title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ย้ำเร่งพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาพิเศษ พร้อมขยายความร่วมมือในอาเซียน
|
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
รมว.พม. ย้ําเร่งพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาพิเศษ พร้อมขยายความร่วมมือในอาเซียน
รมว.พม. ย้ําเร่งพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาพิเศษ พร้อมขยายความร่วมมือในอาเซียน
วันนี้ (18 ก.ย. 62) เวลา 09.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านการศึกษาพิเศษ ครั้งที่ 8 (The 8th International symposium on Special Education (ISSED) : Update Theory & Practice) เรื่องทฤษฎีและแนวปฏิบัติด้านการฟื้นฟูสมรรณภาพคนพิการ ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยสวนดุสิต (มสด.) และมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 20 กันยายน 2562 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ได้แก่ ผู้เสวนาและนําเสนอบทความวิชาการจากประเทศไทย สหรัฐอมริกา ญี่ปุ่น และภูฏาน พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาพิเศษจากประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา และ สปป.ลาว ผู้ดูแลคนพิการ คนพิการทุกประเภทความพิการ ครูการศึกษาพิเศษของกระทรวงศึกษาธิการ บุคคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง และนักศึกษาที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาพิเศษ รวมจํานวนทั้งสิ้น 300 คน อีกทั้งได้มอบโล่แสดงความยินดีแก่นายวิทยุต บุนนาค นายกสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย เนื่องในโอกาสได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารสหพันธ์คนหูหนวกโลกปี พ.ศ. 2562 – 2566 ณ ห้องรักตะกนิษฐ ออดิทอเรียม ชั้น 2 หอประชุมรักตะกนิษฐ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่ขับเคลื่อนงานพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพอย่างเต็มศักยภาพและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง ด้วยการสร้างเสริมภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาสังคม และร่วมส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมกับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายตามบริบทของประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันและมีความมั่นคงในชีวิต เป็นการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ของรัฐบาล ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้ให้ความสําคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการ ด้วยความสามารถในการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการสังคมในทุกด้าน รวมถึงการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงเป็นธรรม
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวคิด ทฤษฎี และแนวปฏิบัติด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการของผู้นําด้านการศึกษาพิเศษ อีกทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาพิเศษในภูมิภาคอาเซียน กระทรวง พม. โดย พก. ร่วมกับมหาวิทยาลัยสวนดุสิต (มสด.) และมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จึงกําหนดจัดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านการศึกษาพิเศษ ครั้งที่ 8 The 8th International symposium on Special Education (ISSED) : Update Theory & Practice เรื่องทฤษฎีและแนวปฏิบัติด้านการฟื้นฟูสมรรณภาพคนพิการ นับว่าเป็นช่องทางสําคัญในการสร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อประสานทรัพยากรทางการศึกษาพิเศษและสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ที่มุ่งเน้นการทํางานของเครือข่ายนักสหวิชาชีพ การใช้สื่อเทคโนโลยีสิ่งอํานวยความสะดวกเพื่อการศึกษา การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประเภทอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ และการฟื้นฟูสมรรถภาพคนหูหนวก เป็นต้น เพื่อให้ทั้งองค์กรและบุคคลสามารถให้บริการแก่คนพิการได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงเป็นธรรม ซึ่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นับเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเพิ่มศักยภาพของคนหูหนวก ผู้ปกครอง ผู้ดูแล ครูการศึกษาพิเศษ และนักฟื้นฟูสมรรถภาพคนหูหนวก ด้วยการนําเสนอบริการคําบรรยายแทนเสียงระบบทันเวลา ประกอบการบรรยายไทย ที่ช่วยอํานวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารให้แก่คนไทย ทั้งคนหูหนวกและคนปกติทั่วไป
“ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําการให้โอกาสทุกคนในสังคมมีความเท่าเทียมกัน ซึ่งกระทรวง พม. โดย พก. ได้ดําเนินงานและพร้อมผลักดันคุณภาพชีวิตคนพิการมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามขอชื่นชมมหาวิทยาลัยสวนดุสิตที่จะเสนอหลักสูตรพิเศษให้กับคนพิการ ซึ่งจะอํานวยความสะดวกให้กับคนพิการได้รับการศึกษา โดยการดําเนินงานดังกล่าว ต้องใช้ระยะเวลาและความอดทนอย่างสูง เพื่อให้กลุ่มคนพิการมีความสุขสามารถใช้ชีวิตประจําวันเท่าเทียมกับคนปกติทั่วไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ย้ำเร่งพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาพิเศษ พร้อมขยายความร่วมมือในอาเซียน
วันพุธที่ 18 กันยายน 2562
รมว.พม. ย้ําเร่งพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาพิเศษ พร้อมขยายความร่วมมือในอาเซียน
รมว.พม. ย้ําเร่งพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาพิเศษ พร้อมขยายความร่วมมือในอาเซียน
วันนี้ (18 ก.ย. 62) เวลา 09.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านการศึกษาพิเศษ ครั้งที่ 8 (The 8th International symposium on Special Education (ISSED) : Update Theory & Practice) เรื่องทฤษฎีและแนวปฏิบัติด้านการฟื้นฟูสมรรณภาพคนพิการ ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ร่วมกับมหาวิทยาลัยสวนดุสิต (มสด.) และมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 20 กันยายน 2562 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ได้แก่ ผู้เสวนาและนําเสนอบทความวิชาการจากประเทศไทย สหรัฐอมริกา ญี่ปุ่น และภูฏาน พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาพิเศษจากประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนาม กัมพูชา และ สปป.ลาว ผู้ดูแลคนพิการ คนพิการทุกประเภทความพิการ ครูการศึกษาพิเศษของกระทรวงศึกษาธิการ บุคคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง และนักศึกษาที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาพิเศษ รวมจํานวนทั้งสิ้น 300 คน อีกทั้งได้มอบโล่แสดงความยินดีแก่นายวิทยุต บุนนาค นายกสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย เนื่องในโอกาสได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารสหพันธ์คนหูหนวกโลกปี พ.ศ. 2562 – 2566 ณ ห้องรักตะกนิษฐ ออดิทอเรียม ชั้น 2 หอประชุมรักตะกนิษฐ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่ขับเคลื่อนงานพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพอย่างเต็มศักยภาพและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง ด้วยการสร้างเสริมภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาสังคม และร่วมส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมกับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายตามบริบทของประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันและมีความมั่นคงในชีวิต เป็นการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ของรัฐบาล ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้ให้ความสําคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการ ด้วยความสามารถในการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการสังคมในทุกด้าน รวมถึงการจัดสิ่งอํานวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงเป็นธรรม
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวคิด ทฤษฎี และแนวปฏิบัติด้านการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการของผู้นําด้านการศึกษาพิเศษ อีกทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาพิเศษในภูมิภาคอาเซียน กระทรวง พม. โดย พก. ร่วมกับมหาวิทยาลัยสวนดุสิต (มสด.) และมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จึงกําหนดจัดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านการศึกษาพิเศษ ครั้งที่ 8 The 8th International symposium on Special Education (ISSED) : Update Theory & Practice เรื่องทฤษฎีและแนวปฏิบัติด้านการฟื้นฟูสมรรณภาพคนพิการ นับว่าเป็นช่องทางสําคัญในการสร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อประสานทรัพยากรทางการศึกษาพิเศษและสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง ที่มุ่งเน้นการทํางานของเครือข่ายนักสหวิชาชีพ การใช้สื่อเทคโนโลยีสิ่งอํานวยความสะดวกเพื่อการศึกษา การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประเภทอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ และการฟื้นฟูสมรรถภาพคนหูหนวก เป็นต้น เพื่อให้ทั้งองค์กรและบุคคลสามารถให้บริการแก่คนพิการได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึงเป็นธรรม ซึ่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นับเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเพิ่มศักยภาพของคนหูหนวก ผู้ปกครอง ผู้ดูแล ครูการศึกษาพิเศษ และนักฟื้นฟูสมรรถภาพคนหูหนวก ด้วยการนําเสนอบริการคําบรรยายแทนเสียงระบบทันเวลา ประกอบการบรรยายไทย ที่ช่วยอํานวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารให้แก่คนไทย ทั้งคนหูหนวกและคนปกติทั่วไป
“ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําการให้โอกาสทุกคนในสังคมมีความเท่าเทียมกัน ซึ่งกระทรวง พม. โดย พก. ได้ดําเนินงานและพร้อมผลักดันคุณภาพชีวิตคนพิการมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามขอชื่นชมมหาวิทยาลัยสวนดุสิตที่จะเสนอหลักสูตรพิเศษให้กับคนพิการ ซึ่งจะอํานวยความสะดวกให้กับคนพิการได้รับการศึกษา โดยการดําเนินงานดังกล่าว ต้องใช้ระยะเวลาและความอดทนอย่างสูง เพื่อให้กลุ่มคนพิการมีความสุขสามารถใช้ชีวิตประจําวันเท่าเทียมกับคนปกติทั่วไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23191
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานปิดอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนำเพื่อการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ” รุ่นที่ 4
|
วันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2560
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานปิดอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเพื่อการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ” รุ่นที่ 4
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและ สังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวปิดการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเพื่อการใช้ประโยชน์จากโครงการเน็ตประชารัฐ” ภายใต้โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รุ่นที่ 4 พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้กับ ผู้ผ่านการอบรมฯ โดยตามเป้าหมายกําหนดจัดอบรมฯ ทั้งหมดจํานวน 5 รุ่น เพื่อสร้างการรับรู้และการถ่ายทอดความรู้ให้กับประชาชนทั้ง 24,700 หมู่บ้านที่มีการติดตั้งเน็ตประชารัฐ ซึ่งจําเป็นต้องสร้างกลไกเพื่อให้การเกิดการกระจายความรู้สามารถส่งถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ วิทยากรแกนนําถือเป็นองค์ประกอบสําคัญของการขับเคลื่อนกลไกการสร้างการรับรู้และทําให้โครงข่ายเน็ตประชารัฐเกิดการใช้ประโยชน์จริง ประชาชนได้รับโอกาสสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้โดยไม่มีข้อจํากัดเรื่องของระยะทางและภูมิศาสตร์ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2560 ณ จังหวัดขอนแก่น
***********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานปิดอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนำเพื่อการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ” รุ่นที่ 4
วันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2560
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธานปิดอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเพื่อการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐ” รุ่นที่ 4
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและ สังคม (ดีอี) เป็นประธานกล่าวปิดการอบรมหลักสูตร “การพัฒนาวิทยากรแกนนําเพื่อการใช้ประโยชน์จากโครงการเน็ตประชารัฐ” ภายใต้โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รุ่นที่ 4 พร้อมมอบประกาศนียบัตรให้กับ ผู้ผ่านการอบรมฯ โดยตามเป้าหมายกําหนดจัดอบรมฯ ทั้งหมดจํานวน 5 รุ่น เพื่อสร้างการรับรู้และการถ่ายทอดความรู้ให้กับประชาชนทั้ง 24,700 หมู่บ้านที่มีการติดตั้งเน็ตประชารัฐ ซึ่งจําเป็นต้องสร้างกลไกเพื่อให้การเกิดการกระจายความรู้สามารถส่งถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ วิทยากรแกนนําถือเป็นองค์ประกอบสําคัญของการขับเคลื่อนกลไกการสร้างการรับรู้และทําให้โครงข่ายเน็ตประชารัฐเกิดการใช้ประโยชน์จริง ประชาชนได้รับโอกาสสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้โดยไม่มีข้อจํากัดเรื่องของระยะทางและภูมิศาสตร์ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2560 ณ จังหวัดขอนแก่น
***********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9041
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานพิธีเปิดงานมหานครไร้สาย กฟน.ร่วมภาคีนำร่องรื้อถอนสายไฟฟ้าถนนพหลโยธินลงใต้ดิน
|
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560
รมว.มท. เป็นประธานพิธีเปิดงานมหานครไร้สาย กฟน.ร่วมภาคีนําร่องรื้อถอนสายไฟฟ้าถนนพหลโยธินลงใต้ดิน
รมว.มท. เป็นประธานพิธีเปิดงานมหานครไร้สาย กฟน.ร่วมภาคีนําร่องรื้อถอนสายไฟฟ้าถนนพหลโยธินลงใต้ดิน
วันนี้ (11 ส.ค.60) เวลา 09.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าสวนจตุจักร กรุงเทพมหานครพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานในพิธีรื้อถอนเสาไฟฟ้า ถนนมหานครแห่งอาเซียน โครงการถนนพหลโยธิน โดยมี นายชัยยงค์ พัวพงศกร ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร (กทม.) สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมในพิธี
สืบเนื่องจากการพัฒนาระบบโทรคมนาคมในประเทศไทยที่ส่งผลให้มีสายสื่อสารเพิ่มจํานวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทําให้เกิดปัญหาการพาดสายสื่อสารที่รกรุงรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ตลอดจนทัศนียภาพ และภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่ง กฟน. ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลระบบจําหน่ายไฟฟ้า ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของปัญหาการสื่อสาร จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการนําสายสื่อสารลงใต้ดินระหว่าง 5 หน่วยงาน คือ กฟน. กทม. กสทช. สตช. และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อร่วมกันนําร่องบูรณาการนําสายสื่อสารลงใต้ดินโครงการถนนพหลโยธิน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้ดําเนินการนําสายไฟฟ้าลงใต้ดินแล้ว
สําหรับการนําสายสื่อสารลงท่อร้อยสายใต้ดิน ได้นําเทคโนโลยี Air Blown System หรือการร้อยสายสื่อสารด้วยแรงดันลมมาใช้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพ สามารถร้อยสายสื่อสารด้วยความเร็ว 100 เมตร/นาที มีระยะทางการควบคุมได้ไกลกว่า 4 กิโลเมตร
ในส่วนแผนการดําเนินงาน กฟน. ได้กําหนดการรื้อถอนเสาไฟฟ้า โครงการถนนพหลโยธิน (5 แยกลาดพร้าว – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 : 5 แยกลาดพร้าว - คลองบางซื่อ (1-15 ส.ค.60) ระยะที่ 2 : ถนนประดิพัทธ์ (16-31 ส.ค.60) ระยะที่ 3 : ถนนบางซื่อ – ซอยพหลโยธิน 7 (1-15 ก.ย.60) และระยะที่ 4 : ซอยพหลโยธิน 7 – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (16-30 ก.ย.60) โดยสําหรับเสาไฟฟ้าในโครงการที่รื้อถอนแล้วรวมเป็นจํานวนทั้งสิ้น 800 เสา กฟน.ได้มอบให้ กทม. เพื่อใช้สนับสนุนการดําเนินโครงการปลูกป่าในใจคนตามศาสตร์พระราชาของกรุงเทพมหานคร ในการช่วยฟื้นฟูและป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลกรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน เป็นระยะทางประมาณ 4.7 กิโลเมตร
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการฯ ดังกล่าว สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง MEA Call Center โทร 1130 ตลอด 24 ชั่วโมง.
ครั้งที่ 113/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. เป็นประธานพิธีเปิดงานมหานครไร้สาย กฟน.ร่วมภาคีนำร่องรื้อถอนสายไฟฟ้าถนนพหลโยธินลงใต้ดิน
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560
รมว.มท. เป็นประธานพิธีเปิดงานมหานครไร้สาย กฟน.ร่วมภาคีนําร่องรื้อถอนสายไฟฟ้าถนนพหลโยธินลงใต้ดิน
รมว.มท. เป็นประธานพิธีเปิดงานมหานครไร้สาย กฟน.ร่วมภาคีนําร่องรื้อถอนสายไฟฟ้าถนนพหลโยธินลงใต้ดิน
วันนี้ (11 ส.ค.60) เวลา 09.00 น. ณ บริเวณด้านหน้าสวนจตุจักร กรุงเทพมหานครพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานในพิธีรื้อถอนเสาไฟฟ้า ถนนมหานครแห่งอาเซียน โครงการถนนพหลโยธิน โดยมี นายชัยยงค์ พัวพงศกร ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร (กทม.) สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมในพิธี
สืบเนื่องจากการพัฒนาระบบโทรคมนาคมในประเทศไทยที่ส่งผลให้มีสายสื่อสารเพิ่มจํานวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทําให้เกิดปัญหาการพาดสายสื่อสารที่รกรุงรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ตลอดจนทัศนียภาพ และภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่ง กฟน. ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลระบบจําหน่ายไฟฟ้า ได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของปัญหาการสื่อสาร จึงได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการนําสายสื่อสารลงใต้ดินระหว่าง 5 หน่วยงาน คือ กฟน. กทม. กสทช. สตช. และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อร่วมกันนําร่องบูรณาการนําสายสื่อสารลงใต้ดินโครงการถนนพหลโยธิน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้ดําเนินการนําสายไฟฟ้าลงใต้ดินแล้ว
สําหรับการนําสายสื่อสารลงท่อร้อยสายใต้ดิน ได้นําเทคโนโลยี Air Blown System หรือการร้อยสายสื่อสารด้วยแรงดันลมมาใช้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพ สามารถร้อยสายสื่อสารด้วยความเร็ว 100 เมตร/นาที มีระยะทางการควบคุมได้ไกลกว่า 4 กิโลเมตร
ในส่วนแผนการดําเนินงาน กฟน. ได้กําหนดการรื้อถอนเสาไฟฟ้า โครงการถนนพหลโยธิน (5 แยกลาดพร้าว – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 : 5 แยกลาดพร้าว - คลองบางซื่อ (1-15 ส.ค.60) ระยะที่ 2 : ถนนประดิพัทธ์ (16-31 ส.ค.60) ระยะที่ 3 : ถนนบางซื่อ – ซอยพหลโยธิน 7 (1-15 ก.ย.60) และระยะที่ 4 : ซอยพหลโยธิน 7 – อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (16-30 ก.ย.60) โดยสําหรับเสาไฟฟ้าในโครงการที่รื้อถอนแล้วรวมเป็นจํานวนทั้งสิ้น 800 เสา กฟน.ได้มอบให้ กทม. เพื่อใช้สนับสนุนการดําเนินโครงการปลูกป่าในใจคนตามศาสตร์พระราชาของกรุงเทพมหานคร ในการช่วยฟื้นฟูและป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลกรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน เป็นระยะทางประมาณ 4.7 กิโลเมตร
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนมีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการฯ ดังกล่าว สามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าการไฟฟ้านครหลวง MEA Call Center โทร 1130 ตลอด 24 ชั่วโมง.
ครั้งที่ 113/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5879
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 4 กิจการ/กิจกรรม หลักที่อนุญาตให้กลับมาดำเนินการได้ มีประเภทใดบ้าง ??
|
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563
มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 4 กิจการ/กิจกรรม หลักที่อนุญาตให้กลับมาดําเนินการได้ มีประเภทใดบ้าง ??
มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 4 กิจการ/กิจกรรม หลักที่อนุญาต มีประเภทใดบ้าง ??
Q : มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 4 กิจการ/กิจกรรม หลักที่อนุญาตให้กลับมาดําเนินการได้ มีประเภทใดบ้าง ??
A : 1.โรงเรียนและสถาบันกวดวิชา 2.อนุญาตให้ภัตตาคาร สวนอาหาร โรงแรม สามารถจําหน่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ 3.อนุญาตให้มีการจัดประชุม อบรม สัมมนา 4.สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย 5.บริการขนส่งสาธารณะทุกประเภทให้มีการผ่อนคลายมากขึ้น เช่น สามารถนั่งติดกันได้ 2 ที่นั่ง เว้น 1 ที่นั่ง 6.การแข่งขันกีฬาบางประเภท เช่น ว่ายน้ํา ฟุตบอล
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 4 กิจการ/กิจกรรม หลักที่อนุญาตให้กลับมาดำเนินการได้ มีประเภทใดบ้าง ??
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563
มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 4 กิจการ/กิจกรรม หลักที่อนุญาตให้กลับมาดําเนินการได้ มีประเภทใดบ้าง ??
มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 4 กิจการ/กิจกรรม หลักที่อนุญาต มีประเภทใดบ้าง ??
Q : มาตรการผ่อนปรนระยะที่ 4 กิจการ/กิจกรรม หลักที่อนุญาตให้กลับมาดําเนินการได้ มีประเภทใดบ้าง ??
A : 1.โรงเรียนและสถาบันกวดวิชา 2.อนุญาตให้ภัตตาคาร สวนอาหาร โรงแรม สามารถจําหน่ายดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ 3.อนุญาตให้มีการจัดประชุม อบรม สัมมนา 4.สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย 5.บริการขนส่งสาธารณะทุกประเภทให้มีการผ่อนคลายมากขึ้น เช่น สามารถนั่งติดกันได้ 2 ที่นั่ง เว้น 1 ที่นั่ง 6.การแข่งขันกีฬาบางประเภท เช่น ว่ายน้ํา ฟุตบอล
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32257
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดเงื่อนไข “บ้านล้านหลัง” สานฝันคนอยากมีบ้าน
|
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
เปิดเงื่อนไข “บ้านล้านหลัง” สานฝันคนอยากมีบ้าน
--
มีข่าวดี...สําหรับคนอยากมีบ้านเป็นของตนเอง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ กลุ่มคนวัยทํางานหรือกําลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว และกลุ่มผู้สูงอายุ
ล่าสุดรัฐบาลออกโครงการ “บ้านล้านหลัง” หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสม ดําเนินการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงิน 50,000 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี เริ่มโครงการตั้งแต่วันนี้ – 30 ธ.ค.62
โดยประเภทที่อยู่อาศัยตามโครงการนี้ จะต้องมีราคาซื้อขายไม่เกิน 1,000,000 บาทต่อหน่วย เช่น ที่อยู่อาศัยที่สร้างบนที่ดินของตัวเอง ที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่ บ้านจัดสรร บนที่ดินของรัฐ เอกชน การเคหะ บ้านมือสอง หรือแม้แต่ทรัพย์สินรอการขาย ของสถาบันการเงินและกรมบังคับคดี ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด
สําหรับสินเชื่อที่จะให้นี้ ครอบคลุมถึง
1) การซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด
2) การปลูกสร้างบ้าน หรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างบ้าน
3) การปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของรัฐ
4) การซื้อบ้าน หรือห้องชุด บนที่ดินของรัฐ
5) การซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งภายใน อุปกรณ์เครื่องใช้ เป็นต้น
ใครบ้างที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้?
กลุ่มที่ 1 ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน
วงเงินกู้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 1,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี ตั้งแต่ปีที่ 1 – ปีที่ 5 หลังจากนั้นลูกค้ารายย่อย MRR- 0.75% ต่อปี ลูกค้าสวัสดิการหักเงินเดือน MRR- 1% ต่อปี ถ้าซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวก = MRR
หากมีวงเงินกู้ 500,000 บาท 5 ปีแรก ผ่อนจ่ายเพียง 1,900 – 3,000 บาทต่อเดือน ถ้าวงเงินกู้ 1,000,000 บาท ผ่อนจ่าย 3,800 – 6,000 บาทต่อเดือน
และยังได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และค่าจดทะเบียนนิติกรรมจํานอง อีกด้วย
กลุ่มที่ 2 ผู้ที่มีรายได้เกิน 25,000 บาท/เดือน
วงเงินกู้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 1,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี ตั้งแต่ปีที่ 1 – ปีที่ 3 หลังจากนั้นลูกค้ารายย่อย MRR- 0.5% ต่อปี ลูกค้าสวัสดิการหักเงินเดือน MRR- 1% ต่อปี ถ้าซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวก = MRR
หากมีวงเงินกู้ 500,000 บาท 3 ปีแรก ผ่อนจ่ายเพียง 1,900 – 3,200 บาทต่อเดือน ถ้าวงเงินกู้ 1,000,000 บาท ผ่อนจ่าย 3,800 – 6,300 บาทต่อเดือน
“บ้านล้านหลัง” อีกหนึ่งความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ที่ช่วยตอบโจทย์คนอยากมีบ้านเป็นของตนเอง ...ติดต่อได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ
--------------------------------------------------------
ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดเงื่อนไข “บ้านล้านหลัง” สานฝันคนอยากมีบ้าน
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน 2561
เปิดเงื่อนไข “บ้านล้านหลัง” สานฝันคนอยากมีบ้าน
--
มีข่าวดี...สําหรับคนอยากมีบ้านเป็นของตนเอง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ กลุ่มคนวัยทํางานหรือกําลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว และกลุ่มผู้สูงอายุ
ล่าสุดรัฐบาลออกโครงการ “บ้านล้านหลัง” หรือชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า โครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสม ดําเนินการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงิน 50,000 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี เริ่มโครงการตั้งแต่วันนี้ – 30 ธ.ค.62
โดยประเภทที่อยู่อาศัยตามโครงการนี้ จะต้องมีราคาซื้อขายไม่เกิน 1,000,000 บาทต่อหน่วย เช่น ที่อยู่อาศัยที่สร้างบนที่ดินของตัวเอง ที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่ บ้านจัดสรร บนที่ดินของรัฐ เอกชน การเคหะ บ้านมือสอง หรือแม้แต่ทรัพย์สินรอการขาย ของสถาบันการเงินและกรมบังคับคดี ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด
สําหรับสินเชื่อที่จะให้นี้ ครอบคลุมถึง
1) การซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด
2) การปลูกสร้างบ้าน หรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างบ้าน
3) การปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของรัฐ
4) การซื้อบ้าน หรือห้องชุด บนที่ดินของรัฐ
5) การซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งภายใน อุปกรณ์เครื่องใช้ เป็นต้น
ใครบ้างที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้?
