title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๙.๐๐ น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560 ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๙.๐๐ น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ผอ.สคร. ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คนร. ได้เปิดเผยผลการประชุม คนร. ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คนร. ได้เปิดเผยผลการประชุม คนร. ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน สรุปได้ดังนี้ ๑. คนร. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมการและสร้างความเข้าใจในร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกํากับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ) โดยมีนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานอนุกรรมการ เพื่อศึกษา วิเคราะห์ประเด็นที่ต้องสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ โดยให้จัดทําแผนและสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่สาธารณชน รวมทั้งประสานงานกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติในการสร้างการรับรู้ให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้าใจว่าร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ นี้เป็นการปฏิรูประบบการกํากับดูแลรัฐวิสาหกิจโดยยังคงความเป็นรัฐวิสาหกิจไว้ และไม่ได้มีผลเป็นการแปรรูป หรือถ่ายโอนทรัพย์สินไปยังภาคเอกชนแต่ประการใด โดยเฉพาะองค์กรด้านแรงงานและประชาชนให้เข้าใจแนวทางการปฏิรูปตามร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ ดังกล่าว ๒. คนร. ได้เห็นชอบแนวทางการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองกรรมการรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีองค์ประกอบเทียบเคียงกับร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ เพื่อทําหน้าที่ในการคัดเลือกบุคคลที่มีทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และสอดคล้องกับสมรรถนะหลัก (Skill Matrix) และนําเสนอ คนร. พิจารณา นอกจากนี้ยังได้มีการกําหนดรายละเอียดขั้นตอนการดําเนินการตามแนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ ที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจะเป็นการสร้างความโปร่งใสในการสรรหาบุคคลที่จะมาเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ ๓. การแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง เพื่อสร้างความยั่งยืนและแข็งแกร่งให้รัฐวิสาหกิจฟื้นฟู คนร. ได้กําหนดให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจัดทําแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวที่สอดคล้องกับภารกิจหลัก โดยเน้นการให้บริการแก่ประชาชน พร้อมนี้ ให้จัดทําแผนปฏิบัติการรายปีภายใต้แผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวดังกล่าว และจัดส่งให้ฝ่ายเลขานุการ คนร. ภายใน เดือนตุลาคม ๒๕๖๐ เพื่อนําเสนอ คนร. ต่อไป นอกจากนี้ คนร. ได้รับทราบความคืบหน้าการดําเนินการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจทั้ง ๗ แห่ง ดังนี้ ๓.๑ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) มีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และเป็นไปตามแผนที่กําหนด โดยมีการปล่อยสินเชื่อ SMEs เป็นไปตามเป้าหมาย มีการควบคุมค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income) ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) สุทธิสูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อย อย่างไรก็ดี ธพว. ยังคงรักษา BIS Ratio ได้สูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกําหนด นอกจากนี้ คนร. ได้ให้ ธพว. จัดทําแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับ ธพว. รวมทั้ง การปรับองค์กรให้เป็นองค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) ด้วย ๓.๒ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) มีความคืบหน้าด้านการสรรหาพันธมิตรที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และสามารถลดต้นทุนเงินฝากได้ดีกว่าเป้าหมาย โดย คนร. ได้ขอให้เร่งพลิกฟื้นองค์กรให้ได้โดยเร็วควบคู่กับการดําเนินการสรรหาพันธมิตรให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ๓.๓ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) (บมจ. กสท) ได้จัดตั้งบริษัทโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จํากัด (NBN) ในการดําเนินธุรกิจเคเบิ้ลใยแก้วใต้น้ําและอินเตอร์เน็ตดาต้าเซ็นเตอร์ และบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จํากัด (NGDC) ในการดําเนินธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ แล้ว และสามารถเปิดให้บริการได้ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๓.๔ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.) มีผลการดําเนินงานส่วนใหญ่เป็นไปตามแผนที่กําหนด รายได้รวมใกล้เคียงกับเป้าหมาย และอัตราการขนส่งผู้โดยสาร (Cabin Factor) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคู่แข่ง ทั้งนี้ คนร. ได้สั่งการให้เร่งนําระบบ Revenue Management System (RMS) และระบบ Network Management System (NMS) มาใช้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และปรับกลยุทธ์ของ บกท. เชิงรุกมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับโอกาสจากการเติบโตของจํานวนนักท่องเที่ยวและการปลดธงแดงขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) พร้อมทั้งกํากับดูแลคุณภาพการให้บริการให้เหมาะสมด้วย ๓.๕ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) คนร. ให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เร่งกําหนดหลักเกณฑ์และเพิ่มจํานวนเส้นทางนําร่องการประมูลเส้นทางเดินรถใหม่สําหรับผู้ประกอบการ และขอให้ ขสมก. เร่งดําเนินการจัดซื้อรถ NGV จํานวน ๔๘๙ คันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นอกจากนี้ ขสมก. ได้เริ่มดําเนินการติดตั้งระบบ E-Ticket และระบบตรวจสอบและติดตามการเดินรถ (GPS) ในรถโดยสารปัจจุบันแล้ว และจะได้เชื่อมโยงระบบดังกล่าว ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการปรับองค์กรให้เป็นองค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) ของ ขสมก. และจัดทําแผน และให้ความสําคัญกับบุคลากรในช่วงเปลี่ยนผ่าน ๓.๖ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดย คนร. ได้เห็นชอบในหลักการเรื่องรูปแบบการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) โดยให้ รฟท. จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อเดินรถและซ่อมบํารุง (Operation & Maintenance) และให้จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารสินทรัพย์ของ รฟท. ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรพิจารณารายละเอียดให้มีความชัดเจนและรอบคอบและให้ดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป และสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องกับผู้ที่มีส่วนได้เสียด้วย ๔. คนร. เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งบริษัทในเครือของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด จํานวน ๓ บริษัท เพื่อดําเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สําหรับพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล โดยบริษัทในเครือดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและสร้างงานสร้างอาชีพ โดยการรับซื้อไม้ยางพาราจากประชาชนในพื้นที่เป็นลําดับแรกเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงแก้ปัญหาการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ไม่เพียงพอ ลดการพึ่งไฟฟ้าที่ผลิตจากภาคกลางและการนําเข้าไฟฟ้าจากต่างประเทศ โดยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกํากับดูแลบริษัทในเครือที่จัดตั้งขึ้นให้เป็นไปตามหลักการกํากับดูแลกิจการที่ดีต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๙.๐๐ น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2560 ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๙.๐๐ น. ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ผอ.สคร. ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คนร. ได้เปิดเผยผลการประชุม คนร. ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คนร. ได้เปิดเผยผลการประชุม คนร. ครั้งที่ ๔/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน สรุปได้ดังนี้ ๑. คนร. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมการและสร้างความเข้าใจในร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาการกํากับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ) โดยมีนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานอนุกรรมการ เพื่อศึกษา วิเคราะห์ประเด็นที่ต้องสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ โดยให้จัดทําแผนและสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่สาธารณชน รวมทั้งประสานงานกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติในการสร้างการรับรู้ให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้าใจว่าร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ นี้เป็นการปฏิรูประบบการกํากับดูแลรัฐวิสาหกิจโดยยังคงความเป็นรัฐวิสาหกิจไว้ และไม่ได้มีผลเป็นการแปรรูป หรือถ่ายโอนทรัพย์สินไปยังภาคเอกชนแต่ประการใด โดยเฉพาะองค์กรด้านแรงงานและประชาชนให้เข้าใจแนวทางการปฏิรูปตามร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ ดังกล่าว ๒. คนร. ได้เห็นชอบแนวทางการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกลั่นกรองกรรมการรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีองค์ประกอบเทียบเคียงกับร่าง พ.ร.บ. พัฒนารัฐวิสาหกิจฯ เพื่อทําหน้าที่ในการคัดเลือกบุคคลที่มีทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และสอดคล้องกับสมรรถนะหลัก (Skill Matrix) และนําเสนอ คนร. พิจารณา นอกจากนี้ยังได้มีการกําหนดรายละเอียดขั้นตอนการดําเนินการตามแนวทางการแต่งตั้งกรรมการรัฐวิสาหกิจ ที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจะเป็นการสร้างความโปร่งใสในการสรรหาบุคคลที่จะมาเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ ๓. การแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจ ๗ แห่ง เพื่อสร้างความยั่งยืนและแข็งแกร่งให้รัฐวิสาหกิจฟื้นฟู คนร. ได้กําหนดให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจัดทําแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวที่สอดคล้องกับภารกิจหลัก โดยเน้นการให้บริการแก่ประชาชน พร้อมนี้ ให้จัดทําแผนปฏิบัติการรายปีภายใต้แผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวดังกล่าว และจัดส่งให้ฝ่ายเลขานุการ คนร. ภายใน เดือนตุลาคม ๒๕๖๐ เพื่อนําเสนอ คนร. ต่อไป นอกจากนี้ คนร. ได้รับทราบความคืบหน้าการดําเนินการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจทั้ง ๗ แห่ง ดังนี้ ๓.๑ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) มีผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และเป็นไปตามแผนที่กําหนด โดยมีการปล่อยสินเชื่อ SMEs เป็นไปตามเป้าหมาย มีการควบคุมค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income) ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) สุทธิสูงกว่าเป้าหมายเล็กน้อย อย่างไรก็ดี ธพว. ยังคงรักษา BIS Ratio ได้สูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกําหนด นอกจากนี้ คนร. ได้ให้ ธพว. จัดทําแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับ ธพว. รวมทั้ง การปรับองค์กรให้เป็นองค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) ด้วย ๓.๒ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) มีความคืบหน้าด้านการสรรหาพันธมิตรที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และสามารถลดต้นทุนเงินฝากได้ดีกว่าเป้าหมาย โดย คนร. ได้ขอให้เร่งพลิกฟื้นองค์กรให้ได้โดยเร็วควบคู่กับการดําเนินการสรรหาพันธมิตรให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๑ ๓.๓ บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) (บมจ. ทีโอที) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) (บมจ. กสท) ได้จัดตั้งบริษัทโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จํากัด (NBN) ในการดําเนินธุรกิจเคเบิ้ลใยแก้วใต้น้ําและอินเตอร์เน็ตดาต้าเซ็นเตอร์ และบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศและศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จํากัด (NGDC) ในการดําเนินธุรกิจอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ แล้ว และสามารถเปิดให้บริการได้ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ๓.๔ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) (บกท.) มีผลการดําเนินงานส่วนใหญ่เป็นไปตามแผนที่กําหนด รายได้รวมใกล้เคียงกับเป้าหมาย และอัตราการขนส่งผู้โดยสาร (Cabin Factor) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคู่แข่ง ทั้งนี้ คนร. ได้สั่งการให้เร่งนําระบบ Revenue Management System (RMS) และระบบ Network Management System (NMS) มาใช้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และปรับกลยุทธ์ของ บกท. เชิงรุกมากยิ่งขึ้นเพื่อรองรับโอกาสจากการเติบโตของจํานวนนักท่องเที่ยวและการปลดธงแดงขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) พร้อมทั้งกํากับดูแลคุณภาพการให้บริการให้เหมาะสมด้วย ๓.๕ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) คนร. ให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เร่งกําหนดหลักเกณฑ์และเพิ่มจํานวนเส้นทางนําร่องการประมูลเส้นทางเดินรถใหม่สําหรับผู้ประกอบการ และขอให้ ขสมก. เร่งดําเนินการจัดซื้อรถ NGV จํานวน ๔๘๙ คันให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นอกจากนี้ ขสมก. ได้เริ่มดําเนินการติดตั้งระบบ E-Ticket และระบบตรวจสอบและติดตามการเดินรถ (GPS) ในรถโดยสารปัจจุบันแล้ว และจะได้เชื่อมโยงระบบดังกล่าว ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการปรับองค์กรให้เป็นองค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) ของ ขสมก. และจัดทําแผน และให้ความสําคัญกับบุคลากรในช่วงเปลี่ยนผ่าน ๓.๖ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดย คนร. ได้เห็นชอบในหลักการเรื่องรูปแบบการบริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) โดยให้ รฟท. จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อเดินรถและซ่อมบํารุง (Operation & Maintenance) และให้จัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารสินทรัพย์ของ รฟท. ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรพิจารณารายละเอียดให้มีความชัดเจนและรอบคอบและให้ดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป และสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องกับผู้ที่มีส่วนได้เสียด้วย ๔. คนร. เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งบริษัทในเครือของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด จํานวน ๓ บริษัท เพื่อดําเนินโครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐ สําหรับพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนของแผนงานผลิตไฟฟ้าชุมชนจากชีวมวล โดยบริษัทในเครือดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและสร้างงานสร้างอาชีพ โดยการรับซื้อไม้ยางพาราจากประชาชนในพื้นที่เป็นลําดับแรกเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงแก้ปัญหาการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ไม่เพียงพอ ลดการพึ่งไฟฟ้าที่ผลิตจากภาคกลางและการนําเข้าไฟฟ้าจากต่างประเทศ โดยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกํากับดูแลบริษัทในเครือที่จัดตั้งขึ้นให้เป็นไปตามหลักการกํากับดูแลกิจการที่ดีต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7324
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2562 มั่นใจ ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทย ตื่นตัวพัฒนา พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0
วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2562 มั่นใจ ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทย ตื่นตัวพัฒนา พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงานพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2562 (The Prime Minister's Industry Award 2019) ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ทําเนียบรัฐบาล : 16 กันยายน 2562- พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2562 (The Prime Minister's Industry Award 2019) ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจัดขึ้นเป็นปีที่ 27 โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ และผู้ประกอบการธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมกว่า 600 คน ร่วมงาน ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2562 พร้อมเน้นย้ําว่าภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศไทยไปสู่ยุค 4.0 ซึ่งหัวใจสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมาย คือศักยภาพ ความเข้มแข็ง และคุณภาพมาตรฐานของผู้ประกอบการ โดยรัฐบาลมีหน้าที่ให้การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการในทุกระดับ ดังนั้นจึงขอให้ผู้ประกอบการมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และพากเพียรในการพัฒนาธุรกิจให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กําหนด รวมถึงมีความใส่ใจต่อผู้บริโภค ช่วยกันดูแลรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้ปราศจากมลภาวะ ทั้งนี้ นอกจากเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมที่ภาคอุตสาหกรรมดําเนินตามนโยบายเพื่อคุณภาพชีวิตของคนในสังคมแล้วยังส่งผลโดยตรงต่อผู้ประกอบการในแง่การลดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการมีความตื่นตัวและตระหนักถึงโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนาตนเองเพื่อก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งได้รับนโยบายสําคัญจากรัฐบาลในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจและการยกระดับความสามารถการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 นั้น ได้ออกมาตรการเชิงบูรณาการอย่างต่อเนื่องด้วยการส่งเสริม สนับสนุน จูงใจให้ผู้ประกอบการทั้งกลุ่มวิสาหกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ในการเข้าถึงและสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาบุคลากรให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมทั้งเร่งสร้างทักษะ ปรับปรุง และพัฒนาองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้พร้อมสู่ศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้การมอบรางวัลอุตสาหกรรม นับเป็นกิจกรรมหลักในการสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และเสริมสร้างความพร้อมในการแข่งขันระดับสากลอีกด้วย สําหรับรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2562 คณะกรรมการได้พิจารณาตัดสินตามเกณฑ์ที่กําหนด โดยมีผู้ประกอบการได้รับรางวัลรวม 68 ราย จากผู้สมัครทั่วประเทศ 222 ราย ประกอบด้วย 1. รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม 1 รางวัล ผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัล คือ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จํากัด ผู้ผลิตและจําหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เตาไมโครเวฟ และเครื่องล้างจาน ซึ่งการันตีคุณภาพและมาตรฐานการดําเนินธุรกิจด้วยรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นถึง 6 รางวัล ได้แก่ รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นประเภทการบริหารความปลอดภัยในปี 2561 รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นประเภทการเพิ่มผลผลิตในปี 2560 รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นประเภทการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ในปี 2559 และรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นประเภทการบริหารคุณภาพ ในปี 2546, 2554 และ 2557 2. รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น จํานวน 46 รางวัล แบ่งออกเป็น 8 ประเภทรางวัล ได้แก่ ประเภทการเพิ่มผลผลิต จํานวน 4 รางวัล, ประเภทการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม จํานวน 1 รางวัล, ประเภทการบริหารความปลอดภัย จํานวน 3 รางวัล, ประเภท การบริหารงานคุณภาพ จํานวน 9 รางวัล, ประเภทการจัดการพลังงาน จํานวน 3 รางวัล, ประเภทการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน จํานวน 2 รางวัล, ประเภทอุตสาหกรรมศักยภาพ จํานวน 14 รางวัล, และประเภทความรับผิดชอบต่อสังคม จํานวน 10 รางวัล 3. รางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น จํานวน 21 รางวัล แบ่งออกเป็น 4 ประเภทรางวัล ได้แก่ ประเภทการบริหารจัดการ จํานวน 3 รางวัล, ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ จํานวน 9 รางวัล,ประเภทการจัดการเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม จํานวน 4 รางวัล และประเภทบริหารธุรกิจสู่สากล จํานวน 5 รางวัล นอกจากนี้ ยังได้มีการพิจารณามอบรางวัลชมเชย ให้กับผู้ประกอบการในส่วนของรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น อีกจํานวน 12 รางวัล โดยได้รับเกียรติจากนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบรางวัลชมเชยฯ เพื่อเป็นกําลังใจให้ผู้ประกอบการในการปรับปรุงพัฒนาธุรกิจต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2562 มั่นใจ ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทย ตื่นตัวพัฒนา พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2562 มั่นใจ ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทย ตื่นตัวพัฒนา พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมงานพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2562 (The Prime Minister's Industry Award 2019) ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ทําเนียบรัฐบาล : 16 กันยายน 2562- พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2562 (The Prime Minister's Industry Award 2019) ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมจัดขึ้นเป็นปีที่ 27 โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายภิรมย์ พลวิเศษ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ และผู้ประกอบการธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมกว่า 600 คน ร่วมงาน ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2562 พร้อมเน้นย้ําว่าภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศไทยไปสู่ยุค 4.0 ซึ่งหัวใจสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่เป้าหมาย คือศักยภาพ ความเข้มแข็ง และคุณภาพมาตรฐานของผู้ประกอบการ โดยรัฐบาลมีหน้าที่ให้การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการในทุกระดับ ดังนั้นจึงขอให้ผู้ประกอบการมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และพากเพียรในการพัฒนาธุรกิจให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กําหนด รวมถึงมีความใส่ใจต่อผู้บริโภค ช่วยกันดูแลรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้ปราศจากมลภาวะ ทั้งนี้ นอกจากเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมที่ภาคอุตสาหกรรมดําเนินตามนโยบายเพื่อคุณภาพชีวิตของคนในสังคมแล้วยังส่งผลโดยตรงต่อผู้ประกอบการในแง่การลดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการมีความตื่นตัวและตระหนักถึงโอกาสใหม่ ๆ ในการพัฒนาตนเองเพื่อก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งได้รับนโยบายสําคัญจากรัฐบาลในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจและการยกระดับความสามารถการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 นั้น ได้ออกมาตรการเชิงบูรณาการอย่างต่อเนื่องด้วยการส่งเสริม สนับสนุน จูงใจให้ผู้ประกอบการทั้งกลุ่มวิสาหกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ในการเข้าถึงและสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาบุคลากรให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมทั้งเร่งสร้างทักษะ ปรับปรุง และพัฒนาองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้พร้อมสู่ศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้การมอบรางวัลอุตสาหกรรม นับเป็นกิจกรรมหลักในการสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และเสริมสร้างความพร้อมในการแข่งขันระดับสากลอีกด้วย สําหรับรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2562 คณะกรรมการได้พิจารณาตัดสินตามเกณฑ์ที่กําหนด โดยมีผู้ประกอบการได้รับรางวัลรวม 68 ราย จากผู้สมัครทั่วประเทศ 222 ราย ประกอบด้วย 1. รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม 1 รางวัล ผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัล คือ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จํากัด ผู้ผลิตและจําหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เตาไมโครเวฟ และเครื่องล้างจาน ซึ่งการันตีคุณภาพและมาตรฐานการดําเนินธุรกิจด้วยรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นถึง 6 รางวัล ได้แก่ รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นประเภทการบริหารความปลอดภัยในปี 2561 รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นประเภทการเพิ่มผลผลิตในปี 2560 รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นประเภทการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ในปี 2559 และรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นประเภทการบริหารคุณภาพ ในปี 2546, 2554 และ 2557 2. รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น จํานวน 46 รางวัล แบ่งออกเป็น 8 ประเภทรางวัล ได้แก่ ประเภทการเพิ่มผลผลิต จํานวน 4 รางวัล, ประเภทการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม จํานวน 1 รางวัล, ประเภทการบริหารความปลอดภัย จํานวน 3 รางวัล, ประเภท การบริหารงานคุณภาพ จํานวน 9 รางวัล, ประเภทการจัดการพลังงาน จํานวน 3 รางวัล, ประเภทการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน จํานวน 2 รางวัล, ประเภทอุตสาหกรรมศักยภาพ จํานวน 14 รางวัล, และประเภทความรับผิดชอบต่อสังคม จํานวน 10 รางวัล 3. รางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น จํานวน 21 รางวัล แบ่งออกเป็น 4 ประเภทรางวัล ได้แก่ ประเภทการบริหารจัดการ จํานวน 3 รางวัล, ประเภทการพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ จํานวน 9 รางวัล,ประเภทการจัดการเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม จํานวน 4 รางวัล และประเภทบริหารธุรกิจสู่สากล จํานวน 5 รางวัล นอกจากนี้ ยังได้มีการพิจารณามอบรางวัลชมเชย ให้กับผู้ประกอบการในส่วนของรางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น อีกจํานวน 12 รางวัล โดยได้รับเกียรติจากนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบรางวัลชมเชยฯ เพื่อเป็นกําลังใจให้ผู้ประกอบการในการปรับปรุงพัฒนาธุรกิจต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23138
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รปอ.หสผ.ตรวจเยี่ยมสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2562 รปอ.หสผ.ตรวจเยี่ยมสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อรับทราบกรอบแนวทางการดําเนินงานของ สมอ.ณ ห้องประชุม 230 ชั้น 2 อาคารสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านส่งเสริมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการตรวจเยี่ยมสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อรับทราบกรอบแนวทางการดําเนินงานของ สมอ. โดยมีนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และผู้บริหารพร้อมเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุม 230 ชั้น 2 อาคารสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ทั้งนี้ สมอ. มีภารกิจที่สําคัญที่อยู่ในความรับผิดชอบหลายประการ เช่น การกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) การอนุญาตให้ทํา/นําเข้า ควบคุมการจําหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่กําหนดให้เป็นไปตามมาตรฐาน รวมถึงการร่วมกิจกรรมด้านการมาตรฐานกับองค์การระหว่างประเทศ เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รปอ.หสผ.ตรวจเยี่ยมสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2562 รปอ.หสผ.ตรวจเยี่ยมสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อรับทราบกรอบแนวทางการดําเนินงานของ สมอ.ณ ห้องประชุม 230 ชั้น 2 อาคารสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2562 นายจุลพงษ์ ทวีศรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านส่งเสริมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการตรวจเยี่ยมสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อรับทราบกรอบแนวทางการดําเนินงานของ สมอ. โดยมีนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และผู้บริหารพร้อมเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุม 230 ชั้น 2 อาคารสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ทั้งนี้ สมอ. มีภารกิจที่สําคัญที่อยู่ในความรับผิดชอบหลายประการ เช่น การกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) การอนุญาตให้ทํา/นําเข้า ควบคุมการจําหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่กําหนดให้เป็นไปตามมาตรฐาน รวมถึงการร่วมกิจกรรมด้านการมาตรฐานกับองค์การระหว่างประเทศ เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23888
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 651 รูป ณ บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต
วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2560 รัฐบาลจัดพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 651 รูป ณ บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต นายกรัฐมนตรีทําพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้ (28 กรกฎาคม 2560) เวลา 06.30 น. ณ บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีทําพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา 28 กรกฎาคม 2560 โดยมี ประธานองคมนตรี คณะองคมมนตรีและคู่สมรส รองศาสตราจารย์ นราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี ประธานองค์กรอิสระและคู่สมรส คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการในพระองค์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการอิสระ และประชาชนร่วมตักบาตรพระสงฆ์อย่างพร้อมเพรียง เมื่อ นายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางมาถึงบริเวณงานพิธี นายกรัฐมนตรีและภริยาถวายพวงมาลัย และจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยาไปยังปะรําพิธี นายกรัฐมนตรีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร นายกรัฐมนตรี เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้น เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จํานวน 10 รูป ให้ศีล เจ้าหน้าที่กล่าวคําถวายสังฆทาน นายกรัฐมนตรีถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ นายกรัฐมนตรีกรวดน้ํารับพร เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนา จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา เดินไปยังบริเวณพระลานพระราชวังดุสิตเพื่อร่วมพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 651 รูป ร่วมกับประธานองคมนตรี คณะองคมมนตรีและคู่สมรส ประธานองค์กรอิสระและคู่สมรส คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการในพระองค์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการอิสระ และประชาชนอย่างพร้อมเพรียง ---------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ จำนวน 651 รูป ณ บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม 2560 รัฐบาลจัดพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 651 รูป ณ บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต นายกรัฐมนตรีทําพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันนี้ (28 กรกฎาคม 2560) เวลา 06.30 น. ณ บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีทําพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลถวายพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษา 28 กรกฎาคม 2560 โดยมี ประธานองคมนตรี คณะองคมมนตรีและคู่สมรส รองศาสตราจารย์ นราพร จันทร์โอชา ภริยานายกรัฐมนตรี ประธานองค์กรอิสระและคู่สมรส คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการในพระองค์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการอิสระ และประชาชนร่วมตักบาตรพระสงฆ์อย่างพร้อมเพรียง เมื่อ นายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางมาถึงบริเวณงานพิธี นายกรัฐมนตรีและภริยาถวายพวงมาลัย และจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยาไปยังปะรําพิธี นายกรัฐมนตรีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร นายกรัฐมนตรี เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้น เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จํานวน 10 รูป ให้ศีล เจ้าหน้าที่กล่าวคําถวายสังฆทาน นายกรัฐมนตรีถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ นายกรัฐมนตรีกรวดน้ํารับพร เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนา จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา เดินไปยังบริเวณพระลานพระราชวังดุสิตเพื่อร่วมพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 651 รูป ร่วมกับประธานองคมนตรี คณะองคมมนตรีและคู่สมรส ประธานองค์กรอิสระและคู่สมรส คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการในพระองค์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ หัวหน้าส่วนราชการอิสระ และประชาชนอย่างพร้อมเพรียง ---------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5535
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. โชว์ศักยภาพโรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร : FISP หนุนพลิกวิกฤตโควิด-19 สร้างโอกาสเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 วว. โชว์ศักยภาพโรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร : FISP หนุนพลิกวิกฤตโควิด-19 สร้างโอกาสเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ วว. โชว์ศักยภาพโรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร : FISP หนุนพลิกวิกฤตโควิด-19 สร้างโอกาสเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดย โรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร : FISP โชว์ศักยภาพงานบริการแบบครบวงจร One-Stop-Service ตอบโจทย์ผู้ประกอบการด้วยบุคลากรเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เครื่องจักร อุปกรณ์ทันสมัย โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มมาตรฐาน GMP หนุนพลิกวิกฤติโควิด-19 สร้างโอกาสเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. ชี้แจงว่า จากที่ วว. มีโครงสร้างพื้นฐาน (Shared Service) ครอบคลุมใน 7 จังหวัดทั่วภูมิภาค พร้อมให้บริการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยงานวิจัยและยกระดับการผลิตหรือทดลองผลิตเพื่อทดลองตลาด ก่อนยกระดับสู่เชิงพาณิชย์แก่ประชาชนหรือผู้ประกอบการในพื้นที่ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ โรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร หรือ FISP (Food Innovation and Service Plant) ตั้งอยู่ ณ วว. เทคโนธานี สํานักงานใหญ่ จังหวัดปทุมธานี เปิดดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2561 มุ่งให้บริการแก่ผู้ประกอบการแบบ One-Stop-Service เนื่องจากมีโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ที่ผ่านการรับรองตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร GMP หรือ Good Manufacturing Practice อีกทั้งยังมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยครบครันสําหรับให้ผู้ประกอบการแปรรูปผักผลไม้และเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังมีบุคลากรวิจัยและพัฒนาที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์กว่า 30 ปี ในการผลิตอาหารในระดับอุตสาหกรรม พร้อมให้คําปรึกษาและตอบโจทย์กับทุกความต้องการของผู้ประกอบการ “...ตลอดระยะเวลาการดําเนินงานกว่า 2 ปี กลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการของ FISP เป็นกลุ่มประกอบการ SMEs, Start Up รวมไปถึงวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตสินค้าโอทอป โดยจํานวนผู้มาใช้บริการมีมากกว่า 500 ราย และมีจํานวนงานบริการมากกว่า 700 งาน โดย FISP สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ถึง 137 ผลิตภัณฑ์ โดยผลิตภัณฑ์เหล่านั้นสามารถผ่านการการรับรองจาก อย. และ GMP Codex จํานวน 54 ผลิตภัณฑ์ และส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาให้การรับรอง เชื่อมั่นว่าจากผลงานที่ผ่านมาของ FISP จะเป็นเครื่องยืนยันถึงความพร้อมในการทําหน้าที่เป็นศูนย์บ่มเพาะให้เกิดผู้ประกอบการหน้าใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 มีหลายท่านประสบปัญหาว่างงาน FISP พร้อมเป็นส่วนสําคัญในการพลิกวิกฤตครั้งนี้ เพียงแต่ท่านมีแนวคิด หรือมีวัตถุดิบ สามารถมาขอปรึกษาและร่วมกันพัฒนาให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ สร้างเป็นโอกาสให้ท่านเป็นผู้ประกอบการรายใหม่..” ผู้ว่าการ วว.กล่าวเพิ่มเติม ดร.โศรดา วัลภา ผู้จัดการโรงงานและนักวิจัยอาวุโส ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมอาหารสุขภาพ วว. กล่าวเพิ่มเติมว่า จุดเด่น FISP ที่แตกต่าง คือ เราทํางานตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละรายที่มีความต้องการไม่เหมือนกัน ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดค้นและผลิตขึ้นมา จะมีความหลากหลาย มีคุณค่าที่แตกต่างกัน และที่สําคัญคือตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด โดยการผลิตแต่ละครั้งเริ่มต้นรับผลิตในปริมาณน้อย เพียงแค่หลักหน่วยถึงหลักสิบ เพื่อทดลอง ทดสอบสูตร และกระบวนการผลิตทั้งหมดของลูกค้าก่อนที่จะขยายการผลิตเป็น Pilot Plant ต่อไป ซึ่งลูกค้าสามารถทดลองไอเดียของท่านก่อน แม้ว่าจะไม่มีงบประมาณในการลงทุนมากก็สามารถเห็นผลิตภัณฑ์จริง โดยท่านสามารถนําไปทดลองทําการตลาดเบื้องต้น ก่อนผลิตจําหน่ายจริงต่อไป “FISP พร้อมเป็นที่ปรึกษาและร่วมงานกับผู้ประกอบการทุกท่านพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อจําหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปี 2563 นี้ คาดว่าจะลงทุนในด้านเครื่องจักร เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางเทคโนโลยี ที่จะรองรับความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน ลดการสร้างของเสีย รวมถึงมุ่งสู่การเป็น green factory มากขึ้น นอกจากนี้ FISP ยังได้รับโจทย์ให้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือภาคการเกษตร โดยการนําสินค้าเกษตรที่ล้นตลาดมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปเบื้องต้น เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในระดับอุตสาหกรรมต่อไป ทั้งนี้เพื่อช่วยพยุงราคา บรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่เกิดความเสียหายของผลผลิตที่ไม่สามารถส่งออกสินค้าไปต่างประเทศได้...” ดร.โศรดา วัลภา กล่าวในตอนท้าย สนใจขอรับบริการ“โรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร” ติดต่อ โทร. 0 2577 9000 ต่อ 9702-3 www.fisp-tistr.org FB : โรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร (FISP) LINE @fisp_tistr E-mail :Napapha.fisp@gmail.com,Narupol.fisp@gmail.com ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.131
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. โชว์ศักยภาพโรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร : FISP หนุนพลิกวิกฤตโควิด-19 สร้างโอกาสเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ วันพุธที่ 27 พฤษภาคม 2563 วว. โชว์ศักยภาพโรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร : FISP หนุนพลิกวิกฤตโควิด-19 สร้างโอกาสเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ วว. โชว์ศักยภาพโรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร : FISP หนุนพลิกวิกฤตโควิด-19 สร้างโอกาสเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดย โรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร : FISP โชว์ศักยภาพงานบริการแบบครบวงจร One-Stop-Service ตอบโจทย์ผู้ประกอบการด้วยบุคลากรเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เครื่องจักร อุปกรณ์ทันสมัย โรงงานผลิตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มมาตรฐาน GMP หนุนพลิกวิกฤติโควิด-19 สร้างโอกาสเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. ชี้แจงว่า จากที่ วว. มีโครงสร้างพื้นฐาน (Shared Service) ครอบคลุมใน 7 จังหวัดทั่วภูมิภาค พร้อมให้บริการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยงานวิจัยและยกระดับการผลิตหรือทดลองผลิตเพื่อทดลองตลาด ก่อนยกระดับสู่เชิงพาณิชย์แก่ประชาชนหรือผู้ประกอบการในพื้นที่ ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ โรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร หรือ FISP (Food Innovation and Service Plant) ตั้งอยู่ ณ วว. เทคโนธานี สํานักงานใหญ่ จังหวัดปทุมธานี เปิดดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2561 มุ่งให้บริการแก่ผู้ประกอบการแบบ One-Stop-Service เนื่องจากมีโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ที่ผ่านการรับรองตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร GMP หรือ Good Manufacturing Practice อีกทั้งยังมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยครบครันสําหรับให้ผู้ประกอบการแปรรูปผักผลไม้และเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังมีบุคลากรวิจัยและพัฒนาที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์กว่า 30 ปี ในการผลิตอาหารในระดับอุตสาหกรรม พร้อมให้คําปรึกษาและตอบโจทย์กับทุกความต้องการของผู้ประกอบการ “...ตลอดระยะเวลาการดําเนินงานกว่า 2 ปี กลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการของ FISP เป็นกลุ่มประกอบการ SMEs, Start Up รวมไปถึงวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตสินค้าโอทอป โดยจํานวนผู้มาใช้บริการมีมากกว่า 500 ราย และมีจํานวนงานบริการมากกว่า 700 งาน โดย FISP สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ถึง 137 ผลิตภัณฑ์ โดยผลิตภัณฑ์เหล่านั้นสามารถผ่านการการรับรองจาก อย. และ GMP Codex จํานวน 54 ผลิตภัณฑ์ และส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาให้การรับรอง เชื่อมั่นว่าจากผลงานที่ผ่านมาของ FISP จะเป็นเครื่องยืนยันถึงความพร้อมในการทําหน้าที่เป็นศูนย์บ่มเพาะให้เกิดผู้ประกอบการหน้าใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 มีหลายท่านประสบปัญหาว่างงาน FISP พร้อมเป็นส่วนสําคัญในการพลิกวิกฤตครั้งนี้ เพียงแต่ท่านมีแนวคิด หรือมีวัตถุดิบ สามารถมาขอปรึกษาและร่วมกันพัฒนาให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ สร้างเป็นโอกาสให้ท่านเป็นผู้ประกอบการรายใหม่..” ผู้ว่าการ วว.กล่าวเพิ่มเติม ดร.โศรดา วัลภา ผู้จัดการโรงงานและนักวิจัยอาวุโส ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมอาหารสุขภาพ วว. กล่าวเพิ่มเติมว่า จุดเด่น FISP ที่แตกต่าง คือ เราทํางานตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละรายที่มีความต้องการไม่เหมือนกัน ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์ที่ถูกคิดค้นและผลิตขึ้นมา จะมีความหลากหลาย มีคุณค่าที่แตกต่างกัน และที่สําคัญคือตรงกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด โดยการผลิตแต่ละครั้งเริ่มต้นรับผลิตในปริมาณน้อย เพียงแค่หลักหน่วยถึงหลักสิบ เพื่อทดลอง ทดสอบสูตร และกระบวนการผลิตทั้งหมดของลูกค้าก่อนที่จะขยายการผลิตเป็น Pilot Plant ต่อไป ซึ่งลูกค้าสามารถทดลองไอเดียของท่านก่อน แม้ว่าจะไม่มีงบประมาณในการลงทุนมากก็สามารถเห็นผลิตภัณฑ์จริง โดยท่านสามารถนําไปทดลองทําการตลาดเบื้องต้น ก่อนผลิตจําหน่ายจริงต่อไป “FISP พร้อมเป็นที่ปรึกษาและร่วมงานกับผู้ประกอบการทุกท่านพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อจําหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปี 2563 นี้ คาดว่าจะลงทุนในด้านเครื่องจักร เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางเทคโนโลยี ที่จะรองรับความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน ลดการสร้างของเสีย รวมถึงมุ่งสู่การเป็น green factory มากขึ้น นอกจากนี้ FISP ยังได้รับโจทย์ให้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือภาคการเกษตร โดยการนําสินค้าเกษตรที่ล้นตลาดมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปเบื้องต้น เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในระดับอุตสาหกรรมต่อไป ทั้งนี้เพื่อช่วยพยุงราคา บรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่เกิดความเสียหายของผลผลิตที่ไม่สามารถส่งออกสินค้าไปต่างประเทศได้...” ดร.โศรดา วัลภา กล่าวในตอนท้าย สนใจขอรับบริการ“โรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร” ติดต่อ โทร. 0 2577 9000 ต่อ 9702-3 www.fisp-tistr.org FB : โรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร (FISP) LINE @fisp_tistr E-mail :Napapha.fisp@gmail.com,Narupol.fisp@gmail.com ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.131
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31592
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. กระแสแรง ใน Money Expo 2018 คนกรุงอาชีพอิสระแห่สมัครสมาชิก ยอดเงินออมทะยานเฉียด 3 แสนบาท
วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม 2561 กอช. กระแสแรง ใน Money Expo 2018 คนกรุงอาชีพอิสระแห่สมัครสมาชิก ยอดเงินออมทะยานเฉียด 3 แสนบาท กอช. เผยกระแสตอบรับดีเหนือความคาดหมาย ร่วมงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 18 Money Expo 2018 ครั้งแรก มีสมาชิกและผู้ประกอบอาชีพอิสระร่วมกิจกรรมที่บูธคึกคักตลอดทั้งงาน ยอดเงินออมทั้งสมาชิกใหม่และสมาชิกที่มาส่งเงินสะสมในงานกว่า 2.8 แสนบาท กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เผยกระแสตอบรับดีเหนือความคาดหมาย ร่วมงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 18 Money Expo 2018 ครั้งแรก มีสมาชิกและผู้ประกอบอาชีพอิสระร่วมกิจกรรมที่บูธคึกคักตลอดทั้งงาน ยอดเงินออมทั้งสมาชิกใหม่และสมาชิกที่มาส่งเงินสะสมในงานกว่า2.8 แสนบาท ผลตอบรับดีเตรียมร่วมงานกิจกรรมการเงินการลงทุนต่อเนื่อง มุ่งเป้ารับสมัครอาชีพอิสระกลุ่มมีกําลังการออม นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า ผลตอบรับจากการเข้าร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์การออมเพื่อการเกษียณของ กอช. ในงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 18 Money Expo 2018 ที่เพิ่งผ่านไป ช่วงวันที่ 10–13 พฤษภาคม 2561 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีผู้ให้ความสนใจร่วมกิจกรรมที่บูธ กอช. รับโปรโมชันอย่างเนืองแน่นตลอดทั้ง 4 วัน เป็นก้าวแรกของการเปิดตัว กอช. ในงานกิจกรรมทางการเงินการลงทุนที่ประสบความสําเร็จเหนือความคาดหมาย โดย กอช. ได้จัดโปรโมชันเฉพาะในงานสําหรับการสมัครสมาชิกใหม่ การสมัครหักบัญชีเงินฝากเพื่อส่งเป็นเงินสะสมออมต่อเนื่อง โปรโมชันสมาชิกชวนเพื่อนสมัคร การโชว์มาสคอต กอช. “น้องเก็บออม” เป็นครั้งแรกในงานระดับประเทศ และกิจกรรมร่วมสนุกอื่นๆ อีกมากมาย โดยนอกจากจะได้รับความสนใจจากผู้มาชมงานแล้ว บูธ กอช. ยังได้รับความสนใจจากพริตตี้ทั้งชายหญิง เจ้าหน้าที่ประจําบูธ และผู้ออกร้านภายในงาน มาตรวจสอบสิทธิ สอบถามข้อมูลและสมัครสมาชิก กอช. อย่างคึกคักตลอดทั้ง 4 วันของการจัดงาน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ กอช. เข้าร่วมจัดบูธสามารถรับสมัครสมาชิกใหม่ได้ 167 คน พร้อมส่งเงินออมงวดแรกรวม 215,400 บาท และมีสมาชิกมาส่งเงินออมต่อเนื่องในงาน 85 คน เป็นเงิน 65,450 บาท รวมยอดเงินออมตลอดงานทั้ง 4 วัน ทั้งสิ้นจํานวน 280,850 บาทโดยผู้มาสมัครสมาชิกในงานมีทั้งสมัครให้ตนเอง พาบุตรมาสมัคร รวมทั้งสมัครแทนบุพการีหรือบุตร นอกจากนี้ยังมีผู้ที่อายุ 51-59 ปี มาสมัครเป็นสมาชิก กอช. ซึ่งอาจมีโอกาสน้อยที่จะได้รับเงินบํานาญตลอดชีพ เพราะยอดออมเมื่ออายุ 60 ปี อาจไม่ถึงเกณฑ์ แม้จะออมครบปีละ13,200 บาทแต่ประสงค์จะสมัครสมาชิก กอช. เพื่อรักษาสิทธิรับเงินสมทบการออมจากรัฐปีละ1,200 บาท และยังมีสมาชิกและผู้สมัครสมาชิกใหม่สมัครบริการหักบัญชีเงินฝากส่งเป็นเงินออมเป็นจํานวนมาก “หลังจากนี้ กอช. เตรียมร่วมงานในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายสมาชิกที่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ กลุ่มที่มีรายได้เพียงพอ หรือเป็นผู้มีความพร้อมที่จะออม และสามารถออมเต็มเพดานสิทธิ 13,200 บาทต่อปีตามที่กฎหมายกําหนด โดยเป้าหมายส่งเสริมการออมของ กอช. ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มอาชีพเกษตรกรหรือแรงงานนอกระบบในเขตชนบทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่ทํางานอิสระอาชีพอื่นด้วย เช่น อาชีพรับงานฟรีแลนซ์ เจ้าของร้านค้ากิจการออนไลน์ ตัวแทนขายประกัน หรือแม้แต่คนที่ไม่ได้ประกอบอาชีพ แต่เป็นพ่อบ้านแม่บ้าน ถ้ายังไม่เคยได้รับสวัสดิการชราภาพใดๆ จากรัฐบาล ก็เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลเมื่อสมัครออมกับ กอช.” นางสาวจารุลักษณ์กล่าว ผู้สนใจสมัครสมาชิก กอช. สามารถตรวจสอบสิทธิสมัครด้วยตนเองได้ที่แอปฯ กอช. หรือเว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th และติดต่อสมัครได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. ทุกสาขา ในวันและเวลาทําการของธนาคาร รวมทั้งสํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วม และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทรสายด่วนเงินออม 02-049-9000
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. กระแสแรง ใน Money Expo 2018 คนกรุงอาชีพอิสระแห่สมัครสมาชิก ยอดเงินออมทะยานเฉียด 3 แสนบาท วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม 2561 กอช. กระแสแรง ใน Money Expo 2018 คนกรุงอาชีพอิสระแห่สมัครสมาชิก ยอดเงินออมทะยานเฉียด 3 แสนบาท กอช. เผยกระแสตอบรับดีเหนือความคาดหมาย ร่วมงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 18 Money Expo 2018 ครั้งแรก มีสมาชิกและผู้ประกอบอาชีพอิสระร่วมกิจกรรมที่บูธคึกคักตลอดทั้งงาน ยอดเงินออมทั้งสมาชิกใหม่และสมาชิกที่มาส่งเงินสะสมในงานกว่า 2.8 แสนบาท กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เผยกระแสตอบรับดีเหนือความคาดหมาย ร่วมงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 18 Money Expo 2018 ครั้งแรก มีสมาชิกและผู้ประกอบอาชีพอิสระร่วมกิจกรรมที่บูธคึกคักตลอดทั้งงาน ยอดเงินออมทั้งสมาชิกใหม่และสมาชิกที่มาส่งเงินสะสมในงานกว่า2.8 แสนบาท ผลตอบรับดีเตรียมร่วมงานกิจกรรมการเงินการลงทุนต่อเนื่อง มุ่งเป้ารับสมัครอาชีพอิสระกลุ่มมีกําลังการออม นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า ผลตอบรับจากการเข้าร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์การออมเพื่อการเกษียณของ กอช. ในงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 18 Money Expo 2018 ที่เพิ่งผ่านไป ช่วงวันที่ 10–13 พฤษภาคม 2561 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีผู้ให้ความสนใจร่วมกิจกรรมที่บูธ กอช. รับโปรโมชันอย่างเนืองแน่นตลอดทั้ง 4 วัน เป็นก้าวแรกของการเปิดตัว กอช. ในงานกิจกรรมทางการเงินการลงทุนที่ประสบความสําเร็จเหนือความคาดหมาย โดย กอช. ได้จัดโปรโมชันเฉพาะในงานสําหรับการสมัครสมาชิกใหม่ การสมัครหักบัญชีเงินฝากเพื่อส่งเป็นเงินสะสมออมต่อเนื่อง โปรโมชันสมาชิกชวนเพื่อนสมัคร การโชว์มาสคอต กอช. “น้องเก็บออม” เป็นครั้งแรกในงานระดับประเทศ และกิจกรรมร่วมสนุกอื่นๆ อีกมากมาย โดยนอกจากจะได้รับความสนใจจากผู้มาชมงานแล้ว บูธ กอช. ยังได้รับความสนใจจากพริตตี้ทั้งชายหญิง เจ้าหน้าที่ประจําบูธ และผู้ออกร้านภายในงาน มาตรวจสอบสิทธิ สอบถามข้อมูลและสมัครสมาชิก กอช. อย่างคึกคักตลอดทั้ง 4 วันของการจัดงาน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ กอช. เข้าร่วมจัดบูธสามารถรับสมัครสมาชิกใหม่ได้ 167 คน พร้อมส่งเงินออมงวดแรกรวม 215,400 บาท และมีสมาชิกมาส่งเงินออมต่อเนื่องในงาน 85 คน เป็นเงิน 65,450 บาท รวมยอดเงินออมตลอดงานทั้ง 4 วัน ทั้งสิ้นจํานวน 280,850 บาทโดยผู้มาสมัครสมาชิกในงานมีทั้งสมัครให้ตนเอง พาบุตรมาสมัคร รวมทั้งสมัครแทนบุพการีหรือบุตร นอกจากนี้ยังมีผู้ที่อายุ 51-59 ปี มาสมัครเป็นสมาชิก กอช. ซึ่งอาจมีโอกาสน้อยที่จะได้รับเงินบํานาญตลอดชีพ เพราะยอดออมเมื่ออายุ 60 ปี อาจไม่ถึงเกณฑ์ แม้จะออมครบปีละ13,200 บาทแต่ประสงค์จะสมัครสมาชิก กอช. เพื่อรักษาสิทธิรับเงินสมทบการออมจากรัฐปีละ1,200 บาท และยังมีสมาชิกและผู้สมัครสมาชิกใหม่สมัครบริการหักบัญชีเงินฝากส่งเป็นเงินออมเป็นจํานวนมาก “หลังจากนี้ กอช. เตรียมร่วมงานในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายสมาชิกที่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ กลุ่มที่มีรายได้เพียงพอ หรือเป็นผู้มีความพร้อมที่จะออม และสามารถออมเต็มเพดานสิทธิ 13,200 บาทต่อปีตามที่กฎหมายกําหนด โดยเป้าหมายส่งเสริมการออมของ กอช. ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มอาชีพเกษตรกรหรือแรงงานนอกระบบในเขตชนบทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่ทํางานอิสระอาชีพอื่นด้วย เช่น อาชีพรับงานฟรีแลนซ์ เจ้าของร้านค้ากิจการออนไลน์ ตัวแทนขายประกัน หรือแม้แต่คนที่ไม่ได้ประกอบอาชีพ แต่เป็นพ่อบ้านแม่บ้าน ถ้ายังไม่เคยได้รับสวัสดิการชราภาพใดๆ จากรัฐบาล ก็เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสมทบจากรัฐบาลเมื่อสมัครออมกับ กอช.” นางสาวจารุลักษณ์กล่าว ผู้สนใจสมัครสมาชิก กอช. สามารถตรวจสอบสิทธิสมัครด้วยตนเองได้ที่แอปฯ กอช. หรือเว็บไซต์ กอช. www.nsf.or.th และติดต่อสมัครได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. ทุกสาขา ในวันและเวลาทําการของธนาคาร รวมทั้งสํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชนที่เข้าร่วม และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทรสายด่วนเงินออม 02-049-9000
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12212
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. แจง แอร์พอร์ตลิงค์ มีประกันภัยเร่งประสานบริษัทฯ เยียวยาญาติผู้เสียชีวิต รับ 4 แสนบาท
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560 คปภ. แจง แอร์พอร์ตลิงค์ มีประกันภัยเร่งประสานบริษัทฯ เยียวยาญาติผู้เสียชีวิต รับ 4 แสนบาท จากกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหญิงสาวอายุราว 30 ปี พลัดตกรางรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ บริเวณสถานีทับช้าง เป็นเหตุให้ถูกรถไฟทับจนเสียชีวิตนั้น ดร.สุทธิพลทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหญิงสาวอายุราว 30 ปี พลัดตกรางรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ บริเวณสถานีทับช้าง เป็นเหตุให้ถูกรถไฟทับจนเสียชีวิตนั้น สํานักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต สําหรับความคืบหน้าล่าสุด สํานักงาน คปภ. ได้ตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่าบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด (รฟฟท.) หรือแอร์พอร์ตลิงค์ได้มีการทําประกันภัยไว้กับ บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก โดยมีจํานวนเงินจํากัดความรับผิด ไม่เกิน 40,000,000 บาท ต่อครั้งตลอดระยะเวลาเอาประกันภัยและมีรายละเอียดความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ไม่เกิน 400,000 บาท ต่อคน ค่ารักษาไม่เกิน 40,000 บาท ต่อคน และความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคน เบื้องต้นสํานักงาน คปภ. ได้เร่งรัดให้บริษัทฯ ดําเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ทายาทผู้เสียชีวิตแล้ว โดยจะได้รับความคุ้มครอง เป็นจํานวนเงิน 400,000 บาท ดังนั้น ขอให้ญาติหรือทายาทของผู้เสียชีวิตนําหลักฐานยื่นต่อบริษัทและตรวจสอบว่า มีการทําประกันภัยประเภทอื่นเพิ่มเติมหรือไม่ หากมีการทําประกันภัยเพิ่มเติมขอให้แสดงเอกสารและหลักฐานการทําประกันภัยต่อบริษัทประกันภัย เพื่อจะได้รับความคุ้มครองจากการทําประกันภัยอย่างครบถ้วน เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบประกันภัยไม่เพียงแต่มีบทบาทสําคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนทุกระดับได้ ซึ่งสํานักงาน คปภ.ในฐานะหน่วยงานกํากับดูแลระบบประกันภัยและคุ้มครองประชาชนให้ได้รับสิทธิประโยชน์ครบถ้วนจากการทําประกันภัย จึงมุ่งเน้นนโยบายเชิงรุกตามแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 3 ในการเพิ่มบทบาทให้ระบบประกันภัยเข้าไปมีส่วนร่วมในการวางรากฐานความเข้มแข็งของประเทศ รวมทั้งการนําเอาระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน “ปัจจุบันขนส่งมวลชนสาธารณะทุกประเภทล้วนมีความสําคัญ โดยเห็นได้จากมีประชาชนใช้บริการกันเป็นจํานวนมาก ทั้งในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว และช่วงเวลาปกติหากต่อไปมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้มีการประกันภัยภาคบังคับสําหรับขนส่งมวลชนด้วยก็จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่ง สํานักงาน คปภ. พร้อมที่จะบูรณาการให้ความร่วมมือในการให้ความรู้ด้านประกันภัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อให้เหมาะสม และสอดคล้องกับความคุ้มครองในการดําเนินงานตามภารกิจขององค์กร ซึ่งจะทําให้ระบบประกันภัยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารความเสี่ยงภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังทําให้เกิดความมั่นใจในการใช้บริการขนส่งสาธารณะได้อีกทางหนึ่งด้วย” เลขาธิการ คปภ. กล่าวทิ้งท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. แจง แอร์พอร์ตลิงค์ มีประกันภัยเร่งประสานบริษัทฯ เยียวยาญาติผู้เสียชีวิต รับ 4 แสนบาท วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560 คปภ. แจง แอร์พอร์ตลิงค์ มีประกันภัยเร่งประสานบริษัทฯ เยียวยาญาติผู้เสียชีวิต รับ 4 แสนบาท จากกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหญิงสาวอายุราว 30 ปี พลัดตกรางรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ บริเวณสถานีทับช้าง เป็นเหตุให้ถูกรถไฟทับจนเสียชีวิตนั้น ดร.สุทธิพลทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหญิงสาวอายุราว 30 ปี พลัดตกรางรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ บริเวณสถานีทับช้าง เป็นเหตุให้ถูกรถไฟทับจนเสียชีวิตนั้น สํานักงาน คปภ. ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต สําหรับความคืบหน้าล่าสุด สํานักงาน คปภ. ได้ตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่าบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด (รฟฟท.) หรือแอร์พอร์ตลิงค์ได้มีการทําประกันภัยไว้กับ บริษัท ทิพยประกันภัย จํากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก โดยมีจํานวนเงินจํากัดความรับผิด ไม่เกิน 40,000,000 บาท ต่อครั้งตลอดระยะเวลาเอาประกันภัยและมีรายละเอียดความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ไม่เกิน 400,000 บาท ต่อคน ค่ารักษาไม่เกิน 40,000 บาท ต่อคน และความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคน เบื้องต้นสํานักงาน คปภ. ได้เร่งรัดให้บริษัทฯ ดําเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ทายาทผู้เสียชีวิตแล้ว โดยจะได้รับความคุ้มครอง เป็นจํานวนเงิน 400,000 บาท ดังนั้น ขอให้ญาติหรือทายาทของผู้เสียชีวิตนําหลักฐานยื่นต่อบริษัทและตรวจสอบว่า มีการทําประกันภัยประเภทอื่นเพิ่มเติมหรือไม่ หากมีการทําประกันภัยเพิ่มเติมขอให้แสดงเอกสารและหลักฐานการทําประกันภัยต่อบริษัทประกันภัย เพื่อจะได้รับความคุ้มครองจากการทําประกันภัยอย่างครบถ้วน เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบประกันภัยไม่เพียงแต่มีบทบาทสําคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงให้กับองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงสร้างหลักประกันความมั่นคงให้แก่ชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชนทุกระดับได้ ซึ่งสํานักงาน คปภ.ในฐานะหน่วยงานกํากับดูแลระบบประกันภัยและคุ้มครองประชาชนให้ได้รับสิทธิประโยชน์ครบถ้วนจากการทําประกันภัย จึงมุ่งเน้นนโยบายเชิงรุกตามแผนพัฒนาการประกันภัยฉบับที่ 3 ในการเพิ่มบทบาทให้ระบบประกันภัยเข้าไปมีส่วนร่วมในการวางรากฐานความเข้มแข็งของประเทศ รวมทั้งการนําเอาระบบประกันภัยเข้ามาบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนอย่างยั่งยืน “ปัจจุบันขนส่งมวลชนสาธารณะทุกประเภทล้วนมีความสําคัญ โดยเห็นได้จากมีประชาชนใช้บริการกันเป็นจํานวนมาก ทั้งในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว และช่วงเวลาปกติหากต่อไปมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้มีการประกันภัยภาคบังคับสําหรับขนส่งมวลชนด้วยก็จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่ง สํานักงาน คปภ. พร้อมที่จะบูรณาการให้ความร่วมมือในการให้ความรู้ด้านประกันภัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อให้เหมาะสม และสอดคล้องกับความคุ้มครองในการดําเนินงานตามภารกิจขององค์กร ซึ่งจะทําให้ระบบประกันภัยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารความเสี่ยงภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังทําให้เกิดความมั่นใจในการใช้บริการขนส่งสาธารณะได้อีกทางหนึ่งด้วย” เลขาธิการ คปภ. กล่าวทิ้งท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4731
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการท่องเที่ยวสนทนาสดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวในรายการสถานีประชาชน [กระทรวงการท่องเที่ยวเเละกีฬา]
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563 กรมการท่องเที่ยวสนทนาสดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยวในรายการสถานีประชาชน [กระทรวงการท่องเที่ยวเเละกีฬา] กรมการท่องเที่ยวสนทนาสดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยวในรายการสถานีประชาชน วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 14.00 น. อธิบดีกรมการท่องเที่ยว มอบหมายให้ นางสาววันทนา แจ้งประจักษ์ รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว ในฐานะ นายทะเบียนธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์กลาง เข้าร่วมสนทนาสดในรายการ สถานีประชาชน เพื่อพูดคุยถึงรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยว ในการขอรับเงินหลักประกันการประกอบธุรกิจนําเที่ยวคืนวันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563เวลา 14.00 น. อธิบดีกรมการท่องเที่ยวมอบหมายให้ นางสาววันทนา แจ้งประจักษ์ รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว ในฐานะ นายทะเบียนธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์กลาง เข้าร่วมสนทนาสดในรายการสถานีประชาชน เพื่อพูดคุยถึงรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยว ในการขอรับเงินหลักประกันการประกอบธุรกิจนําเที่ยวคืน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) อีกทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ทราบ ขั้นตอน วิธีการ การดําเนินการลงทะเบียนเพื่อรับเงินหลักประกันคืน และ เป็นการทําความเข้าใจต่อกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยว ณ สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส (Thai PBS)ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการท่องเที่ยวสนทนาสดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวในรายการสถานีประชาชน [กระทรวงการท่องเที่ยวเเละกีฬา] วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม 2563 กรมการท่องเที่ยวสนทนาสดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยวในรายการสถานีประชาชน [กระทรวงการท่องเที่ยวเเละกีฬา] กรมการท่องเที่ยวสนทนาสดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยวในรายการสถานีประชาชน วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 14.00 น. อธิบดีกรมการท่องเที่ยว มอบหมายให้ นางสาววันทนา แจ้งประจักษ์ รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว ในฐานะ นายทะเบียนธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์กลาง เข้าร่วมสนทนาสดในรายการ สถานีประชาชน เพื่อพูดคุยถึงรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยว ในการขอรับเงินหลักประกันการประกอบธุรกิจนําเที่ยวคืนวันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2563เวลา 14.00 น. อธิบดีกรมการท่องเที่ยวมอบหมายให้ นางสาววันทนา แจ้งประจักษ์ รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว ในฐานะ นายทะเบียนธุรกิจนําเที่ยวและมัคคุเทศก์กลาง เข้าร่วมสนทนาสดในรายการสถานีประชาชน เพื่อพูดคุยถึงรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยว ในการขอรับเงินหลักประกันการประกอบธุรกิจนําเที่ยวคืน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) อีกทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ทราบ ขั้นตอน วิธีการ การดําเนินการลงทะเบียนเพื่อรับเงินหลักประกันคืน และ เป็นการทําความเข้าใจต่อกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจนําเที่ยว ณ สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส (Thai PBS)ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30465
รัฐบาลไทย-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 3 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 3 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 3 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่3 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทยรายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 92.25ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 7 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,739 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 176 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 5.93 ของผู้ป่วยทั้งหมด ขณะนี้ จํานวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลง รายงานวันนี้ 3 ราย (ลําดับที่ 2,967- 2,969) เป็นผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ 2 ราย ซึ่งเป็นผู้สัมผัสในครอบครัว และคนไทยเดินทางมาจากมาเลเซีย เข้า Local Quarantine ที่นราธิวาส 1 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต จากรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ สาเหตุหลักมาจากการสัมผัสในครอบครัว เป็น สามี-ภรรยา ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมของประเทศ ที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดจากการสัมผัสในครอบครัว การประกอบอาชีพเสี่ยง และการเดินทางกลับจากต่างประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนบางส่วนยังไม่ปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างภายในบ้านอย่างเคร่งครัดเพียงพอ จึงทําให้เกิดการติดเชื้อในครอบครัวได้ นอกจากนี้ผู้ที่เดินทางกลับภูมิลําเนาในช่วงเวลานี้ ยังถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะนําเชื้อไปติดให้กับคนที่ภูมิลําเนาหรือคนใกล้ชิด ขอให้ยังคงเข้มมาตรการรักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ส่วนการรวมกลุ่มสังสรรค์ ตั้งวงเหล้า หรือตั้งวงกินหมูกระทะ ยังคงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อระหว่างกันได้โดยง่าย ขอให้ประชาชนอดทนอีกระยะหนึ่ง หลีกเลี่ยงไม่นําพาตัวเองไปสัมผัสกับความเสี่ยงต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรค และไม่นําเชื้อจากภายนอกเข้ามาติดคนในบ้าน การผ่อนปรนมาตรการบังคับใช้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะผ่อนคลายหรือกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิมได้ ต้องมีวินัย ป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่ “ไม่สัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูก ปาก กินร้อน ช้อนส่วนตัว ล้างมือ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย” คือเกราะป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคได้ดีที่สุด สรุปภาพรวมวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย กลับบ้านวันนี้ 7 ราย รวมสะสม 2,739 ราย ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 176 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 54 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 2,969
รัฐบาลไทย-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 3 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 3 พฤษภาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 3 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่3 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทยรายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 92.25ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 7 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,739 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 176 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 5.93 ของผู้ป่วยทั้งหมด ขณะนี้ จํานวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลง รายงานวันนี้ 3 ราย (ลําดับที่ 2,967- 2,969) เป็นผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อนหน้านี้ 2 ราย ซึ่งเป็นผู้สัมผัสในครอบครัว และคนไทยเดินทางมาจากมาเลเซีย เข้า Local Quarantine ที่นราธิวาส 1 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต จากรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ สาเหตุหลักมาจากการสัมผัสในครอบครัว เป็น สามี-ภรรยา ซึ่งสอดคล้องกับภาพรวมของประเทศ ที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดจากการสัมผัสในครอบครัว การประกอบอาชีพเสี่ยง และการเดินทางกลับจากต่างประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนบางส่วนยังไม่ปฏิบัติตามมาตรการรักษาระยะห่างภายในบ้านอย่างเคร่งครัดเพียงพอ จึงทําให้เกิดการติดเชื้อในครอบครัวได้ นอกจากนี้ผู้ที่เดินทางกลับภูมิลําเนาในช่วงเวลานี้ ยังถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะนําเชื้อไปติดให้กับคนที่ภูมิลําเนาหรือคนใกล้ชิด ขอให้ยังคงเข้มมาตรการรักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ส่วนการรวมกลุ่มสังสรรค์ ตั้งวงเหล้า หรือตั้งวงกินหมูกระทะ ยังคงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อระหว่างกันได้โดยง่าย ขอให้ประชาชนอดทนอีกระยะหนึ่ง หลีกเลี่ยงไม่นําพาตัวเองไปสัมผัสกับความเสี่ยงต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรค และไม่นําเชื้อจากภายนอกเข้ามาติดคนในบ้าน การผ่อนปรนมาตรการบังคับใช้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะผ่อนคลายหรือกลับไปใช้ชีวิตอย่างเดิมได้ ต้องมีวินัย ป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่ “ไม่สัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูก ปาก กินร้อน ช้อนส่วนตัว ล้างมือ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย” คือเกราะป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคได้ดีที่สุด สรุปภาพรวมวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย กลับบ้านวันนี้ 7 ราย รวมสะสม 2,739 ราย ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 176 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 54 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 2,969
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30253
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สมอ. จัดหนักย้ำชัดผู้บริโภคต้องมาก่อน” ผนึกค่ายรถยนต์ ลงนามความร่วมมือยกระดับมาตรฐานเพื่อผู้บริโภค
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560 “สมอ. จัดหนักย้ําชัดผู้บริโภคต้องมาก่อน” ผนึกค่ายรถยนต์ ลงนามความร่วมมือยกระดับมาตรฐานเพื่อผู้บริโภค “สมอ. จัดหนักย้ําชัดผู้บริโภคต้องมาก่อน” ผนึกค่ายรถยนต์ ลงนามความร่วมมือยกระดับมาตรฐานเพื่อผู้บริโภค ใน พิธีลงนามข้อตกลง “การใช้ยางล้อที่ได้มาตรฐาน มอก.” ระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม และ ผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศไทย 27 กรกฎาคม 2560 - ปทุมธานี –กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จับมือสถาบันยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทํา MOU ประกาศชัดผู้บริโภคมาอันดับหนึ่ง มาตรฐานและความปลอดภัยต้องอยู่ในขั้นสูงสุด และ เหมาะกับสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย วางแนวทางการตรวจสอบมาตรฐานยางล้อให้ผู้ประกอบการ มั่นใจมาตรฐานดีการันตีความเชื่อมั่น ใช้ยางล้อมาตรฐาน มอก. ทั้งในการประกอบรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และในศูนย์บริการ คาดปี ’61 เริ่มใช้ โดยมี สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กรมการขนส่งทางบก บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน แก้อุบัติเหตุบนท้องถนนที่ต้นเหตุ ยกระดับมาตรฐานขั้นสุด จากสถิติอุบัติเหตุที่รวบรวมโดยสํานักงานตํารวจแห่งชาติ มีการสํารวจสาเหตุของอุบัติเหตุที่แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ด้านผู้ขับขี่ ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านอุปกรณ์ที่ใช้ขับขี่ พบว่า ค่าเฉลี่ยในแต่ละปี มีอุบัติเหตุมากกว่า 43,000 ครั้ง โดยพบว่า 25% เป็นอุบัติเหตุที่การใช้ยางล้อที่ไม่มีมาตรฐาน หรือมีมาตรฐานด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย หรือคุณภาพ แต่ไม่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ การขับขี่ขณะฝนตก การลื่นไถล (ถนนลื่น) ถนนชํารุด การหยุดรถกระทันหัน หรือ การไม่สามารถหยุดรถได้ทันในระยะกระชั้นชิดจากการถูกตัดหน้า ซึ่งล้วนยังไม่มีการแยกสถิติชัดเจน นอกจากนี้ ยังพบว่าอีกเป็น 6% เป็นอุบัติเหตุที่มีสาเหตุจากยางล้อแตกและเสื่อมสภาพ ดังนั้น หากล้อยางมีการตรวจสอบมาตรฐานที่เหมาะสมกับสภาพการใช้งานในประเทศไทย แล้วย่อมส่งผลให้อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นลดน้อยลง สามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนของประชาชนได้ กระทรวงอุตสาหกรรม ตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าว เพราะยางล้อเป็นเพียงส่วนเดียวที่สัมผัสกับพื้นถนน จึงเป็นส่วนสําคัญที่อยู่ระหว่างการเกิดอุบัติเหตุและความปลอดภัย ดังนั้นมาตรฐานในการทดสอบยางล้อจึงต้องมีความเหมาะสม โดยเฉพาะในสภาพประเทศไทยที่มีฝนตกมากและอุณหภูมิร้อนกว่าในหลายทวีป หากนํายางที่มาตรฐานเหมาะสําหรับการใช้งานในทวีปอื่นแต่ไม่เหมาะสมกับประเทศไทยมาติดตั้ง ยิ่งทําให้ประชาชนเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากยิ่งขึ้น ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ผลิต ผู้จําหน่าย และผู้ใช้รถยนต์ เลือกใช้ยางล้อที่ได้มาตรฐาน มอก. เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนน สมอ. ดันมาตรฐานมอก. ภารกิจคุ้มครองผู้บริโภค นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล เลขาธิการ สมอ. กล่าวว่า "สมอ. มีภารกิจสําคัญด้านการคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ทั้งการควบคุมและกํากับติดตามผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน “ยางล้อ” เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ สมอ. ดําเนินการควบคุมด้านสมรรถนะความปลอดภัยโดยกําหนดให้เป็นผลิตภัณฑ์มาตรฐานบังคับ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน ถ้าผลิตไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่เหมาะสมกับสภาพถนนและภูมิอากาศในประเทศ ขณะนี้มาตรฐานยางล้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่อยู่ในขั้นตอนของกฎหมายที่จะประกาศเป็นมาตรฐานบังคับมีจํานวน 4 มาตรฐาน ได้แก่ มอก.2718 – 2558 ยางล้อแบบสูบลมสําหรับรถยนต์และส่วนพ่วง มอก.2719 – 2558 ยางล้อแบบสูบลมสําหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์และส่วนพ่วง มอก.2720 – 2558 ยางล้อแบบสูบลมสําหรับรถจักรยานยนต์และโมเปด มอก.2721-2559 การยึดเกาะถนนบนพื้นเปียก ความต้านทานการหมุน และเสียงจากยางล้อที่สัมผัสผิวถนน ซึ่งทั้ง 4 มาตรฐานนี้ จะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2561 และเมื่อมาตรฐานมีผลบังคับใช้แล้ว ผู้ทํา ผู้นําเข้า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะต้องขออนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับ สมอ." เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถสังเกตได้ นับเป็นความพยายามในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กับผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศไทย ในการยกระดับมาตรฐานยางล้อให้อุบัติเหตุให้กลายเป็นศูนย์ ไม่ใช่แค่การใช้รถยนต์ที่มีมาตรฐานแล้วจะปลอดภัยเสมอ แต่ผู้ขับขี่เองก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งคัดเช่นกัน การบูรณาการความร่วมมือดังกล่าว เป็นการมองไปที่จุดเริ่มต้นของความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับปัจจัยที่ 5 ของประชาชน อย่างรถยนต์รวมถึงยานยนต์ทุกประเภท ที่มีการซื้อขายอย่างต่อเนื่องโดยเห็นได้จากยอดขายรถยนต์ในแต่ละช่วงของปี อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทําให้เราตระหนักถึงมาตรฐานความปลอดภัยที่ต้องให้ความสําคัญอย่างสูงสุด สมอ. คือ ผู้ดูแลด้านมาตรฐานและกฎระเบียบที่เหมาะสม ผู้ผลิตยานยนต์ คือ ผู้ผลิตสินค้าและบริการที่ดี มีคุณภาพ และจุดนี้คือสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายพยายามบูรณาการความร่วมมือ และยกระดับเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค ค่ายรถยนต์ขานรับ มาตรฐานความปลอดภัยสู่ความยั่งยืน เน้น “ผู้บริโภคมาอันดับหนึ่ง” นายองอาจ พงศ์กิจวรสิน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายธนวัฒน์ คุ้มสิน นายกสมาคม สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย นําทัพลงนามข้อตกลงฯ ทุกค่ายขานรับเพราะได้ประโยชน์สูงสุดกับผู้บริโภค ลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ ค่ายรถยนต์ต่างตระหนักถึงความสําคัญด้านความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมสนับสนุนการดําเนินงานของ สมอ. และสถาบันยานยนต์ อย่างเต็มที่ หลายบริษัทกําลังพยายามมุ่งสู่ความยั่งยืนซึ่งนับเป็นจุดสูงสุดของการดําเนินธุรกิจ โดยการดําเนินธุรกิจไปในแนวทาง 3 ด้าน คือ ด้านผลกําไร (profit) ด้านความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ (planet) และด้านของคน (people) โดยในความร่วมมือดังกล่าวเรามีจุดร่วมเดียวกัน คือ คนหรือผู้บริโภค และความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นสําคัญ พวกเราผลิตยานยนต์มาเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค หากใช้วัสดุที่ไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน เช่น การนํายางรถยนต์ที่ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น มาใช้ในประเทศไทยซึ่งมีอากาศร้อนชื้น ก็เท่ากับทําให้ผู้บริโภคเกิดความเสี่ยงโดยไม่สมควร ปัจจุบันการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากยางล้อยังไม่ถูกแยกออกจากการบันทึกสถิติอุบัติเหตุรวม จึงอาจเป็นจุดที่ทําให้ไม่ค่อยมีคนตระหนักถึงเมื่อเทียบกับความปลอดภัยของตัวรถยนต์ในด้านอื่น ๆ แต่พวกเราในฐานะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เพื่อตอบสนองผู้ใช้รถยนต์ในประเทศไทย ย่อมไม่สามารถมองข้ามการใช้ “ยางล้อ” ที่มีมาตรฐาน มอก. ซึ่งเหมาะสมกับการใช้งานประเทศไทย อันจะเป็นสิ่งที่จะพาผู้บริโภคไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย ข้อตกลงฯ MoU นี้ ถือเป็นความร่วมมือเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ ที่จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้รถยนต์รวมถึงประชาชนที่เดินทางบนท้องถนน ให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืนด้วยกัน สมอ. เร่งโครงการศูนย์ทดสอบฯ สถาบันยานยนต์ขานรับเตรียมบริหารศูนย์ทดสอบฯ ต้นปี 2561 เพื่อมาตรฐานที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภค เพื่อให้ความร่วมมือดังกล่าวประสบผลสําเร็จ นอกเหนือจากบังคับใช้มาตรฐานด้านสมรรถนะ ความ ปลอดภัย และคุณภาพของยางล้อแล้วนั้น สมอ. มียังภาระกิจที่ต้องเร่งดําเนินโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติให้แล้วเสร็จตามกําหนดในช่วงต้นปี 2561 โดยเฟสแรกเป็นศูนย์ทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน มอก.2721-2559 การยึดเกาะถนนบนพื้นเปียกฯ ดังนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจต่อทั้งค่ายรถยนต์และผู้บริโภค นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ ประธานกรรมการสถาบันยานยนต์ กล่าวถึงความพร้อมในด้านนี้ว่า “ทางสถาบันยานยนต์เองก็ได้เตรียมความพร้อม ในการบริหารห้องทดสอบและสนามทดสอบยางล้อ ด้วยการเตรียมการและฝึกฝนบุคลากรให้มีความชํานาญ เพื่อรองรับการทดสอบมาตรฐานที่กําลังจะเกิดขึ้น และสร้างความมั่นให้กับผู้บริโภคในการเลือกใช้ยางล้อที่ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน มอก.” “หลังจากนี้ทุกฝ่ายจะมีการบูรณาการความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์ และรณรงค์ถึงความสําคัญของการใช้ยางล้อที่ได้มาตรฐาน มอก. ที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศและการใช้งานในประเทศไทย รวมถึงการสร้างกิจกรรมเพื่อรณรงค์ความปลอดภัย ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ต่อไป” นายศิริรุจ กล่าวปิดท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สมอ. จัดหนักย้ำชัดผู้บริโภคต้องมาก่อน” ผนึกค่ายรถยนต์ ลงนามความร่วมมือยกระดับมาตรฐานเพื่อผู้บริโภค วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560 “สมอ. จัดหนักย้ําชัดผู้บริโภคต้องมาก่อน” ผนึกค่ายรถยนต์ ลงนามความร่วมมือยกระดับมาตรฐานเพื่อผู้บริโภค “สมอ. จัดหนักย้ําชัดผู้บริโภคต้องมาก่อน” ผนึกค่ายรถยนต์ ลงนามความร่วมมือยกระดับมาตรฐานเพื่อผู้บริโภค ใน พิธีลงนามข้อตกลง “การใช้ยางล้อที่ได้มาตรฐาน มอก.” ระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม และ ผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศไทย 27 กรกฎาคม 2560 - ปทุมธานี –กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จับมือสถาบันยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทํา MOU ประกาศชัดผู้บริโภคมาอันดับหนึ่ง มาตรฐานและความปลอดภัยต้องอยู่ในขั้นสูงสุด และ เหมาะกับสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย วางแนวทางการตรวจสอบมาตรฐานยางล้อให้ผู้ประกอบการ มั่นใจมาตรฐานดีการันตีความเชื่อมั่น ใช้ยางล้อมาตรฐาน มอก. ทั้งในการประกอบรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และในศูนย์บริการ คาดปี ’61 เริ่มใช้ โดยมี สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กรมการขนส่งทางบก บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน แก้อุบัติเหตุบนท้องถนนที่ต้นเหตุ ยกระดับมาตรฐานขั้นสุด จากสถิติอุบัติเหตุที่รวบรวมโดยสํานักงานตํารวจแห่งชาติ มีการสํารวจสาเหตุของอุบัติเหตุที่แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ด้านผู้ขับขี่ ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านอุปกรณ์ที่ใช้ขับขี่ พบว่า ค่าเฉลี่ยในแต่ละปี มีอุบัติเหตุมากกว่า 43,000 ครั้ง โดยพบว่า 25% เป็นอุบัติเหตุที่การใช้ยางล้อที่ไม่มีมาตรฐาน หรือมีมาตรฐานด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย หรือคุณภาพ แต่ไม่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ การขับขี่ขณะฝนตก การลื่นไถล (ถนนลื่น) ถนนชํารุด การหยุดรถกระทันหัน หรือ การไม่สามารถหยุดรถได้ทันในระยะกระชั้นชิดจากการถูกตัดหน้า ซึ่งล้วนยังไม่มีการแยกสถิติชัดเจน นอกจากนี้ ยังพบว่าอีกเป็น 6% เป็นอุบัติเหตุที่มีสาเหตุจากยางล้อแตกและเสื่อมสภาพ ดังนั้น หากล้อยางมีการตรวจสอบมาตรฐานที่เหมาะสมกับสภาพการใช้งานในประเทศไทย แล้วย่อมส่งผลให้อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นลดน้อยลง สามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนของประชาชนได้ กระทรวงอุตสาหกรรม ตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าว เพราะยางล้อเป็นเพียงส่วนเดียวที่สัมผัสกับพื้นถนน จึงเป็นส่วนสําคัญที่อยู่ระหว่างการเกิดอุบัติเหตุและความปลอดภัย ดังนั้นมาตรฐานในการทดสอบยางล้อจึงต้องมีความเหมาะสม โดยเฉพาะในสภาพประเทศไทยที่มีฝนตกมากและอุณหภูมิร้อนกว่าในหลายทวีป หากนํายางที่มาตรฐานเหมาะสําหรับการใช้งานในทวีปอื่นแต่ไม่เหมาะสมกับประเทศไทยมาติดตั้ง ยิ่งทําให้ประชาชนเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากยิ่งขึ้น ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ผลิต ผู้จําหน่าย และผู้ใช้รถยนต์ เลือกใช้ยางล้อที่ได้มาตรฐาน มอก. เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนน สมอ. ดันมาตรฐานมอก. ภารกิจคุ้มครองผู้บริโภค นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล เลขาธิการ สมอ. กล่าวว่า "สมอ. มีภารกิจสําคัญด้านการคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยจากการใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ทั้งการควบคุมและกํากับติดตามผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐาน “ยางล้อ” เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ สมอ. ดําเนินการควบคุมด้านสมรรถนะความปลอดภัยโดยกําหนดให้เป็นผลิตภัณฑ์มาตรฐานบังคับ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน ถ้าผลิตไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่เหมาะสมกับสภาพถนนและภูมิอากาศในประเทศ ขณะนี้มาตรฐานยางล้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่อยู่ในขั้นตอนของกฎหมายที่จะประกาศเป็นมาตรฐานบังคับมีจํานวน 4 มาตรฐาน ได้แก่ มอก.2718 – 2558 ยางล้อแบบสูบลมสําหรับรถยนต์และส่วนพ่วง มอก.2719 – 2558 ยางล้อแบบสูบลมสําหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์และส่วนพ่วง มอก.2720 – 2558 ยางล้อแบบสูบลมสําหรับรถจักรยานยนต์และโมเปด มอก.2721-2559 การยึดเกาะถนนบนพื้นเปียก ความต้านทานการหมุน และเสียงจากยางล้อที่สัมผัสผิวถนน ซึ่งทั้ง 4 มาตรฐานนี้ จะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2561 และเมื่อมาตรฐานมีผลบังคับใช้แล้ว ผู้ทํา ผู้นําเข้า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะต้องขออนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับ สมอ." เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถสังเกตได้ นับเป็นความพยายามในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กับผู้ผลิตยานยนต์ในประเทศไทย ในการยกระดับมาตรฐานยางล้อให้อุบัติเหตุให้กลายเป็นศูนย์ ไม่ใช่แค่การใช้รถยนต์ที่มีมาตรฐานแล้วจะปลอดภัยเสมอ แต่ผู้ขับขี่เองก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งคัดเช่นกัน การบูรณาการความร่วมมือดังกล่าว เป็นการมองไปที่จุดเริ่มต้นของความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับปัจจัยที่ 5 ของประชาชน อย่างรถยนต์รวมถึงยานยนต์ทุกประเภท ที่มีการซื้อขายอย่างต่อเนื่องโดยเห็นได้จากยอดขายรถยนต์ในแต่ละช่วงของปี อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทําให้เราตระหนักถึงมาตรฐานความปลอดภัยที่ต้องให้ความสําคัญอย่างสูงสุด สมอ. คือ ผู้ดูแลด้านมาตรฐานและกฎระเบียบที่เหมาะสม ผู้ผลิตยานยนต์ คือ ผู้ผลิตสินค้าและบริการที่ดี มีคุณภาพ และจุดนี้คือสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายพยายามบูรณาการความร่วมมือ และยกระดับเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภค ค่ายรถยนต์ขานรับ มาตรฐานความปลอดภัยสู่ความยั่งยืน เน้น “ผู้บริโภคมาอันดับหนึ่ง” นายองอาจ พงศ์กิจวรสิน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายธนวัฒน์ คุ้มสิน นายกสมาคม สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย นําทัพลงนามข้อตกลงฯ ทุกค่ายขานรับเพราะได้ประโยชน์สูงสุดกับผู้บริโภค ลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ ค่ายรถยนต์ต่างตระหนักถึงความสําคัญด้านความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมสนับสนุนการดําเนินงานของ สมอ. และสถาบันยานยนต์ อย่างเต็มที่ หลายบริษัทกําลังพยายามมุ่งสู่ความยั่งยืนซึ่งนับเป็นจุดสูงสุดของการดําเนินธุรกิจ โดยการดําเนินธุรกิจไปในแนวทาง 3 ด้าน คือ ด้านผลกําไร (profit) ด้านความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้ (planet) และด้านของคน (people) โดยในความร่วมมือดังกล่าวเรามีจุดร่วมเดียวกัน คือ คนหรือผู้บริโภค และความรับผิดชอบต่อสังคม เป็นสําคัญ พวกเราผลิตยานยนต์มาเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค หากใช้วัสดุที่ไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน เช่น การนํายางรถยนต์ที่ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็น มาใช้ในประเทศไทยซึ่งมีอากาศร้อนชื้น ก็เท่ากับทําให้ผู้บริโภคเกิดความเสี่ยงโดยไม่สมควร ปัจจุบันการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากยางล้อยังไม่ถูกแยกออกจากการบันทึกสถิติอุบัติเหตุรวม จึงอาจเป็นจุดที่ทําให้ไม่ค่อยมีคนตระหนักถึงเมื่อเทียบกับความปลอดภัยของตัวรถยนต์ในด้านอื่น ๆ แต่พวกเราในฐานะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เพื่อตอบสนองผู้ใช้รถยนต์ในประเทศไทย ย่อมไม่สามารถมองข้ามการใช้ “ยางล้อ” ที่มีมาตรฐาน มอก. ซึ่งเหมาะสมกับการใช้งานประเทศไทย อันจะเป็นสิ่งที่จะพาผู้บริโภคไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย ข้อตกลงฯ MoU นี้ ถือเป็นความร่วมมือเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ ที่จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้รถยนต์รวมถึงประชาชนที่เดินทางบนท้องถนน ให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืนด้วยกัน สมอ. เร่งโครงการศูนย์ทดสอบฯ สถาบันยานยนต์ขานรับเตรียมบริหารศูนย์ทดสอบฯ ต้นปี 2561 เพื่อมาตรฐานที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภค เพื่อให้ความร่วมมือดังกล่าวประสบผลสําเร็จ นอกเหนือจากบังคับใช้มาตรฐานด้านสมรรถนะ ความ ปลอดภัย และคุณภาพของยางล้อแล้วนั้น สมอ. มียังภาระกิจที่ต้องเร่งดําเนินโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติให้แล้วเสร็จตามกําหนดในช่วงต้นปี 2561 โดยเฟสแรกเป็นศูนย์ทดสอบยางล้อตามมาตรฐาน มอก.2721-2559 การยึดเกาะถนนบนพื้นเปียกฯ ดังนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจต่อทั้งค่ายรถยนต์และผู้บริโภค นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ ประธานกรรมการสถาบันยานยนต์ กล่าวถึงความพร้อมในด้านนี้ว่า “ทางสถาบันยานยนต์เองก็ได้เตรียมความพร้อม ในการบริหารห้องทดสอบและสนามทดสอบยางล้อ ด้วยการเตรียมการและฝึกฝนบุคลากรให้มีความชํานาญ เพื่อรองรับการทดสอบมาตรฐานที่กําลังจะเกิดขึ้น และสร้างความมั่นให้กับผู้บริโภคในการเลือกใช้ยางล้อที่ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน มอก.” “หลังจากนี้ทุกฝ่ายจะมีการบูรณาการความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์ และรณรงค์ถึงความสําคัญของการใช้ยางล้อที่ได้มาตรฐาน มอก. ที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศและการใช้งานในประเทศไทย รวมถึงการสร้างกิจกรรมเพื่อรณรงค์ความปลอดภัย ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ต่อไป” นายศิริรุจ กล่าวปิดท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5575
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 ทส.ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําโดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบเงิน จํานวน 1,299,999 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล วันนี้ (4 ส.ค.60) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําโดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบเงิน จํานวน 1,299,999 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในโอกาสนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติรับมอบเงินบริจาค ในงาน “ประชารัฐร่วมใจ ใต้ร่มพระบารมี” ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล สืบเนื่องจากรัฐบาลจัดงาน “ประชารัฐร่วมใจ ใต้ร่มพระบารมี” เพื่อรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเป็นกําลังใจและช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยที่กําลังประสบอุทกภัย ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนทุกภาคส่วน ร่วมบริจาคเงินสบทบเข้า “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี” ผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067 - 0 - 06895 - 0 เพื่อรัฐบาลจะได้นําเงินบริจาคไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้ผลกระทบและความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ําท่วมโดยเร่งด่วนต่อไป ที่มาภาพประกอบข่าว : กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส.ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 ทส.ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําโดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบเงิน จํานวน 1,299,999 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล วันนี้ (4 ส.ค.60) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นําโดย พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบเงิน จํานวน 1,299,999 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในโอกาสนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติรับมอบเงินบริจาค ในงาน “ประชารัฐร่วมใจ ใต้ร่มพระบารมี” ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล สืบเนื่องจากรัฐบาลจัดงาน “ประชารัฐร่วมใจ ใต้ร่มพระบารมี” เพื่อรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเป็นกําลังใจและช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยที่กําลังประสบอุทกภัย ทั้งนี้ ขอเชิญชวนประชาชนทุกภาคส่วน ร่วมบริจาคเงินสบทบเข้า “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี” ผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067 - 0 - 06895 - 0 เพื่อรัฐบาลจะได้นําเงินบริจาคไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้ผลกระทบและความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ําท่วมโดยเร่งด่วนต่อไป ที่มาภาพประกอบข่าว : กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5736
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เยืยน สปป.ลาว ร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELSOM) ครั้งที่ 20
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เยืยน สปป.ลาว ร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELSOM) ครั้งที่ 20 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เยืยน สปป.ลาว ร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELSOM) ครั้งที่ 20 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELSOM) ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 21 - 22 ตุลาคม 2562 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยที่ประชุม TELSOM เป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ซึ่งมีการพิจารณาเพื่อสรุปความก้าวหน้าของการดําเนินโครงการตามแผนแม่บท ASEAN ICT Masterplan 2020 โดยผลการประชุมสภาหน่วยงานกํากับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน (ATRC) ครั้งที่ 25 ความก้าวหน้าของการจัดทําแผนแม่บท ASEAN Digital Masterplan 2025 การพิจารณาร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ (Vientiane Declaration) การพิจารณาปรับขอบเขตการปฏิบัติงาน (TOR) และเปลี่ยนชื่อเป็นสาขา ASEAN Digital Senior Officials’ Meeting ก่อนจะนําเสนอให้ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ อาเซียนได้มีการหารือกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี อินเดีย สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) โดยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการหารือทวิภาคีร่วมกับ นางสาวรูธ เบอร์รี (Ms. Ruth Berry) รองผู้อํานวยการด้านนโยบายการสื่อสารและสารสนเทศ กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา เพื่อส่งเสริมความร่วมมือ แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านนโยบาย และพัฒนาศักยภาพบุคลากร ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงเทคโนโลยี 5G **********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เยืยน สปป.ลาว ร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELSOM) ครั้งที่ 20 วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เยืยน สปป.ลาว ร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELSOM) ครั้งที่ 20 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เยืยน สปป.ลาว ร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELSOM) ครั้งที่ 20 นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELSOM) ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 21 - 22 ตุลาคม 2562 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยที่ประชุม TELSOM เป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ซึ่งมีการพิจารณาเพื่อสรุปความก้าวหน้าของการดําเนินโครงการตามแผนแม่บท ASEAN ICT Masterplan 2020 โดยผลการประชุมสภาหน่วยงานกํากับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน (ATRC) ครั้งที่ 25 ความก้าวหน้าของการจัดทําแผนแม่บท ASEAN Digital Masterplan 2025 การพิจารณาร่างปฏิญญาเวียงจันทน์ (Vientiane Declaration) การพิจารณาปรับขอบเขตการปฏิบัติงาน (TOR) และเปลี่ยนชื่อเป็นสาขา ASEAN Digital Senior Officials’ Meeting ก่อนจะนําเสนอให้ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ อาเซียนได้มีการหารือกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี อินเดีย สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) โดยปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการหารือทวิภาคีร่วมกับ นางสาวรูธ เบอร์รี (Ms. Ruth Berry) รองผู้อํานวยการด้านนโยบายการสื่อสารและสารสนเทศ กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา เพื่อส่งเสริมความร่วมมือ แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านนโยบาย และพัฒนาศักยภาพบุคลากร ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงเทคโนโลยี 5G **********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24192
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อํานวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยผู้บริหารสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้รับฟังบรรยายสรุปบทบาท ภารกิจของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยในด้านต่างๆ อาทิ การส่งเสริมการอนุวัติมาตรฐาน และบรรทัดฐานของสหประชาชาติเกี่ยวกับการดําเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา รวมทั้งการพัฒนาองค์ความรู้ด้านหลักนิติธรรม การศึกษาวิจัยและเผยแพร่ โดยเฉพาะข้อกําหนดสหประชาชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจํา และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสําหรับผู้กระทําความผิดหญิง หรือ ข้อกําหนดกรุงเทพ การเสริมบทบาทองค์กรในการเป็น Active-PNI โดยการสนับสนุนการอนุวัติ UN Standards and Norms ในประเทศไทยและอาเซียน ผ่านการเผยแพร่องค์ความรู้ การวิจัย การผลักดันนโยบายในประเด็นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมไทย และต่างชาติผ่านหลักสูตรต่าง ๆ หรือการสร้างเครือข่ายสนับสนุนการทํางานของประเทศไทย ต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGS) ข้อ ๑๖ ด้านหลักนิติธรรม นอกจากนี้ ได้มีการหารือร่วมกันถึงบทบาทนําของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในเวทีสหประชาชาติ ด้านการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา (Commission of Crime Prevention Criminal Justice : CCPCJ) ซึ่งเป็นเวทีกําหนดนโยบายสําคัญอีกเวทีหนึ่งของ UNODC เพื่อเตรียมท่าทีของประเทศไทยสําหรับการประชุม Crime Congress ในปี พ.ศ.๒๕๖๓ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ รวมถึงการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการด้านการป้องกันอาชญากรรม CCPCJ ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตเรีย รวมถึงความคืบหน้าในการจัดประชุม High Level Conference on Sustainable Devolopment,Crime Prevention,and Safe Societies ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ (UN) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เพื่อนําไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เวลา ๑๔.๐๐ น. ณ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นําคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อํานวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยผู้บริหารสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ให้การต้อนรับ โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้รับฟังบรรยายสรุปบทบาท ภารกิจของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยในด้านต่างๆ อาทิ การส่งเสริมการอนุวัติมาตรฐาน และบรรทัดฐานของสหประชาชาติเกี่ยวกับการดําเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญา รวมทั้งการพัฒนาองค์ความรู้ด้านหลักนิติธรรม การศึกษาวิจัยและเผยแพร่ โดยเฉพาะข้อกําหนดสหประชาชาติ ว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจํา และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสําหรับผู้กระทําความผิดหญิง หรือ ข้อกําหนดกรุงเทพ การเสริมบทบาทองค์กรในการเป็น Active-PNI โดยการสนับสนุนการอนุวัติ UN Standards and Norms ในประเทศไทยและอาเซียน ผ่านการเผยแพร่องค์ความรู้ การวิจัย การผลักดันนโยบายในประเด็นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมไทย และต่างชาติผ่านหลักสูตรต่าง ๆ หรือการสร้างเครือข่ายสนับสนุนการทํางานของประเทศไทย ต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGS) ข้อ ๑๖ ด้านหลักนิติธรรม นอกจากนี้ ได้มีการหารือร่วมกันถึงบทบาทนําของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในเวทีสหประชาชาติ ด้านการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา (Commission of Crime Prevention Criminal Justice : CCPCJ) ซึ่งเป็นเวทีกําหนดนโยบายสําคัญอีกเวทีหนึ่งของ UNODC เพื่อเตรียมท่าทีของประเทศไทยสําหรับการประชุม Crime Congress ในปี พ.ศ.๒๕๖๓ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ รวมถึงการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการด้านการป้องกันอาชญากรรม CCPCJ ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตเรีย รวมถึงความคืบหน้าในการจัดประชุม High Level Conference on Sustainable Devolopment,Crime Prevention,and Safe Societies ซึ่งกําหนดจัดขึ้นในวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ ศูนย์การประชุมสหประชาชาติ (UN) เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เพื่อนําไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปด้วย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10349
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชมผู้ประกอบการไทย เน้นยุทธศาสตร์พี่จูงมือน้อง เพื่อนจูงมือเพื่อน เพื่อเพิ่มผู้ประกอบการ SMEsและ Start up ไทยในตลาดโลก
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีชื่นชมผู้ประกอบการไทย เน้นยุทธศาสตร์พี่จูงมือน้อง เพื่อนจูงมือเพื่อน เพื่อเพิ่มผู้ประกอบการ SMEsและ Start up ไทยในตลาดโลก นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2562 (Prime Minister’s Export Award 2019) วันนี้ (26 ส.ค 62) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2562 (Prime Minister’s Export Award 2019) โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เอกอัครราชทูต ผู้บริหาร ภาครัฐ และเอกชนเข้าร่วม กว่า 400 คน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลแก่ผู้ประกอบการไทย 7 ประเภทรางวัล ได้แก่ 1) รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกยอดเยี่ยม (Best Exporter) 2) รางวัลสินค้านวัตกรรมยอดเยี่ยม (Best Innovation) 3) รางวัลแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม (Best Thai Brand) 4) รางวัลสินค้าไทยที่มีการออกแบบยอดเยี่ยม (Best Design) 5) รางวัลธุรกิจบริการยอดเยี่ยม(Best Service Enterprise Award) ประกอบด้วย 3 สาขา คือ สาขาดิจิทัลคอนเทนท์และซอฟต์แวร์ สาขาธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สาขาโลจิสติกส์สินค้า 6) รางวัลสินค้าหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม (Best OTOP) และ 7) รางวัลสินค้าฮาลาลยอดเยี่ยม (Best Halal) ทั้งสิ้น 34 ราย จากนั้น นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีแก่ผู้ได้รับรางวัล พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งภาคการผลิตและบริการอย่างต่อเนื่อง พัฒนาทักษะผู้ประกอบธุรกิจให้ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินธุรกิจ สนับสนุนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถขยายการดําเนินธุรกิจ สู่ตลาดต่างประเทศได้ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนภาคการส่งออกไทยไปสู่ประเทศไทย 4.0 ด้วยยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยนวัตกรรมที่มีคุณค่าและมูลค่า ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าและบริการคุณภาพสูงในอาเซียน โดยคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่โดดเด่น หากการส่งออกและภาคธุรกิจโดยรวมมีความเข้มแข็ง ก็จะช่วยเศรษฐกิจฐานรากให้มีความมั่นคง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รัฐบาลเน้นผลักดันการค้าระหว่างประเทศแบบเชิงรุก สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ให้เห็นถึงความสําคัญของการพัฒนาธุรกิจและตนเองให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สินค้าและบริการของตนมีคุณภาพและมีมาตรฐาน สามารถส่งออกไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ ทั้งนี้ ต้องรักษามาตรฐานการดําเนินธุรกิจและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยสมกับที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ ที่เป็นเครื่องยืนยันคุณภาพการประกอบธุรกิจในวันนี้ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังมอบกําลังใจแก่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ให้มุ่งมั่นต่อไป ผู้ที่ประสบความสําเร็จแล้วก็ให้ช่วยเหลือกันและกัน เสมือนเหมือนพี่จูงมือน้อง เพื่อนจูงมือเพื่อน เกื้อกูลกันในระบบ ให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการ Prime Minister’s Export Award พร้อมพูดคุยและเสนอแนะแก่ผู้ประกอบการ เน้นผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ เพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรม ต่อยอดสินค้าท้องถิ่นพัฒนาให้สู่ตลาดโลก รักษาอัตลักษณ์ไทย ส่งเสริมผู้ประการรายย่อย และ start up ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสินค้า วิจัย เพื่อส่งออกไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ สําหรับรางวัล PM Award เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี 2535 โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้จัดให้มีการพิจารณารางวัล ผู้ส่งออกสินค้าและบริการดีเด่น เพื่อแสดงถึงภาพลักษณ์ของคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าไทยในตลาดโลก โดยมีเป้าหมายที่จะสนับสนุนให้ความสําคัญแก่ผู้ส่งออกสินค้าและบริการที่มีผลงานดีเด่น รวมทั้งสนับสนุนการสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่ดีให้แก่ผู้ประกอบการ รางวัลดังกล่าวถือเป็นรางวัลสูงสุดที่รัฐบาลมอบให้แก่ผู้ส่งออก ซึ่งรัฐบาลได้กําหนดให้มีพิธีประกาศเกียรติคุณ โดยถือเป็นมาตรการหนึ่งที่สอดรับนโยบายในการขับเคลื่อนภาคการส่งออกไทยเพื่อมุ่งไปสู่ประเทศไทย 4.0 ด้วยยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยนวัตกรรม ............................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชมผู้ประกอบการไทย เน้นยุทธศาสตร์พี่จูงมือน้อง เพื่อนจูงมือเพื่อน เพื่อเพิ่มผู้ประกอบการ SMEsและ Start up ไทยในตลาดโลก วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีชื่นชมผู้ประกอบการไทย เน้นยุทธศาสตร์พี่จูงมือน้อง เพื่อนจูงมือเพื่อน เพื่อเพิ่มผู้ประกอบการ SMEsและ Start up ไทยในตลาดโลก นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2562 (Prime Minister’s Export Award 2019) วันนี้ (26 ส.ค 62) เวลา 13.00 น. ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2562 (Prime Minister’s Export Award 2019) โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เอกอัครราชทูต ผู้บริหาร ภาครัฐ และเอกชนเข้าร่วม กว่า 400 คน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบรางวัลแก่ผู้ประกอบการไทย 7 ประเภทรางวัล ได้แก่ 1) รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกยอดเยี่ยม (Best Exporter) 2) รางวัลสินค้านวัตกรรมยอดเยี่ยม (Best Innovation) 3) รางวัลแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม (Best Thai Brand) 4) รางวัลสินค้าไทยที่มีการออกแบบยอดเยี่ยม (Best Design) 5) รางวัลธุรกิจบริการยอดเยี่ยม(Best Service Enterprise Award) ประกอบด้วย 3 สาขา คือ สาขาดิจิทัลคอนเทนท์และซอฟต์แวร์ สาขาธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ สาขาโลจิสติกส์สินค้า 6) รางวัลสินค้าหนึ่งตําบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม (Best OTOP) และ 7) รางวัลสินค้าฮาลาลยอดเยี่ยม (Best Halal) ทั้งสิ้น 34 ราย จากนั้น นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีแก่ผู้ได้รับรางวัล พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งภาคการผลิตและบริการอย่างต่อเนื่อง พัฒนาทักษะผู้ประกอบธุรกิจให้ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินธุรกิจ สนับสนุนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถขยายการดําเนินธุรกิจ สู่ตลาดต่างประเทศได้ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนภาคการส่งออกไทยไปสู่ประเทศไทย 4.0 ด้วยยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยนวัตกรรมที่มีคุณค่าและมูลค่า ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตสินค้าและบริการคุณภาพสูงในอาเซียน โดยคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่โดดเด่น หากการส่งออกและภาคธุรกิจโดยรวมมีความเข้มแข็ง ก็จะช่วยเศรษฐกิจฐานรากให้มีความมั่นคง ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รัฐบาลเน้นผลักดันการค้าระหว่างประเทศแบบเชิงรุก สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ให้เห็นถึงความสําคัญของการพัฒนาธุรกิจและตนเองให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สินค้าและบริการของตนมีคุณภาพและมีมาตรฐาน สามารถส่งออกไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ ทั้งนี้ ต้องรักษามาตรฐานการดําเนินธุรกิจและภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยสมกับที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ ที่เป็นเครื่องยืนยันคุณภาพการประกอบธุรกิจในวันนี้ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังมอบกําลังใจแก่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ให้มุ่งมั่นต่อไป ผู้ที่ประสบความสําเร็จแล้วก็ให้ช่วยเหลือกันและกัน เสมือนเหมือนพี่จูงมือน้อง เพื่อนจูงมือเพื่อน เกื้อกูลกันในระบบ ให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการ Prime Minister’s Export Award พร้อมพูดคุยและเสนอแนะแก่ผู้ประกอบการ เน้นผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ เพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรม ต่อยอดสินค้าท้องถิ่นพัฒนาให้สู่ตลาดโลก รักษาอัตลักษณ์ไทย ส่งเสริมผู้ประการรายย่อย และ start up ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาสินค้า วิจัย เพื่อส่งออกไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ สําหรับรางวัล PM Award เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี 2535 โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้จัดให้มีการพิจารณารางวัล ผู้ส่งออกสินค้าและบริการดีเด่น เพื่อแสดงถึงภาพลักษณ์ของคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าไทยในตลาดโลก โดยมีเป้าหมายที่จะสนับสนุนให้ความสําคัญแก่ผู้ส่งออกสินค้าและบริการที่มีผลงานดีเด่น รวมทั้งสนับสนุนการสร้างภาพลักษณ์องค์กรที่ดีให้แก่ผู้ประกอบการ รางวัลดังกล่าวถือเป็นรางวัลสูงสุดที่รัฐบาลมอบให้แก่ผู้ส่งออก ซึ่งรัฐบาลได้กําหนดให้มีพิธีประกาศเกียรติคุณ โดยถือเป็นมาตรการหนึ่งที่สอดรับนโยบายในการขับเคลื่อนภาคการส่งออกไทยเพื่อมุ่งไปสู่ประเทศไทย 4.0 ด้วยยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยนวัตกรรม ............................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22512
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เปิดใช้ถนนลาดยางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ภายในศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย
วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561 ปลัดเกษตรฯ เปิดใช้ถนนลาดยางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ภายในศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย ปลัดเกษตรฯ เปิดใช้ถนนลาดยางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ภายในศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย ตามมาตรการเร่งรัดการใช้ยางพารา พร้อมตั้งเป้าขยายผลกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดใช้ถนนลาดยางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ตามมาตรการเร่งรัดการใช้ยางพารา โครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐของกรมการข้าว ณ ศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย ว่า ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตยางพารากว่า 4 ล้านตัน/ปี และกว่า 90% ส่งออกต่างประเทศ ทําให้ประสบปัญหาราคาผันผวน จนปัจจุบันมีราคาตกต่ําลงอย่างมากเมื่อเปรียบราคาต้นทุนที่รัฐบาลประเมินไว้ รัฐบาลจึงมีนโยบายส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ โดยการแปรรูปยางพาราให้เป็นผลิตภัณฑ์หรือใช้เป็นส่วนผสมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยางพาราเป็นส่วนผสมในการทําถนนลาดยาง เพื่อสร้างสมดุลของราคายางพาราในตลาด ควบคู่กับการออกมาตรการต่าง ๆ มารองรับ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพาราและลูกจ้างในสวนยางให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่ากรมการข้าวจะมีภารกิจดูแลชาวนาทั่วประเทศ แต่ก็ยังมีส่วนร่วมในการทําโครงการที่ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ในการเร่งรัดการใช้ยางพาราภายในประเทศ และดําเนินการจนประสบความสําเร็จ และมุ่งหวังว่าหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดําเนินโครงการนี้ต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้าน ดร.กฤษณพงศ์ ศรีพงษ์พันธุ์กุล อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการข้าวมีความภาคภูมิใจที่ร่วมเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากยางพาราที่ผลิตโดยพี่น้องชาวสวนยาง นอกจากถนนเส้นนี้แล้ว ในปี 2549 กรมวิชาการเกษตรยังได้ร่วมกับกรมการข้าว ผลักดันให้ศูนย์วิจัยข้าวแพร่ ซึ่งเป็นหน่วยงานของกรมการข้าวนําร่องทําผิวถนนลาดยางผสมยางพารา ด้วยถนนที่มีความกว้าง 3.5 เมตร หนาไม่น้อยกว่า 3 เซนติเมตร ความยาว 2,000 เมตร พื้นที่ประมาณ 6,400 ตารางเมตร โดยใช้ส่วนผสมของยางพารา 6% ในการลาดยางซ่อมผิวถนน โดยถนนดังกล่าวมีอายุการใช้งานนานถึง 10 ปี แต่ยังมีสภาพดี กรมการข้าวจึงมีความตั้งใจที่จะขยายผลการซ่อมแซมถนนในศูนย์วิจัยข้าว และศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวกว่า 50 แห่ง ให้เป็นถนนลาดยางพาราเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องชาวสวนยางและประเทศให้มากที่สุด ทั้งนี้ การสร้างถนนที่มีส่วนผสมของยางพารามีประโยชน์หลายประการ เช่น เป็นถนนที่มีคุณภาพดี เนื่องจากทําให้ผิวถนนมีความลื่นลดลง มีส่วนช่วยลดอุบัติเหตุและอัตราการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งอายุการใช้งานยาวนานกว่าถนนยางแอสฟัลท์หรือยางมะตอยธรรมดา ทําให้ภาครัฐประหยัดงบประมาณในการซ่อมแซมเป็นจํานวนมาก ลดปัญหาการจราจรติดขัดและอุบัติเหตุระหว่างการซ่อมบํารุงผิวทาง และที่สําคัญคือประเทศไทยเป็นผู้ผลิตยางพารา การใช้ประโยชน์จากยางพาราภายในประเทศจะช่วยทําให้พี่น้องชาวสวนยางมีรายได้และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้ เกษตรกรจังหวัดหนองคาย ยังประกอบอาชีพทําสวนยางรองจากการทํานา มีพื้นที่สวนยางประมาณ 255,000 ไร่ ผลผลิตรวม 64,700 ตัน กรมการข้าวจึงได้ดําเนินการก่อสร้างถนนลาดยางผิวทางพาราแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ภายในศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย โดยแขวงทางหลวงชนบทหนองคายให้ความร่วมมือในการออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง มีระยะทาง 1,950 เมตร กว้าง 4 เมตร หรือคิดเป็นพื้นที่ 7,800 ตารางเมตร โดยผสมยางพารา 5% ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 90 วัน นับเป็นความภาคภูมิใจของพี่น้องชาวสวนยางพาราที่มีส่วนร่วมในการผลิตน้ํายางเพื่อสร้างถนนเส้นนี้ด้วยเช่นกัน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ เปิดใช้ถนนลาดยางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ภายในศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2561 ปลัดเกษตรฯ เปิดใช้ถนนลาดยางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ภายในศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย ปลัดเกษตรฯ เปิดใช้ถนนลาดยางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ภายในศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย ตามมาตรการเร่งรัดการใช้ยางพารา พร้อมตั้งเป้าขยายผลกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดใช้ถนนลาดยางแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ตามมาตรการเร่งรัดการใช้ยางพารา โครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐของกรมการข้าว ณ ศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย ว่า ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตยางพารากว่า 4 ล้านตัน/ปี และกว่า 90% ส่งออกต่างประเทศ ทําให้ประสบปัญหาราคาผันผวน จนปัจจุบันมีราคาตกต่ําลงอย่างมากเมื่อเปรียบราคาต้นทุนที่รัฐบาลประเมินไว้ รัฐบาลจึงมีนโยบายส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานภาครัฐ โดยการแปรรูปยางพาราให้เป็นผลิตภัณฑ์หรือใช้เป็นส่วนผสมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ยางพาราเป็นส่วนผสมในการทําถนนลาดยาง เพื่อสร้างสมดุลของราคายางพาราในตลาด ควบคู่กับการออกมาตรการต่าง ๆ มารองรับ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพาราและลูกจ้างในสวนยางให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่ากรมการข้าวจะมีภารกิจดูแลชาวนาทั่วประเทศ แต่ก็ยังมีส่วนร่วมในการทําโครงการที่ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล ในการเร่งรัดการใช้ยางพาราภายในประเทศ และดําเนินการจนประสบความสําเร็จ และมุ่งหวังว่าหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดําเนินโครงการนี้ต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้าน ดร.กฤษณพงศ์ ศรีพงษ์พันธุ์กุล อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการข้าวมีความภาคภูมิใจที่ร่วมเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากยางพาราที่ผลิตโดยพี่น้องชาวสวนยาง นอกจากถนนเส้นนี้แล้ว ในปี 2549 กรมวิชาการเกษตรยังได้ร่วมกับกรมการข้าว ผลักดันให้ศูนย์วิจัยข้าวแพร่ ซึ่งเป็นหน่วยงานของกรมการข้าวนําร่องทําผิวถนนลาดยางผสมยางพารา ด้วยถนนที่มีความกว้าง 3.5 เมตร หนาไม่น้อยกว่า 3 เซนติเมตร ความยาว 2,000 เมตร พื้นที่ประมาณ 6,400 ตารางเมตร โดยใช้ส่วนผสมของยางพารา 6% ในการลาดยางซ่อมผิวถนน โดยถนนดังกล่าวมีอายุการใช้งานนานถึง 10 ปี แต่ยังมีสภาพดี กรมการข้าวจึงมีความตั้งใจที่จะขยายผลการซ่อมแซมถนนในศูนย์วิจัยข้าว และศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวกว่า 50 แห่ง ให้เป็นถนนลาดยางพาราเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องชาวสวนยางและประเทศให้มากที่สุด ทั้งนี้ การสร้างถนนที่มีส่วนผสมของยางพารามีประโยชน์หลายประการ เช่น เป็นถนนที่มีคุณภาพดี เนื่องจากทําให้ผิวถนนมีความลื่นลดลง มีส่วนช่วยลดอุบัติเหตุและอัตราการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน อีกทั้งอายุการใช้งานยาวนานกว่าถนนยางแอสฟัลท์หรือยางมะตอยธรรมดา ทําให้ภาครัฐประหยัดงบประมาณในการซ่อมแซมเป็นจํานวนมาก ลดปัญหาการจราจรติดขัดและอุบัติเหตุระหว่างการซ่อมบํารุงผิวทาง และที่สําคัญคือประเทศไทยเป็นผู้ผลิตยางพารา การใช้ประโยชน์จากยางพาราภายในประเทศจะช่วยทําให้พี่น้องชาวสวนยางมีรายได้และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้ เกษตรกรจังหวัดหนองคาย ยังประกอบอาชีพทําสวนยางรองจากการทํานา มีพื้นที่สวนยางประมาณ 255,000 ไร่ ผลผลิตรวม 64,700 ตัน กรมการข้าวจึงได้ดําเนินการก่อสร้างถนนลาดยางผิวทางพาราแอสฟัลท์ติกคอนกรีต ภายในศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย โดยแขวงทางหลวงชนบทหนองคายให้ความร่วมมือในการออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง มีระยะทาง 1,950 เมตร กว้าง 4 เมตร หรือคิดเป็นพื้นที่ 7,800 ตารางเมตร โดยผสมยางพารา 5% ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 90 วัน นับเป็นความภาคภูมิใจของพี่น้องชาวสวนยางพาราที่มีส่วนร่วมในการผลิตน้ํายางเพื่อสร้างถนนเส้นนี้ด้วยเช่นกัน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17487
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดอยู่บนแว่นตาได้หรือไม่ ??
วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563 เชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดอยู่บนแว่นตาได้หรือไม่ ?? เชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดอยู่บนแว่นตาได้หรือไม่ Q : เชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดอยู่บนแว่นตาได้หรือไม่ ?? A : ได้ โดยติดเชื้อฯ จากการใช้มือที่ปนเปื้อนไวรัสฯ ไปจับแว่น ซึ่งเชื้อสามารถติดอยู่ได้หลายชั่วโมงหรือเป็นวัน ซึ่งมีวิธีการป้องกัน คือ 1.หมั่นทําความสะอาดแว่นบ่อยขึ้น 2.ลดการจับหรือขยับแว่นน้อยลง 3.ล้างมือก่อนใส่และหลังถอดแว่นทุกครั้ง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดอยู่บนแว่นตาได้หรือไม่ ?? วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2563 เชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดอยู่บนแว่นตาได้หรือไม่ ?? เชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดอยู่บนแว่นตาได้หรือไม่ Q : เชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถติดอยู่บนแว่นตาได้หรือไม่ ?? A : ได้ โดยติดเชื้อฯ จากการใช้มือที่ปนเปื้อนไวรัสฯ ไปจับแว่น ซึ่งเชื้อสามารถติดอยู่ได้หลายชั่วโมงหรือเป็นวัน ซึ่งมีวิธีการป้องกัน คือ 1.หมั่นทําความสะอาดแว่นบ่อยขึ้น 2.ลดการจับหรือขยับแว่นน้อยลง 3.ล้างมือก่อนใส่และหลังถอดแว่นทุกครั้ง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32577
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 11 กรกฎาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 11 กรกฎาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 11 กรกฎาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่11 กรกฎาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (บาห์เรน 1 ราย, สหรัฐอเมริกา 1 ราย, ซูดาน 12 ราย,) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 1 ราย ทําให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,088 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.02 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 70 ราย หรือร้อยละ 2.18 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,216 ราย สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ยังคงเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ จํานวน 14 ราย ได้แก่ จากประเทศบาห์เรน 1 ราย อายุ 42 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 28 มิถุนายน 2563 และจากประเทศสหรัฐอเมริกา 1 ราย อายุ 31 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 5 กรกฎาคม 2563 ทั้งสองรายเป็นเพศหญิง สัญชาติไทย เข้าพักใน State Quarantine ตรวจหาเชื้อ วันที่ 9 กรกฎาคม 2563 ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ จากประเทศซูดาน 12 ราย ทุกราย ได้รับการคัดกรองตรวจหาเชื้อที่ด่านควบคุมโรคฯ โดย รายที่ 1 – 11 เป็นเพศชาย 5 ราย เพศหญิง 6 ราย สัญชาติไทย เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 10 กรกฎาคม 2563 อายุระหว่าง 19 - 31 ปี มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก ผลพบเชื้อ เข้ารับการรักษา ใน จ.ฉะเชิงเทรา 3 ราย และ จ.สมุทรปราการ 8 ราย รายที่ 12 เป็นเพศหญิง อายุ 9 ปี สัญชาติซูดาน เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล กทม. นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศต่อเนื่องเป็นเวลา 47 วันแล้ว คนไทยต้องไม่ประมาท การ์ดอย่าตก ช่วยกันลดความเสี่ยงให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการเข้าพื้นที่แออัด สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เป็นการป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อ ประกอบกับมาตรการทางสาธารณสุข เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ รวมทั้งการค้นหาเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งหากทําให้ประเทศปลอดโรค เราปลอดภัย จะทําให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ****************************** 11 กรกฎาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 11 กรกฎาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 11 กรกฎาคม 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 11 กรกฎาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ประจําวันที่11 กรกฎาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่รัฐจัดให้ (บาห์เรน 1 ราย, สหรัฐอเมริกา 1 ราย, ซูดาน 12 ราย,) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 1 ราย ทําให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,088 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 96.02 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 70 ราย หรือร้อยละ 2.18 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,216 ราย สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ยังคงเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ จํานวน 14 ราย ได้แก่ จากประเทศบาห์เรน 1 ราย อายุ 42 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 28 มิถุนายน 2563 และจากประเทศสหรัฐอเมริกา 1 ราย อายุ 31 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 5 กรกฎาคม 2563 ทั้งสองรายเป็นเพศหญิง สัญชาติไทย เข้าพักใน State Quarantine ตรวจหาเชื้อ วันที่ 9 กรกฎาคม 2563 ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ จากประเทศซูดาน 12 ราย ทุกราย ได้รับการคัดกรองตรวจหาเชื้อที่ด่านควบคุมโรคฯ โดย รายที่ 1 – 11 เป็นเพศชาย 5 ราย เพศหญิง 6 ราย สัญชาติไทย เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 10 กรกฎาคม 2563 อายุระหว่าง 19 - 31 ปี มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก ผลพบเชื้อ เข้ารับการรักษา ใน จ.ฉะเชิงเทรา 3 ราย และ จ.สมุทรปราการ 8 ราย รายที่ 12 เป็นเพศหญิง อายุ 9 ปี สัญชาติซูดาน เดินทางถึงประเทศไทย วันที่ 10 กรกฎาคม 2563 ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล กทม. นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศต่อเนื่องเป็นเวลา 47 วันแล้ว คนไทยต้องไม่ประมาท การ์ดอย่าตก ช่วยกันลดความเสี่ยงให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการเข้าพื้นที่แออัด สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เป็นการป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อ ประกอบกับมาตรการทางสาธารณสุข เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ รวมทั้งการค้นหาเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งหากทําให้ประเทศปลอดโรค เราปลอดภัย จะทําให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ****************************** 11 กรกฎาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33305
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 22 - 28 พฤษภาคม 2563
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 22 - 28 พฤษภาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 22 - 28 พฤษภาคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 456 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.76 ล้านบาท นายวรวรรธน์ ภิญโญ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิด กฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 22 - 28 พฤษภาคม 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 456 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.76 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 308 คดี ค่าปรับ 2.84 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 99 คดี ค่าปรับ 2.81 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 10 คดี ค่าปรับ 0.06 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 11 คดี ค่าปรับ 0.80 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 1 คดี ค่าปรับ จํานวน 0.04 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 17 คดี ค่าปรับ จํานวน 0.88 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 10 คดี ค่าปรับ 0.33 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 34,164.350 ลิตร ยาสูบ จํานวน 6,049 ซอง ไพ่ จํานวน 481 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 79,831 ลิตร น้ําหอม จํานวน 1,000 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 20 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 28 พฤษภาคม 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 19,370 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 329.02 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 11,005 คดี ค่าปรับ 112.67 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 5,800 คดี ค่าปรับ 135.33 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 406 คดี ค่าปรับ 6.38 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 895 คดี ค่าปรับ 30.79 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 42 คดี ค่าปรับ 1.31 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 855 คดี ค่าปรับ จํานวน 19.54 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 367 คดี ค่าปรับ 23.00 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,257,051.310 ลิตร ยาสูบ จํานวน 345,261 ซอง ไพ่ จํานวน 58,545 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 2,084,665.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 40,940 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 949 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 22 - 28 พฤษภาคม 2563 วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 22 - 28 พฤษภาคม 2563 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ระหว่างวันที่ 22 - 28 พฤษภาคม 2563 พบการกระทําผิด จํานวน 456 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.76 ล้านบาท นายวรวรรธน์ ภิญโญ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิด กฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2563 (ระหว่างวันที่ 22 - 28 พฤษภาคม 2563) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 456 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.76 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 308 คดี ค่าปรับ 2.84 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 99 คดี ค่าปรับ 2.81 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 10 คดี ค่าปรับ 0.06 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 11 คดี ค่าปรับ 0.80 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 1 คดี ค่าปรับ จํานวน 0.04 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 17 คดี ค่าปรับ จํานวน 0.88 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 10 คดี ค่าปรับ 0.33 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 34,164.350 ลิตร ยาสูบ จํานวน 6,049 ซอง ไพ่ จํานวน 481 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 79,831 ลิตร น้ําหอม จํานวน 1,000 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 20 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 – 28 พฤษภาคม 2563 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 19,370 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 329.02 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 11,005 คดี ค่าปรับ 112.67 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 5,800 คดี ค่าปรับ 135.33 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 406 คดี ค่าปรับ 6.38 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 895 คดี ค่าปรับ 30.79 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 42 คดี ค่าปรับ 1.31 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 855 คดี ค่าปรับ จํานวน 19.54 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 367 คดี ค่าปรับ 23.00 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,257,051.310 ลิตร ยาสูบ จํานวน 345,261 ซอง ไพ่ จํานวน 58,545 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 2,084,665.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 40,940 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 949 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31668
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 7
วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563 กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 7 กรมบัญชีกลางจัดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 7 มีผู้ได้รับการคัดเลือกเข้ารับการฝึกอบรม จํานวน 97 ราย นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่กรมบัญชีกลางได้เปิดรับสมัครเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 7 โดยกําหนดอบรมระหว่างวันที่ 8 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อเติมเต็มศักยภาพนักบริหารระดับสูงให้รอบรู้การบริหารงานด้านการเงินการคลังภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลให้การบริหารงบประมาณของแผ่นดินมีความถูกต้องโปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยได้เปิดรับสมัครบุคคลที่สนใจเข้ารับการคัดเลือกให้เข้ารับการฝึกอบรม ระหว่างวันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 ถึงวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา และขณะนี้คณะกรรมการบริหารหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) ได้พิจารณาคัดเลือกรายชื่อผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกเข้ารับการฝึกอบรมแล้ว โดยมีจํานวนผู้สมัครเข้าร่วมการอบรม จํานวน 97 ราย กรมบัญชีกลางจะมีพิธีเปิด ปฐมนิเทศ และกิจกรรมกลุ่มสร้างเครือข่าย ในวันที่ 8 มกราคม 2563 ณ ห้องประชุม ชั้น 7 กรมบัญชีกลาง โดยผู้สมัครเข้ารับการฝึกอบรมสามารถตรวจสอบรายชื่อและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th (หัวข้อ ข่าวฝึกอบรม) และเพจหลักสูตรนักบริหารการเงินระดับสูง (บงส.) https://fprogramcgd.blogspot.com/ “กรมบัญชีกลาง ในฐานะหน่วยงานกลางที่มีภารกิจในการกํากับดูแลการเบิกจ่ายเงินของแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ได้วางกรอบหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติด้านการเงิน การคลัง การบัญชี การตรวจสอบภายใน และการพัสดุภาครัฐ ให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติได้โดยถูกต้อง มีวินัย คุ้มค่า โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และตระหนักถึงการพัฒนาเพื่อเติมเต็มศักยภาพความสามารถของบุคลากรด้านการเงินการคลังภาครัฐ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่จําเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการกํากับดูแลและการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง เพื่อสามารถบริหารงานในฐานะผู้บริหารงานหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การบริหารเงินงบประมาณของแผ่นดินเกิดประโยชน์สูงสุด กรมบัญชีกลางจึงได้จัดให้มีโครงการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 7” ขึ้น โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าวทิ้งท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 7 วันศุกร์ที่ 3 มกราคม 2563 กรมบัญชีกลางประกาศรายชื่อผู้เข้ารับการอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 7 กรมบัญชีกลางจัดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 7 มีผู้ได้รับการคัดเลือกเข้ารับการฝึกอบรม จํานวน 97 ราย นางสาววิลาวรรณ พยาน้อย รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่กรมบัญชีกลางได้เปิดรับสมัครเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 7 โดยกําหนดอบรมระหว่างวันที่ 8 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อเติมเต็มศักยภาพนักบริหารระดับสูงให้รอบรู้การบริหารงานด้านการเงินการคลังภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลให้การบริหารงบประมาณของแผ่นดินมีความถูกต้องโปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยได้เปิดรับสมัครบุคคลที่สนใจเข้ารับการคัดเลือกให้เข้ารับการฝึกอบรม ระหว่างวันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 ถึงวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา และขณะนี้คณะกรรมการบริหารหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) ได้พิจารณาคัดเลือกรายชื่อผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกเข้ารับการฝึกอบรมแล้ว โดยมีจํานวนผู้สมัครเข้าร่วมการอบรม จํานวน 97 ราย กรมบัญชีกลางจะมีพิธีเปิด ปฐมนิเทศ และกิจกรรมกลุ่มสร้างเครือข่าย ในวันที่ 8 มกราคม 2563 ณ ห้องประชุม ชั้น 7 กรมบัญชีกลาง โดยผู้สมัครเข้ารับการฝึกอบรมสามารถตรวจสอบรายชื่อและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กรมบัญชีกลาง www.cgd.go.th (หัวข้อ ข่าวฝึกอบรม) และเพจหลักสูตรนักบริหารการเงินระดับสูง (บงส.) https://fprogramcgd.blogspot.com/ “กรมบัญชีกลาง ในฐานะหน่วยงานกลางที่มีภารกิจในการกํากับดูแลการเบิกจ่ายเงินของแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ได้วางกรอบหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติด้านการเงิน การคลัง การบัญชี การตรวจสอบภายใน และการพัสดุภาครัฐ ให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติได้โดยถูกต้อง มีวินัย คุ้มค่า โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และตระหนักถึงการพัฒนาเพื่อเติมเต็มศักยภาพความสามารถของบุคลากรด้านการเงินการคลังภาครัฐ โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่จําเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการกํากับดูแลและการบริหารจัดการด้านการเงินการคลัง เพื่อสามารถบริหารงานในฐานะผู้บริหารงานหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การบริหารเงินงบประมาณของแผ่นดินเกิดประโยชน์สูงสุด กรมบัญชีกลางจึงได้จัดให้มีโครงการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 7” ขึ้น โฆษกกรมบัญชีกลางกล่าวทิ้งท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25593
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน 8 ปี ETDA “Future Economy and Internet Governance : Big Change to Big Chance”
วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน 8 ปี ETDA “Future Economy and Internet Governance : Big Change to Big Chance” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “The Key Success Factors of Future Economy” ในงาน 8 ปี ETDA “Future Economy and Internet Governance : Big Change to Big Chance” โดยสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 23–25 กรกฎาคม 2561 ณ รอยัล พารากอนฮอลล์ สยามพารากอน โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดงานฯ ซึ่ง รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวถึงการจัดงานฯครั้งนี้ว่า เป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันประเทศไทยให้ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่ฐานรากเพื่อเข้าถึงชุมชนและในทุกระดับ โดยจะช่วยกระตุ้นให้ทุกองค์กรและทุกคนเห็นถึงคุณค่าและความสําคัญของการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมามีบทบาทขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Digital Thailand อย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งเสริมสร้างองค์ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติที่ดีในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่ประเทศ ตลอดจนเพิ่มศักยภาพแก่ผู้ประกอบการ และสร้างงานให้กับประชาชน รวมทั้งช่วยกระตุ้นให้เกิดความสนใจที่จะนําไปสู่การลงทุนด้านดิจิทัลของบริษัทชั้นนําด้านเทคโนโลยีดิจิทัลทั้งในและต่างประเทศ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน 8 ปี ETDA “Future Economy and Internet Governance : Big Change to Big Chance” วันพุธที่ 25 กรกฎาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในงาน 8 ปี ETDA “Future Economy and Internet Governance : Big Change to Big Chance” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “The Key Success Factors of Future Economy” ในงาน 8 ปี ETDA “Future Economy and Internet Governance : Big Change to Big Chance” โดยสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 23–25 กรกฎาคม 2561 ณ รอยัล พารากอนฮอลล์ สยามพารากอน โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดงานฯ ซึ่ง รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ได้กล่าวถึงการจัดงานฯครั้งนี้ว่า เป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันประเทศไทยให้ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่ฐานรากเพื่อเข้าถึงชุมชนและในทุกระดับ โดยจะช่วยกระตุ้นให้ทุกองค์กรและทุกคนเห็นถึงคุณค่าและความสําคัญของการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมามีบทบาทขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ Digital Thailand อย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งเสริมสร้างองค์ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติที่ดีในการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจแก่ประเทศ ตลอดจนเพิ่มศักยภาพแก่ผู้ประกอบการ และสร้างงานให้กับประชาชน รวมทั้งช่วยกระตุ้นให้เกิดความสนใจที่จะนําไปสู่การลงทุนด้านดิจิทัลของบริษัทชั้นนําด้านเทคโนโลยีดิจิทัลทั้งในและต่างประเทศ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ถนนพระรามที่ 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14117
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ครั้งที่ 1/2561
วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการอํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ครั้งที่ 1/2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ สํานักงาน ป.ป.ส. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการ ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ครั้งที่ 1/2561 โดยมีนายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม โดยมีสาระสําคัญของการประชุม ดังนี้ - ผลการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ระหว่างปี ‭2555 - 2557‬ และ ปี ‭2558 - 2560‬ ‬‬ - ความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการ ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1) คณะอนุกรรมการบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 2) คณะอนุกรรมการบริหารยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาผู้เสพผู้ติดยาเสพติด 3) คณะอนุกรรมการบริหารยุทธศาสตร์การควบคุมตัวยาและผู้ค้ายาเสพติด 4) คณะอนุกรรมการกํากับติดตามผลการดําเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด - ความคืบหน้าการดําเนินงานตามแผนกาฬสินธุ์โมเดล พ้นภัยยาเสพติด 2019 เพื่อลดปัญหายาเสพติด และผลกระทบในหมู่บ้าน/ชุมชนที่มีปัญหายาเสพติดรุนแรง ช่วยเหลือฟื้นฟูบุคคลที่ผ่านการบําบัดและต้องโทษ ให้กลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ รวมถึงลดผลกระทบจากผู้เสพยาเสพติดที่เสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรมในสังคม - การสร้างความรับรู้ความเข้าใจเรื่องยาเสพติดให้แก่ประชาชน โดยการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารงานยาเสพติดในรูปแบบต่างๆ ผ่านสื่อมวลชนทุกแขนง รวมถึงการชี้แจงประเด็นข่าวสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน - ผลการปฏิบัติและแนวทางในการปิดล้อมสามเหลี่ยมทองคํา ปี 2561 ภายใต้แผนปฏิบัติการแม่น้ําโขงปลอดภัย 6 ประเทศ ระยะเวลา 3 ปี (‭2559 - 2561‬) โดยการผนึกกําลังร่วมกันของสมาชิก 6 ประเทศ ในการปิดล้อมพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา เพื่อลดศักยภาพการผลิตยาเสพติด และความร่วมมือในการสกัดกั้นไม่ให้ยาเสพติดกระจายออกจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา ‬ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเร่งด่วน ปี 2561 การปรับเปลี่ยนภารกิจสํานักงานประสานงานปราบปรามยาเสพติดชายแดน (BLO) รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร กลไกการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับพื้นที่ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสถานการณ์และยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล ปัญหายาเสพติดถือเป็นวาระสําคัญของชาติ ซึ่งยาเสพติดที่มีการแพร่ระบาดในไทยนั้น ส่วนใหญ่มีที่มาจากแหล่งผลิตนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา ปัจจุบันพบว่าศักยภาพการผลิตในพื้นที่นี้ยังมีสูงอยู่ โดยแผนการดําเนินงานในปี 2561 ได้ยึดหลักแนวทางการดําเนินงานที่ผ่านมา คือ เน้นการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดย ศอ.ปส. ได้มอบหมายให้สํานักงาน ป.ป.ส. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ทบทวนกลไกในการขับเคลื่อนงานของ ศอ.ปส. ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการป้องกันยาเสพติด นําแนวคิดใหม่ในการวางรากฐานตั้งแต่เด็กปฐมวัย และดําเนินการสร้างภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง ด้านการปราบปรามยาเสพติด เครือข่ายการค้าทุกระดับ มุ่งเน้นการปราบปรามเครือข่ายรายสําคัญ การสืบสวนขยายผล เพื่อทําลายโครงสร้างการค้าและวงจรการเงิน ด้านการบําบัดรักษา ยึดแนวคิด “ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย” ภายใต้การสาธารณสุขนํา สู่การเชื่อมโยงตามโครงการคืนคนดีสู่สังคมของกรมราชทัณฑ์ รวมถึงด้านนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศเชิงรุก เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือกับนานาประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่างๆ นอกจากนี้ นโยบายหลักของกระทรวงยุติธรรม จะเน้นไปที่การลงพื้นที่ให้บริการประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันภัยจากยาเสพติด การสร้างชุมชนเข้มแข็ง และการใช้พลังประชารัฐในการลดการแพร่ระบาดของยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ส่งผลให้สามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการอำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ครั้งที่ 1/2561 วันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 กระทรวงยุติธรรม ประชุมคณะกรรมการอํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ครั้งที่ 1/2561 พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ สํานักงาน ป.ป.ส. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการ ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ (ศอ.ปส.) ครั้งที่ 1/2561 โดยมีนายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการ ป.ป.ส. และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม โดยมีสาระสําคัญของการประชุม ดังนี้ - ผลการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ระหว่างปี ‭2555 - 2557‬ และ ปี ‭2558 - 2560‬ ‬‬ - ความคืบหน้าการดําเนินงานของคณะอนุกรรมการ ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1) คณะอนุกรรมการบริหารยุทธศาสตร์การป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด 2) คณะอนุกรรมการบริหารยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาผู้เสพผู้ติดยาเสพติด 3) คณะอนุกรรมการบริหารยุทธศาสตร์การควบคุมตัวยาและผู้ค้ายาเสพติด 4) คณะอนุกรรมการกํากับติดตามผลการดําเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด - ความคืบหน้าการดําเนินงานตามแผนกาฬสินธุ์โมเดล พ้นภัยยาเสพติด 2019 เพื่อลดปัญหายาเสพติด และผลกระทบในหมู่บ้าน/ชุมชนที่มีปัญหายาเสพติดรุนแรง ช่วยเหลือฟื้นฟูบุคคลที่ผ่านการบําบัดและต้องโทษ ให้กลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ รวมถึงลดผลกระทบจากผู้เสพยาเสพติดที่เสี่ยงต่อการก่ออาชญากรรมในสังคม - การสร้างความรับรู้ความเข้าใจเรื่องยาเสพติดให้แก่ประชาชน โดยการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารงานยาเสพติดในรูปแบบต่างๆ ผ่านสื่อมวลชนทุกแขนง รวมถึงการชี้แจงประเด็นข่าวสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน - ผลการปฏิบัติและแนวทางในการปิดล้อมสามเหลี่ยมทองคํา ปี 2561 ภายใต้แผนปฏิบัติการแม่น้ําโขงปลอดภัย 6 ประเทศ ระยะเวลา 3 ปี (‭2559 - 2561‬) โดยการผนึกกําลังร่วมกันของสมาชิก 6 ประเทศ ในการปิดล้อมพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา เพื่อลดศักยภาพการผลิตยาเสพติด และความร่วมมือในการสกัดกั้นไม่ให้ยาเสพติดกระจายออกจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา ‬ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดเร่งด่วน ปี 2561 การปรับเปลี่ยนภารกิจสํานักงานประสานงานปราบปรามยาเสพติดชายแดน (BLO) รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร กลไกการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระดับพื้นที่ เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสถานการณ์และยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล ปัญหายาเสพติดถือเป็นวาระสําคัญของชาติ ซึ่งยาเสพติดที่มีการแพร่ระบาดในไทยนั้น ส่วนใหญ่มีที่มาจากแหล่งผลิตนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา ปัจจุบันพบว่าศักยภาพการผลิตในพื้นที่นี้ยังมีสูงอยู่ โดยแผนการดําเนินงานในปี 2561 ได้ยึดหลักแนวทางการดําเนินงานที่ผ่านมา คือ เน้นการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดย ศอ.ปส. ได้มอบหมายให้สํานักงาน ป.ป.ส. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ทบทวนกลไกในการขับเคลื่อนงานของ ศอ.ปส. ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านการป้องกันยาเสพติด นําแนวคิดใหม่ในการวางรากฐานตั้งแต่เด็กปฐมวัย และดําเนินการสร้างภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง ด้านการปราบปรามยาเสพติด เครือข่ายการค้าทุกระดับ มุ่งเน้นการปราบปรามเครือข่ายรายสําคัญ การสืบสวนขยายผล เพื่อทําลายโครงสร้างการค้าและวงจรการเงิน ด้านการบําบัดรักษา ยึดแนวคิด “ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย” ภายใต้การสาธารณสุขนํา สู่การเชื่อมโยงตามโครงการคืนคนดีสู่สังคมของกรมราชทัณฑ์ รวมถึงด้านนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศเชิงรุก เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือกับนานาประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่างๆ นอกจากนี้ นโยบายหลักของกระทรวงยุติธรรม จะเน้นไปที่การลงพื้นที่ให้บริการประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันภัยจากยาเสพติด การสร้างชุมชนเข้มแข็ง และการใช้พลังประชารัฐในการลดการแพร่ระบาดของยาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ส่งผลให้สามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10051
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“สุริยะ” โชว์ผลงาน “99 วัน อุตสาหกรรมทำแล้ว”ชู 5 ประเด็นหลักสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ทะลวงทุกอุปสรรค สู่ Smart Government พัฒนาเชิงพื้นที่ พร้อมดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ​“สุริยะ” โชว์ผลงาน “99 วัน อุตสาหกรรมทําแล้ว”ชู 5 ประเด็นหลักสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ทะลวงทุกอุปสรรค สู่ Smart Government พัฒนาเชิงพื้นที่ พร้อมดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ ​“สุริยะ” โชว์ผลงาน “99 วัน อุตสาหกรรมทําแล้ว”ชู 5 ประเด็นหลักสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ทะลวงทุกอุปสรรค สู่ Smart Government พัฒนาเชิงพื้นที่ พร้อมดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ กระทรวงอุตสาหกรรม 31 ต.ค.62 : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แถลงผลงาน 3 เดือน “99 วัน อุตสาหกรรมทําได้” โชว์ 5 ประเด็นหลัก สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนจากปัญหาสงครามการค้า (Trade War) ทะลวงอุปสรรคลดขั้นตอนเข้าถึงสินเชื่อของเอสเอ็มอี การปฏิรูปกระทรวงอุตสาหกรรมไปสู่ Smart Government การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ และมาตรการการดูแลประชาชน สอดรับกับนโยบายสําคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล โดยเฉพาะการปฏิรูปและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย สู่ประเทศไทย 4.0 ​นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมทุกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยในช่วง 99 วันที่ผ่านมา ได้ดําเนินการร่วมกับภาคเอกชนโดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม เช่น การส่งเสริม Ease of Doing Business, การส่งเสริม Made in Thailand เป็นต้น และตอบโจทย์ของประชาชนในพื้นที่ เช่น การเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยสามารถจัดกลุ่มผลงานออกมาเป็น 5 เรื่องหลัก ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่สอดรับกับข้อเสนอภาคเอกชน สภาอุตสาหกรรม และประชาชน เริ่มจาก ​​ ​1. การสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยส่งเสริม Made in Thailand โดยบูรณาการร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ อย่างใกล้ชิด โดยได้ดําเนินการใน 2 ประเด็นหลัก คือ (1) การเชิญชวนและดึงดูดนักลงทุน ผู้ประกอบการต่างชาติ ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยที่ผ่านมาได้นําคณะเยือนประเทศเวียดนาม (30 ส.ค.62 – 1 ก.ย.62) เพื่อหารือนโยบายส่งเสริมการลงทุนของเวียดนาม จากนั้นได้นําคณะเยือนประเทศญี่ปุ่น (24 - 28 ก.ย.62) เพื่อเจรจาความร่วมมือด้านการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมระหว่างกัน โดยได้เข้าพบผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น หรือ METI ซึ่งญี่ปุ่นยืนยันความพร้อมของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อเชื่อมโยงการลงทุนไปสู่ภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV นอกจากนี้ ได้เข้าเยี่ยมชมบริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ เพื่อหารือด้านการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์และแลกเปลี่ยนแนวคิดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยมิตซูบิชิมีแผนที่จะขยายการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ PHEV ในไทยภายในปี 2563 ​นอกจากนี้ ผมและท่านรองนายกรัฐมนตรี(นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้เดินทางไปยังประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (21-25 ต.ค. 2562) เพื่อหารือความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม ดิจิทัล นวัตกรรม และการสนับสนุน Start up กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมเชิญชวนให้นักลงทุนจีนและฮ่องกงมาลงทุนหรือขยายการลงทุนในพื้นที่ EEC และพื้นที่การลงทุนเป้าหมายของไทยโดยเฉพาะในช่วงของTrade war นี้ (2) ร่วมกับบีโอไอจัดทํากรอบและแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของการลงทุน เพื่อชักจูงและรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติมายังประเทศไทย ใช้ชื่อโครงการว่า “Thailand Plus Package” เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ อํานวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจแก่นักลงทุน และคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2562 โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดเตรียมและจัดหาที่ดินสําหรับนักลงทุน ซึ่งได้จัดเตรียมพื้นที่รองรับไว้แล้ว ประมาณ 6,466 ไร่ ​2. การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ โดยดําเนินการพัฒนานิคมในพื้นที่ EEC ในโครงการท่าเรืออุตสาหกรรม มาบตาพุดระยะที่ 3 ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักโครงการแรก 1 ใน 5 Mega Project List ในพื้นที่ EEC เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1,000 ไร่ โดยได้ร่วมลงนามในสัญญาร่วมลงทุนระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กับ บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จํากัด มูลค่าโครงการประมาณ 47,900 ล้านบาท โดยหลังจากดําเนินการพัฒนาแล้วเสร็จ จะสามารถรองรับสินค้าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติและสินค้าด้านปิโตรเคมีได้เพิ่มอีกประมาณ 14 ล้านตันต่อปี ​3. การปฏิรูปกระทรวงอุตสาหกรรมไปสู่ Smart Government โดยการนําระบบ i-Industry มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มาติดต่อรับบริการ ในรูปแบบ One Stop Service และเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งกระทรวงฯ เช่น ระบบการขอใบอนุญาต รง.4 ออนไลน์ ระบบการขอใบอนุญาตมาตรฐานผลิตภัณฑ์ออนไลน์ ระบบการชําระค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งผู้ประกอบการสามารถติดตามสถานะของการดําเนินงานได้ด้วยตนเอง โดยเริ่มให้บริการทั่วประเทศตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 มีผู้ประกอบการเข้ามาใช้บริการแล้วกว่า 5,000 ราย นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้พัฒนาระบบE-licenseเพื่ออํานวยความสะดวกโดยผู้ประกอบการสามารถยื่นคําร้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ต้องเดินทางมาที่สถานที่ราชการ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี อาทิ การขอใบอนุญาตตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และใบรับรองตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) รวม 9,350 ฉบับ ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมากว่า 2 เท่าตัว ​4. ทะลวงอุปสรรค ลดขั้นตอนผู้ประกอบการ SMEs และ Start up ในการเข้าถึงสินเชื่อโดยได้ดําเนินโครงการ “สินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน” ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ําเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ 1) กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม ธุรกิจเกษตรแปรรูป (Agro Industry) ประเภทอาหาร และที่ไม่ใช่อาหาร 2) กลุ่มผู้ผลิต หรือออกแบบในธุรกิจอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) และ 3) กลุ่มธุรกิจที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการปรับปรุงกิจการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น (Digital Transformation) ทั้งนี้ ผมได้สั่งการลดขั้นตอนการขอสินเชื่อจากปกติที่ต้องใช้ระยะเวลา 3 เดือน เหลือเพียงไม่ถึง 1 เดือน เท่านั้น โดยสามารถยื่นคําขอสินเชื่อได้ที่อุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2562 ผมตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 3,000 ล้านบาท ให้เสร็จสิ้นในระยะเวลา 3 เดือน ​​5. การดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เล็งเห็นถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในการใช้สินค้าต่างๆ จึงดําเนินการกําหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น จํานวน 244 เรื่อง เพิ่มขึ้นถึง 495 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ซึ่งมีการประกาศมาตรฐาน เพียง 41 เรื่องและผมได้กําชับเจ้าหน้าที่ให้เคร่งครัดการตรวจสอบ ส่งผลให้มีการพักใช้ใบอนุญาตผู้ที่ไม่แจ้งข้อมูลปริมาณการนําเข้าสินค้า จํานวน 3,566 ฉบับ ซึ่งมากเป็นประวัติการณ์ โดยตลอด 50 ปีที่ผ่านมาของ สมอ. มีการพักใบอนุญาตเพียง 50 ฉบับเท่านั้น ​นอกจากนี้จากเหตุการณ์อุทกภัยพายุโพดุล กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ออกมาตรการเร่งด่วน 7 มาตรการ โดยได้ลงพื้นที่ภาคอีสาน 4 จังหวัด ทําทันที ซ่อมสร้าง ฟื้นฟู ช่วยเหลือประชาชนและ ผู้ประกอบการกิจการโรงงานเอสเอ็มอี หรือวิสาหกิจ ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนเครื่องจักรให้กับสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบเป็นเวลา 3 ปี “ผมยังคงเดินหน้า อุตสาหกรรม ทําต่อ ในหลายด้าน อาทิ การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ทางกระทรวงฯ ได้เร่งบังคับใช้มาตรฐานมลพิษจากรถยนต์ที่เทียบเท่า Euro 5 ให้แล้วเสร็จภายในปี 2564 เพื่อลดผลกระทบจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ติดกรงเล็บ SMEs ผ่านโครงการ InnoSpace (Thailand) โดยได้ลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น เดินหน้าสร้าง National Platform สนับสนุน Startup ตลอดวงจรชีวิต และจุดประกายเกษตรอุตสาหกรรมด้วยการยกระดับศักยภาพ SMEs อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ร่วมกับสถาบันอาหารภายใต้ศูนย์ ITC-Mie Thailand Innovation Center” นายสุริยะ กล่าวปิดท้าย #กระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีสุริยะ #99วันอุตสาหกรรมทําแล้ว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“สุริยะ” โชว์ผลงาน “99 วัน อุตสาหกรรมทำแล้ว”ชู 5 ประเด็นหลักสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ทะลวงทุกอุปสรรค สู่ Smart Government พัฒนาเชิงพื้นที่ พร้อมดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ​“สุริยะ” โชว์ผลงาน “99 วัน อุตสาหกรรมทําแล้ว”ชู 5 ประเด็นหลักสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ทะลวงทุกอุปสรรค สู่ Smart Government พัฒนาเชิงพื้นที่ พร้อมดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ ​“สุริยะ” โชว์ผลงาน “99 วัน อุตสาหกรรมทําแล้ว”ชู 5 ประเด็นหลักสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ทะลวงทุกอุปสรรค สู่ Smart Government พัฒนาเชิงพื้นที่ พร้อมดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ กระทรวงอุตสาหกรรม 31 ต.ค.62 : รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แถลงผลงาน 3 เดือน “99 วัน อุตสาหกรรมทําได้” โชว์ 5 ประเด็นหลัก สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนจากปัญหาสงครามการค้า (Trade War) ทะลวงอุปสรรคลดขั้นตอนเข้าถึงสินเชื่อของเอสเอ็มอี การปฏิรูปกระทรวงอุตสาหกรรมไปสู่ Smart Government การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ และมาตรการการดูแลประชาชน สอดรับกับนโยบายสําคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล โดยเฉพาะการปฏิรูปและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย สู่ประเทศไทย 4.0 ​นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมทุกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยในช่วง 99 วันที่ผ่านมา ได้ดําเนินการร่วมกับภาคเอกชนโดยเฉพาะสภาอุตสาหกรรม เช่น การส่งเสริม Ease of Doing Business, การส่งเสริม Made in Thailand เป็นต้น และตอบโจทย์ของประชาชนในพื้นที่ เช่น การเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยสามารถจัดกลุ่มผลงานออกมาเป็น 5 เรื่องหลัก ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่สอดรับกับข้อเสนอภาคเอกชน สภาอุตสาหกรรม และประชาชน เริ่มจาก ​​ ​1. การสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยส่งเสริม Made in Thailand โดยบูรณาการร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ อย่างใกล้ชิด โดยได้ดําเนินการใน 2 ประเด็นหลัก คือ (1) การเชิญชวนและดึงดูดนักลงทุน ผู้ประกอบการต่างชาติ ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยที่ผ่านมาได้นําคณะเยือนประเทศเวียดนาม (30 ส.ค.62 – 1 ก.ย.62) เพื่อหารือนโยบายส่งเสริมการลงทุนของเวียดนาม จากนั้นได้นําคณะเยือนประเทศญี่ปุ่น (24 - 28 ก.ย.62) เพื่อเจรจาความร่วมมือด้านการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมระหว่างกัน โดยได้เข้าพบผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น หรือ METI ซึ่งญี่ปุ่นยืนยันความพร้อมของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อเชื่อมโยงการลงทุนไปสู่ภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV นอกจากนี้ ได้เข้าเยี่ยมชมบริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ เพื่อหารือด้านการพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์และแลกเปลี่ยนแนวคิดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยมิตซูบิชิมีแผนที่จะขยายการลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบ PHEV ในไทยภายในปี 2563 ​นอกจากนี้ ผมและท่านรองนายกรัฐมนตรี(นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้เดินทางไปยังประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (21-25 ต.ค. 2562) เพื่อหารือความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม ดิจิทัล นวัตกรรม และการสนับสนุน Start up กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน พร้อมเชิญชวนให้นักลงทุนจีนและฮ่องกงมาลงทุนหรือขยายการลงทุนในพื้นที่ EEC และพื้นที่การลงทุนเป้าหมายของไทยโดยเฉพาะในช่วงของTrade war นี้ (2) ร่วมกับบีโอไอจัดทํากรอบและแนวทางการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของการลงทุน เพื่อชักจูงและรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติมายังประเทศไทย ใช้ชื่อโครงการว่า “Thailand Plus Package” เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ อํานวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจแก่นักลงทุน และคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2562 โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดเตรียมและจัดหาที่ดินสําหรับนักลงทุน ซึ่งได้จัดเตรียมพื้นที่รองรับไว้แล้ว ประมาณ 6,466 ไร่ ​2. การพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงพื้นที่ โดยดําเนินการพัฒนานิคมในพื้นที่ EEC ในโครงการท่าเรืออุตสาหกรรม มาบตาพุดระยะที่ 3 ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักโครงการแรก 1 ใน 5 Mega Project List ในพื้นที่ EEC เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1,000 ไร่ โดยได้ร่วมลงนามในสัญญาร่วมลงทุนระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กับ บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จํากัด มูลค่าโครงการประมาณ 47,900 ล้านบาท โดยหลังจากดําเนินการพัฒนาแล้วเสร็จ จะสามารถรองรับสินค้าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติและสินค้าด้านปิโตรเคมีได้เพิ่มอีกประมาณ 14 ล้านตันต่อปี ​3. การปฏิรูปกระทรวงอุตสาหกรรมไปสู่ Smart Government โดยการนําระบบ i-Industry มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่มาติดต่อรับบริการ ในรูปแบบ One Stop Service และเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งกระทรวงฯ เช่น ระบบการขอใบอนุญาต รง.4 ออนไลน์ ระบบการขอใบอนุญาตมาตรฐานผลิตภัณฑ์ออนไลน์ ระบบการชําระค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งผู้ประกอบการสามารถติดตามสถานะของการดําเนินงานได้ด้วยตนเอง โดยเริ่มให้บริการทั่วประเทศตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 มีผู้ประกอบการเข้ามาใช้บริการแล้วกว่า 5,000 ราย นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้พัฒนาระบบE-licenseเพื่ออํานวยความสะดวกโดยผู้ประกอบการสามารถยื่นคําร้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ต้องเดินทางมาที่สถานที่ราชการ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี อาทิ การขอใบอนุญาตตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และใบรับรองตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) รวม 9,350 ฉบับ ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมากว่า 2 เท่าตัว ​4. ทะลวงอุปสรรค ลดขั้นตอนผู้ประกอบการ SMEs และ Start up ในการเข้าถึงสินเชื่อโดยได้ดําเนินโครงการ “สินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน” ภายใต้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ วงเงิน 3,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่ําเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 3 ล้านบาทต่อราย ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 7 ปี โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ 1) กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรม ธุรกิจเกษตรแปรรูป (Agro Industry) ประเภทอาหาร และที่ไม่ใช่อาหาร 2) กลุ่มผู้ผลิต หรือออกแบบในธุรกิจอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) และ 3) กลุ่มธุรกิจที่จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการปรับปรุงกิจการให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น (Digital Transformation) ทั้งนี้ ผมได้สั่งการลดขั้นตอนการขอสินเชื่อจากปกติที่ต้องใช้ระยะเวลา 3 เดือน เหลือเพียงไม่ถึง 1 เดือน เท่านั้น โดยสามารถยื่นคําขอสินเชื่อได้ที่อุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน 2562 ผมตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 3,000 ล้านบาท ให้เสร็จสิ้นในระยะเวลา 3 เดือน ​​5. การดูแลประชาชนและผู้ประกอบการ กระทรวงอุตสาหกรรมได้เล็งเห็นถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในการใช้สินค้าต่างๆ จึงดําเนินการกําหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น จํานวน 244 เรื่อง เพิ่มขึ้นถึง 495 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ซึ่งมีการประกาศมาตรฐาน เพียง 41 เรื่องและผมได้กําชับเจ้าหน้าที่ให้เคร่งครัดการตรวจสอบ ส่งผลให้มีการพักใช้ใบอนุญาตผู้ที่ไม่แจ้งข้อมูลปริมาณการนําเข้าสินค้า จํานวน 3,566 ฉบับ ซึ่งมากเป็นประวัติการณ์ โดยตลอด 50 ปีที่ผ่านมาของ สมอ. มีการพักใบอนุญาตเพียง 50 ฉบับเท่านั้น ​นอกจากนี้จากเหตุการณ์อุทกภัยพายุโพดุล กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ออกมาตรการเร่งด่วน 7 มาตรการ โดยได้ลงพื้นที่ภาคอีสาน 4 จังหวัด ทําทันที ซ่อมสร้าง ฟื้นฟู ช่วยเหลือประชาชนและ ผู้ประกอบการกิจการโรงงานเอสเอ็มอี หรือวิสาหกิจ ยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปี และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนเครื่องจักรให้กับสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบเป็นเวลา 3 ปี “ผมยังคงเดินหน้า อุตสาหกรรม ทําต่อ ในหลายด้าน อาทิ การแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ทางกระทรวงฯ ได้เร่งบังคับใช้มาตรฐานมลพิษจากรถยนต์ที่เทียบเท่า Euro 5 ให้แล้วเสร็จภายในปี 2564 เพื่อลดผลกระทบจากอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ติดกรงเล็บ SMEs ผ่านโครงการ InnoSpace (Thailand) โดยได้ลงนามความร่วมมือกับพันธมิตรด้านการลงทุนในการส่งเสริมและพัฒนานวัตกรรม ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจเริ่มต้น เดินหน้าสร้าง National Platform สนับสนุน Startup ตลอดวงจรชีวิต และจุดประกายเกษตรอุตสาหกรรมด้วยการยกระดับศักยภาพ SMEs อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ร่วมกับสถาบันอาหารภายใต้ศูนย์ ITC-Mie Thailand Innovation Center” นายสุริยะ กล่าวปิดท้าย #กระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม #รัฐมนตรีสุริยะ #99วันอุตสาหกรรมทําแล้ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24243
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ หนุนการท่องเที่ยวชุมชน
วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561 ธ.ก.ส.ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ หนุนการท่องเที่ยวชุมชน ธ.ก.ส. ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดกิจกรรมแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณในวันเสาร์ที่ 10 ก.พ.นี้ ธ.ก.ส. ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดกิจกรรมแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณในวันเสาร์ที่ 10 ก.พ.นี้ เพื่อจุดประกายการท่องเที่ยวชุมชนที่มีความงดงามทางธรรมชาติ เส้นทางที่สะดวกปลอดภัย และไฮไลต์สําคัญคือการเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงในโครงการเกษตรอทิตยาทรที่ทรงคุณค่า ให้กับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และนิยมการออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส.ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ โดยสนับสนุนจากนายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์และชมรมจักรยานจังหวัดสุรินทร์ จัดกิจกรรมแข่งขันจักรยาน“รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ พร้อมเงินรางวัล ในวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561ณ โครงการซแรย์อทิตยาโดยใช้เส้นทางอําเภอเมืองสุรินทร์ และอําเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ แบ่งเป็น4 ประเภทการแข่งขัน ได้แก่ประเภทเสือหมอบ ประเภทเสือภูเขา ประเภทท่องเที่ยวใจเกินร้อย และประเภท VIPโดยมุ่งหวังที่จะส่งเสริมการออกกําลังกาย และจุดประกายการท่องเที่ยวชุมชนที่มีศักยภาพให้กับผู้ที่สนใจ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ทางด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันในระหว่างเส้นทาง อาทิ การศึกษาดูงานโครงการเกษตรอทิตยาทร กิจกรรมแวะชิมอาหารในชุมชน กิจกรรมการมอบพันธุ์ปลา พันธุ์ผักสวนครัว มอบจักรยาน การปลูกต้นไม้ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันได้ที่เว็ปไซต์www.Thaimtb.comและ ธ.ก.ส.ทุกสาขาในจังหวัดสุรินทร์ ทั้งนี้ ศูนย์เรียนรู้“ซแรย์อทิตยา” นอกจากเป็นสถานที่ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้กับเกษตรกร นักเรียน นักศึกษารวมถึงประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของคนในชุมชนแล้วพื้นที่โดยรอบยังมีทัศนียภาพทางธรรมชาติที่งดงาม เช่น อ่างเก็บน้ําอําปึล อ่างเก็บน้ําห้วยสเนงศาสนสถาน ร้านค้าชุมชน ร้านอาหารมีองค์ประกอบในด้านวิถีการดําเนินชีวิต การประกอบอาชีพของคนในชุมชนที่เป็นเอกลักษณ์มีเส้นทางการสัญจรที่สะดวก ปลอดภัย จึงเหมาะกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการแนะนําจุดท่องเที่ยวและเส้นทาง Bike Route แห่งใหม่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์ ตามแผนพัฒนาชุมชนต้นแบบท่องเที่ยวของ ธ.ก.ส.ที่วางเป้าวางเป้าหมายไว้เบื้องต้น 16 ชุมชน และเพิ่มเป็น 35 ชุมชนในปี 2561 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพเสริม เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชนลดปัญหาการย้ายถิ่นฐาน การปลุกจิตสํานึกให้ชาวบ้านเกิดความรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนประเพณีและวัฒนธรรม อันนําไปสู่การสร้างชุมชนอุดมสุข นายอภิรมย์กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ หนุนการท่องเที่ยวชุมชน วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561 ธ.ก.ส.ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ หนุนการท่องเที่ยวชุมชน ธ.ก.ส. ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดกิจกรรมแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณในวันเสาร์ที่ 10 ก.พ.นี้ ธ.ก.ส. ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ จัดกิจกรรมแข่งขันจักรยาน “รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณในวันเสาร์ที่ 10 ก.พ.นี้ เพื่อจุดประกายการท่องเที่ยวชุมชนที่มีความงดงามทางธรรมชาติ เส้นทางที่สะดวกปลอดภัย และไฮไลต์สําคัญคือการเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงในโครงการเกษตรอทิตยาทรที่ทรงคุณค่า ให้กับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และนิยมการออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส.ร่วมกับจังหวัดสุรินทร์ โดยสนับสนุนจากนายอรรถพร สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์และชมรมจักรยานจังหวัดสุรินทร์ จัดกิจกรรมแข่งขันจักรยาน“รวมใจภักดิ์ รักษ์ ซแรย์อทิตยา” ชิงถ้วยประทานพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ พร้อมเงินรางวัล ในวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2561ณ โครงการซแรย์อทิตยาโดยใช้เส้นทางอําเภอเมืองสุรินทร์ และอําเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ แบ่งเป็น4 ประเภทการแข่งขัน ได้แก่ประเภทเสือหมอบ ประเภทเสือภูเขา ประเภทท่องเที่ยวใจเกินร้อย และประเภท VIPโดยมุ่งหวังที่จะส่งเสริมการออกกําลังกาย และจุดประกายการท่องเที่ยวชุมชนที่มีศักยภาพให้กับผู้ที่สนใจ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ทางด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้กับผู้เข้าร่วมการแข่งขันในระหว่างเส้นทาง อาทิ การศึกษาดูงานโครงการเกษตรอทิตยาทร กิจกรรมแวะชิมอาหารในชุมชน กิจกรรมการมอบพันธุ์ปลา พันธุ์ผักสวนครัว มอบจักรยาน การปลูกต้นไม้ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันได้ที่เว็ปไซต์www.Thaimtb.comและ ธ.ก.ส.ทุกสาขาในจังหวัดสุรินทร์ ทั้งนี้ ศูนย์เรียนรู้“ซแรย์อทิตยา” นอกจากเป็นสถานที่ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ให้กับเกษตรกร นักเรียน นักศึกษารวมถึงประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจของคนในชุมชนแล้วพื้นที่โดยรอบยังมีทัศนียภาพทางธรรมชาติที่งดงาม เช่น อ่างเก็บน้ําอําปึล อ่างเก็บน้ําห้วยสเนงศาสนสถาน ร้านค้าชุมชน ร้านอาหารมีองค์ประกอบในด้านวิถีการดําเนินชีวิต การประกอบอาชีพของคนในชุมชนที่เป็นเอกลักษณ์มีเส้นทางการสัญจรที่สะดวก ปลอดภัย จึงเหมาะกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการแนะนําจุดท่องเที่ยวและเส้นทาง Bike Route แห่งใหม่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสุรินทร์ ตามแผนพัฒนาชุมชนต้นแบบท่องเที่ยวของ ธ.ก.ส.ที่วางเป้าวางเป้าหมายไว้เบื้องต้น 16 ชุมชน และเพิ่มเป็น 35 ชุมชนในปี 2561 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพเสริม เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชนลดปัญหาการย้ายถิ่นฐาน การปลุกจิตสํานึกให้ชาวบ้านเกิดความรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนประเพณีและวัฒนธรรม อันนําไปสู่การสร้างชุมชนอุดมสุข นายอภิรมย์กล่าว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9821
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิญชวนผู้ประกอบการจดทะเบียนบริษัท
วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561 เชิญชวนผู้ประกอบการจดทะเบียนบริษัท แบบบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วน และคณะบุคคล ให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือบริษัท โดยผู้ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 61 จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม ร เชิญชวนผู้ประกอบการจดทะเบียนบริษัท ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเชิญชวนผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจแบบบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วน และคณะบุคคล ให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือบริษัท โดยผู้ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 61 จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งยังสามารถนําค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียน ค่าทําบัญชี และค่าสอบบัญชี ไปหักภาษีได้อีก 2 เท่าของรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง เป็นเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ทั้งนี้ ธุรกิจ SMEs และ Startup ถือเป็นรากฐานสําคัญทางเศรษฐกิจ เมื่ออยู่ในระบบแล้วจะได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนของรัฐบาลโดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น มาตรการช้อปช่วยชาติ หรือการลดหย่อนภาษีจากการท่องเที่ยว เป็นต้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เชิญชวนผู้ประกอบการจดทะเบียนบริษัท วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2561 เชิญชวนผู้ประกอบการจดทะเบียนบริษัท แบบบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วน และคณะบุคคล ให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือบริษัท โดยผู้ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 61 จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม ร เชิญชวนผู้ประกอบการจดทะเบียนบริษัท ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเชิญชวนผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจแบบบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วน และคณะบุคคล ให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลหรือบริษัท โดยผู้ที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 61 จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งยังสามารถนําค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียน ค่าทําบัญชี และค่าสอบบัญชี ไปหักภาษีได้อีก 2 เท่าของรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง เป็นเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ทั้งนี้ ธุรกิจ SMEs และ Startup ถือเป็นรากฐานสําคัญทางเศรษฐกิจ เมื่ออยู่ในระบบแล้วจะได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนของรัฐบาลโดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น มาตรการช้อปช่วยชาติ หรือการลดหย่อนภาษีจากการท่องเที่ยว เป็นต้น ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12332
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สหราชอาณาจักรยินดีที่จะกระชับความสัมพันธ์กับไทยในทุกระดับ
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 สหราชอาณาจักรยินดีที่จะกระชับความสัมพันธ์กับไทยในทุกระดับ สหราชอาณาจักรยินดีที่จะกระชับความสัมพันธ์กับไทยในทุกระดับ วันนี้ (วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 11.00 น. นายบอริส จอห์นสัน (The Right Honourable Boris Johnson MP) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมการหารือด้วย ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรที่เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ สหราชอาณาจักรที่ความสัมพันธ์กันอย่างยาวนานกว่า 400 ปี จนเป็นความผูกพันในทุกระดับ และ เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายต้องมองไปข้างหน้าด้วยกัน โดยขอให้มุ่งกระชับความสัมพันธ์ต่อกัน สร้างมิตรภาพที่ดีต่อกันบนพื้นฐานและผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรได้ขอบคุณนายกรัฐมนตรีสําหรับการต้อนรับที่อบอุ่นและยินดีที่ได้มีโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันที่จะส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้ นักลงทุนชาวอังกฤษพิจารณามาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) และหวังว่า สหราชอาณาจักรจะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการค้าการลงทุนผ่านไปยังประเทศ CLMV และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้หยิบยกนโยบาย Global Britain ของสหราชอาณาจักรที่เน้นการค้าเสรี เปิดโอกาสให้สหราชอาณาจักรมีการค้ากับประเทศ ต่าง ๆ ทั้งในและนอกยุโรปมากยิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาสดีที่ไทยและสหราชอาณาจักรจะกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุนระหว่างกัน นอกจากนี้ ยังเห็นว่าสภาผู้นําธุรกิจไทย-สหราชอาณาจักรเป็นโครงสร้างที่ดีที่จะสามารถส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันต่อไป ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรได้ยืนยันที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านต่างๆ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย โดยประเทศไทยมีนโยบายที่ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน อาทิ ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมอากาศยาน ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความร่วมมือด้านการศึกษา และการท่องเที่ยว โดยนายกรัฐมนตรีขอให้รัฐบาลอังกฤษช่วยดูแลนักเรียนไทยที่ศึกษาที่อังกฤษจํานวนกว่าหนึ่งหมื่นคนและกิจการร้านอาหารไทยในสหราชอาณาจักร ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่ายินดีต้อนรับนักเรียนไทยที่มีความสามารถและภูมิใจที่นักเรียนไทยเลือกเดินทางไปศึกษาที่สหราชอาณาจักร และนักเรียนไทยเป็นส่วนสําคัญของสังคมด้านวิชาการของสหราชอาณาจักร และรับที่จะไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปทํางานที่สหราชอาณาจักรของพ่อครัวแม่ครัวไทย ซึ่งในระหว่างการหารือครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้หยิบยกประเด็นที่ต้องการให้มีความร่วมมือระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร ได้แก่ ความร่วมมือด้าน Cyber Security ความร่วมมือด้าน E-Government ความร่วมมือด้าน Start up และความร่วมมือด้าน Data protection ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร เห็นว่าเป็นประเด็นที่มีความสําคัญ และตนจะแจ้งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดตั้งคณะทํางานร่วมกับไทยเพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านนี้ต่อไป เพราะจะเป็นพื้นฐานสําคัญสําหรับการพัฒนาการค้าการลงทุนระหว่างกันในอนาคตในยุค digital economy ต่อไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรชื่นชมไทยที่ได้รับการปรับสถานะเป็นประเทศที่น่าลงทุนอันดับที่ 26 (Ease of Doing Business) เชื่อมั่นในพัฒนาการทางประชาธิปไตยของไทย และสนับสนุนกระบวนการไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่ยั่งยืนของไทยตาม roadmap ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณสหราชอาณาจักรที่มีส่วนผลักดันให้มีการปรับข้อมติสหภาพยุโรปที่มีต่อไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรเชิญชวนฝ่ายไทยให้ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุม London Conference on the Illegal Wildlife Trade 2018 ในช่วงเดือนตุลาคม 2561 นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมในความเป็นผู้นําของสหราชอาณาจักรในด้านนี้ และพร้อมที่จะสนับสนุนความริเริ่มดังกล่าว และจะมอบหมายรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว และนอกเหนือจากการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย รัฐบาลไทย ให้ความสําคัญการแก้ไขปัญหาระดับโลกด้านอื่นๆ อาทิ การค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ IUU การค้ามนุษย์ ซึ่งจะเห็นผลที่ดีขึ้นต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สหราชอาณาจักรยินดีที่จะกระชับความสัมพันธ์กับไทยในทุกระดับ วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 สหราชอาณาจักรยินดีที่จะกระชับความสัมพันธ์กับไทยในทุกระดับ สหราชอาณาจักรยินดีที่จะกระชับความสัมพันธ์กับไทยในทุกระดับ วันนี้ (วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 11.00 น. นายบอริส จอห์นสัน (The Right Honourable Boris Johnson MP) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมการหารือด้วย ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรที่เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับ สหราชอาณาจักรที่ความสัมพันธ์กันอย่างยาวนานกว่า 400 ปี จนเป็นความผูกพันในทุกระดับ และ เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายต้องมองไปข้างหน้าด้วยกัน โดยขอให้มุ่งกระชับความสัมพันธ์ต่อกัน สร้างมิตรภาพที่ดีต่อกันบนพื้นฐานและผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรได้ขอบคุณนายกรัฐมนตรีสําหรับการต้อนรับที่อบอุ่นและยินดีที่ได้มีโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันที่จะส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยนายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้ นักลงทุนชาวอังกฤษพิจารณามาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) และหวังว่า สหราชอาณาจักรจะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการค้าการลงทุนผ่านไปยังประเทศ CLMV และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก็ได้หยิบยกนโยบาย Global Britain ของสหราชอาณาจักรที่เน้นการค้าเสรี เปิดโอกาสให้สหราชอาณาจักรมีการค้ากับประเทศ ต่าง ๆ ทั้งในและนอกยุโรปมากยิ่งขึ้น จึงเป็นโอกาสดีที่ไทยและสหราชอาณาจักรจะกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุนระหว่างกัน นอกจากนี้ ยังเห็นว่าสภาผู้นําธุรกิจไทย-สหราชอาณาจักรเป็นโครงสร้างที่ดีที่จะสามารถส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันต่อไป ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรได้ยืนยันที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันในด้านต่างๆ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย โดยประเทศไทยมีนโยบายที่ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน อาทิ ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมอากาศยาน ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความร่วมมือด้านการศึกษา และการท่องเที่ยว โดยนายกรัฐมนตรีขอให้รัฐบาลอังกฤษช่วยดูแลนักเรียนไทยที่ศึกษาที่อังกฤษจํานวนกว่าหนึ่งหมื่นคนและกิจการร้านอาหารไทยในสหราชอาณาจักร ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่ายินดีต้อนรับนักเรียนไทยที่มีความสามารถและภูมิใจที่นักเรียนไทยเลือกเดินทางไปศึกษาที่สหราชอาณาจักร และนักเรียนไทยเป็นส่วนสําคัญของสังคมด้านวิชาการของสหราชอาณาจักร และรับที่จะไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปทํางานที่สหราชอาณาจักรของพ่อครัวแม่ครัวไทย ซึ่งในระหว่างการหารือครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้หยิบยกประเด็นที่ต้องการให้มีความร่วมมือระหว่างไทยและสหราชอาณาจักร ได้แก่ ความร่วมมือด้าน Cyber Security ความร่วมมือด้าน E-Government ความร่วมมือด้าน Start up และความร่วมมือด้าน Data protection ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร เห็นว่าเป็นประเด็นที่มีความสําคัญ และตนจะแจ้งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดตั้งคณะทํางานร่วมกับไทยเพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านนี้ต่อไป เพราะจะเป็นพื้นฐานสําคัญสําหรับการพัฒนาการค้าการลงทุนระหว่างกันในอนาคตในยุค digital economy ต่อไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรชื่นชมไทยที่ได้รับการปรับสถานะเป็นประเทศที่น่าลงทุนอันดับที่ 26 (Ease of Doing Business) เชื่อมั่นในพัฒนาการทางประชาธิปไตยของไทย และสนับสนุนกระบวนการไปสู่การเป็นประชาธิปไตยที่ยั่งยืนของไทยตาม roadmap ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณสหราชอาณาจักรที่มีส่วนผลักดันให้มีการปรับข้อมติสหภาพยุโรปที่มีต่อไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรเชิญชวนฝ่ายไทยให้ส่งผู้แทนเข้าร่วมการประชุม London Conference on the Illegal Wildlife Trade 2018 ในช่วงเดือนตุลาคม 2561 นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมในความเป็นผู้นําของสหราชอาณาจักรในด้านนี้ และพร้อมที่จะสนับสนุนความริเริ่มดังกล่าว และจะมอบหมายรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว และนอกเหนือจากการค้าสัตว์ป่าและพืชป่าผิดกฎหมาย รัฐบาลไทย ให้ความสําคัญการแก้ไขปัญหาระดับโลกด้านอื่นๆ อาทิ การค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ IUU การค้ามนุษย์ ซึ่งจะเห็นผลที่ดีขึ้นต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10027
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุม ก.ค.ศ. 11/2559
วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2559 ผลการประชุม ก.ค.ศ. 11/2559 นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 11/2559 ● เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2)ตําแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน กรณีที่มีความจําเป็น หรือมีเหตุพิเศษ สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)โดยสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เป็นผู้ดําเนินการคัดเลือก กําหนดสัดส่วนจํานวนตําแหน่งว่างเพื่อใช้ในการคัดเลือก ร้อยละ 60 และการสอบแข่งขัน ร้อยละ 40 ตําแหน่งที่ใช้คัดเลือกต้องเป็นตําแหน่งว่างที่มีอัตราเงินเดือนในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือในสถานศึกษา ที่อยู่ในสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดนั้น ๆ ทั้งนี้ ตําแหน่งว่างดังกล่าวต้องเป็นตําแหน่งตามกรอบอัตรากําลังที่ ก.ค.ศ. กําหนด ผู้มีสิทธิ์สมัครต้องมีคุณสมบัติดังนี้ - เป็นพนักงานราชการ ลูกจ้างประจํา หรือลูกจ้างชั่วคราวจากเงินงบประมาณ หรือเงินรายได้ของหน่วยงานการศึกษา ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับลักษณะงานของตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) ในหน่วยงานการศึกษา สังกัด สพฐ. ตามคําสั่งหรือสัญญาจ้างหรือเอกสารอื่นที่ทางราชการออกให้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 4 ปี นับถึงวันรับสมัครคัดเลือกวันสุดท้าย ซึ่งเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันหรือไม่ก็ได้ - มีคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งตรงตามมาตรฐานตําแหน่งข้าราชครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) - มีประสบการณ์ในตําแหน่งที่สมัครเข้ารับการคัดเลือกไม่น้อยกว่า 4 ปี - มีสิทธิ์สมัครเข้ารับการคัดเลือกได้เพียงตําแหน่งเดียว และจังหวัดเดียว หากปรากฏว่าผู้สมัครคัดเลือกสมัครเกินกว่า1ตําแหน่ง หรือเกินกว่า1จังหวัด จะถูกตัดสิทธิ์การคัดเลือกทั้งหมด ให้สพฐ. เป็นผู้กําหนดวัน เวลา ที่คัดเลือกโดยให้ดําเนินการคัดเลือกพร้อมกัน กําหนดให้ทดสอบ 3 ภาคคือ ภาค ก ความรู้ความสามารถทั่วไป ภาค ข ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตําแหน่ง และภาค ค ความเหมาะสมกับตําแหน่ง โดยให้สอบภาค ก และภาค ข ก่อน แล้วจึงให้ผู้ที่ได้คะแนนผ่านเกณฑ์เข้ารับการประเมิน ภาค ค ผู้ผ่านการคัดเลือกต้องได้คะแนนแต่ละภาคไม่ต่ํากว่าร้อยละ 60 ให้บรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดํารงตําแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ตามจํานวนตําแหน่งว่างที่ประกาศรับสมัครโดยไม่มีการขึ้นบัญชี กรณีมีผู้ผ่านการคัดเลือกไม่ครบตามตําแหน่งที่ประกาศให้บรรจุเท่าที่คัดเลือกได้ ผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งจะต้องปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานการศึกษา ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี จึงจะมีสิทธิ์ขอย้าย หรือขอโอน กรณีตรวจสอบภายหลังพบว่าผู้ ได้รับการคัดเลือกรายใดเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามที่ ก.ค.ศ. กําหนดหากได้รับการบรรจุและแต่งตั้งแล้ว จะถูกเพิกถอนคําสั่งบรรจุและแต่งตั้งทันที ●เห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งรองผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร และผู้อํานวยการสํานักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานครโดยสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ให้ อ.ก.ค.ศ. สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ดําเนินการคัดเลือกโดยกําหนดวัน เวลาในการดําเนินการคัดเลือก และจํานวนตําแหน่งว่างเพื่อใช้ในการบรรจุและแต่งตั้งครั้งแรก ให้ อ.ก.ค.ศ. สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศรับสมัครคัดเลือกไม่น้อยกว่า 7 วันก่อนวันรับสมัคร ให้สํานักงาน กศน. รับสมัครคัดเลือกไม่น้อยกว่า 7 วันทําการโดยยื่นสมัครตามแบบหรือวิธีการที่ อ.ก.ค.ศ. สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการกําหนด ผู้มีสิทธิ์สมัครเข้ารับการคัดเลือก ตําแหน่งรองผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร - เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัด สํานักงาน กศน. - มีวุฒิไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือทางอื่นที่ ก.ค.ศ. กําหนด เป็นคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งรองผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร - ดํารงตําแหน่งอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ ดํารงตําแหน่งรองผู้อํานวยการสถานศึกษา ที่มีวิทยฐานะไม่ต่ํากว่ารองผู้อํานวยการชํานาญการพิเศษ หรือ ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสถานศึกษา ที่มีวิทยฐานะไม่ต่ํากว่าผู้อํานวยการชํานาญการพิเศษ หรือ ดํารงตําแหน่งศึกษานิเทศก์ ที่มีวิทยฐานะไม่ต่ํากว่าศึกษานิเทศก์เชียวชาญ หรือ ดํารงตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นที่มีประสบการณ์การบริหารไม่ต่ําว่าหัวหน้ากลุ่มหรือผู้อํานวยการกลุ่ม มาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี และรับเงินเดือนไม่ต่ํากว่าอันดับ คศ.3 หรือไม่ต่ํากว่าระดับชํานาญการพิเศษ - มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา - ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ผู้มีสิทธิ์สมัครเข้ารับการคัดเลือก ตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร - เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัด สํานักงาน กศน. - มีวุฒิไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือทางอื่นที่ ก.ค.ศ. กําหนด เป็นคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งรองผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร - ดํารงตําแหน่งรองผู้อํานวยการสํานักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร มาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี และรับเงินเดือนไม่ต่ํากว่าขั้นต่ําของอันดับ คศ.4 หรือดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสถานศึกษา ที่มีวิทยฐานะไม่ต่ํากว่าวิทยฐานะผู้อํานวยการเชี่ยวชาญ - มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา - ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ดําเนินการคัดเลือกโดยการประเมิน 2 ภาคคือ ภาค ก ความรู้ความสามารถทั่วไป และภาค ข ความเหมาะสมกับตําแหน่ง ผู้ผ่านการคัดเลือกต้องได้คะแนนภาค ก และภาค ข แต่ละภาคไม่ต่ํากว่าร้อยละ60โดยเรียงลําดับจากผู้ที่ได้คะแนนรวม สูงสุดจากมากไปหาน้อย บัญชีผู้ได้รับการคัดเลือกให้มีอายุบัญชีไม่เกิน 1 ปี ในกรณีผู้ได้รับการคัดเลือกรายใดถึงลําดับที่ที่จะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งแล้ว แต่ปรากฏว่าผู้ได้รับการคัดเลือกรายนั้นไม่มารายงานตัวเพื่อรับการบรรจุและแต่งตั้ง ตามวัน เวลา และสถานที่ที่กําหนด หรือไม่สมัครใจที่จะได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง หรือมารายงานตัวแต่ไม่เลือกหน่วยงานการศึกษาที่จะบรรจุและแต่งตั้ง หรือแจ้งสละสิทธิ์การบรรจุและแต่งตั้ง กรณีใดกรณีหนึ่ง ให้เรียกตัวผู้ที่อยู่ในลําดับถัดไปมารายงานตัวเพื่อรับการบรรจุและแต่งตั้งแทน ●เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือน ในกรณีที่ได้รับคุณวุฒิเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้นตามคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรองโดยสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ต้องเป็นคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรองและกําหนดเป็นคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้นั้น ต้องได้รับคุณวุฒิเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้นภายหลังวันที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นต้องเป็นไปตามระเบียบของทางราชการ คุณวุฒิที่ได้รับเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้นต้องเป็นคุณวุฒิในสาขาวิชาเดียวกันกับคุณวุฒิระดับปริญญาตรี และหรือระดับปริญญาโทที่ใช้ในการบรรจุและแต่งตั้ง หรือเป็นคุณวุฒิที่ตรงกับสาขา หรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ผู้นั้นได้ทําการสอน หรือเคยทําการสอน เป็นคุณวุฒิที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน หรือส่งเสริมการเรียนรู้ตามที่ส่วนราชการต้นสังกัดกําหนดโดยความเห็นขอบของ ก.ค.ศ. ให้มีผลบังคับใช้กับผู้ที่จะเข้าศึกษาต่อภายหลังจากหลักเกณฑ์และวิธีการนี้ประกาศใช้โดยไม่มีผลกระทบกับผู้ที่ได้เข้ารับการศึกษาและได้รับอนุมัติปริญญาก่อนวันประกาศใช้หลักเกณฑ์และวิธีการนี้ ●เห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรฐานวิทยฐานะ ด้านคุณสมบัติเฉพาะสําหรับวิทยฐานะครูชํานาญการ และคุณสมบัติในการขอมีวิทยฐานะครูชํานาญการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการฯว17/2552และว10/2554ได้แก่ คุณสมบัติในการขอมีวิทยฐานะครูชํานาญการ ตามหลักเกณฑ์ ว17/2552 - ดํารงตําแหน่งครูมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 ปี สําหรับผู้มีวุฒิปริญญาตรี 4 ปีสําหรับผู้มีวุฒิปริญญาโท และ 2 ปีสําหรับผู้มีวุฒิปริญญาเอก หรือดํารงตําแหน่งอื่นที่ ก.ค.ศ. เทียบเท่า และผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กําหนด - ทั้งนี้ วุฒิดังกล่าวต้องเป็นวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรอง และเป็นวุฒิในสาขาวิชาเดียวกับวุฒิระดับปริญญาตรีและหรือปริญญาโทที่สําเร็จการศึกษามาแล้ว หรือเป็นวุฒิที่ตรงกับสาขาวิชา/กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ผู้ขอได้ทําการสอน หรือส่งเสริมการเรียนรู้ตามที่ส่วนราชการต้นสังกัดกําหนด โดยความเห็นชอบของ ก.ค.ศ. คุณสมบัติในการขอมีวิทยฐานะครูชํานาญการ ตามหลักเกณฑ์ ว10/2554 -ดํารงตําแหน่งครูมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี สําหรับผู้มีวุฒิปริญญาตรี2 ปีสําหรับผู้มีวุฒิปริญญาโท และ 1 ปีสําหรับผู้มีวุฒิปริญญาเอก หรือดํารงตําแหน่งอื่นที่ ก.ค.ศ. เทียบเท่า และผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กําหนด - ทั้งนี้ วุฒิดังกล่าวต้องเป็นวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรอง และเป็นวุฒิในสาขาวิชาเดียวกับวุฒิระดับปริญญาตรีและหรือปริญญาโทที่สําเร็จการศึกษามาแล้ว หรือเป็นวุฒิที่ตรงกับสาขาวิชา/กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ผู้ขอได้ทําการสอน หรือส่งเสริมการเรียนรู้ตามที่ส่วนราชการต้นสังกัดกําหนด โดยความเห็นชอบของ ก.ค.ศ. ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือน ในกรณีที่ได้รับคุณวุฒิเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้น ●อนุมัติจัดสรรคืนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพิ่มเติม เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2557เพิ่มเติม 1 อัตรา เป็นตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 สังกัด สพฐ. เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2558เพิ่มเติม 3 อัตรา เป็นตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร 1 อัตรา และสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 จํานวน 1 อัตรา และตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค.(2) สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 จํานวน 1 อัตรา โดยให้จัดสรรในหน่วยงานการศึกษาที่มีกรอบอัตรากําลังไม่เกินกรอบอัตรากําลังหรือเกณฑ์มาตรฐานอัตรากําลังที่ ก.ค.ศ. กําหนด และเป็นไปตามเงื่อนไขที่ คปร.กําหนด โดยเคร่งครัด และให้นําเสนอ ก.ค.ศ. เพื่อพิจารณาต่อไป ●เห็นชอบให้มีการปรับหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในประเด็นหลักเกณฑ์การย้ายกรณีปกติ ในส่วนของคุณสมบัติของผู้ยื่นคําร้องขอย้ายกล่าวคือ ต้องดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสถานศึกษา หรือรองผู้อํานวยการสถานศึกษาและได้ปฏิบัติงานในตําแหน่งดังกล่าวในสถานศึกษาปัจจุบันติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 24 เดือน นับถึงวันที่ 30 กันยายน ของปีที่ยื่นคําร้องขอย้าย เพื่อให้มีระยะเวลาในการพัฒนาสถานศึกษาให้เห็นผลเป็นที่ประจักษ์ ไม่อยู่ในระหว่างลาศึกษาต่อเต็มเวลา กรณีการย้ายสับเปลี่ยนนอกจากมีคุณสมบัติตาม ข้อ 1 แล้ว ในวันที่ยื่นขอย้ายต้องเป็นผู้ที่มีอายุราชการเหลือไม่น้อยกว่า 1 ปี 6 เดือน นับถึงวันที่ 30 กันยายน ของปีที่ครบเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ คุณสมบัติของผู้ยื่นคําร้องขอย้ายที่ปรับปรุงใหม่นี้ ให้มีผลใช้บังคับสําหรับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่จะยื่นคําร้องขอย้าย ประจําปี พ.ศ.2560 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้นําหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของตําแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้ง ตามหนังสือสํานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร 0505/ว347 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2559 มาใช้บังคับกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) โดยอนุโลม ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 และได้อนุมัติตั้งนายไพบูลย์ อินทร์งาม ตําแหน่งนักวิชาการการเงินและบัญชี ระดับชํานาญการพิเศษ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 เป็นกรรมการผู้แทนบุคลากรทางการศึกษาอื่น ใน ก.ค.ศ. สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา แทนนายชาญ คําภิระแปง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุม ก.ค.ศ. 11/2559 วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน 2559 ผลการประชุม ก.ค.