ใบรับคําขอรับใบอนุญาต ใบอนุญาต หนังสือแจ้งกรณีเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์มีระดับความรุนแรงสูงขึ้น หนังสือแจ้งเลิกดําเนินการและคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้เป็นไปตามที่อธิบดีกําหนด - กําหนดหลักเกณฑ์การยื่นคําขอรับใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 ให้ยื่นคําขอต่ออธิบดี พร้อมด้วยข้อมูลเอกสาร หรือหลักฐานตามที่กําหนด กําหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบคําขอรับใบอนุญาตดังกล่าวและกําหนดให้ใบอนุญาตให้มีอายุ 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ออกใบอนุญาต - กําหนดให้ในกรณีที่ปรากฏในระหว่างการผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 ว่าเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ดังกล่าวมีระดับความรุนแรงสูงขึ้นกว่าระดับที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ให้ผู้รับใบอนุญาตปฏิบัติต้องหยุดการดําเนินการและแจ้งให้อธิบดีทราบภายใน 3 วัน พร้อมด้วยข้อมูล เอกสาร หรือหลักฐานอื่นที่แสดงให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์และวิธีการเพื่อความปลอดภัย และการป้องกันอันตรายต่อบุคคล เป็นต้น - กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการขอต่อใบอนุญาต ให้ยื่นคําขอต่ออธิบดีภายใน 90 วัน ก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุ - กําหนดให้ผู้ประสงค์จะเลิกผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 ให้แจ้งเป็นหนังสือต่ออธิบดีล่วงหน้าก่อนวันที่ประสงค์จะเลิกดําเนินการดังกล่าวและให้ถือว่าใบอนุญาตนั้นสิ้นอายุนับแต่วันที่ประสงค์จะเลิกดําเนินการนั้น ในกรณีที่ได้แจ้งเลิกการดําเนินการเกี่ยวกับเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์แล้ว ให้ผู้รับใบอนุญาตทําลายหรือส่งมอบเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ที่เหลืออยู่และให้แจ้งผลการดําเนินการดังกล่าวให้อธิบดีทราบโดยเร็ว และนําใบอนุญาตส่งคืนต่ออธิบดีเพื่อประทับตรายกเลิกต่อไป 9. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ พณ. เสนอว่า 1. กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน (พน.) ขอให้ พณ. ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 ลงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2539 โดยมีเหตุผลว่า 1.1 ประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวได้กําหนดนิยามคําว่า “ผู้ค้าน้ํามัน” หมายถึง ผู้ค้าน้ํามันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ยกเลิกแล้ว ประกอบกับปัจจุบันพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่ใช้บังคับอยู่ไม่มีบทนิยามคําดังกล่าว 1.2 พระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 และประกาศกรมธุรกิจพลังงานที่ออกตามความในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว มีบทบัญญัติครอบคลุมถึงการควบคุมและการตรวจสอบคุณภาพน้ํามันเชื้อเพลิงทุกชนิดที่จําหน่ายหรือมีไว้เพื่อจําหน่ายในประเทศเป็นกฎหมายที่เพียงพอแล้ว จึงไม่มีความจําเป็นต้องกําหนดให้มีการตรวจสอบคุณภาพของน้ํามันเชื้อเพลิงที่นําเข้ามา ณ เมืองท่าส่งออก และ ณ คลังนําเข้าน้ํามันเชื้อเพลิง ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวอีก 1.3 ประกอบกับการพิจารณาอนุญาตให้นําเข้าน้ํามันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศในการป้องกันและแก้ไขการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิงภายในประเทศ โดยไม่ได้คํานึงถึงการตรวจสอบคุณภาพของน้ํามันเชื้อเพลิงที่นําเข้าจากต่างประเทศตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวแต่อย่างใด 2. โดยที่ปัจจุบันกรมธุรกิจพลังงาน พน. มีอํานาจหน้าที่ในการกํากับดูแลการค้าน้ํามันเชื้อเพลิงโดยได้รับโอนภารกิจและอํานาจหน้าที่ในส่วนของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เฉพาะที่เกี่ยวกับสํานักน้ํามันเชื้อเพลิง ตามความในมาตรา 86 แห่งพราะราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอํานาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 พ.ศ. 2545 และตั้งแต่ปี 2548 ถึงปี 2562 กรมธุรกิจพลังงาน พน. ได้ออกประกาศของกรมธุรกิจพลังงานภายใต้พระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 จํานวน 25 ฉบับ โดยกําหนดเกี่ยวกับการควบคุมและการตรวจสอบคุณภาพน้ํามันเชื้อเพลิงทุกชนิดที่จําหน่ายหรือมีไว้เพื่อจําหน่ายในประเทศเป็นการเฉพาะแล้ว 3. พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศ พิจารณาแล้วจึงได้จัดทํา “ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 พ.ศ. ....” และได้รับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของกรมการค้าต่างประเทศ (www.dft.go.th) ระหว่างวันที่ 6 ถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 แต่ไม่มีผู้แสดงความคิดเห็น และกรมการค้าต่างประเทศได้มีหนังสือถึงผู้ประกอบธุรกิจนําเข้าน้ํามันเชื้อเพลิงและผู้ค้าน้ํามันเชื้อเพลิง รวม 134 ราย โดยมีผู้แจ้งความเห็นรวม 6 ราย ซึ่งทั้งหมดเห็นชอบด้วยกับร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าว จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างประกาศ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 ลงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2539 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดําเนินการต่อไปได้ กค. เสนอว่า 1. เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-2019) ได้แพร่ระบาดในวงกว้างทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนทําให้ประเทศไทยต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเป็นพฤติการณ์พิเศษที่ส่งผลกระทบต่อการขนส่งระหว่างประเทศในภาพรวม และเป็นเหตุให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไปนอกราชอาณาจักร ไม่สามารถนําของที่นําเข้ามาเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไป นอกราชอาณาจักรได้ภายในกําหนดระยะเวลาตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบใน ด้านการปฏิบัติพิธีการศุลกากรเกี่ยวกับการนําของเข้ามาเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไปนอกราชอาณาจักรในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-2019) จึงสมควรกําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําดังกล่าวได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน 2. โดยที่มาตรา 6 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 บัญญัติให้ในกรณีที่มีพฤติการณ์พิเศษเพื่อประโยชน์ในการดําเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้รัฐมนตรีมีอํานาจออกกฎกระทรวงกําหนดให้ผู้นําของเข้าหรือผู้ส่งของออกได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน โดยจะกําหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติไว้ด้วยก็ได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการยกเว้นให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรดังกล่าว จึงจําเป็นต้องออกเป็นกฎกระทรวง จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง กําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลํา ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน โดยมีสาระสําคัญดังนี้ 1. กําหนดนิยามคําว่า “พฤติการณ์พิเศษ” หมายความว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-2019) จนเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทําให้ไม่สามารถส่งของนําเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไปนอกราชอาณาจักรภายในกําหนดระยะเวลาตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรได้ 2. กําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ในกรณีดังต่อไปนี้ 2.1 กรณีที่การนําของที่นําเข้ามาเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไปนอกราชอาณาจักรที่กําหนดให้กระทําภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นําเข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรา 102 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 2.2 กรณีที่ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําไม่นําของออกไปนอกราชอาณาจักรภายในระยะเวลาตามมาตรา 102 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 หรือขอเปลี่ยนการผ่านพิธีการศุลกากรเป็นการนําเข้าและได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ แต่ไม่เสียอากรหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับศุลกากรภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ของนั้นตกเป็นของแผ่นดิน 2.3 กําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไปนอกราชอาณาจักรยื่นหนังสือขอขยายระยะเวลาเพื่อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามข้อ 2.1 และ ข้อ 2.2 พร้อมแสดงเหตุผลแห่งพฤติการณ์พิเศษ และเอกสารหลักฐานประกอบ ต่อกรมศุลกากร โดยกําหนดให้อธิบดีกรมศุลกากรขยายระยะเวลาการนําของที่นําเข้ามาเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไปนอกราชอาณาจักรได้ตามความจําเป็น 3. กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 เศรษฐกิจ - สังคม 11. เรื่อง การปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไข “โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง)” สําหรับลูกค้ารายย่อย (Post Finance) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไข “โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง)” สําหรับลูกค้ารายย่อย (Post Finance) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในกิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ ส. 2/2563 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุนตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ 2/2557 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2563 (ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนฯ) ซึ่งจะทําให้ประชาชนมีทางเลือก ที่หลากหลายและสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง กค. รายงานว่า 1. ผลการดําเนินโครงการบ้านล้านหลัง ณ วันที่ 13 เมษายน 2563 ธอส. มียอดอนุมัติสินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย (Post Finance) จํานวน 25,930 ราย เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 18,429.11 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 1) กลุ่มรายได้ต่อเดือนต่อคนไม่เกิน 25,000 บาท จํานวน 21,495 ราย เป็นจํานวนเงิน 15,271.17 ล้านบาท และ 2) กลุ่มรายได้ต่อเดือนต่อคนเกิน 25,000 บาท จํานวน 4,435 ราย เป็นเงินจํานวน 3,157.94 ล้านบาท [ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ธอส. มียอดอนุมัติสินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย จํานวน 27,614 ราย เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 19,632.12 ล้านบาท แบ่งเป็น (1) กลุ่มรายได้ต่อเดือนต่อคนไม่เกิน 25,000 บาท จํานวน 22,862 ราย เป็นจํานวนเงิน 16,265.38 ล้านบาท และ (2) กลุ่มรายได้ต่อเดือนต่อคนเกิน 25,000 บาท จํานวน 4,752 ราย เป็นจํานวนเงิน 3,366.74 ล้านบาท] 2. คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ออกประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนฯ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุนโดยกําหนดให้กิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยมีเงื่อนไขสําคัญ คือ กรณีที่อยู่อาศัยที่ขอรับการส่งเสริมตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ต้องจําหน่ายราคาต่อหน่วยไม่เกิน 1.2 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) และกรณีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอื่นต้องจําหน่ายราคาหน่วยละไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยที่อยู่อาศัยดังกล่าวจะต้องจําหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมกิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถมีที่อยู่อาศัยที่มีมาตรฐานเป็นของตนเอง เพิ่มทางเลือกในด้านทําเลที่ตั้ง สภาพแวดล้อมของชุมชน และระดับราคาที่เหมาะสม รวมทั้งเป็นการสนับสนุนโครงการบ้านล้านหลัง 3. เพื่อให้การกําหนดราคาที่อยู่อาศัยตามโครงการบ้านล้านหลังเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและเพื่อสนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนของกิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยและส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยที่ตรงตามความต้องการเป็นของตนเอง รวมถึงเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการภาคเอกชนในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนฯ (ตามข้อ 2) ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการลงทุนในกิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยทําให้มีที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่หลากหลายสามารถตอบสนองความต้องการของผู้จองสิทธิโครงการบ้านล้านหลังที่ยังไม่สามารถหาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่ต้องการได้ ธอส. จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการบ้านล้านหลังสําหรับลูกค้ารายย่อย (Post Finance) ให้สอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนฯ ซึ่งคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ดังนี้ 3.1 ปรับปรุงการกําหนดราคาซื้อขายหลักประกัน จากเดิม “กําหนดราคาซื้อขายไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อหน่วย” เป็น “กําหนดราคาซื้อขายไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อหน่วย” 3.2 ปรับปรุงการกําหนดวงเงินกู้ จากเดิม “กําหนดวงเงินกู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน 1 ล้านบาท” เป็น “กําหนดวงเงินกู้สูงสุดต่อรายได้ต่อหลักประกันไม่เกิน 1.2 ล้านบาท” 4. การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในครั้งนี้ ไม่กระทบต่อภาระการชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยรับตามแผนวิสาหกิจของ ธอส. กับรายได้ดอกเบี้ยรับจากโครงการบ้านล้านหลังของรัฐบาลซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 และวันที่ 12 มีนาคม 2562 เนื่องจากกรอบวงเงินและอัตราดอกเบี้ยของลูกค้าแต่ละกลุ่มไม่เปลี่ยนแปลง จึงไม่ต้องปรับปรุงรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 12. เรื่อง ขออนุมัติค่าปรับปรุงอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อนให้เป็นหอประวัติราชบัณฑิตยสภา ค่าก่อสร้างอาคารศูนย์ประชุมราชบัณฑิตยสภา และขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้สํานักงานราชบัณฑิตยสภา (รภ.) ดําเนินการปรับปรุงอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อนให้เป็นหอประวัติศาสตร์ราชบัณฑิตยสภา และก่อสร้างอาคารศูนย์ประชุมราชบัณฑิตยสภาและอื่น ๆ ภายในกรอบวงเงิน 354,350,000 บาท ระยะเวลาดําเนินการ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – พ.ศ. 2567) อย่างไรก็ดี เนื่องจากอาคารดังกล่าวเป็นโบราณสถาน ประกอบกับเงื่อนไขการเช่าอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อน มีผลทําให้การดําเนินการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตและอยู่ภายในการควบคุมดูแลของสํานักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ กรมศิลปากร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามขั้นตอนของกฎหมายหรือเงื่อนไขและระยะเวลาที่กําหนดไว้ รวมถึงการจัดทําประมาณราคา แบบรูปรายการสิ่งก่อสร้าง และรายละเอียดครุภัณฑ์ ทั้งนี้ เมื่อ รภ. ได้ดําเนินการดังกล่าวแล้ว ให้พิจารณาดําเนินการตามนัยมาตรา 42 ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 หรือจัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามความจําเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญของเรื่อง รภ. รายงานว่า 1. ปัจจุบัน รภ. มีที่ทําการอยู่สนามเสือป่า เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยมีภารกิจในการจัดประชุมสมาชิกราชบัณฑิตยสภาเพื่อปรึกษาหารือในเรื่องที่เป็นประเด็นสําคัญและเร่งด่วนของประเทศ (Royal Society Forum) เพื่อนําเสนอข้อคิดเห็นและแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ต่อนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี และจัดการประชุมอื่น ๆ ของราชบัณฑิตยสภาเป็นประจํา แต่โดยที่พื้นที่ห้องประชุมมีขนาดเล็กเพียง 168 ตารางเมตร ไม่สามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมตามกรอบอัตราของสมาชิกราชบัณฑิตยสภาตามข้อบังคับราชบัณฑิตยสภาว่าด้วยการกําหนดจํานวนภาคีสมาชิกและจํานวนราชบัณฑิตยสภา พ.ศ. 2559 ได้ ดังนั้น รภ. จึงมีแผนคืนพื้นที่เดิม ณ สนามเสือป่า ให้แก่สํานักพระราชวัง (พว.) เพื่อย้ายไปยังศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โซน c ซึ่งมีกําหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2567 จึงจําเป็นต้องหาพื้นที่เพื่อรองรับการประชุมราชบัณฑิตยสภาในอนาคต 2. ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 รภ. ได้ทําสัญญาเช่าอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อน ในรัชกาลที่ 5 ริมถนนพระราม 5 เขตดุสิต เนื้อที่ 1,765.94 ตารางวา กับสํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นเวลา 30 ปี (1 ธันวาคม 2564 – 30 พฤศจิกายน 2594) เพื่อเตรียมปรับปรุงเป็นหอประวัติราชบัณฑิตยสภาและอาคารศูนย์ประชุมราชบัณฑิตยสภา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงถึงสัญลักษณ์และการอนุรักษ์เชิงประวัติศาสตร์ของราชบัณฑิตยสภา เนื่องจากเป็นองค์กรที่สําคัญของประเทศที่ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ. 2569 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และใช้เป็นศูนย์การประชุมระดับชาติเพื่อรองรับการประชุมของราชบัณฑิตยสภา การประชุมร่วมกันระหว่างราชบัณฑิตยสภากับองค์การปราชญ์จากต่างประเทศ และการประชุมวิชาการทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ โดยกรมศิลปากรได้อนุญาตให้ รภ. ดําเนินการบูรณะอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อนได้ ภายใต้การกํากับดูแลของกรมศิลปากร 3. รายละเอียดงานปรับปรุงอาคารฯ ประกอบด้วย 5 รายการ มีระยะเวลาดําเนินการ 5 ปี (ปีงบประมาณ 2563 – 2567) วงเงินรวม 354.35 ล้านบาท ดังนี้ หน่วย : ล้านบาท รายการ วงเงิน 1. งานจ้างออกแบบอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อน อาคารศูนย์ประชุม ราชบัณฑิตยสภา และงานปรับปรุงบริเวณภายนอก 16.71 2. งานปรับปรุงอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อน 97.98 3. งานก่อสร้างศูนย์ประชุมราชบัณฑิตยสภา 178.75 4. งานปรับปรุงบริเวณภายนอก 42.10 5. งานจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง 18.81 รวม 354.35 ทั้งนี้ ในการปรับปรุงอาคารฯ กรมศิลปากรได้อนุญาตให้สํานักงานราชบัณฑิตยสภาดําเนินการบูรณะอาคารฯ ได้ภายใต้การกํากับดูแลของกรมศิลปากรแล้ว 13. เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ (คณะกรรมการฯ) ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563 ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ ซึ่งมีมติในเรื่องสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง แผนการบริหารสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม (พ.ศ. 2563) มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 โดยให้มีการใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมตามแผนการบริหารสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม 2. (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ในระดับรัฐ เพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศเชิงพาณิชย์ พ.ศ. .... กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม เพื่อพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) ประกาศดังกล่าวให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ก่อนนําเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาต่อไป 3. แนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินหลังสิ้นสุดสัญญาดําเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) เป็นผู้บริหารจัดการทรัพย์สินภายหลังสิ้นสุดสัญญาดําเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ดาวเทียมไทยคม 4 ไทยคม 5 และไทยคม 6) จนสิ้นสุดอายุทางวิศวกรรมของดาวเทียม และให้นําเสนอคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป 4. (ร่าง) แนวปฏิบัติการรับจดแจ้งวัตถุอวกาศ คณะกรรมการฯ ได้กําหนดขอบเขตและแนวปฏิบัติ เช่น เป็นการดําเนินกิจการอวกาศในราชอาณาจักร การดําเนินกิจการอวกาศนอกราชอาณาจักรหรือในอวกาศโดยบุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลซึ่งมีสัญชาติไทย หรือได้จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศไทย และดําเนินการจดแจ้งวัตถุอวกาศหลังจากที่ได้ปล่อยวัตถุอวกาศขึ้นสู่อวกาศแล้ว โดยส่งข้อมูลในรูปแบบที่สํานักงานกิจการอวกาศส่วนนอกแห่งสหประชาชาติกําหนด 14. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (คณะกรรมการฯ) ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 [ซึ่งเป็นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 มาตรา 11 (3) ที่บัญญัติให้คณะกรรมการฯ เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดําเนินงานตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม] ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. ผลการดําเนินงานของคณะกรรมการภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 คณะกรรมการฯ ได้มีการดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่สําคัญ เช่น การจัดทําหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โครงการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วถึงทั้งประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (เน็ตประชารัฐ) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) การแก้ไขปัญหาองค์กรของบริษัท ทีโอที จํากัด และบริษัท กสม โทรคมนาคม จํากัด (บมจ. กสท โทรคมนาคม) การจัดตั้งเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand) โครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center And Cloud Service : GDCC) และ (ร่าง) นโยบายและแผนเฉพาะด้านการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 – 2565) (แผนปฏิบัติการ) 2. ผลการจัดประมูลคลื่นความถี่ 5G สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เปิดให้ยื่นคําขอรับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 700MHz 1800 MHz 2600 MHz และ 26 GHz ซึ่งการประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 โดยมีการประมูลเพียง 3 คลื่นความถี่ ได้แก่ 700 MHz 2600 MHz และ 26 GHz มีผลรวมเงินประมูลทุกย่านความถี่จํานวน 107,557,660,221.39 บาท ทั้งนี้ ในส่วนของคลื่นความถี่ 1800 MHz ที่เปิดการประมูลมาแล้วจํานวน 2 ครั้ง แต่ไม่มีผู้เข้าร่วมการประมูล คณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้ กสทช. พิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการนําคลื่นดังกล่าวมาใช้ประโยชน์กับภาครัฐในด้านการศึกษาและการคมนาคม 3. ผลกระทบและแนวทางการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับ Disruptive Technology ของประเทศไทย จากการศึกษาและวิเคราะห์แนวโน้มของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน (Disruptive Technology) พบว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมใน 2 รูปแบบ คือ 1) การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและบริการสําหรับอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ และภาคเกษตรกรรม และ2) การเกิดขึ้นของโมเดลธุรกิจใหม่ในรูปแบบแพลตฟอร์มที่เข้ามาแข่งขันกับผู้ประกอบการรายเดิม ทั้งนี้ จะมีการศึกษาเชิงลึกเพิ่มเติมเพื่อจัดทําแผนการดําเนินงานรายสาขาที่เหมาะสมกับสถานการณ์และบริบทของประเทศไทยต่อไป 4. หลักเกณฑ์การใช้จ่ายของเงินกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตามมาตรา 26 (6) แห่งพระราชบัญญัติพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 คณะกรรมการฯ ได้กําหนดแนวทางการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้ 4.1 วงเงินกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อป้องกัน ช่วยเหลือเยียวยา หรือฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมในสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แบ่งเป็นสองส่วน คือ (1) วงเงินจํานวน 1,000 ล้านบาท สําหรับจัดหาเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ด้านดิจิทัลที่สนับสนุนช่วยเหลืองานด้านสาธารณสุขและการรักษาสุขภาพของประชาชน และ (2) วงเงินจํานวน 400 ล้านบาท สําหรับโครงการที่ช่วยเหลือ ฟื้นฟู หรือเยียวยาจากผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์ COVID-19 4.2 วงเงินกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จํานวน 1,000 ล้านบาท สําหรับโครงการที่ขอรับทุนที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ตามมาตรา 26 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 5. แนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินหลังสิ้นสุดสัญญาดําเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ คณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้ บจม. กสท โทรคมนาคม บริหารจัดการทรัพย์สินภายหลังสิ้นสุดสัญญาดําเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศจนสิ้นอายุทางวิศวกรรมของดาวเทียม และให้ ดศ. ดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป 6. โครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud Services : GDCC) คณะกรรมการฯ ได้กําหนดกรอบงบประมาณโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ ภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 – 2565 จํานวน 3,275.96 ล้านบาท และจากงบประมาณกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จํานวน 797.973 ล้านบาท รวมจํานวนทั้งสิ้น 4,073.069 ล้านบาท จากนั้นจะนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป 7. (ร่าง) นโยบายและแผนเฉพาะด้านการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 – 2565) (แผนปฏิบัติการ) คณะกรรมการฯ ได้จัดทํา (ร่าง) นโยบายและแผนฯ ภายใต้กรอบมิติการขับเคลื่อนดิจิทัล ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมโดยได้กําหนดเป้าหมาย 15 ด้าน เช่น ด้านเศรษฐกิจชุมชนและฐานกราก ด้านการแพทย์ครบวงจร ด้านเศรษฐกิจการเกษตร ด้านการท่องเที่ยวและบริการด้านเศรษฐกิจชีวภาพ ด้านการศึกษา ด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน ด้านความมั่นคงและปลอดภัย และด้านการมีส่วนร่วมทางสังคม 8. การพัฒนาและส่งเสริมระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นด้านดิจิทัลสู่การเป็น ASEAN Digital Startup Hub คณะกรรมการฯ ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งเสริมระบบนิเวศน์วิสาหกิจเริ่มต้นด้านดิจิทัล (Thailand Digital Startup) โดยมีประเด็นข้อเสนอในการพัฒนา เช่น การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อส่งเสริม Digital Startup การแก้ไข และปรับปรุงกฎหมาย/กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และการปรับตัวและอยู่รอดของผู้ประกอบการค้าปลีก 15. เรื่อง ผลการดําเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา และระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้ 1. รับทราบสถานะการดําเนินโครงการ และการติดตามความก้าวหน้าการดําเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 (โครงการเงินกู้ฯ) ที่ยังไม่แล้วเสร็จ 2. ให้กระทรวงต้นสังกัดเร่งรัดและติดตามผลการดําเนินโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จที่ประสงค์จะดําเนินการต่อโดยใช้เงินจากแหล่งอื่น ดําเนินงานให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และเบิกจ่ายเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งกํากับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดําเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด และขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานความก้าวหน้าของงาน แผนการใช้จ่ายเงิน และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากแหล่งอื่นให้ กค. [สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)] ทราบภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป จนกว่าจะดําเนินโครงการแล้วเสร็จ 3. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ ส่งคืนเงินคงเหลือจากการดําเนินโครงการในกรณีเบิกเงินจากคลังไปแล้ว แต่ไม่ได้จ่าย หรือจ่ายไม่หมดหรือได้รับเงินคืน เข้าบัญชีเงินฝาก กค. ชื่อบัญชี “เงินฝากเงินกู้สําหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน” ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวให้ กค. (สบน.) ด้วย เพื่อให้ กค. นําเงินที่เหลือในบัญชีส่งคืนคลังและดําเนินการปิดบัญชีดังกล่าวตามระเบียบต่อไป ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนําเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนําเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้อง และรายงาน กค. (สบน.) ทราบต่อไป 4. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ เร่งดําเนินการส่งคืนกรอบวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรไปที่สํานักงบประมาณ (สงป.) และแจ้งผลการส่งคืนเงินเหลือจ่ายที่เสร็จสิ้นแล้วให้ กค. (สบน.) ทราบภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ด้วย 5. ให้กรมทรัพยากรน้ําที่มีโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ ดําเนินการตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการพัสดุ รวมถึงกฎหมายและระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดโดยเร็ว และเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีต้นสังกัดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีขออนุมัติยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีที่มีเงินคงเหลือของโครงการ ขอให้ส่งคืนเข้าบัญชีเงินฝาก กค. ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2558 ข้อ 20 ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินนั้นให้ กค. (สบน.) ทราบด้วย และหากไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้กรมทรัพยากรน้ํานําเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนําเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ กค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง กระทรวงการคลังเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบ ดังนี้ 1. สถานการณ์ดําเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 โดยมีโครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดําเนินการทั้งสิ้น 4,014 โครงการ 16 หน่วยงาน หน่วยงานเจ้าของโครงการได้ดําเนินโครงการแล้วเสร็จ จํานวน 3,973 โครงการ อยู่ระหว่างดําเนินโครงการ จํานวน 20 โครงการ และยกเลิกโครงการ จํานวน 21 โครงการ มีผลการเบิกจ่ายเงินตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ (เมื่อเดือนกรกฎาคม 2558) ถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 รวม 72,121.3496 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 93.26 ของวงเงินที่สํานักงบประมาณจัดสรร หน่วย : ล้านบาท รายการ ผลการเบิกจ่าย กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2558 78,294.8445 กรอบวงเงินที่สํานักงบประมาณจัดสรร 77,333.5246 ผลการเบิกจ่ายเงินตั้งแต่เริ่มต้นโครงการถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 72,121.3496 (ร้อยละ 93.26 ของวงเงิน ที่สํานักงบประมาณจัดสรร) 1. แผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ระยะเร่งด่วน ประจําปีงบประมาณ 2558 (เพิ่มเติม) 32,688.2929 2. แผนพัฒนาระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน 38,319.5933 3. โครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ของกรมศุลกากร 1,113.4634 2. การติดตามความก้าวหน้าการดําเนินโครงการเงินกู้ฯ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ แบ่งเป็น (1) โครงการที่หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดําเนินการและเบิกจ่ายไม่ทัน ในวันที่ 30 กันยายน 2562 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 และหน่วยงานเจ้าของโครงการประสงค์จะดําเนินโครงการต่อ จํานวน 3 หน่วยงาน (กรมชลประทาน สํานักงานสถิติแห่งชาติ และกรมทรัพยากรน้ํา) จํานวน 20 โครงการ วงเงินจัดสรร 3,024.3221 ล้านบาท โดยจะใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีของหน่วยงานเองหรือแหล่งเงินอื่นดําเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงต้นสังกัดเร่งรัดและติดตามผลการดําเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และเบิกจ่ายเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งกํากับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดําเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด และขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานความก้าวหน้าของงาน แผนการใช้จ่ายเงิน และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากแหล่งอื่นให้กระทรวงการคลัง (สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะดําเนินโครงการแล้วเสร็จ และ (2) กรมทรัพยากรน้ํามีความประสงค์จะขอยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ จํานวน 2 โครงการ คือ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ําหนองสมอ ตําบลโนนคอม อําเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น และโครงการศึกษาและพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบแหล่งน้ําและทางน้ําธรรมชาติอย่างเหมาะสมและยั่งยืน โดยกระทรวงการคลังขอให้กรมทรัพยากรน้ําดําเนินการตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการพัสดุ รวมถึงกฎหมายและระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดโดยเร็ว และเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีต้นสังกัดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีขออนุมัติยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีที่มีเงินคงเหลือของโครงการ ขอให้ส่งคืนเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง ชื่อบัญชี “เงินฝากเงินกู้สําหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน” ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินนั้นให้กระทรวงการคลัง (สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบด้วย และหากไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้กรมทรัพยากรน้ํานําเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนําเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยที่หน่วยงานเจ้าของโครงการได้ดําเนินโครงการและเบิกเงินกู้เสร็จสิ้นแล้วในเดือนกันยายน 2562 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 อย่างไรก็ตาม มี 2 หน่วยงานที่แจ้งผลการคืนเงินเหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังฯ ให้สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะทราบ จํานวน 65.1476 ล้านบาท ได้แก่ กรมทางหลวง และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ํา (องค์การมหาชน) สําหรับที่เหลือจํานวน 13 หน่วยงาน (ไม่รวมกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่ไม่มีผลเบิกจ่ายเนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 ยกเลิกโครงการทั้งหมดภายใต้ความรับผิดชอบแล้ว) ขอให้ส่งคืนเงินคงเหลือจากการดําเนินโครงการในกรณีเบิกเงินจากคลังไปแล้ว แต่ไม่ได้จ่าย หรือจ่ายไม่หมด หรือได้รับคืน เข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังฯ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวให้กระทรวงการคลัง (สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ด้วย เพื่อให้กระทรวงการคลังนําเงินที่เหลือในบัญชีส่งคืนคลังและดําเนินการปิดบัญชีดังกล่าวตามระเบียบต่อไป ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนําเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนําเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้อง และรายงานกระทรวงการคลัง (สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบต่อไป นอกจากนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องส่งคืนกรอบวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรร (วงเงินจัดสรร – วงเงินเบิกจ่าย) ในระบบ GFMIS ของกรมบัญชีกลาง ให้สํานักงบประมาณดึงเงินกลับ จํานวนทั้งสิ้น 5,212.1750 ล้านบาท โดยปัจจุบันหน่วยงานเจ้าของโครงการได้แจ้งผลให้สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะทราบเมื่อส่งคืนกรอบวงเงินเหลือจ่ายเรียบร้อยแล้ว จํานวน 1,118.2522 ล้านบาท (6 หน่วยงาน) และคงเหลือที่ยังไม่แจ้งผล จํานวน 4,093.9228 ล้านบาท (10 หน่วยงาน) ดังนั้น จึงขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งดําเนินการส่งคืนกรอบวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรไปที่สํานักงบประมาณและแจ้งผลการส่งคืนเงินเหลือจ่ายที่เสร็จสิ้นแล้วให้กระทรวงการคลัง (สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ด้วย สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการของหน่วยงานที่ดําเนินการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ ให้สามารถตอบวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) 16. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทยเดือนเมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทยเดือนเมษายน 2563 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ สาระสําคัญ 1. สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทยเดือนเมษายน 2563 การส่งออกเดือนเมษายน 2563 มีมูลค่า 18,948 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.12 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 แม้อยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวที่ร้อยละ 4.03 ตามความต้องการสินค้าอาหารของตลาดโลกในช่วงล็อกดาวน์ โดยเฉพาะข้าวกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 18 เดือน และขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 23.10 อาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 34.33 นอกจากนี้ อาหารทะเลแช่แข็ง ผักและผลไม้ ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป และสิ่งปรุงรสอาหาร ยังขยายตัวดีในระดับที่น่าพอใจ สําหรับสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.05 จากการส่งออกทองคํา อากาศยาน แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องมือแพทย์เป็นหลัก มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนเมษายน 2563 การส่งออกมีมูลค่า 18,948 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.12 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนําเข้ามีมูลค่า 16,486 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 17.13 โดยการค้าเกินดุล 2,462 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวม 4 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออกมีมูลค่า 81,620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวที่ร้อยละ 1.19 ขณะที่การนําเข้ามีมูลค่า 75,224 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 5.72 ส่งผลให้ 4 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 6,396 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท เดือนเมษายน 2563 การส่งออกมีมูลค่า 613,979 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.32 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนําเข้า มีมูลค่า 541,019 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 14.61 โดยการค้าเกินดุล 72,960 ล้านบาท ภาพรวม 4 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออกมีมูลค่า 2,517,136 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 1.07 ขณะที่ การนําเข้ามีมูลค่า 2,349,710 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 8.06 ส่งผลให้ 4 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 167,426 ล้านบาท มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวที่ร้อยละ 4.0 (YoY) สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ข้าว ขยายตัวที่ร้อยละ 23.1 (ขยายตัวเกือบทุกตลาด อาทิ สหรัฐฯ สิงคโปร์ ฮ่องกง แอฟริกาใต้ และจีน) ผัก ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแปรรูป ขยายตัวที่ร้อยละ 5.7 (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และออสเตรเลีย) ไก่สด แช่เย็นแช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 9.6 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ และฮ่องกง) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวที่ร้อยละ 34.3 (ขยายตัวเกือบทุกตลาด อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อิตาลี และออสเตรเลีย) สิ่งปรุงรสอาหาร ขยายตัวที่ร้อยละ 18.9 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และเนเธอร์แลนด์) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ ยางพารา หดตัวที่ร้อยละ 20.7 (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ตุรกี บราซิล เยอรมนี และไต้หวัน แต่ยังขยายตัวดีในตลาดเกาหลีใต้ และเวียดนาม) น้ําตาลทราย หดตัวที่ร้อยละ 8.3 (หดตัวในตลาดไต้หวัน จีน เมียนมา แทนซาเนีย กัมพูชา และเกาหลีใต้ แต่ยังขยายตัวดีในตลาดอินโดนีเซีย เวียดนาม ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง หดตัวที่ร้อยละ 6.7 (หดตัวในตลาดจีน อินโดนีเซีย ไต้หวัน มาเลเซีย และนิวซีแลนด์ แต่ยังขยายตัวดีในญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และเวียดนาม) เครื่องดื่ม หดตัวที่ร้อยละ 14.4 (หดตัวในตลาดกัมพูชา เวียดนาม เมียนมา สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่ยังขยายตัวดีในตลาดจีน สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) รวม 4 เดือนแรกของปี 2563 มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวที่ร้อยละ 1.4 (YoY) มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวที่ร้อยละ 4.0 (YoY) สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ทองคํา ขยายตัวเกือบทุกตลาดที่ร้อยละ 1,102.8 (ขยายตัวในตลาดสวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น) ยานพาหนะอื่นๆ และส่วนประกอบ ขยายตัวที่ร้อยละ 1,423.1 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม เมียนมา ญี่ปุ่น และเนปาล) อากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ ขยายตัวที่ร้อยละ 584.7 (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ไต้หวัน และญี่ปุ่น) อุปกรณ์กึ่งตัวนํา ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวที่ร้อยละ 56.1 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐ ฮ่องกง เวียดนาม ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) แผงวงจรไฟฟ้า ขยายตัวที่ร้อยละ 1.8 (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน และไต้หวัน) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวที่ร้อยละ 53.8 (หดตัวเกือบทุกตลาด อาทิ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก มาเลเซีย และเวียดนาม แต่ยังขยายตัวดีในตลาดญี่ปุ่น และจีน) สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน หดตัวที่ร้อยละ 31.3 (หดตัวเกือบทุกตลาด อาทิ จีน เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และกัมพูชา แต่ยังขยายตัวดีในตลาดญี่ปุ่น) อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคํา หดตัวที่ร้อยละ 49.3 (หดตัวเกือบทุกตลาด อาทิ สหรัฐฯ ฮ่องกง อินเดีย ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดเยอรมนี)เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวที่ร้อยละ 2.1 (หดตัวในตลาดฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเม็กซิโก แต่ยังขยายตัวดีในตลาดสหรัฐฯ จีน และสิงคโปร์) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ หดตัวที่ร้อยละ 30.2 (หดตัวในตลาดเวียดนาม ออสเตรเลีย อินเดีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ แต่ยังขยายตัวดีในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเนเธอร์แลนด์) รวม 4 เดือนแรกของปี 2563 มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวที่ร้อยละ 2.4 (YoY) ตลาดส่งออกสําคัญ การส่งออกไปยังตลาดสําคัญหลายตลาดขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะตลาดจีน และญี่ปุ่น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯ และอาเซียน (5) ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกไปตลาดที่ยังคงเผชิญกับการแพร่ระบาดในระดับสูง เช่น สหภาพยุโรป (15) ตะวันออกกลาง (15) และเอเชียใต้ ปรับตัวลดลง รายละเอียดมีดังนี้ 1) การส่งออกไปตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 7.7 ตามการส่งออกไปสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ขยายตัวร้อยละ 34.6 และร้อยละ 9.8 ตามลําดับ ขณะที่สหภาพยุโรป (15) หดตัวร้อยละ 28.7 2) การส่งออกไปตลาดศักยภาพสูง หดตัวร้อยละ 4.0 เนื่องจากการลดลงของการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV และเอเชียใต้ ร้อยละ 31.0 และ 56.1 ตามลําดับ ขณะที่การส่งออกไปตลาดจีน และอาเซียน (5) ขยายตัวร้อยละ 9.0 และร้อยละ 13.0 ตามลําดับ และ 3) การส่งออกไปตลาดศักยภาพระดับรอง หดตัวร้อยละ 28.5 โดยการส่งออกไปทวีปออสเตรเลีย (25) กลับมาหดตัวร้อยละ 29.5 ส่วนการส่งออกไปตะวันออกกลาง (15) ลาตินอเมริกา รัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS และทวีปแอฟริกา หดตัวร้อยละ 25.3 ร้อยละ 33.7 ร้อยละ 33.5 และร้อยละ 31.8 ตามลําดับ 2. แนวโน้มและมาตรการส่งเสริมการส่งออก ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้สินค้าเกษตรและอาหารเป็นสินค้า ที่มีความต้องการสูงในตลาดต่างประเทศ และคาดว่าจะเติบโตดีต่อเนื่อง 1 – 2 ปี ซึ่งนับเป็นโอกาสในการขยายตลาดสินค้าเกษตรของไทย ด้านสินค้าที่มีการขนส่งทางบก โดยเฉพาะตลาดอาเซียนที่ประสบปัญหาการปิดด่าน กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานการเจรจากับประเทศคู่ค้า อาทิ สปป.ลาว เวียดนาม และมาเลเซีย โดยสามารถเจรจาลดอุปสรรคการส่งออกสินค้าตามแนวชายแดน ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าที่ใช้การขนส่งทางถนนเป็นหลัก รวมถึงสินค้าผักและผลไม้ที่ไทยส่งออกไปจีนตอนใต้โดยขนส่งผ่านประเทศเพื่อนบ้านด้วย แนวโน้มการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ผ่านมาเผชิญอุปสรรคสําคัญด้านการขนส่งบริเวณท่าเรือที่แออัด และการขนส่งทางอากาศที่หยุดชะงัก ส่งผลให้สินค้ามูลค่าสูงที่ขนส่งทางอากาศ โดยเฉพาะอัญมณีและเครื่องประดับได้รับผลกระทบด้วย อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆ ที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์แล้ว อาทิ จีน เยอรมนี อิตาลี และนิวซีแลนด์ กําลังกลับมาเริ่มต้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และในที่สุดจะทําให้กําลังซื้อของประเทศคู่ค้าเหล่านี้กลับมาขยายตัว เป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์และส่วนประกอบที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง ก็คาดว่าจะกลับมาขยายตัวอีกครั้งหลังวิกฤติ สําหรับการส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ได้เจรจากับประเทศญี่ปุ่น ขอให้สนับสนุนผลไม้ไทย 9 ชนิด ผ่านกิจกรรมประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดต่างๆ โดยเฉพาะการขายตรงทางโทรทัศน์ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงได้ง่าย นอกจากนี้ กระทรวงฯ ได้หารือกับภาคเอกชน เพื่อรับฟังและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปที่ไทยมีศักยภาพในการผลิตสูง รวมทั้งการจัดทําแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพเป็นช่องทางระบายสินค้าด้านการเกษตรให้กับเกษตรกรรวมทั้งผู้ผลิตแปรรูปและผู้ส่งออกได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยให้สินค้าเกษตรของไทยสามารถขยายการส่งออกได้ในอนาคต 17. เรื่อง เพลงสําคัญของแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เพลงสดุดีจอมราชา และเพลงสดุดีพระแม่ไทย เป็นเพลงสําคัญของแผ่นดิน เพิ่มเติม (จากมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 30 ธันวาคม 2546) ตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง สปน. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ รายงานว่า 1. กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดทําเพลงสดุดีจอมราชา แต่งทํานองและเรียบเรียงโดย นายวิรัช อยู่ถาวร และประพันธ์เนื้อร้องโดย นายวิเชียร ตันติพิมลพันธ์ เพื่อใช้เป็นเพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้มอบหมายให้ สปน. นําเสนอบทเพลงดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 ได้รับฟังเพื่อจะใช้เพลงดังกล่าวในพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 โดยต่อมาได้มีการแก้ไขเนื้อร้องเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จาก “ถวายพระพรจอมราชัน ธ อนันต์ ปรีชาชาญ” เป็น “ถวายพระพรองค์ราชินี คู่บารมีองค์ราชัน” และ “งามตระการสมขัตติยะไทย” เป็น “งามตระการเคียงขัตติยะไทย” และ “มหาวชิราลงกรณมิ่งขวัญปวงชนชาวไทย” เป็น “มหาราชาราชินี มิ่งขวัญปวงชนชาวไทย” 2. คณะอนุกรรมการจัดทําเพลงสําคัญของชาติ ในคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติได้ขอความร่วมมือ วธ. ดําเนินการจัดทําเพลงเพื่อใช้ในพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2562 และเพื่อเทิดพระเกียรติในโอกาสสําคัญต่าง ๆ 3. วธ. ได้จัดทําเพลงสดุดีพระแม่ไทย ประพันธ์คําร้องโดย นายชัยรัตน์ วงศ์เกียรติ์ขจร และประพันธ์ทํานองโดย นายวิรัช อยู่ถาวร ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้มอบหมายให้ สปน. นําเสนอบทเพลงดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 ได้รับฟังเพื่อจะใช้เพลงดังกล่าวในพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2562 รวมทั้งเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ ขับร้องเพลงสดุดีพระแม่ไทยในโอกาสสําคัญต่าง ๆ เพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณและร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 4. คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอเพลงสดุดีจอมราชา และเพลงสดุดีพระแม่ไทยเป็นเพลงสําคัญของแผ่นดิน เพิ่มเติม ซึ่งมีความมุ่งหมายในการถวายความเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ ทําให้เกิดความรัก ความสามัคคี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว เห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการกําหนดเพลงสดุดีจอมราชา และเพลงสดุดีพระแม่ไทย เป็นเพลงสําคัญของแผ่นดิน เพิ่มเติม ซึ่ง วธ. ได้มีการเผยแพร่เนื้อเพลง โน้ตเพลง และเพลงดังกล่าว ในเว็บไซต์ของ วธ. แล้ว ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2546 เห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ใช้เพลงสําคัญของแผ่นดิน (ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงมหาชัย เพลงมหาฤกษ์ เพลงสดุดีมหาราชา และเพลงภูมิแผ่นดินนวมินทร์มหาราชา) ที่คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติจัดทําขึ้นใหม่เป็นต้นฉบับในโอกาสต่าง ๆ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นต้นไป สําหรับภาคเอกชนและประชาชนโดยทั่วไป ก็ให้ขอความร่วมมือดําเนินการไปในแนวทางเดียวกัน และให้สํานักนายกรัฐมนตรี ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งดําเนินการเผยแพร่เพลงสําคัญของแผ่นดินไปยังส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ รวมทั้งสื่อต่าง ๆ ของภาครัฐและภาคเอกชน 18. เรื่อง รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ และให้ส่งความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาต่อไป ดังนี้ 1. รับทราบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และรายงานสรุปผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐนําไปประกอบการพิจารณาปรับปรุง พัฒนาและยกระดับ ตลอดจนเตรียมความพร้อมรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 2. รับทราบรายชื่อหน่วยงานที่ดําเนินการไม่ครบตามขั้นตอนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตามที่สํานักงาน ป.ป.ช. กําหนด 3. ให้ผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐให้ความสําคัญกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ โดยเตรียมพร้อมในการประเมินอย่างต่อเนื่องและให้ข้อมูลประกอบการประเมินที่เกิดจากการดําเนินงานหรือที่เกิดจากการให้บริการประชาชนอย่างแท้จริง รวมถึงนําผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มาใช้ในการพัฒนาหน่วยงาน 4. ให้ทุกกระทรวงพิจารณากําหนดให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตประจํากระทรวง หรือกลุ่มส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม ได้มีบทบาทในการเตรียมความพร้อมและยกระดับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง 5. ให้องค์กรสื่อของรัฐ ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วประเทศรับทราบและเข้ามามีส่วนร่วมในการประเมิน ซึ่งจะช่วยให้ผลการประเมินสามารถสะท้อนการรับรู้เกี่ยวกับการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐได้ดียิ่งขึ้น สาระสําคัญของเรื่อง คณะกรรมการ ป.ป.ช. รายงานว่า 1. การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) เป็นการดําเนินการตามตัวชี้วัด 10 ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายที่กําหนดไว้ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) โดยมีหน่วยงานภาครัฐที่เข้าร่วมการประเมิน รวมทั้งสิ้น 8,299 หน่วยงาน ดังนี้ หน่วยงานที่เข้าร่วมการประเมิน จํานวน องค์กรอิสระ 5 หน่วยงาน องค์กรศาล 3 หน่วยงาน องค์กรอัยการ 1 หน่วยงาน หน่วยงานในสังกัดรัฐสภา 3 หน่วยงาน ส่วนราชการระดับกรม 144 หน่วยงาน องค์การมหาชน 40 หน่วยงาน รัฐวิสาหกิจ 54 หน่วยงาน หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ 28 หน่วยงาน กองทุน 8 หน่วยงาน สถาบันอุดมศึกษา 83 หน่วยงาน จังหวัด 76 หน่วยงาน หน่วยงานรัฐขอเข้าร่วม 2 หน่วยงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตําบล องค์การบริหารส่วนตําบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ) 7,852 หน่วยงาน 2. ผลการประเมินในภาพรวมของประเทศ ในปี 2562 หน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมิน 8,299 หน่วยงานนั้น มีผลการประเมิน ITA ในภาพรวมของประเทศไทยที่ 66.73 คะแนน จัดอยู่ในระดับ C โดยจําแนกออกเป็น 7 ระดับตามช่วงค่าคะแนน โดยสรุปผลในภาพรวมของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด สรุปได้ ดังนี้ ระดับผลการประเมิน ITA จํานวนหน่วยงาน ร้อยละ AA 0.41 A 11.28 B 20.13 C 18.34 D 22.41 E 12.01 F 12.51 ดําเนินการไม่ครบขั้นตอน (N/A) 2.90 ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐที่ดําเนินการไม่ครบตามขั้นตอนการประเมินคุณธรรม ITA ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562มีจํานวน 241 หน่วยงาน (หมายเหตุ : การประมวลผลค่าเฉลี่ยของคะแนนจะนับเฉพาะหน่วยงานที่ดําเนินการครบถ้วนตามขั้นตอนที่กําหนด) 3. ผลการประเมินรายตัวชี้วัดการประเมิน การประเมิน ITA ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้รับการพัฒนาโดยมีเนื้อหาครอบคลุมหลายด้านซึ่งเกี่ยวข้องกับคุณธรรม ความโปร่งใส และการทุจริต ทั้งที่มีลักษณะการทุจริตทางตรงและการทุจริตทางอ้อม รวมไปถึงบริบทแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานในการนําไปสู่การปรับปรุงแก้ไข ลดโอกาสหรือความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐและส่งผลต่อการยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ของประเทศไทยในระยะยาวได้ โดยจําแนกออกเป็น 10 ตัวชี้วัด มีผลการประเมิน ดังนี้ 1) การปฏิบัติหน้าที่ 88.72 คะแนน 2) การใช้งบประมาณ 79.91 คะแนน 3) การใช้อํานาจ 82.66 คะแนน 4) การใช้ทรัพย์สินราชการ 78.21 คะแนน 5) การแก้ไขปัญหาการทุจริต 79.24 คะแนน 6) คุณภาพการดําเนินงาน 79.60 คะแนน 7) ประสิทธิภาพการสื่อสาร 77.74 คะแนน 8) การปรับปรุงการทํางาน 74.72 คะแนน 9) การเปิดเผยข้อมูล 52.69 คะแนน 10) การป้องกันการทุจริต 42.34 คะแนน ผลการประเมินตามตัวชี้วัดทั้ง 10 ตัวชี้วัดแสดงให้เห็นว่าตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ตัวชี้วัดที่ 1 การปฏิบัติหน้าที่ และตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ําสุด คือ ตัวชี้วัดที่ 10 การป้องกันการทุจริต เมื่อพิจารณาผลการประเมินในทุกมิติแล้วพบว่า อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องมีการพัฒนาและยกระดับผลการประเมินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต CPI ประจําปี 2561 ที่ประเทศไทยได้รับคะแนนการประเมิน 36 คะแนน อยู่ในลําดับที่ 99 จากประเทศที่เข้าร่วมการประเมินทั้งสิ้น 180 ประเทศ 4. ผลการประเมินตามประเภทของหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมิน ITA ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จําแนกได้เป็นประเภทหน่วยงานตามลักษณะทางกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน มีผลการประเมินของหน่วยงานภาครัฐแต่ละประเภท สรุปได้ดังนี้ 4.1 ประเภทของหน่วยงานภาครัฐที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ องค์กรศาล องค์กรอัยการ หน่วยงานในสังกัดรัฐสภา รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน ตามลําดับ ส่วนประเภทของหน่วยงานภาครัฐที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ําสุด ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ องค์การบริหารส่วนตําบล เทศบาลตําบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร ตามลําดับ 4.2 ประเภทของหน่วยงานภาครัฐที่มีสัดส่วนของหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์มากที่สุด ได้แก่ องค์กรศาล องค์กรอัยการ หน่วยงานในสังกัดของรัฐสภา กรมหรือเทียบเท่า และองค์การมหาชน ตามลําดับ ส่วนประเภทของหน่วยงานภาครัฐที่มีสัดส่วนหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์น้อยที่สุด ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ องค์การบริหารส่วนตําบล เทศบาลตําบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร ตามลําดับ 19. เรื่อง กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการต่อไป ตามที่สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สํานักงาน ป.ป.ท.) เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง สํานักงาน ป.ป.ท. รายงานว่า 1. โดยที่ได้มีการประกาศใช้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 19 เมษายน 2563 ให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีมีอํานาจกู้เงินหรือออกตราสารหนี้ในนามรัฐบาลมีผลบังคับใช้แล้ว โดยกําหนดให้ใช้จ่ายเงินกู้ในแผนงานหรือโครงการ ดังนี้ หน่วย:ล้านบาท แผนงาน/โครงการ งบประมาณ 1) แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2) แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 3) แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวม 2. องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) ออกแถลงการณ์ขอให้ประเทศสมาชิก OECD มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายงบประมาณแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยให้ทุกประเทศมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงการทุจริตในการใช้จ่ายงบประมาณแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยในห้วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในไทยนั้น ปรากฏข่าวว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หลายแห่งดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างในการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดและช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่โปร่งใส สํานักงาน ป.ป.ท. จึงร่วมกับกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตรวจสอบ ติดตาม และเฝ้าระวังในการจัดซื้อจัดจ้างของ อปท. ซึ่งพบข้อสังเกตเบื้องต้นว่า อปท. บางแห่งยังมีการจัดซื้อจัดจ้างไม่เป็นไรตามหลักเกณฑ์หรือระเบียบของทางราชการ และส่อไปในการกระทําที่เป็นการทุจริตและประพฤติมิชอบ 3. สํานักงาน ป.ป.ท. ในฐานะกลไกของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และในฐานะฝ่ายเลขานุการของศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) มีหน้าที่และอํานาจในการเสนอแนะแนวทางและมาตรการในการบูรณาการเพื่อเสริมสร้างและประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคสังคม ภาคเอกชน และประชาชนในการแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบต่อคณะรัฐมนตรี จึงได้เสนอกลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ด้าน ดังนี้ ด้าน การดําเนินการ 1. การเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแส - กําหนดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบแผนงาน/โครงการต้องเปิดเผยข้อมูลแผนการดําเนินงาน แผนการใช้จ่ายงบประมาณ ผลสัมฤทธิ์ของโครงการ ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างและความคืบหน้าในการดําเนินงาน เพื่อให้ภาคประชาชน ภาคเอกชน ร่วมเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริตทางเว็บไซต์และจุดบริการข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานทางแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง และทางเว็บไซต์ระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐ (ภาษีไปไหน) ของสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) - ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีการรวมตัวเป็นเครือข่ายในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริต หรือปัญหาความเดือดร้อนในทุกพื้นที่ที่มีการใช้งบประมาณตามแผนงาน/โครงการ - เปิดช่องทางการรับแจ้งเบาะแสการทุจริตของประชาชนที่เกิดจากการดําเนินงานตามแผนงาน/โครงการ และเชื่อมโยงระบบรับเรื่องร้องเรียนของทุกหน่วยงานทางแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางหรือทางเว็บไซต์ระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐของ สพร. โดยให้ ศอตช. เป็นศูนย์กลางประสานการดําเนินงาน 2. การป้องกันและลดโอกาสการทุจริต - ก่อนการดําเนินงานตามแผนงาน/โครงการให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบทําการประเมินและจัดทําแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต เป็นกลไกกํากับและขับเคลื่อน - ให้ ศอตช. ทําการวิเคราะห์และจัดทําข้อเสนอแนะการดําเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่มีความเสี่ยงการทุจริตสูง เพื่อแจ้งเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังป้องกันไม่ให้มีการทุจริต - ให้ ศอตช. เผยแพร่ข้อมูลและสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเกิดความคุ้มค่าและโปร่งใส 3. การตรวจสอบ - ให้ ศอตช. ทําการตรวจสอบการดําเนินโครงการเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยหรือมีเรื่องร้องเรียน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานหรือข้อมูลว่ามีเหตุแห่งการทุจริตหรือไม่ ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการดําเนินโครงการ - เมื่อมีเรื่องร้องเรียนหรือมีเบาะแสการทุจริตให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดําเนินการตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริง พร้อมข้อมูลให้ ศอตช. 4. การดําเนินมาตรการทางปกครอง วินัย และอาญา - เมื่อมีข้อร้องเรียนหรือการแจ้งเบาะแสการทุจริต ให้หน่วยงานต้นสังกัดดําเนินการทางปกครอง วินัย และอาญากับผู้ที่กระทําความผิดตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม - ให้สํานักงาน ป.ป.ท. ทําการติดตามและตรวจสอบการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐตามมติคณะรัฐมนตรี (28 มกราคม 2563) การรับรายงานผลดําเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต และรายงานต่อ ศอตช. เพื่อดําเนินการต่อไป 20. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2563 และครั้งที่ 6/2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอ ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2563 และครั้งที่ 6/2563 ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และโครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงกําหนดแนวทางการดําเนินการของคณะกรรมการฯ ตามพระราชกําหนด เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา 8(1) และ 8(2) แห่งพระราชกําหนด ดังนี้ 1. อนุมัติให้สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ดําเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลัง โดยจ่ายเงินเยียวยาผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจํานวน 1,000 บาทต่อเดือน ระยะเวลา 3 เดือน (เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2563) โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาจากโครงการใด ๆ ของภาครัฐในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จํานวน 1,164,222 คน รวมเป็นเงิน 3,000 บาทต่อคน วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,492,666,000 บาท 2. มอบหมายให้สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง รับไปพิจารณากําหนดจํานวนกลุ่มเป้าหมายผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ ของภาครัฐ จากข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยากลุ่มผู้ตกหล่นที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ ของภาครัฐสามารถดําเนินการได้อย่างครอบคลุมในคราวเดียวกัน พร้อมทั้งจัดทําข้อมูลคุณลักษณะของกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถนําเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการฯ พิจารณาได้ภายใน 1 เดือน 3. อนุมัติให้สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพิ่มเติมกลุ่มเป้าหมายเกษตรกรภายใต้โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้รวมถึงเกษตรกรที่ด้อยโอกาสและยังไม่สามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร จํานวน 137,093 ราย เพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นไปอย่างเท่าเทียม ทั้งนี้ การดําเนินการดังกล่าวยังอยู่ภายใต้กรอบวงเงินและจํานวนเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายรวมไม่เกิน 10 ล้านราย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2563 4. เห็นชอบในหลักการของการขยายระยะเวลาการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมทั้งมอบหมายให้สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดําเนินการลงทะเบียนเกษตรกรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 จํานวนประมาณ 120,000 และเร่งตรวจสอบความซ้ําซ้อนกับผู้ได้รับสวัสดิการผ่านระบบข้าราชการของกรมบัญชีกลางและระบบประกันสังคมของสํานักงานประกันสังคม รวมทั้ง มาตรการอื่นใดของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะกรรมการฯ ให้แล้วเสร็จก่อนเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป 5. อนุมัติให้สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดําเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยการจ่ายเงินเยียวยาโดยตรงรายละ 1,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเติมจากเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เพิ่มเติมจากเบี้ยความพิการ และเพิ่มเติมจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 รวมทั้งหมด 6,781,881 คน ประกอบด้วย (1) เด็กจากครัวเรือนยากจน (0-6 ปี) จํานวน1,394,756 คน (2) สูงอายุจํานวน 4,056,596 คน และ (3) ผู้พิการจํานวน 1,330,529 คน กรอบวงเงินไม่เกิน 20,345,643,000 บาท 6. เห็นชอบในหลักการของโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภาคการท่องเที่ยว ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและเอกชนรวมถึงการลงทุนต่าง ๆ ของภาคเอกชน เพื่อให้สภาวะการบริโภคและการลงทุนกลับเข้าสู่ระดับปกติได้โดยเร็วตามบัญชีท้ายพระราชกําหนด โดยมีระยะเวลาดําเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม 2563 รวม 4 เดือน กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น 22,400 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเร่งดําเนินการสร้างความชัดเจนของการดําเนินงานตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการฯ และนําเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่งภายใน 2 สัปดาห์ 7. มอบหมายให้สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการประสานกับองค์กรภาคประชาชนเพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการจากภาคประชาชนและประสานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอโครงการขององค์กรภาคประชาชนผ่านหน่วยงานของรัฐที่เหมาะสมตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ในระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีฯ ต่อไป 21. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 5 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 5 ตามที่สํานักงาน ก.พ. เสนอ โดยสรุปข้อมูล ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2563 ซึ่งได้รับข้อมูลจาก 146 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 99 ของส่วนราชการทั้งหมด (147 ส่วนราชการ) สรุปข้อมูลดังนี้ 1. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home) 1.1 ส่วนราชการร้อยละ 90 (132 ส่วนราชการ) มีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ และส่วนราชการร้อยละ 43 (64 ส่วนราชการ) กําหนดให้มีจํานวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งร้อยละ 50 ขึ้นไป (ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมี 66 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 45) โดยในจํานวนนี้มีส่วนราชการร้อยละ 16 (23 ส่วนราชการ) มอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมี 21 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 14) ทั้งนี้ มีการมอบหมายให้ปฏิบัติงานที่บ้านในหลายรูปแบบ เช่น ปฏิบัติงานที่บ้านสลับกับการมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งของส่วนราชการ วันเว้นวัน สัปดาห์ละ 1 วัน สัปดาห์ละ 2 วัน สัปดาห์เว้นสัปดาห์ เป็นต้น 1.2 ส่วนราชการร้อยละ 10 (14 ส่วนราชการ) มีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานทุกคนปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมี 8 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 6) โดยส่วนราชการที่เริ่มมอบหมายให้ทุกคนปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการในสัปดาห์นี้ ได้แก่ กรมพลศึกษา กรมการข้าว กรมฝนหลวงและการบินเกษตร กรมบังคับคดี กรมศิลปากร และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 2. การเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ 2.1 ส่วนราชการกําหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานเมื่อจําเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 50 กําหนดการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานเป็น 3 ช่วงเวลา คือ เวลา 7.30 – 15.30 น. เวลา 8.30 – 16.30 น. และเวลา 9.30 – 17.30 น. 2.2 ส่วนราชการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามวันเวลาปกติในบางลักษณะงาน โดยลักษณะงานส่วนใหญ่ คือ งานให้บริการประชาชน งานป้องกันและรักษาความมั่นคงภายในประเทศ งานด้านสื่อสารมวลชน งานจัดเก็บภาษี และงานสนับสนุนอื่น ๆ 3. แนวทางการบริหารงานของส่วนราชการ 3.1 การกํากับดูแลและบริหารผลการทํางาน ส่วนราชการร้อยละ 100 กําหนดให้มีระบบรายงานผลงานผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รายงานความก้าวหน้าของงานทั้งรายวัน ผ่าน Application LINE ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และ Google From 3.2 การนําระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงาน ส่วนราชการมีการนําระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงานโดยส่วนใหญ่เลือกใช้ Application LINE ร้อยละ 99 Application Zoom ร้อยละ 66 Microsoft Team ร้อยละ 33 Cisco Webex ร้อยละ 26 ตามลําดับ 4. ข้อจํากัดของส่วนราชการ ในการมอบหมายข้าราชการและเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ได้แก่ การขาดความพร้อมด้านอุปกรณ์ปฏิบัติงานและสัญญาณเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การขาดความพร้อมของเจ้าหน้าที่ในการใช้เทคโนโลยีในการปฏิบัติงาน ความไม่สะดวกในการติดต่อสื่อสารและการประสานงานในกรณีเร่งด่วน งานเกี่ยวกับเอกสารราชการที่ยังคงมีความจําเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้ง 5. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิบัติงานใน – นอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ได้แก่ ควรจัดให้มีอุปกรณ์รองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ควรสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานที่บ้าน เช่น ค่าบริการอินเทอร์เน็ต เป็นต้น และอาจนําแนวทางการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งไปใช้ในอนาคตเพื่อลดปัญหาการจราจร มลพิษทางอากาศ และลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคของส่วนราชการ 22. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ ในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ 1 – 5 มิถุนายน 2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ สาระสําคัญ รัฐวิสาหกิจภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลังโดยสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) มีจํานวน 55 แห่ง โดยผลสัมฤทธิ์ฯ ของรัฐวิสาหกิจในสัปดาห์ช่วงระหว่าง 1 – 5 มิถุนายน 2563 สรุปสาระสําคัญได้ดังนี้ 1. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ (ปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักหรือสถานที่ตามที่รัฐวิสาหกิจกําหนด) รัฐวิสาหกิจ 46 แห่ง ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งและมีรัฐวิสาหกิจ 9 แห่ง ได้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จํากัด โรงพิมพ์ตํารวจ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การยางแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การยาสูบแห่งประเทศไทย องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย และองค์การสุรา กรมสรรพสามิต ที่ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว ทั้งนี้ จากจํานวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งหมดจํานวน 272,481 คน มีพนักงานและลูกจ้างปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งจํานวน 42,746 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 16 2. การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจ 34 แห่ง ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา โดยมีช่วงเวลาเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา 6.00 น. – 10.30 น. ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า (ช่วงระหว่างวันที่ 25 – 29 พฤษภาคม 2563) 2 แห่ง 3. แนวทางการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจที่ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งมีการติดตามผลการปฏิบัติงานทั้งเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของงาน ซึ่งรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีการกํากับ ติดตาม และบริหารผลการปฏิบัติงานผ่านแอปพลิเคชัน Line ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และระบบการติดตามงานและการลงเวลาปฏิบัติงานที่องค์กรพัฒนาขึ้นเอง โดยรัฐวิสาหกิจยังคงใช้แอปพลิเคชัน Line มาสนับสนุนการปฏิบัติงานมากที่สุด ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจมีข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งว่า ควรเตรียมอุปกรณ์และระบบเพื่อรองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งให้เพียงพอ และควรพัฒนาระบบการปฏิบัติงานขององค์กรให้สามารถรองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งได้ ซึ่งรวมถึงมีการจัดเก็บข้อมูลหรือเอกสารให้อยู่ในรูปแบบของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งควรพิจารณาลักษณะงานที่จําเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งเท่านั้น เช่น การให้บริการประชาชน และสําหรับงานอื่นที่ไม่จําเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้ง ควรพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบเป็นการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งแทน ต่างประเทศ 23. เรื่อง ร่างข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งออสเตรเลีย ประกอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนด้านการส่งกําลังบํารุงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลีย คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงกลาโหม (กห.) จัดทําข้อตกลงระหว่าง กห. แห่งราชอาณาจักรไทย กับ กห. แห่งออสเตรเลีย ประกอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนด้านการส่งกําลังบํารุงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลีย โดยให้เจ้ากรมส่งกําลังบํารุงทหาร หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างข้อตกลง ตามที่ กห. เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างข้อตกลงฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสําคัญของร่างข้อตกลงฯ ให้ กห. พิจารณาดําเนินการได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ มีกําหนดลงนามในร่างข้อตกลงฯ ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) คลี่คลาย สาระสําคัญของร่างข้อตกลง วัตถุประสงค์ เพื่ออํานวยความสะดวกในการจัดให้มีการสนับสนุนการส่งกําลังบํารุงตามที่ระบุในร่างข้อตกลงฯ ระหว่าง กห. ของทั้งสองประเทศ ขอบเขตของงาน จัดให้มีการสนับสนุนการส่งกําลังบํารุงในการซ้อมรบ การฝึกการวางกําลังการปฏิบัติการร่วม/ผสม และการดําเนินการในกรอบความร่วมมืออื่น ๆ รวมทั้งในสถานการณ์อื่น ๆ หรือภาวะฉุกเฉิน ด้วยการสนับสนุนยุทธภัณฑ์ทางทหารที่มิได้ใช้เพื่อการสังหาร และการบริการประเภทต่าง ๆ เช่น อาหาร ที่พัก เชื้อเพลิง การบริการติดต่อสื่อสาร การบริการทางการแพทย์ การก่อสร้าง การใช้อาคารสถานที่ การขนส่ง การใช้ยานพาหนะ เป็นต้น โดยไม่ขัดต่อกฎหมายหรือกฎระเบียบของแต่ละฝ่าย ขั้นตอนการขอรับการสนับสนุนให้จัดทําข้อตกลงในการปฏิบัติตามขั้นตอน (Procedural Arrangement) หรือใช้ใบสั่ง (Order) ตามแบบฟอร์มการสนับสนุนการส่งกําลังบํารุงระหว่างกันที่กําหนด ซึ่งผู้เข้าร่วมฝ่ายให้การสนับสนุนจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการให้การสนับสนุนผู้เข้าร่วมฝ่ายขอรับการสนับสนุนตามที่ร้องขอ ข้อตกลงฉบับนี้ จะมีผล ณ วันที่มีการลงนามครั้งสุดท้าย และยังคงมีผลไปจนกว่าจะมีการยกเลิก 24. เรื่อง ร่างกรอบความตกลงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ฉบับใหม่ คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อร่างกรอบความตกลงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ฉบับใหม่ กรณีที่มีความจําเป็นจะต้องปรับปรุงถ้อยคําหรือสาระสําคัญของหนังสือสัญญาที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติหรือเห็นชอบไปแล้ว หากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบ ให้สามารถดําเนินการได้โดยให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย และอนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในกรอบความตกลงฯ ฉบับใหม่ในนามอาเซียน โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ มีหนังสือแจ้งความเห็นชอบต่อร่างกรอบความตกลงฯ ฉบับใหม่ในนามประเทศไทยไปยังสํานักเลขาธิการอาเซียน ผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจําอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สาระสําคัญ กรอบความตกลงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับยูนิเซฟมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้รับสิทธิตามข้อบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ในประเด็นที่เกี่ยวกับเด็ก โดยมีประเด็นความร่วมมือ ดังนี้ (1) สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. 2573 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งหมด 17 ข้อ ด้วยความเสมอภาค เช่น การเข้าถึงการศึกษาระดับประถมศึกษาแบบถ้วนหน้า การลดอัตราการเสียชีวิตของเด็ก การพัฒนาสุขภาพของมารดา การยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ เป็นต้น (2) การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือทางวิชาการด้านสาธารณสุข สวัสดิการสังคม และการพัฒนา เช่น การวิเคราะห์สถานการณ์เกี่ยวกับเด็กที่มุ่งเน้นความเท่าเทียม การเข้าถึงการศึกษาระดับมัธยมศึกษาอย่างเท่าเทียม การดูแลและพัฒนาการเด็กปฐมวัยและการเฝ้าระวังทางด้านโภชนาการและน้ํา สุขาภิบาล และสุขอนามัย เป็นต้น (3) การพัฒนามาตรฐานและคู่มือแนวทางเพื่อพัฒนาคุณภาพของนโยบายทางสังคมที่เกี่ยวกับเด็กและบริการทางสังคมสําหรับกลุ่มเปราะบาง เช่น การให้ความช่วยเหลือในการจัดทําเอกสารเกี่ยวกับกรอบการดําเนินงานในระดับประเทศ (เช่น การจดทะเบียน การออกใบอนุญาต) สําหรับองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทํางานด้านเด็ก การป้องกันและขจัดความรุนแรงต่อเด็กในโรงเรียน เป็นต้น (4) การเพิ่มพูนขีดความสามารถและสนับสนุนการดําเนินงานของอาเซียนในการส่งเสริมและการปกป้องสิทธิเด็กในภูมิภาค (5) การระบุถึงสถานการณ์ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเด็กในระดับภูมิภาค เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาที่เกิดจากการขยายตัวของเมือง และการเพิ่มภูมิคุ้มกันผ่านการลดความเสี่ยง ซึ่งมีชุมชน เป็นฐานและมีเด็กเป็นศูนย์กลาง โดยมีการปรึกษาหารือกับองค์กรอาเซียนเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้อง (6) การสร้างความร่วมมือด้านการคุ้มครองทางสังคม รวมทั้งการพัฒนาระบบการสนับสนุนแบบบูรณาการภายในประเทศสําหรับเด็กและครอบครัว ซึ่งครอบครัวต่าง ๆ จะได้รับทรัพยากรและการสนับสนุนที่เอื้อต่อการเติบโตและพัฒนาการสูงสุดของเด็ก กิจกรรม ได้แก่ การปรึกษาหารือ การแลกเปลี่ยน และการเผยแพร่ข้อมูลในประเด็นต่าง ๆ ด้านเด็ก การประชุม การสัมมนา การฝึกอบรม และการประชุมเชิงปฏิบัติการที่ร่วมกันดําเนินการ หรือร่วมกันสนับสนุนการช่วยเหลือด้านวิชาการ งานวิจัยและการศึกษาร่วมกัน รวมทั้งการผลิตเอกสารสิ่งพิมพ์ร่วมกันที่รวบรวมข้อมูลบทเรียนการปฏิบัติงานที่ดี การแลกเปลี่ยนความรู้ และการส่งเสริมการระดมความคิดเห็นในเรื่องสิทธิเด็กต่างๆ การรณรงค์พิทักษ์สิทธิและการสร้างความตระหนักรู้ และ การเข้าร่วมการประชุม การประชุมวิชาการ การสัมมนา และการประชุมเชิงปฏิบัติการในประเด็นความร่วมมือที่ได้ระบุไว้ ทั้งนี้ กรอบข้อตกลงนี้จะมีผลเป็นระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกัน และอาจมีการต่ออายุระยะเวลาอีก 5 ปี โดยความยินยอมร่วมกันทั้งสองฝ่าย โดยกรอบข้อตกลงนี้อาจจะยุติเมื่อใดก็ได้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้เวลาอีกฝ่ายล่วงหน้าเป็นเวลา 6 เดือน การยุติกรอบข้อตกลงความร่วมมือจะไม่มีผลกระทบต่อโครงการต่างๆ ที่กําลังดําเนินงานอยู่ให้สําเร็จตามที่ตกลงกันไว้ทั้งสองฝ่าย 25. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme: IMSAS) คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่ กระทรวงคมนาคม (คค.) ดังนี้ ร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization: IMO) เกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (Memorandum of Cooperation between the Kingdom of Thailand and the International Maritime Organization concerning Participation in the IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขข้อความในร่างบันทึกความร่วมมือดังกล่าว ที่มิใช่สาระสําคัญและการแก้ไขนั้นเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่าสามารถดําเนินการได้ โดยประสานกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง อนุมัติให้อธิบดีกรมเจ้าท่าหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ ฝ่ายไทย และมอบหมายให้ กต. ออกหนังสือมอบอํานาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่อธิบดีกรมเจ้าท่าหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสําหรับการลงนามดังกล่าวต่อไป อนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMSAS) ตามกําหนดการของ IMO และดําเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาระหว่างประเทศของ IMO ตลอดจนร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินการตามที่คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อประสานงานกับ IMO กําหนด โดยให้กรมเจ้าท่าเป็นหน่วยประสานการปฏิบัติ (ยังไม่มีกําหนดวันลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือดังกล่าว ทั้งนี้ IMO ได้กําหนดการตรวจสอบประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564) สาระสําคัญของเรื่อง ร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (Memorandum of Cooperation between the Kingdom of Thailand and the International Maritime Organization concerning Participation in the IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกโดยสมัครใจ ที่ประเทศไทยได้เคยลงนามและได้รับการตรวจสอบจากองค์การทางทะเลระหว่างประเทศตามบันทึกความร่วมมือดังกล่าวในปี 2550 โดยปัจจุบันได้มีการปรับปรุงแก้ไขในประเด็นส่วนใหญ่ที่เคยมีปัญหาแล้ว เช่น กรมเจ้าท่าได้ออกกฎข้อบังคับสําหรับการตรวจเรือ (ฉบับที่ 45) พ.ศ. 2558 เพื่อกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการกํากับดูแลองค์กรที่ได้รับการยอมรับ และจัดทําความตกลงกับองค์กรที่ได้รับการยอมรับ 7 ราย แต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่าง ๆ เพื่อดําเนินการตามพันธกรณีอนุสัญญาระหว่างประเทศขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ จัดทําแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานสําหรับการจัดเก็บข้อมูล และการตรวจเรือ ทั้งนี้ การลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะเป็นการให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือแก่คณะผู้ตรวจสอบในการเข้ามาตรวจประเมินประสิทธิภาพการดําเนินงานของประเทศไทยในการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาและพิธีสารที่สําคัญขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ โดยผลการตรวจสอบมิได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการลงโทษ แต่จะใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเลขาธิการองค์การทางทะเลระหว่างประเทศได้กําหนดการตรวจสอบประเทศไทยภายใต้โครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMSAS) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งช่วยสนับสนุนการพัฒนากิจการพาณิชย์นาวีของไทยและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประเทศไทยได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลกตามนโยบายของรัฐบาล 26. เรื่อง การขอขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Center) ของทางการเมียนมา คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงาน เมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Center) ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ออกไปอีก 1 ปี โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการ ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กระทรวงแรงงาน (รง.) (กรมการจัดหางาน) จังหวัดสมุทรสาคร โดยกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด และสํานักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรสาครเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับทางการเมียนมาให้ดําเนินการตามมติที่ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเรื่องรัฐบาลเมียนมาขอขยายเวลาการดําเนินการของศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวที่จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร เป็นหน่วยงานที่พิจารณากําหนด วัน เวลา ในการเริ่มเปิดดําเนินการ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการปฏิบัติงานของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯ ให้สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สาระสําคัญของเรื่อง กระทรวงแรงงาน (รง.) ได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Center) ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งสิ้นสุดการดําเนินการเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2563 ออกไปอีก 1 ปี และขอให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) รง. (กรมการจัดการงาน) และจังหวัดสมุทรสาคร (กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดและสํานักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรสาคร) เป็นหน่วยงานหลักในการประสานกับทางการเมียนมาให้ดําเนินการตามผลประชุมร่วมระหว่างสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาครพิจารณากําหนด วัน เวลา ในการเปิดดําเนินการ รวมทั้งแนวทางการปฏิบัติงานของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯ ให้สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยการดําเนินการของศูนย์ดังกล่าวยังคงเป็นไปตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2562 การดําเนินการของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บข้อมูลของแรงงานเมียนมาที่ประสงค์ขอมีหนังสือเดินทาง กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มแรงงานเมียนมา ระยะเวลาการดําเนินงาน ดําเนินการชั่วคราวของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯ เป็นระยะเวลา 1 ปี เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่จากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จํานวน 13 คน (ไม่มีการขอเอกสิทธิ์คุ้มครองการทางการทูต) สถานที่ตั้ง ตลาดทะเลไทย ตําบลท่าจีน อําเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ (ยกเว้นเมื่อไปรับหนังสือเดินทาง ต้องเสียค่าใช้จ่ายจํานวน 1,050 บาท) สถานที่สําหรับรับหนังสือเดินทาง 1. สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาแห่งประเทศไทย 2. ศูนย์ออกหนังสือเดินทางบริเวณชายแดน 3 แห่ง ได้แก่ ฝั่งท่าขี้เหล็ก ฝั่งเมียวดี และฝั่งเกาะสอง 27. เรื่อง ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนวาระพิเศษผ่านระบบการประชุมทางไกล (Special Meeting of ASEAN Tourism Ministers on COVID-19) (กก.) คณะรัฐมนตรีรับทราบผลประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนวาระพิเศษผ่านระบบการประชุมทางไกล (Special Meeting of ASEAN Tourism Ministers on COVID-19) ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) ได้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563 มีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ สาระสําคัญ 1. การดําเนินมาตรการของประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศเพื่อลดผลกระทบของ COVID-19 และช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สรุปได้ ดังนี้ (1) การให้การสนับสนุนทางการเงิน สนับสนุนทางการเงินให้แก่กลุ่มลูกจ้างและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง และวิสาหกิจขนาดย่อม (Micro, Small and Medium-sized Enterprises: MSME) เช่น การลดภาษีธุรกิจ การผ่อนผันการชําระเงินสมทบของลูกจ้างเข้ากองทุนบําเหน็จบํานาญ การกําหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการสนับสนุนเงินทุนและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (2) การยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล แก้ไขปัญหาและสร้างความมั่นใจแก่ภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์ COVID-19 และการพัฒนาชุดตรวจ COVID-19 ที่ทราบ ผลรวดเร็วและแม่นยํา (3) การเสริมสร้างขีดความสามารถและทักษะของบุคลากรด้านการท่องเที่ยว สนับสนุนการพัฒนาทักษะของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวให้ทันต่อสถานการณ์และพร้อมที่จะกลับเข้าสู่ตลาดภายหลังวิกฤตการณ์ COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (4) การประสานงานระหว่างหน่วยงาน กระทรวงการท่องเที่ยวของประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ COVID-19 ตามคําแนะนําขององค์การอนามัยโลกและองค์การการท่องเที่ยวโลก โดยประเทศอาเซียนส่วนใหญ่ได้จัดตั้งหน่วยงานพิเศษหรือคณะกรรมการขึ้นเพื่อรับมือ COVID-19 โดยเฉพาะ (5) การจัดกิจกรรมผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมในการสนับสนุนรัฐบาลในการควบคุมการแพร่กระจายของ COVID-19 (6) การเตรียมแผนการฟื้นฟู อยู่ระหว่างจัดเตรียมแผนการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว โดยหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการตอบสนองเชิงนโยบายจะมีความเหมาะสม และคาดการณ์ว่าจะมีการดําเนินแผนการฟื้นฟูทั้งระยะสั้น (6 เดือนถึง 1 ปี) และระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ประเทศไทยมีมาตรการในการบรรเทา เยียวยา และฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก COVID-19 โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ โดยในระยะแรกประกอบด้วย มาตรการด้านการเงินการคลัง และมาตรการด้านการให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ส่วนมาตรการระยะที่สองประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ มาตรการเสริมสร้างและการรักษาขีดความสามารถด้านการท่องเที่ยว มาตรการสร้างรายได้แก่สถานประกอบการท่องเที่ยว การพัฒนาทักษะบุคลากรด้านการท่องเที่ยว การสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและด้านสุขอนามัย การช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยว และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ 2. ถ้อยแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนวาระพิเศษ ซึ่งรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนได้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ดังกล่าว โดยมีสาระสําคัญคือ การแสดงความห่วงใยและยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันในการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ตลอดจนเตรียมความพร้อมสําหรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์คลี่คลายลง ทั้งนี้ เอกสารถ้อยแถลงการณ์ดังกล่าวมีสาระสําคัญที่ไม่แตกต่างจากร่างเอกสารที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 28. เรื่อง ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมระดับสูงผ่านระบบการประชุมทางไกลว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง: การต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คณะรัฐมนตรีเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมระดับสูงผ่านระบบการประชุมทางไกลว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง: การต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมประชุมดังกล่าว และร่วมให้การรับรองร่างถ้อยแถลงฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ สาระสําคัญร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศตามแนวเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมที่จะร่วมมือกันในการรับมือกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ 1. ตระหนักถึงผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาคมโลก บนพื้นฐานของความเป็นเอกภาพ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและการสนับสนุนซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งสนับสนุนบทบาทและการดําเนินการของสหประชาชาติและองค์การอนามัยโลกในการควบคุมและจํากัดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) 2. แสดงความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือ ดังนี้ (1) การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ การให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ได้รับผลกระทบ การส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีน เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ การให้การสนับสนุนด้านสุขภาพและการบริการที่จําเป็นแก่ประชาชนของประเทศตามแนวเส้นทางเศรษฐกิจสายไหม รวมทั้งผู้ที่ทํางานภายใต้โครงการสายแถบและเส้นทาง ตลอดจนการสนับสนุนกลไกระดับทวิภาคี ภูมิภาค และระหว่างประเทศ ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ (2) การกระชับความร่วมมือในการพัฒนาความเชื่อมโยง โดยการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่มีคุณภาพสูงและยั่งยืน บนพื้นฐานของการเปิดกว้าง ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การสนับสนุนการเปิดเส้นทางคมนาคมเพื่อส่งเสริมการค้าข้ามพรมแดนและการขนส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จําเป็น รวมถึงการสนับสนุนการจัดตั้งช่องทางพิเศษเพื่ออํานวยความสะดวกด้านการค้าและการเดินทางของนักธุรกิจ (3) การส่งเสริมการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ โดยการสนับสนุนการเปิดตลาด ระบบการค้าพหุภาคี การรักษาห่วงโซ่การผลิตโลกเพื่ออํานวยความสะดวกด้านการค้า การลงทุน การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และการบริการทางอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ รวมทั้งความเชื่อมโยงด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (4) การส่งเสริมความร่วมมือที่ปฏิบัติได้จริง โดยการส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง การสานต่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ เขตเศรษฐกิจ และการดําเนินโครงการต่าง ๆ ที่มีความยั่งยืน ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม การเงินและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการดําเนินการตามหลักการและฉันทามติของการประชุมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 2 29. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสําหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 (Joint Ministerial Statement of the Twenty Third ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council) คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสําหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดผลประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดําเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าผู้แทนไทยในการประชุมคณะรัฐมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมสําหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอ สาระสําคัญ ร่างถ้อยแถลงร่วมสําหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 มีสาระสําคัญ ดังนี้ 1) สนับสนุน การเป็นประธานอาเซียนของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามภายใต้แนวคิดหลัก “แน่นแฟ้นและตอบสนอง” และแผนงานสําคัญสําหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนของเวียดนามซึ่งรวมถึง ก) ความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ความแน่นแฟ้น และการแสวงหาผลประโยชน์จากโอกาส ข) การส่งเสริมอัตลักษณ์อาเซียนและความตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน ค) การยกระดับความเป็นหุ้นส่วนกับประชาคมโลกในด้านสันติภาพ ความมั่นคง และการพัฒนาอย่างยั่งยืนของอาเซียน และ ง) การเพิ่มพูนขีดความสามารถและประสิทธิภาพทางสถาบันของอาเซียน 2) รับรอง “ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สําหรับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปของงาน” ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 36 3) ต้อนรับปี 2563 ในฐานะปีแห่งอัตลักษณ์อาเซียน ซึ่งจะส่งเสริมความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียนในหมู่ประชาชน และผสานความพยายามร่วมกันในการสร้างประชาคมอาเซียนที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน 4) สนับสนุนข้อเสนอการมีส่วนร่วมของคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนในการพบปะหารือระหว่างเยาวชนและผู้นําอาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 36 และการประชุมสมัยพิเศษว่าด้วยความเสมอภาคระหว่างเพศและการเสริมพลังสตรี 5) รับทราบความก้าวหน้าในการอนุวัติการแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน และส่งเสริมการประเมินผลครึ่งแผนของแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน พ.ศ. 2568 ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมสําหรับการประชุมคณะมนตรีประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 ในวันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2563 นี้ 30. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) คณะรัฐมนตรีเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดําเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองและออกถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (โควิด-19) ตามที่ กต. เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง ร่างถ้อยแถลงของของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เป็นเอกสารแสดงเจตนารมย์ของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย เพื่อร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในด้านการป้องกัน เฝ้าระวัง และรักษา ซึ่งรวมถึงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัส เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน การดูแลและอํานวยความสะดวกในการเดินทางกลับของคนชาติประเทศสมาชิกอาเซียนและรัสเซียที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งแสดงความมุ่งมั่นในการรับมือกับผลกระทบในด้านต่าง ๆ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจตลอดจนยินดีต่อการจัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 และการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนการเงินความเป็นหุ้นส่วนคู่เจรจา อาเซียน-รัสเซีย (ASEAN-Russia Dialogue Partnership Financial Fund) เพื่อดําเนินโครงการที่เกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขร่วมกัน ทั้งนี้ การประชุมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มีกําหนดจะจัดขึ้นในวันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563 แต่งตั้ง 31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายสุพรชัย กาญจนวาสี นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จํานวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้ 1. นางสาวกรรณิกา ชูเกียรติมั่น ทันตแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านทันตกรรม) สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ดํารงตําแหน่ง ทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตกรรม) สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2562 2. นางสาวประไพ วงศ์สินคงมั่น ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาตรฐานและคุณภาพของสมุนไพร (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ) สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดํารงตําแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (เคมี) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 3. นางสิริภากร แสงกิจพร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพันธุกรรมทางคลินิก (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ) กลุ่มพันธุกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดํารงตําแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ชีววิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นายวรวุฒิ พงษ์ประภาพันธ์ กงสุลใหญ่ (นักบริหารการทูต ระดับต้น) สถานกงสุลใหญ่ ณ แขวงสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่ง เอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน สํานักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตประจําต่างประเทศดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ 34.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนคร คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายเทวัญ ลิปตพัลลภ) ในฐานะกํากับดูแลสํานักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เสนอแต่งตั้ง พลตํารวจโท ประหยัชว์ บุญศรีเป็นกรรมการภาคเอกชนในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนคร แทนตําแหน่งที่ว่างลง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป .............. (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 16 มิถุนายน 2563 วันอังคารที่ 16 มิถุนายน 2563 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 16 มิถุนายน 2563 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (16 มิถุนายน 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุย วิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [กําหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562] 3. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดแบบ บัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน รวม 6 ฉบับ 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการออกหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือ พ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานข้อบังคับสําหรับการป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. .... 8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการแจ้งและการออกหนังสือรับรองการแจ้งผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ 9. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 พ.ศ. .... 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน พ.ศ. .... เศรษฐกิจ - สังคม 11. เรื่อง การปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไข “โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง)” สําหรับลูกค้ารายย่อย (Post Finance) 12. เรื่อง ขออนุมัติค่าปรับปรุงอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อนให้เป็นหอประวัติราชบัณฑิตยสภา ค่าก่อสร้างอาคารศูนย์ประชุมราชบัณฑิตยสภา และขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ 13. เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 14. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 15. เรื่อง ผลการดําเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 16. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทยเดือนเมษายน 2563 17. เรื่อง เพลงสําคัญของแผ่นดิน 18. เรื่อง รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 19. เรื่อง กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 20. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 5/2563 และครั้งที่ 6/2563 21. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 5 22. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ ต่างประเทศ 23. เรื่อง ร่างข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งออสเตรเลีย ประกอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนด้านการส่งกําลังบํารุงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลีย 24. เรื่อง ร่างกรอบความตกลงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ฉบับใหม่ 25. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme: IMSAS) 26. เรื่อง การขอขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Center) ของทางการเมียนมา 27. เรื่อง ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนวาระพิเศษผ่านระบบการประชุมทางไกล (Special Meeting of ASEAN Tourism Ministers on COVID-19) (กก.) 28. เรื่อง ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมระดับสูงผ่านระบบการประชุมทางไกลว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง: การต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 29. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสําหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 (Joint Ministerial Statement of the Twenty Third ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council) 30. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน- รัสเซีย สมัยพิเศษว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) แต่งตั้ง 31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) 34. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนคร ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะเข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา 1. กําหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสําหรับสาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ และสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ 2. กําหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ 3. กําหนดลักษณะของเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ 4. กําหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยประจําตําแหน่ง และสีประจําคณะของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ เรื่องเดิมและข้อเท็จจริง ได้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะเข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของสถาบันการพลศึกษา พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งออกโดยอาศัยอํานาจตามความแห่งพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ซึ่งมาตรา 68 วรรคสอง บัญญัติให้การกําหนดให้สาขาวิชาใดมีปริญญาชั้นใด และจะใช้อักษรย่อสําหรับปริญญานั้นอย่างไร ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา มาตรา 72 วรรคสอง บัญญัติให้การกําหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่ง ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ประกอบมาตรา 95 บัญญัติให้ในระหว่างที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นําพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา พ.ศ. 2548 ที่ใช้อยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มาใช้บังคับโดยอนุโลมเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว กก.โดยมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ จึงได้ยกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่ง ของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... ขึ้นใหม่ เพื่อกําหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสําหรับสาขาวิชา รวมทั้งกําหนดลักษณะ ชนิด ประเภท และส่วนประกอบของครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ ครุยประจําตําแหน่ง และกําหนดสีประจําคณะของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ประชุมพิจารณาแล้วได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่ง ของมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [กําหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562] คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สํานักงาน กสทช.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง กําหนดให้สํานักงาน กสทช. เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการทางปกครองแทนได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ทั้งนี้ สํานักงาน กสทช. เสนอว่า 1. พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาตรา 63/15 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ในกรณีที่มีการบังคับให้ชําระเงินและคําสั่งทางปกครองที่กําหนดให้ชําระเงินเป็นที่สุดแล้ว หากหน่วยงานของรัฐที่ออกคําสั่งให้ชําระเงินประสงค์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดีดําเนินการบังคับให้เป็นไปตามคําสั่งทางปกครองดังกล่าว ให้ยื่นคําขอต่อศาลเพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคําสั่งทางปกครองนั้น โดยระบุจํานวนเงินที่ผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองยังมิได้ชําระตามคําสั่งทางปกครอง ทั้งนี้ ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้บังคับทางปกครองหรือได้ดําเนินการบังคับทางปกครองแล้ว แต่ยังไม่ได้รับชําระเงิน หรือได้รับชําระเงินไม่ครบถ้วน และมาตรา 63/15 วรรคหก บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐตามมาตรานี้ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กําหนดในกฎกระทรวง 2. โดยที่สํานักงาน กสทช. มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน แต่มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 สํานักงาน กสทช. จึงมิได้มีฐานะเป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กําหนดในกฎกระทรวง ตามนัยบทบัญญัติมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ประกอบกับพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกํากับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 บัญญัติให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ มีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการ รวมถึงค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และในกรณีที่ต้องกํากับดูแลและบังคับให้เป็นไปตามกฎหมาย มีอํานาจในการปรับทางปกครอง โดยจะมีคําสั่งทางปกครองกําหนดให้ชําระเงิน แต่เมื่อถึงกําหนดเวลาชําระเงินแล้วไม่มีการชําระเงินโดยถูกต้องครบถ้วน จึงมีความจําเป็นต้องใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยการยึดหรืออายัดทรัพย์สิน และขายทอดตลาดเพื่อชําระเงินให้ครบถ้วน แต่เนื่องจากสํานักงาน กสทช. ไม่มีบุคลากรที่มีประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญในด้านการบังคับทางปกครอง ส่งผลให้ไม่สามารถบังคับตามคําสั่งของศาลปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ดังนั้น เพื่อให้การดําเนินการบังคับตามคําสั่งทางปกครองที่กําหนดให้ชําระเงินของสํานักงาน กสทช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมการกํากับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม จําเป็นต้องออกกฎกระทรวงเพื่อกําหนดให้สํานักงาน กสทช. เป็นหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ 3. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ สลน. เสนอว่า 1. โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในประเด็นเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยบุคคลผู้ที่จะเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีต้อง “ไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” และ “ไม่เป็นผู้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ทั้งนี้ ตามนัยมาตรา 98 และมาตรา 101 ประกอบกับมาตรา 184 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยร่างระเบียบในเรื่องนี้ได้จัดทําร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 2. นายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นชอบให้นําเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป จึงได้เสนอร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างระเบียบ กําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และไม่เป็นผู้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 4. เรื่อง ร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดแบบบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดแบบบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. .... ของสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดําเนินการต่อไปได้ ร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กําหนดแบบบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ เป็นการปรับปรุงจากร่างประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว (มติคณะรัฐมนตรี 29 ตุลาคม 2562) เพื่อให้เป็นประกาศกลางในการกําหนดแบบบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา พ.ศ. 2561 ที่ออกร่วมกันโดยรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ําฯ ซึ่งจะทําให้บัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมีรูปแบบเดียวกัน และสร้างความชัดเจนในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ สาระสําคัญของร่างประกาศ 1. กําหนดให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ออกบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่สําหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งดํารงตําแหน่งหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับกรมขึ้นไปและผู้ว่าราชการจังหวัด 2. กําหนดให้เลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติเป็นผู้ออกบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่สําหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งดํารงตําแหน่งนอกเหนือจากข้อ 1. 3. กําหนดให้บัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ใช้ได้ตามระยะเวลาที่กําหนดไว้แต่ต้องไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันออกบัตร เว้นแต่กรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องพ้นจากตําแหน่งก่อนวันบัตรหมดอายุ ให้ถือว่าบัตรนั้นหมดอายุก่อนวันหมดอายุที่กําหนดในบัตรนั้น และให้คืนบัตรดังกล่าวแก่ผู้มีอํานาจออกบัตร 4. กําหนดให้เลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติประกาศกําหนดวิธีการในการยื่นคําขอมีบัตรประจําตัวพนักงานเจ้าหน้าที่ตามที่เห็นสมควร 5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน รวม 6 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน รวม 6 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลเมืองเก่า อําเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร พ.ศ. .... 2. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลเขื่อน ตําบลยางน้อย และตําบลยางท่าแจ้ง อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. .... 3. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลชัยนาท อําเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท พ.ศ. .... 4. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลโพธิ์ อําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. .... 5. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลเมืองเพีย อําเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. .... 6. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลเชียงเครือ อําเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 6 ฉบับที่ กษ. เสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการ (มติคณะรัฐมนตรี 9 พฤษภาคม 2560, 30 พฤษภาคม 2560, 18 กรกฎาคม 2560, 22 สิงหาคม 2560 และ3 มกราคม 2561) และสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกําหนดเขตสํารวจการจัดรูปที่ดิน ในท้องที่ตําบลเมืองเก่า อําเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร ในท้องที่ตําบลเขื่อน ตําบลยางน้อย และตําบลยาง ท่าแจ้ง อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ในท้องที่ตําบลชัยนาท อําเภอเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท ในท้องที่ตําบลโพธิ์ อําเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ ในท้องที่ตําบลเมืองเพีย อําเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี และในท้องที่ตําบลเชียงเครือ อําเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าไปทําการสํารวจพื้นที่ที่จะจัดทําเป็นโครงการจัดรูปที่ดิน อันจะเป็นการส่งเสริมเกษตรกรรมของประเทศให้เจริญก้าวหน้า ส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางได้เห็นชอบด้วยแล้ว 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการออกหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการออกหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือ พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดให้หนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือ ได้แก่ หนังสือคนประจําเรือและหนังสือคนประจําเรือประมง โดยหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือต้องมีรายการหนังสือแสดงตนคนประจําเรือ (Seafarers’ identity document) เพื่อแสดงรายการข้อมูลบุคคลที่ระบุตัวตนของผู้ถือหนังสือคนประจําเรือ ในกรณีที่ออกให้แก่ผู้มีสัญชาติไทย ให้แสดงเลขประจําตัวคนประจําเรือไทยด้วย แต่หนังสือคนประจําเรือและหนังสือคนประจําเรือประมงจะใช้แทนกันไม่ได้ 2. กําหนดให้ผู้ซึ่งจะขอรับหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ 2.1 กรณีหนังสือคนประจําเรือ ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย หรือเป็นคนต่างด้าว อายุไม่ต่ํากว่าสิบหกปี เป็นผู้ได้รับการรับรองจากแพทย์ว่ามีสุขภาพแข็งแรงพร้อมที่จะทํางานในเรือได้ และมีคุณสมบัติอื่นตามที่อธิบดีกรมเจ้าท่าประกาศกําหนด 2.2 กรณีหนังสือคนประจําเรือประมง ต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทยอายุไม่ต่ํากว่าสิบแปดปี เป็นผู้ได้รับการรับรองจากแพทย์ว่ามีสุขภาพแข็งแรงพร้อมที่จะทํางานในเรือประมงได้ และมีคุณสมบัติอื่นตามที่อธิบดีกรมเจ้าท่าประกาศกําหนด 3. กําหนดให้ผู้ซึ่งจะขอรับหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือยื่นคําขอต่อเจ้าท่า ตามแบบคําขอที่อธิบดีกรมเจ้าท่าประกาศกําหนด ณ กองมาตรฐานคนประจําเรือ กรมเจ้าท่า หรือสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา พร้อมด้วยเอกสารหลักฐาน เช่น บัตรประจําตัวประชาชน หรือกรณีคนต่างด้าวให้ใช้หนังสือเดินทางพร้อมด้วยสําเนาหลักฐานแสดงการเข้าเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย รูปถ่าย ใบรับรองแพทย์ หนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือเล่มเดิม (ถ้ามี) และกรณีคนต่างด้าวให้ยื่นหนังสือรับรองการจ้างให้ทําการในเรือไทยจากเจ้าของเรือ 4. กําหนดให้หนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือมีอายุไม่เกินห้าปี 5. กําหนดให้เจ้าท่าอาจเพิกถอนหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือและเรียกคืนหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือเมื่อปรากฏเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น ผู้ถือหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามข้อ 2. และหนังสือสําคัญประจําตัวคนประจําเรือถูกใช้โดยบุคคลอื่น เป็นต้น 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานข้อบังคับสําหรับการป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานข้อบังคับสําหรับการป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ คค. เสนอว่า 1. ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยกฎข้อบังคับระหว่างประเทศสําหรับป้องกันเรือโดนกันระหว่างประเทศ ค.ศ. 1972 (The International Regulation for Preventing Collisions at Sea 1972; COLERG 1972) ซึ่งได้มีการตราพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 และออกกฎกระทรวง (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 เพื่อรองรับพันธกรณีและข้อกําหนดของอนุสัญญาดังกล่าวซึ่งพระราชบัญญัติและกฎกระทรวงดังกล่าวได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว แต่อนุสัญญา COLERG 1972 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหลายครั้งในปี 2530 ปี 2532 ปี 2536 ปี 2544 และปี 2550 ในขณะที่ประเทศไทยได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงเพียงครั้งเดียวในปี 2533 โดยออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2533) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 2. คค. พิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การกําหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานข้อบังคับสําหรับการป้องกันเรือโดนกันของประเทศไทยสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน สมควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงเพื่อรองรับการตรวจประเมินขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization; IMO) ตามโครงการตรวจประเมินประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO Member State Audit Scheme; IMSAS) ที่จะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานข้อบังคับสําหรับการป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างกฎหมาย แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง (พ.ศ. 2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีของอนุสัญญาว่าด้วยกฎข้อบังคับระหว่างประเทศสําหรับป้องกันเรือโดนกันระหว่างประเทศ ค.ศ. 1972 ซึ่งได้มีการแก้ไขปรับปรุงในปี พ.ศ. 2530 พ.ศ. 2532 พ.ศ. 2536 พ.ศ. 2544 และ พ.ศ. 2550 ตามลําดับ ในเรื่องดังต่อไปนี้ 1. กําหนดให้เรือที่ไม่สามารถปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎกระทรวงนี้ได้ครบถ้วน จะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติอื่นซึ่งรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามีผลบังคับต่อเรือนั้นได้ใกล้เคียงกับกฎกระทรวงนี้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ ในส่วนที่เกี่ยวกับจํานวนที่ติดตั้ง ระยะหรือขอบทัศนวิสัยของแสงไฟ หรือทุ่นเครื่องหมาย รวมทั้งการเปลี่ยนที่ติดตั้งและคุณสมบัติของเครื่องทําสัญญาณเสียง 2. แก้ไขเพิ่มเติมนิยาม ดังนี้ 2.1 คําว่า “เรือ” ให้หมายความถึง ยานบินเบาะอากาศ 2.2 คําว่า “เรือที่บังคับยากเพราะอัตรากินน้ําลึกของเรือ” ให้หมายความรวมถึง เรือกลที่ความสัมพันธ์ระหว่างอัตรากินน้ําลึกของเรือกับความลึกของน้ําและความกว้างของร่องน้ําที่เรือนั้นกําลังเดินอยู่ 2.3 เพิ่มเติมนิยามคําว่า “ยานบินเบาะอากาศ” หมายความว่า ยานพาหนะต่อเนื่องหลายรูปแบบ ซึ่งในโหมดปฏิบัติการหลักจะบินเข้าใกล้กับพื้นผิวโดยอาศัยการกระทําจากอิทธิพลของพื้นผิว 3. เพิ่มเติมการกําหนดเกี่ยวกับการปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนกันโดยให้เรือจะต้องกระทําแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่กีดขวางทางเดินหรือทางเดินอันปลอดภัยของเรือลําอื่น เพื่อให้ทะเลกว้างพอสําหรับทางเดินอันปลอดภัยของเรือลําอื่น และมีความรับผิดชอบที่จะต้องกระทําเช่นนั้นอยู่ตลอด 4. เพิ่มเติมการกําหนดเกี่ยวกับแผนแบ่งแนวจราจร โดยให้เรืออาจใช้เขตจราจรชายฝั่งทะเลเมื่ออยู่ระหว่างเส้นทางไปหรือมาจากท่าเรือ สิ่งติดตั้งหรือโครงสร้างนอกฝั่งสถานีนําร่อง หรือสถานที่อื่นใดที่อยู่ภายในเขตจราจรชายฝั่งทะเล หรือเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นโดยกะทันหัน 5. เพิ่มเติมการกําหนดเกี่ยวกับความรับผิดชอบระหว่างเรือต่อเรือโดยกําหนดให้ยานบินเบาะอากาศ ขณะบินขึ้น ลงจอด และบินใกล้ผิวน้ํา ต้องหลีกทางให้พ้นเรืออื่น และต้องหลีกเลี่ยงการกีดขวางการเดินเรือ ส่วนยานบินเบาะอากาศที่ปฏิบัติงานบนผิวน้ําต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติเช่นเดียวกับเรือกล 6. เพิ่มเติมการกําหนดเกี่ยวกับเรือกลกําลังเดิน โดยให้ยานบินเบาะอากาศต้องเปิดโคมไฟวับมองเห็นได้รอบทิศสีแดงที่มีความเข้มสูง เฉพาะเวลาขณะบินขึ้น ลงจอด และบินใกล้ผิวน้ํา 7. แก้ไขถ้อยคําและข้อบังคับต่างๆ ในรายละเอียด ให้สอดคล้องกับการแก้ไขอนุสัญญาว่าด้วยกฎข้อบังคับระหว่างประเทศสําหรับป้องกันเรือโดนกันระหว่างประเทศ ค.ศ. 1972 8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการแจ้งและการออกหนังสือรับรองการแจ้งผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการแจ้งและการออกหนังสือรับรองการแจ้งผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอและให้ดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกํากับดูแล เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558 เกี่ยวกับการผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 เช่น กลุ่มแบคทีเรีย Abiotrophia balaena กลุ่มไวรัส Coronavirus กลุ่มที่ 3 เช่น ไวรัส Middle East respiratory syndrome (MERS) coronavirus หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 เช่น คางคกบ้าน กิ้งก่าลูกปัด กิ้งกือ กลุ่มที่ 2 เช่น งูเห่า งูทับสมิงคลา งูสามเหลี่ยม ซึ่งเป็นการดําเนินการตามข้อกฎหมายพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. 2558 สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ร่างกฎกระทรวง สาระสําคัญ 1. ร่างกฎกระทรวงการแจ้งและการออกหนังสือรับรองการแจ้งผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 พ.ศ. .... กําหนดให้ “หนังสือรับรองการแจ้ง” หมายความว่า หนังสือรับรองการแจ้งผลิตนําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 กําหนดให้การยื่นคําขอ การออกใบรับแจ้ง และการออกหนังสือรับรองการแจ้ง ให้ดําเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก ในระหว่างที่ยังไม่สามารถดําเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ให้ยื่นคําขอทางไปรษณีย์หรือให้ยื่นคําขอ ณ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สธ. หรือสถานที่อื่นตามที่อธิบดีกําหนดในราชกิจจานุเบกษา - กําหนดให้ใบรับแจ้ง หนังสือรับรองการแจ้ง หนังสือแจ้งกรณีเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์มีระดับความรุนแรงสูงขึ้น หนังสือแจ้งเลิกดําเนินการและคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้เป็นไปตามแบบที่อธิบดีกําหนด - กําหนดหลักเกณฑ์การยื่นคําขอรับหนังสือรับรองการแจ้งผลิต นําเข้า ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 ให้ยื่นคําขอต่ออธิบดี พร้อมด้วยข้อมูล เอกสาร หรือหลักฐานตามที่กําหนด กําหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบการยื่นขอรับหนังสือรับรองดังกล่าว และกําหนดให้หนังสือรับรองการแจ้งให้มีอายุ 1 ปีนับแต่วันที่ออกหนังสือรับรองการแจ้ง - กําหนดให้ในกรณีที่การดําเนินการผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองในเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 ปรากฏว่าเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ดังกล่าวมีระดับความรุนแรงสูงขึ้นกว่าระดับที่ระบุไว้ในหนังสือรับรองการแจ้ง ให้ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งต้องหยุดดําเนินการ และแจ้งให้อธิบดีทราบภายใน 3 วัน พร้อมด้วยข้อมูลเอกสาร หรือหลักฐานอื่นที่แสดงให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ และวิธีการเพื่อความปลอดภัย และการป้องกันอันตรายต่อบุคคล เป็นต้น - กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอต่ออายุหนังสือรับรองการแจ้ง ให้ยื่นคําขอต่ออธิบดีภายใน 90 วัน ก่อนหนังสือรับรองการแจ้งสิ้นอายุ - กําหนดให้ผู้ประสงค์จะเลิกผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 2 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 1 ให้แจ้งเป็นหนังสือต่ออธิบดีล่วงหน้าก่อนวันที่ประสงค์จะเลิกดําเนินการดังกล่าว และให้ถือว่าหนังสือรับรองการแจ้งสิ้นอายุนับแต่วันที่ประสงค์จะเลิกดําเนินการนั้น ในกรณีได้แจ้งเลิกการดําเนินการเกี่ยวกับเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์แล้ว ให้ผู้รับหนังสือรับรองการแจ้งทําลายหรือส่งมอบเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ที่เหลืออยู่ และให้แจ้งผลการดําเนินการให้อธิบดีทราบโดยเร็ว และนําหนังสือรับรองการแจ้งส่งคืนต่ออธิบดีเพื่อประทับตรายกเลิกต่อไป 2. ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 พ.ศ. .... - กําหนดบทนิยาม “ใบอนุญาต” หมายความว่าใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 - กําหนดให้การยื่นคําขอและการอนุญาต ให้ดําเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในระหว่างที่ยังไม่สามารถดําเนินการได้ให้ยื่นคําขอโดยวิธีการทางไปรษณีย์หรือให้ยื่นคําขอ ณ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สธ. หรือสถานที่อื่นตามที่อธิบดีกําหนดในราชกิจจานุเบกษา - กําหนดให้ใบรับคําขอรับใบอนุญาต ใบอนุญาต หนังสือแจ้งกรณีเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์มีระดับความรุนแรงสูงขึ้น หนังสือแจ้งเลิกดําเนินการและคําขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้เป็นไปตามที่อธิบดีกําหนด - กําหนดหลักเกณฑ์การยื่นคําขอรับใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 ให้ยื่นคําขอต่ออธิบดี พร้อมด้วยข้อมูลเอกสาร หรือหลักฐานตามที่กําหนด กําหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบคําขอรับใบอนุญาตดังกล่าวและกําหนดให้ใบอนุญาตให้มีอายุ 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ออกใบอนุญาต - กําหนดให้ในกรณีที่ปรากฏในระหว่างการผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 ว่าเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ดังกล่าวมีระดับความรุนแรงสูงขึ้นกว่าระดับที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ให้ผู้รับใบอนุญาตปฏิบัติต้องหยุดการดําเนินการและแจ้งให้อธิบดีทราบภายใน 3 วัน พร้อมด้วยข้อมูล เอกสาร หรือหลักฐานอื่นที่แสดงให้เห็นถึงระดับความรุนแรงของเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์และวิธีการเพื่อความปลอดภัย และการป้องกันอันตรายต่อบุคคล เป็นต้น - กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการขอต่อใบอนุญาต ให้ยื่นคําขอต่ออธิบดีภายใน 90 วัน ก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุ - กําหนดให้ผู้ประสงค์จะเลิกผลิต นําเข้า ส่งออก ขาย นําผ่าน หรือมีไว้ในครอบครองเชื้อโรค กลุ่มที่ 3 หรือพิษจากสัตว์ กลุ่มที่ 2 ให้แจ้งเป็นหนังสือต่ออธิบดีล่วงหน้าก่อนวันที่ประสงค์จะเลิกดําเนินการดังกล่าวและให้ถือว่าใบอนุญาตนั้นสิ้นอายุนับแต่วันที่ประสงค์จะเลิกดําเนินการนั้น ในกรณีที่ได้แจ้งเลิกการดําเนินการเกี่ยวกับเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์แล้ว ให้ผู้รับใบอนุญาตทําลายหรือส่งมอบเชื้อโรคหรือพิษจากสัตว์ที่เหลืออยู่และให้แจ้งผลการดําเนินการดังกล่าวให้อธิบดีทราบโดยเร็ว และนําใบอนุญาตส่งคืนต่ออธิบดีเพื่อประทับตรายกเลิกต่อไป 9. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ พณ. เสนอว่า 1. กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน (พน.) ขอให้ พณ. ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 ลงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2539 โดยมีเหตุผลว่า 1.1 ประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวได้กําหนดนิยามคําว่า “ผู้ค้าน้ํามัน” หมายถึง ผู้ค้าน้ํามันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ยกเลิกแล้ว ประกอบกับปัจจุบันพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่ใช้บังคับอยู่ไม่มีบทนิยามคําดังกล่าว 1.2 พระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 และประกาศกรมธุรกิจพลังงานที่ออกตามความในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว มีบทบัญญัติครอบคลุมถึงการควบคุมและการตรวจสอบคุณภาพน้ํามันเชื้อเพลิงทุกชนิดที่จําหน่ายหรือมีไว้เพื่อจําหน่ายในประเทศเป็นกฎหมายที่เพียงพอแล้ว จึงไม่มีความจําเป็นต้องกําหนดให้มีการตรวจสอบคุณภาพของน้ํามันเชื้อเพลิงที่นําเข้ามา ณ เมืองท่าส่งออก และ ณ คลังนําเข้าน้ํามันเชื้อเพลิง ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวอีก 1.3 ประกอบกับการพิจารณาอนุญาตให้นําเข้าน้ํามันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศในการป้องกันและแก้ไขการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิงภายในประเทศ โดยไม่ได้คํานึงถึงการตรวจสอบคุณภาพของน้ํามันเชื้อเพลิงที่นําเข้าจากต่างประเทศตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวแต่อย่างใด 2. โดยที่ปัจจุบันกรมธุรกิจพลังงาน พน. มีอํานาจหน้าที่ในการกํากับดูแลการค้าน้ํามันเชื้อเพลิงโดยได้รับโอนภารกิจและอํานาจหน้าที่ในส่วนของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เฉพาะที่เกี่ยวกับสํานักน้ํามันเชื้อเพลิง ตามความในมาตรา 86 แห่งพราะราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอํานาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 พ.ศ. 2545 และตั้งแต่ปี 2548 ถึงปี 2562 กรมธุรกิจพลังงาน พน. ได้ออกประกาศของกรมธุรกิจพลังงานภายใต้พระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 จํานวน 25 ฉบับ โดยกําหนดเกี่ยวกับการควบคุมและการตรวจสอบคุณภาพน้ํามันเชื้อเพลิงทุกชนิดที่จําหน่ายหรือมีไว้เพื่อจําหน่ายในประเทศเป็นการเฉพาะแล้ว 3. พณ. โดยกรมการค้าต่างประเทศ พิจารณาแล้วจึงได้จัดทํา “ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 พ.ศ. ....” และได้รับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของกรมการค้าต่างประเทศ (www.dft.go.th) ระหว่างวันที่ 6 ถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 แต่ไม่มีผู้แสดงความคิดเห็น และกรมการค้าต่างประเทศได้มีหนังสือถึงผู้ประกอบธุรกิจนําเข้าน้ํามันเชื้อเพลิงและผู้ค้าน้ํามันเชื้อเพลิง รวม 134 ราย โดยมีผู้แจ้งความเห็นรวม 6 ราย ซึ่งทั้งหมดเห็นชอบด้วยกับร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าว จึงได้เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างประกาศ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการนําสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 114) พ.ศ. 2539 ลงวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2539 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดําเนินการต่อไปได้ กค. เสนอว่า 1. เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-2019) ได้แพร่ระบาดในวงกว้างทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนทําให้ประเทศไทยต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเป็นพฤติการณ์พิเศษที่ส่งผลกระทบต่อการขนส่งระหว่างประเทศในภาพรวม และเป็นเหตุให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไปนอกราชอาณาจักร ไม่สามารถนําของที่นําเข้ามาเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไป นอกราชอาณาจักรได้ภายในกําหนดระยะเวลาตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบใน ด้านการปฏิบัติพิธีการศุลกากรเกี่ยวกับการนําของเข้ามาเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไปนอกราชอาณาจักรในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-2019) จึงสมควรกําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําดังกล่าวได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน 2. โดยที่มาตรา 6 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 บัญญัติให้ในกรณีที่มีพฤติการณ์พิเศษเพื่อประโยชน์ในการดําเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้รัฐมนตรีมีอํานาจออกกฎกระทรวงกําหนดให้ผู้นําของเข้าหรือผู้ส่งของออกได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน โดยจะกําหนดเงื่อนไขให้ต้องปฏิบัติไว้ด้วยก็ได้ ดังนั้น เพื่อเป็นการยกเว้นให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรดังกล่าว จึงจําเป็นต้องออกเป็นกฎกระทรวง จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง กําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลํา ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรทั้งหมดหรือแต่บางส่วน โดยมีสาระสําคัญดังนี้ 1. กําหนดนิยามคําว่า “พฤติการณ์พิเศษ” หมายความว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-2019) จนเป็นเหตุสุดวิสัยที่ทําให้ไม่สามารถส่งของนําเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไปนอกราชอาณาจักรภายในกําหนดระยะเวลาตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรได้ 2. กําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ในกรณีดังต่อไปนี้ 2.1 กรณีที่การนําของที่นําเข้ามาเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไปนอกราชอาณาจักรที่กําหนดให้กระทําภายในสามสิบวันนับแต่วันที่นําเข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรา 102 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 2.2 กรณีที่ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําไม่นําของออกไปนอกราชอาณาจักรภายในระยะเวลาตามมาตรา 102 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 หรือขอเปลี่ยนการผ่านพิธีการศุลกากรเป็นการนําเข้าและได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ แต่ไม่เสียอากรหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับศุลกากรภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ของนั้นตกเป็นของแผ่นดิน 2.3 กําหนดให้ผู้นําของเข้าเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไปนอกราชอาณาจักรยื่นหนังสือขอขยายระยะเวลาเพื่อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามข้อ 2.1 และ ข้อ 2.2 พร้อมแสดงเหตุผลแห่งพฤติการณ์พิเศษ และเอกสารหลักฐานประกอบ ต่อกรมศุลกากร โดยกําหนดให้อธิบดีกรมศุลกากรขยายระยะเวลาการนําของที่นําเข้ามาเพื่อการผ่านแดนหรือการถ่ายลําออกไปนอกราชอาณาจักรได้ตามความจําเป็น 3. กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 เศรษฐกิจ - สังคม 11. เรื่อง การปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไข “โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง)” สําหรับลูกค้ารายย่อย (Post Finance) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไข “โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง)” สําหรับลูกค้ารายย่อย (Post Finance) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อสนับสนุนการลงทุนในกิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ ส. 2/2563 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุนตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ 2/2557 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2563 (ประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนฯ) ซึ่งจะทําให้ประชาชนมีทางเลือก ที่หลากหลายและสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง กค. รายงานว่า 1. ผลการดําเนินโครงการบ้านล้านหลัง ณ วันที่ 13 เมษายน 2563 ธอส. มียอดอนุมัติสินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย (Post Finance) จํานวน 25,930 ราย เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 18,429.11 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 1) กลุ่มรายได้ต่อเดือนต่อคนไม่เกิน 25,000 บาท จํานวน 21,495 ราย เป็นจํานวนเงิน 15,271.17 ล้านบาท และ 2) กลุ่มรายได้ต่อเดือนต่อคนเกิน 25,000 บาท จํานวน 4,435 ราย เป็นเงินจํานวน 3,157.94 ล้านบาท [ข้อมูล ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ธอส. มียอดอนุมัติสินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย จํานวน 27,614 ราย เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 19,632.12 ล้านบาท แบ่งเป็น (1) กลุ่มรายได้ต่อเดือนต่อคนไม่เกิน 25,000 บาท จํานวน 22,862 ราย เป็นจํานวนเงิน 16,265.38 ล้านบาท และ (2) กลุ่มรายได้ต่อเดือนต่อคนเกิน 25,000 บาท จํานวน 4,752 ราย เป็นจํานวนเงิน 3,366.74 ล้านบาท] 2. คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ออกประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนฯ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีประเภทกิจการที่ให้การส่งเสริมการลงทุนโดยกําหนดให้กิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยมีเงื่อนไขสําคัญ คือ กรณีที่อยู่อาศัยที่ขอรับการส่งเสริมตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ต้องจําหน่ายราคาต่อหน่วยไม่เกิน 1.2 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) และกรณีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอื่นต้องจําหน่ายราคาหน่วยละไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยที่อยู่อาศัยดังกล่าวจะต้องจําหน่ายให้แก่บุคคลธรรมดาเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมกิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อย และเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถมีที่อยู่อาศัยที่มีมาตรฐานเป็นของตนเอง เพิ่มทางเลือกในด้านทําเลที่ตั้ง สภาพแวดล้อมของชุมชน และระดับราคาที่เหมาะสม รวมทั้งเป็นการสนับสนุนโครงการบ้านล้านหลัง 3. เพื่อให้การกําหนดราคาที่อยู่อาศัยตามโครงการบ้านล้านหลังเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันและเพื่อสนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนของกิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยและส่งเสริมให้ผู้มีรายได้น้อยมีที่อยู่อาศัยที่ตรงตามความต้องการเป็นของตนเอง รวมถึงเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการภาคเอกชนในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนฯ (ตามข้อ 2) ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการลงทุนในกิจการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยทําให้มีที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่หลากหลายสามารถตอบสนองความต้องการของผู้จองสิทธิโครงการบ้านล้านหลังที่ยังไม่สามารถหาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่ต้องการได้ ธอส. จึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการบ้านล้านหลังสําหรับลูกค้ารายย่อย (Post Finance) ให้สอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนฯ ซึ่งคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ดังนี้ 3.1 ปรับปรุงการกําหนดราคาซื้อขายหลักประกัน จากเดิม “กําหนดราคาซื้อขายไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อหน่วย” เป็น “กําหนดราคาซื้อขายไม่เกิน 1.2 ล้านบาทต่อหน่วย” 3.2 ปรับปรุงการกําหนดวงเงินกู้ จากเดิม “กําหนดวงเงินกู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน 1 ล้านบาท” เป็น “กําหนดวงเงินกู้สูงสุดต่อรายได้ต่อหลักประกันไม่เกิน 1.2 ล้านบาท” 4. การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในครั้งนี้ ไม่กระทบต่อภาระการชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้ดอกเบี้ยรับตามแผนวิสาหกิจของ ธอส. กับรายได้ดอกเบี้ยรับจากโครงการบ้านล้านหลังของรัฐบาลซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 และวันที่ 12 มีนาคม 2562 เนื่องจากกรอบวงเงินและอัตราดอกเบี้ยของลูกค้าแต่ละกลุ่มไม่เปลี่ยนแปลง จึงไม่ต้องปรับปรุงรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 12. เรื่อง ขออนุมัติค่าปรับปรุงอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อนให้เป็นหอประวัติราชบัณฑิตยสภา ค่าก่อสร้างอาคารศูนย์ประชุมราชบัณฑิตยสภา และขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้สํานักงานราชบัณฑิตยสภา (รภ.) ดําเนินการปรับปรุงอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อนให้เป็นหอประวัติศาสตร์ราชบัณฑิตยสภา และก่อสร้างอาคารศูนย์ประชุมราชบัณฑิตยสภาและอื่น ๆ ภายในกรอบวงเงิน 354,350,000 บาท ระยะเวลาดําเนินการ 5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – พ.ศ. 2567) อย่างไรก็ดี เนื่องจากอาคารดังกล่าวเป็นโบราณสถาน ประกอบกับเงื่อนไขการเช่าอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อน มีผลทําให้การดําเนินการใด ๆ จะต้องได้รับอนุญาตและอยู่ภายในการควบคุมดูแลของสํานักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ กรมศิลปากร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามขั้นตอนของกฎหมายหรือเงื่อนไขและระยะเวลาที่กําหนดไว้ รวมถึงการจัดทําประมาณราคา แบบรูปรายการสิ่งก่อสร้าง และรายละเอียดครุภัณฑ์ ทั้งนี้ เมื่อ รภ. ได้ดําเนินการดังกล่าวแล้ว ให้พิจารณาดําเนินการตามนัยมาตรา 42 ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 หรือจัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามความจําเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญของเรื่อง รภ. รายงานว่า 1. ปัจจุบัน รภ. มีที่ทําการอยู่สนามเสือป่า เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยมีภารกิจในการจัดประชุมสมาชิกราชบัณฑิตยสภาเพื่อปรึกษาหารือในเรื่องที่เป็นประเด็นสําคัญและเร่งด่วนของประเทศ (Royal Society Forum) เพื่อนําเสนอข้อคิดเห็นและแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ต่อนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี และจัดการประชุมอื่น ๆ ของราชบัณฑิตยสภาเป็นประจํา แต่โดยที่พื้นที่ห้องประชุมมีขนาดเล็กเพียง 168 ตารางเมตร ไม่สามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมตามกรอบอัตราของสมาชิกราชบัณฑิตยสภาตามข้อบังคับราชบัณฑิตยสภาว่าด้วยการกําหนดจํานวนภาคีสมาชิกและจํานวนราชบัณฑิตยสภา พ.ศ. 2559 ได้ ดังนั้น รภ. จึงมีแผนคืนพื้นที่เดิม ณ สนามเสือป่า ให้แก่สํานักพระราชวัง (พว.) เพื่อย้ายไปยังศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โซน c ซึ่งมีกําหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2567 จึงจําเป็นต้องหาพื้นที่เพื่อรองรับการประชุมราชบัณฑิตยสภาในอนาคต 2. ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 รภ. ได้ทําสัญญาเช่าอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อน ในรัชกาลที่ 5 ริมถนนพระราม 5 เขตดุสิต เนื้อที่ 1,765.94 ตารางวา กับสํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นเวลา 30 ปี (1 ธันวาคม 2564 – 30 พฤศจิกายน 2594) เพื่อเตรียมปรับปรุงเป็นหอประวัติราชบัณฑิตยสภาและอาคารศูนย์ประชุมราชบัณฑิตยสภา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงถึงสัญลักษณ์และการอนุรักษ์เชิงประวัติศาสตร์ของราชบัณฑิตยสภา เนื่องจากเป็นองค์กรที่สําคัญของประเทศที่ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ พ.ศ. 2569 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) และใช้เป็นศูนย์การประชุมระดับชาติเพื่อรองรับการประชุมของราชบัณฑิตยสภา การประชุมร่วมกันระหว่างราชบัณฑิตยสภากับองค์การปราชญ์จากต่างประเทศ และการประชุมวิชาการทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ โดยกรมศิลปากรได้อนุญาตให้ รภ. ดําเนินการบูรณะอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อนได้ ภายใต้การกํากับดูแลของกรมศิลปากร 3. รายละเอียดงานปรับปรุงอาคารฯ ประกอบด้วย 5 รายการ มีระยะเวลาดําเนินการ 5 ปี (ปีงบประมาณ 2563 – 2567) วงเงินรวม 354.35 ล้านบาท ดังนี้ หน่วย : ล้านบาท รายการ วงเงิน 1. งานจ้างออกแบบอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อน อาคารศูนย์ประชุม ราชบัณฑิตยสภา และงานปรับปรุงบริเวณภายนอก 16.71 2. งานปรับปรุงอาคารเรือนเจ้าจอมมารดาเลื่อน 97.98 3. งานก่อสร้างศูนย์ประชุมราชบัณฑิตยสภา 178.75 4. งานปรับปรุงบริเวณภายนอก 42.10 5. งานจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง 18.81 รวม 354.35 ทั้งนี้ ในการปรับปรุงอาคารฯ กรมศิลปากรได้อนุญาตให้สํานักงานราชบัณฑิตยสภาดําเนินการบูรณะอาคารฯ ได้ภายใต้การกํากับดูแลของกรมศิลปากรแล้ว 13. เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ (คณะกรรมการฯ) ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563 ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะประธานกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติเสนอ ซึ่งมีมติในเรื่องสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง แผนการบริหารสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม (พ.ศ. 2563) มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 โดยให้มีการใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมตามแผนการบริหารสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม 2. (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ในระดับรัฐ เพื่อประกอบการพิจารณาอนุญาตให้ดาวเทียมต่างชาติให้บริการในประเทศเชิงพาณิชย์ พ.ศ. .... กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ และสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม เพื่อพิจารณาปรับปรุง (ร่าง) ประกาศดังกล่าวให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ก่อนนําเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาต่อไป 3. แนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินหลังสิ้นสุดสัญญาดําเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) เป็นผู้บริหารจัดการทรัพย์สินภายหลังสิ้นสุดสัญญาดําเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ (ดาวเทียมไทยคม 4 ไทยคม 5 และไทยคม 6) จนสิ้นสุดอายุทางวิศวกรรมของดาวเทียม และให้นําเสนอคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป 4. (ร่าง) แนวปฏิบัติการรับจดแจ้งวัตถุอวกาศ คณะกรรมการฯ ได้กําหนดขอบเขตและแนวปฏิบัติ เช่น เป็นการดําเนินกิจการอวกาศในราชอาณาจักร การดําเนินกิจการอวกาศนอกราชอาณาจักรหรือในอวกาศโดยบุคคลธรรมดาซึ่งมีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลซึ่งมีสัญชาติไทย หรือได้จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศไทย และดําเนินการจดแจ้งวัตถุอวกาศหลังจากที่ได้ปล่อยวัตถุอวกาศขึ้นสู่อวกาศแล้ว โดยส่งข้อมูลในรูปแบบที่สํานักงานกิจการอวกาศส่วนนอกแห่งสหประชาชาติกําหนด 14. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (คณะกรรมการฯ) ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 [ซึ่งเป็นการดําเนินการตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 มาตรา 11 (3) ที่บัญญัติให้คณะกรรมการฯ เสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดําเนินงานตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม] ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. ผลการดําเนินงานของคณะกรรมการภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 คณะกรรมการฯ ได้มีการดําเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่สําคัญ เช่น การจัดทําหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โครงการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วถึงทั้งประเทศเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ (เน็ตประชารัฐ) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) การแก้ไขปัญหาองค์กรของบริษัท ทีโอที จํากัด และบริษัท กสม โทรคมนาคม จํากัด (บมจ. กสท โทรคมนาคม) การจัดตั้งเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand) โครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center And Cloud Service : GDCC) และ (ร่าง) นโยบายและแผนเฉพาะด้านการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 – 2565) (แผนปฏิบัติการ) 2. ผลการจัดประมูลคลื่นความถี่ 5G สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เปิดให้ยื่นคําขอรับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 700MHz 1800 MHz 2600 MHz และ 26 GHz ซึ่งการประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563 โดยมีการประมูลเพียง 3 คลื่นความถี่ ได้แก่ 700 MHz 2600 MHz และ 26 GHz มีผลรวมเงินประมูลทุกย่านความถี่จํานวน 107,557,660,221.39 บาท ทั้งนี้ ในส่วนของคลื่นความถี่ 1800 MHz ที่เปิดการประมูลมาแล้วจํานวน 2 ครั้ง แต่ไม่มีผู้เข้าร่วมการประมูล คณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้ กสทช. พิจารณาเกี่ยวกับแนวทางการนําคลื่นดังกล่าวมาใช้ประโยชน์กับภาครัฐในด้านการศึกษาและการคมนาคม 3. ผลกระทบและแนวทางการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับ Disruptive Technology ของประเทศไทย จากการศึกษาและวิเคราะห์แนวโน้มของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน (Disruptive Technology) พบว่าจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมใน 2 รูปแบบ คือ 1) การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและบริการสําหรับอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ และภาคเกษตรกรรม และ2) การเกิดขึ้นของโมเดลธุรกิจใหม่ในรูปแบบแพลตฟอร์มที่เข้ามาแข่งขันกับผู้ประกอบการรายเดิม ทั้งนี้ จะมีการศึกษาเชิงลึกเพิ่มเติมเพื่อจัดทําแผนการดําเนินงานรายสาขาที่เหมาะสมกับสถานการณ์และบริบทของประเทศไทยต่อไป 4. หลักเกณฑ์การใช้จ่ายของเงินกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตามมาตรา 26 (6) แห่งพระราชบัญญัติพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 คณะกรรมการฯ ได้กําหนดแนวทางการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้ 4.1 วงเงินกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อป้องกัน ช่วยเหลือเยียวยา หรือฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมในสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แบ่งเป็นสองส่วน คือ (1) วงเงินจํานวน 1,000 ล้านบาท สําหรับจัดหาเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ด้านดิจิทัลที่สนับสนุนช่วยเหลืองานด้านสาธารณสุขและการรักษาสุขภาพของประชาชน และ (2) วงเงินจํานวน 400 ล้านบาท สําหรับโครงการที่ช่วยเหลือ ฟื้นฟู หรือเยียวยาจากผลกระทบที่เกิดจากสถานการณ์ COVID-19 4.2 วงเงินกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จํานวน 1,000 ล้านบาท สําหรับโครงการที่ขอรับทุนที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ตามมาตรา 26 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 5. แนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินหลังสิ้นสุดสัญญาดําเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ คณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้ บจม. กสท โทรคมนาคม บริหารจัดการทรัพย์สินภายหลังสิ้นสุดสัญญาดําเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศจนสิ้นอายุทางวิศวกรรมของดาวเทียม และให้ ดศ. ดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป 6. โครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ (Government Data Center and Cloud Services : GDCC) คณะกรรมการฯ ได้กําหนดกรอบงบประมาณโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางภาครัฐ ภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 – 2565 จํานวน 3,275.96 ล้านบาท และจากงบประมาณกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จํานวน 797.973 ล้านบาท รวมจํานวนทั้งสิ้น 4,073.069 ล้านบาท จากนั้นจะนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป 7. (ร่าง) นโยบายและแผนเฉพาะด้านการส่งเสริมและพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 – 2565) (แผนปฏิบัติการ) คณะกรรมการฯ ได้จัดทํา (ร่าง) นโยบายและแผนฯ ภายใต้กรอบมิติการขับเคลื่อนดิจิทัล ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมโดยได้กําหนดเป้าหมาย 15 ด้าน เช่น ด้านเศรษฐกิจชุมชนและฐานกราก ด้านการแพทย์ครบวงจร ด้านเศรษฐกิจการเกษตร ด้านการท่องเที่ยวและบริการด้านเศรษฐกิจชีวภาพ ด้านการศึกษา ด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน ด้านความมั่นคงและปลอดภัย และด้านการมีส่วนร่วมทางสังคม 8. การพัฒนาและส่งเสริมระบบนิเวศวิสาหกิจเริ่มต้นด้านดิจิทัลสู่การเป็น ASEAN Digital Startup Hub คณะกรรมการฯ ได้ขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งเสริมระบบนิเวศน์วิสาหกิจเริ่มต้นด้านดิจิทัล (Thailand Digital Startup) โดยมีประเด็นข้อเสนอในการพัฒนา เช่น การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อส่งเสริม Digital Startup การแก้ไข และปรับปรุงกฎหมาย/กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และการปรับตัวและอยู่รอดของผู้ประกอบการค้าปลีก 15. เรื่อง ผลการดําเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา และระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้ 1. รับทราบสถานะการดําเนินโครงการ และการติดตามความก้าวหน้าการดําเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 (โครงการเงินกู้ฯ) ที่ยังไม่แล้วเสร็จ 2. ให้กระทรวงต้นสังกัดเร่งรัดและติดตามผลการดําเนินโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จที่ประสงค์จะดําเนินการต่อโดยใช้เงินจากแหล่งอื่น ดําเนินงานให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และเบิกจ่ายเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งกํากับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดําเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด และขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานความก้าวหน้าของงาน แผนการใช้จ่ายเงิน และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากแหล่งอื่นให้ กค. [สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)] ทราบภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป จนกว่าจะดําเนินโครงการแล้วเสร็จ 3. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ ส่งคืนเงินคงเหลือจากการดําเนินโครงการในกรณีเบิกเงินจากคลังไปแล้ว แต่ไม่ได้จ่าย หรือจ่ายไม่หมดหรือได้รับเงินคืน เข้าบัญชีเงินฝาก กค. ชื่อบัญชี “เงินฝากเงินกู้สําหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน” ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวให้ กค. (สบน.) ด้วย เพื่อให้ กค. นําเงินที่เหลือในบัญชีส่งคืนคลังและดําเนินการปิดบัญชีดังกล่าวตามระเบียบต่อไป ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนําเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนําเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้อง และรายงาน กค. (สบน.) ทราบต่อไป 4. ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ เร่งดําเนินการส่งคืนกรอบวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรไปที่สํานักงบประมาณ (สงป.) และแจ้งผลการส่งคืนเงินเหลือจ่ายที่เสร็จสิ้นแล้วให้ กค. (สบน.) ทราบภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ด้วย 5. ให้กรมทรัพยากรน้ําที่มีโครงการที่ยังไม่แล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ ดําเนินการตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการพัสดุ รวมถึงกฎหมายและระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดโดยเร็ว และเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีต้นสังกัดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีขออนุมัติยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีที่มีเงินคงเหลือของโครงการ ขอให้ส่งคืนเข้าบัญชีเงินฝาก กค. ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน พ.ศ. 2558 ข้อ 20 ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินนั้นให้ กค. (สบน.) ทราบด้วย และหากไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้กรมทรัพยากรน้ํานําเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนําเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ กค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง กระทรวงการคลังเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบ ดังนี้ 1. สถานการณ์ดําเนินโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน : มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 โดยมีโครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดําเนินการทั้งสิ้น 4,014 โครงการ 16 หน่วยงาน หน่วยงานเจ้าของโครงการได้ดําเนินโครงการแล้วเสร็จ จํานวน 3,973 โครงการ อยู่ระหว่างดําเนินโครงการ จํานวน 20 โครงการ และยกเลิกโครงการ จํานวน 21 โครงการ มีผลการเบิกจ่ายเงินตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ (เมื่อเดือนกรกฎาคม 2558) ถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 รวม 72,121.3496 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 93.26 ของวงเงินที่สํานักงบประมาณจัดสรร หน่วย : ล้านบาท รายการ ผลการเบิกจ่าย กรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2558 78,294.8445 กรอบวงเงินที่สํานักงบประมาณจัดสรร 77,333.5246 ผลการเบิกจ่ายเงินตั้งแต่เริ่มต้นโครงการถึงวันที่ 30 กันยายน 2562 72,121.3496 (ร้อยละ 93.26 ของวงเงิน ที่สํานักงบประมาณจัดสรร) 1. แผนงาน/โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา ระยะเร่งด่วน ประจําปีงบประมาณ 2558 (เพิ่มเติม) 32,688.2929 2. แผนพัฒนาระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน 38,319.5933 3. โครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมเพื่อการควบคุมทางศุลกากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ของกรมศุลกากร 1,113.4634 2. การติดตามความก้าวหน้าการดําเนินโครงการเงินกู้ฯ ที่ยังไม่แล้วเสร็จ แบ่งเป็น (1) โครงการที่หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ดําเนินการและเบิกจ่ายไม่ทัน ในวันที่ 30 กันยายน 2562 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 และหน่วยงานเจ้าของโครงการประสงค์จะดําเนินโครงการต่อ จํานวน 3 หน่วยงาน (กรมชลประทาน สํานักงานสถิติแห่งชาติ และกรมทรัพยากรน้ํา) จํานวน 20 โครงการ วงเงินจัดสรร 3,024.3221 ล้านบาท โดยจะใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีของหน่วยงานเองหรือแหล่งเงินอื่นดําเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงต้นสังกัดเร่งรัดและติดตามผลการดําเนินโครงการให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และเบิกจ่ายเงินให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งกํากับดูแลให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดําเนินงานตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการอย่างเคร่งครัด และขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรายงานความก้าวหน้าของงาน แผนการใช้จ่ายเงิน และผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจากแหล่งอื่นให้กระทรวงการคลัง (สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะดําเนินโครงการแล้วเสร็จ และ (2) กรมทรัพยากรน้ํามีความประสงค์จะขอยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ จํานวน 2 โครงการ คือ โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ําหนองสมอ ตําบลโนนคอม อําเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น และโครงการศึกษาและพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบแหล่งน้ําและทางน้ําธรรมชาติอย่างเหมาะสมและยั่งยืน โดยกระทรวงการคลังขอให้กรมทรัพยากรน้ําดําเนินการตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการพัสดุ รวมถึงกฎหมายและระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดโดยเร็ว และเสนอขอความเห็นชอบต่อรัฐมนตรีต้นสังกัดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีขออนุมัติยกเลิกโครงการและยกเลิกการใช้เงินกู้ต่อไป ทั้งนี้ ในกรณีที่มีเงินคงเหลือของโครงการ ขอให้ส่งคืนเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง ชื่อบัญชี “เงินฝากเงินกู้สําหรับโครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ําและระบบขนส่งทางถนน ระยะเร่งด่วน” ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินนั้นให้กระทรวงการคลัง (สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบด้วย และหากไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้กรมทรัพยากรน้ํานําเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนําเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยที่หน่วยงานเจ้าของโครงการได้ดําเนินโครงการและเบิกเงินกู้เสร็จสิ้นแล้วในเดือนกันยายน 2562 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 อย่างไรก็ตาม มี 2 หน่วยงานที่แจ้งผลการคืนเงินเหลือจ่ายเข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังฯ ให้สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะทราบ จํานวน 65.1476 ล้านบาท ได้แก่ กรมทางหลวง และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ํา (องค์การมหาชน) สําหรับที่เหลือจํานวน 13 หน่วยงาน (ไม่รวมกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่ไม่มีผลเบิกจ่ายเนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 ยกเลิกโครงการทั้งหมดภายใต้ความรับผิดชอบแล้ว) ขอให้ส่งคืนเงินคงเหลือจากการดําเนินโครงการในกรณีเบิกเงินจากคลังไปแล้ว แต่ไม่ได้จ่าย หรือจ่ายไม่หมด หรือได้รับคืน เข้าบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังฯ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พร้อมแนบเอกสารหลักฐานการส่งคืนเงินเข้าบัญชีดังกล่าวให้กระทรวงการคลัง (สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ด้วย เพื่อให้กระทรวงการคลังนําเงินที่เหลือในบัญชีส่งคืนคลังและดําเนินการปิดบัญชีดังกล่าวตามระเบียบต่อไป ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถส่งคืนเงินคงเหลือภายในระยะเวลาที่กําหนด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนําเงินนั้นส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเองตามระเบียบการนําเงินส่งคลังที่เกี่ยวข้อง และรายงานกระทรวงการคลัง (สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบต่อไป นอกจากนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องส่งคืนกรอบวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรร (วงเงินจัดสรร – วงเงินเบิกจ่าย) ในระบบ GFMIS ของกรมบัญชีกลาง ให้สํานักงบประมาณดึงเงินกลับ จํานวนทั้งสิ้น 5,212.1750 ล้านบาท โดยปัจจุบันหน่วยงานเจ้าของโครงการได้แจ้งผลให้สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะทราบเมื่อส่งคืนกรอบวงเงินเหลือจ่ายเรียบร้อยแล้ว จํานวน 1,118.2522 ล้านบาท (6 หน่วยงาน) และคงเหลือที่ยังไม่แจ้งผล จํานวน 4,093.9228 ล้านบาท (10 หน่วยงาน) ดังนั้น จึงขอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งดําเนินการส่งคืนกรอบวงเงินเหลือจ่ายจากการจัดสรรไปที่สํานักงบประมาณและแจ้งผลการส่งคืนเงินเหลือจ่ายที่เสร็จสิ้นแล้วให้กระทรวงการคลัง (สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ) ทราบ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ด้วย สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรมีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการของหน่วยงานที่ดําเนินการภายใต้โครงการเงินกู้ฯ ให้สามารถตอบวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และสอดคล้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) 16. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทยเดือนเมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทยเดือนเมษายน 2563 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ สาระสําคัญ 1. สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทยเดือนเมษายน 2563 การส่งออกเดือนเมษายน 2563 มีมูลค่า 18,948 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.12 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 แม้อยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวที่ร้อยละ 4.03 ตามความต้องการสินค้าอาหารของตลาดโลกในช่วงล็อกดาวน์ โดยเฉพาะข้าวกลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 18 เดือน และขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 23.10 อาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 34.33 นอกจากนี้ อาหารทะเลแช่แข็ง ผักและผลไม้ ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป และสิ่งปรุงรสอาหาร ยังขยายตัวดีในระดับที่น่าพอใจ สําหรับสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.05 จากการส่งออกทองคํา อากาศยาน แผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องมือแพทย์เป็นหลัก มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนเมษายน 2563 การส่งออกมีมูลค่า 18,948 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 2.12 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนําเข้ามีมูลค่า 16,486 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 17.13 โดยการค้าเกินดุล 2,462 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวม 4 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออกมีมูลค่า 81,620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวที่ร้อยละ 1.19 ขณะที่การนําเข้ามีมูลค่า 75,224 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 5.72 ส่งผลให้ 4 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 6,396 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท เดือนเมษายน 2563 การส่งออกมีมูลค่า 613,979 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.32 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนําเข้า มีมูลค่า 541,019 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 14.61 โดยการค้าเกินดุล 72,960 ล้านบาท ภาพรวม 4 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออกมีมูลค่า 2,517,136 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 1.07 ขณะที่ การนําเข้ามีมูลค่า 2,349,710 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 8.06 ส่งผลให้ 4 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 167,426 ล้านบาท มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวที่ร้อยละ 4.0 (YoY) สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ข้าว ขยายตัวที่ร้อยละ 23.1 (ขยายตัวเกือบทุกตลาด อาทิ สหรัฐฯ สิงคโปร์ ฮ่องกง แอฟริกาใต้ และจีน) ผัก ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแปรรูป ขยายตัวที่ร้อยละ 5.7 (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และออสเตรเลีย) ไก่สด แช่เย็นแช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 9.6 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ และฮ่องกง) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวที่ร้อยละ 34.3 (ขยายตัวเกือบทุกตลาด อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อิตาลี และออสเตรเลีย) สิ่งปรุงรสอาหาร ขยายตัวที่ร้อยละ 18.9 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย และเนเธอร์แลนด์) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ ยางพารา หดตัวที่ร้อยละ 20.7 (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ตุรกี บราซิล เยอรมนี และไต้หวัน แต่ยังขยายตัวดีในตลาดเกาหลีใต้ และเวียดนาม) น้ําตาลทราย หดตัวที่ร้อยละ 8.3 (หดตัวในตลาดไต้หวัน จีน เมียนมา แทนซาเนีย กัมพูชา และเกาหลีใต้ แต่ยังขยายตัวดีในตลาดอินโดนีเซีย เวียดนาม ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) ผลิตภัณฑ์มันสําปะหลัง หดตัวที่ร้อยละ 6.7 (หดตัวในตลาดจีน อินโดนีเซีย ไต้หวัน มาเลเซีย และนิวซีแลนด์ แต่ยังขยายตัวดีในญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และเวียดนาม) เครื่องดื่ม หดตัวที่ร้อยละ 14.4 (หดตัวในตลาดกัมพูชา เวียดนาม เมียนมา สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่ยังขยายตัวดีในตลาดจีน สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) รวม 4 เดือนแรกของปี 2563 มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวที่ร้อยละ 1.4 (YoY) มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวที่ร้อยละ 4.0 (YoY) สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ ทองคํา ขยายตัวเกือบทุกตลาดที่ร้อยละ 1,102.8 (ขยายตัวในตลาดสวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น) ยานพาหนะอื่นๆ และส่วนประกอบ ขยายตัวที่ร้อยละ 1,423.1 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม เมียนมา ญี่ปุ่น และเนปาล) อากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบ ขยายตัวที่ร้อยละ 584.7 (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ไต้หวัน และญี่ปุ่น) อุปกรณ์กึ่งตัวนํา ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวที่ร้อยละ 56.1 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐ ฮ่องกง เวียดนาม ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) แผงวงจรไฟฟ้า ขยายตัวที่ร้อยละ 1.8 (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน และไต้หวัน) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวที่ร้อยละ 53.8 (หดตัวเกือบทุกตลาด อาทิ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก มาเลเซีย และเวียดนาม แต่ยังขยายตัวดีในตลาดญี่ปุ่น และจีน) สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ํามัน หดตัวที่ร้อยละ 31.3 (หดตัวเกือบทุกตลาด อาทิ จีน เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และกัมพูชา แต่ยังขยายตัวดีในตลาดญี่ปุ่น) อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคํา หดตัวที่ร้อยละ 49.3 (หดตัวเกือบทุกตลาด อาทิ สหรัฐฯ ฮ่องกง อินเดีย ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดเยอรมนี)เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวที่ร้อยละ 2.1 (หดตัวในตลาดฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเม็กซิโก แต่ยังขยายตัวดีในตลาดสหรัฐฯ จีน และสิงคโปร์) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ หดตัวที่ร้อยละ 30.2 (หดตัวในตลาดเวียดนาม ออสเตรเลีย อินเดีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ แต่ยังขยายตัวดีในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเนเธอร์แลนด์) รวม 4 เดือนแรกของปี 2563 มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวที่ร้อยละ 2.4 (YoY) ตลาดส่งออกสําคัญ การส่งออกไปยังตลาดสําคัญหลายตลาดขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะตลาดจีน และญี่ปุ่น เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯ และอาเซียน (5) ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกไปตลาดที่ยังคงเผชิญกับการแพร่ระบาดในระดับสูง เช่น สหภาพยุโรป (15) ตะวันออกกลาง (15) และเอเชียใต้ ปรับตัวลดลง รายละเอียดมีดังนี้ 1) การส่งออกไปตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 7.7 ตามการส่งออกไปสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ขยายตัวร้อยละ 34.6 และร้อยละ 9.8 ตามลําดับ ขณะที่สหภาพยุโรป (15) หดตัวร้อยละ 28.7 2) การส่งออกไปตลาดศักยภาพสูง หดตัวร้อยละ 4.0 เนื่องจากการลดลงของการส่งออกไปยังกลุ่มประเทศ CLMV และเอเชียใต้ ร้อยละ 31.0 และ 56.1 ตามลําดับ ขณะที่การส่งออกไปตลาดจีน และอาเซียน (5) ขยายตัวร้อยละ 9.0 และร้อยละ 13.0 ตามลําดับ และ 3) การส่งออกไปตลาดศักยภาพระดับรอง หดตัวร้อยละ 28.5 โดยการส่งออกไปทวีปออสเตรเลีย (25) กลับมาหดตัวร้อยละ 29.5 ส่วนการส่งออกไปตะวันออกกลาง (15) ลาตินอเมริกา รัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS และทวีปแอฟริกา หดตัวร้อยละ 25.3 ร้อยละ 33.7 ร้อยละ 33.5 และร้อยละ 31.8 ตามลําดับ 2. แนวโน้มและมาตรการส่งเสริมการส่งออก ในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้สินค้าเกษตรและอาหารเป็นสินค้า ที่มีความต้องการสูงในตลาดต่างประเทศ และคาดว่าจะเติบโตดีต่อเนื่อง 1 – 2 ปี ซึ่งนับเป็นโอกาสในการขยายตลาดสินค้าเกษตรของไทย ด้านสินค้าที่มีการขนส่งทางบก โดยเฉพาะตลาดอาเซียนที่ประสบปัญหาการปิดด่าน กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานการเจรจากับประเทศคู่ค้า อาทิ สปป.ลาว เวียดนาม และมาเลเซีย โดยสามารถเจรจาลดอุปสรรคการส่งออกสินค้าตามแนวชายแดน ส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าที่ใช้การขนส่งทางถนนเป็นหลัก รวมถึงสินค้าผักและผลไม้ที่ไทยส่งออกไปจีนตอนใต้โดยขนส่งผ่านประเทศเพื่อนบ้านด้วย แนวโน้มการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ผ่านมาเผชิญอุปสรรคสําคัญด้านการขนส่งบริเวณท่าเรือที่แออัด และการขนส่งทางอากาศที่หยุดชะงัก ส่งผลให้สินค้ามูลค่าสูงที่ขนส่งทางอากาศ โดยเฉพาะอัญมณีและเครื่องประดับได้รับผลกระทบด้วย อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆ ที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์แล้ว อาทิ จีน เยอรมนี อิตาลี และนิวซีแลนด์ กําลังกลับมาเริ่มต้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และในที่สุดจะทําให้กําลังซื้อของประเทศคู่ค้าเหล่านี้กลับมาขยายตัว เป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์และส่วนประกอบที่หดตัวอย่างต่อเนื่อง ก็คาดว่าจะกลับมาขยายตัวอีกครั้งหลังวิกฤติ สําหรับการส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ได้เจรจากับประเทศญี่ปุ่น ขอให้สนับสนุนผลไม้ไทย 9 ชนิด ผ่านกิจกรรมประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดต่างๆ โดยเฉพาะการขายตรงทางโทรทัศน์ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงได้ง่าย นอกจากนี้ กระทรวงฯ ได้หารือกับภาคเอกชน เพื่อรับฟังและแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปที่ไทยมีศักยภาพในการผลิตสูง รวมทั้งการจัดทําแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพเป็นช่องทางระบายสินค้าด้านการเกษตรให้กับเกษตรกรรวมทั้งผู้ผลิตแปรรูปและผู้ส่งออกได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะช่วยให้สินค้าเกษตรของไทยสามารถขยายการส่งออกได้ในอนาคต 17. เรื่อง เพลงสําคัญของแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เพลงสดุดีจอมราชา และเพลงสดุดีพระแม่ไทย เป็นเพลงสําคัญของแผ่นดิน เพิ่มเติม (จากมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 30 ธันวาคม 2546) ตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง สปน. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ รายงานว่า 1. กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดทําเพลงสดุดีจอมราชา แต่งทํานองและเรียบเรียงโดย นายวิรัช อยู่ถาวร และประพันธ์เนื้อร้องโดย นายวิเชียร ตันติพิมลพันธ์ เพื่อใช้เป็นเพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้มอบหมายให้ สปน. นําเสนอบทเพลงดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 ได้รับฟังเพื่อจะใช้เพลงดังกล่าวในพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 28 กรกฎาคม 2561 โดยต่อมาได้มีการแก้ไขเนื้อร้องเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จาก “ถวายพระพรจอมราชัน ธ อนันต์ ปรีชาชาญ” เป็น “ถวายพระพรองค์ราชินี คู่บารมีองค์ราชัน” และ “งามตระการสมขัตติยะไทย” เป็น “งามตระการเคียงขัตติยะไทย” และ “มหาวชิราลงกรณมิ่งขวัญปวงชนชาวไทย” เป็น “มหาราชาราชินี มิ่งขวัญปวงชนชาวไทย” 2. คณะอนุกรรมการจัดทําเพลงสําคัญของชาติ ในคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติได้ขอความร่วมมือ วธ. ดําเนินการจัดทําเพลงเพื่อใช้ในพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2562 และเพื่อเทิดพระเกียรติในโอกาสสําคัญต่าง ๆ 3. วธ. ได้จัดทําเพลงสดุดีพระแม่ไทย ประพันธ์คําร้องโดย นายชัยรัตน์ วงศ์เกียรติ์ขจร และประพันธ์ทํานองโดย นายวิรัช อยู่ถาวร ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้มอบหมายให้ สปน. นําเสนอบทเพลงดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 ได้รับฟังเพื่อจะใช้เพลงดังกล่าวในพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2562 รวมทั้งเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ ขับร้องเพลงสดุดีพระแม่ไทยในโอกาสสําคัญต่าง ๆ เพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณและร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 4. คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอเพลงสดุดีจอมราชา และเพลงสดุดีพระแม่ไทยเป็นเพลงสําคัญของแผ่นดิน เพิ่มเติม ซึ่งมีความมุ่งหมายในการถวายความเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชาติ ทําให้เกิดความรัก ความสามัคคี ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว เห็นชอบให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการกําหนดเพลงสดุดีจอมราชา และเพลงสดุดีพระแม่ไทย เป็นเพลงสําคัญของแผ่นดิน เพิ่มเติม ซึ่ง วธ. ได้มีการเผยแพร่เนื้อเพลง โน้ตเพลง และเพลงดังกล่าว ในเว็บไซต์ของ วธ. แล้ว ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2546 เห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ ใช้เพลงสําคัญของแผ่นดิน (ได้แก่ เพลงชาติไทย เพลงสรรเสริญพระบารมี เพลงมหาชัย เพลงมหาฤกษ์ เพลงสดุดีมหาราชา และเพลงภูมิแผ่นดินนวมินทร์มหาราชา) ที่คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติจัดทําขึ้นใหม่เป็นต้นฉบับในโอกาสต่าง ๆ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2547 เป็นต้นไป สําหรับภาคเอกชนและประชาชนโดยทั่วไป ก็ให้ขอความร่วมมือดําเนินการไปในแนวทางเดียวกัน และให้สํานักนายกรัฐมนตรี ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งดําเนินการเผยแพร่เพลงสําคัญของแผ่นดินไปยังส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ รวมทั้งสื่อต่าง ๆ ของภาครัฐและภาคเอกชน 18. เรื่อง รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ และให้ส่งความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาต่อไป ดังนี้ 1. รับทราบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และรายงานสรุปผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐนําไปประกอบการพิจารณาปรับปรุง พัฒนาและยกระดับ ตลอดจนเตรียมความพร้อมรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 2. รับทราบรายชื่อหน่วยงานที่ดําเนินการไม่ครบตามขั้นตอนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตามที่สํานักงาน ป.ป.ช. กําหนด 3. ให้ผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐให้ความสําคัญกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ โดยเตรียมพร้อมในการประเมินอย่างต่อเนื่องและให้ข้อมูลประกอบการประเมินที่เกิดจากการดําเนินงานหรือที่เกิดจากการให้บริการประชาชนอย่างแท้จริง รวมถึงนําผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 มาใช้ในการพัฒนาหน่วยงาน 4. ให้ทุกกระทรวงพิจารณากําหนดให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตประจํากระทรวง หรือกลุ่มส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม ได้มีบทบาทในการเตรียมความพร้อมและยกระดับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง 5. ให้องค์กรสื่อของรัฐ ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วประเทศรับทราบและเข้ามามีส่วนร่วมในการประเมิน ซึ่งจะช่วยให้ผลการประเมินสามารถสะท้อนการรับรู้เกี่ยวกับการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐได้ดียิ่งขึ้น สาระสําคัญของเรื่อง คณะกรรมการ ป.ป.ช. รายงานว่า 1. การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) เป็นการดําเนินการตามตัวชี้วัด 10 ตัวชี้วัด และค่าเป้าหมายที่กําหนดไว้ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) โดยมีหน่วยงานภาครัฐที่เข้าร่วมการประเมิน รวมทั้งสิ้น 8,299 หน่วยงาน ดังนี้ หน่วยงานที่เข้าร่วมการประเมิน จํานวน องค์กรอิสระ 5 หน่วยงาน องค์กรศาล 3 หน่วยงาน องค์กรอัยการ 1 หน่วยงาน หน่วยงานในสังกัดรัฐสภา 3 หน่วยงาน ส่วนราชการระดับกรม 144 หน่วยงาน องค์การมหาชน 40 หน่วยงาน รัฐวิสาหกิจ 54 หน่วยงาน หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ 28 หน่วยงาน กองทุน 8 หน่วยงาน สถาบันอุดมศึกษา 83 หน่วยงาน จังหวัด 76 หน่วยงาน หน่วยงานรัฐขอเข้าร่วม 2 หน่วยงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตําบล องค์การบริหารส่วนตําบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ) 7,852 หน่วยงาน 2. ผลการประเมินในภาพรวมของประเทศ ในปี 2562 หน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมิน 8,299 หน่วยงานนั้น มีผลการประเมิน ITA ในภาพรวมของประเทศไทยที่ 66.73 คะแนน จัดอยู่ในระดับ C โดยจําแนกออกเป็น 7 ระดับตามช่วงค่าคะแนน โดยสรุปผลในภาพรวมของหน่วยงานภาครัฐทั้งหมด สรุปได้ ดังนี้ ระดับผลการประเมิน ITA จํานวนหน่วยงาน ร้อยละ AA 0.41 A 11.28 B 20.13 C 18.34 D 22.41 E 12.01 F 12.51 ดําเนินการไม่ครบขั้นตอน (N/A) 2.90 ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐที่ดําเนินการไม่ครบตามขั้นตอนการประเมินคุณธรรม ITA ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562มีจํานวน 241 หน่วยงาน (หมายเหตุ : การประมวลผลค่าเฉลี่ยของคะแนนจะนับเฉพาะหน่วยงานที่ดําเนินการครบถ้วนตามขั้นตอนที่กําหนด) 3. ผลการประเมินรายตัวชี้วัดการประเมิน การประเมิน ITA ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ได้รับการพัฒนาโดยมีเนื้อหาครอบคลุมหลายด้านซึ่งเกี่ยวข้องกับคุณธรรม ความโปร่งใส และการทุจริต ทั้งที่มีลักษณะการทุจริตทางตรงและการทุจริตทางอ้อม รวมไปถึงบริบทแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานในการนําไปสู่การปรับปรุงแก้ไข ลดโอกาสหรือความเสี่ยงที่จะเกิดการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐและส่งผลต่อการยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ของประเทศไทยในระยะยาวได้ โดยจําแนกออกเป็น 10 ตัวชี้วัด มีผลการประเมิน ดังนี้ 1) การปฏิบัติหน้าที่ 88.72 คะแนน 2) การใช้งบประมาณ 79.91 คะแนน 3) การใช้อํานาจ 82.66 คะแนน 4) การใช้ทรัพย์สินราชการ 78.21 คะแนน 5) การแก้ไขปัญหาการทุจริต 79.24 คะแนน 6) คุณภาพการดําเนินงาน 79.60 คะแนน 7) ประสิทธิภาพการสื่อสาร 77.74 คะแนน 8) การปรับปรุงการทํางาน 74.72 คะแนน 9) การเปิดเผยข้อมูล 52.69 คะแนน 10) การป้องกันการทุจริต 42.34 คะแนน ผลการประเมินตามตัวชี้วัดทั้ง 10 ตัวชี้วัดแสดงให้เห็นว่าตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ตัวชี้วัดที่ 1 การปฏิบัติหน้าที่ และตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ําสุด คือ ตัวชี้วัดที่ 10 การป้องกันการทุจริต เมื่อพิจารณาผลการประเมินในทุกมิติแล้วพบว่า อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องมีการพัฒนาและยกระดับผลการประเมินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับค่าคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต CPI ประจําปี 2561 ที่ประเทศไทยได้รับคะแนนการประเมิน 36 คะแนน อยู่ในลําดับที่ 99 จากประเทศที่เข้าร่วมการประเมินทั้งสิ้น 180 ประเทศ 4. ผลการประเมินตามประเภทของหน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมิน ITA ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จําแนกได้เป็นประเภทหน่วยงานตามลักษณะทางกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน มีผลการประเมินของหน่วยงานภาครัฐแต่ละประเภท สรุปได้ดังนี้ 4.1 ประเภทของหน่วยงานภาครัฐที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ องค์กรศาล องค์กรอัยการ หน่วยงานในสังกัดรัฐสภา รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน ตามลําดับ ส่วนประเภทของหน่วยงานภาครัฐที่มีคะแนนเฉลี่ยต่ําสุด ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ องค์การบริหารส่วนตําบล เทศบาลตําบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร ตามลําดับ 4.2 ประเภทของหน่วยงานภาครัฐที่มีสัดส่วนของหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์มากที่สุด ได้แก่ องค์กรศาล องค์กรอัยการ หน่วยงานในสังกัดของรัฐสภา กรมหรือเทียบเท่า และองค์การมหาชน ตามลําดับ ส่วนประเภทของหน่วยงานภาครัฐที่มีสัดส่วนหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์น้อยที่สุด ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ องค์การบริหารส่วนตําบล เทศบาลตําบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร ตามลําดับ 19. เรื่อง กลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 และแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการต่อไป ตามที่สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สํานักงาน ป.ป.ท.) เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง สํานักงาน ป.ป.ท. รายงานว่า 1. โดยที่ได้มีการประกาศใช้พระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 19 เมษายน 2563 ให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีมีอํานาจกู้เงินหรือออกตราสารหนี้ในนามรัฐบาลมีผลบังคับใช้แล้ว โดยกําหนดให้ใช้จ่ายเงินกู้ในแผนงานหรือโครงการ ดังนี้ หน่วย:ล้านบาท แผนงาน/โครงการ งบประมาณ 1) แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 2) แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 3) แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวม 2. องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development : OECD) ออกแถลงการณ์ขอให้ประเทศสมาชิก OECD มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายงบประมาณแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยให้ทุกประเทศมีมาตรการป้องกันความเสี่ยงการทุจริตในการใช้จ่ายงบประมาณแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยในห้วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในไทยนั้น ปรากฏข่าวว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หลายแห่งดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างในการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดและช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่โปร่งใส สํานักงาน ป.ป.ท. จึงร่วมกับกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตรวจสอบ ติดตาม และเฝ้าระวังในการจัดซื้อจัดจ้างของ อปท. ซึ่งพบข้อสังเกตเบื้องต้นว่า อปท. บางแห่งยังมีการจัดซื้อจัดจ้างไม่เป็นไรตามหลักเกณฑ์หรือระเบียบของทางราชการ และส่อไปในการกระทําที่เป็นการทุจริตและประพฤติมิชอบ 3. สํานักงาน ป.ป.ท. ในฐานะกลไกของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และในฐานะฝ่ายเลขานุการของศูนย์อํานวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) มีหน้าที่และอํานาจในการเสนอแนะแนวทางและมาตรการในการบูรณาการเพื่อเสริมสร้างและประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคสังคม ภาคเอกชน และประชาชนในการแก้ไขปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบต่อคณะรัฐมนตรี จึงได้เสนอกลไกเฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ด้าน ดังนี้ ด้าน การดําเนินการ 1. การเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแส - กําหนดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบแผนงาน/โครงการต้องเปิดเผยข้อมูลแผนการดําเนินงาน แผนการใช้จ่ายงบประมาณ ผลสัมฤทธิ์ของโครงการ ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างและความคืบหน้าในการดําเนินงาน เพื่อให้ภาคประชาชน ภาคเอกชน ร่วมเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริตทางเว็บไซต์และจุดบริการข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานทางแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง และทางเว็บไซต์ระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐ (ภาษีไปไหน) ของสํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) - ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีการรวมตัวเป็นเครือข่ายในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริต หรือปัญหาความเดือดร้อนในทุกพื้นที่ที่มีการใช้งบประมาณตามแผนงาน/โครงการ - เปิดช่องทางการรับแจ้งเบาะแสการทุจริตของประชาชนที่เกิดจากการดําเนินงานตามแผนงาน/โครงการ และเชื่อมโยงระบบรับเรื่องร้องเรียนของทุกหน่วยงานทางแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางหรือทางเว็บไซต์ระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐของ สพร. โดยให้ ศอตช. เป็นศูนย์กลางประสานการดําเนินงาน 2. การป้องกันและลดโอกาสการทุจริต - ก่อนการดําเนินงานตามแผนงาน/โครงการให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบทําการประเมินและจัดทําแผนบริหารความเสี่ยงการทุจริต โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต เป็นกลไกกํากับและขับเคลื่อน - ให้ ศอตช. ทําการวิเคราะห์และจัดทําข้อเสนอแนะการดําเนินงานตามแผนงาน/โครงการที่มีความเสี่ยงการทุจริตสูง เพื่อแจ้งเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังป้องกันไม่ให้มีการทุจริต - ให้ ศอตช. เผยแพร่ข้อมูลและสร้างการรับรู้ความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเกิดความคุ้มค่าและโปร่งใส 3. การตรวจสอบ - ให้ ศอตช. ทําการตรวจสอบการดําเนินโครงการเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยหรือมีเรื่องร้องเรียน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานหรือข้อมูลว่ามีเหตุแห่งการทุจริตหรือไม่ ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการดําเนินโครงการ - เมื่อมีเรื่องร้องเรียนหรือมีเบาะแสการทุจริตให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดําเนินการตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริง พร้อมข้อมูลให้ ศอตช. 4. การดําเนินมาตรการทางปกครอง วินัย และอาญา - เมื่อมีข้อร้องเรียนหรือการแจ้งเบาะแสการทุจริต ให้หน่วยงานต้นสังกัดดําเนินการทางปกครอง วินัย และอาญากับผู้ที่กระทําความผิดตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม - ให้สํานักงาน ป.ป.ท. ทําการติดตามและตรวจสอบการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐตามมติคณะรัฐมนตรี (28 มกราคม 2563) การรับรายงานผลดําเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต และรายงานต่อ ศอตช. เพื่อดําเนินการต่อไป 20. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2563 และครั้งที่ 6/2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอ ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 5/2563 และครั้งที่ 6/2563 ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และโครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงกําหนดแนวทางการดําเนินการของคณะกรรมการฯ ตามพระราชกําหนด เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา 8(1) และ 8(2) แห่งพระราชกําหนด ดังนี้ 1. อนุมัติให้สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ดําเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อช่วยเหลือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลัง โดยจ่ายเงินเยียวยาผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจํานวน 1,000 บาทต่อเดือน ระยะเวลา 3 เดือน (เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2563) โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือเยียวยาจากโครงการใด ๆ ของภาครัฐในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จํานวน 1,164,222 คน รวมเป็นเงิน 3,000 บาทต่อคน วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,492,666,000 บาท 2. มอบหมายให้สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง รับไปพิจารณากําหนดจํานวนกลุ่มเป้าหมายผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ ของภาครัฐ จากข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยากลุ่มผู้ตกหล่นที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือใด ๆ ของภาครัฐสามารถดําเนินการได้อย่างครอบคลุมในคราวเดียวกัน พร้อมทั้งจัดทําข้อมูลคุณลักษณะของกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถนําเสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการฯ พิจารณาได้ภายใน 1 เดือน 3. อนุมัติให้สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพิ่มเติมกลุ่มเป้าหมายเกษตรกรภายใต้โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้รวมถึงเกษตรกรที่ด้อยโอกาสและยังไม่สามารถเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร จํานวน 137,093 ราย เพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นไปอย่างเท่าเทียม ทั้งนี้ การดําเนินการดังกล่าวยังอยู่ภายใต้กรอบวงเงินและจํานวนเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายรวมไม่เกิน 10 ล้านราย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2563 4. เห็นชอบในหลักการของการขยายระยะเวลาการจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมทั้งมอบหมายให้สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดําเนินการลงทะเบียนเกษตรกรให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 จํานวนประมาณ 120,000 และเร่งตรวจสอบความซ้ําซ้อนกับผู้ได้รับสวัสดิการผ่านระบบข้าราชการของกรมบัญชีกลางและระบบประกันสังคมของสํานักงานประกันสังคม รวมทั้ง มาตรการอื่นใดของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการเยียวยาผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะกรรมการฯ ให้แล้วเสร็จก่อนเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป 5. อนุมัติให้สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดําเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยการจ่ายเงินเยียวยาโดยตรงรายละ 1,000 บาทต่อเดือน เพิ่มเติมจากเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เพิ่มเติมจากเบี้ยความพิการ และเพิ่มเติมจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 รวมทั้งหมด 6,781,881 คน ประกอบด้วย (1) เด็กจากครัวเรือนยากจน (0-6 ปี) จํานวน1,394,756 คน (2) สูงอายุจํานวน 4,056,596 คน และ (3) ผู้พิการจํานวน 1,330,529 คน กรอบวงเงินไม่เกิน 20,345,643,000 บาท 6. เห็นชอบในหลักการของโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมภาคการท่องเที่ยว ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานหรือโครงการเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและเอกชนรวมถึงการลงทุนต่าง ๆ ของภาคเอกชน เพื่อให้สภาวะการบริโภคและการลงทุนกลับเข้าสู่ระดับปกติได้โดยเร็วตามบัญชีท้ายพระราชกําหนด โดยมีระยะเวลาดําเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม 2563 รวม 4 เดือน กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น 22,400 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยมอบหมายให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเร่งดําเนินการสร้างความชัดเจนของการดําเนินงานตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการฯ และนําเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่งภายใน 2 สัปดาห์ 7. มอบหมายให้สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการประสานกับองค์กรภาคประชาชนเพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการจากภาคประชาชนและประสานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอโครงการขององค์กรภาคประชาชนผ่านหน่วยงานของรัฐที่เหมาะสมตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ในระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีฯ ต่อไป 21. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 5 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 5 ตามที่สํานักงาน ก.พ. เสนอ โดยสรุปข้อมูล ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2563 ซึ่งได้รับข้อมูลจาก 146 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 99 ของส่วนราชการทั้งหมด (147 ส่วนราชการ) สรุปข้อมูลดังนี้ 1. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home) 1.1 ส่วนราชการร้อยละ 90 (132 ส่วนราชการ) มีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ และส่วนราชการร้อยละ 43 (64 ส่วนราชการ) กําหนดให้มีจํานวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งร้อยละ 50 ขึ้นไป (ลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมี 66 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 45) โดยในจํานวนนี้มีส่วนราชการร้อยละ 16 (23 ส่วนราชการ) มอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมี 21 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 14) ทั้งนี้ มีการมอบหมายให้ปฏิบัติงานที่บ้านในหลายรูปแบบ เช่น ปฏิบัติงานที่บ้านสลับกับการมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งของส่วนราชการ วันเว้นวัน สัปดาห์ละ 1 วัน สัปดาห์ละ 2 วัน สัปดาห์เว้นสัปดาห์ เป็นต้น 1.2 ส่วนราชการร้อยละ 10 (14 ส่วนราชการ) มีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานทุกคนปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมี 8 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 6) โดยส่วนราชการที่เริ่มมอบหมายให้ทุกคนปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการในสัปดาห์นี้ ได้แก่ กรมพลศึกษา กรมการข้าว กรมฝนหลวงและการบินเกษตร กรมบังคับคดี กรมศิลปากร และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 2. การเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ 2.1 ส่วนราชการกําหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานเมื่อจําเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 50 กําหนดการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานเป็น 3 ช่วงเวลา คือ เวลา 7.30 – 15.30 น. เวลา 8.30 – 16.30 น. และเวลา 9.30 – 17.30 น. 2.2 ส่วนราชการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามวันเวลาปกติในบางลักษณะงาน โดยลักษณะงานส่วนใหญ่ คือ งานให้บริการประชาชน งานป้องกันและรักษาความมั่นคงภายในประเทศ งานด้านสื่อสารมวลชน งานจัดเก็บภาษี และงานสนับสนุนอื่น ๆ 3. แนวทางการบริหารงานของส่วนราชการ 3.1 การกํากับดูแลและบริหารผลการทํางาน ส่วนราชการร้อยละ 100 กําหนดให้มีระบบรายงานผลงานผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 80 ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รายงานความก้าวหน้าของงานทั้งรายวัน ผ่าน Application LINE ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และ Google From 3.2 การนําระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงาน ส่วนราชการมีการนําระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงานโดยส่วนใหญ่เลือกใช้ Application LINE ร้อยละ 99 Application Zoom ร้อยละ 66 Microsoft Team ร้อยละ 33 Cisco Webex ร้อยละ 26 ตามลําดับ 4. ข้อจํากัดของส่วนราชการ ในการมอบหมายข้าราชการและเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ได้แก่ การขาดความพร้อมด้านอุปกรณ์ปฏิบัติงานและสัญญาณเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การขาดความพร้อมของเจ้าหน้าที่ในการใช้เทคโนโลยีในการปฏิบัติงาน ความไม่สะดวกในการติดต่อสื่อสารและการประสานงานในกรณีเร่งด่วน งานเกี่ยวกับเอกสารราชการที่ยังคงมีความจําเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้ง 5. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิบัติงานใน – นอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ได้แก่ ควรจัดให้มีอุปกรณ์รองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ควรสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานที่บ้าน เช่น ค่าบริการอินเทอร์เน็ต เป็นต้น และอาจนําแนวทางการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งไปใช้ในอนาคตเพื่อลดปัญหาการจราจร มลพิษทางอากาศ และลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคของส่วนราชการ 22. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work from Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ ในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ 1 – 5 มิถุนายน 2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ สาระสําคัญ รัฐวิสาหกิจภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลังโดยสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) มีจํานวน 55 แห่ง โดยผลสัมฤทธิ์ฯ ของรัฐวิสาหกิจในสัปดาห์ช่วงระหว่าง 1 – 5 มิถุนายน 2563 สรุปสาระสําคัญได้ดังนี้ 1. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ (ปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักหรือสถานที่ตามที่รัฐวิสาหกิจกําหนด) รัฐวิสาหกิจ 46 แห่ง ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งและมีรัฐวิสาหกิจ 9 แห่ง ได้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จํากัด โรงพิมพ์ตํารวจ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล การยางแห่งประเทศไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การยาสูบแห่งประเทศไทย องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย และองค์การสุรา กรมสรรพสามิต ที่ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว ทั้งนี้ จากจํานวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งหมดจํานวน 272,481 คน มีพนักงานและลูกจ้างปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งจํานวน 42,746 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 16 2. การปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจ 34 แห่ง ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา โดยมีช่วงเวลาเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา 6.00 น. – 10.30 น. ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า (ช่วงระหว่างวันที่ 25 – 29 พฤษภาคม 2563) 2 แห่ง 3. แนวทางการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจ รัฐวิสาหกิจที่ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งมีการติดตามผลการปฏิบัติงานทั้งเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของงาน ซึ่งรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีการกํากับ ติดตาม และบริหารผลการปฏิบัติงานผ่านแอปพลิเคชัน Line ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และระบบการติดตามงานและการลงเวลาปฏิบัติงานที่องค์กรพัฒนาขึ้นเอง โดยรัฐวิสาหกิจยังคงใช้แอปพลิเคชัน Line มาสนับสนุนการปฏิบัติงานมากที่สุด ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจมีข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งว่า ควรเตรียมอุปกรณ์และระบบเพื่อรองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งให้เพียงพอ และควรพัฒนาระบบการปฏิบัติงานขององค์กรให้สามารถรองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งได้ ซึ่งรวมถึงมีการจัดเก็บข้อมูลหรือเอกสารให้อยู่ในรูปแบบของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งควรพิจารณาลักษณะงานที่จําเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งเท่านั้น เช่น การให้บริการประชาชน และสําหรับงานอื่นที่ไม่จําเป็นต้องปฏิบัติงานในสถานที่ตั้ง ควรพิจารณาเปลี่ยนรูปแบบเป็นการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งแทน ต่างประเทศ 23. เรื่อง ร่างข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหมแห่งออสเตรเลีย ประกอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนด้านการส่งกําลังบํารุงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลีย คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงกลาโหม (กห.) จัดทําข้อตกลงระหว่าง กห. แห่งราชอาณาจักรไทย กับ กห. แห่งออสเตรเลีย ประกอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสนับสนุนด้านการส่งกําลังบํารุงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งประเทศออสเตรเลีย โดยให้เจ้ากรมส่งกําลังบํารุงทหาร หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างข้อตกลง ตามที่ กห. เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างข้อตกลงฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสําคัญของร่างข้อตกลงฯ ให้ กห. พิจารณาดําเนินการได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ มีกําหนดลงนามในร่างข้อตกลงฯ ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) คลี่คลาย สาระสําคัญของร่างข้อตกลง วัตถุประสงค์ เพื่ออํานวยความสะดวกในการจัดให้มีการสนับสนุนการส่งกําลังบํารุงตามที่ระบุในร่างข้อตกลงฯ ระหว่าง กห. ของทั้งสองประเทศ ขอบเขตของงาน จัดให้มีการสนับสนุนการส่งกําลังบํารุงในการซ้อมรบ การฝึกการวางกําลังการปฏิบัติการร่วม/ผสม และการดําเนินการในกรอบความร่วมมืออื่น ๆ รวมทั้งในสถานการณ์อื่น ๆ หรือภาวะฉุกเฉิน ด้วยการสนับสนุนยุทธภัณฑ์ทางทหารที่มิได้ใช้เพื่อการสังหาร และการบริการประเภทต่าง ๆ เช่น อาหาร ที่พัก เชื้อเพลิง การบริการติดต่อสื่อสาร การบริการทางการแพทย์ การก่อสร้าง การใช้อาคารสถานที่ การขนส่ง การใช้ยานพาหนะ เป็นต้น โดยไม่ขัดต่อกฎหมายหรือกฎระเบียบของแต่ละฝ่าย ขั้นตอนการขอรับการสนับสนุนให้จัดทําข้อตกลงในการปฏิบัติตามขั้นตอน (Procedural Arrangement) หรือใช้ใบสั่ง (Order) ตามแบบฟอร์มการสนับสนุนการส่งกําลังบํารุงระหว่างกันที่กําหนด ซึ่งผู้เข้าร่วมฝ่ายให้การสนับสนุนจะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการให้การสนับสนุนผู้เข้าร่วมฝ่ายขอรับการสนับสนุนตามที่ร้องขอ ข้อตกลงฉบับนี้ จะมีผล ณ วันที่มีการลงนามครั้งสุดท้าย และยังคงมีผลไปจนกว่าจะมีการยกเลิก 24. เรื่อง ร่างกรอบความตกลงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ ฉบับใหม่ คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อร่างกรอบความตกลงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ฉบับใหม่ กรณีที่มีความจําเป็นจะต้องปรับปรุงถ้อยคําหรือสาระสําคัญของหนังสือสัญญาที่คณะรัฐมนตรีได้เคยอนุมัติหรือเห็นชอบไปแล้ว หากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบ ให้สามารถดําเนินการได้โดยให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย และอนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในกรอบความตกลงฯ ฉบับใหม่ในนามอาเซียน โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ มีหนังสือแจ้งความเห็นชอบต่อร่างกรอบความตกลงฯ ฉบับใหม่ในนามประเทศไทยไปยังสํานักเลขาธิการอาเซียน ผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจําอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สาระสําคัญ กรอบความตกลงความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับยูนิเซฟมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้รับสิทธิตามข้อบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ในประเด็นที่เกี่ยวกับเด็ก โดยมีประเด็นความร่วมมือ ดังนี้ (1) สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. 2573 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งหมด 17 ข้อ ด้วยความเสมอภาค เช่น การเข้าถึงการศึกษาระดับประถมศึกษาแบบถ้วนหน้า การลดอัตราการเสียชีวิตของเด็ก การพัฒนาสุขภาพของมารดา การยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ เป็นต้น (2) การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือทางวิชาการด้านสาธารณสุข สวัสดิการสังคม และการพัฒนา เช่น การวิเคราะห์สถานการณ์เกี่ยวกับเด็กที่มุ่งเน้นความเท่าเทียม การเข้าถึงการศึกษาระดับมัธยมศึกษาอย่างเท่าเทียม การดูแลและพัฒนาการเด็กปฐมวัยและการเฝ้าระวังทางด้านโภชนาการและน้ํา สุขาภิบาล และสุขอนามัย เป็นต้น (3) การพัฒนามาตรฐานและคู่มือแนวทางเพื่อพัฒนาคุณภาพของนโยบายทางสังคมที่เกี่ยวกับเด็กและบริการทางสังคมสําหรับกลุ่มเปราะบาง เช่น การให้ความช่วยเหลือในการจัดทําเอกสารเกี่ยวกับกรอบการดําเนินงานในระดับประเทศ (เช่น การจดทะเบียน การออกใบอนุญาต) สําหรับองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทํางานด้านเด็ก การป้องกันและขจัดความรุนแรงต่อเด็กในโรงเรียน เป็นต้น (4) การเพิ่มพูนขีดความสามารถและสนับสนุนการดําเนินงานของอาเซียนในการส่งเสริมและการปกป้องสิทธิเด็กในภูมิภาค (5) การระบุถึงสถานการณ์ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเด็กในระดับภูมิภาค เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาที่เกิดจากการขยายตัวของเมือง และการเพิ่มภูมิคุ้มกันผ่านการลดความเสี่ยง ซึ่งมีชุมชน เป็นฐานและมีเด็กเป็นศูนย์กลาง โดยมีการปรึกษาหารือกับองค์กรอาเซียนเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้อง (6) การสร้างความร่วมมือด้านการคุ้มครองทางสังคม รวมทั้งการพัฒนาระบบการสนับสนุนแบบบูรณาการภายในประเทศสําหรับเด็กและครอบครัว ซึ่งครอบครัวต่าง ๆ จะได้รับทรัพยากรและการสนับสนุนที่เอื้อต่อการเติบโตและพัฒนาการสูงสุดของเด็ก กิจกรรม ได้แก่ การปรึกษาหารือ การแลกเปลี่ยน และการเผยแพร่ข้อมูลในประเด็นต่าง ๆ ด้านเด็ก การประชุม การสัมมนา การฝึกอบรม และการประชุมเชิงปฏิบัติการที่ร่วมกันดําเนินการ หรือร่วมกันสนับสนุนการช่วยเหลือด้านวิชาการ งานวิจัยและการศึกษาร่วมกัน รวมทั้งการผลิตเอกสารสิ่งพิมพ์ร่วมกันที่รวบรวมข้อมูลบทเรียนการปฏิบัติงานที่ดี การแลกเปลี่ยนความรู้ และการส่งเสริมการระดมความคิดเห็นในเรื่องสิทธิเด็กต่างๆ การรณรงค์พิทักษ์สิทธิและการสร้างความตระหนักรู้ และ การเข้าร่วมการประชุม การประชุมวิชาการ การสัมมนา และการประชุมเชิงปฏิบัติการในประเด็นความร่วมมือที่ได้ระบุไว้ ทั้งนี้ กรอบข้อตกลงนี้จะมีผลเป็นระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกัน และอาจมีการต่ออายุระยะเวลาอีก 5 ปี โดยความยินยอมร่วมกันทั้งสองฝ่าย โดยกรอบข้อตกลงนี้อาจจะยุติเมื่อใดก็ได้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้เวลาอีกฝ่ายล่วงหน้าเป็นเวลา 6 เดือน การยุติกรอบข้อตกลงความร่วมมือจะไม่มีผลกระทบต่อโครงการต่างๆ ที่กําลังดําเนินงานอยู่ให้สําเร็จตามที่ตกลงกันไว้ทั้งสองฝ่าย 25. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMO Member State Audit Scheme: IMSAS) คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่ กระทรวงคมนาคม (คค.) ดังนี้ ร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization: IMO) เกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (Memorandum of Cooperation between the Kingdom of Thailand and the International Maritime Organization concerning Participation in the IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขข้อความในร่างบันทึกความร่วมมือดังกล่าว ที่มิใช่สาระสําคัญและการแก้ไขนั้นเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมเจ้าท่าสามารถดําเนินการได้ โดยประสานกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง อนุมัติให้อธิบดีกรมเจ้าท่าหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ ฝ่ายไทย และมอบหมายให้ กต. ออกหนังสือมอบอํานาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่อธิบดีกรมเจ้าท่าหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสําหรับการลงนามดังกล่าวต่อไป อนุมัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMSAS) ตามกําหนดการของ IMO และดําเนินการตามพันธกรณีของอนุสัญญาระหว่างประเทศของ IMO ตลอดจนร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินการตามที่คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อประสานงานกับ IMO กําหนด โดยให้กรมเจ้าท่าเป็นหน่วยประสานการปฏิบัติ (ยังไม่มีกําหนดวันลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือดังกล่าว ทั้งนี้ IMO ได้กําหนดการตรวจสอบประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2564) สาระสําคัญของเรื่อง ร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (Memorandum of Cooperation between the Kingdom of Thailand and the International Maritime Organization concerning Participation in the IMO Member State Audit Scheme : IMSAS) ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับบันทึกความร่วมมือระหว่างราชอาณาจักรไทยและองค์การทางทะเลระหว่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมโครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกโดยสมัครใจ ที่ประเทศไทยได้เคยลงนามและได้รับการตรวจสอบจากองค์การทางทะเลระหว่างประเทศตามบันทึกความร่วมมือดังกล่าวในปี 2550 โดยปัจจุบันได้มีการปรับปรุงแก้ไขในประเด็นส่วนใหญ่ที่เคยมีปัญหาแล้ว เช่น กรมเจ้าท่าได้ออกกฎข้อบังคับสําหรับการตรวจเรือ (ฉบับที่ 45) พ.ศ. 2558 เพื่อกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการกํากับดูแลองค์กรที่ได้รับการยอมรับ และจัดทําความตกลงกับองค์กรที่ได้รับการยอมรับ 7 ราย แต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่าง ๆ เพื่อดําเนินการตามพันธกรณีอนุสัญญาระหว่างประเทศขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ จัดทําแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานสําหรับการจัดเก็บข้อมูล และการตรวจเรือ ทั้งนี้ การลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะเป็นการให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือแก่คณะผู้ตรวจสอบในการเข้ามาตรวจประเมินประสิทธิภาพการดําเนินงานของประเทศไทยในการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาและพิธีสารที่สําคัญขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ โดยผลการตรวจสอบมิได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการลงโทษ แต่จะใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเลขาธิการองค์การทางทะเลระหว่างประเทศได้กําหนดการตรวจสอบประเทศไทยภายใต้โครงการตรวจสอบประเทศสมาชิกองค์การทางทะเลระหว่างประเทศภาคบังคับ (IMSAS) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งช่วยสนับสนุนการพัฒนากิจการพาณิชย์นาวีของไทยและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประเทศไทยได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลกตามนโยบายของรัฐบาล 26. เรื่อง การขอขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Center) ของทางการเมียนมา คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงาน เมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Center) ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ออกไปอีก 1 ปี โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการ ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กระทรวงแรงงาน (รง.) (กรมการจัดหางาน) จังหวัดสมุทรสาคร โดยกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด และสํานักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรสาครเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับทางการเมียนมาให้ดําเนินการตามมติที่ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเรื่องรัฐบาลเมียนมาขอขยายเวลาการดําเนินการของศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวที่จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร เป็นหน่วยงานที่พิจารณากําหนด วัน เวลา ในการเริ่มเปิดดําเนินการ รวมทั้งพิจารณาแนวทางการปฏิบัติงานของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯ ให้สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สาระสําคัญของเรื่อง กระทรวงแรงงาน (รง.) ได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการขอขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection Center) ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งสิ้นสุดการดําเนินการเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2563 ออกไปอีก 1 ปี และขอให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) รง. (กรมการจัดการงาน) และจังหวัดสมุทรสาคร (กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดและสํานักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรสาคร) เป็นหน่วยงานหลักในการประสานกับทางการเมียนมาให้ดําเนินการตามผลประชุมร่วมระหว่างสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาครพิจารณากําหนด วัน เวลา ในการเปิดดําเนินการ รวมทั้งแนวทางการปฏิบัติงานของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯ ให้สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยการดําเนินการของศูนย์ดังกล่าวยังคงเป็นไปตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2562 การดําเนินการของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บข้อมูลของแรงงานเมียนมาที่ประสงค์ขอมีหนังสือเดินทาง กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มแรงงานเมียนมา ระยะเวลาการดําเนินงาน ดําเนินการชั่วคราวของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯ เป็นระยะเวลา 1 ปี เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่จากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จํานวน 13 คน (ไม่มีการขอเอกสิทธิ์คุ้มครองการทางการทูต) สถานที่ตั้ง ตลาดทะเลไทย ตําบลท่าจีน อําเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ ไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ (ยกเว้นเมื่อไปรับหนังสือเดินทาง ต้องเสียค่าใช้จ่ายจํานวน 1,050 บาท) สถานที่สําหรับรับหนังสือเดินทาง 1. สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาแห่งประเทศไทย 2. ศูนย์ออกหนังสือเดินทางบริเวณชายแดน 3 แห่ง ได้แก่ ฝั่งท่าขี้เหล็ก ฝั่งเมียวดี และฝั่งเกาะสอง 27. เรื่อง ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนวาระพิเศษผ่านระบบการประชุมทางไกล (Special Meeting of ASEAN Tourism Ministers on COVID-19) (กก.) คณะรัฐมนตรีรับทราบผลประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนวาระพิเศษผ่านระบบการประชุมทางไกล (Special Meeting of ASEAN Tourism Ministers on COVID-19) ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) ได้เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563 มีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ สาระสําคัญ 1. การดําเนินมาตรการของประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศเพื่อลดผลกระทบของ COVID-19 และช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สรุปได้ ดังนี้ (1) การให้การสนับสนุนทางการเงิน สนับสนุนทางการเงินให้แก่กลุ่มลูกจ้างและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง และวิสาหกิจขนาดย่อม (Micro, Small and Medium-sized Enterprises: MSME) เช่น การลดภาษีธุรกิจ การผ่อนผันการชําระเงินสมทบของลูกจ้างเข้ากองทุนบําเหน็จบํานาญ การกําหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการสนับสนุนเงินทุนและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (2) การยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล แก้ไขปัญหาและสร้างความมั่นใจแก่ภาคธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามสถานการณ์ COVID-19 และการพัฒนาชุดตรวจ COVID-19 ที่ทราบ ผลรวดเร็วและแม่นยํา (3) การเสริมสร้างขีดความสามารถและทักษะของบุคลากรด้านการท่องเที่ยว สนับสนุนการพัฒนาทักษะของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวให้ทันต่อสถานการณ์และพร้อมที่จะกลับเข้าสู่ตลาดภายหลังวิกฤตการณ์ COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (4) การประสานงานระหว่างหน่วยงาน กระทรวงการท่องเที่ยวของประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ COVID-19 ตามคําแนะนําขององค์การอนามัยโลกและองค์การการท่องเที่ยวโลก โดยประเทศอาเซียนส่วนใหญ่ได้จัดตั้งหน่วยงานพิเศษหรือคณะกรรมการขึ้นเพื่อรับมือ COVID-19 โดยเฉพาะ (5) การจัดกิจกรรมผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ส่งเสริมสุขภาพและความปลอดภัยผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมในการสนับสนุนรัฐบาลในการควบคุมการแพร่กระจายของ COVID-19 (6) การเตรียมแผนการฟื้นฟู อยู่ระหว่างจัดเตรียมแผนการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว โดยหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าการตอบสนองเชิงนโยบายจะมีความเหมาะสม และคาดการณ์ว่าจะมีการดําเนินแผนการฟื้นฟูทั้งระยะสั้น (6 เดือนถึง 1 ปี) และระยะยาว (มากกว่า 1 ปี) ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า ประเทศไทยมีมาตรการในการบรรเทา เยียวยา และฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดขึ้นจาก COVID-19 โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ โดยในระยะแรกประกอบด้วย มาตรการด้านการเงินการคลัง และมาตรการด้านการให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ส่วนมาตรการระยะที่สองประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ มาตรการเสริมสร้างและการรักษาขีดความสามารถด้านการท่องเที่ยว มาตรการสร้างรายได้แก่สถานประกอบการท่องเที่ยว การพัฒนาทักษะบุคลากรด้านการท่องเที่ยว การสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและด้านสุขอนามัย การช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยว และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ 2. ถ้อยแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนวาระพิเศษ ซึ่งรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนได้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ดังกล่าว โดยมีสาระสําคัญคือ การแสดงความห่วงใยและยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันในการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ตลอดจนเตรียมความพร้อมสําหรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์คลี่คลายลง ทั้งนี้ เอกสารถ้อยแถลงการณ์ดังกล่าวมีสาระสําคัญที่ไม่แตกต่างจากร่างเอกสารที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 28. เรื่อง ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมระดับสูงผ่านระบบการประชุมทางไกลว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง: การต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คณะรัฐมนตรีเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมระดับสูงผ่านระบบการประชุมทางไกลว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง: การต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมประชุมดังกล่าว และร่วมให้การรับรองร่างถ้อยแถลงฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศ เสนอ สาระสําคัญร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศตามแนวเส้นทางเศรษฐกิจสายไหมที่จะร่วมมือกันในการรับมือกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ 1. ตระหนักถึงผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งเป็นความท้าทายที่ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาคมโลก บนพื้นฐานของความเป็นเอกภาพ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและการสนับสนุนซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งสนับสนุนบทบาทและการดําเนินการของสหประชาชาติและองค์การอนามัยโลกในการควบคุมและจํากัดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) 2. แสดงความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือ ดังนี้ (1) การป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ การให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่ได้รับผลกระทบ การส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีน เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ การให้การสนับสนุนด้านสุขภาพและการบริการที่จําเป็นแก่ประชาชนของประเทศตามแนวเส้นทางเศรษฐกิจสายไหม รวมทั้งผู้ที่ทํางานภายใต้โครงการสายแถบและเส้นทาง ตลอดจนการสนับสนุนกลไกระดับทวิภาคี ภูมิภาค และระหว่างประเทศ ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ (2) การกระชับความร่วมมือในการพัฒนาความเชื่อมโยง โดยการส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งที่มีคุณภาพสูงและยั่งยืน บนพื้นฐานของการเปิดกว้าง ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การสนับสนุนการเปิดเส้นทางคมนาคมเพื่อส่งเสริมการค้าข้ามพรมแดนและการขนส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จําเป็น รวมถึงการสนับสนุนการจัดตั้งช่องทางพิเศษเพื่ออํานวยความสะดวกด้านการค้าและการเดินทางของนักธุรกิจ (3) การส่งเสริมการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ โดยการสนับสนุนการเปิดตลาด ระบบการค้าพหุภาคี การรักษาห่วงโซ่การผลิตโลกเพื่ออํานวยความสะดวกด้านการค้า การลงทุน การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และการบริการทางอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ รวมทั้งความเชื่อมโยงด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการบรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (4) การส่งเสริมความร่วมมือที่ปฏิบัติได้จริง โดยการส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมภายใต้ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง การสานต่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ เขตเศรษฐกิจ และการดําเนินโครงการต่าง ๆ ที่มีความยั่งยืน ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม การเงินและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการดําเนินการตามหลักการและฉันทามติของการประชุมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 2 29. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสําหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 (Joint Ministerial Statement of the Twenty Third ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council) คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสําหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดผลประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดําเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าผู้แทนไทยในการประชุมคณะรัฐมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมสําหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอ สาระสําคัญ ร่างถ้อยแถลงร่วมสําหรับการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 มีสาระสําคัญ ดังนี้ 1) สนับสนุน การเป็นประธานอาเซียนของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามภายใต้แนวคิดหลัก “แน่นแฟ้นและตอบสนอง” และแผนงานสําคัญสําหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนของเวียดนามซึ่งรวมถึง ก) ความเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ความแน่นแฟ้น และการแสวงหาผลประโยชน์จากโอกาส ข) การส่งเสริมอัตลักษณ์อาเซียนและความตระหนักรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน ค) การยกระดับความเป็นหุ้นส่วนกับประชาคมโลกในด้านสันติภาพ ความมั่นคง และการพัฒนาอย่างยั่งยืนของอาเซียน และ ง) การเพิ่มพูนขีดความสามารถและประสิทธิภาพทางสถาบันของอาเซียน 2) รับรอง “ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สําหรับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปของงาน” ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 36 3) ต้อนรับปี 2563 ในฐานะปีแห่งอัตลักษณ์อาเซียน ซึ่งจะส่งเสริมความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียนในหมู่ประชาชน และผสานความพยายามร่วมกันในการสร้างประชาคมอาเซียนที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน 4) สนับสนุนข้อเสนอการมีส่วนร่วมของคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนในการพบปะหารือระหว่างเยาวชนและผู้นําอาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 36 และการประชุมสมัยพิเศษว่าด้วยความเสมอภาคระหว่างเพศและการเสริมพลังสตรี 5) รับทราบความก้าวหน้าในการอนุวัติการแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน และส่งเสริมการประเมินผลครึ่งแผนของแผนงานประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน พ.ศ. 2568 ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมสําหรับการประชุมคณะมนตรีประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 23 ในวันอังคารที่ 23 มิถุนายน 2563 นี้ 30. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) คณะรัฐมนตรีเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดําเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองและออกถ้อยแถลงของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 (โควิด-19) ตามที่ กต. เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง ร่างถ้อยแถลงของของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เป็นเอกสารแสดงเจตนารมย์ของรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย เพื่อร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งในด้านการป้องกัน เฝ้าระวัง และรักษา ซึ่งรวมถึงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาต้านไวรัส เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน การดูแลและอํานวยความสะดวกในการเดินทางกลับของคนชาติประเทศสมาชิกอาเซียนและรัสเซียที่ได้รับผลกระทบในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งแสดงความมุ่งมั่นในการรับมือกับผลกระทบในด้านต่าง ๆ จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจตลอดจนยินดีต่อการจัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 และการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนการเงินความเป็นหุ้นส่วนคู่เจรจา อาเซียน-รัสเซีย (ASEAN-Russia Dialogue Partnership Financial Fund) เพื่อดําเนินโครงการที่เกี่ยวกับสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขร่วมกัน ทั้งนี้ การประชุมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-รัสเซีย สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) มีกําหนดจะจัดขึ้นในวันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563 แต่งตั้ง 31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง นายสุพรชัย กาญจนวาสี นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จํานวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้ 1. นางสาวกรรณิกา ชูเกียรติมั่น ทันตแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านทันตกรรม) สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ดํารงตําแหน่ง ทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตกรรม) สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2562 2. นางสาวประไพ วงศ์สินคงมั่น ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาตรฐานและคุณภาพของสมุนไพร (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ) สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดํารงตําแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (เคมี) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 3. นางสิริภากร แสงกิจพร ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพันธุกรรมทางคลินิก (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เชี่ยวชาญ) กลุ่มพันธุกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ดํารงตําแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ชีววิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นายวรวุฒิ พงษ์ประภาพันธ์ กงสุลใหญ่ (นักบริหารการทูต ระดับต้น) สถานกงสุลใหญ่ ณ แขวงสะหวันนะเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่ง เอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน สํานักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตประจําต่างประเทศดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับ 34.เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนคร คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี (นายเทวัญ ลิปตพัลลภ) ในฐานะกํากับดูแลสํานักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เสนอแต่งตั้ง พลตํารวจโท ประหยัชว์ บุญศรีเป็นกรรมการภาคเอกชนในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนคร แทนตําแหน่งที่ว่างลง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป .............. (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32359
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“โฮยา”ผลิตเลนส์แก้วตาเทียมแห่งแรกในไทย
วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2560 “โฮยา”ผลิตเลนส์แก้วตาเทียมแห่งแรกในไทย บีโอไอร่วมแสดงความยินดี “โฮยา” เปิดโรงงานแห่งใหม่ ลงทุนผลิตเลนส์แก้วตาเทียมแห่งแรก ในประเทศไทย เป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความสะดวกในการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายสําหรับผู้ป่วยโรคต้อกระจก มั่นใจเป็นฐานผลิตที่จะช่วยการเติบโตของบริษัทในอนาคต นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า วันนี้ (15 สิงหาคม 2560) บีโอไอได้ร่วมแสดงความยินดีในพิธีเปิดโรงงานผลิตเลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens) ของบริษัท โฮยา เซอร์จิคัล ออปติคส์ (HSO) ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลําพูน เป็นโรงงานผลิตเลนส์แก้วตาเทียมแห่งแรกของเครือโฮยาในประเทศไทย เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทได้ขยายโครงการผลิตเลนส์แก้วตาเทียมมาจากโรงงานที่ประเทศสิงคโปร์ โดยเป็นโครงการผลิตเลนส์แก้วตาเทียม สําหรับเปลี่ยนถ่ายแก่ผู้ป่วยโรคต้อกระจก (Cataract)ที่มีคุณสมบัติพิเศษ ด้วยการบรรจุเลนส์อยู่ในเครื่องตัวนํา (Injector) เพื่อให้แพทย์สามารถนําไปฉีดเข้าสู่นัยน์ตาผู้ป่วยได้โดยตรง ช่วยให้การผ่าตัดมีความสะดวกรวดเร็ว แม่นยํา ขณะที่เครื่องตัวนําแต่ละชิ้นเป็นแบบใช้ครั้งเดียว จึงทําให้มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น “การตั้งโรงงานผลิตเลนส์แก้วตาเทียมในประเทศไทยครั้งนี้เป็นการลงทุนครั้งสําคัญที่จะรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต และตอกย้ําถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเป็นฐานการลงทุนในกิจการเครื่องมือแพทย์ของไทย นอกจากนี้ยังมีการวิจัยและพัฒนาเลนส์แบบใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วย จึงเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0”นางหิรัญญา กล่าว สําหรับบริษัท โฮยา เซอร์จิคัล ออปติคส์ เป็นหนึ่งในเครือของโฮยา คอร์ปอเรชั่น บริษัทชั้นนําระดับโลกด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ ซึ่งมีการลงทุนในกิจการผลิตเลนส์สายตาในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2523 และปัจจุบัน บริษัทโฮยา เซอร์จิคัล ออปติคส์ เป็นหนึ่งในผู้นําการผลิตเลนส์แก้วตาเทียมในตลาดโลก +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“โฮยา”ผลิตเลนส์แก้วตาเทียมแห่งแรกในไทย วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2560 “โฮยา”ผลิตเลนส์แก้วตาเทียมแห่งแรกในไทย บีโอไอร่วมแสดงความยินดี “โฮยา” เปิดโรงงานแห่งใหม่ ลงทุนผลิตเลนส์แก้วตาเทียมแห่งแรก ในประเทศไทย เป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความสะดวกในการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายสําหรับผู้ป่วยโรคต้อกระจก มั่นใจเป็นฐานผลิตที่จะช่วยการเติบโตของบริษัทในอนาคต นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า วันนี้ (15 สิงหาคม 2560) บีโอไอได้ร่วมแสดงความยินดีในพิธีเปิดโรงงานผลิตเลนส์แก้วตาเทียม (Intraocular Lens) ของบริษัท โฮยา เซอร์จิคัล ออปติคส์ (HSO) ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลําพูน เป็นโรงงานผลิตเลนส์แก้วตาเทียมแห่งแรกของเครือโฮยาในประเทศไทย เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทได้ขยายโครงการผลิตเลนส์แก้วตาเทียมมาจากโรงงานที่ประเทศสิงคโปร์ โดยเป็นโครงการผลิตเลนส์แก้วตาเทียม สําหรับเปลี่ยนถ่ายแก่ผู้ป่วยโรคต้อกระจก (Cataract)ที่มีคุณสมบัติพิเศษ ด้วยการบรรจุเลนส์อยู่ในเครื่องตัวนํา (Injector) เพื่อให้แพทย์สามารถนําไปฉีดเข้าสู่นัยน์ตาผู้ป่วยได้โดยตรง ช่วยให้การผ่าตัดมีความสะดวกรวดเร็ว แม่นยํา ขณะที่เครื่องตัวนําแต่ละชิ้นเป็นแบบใช้ครั้งเดียว จึงทําให้มีความปลอดภัยยิ่งขึ้น “การตั้งโรงงานผลิตเลนส์แก้วตาเทียมในประเทศไทยครั้งนี้เป็นการลงทุนครั้งสําคัญที่จะรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต และตอกย้ําถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเป็นฐานการลงทุนในกิจการเครื่องมือแพทย์ของไทย นอกจากนี้ยังมีการวิจัยและพัฒนาเลนส์แบบใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วย จึงเป็นอีกหนึ่งโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0”นางหิรัญญา กล่าว สําหรับบริษัท โฮยา เซอร์จิคัล ออปติคส์ เป็นหนึ่งในเครือของโฮยา คอร์ปอเรชั่น บริษัทชั้นนําระดับโลกด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ ซึ่งมีการลงทุนในกิจการผลิตเลนส์สายตาในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2523 และปัจจุบัน บริษัทโฮยา เซอร์จิคัล ออปติคส์ เป็นหนึ่งในผู้นําการผลิตเลนส์แก้วตาเทียมในตลาดโลก +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5959
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. สพฉ. สสส. ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับโลกป้องกันการบาดเจ็บและการส่งเสริมด้านความปลอดภัย ครั้งที่ 13
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 สธ. สพฉ. สสส. ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับโลกป้องกันการบาดเจ็บและการส่งเสริมด้านความปลอดภัย ครั้งที่ 13 กระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลก ว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13 เน้นความปลอดภัยทางถนน การป้องกันป วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงมยุรา กุสุมภ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานพิธีลงนามความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13(Safety2018: World Conference on injury Prevention and Safety Promotion)โดยมีผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทยร่วมเป็นเกียรติ แพทย์หญิงมยุรากล่าวว่าประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13 ต่อจากประเทศฟินแลนด์ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals)ใช้ธีมงาน“ก้าวหน้าสู่โลกที่ปลอดภัย ห่างไกลการบาดเจ็บและความรุนแรงอย่างยั่งยืน”(Advancing Injury and Violence Prevention towards SDGs)โดยกําหนดจัดในวันที่ 3 - 7 พฤศจิกายน 2561 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC)บางนา โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดําเนินทรงเป็นประธานเปิดงานในวันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561 เวลา 9.00 น. มีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่อาวุโสที่กําหนดนโยบายของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย นักวิชาการ ผู้ปฏิบัติงาน นิสิต นักศึกษา จากทั่วโลกประมาณ 1,500 คนเข้าร่วมการประชุม การจัดประชุมครั้งนี้ เป็นเวทีสําคัญในการนําเสนอข้อมูลองค์ความรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการ ผลความก้าวหน้าในการดําเนินงานด้านการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัยทั้งระดับประเทศและระหว่างประเทศเพื่อนําไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาของสังคมทั้งในเชิงนโยบาย และเชิงสาธารณะ รวมทั้งเป็นเวทีของการสร้างงานวิจัยให้มีคุณภาพ โดยในระหว่างการประชุม ประเทศไทยจะมีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ และการรณรงค์ด้านการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัยในด้านต่างๆทั้งในบ้าน โรงเรียน สถานประกอบการ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัยให้ประชาชนใช้ชีวิตประจําวัน อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการบาดเจ็บจากจราจรทางถนน และการป้องกันปัญหาการบาดเจ็บ ความรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยง หรือผู้ด้อยโอกาส ด้านนายแพทย์พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าการจัดประชุมระดับโลก ว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งนี้ ทั้ง 3 หน่วยงานจะเป็นเจ้าภาพหลักโดยกระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบในการบริหารจัดการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ รับผิดชอบด้านการดําเนินงานทางวิชาการและสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพรับผิดชอบด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อให้การประชุมบรรลุตามวัตถุประสงค์ นายแพทย์สัญชัย ชาสมบัติ ผู้ช่วยเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า สพฉ.ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความปลอดภัยและการป้องกันการบาดเจ็บ เพื่อเชื่อมโยงสู่เป้าหมายความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการลดความสูญเสียจากการบาดเจ็บ จึงร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกด้านการป้องกันการบาดเจ็บและการส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13 โดย สพฉ.รับผิดชอบการดําเนินงานด้านวิชาการทั้งหมด เช่น การรับและพิจารณาบทคัดย่อผลงานวิชาการ การจัดทํากําหนดการประชุม การจัดนิทรรศการแสดงผลงานด้านความปลอดภัยของหน่วยงานต่างๆ รวมถึงการกําหนดเกณฑ์ในการพิจารณาจัดสรรทุน ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของเครือข่ายทางวิชาการด้านความปลอดภัย ตลอดจนขับเคลื่อนนโยบายด้านความปลอดภัยในระดับประเทศและนานาชาติต่อไป ทางด้าน ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. ให้ความสําคัญกับแผนพัฒนาแห่งสหัสวรรษ หรือSDGsเพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความยั่งยืน โดยมุ่งเน้น เรื่องการพัฒนาความปลอดภัยทางถนน และระบบขนส่งสาธารณะเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนจึงร่วมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับโลกด้านการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13 ซึ่งเป็นเวทีสําคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านความปลอดภัย เพื่อนํามาขับเคลื่อนทั้งในระดับนานาชาติ และระดับประเทศ สสส. และภาคีเครือข่าย มีความพร้อมในการสนับสนุนข้อมูลวิชาการ งานวิจัย และพื้นที่ต้นแบบในการจัดการความปลอดภัยในมิติต่างๆ เช่น ความปลอดภัยทางถนน ความปลอดภัยในเด็ก ความปลอดภัย ในผู้สูงอายุ อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทํางาน และระบบข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญในการส่งเสริมความเข้มแข็งทางวิชาการ การปฏิบัติงานด้านการป้องกันการบาดเจ็บ ตลอดจนพัฒนาองค์ความรู้และนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนด้านความปลอดภัยในระดับประเทศและนานาชาติต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. สพฉ. สสส. ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับโลกป้องกันการบาดเจ็บและการส่งเสริมด้านความปลอดภัย ครั้งที่ 13 วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 สธ. สพฉ. สสส. ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับโลกป้องกันการบาดเจ็บและการส่งเสริมด้านความปลอดภัย ครั้งที่ 13 กระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพแห่งชาติ ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลก ว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13 เน้นความปลอดภัยทางถนน การป้องกันป วันนี้ (8 กุมภาพันธ์ 2561) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี แพทย์หญิงมยุรา กุสุมภ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานพิธีลงนามความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในการร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13(Safety2018: World Conference on injury Prevention and Safety Promotion)โดยมีผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทยร่วมเป็นเกียรติ แพทย์หญิงมยุรากล่าวว่าประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13 ต่อจากประเทศฟินแลนด์ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals)ใช้ธีมงาน“ก้าวหน้าสู่โลกที่ปลอดภัย ห่างไกลการบาดเจ็บและความรุนแรงอย่างยั่งยืน”(Advancing Injury and Violence Prevention towards SDGs)โดยกําหนดจัดในวันที่ 3 - 7 พฤศจิกายน 2561 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC)บางนา โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดําเนินทรงเป็นประธานเปิดงานในวันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2561 เวลา 9.00 น. มีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่อาวุโสที่กําหนดนโยบายของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย นักวิชาการ ผู้ปฏิบัติงาน นิสิต นักศึกษา จากทั่วโลกประมาณ 1,500 คนเข้าร่วมการประชุม การจัดประชุมครั้งนี้ เป็นเวทีสําคัญในการนําเสนอข้อมูลองค์ความรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวิชาการ ผลความก้าวหน้าในการดําเนินงานด้านการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัยทั้งระดับประเทศและระหว่างประเทศเพื่อนําไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาของสังคมทั้งในเชิงนโยบาย และเชิงสาธารณะ รวมทั้งเป็นเวทีของการสร้างงานวิจัยให้มีคุณภาพ โดยในระหว่างการประชุม ประเทศไทยจะมีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ และการรณรงค์ด้านการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัยในด้านต่างๆทั้งในบ้าน โรงเรียน สถานประกอบการ รวมถึงสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัยให้ประชาชนใช้ชีวิตประจําวัน อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการบาดเจ็บจากจราจรทางถนน และการป้องกันปัญหาการบาดเจ็บ ความรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยง หรือผู้ด้อยโอกาส ด้านนายแพทย์พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าการจัดประชุมระดับโลก ว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งนี้ ทั้ง 3 หน่วยงานจะเป็นเจ้าภาพหลักโดยกระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบในการบริหารจัดการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ รับผิดชอบด้านการดําเนินงานทางวิชาการและสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพรับผิดชอบด้านการประชาสัมพันธ์เพื่อให้การประชุมบรรลุตามวัตถุประสงค์ นายแพทย์สัญชัย ชาสมบัติ ผู้ช่วยเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า สพฉ.ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความปลอดภัยและการป้องกันการบาดเจ็บ เพื่อเชื่อมโยงสู่เป้าหมายความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการลดความสูญเสียจากการบาดเจ็บ จึงร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับโลกด้านการป้องกันการบาดเจ็บและการส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13 โดย สพฉ.รับผิดชอบการดําเนินงานด้านวิชาการทั้งหมด เช่น การรับและพิจารณาบทคัดย่อผลงานวิชาการ การจัดทํากําหนดการประชุม การจัดนิทรรศการแสดงผลงานด้านความปลอดภัยของหน่วยงานต่างๆ รวมถึงการกําหนดเกณฑ์ในการพิจารณาจัดสรรทุน ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความเข้มแข็งของเครือข่ายทางวิชาการด้านความปลอดภัย ตลอดจนขับเคลื่อนนโยบายด้านความปลอดภัยในระดับประเทศและนานาชาติต่อไป ทางด้าน ดร.ประกาศิต กายะสิทธิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. ให้ความสําคัญกับแผนพัฒนาแห่งสหัสวรรษ หรือSDGsเพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความยั่งยืน โดยมุ่งเน้น เรื่องการพัฒนาความปลอดภัยทางถนน และระบบขนส่งสาธารณะเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนจึงร่วมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับโลกด้านการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13 ซึ่งเป็นเวทีสําคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านความปลอดภัย เพื่อนํามาขับเคลื่อนทั้งในระดับนานาชาติ และระดับประเทศ สสส. และภาคีเครือข่าย มีความพร้อมในการสนับสนุนข้อมูลวิชาการ งานวิจัย และพื้นที่ต้นแบบในการจัดการความปลอดภัยในมิติต่างๆ เช่น ความปลอดภัยทางถนน ความปลอดภัยในเด็ก ความปลอดภัย ในผู้สูงอายุ อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทํางาน และระบบข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญในการส่งเสริมความเข้มแข็งทางวิชาการ การปฏิบัติงานด้านการป้องกันการบาดเจ็บ ตลอดจนพัฒนาองค์ความรู้และนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนด้านความปลอดภัยในระดับประเทศและนานาชาติต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9959
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ประชุมหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560 พม. ประชุมหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม พม. ประชุมหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม เพื่อเร่งผลักดันงานด้านผู้สูงอายุให้เกิดผลเป็นรูปธรรม วันนี้ (29 พ.ค. 2560) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม. ) พร้อมด้วยนายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม และคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบรองรับสังคมสูงวัยและผู้ด้อยโอกาส ซึ่งนําโดยนายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือเกี่ยวกับการดําเนินงาน เรื่อง "การเตรียมการผู้สูงอายุ" พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า เนื่องด้วยสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศได้กําหนดวาระการปฏิรูปที่สําคัญและเร่งด่วน (27 วาระ) ในปี 2560 โดยกําหนดให้เรื่อง "การเตรียมการผู้สูงอายุ" เป็นหนึ่งในวาระเร่งด่วนที่จะต้องดําเนินการขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมสอดคล้องการดําเนินงานของรัฐบาล และคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ปยป.) ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม มีความสอดคล้องกับการดําเนินงานของรัฐบาล และ ปยป. สามารถเกิดผลเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจน คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม จึงได้เข้าพบตนและคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพื่อหารือข้อราชการ เรื่องการเตรียมการผู้สูงอายุ ที่เกี่ยวข้องกับ พม. และติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อเสนอการปฏิรูป เรื่อง “การพัฒนากฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่เอื้อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถดําเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตและดูแลผู้สูงอายุ” รวมทั้งความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวง พม. ร่วมพิจารณาแก้ไขข้อจํากัดของระเบียบวิธีปฏิบัติ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถขับเคลื่อนการดําเนินงานเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ได้ดําเนินงานด้านผู้สูงอายุตามภารกิจที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ การจัดสวัสดิการ และการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิผู้สูงอายุ รวมทั้งการพัฒนารูปแบบงานด้านสวัสดิการสังคมให้ครอบคลุมและตอบสนองต่อสภาพการณ์ทางสังคม เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างความมั่นคงในการดํารงชีวิตของผู้สูงอายุมาอย่างต่อเนื่อง สําหรับการขับเคลื่อนงานผู้สูงอายุตามยุทธศาสตร์ 20 ปี นั้น ได้ขับเคลื่อนงานด้านต่างๆ อาทิ 1) การจัดทํามาตรฐานกลางใน 3 ด้าน (มาตรฐานหลักสูตรการดูแล ผู้ดูแล และสถานที่ดูแล) 2) ส่งเสริมการบูรณาการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุร่วมกับหน่วยงานต่างๆทั้งส่วนกลางและในระดับพื้นที่ 3) การพัฒนาและยกระดับศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.)ทั้ง 12 แห่ง ทั่วประเทศ ให้เป็นสถาบันที่รับผิดชอบภารกิจงานด้านผู้สูงอายุในเขตจังหวัด ครอบคลุม 76 จังหวัดเป็นสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านผู้สูงอายุ เป็นต้นแบบการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุในระดับพื้นที่ สนับสนุนองค์ความรู้ด้านผู้สูงอายุให้กับหน่วยงาน องค์กรเครือข่ายทั่วประเทศ กํากับ ติดตามงานด้านผู้สูงอายุให้เป็นไปตามมาตรฐานที่รัฐกําหนด “นอกจากนี้ ยังเร่งขับเคลื่อนการดําเนินงานศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) ซึ่งปัจจุบัน มีจํานวน 879 แห่ง ทั่วประเทศ และในปี 2561 จะขยายผล ศพอส. เพิ่มอีก 400 แห่ง เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ศพอส. จะศูนย์กลางการจัดกิจกรรมและบริการด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ 4 มิติ ได้แก่ มิติด้านสังคม สุขภาพ เศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อม ซึ่งจะมีถ่ายโอนศูนย์ที่ได้มาตรฐานให้แก่ท้องถิ่นดูแลต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ประชุมหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560 พม. ประชุมหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม พม. ประชุมหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม เพื่อเร่งผลักดันงานด้านผู้สูงอายุให้เกิดผลเป็นรูปธรรม วันนี้ (29 พ.ค. 2560) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม. ) พร้อมด้วยนายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) และคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ให้การต้อนรับคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม และคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบรองรับสังคมสูงวัยและผู้ด้อยโอกาส ซึ่งนําโดยนายอโณทัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ในโอกาสเข้าพบเพื่อหารือเกี่ยวกับการดําเนินงาน เรื่อง "การเตรียมการผู้สูงอายุ" พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า เนื่องด้วยสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศได้กําหนดวาระการปฏิรูปที่สําคัญและเร่งด่วน (27 วาระ) ในปี 2560 โดยกําหนดให้เรื่อง "การเตรียมการผู้สูงอายุ" เป็นหนึ่งในวาระเร่งด่วนที่จะต้องดําเนินการขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมสอดคล้องการดําเนินงานของรัฐบาล และคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ปยป.) ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม มีความสอดคล้องกับการดําเนินงานของรัฐบาล และ ปยป. สามารถเกิดผลเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจน คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสังคม จึงได้เข้าพบตนและคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เพื่อหารือข้อราชการ เรื่องการเตรียมการผู้สูงอายุ ที่เกี่ยวข้องกับ พม. และติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อเสนอการปฏิรูป เรื่อง “การพัฒนากฎ ระเบียบ ข้อบังคับที่เอื้อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถดําเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตและดูแลผู้สูงอายุ” รวมทั้งความคืบหน้าเกี่ยวกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวง พม. ร่วมพิจารณาแก้ไขข้อจํากัดของระเบียบวิธีปฏิบัติ เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถขับเคลื่อนการดําเนินงานเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ได้ดําเนินงานด้านผู้สูงอายุตามภารกิจที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ การจัดสวัสดิการ และการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิผู้สูงอายุ รวมทั้งการพัฒนารูปแบบงานด้านสวัสดิการสังคมให้ครอบคลุมและตอบสนองต่อสภาพการณ์ทางสังคม เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างความมั่นคงในการดํารงชีวิตของผู้สูงอายุมาอย่างต่อเนื่อง สําหรับการขับเคลื่อนงานผู้สูงอายุตามยุทธศาสตร์ 20 ปี นั้น ได้ขับเคลื่อนงานด้านต่างๆ อาทิ 1) การจัดทํามาตรฐานกลางใน 3 ด้าน (มาตรฐานหลักสูตรการดูแล ผู้ดูแล และสถานที่ดูแล) 2) ส่งเสริมการบูรณาการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุร่วมกับหน่วยงานต่างๆทั้งส่วนกลางและในระดับพื้นที่ 3) การพัฒนาและยกระดับศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.)ทั้ง 12 แห่ง ทั่วประเทศ ให้เป็นสถาบันที่รับผิดชอบภารกิจงานด้านผู้สูงอายุในเขตจังหวัด ครอบคลุม 76 จังหวัดเป็นสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านผู้สูงอายุ เป็นต้นแบบการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุในระดับพื้นที่ สนับสนุนองค์ความรู้ด้านผู้สูงอายุให้กับหน่วยงาน องค์กรเครือข่ายทั่วประเทศ กํากับ ติดตามงานด้านผู้สูงอายุให้เป็นไปตามมาตรฐานที่รัฐกําหนด “นอกจากนี้ ยังเร่งขับเคลื่อนการดําเนินงานศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) ซึ่งปัจจุบัน มีจํานวน 879 แห่ง ทั่วประเทศ และในปี 2561 จะขยายผล ศพอส. เพิ่มอีก 400 แห่ง เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ศพอส. จะศูนย์กลางการจัดกิจกรรมและบริการด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ 4 มิติ ได้แก่ มิติด้านสังคม สุขภาพ เศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อม ซึ่งจะมีถ่ายโอนศูนย์ที่ได้มาตรฐานให้แก่ท้องถิ่นดูแลต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4121
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ขับเคลื่อนชุมชนเข้มแข็ง ร่วมเสริมทัพเดินหน้าสังคมแห่งการออม
วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560 กอช. ขับเคลื่อนชุมชนเข้มแข็ง ร่วมเสริมทัพเดินหน้าสังคมแห่งการออม กอช. ลงพื้นที่สถาบันการเงินชุมชนบ้านลาดหญ้าแพรก จ.นครปฐม ร่วมขับเคลื่อนให้ชุมชนเข้มแข็ง มอบเต๊นท์สนับสนุนการจัดกิจกรรม พร้อมได้ความสนใจจากประชาชนเข้าร่วมงานจํานวนมากและสมัครเป็นสมาชิกใหม่ นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. ได้จัดโครงการ “กองทุนการออมแห่งชาติเพื่อชุมชนเข้มแข็ง ครั้งที่ 1” ณ สถาบันการเงินชุมชนบ้านลาดหญ้าแพรก ต.ห้วยขวาง อ.กําแพงแสน จ.นครปฐม มีประชาชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงสนใจเข้าร่วมงานกว่า 250 คน ซึ่งเป็นกิจกรรม CSR มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจทางการเงินให้แก่คนในชุมชน และสร้างค่านิยมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมให้กับบุคลากรของ กอช. และผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนและขับเคลื่อนการดําเนินงานของ กอช. ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และวิสัยทัศน์ขององค์กร ภายในงานมีพิธีมอบเต๊นท์ กอช. จํานวน 5 หลัง รวมมูลค่า 45,000 บาท เพื่อไว้ใช้ในกิจการของสถาบันการเงินชุมชนบ้านลาดหญ้าแพรกและกองทุนหมู่บ้านในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการบรรยายให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ กอช. มากขึ้น ซึ่งในงานยังได้รับความร่วมมือจากธนาคารออมสิน สาขากําแพงแสน ร่วมเปิดรับสมัครสมาชิก กอช. โดยมีผู้ร่วมงานสนใจตรวจสอบคุณสมบัติกว่า 100 คน และผู้ที่ผ่านคุณสมบัติได้ยื่นสมัครเป็นสมาชิกใหม่จํานวน 51 คน พร้อมส่งเงินสะสมงวดแรกคนละตั้งแต่ 50-1,200 บาท เพื่อได้รับเงินสมทบจากรัฐและผลตอบแทนของปีนี้ได้ทัน สําหรับผู้มาตรวจสอบสิทธิแล้วไม่สามารถสมัครสมาชิก กอช. ได้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายประกันสังคม หรือเป็นสมาชิกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพของหน่วยงานที่ทํางานอยู่แล้ว ซึ่งการจัดโครงการ “กองทุนการออมแห่งชาติเพื่อชุมชนเข้มแข็ง ครั้งที่ 1” ได้รับความสนใจและ ความร่วมมืออย่างดีจากทั้งประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทําให้การดําเนินโครงการสําเร็จด้วยดี หากหน่วยงานใดที่สนใจให้ กอช. ไปดําเนินการจัดกิจกรรมเพื่อให้ประชาชนรู้จักและเข้าใจการออมกับ กอช. แม้จะไม่ได้รับราชการ แต่สามารถรับบํานาญจากรัฐได้ในยามหลังเกษียณ สามารถติดต่อ กอช. ได้ที่โทร. 02-017-0789 ต่อ 530-533 หรือที่อีเมล info@nsf.or.th และที่ไลน์แอด @nsf.th ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร : โทร. 02-017-0789 ต่อ 530,532 Email : info@nsf.or.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. ขับเคลื่อนชุมชนเข้มแข็ง ร่วมเสริมทัพเดินหน้าสังคมแห่งการออม วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2560 กอช. ขับเคลื่อนชุมชนเข้มแข็ง ร่วมเสริมทัพเดินหน้าสังคมแห่งการออม กอช. ลงพื้นที่สถาบันการเงินชุมชนบ้านลาดหญ้าแพรก จ.นครปฐม ร่วมขับเคลื่อนให้ชุมชนเข้มแข็ง มอบเต๊นท์สนับสนุนการจัดกิจกรรม พร้อมได้ความสนใจจากประชาชนเข้าร่วมงานจํานวนมากและสมัครเป็นสมาชิกใหม่ นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. ได้จัดโครงการ “กองทุนการออมแห่งชาติเพื่อชุมชนเข้มแข็ง ครั้งที่ 1” ณ สถาบันการเงินชุมชนบ้านลาดหญ้าแพรก ต.ห้วยขวาง อ.กําแพงแสน จ.นครปฐม มีประชาชนในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียงสนใจเข้าร่วมงานกว่า 250 คน ซึ่งเป็นกิจกรรม CSR มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจทางการเงินให้แก่คนในชุมชน และสร้างค่านิยมด้านความรับผิดชอบต่อสังคมให้กับบุคลากรของ กอช. และผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนและขับเคลื่อนการดําเนินงานของ กอช. ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และวิสัยทัศน์ขององค์กร ภายในงานมีพิธีมอบเต๊นท์ กอช. จํานวน 5 หลัง รวมมูลค่า 45,000 บาท เพื่อไว้ใช้ในกิจการของสถาบันการเงินชุมชนบ้านลาดหญ้าแพรกและกองทุนหมู่บ้านในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการบรรยายให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ กอช. มากขึ้น ซึ่งในงานยังได้รับความร่วมมือจากธนาคารออมสิน สาขากําแพงแสน ร่วมเปิดรับสมัครสมาชิก กอช. โดยมีผู้ร่วมงานสนใจตรวจสอบคุณสมบัติกว่า 100 คน และผู้ที่ผ่านคุณสมบัติได้ยื่นสมัครเป็นสมาชิกใหม่จํานวน 51 คน พร้อมส่งเงินสะสมงวดแรกคนละตั้งแต่ 50-1,200 บาท เพื่อได้รับเงินสมทบจากรัฐและผลตอบแทนของปีนี้ได้ทัน สําหรับผู้มาตรวจสอบสิทธิแล้วไม่สามารถสมัครสมาชิก กอช. ได้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายประกันสังคม หรือเป็นสมาชิกกองทุนสํารองเลี้ยงชีพของหน่วยงานที่ทํางานอยู่แล้ว ซึ่งการจัดโครงการ “กองทุนการออมแห่งชาติเพื่อชุมชนเข้มแข็ง ครั้งที่ 1” ได้รับความสนใจและ ความร่วมมืออย่างดีจากทั้งประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทําให้การดําเนินโครงการสําเร็จด้วยดี หากหน่วยงานใดที่สนใจให้ กอช. ไปดําเนินการจัดกิจกรรมเพื่อให้ประชาชนรู้จักและเข้าใจการออมกับ กอช. แม้จะไม่ได้รับราชการ แต่สามารถรับบํานาญจากรัฐได้ในยามหลังเกษียณ สามารถติดต่อ กอช. ได้ที่โทร. 02-017-0789 ต่อ 530-533 หรือที่อีเมล info@nsf.or.th และที่ไลน์แอด @nsf.th ฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร : โทร. 02-017-0789 ต่อ 530,532 Email : info@nsf.or.th
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8221
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและการปฏิบัติการฝนหลวง
วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563 รมช.ธรรมนัส ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและการปฏิบัติการฝนหลวง รมช.ธรรมนัส ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและการปฏิบัติการฝนหลวง พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติภารกิจ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุม VDO conference ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและการปฏิบัติการฝนหลวง ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจากหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง 11 หน่วยฯ ทั่วประเทศ ณ ห้องประชุมเทวกุล กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูร้อน บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อน ทําให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง อาจมีฟ้าผ่า และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อพี่น้องประชาชน เกษตรกร พื้นที่การเกษตร และผลผลิตทางการเกษตรได้ ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ติดตามสภาพอากาศ วางแผนปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรและประชาชน ให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด สําหรับพื้นที่การเกษตรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง มีความต้องการน้ํา รวมถึงพื้นที่ลุ่มรับน้ําที่มีปริมาณน้ําใช้การไม่เพียงพอ ให้เร่งปฏิบัติการฝนหลวงตามข้อมูลที่มีการติดตามสถานการณ์เป็นประจําทุกวัน ส่วนปัญหาหมอกควันที่เกิดจากการเผาพื้นที่การเกษตร พื้นที่ไฟไหม้ป่า ให้ดําเนินการประสานงานกับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง หากสภาพอากาศเอื้ออํานวย ให้ปฏิบัติการฝนหลวงหรือสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ตักน้ําดับไฟป่าทันที นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการปฏิบัติการฝนหลวงของหน่วยปฏิบัติการฯ 11 หน่วยทั่วประเทศนั้น ในขณะนี้มีการปรับฐานปฏิบัติการเพื่อดูแลพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จะมีการติดตามสภาพอากาศเป็นประจําทุกวัน เพื่อวางแผนปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่การเกษตร พื้นที่เขื่อน อ่างเก็บน้ํา และแม่น้ําลําคลอง ช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาไฟป่า หมอกควัน ช่วยบรรเทาความรุนแรงของพายุลูกเห็บจากสถานการณ์พายุฤดูร้อนที่กําลังจะเกิดขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพอากาศและกองทัพบก ในการร่วมกันปฏิบัติภารกิจดังกล่าวทั้งหมดด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ความร่วมมือตามนโยบายของรัฐบาล กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์เวชภัณฑ์จาก ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ เครื่องวัดอุณหภูมิ หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์เจล ถุงมือ สําลี และขวดสเปรย์ สําหรับให้บุคลากรนําไปใช้ในการป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) พร้อมกําลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจเพื่อพี่น้องเกษตรกรและประชาชน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและการปฏิบัติการฝนหลวง วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน 2563 รมช.ธรรมนัส ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและการปฏิบัติการฝนหลวง รมช.ธรรมนัส ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและการปฏิบัติการฝนหลวง พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติภารกิจ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุม VDO conference ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและการปฏิบัติการฝนหลวง ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจากหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง 11 หน่วยฯ ทั่วประเทศ ณ ห้องประชุมเทวกุล กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูร้อน บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อน ทําให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง อาจมีฟ้าผ่า และมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อพี่น้องประชาชน เกษตรกร พื้นที่การเกษตร และผลผลิตทางการเกษตรได้ ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ติดตามสภาพอากาศ วางแผนปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรและประชาชน ให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด สําหรับพื้นที่การเกษตรที่ประสบปัญหาภัยแล้ง มีความต้องการน้ํา รวมถึงพื้นที่ลุ่มรับน้ําที่มีปริมาณน้ําใช้การไม่เพียงพอ ให้เร่งปฏิบัติการฝนหลวงตามข้อมูลที่มีการติดตามสถานการณ์เป็นประจําทุกวัน ส่วนปัญหาหมอกควันที่เกิดจากการเผาพื้นที่การเกษตร พื้นที่ไฟไหม้ป่า ให้ดําเนินการประสานงานกับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง หากสภาพอากาศเอื้ออํานวย ให้ปฏิบัติการฝนหลวงหรือสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ตักน้ําดับไฟป่าทันที นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการปฏิบัติการฝนหลวงของหน่วยปฏิบัติการฯ 11 หน่วยทั่วประเทศนั้น ในขณะนี้มีการปรับฐานปฏิบัติการเพื่อดูแลพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จะมีการติดตามสภาพอากาศเป็นประจําทุกวัน เพื่อวางแผนปฏิบัติการฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่การเกษตร พื้นที่เขื่อน อ่างเก็บน้ํา และแม่น้ําลําคลอง ช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาไฟป่า หมอกควัน ช่วยบรรเทาความรุนแรงของพายุลูกเห็บจากสถานการณ์พายุฤดูร้อนที่กําลังจะเกิดขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพอากาศและกองทัพบก ในการร่วมกันปฏิบัติภารกิจดังกล่าวทั้งหมดด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ความร่วมมือตามนโยบายของรัฐบาล กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์เวชภัณฑ์จาก ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ เครื่องวัดอุณหภูมิ หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์เจล ถุงมือ สําลี และขวดสเปรย์ สําหรับให้บุคลากรนําไปใช้ในการป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) พร้อมกําลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติภารกิจเพื่อพี่น้องเกษตรกรและประชาชน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28333
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “โครงการวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค” ณ วิทยาลัยเทคนิคอำนาจเจริญ พร้อมชมเทคโนโลยีพร้อมใช้ เตาชีวมวลเพื่อชุมชนประหยัดพลังงาน
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561 ดร.สุวิทย์ฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “โครงการวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค” ณ วิทยาลัยเทคนิคอํานาจเจริญ พร้อมชมเทคโนโลยีพร้อมใช้ เตาชีวมวลเพื่อชุมชนประหยัดพลังงาน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผลการดําเนินโครงการวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค ณ วิทยาลัยเทคนิคอํานาจเจริญ เมื่อเวลา 9.30 น. (23 ก.ค. 61) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผลการดําเนินโครงการวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค โดยการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) ได้แก่ การผลิตเตาชีวมวลเพื่อชุมชน การผลิตจิ้งหรีดไร้กลูเตน การผลิตเห็ดวิทยาศาสตร์ (หัวเชื้อเห็ด ก้อนเชื้อเห็ด) และเครื่องผลิตน้ําอ่อน เพื่ออบรมเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตําบล นักศึกษาในสถาบันอาชีวศึกษา เกษตรกรสมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ ในเขตพื้นที่จังหวัดอํานาจเจริญ และจังหวัดข้างเคียง เพื่อเป็นตัวแทนของพื้นที่ในการขยายผลการพัฒนาต่อยอดไปยังพื้นที่ใกล้เคียงในอนาคต โดยมีผู้เข้าอบรมสุทธิกว่า 200 คน เป็นโครงการตอบโจทย์การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ผ่านการใช้ปัจจัยการผลิตด้วยตนเอง สามารถลดต้นทุนการเพาะปลูก และการผลิต พึ่งพาตนเองได้ สร้างงานและรายได้เสริมที่มั่งคั่ง ในวันที่ 18 -23 กรกฎาคม 2561 ณ วิทยาลัยเทคนิคอํานาจเจริญ ดร.สุวิทย์ฯ กล่าวว่า “รัฐบาลให้ความสําคัญกับการกระจายรายได้ โอกาส และความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียมเพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักของความเหลื่อมล้ํา การขับเคลื่อนประเทศโดยนโยบาย Thailand 4.0 จะต้องพัฒนาประเทศด้วยนวัตกรรม ปัญญา เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ การดําเนินงานที่ผ่านมามีการกระจายตัวสูง ขาดการมุ่งเน้นการพัฒนาทั้งในมิติพื้นที่ดําเนินการและกลุ่มเป้าหมาย และขาดการจัดการองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความรู้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยบูรณาการดําเนินการร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์บริการขับเคลื่อนโครงการมหกรรมวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค ประกอบด้วยโครงการยกระดับ OTOP ใน 10 จังหวัดพื้นที่เป้าหมายและโครงการ 1 ตําบล 1 นวัตกรรมเกษตร โดยการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และงานวิจัยนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาช่วยพัฒนาต่อยอด ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มคุณค่าและสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “โครงการวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค” ณ วิทยาลัยเทคนิคอำนาจเจริญ พร้อมชมเทคโนโลยีพร้อมใช้ เตาชีวมวลเพื่อชุมชนประหยัดพลังงาน วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561 ดร.สุวิทย์ฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม “โครงการวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค” ณ วิทยาลัยเทคนิคอํานาจเจริญ พร้อมชมเทคโนโลยีพร้อมใช้ เตาชีวมวลเพื่อชุมชนประหยัดพลังงาน ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผลการดําเนินโครงการวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค ณ วิทยาลัยเทคนิคอํานาจเจริญ เมื่อเวลา 9.30 น. (23 ก.ค. 61) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผลการดําเนินโครงการวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค โดยการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และกรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) ได้แก่ การผลิตเตาชีวมวลเพื่อชุมชน การผลิตจิ้งหรีดไร้กลูเตน การผลิตเห็ดวิทยาศาสตร์ (หัวเชื้อเห็ด ก้อนเชื้อเห็ด) และเครื่องผลิตน้ําอ่อน เพื่ออบรมเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตําบล นักศึกษาในสถาบันอาชีวศึกษา เกษตรกรสมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ ในเขตพื้นที่จังหวัดอํานาจเจริญ และจังหวัดข้างเคียง เพื่อเป็นตัวแทนของพื้นที่ในการขยายผลการพัฒนาต่อยอดไปยังพื้นที่ใกล้เคียงในอนาคต โดยมีผู้เข้าอบรมสุทธิกว่า 200 คน เป็นโครงการตอบโจทย์การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ผ่านการใช้ปัจจัยการผลิตด้วยตนเอง สามารถลดต้นทุนการเพาะปลูก และการผลิต พึ่งพาตนเองได้ สร้างงานและรายได้เสริมที่มั่งคั่ง ในวันที่ 18 -23 กรกฎาคม 2561 ณ วิทยาลัยเทคนิคอํานาจเจริญ ดร.สุวิทย์ฯ กล่าวว่า “รัฐบาลให้ความสําคัญกับการกระจายรายได้ โอกาส และความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียมเพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักของความเหลื่อมล้ํา การขับเคลื่อนประเทศโดยนโยบาย Thailand 4.0 จะต้องพัฒนาประเทศด้วยนวัตกรรม ปัญญา เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ การดําเนินงานที่ผ่านมามีการกระจายตัวสูง ขาดการมุ่งเน้นการพัฒนาทั้งในมิติพื้นที่ดําเนินการและกลุ่มเป้าหมาย และขาดการจัดการองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความรู้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยบูรณาการดําเนินการร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์บริการขับเคลื่อนโครงการมหกรรมวิทย์สร้างอาชีพ ยกระดับภูมิภาค ประกอบด้วยโครงการยกระดับ OTOP ใน 10 จังหวัดพื้นที่เป้าหมายและโครงการ 1 ตําบล 1 นวัตกรรมเกษตร โดยการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และงานวิจัยนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาช่วยพัฒนาต่อยอด ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มคุณค่าและสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น”
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15706
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ประชุมคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ครั้งที่ 2/2561
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561 รมว.แรงงาน ประชุมคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ครั้งที่ 2/2561 วันที่ 29 มิถุนายน 2561 เวลา 09.00 น. พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ครั้งที่ 2/2561 วันที่ 29 มิถุนายน 2561 เวลา 09.00 น. พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ครั้งที่ 2/2561 พร้อมด้วยนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น ๕ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยการประชุมฯ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณา (ร่าง) รายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ซึ่งการจัดทํารายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เป็นอํานาจหน้าที่ประการหนึ่งของคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย และเป็นการรวบรวมผลการดําเนินตามนโยบายและแผนระดับชาติของหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องซึ่งต้อง รายงานสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสถานการณ์ด้านการใช้แรงงานเด็กเป็นประจําทุกปี หรือเมื่อมีความจําเป็นเร่งด่วน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีรับทราบสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็กได้ทันเหตุการณ์ ------------------------------------ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ดาวนภา เนาวรังษี – ข่าว/ ชาญชัย ชาวหนองเพียร – ภาพ/ 29 มิถุนายน 2561/
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ประชุมคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ครั้งที่ 2/2561 วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561 รมว.แรงงาน ประชุมคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ครั้งที่ 2/2561 วันที่ 29 มิถุนายน 2561 เวลา 09.00 น. พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ครั้งที่ 2/2561 วันที่ 29 มิถุนายน 2561 เวลา 09.00 น. พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ครั้งที่ 2/2561 พร้อมด้วยนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น ๕ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยการประชุมฯ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณา (ร่าง) รายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ซึ่งการจัดทํารายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เป็นอํานาจหน้าที่ประการหนึ่งของคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย และเป็นการรวบรวมผลการดําเนินตามนโยบายและแผนระดับชาติของหน่วยงานภาคีที่เกี่ยวข้องซึ่งต้อง รายงานสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสถานการณ์ด้านการใช้แรงงานเด็กเป็นประจําทุกปี หรือเมื่อมีความจําเป็นเร่งด่วน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีรับทราบสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็กได้ทันเหตุการณ์ ------------------------------------ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ดาวนภา เนาวรังษี – ข่าว/ ชาญชัย ชาวหนองเพียร – ภาพ/ 29 มิถุนายน 2561/
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13456
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะ และร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล เนื่องในโอกาสปีใหม่ พ.ศ.2561
วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม 2561 นายกรัฐมนตรีพบปะ และร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาล เนื่องในโอกาสปีใหม่ พ.ศ.2561 นายกรัฐมนตรีพบปะ และร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาล เนื่องในโอกาสปีใหม่ พ.ศ.2561 วันนี้ (4 มกราคม 2560) เวลา 11.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพบปะสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาล เนื่องในโอกาสปีใหม่ พ.ศ. 2561 พร้อมร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายวิษณุ เครืองาม นายฉัตรชั สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และพลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีร่วมงาน โอกาสนี้กล่าวพบปะกับสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาลตอนหนึ่งว่า รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศไม่ได้มุ่งหวังอํานาจ แต่มุ่งหวังทํางานเพื่อประเทศชาติ และเพื่อแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับคนยากจน ซึ่งรัฐบาลเป็นฝ่ายให้ทุกอย่างกับประชาชน กับสื่อมวลชน และให้ทุกคนที่มีความคาดหวังต่อการทํางานของรัฐบาล เพราะฉะนั้นทุกคนต้องร่วมมือกันทําให้บ้านเมืองปลอดภัยมีเสถียรภาพ และสิ่งที่สําคัญต้องปฏิรูปประเทศให้เดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะในปี 2561 จะเป็นปีแห่งการปฎิรูปประเทศไทย รัฐบาลมีนโยบายทําทุกอย่างให้เกิดผลโดยเร็ว แต่ปัญหาหลายอย่างมีความซับซ้อนจําเป็นต้องใช้เวลาในการทํางาน ซึ่งทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า เนื่องในโอกาสปีใหม่ขอให้สื่อแปรเจตนาคําพูดของนายกรัฐมนตรีให้ถูกต้อง ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีเคารพสิทธิและเสรีภาพสื่อมาโดยตลอด และขอให้สื่อช่วยกันขยายในสิ่งที่ดี ๆ ที่รัฐบาลทําให้สังคมเข้าใจ พร้อมกล่าวยืนยันว่า ไม่เคยเป็นศัตรูกับสื่อ ขอให้ทุกคนช่วยกันทําในสิ่งที่ถูกต้อง ในสิ่งที่ดี ในเรื่องของการทํางานรัฐบาลไม่เคยก้าวล่วงการทํางานของส่วนราชการต่าง ๆ จึงขอให้ช่วยกันทําวันนี้ให้ดี เพื่อให้วันข้างหน้าที่ดียิ่งขึ้น ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวอวยพรเนื่องในโอกาสปีใหม่ให้กับสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาลว่า ในนามของคณะรัฐมนตรี มีความตั้งใจที่จะมาพบกับสื่อมวลชนในวันนี้ จึงขอเป็นตัวแทนรัฐบาลอวยพรให้สื่อมวลชนและครอบครัวตลอดคนที่รัก สําเร็จในสิ่งที่ดีและสิ่งที่คาดหวัง โดยปีนี้เป็นปีจอ จะต้องมีชีวิตอยู่อย่างสุนัขที่สงบเงียบ และใจดี เพราะสุนัขเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ ขอให้อยู่ร่วมกันด้วยความดี ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา ด้วยความรักประเทศและผืนแผ่นดินไทย ขออย่าทําลายศักดิ์ศรีของประเทศไทย และขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดไป จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ร่วมรับประทานอาหารกับสื่อมวลชนและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ร่วมร้องเพลงอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว เพลงคนดีไม่มีวันตาย และเพลงสายโลหิต ก่อนจะร่วมถ่ายภาพ พร้อมแจกของรางวัลให้กับสื่อมวลชน -------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีพบปะ และร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล เนื่องในโอกาสปีใหม่ พ.ศ.2561 วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม 2561 นายกรัฐมนตรีพบปะ และร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาล เนื่องในโอกาสปีใหม่ พ.ศ.2561 นายกรัฐมนตรีพบปะ และร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาล เนื่องในโอกาสปีใหม่ พ.ศ.2561 วันนี้ (4 มกราคม 2560) เวลา 11.40 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีพบปะสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาล เนื่องในโอกาสปีใหม่ พ.ศ. 2561 พร้อมร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายวิษณุ เครืองาม นายฉัตรชั สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พลเอก วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และพลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีร่วมงาน โอกาสนี้กล่าวพบปะกับสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาลตอนหนึ่งว่า รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศไม่ได้มุ่งหวังอํานาจ แต่มุ่งหวังทํางานเพื่อประเทศชาติ และเพื่อแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับคนยากจน ซึ่งรัฐบาลเป็นฝ่ายให้ทุกอย่างกับประชาชน กับสื่อมวลชน และให้ทุกคนที่มีความคาดหวังต่อการทํางานของรัฐบาล เพราะฉะนั้นทุกคนต้องร่วมมือกันทําให้บ้านเมืองปลอดภัยมีเสถียรภาพ และสิ่งที่สําคัญต้องปฏิรูปประเทศให้เดินหน้าต่อไป โดยเฉพาะในปี 2561 จะเป็นปีแห่งการปฎิรูปประเทศไทย รัฐบาลมีนโยบายทําทุกอย่างให้เกิดผลโดยเร็ว แต่ปัญหาหลายอย่างมีความซับซ้อนจําเป็นต้องใช้เวลาในการทํางาน ซึ่งทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า เนื่องในโอกาสปีใหม่ขอให้สื่อแปรเจตนาคําพูดของนายกรัฐมนตรีให้ถูกต้อง ซึ่งที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีเคารพสิทธิและเสรีภาพสื่อมาโดยตลอด และขอให้สื่อช่วยกันขยายในสิ่งที่ดี ๆ ที่รัฐบาลทําให้สังคมเข้าใจ พร้อมกล่าวยืนยันว่า ไม่เคยเป็นศัตรูกับสื่อ ขอให้ทุกคนช่วยกันทําในสิ่งที่ถูกต้อง ในสิ่งที่ดี ในเรื่องของการทํางานรัฐบาลไม่เคยก้าวล่วงการทํางานของส่วนราชการต่าง ๆ จึงขอให้ช่วยกันทําวันนี้ให้ดี เพื่อให้วันข้างหน้าที่ดียิ่งขึ้น ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวอวยพรเนื่องในโอกาสปีใหม่ให้กับสื่อมวลชนประจําทําเนียบรัฐบาลว่า ในนามของคณะรัฐมนตรี มีความตั้งใจที่จะมาพบกับสื่อมวลชนในวันนี้ จึงขอเป็นตัวแทนรัฐบาลอวยพรให้สื่อมวลชนและครอบครัวตลอดคนที่รัก สําเร็จในสิ่งที่ดีและสิ่งที่คาดหวัง โดยปีนี้เป็นปีจอ จะต้องมีชีวิตอยู่อย่างสุนัขที่สงบเงียบ และใจดี เพราะสุนัขเป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์ ขอให้อยู่ร่วมกันด้วยความดี ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธา ด้วยความรักประเทศและผืนแผ่นดินไทย ขออย่าทําลายศักดิ์ศรีของประเทศไทย และขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดไป จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้ร่วมรับประทานอาหารกับสื่อมวลชนและพูดคุยอย่างเป็นกันเอง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ร่วมร้องเพลงอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว เพลงคนดีไม่มีวันตาย และเพลงสายโลหิต ก่อนจะร่วมถ่ายภาพ พร้อมแจกของรางวัลให้กับสื่อมวลชน -------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9177
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน กระจายเจ้าหน้าที่เร่งติดตามนายจ้างทั่วประเทศ รับรองการหยุดงานของลูกจ้าง [กระทรวงเเรงงาน]