กลุ่มที่ 1 ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน
วงเงินกู้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 1,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี ตั้งแต่ปีที่ 1 – ปีที่ 5 หลังจากนั้นลูกค้ารายย่อย MRR- 0.75% ต่อปี ลูกค้าสวัสดิการหักเงินเดือน MRR- 1% ต่อปี ถ้าซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวก = MRR
หากมีวงเงินกู้ 500,000 บาท 5 ปีแรก ผ่อนจ่ายเพียง 1,900 – 3,000 บาทต่อเดือน ถ้าวงเงินกู้ 1,000,000 บาท ผ่อนจ่าย 3,800 – 6,000 บาทต่อเดือน
และยังได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ ค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และค่าจดทะเบียนนิติกรรมจํานอง อีกด้วย
กลุ่มที่ 2 ผู้ที่มีรายได้เกิน 25,000 บาท/เดือน
วงเงินกู้สูงสุดต่อรายไม่เกิน 1,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี ตั้งแต่ปีที่ 1 – ปีที่ 3 หลังจากนั้นลูกค้ารายย่อย MRR- 0.5% ต่อปี ลูกค้าสวัสดิการหักเงินเดือน MRR- 1% ต่อปี ถ้าซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอํานวยความสะดวก = MRR
หากมีวงเงินกู้ 500,000 บาท 3 ปีแรก ผ่อนจ่ายเพียง 1,900 – 3,200 บาทต่อเดือน ถ้าวงเงินกู้ 1,000,000 บาท ผ่อนจ่าย 3,800 – 6,300 บาทต่อเดือน
“บ้านล้านหลัง” อีกหนึ่งความมุ่งมั่นตั้งใจของรัฐบาล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ที่ช่วยตอบโจทย์คนอยากมีบ้านเป็นของตนเอง ...ติดต่อได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ
--------------------------------------------------------
ภาพ/ข่าว : กลุ่มสื่อสารเชิงกลยุทธ์ สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16992
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีรับมอบหน้ากากอนามัย 500,000 ชิ้น จากบริษัทหัวเว่ยฯ พร้อมย้ำความร่วมมือผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล-เครือข่าย 5G
|
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563
นายกรัฐมนตรีรับมอบหน้ากากอนามัย 500,000 ชิ้น จากบริษัทหัวเว่ยฯ พร้อมย้ําความร่วมมือผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล-เครือข่าย 5G
นายกรัฐมนตรีรับมอบหน้ากากอนามัย 500,000 ชิ้น จากบริษัทหัวเว่ยฯ พร้อมย้ําความร่วมมือผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล-เครือข่าย 5G
วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) เวลา 09.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับมอบหน้ากากอนามัย จํานวน 500,000 ชิ้น จากนายอาเบล เติ้ง (Abel Deng) ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) โดยศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณบริษัทหัวเว่ยฯ ที่ได้ให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งหน้ากากอนามัยที่ได้รับในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันการแพร่ระบาดและควบคุมโรค ยินดีที่บริษัท หัวเว่ยฯ จะให้ความร่วมมือกับไทยในการพัฒนาด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม โดยเฉพาะการสร้างเครือข่าย 5G ซึ่งถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญ ไทยพร้อมพัฒนาศักยภาพเพื่อเป็นผู้นําด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของภูมิภาค
ด้านนายอาเบล เติ้ง เป็นเกียรติและขอบคุณที่ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะอีกครั้ง ยืนยันที่จะให้ความร่วมมือในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางบริษัทหัวเว่ยฯ มีโครงการที่จะสนับสนุนไทยด้วยการใช้นวัตกรรมดิจิทัลและการสร้างเครือข่าย 5G อย่างเต็มรูปแบบในอนาคต เช่น การสร้างศูนย์ 5G Ecosystem Innovation Center และบริการ Cloud เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมไทย พร้อมทั้งชื่นชมการทํางานอย่างทุ่มเทของนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นผู้นําที่ประสบความสําเร็จในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างมีประสิทธิภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีรับมอบหน้ากากอนามัย 500,000 ชิ้น จากบริษัทหัวเว่ยฯ พร้อมย้ำความร่วมมือผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล-เครือข่าย 5G
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน 2563
นายกรัฐมนตรีรับมอบหน้ากากอนามัย 500,000 ชิ้น จากบริษัทหัวเว่ยฯ พร้อมย้ําความร่วมมือผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล-เครือข่าย 5G
นายกรัฐมนตรีรับมอบหน้ากากอนามัย 500,000 ชิ้น จากบริษัทหัวเว่ยฯ พร้อมย้ําความร่วมมือผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล-เครือข่าย 5G
วันนี้ (12 มิถุนายน 2563) เวลา 09.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับมอบหน้ากากอนามัย จํานวน 500,000 ชิ้น จากนายอาเบล เติ้ง (Abel Deng) ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) โดยศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณบริษัทหัวเว่ยฯ ที่ได้ให้การสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งหน้ากากอนามัยที่ได้รับในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันการแพร่ระบาดและควบคุมโรค ยินดีที่บริษัท หัวเว่ยฯ จะให้ความร่วมมือกับไทยในการพัฒนาด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม โดยเฉพาะการสร้างเครือข่าย 5G ซึ่งถือเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสําคัญ ไทยพร้อมพัฒนาศักยภาพเพื่อเป็นผู้นําด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของภูมิภาค
ด้านนายอาเบล เติ้ง เป็นเกียรติและขอบคุณที่ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะอีกครั้ง ยืนยันที่จะให้ความร่วมมือในมิติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางบริษัทหัวเว่ยฯ มีโครงการที่จะสนับสนุนไทยด้วยการใช้นวัตกรรมดิจิทัลและการสร้างเครือข่าย 5G อย่างเต็มรูปแบบในอนาคต เช่น การสร้างศูนย์ 5G Ecosystem Innovation Center และบริการ Cloud เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมไทย พร้อมทั้งชื่นชมการทํางานอย่างทุ่มเทของนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นผู้นําที่ประสบความสําเร็จในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างมีประสิทธิภาพ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32238
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่วัดระฆังโฆสิตาราม วัดต้นแบบการจัดโรงทานช่วยประชาชนอย่างเป็นระบบ ช่วงสถานการณ์โควิด-19
|
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่วัดระฆังโฆสิตาราม วัดต้นแบบการจัดโรงทานช่วยประชาชนอย่างเป็นระบบ ช่วงสถานการณ์โควิด-19
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่วัดระฆังโฆสิตาราม วัดต้นแบบการจัดโรงทานช่วยประชาชนอย่างเป็นระบบ ช่วงสถานการณ์โควิด-19
วันนี้ (13 พ.ค. 63) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ศาลตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่วัดระฆังโฆสิตารามติดตามการบริหารจัดการโรงทาน ตามพระดําริของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระบัญชาให้สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานงานกับวัดทั่วประเทศที่มีศักยภาพ จัดตั้งโรงทานเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความยากลําบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (COVID-19)
เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึง เข้ากราบนมัสการ พระธรรมธีรราชมหามุนี เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม และถวายเครื่องไทยธรรม จากนั้นไปตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองประชาชนที่มารับเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ประชาชน ณ โรงเรียนโฆสิตสโมสร ซึ่งเป็นสถานที่พักรอก่อนให้ประชาชนเข้าแถวรับสิ่งของบริเวณจุดที่ทางวัดจัดไว้ โดยบริหารจัดการแจกจ่ายสิ่งของให้ประชาชนทางวัดได้ยึดแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ด้วยการจัดที่นั่งพักรอและการเข้าแถวต้องมีการเว้นระยะห่าง 1 - 2 เมตร กําหนดจุดชัดเจน รวมถึงจัดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อคัดกรองเบื้องต้น ก่อนเข้ารับสินค้าในบริเวณจุดรับของบริจาค ในส่วนของการรับสิ่งของจะให้ประชาชนเป็นผู้รับเองโดยไม่มีการสัมผัสมือระหว่างผู้ให้และผู้รับ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยมีประชากร 67 ล้านคน ซึ่งไทยกําลังพัฒนาไปในหลายเรื่อง ประชากรไทยที่มีรายได้น้อย 47 ล้านคนประกอบอาชีพต่างๆ รวมทั้งเกษตรกร ต้องแจ้งหน่วยงานให้ถูกต้อง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสามารถทําเรื่องการจ่ายเงินได้ตรงกับประชาชน ขณะเดียวกันก็ต้องขอให้ประชาชนร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เรียกว่า “New Normal” หรือความปกติแบบใหม่ในสังคมไทย ทั้งระมัดระวังสุขภาพ ดูแลตนเอง ดูแล แบ่งปันคนอื่น และใช้โซเชียลและดิจิทัลในการดํารงชีวิต เช่น การรับบริการ การใช้ e-Wallet ซึ่งต้องตอบรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้วย เพราะโลกได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการให้บริการต่าง ๆ การใช้ระบบออนไลน์ การนําเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์การบริหารจัดการใหม่ มาช่วยในการดําเนินงานชีวิต
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า วัดเป็นที่พึงทางใจ ดังในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชดําริว่า บ้านที่มีความสุข มีพ่อ แม่ และลูกที่ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน วัดคือ สถานที่ที่ดูแลคนไทย ทั้งสอนศาสนาคือ สอนให้ถึงแก่นศาสนา สอนให้คนรู้จักเป็นกลาง ไม่ขัดแย้งกัน และโรงเรียนเป็นสิ่งสําคัญ ลูกหลานต้องเรียนหนังสือ ซึ่งวันหน้าโรงเรียนก็เปลี่ยนอีก ขณะนี้มีการเรียนการสอนออนไลน์ ทางโทรทัศน์บ้าง เพื่อที่จะลดเวลาการไปโรงเรียน และมีเวลาอยู่กับครอบครัว ดังนั้นโลกเปลี่ยน การศึกษาเปลี่ยน เศรษฐกิจเปลี่ยน ที่เรียกว่า โลกยุคใหม่หลังโควิด ทุกคนต้องเตรียมการรับมือ ซึ่งคาดว่าวันข้างหน้าเมื่อนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย จะระวังอย่างเดียวคือ สุขภาพ ความสะอาด โดยทุกคนต้องปรับตัว
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แม้วันนี้จะมีการผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ ขอประชาชนอย่าเพิ่งประมาท เพราะโรคยังอยู่ บางทีไม่แสดงอาการ ทุกคนต้องระมัดระวังตนเองและเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งรัฐบาลได้มีมาตรการต่างๆ เพื่อให้ประชาชนทํามาหากิน เพราะเห็นใจทุกคน เป็นนายกรัฐมนตรีมา 5-6 ปี ต้องการให้ประชาชนมีความสุข ให้ประเทศดีขึ้น นายกรัฐมนตรีทําเพียงคนเดียวไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับประชาชนคนไทยด้วยที่ต้องช่วยกัน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังบริเวณท่าน้ําหน้าวัด เพื่อถวายพวงมาลัยสักการะรูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) เปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายเครื่องสักการะหน้าพระรูปสมเด็จพระอริยวงศาคตฐาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ต่อด้วยเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของประชาชนจิตอาสา ภายในโรงครัวของวัด โดยนายกรัฐมนตรีได้ร่วมผัดพริกแกงไก่ ประกอบอาหารเพื่อแจกจ่ายแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนในชุมชนวัดและพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนคนตกงาน คนที่มีรายได้น้อย เฉลี่ยประมาณ 1,000 กล่องต่อวัน รวมทั้ง ได้มอบน้ําลําไยกับแบรนด์ซุปไก่สกัดให้แก่ตัวแทนจิตอาสาที่ปฎิบัติหน้าที่ในโรงครัว ก่อนเดินทางกลับนายกรัฐมนตรีเข้ากราบนมัสการพระบวรรังษี เจ้าคณะแขวงศิริราช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม
......................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่วัดระฆังโฆสิตาราม วัดต้นแบบการจัดโรงทานช่วยประชาชนอย่างเป็นระบบ ช่วงสถานการณ์โควิด-19
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่วัดระฆังโฆสิตาราม วัดต้นแบบการจัดโรงทานช่วยประชาชนอย่างเป็นระบบ ช่วงสถานการณ์โควิด-19
นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่วัดระฆังโฆสิตาราม วัดต้นแบบการจัดโรงทานช่วยประชาชนอย่างเป็นระบบ ช่วงสถานการณ์โควิด-19
วันนี้ (13 พ.ค. 63) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ศาลตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่วัดระฆังโฆสิตารามติดตามการบริหารจัดการโรงทาน ตามพระดําริของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระบัญชาให้สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานงานกับวัดทั่วประเทศที่มีศักยภาพ จัดตั้งโรงทานเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความยากลําบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (COVID-19)
เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึง เข้ากราบนมัสการ พระธรรมธีรราชมหามุนี เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม และถวายเครื่องไทยธรรม จากนั้นไปตรวจเยี่ยมจุดคัดกรองประชาชนที่มารับเครื่องอุปโภคบริโภคแก่ประชาชน ณ โรงเรียนโฆสิตสโมสร ซึ่งเป็นสถานที่พักรอก่อนให้ประชาชนเข้าแถวรับสิ่งของบริเวณจุดที่ทางวัดจัดไว้ โดยบริหารจัดการแจกจ่ายสิ่งของให้ประชาชนทางวัดได้ยึดแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ด้วยการจัดที่นั่งพักรอและการเข้าแถวต้องมีการเว้นระยะห่าง 1 - 2 เมตร กําหนดจุดชัดเจน รวมถึงจัดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายเพื่อคัดกรองเบื้องต้น ก่อนเข้ารับสินค้าในบริเวณจุดรับของบริจาค ในส่วนของการรับสิ่งของจะให้ประชาชนเป็นผู้รับเองโดยไม่มีการสัมผัสมือระหว่างผู้ให้และผู้รับ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยมีประชากร 67 ล้านคน ซึ่งไทยกําลังพัฒนาไปในหลายเรื่อง ประชากรไทยที่มีรายได้น้อย 47 ล้านคนประกอบอาชีพต่างๆ รวมทั้งเกษตรกร ต้องแจ้งหน่วยงานให้ถูกต้อง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลสามารถทําเรื่องการจ่ายเงินได้ตรงกับประชาชน ขณะเดียวกันก็ต้องขอให้ประชาชนร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เรียกว่า “New Normal” หรือความปกติแบบใหม่ในสังคมไทย ทั้งระมัดระวังสุขภาพ ดูแลตนเอง ดูแล แบ่งปันคนอื่น และใช้โซเชียลและดิจิทัลในการดํารงชีวิต เช่น การรับบริการ การใช้ e-Wallet ซึ่งต้องตอบรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้วย เพราะโลกได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งการให้บริการต่าง ๆ การใช้ระบบออนไลน์ การนําเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์การบริหารจัดการใหม่ มาช่วยในการดําเนินงานชีวิต
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า วัดเป็นที่พึงทางใจ ดังในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชดําริว่า บ้านที่มีความสุข มีพ่อ แม่ และลูกที่ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน วัดคือ สถานที่ที่ดูแลคนไทย ทั้งสอนศาสนาคือ สอนให้ถึงแก่นศาสนา สอนให้คนรู้จักเป็นกลาง ไม่ขัดแย้งกัน และโรงเรียนเป็นสิ่งสําคัญ ลูกหลานต้องเรียนหนังสือ ซึ่งวันหน้าโรงเรียนก็เปลี่ยนอีก ขณะนี้มีการเรียนการสอนออนไลน์ ทางโทรทัศน์บ้าง เพื่อที่จะลดเวลาการไปโรงเรียน และมีเวลาอยู่กับครอบครัว ดังนั้นโลกเปลี่ยน การศึกษาเปลี่ยน เศรษฐกิจเปลี่ยน ที่เรียกว่า โลกยุคใหม่หลังโควิด ทุกคนต้องเตรียมการรับมือ ซึ่งคาดว่าวันข้างหน้าเมื่อนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย จะระวังอย่างเดียวคือ สุขภาพ ความสะอาด โดยทุกคนต้องปรับตัว
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แม้วันนี้จะมีการผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ ขอประชาชนอย่าเพิ่งประมาท เพราะโรคยังอยู่ บางทีไม่แสดงอาการ ทุกคนต้องระมัดระวังตนเองและเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งรัฐบาลได้มีมาตรการต่างๆ เพื่อให้ประชาชนทํามาหากิน เพราะเห็นใจทุกคน เป็นนายกรัฐมนตรีมา 5-6 ปี ต้องการให้ประชาชนมีความสุข ให้ประเทศดีขึ้น นายกรัฐมนตรีทําเพียงคนเดียวไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับประชาชนคนไทยด้วยที่ต้องช่วยกัน
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังบริเวณท่าน้ําหน้าวัด เพื่อถวายพวงมาลัยสักการะรูปเหมือนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) เปิดกรวยกระทงดอกไม้ถวายเครื่องสักการะหน้าพระรูปสมเด็จพระอริยวงศาคตฐาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ต่อด้วยเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของประชาชนจิตอาสา ภายในโรงครัวของวัด โดยนายกรัฐมนตรีได้ร่วมผัดพริกแกงไก่ ประกอบอาหารเพื่อแจกจ่ายแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานช่วยเหลือประชาชนในชุมชนวัดและพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนคนตกงาน คนที่มีรายได้น้อย เฉลี่ยประมาณ 1,000 กล่องต่อวัน รวมทั้ง ได้มอบน้ําลําไยกับแบรนด์ซุปไก่สกัดให้แก่ตัวแทนจิตอาสาที่ปฎิบัติหน้าที่ในโรงครัว ก่อนเดินทางกลับนายกรัฐมนตรีเข้ากราบนมัสการพระบวรรังษี เจ้าคณะแขวงศิริราช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม
......................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30735
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน จัดงานวันเด็ก 2563 เด็กฝากเงินด้วยตัวเอง 100 บาท รับ “กระปุกคิดส์ดี คิดส์พลังบวก”
|
วันพุธที่ 8 มกราคม 2563
ออมสิน จัดงานวันเด็ก 2563 เด็กฝากเงินด้วยตัวเอง 100 บาท รับ “กระปุกคิดส์ดี คิดส์พลังบวก”
ธนาคารออมสิน จัดกิจกรรม “วันเด็กแห่งชาติ” ประจําปี 2563 ณ ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ ด้วยแนวคิด “GSB Quality Kids : คิดส์ดี คิดส์คุณภาพ ปี 2” พบกิจกรรมสร้างสรรค์มากมาย โดยเปิดลงทะเบียนเข้างานล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ www.gsb.or.th
ธนาคารออมสิน จัดกิจกรรม “วันเด็กแห่งชาติ” ประจําปี 2563 ณ ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ ด้วยแนวคิด “GSB Quality Kids : คิดส์ดี คิดส์คุณภาพ ปี 2” พบกิจกรรมสร้างสรรค์มากมาย โดยเปิดลงทะเบียนเข้างานล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ www.gsb.or.th พร้อมชวนนํากระปุกออมสินที่หยอดเงินไว้มาโชว์เพื่อรับ “กระปุกคิดส์ดี คิดส์พลังบวก” มีจํากัด 500 ใบ พร้อมเปิดทุกสาขาทั่วประเทศให้เด็กฝากเงินเป็นกรณีพิเศษ ในเวลา 8.30 - 12.00 น. ฝากเงินหรือเปิดบัญชีด้วยตัวเอง ตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป รับ “กระปุกคิดส์ดี คิดส์พลังบวก”
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ในวันเด็กแห่งชาติของทุกปี หน่วยงานต่างๆ ได้จัดกิจกรรมมากมายเพื่อให้เด็กไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมทั้งเพื่อสันทนาการ สนุกสนาน โดยธนาคารออมสินได้จัดงานวันเด็กแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “GSB Quality Kids : คิดส์ดี คิดส์คุณภาพ ปี 2” โดยมีกิจกรรมสําคัญที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปีมาอย่างยาวนาน คือการเปิดรับฝากเงินเป็นกรณีพิเศษ เพื่อปลูกฝังนิสัยการออมตั้งแต่วัยเยาว์ พร้อมทั้งแจกของที่ระลึกให้แก่เด็กที่ฝากเงิน โดยสาขาทุกแห่งทั่วประเทศเปิดให้บริการแก่เด็กที่มาฝากเงินหรือเปิดบัญชีด้วยตัวเองตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป ได้รับของที่ระลึก “กระปุกคิดส์ดี คิดส์พลังบวก” 1 ชิ้น ต่อ 1 ราย ตั้งแต่เวลา 8.30-12.00 น. ขณะที่ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่นอกจากแจกกระปุกตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษ เชิญชวนเด็กที่มีนิสัยรักการออมชอบหยอดกระปุกออมสินแล้วมาร่วมงานนี้ ให้นํากระปุกออมสินมาแสดงด้วย จะได้รับ “กระปุกออมสินคิดส์ดี คิดพลังบวก” 1 ชิ้น ต่อ 1 สิทธิ์ (ของมีจํานวนจํากัด)
สําหรับกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้น ณ ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ มีกิจกรรม สีสัน เกม ซึ่งเน้นให้เด็กๆ ได้รับความรู้ ความสนุกสนาน ท้าทายความคิด ควบคู่ไปกับสาระต่างๆ อย่างครบครัน เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เด็กได้เรียนรู้และนําไปเป็นแนวคิดในการใช้ชีวิต การเรียน สู่การเป็นอนาคตที่ดีของชาติต่อไป รวมทั้งสิ้น 6 ฐาน ซึ่งนอกเหนือจากกิจกรรมเล่นเกมต่างๆ แล้ว เด็กๆ จะได้พบเยาวชนตัวอย่าง อาทิ น้องมะลิ, น้องเรซซิ่ง การแสดงโชว์จากค่ายจ๊ะทิงจา ด้วยรวมถึงมีอาหารและเครื่องดื่มที่แจกฟรีตลอดทั้งงาน โดยมีพันธมิตรเข้าร่วมจัดงานมากมาย อาทิ บมจ.ทิพยประกันชีวิต, บมจ.ทิพยประกันภัย, บลจ.เอ็มเอฟซี, โมโนมิวสิค, เมเจอร์กรุ๊ป, เอสเอฟซีเนม่า เป็นต้น
“เด็กที่จะมาร่วมงานที่ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ได้ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2563 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 10 มกราคม 2563 เวลา 18.00 น. หรือเตรียมบัตรประจําตัวประชาชนมาเพื่อใช้ในการลงทะเบียนเข้างานที่หน้างานในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 ซึ่งเด็กๆ จะได้รับ QR Code ของตนเอง ใช้ในการร่วมกิจกรรมเล่นเกมตามฐานต่างๆ การตอบแบบสอบถาม การจับรางวัล สะสมแต้มรับของรางวัล และลุ้นรับทุนการศึกษาอีกด้วย” ดร.ชาติชาย กล่าวในที่สุด.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสิน จัดงานวันเด็ก 2563 เด็กฝากเงินด้วยตัวเอง 100 บาท รับ “กระปุกคิดส์ดี คิดส์พลังบวก”
วันพุธที่ 8 มกราคม 2563
ออมสิน จัดงานวันเด็ก 2563 เด็กฝากเงินด้วยตัวเอง 100 บาท รับ “กระปุกคิดส์ดี คิดส์พลังบวก”
ธนาคารออมสิน จัดกิจกรรม “วันเด็กแห่งชาติ” ประจําปี 2563 ณ ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ ด้วยแนวคิด “GSB Quality Kids : คิดส์ดี คิดส์คุณภาพ ปี 2” พบกิจกรรมสร้างสรรค์มากมาย โดยเปิดลงทะเบียนเข้างานล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ www.gsb.or.th
ธนาคารออมสิน จัดกิจกรรม “วันเด็กแห่งชาติ” ประจําปี 2563 ณ ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ ด้วยแนวคิด “GSB Quality Kids : คิดส์ดี คิดส์คุณภาพ ปี 2” พบกิจกรรมสร้างสรรค์มากมาย โดยเปิดลงทะเบียนเข้างานล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ www.gsb.or.th พร้อมชวนนํากระปุกออมสินที่หยอดเงินไว้มาโชว์เพื่อรับ “กระปุกคิดส์ดี คิดส์พลังบวก” มีจํากัด 500 ใบ พร้อมเปิดทุกสาขาทั่วประเทศให้เด็กฝากเงินเป็นกรณีพิเศษ ในเวลา 8.30 - 12.00 น. ฝากเงินหรือเปิดบัญชีด้วยตัวเอง ตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป รับ “กระปุกคิดส์ดี คิดส์พลังบวก”
ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ในวันเด็กแห่งชาติของทุกปี หน่วยงานต่างๆ ได้จัดกิจกรรมมากมายเพื่อให้เด็กไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมทั้งเพื่อสันทนาการ สนุกสนาน โดยธนาคารออมสินได้จัดงานวันเด็กแห่งชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “GSB Quality Kids : คิดส์ดี คิดส์คุณภาพ ปี 2” โดยมีกิจกรรมสําคัญที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปีมาอย่างยาวนาน คือการเปิดรับฝากเงินเป็นกรณีพิเศษ เพื่อปลูกฝังนิสัยการออมตั้งแต่วัยเยาว์ พร้อมทั้งแจกของที่ระลึกให้แก่เด็กที่ฝากเงิน โดยสาขาทุกแห่งทั่วประเทศเปิดให้บริการแก่เด็กที่มาฝากเงินหรือเปิดบัญชีด้วยตัวเองตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป ได้รับของที่ระลึก “กระปุกคิดส์ดี คิดส์พลังบวก” 1 ชิ้น ต่อ 1 ราย ตั้งแต่เวลา 8.30-12.00 น. ขณะที่ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่นอกจากแจกกระปุกตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว ยังได้จัดกิจกรรมพิเศษ เชิญชวนเด็กที่มีนิสัยรักการออมชอบหยอดกระปุกออมสินแล้วมาร่วมงานนี้ ให้นํากระปุกออมสินมาแสดงด้วย จะได้รับ “กระปุกออมสินคิดส์ดี คิดพลังบวก” 1 ชิ้น ต่อ 1 สิทธิ์ (ของมีจํานวนจํากัด)
สําหรับกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้น ณ ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ มีกิจกรรม สีสัน เกม ซึ่งเน้นให้เด็กๆ ได้รับความรู้ ความสนุกสนาน ท้าทายความคิด ควบคู่ไปกับสาระต่างๆ อย่างครบครัน เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้เด็กได้เรียนรู้และนําไปเป็นแนวคิดในการใช้ชีวิต การเรียน สู่การเป็นอนาคตที่ดีของชาติต่อไป รวมทั้งสิ้น 6 ฐาน ซึ่งนอกเหนือจากกิจกรรมเล่นเกมต่างๆ แล้ว เด็กๆ จะได้พบเยาวชนตัวอย่าง อาทิ น้องมะลิ, น้องเรซซิ่ง การแสดงโชว์จากค่ายจ๊ะทิงจา ด้วยรวมถึงมีอาหารและเครื่องดื่มที่แจกฟรีตลอดทั้งงาน โดยมีพันธมิตรเข้าร่วมจัดงานมากมาย อาทิ บมจ.ทิพยประกันชีวิต, บมจ.ทิพยประกันภัย, บลจ.เอ็มเอฟซี, โมโนมิวสิค, เมเจอร์กรุ๊ป, เอสเอฟซีเนม่า เป็นต้น
“เด็กที่จะมาร่วมงานที่ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ สามารถลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ได้ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2563 เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 10 มกราคม 2563 เวลา 18.00 น. หรือเตรียมบัตรประจําตัวประชาชนมาเพื่อใช้ในการลงทะเบียนเข้างานที่หน้างานในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 ซึ่งเด็กๆ จะได้รับ QR Code ของตนเอง ใช้ในการร่วมกิจกรรมเล่นเกมตามฐานต่างๆ การตอบแบบสอบถาม การจับรางวัล สะสมแต้มรับของรางวัล และลุ้นรับทุนการศึกษาอีกด้วย” ดร.ชาติชาย กล่าวในที่สุด.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25676
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘มนัญญา’ ติวเข้มสารวัตรเกษตรฯ ทั่วประเทศ ก่อนมีมติแบน 3 สาร
|
วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562
‘มนัญญา’ ติวเข้มสารวัตรเกษตรฯ ทั่วประเทศ ก่อนมีมติแบน 3 สาร
‘มนัญญา’ ติวเข้มสารวัตรเกษตรฯ ทั่วประเทศ ก่อนมีมติแบน 3 สาร ย้ําต้องไม่มีเกษตรกรถูกจับกุมกรณีมีสารไว้ในครอบครอง
‘มนัญญา’ ติวเข้มสารวัตรเกษตรฯ ทั่วประเทศ ก่อนมีมติแบน 3 สาร ย้ําต้องไม่มีเกษตรกรถูกจับกุมกรณีมีสารไว้ในครอบครอง
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังมอบนโยบายในการควบคุมกํากับวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 แก่พนักงานเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตร จํานวน 300 คนทั่วประเทศ ว่า การประชุมมอบนโยบายในวันนี้ เพื่อชี้แจงแนวทางในการลงพื้นที่และการดูแลประชาชนและเกษตรกรในการส่งคืน
3 สารเคมี ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพรีฟอส และไกลโฟเซต ตามคําสั่งกรมวิชาการเกษตร ลงวันที่ 28 ต.ค. 62 ให้ผู้ที่มีวัตถุอันตราย “พาราควอต คลอร์ไพรีฟอส และไกลโฟเซต” ที่อยู่ในความครอบครอง แจ้งปริมาณการมีไว้ในครอบครองภายใน 15 วัน นับแต่ประกาศกําหนดให้วัตถุอันตรายดังกล่าว เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ห้ามมิให้มีการผลิต นําเข้า ส่งออก นําผ่าน หรือมีไว้ครอบครอง) มีผลบังคับใช้ ตลอดจนให้ส่งมอบวัตถุอันตรายดังกล่าวที่มีในครอบครองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่แจ้งปริมาณการครอบครอง โดยให้แจ้งและส่งมอบที่สํานักควบคุมพืชและวัสดุเกษตร หรือศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัด เขต 1-8 โดยสารวัตรเกษตรจะต้องสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ตรงกัน เพื่อดําเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเร่งสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ
ให้รับทราบ ถึงการครอบครองสารดังกล่าวก่อนจะมีผลแบนสารตามวันที่กําหนด
ทั้งนี้ ในวันที่ 25 พ.ย. 62 จะประชุมร่วมกับสหกรณ์จังหวัด ทั้ง 17 จังหวัด เพื่อมาร่วมรับฟังแนวทางและสร้างความเข้าใจแก่เกษตรกรให้ทั่วถึง ตลอดจนประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อขอความร่วมมือให้ชี้แจงแนวทางปฏิบัติกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน โดยสิ่งสําคัญคือจะต้องไม่มีเกษตรกรถูกจับกุมในข้อหามีสารเคมีดังกล่าวไว้ในครอบครอง อย่างไรก็ตามจากการลงพื้นที่ได้รับทราบว่ามีร้านค้าหลายแห่งเริ่มมีการขายสารดังกล่าวแบบลดแลกแจกแถมเพื่อดึงดูดให้เกษตรกรซื้อ ซึ่งเกษตรกรที่ทราบข่าวก็ได้ปฏิเสธไป ทั้งนี้สารวัตรเกษตรจะต้องสอบถามเกษตรกรถึงแหล่งที่มาว่าได้มาอย่างไรด้วย ในส่วนของการเยียวยาเกษตรกรนั้นจะอยู่ในมาตรการที่ต้องพิจารณาต่อไป ยืนยันว่าทุกกอย่างต้องดําเนินการภายใต้กฎหมาย
“ส่วนกรณีที่จะมีเกษตรกรซึ่งได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดจะแต่งชุดดํารวมตัวไปเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ได้สร้างความกดดันแต่อย่างใด ก็ขอให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย อย่างไรก็ตามยืนยันว่าจะเดินหน้าตามนโยบายที่ได้วางไว้แต่แรก ที่จะให้มีการแบนสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ให้มีผลวันที่ 1 ธ.ค. นี้ โดยในวันที่ 27 พ.ย. นี้ จะมีการประชุมของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งจะมีมติอย่างไรก็ต้องติดตามต่อไป” นางสาวมนัญญา กล่าว
สําหรับมาตรการปฏิบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรหลังจากประกาศกําหนดให้วัตถุอันตรายดังกล่าวเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 นั้น จะมีการตรวจสอบการนําเข้าเพื่อป้องกันการลักลอบ ณ ด่านตรวจพืช รวมทั้งเข้าตรวจสอบสถานประกอบการทั้งผู้ผลิต ผู้นําเข้า ผู้ส่งออก ผู้จําหน่าย ร้านค้า และผู้ที่มีไว้ครอบครองหากพบการกระทําผิดให้ดําเนินการตามกฎหมาย ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘มนัญญา’ ติวเข้มสารวัตรเกษตรฯ ทั่วประเทศ ก่อนมีมติแบน 3 สาร
วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562
‘มนัญญา’ ติวเข้มสารวัตรเกษตรฯ ทั่วประเทศ ก่อนมีมติแบน 3 สาร
‘มนัญญา’ ติวเข้มสารวัตรเกษตรฯ ทั่วประเทศ ก่อนมีมติแบน 3 สาร ย้ําต้องไม่มีเกษตรกรถูกจับกุมกรณีมีสารไว้ในครอบครอง
‘มนัญญา’ ติวเข้มสารวัตรเกษตรฯ ทั่วประเทศ ก่อนมีมติแบน 3 สาร ย้ําต้องไม่มีเกษตรกรถูกจับกุมกรณีมีสารไว้ในครอบครอง
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังมอบนโยบายในการควบคุมกํากับวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 แก่พนักงานเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตร จํานวน 300 คนทั่วประเทศ ว่า การประชุมมอบนโยบายในวันนี้ เพื่อชี้แจงแนวทางในการลงพื้นที่และการดูแลประชาชนและเกษตรกรในการส่งคืน
3 สารเคมี ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพรีฟอส และไกลโฟเซต ตามคําสั่งกรมวิชาการเกษตร ลงวันที่ 28 ต.ค. 62 ให้ผู้ที่มีวัตถุอันตราย “พาราควอต คลอร์ไพรีฟอส และไกลโฟเซต” ที่อยู่ในความครอบครอง แจ้งปริมาณการมีไว้ในครอบครองภายใน 15 วัน นับแต่ประกาศกําหนดให้วัตถุอันตรายดังกล่าว เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ห้ามมิให้มีการผลิต นําเข้า ส่งออก นําผ่าน หรือมีไว้ครอบครอง) มีผลบังคับใช้ ตลอดจนให้ส่งมอบวัตถุอันตรายดังกล่าวที่มีในครอบครองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่แจ้งปริมาณการครอบครอง โดยให้แจ้งและส่งมอบที่สํานักควบคุมพืชและวัสดุเกษตร หรือศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรจังหวัด เขต 1-8 โดยสารวัตรเกษตรจะต้องสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ตรงกัน เพื่อดําเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเร่งสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ
ให้รับทราบ ถึงการครอบครองสารดังกล่าวก่อนจะมีผลแบนสารตามวันที่กําหนด
ทั้งนี้ ในวันที่ 25 พ.ย. 62 จะประชุมร่วมกับสหกรณ์จังหวัด ทั้ง 17 จังหวัด เพื่อมาร่วมรับฟังแนวทางและสร้างความเข้าใจแก่เกษตรกรให้ทั่วถึง ตลอดจนประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อขอความร่วมมือให้ชี้แจงแนวทางปฏิบัติกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน โดยสิ่งสําคัญคือจะต้องไม่มีเกษตรกรถูกจับกุมในข้อหามีสารเคมีดังกล่าวไว้ในครอบครอง อย่างไรก็ตามจากการลงพื้นที่ได้รับทราบว่ามีร้านค้าหลายแห่งเริ่มมีการขายสารดังกล่าวแบบลดแลกแจกแถมเพื่อดึงดูดให้เกษตรกรซื้อ ซึ่งเกษตรกรที่ทราบข่าวก็ได้ปฏิเสธไป ทั้งนี้สารวัตรเกษตรจะต้องสอบถามเกษตรกรถึงแหล่งที่มาว่าได้มาอย่างไรด้วย ในส่วนของการเยียวยาเกษตรกรนั้นจะอยู่ในมาตรการที่ต้องพิจารณาต่อไป ยืนยันว่าทุกกอย่างต้องดําเนินการภายใต้กฎหมาย
“ส่วนกรณีที่จะมีเกษตรกรซึ่งได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสารเคมี 3 ชนิดจะแต่งชุดดํารวมตัวไปเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ได้สร้างความกดดันแต่อย่างใด ก็ขอให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการวัตถุอันตราย อย่างไรก็ตามยืนยันว่าจะเดินหน้าตามนโยบายที่ได้วางไว้แต่แรก ที่จะให้มีการแบนสารเคมีทั้ง 3 ชนิด ให้มีผลวันที่ 1 ธ.ค. นี้ โดยในวันที่ 27 พ.ย. นี้ จะมีการประชุมของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งจะมีมติอย่างไรก็ต้องติดตามต่อไป” นางสาวมนัญญา กล่าว