ศ. 11/2559 นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 11/2559 ● เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2)ตําแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน กรณีที่มีความจําเป็น หรือมีเหตุพิเศษ สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)โดยสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เป็นผู้ดําเนินการคัดเลือก กําหนดสัดส่วนจํานวนตําแหน่งว่างเพื่อใช้ในการคัดเลือก ร้อยละ 60 และการสอบแข่งขัน ร้อยละ 40 ตําแหน่งที่ใช้คัดเลือกต้องเป็นตําแหน่งว่างที่มีอัตราเงินเดือนในสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือในสถานศึกษา ที่อยู่ในสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดนั้น ๆ ทั้งนี้ ตําแหน่งว่างดังกล่าวต้องเป็นตําแหน่งตามกรอบอัตรากําลังที่ ก.ค.ศ. กําหนด ผู้มีสิทธิ์สมัครต้องมีคุณสมบัติดังนี้ - เป็นพนักงานราชการ ลูกจ้างประจํา หรือลูกจ้างชั่วคราวจากเงินงบประมาณ หรือเงินรายได้ของหน่วยงานการศึกษา ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับลักษณะงานของตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) ในหน่วยงานการศึกษา สังกัด สพฐ. ตามคําสั่งหรือสัญญาจ้างหรือเอกสารอื่นที่ทางราชการออกให้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือรวมกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 4 ปี นับถึงวันรับสมัครคัดเลือกวันสุดท้าย ซึ่งเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันหรือไม่ก็ได้ - มีคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งตรงตามมาตรฐานตําแหน่งข้าราชครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) - มีประสบการณ์ในตําแหน่งที่สมัครเข้ารับการคัดเลือกไม่น้อยกว่า 4 ปี - มีสิทธิ์สมัครเข้ารับการคัดเลือกได้เพียงตําแหน่งเดียว และจังหวัดเดียว หากปรากฏว่าผู้สมัครคัดเลือกสมัครเกินกว่า1ตําแหน่ง หรือเกินกว่า1จังหวัด จะถูกตัดสิทธิ์การคัดเลือกทั้งหมด ให้สพฐ. เป็นผู้กําหนดวัน เวลา ที่คัดเลือกโดยให้ดําเนินการคัดเลือกพร้อมกัน กําหนดให้ทดสอบ 3 ภาคคือ ภาค ก ความรู้ความสามารถทั่วไป ภาค ข ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตําแหน่ง และภาค ค ความเหมาะสมกับตําแหน่ง โดยให้สอบภาค ก และภาค ข ก่อน แล้วจึงให้ผู้ที่ได้คะแนนผ่านเกณฑ์เข้ารับการประเมิน ภาค ค ผู้ผ่านการคัดเลือกต้องได้คะแนนแต่ละภาคไม่ต่ํากว่าร้อยละ 60 ให้บรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดํารงตําแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ตามจํานวนตําแหน่งว่างที่ประกาศรับสมัครโดยไม่มีการขึ้นบัญชี กรณีมีผู้ผ่านการคัดเลือกไม่ครบตามตําแหน่งที่ประกาศให้บรรจุเท่าที่คัดเลือกได้ ผู้ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งจะต้องปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานการศึกษา ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี จึงจะมีสิทธิ์ขอย้าย หรือขอโอน กรณีตรวจสอบภายหลังพบว่าผู้ ได้รับการคัดเลือกรายใดเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามที่ ก.ค.ศ. กําหนดหากได้รับการบรรจุและแต่งตั้งแล้ว จะถูกเพิกถอนคําสั่งบรรจุและแต่งตั้งทันที ●เห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งรองผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร และผู้อํานวยการสํานักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานครโดยสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ให้ อ.ก.ค.ศ. สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ดําเนินการคัดเลือกโดยกําหนดวัน เวลาในการดําเนินการคัดเลือก และจํานวนตําแหน่งว่างเพื่อใช้ในการบรรจุและแต่งตั้งครั้งแรก ให้ อ.ก.ค.ศ. สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศรับสมัครคัดเลือกไม่น้อยกว่า 7 วันก่อนวันรับสมัคร ให้สํานักงาน กศน. รับสมัครคัดเลือกไม่น้อยกว่า 7 วันทําการโดยยื่นสมัครตามแบบหรือวิธีการที่ อ.ก.ค.ศ. สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการกําหนด ผู้มีสิทธิ์สมัครเข้ารับการคัดเลือก ตําแหน่งรองผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร - เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัด สํานักงาน กศน. - มีวุฒิไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือทางอื่นที่ ก.ค.ศ. กําหนด เป็นคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งรองผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร - ดํารงตําแหน่งอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ ดํารงตําแหน่งรองผู้อํานวยการสถานศึกษา ที่มีวิทยฐานะไม่ต่ํากว่ารองผู้อํานวยการชํานาญการพิเศษ หรือ ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสถานศึกษา ที่มีวิทยฐานะไม่ต่ํากว่าผู้อํานวยการชํานาญการพิเศษ หรือ ดํารงตําแหน่งศึกษานิเทศก์ ที่มีวิทยฐานะไม่ต่ํากว่าศึกษานิเทศก์เชียวชาญ หรือ ดํารงตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นที่มีประสบการณ์การบริหารไม่ต่ําว่าหัวหน้ากลุ่มหรือผู้อํานวยการกลุ่ม มาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี และรับเงินเดือนไม่ต่ํากว่าอันดับ คศ.3 หรือไม่ต่ํากว่าระดับชํานาญการพิเศษ - มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา - ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ผู้มีสิทธิ์สมัครเข้ารับการคัดเลือก ตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร - เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัด สํานักงาน กศน. - มีวุฒิไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือทางอื่นที่ ก.ค.ศ. กําหนด เป็นคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งรองผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร - ดํารงตําแหน่งรองผู้อํานวยการสํานักงาน กศน. จังหวัด/กรุงเทพมหานคร มาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี และรับเงินเดือนไม่ต่ํากว่าขั้นต่ําของอันดับ คศ.4 หรือดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสถานศึกษา ที่มีวิทยฐานะไม่ต่ํากว่าวิทยฐานะผู้อํานวยการเชี่ยวชาญ - มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษา - ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ดําเนินการคัดเลือกโดยการประเมิน 2 ภาคคือ ภาค ก ความรู้ความสามารถทั่วไป และภาค ข ความเหมาะสมกับตําแหน่ง ผู้ผ่านการคัดเลือกต้องได้คะแนนภาค ก และภาค ข แต่ละภาคไม่ต่ํากว่าร้อยละ60โดยเรียงลําดับจากผู้ที่ได้คะแนนรวม สูงสุดจากมากไปหาน้อย บัญชีผู้ได้รับการคัดเลือกให้มีอายุบัญชีไม่เกิน 1 ปี ในกรณีผู้ได้รับการคัดเลือกรายใดถึงลําดับที่ที่จะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งแล้ว แต่ปรากฏว่าผู้ได้รับการคัดเลือกรายนั้นไม่มารายงานตัวเพื่อรับการบรรจุและแต่งตั้ง ตามวัน เวลา และสถานที่ที่กําหนด หรือไม่สมัครใจที่จะได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง หรือมารายงานตัวแต่ไม่เลือกหน่วยงานการศึกษาที่จะบรรจุและแต่งตั้ง หรือแจ้งสละสิทธิ์การบรรจุและแต่งตั้ง กรณีใดกรณีหนึ่ง ให้เรียกตัวผู้ที่อยู่ในลําดับถัดไปมารายงานตัวเพื่อรับการบรรจุและแต่งตั้งแทน ●เห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือน ในกรณีที่ได้รับคุณวุฒิเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้นตามคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรองโดยสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ต้องเป็นคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรองและกําหนดเป็นคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้นั้น ต้องได้รับคุณวุฒิเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้นภายหลังวันที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นต้องเป็นไปตามระเบียบของทางราชการ คุณวุฒิที่ได้รับเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้นต้องเป็นคุณวุฒิในสาขาวิชาเดียวกันกับคุณวุฒิระดับปริญญาตรี และหรือระดับปริญญาโทที่ใช้ในการบรรจุและแต่งตั้ง หรือเป็นคุณวุฒิที่ตรงกับสาขา หรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ผู้นั้นได้ทําการสอน หรือเคยทําการสอน เป็นคุณวุฒิที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน หรือส่งเสริมการเรียนรู้ตามที่ส่วนราชการต้นสังกัดกําหนดโดยความเห็นขอบของ ก.ค.ศ. ให้มีผลบังคับใช้กับผู้ที่จะเข้าศึกษาต่อภายหลังจากหลักเกณฑ์และวิธีการนี้ประกาศใช้โดยไม่มีผลกระทบกับผู้ที่ได้เข้ารับการศึกษาและได้รับอนุมัติปริญญาก่อนวันประกาศใช้หลักเกณฑ์และวิธีการนี้ ●เห็นชอบให้ปรับปรุงมาตรฐานวิทยฐานะ ด้านคุณสมบัติเฉพาะสําหรับวิทยฐานะครูชํานาญการ และคุณสมบัติในการขอมีวิทยฐานะครูชํานาญการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการฯว17/2552และว10/2554ได้แก่ คุณสมบัติในการขอมีวิทยฐานะครูชํานาญการ ตามหลักเกณฑ์ ว17/2552 - ดํารงตําแหน่งครูมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 ปี สําหรับผู้มีวุฒิปริญญาตรี 4 ปีสําหรับผู้มีวุฒิปริญญาโท และ 2 ปีสําหรับผู้มีวุฒิปริญญาเอก หรือดํารงตําแหน่งอื่นที่ ก.ค.ศ. เทียบเท่า และผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กําหนด - ทั้งนี้ วุฒิดังกล่าวต้องเป็นวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรอง และเป็นวุฒิในสาขาวิชาเดียวกับวุฒิระดับปริญญาตรีและหรือปริญญาโทที่สําเร็จการศึกษามาแล้ว หรือเป็นวุฒิที่ตรงกับสาขาวิชา/กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ผู้ขอได้ทําการสอน หรือส่งเสริมการเรียนรู้ตามที่ส่วนราชการต้นสังกัดกําหนด โดยความเห็นชอบของ ก.ค.ศ. คุณสมบัติในการขอมีวิทยฐานะครูชํานาญการ ตามหลักเกณฑ์ ว10/2554 -ดํารงตําแหน่งครูมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี สําหรับผู้มีวุฒิปริญญาตรี2 ปีสําหรับผู้มีวุฒิปริญญาโท และ 1 ปีสําหรับผู้มีวุฒิปริญญาเอก หรือดํารงตําแหน่งอื่นที่ ก.ค.ศ. เทียบเท่า และผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กําหนด - ทั้งนี้ วุฒิดังกล่าวต้องเป็นวุฒิที่ ก.ค.ศ. รับรอง และเป็นวุฒิในสาขาวิชาเดียวกับวุฒิระดับปริญญาตรีและหรือปริญญาโทที่สําเร็จการศึกษามาแล้ว หรือเป็นวุฒิที่ตรงกับสาขาวิชา/กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ผู้ขอได้ทําการสอน หรือส่งเสริมการเรียนรู้ตามที่ส่วนราชการต้นสังกัดกําหนด โดยความเห็นชอบของ ก.ค.ศ. ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับเงินเดือน ในกรณีที่ได้รับคุณวุฒิเพิ่มขึ้นหรือสูงขึ้น ●อนุมัติจัดสรรคืนอัตราว่างจากผลการเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เพิ่มเติม เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2557เพิ่มเติม 1 อัตรา เป็นตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 สังกัด สพฐ. เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2558เพิ่มเติม 3 อัตรา เป็นตําแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร 1 อัตรา และสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 จํานวน 1 อัตรา และตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค.(2) สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 จํานวน 1 อัตรา โดยให้จัดสรรในหน่วยงานการศึกษาที่มีกรอบอัตรากําลังไม่เกินกรอบอัตรากําลังหรือเกณฑ์มาตรฐานอัตรากําลังที่ ก.ค.ศ. กําหนด และเป็นไปตามเงื่อนไขที่ คปร.กําหนด โดยเคร่งครัด และให้นําเสนอ ก.ค.ศ. เพื่อพิจารณาต่อไป ●เห็นชอบให้มีการปรับหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในประเด็นหลักเกณฑ์การย้ายกรณีปกติ ในส่วนของคุณสมบัติของผู้ยื่นคําร้องขอย้ายกล่าวคือ ต้องดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสถานศึกษา หรือรองผู้อํานวยการสถานศึกษาและได้ปฏิบัติงานในตําแหน่งดังกล่าวในสถานศึกษาปัจจุบันติดต่อกันมาแล้วไม่น้อยกว่า 24 เดือน นับถึงวันที่ 30 กันยายน ของปีที่ยื่นคําร้องขอย้าย เพื่อให้มีระยะเวลาในการพัฒนาสถานศึกษาให้เห็นผลเป็นที่ประจักษ์ ไม่อยู่ในระหว่างลาศึกษาต่อเต็มเวลา กรณีการย้ายสับเปลี่ยนนอกจากมีคุณสมบัติตาม ข้อ 1 แล้ว ในวันที่ยื่นขอย้ายต้องเป็นผู้ที่มีอายุราชการเหลือไม่น้อยกว่า 1 ปี 6 เดือน นับถึงวันที่ 30 กันยายน ของปีที่ครบเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ คุณสมบัติของผู้ยื่นคําร้องขอย้ายที่ปรับปรุงใหม่นี้ ให้มีผลใช้บังคับสําหรับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่จะยื่นคําร้องขอย้าย ประจําปี พ.ศ.2560 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้นําหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของตําแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้ง ตามหนังสือสํานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร 0505/ว347 ลงวันที่ 20 ตุลาคม 2559 มาใช้บังคับกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค.(2) โดยอนุโลม ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559 และได้อนุมัติตั้งนายไพบูลย์ อินทร์งาม ตําแหน่งนักวิชาการการเงินและบัญชี ระดับชํานาญการพิเศษ สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 เป็นกรรมการผู้แทนบุคลากรทางการศึกษาอื่น ใน ก.ค.ศ. สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา แทนนายชาญ คําภิระแปง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/914
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองฯ วิษณุ เป็นประธานแถลงข่าวความร่วมมือระหว่าง จุฬาฯ และ สพฐ. ในการพลิกโฉมคุณภาพการศึกษาไทยให้เข้าถึงนวัตกรรม
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563 รองฯ วิษณุ เป็นประธานแถลงข่าวความร่วมมือระหว่าง จุฬาฯ และ สพฐ. ในการพลิกโฉมคุณภาพการศึกษาไทยให้เข้าถึงนวัตกรรม รองฯ วิษณุ เป็นประธานแถลงข่าวความร่วมมือระหว่าง จุฬาฯ และ สพฐ. ในการพลิกโฉมคุณภาพการศึกษาไทยให้เข้าถึงนวัตกรรม วันนี้ (10 ส.ค. 63) เวลา 13.00 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าวความร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และกระทรวงศึกษาธิการ โดยกล่าวขอบคุณสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้เกี่ยวข้อง ที่ช่วยขับเคลื่อนผลักดันให้โครงการ “พลิกโฉมคุณภาพการศึกษาไทย ผู้เรียนทุกคนต้องเข้าถึงนวัตกรรมภายใน 2 ปี” โดยดําเนินการปักหมุดพัฒนาโรงเรียนต้นแบบทั่วประเทศ กําหนดกลุ่มโรงเรียนต้นแบบในแต่ละจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด โดยนําโรงเรียนขนาดใหญ่ จํานวน 1 โรงเรียน โรงเรียนขนาดกลางจํานวน 1 โรงเรียน โรงเรียนขนาดเล็กจํานวน 1 โรงเรียน เป็นกลุ่มแกนนําเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนทุกคนเข้าถึงนวัตกรรมและสามารถสร้างนวัตกรรมร่วมกันให้สําเร็จได้ 100% ภายใน 2 ปี พลิกโฉมการศึกษาไทยโดยปรับการเรียนการสอนจาก Passive Learning มาเป็นการสอนแบบ Active Learning ออกแบบการเรียนรู้ในรูปแบบ New Normal คือ มีลักษณะเปิดพื้นที่ให้ผู้เรียนได้กําหนดเป้าหมายการเรียนรู้ วิธีการเรียนรู้ ประเมินตนเอง นําความรู้ไปใช้ประโยชน์ และสะท้อนการคิดเพื่อพัฒนาตนเอง สอดคล้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 258 จ (4) และยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่เน้นการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 เน้นความถนัดที่แตกต่างกันของผู้เรียนแต่ละคนตามหลักการพหุปัญญา เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีศักยภาพ มุ่งต่อยอดการเรียนรู้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง ครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น และประเทศ และเชื่อมั่นว่าระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานมีความสําคัญต่อการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 12 ด้าน ก่อนหน้านี้ รองนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการนวัตกรรมของนักเรียนที่จัดตั้งในรูปแบบ Gallery Show แสดงผลงานต่าง ๆ ด้านนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ เชิงอุตสาหกรรม และเชิงวิธีการอีกด้วย ................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองฯ วิษณุ เป็นประธานแถลงข่าวความร่วมมือระหว่าง จุฬาฯ และ สพฐ. ในการพลิกโฉมคุณภาพการศึกษาไทยให้เข้าถึงนวัตกรรม วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563 รองฯ วิษณุ เป็นประธานแถลงข่าวความร่วมมือระหว่าง จุฬาฯ และ สพฐ. ในการพลิกโฉมคุณภาพการศึกษาไทยให้เข้าถึงนวัตกรรม รองฯ วิษณุ เป็นประธานแถลงข่าวความร่วมมือระหว่าง จุฬาฯ และ สพฐ. ในการพลิกโฉมคุณภาพการศึกษาไทยให้เข้าถึงนวัตกรรม วันนี้ (10 ส.ค. 63) เวลา 13.00 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานแถลงข่าวความร่วมมือระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และกระทรวงศึกษาธิการ โดยกล่าวขอบคุณสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้เกี่ยวข้อง ที่ช่วยขับเคลื่อนผลักดันให้โครงการ “พลิกโฉมคุณภาพการศึกษาไทย ผู้เรียนทุกคนต้องเข้าถึงนวัตกรรมภายใน 2 ปี” โดยดําเนินการปักหมุดพัฒนาโรงเรียนต้นแบบทั่วประเทศ กําหนดกลุ่มโรงเรียนต้นแบบในแต่ละจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด โดยนําโรงเรียนขนาดใหญ่ จํานวน 1 โรงเรียน โรงเรียนขนาดกลางจํานวน 1 โรงเรียน โรงเรียนขนาดเล็กจํานวน 1 โรงเรียน เป็นกลุ่มแกนนําเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนทุกคนเข้าถึงนวัตกรรมและสามารถสร้างนวัตกรรมร่วมกันให้สําเร็จได้ 100% ภายใน 2 ปี พลิกโฉมการศึกษาไทยโดยปรับการเรียนการสอนจาก Passive Learning มาเป็นการสอนแบบ Active Learning ออกแบบการเรียนรู้ในรูปแบบ New Normal คือ มีลักษณะเปิดพื้นที่ให้ผู้เรียนได้กําหนดเป้าหมายการเรียนรู้ วิธีการเรียนรู้ ประเมินตนเอง นําความรู้ไปใช้ประโยชน์ และสะท้อนการคิดเพื่อพัฒนาตนเอง สอดคล้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 258 จ (4) และยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่เน้นการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 เน้นความถนัดที่แตกต่างกันของผู้เรียนแต่ละคนตามหลักการพหุปัญญา เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีศักยภาพ มุ่งต่อยอดการเรียนรู้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง ครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น และประเทศ และเชื่อมั่นว่าระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานมีความสําคัญต่อการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 12 ด้าน ก่อนหน้านี้ รองนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการนวัตกรรมของนักเรียนที่จัดตั้งในรูปแบบ Gallery Show แสดงผลงานต่าง ๆ ด้านนวัตกรรมเชิงพาณิชย์ เชิงอุตสาหกรรม และเชิงวิธีการอีกด้วย ................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34098
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-JETRO และ Mitsui ยืนยันการลงทุนใน EEC
วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2561 JETRO และ Mitsui ยืนยันการลงทุนใน EEC JETRO และ Mitsui ยืนยันการลงทุนใน EEC วันนี้ (9 ต.ค. 2561) เวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น นายฮิโรยูกิ อิชิเกะ (Mr. Hiroyuki Ishige) ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ โรงแรมนิว โอตานิ (Hotel New Otani) กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณ JETRO ที่ช่วยผลักดันเอกชนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน EEC อย่างต่อเนื่อง และขอให้ช่วยสนับสนุนให้เอกชน สถาบันการศึกษา ตลอดจนสถาบันวิจัยและพัฒนาของญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน EEC เพิ่มขึ้น รวมทั้งเชิญชวนเอกชนญี่ปุ่นเข้าร่วมประมูลในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญต่าง ๆ ที่จะเปิดประมูลในปีนี้ โดยเฉพาะการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด โดยขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยจะเดินหน้าโครงการ EEC อย่างต่อเนื่อง และพร้อมดูแลเอกชนญี่ปุ่นเป้นอย่างดี ด้านประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กล่าวชื่นชมนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ SMEs และ Start-ups ไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป็นนโยบายที่ช่วยยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมในไทย พร้อมกันนี้ JETRO ยังยินดีที่ญี่ปุ่นเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยตามนโยบายดังกล่าว และ JETRO ยังพร้อมสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านเทคนิคเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ของไทยต่อไป หลังจากนั้น เวลา 17.40 น. ตามเวลาท้องถิ่น นายทัตสึโอะ ยาสุนากะ ประธานและ CEO บริษัท Mitsui & Co. เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยใน EEC ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาใน EEC และการลงทุนในธุรกิจสํารวจและผลิตน้ํามันดิบในไทยของบริษัท Mitsui Oil Exploration (MOECO) บริษัทในเครือ ซึ่งร่วมทุนกับบริษัทเชฟรอน ปิโตรเลียม (ประเทศไทย) และบริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวให้ความเชื่อมั่นว่า กระบวนการประมูลเพื่อขอสิทธิในการสํารวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยรอบใหม่จะเป็นไปด้วยความโปร่งใส โดยคาดว่าจะประกาศชื่อผู้ชนะประมูลดังกล่าวภายในสิ้นปีนี้ และลงนามสัญญาแบ่งปันผลผลิตประมาณต้นปี 2562 นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงการลงทุนในธุรกิจผลิตน้ําตาลในไทยของบริษัท Mitsui & Co. ซึ่งมีมากว่า 40 ปี และความสนใจของบริษัท Mitsui & Co. ในการพัฒนาระบบรางของไทย โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายกําลังตกลงเรื่องรูปแบบในด้านการเงินในโครงการฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-JETRO และ Mitsui ยืนยันการลงทุนใน EEC วันอังคารที่ 9 ตุลาคม 2561 JETRO และ Mitsui ยืนยันการลงทุนใน EEC JETRO และ Mitsui ยืนยันการลงทุนใน EEC วันนี้ (9 ต.ค. 2561) เวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น นายฮิโรยูกิ อิชิเกะ (Mr. Hiroyuki Ishige) ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ โรงแรมนิว โอตานิ (Hotel New Otani) กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณ JETRO ที่ช่วยผลักดันเอกชนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน EEC อย่างต่อเนื่อง และขอให้ช่วยสนับสนุนให้เอกชน สถาบันการศึกษา ตลอดจนสถาบันวิจัยและพัฒนาของญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนใน EEC เพิ่มขึ้น รวมทั้งเชิญชวนเอกชนญี่ปุ่นเข้าร่วมประมูลในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สําคัญต่าง ๆ ที่จะเปิดประมูลในปีนี้ โดยเฉพาะการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด โดยขอให้เชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยจะเดินหน้าโครงการ EEC อย่างต่อเนื่อง และพร้อมดูแลเอกชนญี่ปุ่นเป้นอย่างดี ด้านประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) กล่าวชื่นชมนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ SMEs และ Start-ups ไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเป็นนโยบายที่ช่วยยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมในไทย พร้อมกันนี้ JETRO ยังยินดีที่ญี่ปุ่นเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยตามนโยบายดังกล่าว และ JETRO ยังพร้อมสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านเทคนิคเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ของไทยต่อไป หลังจากนั้น เวลา 17.40 น. ตามเวลาท้องถิ่น นายทัตสึโอะ ยาสุนากะ ประธานและ CEO บริษัท Mitsui & Co. เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยใน EEC ความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาใน EEC และการลงทุนในธุรกิจสํารวจและผลิตน้ํามันดิบในไทยของบริษัท Mitsui Oil Exploration (MOECO) บริษัทในเครือ ซึ่งร่วมทุนกับบริษัทเชฟรอน ปิโตรเลียม (ประเทศไทย) และบริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวให้ความเชื่อมั่นว่า กระบวนการประมูลเพื่อขอสิทธิในการสํารวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยรอบใหม่จะเป็นไปด้วยความโปร่งใส โดยคาดว่าจะประกาศชื่อผู้ชนะประมูลดังกล่าวภายในสิ้นปีนี้ และลงนามสัญญาแบ่งปันผลผลิตประมาณต้นปี 2562 นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงการลงทุนในธุรกิจผลิตน้ําตาลในไทยของบริษัท Mitsui & Co. ซึ่งมีมากว่า 40 ปี และความสนใจของบริษัท Mitsui & Co. ในการพัฒนาระบบรางของไทย โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลทั้งสองฝ่ายกําลังตกลงเรื่องรูปแบบในด้านการเงินในโครงการฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15973
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการบัตรสวัสดิการฯ
วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562 รัฐบาลเตรียมประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการบัตรสวัสดิการฯ 19 สิงหาคม 2562 ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเตรียมประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อนําข้อมูลไปปรับปรุงการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีการจัดเก็บฐานข้อมูลผู้มีรายได้ เมื่อเปิดลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ จึงเริ่มมีฐานข้อมูลของผู้มีรายได้น้อย ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําให้ปรับปรุงฐานข้อมูลให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นและวิเคราะห์ข้อมูลผู้มีรายได้น้อยอย่างถี่ถ้วน เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ครบทั้ง 4 มิติ คือ ช่วยให้เข้าถึงสิ่งจําเป็นขั้นพื้นฐาน พัฒนาทักษะอาชีพและการศึกษา ช่วยหางานให้ทํา และช่วยแก้ปัญหาหนี้สิน เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ โดยในปีที่ผ่านมาผู้มีรายได้น้อยเข้ารับการพัฒนาอาชีพจํานวน 3.2 ล้านคน ช่วยให้คนพ้นเส้นความยากจนที่ระดับ 30,000 บาทต่อปี ได้ถึง 1 ล้านคน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการบัตรสวัสดิการฯ วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562 รัฐบาลเตรียมประเมินผลสัมฤทธิ์โครงการบัตรสวัสดิการฯ 19 สิงหาคม 2562 ​ Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลเตรียมประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อนําข้อมูลไปปรับปรุงการแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน โดยที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีการจัดเก็บฐานข้อมูลผู้มีรายได้ เมื่อเปิดลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ จึงเริ่มมีฐานข้อมูลของผู้มีรายได้น้อย ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําให้ปรับปรุงฐานข้อมูลให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นและวิเคราะห์ข้อมูลผู้มีรายได้น้อยอย่างถี่ถ้วน เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ครบทั้ง 4 มิติ คือ ช่วยให้เข้าถึงสิ่งจําเป็นขั้นพื้นฐาน พัฒนาทักษะอาชีพและการศึกษา ช่วยหางานให้ทํา และช่วยแก้ปัญหาหนี้สิน เพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ โดยในปีที่ผ่านมาผู้มีรายได้น้อยเข้ารับการพัฒนาอาชีพจํานวน 3.2 ล้านคน ช่วยให้คนพ้นเส้นความยากจนที่ระดับ 30,000 บาทต่อปี ได้ถึง 1 ล้านคน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22318
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเคหะชุมชนบ่อนไก่
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเคหะชุมชนบ่อนไก่ รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเคหะชุมชนบ่อนไก่ พร้อมรับฟังความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัย ก่อนปรับปรุงสภาพแวดล้อมชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 60 เวลา 09.00 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และคณะผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการเคหะชุมชนบ่อนไก่ พร้อมทั้งพบปะชาวชุมชนและรับฟังความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัยก่อนดําเนินการปรับปรุงสภาพแวดล้อมชุมชน และปรับปรุงโครงการที่อยู่อาศัยกลางใจเมือง ย่านพระราม 4 กว่า 1,000 หน่วย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวชุมชน อีกทั้งสามารถรองรับผู้อยู่อาศัยใหม่ที่เป็นประชาชนผู้มีรายได้ปานกลางกว่า 400 หน่วย ณ ศาลาประชาคม โครงการเคหะชุมชนบ่อนไก่ ถนนพระราม 4 กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ชุมชนบ่อนไก่เดิมเป็นแหล่งเสื่อมโทรมขนาดใหญ่ ซึ่งสํานักงานปรับปรุงแหล่งชุมชน เทศบาลนครกรุงเทพ (กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน) ต้องการปรับปรุงบริเวณดังกล่าว ด้วยการอพยพรื้อย้ายชาวชุมชนแล้วสร้างอาคารแฟลตขึ้นทดแทน ต่อมารัฐบาลได้โอนชุมชนบ่อนไก่มาให้อยู่ในความดูแลของการเคหะแห่งชาติ(กคช.) ใน ปี 2516 โดยเช่าที่ดินกับสํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พื้นที่รวม 106 ไร่ 58.44 ตารางวา ปัจจุบันคงเหลือ 68 ไร่ 56.20 ตารางวา (เนื่องจากสํานักงานทรัพย์สินขอพื้นที่คืนบริเวณซอยปลูกจิตต์ จํานวน 38 ไร่ 2.24 ตารางวา) ในพื้นที่ประกอบด้วย 4 โครงการ 15 อาคาร จํานวน 2,578 หน่วย ได้แก่ โครงการบ่อนไก่ รับโอน จัดสร้างเป็นอาคารสูง 5 ชั้น 4 อาคาร รวม 336 หน่วย (รับโอนมาจากเทศบาลนครกรุงเทพ เมื่อปี 2516 (กรุงเทพมหานครปัจจุบัน) โครงการบ่อนไก่ ระยะ 1 จัดสร้างเป็นอาคารสูง 5 ชั้น 2 อาคาร รวม 120 หน่วย (ก่อสร้างปี 2518) อาคารสูง 12 ชั้น 2 อาคาร รวม 432 หน่วย และอาคารสูง 12 ชั้น 2 อาคาร รวม 264 หน่วย (เช่าซื้อเฉพาะตัวอาคาร) โครงการบ่อนไก่ระยะ 2 ส่วน 1 เป็นอาคารสูง 5 ชั้น 1 อาคาร รวม 72 หน่วย (ก่อสร้างปี 2522) และอาคารสูง 12 ชั้น 2 อาคาร รวม 308 หน่วย รวมถึง โครงการบ่อนไก่ ระยะ 3 ส่วนที่ 1 (บ้านพระราม 4) จัดสร้างเป็นอาคารสูง 14 ชั้น 2 อาคาร รวม 1,046 หน่วย และอาคารจอดรถสูง 5 ชั้น 1 อาคาร จํานวน 613 คัน (ก่อสร้างเมื่อปี 2540) พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดย กคช. มีแผนดําเนินโครงการพัฒนาและปรับปรุงสภาพแวดล้อมชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย 680 ชุมชน ในโครงการที่อยู่อาศัยในความดูแลทั่วประเทศ มีเป้าหมายดําเนินการในปี 2560 จํานวน 100 ชุมชน เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมสภาพห้องพักอาศัยให้พร้อมอยู่โดยมีโครงการเคหะชุมชนบ่อนไก่เป็นโครงการนําร่อง ซึ่งในระยะแรกจะเข้าดําเนินการในโครงการบ่อนไก่ระยะที่ 3 ส่วน 1 หรือบ้านพระราม 4 เป็นอาคารสูง 14 ชั้น จํานวน 2 อาคาร รวม 1,046 หน่วย ขนาดพื้นที่ห้องพักอาศัย 32.8 ตารางเมตร และอาคารจอดรถสูง 5 ชั้น 1 อาคาร โดยก่อนหน้านี้ กคช.บริหารโครงการด้วยการให้เช่าเซ้งและเช่า ต่อมาในปี 2544 ได้ให้บริษัท กินเนส เทิร์นอราวด์ แมเนจเม้นท์ จํากัด เช่าเหมาอาคารสัญญา 15 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2544 ถึงเดือนพฤษภาคม 2559 ในระหว่างนี้ กคช.ได้บอกเลิกสัญญาตั้งแต่ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 เนื่องจากบริษัทไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา หลังจากนั้นบริษัทได้ส่งคืนพื้นที่ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า ปัจจุบันการเคหะแห่งชาติได้ทําสัญญาผู้เช่าในโครงการบ้านพระราม 4 แล้ว จํานวน 575 หน่วย ส่วนที่เหลือเป็นอาคารว่าง 471 หน่วย สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยใหม่ที่เป็นประชาชนผู้มีรายได้ปานกลางซึ่ง กคช. จะเข้าดําเนินการพัฒนาและปรับปรุงสภาพแวดล้อมในชุมชน โดยมีรายละเอียดที่จะดําเนินการปรับปรุง ประกอบด้วย ภายในห้องพัก เช่น งานปรับปรุงพื้นที่ภายในห้องงานปรับปรุงฝ้าเพดาน งานปรับปรุงโคมไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์ทั้งหมด งานทาสีผนังและฝ้าเพดาน และงานติดตั้งสุขภัณฑ์ ภายในห้องน้ําใหม่ทั้งหมด ในส่วนของการปรับปรุงพื้นที่ส่วนกลางภายในและภายนอกอาคาร ได้แก่ งานทาสีภายในโถงด้านหน้าห้องและภายนอกอาคาร งานปรับปรุงระบบไฟฟ้าส่วนกลาง งานปรับปรุงระบบความปลอดภัย งานปรับปรุงภูมิทัศน์และอื่นๆ เป็นต้น รวมทั้งการปรับปรุงพื้นที่และลานจอดรถ ได้แก่ งานทาสีอาคารจอดรถ งานกําหนดพื้นที่จอดรถสําหรับสตรีและผู้พิการงานปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่าง เป็นต้น สําหรับอัตราค่าเช่าของผู้อยู่อาศัยเดิมอยู่ระหว่าง 4,500 - 7,000 บาทต่อเดือน (รวมค่าส่วนกลางแล้ว) ส่วนอัตราค่าเช่าสําหรับผู้อยู่อาศัยใหม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา “การลงพื้นที่ครั้งนี้ นอกจากตรวจเยี่ยมโครงการและรับฟังความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัยแล้ว ยังได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ให้ความช่วยเหลือผู้อยู่อาศัยในชุมชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงฯ อาทิ ผู้สูงอายุ คนพิการ เด็กและเยาวชน ผู้ด้อยโอกาสในสังคม เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มีความมุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ชาวชุมชนดังกล่าวเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเคหะชุมชนบ่อนไก่ วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2560 รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเคหะชุมชนบ่อนไก่ รมว.พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเคหะชุมชนบ่อนไก่ พร้อมรับฟังความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัย ก่อนปรับปรุงสภาพแวดล้อมชุมชน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 60 เวลา 09.00 น. พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ และคณะผู้บริหารการเคหะแห่งชาติ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการเคหะชุมชนบ่อนไก่ พร้อมทั้งพบปะชาวชุมชนและรับฟังความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัยก่อนดําเนินการปรับปรุงสภาพแวดล้อมชุมชน และปรับปรุงโครงการที่อยู่อาศัยกลางใจเมือง ย่านพระราม 4 กว่า 1,000 หน่วย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวชุมชน อีกทั้งสามารถรองรับผู้อยู่อาศัยใหม่ที่เป็นประชาชนผู้มีรายได้ปานกลางกว่า 400 หน่วย ณ ศาลาประชาคม โครงการเคหะชุมชนบ่อนไก่ ถนนพระราม 4 กรุงเทพฯ พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า ชุมชนบ่อนไก่เดิมเป็นแหล่งเสื่อมโทรมขนาดใหญ่ ซึ่งสํานักงานปรับปรุงแหล่งชุมชน เทศบาลนครกรุงเทพ (กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน) ต้องการปรับปรุงบริเวณดังกล่าว ด้วยการอพยพรื้อย้ายชาวชุมชนแล้วสร้างอาคารแฟลตขึ้นทดแทน ต่อมารัฐบาลได้โอนชุมชนบ่อนไก่มาให้อยู่ในความดูแลของการเคหะแห่งชาติ(กคช.) ใน ปี 2516 โดยเช่าที่ดินกับสํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พื้นที่รวม 106 ไร่ 58.44 ตารางวา ปัจจุบันคงเหลือ 68 ไร่ 56.20 ตารางวา (เนื่องจากสํานักงานทรัพย์สินขอพื้นที่คืนบริเวณซอยปลูกจิตต์ จํานวน 38 ไร่ 2.24 ตารางวา) ในพื้นที่ประกอบด้วย 4 โครงการ 15 อาคาร จํานวน 2,578 หน่วย ได้แก่ โครงการบ่อนไก่ รับโอน จัดสร้างเป็นอาคารสูง 5 ชั้น 4 อาคาร รวม 336 หน่วย (รับโอนมาจากเทศบาลนครกรุงเทพ เมื่อปี 2516 (กรุงเทพมหานครปัจจุบัน) โครงการบ่อนไก่ ระยะ 1 จัดสร้างเป็นอาคารสูง 5 ชั้น 2 อาคาร รวม 120 หน่วย (ก่อสร้างปี 2518) อาคารสูง 12 ชั้น 2 อาคาร รวม 432 หน่วย และอาคารสูง 12 ชั้น 2 อาคาร รวม 264 หน่วย (เช่าซื้อเฉพาะตัวอาคาร) โครงการบ่อนไก่ระยะ 2 ส่วน 1 เป็นอาคารสูง 5 ชั้น 1 อาคาร รวม 72 หน่วย (ก่อสร้างปี 2522) และอาคารสูง 12 ชั้น 2 อาคาร รวม 308 หน่วย รวมถึง โครงการบ่อนไก่ ระยะ 3 ส่วนที่ 1 (บ้านพระราม 4) จัดสร้างเป็นอาคารสูง 14 ชั้น 2 อาคาร รวม 1,046 หน่วย และอาคารจอดรถสูง 5 ชั้น 1 อาคาร จํานวน 613 คัน (ก่อสร้างเมื่อปี 2540) พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่อไปว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดย กคช. มีแผนดําเนินโครงการพัฒนาและปรับปรุงสภาพแวดล้อมชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย 680 ชุมชน ในโครงการที่อยู่อาศัยในความดูแลทั่วประเทศ มีเป้าหมายดําเนินการในปี 2560 จํานวน 100 ชุมชน เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมสภาพห้องพักอาศัยให้พร้อมอยู่โดยมีโครงการเคหะชุมชนบ่อนไก่เป็นโครงการนําร่อง ซึ่งในระยะแรกจะเข้าดําเนินการในโครงการบ่อนไก่ระยะที่ 3 ส่วน 1 หรือบ้านพระราม 4 เป็นอาคารสูง 14 ชั้น จํานวน 2 อาคาร รวม 1,046 หน่วย ขนาดพื้นที่ห้องพักอาศัย 32.8 ตารางเมตร และอาคารจอดรถสูง 5 ชั้น 1 อาคาร โดยก่อนหน้านี้ กคช.บริหารโครงการด้วยการให้เช่าเซ้งและเช่า ต่อมาในปี 2544 ได้ให้บริษัท กินเนส เทิร์นอราวด์ แมเนจเม้นท์ จํากัด เช่าเหมาอาคารสัญญา 15 ปี ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2544 ถึงเดือนพฤษภาคม 2559 ในระหว่างนี้ กคช.ได้บอกเลิกสัญญาตั้งแต่ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 เนื่องจากบริษัทไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา หลังจากนั้นบริษัทได้ส่งคืนพื้นที่ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2559 ที่ผ่านมา พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวต่ออีกว่า ปัจจุบันการเคหะแห่งชาติได้ทําสัญญาผู้เช่าในโครงการบ้านพระราม 4 แล้ว จํานวน 575 หน่วย ส่วนที่เหลือเป็นอาคารว่าง 471 หน่วย สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยใหม่ที่เป็นประชาชนผู้มีรายได้ปานกลางซึ่ง กคช. จะเข้าดําเนินการพัฒนาและปรับปรุงสภาพแวดล้อมในชุมชน โดยมีรายละเอียดที่จะดําเนินการปรับปรุง ประกอบด้วย ภายในห้องพัก เช่น งานปรับปรุงพื้นที่ภายในห้องงานปรับปรุงฝ้าเพดาน งานปรับปรุงโคมไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์ทั้งหมด งานทาสีผนังและฝ้าเพดาน และงานติดตั้งสุขภัณฑ์ ภายในห้องน้ําใหม่ทั้งหมด ในส่วนของการปรับปรุงพื้นที่ส่วนกลางภายในและภายนอกอาคาร ได้แก่ งานทาสีภายในโถงด้านหน้าห้องและภายนอกอาคาร งานปรับปรุงระบบไฟฟ้าส่วนกลาง งานปรับปรุงระบบความปลอดภัย งานปรับปรุงภูมิทัศน์และอื่นๆ เป็นต้น รวมทั้งการปรับปรุงพื้นที่และลานจอดรถ ได้แก่ งานทาสีอาคารจอดรถ งานกําหนดพื้นที่จอดรถสําหรับสตรีและผู้พิการงานปรับปรุงระบบไฟฟ้าแสงสว่าง เป็นต้น สําหรับอัตราค่าเช่าของผู้อยู่อาศัยเดิมอยู่ระหว่าง 4,500 - 7,000 บาทต่อเดือน (รวมค่าส่วนกลางแล้ว) ส่วนอัตราค่าเช่าสําหรับผู้อยู่อาศัยใหม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา “การลงพื้นที่ครั้งนี้ นอกจากตรวจเยี่ยมโครงการและรับฟังความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัยแล้ว ยังได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ให้ความช่วยเหลือผู้อยู่อาศัยในชุมชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงฯ อาทิ ผู้สูงอายุ คนพิการ เด็กและเยาวชน ผู้ด้อยโอกาสในสังคม เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มีความมุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ชาวชุมชนดังกล่าวเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป” พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2002
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเร่งพัฒนามาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้า ปรับปรุงกฎระเบียบรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล และก้าวทันโลกเทคโนโลยีและนวัตกรรม
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561 รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเร่งพัฒนามาตรการอํานวยความสะดวกทางการค้า ปรับปรุงกฎระเบียบรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล และก้าวทันโลกเทคโนโลยีและนวัตกรรม นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลสรุปการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM Retreat) ครั้งที่ 24 ซึ่งสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2561 ว่า อาเซียนย้ําถึงความสําคัญของการพัฒนามาตรการ และกฏระเบียบต่าง ๆ เพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรม โดยที่ประชุมมีมติที่สําคัญในหลายประเด็น เช่น ให้เร่งสรุปผลการจัดทําความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่ออํานวยความสะดวกและสร้างความมั่นใจในการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนให้เสร็จในปีนี้ สร้างเครือข่ายนวัตกรรมในอาเซียนให้เชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการ SMEs Startup นักลงทุน สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัยเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ให้ผู้ผลิตและผู้ค้าที่ขึ้นทะเบียนในประเทศสมาชิกอาเซียนรับรองถิ่นกําเนิดสินค้าเองได้เพื่อความรวดเร็วในการใช้สิทธิทางภาษีส่งออกสินค้าไปประเทศอื่นๆ ในอาเซียน (ASEAN-wide Self-Certification) เร่งเชื่อมโยงระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window) ให้เสร็จครบ 10 ประเทศในปีนี้จากปัจจุบันที่เชื่อมโยงกันแค่ 5 ประเทศ (ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม) ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนของภาคธุรกิจในการยื่นเอกสารนําเข้า-ส่งออกสามารถยื่นผ่านระบบออนไลน์เพียงครั้งเดียว และให้เร่งสรุปผลการเจรจาและลงนามความตกลงการค้าบริการของอาเซียน (ATISA) ให้เสร็จในปีนี้ เป็นต้น นางสาวชุติมา กล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของการดําเนินงานไปสู่แผนประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2568 (AEC Blueprint 2025) ว่า อาเซียนตกลงที่จะเร่งรัดการปรับปรุงมาตรการอํานวยความสะดวกทางการค้าให้แล้วเสร็จซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน ลดต้นทุนธุรกรรมการค้าของผู้ประกอบการ เพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนภายในอาเซียน เช่น จัดทําแนวปฏิบัติการออกกฎระเบียบของอาเซียนเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ชัดเจน และไม่สร้างภาระต่อภาคเอกชน ปรับปรุงกลไกการอํานวยความสะดวกทางการค้าของสมาชิกอาเซียนเพื่อลดต้นทุนและให้เกิดความรวดเร็วในการดําเนินธุรกิจ เร่งให้อาเซียนมีข้อตกลงยอมรับร่วมเรื่องการตรวจสอบและรับรองสุขลักษณะอาหารสําเร็จรูปที่ขณะนี้เหลือเพียงเมียนมาและเวียดนามที่จะต้องเร่งกระบวนการภายในให้แล้วเสร็จเพื่อลงนามในต้นปีนี้ เร่งหาข้อสรุปเรื่องที่จะให้ประเทศสมาชิกอาเซียนที่ให้สิทธิประโยชน์อากรขาเข้าให้แก่ประเทศนอกอาเซียนดีกว่าที่ให้สมาชิกอาเซียนด้วยกัน จะต้องให้สิทธิประโยชน์เดียวกันนั้นกับสมาชิกอาเซียนด้วยกัน เป็นต้น นางสาวชุติมา กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนยังได้หารือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN-BAC) ซึ่งภาคเอกชนได้เสนอแนวคิด Smart Growth Connect ที่เน้นให้อาเซียนพัฒนาความเชื่อมโยงหลายมิติระหว่างกันเพื่อจะได้เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน ทั้งการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม กฎระเบียบ การสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ รวมถึงการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ ASEAN-BAC ยังได้กล่าวสนับสนุนการทํางานของอาเซียน โดยเฉพาะความตั้งใจของอาเซียนที่จะเร่งปรับปรุงกลไกการอํานวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียนเพื่อลดต้นทุนการทําธุรกรรมลงร้อยละ 10 ภายในปี 2563 การส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ผ่านโครงการให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ช่วยเหลือให้คําปรึกษารายเล็ก การปรับตัวของอาเซียนเพื่อรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (4IR) หรือก้าวให้ทันโลกเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ซึ่งที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินการกับอาเซียนมากขึ้น การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEM เป็นเวทีการหารือของรัฐมนตรีการค้าของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ เพื่อร่วมกําหนดทิศทางการดําเนินงานด้านเศรษฐกิจของอาเซียน รวมทั้งให้แนวทางสําหรับประเด็นที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เพื่อสนับสนุนการรวมตัวทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการค้าและการลงทุนในภูมิภาค โดยการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง คือ การประชุม AEM Retreat ในช่วงต้นปีซึ่งนอกจากรัฐมนตรีเศรษฐกิจจะหารือร่วมกัน 10 ประเทศแล้ว ยังมีการหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการการค้า สหภาพยุโรปด้วย และการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ในช่วงปลายปีที่ประกอบด้วยการหารือร่วมกันของรัฐมนตรีเศรษฐกิจ 10 ประเทศ และการประชุมระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับประเทศภายนอก เช่น จีน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย เป็นต้น ทั้งนี้ ในปี 2560 เศรษฐกิจอาเซียนมีการเติบโตร้อยละ 5.1 และอาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย การค้าระหว่างไทยกับอาเซียนในปี 2560 มีมูลค่า 101,158 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออก 59,664 ล้านเหรียญสหรัฐ และการนําเข้า 41,494 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการส่งออกขยายตัวร้อยละ 8.9 และการนําเข้าขยายตัวร้อยละ 13.6 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตลาดส่งออกและแหล่งนําเข้าสําคัญของไทยในอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยในปี 2560 อาเซียนมีมูลค่า GDP ประมาณ 2.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเร่งพัฒนามาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้า ปรับปรุงกฎระเบียบรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล และก้าวทันโลกเทคโนโลยีและนวัตกรรม วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม 2561 รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเร่งพัฒนามาตรการอํานวยความสะดวกทางการค้า ปรับปรุงกฎระเบียบรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล และก้าวทันโลกเทคโนโลยีและนวัตกรรม นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลสรุปการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM Retreat) ครั้งที่ 24 ซึ่งสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม 2561 ว่า อาเซียนย้ําถึงความสําคัญของการพัฒนามาตรการ และกฏระเบียบต่าง ๆ เพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรม โดยที่ประชุมมีมติที่สําคัญในหลายประเด็น เช่น ให้เร่งสรุปผลการจัดทําความตกลงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่ออํานวยความสะดวกและสร้างความมั่นใจในการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียนให้เสร็จในปีนี้ สร้างเครือข่ายนวัตกรรมในอาเซียนให้เชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการ SMEs Startup นักลงทุน สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัยเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ให้ผู้ผลิตและผู้ค้าที่ขึ้นทะเบียนในประเทศสมาชิกอาเซียนรับรองถิ่นกําเนิดสินค้าเองได้เพื่อความรวดเร็วในการใช้สิทธิทางภาษีส่งออกสินค้าไปประเทศอื่นๆ ในอาเซียน (ASEAN-wide Self-Certification) เร่งเชื่อมโยงระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window) ให้เสร็จครบ 10 ประเทศในปีนี้จากปัจจุบันที่เชื่อมโยงกันแค่ 5 ประเทศ (ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม) ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนของภาคธุรกิจในการยื่นเอกสารนําเข้า-ส่งออกสามารถยื่นผ่านระบบออนไลน์เพียงครั้งเดียว และให้เร่งสรุปผลการเจรจาและลงนามความตกลงการค้าบริการของอาเซียน (ATISA) ให้เสร็จในปีนี้ เป็นต้น นางสาวชุติมา กล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าของการดําเนินงานไปสู่แผนประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2568 (AEC Blueprint 2025) ว่า อาเซียนตกลงที่จะเร่งรัดการปรับปรุงมาตรการอํานวยความสะดวกทางการค้าให้แล้วเสร็จซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน ลดต้นทุนธุรกรรมการค้าของผู้ประกอบการ เพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนภายในอาเซียน เช่น จัดทําแนวปฏิบัติการออกกฎระเบียบของอาเซียนเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ชัดเจน และไม่สร้างภาระต่อภาคเอกชน ปรับปรุงกลไกการอํานวยความสะดวกทางการค้าของสมาชิกอาเซียนเพื่อลดต้นทุนและให้เกิดความรวดเร็วในการดําเนินธุรกิจ เร่งให้อาเซียนมีข้อตกลงยอมรับร่วมเรื่องการตรวจสอบและรับรองสุขลักษณะอาหารสําเร็จรูปที่ขณะนี้เหลือเพียงเมียนมาและเวียดนามที่จะต้องเร่งกระบวนการภายในให้แล้วเสร็จเพื่อลงนามในต้นปีนี้ เร่งหาข้อสรุปเรื่องที่จะให้ประเทศสมาชิกอาเซียนที่ให้สิทธิประโยชน์อากรขาเข้าให้แก่ประเทศนอกอาเซียนดีกว่าที่ให้สมาชิกอาเซียนด้วยกัน จะต้องให้สิทธิประโยชน์เดียวกันนั้นกับสมาชิกอาเซียนด้วยกัน เป็นต้น นางสาวชุติมา กล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนยังได้หารือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน (ASEAN-BAC) ซึ่งภาคเอกชนได้เสนอแนวคิด Smart Growth Connect ที่เน้นให้อาเซียนพัฒนาความเชื่อมโยงหลายมิติระหว่างกันเพื่อจะได้เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน ทั้งการเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม กฎระเบียบ การสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ รวมถึงการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี นอกจากนี้ ASEAN-BAC ยังได้กล่าวสนับสนุนการทํางานของอาเซียน โดยเฉพาะความตั้งใจของอาเซียนที่จะเร่งปรับปรุงกลไกการอํานวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียนเพื่อลดต้นทุนการทําธุรกรรมลงร้อยละ 10 ภายในปี 2563 การส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ผ่านโครงการให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ช่วยเหลือให้คําปรึกษารายเล็ก การปรับตัวของอาเซียนเพื่อรองรับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (4IR) หรือก้าวให้ทันโลกเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ซึ่งที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสนับสนุนให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินการกับอาเซียนมากขึ้น การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEM เป็นเวทีการหารือของรัฐมนตรีการค้าของประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ เพื่อร่วมกําหนดทิศทางการดําเนินงานด้านเศรษฐกิจของอาเซียน รวมทั้งให้แนวทางสําหรับประเด็นที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เพื่อสนับสนุนการรวมตัวทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการค้าและการลงทุนในภูมิภาค โดยการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนจัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง คือ การประชุม AEM Retreat ในช่วงต้นปีซึ่งนอกจากรัฐมนตรีเศรษฐกิจจะหารือร่วมกัน 10 ประเทศแล้ว ยังมีการหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการการค้า สหภาพยุโรปด้วย และการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ในช่วงปลายปีที่ประกอบด้วยการหารือร่วมกันของรัฐมนตรีเศรษฐกิจ 10 ประเทศ และการประชุมระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับประเทศภายนอก เช่น จีน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย เป็นต้น ทั้งนี้ ในปี 2560 เศรษฐกิจอาเซียนมีการเติบโตร้อยละ 5.1 และอาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย การค้าระหว่างไทยกับอาเซียนในปี 2560 มีมูลค่า 101,158 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออก 59,664 ล้านเหรียญสหรัฐ และการนําเข้า 41,494 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการส่งออกขยายตัวร้อยละ 8.9 และการนําเข้าขยายตัวร้อยละ 13.6 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตลาดส่งออกและแหล่งนําเข้าสําคัญของไทยในอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยในปี 2560 อาเซียนมีมูลค่า GDP ประมาณ 2.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10463
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยโรคโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563 การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยโรคโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข] การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยโรคโควิด-19 ประเทศไทยได้มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยโรคโควิด-19 โดยการตรวจหาสารพันธุกรรม (RT-PCR) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานสากล ไปแล้ว 328,079 ตัวอย่าง คิดเป็น 4,926 ตัวอย่างต่อประชากรหนึ่งล้านคน ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ในระหว่างวันที่ 9-15 พฤษภาคม 2563 ได้ตรวจไปแล้ว 42,071 ตัวอย่าง โดยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วประเทศ แหล่งข้อมูล: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยโรคโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข] วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563 การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยโรคโควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข] การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยโรคโควิด-19 ประเทศไทยได้มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยโรคโควิด-19 โดยการตรวจหาสารพันธุกรรม (RT-PCR) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานสากล ไปแล้ว 328,079 ตัวอย่าง คิดเป็น 4,926 ตัวอย่างต่อประชากรหนึ่งล้านคน ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2563 ในระหว่างวันที่ 9-15 พฤษภาคม 2563 ได้ตรวจไปแล้ว 42,071 ตัวอย่าง โดยห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วประเทศ แหล่งข้อมูล: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31009
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาดและราคาไข่ไก่ตกต่ำ ทั้งระยะสั้น-ระยะยาว
วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาดและราคาไข่ไก่ตกต่ํา ทั้งระยะสั้น-ระยะยาว กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาดและราคาไข่ไก่ตกต่ํา ทั้งระยะสั้น-ระยะยาว ตั้งแต่ควบคุมปริมาณการผลิต เข้มนโยบายบริหารจัดการ/กํากับดูแล และสนับสนุนให้บริโภคไข่ไก่เพิ่มขึ้น พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ มีมติในการแก้ปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาด และราคาไข่ไก่ตกต่ําดังนี้ระยะสั้นโดยการใช้กฎหมายในการบริหารควบคุมปริมาณการผลิต คือ 1)ควบคุมการนําเข้าปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่ และพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ โดยใช้ พรบ.การส่งออกไปนอกและการนําเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 ของกระทรวงพาณิชย์ ออกประกาศโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีและ2)ควบคุมการปลดระวางไก่ไข่ทางการค้า โดยใช้พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 เพื่อไม่ให้มีการผลิตไข่ออกมาจํานวนมากเกินความต้องการของตลาดระยะกลางโดยการใช้นโยบายในการบริหารจัดการและการกํากับดูแลคือ 1) ควบคุมความสมดุลระหว่างการผลิตและการตลาด โดยฟาร์มไก่ไข่ขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 300,000 ตัวขึ้นไป (ฟาร์มเก่าและใหม่) จะต้องมีแผนการตลาดและแผนธุรกิจชัดเจน และ2) การประกาศราคาไข่ไก่หน้าฟาร์ม ให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองเป็นผู้ประกาศราคาแทนสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้ส่งออกไข่ไก่ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและขอความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ขายไข่ไก่สูงกว่าราคาประกาศหน้าฟาร์ม เพื่อไม่ให้ชี้นําราคาไข่ไก่ในตลาดให้ตกต่ํา สําหรับมาตรการระยะยาวในกรณีเกษตรกรเลี้ยงไก่ไข่ขาดทุน กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายสนับสนุนให้เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนอาชีพและส่งเสริมระบบเกษตรแปลงใหญ่เพื่อให้เข้าถึงเงินทุนของกองทุนสงเคราะห์ผ่านกรมปศุสัตว์ คือ1) ศึกษาการการจัดตั้งกองทุนไก่ไข่ ให้ผู้นําเข้า ปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่และพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ ร่วมกันออกเงินจัดตั้งกองทุนไข่ไก่ โดยมีEgg Boardเป็นผู้บริหารกองทุนและ 2) โครงการส่งเสริมการบริโภคไข่ในโรงเรียน ปี 2560 เพื่อเด็กในโรงเรียนได้รับประทานไข่ไก่ที่มีสารอาหารครบถ้วนอย่างน้อย 3 ฟอง/คน/สัปดาห์ ภายใต้โครงการอาหารกลางวัน โดยกระทรวงเกษตรฯ จะหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันการขาดสารอาหารในเด็กนักเรียนต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาดและราคาไข่ไก่ตกต่ำ ทั้งระยะสั้น-ระยะยาว วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาดและราคาไข่ไก่ตกต่ํา ทั้งระยะสั้น-ระยะยาว กระทรวงเกษตรฯ เร่งเดินหน้าแก้ไขปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาดและราคาไข่ไก่ตกต่ํา ทั้งระยะสั้น-ระยะยาว ตั้งแต่ควบคุมปริมาณการผลิต เข้มนโยบายบริหารจัดการ/กํากับดูแล และสนับสนุนให้บริโภคไข่ไก่เพิ่มขึ้น พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ มีมติในการแก้ปัญหาผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาด และราคาไข่ไก่ตกต่ําดังนี้ระยะสั้นโดยการใช้กฎหมายในการบริหารควบคุมปริมาณการผลิต คือ 1)ควบคุมการนําเข้าปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่ และพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ โดยใช้ พรบ.การส่งออกไปนอกและการนําเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 ของกระทรวงพาณิชย์ ออกประกาศโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีและ2)ควบคุมการปลดระวางไก่ไข่ทางการค้า โดยใช้พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 เพื่อไม่ให้มีการผลิตไข่ออกมาจํานวนมากเกินความต้องการของตลาดระยะกลางโดยการใช้นโยบายในการบริหารจัดการและการกํากับดูแลคือ 1) ควบคุมความสมดุลระหว่างการผลิตและการตลาด โดยฟาร์มไก่ไข่ขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 300,000 ตัวขึ้นไป (ฟาร์มเก่าและใหม่) จะต้องมีแผนการตลาดและแผนธุรกิจชัดเจน และ2) การประกาศราคาไข่ไก่หน้าฟาร์ม ให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองเป็นผู้ประกาศราคาแทนสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้า และผู้ส่งออกไข่ไก่ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและขอความร่วมมือกระทรวงพาณิชย์ขายไข่ไก่สูงกว่าราคาประกาศหน้าฟาร์ม เพื่อไม่ให้ชี้นําราคาไข่ไก่ในตลาดให้ตกต่ํา สําหรับมาตรการระยะยาวในกรณีเกษตรกรเลี้ยงไก่ไข่ขาดทุน กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายสนับสนุนให้เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนอาชีพและส่งเสริมระบบเกษตรแปลงใหญ่เพื่อให้เข้าถึงเงินทุนของกองทุนสงเคราะห์ผ่านกรมปศุสัตว์ คือ1) ศึกษาการการจัดตั้งกองทุนไก่ไข่ ให้ผู้นําเข้า ปู่ย่าพันธุ์ไก่ไข่และพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่ ร่วมกันออกเงินจัดตั้งกองทุนไข่ไก่ โดยมีEgg Boardเป็นผู้บริหารกองทุนและ 2) โครงการส่งเสริมการบริโภคไข่ในโรงเรียน ปี 2560 เพื่อเด็กในโรงเรียนได้รับประทานไข่ไก่ที่มีสารอาหารครบถ้วนอย่างน้อย 3 ฟอง/คน/สัปดาห์ ภายใต้โครงการอาหารกลางวัน โดยกระทรวงเกษตรฯ จะหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันการขาดสารอาหารในเด็กนักเรียนต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3500
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม 2560 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 เศรษฐกิจไทยในเดือนมิถุนายน 2560 และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ส่งสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่อง โดยการส่งออกยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณปรับตัวดีจากรายได้ที่แท้จริงของเกษตรกรที่ขยายตัวต่อเนื่อง “เศรษฐกิจไทยในเดือนมิถุนายน 2560 และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ส่งสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่อง โดยการส่งออกยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณปรับตัวดีจากรายได้ที่แท้จริงของเกษตรกรที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่เศรษฐกิจไทยด้านการผลิตได้รับปัจจัยสนับสนุนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและภาคการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง” นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนมิถุนายน 2560 และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ว่า “เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่อง โดยการส่งออกยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณปรับตัวดีจากรายได้ที่แท้จริงของเกษตรกรที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่เศรษฐกิจไทยด้านการผลิตได้รับปัจจัยสนับสนุนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและภาคการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดี สะท้อนจากปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนมิถุนายน 2560 ยังคงขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ที่ร้อยละ 15.6 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวร้อยละ 13.9 ต่อปี หรือขยายตัวร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 หลังปรับปัจจัยพิเศษ สอดคล้องกับปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่แม้ในเดือนมิถุนายน 2560 จะหดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ -2.6 ต่อปี ส่วนหนึ่งเนื่องจากมีการขยายตัวเร่งไปแล้วก่อนหน้า แต่ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ยังสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 8.3 ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรที่แท้จริงในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 15.3 ต่อปี นอกจากนี้ ปริมาณนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนมิถุนายน 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.1 ต่อปี ส่งผลทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 สามารถขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี หรือขยายตัวร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 หลังปรับปัจจัยพิเศษ สําหรับการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณดีขึ้นจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนําเข้าสินค้าทุน ในเดือนมิถุนายน 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 7.2 ต่อปี และขยายตัวร้อยละ 9.9 ต่อปี ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 สูงขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อปี ซึ่งสะท้อนแนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนที่ดีขึ้น นอกจากนี้ แม้ว่าปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายน 2560 จะแผ่วลงเล็กน้อยโดยหดตัวที่ร้อยละ -0.5 ต่อปี แต่ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อปี และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าหักปัจจัยพิเศษพบว่า ขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อไตรมาส สําหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้าง สะท้อนจากภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนมิถุนายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 17.5 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์หดตัวร้อยละ -9.7 ต่อปี แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 หลังปรับปัจจัยพิเศษ พบว่าสามารถขยายตัวร้อยละ 1.6 ต่อไตรมาส ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกสินค้าในเดือนมิถุนายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี และเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 หลังปรับปัจจัยพิเศษ ขยายตัวร้อยละ 0.9 ทั้งนี้ หมวดสินค้าสําคัญที่สนับสนุนการส่งออก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ เกษตรกรรม ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นสําคัญ สําหรับตลาดส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ อาเซียน-5 จีน ญี่ปุ่น กลุ่ม CLMV สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นสําคัญ ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 10.9 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออกขยายตัวร้อยละ 2.7 และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 17 ไตรมาสที่ผ่านมา สําหรับมูลค่าการนําเข้าขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 13.7 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 15.2 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออกขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อไตรมาส ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวและการนําเข้าที่ฟื้นตัวได้ดี ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลที่ 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ดุลการค้าเกินดุลจํานวน 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ช่วงครึ่งปีแรก ปี 2560 ดุลการค้าเกินดุลที่ 7.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านการผลิตได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและภาคการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนมิถุนายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 12.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะหมวดพืชผลสําคัญขยายตัวร้อยละ 17.2 ตามการขยายตัวของข้าวเปลือก ยางพารา มันสําปะหลัง กลุ่มไม้ผล และปาล์มน้ํามัน เป็นสําคัญ ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 16.8 ต่อปี ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวสะท้อนจากจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือนมิถุนายน 2560 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 11.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวได้ดีจากจีน กลุ่ม CLMV มาเลเซีย อินเดีย และเกาหลี เป็นหลัก ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 จํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยขยายตัวร้อยละ 7.6 ต่อปี ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนมิถุนายน 2560 อยู่ที่ร้อยละ -0.05 และร้อยละ 0.4 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.1 และ 0.5 ต่อปี ตามลําดับ สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนมิถุนายน 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวม ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ของกําลังแรงงานรวม ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2560 อยู่ที่ระดับร้อยละ 42.9 ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 60 สําหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 อยู่ที่ระดับ 185.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 3.4 เท่าเมื่อเทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม 2560 รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนมิถุนายน และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 เศรษฐกิจไทยในเดือนมิถุนายน 2560 และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ส่งสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่อง โดยการส่งออกยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณปรับตัวดีจากรายได้ที่แท้จริงของเกษตรกรที่ขยายตัวต่อเนื่อง “เศรษฐกิจไทยในเดือนมิถุนายน 2560 และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ส่งสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่อง โดยการส่งออกยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณปรับตัวดีจากรายได้ที่แท้จริงของเกษตรกรที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่เศรษฐกิจไทยด้านการผลิตได้รับปัจจัยสนับสนุนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและภาคการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง” นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจําเดือนมิถุนายน 2560 และไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ว่า “เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณการขยายตัวต่อเนื่อง โดยการส่งออกยังเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก การบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณปรับตัวดีจากรายได้ที่แท้จริงของเกษตรกรที่ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่เศรษฐกิจไทยด้านการผลิตได้รับปัจจัยสนับสนุนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและภาคการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดี สะท้อนจากปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนมิถุนายน 2560 ยังคงขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ที่ร้อยละ 15.6 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ปริมาณการจําหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวร้อยละ 13.9 ต่อปี หรือขยายตัวร้อยละ 1.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 หลังปรับปัจจัยพิเศษ สอดคล้องกับปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่แม้ในเดือนมิถุนายน 2560 จะหดตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ -2.6 ต่อปี ส่วนหนึ่งเนื่องจากมีการขยายตัวเร่งไปแล้วก่อนหน้า แต่ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ยังสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 8.3 ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรที่แท้จริงในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 15.3 ต่อปี นอกจากนี้ ปริมาณนําเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนมิถุนายน 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.1 ต่อปี ส่งผลทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 สามารถขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3.2 ต่อปี หรือขยายตัวร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 หลังปรับปัจจัยพิเศษ สําหรับการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณดีขึ้นจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนําเข้าสินค้าทุน ในเดือนมิถุนายน 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 7.2 ต่อปี และขยายตัวร้อยละ 9.9 ต่อปี ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 สูงขึ้นจากไตรมาสที่ 1 ปี 2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อปี ซึ่งสะท้อนแนวโน้มการลงทุนภาคเอกชนที่ดีขึ้น นอกจากนี้ แม้ว่าปริมาณจําหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายน 2560 จะแผ่วลงเล็กน้อยโดยหดตัวที่ร้อยละ -0.5 ต่อปี แต่ในไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.2 ต่อปี และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าหักปัจจัยพิเศษพบว่า ขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อไตรมาส สําหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้าง สะท้อนจากภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนมิถุนายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 17.5 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ภาษีการทําธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์หดตัวร้อยละ -9.7 ต่อปี แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 หลังปรับปัจจัยพิเศษ พบว่าสามารถขยายตัวร้อยละ 1.6 ต่อไตรมาส ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกสินค้าในเดือนมิถุนายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 11.7 ต่อปี และเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 หลังปรับปัจจัยพิเศษ ขยายตัวร้อยละ 0.9 ทั้งนี้ หมวดสินค้าสําคัญที่สนับสนุนการส่งออก ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ เกษตรกรรม ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นสําคัญ สําหรับตลาดส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ อาเซียน-5 จีน ญี่ปุ่น กลุ่ม CLMV สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นสําคัญ ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 10.9 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออกขยายตัวร้อยละ 2.7 และเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 17 ไตรมาสที่ผ่านมา สําหรับมูลค่าการนําเข้าขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 13.7 ต่อปี ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 15.2 ต่อปี และเมื่อปรับผลทางฤดูกาลออกขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อไตรมาส ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกที่ขยายตัวและการนําเข้าที่ฟื้นตัวได้ดี ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุลที่ 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ดุลการค้าเกินดุลจํานวน 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ช่วงครึ่งปีแรก ปี 2560 ดุลการค้าเกินดุลที่ 7.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านการผลิตได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและภาคการท่องเที่ยวต่างประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรในเดือนมิถุนายน 2560 ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 12.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะหมวดพืชผลสําคัญขยายตัวร้อยละ 17.2 ตามการขยายตัวของข้าวเปลือก ยางพารา มันสําปะหลัง กลุ่มไม้ผล และปาล์มน้ํามัน เป็นสําคัญ ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 16.8 ต่อปี ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวสะท้อนจากจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือนมิถุนายน 2560 ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 11.4 ต่อปี โดยเป็นการขยายตัวได้ดีจากจีน กลุ่ม CLMV มาเลเซีย อินเดีย และเกาหลี เป็นหลัก ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 จํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยขยายตัวร้อยละ 7.6 ต่อปี ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนมิถุนายน 2560 อยู่ที่ร้อยละ -0.05 และร้อยละ 0.4 ต่อปี ตามลําดับ ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 อัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.1 และ 0.5 ต่อปี ตามลําดับ สําหรับอัตราการว่างงานในเดือนมิถุนายน 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.1 ของกําลังแรงงานรวม ทําให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 1.2 ของกําลังแรงงานรวม ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2560 อยู่ที่ระดับร้อยละ 42.9 ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 60 สําหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2560 อยู่ที่ระดับ 185.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 3.4 เท่าเมื่อเทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5513
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอกประวิตร ฯ ติดตามการดำเนินงานด้านสถานการณ์อุทกภัย และความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลำไย จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563 รอง นรม. พลเอกประวิตร ฯ ติดตามการดําเนินงานด้านสถานการณ์อุทกภัย และความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลําไย จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รอง นรม. พลเอกประวิตร ฯ ติดตามการดําเนินงานด้านสถานการณ์อุทกภัย และความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลําไย จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 วันนี้ (6 สิงหาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมลีลาวดี ศูนย์ประชุมนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมติดตามการดําเนินงานด้านสถานการณ์อุทกภัย และความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลําไย เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมีร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ทั้ง 8 จังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และผู้แทนเกษตรกรภาคเหนือเข้าร่วมประชุม รองนายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยว่า จากเหตุการณ์พายุ “ซินลากู” ที่เกิดขึ้น ทําให้เกิดอุทกภัยสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สิน อาคาร บ้านเรือน รวมทั้งพื้นที่การเกษตรของพี่น้องประชาชนในพื้นที่หลายจังหวัด รัฐบาลมีความห่วงใยและติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด โดยเน้นย้ําให้ทุกภาคส่วนบูรณาการปฏิบัติงาน ทั้งกําลังคนและเครื่องจักรต่าง ๆ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ (Single Command) ในจังหวัด และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะทํางานบริหารจัดการน้ําแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําช่วงฤดูแล้ง ให้มีน้ําใช้อย่างพอเพียง บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวมอบแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดังนี้ 1.การเฝ้าระวัง และแจ้งเตือนภัย ให้ติดตาม การคาดการณ์ ลักษณะอากาศ ปริมาณฝน ระดับน้ําในพื้นที่ทําการวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และแจ้งเตือนภัยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชน ตามแผนเผชิญเหตุอุทกภัย และให้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ถึงในระดับชุมชน หมู่บ้าน ตลอดจนสร้างการรับรู้ ถึงแนวทางการ ปฏิบัติตน ให้เกิดความปลอดภัย ช่องทางการรับ ความช่วยเหลือกับภาครัฐ 2. การอพยพประชาชน เมื่อเกิดอุทกภัย ดินโคลนถล่มในพื้นที่ ให้ฝ่ายปกครอง และองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นดําเนินการตามแผนการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยให้ระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ประชาชนจิตอาสา เข้าดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งจัดให้มีสิ่งของจําเป็นในการดํารงชีพ การแจกจ่ายถุงยังชีพให้ครอบคลุมทั่วถึง และจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน เพื่อประกอบอาหาร เลี้ยงประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อน อย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ 3. เมื่อสถานการณ์ในพื้นที่คลี่คลายแล้ว ให้ระดมกําลังจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนจิตอาสาเพื่อช่วยทําความสะอาด ฟื้นฟู สภาพที่อยู่อาศัยเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว และให้เร่งสํารวจความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่น ที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร สิ่งสาธารณประโยชน์ สิ่งสาธารณูปโภค เครื่องมือประกอบอาชีพ เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือตามระเบียบ กรณีความเสียหายและการช่วยเหลือที่ไม่สามารถดําเนินการตามที่ระเบียบฯ ให้จังหวัดประสานหน่วยทหาร สถาบันอาชีวศึกษา และภาคเอกชน เข้าดําเนินการช่วยเหลือต่อไป ในส่วนของเกษตรกรผู้ปลูกลําไยที่ได้รับความเดือดร้อน จากการแพร่ระบาดของโรค โควิด 19 นั้น รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้รับทราบปัญหาดังกล่าวแล้ว และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร โดยจังหวัดเชียงใหม่ มีปริมาณผลผลิตมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตในภาคเหนือ ตลาดหลักส่วนใหญ่ คือ ส่งออกไปยังประเทศจีน ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรียังขอเป็นกําลังใจให้พี่น้องประชาชนที่ประสบความเดือดร้อน และขอให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโดยความความเข้มแข็ง เกิดความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ เพื่อให้ทุกคนสามารถผ่านสถานการณ์อุทกภัยครั้งนี้ไปด้วยกัน ------------------------------- สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. พลเอกประวิตร ฯ ติดตามการดำเนินงานด้านสถานการณ์อุทกภัย และความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลำไย จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม 2563 รอง นรม. พลเอกประวิตร ฯ ติดตามการดําเนินงานด้านสถานการณ์อุทกภัย และความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลําไย จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รอง นรม. พลเอกประวิตร ฯ ติดตามการดําเนินงานด้านสถานการณ์อุทกภัย และความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลําไย จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 วันนี้ (6 สิงหาคม 2563) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมลีลาวดี ศูนย์ประชุมนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุมติดตามการดําเนินงานด้านสถานการณ์อุทกภัย และความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลําไย เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมีร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ทั้ง 8 จังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ และผู้แทนเกษตรกรภาคเหนือเข้าร่วมประชุม รองนายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยว่า จากเหตุการณ์พายุ “ซินลากู” ที่เกิดขึ้น ทําให้เกิดอุทกภัยสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สิน อาคาร บ้านเรือน รวมทั้งพื้นที่การเกษตรของพี่น้องประชาชนในพื้นที่หลายจังหวัด รัฐบาลมีความห่วงใยและติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด โดยเน้นย้ําให้ทุกภาคส่วนบูรณาการปฏิบัติงาน ทั้งกําลังคนและเครื่องจักรต่าง ๆ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ (Single Command) ในจังหวัด และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งคณะทํางานบริหารจัดการน้ําแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําช่วงฤดูแล้ง ให้มีน้ําใช้อย่างพอเพียง บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรียังกล่าวมอบแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดังนี้ 1.การเฝ้าระวัง และแจ้งเตือนภัย ให้ติดตาม การคาดการณ์ ลักษณะอากาศ ปริมาณฝน ระดับน้ําในพื้นที่ทําการวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์ และแจ้งเตือนภัยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือประชาชน ตามแผนเผชิญเหตุอุทกภัย และให้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ถึงในระดับชุมชน หมู่บ้าน ตลอดจนสร้างการรับรู้ ถึงแนวทางการ ปฏิบัติตน ให้เกิดความปลอดภัย ช่องทางการรับ ความช่วยเหลือกับภาครัฐ 2. การอพยพประชาชน เมื่อเกิดอุทกภัย ดินโคลนถล่มในพื้นที่ ให้ฝ่ายปกครอง และองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นดําเนินการตามแผนการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยให้ระดมกําลังเจ้าหน้าที่ ประชาชนจิตอาสา เข้าดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งจัดให้มีสิ่งของจําเป็นในการดํารงชีพ การแจกจ่ายถุงยังชีพให้ครอบคลุมทั่วถึง และจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน เพื่อประกอบอาหาร เลี้ยงประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อน อย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ 3. เมื่อสถานการณ์ในพื้นที่คลี่คลายแล้ว ให้ระดมกําลังจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนจิตอาสาเพื่อช่วยทําความสะอาด ฟื้นฟู สภาพที่อยู่อาศัยเพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว และให้เร่งสํารวจความเสียหายที่เกิดขึ้น เช่น ที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร สิ่งสาธารณประโยชน์ สิ่งสาธารณูปโภค เครื่องมือประกอบอาชีพ เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือตามระเบียบ กรณีความเสียหายและการช่วยเหลือที่ไม่สามารถดําเนินการตามที่ระเบียบฯ ให้จังหวัดประสานหน่วยทหาร สถาบันอาชีวศึกษา และภาคเอกชน เข้าดําเนินการช่วยเหลือต่อไป ในส่วนของเกษตรกรผู้ปลูกลําไยที่ได้รับความเดือดร้อน จากการแพร่ระบาดของโรค โควิด 19 นั้น รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลได้รับทราบปัญหาดังกล่าวแล้ว และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร โดยจังหวัดเชียงใหม่ มีปริมาณผลผลิตมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตในภาคเหนือ ตลาดหลักส่วนใหญ่ คือ ส่งออกไปยังประเทศจีน ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรียังขอเป็นกําลังใจให้พี่น้องประชาชนที่ประสบความเดือดร้อน และขอให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโดยความความเข้มแข็ง เกิดความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ เพื่อให้ทุกคนสามารถผ่านสถานการณ์อุทกภัยครั้งนี้ไปด้วยกัน ------------------------------- สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33991
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจง ปัญหาเครื่องชำระเงินอัตโนมัติบนรถโดยสาร ขสมก.
วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจง ปัญหาเครื่องชําระเงินอัตโนมัติบนรถโดยสาร ขสมก. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจง ปัญหาเครื่องชําระเงินอัตโนมัติบนรถโดยสาร ขสมก. วันที่ 11 ธันวาคม 2560 นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อํานวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตําแหน่ง ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ชี้แจงกรณีปัญหาเครื่องชําระเงินอัตโนมัติบนรถโดยสาร ขสมก. ตามที่สื่อลงพื้นที่สํารวจรถโดยสารประจําทาง ที่เขตการเดินรถที่ 2 (อู่มีนบุรี) ซึ่งมีจํานวนรถเมล์รวม 310 คัน จากการสํารวจพบปัญหาการชําระเงินผ่านเครื่อง E- Ticket และ Cash box ดังนี้ 1. รถเมล์สําหรับผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐติดตั้งเครื่องรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ E-Ticket และเครื่องรับชําระเงินอัตโนมัติ หรือ Cash box ครบทั้ง 100 คัน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 แต่เครื่องยังไม่พร้อมใช้งาน เพราะบริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) ยังไม่เชื่อมต่อระบบสัญญาณ จึงยังใช้พนักงานเก็บค่าโดยสาร รองรับผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการฯ ผ่าน Mobile Phone 2. ผู้ใช้รถเมล์ ขสมก. มองว่า การติดตั้ง Cash box อาจไม่คุ้มค่า เพราะเครื่องอาจมีปัญหากรณีมีผู้โดยสารจํานวนมาก และความไม่สะดวกในการจ่ายเงินผ่านเครื่อง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 3. ผู้โดยสารแนะว่า การติดตั้ง Cash box บนรถเมล์ ควรได้รับการทดสอบระบบก่อน ไม่ใช่ลงทุนติดตั้งเครื่องเปล่า โดยที่ไม่เกิดประโยชน์กับผู้โดยสาร องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขอชี้แจงดังนี้ 1. จากรายงานของบริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2560 บริษัทฯได้ดําเนินการติดตั้งเครื่องอ่านบัตร (E-Ticket) จํานวน 775 คัน แต่ใช้งานได้เพียง 122 คัน และติดตั้งเครื่องเก็บค่าโดยสาร (Cash box) จํานวน 300 คัน แต่ยังไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ ได้ทําหนังสือส่งมอบ เพื่อให้ ขสมก.ทําการทดสอบประสิทธิภาพการทํางานของเครื่องอ่านบัตรโดยสารที่ติดตั้งบนรถโดยสาร จํานวน 100 คันในสังกัดเขตการเดินรถที่ 7 เพียงอุปกรณ์เดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาการส่งมอบงานงวดที่ 1 ขณะนี้ ขสมก.อยู่ระหว่างดําเนินการทดสอบส่วนรถโดยสารในสังกัดเขตการเดินรถที่ 2 บริษัทฯยังไม่พร้อมให้ ขสมก.ทําการทดสอบ ทั้งนี้ ขสมก. ยังไม่มีการตรวจรับอุปกรณ์ใดๆจากบริษัทฯ ทั้งสิ้น กรณีที่บริษัทฯไม่สามารถส่งมอบเครื่องอ่านบัตรและเครื่องเก็บค่าโดยสารได้ตามสัญญา ขสมก.จะดําเนินการปรับบริษัทฯตามรายละเอียดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาต่อไป 2. บริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) มีหนังสือลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 เพื่อขอหารือกับ ขสมก.เรื่องการปรับใช้เครื่องเก็บค่าโดยสาร (Cash box) ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลทําให้เครื่องเก็บค่าโดยสารอาจถูกยกเลิกการใช้งานภายใน 2 ปี โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณา เนื่องจาก ขสมก. ได้ตรวจพบว่าเครื่องเก็บค่าโดยสารมีปัญหาทางด้านเทคนิค ทําให้ไม่สามารถทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง ยังมีข้อจํากัดในการทํางานช่วงชั่วโมงเร่งด่วน (Rush hour) ที่อาจทําให้เกิดปัญหาการจราจร ประกอบกับ ขสมก.จะพัฒนาระบบ E-Ticket เข้าสู่ระบบตั๋วร่วมหรือบัตรแมงมุม ภายใน 2 ปี ซึ่งจะไม่มีการใช้เงินสดอีกต่อไป แต่ตามสัญญา บริษัทฯจะต้องติดตั้งเครื่องอ่านบัตรและเครื่องเก็บค่าโดยสารบนรถ จํานวน 2,600 คัน โดยจะต้องติดตั้งให้แล้วเสร็จ จํานวน 800 คัน ภายในวันที่ 12 ธันวาคม 2560 หากบริษัทฯไม่สามารถดําเนินการแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนด ขสมก.จะดําเนินการปรับบริษัทฯตามรายละเอียดที่กําหนดไว้ในสัญญา ในส่วนของรถโดยสารที่เหลืออีก 1,800 คัน ขสมก.จะเร่งพิจารณา หนังสือที่บริษัทฯขอหารือต่อไป 3. ขสมก. รับมอบนโยบายจาก นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จากการเดินทางมาตรวจเยี่ยม เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2560 ว่า "ก่อนที่ ขสมก.จะดําเนินการประกวดราคาการจัดซื้อจัดจ้าง จะต้องทําการทดลองก่อน เพื่อวิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสีย โดยเชิญเอกชนผู้สนใจมาร่วมทดลองเมื่อประเมินผลการทดลองแล้วเป็นที่น่าพอใจจึงค่อยดําเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง" --------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจง ปัญหาเครื่องชำระเงินอัตโนมัติบนรถโดยสาร ขสมก. วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจง ปัญหาเครื่องชําระเงินอัตโนมัติบนรถโดยสาร ขสมก. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจง ปัญหาเครื่องชําระเงินอัตโนมัติบนรถโดยสาร ขสมก. วันที่ 11 ธันวาคม 2560 นายประยูร ช่วยแก้ว รองผู้อํานวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ รักษาการในตําแหน่ง ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ชี้แจงกรณีปัญหาเครื่องชําระเงินอัตโนมัติบนรถโดยสาร ขสมก. ตามที่สื่อลงพื้นที่สํารวจรถโดยสารประจําทาง ที่เขตการเดินรถที่ 2 (อู่มีนบุรี) ซึ่งมีจํานวนรถเมล์รวม 310 คัน จากการสํารวจพบปัญหาการชําระเงินผ่านเครื่อง E- Ticket และ Cash box ดังนี้ 1. รถเมล์สําหรับผู้ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐติดตั้งเครื่องรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ E-Ticket และเครื่องรับชําระเงินอัตโนมัติ หรือ Cash box ครบทั้ง 100 คัน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 แต่เครื่องยังไม่พร้อมใช้งาน เพราะบริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) ยังไม่เชื่อมต่อระบบสัญญาณ จึงยังใช้พนักงานเก็บค่าโดยสาร รองรับผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการฯ ผ่าน Mobile Phone 2. ผู้ใช้รถเมล์ ขสมก. มองว่า การติดตั้ง Cash box อาจไม่คุ้มค่า เพราะเครื่องอาจมีปัญหากรณีมีผู้โดยสารจํานวนมาก และความไม่สะดวกในการจ่ายเงินผ่านเครื่อง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 3. ผู้โดยสารแนะว่า การติดตั้ง Cash box บนรถเมล์ ควรได้รับการทดสอบระบบก่อน ไม่ใช่ลงทุนติดตั้งเครื่องเปล่า โดยที่ไม่เกิดประโยชน์กับผู้โดยสาร องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขอชี้แจงดังนี้ 1. จากรายงานของบริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2560 บริษัทฯได้ดําเนินการติดตั้งเครื่องอ่านบัตร (E-Ticket) จํานวน 775 คัน แต่ใช้งานได้เพียง 122 คัน และติดตั้งเครื่องเก็บค่าโดยสาร (Cash box) จํานวน 300 คัน แต่ยังไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ ได้ทําหนังสือส่งมอบ เพื่อให้ ขสมก.ทําการทดสอบประสิทธิภาพการทํางานของเครื่องอ่านบัตรโดยสารที่ติดตั้งบนรถโดยสาร จํานวน 100 คันในสังกัดเขตการเดินรถที่ 7 เพียงอุปกรณ์เดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาการส่งมอบงานงวดที่ 1 ขณะนี้ ขสมก.อยู่ระหว่างดําเนินการทดสอบส่วนรถโดยสารในสังกัดเขตการเดินรถที่ 2 บริษัทฯยังไม่พร้อมให้ ขสมก.ทําการทดสอบ ทั้งนี้ ขสมก. ยังไม่มีการตรวจรับอุปกรณ์ใดๆจากบริษัทฯ ทั้งสิ้น กรณีที่บริษัทฯไม่สามารถส่งมอบเครื่องอ่านบัตรและเครื่องเก็บค่าโดยสารได้ตามสัญญา ขสมก.จะดําเนินการปรับบริษัทฯตามรายละเอียดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาต่อไป 2. บริษัท ช ทวี จํากัด (มหาชน) มีหนังสือลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 เพื่อขอหารือกับ ขสมก.เรื่องการปรับใช้เครื่องเก็บค่าโดยสาร (Cash box) ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลทําให้เครื่องเก็บค่าโดยสารอาจถูกยกเลิกการใช้งานภายใน 2 ปี โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณา เนื่องจาก ขสมก. ได้ตรวจพบว่าเครื่องเก็บค่าโดยสารมีปัญหาทางด้านเทคนิค ทําให้ไม่สามารถทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง ยังมีข้อจํากัดในการทํางานช่วงชั่วโมงเร่งด่วน (Rush hour) ที่อาจทําให้เกิดปัญหาการจราจร ประกอบกับ ขสมก.จะพัฒนาระบบ E-Ticket เข้าสู่ระบบตั๋วร่วมหรือบัตรแมงมุม ภายใน 2 ปี ซึ่งจะไม่มีการใช้เงินสดอีกต่อไป แต่ตามสัญญา บริษัทฯจะต้องติดตั้งเครื่องอ่านบัตรและเครื่องเก็บค่าโดยสารบนรถ จํานวน 2,600 คัน โดยจะต้องติดตั้งให้แล้วเสร็จ จํานวน 800 คัน ภายในวันที่ 12 ธันวาคม 2560 หากบริษัทฯไม่สามารถดําเนินการแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนด ขสมก.จะดําเนินการปรับบริษัทฯตามรายละเอียดที่กําหนดไว้ในสัญญา ในส่วนของรถโดยสารที่เหลืออีก 1,800 คัน ขสมก.จะเร่งพิจารณา หนังสือที่บริษัทฯขอหารือต่อไป 3. ขสมก. รับมอบนโยบายจาก นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จากการเดินทางมาตรวจเยี่ยม เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2560 ว่า "ก่อนที่ ขสมก.จะดําเนินการประกวดราคาการจัดซื้อจัดจ้าง จะต้องทําการทดลองก่อน เพื่อวิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสีย โดยเชิญเอกชนผู้สนใจมาร่วมทดลองเมื่อประเมินผลการทดลองแล้วเป็นที่น่าพอใจจึงค่อยดําเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง" --------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8677
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.มอบบ้านโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในเขตพื้นที่ภาคใต้ 12 จังหวัด ที่นครศรีธรรมราช
วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2560 ศธ.มอบบ้านโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในเขตพื้นที่ภาคใต้ 12 จังหวัด ที่นครศรีธรรมราช ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่อําเภอนบพิตํา เพื่อเป็นประธานมอบบ้านโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในเขตพื้นที่ภาคใต้ 12 จังหวัด ในพื้นที่ตําบลกรุงชิง อําเภอนบพิตํา จํานวน 3 จุด โดยมีผู้บริหารในสังกัด และผู้บริหารในพื้นที่หลายภาคส่วนที่ให้ความช่วยเหลือร่วมเป็นประจักษ์พยานในพิธีมอบบ้านครั้งนี้ เช่น นายดนัย เจียมวิเศษสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช, นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายประชาคม จันทรชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นางเกษร ธานีรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัดนครศรีธรรมราช, นายสุรพล โชติธรรมโม ประธานกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช, ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1-4 /มัธยมศึกษา เขต 12ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นดําริของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มอบให้กระทรวงศึกษาธิการนําโดย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับจังหวัดนครศรีธรรมราช นําโดยผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เข้ามาให้ความช่วยเหลือแก่พี่น้องประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ ส่วนคณะพวกเราที่มาครั้งนี้ถือเป็นผู้แทนจากผู้ใหญ่ทุกท่านทั้งที่อยู่ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ภายหลังเกิดเหตุภัยพิบัติครั้งนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีก็ได้ปรารภถึงความห่วงใยแก่พี่น้องประชาชนในภาคใต้ทั้ง12จังหวัดจึงได้ขอความร่วมมือให้หน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการเข้ามาช่วยเหลือในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นสํานักงาน กศน. หรือสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) รวมทั้งส่วนราชการอื่นๆ ด้วย ซึ่งหากเราตั้งข้อสังเกตก็จะเห็นว่าเมื่อเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิดขึ้นในภาคต่าง ๆ คนไทยจะมีน้ําใจ เมตตาอารี กรุณายิ่ง เดินทางข้ามภาค ข้ามจังหวัด เข้ามาช่วยเหลือกัน ดังเช่นหน่วยงานทั้งสองของกระทรวงศึกษาธิการต่างส่งบุคลากรที่มีความรู้ความชํานาญการมาช่วยซ่อมแซม ให้บริการความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน รวมทั้งสร้างบ้านให้แก่ประชาชน และจากการสอบถามพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ต่างก็มีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก จึงขอให้มองเหตุการณ์นี้ที่ผ่านพ้นไปแล้วว่า เป็นเรื่องของภัยพิบัติ ใครก็ห้ามไม่ได้ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว คนไทยทุกภาคส่วนต่างมีน้ําจิตน้ําใจช่วยเหลือกัน เพราะ"จะเกิดภาคไหน ๆ ก็ไทยด้วยกัน" ความร่วมมือครั้งนี้ จึงเป็นสิ่งที่พวกเราช่วยกันปฏิบัติตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้พระราชทานสอนไว้ว่า "คนไทยต้องมีความรู้รักสามัคคี ประเทศชาติจึงจะนําพาไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และมีความร่มเย็นเป็นสุขได้"ในนามของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ จึงขอเป็นตัวแทนของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการมอบบ้านแก่ผู้ประสบภัยพิบัติทั้ง5ท่าน โอกาสนี้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบกุญแจบ้านให้แก่ประชาชนที่ประสบภัยพิบัติอย่างรุนแรง จํานวน 5 หลัง ในหมู่ 1,2, 5 และหมู่ 10 ของตําบลกรุงชิง อําเภอนบพิตํา จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านที่บุคลากรในสังกัดสํานักงาน กศน. และ สอศ. ร่วมใจกันก่อสร้างเพื่อมอบให้ประชาชน ดังนี้ - นางสาวชุลีพร งามขํา - นายเสนอ รัตนวงศ์ - นายจิรวุฒิ เมืองสุวรรณ์ - นางสาวสายพิณ ประดับเพชร - นายจําเนียร แซ่ตัน นอกจากนี้นายดนัย เจียมวิเศษสุขรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการทั้ง 2 ท่าน ได้ร่วมมอบพัดลม หม้อหุงข้าว รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ให้แก่เจ้าของบ้านทั้ง5หลังดังกล่าวอีกด้วย จากนั้น ม.ล.ปนัดดา และคณะ ได้เยี่ยมชมบูธการดําเนินงานของสํานักงาน กศน. และ สอศ.ที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน นับตั้งแต่ประสบภัยพิบัติจนถึงปัจจุบัน ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจดังกล่าว ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล และนายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้หารือร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะตัวแทนคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดนครศรธรรมราช (กศจ.นครศรีธรรมราช)รวมทั้งนายประหยัด อนุศิลป์ ผอ.สพป.นครศรีธรรมราช เขต 1 ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการจังหวัดนครศรีธรรมราช และคณะผู้บริหารสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในพื้นที่ เพื่อรับฟังสภาพปัญหาการดําเนินงานของ กศจ. และการหาสถานที่ตั้งของสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดนครศรีธรรมราช
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.มอบบ้านโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในเขตพื้นที่ภาคใต้ 12 จังหวัด ที่นครศรีธรรมราช วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2560 ศธ.มอบบ้านโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในเขตพื้นที่ภาคใต้ 12 จังหวัด ที่นครศรีธรรมราช ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่อําเภอนบพิตํา เพื่อเป็นประธานมอบบ้านโครงการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในเขตพื้นที่ภาคใต้ 12 จังหวัด ในพื้นที่ตําบลกรุงชิง อําเภอนบพิตํา จํานวน 3 จุด โดยมีผู้บริหารในสังกัด และผู้บริหารในพื้นที่หลายภาคส่วนที่ให้ความช่วยเหลือร่วมเป็นประจักษ์พยานในพิธีมอบบ้านครั้งนี้ เช่น นายดนัย เจียมวิเศษสุข รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช, นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นายประชาคม จันทรชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นางเกษร ธานีรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักงาน กศน.จังหวัดนครศรีธรรมราช, นายสุรพล โชติธรรมโม ประธานกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช, ผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 1-4 /มัธยมศึกษา เขต 12ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นดําริของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มอบให้กระทรวงศึกษาธิการนําโดย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับจังหวัดนครศรีธรรมราช นําโดยผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เข้ามาให้ความช่วยเหลือแก่พี่น้องประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ ส่วนคณะพวกเราที่มาครั้งนี้ถือเป็นผู้แทนจากผู้ใหญ่ทุกท่านทั้งที่อยู่ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ภายหลังเกิดเหตุภัยพิบัติครั้งนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีก็ได้ปรารภถึงความห่วงใยแก่พี่น้องประชาชนในภาคใต้ทั้ง12จังหวัดจึงได้ขอความร่วมมือให้หน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการเข้ามาช่วยเหลือในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นสํานักงาน กศน. หรือสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) รวมทั้งส่วนราชการอื่นๆ ด้วย ซึ่งหากเราตั้งข้อสังเกตก็จะเห็นว่าเมื่อเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิดขึ้นในภาคต่าง ๆ คนไทยจะมีน้ําใจ เมตตาอารี กรุณายิ่ง เดินทางข้ามภาค ข้ามจังหวัด เข้ามาช่วยเหลือกัน ดังเช่นหน่วยงานทั้งสองของกระทรวงศึกษาธิการต่างส่งบุคลากรที่มีความรู้ความชํานาญการมาช่วยซ่อมแซม ให้บริการความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน รวมทั้งสร้างบ้านให้แก่ประชาชน และจากการสอบถามพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ต่างก็มีความพึงพอใจเป็นอย่างมาก จึงขอให้มองเหตุการณ์นี้ที่ผ่านพ้นไปแล้วว่า เป็นเรื่องของภัยพิบัติ ใครก็ห้ามไม่ได้ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว คนไทยทุกภาคส่วนต่างมีน้ําจิตน้ําใจช่วยเหลือกัน เพราะ"จะเกิดภาคไหน ๆ ก็ไทยด้วยกัน" ความร่วมมือครั้งนี้ จึงเป็นสิ่งที่พวกเราช่วยกันปฏิบัติตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้พระราชทานสอนไว้ว่า "คนไทยต้องมีความรู้รักสามัคคี ประเทศชาติจึงจะนําพาไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และมีความร่มเย็นเป็นสุขได้"ในนามของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ จึงขอเป็นตัวแทนของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการมอบบ้านแก่ผู้ประสบภัยพิบัติทั้ง5ท่าน โอกาสนี้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบกุญแจบ้านให้แก่ประชาชนที่ประสบภัยพิบัติอย่างรุนแรง จํานวน 5 หลัง ในหมู่ 1,2, 5 และหมู่ 10 ของตําบลกรุงชิง อําเภอนบพิตํา จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านที่บุคลากรในสังกัดสํานักงาน กศน. และ สอศ. ร่วมใจกันก่อสร้างเพื่อมอบให้ประชาชน ดังนี้ - นางสาวชุลีพร งามขํา - นายเสนอ รัตนวงศ์ - นายจิรวุฒิ เมืองสุวรรณ์ - นางสาวสายพิณ ประดับเพชร - นายจําเนียร แซ่ตัน นอกจากนี้นายดนัย เจียมวิเศษสุขรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช และคณะผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการทั้ง 2 ท่าน ได้ร่วมมอบพัดลม หม้อหุงข้าว รวมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ให้แก่เจ้าของบ้านทั้ง5หลังดังกล่าวอีกด้วย จากนั้น ม.ล.ปนัดดา และคณะ ได้เยี่ยมชมบูธการดําเนินงานของสํานักงาน กศน. และ สอศ.ที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน นับตั้งแต่ประสบภัยพิบัติจนถึงปัจจุบัน ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจดังกล่าว ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล และนายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้หารือร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะตัวแทนคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดนครศรธรรมราช (กศจ.นครศรีธรรมราช)รวมทั้งนายประหยัด อนุศิลป์ ผอ.สพป.นครศรีธรรมราช เขต 1 ปฏิบัติหน้าที่ศึกษาธิการจังหวัดนครศรีธรรมราช และคณะผู้บริหารสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาในพื้นที่ เพื่อรับฟังสภาพปัญหาการดําเนินงานของ กศจ. และการหาสถานที่ตั้งของสํานักงานศึกษาธิการจังหวัดนครศรีธรรมราช
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2519
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เกษตร" เร่งเครื่อง สั่งทูตเกษตรประจำประเทศจีน รุกหนัก หวังเจาะช่องทางตลาดสินค้าเกษตรไทยเพิ่ม สู้ศึกสถานการณ์โควิด
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563 "เกษตร" เร่งเครื่อง สั่งทูตเกษตรประจําประเทศจีน รุกหนัก หวังเจาะช่องทางตลาดสินค้าเกษตรไทยเพิ่ม สู้ศึกสถานการณ์โควิด "เกษตร" เร่งเครื่อง สั่งทูตเกษตรประจําประเทศจีน รุกหนัก หวังเจาะช่องทางตลาดสินค้าเกษตรไทยเพิ่ม สู้ศึกสถานการณ์โควิด นายอลงกรณ์พลบุตรเปิดเผยว่าตามที่คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้(Fruit Board)ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นรองประธานได้ประชุมร่วมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามผลกระทบการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)โดยได้มอบหมายให้ผู้ส่วนราชการประสานงานร่วมกันเพื่อเร่งรับมือต่อสถานการ์โควิด-19อย่างเร่งด่วนล่าสุดได้รับรายงานจากสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจํากรุงปักกิ่งพบว่าประเทศจีนเริ่มมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นและทางการจีนได้ยกเลิกมาตรการปิดเมืองหลังไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศส่งผลให้ร้านค้าต่างๆเริ่มกลับมาให้บริการอีกครั้งแต่มีการจํากัดจํานวนนักท่องเที่ยวรวมทั้งมีมาตรการคัดกรองอย่างละเอียดแสดงให้เห็นว่าตลาดการค้าสินค้าเกษตรจีนเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วถึงประมาณ70 – 80%สามารถขยายการขนส่งภายใต้ข้อจํากัดและอุปสรรคได้โดยในช่วง1มี.ค. – 14เม.ย. 2563มีการส่งออกผลไม้หลักที่สําคัญได้แก่ทุเรียนลําไยและมังคุดผ่านช่องทางต่างๆของด่านตรวจพืชทั้งทางบกเรือและอากาศซึ่งมีปริมาณส่งออกรวม156,076ตันมูลค่า13,947ล้านบาทโดยในเดือนมีนาคม2563มีปริมาณส่งออกผลไม้หลักที่สําคัญจํานวน 75,908ตันและในช่วงวันที่1 – 14เมษายน2563มีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นจํานวน80,168ตันในระยะเวลาเพียงครึ่งเดือนมีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจอย่างไรก็ตามการขนส่งทางบกจากไทยไปจีนซึ่งมีปริมาณ 83,808ตันต้องผ่านเส้นทางประเทศลาวและเวียดนามเป็นเส้นทางสายหลักไปสู่ประเทศจีนยังพบว่ามีปัญหาติดขัดที่ด่านตรวจของประเทศดังกล่าวซึ่งเพิ่มมาตรการเข้มงวดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19จึงได้เน้นการขนส่งทางเรือเพิ่มมากขึ้นโดยการเพิ่มเที่ยวเรือในประเทศจีน อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นนายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้ผู้บริหารระดับสูงหารือเป็นการภายในกับผู้บริหารของทั้ง2ประเทศอย่างเร่งด่วนถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาระบบการตรวจรับใบรับรองต่างๆเพื่อไม่ให้ผลไม้ต้องติดค้างอยู่ที่ด่านสร้างความเสียหายตลอดจนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและบรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องการส่งออกสินค้าเกษตรไปประเทศจีนทําให้เกิดความเชื่อมั่นในผลผลิตของไทยโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 นายอลงกรณ์กล่าวเพิ่มเติมว่าในส่วนของมาตรการด้านการตลาดต่างประเทศได้กําชับให้ทูตเกษตรทูตพาณิชย์เดินหน้าการเจรจาจับคู่ธุรกิจ(Business Matching)ในรูปแบบออนไลน์ให้มากขึ้นและเป็นเซลส์แมนขายผลไม้ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดรวมทั้งช่วยดูในเรื่องการจัดหาสินค้านําเข้าเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งทางอากาศล่าสุดนายอศิศรจันทรประภาเลิศทูตเกษตรณกรุงปักกิ่ง ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าอาจมีความยากลําบากในการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับคู่ค้ารายใหม่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19เนื่องจากคู่ค้ารายใหม่ชาวจีนไม่สามารถเดินทางมาคัดเลือกสินค้าเกษตรณประเทศไทยได้อย่างไรก็ดีทูตเกษตรทุกคนไม่ได้นิ่งเฉยเร่งเจรจาขยายสินค้าเกษตรกับคู่ค้ารายเดิมซึ่งจะมีตัวแทนคนจีนที่มาคัดเลือกสินค้าอยู่ที่ประเทศไทยอยู่แล้วโดยคาดว่าสินค้าเกษตรทุกชนิดจากไทยไปจีนจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผลไม้ไทยที่กําลังทยอยให้ผลผลิตที่สําคัญได้แก่มะม่วงทุเรียนมังคุด นอกจากนี้มีรายงานจากนางสาวอาทินันท์อินทรพิมพ์ทูตเกษตรณนครเซี่ยงไฮ้ว่าได้มีการปรับตัวเร่งเดินหน้ากระตุ้นชาวจีนให้เลือกบริโภคสินค้าจากประเทศไทยโดยร่วมกับบริษัทซูหนิงซึ่งเป็นบริษัทที่ทําธุรกิจแพลตฟอร์มตลาดและสินค้าออนไลน์อันดับ3ของจีนและห้างคาร์ฟูได้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยผ่านช่องทางออนไลน์ในจีนและออกเผยแพร่ในห้างคาร์ฟูและแพลตฟอร์มออนไลน์ของจีนทั่วประเทศ “จีนยังคงเป็นคู่ค้าและเป็นพี่น้องกับประเทศไทยอย่างใกล้ชิดทั้งสองประเทศช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกันมาโดยตลอดเพราะฉะนั้นเกษตรกรท่านใดยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนแปลงและโรงคัดบรรจุและขอใบรับรองการส่งออกกับกรมวิชาการเกษตรขอให้เร่งดําเนินการโดยด่วนครับเพื่อผลประโยชน์และรักษาสิทธิ์ของท่านในการส่งออกสินค้าเกษตรไปจีน”นายอลงกรณ์กล่าว ทั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมวิชาการเกษตรได้ส่งข้อมูลทะเบียนสวนผลไม้และโรงคัดบรรจุภัณฑ์ผลไม้จํานวน5ชนิดส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีนของไทย(ฉบับเดือนเมษายน2563)ให้GACCประกาศขึ้นในเว็ปไซด์ของจีนได้แก่1)ทุเรียนจํานวน30,076สวนเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม11,672สวน2)มังคุดจํานวน18,919สวนเพิ่มขึ้น8,921สวน3)มะม่วงจํานวน5,671สวนเพิ่มขึ้น698สวน4)ลําไยจํานวน31,109สวนเพิ่มขึ้น2,420สวนและ5)ลิ้นจี่จํานวน1,404สวนเพิ่มขึ้น2สวนและโรงคัดบรรจุภัณฑ์ผลไม้จํานวน1,474รายเพิ่มขึ้น139รายตามลําดับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เกษตร" เร่งเครื่อง สั่งทูตเกษตรประจำประเทศจีน รุกหนัก หวังเจาะช่องทางตลาดสินค้าเกษตรไทยเพิ่ม สู้ศึกสถานการณ์โควิด วันพุธที่ 22 เมษายน 2563 "เกษตร" เร่งเครื่อง สั่งทูตเกษตรประจําประเทศจีน รุกหนัก หวังเจาะช่องทางตลาดสินค้าเกษตรไทยเพิ่ม สู้ศึกสถานการณ์โควิด "เกษตร" เร่งเครื่อง สั่งทูตเกษตรประจําประเทศจีน รุกหนัก หวังเจาะช่องทางตลาดสินค้าเกษตรไทยเพิ่ม สู้ศึกสถานการณ์โควิด นายอลงกรณ์พลบุตรเปิดเผยว่าตามที่คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้(Fruit Board)ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นรองประธานได้ประชุมร่วมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามผลกระทบการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)โดยได้มอบหมายให้ผู้ส่วนราชการประสานงานร่วมกันเพื่อเร่งรับมือต่อสถานการ์โควิด-19อย่างเร่งด่วนล่าสุดได้รับรายงานจากสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจํากรุงปักกิ่งพบว่าประเทศจีนเริ่มมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นและทางการจีนได้ยกเลิกมาตรการปิดเมืองหลังไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศส่งผลให้ร้านค้าต่างๆเริ่มกลับมาให้บริการอีกครั้งแต่มีการจํากัดจํานวนนักท่องเที่ยวรวมทั้งมีมาตรการคัดกรองอย่างละเอียดแสดงให้เห็นว่าตลาดการค้าสินค้าเกษตรจีนเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้วถึงประมาณ70 – 80%สามารถขยายการขนส่งภายใต้ข้อจํากัดและอุปสรรคได้โดยในช่วง1มี.ค. – 14เม.ย. 2563มีการส่งออกผลไม้หลักที่สําคัญได้แก่ทุเรียนลําไยและมังคุดผ่านช่องทางต่างๆของด่านตรวจพืชทั้งทางบกเรือและอากาศซึ่งมีปริมาณส่งออกรวม156,076ตันมูลค่า13,947ล้านบาทโดยในเดือนมีนาคม2563มีปริมาณส่งออกผลไม้หลักที่สําคัญจํานวน 75,908ตันและในช่วงวันที่1 – 14เมษายน2563มีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นจํานวน80,168ตันในระยะเวลาเพียงครึ่งเดือนมีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจอย่างไรก็ตามการขนส่งทางบกจากไทยไปจีนซึ่งมีปริมาณ 83,808ตันต้องผ่านเส้นทางประเทศลาวและเวียดนามเป็นเส้นทางสายหลักไปสู่ประเทศจีนยังพบว่ามีปัญหาติดขัดที่ด่านตรวจของประเทศดังกล่าวซึ่งเพิ่มมาตรการเข้มงวดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19จึงได้เน้นการขนส่งทางเรือเพิ่มมากขึ้นโดยการเพิ่มเที่ยวเรือในประเทศจีน อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นนายเฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้ผู้บริหารระดับสูงหารือเป็นการภายในกับผู้บริหารของทั้ง2ประเทศอย่างเร่งด่วนถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาระบบการตรวจรับใบรับรองต่างๆเพื่อไม่ให้ผลไม้ต้องติดค้างอยู่ที่ด่านสร้างความเสียหายตลอดจนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและบรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องการส่งออกสินค้าเกษตรไปประเทศจีนทําให้เกิดความเชื่อมั่นในผลผลิตของไทยโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 นายอลงกรณ์กล่าวเพิ่มเติมว่าในส่วนของมาตรการด้านการตลาดต่างประเทศได้กําชับให้ทูตเกษตรทูตพาณิชย์เดินหน้าการเจรจาจับคู่ธุรกิจ(Business Matching)ในรูปแบบออนไลน์ให้มากขึ้นและเป็นเซลส์แมนขายผลไม้ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดรวมทั้งช่วยดูในเรื่องการจัดหาสินค้านําเข้าเพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งทางอากาศล่าสุดนายอศิศรจันทรประภาเลิศทูตเกษตรณกรุงปักกิ่ง ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าอาจมีความยากลําบากในการเจรจาจับคู่ธุรกิจกับคู่ค้ารายใหม่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19เนื่องจากคู่ค้ารายใหม่ชาวจีนไม่สามารถเดินทางมาคัดเลือกสินค้าเกษตรณประเทศไทยได้อย่างไรก็ดีทูตเกษตรทุกคนไม่ได้นิ่งเฉยเร่งเจรจาขยายสินค้าเกษตรกับคู่ค้ารายเดิมซึ่งจะมีตัวแทนคนจีนที่มาคัดเลือกสินค้าอยู่ที่ประเทศไทยอยู่แล้วโดยคาดว่าสินค้าเกษตรทุกชนิดจากไทยไปจีนจะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผลไม้ไทยที่กําลังทยอยให้ผลผลิตที่สําคัญได้แก่มะม่วงทุเรียนมังคุด นอกจากนี้มีรายงานจากนางสาวอาทินันท์อินทรพิมพ์ทูตเกษตรณนครเซี่ยงไฮ้ว่าได้มีการปรับตัวเร่งเดินหน้ากระตุ้นชาวจีนให้เลือกบริโภคสินค้าจากประเทศไทยโดยร่วมกับบริษัทซูหนิงซึ่งเป็นบริษัทที่ทําธุรกิจแพลตฟอร์มตลาดและสินค้าออนไลน์อันดับ3ของจีนและห้างคาร์ฟูได้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยผ่านช่องทางออนไลน์ในจีนและออกเผยแพร่ในห้างคาร์ฟูและแพลตฟอร์มออนไลน์ของจีนทั่วประเทศ “จีนยังคงเป็นคู่ค้าและเป็นพี่น้องกับประเทศไทยอย่างใกล้ชิดทั้งสองประเทศช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกันมาโดยตลอดเพราะฉะนั้นเกษตรกรท่านใดยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนแปลงและโรงคัดบรรจุและขอใบรับรองการส่งออกกับกรมวิชาการเกษตรขอให้เร่งดําเนินการโดยด่วนครับเพื่อผลประโยชน์และรักษาสิทธิ์ของท่านในการส่งออกสินค้าเกษตรไปจีน”นายอลงกรณ์กล่าว ทั้งนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยกรมวิชาการเกษตรได้ส่งข้อมูลทะเบียนสวนผลไม้และโรงคัดบรรจุภัณฑ์ผลไม้จํานวน5ชนิดส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีนของไทย(ฉบับเดือนเมษายน2563)ให้GACCประกาศขึ้นในเว็ปไซด์ของจีนได้แก่1)ทุเรียนจํานวน30,076สวนเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม11,672สวน2)มังคุดจํานวน18,919สวนเพิ่มขึ้น8,921สวน3)มะม่วงจํานวน5,671สวนเพิ่มขึ้น698สวน4)ลําไยจํานวน31,109สวนเพิ่มขึ้น2,420สวนและ5)ลิ้นจี่จํานวน1,404สวนเพิ่มขึ้น2สวนและโรงคัดบรรจุภัณฑ์ผลไม้จํานวน1,474รายเพิ่มขึ้น139รายตามลําดับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เร่งหารือหน่วยงานภาครัฐ พัฒนาแอปพลิเคชั่นติดตามตัวคนต่างชาติ ป้องกันโควิด-19
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 ดีอีเอส เร่งหารือหน่วยงานภาครัฐ พัฒนาแอปพลิเคชั่นติดตามตัวคนต่างชาติ ป้องกันโควิด-19 ดีอีเอส เร่งหารือหน่วยงานภาครัฐ พัฒนาแอปพลิเคชั่นติดตามตัวคนต่างชาติ ป้องกันโควิด-19 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการดําเนินการพัฒนาแอปพลิเคชั่นติดตามตัวคนต่างชาติที่จะเข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรการผ่อนคลายในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะผู้บริหารกระทรวงฯร่วมประชุม ในการนี้ ได้ร่วมหารือกับผู้แทนฯจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กรมควบคุมโรค กรมการกงสุล สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้แทนจากสํานักงานประสานงานกลาง ศบค. บริษัท การท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย และบริษัท กสท.โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ณ ห้องประชุม 412 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา เกียกกาย กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 *****************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เร่งหารือหน่วยงานภาครัฐ พัฒนาแอปพลิเคชั่นติดตามตัวคนต่างชาติ ป้องกันโควิด-19 วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม 2563 ดีอีเอส เร่งหารือหน่วยงานภาครัฐ พัฒนาแอปพลิเคชั่นติดตามตัวคนต่างชาติ ป้องกันโควิด-19 ดีอีเอส เร่งหารือหน่วยงานภาครัฐ พัฒนาแอปพลิเคชั่นติดตามตัวคนต่างชาติ ป้องกันโควิด-19 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการดําเนินการพัฒนาแอปพลิเคชั่นติดตามตัวคนต่างชาติที่จะเข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรการผ่อนคลายในสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะผู้บริหารกระทรวงฯร่วมประชุม ในการนี้ ได้ร่วมหารือกับผู้แทนฯจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กรมควบคุมโรค กรมการกงสุล สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้แทนจากสํานักงานประสานงานกลาง ศบค. บริษัท การท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย และบริษัท กสท.โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) ณ ห้องประชุม 412 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา เกียกกาย กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 *****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33644
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุการประชุมร่วมกับ คสช. เป็นการหารือในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้วยความมั่นคงปลอดภัย และเพื่อติดตามการทำงาน
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561 นายกรัฐมนตรีระบุการประชุมร่วมกับ คสช. เป็นการหารือในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้วยความมั่นคงปลอดภัย และเพื่อติดตามการทํางาน นายกรัฐมนตรีระบุการประชุมร่วมกับ คสช. เป็นการหารือในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้วยความมั่นคงปลอดภัย และเพื่อติดตามการทํางาน วันนี้ (14 สิงหาคม 2561) เวลา 13.05 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า เป็นการหารือหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของความมั่นคงและความปลอดภัย และดูในเรื่องของการทํางาน เพราะในช่วงนี้จําเป็นต้องกํากับดูแลให้ทุกส่วนราชการทํางานภายใต้กรอบของ คสช. ซึ่งทุกคนต้องทํางานอย่างโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ โดยการใช้มาตรา 44 ก็ใช้กับเรื่องเหล่านี้ จึงต้องพิจารณว่าจะทํางานกันอย่างไรในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง เพื่อที่ให้ทุกอย่างเดินไปได้ด้วยดี ทํางานได้ผลหรือไม่ได้ผล มีประสิทธิภาพหรือไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องทุจริตอย่างเดียว แต่รวมถึงทุกเรื่อง และเป็นวาระทั่วไป ซึ่งนาน ๆ เจอหน้ากันที และเพื่อติดตามการทํางานของหน่วยงาน เพราะทํางานกับประชาชนโดยตรง พร้อมกับได้สอบถามดูว่ามีปัญหาอะไร ประชาชนร้องเรียนอะไรมาบ้าง ก็สั่งการให้ดูแลเขา อย่างเช่น การแก้หนี้นอกระบบ ที่รัฐบาลยอมไม่ได้กับการไปเรียกเก็บดอกเบี้ยสูง ๆ นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลต้องการให้ทุกอย่างมีการปฏิรูป เพราะฉะนั้นการแต่งตั้งคนขึ้นมาก็ต้องทํางานตามนโยบายให้ได้ คือยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่มีอย่างอื่น ไม่มีการสืบทอดอํานาจ ไม่ใช่ตั้งเพื่อให้รัฐบาลอยู่ได้ต่อไป หรือมีผลต่อการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าไปคิดแบบนั้น เพราะคนเลือกตั้งคือใคร คือประชาชน ไม่ใช่ คสช. ลงไปเลือกตั้งด้วย -------------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุการประชุมร่วมกับ คสช. เป็นการหารือในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้วยความมั่นคงปลอดภัย และเพื่อติดตามการทำงาน วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561 นายกรัฐมนตรีระบุการประชุมร่วมกับ คสช. เป็นการหารือในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้วยความมั่นคงปลอดภัย และเพื่อติดตามการทํางาน นายกรัฐมนตรีระบุการประชุมร่วมกับ คสช. เป็นการหารือในหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะด้วยความมั่นคงปลอดภัย และเพื่อติดตามการทํางาน วันนี้ (14 สิงหาคม 2561) เวลา 13.05 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า เป็นการหารือหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของความมั่นคงและความปลอดภัย และดูในเรื่องของการทํางาน เพราะในช่วงนี้จําเป็นต้องกํากับดูแลให้ทุกส่วนราชการทํางานภายใต้กรอบของ คสช. ซึ่งทุกคนต้องทํางานอย่างโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ โดยการใช้มาตรา 44 ก็ใช้กับเรื่องเหล่านี้ จึงต้องพิจารณว่าจะทํางานกันอย่างไรในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง เพื่อที่ให้ทุกอย่างเดินไปได้ด้วยดี ทํางานได้ผลหรือไม่ได้ผล มีประสิทธิภาพหรือไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องทุจริตอย่างเดียว แต่รวมถึงทุกเรื่อง และเป็นวาระทั่วไป ซึ่งนาน ๆ เจอหน้ากันที และเพื่อติดตามการทํางานของหน่วยงาน เพราะทํางานกับประชาชนโดยตรง พร้อมกับได้สอบถามดูว่ามีปัญหาอะไร ประชาชนร้องเรียนอะไรมาบ้าง ก็สั่งการให้ดูแลเขา อย่างเช่น การแก้หนี้นอกระบบ ที่รัฐบาลยอมไม่ได้กับการไปเรียกเก็บดอกเบี้ยสูง ๆ นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลต้องการให้ทุกอย่างมีการปฏิรูป เพราะฉะนั้นการแต่งตั้งคนขึ้นมาก็ต้องทํางานตามนโยบายให้ได้ คือยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่มีอย่างอื่น ไม่มีการสืบทอดอํานาจ ไม่ใช่ตั้งเพื่อให้รัฐบาลอยู่ได้ต่อไป หรือมีผลต่อการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าไปคิดแบบนั้น เพราะคนเลือกตั้งคือใคร คือประชาชน ไม่ใช่ คสช. ลงไปเลือกตั้งด้วย -------------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14590
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ให้ต้อนรับคณะผู้แทนจากกรมประชาสัมพันธ์ และสำนักข่าวเวียดนาม ในโอกาสเข้าศึกษาดูงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center)
วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562 กระทรวงดิจิทัลฯ ให้ต้อนรับคณะผู้แทนจากกรมประชาสัมพันธ์ และสํานักข่าวเวียดนาม ในโอกาสเข้าศึกษาดูงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) กระทรวงดิจิทัลฯ ให้ต้อนรับคณะผู้แทนจากกรมประชาสัมพันธ์ และสํานักข่าวเวียดนาม ในโอกาสเข้าศึกษาดูงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) วานนี้ (2 ธันวาคม 2562) ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของกองกลางและบริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากกรมประชาสัมพันธ์ และสํานักงานข่าวเวียดนาม เนื่องในโอกาสที่กรมประชาสัมพันธ์ และสํานักงานข่าวเวียดนาม เข้าศึกษาดูงานด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารการตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่บนสังคมออนไลน์และระบบอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย จากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) ในการบริหารจัดการต่อปัญหาข่าวปลอมที่เผยแพร่บนสื่ออินเทอร์เน็ตและสังคมออนไลน์ ณ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ******************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ให้ต้อนรับคณะผู้แทนจากกรมประชาสัมพันธ์ และสำนักข่าวเวียดนาม ในโอกาสเข้าศึกษาดูงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) วันอังคารที่ 3 ธันวาคม 2562 กระทรวงดิจิทัลฯ ให้ต้อนรับคณะผู้แทนจากกรมประชาสัมพันธ์ และสํานักข่าวเวียดนาม ในโอกาสเข้าศึกษาดูงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) กระทรวงดิจิทัลฯ ให้ต้อนรับคณะผู้แทนจากกรมประชาสัมพันธ์ และสํานักข่าวเวียดนาม ในโอกาสเข้าศึกษาดูงานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) วานนี้ (2 ธันวาคม 2562) ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ของกองกลางและบริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ให้การต้อนรับคณะผู้แทนจากกรมประชาสัมพันธ์ และสํานักงานข่าวเวียดนาม เนื่องในโอกาสที่กรมประชาสัมพันธ์ และสํานักงานข่าวเวียดนาม เข้าศึกษาดูงานด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารการตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่บนสังคมออนไลน์และระบบอินเทอร์เน็ตของประเทศไทย จากศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) ในการบริหารจัดการต่อปัญหาข่าวปลอมที่เผยแพร่บนสื่ออินเทอร์เน็ตและสังคมออนไลน์ ณ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti Fake News Center) บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ******************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24989
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความร่วมมือไทย - เยอรมัน
วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 2560 ความร่วมมือไทย - เยอรมัน นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้การต้อนรับ Mr. Tim Mahler รักษาการผู้อํานวยการองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และคณะ นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้การต้อนรับ Mr. Tim Mahler รักษาการผู้อํานวยการองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และคณะ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงการดําเนินการร่วมกันในปัจจุบัน และแนวทางการทํางานเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในอนาคต ซึ่งเป็นแผนงานใหม่ มีกรอบระยะเวลา ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ร่วมกับผู้แทนหน่วยงาน ได้แก่ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรน้ํา และสํานักความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ สาระสําคัญของการหารือมุ่งเน้นในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในสาขาต่าง ๆ อาทิ การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Mitigation) และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation)การจัดการขยะการบริหารจัดการน้ํา การเกษตรและพลังงาน โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดําเนินโครงการ ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ข้อเสนอแนะที่จะขยายขอบเขตการดําเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการดําเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน อาทิ การประเมินการท่องเที่ยว การเกษตรและสุขภาพ เป็นต้น รวมทั้งการนําเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้ ในการนี้ GIZ แจ้งว่า จะได้รวบรวมโครงการที่ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสนใจมีความร่วมมือกับ GIZ เสนอไปยังรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อพิจารณาตอบรับการให้การสนับสนุนทั้งด้านผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และการเงินซึ่งคาดว่าจะทราบผลภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑ และจะได้เริ่มการดําเนินงานร่วมกันในโอกาสแรก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความร่วมมือไทย - เยอรมัน วันเสาร์ที่ 9 ธันวาคม 2560 ความร่วมมือไทย - เยอรมัน นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้การต้อนรับ Mr. Tim Mahler รักษาการผู้อํานวยการองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และคณะ นายวิจารย์ สิมาฉายา ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้การต้อนรับ Mr. Tim Mahler รักษาการผู้อํานวยการองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) และคณะ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงการดําเนินการร่วมกันในปัจจุบัน และแนวทางการทํางานเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในอนาคต ซึ่งเป็นแผนงานใหม่ มีกรอบระยะเวลา ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ร่วมกับผู้แทนหน่วยงาน ได้แก่ สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรน้ํา และสํานักความร่วมมือด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ สาระสําคัญของการหารือมุ่งเน้นในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในสาขาต่าง ๆ อาทิ การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Mitigation) และการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptation)การจัดการขยะการบริหารจัดการน้ํา การเกษตรและพลังงาน โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการดําเนินโครงการ ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ข้อเสนอแนะที่จะขยายขอบเขตการดําเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการดําเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน อาทิ การประเมินการท่องเที่ยว การเกษตรและสุขภาพ เป็นต้น รวมทั้งการนําเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้ ในการนี้ GIZ แจ้งว่า จะได้รวบรวมโครงการที่ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสนใจมีความร่วมมือกับ GIZ เสนอไปยังรัฐบาลสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เพื่อพิจารณาตอบรับการให้การสนับสนุนทั้งด้านผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยี และการเงินซึ่งคาดว่าจะทราบผลภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑ และจะได้เริ่มการดําเนินงานร่วมกันในโอกาสแรก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8663
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 7/2560
วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ผลการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 7/2560 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมเพื่อขอรับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ประจําปี 2561 วันนี้ (13 พฤศจิกายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 7/2560 ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการให้ทุนสนับสนุนโครงการ ปี 2560 จากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จากการให้ทุนสนับสนุนโครงการ ปี 2560 ทั้งนี้ โดยได้รับรายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานการให้ทุนสนับสนุน การบริหารสัญญา และการกํากับสัญญาและติดตามประเมินผล ซึ่งมีการจัดทําสัญญาการสนับสนุนงบประมาณ จํานวน 50 โครงการ พร้อมได้ติดตามและประเมินผลโครงการที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนโครงการว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรโครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2560 ประกอบกับปฏิทินกิจกรรมผลลัพธ์โครงการ เพื่อวางแนวทางการกํากับและหนุนเสริมการทํางานโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุน พร้อมทั้งวิเคราะห์โครงการเพื่อสอดคล้องกับแนวทางการเปลี่ยนแปลงตามยุทธศาสตร์ฯ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมเพื่อขอรับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ประจําปี 2561 โดยเน้นรูปแบบการสนับสนุนงบประมาณโดยตรง (Open grant) และรูปแบบการสนับสนุนงบประมาณผ่านภาคียุทธศาสตร์ (Strategic grant) โดยให้สอดคล้องกับการจัดทํายุทธศาสตร์กองทุนฯ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายฝ่ายเลขานุการฯ ไปจัดเตรียมข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการ (ร่าง) ประกาศการให้ทุนสนับสนุนชิงยุทธศาสตร์ (Strategic grant) ดังกล่าวเพื่อนําเสนอการประชุมในคราวต่อไป ................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 7/2560 วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ผลการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 7/2560 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมเพื่อขอรับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ประจําปี 2561 วันนี้ (13 พฤศจิกายน 2560) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 7/2560 ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสําคัญดังนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าในการให้ทุนสนับสนุนโครงการ ปี 2560 จากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จากการให้ทุนสนับสนุนโครงการ ปี 2560 ทั้งนี้ โดยได้รับรายงานความก้าวหน้าการดําเนินงานการให้ทุนสนับสนุน การบริหารสัญญา และการกํากับสัญญาและติดตามประเมินผล ซึ่งมีการจัดทําสัญญาการสนับสนุนงบประมาณ จํานวน 50 โครงการ พร้อมได้ติดตามและประเมินผลโครงการที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนโครงการว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรโครงการหรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2560 ประกอบกับปฏิทินกิจกรรมผลลัพธ์โครงการ เพื่อวางแนวทางการกํากับและหนุนเสริมการทํางานโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุน พร้อมทั้งวิเคราะห์โครงการเพื่อสอดคล้องกับแนวทางการเปลี่ยนแปลงตามยุทธศาสตร์ฯ พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการหรือกิจกรรมเพื่อขอรับทุนสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ประจําปี 2561 โดยเน้นรูปแบบการสนับสนุนงบประมาณโดยตรง (Open grant) และรูปแบบการสนับสนุนงบประมาณผ่านภาคียุทธศาสตร์ (Strategic grant) โดยให้สอดคล้องกับการจัดทํายุทธศาสตร์กองทุนฯ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายฝ่ายเลขานุการฯ ไปจัดเตรียมข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการ (ร่าง) ประกาศการให้ทุนสนับสนุนชิงยุทธศาสตร์ (Strategic grant) ดังกล่าวเพื่อนําเสนอการประชุมในคราวต่อไป ................................................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8034
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม บอร์ด สสว. อนุมัติงบประมาณ 10,665 ล้านบาท เฟ้นมาตรการช่วย SME
วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม บอร์ด สสว. อนุมัติงบประมาณ 10,665 ล้านบาท เฟ้นมาตรการช่วย SME นายกฯ ประชุมบอร์ด สสว. อนุมัติงบ 10,665 ลบ. ผ่านโครงการต่าง ๆ ทั้งสนับสนุน SME รายย่อยผ่านกองทุน สสว. อุดหนุนผ่านโครงการ บสย. สร้างไทย โครงการ FX Option มาตรการ MSME 2020 เพื่อขับเคลื่อน SME ทุกมิติ วันนี้ (20 ก.พ.63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ครั้งที่ 1/2563 โดยมี นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อํานวยการ รักษาการแทนผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้แถลงผลการประชุม สรุปสาระสําคัญว่า ที่ประชุมอนุมัติและเห็นชอบในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็ง เพื่อช่วยเหลือ SME ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณปี 2562-2563 ดังนี้ 1. การจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้จ่ายในการดําเนินงานโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย กรอบวงเงินงบประมาณ 10,000 ล้านบาท ภายใต้มาตรการเพื่อการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 โดยแบ่งการดําเนินงานเป็น 2 ส่วนดังนี้ 1.1. โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ผ่านกองทุน สสว. วงเงิน 5,000 ล้านบาท มีผู้ประกอบการที่จะได้รับการสนับสนุน ไม่น้อยกว่า 4,890 ราย แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ บุคคลธรรมดา วงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บาท นิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 1.0 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ระยะปลอดชําระคืนเงินต้นไม่เกิน 1 ปี ดําเนินการโดย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) 1.2 สนับสนุนงบประมาณโครการ บสย. SMEs สร้างไทย โดย สสว. จ่ายเงินสมทบในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จํานวน 5,000 ล้านบาท วัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลืออุดหนุน SMEs ระยะเวลาค้ําประกันไม่เกิน 10 ปี โดยให้เป็นเงินสมทบในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้ บสย. ในอัตราร้อยละ 10 ส่วน บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยในอัตราร้อยละ 30 รวมเป็นค่าประกันชดเชยร้อยละ 40 ทั้งนี้จะมีผู้ประกอบการที่ได้รับความช่วยเหลือไม่น้อยกว่า 70,000 ราย 2. โครงการส่งเสริมความรู้ด้านบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและสนับสนุน SME ที่ทําการค้าระหว่างประเทศ (FX Option) เสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อผ่อนภาระของผู้ประกอบการและแรงกดดันจากค่าเงินบาทแข็ง วงเงิน 450 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ๆ แรก วงเงินงบประมาณ 225 ล้านบาท และระยะที่ 2 วงเงินงบประมาณ 225 ล้านบาท พิจารณาอนุมัติวงเงินอุดหนุน 100,000 บาทต่อราย ซึ่งจะทําให้ผู้ประกอบการที่ทําการค้าระหว่างประเทศมีความรู้จากโครงการดังกล่าว จํานวน 2,000 ราย โดยมีธนาคารรัฐ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารเอกชน 8 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกร ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย และ ธนาคารยูโอบี เป็นหน่วยร่วมดําเนินงาน 3. การจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อใช้ในการดําเนินงานมาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมครบวงจร (มาตรการ MSME 2020) งบประมาณ 215 ล้านบาท ดําเนินการ 13 มาตรการ โดยมุ่งเน้นไปยังประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ 1) การปรับสถานะกองทุนภาครัฐที่เป็นแหล่งเงินทุนสําหรับ MSME ให้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 2) การให้ บสย. พิจารณาการค้ําประกันทางตรงแก่ SME ที่มีศักยภาพ 3) สินเชื่อระยะสั้น-กลางสําหรับผู้ประกอบการรายย่อย 4) พัฒนาระบบการให้ความรู้ในการดําเนินธุรกิจแบบครบวงจร (SME Academy 365) 5) การส่งเสริมการจัดทําบัญชีของวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจรายย่อย 6) ระบบคูปองเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์สําหรับวิสาหกิจรายย่อยและวิสาหกิจชุมชน 7) พัฒนากลไกกลางในการพัฒนาช่องทางการตลาดให้แก่ MSME 8) การจัดมหกรรมการจําหน่ายสินค้า MSME 9) มาตรการ MSME ล้มแล้วลุก 10) การลดอุปสรรคในการฟื้นฟูธุรกิจ 11) การพัฒนาระบบประเมินศักยภาพ SME และฐานข้อมูล SME Big Data 12) การพัฒนาระบบการให้เอกชนสามารถเป็นหน่วยงานในการการให้การส่งเสริม MSME 13) ถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 4. การจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อดําเนินโครงการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนการอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Do Business) ระยะที่ 3 งบประมาณ 40 ล้านบาท ระยะเวลาดําเนินโครงการ 2 ปี เพื่อจัดทํานโยบายการปฏิรูปปรับปรุงแผนปฏิบัติการและจัดทําข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อช่วยผลักดันอันดับของประเทศไทยในรายงานความยากง่ายในการประกอบธุรกิจให้ดีขึ้น ซึ่งตัวชี้วัดสําคัญที่ธนาคารโลกต้องการให้ปรับปรุงคือ การเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของ SMEs โดยมีสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ “ภาพรวมมาตรการส่งเสริม SME ของ สสว. แบ่งเป็นมาตรการด้านการเงิน 10,450 ล้านบาท ได้แก่โครงการสนับสนุน SME รายย่อย ผ่านกองทุน สสว. 5,000 ล้านบาท อุดหนุนผ่านโครงการ บสย. สร้างไทย 5,000 ล้านบาท โครงการ FX Option 450 ล้านบาท รวมทั้งสนับสนุนมาตรการ MSME 2020 วงเงิน 215 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 10,665 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเป็นแนวทางการทํางานของ สสว. ในการขับเคลื่อน SME เพื่อนําไปปรับปรุง ซ่อมแซม ยกระดับการพัฒนาการให้บริการและขยายกําลังการผลิต ซึ่งจะทําให้กิจการสามารถดําเนินงานต่อไปได้ ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้จะทําให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนของเงินทุนในระบบ และยังเป็นการรักษาการจ้างงาน หรือเกิดการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย” ดร.วิมลกานต์ กล่าว --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ บอร์ด สสว.)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม บอร์ด สสว. อนุมัติงบประมาณ 10,665 ล้านบาท เฟ้นมาตรการช่วย SME วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานประชุม บอร์ด สสว. อนุมัติงบประมาณ 10,665 ล้านบาท เฟ้นมาตรการช่วย SME นายกฯ ประชุมบอร์ด สสว. อนุมัติงบ 10,665 ลบ. ผ่านโครงการต่าง ๆ ทั้งสนับสนุน SME รายย่อยผ่านกองทุน สสว. อุดหนุนผ่านโครงการ บสย. สร้างไทย โครงการ FX Option มาตรการ MSME 2020 เพื่อขับเคลื่อน SME ทุกมิติ วันนี้ (20 ก.พ.63) เวลา 13.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ครั้งที่ 1/2563 โดยมี นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อํานวยการ รักษาการแทนผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้แถลงผลการประชุม สรุปสาระสําคัญว่า ที่ประชุมอนุมัติและเห็นชอบในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็ง เพื่อช่วยเหลือ SME ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณปี 2562-2563 ดังนี้ 1. การจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อใช้จ่ายในการดําเนินงานโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย กรอบวงเงินงบประมาณ 10,000 ล้านบาท ภายใต้มาตรการเพื่อการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 โดยแบ่งการดําเนินงานเป็น 2 ส่วนดังนี้ 1.1. โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ผ่านกองทุน สสว. วงเงิน 5,000 ล้านบาท มีผู้ประกอบการที่จะได้รับการสนับสนุน ไม่น้อยกว่า 4,890 ราย แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ บุคคลธรรมดา วงเงินกู้ไม่เกิน 500,000 บาท นิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 1.0 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ระยะปลอดชําระคืนเงินต้นไม่เกิน 1 ปี ดําเนินการโดย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) 1.2 สนับสนุนงบประมาณโครการ บสย. SMEs สร้างไทย โดย สสว. จ่ายเงินสมทบในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จํานวน 5,000 ล้านบาท วัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลืออุดหนุน SMEs ระยะเวลาค้ําประกันไม่เกิน 10 ปี โดยให้เป็นเงินสมทบในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้ บสย. ในอัตราร้อยละ 10 ส่วน บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยในอัตราร้อยละ 30 รวมเป็นค่าประกันชดเชยร้อยละ 40 ทั้งนี้จะมีผู้ประกอบการที่ได้รับความช่วยเหลือไม่น้อยกว่า 70,000 ราย 2. โครงการส่งเสริมความรู้ด้านบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและสนับสนุน SME ที่ทําการค้าระหว่างประเทศ (FX Option) เสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อผ่อนภาระของผู้ประกอบการและแรงกดดันจากค่าเงินบาทแข็ง วงเงิน 450 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ๆ แรก วงเงินงบประมาณ 225 ล้านบาท และระยะที่ 2 วงเงินงบประมาณ 225 ล้านบาท พิจารณาอนุมัติวงเงินอุดหนุน 100,000 บาทต่อราย ซึ่งจะทําให้ผู้ประกอบการที่ทําการค้าระหว่างประเทศมีความรู้จากโครงการดังกล่าว จํานวน 2,000 ราย โดยมีธนาคารรัฐ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และธนาคารเอกชน 8 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกร ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย และ ธนาคารยูโอบี เป็นหน่วยร่วมดําเนินงาน 3. การจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อใช้ในการดําเนินงานมาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมครบวงจร (มาตรการ MSME 2020) งบประมาณ 215 ล้านบาท ดําเนินการ 13 มาตรการ โดยมุ่งเน้นไปยังประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ 1) การปรับสถานะกองทุนภาครัฐที่เป็นแหล่งเงินทุนสําหรับ MSME ให้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 2) การให้ บสย. พิจารณาการค้ําประกันทางตรงแก่ SME ที่มีศักยภาพ 3) สินเชื่อระยะสั้น-กลางสําหรับผู้ประกอบการรายย่อย 4) พัฒนาระบบการให้ความรู้ในการดําเนินธุรกิจแบบครบวงจร (SME Academy 365) 5) การส่งเสริมการจัดทําบัญชีของวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจรายย่อย 6) ระบบคูปองเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์สําหรับวิสาหกิจรายย่อยและวิสาหกิจชุมชน 7) พัฒนากลไกกลางในการพัฒนาช่องทางการตลาดให้แก่ MSME 8) การจัดมหกรรมการจําหน่ายสินค้า MSME 9) มาตรการ MSME ล้มแล้วลุก 10) การลดอุปสรรคในการฟื้นฟูธุรกิจ 11) การพัฒนาระบบประเมินศักยภาพ SME และฐานข้อมูล SME Big Data 12) การพัฒนาระบบการให้เอกชนสามารถเป็นหน่วยงานในการการให้การส่งเสริม MSME 13) ถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 4. การจัดสรรเงินกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อดําเนินโครงการศึกษาเพื่อขับเคลื่อนการอํานวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Do Business) ระยะที่ 3 งบประมาณ 40 ล้านบาท ระยะเวลาดําเนินโครงการ 2 ปี เพื่อจัดทํานโยบายการปฏิรูปปรับปรุงแผนปฏิบัติการและจัดทําข้อเสนอแนะแนวทางเพื่อช่วยผลักดันอันดับของประเทศไทยในรายงานความยากง่ายในการประกอบธุรกิจให้ดีขึ้น ซึ่งตัวชี้วัดสําคัญที่ธนาคารโลกต้องการให้ปรับปรุงคือ การเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของ SMEs โดยมีสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ “ภาพรวมมาตรการส่งเสริม SME ของ สสว. แบ่งเป็นมาตรการด้านการเงิน 10,450 ล้านบาท ได้แก่โครงการสนับสนุน SME รายย่อย ผ่านกองทุน สสว. 5,000 ล้านบาท อุดหนุนผ่านโครงการ บสย. สร้างไทย 5,000 ล้านบาท โครงการ FX Option 450 ล้านบาท รวมทั้งสนับสนุนมาตรการ MSME 2020 วงเงิน 215 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 10,665 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเป็นแนวทางการทํางานของ สสว. ในการขับเคลื่อน SME เพื่อนําไปปรับปรุง ซ่อมแซม ยกระดับการพัฒนาการให้บริการและขยายกําลังการผลิต ซึ่งจะทําให้กิจการสามารถดําเนินงานต่อไปได้ ส่งผลให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้จะทําให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนของเงินทุนในระบบ และยังเป็นการรักษาการจ้างงาน หรือเกิดการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย” ดร.วิมลกานต์ กล่าว --------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ บอร์ด สสว.)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26658
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอรุกดึงจีนลงทุนในยุคโควิด จัดสัมมนาออนไลน์ ตอกย้ำความเชื่อมั่น
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563 บีโอไอรุกดึงจีนลงทุนในยุคโควิด จัดสัมมนาออนไลน์ ตอกย้ําความเชื่อมั่น บีโอไอจับมือหน่วยงานพันธมิตรจีนจัดสัมมนาออนไลน์ครั้งใหญ่สําหรับนักลงทุนจีนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด เน้นชูจุดแข็งประเทศไทย พร้อมนําเสนอมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ และชี้โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในยุคโควิด บีโอไอรุกดึงจีนลงทุนในยุคโควิดจัดสัมมนาออนไลน์ ตอกย้ําความเชื่อมั่น บีโอไอจับมือหน่วยงานพันธมิตรจีนจัดสัมมนาออนไลน์ครั้งใหญ่สําหรับนักลงทุนจีนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด เน้นชูจุดแข็งประเทศไทย พร้อมนําเสนอมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ และชี้โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในยุคโควิด นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในวันพุธที่ 23 มิถุนายน 2563 ที่จะถึงนี้ บีโอไอ ร่วมกับสภาส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของจีนประจําประเทศไทย (CCPIT) และสมาคมการค้าวิสาหกิจไทย-จีน จะจัดการสัมมนาการลงทุนสําหรับผู้ประกอบการจีนในประเทศไทย และนักลงทุนในประเทศจีนที่สนใจ ผ่านระบบออนไลน์ (Webinar) ในหัวข้อ “Think Resilience, Think Thailand” เพื่อนําเสนอโอกาสขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ และมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นการลงทุนในช่วงโควิด พร้อมทั้งนําเสนอบริการสมาร์ท วีซ่า ให้แก่นักลงทุนจีน อีกทั้งยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ปัญหาและอุปสรรค และข้อเสนอแนะเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน โดยคาดว่าจะมีผู้บริหารจากบริษัทจีนและสมาชิกสมาคมการค้าวิสาหกิจไทย-จีน เข้าร่วมกว่า 300 ราย “การจัดสัมมนาครั้งนี้เป็นกิจกรรมใหญ่ครั้งแรกสําหรับนักลงทุนจีนนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด ซึ่งบีโอไอได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมมาเป็นการสัมมนาออนไลน์เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยจีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าคําขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงที่สุดตั้งแต่ปีที่แล้ว และมองว่าในช่วงปี 2563 – 2564 การลงทุนจากจีนจะยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาจากหลายปัจจัย ทั้งผลจากสงครามการค้า และการปรับโครงสร้างการลงทุนของหลายบริษัทเพื่อกระจายความเสี่ยงหลังโควิด รวมทั้งทิศทางการมุ่งออกสู่ต่างประเทศของธุรกิจจีน และต้นทุนการผลิตในจีนที่สูงขึ้นมากก็เป็นปัจจัยผลักดันด้วย ขณะที่ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เหมาะสม มีความมั่นคงปลอดภัย มีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนและนานาประเทศ โครงสร้างพื้นฐานมีคุณภาพสูง โดยเฉพาะ ในอีอีซี ซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมที่นักลงทุนจีนให้ความสนใจมาก อีกทั้งมีซัพพลายเชนที่ครบวงจร และมีสิทธิประโยชน์จูงใจจากภาครัฐ ซึ่งบีโอไอหวังว่าการจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้นักลงทุนจีนมองเห็นโอกาสการลงทุนใหม่ๆ และมีความเข้าใจในมาตรการสนับสนุนต่างๆ แต่จะช่วยตอกย้ําให้นักลงทุนจีนเกิดความเชื่อมั่นและตัดสินใจขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วย” นายนฤตม์ กล่าว ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม – พฤษภาคม 2563) มีโครงการลงทุนจากจีนยื่นขอรับการส่งเสริม จํานวน 82 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 15,069 ล้านบาท นับว่าสูงที่สุดของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งในแง่จํานวนโครงการและเงินลงทุน ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์โลหะ เคมีภัณฑ์และพลาสติก เครื่องจักรและอุปกรณ์ อาหารแปรรูป และอุตสาหกรรมเบา เช่น กระเป๋าเดินทาง เครื่องกีฬา และเฟอร์นิเจอร์ ***********************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอรุกดึงจีนลงทุนในยุคโควิด จัดสัมมนาออนไลน์ ตอกย้ำความเชื่อมั่น วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน 2563 บีโอไอรุกดึงจีนลงทุนในยุคโควิด จัดสัมมนาออนไลน์ ตอกย้ําความเชื่อมั่น บีโอไอจับมือหน่วยงานพันธมิตรจีนจัดสัมมนาออนไลน์ครั้งใหญ่สําหรับนักลงทุนจีนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด เน้นชูจุดแข็งประเทศไทย พร้อมนําเสนอมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ และชี้โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในยุคโควิด บีโอไอรุกดึงจีนลงทุนในยุคโควิดจัดสัมมนาออนไลน์ ตอกย้ําความเชื่อมั่น บีโอไอจับมือหน่วยงานพันธมิตรจีนจัดสัมมนาออนไลน์ครั้งใหญ่สําหรับนักลงทุนจีนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด เน้นชูจุดแข็งประเทศไทย พร้อมนําเสนอมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ และชี้โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในยุคโควิด นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในวันพุธที่ 23 มิถุนายน 2563 ที่จะถึงนี้ บีโอไอ ร่วมกับสภาส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของจีนประจําประเทศไทย (CCPIT) และสมาคมการค้าวิสาหกิจไทย-จีน จะจัดการสัมมนาการลงทุนสําหรับผู้ประกอบการจีนในประเทศไทย และนักลงทุนในประเทศจีนที่สนใจ ผ่านระบบออนไลน์ (Webinar) ในหัวข้อ “Think Resilience, Think Thailand” เพื่อนําเสนอโอกาสขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ และมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นการลงทุนในช่วงโควิด พร้อมทั้งนําเสนอบริการสมาร์ท วีซ่า ให้แก่นักลงทุนจีน อีกทั้งยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ปัญหาและอุปสรรค และข้อเสนอแนะเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน โดยคาดว่าจะมีผู้บริหารจากบริษัทจีนและสมาชิกสมาคมการค้าวิสาหกิจไทย-จีน เข้าร่วมกว่า 300 ราย “การจัดสัมมนาครั้งนี้เป็นกิจกรรมใหญ่ครั้งแรกสําหรับนักลงทุนจีนนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด ซึ่งบีโอไอได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมมาเป็นการสัมมนาออนไลน์เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยจีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าคําขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงที่สุดตั้งแต่ปีที่แล้ว และมองว่าในช่วงปี 2563 – 2564 การลงทุนจากจีนจะยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาจากหลายปัจจัย ทั้งผลจากสงครามการค้า และการปรับโครงสร้างการลงทุนของหลายบริษัทเพื่อกระจายความเสี่ยงหลังโควิด รวมทั้งทิศทางการมุ่งออกสู่ต่างประเทศของธุรกิจจีน และต้นทุนการผลิตในจีนที่สูงขึ้นมากก็เป็นปัจจัยผลักดันด้วย ขณะที่ประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เหมาะสม มีความมั่นคงปลอดภัย มีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนและนานาประเทศ โครงสร้างพื้นฐานมีคุณภาพสูง โดยเฉพาะ ในอีอีซี ซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมที่นักลงทุนจีนให้ความสนใจมาก อีกทั้งมีซัพพลายเชนที่ครบวงจร และมีสิทธิประโยชน์จูงใจจากภาครัฐ ซึ่งบีโอไอหวังว่าการจัดงานครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้นักลงทุนจีนมองเห็นโอกาสการลงทุนใหม่ๆ และมีความเข้าใจในมาตรการสนับสนุนต่างๆ แต่จะช่วยตอกย้ําให้นักลงทุนจีนเกิดความเชื่อมั่นและตัดสินใจขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วย” นายนฤตม์ กล่าว ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม – พฤษภาคม 2563) มีโครงการลงทุนจากจีนยื่นขอรับการส่งเสริม จํานวน 82 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 15,069 ล้านบาท นับว่าสูงที่สุดของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งในแง่จํานวนโครงการและเงินลงทุน ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์โลหะ เคมีภัณฑ์และพลาสติก เครื่องจักรและอุปกรณ์ อาหารแปรรูป และอุตสาหกรรมเบา เช่น กระเป๋าเดินทาง เครื่องกีฬา และเฟอร์นิเจอร์ ***********************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32478
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ลงพื้นที่ภาคใต้ ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย
วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560 ศธ.ลงพื้นที่ภาคใต้ ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย รัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้บริหาร และชาวกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ช่วยเหลือและให้กําลังใจพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.นครศรีธรรมราช ที่ประสบอุทกภัย ตามโครงการ "รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการช่วยเหลือประชาชน" ● ภารกิจที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นายสุเทพ ชิตยวงษ์เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา,นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นางรักขณา ตัณฑวุฑโฒ หัวหน้าสํานักงานรัฐมนตรี และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบอุทกภัยและมอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัยที่ ต.ท่าชี อ.บ้านนาสาร จํานวน 1,370 ถุง และ ต.เขาหัวควาย อ.พุนพิน จํานวน 1,000 ถุง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงห่วงใยพสกนิกรที่ประสบภัยพิบัติในครั้งนี้ และมีพระราชโองการสั่งให้องคมนตรีได้ติดตามดูแลประชาชนที่ประสบภัย ยังความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการ จึงรับสนองพระราชดําริ ด้วยการจัดโครงการ“รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการช่วยเหลือประชาชน”พร้อมทั้งจัดขบวนคาราวานนักศึกษาจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาและนักศึกษา กศน. ทั่วประเทศ ตั้งทีมให้ความช่วยเหลือ อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลก็มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเช่นกัน โดยทราบว่านายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้กระทรวงศึกษาธิการเข้าไปดูแลลูกหลานให้มีสถานที่เรียนหนังสือเพื่อไม่ให้เด็กเสียโอกาสทางการศึกษา ซึ่งถือเป็นหน้าที่หลักของกระทรวงศึกษาธิการในการบูรณะโรงเรียนที่เสียหายให้กลับมามีสภาพดังเดิมหรือดีกว่าเดิม ส่วนการขยายเวลาเรียนหรือขยายเวลาปิดภาคเรียนสําหรับโรงเรียนที่น้ําท่วมแล้วสอนไม่ทันนั้น ถ้ามีเหตุผลและจําเป็นก็ต้องทํา แต่ควรมีความยืดหยุ่น และคาดว่าสถานศึกษาจะสามารถเตรียมการสอบโอเน็ต ป.6 ช่วงเดือนมีนาคมนี้ได้ทันเวลา เพราะสถานการณ์ดีขึ้นมากแล้ว โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ประเมินสถานการณ์และรายงานให้ทราบทุกวัน นอกจากนี้ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดตั้งศูนย์อาชีวะบริการผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ 12 จังหวัด พร้อมทั้งส่งนักศึกษามาช่วยซ่อมอุปกรณ์ สิ่งของ ตลอดจนเครื่องใช้ไฟฟ้า การเดินทางมาให้ความช่วยเหลือที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้กระทรวงศึกษาธิการได้ทําดีเราจะได้รู้ว่าเรามีหน้าที่อะไรและทําหน้าที่นั้นให้ดีที่สุดซึ่งเงินที่นํามาช่วยเหลือก็เป็นเงินภาษีของประชาชน ดังนั้นหากประชาชนท่านใดไม่ได้รับความช่วยเหลือ ขอให้แจ้งมา อย่าอายที่จะขอความช่วยเหลือและต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะเป็นสิทธิ์ของทุกคน โดยกระทรวงศึกษาธิการไม่ต้องการความช่วยเหลือที่สร้างภาพ เราคนไทยด้วยกันอยากให้มีความห่วงใยกัน โอกาสนี้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ได้นั่งเรือตรวจเยี่ยมโรงเรียนบ้านไทรงาม อ.พุนพิน ซึ่งยังไม่สามารถเปิดทําการเรียนการสอนได้เพื่อรับทราบข้อมูลความเสียหายของโรงเรียนจากเหตุอุทกภัย และหารือแนวทางเร่งฟื้นฟู บูรณะ และซ่อมแซม ให้โรงเรียนเปิดทําการเรียนการสอนได้ทันทีภายหลังน้ําลด โดย รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า สถานศึกษาในจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้รับความเสียหายจากอุทกภัยจํานวน 276 โรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนประถมศึกษา และมีโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักอยู่ในอาการโคม่า 20 แห่ง เช่น โรงเรียนบ้านไทรงามซึ่งพื้นของอาคารเรียนทั้งสองหลังใช้งานไม่ได้ จึงต้องเร่งฟื้นฟูในเรื่องของกายภาพ และให้ สพฐ. ดูแลเรื่องการจัดทํางบประมาณในการปรับปรุงซ่อมแซม ส่วนเรื่องการจัดการเรียนการสอนได้แก้ปัญหาแล้ว เช่น การนําเด็กจากโรงเรียนต่าง ๆ มาเรียนรวมกัน และยืมสถานที่ของเอกชนมาใช้สอนหนังสือ เป็นต้น โดยพยายามทําเท่าที่สถานการณ์จะทําได้ ซึ่งตอนนี้มีข่าวดีคือระดับน้ําลดลงเรื่อย ๆ และที่น่ายินดีไปกว่านั้นคือ ได้รับความร่วมมือจากสถาบันอาชีวศึกษาจากภูมิภาคต่าง ๆ มาช่วยซ่อมสิ่งของ โดยมาตั้งศูนย์ฯ อยู่ที่สุราษฎร์ธานีเป็นเวลา 3 อาทิตย์แล้ว ซึ่งได้รับรายงานว่านักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาได้ช่วยซ่อมของทั้งชิ้นเล็กและชิ้นใหญ่ประมาณ 80,000 ชิ้น ความร่วมมือร่วมใจกันช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้จึงถือเป็นมูลค่าที่ประมาณไม่ได้ ●ภารกิจที่จังหวัดนครศรีธรรมราช* ในวันเดียวกันพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วยนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ,นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูรหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ,นายสุรพงษ์ จําจดเลขาธิการ กศน.,นายประชาคม จันทรชิตรองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายศรีชัย พรประชาธรรม รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. รวมทั้งผู้บริหารองค์กรหลัก ได้ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราชเพื่อมอบถุงยังชีพ อุปกรณ์การเรียนการสอน เสื้อผ้าชุดนักเรียน และให้กําลังใจแก่พี่น้องประชาชนและนักเรียนนักศึกษาที่ประสบอุทกภัย ที่โรงเรียนเกาะขันธ์ประชาภิบาล และโรงเรียนชะอวด สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 อ.ชะอวด และที่ศาลาศิลปาชีพบ้านเนินธัมมังอ.เชียรใหญ่จ.นครศรีธรรมราช พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรทรงห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ได้พระราชทานลายพระหัตถ์ความว่า"ด้วยความรักและห่วงใย ขอเป็นกําลังใจในการร่วมฟื้นฟูและพัฒนา เพื่อขวัญที่ดี จิตใจ และร่างกายที่เข้มแข็ง นํามาซึ่งความสุขและมั่นคงของชาติ"นอกจากนี้ พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ได้แสดงความห่วงใย และเสด็จฯ แทนพระองค์มาทรงเยี่ยมประชาชน และได้พระราชทานถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ยังความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ในนามของราชการ รัฐบาลจึงได้น้อมนําพระราชกระแสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ที่ทรงพระราชทานให้กับพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย มาให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้โดยมอบหมายให้ทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ได้เข้ามาช่วยเหลือดูแลให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ และฟื้นฟูพื้นที่ที่ประสบภัยน้ําท่วมให้เป็นปกติต่อไป ในวันนี้ ได้เดินทางมาพร้อมกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ โดยร่วมกับจังหวัดนครศรีธรรมราช รวมทั้งหน่วยงานสถานศึกษาทั่วประเทศที่ได้เดินทางมาระดมให้การช่วยเหลือให้กําลังใจพี่น้องประชาชนชาวใต้พร้อมทั้งนําทักษะของเด็กอาชีวศึกษาทั่วประเทศที่มีความชํานาญในแต่ละด้านมาให้ความช่วยเหลือ ซึ่งพวกเราจะช่วยทํางานต่อเนื่องกันอีกจนถึงสัปดาห์หน้า หรือหากมีความจําเป็นก็จะขยายเวลาทํางานต่อไปจนกว่าพื้นที่จะปกติ ในเรื่องของการศึกษานั้น ทราบว่าขณะนี้โรงเรียนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เปิดเรียนแล้วทุกแห่งจึงหมดคลายความกังวลในส่วนนี้ แต่ต้องเรียนให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้รับทราบด้วยว่าลูกหลานของพวกเราจะต้องเรียนชดเชยเพิ่มเติมในวันหยุด เพื่อให้จํานวนชั่วโมงเรียนครบถ้วนก่อนจะสอบปลายปีในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และฝากให้นักเรียนทุกคนตั้งใจเรียนเพื่อประสบความสําเร็จการทํางานในวันข้างหน้าสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการนํามามอบให้ในวันนี้ ถือเป็นน้ําจิตน้ําใจที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้ร่วมกันนํามามอบ โดยพยายามให้มีความทั่วถึงมากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ที่เดือดร้อนมีความจําเป็นจริง ๆ เป็นอันดับแรก แม้ว่าเราจะประสบอุทกภัย แต่ก็จะเห็นความห่วงใยของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศซึ่งรัฐบาลได้เปิดรับบริจาค และได้รับเงินบริจาคเป็นจํานวนมาก โดยรัฐบาลจะนําเงินบริจาคจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อช่วยเหลือสาธารณภัยในโอกาสต่อไป และในสัปดาห์หน้าคาดว่านายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ในภาคใต้เพื่อเยี่ยมพี่น้องประชาชนอีกด้วย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ย้ําด้วยว่า "คนไทยไม่ทิ้งกัน ถึงแม้จะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น ก็ระดมช่วยเหลือน้ําใจมาดูแลกัน ถือเป็นพลังสามัคคีและรวมพลังคนไทย ให้มีความมั่นคง ยั่งยืน ก้าวหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ประเทศชาติต่อไป" อนึ่ง นอกเหนือจากภารกิจที่สองจังหวัดข้างต้นแล้วนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ปลัดกระทรวงศึกษาธิการยังได้ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กําลังใจนักศึกษาและครู กศน. ของจังหวัดพังงา ซึ่งได้ลงมาปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ กศน.ตําบลป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง และศูนย์อาชีวะบริการของวิทยาลัยเทคนิคป่าพะยอม ให้บริการประชาชนที่ ศาลาอเนกประสงค์บ้านไสกุน อําเภอป่าพะยอม ซึ่งพื้นที่ทั้งสองแห่งมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งนี้เป็นจํานวนมาก ก่อนจะเดินทางไปร่วมกับคณะของ รมช.ศึกษาธิการ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ลงพื้นที่ภาคใต้ ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560 ศธ.ลงพื้นที่ภาคใต้ ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย รัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้บริหาร และชาวกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่ช่วยเหลือและให้กําลังใจพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.นครศรีธรรมราช ที่ประสบอุทกภัย ตามโครงการ "รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการช่วยเหลือประชาชน" ● ภารกิจที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วย พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, นายสุภัทร จําปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา, นายสุเทพ ชิตยวงษ์เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา,นายประเสริฐ บุญเรือง รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, นางรักขณา ตัณฑวุฑโฒ หัวหน้าสํานักงานรัฐมนตรี และผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบอุทกภัยและมอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัยที่ ต.ท่าชี อ.บ้านนาสาร จํานวน 1,370 ถุง และ ต.เขาหัวควาย อ.พุนพิน จํานวน 1,000 ถุง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงห่วงใยพสกนิกรที่ประสบภัยพิบัติในครั้งนี้ และมีพระราชโองการสั่งให้องคมนตรีได้ติดตามดูแลประชาชนที่ประสบภัย ยังความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการ จึงรับสนองพระราชดําริ ด้วยการจัดโครงการ“รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการช่วยเหลือประชาชน”พร้อมทั้งจัดขบวนคาราวานนักศึกษาจากวิทยาลัยอาชีวศึกษาและนักศึกษา กศน. ทั่วประเทศ ตั้งทีมให้ความช่วยเหลือ อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลก็มีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเช่นกัน โดยทราบว่านายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่เยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้กระทรวงศึกษาธิการเข้าไปดูแลลูกหลานให้มีสถานที่เรียนหนังสือเพื่อไม่ให้เด็กเสียโอกาสทางการศึกษา ซึ่งถือเป็นหน้าที่หลักของกระทรวงศึกษาธิการในการบูรณะโรงเรียนที่เสียหายให้กลับมามีสภาพดังเดิมหรือดีกว่าเดิม ส่วนการขยายเวลาเรียนหรือขยายเวลาปิดภาคเรียนสําหรับโรงเรียนที่น้ําท่วมแล้วสอนไม่ทันนั้น ถ้ามีเหตุผลและจําเป็นก็ต้องทํา แต่ควรมีความยืดหยุ่น และคาดว่าสถานศึกษาจะสามารถเตรียมการสอบโอเน็ต ป.6 ช่วงเดือนมีนาคมนี้ได้ทันเวลา เพราะสถานการณ์ดีขึ้นมากแล้ว โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ประเมินสถานการณ์และรายงานให้ทราบทุกวัน นอกจากนี้ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดตั้งศูนย์อาชีวะบริการผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ 12 จังหวัด พร้อมทั้งส่งนักศึกษามาช่วยซ่อมอุปกรณ์ สิ่งของ ตลอดจนเครื่องใช้ไฟฟ้า การเดินทางมาให้ความช่วยเหลือที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีในครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้กระทรวงศึกษาธิการได้ทําดีเราจะได้รู้ว่าเรามีหน้าที่อะไรและทําหน้าที่นั้นให้ดีที่สุดซึ่งเงินที่นํามาช่วยเหลือก็เป็นเงินภาษีของประชาชน ดังนั้นหากประชาชนท่านใดไม่ได้รับความช่วยเหลือ ขอให้แจ้งมา อย่าอายที่จะขอความช่วยเหลือและต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะเป็นสิทธิ์ของทุกคน โดยกระทรวงศึกษาธิการไม่ต้องการความช่วยเหลือที่สร้างภาพ เราคนไทยด้วยกันอยากให้มีความห่วงใยกัน โอกาสนี้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ได้นั่งเรือตรวจเยี่ยมโรงเรียนบ้านไทรงาม อ.พุนพิน ซึ่งยังไม่สามารถเปิดทําการเรียนการสอนได้เพื่อรับทราบข้อมูลความเสียหายของโรงเรียนจากเหตุอุทกภัย และหารือแนวทางเร่งฟื้นฟู บูรณะ และซ่อมแซม ให้โรงเรียนเปิดทําการเรียนการสอนได้ทันทีภายหลังน้ําลด โดย รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า สถานศึกษาในจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้รับความเสียหายจากอุทกภัยจํานวน 276 โรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนประถมศึกษา และมีโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักอยู่ในอาการโคม่า 20 แห่ง เช่น โรงเรียนบ้านไทรงามซึ่งพื้นของอาคารเรียนทั้งสองหลังใช้งานไม่ได้ จึงต้องเร่งฟื้นฟูในเรื่องของกายภาพ และให้ สพฐ. ดูแลเรื่องการจัดทํางบประมาณในการปรับปรุงซ่อมแซม ส่วนเรื่องการจัดการเรียนการสอนได้แก้ปัญหาแล้ว เช่น การนําเด็กจากโรงเรียนต่าง ๆ มาเรียนรวมกัน และยืมสถานที่ของเอกชนมาใช้สอนหนังสือ เป็นต้น โดยพยายามทําเท่าที่สถานการณ์จะทําได้ ซึ่งตอนนี้มีข่าวดีคือระดับน้ําลดลงเรื่อย ๆ และที่น่ายินดีไปกว่านั้นคือ ได้รับความร่วมมือจากสถาบันอาชีวศึกษาจากภูมิภาคต่าง ๆ มาช่วยซ่อมสิ่งของ โดยมาตั้งศูนย์ฯ อยู่ที่สุราษฎร์ธานีเป็นเวลา 3 อาทิตย์แล้ว ซึ่งได้รับรายงานว่านักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษาได้ช่วยซ่อมของทั้งชิ้นเล็กและชิ้นใหญ่ประมาณ 80,000 ชิ้น ความร่วมมือร่วมใจกันช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้จึงถือเป็นมูลค่าที่ประมาณไม่ได้ ●ภารกิจที่จังหวัดนครศรีธรรมราช* ในวันเดียวกันพล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการพร้อมด้วยนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ,นายบัณฑิตย์ ศรีพุทธางกูรหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ,นายสุรพงษ์ จําจดเลขาธิการ กศน.,นายประชาคม จันทรชิตรองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา, นายศรีชัย พรประชาธรรม รองเลขาธิการ ก.ค.ศ. รวมทั้งผู้บริหารองค์กรหลัก ได้ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราชเพื่อมอบถุงยังชีพ อุปกรณ์การเรียนการสอน เสื้อผ้าชุดนักเรียน และให้กําลังใจแก่พี่น้องประชาชนและนักเรียนนักศึกษาที่ประสบอุทกภัย ที่โรงเรียนเกาะขันธ์ประชาภิบาล และโรงเรียนชะอวด สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 อ.ชะอวด และที่ศาลาศิลปาชีพบ้านเนินธัมมังอ.เชียรใหญ่จ.นครศรีธรรมราช พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์กล่าวว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรทรงห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ได้พระราชทานลายพระหัตถ์ความว่า"ด้วยความรักและห่วงใย ขอเป็นกําลังใจในการร่วมฟื้นฟูและพัฒนา เพื่อขวัญที่ดี จิตใจ และร่างกายที่เข้มแข็ง นํามาซึ่งความสุขและมั่นคงของชาติ"นอกจากนี้ พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ได้แสดงความห่วงใย และเสด็จฯ แทนพระองค์มาทรงเยี่ยมประชาชน และได้พระราชทานถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ยังความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ในนามของราชการ รัฐบาลจึงได้น้อมนําพระราชกระแสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ที่ทรงพระราชทานให้กับพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย มาให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้โดยมอบหมายให้ทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ได้เข้ามาช่วยเหลือดูแลให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ และฟื้นฟูพื้นที่ที่ประสบภัยน้ําท่วมให้เป็นปกติต่อไป ในวันนี้ ได้เดินทางมาพร้อมกับผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ โดยร่วมกับจังหวัดนครศรีธรรมราช รวมทั้งหน่วยงานสถานศึกษาทั่วประเทศที่ได้เดินทางมาระดมให้การช่วยเหลือให้กําลังใจพี่น้องประชาชนชาวใต้พร้อมทั้งนําทักษะของเด็กอาชีวศึกษาทั่วประเทศที่มีความชํานาญในแต่ละด้านมาให้ความช่วยเหลือ ซึ่งพวกเราจะช่วยทํางานต่อเนื่องกันอีกจนถึงสัปดาห์หน้า หรือหากมีความจําเป็นก็จะขยายเวลาทํางานต่อไปจนกว่าพื้นที่จะปกติ ในเรื่องของการศึกษานั้น ทราบว่าขณะนี้โรงเรียนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เปิดเรียนแล้วทุกแห่งจึงหมดคลายความกังวลในส่วนนี้ แต่ต้องเรียนให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้รับทราบด้วยว่าลูกหลานของพวกเราจะต้องเรียนชดเชยเพิ่มเติมในวันหยุด เพื่อให้จํานวนชั่วโมงเรียนครบถ้วนก่อนจะสอบปลายปีในเดือนกุมภาพันธ์นี้ และฝากให้นักเรียนทุกคนตั้งใจเรียนเพื่อประสบความสําเร็จการทํางานในวันข้างหน้าสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการนํามามอบให้ในวันนี้ ถือเป็นน้ําจิตน้ําใจที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้ร่วมกันนํามามอบ โดยพยายามให้มีความทั่วถึงมากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ที่เดือดร้อนมีความจําเป็นจริง ๆ เป็นอันดับแรก แม้ว่าเราจะประสบอุทกภัย แต่ก็จะเห็นความห่วงใยของพี่น้องประชาชนทั่วประเทศซึ่งรัฐบาลได้เปิดรับบริจาค และได้รับเงินบริจาคเป็นจํานวนมาก โดยรัฐบาลจะนําเงินบริจาคจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อช่วยเหลือสาธารณภัยในโอกาสต่อไป และในสัปดาห์หน้าคาดว่านายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ในภาคใต้เพื่อเยี่ยมพี่น้องประชาชนอีกด้วย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ย้ําด้วยว่า "คนไทยไม่ทิ้งกัน ถึงแม้จะมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น ก็ระดมช่วยเหลือน้ําใจมาดูแลกัน ถือเป็นพลังสามัคคีและรวมพลังคนไทย ให้มีความมั่นคง ยั่งยืน ก้าวหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ประเทศชาติต่อไป" อนึ่ง นอกเหนือจากภารกิจที่สองจังหวัดข้างต้นแล้วนายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ปลัดกระทรวงศึกษาธิการยังได้ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กําลังใจนักศึกษาและครู กศน. ของจังหวัดพังงา ซึ่งได้ลงมาปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ กศน.ตําบลป่าพะยอม จังหวัดพัทลุง และศูนย์อาชีวะบริการของวิทยาลัยเทคนิคป่าพะยอม ให้บริการประชาชนที่ ศาลาอเนกประสงค์บ้านไสกุน อําเภอป่าพะยอม ซึ่งพื้นที่ทั้งสองแห่งมีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งนี้เป็นจํานวนมาก ก่อนจะเดินทางไปร่วมกับคณะของ รมช.ศึกษาธิการ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1426