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563 กระทรวงแรงงาน กระจายเจ้าหน้าที่เร่งติดตามนายจ้างทั่วประเทศ รับรองการหยุดงานของลูกจ้าง [กระทรวงเเรงงาน] กระทรวงแรงงาน กระจายเจ้าหน้าที่เร่งติดตามนายจ้างทั่วประเทศ รับรองการหยุดงานของลูกจ้าง นางพิศมัย นิธิไพบูลย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม สํานักงานประกันสังคม ในฐานะโฆษกสํานักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า ขณะนี้ สํานักงานประกันสังคมได้เร่งดําเนินงานจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งมีผู้ประกันตนได้ยื่นขอรับสิทธิเป็นจํานวนมาก แต่ยังขาดนายจ้างรับรองการหยุดงานดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิล่าช้า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าเป็นสถานประกอบการขนาดใหญ่ กว่า 190 แห่ง เป็นสถานประกอบการขนาดเล็กกว่า 50,000 แห่ง ซึ่งขณะนี้ มรว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานของกระทรวงแรงงานในทุกพื้นที่ ทั่วประเทศเร่งติดตามนายจ้างดังกล่าวให้เร่งยื่นรับรองการหยุดงานของลูกจ้าง โฆษกสํานักงานประกันสังคมกล่าวต่อไปว่า ในการรับรองการหยุดงานนั้น สํานักงานประกันสังคมได้อํานวยความสะดวกเพิ่มช่องทางการให้บริการแก่นายจ้างเพื่อรับรองการหยุดงาน ของลูกจ้างอันเนื่องจากเหตุสุดวิสัยโดยเฉพาะ โดยยื่นผ่านระบบอินเทอร์เน็ตหรือ e-Service ซึ่งขอแนะนําให้นายจ้างทําการสมัครหรือลงทะเบียนเพียงกรอกข้อมูลนายจ้างบนหน้าเว็บไซต์www.sso.go.thเพื่อขอทําธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ต หลังจากนั้นสํานักงานประกันสังคมจะส่งแบบ สปส.1-05 ไปทาง e-mail ของนายจ้างเพื่อให้กรอกข้อมูล จากนั้นเจ้าหน้าที่จะทําการอนุมัติ USER PASSWORD แล้วแจ้งให้นายจ้างทราบทาง e-mail ของนายจ้างโดยอัตโนมัติ (เฉพาะในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 นายจ้างสามารถเข้าใช้บริการได้ทันที โดยที่นายจ้างสามารถยื่นแบบ สปส.1-05 ต่อสํานักงานประกันสังคมในภายหลัง ทั้งนี้เพื่ออํานวยความสะดวก รวดเร็วแก่นายจ้างในการบันทึกหนังสือรับรองการหยุดงานของลูกจ้างอันเนื่องจากเหตุสุดวิสัย) เพื่อสํานักงานประกันสังคมได้เร่งรัดการดําเนินการเพื่อให้สิทธิประโยชน์ถึงมือผู้ประกันตนโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ เมื่อผ่านสถานการณ์โรคระบาด โควิด-19 ไปแล้ว นายจ้างสามารถใช้ USER PASSWORD ดังกล่าว แจ้งข้อมูลต่าง ๆ กับสํานักงานประกันสังคม ได้แก่ แจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส. 1-03) แจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูลผู้ประกันตน (สปส.6-10) แจ้งสิ้นสภาพผู้ประกันตน (สปส.6-09) จัดทําข้อมูลเงินสมทบ ชําระเงินสมทบผ่าน e-Payment ตรวจสอบสถานะการทําธุรกรรม รายงานค่าจ้างกองทุนเงินทดแทน หรือดาวน์โหลดข้อมูลได้ ซึ่งเป็นการอํานวยความสะดวก ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย ให้แก่นายจ้าง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 12 แห่ง/จังหวัด/สาขาทั่วประเทศ หรือที่สายด่วน 1506 ให้บริการไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง ------------------------------------------------- ศูนย์สารนิเทศ สํานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงแรงงาน กระจายเจ้าหน้าที่เร่งติดตามนายจ้างทั่วประเทศ รับรองการหยุดงานของลูกจ้าง [กระทรวงเเรงงาน] วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563 กระทรวงแรงงาน กระจายเจ้าหน้าที่เร่งติดตามนายจ้างทั่วประเทศ รับรองการหยุดงานของลูกจ้าง [กระทรวงเเรงงาน] กระทรวงแรงงาน กระจายเจ้าหน้าที่เร่งติดตามนายจ้างทั่วประเทศ รับรองการหยุดงานของลูกจ้าง นางพิศมัย นิธิไพบูลย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม สํานักงานประกันสังคม ในฐานะโฆษกสํานักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า ขณะนี้ สํานักงานประกันสังคมได้เร่งดําเนินงานจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งมีผู้ประกันตนได้ยื่นขอรับสิทธิเป็นจํานวนมาก แต่ยังขาดนายจ้างรับรองการหยุดงานดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิล่าช้า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าเป็นสถานประกอบการขนาดใหญ่ กว่า 190 แห่ง เป็นสถานประกอบการขนาดเล็กกว่า 50,000 แห่ง ซึ่งขณะนี้ มรว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานของกระทรวงแรงงานในทุกพื้นที่ ทั่วประเทศเร่งติดตามนายจ้างดังกล่าวให้เร่งยื่นรับรองการหยุดงานของลูกจ้าง โฆษกสํานักงานประกันสังคมกล่าวต่อไปว่า ในการรับรองการหยุดงานนั้น สํานักงานประกันสังคมได้อํานวยความสะดวกเพิ่มช่องทางการให้บริการแก่นายจ้างเพื่อรับรองการหยุดงาน ของลูกจ้างอันเนื่องจากเหตุสุดวิสัยโดยเฉพาะ โดยยื่นผ่านระบบอินเทอร์เน็ตหรือ e-Service ซึ่งขอแนะนําให้นายจ้างทําการสมัครหรือลงทะเบียนเพียงกรอกข้อมูลนายจ้างบนหน้าเว็บไซต์www.sso.go.thเพื่อขอทําธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ต หลังจากนั้นสํานักงานประกันสังคมจะส่งแบบ สปส.1-05 ไปทาง e-mail ของนายจ้างเพื่อให้กรอกข้อมูล จากนั้นเจ้าหน้าที่จะทําการอนุมัติ USER PASSWORD แล้วแจ้งให้นายจ้างทราบทาง e-mail ของนายจ้างโดยอัตโนมัติ (เฉพาะในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 นายจ้างสามารถเข้าใช้บริการได้ทันที โดยที่นายจ้างสามารถยื่นแบบ สปส.1-05 ต่อสํานักงานประกันสังคมในภายหลัง ทั้งนี้เพื่ออํานวยความสะดวก รวดเร็วแก่นายจ้างในการบันทึกหนังสือรับรองการหยุดงานของลูกจ้างอันเนื่องจากเหตุสุดวิสัย) เพื่อสํานักงานประกันสังคมได้เร่งรัดการดําเนินการเพื่อให้สิทธิประโยชน์ถึงมือผู้ประกันตนโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ เมื่อผ่านสถานการณ์โรคระบาด โควิด-19 ไปแล้ว นายจ้างสามารถใช้ USER PASSWORD ดังกล่าว แจ้งข้อมูลต่าง ๆ กับสํานักงานประกันสังคม ได้แก่ แจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (สปส. 1-03) แจ้งเปลี่ยนแปลงข้อมูลผู้ประกันตน (สปส.6-10) แจ้งสิ้นสภาพผู้ประกันตน (สปส.6-09) จัดทําข้อมูลเงินสมทบ ชําระเงินสมทบผ่าน e-Payment ตรวจสอบสถานะการทําธุรกรรม รายงานค่าจ้างกองทุนเงินทดแทน หรือดาวน์โหลดข้อมูลได้ ซึ่งเป็นการอํานวยความสะดวก ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย ให้แก่นายจ้าง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 12 แห่ง/จังหวัด/สาขาทั่วประเทศ หรือที่สายด่วน 1506 ให้บริการไม่เว้นวันหยุดราชการตลอด 24 ชั่วโมง ------------------------------------------------- ศูนย์สารนิเทศ สํานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30244
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย​-ญี่ปุ่น​ ปิดการประชุม ​3R ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก​ ครั้งที่​ 9
วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2562 ไทย​-ญี่ปุ่น​ ปิดการประชุม ​3R ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก​ ครั้งที่​ 9 รัฐบาลไทย โดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ร่วมกับ​กระทรวงสิ่งแวดล้อม​ ประเทศญี่ปุ่น​ และศูนย์พัฒนาภูมิภาคแห่งสหประชาชาติ​ (UNCRD)​ ปิดการประชุมในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้าน​ 3R​ ของประเทศ​ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก​ ครั้งที่​ 9​ ไทย​-ญี่ปุ่น​ ปิดการประชุม ​3R ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก​ ครั้งที่​ 9 รัฐบาลไทย โดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ร่วมกับ​กระทรวงสิ่งแวดล้อม​ ประเทศญี่ปุ่น​ และศูนย์พัฒนาภูมิภาคแห่งสหประชาชาติ​ (UNCRD)​ ปิดการประชุมในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้าน​ 3R​ ของประเทศ​ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก​ ครั้งที่​ 9​ (The 9th Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) หลังประสบความสําเร็จตามเป้าหมาย วันที่​ 6 มีนาคม​ 2562 ณ ห้องปอมปาดัวร์ ชั้น 2 โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพมหานคร พลเอก​ สุรศักดิ์​ กาญจนรัตน์​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ พร้อมด้วย ​นายซึกาสะ​ อะกิโมโต้​ (Mr.Tsukasa Akimoto)​ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมประเทศญี่ปุ่น​ และนายคาซูซิเกะ​ เอ็นโด (Mr.Kazushige Endo)​ ผู้อํานวยการศูนย์พัฒนาภูมิภาคแห่งสหประชาชาติ​ (United Nations Centre for​ Regional​ Development : UNCRD)​ กล่าวปิดการประชุมในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้าน 3R ของประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 9 (The 9th Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) และกล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทําให้การประชุมฯ ในครั้งนี้ประสบความสําเร็จด้วยดี ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นจากการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ รวมถึงประสบการณ์ และการดําเนินงานด้าน 3R ของประเทศต่าง ๆ (3R best practices) ในครั้งนี้ จะนําไปสู่นโยบายและมาตรการที่ชัดเจนในการจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาคบนพื้นฐานความรับผิดชอบร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยหลักการ 3R เพื่อให้บรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป การประชุมฯ ในครั้งนี้ มีกําหนดจัดงาน 3 วัน โดยมีรูปแบบการจัดประชุมในลักษณะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Meeting) ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastic) โดยภายในงานมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 600 คนจาก 42 ประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และภูมิภาคอื่นๆ สําหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย 1. การประชุมสัมมนาวิชาการ 2. การรับรองปฏิญญากรุงเทพฯ 3R (Bangkok 3R Declaration) 3. การจัดแสดงนิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในด้านต่างๆ ได้แก่ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับหลักการ 3R เทคโนโลยีการจัดการของเสีย องค์ความรู้เทคนิควิชาการ 4. การถอดบทเรียน (Lesson learned) ที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงาน 3R 5. การศึกษาดูงาน 2 แห่ง ได้แก่ เส้นทางที่ 1 ด้านโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ณ บริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จังหวัดสมุทรปราการ เส้นทางที่ 2 ศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง ของ ปตท.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย​-ญี่ปุ่น​ ปิดการประชุม ​3R ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก​ ครั้งที่​ 9 วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม 2562 ไทย​-ญี่ปุ่น​ ปิดการประชุม ​3R ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก​ ครั้งที่​ 9 รัฐบาลไทย โดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ร่วมกับ​กระทรวงสิ่งแวดล้อม​ ประเทศญี่ปุ่น​ และศูนย์พัฒนาภูมิภาคแห่งสหประชาชาติ​ (UNCRD)​ ปิดการประชุมในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้าน​ 3R​ ของประเทศ​ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก​ ครั้งที่​ 9​ ไทย​-ญี่ปุ่น​ ปิดการประชุม ​3R ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก​ ครั้งที่​ 9 รัฐบาลไทย โดย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ร่วมกับ​กระทรวงสิ่งแวดล้อม​ ประเทศญี่ปุ่น​ และศูนย์พัฒนาภูมิภาคแห่งสหประชาชาติ​ (UNCRD)​ ปิดการประชุมในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้าน​ 3R​ ของประเทศ​ในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก​ ครั้งที่​ 9​ (The 9th Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) หลังประสบความสําเร็จตามเป้าหมาย วันที่​ 6 มีนาคม​ 2562 ณ ห้องปอมปาดัวร์ ชั้น 2 โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพมหานคร พลเอก​ สุรศักดิ์​ กาญจนรัตน์​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ พร้อมด้วย ​นายซึกาสะ​ อะกิโมโต้​ (Mr.Tsukasa Akimoto)​ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมประเทศญี่ปุ่น​ และนายคาซูซิเกะ​ เอ็นโด (Mr.Kazushige Endo)​ ผู้อํานวยการศูนย์พัฒนาภูมิภาคแห่งสหประชาชาติ​ (United Nations Centre for​ Regional​ Development : UNCRD)​ กล่าวปิดการประชุมในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้าน 3R ของประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 9 (The 9th Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) และกล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทําให้การประชุมฯ ในครั้งนี้ประสบความสําเร็จด้วยดี ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะ ข้อคิดเห็นจากการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการ รวมถึงประสบการณ์ และการดําเนินงานด้าน 3R ของประเทศต่าง ๆ (3R best practices) ในครั้งนี้ จะนําไปสู่นโยบายและมาตรการที่ชัดเจนในการจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาคบนพื้นฐานความรับผิดชอบร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยหลักการ 3R เพื่อให้บรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป การประชุมฯ ในครั้งนี้ มีกําหนดจัดงาน 3 วัน โดยมีรูปแบบการจัดประชุมในลักษณะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Meeting) ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastic) โดยภายในงานมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 600 คนจาก 42 ประเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก และภูมิภาคอื่นๆ สําหรับกิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย 1. การประชุมสัมมนาวิชาการ 2. การรับรองปฏิญญากรุงเทพฯ 3R (Bangkok 3R Declaration) 3. การจัดแสดงนิทรรศการจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในด้านต่างๆ ได้แก่ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับหลักการ 3R เทคโนโลยีการจัดการของเสีย องค์ความรู้เทคนิควิชาการ 4. การถอดบทเรียน (Lesson learned) ที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงาน 3R 5. การศึกษาดูงาน 2 แห่ง ได้แก่ เส้นทางที่ 1 ด้านโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ณ บริษัท อีสเทิร์น เอเนอร์จี้ พลัส จังหวัดสมุทรปราการ เส้นทางที่ 2 ศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง ของ ปตท.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19174
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 6 ระดมทีมเก็บสิ่งส่งตรวจหาเชื้อโควิด 19 ผู้กักตัว วันละ 200-500 ราย
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563 เขตสุขภาพที่ 6 ระดมทีมเก็บสิ่งส่งตรวจหาเชื้อโควิด 19 ผู้กักตัว วันละ 200-500 ราย เขตสุขภาพที่ 6 จัดเตรียมสถานที่กักตัวของรัฐรับคนไทยกลับจากต่างประเทศกว่า 6,000 คนต่อเดือน พร้อมระดมทีมตรวจคัดกรอง/ เก็บตัวอย่างสิ่งส่งตรวจหาเชื้อโควิด 19 เฉลี่ยวันละ 200-500 ราย ตามมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาด เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นําเชื้อแพร่สู่ค เขตสุขภาพที่ 6 จัดเตรียมสถานที่กักตัวของรัฐรับคนไทยกลับจากต่างประเทศกว่า 6,000 คนต่อเดือน พร้อมระดมทีมตรวจคัดกรอง/ เก็บตัวอย่างสิ่งส่งตรวจหาเชื้อโควิด 19 เฉลี่ยวันละ 200-500 ราย ตามมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาด เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นําเชื้อแพร่สู่ครอบครัว ชุมชน ​ นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 6 ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับมอบหมายให้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย ภาคเอกชน จัดเตรียมสถานที่กักตัวของรัฐ (State Quarantine) รองรับผู้เดินทางจากต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้มีโรงแรม 21 แห่งทั่วประเทศได้รับคัดเลือกให้เป็นสถานที่กักตัวของรัฐ อยู่ในเขตสุขภาพที่ 6 จํานวน 10 แห่ง คือที่ จังหวัดสมุทรปราการ 3 แห่ง และจังหวัดชลบุรี 7 แห่ง มีห้องพักรวม 3,811 ห้อง อาทิ อาคารรับรองฐานทัพเรือสัตหีบ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน พัทยา เป็นต้น โดยตั้งแต่ 4 กุมภาพันธ์ จนถึง 20 พฤษภาคม 2563 มีผู้เข้ารับการกักตัวสะสม 4,655 ราย กลับบ้านแล้ว 2,447 ราย เป็นผู้เข้าข่ายสอบสวนโรค 38 ราย ผู้ป่วยยืนยัน 18 และอยู่ระหว่างกักตัว 2,408 ราย ทั้งนี้ ตามมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 ที่กรมควบคุมโรคกําหนด ผู้เข้ารับการกักตัว ต้องได้รับการเก็บสิ่งส่งตรวจ 2 ครั้ง ครั้งแรกในวันที่ 3-5 หลังจากเข้าพักในโรงแรม เพื่อให้สามารถค้นหาผู้ติดเชื้อได้โดยเร็ว หากพบเชื้อก็จะนําไปรักษาดูแลในโรงพยาบาล ครั้งที่ 2 จะตรวจในวันที่ 11-13 เพื่อความมั่นใจว่าผู้ที่มากักตัวปลอดเชื้อ พร้อมให้กลับบ้านเมื่อกักตัวครบ 14 วัน ไม่นําเชื้อแพร่สู่ครอบครัวหรือชุมชน ​ นายแพทย์สุเทพกล่าวต่อว่า ขณะนี้คนไทยทยอยเดินทางกลับจากต่างประเทศวันละประมาณ 400 คน จํานวนผู้เข้ารับการกักตัวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าในเวลา 1 เดือน เขตสุขภาพที่ 6 จะมีผู้มากักตัวกว่า 6,000 คน ซึ่งต้องเก็บสิ่งส่งตรวจจํานวนรวมถึง 12,000 ตัวอย่างต่อเดือน หรือเฉลี่ยวันละ 400 คน จึงได้จัดเตรียมทีมเก็บสิ่งส่งตรวจไว้วันละ 8 ทีม โดยเขตสุขภาพที่ 6 มีห้องปฏิบัติการตรวจ COVID-19 จํานวน 8 แห่ง ได้แก่ สํานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 จ.ชลบุรี, โรงพยาบาลชลบุรี, โรงพยาบาลระยอง, โรงพยาบาลสมุทรปราการ, โรงพยาบาลพุทธโสธร, โรงพยาบาลพระปกเกล้า, โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และโรงพยาบาลสระแก้ว ​ ทั้งนี้ วานนี้ (20 พฤษภาคม 2563) สํานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 จังหวัดชลบุรี ได้ทําการเก็บตัวอย่างส่งตรวจเพื่อเตรียมก่อนให้กลับบ้าน จํานวน 294 คน เป็นกลุ่มคนไทยที่มาจากประเทศอียิปต์เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม จํานวน 197 คน และจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต จํานวน 97 คน ซึ่งหากไม่พบเชื้อก็จะให้กลับบ้านได้ในวันที่ 23พฤษภาคมนี้ และในระหว่างวันที่ 21-22 พฤษภาคม 2563 จะมีผู้เดินทางกลับจากเวียดนาม ออสเตรเลีย อินเดีย จีน กาตาร์ เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ เข้ารับการกักตัวอีก 800 ราย ​​*********************************** 21 พฤษภาคม 2563 *************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 6 ระดมทีมเก็บสิ่งส่งตรวจหาเชื้อโควิด 19 ผู้กักตัว วันละ 200-500 ราย วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563 เขตสุขภาพที่ 6 ระดมทีมเก็บสิ่งส่งตรวจหาเชื้อโควิด 19 ผู้กักตัว วันละ 200-500 ราย เขตสุขภาพที่ 6 จัดเตรียมสถานที่กักตัวของรัฐรับคนไทยกลับจากต่างประเทศกว่า 6,000 คนต่อเดือน พร้อมระดมทีมตรวจคัดกรอง/ เก็บตัวอย่างสิ่งส่งตรวจหาเชื้อโควิด 19 เฉลี่ยวันละ 200-500 ราย ตามมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาด เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นําเชื้อแพร่สู่ค เขตสุขภาพที่ 6 จัดเตรียมสถานที่กักตัวของรัฐรับคนไทยกลับจากต่างประเทศกว่า 6,000 คนต่อเดือน พร้อมระดมทีมตรวจคัดกรอง/ เก็บตัวอย่างสิ่งส่งตรวจหาเชื้อโควิด 19 เฉลี่ยวันละ 200-500 ราย ตามมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาด เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นําเชื้อแพร่สู่ครอบครัว ชุมชน ​ นายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขตสุขภาพที่ 6 ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับมอบหมายให้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย ภาคเอกชน จัดเตรียมสถานที่กักตัวของรัฐ (State Quarantine) รองรับผู้เดินทางจากต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้มีโรงแรม 21 แห่งทั่วประเทศได้รับคัดเลือกให้เป็นสถานที่กักตัวของรัฐ อยู่ในเขตสุขภาพที่ 6 จํานวน 10 แห่ง คือที่ จังหวัดสมุทรปราการ 3 แห่ง และจังหวัดชลบุรี 7 แห่ง มีห้องพักรวม 3,811 ห้อง อาทิ อาคารรับรองฐานทัพเรือสัตหีบ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน พัทยา เป็นต้น โดยตั้งแต่ 4 กุมภาพันธ์ จนถึง 20 พฤษภาคม 2563 มีผู้เข้ารับการกักตัวสะสม 4,655 ราย กลับบ้านแล้ว 2,447 ราย เป็นผู้เข้าข่ายสอบสวนโรค 38 ราย ผู้ป่วยยืนยัน 18 และอยู่ระหว่างกักตัว 2,408 ราย ทั้งนี้ ตามมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 ที่กรมควบคุมโรคกําหนด ผู้เข้ารับการกักตัว ต้องได้รับการเก็บสิ่งส่งตรวจ 2 ครั้ง ครั้งแรกในวันที่ 3-5 หลังจากเข้าพักในโรงแรม เพื่อให้สามารถค้นหาผู้ติดเชื้อได้โดยเร็ว หากพบเชื้อก็จะนําไปรักษาดูแลในโรงพยาบาล ครั้งที่ 2 จะตรวจในวันที่ 11-13 เพื่อความมั่นใจว่าผู้ที่มากักตัวปลอดเชื้อ พร้อมให้กลับบ้านเมื่อกักตัวครบ 14 วัน ไม่นําเชื้อแพร่สู่ครอบครัวหรือชุมชน ​ นายแพทย์สุเทพกล่าวต่อว่า ขณะนี้คนไทยทยอยเดินทางกลับจากต่างประเทศวันละประมาณ 400 คน จํานวนผู้เข้ารับการกักตัวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าในเวลา 1 เดือน เขตสุขภาพที่ 6 จะมีผู้มากักตัวกว่า 6,000 คน ซึ่งต้องเก็บสิ่งส่งตรวจจํานวนรวมถึง 12,000 ตัวอย่างต่อเดือน หรือเฉลี่ยวันละ 400 คน จึงได้จัดเตรียมทีมเก็บสิ่งส่งตรวจไว้วันละ 8 ทีม โดยเขตสุขภาพที่ 6 มีห้องปฏิบัติการตรวจ COVID-19 จํานวน 8 แห่ง ได้แก่ สํานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 จ.ชลบุรี, โรงพยาบาลชลบุรี, โรงพยาบาลระยอง, โรงพยาบาลสมุทรปราการ, โรงพยาบาลพุทธโสธร, โรงพยาบาลพระปกเกล้า, โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และโรงพยาบาลสระแก้ว ​ ทั้งนี้ วานนี้ (20 พฤษภาคม 2563) สํานักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 จังหวัดชลบุรี ได้ทําการเก็บตัวอย่างส่งตรวจเพื่อเตรียมก่อนให้กลับบ้าน จํานวน 294 คน เป็นกลุ่มคนไทยที่มาจากประเทศอียิปต์เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม จํานวน 197 คน และจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรต จํานวน 97 คน ซึ่งหากไม่พบเชื้อก็จะให้กลับบ้านได้ในวันที่ 23พฤษภาคมนี้ และในระหว่างวันที่ 21-22 พฤษภาคม 2563 จะมีผู้เดินทางกลับจากเวียดนาม ออสเตรเลีย อินเดีย จีน กาตาร์ เกาหลีใต้ และสหรัฐฯ เข้ารับการกักตัวอีก 800 ราย ​​*********************************** 21 พฤษภาคม 2563 *************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31234
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ โชว์ผลการขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล”
วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงเกษตรฯ โชว์ผลการขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” กระทรวงเกษตรฯ โชว์ผลการขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล”นําร่องสินค้าข้าวหอมมะลิ ตามนโยบายตลาดนําการผลิต วันนี้ (18 ก.พ. 63) เวลา 08.30 น. ณ หน้าตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมการจัดนิทรรศการประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” และผลผลิต/ผลิตภัณฑ์ของโครงการ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจน นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมงาน โดย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวรายงานผลการดําเนินงานขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” ณ หน้าตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้บูรณาการความร่วมมือร่วมกับจังหวัดพะเยา ผู้ประกอบการภาคเอกชน เกษตรกร และสถาบันเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดพะเยา เพื่อดําเนินการขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” โดยนําร่องในสินค้าข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/2563 เป็นลําดับแรก มีวัตถุประสงค์มุ่งเน้นให้เกิดการส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของเกษตรกรในจังหวัดพะเยา รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่สินค้าข้าวหอมมะลิ และเพื่อพัฒนาให้ได้มาตรฐาน ตรงตามความต้องการของตลาด ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดและราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ําได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย “การตลาดนําการผลิต” ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สําหรับสถานการณ์การผลิตและการตลาดสินค้าข้าวหอมมะลิจังหวัดพะเยา ปีการผลิต 2562/63 มีพื้นที่ปลูกข้าวนาปี จํานวน 638,079 ไร่ ครอบคลุม 9 อําเภอของจังหวัดพะเยา โดยมีพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิ 419,164 ไร่ ปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกหอมมะลิ อออกสู่ตลาด จํานวน 151,900 ตัน ซึ่งจํานวนดังกล่าวมีการบริหารจัดการการผลิตและการตลาด โดย 1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ที่รับซื้อในโครงการ “พะเยาโมเดล” ภายใต้ตราสินค้า “ฮักพะเยา” โดยความร่วมมือระหว่าง บจก. ข้าว ซี.พี. กับสหกรณ์การเกษตร และผู้ประกอบการภาคเอกชนในพื้นที่ 8 แห่ง ร่วมกันเปิดจุดรับซื้อผลผลิตข้าวหอมมะลิจากเกษตรกร จํานวน 15 จุด รับซื้อในราคา 18,000 บาท/ตัน ที่ความชื้น 15 % ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 9 อําเภอของจังหวัดพะเยา จํานวน 72,594.38 ตัน มูลค่ารวม 949,162,133.44 บาท และเตรียมสานต่อโครงการในปี 2563 โดยขยายผลการรวบรวมและรับซื้อผลผลิตครอบคลุมทั้งจังหวัด 2) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ที่รับซื้อและจําหน่ายผ่านสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการ จํานวน 24,918.19 ตัน มูลค่ารวม 295,463,148.00 บาท “สําหรับในปี 2563 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่จังหวัดพะเยาร่วมกันจัดทําแนวทางการขับเคลื่อนในปีการผลิต 2563/64 โดย 1) กําหนดเป้าหมายบริหารจัดการผลิตและการตลาดข้าวหอมมะลิพะเยา ทั้งหมด (100%) ราคารับซื้อ 18,000 บาท/ตัน (ณ ความชื้น 15%) 2) ส่งเสริมการตลาดสินค้าอัตลักษณ์และขยายตลาดสินค้าข้าวหอมมะลิพะเยาภายใต้แบรนด์ “ฮักพะเยา” 3) เพิ่มบริการรถเกี่ยวข้าวและโรงสีข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร 4) สนับสนุนการไถกลบ ตอซังข้าว เพื่องดการเผาที่เป็นสาเหตุของ PM 2.5 และการปรับปรุงบํารุงดินเพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพข้าว และ 5) วางแผน การเพาะปลูกให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ําและจัดระเบียบการเก็บเกี่ยวให้สามารถใช้ประโยชน์ จากเครื่องจักรกลและบริหารให้ผลผลิตมีคุณภาพออกสู่ตลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งหลังจากรวบรวมและจัดทําข้อมูลดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว กระทรวงเกษตรฯ จะกําหนดจัดการประชุมหารือเพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” และวางแผนการดําเนินงานในปีการผลิต 2563/64 โดยมี พันตํารวจเอก รวมนคร ทับทิมธงไชย หัวหน้าคณะทํางานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) เป็นประธาน ทั้งนี้ รูปแบบการบริหารจัดการผลิตและการตลาด ข้าวหอมมะลิพะเยา “พะเยาโมเดล” จะเป็นตัวอย่างที่จะขยายผลไปสู่การบริหารจัดการสินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งจะเป็นรูปแบบ ที่ไม่พึ่งพางบประมาณ ภาครัฐจํานวนมาก เนื่องจากใช้หลักตลาดนําการผลิต สร้างคุณค่าสินค้าเพิ่มจากอัตตลักษณ์พื้นถิ่นที่ซึ่ง ผู้บริโภคมีความพึงพอใจ” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ โชว์ผลการขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 กระทรวงเกษตรฯ โชว์ผลการขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” กระทรวงเกษตรฯ โชว์ผลการขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล”นําร่องสินค้าข้าวหอมมะลิ ตามนโยบายตลาดนําการผลิต วันนี้ (18 ก.พ. 63) เวลา 08.30 น. ณ หน้าตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยี่ยมชมการจัดนิทรรศการประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” และผลผลิต/ผลิตภัณฑ์ของโครงการ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจน นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วมงาน โดย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าวรายงานผลการดําเนินงานขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” ณ หน้าตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้บูรณาการความร่วมมือร่วมกับจังหวัดพะเยา ผู้ประกอบการภาคเอกชน เกษตรกร และสถาบันเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดพะเยา เพื่อดําเนินการขับเคลื่อนการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” โดยนําร่องในสินค้าข้าวหอมมะลิ ปีการผลิต 2562/2563 เป็นลําดับแรก มีวัตถุประสงค์มุ่งเน้นให้เกิดการส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของเกษตรกรในจังหวัดพะเยา รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่สินค้าข้าวหอมมะลิ และเพื่อพัฒนาให้ได้มาตรฐาน ตรงตามความต้องการของตลาด ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรล้นตลาดและราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ําได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย “การตลาดนําการผลิต” ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สําหรับสถานการณ์การผลิตและการตลาดสินค้าข้าวหอมมะลิจังหวัดพะเยา ปีการผลิต 2562/63 มีพื้นที่ปลูกข้าวนาปี จํานวน 638,079 ไร่ ครอบคลุม 9 อําเภอของจังหวัดพะเยา โดยมีพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิ 419,164 ไร่ ปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกหอมมะลิ อออกสู่ตลาด จํานวน 151,900 ตัน ซึ่งจํานวนดังกล่าวมีการบริหารจัดการการผลิตและการตลาด โดย 1) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ที่รับซื้อในโครงการ “พะเยาโมเดล” ภายใต้ตราสินค้า “ฮักพะเยา” โดยความร่วมมือระหว่าง บจก. ข้าว ซี.พี. กับสหกรณ์การเกษตร และผู้ประกอบการภาคเอกชนในพื้นที่ 8 แห่ง ร่วมกันเปิดจุดรับซื้อผลผลิตข้าวหอมมะลิจากเกษตรกร จํานวน 15 จุด รับซื้อในราคา 18,000 บาท/ตัน ที่ความชื้น 15 % ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 9 อําเภอของจังหวัดพะเยา จํานวน 72,594.38 ตัน มูลค่ารวม 949,162,133.44 บาท และเตรียมสานต่อโครงการในปี 2563 โดยขยายผลการรวบรวมและรับซื้อผลผลิตครอบคลุมทั้งจังหวัด 2) ข้าวเปลือกหอมมะลิ ที่รับซื้อและจําหน่ายผ่านสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการ จํานวน 24,918.19 ตัน มูลค่ารวม 295,463,148.00 บาท “สําหรับในปี 2563 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่จังหวัดพะเยาร่วมกันจัดทําแนวทางการขับเคลื่อนในปีการผลิต 2563/64 โดย 1) กําหนดเป้าหมายบริหารจัดการผลิตและการตลาดข้าวหอมมะลิพะเยา ทั้งหมด (100%) ราคารับซื้อ 18,000 บาท/ตัน (ณ ความชื้น 15%) 2) ส่งเสริมการตลาดสินค้าอัตลักษณ์และขยายตลาดสินค้าข้าวหอมมะลิพะเยาภายใต้แบรนด์ “ฮักพะเยา” 3) เพิ่มบริการรถเกี่ยวข้าวและโรงสีข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกร 4) สนับสนุนการไถกลบ ตอซังข้าว เพื่องดการเผาที่เป็นสาเหตุของ PM 2.5 และการปรับปรุงบํารุงดินเพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพข้าว และ 5) วางแผน การเพาะปลูกให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ําและจัดระเบียบการเก็บเกี่ยวให้สามารถใช้ประโยชน์ จากเครื่องจักรกลและบริหารให้ผลผลิตมีคุณภาพออกสู่ตลาดในช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งหลังจากรวบรวมและจัดทําข้อมูลดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว กระทรวงเกษตรฯ จะกําหนดจัดการประชุมหารือเพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตร “พะเยาโมเดล” และวางแผนการดําเนินงานในปีการผลิต 2563/64 โดยมี พันตํารวจเอก รวมนคร ทับทิมธงไชย หัวหน้าคณะทํางานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) เป็นประธาน ทั้งนี้ รูปแบบการบริหารจัดการผลิตและการตลาด ข้าวหอมมะลิพะเยา “พะเยาโมเดล” จะเป็นตัวอย่างที่จะขยายผลไปสู่การบริหารจัดการสินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งจะเป็นรูปแบบ ที่ไม่พึ่งพางบประมาณ ภาครัฐจํานวนมาก เนื่องจากใช้หลักตลาดนําการผลิต สร้างคุณค่าสินค้าเพิ่มจากอัตตลักษณ์พื้นถิ่นที่ซึ่ง ผู้บริโภคมีความพึงพอใจ” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26585
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“โฆษก รง.” เชิญชวนติดตาม Live สด ฝึกอาชีพผ่านเฟสบุ๊ค M - poweredth
วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2560 “โฆษก รง.” เชิญชวนติดตาม Live สด ฝึกอาชีพผ่านเฟสบุ๊ค M - poweredth กระทรวงแรงงาน เชิญชวน นักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป ติดตาม Live สด การฝึกอาชีพผ่านทางเฟสบุ๊ค M - poweredth ฝึกอบรมอาชีพออนไลน์ เพื่อพัฒนาทักษะด้านอาชีพ เพิ่มรายได้ในยุคดิจิทัล นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อสามารถรองรับการทํางานในยุคดิจิทัล รวมทั้งเพิ่มบทบาทในการเป็นผู้อํานวยความสะดวกแก่ประชาชน ซึ่งจากผลความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงานกับ บริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จํากัดที่ได้พัฒนาระบบ M-Powered Thailand มาตั้งแต่วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ - 3 พฤษภาคม 2560 พบว่า มีผู้ใช้บริการจํานวน 4,491 คน แยกเป็นเว็บไซต์ 2,903 คน ในจํานวนนี้มีผู้ใช้บริการหางานของศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) จํานวน 1,665 คน มีผู้กดติดตามและกดไลท์ผ่านเฟสบุ๊คจํานวน 1,506 คน มีหลักสูตรเรียนรู้ออนไลน์ จํานวน 313 หลักสูตร โปรโมทผลิตภัณฑ์สินค้าจํานวน 11 รายการ และมีพี่เลี้ยงคอยให้คําปรึกษาด้านอาชีพจํานวน 782 คน นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า จากผลการใช้บริการดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันประชาชนนิยมหันมาใช้บริการระบบ M-Powered Thailand ศูนย์พัฒนาอาชีพออนไลน์ครบวงจรมากขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกทันสมัย เข้าถึงง่าย และประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินงานตอบสนองความต้องการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล และสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางแก่กลุ่มเป้าหมาย ทั้งนักเรียน นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจมากยิ่งขึ้น ได้ค้นหาตําแหน่งงานว่างกับศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) เรียนรู้ออนไลน์ (E-Learning) ทั้งในเรื่องสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน กฎหมายคุ้มครองแรงงาน สวัสดิการแรงงาน ความปลอดภัยในการทํางาน แบบทดสอบความพร้อมทางอาชีพ รวมทั้งการแข่งขันฝีมือแรงงานสําหรับเยาวชน การโปรโมทผลิตภัณฑ์สินค้า (Marketing Place) การขอรับคําปรึกษาจากที่ปรึกษาด้านอาชีพ (Mentor) การบริการประชาชนผ่าน E-Service ตลอดจนติดตาม Live สดการฝึกอาชีพทางเฟสบุ๊คอีกด้วย ผู้สนใจสามารถเข้าไปใช้บริการได้ที่ www.m-powered.org/thailand ,Facebook Fanpage M-poweredth รวมทั้ง Twitter อีกทางหนึ่งด้วยเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้ พัฒนาทักษะเพื่อเพิ่มรายได้ และส่งเสริมอาชีพให้แก่คนไทยในสังคมอย่างเท่าเทียมในยุคดิจิทัล ---------------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ 12 มิถุนายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“โฆษก รง.” เชิญชวนติดตาม Live สด ฝึกอาชีพผ่านเฟสบุ๊ค M - poweredth วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2560 “โฆษก รง.” เชิญชวนติดตาม Live สด ฝึกอาชีพผ่านเฟสบุ๊ค M - poweredth กระทรวงแรงงาน เชิญชวน นักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป ติดตาม Live สด การฝึกอาชีพผ่านทางเฟสบุ๊ค M - poweredth ฝึกอบรมอาชีพออนไลน์ เพื่อพัฒนาทักษะด้านอาชีพ เพิ่มรายได้ในยุคดิจิทัล นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อสามารถรองรับการทํางานในยุคดิจิทัล รวมทั้งเพิ่มบทบาทในการเป็นผู้อํานวยความสะดวกแก่ประชาชน ซึ่งจากผลความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงานกับ บริษัทไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จํากัดที่ได้พัฒนาระบบ M-Powered Thailand มาตั้งแต่วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ - 3 พฤษภาคม 2560 พบว่า มีผู้ใช้บริการจํานวน 4,491 คน แยกเป็นเว็บไซต์ 2,903 คน ในจํานวนนี้มีผู้ใช้บริการหางานของศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) จํานวน 1,665 คน มีผู้กดติดตามและกดไลท์ผ่านเฟสบุ๊คจํานวน 1,506 คน มีหลักสูตรเรียนรู้ออนไลน์ จํานวน 313 หลักสูตร โปรโมทผลิตภัณฑ์สินค้าจํานวน 11 รายการ และมีพี่เลี้ยงคอยให้คําปรึกษาด้านอาชีพจํานวน 782 คน นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า จากผลการใช้บริการดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันประชาชนนิยมหันมาใช้บริการระบบ M-Powered Thailand ศูนย์พัฒนาอาชีพออนไลน์ครบวงจรมากขึ้น เนื่องจากมีความสะดวกทันสมัย เข้าถึงง่าย และประหยัดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินงานตอบสนองความต้องการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล และสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางแก่กลุ่มเป้าหมาย ทั้งนักเรียน นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจมากยิ่งขึ้น ได้ค้นหาตําแหน่งงานว่างกับศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) เรียนรู้ออนไลน์ (E-Learning) ทั้งในเรื่องสิทธิประโยชน์ผู้ประกันตน กฎหมายคุ้มครองแรงงาน สวัสดิการแรงงาน ความปลอดภัยในการทํางาน แบบทดสอบความพร้อมทางอาชีพ รวมทั้งการแข่งขันฝีมือแรงงานสําหรับเยาวชน การโปรโมทผลิตภัณฑ์สินค้า (Marketing Place) การขอรับคําปรึกษาจากที่ปรึกษาด้านอาชีพ (Mentor) การบริการประชาชนผ่าน E-Service ตลอดจนติดตาม Live สดการฝึกอาชีพทางเฟสบุ๊คอีกด้วย ผู้สนใจสามารถเข้าไปใช้บริการได้ที่ www.m-powered.org/thailand ,Facebook Fanpage M-poweredth รวมทั้ง Twitter อีกทางหนึ่งด้วยเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้ พัฒนาทักษะเพื่อเพิ่มรายได้ และส่งเสริมอาชีพให้แก่คนไทยในสังคมอย่างเท่าเทียมในยุคดิจิทัล ---------------------------------------------- กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/ ชนินทร เพ็ชรทับ – ข่าว/ 12 มิถุนายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4457
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ยืนยันไทยนำเข้ายา Favipiravir เพียงพอ พร้อมสั่งสำรองเตียงผู้ป่วยฉุกเฉินและพื้นที่สำหรับการเฝ้ากักกัน ระวัง Quarantine
วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563 ศบค. ยืนยันไทยนําเข้ายา Favipiravir เพียงพอ พร้อมสั่งสํารองเตียงผู้ป่วยฉุกเฉินและพื้นที่สําหรับการเฝ้ากักกัน ระวัง Quarantine ศบค. ยืนยันไทยนําเข้ายา Favipiravir เพียงพอ พร้อมสั่งสํารองเตียงผู้ป่วยฉุกเฉินและพื้นที่สําหรับการเฝ้ากักกัน ระวัง Quarantine วันนี้ (9 เม.ย. 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษก ศบค. แถลงผลการหารือในโอกาสพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ผ่านระบบ Video Conference โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมพร้อมสั่งดูแลขวัญกําลังใจผู้ทํางานด้วยความเสียสละ โดยเฉพาะบุคลากรกลุ่มเสี่ยงที่ดูแลและเกี่ยวข้องกับผู้ป่วย และยังติดตามการกักตัวเฝ้าระวังผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. ข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีกล่าวในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้ความห่วงใย 6 ด้าน 1) ชี้แจงทําความเข้าใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจก่อนที่จะมีมาตรการใด ๆ ออกมา โดยทั้งโฆษก ศบค. และโฆษกหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ต้องให้รายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย 2) การบริหารจัดการข้อมูล ด้วยการจัดระเบียบและบูรณาการข้อมูลที่มีจํานวนมากและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาให้เป็นศูนย์ข้อมูลกลาง เพื่อมาวิเคราะห์นําไปสู่การตัดสินใจกําหนดมาตรการภาครัฐต่าง ๆ รวมทั้งให้นําข้อมูลเหล่านี้ไปอธิบายเหตุและผลของแต่ละมาตรการได้ 3) การเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย โดยทุกคนที่เดินทางกลับมาประเทศไทย จะต้องถูกกักตัว เพื่อเผ้าระวังในสถานที่ที่รัฐจัดให้ State Quarantine ในส่วนกลางหรือสถานที่ที่พื้นที่จัดเตรียมไว้ Local Quarantine ในส่วนภูมิภาค ด้วยความเข้มงวด จริงจัง ทั้งเพื่ออํานวยความสะดวกและการควบคุมโรค 4) มาตรการเคอร์ฟิว ยืนยันยังไม่มีการปรับเวลาเคอร์ฟิว โดยยังคงอยู่ในช่วงเวลา 22.0 น. - 04.00 น. นอกจากนี้ยังจะมีการรวบรวมอาชีพต่าง ๆ ที่อาจต้องรับการผ่อนผัน 5) หน้ากากอนามัย ได้มีการสั่งซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ทั้งจากต่างประเทศและภายในประเทศ เพราะบุคลากรทางการแพทย์จะต้องมีใช้อย่างพอเพียง พร้อมทั้งติดตามการผลิตหน้ากากทางเลือกโดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้ถึงมือประชาชนทั่วไป 6) มาตรการเยียวยา เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบต้องได้รับการดูแล ซึ่งผ่านการลงทะเบียนกว่า 20 ล้านราย หากตรวจสอบพบว่าไม่ถูกต้อง ต้องเรียกเงินคืนหรือมีการลงโทษ 2. สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทย/โลก ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ 54 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสม 2,423 ราย หายป่วย 940 ราย ครอบคลุม 67 จังหวัด มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายที่ 31 เป็นผู้ป่วยชายสัญชาติฝรั่งเศสอายุ 74 ปี ไม่มีโรคประจําตัว เริ่มป่วย 27 มีนาคม 63 ด้วยอาการไข้ ไอ เหนื่อย และปวดท้อง เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี เอ็กซเรย์พบปอดอักเสบมีผลตรวจยืนยันเป็นไวรัสโควิด-19 ต่อมา 7 เมษายน 63 มีอาการหอบเหนื่อยมากขึ้น ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตในวันเดียวกัน สําหรับผู้เสียชีวิตรายที่ 32 เป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 82 ปี เริ่มมีอาการป่วย 25 มีนาคม 63 มีอาการไข้ 38.5 องศา ไอ เหนื่อย รักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ แพทย์ต้องใส่ท่อช่วยหายใจแต่ผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้นและไม่รู้สึกตัว เสียชีวิต 8 เมษายน 63 ซึ่งต้องขอแสดงความเสียใจกับญาติของทั้ง 2 รายด้วย การหาความเชื่อมโยงของผู้ป่วยรายใหม่ 54 รายว่า พบว่ามาจาก 2 กลุ่มใหญ่ โดย 49 รายแบ่งเป็น 1. กลุ่มที่มีประวัติเสี่ยง สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายเก่า 22 ราย 2. ผู้ป่วยอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 21 ราย และกลุ่ม 3. อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 6 ราย โฆษก ศบค. ย้ํา นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญและสนใจสถิติต่าง ๆ และเข้าใจถึงความเจ็บไข้ได้ป่วยซึ่งห้ามไม่ได้ จึงต้องหาแนวทางป้องกัน การกระจายตัวของผู้ป่วยสะสม 2,423 รายใน 67 จังหวัด พบมีจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วย 10 จังหวัด ภูเก็ตยังเป็นอันดับที่ 1 สําหรับอัตราการป่วยของคนในจังหวัดต่อจํานวนประชากรแสนคน ภูเก็ต อยู่ที่ 38.95 คนต่อประชากรแสนคน กรุงเทพฯ 21.9 คนต่อประชากรแสนคน ยะลาอยู่ที่ 13.1 คนต่อประชากรแสนคน ซึ่งเชื่อมโยงกับ Import Case ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมาสูงขึ้น เพราะกลับมาจากอินโดนีเซียทําให้ตัวเลขต่าง ๆ ขยับขึ้นบ้าง แผนภูมิแสดงการเปรียบเทียบระหว่างกรุงเทพฯ นนทบุรี และต่างจังหวัด เมื่อวานนี้ที่แท่งสีแดงพุ่งขึ้นมาเพราะอยู่ใน State Quarantine 42 ราย แต่วันนี้น่าจะเป็นของจริง เมื่อ 7 เมษายน 63 เราดีใจว่าคนของเราติดอยู่ 38 ราย แต่วันนี้ 54 ราย ฉะนั้น ยังไม่เป็นที่พึงพอใจแน่นอน ยังต้องเข้มกันต่อ ต้องพยายามเข้มงวดทุกมาตรการ ทั้งส่วนตัวและทั้งสังคม ทั้งนี้ การกระจายตัวของกรุงเทพฯ นนทบุรี จะเห็นสีแดงเต็มทั้งหมด สถานการณ์โรคโควิด-19 ในบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยชุดวิเคราะห์จากกรมควบคุมโรค ย้อนหลังกลับไปดูตั้งแต่มกราคม 63 ถึง 8 เมษายน 63 พบมีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อ 80 ราย ถือเป็น 3.4 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยทั้งหมด เป็นกลุ่มที่ติดเชื้อจาก 1. โรงพยาบาล 50 ราย คิดเป็น 60.5 เปอร์เซ็นต์ โดยเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน แผนกฉุกเฉิน ทันตกรรม ห้องปฏิบัติการ และพนักงานสนับสนุน 2. ติดเชื้อในชุมชน 18 ราย คิดเป็น 22.5 เปอร์เซ็นต์ และ 3. อยู่ระหว่างการสอบสวนอีก 12 ราย ชุดข้อมูลผู้ติดเชื้อที่ปรากฏ คือ เป็นผู้ช่วยพยาบาล จํานวน 36 ราย คิดเป็นร้อยละ 45 เป็นแพทย์ 16 ราย คิดเป็นร้อยละ 20 ซึ่งเมื่อติดเชื้อแล้วต้องหยุดงานดูอาการ ทั้งหมอและพยาบาลก็ต้องโดน Quarantine ด้วย ผลที่ตามคือกระทบต่อการให้บริการต่อประชาชนทั้งหมดเพราะหมอมีจํานวนน้อยลง โฆษก ศบค. กล่าวถึงสาเหตุของการพบผู้ป่วยรายแรกในจังหวัดต่าง ๆ และมาตรการป้องกันเชิงรุกที่พบผู้ป่วยรายแรกของจังหวัดที่มีความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เป็นผู้ป่วยชาวต่างชาติ ผู้ป่วยชาวไทยติดเชื้อจากต่างประเทศ ผู้ป่วยชาวไทยติดเชื้อจากร่วมพิธีศาสนา ขณะที่ผู้ป่วยรายแรกของจังหวัดที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เป็นผู้ป่วยที่ไปสนามมวยหรือสัมผัสผู้ป่วยจากสนามมวย สถานบันเทิง และอื่น ๆ ดังนั้น เมื่อป่วยแล้วต้องเข้า State Quarantine ถ้าเดินทางมาจากต่างประเทศก็ต้องขอให้เข้า State Quarantine สําหรับเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้ออกประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ เช่น งดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบด้วย ขอให้งดเว้นการเดินทางกลับภูมิลําเนา ให้อยู่ในภูมิลําเนาหรือที่ตั้ง งดเว้นการรดน้ําขอพรผู้ใหญ่ในทุกกรณี และงดการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนหมู่มาก หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคระบาดโดยเด็ดขาด ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ ศบค. หากต้องการสืบสานประเพณีสงกรานต์ ขอให้สรงน้ําพระพุทธรูปที่บ้าน ไม่ต้องไปวัด แสดงความกตัญญูกับพ่อแม่ด้วยการกราบไหว้ขอพร เว้นระยะห่างให้ท่านประมาณ 1-2 เมตร เพราะผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงในการเสียชีวิตมากที่สุด หรือขอพรออนไลน์ โดยขอให้ช่วยกัน เป็นมาตรการที่สอดคล้องกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับกระทรวงวัฒนธรรม โฆษก ศบภ. ยังกล่าวถึงมาตรการของจังหวัดต่าง ๆ ด้วยว่า จังหวัดชลบุรีมีการปิดเมืองพัทยาอย่างเป็นทางการตั้งแต่เวลา 14.00 น. วันที่ 9 เมษายน 63 เป็นต้นไป รวม 21 วัน โดยปิดทางเข้า-ออก เมืองพัทยาเหลือ 5 จุด เนื่องจากชลบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีอัตราการติดเชื้อสูง จึงต้องมีการตั้งจุดตรวจคุมเข้ม คนเข้า-ออก ทั้งยานพาหนะและบุคคล หากไม่ได้อยู่อาศัยหรือทํางาน มีเหตุจําเป็นในพัทยา จะไม่ให้เข้า-ออก จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ขณะที่จังหวัดบึงกาฬ ยังไม่พบผู้ติดเชื้อแต่มีมาตรการห้ามบุคคลเข้า-ออกในพื้นที่ ตั้งแต่ 7-30 เมษายน 63 เว้นแต่เพื่อประโยชน์ในการรักษาพยาบาล การทําให้ปลอดภัยจากเชื้อโรค การควบคุมป้องกันโรคจะเห็นว่าทั้งจังหวัดที่มีการติดเชื้อสูง กับจังหวัดที่ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ ก็สามารถออกมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ที่สําคัญคือเมื่อจังหวัดออกมาตรการแล้ว ประชาชนต้องให้ความร่วมมืออย่างดีด้วย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ของโลก พบตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ประมาณ 150,0000 คน เสียชีวิตไป 88,000 กว่าคน โดยสหรัฐอเมริกายังเป็นอันดับที่ 1 พบผู้ติดเชื้อ 450,000 กว่าคน เสียชีวิตไป 14,000 กว่าคน สเปน ผู้ติดเชื้อสะสมประมาณ 140,000 คน อังกฤษ ผู้ติดเชื้อสะสม 60,000 กว่าคน โดยประเทศไทย (เมื่อวานนี้) อยู่ในอันดับที่ 44 ขณะนี้ ทั้ง สหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส พบมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นบทเรียนสําหรับประเทศไทย ขณะที่เยอรมันเป็นประเทศที่เห็นทิศทางการลงของตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ดี ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของประชาชนในประเทศเยอรมันที่มีความเข้มงวด ปฏิบัติตามระเบียบ จึงอยากให้คนไทยอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน และต้องการให้ทุกคนดูแลตนเอง สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ในกลุ่มประเทศอาเซียนยังเพิ่มขึ้นทั้งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ซึ่งมีคนไทยที่จะเดินทางจากอินโดนีเซียกลับมาประเทศไทยด้วย จึงต้องมีมาตรการเข้มงวดในการดูแลและตรวจเช็คก่อนเข้าประเทศอย่างดี 3. รายงานผลการปฏิบัติการจากการประกาศเคอร์ฟิว รายงานผลการปฏิบัติการวานนี้ (8 เม.ย.63 ) มีการจัดตั้ง 926 จุดตรวจ พบว่ามีการตักเตือน 131 ราย ดําเนินคดีไปแล้ว 1,204 ราย โดยยังมีประชาชนที่ละเมิดกฎหมายเพิ่มขึ้นจากเมื่อวานเกือบ 200 ราย จึงขอวิงวอนประชาชนร่วมมือร่วมใจอยู่บ้านให้มากที่สุด ลดการละเมิดกฎหมายที่วางไว้ 4. มาตรการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยของคนไทย กระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า มีคนไทยรอกลับประเทศในกลุ่มที่เดินทางทางอากาศจํานวน 5,453 คน กลุ่มที่เดินทางผ่านด่านมาเลเซียอย่างไม่เป็นทางการจํานวน 4,000 กว่าคน แต่คาดว่าน่าจะมีจํานวนมากเป็นหมื่นคน มีคนไทยลงทะเบียนกลับประเทศแล้วทั้งมด 14,664 คน มีผู้เดินทางกลับเข้ามาแล้วจํานวน 12,771 คน ซึ่งจะมีการเดินทางเข้ามาอีกเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 18 เมษายน 63 ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญมากในเรื่อง State Quarantine และ Local Quarantine ซึ่งศักยภาพในการดูแลได้ต่อวันประมาณ 200 คน ที่ประชุม ศบค. จึงมีข้อสรุปว่า หากยังไม่เดือดร้อนและสามารถอยู่อาศัยในประเทศนั้น ๆ ได้ต่อ ขอให้อยู่ต่อที่ต่างประเทศก่อน สําหรับผู้ที่มีปัญหา รัฐบาลอาจจะมีมาตรการงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อให้อาศัยอยู่ที่ในพื้นที่นั้น ๆ ต่อไปก่อน เพราะการเดินทางผ่านแดน เจอคนหมู่มาก การเดินทางบนเครื่องบินเป็นเวลานาน ๆ ล้วนมีความเสี่ยง สําหรับกลุ่มที่ตั้งใจเดินทางกลับต้องทําตามลําดับขั้นตอนในการเดินทางเข้าประเทศอย่างเคร่งครัด คือ มีใบรับรองแพทย์ไม่เกิน 72 ชั่วโมง ต้องมีการ Quarantine ตัวเองก่อนเดินทางกลับเป็นเวลา 14 วัน และจะต้องยินยอมที่ได้ทําการ State Quarantine หลังจากเดินทางกลับเข้ามาแล้ว ซึ่งอาจจะเพิ่มเติมในเรื่องการตรวจ Test ก่อนการเดินทางเพื่อให้ได้ผลไวขึ้น ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมดําเนินการ 5. การเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ กระทรวงกลาโหมรายงานการเตรียมความพร้อมของพื้นที่รองรับหรือ State Quarantine ว่ามีทั้งหมดจํานวน 2,037 ห้อง หากต้องให้นอนเดี่ยวจะต้องหาเพิ่มอีกจํานวน 1,500 ห้อง กระทรวงมหาดไทย รายงานต่อว่าตอนนี้มีพื้นที่อยู่จํานวน 460 แห่ง สามารถเข้าพักได้ 13,000 กว่าคน โฆษก ศบค. ย้ําว่านายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทยบูรณาการ โดยสถานที่ของกระทรวงมหาดไทยจะเป็น Local Quarantine ที่จะอยู่ตามต่างจังหวัด เช่น ในกรณีที่มีผู้เดินทางกลับมาจากอินโดนีเซีย จะให้ Quarantine อยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในพื้นที่ที่รัฐจัดให้ ไม่จําเป็นจะต้องเดินทางมากักตัวไกลถึงกรุงเทพมหานคร ขณะเดียวกัน ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาธร ในฐานะเป็นที่ปรึกษาฯ ได้รายงานว่าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีโรงพยาบาลที่รองรับสถานการณ์ที่ร้ายที่สุดนี้ทั้งหมด 98 แห่ง พบว่ายังขาด ICU อีกอย่างน้อย 80 เตียง ในส่วนอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่น ๆ เช่น เครื่องช่วยหายใจ มีเพียงพอต่อการดูแลผู้ป่วย เนื่องจากได้รับพระราชทานมาแล้วก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขดูแลในส่วนการเพิ่มเตียง ICU อีกจํานวน 80 เตียง โดยให้ใช้สถานที่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ เพื่อเป็นประโยชน์ในอนาคตต่อไป รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รายงานถึงค่าใช้จ่ายในการรักษา ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้รัฐจะต้องเป็นผู้ดูแลได้ทั้งหมด ทั้งนี้จะต้องตรวจสอบจาก พ.ร.บ.โรคติดต่อ และ พรก.ฉุกเฉิน ทั้งหลาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันจะต้องไม่ผิดระเบียบในหลักปฏิบัติ ซึ่งรัฐบาลมีเจตนาที่ดีต่อประชาชน ให้ประชาชนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ยา Favipiravir มียานําเข้ารวมทั้งหมด 187,000 เม็ด ใช้ไปแล้วกว่า 47,518 เม็ด คงเหลืออยู่ประมาณ 139,482 เม็ด ใช้ตามที่มีข้อบ่งชี้โดยคณะกรรมการทางการแพทย์เป็นผู้ประเมิน ไม่ได้ใช้ในผู้ป่วยทุกราย ทําให้สามารถสบายใจได้ว่าขณะนี้ยายังมีเพียงพอ หน้ากากอนามัย N 95 กระทรวงสาธารณสุขร่วมกันกับกระทรวงพาณิชย์และฝ่ายปกครองทั้งหลายนําเข้ามาถึงแล้ว 200,000 ชิ้น ประกอบกับมีการวิจัยว่า หน้ากากอนามัย N95 สามารถนํากลับมาใช้ซ้ําได้ โดยนําไปเข้าเครื่องอาบรังสี เป็นเวลา 30 นาที สามารถนํากลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 4 ครั้ง ทําให้ช่วยประหยัดงบประมาณของรัฐได้ สําหรับหน้ากากอนามัยอื่น ๆ มีการติดตามไปถึงระดับจังหวัด อําเภอ และโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ด้านหน้ากากผ้าจากกระทรวงมหาดไทย 50 ล้านชิ้น และกระทรวงอุตสาหกรรม 20 ล้านชิ้น ได้ทําการจัดส่งเพื่อกระจายสู่พี่น้องประชาชนแล้ว ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ยืนยันไทยนำเข้ายา Favipiravir เพียงพอ พร้อมสั่งสำรองเตียงผู้ป่วยฉุกเฉินและพื้นที่สำหรับการเฝ้ากักกัน ระวัง Quarantine วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน 2563 ศบค. ยืนยันไทยนําเข้ายา Favipiravir เพียงพอ พร้อมสั่งสํารองเตียงผู้ป่วยฉุกเฉินและพื้นที่สําหรับการเฝ้ากักกัน ระวัง Quarantine ศบค. ยืนยันไทยนําเข้ายา Favipiravir เพียงพอ พร้อมสั่งสํารองเตียงผู้ป่วยฉุกเฉินและพื้นที่สําหรับการเฝ้ากักกัน ระวัง Quarantine วันนี้ (9 เม.ย. 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษก ศบค. แถลงผลการหารือในโอกาสพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ผ่านระบบ Video Conference โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมพร้อมสั่งดูแลขวัญกําลังใจผู้ทํางานด้วยความเสียสละ โดยเฉพาะบุคลากรกลุ่มเสี่ยงที่ดูแลและเกี่ยวข้องกับผู้ป่วย และยังติดตามการกักตัวเฝ้าระวังผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ 1. ข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีกล่าวในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้ความห่วงใย 6 ด้าน 1) ชี้แจงทําความเข้าใจกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจก่อนที่จะมีมาตรการใด ๆ ออกมา โดยทั้งโฆษก ศบค. และโฆษกหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ต้องให้รายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย 2) การบริหารจัดการข้อมูล ด้วยการจัดระเบียบและบูรณาการข้อมูลที่มีจํานวนมากและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาให้เป็นศูนย์ข้อมูลกลาง เพื่อมาวิเคราะห์นําไปสู่การตัดสินใจกําหนดมาตรการภาครัฐต่าง ๆ รวมทั้งให้นําข้อมูลเหล่านี้ไปอธิบายเหตุและผลของแต่ละมาตรการได้ 3) การเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย โดยทุกคนที่เดินทางกลับมาประเทศไทย จะต้องถูกกักตัว เพื่อเผ้าระวังในสถานที่ที่รัฐจัดให้ State Quarantine ในส่วนกลางหรือสถานที่ที่พื้นที่จัดเตรียมไว้ Local Quarantine ในส่วนภูมิภาค ด้วยความเข้มงวด จริงจัง ทั้งเพื่ออํานวยความสะดวกและการควบคุมโรค 4) มาตรการเคอร์ฟิว ยืนยันยังไม่มีการปรับเวลาเคอร์ฟิว โดยยังคงอยู่ในช่วงเวลา 22.0 น. - 04.00 น. นอกจากนี้ยังจะมีการรวบรวมอาชีพต่าง ๆ ที่อาจต้องรับการผ่อนผัน 5) หน้ากากอนามัย ได้มีการสั่งซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ทั้งจากต่างประเทศและภายในประเทศ เพราะบุคลากรทางการแพทย์จะต้องมีใช้อย่างพอเพียง พร้อมทั้งติดตามการผลิตหน้ากากทางเลือกโดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อให้ถึงมือประชาชนทั่วไป 6) มาตรการเยียวยา เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบต้องได้รับการดูแล ซึ่งผ่านการลงทะเบียนกว่า 20 ล้านราย หากตรวจสอบพบว่าไม่ถูกต้อง ต้องเรียกเงินคืนหรือมีการลงโทษ 2. สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทย/โลก ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ 54 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสม 2,423 ราย หายป่วย 940 ราย ครอบคลุม 67 จังหวัด มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2 ราย โดยผู้เสียชีวิตรายที่ 31 เป็นผู้ป่วยชายสัญชาติฝรั่งเศสอายุ 74 ปี ไม่มีโรคประจําตัว เริ่มป่วย 27 มีนาคม 63 ด้วยอาการไข้ ไอ เหนื่อย และปวดท้อง เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี เอ็กซเรย์พบปอดอักเสบมีผลตรวจยืนยันเป็นไวรัสโควิด-19 ต่อมา 7 เมษายน 63 มีอาการหอบเหนื่อยมากขึ้น ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตในวันเดียวกัน สําหรับผู้เสียชีวิตรายที่ 32 เป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 82 ปี เริ่มมีอาการป่วย 25 มีนาคม 63 มีอาการไข้ 38.5 องศา ไอ เหนื่อย รักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ แพทย์ต้องใส่ท่อช่วยหายใจแต่ผู้ป่วยอาการไม่ดีขึ้นและไม่รู้สึกตัว เสียชีวิต 8 เมษายน 63 ซึ่งต้องขอแสดงความเสียใจกับญาติของทั้ง 2 รายด้วย การหาความเชื่อมโยงของผู้ป่วยรายใหม่ 54 รายว่า พบว่ามาจาก 2 กลุ่มใหญ่ โดย 49 รายแบ่งเป็น 1. กลุ่มที่มีประวัติเสี่ยง สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายเก่า 22 ราย 2. ผู้ป่วยอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 21 ราย และกลุ่ม 3. อยู่ระหว่างการสอบสวนโรค 6 ราย โฆษก ศบค. ย้ํา นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญและสนใจสถิติต่าง ๆ และเข้าใจถึงความเจ็บไข้ได้ป่วยซึ่งห้ามไม่ได้ จึงต้องหาแนวทางป้องกัน การกระจายตัวของผู้ป่วยสะสม 2,423 รายใน 67 จังหวัด พบมีจังหวัดที่ไม่มีการรายงานผู้ป่วย 10 จังหวัด ภูเก็ตยังเป็นอันดับที่ 1 สําหรับอัตราการป่วยของคนในจังหวัดต่อจํานวนประชากรแสนคน ภูเก็ต อยู่ที่ 38.95 คนต่อประชากรแสนคน กรุงเทพฯ 21.9 คนต่อประชากรแสนคน ยะลาอยู่ที่ 13.1 คนต่อประชากรแสนคน ซึ่งเชื่อมโยงกับ Import Case ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมาสูงขึ้น เพราะกลับมาจากอินโดนีเซียทําให้ตัวเลขต่าง ๆ ขยับขึ้นบ้าง แผนภูมิแสดงการเปรียบเทียบระหว่างกรุงเทพฯ นนทบุรี และต่างจังหวัด เมื่อวานนี้ที่แท่งสีแดงพุ่งขึ้นมาเพราะอยู่ใน State Quarantine 42 ราย แต่วันนี้น่าจะเป็นของจริง เมื่อ 7 เมษายน 63 เราดีใจว่าคนของเราติดอยู่ 38 ราย แต่วันนี้ 54 ราย ฉะนั้น ยังไม่เป็นที่พึงพอใจแน่นอน ยังต้องเข้มกันต่อ ต้องพยายามเข้มงวดทุกมาตรการ ทั้งส่วนตัวและทั้งสังคม ทั้งนี้ การกระจายตัวของกรุงเทพฯ นนทบุรี จะเห็นสีแดงเต็มทั้งหมด สถานการณ์โรคโควิด-19 ในบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยชุดวิเคราะห์จากกรมควบคุมโรค ย้อนหลังกลับไปดูตั้งแต่มกราคม 63 ถึง 8 เมษายน 63 พบมีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อ 80 ราย ถือเป็น 3.4 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยทั้งหมด เป็นกลุ่มที่ติดเชื้อจาก 1. โรงพยาบาล 50 ราย คิดเป็น 60.5 เปอร์เซ็นต์ โดยเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน แผนกฉุกเฉิน ทันตกรรม ห้องปฏิบัติการ และพนักงานสนับสนุน 2. ติดเชื้อในชุมชน 18 ราย คิดเป็น 22.5 เปอร์เซ็นต์ และ 3. อยู่ระหว่างการสอบสวนอีก 12 ราย ชุดข้อมูลผู้ติดเชื้อที่ปรากฏ คือ เป็นผู้ช่วยพยาบาล จํานวน 36 ราย คิดเป็นร้อยละ 45 เป็นแพทย์ 16 ราย คิดเป็นร้อยละ 20 ซึ่งเมื่อติดเชื้อแล้วต้องหยุดงานดูอาการ ทั้งหมอและพยาบาลก็ต้องโดน Quarantine ด้วย ผลที่ตามคือกระทบต่อการให้บริการต่อประชาชนทั้งหมดเพราะหมอมีจํานวนน้อยลง โฆษก ศบค. กล่าวถึงสาเหตุของการพบผู้ป่วยรายแรกในจังหวัดต่าง ๆ และมาตรการป้องกันเชิงรุกที่พบผู้ป่วยรายแรกของจังหวัดที่มีความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เป็นผู้ป่วยชาวต่างชาติ ผู้ป่วยชาวไทยติดเชื้อจากต่างประเทศ ผู้ป่วยชาวไทยติดเชื้อจากร่วมพิธีศาสนา ขณะที่ผู้ป่วยรายแรกของจังหวัดที่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เป็นผู้ป่วยที่ไปสนามมวยหรือสัมผัสผู้ป่วยจากสนามมวย สถานบันเทิง และอื่น ๆ ดังนั้น เมื่อป่วยแล้วต้องเข้า State Quarantine ถ้าเดินทางมาจากต่างประเทศก็ต้องขอให้เข้า State Quarantine สําหรับเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้ออกประกาศกระทรวงวัฒนธรรม เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับเทศกาลประเพณีสงกรานต์ เช่น งดเว้นการจัดงานสงกรานต์ในทุกระดับ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบด้วย ขอให้งดเว้นการเดินทางกลับภูมิลําเนา ให้อยู่ในภูมิลําเนาหรือที่ตั้ง งดเว้นการรดน้ําขอพรผู้ใหญ่ในทุกกรณี และงดการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนหมู่มาก หรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่โรคระบาดโดยเด็ดขาด ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ ศบค. หากต้องการสืบสานประเพณีสงกรานต์ ขอให้สรงน้ําพระพุทธรูปที่บ้าน ไม่ต้องไปวัด แสดงความกตัญญูกับพ่อแม่ด้วยการกราบไหว้ขอพร เว้นระยะห่างให้ท่านประมาณ 1-2 เมตร เพราะผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงในการเสียชีวิตมากที่สุด หรือขอพรออนไลน์ โดยขอให้ช่วยกัน เป็นมาตรการที่สอดคล้องกันระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับกระทรวงวัฒนธรรม โฆษก ศบภ. ยังกล่าวถึงมาตรการของจังหวัดต่าง ๆ ด้วยว่า จังหวัดชลบุรีมีการปิดเมืองพัทยาอย่างเป็นทางการตั้งแต่เวลา 14.00 น. วันที่ 9 เมษายน 63 เป็นต้นไป รวม 21 วัน โดยปิดทางเข้า-ออก เมืองพัทยาเหลือ 5 จุด เนื่องจากชลบุรีเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีอัตราการติดเชื้อสูง จึงต้องมีการตั้งจุดตรวจคุมเข้ม คนเข้า-ออก ทั้งยานพาหนะและบุคคล หากไม่ได้อยู่อาศัยหรือทํางาน มีเหตุจําเป็นในพัทยา จะไม่ให้เข้า-ออก จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ขณะที่จังหวัดบึงกาฬ ยังไม่พบผู้ติดเชื้อแต่มีมาตรการห้ามบุคคลเข้า-ออกในพื้นที่ ตั้งแต่ 7-30 เมษายน 63 เว้นแต่เพื่อประโยชน์ในการรักษาพยาบาล การทําให้ปลอดภัยจากเชื้อโรค การควบคุมป้องกันโรคจะเห็นว่าทั้งจังหวัดที่มีการติดเชื้อสูง กับจังหวัดที่ยังไม่มีผู้ติดเชื้อ ก็สามารถออกมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ที่สําคัญคือเมื่อจังหวัดออกมาตรการแล้ว ประชาชนต้องให้ความร่วมมืออย่างดีด้วย สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ของโลก พบตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ประมาณ 150,0000 คน เสียชีวิตไป 88,000 กว่าคน โดยสหรัฐอเมริกายังเป็นอันดับที่ 1 พบผู้ติดเชื้อ 450,000 กว่าคน เสียชีวิตไป 14,000 กว่าคน สเปน ผู้ติดเชื้อสะสมประมาณ 140,000 คน อังกฤษ ผู้ติดเชื้อสะสม 60,000 กว่าคน โดยประเทศไทย (เมื่อวานนี้) อยู่ในอันดับที่ 44 ขณะนี้ ทั้ง สหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส พบมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นบทเรียนสําหรับประเทศไทย ขณะที่เยอรมันเป็นประเทศที่เห็นทิศทางการลงของตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ดี ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของประชาชนในประเทศเยอรมันที่มีความเข้มงวด ปฏิบัติตามระเบียบ จึงอยากให้คนไทยอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน และต้องการให้ทุกคนดูแลตนเอง สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ในกลุ่มประเทศอาเซียนยังเพิ่มขึ้นทั้งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ซึ่งมีคนไทยที่จะเดินทางจากอินโดนีเซียกลับมาประเทศไทยด้วย จึงต้องมีมาตรการเข้มงวดในการดูแลและตรวจเช็คก่อนเข้าประเทศอย่างดี 3. รายงานผลการปฏิบัติการจากการประกาศเคอร์ฟิว รายงานผลการปฏิบัติการวานนี้ (8 เม.ย.63 ) มีการจัดตั้ง 926 จุดตรวจ พบว่ามีการตักเตือน 131 ราย ดําเนินคดีไปแล้ว 1,204 ราย โดยยังมีประชาชนที่ละเมิดกฎหมายเพิ่มขึ้นจากเมื่อวานเกือบ 200 ราย จึงขอวิงวอนประชาชนร่วมมือร่วมใจอยู่บ้านให้มากที่สุด ลดการละเมิดกฎหมายที่วางไว้ 4. มาตรการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยของคนไทย กระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า มีคนไทยรอกลับประเทศในกลุ่มที่เดินทางทางอากาศจํานวน 5,453 คน กลุ่มที่เดินทางผ่านด่านมาเลเซียอย่างไม่เป็นทางการจํานวน 4,000 กว่าคน แต่คาดว่าน่าจะมีจํานวนมากเป็นหมื่นคน มีคนไทยลงทะเบียนกลับประเทศแล้วทั้งมด 14,664 คน มีผู้เดินทางกลับเข้ามาแล้วจํานวน 12,771 คน ซึ่งจะมีการเดินทางเข้ามาอีกเรื่อย ๆ จนถึงวันที่ 18 เมษายน 63 ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญมากในเรื่อง State Quarantine และ Local Quarantine ซึ่งศักยภาพในการดูแลได้ต่อวันประมาณ 200 คน ที่ประชุม ศบค. จึงมีข้อสรุปว่า หากยังไม่เดือดร้อนและสามารถอยู่อาศัยในประเทศนั้น ๆ ได้ต่อ ขอให้อยู่ต่อที่ต่างประเทศก่อน สําหรับผู้ที่มีปัญหา รัฐบาลอาจจะมีมาตรการงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อให้อาศัยอยู่ที่ในพื้นที่นั้น ๆ ต่อไปก่อน เพราะการเดินทางผ่านแดน เจอคนหมู่มาก การเดินทางบนเครื่องบินเป็นเวลานาน ๆ ล้วนมีความเสี่ยง สําหรับกลุ่มที่ตั้งใจเดินทางกลับต้องทําตามลําดับขั้นตอนในการเดินทางเข้าประเทศอย่างเคร่งครัด คือ มีใบรับรองแพทย์ไม่เกิน 72 ชั่วโมง ต้องมีการ Quarantine ตัวเองก่อนเดินทางกลับเป็นเวลา 14 วัน และจะต้องยินยอมที่ได้ทําการ State Quarantine หลังจากเดินทางกลับเข้ามาแล้ว ซึ่งอาจจะเพิ่มเติมในเรื่องการตรวจ Test ก่อนการเดินทางเพื่อให้ได้ผลไวขึ้น ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมดําเนินการ 5. การเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ กระทรวงกลาโหมรายงานการเตรียมความพร้อมของพื้นที่รองรับหรือ State Quarantine ว่ามีทั้งหมดจํานวน 2,037 ห้อง หากต้องให้นอนเดี่ยวจะต้องหาเพิ่มอีกจํานวน 1,500 ห้อง กระทรวงมหาดไทย รายงานต่อว่าตอนนี้มีพื้นที่อยู่จํานวน 460 แห่ง สามารถเข้าพักได้ 13,000 กว่าคน โฆษก ศบค. ย้ําว่านายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทยบูรณาการ โดยสถานที่ของกระทรวงมหาดไทยจะเป็น Local Quarantine ที่จะอยู่ตามต่างจังหวัด เช่น ในกรณีที่มีผู้เดินทางกลับมาจากอินโดนีเซีย จะให้ Quarantine อยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในพื้นที่ที่รัฐจัดให้ ไม่จําเป็นจะต้องเดินทางมากักตัวไกลถึงกรุงเทพมหานคร ขณะเดียวกัน ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาธร ในฐานะเป็นที่ปรึกษาฯ ได้รายงานว่าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีโรงพยาบาลที่รองรับสถานการณ์ที่ร้ายที่สุดนี้ทั้งหมด 98 แห่ง พบว่ายังขาด ICU อีกอย่างน้อย 80 เตียง ในส่วนอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่น ๆ เช่น เครื่องช่วยหายใจ มีเพียงพอต่อการดูแลผู้ป่วย เนื่องจากได้รับพระราชทานมาแล้วก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขดูแลในส่วนการเพิ่มเตียง ICU อีกจํานวน 80 เตียง โดยให้ใช้สถานที่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ เพื่อเป็นประโยชน์ในอนาคตต่อไป รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รายงานถึงค่าใช้จ่ายในการรักษา ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติให้รัฐจะต้องเป็นผู้ดูแลได้ทั้งหมด ทั้งนี้จะต้องตรวจสอบจาก พ.ร.บ.โรคติดต่อ และ พรก.ฉุกเฉิน ทั้งหลาย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันจะต้องไม่ผิดระเบียบในหลักปฏิบัติ ซึ่งรัฐบาลมีเจตนาที่ดีต่อประชาชน ให้ประชาชนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด ยา Favipiravir มียานําเข้ารวมทั้งหมด 187,000 เม็ด ใช้ไปแล้วกว่า 47,518 เม็ด คงเหลืออยู่ประมาณ 139,482 เม็ด ใช้ตามที่มีข้อบ่งชี้โดยคณะกรรมการทางการแพทย์เป็นผู้ประเมิน ไม่ได้ใช้ในผู้ป่วยทุกราย ทําให้สามารถสบายใจได้ว่าขณะนี้ยายังมีเพียงพอ หน้ากากอนามัย N 95 กระทรวงสาธารณสุขร่วมกันกับกระทรวงพาณิชย์และฝ่ายปกครองทั้งหลายนําเข้ามาถึงแล้ว 200,000 ชิ้น ประกอบกับมีการวิจัยว่า หน้ากากอนามัย N95 สามารถนํากลับมาใช้ซ้ําได้ โดยนําไปเข้าเครื่องอาบรังสี เป็นเวลา 30 นาที สามารถนํากลับมาใช้ใหม่ได้ถึง 4 ครั้ง ทําให้ช่วยประหยัดงบประมาณของรัฐได้ สําหรับหน้ากากอนามัยอื่น ๆ มีการติดตามไปถึงระดับจังหวัด อําเภอ และโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ด้านหน้ากากผ้าจากกระทรวงมหาดไทย 50 ล้านชิ้น และกระทรวงอุตสาหกรรม 20 ล้านชิ้น ได้ทําการจัดส่งเพื่อกระจายสู่พี่น้องประชาชนแล้ว ----------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28712
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์
วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2560 ผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ ผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ ผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ วันนี้ (21 มี.ค. 2560) เวลา 16.30 น. นายโรดรีโก โรอา ดูแตร์เต (H.E. Mr. Rodrigo Roa Duterte) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์เดินทางถึงทําเนียบรัฐบาล โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีรอให้การต้อนรับ จากนั้นทั้งสองฝ่ายร่วมกันหารือข้าราชการ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ ผู้นําทั้งสองได้ร่วมหารือข้อราชการ พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่าย อาทิ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ฝ่ายสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ อาทิ นายเอนริเก เอ. มานาโล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายคาร์ลอส จี. โดมิงเกส ที่สาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเอ็มมานูเอล ปินยอล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และนายเดลฟิน เอ็ม. ลอเรนซานา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นต้น นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้ต้อนรับท่านประธานาธิบดีดูแตร์เต และคณะในการเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ โดยเป็นการเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตําแหน่งเมื่อเดือนมิถุนายน 2559 และเป็นการเยือนไทยโดยผู้นําของฟิลิปปินส์ในรอบ 6 ปี จึงมีความหมายอย่างยิ่งต่อการกระชับและการกําหนดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างไทยและฟิลิปปินส์ ความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน โดยไทยและฟิลิปปินส์เป็นมิตรเก่าแก่ซึ่งมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและยาวนานมากว่า 68 ปี รวมทั้งการเป็นประเทศผู้ร่วมก่อตั้งอาเซียน ผู้นําทั้งสองเห็นพ้องที่จะกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมืออย่างรอบด้านและเป็นรูปธรรม ในโอกาสที่ทั้งสองประเทศจะย่างก้าวสู่ทศวรรษที่เจ็ดของความสัมพันธ์ การเยือนครั้งนี้มีความสําคัญยิ่งในการกระชับความสัมพันธ์และหารือแนวทางความร่วมมือในเชิงลึกเพื่อยกระดับความเป็นหุ้นส่วนความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นรวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอาเซียน ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรียินดีที่ฟิลิปปินส์มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายเห็นว่าไทยและฟิลิปปินส์มีศักยภาพที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันในอนาคต ผ่านคณะกรรมการร่วมด้านการค้า (Joint Trade Committee – JTC) ในเรื่องของการบริการ ดิจิทัล การเกษตร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษของทั้งสองประเทศ ทั้งสองฝ่ายยินดีสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดพลวัตทางความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์แสดงความพร้อมที่จะอํานวยความสะดวกด้านการลงทุนแก่ภาคเอกชนไทยที่สนใจไปลงทุนในฟิลิปปินส์ด้วย โอกาสนี้ทั้งสองฝ่ายยินดีกับการต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ออกไปอีก 2 ปี (2560–2561) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหารระหว่างทั้งสองประเทศ ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรียินดีที่ชาวฟิลิปปินส์นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้น โดยพร้อมสนับสนุนให้ชาวไทยไปท่องเที่ยวในฟิลิปปินส์มากขึ้นเช่นกัน เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนกับประชาชนของทั้งสองประเทศและการเป็นประชาคมอาเซียน ความร่วมมือด้านการเกษตร ไทยและฟิลิปปินส์สามารถเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน รวมทั้งหารือแนวทางเพื่อการพัฒนาภาคเกษตรกรรมของทั้งสองประเทศได้ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยมีนโยบายการพัฒนาและสร้างเกษตรกรสู่ smart farmer เพื่อพัฒนาและยกระดับการผลิตสินค้าเกษตร เพิ่มมูลค่าและราคาสินค้าเกษตร และอาหาร รวมทั้งให้สามารถเกิดการจัดพื้นที่การผลิตด้านการเกษตรกรรมและป่าไม้ที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ความร่วมมือด้านพลังงาน ทั้งสองฝ่ายยินดีกับความคืบหน้าด้านความร่วมมือทางพลังงานระหว่างกัน โดยไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2558 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์กล่าวว่ายินดีเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ครั้งที่ 2 ที่กรุงมะนิลาในปีนี้ ความร่วมมือด้านการศึกษา นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณครูชาวฟิลิปปินส์ที่ได้มีบทบาทในการส่งเสริมการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษในสถาบันการศึกษาไทย ซึ่งมีส่วนช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้แก่เยาวชนไทย และยินดีที่ทั้งสองประเทศมีการแลกเปลี่ยนนักศึกษา บุคลากรครู การศึกษาดูงานและฝึกอบรมในระดับอุดมศึกษาระหว่างกัน ความร่วมมือทางวิชาการ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือทางวิชาการมีความคืบหน้า ทั้งในระดับทวิภาคีและไตรภาคีจากผลการประชุมความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างไทยและฟิลิปปินส์สองครั้งที่ผ่านมา ทั้งนี้ไทยพร้อมสนับสนุนการสานต่อความร่วมมือในระดับทวิภาคีในด้านการเกษตร และในระดับไตรภาคี ในหลักสูตรด้านการพัฒนาสตรีและสตรีกับการเป็นผู้ประกอบการ ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายกรัฐมนตรียินดีที่ไทยและฟิลิปปินส์มีการกระชับความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เนื่องจากด้านนี้ถือเป็นหนึ่งในสาขาสําคัญต่อการพัฒนาประเทศไทยตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมนวัตกรรมของฟิลิปปินส์ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือข้อราชการ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ 3 ฉบับ ได้แก่ 1. ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2.การดําเนินงานตามโครงการความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ปี 2017 – 2022 ระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย 3. ข้อปฏิบัติว่าด้วยความร่วมมือในสาขาเฉพาะระหว่างศูนย์กระบือนม ประเทศฟิลิปปินส์ และกรมปศุสัตว์ เกี่ยวกับการเลี้ยงกระบือปลักและกระบือนม จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันแถลงข่าว ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยในช่วงค่ําวันเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ําแด่นายโรดรีโก โรอา ดูแตร์เต ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ด้วย *******************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2560 ผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ ผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ ผลการหารือข้อราชการระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ วันนี้ (21 มี.ค. 2560) เวลา 16.30 น. นายโรดรีโก โรอา ดูแตร์เต (H.E. Mr. Rodrigo Roa Duterte) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์เดินทางถึงทําเนียบรัฐบาล โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีรอให้การต้อนรับ จากนั้นทั้งสองฝ่ายร่วมกันหารือข้าราชการ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ ผู้นําทั้งสองได้ร่วมหารือข้อราชการ พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่าย อาทิ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ฝ่ายสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ อาทิ นายเอนริเก เอ. มานาโล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายคาร์ลอส จี. โดมิงเกส ที่สาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเอ็มมานูเอล ปินยอล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และนายเดลฟิน เอ็ม. ลอเรนซานา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นต้น นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้ต้อนรับท่านประธานาธิบดีดูแตร์เต และคณะในการเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการ โดยเป็นการเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ารับตําแหน่งเมื่อเดือนมิถุนายน 2559 และเป็นการเยือนไทยโดยผู้นําของฟิลิปปินส์ในรอบ 6 ปี จึงมีความหมายอย่างยิ่งต่อการกระชับและการกําหนดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างไทยและฟิลิปปินส์ ความสัมพันธ์ทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายยืนยันความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน โดยไทยและฟิลิปปินส์เป็นมิตรเก่าแก่ซึ่งมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและยาวนานมากว่า 68 ปี รวมทั้งการเป็นประเทศผู้ร่วมก่อตั้งอาเซียน ผู้นําทั้งสองเห็นพ้องที่จะกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมืออย่างรอบด้านและเป็นรูปธรรม ในโอกาสที่ทั้งสองประเทศจะย่างก้าวสู่ทศวรรษที่เจ็ดของความสัมพันธ์ การเยือนครั้งนี้มีความสําคัญยิ่งในการกระชับความสัมพันธ์และหารือแนวทางความร่วมมือในเชิงลึกเพื่อยกระดับความเป็นหุ้นส่วนความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นรวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับอาเซียน ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรียินดีที่ฟิลิปปินส์มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายเห็นว่าไทยและฟิลิปปินส์มีศักยภาพที่จะเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันในอนาคต ผ่านคณะกรรมการร่วมด้านการค้า (Joint Trade Committee – JTC) ในเรื่องของการบริการ ดิจิทัล การเกษตร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษของทั้งสองประเทศ ทั้งสองฝ่ายยินดีสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดพลวัตทางความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์แสดงความพร้อมที่จะอํานวยความสะดวกด้านการลงทุนแก่ภาคเอกชนไทยที่สนใจไปลงทุนในฟิลิปปินส์ด้วย โอกาสนี้ทั้งสองฝ่ายยินดีกับการต่ออายุบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ออกไปอีก 2 ปี (2560–2561) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหารระหว่างทั้งสองประเทศ ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรียินดีที่ชาวฟิลิปปินส์นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยเพิ่มขึ้น โดยพร้อมสนับสนุนให้ชาวไทยไปท่องเที่ยวในฟิลิปปินส์มากขึ้นเช่นกัน เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนกับประชาชนของทั้งสองประเทศและการเป็นประชาคมอาเซียน ความร่วมมือด้านการเกษตร ไทยและฟิลิปปินส์สามารถเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน รวมทั้งหารือแนวทางเพื่อการพัฒนาภาคเกษตรกรรมของทั้งสองประเทศได้ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไทยมีนโยบายการพัฒนาและสร้างเกษตรกรสู่ smart farmer เพื่อพัฒนาและยกระดับการผลิตสินค้าเกษตร เพิ่มมูลค่าและราคาสินค้าเกษตร และอาหาร รวมทั้งให้สามารถเกิดการจัดพื้นที่การผลิตด้านการเกษตรกรรมและป่าไม้ที่ถูกต้องและเหมาะสม โดยเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ความร่วมมือด้านพลังงาน ทั้งสองฝ่ายยินดีกับความคืบหน้าด้านความร่วมมือทางพลังงานระหว่างกัน โดยไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุมว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2558 ที่กรุงเทพฯ ซึ่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์กล่าวว่ายินดีเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ครั้งที่ 2 ที่กรุงมะนิลาในปีนี้ ความร่วมมือด้านการศึกษา นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณครูชาวฟิลิปปินส์ที่ได้มีบทบาทในการส่งเสริมการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษในสถาบันการศึกษาไทย ซึ่งมีส่วนช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้แก่เยาวชนไทย และยินดีที่ทั้งสองประเทศมีการแลกเปลี่ยนนักศึกษา บุคลากรครู การศึกษาดูงานและฝึกอบรมในระดับอุดมศึกษาระหว่างกัน ความร่วมมือทางวิชาการ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความร่วมมือทางวิชาการมีความคืบหน้า ทั้งในระดับทวิภาคีและไตรภาคีจากผลการประชุมความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างไทยและฟิลิปปินส์สองครั้งที่ผ่านมา ทั้งนี้ไทยพร้อมสนับสนุนการสานต่อความร่วมมือในระดับทวิภาคีในด้านการเกษตร และในระดับไตรภาคี ในหลักสูตรด้านการพัฒนาสตรีและสตรีกับการเป็นผู้ประกอบการ ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายกรัฐมนตรียินดีที่ไทยและฟิลิปปินส์มีการกระชับความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เนื่องจากด้านนี้ถือเป็นหนึ่งในสาขาสําคัญต่อการพัฒนาประเทศไทยตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมนวัตกรรมของฟิลิปปินส์ ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือข้อราชการ นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ 3 ฉบับ ได้แก่ 1. ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2.การดําเนินงานตามโครงการความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ปี 2017 – 2022 ระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทย 3. ข้อปฏิบัติว่าด้วยความร่วมมือในสาขาเฉพาะระหว่างศูนย์กระบือนม ประเทศฟิลิปปินส์ และกรมปศุสัตว์ เกี่ยวกับการเลี้ยงกระบือปลักและกระบือนม จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันแถลงข่าว ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยในช่วงค่ําวันเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ําแด่นายโรดรีโก โรอา ดูแตร์เต ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ด้วย *******************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2548
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นจากหน้าที่
วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561 เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ วันนี้ (2 พ.ย. 2561) เวลา 13.30 น. นายโน ควัง-อิล (Mr. Noh Kwang-il) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณที่เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้มีความก้าวหน้าอย่างมาก ตลอดการดํารงตําแหน่งในไทย พร้อมทั้งแสดงความยินดีที่ในปีนี้ไทยและเกาหลีใต้ฉลองครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ซึ่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี หวังว่าไทย - เกาหลีใต้ จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แนบแน่นเช่นนี้ต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความประทับใจ ที่ได้พบหารือกันครั้งแรก กับประธานาธิบดีมุน แช-อิน แห่งเกาหลีใต้ ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นํา ASEM ที่กรุงบรัสเซลส์ และฝากความระลึกถึงประธานาธิบดีเกาหลีใต้มาในโอกาสนี้ด้วย ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือที่มีร่วมกัน โดยเห็นตรงกันว่าทั้งสองประเทศควรขับเคลื่อนความร่วมมือในทุกมิติให้มีความก้าวหน้า โดยเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งควรเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์สูงสุดของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ของประชาชนทั้งสองประเทศที่ชื่นชอบวัฒนธรรมของกันและกัน และได้ไปมาหาสู่กันมากขึ้นในปีที่ผ่านมา และเน้นย้ําว่า ทั้งไทย - เกาหลีใต้ มีนโยบายที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ โดยเฉพาะ New Southern Policy ของเกาหลีใต้กับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของไทย อาทิ Thailand 4.0 ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีกล่าวถึงสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีและความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีว่ามีพัฒนาการดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนเกาหลีใต้เสมอมา ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่าไทยส่งเสริมการสร้างสันติภาพ เสถียรภาพและความมั่นคงบนคาบสมุทรเกาหลีอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของภูมิภาคและของโลก ในช่วงท้าย ทั้งสองฝ่ายหวังว่า ประเทศไทยและเกาหลีใต้ จะสามารถกระชับความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2562 ที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียน ซึ่งรัฐบาลไทยยินดีจะร่วมมือกับเกาหลีใต้ในการขับเคลื่อนความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาคอย่างใกล้ชิดและสร้างสรรค์ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561 เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ วันนี้ (2 พ.ย. 2561) เวลา 13.30 น. นายโน ควัง-อิล (Mr. Noh Kwang-il) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจําประเทศไทยเข้าเยี่ยมคารวะพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสพ้นจากหน้าที่ ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณที่เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้มีความก้าวหน้าอย่างมาก ตลอดการดํารงตําแหน่งในไทย พร้อมทั้งแสดงความยินดีที่ในปีนี้ไทยและเกาหลีใต้ฉลองครบรอบ 60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ซึ่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี หวังว่าไทย - เกาหลีใต้ จะรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แนบแน่นเช่นนี้ต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความประทับใจ ที่ได้พบหารือกันครั้งแรก กับประธานาธิบดีมุน แช-อิน แห่งเกาหลีใต้ ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นํา ASEM ที่กรุงบรัสเซลส์ และฝากความระลึกถึงประธานาธิบดีเกาหลีใต้มาในโอกาสนี้ด้วย ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือที่มีร่วมกัน โดยเห็นตรงกันว่าทั้งสองประเทศควรขับเคลื่อนความร่วมมือในทุกมิติให้มีความก้าวหน้า โดยเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ซึ่งควรเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์สูงสุดของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ของประชาชนทั้งสองประเทศที่ชื่นชอบวัฒนธรรมของกันและกัน และได้ไปมาหาสู่กันมากขึ้นในปีที่ผ่านมา และเน้นย้ําว่า ทั้งไทย - เกาหลีใต้ มีนโยบายที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ โดยเฉพาะ New Southern Policy ของเกาหลีใต้กับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของไทย อาทิ Thailand 4.0 ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีกล่าวถึงสถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลีและความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลีว่ามีพัฒนาการดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้การสนับสนุนเกาหลีใต้เสมอมา ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่าไทยส่งเสริมการสร้างสันติภาพ เสถียรภาพและความมั่นคงบนคาบสมุทรเกาหลีอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของภูมิภาคและของโลก ในช่วงท้าย ทั้งสองฝ่ายหวังว่า ประเทศไทยและเกาหลีใต้ จะสามารถกระชับความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ให้มากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2562 ที่ไทยจะเป็นประธานอาเซียน ซึ่งรัฐบาลไทยยินดีจะร่วมมือกับเกาหลีใต้ในการขับเคลื่อนความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาคอย่างใกล้ชิดและสร้างสรรค์ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16525
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงทดลองใช้ระบบ Closed System บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี - พัทยา ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2561
วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2560 กรมทางหลวงทดลองใช้ระบบ Closed System บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี - พัทยา ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2561 นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมทางหลวง (ทล.) ดําเนินโครงการก่อสร้างด่านเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางถาวรบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี - พัทยา ระยะทาง 42 กิโลเมตร เพื่อการควบคุมทางเข้า - ออกแบบสมบูรณ์ (Closed System) โดยมีระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม และควบคุมการจราจรและขนส่งอัจฉริยะ (Intelligence Transport on System : ITS) เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการแก่ผู้ใช้ทาง ทั้งด้านความสะดวก รวดเร็ว และความปลอดภัยสูงสุดในการใช้เส้นทาง ขณะนี้โครงการฯ ได้ดําเนินการแล้วเสร็จ และจะทําการทดสอบระบบต่าง ๆ โดยจะเปิดทดลองใช้ช่วงด่านบ้านบึง - ด่านพัทยา ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2561 โดยไม่คิดค่าผ่านทาง เพื่อให้ประชาชนเกิดความคุ้นเคยกับระบบดังกล่าว ก่อนเปิดใช้งานจริงหลังเทศกาลสงกรานต์ 2561 ทั้งนี้ ภายหลังจากระบบเก็บเงินฯ ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี - พัทยา แล้วเสร็จ และเปิดให้บริการเป็นระบบปิดแล้ว ทล. จําเป็นต้องปิดทางเชื่อมทางหลวงพิเศษกับถนนท้องถิ่นสายต่าง ๆ ให้สามารถเข้า - ออกได้เฉพาะบริเวณทางแยกต่างระดับเท่านั้น สําหรับประชาชนในท้องถิ่นที่ไม่ต้องการใช้ทางหลวงพิเศษเส้นทางดังกล่าว สามารถใช้เส้นทางที่ ทล. ได้ก่อสร้างทางขนานกับทางหลวงพิเศษไว้แล้ว คือ ทางหลวงหมายเลข 3701 และทางหลวงหมายเลข 3702 ได้ตามปกติ โดยมีจุดกลับรถเป็นระยะ และสามารถเข้า - ออกด่านได้ตามจุดต่าง ๆ ตามที่ต้องการ สําหรับเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางที่จัดเก็บได้ทั้งหมด ทล. จะนําส่งกระทรวงการคลัง เพื่อใช้บํารุงรักษาทาง สะพาน และระบบอํานวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ไฟส่องสว่าง กล้อง CCTV รถกู้ภัย โทรศัพท์ฉุกเฉิน เป็นต้น รวมถึงนําไปใช้ขยายโครงข่ายมอเตอร์เวย์สายอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยลดภาระงบประมาณแผ่นดินและรักษาวินัยทางการเงินของภาครัฐ อีกทั้งเป็นการส่งเสริมระบบโลจิสติกส์และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ หรือสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงทดลองใช้ระบบ Closed System บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี - พัทยา ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2561 วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2560 กรมทางหลวงทดลองใช้ระบบ Closed System บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี - พัทยา ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2561 นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรมทางหลวง (ทล.) ดําเนินโครงการก่อสร้างด่านเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางถาวรบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี - พัทยา ระยะทาง 42 กิโลเมตร เพื่อการควบคุมทางเข้า - ออกแบบสมบูรณ์ (Closed System) โดยมีระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม และควบคุมการจราจรและขนส่งอัจฉริยะ (Intelligence Transport on System : ITS) เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการแก่ผู้ใช้ทาง ทั้งด้านความสะดวก รวดเร็ว และความปลอดภัยสูงสุดในการใช้เส้นทาง ขณะนี้โครงการฯ ได้ดําเนินการแล้วเสร็จ และจะทําการทดสอบระบบต่าง ๆ โดยจะเปิดทดลองใช้ช่วงด่านบ้านบึง - ด่านพัทยา ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2561 โดยไม่คิดค่าผ่านทาง เพื่อให้ประชาชนเกิดความคุ้นเคยกับระบบดังกล่าว ก่อนเปิดใช้งานจริงหลังเทศกาลสงกรานต์ 2561 ทั้งนี้ ภายหลังจากระบบเก็บเงินฯ ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี - พัทยา แล้วเสร็จ และเปิดให้บริการเป็นระบบปิดแล้ว ทล. จําเป็นต้องปิดทางเชื่อมทางหลวงพิเศษกับถนนท้องถิ่นสายต่าง ๆ ให้สามารถเข้า - ออกได้เฉพาะบริเวณทางแยกต่างระดับเท่านั้น สําหรับประชาชนในท้องถิ่นที่ไม่ต้องการใช้ทางหลวงพิเศษเส้นทางดังกล่าว สามารถใช้เส้นทางที่ ทล. ได้ก่อสร้างทางขนานกับทางหลวงพิเศษไว้แล้ว คือ ทางหลวงหมายเลข 3701 และทางหลวงหมายเลข 3702 ได้ตามปกติ โดยมีจุดกลับรถเป็นระยะ และสามารถเข้า - ออกด่านได้ตามจุดต่าง ๆ ตามที่ต้องการ สําหรับเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางที่จัดเก็บได้ทั้งหมด ทล. จะนําส่งกระทรวงการคลัง เพื่อใช้บํารุงรักษาทาง สะพาน และระบบอํานวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น ไฟส่องสว่าง กล้อง CCTV รถกู้ภัย โทรศัพท์ฉุกเฉิน เป็นต้น รวมถึงนําไปใช้ขยายโครงข่ายมอเตอร์เวย์สายอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยลดภาระงบประมาณแผ่นดินและรักษาวินัยทางการเงินของภาครัฐ อีกทั้งเป็นการส่งเสริมระบบโลจิสติกส์และสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ หรือสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8250
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คนร.เห็นชอบ SME Bank พ้นจากแผนฟื้นฟู พร้อมนำระบบธรรมาภิบาลยกระดับรัฐวิสาหกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว
วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561 คนร.เห็นชอบ SME Bank พ้นจากแผนฟื้นฟู พร้อมนําระบบธรรมาภิบาลยกระดับรัฐวิสาหกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว นายกรัฐมนตรี เผยปี 2561 จะเป็นปีแห่งการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นที่ยอมรับสู่สังคม โดยที่ประชุม คนร.เห็นชอบ SME Bank พ้นจากแผนฟื้นฟู เนื่องจากผลการดําเนินงานที่ดีขึ้น พร้อมนําระบบธรรมาภิบาลยกระดับรัฐวิสาหกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว วันนี้ (19 ม.ค.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) รัฐมนตรีที่กํากับดูแลรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน สําหรับการทํางานร่วมกันที่ผ่านมา โดยเน้นย้ําขอให้ดําเนินการทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส ใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุด และเกิดผลสัมฤทธิ์ให้มากที่สุด ส่วนในเรื่องปัญหาที่สะสมมายาวนานขอให้ทุกคนช่วยกันดําเนินการเพื่อปฏิรูปประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนด ป้องกันปัญหาเดิมที่จะกลับมาเกิดขึ้นซ้ําอีก และต้องไม่ก่อให้เกิดภาระการบริหารกับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อไป ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนทํางานด้วยความรอบครอบระมัดระวัง คํานึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งต้องเร่งสร้างการรับรู้ให้ประชาชนและสังคมเกิดความเข้าใจและเชื่อมั่นต่อการดําเนินการต่าง ๆ ให้ได้โดยเร็ว เนื่องจากปี 2561 จะเป็นปีแห่งการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นที่ยอมรับสู่สังคมและสากล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คนร. ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุม คนร. ได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกํากับดูแลกิจการที่ดีและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในรัฐวิสาหกิจเพื่อยกระดับให้การดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจมีระบบธรรมาภิบาลที่ดี เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการมีผู้แทนทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการกํากับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance) โดยมี นายรพี สุจริตกุล กรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เป็นประธานอนุกรรมการ และที่ปรึกษาหรือรองผู้อํานวยการ สคร. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการวิเคราะห์ระบบการกํากับดูแลและระบบธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งสภาพปัญหาและอุปสรรคการกํากับดูแลและติดตามผลการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจในปัจจุบัน พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบการกํากับดูแลและธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม เพื่อให้การบริหารงานของรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลที่ดี และมีประสิทธิผลสูงสุด รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับระบบการกํากับดูแลและระบบธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม นอกจากนี้ ที่ประชุม คนร. ได้มีการพิจารณาและรับทราบความคืบหน้าการดําเนินการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง ประจําปี 2560 รวมทั้งรับทราบแผนขับเคลื่อนองค์กรระยะยาวและแผนปฏิบัติการปี 2561 ตามที่รัฐวิสาหกิจเสนอ ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจแล้ว โดยมีสาระสําคัญของผลการดําเนินงานและข้อสั่งการดังนี้ 1.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) คนร. พิจารณา ผลการดําเนินงานของ ธพว. ในการแก้ไขปัญหาองค์กร พบว่า มีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับ ธพว. มีการจัดทําระบบการทํางาน และการกํากับดูแลที่มีมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาในอดีตและสร้างความยั่งยืนในการประกอบกิจการในอนาคตของ ธพว. เช่น มีการจัดทําระบบการถ่วงดุลอํานาจ ของกระบวนการอํานวยสินเชื่อ ระบบบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน รวมถึงระบบธรรมาภิบาลในกระบวนการตรวจสอบ และส่งเสริมธนาคารให้เป็นองค์กรคุณธรรม ซึ่งสามารถสร้างความยั่งยืนให้กับ ธพว. ในอนาคตได้ ที่ประชุม คนร. จึงได้มีมติให้ ธพว. ออกจากแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรและมอบหมายให้กระทรวงการคลังในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดกํากับติดตามการดําเนินงานของ ธพว. ต่อไป รวมทั้งได้สั่งการให้ ธพว. ให้ความสําคัญกับการยกระดับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้สามารถดําเนินการตามภารกิจของ ธพว. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แข็งแกร่ง และยั่งยืน 2. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) มีความคืบหน้าจากการที่สามารถแยกหนี้ดีหนี้เสีย และดําเนินการโอนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPF) ในส่วนของลูกค้าที่ไม่ใช่มุสลิมไปยังบริษัท บริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จํากัด แล้ว สําหรับความคืบหน้าในการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถปรับโครงสร้างทางการเงินให้ ธอท. และรองรับการสรรหาพันธมิตร อยู่ระหว่างเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ คนร. ยังได้กําหนดกรอบเป้าหมายการดําเนินงานให้ ธอท. มีผลประกอบการเป็นกําไรสุทธิในปี 2561 และสามารถหาพันธมิตรให้ได้ภายในเดือนมีนาคม 2561 และขอให้สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาองค์กรให้แก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 3. บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) (บมจ. กสท) ได้จัดทําแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรระยะ 10 ปีแล้ว ซึ่ง คนร. ได้สั่งการให้ บมจ. ทีโอที บมจ. กสท สร้างความชัดเจนในการนําดิจิทัลมาใช้เพื่อกําหนดทิศทางการให้บริการ รวมทั้งพิจารณาภารกิจการให้บริการโทรคมนาคมของ บมจ. ทีโอที บมจ. กสท บริษัทโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จํากัด (NBN) และบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จํากัด (NGDC) ไม่ให้ซ้ําซ้อนกัน และมีรายละเอียดของแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้เทียบเท่าเอกชนด้วย นอกจากนี้ คนร. ได้สั่งการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกํากับให้ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท ดําเนินการถ่ายโอนทรัพย์สินที่จําเป็นต้องใช้ในการประกอบกิจการไปยังบริษัท NBN และบริษัท NGDC ให้เป็นไปตามแผนที่กําหนดภายในเดือนมีนาคม 2561 และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วทั้งของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเพื่อไม่ให้เกิดซ้ําซ้อนในการลงทุน 4.บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.) มีอัตราการขนส่งผู้โดยสาร (Cabin Factor) และการใช้ประโยชน์จากเครื่องบิน (Aircraft Utilization) ดีกว่าค่าเฉลี่ยของคู่แข่ง แต่เนื่องจากธุรกิจด้านการบินมีสภาพการแข่งขันที่รุนแรงยังอาจส่งผลกระทบกับ บกท. ดังนั้น คนร. จึงได้สั่งการให้ บกท. เร่งนําระบบ Revenue Management System (RMS) และระบบ Network Management System (NMS) มาใช้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และควบคุมค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายฝ่ายช่าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหารายได้และสร้างความสามารถในการแข่งขันของ บกท. โดยคํานึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยในการให้บริการด้วย นอกจากนี้ คนร. ยังได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับ บกท. พิจารณารูปแบบในการธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรมในปัจจุบัน และพิจารณาเส้นทางการบินและแบบฝูงบินให้มีความสอดคล้องกับการดําเนินธุรกิจ รวมทั้งพิจารณาแผนการนําสายการบินไทยสมายล์เพื่อมาสนับสนุนการดําเนินการของ บกท. ด้วย 5.องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้จัดซื้อรถโดยสาร NGV จํานวน 489 คัน และจัดทําแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวแล้ว โดย คนร. ได้ขอให้ ขสมก. พิจารณากําหนดทิศทางการให้บริการของ ขสมก.ที่ชัดเจนสอดคล้องกับแผนปฏิรูปเส้นทางที่กรมการขนส่งทางบกได้เริ่มดําเนินการแล้ว และเชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชนประเภทอื่นด้วย เช่น รถไฟฟ้า รถไฟ และทางเรือ เป็นต้น และขอให้ ขสมก. พิจารณาเปิดเผยข้อมูลที่ได้รับจากระบบตรวจสอบและติดตามการเดินรถ (GPS) และ/หรือระบบขนส่งมวลชนอื่นเพื่อให้เป็นข้อมูลที่บุคคลทั่วไปสามารถใช้ในการพัฒนาแอพพลิเคชั่น เพื่อประโยชน์ในการรับบริการของประชาชนได้ (Open Data) นอกจากนี้คนร. ได้สั่งการให้กรมการขนส่งทางบกกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประมูลผู้ประกอบการเดินรถเส้นทางใหม่และกําหนดประเภทรถที่เหมาะสมโดยคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารและมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการต่อรถในประเทศให้มีส่วนร่วมด้วย 6.การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ลงนามสัญญาการก่อสร้างทางคู่จํานวน 5 เส้นทางแล้วโดยคาดว่าจะก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จในปี 2563 และอยู่ระหว่างดําเนินการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อเดินรถและซ่อมบํารุง (Operation & Maintenance) ในโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และบริษัทลูกเพื่อบริหารสินทรัพย์ของ รฟท. ทั้งนี้ ในการจัดทําแผนการขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาว คนร. ได้สั่งการให้ รฟท. พิจารณากําหนดทิศทางการดําเนินการให้สอดคล้องกับภารกิจขององค์กรและภารกิจของกรมการขนส่งทางราง รวมทั้งโครงสร้างของธุรกิจการขนส่งระบบรางในอนาคต นําเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน จัดทําฐานข้อมูลทรัพย์สิน และปรับปรุงระบบบัญชีและงบการเงินให้เป็นปัจจุบัน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินของ รฟท. ได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. เร่งศึกษาต้นทุนมาตรฐานที่มีประสิทธิภาพเพื่อประกอบการพิจารณาราคาค่าโดยสารยุติธรรม โดยให้คํานึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้ใช้บริการด้วย ทั้งนี้ คนร. ได้สั่งการให้ บกท. ขสมก. รฟท. นําเสนอรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ที่จะทําให้ผลประกอบการไม่ขาดทุนและสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินของรัฐวิสาหกิจทั้ง ๓ แห่งได้อย่างยั่งยืน โดยเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาและกํากับการดําเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายต่อไป สําหรับการประชุม คนร. ในครั้งนี้ได้ให้ความสําคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาวให้รัฐวิสาหกิจด้วยระบบธรรมาภิบาลและความโปร่งใส การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจอย่างเป็นระบบในเชิงโครงสร้าง การกําหนดสัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชนในกิจการต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้เอกชนมีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยภาครัฐยังคงลงทุนหรืออุดหนุนในส่วนที่จําเป็น เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดผ่านบริการสาธารณะที่มีคุณภาพซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะทําให้ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียง ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูล:ฝ่ายเลขาคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คนร.เห็นชอบ SME Bank พ้นจากแผนฟื้นฟู พร้อมนำระบบธรรมาภิบาลยกระดับรัฐวิสาหกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2561 คนร.เห็นชอบ SME Bank พ้นจากแผนฟื้นฟู พร้อมนําระบบธรรมาภิบาลยกระดับรัฐวิสาหกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว นายกรัฐมนตรี เผยปี 2561 จะเป็นปีแห่งการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นที่ยอมรับสู่สังคม โดยที่ประชุม คนร.เห็นชอบ SME Bank พ้นจากแผนฟื้นฟู เนื่องจากผลการดําเนินงานที่ดีขึ้น พร้อมนําระบบธรรมาภิบาลยกระดับรัฐวิสาหกิจให้แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว วันนี้ (19 ม.ค.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ 1/2561 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) รัฐมนตรีที่กํากับดูแลรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน สําหรับการทํางานร่วมกันที่ผ่านมา โดยเน้นย้ําขอให้ดําเนินการทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส ใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุด และเกิดผลสัมฤทธิ์ให้มากที่สุด ส่วนในเรื่องปัญหาที่สะสมมายาวนานขอให้ทุกคนช่วยกันดําเนินการเพื่อปฏิรูปประเทศไปสู่เป้าหมายที่กําหนด ป้องกันปัญหาเดิมที่จะกลับมาเกิดขึ้นซ้ําอีก และต้องไม่ก่อให้เกิดภาระการบริหารกับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อไป ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนทํางานด้วยความรอบครอบระมัดระวัง คํานึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งต้องเร่งสร้างการรับรู้ให้ประชาชนและสังคมเกิดความเข้าใจและเชื่อมั่นต่อการดําเนินการต่าง ๆ ให้ได้โดยเร็ว เนื่องจากปี 2561 จะเป็นปีแห่งการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจให้เป็นที่ยอมรับสู่สังคมและสากล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมฯ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คนร. ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุม คนร. ได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกํากับดูแลกิจการที่ดีและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในรัฐวิสาหกิจเพื่อยกระดับให้การดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจมีระบบธรรมาภิบาลที่ดี เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการมีผู้แทนทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการกํากับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance) โดยมี นายรพี สุจริตกุล กรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เป็นประธานอนุกรรมการ และที่ปรึกษาหรือรองผู้อํานวยการ สคร. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่ในการวิเคราะห์ระบบการกํากับดูแลและระบบธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งสภาพปัญหาและอุปสรรคการกํากับดูแลและติดตามผลการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจในปัจจุบัน พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบการกํากับดูแลและธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม เพื่อให้การบริหารงานของรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลที่ดี และมีประสิทธิผลสูงสุด รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับระบบการกํากับดูแลและระบบธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม นอกจากนี้ ที่ประชุม คนร. ได้มีการพิจารณาและรับทราบความคืบหน้าการดําเนินการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง ประจําปี 2560 รวมทั้งรับทราบแผนขับเคลื่อนองค์กรระยะยาวและแผนปฏิบัติการปี 2561 ตามที่รัฐวิสาหกิจเสนอ ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจแล้ว โดยมีสาระสําคัญของผลการดําเนินงานและข้อสั่งการดังนี้ 1.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) คนร. พิจารณา ผลการดําเนินงานของ ธพว. ในการแก้ไขปัญหาองค์กร พบว่า มีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับ ธพว. มีการจัดทําระบบการทํางาน และการกํากับดูแลที่มีมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาในอดีตและสร้างความยั่งยืนในการประกอบกิจการในอนาคตของ ธพว. เช่น มีการจัดทําระบบการถ่วงดุลอํานาจ ของกระบวนการอํานวยสินเชื่อ ระบบบริหารความเสี่ยงและควบคุมภายใน รวมถึงระบบธรรมาภิบาลในกระบวนการตรวจสอบ และส่งเสริมธนาคารให้เป็นองค์กรคุณธรรม ซึ่งสามารถสร้างความยั่งยืนให้กับ ธพว. ในอนาคตได้ ที่ประชุม คนร. จึงได้มีมติให้ ธพว. ออกจากแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรและมอบหมายให้กระทรวงการคลังในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดกํากับติดตามการดําเนินงานของ ธพว. ต่อไป รวมทั้งได้สั่งการให้ ธพว. ให้ความสําคัญกับการยกระดับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้สามารถดําเนินการตามภารกิจของ ธพว. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แข็งแกร่ง และยั่งยืน 2. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) มีความคืบหน้าจากการที่สามารถแยกหนี้ดีหนี้เสีย และดําเนินการโอนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPF) ในส่วนของลูกค้าที่ไม่ใช่มุสลิมไปยังบริษัท บริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จํากัด แล้ว สําหรับความคืบหน้าในการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถปรับโครงสร้างทางการเงินให้ ธอท. และรองรับการสรรหาพันธมิตร อยู่ระหว่างเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ คนร. ยังได้กําหนดกรอบเป้าหมายการดําเนินงานให้ ธอท. มีผลประกอบการเป็นกําไรสุทธิในปี 2561 และสามารถหาพันธมิตรให้ได้ภายในเดือนมีนาคม 2561 และขอให้สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาองค์กรให้แก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 3. บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) (บมจ. กสท) ได้จัดทําแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรระยะ 10 ปีแล้ว ซึ่ง คนร. ได้สั่งการให้ บมจ. ทีโอที บมจ. กสท สร้างความชัดเจนในการนําดิจิทัลมาใช้เพื่อกําหนดทิศทางการให้บริการ รวมทั้งพิจารณาภารกิจการให้บริการโทรคมนาคมของ บมจ. ทีโอที บมจ. กสท บริษัทโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จํากัด (NBN) และบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จํากัด (NGDC) ไม่ให้ซ้ําซ้อนกัน และมีรายละเอียดของแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้เทียบเท่าเอกชนด้วย นอกจากนี้ คนร. ได้สั่งการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกํากับให้ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท ดําเนินการถ่ายโอนทรัพย์สินที่จําเป็นต้องใช้ในการประกอบกิจการไปยังบริษัท NBN และบริษัท NGDC ให้เป็นไปตามแผนที่กําหนดภายในเดือนมีนาคม 2561 และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วทั้งของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเพื่อไม่ให้เกิดซ้ําซ้อนในการลงทุน 4.บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.) มีอัตราการขนส่งผู้โดยสาร (Cabin Factor) และการใช้ประโยชน์จากเครื่องบิน (Aircraft Utilization) ดีกว่าค่าเฉลี่ยของคู่แข่ง แต่เนื่องจากธุรกิจด้านการบินมีสภาพการแข่งขันที่รุนแรงยังอาจส่งผลกระทบกับ บกท. ดังนั้น คนร. จึงได้สั่งการให้ บกท. เร่งนําระบบ Revenue Management System (RMS) และระบบ Network Management System (NMS) มาใช้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และควบคุมค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายฝ่ายช่าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหารายได้และสร้างความสามารถในการแข่งขันของ บกท. โดยคํานึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยในการให้บริการด้วย นอกจากนี้ คนร. ยังได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับ บกท. พิจารณารูปแบบในการธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรมในปัจจุบัน และพิจารณาเส้นทางการบินและแบบฝูงบินให้มีความสอดคล้องกับการดําเนินธุรกิจ รวมทั้งพิจารณาแผนการนําสายการบินไทยสมายล์เพื่อมาสนับสนุนการดําเนินการของ บกท. ด้วย 5.องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้จัดซื้อรถโดยสาร NGV จํานวน 489 คัน และจัดทําแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวแล้ว โดย คนร. ได้ขอให้ ขสมก. พิจารณากําหนดทิศทางการให้บริการของ ขสมก.ที่ชัดเจนสอดคล้องกับแผนปฏิรูปเส้นทางที่กรมการขนส่งทางบกได้เริ่มดําเนินการแล้ว และเชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชนประเภทอื่นด้วย เช่น รถไฟฟ้า รถไฟ และทางเรือ เป็นต้น และขอให้ ขสมก. พิจารณาเปิดเผยข้อมูลที่ได้รับจากระบบตรวจสอบและติดตามการเดินรถ (GPS) และ/หรือระบบขนส่งมวลชนอื่นเพื่อให้เป็นข้อมูลที่บุคคลทั่วไปสามารถใช้ในการพัฒนาแอพพลิเคชั่น เพื่อประโยชน์ในการรับบริการของประชาชนได้ (Open Data) นอกจากนี้คนร. ได้สั่งการให้กรมการขนส่งทางบกกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประมูลผู้ประกอบการเดินรถเส้นทางใหม่และกําหนดประเภทรถที่เหมาะสมโดยคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารและมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการต่อรถในประเทศให้มีส่วนร่วมด้วย 6.การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ลงนามสัญญาการก่อสร้างทางคู่จํานวน 5 เส้นทางแล้วโดยคาดว่าจะก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จในปี 2563 และอยู่ระหว่างดําเนินการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อเดินรถและซ่อมบํารุง (Operation & Maintenance) ในโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และบริษัทลูกเพื่อบริหารสินทรัพย์ของ รฟท. ทั้งนี้ ในการจัดทําแผนการขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาว คนร. ได้สั่งการให้ รฟท. พิจารณากําหนดทิศทางการดําเนินการให้สอดคล้องกับภารกิจขององค์กรและภารกิจของกรมการขนส่งทางราง รวมทั้งโครงสร้างของธุรกิจการขนส่งระบบรางในอนาคต นําเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน จัดทําฐานข้อมูลทรัพย์สิน และปรับปรุงระบบบัญชีและงบการเงินให้เป็นปัจจุบัน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินของ รฟท. ได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. เร่งศึกษาต้นทุนมาตรฐานที่มีประสิทธิภาพเพื่อประกอบการพิจารณาราคาค่าโดยสารยุติธรรม โดยให้คํานึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้ใช้บริการด้วย ทั้งนี้ คนร. ได้สั่งการให้ บกท. ขสมก. รฟท. นําเสนอรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ที่จะทําให้ผลประกอบการไม่ขาดทุนและสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินของรัฐวิสาหกิจทั้ง ๓ แห่งได้อย่างยั่งยืน โดยเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาและกํากับการดําเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายต่อไป สําหรับการประชุม คนร. ในครั้งนี้ได้ให้ความสําคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาวให้รัฐวิสาหกิจด้วยระบบธรรมาภิบาลและความโปร่งใส การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจอย่างเป็นระบบในเชิงโครงสร้าง การกําหนดสัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชนในกิจการต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้เอกชนมีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยภาครัฐยังคงลงทุนหรืออุดหนุนในส่วนที่จําเป็น เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดผ่านบริการสาธารณะที่มีคุณภาพซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะทําให้ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียง ------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูล:ฝ่ายเลขาคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9492
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑
วันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2561 ก.ยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ ก.ยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ ในวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ โดยมีนายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม และคณะอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ทั้งนี้ ในการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ได้พิจารณาสถานการณ์ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม กรณีนายศุภชัย ทัฬหสุนทร กระโดดตึกอาคาร ศาลอาญาเสียชีวิตอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเห็นว่าเป็นกรณีที่มีผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมควรได้มีการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านการสอบสวนและการดําเนินคดี ด้านสิทธิผู้ต้องหาหรือจําเลย ด้านการให้ความช่วยเหลือเหยื่อและผู้เสียหาย และด้านการพิจารณาและพิพากษาคดีซึ่งจะต้อง มีการบูรณาการการทํางานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบเพื่อให้แก้ไขและพัฒนาระบบดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน โดยเห็นชอบให้เสนอแนวทาง ดังกล่าวต่อคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) เพื่อพิจารณาต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ วันอังคารที่ 21 สิงหาคม 2561 ก.ยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ ก.ยุติธรรม ประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ ในวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ โดยมีนายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม และคณะอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ทั้งนี้ ในการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนากฎหมายและการบังคับใช้ ได้พิจารณาสถานการณ์ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม กรณีนายศุภชัย ทัฬหสุนทร กระโดดตึกอาคาร ศาลอาญาเสียชีวิตอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเห็นว่าเป็นกรณีที่มีผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมควรได้มีการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านการสอบสวนและการดําเนินคดี ด้านสิทธิผู้ต้องหาหรือจําเลย ด้านการให้ความช่วยเหลือเหยื่อและผู้เสียหาย และด้านการพิจารณาและพิพากษาคดีซึ่งจะต้อง มีการบูรณาการการทํางานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบเพื่อให้แก้ไขและพัฒนาระบบดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน โดยเห็นชอบให้เสนอแนวทาง ดังกล่าวต่อคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) เพื่อพิจารณาต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14795
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแนวทางรับมือภัยพิบัติ พร้อมอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัย
วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแนวทางรับมือภัยพิบัติ พร้อมอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัย นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแนวทางรับมือภัยพิบัติ พร้อมอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัย วันนี้ (31 กรกฎาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการช่วยเหลือดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากดินโคลนถล่มทับบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ อําเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่านว่า ภายหลังเกิดเหตุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ลงพื้นที่จังหวัดน่าน เพื่อประชุมวางแผนเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ เหตุการณ์ดินโคลนถล่ม พร้อมตรวจสอบความเสียหาย และให้กําลังใจผู้ประสบภัยแล้ว ทั้งนี้ ตนเองได้ติดตามความก้าวหน้ามาโดยตลอดอย่างใกล้ชิด แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจะทําอย่างไรให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้ได้รับความปลอดภัย โดยได้กําชับไปแล้วว่าจะต้องมีการทําความเข้าใจ ชี้แจงกับประชาชน ซึ่งการแจ้งเตือนข่าวอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ จึงเป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้านในการหามาตรการอื่น ๆ นอกเหนือจากการแจ้งเตือนข่าว นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากปริมาณน้ําฝนที่ตกลงมาจํานวนมากกว่าปกติ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีการพิจารณาจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัย และย้ายครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงออกมาอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่ปลอดภัยเป็นการเร่งด่วนต่อไป ซึ่งปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงทําให้ได้รับผลกระทบทั่วโลกในหลาย ๆ พื้นที่ จึงขอให้เชื่อฟังคําแจ้งเตือนจากส่วนราชการ และมีการตรวจตรา กําหนดพื้นที่เสี่ยงภัย พร้อมกับย้ายประชาชนให้ไปอยู่ในพื้นที่ที่มีความปลอดภัยช่วงฝนตก โดยรัฐบาลต้องหามาตรการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป พร้อมกับขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก ส่วนสถานการณ์ฝนตกหนักในช่วงนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้สั่งการให้มีการเตรียมการ ไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาภัย และการติดตามสถานการณ์ รวมถึงการแจ้งเตือน และอพยพประชาชนไปอยู่ที่ปลอดภัย พร้อมกับขอให้เชื่อฟังการแจ้งเตือนจากหน่วยงานราชการ ---------------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแนวทางรับมือภัยพิบัติ พร้อมอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัย วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแนวทางรับมือภัยพิบัติ พร้อมอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัย นายกรัฐมนตรีสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแนวทางรับมือภัยพิบัติ พร้อมอพยพประชาชนไปอยู่ในที่ปลอดภัย วันนี้ (31 กรกฎาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการช่วยเหลือดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากดินโคลนถล่มทับบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ อําเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่านว่า ภายหลังเกิดเหตุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ลงพื้นที่จังหวัดน่าน เพื่อประชุมวางแผนเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ เหตุการณ์ดินโคลนถล่ม พร้อมตรวจสอบความเสียหาย และให้กําลังใจผู้ประสบภัยแล้ว ทั้งนี้ ตนเองได้ติดตามความก้าวหน้ามาโดยตลอดอย่างใกล้ชิด แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจะทําอย่างไรให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้ได้รับความปลอดภัย โดยได้กําชับไปแล้วว่าจะต้องมีการทําความเข้าใจ ชี้แจงกับประชาชน ซึ่งการแจ้งเตือนข่าวอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ จึงเป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กํานัน ผู้ใหญ่บ้านในการหามาตรการอื่น ๆ นอกเหนือจากการแจ้งเตือนข่าว นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากปริมาณน้ําฝนที่ตกลงมาจํานวนมากกว่าปกติ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีการพิจารณาจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัย และย้ายครอบครัวที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงออกมาอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่ปลอดภัยเป็นการเร่งด่วนต่อไป ซึ่งปัจจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงทําให้ได้รับผลกระทบทั่วโลกในหลาย ๆ พื้นที่ จึงขอให้เชื่อฟังคําแจ้งเตือนจากส่วนราชการ และมีการตรวจตรา กําหนดพื้นที่เสี่ยงภัย พร้อมกับย้ายประชาชนให้ไปอยู่ในพื้นที่ที่มีความปลอดภัยช่วงฝนตก โดยรัฐบาลต้องหามาตรการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป พร้อมกับขอให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเตรียมการรับมือกับสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก ส่วนสถานการณ์ฝนตกหนักในช่วงนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้สั่งการให้มีการเตรียมการ ไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาภัย และการติดตามสถานการณ์ รวมถึงการแจ้งเตือน และอพยพประชาชนไปอยู่ที่ปลอดภัย พร้อมกับขอให้เชื่อฟังการแจ้งเตือนจากหน่วยงานราชการ ---------------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14252
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมพัฒนาที่ดิน จัดโครงการอบรมหมอดินอาสา 4.0
วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมพัฒนาที่ดิน จัดโครงการอบรมหมอดินอาสา 4.0 กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมพัฒนาที่ดิน จัดโครงการอบรมหมอดินอาสา 4.0 ช่วยแก้ไขปัญหาดิน และพัฒนาพื้นดินประเทศไทย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดโครงการอบรมหมอดินอาสา 4.0 ประจําปีงบประมาณ 2563 ณ ห้องมหานคร โรงแรมราวดี อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน นั้นเห็นความสําคัญของหมอดินอาสา เพราะเป็นเครือข่ายที่สําคัญในการผลักดันนโยบาย และเป็นผู้แทนของกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อยกระดับการจัดการดิน ให้ได้ผลผลิตสูง มีคุณภาพ และได้มาตรฐาน โดยเป็นผู้แทนเกษตรกร 1 คน 1 หมู่บ้าน “การเกษตรของประเทศไทยนั้น ต้องได้รับการพัฒนาเข้าสู่ยุด 4.0 ทางกระทรวงเกษตรฯ ได้น้อมนําแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการแก้ไขปัญหาดิน การอนุรักษ์ดินและน้ําเพื่อลดการชะล้างหน้าดิน และการฟื้นฟูพื้นที่ดินเสื่อมโทรมโดยใช้หญ้าแฝก โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะเห็นได้ว่าหมอดินอาสาของกรมพัฒนาที่ดินนั้น มีบทบาทที่สําคัญในการเป็นแกนนําสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ในการสงวนและอนุรักษ์พื้นที่ดินดีไว้” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ทั้งนี้กรมพัฒนาที่ดินนั้น มีการอบรมหมอดินอาสามากว่า 20 ปี เริ่มตั้งแต่การสร้างความเข้าใจ สร้างวิทยากรหมอดินอาสา พัฒนาศูนย์เรียนรู้ด้านการพัฒนาที่ดิน อบรมเพิ่มเติมองค์ความรู้ใหม่ๆ และเพิ่มประสบการณ์โดยศึกษาดูงานในและนอกพื้นที่ ด้าน นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวเพิ่มเติม ว่า กรมพัฒนาที่ดินมีนโยบายในการจัดโครงการอบรมหมอดินอาสา 4.0 ประจําปีงบประมาณ 2563 เพื่อสร้างเจตนารมณ์ให้กรมพัฒนาที่ดินเป็นองค์กร 4.0 มีแนวคิดในการพัฒนาโครงการอบรมหมอดินอาสา ให้หมอดินอาสาเป็น Smart farmer กรมพัฒนาที่ดิน เพื่อสร้างเครือข่ายหมอดินอาสาสาขาวิชาการต่างๆ เพื่อเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และเพื่อพัฒนาบทเรียนปัญญาประดิษฐ์หมอดินถามตอบ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมพัฒนาที่ดิน จัดโครงการอบรมหมอดินอาสา 4.0 วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมพัฒนาที่ดิน จัดโครงการอบรมหมอดินอาสา 4.0 กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมพัฒนาที่ดิน จัดโครงการอบรมหมอดินอาสา 4.0 ช่วยแก้ไขปัญหาดิน และพัฒนาพื้นดินประเทศไทย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดโครงการอบรมหมอดินอาสา 4.0 ประจําปีงบประมาณ 2563 ณ ห้องมหานคร โรงแรมราวดี อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน นั้นเห็นความสําคัญของหมอดินอาสา เพราะเป็นเครือข่ายที่สําคัญในการผลักดันนโยบาย และเป็นผู้แทนของกรมพัฒนาที่ดิน เพื่อยกระดับการจัดการดิน ให้ได้ผลผลิตสูง มีคุณภาพ และได้มาตรฐาน โดยเป็นผู้แทนเกษตรกร 1 คน 1 หมู่บ้าน “การเกษตรของประเทศไทยนั้น ต้องได้รับการพัฒนาเข้าสู่ยุด 4.0 ทางกระทรวงเกษตรฯ ได้น้อมนําแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการแก้ไขปัญหาดิน การอนุรักษ์ดินและน้ําเพื่อลดการชะล้างหน้าดิน และการฟื้นฟูพื้นที่ดินเสื่อมโทรมโดยใช้หญ้าแฝก โดยยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะเห็นได้ว่าหมอดินอาสาของกรมพัฒนาที่ดินนั้น มีบทบาทที่สําคัญในการเป็นแกนนําสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ในการสงวนและอนุรักษ์พื้นที่ดินดีไว้” ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าว ทั้งนี้กรมพัฒนาที่ดินนั้น มีการอบรมหมอดินอาสามากว่า 20 ปี เริ่มตั้งแต่การสร้างความเข้าใจ สร้างวิทยากรหมอดินอาสา พัฒนาศูนย์เรียนรู้ด้านการพัฒนาที่ดิน อบรมเพิ่มเติมองค์ความรู้ใหม่ๆ และเพิ่มประสบการณ์โดยศึกษาดูงานในและนอกพื้นที่ ด้าน นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวเพิ่มเติม ว่า กรมพัฒนาที่ดินมีนโยบายในการจัดโครงการอบรมหมอดินอาสา 4.0 ประจําปีงบประมาณ 2563 เพื่อสร้างเจตนารมณ์ให้กรมพัฒนาที่ดินเป็นองค์กร 4.0 มีแนวคิดในการพัฒนาโครงการอบรมหมอดินอาสา ให้หมอดินอาสาเป็น Smart farmer กรมพัฒนาที่ดิน เพื่อสร้างเครือข่ายหมอดินอาสาสาขาวิชาการต่างๆ เพื่อเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และเพื่อพัฒนาบทเรียนปัญญาประดิษฐ์หมอดินถามตอบ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25407
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดสนองพระราชดำริสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงแนะนำให้น้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในเรื่องการสร้างเด็กดี
วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560 มหาดไทยแจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดสนองพระราชดําริสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงแนะนําให้น้อมนําพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในเรื่องการสร้างเด็กดี มหาดไทยแจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดสนองพระราชดําริสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงแนะนําให้น้อมนําพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในเรื่องการสร้างเด็กดีมีคุณธรรม ไปเป็นแนวทางในการบ่มเพาะเยาวชนของชาติให้ต่อเนื่อง ภายใต้กลไกประชารัฐ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 60 ที่กระทรวงมหาดไทยนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนให้ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาได้ร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เรื่อง การศึกษาและการสร้างคนดี มีคุณธรรม โดยมีหน่วยงานต่าง ๆ น้อมนําพระราชกระแสไปยึดถือปฏิบัติหลายแห่ง ตัวอย่างเช่น เมื่อคราวประชุมร่วมองคมนตรี 3 ท่าน ประกอบด้วย พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย และพลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ กับผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 ณ ห้องประชุมสพฐ.1 อาคาร 4 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งได้น้อมนําพระราชกระแสสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง การศึกษา มาแจ้งให้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการทราบและถือปฏิบัติ เป็นต้น เพื่อเป็นการน้อมนําพระบรมราโชบาย เกี่ยวกับการศึกษาอบรมเด็กนักเรียนและเยาวชนโดยให้เน้นการสร้างคนดี มีคุณธรรม มีการศึกษาดี ไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน กระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ได้ร่วมน้อมนําพระบรมราโชวาท พระบรมราโชบาย และพระราชกระแสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับการศึกษาและการสร้างคนดีมีคุณธรรม โดยมุ่งเน้นบ่มเพาะไปที่เด็กนักเรียนและเยาวชนทั้งในและนอกระบบโรงเรียนหรือสถานศึกษา ให้เด็ก เยาวชนเป็นคนดีควบคู่การมีคุณธรรม โดยให้ทุกจังหวัดกําหนดยุทธศาสตร์และทิศทางการศึกษา น้อมนําพระบรมราโชบายไปสู่การขับเคลื่อนปฏิบัติให้บรรลุผลเป็นรูปธรรม โดยให้พิจารณาใช้กลไกของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ในการขับเคลื่อนแบบบูรณาการร่วมกันในลักษณะ “ประชารัฐ” ภายใต้โครงการต่าง ๆ อาทิ การจัดค่ายคนรุ่นใหม่ใฝ่ค่านิยม ค่ายคุณธรรมจริยธรรม การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเพื่อน การคัดเลือกและจัดกิจกรรมยกย่องผู้ประพฤติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต การประกวดสื่อสร้างสรรค์ต่าง ๆ และการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน หรือ “บวร” เป็นต้น นอกจากนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายรองผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเยี่ยมเยียนสถานศึกษาทุกแห่งในพื้นที่ตามความเหมาะสม เพื่อถ่ายทอดนโยบายเกี่ยวกับการดําเนินการขับเคลื่อนตามพระบรมราโชบายดังกล่าว และเน้นการปลูกฝังค่านิยมอันดีงามแก่เด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจัดกิจกรรม เช่น การพบปะพูดคุยหน้าเสาธง หรือในสถานที่อื่นที่เหมาะสมของสถานศึกษา เพื่อมุ่งหวังให้เด็กนักเรียนและเยาวชนได้ซึมซับและตระหนักถึงความสําคัญของการศึกษา ซึ่งนอกจากจะทําให้เด็ก เยาวชน และนักเรียนเป็นคนเก่งแล้ว ยังต้องมุ่งเน้นให้เป็นคนดีควบคู่คุณธรรมและความมีระเบียบวินัย รู้จักการเคารพสิทธิในการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มากด้วย เช่น ฝึกการเข้าแถวซื้ออาหาร การผลัดเปลี่ยนเวรทําความสะอาดห้องเรียน การเข้าแถวต่อคิวในการใช้บริการห้องสมุด เป็นต้น ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้ “กลไกประชารัฐ” ในพื้นที่ถือเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งเป้าหมายสําคัญของการศึกษามิใช่เพียงแค่การผลิตผู้มีความรู้ความสามารถเท่านั้น แต่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันสร้างเด็กและเยาวชนของชาติให้เป็นคนดี คนเก่ง มีคุณธรรม และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมือง เคารพในสิทธิผู้อื่น รู้หน้าที่ และมีความสมัครสมานสามัคคี เพื่อเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศไทยของเราให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดสนองพระราชดำริสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงแนะนำให้น้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในเรื่องการสร้างเด็กดี วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2560 มหาดไทยแจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดสนองพระราชดําริสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงแนะนําให้น้อมนําพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในเรื่องการสร้างเด็กดี มหาดไทยแจ้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดสนองพระราชดําริสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงแนะนําให้น้อมนําพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในเรื่องการสร้างเด็กดีมีคุณธรรม ไปเป็นแนวทางในการบ่มเพาะเยาวชนของชาติให้ต่อเนื่อง ภายใต้กลไกประชารัฐ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 60 ที่กระทรวงมหาดไทยนายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนให้ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาได้ร่วมกันสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เรื่อง การศึกษาและการสร้างคนดี มีคุณธรรม โดยมีหน่วยงานต่าง ๆ น้อมนําพระราชกระแสไปยึดถือปฏิบัติหลายแห่ง ตัวอย่างเช่น เมื่อคราวประชุมร่วมองคมนตรี 3 ท่าน ประกอบด้วย พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย และพลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ กับผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2560 ณ ห้องประชุมสพฐ.1 อาคาร 4 สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งได้น้อมนําพระราชกระแสสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่อง การศึกษา มาแจ้งให้ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการทราบและถือปฏิบัติ เป็นต้น เพื่อเป็นการน้อมนําพระบรมราโชบาย เกี่ยวกับการศึกษาอบรมเด็กนักเรียนและเยาวชนโดยให้เน้นการสร้างคนดี มีคุณธรรม มีการศึกษาดี ไปสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน กระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ได้ร่วมน้อมนําพระบรมราโชวาท พระบรมราโชบาย และพระราชกระแสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับการศึกษาและการสร้างคนดีมีคุณธรรม โดยมุ่งเน้นบ่มเพาะไปที่เด็กนักเรียนและเยาวชนทั้งในและนอกระบบโรงเรียนหรือสถานศึกษา ให้เด็ก เยาวชนเป็นคนดีควบคู่การมีคุณธรรม โดยให้ทุกจังหวัดกําหนดยุทธศาสตร์และทิศทางการศึกษา น้อมนําพระบรมราโชบายไปสู่การขับเคลื่อนปฏิบัติให้บรรลุผลเป็นรูปธรรม โดยให้พิจารณาใช้กลไกของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ในการขับเคลื่อนแบบบูรณาการร่วมกันในลักษณะ “ประชารัฐ” ภายใต้โครงการต่าง ๆ อาทิ การจัดค่ายคนรุ่นใหม่ใฝ่ค่านิยม ค่ายคุณธรรมจริยธรรม การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเพื่อน การคัดเลือกและจัดกิจกรรมยกย่องผู้ประพฤติตนชอบด้วยความซื่อสัตย์สุจริต การประกวดสื่อสร้างสรรค์ต่าง ๆ และการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมระหว่างบ้าน วัด และโรงเรียน หรือ “บวร” เป็นต้น นอกจากนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายรองผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนราชการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเยี่ยมเยียนสถานศึกษาทุกแห่งในพื้นที่ตามความเหมาะสม เพื่อถ่ายทอดนโยบายเกี่ยวกับการดําเนินการขับเคลื่อนตามพระบรมราโชบายดังกล่าว และเน้นการปลูกฝังค่านิยมอันดีงามแก่เด็กและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาจัดกิจกรรม เช่น การพบปะพูดคุยหน้าเสาธง หรือในสถานที่อื่นที่เหมาะสมของสถานศึกษา เพื่อมุ่งหวังให้เด็กนักเรียนและเยาวชนได้ซึมซับและตระหนักถึงความสําคัญของการศึกษา ซึ่งนอกจากจะทําให้เด็ก เยาวชน และนักเรียนเป็นคนเก่งแล้ว ยังต้องมุ่งเน้นให้เป็นคนดีควบคู่คุณธรรมและความมีระเบียบวินัย รู้จักการเคารพสิทธิในการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มากด้วย เช่น ฝึกการเข้าแถวซื้ออาหาร การผลัดเปลี่ยนเวรทําความสะอาดห้องเรียน การเข้าแถวต่อคิวในการใช้บริการห้องสมุด เป็นต้น ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้ “กลไกประชารัฐ” ในพื้นที่ถือเป็นปัจจัยสําคัญในการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งเป้าหมายสําคัญของการศึกษามิใช่เพียงแค่การผลิตผู้มีความรู้ความสามารถเท่านั้น แต่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมกันสร้างเด็กและเยาวชนของชาติให้เป็นคนดี คนเก่ง มีคุณธรรม และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข เคารพและปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมือง เคารพในสิทธิผู้อื่น รู้หน้าที่ และมีความสมัครสมานสามัคคี เพื่อเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศไทยของเราให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4770
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ ส่งกฤษฏีกาตีความเกลือเป็นสินค้าเกษตร
วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ก.เกษตรฯ ส่งกฤษฏีกาตีความเกลือเป็นสินค้าเกษตร ก.เกษตรฯ ส่งกฤษฏีกาตีความเกลือเป็นสินค้าเกษตร พร้อมอุ้มวางระบบผลิต- ตลาด-มาตรฐาน หลังชาวนาเกลือทะเล 3 จังหวัดร้องประสบปัญหาราคาเกลือตกต่ําต่อเนื่อง นายกฤษฏา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับผู้แทนสมาพันธ์ชาวนาเกลือทะเลไทย ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกเกษตรกรชาวนาเกลือใน3จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี เพื่อรับฟังประเด็นปัญหาของเกษตรกรทํานาเกลือทะเลซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรทํานาเกลือทะเลประมาณ1,000กว่าราย พื้นที่62,000ไร่ ผลผลิตเกลือทะเลรวมประมาณ992ล้านกก./ปี ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้กําหนดแนวทางการแก้ไขตามข้อเรียกร้อง ดังนี้1.การวางมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินของชาวนาเกลือทะเลที่พบว่ามีอยู่ประมาณ200รายมูลหนี้400ล้านบาท โดยได้มอบหมายกรมส่งเสริมสหกรณ์ประสานกับทางสมาพันธ์ฯ เพื่อจัดแบ่งประเภทหนี้ให้ชัดเจน โดยให้มีการจัดแยกว่ากลุ่มเจ้าหนี้ทั้ง4ประเภท คือ สถาบันการเงิน สหกรณ์ หนี้กับบุคคลแต่มีที่ดินค้ําประกัน หรือหนี้นอกระบบ มีเกษตรกรจํานวนกี่รายอยู่ในกลุ่มใดบ้าง เพื่อพิจารณาหาแนวทางให้ความช่วยเหลือตามกรอบหลักเกณฑ์ที่รัฐดําเนินการได้และแนวทางที่สามารถให้การช่วยเหลือได้ เช่น หากเป็นหนี้สินของสหกรณ์ก็มีกองทุนสหกรณ์ที่เข้าไปดําเนินการได้ เป็นต้น2.การพัฒนาสินค้าเกลือทะเลทั้งระบบ โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย2560 - 2564ซึ่งจากมติครม.เมื่อวันที่1มี.ค.2554ได้มีมติให้การทํานาเกลือทะเลเป็นการเกษตรและชาวนาเกลือเป็นเกษตรกร แต่เนื่องจาก พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตร ไม่ได้นิยามคําว่า “เกลือทะเล” อยู่ในพ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตร ซึ่งเมื่อวันที่12ก.พ.ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ได้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าเกลือทะเลใช่สินค้าเกษตรหรือไม่อย่างไร เพื่อให้สามารถจัดทําและรับรองมาตรฐานเกลือทะเลได้อย่างชัดเจนและเป็นที่ยอมรับของตลาดมากยิ่งขึ้น 3.ปัญหาการนําเข้าเกลือจากต่างประเทศที่ทําให้ส่งผลกระทบต่อราคาเกลือทะเลในประเทศ โดยกระทรวงเกษตรฯ จะนําประเด็นนี้ไปหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ต่อไป4.การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนของสหกรณ์เกลือทะเล และส่งเสริมช่องทางด้านการตลาด เช่น ทางเกษตรกรได้ร้องขอให้มีการนําเกลือทะเลมาใช้ในการผลิตสารฝนหลวง ซึ่งได้มอบหมายอธิบดีกรมฝนหลวงพิจารณาเรื่องการสั่งซื้อเกลือจากเกษตรกรหรือกลุ่มสหกรณ์นาเกลือที่จะได้ราคาซื้อที่ถูกลงแต่สามารถช่วยสนับสนุนเกษตรกรได้มีช่องทางการตลาดให้เกษตรกรเพิ่มขึ้นได้ โดยยังคงคุณภาพและคุณสมบัติของเกลือทะเลที่ทําการผลิตสารฝนหลวงได้มาตรฐาน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ ส่งกฤษฏีกาตีความเกลือเป็นสินค้าเกษตร วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2561 ก.เกษตรฯ ส่งกฤษฏีกาตีความเกลือเป็นสินค้าเกษตร ก.เกษตรฯ ส่งกฤษฏีกาตีความเกลือเป็นสินค้าเกษตร พร้อมอุ้มวางระบบผลิต- ตลาด-มาตรฐาน หลังชาวนาเกลือทะเล 3 จังหวัดร้องประสบปัญหาราคาเกลือตกต่ําต่อเนื่อง นายกฤษฏา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับผู้แทนสมาพันธ์ชาวนาเกลือทะเลไทย ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกเกษตรกรชาวนาเกลือใน3จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี เพื่อรับฟังประเด็นปัญหาของเกษตรกรทํานาเกลือทะเลซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรทํานาเกลือทะเลประมาณ1,000กว่าราย พื้นที่62,000ไร่ ผลผลิตเกลือทะเลรวมประมาณ992ล้านกก./ปี ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯ ได้กําหนดแนวทางการแก้ไขตามข้อเรียกร้อง ดังนี้1.การวางมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินของชาวนาเกลือทะเลที่พบว่ามีอยู่ประมาณ200รายมูลหนี้400ล้านบาท โดยได้มอบหมายกรมส่งเสริมสหกรณ์ประสานกับทางสมาพันธ์ฯ เพื่อจัดแบ่งประเภทหนี้ให้ชัดเจน โดยให้มีการจัดแยกว่ากลุ่มเจ้าหนี้ทั้ง4ประเภท คือ สถาบันการเงิน สหกรณ์ หนี้กับบุคคลแต่มีที่ดินค้ําประกัน หรือหนี้นอกระบบ มีเกษตรกรจํานวนกี่รายอยู่ในกลุ่มใดบ้าง เพื่อพิจารณาหาแนวทางให้ความช่วยเหลือตามกรอบหลักเกณฑ์ที่รัฐดําเนินการได้และแนวทางที่สามารถให้การช่วยเหลือได้ เช่น หากเป็นหนี้สินของสหกรณ์ก็มีกองทุนสหกรณ์ที่เข้าไปดําเนินการได้ เป็นต้น2.การพัฒนาสินค้าเกลือทะเลทั้งระบบ โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย2560 - 2564ซึ่งจากมติครม.เมื่อวันที่1มี.ค.2554ได้มีมติให้การทํานาเกลือทะเลเป็นการเกษตรและชาวนาเกลือเป็นเกษตรกร แต่เนื่องจาก พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตร ไม่ได้นิยามคําว่า “เกลือทะเล” อยู่ในพ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าเกษตร ซึ่งเมื่อวันที่12ก.พ.ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ได้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าเกลือทะเลใช่สินค้าเกษตรหรือไม่อย่างไร เพื่อให้สามารถจัดทําและรับรองมาตรฐานเกลือทะเลได้อย่างชัดเจนและเป็นที่ยอมรับของตลาดมากยิ่งขึ้น 3.ปัญหาการนําเข้าเกลือจากต่างประเทศที่ทําให้ส่งผลกระทบต่อราคาเกลือทะเลในประเทศ โดยกระทรวงเกษตรฯ จะนําประเด็นนี้ไปหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ต่อไป4.การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนของสหกรณ์เกลือทะเล และส่งเสริมช่องทางด้านการตลาด เช่น ทางเกษตรกรได้ร้องขอให้มีการนําเกลือทะเลมาใช้ในการผลิตสารฝนหลวง ซึ่งได้มอบหมายอธิบดีกรมฝนหลวงพิจารณาเรื่องการสั่งซื้อเกลือจากเกษตรกรหรือกลุ่มสหกรณ์นาเกลือที่จะได้ราคาซื้อที่ถูกลงแต่สามารถช่วยสนับสนุนเกษตรกรได้มีช่องทางการตลาดให้เกษตรกรเพิ่มขึ้นได้ โดยยังคงคุณภาพและคุณสมบัติของเกลือทะเลที่ทําการผลิตสารฝนหลวงได้มาตรฐาน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10175
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.วิวัฒน์’ เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ 66 ปี
วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2561 ‘รมช.วิวัฒน์’ เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ 66 ปี ‘รมช.วิวัฒน์’ เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ 66 ปีมุ่งพัฒนาสหกรณ์ให้มีระบบบริหารจัดการบัญชีที่โปร่งใสและเข้มแข็ง ดร.วิวัฒน์ ศัลย์กําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ 66 ปี พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณข้าราชการดีเด่น โดยช่วงเช้ามีพิธีสักการะสิ่งสักสิทธิ์ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ และถวายภัตตาหาร จากนั้น นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญจักรพรรดิมาลาแก่ข้าราชการดีเด่น ดร.วิวัฒน์ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนําของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กําหนดกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” นําไปสู่การพัฒนาให้คนไทยมีความสุข โดยบูรณาการการพัฒนาในทุกมิติ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สนองนโยบายโดยกําหนดยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๙) เพื่อเป็นกรอบการดําเนินงานในการพัฒนาภาคการเกษตรให้สามารถดําเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ และเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ “เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตร มั่งคั่ง ทรัพยากรการเกษตรยั่งยืน”มีแนวทางไปสู่เป้าหมาย ด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ คือ 1. สร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร 2. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตรฐานสินค้า 3. เพิ่มความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม 4. บริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน และ 5. พัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ รวมไปถึงการกําหนดนโยบายของนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมุ่งเน้นให้หน่วยงานในสังกัดบูรณาการการทํางานร่วมกัน เพื่อให้เกษตรกรไทยหลุดพ้นจากความยากจน และมีรายได้มากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาระบบสหกรณ์และวิสาหกิจการเกษตรให้เข้มแข็ง เกษตรกรไทยเข้าสู่ระบบสหกรณ์ทุกครัวเรือน เกิดสังคมและชุมชนเกษตรกรไทยแบบพออยู่ พอเพียง และสามารถผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยและสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ ทั้งนี้ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการเงินการบัญชีแก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินที่ต้องกํากับดูแล ๒.๙๕ ล้านล้านบาท หรือกว่า ๒๐%ของ GDP ประเทศ จึงได้นําระบบบัญชีไปวางรากฐานในการสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้น ซึ่งมีความสําคัญต่อระบบฐานรากในการพัฒนาสู่การขับเคลื่อนประเทศได้อย่างมั่นคง โดยได้ดําเนินการขับเคลื่อนการให้องค์ความรู้ทางบัญชี ควบคู่กับภารกิจหลักด้านการวางระบบบัญชีและตรวจสอบบัญชีสหกรณ์มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการยกระดับสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็งด้วยบัญชี เกษตรกรได้มีความรู้และเข้าใจในการนําระบบบัญชีไปใช้ในการบริหารจัดการภาคการเกษตรได้อย่างเหมาะสม สมดุล และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งให้ประชาชนได้ใช้บัญชีเป็นคู่มือในการดําเนินชีวิตและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้ สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจระดับฐานราก หรือขจัดปัญหาความยากจนปัจจุบัน ได้สอนการทําบัญชีให้กับกลุ่มเป้าหมายแล้ว จํานวนกว่า 7.๗ ล้านคน รวมทั้งได้สร้างเครือข่ายครูบัญชีอาสาทั่วประเทศ จํานวน 6,538 คน เพื่อทําหน้าที่เป็นตัวแทนในการถ่ายทอดความรู้การจัดทําบัญชีสู่เกษตรกรและคนในชุมชน ก่อเกิดเป็นชุมชนคนทําบัญชี กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยทุกกิจกรรมมีเป้าหมายดําเนินการขยายผลเพิ่มขึ้นในปี 2561 นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ยังได้ดําเนินงานด้านการสร้างความเข้มแข็งสู่สหกรณ์ โดยวางระบบบัญชีสหกรณ์ ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ รวมถึงการส่งเสริมและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบัญชีสู่สหกรณ์ สมาชิกสหกรณ์ เกษตรกร และประชาชนทั่วไป โดยดําเนินงานควบคู่กับการพัฒนางานระบบบัญชีและกลไกที่จะส่งเสริมระบบบัญชีให้มีความทันสมัย และทันกับสถานการณ์ รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ รู้เท่าทันเทคโนโลยีและการดําเนินธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ และปรับโครงสร้างบุคลากร ให้สามารถรองรับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและแตกต่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสนับสนุนผู้สอบบัญชีให้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้สอบบัญชีได้รับอนุญาต เพื่อพัฒนาผู้สอบบัญชีสู่ผู้สอบบัญชีมืออาชีพ (CAD-CPA) การปรับโครงสร้างองค์กรรองรับการทํางานแบบบูรณาการกับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พัฒนางานระบบบัญชีด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ มาเป็นเครื่องมือเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงินของสหกรณ์ และการวางกลยุทธ์ในการสร้างมาตรฐานจริยธรรมด้านการเงินการบัญชีแก่ผู้บริหารสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์มีผู้บริหารที่มีความเป็นมืออาชีพ สามารถรับมือกับภาวะความเสี่ยงในการบริหารการเงิน ความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากระบบสหกรณ์ เป็นต้น “ในโอกาสครบรอบการสถาปนา 66 ปี กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จะยังคงรักษามาตรฐานและคุณภาพการทํางานอย่างเข้มแข็ง เพื่อเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาสหกรณ์ไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน รวมทั้งเกษตรกรและประชาชน มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนและหลุดพ้นจากความยากจน” อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.วิวัฒน์’ เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ 66 ปี วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม 2561 ‘รมช.วิวัฒน์’ เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ 66 ปี ‘รมช.วิวัฒน์’ เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ 66 ปีมุ่งพัฒนาสหกรณ์ให้มีระบบบริหารจัดการบัญชีที่โปร่งใสและเข้มแข็ง ดร.วิวัฒน์ ศัลย์กําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีวันคล้ายวันสถาปนากรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ครบรอบ 66 ปี พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณข้าราชการดีเด่น โดยช่วงเช้ามีพิธีสักการะสิ่งสักสิทธิ์ พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ และถวายภัตตาหาร จากนั้น นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ มอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และเหรียญจักรพรรดิมาลาแก่ข้าราชการดีเด่น ดร.วิวัฒน์ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนําของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กําหนดกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ “ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” นําไปสู่การพัฒนาให้คนไทยมีความสุข โดยบูรณาการการพัฒนาในทุกมิติ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สนองนโยบายโดยกําหนดยุทธศาสตร์เกษตรและสหกรณ์ ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๙) เพื่อเป็นกรอบการดําเนินงานในการพัฒนาภาคการเกษตรให้สามารถดําเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ และเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ “เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตร มั่งคั่ง ทรัพยากรการเกษตรยั่งยืน”มีแนวทางไปสู่เป้าหมาย ด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ คือ 1. สร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร 2. เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตรฐานสินค้า 3. เพิ่มความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม 4. บริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน และ 5. พัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ รวมไปถึงการกําหนดนโยบายของนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมุ่งเน้นให้หน่วยงานในสังกัดบูรณาการการทํางานร่วมกัน เพื่อให้เกษตรกรไทยหลุดพ้นจากความยากจน และมีรายได้มากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาระบบสหกรณ์และวิสาหกิจการเกษตรให้เข้มแข็ง เกษตรกรไทยเข้าสู่ระบบสหกรณ์ทุกครัวเรือน เกิดสังคมและชุมชนเกษตรกรไทยแบบพออยู่ พอเพียง และสามารถผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยและสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ ทั้งนี้ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มุ่งเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการเงินการบัญชีแก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินที่ต้องกํากับดูแล ๒.๙๕ ล้านล้านบาท หรือกว่า ๒๐%ของ GDP ประเทศ จึงได้นําระบบบัญชีไปวางรากฐานในการสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้น ซึ่งมีความสําคัญต่อระบบฐานรากในการพัฒนาสู่การขับเคลื่อนประเทศได้อย่างมั่นคง โดยได้ดําเนินการขับเคลื่อนการให้องค์ความรู้ทางบัญชี ควบคู่กับภารกิจหลักด้านการวางระบบบัญชีและตรวจสอบบัญชีสหกรณ์มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการยกระดับสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็งด้วยบัญชี เกษตรกรได้มีความรู้และเข้าใจในการนําระบบบัญชีไปใช้ในการบริหารจัดการภาคการเกษตรได้อย่างเหมาะสม สมดุล และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งให้ประชาชนได้ใช้บัญชีเป็นคู่มือในการดําเนินชีวิตและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้ สร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจระดับฐานราก หรือขจัดปัญหาความยากจนปัจจุบัน ได้สอนการทําบัญชีให้กับกลุ่มเป้าหมายแล้ว จํานวนกว่า 7.๗ ล้านคน รวมทั้งได้สร้างเครือข่ายครูบัญชีอาสาทั่วประเทศ จํานวน 6,538 คน เพื่อทําหน้าที่เป็นตัวแทนในการถ่ายทอดความรู้การจัดทําบัญชีสู่เกษตรกรและคนในชุมชน ก่อเกิดเป็นชุมชนคนทําบัญชี กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยทุกกิจกรรมมีเป้าหมายดําเนินการขยายผลเพิ่มขึ้นในปี 2561 นายโอภาส ทองยงค์ อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ยังได้ดําเนินงานด้านการสร้างความเข้มแข็งสู่สหกรณ์ โดยวางระบบบัญชีสหกรณ์ ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ รวมถึงการส่งเสริมและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบัญชีสู่สหกรณ์ สมาชิกสหกรณ์ เกษตรกร และประชาชนทั่วไป โดยดําเนินงานควบคู่กับการพัฒนางานระบบบัญชีและกลไกที่จะส่งเสริมระบบบัญชีให้มีความทันสมัย และทันกับสถานการณ์ รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ รู้เท่าทันเทคโนโลยีและการดําเนินธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ และปรับโครงสร้างบุคลากร ให้สามารถรองรับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและแตกต่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การสนับสนุนผู้สอบบัญชีให้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้สอบบัญชีได้รับอนุญาต เพื่อพัฒนาผู้สอบบัญชีสู่ผู้สอบบัญชีมืออาชีพ (CAD-CPA) การปรับโครงสร้างองค์กรรองรับการทํางานแบบบูรณาการกับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พัฒนางานระบบบัญชีด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ มาเป็นเครื่องมือเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการเงินของสหกรณ์ และการวางกลยุทธ์ในการสร้างมาตรฐานจริยธรรมด้านการเงินการบัญชีแก่ผู้บริหารสหกรณ์ เพื่อให้สหกรณ์มีผู้บริหารที่มีความเป็นมืออาชีพ สามารถรับมือกับภาวะความเสี่ยงในการบริหารการเงิน ความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากระบบสหกรณ์ เป็นต้น “ในโอกาสครบรอบการสถาปนา 66 ปี กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จะยังคงรักษามาตรฐานและคุณภาพการทํางานอย่างเข้มแข็ง เพื่อเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาสหกรณ์ไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน รวมทั้งเกษตรกรและประชาชน มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนและหลุดพ้นจากความยากจน” อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10693
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ยธ. บูรณาการขับเคลื่อนการอำนวยความยุติธรรมเพื่อให้บริการประชาชน
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 ยธ. บูรณาการขับเคลื่อนการอํานวยความยุติธรรมเพื่อให้บริการประชาชน นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “การอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา กับการเชื่อมโยงการดําเนินงานของศูนย์ดํารงธรรม” เมื่อวันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “การอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา กับการเชื่อมโยงการดําเนินงานของศูนย์ดํารงธรรม” ภายใต้โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการความเชื่อมโยง การดําเนินงานของศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ ศูนย์ยุติธรรมชุมชนแบบบูรณาการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงและบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันในด้านการอํานวยความยุติธรรม แก่ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเท่าเทียม เสมอภาค และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายอําเภอ และประธานศูนย์ยุติธรรมชุมชน ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุม The Sky Hall โรงแรมแอมโป เรสซิเนซ์ อําเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ยธ. บูรณาการขับเคลื่อนการอำนวยความยุติธรรมเพื่อให้บริการประชาชน วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม 2560 ยธ. บูรณาการขับเคลื่อนการอํานวยความยุติธรรมเพื่อให้บริการประชาชน นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “การอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา กับการเชื่อมโยงการดําเนินงานของศูนย์ดํารงธรรม” เมื่อวันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๐ น. นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “การอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา กับการเชื่อมโยงการดําเนินงานของศูนย์ดํารงธรรม” ภายใต้โครงการประชุมเชิงปฏิบัติการความเชื่อมโยง การดําเนินงานของศูนย์ดํารงธรรมอําเภอ ศูนย์ยุติธรรมชุมชนแบบบูรณาการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงและบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันในด้านการอํานวยความยุติธรรม แก่ประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเท่าเทียม เสมอภาค และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายอําเภอ และประธานศูนย์ยุติธรรมชุมชน ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ห้องประชุม The Sky Hall โรงแรมแอมโป เรสซิเนซ์ อําเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3611
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน พัฒนา อสม.เป็นหมอประจำบ้าน ใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ เฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก
วันพุธที่ 25 กันยายน 2562 อนุทิน พัฒนา อสม.เป็นหมอประจําบ้าน ใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ เฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพิ่มศักยภาพ อสม.เป็นหมอประจําบ้าน พัฒนาแอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” สร้างความเข้มแข็งการเฝ้าระวัง เน้นให้ความรู้โรคติดต่อที่นําโดยยุงลาย วันนี้ (25 กันยายน 2562) ที่โรงแรมทีเค พาเลซ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพครู ก. อสม. หมอประจําบ้าน ประจําปี 2562 และเป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือการบูรณาการข้อมูลเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อนําโดยยุงลาย ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ระหว่าง นายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสิรฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายวีรวัฒน์ เกียรติพงศ์ถาวร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจสัมพันธ์และองค์กร บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จํากัด โดยมีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด หัวหน้างานสุขภาพภาคประชาชนทุกจังหวัด/ ครูฝึก อสม. ประธานชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน และประธานอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร จํานวน 450 คน นายอนุทินกล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุข ยกระดับความรู้ อสม. ให้เป็น อสม. หมอประจําบ้าน ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารทางการแพทย์ ระบบการแพทย์ทางไกลและบริการสาธารณสุขในชุมชน เพิ่มบทบาท อสม. เพื่อลดโรคและปัญหาสุขภาพ ส่งเสริมประชาชนให้พึ่งตนเองได้ ลดความแออัด ลดการพึ่งพาโรงพยาบาล โดยอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ครู ก ให้มีศักยภาพให้นําความรู้ไปอบรม อสม. ในพื้นที่รับผิดชอบให้เป็น อสม.หมอประจําบ้าน มีความรู้ใน 6 เรื่อง คือการสร้างอาสาสมัครประจําครอบครัว (อสค.) การเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่, การส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคและแก้ไขปัญหาสุขภาพที่สําคัญ, ภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย และการใช้กัญชาทางการแพทย์, เทคโนโลยีการสื่อสารทางการแพทย์, โทรเวชกรรมและแอปพลิเคชันด้านสาธารณสุข และผู้นําการสร้างสุขภาพแบบมีส่วนร่วม นายอนุทินกล่าวต่อว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือการบูรณาการข้อมูลเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อนําโดยยุงลาย ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ระหว่าง กรมสนับสนุนบริการสุขภาพและกรมควบคุมโรค ร่วมกับบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จํากัด โดยการพัฒนาแอปพลิเคชัน อสม. ออนไลน์ ซึ่งต่อยอดให้เชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันทันระบาด เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคติดต่อที่นําโดยยุงลาย เช่น ไข้เลือดออก โดยจะใช้เป็นเครื่องมือในการบันทึกข้อมูลการสํารวจลูกน้ํายุงลาย ส่งต่อข้อมูลไปยังส่วนกลาง สามารถประมวลผล และแจ้งสถานการณ์การระบาดของโรคแก่หน่วยบริการสุขภาพ รวมทั้งมีการส่งข้อมูลความรู้ให้ อสม. วันละ 1 ครั้ง เพื่อให้ อสม. เป็นหมอประจําบ้านอย่างมั่นใจ *************************** 25 กันยายน 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน พัฒนา อสม.เป็นหมอประจำบ้าน ใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ เฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก วันพุธที่ 25 กันยายน 2562 อนุทิน พัฒนา อสม.เป็นหมอประจําบ้าน ใช้แอปพลิเคชัน อสม.ออนไลน์ เฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพิ่มศักยภาพ อสม.เป็นหมอประจําบ้าน พัฒนาแอปพลิเคชัน “อสม.ออนไลน์” สร้างความเข้มแข็งการเฝ้าระวัง เน้นให้ความรู้โรคติดต่อที่นําโดยยุงลาย วันนี้ (25 กันยายน 2562) ที่โรงแรมทีเค พาเลซ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพครู ก. อสม. หมอประจําบ้าน ประจําปี 2562 และเป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือการบูรณาการข้อมูลเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อนําโดยยุงลาย ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ระหว่าง นายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสิรฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายวีรวัฒน์ เกียรติพงศ์ถาวร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจสัมพันธ์และองค์กร บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จํากัด โดยมีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด หัวหน้างานสุขภาพภาคประชาชนทุกจังหวัด/ ครูฝึก อสม. ประธานชมรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน และประธานอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร จํานวน 450 คน นายอนุทินกล่าวว่า ได้มอบนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุข ยกระดับความรู้ อสม. ให้เป็น อสม. หมอประจําบ้าน ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารทางการแพทย์ ระบบการแพทย์ทางไกลและบริการสาธารณสุขในชุมชน เพิ่มบทบาท อสม. เพื่อลดโรคและปัญหาสุขภาพ ส่งเสริมประชาชนให้พึ่งตนเองได้ ลดความแออัด ลดการพึ่งพาโรงพยาบาล โดยอบรมเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ครู ก ให้มีศักยภาพให้นําความรู้ไปอบรม อสม. ในพื้นที่รับผิดชอบให้เป็น อสม.หมอประจําบ้าน มีความรู้ใน 6 เรื่อง คือการสร้างอาสาสมัครประจําครอบครัว (อสค.) การเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่, การส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคและแก้ไขปัญหาสุขภาพที่สําคัญ, ภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย และการใช้กัญชาทางการแพทย์, เทคโนโลยีการสื่อสารทางการแพทย์, โทรเวชกรรมและแอปพลิเคชันด้านสาธารณสุข และผู้นําการสร้างสุขภาพแบบมีส่วนร่วม นายอนุทินกล่าวต่อว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือการบูรณาการข้อมูลเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อนําโดยยุงลาย ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล ระหว่าง กรมสนับสนุนบริการสุขภาพและกรมควบคุมโรค ร่วมกับบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จํากัด โดยการพัฒนาแอปพลิเคชัน อสม. ออนไลน์ ซึ่งต่อยอดให้เชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันทันระบาด เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคติดต่อที่นําโดยยุงลาย เช่น ไข้เลือดออก โดยจะใช้เป็นเครื่องมือในการบันทึกข้อมูลการสํารวจลูกน้ํายุงลาย ส่งต่อข้อมูลไปยังส่วนกลาง สามารถประมวลผล และแจ้งสถานการณ์การระบาดของโรคแก่หน่วยบริการสุขภาพ รวมทั้งมีการส่งข้อมูลความรู้ให้ อสม. วันละ 1 ครั้ง เพื่อให้ อสม. เป็นหมอประจําบ้านอย่างมั่นใจ *************************** 25 กันยายน 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23388
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.วิทย์ ร่วมงาน KIBO Insight Plus 2017 ของ KOTEC สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเป็นเกียรติและขอบคุณรัฐบาลเกาหลีที่ให้ทุนสนับสนุนโครงการ KSP ถ่ายทอดความรู้จาก KOTEC เพื่อพัฒนาระบบปร
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560 รัฐมนตรี ก.วิทย์ ร่วมงาน KIBO Insight Plus 2017 ของ KOTEC สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเป็นเกียรติและขอบคุณรัฐบาลเกาหลีที่ให้ทุนสนับสนุนโครงการ KSP ถ่ายทอดความรู้จาก KOTEC เพื่อพัฒนาระบบปร ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะ เข้าร่วมงาน KIBO Insight Plus 2017 ณ JW Marriott Hotel Seoul 1 – 2 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่าน ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะ เข้าร่วมงาน KIBO Insight Plus 2017 ณ JW Marriott Hotel Seoul จัดโดย Korea Technology Finance Corporation (KOTEC) สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเป็นเกียรติและขอบคุณรัฐบาลเกาหลี ที่ให้ทุนการสนับสนุนโครงการ Knowledge Sharing Program (KSP) ถ่ายทอดความรู้จาก KOTEC เพื่อพัฒนาระบบประเมินการจัดอันดับเทคโนโลยีสําหรับประเทศไทย (Thailand Technology Rating System: TTRS) ให้กับ สวทช. และ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ในการเดินทางไปสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งนี้ เพื่อเป็นเกียรติและขอบคุณรัฐบาลเกาหลี ในโอกาสครบรอบ 20 ปี ของการใช้ระบบประเมินเทคโนโลยี ที่เรียกว่า KOTEC Technology Rating System (KTRS) รวมถึงทุนการสนับสนุนโครงการ Knowledge Sharing Program (KSP) ในการถ่ายทอดความรู้จาก KOTEC ซึ่ง สวทช. และ บสย. ได้เข้าร่วมโครงการ Knowledge Sharing Program (KSP) ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 – กันยายน 2560 โดยใช้ทุนสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลี ในการบูรณาการองค์ความรู้พัฒนาต้นแบบ “กลไกการประเมินจัดอันดับเทคโนโลยีไทย” ที่เรียกว่า Thailand Technology Rating System (TTRS) ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย สําหรับการประเมินจัดอันดับเทคโนโลยีไทยของผู้ประกอบการไทยที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการดําเนินธุรกิจให้ประสบความสําเร็จบนพื้นฐานศักยภาพในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งการบริหารจัดการเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ TTRS เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินมูลค่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ และส่งผลต่อการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ สร้างสรรค์นวัตกรรม กระตุ้น GDP ให้เพิ่มขึ้น และสร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังได้ร่วมประชุมเจรจากับประธานกรรมการของ KOTEC อย่างเป็นทางการ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และหารือความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีด้วยกลไกการเงิน พร้อมเยี่ยมชมบริษัท Tech Startup ของประเทศเกาหลีที่ประสบความสําเร็จและได้รับการสนับสนุนจาก KOTEC อีกด้วย เพื่อนําความรู้และประสบการณ์เหล่านี้มาใช้สําหรับการพัฒนาประเทศให้ประสบความสําเร็จต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.วิทย์ ร่วมงาน KIBO Insight Plus 2017 ของ KOTEC สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเป็นเกียรติและขอบคุณรัฐบาลเกาหลีที่ให้ทุนสนับสนุนโครงการ KSP ถ่ายทอดความรู้จาก KOTEC เพื่อพัฒนาระบบปร วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560 รัฐมนตรี ก.วิทย์ ร่วมงาน KIBO Insight Plus 2017 ของ KOTEC สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเป็นเกียรติและขอบคุณรัฐบาลเกาหลีที่ให้ทุนสนับสนุนโครงการ KSP ถ่ายทอดความรู้จาก KOTEC เพื่อพัฒนาระบบปร ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะ เข้าร่วมงาน KIBO Insight Plus 2017 ณ JW Marriott Hotel Seoul 1 – 2 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่าน ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล ผู้อํานวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะ เข้าร่วมงาน KIBO Insight Plus 2017 ณ JW Marriott Hotel Seoul จัดโดย Korea Technology Finance Corporation (KOTEC) สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อเป็นเกียรติและขอบคุณรัฐบาลเกาหลี ที่ให้ทุนการสนับสนุนโครงการ Knowledge Sharing Program (KSP) ถ่ายทอดความรู้จาก KOTEC เพื่อพัฒนาระบบประเมินการจัดอันดับเทคโนโลยีสําหรับประเทศไทย (Thailand Technology Rating System: TTRS) ให้กับ สวทช. และ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ในการเดินทางไปสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งนี้ เพื่อเป็นเกียรติและขอบคุณรัฐบาลเกาหลี ในโอกาสครบรอบ 20 ปี ของการใช้ระบบประเมินเทคโนโลยี ที่เรียกว่า KOTEC Technology Rating System (KTRS) รวมถึงทุนการสนับสนุนโครงการ Knowledge Sharing Program (KSP) ในการถ่ายทอดความรู้จาก KOTEC ซึ่ง สวทช. และ บสย. ได้เข้าร่วมโครงการ Knowledge Sharing Program (KSP) ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 – กันยายน 2560 โดยใช้ทุนสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลี ในการบูรณาการองค์ความรู้พัฒนาต้นแบบ “กลไกการประเมินจัดอันดับเทคโนโลยีไทย” ที่เรียกว่า Thailand Technology Rating System (TTRS) ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย สําหรับการประเมินจัดอันดับเทคโนโลยีไทยของผู้ประกอบการไทยที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการดําเนินธุรกิจให้ประสบความสําเร็จบนพื้นฐานศักยภาพในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งการบริหารจัดการเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ TTRS เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินมูลค่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเป็นระบบ และส่งผลต่อการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์ สร้างสรรค์นวัตกรรม กระตุ้น GDP ให้เพิ่มขึ้น และสร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจให้มากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังได้ร่วมประชุมเจรจากับประธานกรรมการของ KOTEC อย่างเป็นทางการ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และหารือความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีด้วยกลไกการเงิน พร้อมเยี่ยมชมบริษัท Tech Startup ของประเทศเกาหลีที่ประสบความสําเร็จและได้รับการสนับสนุนจาก KOTEC อีกด้วย เพื่อนําความรู้และประสบการณ์เหล่านี้มาใช้สําหรับการพัฒนาประเทศให้ประสบความสําเร็จต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7849
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงขับเคลื่อน “เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เตรียมดึงเอกชนร่วมลงทุน มุ่งจัดบริการสวัสดิการสังคมเพื่อคนทุกช่วงวัย
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 พม. แถลงขับเคลื่อน “เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เตรียมดึงเอกชนร่วมลงทุน มุ่งจัดบริการสวัสดิการสังคมเพื่อคนทุกช่วงวัย พม. แถลงขับเคลื่อน “เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เตรียมดึงเอกชนร่วมลงทุน มุ่งจัดบริการสวัสดิการสังคมเพื่อคนทุกช่วงวัย วันนี้ (9 ม.ค. 62) เวลา 13.30 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการแถลงข่าวการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบด้านสังคม “เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” โดยมี คณะผู้บริหาร ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ บริเวณโถง ชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลเอก อนันตพร กล่าวว่า ด้วยรัฐบาลได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) เป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศไปสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงผ่านกลไกประชารัฐ โดยมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือในลักษณะประชารัฐจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ในรูปแบบของหุ้นส่วนการพัฒนาที่เป็นการดําเนินงานอย่างบูรณาการ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาประเทศที่สามารถสร้างความเจริญและรายได้ โดยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ได้ขับเคลื่อนแผนงาน โครงการ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์กระทรวง พม. ระยะยาว 20 ปี และแผนยุทธศาสตร์กระทรวง พม. ระยะสั้น 5 ปี (พ.ศ. 2560 – 2564) ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ของกระทรวง “พม. เป็นผู้นําด้านสังคมของไทยและอาเซียน มุ่งสู่คนอยู่ดีมีสุขในสังคมคุณภาพ” พลเอก อนันตพร กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ได้กําหนดแผนในการพัฒนาและยกระดับการให้บริการของหน่วยงานและการพัฒนาพื้นที่ว่างของกระทรวง พม. ในพื้นที่อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุ (สีน้ําเงิน) ประมาณ 667 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. สําหรับการให้บริการประชาชนกลุ่มเป้าหมาย และมีพื้นที่ว่างที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาและใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ จึงมีการกําหนดแผนในการนําพื้นที่ว่างดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างมีประสิทธิภาพต่อประชาชนกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งเป็นการพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดชลบุรีในอนาคต ซึ่งการดําเนินงานครั้งนี้ มุ่งเน้นการดําเนินการในรูปแบบประชารัฐ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในการพัฒนาและการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดังกล่าว เพื่อลดการใช้งบประมาณของรัฐ กระทรวง พม. จึงได้ดําเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบด้านสังคม “เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” ในพื้นที่อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นโครงการที่ดําเนินงานภายใต้แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดการพึ่งพาจากภาครัฐ มุ่งเน้นการดําเนินงานในรูปแบบการมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชน ด้วยการนําพื้นที่ว่างที่ยังไม่ได้รับการพัฒนามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในงานสวัสดิการสังคมสําหรับการให้บริการผู้รับบริการของกระทรวง พม. และประชาชนทั่วไป และเป็นศูนย์เรียนรู้และอบรมด้านสวัสดิการสังคมในระดับอาเซียน อีกทั้งเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ในพื้นที่อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี อีกทางหนึ่งด้วย พลเอก อนันตพร กล่าวต่ออีกว่า สําหรับจุดเด่นของโครงการดังกล่าว คือ ศูนย์บริการด้านสังคมสําหรับคนทุกช่วงวัยในรูปแบบของ Center Club House ขนาดใหญ่ ด้วยพื้นที่ที่มีการแบ่ง Function การใช้งานที่หลายหลากและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย เช่น ศูนย์บริการทางการแพทย์ ที่พักอาศัย ศูนย์อบรม ศูนย์ฝึกอาชีพ สถานที่ออกกําลังกาย และห้องกิจกรรมต่างๆ สําหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมายและประชาชนทั่วไป ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้โดยมีการออกแบบภายใต้หลักการ Universal Design ที่สามารถเชื่อมโยงกับพื้นที่ของศูนย์บริการด้านสังคมของหน่วยงานกระทรวง พม. และโครงการ Senior Complex นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดในการจัดสรรพื้นที่บางส่วนให้กับเอกชนได้เข้ามาลงทุนในเชิงพาณิชย์ เพื่อนํารายได้มาสนับสนุนและพัฒนาประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ประชาชนทั่วไป และหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ “สําหรับโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบด้านสังคม “เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” ในพื้นที่อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี นับเป็นโครงการต้นแบบที่ผสมผสานแนวทางการจัดสวัสดิการสังคมกับการดําเนินงานในเชิงพาณิชย์เข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้นิยาม “ศูนย์รวมการให้บริการด้านสังคมสําหรับคนทุกช่วงวัยแบบครบวงจร” โดยมีการออกแบบพื้นที่ภายใต้หลักการ Universal Design และการจัดสรรการใช้ประโยชน์พื้นที่แบบ Mixed use เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกมิติ ภายใต้แนวทาง “ประชารัฐ สู่การพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน” ซึ่งถือเป็นรูปแบบการดําเนินงานที่เกิดประโยชน์ทั้งในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อการช่วยเหลือ ดูแล คุ้มครอง ส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” พลเอก อนันตพร กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงขับเคลื่อน “เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เตรียมดึงเอกชนร่วมลงทุน มุ่งจัดบริการสวัสดิการสังคมเพื่อคนทุกช่วงวัย วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 พม. แถลงขับเคลื่อน “เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เตรียมดึงเอกชนร่วมลงทุน มุ่งจัดบริการสวัสดิการสังคมเพื่อคนทุกช่วงวัย พม. แถลงขับเคลื่อน “เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เตรียมดึงเอกชนร่วมลงทุน มุ่งจัดบริการสวัสดิการสังคมเพื่อคนทุกช่วงวัย วันนี้ (9 ม.ค. 62) เวลา 13.30 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานการแถลงข่าวการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบด้านสังคม “เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” โดยมี คณะผู้บริหาร ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อมวลชน เข้าร่วมงาน ณ บริเวณโถง ชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ พลเอก อนันตพร กล่าวว่า ด้วยรัฐบาลได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) เป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศไปสู่ “ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงผ่านกลไกประชารัฐ โดยมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือในลักษณะประชารัฐจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ในรูปแบบของหุ้นส่วนการพัฒนาที่เป็นการดําเนินงานอย่างบูรณาการ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาประเทศที่สามารถสร้างความเจริญและรายได้ โดยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ได้ขับเคลื่อนแผนงาน โครงการ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์กระทรวง พม. ระยะยาว 20 ปี และแผนยุทธศาสตร์กระทรวง พม. ระยะสั้น 5 ปี (พ.ศ. 2560 – 2564) ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้สามารถบรรลุวิสัยทัศน์ของกระทรวง “พม. เป็นผู้นําด้านสังคมของไทยและอาเซียน มุ่งสู่คนอยู่ดีมีสุขในสังคมคุณภาพ” พลเอก อนันตพร กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ได้กําหนดแผนในการพัฒนาและยกระดับการให้บริการของหน่วยงานและการพัฒนาพื้นที่ว่างของกระทรวง พม. ในพื้นที่อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุ (สีน้ําเงิน) ประมาณ 667 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. สําหรับการให้บริการประชาชนกลุ่มเป้าหมาย และมีพื้นที่ว่างที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาและใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ จึงมีการกําหนดแผนในการนําพื้นที่ว่างดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างมีประสิทธิภาพต่อประชาชนกลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งเป็นการพัฒนาพื้นที่เพื่อรองรับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดชลบุรีในอนาคต ซึ่งการดําเนินงานครั้งนี้ มุ่งเน้นการดําเนินการในรูปแบบประชารัฐ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในการพัฒนาและการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดังกล่าว เพื่อลดการใช้งบประมาณของรัฐ กระทรวง พม. จึงได้ดําเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบด้านสังคม “เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” ในพื้นที่อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นโครงการที่ดําเนินงานภายใต้แนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดการพึ่งพาจากภาครัฐ มุ่งเน้นการดําเนินงานในรูปแบบการมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชน ด้วยการนําพื้นที่ว่างที่ยังไม่ได้รับการพัฒนามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในงานสวัสดิการสังคมสําหรับการให้บริการผู้รับบริการของกระทรวง พม. และประชาชนทั่วไป และเป็นศูนย์เรียนรู้และอบรมด้านสวัสดิการสังคมในระดับอาเซียน อีกทั้งเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ในพื้นที่อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี อีกทางหนึ่งด้วย พลเอก อนันตพร กล่าวต่ออีกว่า สําหรับจุดเด่นของโครงการดังกล่าว คือ ศูนย์บริการด้านสังคมสําหรับคนทุกช่วงวัยในรูปแบบของ Center Club House ขนาดใหญ่ ด้วยพื้นที่ที่มีการแบ่ง Function การใช้งานที่หลายหลากและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย เช่น ศูนย์บริการทางการแพทย์ ที่พักอาศัย ศูนย์อบรม ศูนย์ฝึกอาชีพ สถานที่ออกกําลังกาย และห้องกิจกรรมต่างๆ สําหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมายและประชาชนทั่วไป ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้โดยมีการออกแบบภายใต้หลักการ Universal Design ที่สามารถเชื่อมโยงกับพื้นที่ของศูนย์บริการด้านสังคมของหน่วยงานกระทรวง พม. และโครงการ Senior Complex นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดในการจัดสรรพื้นที่บางส่วนให้กับเอกชนได้เข้ามาลงทุนในเชิงพาณิชย์ เพื่อนํารายได้มาสนับสนุนและพัฒนาประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ประชาชนทั่วไป และหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ในพื้นที่ “สําหรับโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบด้านสังคม “เมืองสร้างสุข (Happiness Social City)” ในพื้นที่อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี นับเป็นโครงการต้นแบบที่ผสมผสานแนวทางการจัดสวัสดิการสังคมกับการดําเนินงานในเชิงพาณิชย์เข้าไว้ด้วยกัน ภายใต้นิยาม “ศูนย์รวมการให้บริการด้านสังคมสําหรับคนทุกช่วงวัยแบบครบวงจร” โดยมีการออกแบบพื้นที่ภายใต้หลักการ Universal Design และการจัดสรรการใช้ประโยชน์พื้นที่แบบ Mixed use เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกมิติ ภายใต้แนวทาง “ประชารัฐ สู่การพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน” ซึ่งถือเป็นรูปแบบการดําเนินงานที่เกิดประโยชน์ทั้งในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อการช่วยเหลือ ดูแล คุ้มครอง ส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” พลเอก อนันตพร กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18031
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเริ่มให้ส่วนราชการหักเงินชำระหนี้ กยศ. ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 61
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561 กรมบัญชีกลางเริ่มให้ส่วนราชการหักเงินชําระหนี้ กยศ. ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 61 กรมบัญชีกลางแจ้งให้ส่วนราชการเตรียมดําเนินการหักเงินของข้าราชการและลูกจ้างประจําที่เป็นลูกหนี้ กยศ. ผ่านระบบจ่ายตรงเงินเดือนฯ เพื่อชําระเงินคืน กยศ. เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา กรมบัญชีกลางได้เริ่มเป็นหน่วยงานนําร่องในการหักเงินเดือนของข้าราชการและลูกจ้างประจํา ผ่านระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจําของกรมบัญชีกลาง เพื่อชําระหนี้เงินกู้ยืมคืนให้แก่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งขณะนี้ระบบดังกล่าวมีความพร้อมในการรับข้อมูลลูกหนี้และสามารถหักเงินเดือนของลูกหนี้ กยศ. จํานวนกว่า 1.6 แสนราย จากส่วนราชการทั้ง 225 แห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้แจ้งให้ส่วนราชการที่เข้าร่วมโครงการจ่ายเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของข้าราชการและลูกจ้างประจําโดยตรงทุกแห่ง เตรียมดําเนินการหักเงินเดือนหรือค่าจ้างประจําของผู้ที่กู้ยืม กยศ. ภายในหน่วยงานของตนก่อนโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของแต่ละคนต่อไป โดยจะเริ่มหักเงินเพื่อชําระหนี้ กยศ. ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป กรมบัญชีกลาง และ กยศ. ได้ประสานความร่วมมือกันในการกําหนดแนวทางปฏิบัติ และพัฒนาระบบการจ่ายตรงเงินเดือนให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน มีการหักเงินและจ่ายเงินให้แต่ละคนได้อย่างถูกต้อง นอกจากการดําเนินการเรื่องนี้จะช่วยสนับสนุนให้การปฏิบัติงานของ กยศ. บรรลุวัตถุประสงค์ตามภารกิจที่กําหนดไว้แล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กไทยได้ยั่งยืนขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางเริ่มให้ส่วนราชการหักเงินชำระหนี้ กยศ. ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 61 วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561 กรมบัญชีกลางเริ่มให้ส่วนราชการหักเงินชําระหนี้ กยศ. ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 61 กรมบัญชีกลางแจ้งให้ส่วนราชการเตรียมดําเนินการหักเงินของข้าราชการและลูกจ้างประจําที่เป็นลูกหนี้ กยศ. ผ่านระบบจ่ายตรงเงินเดือนฯ เพื่อชําระเงินคืน กยศ. เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา กรมบัญชีกลางได้เริ่มเป็นหน่วยงานนําร่องในการหักเงินเดือนของข้าราชการและลูกจ้างประจํา ผ่านระบบจ่ายตรงเงินเดือนและค่าจ้างประจําของกรมบัญชีกลาง เพื่อชําระหนี้เงินกู้ยืมคืนให้แก่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่งขณะนี้ระบบดังกล่าวมีความพร้อมในการรับข้อมูลลูกหนี้และสามารถหักเงินเดือนของลูกหนี้ กยศ. จํานวนกว่า 1.6 แสนราย จากส่วนราชการทั้ง 225 แห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางได้แจ้งให้ส่วนราชการที่เข้าร่วมโครงการจ่ายเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของข้าราชการและลูกจ้างประจําโดยตรงทุกแห่ง เตรียมดําเนินการหักเงินเดือนหรือค่าจ้างประจําของผู้ที่กู้ยืม กยศ. ภายในหน่วยงานของตนก่อนโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของแต่ละคนต่อไป โดยจะเริ่มหักเงินเพื่อชําระหนี้ กยศ. ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 เป็นต้นไป กรมบัญชีกลาง และ กยศ. ได้ประสานความร่วมมือกันในการกําหนดแนวทางปฏิบัติ และพัฒนาระบบการจ่ายตรงเงินเดือนให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน มีการหักเงินและจ่ายเงินให้แต่ละคนได้อย่างถูกต้อง นอกจากการดําเนินการเรื่องนี้จะช่วยสนับสนุนให้การปฏิบัติงานของ กยศ. บรรลุวัตถุประสงค์ตามภารกิจที่กําหนดไว้แล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กไทยได้ยั่งยืนขึ้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16015
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 26 กุมภาพันธ์ 2562
วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 26 กุมภาพันธ์ 2562 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 26 กุมภาพันธ์ 2562 วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 26 กุมภาพันธ์ 2562 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18979
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ เยี่ยมชมท่าเรืออัจฉริยะ @ แหลมฉบัง
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562 ผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ เยี่ยมชมท่าเรืออัจฉริยะ @ แหลมฉบัง ผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ เยี่ยมชมท่าเรืออัจฉริยะ @ แหลมฉบัง p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นายชุนณ์ลพัทธ์ ศรีภาเพลิน ผู้ช่วยผู้อํานวยการกองบริหารงานทั่วไป ท่าเรือแหลมฉบัง และนายวิศิษฐ์ เพชรชูพงษ์ ผู้อํานวยการฝ่ายกิจการของสํานักงาน สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) นําสื่อมวลชนเยี่ยมชมโครงการระบบท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Port System) ซึ่งดีป้า ได้ลงนามความร่วมมือกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) สนับสนุนด้านเงินทุนและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการท่าเรือแหลมฉบัง สู่การเป็นท่าเรืออัจฉริยะหรือ Smart Port แห่งแรกของประเทศ โดยจะบูรณาการข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับการส่งออกนําเข้าผ่านท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นประตูหลัก (Main Gate) ของสินค้าส่งออกนําเข้าของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อาทิ ตารางเรือเข้าออก ตารางเวลาตู้คอนเทนเนอร์ส่งออกนําเข้า รายการตู้คอนเทนเนอร์ที่มีการนําส่ง รับ และคงค้างในแต่ละท่าเรือเอกชน รายการและระยะเวลาเข้าออกของรถบรรทุกคอนเทนเนอร์ เป็นต้น เพื่อช่วยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถพยากรณ์และบริหารจัดการโลจิสติกส์ในบริเวณท่าเรือแหลมฉบังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันประเทศสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0 ต่อไป *****************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ เยี่ยมชมท่าเรืออัจฉริยะ @ แหลมฉบัง วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562 ผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ เยี่ยมชมท่าเรืออัจฉริยะ @ แหลมฉบัง ผู้บริหารกระทรวงดิจิทัลฯ เยี่ยมชมท่าเรืออัจฉริยะ @ แหลมฉบัง p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; text-indent: 36.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) นายชุนณ์ลพัทธ์ ศรีภาเพลิน ผู้ช่วยผู้อํานวยการกองบริหารงานทั่วไป ท่าเรือแหลมฉบัง และนายวิศิษฐ์ เพชรชูพงษ์ ผู้อํานวยการฝ่ายกิจการของสํานักงาน สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) นําสื่อมวลชนเยี่ยมชมโครงการระบบท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Port System) ซึ่งดีป้า ได้ลงนามความร่วมมือกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) สนับสนุนด้านเงินทุนและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับมาตรฐานการบริหารจัดการท่าเรือแหลมฉบัง สู่การเป็นท่าเรืออัจฉริยะหรือ Smart Port แห่งแรกของประเทศ โดยจะบูรณาการข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับการส่งออกนําเข้าผ่านท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นประตูหลัก (Main Gate) ของสินค้าส่งออกนําเข้าของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อาทิ ตารางเรือเข้าออก ตารางเวลาตู้คอนเทนเนอร์ส่งออกนําเข้า รายการตู้คอนเทนเนอร์ที่มีการนําส่ง รับ และคงค้างในแต่ละท่าเรือเอกชน รายการและระยะเวลาเข้าออกของรถบรรทุกคอนเทนเนอร์ เป็นต้น เพื่อช่วยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถพยากรณ์และบริหารจัดการโลจิสติกส์ในบริเวณท่าเรือแหลมฉบังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันประเทศสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0 ต่อไป *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18682
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การตรวจพบสารพิษตกค้างในผัก ผลไม้ จำนวนมาก