สําหรับมาตรการปฏิบัติของพนักงานเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรหลังจากประกาศกําหนดให้วัตถุอันตรายดังกล่าวเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 นั้น จะมีการตรวจสอบการนําเข้าเพื่อป้องกันการลักลอบ ณ ด่านตรวจพืช รวมทั้งเข้าตรวจสอบสถานประกอบการทั้งผู้ผลิต ผู้นําเข้า ผู้ส่งออก ผู้จําหน่าย ร้านค้า และผู้ที่มีไว้ครอบครองหากพบการกระทําผิดให้ดําเนินการตามกฎหมาย ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจําคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24756
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยดื่มนมเพื่อสุขภาพที่ดี ขณะที่ผู้ประสานงาน UN ชื่นชมไทยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมมือสู้ภัยโควิด-19
|
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยดื่มนมเพื่อสุขภาพที่ดี ขณะที่ผู้ประสานงาน UN ชื่นชมไทยเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมมือสู้ภัยโควิด-19
นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยดื่มนมเพื่อสุขภาพที่ดี ขณะที่ผู้ประสานงาน UN ชื่นชมไทยเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมมือสู้ภัยโควิด-19
วันนี้ (26 พ.ค. 63) เวลา 8.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับมอบหนังสือชุดการ์ตูนความรู้ KnowCovid รู้ทันโควิด โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรม “วันดื่มนมโลก ประจําปี 2563 (World Milk Day 2020)” ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก่อนร่วมกิจกรรมฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยกระทรวงสาธารณสุข ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นํา Mrs. Gita Sabharwal ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจําประเทศไทย (United Nations Resident Coordinator in Thailand) นาย Daniel A. Kertesz ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย (World Health Organization Representative to Thailand) พร้อมด้วย นางสาวพิมพ์พิชา อุตสาหจิต กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทบันลือกรุ๊ป เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อมอบหนังสือชุดการ์ตูนความรู้ KnowCovid รู้ทันโควิด ตามโครงการ “พม.ห่วงใย ต้านภัยโควิด – 19” โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข รัฐสภา องค์การอนามัยโลกประเทศไทย (WHO) องค์การสหประชาชาติ (UN) และบริษัทบันลือกรุ๊ปในนามจัดทําสื่อสารประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูล สาระความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส ผู้ประสบปัญหาทางสังคมอื่น ๆ และครอบครัว โดยรัฐมนตรีได้กล่าวรายงานว่าได้นํา การ์ตูนความรู้ KnowCovid รู้ทันโควิด ไปแจกตามโรงเรียนรวมทั้งร้านเสริมสวยทั่วไปด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมพร้อมเสนอแนะให้เผยแพร่ผ่านทั้งเว็บไซท์ Facebook ไลน์ และช่องทางออนไลน์อื่น ๆ ด้วยเพื่อให้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวาง โอกาสนี้ ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจําประเทศไทย ชื่นชมความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันของประเทศไทย ในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วย
จากนั้น นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า นายประภัทร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรม “วันดื่มนมโลก ประจําปี 2563 (World Milk Day 2020)” ในวันที่ 1 มิถุนายน เพื่อรณรงค์ให้คนไทยทุกเพศ ทุกวัย ดื่มนมเพื่อสุขภาพที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีคําขวัญประจําปีนี้ว่า “สร้างความสุข เสริมภูมิคุ้มกัน ดื่มนมทุกวัน ดื่มได้ทุกวัย บริโภคนมได้หลากหลายเมนู” โดยนายกรัฐมนตรีได้ร่วมถ่ายภาพประชาสัมพันธ์ เชิญชวนให้ประชาชนทุกคนหันมาดื่มนม และร่วมกันอุดหนุนผลิตภัณฑ์นมของคนไทย และยังแนะนําผลิตภัณฑ์นมแลคโตสฟรี (Lactose Free) เพื่อเป็นทางเลือกสําหรับผู้ที่แพ้นมวัวอีกด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้ารับการฉีดวัคซีน ป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยกรมควบคุมโรค เนื่องจากในช่วงฤดูฝนมักจะพบโรคไข้หวัดใหญ่นั้นระบาดซึ่งจะมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา รัฐบาลโดย กระทรวงสาธารณสุข จึงรณรงค์ให้คนไทยเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันเพื่อสุขภาพ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณ อวยพรให้ทีมแพทย์และพยาบาลมีสุขภาพแข็งแรง พร้อมให้กําลังใจให้ในการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลสุขภาพของประชาชนทั่วไป
..................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยดื่มนมเพื่อสุขภาพที่ดี ขณะที่ผู้ประสานงาน UN ชื่นชมไทยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมมือสู้ภัยโควิด-19
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยดื่มนมเพื่อสุขภาพที่ดี ขณะที่ผู้ประสานงาน UN ชื่นชมไทยเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมมือสู้ภัยโควิด-19
นายกรัฐมนตรีเชิญชวนคนไทยดื่มนมเพื่อสุขภาพที่ดี ขณะที่ผู้ประสานงาน UN ชื่นชมไทยเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมมือสู้ภัยโควิด-19
วันนี้ (26 พ.ค. 63) เวลา 8.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับมอบหนังสือชุดการ์ตูนความรู้ KnowCovid รู้ทันโควิด โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรม “วันดื่มนมโลก ประจําปี 2563 (World Milk Day 2020)” ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก่อนร่วมกิจกรรมฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยกระทรวงสาธารณสุข ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นํา Mrs. Gita Sabharwal ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจําประเทศไทย (United Nations Resident Coordinator in Thailand) นาย Daniel A. Kertesz ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย (World Health Organization Representative to Thailand) พร้อมด้วย นางสาวพิมพ์พิชา อุตสาหจิต กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทบันลือกรุ๊ป เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อมอบหนังสือชุดการ์ตูนความรู้ KnowCovid รู้ทันโควิด ตามโครงการ “พม.ห่วงใย ต้านภัยโควิด – 19” โดยเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข รัฐสภา องค์การอนามัยโลกประเทศไทย (WHO) องค์การสหประชาชาติ (UN) และบริษัทบันลือกรุ๊ปในนามจัดทําสื่อสารประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูล สาระความรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส ผู้ประสบปัญหาทางสังคมอื่น ๆ และครอบครัว โดยรัฐมนตรีได้กล่าวรายงานว่าได้นํา การ์ตูนความรู้ KnowCovid รู้ทันโควิด ไปแจกตามโรงเรียนรวมทั้งร้านเสริมสวยทั่วไปด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมพร้อมเสนอแนะให้เผยแพร่ผ่านทั้งเว็บไซท์ Facebook ไลน์ และช่องทางออนไลน์อื่น ๆ ด้วยเพื่อให้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวาง โอกาสนี้ ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจําประเทศไทย ชื่นชมความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกันของประเทศไทย ในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วย
จากนั้น นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า นายประภัทร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมประชาสัมพันธ์กิจกรรม “วันดื่มนมโลก ประจําปี 2563 (World Milk Day 2020)” ในวันที่ 1 มิถุนายน เพื่อรณรงค์ให้คนไทยทุกเพศ ทุกวัย ดื่มนมเพื่อสุขภาพที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีคําขวัญประจําปีนี้ว่า “สร้างความสุข เสริมภูมิคุ้มกัน ดื่มนมทุกวัน ดื่มได้ทุกวัย บริโภคนมได้หลากหลายเมนู” โดยนายกรัฐมนตรีได้ร่วมถ่ายภาพประชาสัมพันธ์ เชิญชวนให้ประชาชนทุกคนหันมาดื่มนม และร่วมกันอุดหนุนผลิตภัณฑ์นมของคนไทย และยังแนะนําผลิตภัณฑ์นมแลคโตสฟรี (Lactose Free) เพื่อเป็นทางเลือกสําหรับผู้ที่แพ้นมวัวอีกด้วย
จากนั้น นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้ารับการฉีดวัคซีน ป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยกรมควบคุมโรค เนื่องจากในช่วงฤดูฝนมักจะพบโรคไข้หวัดใหญ่นั้นระบาดซึ่งจะมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา รัฐบาลโดย กระทรวงสาธารณสุข จึงรณรงค์ให้คนไทยเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันเพื่อสุขภาพ โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณ อวยพรให้ทีมแพทย์และพยาบาลมีสุขภาพแข็งแรง พร้อมให้กําลังใจให้ในการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลสุขภาพของประชาชนทั่วไป
..................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31477
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำแถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี “สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้”
|
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562
คําแถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี “สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้”
คําแถลงการณ์ ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้” (21 ม.ค. 62)
จากสถานการณ์ความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นในระยะนี้ กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีความพยายามในการสร้างสถานการณ์เอื้อประโยชน์ต่อตนเอง และพยายามดึงเข้าสู่เงื่อนไขความขัดแย้ง อันจะทําให้สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยไปสู่สากล ให้เกิดการรับรู้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการใช้การเสนอข่าวของสื่อมวลชน และสื่อโซเชียล เป็นเครื่องมือ ในขณะที่ประชาชนทั่วประเทศกําลังให้ความสนใจกับสถานการณ์ทางการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้
กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีความพยายามใช้เหตุการณ์ความรุนแรงที่อําเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 ทําลายขวัญกําลังใจ ความอดทนในการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีของไทย มุ่งหวังจะให้เจ้าหน้าที่ใช้กําลังเข้าปราบปรามอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเข้าสู่เงื่อนไขสากล นําไปสู่การปฏิบัติการขององค์การระหว่างประเทศดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายพื้นที่ ในหลายประเทศ สังคม สื่อมวลชน สื่อโซเชียล และสื่อต่างๆ ควรเข้าใจในประเด็นนี้ และช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น เพิ่มการเฝ้าระวัง แจ้งข่าวสาร ไม่สนับสนุนความพยายามดังกล่าว
ประชาชนซึ่งถือเป็นเป้าหมายอ่อนแอ เช่น ครู นักเรียน พระสงฆ์ ผู้นําศาสนา ประชาชนทั่วไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ทําหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัย ล้วนแต่ได้รับการดูแลและเฝ้าระวังอยู่แล้ว แต่ต้องยอมรับว่า จากจํานวนและความกว้างขวางของพื้นที่ รวมถึงห้วงเวลาในการดําเนินชีวิตปกติของประชาชนนั้น ทําให้ไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง หรือร้อยเปอร์เซ็นต์ หากพื้นที่ใดต้องการให้มีการดูแลเป็นพิเศษ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่พลเรือน ตํารวจ ทหาร หรือ กอ.รมน.ภาค 4 ได้โดยตรง ตลอดจนขอให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังและให้ข้อมูลข่าวสารกับเจ้าหน้าที่ด้วย
อย่างไรก็ตามรัฐบาล และคสช. ขอให้ทุกคนให้กําลังใจประชาชนทั่วไป ผู้นําศาสนาทุกศาสนา ครู นักเรียน รวมถึงเจ้าหน้าที่พลเรือน ตํารวจ ทหาร ทุกคนในพื้นที่ เพราะเขาอยู่ในพื้นที่เสี่ยง อันตราย และขอให้ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เคารพกฎระเบียบ กติกาที่ฝ่ายความมั่นคงกําหนด เพื่อความปลอดภัยของทุกคน เช่น การตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ การตรวจยานพาหนะ การตรวจค้นสถานที่ ฯลฯ รวมทั้งขอให้สื่อมวลชน สื่อโซเชียล เสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง และพรรคการเมือง นักการเมือง หาเสียงด้วยความระมัดระวังเช่นกัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความระมัดระวัง ป้องกันดูแลประชาชนและตนเองให้ได้ไปพร้อม ๆ กัน คํานึงถึงความปลอดภัยของประชาชนผู้บริสุทธิ์ พัฒนางานด้านการข่าวควบคู่ไปกับการปรับยุทธวิธีให้เหมาะสม โดยรัฐบาล และคสช.ยังคงบังคับใช้กฎหมาย และบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ
ในส่วนของการพูดคุยสันติสุข ยังคงดําเนินการต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้ประชาคมโลกได้ทราบว่าเราได้ทําทุกมาตรการ ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งฝ่ายผู้ก่อเหตุรุนแรงบางกลุ่มอาจไม่เห็นด้วย จึงสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น อยากให้ประชาชนและสังคมได้เข้าใจมาตรการการแก้ไขปัญหาของรัฐทั้งภายในประเทศและต่างประเทศด้วย ซึ่งที่ผ่านมา องค์การควาร่วมมืออิสลาม หรือ OIC ก็ให้การสนับสนุนแนวทางของไทยมาโดยต่อเนื่อง สําหรับนักสิทธิมนุษยชนและกลุ่ม NGO ต่าง ๆ ขอให้เข้าใจและดูแลทั้งประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
รัฐบาล และ คสช. ขอส่งกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ และขอให้พี่น้องประชาชนมีความสุข ปลอดภัยทุกคน
---------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำแถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี “สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้”
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม 2562
คําแถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี “สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้”
คําแถลงการณ์ ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้” (21 ม.ค. 62)
จากสถานการณ์ความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นในระยะนี้ กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีความพยายามในการสร้างสถานการณ์เอื้อประโยชน์ต่อตนเอง และพยายามดึงเข้าสู่เงื่อนไขความขัดแย้ง อันจะทําให้สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยไปสู่สากล ให้เกิดการรับรู้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการใช้การเสนอข่าวของสื่อมวลชน และสื่อโซเชียล เป็นเครื่องมือ ในขณะที่ประชาชนทั่วประเทศกําลังให้ความสนใจกับสถานการณ์ทางการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้
กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีความพยายามใช้เหตุการณ์ความรุนแรงที่อําเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 ทําลายขวัญกําลังใจ ความอดทนในการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีของไทย มุ่งหวังจะให้เจ้าหน้าที่ใช้กําลังเข้าปราบปรามอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเข้าสู่เงื่อนไขสากล นําไปสู่การปฏิบัติการขององค์การระหว่างประเทศดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลายพื้นที่ ในหลายประเทศ สังคม สื่อมวลชน สื่อโซเชียล และสื่อต่างๆ ควรเข้าใจในประเด็นนี้ และช่วยกันสร้างความเชื่อมั่น เพิ่มการเฝ้าระวัง แจ้งข่าวสาร ไม่สนับสนุนความพยายามดังกล่าว
ประชาชนซึ่งถือเป็นเป้าหมายอ่อนแอ เช่น ครู นักเรียน พระสงฆ์ ผู้นําศาสนา ประชาชนทั่วไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ทําหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัย ล้วนแต่ได้รับการดูแลและเฝ้าระวังอยู่แล้ว แต่ต้องยอมรับว่า จากจํานวนและความกว้างขวางของพื้นที่ รวมถึงห้วงเวลาในการดําเนินชีวิตปกติของประชาชนนั้น ทําให้ไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง หรือร้อยเปอร์เซ็นต์ หากพื้นที่ใดต้องการให้มีการดูแลเป็นพิเศษ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่พลเรือน ตํารวจ ทหาร หรือ กอ.รมน.ภาค 4 ได้โดยตรง ตลอดจนขอให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังและให้ข้อมูลข่าวสารกับเจ้าหน้าที่ด้วย
อย่างไรก็ตามรัฐบาล และคสช. ขอให้ทุกคนให้กําลังใจประชาชนทั่วไป ผู้นําศาสนาทุกศาสนา ครู นักเรียน รวมถึงเจ้าหน้าที่พลเรือน ตํารวจ ทหาร ทุกคนในพื้นที่ เพราะเขาอยู่ในพื้นที่เสี่ยง อันตราย และขอให้ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เคารพกฎระเบียบ กติกาที่ฝ่ายความมั่นคงกําหนด เพื่อความปลอดภัยของทุกคน เช่น การตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ การตรวจยานพาหนะ การตรวจค้นสถานที่ ฯลฯ รวมทั้งขอให้สื่อมวลชน สื่อโซเชียล เสนอข่าวด้วยความระมัดระวัง และพรรคการเมือง นักการเมือง หาเสียงด้วยความระมัดระวังเช่นกัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถ ด้วยความระมัดระวัง ป้องกันดูแลประชาชนและตนเองให้ได้ไปพร้อม ๆ กัน คํานึงถึงความปลอดภัยของประชาชนผู้บริสุทธิ์ พัฒนางานด้านการข่าวควบคู่ไปกับการปรับยุทธวิธีให้เหมาะสม โดยรัฐบาล และคสช.ยังคงบังคับใช้กฎหมาย และบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ
ในส่วนของการพูดคุยสันติสุข ยังคงดําเนินการต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้ประชาคมโลกได้ทราบว่าเราได้ทําทุกมาตรการ ไม่ได้บังคับใช้กฎหมายแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งฝ่ายผู้ก่อเหตุรุนแรงบางกลุ่มอาจไม่เห็นด้วย จึงสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น อยากให้ประชาชนและสังคมได้เข้าใจมาตรการการแก้ไขปัญหาของรัฐทั้งภายในประเทศและต่างประเทศด้วย ซึ่งที่ผ่านมา องค์การควาร่วมมืออิสลาม หรือ OIC ก็ให้การสนับสนุนแนวทางของไทยมาโดยต่อเนื่อง สําหรับนักสิทธิมนุษยชนและกลุ่ม NGO ต่าง ๆ ขอให้เข้าใจและดูแลทั้งประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
รัฐบาล และ คสช. ขอส่งกําลังใจแก่เจ้าหน้าที่ และขอให้พี่น้องประชาชนมีความสุข ปลอดภัยทุกคน
---------------------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18250
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีปิดการแข่งขัน สพฐ. เกมส์ 2561
|
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561
พิธีปิดการแข่งขัน สพฐ. เกมส์ 2561
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีปิดการแข่งขันมหกรรมรวมกีฬา 'สพฐ. เกมส์ ระดับชาติ' ประจําปี 2561 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561 ณ สนามกีฬาอินทรีย์จันทรสถิตย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีปิดการแข่งขันมหกรรมรวมกีฬา'สพฐ. เกมส์ ระดับชาติ'ประจําปี 2561 โดยมี พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นายสนิท แย้มเกษร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้บริหารสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เข้าร่วม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561 ณ สนามกีฬาอินทรีย์จันทรสถิตย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ
นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกล่าวรายงานว่า การแข่งขันมหกรรมรวมกีฬา'สพฐ. เกมส์ ระดับชาติ'ประจําปี 2561 จัดขึ้นเป็นครั้งแรกตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญกับการนํากีฬาสู่ระบบการศึกษา โดยมอบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จัดกิจกรรมส่งเสริมการออกกําลังกายและการเล่นกีฬาของเด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชน เพื่อให้เป็นปัจจัยสําคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้เด็กและเยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สร้างสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ห่างไกลจากยาเสพติด ตลอดจนปรับตัวให้สอดคล้องกับลักษณะสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
กระทรวงศึกษาธิการ โดย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ ได้มอบให้ สพฐ.ขับเคลื่อนงานด้านการกีฬาสู่ระบบการศึกษาเพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนกีฬาผ่านกิจกรรม 4 ประการที่สําคัญ คือ
การพัฒนาหลักสูตรการกีฬาเพื่อเข้าสู่การเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
การเปิดพื้นที่โรงเรียนให้นักเรียนนักศึกษาและประชาชนได้ออกกําลังกายและเล่นกีฬา ใช้ชื่อว่า “ลานกีฬาเพื่อประชาชน”
ยกระดับความสามารถด้านกีฬาของนักเรียนโดยการพัฒนาครูฝึกสอนด้วยการฝึกอบรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนระดับชาติสพฐ.เกมส์
โดย "สพฐ.เกมส์ ประจําปี 2561" ในครั้งแรกนี้ ได้กําหนดจัดการแข่งขันใน 8 ประเภทกีฬา ได้แก่ ฟุตบอล วอลเลย์บอล เซปักตะกร้อ ฟุตซอล บาสเกตบอล วิ่ง 31 ขา คีตะมวยไทย และศิลปะแม่ไม้มวยไทย รวมทั้งได้จัดแข่งขันกีฬาสําหรับนักเรียนเฉพาะความพิการ ได้แก่ เปตองและฟุตซอลด้วย โดยมีการแข่งขันรอบคัดเลือกเพื่อเป็นตัวแทนระดับเขต 1 ทีม ไปแข่งขันในระดับภาค จากนั้นคัดเลือกตัวแทนระดับภาคเข้าร่วมการแข่งขันในระดับชาติ ประเภทละ 2 ทีม ซึ่งจัดแข่งขันใน 6 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือที่จังหวัดสุโขทัย, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดมหาสารคาม, ภาคกลางที่จังหวัดสมุทรสาคร, ภาคตะวันออกที่จังหวัดชลบุรี,ภาคใต้ที่จังหวัดกระบี่และภาคใต้ชายแดนที่จังหวัดสงขลา ส่วนการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ จัดขึ้นที่สนามอินทรีจันทรสถิตย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในวันนี้ ซึ่งถือเป็นวันกีฬาแห่งชาติ (วันที่ 16 ธันวาคมของทุกปี)
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการกล่าวในพิธีปิดว่า ขอแสดงความยินดีที่ได้มาพบกับทุกคน ณ ที่นี้ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมกิจกรรมมหกรรมกีฬา สพฐ.เกมส์ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของคนไทยตามนโยบายรัฐบาล ที่ได้สนับสนุนให้มีการออกกําลังกาย รวมทั้งการเล่นกีฬาในรูปแบบต่าง ๆ ในทุกสถานศึกษา และขอแสดงความยินดีกับนักกีฬาทุกคนที่ได้รับรางวัล ได้มาร่วมการแข่งขันกีฬา และได้แสดงออกซึ่งความสามารถในครั้งนี้ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ มีนักเรียนนักศึกษาที่มีความสามารถเป็นจํานวนมาก เรียกได้ว่า "เด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" ขอให้มีการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งต่อไป
การจัดการแข่งขันมหกรรมรวมกีฬา สพฐ. เกมส์ ระดับชาติ ในครั้งแรกนี้จึงเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่นักเรียนได้แสดงความสามารถด้านกีฬาสอดคล้องแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านต่าง ๆนําไปสู่ความเจริญมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศ และเชื่อว่าการจัดการแข่งขันกีฬา สพฐ.เกมส์ ตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนักเรียนจะได้รับการพัฒนาทักษะด้านกีฬาแล้ว ยังได้รับประโยชน์ในการพัฒนาร่างกาย จิตใจ ความรู้ สติปัญญา และคุณธรรมศีลธรรม จรรยา ที่จะช่วยสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมในโอกาสต่อไปด้วย โดยถือฤกษ์ "วันกีฬาแห่งชาติ" (วันที่ 16 ธันวาคมของทุกปี) เป็นจุดเริ่มในการผลักดันสร้างทักษะ ความรู้ความสามารถทางด้านกีฬาของเด็กไทย ซึ่งกีฬามิได้มุ่งหวังแพ้ชนะหรือเหรียญรางวัลเท่านั้น หากแต่ช่วยให้เยาวชนได้ค้นหาและเพิ่มพูนศักยภาพทักษะด้านกีฬาของตน และเชื่อว่าหลายคนที่ยืนอยู่ในหมู่พวกเรา ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อาจจะได้ติดตราธงชาติไทยไว้ที่อกเสื้อในนาม "ทีมชาติไทย" มีชื่อเสียงเกียรติคุณและความมั่นคงในชีวิต เสมอเหมือนอาชีพอื่น ๆ วันนี้จึงเป็นโอกาสที่จะได้รู้ความสามารถของตนเอง รู้แนวทางที่จะพัฒนาไปสู่ขั้นสูงขึ้นไป ซึ่งเป็นเจตจํานงของการจัดมหกรรมกีฬาในครั้งนี้
ขอขอบคุณหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนการจัดแข่งขัน สพฐ. เกมส์ ในครั้งนี้เป็นอย่างดี พร้อมขอชื่นชมสปิริตของผู้มีส่วนส่งเสริมทักษะและความเป็นเลิศในแต่ละประเภทกีฬาด้วย หวังว่าในโอกาสต่อไปจะได้มาร่วมกันดําเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับนักเรียนนักศึกษาและประชาชนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ขอให้ทุกคนได้จดจําสิ่งดีงาม ความมีน้ําใจไมตรี และมิตรภาพที่เกิดขึ้นจากการที่มาพบกัน มาร่วมกันส่งเสริม และเชิญชวนประชาชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ด้วยการออกกําลังกาย ที่จะเป็นการแบ่งปันรอยยิ้ม ความสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นพลเมืองของชาติที่มีความพร้อมในการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ต่อไป
Written byนวรัตน์ รามสูต
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีปิดการแข่งขัน สพฐ. เกมส์ 2561
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561
พิธีปิดการแข่งขัน สพฐ. เกมส์ 2561
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีปิดการแข่งขันมหกรรมรวมกีฬา 'สพฐ. เกมส์ ระดับชาติ' ประจําปี 2561 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561 ณ สนามกีฬาอินทรีย์จันทรสถิตย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีปิดการแข่งขันมหกรรมรวมกีฬา'สพฐ. เกมส์ ระดับชาติ'ประจําปี 2561 โดยมี พล.อ.สุทัศน์ กาญจนานนท์กุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นายสนิท แย้มเกษร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และผู้บริหารสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เข้าร่วม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม 2561 ณ สนามกีฬาอินทรีย์จันทรสถิตย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ
นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกล่าวรายงานว่า การแข่งขันมหกรรมรวมกีฬา'สพฐ. เกมส์ ระดับชาติ'ประจําปี 2561 จัดขึ้นเป็นครั้งแรกตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสําคัญกับการนํากีฬาสู่ระบบการศึกษา โดยมอบกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จัดกิจกรรมส่งเสริมการออกกําลังกายและการเล่นกีฬาของเด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชน เพื่อให้เป็นปัจจัยสําคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้เด็กและเยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สร้างสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ห่างไกลจากยาเสพติด ตลอดจนปรับตัวให้สอดคล้องกับลักษณะสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
กระทรวงศึกษาธิการ โดย พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ ได้มอบให้ สพฐ.ขับเคลื่อนงานด้านการกีฬาสู่ระบบการศึกษาเพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนกีฬาผ่านกิจกรรม 4 ประการที่สําคัญ คือ
การพัฒนาหลักสูตรการกีฬาเพื่อเข้าสู่การเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ
การเปิดพื้นที่โรงเรียนให้นักเรียนนักศึกษาและประชาชนได้ออกกําลังกายและเล่นกีฬา ใช้ชื่อว่า “ลานกีฬาเพื่อประชาชน”
ยกระดับความสามารถด้านกีฬาของนักเรียนโดยการพัฒนาครูฝึกสอนด้วยการฝึกอบรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนระดับชาติสพฐ.เกมส์
โดย "สพฐ.เกมส์ ประจําปี 2561" ในครั้งแรกนี้ ได้กําหนดจัดการแข่งขันใน 8 ประเภทกีฬา ได้แก่ ฟุตบอล วอลเลย์บอล เซปักตะกร้อ ฟุตซอล บาสเกตบอล วิ่ง 31 ขา คีตะมวยไทย และศิลปะแม่ไม้มวยไทย รวมทั้งได้จัดแข่งขันกีฬาสําหรับนักเรียนเฉพาะความพิการ ได้แก่ เปตองและฟุตซอลด้วย โดยมีการแข่งขันรอบคัดเลือกเพื่อเป็นตัวแทนระดับเขต 1 ทีม ไปแข่งขันในระดับภาค จากนั้นคัดเลือกตัวแทนระดับภาคเข้าร่วมการแข่งขันในระดับชาติ ประเภทละ 2 ทีม ซึ่งจัดแข่งขันใน 6 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือที่จังหวัดสุโขทัย, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดมหาสารคาม, ภาคกลางที่จังหวัดสมุทรสาคร, ภาคตะวันออกที่จังหวัดชลบุรี,ภาคใต้ที่จังหวัดกระบี่และภาคใต้ชายแดนที่จังหวัดสงขลา ส่วนการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ จัดขึ้นที่สนามอินทรีจันทรสถิตย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในวันนี้ ซึ่งถือเป็นวันกีฬาแห่งชาติ (วันที่ 16 ธันวาคมของทุกปี)
พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการกล่าวในพิธีปิดว่า ขอแสดงความยินดีที่ได้มาพบกับทุกคน ณ ที่นี้ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมกิจกรรมมหกรรมกีฬา สพฐ.เกมส์ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของคนไทยตามนโยบายรัฐบาล ที่ได้สนับสนุนให้มีการออกกําลังกาย รวมทั้งการเล่นกีฬาในรูปแบบต่าง ๆ ในทุกสถานศึกษา และขอแสดงความยินดีกับนักกีฬาทุกคนที่ได้รับรางวัล ได้มาร่วมการแข่งขันกีฬา และได้แสดงออกซึ่งความสามารถในครั้งนี้ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ มีนักเรียนนักศึกษาที่มีความสามารถเป็นจํานวนมาก เรียกได้ว่า "เด็กไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก" ขอให้มีการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งต่อไป
การจัดการแข่งขันมหกรรมรวมกีฬา สพฐ. เกมส์ ระดับชาติ ในครั้งแรกนี้จึงเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่นักเรียนได้แสดงความสามารถด้านกีฬาสอดคล้องแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านต่าง ๆนําไปสู่ความเจริญมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศ และเชื่อว่าการจัดการแข่งขันกีฬา สพฐ.เกมส์ ตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนักเรียนจะได้รับการพัฒนาทักษะด้านกีฬาแล้ว ยังได้รับประโยชน์ในการพัฒนาร่างกาย จิตใจ ความรู้ สติปัญญา และคุณธรรมศีลธรรม จรรยา ที่จะช่วยสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมในโอกาสต่อไปด้วย โดยถือฤกษ์ "วันกีฬาแห่งชาติ" (วันที่ 16 ธันวาคมของทุกปี) เป็นจุดเริ่มในการผลักดันสร้างทักษะ ความรู้ความสามารถทางด้านกีฬาของเด็กไทย ซึ่งกีฬามิได้มุ่งหวังแพ้ชนะหรือเหรียญรางวัลเท่านั้น หากแต่ช่วยให้เยาวชนได้ค้นหาและเพิ่มพูนศักยภาพทักษะด้านกีฬาของตน และเชื่อว่าหลายคนที่ยืนอยู่ในหมู่พวกเรา ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อาจจะได้ติดตราธงชาติไทยไว้ที่อกเสื้อในนาม "ทีมชาติไทย" มีชื่อเสียงเกียรติคุณและความมั่นคงในชีวิต เสมอเหมือนอาชีพอื่น ๆ วันนี้จึงเป็นโอกาสที่จะได้รู้ความสามารถของตนเอง รู้แนวทางที่จะพัฒนาไปสู่ขั้นสูงขึ้นไป ซึ่งเป็นเจตจํานงของการจัดมหกรรมกีฬาในครั้งนี้
ขอขอบคุณหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนการจัดแข่งขัน สพฐ. เกมส์ ในครั้งนี้เป็นอย่างดี พร้อมขอชื่นชมสปิริตของผู้มีส่วนส่งเสริมทักษะและความเป็นเลิศในแต่ละประเภทกีฬาด้วย หวังว่าในโอกาสต่อไปจะได้มาร่วมกันดําเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับนักเรียนนักศึกษาและประชาชนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ขอให้ทุกคนได้จดจําสิ่งดีงาม ความมีน้ําใจไมตรี และมิตรภาพที่เกิดขึ้นจากการที่มาพบกัน มาร่วมกันส่งเสริม และเชิญชวนประชาชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ด้วยการออกกําลังกาย ที่จะเป็นการแบ่งปันรอยยิ้ม ความสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นพลเมืองของชาติที่มีความพร้อมในการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ต่อไป
Written byนวรัตน์ รามสูต
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17548
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลไทย สั่งซื้อยา Favipiravir รักษาผู้ป่วยโควิด-19 จากญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด
|
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย สั่งซื้อยา Favipiravir รักษาผู้ป่วยโควิด-19 จากญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด
รัฐบาลไทย มอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายา Favipiravir โดยสั่งซื้อจาก 2 แหล่งหลักคือญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด กระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12 เขตสุขภาพ รักษาผู้ป่วยโควิด-19 องค์การเภสัชกรรมพร้อมจัดหาเพิ่มอย่างต่อเน