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ผุดโครงการสนับสนุนสินค้าเกษตรไทยสู้ภัย COVID-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563 กระทรวงเกษตรฯ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ผุดโครงการสนับสนุนสินค้าเกษตรไทยสู้ภัย COVID-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] กระทรวงเกษตรฯ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ผุดโครงการสนับสนุนสินค้าเกษตรไทยสู้ภัย COVID-19 ผนึกพาณิชย์ และผู้ให้บริการขนส่งภาคเอกชน เร่งช่วยเหลือกระจายกระจายผลผลิตภายในประเทศ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ครั้งที่ 3/2563 ว่า ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางบริหารจัดการการขนส่งผลไม้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานกหารณ์การระบาดของโรค COVID-19 รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการค้ามะม่วงซึ่งผลผลิตไม่สามารถส่งออกได้ราว 360,000 ตัน และในปี 2563 ได้มีการคาดการณ์ปริมาณไม้ผลที่จะให้ผลผลิต คือ ทุเรียน 584,712 ตัน มังคุด 201,741 ตัน และเงาะ 220,946 ตัน โดยจะออกสู่ตลาดมากช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน 2563 แต่เมื่อได้รับผลกระทบ COVID-19 มีการวิเคราะห์ว่าจะส่งออกทุเรียนได้ 350,827 ตัน มังคุด 108,940 ตัน และเงาะ1,767 ตัน รวม 461,534 ตัน จึงมีส่วนต่างของผลผลิตที่ส่งออกไม่ได้ตามภาวะปกติ ดังนี้ ทุเรียน 58,471 ตัน มังคุด 12,105 ตัน และเงาะ 13,699 ตัน รวมทั้งสิ้น 84,275 ตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต้องบริหารจัดการ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าเกษตรอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบเช่นกันทั้งพืชผัก ไม้ดอก ประมง ปศุสัตว์ ซึ่งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีความห่วงใยเรื่องดังกล่าว พร้อมกําชับให้หน่วยงานในสังกัดเร่งหามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยในส่วนของไม้ผลได้ข้อสรุป 2 มาตรการ คือ 1) มาตรการช่วยเหลือในการกระจายและควบคุมคุณภาพสินค้า มี 4 โครงการย่อย ได้แก่ โครงการประสานใจเกษตรกรไทยสู่พี่น้องชาวจีนสู้วิกฤต COVID-19 เป้าหมาย ทุเรียน 20 ตัน มังคุด 20 ตัน, โครงการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคผลไม้ภายในประเทศ Eat Thai First เป้าหมาย 111,000 ตัน, โครงการสินค้าเกษตรไทยปลอดภัยจาก COVID-19 เป้าหมาย รับรอง GAP 70,000 แปลง รับรอง GMP 180 โรง และโครงการหาตลาดใหม่สินค้าเกษตรเพิ่มเติม ได้แก่ จีน UAE ตุรกี และเครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งแต่ละโครงการจะมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบในการกระจายผลผลิตไปยังแหล่งต่าง ๆ 2) มาตรการช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ได้มอบให้กรมส่งเสริมการเกษตรจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อสนับสนุนหรือบริโภคสินค้าเกษตรไทยสู้ภัย COVID-19 และกระทรวงเกษตรฯ ได้ประสานงานเกี่ยวกับแนวทางบริหารระบบการจัดการขนส่งผลไม้ (Logistic) เพื่อจัดการผลผลิตให้สามารถกระจายได้ในพื้นที่ 77 จังหวัด และจําหน่ายออกสู่ต่างประเทศให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันพิจารณาทางเลือกในการขนส่งหลาย ๆ ช่องทางทั้งทางอากาศ ทางบก และทางเรือ เพื่อวิเคราะห์หาจุดคุ้มค่าในการขนส่งพร้อมจัดทําบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกัน โดยการขนส่งผลไม้ทางอากาศ ขอสนับสนุนค่าชดเชยการระวางสินค้า กิโลกรัมละไม่เกิน 15 บาท ให้แก่บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เป้าหมายการดําเนินงาน 4,400 ตัน (เกาหลี 3,800 ตัน ญี่ปุ่น 1,000 ตัน) คิดเป็นเงิน 66 ล้านบาท การขนส่งภายในประเทศทางรถยนต์ ให้มีหน่วยงานรวบรวมในลักษณะตลาดกลาง หรือเป็น Hub เพื่อกระจายผลผลิตภายในประเทศต่อ และขอความร่วมมือบริษัทเอกชนต่าง ๆ ช่วยลดราคาค่าขนส่งผลไม้ลง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้เร่งกระจายผลผลิตผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ หรือบริการขนส่งแทนการซื้อขายปกติ นอกจากนี้ ในวันที่ 9 เม.ย. 63 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ กระทรวงพาณิชย์ จัดให้มีพิธีลงนาม MOU ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน อาทิ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการค้าภายใน ตลอดจน บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) สมาพันธ์โลจิสติกไทย และผู้ให้บริการขนส่งเอกชน เป็นต้น ด้านนายทวี มาสขาว รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทุกภาคส่วนจากการปิดเมืองหรือการยกเลิกกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต การค้าปลีก การค้าระหว่างประเทศ การขนส่ง รวมทั้งสินค้าเกษตร ซึ่งบางสินค้าจะมีผลผลิตออกมากในช่วงวิกฤตนี้และไม่สามารถส่งออกได้ตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยเฉพาะตลาดเกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป ซึ่งต้องส่งทางเครื่องบินและขณะนี้ไม่มีเที่ยวบินไปยังประเทศเหล่านี้ ตลาดในประเทศชะลอตัวเนื่องจากผู้บริโภคเดินตลาดน้อยลง และเน้นการซื้อสินค้าที่จําเป็นมากกว่า ทําให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากไม่สามารถจําหน่ายผลผลิตได้ ซึ่งสินค้าไม่สามารถเก็บรักษาได้ในระยะเวลานาน เช่น มะม่วง มังคุด องุ่น ลิ้นจี่ ลําไย พืชผัก ไม้ดอกต่าง ๆ เป็นต้น จึงจําเป็นต้องรีบจําหน่ายผลผลิตให้ถึงมือผู้บริโภคก่อนสินค้าเกษตรจะเสียหาย กระทรวงเกษตรเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสจัดทําโครงการสนับสนุนสินค้าเกษตรไทยสู้ภัย COVID-19 เพื่อรณรงค์ส่งเสริมสินค้าเกษตรไทยและช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนในช่วงสถานการณ์ COVID – 19 ภายใต้แนวคิด (Campaign) “ซื้อสินค้าเกษตรไทย เกษตรกรอยู่ได้ ประเทศไทยอยู่รอด” โดยให้ส่วนราชการ บริษัท ห้าง/ร้าน และประชาชนช่วยกันอุดหนุนซื้อสินค้าเกษตรคุณภาพดีไปมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ทหาร เทศกิจ อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน ที่ต้องเสียสละเวลาในการดูแลประชาชนในพื้นที่ หรือเป็นของขวัญของฝากคนที่รักและห่วงใยแก่ครอบครัวที่ต้องอยู่ห่างไกลกัน ให้ได้บริโภคสินค้าเกษตรสดและมีคุณภาพในช่วงนี้ รูปแบบการดําเนินงานเบื้องต้นจะเชิญชวนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ บริษัท ห้าง/ร้าน และประชาชน ร่วมสั่งซื้อสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพจากเกษตรกร และนําไปมอบให้กับผู้มีภารกิจหน้าที่ในการป้องกัน รักษาสุขภาพของประชาชนต่อสู้ภัย COVID – 19 ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค โดยกรมส่งเสริมการเกษตรหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบสินค้านั้น ๆ เช่น กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมการข้าว ประสานอํานวยความสะดวกการสั่งซื้อสินค้าจากเกษตรกรให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีความประสงค์จะสั่งซื้อสินค้าดังกล่าว รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับมาตรการช่วยเหลือในการกระจายและควบคุมคุณภาพสินค้าสู้ภัย COVID-19 ทั้ง 4 โครงการย่อยนั้นกรมส่งเสริมการเกษตรร่วมสนับสนุนในทุกโครงการ โดยเฉพาะโครงการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคผลไม้ภายในประเทศ Eat Thai First ขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตรได้ประสานงานกับตลาดไทและ Home pro เรียบร้อยแล้ว มีเป้าหมายการจําหน่ายสินค้าทั้ง 2 แห่ง รวม 1,200 ตัน โดยตลาดไทยินดีให้ใช้พื้นที่ในช่วงฤดูกาลผลิต นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากบริษัทไปรษณีย์ไทย จํากัด ในการส่งเสริมเกษตรกรให้จําหน่ายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ โดยคัดเลือกเกษตรกรและเกษตรกรแปลงใหญ่ลงทะเบียนกับบริษัทไปรษณีย์ไทย จํากัด เพื่อกระจายสินค้าสู่ตลาดปลายทาง เป้าหมาย 2,000 ตัน ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ค่าขนส่งสินค้าเกษตรเฉพาะผักและผลไม้สด กิโลกรัมละ 8 บาท ภายใต้เงื่อนไขเกษตรกรต้องสมัครเป็นสมาชิกจําหน่ายสินค้าเกษตรผ่านระบบ Thailandpostmart.com และเมื่อสมัครต้องใส่โค้ด: กรมส่งเสริมการเกษตร และต้องได้รับการอนุมัติให้ขายผ่าน Thailandpostmart.com นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรยังได้เตรียมเปิดเพจส่งเสริมการจําหน่ายสินค้าเกษตรผ่านระบบออนไลน์ภายใต้ชื่อ “ตลาดเกษตรกรออนไลน์.com” ซึ่งจะมีหมวดหมู่สินค้าให้เลือกช้อป 9 หมวดหมู่ ได้แก่ ผัก, ผลไม้, ไม้ดอกไม้ประดับ, ข้าวและธัญพืช, อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม, สมุนไพรและเครื่องสําอาง, ผ้าและเครื่องแต่งกาย, หัตถกรรมและสิ่งประดิษฐ์ และอื่น ๆ โดยจะเริ่มเปิดตัวในวันที่ 9 เมษายน 2563 นี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ผุดโครงการสนับสนุนสินค้าเกษตรไทยสู้ภัย COVID-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] วันพุธที่ 8 เมษายน 2563 กระทรวงเกษตรฯ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ผุดโครงการสนับสนุนสินค้าเกษตรไทยสู้ภัย COVID-19 [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] กระทรวงเกษตรฯ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ผุดโครงการสนับสนุนสินค้าเกษตรไทยสู้ภัย COVID-19 ผนึกพาณิชย์ และผู้ให้บริการขนส่งภาคเอกชน เร่งช่วยเหลือกระจายกระจายผลผลิตภายในประเทศ นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ครั้งที่ 3/2563 ว่า ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางบริหารจัดการการขนส่งผลไม้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานกหารณ์การระบาดของโรค COVID-19 รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการค้ามะม่วงซึ่งผลผลิตไม่สามารถส่งออกได้ราว 360,000 ตัน และในปี 2563 ได้มีการคาดการณ์ปริมาณไม้ผลที่จะให้ผลผลิต คือ ทุเรียน 584,712 ตัน มังคุด 201,741 ตัน และเงาะ 220,946 ตัน โดยจะออกสู่ตลาดมากช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน 2563 แต่เมื่อได้รับผลกระทบ COVID-19 มีการวิเคราะห์ว่าจะส่งออกทุเรียนได้ 350,827 ตัน มังคุด 108,940 ตัน และเงาะ1,767 ตัน รวม 461,534 ตัน จึงมีส่วนต่างของผลผลิตที่ส่งออกไม่ได้ตามภาวะปกติ ดังนี้ ทุเรียน 58,471 ตัน มังคุด 12,105 ตัน และเงาะ 13,699 ตัน รวมทั้งสิ้น 84,275 ตัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต้องบริหารจัดการ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าเกษตรอื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบเช่นกันทั้งพืชผัก ไม้ดอก ประมง ปศุสัตว์ ซึ่งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีความห่วงใยเรื่องดังกล่าว พร้อมกําชับให้หน่วยงานในสังกัดเร่งหามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร โดยในส่วนของไม้ผลได้ข้อสรุป 2 มาตรการ คือ 1) มาตรการช่วยเหลือในการกระจายและควบคุมคุณภาพสินค้า มี 4 โครงการย่อย ได้แก่ โครงการประสานใจเกษตรกรไทยสู่พี่น้องชาวจีนสู้วิกฤต COVID-19 เป้าหมาย ทุเรียน 20 ตัน มังคุด 20 ตัน, โครงการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคผลไม้ภายในประเทศ Eat Thai First เป้าหมาย 111,000 ตัน, โครงการสินค้าเกษตรไทยปลอดภัยจาก COVID-19 เป้าหมาย รับรอง GAP 70,000 แปลง รับรอง GMP 180 โรง และโครงการหาตลาดใหม่สินค้าเกษตรเพิ่มเติม ได้แก่ จีน UAE ตุรกี และเครือรัฐออสเตรเลีย ซึ่งแต่ละโครงการจะมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบในการกระจายผลผลิตไปยังแหล่งต่าง ๆ 2) มาตรการช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการ นอกจากนี้ ได้มอบให้กรมส่งเสริมการเกษตรจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อสนับสนุนหรือบริโภคสินค้าเกษตรไทยสู้ภัย COVID-19 และกระทรวงเกษตรฯ ได้ประสานงานเกี่ยวกับแนวทางบริหารระบบการจัดการขนส่งผลไม้ (Logistic) เพื่อจัดการผลผลิตให้สามารถกระจายได้ในพื้นที่ 77 จังหวัด และจําหน่ายออกสู่ต่างประเทศให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันพิจารณาทางเลือกในการขนส่งหลาย ๆ ช่องทางทั้งทางอากาศ ทางบก และทางเรือ เพื่อวิเคราะห์หาจุดคุ้มค่าในการขนส่งพร้อมจัดทําบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกัน โดยการขนส่งผลไม้ทางอากาศ ขอสนับสนุนค่าชดเชยการระวางสินค้า กิโลกรัมละไม่เกิน 15 บาท ให้แก่บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เป้าหมายการดําเนินงาน 4,400 ตัน (เกาหลี 3,800 ตัน ญี่ปุ่น 1,000 ตัน) คิดเป็นเงิน 66 ล้านบาท การขนส่งภายในประเทศทางรถยนต์ ให้มีหน่วยงานรวบรวมในลักษณะตลาดกลาง หรือเป็น Hub เพื่อกระจายผลผลิตภายในประเทศต่อ และขอความร่วมมือบริษัทเอกชนต่าง ๆ ช่วยลดราคาค่าขนส่งผลไม้ลง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้เร่งกระจายผลผลิตผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ หรือบริการขนส่งแทนการซื้อขายปกติ นอกจากนี้ ในวันที่ 9 เม.ย. 63 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ กระทรวงพาณิชย์ จัดให้มีพิธีลงนาม MOU ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน อาทิ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และกรมการค้าภายใน ตลอดจน บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) สมาพันธ์โลจิสติกไทย และผู้ให้บริการขนส่งเอกชน เป็นต้น ด้านนายทวี มาสขาว รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทุกภาคส่วนจากการปิดเมืองหรือการยกเลิกกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต การค้าปลีก การค้าระหว่างประเทศ การขนส่ง รวมทั้งสินค้าเกษตร ซึ่งบางสินค้าจะมีผลผลิตออกมากในช่วงวิกฤตนี้และไม่สามารถส่งออกได้ตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ โดยเฉพาะตลาดเกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป ซึ่งต้องส่งทางเครื่องบินและขณะนี้ไม่มีเที่ยวบินไปยังประเทศเหล่านี้ ตลาดในประเทศชะลอตัวเนื่องจากผู้บริโภคเดินตลาดน้อยลง และเน้นการซื้อสินค้าที่จําเป็นมากกว่า ทําให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากไม่สามารถจําหน่ายผลผลิตได้ ซึ่งสินค้าไม่สามารถเก็บรักษาได้ในระยะเวลานาน เช่น มะม่วง มังคุด องุ่น ลิ้นจี่ ลําไย พืชผัก ไม้ดอกต่าง ๆ เป็นต้น จึงจําเป็นต้องรีบจําหน่ายผลผลิตให้ถึงมือผู้บริโภคก่อนสินค้าเกษตรจะเสียหาย กระทรวงเกษตรเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสจัดทําโครงการสนับสนุนสินค้าเกษตรไทยสู้ภัย COVID-19 เพื่อรณรงค์ส่งเสริมสินค้าเกษตรไทยและช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนในช่วงสถานการณ์ COVID – 19 ภายใต้แนวคิด (Campaign) “ซื้อสินค้าเกษตรไทย เกษตรกรอยู่ได้ ประเทศไทยอยู่รอด” โดยให้ส่วนราชการ บริษัท ห้าง/ร้าน และประชาชนช่วยกันอุดหนุนซื้อสินค้าเกษตรคุณภาพดีไปมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ทหาร เทศกิจ อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน ที่ต้องเสียสละเวลาในการดูแลประชาชนในพื้นที่ หรือเป็นของขวัญของฝากคนที่รักและห่วงใยแก่ครอบครัวที่ต้องอยู่ห่างไกลกัน ให้ได้บริโภคสินค้าเกษตรสดและมีคุณภาพในช่วงนี้ รูปแบบการดําเนินงานเบื้องต้นจะเชิญชวนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ บริษัท ห้าง/ร้าน และประชาชน ร่วมสั่งซื้อสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพจากเกษตรกร และนําไปมอบให้กับผู้มีภารกิจหน้าที่ในการป้องกัน รักษาสุขภาพของประชาชนต่อสู้ภัย COVID – 19 ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค โดยกรมส่งเสริมการเกษตรหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบสินค้านั้น ๆ เช่น กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมการข้าว ประสานอํานวยความสะดวกการสั่งซื้อสินค้าจากเกษตรกรให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีความประสงค์จะสั่งซื้อสินค้าดังกล่าว รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับมาตรการช่วยเหลือในการกระจายและควบคุมคุณภาพสินค้าสู้ภัย COVID-19 ทั้ง 4 โครงการย่อยนั้นกรมส่งเสริมการเกษตรร่วมสนับสนุนในทุกโครงการ โดยเฉพาะโครงการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคผลไม้ภายในประเทศ Eat Thai First ขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตรได้ประสานงานกับตลาดไทและ Home pro เรียบร้อยแล้ว มีเป้าหมายการจําหน่ายสินค้าทั้ง 2 แห่ง รวม 1,200 ตัน โดยตลาดไทยินดีให้ใช้พื้นที่ในช่วงฤดูกาลผลิต นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากบริษัทไปรษณีย์ไทย จํากัด ในการส่งเสริมเกษตรกรให้จําหน่ายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ โดยคัดเลือกเกษตรกรและเกษตรกรแปลงใหญ่ลงทะเบียนกับบริษัทไปรษณีย์ไทย จํากัด เพื่อกระจายสินค้าสู่ตลาดปลายทาง เป้าหมาย 2,000 ตัน ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ค่าขนส่งสินค้าเกษตรเฉพาะผักและผลไม้สด กิโลกรัมละ 8 บาท ภายใต้เงื่อนไขเกษตรกรต้องสมัครเป็นสมาชิกจําหน่ายสินค้าเกษตรผ่านระบบ Thailandpostmart.com และเมื่อสมัครต้องใส่โค้ด: กรมส่งเสริมการเกษตร และต้องได้รับการอนุมัติให้ขายผ่าน Thailandpostmart.com นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรยังได้เตรียมเปิดเพจส่งเสริมการจําหน่ายสินค้าเกษตรผ่านระบบออนไลน์ภายใต้ชื่อ “ตลาดเกษตรกรออนไลน์.com” ซึ่งจะมีหมวดหมู่สินค้าให้เลือกช้อป 9 หมวดหมู่ ได้แก่ ผัก, ผลไม้, ไม้ดอกไม้ประดับ, ข้าวและธัญพืช, อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม, สมุนไพรและเครื่องสําอาง, ผ้าและเครื่องแต่งกาย, หัตถกรรมและสิ่งประดิษฐ์ และอื่น ๆ โดยจะเริ่มเปิดตัวในวันที่ 9 เมษายน 2563 นี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28670
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอจัดคณะเอสเอ็มอีบุกแม่สอด เล็งสร้างโอกาสลงทุนรับเส้นทางเชื่อมไทย-เมียนมา-อินเดีย
วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560 บีโอไอจัดคณะเอสเอ็มอีบุกแม่สอด เล็งสร้างโอกาสลงทุนรับเส้นทางเชื่อมไทย-เมียนมา-อินเดีย บีโอไอนําคณะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย 35 ราย สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ลงพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ อ.แม่สอด จ.ตาก พร้อมศึกษาเส้นทางโลจิสติกส์ ไทย เมียนมา และอินเดีย มั่นใจปูทางโอกาสขยายตลาดเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน นายเจษฎา ศรศึก ผู้อํานวยการสํานักพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการลงทุน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไออยู่ระหว่างเดินหน้าตามแผนงานส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)ให้มีโอกาสสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และสามารถต่อยอดธุรกิจไปสู่การผลิตซึ่งรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สอดคล้องกับนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ของรัฐบาล ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 17-21 กรกฎาคม 2560บีโอไอจะนําคณะเอสเอ็มอี จํานวน 35 ราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ ในกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรแปรรูป สิ่งทอ พลาสติก และวัสดุก่อสร้าง ร่วมเดินทางไปจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงธุรกิจกับผู้ประกอบการที่ประสบความสําเร็จในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี จ.กําแพงเพชร เช่น บริษัท ไทยเอ็นเนอร์ยี่คอนเซอร์เวชั่น จํากัด ผู้ผลิตอุปกรณ์พลังงานและระบบบําบัดน้ําเสียให้กับอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม บริษัท โหย่ง จิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ผู้ผลิตเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจะได้เข้าสํารวจพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ อ.แม่สอด จ.ตาก และรับฟังบรรยายสรุปภาวะการค้าชายแดน และความคืบหน้าในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ นายเจษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะเอสเอ็มอี จะได้เข้าไปศึกษาศักยภาพเศรษฐกิจการค้าการลงทุนของจังหวัดเมียวดี ในสหภาพเมียนมา และสํารวจเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมระหว่าง อ.แม่สอด ของประเทศไทยไปยังประเทศเมียนมา และอินเดียซึ่งเป็นเส้นทางที่รัฐบาลของแต่ละประเทศให้ความสําคัญ และคาดการณ์ว่า เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นเส้นทางเชื่อม3ประเทศ และสนับสนุนนโยบาย “มองตะวันออก”(Look East Policy) ของอินเดียที่ต้องการเข้ามาค้าขายและลงทุนในไทยและอาเซียนในขณะที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาค และได้ใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้เพื่อขยายการค้า การลงทุนไปยังเมียนมาและอินเดียและเชื่อมต่อไปยังตะวันออกกลางต่อไป “กิจกรรมครั้งนี้ จะทําให้เอสเอ็มอีไทยได้ลงพื้นที่จริงเพื่อศึกษาลู่ทางการลงทุนและขยายตลาดสินค้าเพื่อรองรับการพัฒนาของทั้ง 3 ประเทศ ซึ่งปัจจุบันสินค้าไทยมีโอกาสค่อนข้างมาก เนื่องจากประชากรของเมียนมาและอินเดียมีความนิยมสินค้าไทย ทั้งด้านคุณภาพและราคาที่สมเหตุสมผล โดยเมื่อโครงการก่อสร้างเส้นทางดังกล่าวแล้วเสร็จ ในอีก1-2ปีข้างหน้า มั่นใจจะทําให้เอสเอ็มอีไทยขยายตลาดและวางแผนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมได้อีกมาก” นายเจษฎา กล่าว ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอจัดคณะเอสเอ็มอีบุกแม่สอด เล็งสร้างโอกาสลงทุนรับเส้นทางเชื่อมไทย-เมียนมา-อินเดีย วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2560 บีโอไอจัดคณะเอสเอ็มอีบุกแม่สอด เล็งสร้างโอกาสลงทุนรับเส้นทางเชื่อมไทย-เมียนมา-อินเดีย บีโอไอนําคณะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย 35 ราย สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ลงพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ อ.แม่สอด จ.ตาก พร้อมศึกษาเส้นทางโลจิสติกส์ ไทย เมียนมา และอินเดีย มั่นใจปูทางโอกาสขยายตลาดเชื่อมประเทศเพื่อนบ้าน นายเจษฎา ศรศึก ผู้อํานวยการสํานักพัฒนาปัจจัยสนับสนุนการลงทุน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไออยู่ระหว่างเดินหน้าตามแผนงานส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)ให้มีโอกาสสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และสามารถต่อยอดธุรกิจไปสู่การผลิตซึ่งรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สอดคล้องกับนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” ของรัฐบาล ทั้งนี้ระหว่างวันที่ 17-21 กรกฎาคม 2560บีโอไอจะนําคณะเอสเอ็มอี จํานวน 35 ราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ ในกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรแปรรูป สิ่งทอ พลาสติก และวัสดุก่อสร้าง ร่วมเดินทางไปจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงธุรกิจกับผู้ประกอบการที่ประสบความสําเร็จในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี จ.กําแพงเพชร เช่น บริษัท ไทยเอ็นเนอร์ยี่คอนเซอร์เวชั่น จํากัด ผู้ผลิตอุปกรณ์พลังงานและระบบบําบัดน้ําเสียให้กับอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม บริษัท โหย่ง จิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ผู้ผลิตเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังจะได้เข้าสํารวจพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ อ.แม่สอด จ.ตาก และรับฟังบรรยายสรุปภาวะการค้าชายแดน และความคืบหน้าในการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ นายเจษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะเอสเอ็มอี จะได้เข้าไปศึกษาศักยภาพเศรษฐกิจการค้าการลงทุนของจังหวัดเมียวดี ในสหภาพเมียนมา และสํารวจเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมระหว่าง อ.แม่สอด ของประเทศไทยไปยังประเทศเมียนมา และอินเดียซึ่งเป็นเส้นทางที่รัฐบาลของแต่ละประเทศให้ความสําคัญ และคาดการณ์ว่า เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นเส้นทางเชื่อม3ประเทศ และสนับสนุนนโยบาย “มองตะวันออก”(Look East Policy) ของอินเดียที่ต้องการเข้ามาค้าขายและลงทุนในไทยและอาเซียนในขณะที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาค และได้ใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้เพื่อขยายการค้า การลงทุนไปยังเมียนมาและอินเดียและเชื่อมต่อไปยังตะวันออกกลางต่อไป “กิจกรรมครั้งนี้ จะทําให้เอสเอ็มอีไทยได้ลงพื้นที่จริงเพื่อศึกษาลู่ทางการลงทุนและขยายตลาดสินค้าเพื่อรองรับการพัฒนาของทั้ง 3 ประเทศ ซึ่งปัจจุบันสินค้าไทยมีโอกาสค่อนข้างมาก เนื่องจากประชากรของเมียนมาและอินเดียมีความนิยมสินค้าไทย ทั้งด้านคุณภาพและราคาที่สมเหตุสมผล โดยเมื่อโครงการก่อสร้างเส้นทางดังกล่าวแล้วเสร็จ ในอีก1-2ปีข้างหน้า มั่นใจจะทําให้เอสเอ็มอีไทยขยายตลาดและวางแผนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมได้อีกมาก” นายเจษฎา กล่าว ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4745
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ช่วยเหลือผู้ประสบภัย
วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 ​ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบสิ่งของ ยาสามัญประจําบ้าน ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยและนอนพักรักษาอาการป่วย ระหว่างลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบน้ําท่วมจังหวัดสกลนคร ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบสิ่งของ ยาสามัญประจําบ้าน ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยและนอนพักรักษาอาการป่วย ระหว่างลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบน้ําท่วมจังหวัดสกลนคร พร้อมเยี่ยมให้กําลังใจสนับสนุนการทํางานของเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่เสียสละทํางานดูแลช่วยเหลือประชาชนในภาวะยากลําบาก ที่โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร จ.สกลนคร *********** สิงหาคม2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ช่วยเหลือผู้ประสบภัย วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2560 ​ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบสิ่งของ ยาสามัญประจําบ้าน ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยและนอนพักรักษาอาการป่วย ระหว่างลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบน้ําท่วมจังหวัดสกลนคร ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบสิ่งของ ยาสามัญประจําบ้าน ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยและนอนพักรักษาอาการป่วย ระหว่างลงพื้นที่ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบน้ําท่วมจังหวัดสกลนคร พร้อมเยี่ยมให้กําลังใจสนับสนุนการทํางานของเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่เสียสละทํางานดูแลช่วยเหลือประชาชนในภาวะยากลําบาก ที่โรงพยาบาลศูนย์สกลนคร จ.สกลนคร *********** สิงหาคม2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5729
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เตือน อย่าตั้งวงดื่มสุราไม่ว่าเวลาใด ลดการรวมกลุ่ม ลดความเสี่ยงแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. เตือน อย่าตั้งวงดื่มสุราไม่ว่าเวลาใด ลดการรวมกลุ่ม ลดความเสี่ยงแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โฆษก ศบค. เตือน อย่าตั้งวงดื่มสุราไม่ว่าเวลาใด ลดการรวมกลุ่ม ลดความเสี่ยงแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 วันนี้ (13 เม.ย. 2563) เวลา 12.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในนามโฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้ โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนกรณีคณะกรรมการเฉพาะกิจ ด้านการบริหารจัดการพัสดุสําหรับการป้องกันควบคุมหรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ที่นายกรัฐมนตรีได้ตั้งขึ้นก่อนหน้านี้ โดยชี้แจงว่า นายกรัฐมนตรีแจ้งที่ประชุมฯ ได้เพิ่มผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขเข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย เพื่อให้เกิดการบูรณาการงานให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย คาดว่าจะส่งผลต่อการทํางานด้านการจัดหาอุปกรณ์ และเครื่องมือที่จําเป็นทางการแพทย์ได้เป็นไปอย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานในภาครัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้รับอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะหน้ากากอนามัย ขอให้คลายความวิตกกังวลได้ โฆษก ศบค. กล่าวถึงจํานวนตัวเลขของบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อโควิด-19 จํานวน 80 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อจากโรงพยาบาลจํานวน 50 ราย การติดเชื้อจากสถานที่ชุมชนจํานวน 18 ราย และอยู่ระหว่างการสอบสวนจํานวน 12 ราย โดยการติดเชื้อจากโรงพยาบาลนั้น อาจจะเกิดขึ้นจากการใกล้ชิดสัมผัสผู้ป่วยในหรือผู้ป่วยนอกที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาล ส่วนการติดเชื้อที่เกิดจากสถานที่ชุมชน เกิดจากการรวมตัว พบปะกันของคนบางกลุ่ม ทั้งการใกล้ชิดจากคนในครอบครัวและคนที่อยู่นอกบ้าน ซึ่งต้องแยกแยะระหว่างสองกลุ่มเนื่องจากมีวิธีการจัดการที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ย้ําว่า การติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นเรื่องที่สําคัญอย่างยิ่ง จําเป็นต้องหาต้นเหตุของการติดเชื้อ หากเกิดจากการสัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ป่วยจะต้องตรวจสอบให้ได้ว่าสาเหตุของการติดเชื้อนั้นเชื่อมโยงกับเครื่องมือ อุปกรณ์ป้องกันทางการแพทย์ที่ยังพัฒนาไม่เพียงพอ หรือจากพฤติกรรมของคนที่ทําหัตถการเอง เพื่อหาหนทางที่ถูกต้องในการป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ เพราะบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นหัวใจสําคัญของการควบคุมโรคโควิด-19 โฆษก ศบค. ได้ชี้แจงถึงการขอผ่อนคลายมาตรการการทํางานที่บ้าน หรือ Work From Home เนื่องจากการที่จํานวนผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาคเอกชนบางแห่งได้ยกเลิกการ Work From Home แล้ว อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นว่า ขอความร่วมมือไม่ให้ผ่อนคลายมาตรการมากเกินไปแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยจะสามารถควบคุมได้ แต่ประเทศอื่น ๆ ยังมีจํานวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การที่ประเทศไทยสามารถควบคุมจํานวนผู้ป่วยให้ลดลงได้ จําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนในประเทศทั้งขณะนี้และระยะยาว จากการคาดการณ์ ประเมินการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 3 – 4 เดือน อาจมีการผ่อนคลายมาตรการตามภาคหรือตามจังหวัดโดยเจาะจงบางพื้นที่ไม่มีการติดเชื้อเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ขอให้รอติดตามจากคณะกรรมการวิชาการ ตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ ที่จะเป็นผู้วางมาตรการภายหลัง บางอาชีพ บางกิจกรรม ในพื้นที่อาจมีการผ่อนคลายให้สามารถกลับมาปฏิบัติได้ แต่ช่วงนี้เป็นเทศกาลสงกรานต์จึงขอให้ประชาชนทุกคนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากเดิม เพื่อที่จะไม่ให้จํานวนของผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น สําหรับการเปิดบริการร้านตัดผมในบางพื้นที่นั้น โฆษก ศบค. ยืนยันให้ทุกจังหวัดยึดตามข้อคําสั่งของ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน หากมีการระบุไว้ชัดเจนว่าไม่สามารถทําได้ก็ขอให้ยึดตามนั้น ซึ่งจังหวัดอาจเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการขึ้นเองนั้น การบริการตัดผมขอให้มีการระวังระมัดระวัง เนื่องจากมีความจําเป็นที่จะต้องใกล้ชิดกัน เนื่องจากต้องใช้กรรไกรหรือใบมีดที่สัมผัสกับร่างกาย เช่น การโกนหนวด ซึ่งอาจจะมีเลือด สารคัดหลั่งปนเปื้อน อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการหากมีการผ่อนปรนให้เปิดบริการได้ ตามประกาศของแต่ละจังหวัด ยังห้ามตั้งวงดื่มสุรา กรณีพบเห็นประชาชนตั้งวงดื่มสุราในช่วงกลางวันที่ไม่ใช่เวลาเคอร์ฟิวไม่สามารถทําได้ เพราะไม่อยากให้ประชาชนมารวมกลุ่มกัน อันจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงอยากให้ประชาชนอยู่เว้นระยะห่างซึ่งกันและกัน และขอให้ลด ละ เลิก การดื่มสุรา โฆษก ศบค. ยังได้กล่าวช่วงท้ายถึงปัญหาผู้ป่วยสุราเรื้อรัง ในช่วงเวลานี้ต้องหยุดดื่มทันที อาจจะเกิดอาการขาดเหล้า หรือลงแดง ขอให้รีบไปพบแพทย์ซึ่งมีแนวทางรักษา อาทิ การจ่ายยากล่อมประสาท ยาคลายความเครียด เพื่อทดแทนอาการไม่ให้มีความรุนแรงได้ ------------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เตือน อย่าตั้งวงดื่มสุราไม่ว่าเวลาใด ลดการรวมกลุ่ม ลดความเสี่ยงแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 โฆษก ศบค. เตือน อย่าตั้งวงดื่มสุราไม่ว่าเวลาใด ลดการรวมกลุ่ม ลดความเสี่ยงแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โฆษก ศบค. เตือน อย่าตั้งวงดื่มสุราไม่ว่าเวลาใด ลดการรวมกลุ่ม ลดความเสี่ยงแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 วันนี้ (13 เม.ย. 2563) เวลา 12.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในนามโฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้ โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนกรณีคณะกรรมการเฉพาะกิจ ด้านการบริหารจัดการพัสดุสําหรับการป้องกันควบคุมหรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ที่นายกรัฐมนตรีได้ตั้งขึ้นก่อนหน้านี้ โดยชี้แจงว่า นายกรัฐมนตรีแจ้งที่ประชุมฯ ได้เพิ่มผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขเข้ามามีส่วนร่วมในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย เพื่อให้เกิดการบูรณาการงานให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย คาดว่าจะส่งผลต่อการทํางานด้านการจัดหาอุปกรณ์ และเครื่องมือที่จําเป็นทางการแพทย์ได้เป็นไปอย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานในภาครัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้รับอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะหน้ากากอนามัย ขอให้คลายความวิตกกังวลได้ โฆษก ศบค. กล่าวถึงจํานวนตัวเลขของบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อโควิด-19 จํานวน 80 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อจากโรงพยาบาลจํานวน 50 ราย การติดเชื้อจากสถานที่ชุมชนจํานวน 18 ราย และอยู่ระหว่างการสอบสวนจํานวน 12 ราย โดยการติดเชื้อจากโรงพยาบาลนั้น อาจจะเกิดขึ้นจากการใกล้ชิดสัมผัสผู้ป่วยในหรือผู้ป่วยนอกที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาล ส่วนการติดเชื้อที่เกิดจากสถานที่ชุมชน เกิดจากการรวมตัว พบปะกันของคนบางกลุ่ม ทั้งการใกล้ชิดจากคนในครอบครัวและคนที่อยู่นอกบ้าน ซึ่งต้องแยกแยะระหว่างสองกลุ่มเนื่องจากมีวิธีการจัดการที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ย้ําว่า การติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นเรื่องที่สําคัญอย่างยิ่ง จําเป็นต้องหาต้นเหตุของการติดเชื้อ หากเกิดจากการสัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ป่วยจะต้องตรวจสอบให้ได้ว่าสาเหตุของการติดเชื้อนั้นเชื่อมโยงกับเครื่องมือ อุปกรณ์ป้องกันทางการแพทย์ที่ยังพัฒนาไม่เพียงพอ หรือจากพฤติกรรมของคนที่ทําหัตถการเอง เพื่อหาหนทางที่ถูกต้องในการป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ เพราะบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นหัวใจสําคัญของการควบคุมโรคโควิด-19 โฆษก ศบค. ได้ชี้แจงถึงการขอผ่อนคลายมาตรการการทํางานที่บ้าน หรือ Work From Home เนื่องจากการที่จํานวนผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาคเอกชนบางแห่งได้ยกเลิกการ Work From Home แล้ว อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้นว่า ขอความร่วมมือไม่ให้ผ่อนคลายมาตรการมากเกินไปแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศไทยจะสามารถควบคุมได้ แต่ประเทศอื่น ๆ ยังมีจํานวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การที่ประเทศไทยสามารถควบคุมจํานวนผู้ป่วยให้ลดลงได้ จําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกคนในประเทศทั้งขณะนี้และระยะยาว จากการคาดการณ์ ประเมินการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 3 – 4 เดือน อาจมีการผ่อนคลายมาตรการตามภาคหรือตามจังหวัดโดยเจาะจงบางพื้นที่ไม่มีการติดเชื้อเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ขอให้รอติดตามจากคณะกรรมการวิชาการ ตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ ที่จะเป็นผู้วางมาตรการภายหลัง บางอาชีพ บางกิจกรรม ในพื้นที่อาจมีการผ่อนคลายให้สามารถกลับมาปฏิบัติได้ แต่ช่วงนี้เป็นเทศกาลสงกรานต์จึงขอให้ประชาชนทุกคนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากเดิม เพื่อที่จะไม่ให้จํานวนของผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น สําหรับการเปิดบริการร้านตัดผมในบางพื้นที่นั้น โฆษก ศบค. ยืนยันให้ทุกจังหวัดยึดตามข้อคําสั่งของ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน หากมีการระบุไว้ชัดเจนว่าไม่สามารถทําได้ก็ขอให้ยึดตามนั้น ซึ่งจังหวัดอาจเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการขึ้นเองนั้น การบริการตัดผมขอให้มีการระวังระมัดระวัง เนื่องจากมีความจําเป็นที่จะต้องใกล้ชิดกัน เนื่องจากต้องใช้กรรไกรหรือใบมีดที่สัมผัสกับร่างกาย เช่น การโกนหนวด ซึ่งอาจจะมีเลือด สารคัดหลั่งปนเปื้อน อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการหากมีการผ่อนปรนให้เปิดบริการได้ ตามประกาศของแต่ละจังหวัด ยังห้ามตั้งวงดื่มสุรา กรณีพบเห็นประชาชนตั้งวงดื่มสุราในช่วงกลางวันที่ไม่ใช่เวลาเคอร์ฟิวไม่สามารถทําได้ เพราะไม่อยากให้ประชาชนมารวมกลุ่มกัน อันจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงอยากให้ประชาชนอยู่เว้นระยะห่างซึ่งกันและกัน และขอให้ลด ละ เลิก การดื่มสุรา โฆษก ศบค. ยังได้กล่าวช่วงท้ายถึงปัญหาผู้ป่วยสุราเรื้อรัง ในช่วงเวลานี้ต้องหยุดดื่มทันที อาจจะเกิดอาการขาดเหล้า หรือลงแดง ขอให้รีบไปพบแพทย์ซึ่งมีแนวทางรักษา อาทิ การจ่ายยากล่อมประสาท ยาคลายความเครียด เพื่อทดแทนอาการไม่ให้มีความรุนแรงได้ ------------------------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28960
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลสำรวจชี้เอสเอ็มอีทั่วประเทศไทยทะลุ 5 ล้านราย ธพว.ประกาศอุ้มจุลเอสเอ็มอีตกสำรวจถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูก
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561 ผลสํารวจชี้เอสเอ็มอีทั่วประเทศไทยทะลุ 5 ล้านราย ธพว.ประกาศอุ้มจุลเอสเอ็มอีตกสํารวจถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูก SME Development Bank ผสาน ม.หอการค้าไทย สํารวจเอสเอ็มอีไทยมีจํานวนสูงถึง 5.2 ล้านราย ระบุกลุ่มรายย่อย หรือ “จุลเอสเอ็มอี” ตกสํารวจ สูงถึง 2.7 ล้านราย SME Development Bank ผสาน ม.หอการค้าไทย สํารวจเอสเอ็มอีไทยมีจํานวนสูงถึง 5.2 ล้านราย ระบุกลุ่มรายย่อย หรือ “จุลเอสเอ็มอี” ตกสํารวจ สูงถึง 2.7 ล้านราย ประกาศพร้อมอุ้มเต็มสูบ เต็มเติมช่องว่าง วงเงิน 50,001-1,000,000 บาทต่อราย ผ่านสินเชื่อ 1%ต่อปี ผลักดันเป็นกําลังขับเคลื่อน ศก.ฐานราก การสํารวจในหัวข้อ “จํานวนสถานประกอบการ SMEs ของประเทศไทย” เป็นการจัดทําฐานข้อมูลเอสเอ็มอี นอกเหนือจากการจัดทําร่วมกันระหว่าง มหาวิทยาลัยกอการค้าไทย และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME Development Bank ผลสํารวจดังกล่าวจะทําให้ ธนาคารทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเอสเอ็มอี รวมถึงความต้องการด้านสินเชื่อ ภาระหนี้สิน ความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อทั้งจากสถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพาณิชย์ อันจะทําให้ธนาคารนําผลสํารวจไปพัฒนาต่อยอดมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้ตรงความต้องการ สู่การยกระดับผู้ประกอบการให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อํานวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการของสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และข้อมูลสํามะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2560 โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ ประเมินว่า จํานวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย มีประมาณ 2,493,044 ล้านราย เมื่อรวมกับผลสํารวจจํานวนเอสเอ็มอี จากความร่วมมือระหว่าง SME Development Bank และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ยังมีผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อย หรือ “จุลเอสเอ็มอี” ที่ไม่มีการจดนับในสํามะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม อีกจํานวน 2,760,251 ราย ได้แก่ กลุ่มผู้ค้า-แผงค้าในตลาด จํานวน 1,286,618 ราย กลุ่มหาบเร่หรือแผงลอย จํานวน 564,039 ราย กลุ่มรถจําหน่ายอาหารเคลื่อนที่ Food Truck + รถพุ่มพวง จํานวน 90,437 ราย กลุ่มร้านค้าออนไลน์ จํานวน 412,004 ราย กลุ่มร้านแฟรนไชส์ จํานวน 4,900 ราย กลุ่มผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลรายย่อย จํานวน 170,938 ราย และผู้ประกอบการอื่นๆ จํานวน 231,315 ราย ดังนั้น ประเมินแล้วปัจจุบัน ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีไทย มีจํานวนมากถึงกว่า 5,253,295 ราย จากข้อมูลข้างต้น ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจ คือกลุ่มจุลเอสเอ็มอีที่ไม่ได้จดนับในสํามะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม สามารถเข้าถึงแหล่งทุน-สินเชื่อผ่านสถาบันการเงิน (ธนาคาร) ในระบบปกติได้เพียง 20.86% เท่านั้น (ธนาคารรัฐ 16.45% ธนาคารพาณิชย์ 4.41%) ส่วนใหญ่ใช้ทุนส่วนตัวถึง 39.61% โดยสาเหตุที่จุลเอสเอ็มอี ไม่กู้เงินจากธนาคาร เพราะไม่อยากเป็นหนี้ 38.14% ไม่มีหลักทรัพย์ค้ําประกัน 20.75% ไม่ผ่านการพิจารณา 12.80% ขั้นตอนเยอะไม่ทันต่อความต้องการ และไม่รู้จะกู้อย่างไร 11.86% เป็นต้น นอกจากนี้ จุลเอสเอ็มอี กลุ่มที่มีหนี้สิน มาจากการกู้ในระบบ 49.30% และหนี้นอกระบบ คิดเป็น 50.70% จากแหล่งเงินกู้นอกระบบและญาติพี่น้องคนสนิท สําหรับโครงสร้างหนี้นั้น พบว่า จุลเอสเอ็มอีมีหนี้เฉลี่ย 193,523.81 บาท เป็นการกู้เงินในระบบ 308,377.66 บาท และเป็นหนี้นอกระบบที่ 33,206.73 บาท โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา จุลเอสเอ็มอีเคยผิดนัดชําระหนี้หรือผ่อนผันการชําระหนี้ถึง 30.72% เนื่องจากปัจจัยกําลังซื้อของลดลง ค่าใช้จ่ายหรือค่าครองชีพสูงขึ้น ธุรกิจขาดสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้นและอยู่ในช่วงเปิดภาคเรียน ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวถึงทัศนะความสามารถในการกู้เงินในระบบของจุลเอสเอ็มอี สามารถกู้ได้ 42.37% จากเหตุผลว่า เคยกู้กับธนาคารของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์และมีหลักทรัพย์ค้ําประกันแล้ว ส่วนกลุ่มที่ไม่สามารถกู้ได้ คิดเป็น 57.63% ให้เหตุผลหลัก 53.22% เพราะไม่มีหลักทรัพย์ค้ําประกัน ส่วนสิ่งที่เอสเอ็มอีต้องการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล คือ กระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการบริโภค ช่วยแก้ไขหนี้จากระยะสั้นโดยปรับเป็นหนี้ระยะยาวเพื่อให้ผ่อนชําระได้ ดูแลระดับสินค้าต้นทุนวัตถุดิบ สร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนด้วยการอนุมัติที่รวดเร็ว ลดต้นทุนค่าขนส่ง-พลังงาน มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อสําหรับพ่อค้า-แม่ค้าทดแทนการกู้หนี้นอกระบบ และให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ-หนี้ครัวเรือน ด้านนายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) หรือ ธพว. กล่าวว่า จากผลสํารวจด้านความต้องการกู้เงินของจุลเอสเอ็มอี ภายใน 1 ปีนับจากปัจจุบัน พบว่า จุลเอสเอ็มอี จํานวน 44.59% ต้องการกู้เงิน และแทบทั้งหมดระบุว่าอยากกู้ในระบบ วงเงิน 25,000-50,000 บาท ซึ่งระดับวงเงินกู้ดังกล่าว มีสถาบันการเงินต่างๆ ในระบบรองรับอยู่แล้ว ทว่า วงเงินกู้ระดับ 50,001-1,000,000 บาท ยังเป็นช่องว่างที่ยังไม่มีสถาบันการเงินใดเข้าไปดูแลอย่างจริงจัง ดังนั้น SME Development Bank ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ พร้อมจะเข้าไปสนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าว ผ่านผลิตภัณฑ์ สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 สําหรับนิติบุคคล คิดอัตราดอกเบี้ย1% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 7 ปี ไม่ต้องใช้หลักประกัน เปิดโอกาสให้รายย่อยที่มีปัญหาทางการเงินสามารถกู้ได้(แม้เคยปรับโครงสร้างหนี้ หรือผ่อนชําระไม่ต่อเนื่องมาก็ตาม) ให้ชําระแต่ดอกเบี้ยอย่างเดียวปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุด 3 ปี ผ่อนชําระเพียง 410 บาทต่อวันเท่านั้น สามารถรู้ผลการพิจารณาได้ในเวลาเพียง 7 วันเท่านั้น ส่วนสิ่งที่ต้องการได้รับจาก SME Development Bank นั้น จุลเอสเอ็มอี มองว่าอยากได้ขั้นตอนถึงสินเชื่อที่ง่ายและสะดวกมากขึ้น การสร้างองค์ความรู้หรือการแนะนํารูปแบบการเตรียมตัวในการขอสินเชื่อ โดยให้เข้าถึงผู้ค้ามากขึ้น เน้นสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมกับจุลเอสเอ็มอีที่ต้องการสภาพคล่อง รวมทั้งให้ความสะดวกในการชําระหรือติดต่อกับธนาคารเพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขยายหรือยืดระยะเวลาการผ่อนชําระ และมีรูปแบบของการผ่อนชําระดอกเบี้ยและเงินต้นเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือ 15 วันได้ให้สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งมีทั้งพ่อค้าแม่ค้าในตลาด หาบเร่-แผงลอย รถเร่ข่ายอาหาร หรือแม้แต่คนขายลอตเตอรี่ที่ส่วนใหญ่มีรายได้เป็นรายวันและมีความจําเป็นต้องใช่เงินทุนในการซื้อมาขายไป เป็นต้น นายมงคล กล่าวว่า ธนาคารจะเร่งนําผลสํารวจและข้อเสนอแนะต่างๆ ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อและงานบริการ เพื่อตอบความต้องการของกลุ่มจุลเอสเอ็มอีให้มากที่สุด หากสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งทุนควบคู่ความรู้จะช่วยให้จุลเอสเอ็มอีเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ให้เกิดการเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากรากฐาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลสำรวจชี้เอสเอ็มอีทั่วประเทศไทยทะลุ 5 ล้านราย ธพว.ประกาศอุ้มจุลเอสเอ็มอีตกสำรวจถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูก วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561 ผลสํารวจชี้เอสเอ็มอีทั่วประเทศไทยทะลุ 5 ล้านราย ธพว.ประกาศอุ้มจุลเอสเอ็มอีตกสํารวจถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูก SME Development Bank ผสาน ม.หอการค้าไทย สํารวจเอสเอ็มอีไทยมีจํานวนสูงถึง 5.2 ล้านราย ระบุกลุ่มรายย่อย หรือ “จุลเอสเอ็มอี” ตกสํารวจ สูงถึง 2.7 ล้านราย SME Development Bank ผสาน ม.หอการค้าไทย สํารวจเอสเอ็มอีไทยมีจํานวนสูงถึง 5.2 ล้านราย ระบุกลุ่มรายย่อย หรือ “จุลเอสเอ็มอี” ตกสํารวจ สูงถึง 2.7 ล้านราย ประกาศพร้อมอุ้มเต็มสูบ เต็มเติมช่องว่าง วงเงิน 50,001-1,000,000 บาทต่อราย ผ่านสินเชื่อ 1%ต่อปี ผลักดันเป็นกําลังขับเคลื่อน ศก.ฐานราก การสํารวจในหัวข้อ “จํานวนสถานประกอบการ SMEs ของประเทศไทย” เป็นการจัดทําฐานข้อมูลเอสเอ็มอี นอกเหนือจากการจัดทําร่วมกันระหว่าง มหาวิทยาลัยกอการค้าไทย และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME Development Bank ผลสํารวจดังกล่าวจะทําให้ ธนาคารทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเอสเอ็มอี รวมถึงความต้องการด้านสินเชื่อ ภาระหนี้สิน ความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อทั้งจากสถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพาณิชย์ อันจะทําให้ธนาคารนําผลสํารวจไปพัฒนาต่อยอดมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้ตรงความต้องการ สู่การยกระดับผู้ประกอบการให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อํานวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า จากข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการของสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และข้อมูลสํามะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2560 โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติ ประเมินว่า จํานวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย มีประมาณ 2,493,044 ล้านราย เมื่อรวมกับผลสํารวจจํานวนเอสเอ็มอี จากความร่วมมือระหว่าง SME Development Bank และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ยังมีผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อย หรือ “จุลเอสเอ็มอี” ที่ไม่มีการจดนับในสํามะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม อีกจํานวน 2,760,251 ราย ได้แก่ กลุ่มผู้ค้า-แผงค้าในตลาด จํานวน 1,286,618 ราย กลุ่มหาบเร่หรือแผงลอย จํานวน 564,039 ราย กลุ่มรถจําหน่ายอาหารเคลื่อนที่ Food Truck + รถพุ่มพวง จํานวน 90,437 ราย กลุ่มร้านค้าออนไลน์ จํานวน 412,004 ราย กลุ่มร้านแฟรนไชส์ จํานวน 4,900 ราย กลุ่มผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาลรายย่อย จํานวน 170,938 ราย และผู้ประกอบการอื่นๆ จํานวน 231,315 ราย ดังนั้น ประเมินแล้วปัจจุบัน ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีไทย มีจํานวนมากถึงกว่า 5,253,295 ราย จากข้อมูลข้างต้น ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจ คือกลุ่มจุลเอสเอ็มอีที่ไม่ได้จดนับในสํามะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม สามารถเข้าถึงแหล่งทุน-สินเชื่อผ่านสถาบันการเงิน (ธนาคาร) ในระบบปกติได้เพียง 20.86% เท่านั้น (ธนาคารรัฐ 16.45% ธนาคารพาณิชย์ 4.41%) ส่วนใหญ่ใช้ทุนส่วนตัวถึง 39.61% โดยสาเหตุที่จุลเอสเอ็มอี ไม่กู้เงินจากธนาคาร เพราะไม่อยากเป็นหนี้ 38.14% ไม่มีหลักทรัพย์ค้ําประกัน 20.75% ไม่ผ่านการพิจารณา 12.80% ขั้นตอนเยอะไม่ทันต่อความต้องการ และไม่รู้จะกู้อย่างไร 11.86% เป็นต้น นอกจากนี้ จุลเอสเอ็มอี กลุ่มที่มีหนี้สิน มาจากการกู้ในระบบ 49.30% และหนี้นอกระบบ คิดเป็น 50.70% จากแหล่งเงินกู้นอกระบบและญาติพี่น้องคนสนิท สําหรับโครงสร้างหนี้นั้น พบว่า จุลเอสเอ็มอีมีหนี้เฉลี่ย 193,523.81 บาท เป็นการกู้เงินในระบบ 308,377.66 บาท และเป็นหนี้นอกระบบที่ 33,206.73 บาท โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา จุลเอสเอ็มอีเคยผิดนัดชําระหนี้หรือผ่อนผันการชําระหนี้ถึง 30.72% เนื่องจากปัจจัยกําลังซื้อของลดลง ค่าใช้จ่ายหรือค่าครองชีพสูงขึ้น ธุรกิจขาดสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้นและอยู่ในช่วงเปิดภาคเรียน ผศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวถึงทัศนะความสามารถในการกู้เงินในระบบของจุลเอสเอ็มอี สามารถกู้ได้ 42.37% จากเหตุผลว่า เคยกู้กับธนาคารของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์และมีหลักทรัพย์ค้ําประกันแล้ว ส่วนกลุ่มที่ไม่สามารถกู้ได้ คิดเป็น 57.63% ให้เหตุผลหลัก 53.22% เพราะไม่มีหลักทรัพย์ค้ําประกัน ส่วนสิ่งที่เอสเอ็มอีต้องการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล คือ กระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการบริโภค ช่วยแก้ไขหนี้จากระยะสั้นโดยปรับเป็นหนี้ระยะยาวเพื่อให้ผ่อนชําระได้ ดูแลระดับสินค้าต้นทุนวัตถุดิบ สร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนด้วยการอนุมัติที่รวดเร็ว ลดต้นทุนค่าขนส่ง-พลังงาน มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อสําหรับพ่อค้า-แม่ค้าทดแทนการกู้หนี้นอกระบบ และให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ-หนี้ครัวเรือน ด้านนายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank) หรือ ธพว. กล่าวว่า จากผลสํารวจด้านความต้องการกู้เงินของจุลเอสเอ็มอี ภายใน 1 ปีนับจากปัจจุบัน พบว่า จุลเอสเอ็มอี จํานวน 44.59% ต้องการกู้เงิน และแทบทั้งหมดระบุว่าอยากกู้ในระบบ วงเงิน 25,000-50,000 บาท ซึ่งระดับวงเงินกู้ดังกล่าว มีสถาบันการเงินต่างๆ ในระบบรองรับอยู่แล้ว ทว่า วงเงินกู้ระดับ 50,001-1,000,000 บาท ยังเป็นช่องว่างที่ยังไม่มีสถาบันการเงินใดเข้าไปดูแลอย่างจริงจัง ดังนั้น SME Development Bank ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ พร้อมจะเข้าไปสนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าว ผ่านผลิตภัณฑ์ สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 สําหรับนิติบุคคล คิดอัตราดอกเบี้ย1% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 7 ปี ไม่ต้องใช้หลักประกัน เปิดโอกาสให้รายย่อยที่มีปัญหาทางการเงินสามารถกู้ได้(แม้เคยปรับโครงสร้างหนี้ หรือผ่อนชําระไม่ต่อเนื่องมาก็ตาม) ให้ชําระแต่ดอกเบี้ยอย่างเดียวปลอดชําระคืนเงินต้นสูงสุด 3 ปี ผ่อนชําระเพียง 410 บาทต่อวันเท่านั้น สามารถรู้ผลการพิจารณาได้ในเวลาเพียง 7 วันเท่านั้น ส่วนสิ่งที่ต้องการได้รับจาก SME Development Bank นั้น จุลเอสเอ็มอี มองว่าอยากได้ขั้นตอนถึงสินเชื่อที่ง่ายและสะดวกมากขึ้น การสร้างองค์ความรู้หรือการแนะนํารูปแบบการเตรียมตัวในการขอสินเชื่อ โดยให้เข้าถึงผู้ค้ามากขึ้น เน้นสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมกับจุลเอสเอ็มอีที่ต้องการสภาพคล่อง รวมทั้งให้ความสะดวกในการชําระหรือติดต่อกับธนาคารเพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขยายหรือยืดระยะเวลาการผ่อนชําระ และมีรูปแบบของการผ่อนชําระดอกเบี้ยและเงินต้นเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือ 15 วันได้ให้สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งมีทั้งพ่อค้าแม่ค้าในตลาด หาบเร่-แผงลอย รถเร่ข่ายอาหาร หรือแม้แต่คนขายลอตเตอรี่ที่ส่วนใหญ่มีรายได้เป็นรายวันและมีความจําเป็นต้องใช่เงินทุนในการซื้อมาขายไป เป็นต้น นายมงคล กล่าวว่า ธนาคารจะเร่งนําผลสํารวจและข้อเสนอแนะต่างๆ ไปพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อและงานบริการ เพื่อตอบความต้องการของกลุ่มจุลเอสเอ็มอีให้มากที่สุด หากสนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งทุนควบคู่ความรู้จะช่วยให้จุลเอสเอ็มอีเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ให้เกิดการเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากรากฐาน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13461
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงติดตามการดำเนินงานโครงการกำลังใจฯ เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงติดตามการดําเนินงานโครงการกําลังใจฯ เรือนจํากลางนครศรีธรรมราช สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชรมหาวัชรราชธิดา ทรงติดตามการดําเนินงานโครงการกําลังใจฯ เรือนจํากลางนครศรีธรรมราช เมื่อวันจันทร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๔๕ น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จไปทรงติดตามโครงการกําลังใจ ในพระดําริ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พันตํารวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายจําเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นายธีรพล พรแก้ว ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยงานในจังหวัดนครศรีธรรมราช เจ้าหน้าที่ และผู้แทนภาคส่วนในพื้นที่ ร่วมรับเสด็จ ณ เรือนจํากลางนครศรีธรรมราช อําเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช โอกาสนี้ เสด็จทรงวางพวงมาลัยด้านหน้าพระพุทธรูปปางประทานพร เสด็จทรงเปิดแพรคลุมป้ายอาคาร “หลารวมใจ” ซึ่งเรือนจํากลางนครศรีธรรมราช ได้ก่อสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดฝึกอบรมและสัมมนาข้าราชการ และเจ้าหน้าที่เพื่อสร้างองค์ความรู้และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในด้านต่าง ๆ จากนั้นเสด็จทรงปลูกต้นรวงผึ้ง จํานวน ๑ ต้น ทรงทอดพระเนตรการสาธิตฝึกวิชาชีพ ทรงเยี่ยมผู้ต้องขังหญิง พระราชทานของที่ระลึกแก่ผู้ต้องขังหญิง เสด็จสู่สถานพยาบาลแดนชาย และพระราชทานทานสิ่งของ เครื่องใช้ แก่ผู้ต้องขังชายที่ป่วย พร้อมพระราชทานขวัญกําลังใจแก่ผู้ต้องขัง เพื่อให้ดูแลสุขภาพและมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง สร้างความปลื้มปิติอย่างหาที่สุดมิได้ ต่อจากนั้นเสด็จยังเวทีกิจกรรม พระราชทานของที่ระลึกแก่ตัวแทนผู้ต้องขังชายและหญิง และทอดพระเนตรการแสดงของผู้ต้องขังและศิลปินในพื้นที่ ก่อนเสด็จประทับรถยนต์พระที่นั่ง ออกจากเรือนจํากลางนครศรีธรรมราช ไปยังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามลําดับต่อไป สําหรับเรือนจํากลางนครศรีธรรมราช ปัจจุบันมีผู้ต้องขังจํานวนทั้งสิ้น ๗,๑๒๙ คน แบ่งเป็นชาย ๖,๐๕๖ คน หญิง ๑,๐๗๓ คน เป็นเรือนจําในลําดับที่ ๖ ที่ได้รองรับและสนับสนุนการดําเนินงาน ของโครงการกําลังใจฯ โดยเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ได้เสด็จมาทรงเปิดโครงการกําลังใจฯ ณ เรือนจํากลางนครศรีธรรมราช และทรงเปิดกิจกรรม “สร้างกําลังใจ...สู่เมืองคอน” ซึ่งตลอดระยะเวลา ๙ ปีที่ผ่านมา เรือนจํากลางนครศรีธรรมราช ได้ดําเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังโดยมุ่งรักษาสมดุล ระหว่างการควบคุมและการพัฒนา โดยคํานึงถึงการรักษาความมั่นคงปลอดภัยควบคู่กับการพัฒนาพฤตินิสัยการสร้างอาชีพ เพื่อให้ผู้ที่กระทําผิดได้มีโอกาสกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ภายหลังพ้นโทษ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงติดตามการดำเนินงานโครงการกำลังใจฯ เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช วันอังคารที่ 6 สิงหาคม 2562 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงติดตามการดําเนินงานโครงการกําลังใจฯ เรือนจํากลางนครศรีธรรมราช สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชรมหาวัชรราชธิดา ทรงติดตามการดําเนินงานโครงการกําลังใจฯ เรือนจํากลางนครศรีธรรมราช เมื่อวันจันทร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๔๕ น. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา เสด็จไปทรงติดตามโครงการกําลังใจ ในพระดําริ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา โดยมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรม ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พันตํารวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายจําเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช นายธีรพล พรแก้ว ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยงานในจังหวัดนครศรีธรรมราช เจ้าหน้าที่ และผู้แทนภาคส่วนในพื้นที่ ร่วมรับเสด็จ ณ เรือนจํากลางนครศรีธรรมราช อําเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช โอกาสนี้ เสด็จทรงวางพวงมาลัยด้านหน้าพระพุทธรูปปางประทานพร เสด็จทรงเปิดแพรคลุมป้ายอาคาร “หลารวมใจ” ซึ่งเรือนจํากลางนครศรีธรรมราช ได้ก่อสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดฝึกอบรมและสัมมนาข้าราชการ และเจ้าหน้าที่เพื่อสร้างองค์ความรู้และการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในด้านต่าง ๆ จากนั้นเสด็จทรงปลูกต้นรวงผึ้ง จํานวน ๑ ต้น ทรงทอดพระเนตรการสาธิตฝึกวิชาชีพ ทรงเยี่ยมผู้ต้องขังหญิง พระราชทานของที่ระลึกแก่ผู้ต้องขังหญิง เสด็จสู่สถานพยาบาลแดนชาย และพระราชทานทานสิ่งของ เครื่องใช้ แก่ผู้ต้องขังชายที่ป่วย พร้อมพระราชทานขวัญกําลังใจแก่ผู้ต้องขัง เพื่อให้ดูแลสุขภาพและมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง สร้างความปลื้มปิติอย่างหาที่สุดมิได้ ต่อจากนั้นเสด็จยังเวทีกิจกรรม พระราชทานของที่ระลึกแก่ตัวแทนผู้ต้องขังชายและหญิง และทอดพระเนตรการแสดงของผู้ต้องขังและศิลปินในพื้นที่ ก่อนเสด็จประทับรถยนต์พระที่นั่ง ออกจากเรือนจํากลางนครศรีธรรมราช ไปยังวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ตามลําดับต่อไป สําหรับเรือนจํากลางนครศรีธรรมราช ปัจจุบันมีผู้ต้องขังจํานวนทั้งสิ้น ๗,๑๒๙ คน แบ่งเป็นชาย ๖,๐๕๖ คน หญิง ๑,๐๗๓ คน เป็นเรือนจําในลําดับที่ ๖ ที่ได้รองรับและสนับสนุนการดําเนินงาน ของโครงการกําลังใจฯ โดยเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ได้เสด็จมาทรงเปิดโครงการกําลังใจฯ ณ เรือนจํากลางนครศรีธรรมราช และทรงเปิดกิจกรรม “สร้างกําลังใจ...สู่เมืองคอน” ซึ่งตลอดระยะเวลา ๙ ปีที่ผ่านมา เรือนจํากลางนครศรีธรรมราช ได้ดําเนินงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังโดยมุ่งรักษาสมดุล ระหว่างการควบคุมและการพัฒนา โดยคํานึงถึงการรักษาความมั่นคงปลอดภัยควบคู่กับการพัฒนาพฤตินิสัยการสร้างอาชีพ เพื่อให้ผู้ที่กระทําผิดได้มีโอกาสกลับไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ภายหลังพ้นโทษ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22016
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.2 ประธานแถลงข่าวสรุปผลอุบัติเหตุสงกรานต์ 2561 เน้นทำงานบูรณาการสานพลัง “ประชารัฐ” พร้อมถอดบทเรียนและเสริมกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนเข้มข้น สร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน
วันพุธที่ 18 เมษายน 2561 มท.2 ประธานแถลงข่าวสรุปผลอุบัติเหตุสงกรานต์ 2561 เน้นทํางานบูรณาการสานพลัง “ประชารัฐ” พร้อมถอดบทเรียนและเสริมกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนเข้มข้น สร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน มท.2 ประธานแถลงข่าวสรุปผลอุบัติเหตุสงกรานต์ 2561 เน้นทํางานบูรณาการสานพลัง “ประชารัฐ” พร้อมถอดบทเรียนและเสริมกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนเข้มข้น สร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน วันนี้ (18 เม.ย. 61) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานแถลงข่าวสรุปผลการดําเนินงานของศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจําปี 2561ภายใต้แนวคิด“ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร”ระหว่างวันที่ 11–17 เม.ย. 2561 เพื่อดําเนินการดูแลความปลอดภัยทางถนนให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นายสุธีมากบุญรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะประธานแถลงข่าวสรุปผลการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลงกรานต์ 2561 เปิดเผยว่าศปถ. ภายใต้การดําเนินงานของ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและความร่วมมือของหน่วยงานภาคีเครือข่ายได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนน และสรุปผลอุบัติเหตุทางถนนสะสม 7 วัน (11 - 17 เม.ย. 2561) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,724 ครั้งผู้เสียชีวิตรวม 418 ราย ผู้บาดเจ็บ รวม 3,897 คน สาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 40.28 ขับรถเร็วเกินกําหนด ร้อยละ 26.50 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 79.85 รถปิคอัพ ร้อยละ 7.17 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 64.66 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 37.57 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 37.51 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เวลา 16.01–20.00 น. ร้อยละ 28.65 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน (อายุ 20 - 49 ปี)ร้อยละ 50.79 จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 4 จังหวัด ได้แก่ ระนอง สมุทรสงคราม หนองคาย และ หนองบัวลําภูจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (133 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ นครราชสีมา (20 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (142 คน) ทั้งนี้ในช่วง 7 วัน เรียกตรวจยานพาหนะรวม 5,607,780 คัน มีผู้ถูกดําเนินคดี 1,138,219 ราย (ตามมาตรการ 10 รสขม) และสําหรับข้อมูลปริมาณรถของศูนย์ปฏิบัติการคมนาคม พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 11–17 เมษายน 2561 มีปริมาณรถบนท้องถนนทั้งขาเข้าและขาออกกรุงเทพฯ จํานวน 8,756,752 คัน เมื่อเทียบกับช่วงปี 2560 มีปริมาณรถเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 3.68 และในปีนี้มีอําเภอที่ไม่มีการเกิดอุบัติเหตุ จํานวน 141 อําเภอ และในกรุงเทพมหานคร 26 เขต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับการลดอุบัติเหตุทางถนนในระยะยาว ศปถ. ได้เน้นย้ําให้จังหวัดใช้กลไกของศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัด อําเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านคน ยานพาหนะ ถนน และสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบการประสานพลังกลไก“ประชารัฐ”เน้นการใช้มาตรการทางสังคมและชุมชนในการสร้างความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่ เพื่อเสริมกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่าแม้จะสิ้นสุดการดําเนินงาน ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้ว แต่การดําเนินงานของทุกภาคส่วน ยังคงดําเนินการอย่างต่อเนื่องและเข้มแข็ง ทั้งนี้ได้กําชับให้ จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดหลักดําเนินการ ในเรื่องสําคัญ ดังนี้ 1.การให้ความสําคัญกับระบบข้อมูลอุบัติเหตุเพื่อให้ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนของประเทศมีเอกภาพบนพื้นฐานข้อมูลเดียวกัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ประโยชน์ในการอ้างอิง รวมถึงใช้ประกอบการกําหนดมาตรการและแนวทางต่างๆ 2.การลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ เช่น จุดตัดรถไฟในพื้นที่ การส่องแสงสว่างของถนน และการจัดตั้งด่านชุมชน เป็นต้น 3.การสร้างการรับรู้แก่ประชาชน โดยให้ผู้ว่าฯ ร่วมกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ จัดให้มีการสร้างองค์ความรู้แก่ประชาชนตลอดจนเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งเน้นย้ํา กรณีผู้ที่มีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวให้ถือเป็นความผิดทางวินัยอีกด้วย. ครั้งที่ 86/2561 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.2 ประธานแถลงข่าวสรุปผลอุบัติเหตุสงกรานต์ 2561 เน้นทำงานบูรณาการสานพลัง “ประชารัฐ” พร้อมถอดบทเรียนและเสริมกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนเข้มข้น สร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน วันพุธที่ 18 เมษายน 2561 มท.2 ประธานแถลงข่าวสรุปผลอุบัติเหตุสงกรานต์ 2561 เน้นทํางานบูรณาการสานพลัง “ประชารัฐ” พร้อมถอดบทเรียนและเสริมกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนเข้มข้น สร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน มท.2 ประธานแถลงข่าวสรุปผลอุบัติเหตุสงกรานต์ 2561 เน้นทํางานบูรณาการสานพลัง “ประชารัฐ” พร้อมถอดบทเรียนและเสริมกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนเข้มข้น สร้างความปลอดภัยทางถนนอย่างยั่งยืน วันนี้ (18 เม.ย. 61) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 5 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานแถลงข่าวสรุปผลการดําเนินงานของศูนย์อํานวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจําปี 2561ภายใต้แนวคิด“ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร”ระหว่างวันที่ 11–17 เม.ย. 2561 เพื่อดําเนินการดูแลความปลอดภัยทางถนนให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นายสุธีมากบุญรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะประธานแถลงข่าวสรุปผลการดําเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลงกรานต์ 2561 เปิดเผยว่าศปถ. ภายใต้การดําเนินงานของ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและความร่วมมือของหน่วยงานภาคีเครือข่ายได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนน และสรุปผลอุบัติเหตุทางถนนสะสม 7 วัน (11 - 17 เม.ย. 2561) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,724 ครั้งผู้เสียชีวิตรวม 418 ราย ผู้บาดเจ็บ รวม 3,897 คน สาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 40.28 ขับรถเร็วเกินกําหนด ร้อยละ 26.50 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 79.85 รถปิคอัพ ร้อยละ 7.17 ส่วนใหญ่เกิดในเส้นทางตรง ร้อยละ 64.66 ถนนใน อบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 37.57 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 37.51 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เวลา 16.01–20.00 น. ร้อยละ 28.65 ผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน (อายุ 20 - 49 ปี)ร้อยละ 50.79 จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 4 จังหวัด ได้แก่ ระนอง สมุทรสงคราม หนองคาย และ หนองบัวลําภูจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (133 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ นครราชสีมา (20 ราย) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงใหม่ (142 คน) ทั้งนี้ในช่วง 7 วัน เรียกตรวจยานพาหนะรวม 5,607,780 คัน มีผู้ถูกดําเนินคดี 1,138,219 ราย (ตามมาตรการ 10 รสขม) และสําหรับข้อมูลปริมาณรถของศูนย์ปฏิบัติการคมนาคม พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 11–17 เมษายน 2561 มีปริมาณรถบนท้องถนนทั้งขาเข้าและขาออกกรุงเทพฯ จํานวน 8,756,752 คัน เมื่อเทียบกับช่วงปี 2560 มีปริมาณรถเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 3.68 และในปีนี้มีอําเภอที่ไม่มีการเกิดอุบัติเหตุ จํานวน 141 อําเภอ และในกรุงเทพมหานคร 26 เขต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับการลดอุบัติเหตุทางถนนในระยะยาว ศปถ. ได้เน้นย้ําให้จังหวัดใช้กลไกของศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนระดับจังหวัด อําเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดําเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านคน ยานพาหนะ ถนน และสิ่งแวดล้อม ในรูปแบบการประสานพลังกลไก“ประชารัฐ”เน้นการใช้มาตรการทางสังคมและชุมชนในการสร้างความปลอดภัยทางถนนในระดับพื้นที่ เพื่อเสริมกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่าแม้จะสิ้นสุดการดําเนินงาน ลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้ว แต่การดําเนินงานของทุกภาคส่วน ยังคงดําเนินการอย่างต่อเนื่องและเข้มแข็ง ทั้งนี้ได้กําชับให้ จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดหลักดําเนินการ ในเรื่องสําคัญ ดังนี้ 1.การให้ความสําคัญกับระบบข้อมูลอุบัติเหตุเพื่อให้ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนของประเทศมีเอกภาพบนพื้นฐานข้อมูลเดียวกัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ประโยชน์ในการอ้างอิง รวมถึงใช้ประกอบการกําหนดมาตรการและแนวทางต่างๆ 2.การลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ เช่น จุดตัดรถไฟในพื้นที่ การส่องแสงสว่างของถนน และการจัดตั้งด่านชุมชน เป็นต้น 3.การสร้างการรับรู้แก่ประชาชน โดยให้ผู้ว่าฯ ร่วมกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ จัดให้มีการสร้างองค์ความรู้แก่ประชาชนตลอดจนเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งเน้นย้ํา กรณีผู้ที่มีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย ถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวให้ถือเป็นความผิดทางวินัยอีกด้วย. ครั้งที่ 86/2561 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11580
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประกอบการในโครงการ Cloud Kitchen Food Truck ออกร้าน ณ ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 ปลัดกอบชัยฯ เยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกอบการในโครงการ Cloud Kitchen Food Truck ออกร้าน ณ ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา ปลัดกอบชัยฯ เยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกอบการในโครงการ Cloud Kitchen Food Truck ออกร้าน ณ ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา วันนี้ (2 กรกฎาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกอบการในโครงการ Cloud Kitchen Food Truck ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจอาหารเคลื่อนที่ หรือ ฟู้ดทรัค ผ่านการขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ เชื่อม 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ประกอบการฟู้ดทรัค ผ่านการพัฒนาทักษะการสร้างแบรนด์และการบริหารยอดสั่งซื้อ ดิจิทัลแพลทฟอร์ม หรือแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ โดยสร้างความร่วมมือในการปรับฟังก์ชันให้รองรับการบริการของธุรกิจอาหารเคลื่อนที่ และผู้รับจ้างขนส่งสินค้า/อาหาร (Rider) โดยเฉพาะคนว่างงานให้มีรายได้จากการส่งอาหาร โดยมีนายพงษ์ศักดิ์ นันตวรรณกุล กรรมการผู้จัดการศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา นายชนินทร์ วัฒนพฤกษา ประธานฟู๊ดทรัคคลัสเตอร์ประเทศไทย นายวรกร วีราพัชร์ ประธานกรรมการบริหาร Antz by Happy Ventures ให้การต้อนรับ สําหรับกิจกรรมที่ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา (The Street Ratchada) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-8 กรกฎาคม 2563 มีร้านอาหาร อาทิ สเต็กฅน"กาง"แจ้ง ตํากะเตี๋ยว ไก่ดูดนิ้ว&ไข่หมึกทอด อินดี้ โรตีชา-ชัก สตูล และเครื่องดื่มจากร้าน ภูพานอินดี้ ให้เลือกซื้อมากมาย นอกจากนี้ภายในงานยังมีจุดให้บริการล้างมือ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประกอบการในโครงการ Cloud Kitchen Food Truck ออกร้าน ณ ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 ปลัดกอบชัยฯ เยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกอบการในโครงการ Cloud Kitchen Food Truck ออกร้าน ณ ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา ปลัดกอบชัยฯ เยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกอบการในโครงการ Cloud Kitchen Food Truck ออกร้าน ณ ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา วันนี้ (2 กรกฎาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายสหวัฒน์ โสภา ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกอบการในโครงการ Cloud Kitchen Food Truck ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจอาหารเคลื่อนที่ หรือ ฟู้ดทรัค ผ่านการขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ เชื่อม 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ประกอบการฟู้ดทรัค ผ่านการพัฒนาทักษะการสร้างแบรนด์และการบริหารยอดสั่งซื้อ ดิจิทัลแพลทฟอร์ม หรือแอปพลิเคชันเดลิเวอรี่ โดยสร้างความร่วมมือในการปรับฟังก์ชันให้รองรับการบริการของธุรกิจอาหารเคลื่อนที่ และผู้รับจ้างขนส่งสินค้า/อาหาร (Rider) โดยเฉพาะคนว่างงานให้มีรายได้จากการส่งอาหาร โดยมีนายพงษ์ศักดิ์ นันตวรรณกุล กรรมการผู้จัดการศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา นายชนินทร์ วัฒนพฤกษา ประธานฟู๊ดทรัคคลัสเตอร์ประเทศไทย นายวรกร วีราพัชร์ ประธานกรรมการบริหาร Antz by Happy Ventures ให้การต้อนรับ สําหรับกิจกรรมที่ศูนย์การค้า เดอะ สตรีท รัชดา (The Street Ratchada) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-8 กรกฎาคม 2563 มีร้านอาหาร อาทิ สเต็กฅน"กาง"แจ้ง ตํากะเตี๋ยว ไก่ดูดนิ้ว&ไข่หมึกทอด อินดี้ โรตีชา-ชัก สตูล และเครื่องดื่มจากร้าน ภูพานอินดี้ ให้เลือกซื้อมากมาย นอกจากนี้ภายในงานยังมีจุดให้บริการล้างมือ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33076
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. สั่งเข้มงวดรักษาความสะอาด ป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้เด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ฯ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์]
วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563 รมว.พม. สั่งเข้มงวดรักษาความสะอาด ป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้เด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ฯ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์] รมว.พม. สั่งเข้มงวดรักษาความสะอาด ป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้เด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ฯ วันที่ 14 มี.ค. 63 เวลา 17.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการในภาคตะวันออกที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เนื่องจากเป็นพื้นที่เศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวและบริการ ว่า ตนได้รับฟังรายงานผลการดําเนินงานและปัญหาอุปสรรคต่างๆ ของสถานคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กระยอง จังหวัดระยอง และสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านบางละมุง จังหวัดชลบุรี และได้สั่งการในเรื่องการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับเด็กและเยาวชน รวมทั้งผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ต่างๆ โดยขอให้มีมาตรการคุมเข้มการดูแลรักษาความสะอาด ทั้งการล้างมือ การใช้เจลแอลกอฮอล์ การทําความสะอาดวัสดุอุปกรณ์ และอาคารสถานที่ การใส่หน้ากากอนามัย การตรวจวัดไข้ เป็นต้น สําหรับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ในช่วงวิกฤตที่มีการแพร่เชื้ออย่างรุนแรงของไวรัสโควิด-19 ตนได้เตรียมแผนให้เจ้าหน้าที่ผลัดเวรกันทํางานอยู่ที่บ้าน เพื่อให้งานดําเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ตนได้สั่งการให้สถานสงเคราะห์ที่มีผู้สูงอายุป่วยติดเตียง เร่งตรวจสอบยอดผ้าอ้อมสําเร็จรูปที่มีอยู่ ซึ่งใช้วันละ 3 ผืนต่อคนต่อวัน หากมีไม่เพียงพอ ขอให้ประชาสัมพันธ์รับบริจาคจากประชาชน นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า ตนได้เยี่ยมชมการทําหน้ากากผ้าอนามัยในสถานสงเคราะห์ฯ มีผู้รับบริการและประชาชนจิตอาสาทุกวัยในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กชายที่มาทําหน้ากากผ้าในวันนี้เป็นวันแรก และสามารถทําได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งคาดว่าจะทําได้วันละประมาณ 400 ชิ้น โดยส่วนหนึ่งจะแบ่งไว้ให้ผู้รับบริการและเจ้าหน้าที่ในสถานสงเคราะห์ฯ แล้วส่วนที่เหลือจะนําแจกจ่ายประชาชนที่ต้องการต่อไป นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ตนได้สั่งการให้พัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนในสถานสงเคราะห์ฯ โดยมุ่งเน้นในด้านกีฬา การฝึกฝนทักษะ วันละ 4-5 ชม. ให้มีระเบียบวินัยในชีวิต และใช้ผู้ฝึกสอนที่มีความเชี่ยวชาญ ต่อยอดทักษะความสามารถเพื่อเป็นแชมป์ระดับโลกภายใน 10 ปี สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ โดยแบ่งกลุ่มตามทักษะความถนัดของเด็กและเยาวชน รวมทั้งเสริมสร้างทักษะด้านภาษา คอมพิวเตอร์ และกิริยามารยาทความเป็นไทยควบคู่กันไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. สั่งเข้มงวดรักษาความสะอาด ป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้เด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ฯ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์] วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2563 รมว.พม. สั่งเข้มงวดรักษาความสะอาด ป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้เด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ฯ [กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์] รมว.พม. สั่งเข้มงวดรักษาความสะอาด ป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้เด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ฯ วันที่ 14 มี.ค. 63 เวลา 17.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กล่าวภายหลังลงพื้นที่ตรวจราชการในภาคตะวันออกที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เนื่องจากเป็นพื้นที่เศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวและบริการ ว่า ตนได้รับฟังรายงานผลการดําเนินงานและปัญหาอุปสรรคต่างๆ ของสถานคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กระยอง จังหวัดระยอง และสถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านบางละมุง จังหวัดชลบุรี และได้สั่งการในเรื่องการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับเด็กและเยาวชน รวมทั้งผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ต่างๆ โดยขอให้มีมาตรการคุมเข้มการดูแลรักษาความสะอาด ทั้งการล้างมือ การใช้เจลแอลกอฮอล์ การทําความสะอาดวัสดุอุปกรณ์ และอาคารสถานที่ การใส่หน้ากากอนามัย การตรวจวัดไข้ เป็นต้น สําหรับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ในช่วงวิกฤตที่มีการแพร่เชื้ออย่างรุนแรงของไวรัสโควิด-19 ตนได้เตรียมแผนให้เจ้าหน้าที่ผลัดเวรกันทํางานอยู่ที่บ้าน เพื่อให้งานดําเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ตนได้สั่งการให้สถานสงเคราะห์ที่มีผู้สูงอายุป่วยติดเตียง เร่งตรวจสอบยอดผ้าอ้อมสําเร็จรูปที่มีอยู่ ซึ่งใช้วันละ 3 ผืนต่อคนต่อวัน หากมีไม่เพียงพอ ขอให้ประชาสัมพันธ์รับบริจาคจากประชาชน นายจุติ กล่าวต่ออีกว่า ตนได้เยี่ยมชมการทําหน้ากากผ้าอนามัยในสถานสงเคราะห์ฯ มีผู้รับบริการและประชาชนจิตอาสาทุกวัยในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กชายที่มาทําหน้ากากผ้าในวันนี้เป็นวันแรก และสามารถทําได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งคาดว่าจะทําได้วันละประมาณ 400 ชิ้น โดยส่วนหนึ่งจะแบ่งไว้ให้ผู้รับบริการและเจ้าหน้าที่ในสถานสงเคราะห์ฯ แล้วส่วนที่เหลือจะนําแจกจ่ายประชาชนที่ต้องการต่อไป นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ ตนได้สั่งการให้พัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนในสถานสงเคราะห์ฯ โดยมุ่งเน้นในด้านกีฬา การฝึกฝนทักษะ วันละ 4-5 ชม. ให้มีระเบียบวินัยในชีวิต และใช้ผู้ฝึกสอนที่มีความเชี่ยวชาญ ต่อยอดทักษะความสามารถเพื่อเป็นแชมป์ระดับโลกภายใน 10 ปี สร้างชื่อเสียงให้ประเทศ โดยแบ่งกลุ่มตามทักษะความถนัดของเด็กและเยาวชน รวมทั้งเสริมสร้างทักษะด้านภาษา คอมพิวเตอร์ และกิริยามารยาทความเป็นไทยควบคู่กันไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27353
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ปรึกษา รมว.พม. ลงพื้นที่ช่วยเด็กชาย 10 ขวบ หลังบ้านถูกเพลิงไหม้ ในชุมชนสุเหร่าคลอง 1 เขตคลองสามวา กทม.
วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562 ที่ปรึกษา รมว.พม. ลงพื้นที่ช่วยเด็กชาย 10 ขวบ หลังบ้านถูกเพลิงไหม้ ในชุมชนสุเหร่าคลอง 1 เขตคลองสามวา กทม. ที่ปรึกษา รมว.พม. ลงพื้นที่ช่วยเด็กชาย 10 ขวบ หลังบ้านถูกเพลิงไหม้ ในชุมชนสุเหร่าคลอง 1 เขตคลองสามวา กทม. วันนี้ (28 พ.ย. 62) เวลา 14.00 น. นายยุพ นานา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กําลังใจเด็กชายวัย 10 ขวบ ที่ครอบครัวได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ที่พักคนงานภายในชุมชนสุเหร่าคลอง 1 เขตคลองสามวา กทม. เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา พร้อมมอบอุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียน ณ โรงเรียนสุเหร่าคลองหนึ่ง (มานะราษฎร์บํารุง) เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร นายยุพ กล่าวว่า วันนี้ ตน พร้อมด้วยบ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กําลังใจเด็กชายวัย 10 ขวบ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุเหร่าคลองหนึ่ง (มานะราษฎร์บํารุง) โดยได้พูดคุยกับเด็กชายดังกล่าวและมารดา ทราบว่า ขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้ เด็กชายได้พักอาศัยอยู่ในบ้านของผู้เป็นตา ซึ่งประสบเหตุเพลิงไหม้ทั้งหลัง และขณะนี้ ได้มาพักอาศัยอยู่กับผู้เป็นแม่และยายที่มีบ้านอยู่ไม่ห่างกัน โดยผู้เป็นแม่ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป มีรายได้ไม่แน่นอน ด้านผู้เป็นยายมีโรคประจําตัวหลายโรค ทั้งนี้ ตนได้ให้กําลังใจเด็กชายและครอบครัวดังกล่าว และการช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. ได้แก่ มอบอุปกรณ์การเรียนที่จําเป็น พร้อมชุดนักเรียน และนําเรื่องเข้าพิจารณาขอรับเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวต่อไป ทั้งนี้ ครอบครัวของเด็กชายได้ลงทะเบียนผู้ประสบภัยที่สํานักงานเขตคลองสามวา กทม. เรียบร้อยแล้ว นายยุพ กล่าวต่อไปว่า สําหรับการช่วยเหลือในระยะต่อไป กระทรวง พม. ได้มอบหมายบ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร และหน่วยงาน สังกัด พม. ที่เกี่ยวข้อง ติดตามให้ความช่วยเหลือเด็กและครอบครัวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง พร้อมทั้งประสานหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ต่อไป ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม หรือพบเห็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถ โทร 1300 สายด่วน พม. บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ที่ปรึกษา รมว.พม. ลงพื้นที่ช่วยเด็กชาย 10 ขวบ หลังบ้านถูกเพลิงไหม้ ในชุมชนสุเหร่าคลอง 1 เขตคลองสามวา กทม. วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2562 ที่ปรึกษา รมว.พม. ลงพื้นที่ช่วยเด็กชาย 10 ขวบ หลังบ้านถูกเพลิงไหม้ ในชุมชนสุเหร่าคลอง 1 เขตคลองสามวา กทม. ที่ปรึกษา รมว.พม. ลงพื้นที่ช่วยเด็กชาย 10 ขวบ หลังบ้านถูกเพลิงไหม้ ในชุมชนสุเหร่าคลอง 1 เขตคลองสามวา กทม. วันนี้ (28 พ.ย. 62) เวลา 14.00 น. นายยุพ นานา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กําลังใจเด็กชายวัย 10 ขวบ ที่ครอบครัวได้รับผลกระทบจากเหตุเพลิงไหม้ที่พักคนงานภายในชุมชนสุเหร่าคลอง 1 เขตคลองสามวา กทม. เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา พร้อมมอบอุปกรณ์การเรียนและชุดนักเรียน ณ โรงเรียนสุเหร่าคลองหนึ่ง (มานะราษฎร์บํารุง) เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร นายยุพ กล่าวว่า วันนี้ ตน พร้อมด้วยบ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร สังกัดกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กําลังใจเด็กชายวัย 10 ขวบ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุเหร่าคลองหนึ่ง (มานะราษฎร์บํารุง) โดยได้พูดคุยกับเด็กชายดังกล่าวและมารดา ทราบว่า ขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้ เด็กชายได้พักอาศัยอยู่ในบ้านของผู้เป็นตา ซึ่งประสบเหตุเพลิงไหม้ทั้งหลัง และขณะนี้ ได้มาพักอาศัยอยู่กับผู้เป็นแม่และยายที่มีบ้านอยู่ไม่ห่างกัน โดยผู้เป็นแม่ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป มีรายได้ไม่แน่นอน ด้านผู้เป็นยายมีโรคประจําตัวหลายโรค ทั้งนี้ ตนได้ให้กําลังใจเด็กชายและครอบครัวดังกล่าว และการช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. ได้แก่ มอบอุปกรณ์การเรียนที่จําเป็น พร้อมชุดนักเรียน และนําเรื่องเข้าพิจารณาขอรับเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวต่อไป ทั้งนี้ ครอบครัวของเด็กชายได้ลงทะเบียนผู้ประสบภัยที่สํานักงานเขตคลองสามวา กทม. เรียบร้อยแล้ว นายยุพ กล่าวต่อไปว่า สําหรับการช่วยเหลือในระยะต่อไป กระทรวง พม. ได้มอบหมายบ้านพักเด็กและครอบครัวกรุงเทพมหานคร และหน่วยงาน สังกัด พม. ที่เกี่ยวข้อง ติดตามให้ความช่วยเหลือเด็กและครอบครัวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง พร้อมทั้งประสานหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ต่อไป ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาทางสังคม หรือพบเห็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถ โทร 1300 สายด่วน พม. บริการฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้คําปรึกษาและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24934
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีเดย์ 6-7 ต.ค.นี้! ธพว.รวมพลพนักงานจิตอาสา เสิร์ฟบริการ SME D Bank ถึงถิ่น เดินหน้าพาผู้ประกอบการคนตัวเล็กทั่วไทยเข้าถึงความรู้คู่เติมทุนดอกเบี้ยถูก
วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561 ดีเดย์ 6-7 ต.ค.นี้! ธพว.รวมพลพนักงานจิตอาสา เสิร์ฟบริการ SME D Bank ถึงถิ่น เดินหน้าพาผู้ประกอบการคนตัวเล็กทั่วไทยเข้าถึงความรู้คู่เติมทุนดอกเบี้ยถูก ในวันที่ 6-7 ตุลาคม 2561 นี้ ธนาคารเตรียมจัดกิจกรรม “จิตอาสา หน่วยรถม้าเติมทุน เดินหน้าทั่วไทย” ซึ่งเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของบุคลากรทุกคนของ ธพว. แบ่งทีมกระจายกําลังลงพื้นที่ตลาดชุมชน แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจสําคัญต่างๆ จังหวัดละ 4-5 จุด ธพว.กําหนด 6-7 ต.ค.นี้ บันทึกประวัติศาสตร์รวมพลพนักงานจิตอาสาหน่วยรถม้าเติมทุน เดินหน้าทั่วไทย ยกทัพทั้งองค์กร 3,000 ชีวิต ปูพรมลงพื้นที่ประมาณ 400 ตลาดทั่วประเทศ แนะนําผู้ประกอบการรายย่อยใช้บริการแพลตฟอร์ม SME D Bank เปิดประตูเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูกคู่ความรู้เสริมแกร่งธุรกิจ นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 6-7 ตุลาคม 2561 นี้ ธนาคารเตรียมจัดกิจกรรม “จิตอาสา หน่วยรถม้าเติมทุน เดินหน้าทั่วไทย” ซึ่งเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของบุคลากรทุกคนของ ธพว. ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงพนักงานทุกระดับกว่า 3,000 ชีวิต แบ่งทีมกระจายกําลังลงพื้นที่ตลาดชุมชน แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจสําคัญต่างๆ จังหวัดละ 4-5 จุด รวมแล้วประมาณ 400 จุดทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 8.00-20.00 น. เพื่อแนะนําผู้ประกอบการรายย่อย เข้าใช้บริการแพลตฟอร์ม SME D Bank แอปพลิเคชัน (Application) บนโทรศัพท์มือถือที่เป็นศูนย์กลางบริการครบวงจรเพื่อเอสเอ็มอีไทย มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสามารถยื่นขอสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษผ่านระบบออนไลน์ ได้ทุกที่ทุกเวลา เช่น สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 ของกระทรวงอุตสาหกรรม สําหรับนิติบุคคล ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี และสินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว สําหรับบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ดอกเบี้ย 3%ต่อปี เป็นต้น อีกทั้ง ในแพลตฟอร์ม ยังมีเครื่องมือเสริมแกร่งธุรกิจ (Tools Box) มากกว่า 140 รายการ คลังข้อมูลความรู้ (e-Library) มากกว่า 2,000 องค์ความรู้ และสิทธิพิเศษ (Privilege) ในการใช้งานอีกมากมาย ช่วยให้ผู้ประกอบการที่ใช้งานแพลตฟอร์ม SME D Bank สามารถเติบโต เข้มแข็ง อยู่รอด และยั่งยืน “กิจกรรมเดินตลาดทั่วไทยครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างมิติใหม่ในการทํางานของสถาบันการเงินภาครัฐที่พนักงานทุกคนขององค์กรเข้ามีส่วนร่วม ลงพื้นที่ต่างๆ เพื่อแนะนําให้ผู้ประกอบการคนตัวเล็กที่ประกอบอาชีพอยู่ตามตลาด และย่านเศรษฐกิจท้องถิ่นต่างๆ รับรู้ว่า ขณะนี้ ธพว. มีบริการแพลตฟอร์ม SME D Bank ซึ่งมีประโยชน์ต่อธุรกิจของเขาอย่างยิ่ง พร้อมแนะนําการโหลดใช้งาน และสามารถยื่นขอสินเชื่อผ่านออนไลน์ได้ทันที” กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าว นายมงคล เผยด้วยว่า สาเหตุที่ใช้ชื่อกิจกรรมว่า “จิตอาสาหน่วยรถม้าเติมทุน เดินหน้าทั่วไทย” เนื่องจากการทํางานครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ ธพว.ทุกคน มุ่งมั่นอยากช่วยเหลือผู้ประกอบการคนตัวเล็กในชุมชนต่างๆ โดยใช้ “จิตอาสา” หรือ “จิตสาธารณะ” ยินดีทํางานในวันหยุดโดยไม่ได้รับผลตอบแทนพิเศษ ทว่า ทุกคนยังเต็มใจจะทําหน้าที่ดังกล่าว เพราะตระหนักดีว่า เอสเอ็มอีคือฐานรากของเศรษฐกิจไทย อีกทั้ง กลุ่มเอสเอ็มอีคนตัวเล็กที่มีกว่า 3 ล้านราย ที่ผ่านมา ยากจะเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ดังนั้น ภารกิจครั้งนี้ จึงมีความสําคัญอย่างยิ่ง หากสามารถสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้ามาใช้แพลตฟอร์ม SME D Bank จะช่วยเสริมแกร่ง เติมทุนคู่ความรู้ ช่วยยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยทั่วประเทศ และคนในชุมชนโดยรอบให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ํา ก่อประโยชน์เชื่อมต่อไปยังเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศให้เติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืนตามไปด้วย ทั้งนี้ นับตั้งแต่เปิดตัวแพลตฟอร์ม SME D Bank เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ถึงปลายเดือนกันยายน ที่ผ่านมา มียอดดาวน์โหลดแล้วกว่า 40,000 ดาวน์โหลด มีการขอสินเชื่อผ่านระบบกว่า 2,000 คําขอ เป็นวงเงินกว่า 2,500 ล้านบาท และจากการลงพื้นที่ในวันที่ 6-7 ตุลาคมนี้ ตั้งเป้าว่า พนักงาน 1 คน สามารถเชิญชวนผู้ประกอบการโหลดแพลตฟอร์ม SME D Bank อย่างน้อย 30 ดาวน์โหลด ทําให้ยอดรวมทะลุ 100,000 ดาวน์โหลด หลังจากเปิดตัวมาได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีเดย์ 6-7 ต.ค.นี้! ธพว.รวมพลพนักงานจิตอาสา เสิร์ฟบริการ SME D Bank ถึงถิ่น เดินหน้าพาผู้ประกอบการคนตัวเล็กทั่วไทยเข้าถึงความรู้คู่เติมทุนดอกเบี้ยถูก วันอังคารที่ 2 ตุลาคม 2561 ดีเดย์ 6-7 ต.ค.นี้! ธพว.รวมพลพนักงานจิตอาสา เสิร์ฟบริการ SME D Bank ถึงถิ่น เดินหน้าพาผู้ประกอบการคนตัวเล็กทั่วไทยเข้าถึงความรู้คู่เติมทุนดอกเบี้ยถูก ในวันที่ 6-7 ตุลาคม 2561 นี้ ธนาคารเตรียมจัดกิจกรรม “จิตอาสา หน่วยรถม้าเติมทุน เดินหน้าทั่วไทย” ซึ่งเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของบุคลากรทุกคนของ ธพว. แบ่งทีมกระจายกําลังลงพื้นที่ตลาดชุมชน แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจสําคัญต่างๆ จังหวัดละ 4-5 จุด ธพว.กําหนด 6-7 ต.ค.นี้ บันทึกประวัติศาสตร์รวมพลพนักงานจิตอาสาหน่วยรถม้าเติมทุน เดินหน้าทั่วไทย ยกทัพทั้งองค์กร 3,000 ชีวิต ปูพรมลงพื้นที่ประมาณ 400 ตลาดทั่วประเทศ แนะนําผู้ประกอบการรายย่อยใช้บริการแพลตฟอร์ม SME D Bank เปิดประตูเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยถูกคู่ความรู้เสริมแกร่งธุรกิจ นายมงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Development Bank หรือ ธพว.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 6-7 ตุลาคม 2561 นี้ ธนาคารเตรียมจัดกิจกรรม “จิตอาสา หน่วยรถม้าเติมทุน เดินหน้าทั่วไทย” ซึ่งเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันของบุคลากรทุกคนของ ธพว. ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงพนักงานทุกระดับกว่า 3,000 ชีวิต แบ่งทีมกระจายกําลังลงพื้นที่ตลาดชุมชน แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจสําคัญต่างๆ จังหวัดละ 4-5 จุด รวมแล้วประมาณ 400 จุดทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 8.00-20.00 น. เพื่อแนะนําผู้ประกอบการรายย่อย เข้าใช้บริการแพลตฟอร์ม SME D Bank แอปพลิเคชัน (Application) บนโทรศัพท์มือถือที่เป็นศูนย์กลางบริการครบวงจรเพื่อเอสเอ็มอีไทย มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสามารถยื่นขอสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษผ่านระบบออนไลน์ ได้ทุกที่ทุกเวลา เช่น สินเชื่อเถ้าแก่ 4.0 ของกระทรวงอุตสาหกรรม สําหรับนิติบุคคล ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี และสินเชื่อเศรษฐกิจติดดาว สําหรับบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ดอกเบี้ย 3%ต่อปี เป็นต้น อีกทั้ง ในแพลตฟอร์ม ยังมีเครื่องมือเสริมแกร่งธุรกิจ (Tools Box) มากกว่า 140 รายการ คลังข้อมูลความรู้ (e-Library) มากกว่า 2,000 องค์ความรู้ และสิทธิพิเศษ (Privilege) ในการใช้งานอีกมากมาย ช่วยให้ผู้ประกอบการที่ใช้งานแพลตฟอร์ม SME D Bank สามารถเติบโต เข้มแข็ง อยู่รอด และยั่งยืน “กิจกรรมเดินตลาดทั่วไทยครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างมิติใหม่ในการทํางานของสถาบันการเงินภาครัฐที่พนักงานทุกคนขององค์กรเข้ามีส่วนร่วม ลงพื้นที่ต่างๆ เพื่อแนะนําให้ผู้ประกอบการคนตัวเล็กที่ประกอบอาชีพอยู่ตามตลาด และย่านเศรษฐกิจท้องถิ่นต่างๆ รับรู้ว่า ขณะนี้ ธพว. มีบริการแพลตฟอร์ม SME D Bank ซึ่งมีประโยชน์ต่อธุรกิจของเขาอย่างยิ่ง พร้อมแนะนําการโหลดใช้งาน และสามารถยื่นขอสินเชื่อผ่านออนไลน์ได้ทันที” กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าว นายมงคล เผยด้วยว่า สาเหตุที่ใช้ชื่อกิจกรรมว่า “จิตอาสาหน่วยรถม้าเติมทุน เดินหน้าทั่วไทย” เนื่องจากการทํางานครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ ธพว.ทุกคน มุ่งมั่นอยากช่วยเหลือผู้ประกอบการคนตัวเล็กในชุมชนต่างๆ โดยใช้ “จิตอาสา” หรือ “จิตสาธารณะ” ยินดีทํางานในวันหยุดโดยไม่ได้รับผลตอบแทนพิเศษ ทว่า ทุกคนยังเต็มใจจะทําหน้าที่ดังกล่าว เพราะตระหนักดีว่า เอสเอ็มอีคือฐานรากของเศรษฐกิจไทย อีกทั้ง กลุ่มเอสเอ็มอีคนตัวเล็กที่มีกว่า 3 ล้านราย ที่ผ่านมา ยากจะเข้าถึงมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ดังนั้น ภารกิจครั้งนี้ จึงมีความสําคัญอย่างยิ่ง หากสามารถสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้ามาใช้แพลตฟอร์ม SME D Bank จะช่วยเสริมแกร่ง เติมทุนคู่ความรู้ ช่วยยกระดับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยทั่วประเทศ และคนในชุมชนโดยรอบให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ํา ก่อประโยชน์เชื่อมต่อไปยังเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศให้เติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืนตามไปด้วย ทั้งนี้ นับตั้งแต่เปิดตัวแพลตฟอร์ม SME D Bank เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ถึงปลายเดือนกันยายน ที่ผ่านมา มียอดดาวน์โหลดแล้วกว่า 40,000 ดาวน์โหลด มีการขอสินเชื่อผ่านระบบกว่า 2,000 คําขอ เป็นวงเงินกว่า 2,500 ล้านบาท และจากการลงพื้นที่ในวันที่ 6-7 ตุลาคมนี้ ตั้งเป้าว่า พนักงาน 1 คน สามารถเชิญชวนผู้ประกอบการโหลดแพลตฟอร์ม SME D Bank อย่างน้อย 30 ดาวน์โหลด ทําให้ยอดรวมทะลุ 100,000 ดาวน์โหลด หลังจากเปิดตัวมาได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15797
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย
วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจําประเทศไทย พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ นายอูฟเฟ่ โวฟเฮคเชล เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจําประเทศไทย พร้อมคณะ ในวันพุธที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เวลา ๑๕.๑๕ น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ นายอูฟเฟ่ โวฟเฮคเชล เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจําประเทศไทย พร้อมคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมทั้งหารือข้อราชการทั่วไปร่วมกัน โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุมสํานักงานรัฐมนตรี ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจำประเทศไทย วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจําประเทศไทย พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ นายอูฟเฟ่ โวฟเฮคเชล เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจําประเทศไทย พร้อมคณะ ในวันพุธที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เวลา ๑๕.๑๕ น. พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ นายอูฟเฟ่ โวฟเฮคเชล เอกอัครราชทูตเดนมาร์กประจําประเทศไทย พร้อมคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมทั้งหารือข้อราชการทั่วไปร่วมกัน โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุมสํานักงานรัฐมนตรี ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9960
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มการเข้าถึงการวัดความดันโลหิต ประเมินความเสี่ยงด้วยตนเอง
วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มการเข้าถึงการวัดความดันโลหิต ประเมินความเสี่ยงด้วยตนเอง วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2562 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ กระทรวงสาธารณสุข กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานครร่วมมือนําร่องตั้งเครื่องวัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติ ณ ที่ว่าการอําเภอ/ที่ว่าการเขต ศูนย์บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ เริ่มในช่วงแรก 4 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรีและสมุทรปราการ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการวัดความดันโลหิตในที่สาธารณะได้สะดวกมากขึ้น สามารถทราบค่าความดันโลหิตของตนเองที่จะนําไปสู่การป้องกันควบคุมโรคและลดพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ โดยจะเพิ่มการติดตั้งเครื่องวัดความดันโลหิตในโรงพยาบาล สถานที่ราชการ สถานที่ทํางานทั่วประเทศ และจัดหลักสูตรฝึกอบรม อาสาสมัครประจําหมู่บ้าน เป็นหมอประจําบ้าน เพื่อดูแลสร้างเสริมสุขภาพประชาชนอีกด้วย ​ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เพิ่มการเข้าถึงการวัดความดันโลหิต ประเมินความเสี่ยงด้วยตนเอง วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มการเข้าถึงการวัดความดันโลหิต ประเมินความเสี่ยงด้วยตนเอง วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2562 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ กระทรวงสาธารณสุข กรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรุงเทพมหานครร่วมมือนําร่องตั้งเครื่องวัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติ ณ ที่ว่าการอําเภอ/ที่ว่าการเขต ศูนย์บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ เริ่มในช่วงแรก 4 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรีและสมุทรปราการ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการวัดความดันโลหิตในที่สาธารณะได้สะดวกมากขึ้น สามารถทราบค่าความดันโลหิตของตนเองที่จะนําไปสู่การป้องกันควบคุมโรคและลดพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ โดยจะเพิ่มการติดตั้งเครื่องวัดความดันโลหิตในโรงพยาบาล สถานที่ราชการ สถานที่ทํางานทั่วประเทศ และจัดหลักสูตรฝึกอบรม อาสาสมัครประจําหมู่บ้าน เป็นหมอประจําบ้าน เพื่อดูแลสร้างเสริมสุขภาพประชาชนอีกด้วย ​ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24347
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560 รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี วันนี้ (23 มีนาคม 2560) เวลา 10.30 น. นายยูซุฟ กัลลา (H.E. Mr. Jusuf Kalla) รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับรองประธานาธิบดีที่ได้รับพระราชทานปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมขอบคุณที่เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเยือนไทยครั้งนี้ ด้านรองประธานธานาธิบดีกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีทีให้การต้อนรับ และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับพระราชทานปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรองประธานาธิบดีที่ได้เดินทางมาลงนามแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา ตั้งแต่วันแรกที่สถานเอกอัครราชทูตฯ เปิดให้ชาวต่างชาติลงนามแสดงความอาลัย เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2559 ซึ่งถือเป็นบุคคลระดับสูงคนแรกของอินโดนีเซียที่เดินทางมาลงนาม นายกรัฐมนตรียังได้แสดงความขอบคุณที่ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด (โจโควี) และภริยา เยือนไทยเพื่อเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2559 และในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเชิญประธานาธิบดีโจโควีเยือนไทยอย่างเป็นทางการในช่วงเวลาที่สะดวก ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสําคัญกับการเดินทางเยือนและพร้อมให้การต้อนรับ เนื่องจากเป็นโอกาสอันดีในการกระชับความสัมพันธ์ และหารือแนวทางพัฒนาความร่วมมืออย่างรอบด้านระหว่างทั้งสองประเทศ โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความสัมพันธ์ทวิภาคีมีความแน่นแฟ้นและยาวนาน โดยไทยและอินโดนีเซียเห็นพ้องว่าทั้งสองประเทศถือเป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นเสาหลักของประชาคมอาเซียน จึงเห็นควรพัฒนาความร่วมมือให้ครอบคลุมในทุกสาขา เพื่อเสริมสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน รองประธานาธิบดีกล่าวว่า รัฐบาลอินโดนีเซียมีนโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งภาคเอกชนไทยมีความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมืองและศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย และขยายการลงทุนในอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน นักลงทุนจากอินโดนีเซียก็เข้ามาลงทุนในไทยด้วยเช่นกัน จึงเห็นควรที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือ ตลอดจนส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ขณะที่นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยมุ่งมั่นเสริมสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมและอํานวยความสะดวกแก่การค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังยินดีที่จะสนับสนุนให้ภาคเอกชนและสภาธุรกิจของทั้งสองประเทศ มีบทบาทมากยิ่งขึ้นในการขยายความร่วมมือทางธุรกิจของทั้งสองประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจหลายโครงการ อาทิ การพัฒนาประเทศไทยไปสู่โมเดล “ประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0)” และโครงการพัฒนาเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จึงอยากเชิญชวนภาคเอกชนอินโดนีเซียที่สนใจเข้ามาลงทุนในโครงการดังกล่าว ตลอดจนเพิ่มพูนมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกัน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังพร้อมที่จะเร่งดําเนินการแก้ปัญหาและอุกสรรคทางด้านเศรษฐกิจ โดยได้มีการปรับแก้กฎหมายต่างๆ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักลงทุน ความร่วมมือด้านการประมง นายกรัฐมนตรียืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยในการร่วมมือกับรัฐบาลอินโดนีเซียในการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) อย่างรอบด้านและยั่งยืน ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเห็นว่าการริเริ่มหารือเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือในด้านประมงสามารถดําเนินการผ่านคณะทํางานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมงระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย (Joint Working Group on Fisheries Cooperation between Thailand and Indonesia) ซึ่งถือเป็นช่องทางหารือเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านประมงระหว่างกันให้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จํานวนนักท่องเที่ยวระหว่างกันเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งไทยและอินโดนีเซียต่างเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทั้งสองประเทศจึงเห็นควรร่วมมือกันในการจัดตั้งจุดหมายปลายทางร่วมด้านการท่องเที่ยว (Joint Tourist Destination) เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น สถานการณ์การเมืองไทย นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณฝ่ายอินโดนีเซียที่เข้าใจในสถานการณ์การเมืองไทย พร้อมยืนยันว่า ไทยกําลังดําเนินการตาม Roadmap ของรัฐบาลในการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง สังคมที่ปรองดอง และบ้านเมืองที่มีเสถียรภาพ ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยกําลังปฏิรูปประเทศให้สอดคล้องตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่มุ่งสร้างความสงบสุขในสังคม และแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง การทุจริต และขจัดความเหลื่อมล้ําต่าง ๆ อันจะนําไปสู่การพัฒนาบนพื้นฐานของความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณที่อินโดนีเซียให้การสนับสนุนในการแก้ไขสถานการณ์ จชต. ซึ่งรัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขสถานการณ์โดยสันติวิธีและใช้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในสังคม เพื่อนําไปสู่สันติสุขอย่างยั่งยืน ซึ่งในขณะนี้มีความคืบหน้าตามลําดับ ด้านรองประธานาธิบดียินดีที่เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในการเจรจาสันติภาพ นอกจากนี้ ยังกล่าวขอบคุณประเทศไทยที่ให้ความช่วยเหลือในกระบวนการสันติภาพในอาเจะห์ ซึ่งประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ***************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2560 รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี วันนี้ (23 มีนาคม 2560) เวลา 10.30 น. นายยูซุฟ กัลลา (H.E. Mr. Jusuf Kalla) รองประธานาธิบดีสาธารณรัฐอินโดนีเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีกับรองประธานาธิบดีที่ได้รับพระราชทานปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมขอบคุณที่เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเยือนไทยครั้งนี้ ด้านรองประธานธานาธิบดีกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีทีให้การต้อนรับ และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับพระราชทานปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณรองประธานาธิบดีที่ได้เดินทางมาลงนามแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา ตั้งแต่วันแรกที่สถานเอกอัครราชทูตฯ เปิดให้ชาวต่างชาติลงนามแสดงความอาลัย เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2559 ซึ่งถือเป็นบุคคลระดับสูงคนแรกของอินโดนีเซียที่เดินทางมาลงนาม นายกรัฐมนตรียังได้แสดงความขอบคุณที่ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด (โจโควี) และภริยา เยือนไทยเพื่อเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ณ พระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2559 และในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเชิญประธานาธิบดีโจโควีเยือนไทยอย่างเป็นทางการในช่วงเวลาที่สะดวก ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสําคัญกับการเดินทางเยือนและพร้อมให้การต้อนรับ เนื่องจากเป็นโอกาสอันดีในการกระชับความสัมพันธ์ และหารือแนวทางพัฒนาความร่วมมืออย่างรอบด้านระหว่างทั้งสองประเทศ โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความสัมพันธ์ทวิภาคีมีความแน่นแฟ้นและยาวนาน โดยไทยและอินโดนีเซียเห็นพ้องว่าทั้งสองประเทศถือเป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นเสาหลักของประชาคมอาเซียน จึงเห็นควรพัฒนาความร่วมมือให้ครอบคลุมในทุกสาขา เพื่อเสริมสร้างประชาคมอาเซียนให้เข้มแข็ง ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน รองประธานาธิบดีกล่าวว่า รัฐบาลอินโดนีเซียมีนโยบายส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งภาคเอกชนไทยมีความเชื่อมั่นในเสถียรภาพทางการเมืองและศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย และขยายการลงทุนในอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน นักลงทุนจากอินโดนีเซียก็เข้ามาลงทุนในไทยด้วยเช่นกัน จึงเห็นควรที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือ ตลอดจนส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ขณะที่นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยมุ่งมั่นเสริมสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมและอํานวยความสะดวกแก่การค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังยินดีที่จะสนับสนุนให้ภาคเอกชนและสภาธุรกิจของทั้งสองประเทศ มีบทบาทมากยิ่งขึ้นในการขยายความร่วมมือทางธุรกิจของทั้งสองประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจหลายโครงการ อาทิ การพัฒนาประเทศไทยไปสู่โมเดล “ประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0)” และโครงการพัฒนาเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จึงอยากเชิญชวนภาคเอกชนอินโดนีเซียที่สนใจเข้ามาลงทุนในโครงการดังกล่าว ตลอดจนเพิ่มพูนมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกัน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังพร้อมที่จะเร่งดําเนินการแก้ปัญหาและอุกสรรคทางด้านเศรษฐกิจ โดยได้มีการปรับแก้กฎหมายต่างๆ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักลงทุน ความร่วมมือด้านการประมง นายกรัฐมนตรียืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยในการร่วมมือกับรัฐบาลอินโดนีเซียในการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) อย่างรอบด้านและยั่งยืน ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเห็นว่าการริเริ่มหารือเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือในด้านประมงสามารถดําเนินการผ่านคณะทํางานร่วมว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมงระหว่างไทยกับอินโดนีเซีย (Joint Working Group on Fisheries Cooperation between Thailand and Indonesia) ซึ่งถือเป็นช่องทางหารือเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านประมงระหว่างกันให้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จํานวนนักท่องเที่ยวระหว่างกันเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งไทยและอินโดนีเซียต่างเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทั้งสองประเทศจึงเห็นควรร่วมมือกันในการจัดตั้งจุดหมายปลายทางร่วมด้านการท่องเที่ยว (Joint Tourist Destination) เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น สถานการณ์การเมืองไทย นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณฝ่ายอินโดนีเซียที่เข้าใจในสถานการณ์การเมืองไทย พร้อมยืนยันว่า ไทยกําลังดําเนินการตาม Roadmap ของรัฐบาลในการกลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง สังคมที่ปรองดอง และบ้านเมืองที่มีเสถียรภาพ ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยกําลังปฏิรูปประเทศให้สอดคล้องตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่มุ่งสร้างความสงบสุขในสังคม และแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง การทุจริต และขจัดความเหลื่อมล้ําต่าง ๆ อันจะนําไปสู่การพัฒนาบนพื้นฐานของความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) นายกรัฐมนตรีแสดงความขอบคุณที่อินโดนีเซียให้การสนับสนุนในการแก้ไขสถานการณ์ จชต. ซึ่งรัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขสถานการณ์โดยสันติวิธีและใช้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในสังคม เพื่อนําไปสู่สันติสุขอย่างยั่งยืน ซึ่งในขณะนี้มีความคืบหน้าตามลําดับ ด้านรองประธานาธิบดียินดีที่เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในการเจรจาสันติภาพ นอกจากนี้ ยังกล่าวขอบคุณประเทศไทยที่ให้ความช่วยเหลือในกระบวนการสันติภาพในอาเจะห์ ซึ่งประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ***************************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2611