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563 การตรวจพบสารพิษตกค้างในผัก ผลไม้ จํานวนมาก สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๒ กระทู้ถามด้วยวาจาลําดับที่ ๑ เรื่อง การตรวจพบสารพิษตกค้างในผัก ผลไม้ จํานวนมาก ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายอําพล จินดาวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา ถาม นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ผู้ตอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์) ผู้ถาม : นายอําพล จินดาวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ๑. รัฐบาลมีแนวทางแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในผักและผลไม้ไว้อย่างไร และจะดําเนินการอย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแผนแม่บทตามยุทธศาสตร์ชาติที่กําหนดไว้ ๒. รัฐบาลมีแนวทางป้องกันมิให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้างอย่างไร และมีระบบการตรวจสอบย้อนกลับอย่างไร ๓. รัฐบาลมีแนวทางในการจัดการการปนเปื้อนของสารเคมีที่ยกเลิกใช้ และสารเคมีที่ไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๕๖ และไม่ได้ขึ้นทะเบียน อย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์) ตอบกระทู้ถามโดยสรุปดังนี้ ๑. รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีการดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในผักและผลไม้ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ดังนี้ ๑) แนะนําเกษตรกรผลิตผลิตผลตามหลักการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice : GAP) และจัดการศัตรูพืชด้วยวิธีผสมผสาน (Integrated Pest Management : IPM) ซึ่งกําหนดให้ใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตรอย่างถูกต้องและเหมาะสม ตามคําแนะนําของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือคําแนะนําในสลากที่ขึ้นทะเบียน ในระบบการตรวจรับรองมาตรฐาน GAP มีการตรวจติดตามและสุ่มตัวอย่างจากแปลงที่ได้รับรอง รวมถึงการสุ่มตัวอย่างที่จําหน่ายในตลาด เพื่อทดสอบระบบการผลิตเพื่อให้มั่นใจว่าเกษตรกรปฏิบัติตามข้อกําหนดการผลิตที่ดี ๒) การใช้ชีวภัณฑ์ทางการเกษตรกําจัดศัตรูพืช เช่น ชีวภัณฑ์ไส้เดือนฝอย กําจัดแมลง และส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ชีวภัณฑ์ทางการเกษตร รวมทั้งสร้างเครือข่ายเกษตรกรผลิตกระจายชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชที่มีคุณภาพ เพื่อลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร และส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ๒. รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้าง และ มีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ ดังนี้ ๑) มีการกําหนดแผนการสุ่มตัวอย่างพืชที่ได้รับรองมาตรฐานเพื่อเฝ้าระวัง ความปลอดภัยสารตกค้างประจําปี มีแผนการสุ่มเก็บตัวอย่างพืชที่ได้รับรองมาตรฐาน GAP วิเคราะห์สารตกค้างโดย ณ วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ มีการสุ่มเก็บตัวอย่างพืช GAP จากแปลงและห้างสรรพสินค้า จํานวน ๑,๘๕๑ ตัวอย่าง พบว่ามีผลความปลอดภัย ๑,๖๖๔ ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๙๐ ๒) สําหรับสินค้าพืชที่ผ่านการรับรอง มีการกําหนดรหัสรับรองเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ (สามารถตรวจสอบรหัสรับรองได้ผ่านทางเว็บไซต์ http://gap.doa.go.th) เมื่อมีการสุ่มตรวจพบสารตกค้างในผลผลิตทางการเกษตรเกินมาตรฐาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดําเนินการตรวจสอบรหัสรับรองและแหล่งผลิตที่ได้รับการรับรอง หากพบข้อบกพร่องจะดําเนินการแจ้งเกษตรกรทราบเพื่อปรับปรุงแก้ไข หากไม่มีการปรับปรุงแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพจะมีการพักใช้การรับรองภายในระยะเวลาที่กําหนด ๓) การจัดทําระบบมาตรฐานการรับรอง โดยมีหน่วยรับรองระบบงาน (Accreditation body) หน่วยตรวจรับรอง (Certification body) หน่วยตรวจสอบ (Inspection body) โดยมีหน่วยตรวจรับรองภาครัฐและเอกชน เป็นทางเลือกในการตรวจรับรองมาตรฐาน และการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งผลิต ๔) การตรวจสอบวัตถุอันตรายทางการเกษตรที่นําเข้าและจําหน่ายในประเทศอย่างเข้มงวดตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ๓. รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีแนวทางในการจัดการการปนเปื้อนของสารเคมีที่ยกเลิกใช้ สารเคมีที่ไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย และสารเคมีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ดังนี้ ๑) การปนเปื้อนสารเคมีที่ยกเลิกใช้สารเคมีที่ไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย และสารเคมีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน พบว่าสาเหตุหลักเกิดจากการสลายตัวของวัตถุอันตรายบางชนิดที่ทะเบียนยังไม่หมดอายุและยังอนุญาตให้จําหน่ายได้ โดยผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการพบสารเคมีที่ยกเลิกให้ใช้ควบคู่กับวัตถุอันตรายที่ทะเบียนยังไม่หมดอายุและยังอนุญาตให้จําหน่ายได้ ซึ่งสารที่สลายตัวในลักษณะนี้กรมวิชาการเกษตรไม่รับขึ้นทะเบียนแล้วเพราะจัดเป็นวัตถุอันตราย กลุ่มที่มีอันตรายสูงหรือเป็นกลุ่มแถบสีแดง ๒) นอกจากนี้วัตถุอันตรายข้างต้นจัดเป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ ๔ กรมวิชาการเกษตรไม่รับขึ้นทะเบียนและไม่ออกใบอนุญาต และห้ามนําเข้า ผลิต และจําหน่ายวัตถุอันตรายดังกล่าว พร้อมทั้งมีการตรวจติดตาม เฝ้าระวัง และควบคุมการนําเข้า การผลิต และการจําหน่ายวัตถุอันตรายทางการเกษตรอย่างเข้มงวด โดยนายตรวจพืชที่ด่านนําเข้ามีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพวัตถุอันตรายก่อนนําเข้าผ่านด่านศุลกากร เจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรทําหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพวัตถุอันตรายที่ผลิตในโรงงานและจําหน่ายที่ร้านค้าซึ่งจะมีประจําอยู่ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัดต่าง ๆ มีการทํางานร่วมกับสารวัตรเกษตรอาสา ประมาณไม่น้อยกว่า ๖,๐๐๐ คนทั่วประเทศ โดยทํางานร่วมกับตํารวจกองปราบปราม และกรมสอบสวนคดีพิเศษอย่างใกล้ชิด จากการตรวจสอบไม่พบการนําเข้าวัตถุอันตรายที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรแต่อย่างใด ๓) ในปัจจุบัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายอย่างชัดเจนในการลดปัญหาการจําหน่ายวัตถุอันตรายปลอมและไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้ปรับแผนงานเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการทํางาน รวมทั้งการให้หน่วยงานด้านการส่งเสริมการเกษตรเพิ่มการประชาสัมพันธ์และอบรมให้ความรู้กับเกษตรกรให้ใช้วัตถุอันตรายได้อย่างถูกต้อง ให้ทราบถึงชนิดของวัตถุอันตราย ประเภทที่ ๔ ที่ยกเลิกใช้ ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนและการอนุญาต ถือเป็นวัตถุอันตรายที่ผิดกฎหมาย มีความเป็นพิษร้ายแรง ก่อให้เกิดพิษตกค้างต่อผลผลิตทางการเกษตร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม และให้ใช้สารเคมีรวมทั้งสร้างการรับรู้ให้เกษตรกรใช้สารเคมีให้ได้ตามมาตรฐานอาหารปลอดภัย ทั้งในระบบ GAP และระบบเกษตรอินทรีย์เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรของไทยมีระดับความปลอดภัยที่สูงต่อไป (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การตรวจพบสารพิษตกค้างในผัก ผลไม้ จำนวนมาก วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563 การตรวจพบสารพิษตกค้างในผัก ผลไม้ จํานวนมาก สรุปการตอบกระทู้ถามในการประชุมวุฒิสภา วันจันทร์ที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๒ กระทู้ถามด้วยวาจาลําดับที่ ๑ เรื่อง การตรวจพบสารพิษตกค้างในผัก ผลไม้ จํานวนมาก ผู้ตั้งกระทู้ถาม นายอําพล จินดาวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา ถาม นายกรัฐมนตรี (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ผู้ตอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์) ผู้ถาม : นายอําพล จินดาวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา ถามกระทู้โดยสรุปดังนี้ ๑. รัฐบาลมีแนวทางแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในผักและผลไม้ไว้อย่างไร และจะดําเนินการอย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแผนแม่บทตามยุทธศาสตร์ชาติที่กําหนดไว้ ๒. รัฐบาลมีแนวทางป้องกันมิให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้างอย่างไร และมีระบบการตรวจสอบย้อนกลับอย่างไร ๓. รัฐบาลมีแนวทางในการจัดการการปนเปื้อนของสารเคมีที่ยกเลิกใช้ และสารเคมีที่ไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๕๖ และไม่ได้ขึ้นทะเบียน อย่างไร ผู้ตอบ : รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์) ตอบกระทู้ถามโดยสรุปดังนี้ ๑. รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีการดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในผักและผลไม้ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ดังนี้ ๑) แนะนําเกษตรกรผลิตผลิตผลตามหลักการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practice : GAP) และจัดการศัตรูพืชด้วยวิธีผสมผสาน (Integrated Pest Management : IPM) ซึ่งกําหนดให้ใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตรอย่างถูกต้องและเหมาะสม ตามคําแนะนําของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือคําแนะนําในสลากที่ขึ้นทะเบียน ในระบบการตรวจรับรองมาตรฐาน GAP มีการตรวจติดตามและสุ่มตัวอย่างจากแปลงที่ได้รับรอง รวมถึงการสุ่มตัวอย่างที่จําหน่ายในตลาด เพื่อทดสอบระบบการผลิตเพื่อให้มั่นใจว่าเกษตรกรปฏิบัติตามข้อกําหนดการผลิตที่ดี ๒) การใช้ชีวภัณฑ์ทางการเกษตรกําจัดศัตรูพืช เช่น ชีวภัณฑ์ไส้เดือนฝอย กําจัดแมลง และส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ชีวภัณฑ์ทางการเกษตร รวมทั้งสร้างเครือข่ายเกษตรกรผลิตกระจายชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืชที่มีคุณภาพ เพื่อลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร และส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ ๒. รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาสารพิษตกค้าง และ มีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ ดังนี้ ๑) มีการกําหนดแผนการสุ่มตัวอย่างพืชที่ได้รับรองมาตรฐานเพื่อเฝ้าระวัง ความปลอดภัยสารตกค้างประจําปี มีแผนการสุ่มเก็บตัวอย่างพืชที่ได้รับรองมาตรฐาน GAP วิเคราะห์สารตกค้างโดย ณ วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ มีการสุ่มเก็บตัวอย่างพืช GAP จากแปลงและห้างสรรพสินค้า จํานวน ๑,๘๕๑ ตัวอย่าง พบว่ามีผลความปลอดภัย ๑,๖๖๔ ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๙๐ ๒) สําหรับสินค้าพืชที่ผ่านการรับรอง มีการกําหนดรหัสรับรองเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับ (สามารถตรวจสอบรหัสรับรองได้ผ่านทางเว็บไซต์ http://gap.doa.go.th) เมื่อมีการสุ่มตรวจพบสารตกค้างในผลผลิตทางการเกษตรเกินมาตรฐาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดําเนินการตรวจสอบรหัสรับรองและแหล่งผลิตที่ได้รับการรับรอง หากพบข้อบกพร่องจะดําเนินการแจ้งเกษตรกรทราบเพื่อปรับปรุงแก้ไข หากไม่มีการปรับปรุงแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพจะมีการพักใช้การรับรองภายในระยะเวลาที่กําหนด ๓) การจัดทําระบบมาตรฐานการรับรอง โดยมีหน่วยรับรองระบบงาน (Accreditation body) หน่วยตรวจรับรอง (Certification body) หน่วยตรวจสอบ (Inspection body) โดยมีหน่วยตรวจรับรองภาครัฐและเอกชน เป็นทางเลือกในการตรวจรับรองมาตรฐาน และการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งผลิต ๔) การตรวจสอบวัตถุอันตรายทางการเกษตรที่นําเข้าและจําหน่ายในประเทศอย่างเข้มงวดตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ๓. รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีแนวทางในการจัดการการปนเปื้อนของสารเคมีที่ยกเลิกใช้ สารเคมีที่ไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย และสารเคมีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ดังนี้ ๑) การปนเปื้อนสารเคมีที่ยกเลิกใช้สารเคมีที่ไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย และสารเคมีที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน พบว่าสาเหตุหลักเกิดจากการสลายตัวของวัตถุอันตรายบางชนิดที่ทะเบียนยังไม่หมดอายุและยังอนุญาตให้จําหน่ายได้ โดยผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการพบสารเคมีที่ยกเลิกให้ใช้ควบคู่กับวัตถุอันตรายที่ทะเบียนยังไม่หมดอายุและยังอนุญาตให้จําหน่ายได้ ซึ่งสารที่สลายตัวในลักษณะนี้กรมวิชาการเกษตรไม่รับขึ้นทะเบียนแล้วเพราะจัดเป็นวัตถุอันตราย กลุ่มที่มีอันตรายสูงหรือเป็นกลุ่มแถบสีแดง ๒) นอกจากนี้วัตถุอันตรายข้างต้นจัดเป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ ๔ กรมวิชาการเกษตรไม่รับขึ้นทะเบียนและไม่ออกใบอนุญาต และห้ามนําเข้า ผลิต และจําหน่ายวัตถุอันตรายดังกล่าว พร้อมทั้งมีการตรวจติดตาม เฝ้าระวัง และควบคุมการนําเข้า การผลิต และการจําหน่ายวัตถุอันตรายทางการเกษตรอย่างเข้มงวด โดยนายตรวจพืชที่ด่านนําเข้ามีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพวัตถุอันตรายก่อนนําเข้าผ่านด่านศุลกากร เจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรทําหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพวัตถุอันตรายที่ผลิตในโรงงานและจําหน่ายที่ร้านค้าซึ่งจะมีประจําอยู่ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัดต่าง ๆ มีการทํางานร่วมกับสารวัตรเกษตรอาสา ประมาณไม่น้อยกว่า ๖,๐๐๐ คนทั่วประเทศ โดยทํางานร่วมกับตํารวจกองปราบปราม และกรมสอบสวนคดีพิเศษอย่างใกล้ชิด จากการตรวจสอบไม่พบการนําเข้าวัตถุอันตรายที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรแต่อย่างใด ๓) ในปัจจุบัน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายอย่างชัดเจนในการลดปัญหาการจําหน่ายวัตถุอันตรายปลอมและไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบได้ปรับแผนงานเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการทํางาน รวมทั้งการให้หน่วยงานด้านการส่งเสริมการเกษตรเพิ่มการประชาสัมพันธ์และอบรมให้ความรู้กับเกษตรกรให้ใช้วัตถุอันตรายได้อย่างถูกต้อง ให้ทราบถึงชนิดของวัตถุอันตราย ประเภทที่ ๔ ที่ยกเลิกใช้ ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนและการอนุญาต ถือเป็นวัตถุอันตรายที่ผิดกฎหมาย มีความเป็นพิษร้ายแรง ก่อให้เกิดพิษตกค้างต่อผลผลิตทางการเกษตร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม และให้ใช้สารเคมีรวมทั้งสร้างการรับรู้ให้เกษตรกรใช้สารเคมีให้ได้ตามมาตรฐานอาหารปลอดภัย ทั้งในระบบ GAP และระบบเกษตรอินทรีย์เพื่อให้ผลผลิตทางการเกษตรของไทยมีระดับความปลอดภัยที่สูงต่อไป (โปรดตรวจสอบการถาม-ตอบ กระทู้ถามที่เป็นทางการ จากสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาอีกครั้ง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32866
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อุตสาหกรรมเดินหน้าเชิงรุก ติดอาวุธอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่จากทั่วประเทศ เน้นการทำงานตอบโจทย์ยุค New Normal รวดเร็ว โปร่งใส
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม 2563 อุตสาหกรรมเดินหน้าเชิงรุก ติดอาวุธอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่จากทั่วประเทศ เน้นการทํางานตอบโจทย์ยุค New Normal รวดเร็ว โปร่งใส กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าเชิงรุก ติดอาวุธอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่จากทั่วประเทศ เน้นการทํางานตอบโจทย์ยุค New Normal รวดเร็ว โปร่งใส กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้า “การขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมในภูมิภาคเพื่อรองรับการทํางานวิถีใหม่ (New Normal) รวมพลอุตสาหกรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้างานจากทุกหน่วยงานทั่วประเทศ เพื่อปรับกลยุทธ์การทํางาน เน้น สร้างประสิทธิภาพงานที่ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้อย่างไม่สะดุด สู่การสร้างความเชื่อมั่นในระดับนานาประเทศ ชูความพร้อมเป็นฮับของการลงทุนในระดับภูมิภาค นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ส่งผลกระทบกับทุกภาคส่วน และทําให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดภาวะชะลอตัว สําหรับประเทศไทยนั้น ภายหลังที่มีการควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศให้เป็นศูนย์ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีมาตรการผ่อนปรนให้กิจการ กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถดําเนินการได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ทิศทางก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลําดับนั้น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม ปรับแนวทางการปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกับสถานะ New Normal โดยมุ่งเน้นการทํางานเชิงรุก “การขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมในภูมิภาคเพื่อรองรับการทํางานวิถีใหม่ (New Normal)” โดยเชิญอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่หัวหน้างานจากทุกหน่วยงานทั่วประเทศ ร่วมเดินหน้ากําหนดทิศทางการทํางาน ด้วยหลักสําคัญ 3 ข้อ คือ 1.ผนึกทุกภาคส่วนร่วมวางรากฐานอุตสาหกรรมสู่อนาคต 2. ประเมินผลงานของกระทรวงโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตัวจริง 3. ทํางานเชิงรุกในส่วนของแนวทางการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับการทํางานวิถีใหม่ (New Normal) โดยแบ่งการดําเนินงานด้านหลักๆ ดังนี้ ด้านเศรษฐกิจ เริ่มจากการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่หยุดชะงักไป โดยเน้นการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก เน้นไปที่กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มคนว่างงานและนักศึกษา จบใหม่ กลุ่มชุมชนและวิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกร ตลอดจนยังมีแนวทางการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจไปสู่ การรักษากลุ่มเอสเอ็มอีที่มีกว่า 3 ล้านราย การสร้างธุรกิจรองเพื่อเสริมมั่นคง การส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมแปรรูปอาหาร ด้านสิ่งแวดล้อม เตรียมบูรณาการวางแผนฟื้นฟูและดูแลการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างมีคุณภาพ เพื่อรับมือและลดปัญหาภัยแล้ง และ PM 2.5 พร้อมขับเคลื่อนหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมนําไปปรับใช้ในการบริหารทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด สุดท้าย ด้านปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กร มุ่งเน้นการปรับโฉมงานบริการใหม่พร้อมส่งมอบบริการที่ดี โดยองค์กรต้องปรับตัวสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างอัตโนมัติ ทั้งนี้การ Work from Home ทําให้เห็นว่าต้องพร้อมยืดหยุ่น ปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วหรือคาดไม่ถึง ทั้งหมดนี้คือ New Normal ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรุดดําเนินงานเพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปได้อย่างมีศักยภาพ พร้อมที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลกเกิดความมั่นใจว่า ประเทศไทยมีศักยภาพพร้อมจะเป็น Hub ของการลงทุนในภูมิภาคและการลงทุนในอนาคต นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการปฏิบัติราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ New Normal ในระยะที่ 1 ทําทันที ได้ดําเนินการเตรียมความพร้อม เพื่อนําผู้ประกอบการเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 และเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้แนวคิด ตลาดและนวัตกรรมนําอุตสาหกรรมไทย “ผลิตได้ ขายได้ และอยู่ด้วยกันได้” การส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการทุกระดับ การช่วยเหลือด้านการเงินผ่านสินเชื่อต่าง ๆ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการขนาดใหญ่ (Big Brother) กับเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชน และการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม ที่เป็นธุรกิจของคนไทย เป็นการเสริมแกร่งจุดแข็งของประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้เร่งฟื้นฟูเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 โดยได้อนุมัติพักชําระหนี้เงินต้น และขยายเวลาผ่อนชําระหนี้ให้กับลูกค้า ที่ขอสินเชื่อผ่านสถาบันทางการเงิน และหน่วยงานที่กระทรวงอุตสาหกรรมดูแล นอกจากนี้ ยังยกเว้นค่าธรรมเนียมโรงงานรายปี ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมตาม พ.ร.บ. แร่ และ พ.ร.บ. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายโดยตรงให้กับผู้ประกอบการ ตลอดจนร่วมกับสถาบันทางการเงินต่าง ๆ เพื่อแปลงเครื่องจักรเป็นทุน การพัฒนาหลักสูตรอบรมออนไลน์ เพื่อให้ SMEs มุ่งสู่แฟลตฟอร์มดิจิทัล การแสวงหาและสร้างโอกาสใหม่ ๆ เพื่อให้ภาคธุรกิจปรับตัวและเดินหน้าต่อไป ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้ได้รวบรวมเนื้อหาจากทุกหน่วยงานของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อติดอาวุธให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา เช่น การพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การออกกฎหมายรองและการถ่ายโอนภารกิจตาม พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม การบูรณาการงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) การผลักดันนวัตกรรม หนึ่งจังหวัด หนึ่งวิสาหกิจเริ่มต้น (One Province One Startup) การบูรณาการการปฏิบัติงานด้านเหมืองแร่ การบริหารจัดการอ้อยไฟไหม้และอุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายยุคใหม่ การทําหน้าที่นายทะเบียนเครื่องจักรประจําจังหวัด แนวทางปฏิบัติงานเกี่ยวกับสิ่งปฏิกูลฯ และการจัดทําสมดุลมวลสาร (Mass Balance) และระบบสารสนเทศในการปฏิบัติงานและการอํานวยความสะดวก เป็นต้น รวมทั้งเป็นครั้งแรกที่เปิดเวทีให้กับสถาบันเครือข่าย ได้ร่วมนําเสนอเนื้อหา เพื่อประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เช่น อาหาร ยานยนต์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อุตสาหกรรมเดินหน้าเชิงรุก ติดอาวุธอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่จากทั่วประเทศ เน้นการทำงานตอบโจทย์ยุค New Normal รวดเร็ว โปร่งใส วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม 2563 อุตสาหกรรมเดินหน้าเชิงรุก ติดอาวุธอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่จากทั่วประเทศ เน้นการทํางานตอบโจทย์ยุค New Normal รวดเร็ว โปร่งใส กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้าเชิงรุก ติดอาวุธอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่จากทั่วประเทศ เน้นการทํางานตอบโจทย์ยุค New Normal รวดเร็ว โปร่งใส กระทรวงอุตสาหกรรมเดินหน้า “การขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมในภูมิภาคเพื่อรองรับการทํางานวิถีใหม่ (New Normal) รวมพลอุตสาหกรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้างานจากทุกหน่วยงานทั่วประเทศ เพื่อปรับกลยุทธ์การทํางาน เน้น สร้างประสิทธิภาพงานที่ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศได้อย่างไม่สะดุด สู่การสร้างความเชื่อมั่นในระดับนานาประเทศ ชูความพร้อมเป็นฮับของการลงทุนในระดับภูมิภาค นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ส่งผลกระทบกับทุกภาคส่วน และทําให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดภาวะชะลอตัว สําหรับประเทศไทยนั้น ภายหลังที่มีการควบคุมการแพร่ระบาดภายในประเทศให้เป็นศูนย์ได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีมาตรการผ่อนปรนให้กิจการ กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถดําเนินการได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น ทิศทางก็ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลําดับนั้น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม ปรับแนวทางการปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกับสถานะ New Normal โดยมุ่งเน้นการทํางานเชิงรุก “การขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมในภูมิภาคเพื่อรองรับการทํางานวิถีใหม่ (New Normal)” โดยเชิญอุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่หัวหน้างานจากทุกหน่วยงานทั่วประเทศ ร่วมเดินหน้ากําหนดทิศทางการทํางาน ด้วยหลักสําคัญ 3 ข้อ คือ 1.ผนึกทุกภาคส่วนร่วมวางรากฐานอุตสาหกรรมสู่อนาคต 2. ประเมินผลงานของกระทรวงโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตัวจริง 3. ทํางานเชิงรุกในส่วนของแนวทางการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับการทํางานวิถีใหม่ (New Normal) โดยแบ่งการดําเนินงานด้านหลักๆ ดังนี้ ด้านเศรษฐกิจ เริ่มจากการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่หยุดชะงักไป โดยเน้นการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก เน้นไปที่กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มคนว่างงานและนักศึกษา จบใหม่ กลุ่มชุมชนและวิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกร ตลอดจนยังมีแนวทางการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจไปสู่ การรักษากลุ่มเอสเอ็มอีที่มีกว่า 3 ล้านราย การสร้างธุรกิจรองเพื่อเสริมมั่นคง การส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมแปรรูปอาหาร ด้านสิ่งแวดล้อม เตรียมบูรณาการวางแผนฟื้นฟูและดูแลการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างมีคุณภาพ เพื่อรับมือและลดปัญหาภัยแล้ง และ PM 2.5 พร้อมขับเคลื่อนหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมนําไปปรับใช้ในการบริหารทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด สุดท้าย ด้านปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กร มุ่งเน้นการปรับโฉมงานบริการใหม่พร้อมส่งมอบบริการที่ดี โดยองค์กรต้องปรับตัวสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างอัตโนมัติ ทั้งนี้การ Work from Home ทําให้เห็นว่าต้องพร้อมยืดหยุ่น ปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วหรือคาดไม่ถึง ทั้งหมดนี้คือ New Normal ที่กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรุดดําเนินงานเพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปได้อย่างมีศักยภาพ พร้อมที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลกเกิดความมั่นใจว่า ประเทศไทยมีศักยภาพพร้อมจะเป็น Hub ของการลงทุนในภูมิภาคและการลงทุนในอนาคต นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการปฏิบัติราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ New Normal ในระยะที่ 1 ทําทันที ได้ดําเนินการเตรียมความพร้อม เพื่อนําผู้ประกอบการเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 และเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้แนวคิด ตลาดและนวัตกรรมนําอุตสาหกรรมไทย “ผลิตได้ ขายได้ และอยู่ด้วยกันได้” การส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการทุกระดับ การช่วยเหลือด้านการเงินผ่านสินเชื่อต่าง ๆ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการขนาดใหญ่ (Big Brother) กับเอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชน และการพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรม ที่เป็นธุรกิจของคนไทย เป็นการเสริมแกร่งจุดแข็งของประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้เร่งฟื้นฟูเยียวยาผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 โดยได้อนุมัติพักชําระหนี้เงินต้น และขยายเวลาผ่อนชําระหนี้ให้กับลูกค้า ที่ขอสินเชื่อผ่านสถาบันทางการเงิน และหน่วยงานที่กระทรวงอุตสาหกรรมดูแล นอกจากนี้ ยังยกเว้นค่าธรรมเนียมโรงงานรายปี ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมตาม พ.ร.บ. แร่ และ พ.ร.บ. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายโดยตรงให้กับผู้ประกอบการ ตลอดจนร่วมกับสถาบันทางการเงินต่าง ๆ เพื่อแปลงเครื่องจักรเป็นทุน การพัฒนาหลักสูตรอบรมออนไลน์ เพื่อให้ SMEs มุ่งสู่แฟลตฟอร์มดิจิทัล การแสวงหาและสร้างโอกาสใหม่ ๆ เพื่อให้ภาคธุรกิจปรับตัวและเดินหน้าต่อไป ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้ได้รวบรวมเนื้อหาจากทุกหน่วยงานของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อติดอาวุธให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา เช่น การพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมให้บรรลุเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การออกกฎหมายรองและการถ่ายโอนภารกิจตาม พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม การบูรณาการงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) การผลักดันนวัตกรรม หนึ่งจังหวัด หนึ่งวิสาหกิจเริ่มต้น (One Province One Startup) การบูรณาการการปฏิบัติงานด้านเหมืองแร่ การบริหารจัดการอ้อยไฟไหม้และอุตสาหกรรมอ้อยและน้ําตาลทรายยุคใหม่ การทําหน้าที่นายทะเบียนเครื่องจักรประจําจังหวัด แนวทางปฏิบัติงานเกี่ยวกับสิ่งปฏิกูลฯ และการจัดทําสมดุลมวลสาร (Mass Balance) และระบบสารสนเทศในการปฏิบัติงานและการอํานวยความสะดวก เป็นต้น รวมทั้งเป็นครั้งแรกที่เปิดเวทีให้กับสถาบันเครือข่าย ได้ร่วมนําเสนอเนื้อหา เพื่อประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เช่น อาหาร ยานยนต์ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33366
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน ขับเคลื่อนความปลอดภัยฯในเหมืองแม่เมาะ จ.ลำปาง
วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562 แรงงาน ขับเคลื่อนความปลอดภัยฯในเหมืองแม่เมาะ จ.ลําปาง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน บูรณาการความร่วมมือกับจังหวัดลําปางและการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ขับเคลื่อนความปลอดภัยในการทํางานในเหมืองแม่เมาะ มุ่งคุ้มครองความปลอดภัยคนทํางานอย่างทั่วถึง นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวภายหลังเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการรณรงค์ลดอุบัติเหตุและโรคจากการทํางานระหว่างจังหวัดลําปาง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เหมืองแม่เมาะ ผู้รับจ้าง และผู้รับจ้างช่วงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลําปาง วันที่ 1 มีนาคม 2562 ว่า กระทรวงแรงงาน ได้กําหนดให้การขับเคลื่อน ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทยหรือ Safety Thailand เป็นนโยบายเร่งด่วน ด้วยการตรวจบังคับใช้กฎหมาย ควบคู่ไปกับการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการสร้างจิตสํานึกเพื่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมความปลอดภัยแก่ผู้เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป ที่ผ่านมาได้มีการบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย เป็นต้น นายวิวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันนี้ (1 มี.ค.62) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดลําปาง ได้ประสานความร่วมมือกับจังหวัดลําปางโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเหมืองแม่เมาะ ผู้ประกอบการที่รับจ้างดําเนินการในพื้นที่เหมืองแม่เมาะในการลงนามความร่วมมือการรณรงค์ลดอุบัติเหตุและโรคจากการทํางาน ซึ่งเป็นการขยายความร่วมมือในการขับเคลื่อนนโยบาย Safety Thailand ตามกลไกประชารัฐซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลให้พนักงาน ลูกจ้างของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเหมืองแม่เมาะ จํานวน 1,564 คน ตลอดจนลูกจ้างของผู้รับเหมา ผู้รับเหมาช่วงจํานวน 30 แห่ง มีลูกจ้าง 3,028 คน รวมทั้งสิ้น 4,690 คน ที่เข้ามาปฏิบัติในพื้นที่ดังกล่าวมีความปลอดภัย ปราศจากอันตรายและโรคจากการทํางานแล้ว ความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในการทํางานร่วมกันระหว่างภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน อีกทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความตระหนักด้านความรับผิดชอบทางสังคมด้านแรงงานในการดําเนินกิจการของภาครัฐ รวมไปถึงภาคเอกชนที่เป็นห่วงโซ่อุปทานอันได้แก่ ผู้รับเหมา ผู้รับจ้างช่วงด้วย ซึ่งการดําเนินการทั้งหมดดังกล่าวจะนําไปสู่การลดอัตราการประสบอันตรายและก่อให้เกิดวัฒนธรรมในเชิงป้องกันเพื่อให้แรงงาน มีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน ขับเคลื่อนความปลอดภัยฯในเหมืองแม่เมาะ จ.ลำปาง วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม 2562 แรงงาน ขับเคลื่อนความปลอดภัยฯในเหมืองแม่เมาะ จ.ลําปาง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน บูรณาการความร่วมมือกับจังหวัดลําปางและการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ขับเคลื่อนความปลอดภัยในการทํางานในเหมืองแม่เมาะ มุ่งคุ้มครองความปลอดภัยคนทํางานอย่างทั่วถึง นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวภายหลังเป็นสักขีพยาน ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการรณรงค์ลดอุบัติเหตุและโรคจากการทํางานระหว่างจังหวัดลําปาง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เหมืองแม่เมาะ ผู้รับจ้าง และผู้รับจ้างช่วงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลําปาง วันที่ 1 มีนาคม 2562 ว่า กระทรวงแรงงาน ได้กําหนดให้การขับเคลื่อน ความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทยหรือ Safety Thailand เป็นนโยบายเร่งด่วน ด้วยการตรวจบังคับใช้กฎหมาย ควบคู่ไปกับการบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการสร้างจิตสํานึกเพื่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมความปลอดภัยแก่ผู้เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป ที่ผ่านมาได้มีการบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าไทย เป็นต้น นายวิวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันนี้ (1 มี.ค.62) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โดยสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดลําปาง ได้ประสานความร่วมมือกับจังหวัดลําปางโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเหมืองแม่เมาะ ผู้ประกอบการที่รับจ้างดําเนินการในพื้นที่เหมืองแม่เมาะในการลงนามความร่วมมือการรณรงค์ลดอุบัติเหตุและโรคจากการทํางาน ซึ่งเป็นการขยายความร่วมมือในการขับเคลื่อนนโยบาย Safety Thailand ตามกลไกประชารัฐซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลให้พนักงาน ลูกจ้างของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเหมืองแม่เมาะ จํานวน 1,564 คน ตลอดจนลูกจ้างของผู้รับเหมา ผู้รับเหมาช่วงจํานวน 30 แห่ง มีลูกจ้าง 3,028 คน รวมทั้งสิ้น 4,690 คน ที่เข้ามาปฏิบัติในพื้นที่ดังกล่าวมีความปลอดภัย ปราศจากอันตรายและโรคจากการทํางานแล้ว ความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในการทํางานร่วมกันระหว่างภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน อีกทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความตระหนักด้านความรับผิดชอบทางสังคมด้านแรงงานในการดําเนินกิจการของภาครัฐ รวมไปถึงภาคเอกชนที่เป็นห่วงโซ่อุปทานอันได้แก่ ผู้รับเหมา ผู้รับจ้างช่วงด้วย ซึ่งการดําเนินการทั้งหมดดังกล่าวจะนําไปสู่การลดอัตราการประสบอันตรายและก่อให้เกิดวัฒนธรรมในเชิงป้องกันเพื่อให้แรงงาน มีคุณภาพชีวิตและสุขภาพที่ดีต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19064
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-31 มีนาคม 2560
วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560 31 มีนาคม 2560 คํากล่าวของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสกล่าวให้โอวาทวันข้าราชการพลเรือน ประจําปีพุทธศักราช 2560 ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พี่น้องข้าราชการพลเรือนทุกท่านที่อยู่ในงานนี้ รวมถึงญาติพี่น้องที่อยู่ข้างนอกด้วย วันนีเป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเราทุกคนได้มาร่วมกันแสดงความยินดี มีความภาคภูมิใจ นะครับ ในการมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติแก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจําพุทธศักราช 2559 เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน วันที่ 1 เมษายน 2560 ได้เวียนจบมาบรรจบครบรอบอีกวาระในวันนี้ผมดูวีดีทัศน์เมื่อสักครู่ นะครับ ผมก็มีความภาคภูมิใจในท่านเพราะว่าเราได้มีการสร้างสรรค์จัดระบบราชการมาตั้งแต่สมัยราชการที่ 7 จนถึงปัจจุบันซึ่งเราก็มีส่วนร่วมในการที่จะพัฒนาบ้านเมืองมาตลอดทั้งประชาชน ญาติ พี่น้องของเรา หรือบรรพบุรุษของเราที่ทุกคนอยู่ในระบบราชการมาอย่างต่อเนื่อง และได้ถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน นะครับ และทําให้ประเทศชาตินั้น มีความสงบเรียบร้อยมาตามลําดับ เมื่อสักครู่ผมดูในเรื่องประวัติความเป็นมาในเรื่องของบ่า มีอยู่คําว่าที่ออกแบบมาเพื่อให้เกี่ยวกับความอ่อนโยน วันนี้ผมก็จะพูดแต่อ่อนโยนนะ วันนี้ผมก็เป็นข้าราชการเหมือนท่านแหละครับ ข้าราชการการเมือง เพราะฉะนั้นคําว่าราชการสําคัญที่สุดในชีวิตของพวกเราเป็นความภาคภูมิใจเป็นเกียรติยศ และศักดิ์ศรีต่อตนเองและครอบครัวนะครับ ก็ในวันนี้ผมขอแสดงความยินดีกับข้าราชการทุกท่านที่จะได้รับรางวัลข้าราชการพลเรือนดีเด่นทั้งหมด 615 คน ประจําปี 2559 สิ่งนี้แสดงถึงเกียรติยศเป็นรางวัลอันทรงเกียรติให้กับผู้ที่ได้รับผ่านทางพิจารณาทางกรรมการทั้งหมดนะครับ ว่าท่านได้พยายามทําหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด ขยันหมั่นเพียร อุทิศทั้งแรงกายและแรงใจเสียสละเวลา อดทนอดกลั้น ใช้สติปัญญาความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อที่จะประพฤติตนเป็นคนดีเป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่น และทํางานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อประชาชนให้มากที่สุด อันนี้ก็เป็นสิ่งสําคัญในวาระแรก ปัจจุบันนั้นประเทศไทยมีความจําเป็นต้องพัฒนาเราอย่าลืมว่าพัฒนาระบบราชการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามากบ้าง น้อยบ้างเพราะฉะนั้นวันนี้เป็นช่วงวาระแห่งการปฏิรูป เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านซึ่งผู้นําในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่พ้นข้าราชการเพราะประเทศของเรานั้นยังคงต้องสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้มากขึ้นไปอีกให้ทุกคนมีคุณภาพใกล้เคียงกัน เท่าเทียมกันเพราะข้าราชการจะต้องเป็นผู้นํา และต้องมีส่วนร่วมกับภาคประชาชน เราต้องมีความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของโลกในทุกวัน เพราะต้องติดตามในสื่อที่เป็นประโยชน์ ในโซเชียลที่มีสาระท่านเห็นว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้ลองดูแล้วกันในข่าวต่างประเทศบ้างเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องพึงพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าเราจะทํางานกันอย่างไร นะครับ ถึงจะทําให้เกิดความพร้อม และเป็นความท้าทายกับพวกเรานะครับ ว่าจะทําสําเร็จหรือไม่สําเร็จในการที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย จากในประเทศที่มีรายได้ปานกลางไป สู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงอย่างยั่งยืนทําอย่างไรให้ประชาชนของเรามีความสุข ความพึงพอใจ ทําอย่างไรจะลดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทําอย่างไรประชาชนจะเชื่อมั่นในกฎหมาย ไว้ใจในกระบวนการยุติธรรมเหล่านี้เป็นส่วนประกอบสําคัญทั้งสิ้น ในการที่จะพัฒนาเปลี่ยนแปลงประเทศความท้าทายอันยิ่งใหญ่ที่ทุกคนต้อง ฟันฝ่าไปให้ได้ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า หน่วยงานทุกระดับ ตั้งแต่ระดับบนลงไปถึงระดับล่าง พนังงานลูกจ้าง มีความสําคัญทั้งสิ้นเท่าเทียมกันทั้งหมดเพราะเหล่านี้คือการขับเคลื่อนประเทศนะครับ ผมเองไม่สามารถจะทําได้คนเดียวหรือรองนายกหรือใคร ครม. ทําไม่ได้หมดหรอกครับ เพราะเรากําหนดนโยบายออกไป เพราะวันนี้เรากําหนดแนวทางลงไปบ้าง น่าจะลงไปคาบเกี่ยวกับท่านบ้างแต่ก็เป็นการเริ่มให้ท่าน และผมก็ไม่ได้จํากัดการแนวคิดของท่าน วิสัยทัศน์ของท่านในการที่จะทํางานให้สําเร็จนะครับ มีปัญหาใด ๆ ติดขัดก็แจ้งผมมารัฐบาลก็พร้อมจะแก้ให้ และรัฐบาลก็พยายามจะทําหน้าที่ของรัฐบาลให้ดีที่สุด เช่นเดียวกับที่ข้าราชการก็คาดหวังนะครับ และประชาชนคาดหวังคือสิ่งสําคัญ พวกเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าเราได้น้อมนําว่าพระราชดําริของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาปฏิบัติตั้งแต่แผนพัฒนาฉบับที่ 8 วันนี้กับแผนที่ 12 เท่ากับทบทวนดูว่าตั้งแต่ 8 ถึง 12 เราทําอะไรสําเร็จไปแล้วบ้างนั่นคือสิ่งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และการกําหนดอนาคตในวันข้างหน้า เมื่อสักครู่ผมก็ได้ไปชื่นชมการจัดนิทรรศการแล้ว ซึ่งเป็นประวัติการทรงงานเป็นแนวพระราชดําริต่าง ๆ ผมอยากให้การจัดอะไรก็ตามต่อไปนี้จะต้องเป็นการจัดนิทรรศการอดีต ปัจจุบัน และอนาคตจากที่ทรงรับสั่งไว้ว่าคิดแนวทางอย่างไร เราได้ถอดให้เป็นขับเคลื่อนได้อย่างไร แล้วที่ผ่านมาได้ทําอะไรสําเร็จไปแล้วบ้าง แล้วอนาคตที่สดใสจะเกิดขึ้นมาในแต่ละกิจกรรมผมอยากให้มีการจัดในลักษณะนี้นะครับ ให้เพิ่มกันมากยิ่งขึ้นอาจจะรวมทฤษฎีรวมหลักการ รวมพระราชดําริของพระองค์ท่านหรือปรัชญญาของท่านอยู่ในชาร์ตกลุ่มแรกการให้กลุ่มที่สองว่ากําลังทําอะไรกันอยู่ต่อเติมสิ่งที่เกิดสมัยเป็นที่ท่านทรงทําแล้วก็วาดไปถึงอนาคตว่าเห็นเมืองอนาคตอย่างไร อันนี้คือที่เราดูกันแล้วใช่หรือเปล่า ภาพยนต์แอนิมิชั่นจินตตนคร ดูกันหรือยัง ใครยังไม่ดูก็แล้วไปเดี๋ยวหาว่าบังคับทุกเรื่อง ผมพูด ผมยกตัวอย่างนะครับ เพราะผมทําจะดีหรือไม่ดีหนังสือผมก็อ่านห้องผมมีแต่หนังสือทั้งนั้นแหละ หนังสือมาจากไหนหนังสือคือคนผู้รู้เขาเขียนมามีการวิจัยมีการศึกษามา มีผลสรุปบ้าง เราก็นํามาสู่การปฏิบัติเพราะรัฐบาลจําเป็นต้องการขับเคลื่อนด้วยทั้งข้าราชการและประชาชนในทุกภาคส่วน ที่เรียกว่าสหประชารัฐทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวเราต้องลดความขัดแย้งระหว่างกันเจ้าหน้าที่กับข้าราชการ ข้าราชการกับประชาชนให้มากที่สุด ต้องพยายามทําให้การใช้บังคับกฎหมายน้อยที่สุด โดยที่ไม่มีคนทําผิดกฎหมายเป็นสิ่งสําคัญไม่อย่างนั้นทุกคนจะเสพติดกับอํานาจเสพติดกฎหมาย เสพติดกับการฝ่าฝืนกฎหมาย แล้วเจ้าหน้าที่รัฐก็เกิดความกระทบกระทั่งหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ทําอย่างไรประชาชนจะรู้ว่าควรจะอยู่กันอย่างไร เจ้าหน้าที่ก็จะไม่งานหนักจนเกินไป เจ้าหน้าที่ก้จะไปสู่การทุจริตรวบรัดผลประโยชน์ คือทุกอย่างมีเหตุมีผลซึ่งกันและกันทั้งสิ้น เหล่านี้คือการทําให้บ้านเมืองเราสงบสุขทําให้บ้านเมืองเราสันติสุข ประชาชนมีความสุข รายได้เพียงพอและลูกหลานมีอนาคต นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้กับข้าราชการทุกคนทั้งที่ได้รับรางวัลและยังไม่ได้รับรางวัลนะครับ การขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ 4.0 4.0 เป็นการวัดผลแนวทางของเศรษฐกิจโลก 1 2 3 4 วันนี้เราอยู่ 3 กําลังจะก้าวไปสู่ที่ 4 เราต้องมีการลงทุนเราต้องมีการสร้างเศรษฐกิจขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อจะเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ อันนี้เราต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ได้ มิฉะนั้นแล้วทั้งหมดก็จะกลายเป็ยว่ารัฐบาลนี้มุ่งแต่จะเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจ ให้กับใครก็แล้วแต่โดยไม่ดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่ต้องลงทุน ทําไมต้องลงทุนเมื่อมีคนจนมากเอาเงินนั้นมาดูแลคนจนดีกว่า ผมถามว่าแบบนี้มันจะกินตัวเองไปถึงเมื่อไหร่ และจะรอดไปได้อีกกี่ปีถ้าเรายังคิดอยู่แบบนี้ เป็นไปไม่ได้ทั้งหมด รัฐบาลนี้พยายามทุกอย่างที่จะพยายามแบ่งสรรค์ปันส่วนงบประมาณ ทั้งหมดไปลงทุกภาคส่วนในทุกกิจกรรม ทุกยุทธศาสตร์ ทุกแผนปฏิรูปนั่นคือสิ่งที่รัฐบาลนี้มุ่งหวังซึ่งทําไม่ได้ครับ ถ้าไม่ได้ความเข้าใจทุกเรื่องเป็นปัญหาที่ซ้ําซ้อนกันทั้งหมดว่าจะการจราจร ชุมชนเมืองแออัด สกปรก ขยะ ทางน้ําไหลไม่ดี น้ําท่วมการปลูกบ้านในพื้นที่ต่ําการทําคลองคูระบายน้ํา คลองระบายน้ําจากการที่ทําเพิ่มเติมจากที่ทรงได้ทําไว้ทําไม่ได้ทั้งหมด เกิดอะไรขึ้นในประเทศไทยเราต้องสร้างความหัวใจนี้ขึ้นมาใหม่นะครับ ถ้าไม่เข้าใจก็ทําไม่ได้ทั้งสิ้นและแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ผมไม่ได้โทษว่าใครทําหรือไม่ทําเพราะทุกวันนี้ทุกคนคาดหวังว่ารัฐบาลนี้ต้องทําให้ได้ทุกเรื่อง บางครั้งก็อาจจะลืมไปว่าปัญหาสะสมแค่ไหนอย่างไร และเรากําลังแก้อย่างไร นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องอธิบายสังคมช่วยผมด้วย วันนี้เราต้องการแรงสนับสนุน เราต้องการแรงใจ เราต้องการคําพูดมาจากท่านเพื่อสร้างความเข้าใจจากสังคมเรากําลังเผชิญกับปัญหาอะไรอยู่ด้วยข้อเท็จจริงด้วยหลักการ ด้วยเหตุผล หลักวิชาการโดยไม่ใช้ความรู้สึกเข้ามาอยู่ตรงนั้นถ้าเราใช้ความรู้สึกนําหน้าทั้งหมด ก็จะทําไม่ได้ทั้งหมดชอบไม่ชอบใช่หรือไม่ใช่ก็กังวลอยู่แค่นี้ ติดตัวเองอยู่ตรงนี้ก็ขับเคลื่อนอะไรออกไปไม่ได้ทํางานไม่ได้นะครับ ติดที่ส่วนไหนของตัวเอง ติดที่ไปไม่ได้ทั้งหมดสิ่งที่เป็นปัญหากับพวกเราไม่ใช่ข้อบกพร่อง อยู่ที่ว่าเราจะปรับเปลี่ยนตัวเราอย่างไรเราต้องทํางานที่เป็นงานสําหรับบูรณาการที่จะต้องเกิดผลงานจากงบประมาณทุกส่วนที่ให้การลงไปแล้วเกิดชัดเจนให้ประชาชนมีความพึงพอใจได้หรือไม่นะครับ เพราะฉะนั้นงานฟังชั่นหรืองานตามภารกิจของกระทรวงท่านทําอยู่แล้ว ท่านก็ทําไป ถนนลูกรัง ถนนราดยางไปให้ครบก่อนแล้วกัน ครบหรือยังไฟฟ้าถึงที่หรือยังอะไรต่าง ๆ ระบบดิจิตอลที่กําลังไปสู่เศรษฐกิจสังคมไปถึงหรือยัง วางจุดให้เรียบร้อยหรือยัง สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่ทุกพื้นที่ของประเทศไทยต้องได้รับ นั่นคืองานหน้าที่ของท่านงบประมานของท่านแต่งบประมาณอีกส่วนหนึ่งที่รัฐบาลให้ความสําคัญงบประมาณในเชิงยุทธศาสตร์ เช่น งบประมาณในเรื่องของกลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มในส่วนของจังหวัดที่รัฐบาลหางบประมาณมาเสริมให้อยู่ที่ว่าท่านจะขับเคลื่อนงบประมาณแผนงานเหล่านั้นให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างไรทุกบาททุกสตางค์เพราะว่าเป็นภาษีของพวกเราและภาษีประชาชนด้วยเพราะต้องเสีย Vat. ทุกคนเสียภาษี หมดแต่ภาษีที่เป็นกอบเป็นกําคือภาษีจากนิติบุคคล บุคคล ข้าราชการ สิ่งนี้อาจจะต้องมีการหารายได้เสริมขึ้นมาด้วยกัน สร้างระบบเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ ทั้งระดับฐานราก ระดับกลาง ระดับบนข้ามชาติต่างประเทศลงทุน ทั้งหมดคือสิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนทั้งหมด สิ่งที่จะเป็นไปได้ต้องสร้างความเข้าใจต้องปรับปรุงกฎหมาย และต้องปรับปรุงวิธีการคิด วิธีการปฏิบัติใหม่ทั้งหมด วันนี้ผมอยากให้ข้าราชการทุกคนลองกลับไปคิดทําอย่างไรในสิ่งที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงคาดหวังจากสิ่งที่พระองค์ทําจะคาดหวังอย่างเดียวประชาชนมีความสุข ท่าทรงหวังแค่นั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเพราะฉะนั้นท่านไม่ได้หวังเราต้องทําสิ่งที่พระองค์ทรงคาดหวังกับพวกเราให้ได้ มากที่สุด เพราะเราคือข้าราชการ เข้าใจดีว่าข้าราชการคืออะไรเพราะฉะนั้นทรัพยากรสําคัญที่สุด เพราะทรัพยากรมนุษย์คืออะไรวันนี้ทุกส่วน ทุกระดับ ทุกคน ทุกลุ่มเป้าหมายข้าราชการต้องเป็นแกนนําเพราะท่านต้องทําให้กับเขา ไม่ใช่เขาทําให้กับเรา เราต้องทําให้เขานั่นคือข้าราชการ ข้าราชการจะต้องมีการพัฒนาให้มากที่สุด เพื่อจะเตรียมการไปสู่สร้างกลไก 4.0 เพราะฉะนั้นข้าราชการจะต้องเป็น 4.0 ก่อนไม่อย่างนั่นเราต้องพัฒนา 4.0 แล้วจะขับเคลื่อนได้อย่างไร เรามีความอยู่ในระบบการทํางานอยู่แล้ว อยู่ในระบบบริหารราชการแผ่นดินอยู่แล้ว เราพร้อมที่สุดจะเป็น 4.0 คิดแบบ 4.0 แล้วนําพา 1.0 2.0 3.0 ไปถึง 4.0 ได้ ต้องคิดแบบนี้ถ้าใช้สูตรเดียวทําทั้งหมดไปไม่ได้หรอกครับการคิดท่านต้องแยกแยะเป้าหมายให้ชัดเจน ทําอะไรให้ใครในแต่ละส่วน แต่ละกลุ่มอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรมเท่าเทียมตามงบประมาณ ตามวิธีการ ตามกฎหมายที่มีอยู่ให้ได้มากที่สุดนั่นคือหน้าที่ของข้าราชการแล้วทั้งหมดเป็น 4.0 ในอนาคตหลายคนก็ที่หวังดีบ้าง ไม่หวังดีบ้างก็กล่าวว่าจะไปได้อย่างไร 4.0 ในขณะเดียวกันก็จะมีเรื่องนี้ เรื่องนั่นมีแบบนี้ทุกประเทศในโลกนี้ ไม่มีประเทศไหนที่ไม่มีและมีมากมีน้อยของเราก็มีหลายอย่างมีมากอาจจะเกิดด้วยอะไรก็แล้วแต่วันนี้ผมไม่พูดแล้ว เราจะพูดว่า เราจะทําวันนี้กับอนาคตไว้อย่างไร เมื่อสักครู่เห็นวีดีทัศน์เห็นแล้วตัวอย่างสั้น เหมือนผู้ว่าราชการปลัดเหลือไม่กี่เดือนเป็นวีดีทัศน์สั้นหน่อย ผมก็ตั้งตาดูว่าอะไรต่อคือเทคโนโลยีไปแล้วไง คนทําก็เครียด นายกจะมาก็ซ้อมแล้วซ้อมอีกพอถึงเวลาจริงเปิดก็ผิดประสบการณ์ของผมมีเยอะนะ เป็นผบ.ทบ.มา 4 ปี เป็นแม่ทัพเป็นอะไรซ้อมทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจนเย็น ซ้อมจนเครื่องพังไปแล้วเพราะเขากลัว เขาไม่กล้าแต่อยากทําให้ดีที่สุด แม้ในอดีตที่ผ่านมามีงานเปิดมางานนึง งานต้องเป็นเพลงมหาฤกษ์ มหาชัยทํานองนี้ พอถึงเวลากล่าวเสร็จปั๊บทหารเจอเอง พอกล่าวเสร็จกลายเป็นเพลงลูกทุ่ง เพราะระหว่างซ้อมซ้อมไว้แล้ว ระหว่างรอนานก็ซ้อมนานอีก 3-4 ชม. ฟังลูกทุ่งไปก่อน แล้วลืมเอากลับมา นายมาก่อน นายนั่งอะไรบ้างพักเปิดออกมาลุกทุ่งออกมาก็อย่าไปโทษเขา เขาตั้งใจ แล้วก็อย่าผิดอีก ผิดอีก ผิดซ้ําสองไม่ได้นะ แต่ถ้าผิดซ้ําสองแสดงว่าพัฒนาไม่ได้ อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ทันต่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ทันต่อเทคโนโลยี ไม่ทันต่อเครื่องมือที่เขาใช้เองนั่นแหละ มันต้องไม่พลาด ใช่ไหม กดสุ่มสี่สุ่มห้าไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้ เพราะมันต้องออกมาชัดเจนและถูกต้อง ถูกอักขระวิธี ไม่ใช่ขึ้นจอแล้วก็ผิด เขียนหนังสือก็ผิด เพราะเอกสารทุกฉบับเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ แล้วเซ็นกันมาไม่รู้เท่าไหร่ แล้วทําไมจะต้องให้นายกฯ มาตรวจหนังสือถูกผิดด้วย อ่านให้ทุกตัว แค่ผมอ่านใบปะหน้าผมก็ตาแฉะพอแล้ว อย่าให้ผิด เพราะหนังสือที่ออกไปนอกหน่วยมันผิดไม่ได้ อักขระวิธีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงรับสั่งไว้ว่า อักขระ อักษรไทยต้องเขียนให้ถูก ออกเสียงให้เป็นให้ถูกต้อง ตามอักขระวิธี นั่นไงรับสั่งไว้แล้ว แล้วเราทําได้ไหม เอาง่าย ๆ มาคิดก่อน ถ้าเราได้ต่อไปนี้ไม่มีการผิดอีกในเอกสารราชการ นั่นแหละเราทําแล้ว วันนี้หลายอย่างไปตามเทคโนโลยี ไปตามโลก ไปตามความทันสมัย วันนี้ถ้าจะต้องทําพจนานุกรมใหม่อีกเล่มหรือเปล่า ภาษาเด่ว เด๋ว เด๋ว เด๋ว เป็นเดว ภาษาเด่วเป็นเด๋ว จนกระทั่งเขียนเขียนไม่ถูกแล้วบอกให้ กระทรวงศึกษาธิการไปทบทวนดูซิ มันเป็นภาษาของฮีตเตอร์ ภาษาโทรศัพท์บ้าง ในไลน์เขียนอย่างนี้หมด จนผมไม่รู้ว่าจะถูกจะผิดจะทําอย่างไร แล้วเด็กวันหน้าภาษาไทยโอเน็ตสอบตก ตกไหมล่ะ 40 กว่าเปอร์เซนต์ ใช่ไหมกระทรวงศึกษาฯ ใช่ไหม ต้องกลับมาดูว่าจะทําอย่างไรให้เด็กสอบภาษาไทยผ่าน สอบโอเน็ตผ่านทุกวิชานั่นแหละ มันเป็นความยากง่าย เป็นสิ่งที่ท้าทาย ขอให้ข้าราชการทุกกระทรวง ว่าเราจะทําอะไรสําเร็จบ้าง นอกจากการที่ท่านได้รับการพิจารณาคัดเลือกได้รางวัลวันนี้ เป็นความภาคภูมิใจของตัวเอง ของหน่วยงาน แต่ต้องถามกลับไปว่า ประชาชนได้อะไรจากเราที่เราได้รางวัลวันนี้ ผมคิดว่าเขาก็ได้ ไม่ได้ก็คงไม่ได้รับรางวัล ไม่ได้มีการประเมินหรอก แต่มันได้พอหรือยังล่ะ เราใช้เวลาทุ่มเททั้งหมดหรือยังวันนี้นายกรัฐมนตรีเข้ามาจะครบ 3 ปี เดือนพฤษภาคม ผมไม่เคยหยุดคิดแม้แต่วันเดียว ผมไม่เคยหยุดที่จะกํากับดูแล ผมถึงได้นึกอะไรออกได้เกือบทุกเรื่อง แต่ผมพูดอะไรไปแล้วสั่งอะไรไปแล้ว ผมก็ตามในครม. ผมก็มีรองนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีช่วยผม แต่คนที่จะขับเคลื่อนจริงๆ คือใคร คือข้าราชการ อย่าให้ประชาชนเขาว่า ก็พูดไป รัฐบาลก็พูดไป นายกรัฐมนตรีก็พูดไป เออก็ดีสรุป แต่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นมา ดีแต่พูด ผมไม่อยากให้เกิดคํานี้เท่านั้นเอง ทุกคนทําดีอยู่แล้ว แต่ต้องทําให้มากขึ้นกว่าเดิม อย่าให้เขาพูดจาหรือหมิ่นพวกเราอีกไม่ได้ต่อไป ด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ต้องเห็นใจมันมีหลายอย่างที่มันเกิดขึ้นจากพฤติกรรมจากคนไม่ดี มันก็มีทุกที่นะครับ เราต้องทําให้คนไม่ดีเหล่านั้น เราไม่สามารถจะไปขจัดเขาได้หมด ทําให้เขาเป็นคนดีขึ้นมาจากเดิม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม เอาแค่จากคนคนไม่ดีมาเป็นคนไม่ดีไม่เสีย ใช่ไหม ตรงกลางนี้ก่อน แล้วเอาขึ้นความดีเติมไปเรื่อย ๆสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงรับสั่งกับผมไว้ว่า ถ้าเราไม่พูดจา ไม่คบ ไม่คุยกับคนที่ไม่ดีไปเลย เขาก็จะไม่ดีไปเรื่อยๆ เราต้องคบกับเขาหาเรื่องคุยกับเขา มาปรับทุกข์ให้เขา เขาอาจจะมีปัญหา เติมความดีหาความดีให้เขา เติมไปเรื่อย ๆ จนเขาจะขึ้นมาเอง แต่ถ้าปล่อยปะละเลยทําไม่รู้ไม่ชี้ คุณทําไปก็ทําไป มันเสียทั้งตัวเขา มันเสียทั้งองค์กร เสียทั้งประเทศชาติ นั่นแหละคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกว่า สังคม วัฒนธรรมองค์กรสําคัญที่สุด จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุง แล้วเดินไปด้วยกันทุกคน ตั้งแต่เจ้านายถึงลูกน้องข้างล่าง ต้องคิดอันเดียวกันมุ่งสู่เข็มมุ่งอันเดียวกัน Road mapอันเดียวกัน นั่นแหละจึงจะสําเร็จ และจะเป็นคําว่า ข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเต็มภาคภูมินะครับ วันนี้ผมพูดเยอะนิดนึงเพราะว่า มันมีปัญหาหลายๆเรื่องที่เรากําลังพยายามแก้ไขอยู่เพราะฉะนั้นสถานการณ์ท่านรู้แล้วเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ข้าราชการเป็นข้าราชการ 4.0 เร็วที่สุดพัฒนา ผมยกตัวอย่างว่า ผมอยากให้มีการพัฒนาเรื่องภาษาอังกฤษ ทางกระทรวงศึกษาฯ ก็ทําไป ก็พูดEnglishวันนี้ก็มีทุกระดับตั้งแต่ง่าย ตั้งแต่เพื่อเกษตรกร เพื่อนักธุรกิจ เพื่อไปราชการมีไปทุกระดับ แต่ปัญหาเปิดยากเท่าเปิดยาก โทรศัพท์กว่าจะเรียกมาครึ่งชม. ใครจะรออ่านมีทุกวันเลย ผมไม่ได้ตําหนินะ มันต้องไปดูตรงไหนแก้ปัญหาตรงไหน ไม่ใช่ว่าทําไปแล้ว ทําไปแล้ว ใส่ไปแล้วดีทุกอย่าง จบ ไม่ใช่ ท่านต้องไปใช้เอง เกิดแล้วติดตรงไหน ติดตรงนี้ ต้องไปถามดิจิทัลไหมจะทําอย่างไร การวางระบบจะทํายังไง จะทําอย่างไรให้มันง่ายขึ้น เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องคิดลงรายละเอียดทั้งหมด ถ้าทํานี้ ทําตรงนี้จบนี้ ไม่ใช่ ทํานี้ป้องกันอะไรมันจะเกิดขึ้น ความขัดแย้งมันจะมีไรบ้าง ท่านต้องเตรียมแผนเหล่านี้ไว้ให้ครบ แล้วท่านก็ต้องแก้ไข แล้วถึงออกไปจะได้สําเร็จที่เดียว แล้วออกไป มันก็จบไปงานนึง ไม่ใช่จบไปงานนึงไปทําอีกงานนึงแล้วกลับมาทําอีกงานเดิมอีกรอบอีก 3-4 รอบ อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ข้าราชการ 4.0 ไปทําอีกอันแล้วก็กลับมาทํางานเดิมอีกรอบ อีกสามสี่รอบอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ข้าราชการ 4.0 เข้าใจไหม ยากไหม ไม่ยากหรอกนะผมว่า เพราะทุกคนเชื่อมั่นว่า ทุกคนมีคุณธรรมอยู่แล้ว รู้ว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี แต่ถ้าต้องทําให้คนทั้งหมดมีคุณธรรมเหล่านี้ในข้าราชการทั้งหมดต้องเป็นองค์กรที่มีจริยธรรมคือต้องมีคนที่มีคุณธรรมทั้งองค์กรเขาเรียกว่าจริยธรรมในองค์กร การมีส่วนร่วมในส่วนได้เสีย ดีไม่ดีในองค์กรของท่าน ได้เงินได้ทองไม่ใช่ เราเป็นข้าราชการรายได้น้อยอยู่แล้ว แต่เมื่อประเทศมันดีขึ้นด้วยการทํางานของเรา รายได้เข้ามาเงินเดือนถึงนะขึ้น อย่าลืมไม่ใช่ข้าราชการอย่างเดียว ข้าราชการก็มีทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ท้องถิ่น แรงงาน ทุกคนก็ต้องการรายได้เพิ่มหมด แต่ผมถามว่าถ้าเราไม่คิดแบบนี้จะไปได้ไหม ไปไม่ได้ 100%ยังผันอยู่กับปัญหาเดิม ๆ ท่านเห็นในข่าวไหมครับ ทุกหน้าหนึ่ง หน้าสอง จะยุ่งแต่เรื่องความขัดแย้งอย่างเดียว ลองไปเปรียบเทียบหนังสือพิมพ์ต่างประเทศว่าเขาลงอะไรบ้างในแต่ละวัน เพราะเขารู้ไงเขาลงของเขาแล้วไปที่อื่นด้วย ไม่ใช่เราจะต้องไปปิดกั้นอะไรทั้งสิ้น ต้องคํานึงถึงว่าจะเกิดผลเสียหายอะไรบ้าง เราไม่เสนอไม่ได้ข่าว อันนี้เป็นสิ่งที่ฝากไว้ด้วยละกัน การพูดจาอะไรก็ตามมีผลทั้งสิ้นนั้นแหละ เพราะฉะนั้น วันนี้ผมเชื่อมั่นข้าราชการทุกท่านที่ได้รับรางวัลวันนี้ ก็คงจะมีความภาคภูมิใจ ธํารงรักษาความดี ชื่อเสียง เกียรติภูมิอย่างยั่งยืนให้กับคณะกรรมการเขาพิจารณาออกมาทั้ง 615 คน เป็นความภาคภูมิใจของตัวเอง ของครอบครัว มีรางวัลไปประดับโต๊ะทํางาน ประดับที่บ้าน แต่ถามว่าประชาชนได้อะไรจากเรา เต็มที่หรือยัง ถ้ายังทําอีก นั้นคือรางวัลที่เราไม่เป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม เป็นความสุข เหมือนผมวันนี้ถึงจะมีปัญหา แต่ผมยังมองเห็นความสําเร็จ ผมยังเห็นหลายอย่างที่ทุกคนช่วยกันทํามีความก้าวหน้าผมภูมิใจแล้ว แต่ยังมีปัญหาอีกเยอะแยะ ผมว่าเอานี้เป็นพลังที่ผมจะทําที่ยังเหลืออยู่ให้ได้ แต่ผมทําไม่ได้คนเดียว ก็ย้ําในเรื่องนี้ด้วยนะครับ ขอให้ทุกคนมีความวิริยะอุสาหะ ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมจริยธรรม ครองตน ครองเรือน ครองงาน มีประสิทธิภาพ สร้างคุณประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ พัฒนาระบบราชการให้มีประสิทธิผลประสิทธิภาพอย่างแท้จริงต่อไป มีการเปลี่ยนแปลง มีการพัฒนาตนเอง ปฏิรูปตนเอง ผมฝากไว้ด้วยว่าการทํางานที่สําคัญในวันนี้ของข้าราชการ 4.0 ผมแจกเอกสารไปแล้วเดียวไปอ่านดู ผมพูดมาเสมอเผอิญผมไปเจอในหนังสือพิมพ์ให้เขาตัดมาดู ปรากฏว่า ศาสตราจารย์ผู้หญิงชาวต่างประเทศเขาเขียนมาว่าอะไรบ้าง ดูยัง กลับบ้านเดียวก็ลืมไว้ในรถอีกนั้นแหละ บ้างที่ผมก็ต้องทําเองเจอหนังสือพิมพ์ก็เอากรรไกร โต๊ะทํางานมีกรรไกรก็ตัดทิ้งตัดเก็บเอาไว้พูด เอาเก็บไว้สั่ง เอาเก็บไว้คิด ต้องมีแบบอย่างเอาไว้เรียนรู้ เราต้องเรียนรู้แบบนี้ออกมาด้วยตัวเอง ด้วยข้อมูล ด้วยเชิงวิชาการ เรามีนักวิชาการเยอะแยะ นั่งอยู่ตรงนี้ก็หลายท่าน เราต้องเอาความท่านมาใช้ประโยชน์เพราะท่านเป็นนักคิดกันอยู่แล้ว เราต้องเป็นนักปฏิบัติ มีคนคิดมีคนปรับนโยบายไปสู่การปฏิบัติ มีคนขับเคลื่อน วันนี้รัฐบาลทําทุกระบบอยู่ขณะนี้ไม่ว่าจะนโยบาย ครม. กคป. ปปย.PMDUเยอะไปหมด ผมจําได้ทุกอัน ผมต้องการให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นอย่าถือว่าเราไปคอยจับผิดท่าน ผมเข้าไปช่วยท่าน ผมเขาไปติดตามงานของท่าน บ้างที่ท่านอาจจะไม่กล้าบอกผมว่าติดตรงนี้ตรงนั้น ท่านบอกมาครับผมแก้ให้ได้หมด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม สิ่งสําคัญวันนี้ก็คือเรื่องการทุจริตความโปร่งใสต้องแก้ไขให้ได้เป็นว่าระของชาติใครทําผิดก็ต้องเขากระบวนการยุติธรรมนะครับ จําคําพูดผมไว้ ผมต้องการแค่นั้น ไม่อย่างนั้นกฎหมายไร้ค่า ไม่ต้องเขียน ไม่ต้องทํา ทําไปทําไหม สภานิติบัญญัติไม่ต้องมี เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ต้องแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย แล้วกฎหมายต้องมุ่งว่า แล้วประชาชนจะได้อะไรจากกฎหมายฉบับนั้น ไม่ได้มุ่งหวังแต่เพียงว่าข้าราชการทํางานได้แต่ประชาชนเดือดร้อนอย่าลืมว่ากฎหมายทั้งสองฉบับจะสุ่มเสี่ยงไปละเมิดสิทธิมนุษยชนเขา สิทธิของเขา สิทธิในการอยู่ สิทธิในการเป็นเจ้าของที่ดิน สิทธิในการเป็นเจ้าของประเทศทั้งหมด บ้างครั้งมีความสุ่มเสี่ยง เราเอาที่ดินมาใช้ประโยชน์ ทําผังเมือง แต่เราจะต้องทําให้เขามีความพึงพอใจ ทําแล้วเขาจะได้อะไร อย่าใช้อํานาจแต่เพียงอย่างเดียว ทําอย่างนี้ ๆ ตามรัฐบาลแล้วก็สร้างปัญหาตามมาอีกเยอะแยะแก้ไม่หมด คือที่เราต้องการแก้ ผมก็ต้องคอยพูด ซึ่งหลายคนก็คงเบื่อผม หาว่าผมพูดเยอะเกินไป แล้วผมก็ไม่ค่อยฟังใครพูด ที่ผมไม่ฟังเพราะผมฟังมาแล้ว เพราะท่านรายงานผมมาแล้ว เพราะฉะนั้นท่านมาบอกผมเวลาในที่ประชุมว่าท่านทําอะไรที่ผมพูดไป ที่ทําวันนี้กําลังมีผลวันนี้แล้วติดตรงไหน แล้วอนาคตท่านจะอยากทําอะไร ผมต้องการการประชุมแบบนี้ ไม่ใช่ข้อยุติมาเท้าความตั้งแต่นู้น แล้วคิดว่าผมจะไปรู้เชียวเหรอ ก็รู้อยู่ผมก็อ่านของท่านมาตลอด เพราะฉะนั้นก็ต้องสรุป แต่ผมก็ต้องพูดเยอะ เพราะผมต้องการสร้างว่าผมคิดอะไร ถ้าผมไม่คิดไม่พูด ไม่อะไร ทุกคนก็ต้องมองว่าเข้ามามีอํานาจ ผลประโยชน์ ผมไม่เคยต้องการคําเหล่านี้เลย อํานาจวันนี้เป็นอํานาจของใคร อํานาจของประชาชนที่ให้กับเรา ให้เราทําอะไรให้เขา เขาคาดหวังกับผมอย่างนี้ เห็นแววตาเขาไหมครับเวลาไปต่างจังหวัด เขาเป็นกันอย่างนี้กับทุกคน กับทุกรัฐบาล ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะเขาคาดหวังว่าคน ๆ นี้จะทําอะไรให้เขา คนนี้จะทําให้เขา เพราะเขาอาจจะคาดหวังกับเรามากหน่อยแล้วจะทํายังไงไม่ให้กลับไปที่เดิม ทํายังไงประชาธิปไตยจะไปกินแบบเดิมไม่มีธรรมาภิบาล นั้นแหละคือภารกิของท่าน ซึ่งผมช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเป็นกระบวนการประชาธิปไตย แต่ก็ต้องเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ท่านรู้ปัญหาดี ไม่เป็นไรถือโอกาสปีหนึ่งคุยกันสักครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ฝากแล้วคิดก็คือ การทํางานด้วยความคิดสร้างสรรค์ ผมยกตัวอย่างให้ท่านดู ท่านไปดูสิครับ ช่างสังเกต ช่างอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ใช่ไปสังเกตแบบคอยจับผิด สังเกตว่าทําไหม ผมนั่งเมื่อกี้ก็ถาม ผมก็สงสัยดอกไม้ชื่ออะไรบ้าง กล้วยไม้หรือเปล่า กล้วยไม้อ่ะรู้จัก หวายก็มี ใบเฟริ์น ใบเล็ก ๆ ยิปโซ หรือเปล่าผมไม่แน่ใจ นี้คือสังเกต บ้างที่ถามเด็กเหล่านี้ยังไม่รู้เลยดอกอะไรก็ยังไม่รู้เลย ต้นไม้ใหญ่ ๆ ข้าง ไม่รู้จัก พอผมบอกต้นนี้ต้นนั้น ทําไหมนายกรัฐมนตรีรู้ นี้ไงคือการขาดการสังเกต เล็ก ๆ น้อยเป็นสิ่งที่จะพัฒนาสมองของเขาให้คิดไปข้างหน้าว่า เขาจะสนใจอยากรู้อะไรต่อไป ผมถามว่าวันนี้รู้จักต้นไม้กันสักกี่อย่างในข้างถนน รู้จักตันหยําฉาหรือยัง รู้จักต้นประดู่ไหม รู้ใช่ไหมข้างทางข้างล่างทรงบาดาลรู้จักไหม เริ่มไม่รู้หรือเปล่า นั้นแหละคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกเฉย ๆ ไม่ใช่ผมเก่ง แต่ผมช่างสังเกต ผมก็เรียนรู้ของผม ก็เคยตามเสด็จ ก็สนใจที่ท่านสนพระทัยก็รับสั่งสอนมาบ้างอะไรบ้างทุกพระองค์นะครับ ทุกพระองค์เป็นครูหมด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันท่านก็ทรงเป็นครู และท่านก็ทรงรับสั่งกับผมหลายครั้งให้เราทําให้ดีที่สุดให้ประชาชนมีความสุข มีความผึงพอใจ รักษาระเบียบวินัยให้บ้านเมือง เพราะนั้นทุกพระองค์มีความห่วงใยบ้านเมืองทั้งสิ้น นั้นคือสถาบันพระมหากษัตริย์ เดียวเอาอันนี้ไปอ่านดูก็แล้วกัน นักวิชาการต่างประเทศไม่เชื่อผมก็ไปฟังผู้หญิงคนนี้แล้วกัน เรื่องที่ 2 การทํางานผมพูด ผมอาจจะพูดไปแล้วบ้าง นอกจากตัวเองได้รับชื่อเสียง ความภูมใจ ได้รางวัล ผมว่ายังไม่เพียงพอ ต้องให้ทุกคนมีความพึงพอในตัวพวกเราด้วย ผู้บังคับบัญชา เพื่อนฝูง ผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องรักเราทํายากนะ ถ้าเราวางตัวเองให้ดีเขารักทุกคน อธิบายเขา เขาต้องการนี้แล้วยังไม่ได้รอก่อน ตรงนี้ดีกว่าตรงนี้ต้องเข้าใจ ยอมรับ อธิบายเขาไม่ใช่อํานาจไปเรื่อยเปื่อยแล้วก็เละเทะทั้งหมด วันนี้ก็เลยสรุปว่าเมื่อวานวางยากันทั้งหมดในสมัยนี้อีกต่อไป ผมรับเรื่องเยอะมาก ซึ่งก็จริงบ้างไม่จริงบ้างอะไรต่าง ๆ ไม่อยากจะไปทําให้เพื่อนข้าราชการต้องเดือดร้อน แต่ถ้ามีมูล มีข้อเท็จจริง ไม่มีประสิทธิภาพ ก็จําเป็น ไม่อย่างนั้นปกครองกันไม่ได้ อยู่กันไม่ได้ ทํางานกันไม่ได้ ประสิทธิภาพก็ไม่เกิด แล้วจะอยู่กันไปทําไหม ต้องทํางานให้สําเร็จ ทํางานให้ทุกคนพอใจภายใต้กรอบกติกากฏหมายที่มีอยู่อย่างถูกต้อง การยึดศาสตร์พระราชาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ท่านต้องไปศึกษาในแผนพัฒนาฉบับที่ 12 รถไฟขบวนที่ 12 ออกมาดู ไปเอายุทธศาสตร์ชาติ 6 ยุทธศาสตร์มาดู เอาแผนปฏิรูปขึ้นมาดู ผมพยายามพูดผมพยายามทํามาโดยตลอด ข้าราชการต้องไปดู ถ้าท่านไม่ดู ท่านจะไม่รู้จะเดินหน้าประเทศอย่างไรในเรื่องยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ยุทธศาสตร์ด้านการลดความเหลื่อมล้ําสร้างความเป็นธรรมในสังคม ประชาชน เรื่องที่ 3 การสร้างพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อัน 4 การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ อันที่ 5 สร้างความสมดุลกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล 6 ก็คือการปรับเปลี่ยนระบบราชการบริหารราชการแผ่นดิน นั้นคือ 6 ยุทธศาสตร์ที่ต้องเดินถึง 20 ปี ผมคาดหวังว่าใน 1 ปีที่ผมอยู่ตามRoad mapของผมก่อนเลือกตั้งอะไรก็แล้วแต่ ท่านเริ่มถึงผมเถอะครับ ท่านมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทาง ท่านคาดหวังว่า 20 ปีข้างหน้า โดยถอยคิด 5 ปี ๆ ดูสิว่าจะเกิดอะไร หรือภายในน้อยกว่า 5 ปี นั้นแหละคือสิ่งที่ท่านจะต้องทําต่อไปนี้ จึงจะเกิดความยั่งยืน อย่าให้ใครมาทาบทับอํานาจบริหารราชการที่ท่านมีกฎหมายของท่านอยู่แล้ว ท่านต้องทํางานในลักษณะที่ว่า ต้องทํางานให้เกิดความก้าวหน้าและก็ถูกต้อง ไม่มีใครสามารถที่จะต้องก้าวล่วงท่านได้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก นั้นแหละคือข้าราชการในอนาคต วันนี้เราต้องทําให้ได้นะครับ ไม่อย่างนั้นจะสับสนอลหม่านกันไปหมด แล้วก็ท้ายสุดท่านจะต้องเป็นรับผิดชอบตามกฎหมายทุกประการ จําไว้นะ วันนี้ก็เห็นอยู่แล้ว หลายอย่างก็เป็นข้าราชการส่วนใหญ่ต้องลากผูกโยงไปด้วยหมด เพราะท่านต้องทํางานเอกสาร ทํางานตามขั้นตอนธุรการ ผมไม่อยากให้ท่านต้องไปอยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นท่านจะต้องตั้งหลักตั้งแต่วันนี้ให้เข้มแข็งให้ได้นะครับ ขอให้มีความภาคภูมิใจแล้วกัน วันนี้อย่างน้อยก็ภูมิใจว่าเราได้ทํางานร่วมกัน ผมก็ภูมิใจนะที่ทํางานกับท่าน อาจจะมีคนรักผมบ้าง ไม่รักผมบ้าง ไม่เป็นไรครับ ให้ท่านรักประเทศชาติเถอะครับ ให้ท่านรักประชาชนของท่าน นั้นละคือสิ่งสําคัญที่สุด แล้วจะกลับมาเป็นกุศลผลบุญให้แก่ท่าน มากกว่าที่จะต้องไปทําบุญอะไรกันเยอะแยะ ทําบุญไว้พระโอเคคนไทย ศีลธรรมเอามาปฏิบัติด้วย สวดมนต์สวดพร ขออย่างเดียวเมื่อกี้พระก็แย่เหมือนกัน สิ่งศักดิ์สิทธิก็ไม่ไหวเหมือนกัน ขอให้ทํางานสําเร็จ ขอให้ทํางานเรื่องนี้ได้ด้วยดี ขอให้ไม่เกิดการกระทบกระทั่งซึ่งกันและกัน ขอให้ไม่ต้องใช้บังคับกฎหมายมาก ผมสวดมนต์อย่างนี้ทุกวัน ผมไม่เคยขอให้ตัวเอง ผมจะขออย่างนี้เสมอ ขอให้เดินทางปลอดภัย กลับบ้านปลอดภัย ทุกอย่างปลอดภัย ประชาชนมีความสุข ทํางานสําเร็จ นี้คือสิ่งที่ผมสวดมาตลอด 3 ปี ก่อนหน้าผมก็ทําอย่างนั้นผมเป็นผู้บัญชาการขอให้ลูกน้องปลอดภัย ปะทะก็ให้บาดเจ็บหรือสูญเสียให้น้อยที่สุด หรือไม่ต้องมีสูญเสียเลย นั้นคือสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาทุกคนต้องระลึกอยู่เสมอ เราสร้างความคิดลักษณะงานอยู่ในวงจรของราชการทั้งหมด บน กลาง ล่าง ให้ได้เป็นหนึ่งเดียว เราจึงจะเป็นประเทศที่ก้าวไปสู่เป็นประเทศที่มีรายได้สูง ทั้งคน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม หลาย ๆ มิติ ไม่อย่างนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือนปีพุทธศักราช 2560 ผมขอภาวนาคุณพระศรีรัตนตรัยหรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายในสากลโลก ตลอดจนพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้โปรดดลบันดาลประทานพรข้าราชการพลเรือนทุกท่าน พร้อมทั้งครอบครัว ญาติพี่น้องอยู่ข้างนอกเต็มเลย เห็นไหมคึกคักแต่เช้าเลย โปรดจงแต่ความสุขความเจริญ มีกําลังกายและกําลังใจที่เข้มแข็งทุกคน เพื่อช่วยกันพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญ และยั่งยืนสืบต่อไป ขอบคุณครับ ................................................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-31 มีนาคม 2560 วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560 31 มีนาคม 2560 คํากล่าวของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสกล่าวให้โอวาทวันข้าราชการพลเรือน ประจําปีพุทธศักราช 2560 ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พี่น้องข้าราชการพลเรือนทุกท่านที่อยู่ในงานนี้ รวมถึงญาติพี่น้องที่อยู่ข้างนอกด้วย วันนีเป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเราทุกคนได้มาร่วมกันแสดงความยินดี มีความภาคภูมิใจ นะครับ ในการมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติแก่ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจําพุทธศักราช 2559 เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน วันที่ 1 เมษายน 2560 ได้เวียนจบมาบรรจบครบรอบอีกวาระในวันนี้ผมดูวีดีทัศน์เมื่อสักครู่ นะครับ ผมก็มีความภาคภูมิใจในท่านเพราะว่าเราได้มีการสร้างสรรค์จัดระบบราชการมาตั้งแต่สมัยราชการที่ 7 จนถึงปัจจุบันซึ่งเราก็มีส่วนร่วมในการที่จะพัฒนาบ้านเมืองมาตลอดทั้งประชาชน ญาติ พี่น้องของเรา หรือบรรพบุรุษของเราที่ทุกคนอยู่ในระบบราชการมาอย่างต่อเนื่อง และได้ถ่ายทอดรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบัน นะครับ และทําให้ประเทศชาตินั้น มีความสงบเรียบร้อยมาตามลําดับ เมื่อสักครู่ผมดูในเรื่องประวัติความเป็นมาในเรื่องของบ่า มีอยู่คําว่าที่ออกแบบมาเพื่อให้เกี่ยวกับความอ่อนโยน วันนี้ผมก็จะพูดแต่อ่อนโยนนะ วันนี้ผมก็เป็นข้าราชการเหมือนท่านแหละครับ ข้าราชการการเมือง เพราะฉะนั้นคําว่าราชการสําคัญที่สุดในชีวิตของพวกเราเป็นความภาคภูมิใจเป็นเกียรติยศ และศักดิ์ศรีต่อตนเองและครอบครัวนะครับ ก็ในวันนี้ผมขอแสดงความยินดีกับข้าราชการทุกท่านที่จะได้รับรางวัลข้าราชการพลเรือนดีเด่นทั้งหมด 615 คน ประจําปี 2559 สิ่งนี้แสดงถึงเกียรติยศเป็นรางวัลอันทรงเกียรติให้กับผู้ที่ได้รับผ่านทางพิจารณาทางกรรมการทั้งหมดนะครับ ว่าท่านได้พยายามทําหน้าที่ของท่านให้ดีที่สุด ขยันหมั่นเพียร อุทิศทั้งแรงกายและแรงใจเสียสละเวลา อดทนอดกลั้น ใช้สติปัญญาความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อที่จะประพฤติตนเป็นคนดีเป็นแบบอย่างให้กับผู้อื่น และทํางานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อประชาชนให้มากที่สุด อันนี้ก็เป็นสิ่งสําคัญในวาระแรก ปัจจุบันนั้นประเทศไทยมีความจําเป็นต้องพัฒนาเราอย่าลืมว่าพัฒนาระบบราชการตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามากบ้าง น้อยบ้างเพราะฉะนั้นวันนี้เป็นช่วงวาระแห่งการปฏิรูป เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง เป็นช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่านซึ่งผู้นําในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่พ้นข้าราชการเพราะประเทศของเรานั้นยังคงต้องสร้างทรัพยากรมนุษย์ให้มากขึ้นไปอีกให้ทุกคนมีคุณภาพใกล้เคียงกัน เท่าเทียมกันเพราะข้าราชการจะต้องเป็นผู้นํา และต้องมีส่วนร่วมกับภาคประชาชน เราต้องมีความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของโลกในทุกวัน เพราะต้องติดตามในสื่อที่เป็นประโยชน์ ในโซเชียลที่มีสาระท่านเห็นว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้ลองดูแล้วกันในข่าวต่างประเทศบ้างเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องพึงพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าเราจะทํางานกันอย่างไร นะครับ ถึงจะทําให้เกิดความพร้อม และเป็นความท้าทายกับพวกเรานะครับ ว่าจะทําสําเร็จหรือไม่สําเร็จในการที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย จากในประเทศที่มีรายได้ปานกลางไป สู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูงอย่างยั่งยืนทําอย่างไรให้ประชาชนของเรามีความสุข ความพึงพอใจ ทําอย่างไรจะลดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทําอย่างไรประชาชนจะเชื่อมั่นในกฎหมาย ไว้ใจในกระบวนการยุติธรรมเหล่านี้เป็นส่วนประกอบสําคัญทั้งสิ้น ในการที่จะพัฒนาเปลี่ยนแปลงประเทศความท้าทายอันยิ่งใหญ่ที่ทุกคนต้อง ฟันฝ่าไปให้ได้ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า หน่วยงานทุกระดับ ตั้งแต่ระดับบนลงไปถึงระดับล่าง พนังงานลูกจ้าง มีความสําคัญทั้งสิ้นเท่าเทียมกันทั้งหมดเพราะเหล่านี้คือการขับเคลื่อนประเทศนะครับ ผมเองไม่สามารถจะทําได้คนเดียวหรือรองนายกหรือใคร ครม. ทําไม่ได้หมดหรอกครับ เพราะเรากําหนดนโยบายออกไป เพราะวันนี้เรากําหนดแนวทางลงไปบ้าง น่าจะลงไปคาบเกี่ยวกับท่านบ้างแต่ก็เป็นการเริ่มให้ท่าน และผมก็ไม่ได้จํากัดการแนวคิดของท่าน วิสัยทัศน์ของท่านในการที่จะทํางานให้สําเร็จนะครับ มีปัญหาใด ๆ ติดขัดก็แจ้งผมมารัฐบาลก็พร้อมจะแก้ให้ และรัฐบาลก็พยายามจะทําหน้าที่ของรัฐบาลให้ดีที่สุด เช่นเดียวกับที่ข้าราชการก็คาดหวังนะครับ และประชาชนคาดหวังคือสิ่งสําคัญ พวกเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าเราได้น้อมนําว่าพระราชดําริของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาปฏิบัติตั้งแต่แผนพัฒนาฉบับที่ 8 วันนี้กับแผนที่ 12 เท่ากับทบทวนดูว่าตั้งแต่ 8 ถึง 12 เราทําอะไรสําเร็จไปแล้วบ้างนั่นคือสิ่งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และการกําหนดอนาคตในวันข้างหน้า เมื่อสักครู่ผมก็ได้ไปชื่นชมการจัดนิทรรศการแล้ว ซึ่งเป็นประวัติการทรงงานเป็นแนวพระราชดําริต่าง ๆ ผมอยากให้การจัดอะไรก็ตามต่อไปนี้จะต้องเป็นการจัดนิทรรศการอดีต ปัจจุบัน และอนาคตจากที่ทรงรับสั่งไว้ว่าคิดแนวทางอย่างไร เราได้ถอดให้เป็นขับเคลื่อนได้อย่างไร แล้วที่ผ่านมาได้ทําอะไรสําเร็จไปแล้วบ้าง แล้วอนาคตที่สดใสจะเกิดขึ้นมาในแต่ละกิจกรรมผมอยากให้มีการจัดในลักษณะนี้นะครับ ให้เพิ่มกันมากยิ่งขึ้นอาจจะรวมทฤษฎีรวมหลักการ รวมพระราชดําริของพระองค์ท่านหรือปรัชญญาของท่านอยู่ในชาร์ตกลุ่มแรกการให้กลุ่มที่สองว่ากําลังทําอะไรกันอยู่ต่อเติมสิ่งที่เกิดสมัยเป็นที่ท่านทรงทําแล้วก็วาดไปถึงอนาคตว่าเห็นเมืองอนาคตอย่างไร อันนี้คือที่เราดูกันแล้วใช่หรือเปล่า ภาพยนต์แอนิมิชั่นจินตตนคร ดูกันหรือยัง ใครยังไม่ดูก็แล้วไปเดี๋ยวหาว่าบังคับทุกเรื่อง ผมพูด ผมยกตัวอย่างนะครับ เพราะผมทําจะดีหรือไม่ดีหนังสือผมก็อ่านห้องผมมีแต่หนังสือทั้งนั้นแหละ หนังสือมาจากไหนหนังสือคือคนผู้รู้เขาเขียนมามีการวิจัยมีการศึกษามา มีผลสรุปบ้าง เราก็นํามาสู่การปฏิบัติเพราะรัฐบาลจําเป็นต้องการขับเคลื่อนด้วยทั้งข้าราชการและประชาชนในทุกภาคส่วน ที่เรียกว่าสหประชารัฐทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวเราต้องลดความขัดแย้งระหว่างกันเจ้าหน้าที่กับข้าราชการ ข้าราชการกับประชาชนให้มากที่สุด ต้องพยายามทําให้การใช้บังคับกฎหมายน้อยที่สุด โดยที่ไม่มีคนทําผิดกฎหมายเป็นสิ่งสําคัญไม่อย่างนั้นทุกคนจะเสพติดกับอํานาจเสพติดกฎหมาย เสพติดกับการฝ่าฝืนกฎหมาย แล้วเจ้าหน้าที่รัฐก็เกิดความกระทบกระทั่งหวาดระแวงซึ่งกันและกัน ทําอย่างไรประชาชนจะรู้ว่าควรจะอยู่กันอย่างไร เจ้าหน้าที่ก็จะไม่งานหนักจนเกินไป เจ้าหน้าที่ก้จะไปสู่การทุจริตรวบรัดผลประโยชน์ คือทุกอย่างมีเหตุมีผลซึ่งกันและกันทั้งสิ้น เหล่านี้คือการทําให้บ้านเมืองเราสงบสุขทําให้บ้านเมืองเราสันติสุข ประชาชนมีความสุข รายได้เพียงพอและลูกหลานมีอนาคต นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะฝากไว้กับข้าราชการทุกคนทั้งที่ได้รับรางวัลและยังไม่ได้รับรางวัลนะครับ การขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ 4.0 4.0 เป็นการวัดผลแนวทางของเศรษฐกิจโลก 1 2 3 4 วันนี้เราอยู่ 3 กําลังจะก้าวไปสู่ที่ 4 เราต้องมีการลงทุนเราต้องมีการสร้างเศรษฐกิจขนาดใหญ่ขึ้นมาเพื่อจะเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ อันนี้เราต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้ได้ มิฉะนั้นแล้วทั้งหมดก็จะกลายเป็ยว่ารัฐบาลนี้มุ่งแต่จะเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจ ให้กับใครก็แล้วแต่โดยไม่ดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยไม่ต้องลงทุน ทําไมต้องลงทุนเมื่อมีคนจนมากเอาเงินนั้นมาดูแลคนจนดีกว่า ผมถามว่าแบบนี้มันจะกินตัวเองไปถึงเมื่อไหร่ และจะรอดไปได้อีกกี่ปีถ้าเรายังคิดอยู่แบบนี้ เป็นไปไม่ได้ทั้งหมด รัฐบาลนี้พยายามทุกอย่างที่จะพยายามแบ่งสรรค์ปันส่วนงบประมาณ ทั้งหมดไปลงทุกภาคส่วนในทุกกิจกรรม ทุกยุทธศาสตร์ ทุกแผนปฏิรูปนั่นคือสิ่งที่รัฐบาลนี้มุ่งหวังซึ่งทําไม่ได้ครับ ถ้าไม่ได้ความเข้าใจทุกเรื่องเป็นปัญหาที่ซ้ําซ้อนกันทั้งหมดว่าจะการจราจร ชุมชนเมืองแออัด สกปรก ขยะ ทางน้ําไหลไม่ดี น้ําท่วมการปลูกบ้านในพื้นที่ต่ําการทําคลองคูระบายน้ํา คลองระบายน้ําจากการที่ทําเพิ่มเติมจากที่ทรงได้ทําไว้ทําไม่ได้ทั้งหมด เกิดอะไรขึ้นในประเทศไทยเราต้องสร้างความหัวใจนี้ขึ้นมาใหม่นะครับ ถ้าไม่เข้าใจก็ทําไม่ได้ทั้งสิ้นและแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ผมไม่ได้โทษว่าใครทําหรือไม่ทําเพราะทุกวันนี้ทุกคนคาดหวังว่ารัฐบาลนี้ต้องทําให้ได้ทุกเรื่อง บางครั้งก็อาจจะลืมไปว่าปัญหาสะสมแค่ไหนอย่างไร และเรากําลังแก้อย่างไร นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องอธิบายสังคมช่วยผมด้วย วันนี้เราต้องการแรงสนับสนุน เราต้องการแรงใจ เราต้องการคําพูดมาจากท่านเพื่อสร้างความเข้าใจจากสังคมเรากําลังเผชิญกับปัญหาอะไรอยู่ด้วยข้อเท็จจริงด้วยหลักการ ด้วยเหตุผล หลักวิชาการโดยไม่ใช้ความรู้สึกเข้ามาอยู่ตรงนั้นถ้าเราใช้ความรู้สึกนําหน้าทั้งหมด ก็จะทําไม่ได้ทั้งหมดชอบไม่ชอบใช่หรือไม่ใช่ก็กังวลอยู่แค่นี้ ติดตัวเองอยู่ตรงนี้ก็ขับเคลื่อนอะไรออกไปไม่ได้ทํางานไม่ได้นะครับ ติดที่ส่วนไหนของตัวเอง ติดที่ไปไม่ได้ทั้งหมดสิ่งที่เป็นปัญหากับพวกเราไม่ใช่ข้อบกพร่อง อยู่ที่ว่าเราจะปรับเปลี่ยนตัวเราอย่างไรเราต้องทํางานที่เป็นงานสําหรับบูรณาการที่จะต้องเกิดผลงานจากงบประมาณทุกส่วนที่ให้การลงไปแล้วเกิดชัดเจนให้ประชาชนมีความพึงพอใจได้หรือไม่นะครับ เพราะฉะนั้นงานฟังชั่นหรืองานตามภารกิจของกระทรวงท่านทําอยู่แล้ว ท่านก็ทําไป ถนนลูกรัง ถนนราดยางไปให้ครบก่อนแล้วกัน ครบหรือยังไฟฟ้าถึงที่หรือยังอะไรต่าง ๆ ระบบดิจิตอลที่กําลังไปสู่เศรษฐกิจสังคมไปถึงหรือยัง วางจุดให้เรียบร้อยหรือยัง สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานที่ทุกพื้นที่ของประเทศไทยต้องได้รับ นั่นคืองานหน้าที่ของท่านงบประมานของท่านแต่งบประมาณอีกส่วนหนึ่งที่รัฐบาลให้ความสําคัญงบประมาณในเชิงยุทธศาสตร์ เช่น งบประมาณในเรื่องของกลุ่มจังหวัด 18 กลุ่มในส่วนของจังหวัดที่รัฐบาลหางบประมาณมาเสริมให้อยู่ที่ว่าท่านจะขับเคลื่อนงบประมาณแผนงานเหล่านั้นให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้อย่างไรทุกบาททุกสตางค์เพราะว่าเป็นภาษีของพวกเราและภาษีประชาชนด้วยเพราะต้องเสีย Vat. ทุกคนเสียภาษี หมดแต่ภาษีที่เป็นกอบเป็นกําคือภาษีจากนิติบุคคล บุคคล ข้าราชการ สิ่งนี้อาจจะต้องมีการหารายได้เสริมขึ้นมาด้วยกัน สร้างระบบเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ ทั้งระดับฐานราก ระดับกลาง ระดับบนข้ามชาติต่างประเทศลงทุน ทั้งหมดคือสิ่งที่ต้องปรับเปลี่ยนทั้งหมด สิ่งที่จะเป็นไปได้ต้องสร้างความเข้าใจต้องปรับปรุงกฎหมาย และต้องปรับปรุงวิธีการคิด วิธีการปฏิบัติใหม่ทั้งหมด วันนี้ผมอยากให้ข้าราชการทุกคนลองกลับไปคิดทําอย่างไรในสิ่งที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงคาดหวังจากสิ่งที่พระองค์ทําจะคาดหวังอย่างเดียวประชาชนมีความสุข ท่าทรงหวังแค่นั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเพราะฉะนั้นท่านไม่ได้หวังเราต้องทําสิ่งที่พระองค์ทรงคาดหวังกับพวกเราให้ได้ มากที่สุด เพราะเราคือข้าราชการ เข้าใจดีว่าข้าราชการคืออะไรเพราะฉะนั้นทรัพยากรสําคัญที่สุด เพราะทรัพยากรมนุษย์คืออะไรวันนี้ทุกส่วน ทุกระดับ ทุกคน ทุกลุ่มเป้าหมายข้าราชการต้องเป็นแกนนําเพราะท่านต้องทําให้กับเขา ไม่ใช่เขาทําให้กับเรา เราต้องทําให้เขานั่นคือข้าราชการ ข้าราชการจะต้องมีการพัฒนาให้มากที่สุด เพื่อจะเตรียมการไปสู่สร้างกลไก 4.0 เพราะฉะนั้นข้าราชการจะต้องเป็น 4.0 ก่อนไม่อย่างนั่นเราต้องพัฒนา 4.0 แล้วจะขับเคลื่อนได้อย่างไร เรามีความอยู่ในระบบการทํางานอยู่แล้ว อยู่ในระบบบริหารราชการแผ่นดินอยู่แล้ว เราพร้อมที่สุดจะเป็น 4.0 คิดแบบ 4.0 แล้วนําพา 1.0 2.0 3.0 ไปถึง 4.0 ได้ ต้องคิดแบบนี้ถ้าใช้สูตรเดียวทําทั้งหมดไปไม่ได้หรอกครับการคิดท่านต้องแยกแยะเป้าหมายให้ชัดเจน ทําอะไรให้ใครในแต่ละส่วน แต่ละกลุ่มอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรมเท่าเทียมตามงบประมาณ ตามวิธีการ ตามกฎหมายที่มีอยู่ให้ได้มากที่สุดนั่นคือหน้าที่ของข้าราชการแล้วทั้งหมดเป็น 4.0 ในอนาคตหลายคนก็ที่หวังดีบ้าง ไม่หวังดีบ้างก็กล่าวว่าจะไปได้อย่างไร 4.0 ในขณะเดียวกันก็จะมีเรื่องนี้ เรื่องนั่นมีแบบนี้ทุกประเทศในโลกนี้ ไม่มีประเทศไหนที่ไม่มีและมีมากมีน้อยของเราก็มีหลายอย่างมีมากอาจจะเกิดด้วยอะไรก็แล้วแต่วันนี้ผมไม่พูดแล้ว เราจะพูดว่า เราจะทําวันนี้กับอนาคตไว้อย่างไร เมื่อสักครู่เห็นวีดีทัศน์เห็นแล้วตัวอย่างสั้น เหมือนผู้ว่าราชการปลัดเหลือไม่กี่เดือนเป็นวีดีทัศน์สั้นหน่อย ผมก็ตั้งตาดูว่าอะไรต่อคือเทคโนโลยีไปแล้วไง คนทําก็เครียด นายกจะมาก็ซ้อมแล้วซ้อมอีกพอถึงเวลาจริงเปิดก็ผิดประสบการณ์ของผมมีเยอะนะ เป็นผบ.ทบ.มา 4 ปี เป็นแม่ทัพเป็นอะไรซ้อมทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจนเย็น ซ้อมจนเครื่องพังไปแล้วเพราะเขากลัว เขาไม่กล้าแต่อยากทําให้ดีที่สุด แม้ในอดีตที่ผ่านมามีงานเปิดมางานนึง งานต้องเป็นเพลงมหาฤกษ์ มหาชัยทํานองนี้ พอถึงเวลากล่าวเสร็จปั๊บทหารเจอเอง พอกล่าวเสร็จกลายเป็นเพลงลูกทุ่ง เพราะระหว่างซ้อมซ้อมไว้แล้ว ระหว่างรอนานก็ซ้อมนานอีก 3-4 ชม. ฟังลูกทุ่งไปก่อน แล้วลืมเอากลับมา นายมาก่อน นายนั่งอะไรบ้างพักเปิดออกมาลุกทุ่งออกมาก็อย่าไปโทษเขา เขาตั้งใจ แล้วก็อย่าผิดอีก ผิดอีก ผิดซ้ําสองไม่ได้นะ แต่ถ้าผิดซ้ําสองแสดงว่าพัฒนาไม่ได้ อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ทันต่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ทันต่อเทคโนโลยี ไม่ทันต่อเครื่องมือที่เขาใช้เองนั่นแหละ มันต้องไม่พลาด ใช่ไหม กดสุ่มสี่สุ่มห้าไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้ เพราะมันต้องออกมาชัดเจนและถูกต้อง ถูกอักขระวิธี ไม่ใช่ขึ้นจอแล้วก็ผิด เขียนหนังสือก็ผิด เพราะเอกสารทุกฉบับเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ แล้วเซ็นกันมาไม่รู้เท่าไหร่ แล้วทําไมจะต้องให้นายกฯ มาตรวจหนังสือถูกผิดด้วย อ่านให้ทุกตัว แค่ผมอ่านใบปะหน้าผมก็ตาแฉะพอแล้ว อย่าให้ผิด เพราะหนังสือที่ออกไปนอกหน่วยมันผิดไม่ได้ อักขระวิธีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงรับสั่งไว้ว่า อักขระ อักษรไทยต้องเขียนให้ถูก ออกเสียงให้เป็นให้ถูกต้อง ตามอักขระวิธี นั่นไงรับสั่งไว้แล้ว แล้วเราทําได้ไหม เอาง่าย ๆ มาคิดก่อน ถ้าเราได้ต่อไปนี้ไม่มีการผิดอีกในเอกสารราชการ นั่นแหละเราทําแล้ว วันนี้หลายอย่างไปตามเทคโนโลยี ไปตามโลก ไปตามความทันสมัย วันนี้ถ้าจะต้องทําพจนานุกรมใหม่อีกเล่มหรือเปล่า ภาษาเด่ว เด๋ว เด๋ว เด๋ว เป็นเดว ภาษาเด่วเป็นเด๋ว จนกระทั่งเขียนเขียนไม่ถูกแล้วบอกให้ กระทรวงศึกษาธิการไปทบทวนดูซิ มันเป็นภาษาของฮีตเตอร์ ภาษาโทรศัพท์บ้าง ในไลน์เขียนอย่างนี้หมด จนผมไม่รู้ว่าจะถูกจะผิดจะทําอย่างไร แล้วเด็กวันหน้าภาษาไทยโอเน็ตสอบตก ตกไหมล่ะ 40 กว่าเปอร์เซนต์ ใช่ไหมกระทรวงศึกษาฯ ใช่ไหม ต้องกลับมาดูว่าจะทําอย่างไรให้เด็กสอบภาษาไทยผ่าน สอบโอเน็ตผ่านทุกวิชานั่นแหละ มันเป็นความยากง่าย เป็นสิ่งที่ท้าทาย ขอให้ข้าราชการทุกกระทรวง ว่าเราจะทําอะไรสําเร็จบ้าง นอกจากการที่ท่านได้รับการพิจารณาคัดเลือกได้รางวัลวันนี้ เป็นความภาคภูมิใจของตัวเอง ของหน่วยงาน แต่ต้องถามกลับไปว่า ประชาชนได้อะไรจากเราที่เราได้รางวัลวันนี้ ผมคิดว่าเขาก็ได้ ไม่ได้ก็คงไม่ได้รับรางวัล ไม่ได้มีการประเมินหรอก แต่มันได้พอหรือยังล่ะ เราใช้เวลาทุ่มเททั้งหมดหรือยังวันนี้นายกรัฐมนตรีเข้ามาจะครบ 3 ปี เดือนพฤษภาคม ผมไม่เคยหยุดคิดแม้แต่วันเดียว ผมไม่เคยหยุดที่จะกํากับดูแล ผมถึงได้นึกอะไรออกได้เกือบทุกเรื่อง แต่ผมพูดอะไรไปแล้วสั่งอะไรไปแล้ว ผมก็ตามในครม. ผมก็มีรองนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีช่วยผม แต่คนที่จะขับเคลื่อนจริงๆ คือใคร คือข้าราชการ อย่าให้ประชาชนเขาว่า ก็พูดไป รัฐบาลก็พูดไป นายกรัฐมนตรีก็พูดไป เออก็ดีสรุป แต่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นมา ดีแต่พูด ผมไม่อยากให้เกิดคํานี้เท่านั้นเอง ทุกคนทําดีอยู่แล้ว แต่ต้องทําให้มากขึ้นกว่าเดิม อย่าให้เขาพูดจาหรือหมิ่นพวกเราอีกไม่ได้ต่อไป ด้วยความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ต้องเห็นใจมันมีหลายอย่างที่มันเกิดขึ้นจากพฤติกรรมจากคนไม่ดี มันก็มีทุกที่นะครับ เราต้องทําให้คนไม่ดีเหล่านั้น เราไม่สามารถจะไปขจัดเขาได้หมด ทําให้เขาเป็นคนดีขึ้นมาจากเดิม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม เอาแค่จากคนคนไม่ดีมาเป็นคนไม่ดีไม่เสีย ใช่ไหม ตรงกลางนี้ก่อน แล้วเอาขึ้นความดีเติมไปเรื่อย ๆสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถทรงรับสั่งกับผมไว้ว่า ถ้าเราไม่พูดจา ไม่คบ ไม่คุยกับคนที่ไม่ดีไปเลย เขาก็จะไม่ดีไปเรื่อยๆ เราต้องคบกับเขาหาเรื่องคุยกับเขา มาปรับทุกข์ให้เขา เขาอาจจะมีปัญหา เติมความดีหาความดีให้เขา เติมไปเรื่อย ๆ จนเขาจะขึ้นมาเอง แต่ถ้าปล่อยปะละเลยทําไม่รู้ไม่ชี้ คุณทําไปก็ทําไป มันเสียทั้งตัวเขา มันเสียทั้งองค์กร เสียทั้งประเทศชาติ นั่นแหละคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกว่า สังคม วัฒนธรรมองค์กรสําคัญที่สุด จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุง แล้วเดินไปด้วยกันทุกคน ตั้งแต่เจ้านายถึงลูกน้องข้างล่าง ต้องคิดอันเดียวกันมุ่งสู่เข็มมุ่งอันเดียวกัน Road mapอันเดียวกัน นั่นแหละจึงจะสําเร็จ และจะเป็นคําว่า ข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเต็มภาคภูมินะครับ วันนี้ผมพูดเยอะนิดนึงเพราะว่า มันมีปัญหาหลายๆเรื่องที่เรากําลังพยายามแก้ไขอยู่เพราะฉะนั้นสถานการณ์ท่านรู้แล้วเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ข้าราชการเป็นข้าราชการ 4.0 เร็วที่สุดพัฒนา ผมยกตัวอย่างว่า ผมอยากให้มีการพัฒนาเรื่องภาษาอังกฤษ ทางกระทรวงศึกษาฯ ก็ทําไป ก็พูดEnglishวันนี้ก็มีทุกระดับตั้งแต่ง่าย ตั้งแต่เพื่อเกษตรกร เพื่อนักธุรกิจ เพื่อไปราชการมีไปทุกระดับ แต่ปัญหาเปิดยากเท่าเปิดยาก โทรศัพท์กว่าจะเรียกมาครึ่งชม. ใครจะรออ่านมีทุกวันเลย ผมไม่ได้ตําหนินะ มันต้องไปดูตรงไหนแก้ปัญหาตรงไหน ไม่ใช่ว่าทําไปแล้ว ทําไปแล้ว ใส่ไปแล้วดีทุกอย่าง จบ ไม่ใช่ ท่านต้องไปใช้เอง เกิดแล้วติดตรงไหน ติดตรงนี้ ต้องไปถามดิจิทัลไหมจะทําอย่างไร การวางระบบจะทํายังไง จะทําอย่างไรให้มันง่ายขึ้น เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องคิดลงรายละเอียดทั้งหมด ถ้าทํานี้ ทําตรงนี้จบนี้ ไม่ใช่ ทํานี้ป้องกันอะไรมันจะเกิดขึ้น ความขัดแย้งมันจะมีไรบ้าง ท่านต้องเตรียมแผนเหล่านี้ไว้ให้ครบ แล้วท่านก็ต้องแก้ไข แล้วถึงออกไปจะได้สําเร็จที่เดียว แล้วออกไป มันก็จบไปงานนึง ไม่ใช่จบไปงานนึงไปทําอีกงานนึงแล้วกลับมาทําอีกงานเดิมอีกรอบอีก 3-4 รอบ อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ข้าราชการ 4.0 ไปทําอีกอันแล้วก็กลับมาทํางานเดิมอีกรอบ อีกสามสี่รอบอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ข้าราชการ 4.0 เข้าใจไหม ยากไหม ไม่ยากหรอกนะผมว่า เพราะทุกคนเชื่อมั่นว่า ทุกคนมีคุณธรรมอยู่แล้ว รู้ว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี แต่ถ้าต้องทําให้คนทั้งหมดมีคุณธรรมเหล่านี้ในข้าราชการทั้งหมดต้องเป็นองค์กรที่มีจริยธรรมคือต้องมีคนที่มีคุณธรรมทั้งองค์กรเขาเรียกว่าจริยธรรมในองค์กร การมีส่วนร่วมในส่วนได้เสีย ดีไม่ดีในองค์กรของท่าน ได้เงินได้ทองไม่ใช่ เราเป็นข้าราชการรายได้น้อยอยู่แล้ว แต่เมื่อประเทศมันดีขึ้นด้วยการทํางานของเรา รายได้เข้ามาเงินเดือนถึงนะขึ้น อย่าลืมไม่ใช่ข้าราชการอย่างเดียว ข้าราชการก็มีทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ท้องถิ่น แรงงาน ทุกคนก็ต้องการรายได้เพิ่มหมด แต่ผมถามว่าถ้าเราไม่คิดแบบนี้จะไปได้ไหม ไปไม่ได้ 100%ยังผันอยู่กับปัญหาเดิม ๆ ท่านเห็นในข่าวไหมครับ ทุกหน้าหนึ่ง หน้าสอง จะยุ่งแต่เรื่องความขัดแย้งอย่างเดียว ลองไปเปรียบเทียบหนังสือพิมพ์ต่างประเทศว่าเขาลงอะไรบ้างในแต่ละวัน เพราะเขารู้ไงเขาลงของเขาแล้วไปที่อื่นด้วย ไม่ใช่เราจะต้องไปปิดกั้นอะไรทั้งสิ้น ต้องคํานึงถึงว่าจะเกิดผลเสียหายอะไรบ้าง เราไม่เสนอไม่ได้ข่าว อันนี้เป็นสิ่งที่ฝากไว้ด้วยละกัน การพูดจาอะไรก็ตามมีผลทั้งสิ้นนั้นแหละ เพราะฉะนั้น วันนี้ผมเชื่อมั่นข้าราชการทุกท่านที่ได้รับรางวัลวันนี้ ก็คงจะมีความภาคภูมิใจ ธํารงรักษาความดี ชื่อเสียง เกียรติภูมิอย่างยั่งยืนให้กับคณะกรรมการเขาพิจารณาออกมาทั้ง 615 คน เป็นความภาคภูมิใจของตัวเอง ของครอบครัว มีรางวัลไปประดับโต๊ะทํางาน ประดับที่บ้าน แต่ถามว่าประชาชนได้อะไรจากเรา เต็มที่หรือยัง ถ้ายังทําอีก นั้นคือรางวัลที่เราไม่เป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม เป็นความสุข เหมือนผมวันนี้ถึงจะมีปัญหา แต่ผมยังมองเห็นความสําเร็จ ผมยังเห็นหลายอย่างที่ทุกคนช่วยกันทํามีความก้าวหน้าผมภูมิใจแล้ว แต่ยังมีปัญหาอีกเยอะแยะ ผมว่าเอานี้เป็นพลังที่ผมจะทําที่ยังเหลืออยู่ให้ได้ แต่ผมทําไม่ได้คนเดียว ก็ย้ําในเรื่องนี้ด้วยนะครับ ขอให้ทุกคนมีความวิริยะอุสาหะ ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมจริยธรรม ครองตน ครองเรือน ครองงาน มีประสิทธิภาพ สร้างคุณประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติ พัฒนาระบบราชการให้มีประสิทธิผลประสิทธิภาพอย่างแท้จริงต่อไป มีการเปลี่ยนแปลง มีการพัฒนาตนเอง ปฏิรูปตนเอง ผมฝากไว้ด้วยว่าการทํางานที่สําคัญในวันนี้ของข้าราชการ 4.0 ผมแจกเอกสารไปแล้วเดียวไปอ่านดู ผมพูดมาเสมอเผอิญผมไปเจอในหนังสือพิมพ์ให้เขาตัดมาดู ปรากฏว่า ศาสตราจารย์ผู้หญิงชาวต่างประเทศเขาเขียนมาว่าอะไรบ้าง ดูยัง กลับบ้านเดียวก็ลืมไว้ในรถอีกนั้นแหละ บ้างที่ผมก็ต้องทําเองเจอหนังสือพิมพ์ก็เอากรรไกร โต๊ะทํางานมีกรรไกรก็ตัดทิ้งตัดเก็บเอาไว้พูด เอาเก็บไว้สั่ง เอาเก็บไว้คิด ต้องมีแบบอย่างเอาไว้เรียนรู้ เราต้องเรียนรู้แบบนี้ออกมาด้วยตัวเอง ด้วยข้อมูล ด้วยเชิงวิชาการ เรามีนักวิชาการเยอะแยะ นั่งอยู่ตรงนี้ก็หลายท่าน เราต้องเอาความท่านมาใช้ประโยชน์เพราะท่านเป็นนักคิดกันอยู่แล้ว เราต้องเป็นนักปฏิบัติ มีคนคิดมีคนปรับนโยบายไปสู่การปฏิบัติ มีคนขับเคลื่อน วันนี้รัฐบาลทําทุกระบบอยู่ขณะนี้ไม่ว่าจะนโยบาย ครม. กคป. ปปย.PMDUเยอะไปหมด ผมจําได้ทุกอัน ผมต้องการให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นอย่าถือว่าเราไปคอยจับผิดท่าน ผมเข้าไปช่วยท่าน ผมเขาไปติดตามงานของท่าน บ้างที่ท่านอาจจะไม่กล้าบอกผมว่าติดตรงนี้ตรงนั้น ท่านบอกมาครับผมแก้ให้ได้หมด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม สิ่งสําคัญวันนี้ก็คือเรื่องการทุจริตความโปร่งใสต้องแก้ไขให้ได้เป็นว่าระของชาติใครทําผิดก็ต้องเขากระบวนการยุติธรรมนะครับ จําคําพูดผมไว้ ผมต้องการแค่นั้น ไม่อย่างนั้นกฎหมายไร้ค่า ไม่ต้องเขียน ไม่ต้องทํา ทําไปทําไหม สภานิติบัญญัติไม่ต้องมี เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ต้องแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย แล้วกฎหมายต้องมุ่งว่า แล้วประชาชนจะได้อะไรจากกฎหมายฉบับนั้น ไม่ได้มุ่งหวังแต่เพียงว่าข้าราชการทํางานได้แต่ประชาชนเดือดร้อนอย่าลืมว่ากฎหมายทั้งสองฉบับจะสุ่มเสี่ยงไปละเมิดสิทธิมนุษยชนเขา สิทธิของเขา สิทธิในการอยู่ สิทธิในการเป็นเจ้าของที่ดิน สิทธิในการเป็นเจ้าของประเทศทั้งหมด บ้างครั้งมีความสุ่มเสี่ยง เราเอาที่ดินมาใช้ประโยชน์ ทําผังเมือง แต่เราจะต้องทําให้เขามีความพึงพอใจ ทําแล้วเขาจะได้อะไร อย่าใช้อํานาจแต่เพียงอย่างเดียว ทําอย่างนี้ ๆ ตามรัฐบาลแล้วก็สร้างปัญหาตามมาอีกเยอะแยะแก้ไม่หมด คือที่เราต้องการแก้ ผมก็ต้องคอยพูด ซึ่งหลายคนก็คงเบื่อผม หาว่าผมพูดเยอะเกินไป แล้วผมก็ไม่ค่อยฟังใครพูด ที่ผมไม่ฟังเพราะผมฟังมาแล้ว เพราะท่านรายงานผมมาแล้ว เพราะฉะนั้นท่านมาบอกผมเวลาในที่ประชุมว่าท่านทําอะไรที่ผมพูดไป ที่ทําวันนี้กําลังมีผลวันนี้แล้วติดตรงไหน แล้วอนาคตท่านจะอยากทําอะไร ผมต้องการการประชุมแบบนี้ ไม่ใช่ข้อยุติมาเท้าความตั้งแต่นู้น แล้วคิดว่าผมจะไปรู้เชียวเหรอ ก็รู้อยู่ผมก็อ่านของท่านมาตลอด เพราะฉะนั้นก็ต้องสรุป แต่ผมก็ต้องพูดเยอะ เพราะผมต้องการสร้างว่าผมคิดอะไร ถ้าผมไม่คิดไม่พูด ไม่อะไร ทุกคนก็ต้องมองว่าเข้ามามีอํานาจ ผลประโยชน์ ผมไม่เคยต้องการคําเหล่านี้เลย อํานาจวันนี้เป็นอํานาจของใคร อํานาจของประชาชนที่ให้กับเรา ให้เราทําอะไรให้เขา เขาคาดหวังกับผมอย่างนี้ เห็นแววตาเขาไหมครับเวลาไปต่างจังหวัด เขาเป็นกันอย่างนี้กับทุกคน กับทุกรัฐบาล ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะเขาคาดหวังว่าคน ๆ นี้จะทําอะไรให้เขา คนนี้จะทําให้เขา เพราะเขาอาจจะคาดหวังกับเรามากหน่อยแล้วจะทํายังไงไม่ให้กลับไปที่เดิม ทํายังไงประชาธิปไตยจะไปกินแบบเดิมไม่มีธรรมาภิบาล นั้นแหละคือภารกิของท่าน ซึ่งผมช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเป็นกระบวนการประชาธิปไตย แต่ก็ต้องเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ท่านรู้ปัญหาดี ไม่เป็นไรถือโอกาสปีหนึ่งคุยกันสักครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ฝากแล้วคิดก็คือ การทํางานด้วยความคิดสร้างสรรค์ ผมยกตัวอย่างให้ท่านดู ท่านไปดูสิครับ ช่างสังเกต ช่างอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ใช่ไปสังเกตแบบคอยจับผิด สังเกตว่าทําไหม ผมนั่งเมื่อกี้ก็ถาม ผมก็สงสัยดอกไม้ชื่ออะไรบ้าง กล้วยไม้หรือเปล่า กล้วยไม้อ่ะรู้จัก หวายก็มี ใบเฟริ์น ใบเล็ก ๆ ยิปโซ หรือเปล่าผมไม่แน่ใจ นี้คือสังเกต บ้างที่ถามเด็กเหล่านี้ยังไม่รู้เลยดอกอะไรก็ยังไม่รู้เลย ต้นไม้ใหญ่ ๆ ข้าง ไม่รู้จัก พอผมบอกต้นนี้ต้นนั้น ทําไหมนายกรัฐมนตรีรู้ นี้ไงคือการขาดการสังเกต เล็ก ๆ น้อยเป็นสิ่งที่จะพัฒนาสมองของเขาให้คิดไปข้างหน้าว่า เขาจะสนใจอยากรู้อะไรต่อไป ผมถามว่าวันนี้รู้จักต้นไม้กันสักกี่อย่างในข้างถนน รู้จักตันหยําฉาหรือยัง รู้จักต้นประดู่ไหม รู้ใช่ไหมข้างทางข้างล่างทรงบาดาลรู้จักไหม เริ่มไม่รู้หรือเปล่า นั้นแหละคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกเฉย ๆ ไม่ใช่ผมเก่ง แต่ผมช่างสังเกต ผมก็เรียนรู้ของผม ก็เคยตามเสด็จ ก็สนใจที่ท่านสนพระทัยก็รับสั่งสอนมาบ้างอะไรบ้างทุกพระองค์นะครับ ทุกพระองค์เป็นครูหมด สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันท่านก็ทรงเป็นครู และท่านก็ทรงรับสั่งกับผมหลายครั้งให้เราทําให้ดีที่สุดให้ประชาชนมีความสุข มีความผึงพอใจ รักษาระเบียบวินัยให้บ้านเมือง เพราะนั้นทุกพระองค์มีความห่วงใยบ้านเมืองทั้งสิ้น นั้นคือสถาบันพระมหากษัตริย์ เดียวเอาอันนี้ไปอ่านดูก็แล้วกัน นักวิชาการต่างประเทศไม่เชื่อผมก็ไปฟังผู้หญิงคนนี้แล้วกัน เรื่องที่ 2 การทํางานผมพูด ผมอาจจะพูดไปแล้วบ้าง นอกจากตัวเองได้รับชื่อเสียง ความภูมใจ ได้รางวัล ผมว่ายังไม่เพียงพอ ต้องให้ทุกคนมีความพึงพอในตัวพวกเราด้วย ผู้บังคับบัญชา เพื่อนฝูง ผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องรักเราทํายากนะ ถ้าเราวางตัวเองให้ดีเขารักทุกคน อธิบายเขา เขาต้องการนี้แล้วยังไม่ได้รอก่อน ตรงนี้ดีกว่าตรงนี้ต้องเข้าใจ ยอมรับ อธิบายเขาไม่ใช่อํานาจไปเรื่อยเปื่อยแล้วก็เละเทะทั้งหมด วันนี้ก็เลยสรุปว่าเมื่อวานวางยากันทั้งหมดในสมัยนี้อีกต่อไป ผมรับเรื่องเยอะมาก ซึ่งก็จริงบ้างไม่จริงบ้างอะไรต่าง ๆ ไม่อยากจะไปทําให้เพื่อนข้าราชการต้องเดือดร้อน แต่ถ้ามีมูล มีข้อเท็จจริง ไม่มีประสิทธิภาพ ก็จําเป็น ไม่อย่างนั้นปกครองกันไม่ได้ อยู่กันไม่ได้ ทํางานกันไม่ได้ ประสิทธิภาพก็ไม่เกิด แล้วจะอยู่กันไปทําไหม ต้องทํางานให้สําเร็จ ทํางานให้ทุกคนพอใจภายใต้กรอบกติกากฏหมายที่มีอยู่อย่างถูกต้อง การยึดศาสตร์พระราชาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ท่านต้องไปศึกษาในแผนพัฒนาฉบับที่ 12 รถไฟขบวนที่ 12 ออกมาดู ไปเอายุทธศาสตร์ชาติ 6 ยุทธศาสตร์มาดู เอาแผนปฏิรูปขึ้นมาดู ผมพยายามพูดผมพยายามทํามาโดยตลอด ข้าราชการต้องไปดู ถ้าท่านไม่ดู ท่านจะไม่รู้จะเดินหน้าประเทศอย่างไรในเรื่องยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ยุทธศาสตร์ด้านการลดความเหลื่อมล้ําสร้างความเป็นธรรมในสังคม ประชาชน เรื่องที่ 3 การสร้างพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ อัน 4 การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศ อันที่ 5 สร้างความสมดุลกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล 6 ก็คือการปรับเปลี่ยนระบบราชการบริหารราชการแผ่นดิน นั้นคือ 6 ยุทธศาสตร์ที่ต้องเดินถึง 20 ปี ผมคาดหวังว่าใน 1 ปีที่ผมอยู่ตามRoad mapของผมก่อนเลือกตั้งอะไรก็แล้วแต่ ท่านเริ่มถึงผมเถอะครับ ท่านมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทาง ท่านคาดหวังว่า 20 ปีข้างหน้า โดยถอยคิด 5 ปี ๆ ดูสิว่าจะเกิดอะไร หรือภายในน้อยกว่า 5 ปี นั้นแหละคือสิ่งที่ท่านจะต้องทําต่อไปนี้ จึงจะเกิดความยั่งยืน อย่าให้ใครมาทาบทับอํานาจบริหารราชการที่ท่านมีกฎหมายของท่านอยู่แล้ว ท่านต้องทํางานในลักษณะที่ว่า ต้องทํางานให้เกิดความก้าวหน้าและก็ถูกต้อง ไม่มีใครสามารถที่จะต้องก้าวล่วงท่านได้ จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก นั้นแหละคือข้าราชการในอนาคต วันนี้เราต้องทําให้ได้นะครับ ไม่อย่างนั้นจะสับสนอลหม่านกันไปหมด แล้วก็ท้ายสุดท่านจะต้องเป็นรับผิดชอบตามกฎหมายทุกประการ จําไว้นะ วันนี้ก็เห็นอยู่แล้ว หลายอย่างก็เป็นข้าราชการส่วนใหญ่ต้องลากผูกโยงไปด้วยหมด เพราะท่านต้องทํางานเอกสาร ทํางานตามขั้นตอนธุรการ ผมไม่อยากให้ท่านต้องไปอยู่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นท่านจะต้องตั้งหลักตั้งแต่วันนี้ให้เข้มแข็งให้ได้นะครับ ขอให้มีความภาคภูมิใจแล้วกัน วันนี้อย่างน้อยก็ภูมิใจว่าเราได้ทํางานร่วมกัน ผมก็ภูมิใจนะที่ทํางานกับท่าน อาจจะมีคนรักผมบ้าง ไม่รักผมบ้าง ไม่เป็นไรครับ ให้ท่านรักประเทศชาติเถอะครับ ให้ท่านรักประชาชนของท่าน นั้นละคือสิ่งสําคัญที่สุด แล้วจะกลับมาเป็นกุศลผลบุญให้แก่ท่าน มากกว่าที่จะต้องไปทําบุญอะไรกันเยอะแยะ ทําบุญไว้พระโอเคคนไทย ศีลธรรมเอามาปฏิบัติด้วย สวดมนต์สวดพร ขออย่างเดียวเมื่อกี้พระก็แย่เหมือนกัน สิ่งศักดิ์สิทธิก็ไม่ไหวเหมือนกัน ขอให้ทํางานสําเร็จ ขอให้ทํางานเรื่องนี้ได้ด้วยดี ขอให้ไม่เกิดการกระทบกระทั่งซึ่งกันและกัน ขอให้ไม่ต้องใช้บังคับกฎหมายมาก ผมสวดมนต์อย่างนี้ทุกวัน ผมไม่เคยขอให้ตัวเอง ผมจะขออย่างนี้เสมอ ขอให้เดินทางปลอดภัย กลับบ้านปลอดภัย ทุกอย่างปลอดภัย ประชาชนมีความสุข ทํางานสําเร็จ นี้คือสิ่งที่ผมสวดมาตลอด 3 ปี ก่อนหน้าผมก็ทําอย่างนั้นผมเป็นผู้บัญชาการขอให้ลูกน้องปลอดภัย ปะทะก็ให้บาดเจ็บหรือสูญเสียให้น้อยที่สุด หรือไม่ต้องมีสูญเสียเลย นั้นคือสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาทุกคนต้องระลึกอยู่เสมอ เราสร้างความคิดลักษณะงานอยู่ในวงจรของราชการทั้งหมด บน กลาง ล่าง ให้ได้เป็นหนึ่งเดียว เราจึงจะเป็นประเทศที่ก้าวไปสู่เป็นประเทศที่มีรายได้สูง ทั้งคน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม หลาย ๆ มิติ ไม่อย่างนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ เนื่องในโอกาสวันข้าราชการพลเรือนปีพุทธศักราช 2560 ผมขอภาวนาคุณพระศรีรัตนตรัยหรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายในสากลโลก ตลอดจนพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้โปรดดลบันดาลประทานพรข้าราชการพลเรือนทุกท่าน พร้อมทั้งครอบครัว ญาติพี่น้องอยู่ข้างนอกเต็มเลย เห็นไหมคึกคักแต่เช้าเลย โปรดจงแต่ความสุขความเจริญ มีกําลังกายและกําลังใจที่เข้มแข็งทุกคน เพื่อช่วยกันพัฒนาชาติบ้านเมืองให้มีความเจริญ และยั่งยืนสืบต่อไป ขอบคุณครับ ................................................................