รัฐบาลไทย มอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายา Favipiravir โดยสั่งซื้อจาก 2 แหล่งหลักคือญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด กระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12 เขตสุขภาพ รักษาผู้ป่วยโควิด-19 องค์การเภสัชกรรมพร้อมจัดหาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยมอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ซึ่งเป็นยาสําคัญสําหรับผู้ติดเชื้อโควิด -19 มีแหล่งผลิตอยู่ 2 แหล่งหลัก คือญี่ปุ่นเจ้าของลิขสิทธิ์และจีนซึ่งได้รับลิขสิทธิ์จากญี่ปุ่น รวมได้รับยามาแล้ว 87,000 เม็ด โดย เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2563 กรมควบคุมโรคได้นําเข้ายาจากประเทศญี่ปุ่นจํานวน 5,000 เม็ด เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 รัฐบาลจีนได้บริจาคให้รัฐบาลไทยจํานวน 2,000 เม็ด เมื่อ 12 มีนาคม 2563 กรมควบคุมโรคนําเข้ายาจากประเทศญี่ปุ่นจํานวน 40,000 เม็ด ส่งมอบให้สถาบันบําราศนราดูร ,กรมการแพทย์ ,โรงพยาบาลใน 12 เขตสุขภาพแล้ว และเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2563 องค์การเภสัชกรรมได้จัดซื้อจากญี่ปุ่น 40,000 เม็ด ส่งให้โรงพยาบาลราชวิถี 18,000 เม็ด เพื่อกระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12เขตสุขภาพ จํานวน 18,000 เม็ด เพื่อจัดสรรให้กับโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน เหลือไว้สํารองสําหรับจัดสรรกรณีจําเป็นเร่งด่วนอีกจํานวน 4,000 เม็ด
ปัจจุบันได้มีการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ กับผู้ป่วยแล้ว จํานวน 515 ราย ใช้ไปแล้ว 48,875 เม็ดเหลืออยู่ 38,126 เม็ด สามารถมีใช้ได้อย่างต่อเนื่องอีกถึง 4-5 เดือน ล่าสุดเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2563 องค์การเภสัชกรรม ได้สั่งซื้อจากจีนและญี่ปุ่นเพิ่ม 200,000 เม็ด โดยจะมีการจัดส่งยาภายในเดือนเมษายนนี้ รวมแล้ว 287,000 เม็ด และจะมีการสั่งซื้อเพื่อสํารองเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
“การจัดหายาต้านไวรัสในครั้งนี้ มีความยากลําบากเนื่องจากเป็นที่ต้องการของทุกประเทศ ต้องใช้การดําเนินการทุกวิถีทาง ทั้งการเจรจาผ่านสถานฑูตญี่ปุ่นและจีนทั้งในแง่ของการซื้อและบริจาคมาโดยตลอด เพื่อสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยเราไม่รอเด็ดขาด ส่วนกรณีข่าวญี่ปุ่นจะบริจาคยาให้ 30 ประเทศนั้น ในเบื้องต้นทราบว่าญี่ปุ่นจะบริจาคสําหรับโครงการวิจัยเท่านั้น ซึ่งทั้งนี้หากประเทศใดต้องการบริจาคยาประเทศไทยยินดีรับการสนับสนุน เพื่อให้มียาช่วยรักษาชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างเร่งด่วน” นายแพทย์วิฑูรย์ กล่าว
***************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลไทย สั่งซื้อยา Favipiravir รักษาผู้ป่วยโควิด-19 จากญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด
วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย สั่งซื้อยา Favipiravir รักษาผู้ป่วยโควิด-19 จากญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด
รัฐบาลไทย มอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายา Favipiravir โดยสั่งซื้อจาก 2 แหล่งหลักคือญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด กระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12 เขตสุขภาพ รักษาผู้ป่วยโควิด-19 องค์การเภสัชกรรมพร้อมจัดหาเพิ่มอย่างต่อเน
รัฐบาลไทย มอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายา Favipiravir โดยสั่งซื้อจาก 2 แหล่งหลักคือญี่ปุ่นและจีน รวมแล้วกว่า 2.87 แสนเม็ด กระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12 เขตสุขภาพ รักษาผู้ป่วยโควิด-19 องค์การเภสัชกรรมพร้อมจัดหาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อํานวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยมอบให้กระทรวงสาธารณสุข จัดหายาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ซึ่งเป็นยาสําคัญสําหรับผู้ติดเชื้อโควิด -19 มีแหล่งผลิตอยู่ 2 แหล่งหลัก คือญี่ปุ่นเจ้าของลิขสิทธิ์และจีนซึ่งได้รับลิขสิทธิ์จากญี่ปุ่น รวมได้รับยามาแล้ว 87,000 เม็ด โดย เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2563 กรมควบคุมโรคได้นําเข้ายาจากประเทศญี่ปุ่นจํานวน 5,000 เม็ด เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 รัฐบาลจีนได้บริจาคให้รัฐบาลไทยจํานวน 2,000 เม็ด เมื่อ 12 มีนาคม 2563 กรมควบคุมโรคนําเข้ายาจากประเทศญี่ปุ่นจํานวน 40,000 เม็ด ส่งมอบให้สถาบันบําราศนราดูร ,กรมการแพทย์ ,โรงพยาบาลใน 12 เขตสุขภาพแล้ว และเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2563 องค์การเภสัชกรรมได้จัดซื้อจากญี่ปุ่น 40,000 เม็ด ส่งให้โรงพยาบาลราชวิถี 18,000 เม็ด เพื่อกระจายให้กับโรงพยาบาลในเขตกรุงเทพและปริมณฑล และ 12เขตสุขภาพ จํานวน 18,000 เม็ด เพื่อจัดสรรให้กับโรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน เหลือไว้สํารองสําหรับจัดสรรกรณีจําเป็นเร่งด่วนอีกจํานวน 4,000 เม็ด
ปัจจุบันได้มีการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ กับผู้ป่วยแล้ว จํานวน 515 ราย ใช้ไปแล้ว 48,875 เม็ดเหลืออยู่ 38,126 เม็ด สามารถมีใช้ได้อย่างต่อเนื่องอีกถึง 4-5 เดือน ล่าสุดเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2563 องค์การเภสัชกรรม ได้สั่งซื้อจากจีนและญี่ปุ่นเพิ่ม 200,000 เม็ด โดยจะมีการจัดส่งยาภายในเดือนเมษายนนี้ รวมแล้ว 287,000 เม็ด และจะมีการสั่งซื้อเพื่อสํารองเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
“การจัดหายาต้านไวรัสในครั้งนี้ มีความยากลําบากเนื่องจากเป็นที่ต้องการของทุกประเทศ ต้องใช้การดําเนินการทุกวิถีทาง ทั้งการเจรจาผ่านสถานฑูตญี่ปุ่นและจีนทั้งในแง่ของการซื้อและบริจาคมาโดยตลอด เพื่อสวัสดิภาพ ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวไทยเราไม่รอเด็ดขาด ส่วนกรณีข่าวญี่ปุ่นจะบริจาคยาให้ 30 ประเทศนั้น ในเบื้องต้นทราบว่าญี่ปุ่นจะบริจาคสําหรับโครงการวิจัยเท่านั้น ซึ่งทั้งนี้หากประเทศใดต้องการบริจาคยาประเทศไทยยินดีรับการสนับสนุน เพื่อให้มียาช่วยรักษาชีวิตของประชาชนชาวไทยอย่างเร่งด่วน” นายแพทย์วิฑูรย์ กล่าว
***************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28478
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อเยอรมัน มาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดไวรัสโควิด - 19 เด็ดขาด
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563
ไทยได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อเยอรมัน มาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดไวรัสโควิด - 19 เด็ดขาด
ไทยได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อเยอรมัน มาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดไวรัสโควิด - 19 เด็ดขาด
นาย Andreas Gandzior ได้เขียนบทความเผยแพร่ เว็บไซต์ Berliner Morgenpost ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นของเยอรมนี ชื่นชมมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของไทย ที่เน้นสร้างความรู้ให้กับประชาชน ควบคู่ไปกับการเฝ้าระวัง รัดกุม ต่อเนื่อง โดยนาย Gandzior แสดงความประทับใจที่พบเห็นประชาชนทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศสวมใส่หน้ากากอนามัย มีการจัดวางเจลแอลกอฮอล์ตามพื้นที่สาธารณทั่วไปทั้งแหล่งท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า สถานที่ราชการ และการตรวจวัดอุณหภูมิในจุดเข้า-ออกอาคาร รวมทั้งการเผยแพร่คําแนะนําในการปฏิบัติตนเพื่อสุขอนามัยที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส เป็นมาตรการป้องกันที่พบเห็นพบได้ทั่วไปตามสถานที่ต่าง ถือเป็นแบบอย่างที่ดีในการรับมือกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดําเนินมาตรการที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่พัฒนาไปทุกขณะ เพิ่มความเข้มข้นทุกช่องทางการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย ในการคัดกรองอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ ทั้งแผนป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดในระดับต่อไป ทําให้ ณ วันนี้ ไทยอยู่ในระดับที่ 37 ของประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกฝ่ายในการดูแลสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนทุกคน เพราะไวรัสโควิด-19 สามารถหยุดได้ด้วยตัวเราด้วย ดูแลสุขภาพตนเอง กินร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมืออย่างสม่ําเสมอหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนอยู่แออัด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อเยอรมัน มาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดไวรัสโควิด - 19 เด็ดขาด
วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563
ไทยได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อเยอรมัน มาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดไวรัสโควิด - 19 เด็ดขาด
ไทยได้รับเสียงชื่นชมจากสื่อเยอรมัน มาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดไวรัสโควิด - 19 เด็ดขาด
นาย Andreas Gandzior ได้เขียนบทความเผยแพร่ เว็บไซต์ Berliner Morgenpost ซึ่งเป็นสื่อท้องถิ่นของเยอรมนี ชื่นชมมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของไทย ที่เน้นสร้างความรู้ให้กับประชาชน ควบคู่ไปกับการเฝ้าระวัง รัดกุม ต่อเนื่อง โดยนาย Gandzior แสดงความประทับใจที่พบเห็นประชาชนทั้งคนไทยและชาวต่างประเทศสวมใส่หน้ากากอนามัย มีการจัดวางเจลแอลกอฮอล์ตามพื้นที่สาธารณทั่วไปทั้งแหล่งท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า สถานที่ราชการ และการตรวจวัดอุณหภูมิในจุดเข้า-ออกอาคาร รวมทั้งการเผยแพร่คําแนะนําในการปฏิบัติตนเพื่อสุขอนามัยที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส เป็นมาตรการป้องกันที่พบเห็นพบได้ทั่วไปตามสถานที่ต่าง ถือเป็นแบบอย่างที่ดีในการรับมือกับการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ดําเนินมาตรการที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่พัฒนาไปทุกขณะ เพิ่มความเข้มข้นทุกช่องทางการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย ในการคัดกรองอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งอุปกรณ์และเจ้าหน้าที่ ทั้งแผนป้องกันและการเฝ้าระวังการระบาดในระดับต่อไป ทําให้ ณ วันนี้ ไทยอยู่ในระดับที่ 37 ของประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของทุกฝ่ายในการดูแลสุขภาพประชาชน โดยเฉพาะความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนทุกคน เพราะไวรัสโควิด-19 สามารถหยุดได้ด้วยตัวเราด้วย ดูแลสุขภาพตนเอง กินร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมืออย่างสม่ําเสมอหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนอยู่แออัด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27105
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กระทรวงยุติธรรม" ขับเคลื่อนการดำเนินงานของสำนักงานยุติธรรมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓
|
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562
"กระทรวงยุติธรรม" ขับเคลื่อนการดําเนินงานของสํานักงานยุติธรรมจังหวัด ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อชี้แจงแนวทางการดําเนินงานของสํานักงานยุติธรรมจังหวัด ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓
ในวันพุธที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องฟีนิกซ์ บอลรูม ๓ อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เมืองทองธานี
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อชี้แจงแนวทางการดําเนินงานของสํานักงานยุติธรรมจังหวัด
ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓
โดยมี พันตํารวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม
นายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม พร้อมด้วย ผู้บริหารหน่วยงาน
ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และเจ้าหน้าที่จากสํานักงานยุติธรรมจังหวัด กว่า ๕๐๐ คน เข้าร่วมฯ
การประชุมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรของสํานักงานยุติธรรมจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มีความรู้ ความเข้าใจในนโยบายและแนวทางการดําเนินงานของกระทวงยุติธรรม ในการขับเคลื่อน
การดําเนินงานของสํานักงานยุติธรรมจังหวัด ตลอดจนสามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการดําเนินงาน
ที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น
ในการนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้บรรยายพิเศษ เรื่อง “นโยบายและยุทธศาสตร์
ของกระทรวงยุติธรรม ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓” ใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า
ผู้ปฏิบัติงานในส่วนงานของยุติธรรมจังหวัด จะต้องเชื่อมโยงภารกิจของทุกหน่วยงาน
ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อผลักดันการดําเนินงานของสํานักงานยุติธรรมจังหวัด
ให้มีความอย่างชัดเจนและสามารถเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กระทรวงยุติธรรม" ขับเคลื่อนการดำเนินงานของสำนักงานยุติธรรมจังหวัด ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2562
"กระทรวงยุติธรรม" ขับเคลื่อนการดําเนินงานของสํานักงานยุติธรรมจังหวัด ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อชี้แจงแนวทางการดําเนินงานของสํานักงานยุติธรรมจังหวัด ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓
ในวันพุธที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องฟีนิกซ์ บอลรูม ๓ อาคารอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น เมืองทองธานี
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อชี้แจงแนวทางการดําเนินงานของสํานักงานยุติธรรมจังหวัด
ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓
โดยมี พันตํารวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล นายนิมิต ทัพวนานต์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม
นายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม พร้อมด้วย ผู้บริหารหน่วยงาน
ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม และเจ้าหน้าที่จากสํานักงานยุติธรรมจังหวัด กว่า ๕๐๐ คน เข้าร่วมฯ
การประชุมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรของสํานักงานยุติธรรมจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
มีความรู้ ความเข้าใจในนโยบายและแนวทางการดําเนินงานของกระทวงยุติธรรม ในการขับเคลื่อน
การดําเนินงานของสํานักงานยุติธรรมจังหวัด ตลอดจนสามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการดําเนินงาน
ที่เกี่ยวข้องให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น
ในการนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้บรรยายพิเศษ เรื่อง “นโยบายและยุทธศาสตร์
ของกระทรวงยุติธรรม ประจําปีงบประมาณ ๒๕๖๓” ใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า
ผู้ปฏิบัติงานในส่วนงานของยุติธรรมจังหวัด จะต้องเชื่อมโยงภารกิจของทุกหน่วยงาน
ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อผลักดันการดําเนินงานของสํานักงานยุติธรรมจังหวัด
ให้มีความอย่างชัดเจนและสามารถเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24389
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด จ้างนักศึกษาช่วยปฏิบัติงานสนับสนุนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ช่วงปิดภาคเรียน
|
วันพุธที่ 28 มีนาคม 2561
ปลัดมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด จ้างนักศึกษาช่วยปฏิบัติงานสนับสนุนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ช่วงปิดภาคเรียน
ปลัดมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด จ้างนักศึกษาช่วยปฏิบัติงานสนับสนุนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ช่วงปิดภาคเรียน
วันนี้ (28 มี.ค.61) ที่กระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ดําเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ 2 โดยได้เริ่มดําเนินการตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2561 ซึ่งเป็นการติดตามขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาและสร้างการรับรู้ตามประเด็นต่าง ๆ 10 เรื่อง โดยให้จังหวัดและอําเภอบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสําคัญของประชารัฐทั้งภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน
โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เพื่อให้การดําเนินงานขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน เป็นไปตามแนวทางที่กําหนดและเกิดประสิทธิภาพต่อการดําเนินโครงการ ปลัดกระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด ดําเนินการจ้างนักศึกษามาช่วยปฏิบัติงานราชการในช่วงปิดภาคเรียน (1 คน ต่อ 1 ตําบล) เพื่อสนับสนุนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในการลงพื้นที่ในตําบลที่ได้รับมอบหมายร่วมกับทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตําบล บันทึกข้อมูลการลงพื้นที่ สนับสนุนทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตําบลในการทํางาน และลงพื้นที่ไปประชุมประชาคมหมู่บ้าน/ชุมชนร่วมกับคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ในการจัดทําโครงการต่าง ๆ เพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน รวมทั้งช่วยอําเภอในการบันทึกข้อมูลตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน และช่วยดําเนินงานตามโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท) และภารกิจอื่น ๆ ตามที่นายอําเภอมอบหมาย
โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจ้างนักศึกษาช่วยปฏิบัติงานสนับสนุนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในครั้งนี้ จะทําให้นักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้การทํางานของส่วนราชการ สั่งสมประสบการณ์ในการทํางานร่วมกับประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และได้ลงพื้นที่จริงในการปฏิบัติงานร่วมกับทุกภาคส่วน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการทํางานภายหลังสําเร็จการศึกษา อีกทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ในช่วงปิดภาคเรียนอีกด้วย.
ครั้งที่ 68/2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-22224131-2
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด จ้างนักศึกษาช่วยปฏิบัติงานสนับสนุนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ช่วงปิดภาคเรียน
วันพุธที่ 28 มีนาคม 2561
ปลัดมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด จ้างนักศึกษาช่วยปฏิบัติงานสนับสนุนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ช่วงปิดภาคเรียน
ปลัดมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด จ้างนักศึกษาช่วยปฏิบัติงานสนับสนุนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ช่วงปิดภาคเรียน
วันนี้ (28 มี.ค.61) ที่กระทรวงมหาดไทย นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ดําเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ครั้งที่ 2 โดยได้เริ่มดําเนินการตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2561 ซึ่งเป็นการติดตามขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาและสร้างการรับรู้ตามประเด็นต่าง ๆ 10 เรื่อง โดยให้จังหวัดและอําเภอบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นองค์ประกอบสําคัญของประชารัฐทั้งภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน
โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เพื่อให้การดําเนินงานขับเคลื่อนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน เป็นไปตามแนวทางที่กําหนดและเกิดประสิทธิภาพต่อการดําเนินโครงการ ปลัดกระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด ดําเนินการจ้างนักศึกษามาช่วยปฏิบัติงานราชการในช่วงปิดภาคเรียน (1 คน ต่อ 1 ตําบล) เพื่อสนับสนุนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน โดยมีหน้าที่รับผิดชอบในการลงพื้นที่ในตําบลที่ได้รับมอบหมายร่วมกับทีมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ระดับตําบล บันทึกข้อมูลการลงพื้นที่ สนับสนุนทีมขับเคลื่อนฯ ระดับตําบลในการทํางาน และลงพื้นที่ไปประชุมประชาคมหมู่บ้าน/ชุมชนร่วมกับคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) ในการจัดทําโครงการต่าง ๆ เพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน รวมทั้งช่วยอําเภอในการบันทึกข้อมูลตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน และช่วยดําเนินงานตามโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน (หมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 แสนบาท) และภารกิจอื่น ๆ ตามที่นายอําเภอมอบหมาย
โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจ้างนักศึกษาช่วยปฏิบัติงานสนับสนุนโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในครั้งนี้ จะทําให้นักศึกษาได้มีโอกาสเรียนรู้การทํางานของส่วนราชการ สั่งสมประสบการณ์ในการทํางานร่วมกับประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และได้ลงพื้นที่จริงในการปฏิบัติงานร่วมกับทุกภาคส่วน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการทํางานภายหลังสําเร็จการศึกษา อีกทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ในช่วงปิดภาคเรียนอีกด้วย.
ครั้งที่ 68/2561
กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
โทร 0-22224131-2
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11120
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานในพิธีทำบุญครบรอบ 2 ปี วันคล้ายวันสถาปนากระทรวงฯ
|
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานในพิธีทําบุญครบรอบ 2 ปี วันคล้ายวันสถาปนากระทรวงฯ
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีทําบุญครบรอบ 2 ปี การก่อตั้งกระทรวงดิจิทัลฯ โดยนําคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด ร่วมสักการะท้าวมหาพรหม บริเวณศาลพระพรหมประจําอาคารรัฐประศาสนภักดี เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2561 หลังจากนั้นได้มีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ พระสงฆ์ 9 รูป บริเวณชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ กรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ดําเนินงานตามนโยบาย Thailand 4.0 มาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการผลักดันเศรษฐกิจและสังคมของประเทศผ่านโครงการต่างๆ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 4) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 5) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 6) ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําภายในสังคม สร้างงาน สร้างอาชีพ ที่มั่นคงให้แก่ประชาชนทั้งประเทศ อันเป็นรากฐานสําคัญในการนําพาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานในพิธีทำบุญครบรอบ 2 ปี วันคล้ายวันสถาปนากระทรวงฯ
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2561
รมว.ดิจิทัลฯ เป็นประธานในพิธีทําบุญครบรอบ 2 ปี วันคล้ายวันสถาปนากระทรวงฯ
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในพิธีทําบุญครบรอบ 2 ปี การก่อตั้งกระทรวงดิจิทัลฯ โดยนําคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด ร่วมสักการะท้าวมหาพรหม บริเวณศาลพระพรหมประจําอาคารรัฐประศาสนภักดี เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2561 หลังจากนั้นได้มีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ พระสงฆ์ 9 รูป บริเวณชั้น 9 กระทรวงดิจิทัลฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ กรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหาร ข้าราชการ พนักงานราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงานหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ดําเนินงานตามนโยบาย Thailand 4.0 มาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการผลักดันเศรษฐกิจและสังคมของประเทศผ่านโครงการต่างๆ ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 2) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 4) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 5) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 6) ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ เพื่อลดความเหลื่อมล้ําภายในสังคม สร้างงาน สร้างอาชีพ ที่มั่นคงให้แก่ประชาชนทั้งประเทศ อันเป็นรากฐานสําคัญในการนําพาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
**********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15392
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยพักหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย 6 เดือน พร้อมปล่อยกู้ 2% ต่อปี ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือนแรก
|
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
กรุงไทยพักหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย 6 เดือน พร้อมปล่อยกู้ 2% ต่อปี ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือนแรก
ธ.กรุงไทยเพิ่มมาตรช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่องเป็นระลอกตามภาวะเศรษฐกิจ หลังออกหลากหลายมาตรการช่วยเยียวยา ล่าสุดพักชําระหนี้ทั้งเงินต้น-ดอกเบี้ย 6 เดือน ให้ลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 100 ล้านบาท พร้อมปล่อยกู้ Soft Loan สําหรับลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 500 ล้านบาท
ธนาคารกรุงไทยเพิ่มมาตรช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่องเป็นระลอก ตามภาวะเศรษฐกิจ หลังออกหลากหลายมาตรการช่วยเยียวยา ล่าสุดพักชําระหนี้ทั้งเงินต้น-ดอกเบี้ย 6 เดือน ให้ลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 100 ล้านบาท พร้อมปล่อยกู้ Soft Loan สําหรับลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี โดยปลอดดอกเบี้ยนาน 6 เดือนแรก ติดต่อได้ทุกวันตลอด 24 ชม. ผ่านเว็บไซต์ krungthai.com/covid19/ หรือ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าทั้งรายย่อยและลูกค้าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและวิกฤติโควิด-19 อย่างเต็มที่ โดยล่าสุดธนาคารกรุงไทยร่วมมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือ SME ของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นไปตามร่างพระราชกําหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมฯ โดยประกาศพักชําระหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย 6 เดือน ให้กับลูกค้าธุรกิจที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 100 ล้านบาท เพื่อรับมือกับรายจ่ายที่จําเป็นของธุรกิจ เริ่มมีผลเดือนเมษายน-กันยายน 2563
นอกจากนี้ ธนาคารยังสนับสนุนสินเชื่อใหม่ (Soft Loan) เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กลุ่มลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยกู้ได้สูงสุดไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ 31 ธันวาคม 2562 อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี โดยธนาคารไม่คิดดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้
นายผยง ศรีวณิช กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมา ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มทุกขนาด โดยออกมาตรการเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมมาโดยตลอด ด้วยการพักชําระเงินต้น 12 เดือนให้กับลูกค้ารายย่อย พักชําระเงินต้น 12 เดือน ขยายระยะเวลาชําระหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อ Trade Finance ออกไป 6 เดือน สําหรับลูกค้าธุรกิจที่มีรายได้ลดลง พักชําระหนี้ให้ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจที่มีสถานะชําระปกติทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 3 เดือน ทั้งสินเชื่อบุคคลภายใต้การกํากับ และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท สินเชื่อธุรกิจที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 20 ล้านบาท รวมทั้งให้สินเชื่อกรุงไทยต้านภัยโควิด-19 ดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 2% ต่อปี คงที่ 2 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียม บสย. ค้ําประกัน 4 ปี ทําธุรกรรมโอน รับ จ่าย ไม่คิดค่าธรรมเนียมนาน 1 ปี สําหรับลูกค้าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม รถเช่า ร้านขายของฝาก ของที่ระลึก ซึ่งขณะนี้ได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าไปแล้วกว่า 3,500 ราย วงเงินกว่า 40,000 ล้านบาท และมีลูกค้าที่อยู่ระหว่างดําเนินการอีกกว่า 70,000 ราย วงเงินประมาณ 280,000 ล้านบาท รวมวงเงินช่วยเหลือ 320,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ของมาตรการดังกล่าว ธนาคารจะแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมต่อไป ลูกค้าสามารถขอรับความช่วยเหลือได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ krungthai.com/covid19/ และ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111 ธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลและติดต่อกลับ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยพักหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย 6 เดือน พร้อมปล่อยกู้ 2% ต่อปี ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือนแรก
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
กรุงไทยพักหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย 6 เดือน พร้อมปล่อยกู้ 2% ต่อปี ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือนแรก
ธ.กรุงไทยเพิ่มมาตรช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่องเป็นระลอกตามภาวะเศรษฐกิจ หลังออกหลากหลายมาตรการช่วยเยียวยา ล่าสุดพักชําระหนี้ทั้งเงินต้น-ดอกเบี้ย 6 เดือน ให้ลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 100 ล้านบาท พร้อมปล่อยกู้ Soft Loan สําหรับลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 500 ล้านบาท
ธนาคารกรุงไทยเพิ่มมาตรช่วยเหลือลูกค้าต่อเนื่องเป็นระลอก ตามภาวะเศรษฐกิจ หลังออกหลากหลายมาตรการช่วยเยียวยา ล่าสุดพักชําระหนี้ทั้งเงินต้น-ดอกเบี้ย 6 เดือน ให้ลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 100 ล้านบาท พร้อมปล่อยกู้ Soft Loan สําหรับลูกค้าวงเงินกู้ไม่เกิน 500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี โดยปลอดดอกเบี้ยนาน 6 เดือนแรก ติดต่อได้ทุกวันตลอด 24 ชม. ผ่านเว็บไซต์ krungthai.com/covid19/ หรือ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าทั้งรายย่อยและลูกค้าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและวิกฤติโควิด-19 อย่างเต็มที่ โดยล่าสุดธนาคารกรุงไทยร่วมมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือ SME ของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นไปตามร่างพระราชกําหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมฯ โดยประกาศพักชําระหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย 6 เดือน ให้กับลูกค้าธุรกิจที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 100 ล้านบาท เพื่อรับมือกับรายจ่ายที่จําเป็นของธุรกิจ เริ่มมีผลเดือนเมษายน-กันยายน 2563
นอกจากนี้ ธนาคารยังสนับสนุนสินเชื่อใหม่ (Soft Loan) เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กลุ่มลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยกู้ได้สูงสุดไม่เกิน 20% ของยอดหนี้คงค้าง ณ 31 ธันวาคม 2562 อัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปี โดยธนาคารไม่คิดดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้