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีลงนาม MOU โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกศูนย์กลางการบินของภูมิภาค
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีลงนาม MOU โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกศูนย์กลางการบินของภูมิภาค นายกรัฐมนตรีประธานในพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคและการลงทุนครอบคลุมทุกมิติ วันนี้ (19 มิ.ย. 63) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด โดยมีพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมพร้อมด้วย พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท การบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) และนายภาคภูมิ ศรีชํานิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด (มหาชน) รวมถึงผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยาน โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลักสําคัญของ EEC ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่สําคัญระหว่างภาครัฐและเอกชน จากครั้งที่ผ่านมาที่มีการลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการดําเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกที่จะช่วยเสริมความเข้มแข็งเศรษฐกิจ สังคม และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนช่วยยกระดับพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออกให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนําของภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําว่า EEC และโครงการต่าง ๆ ใน EEC จะต้องสร้างประโยชน์ให้ประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง อีกทั้ง ยังเป็นการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคให้ได้และก่อให้เกิดการลงทุนในด้านต่าง ๆ ที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งในเรื่องของการจ้างงาน การสร้างอาชีพใหม่ ๆ เมืองใหม่และอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ EEC นอกจากนี้ จะทําให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยว และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนคนไทยทุกคน นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณประชาชนในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่ร่วมกันผลักดันให้โครงการนี้เกิดขึ้นได้ และหวังว่าทุกโครงการใน EEC จะสําเร็จได้โดยเร็ว พร้อมขอให้ทุกคนร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทย การคิดใหม่ ทําใหม่ บูรณาการสิ่งใหม่ ๆ สามารถให้การทํางานประสบความสําเร็จไปสู่เป้าหมายต่อไป และขอให้ทุกคนคิดแบบ New Normal ชีวิตที่เป็นปกติในรูปแบบใหม่ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงยุคใหม่ที่จะต้องมีการปรับตัวอยู่เสมอ สิ่งที่ทําวันนี้จะมีประโยชน์ในอนาคตต่อลูกหลานเราทุกคน โครงการเหล่านี้มีอายุสัมปทาน 50 ปี ซึ่งจะอยู่คู่กับประเทศไทยไปยาวนาน และคาดหวังว่าลูกหลานจะมีงานทําที่ดี และสิ่งสําคัญคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาความรู้ พัฒนาจิตใจ ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับบุคลากรทั้งสิ้นที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้อนาคตของประเทศเดินหน้าต่อไป ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีลงนาม MOU โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกศูนย์กลางการบินของภูมิภาค วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีลงนาม MOU โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกศูนย์กลางการบินของภูมิภาค นายกรัฐมนตรีประธานในพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคและการลงทุนครอบคลุมทุกมิติ วันนี้ (19 มิ.ย. 63) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ระหว่าง สํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และ บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จํากัด โดยมีพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมพร้อมด้วย พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท การบินกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) และนายภาคภูมิ ศรีชํานิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จํากัด (มหาชน) รวมถึงผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยาน โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลักสําคัญของ EEC ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่สําคัญระหว่างภาครัฐและเอกชน จากครั้งที่ผ่านมาที่มีการลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการดําเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกที่จะช่วยเสริมความเข้มแข็งเศรษฐกิจ สังคม และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนช่วยยกระดับพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออกให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนําของภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําว่า EEC และโครงการต่าง ๆ ใน EEC จะต้องสร้างประโยชน์ให้ประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง อีกทั้ง ยังเป็นการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคให้ได้และก่อให้เกิดการลงทุนในด้านต่าง ๆ ที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งในเรื่องของการจ้างงาน การสร้างอาชีพใหม่ ๆ เมืองใหม่และอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ EEC นอกจากนี้ จะทําให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยว และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนคนไทยทุกคน นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณประชาชนในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่ร่วมกันผลักดันให้โครงการนี้เกิดขึ้นได้ และหวังว่าทุกโครงการใน EEC จะสําเร็จได้โดยเร็ว พร้อมขอให้ทุกคนร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทย การคิดใหม่ ทําใหม่ บูรณาการสิ่งใหม่ ๆ สามารถให้การทํางานประสบความสําเร็จไปสู่เป้าหมายต่อไป และขอให้ทุกคนคิดแบบ New Normal ชีวิตที่เป็นปกติในรูปแบบใหม่ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงยุคใหม่ที่จะต้องมีการปรับตัวอยู่เสมอ สิ่งที่ทําวันนี้จะมีประโยชน์ในอนาคตต่อลูกหลานเราทุกคน โครงการเหล่านี้มีอายุสัมปทาน 50 ปี ซึ่งจะอยู่คู่กับประเทศไทยไปยาวนาน และคาดหวังว่าลูกหลานจะมีงานทําที่ดี และสิ่งสําคัญคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาความรู้ พัฒนาจิตใจ ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับบุคลากรทั้งสิ้นที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้อนาคตของประเทศเดินหน้าต่อไป ---------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32504
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำทีมผู้บริหาร เข้าทำเนียบรัฐบาล เชิญชวนร่วมงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018
วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561 รมว.พม. นําทีมผู้บริหาร เข้าทําเนียบรัฐบาล เชิญชวนร่วมงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 รมว.พม. นําทีมผู้บริหาร เข้าทําเนียบรัฐบาล เชิญชวนร่วมงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 วันนี้ (31 ก.ค. 61) เวลา 08.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนหน่วยงานด้านสังคม นําตัวอย่างผลงานนวัตกรรมทางสังคม เทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาสังคมและประชาชนกลุ่มเป้าหมาย มาจัดแสดงให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะองค์กรนําด้านการพัฒนาสังคมของประเทศ มีความมุ่งมั่นในการผลักดันและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสังคมอย่างเป็นระบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ การแสวงหาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม ตลอดจนการสร้างบทบาทนําในการพัฒนาสังคมของประเทศอย่างมีคุณภาพ เพื่อนําไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ทั้งนี้ กระทรวง พม.จึงได้บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และทุกภาคส่วนที่ทํางานด้านสังคมกว่า 90 หน่วยงาน กําหนดจัดงาน Thailand Social Expo 2018 ซึ่งเป็นงานแสดงผลงานด้านสังคมของรัฐบาลและงานมหกรรมด้านสังคมครั้งแรกของประเทศไทย ที่แสดงผลงานนวัตกรรมทางสังคม เทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาสังคมและประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ผลการคิดค้น และการดําเนินงานสําคัญในด้านสังคมของไทยและอาเซียน โดยการจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพหน่วยงานด้านสังคมในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมของประเทศ สร้างพลังความร่วมมือของหน่วยงานด้านสังคมทุกภาคส่วนแสดงผลงานสําคัญด้านการพัฒนาสังคมของประเทศ นวัตกรรมทางสังคมต้นแบบการพัฒนาสังคม ศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย และองค์ความรู้ด้านสังคม รวมถึงผลผลิต ผลิตภัณฑ์ของหน่วยงานด้านสังคมทุกภาคส่วน และนําเสนองานวิชาการ รายงานสถานการณ์ทางสังคม การคาดการณ์แนวโน้มทางสังคมเพื่อนําไปสู่การกําหนดนโยบาย การจัดงาน Thailand Social Expo 2018 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม 2561 ณ Hall 5 - 8 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยภายในงานมีกิจกรรมหลัก ได้แก่ การประชุมวิชาการ การแสดงผลงานนวัตกรรม การแสดงผลิตผลด้านสังคม และการแสดงศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่าย ซึ่งประกอบด้วย 4 Zone ดังนี้ 1) การประชุมวิชาการ เสวนา ปาฐกถา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาสังคม และการนําเสนอรายงานสถานการณ์ทางสังคมทั้งในเชิงประเด็นและเชิงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ "พลังสตรีอาเซียน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”ASEAN Women Empowerment and Economic development “เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หยุดการกระทําความรุนแรงในทุกรูปแบบ” “Digital Society : ความท้าทายต่อกระบวนทัศน์การพัฒนาเด็กและเยาวชน” “การนําเสนอมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ” เป็นต้น 2) การแสดงผลงานนวัตกรรมด้านสังคมของประเทศไทย ซึ่งเป็นนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสังคม ต้นแบบที่ดีของการพัฒนาสังคม เทคโนโลยีเพื่อสังคม อาทิ การจําลองบ้านและที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อคนพิการ การจําลองสภาพแวดล้อมและสิ่งอํานวยความสะดวกที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ นวัตกรรมโรงรับจํานํา นวัตกรรมด้านการออม และการให้บริการทางสังคม อาทิ การทําบัตรประชาชนเคลื่อนที่ การประมูลทรัพย์หลุดจํานํา รถทันตกรรมเคลื่อนที่ การนวดแผนไทย บริการวัดสายตาและบริการแว่นตา เป็นต้น 3) การแสดงผลิตผลด้านสังคมของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน อาทิ ธงฟ้าราคาประหยัด สินค้า OTOP ตลาดเคหะประชารัฐ เครื่องอุปโภคบริโภคในรูปแบบตลาดชุมชน ผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม. บริการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ สินเชื่อประชารัฐ การเปิดจองบ้าน ผ่านระบบ Online ในโครงการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เป็นต้น และ 4) การแสดงศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่าย เพื่อเสริมสร้างเจตคติที่ดี และสร้างสรรค์ของคนในสังคม อาทิ การแสดงศิลปิน S2S กับนักร้องวงดุริยางค์ทหารบก การแสดงโขนรามเกียรติ์ของผู้พิการทางการได้ยิน ตอน “ยกรบ” การแสดงของชนเผ่าอาข่า “การเดินแฟชั่นโชว์ผู้สูงอายุ” โดยคุณต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล และทีมมีสแกรนด์ ปี 2018 ในโอกาสนี้ ขอเชิญชวนประชาชนผู้สนใจ ภาคีเครือข่ายทางสังคม หน่วยงานภาครัฐ เอกชน NGOs และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถาบันการศึกษาเข้าร่วมงาน Thailand Social Expo 2018 ระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคม 2561 ณ Hall 5 - 8 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำทีมผู้บริหาร เข้าทำเนียบรัฐบาล เชิญชวนร่วมงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561 รมว.พม. นําทีมผู้บริหาร เข้าทําเนียบรัฐบาล เชิญชวนร่วมงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 รมว.พม. นําทีมผู้บริหาร เข้าทําเนียบรัฐบาล เชิญชวนร่วมงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 วันนี้ (31 ก.ค. 61) เวลา 08.00 น. พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนหน่วยงานด้านสังคม นําตัวอย่างผลงานนวัตกรรมทางสังคม เทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาสังคมและประชาชนกลุ่มเป้าหมาย มาจัดแสดงให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เยี่ยมชมก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานมหกรรม Thailand Social Expo 2018 ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ รัฐบาลโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะองค์กรนําด้านการพัฒนาสังคมของประเทศ มีความมุ่งมั่นในการผลักดันและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสังคมอย่างเป็นระบบ รวมถึงการสร้างการรับรู้ การแสวงหาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชนและภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม ตลอดจนการสร้างบทบาทนําในการพัฒนาสังคมของประเทศอย่างมีคุณภาพ เพื่อนําไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน ทั้งนี้ กระทรวง พม.จึงได้บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และทุกภาคส่วนที่ทํางานด้านสังคมกว่า 90 หน่วยงาน กําหนดจัดงาน Thailand Social Expo 2018 ซึ่งเป็นงานแสดงผลงานด้านสังคมของรัฐบาลและงานมหกรรมด้านสังคมครั้งแรกของประเทศไทย ที่แสดงผลงานนวัตกรรมทางสังคม เทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาสังคมและประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ผลการคิดค้น และการดําเนินงานสําคัญในด้านสังคมของไทยและอาเซียน โดยการจัดงานในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพหน่วยงานด้านสังคมในการขับเคลื่อนการพัฒนาสังคมของประเทศ สร้างพลังความร่วมมือของหน่วยงานด้านสังคมทุกภาคส่วนแสดงผลงานสําคัญด้านการพัฒนาสังคมของประเทศ นวัตกรรมทางสังคมต้นแบบการพัฒนาสังคม ศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย และองค์ความรู้ด้านสังคม รวมถึงผลผลิต ผลิตภัณฑ์ของหน่วยงานด้านสังคมทุกภาคส่วน และนําเสนองานวิชาการ รายงานสถานการณ์ทางสังคม การคาดการณ์แนวโน้มทางสังคมเพื่อนําไปสู่การกําหนดนโยบาย การจัดงาน Thailand Social Expo 2018 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 สิงหาคม 2561 ณ Hall 5 - 8 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยภายในงานมีกิจกรรมหลัก ได้แก่ การประชุมวิชาการ การแสดงผลงานนวัตกรรม การแสดงผลิตผลด้านสังคม และการแสดงศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่าย ซึ่งประกอบด้วย 4 Zone ดังนี้ 1) การประชุมวิชาการ เสวนา ปาฐกถา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการพัฒนาสังคม และการนําเสนอรายงานสถานการณ์ทางสังคมทั้งในเชิงประเด็นและเชิงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ "พลังสตรีอาเซียน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”ASEAN Women Empowerment and Economic development “เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หยุดการกระทําความรุนแรงในทุกรูปแบบ” “Digital Society : ความท้าทายต่อกระบวนทัศน์การพัฒนาเด็กและเยาวชน” “การนําเสนอมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ” เป็นต้น 2) การแสดงผลงานนวัตกรรมด้านสังคมของประเทศไทย ซึ่งเป็นนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสังคม ต้นแบบที่ดีของการพัฒนาสังคม เทคโนโลยีเพื่อสังคม อาทิ การจําลองบ้านและที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อคนพิการ การจําลองสภาพแวดล้อมและสิ่งอํานวยความสะดวกที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ นวัตกรรมโรงรับจํานํา นวัตกรรมด้านการออม และการให้บริการทางสังคม อาทิ การทําบัตรประชาชนเคลื่อนที่ การประมูลทรัพย์หลุดจํานํา รถทันตกรรมเคลื่อนที่ การนวดแผนไทย บริการวัดสายตาและบริการแว่นตา เป็นต้น 3) การแสดงผลิตผลด้านสังคมของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน อาทิ ธงฟ้าราคาประหยัด สินค้า OTOP ตลาดเคหะประชารัฐ เครื่องอุปโภคบริโภคในรูปแบบตลาดชุมชน ผลิตภัณฑ์ทอฝัน By พม. บริการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ สินเชื่อประชารัฐ การเปิดจองบ้าน ผ่านระบบ Online ในโครงการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เป็นต้น และ 4) การแสดงศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายและภาคีเครือข่าย เพื่อเสริมสร้างเจตคติที่ดี และสร้างสรรค์ของคนในสังคม อาทิ การแสดงศิลปิน S2S กับนักร้องวงดุริยางค์ทหารบก การแสดงโขนรามเกียรติ์ของผู้พิการทางการได้ยิน ตอน “ยกรบ” การแสดงของชนเผ่าอาข่า “การเดินแฟชั่นโชว์ผู้สูงอายุ” โดยคุณต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล และทีมมีสแกรนด์ ปี 2018 ในโอกาสนี้ ขอเชิญชวนประชาชนผู้สนใจ ภาคีเครือข่ายทางสังคม หน่วยงานภาครัฐ เอกชน NGOs และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถาบันการศึกษาเข้าร่วมงาน Thailand Social Expo 2018 ระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคม 2561 ณ Hall 5 - 8 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14232
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้นพัฒนาศักยภาพกลุ่มจังหวัดให้ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่
วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2562 นายกรัฐมนตรีเน้นพัฒนาศักยภาพกลุ่มจังหวัดให้ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีเน้นพัฒนาศักยภาพกลุ่มจังหวัดให้ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2562) เวลา 13.00 น. ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า สิ่งที่ต้องให้ความสําคัญ คือ การพัฒนาศักยภาพของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 3 จังหวัด โดยให้รวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นและดําเนินการแก้ไขไม่ให้เกิดความซ้ําซ้อน นายกรัฐมนตรียังย้ําการผลิตสินค้าต้องตรงกับความต้องการ และการขายออนไลน์ วิธีการจัดส่ง โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็นประโยชน์ เน้นให้มีการขึ้นทะเบียนสินค้าโอท้อป ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนร่วมมือกันใช้สินค้าเหล่านี้เพราะเป็นของดีแต่ละพื้นที่ สําหรับการประกันราคามันสําปะหลังนั้น นายกรัฐมนตรีแนะให้มีการควบคุมราคาการผลิต เพราะมีการแข่งขันสูง ความต้องการของต่างประเทศน้อยลงเพราะสามารถปลูกกันเองภายในประเทศ ดังนั้น จึงต้องผลิตให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ราคาไม่สูงเกินไป พร้อมขอให้ทุกคนรอฟังมาตรการต่างๆที่จะออกไป นายกรัฐมนตรียังขอบคุณประชาชนที่เข้าใจและมีส่วนร่วม ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล สิ่งสําคัญคือรัฐบาลส่งเสริมการท่องเที่ยว สินค้าส่งออก พัฒนาให้เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ จดทะเบียนลิขสิทธิ์ พร้อมๆไปกับเร่งแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของหลวง จะต้องไม่เกิดขึ้นในอนาคต ต้องแก้ไขดูแลอย่างรวดเร็ว รวมทั้งเร่งดําเนินการพื้นที่ที่ทับซ้อนกับที่ทํากินของประชาชน ................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเน้นพัฒนาศักยภาพกลุ่มจังหวัดให้ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2562 นายกรัฐมนตรีเน้นพัฒนาศักยภาพกลุ่มจังหวัดให้ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีเน้นพัฒนาศักยภาพกลุ่มจังหวัดให้ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ วันนี้ (12 พฤศจิกายน 2562) เวลา 13.00 น. ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า สิ่งที่ต้องให้ความสําคัญ คือ การพัฒนาศักยภาพของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 3 จังหวัด โดยให้รวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นและดําเนินการแก้ไขไม่ให้เกิดความซ้ําซ้อน นายกรัฐมนตรียังย้ําการผลิตสินค้าต้องตรงกับความต้องการ และการขายออนไลน์ วิธีการจัดส่ง โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็นประโยชน์ เน้นให้มีการขึ้นทะเบียนสินค้าโอท้อป ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนร่วมมือกันใช้สินค้าเหล่านี้เพราะเป็นของดีแต่ละพื้นที่ สําหรับการประกันราคามันสําปะหลังนั้น นายกรัฐมนตรีแนะให้มีการควบคุมราคาการผลิต เพราะมีการแข่งขันสูง ความต้องการของต่างประเทศน้อยลงเพราะสามารถปลูกกันเองภายในประเทศ ดังนั้น จึงต้องผลิตให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ราคาไม่สูงเกินไป พร้อมขอให้ทุกคนรอฟังมาตรการต่างๆที่จะออกไป นายกรัฐมนตรียังขอบคุณประชาชนที่เข้าใจและมีส่วนร่วม ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล สิ่งสําคัญคือรัฐบาลส่งเสริมการท่องเที่ยว สินค้าส่งออก พัฒนาให้เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ จดทะเบียนลิขสิทธิ์ พร้อมๆไปกับเร่งแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของหลวง จะต้องไม่เกิดขึ้นในอนาคต ต้องแก้ไขดูแลอย่างรวดเร็ว รวมทั้งเร่งดําเนินการพื้นที่ที่ทับซ้อนกับที่ทํากินของประชาชน ................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24511
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ "เฉลิมชัย" ติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศ
วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562 รัฐมนตรีเกษตรฯ "เฉลิมชัย" ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ําทั่วประเทศ รัฐมนตรีเกษตรฯ "เฉลิมชัย" ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ําทั่วประเทศ เฝ้าระวังตลอด 24 ชม. พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังติดตามสถานการณ์น้ําและมอบนโยบายในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง และการให้ความช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศ ณ ศูนย์ปฏิบัติการน้ําอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน สามเสน ว่า ในวันนี้ได้ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ํา โดยมีการ VDO Conference เพื่อติดตามสถานการณ์กับสํานักงานชลประทานที่ 1-17 ทั้งในส่วนของภัยแล้ง อุทกภัย และการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการรายงานขณะนี้มีปริมาณฝนตกลดน้อยลง ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้คือการรับมวลน้ําที่มีการสะสมตั้งแต่ภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งสถานการณ์โดยรวมกําลังกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ถ้าไม่มีปริมาณฝนตกเพิ่มขึ้นในปริมาณที่มาก คาดว่า 2 - 3 วันนี้จะสามารถบริหารจัดการน้ําได้ อีกทั้งได้สั่งการให้เตรียมระวังในทุกพื้นที่ ทั้งด้านบุคคลากรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีการเฝ้าระวัง ตลอด 24 ชม. โดยพื้นที่ที่จะต้องเตรียมรับมวลน้ําคือจังหวัดยโสธร อุบลราชธานี และอํานาจเจริญ ที่น้ําชีจะไหลมารวมกัน จึงจําเป็นต้องบริหารจัดการโดยการผลักดันน้ําลงแม่น้ําโขง และทําการหน่วงน้ําให้ลงพื้นที่นี้น้อยที่สุด ถ้าสามารถนําน้ําไปลงพื้นที่ในทุ่งหรือพื้นที่กักเก็บน้ําแห่งใหม่ได้ ก็จะเป็นการบริหารจัดที่ไม่ทําให้เสียเปล่า ซึ่งขณะนี้ทางกรมชลประทานก็กําลังดําเนินการอยู่ นอกจากนี้ ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการเกษตรเข้าสํารวจความเสียหายหลังจากน้ําลดแล้ว และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนประกาศเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย เพื่อรัฐบาลจะได้ประเมินความเสียหายและมีการชดเชยต่อไป ขณะนี้คาดว่าภายในเดือนกันยายนนี้ เกษตรกรจะเก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จ ซึ่งหลังจากเก็บเกี่ยวแล้วจะมีพื้นที่รองรับน้ําได้ถึง 2,000 - 3,000 ล้าน ลบ.ม. แต่ในขณะนี้ต้องระวังไม่ให้น้ําเข้าไปในพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่การเกษตรที่กําลังจะเก็บเกี่ยว หากทําตรงนี้ได้ความเสียหายก็จะลดน้อยลง อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ําให้โครงการชลประทานทุกแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ําท่วมเดิม เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ําที่อาจจะเกิดขึ้น ด้วยการกําชับเจ้าหน้าที่ให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ําในพื้นที่ของตนอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้ตรวจสอบระบบและอาคารชลประทาน ให้สามารถรองรับสถานการณ์น้ําได้อย่างเต็มศักยภาพ กําจัดวัชพืชไม่ให้กีดขวางทางน้ํา รวมทั้งบริหารจัดการน้ําในอ่างเก็บน้ําให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นตามแต่ละช่วงเวลาด้วย สําหรับการบริหารจัดการน้ําในระยะยาว ได้สั่งการให้กรมชลประทานสํารวจพื้นที่ที่จะเป็นแหล่งรองรับน้ํา เช่น ทุ่งบางระกํา และทุ่งทะเลหลวง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นพื้นที่รองรับน้ําไว้ใช้ในแล้งหน้า และเพื่อการอุปโภค-บริโภคด้วย โดยพื้นที่ที่จะมาแหล่งรองรับน้ํานี้รัฐบาลจะหาวิธีการเยี่ยมยา เช่น จ่ายค่าเช่า เป็นต้น ให้พื้นที่เหล่านั้นได้อยู่อาศัยได้ แต่ต้องเป็นไปตามระเบียบของกฎหมาย และจะมีการส่งเสริมอาชีพ อาจมีการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา ทําให้เกษตรกรมีรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ําทั่วประเทศในระยะที่ผ่านมา ประเทศไทยมีฝนตกในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําและปริมาณน้ําท่าในลําน้ําต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 5 ก.ย. 62) อ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ําในอ่างฯ รวมกันทั้งสิ้น 46,331 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 61 ของความจุอ่างฯ รวมกันทั้งหมด เป็นปริมาณน้ําใช้การได้ 22,401 ล้าน ลบ.ม. สามารถรองรับน้ําได้อีกกว่า 29,000 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ําเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก มีปริมาณน้ํารวมกัน 10,855 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 44 ของความจุอ่างฯ รวมกัน เป็นปริมาณน้ําใช้การได้ 4,159 ล้าน ลบ.ม. สามารถรองรับน้ําได้อีกกว่า 14,000 ล้าน ลบ.ม. ด้านสถานการณ์น้ําในแม่น้ําสายหลักและแม่น้ําสาขาทั่วประเทศ มีปริมาณน้ําเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลุ่มน้ําเจ้าพระยา เนื่องจากพื้นที่ตอนบนของประเทศมีปริมาณฝนที่ตกหนัก และฝนที่ตกสะสมมากขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณน้ําท่าไหลหลากลงสู่แม่น้ําเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ก.ย. 62 เวลา 08.00 น.) มีปริมาณน้ําไหลผ่านที่สถานี C.2 อําเภอเมืองนครสวรรค์ 1,399 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ําต่ํากว่าตลิ่งประมาณ 5 เมตร และมีปริมาณน้ําไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 824 ลบ.ม./วินาที มีแนวโน้มที่ปริมาณน้ําไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจะเพิ่มสูงขึ้นไปจนถึงประมาณ 700 – 900 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ําด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบัน ได้แก่ บริเวณตําบลบ้านกระทุ่ม ตําบลหัวเวียง อําเภอเสนา และตําบลท่าดินแดง อําเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะมีระดับน้ําเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 0.50 – 1.00 เมตร ปริมาณน้ําดังกล่าวจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ริมแม่น้ําเจ้าพระยา สําหรับสถานการณ์น้ําท่วมในปัจจุบัน ยังคงมีพื้นที่ประสบภัยน้ําท่วม 14 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร อุตรดิตถ์ สุโขทัย เพชรบูรณ์ ยโสธร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม อุดรธานี อุบลราชธานี อํานาจเจริญ สกลนคร และนครพนม การช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัย กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทานได้จัดส่งเครื่องจักร เครื่องมือต่าง ๆ ไปช่วยเหลือพื้นที่น้ําท่วมทั่วประเทศ แบ่งเป็นเครื่องสูบน้ํา 83 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ํา 56 เครื่อง รถบรรทุก 6 คัน และกาลักน้ํา 20 แถว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ "เฉลิมชัย" ติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศ วันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2562 รัฐมนตรีเกษตรฯ "เฉลิมชัย" ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ําทั่วประเทศ รัฐมนตรีเกษตรฯ "เฉลิมชัย" ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ําทั่วประเทศ เฝ้าระวังตลอด 24 ชม. พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังติดตามสถานการณ์น้ําและมอบนโยบายในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง และการให้ความช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศ ณ ศูนย์ปฏิบัติการน้ําอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน สามเสน ว่า ในวันนี้ได้ติดตามสถานการณ์น้ําและการบริหารจัดการน้ํา โดยมีการ VDO Conference เพื่อติดตามสถานการณ์กับสํานักงานชลประทานที่ 1-17 ทั้งในส่วนของภัยแล้ง อุทกภัย และการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการรายงานขณะนี้มีปริมาณฝนตกลดน้อยลง ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้คือการรับมวลน้ําที่มีการสะสมตั้งแต่ภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งสถานการณ์โดยรวมกําลังกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ถ้าไม่มีปริมาณฝนตกเพิ่มขึ้นในปริมาณที่มาก คาดว่า 2 - 3 วันนี้จะสามารถบริหารจัดการน้ําได้ อีกทั้งได้สั่งการให้เตรียมระวังในทุกพื้นที่ ทั้งด้านบุคคลากรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีการเฝ้าระวัง ตลอด 24 ชม. โดยพื้นที่ที่จะต้องเตรียมรับมวลน้ําคือจังหวัดยโสธร อุบลราชธานี และอํานาจเจริญ ที่น้ําชีจะไหลมารวมกัน จึงจําเป็นต้องบริหารจัดการโดยการผลักดันน้ําลงแม่น้ําโขง และทําการหน่วงน้ําให้ลงพื้นที่นี้น้อยที่สุด ถ้าสามารถนําน้ําไปลงพื้นที่ในทุ่งหรือพื้นที่กักเก็บน้ําแห่งใหม่ได้ ก็จะเป็นการบริหารจัดที่ไม่ทําให้เสียเปล่า ซึ่งขณะนี้ทางกรมชลประทานก็กําลังดําเนินการอยู่ นอกจากนี้ ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมการเกษตรเข้าสํารวจความเสียหายหลังจากน้ําลดแล้ว และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนประกาศเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย เพื่อรัฐบาลจะได้ประเมินความเสียหายและมีการชดเชยต่อไป ขณะนี้คาดว่าภายในเดือนกันยายนนี้ เกษตรกรจะเก็บเกี่ยวข้าวแล้วเสร็จ ซึ่งหลังจากเก็บเกี่ยวแล้วจะมีพื้นที่รองรับน้ําได้ถึง 2,000 - 3,000 ล้าน ลบ.ม. แต่ในขณะนี้ต้องระวังไม่ให้น้ําเข้าไปในพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่การเกษตรที่กําลังจะเก็บเกี่ยว หากทําตรงนี้ได้ความเสียหายก็จะลดน้อยลง อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ําให้โครงการชลประทานทุกแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ําท่วมเดิม เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ําที่อาจจะเกิดขึ้น ด้วยการกําชับเจ้าหน้าที่ให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ําในพื้นที่ของตนอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้ตรวจสอบระบบและอาคารชลประทาน ให้สามารถรองรับสถานการณ์น้ําได้อย่างเต็มศักยภาพ กําจัดวัชพืชไม่ให้กีดขวางทางน้ํา รวมทั้งบริหารจัดการน้ําในอ่างเก็บน้ําให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นตามแต่ละช่วงเวลาด้วย สําหรับการบริหารจัดการน้ําในระยะยาว ได้สั่งการให้กรมชลประทานสํารวจพื้นที่ที่จะเป็นแหล่งรองรับน้ํา เช่น ทุ่งบางระกํา และทุ่งทะเลหลวง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นพื้นที่รองรับน้ําไว้ใช้ในแล้งหน้า และเพื่อการอุปโภค-บริโภคด้วย โดยพื้นที่ที่จะมาแหล่งรองรับน้ํานี้รัฐบาลจะหาวิธีการเยี่ยมยา เช่น จ่ายค่าเช่า เป็นต้น ให้พื้นที่เหล่านั้นได้อยู่อาศัยได้ แต่ต้องเป็นไปตามระเบียบของกฎหมาย และจะมีการส่งเสริมอาชีพ อาจมีการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา ทําให้เกษตรกรมีรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ําทั่วประเทศในระยะที่ผ่านมา ประเทศไทยมีฝนตกในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําและปริมาณน้ําท่าในลําน้ําต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 5 ก.ย. 62) อ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ําในอ่างฯ รวมกันทั้งสิ้น 46,331 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 61 ของความจุอ่างฯ รวมกันทั้งหมด เป็นปริมาณน้ําใช้การได้ 22,401 ล้าน ลบ.ม. สามารถรองรับน้ําได้อีกกว่า 29,000 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ําเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก มีปริมาณน้ํารวมกัน 10,855 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 44 ของความจุอ่างฯ รวมกัน เป็นปริมาณน้ําใช้การได้ 4,159 ล้าน ลบ.ม. สามารถรองรับน้ําได้อีกกว่า 14,000 ล้าน ลบ.ม. ด้านสถานการณ์น้ําในแม่น้ําสายหลักและแม่น้ําสาขาทั่วประเทศ มีปริมาณน้ําเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลุ่มน้ําเจ้าพระยา เนื่องจากพื้นที่ตอนบนของประเทศมีปริมาณฝนที่ตกหนัก และฝนที่ตกสะสมมากขึ้น ส่งผลให้มีปริมาณน้ําท่าไหลหลากลงสู่แม่น้ําเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 6 ก.ย. 62 เวลา 08.00 น.) มีปริมาณน้ําไหลผ่านที่สถานี C.2 อําเภอเมืองนครสวรรค์ 1,399 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ําต่ํากว่าตลิ่งประมาณ 5 เมตร และมีปริมาณน้ําไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 824 ลบ.ม./วินาที มีแนวโน้มที่ปริมาณน้ําไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจะเพิ่มสูงขึ้นไปจนถึงประมาณ 700 – 900 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ําด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบัน ได้แก่ บริเวณตําบลบ้านกระทุ่ม ตําบลหัวเวียง อําเภอเสนา และตําบลท่าดินแดง อําเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะมีระดับน้ําเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 0.50 – 1.00 เมตร ปริมาณน้ําดังกล่าวจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ริมแม่น้ําเจ้าพระยา สําหรับสถานการณ์น้ําท่วมในปัจจุบัน ยังคงมีพื้นที่ประสบภัยน้ําท่วม 14 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร อุตรดิตถ์ สุโขทัย เพชรบูรณ์ ยโสธร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม อุดรธานี อุบลราชธานี อํานาจเจริญ สกลนคร และนครพนม การช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัย กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทานได้จัดส่งเครื่องจักร เครื่องมือต่าง ๆ ไปช่วยเหลือพื้นที่น้ําท่วมทั่วประเทศ แบ่งเป็นเครื่องสูบน้ํา 83 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ํา 56 เครื่อง รถบรรทุก 6 คัน และกาลักน้ํา 20 แถว สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22865
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 23 มีนาคม 2563
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 23 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 23 มีนาคม 2563 1. สถานการณ์ ถึงวันที่23 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 668 ราย กลับบ้านแล้ว 52 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 721 ราย 2. สถานการณ์ทั่วโลกใน 187 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 นครรัฐ 2 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 23 มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 329,624 ราย เสียชีวิต 14,433 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 81,054 ราย เสียชีวิต 3,261 ราย อิตาลีพบผู้ป่วย 59,138 ราย เสียชีวิต 5,476 ราย 2.สธ.เผยพบผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 ใหม่เพิ่ม 122 ราย กลับบ้าน 7 ราย กระทรวงสาธารณสุขเผยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 122 ราย กลับบ้าน 7 ราย ขอให้ผู้เดินทางกลับภูมิลําเนาทุกคนรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ปฏิบัติตามคําแนะนํากระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด กักตัวที่บ้าน สังเกตอาการ เว้นระยะห่าง 1 – 2 เมตร นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 10 และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า วันนี้มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 7 ราย และมีผู้ป่วยเพิ่ม 122 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 20 ราย ได้แก่ กลุ่มสนามมวย 4 ราย และกลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 16 ราย กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 10 ราย ได้แก่ กลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศ/ชาวต่างชาติ 4 ราย,กลุ่มผู้ทํางานหรืออาศัยในสถานที่แออัดต้องใกล้ชิดคนจํานวนมาก หรือเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ 6 ราย กลุ่มที่ 3 ผู้ที่ได้รับผลยืนยันทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อแต่อยู่ระหว่างรอประวัติและสอบสวนโรค 92 ราย สําหรับผู้ป่วยอาการหนักมี 7 ราย จาก สถาบันบําราศนราดูร โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ โรงพยาบาลในสังกัดโรงเรียนแพทย์ และโรงพยาลบาลเอกชน ทุกรายใส่เครื่องช่วยหายใจ และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยสรุปมีผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว 52 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 668 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 721 ราย ขณะนี้มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อรายใหม่ในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีประชาชนบางส่วนเดินทางกลับภูมิลําเนาทั้งก่อนและหลังที่จะมีประกาศปิดสถานที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขอให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ได้แก่ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด, ผู้ว่าราชการจังหวัด, ผอ.โรงพยาบาล, นายอําเภอ, สาธารณสุขอําเภอ, กํานัน, ผู้ใหญ่บ้าน, อสม., ผู้นําชุมชน ทันทีทุกคน พร้อมทั้งให้ปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข ให้กักกันตัวเองที่บ้านอย่างเคร่งครัด อย่างน้อย 14 วัน ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้อื่น เว้นระยะห่างระหว่างกัน 1 -2 เมตร งด/ลด การเดินทางโดยไม่จําเป็น ไม่ไปในพื้นที่แออัด และแยกสํารับอาหาร สังเกตอาการหากมีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ รีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง อาทิ ผู้ชม ผู้ทํางาน ในสนามมวย สถานบันเทิง ที่กลับไปภูมิลําเนา พ่อ แม่ ภรรยา สามี ลูก หลาน หรือผู้สัมผัสใกล้ชิดกับกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสติดเชื้อได้ การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การกักกันตัวเอง รักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ิ ขอย้ําผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหากยังไม่มีอาการ ไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ให้กักกันตนเองอย่างเคร่งครัด เว้นระยะห่างทางสังคม ที่สําคัญยังไม่ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อ เพราะหากยังไม่มีอาการโอกาสตรวจพบเชื้อมีน้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าตัวเองไม่ป่วย ยังคงมีกิจกรรมทางสังคม ขาดการระมัดระวังตัวเอง แต่หากเมื่อป่วยภายหลังจะทําให้ผู้ใกล้ชิดมีโอกาสรับเชื้อ กลายเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง และเจ็บป่วยตามมาอีกจํานวนมาก จากข้อมูลการตรวจทางห้องปฏิบัติการล่าสุดมีผู้มาขอรับการตรวจทั้งหมด 30,000 ตัวอย่าง ในจํานวนนี้เป็นผู้อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง (PUI) ประมาณ 10,000 ราย ผลยืนยันพบเชื้อเพียง 400 ราย 3. คําแนะนําสําหรับประชาชน ขอความร่วมมือประชาชนทุกคน ตื่นตัว และรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia /และ “ไทยรู้ สู้โควิด” ทาง Twitter, Facebook, Line official, TikTok และChatBot 1422 ทาง ID : @COVID-19 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่www.antifakenewscenter.com **************************************23 มีนาคม 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 23 มีนาคม 2563 วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 23 มีนาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 23 มีนาคม 2563 1. สถานการณ์ ถึงวันที่23 มีนาคม 2563 ณ เวลา 08.00 น. 1. ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 668 ราย กลับบ้านแล้ว 52 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 721 ราย 2. สถานการณ์ทั่วโลกใน 187 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 นครรัฐ 2 เรือสําราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 23 มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 329,624 ราย เสียชีวิต 14,433 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 81,054 ราย เสียชีวิต 3,261 ราย อิตาลีพบผู้ป่วย 59,138 ราย เสียชีวิต 5,476 ราย 2.สธ.เผยพบผู้ติดเชื้อโคโรนา 2019 ใหม่เพิ่ม 122 ราย กลับบ้าน 7 ราย กระทรวงสาธารณสุขเผยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่ม 122 ราย กลับบ้าน 7 ราย ขอให้ผู้เดินทางกลับภูมิลําเนาทุกคนรายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ปฏิบัติตามคําแนะนํากระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด กักตัวที่บ้าน สังเกตอาการ เว้นระยะห่าง 1 – 2 เมตร นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 10 และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า วันนี้มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 7 ราย และมีผู้ป่วยเพิ่ม 122 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ กลุ่มที่ 1 ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วย หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้านี้ จํานวน 20 ราย ได้แก่ กลุ่มสนามมวย 4 ราย และกลุ่มผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว 16 ราย กลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน 10 ราย ได้แก่ กลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศ/ชาวต่างชาติ 4 ราย,กลุ่มผู้ทํางานหรืออาศัยในสถานที่แออัดต้องใกล้ชิดคนจํานวนมาก หรือเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติ 6 ราย กลุ่มที่ 3 ผู้ที่ได้รับผลยืนยันทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อแต่อยู่ระหว่างรอประวัติและสอบสวนโรค 92 ราย สําหรับผู้ป่วยอาการหนักมี 7 ราย จาก สถาบันบําราศนราดูร โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ โรงพยาบาลในสังกัดโรงเรียนแพทย์ และโรงพยาลบาลเอกชน ทุกรายใส่เครื่องช่วยหายใจ และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยสรุปมีผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว 52 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 668 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมสะสม 721 ราย ขณะนี้มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อรายใหม่ในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีประชาชนบางส่วนเดินทางกลับภูมิลําเนาทั้งก่อนและหลังที่จะมีประกาศปิดสถานที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขอให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ได้แก่ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด, ผู้ว่าราชการจังหวัด, ผอ.โรงพยาบาล, นายอําเภอ, สาธารณสุขอําเภอ, กํานัน, ผู้ใหญ่บ้าน, อสม., ผู้นําชุมชน ทันทีทุกคน พร้อมทั้งให้ปฏิบัติตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข ให้กักกันตัวเองที่บ้านอย่างเคร่งครัด อย่างน้อย 14 วัน ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้อื่น เว้นระยะห่างระหว่างกัน 1 -2 เมตร งด/ลด การเดินทางโดยไม่จําเป็น ไม่ไปในพื้นที่แออัด และแยกสํารับอาหาร สังเกตอาการหากมีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ รีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง อาทิ ผู้ชม ผู้ทํางาน ในสนามมวย สถานบันเทิง ที่กลับไปภูมิลําเนา พ่อ แม่ ภรรยา สามี ลูก หลาน หรือผู้สัมผัสใกล้ชิดกับกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสติดเชื้อได้ การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การกักกันตัวเอง รักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ิ ขอย้ําผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหากยังไม่มีอาการ ไข้ ไอ มีน้ํามูก เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ให้กักกันตนเองอย่างเคร่งครัด เว้นระยะห่างทางสังคม ที่สําคัญยังไม่ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อ เพราะหากยังไม่มีอาการโอกาสตรวจพบเชื้อมีน้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าตัวเองไม่ป่วย ยังคงมีกิจกรรมทางสังคม ขาดการระมัดระวังตัวเอง แต่หากเมื่อป่วยภายหลังจะทําให้ผู้ใกล้ชิดมีโอกาสรับเชื้อ กลายเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง และเจ็บป่วยตามมาอีกจํานวนมาก จากข้อมูลการตรวจทางห้องปฏิบัติการล่าสุดมีผู้มาขอรับการตรวจทั้งหมด 30,000 ตัวอย่าง ในจํานวนนี้เป็นผู้อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง (PUI) ประมาณ 10,000 ราย ผลยืนยันพบเชื้อเพียง 400 ราย 3. คําแนะนําสําหรับประชาชน ขอความร่วมมือประชาชนทุกคน ตื่นตัว และรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจนติดตามสถานการณ์และข้อมูลข่าวสารได้ที่เว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia /และ “ไทยรู้ สู้โควิด” ทาง Twitter, Facebook, Line official, TikTok และChatBot 1422 ทาง ID : @COVID-19 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ตรวจสอบข่าวลวงได้ที่www.antifakenewscenter.com **************************************23 มีนาคม 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27686
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กนพ. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุน ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเฉพาะในเขตฯ ตาก กาญจนบุรี นครพนม มุกดาหาร หนองคาย เป็นเวลา 2 ปี
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 กนพ. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุน ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเฉพาะในเขตฯ ตาก กาญจนบุรี นครพนม มุกดาหาร หนองคาย เป็นเวลา 2 ปี นายกรัฐมนตรีประชุม กนพ. ครั้งที่ 2/60 เห็นชอบให้กรมธนารักษ์ปรับปรุงเพิ่มเติมรายละเอียดสรรหาคัดเลือกผู้ลงทุนในพื้นที่พัฒนา-เห็นชอบมาตรการเร่งรัดลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาฯ ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุ 2 ปีเฉพาะเขตพัฒนาฯ ใน 5 จังหวัด วันนี้ (17 พ.ย.60) เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ 2/2560 ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยภายหลังการประชุม นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่าที่ประชุม กนพ. ได้พิจารณาประเด็นการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่สําคัญ 4 เรื่องและมีมติ ดังนี้ 1. การสรรหาและคัดเลือกผู้ลงทุนในพื้นที่พัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ที่ประชุมเห็นชอบให้กรมธนารักษ์ไปปรับปรุงเพิ่มเติมรายละเอียดในการสรรหาและคัดเลือกผู้ลงทุนในพื้นที่พัฒนา เพื่อให้สามารถดึงดูดการลงทุนโดยเฉพาะ SMEs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลังพิจารณาปรับแนวทางและมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้ชัดเจนเพื่อกระตุ้นการค้า การลงทุน และการบริการ ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้มากขึ้น พร้อมกับเห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษโดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษตาก กาญจนบุรี นครพนม มุกดาหาร และหนองคายเป็นเวลา 2 ปี หากมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ในปีที่ 1 ของรอบปีที่ทําสัญญาเช่า และยกเว้นค่าเช่าฯ เป็นเวลา 1 ปี หากมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ในปีที่ 2 ของรอบปีที่ทําสัญญาเช่า เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนเพิ่มทั้งนี้สิทธิประโยชน์จะสิ้นสุดภายในปี 2563 2. การบริหารจัดการที่ดินราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก ในส่วนของที่ดินซึ่งเป็นพื้นที่พัฒนาที่ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ครอบครองและยินยอมเจรจากับภาครัฐ เห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนที่ดิน และชดใช้เงินตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และแนวทางที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้พื้นที่พัฒนาเป็นผืนเดียวกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการพัฒนาต่อไป นอกจากนั้น ยังได้เห็นชอบให้ปรับขนาดของที่ดิน เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ของ กนอ. รวมทั้งเห็นชอบในหลักการให้กรมศุลกากรใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่พัฒนาบางส่วน จํานวน 120 ไร่ เพื่อจัดตั้งด่านศุลกากรแม่สอด แห่งที่ 2 ด้วย เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม เห็นชอบให้กันที่ดินราชพัสดุ แปลงที่ 1 บางส่วนในบริเวณที่ติดกับที่พักสงฆ์สามัคคีอุปถัมภ์ออก ประมาณ 42-1-22.60 ไร่ เพื่อคงไว้ตามสภาพเดิม ส่วนพื้นที่ที่เหลือประมาณ 1,363-2-17.10 ไร่ ให้ดําเนินการเปิดประมูลให้เอกชนเช่า 3. การตลาดและประชาสัมพันธ์ ที่ประชุม กนพ. เห็นชอบกรอบแนวทางการจัดทําแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยเน้นเป็นรายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเพื่อดึงดูดการลงทุนจากในและต่างประเทศ ส่งเสริมและพัฒนา SMEs และวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่และให้มีคณะขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ เป็นกลไกบูรณาการการจัดทําแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์รายพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2560 ทั้งนี้ต้องให้ความสําคัญกับการดําเนินงานตามประชารัฐ การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม ภาคเอกชนและจังหวัดในการประชาสัมพันธ์ โดยมีการปรับปรุงการดําเนินงานและรายงานความก้าวหน้าต่อสาธารณะอย่างสม่ําเสมอ 4. การดําเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระยะต่อไป ที่ประชุม กนพ. เห็นชอบแนวทางการดําเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระยะต่อไป ดังนี้ (1) เร่งรัดการดําเนินโครงการและมาตรการสําคัญใน 10 เขตฯ ให้แล้วเสร็จเพื่อเป็นประตูเศรษฐกิจเชื่อมโยงการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว (2) กําหนดพื้นที่ศักยภาพการลงทุนสูง 4 เขตฯ ได้แก่ ตาก สงขลา สระแก้ว และมุกดาหารเน้นพัฒนาให้เชื่อมโยงและเกื้อกูลกับประเทศเพื่อนบ้าน และให้มีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาในพื้นที่ อาทิ การเพิ่มศักยภาพ/โอกาสการลงทุนของ SMEs และการเปิดโอกาสให้เอกชนเสนอโครงการลงทุนและรัฐพิจารณาสนับสนุนโครงการ/มาตรการที่เหมาะสม (3) เน้นการท่องเที่ยว การค้าและบริการใน 6 เขตฯ ได้แก่ ตราด หนองคาย นครพนม เชียงราย กาญจนบุรี และนราธิวาส โดยกําหนดบทบาทที่ควรสนับสนุนในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้ (1) คณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ กําหนดพื้นที่และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน พิจารณาความเหมาะสมในการกําหนดมาตรการให้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนตามจุดเน้นการพัฒนาในพื้นที่ศักยภาพการลงทุนสูง 4 เขตฯ และการสนับสนุน SMEs ในการลงทุน (2) หน่วยงาน ได้แก่ สธ./ศธ./คค./พณ./อก./กก./รง./ศก.พิจารณาสนับสนุนการดําเนินงานตามแนวทางฯ ให้บรรลุผล โดยเฉพาะในพื้นที่ศักยภาพการลงทุนสูง 4 เขตฯ และ (3) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดําเนินโครงการ/มาตรการสําคัญใน 10 เขตฯ ให้แล้วเสร็จ ----------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ กนพ.)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กนพ. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุน ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเฉพาะในเขตฯ ตาก กาญจนบุรี นครพนม มุกดาหาร หนองคาย เป็นเวลา 2 ปี วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2560 กนพ. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุน ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเฉพาะในเขตฯ ตาก กาญจนบุรี นครพนม มุกดาหาร หนองคาย เป็นเวลา 2 ปี นายกรัฐมนตรีประชุม กนพ. ครั้งที่ 2/60 เห็นชอบให้กรมธนารักษ์ปรับปรุงเพิ่มเติมรายละเอียดสรรหาคัดเลือกผู้ลงทุนในพื้นที่พัฒนา-เห็นชอบมาตรการเร่งรัดลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาฯ ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุ 2 ปีเฉพาะเขตพัฒนาฯ ใน 5 จังหวัด วันนี้ (17 พ.ย.60) เวลา 14.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ 2/2560 ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยภายหลังการประชุม นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่าที่ประชุม กนพ. ได้พิจารณาประเด็นการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่สําคัญ 4 เรื่องและมีมติ ดังนี้ 1. การสรรหาและคัดเลือกผู้ลงทุนในพื้นที่พัฒนาในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ที่ประชุมเห็นชอบให้กรมธนารักษ์ไปปรับปรุงเพิ่มเติมรายละเอียดในการสรรหาและคัดเลือกผู้ลงทุนในพื้นที่พัฒนา เพื่อให้สามารถดึงดูดการลงทุนโดยเฉพาะ SMEs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลังพิจารณาปรับแนวทางและมาตรการส่งเสริมการลงทุนให้ชัดเจนเพื่อกระตุ้นการค้า การลงทุน และการบริการ ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้มากขึ้น พร้อมกับเห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษโดยให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษตาก กาญจนบุรี นครพนม มุกดาหาร และหนองคายเป็นเวลา 2 ปี หากมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ในปีที่ 1 ของรอบปีที่ทําสัญญาเช่า และยกเว้นค่าเช่าฯ เป็นเวลา 1 ปี หากมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ในปีที่ 2 ของรอบปีที่ทําสัญญาเช่า เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนเพิ่มทั้งนี้สิทธิประโยชน์จะสิ้นสุดภายในปี 2563 2. การบริหารจัดการที่ดินราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก ในส่วนของที่ดินซึ่งเป็นพื้นที่พัฒนาที่ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ครอบครองและยินยอมเจรจากับภาครัฐ เห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนที่ดิน และชดใช้เงินตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และแนวทางที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้พื้นที่พัฒนาเป็นผืนเดียวกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการพัฒนาต่อไป นอกจากนั้น ยังได้เห็นชอบให้ปรับขนาดของที่ดิน เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ของ กนอ. รวมทั้งเห็นชอบในหลักการให้กรมศุลกากรใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่พัฒนาบางส่วน จํานวน 120 ไร่ เพื่อจัดตั้งด่านศุลกากรแม่สอด แห่งที่ 2 ด้วย เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม เห็นชอบให้กันที่ดินราชพัสดุ แปลงที่ 1 บางส่วนในบริเวณที่ติดกับที่พักสงฆ์สามัคคีอุปถัมภ์ออก ประมาณ 42-1-22.60 ไร่ เพื่อคงไว้ตามสภาพเดิม ส่วนพื้นที่ที่เหลือประมาณ 1,363-2-17.10 ไร่ ให้ดําเนินการเปิดประมูลให้เอกชนเช่า 3. การตลาดและประชาสัมพันธ์ ที่ประชุม กนพ. เห็นชอบกรอบแนวทางการจัดทําแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยเน้นเป็นรายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเพื่อดึงดูดการลงทุนจากในและต่างประเทศ ส่งเสริมและพัฒนา SMEs และวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่และให้มีคณะขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ เป็นกลไกบูรณาการการจัดทําแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์รายพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2560 ทั้งนี้ต้องให้ความสําคัญกับการดําเนินงานตามประชารัฐ การมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม ภาคเอกชนและจังหวัดในการประชาสัมพันธ์ โดยมีการปรับปรุงการดําเนินงานและรายงานความก้าวหน้าต่อสาธารณะอย่างสม่ําเสมอ 4. การดําเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระยะต่อไป ที่ประชุม กนพ. เห็นชอบแนวทางการดําเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในระยะต่อไป ดังนี้ (1) เร่งรัดการดําเนินโครงการและมาตรการสําคัญใน 10 เขตฯ ให้แล้วเสร็จเพื่อเป็นประตูเศรษฐกิจเชื่อมโยงการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว (2) กําหนดพื้นที่ศักยภาพการลงทุนสูง 4 เขตฯ ได้แก่ ตาก สงขลา สระแก้ว และมุกดาหารเน้นพัฒนาให้เชื่อมโยงและเกื้อกูลกับประเทศเพื่อนบ้าน และให้มีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาในพื้นที่ อาทิ การเพิ่มศักยภาพ/โอกาสการลงทุนของ SMEs และการเปิดโอกาสให้เอกชนเสนอโครงการลงทุนและรัฐพิจารณาสนับสนุนโครงการ/มาตรการที่เหมาะสม (3) เน้นการท่องเที่ยว การค้าและบริการใน 6 เขตฯ ได้แก่ ตราด หนองคาย นครพนม เชียงราย กาญจนบุรี และนราธิวาส โดยกําหนดบทบาทที่ควรสนับสนุนในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้ (1) คณะอนุกรรมการด้านสิทธิประโยชน์ กําหนดพื้นที่และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน พิจารณาความเหมาะสมในการกําหนดมาตรการให้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนตามจุดเน้นการพัฒนาในพื้นที่ศักยภาพการลงทุนสูง 4 เขตฯ และการสนับสนุน SMEs ในการลงทุน (2) หน่วยงาน ได้แก่ สธ./ศธ./คค./พณ./อก./กก./รง./ศก.พิจารณาสนับสนุนการดําเนินงานตามแนวทางฯ ให้บรรลุผล โดยเฉพาะในพื้นที่ศักยภาพการลงทุนสูง 4 เขตฯ และ (3) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดําเนินโครงการ/มาตรการสําคัญใน 10 เขตฯ ให้แล้วเสร็จ ----------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก (ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ กนพ.)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8183
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สช.เปิดให้โรงเรียนเอกชนยื่นกู้ยืมเงินสู้ COVID 19 ตั้งแต่ 1 มิ.ย.นี้ [กระทรวงศึกษาธิการ]
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 สช.เปิดให้โรงเรียนเอกชนยื่นกู้ยืมเงินสู้ COVID 19 ตั้งแต่ 1 มิ.ย.นี้ [กระทรวงศึกษาธิการ] สช.เปิดให้โรงเรียนเอกชนยื่นกู้ยืมเงินสู้ COVID 19 ตั้งแต่ 1 มิ.ย.นี้ (29 พ.ค.2563) ดร.อรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) กล่าวถึงการดําเนินการให้การช่วยเหลือโรงเรียนเอกชน ว่า สช. ได้ดําเนินการเพิ่มประกาศการดําเนินงานของกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในส่วนของการบริหารกิจการโรงเรียน เพื่อช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนในระบบที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสาธารณภัย โดยให้สามารถกู้ยืมเงินและยืมเงินจากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบของ สช. ได้ โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ซึ่งขณะนี้ได้นําเสนอเรื่องดังกล่าวต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพิจารณาและลงนามในประกาศฯ ในฐานะประธาน กช. ดร.อรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงเรียนเอกชนในระบบที่มีสิทธิกู้ยืมเงินและยืมเงินได้ สามารถยื่นแบบคําขอกู้ยืมเงินและคําขอยืมเงินจากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในส่วนของการบริหารกิจการโรงเรียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 10 มิถุนายน 2563ซึ่งการกู้ยืมเงินจากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ และการยืมเงินจากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบสําหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามภาคใต้ สามารถให้กู้ยืมเงิน และยืมเงินได้รายละไม่เกิน 500,000 บาท โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน แต่ให้ใช้คนค้ําประกัน 2 คน ผ่อนชําระเงินกู้ยืมหรือเงินยืมให้ชําระให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี โดยชําระเป็นรายเดือน สําหรับการชําระหนี้เงินกู้ยืมหรือเงินยืม ให้หัก ณ ที่จ่ายจากวงเงินอุดหนุนรายบุคคลที่ได้รับ กรณีไม่สามารถหัก ณ ที่จ่ายจากวงเงินอุดหนุนรายบุคคลได้ด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม ให้ผู้กู้ยืมเงินหรือผู้ยืมเงินชําระโดยโอนเงินเข้าบัญชีกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ โดยการกู้ยืมเงินให้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 4 และการยืมเงิน ให้ปลอดดอกเบี้ย โรงเรียนที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และดาวน์โหลดข้อมูลต่าง ๆ ได้ที่https://opec.go.th/index.php/2020/05/29/25630529 สายด่วน สช. 1693 และกลุ่มงานกองทุนและสวัสดิการ สช. โทรศัพท์ 0 2282 8901
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สช.เปิดให้โรงเรียนเอกชนยื่นกู้ยืมเงินสู้ COVID 19 ตั้งแต่ 1 มิ.ย.นี้ [กระทรวงศึกษาธิการ] วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2563 สช.เปิดให้โรงเรียนเอกชนยื่นกู้ยืมเงินสู้ COVID 19 ตั้งแต่ 1 มิ.ย.นี้ [กระทรวงศึกษาธิการ] สช.เปิดให้โรงเรียนเอกชนยื่นกู้ยืมเงินสู้ COVID 19 ตั้งแต่ 1 มิ.ย.นี้ (29 พ.ค.2563) ดร.อรรถพล ตรึกตรอง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (เลขาธิการ กช.) กล่าวถึงการดําเนินการให้การช่วยเหลือโรงเรียนเอกชน ว่า สช. ได้ดําเนินการเพิ่มประกาศการดําเนินงานของกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในส่วนของการบริหารกิจการโรงเรียน เพื่อช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนในระบบที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และสาธารณภัย โดยให้สามารถกู้ยืมเงินและยืมเงินจากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบของ สช. ได้ โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ซึ่งขณะนี้ได้นําเสนอเรื่องดังกล่าวต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพิจารณาและลงนามในประกาศฯ ในฐานะประธาน กช. ดร.อรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงเรียนเอกชนในระบบที่มีสิทธิกู้ยืมเงินและยืมเงินได้ สามารถยื่นแบบคําขอกู้ยืมเงินและคําขอยืมเงินจากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนในส่วนของการบริหารกิจการโรงเรียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 10 มิถุนายน 2563ซึ่งการกู้ยืมเงินจากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ และการยืมเงินจากกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบสําหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามภาคใต้ สามารถให้กู้ยืมเงิน และยืมเงินได้รายละไม่เกิน 500,000 บาท โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ําประกัน แต่ให้ใช้คนค้ําประกัน 2 คน ผ่อนชําระเงินกู้ยืมหรือเงินยืมให้ชําระให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี โดยชําระเป็นรายเดือน สําหรับการชําระหนี้เงินกู้ยืมหรือเงินยืม ให้หัก ณ ที่จ่ายจากวงเงินอุดหนุนรายบุคคลที่ได้รับ กรณีไม่สามารถหัก ณ ที่จ่ายจากวงเงินอุดหนุนรายบุคคลได้ด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม ให้ผู้กู้ยืมเงินหรือผู้ยืมเงินชําระโดยโอนเงินเข้าบัญชีกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ โดยการกู้ยืมเงินให้คิดดอกเบี้ยร้อยละ 4 และการยืมเงิน ให้ปลอดดอกเบี้ย โรงเรียนที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม และดาวน์โหลดข้อมูลต่าง ๆ ได้ที่https://opec.go.th/index.php/2020/05/29/25630529 สายด่วน สช. 1693 และกลุ่มงานกองทุนและสวัสดิการ สช. โทรศัพท์ 0 2282 8901
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31805
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. สานพลังประชารัฐมอบห้องน้ำคนพิการต้นแบบที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในสวนลุมพินี เพื่อส่งต่อให้ กทม.
วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561 พม. สานพลังประชารัฐมอบห้องน้ําคนพิการต้นแบบที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในสวนลุมพินี เพื่อส่งต่อให้ กทม. พม. สานพลังประชารัฐมอบห้องน้ําคนพิการต้นแบบที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในสวนลุมพินี เพื่อส่งต่อให้ กทม. วันนี้ (11 ม.ค. 61) เวลา 10.00 น. พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ผช.รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีรับมอบห้องน้ําคนพิการต้นแบบที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ จากบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จํากัด เพื่อส่งมอบให้กับกรุงเทพมหานคร โดยมีนายสมคิด สมศรี อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ผู้แทนจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย องค์กรคนพิการ และผู้บริหารบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จํากัด เข้าร่วมงาน ณ บริเวณศาลาภิรมย์ภักดี (สวนปาล์ม) สวนลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ให้ความสําคัญกับคนพิการ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครอง มิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม รวมทั้ง ให้คนพิการมีสิทธิได้เข้าถึงสิ่งอํานวยความสะดวก อันเป็นสาธารณะและความช่วยเหลืออื่นจากรัฐ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 มาตรา 20 เพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ โดยประสานความร่วมมือและสนับสนุนการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการและทุกคนในสังคม ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ตามแนวทางประชารัฐ ร่วมกันขับเคลื่อนการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมทางกายภาพ การคมนาคมขนส่ง ข้อมูลข่าวสาร และบริการสาธารณะ ครอบคลุมทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทางของระบบการใช้ชีวิต กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) เป็นเจ้าภาพหลัก ในการประสานความร่วมมือและสนับสนุนการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการและทุกคนในสังคม (Universal Design) สําหรับพื้นที่สวนลุมพินี สวนสาธารณะแห่งแรกของกรุงเทพมหานคร เพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และทุกสภาพร่างกาย รวมถึงชาวต่างชาติ สามารถเข้าถึงและใช้บริการได้ สะดวก ปลอดภัย ทั่วถึง เท่าเทียมกัน จึงดําเนินการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับมาตรฐานและพัฒนาให้ประชาชนในทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา ได้ร่วมกันปรับปรุงห้องน้ําบริเวณลานตะวันยิ้ม ศูนย์ผู้สูงอายุ ลานจอดรถ และทางเดินเท้าจากประตูทางเข้าหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านพระบรมราชานุสาวรีย์พระมงกุฎเกล้า 2) ด้านถนนพระราม 4 และ 3) ด้านถนนวิทยุ รวมทั้งทางเดินเท้าเชื่อมโยงการเดินทางจากป้ายหยุดรถประจําทาง สถานีรถไฟฟ้า BTS และ MRT จากประตูทางเข้าหลักทั้ง 3 ด้าน เพื่อเป็นต้นแบบของสวนสาธารณะที่คนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย เด็ก สตรี และทุกคน เข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียมกัน "สําหรับการจัดงานในวันนี้ มีการรับมอบห้องน้ําคนพิการต้นแบบที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยเกิดขึ้นจากความร่วมมือ ประชารัฐ ได้แก่ กระทรวง พม. กรุงเทพมหานคร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย องค์กรคนพิการ และบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จํากัด ที่ร่วมด้วยช่วยกันสนับสนุนในการปรับปรุงห้องน้ํา จํานวน 9 หลัง ประกอบด้วย ห้องน้ําใหญ่ 2 หลัง และห้องน้ําเล็ก 7 หลัง โดยมีการปรับปรุงทางลาด ไฟส่องสว่าง ราวจับภายนอก อุปกรณ์ในห้องน้ําคนพิการ วัสดุปูพื้น ให้เป็นไปตามหลักห้องน้ําคนพิการมาตรฐานสากล ซึ่งคนพิการ ผู้สูงอายุ และทุกคน ให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พร้อมส่งมอบให้กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็น 1 ในกิจกรรมเพื่อการพัฒนาสวนสาธารณะต้นแบบเพื่อคนพิการ ผู้สูงอายุ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียม มีความสะดวก และปลอดภัย”พลเอก สุรศักดิ์กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. สานพลังประชารัฐมอบห้องน้ำคนพิการต้นแบบที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในสวนลุมพินี เพื่อส่งต่อให้ กทม. วันพฤหัสบดีที่ 11 มกราคม 2561 พม. สานพลังประชารัฐมอบห้องน้ําคนพิการต้นแบบที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในสวนลุมพินี เพื่อส่งต่อให้ กทม. พม. สานพลังประชารัฐมอบห้องน้ําคนพิการต้นแบบที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในสวนลุมพินี เพื่อส่งต่อให้ กทม. วันนี้ (11 ม.ค. 61) เวลา 10.00 น. พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ผช.รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีรับมอบห้องน้ําคนพิการต้นแบบที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ จากบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จํากัด เพื่อส่งมอบให้กับกรุงเทพมหานคร โดยมีนายสมคิด สมศรี อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ผู้แทนจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย องค์กรคนพิการ และผู้บริหารบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จํากัด เข้าร่วมงาน ณ บริเวณศาลาภิรมย์ภักดี (สวนปาล์ม) สวนลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร รัฐบาล โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ให้ความสําคัญกับคนพิการ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์และความคุ้มครอง มิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม รวมทั้ง ให้คนพิการมีสิทธิได้เข้าถึงสิ่งอํานวยความสะดวก อันเป็นสาธารณะและความช่วยเหลืออื่นจากรัฐ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 มาตรา 20 เพื่อให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้ โดยประสานความร่วมมือและสนับสนุนการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการและทุกคนในสังคม ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ตามแนวทางประชารัฐ ร่วมกันขับเคลื่อนการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมทางกายภาพ การคมนาคมขนส่ง ข้อมูลข่าวสาร และบริการสาธารณะ ครอบคลุมทั้งต้นทาง กลางทาง และปลายทางของระบบการใช้ชีวิต กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) เป็นเจ้าภาพหลัก ในการประสานความร่วมมือและสนับสนุนการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกสําหรับคนพิการและทุกคนในสังคม (Universal Design) สําหรับพื้นที่สวนลุมพินี สวนสาธารณะแห่งแรกของกรุงเทพมหานคร เพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และทุกสภาพร่างกาย รวมถึงชาวต่างชาติ สามารถเข้าถึงและใช้บริการได้ สะดวก ปลอดภัย ทั่วถึง เท่าเทียมกัน จึงดําเนินการปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับมาตรฐานและพัฒนาให้ประชาชนในทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ โดยเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา ได้ร่วมกันปรับปรุงห้องน้ําบริเวณลานตะวันยิ้ม ศูนย์ผู้สูงอายุ ลานจอดรถ และทางเดินเท้าจากประตูทางเข้าหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านพระบรมราชานุสาวรีย์พระมงกุฎเกล้า 2) ด้านถนนพระราม 4 และ 3) ด้านถนนวิทยุ รวมทั้งทางเดินเท้าเชื่อมโยงการเดินทางจากป้ายหยุดรถประจําทาง สถานีรถไฟฟ้า BTS และ MRT จากประตูทางเข้าหลักทั้ง 3 ด้าน เพื่อเป็นต้นแบบของสวนสาธารณะที่คนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย เด็ก สตรี และทุกคน เข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียมกัน "สําหรับการจัดงานในวันนี้ มีการรับมอบห้องน้ําคนพิการต้นแบบที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยเกิดขึ้นจากความร่วมมือ ประชารัฐ ได้แก่ กระทรวง พม. กรุงเทพมหานคร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย องค์กรคนพิการ และบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จํากัด ที่ร่วมด้วยช่วยกันสนับสนุนในการปรับปรุงห้องน้ํา จํานวน 9 หลัง ประกอบด้วย ห้องน้ําใหญ่ 2 หลัง และห้องน้ําเล็ก 7 หลัง โดยมีการปรับปรุงทางลาด ไฟส่องสว่าง ราวจับภายนอก อุปกรณ์ในห้องน้ําคนพิการ วัสดุปูพื้น ให้เป็นไปตามหลักห้องน้ําคนพิการมาตรฐานสากล ซึ่งคนพิการ ผู้สูงอายุ และทุกคน ให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ พร้อมส่งมอบให้กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็น 1 ในกิจกรรมเพื่อการพัฒนาสวนสาธารณะต้นแบบเพื่อคนพิการ ผู้สูงอายุ สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างเท่าเทียม มีความสะดวก และปลอดภัย”พลเอก สุรศักดิ์กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9336
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. ใช้ PPP Fast Track โครงการรถไฟฟ้า 3 สาย สำเร็จภายใน 9 เดือน กระตุ้นการลงทุนของประเทศ อีกกว่า 1.9 แสนล้านบาท
วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560 สคร. ใช้ PPP Fast Track โครงการรถไฟฟ้า 3 สาย สําเร็จภายใน 9 เดือน กระตุ้นการลงทุนของประเทศ อีกกว่า 1.9 แสนล้านบาท สคร.แถลงถึงความสําเร็จของนโยบายรัฐบาลในการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) เพื่อพัฒนาโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยสามารถผลักดันโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย มูลค่าโครงการ 1.9 แสนล้านบาท ได้สําเร็จภายใน 9 เดือน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) แถลงถึงความสําเร็จของนโยบายรัฐบาลในการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) เพื่อพัฒนาโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยสามารถผลักดันโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย มูลค่าโครงการ 1.9 แสนล้านบาท ได้สําเร็จภายใน 9 เดือน ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ (โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย) มูลค่าโครงการ 83,877 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี (โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู) มูลค่าโครงการ 56,691 ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สําโรง (โครงการรถไฟฟ้าสายเหลือง) มูลค่าโครงการ 54,644 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้า 3 สาย ได้ดําเนินการคัดเลือกเอกชนตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556) เสร็จสิ้นแล้ว โดยโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยายได้มีการลงนามในสัญญาแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2560 และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและโครงการรถไฟฟ้าสายเหลืองจะมีการลงนามในสัญญาในวันที่ 16 มิถุนายน 2560 นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการ PPP ทั้ง 3 โครงการได้เร็วขึ้นจะทําให้การเดินทางของประชาชนมีความสะดวกสบาย ลดความแออัดของการจราจร และลดการสิ้นเปลืองพลังงาน ของประเทศ นางปานทิพย์ ศรีพิมล ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการ PPP Fast Track เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะขับเคลื่อนนโยบายการลงทุนของรัฐบาล โดยการบูรณาการความร่วมมือในการทํางานของหน่วยงานภาครัฐ ในการทํางานในบางขั้นตอนให้คู่ขนานกันไป โดย สคร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ PPP ทําหน้าที่เป็นตัวกลางในกําหนดรายการข้อมูลที่จําเป็นในการศึกษาและวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนให้ชัดเจน (Checklist) และบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ซึ่งได้ลดระยะเวลาการดําเนินการตาม พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 ที่จะใช้เวลาตั้งแต่เริ่มทําการศึกษาโครงการจนถึงการประกาศเชิญชวนให้เอกชนร่วมลงทุนจากเวลาปกติประมาณ 25 เดือน ให้เหลือเพียง 9 เดือน นอกจากนี้ จะได้นําบทเรียนต่างๆ รวมถึงกลไกสําคัญของมาตรการ PPP Fast Track มาใช้ในการปรับปรุง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 ด้วย ซึ่งปัจจุบันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เห็นชอบหลักการของการปรับปรุง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 แล้ว โดยมีหลักการสําคัญในการส่งเสริมโครงการร่วมลงทุนให้มากขึ้น มีขั้นตอนที่กระชับชัดเจน แต่ยังคงความโปร่งใส เปิดเผย และตรวจสอบได้ รวมทั้งยึดหลักวินัยการเงินการคลัง เช่นเดิม ทั้งนี้ คาดว่าจะนําเสนอร่าง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 ฉบับปรับปรุงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2560 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ทั้งมาตรการ PPP Fast Track และการปรับปรุง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ต้องการส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุนโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่จะช่วยทําให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้เร็วมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนดียิ่งขึ้น และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่กําหนดให้มีการลงทุนจากความร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานเฉลี่ยปีละ 47,000 ล้านบาท สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กองส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สคร. ใช้ PPP Fast Track โครงการรถไฟฟ้า 3 สาย สำเร็จภายใน 9 เดือน กระตุ้นการลงทุนของประเทศ อีกกว่า 1.9 แสนล้านบาท วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560 สคร. ใช้ PPP Fast Track โครงการรถไฟฟ้า 3 สาย สําเร็จภายใน 9 เดือน กระตุ้นการลงทุนของประเทศ อีกกว่า 1.9 แสนล้านบาท สคร.แถลงถึงความสําเร็จของนโยบายรัฐบาลในการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) เพื่อพัฒนาโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยสามารถผลักดันโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย มูลค่าโครงการ 1.9 แสนล้านบาท ได้สําเร็จภายใน 9 เดือน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (คณะกรรมการ PPP) แถลงถึงความสําเร็จของนโยบายรัฐบาลในการเร่งรัดโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP Fast Track) เพื่อพัฒนาโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยสามารถผลักดันโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย มูลค่าโครงการ 1.9 แสนล้านบาท ได้สําเร็จภายใน 9 เดือน ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลําโพง – บางแค และช่วงบางซื่อ – ท่าพระ (โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยาย) มูลค่าโครงการ 83,877 ล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี (โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู) มูลค่าโครงการ 56,691 ล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สําโรง (โครงการรถไฟฟ้าสายเหลือง) มูลค่าโครงการ 54,644 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการรถไฟฟ้า 3 สาย ได้ดําเนินการคัดเลือกเอกชนตามพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556) เสร็จสิ้นแล้ว โดยโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินส่วนต่อขยายได้มีการลงนามในสัญญาแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2560 และโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและโครงการรถไฟฟ้าสายเหลืองจะมีการลงนามในสัญญาในวันที่ 16 มิถุนายน 2560 นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการ PPP ทั้ง 3 โครงการได้เร็วขึ้นจะทําให้การเดินทางของประชาชนมีความสะดวกสบาย ลดความแออัดของการจราจร และลดการสิ้นเปลืองพลังงาน ของประเทศ นางปานทิพย์ ศรีพิมล ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการ PPP Fast Track เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่จะขับเคลื่อนนโยบายการลงทุนของรัฐบาล โดยการบูรณาการความร่วมมือในการทํางานของหน่วยงานภาครัฐ ในการทํางานในบางขั้นตอนให้คู่ขนานกันไป โดย สคร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ PPP ทําหน้าที่เป็นตัวกลางในกําหนดรายการข้อมูลที่จําเป็นในการศึกษาและวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนให้ชัดเจน (Checklist) และบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ซึ่งได้ลดระยะเวลาการดําเนินการตาม พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 ที่จะใช้เวลาตั้งแต่เริ่มทําการศึกษาโครงการจนถึงการประกาศเชิญชวนให้เอกชนร่วมลงทุนจากเวลาปกติประมาณ 25 เดือน ให้เหลือเพียง 9 เดือน นอกจากนี้ จะได้นําบทเรียนต่างๆ รวมถึงกลไกสําคัญของมาตรการ PPP Fast Track มาใช้ในการปรับปรุง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 ด้วย ซึ่งปัจจุบันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เห็นชอบหลักการของการปรับปรุง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 แล้ว โดยมีหลักการสําคัญในการส่งเสริมโครงการร่วมลงทุนให้มากขึ้น มีขั้นตอนที่กระชับชัดเจน แต่ยังคงความโปร่งใส เปิดเผย และตรวจสอบได้ รวมทั้งยึดหลักวินัยการเงินการคลัง เช่นเดิม ทั้งนี้ คาดว่าจะนําเสนอร่าง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 ฉบับปรับปรุงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2560 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ทั้งมาตรการ PPP Fast Track และการปรับปรุง พ.ร.บ. ร่วมลงทุนฯ ปี 2556 เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ต้องการส่งเสริมให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุนโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่จะช่วยทําให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศได้เร็วมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนดียิ่งขึ้น และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ที่กําหนดให้มีการลงทุนจากความร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานเฉลี่ยปีละ 47,000 ล้านบาท สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กองส่งเสริมการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4514
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เปิดงาน“ “Digital Thailand Big Bang 2019 : ASEAN Connectivity” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลระดับนานาชาติสุดยิ่งใหญ่
วันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2562 นายกรัฐมนตรี เปิดงาน“ “Digital Thailand Big Bang 2019 : ASEAN Connectivity” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลระดับนานาชาติสุดยิ่งใหญ่ นายกรัฐมนตรี เปิดงาน“ “Digital Thailand Big Bang 2019 : ASEAN Connectivity” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลระดับนานาชาติสุดยิ่งใหญ่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวรายงานในงาน “Digital Thailand Big Bang 2019 : ASEAN Connectivity” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลระดับนานาชาติสุดยิ่งใหญ่ จัดโดย สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจทัล (DEPA) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน และแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “บทบาทของประเทศไทยในเวที ASEAN Connectivity” ก่อนมอบรางวัล Prime Minister’s Award และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระดับนานาชาติด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สําหรับงานดังกล่าว จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ASEAN Connectivity” โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลร่วมกับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การสร้างแรงงานดิจิทัลที่มีทักษะผ่านระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาระบบการชําระเงินแบบดิจิทัล การเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ให้เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การรวมตัวกันเพื่ออํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกรรมระหว่างประเทศสมาชิกให้มีมาตรฐานและกฎระเบียบข้อบังคับที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงกระแสข้อมูลระหว่างประเทศ โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ เป็นเหมือนสะพานเชื่อมให้ประชาชนเข้าถึงและสัมผัสประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการต่อยอดการนําเทคโนโลยีดิจิทัลไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม นําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้ยั่งยืน ควบคู่กับการแสดงให้ต่างประเทศได้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทยที่จะก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ มีความเชื่อมั่น และนําไปสู่การลงทุนในประเทศในที่สุด ********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เปิดงาน“ “Digital Thailand Big Bang 2019 : ASEAN Connectivity” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลระดับนานาชาติสุดยิ่งใหญ่ วันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2562 นายกรัฐมนตรี เปิดงาน“ “Digital Thailand Big Bang 2019 : ASEAN Connectivity” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลระดับนานาชาติสุดยิ่งใหญ่ นายกรัฐมนตรี เปิดงาน“ “Digital Thailand Big Bang 2019 : ASEAN Connectivity” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลระดับนานาชาติสุดยิ่งใหญ่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวรายงานในงาน “Digital Thailand Big Bang 2019 : ASEAN Connectivity” มหกรรมแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลระดับนานาชาติสุดยิ่งใหญ่ จัดโดย สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจทัล (DEPA) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน และแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “บทบาทของประเทศไทยในเวที ASEAN Connectivity” ก่อนมอบรางวัล Prime Minister’s Award และร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระดับนานาชาติด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สําหรับงานดังกล่าว จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ASEAN Connectivity” โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลร่วมกับกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การสร้างแรงงานดิจิทัลที่มีทักษะผ่านระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาระบบการชําระเงินแบบดิจิทัล การเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ให้เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การรวมตัวกันเพื่ออํานวยความสะดวกในการดําเนินธุรกรรมระหว่างประเทศสมาชิกให้มีมาตรฐานและกฎระเบียบข้อบังคับที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงกระแสข้อมูลระหว่างประเทศ โดย รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ เป็นเหมือนสะพานเชื่อมให้ประชาชนเข้าถึงและสัมผัสประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดการต่อยอดการนําเทคโนโลยีดิจิทัลไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม นําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้ยั่งยืน ควบคู่กับการแสดงให้ต่างประเทศได้เห็นถึงความพร้อมของประเทศไทยที่จะก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ มีความเชื่อมั่น และนําไปสู่การลงทุนในประเทศในที่สุด ********************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24142
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยังคงเดินหน้า จัดสรรที่ดินให้ชุมชนยากไร้
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561 รัฐบาลยังคงเดินหน้า จัดสรรที่ดินให้ชุมชนยากไร้ เพื่อให้กลุ่มคนนี้สามารถเข้าทําประโยชน์ในที่ดินในลักษณะแปลงรวมโดยไม่มีกรรมสิทธิ์ป้องกันการซื้อขายเปลี่ยนมือ ศุกร์ที่ 30 พ.ย.61 รัฐบาลยังคงเดินหน้า จัดสรรที่ดินให้ชุมชนยากไร้ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลจัดสรรที่ดินทํากินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาสอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กลุ่มคนนี้สามารถเข้าทําประโยชน์ในที่ดินในลักษณะแปลงรวมโดยไม่มีกรรมสิทธิ์ป้องกันการซื้อขายเปลี่ยนมือ ทั้งพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าชายเลน เขตปฏิรูปที่ดิน ที่สาธารณประโยชน์ ที่ราชพัสดุ และที่ดินในนิคมสร้างตนเอง ปัจจุบันออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์แล้วกว่า 400,000 ไร่ ครอบคลุมประชาชน 45,000 ราย จากเป้าหมายการจัดสรร 1 ล้านไร่ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาอาชีพในรูปแบบสหกรณ์ เปิดโอกาสให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน และสอนทําบัญชีครัวเรือน ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังลดความเหลื่อมล้ําในสังคม โดยผู้มีรายได้น้อยสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยังคงเดินหน้า จัดสรรที่ดินให้ชุมชนยากไร้ วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2561 รัฐบาลยังคงเดินหน้า จัดสรรที่ดินให้ชุมชนยากไร้ เพื่อให้กลุ่มคนนี้สามารถเข้าทําประโยชน์ในที่ดินในลักษณะแปลงรวมโดยไม่มีกรรมสิทธิ์ป้องกันการซื้อขายเปลี่ยนมือ ศุกร์ที่ 30 พ.ย.61 รัฐบาลยังคงเดินหน้า จัดสรรที่ดินให้ชุมชนยากไร้ ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลจัดสรรที่ดินทํากินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาสอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กลุ่มคนนี้สามารถเข้าทําประโยชน์ในที่ดินในลักษณะแปลงรวมโดยไม่มีกรรมสิทธิ์ป้องกันการซื้อขายเปลี่ยนมือ ทั้งพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าชายเลน เขตปฏิรูปที่ดิน ที่สาธารณประโยชน์ ที่ราชพัสดุ และที่ดินในนิคมสร้างตนเอง ปัจจุบันออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์แล้วกว่า 400,000 ไร่ ครอบคลุมประชาชน 45,000 ราย จากเป้าหมายการจัดสรร 1 ล้านไร่ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาอาชีพในรูปแบบสหกรณ์ เปิดโอกาสให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน และสอนทําบัญชีครัวเรือน ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังลดความเหลื่อมล้ําในสังคม โดยผู้มีรายได้น้อยสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสมและยั่งยืน ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17223
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม มุ่งพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทำผิดเพื่อคืนคนดีสู่สังคมอย่างยั่งยืน
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 กระทรวงยุติธรรม มุ่งพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทําผิดเพื่อคืนคนดีสู่สังคมอย่างยั่งยืน นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในการประชุมคณะทํางานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทําผิดอย่างยั่งยืน ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ ในวันอังคารที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในการประชุมคณะทํางานพัฒนา และส่งเสริมอาชีพผู้กระทําผิดอย่างยั่งยืน ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ โดยมีผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนจากหน่วยงานภาคเอกชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ โดยที่ประชุมฯ ได้รับทราบผลการดําเนินงานในรอบ ๓ เดือน เกี่ยวกับการขับเคลื่อน การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพอย่างยั่งยืนของหน่วยงานในกลุ่มภารกิจงานด้านพัฒนาพฤตินิสัย ได้แก่ กรมราชทัณฑ์ กรมคุมประพฤติ และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งรับฟังข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากภาคเอกชน เพื่อบูรณาการความร่วมมือ ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมอย่างยั่งยืน อาทิ การเสนอแนะให้จัดทําแบบสํารวจข้อมูลในเชิงลึกเพิ่มเติมจากที่ทําอยู่เดิม เกี่ยวกับความพึงพอใจของภาคเอกชนที่มีส่วนร่วมช่วยเหลือพัฒนาและสร้างอาชีพ แก่กลุ่มผู้ต้องขัง ผู้ถูกคุมประพฤติ เด็กและเยาวชนที่กระทําผิด สําหรับใช้เป็นฐานข้อมูลในการดําเนินการส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ สร้างทัศนคติที่ดี และสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคเอกชนรายอื่นๆ นอกจากนี้ที่ประชุมฯ ได้ร่วมกันพิจารณากิจกรรมต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพอย่างยั่งยืน ได้แก่ การรับบริจาคเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ร่วมกับธนาคารกรุงไทย เพื่อเป็นกองทุนในการช่วยเหลือและสงเคราะห์ผู้กระทําผิด การจัดทําหลักสูตรเพื่อฝึกวิชาชีพต่างๆ เพิ่มเติม อาทิ หลักสูตรการฝึกวิชาชีพการนวดดัดจัดสรีระ หลักสูตรการฝึกวิชาชีพด้านเบเกอรี่และการเพ้นท์แก้ว เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ มีมติให้ดําเนินกิจกรรมต่างๆ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์ สร้างความรับรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้โอกาสแก่ผู้กระทําผิด ให้สามารถดํารงชีวิตในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุขและไม่หวนกลับไปกระทําผิดซ้ําอีก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม มุ่งพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทำผิดเพื่อคืนคนดีสู่สังคมอย่างยั่งยืน วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2561 กระทรวงยุติธรรม มุ่งพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทําผิดเพื่อคืนคนดีสู่สังคมอย่างยั่งยืน นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในการประชุมคณะทํางานพัฒนาและส่งเสริมอาชีพผู้กระทําผิดอย่างยั่งยืน ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ ในวันอังคารที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในการประชุมคณะทํางานพัฒนา และส่งเสริมอาชีพผู้กระทําผิดอย่างยั่งยืน ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ โดยมีผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนจากหน่วยงานภาคเอกชน รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ โดยที่ประชุมฯ ได้รับทราบผลการดําเนินงานในรอบ ๓ เดือน เกี่ยวกับการขับเคลื่อน การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพอย่างยั่งยืนของหน่วยงานในกลุ่มภารกิจงานด้านพัฒนาพฤตินิสัย ได้แก่ กรมราชทัณฑ์ กรมคุมประพฤติ และกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งรับฟังข้อเสนอแนะเพิ่มเติมจากภาคเอกชน เพื่อบูรณาการความร่วมมือ ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมอย่างยั่งยืน อาทิ การเสนอแนะให้จัดทําแบบสํารวจข้อมูลในเชิงลึกเพิ่มเติมจากที่ทําอยู่เดิม เกี่ยวกับความพึงพอใจของภาคเอกชนที่มีส่วนร่วมช่วยเหลือพัฒนาและสร้างอาชีพ แก่กลุ่มผู้ต้องขัง ผู้ถูกคุมประพฤติ เด็กและเยาวชนที่กระทําผิด สําหรับใช้เป็นฐานข้อมูลในการดําเนินการส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ สร้างทัศนคติที่ดี และสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคเอกชนรายอื่นๆ นอกจากนี้ที่ประชุมฯ ได้ร่วมกันพิจารณากิจกรรมต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพอย่างยั่งยืน ได้แก่ การรับบริจาคเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ร่วมกับธนาคารกรุงไทย เพื่อเป็นกองทุนในการช่วยเหลือและสงเคราะห์ผู้กระทําผิด การจัดทําหลักสูตรเพื่อฝึกวิชาชีพต่างๆ เพิ่มเติม อาทิ หลักสูตรการฝึกวิชาชีพการนวดดัดจัดสรีระ หลักสูตรการฝึกวิชาชีพด้านเบเกอรี่และการเพ้นท์แก้ว เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ มีมติให้ดําเนินกิจกรรมต่างๆ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์ สร้างความรับรู้และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้โอกาสแก่ผู้กระทําผิด ให้สามารถดํารงชีวิตในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุขและไม่หวนกลับไปกระทําผิดซ้ําอีก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16949