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3624
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-15 ปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการมีส่วนร่วม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2560 15 ปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการมีส่วนร่วม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 15 ปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 15 ปี โดยในวันนี้ (2 ตุลาคม 2560) เวลา 07.30 น. พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ สักการะพระพุทธสยัมภู พระประจํากระทรวงฯ และบูชาพระภูมิสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ณ บริเวณหน้าอาคารกรมควบคุมมลพิษ จากนั้นประกอบพิธีทางพุทธศาสนา โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัดแก้วฟ้าจุฬามณี สวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 15 ปี ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ชั้น 2 อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโอกาสนี้ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้โอวาทและมอบนโยบายการปฏิบัติงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ดังนี้ 1. การปฏิบัติงานต้องปฏิบัติด้วยความเข้มแข็งเพื่อนําไปสู่การปฏิรูปประเทศตามแผนยุทธศาสตร์ชาติในแต่ละด้าน 2. การบริหารจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงฯ ให้บริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3. การปฏิบัติหน้าที่ของกระทรวงฯ ในเรื่องเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะต้องปฏิบัติงานโดยคํานึกถึงประโยชน์และความสุขของประชาชน 4. การบริหารงานทรัพยากรบุคคล ให้น้อมนําแนวพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ในเรื่องการคัดเลือกคนดีเข้าสู่ตําแหน่งที่เหมาะสม มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-15 ปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการมีส่วนร่วม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2560 15 ปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการมีส่วนร่วม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 15 ปี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 15 ปี โดยในวันนี้ (2 ตุลาคม 2560) เวลา 07.30 น. พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ สักการะพระพุทธสยัมภู พระประจํากระทรวงฯ และบูชาพระภูมิสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ณ บริเวณหน้าอาคารกรมควบคุมมลพิษ จากนั้นประกอบพิธีทางพุทธศาสนา โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัดแก้วฟ้าจุฬามณี สวดเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครบรอบ 15 ปี ณ ห้องประชุมศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ชั้น 2 อาคารกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโอกาสนี้ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้โอวาทและมอบนโยบายการปฏิบัติงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ดังนี้ 1. การปฏิบัติงานต้องปฏิบัติด้วยความเข้มแข็งเพื่อนําไปสู่การปฏิรูปประเทศตามแผนยุทธศาสตร์ชาติในแต่ละด้าน 2. การบริหารจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงฯ ให้บริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุด 3. การปฏิบัติหน้าที่ของกระทรวงฯ ในเรื่องเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะต้องปฏิบัติงานโดยคํานึกถึงประโยชน์และความสุขของประชาชน 4. การบริหารงานทรัพยากรบุคคล ให้น้อมนําแนวพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ในเรื่องการคัดเลือกคนดีเข้าสู่ตําแหน่งที่เหมาะสม มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7115
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รองปลัดแรงงาน’ เชิดชูอาสาสมัครแรงงาน ‘ผู้เสียสละทำงานด้วยหัวใจรักชาติ’
วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563 ‘รองปลัดแรงงาน’ เชิดชูอาสาสมัครแรงงาน ‘ผู้เสียสละทํางานด้วยหัวใจรักชาติ’ รองปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนการดําเนินงานอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร พร้อมชื่นชมอาสาสมัครแรงงาน ที่มุ่งมั่นตั้งใจทํางานให้กับกระทรวงแรงงานแม้จะไม่ได้รับเงินค่าตอบแทน วันนี้ (22 ก.ค. 63) เวลา 12.00 น. นายสุรพล พลอยสุข รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนการดําเนินงานอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 3 ณ ห้องรัชวิภา ชั้น 2 อาคารธารทิพย์ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพมหานคร โดย รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “อาสาสมัครแรงงานจะปฏิบัติภารกิจช่วยเหลืองานกระทรวงแรงงานในด้านต่างๆ ให้บรรลุผลสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี จําเป็นต้องมีความรู้ในภารกิจของกระทรวงแรงงานและสามารถเป็นกลไกสําคัญที่ขับเคลื่อนภารกิจกระทรวงแรงงานลงสู่ประชาชนในพื้นที่ชุมชนได้อย่างทั่วถึง จึงมีความคาดหวังว่าอาสาสมัครแรงงาน จะนําความรู้ และประสบการณ์ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร ในระดับผู้ประสานงานของเขตพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่ของทุกกรมและสํานักงานประกันสังคมในระดับพื้นที่ ในครั้งนี้ ไปขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงานให้เกิดประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน และชุมชนได้อย่างแท้จริงต่อไป นอกจากนี้กระทรวงแรงงานได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบและเกี่ยวข้องกับงานอาสาสมัครแรงงาน นําผลจากการสัมมนาในครั้งนี้ ไปพัฒนาภาพรวมของงานอาสาสมัครแรงงานร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร เพื่อวางแผนการปฏิบัติงาน และบูรณาการภารกิจด้านแรงงานร่วมกัน และให้เกิดการขับเคลื่อนงานอาสาสมัครแรงงานของกรุงเทพมหานครเป็นรูปธรรม ช่วยให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีความมั่นคงในการทํางาน บรรลุตามพันธกิจของกระทรวงที่ได้กําหนดไว้ประกอบกับความตั้งใจที่ทุกท่านได้เข้ามาสัมมนาในวันนี้ จะทําให้ทุกท่านได้รับทราบภารกิจของ 5 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน และแนวทางที่จะมอบหมายให้อาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานครดําเนินการ ในการนําบริการด้านแรงงานลงสู่ประชาชนในพื้นที่ การให้ข้อมูลข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ ประสานความต้องการการให้บริการแรงงานด้านต่างๆ ส่งเสริมและป้องกันแก้ไขปัญหาแรงงานในระดับพื้นที่ และจัดเก็บข้อมูลด้านแรงงาน เพื่อให้อาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานครปฏิบัติงานตามพันธกิจของกระทรวงแรงงานอย่างมีประสิทธิผล มีการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สามารถนําไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง และงานอาสาสมัครแรงงานต่อไปในอนาคต” “ผมขอขอบคุณและชื่นชมในความเสียสละของอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร ที่มุ่งมั่นตั้งใจทํางานให้กับกระทรวงแรงงานแม้จะไม่ได้รับเงินค่าตอบแทน” รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในท้ายที่สุด โครงการดังกล่าว มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 351 คน ประกอบด้วย อาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานครในระดับประธานเขตพื้นที่ ผู้ประสานงานของเขตพื้นที่ ประธานเครือข่ายแท็กซี่กรุงเทพมหานคร ผู้ประสานงานเครือข่ายแท็กซี่และผู้ประสานงานของเขตพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร จํานวน 69 คน เจ้าหน้าที่ของทุกกรมในสังกัดกระทรวงแรงงานระดับพื้นที่ จํานวน 200 คน วิทยากร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และผู้สังเกตการณ์ จํานวน 82 คน โดยมีประธานเขตพื้นที่และผู้ประสานงานของเขตพื้นที่ 3 คลองเตย บางนา ประเวศ พระโขนง วัฒนา สวนหลวง และเขตพื้นที่ 4 คันนายาว บางกะปิ ลาดพร้าว บึงกุ่ม วังทองหลาง เป็นผู้เข้าร่วมในครั้งนี้ +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 22 กรกฎาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รองปลัดแรงงาน’ เชิดชูอาสาสมัครแรงงาน ‘ผู้เสียสละทำงานด้วยหัวใจรักชาติ’ วันพุธที่ 22 กรกฎาคม 2563 ‘รองปลัดแรงงาน’ เชิดชูอาสาสมัครแรงงาน ‘ผู้เสียสละทํางานด้วยหัวใจรักชาติ’ รองปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนการดําเนินงานอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร พร้อมชื่นชมอาสาสมัครแรงงาน ที่มุ่งมั่นตั้งใจทํางานให้กับกระทรวงแรงงานแม้จะไม่ได้รับเงินค่าตอบแทน วันนี้ (22 ก.ค. 63) เวลา 12.00 น. นายสุรพล พลอยสุข รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนการดําเนินงานอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 3 ณ ห้องรัชวิภา ชั้น 2 อาคารธารทิพย์ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพมหานคร โดย รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “อาสาสมัครแรงงานจะปฏิบัติภารกิจช่วยเหลืองานกระทรวงแรงงานในด้านต่างๆ ให้บรรลุผลสําเร็จลุล่วงไปด้วยดี จําเป็นต้องมีความรู้ในภารกิจของกระทรวงแรงงานและสามารถเป็นกลไกสําคัญที่ขับเคลื่อนภารกิจกระทรวงแรงงานลงสู่ประชาชนในพื้นที่ชุมชนได้อย่างทั่วถึง จึงมีความคาดหวังว่าอาสาสมัครแรงงาน จะนําความรู้ และประสบการณ์ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร ในระดับผู้ประสานงานของเขตพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร และเจ้าหน้าที่ของทุกกรมและสํานักงานประกันสังคมในระดับพื้นที่ ในครั้งนี้ ไปขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงานให้เกิดประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน และชุมชนได้อย่างแท้จริงต่อไป นอกจากนี้กระทรวงแรงงานได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร เพื่อให้หน่วยงานที่รับผิดชอบและเกี่ยวข้องกับงานอาสาสมัครแรงงาน นําผลจากการสัมมนาในครั้งนี้ ไปพัฒนาภาพรวมของงานอาสาสมัครแรงงานร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน กรุงเทพมหานคร เพื่อวางแผนการปฏิบัติงาน และบูรณาการภารกิจด้านแรงงานร่วมกัน และให้เกิดการขับเคลื่อนงานอาสาสมัครแรงงานของกรุงเทพมหานครเป็นรูปธรรม ช่วยให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีความมั่นคงในการทํางาน บรรลุตามพันธกิจของกระทรวงที่ได้กําหนดไว้ประกอบกับความตั้งใจที่ทุกท่านได้เข้ามาสัมมนาในวันนี้ จะทําให้ทุกท่านได้รับทราบภารกิจของ 5 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน และแนวทางที่จะมอบหมายให้อาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานครดําเนินการ ในการนําบริการด้านแรงงานลงสู่ประชาชนในพื้นที่ การให้ข้อมูลข่าวสาร ประชาสัมพันธ์ ประสานความต้องการการให้บริการแรงงานด้านต่างๆ ส่งเสริมและป้องกันแก้ไขปัญหาแรงงานในระดับพื้นที่ และจัดเก็บข้อมูลด้านแรงงาน เพื่อให้อาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานครปฏิบัติงานตามพันธกิจของกระทรวงแรงงานอย่างมีประสิทธิผล มีการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สามารถนําไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง และงานอาสาสมัครแรงงานต่อไปในอนาคต” “ผมขอขอบคุณและชื่นชมในความเสียสละของอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร ที่มุ่งมั่นตั้งใจทํางานให้กับกระทรวงแรงงานแม้จะไม่ได้รับเงินค่าตอบแทน” รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวในท้ายที่สุด โครงการดังกล่าว มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 351 คน ประกอบด้วย อาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานครในระดับประธานเขตพื้นที่ ผู้ประสานงานของเขตพื้นที่ ประธานเครือข่ายแท็กซี่กรุงเทพมหานคร ผู้ประสานงานเครือข่ายแท็กซี่และผู้ประสานงานของเขตพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร จํานวน 69 คน เจ้าหน้าที่ของทุกกรมในสังกัดกระทรวงแรงงานระดับพื้นที่ จํานวน 200 คน วิทยากร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และผู้สังเกตการณ์ จํานวน 82 คน โดยมีประธานเขตพื้นที่และผู้ประสานงานของเขตพื้นที่ 3 คลองเตย บางนา ประเวศ พระโขนง วัฒนา สวนหลวง และเขตพื้นที่ 4 คันนายาว บางกะปิ ลาดพร้าว บึงกุ่ม วังทองหลาง เป็นผู้เข้าร่วมในครั้งนี้ +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 22 กรกฎาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33594
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้เสียหายกรณีตกเป็นแพะ เข้าแสดงความขอบคุณต่อ รมว.ยุติธรรม
วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม 2560 ผู้เสียหายกรณีตกเป็นแพะ เข้าแสดงความขอบคุณต่อ รมว.ยุติธรรม นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายธวัชชัย รัตนศรี และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าพบเพื่อกล่าวแสดงความขอบคุณที่กระทรวงยุติธรรมให้ความช่วยเหลือ กรณีตกเป็นแพะในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๒.๐๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายธวัชชัย รัตนศรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าพบเพื่อกล่าวแสดงความขอบคุณที่กระทรวงยุติธรรมให้ความช่วยเหลือ กรณีตกเป็นแพะในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จนกระทั่งศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง และได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจํากลางพิษณุโลก ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวขอบคุณ ผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือในกรณีดังกล่าว พร้อมทั้งเน้นย้ําว่า กระทรวงยุติธรรมพร้อมที่จะให้การดูแล ช่วยเหลือประชาชน ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมให้ดีที่สุด รวมทั้งจะปรับปรุงกลไกการให้ความช่วยเหลือประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การเข้าถึงความยุติธรรมเป็นไปด้วยความรวดเร็วและทั่วถึง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้เสียหายกรณีตกเป็นแพะ เข้าแสดงความขอบคุณต่อ รมว.ยุติธรรม วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม 2560 ผู้เสียหายกรณีตกเป็นแพะ เข้าแสดงความขอบคุณต่อ รมว.ยุติธรรม นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายธวัชชัย รัตนศรี และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าพบเพื่อกล่าวแสดงความขอบคุณที่กระทรวงยุติธรรมให้ความช่วยเหลือ กรณีตกเป็นแพะในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๒.๐๐ น. ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๒ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับนายธวัชชัย รัตนศรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าพบเพื่อกล่าวแสดงความขอบคุณที่กระทรวงยุติธรรมให้ความช่วยเหลือ กรณีตกเป็นแพะในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จนกระทั่งศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง และได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจํากลางพิษณุโลก ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวขอบคุณ ผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือในกรณีดังกล่าว พร้อมทั้งเน้นย้ําว่า กระทรวงยุติธรรมพร้อมที่จะให้การดูแล ช่วยเหลือประชาชน ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมให้ดีที่สุด รวมทั้งจะปรับปรุงกลไกการให้ความช่วยเหลือประชาชนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การเข้าถึงความยุติธรรมเป็นไปด้วยความรวดเร็วและทั่วถึง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4142
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายอายุผู้ประกันตนตาม ม.40 ได้ถึง 65 ปี
วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563 ขยายอายุผู้ประกันตนตาม ม.40 ได้ถึง 65 ปี วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ครม. เห็นชอบขยายคุณสมบัติผู้สมัครเข้าประกันตนตามมาตรา 40 พ.ร.บ.ประกันสังคม เพื่อให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น พ่อค้าแม่ค้า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง เกษตรกร และพนักงานอิสระต่าง ๆ สามารถเข้าถึงการประกันสังคมภาคสมัครใจได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น จากเดิมผู้สมัคร “ต้องมีอายุไม่ต่ํากว่า 15 ปี และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์” ขยายเป็น “ต้องมีอายุไม่ต่ํากว่า 15 ปี และไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์” ซึ่งการขยายคุณสมบัติครั้งนี้จะทําให้ผู้สูงอายุที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงสามารถทํางานหรือประกอบอาชีพอิสระ ได้รับความคุ้มครองในระบบประกันสังคมอย่างทั่วถึง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้ดีขึ้น สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมศักยภาพผู้สูงอายุของรัฐบาล รองรับสังคมผู้สูงวัยในอนาคต ​ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขยายอายุผู้ประกันตนตาม ม.40 ได้ถึง 65 ปี วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563 ขยายอายุผู้ประกันตนตาม ม.40 ได้ถึง 65 ปี วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ ครม. เห็นชอบขยายคุณสมบัติผู้สมัครเข้าประกันตนตามมาตรา 40 พ.ร.บ.ประกันสังคม เพื่อให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น พ่อค้าแม่ค้า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง เกษตรกร และพนักงานอิสระต่าง ๆ สามารถเข้าถึงการประกันสังคมภาคสมัครใจได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น จากเดิมผู้สมัคร “ต้องมีอายุไม่ต่ํากว่า 15 ปี และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์” ขยายเป็น “ต้องมีอายุไม่ต่ํากว่า 15 ปี และไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์” ซึ่งการขยายคุณสมบัติครั้งนี้จะทําให้ผู้สูงอายุที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงสามารถทํางานหรือประกอบอาชีพอิสระ ได้รับความคุ้มครองในระบบประกันสังคมอย่างทั่วถึง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุให้ดีขึ้น สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมศักยภาพผู้สูงอายุของรัฐบาล รองรับสังคมผู้สูงวัยในอนาคต ​ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25590
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 20 - 26 ธันวาคม 2562 พบการกระทำผิด จำนวน 826 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 13.44 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 20 - 26 ธันวาคม 2562 พบการกระทําผิด จํานวน 826 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 13.44 ล้านบาท กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต นายวิวัฒน์ เขาสกุล รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 20 - 26 ธันวาคม 2562) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 826 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 13.44 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 405 คดี ค่าปรับ 3.16 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 189 คดี ค่าปรับ 4.60 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 8 คดี ค่าปรับ 0.11 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 49 คดี ค่าปรับ 0.69 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 161 คดี ค่าปรับ จํานวน 2.79 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 14 คดี ค่าปรับ 2.09 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 3,137.840 ลิตร ยาสูบ จํานวน 6,946 ซอง ไพ่ จํานวน 564 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 38,010.000 ลิตร รถจักรยานยนต์ จํานวน 180 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 26 ธันวาคม 2562 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 8,926 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 140.54 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 4,775 คดี ค่าปรับ 43.49 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 2,808 คดี ค่าปรับ 66.60 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 168 คดี ค่าปรับ 1.66 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 373 คดี ค่าปรับ 6.13 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 20 คดี ค่าปรับ 0.71 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 615 คดี ค่าปรับ จํานวน 11.17 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 167 คดี ค่าปรับ 10.78 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 114,736.036 ลิตร ยาสูบ จํานวน 90,664 ซอง ไพ่ จํานวน 13,890 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 413,445.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 5,154 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 690 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 20 - 26 ธันวาคม 2562 พบการกระทำผิด จำนวน 826 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 13.44 ล้านบาท วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 20 - 26 ธันวาคม 2562 พบการกระทําผิด จํานวน 826 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 13.44 ล้านบาท กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต นายวิวัฒน์ เขาสกุล รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 20 - 26 ธันวาคม 2562) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 826 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 13.44 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 405 คดี ค่าปรับ 3.16 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 189 คดี ค่าปรับ 4.60 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 8 คดี ค่าปรับ 0.11 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 49 คดี ค่าปรับ 0.69 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 161 คดี ค่าปรับ จํานวน 2.79 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 14 คดี ค่าปรับ 2.09 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 3,137.840 ลิตร ยาสูบ จํานวน 6,946 ซอง ไพ่ จํานวน 564 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 38,010.000 ลิตร รถจักรยานยนต์ จํานวน 180 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 26 ธันวาคม 2562 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 8,926 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 140.54 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 4,775 คดี ค่าปรับ 43.49 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 2,808 คดี ค่าปรับ 66.60 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 168 คดี ค่าปรับ 1.66 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 373 คดี ค่าปรับ 6.13 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 20 คดี ค่าปรับ 0.71 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 615 คดี ค่าปรับ จํานวน 11.17 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 167 คดี ค่าปรับ 10.78 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 114,736.036 ลิตร ยาสูบ จํานวน 90,664 ซอง ไพ่ จํานวน 13,890 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 413,445.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 5,154 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 690 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25524
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมสภาการศึกษา 3/2561
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561 ผลประชุมสภาการศึกษา 3/2561 ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมสภาการศึกษา ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องประชุมกําแหง พลางกูร ชั้น 3 อาคาร 56 ปี สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมสภาการศึกษา ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องประชุมกําแหง พลางกูร ชั้น 3 อาคาร 56 ปี สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา นพ.อุดม คชินทรรมช.ศึกษาธิการกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ได้มีการหารือร่วมกันพร้อมการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ซึ่งทําให้ได้ข้อสรุปและความก้าวหน้างานในหลายส่วน โดยเฉพาะการพิจารณาเกี่ยวกับ (ร่าง) ข้อเสนอการพัฒนาระบบการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา เพื่อให้มีระบบการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาที่เชื่อมโยงและบูรณาการการดําเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับเป้าหมายการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ สร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนส่งเสริมประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและสร้างเสริมธรรมาภิบาลของระบบการศึกษา โดยที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบในหลักการของข้อเสนอการพัฒนาระบบการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา และให้รับข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นนําไปปรับปรุงเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์มากขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา 9 คณะ ดังนี้ คณะอนุกรรมการด้านนโยบายการศึกษาและกลไกการขับเคลื่อนแผนสู่ปฏิบัติได้มีการประชุมพิจารณาความเชื่อมโยงของแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 กับแผนขององค์กรหลักและสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมจะศึกษาวิเคราะห์ และติดตามการจัดการศึกษาเพื่อการมีอาชีพรองรับนโยบาย THAILAND 4.0 ตลอดจนเตรียมตั้งคณะทํางานวิเคราะห์ข้อมูลสําหรับการจัดตั้งเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพิ่มเติมให้ครบทุกจังหวัดได้อย่างเหมาะสม คณะอนุกรรมการด้านระบบฐานข้อมูลและตัวชี้วัดได้มีการประชุมหารือถึงการใช้ประโยชน์ข้อมูลจากหน่วยการศึกษา เพื่อพัฒนาระบบคลังข้อมูลและระบบรายงานสารสนเทศสําหรับการประเมินผลการจัดการศึกษา ภายใต้กรอบตัวชี้วัดตามแผนการศึกษาของชาติ พ.ศ.2560-2579 ตลอดจนการวิเคราะห์แนวโน้มสภาวการณ์การศึกษา และการผลิตและพัฒนากําลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการสาขาอาชีพจําเป็นในตลาดแรงงานไทยและสากล ทั้งนี้ ยังคงให้ความสําคัญกับตัวชี้วัดระดับนานาชาติ ในโครงการ World Education Indicators ของยูเนสโก สําหรับใช้ในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกด้วย คณะอนุกรรมการด้านระบบทรัพยากรและการเงินเพื่อการศึกษาได้มีการหารือถึงปัญหาด้านการบริหารจัดการงบประมาณด้านการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเสนอให้มีการรวบรวมและศึกษาข้อมูล งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อวิเคราะห์สรุปเป็นกรอบในการดําเนินงาน อาทิ งานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ทรัพยากรเพื่อการศึกษา การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการศึกษา มาตรฐานการศึกษาชาติ เป็นต้น ที่จะช่วยปรับระบบจัดสรรงบประมาณผ่านตัวผู้เรียนและเชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามากขึ้น ส่งเสริมให้สถานศึกษาเกิดการแข่งขันและพัฒนาคุณภาพ พร้อม ๆ กับเปิดโอกาสให้ภาคส่วนอื่นมีส่วนร่วมระดมทุนเพื่อการศึกษา นอกจากนี้ ได้นําระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) มาใช้วิเคราะห์แนวทางการจัดตั้งสถานศึกษาที่มีความพร้อมเป็นโรงเรียนศูนย์กลางให้กับโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง โดยคํานึงถึงการยอมรับจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะช่วยให้รัฐนํางบประมาณไปพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนได้มากขึ้น คณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ได้ตั้งคณะทํางานเพื่อยกร่างมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... พร้อมกําหนดมาตรฐานในแต่ละระดับการศึกษาว่าต้องรู้และสามารถทําอะไรได้บ้าง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษา (Desires Outcomes of Education: DOE) คือคุณลักษณะของคนไทยสําหรับประเทศไทย 4.0 ที่ตอบสนองวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศ สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยมีคุณลักษณะบุคคลผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม และผู้มีความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง พร้อมทั้งมีคุณธรรม มีทักษะการเรียนรู้และชีวิต ทักษะทางปัญญา ความรู้ ตลอดจนธํารงความเป็นไทย และแข่งขันได้ในเวทีโลก ทั้งนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงร่างมาตรฐานการศึกษาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการและผู้เกี่ยวข้อง ก่อนจะนําเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป คณะอนุกรรมการด้านการประเมินผลการศึกษาได้ประชุมหารือเพื่อจัดทําข้อเสนอการพัฒนาระบบการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา ทั้งในแนวทางที่ยังเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงศึกษาธิการและเป็นหน่วยงานภายนอก พร้อมให้เร่งจัดทํากฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 62 ที่ให้มีระบบการตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลประสิทธิภาพและประสิทธิผลการใช้จ่ายงบประมาณการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับหลักการศึกษา แนวการจัดการศึกษา และคุณภาพมาตรฐานการศึกษา โดยหน่วยงานภายในและหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบภายนอก คณะอนุกรรมการด้านกฎหมายการศึกษาได้พิจารณาทบทวนกฎกระทรวงตามมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ จํานวน 6 ฉบับ ตลอดจนศึกษาและสังเคราะห์ข้อมูลกฎกระทรวงที่จะต้องดําเนินการแก้ไขโดยเร่งด่วน จํานวน 2 ฉบับ คณะอนุกรรมการด้านการวิจัยการศึกษาได้มีการประชุมหารือเพื่อกําหนดเป้าหมายและขอบเขตการดําเนินงานด้านการวิจัย ซึ่งมีความเห็นพ้องกันที่จะให้สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจัดทํางานวิจัยเพื่อหาแนวทางนํานโยบายสู่การปฏิบัติและประเด็นปัญหาการศึกษาในปัจจุบัน ตลอดจนเสนอให้มีการวิจัยที่ตอบสนองต่อการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ โดยอาจจะทบทวนและจัดทําวิจัยเอกสารจากผลงานวิจัยที่มีอยู่แล้ว ในประเด็นการศึกษาที่สําคัญ อาทิ การกระจายอํานาจ การนํานโยบายลงสู่การปฏิบัติ การเรียนการสอน การผลิตครู รวมทั้งการศึกษาตามอัธยาศัยหรือการศึกษาตลอดชีวิต เป็นต้น คณะอนุกรรมการด้านบทบาทของภาคประชาสังคมเพื่อการศึกษาเตรียมที่จะจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การศึกษาทางเลือก, บ้านเรียน (Home School) ซึ่งจัดการโดยครอบครัวหรือกลุ่มของครอบครัว, การศึกษาชนเผ่า, ท้องถิ่นเพื่อการศึกษา, การศึกษาเพื่อผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส, การศึกษาเอกชน และการศึกษาสําหรับพระภิกษุและสามเณร คณะด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม กีฬาและภูมิปัญญาได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวคิดการบูรณาการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม กีฬาและภูมิปัญญา สู่หลักสูตรการเรียนการสอนในกรอบภารกิจทั้ง 5 ด้าน พร้อมการเตรียมจัดทําข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการศึกษา เพื่อนําหลักสูตรสู่ห้องเรียนในสถานศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ปฐมวัย ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ที่จะเป็นการสร้างมาตรฐานเด็กไทยที่มีคุณภาพทั้งเรียนเก่งและเป็นคนดีในอนาคต Written byนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลประชุมสภาการศึกษา 3/2561 วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม 2561 ผลประชุมสภาการศึกษา 3/2561 ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมสภาการศึกษา ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องประชุมกําแหง พลางกูร ชั้น 3 อาคาร 56 ปี สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมสภาการศึกษา ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 ณ ห้องประชุมกําแหง พลางกูร ชั้น 3 อาคาร 56 ปี สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา นพ.อุดม คชินทรรมช.ศึกษาธิการกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ได้มีการหารือร่วมกันพร้อมการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง ซึ่งทําให้ได้ข้อสรุปและความก้าวหน้างานในหลายส่วน โดยเฉพาะการพิจารณาเกี่ยวกับ (ร่าง) ข้อเสนอการพัฒนาระบบการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา เพื่อให้มีระบบการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาที่เชื่อมโยงและบูรณาการการดําเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับเป้าหมายการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ สร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนส่งเสริมประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและสร้างเสริมธรรมาภิบาลของระบบการศึกษา โดยที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบในหลักการของข้อเสนอการพัฒนาระบบการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา และให้รับข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นนําไปปรับปรุงเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์มากขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา 9 คณะ ดังนี้ คณะอนุกรรมการด้านนโยบายการศึกษาและกลไกการขับเคลื่อนแผนสู่ปฏิบัติได้มีการประชุมพิจารณาความเชื่อมโยงของแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 กับแผนขององค์กรหลักและสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมจะศึกษาวิเคราะห์ และติดตามการจัดการศึกษาเพื่อการมีอาชีพรองรับนโยบาย THAILAND 4.0 ตลอดจนเตรียมตั้งคณะทํางานวิเคราะห์ข้อมูลสําหรับการจัดตั้งเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพิ่มเติมให้ครบทุกจังหวัดได้อย่างเหมาะสม คณะอนุกรรมการด้านระบบฐานข้อมูลและตัวชี้วัดได้มีการประชุมหารือถึงการใช้ประโยชน์ข้อมูลจากหน่วยการศึกษา เพื่อพัฒนาระบบคลังข้อมูลและระบบรายงานสารสนเทศสําหรับการประเมินผลการจัดการศึกษา ภายใต้กรอบตัวชี้วัดตามแผนการศึกษาของชาติ พ.ศ.2560-2579 ตลอดจนการวิเคราะห์แนวโน้มสภาวการณ์การศึกษา และการผลิตและพัฒนากําลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการสาขาอาชีพจําเป็นในตลาดแรงงานไทยและสากล ทั้งนี้ ยังคงให้ความสําคัญกับตัวชี้วัดระดับนานาชาติ ในโครงการ World Education Indicators ของยูเนสโก สําหรับใช้ในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกด้วย คณะอนุกรรมการด้านระบบทรัพยากรและการเงินเพื่อการศึกษาได้มีการหารือถึงปัญหาด้านการบริหารจัดการงบประมาณด้านการศึกษาให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเสนอให้มีการรวบรวมและศึกษาข้อมูล งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อวิเคราะห์สรุปเป็นกรอบในการดําเนินงาน อาทิ งานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ทรัพยากรเพื่อการศึกษา การใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการศึกษา มาตรฐานการศึกษาชาติ เป็นต้น ที่จะช่วยปรับระบบจัดสรรงบประมาณผ่านตัวผู้เรียนและเชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามากขึ้น ส่งเสริมให้สถานศึกษาเกิดการแข่งขันและพัฒนาคุณภาพ พร้อม ๆ กับเปิดโอกาสให้ภาคส่วนอื่นมีส่วนร่วมระดมทุนเพื่อการศึกษา นอกจากนี้ ได้นําระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) มาใช้วิเคราะห์แนวทางการจัดตั้งสถานศึกษาที่มีความพร้อมเป็นโรงเรียนศูนย์กลางให้กับโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง โดยคํานึงถึงการยอมรับจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะช่วยให้รัฐนํางบประมาณไปพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการเรียนการสอนได้มากขึ้น คณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ได้ตั้งคณะทํางานเพื่อยกร่างมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... พร้อมกําหนดมาตรฐานในแต่ละระดับการศึกษาว่าต้องรู้และสามารถทําอะไรได้บ้าง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษา (Desires Outcomes of Education: DOE) คือคุณลักษณะของคนไทยสําหรับประเทศไทย 4.0 ที่ตอบสนองวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศ สู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยมีคุณลักษณะบุคคลผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม และผู้มีความเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง พร้อมทั้งมีคุณธรรม มีทักษะการเรียนรู้และชีวิต ทักษะทางปัญญา ความรู้ ตลอดจนธํารงความเป็นไทย และแข่งขันได้ในเวทีโลก ทั้งนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงร่างมาตรฐานการศึกษาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการและผู้เกี่ยวข้อง ก่อนจะนําเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป คณะอนุกรรมการด้านการประเมินผลการศึกษาได้ประชุมหารือเพื่อจัดทําข้อเสนอการพัฒนาระบบการติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา ทั้งในแนวทางที่ยังเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงศึกษาธิการและเป็นหน่วยงานภายนอก พร้อมให้เร่งจัดทํากฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 62 ที่ให้มีระบบการตรวจสอบ ติดตาม และประเมินผลประสิทธิภาพและประสิทธิผลการใช้จ่ายงบประมาณการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับหลักการศึกษา แนวการจัดการศึกษา และคุณภาพมาตรฐานการศึกษา โดยหน่วยงานภายในและหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบภายนอก คณะอนุกรรมการด้านกฎหมายการศึกษาได้พิจารณาทบทวนกฎกระทรวงตามมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ จํานวน 6 ฉบับ ตลอดจนศึกษาและสังเคราะห์ข้อมูลกฎกระทรวงที่จะต้องดําเนินการแก้ไขโดยเร่งด่วน จํานวน 2 ฉบับ คณะอนุกรรมการด้านการวิจัยการศึกษาได้มีการประชุมหารือเพื่อกําหนดเป้าหมายและขอบเขตการดําเนินงานด้านการวิจัย ซึ่งมีความเห็นพ้องกันที่จะให้สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาจัดทํางานวิจัยเพื่อหาแนวทางนํานโยบายสู่การปฏิบัติและประเด็นปัญหาการศึกษาในปัจจุบัน ตลอดจนเสนอให้มีการวิจัยที่ตอบสนองต่อการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ โดยอาจจะทบทวนและจัดทําวิจัยเอกสารจากผลงานวิจัยที่มีอยู่แล้ว ในประเด็นการศึกษาที่สําคัญ อาทิ การกระจายอํานาจ การนํานโยบายลงสู่การปฏิบัติ การเรียนการสอน การผลิตครู รวมทั้งการศึกษาตามอัธยาศัยหรือการศึกษาตลอดชีวิต เป็นต้น คณะอนุกรรมการด้านบทบาทของภาคประชาสังคมเพื่อการศึกษาเตรียมที่จะจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ การศึกษาทางเลือก, บ้านเรียน (Home School) ซึ่งจัดการโดยครอบครัวหรือกลุ่มของครอบครัว, การศึกษาชนเผ่า, ท้องถิ่นเพื่อการศึกษา, การศึกษาเพื่อผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส, การศึกษาเอกชน และการศึกษาสําหรับพระภิกษุและสามเณร คณะด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม กีฬาและภูมิปัญญาได้มีการหารือเกี่ยวกับแนวคิดการบูรณาการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม กีฬาและภูมิปัญญา สู่หลักสูตรการเรียนการสอนในกรอบภารกิจทั้ง 5 ด้าน พร้อมการเตรียมจัดทําข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการศึกษา เพื่อนําหลักสูตรสู่ห้องเรียนในสถานศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ปฐมวัย ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ที่จะเป็นการสร้างมาตรฐานเด็กไทยที่มีคุณภาพทั้งเรียนเก่งและเป็นคนดีในอนาคต Written byนวรัตน์ รามสูต Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พาณิชย์’ ร่วมทัพนายกฯ ประชุมสุดยอดอาเซียน พร้อมเร่งถกผู้นำ RCEP ครั้งแรก
วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560 ‘พาณิชย์’ ร่วมทัพนายกฯ ประชุมสุดยอดอาเซียน พร้อมเร่งถกผู้นํา RCEP ครั้งแรก ‘พาณิชย์’ เผยเล็งลงนาม FTA อาเซียน – ฮ่องกง และถกเข้มเร่งเจรจา RCEP เตรียมเสนอผลคืบหน้าต่อการประชุมผู้นํา 16 ชาติ RCEP ครั้งแรก ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 12 - 14 พฤศจิกายน 2560 ณกรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ นางอภิรดี ตันตราภรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในโอกาสที่จะร่วมคณะนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 เปิดเผยว่า รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนจะลงนามความตกลงการค้าเสรีและความตกลงด้านการลงทุนระหว่างอาเซียนและฮ่องกง ซึ่งไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานและประธานร่วมฝ่ายอาเซียน ได้มีบทบาทสําคัญให้การเจรจาสรุปผลได้สําเร็จ รวมทั้งจะเข้าร่วมการประชุมผู้นําRCEPครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดการเจรจาRCEPเมื่อปี 2556 โดยผู้นําประกาศเน้นย้ําที่จะสรุปผลการเจรจาRCEPโดยขอให้คณะเจรจาเร่งการเจรจาในปีหน้าให้บรรลุผลได้โดยเร็วเพื่อให้RCEPเป็นความตกลงที่มีคุณภาพสูงและเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน นางอภิรดี กล่าวว่าในการประชุมครั้งนี้ ยังมีกําหนดเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือAEC Councilซึ่งจะพิจารณารับรองแผนการดําเนินงานสําคัญของอาเซียน ได้แก่ 1) แผนปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ด้านการอํานวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งเป็นแผนดําเนินงานที่จะช่วยให้การค้าระหว่างกันภายในอาเซียนสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะลดต้นทุนธุรกรรมทางการค้าลงร้อยละ 10 ภายในปี 2563 และเพิ่มมูลค่าการค้าภายในภูมิภาคเป็น 2 เท่าภายในปี 2568 2) แผนการดําเนินการด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ซึ่งกําหนดแนวทางการดําเนินการด้านต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ภายในภูมิภาค และ 3) ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยนวัตกรรม ซึ่งแสดงถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการใช้นวัตกรรมเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตและการแข่งขันของอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค โดยเอกสารดังกล่าวจะเสนอต่อผู้นําอาเซียนต่อไปนอกจากนี้ จะเข้าร่วมการหารือระหว่างผู้นําอาเซียนกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจอาเซียน(ASEAN-BAC)และสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเชียตะวันออก(EABC)ซึ่งได้เน้นย้ําถึงความสําคัญของการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย(MSMEs) ในปี 2559 อาเซียนมีการส่งออกรวมมูลค่า 1.14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.2 ของมูลค่าการส่งออกของโลก และมีการนําเข้ารวมมูลค่า 1.08 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.6 ของมูลค่าการนําเข้าของโลก โดยอาเซียนมีคู่ค้านอกภูมิภาคที่สําคัญ ได้แก่ จีน สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกมีสัดส่วนการส่งออกภายในกลุ่มอาเซียนร้อยละ 24.7 และมีสัดส่วนนําเข้าจากประเทศภายในกลุ่มอาเซียน ร้อยละ 22.2 สําหรับการค้าระหว่างไทยกับอาเซียนในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2560 (มกราคม-สิงหาคม) มีมูลค่า66,035ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออก 38,673 ล้านเหรียญสหรัฐ และการนําเข้า 27,362 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการส่งออกขยายตัวร้อยละ 8.2 และการนําเข้าขยายตัวร้อยละ 13.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘พาณิชย์’ ร่วมทัพนายกฯ ประชุมสุดยอดอาเซียน พร้อมเร่งถกผู้นำ RCEP ครั้งแรก วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2560 ‘พาณิชย์’ ร่วมทัพนายกฯ ประชุมสุดยอดอาเซียน พร้อมเร่งถกผู้นํา RCEP ครั้งแรก ‘พาณิชย์’ เผยเล็งลงนาม FTA อาเซียน – ฮ่องกง และถกเข้มเร่งเจรจา RCEP เตรียมเสนอผลคืบหน้าต่อการประชุมผู้นํา 16 ชาติ RCEP ครั้งแรก ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 12 - 14 พฤศจิกายน 2560 ณกรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ นางอภิรดี ตันตราภรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในโอกาสที่จะร่วมคณะนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 31 เปิดเผยว่า รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนจะลงนามความตกลงการค้าเสรีและความตกลงด้านการลงทุนระหว่างอาเซียนและฮ่องกง ซึ่งไทยในฐานะประเทศผู้ประสานงานและประธานร่วมฝ่ายอาเซียน ได้มีบทบาทสําคัญให้การเจรจาสรุปผลได้สําเร็จ รวมทั้งจะเข้าร่วมการประชุมผู้นําRCEPครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดการเจรจาRCEPเมื่อปี 2556 โดยผู้นําประกาศเน้นย้ําที่จะสรุปผลการเจรจาRCEPโดยขอให้คณะเจรจาเร่งการเจรจาในปีหน้าให้บรรลุผลได้โดยเร็วเพื่อให้RCEPเป็นความตกลงที่มีคุณภาพสูงและเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน นางอภิรดี กล่าวว่าในการประชุมครั้งนี้ ยังมีกําหนดเข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือAEC Councilซึ่งจะพิจารณารับรองแผนการดําเนินงานสําคัญของอาเซียน ได้แก่ 1) แผนปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ด้านการอํานวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งเป็นแผนดําเนินงานที่จะช่วยให้การค้าระหว่างกันภายในอาเซียนสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะลดต้นทุนธุรกรรมทางการค้าลงร้อยละ 10 ภายในปี 2563 และเพิ่มมูลค่าการค้าภายในภูมิภาคเป็น 2 เท่าภายในปี 2568 2) แผนการดําเนินการด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ซึ่งกําหนดแนวทางการดําเนินการด้านต่างๆ ที่จะช่วยส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ภายในภูมิภาค และ 3) ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยนวัตกรรม ซึ่งแสดงถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการใช้นวัตกรรมเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโตและการแข่งขันของอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค โดยเอกสารดังกล่าวจะเสนอต่อผู้นําอาเซียนต่อไปนอกจากนี้ จะเข้าร่วมการหารือระหว่างผู้นําอาเซียนกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจอาเซียน(ASEAN-BAC)และสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเชียตะวันออก(EABC)ซึ่งได้เน้นย้ําถึงความสําคัญของการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย(MSMEs) ในปี 2559 อาเซียนมีการส่งออกรวมมูลค่า 1.14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.2 ของมูลค่าการส่งออกของโลก และมีการนําเข้ารวมมูลค่า 1.08 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.6 ของมูลค่าการนําเข้าของโลก โดยอาเซียนมีคู่ค้านอกภูมิภาคที่สําคัญ ได้แก่ จีน สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกมีสัดส่วนการส่งออกภายในกลุ่มอาเซียนร้อยละ 24.7 และมีสัดส่วนนําเข้าจากประเทศภายในกลุ่มอาเซียน ร้อยละ 22.2 สําหรับการค้าระหว่างไทยกับอาเซียนในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2560 (มกราคม-สิงหาคม) มีมูลค่า66,035ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออก 38,673 ล้านเหรียญสหรัฐ และการนําเข้า 27,362 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการส่งออกขยายตัวร้อยละ 8.2 และการนําเข้าขยายตัวร้อยละ 13.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7879
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กฤษฎา” ถกทูตฟิลิปปินส์กรุยทางดันส่งออกเนื้อไก่ปรุงสุก ลูกไก่พันธุ์ เมล็ดปาล์มน้ำมัน พร้อมกระชับความร่วมมือด้านการเกษตร
วันพุธที่ 4 เมษายน 2561 “กฤษฎา” ถกทูตฟิลิปปินส์กรุยทางดันส่งออกเนื้อไก่ปรุงสุก ลูกไก่พันธุ์ เมล็ดปาล์มน้ํามัน พร้อมกระชับความร่วมมือด้านการเกษตร “กฤษฎา” ถกทูตฟิลิปปินส์กรุยทางดันส่งออกเนื้อไก่ปรุงสุก ลูกไก่พันธุ์ เมล็ดปาล์มน้ํามัน พร้อมกระชับความร่วมมือด้านการเกษตรภายใต้เอ็มโอยูของสองประเทศ หวังลดอุปสรรคการค้าเอื้อเปิดตลาดสินค้าเกษตรระหว่างกันเพิ่ม นายกฤษฏา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับนางเมรี โจเอ แบร์นาร์โด – อารากน เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ประจําประเทศไทย ว่า สาระสําคัญที่ทั้งสองฝ่ายหารือร่วมกันครั้งนี้เพื่อขยายความร่วมมือด้านการเกษตร และการสินค้าเกษตรระหว่างไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ที่นอกจากทั้งสองประเทศเห็นพ้องร่วมกันผลักดันความร่วมมือภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างไทย-ฟิลิปปินส์ หรือ เอ็มโอยู ซึ่งครอบคลุมด้านพืช ประมง และปศุสัตว์ ผ่านการประชุมคณะทํางานร่วมทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่องตามพันธกรณีภายใต้เอ็มโอยูให้มีความก้าวหน้าและเกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริงแล้ว ทั้งฝ่ายยังได้หารือเรื่องการผลักดันการส่งออกสินค้าประเทศระหว่างกันเพิ่มขึ้นทั้งสินค้าเกษตรเดิม ไม่ว่าจะเป็นข้าว ซึ่งฟิลิปปินส์นําเข้าข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 ฟิลิปปินส์นําเข้าข้าวจากไทย มูลค่า 3,687 ล้านบาท เนื้อสัตว์ปีกปรุงสุกที่ล่าสุดฟิลิปปินส์ได้ให้การรับรองโรงงานผลิตเนื้อสัตว์แปรรูปปรุงสุกของไทยแล้วจํานวน 7 โรงงาน และอยู่ระหว่างการพิจารณาผลของทางการฟิลิปปินส์อีก 2 โรงงานแล้ว ยังรวมถึงสินค้าเกษตรใหม่ที่ได้ฝากทางท่านทูตติดตามความก้าวหน้าผลการพิจารณาการนําเข้าสินค้าเกษตจากไทยด้วย ได้แก่ ลูกไก่พันธุ์ และเมล็ดพันธุ์ปาล์มน้ํามันขณะที่ทางฟิลิปปินส์มีความประสงค์จะส่งออกอะโวคาโดมายังประเทศไทย รวมถึงพืชอีกจํานวน 8 รายการ ได้แก่ (1) สับปะรด ได้แก่ ผลสดและหน่อ (2) พริก ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ (3) มะละกอ ได้แก่ ผลสดและเมล็ดพันธุ์ (4) มะเขือเทศ ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ (5) กล้วย ได้แก่ ผลสดและต้นกล้า (เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ) (6) มะเขือ ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ (7) โกโก้ ได้แก่ ผลและเมล็ด และ (8) ข้าวโพด ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ ซึ่งฝ่ายไทยได้แจ้งความคืบหน้าว่าขณะนี้กําลังอยู่ระหว่างดําเนินการวิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืชโดยกรมวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากได้รับทราบผลการพิจารณาที่ชัดเจนจะแจ้งให้ทางฟิลิปปินส์รับทราบโดยเร็วต่อไป สําหรับสถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรระหว่าวไทย – ฟิลิปปินส์ ในปี 2660 มีมูลค่ารวม 28,345 ล้านบาทโดยไทยส่งออก 23,978 ล้านบาท ขณะที่มีการนําเข้า 4,366 ล้านบาท ซึ่งไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าจํานวน 19,612 ล้านบาท โดยสินค้าเกษตรส่งออกสําคัญจากไทยไปฟิลิปปินส์ เช่น ข้าว เมล็ดข้าวโพด นมถั่วเหลือง เป็นต้นขณะที่สินค้านําเข้าสําคัญ ๆ เช่น แป้งข้าวสาลี และปลาทูนาครีบเหลืองแช่แข็ง เป็นต้น กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กฤษฎา” ถกทูตฟิลิปปินส์กรุยทางดันส่งออกเนื้อไก่ปรุงสุก ลูกไก่พันธุ์ เมล็ดปาล์มน้ำมัน พร้อมกระชับความร่วมมือด้านการเกษตร วันพุธที่ 4 เมษายน 2561 “กฤษฎา” ถกทูตฟิลิปปินส์กรุยทางดันส่งออกเนื้อไก่ปรุงสุก ลูกไก่พันธุ์ เมล็ดปาล์มน้ํามัน พร้อมกระชับความร่วมมือด้านการเกษตร “กฤษฎา” ถกทูตฟิลิปปินส์กรุยทางดันส่งออกเนื้อไก่ปรุงสุก ลูกไก่พันธุ์ เมล็ดปาล์มน้ํามัน พร้อมกระชับความร่วมมือด้านการเกษตรภายใต้เอ็มโอยูของสองประเทศ หวังลดอุปสรรคการค้าเอื้อเปิดตลาดสินค้าเกษตรระหว่างกันเพิ่ม นายกฤษฏา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับนางเมรี โจเอ แบร์นาร์โด – อารากน เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอํานาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ประจําประเทศไทย ว่า สาระสําคัญที่ทั้งสองฝ่ายหารือร่วมกันครั้งนี้เพื่อขยายความร่วมมือด้านการเกษตร และการสินค้าเกษตรระหว่างไทยและสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ที่นอกจากทั้งสองประเทศเห็นพ้องร่วมกันผลักดันความร่วมมือภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างไทย-ฟิลิปปินส์ หรือ เอ็มโอยู ซึ่งครอบคลุมด้านพืช ประมง และปศุสัตว์ ผ่านการประชุมคณะทํางานร่วมทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่องตามพันธกรณีภายใต้เอ็มโอยูให้มีความก้าวหน้าและเกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริงแล้ว ทั้งฝ่ายยังได้หารือเรื่องการผลักดันการส่งออกสินค้าประเทศระหว่างกันเพิ่มขึ้นทั้งสินค้าเกษตรเดิม ไม่ว่าจะเป็นข้าว ซึ่งฟิลิปปินส์นําเข้าข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 ฟิลิปปินส์นําเข้าข้าวจากไทย มูลค่า 3,687 ล้านบาท เนื้อสัตว์ปีกปรุงสุกที่ล่าสุดฟิลิปปินส์ได้ให้การรับรองโรงงานผลิตเนื้อสัตว์แปรรูปปรุงสุกของไทยแล้วจํานวน 7 โรงงาน และอยู่ระหว่างการพิจารณาผลของทางการฟิลิปปินส์อีก 2 โรงงานแล้ว ยังรวมถึงสินค้าเกษตรใหม่ที่ได้ฝากทางท่านทูตติดตามความก้าวหน้าผลการพิจารณาการนําเข้าสินค้าเกษตจากไทยด้วย ได้แก่ ลูกไก่พันธุ์ และเมล็ดพันธุ์ปาล์มน้ํามันขณะที่ทางฟิลิปปินส์มีความประสงค์จะส่งออกอะโวคาโดมายังประเทศไทย รวมถึงพืชอีกจํานวน 8 รายการ ได้แก่ (1) สับปะรด ได้แก่ ผลสดและหน่อ (2) พริก ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ (3) มะละกอ ได้แก่ ผลสดและเมล็ดพันธุ์ (4) มะเขือเทศ ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ (5) กล้วย ได้แก่ ผลสดและต้นกล้า (เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ) (6) มะเขือ ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ (7) โกโก้ ได้แก่ ผลและเมล็ด และ (8) ข้าวโพด ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ ซึ่งฝ่ายไทยได้แจ้งความคืบหน้าว่าขณะนี้กําลังอยู่ระหว่างดําเนินการวิเคราะห์ความเสี่ยงศัตรูพืชโดยกรมวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากได้รับทราบผลการพิจารณาที่ชัดเจนจะแจ้งให้ทางฟิลิปปินส์รับทราบโดยเร็วต่อไป สําหรับสถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรระหว่าวไทย – ฟิลิปปินส์ ในปี 2660 มีมูลค่ารวม 28,345 ล้านบาทโดยไทยส่งออก 23,978 ล้านบาท ขณะที่มีการนําเข้า 4,366 ล้านบาท ซึ่งไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าจํานวน 19,612 ล้านบาท โดยสินค้าเกษตรส่งออกสําคัญจากไทยไปฟิลิปปินส์ เช่น ข้าว เมล็ดข้าวโพด นมถั่วเหลือง เป็นต้นขณะที่สินค้านําเข้าสําคัญ ๆ เช่น แป้งข้าวสาลี และปลาทูนาครีบเหลืองแช่แข็ง เป็นต้น กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11325
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘หม่อมเต่า’ห่วงแรงงานไทยในอิรัก - อิหร่าน สั่งทูตแรงงานสร้างการรับรู้ ประสาน กต.ใกล้ชิด
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563 ‘หม่อมเต่า’ห่วงแรงงานไทยในอิรัก - อิหร่าน สั่งทูตแรงงานสร้างการรับรู้ ประสาน กต.ใกล้ชิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยแรงงานไทยในอิรักและอิหร่าน กําชับทูตแรงงานเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์สร้างการรับรู้แก่แรงงานไทย พร้อมประสานสถานเอกอัครราชทูต กระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด อํานวยความสะดวกตามแผนอพยพคนไทยหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่านและอิรัก กรณีการสังหารนายกอซิม สุไลมานี นายพลเชื้อสายอิหร่านในอิรักว่า กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยพี่น้องแรงงานไทยที่ทํางานอยู่ในประเทศอิรักและอิหร่าน โดยได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สํานักงานแรงงานในประเทศซาอุดิอาระเบีย (กรุงริยาด) ซึ่งเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบดูแลแรงงานไทยในประเทศอิรัก และอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจําสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบดูแลแรงงานไทยในประเทศอิหร่าน เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์แจ้งข่าวสารให้แรงงานไทยทั้งสองประเทศรับทราบเป็นระยะ ม.ร.ว.จัตุมงคลฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน ยังได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงานฯ ทั้งสองประเทศ ประสานการดําเนินงานอย่างใกล้ชิดกับสถานกงสุล และเอกอัครราชทูตไทยประจําประเทศนั้นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการอํานวยความสะดวกแรงงานไทยและคนไทยในการอพยพหากสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นนอกจากนี้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ยังมีเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศเพื่อให้การช่วยเหลือแรงงานไทยที่ได้รับความเดือดร้อนในการไปทํางานในต่างประเทศตามขั้นตอนของกฎหมายอีกด้วย ทั้งนี้ ปัจจุบันมีแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานในประเทศอิหร่านจํานวน 257 คน และเดินทางไปทํางานในประเทศอิรักจํานวนประมาณ 25 คน ส่วนใหญ่ไปทํางานในตําแหน่งช่างเทคนิค กุ๊ก บริการนวด พนักงานบริการ ช่างเชื่อม งานประมง ผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘หม่อมเต่า’ห่วงแรงงานไทยในอิรัก - อิหร่าน สั่งทูตแรงงานสร้างการรับรู้ ประสาน กต.ใกล้ชิด วันจันทร์ที่ 6 มกราคม 2563 ‘หม่อมเต่า’ห่วงแรงงานไทยในอิรัก - อิหร่าน สั่งทูตแรงงานสร้างการรับรู้ ประสาน กต.ใกล้ชิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใยแรงงานไทยในอิรักและอิหร่าน กําชับทูตแรงงานเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์สร้างการรับรู้แก่แรงงานไทย พร้อมประสานสถานเอกอัครราชทูต กระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด อํานวยความสะดวกตามแผนอพยพคนไทยหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้น เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่านและอิรัก กรณีการสังหารนายกอซิม สุไลมานี นายพลเชื้อสายอิหร่านในอิรักว่า กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยพี่น้องแรงงานไทยที่ทํางานอยู่ในประเทศอิรักและอิหร่าน โดยได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สํานักงานแรงงานในประเทศซาอุดิอาระเบีย (กรุงริยาด) ซึ่งเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบดูแลแรงงานไทยในประเทศอิรัก และอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจําสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบดูแลแรงงานไทยในประเทศอิหร่าน เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์แจ้งข่าวสารให้แรงงานไทยทั้งสองประเทศรับทราบเป็นระยะ ม.ร.ว.จัตุมงคลฯ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน ยังได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงานฯ ทั้งสองประเทศ ประสานการดําเนินงานอย่างใกล้ชิดกับสถานกงสุล และเอกอัครราชทูตไทยประจําประเทศนั้นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการอํานวยความสะดวกแรงงานไทยและคนไทยในการอพยพหากสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นนอกจากนี้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ยังมีเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศเพื่อให้การช่วยเหลือแรงงานไทยที่ได้รับความเดือดร้อนในการไปทํางานในต่างประเทศตามขั้นตอนของกฎหมายอีกด้วย ทั้งนี้ ปัจจุบันมีแรงงานไทยที่เดินทางไปทํางานในประเทศอิหร่านจํานวน 257 คน และเดินทางไปทํางานในประเทศอิรักจํานวนประมาณ 25 คน ส่วนใหญ่ไปทํางานในตําแหน่งช่างเทคนิค กุ๊ก บริการนวด พนักงานบริการ ช่างเชื่อม งานประมง ผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25620
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดฯ เข้าร่วมการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการฯ โดยมี นายกฯเป็นประธาน
วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดฯ เข้าร่วมการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการฯ โดยมี นายกฯเป็นประธาน ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัล และหน่วยงานในสังกัดฯ เข้าร่วมการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2561 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น โดยได้มีการนําเสนอผลการดําเนินภารกิจสําคัญของกระทรวงฯ ให้ที่ประชุมได้รับทราบ โดยแบ่งเป็น 5 ด้านหลัก ได้แก่ ด้าน Digital Infrastructure ด้าน Digital Manpower ด้าน Digital Applications & Technology Development ด้าน Digital Government และด้าน Cyber Security นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังได้เสนอขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนงานสําคัญใน 5 ภารกิจ ประกอบด้วย 1) การบูรณาการข้อมูลและใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) 2) นโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล 3) ด้าน Cybersecurity 4) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลสําหรับ EEC และ 5) ด้าน Startup ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ มีความตั้งใจให้ประชาชนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเท่าเทียม ตลอดจนผลักดันให้เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นนวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวแบบก้าวกระโดด เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับการแข่งขันของภาคธุรกิจของประเทศให้สูงขึ้นผ่านโครงการต่างๆ ของกระทรวงฯ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 ณ อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ **********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดฯ เข้าร่วมการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการฯ โดยมี นายกฯเป็นประธาน วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม 2561 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมด้วยผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดฯ เข้าร่วมการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการฯ โดยมี นายกฯเป็นประธาน ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงดิจิทัล และหน่วยงานในสังกัดฯ เข้าร่วมการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2561 โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น โดยได้มีการนําเสนอผลการดําเนินภารกิจสําคัญของกระทรวงฯ ให้ที่ประชุมได้รับทราบ โดยแบ่งเป็น 5 ด้านหลัก ได้แก่ ด้าน Digital Infrastructure ด้าน Digital Manpower ด้าน Digital Applications & Technology Development ด้าน Digital Government และด้าน Cyber Security นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังได้เสนอขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนงานสําคัญใน 5 ภารกิจ ประกอบด้วย 1) การบูรณาการข้อมูลและใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) 2) นโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล 3) ด้าน Cybersecurity 4) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลสําหรับ EEC และ 5) ด้าน Startup ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ มีความตั้งใจให้ประชาชนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเท่าเทียม ตลอดจนผลักดันให้เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นนวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวแบบก้าวกระโดด เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับการแข่งขันของภาคธุรกิจของประเทศให้สูงขึ้นผ่านโครงการต่างๆ ของกระทรวงฯ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 ณ อาคารไปรษณีย์กลาง ถนนเจริญกรุง เขตบางรัก กรุงเทพฯ **********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11976
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จัดทำโครงการ CSR “EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด” เยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในสังคม [กระทรวงการคลัง]
วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563 EXIM BANK จัดทําโครงการ CSR “EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด” เยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในสังคม [กระทรวงการคลัง] จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในสังคม EXIM BANK จึงได้จัดทําโครงการ EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด โดยบริหารจัดการองค์กรเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 เข้าสู่สังคม ควบคู่กับการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 EXIM BANK จัดทําโครงการ CSR “EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด” เยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในสังคม นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในสังคม EXIM BANK จึงได้จัดทําโครงการ EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด โดยบริหารจัดการองค์กรเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 เข้าสู่สังคม ควบคู่กับการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยจัดให้มีมาตรการสําหรับลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจและลงทุน คลินิกให้คําปรึกษาแนะนําทางการเงินแก่ผู้ประกอบการทั่วไป โครงการสนับสนุนธุรกิจเกษตรผ่านเครือข่ายพันธมิตร และกิจกรรมเพื่อสังคม กิจกรรมเพื่อสังคมของ EXIM BANK เพื่อเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมมูลค่า 1,600,000 บาท ประกอบด้วย • การยกเว้นค่าเช่าพื้นที่ให้แก่ร้านค้าและร้านอาหารที่อาคารเอ็กซิม เป็นเวลา 3 เดือน • การจัดกิจกรรมระดมทุนผู้บริหารและพนักงานและเงินบริจาคสมทบในนามธนาคารเพื่อซื้อเครื่องมือแพทย์สําหรับรักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วยโควิด-19 ผ่านคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จํานวน 437,500 บาท • การจัดทําและส่งมอบหน้ากาก Face Shield 5,000 ชิ้น และน้ําดื่มบรรจุขวด 10,000 ขวดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุข และพนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในสังกัดกรุงเทพมหานคร • การสนับสนุนซื้อหน้ากาก Face Shield 2,000 ชิ้น จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสมทบรายได้ในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลรัฐ และส่งมอบ Face Shield ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขในสถานพยาบาลต่างจังหวัด • การสนับสนุนวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรมแพทย์ทหารบก และบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) ผลิตตู้ความดันลบ (Negative Pressure Cabinet) จํานวน 10 ตู้ เพื่อส่งมอบให้โรงพยาบาลชุมชนในต่างจังหวัดใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ช่วยป้องกันการติดเชื้อไปยังบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยอื่นในบริเวณข้างเคียง • การจัดทําและส่งมอบถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ป้องกันการแพร่เชื้อไวรัส จํานวน 1,400 ถุง โดยอุดหนุนสินค้าของลูกค้า ธสน. และองค์กรการกุศล ส่งมอบให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยผ่านมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เป็นต้น “นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 EXIM BANK มีนโยบายมุ่งเน้นการบริหารจัดการองค์กร โดยดูแลสภาพแวดล้อมและกระบวนการทํางาน เพื่อให้ธนาคารสามารถให้บริการลูกค้าและผู้มาติดต่อใช้บริการได้อย่างต่อเนื่องด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ควบคู่กับการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับลูกค้า ผู้ใช้บริการ และผู้ประกอบธุรกิจส่งออกและลงทุน โดยสอดคล้องกับภารกิจของ EXIM BANK รวมทั้งการขยายความช่วยเหลือไปสู่ชุมชนและสังคมผ่านเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ทุกภาคส่วนก้าวผ่านสถานการณ์ความยากลําบากไปได้ในที่สุด” นายพิศิษฐ์กล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4 EXIM Thailand Launches “EXIM COVID-19 Relief” CSR Project To Assist COVID-19 Victims in Society Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that, due to the COVID-19 pandemic that has ravaged all sectors in the society, EXIM Thailand has launched the EXIM COVID-19 Relief CSR Project comprising intra-organizational healthcare promotion and other preventive measures to stop the spread of Coronavirus (Covid-19) into nearby communities in parallel with remedial programs and assistance to those adversely affected by the virus. The Bank has made available assistance schemes for clients, business operators and investors, a clinic to give financial advice to entrepreneurs in general, an agricultural business support package in collaboration with alliances, and social activities. EXIM Thailand’s social activities to relieve impact from COVID-19, worth 1.6 million baht in total, comprise: • Waiver of space rental fees for shops and restaurants in EXIM Building for 3 months. • Organizing a fund-raising activity among the Bank’s executives and staff in conjunction with donation by the Bank to purchase medical devices for treatment of COVID-19 patients through Faculty of Medicine, Ramathibodi Hospital, in a total amount of 437,500 baht. • Preparation and handover of 5,000 face shields and 10,000 bottles of drinking water to medical staff in hospitals and public health service centers as well as employees who are on duty in Bangkok areas exposed to risk of human infection. • Support for purchase of 2,000 face shields from the Federation of Thai Industries as part of contribution of funds for acquisition of medical equipment for public hospitals and handover of face shields to medical and public health staff in provincial healthcare facilities. • Support for the Engineering Institute of Thailand under H.M. The King’s Patronage, Royal Thai Army Medical Department, and Italian-Thai Development Plc. in the production of ten negative pressure cabinets to be delivered to community hospitals in the upcountry for treatment of COVID-19 patients and protection of medical staff and non-COVID patients in nearby areas against infection with the virus. • Preparation and handover of 1,400 relief bags containing rice, dried foods, medical supplies, and virus preventive supplies, which are purchased from the Bank’s clients and charitable organizations for handover to low-income earners through Friends in Need (of “PA”) Volunteers Foundation, Thai Red Cross, etc. “Since the COVID-19 outbreak, EXIM Thailand has focused on administering and managing the organization in respect of both work process and work environment so that we can offer services to our clients and parties in contact uninterruptedly and with social responsibility alongside assisting and relieving impact on our clients, exporters and investors in line with EXIM Thailand’s mission. Our assistance is also extended to the community and the society through our public and private alliance network. This aims to ensure that all sectors in the society can weather this contagion situation,” added Mr. Pisit. For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4 https://bit.ly/2VItwhX
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จัดทำโครงการ CSR “EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด” เยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในสังคม [กระทรวงการคลัง] วันอังคารที่ 28 เมษายน 2563 EXIM BANK จัดทําโครงการ CSR “EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด” เยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในสังคม [กระทรวงการคลัง] จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในสังคม EXIM BANK จึงได้จัดทําโครงการ EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด โดยบริหารจัดการองค์กรเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 เข้าสู่สังคม ควบคู่กับการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 EXIM BANK จัดทําโครงการ CSR “EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด” เยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในสังคม นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในสังคม EXIM BANK จึงได้จัดทําโครงการ EXIM ร่วมใจสู้ภัยโควิด โดยบริหารจัดการองค์กรเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโควิด-19 เข้าสู่สังคม ควบคู่กับการเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยจัดให้มีมาตรการสําหรับลูกค้าและผู้ประกอบธุรกิจและลงทุน คลินิกให้คําปรึกษาแนะนําทางการเงินแก่ผู้ประกอบการทั่วไป โครงการสนับสนุนธุรกิจเกษตรผ่านเครือข่ายพันธมิตร และกิจกรรมเพื่อสังคม กิจกรรมเพื่อสังคมของ EXIM BANK เพื่อเยียวยาและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมมูลค่า 1,600,000 บาท ประกอบด้วย • การยกเว้นค่าเช่าพื้นที่ให้แก่ร้านค้าและร้านอาหารที่อาคารเอ็กซิม เป็นเวลา 3 เดือน • การจัดกิจกรรมระดมทุนผู้บริหารและพนักงานและเงินบริจาคสมทบในนามธนาคารเพื่อซื้อเครื่องมือแพทย์สําหรับรักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วยโควิด-19 ผ่านคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี จํานวน 437,500 บาท • การจัดทําและส่งมอบหน้ากาก Face Shield 5,000 ชิ้น และน้ําดื่มบรรจุขวด 10,000 ขวดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุข และพนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในสังกัดกรุงเทพมหานคร • การสนับสนุนซื้อหน้ากาก Face Shield 2,000 ชิ้น จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อสมทบรายได้ในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ให้โรงพยาบาลรัฐ และส่งมอบ Face Shield ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขในสถานพยาบาลต่างจังหวัด • การสนับสนุนวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรมแพทย์ทหารบก และบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) ผลิตตู้ความดันลบ (Negative Pressure Cabinet) จํานวน 10 ตู้ เพื่อส่งมอบให้โรงพยาบาลชุมชนในต่างจังหวัดใช้ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ช่วยป้องกันการติดเชื้อไปยังบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยอื่นในบริเวณข้างเคียง • การจัดทําและส่งมอบถุงยังชีพ ข้าวสาร อาหารแห้ง เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ป้องกันการแพร่เชื้อไวรัส จํานวน 1,400 ถุง โดยอุดหนุนสินค้าของลูกค้า ธสน. และองค์กรการกุศล ส่งมอบให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยผ่านมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เป็นต้น “นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 EXIM BANK มีนโยบายมุ่งเน้นการบริหารจัดการองค์กร โดยดูแลสภาพแวดล้อมและกระบวนการทํางาน เพื่อให้ธนาคารสามารถให้บริการลูกค้าและผู้มาติดต่อใช้บริการได้อย่างต่อเนื่องด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม ควบคู่กับการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับลูกค้า ผู้ใช้บริการ และผู้ประกอบธุรกิจส่งออกและลงทุน โดยสอดคล้องกับภารกิจของ EXIM BANK รวมทั้งการขยายความช่วยเหลือไปสู่ชุมชนและสังคมผ่านเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ทุกภาคส่วนก้าวผ่านสถานการณ์ความยากลําบากไปได้ในที่สุด” นายพิศิษฐ์กล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4120-4 EXIM Thailand Launches “EXIM COVID-19 Relief” CSR Project To Assist COVID-19 Victims in Society Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed that, due to the COVID-19 pandemic that has ravaged all sectors in the society, EXIM Thailand has launched the EXIM COVID-19 Relief CSR Project comprising intra-organizational healthcare promotion and other preventive measures to stop the spread of Coronavirus (Covid-19) into nearby communities in parallel with remedial programs and assistance to those adversely affected by the virus. The Bank has made available assistance schemes for clients, business operators and investors, a clinic to give financial advice to entrepreneurs in general, an agricultural business support package in collaboration with alliances, and social activities. EXIM Thailand’s social activities to relieve impact from COVID-19, worth 1.6 million baht in total, comprise: • Waiver of space rental fees for shops and restaurants in EXIM Building for 3 months. • Organizing a fund-raising activity among the Bank’s executives and staff in conjunction with donation by the Bank to purchase medical devices for treatment of COVID-19 patients through Faculty of Medicine, Ramathibodi Hospital, in a total amount of 437,500 baht. • Preparation and handover of 5,000 face shields and 10,000 bottles of drinking water to medical staff in hospitals and public health service centers as well as employees who are on duty in Bangkok areas exposed to risk of human infection. • Support for purchase of 2,000 face shields from the Federation of Thai Industries as part of contribution of funds for acquisition of medical equipment for public hospitals and handover of face shields to medical and public health staff in provincial healthcare facilities. • Support for the Engineering Institute of Thailand under H.M. The King’s Patronage, Royal Thai Army Medical Department, and Italian-Thai Development Plc. in the production of ten negative pressure cabinets to be delivered to community hospitals in the upcountry for treatment of COVID-19 patients and protection of medical staff and non-COVID patients in nearby areas against infection with the virus. • Preparation and handover of 1,400 relief bags containing rice, dried foods, medical supplies, and virus preventive supplies, which are purchased from the Bank’s clients and charitable organizations for handover to low-income earners through Friends in Need (of “PA”) Volunteers Foundation, Thai Red Cross, etc. “Since the COVID-19 outbreak, EXIM Thailand has focused on administering and managing the organization in respect of both work process and work environment so that we can offer services to our clients and parties in contact uninterruptedly and with social responsibility alongside assisting and relieving impact on our clients, exporters and investors in line with EXIM Thailand’s mission. Our assistance is also extended to the community and the society through our public and private alliance network. This aims to ensure that all sectors in the society can weather this contagion situation,” added Mr. Pisit. For further information, please contact Sustainable Development and Corporate Communication Department Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4120-4 https://bit.ly/2VItwhX
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29928
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"พม. เราไม่ทิ้งกัน" ปลัด พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ย่านดอนเมือง กทม.
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 "พม. เราไม่ทิ้งกัน" ปลัด พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ย่านดอนเมือง กทม. "พม. เราไม่ทิ้งกัน" ปลัด พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ย่านดอนเมือง กทม. วันนี้ (24 ก.ค. 63) เวลา 14.00 น. นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ลงพื้นที่ ณ ชุมชนเลียบคูนายกิม 3 (ร่มไทรงามพัฒนา) ถนนสรงประภา แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เพื่อพบปะเยี่ยมให้กําลังใจและช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย จํานวน 15 ครอบครัว ที่ประสบปัญหาความยากลําบากจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) นายปรเมธี กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่เด็กแรกเกิด เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง จึงจําเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด ซึ่งวันนี้ ตนพร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สํานักงานเขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) เป็นต้น ร่วมกันลงพื้นที่เพื่อพบปะเยี่ยมให้กําลังใจและช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายเปราะบาง จํานวน 15 ครอบครัว ณ ชุมชนเลียบคูนายกิม 3 (ร่มไทรงามพัฒนา) ซึ่งเป็นชุมชนที่ไม่ได้จดทะเบียนกับกรุงเทพมหานคร และไม่มีหน่วยงานภาครัฐเป็นเจ้าภาพดูแล ส่งผลให้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการสังคมและบริการต่างๆ จากภาครัฐได้อย่างเต็มที่และทั่วถึง พบว่า ขุมชนดังกล่าวมีจํานวนประชากร 244 คน 91 ครอบครัว โดยมีประชาชนกลุ่มเป้าหมายเปราะบาง ประกอบด้วย 1) เด็กและเยาวชน จํานวน 41 คน 2) คนพิการ จํานวน 12 คน 3) ผู้ป่วยติดเตียง จํานวน 3 คน และ 4) ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จํานวน 54 คน โดยชุมชนอยู่อาศัยมาประมาณ 40 ปี บนที่ดินเช่าของเอกชนและมีการบุกรุกที่ดินเอกชนด้วย ซึ่งปัจจุบันได้ถูกไล่รื้อบ้านบางส่วน ทําให้จําเป็นต้องหาที่อยู่อาศัยใหม่ อีกทั้งประชาชนในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย เก็บขยะของเก่าขาย และรับจ้างทั่วไป ทําให้มีรายได้ไม่แน่นอน และยิ่งได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทําให้มีรายได้ไม่เพียงพอสําหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวัน นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า การลงพื้นที่ชุมชนในวันนี้ กระทรวง พม. ได้รับฟังปัญหาและความต้องการของชุมชน พร้อมทั้งหารือร่วมกันถึงแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน พร้อมทั้งบูรณาการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้มอบถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า รวมทั้งธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) นําโดย คุณอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกิจกรรมเพื่อสังคม ได้มอบถุงปันสุข SCB จํานวน 100 ชุด และถุงปันสุขสําหรับเด็ก จํานวน 80 ชุด นอกจากนี้ ยังมีการออกบูธจากกรมการจัดหางานและกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เพื่อแนะนําตําแหน่งงานให้กับประชาชนในชุมชนที่ว่างงานและตกงาน ทั้งนี้ หากชุมชนและประชาชนกําลังประสบปัญหาความเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 สามารถขอความช่วยเหลือมายังศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"พม. เราไม่ทิ้งกัน" ปลัด พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ย่านดอนเมือง กทม. วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 "พม. เราไม่ทิ้งกัน" ปลัด พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ย่านดอนเมือง กทม. "พม. เราไม่ทิ้งกัน" ปลัด พม. จับมือภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่ช่วยกลุ่มเปราะบางที่เดือดร้อนจากโรคโควิด-19 ย่านดอนเมือง กทม. วันนี้ (24 ก.ค. 63) เวลา 14.00 น. นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ลงพื้นที่ ณ ชุมชนเลียบคูนายกิม 3 (ร่มไทรงามพัฒนา) ถนนสรงประภา แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เพื่อพบปะเยี่ยมให้กําลังใจและช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย จํานวน 15 ครอบครัว ที่ประสบปัญหาความยากลําบากจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) นายปรเมธี กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่เด็กแรกเกิด เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง จึงจําเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด ซึ่งวันนี้ ตนพร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สํานักงานเขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) เป็นต้น ร่วมกันลงพื้นที่เพื่อพบปะเยี่ยมให้กําลังใจและช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายเปราะบาง จํานวน 15 ครอบครัว ณ ชุมชนเลียบคูนายกิม 3 (ร่มไทรงามพัฒนา) ซึ่งเป็นชุมชนที่ไม่ได้จดทะเบียนกับกรุงเทพมหานคร และไม่มีหน่วยงานภาครัฐเป็นเจ้าภาพดูแล ส่งผลให้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิสวัสดิการสังคมและบริการต่างๆ จากภาครัฐได้อย่างเต็มที่และทั่วถึง พบว่า ขุมชนดังกล่าวมีจํานวนประชากร 244 คน 91 ครอบครัว โดยมีประชาชนกลุ่มเป้าหมายเปราะบาง ประกอบด้วย 1) เด็กและเยาวชน จํานวน 41 คน 2) คนพิการ จํานวน 12 คน 3) ผู้ป่วยติดเตียง จํานวน 3 คน และ 4) ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จํานวน 54 คน โดยชุมชนอยู่อาศัยมาประมาณ 40 ปี บนที่ดินเช่าของเอกชนและมีการบุกรุกที่ดินเอกชนด้วย ซึ่งปัจจุบันได้ถูกไล่รื้อบ้านบางส่วน ทําให้จําเป็นต้องหาที่อยู่อาศัยใหม่ อีกทั้งประชาชนในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย เก็บขยะของเก่าขาย และรับจ้างทั่วไป ทําให้มีรายได้ไม่แน่นอน และยิ่งได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทําให้มีรายได้ไม่เพียงพอสําหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวัน นายปรเมธี กล่าวต่อไปว่า การลงพื้นที่ชุมชนในวันนี้ กระทรวง พม. ได้รับฟังปัญหาและความต้องการของชุมชน พร้อมทั้งหารือร่วมกันถึงแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของชุมชน พร้อมทั้งบูรณาการทํางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังได้มอบถุงยังชีพและเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า รวมทั้งธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) นําโดย คุณอารยา ภู่พานิช รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานกิจกรรมเพื่อสังคม ได้มอบถุงปันสุข SCB จํานวน 100 ชุด และถุงปันสุขสําหรับเด็ก จํานวน 80 ชุด นอกจากนี้ ยังมีการออกบูธจากกรมการจัดหางานและกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน เพื่อแนะนําตําแหน่งงานให้กับประชาชนในชุมชนที่ว่างงานและตกงาน ทั้งนี้ หากชุมชนและประชาชนกําลังประสบปัญหาความเดือดร้อนจากโรคโควิด-19 สามารถขอความช่วยเหลือมายังศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33667
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ประชุม คกก. พิจารณาและจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีของกระทรวงแรงงาน
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561 ก.แรงงาน ประชุม คกก. พิจารณาและจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีของกระทรวงแรงงาน วันที่ 25 มิถุนายน 2561 เวลา 15.30 น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาและจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีของกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 1/2561 วันที่ 25 มิถุนายน 2561 เวลา 15.30 น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาและจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีของกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 1/2561 ณ ห้องประชุมตรีเทพ ชั้น 7 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับเอกสารการชี้แจงงบประมาณกระทรวงแรงงาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และมอบหมายผู้เข้าชี้แจงงบประมาณในภาพรวมของกระทรวงแรงงาน ----------------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 25 มิถุนายน 2561 ชาญชัย ชาวหนองเพียร ภาพ/ข่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ประชุม คกก. พิจารณาและจัดทำงบประมาณรายจ่าย ประจำปีของกระทรวงแรงงาน วันอังคารที่ 26 มิถุนายน 2561 ก.แรงงาน ประชุม คกก. พิจารณาและจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีของกระทรวงแรงงาน วันที่ 25 มิถุนายน 2561 เวลา 15.30 น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาและจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีของกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 1/2561 วันที่ 25 มิถุนายน 2561 เวลา 15.30 น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาและจัดทํางบประมาณรายจ่าย ประจําปีของกระทรวงแรงงาน ครั้งที่ 1/2561 ณ ห้องประชุมตรีเทพ ชั้น 7 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับเอกสารการชี้แจงงบประมาณกระทรวงแรงงาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และมอบหมายผู้เข้าชี้แจงงบประมาณในภาพรวมของกระทรวงแรงงาน ----------------------------------------------- กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 25 มิถุนายน 2561 ชาญชัย ชาวหนองเพียร ภาพ/ข่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13360
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ชื่นชมคลินิกหมอครอบครัวคลองศาลา ประชาชนพึงพอใจ กว่าร้อยละ 91
วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 ปลัด สธ. ชื่นชมคลินิกหมอครอบครัวคลองศาลา ประชาชนพึงพอใจ กว่าร้อยละ 91 ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมคลินิกหมอครอบครัวคลองศาลา จัดบริการแบบ One stop service ทําให้ระยะเวลารอคอยน้อยกว่าเวลารอคอยในโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ประชาชนพึงพอใจ กว่าร้อยละ91ยกระดับคุณภาพประสิทธิภาพการบริการดังสโลแกน “บริการทุกคน ทุกที่ ทุกอย่าง และทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี” วันนี้ (20กรกฎาคม2560) นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์ ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขและคณะ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานคลินิกหมอครอบครัวคลองศาลา (PCCคลองศาลา) อําเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่ากระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายขับเคลื่อนระบบบริการปฐมภูมิ พัฒนางานคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care ClusterหรือPCC)โดยให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลรวมกันเป็นเครือข่ายบริการระดับปฐมภูมิ เพิ่มแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวเข้าไปเติมเต็ม ทํางานร่วมกับสหวิชาชีพที่มีอยู่ทั้งหมดในระบบ และอาสาสมัครสาธารณสุข เพื่อลดความเหลื่อมล้ําด้านบริการสุขภาพ โดยเฉพาะบริการปฐมภูมิในเขตเมืองบางพื้นที่การเข้าถึงบริการในโรคพื้นฐานทั่วไปค่อนข้างยากลําบาก รวมทั้งให้บริการประชาชนในเขตชนบทได้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสถานบริการในรูปแบบของการบริการใกล้บ้านใกล้ใจแบบองค์รวม ครบทุกมิติ เน้น“บริการทุกคน ทุกที่ ทุกอย่าง และทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี”มุ่งสู่ประชาชนสุขภาพดีเจ้าหน้าที่มีความสุขระบบสุขภาพยั่งยืน นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สําหรับPCCคลองศาลา ของโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ เป็นการบริหารแบบเขตเมือง ได้พัฒนากระบวนการดําเนินงานด้านต่างๆ อาทิ ด้านการบริหารจัดการให้ชุมชนมีส่วนร่วมตามแนวทางประชารัฐ โดยจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาคลินิกหมอครอบครัวโดยมีนายกเทศมนตรีเป็นประธานทําให้เกิดระบบบริการร่วมกับชุมชนได้แก่1.จัดบริการพื้นฐาน(Essential care)ทั้งการดูแลรักษาเบื้องต้น การดูแลภาวะฉุกเฉิน การดูแลโรคเรื้อรังโดยชุมชนมีส่วนร่วม และการจัดโรงเรียนเบาหวานร่วมกับชุมชน2.การสร้างความร่วมมือกับภาคีต่างๆและภาคเอกชน อาทิ การสร้างเครือข่ายชมรมสร้างสุขภาพต่างๆ3.การดูแลที่บ้าน(Home-based care)บริการที่บ้านโดยแบ่งตามระดับความรุนแรงของผู้ป่วย อาทิ ผู้ป่วยที่จําเป็นต้องให้การพยาบาลหรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูที่บ้าน ระบบดูแลต่อเนื่องระยะยาว สําหรับผู้มีภาวะพึ่งพิง(Long term care) 4.การส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ดําเนินการป้องกันโรคโดยทีมร่วมระหว่างเทศบาลกับโรงพยาบาล และชุมชน อาทิ ระบบการดูแลปัญหาพฤติกรรมเด็กวัยเรียนแบบบูรณาการในโรงเรียน คลินิกส่งเสริมสุขภาพ คลินิกเสริมสร้างทักษะการดูแลตนเองสําหรับโรคเรื้อรัง เป็นต้น ทั้งนี้การดําเนินงานของPCCคลองศาลาทําให้สัดส่วนของประชาชนในเขตเทศบาลมาใช้บริการที่คลองศาลาเทียบกับโรงพยาบาลเพชรบูรณ์เพิ่มขึ้น ผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลที่บ้านมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นบริการแบบOne stop serviceทําให้ระยะเวลารอคอย(Waiting time)น้อยกว่าระยะเวลารอคอยในโรงพยาบาลเพชรบูรณ์3-5เท่า ของเวลารอคอยที่แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลเพชรบูรณ์สร้างความพึงพอใจของประชาชนในเขตเทศบาล กว่าร้อยละ 91.25 โดยพื้นฐานทั้งหมดเป็นการดูแลแบบเชิงรุก เน้นการป้องกันก่อนเจ็บป่วยในทุกกระบวนการดูแล เพื่อลดความเจ็บป่วยตามแนวคิด “สร้างนําซ่อม”และใช้การดูแลร่วมกับชุมชน *********************************************20กรกฎาคม2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ชื่นชมคลินิกหมอครอบครัวคลองศาลา ประชาชนพึงพอใจ กว่าร้อยละ 91 วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 ปลัด สธ. ชื่นชมคลินิกหมอครอบครัวคลองศาลา ประชาชนพึงพอใจ กว่าร้อยละ 91 ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชื่นชมคลินิกหมอครอบครัวคลองศาลา จัดบริการแบบ One stop service ทําให้ระยะเวลารอคอยน้อยกว่าเวลารอคอยในโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ ประชาชนพึงพอใจ กว่าร้อยละ91ยกระดับคุณภาพประสิทธิภาพการบริการดังสโลแกน “บริการทุกคน ทุกที่ ทุกอย่าง และทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี” วันนี้ (20กรกฎาคม2560) นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์ ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขและคณะ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานคลินิกหมอครอบครัวคลองศาลา (PCCคลองศาลา) อําเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่ากระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายขับเคลื่อนระบบบริการปฐมภูมิ พัฒนางานคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care ClusterหรือPCC)โดยให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลรวมกันเป็นเครือข่ายบริการระดับปฐมภูมิ เพิ่มแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวเข้าไปเติมเต็ม ทํางานร่วมกับสหวิชาชีพที่มีอยู่ทั้งหมดในระบบ และอาสาสมัครสาธารณสุข เพื่อลดความเหลื่อมล้ําด้านบริการสุขภาพ โดยเฉพาะบริการปฐมภูมิในเขตเมืองบางพื้นที่การเข้าถึงบริการในโรคพื้นฐานทั่วไปค่อนข้างยากลําบาก รวมทั้งให้บริการประชาชนในเขตชนบทได้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสถานบริการในรูปแบบของการบริการใกล้บ้านใกล้ใจแบบองค์รวม ครบทุกมิติ เน้น“บริการทุกคน ทุกที่ ทุกอย่าง และทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี”มุ่งสู่ประชาชนสุขภาพดีเจ้าหน้าที่มีความสุขระบบสุขภาพยั่งยืน นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า สําหรับPCCคลองศาลา ของโรงพยาบาลเพชรบูรณ์ เป็นการบริหารแบบเขตเมือง ได้พัฒนากระบวนการดําเนินงานด้านต่างๆ อาทิ ด้านการบริหารจัดการให้ชุมชนมีส่วนร่วมตามแนวทางประชารัฐ โดยจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาคลินิกหมอครอบครัวโดยมีนายกเทศมนตรีเป็นประธานทําให้เกิดระบบบริการร่วมกับชุมชนได้แก่1.จัดบริการพื้นฐาน(Essential care)ทั้งการดูแลรักษาเบื้องต้น การดูแลภาวะฉุกเฉิน การดูแลโรคเรื้อรังโดยชุมชนมีส่วนร่วม และการจัดโรงเรียนเบาหวานร่วมกับชุมชน2.การสร้างความร่วมมือกับภาคีต่างๆและภาคเอกชน อาทิ การสร้างเครือข่ายชมรมสร้างสุขภาพต่างๆ3.การดูแลที่บ้าน(Home-based care)บริการที่บ้านโดยแบ่งตามระดับความรุนแรงของผู้ป่วย อาทิ ผู้ป่วยที่จําเป็นต้องให้การพยาบาลหรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูที่บ้าน ระบบดูแลต่อเนื่องระยะยาว สําหรับผู้มีภาวะพึ่งพิง(Long term care) 4.การส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ดําเนินการป้องกันโรคโดยทีมร่วมระหว่างเทศบาลกับโรงพยาบาล และชุมชน อาทิ ระบบการดูแลปัญหาพฤติกรรมเด็กวัยเรียนแบบบูรณาการในโรงเรียน คลินิกส่งเสริมสุขภาพ คลินิกเสริมสร้างทักษะการดูแลตนเองสําหรับโรคเรื้อรัง เป็นต้น ทั้งนี้การดําเนินงานของPCCคลองศาลาทําให้สัดส่วนของประชาชนในเขตเทศบาลมาใช้บริการที่คลองศาลาเทียบกับโรงพยาบาลเพชรบูรณ์เพิ่มขึ้น ผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลที่บ้านมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นบริการแบบOne stop serviceทําให้ระยะเวลารอคอย(Waiting time)น้อยกว่าระยะเวลารอคอยในโรงพยาบาลเพชรบูรณ์3-5เท่า ของเวลารอคอยที่แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลเพชรบูรณ์สร้างความพึงพอใจของประชาชนในเขตเทศบาล กว่าร้อยละ 91.25 โดยพื้นฐานทั้งหมดเป็นการดูแลแบบเชิงรุก เน้นการป้องกันก่อนเจ็บป่วยในทุกกระบวนการดูแล เพื่อลดความเจ็บป่วยตามแนวคิด “สร้างนําซ่อม”และใช้การดูแลร่วมกับชุมชน *********************************************20กรกฎาคม2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5351
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมชี้แจงเตรียมการจัดตั้งสำนักงานศึกษาธิการภาค และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด
วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560 การประชุมชี้แจงเตรียมการจัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค และสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานในการประชุมชี้แจงเตรียมการจัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค และสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด สังกั ~~นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานในการประชุมชี้แจงเตรียมการจัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค และสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560 ณ โรงแรมปรินซ์ พาเลซ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ศึกษาธิการภาค รองศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ผู้อํานวยการสํานักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกว่า 500 คน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการเตรียมดําเนินการตามคําสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาตรา 44 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการด้านการศึกษาระดับภูมิภาค จึงต้องชี้แจงและทําความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องของกรอบแนวทางการดําเนินงาน การปฏิบัติงานเชิงพื้นที่ การมอบอํานาจและการแบ่งงาน ตลอดจนโครงสร้างต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทํางานและการขับเคลื่อนนโยบายตามยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี ของรัฐบาล และแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 ที่จะส่งผลให้การปฏิรูปการศึกษาในยุคนี้เกิดผลโดยตรงต่อครูและผู้เรียนอย่างชัดเจน เพราะเป็นการดําเนินงานลงไปสู่ระดับปฏิบัติในพื้นที่ ที่จะส่งผลตรงไปถึงตัวเด็กจริง ๆ ภายใต้การบริหารจัดการการทํางานระดับพื้นที่ตามโครงสร้าง ตามหลักกฎหมาย และคํานึงถึงความเป็นมนุษย์เป็นหลัก ทั้งนี้ ขอย้ําให้มีการแบ่งงานระหว่างสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการยกระดับภาษาอังกฤษ โครงการพัฒนาครู ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นจุดเน้นนโยบายที่สําคัญของกระทรวงศึกษาธิการและมีความก้าวหน้าการดําเนินงานไปมากแล้ว อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจก่อให้เกิดความไม่พอใจของคนบางกลุ่มที่เสียประโยชน์ เสียกําลังคนพร้อม ๆ กับงบประมาณที่จะตามคนไปด้วย ดังนั้น จึงขอให้หารือร่วมกันดี ๆ พูดคุยกันแบบกัลยาณมิตร เสนอความเห็นแบบตรงไปตรงมา เพื่อให้มีการบูรณาการการทํางาน ไม่ใช่การแย่งงานกัน ตลอดจนการบริหารงานบุคคลที่จะเกิดตําแหน่งขึ้นใหม่ โดยส่วนตัวจะให้โอกาสผู้ที่มีความอาวุโสก่อน เรื่องนี้แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ถือว่ามีความสําคัญมากในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลง จึงต้องคิดร่วมกันว่าจะอยู่อย่างไร ใครจะบังคับบัญชาใคร ใครจะต้องลาใคร เมื่อได้ข้อสรุปร่วมกันอย่างชัดเจนในการดําเนินงานช่วงแรก ก็จะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง สิ่งสําคัญคือขอให้ทุกคนนึกถึงครูและเด็กให้มาก ๆ อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการเดินหน้าทํางานอย่างเต็มที่ พร้อมปรับแก้กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้มีความทันสมัยและเอื้อต่อการทํางานมากขึ้นในหลายส่วน อาทิ 1) (ร่าง) กฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. .... เพื่อให้กลไกวิธีการประเมินมีความกระชับ ชัดเจน และไม่เป็นภาระด้านเอกสาร พร้อมจะจัดทํามาตรฐานการศึกษาร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ทุกภาคส่วน และอ้างอิงมาตรฐานสากล สิ่งสําคัญคือให้โรงเรียนรับผิดชอบการประเมินคุณภาพการศึกษาภายในของตัวเอง โดยกระทรวงศึกษาธิการ "ช่วยเหลือ ให้คําปรึกษา แนะนํา และส่งเสริมการประเมินคุณภาพการศึกษาภายในให้สําเร็จตามเป้าหมายของสถานศึกษา" ส่วนสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. ทําหน้าที่เป็น Coaching ช่วยเหลือ แนะนํา เพื่อให้การประเมินนําไปสู่การพัฒนา 2) การจัดการศึกษาสําหรับเด็กปฐมวัย เมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทรวงศึกษาธิการได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพัฒนาการปฐมวัยกว่า 30 หน่วยงาน เพื่อวางกรอบแนวทางบูรณาการความเข้าใจแนวทางการดําเนินการจัดการศึกษาสําหรับเด็กปฐมวัยอย่างเป็นรูปธรรม สามารถนําสู่การปฏิบัติได้ ซึ่งเป็นการดําเนินการรองรับการศึกษาภาคบังคับ ที่มีผลบังคับเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 54 ที่ระบุให้ “รัฐต้องดําเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รัฐต้องดําเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาฯ” ซึ่งในเบื้องต้นมีการเสนอให้จัดทําฐานข้อมูลเด็กเล็กทั้งระบบ พร้อมกําหนดผู้รับผิดชอบการจัดการศึกษาในพื้นที่โดยคํานึงถึงความพร้อมของท้องถิ่น ส่วน สพฐ.ทําหน้าที่เสริมในพื้นที่ขาดแคลน และกระทรวงศึกษาธิการสนับสนุนองค์ความรู้และสวัสดิการต่าง ๆ ทั้งนี้จะสรุปแนวทางการบูรณาการเพื่อจัดการศึกษาและพัฒนาเด็กปฐมวัยของชาติให้แล้วเสร็จ เพื่อกําหนดเป็นนโยบายดูแลพัฒนาเด็กปฐมวัยต่อไป นอกจากนี้ ขออย่าได้หลงเชื่อข่าวลือหรือกระแสข่าวที่ออกมาไม่เป็นความจริงเป็นจํานวนมาก แม้กระทั่งในการประชุมวงเล็ก ก็ยังมีข้อมูลหลุดออกไปภายนอกได้ ดังนั้นในระยะนี้จะพยายามพูดให้น้อย เพราะแม้จะพูดมากไปสักเพียงใด คนที่ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจเสียที ต่างกับคนที่เข้าใจอยู่แล้วไม่ต้องพูดมากก็เข้าใจ แต่ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้แบบตรงไปตรงมาด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ เพราะทุกอย่างมีระบบอยู่แล้ว และที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการก็พร้อมจะรับฟังและปรับปรุงให้ถูกต้องตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ของประเทศ ทั้งนี้ ในช่วงที่เกิดวิกฤตในระยะหลัง มีความรู้สึกดีใจที่ชาวกระทรวงศึกษาธิการโดยเฉพาะผู้บริหาร มีการรวมตัวกันเพื่อช่วยกันสื่อสารชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจกับสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการดําเนินการ เช่น เรื่องหลักเกณฑ์การสอบครูผู้ช่วย เป็นต้น ซึ่งเมื่อสามารถจัดระบบการสอบครูให้เป็นมาตรฐาน เพื่อให้มีครูครบในสาขาที่ขาดแคลนหรือไม่เพียงพอกับความต้องการ ตลอดจนมีคนเก่งเข้ามาเป็นครูมากขึ้น ทําให้ทุกคนสามารถเข้าระบบได้โดยไม่ต้องใช้เส้นใช้สาย ไม่ต้องขวนขวาย ก็จะช่วยพัฒนาการศึกษาให้ประเทศเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ โอกาสนี้ ได้ฝากข้อคิด 8 องค์ประกอบสามัญของระบบการศึกษาที่ดี จากหนังสือ “A World-Class Education” เขียนโดย Vivien Stewart ที่จะช่วยขับเคลื่อนการศึกษาไปสู่การเป็นประเทศชั้นนําของโลก ดังนี้ 1) การมีวิสัยทัศน์และภาวะความเป็นผู้นําที่เข้มแข็ง (Vision and Leadership) คือ ผู้นําที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล กล้าคิดกล้าตัดสินใจเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า เป็นผู้นําในการก้าวเดินของประเทศว่าจะไปทิศทางใด ซึ่งผู้นําของประเทศที่ประสบความสําเร็จด้านการศึกษา มักจะมี High Expectation คือต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อพัฒนาผู้เรียนตามเป้าหมายและบริบทของประเทศให้ได้มากที่สุด ทั้งในเรื่องของครู หลักสูตร กระบวนการ เป็นต้น 2) การตั้งมาตรฐานระดับสูง (Ambitious Standards) ด้วยการกําหนดมาตรฐานหรือเป้าหมายสูงในทุกเรื่อง เช่น นักเรียน ครู สถานศึกษา หรือแม้แต่หลักสูตร โดยมีความเชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายสามารถทําได้ 3) ความมุ่งมั่น ตั้งใจ ลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา (Commitment to Equity) ต้องมีความมุ่งมั่นในการลดความเหลื่อมล้ําระหว่างโรงเรียนในต่างจังหวัดและโรงเรียนในเมืองให้ได้ หากจะเรียนรู้จากประเทศชั้นนําด้านการศึกษา เช่น สิงคโปร์ หรือ ฟินแลนด์ จะต้องไม่มองแค่ผลลัพธ์ในปัจจุบัน แต่ให้มองย้อนไปถึงประวัติศาสตร์ว่าแต่ละประเทศเริ่มปฏิรูปการศึกษาจากอะไร และทําอย่างไร เพราะการจะปฏิรูปการศึกษาได้สําเร็จอาจต้องใช้เวลามากถึง 10 ปี 4) การได้มาและการคงไว้ซึ่งครูและผู้บริหารสถานศึกษาที่มีคุณภาพ (High-Quality Teachers and Leaders) 5) ความร่วมมือในการทํางานของทุกภาคส่วนที่สอดคล้องกัน (Alignment and Coherence) การดําเนินงานของทุกภาคส่วนจะต้องมีความสอดคล้องกัน ทั้งผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการประเมิน การจัดทําหลักสูตร และการจัดการ และเป็นเรื่องน่ายินดีที่ขณะนี้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติฯ (สทศ.) จะประสานความร่วมมือกันในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โดย สสวท.จะร่วมกับ สพฐ.ในการร่างหลักสูตร เพื่อให้ สพฐ.นําหลักสูตรไปใช้ และ สทศ.จะรับผิดชอบในการออกข้อสอบ 6) การบริหารจัดการที่ดีและการมีความรับผิดชอบ (Management Accountability) 7) การสร้างแรงจูงใจแก่เด็กนักเรียน (Student Motivation) ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบที่สําคัญมาก แต่เมื่อพูดถึงการปฏิรูปการศึกษา ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่หน่วยงาน และบุคลากร 8) การมุ่งเน้นพัฒนาเพื่ออนาคตในระดับโลก (Global and Future Orientation) ประเทศที่พัฒนาแล้วมักจะมองโลกในอนาคต มองไปข้างหน้า เนื่องจากโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น หลักสูตรการเรียนการสอนจึงต้องเปลี่ยนไปด้วย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวว่า ทิศทางการขับเคลื่อนงานของสํานักงานศึกษาธิการภาค และสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดนั้น ขอให้คํานึงถึง 6 ประเด็นสําคัญ ดังนี้ 1) การบริหารจัดการศึกษาระดับภาคและจังหวัด เป็นการวางแนวทางการบริหารจัดการศึกษา โดยยึดพื้นที่เป็นหลัก เพื่อกระจายอํานาจและลดความเหลื่อมล้ําในการจัดการศึกษา และขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) รวมทั้งยุทธศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ 20 ปีอีกด้วย 2) การจัดโครงสร้างของสํานักงานศึกษาธิการภาคและจังหวัด จะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ซึ่งต้องทําหน้าที่ในนามราชการส่วนกลางลงไปในพื้นที่ให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี พร้อมทั้งฝากเรื่องนโยบายสําคัญ เช่น โรงเรียนคุณธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในใจของคนไทยทุกคน เพราะถือเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ต้องการให้โรงเรียนคุณธรรมเกิดขึ้นทั่วประเทศ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ 3) บทบาทของสํานักงานศึกษาธิการภาค จะทําหน้าที่สําคัญในการกําหนดยุทธศาสตร์และการพัฒนาการศึกษาของภาค ให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและยุทธศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัด 4) การบริหารจัดการของสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด มีลักษณะของการบริหารราชการที่ผสมผสานระหว่างราชการส่วนกลางและราชการส่วนภูมิภาค มุ่งหวังเพื่อให้การจัดการศึกษาของชาติในระดับจังหวัดมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น โดยจะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐ ทั้งในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ในการสนับสนุนการจัดการศึกษา 5) การมีสํานักงานศึกษาธิการภาคและจังหวัดจะเกิดประโยชน์ ดังนี้ - มีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในภูมิภาคอย่างใกล้ชิดมากขึ้น จึงขอให้ความสําคัญในการทํางานประสาน และให้เกียรติในการทํางานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตําบล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่แวดวงการศึกษา - กระทรวงศึกษาธิการ จะไม่จัดการศึกษาอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป แต่จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น - กระทรวงศึกษาธิการ จะกระจายอํานาจจากองค์กรหลัก มายังศึกษาธิการภาคและศึกษาธิการจังหวัดมากขึ้น คือ กระจายงาน งบประมาณ และบุคลากร ซึ่งจะส่งผลให้กระทรวงศึกษาธิการในส่วนกลางมีขนาดเล็กลง และเขตพื้นที่การศึกษา สถาบันการศึกษา อาชีวศึกษาที่ตั้งอยู่ในแต่ละจังหวัด จะมีความคล่องตัวในการบริหารงานเพิ่มมากขึ้น 6) สิ่งที่ข้าราชการของกระทรวงศึกษาธิการจะพึงปฏิบัติในระดับภาคและจังหวัด - จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติราชการแผ่นดิน คือ ราชการส่วนกลาง ซึ่งมี 1 สํานักนายกรัฐมนตรี และ 19 กระทรวง รวมทั้งหน่วยงานและองค์กรอิสระต่าง ๆ, ราชการส่วนภูมิภาค ซึ่งมี 76 จังหวัด และ 878 อําเภอ, ราชการส่วนท้องถิ่น คือองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตําบล (รวมทั้งกํานันผู้ใหญ่บ้าน) เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร - มีความเข้าใจในระบบการจัดทําแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดและจังหวัด - การทํางานร่วมกับส่วนราชการอื่น ๆ ในจังหวัด - ความเป็นผู้มีธรรมาภิบาลและยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้ ในฐานะที่เราทุกคนเป็นเจ้าของกระทรวง จึงต้องช่วยกันทําให้กระทรวงเป็นปึกแผ่น มุ่งมั่นที่จะทําหน้าที่ให้ดีที่สุดในกรอบอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ หากพบเห็นความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในหน่วยงาน ขอให้แจ้งผู้บังคับบัญชาหรือปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้รับทราบ และฝากให้ช่วยกันสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียนใน 2 ด้าน คือ 1) ส่งเสริมให้นักเรียนมีทัศนคติที่ถูกต้อง 2) การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานชีวิตหรืออุปนิสัยที่มั่นคงเข้มแข็ง อาทิ การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม (Character Education) เช่น ความมีวินัย ความซื่อสัตย์สุจริต เป็นต้น นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงประเด็นที่จะมีการหารือเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษากระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ตลอดจนมอบหมายภารกิจผู้เข้าร่วมประชุมไปดําเนินการ ใน 4 เรื่องหลัก คือ • ที่ตั้งของ ศธภ.-ศธจ. ซึ่งที่ผ่านมามีที่ตั้งอยู่แล้ว แต่เป็นการชั่วคราว จึงต้องมีการหารือร่วมกันเพื่อให้ได้ที่ตั้งของ ศธภ.ทั้ง 18 แห่ง ตลอดจน ศธจ. และ ศธ.กทม. ทั้ง 77 แห่ง • การสรรหาหัวหน้าส่วนราชการ ทั้ง 2 ระดับ คือ ศึกษาธิการภาค/รองศึกษาธิการภาค และศึกษาธิการจังหวัด/รองศึกษาธิการจังหวัด เพื่อได้ข้อสรุปโดยเร็ว ที่จะส่งผลต่อการขับเคลื่อนงานได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน • การมอบอํานาจ ซึ่งหมายถึงการโอนงาน โอนภารกิจ ตลอดจนโอนบุคลากร ที่จะต้องรู้อย่างชัดเจนว่าจะต้องโอนงานใดบ้าง เกลี่ยบุคลากรจํานวนเท่าใด ในช่วงเวลาใด คาดว่าจะเป็นการทยอยทํา แบ่งเป็น 5 ช่วง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงครั้งเดียวทั้งหมด • การสื่อสารสร้างความเข้าใจ มอบให้ทุกฝ่ายร่วมกันสื่อสารให้คนภายในองค์กรของเราเองมีความเข้าใจที่ตรงกัน ทั้งบุคลากรในสํานักงาน ภายในเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา ตลอดจนทําความเข้าใจกับนักเรียนนักศึกษา และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งประโยชน์ที่จะเกิดต่อตัวผู้เรียนด้วย นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ได้บรรยายในที่ประชุมเกี่ยวกับแนวทางปฏิรูปการศึกษาตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบและกระบวนการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นพลเมืองดี มีคุณลักษณะ ทักษะ และสมรรถนะที่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนเพื่อพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และคุณธรรม จริยธรรม รู้รักสามัคคี และร่วมมือผนึกกําลังมุ่งสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเพื่อนําประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง และความเหลื่อมล้ําภายในประเทศลดลง โดยมีวิสัยทัศน์ “คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21” โดยมี 6 ยุทธศาสตร์หลักที่สําคัญ ประกอบด้วย - ยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ - ยุทธศาสตร์ที่ 2 การผลิตและพัฒนากําลังคน การวิจัย และนวัตกรรมเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ - ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ - ยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษา - ยุทธศาสตร์ที่ 5 การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม - ยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษา ทั้งนี้ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายใน 5 ด้าน คือ การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา (Access), ความเท่าเทียมทางการศึกษา (Equity), คุณภาพการศึกษา (Quality), ประสิทธิภาพ (Efficiency) และการตอบโจทย์บริบทที่มีการเปลี่ยนแปลง (Relevancy) ในส่วนของการขับเคลื่อนแผนการศึกษาแห่งชาติสู่การปฏิบัติ จะมีการเตรียมสร้างความรู้ความเข้าใจให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง, การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 กับแผนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายรัฐบาล แผนพัฒนาการศึกษาระยะ 5 ปี แผนปฏิบัติราชการระยะ 4 ปี และแผนปฏิบัติการประจําปีของหน่วยงาน องค์กร, การปรับปรุงกฎ ระเบียบ และกฎหมาย ให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาในระดับต่าง ๆ ตลอดจนสร้างช่องทางให้ประชาสังคมมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาอย่างกว้างขวางทั้งระดับนโยบายและพื้นที่ นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ 3/4/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมชี้แจงเตรียมการจัดตั้งสำนักงานศึกษาธิการภาค และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด วันศุกร์ที่ 7 เมษายน 2560 การประชุมชี้แจงเตรียมการจัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค และสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานในการประชุมชี้แจงเตรียมการจัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค และสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด สังกั ~~นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ มอบนโยบายและแนวทางการดําเนินงานในการประชุมชี้แจงเตรียมการจัดตั้งสํานักงานศึกษาธิการภาค และสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด สังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันจันทร์ที่ 3 เมษายน 2560 ณ โรงแรมปรินซ์ พาเลซ โดยมีผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ศึกษาธิการภาค รองศึกษาธิการภาค ศึกษาธิการจังหวัด ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา/มัธยมศึกษา ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ผู้อํานวยการสํานักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด และเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมกว่า 500 คน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการเตรียมดําเนินการตามคําสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มาตรา 44 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการด้านการศึกษาระดับภูมิภาค จึงต้องชี้แจงและทําความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องของกรอบแนวทางการดําเนินงาน การปฏิบัติงานเชิงพื้นที่ การมอบอํานาจและการแบ่งงาน ตลอดจนโครงสร้างต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทํางานและการขับเคลื่อนนโยบายตามยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20 ปี ของรัฐบาล และแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 ที่จะส่งผลให้การปฏิรูปการศึกษาในยุคนี้เกิดผลโดยตรงต่อครูและผู้เรียนอย่างชัดเจน เพราะเป็นการดําเนินงานลงไปสู่ระดับปฏิบัติในพื้นที่ ที่จะส่งผลตรงไปถึงตัวเด็กจริง ๆ ภายใต้การบริหารจัดการการทํางานระดับพื้นที่ตามโครงสร้าง ตามหลักกฎหมาย และคํานึงถึงความเป็นมนุษย์เป็นหลัก ทั้งนี้ ขอย้ําให้มีการแบ่งงานระหว่างสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการยกระดับภาษาอังกฤษ โครงการพัฒนาครู ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นจุดเน้นนโยบายที่สําคัญของกระทรวงศึกษาธิการและมีความก้าวหน้าการดําเนินงานไปมากแล้ว อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจก่อให้เกิดความไม่พอใจของคนบางกลุ่มที่เสียประโยชน์ เสียกําลังคนพร้อม ๆ กับงบประมาณที่จะตามคนไปด้วย ดังนั้น จึงขอให้หารือร่วมกันดี ๆ พูดคุยกันแบบกัลยาณมิตร เสนอความเห็นแบบตรงไปตรงมา เพื่อให้มีการบูรณาการการทํางาน ไม่ใช่การแย่งงานกัน ตลอดจนการบริหารงานบุคคลที่จะเกิดตําแหน่งขึ้นใหม่ โดยส่วนตัวจะให้โอกาสผู้ที่มีความอาวุโสก่อน เรื่องนี้แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ถือว่ามีความสําคัญมากในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลง จึงต้องคิดร่วมกันว่าจะอยู่อย่างไร ใครจะบังคับบัญชาใคร ใครจะต้องลาใคร เมื่อได้ข้อสรุปร่วมกันอย่างชัดเจนในการดําเนินงานช่วงแรก ก็จะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง สิ่งสําคัญคือขอให้ทุกคนนึกถึงครูและเด็กให้มาก ๆ อย่างไรก็ตาม กระทรวงศึกษาธิการเดินหน้าทํางานอย่างเต็มที่ พร้อมปรับแก้กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้มีความทันสมัยและเอื้อต่อการทํางานมากขึ้นในหลายส่วน อาทิ 1) (ร่าง) กฎกระทรวงว่าด้วยระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. .... เพื่อให้กลไกวิธีการประเมินมีความกระชับ ชัดเจน และไม่เป็นภาระด้านเอกสาร พร้อมจะจัดทํามาตรฐานการศึกษาร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ทุกภาคส่วน และอ้างอิงมาตรฐานสากล สิ่งสําคัญคือให้โรงเรียนรับผิดชอบการประเมินคุณภาพการศึกษาภายในของตัวเอง โดยกระทรวงศึกษาธิการ "ช่วยเหลือ ให้คําปรึกษา แนะนํา และส่งเสริมการประเมินคุณภาพการศึกษาภายในให้สําเร็จตามเป้าหมายของสถานศึกษา" ส่วนสํานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) หรือ สมศ. ทําหน้าที่เป็น Coaching ช่วยเหลือ แนะนํา เพื่อให้การประเมินนําไปสู่การพัฒนา 2) การจัดการศึกษาสําหรับเด็กปฐมวัย เมื่อเร็ว ๆ นี้ กระทรวงศึกษาธิการได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพัฒนาการปฐมวัยกว่า 30 หน่วยงาน เพื่อวางกรอบแนวทางบูรณาการความเข้าใจแนวทางการดําเนินการจัดการศึกษาสําหรับเด็กปฐมวัยอย่างเป็นรูปธรรม สามารถนําสู่การปฏิบัติได้ ซึ่งเป็นการดําเนินการรองรับการศึกษาภาคบังคับ ที่มีผลบังคับเมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 54 ที่ระบุให้ “รัฐต้องดําเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รัฐต้องดําเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาฯ” ซึ่งในเบื้องต้นมีการเสนอให้จัดทําฐานข้อมูลเด็กเล็กทั้งระบบ พร้อมกําหนดผู้รับผิดชอบการจัดการศึกษาในพื้นที่โดยคํานึงถึงความพร้อมของท้องถิ่น ส่วน สพฐ.ทําหน้าที่เสริมในพื้นที่ขาดแคลน และกระทรวงศึกษาธิการสนับสนุนองค์ความรู้และสวัสดิการต่าง ๆ ทั้งนี้จะสรุปแนวทางการบูรณาการเพื่อจัดการศึกษาและพัฒนาเด็กปฐมวัยของชาติให้แล้วเสร็จ เพื่อกําหนดเป็นนโยบายดูแลพัฒนาเด็กปฐมวัยต่อไป นอกจากนี้ ขออย่าได้หลงเชื่อข่าวลือหรือกระแสข่าวที่ออกมาไม่เป็นความจริงเป็นจํานวนมาก แม้กระทั่งในการประชุมวงเล็ก ก็ยังมีข้อมูลหลุดออกไปภายนอกได้ ดังนั้นในระยะนี้จะพยายามพูดให้น้อย เพราะแม้จะพูดมากไปสักเพียงใด คนที่ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจเสียที ต่างกับคนที่เข้าใจอยู่แล้วไม่ต้องพูดมากก็เข้าใจ แต่ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้แบบตรงไปตรงมาด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ เพราะทุกอย่างมีระบบอยู่แล้ว และที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการก็พร้อมจะรับฟังและปรับปรุงให้ถูกต้องตามกฎหมายและกฎเกณฑ์ของประเทศ ทั้งนี้ ในช่วงที่เกิดวิกฤตในระยะหลัง มีความรู้สึกดีใจที่ชาวกระทรวงศึกษาธิการโดยเฉพาะผู้บริหาร มีการรวมตัวกันเพื่อช่วยกันสื่อสารชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจกับสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการดําเนินการ เช่น เรื่องหลักเกณฑ์การสอบครูผู้ช่วย เป็นต้น ซึ่งเมื่อสามารถจัดระบบการสอบครูให้เป็นมาตรฐาน เพื่อให้มีครูครบในสาขาที่ขาดแคลนหรือไม่เพียงพอกับความต้องการ ตลอดจนมีคนเก่งเข้ามาเป็นครูมากขึ้น ทําให้ทุกคนสามารถเข้าระบบได้โดยไม่ต้องใช้เส้นใช้สาย ไม่ต้องขวนขวาย ก็จะช่วยพัฒนาการศึกษาให้ประเทศเจริญก้าวหน้าต่อไปได้ โอกาสนี้ ได้ฝากข้อคิด 8 องค์ประกอบสามัญของระบบการศึกษาที่ดี จากหนังสือ “A World-Class Education” เขียนโดย Vivien Stewart ที่จะช่วยขับเคลื่อนการศึกษาไปสู่การเป็นประเทศชั้นนําของโลก ดังนี้ 1) การมีวิสัยทัศน์และภาวะความเป็นผู้นําที่เข้มแข็ง (Vision and Leadership) คือ ผู้นําที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล กล้าคิดกล้าตัดสินใจเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า เป็นผู้นําในการก้าวเดินของประเทศว่าจะไปทิศทางใด ซึ่งผู้นําของประเทศที่ประสบความสําเร็จด้านการศึกษา มักจะมี High Expectation คือต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อพัฒนาผู้เรียนตามเป้าหมายและบริบทของประเทศให้ได้มากที่สุด ทั้งในเรื่องของครู หลักสูตร กระบวนการ เป็นต้น 2) การตั้งมาตรฐานระดับสูง (Ambitious Standards) ด้วยการกําหนดมาตรฐานหรือเป้าหมายสูงในทุกเรื่อง เช่น นักเรียน ครู สถานศึกษา หรือแม้แต่หลักสูตร โดยมีความเชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายสามารถทําได้ 3) ความมุ่งมั่น ตั้งใจ ลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา (Commitment to Equity) ต้องมีความมุ่งมั่นในการลดความเหลื่อมล้ําระหว่างโรงเรียนในต่างจังหวัดและโรงเรียนในเมืองให้ได้ หากจะเรียนรู้จากประเทศชั้นนําด้านการศึกษา เช่น สิงคโปร์ หรือ ฟินแลนด์ จะต้องไม่มองแค่ผลลัพธ์ในปัจจุบัน แต่ให้มองย้อนไปถึงประวัติศาสตร์ว่าแต่ละประเทศเริ่มปฏิรูปการศึกษาจากอะไร และทําอย่างไร เพราะการจะปฏิรูปการศึกษาได้สําเร็จอาจต้องใช้เวลามากถึง 10 ปี 4) การได้มาและการคงไว้ซึ่งครูและผู้บริหารสถานศึกษาที่มีคุณภาพ (High-Quality Teachers and Leaders) 5) ความร่วมมือในการทํางานของทุกภาคส่วนที่สอดคล้องกัน (Alignment and Coherence) การดําเนินงานของทุกภาคส่วนจะต้องมีความสอดคล้องกัน ทั้งผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการประเมิน การจัดทําหลักสูตร และการจัดการ และเป็นเรื่องน่ายินดีที่ขณะนี้ สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติฯ (สทศ.) จะประสานความร่วมมือกันในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โดย สสวท.จะร่วมกับ สพฐ.ในการร่างหลักสูตร เพื่อให้ สพฐ.นําหลักสูตรไปใช้ และ สทศ.จะรับผิดชอบในการออกข้อสอบ 6) การบริหารจัดการที่ดีและการมีความรับผิดชอบ (Management Accountability) 7) การสร้างแรงจูงใจแก่เด็กนักเรียน (Student Motivation) ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบที่สําคัญมาก แต่เมื่อพูดถึงการปฏิรูปการศึกษา ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่หน่วยงาน และบุคลากร 8) การมุ่งเน้นพัฒนาเพื่ออนาคตในระดับโลก (Global and Future Orientation) ประเทศที่พัฒนาแล้วมักจะมองโลกในอนาคต มองไปข้างหน้า เนื่องจากโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น หลักสูตรการเรียนการสอนจึงต้องเปลี่ยนไปด้วย ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล กล่าวว่า ทิศทางการขับเคลื่อนงานของสํานักงานศึกษาธิการภาค และสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดนั้น ขอให้คํานึงถึง 6 ประเด็นสําคัญ ดังนี้ 1) การบริหารจัดการศึกษาระดับภาคและจังหวัด เป็นการวางแนวทางการบริหารจัดการศึกษา โดยยึดพื้นที่เป็นหลัก เพื่อกระจายอํานาจและลดความเหลื่อมล้ําในการจัดการศึกษา และขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) รวมทั้งยุทธศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ 20 ปีอีกด้วย 2) การจัดโครงสร้างของสํานักงานศึกษาธิการภาคและจังหวัด จะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ซึ่งต้องทําหน้าที่ในนามราชการส่วนกลางลงไปในพื้นที่ให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี พร้อมทั้งฝากเรื่องนโยบายสําคัญ เช่น โรงเรียนคุณธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในใจของคนไทยทุกคน เพราะถือเป็นการสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ต้องการให้โรงเรียนคุณธรรมเกิดขึ้นทั่วประเทศ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ 3) บทบาทของสํานักงานศึกษาธิการภาค จะทําหน้าที่สําคัญในการกําหนดยุทธศาสตร์และการพัฒนาการศึกษาของภาค ให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศและยุทธศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัด 4) การบริหารจัดการของสํานักงานศึกษาธิการจังหวัด มีลักษณะของการบริหารราชการที่ผสมผสานระหว่างราชการส่วนกลางและราชการส่วนภูมิภาค มุ่งหวังเพื่อให้การจัดการศึกษาของชาติในระดับจังหวัดมีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น โดยจะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานของรัฐ ทั้งในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น ในการสนับสนุนการจัดการศึกษา 5) การมีสํานักงานศึกษาธิการภาคและจังหวัดจะเกิดประโยชน์ ดังนี้ - มีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในภูมิภาคอย่างใกล้ชิดมากขึ้น จึงขอให้ความสําคัญในการทํางานประสาน และให้เกียรติในการทํางานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตําบล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่แวดวงการศึกษา - กระทรวงศึกษาธิการ จะไม่จัดการศึกษาอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป แต่จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น - กระทรวงศึกษาธิการ จะกระจายอํานาจจากองค์กรหลัก มายังศึกษาธิการภาคและศึกษาธิการจังหวัดมากขึ้น คือ กระจายงาน งบประมาณ และบุคลากร ซึ่งจะส่งผลให้กระทรวงศึกษาธิการในส่วนกลางมีขนาดเล็กลง และเขตพื้นที่การศึกษา สถาบันการศึกษา อาชีวศึกษาที่ตั้งอยู่ในแต่ละจังหวัด จะมีความคล่องตัวในการบริหารงานเพิ่มมากขึ้น 6) สิ่งที่ข้าราชการของกระทรวงศึกษาธิการจะพึงปฏิบัติในระดับภาคและจังหวัด - จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติราชการแผ่นดิน คือ ราชการส่วนกลาง ซึ่งมี 1 สํานักนายกรัฐมนตรี และ 19 กระทรวง รวมทั้งหน่วยงานและองค์กรอิสระต่าง ๆ, ราชการส่วนภูมิภาค ซึ่งมี 76 จังหวัด และ 878 อําเภอ, ราชการส่วนท้องถิ่น คือองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตําบล (รวมทั้งกํานันผู้ใหญ่บ้าน) เมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร - มีความเข้าใจในระบบการจัดทําแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดและจังหวัด - การทํางานร่วมกับส่วนราชการอื่น ๆ ในจังหวัด - ความเป็นผู้มีธรรมาภิบาลและยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้ ในฐานะที่เราทุกคนเป็นเจ้าของกระทรวง จึงต้องช่วยกันทําให้กระทรวงเป็นปึกแผ่น มุ่งมั่นที่จะทําหน้าที่ให้ดีที่สุดในกรอบอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ หากพบเห็นความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในหน่วยงาน ขอให้แจ้งผู้บังคับบัญชาหรือปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้รับทราบ และฝากให้ช่วยกันสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียนใน 2 ด้าน คือ 1) ส่งเสริมให้นักเรียนมีทัศนคติที่ถูกต้อง 2) การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานชีวิตหรืออุปนิสัยที่มั่นคงเข้มแข็ง อาทิ การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม (Character Education) เช่น ความมีวินัย ความซื่อสัตย์สุจริต เป็นต้น นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยถึงประเด็นที่จะมีการหารือเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษากระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค ตลอดจนมอบหมายภารกิจผู้เข้าร่วมประชุมไปดําเนินการ ใน 4 เรื่องหลัก คือ • ที่ตั้งของ ศธภ.-ศธจ. ซึ่งที่ผ่านมามีที่ตั้งอยู่แล้ว แต่เป็นการชั่วคราว จึงต้องมีการหารือร่วมกันเพื่อให้ได้ที่ตั้งของ ศธภ.ทั้ง 18 แห่ง ตลอดจน ศธจ. และ ศธ.กทม. ทั้ง 77 แห่ง • การสรรหาหัวหน้าส่วนราชการ ทั้ง 2 ระดับ คือ ศึกษาธิการภาค/รองศึกษาธิการภาค และศึกษาธิการจังหวัด/รองศึกษาธิการจังหวัด เพื่อได้ข้อสรุปโดยเร็ว ที่จะส่งผลต่อการขับเคลื่อนงานได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน • การมอบอํานาจ ซึ่งหมายถึงการโอนงาน โอนภารกิจ ตลอดจนโอนบุคลากร ที่จะต้องรู้อย่างชัดเจนว่าจะต้องโอนงานใดบ้าง เกลี่ยบุคลากรจํานวนเท่าใด ในช่วงเวลาใด คาดว่าจะเป็นการทยอยทํา แบ่งเป็น 5 ช่วง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงครั้งเดียวทั้งหมด • การสื่อสารสร้างความเข้าใจ มอบให้ทุกฝ่ายร่วมกันสื่อสารให้คนภายในองค์กรของเราเองมีความเข้าใจที่ตรงกัน ทั้งบุคลากรในสํานักงาน ภายในเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษา ตลอดจนทําความเข้าใจกับนักเรียนนักศึกษา และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้ได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งประโยชน์ที่จะเกิดต่อตัวผู้เรียนด้วย นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการสภาการศึกษา ในฐานะโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ได้บรรยายในที่ประชุมเกี่ยวกับแนวทางปฏิรูปการศึกษาตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบและกระบวนการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นพลเมืองดี มีคุณลักษณะ ทักษะ และสมรรถนะที่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนเพื่อพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และคุณธรรม จริยธรรม รู้รักสามัคคี และร่วมมือผนึกกําลังมุ่งสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเพื่อนําประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง และความเหลื่อมล้ําภายในประเทศลดลง โดยมีวิสัยทัศน์ “คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดํารงชีวิตอย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21” โดยมี 6 ยุทธศาสตร์หลักที่สําคัญ ประกอบด้วย - ยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ - ยุทธศาสตร์ที่ 2 การผลิตและพัฒนากําลังคน การวิจัย และนวัตกรรมเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ - ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัย และการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ - ยุทธศาสตร์ที่ 4 การสร้างโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษา - ยุทธศาสตร์ที่ 5 การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม - ยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษา ทั้งนี้ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายใน 5 ด้าน คือ การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา (Access), ความเท่าเทียมทางการศึกษา (Equity), คุณภาพการศึกษา (Quality), ประสิทธิภาพ (Efficiency) และการตอบโจทย์บริบทที่มีการเปลี่ยนแปลง (Relevancy) ในส่วนของการขับเคลื่อนแผนการศึกษาแห่งชาติสู่การปฏิบัติ จะมีการเตรียมสร้างความรู้ความเข้าใจให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง, การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 กับแผนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายรัฐบาล แผนพัฒนาการศึกษาระยะ 5 ปี แผนปฏิบัติราชการระยะ 4 ปี และแผนปฏิบัติการประจําปีของหน่วยงาน องค์กร, การปรับปรุงกฎ ระเบียบ และกฎหมาย ให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาในระดับต่าง ๆ ตลอดจนสร้างช่องทางให้ประชาสังคมมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาอย่างกว้างขวางทั้งระดับนโยบายและพื้นที่ นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ 3/4/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2933
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับข้อเสนอแนะเสริมพลังเครือข่ายเยาวชนไทย ร่วมต้านภัยค้ามนุษย์ ไม่ถูกล่อลวงสู่กระบวนการค้ามนุษย์
วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562 รมว.พม. รับข้อเสนอแนะเสริมพลังเครือข่ายเยาวชนไทย ร่วมต้านภัยค้ามนุษย์ ไม่ถูกล่อลวงสู่กระบวนการค้ามนุษย์ รมว.พม. รับข้อเสนอแนะเสริมพลังเครือข่ายเยาวชนไทย ร่วมต้านภัยค้ามนุษย์ ไม่ถูกล่อลวงสู่กระบวนการค้ามนุษย์ วันที่ 29 ก.ย. 62 เวลา 11.15 น. ที่ห้องแม็คโนเลีย 1-3 ชั้น 4 โรงแรมทีเค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีปิดโครงการ "รวมพลังเยาวชนไทย ต้านภัยค้ามนุษย์" ประจําปีงบประมาณ 2562 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 กันยายน 2562 เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเป็นสื่อกลาง และเป็นเครือข่ายของกระทรวง พม. ในการจัดกิจกรรมเพื่อขยายผลไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชนในพื้นที่ระดับจังหวัดให้เพิ่มมากขึ้น โดยมุ่งหวังว่าเด็กและเยาวชนจะได้รับความรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ การป้องกันตนเองให้ปลอดภัย และไม่ถูกล่อลวงเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ รวมทั้งสามารถแจ้งเบาะแสและขอรับความช่วยเหลือในกรณีพบเหตุค้ามนุษย์ในพื้นที่ โดยมี นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวรายงาน ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วม ประกอบด้วย เครือข่ายเด็กและเยาวชนในชุมชน สภาเด็กและเยาวชนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร 50 เขต สภาเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร สภาเด็กและเยาวชนจังหวัด 76 จังหวัดและสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 130 คน นายจุติ กล่าวว่า กระทรวง พม. ได้จัดทําสื่อสร้างสรรค์สําหรับเด็กและเยาวชน ชุด "ต่อต้านการค้ามนุษย์" เนื่องจากความตระหนักถึงความจําเป็นในการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์แบบเชิงรุกในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กและเยาวชนในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงในสถานศึกษาทั่วประเทศ และเพื่อให้หน่วยงานและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้นําสื่อดังกล่าวไปใช้ประโยชน์สําหรับเสริมสร้างการตระหนักรู้และความเข้าใจในการป้องกันการค้ามนุษย์สําหรับเด็กและเยาวชน ในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากขบวนการค้ามนุษย์ ด้วยการดําเนินโครงการอบรมและพัฒนาศักยภาพการใช้สื่อสร้างสรรค์เพื่อการต่อต้านการค้ามนุษย์ เป็นการสร้างความเข้าใจแก่กลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ และสามารถนําสื่อสร้างสรรค์ฯ ชุด "ต่อต้านการค้ามนุษย์" ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายผลสร้างเครือข่ายป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์แก่กลุ่มเด็กและเยาวชนในระดับพื้นที่และสถานศึกษาโดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้แทนจากสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด สภาเด็กและเยาวชนจังหวัด 76 จังหวัด และผู้แทนจากสภาเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร ซึ่งดําเนินการจัดอบรมฯ รวมทั้งสิ้นจํานวน 4 รุ่น ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้เข้าร่วมการอบรมรวมทั้งสิ้น 280 คน นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า กระทรวง พม. โดยกองต่อต้านการค้ามนุษย์ ตระหนักว่าควรมีการดําเนินโครงการต่อยอด เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายและสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังปัญหาการค้ามนุษย์ในเด็กและเยาวชนให้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะแกนนําเด็กและเยาวชน และผู้แทนสภาเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ อีกทั้งเป็นโอกาสอันดีที่จะมารับฟังข้อคิดเห็นในปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ในมุมมองของเด็กและเยาวชน "กระทรวง พม. มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ เพื่อให้ทุกท่านเป็นตัวแทนเยาวชน และเป็นเครือข่ายร่วมกับกระทรวง พม. ในการต่อต้านการค้ามนุษย์ และทุกข้อเสนอแนะที่ได้นําเสนอในวันนี้ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมรับข้อเสนอแนะดังกล่าว เพื่อขับเคลื่อนงานต่อไปอย่างบูรณาการ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะนําความรู้ความเข้าใจเรื่องการค้ามนุษย์ และขยายเครือข่ายในการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ระดับพื้นที่ที่เป็นเด็กและเยาวชนให้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมีความตระหนักรู้ถึงรูปแบบของภัยอันตรายจากการค้ามนุษย์ และสามารถป้องกันตนเองให้ปลอดภัยและไม่ถูกล่อลวงเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ได้" นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับข้อเสนอแนะเสริมพลังเครือข่ายเยาวชนไทย ร่วมต้านภัยค้ามนุษย์ ไม่ถูกล่อลวงสู่กระบวนการค้ามนุษย์ วันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2562 รมว.พม. รับข้อเสนอแนะเสริมพลังเครือข่ายเยาวชนไทย ร่วมต้านภัยค้ามนุษย์ ไม่ถูกล่อลวงสู่กระบวนการค้ามนุษย์ รมว.พม. รับข้อเสนอแนะเสริมพลังเครือข่ายเยาวชนไทย ร่วมต้านภัยค้ามนุษย์ ไม่ถูกล่อลวงสู่กระบวนการค้ามนุษย์ วันที่ 29 ก.ย. 62 เวลา 11.15 น. ที่ห้องแม็คโนเลีย 1-3 ชั้น 4 โรงแรมทีเค พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพมหานคร นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีปิดโครงการ "รวมพลังเยาวชนไทย ต้านภัยค้ามนุษย์" ประจําปีงบประมาณ 2562 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 กันยายน 2562 เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเป็นสื่อกลาง และเป็นเครือข่ายของกระทรวง พม. ในการจัดกิจกรรมเพื่อขยายผลไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชนในพื้นที่ระดับจังหวัดให้เพิ่มมากขึ้น โดยมุ่งหวังว่าเด็กและเยาวชนจะได้รับความรู้และมีความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ การป้องกันตนเองให้ปลอดภัย และไม่ถูกล่อลวงเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ รวมทั้งสามารถแจ้งเบาะแสและขอรับความช่วยเหลือในกรณีพบเหตุค้ามนุษย์ในพื้นที่ โดยมี นายปรเมธี วิมลศิริ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวรายงาน ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วม ประกอบด้วย เครือข่ายเด็กและเยาวชนในชุมชน สภาเด็กและเยาวชนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร 50 เขต สภาเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร สภาเด็กและเยาวชนจังหวัด 76 จังหวัดและสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 130 คน นายจุติ กล่าวว่า กระทรวง พม. ได้จัดทําสื่อสร้างสรรค์สําหรับเด็กและเยาวชน ชุด "ต่อต้านการค้ามนุษย์" เนื่องจากความตระหนักถึงความจําเป็นในการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์แบบเชิงรุกในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กและเยาวชนในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงในสถานศึกษาทั่วประเทศ และเพื่อให้หน่วยงานและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้นําสื่อดังกล่าวไปใช้ประโยชน์สําหรับเสริมสร้างการตระหนักรู้และความเข้าใจในการป้องกันการค้ามนุษย์สําหรับเด็กและเยาวชน ในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากขบวนการค้ามนุษย์ ด้วยการดําเนินโครงการอบรมและพัฒนาศักยภาพการใช้สื่อสร้างสรรค์เพื่อการต่อต้านการค้ามนุษย์ เป็นการสร้างความเข้าใจแก่กลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ และสามารถนําสื่อสร้างสรรค์ฯ ชุด "ต่อต้านการค้ามนุษย์" ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขยายผลสร้างเครือข่ายป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์แก่กลุ่มเด็กและเยาวชนในระดับพื้นที่และสถานศึกษาโดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้แทนจากสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด สภาเด็กและเยาวชนจังหวัด 76 จังหวัด และผู้แทนจากสภาเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร ซึ่งดําเนินการจัดอบรมฯ รวมทั้งสิ้นจํานวน 4 รุ่น ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้เข้าร่วมการอบรมรวมทั้งสิ้น 280 คน นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า กระทรวง พม. โดยกองต่อต้านการค้ามนุษย์ ตระหนักว่าควรมีการดําเนินโครงการต่อยอด เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายและสร้างเครือข่ายเฝ้าระวังปัญหาการค้ามนุษย์ในเด็กและเยาวชนให้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะแกนนําเด็กและเยาวชน และผู้แทนสภาเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ อีกทั้งเป็นโอกาสอันดีที่จะมารับฟังข้อคิดเห็นในปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ในมุมมองของเด็กและเยาวชน "กระทรวง พม. มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ เพื่อให้ทุกท่านเป็นตัวแทนเยาวชน และเป็นเครือข่ายร่วมกับกระทรวง พม. ในการต่อต้านการค้ามนุษย์ และทุกข้อเสนอแนะที่ได้นําเสนอในวันนี้ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมรับข้อเสนอแนะดังกล่าว เพื่อขับเคลื่อนงานต่อไปอย่างบูรณาการ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนจะนําความรู้ความเข้าใจเรื่องการค้ามนุษย์ และขยายเครือข่ายในการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ระดับพื้นที่ที่เป็นเด็กและเยาวชนให้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งมีความตระหนักรู้ถึงรูปแบบของภัยอันตรายจากการค้ามนุษย์ และสามารถป้องกันตนเองให้ปลอดภัยและไม่ถูกล่อลวงเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ได้" นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23510
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เปิดงาน “ประชุมสัมมนาความปลอดภัยไซเบอร์ 2019” และมอบรางวัลการแข่งขัน TCSD
วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562 รมว.ดิจิทัลฯ เปิดงาน “ประชุมสัมมนาความปลอดภัยไซเบอร์ 2019” และมอบรางวัลการแข่งขัน TCSD รมว.ดิจิทัลฯ เปิดงาน “ประชุมสัมมนาความปลอดภัยไซเบอร์ 2019” และมอบรางวัลการแข่งขัน TCSD p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 12.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 14.0px} p.p4 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} วันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานและบรรยายพิเศษในงาน “ประชุมสัมมนาความปลอดภัยไซเบอร์ TCSD Cybersecurity Conference 2019” และมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขัน TCSD Cyber Security Competition 2019 ซึ่งจัดขึ้นโดยกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จํากัด (มหาชน) และบริษัท ซีเคียวดี เซ็นเตอร์ จํากัด ณ ห้องประชุม BB 204 – 205 โรงแรมเซ็นทารา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวในการบรรยายพิเศษครั้งนี้ถึงเรื่องเด็กและเยาวชนของประเทศไทยว่า “เด็กบางคนที่มีความรู้ความสามารถ เก่งในด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่สมัยใหม่ แต่ใช้ความรู้ความสามารถดังกล่าวในทางที่ผิดกฎหมายด้วยความคึกคะนองและอยากลองใช้วิชาที่เรียนรู้มาในการแฮ็กข้อมูล เช่น กรณีการแฮ็กข้อมูล ชิมช็อปใช้ เฟส 2 ที่ผู้กระทําความผิดเป็นเยาวชนอายุเพียงแค่ 19 ปี ดังนั้น จึงขอฝากให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ได้มีเวทีในการแสดงศักยภาพในทางที่ถูกต้อง อย่างเช่นการจัดการแข่งขันในวันนี้รวมถึงการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ต้องมีการจัดอบรมพัฒนาความรู้ทักษะด้าน Cybersecurity ให้เพิ่มมากขึ้น” ***********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เปิดงาน “ประชุมสัมมนาความปลอดภัยไซเบอร์ 2019” และมอบรางวัลการแข่งขัน TCSD วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562 รมว.ดิจิทัลฯ เปิดงาน “ประชุมสัมมนาความปลอดภัยไซเบอร์ 2019” และมอบรางวัลการแข่งขัน TCSD รมว.ดิจิทัลฯ เปิดงาน “ประชุมสัมมนาความปลอดภัยไซเบอร์ 2019” และมอบรางวัลการแข่งขัน TCSD p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 12.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 14.0px} p.p4 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} วันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานและบรรยายพิเศษในงาน “ประชุมสัมมนาความปลอดภัยไซเบอร์ TCSD Cybersecurity Conference 2019” และมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการแข่งขัน TCSD Cyber Security Competition 2019 ซึ่งจัดขึ้นโดยกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จํากัด (มหาชน) และบริษัท ซีเคียวดี เซ็นเตอร์ จํากัด ณ ห้องประชุม BB 204 – 205 โรงแรมเซ็นทารา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวในการบรรยายพิเศษครั้งนี้ถึงเรื่องเด็กและเยาวชนของประเทศไทยว่า “เด็กบางคนที่มีความรู้ความสามารถ เก่งในด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่สมัยใหม่ แต่ใช้ความรู้ความสามารถดังกล่าวในทางที่ผิดกฎหมายด้วยความคึกคะนองและอยากลองใช้วิชาที่เรียนรู้มาในการแฮ็กข้อมูล เช่น กรณีการแฮ็กข้อมูล ชิมช็อปใช้ เฟส 2 ที่ผู้กระทําความผิดเป็นเยาวชนอายุเพียงแค่ 19 ปี ดังนั้น จึงขอฝากให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ได้มีเวทีในการแสดงศักยภาพในทางที่ถูกต้อง อย่างเช่นการจัดการแข่งขันในวันนี้รวมถึงการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ต้องมีการจัดอบรมพัฒนาความรู้ทักษะด้าน Cybersecurity ให้เพิ่มมากขึ้น” ***********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24612
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. แสดงความชื่นชม โครงการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ ของ สนง.สาธารณสุข จ.ร้อยเอ็ด ในโอกาสได้รับมอบรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจำปี 2561 จากองค์การสหประชาชาติ
วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2561 นรม. แสดงความชื่นชม โครงการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ ของ สนง.สาธารณสุข จ.ร้อยเอ็ด ในโอกาสได้รับมอบรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจําปี 2561 จากองค์การสหประชาชาติ นรม. แสดงความชื่นชม “โครงการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ” ของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ในโอกาสได้รับมอบรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจําปี 2561 จากองค์การสหประชาชาติ วันนี้ (10 กรกฎาคม 2561) เวลา 8.45 น. ณ บริเวณโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะเข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์และจัดแสดงนิทรรศการ “โครงการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ” ของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ดในโอกาสได้รับรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจําปี 2561 จากองค์การสหประชาชาติ (United Nations Public Service Awards 2018) เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา ณ เมืองมาราเกรซ ประเทศโมรอกโก โดยประเทศไทยเป็น 1 ใน 8 ประเทศที่ได้รับรางวัลฯ ในปีนี้ จากการส่งผลงาน 437 ผลงานของ 79 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ ผลงาน “โครงการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ” (Integrated approach of comprehensive cervical cancer control) เป็นการแก้ไขปัญหาสตรีเข้าไม่ถึงการบริการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ที่มีหลายขั้นตอน สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ดจึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น องค์กรเจไปโก้ (Jhpiego) ราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย และกรมอนามัย ในการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกที่ครอบคลุมทั้งระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิและตติยภูมิ ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกัน การตรวจด้วยน้ําส้มสายชู ซึ่งทําให้ทราบผลภายใน 1 นาที ถือเป็นนวัตกรรมการบริการสามารถลดขั้นตอนและระยะเวลาการรอคอยลงได้เป็นอย่างมาก ส่งผลให้ประชาชนได้รับการบริการจากสถานบริการที่อยู่ใกล้บ้านได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และการได้รับรางวัล ดังกล่าว ของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ดในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นความพยายามของสํานักงาน ก.พ.ร. ที่ได้ส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐของไทยสมัครขอรับรางวัล United Nations Public Service Awards มาอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยการให้คําปรึกษาเชิงลึกในการเขียนผลงานและประสานงานในการส่งสมัคร ซึ่งประเทศไทยได้รับรางวัลดังกล่าวมาโดยตลอด ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2550 รวมทั้งสิ้น 13 ผลงาน จาก 11 หน่วยงานของภาครัฐ จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการโครงการดังกล่าวด้วยความสนใจ พร้อมกล่าวแสดงความยินดีและชื่นชมที่ “โครงการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ” ได้รับรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจําปี 2561 จากองค์การสหประชาชาติ พร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกัน ด้วยอัธยาศัยอันดี ..................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นรม. แสดงความชื่นชม โครงการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ ของ สนง.สาธารณสุข จ.ร้อยเอ็ด ในโอกาสได้รับมอบรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจำปี 2561 จากองค์การสหประชาชาติ วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2561 นรม. แสดงความชื่นชม โครงการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ ของ สนง.สาธารณสุข จ.ร้อยเอ็ด ในโอกาสได้รับมอบรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจําปี 2561 จากองค์การสหประชาชาติ นรม. แสดงความชื่นชม “โครงการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ” ของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด ในโอกาสได้รับมอบรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจําปี 2561 จากองค์การสหประชาชาติ วันนี้ (10 กรกฎาคม 2561) เวลา 8.45 น. ณ บริเวณโถงกลางชั้น 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะเข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์และจัดแสดงนิทรรศการ “โครงการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ” ของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ดในโอกาสได้รับรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจําปี 2561 จากองค์การสหประชาชาติ (United Nations Public Service Awards 2018) เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา ณ เมืองมาราเกรซ ประเทศโมรอกโก โดยประเทศไทยเป็น 1 ใน 8 ประเทศที่ได้รับรางวัลฯ ในปีนี้ จากการส่งผลงาน 437 ผลงานของ 79 ประเทศทั่วโลก ทั้งนี้ ผลงาน “โครงการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ” (Integrated approach of comprehensive cervical cancer control) เป็นการแก้ไขปัญหาสตรีเข้าไม่ถึงการบริการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ที่มีหลายขั้นตอน สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ดจึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น องค์กรเจไปโก้ (Jhpiego) ราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย และกรมอนามัย ในการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกที่ครอบคลุมทั้งระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิและตติยภูมิ ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกัน การตรวจด้วยน้ําส้มสายชู ซึ่งทําให้ทราบผลภายใน 1 นาที ถือเป็นนวัตกรรมการบริการสามารถลดขั้นตอนและระยะเวลาการรอคอยลงได้เป็นอย่างมาก ส่งผลให้ประชาชนได้รับการบริการจากสถานบริการที่อยู่ใกล้บ้านได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และการได้รับรางวัล ดังกล่าว ของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ดในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นความพยายามของสํานักงาน ก.พ.ร. ที่ได้ส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐของไทยสมัครขอรับรางวัล United Nations Public Service Awards มาอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยการให้คําปรึกษาเชิงลึกในการเขียนผลงานและประสานงานในการส่งสมัคร ซึ่งประเทศไทยได้รับรางวัลดังกล่าวมาโดยตลอด ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2550 รวมทั้งสิ้น 13 ผลงาน จาก 11 หน่วยงานของภาครัฐ จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการโครงการดังกล่าวด้วยความสนใจ พร้อมกล่าวแสดงความยินดีและชื่นชมที่ “โครงการป้องกันควบคุมมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ” ได้รับรางวัลองค์กรภาครัฐยอดเยี่ยมประจําปี 2561 จากองค์การสหประชาชาติ พร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกัน ด้วยอัธยาศัยอันดี ..................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13729
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา "อาหารไทย 4.0"
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561 งานประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา "อาหารไทย 4.0" พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีปิดงานประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา “อาหารไทย 4.0” ระดับชาติ ประจําปีการศึกษา 2561 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีปิดงานประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา “อาหารไทย 4.0” ระดับชาติ ประจําปีการศึกษา 2561 เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561 ณ ห้องไดมอนด์ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต โดยมีผู้เข้าร่วมจํานวนมาก อาทิ ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้บริหารสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และผู้อํานวยการสถาบันอาชีวศึกษา ตลอดจนนักเรียนนักศึกษา พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขอแสดงความชื่นชมกับผู้ที่ได้รางวัลจากการประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา “อาหารไทย 4.0” ระดับชาติ ประจําปีการศึกษา 2561 ในทุกผลงานและทุกประเภทการแข่งขัน ซึ่งถือเป็นโครงการที่สําคัญและช่วยกระตุ้นให้เยาวชนเกิดแรงบันดาลใจในการพัฒนานวัตกรรมด้านอาหาร ที่ทําได้จริง และใช้งานจริง ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม ตลอดจนส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษารุ่นใหม่ ได้หันมาสนใจศาสตร์และศิลปะด้านอาหารเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ได้ใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์ และสร้างความสามัคคีในหมู่นักศึกษาด้วยกัน จึงถือเป็นโครงการสําคัญยิ่งที่จะต้องให้การสนับสนุนการประดิษฐ์ คิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมอาหารอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการจัดการศึกษาในรูปแบบทวิภาคี เป็นความร่วมมือกับภาคเอกชนและสถานประกอบการ เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและพัฒนากําลังคน ให้สามารถแข่งขันได้ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งช่วยสร้างสมรรถนะสู่มาตรฐานอาชีพ สร้างการยอมรับและคุณค่าให้กับช่างทักษะฝีมือ ตลอดจนช่วยยกระดับอาชีวศึกษาสู่ความเป็นเลิศเพื่อไปขับเคลื่อนประเทศ ส่วนการจับคู่ธุรกิจระหว่างสถานศึกษาและสถานประกอบการด้านอาหาร เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์อาหารไทยที่มีอัตลักษณ์และเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารที่จะสร้างรายได้ให้กับคนไทยอย่างมหาศาลในอนาคตได้ในที่สุด สิ่งสําคัญที่จะขอฝากถึงนักนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์อาชีวศึกษาทุกคน คือ ขอให้กลับไปพัฒนาผลงานใหม่ ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างผลงานดี ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความร่วมมือทั้งภาครัฐและสถานประกอบการ ไม่เฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ขอให้ร่วมกันสนับสนุนและขับเคลื่อนนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์อาชีวศึกษา ให้เป็น “ผลิตภัณฑ์ของประเทศไทย” เพราะผลของงานที่เกิดขึ้น ก็คือการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน ที่ส่งผลให้ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าในทุกมิติ และเป็นความมุ่งหวังตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการเดินหน้าประเทศไทยให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวถึงการประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา “อาหารไทย 4.0” ในปีนี้ด้วยว่า จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 กันยายน 2561 ณ ห้องไดมอนด์ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซียร์รังสิต จังหวัดปทุมธานี โดยมีกิจกรรมแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ - การจัดประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา “อาหารไทย 4.0” โดยมีผลงานส่งเข้าร่วมการประกวดใน 3 ประเภท ประกอบด้วย 1) ประเภทนวัตกรรมอาหารแปรรูป (Processed Food Products Innovation) จํานวน 50 ผลงาน 2) ประเภทเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์การแปรรูปอาหาร (Equipment for Food Processing Innovation) จํานวน 36 ผลงาน และ 3) ประเภทนวัตกรรมอาหารถิ่น EEC (EEC Local Food Innovation) โดยมีสถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง ส่งทีมเข้าร่วมการประกวด จํานวน 6 ทีม - กิจกรรมการจัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารของนักเรียนนักศึกษา ตลอดจนการจับคู่ธุรกิจ ระหว่างสถานศึกษาและสถานประกอบการด้านอาหาร โดยในภาพรวมตลอดการจัดงานพบว่า มีมูลค่าการซื้อขายกว่า 1.7 แสนบาท และมีสถานประกอบการ 21 แห่ง ให้ความสนใจที่จะร่วมมือทางธุรกิจกับสถานศึกษาเพื่อพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์อาหารของนักเรียนนักศึกษาในเชิงพาณิชย์ Written by นวรัตน์ รามสูต Photo Credit กลุ่มประชาสัมพันธ์ สอศ. Rewriter นวรัตน์ รามสูต Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา "อาหารไทย 4.0" วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561 งานประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา "อาหารไทย 4.0" พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีปิดงานประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา “อาหารไทย 4.0” ระดับชาติ ประจําปีการศึกษา 2561 พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีปิดงานประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา “อาหารไทย 4.0” ระดับชาติ ประจําปีการศึกษา 2561 เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2561 ณ ห้องไดมอนด์ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต โดยมีผู้เข้าร่วมจํานวนมาก อาทิ ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้บริหารสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และผู้อํานวยการสถาบันอาชีวศึกษา ตลอดจนนักเรียนนักศึกษา พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขอแสดงความชื่นชมกับผู้ที่ได้รางวัลจากการประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา “อาหารไทย 4.0” ระดับชาติ ประจําปีการศึกษา 2561 ในทุกผลงานและทุกประเภทการแข่งขัน ซึ่งถือเป็นโครงการที่สําคัญและช่วยกระตุ้นให้เยาวชนเกิดแรงบันดาลใจในการพัฒนานวัตกรรมด้านอาหาร ที่ทําได้จริง และใช้งานจริง ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม ตลอดจนส่งเสริมให้นักเรียนนักศึกษารุ่นใหม่ ได้หันมาสนใจศาสตร์และศิลปะด้านอาหารเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ได้ใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์ และสร้างความสามัคคีในหมู่นักศึกษาด้วยกัน จึงถือเป็นโครงการสําคัญยิ่งที่จะต้องให้การสนับสนุนการประดิษฐ์ คิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยีด้านนวัตกรรมอาหารอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการจัดการศึกษาในรูปแบบทวิภาคี เป็นความร่วมมือกับภาคเอกชนและสถานประกอบการ เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและพัฒนากําลังคน ให้สามารถแข่งขันได้ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและการพัฒนาประเทศ ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งช่วยสร้างสมรรถนะสู่มาตรฐานอาชีพ สร้างการยอมรับและคุณค่าให้กับช่างทักษะฝีมือ ตลอดจนช่วยยกระดับอาชีวศึกษาสู่ความเป็นเลิศเพื่อไปขับเคลื่อนประเทศ ส่วนการจับคู่ธุรกิจระหว่างสถานศึกษาและสถานประกอบการด้านอาหาร เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์อาหารไทยที่มีอัตลักษณ์และเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมอาหารที่จะสร้างรายได้ให้กับคนไทยอย่างมหาศาลในอนาคตได้ในที่สุด สิ่งสําคัญที่จะขอฝากถึงนักนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์อาชีวศึกษาทุกคน คือ ขอให้กลับไปพัฒนาผลงานใหม่ ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างผลงานดี ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความร่วมมือทั้งภาครัฐและสถานประกอบการ ไม่เฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ขอให้ร่วมกันสนับสนุนและขับเคลื่อนนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์อาชีวศึกษา ให้เป็น “ผลิตภัณฑ์ของประเทศไทย” เพราะผลของงานที่เกิดขึ้น ก็คือการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน ที่ส่งผลให้ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าในทุกมิติ และเป็นความมุ่งหวังตามนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการเดินหน้าประเทศไทยให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ดร.สุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กล่าวถึงการประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา “อาหารไทย 4.0” ในปีนี้ด้วยว่า จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5-7 กันยายน 2561 ณ ห้องไดมอนด์ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซียร์รังสิต จังหวัดปทุมธานี โดยมีกิจกรรมแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ - การจัดประกวดสุดยอดนวัตกรรมอาชีวศึกษา “อาหารไทย 4.0” โดยมีผลงานส่งเข้าร่วมการประกวดใน 3 ประเภท ประกอบด้วย 1) ประเภทนวัตกรรมอาหารแปรรูป (Processed Food Products Innovation) จํานวน 50 ผลงาน 2) ประเภทเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์การแปรรูปอาหาร (Equipment for Food Processing Innovation) จํานวน 36 ผลงาน และ 3) ประเภทนวัตกรรมอาหารถิ่น EEC (EEC Local Food Innovation) โดยมีสถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง ส่งทีมเข้าร่วมการประกวด จํานวน 6 ทีม - กิจกรรมการจัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารของนักเรียนนักศึกษา ตลอดจนการจับคู่ธุรกิจ ระหว่างสถานศึกษาและสถานประกอบการด้านอาหาร โดยในภาพรวมตลอดการจัดงานพบว่า มีมูลค่าการซื้อขายกว่า 1.7 แสนบาท และมีสถานประกอบการ 21 แห่ง ให้ความสนใจที่จะร่วมมือทางธุรกิจกับสถานศึกษาเพื่อพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์อาหารของนักเรียนนักศึกษาในเชิงพาณิชย์ Written by นวรัตน์ รามสูต Photo Credit กลุ่มประชาสัมพันธ์ สอศ. Rewriter นวรัตน์ รามสูต Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15473
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.สาธิต” มอบ อสม.ล้านคนทั่วประเทศ ทำหน้ากากผ้าแจกประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563 “รมช.สาธิต” มอบ อสม.ล้านคนทั่วประเทศ ทําหน้ากากผ้าแจกประชาชน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระดมอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน 1 ล้านกว่าคนทั่วประเทศ ทําหน้ากากผ้าแจกประชาชน 1.3 ล้านชิ้น รับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมลงพื้นที่ จ.นครราชสีมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระดมอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน 1 ล้านกว่าคนทั่วประเทศ ทําหน้ากากผ้าแจกประชาชน 1.3 ล้านชิ้น รับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมลงพื้นที่ จ.นครราชสีมา เตรียมยกระดับโรงพยาบาลพิมาย ช่วยลดแออัดโรงพยาบาลใหญ่ วันนี้ (5 มีนาคม 2563) ที่โรงพยาบาลพิมาย จ.นครราชสีมา ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมการดําเนินงานด้านสาธารณสุข ในการรองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ประชาชนมีความวิตกกังวลเรื่องการหาซื้อหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขได้มอบให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) กว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ จัดทําหน้ากากผ้าเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่ของตนเอง และให้ความรู้ในการใช้หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ที่ถูกต้อง โดยประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วย แนะนําให้ใช้หน้ากากผ้า เมื่อต้องเข้าไปในแหล่งชุมชนที่มีผู้คนหนาแน่น หรือใช้รถขนส่งสาธารณะ สําหรับบุคลากรที่สัมผัสกับผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจทุกโรค และผู้ที่มีอาการระบบทางเดินหายใจ มีอาการไอ จาม ใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้บุคคลอื่น เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ส่วนบุคลากรการแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจรุนแรง ควรใช้ชนิด N95 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงให้ความสําคัญกับหน้ากากอนามัยสําหรับใช้ในทางการแพทย์ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรในการปฏิบัติหน้าที่ให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วย บุคลากรทางแพทย์ต้องไม่ขาดหน้ากากอนามัย ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า วันนี้ได้ลงพื้นที่โรงพยาบาลพิมาย ติดตามการดําเนินงานและการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขรองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเตรียมยกระดับโรงพยาบาลพิมายให้เป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและลดความแออัดของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ ประจําจังหวัดนครราชสีมา โดยมีคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการเปิด การยกฐานะและการขยายเตียงหน่วยบริการสุขภาพซึ่งมีรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน พิจารณาเบื้องต้นก่อนเสนอคณะกรรมการระดับกระทรวงฯต่อไป ************************** 5 มีนาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รมช.สาธิต” มอบ อสม.ล้านคนทั่วประเทศ ทำหน้ากากผ้าแจกประชาชน วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2563 “รมช.สาธิต” มอบ อสม.ล้านคนทั่วประเทศ ทําหน้ากากผ้าแจกประชาชน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระดมอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน 1 ล้านกว่าคนทั่วประเทศ ทําหน้ากากผ้าแจกประชาชน 1.3 ล้านชิ้น รับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมลงพื้นที่ จ.นครราชสีมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระดมอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน 1 ล้านกว่าคนทั่วประเทศ ทําหน้ากากผ้าแจกประชาชน 1.3 ล้านชิ้น รับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมลงพื้นที่ จ.นครราชสีมา เตรียมยกระดับโรงพยาบาลพิมาย ช่วยลดแออัดโรงพยาบาลใหญ่ วันนี้ (5 มีนาคม 2563) ที่โรงพยาบาลพิมาย จ.นครราชสีมา ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ติดตามความพร้อมการดําเนินงานด้านสาธารณสุข ในการรองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ประชาชนมีความวิตกกังวลเรื่องการหาซื้อหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุขได้มอบให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) กว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ จัดทําหน้ากากผ้าเพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่ของตนเอง และให้ความรู้ในการใช้หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ที่ถูกต้อง โดยประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วย แนะนําให้ใช้หน้ากากผ้า เมื่อต้องเข้าไปในแหล่งชุมชนที่มีผู้คนหนาแน่น หรือใช้รถขนส่งสาธารณะ สําหรับบุคลากรที่สัมผัสกับผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจทุกโรค และผู้ที่มีอาการระบบทางเดินหายใจ มีอาการไอ จาม ใช้หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้บุคคลอื่น เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ส่วนบุคลากรการแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจรุนแรง ควรใช้ชนิด N95 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงให้ความสําคัญกับหน้ากากอนามัยสําหรับใช้ในทางการแพทย์ เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรในการปฏิบัติหน้าที่ให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วย บุคลากรทางแพทย์ต้องไม่ขาดหน้ากากอนามัย ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า วันนี้ได้ลงพื้นที่โรงพยาบาลพิมาย ติดตามการดําเนินงานและการเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุขรองรับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเตรียมยกระดับโรงพยาบาลพิมายให้เป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและลดความแออัดของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ ประจําจังหวัดนครราชสีมา โดยมีคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการเปิด การยกฐานะและการขยายเตียงหน่วยบริการสุขภาพซึ่งมีรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน พิจารณาเบื้องต้นก่อนเสนอคณะกรรมการระดับกระทรวงฯต่อไป ************************** 5 มีนาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26944
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 4 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 4 มิถุนายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่4 มิถุนายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 17 ราย เป็นคนไทย ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ (จากคูเวต 13 ราย กาตาร์ 2 ราย และซาอุดิอาระเบีย 2 ราย) ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้าน ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,966 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.71 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 75 ราย หรือร้อยละ 2.42 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,101 ราย จากรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ ทั้ง 17 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ซึ่งทุกรายได้รับการตรวจหาเชื้อระหว่างกักตัวตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ในจํานวนนี้พบว่ามีถึง 14 รายที่ไม่แสดงอาการป่วยใดๆ ชี้ให้เห็นว่า แม้คนที่ร่างกายแข็งแรงโดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาวจะไม่แสดงอาการของโรคโควิด 19 แต่อาจเป็นผู้ติดเชื้อได้ ทั้งนี้พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจําวันมีส่วนสําคัญที่จะเพิ่มหรือลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้เลยว่าในสถานที่ที่เราอยู่หรือเข้าใช้บริการมีผู้ติดเชื้อรวมอยู่ด้วยหรือไม่ ดังนั้นสิ่งสําคัญที่สุดคือ การป้องกันตัวเองโดย สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน หากสวมเฟซชิลด์ต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าร่วมด้วย และล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มหรือเข้าไปอยู่ในพื้นที่แออัด คนอยู่มาก เพื่อความปลอดภัยและลดโอกาสการติดเชื้อโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ขณะนี้ได้มีคนไทยจากต่างประเทศทยอยเดินทางกลับเข้าประเทศ สําหรับในวันนี้ (4 มิถุนายน 2563) จะมีเที่ยวบินนําคนไทยจากประเทศอินเดีย และสหรัฐอเมริกา รวม 663 ราย จากข้อมูลกรมควบคุมโรค ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึง 4 มิถุนายน 2563 พบว่ามีคนไทยเดินทางจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ รวม 23,632 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางผ่านเข้ามาทางพรมแดนมาเลเซีย 14,398 ราย อินเดีย 1,888 ราย สหรัฐอเมริกา 1,872 ราย ญี่ปุ่น 881 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 761 ราย โดยพบผู้ติดเชื้อจากการตรวจระหว่าง เข้ารับการกักตัว รวมจํานวน 164 ราย ส่วนใหญ่มาจากประเทศอินโดนีเซีย 65 ราย คูเวต 30 ราย ซาอุดิอาระเบีย 12 ราย ปากีสถาน 10 ราย กาตาร์ 9 ราย ตามลําดับ ***************************************** 4 มิถุนายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 4 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 4 มิถุนายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 4 มิถุนายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่4 มิถุนายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 17 ราย เป็นคนไทย ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ (จากคูเวต 13 ราย กาตาร์ 2 ราย และซาอุดิอาระเบีย 2 ราย) ไม่มีผู้ป่วยกลับบ้าน ยอดผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 2,966 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 95.71 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 75 ราย หรือร้อยละ 2.42 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,101 ราย จากรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ ทั้ง 17 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวเพื่อเฝ้าระวังในสถานที่รัฐจัดให้ ซึ่งทุกรายได้รับการตรวจหาเชื้อระหว่างกักตัวตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ในจํานวนนี้พบว่ามีถึง 14 รายที่ไม่แสดงอาการป่วยใดๆ ชี้ให้เห็นว่า แม้คนที่ร่างกายแข็งแรงโดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาวจะไม่แสดงอาการของโรคโควิด 19 แต่อาจเป็นผู้ติดเชื้อได้ ทั้งนี้พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจําวันมีส่วนสําคัญที่จะเพิ่มหรือลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้เลยว่าในสถานที่ที่เราอยู่หรือเข้าใช้บริการมีผู้ติดเชื้อรวมอยู่ด้วยหรือไม่ ดังนั้นสิ่งสําคัญที่สุดคือ การป้องกันตัวเองโดย สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน หากสวมเฟซชิลด์ต้องสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าร่วมด้วย และล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มหรือเข้าไปอยู่ในพื้นที่แออัด คนอยู่มาก เพื่อความปลอดภัยและลดโอกาสการติดเชื้อโควิด 19 และโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ ขณะนี้ได้มีคนไทยจากต่างประเทศทยอยเดินทางกลับเข้าประเทศ สําหรับในวันนี้ (4 มิถุนายน 2563) จะมีเที่ยวบินนําคนไทยจากประเทศอินเดีย และสหรัฐอเมริกา รวม 663 ราย จากข้อมูลกรมควบคุมโรค ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึง 4 มิถุนายน 2563 พบว่ามีคนไทยเดินทางจากต่างประเทศและเข้ารับการกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ รวม 23,632 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางผ่านเข้ามาทางพรมแดนมาเลเซีย 14,398 ราย อินเดีย 1,888 ราย สหรัฐอเมริกา 1,872 ราย ญี่ปุ่น 881 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 761 ราย โดยพบผู้ติดเชื้อจากการตรวจระหว่าง เข้ารับการกักตัว รวมจํานวน 164 ราย ส่วนใหญ่มาจากประเทศอินโดนีเซีย 65 ราย คูเวต 30 ราย ซาอุดิอาระเบีย 12 ราย ปากีสถาน 10 ราย กาตาร์ 9 ราย ตามลําดับ ***************************************** 4 มิถุนายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31929
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การชี้แจงเกี่ยวกับ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2560
วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 การชี้แจงเกี่ยวกับ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2560 พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 กําหนดให้มีคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ซึ่งมีองค์ประกอบกรรมการ ได้แก่ ผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญจากสภาวิชาชีพ นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 กําหนดให้มีคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ซึ่งมีองค์ประกอบกรรมการ ได้แก่ ผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญจากสภาวิชาชีพ เช่น สภาวิศวกร สภาสถาปนิก เป็นต้น ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ กําหนดให้กรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานกลางที่สนับสนุน ดูแล และรับผิดชอบการดําเนินการตาม พ.ร.บ.ฯ รวมทั้งเป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการทั้ง 5 คณะ ซึ่งการดําเนินการตาม พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว จะต้องจัดทํากฎหมายลําดับรอง ซึ่งประกอบด้วย กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศคณะกรรมการฯ รวม 41 ฉบับ โดยจะต้องดําเนินการเป็นกรณีเร่งด่วน จํานวน 8 ฉบับ (กฎกระทรวง 7 ฉบับ ระเบียบ 1 ฉบับ) ให้แล้วเสร็จก่อน พ.ร.บ.ฯ มีผลใช้บังคับ (วันที่ 23 สิงหาคม 2560) ประกอบกับตาม พ.ร.บ.ฯ ได้กําหนดขอบเขตการบังคับใช้ครอบคลุมหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง (ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ องค์การมหาชน องค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญหน่วยธุรการของศาล มหาวิทยาลัยในกํากับของรัฐ หน่วยงานสังกัดรัฐสภาหรือในกํากับของรัฐสภาหน่วยงานอิสระของรัฐ) จึงจําเป็นต้องดําเนินการฝึกอบรม ชี้แจง ประชาสัมพันธ์ และทําความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2560 จํานวน 107 รุ่น ใช้เงินประมาณ 3 ล้านกว่าบาท เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงานของรัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้อง มีความรู้ เข้าใจ และนําไปใช้ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า สําหรับระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (ระบบ e-GP) มีมาตรการรักษาความปลอดภัย ดังต่อไปนี้ 1. พื้นที่ควบคุม กรมบัญชีกลางได้จัดตั้งพื้นที่ควบคุม สําหรับผู้ดูแลระบบที่ต้องการเข้าใช้งานระบบงานในพื้นที่ควบคุมมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด และมีระบบเครือข่ายที่ได้รับการออกแบบให้สามารถเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูลเท่านั้น และไม่อนุญาตให้มีการเชื่อมต่อออกสู่ภายนอก โดยผู้เข้าปฏิบัติงานในห้องควบคุมทุกคนจะต้องลงทะเบียนเข้าและออก และจะต้องเก็บอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดไว้ในที่จัดเก็บที่จัดไว้และไม่ให้ใช้ในบริเวณพื้นที่ควบคุม รวมทั้งมีโปรแกรมบันทึกข้อมูลการดําเนินการของเจ้าหน้าที่ไว้ในระบบ ทั้งนี้ผู้ดูแลระบบและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนจะไม่สามารถเข้าพื้นที่ควบคุมได้ในช่วงเวลา 15.30 – 16.30 น. 2. การควบคุมผู้ใช้งาน กรมบัญชีกลางได้เพิ่มมาตรการป้องกันรหัสผู้ใช้และรหัสผ่านให้แก่ผู้ใช้งาน (user) ในระบบ e-GP โดยกําหนดให้ผู้ใช้งานทุกคนจําเป็นต้องเปลี่ยนรหัสผ่านทุกๆ 6 เดือน หากผู้ใช้งานไม่มีการเข้าใช้งานเกิน 1 ปี ระบบจะระงับการใช้งานของผู้ใช้งานรายนั้นๆ ทันที 3. ข้อมูลเสนอราคา กรมบัญชีกลางได้ปรับปรุงระบบให้ทําการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) ในการเสนอราคาของผู้ค้ากับภาครัฐ เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลก่อนเวลาที่กําหนดจากผู้ใช้งานและผู้ดูแลระบบ ทั้งนี้ เพื่อความโปร่งใสในการเสนอราคาของผู้เสนอราคา กรมบัญชีกลางได้กําหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลการเสนอราคาเบื้องต้นของทุกโครงการผ่านเว็บไซต์ www.gprocurement.go.th เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการเสนอราคา ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลได้แก่ จํานวนผู้รับเอกสาร จํานวนผู้เสนอราคา ราคาต่ําสุด เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การชี้แจงเกี่ยวกับ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2560 วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 การชี้แจงเกี่ยวกับ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง พ.ศ. 2560 พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 กําหนดให้มีคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ซึ่งมีองค์ประกอบกรรมการ ได้แก่ ผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญจากสภาวิชาชีพ นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 กําหนดให้มีคณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการ ซึ่งมีองค์ประกอบกรรมการ ได้แก่ ผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญจากสภาวิชาชีพ เช่น สภาวิศวกร สภาสถาปนิก เป็นต้น ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างฯ กําหนดให้กรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานกลางที่สนับสนุน ดูแล และรับผิดชอบการดําเนินการตาม พ.ร.บ.ฯ รวมทั้งเป็นฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการทั้ง 5 คณะ ซึ่งการดําเนินการตาม พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว จะต้องจัดทํากฎหมายลําดับรอง ซึ่งประกอบด้วย กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศคณะกรรมการฯ รวม 41 ฉบับ โดยจะต้องดําเนินการเป็นกรณีเร่งด่วน จํานวน 8 ฉบับ (กฎกระทรวง 7 ฉบับ ระเบียบ 1 ฉบับ) ให้แล้วเสร็จก่อน พ.ร.บ.ฯ มีผลใช้บังคับ (วันที่ 23 สิงหาคม 2560) ประกอบกับตาม พ.ร.บ.ฯ ได้กําหนดขอบเขตการบังคับใช้ครอบคลุมหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง (ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ องค์การมหาชน องค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญหน่วยธุรการของศาล มหาวิทยาลัยในกํากับของรัฐ หน่วยงานสังกัดรัฐสภาหรือในกํากับของรัฐสภาหน่วยงานอิสระของรัฐ) จึงจําเป็นต้องดําเนินการฝึกอบรม ชี้แจง ประชาสัมพันธ์ และทําความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2560 จํานวน 107 รุ่น ใช้เงินประมาณ 3 ล้านกว่าบาท เพื่อให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงานของรัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้อง มีความรู้ เข้าใจ และนําไปใช้ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า สําหรับระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (ระบบ e-GP) มีมาตรการรักษาความปลอดภัย ดังต่อไปนี้ 1. พื้นที่ควบคุม กรมบัญชีกลางได้จัดตั้งพื้นที่ควบคุม สําหรับผู้ดูแลระบบที่ต้องการเข้าใช้งานระบบงานในพื้นที่ควบคุมมีการติดตั้งกล้องวงจรปิด และมีระบบเครือข่ายที่ได้รับการออกแบบให้สามารถเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูลเท่านั้น และไม่อนุญาตให้มีการเชื่อมต่อออกสู่ภายนอก โดยผู้เข้าปฏิบัติงานในห้องควบคุมทุกคนจะต้องลงทะเบียนเข้าและออก และจะต้องเก็บอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิดไว้ในที่จัดเก็บที่จัดไว้และไม่ให้ใช้ในบริเวณพื้นที่ควบคุม รวมทั้งมีโปรแกรมบันทึกข้อมูลการดําเนินการของเจ้าหน้าที่ไว้ในระบบ ทั้งนี้ผู้ดูแลระบบและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนจะไม่สามารถเข้าพื้นที่ควบคุมได้ในช่วงเวลา 15.30 – 16.30 น. 2. การควบคุมผู้ใช้งาน กรมบัญชีกลางได้เพิ่มมาตรการป้องกันรหัสผู้ใช้และรหัสผ่านให้แก่ผู้ใช้งาน (user) ในระบบ e-GP โดยกําหนดให้ผู้ใช้งานทุกคนจําเป็นต้องเปลี่ยนรหัสผ่านทุกๆ 6 เดือน หากผู้ใช้งานไม่มีการเข้าใช้งานเกิน 1 ปี ระบบจะระงับการใช้งานของผู้ใช้งานรายนั้นๆ ทันที 3. ข้อมูลเสนอราคา กรมบัญชีกลางได้ปรับปรุงระบบให้ทําการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) ในการเสนอราคาของผู้ค้ากับภาครัฐ เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลก่อนเวลาที่กําหนดจากผู้ใช้งานและผู้ดูแลระบบ ทั้งนี้ เพื่อความโปร่งใสในการเสนอราคาของผู้เสนอราคา กรมบัญชีกลางได้กําหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลการเสนอราคาเบื้องต้นของทุกโครงการผ่านเว็บไซต์ www.gprocurement.go.th เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการเสนอราคา ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลได้แก่ จํานวนผู้รับเอกสาร จํานวนผู้เสนอราคา ราคาต่ําสุด เป็นต้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5698
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จัดพิธีบวงสรวงเทพยดา งานนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพระยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 วธ. จัดพิธีบวงสรวงเทพยดา งานนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพระยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 วธ. จัดพิธีบวงสรวงเทพยดา งานนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพระยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 วธ. จัดพิธีบวงสรวงเทพยดา งานนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพระยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 วันที่ 21 ตุลาคม 2562 เวลา 07.29 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีบวงสรวงเทพยดา งานนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพระยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธี บรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 โดยมีพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ประกอบพิธีบวงสรวง พร้อมด้วย นายกฤษศญพงษ์ ศิริปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี นายอิทธิพล กล่าวว่า รัฐบาล มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน อาทิ กระทรวงกลาโหม สํานักนายกรัฐมนตรี จัดแสดงนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม – 11 พฤศจิกายน 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น. ณ ท้องสนามหลวง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ตลอดจนเพื่อเผยแพร่ อนุรักษ์ สืบทอดและต่อยอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่ โดยภายในอาคารนิทรรศการฯ “เถลิงถวัลย์ราชสมบัติ สยามรัฐสีมา” มีรูปแบบการจัดแสดง 3 ห้อง ประกอบด้วย ห้องที่ 1 “มหามงคลสมัยพระขวัญไผทเถลิงรัช” จัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน ห้องที่ 2 จัดแสดงแสง สี เสียง และสื่อผสม ชุด “นิรมิตเรืองนทีเถลิงหล้า” นําเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความสุขของคนไทยใต้ร่มพระบารมีผ่านจอแอลอีดีในรูปแบบ 3 มิติ ห้องที่ 3 “ขบวนนาวาอารยศิลป์แผ่นดินสยาม” จัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับขบวนพระยุหยาตราทางชลมารคตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และขบวนพยุหยาตราทางชลมารคเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 โดยภายในพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการฯได้จัดทําอารยสถาปัตย์ และจัดเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวกให้กับผู้พิการและผู้สูงอายุด้วย รัฐบาล ขอเชิญชวนประชาชนร่วมชมนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม 1765 www.m-culture.go.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. จัดพิธีบวงสรวงเทพยดา งานนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพระยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม 2562 วธ. จัดพิธีบวงสรวงเทพยดา งานนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพระยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 วธ. จัดพิธีบวงสรวงเทพยดา งานนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพระยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 วธ. จัดพิธีบวงสรวงเทพยดา งานนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพระยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 วันที่ 21 ตุลาคม 2562 เวลา 07.29 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เป็นประธานในพิธีบวงสรวงเทพยดา งานนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพระยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธี บรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 โดยมีพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ประกอบพิธีบวงสรวง พร้อมด้วย นายกฤษศญพงษ์ ศิริปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมพิธี นายอิทธิพล กล่าวว่า รัฐบาล มอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน อาทิ กระทรวงกลาโหม สํานักนายกรัฐมนตรี จัดแสดงนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม – 11 พฤศจิกายน 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น. ณ ท้องสนามหลวง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ตลอดจนเพื่อเผยแพร่ อนุรักษ์ สืบทอดและต่อยอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่ โดยภายในอาคารนิทรรศการฯ “เถลิงถวัลย์ราชสมบัติ สยามรัฐสีมา” มีรูปแบบการจัดแสดง 3 ห้อง ประกอบด้วย ห้องที่ 1 “มหามงคลสมัยพระขวัญไผทเถลิงรัช” จัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน ห้องที่ 2 จัดแสดงแสง สี เสียง และสื่อผสม ชุด “นิรมิตเรืองนทีเถลิงหล้า” นําเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความสุขของคนไทยใต้ร่มพระบารมีผ่านจอแอลอีดีในรูปแบบ 3 มิติ ห้องที่ 3 “ขบวนนาวาอารยศิลป์แผ่นดินสยาม” จัดแสดงองค์ความรู้เกี่ยวกับขบวนพระยุหยาตราทางชลมารคตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และขบวนพยุหยาตราทางชลมารคเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 โดยภายในพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการฯได้จัดทําอารยสถาปัตย์ และจัดเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวกให้กับผู้พิการและผู้สูงอายุด้วย รัฐบาล ขอเชิญชวนประชาชนร่วมชมนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนวัฒนธรรม 1765 www.m-culture.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23960
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ติดตามความคืบหน้าและแลกเปลี่ยนเรียนรู้การลดใช้พลาสติก
วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม ติดตามความคืบหน้าและแลกเปลี่ยนเรียนรู้การลดใช้พลาสติก กระทรวงยุติธรรม ติดตามความคืบหน้าและแลกเปลี่ยนเรียนรู้การลดใช้พลาสติก ในวันอังคารที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามและแลกเปลี่ยนเรียนรู้การลดใช้พลาสติกระดับกระทรวง ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ เพื่อรายงานความคืบหน้าและแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการดําเนินการลดใช้พลาสติกและคัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงาน ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เรื่องให้หน่วยงานภาครัฐมีการดําเนินกิจกรรมที่ส่งเสริม สนับสนุนการลด และการคัดแยกขยะมูลฝอย รวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ ทั้งนี้ สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ยกร่างระเบียบกระทรวงยุติธรรม เรื่องมาตรการลด คัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเสนอปลัดกระทรวงยุติธรรมพิจารณาและลงนามต่อไป รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การคัดแยกขยะและการลดใช้พลาสติกเป็นเรื่องใกล้ตัว ขอให้ทุกคนระลึกไว้เสมอว่าทรัพยากรที่ใช้ในสํานักงานนั้นเปรียบเสมือนของใช้ที่บ้านของเราเอง เพราะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าน้ํา ค่าไฟ ล้วนมาจากเงินภาษีของเราและประชาชนทั้งสิ้น โดยขอให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดําเนินการคัดแยกขยะมูลฝอย การลดใช้พลาสติก ลดใช้ทรัพยากร เป็นประจําอย่างต่อเนื่องและรายงานผลการดําเนินการมายังสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประจําทุก ๓ เดือน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ติดตามความคืบหน้าและแลกเปลี่ยนเรียนรู้การลดใช้พลาสติก วันพุธที่ 17 ตุลาคม 2561 กระทรวงยุติธรรม ติดตามความคืบหน้าและแลกเปลี่ยนเรียนรู้การลดใช้พลาสติก กระทรวงยุติธรรม ติดตามความคืบหน้าและแลกเปลี่ยนเรียนรู้การลดใช้พลาสติก ในวันอังคารที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๒ ชั้น ๘ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามและแลกเปลี่ยนเรียนรู้การลดใช้พลาสติกระดับกระทรวง ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เข้าร่วมฯ เพื่อรายงานความคืบหน้าและแลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการดําเนินการลดใช้พลาสติกและคัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงาน ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เรื่องให้หน่วยงานภาครัฐมีการดําเนินกิจกรรมที่ส่งเสริม สนับสนุนการลด และการคัดแยกขยะมูลฝอย รวมทั้งข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ ทั้งนี้ สํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ยกร่างระเบียบกระทรวงยุติธรรม เรื่องมาตรการลด คัดแยกขยะมูลฝอยในหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเสนอปลัดกระทรวงยุติธรรมพิจารณาและลงนามต่อไป รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การคัดแยกขยะและการลดใช้พลาสติกเป็นเรื่องใกล้ตัว ขอให้ทุกคนระลึกไว้เสมอว่าทรัพยากรที่ใช้ในสํานักงานนั้นเปรียบเสมือนของใช้ที่บ้านของเราเอง เพราะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าน้ํา ค่าไฟ ล้วนมาจากเงินภาษีของเราและประชาชนทั้งสิ้น โดยขอให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่ขึ้นตรงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดําเนินการคัดแยกขยะมูลฝอย การลดใช้พลาสติก ลดใช้ทรัพยากร เป็นประจําอย่างต่อเนื่องและรายงานผลการดําเนินการมายังสํานักงานปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประจําทุก ๓ เดือน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16143
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดอบรมลูกเสือที่เชียงราย
วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 เปิดอบรมลูกเสือที่เชียงราย นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมบุคลากรทางการลูกเสือ หลักสูตรวิชากํากับลูกเสือ ขั้นความรู้ทั่วไป และหลักสูตรวิชาผู้กํากับลูกเสือสามัญ ขั้นความรู้เบื้องต้น (B.T.C) นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมบุคลากรทางการลูกเสือ หลักสูตรวิชากํากับลูกเสือ ขั้นความรู้ทั่วไป และหลักสูตรวิชาผู้กํากับลูกเสือสามัญ ขั้นความรู้เบื้องต้น (B.T.C) ของครูในสถานศึกษาเอกชนในพื้นที่สํานักงานศึกษาธิการภาค 16 โดยมีนายภาสกร บุญญลักษม์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายกวินทร์เกียรติ นนธ์พละ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารระดับท้องถิ่น ผู้บังคับการและบุคลากรทางการลูกเสือ ให้การต้อนรับและเข้าร่วมงาน ณ พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี เมืองเชียงราย อําเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ในฐานะได้รับมอบหมายให้กํากับดูแลงานของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ จึงให้ความสําคัญและมาพบปะให้โอวาทแก่ครูและบุคลากรโรงเรียนเอกชน จากทั้งจังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ที่เข้าร่วมอบรมกว่า 80 คน ในครั้งนี้ ด้วยตนเอง และเพื่อสืบสานพระราชปณิธาน พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ผู้ทรงก่อตั้งกิจการลูกเสือไทย และพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ จนมาถึงในรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 9 และในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราโชบายที่จะสืบสานกิจการลูกเสือให้คงอยู่คู่สังคมไทย ตลอดจนประชาชนชาวไทยเองก็ให้ความสําคัญ และพร้อมจะสืบสาน รักษา และต่อยอดงานลูกเสือให้เกิดความยั่งยืนเช่นกัน จึงขอฝากให้ครูทุกคน นอกจากจะทําหน้าที่ของครู ที่มีจิตวิญญาความเป็นครูแล้ว จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นผู้นําในเรื่องของความมีระเบียบวินัยและปฏิบัติตามคําปฏิญาณลูกเสือที่ให้ไว้ด้วย ในส่วนของ รมช.ศึกษาธิการ ยินดีที่จะช่วยผลักดันการพัฒนากิจการลูกเสืออย่างเต็มที่ เช่นการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้ครูเอกชนได้รับการอบรม และพัฒนาศัยภาพอย่างเต็มที่ในครั้งนี้ ทั้งยังได้ริเริ่มจัดตั้งกองลูกเสือมัคคุเทศก์ พร้อมลงนามความร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อร่วมกันพัฒนาลูกเสือ ครู และบุคลากรสังกัด สพฐ. กศน. และ สช. ตามหลักสูตรของลูกเสือนําร่องใน 9 จังหวัด พร้อม ๆ กับเพิ่มพูนการสื่อสารภาษาอังกฤษ ภาษาอื่น และภาษาถิ่น และหลักสูตรจิตอาสา 904 เพื่อเป็นจิตอาสาบริการและแนะนําการท่องเที่ยวในท้องถิ่นตามอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด โดยผู้ผ่านการอบรมจะได้รับ ประกาศนียบัตรในหลักสูตรลูกเสือและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สามารถสะสมเครดิตเพื่อประโยชน์ในการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น การเป็นมัคคุเทศก์มืออาชีพ หรืออาจจะได้เป็นตัวแทนลูกเสือไทยเข้าร่วมโครงการของสํานักงานลูกเสือในเวทีระดับนานาชาติต่อไป ท้ายสุดนี้ ขอยกย่องเชิดชูเกียรติ ผู้ผ่านการอบรมลูกเสือหลักสูตรต่าง ๆ ตลอดจนข้าราชการเกษียณและบุคลากรทางการลูกเสือ ที่อุทิศตนและพากเพียรทํางานด้วยหัวใจของความเป็นลูกเสืออย่างสม่ําเสมอ เพื่อพัฒนากิจการลูกเสือให้เจริญก้าวหน้า คงไว้ซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรี เป็นแบบอย่างอันดีของประเทศชาติ ในขณะเดียวกัน ก็สร้างบุคลากรที่สามารถปรับตัวเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงสู่โลกในศตวรรษที่ 21 ได้ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือร่วมใจผู้บริหาร ครู และบุคลากรทั้งในจังหวัดเชียงราย และอีก 3 จังหวัด บูรณาการแก้ไขปัญหาด้วยปัญญาและพลังของชาวกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด เฉกเช่นเดียวกับรัฐมนตรีทั้ง 3 คน ที่ทํางานร่วมกันเป็นทีม สิ่งใดที่อยู่ในความรับผิดชอบจะดําเนินการอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็พร้อมสนับสนุนงานอื่น ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะเป็นมิติใหม่ในการทํางานเชิงสร้างสรรค์ เพื่อขับเคลื่อนการศึกษาไทยให้มีคุณภาพ ทัดเทียมนานาอารยประเทศ แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นไทยอย่างยั่งยืน นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดอบรมลูกเสือที่เชียงราย วันพุธที่ 16 ตุลาคม 2562 เปิดอบรมลูกเสือที่เชียงราย นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมบุคลากรทางการลูกเสือ หลักสูตรวิชากํากับลูกเสือ ขั้นความรู้ทั่วไป และหลักสูตรวิชาผู้กํากับลูกเสือสามัญ ขั้นความรู้เบื้องต้น (B.T.C) นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมบุคลากรทางการลูกเสือ หลักสูตรวิชากํากับลูกเสือ ขั้นความรู้ทั่วไป และหลักสูตรวิชาผู้กํากับลูกเสือสามัญ ขั้นความรู้เบื้องต้น (B.T.C) ของครูในสถานศึกษาเอกชนในพื้นที่สํานักงานศึกษาธิการภาค 16 โดยมีนายภาสกร บุญญลักษม์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายกวินทร์เกียรติ นนธ์พละ รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารระดับท้องถิ่น ผู้บังคับการและบุคลากรทางการลูกเสือ ให้การต้อนรับและเข้าร่วมงาน ณ พุทธมณฑลสมโภช 750 ปี เมืองเชียงราย อําเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ในฐานะได้รับมอบหมายให้กํากับดูแลงานของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน และสํานักงานลูกเสือแห่งชาติ จึงให้ความสําคัญและมาพบปะให้โอวาทแก่ครูและบุคลากรโรงเรียนเอกชน จากทั้งจังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน ที่เข้าร่วมอบรมกว่า 80 คน ในครั้งนี้ ด้วยตนเอง และเพื่อสืบสานพระราชปณิธาน พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ผู้ทรงก่อตั้งกิจการลูกเสือไทย และพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ จนมาถึงในรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 9 และในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราโชบายที่จะสืบสานกิจการลูกเสือให้คงอยู่คู่สังคมไทย ตลอดจนประชาชนชาวไทยเองก็ให้ความสําคัญ และพร้อมจะสืบสาน รักษา และต่อยอดงานลูกเสือให้เกิดความยั่งยืนเช่นกัน จึงขอฝากให้ครูทุกคน นอกจากจะทําหน้าที่ของครู ที่มีจิตวิญญาความเป็นครูแล้ว จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นผู้นําในเรื่องของความมีระเบียบวินัยและปฏิบัติตามคําปฏิญาณลูกเสือที่ให้ไว้ด้วย ในส่วนของ รมช.ศึกษาธิการ ยินดีที่จะช่วยผลักดันการพัฒนากิจการลูกเสืออย่างเต็มที่ เช่นการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้ครูเอกชนได้รับการอบรม และพัฒนาศัยภาพอย่างเต็มที่ในครั้งนี้ ทั้งยังได้ริเริ่มจัดตั้งกองลูกเสือมัคคุเทศก์ พร้อมลงนามความร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อร่วมกันพัฒนาลูกเสือ ครู และบุคลากรสังกัด สพฐ. กศน. และ สช. ตามหลักสูตรของลูกเสือนําร่องใน 9 จังหวัด พร้อม ๆ กับเพิ่มพูนการสื่อสารภาษาอังกฤษ ภาษาอื่น และภาษาถิ่น และหลักสูตรจิตอาสา 904 เพื่อเป็นจิตอาสาบริการและแนะนําการท่องเที่ยวในท้องถิ่นตามอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัด โดยผู้ผ่านการอบรมจะได้รับ ประกาศนียบัตรในหลักสูตรลูกเสือและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สามารถสะสมเครดิตเพื่อประโยชน์ในการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น การเป็นมัคคุเทศก์มืออาชีพ หรืออาจจะได้เป็นตัวแทนลูกเสือไทยเข้าร่วมโครงการของสํานักงานลูกเสือในเวทีระดับนานาชาติต่อไป ท้ายสุดนี้ ขอยกย่องเชิดชูเกียรติ ผู้ผ่านการอบรมลูกเสือหลักสูตรต่าง ๆ ตลอดจนข้าราชการเกษียณและบุคลากรทางการลูกเสือ ที่อุทิศตนและพากเพียรทํางานด้วยหัวใจของความเป็นลูกเสืออย่างสม่ําเสมอ เพื่อพัฒนากิจการลูกเสือให้เจริญก้าวหน้า คงไว้ซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรี เป็นแบบอย่างอันดีของประเทศชาติ ในขณะเดียวกัน ก็สร้างบุคลากรที่สามารถปรับตัวเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงสู่โลกในศตวรรษที่ 21 ได้ ทั้งนี้ ขอความร่วมมือร่วมใจผู้บริหาร ครู และบุคลากรทั้งในจังหวัดเชียงราย และอีก 3 จังหวัด บูรณาการแก้ไขปัญหาด้วยปัญญาและพลังของชาวกระทรวงศึกษาธิการ ผ่านคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด เฉกเช่นเดียวกับรัฐมนตรีทั้ง 3 คน ที่ทํางานร่วมกันเป็นทีม สิ่งใดที่อยู่ในความรับผิดชอบจะดําเนินการอย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็พร้อมสนับสนุนงานอื่น ๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ ที่จะเป็นมิติใหม่ในการทํางานเชิงสร้างสรรค์ เพื่อขับเคลื่อนการศึกษาไทยให้มีคุณภาพ ทัดเทียมนานาอารยประเทศ แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นไทยอย่างยั่งยืน นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23864
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บัญชีกลางจัดงานสัมมนา CoST สรุปผลโครงการ ปี 61
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561 บัญชีกลางจัดงานสัมมนา CoST สรุปผลโครงการ ปี 61 กรมบัญชีกลางจัดงานสัมมนาโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 โดยคัดเลือก 10 โครงการต้นแบบจากหลากหลายมิติ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลังงานสัมมนาโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐของประเทศไทย (Construction Sector Transparency Initiative : CoST) โดยมีนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ในวันนี้ (18 ก.ย. 61) ณ ห้อง Platinum Hall โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน ว่า การดําเนินโครงการ CoST ในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในปี พ.ศ. 2560 โดยมีโครงการก่อสร้างภาครัฐที่เข้าร่วมโครงการ CoST รวม 5 โครงการ ทั้งหมดเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบในวงกว้าง ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 มีการคัดเลือกโครงการก่อสร้างภาครัฐเข้าร่วมโครงการ CoST เพิ่มมากขึ้น รวมจํานวน 147 โครงการ มูลค่าการก่อสร้างรวม 113,665 ล้านบาท จากทั้งหน่วยงานระดับกรม รัฐวิสาหกิจ และท้องถิ่น โดยมีการเปิดเผยข้อมูลโครงการตามแนวทางของ CoST แล้วจํานวน 120 โครงการ ส่วนโครงการที่เหลืออยู่ระหว่างการเตรียมการจัดซื้อจัดจ้าง และมีกระทรวงเข้าร่วมทั้งสิ้น 12 กระทรวง โดยกระทรวงคมนาคมมีมูลค่าโครงการสูงสุด 99,627 ล้านบาท ในขณะที่กระทรวงมหาดไทย มีจํานวนโครงการเข้าร่วมสูงสุด จํานวน 104 โครงการ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า การวิเคราะห์ภาพรวมของโครงการที่มีการเปิดเผยข้อมูล พบว่า โครงการของหน่วยราชการ และรัฐวิสาหกิจจะมุ่งเน้นงานถนน สะพาน และงานชลประทาน ส่วนท้องถิ่นจะมุ่งเน้นงานอาคารและงานถนน และจํานวนผู้เข้าร่วมประมูลมีความสัมพันธ์กับการแข่งขันด้านราคาในทิศทางเดียวกัน โครงการที่มีมูลค่างานต่ําจะมีจํานวนผู้เข้าแข่งขันมาก ส่งผลให้การแข่งขันด้านราคาสูงเกินกว่าร้อยละ 15 ในขณะที่การเปิดเผยข้อมูล โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เฉลี่ยที่ร้อยละ 82.81 ในขณะเดียวกันยังได้มีการติดตามและประเมินผลโครงการ โดยสุ่มคัดเลือก 10 โครงการต้นแบบจากหลากหลายมิติ เช่น ประเภทการก่อสร้าง งบประมาณ และพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อมูลที่เปิดเผยและมีการจัดเวทีภาคประชาชนเพื่อสอบถามความคิดเห็นหรือรับฟังปัญหาผลกระทบจากโครงการก่อสร้างที่สุ่มตรวจ พบว่า การเปิดเผยข้อมูลตามแนวทาง CoST ของหน่วยงานระดับกรมอยู่ที่ร้อยละ 90 หน่วยงานระดับท้องถิ่นอยู่ที่ร้อยละ 80 และมีข้อห่วงใยของประชาชนคือ การบริหารจัดการโครงการภายหลังการก่อสร้าง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ทั้งนี้ โดยภาพรวมประชาชนในพื้นที่เชื่อมั่นว่าโครงการที่ดําเนินการทั้ง 10 โครงการ มีความโปร่งใสในการก่อสร้าง และสามารถบริหารจัดการข้อร้องเรียนเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนได้เป็นอย่างดี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บัญชีกลางจัดงานสัมมนา CoST สรุปผลโครงการ ปี 61 วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561 บัญชีกลางจัดงานสัมมนา CoST สรุปผลโครงการ ปี 61 กรมบัญชีกลางจัดงานสัมมนาโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 โดยคัดเลือก 10 โครงการต้นแบบจากหลากหลายมิติ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยภายหลังงานสัมมนาโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐของประเทศไทย (Construction Sector Transparency Initiative : CoST) โดยมีนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ในวันนี้ (18 ก.ย. 61) ณ ห้อง Platinum Hall โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน ว่า การดําเนินโครงการ CoST ในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในปี พ.ศ. 2560 โดยมีโครงการก่อสร้างภาครัฐที่เข้าร่วมโครงการ CoST รวม 5 โครงการ ทั้งหมดเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบในวงกว้าง ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 มีการคัดเลือกโครงการก่อสร้างภาครัฐเข้าร่วมโครงการ CoST เพิ่มมากขึ้น รวมจํานวน 147 โครงการ มูลค่าการก่อสร้างรวม 113,665 ล้านบาท จากทั้งหน่วยงานระดับกรม รัฐวิสาหกิจ และท้องถิ่น โดยมีการเปิดเผยข้อมูลโครงการตามแนวทางของ CoST แล้วจํานวน 120 โครงการ ส่วนโครงการที่เหลืออยู่ระหว่างการเตรียมการจัดซื้อจัดจ้าง และมีกระทรวงเข้าร่วมทั้งสิ้น 12 กระทรวง โดยกระทรวงคมนาคมมีมูลค่าโครงการสูงสุด 99,627 ล้านบาท ในขณะที่กระทรวงมหาดไทย มีจํานวนโครงการเข้าร่วมสูงสุด จํานวน 104 โครงการ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวต่อว่า การวิเคราะห์ภาพรวมของโครงการที่มีการเปิดเผยข้อมูล พบว่า โครงการของหน่วยราชการ และรัฐวิสาหกิจจะมุ่งเน้นงานถนน สะพาน และงานชลประทาน ส่วนท้องถิ่นจะมุ่งเน้นงานอาคารและงานถนน และจํานวนผู้เข้าร่วมประมูลมีความสัมพันธ์กับการแข่งขันด้านราคาในทิศทางเดียวกัน โครงการที่มีมูลค่างานต่ําจะมีจํานวนผู้เข้าแข่งขันมาก ส่งผลให้การแข่งขันด้านราคาสูงเกินกว่าร้อยละ 15 ในขณะที่การเปิดเผยข้อมูล โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เฉลี่ยที่ร้อยละ 82.81 ในขณะเดียวกันยังได้มีการติดตามและประเมินผลโครงการ โดยสุ่มคัดเลือก 10 โครงการต้นแบบจากหลากหลายมิติ เช่น ประเภทการก่อสร้าง งบประมาณ และพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อมูลที่เปิดเผยและมีการจัดเวทีภาคประชาชนเพื่อสอบถามความคิดเห็นหรือรับฟังปัญหาผลกระทบจากโครงการก่อสร้างที่สุ่มตรวจ พบว่า การเปิดเผยข้อมูลตามแนวทาง CoST ของหน่วยงานระดับกรมอยู่ที่ร้อยละ 90 หน่วยงานระดับท้องถิ่นอยู่ที่ร้อยละ 80 และมีข้อห่วงใยของประชาชนคือ การบริหารจัดการโครงการภายหลังการก่อสร้าง เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ทั้งนี้ โดยภาพรวมประชาชนในพื้นที่เชื่อมั่นว่าโครงการที่ดําเนินการทั้ง 10 โครงการ มีความโปร่งใสในการก่อสร้าง และสามารถบริหารจัดการข้อร้องเรียนเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนได้เป็นอย่างดี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15451