นายผยง ศรีวณิช กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมา ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มทุกขนาด โดยออกมาตรการเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมมาโดยตลอด ด้วยการพักชําระเงินต้น 12 เดือนให้กับลูกค้ารายย่อย พักชําระเงินต้น 12 เดือน ขยายระยะเวลาชําระหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อ Trade Finance ออกไป 6 เดือน สําหรับลูกค้าธุรกิจที่มีรายได้ลดลง พักชําระหนี้ให้ลูกค้ารายย่อยและลูกค้าธุรกิจที่มีสถานะชําระปกติทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 3 เดือน ทั้งสินเชื่อบุคคลภายใต้การกํากับ และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท สินเชื่อธุรกิจที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 20 ล้านบาท รวมทั้งให้สินเชื่อกรุงไทยต้านภัยโควิด-19 ดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 2% ต่อปี คงที่ 2 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียม บสย. ค้ําประกัน 4 ปี ทําธุรกรรมโอน รับ จ่าย ไม่คิดค่าธรรมเนียมนาน 1 ปี สําหรับลูกค้าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม รถเช่า ร้านขายของฝาก ของที่ระลึก ซึ่งขณะนี้ได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าไปแล้วกว่า 3,500 ราย วงเงินกว่า 40,000 ล้านบาท และมีลูกค้าที่อยู่ระหว่างดําเนินการอีกกว่า 70,000 ราย วงเงินประมาณ 280,000 ล้านบาท รวมวงเงินช่วยเหลือ 320,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ของมาตรการดังกล่าว ธนาคารจะแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมต่อไป ลูกค้าสามารถขอรับความช่วยเหลือได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ krungthai.com/covid19/ และ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111 ธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลและติดต่อกลับ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28664
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง เปิดการจราจรทางหลวงหมายเลข 11 สายพิษณุโลก – เด่นชัย แล้ว หลังดินสไลด์ทับผิวจราจร
|
วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2560
กรมทางหลวง เปิดการจราจรทางหลวงหมายเลข 11 สายพิษณุโลก – เด่นชัย แล้ว หลังดินสไลด์ทับผิวจราจร
นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวงเปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีเหตุดินสไลด์ทับทางจราจร ทางหลวงหมายเลข 11 พิษณุโลก -เด่นชัย ระหว่าง กม. 285+600 - กม.285+900 (ก่อน ขึ้นเขาขาด ฝั่งขาเข้า)
ว่าปัจจุบันกรมทางหลวงโดยแขวงทางหลวงอุตรดิตถ์ที่ 1 ได้ดําเนินการแก้ไข จนสามารถใช้เส้นทางดังกล่าวโดยปกติแล้ว และเข้าดําเนินการล้างผิวจราจร เพื่อเตรียมเปิดการจราจรในฝั่งขาล่อง (อุตรดิตถ์ – พิษณุโลก) แต่อย่างไรก็ตามเนื่องขณะนี้ยังเกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ยังได้สั่งการให้ผู้อํานวยการแขวงทางหลวงทั่วประเทศเฝ้าติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา
อธิบดีกรมทางหลวงยังกล่าวถึงสถานการณ์ภาพรวมของทางหลวงที่ถูกน้ําท่วมต่อไปอีกว่าขณะนี้ (24 กันยายน2560) ทุกเส้นทางยังสามารถผ่านได้ ทั้งนี้ประชาชนที่ต้องการสอบถามสภาพเส้นทางการจราจรบนทางหลวงในเขตพื้นที่ประสบอุทกภัย ต้องการความช่วยเหลือ หรือ พบเหตุบนทางหลวง เช่น ต้นไม้ล้ม ทางขาด สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 ทุกวันฟรีตลอด 24 ชั่วโมง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง เปิดการจราจรทางหลวงหมายเลข 11 สายพิษณุโลก – เด่นชัย แล้ว หลังดินสไลด์ทับผิวจราจร
วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2560
กรมทางหลวง เปิดการจราจรทางหลวงหมายเลข 11 สายพิษณุโลก – เด่นชัย แล้ว หลังดินสไลด์ทับผิวจราจร
นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวงเปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีเหตุดินสไลด์ทับทางจราจร ทางหลวงหมายเลข 11 พิษณุโลก -เด่นชัย ระหว่าง กม. 285+600 - กม.285+900 (ก่อน ขึ้นเขาขาด ฝั่งขาเข้า)
ว่าปัจจุบันกรมทางหลวงโดยแขวงทางหลวงอุตรดิตถ์ที่ 1 ได้ดําเนินการแก้ไข จนสามารถใช้เส้นทางดังกล่าวโดยปกติแล้ว และเข้าดําเนินการล้างผิวจราจร เพื่อเตรียมเปิดการจราจรในฝั่งขาล่อง (อุตรดิตถ์ – พิษณุโลก) แต่อย่างไรก็ตามเนื่องขณะนี้ยังเกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ยังได้สั่งการให้ผู้อํานวยการแขวงทางหลวงทั่วประเทศเฝ้าติดตามสถานการณ์และเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา
อธิบดีกรมทางหลวงยังกล่าวถึงสถานการณ์ภาพรวมของทางหลวงที่ถูกน้ําท่วมต่อไปอีกว่าขณะนี้ (24 กันยายน2560) ทุกเส้นทางยังสามารถผ่านได้ ทั้งนี้ประชาชนที่ต้องการสอบถามสภาพเส้นทางการจราจรบนทางหลวงในเขตพื้นที่ประสบอุทกภัย ต้องการความช่วยเหลือ หรือ พบเหตุบนทางหลวง เช่น ต้นไม้ล้ม ทางขาด สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 ทุกวันฟรีตลอด 24 ชั่วโมง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6927
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ฯ ครั้งที่ 1/2561
|
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561
รองนรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ฯ ครั้งที่ 1/2561
โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบการจัดตั้งหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ (Special Delivery Unit: SUD)
เพื่อรองรับการให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) ภาครัฐ เพื่อการตัดสินใจของประเทศอย่างเป็นระบบ
วันนี้ (11 พ.ค. 61) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญได้ดังนี้
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสําคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลในการใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งเห็นได้จากการผลักดันภารกิจต่าง ๆ ในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) เพื่อให้เกิดการบูรณาการข้อมูลของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดข้อจํากัดในการขับเคลื่อนภารกิจการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ภาครัฐ ตลอดจนเพิ่มแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจการพัฒนาข้อมูลดิจิทัลขนาดใหญ่ของภาครัฐ และการมีหน่วยงานกลางเป็นหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ (Service Delivery Unit: SUD) อย่างเป็นรูปธรรมซึ่งเรียกว่า “สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลภาครัฐ (สวช.) (Government Data Analytics and Management Promotion Institute: GDAP)”
...............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยเเพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ฯ ครั้งที่ 1/2561
วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2561
รองนรม. พล.อ.อ.ประจินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ฯ ครั้งที่ 1/2561
โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบการจัดตั้งหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ (Special Delivery Unit: SUD)
เพื่อรองรับการให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) ภาครัฐ เพื่อการตัดสินใจของประเทศอย่างเป็นระบบ
วันนี้ (11 พ.ค. 61) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี (เดิม) อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดําเนินนโยบายเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) ครั้งที่ 1/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญได้ดังนี้
ทั้งนี้ รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสําคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลในการใช้ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งเห็นได้จากการผลักดันภารกิจต่าง ๆ ในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) เพื่อให้เกิดการบูรณาการข้อมูลของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดข้อจํากัดในการขับเคลื่อนภารกิจการใช้ประโยชน์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data) และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ภาครัฐ ตลอดจนเพิ่มแนวทางการขับเคลื่อนภารกิจการพัฒนาข้อมูลดิจิทัลขนาดใหญ่ของภาครัฐ และการมีหน่วยงานกลางเป็นหน่วยบริการรูปแบบพิเศษ (Service Delivery Unit: SUD) อย่างเป็นรูปธรรมซึ่งเรียกว่า “สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลภาครัฐ (สวช.) (Government Data Analytics and Management Promotion Institute: GDAP)”
...............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยเเพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12184
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่มีเจตนากลั่นแกล้งใคร กรณีเรียกเก็บภาษี ระบุทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
|
วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2560
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่มีเจตนากลั่นแกล้งใคร กรณีเรียกเก็บภาษี ระบุทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่มีเจตนากลั่นแกล้งใคร กรณีเรียกเก็บภาษี ระบุทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
วันนี้ (21 สิงหาคม 2560) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการเผยแพร่คําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเดิม แตกต่างจากเรื่องใหม่ ซึ่งเป็นคนละกรณี ขอ อย่านํามาเกี่ยวข้องกัน ส่วนจะถูกหรือผิด จะสามารถดําเนินการได้หรือไม่นั้นต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ยืนยันการดําเนินการต้องเป็นธรรม และขอให้นึกถึงการปฏิบัติของรัฐบาลด้วย ซึ่งบางอย่างไม่ชัดเจน ยังคลุมเครือรัฐบาลต้องดําเนินการให้เกิดความชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะสุ่มเสี่ยงเป็นความผิดตามมาตรา 157 ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต โดยรัฐบาลมีความระมัดระวังอย่างเต็มที่ในการทํางาน และไม่ต้องการจะรังแกใคร
ส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมืองในอดีตนั้น เป็นไปตามกฎหมายที่ระบุไว้อยู่แล้วว่าต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมืองก่อนรับตําแหน่ง และหลังสิ้นสุดตําแหน่ง ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินฯ เป็นอํานาจหน้าที่ของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งจะเลือกตรวจสอบนักการเมืองที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ยืนยันไม่ได้กลั่นแกล้งใคร และจะต้องดําเนินการเรียกเก็บภาษีให้ได้ภายใน 5 ปี หลังจากพ้นตําแหน่ง เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเรียกเก็บภาษีได้
-------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่มีเจตนากลั่นแกล้งใคร กรณีเรียกเก็บภาษี ระบุทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2560
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่มีเจตนากลั่นแกล้งใคร กรณีเรียกเก็บภาษี ระบุทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลไม่มีเจตนากลั่นแกล้งใคร กรณีเรียกเก็บภาษี ระบุทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
วันนี้ (21 สิงหาคม 2560) เวลา 14.30 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการเผยแพร่คําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเดิม แตกต่างจากเรื่องใหม่ ซึ่งเป็นคนละกรณี ขอ อย่านํามาเกี่ยวข้องกัน ส่วนจะถูกหรือผิด จะสามารถดําเนินการได้หรือไม่นั้นต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ยืนยันการดําเนินการต้องเป็นธรรม และขอให้นึกถึงการปฏิบัติของรัฐบาลด้วย ซึ่งบางอย่างไม่ชัดเจน ยังคลุมเครือรัฐบาลต้องดําเนินการให้เกิดความชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะสุ่มเสี่ยงเป็นความผิดตามมาตรา 157 ละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริต โดยรัฐบาลมีความระมัดระวังอย่างเต็มที่ในการทํางาน และไม่ต้องการจะรังแกใคร
ส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมืองในอดีตนั้น เป็นไปตามกฎหมายที่ระบุไว้อยู่แล้วว่าต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมืองก่อนรับตําแหน่ง และหลังสิ้นสุดตําแหน่ง ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ส่วนการตรวจสอบทรัพย์สินฯ เป็นอํานาจหน้าที่ของสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งจะเลือกตรวจสอบนักการเมืองที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ยืนยันไม่ได้กลั่นแกล้งใคร และจะต้องดําเนินการเรียกเก็บภาษีให้ได้ภายใน 5 ปี หลังจากพ้นตําแหน่ง เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเรียกเก็บภาษีได้
-------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2540
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เป็นประธานเปิดงาน แพ็ค พริ้นท์อินเตอร์เนชั่นแนล 2019
|
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เป็นประธานเปิดงาน แพ็ค พริ้นท์อินเตอร์เนชั่นแนล 2019
นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีเปิดงาน แพ็ค พริ้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล 2019 ณ ฮอลล์ 100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
18 กันยายน 2562 เวลา 10.00 น. นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีเปิดงาน แพ็ค พริ้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล 2019 พร้อมด้วย นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายจารุพันธุ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เข้าร่วม จัดโดย สมาคมการพิมพ์ไทย และสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย โดยมี นายมานิตย์ กมลสุวรรณ นายกสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย นายพงศ์ธีระ พัฒนพีระเดช นายกสมาคมการพิมพ์ไทย และคณะผู้จัดงาน ให้การต้อนรับ ณ ฮอลล์ 100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
สําหรับงาน แพ็ค พริ้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล 2019 เป็นการร่วมมือระหว่าง บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จํากัด สมาคมการพิมพ์ไทย และสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย ซึ่งเป็นการแสดงเทคโนโลยีด้านการบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์แห่งเอเชีย ครั้งที่ 7 ภายใต้คอนเซปต์ "Shaping the future of packaging and printing in Asia" เพื่อสะท้อนเทรนด์และความเคลื่อนไหวในวงการ แพ็ค พริ้นท์อินเตอร์เนชั่นแนล โดยภายในงาน แบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนพาวิเลี่ยนครบวงจร โซนการพิมพ์ฉลาก และโซนจัดแสดงต้นแบบผลิตภัณฑ์และการออกแบบ พร้อมทั้งเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนทิศทางความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 20 กันยายน 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เป็นประธานเปิดงาน แพ็ค พริ้นท์อินเตอร์เนชั่นแนล 2019
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562
ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ เป็นประธานเปิดงาน แพ็ค พริ้นท์อินเตอร์เนชั่นแนล 2019
นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีเปิดงาน แพ็ค พริ้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล 2019 ณ ฮอลล์ 100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
18 กันยายน 2562 เวลา 10.00 น. นายธีระยุทธ วานิชชัง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานพิธีเปิดงาน แพ็ค พริ้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล 2019 พร้อมด้วย นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายจารุพันธุ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เข้าร่วม จัดโดย สมาคมการพิมพ์ไทย และสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย โดยมี นายมานิตย์ กมลสุวรรณ นายกสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย นายพงศ์ธีระ พัฒนพีระเดช นายกสมาคมการพิมพ์ไทย และคณะผู้จัดงาน ให้การต้อนรับ ณ ฮอลล์ 100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
สําหรับงาน แพ็ค พริ้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล 2019 เป็นการร่วมมือระหว่าง บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จํากัด สมาคมการพิมพ์ไทย และสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย ซึ่งเป็นการแสดงเทคโนโลยีด้านการบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์แห่งเอเชีย ครั้งที่ 7 ภายใต้คอนเซปต์ "Shaping the future of packaging and printing in Asia" เพื่อสะท้อนเทรนด์และความเคลื่อนไหวในวงการ แพ็ค พริ้นท์อินเตอร์เนชั่นแนล โดยภายในงาน แบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนพาวิเลี่ยนครบวงจร โซนการพิมพ์ฉลาก และโซนจัดแสดงต้นแบบผลิตภัณฑ์และการออกแบบ พร้อมทั้งเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนทิศทางความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 - 20 กันยายน 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23222
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานและกล่าวเปิดงานสัมมนา “Thailand’s Investment Year – What’s New?”
|
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานและกล่าวเปิดงานสัมมนา “Thailand’s Investment Year – What’s New?”
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนา “Thailand’s Investment Year – What’s New?”
วันนี้ (4 มีนาคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนา “Thailand’s Investment Year – What’s New?” สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีที่ได้มาร่วมเปิดงาน “Thailand Investment Year – What’s New?” และได้พบปะกับผู้ประกอบการในวันนี้
ปัจจุบันการพัฒนาประเทศยังต้องอาศัยการลงทุนจากทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง เพื่อช่วยให้ประเทศเจริญเติบโต และสร้างความเข้มแข็งอย่างมั่นคง โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศเป็นตัวพัฒนา บนพื้นฐานแนวคิด 3 ประการ ได้แก่
1. ต่อยอดอดีต นําจุดเด่นจากรากเหง้าทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม มาประยุกต์กับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้สอดรับกับบริบทโลกสมัยใหม่
2. ปรับปัจจุบัน ผ่านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการอนาคต
3. สร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต โดยการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการและพัฒนาคนรุ่นใหม่
รัฐบาลจึงเห็นว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งสําคัญ เพราะมนุษย์ถือเป็นปัจจัยสําคัญในการสร้างสรรค์และพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นได้ในยุค Thailand 4.0 โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อการลงทุนในประเทศตรงตามมาตรฐาน จะเกิดประโยชน์ทั้งกับประเทศไทย ภูมิภาค และเชื่อมโยงตามห่วงโซ่มูลค่าของโลกต่อไปด้วย และเชื่อมั่นว่า การสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทย จะทําให้เกิดความมั่งคั่งและมั่นคงแก่ประเทศเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาอย่างครอบคลุม สมดุลและยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยคํานึงถึงความสุขของประชาชนเป็นรากฐานการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่มีการลงทุนเป็นตัวนํา เพื่อไปสู่ Thailand 4.0 นั้น รัฐบาลได้ดําเนินการใน 5 มิติอย่างต่อเนื่อง
- มิติด้านการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ประเทศไทยมีศักยภาพ
- มิติด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เป็นกําลังสําคัญของการพัฒนาประเทศ รวมถึงการดึงดูดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมีทักษะสูงจากต่างประเทศในสาขาที่ขาดแคลนมาช่วยกันพัฒนาประเทศด้วย
- มิติด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ Connectivity ภายใต้แผนพัฒนาประเทศและกรอบความร่วมมือต่างๆ ระหว่างประเทศ
- มิติด้านการพัฒนาผู้ประกอบการในระดับต่างๆ ให้มีความเข้มแข็ง ด้วยการส่งเสริมให้มีการพัฒนาตนเองด้วยการนําเครื่องจักรมาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ การส่งเสริมให้บริษัทใหญ่มาช่วยพัฒนา Local Supplier รวมถึงการที่ภาครัฐช่วยหาตลาดให้กับผู้ประกอบการ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
- มิติด้านการวางกรอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเน้นการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมที่มีฐานการผลิตอยู่มากในประเทศไทย ตลอดจนขยายการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ยังไม่มีหรือมีในประเทศเพียงเล็กน้อย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสําคัญกับการวางรากฐานของประเทศในด้านต่างๆ ให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน ทั้งการสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ การยกระดับผลิตภาพและเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรให้มีความเข้มแข็งเป็น Smart Farmers การส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกในทุกรูปแบบโดยรัฐบาลได้ดําเนินการควบคู่กับการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น
ในขณะเดียวกัน ไทยได้มีการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์เชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่ง จากถนนสู่ทางราง ทางน้ํา และทางอากาศให้ทั่วถึง ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ในระยะต่อไป การพัฒนาประเทศจําเป็นต้องวางรากฐาน ด้วยการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจทั้งระบบให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศ และลดความเหลื่อมล้ําภายในสังคม โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการพัฒนาประเทศ
ตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณนักลงทุนที่เล็งเห็นประเทศไทยเป็นพื้นที่เป้าหมายในการลงทุนเสมอมา โดยหวังว่า นักลงทุนจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มี
ความเข้มแข็ง และยังประโยชน์ให้ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานและกล่าวเปิดงานสัมมนา “Thailand’s Investment Year – What’s New?”
วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม 2562
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานและกล่าวเปิดงานสัมมนา “Thailand’s Investment Year – What’s New?”
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนา “Thailand’s Investment Year – What’s New?”
วันนี้ (4 มีนาคม 2562) เวลา 09.00 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดงานสัมมนา “Thailand’s Investment Year – What’s New?” สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีที่ได้มาร่วมเปิดงาน “Thailand Investment Year – What’s New?” และได้พบปะกับผู้ประกอบการในวันนี้
ปัจจุบันการพัฒนาประเทศยังต้องอาศัยการลงทุนจากทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง เพื่อช่วยให้ประเทศเจริญเติบโต และสร้างความเข้มแข็งอย่างมั่นคง โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศเป็นตัวพัฒนา บนพื้นฐานแนวคิด 3 ประการ ได้แก่
1. ต่อยอดอดีต นําจุดเด่นจากรากเหง้าทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม มาประยุกต์กับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้สอดรับกับบริบทโลกสมัยใหม่
2. ปรับปัจจุบัน ผ่านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการอนาคต
3. สร้างคุณค่าใหม่ในอนาคต โดยการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการและพัฒนาคนรุ่นใหม่
รัฐบาลจึงเห็นว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งสําคัญ เพราะมนุษย์ถือเป็นปัจจัยสําคัญในการสร้างสรรค์และพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นได้ในยุค Thailand 4.0 โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อการลงทุนในประเทศตรงตามมาตรฐาน จะเกิดประโยชน์ทั้งกับประเทศไทย ภูมิภาค และเชื่อมโยงตามห่วงโซ่มูลค่าของโลกต่อไปด้วย และเชื่อมั่นว่า การสร้างความมั่นคงอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทย จะทําให้เกิดความมั่งคั่งและมั่นคงแก่ประเทศเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาอย่างครอบคลุม สมดุลและยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยคํานึงถึงความสุขของประชาชนเป็นรากฐานการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่มีการลงทุนเป็นตัวนํา เพื่อไปสู่ Thailand 4.0 นั้น รัฐบาลได้ดําเนินการใน 5 มิติอย่างต่อเนื่อง
- มิติด้านการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ประเทศไทยมีศักยภาพ
- มิติด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้เป็นกําลังสําคัญของการพัฒนาประเทศ รวมถึงการดึงดูดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและมีทักษะสูงจากต่างประเทศในสาขาที่ขาดแคลนมาช่วยกันพัฒนาประเทศด้วย
- มิติด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ Connectivity ภายใต้แผนพัฒนาประเทศและกรอบความร่วมมือต่างๆ ระหว่างประเทศ
- มิติด้านการพัฒนาผู้ประกอบการในระดับต่างๆ ให้มีความเข้มแข็ง ด้วยการส่งเสริมให้มีการพัฒนาตนเองด้วยการนําเครื่องจักรมาเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ การส่งเสริมให้บริษัทใหญ่มาช่วยพัฒนา Local Supplier รวมถึงการที่ภาครัฐช่วยหาตลาดให้กับผู้ประกอบการ ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
- มิติด้านการวางกรอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเน้นการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมที่มีฐานการผลิตอยู่มากในประเทศไทย ตลอดจนขยายการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ยังไม่มีหรือมีในประเทศเพียงเล็กน้อย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสําคัญกับการวางรากฐานของประเทศในด้านต่างๆ ให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน ทั้งการสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน การพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพ การยกระดับผลิตภาพและเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรให้มีความเข้มแข็งเป็น Smart Farmers การส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกในทุกรูปแบบโดยรัฐบาลได้ดําเนินการควบคู่กับการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้น
ในขณะเดียวกัน ไทยได้มีการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์เชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่ง จากถนนสู่ทางราง ทางน้ํา และทางอากาศให้ทั่วถึง ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ในระยะต่อไป การพัฒนาประเทศจําเป็นต้องวางรากฐาน ด้วยการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจทั้งระบบให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศ และลดความเหลื่อมล้ําภายในสังคม โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการพัฒนาประเทศ
ตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณนักลงทุนที่เล็งเห็นประเทศไทยเป็นพื้นที่เป้าหมายในการลงทุนเสมอมา โดยหวังว่า นักลงทุนจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มี
ความเข้มแข็ง และยังประโยชน์ให้ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19098
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ปลัดแรงงาน’ ย้ำ ‘การบูรณาการทำงาน รอบรู้สถานการณ์โลก อำนวยความสะดวกประชาชน บน digital platform’
|
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
‘ปลัดแรงงาน’ ย้ํา ‘การบูรณาการทํางาน รอบรู้สถานการณ์โลก อํานวยความสะดวกประชาชน บน digital platform’
ปลัดกระทรวงแรงงาน เน้นย้ําให้สํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน บูรณาการทํางานในภาพรวมของกระทรวง รอบรู้เกี่ยวกับสถานการณ์โลก นโยบายของรัฐบาล เหตุการณ์ในพื้นที่ พัฒนาและอํานวยความสะดวกประชาชน บน digital platform
วันนี้ (14 ส.ค. 62) เวลา 09.00 น. นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการถ่ายทอดยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ ณ ห้องจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดย ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “สํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ถือได้ว่าเป็นหน่วยงานสําคัญที่จะบูรณาการทํางานในภาพรวมของกระทรวง ซึ่งกระทรวงแรงงานนั้น มีมิติการทํางานที่หลากหลายและครอบคลุมประชาชนในหลายกลุ่ม ทั้งกําลังแรงงานทั่วไป แรงงานข้ามชาติ คนพิการ ผู้สูงอายุ แรงงานนอกระบบ ไปจนถึงนักเรียน/นักศึกษาที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน ดังนั้น การทํางาน ที่ประสานสอดคล้องกันจึงมีความสําคัญสูงสุดเพื่อขับเคลื่อนงานด้านแรงงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนได้อย่างแท้จริง
สําหรับการดําเนินงานในอนาคตนั้น ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ําใน 3 ประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรก คือ เรื่องของการบูรณาการ ทั้งนี้ สํานักงานปลัดจะต้องเป็นผู้นํา เป็นผู้ริเริ่มในการแปลงนโยบายของกระทรวงแรงงานไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อให้บริการของกระทรวงตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างครบวงจรทั้งการมีงานทํา การพัฒนาฝีมือแรงงาน สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ความปลอดภัยในการทํางาน และประกันสังคม ประเด็นที่สอง คือ ความรอบรู้เกี่ยวกับสถานการณ์โลก นโยบายของรัฐบาล และเหตุการณ์ในพื้นที่ เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานจะต้องเป็นคนทันสมัย รอบรู้สถานการณ์ และสามารถให้การช่วยเหลือประชาชนในภารกิจที่เกี่ยวข้องได้ในโอกาสแรก ตัวอย่างที่ผ่านมา เช่น การช่วยเหลือแรงงานประมงไทยในน่านน้ําโซมาเลีย เป็นต้น ในฐานะสํานักงานปลัดจะต้องรวดเร็วที่จะประสานงานกับหน่วยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงติดตามสถานการณ์เพื่อให้ความช่วยเหลือ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลงานสําคัญอย่างหนึ่งของกระทรวงแรงงาน นอกจากนี้จะต้องให้ความสําคัญกับองค์ความรู้ด้านวิชาการทั้งเศรษฐกิจและสังคม ตัวเลขดัชนี หรือ ตัวชี้วัดต่างๆ ในพื้นที่ เช่น GPP การว่างงาน เงินเฟ้อในจังหวัดเป็นต้น เพราะล้วนแต่กระทบต่อการดําเนินงานของกระทรวงแรงงาน ดังนั้น "แรงงานจังหวัดจะต้องรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ
และ ประเด็นที่สาม คือ การพัฒนาและอํานวยความสะดวกประชาชน บน digital platform โดยเชื่อมโยงกับหน่วยงานในสังกัด รวมถึงหน่วยอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ จะต้องพัฒนาระบบ Big Data และการวิเคราะห์ที่ส่งผลต่อการกําหนดนโยบาย เช่น จํานวนผู้ประกันที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ํา จํานวนสถานประกอบการ ที่มีการย้ายฐานการผลิตจากผลกระทบของค่าจ้าง ข้อมูลพวกนี้เราจะเก็บได้อย่างไร สามารถหาได้จากที่ไหน ผมอยากให้มีการจัดทําข้อมูลเหล่านี้เพิ่มเติมจากผลการดําเนินงานประจําที่เราทําอยู่ เพื่อประโยชน์ในการกําหนดนโยบายที่แม่นยําและมีประสิทธิภาพ”
การประชุมครั้งนี้ เพื่อให้บุคลากรในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงแรงานทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค มีความรู้ความเข้าใจ ทิศทางการดําเนินงานขององค์กรและสามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานอันจะส่งผลต่อความสําเร็จตามพันธกิจและยุทธศาสตร์ขององค์กรได้ โดยมีบุคลากรในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ จํานวน 200 คน
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ / ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว / 14 สิงหาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ปลัดแรงงาน’ ย้ำ ‘การบูรณาการทำงาน รอบรู้สถานการณ์โลก อำนวยความสะดวกประชาชน บน digital platform’
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2562
‘ปลัดแรงงาน’ ย้ํา ‘การบูรณาการทํางาน รอบรู้สถานการณ์โลก อํานวยความสะดวกประชาชน บน digital platform’
ปลัดกระทรวงแรงงาน เน้นย้ําให้สํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน บูรณาการทํางานในภาพรวมของกระทรวง รอบรู้เกี่ยวกับสถานการณ์โลก นโยบายของรัฐบาล เหตุการณ์ในพื้นที่ พัฒนาและอํานวยความสะดวกประชาชน บน digital platform
วันนี้ (14 ส.ค. 62) เวลา 09.00 น. นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการถ่ายทอดยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ ณ ห้องจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดย ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า “สํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ถือได้ว่าเป็นหน่วยงานสําคัญที่จะบูรณาการทํางานในภาพรวมของกระทรวง ซึ่งกระทรวงแรงงานนั้น มีมิติการทํางานที่หลากหลายและครอบคลุมประชาชนในหลายกลุ่ม ทั้งกําลังแรงงานทั่วไป แรงงานข้ามชาติ คนพิการ ผู้สูงอายุ แรงงานนอกระบบ ไปจนถึงนักเรียน/นักศึกษาที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน ดังนั้น การทํางาน ที่ประสานสอดคล้องกันจึงมีความสําคัญสูงสุดเพื่อขับเคลื่อนงานด้านแรงงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนได้อย่างแท้จริง