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. นำคณะผู้บริหาร และคณะข้าราชการ วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวันดำรงราชานุภาพ
วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560 รมว.มท. นําคณะผู้บริหาร และคณะข้าราชการ วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวันดํารงราชานุภาพ รมว.มท. นําคณะผู้บริหาร และคณะข้าราชการ วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวันดํารงราชานุภาพ วันที่ (1 ธ.ค. 60) เวลา 06.45 น. ณ บริเวณพิธีหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ เนื่องในวันดํารงราชานุภาพ โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย​ผู้ว่าการรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และผู้แทนหน่วยงานราชการอื่นๆ เข้าร่วมวางพวงมาลา ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวสดุดี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ด้วยสํานึกในพระกรณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงวางรากฐานอันมั่นคงให้แก่กระทรวงมหาดไทย และทํานุบํารุงแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติ ทรงเป็นกําลังสําคัญยิ่งในการปฏิรูป การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ทรงวางรากฐานการปกครองแบบเทศาภิบาล และสุขาภิบาล อันเป็นรากเหง้าของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ งานตํารวจภูบาลและภูธร และทรงกําหนดความหมายของงานมหาดไทยให้ชัดเจนว่า “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดํารัสว่า “กรมดํารงฯ มอบดวงใจให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงมหาดไทย คือ ผู้ดูแลประเทศชาติ ชาวไทย ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข”. ครั้งที่ 186 /2560 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. นำคณะผู้บริหาร และคณะข้าราชการ วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวันดำรงราชานุภาพ วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560 รมว.มท. นําคณะผู้บริหาร และคณะข้าราชการ วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวันดํารงราชานุภาพ รมว.มท. นําคณะผู้บริหาร และคณะข้าราชการ วางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เนื่องในวันดํารงราชานุภาพ วันที่ (1 ธ.ค. 60) เวลา 06.45 น. ณ บริเวณพิธีหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ เนื่องในวันดํารงราชานุภาพ โดยมี นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย​ผู้ว่าการรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และผู้แทนหน่วยงานราชการอื่นๆ เข้าร่วมวางพวงมาลา ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวสดุดี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ด้วยสํานึกในพระกรณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงวางรากฐานอันมั่นคงให้แก่กระทรวงมหาดไทย และทํานุบํารุงแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติ ทรงเป็นกําลังสําคัญยิ่งในการปฏิรูป การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ทรงวางรากฐานการปกครองแบบเทศาภิบาล และสุขาภิบาล อันเป็นรากเหง้าของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทรงตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองท้องที่ งานตํารวจภูบาลและภูธร และทรงกําหนดความหมายของงานมหาดไทยให้ชัดเจนว่า “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดํารัสว่า “กรมดํารงฯ มอบดวงใจให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงมหาดไทย คือ ผู้ดูแลประเทศชาติ ชาวไทย ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข”. ครั้งที่ 186 /2560 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8488
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมสัมมนา หัวข้อ “พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ.2560”
วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมสัมมนา หัวข้อ “พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ.2560” รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนา หัวข้อ “พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ.2560 แนวทางการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติฯ และแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” โดยสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ จัดงานดังกล่าวขึ้นเพื่อร่วมกําหนดภารกิจและทิศทางการดําเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ ตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดทําแผนปฏิบัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสร้างความเข้าใจและรับรู้ทิศทางการขับเคลื่อนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมประชุมรับฟังข้อเสนอภาพรวมของคณะทํางาน พ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 ด้วย ทั้งนี้ การสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 - 26 กุมภาพันธ์ 2560 ณ กรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ***********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมสัมมนา หัวข้อ “พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ.2560” วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานการประชุมสัมมนา หัวข้อ “พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ.2560” รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนา หัวข้อ “พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ.2560 แนวทางการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติฯ และแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” โดยสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ จัดงานดังกล่าวขึ้นเพื่อร่วมกําหนดภารกิจและทิศทางการดําเนินงานของกระทรวงดิจิทัลฯ ตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดทําแผนปฏิบัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงสร้างความเข้าใจและรับรู้ทิศทางการขับเคลื่อนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดเข้าร่วมประชุมรับฟังข้อเสนอภาพรวมของคณะทํางาน พ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 ด้วย ทั้งนี้ การสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 - 26 กุมภาพันธ์ 2560 ณ กรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ***********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2115
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลสมบูรณ์แบบ”
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลสมบูรณ์แบบ” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลสมบูรณ์แบบ” ในงาน “Thailand’s Digital Transformation Forum : How Telecom Infrastructures will Enhance Thailand’s Digital Transformation” ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดขึ้น ด้วยเล็งเห็นถึงความสําคัญในการส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจอันดีในวงกว้าง ถึงทิศทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ โดยกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนประเทศสู่ยุคดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งได้ดําเนินการใน 5 เรื่องสําคัญ ได้แก่ 1) การดําเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศในโครงการ “เน็ตประชารัฐ” เป็นต้น 2) การพัฒนาคนให้เข้าถึงและรู้เท่าทันการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล 3) การพัฒนาการใช้ประโยชน์ผ่านโครงการสําคัญต่างๆ เช่น สมาร์ทซิตี้ ดิจิทัล พาร์ค และการก่อตั้งสถาบัน IoT 4) ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และ 5) การเดินหน้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพฯ **********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลสมบูรณ์แบบ” วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลสมบูรณ์แบบ” รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลสมบูรณ์แบบ” ในงาน “Thailand’s Digital Transformation Forum : How Telecom Infrastructures will Enhance Thailand’s Digital Transformation” ซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดขึ้น ด้วยเล็งเห็นถึงความสําคัญในการส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจอันดีในวงกว้าง ถึงทิศทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ โดยกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนประเทศสู่ยุคดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งได้ดําเนินการใน 5 เรื่องสําคัญ ได้แก่ 1) การดําเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศในโครงการ “เน็ตประชารัฐ” เป็นต้น 2) การพัฒนาคนให้เข้าถึงและรู้เท่าทันการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล 3) การพัฒนาการใช้ประโยชน์ผ่านโครงการสําคัญต่างๆ เช่น สมาร์ทซิตี้ ดิจิทัล พาร์ค และการก่อตั้งสถาบัน IoT 4) ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และ 5) การเดินหน้าสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก เขตดินแดง กรุงเทพฯ **********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10820
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.มอบของขวัญปีใหม่ดูแลสุขภาพคนไทยถิ่นทุรกันดารแล้วกว่า 390,000 คน
วันอังคารที่ 1 มกราคม 2562 สธ.มอบของขวัญปีใหม่ดูแลสุขภาพคนไทยถิ่นทุรกันดารแล้วกว่า 390,000 คน กระทรวงสาธารณสุข ให้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กระทรวงสาธารณสุข ให้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มอบบริการสุขภาพเป็นของขวัญปีใหม่ ประชาชนในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล 878 อําเภอทั่วประเทศและกรุงเทพมหานครช่วงที่ 1 วันที่ 11-24 ธันวาคม 2561 แล้วกว่า 390,000 ราย และจะจัดช่วงที่ 2 วันที่ 7-20 มกราคม 2562 ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลได้มอบให้กระทรวงสาธารณสุข ประสานหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกให้บริการเป็นของขวัญปีใหม่คนไทยในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร 878 อําเภอทั่วประเทศ และกรุงเทพมหานคร2 ช่วง ช่วงที่ 1 วันที่ 11-24 ธันวาคม 2561 และจะจัดช่วงที่ 2 วันที่ 7-20 มกราคม 2562 โดยให้บริการการแพทย์ขั้นพื้นฐาน ทันตกรรมเคลื่อนที่ ตรวจตา สุขภาพจิต แนะนําและฝึกอาชีพ รวมทั้งบริการอื่น ๆ ตามบริบทของพื้นที่ ผลการดําเนินงานช่วงที่ 1 ระหว่างวันที่ 11 - 24 ธันวาคม 2561 ข้อมูล ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2561 ได้รับรายงานมีผู้มาใช้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่รวม 390,819 คน บริการแพทย์พื้นฐาน 105,279 ราย ส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ 3,411 ราย บริการทันตกรรม 43,473 ราย ส่งต่อ 1,489 ราย บริการตรวจตา 39,170 ราย ส่งต่อ 2,081 ราย บริการด้านสุขภาพจิต 60,570 ราย ส่งต่อ 1,937 ราย แนะนําและฝึกอาชีพ ได้แก่ งานด้านบริการ เช่น เสริมสวย นวด เป็นต้น งานคหกรรม งานศิลปะประดิษฐ์ เย็บปักถักร้อย ดนตรี 51,416 ราย และกิจกรรมตามบริบทพื้นที่ อาทิ นวดแผนไทย/กายภาพบําบัด จําหน่ายสินค้าพื้นบ้าน/โอทอป กิจกรรมสันทนาการ ฉีดวัคซีน/ ทําหมันสัตว์เลี้ยง แจกพันธุ์ไม้ บริการตัดผม ซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า 90,911 รายรวมทั้งประชาชนที่มารับบริการมีความพึงพอใจ เพราะได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ สะดวก ไม่ต้องรอคอยนาน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาเดินทางไปโรงพยาบาล เมื่อพบอาการผิดปกติมีระบบส่งต่อ และต้องการให้จัดหน่วยแพทย์ในลักษณะนี้บ่อย ๆ “ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ มีสุขภาพที่แข็งแรง มีความสุขตลอดปีและตลอดไป และขอเชิญชวนเข้ารับบริการต่าง ๆ ที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ช่วงที่ 2 วันที่ 7-20 มกราคม 2562 ในพื้นที่ที่แต่ละจังหวัดกําหนด” ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าว ********************************* 1 มกราคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.มอบของขวัญปีใหม่ดูแลสุขภาพคนไทยถิ่นทุรกันดารแล้วกว่า 390,000 คน วันอังคารที่ 1 มกราคม 2562 สธ.มอบของขวัญปีใหม่ดูแลสุขภาพคนไทยถิ่นทุรกันดารแล้วกว่า 390,000 คน กระทรวงสาธารณสุข ให้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กระทรวงสาธารณสุข ให้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่โครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชน อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มอบบริการสุขภาพเป็นของขวัญปีใหม่ ประชาชนในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกล 878 อําเภอทั่วประเทศและกรุงเทพมหานครช่วงที่ 1 วันที่ 11-24 ธันวาคม 2561 แล้วกว่า 390,000 ราย และจะจัดช่วงที่ 2 วันที่ 7-20 มกราคม 2562 ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลได้มอบให้กระทรวงสาธารณสุข ประสานหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดโครงการบูรณาการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เพื่อดูแลประชาชนอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกให้บริการเป็นของขวัญปีใหม่คนไทยในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร 878 อําเภอทั่วประเทศ และกรุงเทพมหานคร2 ช่วง ช่วงที่ 1 วันที่ 11-24 ธันวาคม 2561 และจะจัดช่วงที่ 2 วันที่ 7-20 มกราคม 2562 โดยให้บริการการแพทย์ขั้นพื้นฐาน ทันตกรรมเคลื่อนที่ ตรวจตา สุขภาพจิต แนะนําและฝึกอาชีพ รวมทั้งบริการอื่น ๆ ตามบริบทของพื้นที่ ผลการดําเนินงานช่วงที่ 1 ระหว่างวันที่ 11 - 24 ธันวาคม 2561 ข้อมูล ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2561 ได้รับรายงานมีผู้มาใช้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่รวม 390,819 คน บริการแพทย์พื้นฐาน 105,279 ราย ส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ 3,411 ราย บริการทันตกรรม 43,473 ราย ส่งต่อ 1,489 ราย บริการตรวจตา 39,170 ราย ส่งต่อ 2,081 ราย บริการด้านสุขภาพจิต 60,570 ราย ส่งต่อ 1,937 ราย แนะนําและฝึกอาชีพ ได้แก่ งานด้านบริการ เช่น เสริมสวย นวด เป็นต้น งานคหกรรม งานศิลปะประดิษฐ์ เย็บปักถักร้อย ดนตรี 51,416 ราย และกิจกรรมตามบริบทพื้นที่ อาทิ นวดแผนไทย/กายภาพบําบัด จําหน่ายสินค้าพื้นบ้าน/โอทอป กิจกรรมสันทนาการ ฉีดวัคซีน/ ทําหมันสัตว์เลี้ยง แจกพันธุ์ไม้ บริการตัดผม ซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า 90,911 รายรวมทั้งประชาชนที่มารับบริการมีความพึงพอใจ เพราะได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ สะดวก ไม่ต้องรอคอยนาน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลาเดินทางไปโรงพยาบาล เมื่อพบอาการผิดปกติมีระบบส่งต่อ และต้องการให้จัดหน่วยแพทย์ในลักษณะนี้บ่อย ๆ “ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ มีสุขภาพที่แข็งแรง มีความสุขตลอดปีและตลอดไป และขอเชิญชวนเข้ารับบริการต่าง ๆ ที่หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ช่วงที่ 2 วันที่ 7-20 มกราคม 2562 ในพื้นที่ที่แต่ละจังหวัดกําหนด” ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าว ********************************* 1 มกราคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17851
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยใช้ระบบวาดแปลงไปแล้ว 650,000 แปลง
วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ ดําเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยใช้ระบบวาดแปลงไปแล้ว 650,000 แปลง กระทรวงเกษตรฯ ดําเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยใช้ระบบวาดแปลงไปแล้ว 650,000 แปลง พร้อมหนุนแผนปี 61 ให้แล้วเสร็จอีก 13 ล้านแปลงทั่วประเทศ หวังใช้สนับสนุนด้านการเกษตรให้เกิดประโยชน์สูงสุด พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการดําเนินงานการวาดแปลงตามระบบการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ว่า จากที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทะเบียนเกษตรกรมีความถูกต้อง เป็นปัจจุบัน มีการจัดเก็บข้อมูลพิกัดตําแหน่ง และผังแปลงของเกษตรกรให้สามารถทราบสถานภาพการใช้พื้นที่การเกษตร และพัฒนาระบบฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกรให้สามารถนํามาใช้ในการวางแผนการพัฒนาการเกษตรได้ มีการสรุปผลการดําเนินงานในปี 2559 ดําเนินการไปแล้ว 650,000 แปลง แบ่งเป็น การดําเนินงานของกรมส่งเสริมการเกษตร จํานวน 532,686 แปลง GISTDA จํานวน 104,858 แปลง และ NECTEC จํานวน 12,456 แปลง และมีเป้าหมายในการวาดแปลงให้แล้วเสร็จในปี 2561 จํานวน 13 ล้านแปลง ทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรให้เร็วที่สุด ซึ่งฐานข้อมูลทั้งหมดจะครอบคลุมเกษตรกรผู้ปลูกพืช ทําไร่นาสวนผสม ทํานาเกลือ และเลี้ยงแมลงเศรษฐกิจ โดยเกษตรกรจะต้องเป็นผู้มาแจ้งขึ้นทะเบียน และปรับปรุงข้อมูลของตนเอง ซึ่งรวมไปถึงข้อมูลด้านพื้นที่ปลูกที่มีและไม่เอกสารสิทธิ์ และการประมาณการผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับ เป็นต้น นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินงานขึ้นทะเบียนเกษตรกร เริ่มดําเนินการตั้งแต่ปี 2552 - 2556 มีการบันทึกข้อมูลทะเบียนเกษตรกร แต่ไม่มีระบบการวาดแปลง ต่อมาเมื่อปี 2557 ได้ใช้เครื่องจับพิกัดภูมิศาสตร์ GPS จัดเก็บพิกัดที่ตั้งแปลง และวัดขนาดพื้นที่เข้ามาสนับสนุนในการจัดเก็บข้อมูล โดยร่วมมือกับ GISTDA ในการใช้แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมมาค้นหาพิกัดและวาดผังแปลงด้วยโปรแกรม GISagro จากนั้นได้ร่วมมือกับ NECTEC ในการออกแบบ Application การขึ้นทะเบียนเกษตรกร พร้อมกับวาดผังแปลงด้วย Tablet ตลอดจนพัฒนาการใช้โปรแกรมสําเร็จรูป Qgis และใช้แผนที่ Google Map ในการค้นหาพิกัดและวาดผังแปลง ทั้งนี้ หากระบบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรดังกล่าวแล้วเสร็จสมบูรณ์ จะสามารถการนําไปใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรได้หลายมิติ อาทิ การปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ การเตรียมความพร้อมในฤดูกาลผลิตใหม่ เป็นต้น โดยจะแสดงผลข้อมูลของเกษตรกร ตั้งแต่พิกัดแปลง จํานวนพื้นที่เพาะปลูก ข้อมูลการทําการเกษตร ตลอดจนการแสดงข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกที่สอดคล้องกับ Agri – map เป็นต้น *********************** กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยใช้ระบบวาดแปลงไปแล้ว 650,000 แปลง วันอังคารที่ 10 มกราคม 2560 กระทรวงเกษตรฯ ดําเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยใช้ระบบวาดแปลงไปแล้ว 650,000 แปลง กระทรวงเกษตรฯ ดําเนินการขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยใช้ระบบวาดแปลงไปแล้ว 650,000 แปลง พร้อมหนุนแผนปี 61 ให้แล้วเสร็จอีก 13 ล้านแปลงทั่วประเทศ หวังใช้สนับสนุนด้านการเกษตรให้เกิดประโยชน์สูงสุด พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการดําเนินงานการวาดแปลงตามระบบการขึ้นทะเบียนเกษตรกร ว่า จากที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทะเบียนเกษตรกรมีความถูกต้อง เป็นปัจจุบัน มีการจัดเก็บข้อมูลพิกัดตําแหน่ง และผังแปลงของเกษตรกรให้สามารถทราบสถานภาพการใช้พื้นที่การเกษตร และพัฒนาระบบฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกรให้สามารถนํามาใช้ในการวางแผนการพัฒนาการเกษตรได้ มีการสรุปผลการดําเนินงานในปี 2559 ดําเนินการไปแล้ว 650,000 แปลง แบ่งเป็น การดําเนินงานของกรมส่งเสริมการเกษตร จํานวน 532,686 แปลง GISTDA จํานวน 104,858 แปลง และ NECTEC จํานวน 12,456 แปลง และมีเป้าหมายในการวาดแปลงให้แล้วเสร็จในปี 2561 จํานวน 13 ล้านแปลง ทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรให้เร็วที่สุด ซึ่งฐานข้อมูลทั้งหมดจะครอบคลุมเกษตรกรผู้ปลูกพืช ทําไร่นาสวนผสม ทํานาเกลือ และเลี้ยงแมลงเศรษฐกิจ โดยเกษตรกรจะต้องเป็นผู้มาแจ้งขึ้นทะเบียน และปรับปรุงข้อมูลของตนเอง ซึ่งรวมไปถึงข้อมูลด้านพื้นที่ปลูกที่มีและไม่เอกสารสิทธิ์ และการประมาณการผลผลิตที่คาดว่าจะได้รับ เป็นต้น นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินงานขึ้นทะเบียนเกษตรกร เริ่มดําเนินการตั้งแต่ปี 2552 - 2556 มีการบันทึกข้อมูลทะเบียนเกษตรกร แต่ไม่มีระบบการวาดแปลง ต่อมาเมื่อปี 2557 ได้ใช้เครื่องจับพิกัดภูมิศาสตร์ GPS จัดเก็บพิกัดที่ตั้งแปลง และวัดขนาดพื้นที่เข้ามาสนับสนุนในการจัดเก็บข้อมูล โดยร่วมมือกับ GISTDA ในการใช้แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมมาค้นหาพิกัดและวาดผังแปลงด้วยโปรแกรม GISagro จากนั้นได้ร่วมมือกับ NECTEC ในการออกแบบ Application การขึ้นทะเบียนเกษตรกร พร้อมกับวาดผังแปลงด้วย Tablet ตลอดจนพัฒนาการใช้โปรแกรมสําเร็จรูป Qgis และใช้แผนที่ Google Map ในการค้นหาพิกัดและวาดผังแปลง ทั้งนี้ หากระบบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรดังกล่าวแล้วเสร็จสมบูรณ์ จะสามารถการนําไปใช้ประโยชน์ด้านการเกษตรได้หลายมิติ อาทิ การปรับเปลี่ยนการปลูกพืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ การเตรียมความพร้อมในฤดูกาลผลิตใหม่ เป็นต้น โดยจะแสดงผลข้อมูลของเกษตรกร ตั้งแต่พิกัดแปลง จํานวนพื้นที่เพาะปลูก ข้อมูลการทําการเกษตร ตลอดจนการแสดงข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกที่สอดคล้องกับ Agri – map เป็นต้น *********************** กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1264
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ชี้โครงการ “โคบาลบูรพา” มีความก้าวหน้าตามลำดับ ทุกขั้นตอนดำเนินการ
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงเกษตรฯ ชี้โครงการ “โคบาลบูรพา” มีความก้าวหน้าตามลําดับ ทุกขั้นตอนดําเนินการ กระทรวงเกษตรฯ ชี้โครงการ “โคบาลบูรพา” มีความก้าวหน้าตามลําดับ ทุกขั้นตอนดําเนินการอย่างรัดกุม จะช่วยสร้างอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืนแก่เกษตรกรได้จริง นายสรวิศ ธานีโต โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า “โคบาลบูรพา” โครงการส่งเสริมการเกษตรรูปแบบแปลงใหญ่ เป็นอีกหนึ่งในโครงการที่ตอบโจทย์นโยบายการขับเคลื่อนการดําเนินงานที่สําคัญของรัฐบาล นําโดย พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร อย่างโครงการ “โคบาลบูรพา” ที่ส่งเสริมให้ชาวบ้านเลี้ยงโค-แพะ ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ที่เน้นประสานความร่วมมือกับเกษตรกรและรวมกันเป็นกลุ่มเกษตรกรสร้างความเข้มแข็งร่วมสร้างอาชีพใหม่ที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ด้านนายสัตวแพทย์อภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยถึงความคืบหน้าของโครงการโคบาลบูรพา ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีโครงการส่งเสริมให้ชาวบ้านเลี้ยงโค-แพะ ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว นั้น ขณะนี้คณะกรรมการได้คัดกรองเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ 6,100 คน ตามเป้าหมายแล้ว และมีการอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจ กับเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความรู้ ความสามารถในการเลี้ยงโคอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันกรมปศุสัตว์ได้ดําเนินการส่งมอบพันธุ์สัตว์ ให้เกษตรกรแล้ว 163 ราย จํานวนโค 1,075 ตัว เป็นเกษตรกรในพื้นที่อําเภออรัญประเทศ 126 ราย จํานวนโค 630 ตัว เกษตรกรในพื้นที่อําเภอวัฒนานคร 37 ราย จํานวนโค 185 ตัว และจะมีการส่งมอบโคให้เกษตรกรในพื้นที่วัฒนานครในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 นี้ อีก 260 ตัว ด้านการปลูกพืชอาหารสัตว์มีเกษตรกรจํานวน 2,000 ราย ได้ปลูกพืชอาหารสัตว์ จํานวน 10,000 ไร่ และสร้างโรงเรือนแล้ว 2,000 หลัง ส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างการเร่งรัดดําเนินการ ในด้านการจัดหาพันธุ์สัตว์ ดําเนินการโดยวิธีการประกวดราคา แล้ว 2 ครั้ง เป็นโคจํานวน รวม 30,000 ตัว ในขั้นตอนการเตรียมพันธุ์สัตว์ให้เกษตรกร โคที่เข้าร่วมโครงการฯ ทุกตัว จะผ่านการจัดทําเครื่องหมายประจําตัวสัตว์ ถ่ายพยาธิ เจาะเลือด ตรวจโรค ฉีดวัคซีน พ่นยาฆ่าเชื้อ และกักโรคต้นทาง ณ สถานที่ที่กรมปศุสัตว์กําหนด อย่างน้อย 21 วัน โดยดําเนินการตามหลักวิชาการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด และจากนั้นจึงเคลื่อนย้ายสัตว์ไปยังคอกพักสัตว์ปลายทาง ในพื้นที่ที่กรมปศุสัตว์กําหนด เพื่อการกักสัตว์อาการ มีการพ่นยาฆ่าเชื้อ และมีคณะกรรมการตรวจสอบ ตรวจรับ ตามรายละเอียดคุณลักษณะ ทั้งนี้ การส่งมอบพันธุ์สัตว์ให้เกษตรกรในพื้นที่นั้น เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์และผู้ประกอบการที่รับผิดชอบ จะขนส่งโคให้เกษตรกรถึงโรงเรือน รายละ 5 ตัว สําหรับคุณสมบัติและเกณฑ์การคัดเลือกเกษตรกรร่วมโครงการฯ คือ เกษตรกรจะต้องมีที่อยู่อาศัยในพื้นที่โครงการมาตั้งแต่ปี 2557-2560 และมีพื้นที่ปลูกพืชอาหารสัตว์ 5 ไร่ต่อราย หลังผ่านเกณฑ์การคัดเลือกและอบรมเรียบร้อยแล้ว เกษตรกรจะได้รับเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ใช้ก่อสร้างโรงเรือนรายละ 58,000 บาท และเกษตรกรผู้เลี้ยงโค ต้องทําสัญญากู้ยืมโคเนื้อเพศเมียลูกผสมพื้นเมืองรายละ 5 ตัว เพื่อนําไปเลี้ยงจนได้ลูกและส่งคืนลูกโคเพศเมียอายุ 12 เดือน ให้โครงการ 5 ตัว เพื่อนําไปให้เกษตรกรรายใหม่ยืมไปเลี้ยงต่อ เกษตรกรที่ทําสัญญากู้ยืมโคจึงได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าของโครุ่นแรกเต็มรูปแบบ ส่วนเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะก็เช่นกัน เกษตรกรที่ร่วมโครงการแต่ละรายจะได้รับฝูงแพะเพศเมีย 30 ตัว เพศผู้ 2 ตัว และต้องส่งลูกแพะเพศเมียอายุ 6 เดือน จํานวน 32 ตัว คืนให้โครงการ จึงได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าของฝูงแพะที่ได้ยืมไปอย่างถาวร กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ชี้โครงการ “โคบาลบูรพา” มีความก้าวหน้าตามลำดับ ทุกขั้นตอนดำเนินการ วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงเกษตรฯ ชี้โครงการ “โคบาลบูรพา” มีความก้าวหน้าตามลําดับ ทุกขั้นตอนดําเนินการ กระทรวงเกษตรฯ ชี้โครงการ “โคบาลบูรพา” มีความก้าวหน้าตามลําดับ ทุกขั้นตอนดําเนินการอย่างรัดกุม จะช่วยสร้างอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืนแก่เกษตรกรได้จริง นายสรวิศ ธานีโต โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า “โคบาลบูรพา” โครงการส่งเสริมการเกษตรรูปแบบแปลงใหญ่ เป็นอีกหนึ่งในโครงการที่ตอบโจทย์นโยบายการขับเคลื่อนการดําเนินงานที่สําคัญของรัฐบาล นําโดย พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีนโยบายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร อย่างโครงการ “โคบาลบูรพา” ที่ส่งเสริมให้ชาวบ้านเลี้ยงโค-แพะ ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ที่เน้นประสานความร่วมมือกับเกษตรกรและรวมกันเป็นกลุ่มเกษตรกรสร้างความเข้มแข็งร่วมสร้างอาชีพใหม่ที่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ด้านนายสัตวแพทย์อภัย สุทธิสังข์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยถึงความคืบหน้าของโครงการโคบาลบูรพา ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีโครงการส่งเสริมให้ชาวบ้านเลี้ยงโค-แพะ ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว นั้น ขณะนี้คณะกรรมการได้คัดกรองเกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ 6,100 คน ตามเป้าหมายแล้ว และมีการอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจ กับเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ ให้มีความรู้ ความสามารถในการเลี้ยงโคอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันกรมปศุสัตว์ได้ดําเนินการส่งมอบพันธุ์สัตว์ ให้เกษตรกรแล้ว 163 ราย จํานวนโค 1,075 ตัว เป็นเกษตรกรในพื้นที่อําเภออรัญประเทศ 126 ราย จํานวนโค 630 ตัว เกษตรกรในพื้นที่อําเภอวัฒนานคร 37 ราย จํานวนโค 185 ตัว และจะมีการส่งมอบโคให้เกษตรกรในพื้นที่วัฒนานครในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2560 นี้ อีก 260 ตัว ด้านการปลูกพืชอาหารสัตว์มีเกษตรกรจํานวน 2,000 ราย ได้ปลูกพืชอาหารสัตว์ จํานวน 10,000 ไร่ และสร้างโรงเรือนแล้ว 2,000 หลัง ส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างการเร่งรัดดําเนินการ ในด้านการจัดหาพันธุ์สัตว์ ดําเนินการโดยวิธีการประกวดราคา แล้ว 2 ครั้ง เป็นโคจํานวน รวม 30,000 ตัว ในขั้นตอนการเตรียมพันธุ์สัตว์ให้เกษตรกร โคที่เข้าร่วมโครงการฯ ทุกตัว จะผ่านการจัดทําเครื่องหมายประจําตัวสัตว์ ถ่ายพยาธิ เจาะเลือด ตรวจโรค ฉีดวัคซีน พ่นยาฆ่าเชื้อ และกักโรคต้นทาง ณ สถานที่ที่กรมปศุสัตว์กําหนด อย่างน้อย 21 วัน โดยดําเนินการตามหลักวิชาการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด และจากนั้นจึงเคลื่อนย้ายสัตว์ไปยังคอกพักสัตว์ปลายทาง ในพื้นที่ที่กรมปศุสัตว์กําหนด เพื่อการกักสัตว์อาการ มีการพ่นยาฆ่าเชื้อ และมีคณะกรรมการตรวจสอบ ตรวจรับ ตามรายละเอียดคุณลักษณะ ทั้งนี้ การส่งมอบพันธุ์สัตว์ให้เกษตรกรในพื้นที่นั้น เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์และผู้ประกอบการที่รับผิดชอบ จะขนส่งโคให้เกษตรกรถึงโรงเรือน รายละ 5 ตัว สําหรับคุณสมบัติและเกณฑ์การคัดเลือกเกษตรกรร่วมโครงการฯ คือ เกษตรกรจะต้องมีที่อยู่อาศัยในพื้นที่โครงการมาตั้งแต่ปี 2557-2560 และมีพื้นที่ปลูกพืชอาหารสัตว์ 5 ไร่ต่อราย หลังผ่านเกณฑ์การคัดเลือกและอบรมเรียบร้อยแล้ว เกษตรกรจะได้รับเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร ใช้ก่อสร้างโรงเรือนรายละ 58,000 บาท และเกษตรกรผู้เลี้ยงโค ต้องทําสัญญากู้ยืมโคเนื้อเพศเมียลูกผสมพื้นเมืองรายละ 5 ตัว เพื่อนําไปเลี้ยงจนได้ลูกและส่งคืนลูกโคเพศเมียอายุ 12 เดือน ให้โครงการ 5 ตัว เพื่อนําไปให้เกษตรกรรายใหม่ยืมไปเลี้ยงต่อ เกษตรกรที่ทําสัญญากู้ยืมโคจึงได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าของโครุ่นแรกเต็มรูปแบบ ส่วนเกษตรกรผู้เลี้ยงแพะก็เช่นกัน เกษตรกรที่ร่วมโครงการแต่ละรายจะได้รับฝูงแพะเพศเมีย 30 ตัว เพศผู้ 2 ตัว และต้องส่งลูกแพะเพศเมียอายุ 6 เดือน จํานวน 32 ตัว คืนให้โครงการ จึงได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าของฝูงแพะที่ได้ยืมไปอย่างถาวร กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7856
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมประชุม “The High-Level Workshop of the World Economic Forum’s Digital ASEAN Initiative” ที่ สิงคโปร์
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมประชุม “The High-Level Workshop of the World Economic Forum’s Digital ASEAN Initiative” ที่ สิงคโปร์ รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมการประชุม “The High-Level Workshop of the World Economic Forum’s Digital ASEAN Initiative” และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 25-26 เมษายน 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ในฐานะคณะกรรมการกิจการดิจิทัลอาเซียน โดย World Economic Forum (WEF) จัดขึ้น เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาภูมิภาคอาเซียน ในการนําไปสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจดิจิทัล โดยที่ประชุมได้แบ่งกลุ่มย่อยเพื่อระดมความคิดเห็นในประเด็นที่เป็นอุปสรรค และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ การส่งต่อข้อมูลระหว่างประเทศด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล และทรัพยากรมนุษย์ด้านดิจิทัล ในโอกาสนี้ ดร.พิเชฐฯ ยังได้เข้าเยี่ยมชมหน่วยงาน Cyber Security Agency of Singapore (CSA) ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของสิงคโปร์ พร้อมทั้งได้หารือร่วมกับ Mr.David Koh ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ CSA เกี่ยวกับการจัดโครงสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระหว่างไทยและสิงคโปร์ รวมถึงอาเซียน นอกจากนี้ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ของไทย ยังได้หารือระดับทวิภาคีกับ ดร.ยาคอบ อิบราฮิม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของสิงคโปร์ ในเรื่องการ ตระหนักถึงความสําคัญการขับเคลื่อนดิจิทัลของอาเซียน ความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และการส่งเสริมความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านไอซีทีระหว่างไทยและสิงคโปร์อย่างเป็นรูปธรรมด้วย ********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมประชุม “The High-Level Workshop of the World Economic Forum’s Digital ASEAN Initiative” ที่ สิงคโปร์ วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561 รมว.ดิจิทัลฯ ร่วมประชุม “The High-Level Workshop of the World Economic Forum’s Digital ASEAN Initiative” ที่ สิงคโปร์ รมว.ดิจิทัลฯ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เข้าร่วมการประชุม “The High-Level Workshop of the World Economic Forum’s Digital ASEAN Initiative” และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 25-26 เมษายน 2561 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ในฐานะคณะกรรมการกิจการดิจิทัลอาเซียน โดย World Economic Forum (WEF) จัดขึ้น เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาภูมิภาคอาเซียน ในการนําไปสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจดิจิทัล โดยที่ประชุมได้แบ่งกลุ่มย่อยเพื่อระดมความคิดเห็นในประเด็นที่เป็นอุปสรรค และแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ การส่งต่อข้อมูลระหว่างประเทศด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล และทรัพยากรมนุษย์ด้านดิจิทัล ในโอกาสนี้ ดร.พิเชฐฯ ยังได้เข้าเยี่ยมชมหน่วยงาน Cyber Security Agency of Singapore (CSA) ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของสิงคโปร์ พร้อมทั้งได้หารือร่วมกับ Mr.David Koh ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ CSA เกี่ยวกับการจัดโครงสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระหว่างไทยและสิงคโปร์ รวมถึงอาเซียน นอกจากนี้ รมว.กระทรวงดิจิทัลฯ ของไทย ยังได้หารือระดับทวิภาคีกับ ดร.ยาคอบ อิบราฮิม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของสิงคโปร์ ในเรื่องการ ตระหนักถึงความสําคัญการขับเคลื่อนดิจิทัลของอาเซียน ความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ และการส่งเสริมความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านไอซีทีระหว่างไทยและสิงคโปร์อย่างเป็นรูปธรรมด้วย ********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11921
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ ถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ
วันอังคารที่ 5 ธันวาคม 2560 พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ ถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 901 รูป ถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ณ ลานพระราชวังดุสิต วันนี้ 5 ธันวาคม 2560 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายอภิจิณ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 901 รูป ถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ลานพระราชวังดุสิต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ ถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ วันอังคารที่ 5 ธันวาคม 2560 พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ ถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 901 รูป ถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ณ ลานพระราชวังดุสิต วันนี้ 5 ธันวาคม 2560 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายอภิจิณ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 901 รูป ถวายพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ ลานพระราชวังดุสิต
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8544
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อ ดื่มสุราช่วงหน้าหนาวทำให้ร่างกายอบอุ่น
วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 สธ. เตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อ ดื่มสุราช่วงหน้าหนาวทําให้ร่างกายอบอุ่น กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนรักษาร่างกายให้อบอุ่น การดื่มเหล้าคลายหนาวเป็นความเชื่อที่ผิด ไม่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น อาจช็อกเสียชีวิตได้ข้อมูลหน้าหนาวปีที่ผ่านมา พบผู้เสียชีวิตที่อาจเกี่ยวเนื่องกับภาวะอากาศหนาว รวม 15 ราย วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2560) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ฤดูหนาวปีนี้ หลายพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศเย็นจัด หากไม่รักษาความอบอุ่นของร่างกายให้เพียงพอจะทําให้เจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจได้ง่าย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และเด็กเล็กขอให้สวมเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอให้อบอุ่นเพียงพอการซื้อเสื้อกันหนาวมือสองจะต้องซักให้สะอาด ต้มในน้ําร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค และตากแดดให้แห้ง ป้องกันการติดโรคผิวหนังจากเชื้อรา หรือไรฝุ่นที่อาจติดมากับเสื้อผ้าอย่างไรก็ดี ในการเพิ่มความอบอุ่นด้วยการผิงไฟ จะต้องระมัดระวัง อย่าเข้าไปอยู่ใกล้กองไฟจนเกินไปสําหรับนักท่องเที่ยวต้องไม่นําเตาไฟไปผิงในเต็นท์ที่พัก และในการอาบน้ําอุ่นจากเครื่องทําน้ําอุ่นที่ใช้แก๊ส ห้องอาบน้ําต้องมีช่องระบายอากาศเพื่อให้อากาศถ่ายเท นายแพทย์เจษฎา กล่าวต่อว่า ขอย้ําเตือนประชาชนบางกลุ่มหรือนักท่องเที่ยวที่เชื่อว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทําให้ร่างกายอบอุ่น จึงดื่มเหล้าเพื่อคลายหนาวซึ่งเป็นความเข้าใจผิดและอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้เนื่องจากความรู้สึกอุ่นจนร้อนวูบวาบเกิดจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว ทําให้สูญเสียความร้อนและน้ําอุณหภูมิในร่างกายลดต่ําลง อีกทั้งผู้ดื่มอาจถอดเสื้อกันหนาวออกหากดื่มมากฤทธิ์แอลกอฮอล์จะกดประสาทส่วนกลาง ทําให้ง่วง ซึม จนอาจหลับหรือหมดสติอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งจะยิ่งอันตรายมากขึ้น เนื่องจากเลือดในร่างกายหนืดขึ้น มีผลต่อการไหลเวียนไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทําให้ขาดออกซิเจน หัวใจทํางานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย อาจช็อกและเสียชีวิตได้ง่ายขึ้น ขอแนะนําการปฏิบัติตนของประชาชนในภาวะอากาศหนาว ดังนี้1.ควรเตรียมความพร้อม ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกําลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ เป็นต้น และดื่มเครื่องดื่มที่สามารถให้ความอบอุ่นเช่น น้ําขิง 2.เตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้พร้อมและอยู่อาศัยในที่อบอุ่นป้องกันลมได้ 3.งดการดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 4.เฝ้าระวัง สังเกตอาการผู้ป่วยที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท ยารักษาอาการชัก ที่มีผลทําให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ําลงและ 5.ป้องกันตัวเองจากโรคติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ โรคปอดอักเสบ บางครั้งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ควรล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ ด้าน นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าข้อมูลสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ช่วงหน้าหนาวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา (ประมาณ 2 เดือน ระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน 2559 ถึงวันที่ 15 เดือนมกราคม 2560) มีรายงานผู้เสียชีวิตที่คาดว่าอาจเกี่ยวเนื่องกับภาวะอากาศหนาว รวมทั้งสิ้น 15 ราย แยกเป็นชาย 11 ราย หญิง 4 ราย กลุ่มอายุที่เสียชีวิตสูงสุด คืออายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 26.67 รองลงมา คือ 50-54 ปี และ 45-49 ปี อาชีพที่เสียชีวิตสูงสุด คือรับจ้าง ร้อยละ 20 รองลงมาคือเกษตรกรและค้าขาย ส่วนสถานที่ที่เสียชีวิตสูงสุด คือในบ้านพัก อาคาร กุฏิ ร้อยละ 60 รองลงมาคือเพิงพัก เถียงนาผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีปัจจัยเสริมร่วมกับการสัมผัสอากาศหนาวเย็น คือสวมเครื่องนุ่งห่มไม่เพียงพอ ร้อยละ 77.33 รองลงมาคือมีโรคประจําตัวร้อยละ 26.67 เช่น โรคมะเร็งปอด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต เป็นต้น ผู้ที่ดื่มสุราและการสวมเครื่องนุ่งห่มไม่เพียงพอ โดยส่วนใหญ่เสียชีวิตในบ้าน ประชาชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422 *************************** 8 พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อ ดื่มสุราช่วงหน้าหนาวทำให้ร่างกายอบอุ่น วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน 2560 สธ. เตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อ ดื่มสุราช่วงหน้าหนาวทําให้ร่างกายอบอุ่น กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนรักษาร่างกายให้อบอุ่น การดื่มเหล้าคลายหนาวเป็นความเชื่อที่ผิด ไม่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น อาจช็อกเสียชีวิตได้ข้อมูลหน้าหนาวปีที่ผ่านมา พบผู้เสียชีวิตที่อาจเกี่ยวเนื่องกับภาวะอากาศหนาว รวม 15 ราย วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2560) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ฤดูหนาวปีนี้ หลายพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศเย็นจัด หากไม่รักษาความอบอุ่นของร่างกายให้เพียงพอจะทําให้เจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจได้ง่าย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และเด็กเล็กขอให้สวมเสื้อกันหนาว ผ้าพันคอให้อบอุ่นเพียงพอการซื้อเสื้อกันหนาวมือสองจะต้องซักให้สะอาด ต้มในน้ําร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค และตากแดดให้แห้ง ป้องกันการติดโรคผิวหนังจากเชื้อรา หรือไรฝุ่นที่อาจติดมากับเสื้อผ้าอย่างไรก็ดี ในการเพิ่มความอบอุ่นด้วยการผิงไฟ จะต้องระมัดระวัง อย่าเข้าไปอยู่ใกล้กองไฟจนเกินไปสําหรับนักท่องเที่ยวต้องไม่นําเตาไฟไปผิงในเต็นท์ที่พัก และในการอาบน้ําอุ่นจากเครื่องทําน้ําอุ่นที่ใช้แก๊ส ห้องอาบน้ําต้องมีช่องระบายอากาศเพื่อให้อากาศถ่ายเท นายแพทย์เจษฎา กล่าวต่อว่า ขอย้ําเตือนประชาชนบางกลุ่มหรือนักท่องเที่ยวที่เชื่อว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทําให้ร่างกายอบอุ่น จึงดื่มเหล้าเพื่อคลายหนาวซึ่งเป็นความเข้าใจผิดและอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้เนื่องจากความรู้สึกอุ่นจนร้อนวูบวาบเกิดจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว ทําให้สูญเสียความร้อนและน้ําอุณหภูมิในร่างกายลดต่ําลง อีกทั้งผู้ดื่มอาจถอดเสื้อกันหนาวออกหากดื่มมากฤทธิ์แอลกอฮอล์จะกดประสาทส่วนกลาง ทําให้ง่วง ซึม จนอาจหลับหรือหมดสติอยู่ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น ซึ่งจะยิ่งอันตรายมากขึ้น เนื่องจากเลือดในร่างกายหนืดขึ้น มีผลต่อการไหลเวียนไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทําให้ขาดออกซิเจน หัวใจทํางานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย อาจช็อกและเสียชีวิตได้ง่ายขึ้น ขอแนะนําการปฏิบัติตนของประชาชนในภาวะอากาศหนาว ดังนี้1.ควรเตรียมความพร้อม ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ออกกําลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ เป็นต้น และดื่มเครื่องดื่มที่สามารถให้ความอบอุ่นเช่น น้ําขิง 2.เตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้พร้อมและอยู่อาศัยในที่อบอุ่นป้องกันลมได้ 3.งดการดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด 4.เฝ้าระวัง สังเกตอาการผู้ป่วยที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท ยารักษาอาการชัก ที่มีผลทําให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ําลงและ 5.ป้องกันตัวเองจากโรคติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ โรคปอดอักเสบ บางครั้งอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ควรล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ ด้าน นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าข้อมูลสํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ช่วงหน้าหนาวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา (ประมาณ 2 เดือน ระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน 2559 ถึงวันที่ 15 เดือนมกราคม 2560) มีรายงานผู้เสียชีวิตที่คาดว่าอาจเกี่ยวเนื่องกับภาวะอากาศหนาว รวมทั้งสิ้น 15 ราย แยกเป็นชาย 11 ราย หญิง 4 ราย กลุ่มอายุที่เสียชีวิตสูงสุด คืออายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 26.67 รองลงมา คือ 50-54 ปี และ 45-49 ปี อาชีพที่เสียชีวิตสูงสุด คือรับจ้าง ร้อยละ 20 รองลงมาคือเกษตรกรและค้าขาย ส่วนสถานที่ที่เสียชีวิตสูงสุด คือในบ้านพัก อาคาร กุฏิ ร้อยละ 60 รองลงมาคือเพิงพัก เถียงนาผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีปัจจัยเสริมร่วมกับการสัมผัสอากาศหนาวเย็น คือสวมเครื่องนุ่งห่มไม่เพียงพอ ร้อยละ 77.33 รองลงมาคือมีโรคประจําตัวร้อยละ 26.67 เช่น โรคมะเร็งปอด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต เป็นต้น ผู้ที่ดื่มสุราและการสวมเครื่องนุ่งห่มไม่เพียงพอ โดยส่วนใหญ่เสียชีวิตในบ้าน ประชาชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422 *************************** 8 พฤศจิกายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7914
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันพลาสติกร่วมสัมมนาในงาน InterPlas Thailand 2016ภายใต้ Plastics Forum ณ BITEC BANGKOK
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559 สถาบันพลาสติกร่วมสัมมนาในงาน InterPlas Thailand 2016ภายใต้ Plastics Forum ณ BITEC BANGKOK สถาบันพลาสติกร่วมสัมมนาในงาน InterPlas Thailand 2016ภายใต้ Plastics Forum ณ BITEC BANGKOK ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนา (ฟรี) หัวข้อสัมมนา มีดังนี้ - วันที่ 8 กรกฎาคม 2559 Bio Plastics Session "ทิศทางและอนาคตของอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ" เวลา 08.30 - 12.00 น. ณ ห้องประชุม MR 215-217 - วันที่ 9 กรกฎาคม 2559 Rubber Session "โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเชิงลึก อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา" เวลา 13.30 - 17.00 น. ณ ห้องประชุม MR 215-217 - วันที่ 10 กรกฎาคม 2559 Plastics for Medical "โอกาสทางธุรกิจของน้ํายาและชุดตรวจ รวมถึงวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์" เวลา 13.30 - 17.00 น. ณ ห้องประชุมในฮอลล์ 103 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม / ลงทะเบียน ได้ที่ ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ 02 391 5340-43 ต่อ 421 E-mail : info@thaiplastics.org
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถาบันพลาสติกร่วมสัมมนาในงาน InterPlas Thailand 2016ภายใต้ Plastics Forum ณ BITEC BANGKOK วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2559 สถาบันพลาสติกร่วมสัมมนาในงาน InterPlas Thailand 2016ภายใต้ Plastics Forum ณ BITEC BANGKOK สถาบันพลาสติกร่วมสัมมนาในงาน InterPlas Thailand 2016ภายใต้ Plastics Forum ณ BITEC BANGKOK ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนา (ฟรี) หัวข้อสัมมนา มีดังนี้ - วันที่ 8 กรกฎาคม 2559 Bio Plastics Session "ทิศทางและอนาคตของอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ" เวลา 08.30 - 12.00 น. ณ ห้องประชุม MR 215-217 - วันที่ 9 กรกฎาคม 2559 Rubber Session "โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเชิงลึก อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางและไม้ยางพารา" เวลา 13.30 - 17.00 น. ณ ห้องประชุม MR 215-217 - วันที่ 10 กรกฎาคม 2559 Plastics for Medical "โอกาสทางธุรกิจของน้ํายาและชุดตรวจ รวมถึงวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์" เวลา 13.30 - 17.00 น. ณ ห้องประชุมในฮอลล์ 103 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม / ลงทะเบียน ได้ที่ ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ 02 391 5340-43 ต่อ 421 E-mail : info@thaiplastics.org
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/146
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 64 พุทธศักราช 2563
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563 คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 64 พุทธศักราช 2563 คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 64 พุทธศักราช 2563 วันที่ 16 มกราคม 2563 สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 64 พุทธศักราช 2563 วันที่ 16 มกราคม 2563 .............................. เนื่องในโอกาสวันครู วันที่ 16 มกราคม 2563 ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศที่เป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาของชาติตลอดมา “ครู” เป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าของชาติและมีบทบาทสําคัญในการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพและคุณธรรม ซึ่งจะเป็นรากฐานที่ดีในการดําเนินชีวิตในอนาคตในปีพุทธศักราช 2563 นี้ ผมได้มอบคําขวัญ “วันครู” ว่า “ครูไทย รักศิษย์ คิดพัฒนา” เพื่อให้ครูได้ตระหนักถึงความสําคัญของบทบาท หน้าที่ครูยุคใหม่ที่เป็นผู้นําการเรียนรู้ กระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กและเยาวชนเป็นนักคิดและนักพัฒนา เป็นผู้เติมเต็มความรู้และพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความคิดสร้างสรรค์ มีประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งในด้านการศึกษาและการดําเนินชีวิต และจุดประกายให้เด็กและเยาวชนรู้จักคิดเป็น แก้ไขปัญหาได้ มีหลักคิดที่ถูกต้อง และมีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคมและประเทศชาติ ซึ่งจะทําให้เด็กและเยาวชนทุกคนเติบโตเป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและมีศักยภาพเหมาะสมสําหรับการดําเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 ผมขอให้กําลังใจครูและบุคลาการทางการศึกษาทุกคนที่มุ่งมั่นในการทําหน้าที่ครูผู้ให้อย่างเข้มแข็ง และขอเชิดชูครูทุกคนที่ดํารงตนเป็นต้นแบบทางสังคมที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชนตลอดมา ในโอกาสนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ครูและบุคลกรทางการศึกษาทุกท่าน จงประสบแต่ความสุข ความเจริญมีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่สมบูรณ์แข็งแรง มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ และสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการด้วยกัน .................................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 64 พุทธศักราช 2563 วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563 คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 64 พุทธศักราช 2563 คํากล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 64 พุทธศักราช 2563 วันที่ 16 มกราคม 2563 สาร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 64 พุทธศักราช 2563 วันที่ 16 มกราคม 2563 .............................. เนื่องในโอกาสวันครู วันที่ 16 มกราคม 2563 ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกวาระหนึ่ง ผมขอส่งความระลึกถึงและความปรารถนาดีมายังครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศที่เป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาของชาติตลอดมา “ครู” เป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าของชาติและมีบทบาทสําคัญในการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เป็นคนดี คนเก่ง มีคุณภาพและคุณธรรม ซึ่งจะเป็นรากฐานที่ดีในการดําเนินชีวิตในอนาคตในปีพุทธศักราช 2563 นี้ ผมได้มอบคําขวัญ “วันครู” ว่า “ครูไทย รักศิษย์ คิดพัฒนา” เพื่อให้ครูได้ตระหนักถึงความสําคัญของบทบาท หน้าที่ครูยุคใหม่ที่เป็นผู้นําการเรียนรู้ กระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กและเยาวชนเป็นนักคิดและนักพัฒนา เป็นผู้เติมเต็มความรู้และพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความคิดสร้างสรรค์ มีประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งในด้านการศึกษาและการดําเนินชีวิต และจุดประกายให้เด็กและเยาวชนรู้จักคิดเป็น แก้ไขปัญหาได้ มีหลักคิดที่ถูกต้อง และมีความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคมและประเทศชาติ ซึ่งจะทําให้เด็กและเยาวชนทุกคนเติบโตเป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและมีศักยภาพเหมาะสมสําหรับการดําเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 ผมขอให้กําลังใจครูและบุคลาการทางการศึกษาทุกคนที่มุ่งมั่นในการทําหน้าที่ครูผู้ให้อย่างเข้มแข็ง และขอเชิดชูครูทุกคนที่ดํารงตนเป็นต้นแบบทางสังคมที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชนตลอดมา ในโอกาสนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และอํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อีกทั้งเดชะพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ได้โปรดดลบันดาลประทานพรให้ครูและบุคลกรทางการศึกษาทุกท่าน จงประสบแต่ความสุข ความเจริญมีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่สมบูรณ์แข็งแรง มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ และสัมฤทธิ์ผลในสิ่งที่พึงปรารถนาทุกประการด้วยกัน .................................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25843
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประกอบการ SME ผู้ผลิตก๋วยจั๊บญวนสำเร็จรูป จ.อุบลราชธานี
วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกอบการ SME ผู้ผลิตก๋วยจั๊บญวนสําเร็จรูป จ.อุบลราชธานี รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกอบการ SME ผู้ผลิตก๋วยจั๊บญวนสําเร็จรูป จ.อุบลราชธานี วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกอบการ SME ผู้ผลิตก๋วยจั๊บญวนสําเร็จรูป ของบริษัท ก๋วยจั๊บญวนคุณอุ๊ จํากัด โดยมีนางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมตรวจเยี่ยม ณ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประกอบการ SME ผู้ผลิตก๋วยจั๊บญวนสำเร็จรูป จ.อุบลราชธานี วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกอบการ SME ผู้ผลิตก๋วยจั๊บญวนสําเร็จรูป จ.อุบลราชธานี รัฐมนตรีช่วย ก.อุตฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกอบการ SME ผู้ผลิตก๋วยจั๊บญวนสําเร็จรูป จ.อุบลราชธานี วันนี้ (15 กุมภาพันธ์ 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กําลังใจผู้ประกอบการ SME ผู้ผลิตก๋วยจั๊บญวนสําเร็จรูป ของบริษัท ก๋วยจั๊บญวนคุณอุ๊ จํากัด โดยมีนางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมตรวจเยี่ยม ณ อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10107
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. และคณะเข้าพบ นรม. เพื่อประชาสัมพันธ์งานกิจกรรมรณรงค์การจัดประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2560 “สงกรานต์แบบไทยปันน้ำใจให้แก่กัน”
วันอังคารที่ 4 เมษายน 2560 รมว.วธ. และคณะเข้าพบ นรม. เพื่อประชาสัมพันธ์งานกิจกรรมรณรงค์การจัดประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 “สงกรานต์แบบไทยปันน้ําใจให้แก่กัน” รมว.วธ. และคณะเข้าพบ นรม. เพื่อประชาสัมพันธ์งานกิจกรรมรณรงค์การจัดประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 “สงกรานต์แบบไทยปันน้ําใจให้แก่กัน” ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์แบบไทย ใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า ทุกชีวาปลอดภัย” วันนี้ (4 เมษายน 2560) เวลา 09.15 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะ มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์งาน และกิจกรรมรณรงค์การจัดประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 “สงกรานต์แบบไทยปันน้ําใจให้แก่กัน” ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์แบบไทย ใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า ทุกชีวาปลอดภัย” ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ได้ดําเนินการบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ถึง 14 หน่วยงานในการจัดกิจกรรมรณรงค์การจัดประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 “สงกรานต์แบบไทยปันน้ําใจให้แก่กัน” ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์แบบไทย ใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า ทุกชีวาปลอดภัย” โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ํา กรมอุตุนิยมวิทยา กรมการขนส่งทางบก กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรมการท่องเที่ยว กองบังคับการตํารวจจราจร กรุงเทพมหานคร การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ซึ่งมี 3 แนวทางในการจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด ดังนี้ 1.รณรงค์ให้จัดงานสงกรานต์แบบไทย มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนร่วมกันสืบสานประเพณีสงกรานต์ผ่านโครงการ 1 อําเภอ 1 ลานวัฒนธรรม มีการจัดกิจกรรมอาทิ การทําความสะอาดบ้านเรือน วัดและสถานที่สาธารณะ ฟังเทศน์ ทําบุญตักบาตร สรงน้ําพระ รดน้ําขอพรผู้ใหญ่ ส่วนผู้ที่นับถือศาสนาอื่นอาจจัดกิจกรรมตามประเพณีของแต่ละศาสนา รวมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนแต่งกายด้วยชุดและสีที่สุภาพ หรือชุดผ้าไทยที่มีสัญลักษณ์แสดงความอาลัย และขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ภาคเอกชน และประชาชนจัดกิจกรรมการแสดงต่าง ๆ ให้คํานึงถึงความเหมาะสมด้วย 2. รณรงค์การใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า จึงขอความร่วมมือผู้จัดงานสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ได้จัดเตรียมพื้นที่เล่นน้ําไว้ ขอให้ช่วยรณรงค์การส่งเสริมการใช้น้ําอย่างประหยัด รู้คุณค่า และมีความเหมาะสม รวมถึงขอความร่วมมือประชาชนให้เล่นน้ําอย่างสุภาพ ไม่ใช้ปืนฉีดน้ําที่มีแรงดันสูง ไม่ใช้สายยางฉีดน้ํา ไม่เล่นแป้งหรือเล่นสีต่าง ๆ ไม่ใช้น้ําที่เย็นจัดหรือน้ําปนน้ําแข็งมาเล่นสาดน้ํากัน 3. รณรงค์ด้านความปลอดภัย ขอความร่วมมือผู้ประกอบการผู้จัดงานตามสถานที่ต่าง ๆ ช่วยกันสอดส่องดูแลประชาชนที่จะมาเข้าร่วมกิจกรรมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และให้ใช้รถใช้ถนนด้วยความปลอดภัย ขอความร่วมมือสถานประกอบการขนส่งและประชาชนที่จะเดินทางหรือไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ขอให้ตรวจเช็คสภาพยานพาหนะให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานมากที่สุด และขอให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดเพื่อจะได้ช่วยลดอัตราในการเกิดอุบัติเหตุลง ในส่วนกิจกรรมเพื่อสืบสานประเพณีสงกรานต์นั้น ทางกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้กําหนดจัดงานประเพณีสงกรานต์ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ในส่วนกลาง กําหนดจัดงานประเพณีสงกรานต์ในบริเวณ 3 พื้นที่ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ (1) หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในวันที่ 11 เมษายน 2560 เวลา 13.00 น. จะมีกิจกรรม การรดน้ําขอพรศิลปินแห่งชาติ นิทรรศการคุณค่าประเพณีสงกรานต์ การสาธิตชุดรดน้ําขอพร 4 ภาค การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน-การละเล่นพื้นบ้าน และการสาธิตอาหารในเทศกาลสงกรานต์ (2) ศูนย์การค้าสยามพารากอน ระหว่างวันที่ 13-16 เมษายน 2560 (3) สยามสแควร์ จัดงาน “สงกรานต์เมษา ผ้าขาวม้ายกสยาม” ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน 2560 กิจกรรมประกอบด้วย ขบวนแห่สรงน้ําพระประจําวันเกิด การแสดงพื้นบ้านต่าง ๆ ในส่วนภูมิภาค สวธ. ร่วมกับภาคีเครือข่ายและต่างจังหวัดจัด งานสงกรานต์อาเซียน ประจําปี 2560 ในจังหวัดที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะใช้ประเพณีสงกรานต์เป็นสื่อในการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ซึ่งได้กําหนดจัดงานดังกล่าวใน 3 จังหวัด ได้แก่ (1) จังหวัดเลย “งานประเพณีสงกรานต์สานสัมพันธ์วัฒนธรรมจังหวัดเลย – สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” ระหว่างวันที่ 10-16 เมษายน 2560 ณ อําเภอนาแห้ว จังหวัดเลย (2) จังหวัดตาก “ประเพณีสงกรานต์สานสัมพันธ์วัฒนธรรมจังหวัดตาก – เมียวดี สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา” ระหว่างวันที่ 13-16 เมษายน 2560 ณ อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก (3) จังหวัดเชียงราย “ประเพณีสงกรานต์สานสัมพันธ์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย – แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” ระหว่างวันที่ 12-17 เมษายน 2560 ณ อําเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ ยังมีงานประเพณีก่อพระทรายวันไหลบางแสน ประจําปี 2560 ระหว่างวันที่ 16-17 เมษายน 2560 ณ เทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี และทาง สวธ. ยังสนับสนุนงบประมาณให้สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั้ง 71 จังหวัด จัดการแสดงพื้นบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อส่งเสริมศิลปะการแสดงของไทยให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น รวมถึงการจัดทําการ์ดอวยพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์แจกจ่ายให้แก่พี่น้องประชาชน จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันจัดงานกิจกรรมรณรงค์การจัดงานประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 โดยขอให้พี่น้องประชาชนจงมีแต่ความสุขความเจริญในวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทย โดยขอให้ช่วยกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยไว้ และการเล่นน้ําสงกรานต์นั้นควรคํานึงถึงในเรื่องของความเหมาะสมด้วย ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนที่จะเดินทางกลับบ้านหรือในท้องถิ่นต่าง ๆ นั้นต้องระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนนให้ดีและขอให้เดินทางปลอดภัยทุกคน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ชมการแสดงละครเด็กไทย (เด็กขี่ม้าก้านกล้วย) จากสมาคมศิลปะเพื่อเยาวชนจํานวน 15 คน ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เขียนคําอวยพรลงบนบัตรอวยพรวันสงกรานต์แก่ประชาชนชาวไทยทุกคน มีใจความสําคัญว่า “ขอให้มีความสุข สดชื่น ปลอดภัย ในห้วงวันสงกรานต์ ร่วมกันสานต่อประเพณีสงกรานต์แบบไทยให้อยู่คู่บ้านคู่เมืองตลอดไป ให้คนไทยทุกคนจงภูมิใจในวัฒนธรรมอันงดงามของเรา เป็นเจ้าของบ้านที่ดี และทําให้คนไทยทุกคนปลอดภัยตลอดห้วงสงกรานต์ และตลอดไป” ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีรับมอบของที่ระลึกเป็นชุดรดน้ําขอพร 4 ภาคจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมพร้อมกล่าวแนะนําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดจัดโซนนิ่งในการเล่นสงกรานต์และงานรื่นเริงต่าง ๆ ของเทศกาลดังกล่าวอย่างเหมาะสม ******************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.วธ. และคณะเข้าพบ นรม. เพื่อประชาสัมพันธ์งานกิจกรรมรณรงค์การจัดประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2560 “สงกรานต์แบบไทยปันน้ำใจให้แก่กัน” วันอังคารที่ 4 เมษายน 2560 รมว.วธ. และคณะเข้าพบ นรม. เพื่อประชาสัมพันธ์งานกิจกรรมรณรงค์การจัดประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 “สงกรานต์แบบไทยปันน้ําใจให้แก่กัน” รมว.วธ. และคณะเข้าพบ นรม. เพื่อประชาสัมพันธ์งานกิจกรรมรณรงค์การจัดประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 “สงกรานต์แบบไทยปันน้ําใจให้แก่กัน” ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์แบบไทย ใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า ทุกชีวาปลอดภัย” วันนี้ (4 เมษายน 2560) เวลา 09.15 น. ณ บริเวณด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะ มาพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์งาน และกิจกรรมรณรงค์การจัดประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 “สงกรานต์แบบไทยปันน้ําใจให้แก่กัน” ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์แบบไทย ใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า ทุกชีวาปลอดภัย” ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ได้ดําเนินการบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ ถึง 14 หน่วยงานในการจัดกิจกรรมรณรงค์การจัดประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 “สงกรานต์แบบไทยปันน้ําใจให้แก่กัน” ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์แบบไทย ใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า ทุกชีวาปลอดภัย” โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ํา กรมอุตุนิยมวิทยา กรมการขนส่งทางบก กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรมการท่องเที่ยว กองบังคับการตํารวจจราจร กรุงเทพมหานคร การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และสภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ซึ่งมี 3 แนวทางในการจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด ดังนี้ 1.รณรงค์ให้จัดงานสงกรานต์แบบไทย มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนร่วมกันสืบสานประเพณีสงกรานต์ผ่านโครงการ 1 อําเภอ 1 ลานวัฒนธรรม มีการจัดกิจกรรมอาทิ การทําความสะอาดบ้านเรือน วัดและสถานที่สาธารณะ ฟังเทศน์ ทําบุญตักบาตร สรงน้ําพระ รดน้ําขอพรผู้ใหญ่ ส่วนผู้ที่นับถือศาสนาอื่นอาจจัดกิจกรรมตามประเพณีของแต่ละศาสนา รวมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนแต่งกายด้วยชุดและสีที่สุภาพ หรือชุดผ้าไทยที่มีสัญลักษณ์แสดงความอาลัย และขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ภาคเอกชน และประชาชนจัดกิจกรรมการแสดงต่าง ๆ ให้คํานึงถึงความเหมาะสมด้วย 2. รณรงค์การใช้น้ําอย่างรู้คุณค่า จึงขอความร่วมมือผู้จัดงานสงกรานต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ได้จัดเตรียมพื้นที่เล่นน้ําไว้ ขอให้ช่วยรณรงค์การส่งเสริมการใช้น้ําอย่างประหยัด รู้คุณค่า และมีความเหมาะสม รวมถึงขอความร่วมมือประชาชนให้เล่นน้ําอย่างสุภาพ ไม่ใช้ปืนฉีดน้ําที่มีแรงดันสูง ไม่ใช้สายยางฉีดน้ํา ไม่เล่นแป้งหรือเล่นสีต่าง ๆ ไม่ใช้น้ําที่เย็นจัดหรือน้ําปนน้ําแข็งมาเล่นสาดน้ํากัน 3. รณรงค์ด้านความปลอดภัย ขอความร่วมมือผู้ประกอบการผู้จัดงานตามสถานที่ต่าง ๆ ช่วยกันสอดส่องดูแลประชาชนที่จะมาเข้าร่วมกิจกรรมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และให้ใช้รถใช้ถนนด้วยความปลอดภัย ขอความร่วมมือสถานประกอบการขนส่งและประชาชนที่จะเดินทางหรือไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ขอให้ตรวจเช็คสภาพยานพาหนะให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานมากที่สุด และขอให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัดเพื่อจะได้ช่วยลดอัตราในการเกิดอุบัติเหตุลง ในส่วนกิจกรรมเพื่อสืบสานประเพณีสงกรานต์นั้น ทางกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้กําหนดจัดงานประเพณีสงกรานต์ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ในส่วนกลาง กําหนดจัดงานประเพณีสงกรานต์ในบริเวณ 3 พื้นที่ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ (1) หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในวันที่ 11 เมษายน 2560 เวลา 13.00 น. จะมีกิจกรรม การรดน้ําขอพรศิลปินแห่งชาติ นิทรรศการคุณค่าประเพณีสงกรานต์ การสาธิตชุดรดน้ําขอพร 4 ภาค การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน-การละเล่นพื้นบ้าน และการสาธิตอาหารในเทศกาลสงกรานต์ (2) ศูนย์การค้าสยามพารากอน ระหว่างวันที่ 13-16 เมษายน 2560 (3) สยามสแควร์ จัดงาน “สงกรานต์เมษา ผ้าขาวม้ายกสยาม” ระหว่างวันที่ 13-15 เมษายน 2560 กิจกรรมประกอบด้วย ขบวนแห่สรงน้ําพระประจําวันเกิด การแสดงพื้นบ้านต่าง ๆ ในส่วนภูมิภาค สวธ. ร่วมกับภาคีเครือข่ายและต่างจังหวัดจัด งานสงกรานต์อาเซียน ประจําปี 2560 ในจังหวัดที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะใช้ประเพณีสงกรานต์เป็นสื่อในการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ซึ่งได้กําหนดจัดงานดังกล่าวใน 3 จังหวัด ได้แก่ (1) จังหวัดเลย “งานประเพณีสงกรานต์สานสัมพันธ์วัฒนธรรมจังหวัดเลย – สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” ระหว่างวันที่ 10-16 เมษายน 2560 ณ อําเภอนาแห้ว จังหวัดเลย (2) จังหวัดตาก “ประเพณีสงกรานต์สานสัมพันธ์วัฒนธรรมจังหวัดตาก – เมียวดี สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา” ระหว่างวันที่ 13-16 เมษายน 2560 ณ อําเภอแม่สอด จังหวัดตาก (3) จังหวัดเชียงราย “ประเพณีสงกรานต์สานสัมพันธ์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย – แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” ระหว่างวันที่ 12-17 เมษายน 2560 ณ อําเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ ยังมีงานประเพณีก่อพระทรายวันไหลบางแสน ประจําปี 2560 ระหว่างวันที่ 16-17 เมษายน 2560 ณ เทศบาลเมืองแสนสุข จังหวัดชลบุรี และทาง สวธ. ยังสนับสนุนงบประมาณให้สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั้ง 71 จังหวัด จัดการแสดงพื้นบ้านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เพื่อส่งเสริมศิลปะการแสดงของไทยให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น รวมถึงการจัดทําการ์ดอวยพรเนื่องในเทศกาลสงกรานต์แจกจ่ายให้แก่พี่น้องประชาชน จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่ช่วยกันจัดงานกิจกรรมรณรงค์การจัดงานประเพณีสงกรานต์ ประจําปี 2560 โดยขอให้พี่น้องประชาชนจงมีแต่ความสุขความเจริญในวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทย โดยขอให้ช่วยกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยไว้ และการเล่นน้ําสงกรานต์นั้นควรคํานึงถึงในเรื่องของความเหมาะสมด้วย ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนที่จะเดินทางกลับบ้านหรือในท้องถิ่นต่าง ๆ นั้นต้องระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนนให้ดีและขอให้เดินทางปลอดภัยทุกคน โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ชมการแสดงละครเด็กไทย (เด็กขี่ม้าก้านกล้วย) จากสมาคมศิลปะเพื่อเยาวชนจํานวน 15 คน ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เขียนคําอวยพรลงบนบัตรอวยพรวันสงกรานต์แก่ประชาชนชาวไทยทุกคน มีใจความสําคัญว่า “ขอให้มีความสุข สดชื่น ปลอดภัย ในห้วงวันสงกรานต์ ร่วมกันสานต่อประเพณีสงกรานต์แบบไทยให้อยู่คู่บ้านคู่เมืองตลอดไป ให้คนไทยทุกคนจงภูมิใจในวัฒนธรรมอันงดงามของเรา เป็นเจ้าของบ้านที่ดี และทําให้คนไทยทุกคนปลอดภัยตลอดห้วงสงกรานต์ และตลอดไป” ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีรับมอบของที่ระลึกเป็นชุดรดน้ําขอพร 4 ภาคจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมพร้อมกล่าวแนะนําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดจัดโซนนิ่งในการเล่นสงกรานต์และงานรื่นเริงต่าง ๆ ของเทศกาลดังกล่าวอย่างเหมาะสม ******************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2873
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยถ้ำหลวงและภูเก็ต กำชับช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ย้ำกรณีเรือล่มเน้นบูรณาการทุกหน่วยให้สำเร็จ มุ่งสร้างภาพลักษณ์การเป็นเจ้าบ้านที่ดี
วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2561 นายกฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยถ้ําหลวงและภูเก็ต กําชับช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ย้ํากรณีเรือล่มเน้นบูรณาการทุกหน่วยให้สําเร็จ มุ่งสร้างภาพลักษณ์การเป็นเจ้าบ้านที่ดี นายกฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยถ้ําหลวงและภูเก็ต กําชับช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ย้ํากรณีเรือล่มเน้นบูรณาการทุกหน่วยให้สําเร็จ มุ่งสร้างภาพลักษณ์การเป็นเจ้าบ้านที่ดี วันนี้ (7 กรกฎคม 2561) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งที่ถ้ําหลวง จ.เชียงราย และอุบัติเหตุเรือล่ม จ.ภูเก็ต อย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ประสบภัยเรือล่มได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายดําเนินการจนกว่าจะพบผู้สูญหายทุกราย โดยคํานึงถึงการเป็นเจ้าบ้านที่ดีและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันระหว่างประเทศไทยและจีน "นายกฯ เน้นย้ําเรื่องการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้ภารกิจนี้สําเร็จลงด้วยดี และทําให้นานาประเทศเห็นว่าประเทศไทยมีการบริหารจัดการที่ดีตามมาตรฐานสากล" นายกรัฐมนตรีรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก เพราะมีผู้บาดเจ็บและผู้สูญเสียจํานวนมากโดยไม่คาดคิดมาก่อน โดยได้สั่งการให้สอบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุด้วยความรัดกุมและเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อป้องกันปัญหาภายหลัง รวมทั้งการตรวจสอบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ด้วยว่ามีความบกพร่องหรือไม่ ตลอดจนให้เตรียมจัดหาห้องเย็นรองรับการเก็บศพ และพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการ โดยให้หน่วยที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาว่าสามารถดําเนินการในเรื่องใดได้บ้าง โดยในเบื้องต้นได้รับรายงานว่า เจ้าของเรือที่ประสบภัยจะช่วยค้นหาผู้สูญหายที่ยังอยู่ในทะเล รวมทั้งดูแลอํานวยความสะดวกผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าประกันภัยจากเหตุการบาดเจ็บและเสียชีวิต และการส่งศพกลับไปยังประเทศต้นทาง ------------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยถ้ำหลวงและภูเก็ต กำชับช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ย้ำกรณีเรือล่มเน้นบูรณาการทุกหน่วยให้สำเร็จ มุ่งสร้างภาพลักษณ์การเป็นเจ้าบ้านที่ดี วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม 2561 นายกฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยถ้ําหลวงและภูเก็ต กําชับช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ย้ํากรณีเรือล่มเน้นบูรณาการทุกหน่วยให้สําเร็จ มุ่งสร้างภาพลักษณ์การเป็นเจ้าบ้านที่ดี นายกฯ ห่วงใยผู้ประสบภัยถ้ําหลวงและภูเก็ต กําชับช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ย้ํากรณีเรือล่มเน้นบูรณาการทุกหน่วยให้สําเร็จ มุ่งสร้างภาพลักษณ์การเป็นเจ้าบ้านที่ดี วันนี้ (7 กรกฎคม 2561) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั้งที่ถ้ําหลวง จ.เชียงราย และอุบัติเหตุเรือล่ม จ.ภูเก็ต อย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ประสบภัยเรือล่มได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายดําเนินการจนกว่าจะพบผู้สูญหายทุกราย โดยคํานึงถึงการเป็นเจ้าบ้านที่ดีและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันระหว่างประเทศไทยและจีน "นายกฯ เน้นย้ําเรื่องการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้ภารกิจนี้สําเร็จลงด้วยดี และทําให้นานาประเทศเห็นว่าประเทศไทยมีการบริหารจัดการที่ดีตามมาตรฐานสากล" นายกรัฐมนตรีรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก เพราะมีผู้บาดเจ็บและผู้สูญเสียจํานวนมากโดยไม่คาดคิดมาก่อน โดยได้สั่งการให้สอบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุด้วยความรัดกุมและเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อป้องกันปัญหาภายหลัง รวมทั้งการตรวจสอบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ด้วยว่ามีความบกพร่องหรือไม่ ตลอดจนให้เตรียมจัดหาห้องเย็นรองรับการเก็บศพ และพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการช่วยเหลือตามระเบียบของทางราชการ โดยให้หน่วยที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาว่าสามารถดําเนินการในเรื่องใดได้บ้าง โดยในเบื้องต้นได้รับรายงานว่า เจ้าของเรือที่ประสบภัยจะช่วยค้นหาผู้สูญหายที่ยังอยู่ในทะเล รวมทั้งดูแลอํานวยความสะดวกผู้บาดเจ็บและญาติผู้เสียชีวิตอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าประกันภัยจากเหตุการบาดเจ็บและเสียชีวิต และการส่งศพกลับไปยังประเทศต้นทาง ------------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13672
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอาใจ แรงงานนอกระบบ กรมการจัดหางาน ปล่อยให้กู้ยืมกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านสูงสุด 3 แสนบาท [กระทรวงเเรงงาน]
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563 เอาใจ แรงงานนอกระบบ กรมการจัดหางาน ปล่อยให้กู้ยืมกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้านสูงสุด 3 แสนบาท [กระทรวงเเรงงาน] อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย กรมการจัดหางาน มีมาตรการดูแลแรงงานนอกระบบ ซึ่งเป็นผู้รับงาน /กลุ่มผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน เปิดโอกาสให้กู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้านสําหรับประเภทบุคคล วงเงินกู้ไม่เกิน 50,000 บาท และวงเงิน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางานเปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน เร่งส่งเสริมอาชีพให้กับแรงงานนอกระบบ ที่ว่างงาน ในรูปแบบของการรับงานไปทําที่บ้าน โดยให้ผู้ที่สนใจเป็นผู้รับงานได้รวมกลุ่มกัน โดยผู้จ้างงานจะส่งงานให้ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้ทําการผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อมหรือแปรรูปสิ่งของ ตามที่ได้ตกลงกับผู้จ้างงานไว้ที่บ้านของตนเองหรือสถานที่ที่มิใช่สถานประกอบกิจการของผู้จ้างงาน ซึ่งเมื่อทําเสร็จแล้วจะส่งคืนสิ่งของหรือผลิตภัณฑ์ให้กับผู้จ้างงาน และได้รับค่าตอบแทนจากผู้จ้างงาน ลักษณะงานจะเป็นงานที่ไม่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน เรียนรู้ง่าย ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้แรงงานคนทําการผลิตมากกว่าเครื่องจักร เป็นการผลิตในครัวเรือนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการให้งานของผู้จ้างงานจะเป็นการตัดขั้นตอนบางขั้นตอนหรือชิ้นส่วนของงานบางชิ้นจากกระบวนการผลิตในสถานประกอบกิจการไปทําการผลิตหรือผลิตทั้งหมด เช่น งานตัดเย็บ (เสื้อผ้า กระเป๋า ผ้าห่ม พรมเช็ดเท้า เสื้อผ้าตุ๊กตา ถุงมือ เปล เครื่องนอน เป็นต้น) งานประดิษฐ์ (ดอกไม้ประดิษฐ์ ตุ๊กตา เครื่องประดับ ร้อยลูกปัด) งานปัก ถัก ทอ (ถักวิกผม ทอผ้า ทอพรม ทอเสื่อ ปักผ้าคลุมผม ปักเลื่อม เป็นต้น) งานหัตถกรรม (จักสานต่างๆ ทําไม้กวาด เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น) อุปโภค/บริโภค รวมทั้งของใช้อื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้าน ซึ่งเป็นกองทุนหมุนเวียนเพื่อให้ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้กู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์การผลิต หรือขยายการผลิตเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน โดยคุณสมบัติของผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน และมีผลการดําเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทําที่บ้านหรือมีหลักฐานการรับงานไปทําที่บ้านจากผู้จ้างงาน ซึ่งมีทั้งประเภทบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยประเภทบุคคลต้องมีทรัพย์สินหรือเงินทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ส่วนประเภทกลุ่มบุคคลจะต้องมีผู้นํากลุ่มและสมาชิกกลุ่มกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 5 คน มีทรัพย์สินหรือเงินทุนในการดําเนินกิจกรรมของกลุ่มรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท วงเงินกู้สําหรับบุคคลไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชําระคืนภายใน 2 ปี ขณะที่กลุ่มบุคคลมีวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาชําระคืนภายใน 5 ปี อัตราดอกเบี้ยต่ําร้อยละ 3 ต่อปี และมีระยะเวลาพักชําระหนี้เงินต้นไม่เกิน 4 เดือน “ตั้งแต่ปี 2548 ที่เริ่มดําเนินการ จนถึงขณะนี้ มีผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางานแล้วจํานวน 947 ราย/กลุ่ม (292ราย 655 กลุ่ม) สมาชิกรวมจํานวน 5,904 คน ปล่อยกู้ไปแล้ว 451 ราย/กลุ่ม (17 ราย 434 กลุ่ม) จํานวนเงิน 44,686,000 บาท สําหรับปี 2563 นี้ ได้รับอนุมัติให้ปล่อยกู้ จํานวน 7,000,000 บาท ปล่อยกู้ไปแล้ว 14 ราย/กลุ่ม (5 ราย 9 กลุ่ม จํานวนเงิน 1,740,000 บาท) ยังมีเงินคงเหลือที่สามารถปล่อยกู้ได้อีกจํานวน 5,260,000 บาท ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สํานักงานจัดหางานจังหวัดในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน”อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอาใจ แรงงานนอกระบบ กรมการจัดหางาน ปล่อยให้กู้ยืมกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านสูงสุด 3 แสนบาท [กระทรวงเเรงงาน] วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563 เอาใจ แรงงานนอกระบบ กรมการจัดหางาน ปล่อยให้กู้ยืมกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้านสูงสุด 3 แสนบาท [กระทรวงเเรงงาน] อธิบดีกรมการจัดหางาน เผย กรมการจัดหางาน มีมาตรการดูแลแรงงานนอกระบบ ซึ่งเป็นผู้รับงาน /กลุ่มผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน เปิดโอกาสให้กู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้านสําหรับประเภทบุคคล วงเงินกู้ไม่เกิน 50,000 บาท และวงเงิน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางานเปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน เร่งส่งเสริมอาชีพให้กับแรงงานนอกระบบ ที่ว่างงาน ในรูปแบบของการรับงานไปทําที่บ้าน โดยให้ผู้ที่สนใจเป็นผู้รับงานได้รวมกลุ่มกัน โดยผู้จ้างงานจะส่งงานให้ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้ทําการผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อมหรือแปรรูปสิ่งของ ตามที่ได้ตกลงกับผู้จ้างงานไว้ที่บ้านของตนเองหรือสถานที่ที่มิใช่สถานประกอบกิจการของผู้จ้างงาน ซึ่งเมื่อทําเสร็จแล้วจะส่งคืนสิ่งของหรือผลิตภัณฑ์ให้กับผู้จ้างงาน และได้รับค่าตอบแทนจากผู้จ้างงาน ลักษณะงานจะเป็นงานที่ไม่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อน เรียนรู้ง่าย ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้แรงงานคนทําการผลิตมากกว่าเครื่องจักร เป็นการผลิตในครัวเรือนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการให้งานของผู้จ้างงานจะเป็นการตัดขั้นตอนบางขั้นตอนหรือชิ้นส่วนของงานบางชิ้นจากกระบวนการผลิตในสถานประกอบกิจการไปทําการผลิตหรือผลิตทั้งหมด เช่น งานตัดเย็บ (เสื้อผ้า กระเป๋า ผ้าห่ม พรมเช็ดเท้า เสื้อผ้าตุ๊กตา ถุงมือ เปล เครื่องนอน เป็นต้น) งานประดิษฐ์ (ดอกไม้ประดิษฐ์ ตุ๊กตา เครื่องประดับ ร้อยลูกปัด) งานปัก ถัก ทอ (ถักวิกผม ทอผ้า ทอพรม ทอเสื่อ ปักผ้าคลุมผม ปักเลื่อม เป็นต้น) งานหัตถกรรม (จักสานต่างๆ ทําไม้กวาด เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น) อุปโภค/บริโภค รวมทั้งของใช้อื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทําที่บ้าน ซึ่งเป็นกองทุนหมุนเวียนเพื่อให้ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้กู้ยืมไปซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์การผลิต หรือขยายการผลิตเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน โดยคุณสมบัติของผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน และมีผลการดําเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทําที่บ้านหรือมีหลักฐานการรับงานไปทําที่บ้านจากผู้จ้างงาน ซึ่งมีทั้งประเภทบุคคลและกลุ่มบุคคล โดยประเภทบุคคลต้องมีทรัพย์สินหรือเงินทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ส่วนประเภทกลุ่มบุคคลจะต้องมีผู้นํากลุ่มและสมาชิกกลุ่มกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 5 คน มีทรัพย์สินหรือเงินทุนในการดําเนินกิจกรรมของกลุ่มรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท วงเงินกู้สําหรับบุคคลไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชําระคืนภายใน 2 ปี ขณะที่กลุ่มบุคคลมีวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาชําระคืนภายใน 5 ปี อัตราดอกเบี้ยต่ําร้อยละ 3 ต่อปี และมีระยะเวลาพักชําระหนี้เงินต้นไม่เกิน 4 เดือน “ตั้งแต่ปี 2548 ที่เริ่มดําเนินการ จนถึงขณะนี้ มีผู้รับงานไปทําที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางานแล้วจํานวน 947 ราย/กลุ่ม (292ราย 655 กลุ่ม) สมาชิกรวมจํานวน 5,904 คน ปล่อยกู้ไปแล้ว 451 ราย/กลุ่ม (17 ราย 434 กลุ่ม) จํานวนเงิน 44,686,000 บาท สําหรับปี 2563 นี้ ได้รับอนุมัติให้ปล่อยกู้ จํานวน 7,000,000 บาท ปล่อยกู้ไปแล้ว 14 ราย/กลุ่ม (5 ราย 9 กลุ่ม จํานวนเงิน 1,740,000 บาท) ยังมีเงินคงเหลือที่สามารถปล่อยกู้ได้อีกจํานวน 5,260,000 บาท ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 สํานักงานจัดหางานจังหวัดในท้องที่ที่ผู้รับงานไปทําที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน”อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27870
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม รับหนังสือมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว และเครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชนฯ พร้อมประสานทำเรื่องขอสืบพยานก่อนฟ้องแก่พนักงานอัยการ เพื่อความรวดเร็ว กันมีการไกล่เกลี่ย และท
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563 รมว.ยุติธรรม รับหนังสือมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว และเครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชนฯ พร้อมประสานทําเรื่องขอสืบพยานก่อนฟ้องแก่พนักงานอัยการ เพื่อความรวดเร็ว กันมีการไกล่เกลี่ย และท รมว.ยุติธรรม รับหนังสือมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว และเครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชนฯ พร้อมประสานทําเรื่องขอสืบพยานก่อนฟ้องแก่พนักงานอัยการ เพื่อความรวดเร็ว กันมีการไกล่เกลี่ย และทําลายหลักฐาน ในวันอังคารที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๔๐ น. ณ ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ รับเรื่องจาก นางทิชา ณ นคร ผู้อํานวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก และนายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว และเครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชน ลดปัจจัยเสี่ยงทางสังคม เพื่อเรียกร้องให้กระทรวงยุติธรรม ช่วยเหลือนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ และ ๔ หลังถูกครูและรุ่นพี่ รวม ๗ คน ข่มขืน ที่จังหวัดมุกดาหาร เข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยานของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ควบคู่กับการฟื้นฟูสภาพจิตใจ ให้ผู้เสียหายมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม และเข้าถึงการเยียวยาจากกองทุนยุติธรรม นายสมศักดิ์ฯ เปิดเผยว่า ยินดีให้ความร่วมมือ และเห็นด้วยว่าการเร่งให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายเป็นเรื่องที่ดี โดยจะเริ่มจากการเยียวยาจิตใจผู้เสียหาย และญาติเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ จะขอให้พนักงานสอบสวนประสานอัยการจังหวัดมุกดาหารให้ขอสืบพยานไว้ก่อนฟ้อง ซึ่งสามารถทําได้แต่เป็นอํานาจพิเศษของอัยการตามมาตรา ๒๓๗ ทวิ ตามประมวลกฏหมายอาญา เพราะคดีนี้จําเลยมีอิทธิพลต่อโจทย์ ซึ่งอาจเกิดการข่มขู่ และการทําแบบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการไกล่เกลี่ยยอมความกันในภายหลัง รวมทั้งไม่ให้มีการทําลายพยานหลักฐานด้วย ด้านนางทิชาฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่สนใจติดตามคดีนี้ ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดในสังคมไทยอีก โดยกลุ่มผู้ต้องหา ได้มีการถ่ายคลิปไว้แบล็คเมล์ข่มขู่ผู้เสียหาย กรณีนี้ผู้เสียหายเป็นนักเรียนทั้งระดับมัธยมศึกษาต้น และมัธยมปลายแห่งหนึ่งในจังหวัดมุกดาหาร ล่าสุดผู้ต้องหาทั้งหมดได้รับการประกันตัวออกไป ทําให้น่าเป็นห่วงว่าผู้เสียหาย และครอบครัวจะถูกข่มขู่ คุกคามเอาชีวิต หรือเสียหายต่อรูปคดี เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ก่อเหตุจํานวนมาก มีการกระทํากันเป็นกระบวนการมายาวนานเป็นปี อาจมีอิทธิพลมีอํานาจแฝงเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงมายื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เรียกร้องให้ผู้เสียหาย และครอบครัวเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยาน ให้ผู้เสียหายที่มีอํานาจน้อยกว่ามั่นใจในกระบวนการยุติธรรม และเข้าถึงการเยียวยาจากกองทุนยุติธรรมเป็นการด่วน เด็กก็คือเด็ก ไม่อยากให้มองว่าเป็นเด็กไม่ดี เพราะตกเหยื่อของคนเลว ที่เป็นครู และรุ่นพี่ ต้องทําให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดภัย และสังคมต้องไม่ปล่อยให้ผู้ใหญ่เหล่านี้ ที่กระทําเรื่องเลวร้ายเเบบนี้ แล้วยังลอยนวลอีกต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม รับหนังสือมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว และเครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชนฯ พร้อมประสานทำเรื่องขอสืบพยานก่อนฟ้องแก่พนักงานอัยการ เพื่อความรวดเร็ว กันมีการไกล่เกลี่ย และท วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563 รมว.ยุติธรรม รับหนังสือมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว และเครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชนฯ พร้อมประสานทําเรื่องขอสืบพยานก่อนฟ้องแก่พนักงานอัยการ เพื่อความรวดเร็ว กันมีการไกล่เกลี่ย และท รมว.ยุติธรรม รับหนังสือมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว และเครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชนฯ พร้อมประสานทําเรื่องขอสืบพยานก่อนฟ้องแก่พนักงานอัยการ เพื่อความรวดเร็ว กันมีการไกล่เกลี่ย และทําลายหลักฐาน ในวันอังคารที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๔.๔๐ น. ณ ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข กระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ รับเรื่องจาก นางทิชา ณ นคร ผู้อํานวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก และนายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว และเครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชน ลดปัจจัยเสี่ยงทางสังคม เพื่อเรียกร้องให้กระทรวงยุติธรรม ช่วยเหลือนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ และ ๔ หลังถูกครูและรุ่นพี่ รวม ๗ คน ข่มขืน ที่จังหวัดมุกดาหาร เข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยานของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ควบคู่กับการฟื้นฟูสภาพจิตใจ ให้ผู้เสียหายมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม และเข้าถึงการเยียวยาจากกองทุนยุติธรรม นายสมศักดิ์ฯ เปิดเผยว่า ยินดีให้ความร่วมมือ และเห็นด้วยว่าการเร่งให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายเป็นเรื่องที่ดี โดยจะเริ่มจากการเยียวยาจิตใจผู้เสียหาย และญาติเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ จะขอให้พนักงานสอบสวนประสานอัยการจังหวัดมุกดาหารให้ขอสืบพยานไว้ก่อนฟ้อง ซึ่งสามารถทําได้แต่เป็นอํานาจพิเศษของอัยการตามมาตรา ๒๓๗ ทวิ ตามประมวลกฏหมายอาญา เพราะคดีนี้จําเลยมีอิทธิพลต่อโจทย์ ซึ่งอาจเกิดการข่มขู่ และการทําแบบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีการไกล่เกลี่ยยอมความกันในภายหลัง รวมทั้งไม่ให้มีการทําลายพยานหลักฐานด้วย ด้านนางทิชาฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่สนใจติดตามคดีนี้ ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดในสังคมไทยอีก โดยกลุ่มผู้ต้องหา ได้มีการถ่ายคลิปไว้แบล็คเมล์ข่มขู่ผู้เสียหาย กรณีนี้ผู้เสียหายเป็นนักเรียนทั้งระดับมัธยมศึกษาต้น และมัธยมปลายแห่งหนึ่งในจังหวัดมุกดาหาร ล่าสุดผู้ต้องหาทั้งหมดได้รับการประกันตัวออกไป ทําให้น่าเป็นห่วงว่าผู้เสียหาย และครอบครัวจะถูกข่มขู่ คุกคามเอาชีวิต หรือเสียหายต่อรูปคดี เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ก่อเหตุจํานวนมาก มีการกระทํากันเป็นกระบวนการมายาวนานเป็นปี อาจมีอิทธิพลมีอํานาจแฝงเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงมายื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เรียกร้องให้ผู้เสียหาย และครอบครัวเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยาน ให้ผู้เสียหายที่มีอํานาจน้อยกว่ามั่นใจในกระบวนการยุติธรรม และเข้าถึงการเยียวยาจากกองทุนยุติธรรมเป็นการด่วน เด็กก็คือเด็ก ไม่อยากให้มองว่าเป็นเด็กไม่ดี เพราะตกเหยื่อของคนเลว ที่เป็นครู และรุ่นพี่ ต้องทําให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดภัย และสังคมต้องไม่ปล่อยให้ผู้ใหญ่เหล่านี้ ที่กระทําเรื่องเลวร้ายเเบบนี้ แล้วยังลอยนวลอีกต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30726
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นรม.และ รมว.กห.หารือทางไกล กับรมว.กห.สหรัฐอเมริกา ถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงและการแก้ปัญหา COVID - 19
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 ​นรม.และ รมว.กห.หารือทางไกล กับรมว.กห.สหรัฐอเมริกา ถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงและการแก้ปัญหา COVID - 19 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้หารือผ่านระบบโทรศัพท์ทางไกลกับ นาย Mark T. Esper (มาร์ค เอสเปอร์) รมว.กห.สหรัฐอเมริกา ณ ทําเนียบรัฐบาล ทั้งสองฝ่ายได้กล่าวถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงที่เข้มแข็งระหว่างกัน และความร่วมมือกันแก้ปัญหา COVID - 19 ที่ผ่านมา โดยอยู่ระหว่างพัฒนาวัคซีนร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศและสังคมโลก พร้อมทั้งได้หารือร่วมกันถึง ความร่วมมือทางทหาร ด้านการฝึกศึกษาและด้านยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเล และความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง เพื่อประโยชน์และความมั่นคงของภูมิภาค นาย Mark T. Esper ได้ชื่นชมและแสดงความยินดีกับความสําเร็จของไทยในการแก้ปัญหา COVID - 19 ที่ผ่านมาและขอบคุณชุดแพทย์ทหารไทยที่ปฏิบัติงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยสหรัฐฯพร้อมสนับสนุนไทยในการพัฒนากองทัพให้มีความเข้มแข็ง และมองว่าไทยมีบทบาทสําคัญในการเชื่อมต่อการแก้ปัญหาความมั่นคงของภูมิภาคโดยเฉพาะปัญหาทะเลจีนใต้ ขณะเดียวกันสหรัฐฯยินดีเข้ามาร่วมเสริมสร้างเสถียรภาพความมั่นคงในอนุภูมิภาคแม่น้ําโขงเพื่อผลประโยชน์ของภูมิภาคโดยรวม พล.อ.ประยุทธ์’ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณสหรัฐฯ ที่สนับสนุนไทยแก้ปัญหา COVID - 19 ผ่านสํานักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ( USAID ) และช่วยเหลืออํานวยความสะดวกคนไทยกว่า 2,000 คนเดินทางกลับจากสหรัฐฯที่ผ่านมา ซึ่งไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาวัคซีนและพร้อมทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งขอให้กําลังใจรัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนสหรัฐฯให้สามารถผ่านความท้าทายที่ยากลําบากและกลับมาเข้มแข็งโดยเร็ว สําหรับความมั่นคงทางทะเล ไทยพร้อมดํารงบทบาทสะพานเชื่อมระหว่างคู่พิพาทในทะเลจีนใต้ และยินดีสนับสนุนสหรัฐฯเสริมสร้างความร่วมมือในอนุภูมิภาคแม่น้ําโขงอย่างสร้างสรรค์ ผ่านกลไกที่มีอยู่ร่วมกัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นรม.และ รมว.กห.หารือทางไกล กับรมว.กห.สหรัฐอเมริกา ถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงและการแก้ปัญหา COVID - 19 วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน 2563 ​นรม.และ รมว.กห.หารือทางไกล กับรมว.กห.สหรัฐอเมริกา ถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงและการแก้ปัญหา COVID - 19 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และ รมว.กห. ได้หารือผ่านระบบโทรศัพท์ทางไกลกับ นาย Mark T. Esper (มาร์ค เอสเปอร์) รมว.กห.สหรัฐอเมริกา ณ ทําเนียบรัฐบาล ทั้งสองฝ่ายได้กล่าวถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงที่เข้มแข็งระหว่างกัน และความร่วมมือกันแก้ปัญหา COVID - 19 ที่ผ่านมา โดยอยู่ระหว่างพัฒนาวัคซีนร่วมกัน เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศและสังคมโลก พร้อมทั้งได้หารือร่วมกันถึง ความร่วมมือทางทหาร ด้านการฝึกศึกษาและด้านยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเล และความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขง เพื่อประโยชน์และความมั่นคงของภูมิภาค นาย Mark T. Esper ได้ชื่นชมและแสดงความยินดีกับความสําเร็จของไทยในการแก้ปัญหา COVID - 19 ที่ผ่านมาและขอบคุณชุดแพทย์ทหารไทยที่ปฏิบัติงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยสหรัฐฯพร้อมสนับสนุนไทยในการพัฒนากองทัพให้มีความเข้มแข็ง และมองว่าไทยมีบทบาทสําคัญในการเชื่อมต่อการแก้ปัญหาความมั่นคงของภูมิภาคโดยเฉพาะปัญหาทะเลจีนใต้ ขณะเดียวกันสหรัฐฯยินดีเข้ามาร่วมเสริมสร้างเสถียรภาพความมั่นคงในอนุภูมิภาคแม่น้ําโขงเพื่อผลประโยชน์ของภูมิภาคโดยรวม พล.อ.ประยุทธ์’ ได้กล่าวแสดงความขอบคุณสหรัฐฯ ที่สนับสนุนไทยแก้ปัญหา COVID - 19 ผ่านสํานักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ ( USAID ) และช่วยเหลืออํานวยความสะดวกคนไทยกว่า 2,000 คนเดินทางกลับจากสหรัฐฯที่ผ่านมา ซึ่งไทยอยู่ระหว่างการพัฒนาวัคซีนและพร้อมทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งขอให้กําลังใจรัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนสหรัฐฯให้สามารถผ่านความท้าทายที่ยากลําบากและกลับมาเข้มแข็งโดยเร็ว สําหรับความมั่นคงทางทะเล ไทยพร้อมดํารงบทบาทสะพานเชื่อมระหว่างคู่พิพาทในทะเลจีนใต้ และยินดีสนับสนุนสหรัฐฯเสริมสร้างความร่วมมือในอนุภูมิภาคแม่น้ําโขงอย่างสร้างสรรค์ ผ่านกลไกที่มีอยู่ร่วมกัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32594
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การศึกษาเอกชนในโลกอนาคต
วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562 การศึกษาเอกชนในโลกอนาคต นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ บรรยายพิเศษ เรื่อง "การศึกษาเอกชนในโลกอนาคต" ในการประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2562 สมาคมสภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ บรรยายพิเศษ เรื่อง "การศึกษาเอกชนในโลกอนาคต" ในการประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2562 สมาคมสภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 49 เมื่อวันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562 ณ โรงแรมเอเชีย พัทยา จ.ชลบุรี รมช.ศึกษาธิการ กล่าวบรรยายตอนหนึ่งว่า มีความรู้สึกโชคดีที่ได้รับโอกาสร่วมทํางานพัฒนาการศึกษาเอกชนแก่เด็กไทย ทั้งรู้สึกขอบคุณสมาคมคาทอลิกแห่งประเทศไทย ที่ได้ช่วยพัฒนาคน พัฒนาการศึกษา และพัฒนาประเทศของเราไม่ว่าคน ๆ นั้นจะอยู่ในพื้นที่ใดก็ตาม และขอยกย่องชื่นชมองค์พระสันตะปาปา ที่ให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็ก ๆ ทุกศาสนาในผืนแผ่นดินไทยและในโลกนี้ ถือเป็นการแบ่งปันความรักความสุขผ่านการพัฒนาการศึกษา และการหล่อหลอมสิ่งดีเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน เมื่อเข้ามารับตําแหน่ง ก็มีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทํางานที่ได้รับมอบหมายอย่างสุดความสามารถ สําหรับการจัดการศึกษาเอกชน ได้เริ่มต้นทํางานด้วยคติ “น้ําพร่องแก้ว” เพื่อที่จะรับฟัง รับรู้ข้อมูล และข้อเสนอแนะของโรงเรียนเอกชนทุกประเภท ที่จะนําไปสู่การพัฒนางานไปด้วยกัน ทั้งนี้ ได้ตั้งคณะทํางานเพื่อช่วยสนับสนุนการดําเนินงานในส่วนที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะการจัดการศึกษาเอกชน ซึ่งได้หารือและวางแนวทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการศึกษา พร้อมแก้ไขอุปสรรคปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยมีความก้าวหน้าการดําเนินงานในหลายส่วน อาทิ - การพัฒนาครูเอกชน ขณะนี้ได้หารือกับคณะทํางานและผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาครูเอกชน ซึ่งมีแนวทางที่จะสร้างเครือข่ายประจําวิชาให้ครบทุกจังหวัด อาทิ ชมรมครูภาษาอังกฤษ ชมรมครูคณิตศาสตร์ ฯลฯ เพื่อสะท้อนถึงสิ่งที่ต้องพัฒนาครู พร้อม ๆ กับจะตั้งอนุกรรมการพัฒนาครูเอกชน เพื่อทํางานร่วมกับเครือข่ายในจังหวัดด้วย โดยได้เตรียมเกลี่ยงบประมาณ ปี 2563 สําหรับพัฒนาครูเอกชนโดยเฉพาะ และในส่วนของ สช. ก็จะแสวงหาความร่วมมือและการสนับสนุนจากภาคเอกชนและองค์กรต่าง ๆ เพื่อพัฒนาครูเอกชนร่วมกัน อาทิ กองทุนครูของแผ่นดิน ศธ., กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, มูลนิธิต่าง ๆ เป็นต้น เช่นเดียวกับการเรียนรู้ภาษาคอมพิวเตอร์ หรือ Coding รัฐมนตรีทั้ง 3 คน ให้ความสําคัญกับการนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติในทุกองค์กรหลักและทุกภาคส่วนของ ศธ. โดยเริ่มจากรับรู้และมีความเข้าใจเป็นเนื้อเดียวกัน ไปจนถึงการพัฒนาครูและการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนทุกสังกัดของ ศธ. ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนสะท้อนความคิดเห็นและประเด็นต่าง ๆ เพื่อร่วมพัฒนาไปพร้อมกัน - การส่งเสริมสวัสดิการครูและโรงเรียนเอกชน ในเรื่องของสวัสดิการครูและโรงเรียนเอกชน ได้หารือร่วมกับสํานักงบประมาณและผู้จัดการกองทุนสงเคราะห์ ศธ. อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาแนวทางสนับสนุนให้ครูโรงเรียนเอกชนได้รับสวัสดิการเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และการบริหารจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกัน ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าอาหารกลางวัน ตลอดจนค่าใช้จ่ายรายหัว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทําและรวบรวมข้อมูลการดําเนินงานเพื่อสนับสนุนในเรื่องนี้ และขอยืนยันว่า สิ่งใดที่สามารถทําให้ได้ ศธ. และ รมช.ศธ. จะทําให้ก่อนทันที กองทุนสงเคราะห์ กระทรวงศึกษาธิการ (Private Teacher Aid Fund) เป็นกองทุนสงเคราะห์มีฐานะเป็นนิติบุคคล จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2518 ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ปี 2518 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสงเคราะห์ผู้อํานวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ในลักษณะเงินทุนเลี้ยงชีพ สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ ส่งเสริมการออม ตลอดจนเงินสวัสดิการสงเคราะห์ และเงินทดแทน - การแชร์ทรัพยากรของรัฐ เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียนโรงเรียนเอกชนที่ขาดโอกาส ขณะนี้ ศธ.กําลังพัฒนาหลักสูตรและสาระเนื้อหาวิชาการต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว ปรับไปเป็นรูปแบบออนไลน์ ทําให้เกิดการแชร์และแบ่งปันการใช้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชน พร้อมปรับฐานข้อมูลให้สามารถใส่ข้อมูลได้กว้างขึ้น สะดวกต่อการแชร์ข้อมูลไปมา โดยขอให้โรงเรียนเอกชนนําสิ่งดีมาแบ่งปันกัน เพราะเชื่อว่าอาจมีบางเรื่องที่เอกชนมีความเชี่ยวชาญมากกว่ารัฐ ซึ่งในระยะยาวจะเกิดประโยชน์กับความเท่าเทียมทางการศึกษาของเด็กไทย โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดารและพื้นที่ชายขอบ ที่จะได้เรียนรู้แบบเดียวกับเด็กที่อยู่ในเมือง และจะส่งผลต่อความมั่นคงในพื้นที่ด้วย - การสะสมเครดิตการศึกษา เป็นแนวคิดที่ดีที่ ศธ. จะต้องพิจารณาในหลักการ ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อดําเนินการต่อไป โดยอาจจะเริ่มดําเนินการกับการจัดการศึกษาของสํานักงาน กศน. ก่อน เพื่อต้องการจะพัฒนาและเติมเต็มให้ผู้เรียน กศน. มีความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเอง ด้วยหลักสูตรของเอกชนหรือมหาวิทยาลัยในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อบริหารงบประมาณอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด หากมีโอกาสจะเชิญผู้เกี่ยวข้องลงพื้นที่ไปเยี่ยมชมโรงเรียนเอกชนในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้เห็นสภาพความเป็นจริง และตระหนักถึงความสําคัญของการศึกษาเอกชนที่ช่วยพัฒนาเด็กไทย ตั้งแต่ในเมืองใหญ่ไปจนถึงพื้นที่ชายขอบ กว่า 4 แสนคนทั่วประเทศ อันจะนํามาซึ่งการดูแลครูและโรงเรียนเอกชนให้ใกล้เคียงกับรัฐมากที่สุด เพราะถือว่าทุกโรงเรียนช่วยกระทรวงศึกษาธิการและช่วยประเทศไทย ในการสร้างความเจริญและก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมีโอกาสทางการศึกษาที่ดีเพราะครอบครัวให้ความสําคัญกับเรื่องนี้มาก และเมื่อมีครอบครัวก็ได้มอบโอกาสทางการศึกษากับลูก ๆ อย่างเต็มกําลัง พร้อมคอยให้กําลังใจ เอาใจใส่ และให้การสนับสนุนในสิ่งที่ลูกชอบและถนัดให้ได้มากที่สุด และโรงเรียนในเครือคาทอลิกก็ทําให้ได้รู้ว่า โรงเรียนได้สร้างพื้นฐานการศึกษา ส่งเสริมและเติมเต็มศักยภาพของเด็กอย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลให้พวกเขาเติบโตและก้าวไปสู่ระดับการศึกษาที่สูงขึ้นอย่างมั่นใจ ซึ่งรู้สึกขอบคุณและยินดีที่ลูกมีพื้นฐานการศึกษาที่ดีจากโรงเรียนคาทอลิก "ขอฝากไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคน ว่า เมื่อครูและโรงเรียนดูแลลูกเราดีแล้ว พ่อแม่และคนในครอบครัวต้องช่วยกันดูแลลูก ๆ ด้วยความรัก ความอบอุ่น และเอาใจใส่ เพื่อให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง สามารถเผชิญกับกระแสและสิ่งยั่วยุในสังคมปัจจุบันและโลกอนาคตไปจนตลอดรอดฝั่ง" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว. นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การศึกษาเอกชนในโลกอนาคต วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม 2562 การศึกษาเอกชนในโลกอนาคต นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ บรรยายพิเศษ เรื่อง "การศึกษาเอกชนในโลกอนาคต" ในการประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2562 สมาคมสภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ บรรยายพิเศษ เรื่อง "การศึกษาเอกชนในโลกอนาคต" ในการประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2562 สมาคมสภาการศึกษาคาทอลิกแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 49 เมื่อวันพุธที่ 21 สิงหาคม 2562 ณ โรงแรมเอเชีย พัทยา จ.ชลบุรี รมช.ศึกษาธิการ กล่าวบรรยายตอนหนึ่งว่า มีความรู้สึกโชคดีที่ได้รับโอกาสร่วมทํางานพัฒนาการศึกษาเอกชนแก่เด็กไทย ทั้งรู้สึกขอบคุณสมาคมคาทอลิกแห่งประเทศไทย ที่ได้ช่วยพัฒนาคน พัฒนาการศึกษา และพัฒนาประเทศของเราไม่ว่าคน ๆ นั้นจะอยู่ในพื้นที่ใดก็ตาม และขอยกย่องชื่นชมองค์พระสันตะปาปา ที่ให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็ก ๆ ทุกศาสนาในผืนแผ่นดินไทยและในโลกนี้ ถือเป็นการแบ่งปันความรักความสุขผ่านการพัฒนาการศึกษา และการหล่อหลอมสิ่งดีเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน เมื่อเข้ามารับตําแหน่ง ก็มีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทํางานที่ได้รับมอบหมายอย่างสุดความสามารถ สําหรับการจัดการศึกษาเอกชน ได้เริ่มต้นทํางานด้วยคติ “น้ําพร่องแก้ว” เพื่อที่จะรับฟัง รับรู้ข้อมูล และข้อเสนอแนะของโรงเรียนเอกชนทุกประเภท ที่จะนําไปสู่การพัฒนางานไปด้วยกัน ทั้งนี้ ได้ตั้งคณะทํางานเพื่อช่วยสนับสนุนการดําเนินงานในส่วนที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะการจัดการศึกษาเอกชน ซึ่งได้หารือและวางแนวทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการศึกษา พร้อมแก้ไขอุปสรรคปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยมีความก้าวหน้าการดําเนินงานในหลายส่วน อาทิ - การพัฒนาครูเอกชน ขณะนี้ได้หารือกับคณะทํางานและผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาครูเอกชน ซึ่งมีแนวทางที่จะสร้างเครือข่ายประจําวิชาให้ครบทุกจังหวัด อาทิ ชมรมครูภาษาอังกฤษ ชมรมครูคณิตศาสตร์ ฯลฯ เพื่อสะท้อนถึงสิ่งที่ต้องพัฒนาครู พร้อม ๆ กับจะตั้งอนุกรรมการพัฒนาครูเอกชน เพื่อทํางานร่วมกับเครือข่ายในจังหวัดด้วย โดยได้เตรียมเกลี่ยงบประมาณ ปี 2563 สําหรับพัฒนาครูเอกชนโดยเฉพาะ และในส่วนของ สช. ก็จะแสวงหาความร่วมมือและการสนับสนุนจากภาคเอกชนและองค์กรต่าง ๆ เพื่อพัฒนาครูเอกชนร่วมกัน อาทิ กองทุนครูของแผ่นดิน ศธ., กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, มูลนิธิต่าง ๆ เป็นต้น เช่นเดียวกับการเรียนรู้ภาษาคอมพิวเตอร์ หรือ Coding รัฐมนตรีทั้ง 3 คน ให้ความสําคัญกับการนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติในทุกองค์กรหลักและทุกภาคส่วนของ ศธ. โดยเริ่มจากรับรู้และมีความเข้าใจเป็นเนื้อเดียวกัน ไปจนถึงการพัฒนาครูและการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนทุกสังกัดของ ศธ. ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนสะท้อนความคิดเห็นและประเด็นต่าง ๆ เพื่อร่วมพัฒนาไปพร้อมกัน - การส่งเสริมสวัสดิการครูและโรงเรียนเอกชน ในเรื่องของสวัสดิการครูและโรงเรียนเอกชน ได้หารือร่วมกับสํานักงบประมาณและผู้จัดการกองทุนสงเคราะห์ ศธ. อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาแนวทางสนับสนุนให้ครูโรงเรียนเอกชนได้รับสวัสดิการเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และการบริหารจัดการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกัน ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าอาหารกลางวัน ตลอดจนค่าใช้จ่ายรายหัว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทําและรวบรวมข้อมูลการดําเนินงานเพื่อสนับสนุนในเรื่องนี้ และขอยืนยันว่า สิ่งใดที่สามารถทําให้ได้ ศธ. และ รมช.ศธ. จะทําให้ก่อนทันที กองทุนสงเคราะห์ กระทรวงศึกษาธิการ (Private Teacher Aid Fund) เป็นกองทุนสงเคราะห์มีฐานะเป็นนิติบุคคล จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2518 ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ปี 2518 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสงเคราะห์ผู้อํานวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษา ในลักษณะเงินทุนเลี้ยงชีพ สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ ส่งเสริมการออม ตลอดจนเงินสวัสดิการสงเคราะห์ และเงินทดแทน - การแชร์ทรัพยากรของรัฐ เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียนโรงเรียนเอกชนที่ขาดโอกาส ขณะนี้ ศธ.กําลังพัฒนาหลักสูตรและสาระเนื้อหาวิชาการต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว ปรับไปเป็นรูปแบบออนไลน์ ทําให้เกิดการแชร์และแบ่งปันการใช้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างรัฐและเอกชน พร้อมปรับฐานข้อมูลให้สามารถใส่ข้อมูลได้กว้างขึ้น สะดวกต่อการแชร์ข้อมูลไปมา โดยขอให้โรงเรียนเอกชนนําสิ่งดีมาแบ่งปันกัน เพราะเชื่อว่าอาจมีบางเรื่องที่เอกชนมีความเชี่ยวชาญมากกว่ารัฐ ซึ่งในระยะยาวจะเกิดประโยชน์กับความเท่าเทียมทางการศึกษาของเด็กไทย โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในพื้นที่ทุรกันดารและพื้นที่ชายขอบ ที่จะได้เรียนรู้แบบเดียวกับเด็กที่อยู่ในเมือง และจะส่งผลต่อความมั่นคงในพื้นที่ด้วย - การสะสมเครดิตการศึกษา เป็นแนวคิดที่ดีที่ ศธ. จะต้องพิจารณาในหลักการ ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อดําเนินการต่อไป โดยอาจจะเริ่มดําเนินการกับการจัดการศึกษาของสํานักงาน กศน. ก่อน เพื่อต้องการจะพัฒนาและเติมเต็มให้ผู้เรียน กศน. มีความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเอง ด้วยหลักสูตรของเอกชนหรือมหาวิทยาลัยในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อบริหารงบประมาณอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด หากมีโอกาสจะเชิญผู้เกี่ยวข้องลงพื้นที่ไปเยี่ยมชมโรงเรียนเอกชนในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อให้เห็นสภาพความเป็นจริง และตระหนักถึงความสําคัญของการศึกษาเอกชนที่ช่วยพัฒนาเด็กไทย ตั้งแต่ในเมืองใหญ่ไปจนถึงพื้นที่ชายขอบ กว่า 4 แสนคนทั่วประเทศ อันจะนํามาซึ่งการดูแลครูและโรงเรียนเอกชนให้ใกล้เคียงกับรัฐมากที่สุด เพราะถือว่าทุกโรงเรียนช่วยกระทรวงศึกษาธิการและช่วยประเทศไทย ในการสร้างความเจริญและก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมีโอกาสทางการศึกษาที่ดีเพราะครอบครัวให้ความสําคัญกับเรื่องนี้มาก และเมื่อมีครอบครัวก็ได้มอบโอกาสทางการศึกษากับลูก ๆ อย่างเต็มกําลัง พร้อมคอยให้กําลังใจ เอาใจใส่ และให้การสนับสนุนในสิ่งที่ลูกชอบและถนัดให้ได้มากที่สุด และโรงเรียนในเครือคาทอลิกก็ทําให้ได้รู้ว่า โรงเรียนได้สร้างพื้นฐานการศึกษา ส่งเสริมและเติมเต็มศักยภาพของเด็กอย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลให้พวกเขาเติบโตและก้าวไปสู่ระดับการศึกษาที่สูงขึ้นอย่างมั่นใจ ซึ่งรู้สึกขอบคุณและยินดีที่ลูกมีพื้นฐานการศึกษาที่ดีจากโรงเรียนคาทอลิก "ขอฝากไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคน ว่า เมื่อครูและโรงเรียนดูแลลูกเราดีแล้ว พ่อแม่และคนในครอบครัวต้องช่วยกันดูแลลูก ๆ ด้วยความรัก ความอบอุ่น และเอาใจใส่ เพื่อให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาอย่างเข้มแข็ง สามารถเผชิญกับกระแสและสิ่งยั่วยุในสังคมปัจจุบันและโลกอนาคตไปจนตลอดรอดฝั่ง" รมช.ศึกษาธิการ กล่าว. นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สร.ศธ.: รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22468
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ฯ ลงนาม MOU ร่วมกับฟิลิปปินส์ มุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ
วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560 ก.วิทย์ฯ ลงนาม MOU ร่วมกับฟิลิปปินส์ มุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ ก.วิทย์ฯ ลงนาม MOU ร่วมกับฟิลิปปินส์ มุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เซ็นสัญญาการจัดทําความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับ Mr. Fortunato Dela Pena รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งฟิลิปปินส์ โดยมี พอเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล สําหรับการจัดทําความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดทําขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศในมิติของความสนใจร่วมกัน โดยมีรูปแบบของความร่วมมือดังนี้ การวิจัยและพัฒนาร่วม การแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้แทนองค์การด้านการศึกษา วิจัย อุตสาหกรรมและการค้าที่สนใจความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การแลกเปลี่ยนข้อมูลและเอกสารวิชาการ และการจัดประชุมและสัมมนาทวิภาคีในสาขาที่มีความสนใจร่วมกัน โดยมีหน่วยประสานงานหลัก ฝ่ายไทยคือกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และฝ่ายฟิลิปปินส์คือ Department of Science and Technology ซึ่งตัวแทนของทั้งสองฝ่ายจะพบกันเมื่อจําเป็น เพื่อหารือโครงการและเห็นชอบสาขาและข้อกําหนดของความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้ประเด็นที่เห็นพ้องบรรลุเป้าหมาย รวมทั้งหารือประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องกับความตกลงฉบับนี้ ทั้งนี้ความตกลงฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับในวันที่ได้มีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรโดยคู่ภาคีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยผ่านช่องทางทางการทูต ระบุว่าข้อกําหนดภายในประเทศสําหรับการมีผลบังคับใช้ได้ดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ความตกลงจะมีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลาห้าปี และจะยังคงมีผลต่อไป เว้นเสียแต่สิ้นสุดโดยรัฐบาลฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเวลาหกเดือนล่วงหน้า
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ฯ ลงนาม MOU ร่วมกับฟิลิปปินส์ มุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ วันพุธที่ 29 มีนาคม 2560 ก.วิทย์ฯ ลงนาม MOU ร่วมกับฟิลิปปินส์ มุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ ก.วิทย์ฯ ลงนาม MOU ร่วมกับฟิลิปปินส์ มุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 / ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เซ็นสัญญาการจัดทําความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับ Mr. Fortunato Dela Pena รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งฟิลิปปินส์ โดยมี พอเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล สําหรับการจัดทําความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดทําขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศในมิติของความสนใจร่วมกัน โดยมีรูปแบบของความร่วมมือดังนี้ การวิจัยและพัฒนาร่วม การแลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้แทนองค์การด้านการศึกษา วิจัย อุตสาหกรรมและการค้าที่สนใจความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การแลกเปลี่ยนข้อมูลและเอกสารวิชาการ และการจัดประชุมและสัมมนาทวิภาคีในสาขาที่มีความสนใจร่วมกัน โดยมีหน่วยประสานงานหลัก ฝ่ายไทยคือกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และฝ่ายฟิลิปปินส์คือ Department of Science and Technology ซึ่งตัวแทนของทั้งสองฝ่ายจะพบกันเมื่อจําเป็น เพื่อหารือโครงการและเห็นชอบสาขาและข้อกําหนดของความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้ประเด็นที่เห็นพ้องบรรลุเป้าหมาย รวมทั้งหารือประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องกับความตกลงฉบับนี้ ทั้งนี้ความตกลงฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับในวันที่ได้มีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรโดยคู่ภาคีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดโดยผ่านช่องทางทางการทูต ระบุว่าข้อกําหนดภายในประเทศสําหรับการมีผลบังคับใช้ได้ดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ความตกลงจะมีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลาห้าปี และจะยังคงมีผลต่อไป เว้นเสียแต่สิ้นสุดโดยรัฐบาลฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเวลาหกเดือนล่วงหน้า
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2717
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงสู่แปลง สู้ภัยแล้ง รมช.มนัญญาหนุนพืชใช้น้ำน้อยผลักดันเกษตรปลอดภัย
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ลงสู่แปลง สู้ภัยแล้ง รมช.มนัญญาหนุนพืชใช้น้ําน้อยผลักดันเกษตรปลอดภัย ลงสู่แปลง สู้ภัยแล้ง รมช.มนัญญาหนุนพืชใช้น้ําน้อยผลักดันเกษตรปลอดภัย กลุ่มสหกรณ์การเกษตรบ้านแฮด ขอนแก่น นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแปลงปลูกผักปลอดภัยจากสารเคมีของกลุ่มสหกรณ์การเกษตรบ้านแฮด ณ อําเภอบ้านเฮด จังหวัดขอนแก่น นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าตามที่นโยบายของรัฐบาล โดยการดําเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุ่งหวังให้เกษตรกร และผู้บริโภคได้อุปโภคบริโภค สินค้าที่ปลอดภัยมีคุณภาพ ทั้งนี้ขบวนการผลิต ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา ต้องมีมาตรฐานและปลอดภัย ยกตัวอย่างการปลูกพืชผักอินทรีย์ ดินที่ปลูก น้ําที่ใช้ หากปราศจากสารเคมี เกษตรกรที่ปลูกพืชผักย่อมไม่ได้รับสารพิษ ผู้บริโภคก็ปลอดภัย ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ "สําหรับอําเภอบ้านแฮด มีสหกรณ์การเกษตรบ้านแฮด จํากัด มีสมาชิกทั้งหมด 458 ราย และเป็นสหกรณ์หลักระดับอําเภอ ซึ่งสหกรณ์ได้รับการกํากับดูแล และสนับสนุนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยสํานักงานสหกรณ์จังหวัดขอนแก่น ได้เข้าแนะนําส่งเสริมสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็งในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการบริหารจัดการ ด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งสหกรณ์การเกษตรบ้านแฮด จํากัด ได้ รับเงินกู้ยืมจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์ในโครงการพิเศษ ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 เพื่อส่งเสริมอาชีพแก่สมาชิก สหกรณ์ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง จํานวน 1,000,000 บาท มีสมาชิกได้รับประโยชน์จากโครงการ 33 ราย และยังได้รับเงินกู้ยืมจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร โครงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างระบบน้ําในไร่นาของสมาชิกสถาบันเกษตรกร ในระยะที่ 1 จํานวน 750,000 บาท มีสมาชิกที่ขุดเจาะบ่อบาดาล 10 ราย และขุดสระน้ําเพื่อเก็บกักน้ํา 5 ราย รวมทั้งสิ้น 15 ราย จากการประเมินผลโครงการพบว่า สมาชิกมีความพึงพอใจ และได้ใช้ประโยชน์จากการสร้างแหล่งน้ําเพื่อสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน โดยปัจจุบันกรมส่งเสริมการเกษตร ได้ให้ความรู้และแนะนําพืชใช้น้ําน้อยที่สามารถปลูกได้ในฤดูแล้ง อาทิเช่น คะน้า มะระจีน เห็ดฟาง กวางตุ้ง และแตงกวา เป็นต้น "รมช.กล่าว ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประกาศนโยบายให้ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ดําเนินการจัดหา ผัก ผลไม้ปลอดภัย ปรุงอาหารให้ผู้ป่วยรับประทานโดยการรับซื้อผัก ผลไม้ที่ปลอดสารพิษ จากกลุ่มเกษตรกร ที่ไม่ได้ใช้สารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชโดยตรง หรือให้โรงพยาบาลรณรงค์ปลูกผักสวนครัวเพื่อใช้ในกากรปรุงอาหารให้ผู้ป่วยรับประทาน โดยที่ทางเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่จะเป็นผู้พิจารณาคัดสรร ก็สามารถนําไปจําหน่ายให้โรงพยาบาลในพื้นที่ประกอบอาหารให้ผู้ป่วย หรือจําหน่ายให้ผู้มารับบริการที่โรงพยาบาล เป็นการรณรงค์สร้างจิตสํานึกให้หันมาบริโภคผัก ผลไม้ อาหารปลอดภัย ปลอดสารพิษ และสร้างรายได้ให้คนในชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ลงสู่แปลง สู้ภัยแล้ง รมช.มนัญญาหนุนพืชใช้น้ำน้อยผลักดันเกษตรปลอดภัย วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ลงสู่แปลง สู้ภัยแล้ง รมช.มนัญญาหนุนพืชใช้น้ําน้อยผลักดันเกษตรปลอดภัย ลงสู่แปลง สู้ภัยแล้ง รมช.มนัญญาหนุนพืชใช้น้ําน้อยผลักดันเกษตรปลอดภัย กลุ่มสหกรณ์การเกษตรบ้านแฮด ขอนแก่น นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแปลงปลูกผักปลอดภัยจากสารเคมีของกลุ่มสหกรณ์การเกษตรบ้านแฮด ณ อําเภอบ้านเฮด จังหวัดขอนแก่น นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าตามที่นโยบายของรัฐบาล โดยการดําเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มุ่งหวังให้เกษตรกร และผู้บริโภคได้อุปโภคบริโภค สินค้าที่ปลอดภัยมีคุณภาพ ทั้งนี้ขบวนการผลิต ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา ต้องมีมาตรฐานและปลอดภัย ยกตัวอย่างการปลูกพืชผักอินทรีย์ ดินที่ปลูก น้ําที่ใช้ หากปราศจากสารเคมี เกษตรกรที่ปลูกพืชผักย่อมไม่ได้รับสารพิษ ผู้บริโภคก็ปลอดภัย ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ "สําหรับอําเภอบ้านแฮด มีสหกรณ์การเกษตรบ้านแฮด จํากัด มีสมาชิกทั้งหมด 458 ราย และเป็นสหกรณ์หลักระดับอําเภอ ซึ่งสหกรณ์ได้รับการกํากับดูแล และสนับสนุนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยสํานักงานสหกรณ์จังหวัดขอนแก่น ได้เข้าแนะนําส่งเสริมสหกรณ์ให้มีความเข้มแข็งในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการบริหารจัดการ ด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งสหกรณ์การเกษตรบ้านแฮด จํากัด ได้ รับเงินกู้ยืมจากกองทุนพัฒนาสหกรณ์ในโครงการพิเศษ ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 เพื่อส่งเสริมอาชีพแก่สมาชิก สหกรณ์ที่ประสบปัญหาภัยแล้ง จํานวน 1,000,000 บาท มีสมาชิกได้รับประโยชน์จากโครงการ 33 ราย และยังได้รับเงินกู้ยืมจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร โครงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างระบบน้ําในไร่นาของสมาชิกสถาบันเกษตรกร ในระยะที่ 1 จํานวน 750,000 บาท มีสมาชิกที่ขุดเจาะบ่อบาดาล 10 ราย และขุดสระน้ําเพื่อเก็บกักน้ํา 5 ราย รวมทั้งสิ้น 15 ราย จากการประเมินผลโครงการพบว่า สมาชิกมีความพึงพอใจ และได้ใช้ประโยชน์จากการสร้างแหล่งน้ําเพื่อสร้างอาชีพและสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน โดยปัจจุบันกรมส่งเสริมการเกษตร ได้ให้ความรู้และแนะนําพืชใช้น้ําน้อยที่สามารถปลูกได้ในฤดูแล้ง อาทิเช่น คะน้า มะระจีน เห็ดฟาง กวางตุ้ง และแตงกวา เป็นต้น "รมช.กล่าว ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมมือกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประกาศนโยบายให้ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ดําเนินการจัดหา ผัก ผลไม้ปลอดภัย ปรุงอาหารให้ผู้ป่วยรับประทานโดยการรับซื้อผัก ผลไม้ที่ปลอดสารพิษ จากกลุ่มเกษตรกร ที่ไม่ได้ใช้สารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชโดยตรง หรือให้โรงพยาบาลรณรงค์ปลูกผักสวนครัวเพื่อใช้ในกากรปรุงอาหารให้ผู้ป่วยรับประทาน โดยที่ทางเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่จะเป็นผู้พิจารณาคัดสรร ก็สามารถนําไปจําหน่ายให้โรงพยาบาลในพื้นที่ประกอบอาหารให้ผู้ป่วย หรือจําหน่ายให้ผู้มารับบริการที่โรงพยาบาล เป็นการรณรงค์สร้างจิตสํานึกให้หันมาบริโภคผัก ผลไม้ อาหารปลอดภัย ปลอดสารพิษ และสร้างรายได้ให้คนในชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02 281 0859 ต่อ 137 แฟกส์ 02 2822871
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26694
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ VDO Coference รับฟังรายงานผลการดำเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563 ปลัดเกษตรฯ VDO Coference รับฟังรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด ปลัดเกษตรฯ VDO Coference รับฟังรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด ปลัดเกษตรฯ VDO Conference รับฟังรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัดในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พร้อมหาแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการประมวลสรุปรายงานสถานการณ์และผลการดําเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ดังกล่าว เป็นประจําทุกวัน โดยข้อมูล ณ วันที่ 29 มี.ค. 63 มีมาตรการป้องกันของกระทรวงเกษตรฯ ด้านบุคลากร ในการตรวจวัดอุณหภูมิ วางเจลล้างมือ ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ จัดทําแผนปฏิบัติงานของบุคลากร ออกประกาศมาตรการป้องกัน และจัดที่พักให้บุคลากร สําหรับด้านสถานที่ ได้มีการฉีดพ่น/ทําความสะอาด จัดให้มีระยะห่างทางสังคมของผู้ปฏิบัติงาน และการปิดสถานที่ อีกทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ยังได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการแก่ประชาชน/เกษตรกร/ผู้ประกอบการ อาทิ การให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบออนไลน์ ทั้ง Mobile Application ได้แก่ Line Facebook รวมถึงบริการให้คําแนะนําผ่าน Call Center ด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับฟังการรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ ได้แก่ สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในการวิเคราะห์ผลกระทบและความเสี่ยงทางด้านการเกษตรจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กรมส่งเสริมการเกษตร ได้มีการประเมินสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ทั้งมะม่วง ที่ผลิตเพื่อการส่งออก พืชผัก ที่กระทบกับผู้ขายรายย่อย ผลไม้ ในการเพิ่มช่องทางพิเศษในการขนส่ง และไม้ดอก ในการจัดหาตลาดรองรับ กรมปศุสัตว์ รายงานสถานการณ์ไข่ไก่ โคเนื้อ สุกร และนมโค ที่มีเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์ กรมประมง รายงานการส่งออกสินค้าประมง โดยเฉพาะอาหารสดและอาหารแช่แข็ง ที่คาดว่าจะลดลงประมาณ 10 – 20% เมื่อเทียบกับปี 2562 การนําเข้าสินค้า มีแนวโน้มลดลง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา สินค้าที่อาจได้รับผลกระทบ คือ กุ้ง ปลาน้ําจืด และปลาสวยงาม โดยได้มีการกําหนดมาตรการแก้ไขในระยะสั้นไว้ กรมการข้าว รายงานผลผลิตข้าวนาปี จํานวน 24 ล้านตัน เพียงพอสําหรับการบริโภคภายในประเทศ และความก้าวหน้าการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวให้แก่เกษตรกรที่ประสบอุทกภัยและภัยแล้งปี 2562 กรมส่งเสริมสหกรณ์ รายงานการกระจายสินค้าผ่านช่องทางสหกรณ์การเกษตรกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ และการลดภาระหนี้สินให้กับสมาชิกสหกรณ์ และกรมวิชาการเกษตร รายงานผลการบริการ การตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าพืช และการตรวจรับรองโรงงานคัดบรรจุ สําหรับการส่งออกที่จะต้องได้รับมาตรฐาน GAP อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติงานภายใต้ประกาศที่ทางรัฐบาลกําหนด แต่ต้องไม่กระทบกับการบริการให้กับประชาชน อีกทั้งให้หาแนวทางหรือมาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ VDO Coference รับฟังรายงานผลการดำเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563 ปลัดเกษตรฯ VDO Coference รับฟังรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด ปลัดเกษตรฯ VDO Coference รับฟังรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัด ปลัดเกษตรฯ VDO Conference รับฟังรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัดในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พร้อมหาแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมศูนย์ประสานการปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการประมวลสรุปรายงานสถานการณ์และผลการดําเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์ดังกล่าว เป็นประจําทุกวัน โดยข้อมูล ณ วันที่ 29 มี.ค. 63 มีมาตรการป้องกันของกระทรวงเกษตรฯ ด้านบุคลากร ในการตรวจวัดอุณหภูมิ วางเจลล้างมือ ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ จัดทําแผนปฏิบัติงานของบุคลากร ออกประกาศมาตรการป้องกัน และจัดที่พักให้บุคลากร สําหรับด้านสถานที่ ได้มีการฉีดพ่น/ทําความสะอาด จัดให้มีระยะห่างทางสังคมของผู้ปฏิบัติงาน และการปิดสถานที่ อีกทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ยังได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการแก่ประชาชน/เกษตรกร/ผู้ประกอบการ อาทิ การให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบออนไลน์ ทั้ง Mobile Application ได้แก่ Line Facebook รวมถึงบริการให้คําแนะนําผ่าน Call Center ด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับฟังการรายงานผลการดําเนินงานจากหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงเกษตรฯ ได้แก่ สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในการวิเคราะห์ผลกระทบและความเสี่ยงทางด้านการเกษตรจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กรมส่งเสริมการเกษตร ได้มีการประเมินสินค้าที่ได้รับผลกระทบ ทั้งมะม่วง ที่ผลิตเพื่อการส่งออก พืชผัก ที่กระทบกับผู้ขายรายย่อย ผลไม้ ในการเพิ่มช่องทางพิเศษในการขนส่ง และไม้ดอก ในการจัดหาตลาดรองรับ กรมปศุสัตว์ รายงานสถานการณ์ไข่ไก่ โคเนื้อ สุกร และนมโค ที่มีเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์ กรมประมง รายงานการส่งออกสินค้าประมง โดยเฉพาะอาหารสดและอาหารแช่แข็ง ที่คาดว่าจะลดลงประมาณ 10 – 20% เมื่อเทียบกับปี 2562 การนําเข้าสินค้า มีแนวโน้มลดลง และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา สินค้าที่อาจได้รับผลกระทบ คือ กุ้ง ปลาน้ําจืด และปลาสวยงาม โดยได้มีการกําหนดมาตรการแก้ไขในระยะสั้นไว้ กรมการข้าว รายงานผลผลิตข้าวนาปี จํานวน 24 ล้านตัน เพียงพอสําหรับการบริโภคภายในประเทศ และความก้าวหน้าการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวให้แก่เกษตรกรที่ประสบอุทกภัยและภัยแล้งปี 2562 กรมส่งเสริมสหกรณ์ รายงานการกระจายสินค้าผ่านช่องทางสหกรณ์การเกษตรกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ และการลดภาระหนี้สินให้กับสมาชิกสหกรณ์ และกรมวิชาการเกษตร รายงานผลการบริการ การตรวจรับรองมาตรฐานสินค้าพืช และการตรวจรับรองโรงงานคัดบรรจุ สําหรับการส่งออกที่จะต้องได้รับมาตรฐาน GAP อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติงานภายใต้ประกาศที่ทางรัฐบาลกําหนด แต่ต้องไม่กระทบกับการบริการให้กับประชาชน อีกทั้งให้หาแนวทางหรือมาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบันด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28153
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561เวลา 20.15 น.ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสําคัญได้ดังนี้ เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพรปีใหม่ แก่พสกนิกรชาวไทยทุก ๆ คน โดยทรงพระราชทานพรและความปรารถนาดี ให้ปวงชนชาวไทยมีกําลังกาย กําลังใจ และสติปัญญาที่แจ่มใส เข้มแข็ง มีความสุขความเจริญอันเป็นมงคลยิ่งๆ ขึ้นไป อีกทั้ง ทรงขอพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง ให้ปกป้องคุ้มครองพสกนิกรชาวไทยทุกคนและมีขวัญกําลังใจ ในการที่จะเป็นพลังที่เข้มแข็งต่อประเทศ และชาติบ้านเมืองสืบต่อไป นอกจากนี้ ทรงมีพระราชดํารัสว่า ในรอบปีที่ผ่านมา บ้านเมืองของเราได้มีเหตุการณ์สําคัญเกิดขึ้นหลายอย่าง ซึ่งเราทั้งหลายก็คงจะตระหนักทราบดีอยู่แล้ว โดยทรงพระราชทานสติ ไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆ จะเกิดขึ้น ก็ขอให้เราคนไทยสามารถฝ่าฟันไปด้วยกันได้อย่างดี ด้วยความขันติ ใจเย็น ค่อยคิดค่อยทําไปอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นด้วยสติและเหตุผลอันพอเหมาะพอควร เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ทั้งนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานที่น่าชื่นชมว่า กิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” ซึ่งจัดต่อเนื่องมาทุกปี ปีนี้ มีพี่น้องสาธุชนเข้าร่วมมากถึงราว 20 ล้านคน จากทุกศาสนา ในราชอาณาจักรไทย หรือ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าไม่เพียงแต่การท่องบทสวดมนต์เท่านั้น แต่ได้นําหลักธรรมไปปฏิบัติในการคลองชีวิตประจําวัน ย่อมช่วยยกระดับจิตใจทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ และช่วยสร้างความเจริญให้กับบ้านเมืองพร้อมมอบสิ่งที่ดีให้แก่กันและกัน คือการ “คิดดี พูดดี ทําดี” แก่กัน พร้อมทั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาทั้งทางร่างกายและจิตใจ ควบคู่กันไปอย่างสมดุล ชีวิตจึงจะมีความสุขส่งผลให้ประเทศชาติมีการพัฒนาทั้งทางวัตถุและทางความรู้สึกนึกคิด จึงจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ปัญหาหนี้สินเป็นประเด็นสําคัญที่เป็นภาระของผู้มีรายได้น้อย ที่ฉุดรั้งการพัฒนาคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยหนี้ครัวเรือนของประเทศอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง คือภาระหนี้ของประชาชน คิดเป็นเกือบร้อยละ 80 ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายสาธารณะ ที่ไม่ส่งเสริมการออมแม้ 3 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขหนี้ครัวเรือนจะลดลงบ้าง แต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า เพราะด้วยเศรษฐกิจที่อ่อนแอเป็นเวลานาน และการฟื้นตัวอาจยังไม่ทั่วถึง ทําให้หนี้สินไม่ได้ลดลงมากนัก แม้รัฐบาลจะมีมาตรการหลาย ๆ ด้าน ทั้งการปรับโครงสร้าง การพักชําระหนี้ของพี่น้องเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ รวมถึง “คลินิกแก้หนี้” สําหรับผู้ที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว นอกจากในเรื่องของการเพิ่มรายได้ที่รัฐบาลได้เร่งดําเนินการช่วยเหลือในหลายด้านแล้วก็ต้องอาศัยการปรับตัวของพี่น้องประชาชน โดยร่วมกันคนละไม้ละมือ เรื่องเพิ่มวินัยทางการเงิน มีการเก็บออมกันให้ได้มากขึ้น ทั้งนี้การออมเป็นเรื่องสําคัญ ที่เราต้องใส่ใจ และปลูกฝังเยาวชนไทยในวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้เรายังมีงานทํา มีรายได้ มีเรี่ยวแรงในการทํามาหาเลี้ยงชีพหรือไม่ หรือต่อไป เมื่อเราเกษียณอายุไปแล้ว หากไม่มีรายได้ ไม่มีเงินออมไว้ในอดีตที่เพียงพอเลี้ยงตัวเองได้ ยิ่งหากใครไม่มีลูกหลาน ไม่มีใครให้พึ่งพา แล้วจะทําอย่างไร คงจะต้องคิดไว้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้น ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุประมาณ 10 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 6 ของประชากรทั้งประเทศ และผู้มีอายุ 35 - 60 ปี ที่เป็นวัยแรงงานของเราในวันนี้ ก็กําลังเข้าสู่วัยชราในอนาคตอันใกล้ โดยสัดส่วนวัยแรงงาน กับ วัยชราจะเปลี่ยนไปอย่างน่ากังวล จากปัจจุบันประชากรวัยแรงงาน 4 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน แต่ในอีก 25 ปี จะเหลือประชากรวัยแรงงานเพียง 2 คน ต่อผู้สูงอายุ 1 คน ส่งผลให้ภาพรวมของประเทศ วัยแรงงาน ต้องแบกภาระ เพิ่มเป็น 2 เท่าโดยต้องทํางานหนักขึ้น แต่ต้องรักษาระดับการผลิตไม่ลดลงจากเดิม รวมทั้ง ยังคงต้องพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศ ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันหรือทัดเทียมนานาอารยประเทศ ซึ่งรัฐบาลต้องเตรียมการเพื่อสิ่งนี้ และคนไทยทุกคนก็ต้องเตรียมตัวเองเช่นกัน นับเป็นความมั่นคงอีกรูปแบบหนึ่ง ที่รัฐบาลนี้ตระหนักดี และขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคน การออมเพื่อมีเงินใช้จ่ายหลังเกษียณได้ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร โดยจะมีเงินจากรัฐบาล หรือนายจ้าง มาช่วยสมทบเงินออมด้วย เพื่อให้คนไทยทุกกลุ่มมีเงินใช้หลังเกษียณผ่านกองทุนประกันสังคม และกองทุนการออมแห่งชาติ โดยรัฐบาลจะช่วยสมทบการออมให้กับทุกคนด้วย ซึ่งกองทุนการออมแห่งชาตินี้ จัดตั้งขึ้นในปี 2558 โดยรัฐบาลนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการออมให้กับพี่น้องประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระ โดยสมัครใจและเป็นการออมที่ต้องวางแผนเพื่ออนาคตเมื่อเกษียณแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีถือว่า“การออม”ในวันนี้จะเป็นสิ่งสําคัญช่วยสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนให้กับทุกคน โดยนายกรัฐมนตรีไม่ได้ต้องการให้ทุกคนรวย แต่นายกรัฐมนตรีต้องการให้ทุกคนมี “ค่าใช้จ่ายที่พอเพียงแก่ตน” ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ปัญหาสําหรับผู้มีรายได้น้อย คือ จะออมอย่างไร ในเมื่อรายได้ทุกวันนี้ ก็ไม่พอจะใช้จ่ายอยู่แล้ว นายกรัฐมนตรีก็ขอเป็นกําลังใจ โดยขอให้ลองตรึกตรองถึงการเติมน้ําใส่ตุ่มที่ก้นรั่วการเติมน้ําคือ รายได้ส่วนน้ํารั่วคือรายจ่ายหากเราต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็ต้องเติมน้ําให้ได้มากกว่าน้ํารั่วอยู่เสมอ หรือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของตนให้สูงขึ้น ตามจํานวนลูกค้า ซึ่งสามารถทําสถิติช่วงเวลาของวัน และแต่ละวันในสัปดาห์ได้อีกวิธีคือการอุดรูรั่วจะทําได้ก็ต้องมีการทําบัญชีครัวเรือน ซึ่งช่วยวิเคราะห์ ลดรายจ่ายที่ไม่จําเป็นจัดลําดับความสําคัญ ความเร่งด่วนและวางแผนการเก็บเงินเพื่อค่าใช้จ่ายในอนาคตที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ ซึ่งปีใหม่นี้ นายกรัฐมนตรีก็อยากให้ทุกคนทบทวนตนเอง และพัฒนาตนเอง รวมทั้งฝากให้ได้คิดว่า ยิ่งเริ่มออมได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะทําให้อยู่ได้อย่างมั่นใจ ประเด็นบทบาทของท้องถิ่นและการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งในแต่ละปี งบประมาณท้องถิ่นจะประกอบด้วย รายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บได้เอง เช่น ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีบํารุงท้องที่ เป็นต้น และเงินภาษีที่รัฐจัดสรรให้รวมถึงเงินอุดหนุนเพิ่มเติม เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถนําไปใช้บริหารจัดการ และดําเนินการโครงการต่าง ๆ ตามความต้องการของชุมชนได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับการกระจายอํานาจไปยังท้องถิ่น และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนได้อย่างตรงจุดด้วยโดยในปีงบประมาณ 2561 นี้ รายได้ทั้งหมดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อยู่ที่ 720,000 ล้านบาท นอกเหนือไปจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรลงสู่ท้องถิ่นโดยตรงแล้ว รัฐบาลยังมีการจัดสรรงบประมาณไปสู่กระทรวงต่างๆ ในการใช้จ่ายสําหรับการบริหารจัดการโครงการในภาพรวมของประเทศ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ําในขนาดใหญ่ การดูแลโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารของประเทศ หรือการก่อสร้าง พัฒนา ซ่อมแซมทางหลวงสายหลักที่เชื่อมจังหวัด หรือภูมิภาค เป็นต้น ส่วนถนนสายรองๆ ลงไป ก็จะอยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละท้องถิ่นในการบริหารจัดการจากงบประมาณ ตามที่ได้รับการจัดสรรไป โดยในส่วนของการใช้งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น สามารถดําเนินการได้ตามโครงการที่ได้รับอนุมัติและเงื่อนไขที่กําหนดไว้ โดยต้องมีกระบวนการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยงบอุดหนุนเฉพาะกิจที่จะระบุโครงการชัดเจน หากเหลือก็ต้องนําส่งคืนคลัง ส่วนเงินที่เหลือจ่ายจากงบประมาณที่ อปท. ได้รับไว้ภายในวันสิ้นปีงบประมาณของทุกปี จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ (1) ร้อยละ 25 เก็บไว้เป็นเงินทุนสํารองเงินสะสมและ (2) อีกร้อยละ 75 ให้ถือเป็นเงินสะสมเพื่อให้ อปท. มีฐานะการเงินการคลังที่มั่นคง พร้อมรับภาระและแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในอนาคต ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ หรือนําไปจัดบริการสาธารณะให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ดีเงินสะสมก้อนนี้ สามารถนําออกมาใช้ได้ แต่ไม่ทั้งหมด ซึ่งต้องเป็นไปตามเงื่อนไข และตามสัดส่วน ที่กําหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยส่วนหนึ่งถูกกันไว้เพื่อสํารองเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร เงินรายจ่ายประจําที่ต้องจ่ายให้กับประชาชน เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หรือเงินเบี้ยความพิการ และกรณีเกิดสาธารณภัย เป็นต้นนอกจากนี้ เพื่อความโปร่งใส หากมีการนําเงินสะสมออกไปใช้ในโครงการต่างๆ อปท. จะต้องรายงานให้จังหวัดทราบ ซึ่งจังหวัดจะติดตามและรายงานผลการใช้เงินผ่านทางระบบ E-plan มาสู่ส่วนกลาง ให้สามารถตรวจสอบได้ด้วย ดังนั้นจะเห็นว่าเงินสะสมบางจังหวัดอยู่ในระดับสูง บางจังหวัดก็มีไม่มากนัก จึงอาจเป็นข้อจํากัดด้านโครงสร้าง ที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาเพิ่มเติม เพื่อลดความเหลื่อมล้ําที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมในระยะต่อไปด้วย รัฐบาลนี้ให้ความสําคัญกับการกระจายอํานาจไปสู่ท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นการให้โอกาส หรือช่องทางสําหรับพื้นที่และชุมชนในการพัฒนาตนเอง ให้ได้ตามความต้องการมากขึ้น โดยท้องถิ่นต้องรู้ในศักยภาพของตนเอง พร้อมพัฒนาจุดนั้นให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างอัตลักษณ์ สร้างแบรนด์ให้กับพื้นที่ของตน รวมทั้งส่งเสริมการค้าและการลงทุนแล้ว ยังเป็นการพัฒนาที่เป้าหมายที่ชัดเจนซึ่งจะทําให้ทั้งท้องถิ่นเดินหน้าไปด้วยกันได้ดีขึ้น โดยใช้ทรัพยากรและงบประมาณที่คุ้มค่าต้องสอดคล้องกับภาพรวมของประเทศ หรือยุทธศาสตร์ชาติ หาก อปท. และส่วนภูมิภาคเข้าใจในนโยบายนี้ดี ก็จะรู้รัฐบาลนี้ พยายามที่จะกระจายความเจริญ ไปสู่ทุกจังหวัดที่มีเมืองหลัก เมืองรอง เมืองท่า เมืองชายแดนมีเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ มีเครือข่ายการคมนาคม ทั้งทางบก ราง น้ํา อากาศ ให้สามารถเชื่อมโยงกันได้ ซึ่งไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาจราจรช่วงเทศกาลเท่านั้น แต่ยังเป็นการลดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจและสังคมของคนไทยทั้งประเทศได้ภาคภูมิใจในถิ่นเกิดของตน ไม่ต้องมาแสวงโชคในเมืองจนเกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย ทั้งยาเสพติด อาชญากรรม แต่ละ อปท. จังหวัด กลุ่มจังหวัด ภาค ต้องมีแผนการพัฒนา โดยชูศักยภาพ จุดขาย จุดแข็งของตน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ที่จะส่งเสริมกันในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนเพื่ออนาคตที่พยายามเป็น Smart City และอีกหลายจังหวัดที่ก็สามารถส่งเสริมเป็นMICE City ได้ ทั้งนี้ ธุรกิจการประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การประชุมนานาชาติและการจัดแสดงสินค้าและนิทรรศการต่างๆ นับเป็นเครือข่ายธุรกิจที่กําลังเติบโต มีอนาคตไกล สามารถเชื่อมเรื่องการทํางาน การประกอบธุรกิจ เข้ากับการท่องเที่ยวได้ โดย นักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้ถือเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ เพราะเป็นนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ นักวิชาการ ที่มีการใช้จ่ายเป็นค่าที่พัก เดินทาง อาหารสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป กระจายรายได้แทรกซึมไปอย่างทั่วถึง ทุกสาขาอาชีพ ของสังคมในท้องถิ่น ทั้งนี้วิสัยทัศน์การพัฒนาท้องถิ่นแบบนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือกลไกประชารัฐในแต่ละชุมชน ท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค ประเทศในภาพรวมเชื่อมโยงกัน โดยการใช้งบประมาณต้องมีประสิทธิภาพอาจเป็นงบประมาณท้องถิ่นเอง งบประมาณแผ่นดินที่ต้องเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ หรือการร่วมทุนกับเอกชน หรือ PPP ก็ตาม สิ่งสําคัญที่นอกจากความร่วมมือในด้านการพัฒนาแล้ว เราทุกคนต่างมีหน้าที่พลเมืองในการสอดส่อง ป้องกัน การทุจริตอีกด้วย .................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561เวลา 20.15 น.ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสําคัญได้ดังนี้ เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2561 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพรปีใหม่ แก่พสกนิกรชาวไทยทุก ๆ คน โดยทรงพระราชทานพรและความปรารถนาดี ให้ปวงชนชาวไทยมีกําลังกาย กําลังใจ และสติปัญญาที่แจ่มใส เข้มแข็ง มีความสุขความเจริญอันเป็นมงคลยิ่งๆ ขึ้นไป อีกทั้ง ทรงขอพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง ให้ปกป้องคุ้มครองพสกนิกรชาวไทยทุกคนและมีขวัญกําลังใจ ในการที่จะเป็นพลังที่เข้มแข็งต่อประเทศ และชาติบ้านเมืองสืบต่อไป นอกจากนี้ ทรงมีพระราชดํารัสว่า ในรอบปีที่ผ่านมา บ้านเมืองของเราได้มีเหตุการณ์สําคัญเกิดขึ้นหลายอย่าง ซึ่งเราทั้งหลายก็คงจะตระหนักทราบดีอยู่แล้ว โดยทรงพระราชทานสติ ไม่ว่าเหตุการณ์ใดๆ จะเกิดขึ้น ก็ขอให้เราคนไทยสามารถฝ่าฟันไปด้วยกันได้อย่างดี ด้วยความขันติ ใจเย็น ค่อยคิดค่อยทําไปอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นด้วยสติและเหตุผลอันพอเหมาะพอควร เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ทั้งนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานที่น่าชื่นชมว่า กิจกรรม “สวดมนต์ข้ามปี” ซึ่งจัดต่อเนื่องมาทุกปี ปีนี้ มีพี่น้องสาธุชนเข้าร่วมมากถึงราว 20 ล้านคน จากทุกศาสนา ในราชอาณาจักรไทย หรือ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าไม่เพียงแต่การท่องบทสวดมนต์เท่านั้น แต่ได้นําหลักธรรมไปปฏิบัติในการคลองชีวิตประจําวัน ย่อมช่วยยกระดับจิตใจทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ และช่วยสร้างความเจริญให้กับบ้านเมืองพร้อมมอบสิ่งที่ดีให้แก่กันและกัน คือการ “คิดดี พูดดี ทําดี” แก่กัน พร้อมทั้งสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และพัฒนาทั้งทางร่างกายและจิตใจ ควบคู่กันไปอย่างสมดุล ชีวิตจึงจะมีความสุขส่งผลให้ประเทศชาติมีการพัฒนาทั้งทางวัตถุและทางความรู้สึกนึกคิด จึงจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ปัญหาหนี้สินเป็นประเด็นสําคัญที่เป็นภาระของผู้มีรายได้น้อย ที่ฉุดรั้งการพัฒนาคนส่วนใหญ่ของประเทศ โดยหนี้ครัวเรือนของประเทศอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง คือภาระหนี้ของประชาชน คิดเป็นเกือบร้อยละ 80 ของรายได้ทั้งหมดของประเทศ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายสาธารณะ ที่ไม่ส่งเสริมการออมแม้ 3 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขหนี้ครัวเรือนจะลดลงบ้าง แต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า เพราะด้วยเศรษฐกิจที่อ่อนแอเป็นเวลานาน และการฟื้นตัวอาจยังไม่ทั่วถึง ทําให้หนี้สินไม่ได้ลดลงมากนัก แม้รัฐบาลจะมีมาตรการหลาย ๆ ด้าน ทั้งการปรับโครงสร้าง การพักชําระหนี้ของพี่น้องเกษตรกรที่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ รวมถึง “คลินิกแก้หนี้” สําหรับผู้ที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงิน อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว นอกจากในเรื่องของการเพิ่มรายได้ที่รัฐบาลได้เร่งดําเนินการช่วยเหลือในหลายด้านแล้วก็ต้องอาศัยการปรับตัวของพี่น้องประชาชน โดยร่วมกันคนละไม้ละมือ เรื่องเพิ่มวินัยทางการเงิน มีการเก็บออมกันให้ได้มากขึ้น ทั้งนี้การออมเป็นเรื่องสําคัญ ที่เราต้องใส่ใจ และปลูกฝังเยาวชนไทยในวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้เรายังมีงานทํา มีรายได้ มีเรี่ยวแรงในการทํามาหาเลี้ยงชีพหรือไม่ หรือต่อไป เมื่อเราเกษียณอายุไปแล้ว หากไม่มีรายได้ ไม่มีเงินออมไว้ในอดีตที่เพียงพอเลี้ยงตัวเองได้ ยิ่งหากใครไม่มีลูกหลาน ไม่มีใครให้พึ่งพา แล้วจะทําอย่างไร คงจะต้องคิดไว้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้น ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุประมาณ 10 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 6 ของประชากรทั้งประเทศ และผู้มีอายุ 35 - 60 ปี ที่เป็นวัยแรงงานของเราในวันนี้ ก็กําลังเข้าสู่วัยชราในอนาคตอันใกล้ โดยสัดส่วนวัยแรงงาน กับ วัยชราจะเปลี่ยนไปอย่างน่ากังวล จากปัจจุบันประชากรวัยแรงงาน 4 คนต่อผู้สูงอายุ 1 คน แต่ในอีก 25 ปี จะเหลือประชากรวัยแรงงานเพียง 2 คน ต่อผู้สูงอายุ 1 คน ส่งผลให้ภาพรวมของประเทศ วัยแรงงาน ต้องแบกภาระ เพิ่มเป็น 2 เท่าโดยต้องทํางานหนักขึ้น แต่ต้องรักษาระดับการผลิตไม่ลดลงจากเดิม รวมทั้ง ยังคงต้องพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศ ให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันหรือทัดเทียมนานาอารยประเทศ ซึ่งรัฐบาลต้องเตรียมการเพื่อสิ่งนี้ และคนไทยทุกคนก็ต้องเตรียมตัวเองเช่นกัน นับเป็นความมั่นคงอีกรูปแบบหนึ่ง ที่รัฐบาลนี้ตระหนักดี และขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกคน การออมเพื่อมีเงินใช้จ่ายหลังเกษียณได้ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร โดยจะมีเงินจากรัฐบาล หรือนายจ้าง มาช่วยสมทบเงินออมด้วย เพื่อให้คนไทยทุกกลุ่มมีเงินใช้หลังเกษียณผ่านกองทุนประกันสังคม และกองทุนการออมแห่งชาติ โดยรัฐบาลจะช่วยสมทบการออมให้กับทุกคนด้วย ซึ่งกองทุนการออมแห่งชาตินี้ จัดตั้งขึ้นในปี 2558 โดยรัฐบาลนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกในการออมให้กับพี่น้องประชาชนที่ประกอบอาชีพอิสระ โดยสมัครใจและเป็นการออมที่ต้องวางแผนเพื่ออนาคตเมื่อเกษียณแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีถือว่า“การออม”ในวันนี้จะเป็นสิ่งสําคัญช่วยสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนให้กับทุกคน โดยนายกรัฐมนตรีไม่ได้ต้องการให้ทุกคนรวย แต่นายกรัฐมนตรีต้องการให้ทุกคนมี “ค่าใช้จ่ายที่พอเพียงแก่ตน” ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ปัญหาสําหรับผู้มีรายได้น้อย คือ จะออมอย่างไร ในเมื่อรายได้ทุกวันนี้ ก็ไม่พอจะใช้จ่ายอยู่แล้ว นายกรัฐมนตรีก็ขอเป็นกําลังใจ โดยขอให้ลองตรึกตรองถึงการเติมน้ําใส่ตุ่มที่ก้นรั่วการเติมน้ําคือ รายได้ส่วนน้ํารั่วคือรายจ่ายหากเราต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็ต้องเติมน้ําให้ได้มากกว่าน้ํารั่วอยู่เสมอ หรือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของตนให้สูงขึ้น ตามจํานวนลูกค้า ซึ่งสามารถทําสถิติช่วงเวลาของวัน และแต่ละวันในสัปดาห์ได้อีกวิธีคือการอุดรูรั่วจะทําได้ก็ต้องมีการทําบัญชีครัวเรือน ซึ่งช่วยวิเคราะห์ ลดรายจ่ายที่ไม่จําเป็นจัดลําดับความสําคัญ ความเร่งด่วนและวางแผนการเก็บเงินเพื่อค่าใช้จ่ายในอนาคตที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ ซึ่งปีใหม่นี้ นายกรัฐมนตรีก็อยากให้ทุกคนทบทวนตนเอง และพัฒนาตนเอง รวมทั้งฝากให้ได้คิดว่า ยิ่งเริ่มออมได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะทําให้อยู่ได้อย่างมั่นใจ ประเด็นบทบาทของท้องถิ่นและการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งในแต่ละปี งบประมาณท้องถิ่นจะประกอบด้วย รายได้ที่ท้องถิ่นจัดเก็บได้เอง เช่น ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ภาษีบํารุงท้องที่ เป็นต้น และเงินภาษีที่รัฐจัดสรรให้รวมถึงเงินอุดหนุนเพิ่มเติม เพื่อให้ท้องถิ่นสามารถนําไปใช้บริหารจัดการ และดําเนินการโครงการต่าง ๆ ตามความต้องการของชุมชนได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับการกระจายอํานาจไปยังท้องถิ่น และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนได้อย่างตรงจุดด้วยโดยในปีงบประมาณ 2561 นี้ รายได้ทั้งหมดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อยู่ที่ 720,000 ล้านบาท นอกเหนือไปจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรลงสู่ท้องถิ่นโดยตรงแล้ว รัฐบาลยังมีการจัดสรรงบประมาณไปสู่กระทรวงต่างๆ ในการใช้จ่ายสําหรับการบริหารจัดการโครงการในภาพรวมของประเทศ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ําในขนาดใหญ่ การดูแลโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารของประเทศ หรือการก่อสร้าง พัฒนา ซ่อมแซมทางหลวงสายหลักที่เชื่อมจังหวัด หรือภูมิภาค เป็นต้น ส่วนถนนสายรองๆ ลงไป ก็จะอยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละท้องถิ่นในการบริหารจัดการจากงบประมาณ ตามที่ได้รับการจัดสรรไป โดยในส่วนของการใช้งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น สามารถดําเนินการได้ตามโครงการที่ได้รับอนุมัติและเงื่อนไขที่กําหนดไว้ โดยต้องมีกระบวนการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยงบอุดหนุนเฉพาะกิจที่จะระบุโครงการชัดเจน หากเหลือก็ต้องนําส่งคืนคลัง ส่วนเงินที่เหลือจ่ายจากงบประมาณที่ อปท. ได้รับไว้ภายในวันสิ้นปีงบประมาณของทุกปี จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ (1) ร้อยละ 25 เก็บไว้เป็นเงินทุนสํารองเงินสะสมและ (2) อีกร้อยละ 75 ให้ถือเป็นเงินสะสมเพื่อให้ อปท. มีฐานะการเงินการคลังที่มั่นคง พร้อมรับภาระและแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในอนาคต ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ หรือนําไปจัดบริการสาธารณะให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ดีเงินสะสมก้อนนี้ สามารถนําออกมาใช้ได้ แต่ไม่ทั้งหมด ซึ่งต้องเป็นไปตามเงื่อนไข และตามสัดส่วน ที่กําหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรโดยส่วนหนึ่งถูกกันไว้เพื่อสํารองเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร เงินรายจ่ายประจําที่ต้องจ่ายให้กับประชาชน เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หรือเงินเบี้ยความพิการ และกรณีเกิดสาธารณภัย เป็นต้นนอกจากนี้ เพื่อความโปร่งใส หากมีการนําเงินสะสมออกไปใช้ในโครงการต่างๆ อปท. จะต้องรายงานให้จังหวัดทราบ ซึ่งจังหวัดจะติดตามและรายงานผลการใช้เงินผ่านทางระบบ E-plan มาสู่ส่วนกลาง ให้สามารถตรวจสอบได้ด้วย ดังนั้นจะเห็นว่าเงินสะสมบางจังหวัดอยู่ในระดับสูง บางจังหวัดก็มีไม่มากนัก จึงอาจเป็นข้อจํากัดด้านโครงสร้าง ที่รัฐบาลจะต้องพิจารณาเพิ่มเติม เพื่อลดความเหลื่อมล้ําที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมในระยะต่อไปด้วย รัฐบาลนี้ให้ความสําคัญกับการกระจายอํานาจไปสู่ท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นการให้โอกาส หรือช่องทางสําหรับพื้นที่และชุมชนในการพัฒนาตนเอง ให้ได้ตามความต้องการมากขึ้น โดยท้องถิ่นต้องรู้ในศักยภาพของตนเอง พร้อมพัฒนาจุดนั้นให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างอัตลักษณ์ สร้างแบรนด์ให้กับพื้นที่ของตน รวมทั้งส่งเสริมการค้าและการลงทุนแล้ว ยังเป็นการพัฒนาที่เป้าหมายที่ชัดเจนซึ่งจะทําให้ทั้งท้องถิ่นเดินหน้าไปด้วยกันได้ดีขึ้น โดยใช้ทรัพยากรและงบประมาณที่คุ้มค่าต้องสอดคล้องกับภาพรวมของประเทศ หรือยุทธศาสตร์ชาติ หาก อปท. และส่วนภูมิภาคเข้าใจในนโยบายนี้ดี ก็จะรู้รัฐบาลนี้ พยายามที่จะกระจายความเจริญ ไปสู่ทุกจังหวัดที่มีเมืองหลัก เมืองรอง เมืองท่า เมืองชายแดนมีเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ มีเครือข่ายการคมนาคม ทั้งทางบก ราง น้ํา อากาศ ให้สามารถเชื่อมโยงกันได้ ซึ่งไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาจราจรช่วงเทศกาลเท่านั้น แต่ยังเป็นการลดความเหลื่อมล้ําทางเศรษฐกิจและสังคมของคนไทยทั้งประเทศได้ภาคภูมิใจในถิ่นเกิดของตน ไม่ต้องมาแสวงโชคในเมืองจนเกิดปัญหาสังคมตามมามากมาย ทั้งยาเสพติด อาชญากรรม แต่ละ อปท. จังหวัด กลุ่มจังหวัด ภาค ต้องมีแผนการพัฒนา โดยชูศักยภาพ จุดขาย จุดแข็งของตน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ที่จะส่งเสริมกันในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนเพื่ออนาคตที่พยายามเป็น Smart City และอีกหลายจังหวัดที่ก็สามารถส่งเสริมเป็นMICE City ได้ ทั้งนี้ ธุรกิจการประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การประชุมนานาชาติและการจัดแสดงสินค้าและนิทรรศการต่างๆ นับเป็นเครือข่ายธุรกิจที่กําลังเติบโต มีอนาคตไกล สามารถเชื่อมเรื่องการทํางาน การประกอบธุรกิจ เข้ากับการท่องเที่ยวได้ โดย นักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้ถือเป็นนักท่องเที่ยวคุณภาพ เพราะเป็นนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ นักวิชาการ ที่มีการใช้จ่ายเป็นค่าที่พัก เดินทาง อาหารสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป กระจายรายได้แทรกซึมไปอย่างทั่วถึง ทุกสาขาอาชีพ ของสังคมในท้องถิ่น ทั้งนี้วิสัยทัศน์การพัฒนาท้องถิ่นแบบนี้ ต้องอาศัยความร่วมมือกลไกประชารัฐในแต่ละชุมชน ท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค ประเทศในภาพรวมเชื่อมโยงกัน โดยการใช้งบประมาณต้องมีประสิทธิภาพอาจเป็นงบประมาณท้องถิ่นเอง งบประมาณแผ่นดินที่ต้องเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ หรือการร่วมทุนกับเอกชน หรือ PPP ก็ตาม สิ่งสําคัญที่นอกจากความร่วมมือในด้านการพัฒนาแล้ว เราทุกคนต่างมีหน้าที่พลเมืองในการสอดส่อง ป้องกัน การทุจริตอีกด้วย .................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9217
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ กำหนดยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ กําหนดยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย กระทรวงเกษตรฯ กําหนดยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย ปี 2560 – 2564 เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าเกษตร อันจะเป็นการช่วยเหลือคุ้มครองอาชีพเกลือทะเลให้มีความมั่นคงและยั่งยืน กระทรวงเกษตรฯ กําหนดยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย ปี 2560 – 2564 เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าเกษตร อันจะเป็นการช่วยเหลือคุ้มครองอาชีพเกลือทะเลให้มีความมั่นคงและยั่งยืน นายอานัติ วิเศษรจนา ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการชี้แจงแนวทางการบริหารจัดการเกลือทะเลทั้งระบบ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 เห็นชอบให้การทํานาเกลือในส่วนที่เป็นเกลือสมุทรเป็น “เกษตรกรรม” และผู้ทํานาเกลือเป็น “เกษตรกร” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้กําหนดยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย ปี 2560 – 2564 เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าเกษตร อันจะเป็นการช่วยเหลือคุ้มครองอาชีพเกลือทะเลให้มีความมั่นคงและยั่งยืน โดยกําหนดแนวทางการดําเนินงานในลักษณะเกษตรแปลงใหญ่ โดยใช้ระบบสหกรณ์ และดําเนินการตามนโยบายตลาดนําการผลิต เพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้ ส่งผลให้อาชีพนี้คงอยู่คู่กับประเทศไทยสืบไป ซึ่งปัจจุบันได้มีการจัดตั้งชุมนุมสหกรณ์เกลือทะเลไทย จํากัด เพื่อทําหน้าที่เป็นตัวแทนเกษตรกรชาวนาเกลือทะเล ในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการเกลือทะเลของ 3 จังหวัด ได้แก่ เพชรบุรี สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ให้เกิดความเข้มแข็งของเกษตรกรชาวนาเกลือทะเลต่อไป สําหรับชุมนุมสหกรณ์เกลือทะเลไทย จํากัด มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาราคาเกลือที่ตกต่ํา กําหนดทิศทางและนโยบายเกี่ยวกับเกลือทะเล โดยเฉพาะราคาเกลือให้มีเสถียรภาพมากขึ้น จนขายได้ราคาสูงกว่าต้นทุนการผลิต โดยให้ชุมนุมสหกรณ์เกลือทะเลไทย จํากัด เป็นจุดศูนย์กลางในการรวมกันซื้อรวมกันขาย เจรจาต่อรองในการกําหนดทิศทางของราคาเกลือทะเล เพื่อสร้างเสถียรภาพราคาเกลือทะเลให้เกิดความมั่นคงไม่ผันผวน อีกทั้งยังมีเป้าหมายในการอนุรักษ์พื้นที่ทํานาเกลือทะเลของประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และทําให้สมาชิกสหกรณ์ชาวนาเกลือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มั่นคงขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วยระบบสหกรณ์ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สํานักงานสหกรณ์จังหวัดเพชรบุรี และสํานักงานพาณิชย์จังหวัดเพชรบุรี ร่วมกับชุมนุมสหกรณ์เกลือทะเลไทย จํากัด ได้กําหนดวิธีจําหน่ายเกลือทะเลโดยวิธีแบบประมูล ระหว่างเดือนมกราคม - มิถุนายน 2562 เพื่อให้เกิดการยกระดับราคาเกลือทะเล โดยมีการกําหนดจุดจําหน่าย 3 จุด คือ จุดที่ 1 จังหวัดสมุทรสาคร เปิดประมูลทุกวันจันทร์ เวลา 10.00 น. ณ สํานักงานสหกรณ์กรุงเทพ จํากัด ต.โคกขาม อ.เมือง จุดที่ 2 จังหวัดสมุทรสงคราม เปิดประมูลทุกวันพุธ เวลา 10.00 น. ณ สํานักงานสหกรณ์จังหวัดสมุทรสงคราม และจุดที่ 3 จังหวัดเพชรบุรี เปิดประมูลทุกวันศุกร์ เวลา 10.00 น. ณ สํานักงานสหกรณ์การเกษตรเกลือทะเลไทยเพชรบุรี จํากัด โดยในปี 2562 มีปริมาณเกลือแต่ละประเภท ได้แก่ เกลือขาว มีจํานวน 8,184 ตัน เกลือกลาง มีจํานวน 149,540 ตัน และเกลือดํา มีจํานวน 3,020 ตัน และมีแผนการส่งมอบเกลือของสหกรณ์สมาชิก ในปี 2562 รวมทั้งสิ้น 228 ราย จํานวน 160,744 ตัน “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการบริหารจัดการเกลือทะเลทั้งระบบ ซึ่งจะทําให้เกลือที่ผลิตมีคุณภาพมากขึ้น เกษตรกรทํานาเกลือได้ราคาสูงกว่าต้นทุน เกษตรกรทํานาเกลือได้รับการจัดการหนี้สินเดิม สมาชิกสหกรณ์อนุรักษ์พื้นที่ทํานาเกลือไว้ให้ลูกหลานได้ อีกทั้งรัฐยังสามารถช่วยเหลือเกษตรกรทํานาเกลือโดยใช้ระบบสหกรณ์ได้ นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังได้มีการจัดทํามาตรฐานสินค้าเกษตร จํานวน 2 ฉบับ ซึ่งอยู่ระหว่างดําเนินการตามกระบวนการ ได้แก่ (ร่าง) มาตรฐานสินค้าเกษตรการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับการทํานาเกลือทะเล และ (ร่าง) มาตรฐานสินค้าเกษตรเกลือทะเลธรรมชาติ เพื่อให้การดําเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอเชิญชวนให้เกษตรกรผู้ทํานาเกลือทะเลมาขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อเข้าสู่ระบบ เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะบูรณาการการทํางานตามแนวทางประชารัฐต่อไป” นายอานัติ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ กำหนดยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย วันพุธที่ 9 มกราคม 2562 กระทรวงเกษตรฯ กําหนดยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย กระทรวงเกษตรฯ กําหนดยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย ปี 2560 – 2564 เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าเกษตร อันจะเป็นการช่วยเหลือคุ้มครองอาชีพเกลือทะเลให้มีความมั่นคงและยั่งยืน กระทรวงเกษตรฯ กําหนดยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย ปี 2560 – 2564 เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าเกษตร อันจะเป็นการช่วยเหลือคุ้มครองอาชีพเกลือทะเลให้มีความมั่นคงและยั่งยืน นายอานัติ วิเศษรจนา ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการชี้แจงแนวทางการบริหารจัดการเกลือทะเลทั้งระบบ ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 เห็นชอบให้การทํานาเกลือในส่วนที่เป็นเกลือสมุทรเป็น “เกษตรกรรม” และผู้ทํานาเกลือเป็น “เกษตรกร” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้กําหนดยุทธศาสตร์เกลือทะเลไทย ปี 2560 – 2564 เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาสินค้าเกษตร อันจะเป็นการช่วยเหลือคุ้มครองอาชีพเกลือทะเลให้มีความมั่นคงและยั่งยืน โดยกําหนดแนวทางการดําเนินงานในลักษณะเกษตรแปลงใหญ่ โดยใช้ระบบสหกรณ์ และดําเนินการตามนโยบายตลาดนําการผลิต เพื่อเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้ ส่งผลให้อาชีพนี้คงอยู่คู่กับประเทศไทยสืบไป ซึ่งปัจจุบันได้มีการจัดตั้งชุมนุมสหกรณ์เกลือทะเลไทย จํากัด เพื่อทําหน้าที่เป็นตัวแทนเกษตรกรชาวนาเกลือทะเล ในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการเกลือทะเลของ 3 จังหวัด ได้แก่ เพชรบุรี สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ให้เกิดความเข้มแข็งของเกษตรกรชาวนาเกลือทะเลต่อไป สําหรับชุมนุมสหกรณ์เกลือทะเลไทย จํากัด มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาราคาเกลือที่ตกต่ํา กําหนดทิศทางและนโยบายเกี่ยวกับเกลือทะเล โดยเฉพาะราคาเกลือให้มีเสถียรภาพมากขึ้น จนขายได้ราคาสูงกว่าต้นทุนการผลิต โดยให้ชุมนุมสหกรณ์เกลือทะเลไทย จํากัด เป็นจุดศูนย์กลางในการรวมกันซื้อรวมกันขาย เจรจาต่อรองในการกําหนดทิศทางของราคาเกลือทะเล เพื่อสร้างเสถียรภาพราคาเกลือทะเลให้เกิดความมั่นคงไม่ผันผวน อีกทั้งยังมีเป้าหมายในการอนุรักษ์พื้นที่ทํานาเกลือทะเลของประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และทําให้สมาชิกสหกรณ์ชาวนาเกลือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มั่นคงขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วยระบบสหกรณ์ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สํานักงานสหกรณ์จังหวัดเพชรบุรี และสํานักงานพาณิชย์จังหวัดเพชรบุรี ร่วมกับชุมนุมสหกรณ์เกลือทะเลไทย จํากัด ได้กําหนดวิธีจําหน่ายเกลือทะเลโดยวิธีแบบประมูล ระหว่างเดือนมกราคม - มิถุนายน 2562 เพื่อให้เกิดการยกระดับราคาเกลือทะเล โดยมีการกําหนดจุดจําหน่าย 3 จุด คือ จุดที่ 1 จังหวัดสมุทรสาคร เปิดประมูลทุกวันจันทร์ เวลา 10.00 น. ณ สํานักงานสหกรณ์กรุงเทพ จํากัด ต.โคกขาม อ.เมือง จุดที่ 2 จังหวัดสมุทรสงคราม เปิดประมูลทุกวันพุธ เวลา 10.00 น. ณ สํานักงานสหกรณ์จังหวัดสมุทรสงคราม และจุดที่ 3 จังหวัดเพชรบุรี เปิดประมูลทุกวันศุกร์ เวลา 10.00 น. ณ สํานักงานสหกรณ์การเกษตรเกลือทะเลไทยเพชรบุรี จํากัด โดยในปี 2562 มีปริมาณเกลือแต่ละประเภท ได้แก่ เกลือขาว มีจํานวน 8,184 ตัน เกลือกลาง มีจํานวน 149,540 ตัน และเกลือดํา มีจํานวน 3,020 ตัน และมีแผนการส่งมอบเกลือของสหกรณ์สมาชิก ในปี 2562 รวมทั้งสิ้น 228 ราย จํานวน 160,744 ตัน “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการบริหารจัดการเกลือทะเลทั้งระบบ ซึ่งจะทําให้เกลือที่ผลิตมีคุณภาพมากขึ้น เกษตรกรทํานาเกลือได้ราคาสูงกว่าต้นทุน เกษตรกรทํานาเกลือได้รับการจัดการหนี้สินเดิม สมาชิกสหกรณ์อนุรักษ์พื้นที่ทํานาเกลือไว้ให้ลูกหลานได้ อีกทั้งรัฐยังสามารถช่วยเหลือเกษตรกรทํานาเกลือโดยใช้ระบบสหกรณ์ได้ นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังได้มีการจัดทํามาตรฐานสินค้าเกษตร จํานวน 2 ฉบับ ซึ่งอยู่ระหว่างดําเนินการตามกระบวนการ ได้แก่ (ร่าง) มาตรฐานสินค้าเกษตรการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับการทํานาเกลือทะเล และ (ร่าง) มาตรฐานสินค้าเกษตรเกลือทะเลธรรมชาติ เพื่อให้การดําเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอเชิญชวนให้เกษตรกรผู้ทํานาเกลือทะเลมาขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อเข้าสู่ระบบ เพื่อขับเคลื่อนการดําเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะบูรณาการการทํางานตามแนวทางประชารัฐต่อไป” นายอานัติ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18006
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. ชี้แจงข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการชำระหนี้
วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2560 กยศ. ชี้แจงข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการชําระหนี้ ากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กได้โพสต์ร้องเรียนเรื่องการชําระหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาว่า น้องสาวของตนซึ่งเป็นผู้กู้ยืม กยศ.ได้มีการชําระหนี้และธนาคารได้ออกใบรับเงินโดยระบุเงินชําระหนี้คงเหลือเป็น 0.00 บาทให้แล้ว นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กได้โพสต์ร้องเรียนเรื่องการชําระหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาว่า น้องสาวของตนซึ่งเป็นผู้กู้ยืม กยศ.ได้มีการชําระหนี้และธนาคารได้ออกใบรับเงินโดยระบุเงินชําระหนี้คงเหลือเป็น 0.00 บาทให้แล้ว ต่อมาได้มีการโทรศัพท์สอบถามเจ้าหน้าที่ของกองทุนฯ อีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าน้องสาวได้ชําระหนี้ครบถ้วนแล้วหรือยัง แต่ได้รับคําตอบว่ามีหนี้ที่จะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีก 23,000 กว่าบาท และเบี้ยปรับอีกหมื่นกว่าบาท รวมเป็นหนี้ที่ต้องจ่ายเพิ่มจํานวน 38,000 กว่าบาท นั้น ผู้จัดการกองทุนฯ ขอชี้แจงว่า ผู้กู้ยืมรายนี้ได้กู้ยืมเงินกองทุน กยศ. ไปจํานวน 64,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องชําระหนี้เป็นรายปีๆละ 1 ครั้ง ภายในวันที่ 5 กรกฎาคมของทุกปีให้เสร็จสิ้นภายใน 15 ปี นับแต่จบการศึกษาหรือเลิกศึกษา พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี หากผิดนัดชําระหนี้งวดใดงวดหนึ่งต้องเสียเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของเงินงวดที่ค้างชําระ ซึ่งผู้กู้ยืมจะต้องชําระหนี้ครั้งแรกในปี 2548 แต่ผู้กู้ยืมมิได้ชําระหนี้เป็นเหตุให้กองทุนฯ ได้ยื่นฟ้องผู้กู้ยืม และศาลได้มีคําพิพากษาเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2553 ให้ผู้กู้ยืมชําระเงินจํานวน 68,948.41 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้นจํานวน 64,000 บาท จนกว่าจะชําระหนี้เสร็จสิ้น การที่ศาลได้มีคําพิพากษาดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของดอกเบี้ยจากเดิมคือร้อยละ 1 ต่อปี เป็นร้อยละ 15 ต่อปี ต่อมาการที่ผู้กู้ยืมได้มาชําระหนี้ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญากู้คือดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี โดยชําระเป็น 0.00 บาทนั้น จึงยังมิใช่การชําระหนี้ที่ถูกต้องตามคําพิพากษา หลังจากนั้นเมื่อกองทุนฯ ได้มีการปรับปรุงข้อมูลหนี้ของผู้กู้ยืมรายดังกล่าวให้เป็นไปตามคําพิพากษาของศาล โดยเฉพาะในส่วนของอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 15 ต่อปี จึงเป็นเหตุให้ยอดภาระหนี้ที่ปรากฎในระบบเพิ่มจํานวนขึ้น กองทุนฯ ต้องขออภัยในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ กองทุนฯ ถือว่าการที่ผู้กู้ยืมได้ชําระหนี้ให้แก่กองทุนฯ และมีหลักฐานการชําระหนี้ที่ระบุว่ามีหนี้เป็น 0.00 บาทนั้น เป็นการชําระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว อนึ่ง สําหรับผู้ที่ชําระหนี้ครบถ้วนแล้ว และไม่ได้เก็บหลักฐานไว้ขออย่าได้กังวลใจ เนื่องจากกองทุนฯ สามารถตรวจสอบได้จากรายการชําระหนี้ หากผู้กู้ยืมรายใดมีข้อสงสัยในลักษณะเช่นนี้ ขอให้ติดต่อมายังผู้อํานวยการฝ่ายคดีและบังคับคดี หมายเลขโทรศัพท์ 086-3723386 หรือหัวหน้ากลุ่มงานบังคับคดี หมายเลขโทรศัพท์ 084-0859171 และหากท่านผู้กู้รายใดที่ได้ชําระหนี้ปิดบัญชีแล้วประสงค์จะให้กองทุนฯ ออกหลักฐานเป็นหนังสือการชําระหนี้เสร็จสิ้น ขอให้แจ้งมายังกองทุนฯ เพื่อกองทุนฯ จะดําเนินการให้ต่อไป ทั้งนี้ กองทุนฯ จะดําเนินการปรับปรุงการให้บริการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตลอดจนระมัดระวังไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กยศ. ชี้แจงข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการชำระหนี้ วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2560 กยศ. ชี้แจงข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการชําระหนี้ ากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กได้โพสต์ร้องเรียนเรื่องการชําระหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาว่า น้องสาวของตนซึ่งเป็นผู้กู้ยืม กยศ.ได้มีการชําระหนี้และธนาคารได้ออกใบรับเงินโดยระบุเงินชําระหนี้คงเหลือเป็น 0.00 บาทให้แล้ว นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กได้โพสต์ร้องเรียนเรื่องการชําระหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาว่า น้องสาวของตนซึ่งเป็นผู้กู้ยืม กยศ.ได้มีการชําระหนี้และธนาคารได้ออกใบรับเงินโดยระบุเงินชําระหนี้คงเหลือเป็น 0.00 บาทให้แล้ว ต่อมาได้มีการโทรศัพท์สอบถามเจ้าหน้าที่ของกองทุนฯ อีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าน้องสาวได้ชําระหนี้ครบถ้วนแล้วหรือยัง แต่ได้รับคําตอบว่ามีหนี้ที่จะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีก 23,000 กว่าบาท และเบี้ยปรับอีกหมื่นกว่าบาท รวมเป็นหนี้ที่ต้องจ่ายเพิ่มจํานวน 38,000 กว่าบาท นั้น ผู้จัดการกองทุนฯ ขอชี้แจงว่า ผู้กู้ยืมรายนี้ได้กู้ยืมเงินกองทุน กยศ. ไปจํานวน 64,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าต้องชําระหนี้เป็นรายปีๆละ 1 ครั้ง ภายในวันที่ 5 กรกฎาคมของทุกปีให้เสร็จสิ้นภายใน 15 ปี นับแต่จบการศึกษาหรือเลิกศึกษา พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี หากผิดนัดชําระหนี้งวดใดงวดหนึ่งต้องเสียเบี้ยปรับในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของเงินงวดที่ค้างชําระ ซึ่งผู้กู้ยืมจะต้องชําระหนี้ครั้งแรกในปี 2548 แต่ผู้กู้ยืมมิได้ชําระหนี้เป็นเหตุให้กองทุนฯ ได้ยื่นฟ้องผู้กู้ยืม และศาลได้มีคําพิพากษาเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2553 ให้ผู้กู้ยืมชําระเงินจํานวน 68,948.41 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินต้นจํานวน 64,000 บาท จนกว่าจะชําระหนี้เสร็จสิ้น การที่ศาลได้มีคําพิพากษาดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของดอกเบี้ยจากเดิมคือร้อยละ 1 ต่อปี เป็นร้อยละ 15 ต่อปี ต่อมาการที่ผู้กู้ยืมได้มาชําระหนี้ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญากู้คือดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี โดยชําระเป็น 0.00 บาทนั้น จึงยังมิใช่การชําระหนี้ที่ถูกต้องตามคําพิพากษา หลังจากนั้นเมื่อกองทุนฯ ได้มีการปรับปรุงข้อมูลหนี้ของผู้กู้ยืมรายดังกล่าวให้เป็นไปตามคําพิพากษาของศาล โดยเฉพาะในส่วนของอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 เป็นร้อยละ 15 ต่อปี จึงเป็นเหตุให้ยอดภาระหนี้ที่ปรากฎในระบบเพิ่มจํานวนขึ้น กองทุนฯ ต้องขออภัยในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ กองทุนฯ ถือว่าการที่ผู้กู้ยืมได้ชําระหนี้ให้แก่กองทุนฯ และมีหลักฐานการชําระหนี้ที่ระบุว่ามีหนี้เป็น 0.00 บาทนั้น เป็นการชําระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว อนึ่ง สําหรับผู้ที่ชําระหนี้ครบถ้วนแล้ว และไม่ได้เก็บหลักฐานไว้ขออย่าได้กังวลใจ เนื่องจากกองทุนฯ สามารถตรวจสอบได้จากรายการชําระหนี้ หากผู้กู้ยืมรายใดมีข้อสงสัยในลักษณะเช่นนี้ ขอให้ติดต่อมายังผู้อํานวยการฝ่ายคดีและบังคับคดี หมายเลขโทรศัพท์ 086-3723386 หรือหัวหน้ากลุ่มงานบังคับคดี หมายเลขโทรศัพท์ 084-0859171 และหากท่านผู้กู้รายใดที่ได้ชําระหนี้ปิดบัญชีแล้วประสงค์จะให้กองทุนฯ ออกหลักฐานเป็นหนังสือการชําระหนี้เสร็จสิ้น ขอให้แจ้งมายังกองทุนฯ เพื่อกองทุนฯ จะดําเนินการให้ต่อไป ทั้งนี้ กองทุนฯ จะดําเนินการปรับปรุงการให้บริการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตลอดจนระมัดระวังไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีก” ผู้จัดการกองทุนฯ กล่าวในที่สุด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7596
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรขอประชาสัมพันธ์ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561 กรมสรรพากรขอประชาสัมพันธ์ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี กรมสรรพากรขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีเงินได้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) สําหรับปีภาษี 2561 ยื่นแบบได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 โดยสามารถยื่นแบบพร้อมชําระภาษี กรมสรรพากรขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีเงินได้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) สําหรับปีภาษี 2561 ยื่นแบบได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 โดยสามารถยื่นแบบพร้อมชําระภาษี ณ สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาได้จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2561 หรือเพื่อความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดเวลา ผู้เสียภาษีสามารถยื่นแบบพร้อมชําระภาษีผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th และจะได้รับสิทธิขยายเวลาการยื่นแบบไปจนถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2561 ทั้งนี้ ผู้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 คือผู้ที่มีเงินได้ตามมาตรา 40(5) - (8) แห่งประมวลรัษฎากร เช่น เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ (แพทย์ วิศวกร นักบัญชี นักกฎหมาย ฯลฯ) เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสําคัญนอกจากเครื่องมือการประกอบธุรกิจ เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งทางการค้าหรือหากําไร และการพาณิชย์อื่นๆ รวมทั้งนักแสดงสาธารณะ เป็นต้น ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 สามารถ Download แบบ ภ.ง.ด.94 พร้อมทั้งศึกษาวิธีการกรอกแบบแสดงรายการฯ ได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th หัวข้อ DOWNLOAD > แบบแสดงรายการภาษีแบบคําร้อง/คําขอต่างๆ > ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือด้วยการ Scan QR Code ที่อยู่ด้านหน้าแบบแสดงรายการฯ นอกจากนี้ กรมสรรพากรมีบริการจัดส่งแบบ ภ.ง.ด.94 ให้แก่ผู้เสียภาษีที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปด้วย หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.94 ได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 และหากพบเห็นการกระทําใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่างๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู “การแจ้งแหล่งภาษี” เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรขอประชาสัมพันธ์ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม 2561 กรมสรรพากรขอประชาสัมพันธ์ให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี กรมสรรพากรขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีเงินได้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) สําหรับปีภาษี 2561 ยื่นแบบได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 โดยสามารถยื่นแบบพร้อมชําระภาษี กรมสรรพากรขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีเงินได้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94) สําหรับปีภาษี 2561 ยื่นแบบได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 โดยสามารถยื่นแบบพร้อมชําระภาษี ณ สํานักงานสรรพากรพื้นที่สาขาได้จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2561 หรือเพื่อความสะดวก รวดเร็ว และประหยัดเวลา ผู้เสียภาษีสามารถยื่นแบบพร้อมชําระภาษีผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th และจะได้รับสิทธิขยายเวลาการยื่นแบบไปจนถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2561 ทั้งนี้ ผู้ที่มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 คือผู้ที่มีเงินได้ตามมาตรา 40(5) - (8) แห่งประมวลรัษฎากร เช่น เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน เงินได้จากการประกอบวิชาชีพอิสระ (แพทย์ วิศวกร นักบัญชี นักกฎหมาย ฯลฯ) เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสําคัญนอกจากเครื่องมือการประกอบธุรกิจ เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมุ่งทางการค้าหรือหากําไร และการพาณิชย์อื่นๆ รวมทั้งนักแสดงสาธารณะ เป็นต้น ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 สามารถ Download แบบ ภ.ง.ด.94 พร้อมทั้งศึกษาวิธีการกรอกแบบแสดงรายการฯ ได้จากเว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th หัวข้อ DOWNLOAD > แบบแสดงรายการภาษีแบบคําร้อง/คําขอต่างๆ > ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือด้วยการ Scan QR Code ที่อยู่ด้านหน้าแบบแสดงรายการฯ นอกจากนี้ กรมสรรพากรมีบริการจัดส่งแบบ ภ.ง.ด.94 ให้แก่ผู้เสียภาษีที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปด้วย หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการยื่นแบบฯ ภ.ง.ด.94 ได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร โทร. 1161 และหากพบเห็นการกระทําใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ขอให้แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่างๆ ที่ www.rd.go.th > เมนู “การแจ้งแหล่งภาษี” เพื่อที่กรมสรรพากรจะได้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์ เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14936
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทดำเนินการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย บ้านคลองโคน - บ้านบางตะบูน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม และอำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ผลงานคืนหน้ามากกว่า ร้อยละ 59.85
วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 กรมทางหลวงชนบทดําเนินการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย บ้านคลองโคน - บ้านบางตะบูน อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม และอําเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ผลงานคืนหน้ามากกว่า ร้อยละ 59.85 กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย บ้านคลองโคน - บ้านบางตะบูน อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม และอําเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ระยะทาง 14.386 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายถนนสายรองสู่ภาคใต้ และสนับสนุนการท่องเที่ยวตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันตก มีผลงานความคืบหน้ามากกว่า ร้อยละ 59.85 นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า ทช. ได้ดําเนินการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก เพื่อเป็นโครงข่ายเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวตามแนวชายฝั่งทะเลภาคกลางตอนล่างต่อเนื่องภาคใต้ตอนบน ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ และสามารถส่งเสริมและพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ เพื่อกระตุ้นการลงทุนด้านธุรกิจการท่องเที่ยว ช่วยกระจายรายได้และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อชุมชน และเป็นเส้นทางโครงข่ายถนนสายรองเชื่อมต่อกับถนนสายหลัก รวมทั้งเป็นทางเลือกในการเดินทางสู่ภาคใต้ ทั้งนี้ ทช. ได้ดําเนินการก่อสร้างถนนสายบ้านคลองโคน - บ้านบางตะบูน อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม และอําเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี มีจุดเริ่มต้นแยกจากทางหลวงหมายเลข 35 สายธนบุรี - ปากท่อ หรือถนนพระรามที่ 2 ที่ กม.73+000 ตําบลยี่สาร อําเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม (0+000 - 14+386) ระยะทาง 14.386 กิโลเมตร งบประมาณ 297.180 ล้านบาท ปัจจุบันผลงานมีความก้าวหน้ามากกว่าร้อยละ 59.85 (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2560) คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2561 นอกจากนี้ ทช. ได้นําเทคนิคการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างในพื้นที่ดินอ่อนที่มีอัตราการทรุดตัวสูง โดยใช้เสาเข็มปรับปรุงโครงสร้างและเสถียรภาพคันทาง เพื่อให้โครงสร้างถนนมั่นคงแข็งแรง สามารถรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้น และลดงบประมาณการบํารุงรักษา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบทดำเนินการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย บ้านคลองโคน - บ้านบางตะบูน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม และอำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ผลงานคืนหน้ามากกว่า ร้อยละ 59.85 วันพุธที่ 7 มิถุนายน 2560 กรมทางหลวงชนบทดําเนินการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย บ้านคลองโคน - บ้านบางตะบูน อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม และอําเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ผลงานคืนหน้ามากกว่า ร้อยละ 59.85 กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย บ้านคลองโคน - บ้านบางตะบูน อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม และอําเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ระยะทาง 14.386 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายถนนสายรองสู่ภาคใต้ และสนับสนุนการท่องเที่ยวตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันตก มีผลงานความคืบหน้ามากกว่า ร้อยละ 59.85 นายจิรุตม์ วิศาลจิตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ในฐานะโฆษกกระทรวงฯ กล่าวว่า ทช. ได้ดําเนินการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก เพื่อเป็นโครงข่ายเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวตามแนวชายฝั่งทะเลภาคกลางตอนล่างต่อเนื่องภาคใต้ตอนบน ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และระนอง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ และสามารถส่งเสริมและพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ เพื่อกระตุ้นการลงทุนด้านธุรกิจการท่องเที่ยว ช่วยกระจายรายได้และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจต่อชุมชน และเป็นเส้นทางโครงข่ายถนนสายรองเชื่อมต่อกับถนนสายหลัก รวมทั้งเป็นทางเลือกในการเดินทางสู่ภาคใต้ ทั้งนี้ ทช. ได้ดําเนินการก่อสร้างถนนสายบ้านคลองโคน - บ้านบางตะบูน อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม และอําเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี มีจุดเริ่มต้นแยกจากทางหลวงหมายเลข 35 สายธนบุรี - ปากท่อ หรือถนนพระรามที่ 2 ที่ กม.73+000 ตําบลยี่สาร อําเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม (0+000 - 14+386) ระยะทาง 14.386 กิโลเมตร งบประมาณ 297.180 ล้านบาท ปัจจุบันผลงานมีความก้าวหน้ามากกว่าร้อยละ 59.85 (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2560) คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2561 นอกจากนี้ ทช. ได้นําเทคนิคการแก้ไขปัญหาการก่อสร้างในพื้นที่ดินอ่อนที่มีอัตราการทรุดตัวสูง โดยใช้เสาเข็มปรับปรุงโครงสร้างและเสถียรภาพคันทาง เพื่อให้โครงสร้างถนนมั่นคงแข็งแรง สามารถรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้น และลดงบประมาณการบํารุงรักษา
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4340
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานภูเก็ตชี้แจงเหตุการณ์ฝ้าร่วงบริเวณประตูทางออกขึ้นเครื่องหมายเลข 81 - 82 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2560
วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2560 ท่าอากาศยานภูเก็ตชี้แจงเหตุการณ์ฝ้าร่วงบริเวณประตูทางออกขึ้นเครื่องหมายเลข 81 - 82 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2560 ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงเหตุการณ์กรณีฝ้าเพดานบริเวณประตูทางออกหมายเลข 81 - 82 (Bus Gate) อาคารผู้โดยสารภายในประเทศร่วง เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2560 เวลา 14.21 น. เป็นเหตุให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บศีรษะแตก 1 คน จากเหตุการณ์ฝ้าเพดานบริเวณประตูทางออกหมายเลข 81 - 82 (Bus Gate) อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ทภก. ร่วง ทําให้ผู้โดยสารสายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD 7507 เส้นทางภูเก็ต - ดอนเมือง ได้รับบาดเจ็บ ศีรษะแตก 1 คน โดยทีมแพทย์ได้ปฐมพยาบาลแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บและนําส่งโรงพยาบาลถลาง เพื่อดําเนินการรักษาต่อไป ทั้งนี้ หัวหน้าเวร ทภก. ได้ประสานกับสายการบินเพื่อยกเว้นค่าโดยสารให้กับผู้ได้รับบาดเจ็บ และประสานบริษัทประกันภัยให้เข้ามาดําเนินการตรวจสอบ ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเกิดจากปูนฉาบใต้พื้นชั้น 2 เกิดการหลุดร่อน เนื่องจากการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานและกะเทาะร่วงหล่นมายังฝ้าเพดาน ทําให้ฝ้าเพดานไม่สามารถรับน้ําหนัก และร่วงหลุดจากโครงและตกใส่บริเวณที่ผู้โดยสารนั่งคอย ขณะนี้ ทภก. ได้ปิดกั้นพื้นที่ดังกล่าวเพื่อทําความสะอาด ตรวจสอบความแข็งแรง และดําเนินการซ่อมแซมฝ้าเพดาน ระบบไฟส่องสว่างทั้งหมดให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ในส่วนของผู้ได้รับบาดเจ็บ ทภก. ได้จัดทีมเฝ้าติดตามอาการของผู้ได้รับบาดเจ็บ ณ โรงพยาบาลถลาง ทภก. ขออภัยอย่างยิ่งสําหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างเต็มความสามารถ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2560 นางมนฤดี เกตุพันธุ์ ผู้อํานวยการ ทภก. และคณะ ได้นํากระเช้าเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บ ณ โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ซึ่งอาการของผู้ได้รับบาดเจ็บดีขึ้นตามลําดับ และสามารถกลับไปพักฟื้นที่ภูมิลําเนาแล้ว ทภก. จะดําเนินการปรับปรุงแก้ไขให้เกิดความปลอดภัยกับผู้โดยสารและผู้ใช้บริการมากที่สุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานภูเก็ตชี้แจงเหตุการณ์ฝ้าร่วงบริเวณประตูทางออกขึ้นเครื่องหมายเลข 81 - 82 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2560 วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน 2560 ท่าอากาศยานภูเก็ตชี้แจงเหตุการณ์ฝ้าร่วงบริเวณประตูทางออกขึ้นเครื่องหมายเลข 81 - 82 อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2560 ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) กระทรวงคมนาคม ชี้แจงเหตุการณ์กรณีฝ้าเพดานบริเวณประตูทางออกหมายเลข 81 - 82 (Bus Gate) อาคารผู้โดยสารภายในประเทศร่วง เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2560 เวลา 14.21 น. เป็นเหตุให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บศีรษะแตก 1 คน จากเหตุการณ์ฝ้าเพดานบริเวณประตูทางออกหมายเลข 81 - 82 (Bus Gate) อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ทภก. ร่วง ทําให้ผู้โดยสารสายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD 7507 เส้นทางภูเก็ต - ดอนเมือง ได้รับบาดเจ็บ ศีรษะแตก 1 คน โดยทีมแพทย์ได้ปฐมพยาบาลแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บและนําส่งโรงพยาบาลถลาง เพื่อดําเนินการรักษาต่อไป ทั้งนี้ หัวหน้าเวร ทภก. ได้ประสานกับสายการบินเพื่อยกเว้นค่าโดยสารให้กับผู้ได้รับบาดเจ็บ และประสานบริษัทประกันภัยให้เข้ามาดําเนินการตรวจสอบ ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเกิดจากปูนฉาบใต้พื้นชั้น 2 เกิดการหลุดร่อน เนื่องจากการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานและกะเทาะร่วงหล่นมายังฝ้าเพดาน ทําให้ฝ้าเพดานไม่สามารถรับน้ําหนัก และร่วงหลุดจากโครงและตกใส่บริเวณที่ผู้โดยสารนั่งคอย ขณะนี้ ทภก. ได้ปิดกั้นพื้นที่ดังกล่าวเพื่อทําความสะอาด ตรวจสอบความแข็งแรง และดําเนินการซ่อมแซมฝ้าเพดาน ระบบไฟส่องสว่างทั้งหมดให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ในส่วนของผู้ได้รับบาดเจ็บ ทภก. ได้จัดทีมเฝ้าติดตามอาการของผู้ได้รับบาดเจ็บ ณ โรงพยาบาลถลาง ทภก. ขออภัยอย่างยิ่งสําหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างเต็มความสามารถ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2560 นางมนฤดี เกตุพันธุ์ ผู้อํานวยการ ทภก. และคณะ ได้นํากระเช้าเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บ ณ โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต ซึ่งอาการของผู้ได้รับบาดเจ็บดีขึ้นตามลําดับ และสามารถกลับไปพักฟื้นที่ภูมิลําเนาแล้ว ทภก. จะดําเนินการปรับปรุงแก้ไขให้เกิดความปลอดภัยกับผู้โดยสารและผู้ใช้บริการมากที่สุด
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4388
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.วางมาตรการห้องฉุกเฉินวิถีใหม่ปลอดภัยไร้โควิด 19
วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม 2563 สธ.วางมาตรการห้องฉุกเฉินวิถีใหม่ปลอดภัยไร้โควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข วางแนวทางให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินตามแบบปกติวิถีใหม่ (New Normal) เน้นควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโควิด19 ปรับระบบขั้นตอนการให้บริการ ใส่ชุดป้องกันการติดเชื้อลดความเสี่ยงขณะให้บริการในห้องฉุกเฉิน พร้อมนําเทคโนโลยีมาใช้งานคัดกรองประเมินอา กระทรวงสาธารณสุข วางแนวทางให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินตามแบบปกติวิถีใหม่ (New Normal) เน้นควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโควิด19 ปรับระบบขั้นตอนการให้บริการ ใส่ชุดป้องกันการติดเชื้อลดความเสี่ยงขณะให้บริการในห้องฉุกเฉิน พร้อมนําเทคโนโลยีมาใช้งานคัดกรองประเมินอาการผู้ป่วย ให้คําปรึกษา ส่งยาถึงบ้าน ด้านทีมแพทย์ฉุกเฉินและบุคลากรปรับตัว ฝึกอบรมให้เชี่ยวชาญ การช่วยชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินแต่ละครั้ง วันนี้ (23 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในระบบการแพทย์ฉุกเฉินว่า หัวใจสําคัญในการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินช่วงสถานการณ์โควิด19 คือ การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อในห้องฉุกเฉิน ทั้งจากผู้ป่วยไปสู่ผู้ป่วยและผู้ป่วยไปสู่ผู้ให้บริการ และมีความปลอดภัยสําหรับทุกคน มาตรการ 3 ส่วนสําคัญที่ต้องดําเนินการอย่างเข้มข้น คือ 1.การคัดกรอง ตั้งแต่การซักประวัติอาการป่วย รวมไปถึงประวัติเสี่ยงติดเชื้อโควิด19 ต้องเว้นระยะห่าง ลดความแออัด การจัดคิวอย่างเหมาะสม 2. การจัดระบบบริการที่เหมาะสมทั้งการแต่งกายด้วยชุดป้องกันความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และพื้นที่ที่เหมาะสมเช่น ห้องแยกโรคความดันลบ พื้นที่แยกโรคที่ชัดเจนสําหรับหัตถการละอองฝอยขนาดเล็ก 3.การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความแออัดในการมาโรงพยาบาล การใช้ระบบการให้คําปรึกษาทางไกล (Telemedicine Consult) กับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง ร่วมกับระบบการจัดส่งยาและบริการอื่นๆ ถึงบ้าน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความปกติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในการให้บริการทางแพทย์ในช่วงโควิด19ระบาด อย่างไรก็ดี กระทรวงสาธารณสุขคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้มารับบริการภายในโรงพยาบาลได้สื่อสารไปยังโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จัดรูปแบบการให้บริการห้องฉุกเฉินให้มีความปลอดภัยทั้งผู้รับบริการ ผู้ให้บริการ และญาติผู้ป่วย และขอย้ําว่าเรื่องการสวมหน้ากาก การคัดกรองประวัติของญาติที่จะมาเยี่ยมไข้ยังเป็นเรื่องสําคัญ เพื่อลดความเสี่ยงในการนําเชื้อไปสู่ผู้ป่วยถือเป็นความปกติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต ด้านนายแพทย์เฉลิมพล ไชยรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักการแพทย์เขตสุขภาพที่ 10 (โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี) กล่าวว่า หัวใจสําคัญของห้องฉุกเฉิน คือ ไม่แออัด มีการเว้นระยะห่าง และระบบความปลอดภัยของบุคลากรและผู้ป่วย การทํางานของห้องฉุกเฉินจะทํางานต่อเนื่องตั้งแต่จุดเกิดเหตุ การรักษาในห้องฉุกเฉินและส่งต่อการรักษากับแพทย์เฉพาะทางด้านอื่นๆ บุคลากรต้องปรับรูปแบบการทํางานให้เหมาะสม อาทิ การใส่เครื่องช่วยหายใจ การปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้น (CPR) การส่งต่อผู้ป่วย จะต้องใช้บุคลากรที่จํากัด ทํางานเป็นทีมและปฏิบัติการในพื้นที่ที่เหมาะสมพร้อมอุปกรณ์อัตโนมัติเพื่อลดขั้นตอนการดูแลผู้ป่วย เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ********************************* 23 พฤษภาคม 2563 ************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.วางมาตรการห้องฉุกเฉินวิถีใหม่ปลอดภัยไร้โควิด 19 วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม 2563 สธ.วางมาตรการห้องฉุกเฉินวิถีใหม่ปลอดภัยไร้โควิด 19 กระทรวงสาธารณสุข วางแนวทางให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินตามแบบปกติวิถีใหม่ (New Normal) เน้นควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโควิด19 ปรับระบบขั้นตอนการให้บริการ ใส่ชุดป้องกันการติดเชื้อลดความเสี่ยงขณะให้บริการในห้องฉุกเฉิน พร้อมนําเทคโนโลยีมาใช้งานคัดกรองประเมินอา กระทรวงสาธารณสุข วางแนวทางให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินตามแบบปกติวิถีใหม่ (New Normal) เน้นควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโควิด19 ปรับระบบขั้นตอนการให้บริการ ใส่ชุดป้องกันการติดเชื้อลดความเสี่ยงขณะให้บริการในห้องฉุกเฉิน พร้อมนําเทคโนโลยีมาใช้งานคัดกรองประเมินอาการผู้ป่วย ให้คําปรึกษา ส่งยาถึงบ้าน ด้านทีมแพทย์ฉุกเฉินและบุคลากรปรับตัว ฝึกอบรมให้เชี่ยวชาญ การช่วยชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินแต่ละครั้ง วันนี้ (23 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ในระบบการแพทย์ฉุกเฉินว่า หัวใจสําคัญในการให้บริการทางการแพทย์ฉุกเฉินช่วงสถานการณ์โควิด19 คือ การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อในห้องฉุกเฉิน ทั้งจากผู้ป่วยไปสู่ผู้ป่วยและผู้ป่วยไปสู่ผู้ให้บริการ และมีความปลอดภัยสําหรับทุกคน มาตรการ 3 ส่วนสําคัญที่ต้องดําเนินการอย่างเข้มข้น คือ 1.การคัดกรอง ตั้งแต่การซักประวัติอาการป่วย รวมไปถึงประวัติเสี่ยงติดเชื้อโควิด19 ต้องเว้นระยะห่าง ลดความแออัด การจัดคิวอย่างเหมาะสม 2. การจัดระบบบริการที่เหมาะสมทั้งการแต่งกายด้วยชุดป้องกันความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่และพื้นที่ที่เหมาะสมเช่น ห้องแยกโรคความดันลบ พื้นที่แยกโรคที่ชัดเจนสําหรับหัตถการละอองฝอยขนาดเล็ก 3.การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความแออัดในการมาโรงพยาบาล การใช้ระบบการให้คําปรึกษาทางไกล (Telemedicine Consult) กับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง ร่วมกับระบบการจัดส่งยาและบริการอื่นๆ ถึงบ้าน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความปกติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในการให้บริการทางแพทย์ในช่วงโควิด19ระบาด อย่างไรก็ดี กระทรวงสาธารณสุขคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้มารับบริการภายในโรงพยาบาลได้สื่อสารไปยังโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จัดรูปแบบการให้บริการห้องฉุกเฉินให้มีความปลอดภัยทั้งผู้รับบริการ ผู้ให้บริการ และญาติผู้ป่วย และขอย้ําว่าเรื่องการสวมหน้ากาก การคัดกรองประวัติของญาติที่จะมาเยี่ยมไข้ยังเป็นเรื่องสําคัญ เพื่อลดความเสี่ยงในการนําเชื้อไปสู่ผู้ป่วยถือเป็นความปกติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต ด้านนายแพทย์เฉลิมพล ไชยรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักการแพทย์เขตสุขภาพที่ 10 (โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี) กล่าวว่า หัวใจสําคัญของห้องฉุกเฉิน คือ ไม่แออัด มีการเว้นระยะห่าง และระบบความปลอดภัยของบุคลากรและผู้ป่วย การทํางานของห้องฉุกเฉินจะทํางานต่อเนื่องตั้งแต่จุดเกิดเหตุ การรักษาในห้องฉุกเฉินและส่งต่อการรักษากับแพทย์เฉพาะทางด้านอื่นๆ บุคลากรต้องปรับรูปแบบการทํางานให้เหมาะสม อาทิ การใส่เครื่องช่วยหายใจ การปฐมพยาบาลผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้น (CPR) การส่งต่อผู้ป่วย จะต้องใช้บุคลากรที่จํากัด ทํางานเป็นทีมและปฏิบัติการในพื้นที่ที่เหมาะสมพร้อมอุปกรณ์อัตโนมัติเพื่อลดขั้นตอนการดูแลผู้ป่วย เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ********************************* 23 พฤษภาคม 2563 ************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31363