สําหรับการดําเนินงานในอนาคตนั้น ปลัดกระทรวงแรงงาน ได้เน้นย้ําใน 3 ประเด็นด้วยกัน ประเด็นแรก คือ เรื่องของการบูรณาการ ทั้งนี้ สํานักงานปลัดจะต้องเป็นผู้นํา เป็นผู้ริเริ่มในการแปลงนโยบายของกระทรวงแรงงานไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อให้บริการของกระทรวงตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างครบวงจรทั้งการมีงานทํา การพัฒนาฝีมือแรงงาน สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ความปลอดภัยในการทํางาน และประกันสังคม ประเด็นที่สอง คือ ความรอบรู้เกี่ยวกับสถานการณ์โลก นโยบายของรัฐบาล และเหตุการณ์ในพื้นที่ เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานจะต้องเป็นคนทันสมัย รอบรู้สถานการณ์ และสามารถให้การช่วยเหลือประชาชนในภารกิจที่เกี่ยวข้องได้ในโอกาสแรก ตัวอย่างที่ผ่านมา เช่น การช่วยเหลือแรงงานประมงไทยในน่านน้ําโซมาเลีย เป็นต้น ในฐานะสํานักงานปลัดจะต้องรวดเร็วที่จะประสานงานกับหน่วยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงติดตามสถานการณ์เพื่อให้ความช่วยเหลือ ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลงานสําคัญอย่างหนึ่งของกระทรวงแรงงาน นอกจากนี้จะต้องให้ความสําคัญกับองค์ความรู้ด้านวิชาการทั้งเศรษฐกิจและสังคม ตัวเลขดัชนี หรือ ตัวชี้วัดต่างๆ ในพื้นที่ เช่น GPP การว่างงาน เงินเฟ้อในจังหวัดเป็นต้น เพราะล้วนแต่กระทบต่อการดําเนินงานของกระทรวงแรงงาน ดังนั้น "แรงงานจังหวัดจะต้องรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ
และ ประเด็นที่สาม คือ การพัฒนาและอํานวยความสะดวกประชาชน บน digital platform โดยเชื่อมโยงกับหน่วยงานในสังกัด รวมถึงหน่วยอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ จะต้องพัฒนาระบบ Big Data และการวิเคราะห์ที่ส่งผลต่อการกําหนดนโยบาย เช่น จํานวนผู้ประกันที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ํา จํานวนสถานประกอบการ ที่มีการย้ายฐานการผลิตจากผลกระทบของค่าจ้าง ข้อมูลพวกนี้เราจะเก็บได้อย่างไร สามารถหาได้จากที่ไหน ผมอยากให้มีการจัดทําข้อมูลเหล่านี้เพิ่มเติมจากผลการดําเนินงานประจําที่เราทําอยู่ เพื่อประโยชน์ในการกําหนดนโยบายที่แม่นยําและมีประสิทธิภาพ”
การประชุมครั้งนี้ เพื่อให้บุคลากรในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงแรงานทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค มีความรู้ความเข้าใจ ทิศทางการดําเนินงานขององค์กรและสามารถนําไปใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานอันจะส่งผลต่อความสําเร็จตามพันธกิจและยุทธศาสตร์ขององค์กรได้ โดยมีบุคลากรในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ จํานวน 200 คน
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ / ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว / 14 สิงหาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22223
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอร่วมบรรยายนโยบายและสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน
|
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562
บีโอไอร่วมบรรยายนโยบายและสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน
บีโอไอร่วมบรรยายนโยบายและสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้รับเชิญให้บรรยายเรื่องนโยบายส่งเสริมการลงทุนและสิทธิประโยชน์ล่าสุด ในงาน“PwC Thailand Symposium 2019” ซึ่งเป็นงานสัมมนาประจําปีของสํานักงานไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส ประเทศไทย ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิล์ด กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอร่วมบรรยายนโยบายและสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน
วันอังคารที่ 22 ตุลาคม 2562
บีโอไอร่วมบรรยายนโยบายและสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน
บีโอไอร่วมบรรยายนโยบายและสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้รับเชิญให้บรรยายเรื่องนโยบายส่งเสริมการลงทุนและสิทธิประโยชน์ล่าสุด ในงาน“PwC Thailand Symposium 2019” ซึ่งเป็นงานสัมมนาประจําปีของสํานักงานไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส ประเทศไทย ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิล์ด กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23979
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอบคุณทุกฝ่าย ร่วมกันทำหน้าที่เป็นหลักประกันความมั่นคง ตลอดช่วงเวลาแห่งความสุขปีใหม่ของทุกคน
|
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
ขอบคุณทุกฝ่าย ร่วมกันทําหน้าที่เป็นหลักประกันความมั่นคง ตลอดช่วงเวลาแห่งความสุขปีใหม่ของทุกคน
เมื่อวันที่ 2 ม.ค.62 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. ได้กล่าวแสดงความขอบคุณ เจ้าหน้าที่หน่วยงานข่าวและหน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วยงาน ทั้งทหาร ตํารวจ ฝ่ายปกครองและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
ร่วมกันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทําหน้าที่ ต่อเนื่องตลอด 24 ช.ม. ในการดูแลความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยของสังคม รวมทั้งการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดช่วงเทศกาลส่งท้ายปีและเทศกาลขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมา ซึ่งมีผลให้ภาพรวมของช่วงเวลาแห่งความสุข เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยและเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขของทุกครอบครัว
พล.อ.ประวิตร’ กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตาม ความสุขและความสงบเรียบร้อยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันมา เกิดจากการทํางานหนักร่วมกันของเจ้าหน้าที่รัฐจากทุกส่วนราชการ ร่วมกับความเข้าใจและความร่วมมือกันจากภาคประชาชนทุกฝ่าย ที่ต้องการเห็นบ้านเมืองและประเทศชาติ มีความเจริญ สงบเรียบร้อยและเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคน ที่ให้การสนับสนุนตามที่รัฐบาลขอความร่วมมือ และร่วมกันยึดมั่นปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นผลให้บ้านเมืองมีความเจริญและสงบเรียบร้อยต่อเนื่องกันมา และหวังว่าเราจะมีพัฒนาการไปด้วยกันและร่วมมือกันมากขึ้น ในโอกาสสําคัญของปี 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขอบคุณทุกฝ่าย ร่วมกันทำหน้าที่เป็นหลักประกันความมั่นคง ตลอดช่วงเวลาแห่งความสุขปีใหม่ของทุกคน
วันพุธที่ 2 มกราคม 2562
ขอบคุณทุกฝ่าย ร่วมกันทําหน้าที่เป็นหลักประกันความมั่นคง ตลอดช่วงเวลาแห่งความสุขปีใหม่ของทุกคน
เมื่อวันที่ 2 ม.ค.62 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. ได้กล่าวแสดงความขอบคุณ เจ้าหน้าที่หน่วยงานข่าวและหน่วยงานความมั่นคงทุกหน่วยงาน ทั้งทหาร ตํารวจ ฝ่ายปกครองและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
ร่วมกันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนทําหน้าที่ ต่อเนื่องตลอด 24 ช.ม. ในการดูแลความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยของสังคม รวมทั้งการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ตลอดช่วงเทศกาลส่งท้ายปีและเทศกาลขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมา ซึ่งมีผลให้ภาพรวมของช่วงเวลาแห่งความสุข เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยและเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขของทุกครอบครัว
พล.อ.ประวิตร’ กล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตาม ความสุขและความสงบเรียบร้อยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันมา เกิดจากการทํางานหนักร่วมกันของเจ้าหน้าที่รัฐจากทุกส่วนราชการ ร่วมกับความเข้าใจและความร่วมมือกันจากภาคประชาชนทุกฝ่าย ที่ต้องการเห็นบ้านเมืองและประเทศชาติ มีความเจริญ สงบเรียบร้อยและเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่ผ่านมา ต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคน ที่ให้การสนับสนุนตามที่รัฐบาลขอความร่วมมือ และร่วมกันยึดมั่นปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นผลให้บ้านเมืองมีความเจริญและสงบเรียบร้อยต่อเนื่องกันมา และหวังว่าเราจะมีพัฒนาการไปด้วยกันและร่วมมือกันมากขึ้น ในโอกาสสําคัญของปี 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17861
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เน้นย้ำให้หน่วยงานในสังกัด เดินหน้าดำเนินภารกิจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่
|
วันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560
รมว.ยุติธรรม เน้นย้ําให้หน่วยงานในสังกัด เดินหน้าดําเนินภารกิจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
เมื่อวันพุธที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ําให้ทุกส่วนราชการดําเนินการในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1) ขอให้ทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมให้ความสําคัญต่อการจัดงาน
พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมในการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อดูแลประชาชนในช่วงการซ้อมใหญ่ และวันพระราชพิธีฯ
2) ขอให้กรมราชทัณฑ์ พิจารณาจําแนกและเตรียมการให้ผู้ต้องขังที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ
ได้ใช้ศักยภาพในการสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม
๓) ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการร่วมกันปราบปราม
การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม เน้นย้ำให้หน่วยงานในสังกัด เดินหน้าดำเนินภารกิจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่
วันพุธที่ 18 ตุลาคม 2560
รมว.ยุติธรรม เน้นย้ําให้หน่วยงานในสังกัด เดินหน้าดําเนินภารกิจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
เมื่อวันพุธที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานการประชุมผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ําให้ทุกส่วนราชการดําเนินการในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1) ขอให้ทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมให้ความสําคัญต่อการจัดงาน
พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมในการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อดูแลประชาชนในช่วงการซ้อมใหญ่ และวันพระราชพิธีฯ
2) ขอให้กรมราชทัณฑ์ พิจารณาจําแนกและเตรียมการให้ผู้ต้องขังที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ
ได้ใช้ศักยภาพในการสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม
๓) ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการร่วมกันปราบปราม
การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7487
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ จับมือ ICC ขับเคลื่อนการค้า พัฒนาศักยภาพ SMEs
|
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560
พาณิชย์ จับมือ ICC ขับเคลื่อนการค้า พัฒนาศักยภาพ SMEs
นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังจากได้มีการหารือกับ นาย ธงชัย อานันโทไทย ประธานหอการค้านานาติ ( International Chamber of Commerce : ICC )
ว่า กระทรวงพาณิชย์ยินดีที่จะร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินงาน ของ ICC ประเทศไทย เนื่องจากภาคเอกชนมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ดังนั้นความร่วมมือกับ ICC ที่จะมีการแลกเปลี่ยน และถ่ายทอดองค์ความรู้ และแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศของเอกชนที่เป็นสมาชิกของ ICC นํามาถ่ายทอดให้กับเอกชนไทยโดยเฉพาะ SMEs จะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของเอกชนไทยให้สามารถแข่งขันได้ ทั้งการเข้าสู่ตลาด การค้าในยุคดิจิตัล และกฎระเบียบทางการค้าต่าง ๆ
ขณะเดียวกัน ICC ก็พร้อมจะสนับสนุน สถาบัน New Economy Academy ที่กระทรวงพาณิช์ จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างองค์ความรู้ในเรื่องการประกอบธุรกิจของ ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ให้สามารถ สร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึง E-Commerce ด้วย นอกจากนี้ ICC จะให้ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ข้อเสนอแนะ รวมทั้งสนับสนุนการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงพาณิชย์ทั้งในการผลักดันหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เชิงเศรษฐกิจ ( Strategic Partnership) กับประเทศที่มีศักยภาพ การส่งเสริมความเชื่อมโยงของการทําธุรกิจในภูมิภาค CLMV และโครงการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ONE Belt One Road ของจีน
ICC ประเทศไทยเป็นองค์กรเอกชนที่มีบทบาทสําคัญเป็นตัวกลางของสมาชิกในการสื่อสารกับองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งรัฐบาล เพื่อยกประเด็นปัญหาที่ต้องการแก้ไขและอุปสรรคในการดําเนินธุรกิจระหว่างประเทศของเอกชนไทยต่อ ICC สํานักงานใหญ่ ณ กรุงปารีส รวมทั้งมีบทบาทในการพัฒนากฎระเบียบทางด้านการค้าระหว่างประเทศ เช่น การระงับข้อพิพาทระหว่างเอกชนโดยอนุญาโตตุลาการ และเข้าร่วมประชุมในฐานะผู้สังเกตการณ์ในองค์การระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ICC ประเทศไทยเห็นว่าไทยมีศักยภาพทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานการดําเนินธุรกิจและบุคลากร จึงจะสนับสนุนให้มีการจัดตั้ง สํานักงานภูมิภาคของ ICC ในประเทศไทยเพื่อเป็นศูนย์วิจัยด้านการประกอบธุรกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจด้านการเงิน การธนาคาร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ จับมือ ICC ขับเคลื่อนการค้า พัฒนาศักยภาพ SMEs
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560
พาณิชย์ จับมือ ICC ขับเคลื่อนการค้า พัฒนาศักยภาพ SMEs
นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังจากได้มีการหารือกับ นาย ธงชัย อานันโทไทย ประธานหอการค้านานาติ ( International Chamber of Commerce : ICC )
ว่า กระทรวงพาณิชย์ยินดีที่จะร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินงาน ของ ICC ประเทศไทย เนื่องจากภาคเอกชนมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ดังนั้นความร่วมมือกับ ICC ที่จะมีการแลกเปลี่ยน และถ่ายทอดองค์ความรู้ และแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศของเอกชนที่เป็นสมาชิกของ ICC นํามาถ่ายทอดให้กับเอกชนไทยโดยเฉพาะ SMEs จะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของเอกชนไทยให้สามารถแข่งขันได้ ทั้งการเข้าสู่ตลาด การค้าในยุคดิจิตัล และกฎระเบียบทางการค้าต่าง ๆ
ขณะเดียวกัน ICC ก็พร้อมจะสนับสนุน สถาบัน New Economy Academy ที่กระทรวงพาณิช์ จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างองค์ความรู้ในเรื่องการประกอบธุรกิจของ ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ให้สามารถ สร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึง E-Commerce ด้วย นอกจากนี้ ICC จะให้ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ข้อเสนอแนะ รวมทั้งสนับสนุนการดําเนินการตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงพาณิชย์ทั้งในการผลักดันหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เชิงเศรษฐกิจ ( Strategic Partnership) กับประเทศที่มีศักยภาพ การส่งเสริมความเชื่อมโยงของการทําธุรกิจในภูมิภาค CLMV และโครงการเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค ONE Belt One Road ของจีน
ICC ประเทศไทยเป็นองค์กรเอกชนที่มีบทบาทสําคัญเป็นตัวกลางของสมาชิกในการสื่อสารกับองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งรัฐบาล เพื่อยกประเด็นปัญหาที่ต้องการแก้ไขและอุปสรรคในการดําเนินธุรกิจระหว่างประเทศของเอกชนไทยต่อ ICC สํานักงานใหญ่ ณ กรุงปารีส รวมทั้งมีบทบาทในการพัฒนากฎระเบียบทางด้านการค้าระหว่างประเทศ เช่น การระงับข้อพิพาทระหว่างเอกชนโดยอนุญาโตตุลาการ และเข้าร่วมประชุมในฐานะผู้สังเกตการณ์ในองค์การระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ICC ประเทศไทยเห็นว่าไทยมีศักยภาพทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานการดําเนินธุรกิจและบุคลากร จึงจะสนับสนุนให้มีการจัดตั้ง สํานักงานภูมิภาคของ ICC ในประเทศไทยเพื่อเป็นศูนย์วิจัยด้านการประกอบธุรกิจระหว่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจด้านการเงิน การธนาคาร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4057
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" พบปะนักเรียนโรงเรียนราชวินิตบางเขน เพื่อร่วมมือขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรมทั่วประเทศ
|
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560
"ปนัดดา" พบปะนักเรียนโรงเรียนราชวินิตบางเขน เพื่อร่วมมือขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรมทั่วประเทศ
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะคณะผู้บริหาร ครู และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จํานวนกว่า 500 คน ในช่วงหลังเคารพธงชาติ โดยขอความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม ตามกรอบแนวคิดสําคัญ 5 ด้าน
ร่วมกับโรงเรียนและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ พร้อมฝากสร้างความซื่อสัตย์สุจริตเป็นคุณธรรมอันดับต้น ๆ ที่ต้องให้ความสําคัญและสร้างให้เกิดขึ้นจริง เพื่อนําสู่การสร้างและพัฒนาชาติสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนก็ย่อมมีความสง่างาม มีความน่าเชื่อถือ และสร้างความภาคภูมิใจแก่ผู้เรียน ครูอาจารย์ และพ่อแม่ผู้ปกครองอยู่แล้ว ยิ่งเป็นโรงเรียนพระราชทาน เป็น 1 ในโรงเรียนราชวินิต 8 แห่ง ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งโรงเรียนได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อว่า “โรงเรียนราชวินิตบางเขน” พร้อมให้อัญเชิญ "พระมหาพิชัยมงกุฎ" เป็นตราสัญลักษณ์ของโรงเรียน นับเป็นความภาคภูมิใจของนักเรียนและครูที่ได้เรียนได้สอนในโรงเรียนอันทรงเกียรติแห่งนี้ และควรที่จะดํารงตน ดําเนินงาน และกิจกรรม เพื่อให้สมควรแก่การเป็นสถานที่อบรมกุลบุตร กุลธิดา ให้เป็นคนดี โดยพระราชา
ดังนั้น เหตุที่มาในวันนี้ เพื่อขอความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรมให้เกิดขึ้นจริงตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีกรอบแนวคิดสําคัญ 5 ข้อที่จะต้องดําเนินการ ได้แก่ ความพอเพียง ความกตัญญู ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรมโดยเฉพาะในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต ขอเน้นให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาเป็นอันดับต้น ๆ พร้อมฝากความหวังไว้กับครูทุกคน ที่จะช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการอบรมบ่มสอนลูกหลาน ให้ยึดมั่นความซื่อสัตย์ในการดําเนินชีวิต การเรียน ตลอดจนการทํางานเมื่อเติบใหญ่ในภายภาคหน้า
ซึ่งเชื่อว่า"จากจุดเล็ก ๆ ในโรงเรียน หากทําพร้อม ๆ กันทั่วประเทศ ก็จะเกิดเป็นพลังความดี ที่จะส่งผลต่อการสร้างชาติและพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้ในอนาคตอันใกล้ และอาจเชื่อมโยงไปสู่การจัดอันดับความซื่อสัตย์ของประเทศจากการสํารวจระดับนานาชาติต่อไปด้วย"
ทั้งนี้ ในส่วนของส่วนราชการและข้าราชการส่วนใหญ่ของประเทศก็มิได้นิ่งนอนใจ ทุกคนต่างมีความตระหนักและพยายามที่จะมุ่งเน้นการทํางานตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อจุดหมายเดียวกันก็คือ ความมุ่งหวังให้ความซื่อสัตย์สุจริตช่วยขับเคลื่อนประเทศไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาด้านอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ท้ายสุดนี้ ขออัญเชิญพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อเป็นหลักคิดให้ลูกหลานนําไปใช้ในการดํารงตนอย่างเหมาะสมตามหน้าที่และความรับผิดชอบ คือ "... วัยเด็กเป็นวัยเริ่มต้น เป็นวัยเตรียมตัวเพื่อสร้างความเจริญมั่นคงในชีวิต เด็ก ๆ จึงควรรีบขวนขวายศึกษา จักได้มีความฉลาดรอบรู้ ว่าอะไรคือความดี และอะไรคือความเสื่อมเสีย เพื่อนําทางชีวิตของตนไปสู่ความสุข ความเจริญได้โดยถูกต้องและสมบูรณ์ ..." พระบรมราโชวาท พระราชทานเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี 2527
"โรงเรียนราชวินิตบางเขน"เดิมชื่อ "โรงเรียนบางเขนวิทยา" เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ก่อตั้งเมื่อปี 2529 โดยพระครูสุวรรณสุทธารมย์ คณะกรรมการวัดทองสุทธาราม ต่อมาในปี 2530 จึงได้เปิดรับนักเรียนเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จํานวน 200 คน จากนั้นได้มีการพัฒนาอาคารเรียนและสภาพโดยรอบโรงเรียนมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี 2534 โรงเรียนได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้ใช้ชื่อโรงเรียนว่า “โรงเรียนราชวินิตบางเขน” เพื่อเป็นไปตามพระราชดําริของพระองค์ในการจัดตั้งโรงเรียน ซึ่งคําว่า “ราชวินิต” เป็นนามพระราชทาน ความหมายว่า "สถานที่อบรมกุลบุตรกุลธิดาให้เป็นคนดี” พร้อมให้อันเชิญ "พระมหาพิชัยมงกุฎ" เป็นตราสัญลักษณ์ของโรงเรียน (ปัจจุบันมีโรงเรียนเครือราชวินิตรวม 8 แห่ง)
ปัจจุบันโรงเรียนราชวินิตบางเขน ตั้งอยู่เลขที่ 22/18 ซอยชินเขต ถนนงามวงศ์วาน แขวงทุ่งสองห้อง กรุงเทพฯเปิดสอนระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1-6 มีนักเรียน 1,781 คน ดําเนินงานโดย ดร.สันต์ธวัช ศรีคําแท้ ผู้อํานวยการโรงเรียน ภายใต้วิสัยทัศน์ "โรงเรียนมุ่งจัดการศึกษา ให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานสู่ความเป็นสากล เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของชุมชน บนพื้นฐานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" เพื่อพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานการศึกษาสู่ความเป็นสากล พัฒนาระบบการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล ส่งเสริม พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพ พร้อมพัฒนาโรงเรียนให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนและเครือข่ายทางการศึกษา
คติพจน์: มีวินัย ใฝ่ศึกษา พัฒนาชุมชน
ต้นไม้และดอกไม้ประจําโรงเรียน: ต้น-ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์
สีประจําโรงเรียน: สีกรมท่า-ขาว
นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปนัดดา" พบปะนักเรียนโรงเรียนราชวินิตบางเขน เพื่อร่วมมือขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรมทั่วประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2560
"ปนัดดา" พบปะนักเรียนโรงเรียนราชวินิตบางเขน เพื่อร่วมมือขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรมทั่วประเทศ
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พบปะคณะผู้บริหาร ครู และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย จํานวนกว่า 500 คน ในช่วงหลังเคารพธงชาติ โดยขอความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรม ตามกรอบแนวคิดสําคัญ 5 ด้าน
ร่วมกับโรงเรียนและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ พร้อมฝากสร้างความซื่อสัตย์สุจริตเป็นคุณธรรมอันดับต้น ๆ ที่ต้องให้ความสําคัญและสร้างให้เกิดขึ้นจริง เพื่อนําสู่การสร้างและพัฒนาชาติสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ม.ล.ปนัดดา ดิศกุลกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงเรียนก็ย่อมมีความสง่างาม มีความน่าเชื่อถือ และสร้างความภาคภูมิใจแก่ผู้เรียน ครูอาจารย์ และพ่อแม่ผู้ปกครองอยู่แล้ว ยิ่งเป็นโรงเรียนพระราชทาน เป็น 1 ในโรงเรียนราชวินิต 8 แห่ง ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งโรงเรียนได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อว่า “โรงเรียนราชวินิตบางเขน” พร้อมให้อัญเชิญ "พระมหาพิชัยมงกุฎ" เป็นตราสัญลักษณ์ของโรงเรียน นับเป็นความภาคภูมิใจของนักเรียนและครูที่ได้เรียนได้สอนในโรงเรียนอันทรงเกียรติแห่งนี้ และควรที่จะดํารงตน ดําเนินงาน และกิจกรรม เพื่อให้สมควรแก่การเป็นสถานที่อบรมกุลบุตร กุลธิดา ให้เป็นคนดี โดยพระราชา
ดังนั้น เหตุที่มาในวันนี้ เพื่อขอความร่วมมือในการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนคุณธรรมให้เกิดขึ้นจริงตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีกรอบแนวคิดสําคัญ 5 ข้อที่จะต้องดําเนินการ ได้แก่ ความพอเพียง ความกตัญญู ความซื่อสัตย์สุจริต ความรับผิดชอบ และอุดมการณ์คุณธรรมจริยธรรมโดยเฉพาะในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต ขอเน้นให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาเป็นอันดับต้น ๆ พร้อมฝากความหวังไว้กับครูทุกคน ที่จะช่วยเป็นส่วนหนึ่งในการอบรมบ่มสอนลูกหลาน ให้ยึดมั่นความซื่อสัตย์ในการดําเนินชีวิต การเรียน ตลอดจนการทํางานเมื่อเติบใหญ่ในภายภาคหน้า
ซึ่งเชื่อว่า"จากจุดเล็ก ๆ ในโรงเรียน หากทําพร้อม ๆ กันทั่วประเทศ ก็จะเกิดเป็นพลังความดี ที่จะส่งผลต่อการสร้างชาติและพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้ในอนาคตอันใกล้ และอาจเชื่อมโยงไปสู่การจัดอันดับความซื่อสัตย์ของประเทศจากการสํารวจระดับนานาชาติต่อไปด้วย"
ทั้งนี้ ในส่วนของส่วนราชการและข้าราชการส่วนใหญ่ของประเทศก็มิได้นิ่งนอนใจ ทุกคนต่างมีความตระหนักและพยายามที่จะมุ่งเน้นการทํางานตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อจุดหมายเดียวกันก็คือ ความมุ่งหวังให้ความซื่อสัตย์สุจริตช่วยขับเคลื่อนประเทศไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาด้านอื่น ๆ อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ท้ายสุดนี้ ขออัญเชิญพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อเป็นหลักคิดให้ลูกหลานนําไปใช้ในการดํารงตนอย่างเหมาะสมตามหน้าที่และความรับผิดชอบ คือ "... วัยเด็กเป็นวัยเริ่มต้น เป็นวัยเตรียมตัวเพื่อสร้างความเจริญมั่นคงในชีวิต เด็ก ๆ จึงควรรีบขวนขวายศึกษา จักได้มีความฉลาดรอบรู้ ว่าอะไรคือความดี และอะไรคือความเสื่อมเสีย เพื่อนําทางชีวิตของตนไปสู่ความสุข ความเจริญได้โดยถูกต้องและสมบูรณ์ ..." พระบรมราโชวาท พระราชทานเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี 2527
"โรงเรียนราชวินิตบางเขน"เดิมชื่อ "โรงเรียนบางเขนวิทยา" เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ก่อตั้งเมื่อปี 2529 โดยพระครูสุวรรณสุทธารมย์ คณะกรรมการวัดทองสุทธาราม ต่อมาในปี 2530 จึงได้เปิดรับนักเรียนเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จํานวน 200 คน จากนั้นได้มีการพัฒนาอาคารเรียนและสภาพโดยรอบโรงเรียนมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี 2534 โรงเรียนได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้ใช้ชื่อโรงเรียนว่า “โรงเรียนราชวินิตบางเขน” เพื่อเป็นไปตามพระราชดําริของพระองค์ในการจัดตั้งโรงเรียน ซึ่งคําว่า “ราชวินิต” เป็นนามพระราชทาน ความหมายว่า "สถานที่อบรมกุลบุตรกุลธิดาให้เป็นคนดี” พร้อมให้อันเชิญ "พระมหาพิชัยมงกุฎ" เป็นตราสัญลักษณ์ของโรงเรียน (ปัจจุบันมีโรงเรียนเครือราชวินิตรวม 8 แห่ง)
ปัจจุบันโรงเรียนราชวินิตบางเขน ตั้งอยู่เลขที่ 22/18 ซอยชินเขต ถนนงามวงศ์วาน แขวงทุ่งสองห้อง กรุงเทพฯเปิดสอนระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1-6 มีนักเรียน 1,781 คน ดําเนินงานโดย ดร.สันต์ธวัช ศรีคําแท้ ผู้อํานวยการโรงเรียน ภายใต้วิสัยทัศน์ "โรงเรียนมุ่งจัดการศึกษา ให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามมาตรฐานสู่ความเป็นสากล เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของชุมชน บนพื้นฐานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" เพื่อพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานการศึกษาสู่ความเป็นสากล พัฒนาระบบการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล ส่งเสริม พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพ พร้อมพัฒนาโรงเรียนให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนและเครือข่ายทางการศึกษา
คติพจน์: มีวินัย ใฝ่ศึกษา พัฒนาชุมชน
ต้นไม้และดอกไม้ประจําโรงเรียน: ต้น-ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์
สีประจําโรงเรียน: สีกรมท่า-ขาว
นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5171
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 30 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 30 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย รายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 90.96ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 22 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,687 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 213 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 7.21 ของผู้ป่วย
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่30 เมษายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทย รายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 90.96ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 22 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,687 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 213 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 7.21 ของผู้ป่วยทั้งหมด
ขณะนี้ จํานวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลง รายงานวันนี้ 7 ราย (ลําดับที่ 2,948 - 2,954) พบจากการลงพื้นที่ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 4 ราย (ภูเก็ต 3 ราย, กระบี่ 1 ราย) และผู้ที่เดินทางมาจากประเทศมาเลเซียเข้า State Quarantine ที่กรุงเทพมหานคร 2 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
จากรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ ส่วนใหญ่มาจากการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก (Active Case Finding) ในชุมชนหรือพื้นที่ที่เคยพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนในจังหวัดภูเก็ต และกระบี่ ซึ่งการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกทําให้พบผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการน้อยได้อย่างรวดเร็ว นําเข้าระบบการรักษาได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขจะเน้นการลงพื้นที่ค้นหาอย่างมีเป้าหมายมากกว่าการตรวจแบบปูพรม ซึ่งจะมีความคุ้มค่า ป้องกันการระบาดของโรคได้อย่างรวดเร็วและลดโอกาสการแพร่เชื้อเป็นวงกว้างในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง
จากการเฝ้าระวังและควบคุมโรคที่ผ่านมา ยังคงแนะนําให้ประชาชนลดกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดโรค เช่น ไม่ไปในที่ชุมชนแออัดที่มีคนรวมกันจํานวนมาก งดสังสรรค์ ดังนั้นการอยู่บ้านจึงเป็นเรื่องสําคัญ ควรออกนอกบ้านเท่าที่จําเป็น สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน ล้างมือด้วยน้ําและสบู่แอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ เป็นต้น
สรุปภาพรวมวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ 7 ราย กลับบ้านวันนี้ 22 ราย สะสม 2,687 ราย ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 213 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 54 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 2,954 ราย
สําหรับภาพรวมผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และนนทบุรี รองลงมาภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ อัตราส่วนของผู้ป่วย หญิงต่อชาย คือ 1 : 1.16 พบมากในช่วงอายุ 20-29 ปี ผู้ป่วยอายุน้อยที่สุดคือ 1 เดือน มากที่สุดคือ 97 ปี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 30 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 30 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย รายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 90.96ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 22 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,687 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 213 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 7.21 ของผู้ป่วย
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่30 เมษายน 2563
สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทย รายงานวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ถึงร้อยละ 90.96ของผู้ป่วยทั้งหมด (กลับบ้าน 22 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,687 ราย) ทําให้ขณะนี้เหลือผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 213 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 7.21 ของผู้ป่วยทั้งหมด
ขณะนี้ จํานวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลง รายงานวันนี้ 7 ราย (ลําดับที่ 2,948 - 2,954) พบจากการลงพื้นที่ค้นหาเชิงรุกในชุมชน 4 ราย (ภูเก็ต 3 ราย, กระบี่ 1 ราย) และผู้ที่เดินทางมาจากประเทศมาเลเซียเข้า State Quarantine ที่กรุงเทพมหานคร 2 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
จากรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ ส่วนใหญ่มาจากการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก (Active Case Finding) ในชุมชนหรือพื้นที่ที่เคยพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนในจังหวัดภูเก็ต และกระบี่ ซึ่งการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกทําให้พบผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการน้อยได้อย่างรวดเร็ว นําเข้าระบบการรักษาได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขจะเน้นการลงพื้นที่ค้นหาอย่างมีเป้าหมายมากกว่าการตรวจแบบปูพรม ซึ่งจะมีความคุ้มค่า ป้องกันการระบาดของโรคได้อย่างรวดเร็วและลดโอกาสการแพร่เชื้อเป็นวงกว้างในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง
จากการเฝ้าระวังและควบคุมโรคที่ผ่านมา ยังคงแนะนําให้ประชาชนลดกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดโรค เช่น ไม่ไปในที่ชุมชนแออัดที่มีคนรวมกันจํานวนมาก งดสังสรรค์ ดังนั้นการอยู่บ้านจึงเป็นเรื่องสําคัญ ควรออกนอกบ้านเท่าที่จําเป็น สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน ล้างมือด้วยน้ําและสบู่แอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ เป็นต้น
สรุปภาพรวมวันนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ 7 ราย กลับบ้านวันนี้ 22 ราย สะสม 2,687 ราย ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 213 ราย ผู้เสียชีวิตรวม 54 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 2,954 ราย
สําหรับภาพรวมผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และนนทบุรี รองลงมาภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ อัตราส่วนของผู้ป่วย หญิงต่อชาย คือ 1 : 1.16 พบมากในช่วงอายุ 20-29 ปี ผู้ป่วยอายุน้อยที่สุดคือ 1 เดือน มากที่สุดคือ 97 ปี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30095
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ค.ศ. มีมติประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ตำแหน่งครูผู้ช่วย สพฐ. จำนวน 61 สาขาวิชา ตำแหน่งว่างรวมทั้งสิ้น 6,437 อัตรา
|
วันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560
ก.ค.ศ. มีมติประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ตําแหน่งครูผู้ช่วย สพฐ. จํานวน 61 สาขาวิชา ตําแหน่งว่างรวมทั้งสิ้น 6,437 อัตรา
ก.ค.ศ. มีมติประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ตําแหน่งครูผู้ช่วย สพฐ. จํานวน 61 สาขาวิชา ตําแหน่งว่างรวมทั้งสิ้น 6,437 อัตรา ในจํานวนนี้ผู้สมัครต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูหรือผ่านหลักสูตรครู 5 ปีจํานวน 36 สาขาวิชา ส่วนอีก 25 สาขาวิชาซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้เปิดสอนหลั
ผลการประชุม ก.ค.ศ. 5/2560
ก.ค.ศ. มีมติประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ตําแหน่งครูผู้ช่วย สพฐ. จํานวน 61 สาขาวิชา ตําแหน่งว่างรวมทั้งสิ้น 6,437 อัตรา ในจํานวนนี้ผู้สมัครต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูหรือผ่านหลักสูตรครู 5 ปีจํานวน 36 สาขาวิชา ส่วนอีก 25 สาขาวิชาซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้เปิดสอนหลักสูตร 5 ปี และเป็นกลุ่มที่ขาดแคลนเรื้อรัง ผู้สมัครจะมีใบครูหรือไม่มีใบครูมาใช้ในวันสมัครก็ได้ เพียงแจ้งว่าไม่มีหลักฐานดังกล่าว และเมื่อสอบได้แล้ว สพฐ.-คุรุสภา จะอํานวยความสะดวกออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครูโดยไม่มีใบอนุญาต 1 ใบ เพื่อใช้รายงานตัวที่โรงเรียน โดยไม่ต้องเดินทางมาขอเองที่ส่วนกลางเหมือนทุกปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งจะติวเข้มผู้ผ่านการสอบคัดเลือกทุกคนก่อนบรรจุแต่งตั้งเป็นครูผู้ช่วย
เมื่อวันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560เวลา 8.00-9.00 น. ณ ห้องประชุมสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 5/2560 โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมประชุม
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมว่า ภายหลังจากที่กระทรวงศึกษาธิการได้กําหนดเปิดรับสมัครการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งอนุญาตให้ผู้ไม่มีวุฒิครูมาสอบได้ หลังจากนั้นก็มีเสียงสะท้อนจากกลุ่มนักศึกษาที่มีสิทธิ์สอบตามหลักสูตรครู 5 ปี และกลุ่มอาจารย์คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ที่มีความเห็นว่าเรื่อง "วิชาชีพครู" เป็นเรื่องสําคัญที่จะต้องให้ความสําคัญเป็นพิเศษในการคัดเลือกครู
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้ง สพฐ. และ ก.ค.ศ. ได้รับฟังเสียงสะท้อนดังกล่าว ก็พบว่ามีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ก.ค.ศ.จึงได้มีการประชุมหารือกันในครั้งนี้เพื่อพิจารณาประเด็นดังกล่าว โดยมติที่ประชุมเห็นว่า สพฐ. ยังมีความจําเป็นที่ต้องได้ครูที่มีคุณภาพ ตรงตามสาขาที่สถานศึกษาต้องการ และได้ทันเวลา ซึ่งเป็นเรื่องสําคัญมาก รวมทั้งกระบวนการที่จะได้มาของครูจะต้องมั่นใจว่าได้คนที่มีความรู้ความสามารถ และทักษะทางวิชาครู-วิชาเอกซึ่งเป็นวิชาเฉพาะ ส่วนคุรุสภาก็ยังคงยืนยันในหลักของมาตรฐานวิชาชีพครูเช่นเดิม โดยมีรายละเอียดดังนี้
กลุ่มวิชา/ทาง/สาขาวิชาเอก ที่ประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัด สพฐ. ปี พ.ศ. 2560 จํานวน 61 สาขาวิชา ตําแหน่งว่าง 6,437 อัตรา ดังนี้
ลําดับที่
กลุ่มวิชา/ทาง/สาขาวิชาเอก
ตําแหน่งว่าง
คณิตศาสตร์
ภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ
ภาษาฝรั่งเศส
ภาษาเยอรมัน
ภาษาสเปน
ภาษาจีน/การสอนภาษาจีน
ภาษาญี่ปุ่น
ภาษาเกาหลี
ภาษาเวียดนาม
ภาษาพม่า
ภาษาเขมร
ภาษามลายู
วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ทั่วไป
ฟิสิกส์
เคมี
ชีววิทยา
สังคมศึกษา
พุทธศาสนา
ภูมิศาสตร์
ประวัติศาสตร์
สุขศึกษา
พลศึกษา
พยาบาลศาสตร์
ดนตรี
ดนตรีศึกษา
ดนตรีไทย
ดนตรีสากล
ดนตรีพื้นเมือง
ดุริยางคศิลป์/ดุริยางค์
ศิลปะ
ศิลปศึกษา
จิตรกรรม
ทัศนศิลป์
นาฏศิลป์
นาฏศิลป์ (โขน)
คอมพิวเตอร์
อุตสาหกรรม/อุตสาหกรรมศิลป์
อุตสาหกรรมศิลป์ (ช่างก่อสร้าง)
อุตสาหกรรมศิลป์ (ช่างยนต์)
อุตสาหกรรมไฟฟ้า
เกษตร/เกษตรกรรม/เกษตรศาสตร์
คหกรรม/คหกรรมศาสตร์
คหกรรมศาสตร์ (อาหาร)
ประถมศึกษา
ปฐมวัย/อนุบาลศึกษา
จิตวิทยาและการแนะแนว
วัดผลและประเมินผลการศึกษา
เทคโนโลยีทางการศึกษา
บรรณารักษ์
โสตทัศนศึกษา
การเงิน/บัญชี
เศรษฐศาสตร์
บริหารธุรกิจ
ธุรกิจ/ธุรกิจศึกษา
หลักสูตรและการสอน
การศึกษาพิเศษ
กายภาพบําบัด
กิจกรรมบําบัด
จิตวิทยาคลินิก
รวม
ในจํานวน 61 สาขาวิชาดังกล่าว ยืนยันว่าผู้สมัครจะต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูหรือผ่านหลักสูตรครู 5 ปี จํานวน 36 สาขาวิชา ส่วนผู้ที่จะมีใบครูหรือไม่มีใบครูในวันสมัครก็ได้มีจํานวนทั้งสิ้น 25 สาขาวิชา ซึ่งจําแนกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1) กลุ่มที่ไม่ได้เปิดสอนหลักสูตร 5 ปี จํานวน 17 สาขา ได้แก่ 1. กายภาพบําบัด 2. กิจกรรมบําบัด 3. การเงิน/การบัญชี 4. จิตรกรรม 5. จิตวิทยาคลินิก 6. ดนตรีพื้นเมือง 7. นาฏศิลป์ (โขน) 8. ภาษาพม่า 9. ภาษาเวียดนาม 10. ภาษาสเปน 11. เศรษฐศาสตร์ 12. โสตทัศนศึกษา 13. หลักสูตรและการสอน 14. อุตสาหกรรมไฟฟ้า 15. อุตสาหกรรมศิลป์ (ช่างก่อสร้าง) 16. อุตสาหกรรมศิลป์ (ช่างยนต์) 17. ภาษามลายู
2) กลุ่มที่มีผู้สมัครสอบแข่งขันได้แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของสถานศึกษาที่ขาดแคลนเรื้อรัง 8 สาขา ได้แก่ 1. วิทยาศาสตร์ 2. วิทยาศาสตร์ทั่วไป 3. ฟิสิกส์ 4. เคมี 5. ชีววิทยา 6. คณิตศาสตร์ 7. ภาษาอังกฤษ 8. ภาษาเยอรมัน (เป็นกลุ่มวิชาที่ไม่มีผู้สอบแข่งขัน)
สําหรับกําหนดการสอบแข่งขัน ยังคงเหมือนเดิม คือ
รับสมัครสอบแข่งขัน ระหว่างวันพุธที่ 29 มีนาคม - วันอังคารที่ 4 เมษายน 2560 (ไม่เว้นวันหยุดราชการ)
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบแข่งขัน ภายในวันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
สอบข้อเขียน
ภาค ก ความรอบรู้ ความสามารถทั่วไป และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม และอุดมการณ์ของความเป็นครู มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา และมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน วันเสาร์ที่ 22 เมษายน 2560
ภาค ข ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตําแหน่ง วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2560
สอบสัมภาษณ์
ภาค ค ความเหมาะสมกับตําแหน่งและวิชาชีพ วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560 เป็นต้นไป
ประกาศผลการสอบแข่งขัน ภายในวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560
บริการที่เป็นพิเศษในการสอบครั้งนี้ คือ ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูหรือใบอนุญาตปฏิบัติการสอน สพฐ.จะอํานวยความสะดวกให้ โดยในวันสมัครให้ยื่นใบสมัคร แล้วแจ้งว่าไม่มีหลักฐานดังกล่าว สพฐ.จะบันทึกเอาไว้ และหากรายนั้นสอบได้ ในระหว่างที่เลือกโรงเรียน สพฐ. จะทําเรื่องโดยตรงไปยังคุรุสภาเพื่อให้คุรุสภาออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครูโดยไม่มีใบอนุญาต 1 ใบ เพื่อนําไปรายงานตัวที่โรงเรียน ซึ่งจะต่างจากการสอบทุกครั้งที่ผ่านมาจะมีครูที่ผ่านการสอบคัดเลือกเป็นจํานวนหมื่นคน ต้องเดินทางเพื่อมาขอใบอนุญาตปฏิบัติการสอนเองที่คุรุสภา
นอกจากนี้ หลังจากการสอบคัดเลือกแล้ว สพฐ.จะติวเข้มผู้ผ่านการสอบคัดเลือก ทั้งกลุ่มที่ไม่มีใบครูและกลุ่มที่มีใบครูแล้ว ซึ่งการอบรมเข้มจะเน้นให้ได้รู้สภาพจริงของโรงเรียนที่จะบรรจุแต่งตั้ง
ด้วยกระบวนการนี้ จึงมั่นใจได้ว่า สพฐ.จะได้ครูตรงตามหลักการ คือ ตรงตามสาขาที่ต้องการ มีคุณภาพ และทันเวลา ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับครูโรงเรียนเอกชนด้วย เพราะจะประกาศผลก่อนเปิดภาคเรียนในวันที่ 28 เมษายน เพื่อจะไม่ให้กระทบกับโรงเรียนเอกชนที่จะเตรียมสรรหาครูผู้สอนมาทดแทนได้ทันก่อนเปิดภาคเรียน
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
28/3/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.ค.ศ. มีมติประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ตำแหน่งครูผู้ช่วย สพฐ. จำนวน 61 สาขาวิชา ตำแหน่งว่างรวมทั้งสิ้น 6,437 อัตรา
วันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560
ก.ค.ศ. มีมติประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ตําแหน่งครูผู้ช่วย สพฐ. จํานวน 61 สาขาวิชา ตําแหน่งว่างรวมทั้งสิ้น 6,437 อัตรา
ก.ค.ศ. มีมติประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ตําแหน่งครูผู้ช่วย สพฐ. จํานวน 61 สาขาวิชา ตําแหน่งว่างรวมทั้งสิ้น 6,437 อัตรา ในจํานวนนี้ผู้สมัครต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูหรือผ่านหลักสูตรครู 5 ปีจํานวน 36 สาขาวิชา ส่วนอีก 25 สาขาวิชาซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้เปิดสอนหลั
ผลการประชุม ก.ค.ศ. 5/2560
ก.ค.ศ. มีมติประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ตําแหน่งครูผู้ช่วย สพฐ. จํานวน 61 สาขาวิชา ตําแหน่งว่างรวมทั้งสิ้น 6,437 อัตรา ในจํานวนนี้ผู้สมัครต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูหรือผ่านหลักสูตรครู 5 ปีจํานวน 36 สาขาวิชา ส่วนอีก 25 สาขาวิชาซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้เปิดสอนหลักสูตร 5 ปี และเป็นกลุ่มที่ขาดแคลนเรื้อรัง ผู้สมัครจะมีใบครูหรือไม่มีใบครูมาใช้ในวันสมัครก็ได้ เพียงแจ้งว่าไม่มีหลักฐานดังกล่าว และเมื่อสอบได้แล้ว สพฐ.-คุรุสภา จะอํานวยความสะดวกออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครูโดยไม่มีใบอนุญาต 1 ใบ เพื่อใช้รายงานตัวที่โรงเรียน โดยไม่ต้องเดินทางมาขอเองที่ส่วนกลางเหมือนทุกปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งจะติวเข้มผู้ผ่านการสอบคัดเลือกทุกคนก่อนบรรจุแต่งตั้งเป็นครูผู้ช่วย
เมื่อวันอังคารที่ 28 มีนาคม 2560เวลา 8.00-9.00 น. ณ ห้องประชุมสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 5/2560 โดยมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมประชุม
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมว่า ภายหลังจากที่กระทรวงศึกษาธิการได้กําหนดเปิดรับสมัครการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งอนุญาตให้ผู้ไม่มีวุฒิครูมาสอบได้ หลังจากนั้นก็มีเสียงสะท้อนจากกลุ่มนักศึกษาที่มีสิทธิ์สอบตามหลักสูตรครู 5 ปี และกลุ่มอาจารย์คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ที่มีความเห็นว่าเรื่อง "วิชาชีพครู" เป็นเรื่องสําคัญที่จะต้องให้ความสําคัญเป็นพิเศษในการคัดเลือกครู
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้ง สพฐ. และ ก.ค.ศ. ได้รับฟังเสียงสะท้อนดังกล่าว ก็พบว่ามีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ก.ค.ศ.จึงได้มีการประชุมหารือกันในครั้งนี้เพื่อพิจารณาประเด็นดังกล่าว โดยมติที่ประชุมเห็นว่า สพฐ. ยังมีความจําเป็นที่ต้องได้ครูที่มีคุณภาพ ตรงตามสาขาที่สถานศึกษาต้องการ และได้ทันเวลา ซึ่งเป็นเรื่องสําคัญมาก รวมทั้งกระบวนการที่จะได้มาของครูจะต้องมั่นใจว่าได้คนที่มีความรู้ความสามารถ และทักษะทางวิชาครู-วิชาเอกซึ่งเป็นวิชาเฉพาะ ส่วนคุรุสภาก็ยังคงยืนยันในหลักของมาตรฐานวิชาชีพครูเช่นเดิม โดยมีรายละเอียดดังนี้
กลุ่มวิชา/ทาง/สาขาวิชาเอก ที่ประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน ตําแหน่งครูผู้ช่วย สังกัด สพฐ. ปี พ.ศ. 2560 จํานวน 61 สาขาวิชา ตําแหน่งว่าง 6,437 อัตรา ดังนี้
ลําดับที่
กลุ่มวิชา/ทาง/สาขาวิชาเอก
ตําแหน่งว่าง
คณิตศาสตร์
ภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ
ภาษาฝรั่งเศส
ภาษาเยอรมัน
ภาษาสเปน
ภาษาจีน/การสอนภาษาจีน
ภาษาญี่ปุ่น
ภาษาเกาหลี
ภาษาเวียดนาม
ภาษาพม่า
ภาษาเขมร
ภาษามลายู
วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ทั่วไป
ฟิสิกส์
เคมี
ชีววิทยา
สังคมศึกษา
พุทธศาสนา
ภูมิศาสตร์
ประวัติศาสตร์
สุขศึกษา
พลศึกษา
พยาบาลศาสตร์
ดนตรี
ดนตรีศึกษา
ดนตรีไทย
ดนตรีสากล
ดนตรีพื้นเมือง
ดุริยางคศิลป์/ดุริยางค์
ศิลปะ
ศิลปศึกษา
จิตรกรรม
ทัศนศิลป์
นาฏศิลป์
นาฏศิลป์ (โขน)
คอมพิวเตอร์
อุตสาหกรรม/อุตสาหกรรมศิลป์
อุตสาหกรรมศิลป์ (ช่างก่อสร้าง)
อุตสาหกรรมศิลป์ (ช่างยนต์)
อุตสาหกรรมไฟฟ้า
เกษตร/เกษตรกรรม/เกษตรศาสตร์
คหกรรม/คหกรรมศาสตร์
คหกรรมศาสตร์ (อาหาร)
ประถมศึกษา
ปฐมวัย/อนุบาลศึกษา
จิตวิทยาและการแนะแนว
วัดผลและประเมินผลการศึกษา
เทคโนโลยีทางการศึกษา
บรรณารักษ์
โสตทัศนศึกษา
การเงิน/บัญชี
เศรษฐศาสตร์
บริหารธุรกิจ
ธุรกิจ/ธุรกิจศึกษา
หลักสูตรและการสอน
การศึกษาพิเศษ
กายภาพบําบัด
กิจกรรมบําบัด
จิตวิทยาคลินิก
รวม
ในจํานวน 61 สาขาวิชาดังกล่าว ยืนยันว่าผู้สมัครจะต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูหรือผ่านหลักสูตรครู 5 ปี จํานวน 36 สาขาวิชา ส่วนผู้ที่จะมีใบครูหรือไม่มีใบครูในวันสมัครก็ได้มีจํานวนทั้งสิ้น 25 สาขาวิชา ซึ่งจําแนกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1) กลุ่มที่ไม่ได้เปิดสอนหลักสูตร 5 ปี จํานวน 17 สาขา ได้แก่ 1. กายภาพบําบัด 2. กิจกรรมบําบัด 3. การเงิน/การบัญชี 4. จิตรกรรม 5. จิตวิทยาคลินิก 6. ดนตรีพื้นเมือง 7. นาฏศิลป์ (โขน) 8. ภาษาพม่า 9. ภาษาเวียดนาม 10. ภาษาสเปน 11. เศรษฐศาสตร์ 12. โสตทัศนศึกษา 13. หลักสูตรและการสอน 14. อุตสาหกรรมไฟฟ้า 15. อุตสาหกรรมศิลป์ (ช่างก่อสร้าง) 16. อุตสาหกรรมศิลป์ (ช่างยนต์) 17. ภาษามลายู
2) กลุ่มที่มีผู้สมัครสอบแข่งขันได้แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของสถานศึกษาที่ขาดแคลนเรื้อรัง 8 สาขา ได้แก่ 1. วิทยาศาสตร์ 2. วิทยาศาสตร์ทั่วไป 3. ฟิสิกส์ 4. เคมี 5. ชีววิทยา 6. คณิตศาสตร์ 7. ภาษาอังกฤษ 8. ภาษาเยอรมัน (เป็นกลุ่มวิชาที่ไม่มีผู้สอบแข่งขัน)
สําหรับกําหนดการสอบแข่งขัน ยังคงเหมือนเดิม คือ
รับสมัครสอบแข่งขัน ระหว่างวันพุธที่ 29 มีนาคม - วันอังคารที่ 4 เมษายน 2560 (ไม่เว้นวันหยุดราชการ)
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบแข่งขัน ภายในวันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
สอบข้อเขียน
ภาค ก ความรอบรู้ ความสามารถทั่วไป และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม และอุดมการณ์ของความเป็นครู มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา และมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน วันเสาร์ที่ 22 เมษายน 2560
ภาค ข ความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตําแหน่ง วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน 2560
สอบสัมภาษณ์
ภาค ค ความเหมาะสมกับตําแหน่งและวิชาชีพ วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560 เป็นต้นไป
ประกาศผลการสอบแข่งขัน ภายในวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560
บริการที่เป็นพิเศษในการสอบครั้งนี้ คือ ผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูหรือใบอนุญาตปฏิบัติการสอน สพฐ.จะอํานวยความสะดวกให้ โดยในวันสมัครให้ยื่นใบสมัคร แล้วแจ้งว่าไม่มีหลักฐานดังกล่าว สพฐ.จะบันทึกเอาไว้ และหากรายนั้นสอบได้ ในระหว่างที่เลือกโรงเรียน สพฐ. จะทําเรื่องโดยตรงไปยังคุรุสภาเพื่อให้คุรุสภาออกหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครูโดยไม่มีใบอนุญาต 1 ใบ เพื่อนําไปรายงานตัวที่โรงเรียน ซึ่งจะต่างจากการสอบทุกครั้งที่ผ่านมาจะมีครูที่ผ่านการสอบคัดเลือกเป็นจํานวนหมื่นคน ต้องเดินทางเพื่อมาขอใบอนุญาตปฏิบัติการสอนเองที่คุรุสภา
นอกจากนี้ หลังจากการสอบคัดเลือกแล้ว สพฐ.จะติวเข้มผู้ผ่านการสอบคัดเลือก ทั้งกลุ่มที่ไม่มีใบครูและกลุ่มที่มีใบครูแล้ว ซึ่งการอบรมเข้มจะเน้นให้ได้รู้สภาพจริงของโรงเรียนที่จะบรรจุแต่งตั้ง
ด้วยกระบวนการนี้ จึงมั่นใจได้ว่า สพฐ.จะได้ครูตรงตามหลักการ คือ ตรงตามสาขาที่ต้องการ มีคุณภาพ และทันเวลา ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับครูโรงเรียนเอกชนด้วย เพราะจะประกาศผลก่อนเปิดภาคเรียนในวันที่ 28 เมษายน เพื่อจะไม่ให้กระทบกับโรงเรียนเอกชนที่จะเตรียมสรรหาครูผู้สอนมาทดแทนได้ทันก่อนเปิดภาคเรียน
อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, นวรัตน์ รามสูต, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
28/3/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2682
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา ๒๔ ต.ค.๖๐ เผยแพร่ประกาศฯ แต่งตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษา และให้เลิกกิจการ ๒ มหาวิทยาลัย
|
วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560
ราชกิจจานุเบกษา ๒๔ ต.ค.๖๐ เผยแพร่ประกาศฯ แต่งตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษา และให้เลิกกิจการ ๒ มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๐ ได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา และคําสั่งกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้เลิกกิจการวิทยาลัยศรีโสภณ และมหาวิทยาลัยเอเชียน
● เผยแพร่ประกาศฯ แต่งตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษา ๒๘ คน/รูป
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ และ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา จํานวน ๔๑ คน/รูป และต่อมาได้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริการในคณะกรรมการสภาการศึกษา จํานวน ๑ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และได้มีประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๕ และลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ นั้น
บัดนี้ กรรมการในคณะกรรมการดังกล่าว ได้ดํารงตําแหน่งครบวาระสี่ปีแล้วเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๙ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐เห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา จํานวน ๒๘ คน/รูปดังนี้
๑. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชน: นายอรรถการ ตฤษณารังสี
๒. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น: นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา
๓. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรวิชาชีพ: นายวรชาติ เฉิดชมจันทร์
๔. กรรมการที่เป็นพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์:
๔.๑ พระพรหมมุนี (สุชิน อคฺคชิโน)
๔.๒ พระราชวรมุนี (พล อาภากโร)
๕. กรรมการที่เป็นผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย: รองศาสตราจารย์วินัย ดะห์ลัน
๖. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น: นายปานชัย สิงห์สัจเทพ
๗. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ:
๗.๑ ศาสตราจารย์ชุติมา สัจจานันท์ : ด้านการศึกษา
๗.๒ นายสุภกร บัวสาย : ด้านการศึกษา
๗.๓ รองศาสตราจารย์อนุชาติ พวงสําลี : ด้านการศึกษา
๗.๔ นายกิตติรัตน์ มังคละคีรี : ด้านกฎหมาย
๗.๕ นายอภิมุข สุขประสิทธิ์ : ด้านกฎหมาย
๗.๖ นายอํานาจ บัวศิริ : ด้านศาสนา วัฒนธรรม และภูมิปัญญา
๗.๗ นางจรวยพร ธรณินทร์ : ด้านการกีฬา กิจการเยาวชน ลูกเสือ ยุวกาชาด และเนตรนารี
๗.๘ รองศาสตราจารย์จีรเดช อู่สวัสดิ์ : ด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และการวัดและประเมินผลการศึกษา
๗.๙ ศาสตราจารย์ชนิตา รักษ์พลเมือง : ด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และการวัด และประเมินผลการศึกษา
๗.๑๐ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล : ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
๗.๑๑ นายนนทวัฒน์ สุขผล : ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
๗.๑๒ นายบดินทร์ อูนากูล : ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
๗.๑๓ นายสุกิจ อุทินทุ : ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
๗.๑๔ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ : ด้านพัฒนาสังคมและสิทธิมนุษยชน
๗.๑๕ ศาสตราจารย์สุพจน์ หารหนองบัว : ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการสื่อสาร
๗.๑๖ นายธาดา เศวตศิลา : ด้านสื่อสารมวลชน
๗.๑๗ นายเกียรติชัย โสภาเสถียรพงศ์ : ด้านการเมืองการปกครอง
๗.๑๘ รองศาสตราจารย์บัณฑิต ทิพากร : ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
๗.๑๙ นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ : ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
๗.๒๐ พลเอก พหล สง่าเนตร : ด้านส่งเสริมการป้องกัน และการปราบปรามการทุจริต
๗.๒๑ นายกิติ มาดิลกโกวิท : ด้านการผลิตและพัฒนากําลังคน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง
รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/260/5.PDF
● เผยแพร่คําสั่ง ศธ.ให้เลิกกิจการ ๒ มหาวิทยาลัย
@คําสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สกอ ๑๔๓๕/๒๕๖๐ เรื่อง ให้เลิกกิจการวิทยาลัยศรีโสภณเนื่องจากผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งวิทยาลัยศรีโสภณ โดยความเห็นชอบของสภาวิทยาลัยศรีโสภณ ได้แจ้งความประสงค์ต่อคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)ขอเลิกดําเนินกิจการวิทยาลัยศรีโสภณซึ่งที่ประชุม กกอ. ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ พิจารณาแล้วเห็นชอบให้คําแนะนํารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีคําสั่งให้เลิกกิจการวิทยาลัยศรีโสภณตั้งแต่วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
@คําสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สกอ ๑๔๓๓/๒๕๖๐ เรื่อง ให้เลิกกิจการมหาวิทยาลัยเอเชียนเนื่องจากผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเอเชียน โดยความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยเอเชียน ได้แจ้งความประสงค์ต่อคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)ขอเลิกดําเนินกิจการมหาวิทยาลัยเอเชียนซึ่งที่ประชุม กกอ.ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ พิจารณาแล้วเห็นชอบให้คําแนะนํารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีคําสั่งให้เลิกกิจการมหาวิทยาลัยเอเชียนตั้งแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ทั้งนี้นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ลงนามในคําสั่งดังกล่าวทั้ง ๒ ฉบับเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/260/36.PDF
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/260/35.PDF
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา ๒๔ ต.ค.๖๐ เผยแพร่ประกาศฯ แต่งตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษา และให้เลิกกิจการ ๒ มหาวิทยาลัย
วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560
ราชกิจจานุเบกษา ๒๔ ต.ค.๖๐ เผยแพร่ประกาศฯ แต่งตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษา และให้เลิกกิจการ ๒ มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๐ ได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา และคําสั่งกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ให้เลิกกิจการวิทยาลัยศรีโสภณ และมหาวิทยาลัยเอเชียน
● เผยแพร่ประกาศฯ แต่งตั้งคณะกรรมการสภาการศึกษา ๒๘ คน/รูป
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ และ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ เห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา จํานวน ๔๑ คน/รูป และต่อมาได้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริการในคณะกรรมการสภาการศึกษา จํานวน ๑ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และได้มีประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๕ และลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ นั้น
บัดนี้ กรรมการในคณะกรรมการดังกล่าว ได้ดํารงตําแหน่งครบวาระสี่ปีแล้วเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๙ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐เห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา จํานวน ๒๘ คน/รูปดังนี้
๑. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชน: นายอรรถการ ตฤษณารังสี
๒. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น: นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา
๓. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรวิชาชีพ: นายวรชาติ เฉิดชมจันทร์
๔. กรรมการที่เป็นพระภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์:
๔.๑ พระพรหมมุนี (สุชิน อคฺคชิโน)
๔.๒ พระราชวรมุนี (พล อาภากโร)
๕. กรรมการที่เป็นผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย: รองศาสตราจารย์วินัย ดะห์ลัน
๖. กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น: นายปานชัย สิงห์สัจเทพ
๗. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ:
๗.๑ ศาสตราจารย์ชุติมา สัจจานันท์ : ด้านการศึกษา
๗.๒ นายสุภกร บัวสาย : ด้านการศึกษา
๗.๓ รองศาสตราจารย์อนุชาติ พวงสําลี : ด้านการศึกษา
๗.๔ นายกิตติรัตน์ มังคละคีรี : ด้านกฎหมาย
๗.๕ นายอภิมุข สุขประสิทธิ์ : ด้านกฎหมาย
๗.๖ นายอํานาจ บัวศิริ : ด้านศาสนา วัฒนธรรม และภูมิปัญญา
๗.๗ นางจรวยพร ธรณินทร์ : ด้านการกีฬา กิจการเยาวชน ลูกเสือ ยุวกาชาด และเนตรนารี
๗.๘ รองศาสตราจารย์จีรเดช อู่สวัสดิ์ : ด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และการวัดและประเมินผลการศึกษา
๗.๙ ศาสตราจารย์ชนิตา รักษ์พลเมือง : ด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และการวัด และประเมินผลการศึกษา
๗.๑๐ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล : ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
๗.๑๑ นายนนทวัฒน์ สุขผล : ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
๗.๑๒ นายบดินทร์ อูนากูล : ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
๗.๑๓ นายสุกิจ อุทินทุ : ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ
๗.๑๔ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ : ด้านพัฒนาสังคมและสิทธิมนุษยชน
๗.๑๕ ศาสตราจารย์สุพจน์ หารหนองบัว : ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการสื่อสาร
๗.๑๖ นายธาดา เศวตศิลา : ด้านสื่อสารมวลชน
๗.๑๗ นายเกียรติชัย โสภาเสถียรพงศ์ : ด้านการเมืองการปกครอง
๗.๑๘ รองศาสตราจารย์บัณฑิต ทิพากร : ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
๗.๑๙ นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ : ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
๗.๒๐ พลเอก พหล สง่าเนตร : ด้านส่งเสริมการป้องกัน และการปราบปรามการทุจริต
๗.๒๑ นายกิติ มาดิลกโกวิท : ด้านการผลิตและพัฒนากําลังคน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง
รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/260/5.PDF
● เผยแพร่คําสั่ง ศธ.ให้เลิกกิจการ ๒ มหาวิทยาลัย
@คําสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สกอ ๑๔๓๕/๒๕๖๐ เรื่อง ให้เลิกกิจการวิทยาลัยศรีโสภณเนื่องจากผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งวิทยาลัยศรีโสภณ โดยความเห็นชอบของสภาวิทยาลัยศรีโสภณ ได้แจ้งความประสงค์ต่อคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)ขอเลิกดําเนินกิจการวิทยาลัยศรีโสภณซึ่งที่ประชุม กกอ. ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ พิจารณาแล้วเห็นชอบให้คําแนะนํารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีคําสั่งให้เลิกกิจการวิทยาลัยศรีโสภณตั้งแต่วันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
@คําสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สกอ ๑๔๓๓/๒๕๖๐ เรื่อง ให้เลิกกิจการมหาวิทยาลัยเอเชียนเนื่องจากผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยเอเชียน โดยความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยเอเชียน ได้แจ้งความประสงค์ต่อคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.)ขอเลิกดําเนินกิจการมหาวิทยาลัยเอเชียนซึ่งที่ประชุม กกอ.ครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ พิจารณาแล้วเห็นชอบให้คําแนะนํารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีคําสั่งให้เลิกกิจการมหาวิทยาลัยเอเชียนตั้งแต่วันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ทั้งนี้นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ลงนามในคําสั่งดังกล่าวทั้ง ๒ ฉบับเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/260/36.PDF
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/E/260/35.PDF
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7626
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560
|
วันอังคารที่ 5 กันยายน 2560
การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560
คกก.ส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานฯ และมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการฯ ได้มีการประชุม ครั้งที่ 3/2560 เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2560 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินการในช่วงไตรมาสที่3/2560
คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee) (คณะกรรมการฯ) ซึ่งมีนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ และมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการฯ ได้มีการประชุม ครั้งที่ 3/2560 เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2560 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินการในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 ตามแผนการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นของประเทศไทย (พ.ศ. 2559 – 2564) พร้อมทั้ง ได้พิจารณาการขับเคลื่อนแผนการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ของประเทศไทย ซึ่งมีประเด็นที่สําคัญ ดังนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะกรรมการฯ ได้รับทราบความคืบหน้าในการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อให้เอื้อต่อการประกอบธุรกิจของ Startup ในประเทศไทยมากขึ้นใน 4 ประเด็น ได้แก่ การออกหุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Debt) การทยอยให้หุ้น (Reverse Vesting) สิทธิที่จะซื้อหุ้นในราคาที่กําหนด (Employee Stock Option Plan) และหุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Shares) โดยปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว
2. ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น พ.ศ. ....
คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ.) ซึ่งมุ่งสนับสนุน แก้ไขข้อจํากัดและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาของระบบนิเวศเพื่อสนับสนุน Startup (Startup Ecosystem) โดยได้กําหนดขอบเขตคํานิยามของ Startup อย่างชัดเจน กําหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทําหน้าที่ศึกษา จัดทํา และเสนอแนะนโยบายส่งเสริมและพัฒนา Startup ของประเทศไทย มีการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่ Startup และนักลงทุนใน Startup รวมทั้ง กําหนดให้มีศูนย์ทดสอบและพัฒนานวัตกรรมสําหรับ Startup ด้วย
อย่างไรก็ดี ที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะทํางานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (คณะทํางานชุดที่ 2) รับความเห็นของที่ประชุมไปปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวเพิ่มเติม เพื่อให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น
3. การปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ Startup และนักลงทุนใน Startup
คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบในหลักการให้มีการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ให้แก่นักลงทุนที่ลงทุนใน Startup ในระยะเริ่มต้น (Angel Investor) และที่ให้แก่ Startup ตามข้อเสนอของคณะทํางานเพื่อเสนอแนะนโยบายและมาตรการของภาครัฐ (คณะทํางานชุดที่ 4) โดยได้มอบหมายให้สํานักงานเศรษฐกิจการคลังรับความเห็นของที่ประชุมฯ ไปประกอบการพิจารณา เพื่อให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวสอดคล้องกับความต้องการของ Startup อย่างแท้จริง
4. โครงการนําร่องการจัดตั้ง Startup Club ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา/อาชีวศึกษา
คณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบโครงการนําร่องการจัดตั้ง Startup Club ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา/อาชีวศึกษา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมให้เด็กนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษารู้จักเข้าใจ และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อย่างผู้ประกอบการ ซึ่ง ณ วันที่ 1 กันยายน 2560 โรงเรียนเซนต์คาเบรียลและวิทยาลัยเทคโนโลยีสยามได้ตอบรับเข้าร่วมการเป็นโรงเรียนนําร่องในการจัดตั้ง Startup club ในโรงเรียนแล้ว นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนต่าง ๆ ตอบรับแล้วรวม 99 โรงเรียนใน 73 จังหวัด โดยจะขอสนับสนุนด้านองค์ความรู้ และแนวทางในการจัดกิจกรรมภายในชมรมจากหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
5. หลักสูตรด้านความเป็นผู้ประกอบการรุ่นเยาว์สําหรับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา
คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบโครงสร้างเนื้อหาหลักสูตรผู้ประกอบการรุ่นเยาว์สําหรับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา ที่มีการสอดแทรกสาระที่ต้องการจะสื่อถึงผู้อ่านไว้ในการเล่าเรื่องจากประสบการณ์จริง (Story Study) ของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เพื่อสร้างความน่าสนใจและให้ผู้อ่านสามารถเชื่อมโยงกับตัวเองได้ โดยเมื่อเสร็จสมบูรณ์จะมีการแจกจ่ายให้นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเพื่อเป็นหนังสืออ่านเพิ่มเติมจากหลักสูตรปกติ และจะทําเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) ด้วย เพื่อสามารถเผยแพร่ไปยังสาธารณชนได้ในวงกว้าง ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทําเนื้อหาฉบับสมบูรณ์
6. โครงการ Startup Mobile
คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบให้สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยดําเนินโครงการ Startup Mobile ที่จะเป็นหน่วยเคลื่อนที่ให้คําแนะนํา และความรู้เกี่ยวกับ Startup เพื่อสร้างความเข้าใจในธุรกิจ Startup อันจะส่งผลให้เกิดแรงบันดาลใจ และสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการ Startup รายใหม่ในประชาชนทุกกลุ่ม โดยในเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคมปี 2560 จะมีการจัดกิจกรรม Startup ณ ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน ส่วนในปี 2561 จะขยายออกไปตามมหาวิทยาลัยและสถานที่อื่น ๆ ที่เป็นจุดนัดพบของกลุ่มผู้ประกอบการ Startup เช่น Co-working Space เป็นต้น
สํานักนโยบายการออมและการลงทุน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3650, 3654
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560
วันอังคารที่ 5 กันยายน 2560
การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560
คกก.ส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ ซึ่งมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานฯ และมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการฯ ได้มีการประชุม ครั้งที่ 3/2560 เมื่อวันที่ 4 ก.ย.2560 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินการในช่วงไตรมาสที่3/2560
คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ (National Startup Committee) (คณะกรรมการฯ) ซึ่งมีนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานฯ และมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการฯ ได้มีการประชุม ครั้งที่ 3/2560 เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2560 เพื่อติดตามความคืบหน้าการดําเนินการในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2560 ตามแผนการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นของประเทศไทย (พ.ศ. 2559 – 2564) พร้อมทั้ง ได้พิจารณาการขับเคลื่อนแผนการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ของประเทศไทย ซึ่งมีประเด็นที่สําคัญ ดังนี้
1. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะกรรมการฯ ได้รับทราบความคืบหน้าในการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อให้เอื้อต่อการประกอบธุรกิจของ Startup ในประเทศไทยมากขึ้นใน 4 ประเด็น ได้แก่ การออกหุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Debt) การทยอยให้หุ้น (Reverse Vesting) สิทธิที่จะซื้อหุ้นในราคาที่กําหนด (Employee Stock Option Plan) และหุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Shares) โดยปัจจุบัน กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว
2. ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น พ.ศ. ....
คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น พ.ศ. .... (ร่าง พ.ร.บ.) ซึ่งมุ่งสนับสนุน แก้ไขข้อจํากัดและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนาของระบบนิเวศเพื่อสนับสนุน Startup (Startup Ecosystem) โดยได้กําหนดขอบเขตคํานิยามของ Startup อย่างชัดเจน กําหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทําหน้าที่ศึกษา จัดทํา และเสนอแนะนโยบายส่งเสริมและพัฒนา Startup ของประเทศไทย มีการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่ Startup และนักลงทุนใน Startup รวมทั้ง กําหนดให้มีศูนย์ทดสอบและพัฒนานวัตกรรมสําหรับ Startup ด้วย
อย่างไรก็ดี ที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะทํางานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น (คณะทํางานชุดที่ 2) รับความเห็นของที่ประชุมไปปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวเพิ่มเติม เพื่อให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น
3. การปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ Startup และนักลงทุนใน Startup
คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบในหลักการให้มีการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ให้แก่นักลงทุนที่ลงทุนใน Startup ในระยะเริ่มต้น (Angel Investor) และที่ให้แก่ Startup ตามข้อเสนอของคณะทํางานเพื่อเสนอแนะนโยบายและมาตรการของภาครัฐ (คณะทํางานชุดที่ 4) โดยได้มอบหมายให้สํานักงานเศรษฐกิจการคลังรับความเห็นของที่ประชุมฯ ไปประกอบการพิจารณา เพื่อให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวสอดคล้องกับความต้องการของ Startup อย่างแท้จริง
4. โครงการนําร่องการจัดตั้ง Startup Club ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา/อาชีวศึกษา
คณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบโครงการนําร่องการจัดตั้ง Startup Club ในโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา/อาชีวศึกษา เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมให้เด็กนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาและอาชีวศึกษารู้จักเข้าใจ และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อย่างผู้ประกอบการ ซึ่ง ณ วันที่ 1 กันยายน 2560 โรงเรียนเซนต์คาเบรียลและวิทยาลัยเทคโนโลยีสยามได้ตอบรับเข้าร่วมการเป็นโรงเรียนนําร่องในการจัดตั้ง Startup club ในโรงเรียนแล้ว นอกจากนี้ ยังมีโรงเรียนต่าง ๆ ตอบรับแล้วรวม 99 โรงเรียนใน 73 จังหวัด โดยจะขอสนับสนุนด้านองค์ความรู้ และแนวทางในการจัดกิจกรรมภายในชมรมจากหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
5. หลักสูตรด้านความเป็นผู้ประกอบการรุ่นเยาว์สําหรับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา
คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบโครงสร้างเนื้อหาหลักสูตรผู้ประกอบการรุ่นเยาว์สําหรับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา ที่มีการสอดแทรกสาระที่ต้องการจะสื่อถึงผู้อ่านไว้ในการเล่าเรื่องจากประสบการณ์จริง (Story Study) ของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เพื่อสร้างความน่าสนใจและให้ผู้อ่านสามารถเชื่อมโยงกับตัวเองได้ โดยเมื่อเสร็จสมบูรณ์จะมีการแจกจ่ายให้นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเพื่อเป็นหนังสืออ่านเพิ่มเติมจากหลักสูตรปกติ และจะทําเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) ด้วย เพื่อสามารถเผยแพร่ไปยังสาธารณชนได้ในวงกว้าง ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทําเนื้อหาฉบับสมบูรณ์
6. โครงการ Startup Mobile
คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบให้สํานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยดําเนินโครงการ Startup Mobile ที่จะเป็นหน่วยเคลื่อนที่ให้คําแนะนํา และความรู้เกี่ยวกับ Startup เพื่อสร้างความเข้าใจในธุรกิจ Startup อันจะส่งผลให้เกิดแรงบันดาลใจ และสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการ Startup รายใหม่ในประชาชนทุกกลุ่ม โดยในเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคมปี 2560 จะมีการจัดกิจกรรม Startup ณ ตลาดนัดประชารัฐวายุภักษ์รักประชาชน ส่วนในปี 2561 จะขยายออกไปตามมหาวิทยาลัยและสถานที่อื่น ๆ ที่เป็นจุดนัดพบของกลุ่มผู้ประกอบการ Startup เช่น Co-working Space เป็นต้น
สํานักนโยบายการออมและการลงทุน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3650, 3654
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6431
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
|
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (29 สิงหาคม 2561) เวลา 11.30 น. พลเอก ตัน สรี ดาโต๊ะ สรี ปังลิมา ฮาจิ ซุลกิฟลี บิน ฮาจิ ไซนัล อบิดิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทย ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียในนามของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทย เพื่อเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee – HLC) ไทย – มาเลเซีย ครั้งที่ 35 และยินดีที่ได้พบผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียอีกครั้ง หลังจากที่เคยพบกันเมื่อปี 2555 ซึ่งขณะนั้นนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียดํารงตําแหน่งผู้บัญชาการกองทัพบก นายกรัฐมนตรีขอให้การประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee – HLC) ไทย – มาเลเซีย ครั้งที่ 35 ประสบความสําเร็จและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ด้านผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสพบกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ และชื่นชมการพัฒนาประเทศไทยภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี และเชื่อว่านายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีมาเลเซียจะร่วมกันสร้างอาเซียนให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ สําหรับความร่วมมือทางด้านความมั่นคง มาเลเซียพร้อมที่จะร่วมมือกับไทยในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดน เพื่อให้ชายแดนทั้งสองประเทศเกิดความสงบสุข นําไปสู่การสร้างบรรยากาศที่ดีในการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและมาเลเซียให้มากยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียต่างยินดีที่ไทย – มาเลเซีย มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและยาวนาน มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นําทั้งในระดับรัฐบาลและกองทัพอย่างต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศจะพัฒนาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและรัฐบาลใหม่ของมาเลเซีย พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไทยยินดีร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลมาเลเซียเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายและประชาชนของทั้งสองประเทศ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณมาเลเซียในการมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ด้านการอํานวยความสะดวกในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนําไปสู่การสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกรัฐมนตรียืนยันเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยสันติวิธี และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
ทั้งสองฝ่ายหารือถึงความร่วมมือในการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน ซึ่งนับว่าเป็นความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพและยาวนานมาตั้งแต่ปี 2508 โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียกล่าวว่า มาเลเซียให้ความสําคัญกับความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ผ่านคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee – GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee Meeting – RBC) ซึ่งเป็นกลไกความร่วมมือชายแดนของทั้งสองฝ่ายที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในระดับรัฐบาลและระดับท้องถิ่น และครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันพุธที่ 29 สิงหาคม 2561
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (29 สิงหาคม 2561) เวลา 11.30 น. พลเอก ตัน สรี ดาโต๊ะ สรี ปังลิมา ฮาจิ ซุลกิฟลี บิน ฮาจิ ไซนัล อบิดิน ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย เข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทย ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียในนามของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ในโอกาสเยือนไทย เพื่อเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee – HLC) ไทย – มาเลเซีย ครั้งที่ 35 และยินดีที่ได้พบผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียอีกครั้ง หลังจากที่เคยพบกันเมื่อปี 2555 ซึ่งขณะนั้นนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียดํารงตําแหน่งผู้บัญชาการกองทัพบก นายกรัฐมนตรีขอให้การประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee – HLC) ไทย – มาเลเซีย ครั้งที่ 35 ประสบความสําเร็จและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ด้านผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสพบกับนายกรัฐมนตรีในวันนี้ และชื่นชมการพัฒนาประเทศไทยภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี และเชื่อว่านายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีมาเลเซียจะร่วมกันสร้างอาเซียนให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ สําหรับความร่วมมือทางด้านความมั่นคง มาเลเซียพร้อมที่จะร่วมมือกับไทยในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดน เพื่อให้ชายแดนทั้งสองประเทศเกิดความสงบสุข นําไปสู่การสร้างบรรยากาศที่ดีในการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและมาเลเซียให้มากยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียต่างยินดีที่ไทย – มาเลเซีย มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและยาวนาน มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นําทั้งในระดับรัฐบาลและกองทัพอย่างต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศจะพัฒนาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและรัฐบาลใหม่ของมาเลเซีย พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไทยยินดีร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลมาเลเซียเพื่อผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายและประชาชนของทั้งสองประเทศ
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณมาเลเซียในการมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ด้านการอํานวยความสะดวกในกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนําไปสู่การสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายกรัฐมนตรียืนยันเจตนารมณ์ที่จะแก้ไขสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยสันติวิธี และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
ทั้งสองฝ่ายหารือถึงความร่วมมือในการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน ซึ่งนับว่าเป็นความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพและยาวนานมาตั้งแต่ปี 2508 โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียกล่าวว่า มาเลเซียให้ความสําคัญกับความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ผ่านคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee – GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee Meeting – RBC) ซึ่งเป็นกลไกความร่วมมือชายแดนของทั้งสองฝ่ายที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในระดับรัฐบาลและระดับท้องถิ่น และครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14996
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำพาณิชย์ ส่ง "คาราวานรถพุ่มพวง" ธงฟ้าเคลื่อนที่ บริการถึงหน้าบ้าน ช่วยประชาชน ฝ่าภัยโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
|
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563
จุรินทร์ นําพาณิชย์ ส่ง "คาราวานรถพุ่มพวง" ธงฟ้าเคลื่อนที่ บริการถึงหน้าบ้าน ช่วยประชาชน ฝ่าภัยโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563 เวลา 08.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตรวจความพร้อมสินค้าในรถคาราวานธงฟ้า ฝ่าภัย COVID-19 หรือรถพุ่มพวง ก่อนออกไปให้บริการกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบ้านพัก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการตรวจสินค้าในรถคาราวานว่า โครงการ คาราวานธงฟ้าฝ่าภัย COVID ซึ่งจะเป็นรถที่เรียกว่า รถพุ่มพวง ที่เข้าร่วมโครงการกับกรมการค้าภายใน ของกระทรวงพาณิชย์ที่จะนําสินค้าราคาประหยัด 7 รายการด้วยกันเบื้องต้น สําหรับสินค้าที่จะมีในรถพุ่มพวงมี 7 รายการเบื้องต้น ประกอบด้วย ข้าวสาร ไข่เป็ด ไข่ไก่ น้ํามันปาล์ม บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ปลากระป๋อง และเจลล้างมือ ในราคาประหยัดเพื่อขายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงที่มีคําสั่งจาก กรุงเทพมหานคร และ 5 จังหวัดในช่วงที่ผ่านมา เพื่อไปให้บริการถึงหมู่บ้านและชุมชน โครงการนี้ประกอบด้วยรถพุ่มพวง 200 คัน หากพบว่ายังไม่เพียงพอ ทางกรมการค้าภายในก็จะพิจารณาเพิ่มจํานวนต่อไป โดยจะมีการติดตามความต้องการสินค้าเป็นรายวันด้วย
โครงการดังกล่าวหวังจะเป็นการช่วยเสริมจากระบบตลาดปกติ ซึ่งปัจจุบันได้มีการปรับรูปแบบการขายแบบออฟไลน์ หรือการขายหน้าร้าน ไปเป็นการขายในระบบออนไลน์ และระบบส่งถึงบ้าน (ดิลิเวอรี่) มากขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ก็ส่งเสริมการขายดังกล่าวให้มีการขายในระบบดิลิเวอร์รี่มากขึ้น
โดยในวันพรุ่งนี้ (26 มี.ค.) กระทรวงพาณิชย์จะได้เชิญผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งในส่วนที่ขายหน้าร้าน ในส่วนการขายออนไลน์ ในส่วนผู้ให้บริการดิลิเวอรี่ อาทิ ไลน์แมน ลาลามูฟ ฟูดแพนด้า แกร๊บ รวมทั้งผู้ประกอบการซุปเปอร์มาร์เก็ต สมาร์ทโชว์ห่วย มาหารือถึงปัญหาอุปสรรคใด ที่ต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ได้เข้าไปส่งเสริม สนับสนุน หรือช่วยแก้ปัญหาให้ ทั้งนี้เพื่อที่จะให้ผู้บริโภคในภาวะวิกฤติโควิด และอาจมีมาตรการเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อาจทําให้ประชาชนต้องอยู่บ้าน ให้ได้รับบริการอย่างดีที่สุด ทั่วถึงที่สุดเท่าที่จะทําได้ โดยพรุ่งนี้จะได้มีคําตอบตามมาเพิ่มเติมอีกครั้ง
“ขณะนี้ทราบว่าผู้ประกอบการหลายบริษัทที่ให้บริการแบบดิลิเวอรี่ได้เพิ่มกําลังคนในการให้บริการแล้ว ถือว่าสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยในการพูดคุยวันพรุ่งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะรับฟังปัญหาอุปสรรค รวมถึงจะช่วยประสานการทํางานกับกระทรวงอื่นให้ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีที่สุดเท่าที่จะทําได้” นายจุรินทร์กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุรินทร์ นำพาณิชย์ ส่ง "คาราวานรถพุ่มพวง" ธงฟ้าเคลื่อนที่ บริการถึงหน้าบ้าน ช่วยประชาชน ฝ่าภัยโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563
จุรินทร์ นําพาณิชย์ ส่ง "คาราวานรถพุ่มพวง" ธงฟ้าเคลื่อนที่ บริการถึงหน้าบ้าน ช่วยประชาชน ฝ่าภัยโควิด-19 [กระทรวงพาณิชย์]
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563 เวลา 08.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตรวจความพร้อมสินค้าในรถคาราวานธงฟ้า ฝ่าภัย COVID-19 หรือรถพุ่มพวง ก่อนออกไปให้บริการกับประชาชนที่อาศัยอยู่ในบ้านพัก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังการตรวจสินค้าในรถคาราวานว่า โครงการ คาราวานธงฟ้าฝ่าภัย COVID ซึ่งจะเป็นรถที่เรียกว่า รถพุ่มพวง ที่เข้าร่วมโครงการกับกรมการค้าภายใน ของกระทรวงพาณิชย์ที่จะนําสินค้าราคาประหยัด 7 รายการด้วยกันเบื้องต้น สําหรับสินค้าที่จะมีในรถพุ่มพวงมี 7 รายการเบื้องต้น ประกอบด้วย ข้าวสาร ไข่เป็ด ไข่ไก่ น้ํามันปาล์ม บะหมี่กึ่งสําเร็จรูป ปลากระป๋อง และเจลล้างมือ ในราคาประหยัดเพื่อขายในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงที่มีคําสั่งจาก กรุงเทพมหานคร และ 5 จังหวัดในช่วงที่ผ่านมา เพื่อไปให้บริการถึงหมู่บ้านและชุมชน โครงการนี้ประกอบด้วยรถพุ่มพวง 200 คัน หากพบว่ายังไม่เพียงพอ ทางกรมการค้าภายในก็จะพิจารณาเพิ่มจํานวนต่อไป โดยจะมีการติดตามความต้องการสินค้าเป็นรายวันด้วย
โครงการดังกล่าวหวังจะเป็นการช่วยเสริมจากระบบตลาดปกติ ซึ่งปัจจุบันได้มีการปรับรูปแบบการขายแบบออฟไลน์ หรือการขายหน้าร้าน ไปเป็นการขายในระบบออนไลน์ และระบบส่งถึงบ้าน (ดิลิเวอรี่) มากขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ก็ส่งเสริมการขายดังกล่าวให้มีการขายในระบบดิลิเวอร์รี่มากขึ้น
โดยในวันพรุ่งนี้ (26 มี.ค.) กระทรวงพาณิชย์จะได้เชิญผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งในส่วนที่ขายหน้าร้าน ในส่วนการขายออนไลน์ ในส่วนผู้ให้บริการดิลิเวอรี่ อาทิ ไลน์แมน ลาลามูฟ ฟูดแพนด้า แกร๊บ รวมทั้งผู้ประกอบการซุปเปอร์มาร์เก็ต สมาร์ทโชว์ห่วย มาหารือถึงปัญหาอุปสรรคใด ที่ต้องการให้กระทรวงพาณิชย์ได้เข้าไปส่งเสริม สนับสนุน หรือช่วยแก้ปัญหาให้ ทั้งนี้เพื่อที่จะให้ผู้บริโภคในภาวะวิกฤติโควิด และอาจมีมาตรการเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อาจทําให้ประชาชนต้องอยู่บ้าน ให้ได้รับบริการอย่างดีที่สุด ทั่วถึงที่สุดเท่าที่จะทําได้ โดยพรุ่งนี้จะได้มีคําตอบตามมาเพิ่มเติมอีกครั้ง
“ขณะนี้ทราบว่าผู้ประกอบการหลายบริษัทที่ให้บริการแบบดิลิเวอรี่ได้เพิ่มกําลังคนในการให้บริการแล้ว ถือว่าสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยในการพูดคุยวันพรุ่งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะรับฟังปัญหาอุปสรรค รวมถึงจะช่วยประสานการทํางานกับกระทรวงอื่นให้ด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีที่สุดเท่าที่จะทําได้” นายจุรินทร์กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27827
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. จัด 10,000 ล้านบาท ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ลดดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชำระ 4 เดือน
|
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563
ธอส. จัด 10,000 ล้านบาท ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ลดดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชําระ 4 เดือน
ธอส. เตรียมกรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท จัดทํา “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเพิ่มเติมให้แก่ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารทุกวัตถุประสงค์การกู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมกรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท จัดทํา “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเพิ่มเติมให้แก่ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารทุกวัตถุประสงค์การกู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 4 เดือน คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงเหลือ 1.00% ต่อปี ยื่นคําขอเข้าร่วมมาตรการได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พร้อมจัดทํามาตรการควบคุมทางด้านสถานที่และการดูแลพนักงานอย่างเข้มข้น
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งปัจจุบันยังคงมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในหลายประเทศรวมถึงในประเทศไทย และส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในภาคธุกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้จัดทํามาตรการเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันยิ่งขึ้น และครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งในกรณีที่ยังมีสถานะผ่อนชําระปกติ และกรณีมีสถานะค้างชําระเงินงวดตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 โดยเตรียมกรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท จัดทํา “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดยการ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 4 เดือน คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงเหลือ 1.00% ต่อปี เพื่อลดภาระหนี้ที่ผ่อนชําระกับ ธอส. ทุกวัตถุประสงค์การกู้ ซึ่งผู้ขอรับมาตรการช่วยเหลือต้องมีคุณสมบัติ คือ เป็นลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่รายได้ต่อเดือนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้แก่ ไกด์นําเที่ยว พนักงานโรงแรม ผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายสินค้าในแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวในประเทศกลุ่มเสี่ยง หรืออาชีพอื่นที่แสดงหลักฐานให้ธนาคารตรวจสอบได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจริง อาทิ หนังสือรับรองจากหน่วยงานว่าถูกลดวันทํางาน ลดเงินเดือนหรือค่าจ้าง หรือถูกเลิกจ้าง หรือทะเบียนการค้า หรือสัญญาเช่าร้าน เป็นต้น และธนาคารจะยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบยื่นเอกสารเพื่อเข้าร่วมมาตรการได้ที่สาขาของธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 และธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกําหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกําหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว เนื่องจากวงเงินมีจํากัด กําหนดเงื่อนไขการใช้วงเงินลูกค้าที่ยื่นคําขอก่อนได้สิทธิก่อน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ส่วนมาตรการทางด้านสถานที่ ธอส. ยังได้จัดทําจุดคัดกรองโดยนําเครื่องวัดอุณหภูมิทางร่างกายแบบดิจิตอล มาใช้ในการตรวจลูกค้าและพนักงาน พร้อมทั้งจัดแอลกอฮอล์เจลล้างมือ บริเวณทางเข้าอาคารทั้งที่สํานักงานใหญ่ และสาขาต่างๆ โดยเฉพาะสาขาที่ตั้งอยูใน 8 จังหวัดเฝ้าระวัง ประกอบด้วย กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย กระบี่ ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ และชลบุรี หากพบว่าลูกค้ามีอุณหภูมิร่างกายเกิน 37.5 องศาเซลเซียส จะแจกหน้ากากอนามัย และแยกการให้บริการออกมาในพื้นที่เฉพาะเพื่อป้องกันความเสี่ยง ขณะที่พนักงานที่เดินทางไปประเทศในกลุ่มเสี่ยง เมื่อกลับมาธนาคารให้พนักงานทํางานแบบ Work from home เป็นเวลา 7 วัน ถ้าไม่มีอาการป่วยหลังจากนั้นจะต้องติดตามอาการและรายงานผู้บังคับบัญชาจนกว่าจะครบ 14 วัน และธนาคารได้ออกประกาศคําสั่งภายในธนาคาร เรื่องแนวทางปฏิบัติตนของพนักงานกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) อาทิ งดจัดงานสัมมนา ดูงาน หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่มีผู้เข้าร่วมจํานวนมาก และกําหนดแนวทางปฏิบัติตนในกรณีต่างๆ ที่อาจมีความเสี่ยงจากการเดินทาง โดยในวันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 ธนาคารยังได้จัดให้มีทีมแพทย์และพยาบาล เข้าดําเนินการตรวจคัดกรองผู้บริหาร พนักงาน ตลอดจนบริษัทผู้เช่าอาคาร และ Outsource ทั้งหมดที่ปฏิบัติงานในสํานักงานใหญ่่อีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. จัด 10,000 ล้านบาท ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ลดดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชำระ 4 เดือน
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563
ธอส. จัด 10,000 ล้านบาท ช่วยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ลดดอกเบี้ยและเงินงวดผ่อนชําระ 4 เดือน
ธอส. เตรียมกรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท จัดทํา “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเพิ่มเติมให้แก่ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารทุกวัตถุประสงค์การกู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมกรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท จัดทํา “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเพิ่มเติมให้แก่ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารทุกวัตถุประสงค์การกู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว โดยลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 4 เดือน คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงเหลือ 1.00% ต่อปี ยื่นคําขอเข้าร่วมมาตรการได้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 พร้อมจัดทํามาตรการควบคุมทางด้านสถานที่และการดูแลพนักงานอย่างเข้มข้น
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งปัจจุบันยังคงมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในหลายประเทศรวมถึงในประเทศไทย และส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะในภาคธุกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้จัดทํามาตรการเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันยิ่งขึ้น และครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งในกรณีที่ยังมีสถานะผ่อนชําระปกติ และกรณีมีสถานะค้างชําระเงินงวดตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 โดยเตรียมกรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท จัดทํา “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดยการ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินงวดผ่อนชําระไม่เกิน 4 เดือน คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงเหลือ 1.00% ต่อปี เพื่อลดภาระหนี้ที่ผ่อนชําระกับ ธอส. ทุกวัตถุประสงค์การกู้ ซึ่งผู้ขอรับมาตรการช่วยเหลือต้องมีคุณสมบัติ คือ เป็นลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่รายได้ต่อเดือนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้แก่ ไกด์นําเที่ยว พนักงานโรงแรม ผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายสินค้าในแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวในประเทศกลุ่มเสี่ยง หรืออาชีพอื่นที่แสดงหลักฐานให้ธนาคารตรวจสอบได้ว่าเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจริง อาทิ หนังสือรับรองจากหน่วยงานว่าถูกลดวันทํางาน ลดเงินเดือนหรือค่าจ้าง หรือถูกเลิกจ้าง หรือทะเบียนการค้า หรือสัญญาเช่าร้าน เป็นต้น และธนาคารจะยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบยื่นเอกสารเพื่อเข้าร่วมมาตรการได้ที่สาขาของธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 และธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกําหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกําหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว เนื่องจากวงเงินมีจํากัด กําหนดเงื่อนไขการใช้วงเงินลูกค้าที่ยื่นคําขอก่อนได้สิทธิก่อน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
ส่วนมาตรการทางด้านสถานที่ ธอส. ยังได้จัดทําจุดคัดกรองโดยนําเครื่องวัดอุณหภูมิทางร่างกายแบบดิจิตอล มาใช้ในการตรวจลูกค้าและพนักงาน พร้อมทั้งจัดแอลกอฮอล์เจลล้างมือ บริเวณทางเข้าอาคารทั้งที่สํานักงานใหญ่ และสาขาต่างๆ โดยเฉพาะสาขาที่ตั้งอยูใน 8 จังหวัดเฝ้าระวัง ประกอบด้วย กรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย กระบี่ ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ และชลบุรี หากพบว่าลูกค้ามีอุณหภูมิร่างกายเกิน 37.5 องศาเซลเซียส จะแจกหน้ากากอนามัย และแยกการให้บริการออกมาในพื้นที่เฉพาะเพื่อป้องกันความเสี่ยง ขณะที่พนักงานที่เดินทางไปประเทศในกลุ่มเสี่ยง เมื่อกลับมาธนาคารให้พนักงานทํางานแบบ Work from home เป็นเวลา 7 วัน ถ้าไม่มีอาการป่วยหลังจากนั้นจะต้องติดตามอาการและรายงานผู้บังคับบัญชาจนกว่าจะครบ 14 วัน และธนาคารได้ออกประกาศคําสั่งภายในธนาคาร เรื่องแนวทางปฏิบัติตนของพนักงานกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) อาทิ งดจัดงานสัมมนา ดูงาน หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่มีผู้เข้าร่วมจํานวนมาก และกําหนดแนวทางปฏิบัติตนในกรณีต่างๆ ที่อาจมีความเสี่ยงจากการเดินทาง โดยในวันจันทร์ที่ 2 มีนาคม 2563 ธนาคารยังได้จัดให้มีทีมแพทย์และพยาบาล เข้าดําเนินการตรวจคัดกรองผู้บริหาร พนักงาน ตลอดจนบริษัทผู้เช่าอาคาร และ Outsource ทั้งหมดที่ปฏิบัติงานในสํานักงานใหญ่่อีกด้วย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26837
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยรอตัดสินใจอนาคตการเมือง ยืนยันปัจจุบันทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชน นำประเทศสู่การปฏิรูป
|
วันอังคารที่ 4 กันยายน 2561
นายกรัฐมนตรีเผยรอตัดสินใจอนาคตการเมือง ยืนยันปัจจุบันทําเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชน นําประเทศสู่การปฏิรูป
นายกรัฐมนตรีเผยรอตัดสินใจอนาคตการเมือง ยืนยันปัจจุบันทําเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชน นําประเทศสู่การปฏิรูป
วันนี้ (4 กันยายน 2561) เวลา 14.10 ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนอนาคตทางการเมืองของตัวเองว่า เมื่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีกสองฉบับโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว และเมื่อมีคําสั่ง ม.44 คลายล็อคพรรคการเมือง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดําเนินการ จากนั้นขั้นตอนต่อไป คือการเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง เพื่อนําไปสู่การเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ที่จะต้องได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล โดยสถานการณ์ในช่วงนั้น จะเป็นผลในการตัดสินใจของตน ว่าจําเป็นต้องอยู่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามรัฐธรรมนูญ หรือด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญหรือไม่ และถ้าจําเป็น แล้วจะเป็นได้อย่างไร ซึ่งจะตัดสินใจอีกครั้งในสถานการณ์ช่วงนั้น เพราะวันนี้คงตอบได้เท่านี้ ทั้งนี้ ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชน นําประเทศชาติไปสู่การปฏิรูป และเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติที่ได้เริ่มดําเนินการไปแล้ว ดังนั้น ขอร้องอย่าถามบ่อยนัก เพราะวันนี้ยังไปไม่ถึงไหนเลย
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายสุพร อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ร้องเรียนกรณีที่พรรคภูมิใจไทย เก็บบัตรประชาชนจากสมาชิก อสม. อ้างนําไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคซึ่งเหมือนการหาเสียง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นเรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะพิจารณา ในส่วนของ คสช. และฝ่ายกฎหมายก็กําลังพิจารณาตรวจสอบ ในช่วงนี้ว่ามีข้อเท็จจริงหรือไม่อย่างไร โดยเป็นขั้นตอนทางกฎหมาย
-------------------------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเผยรอตัดสินใจอนาคตการเมือง ยืนยันปัจจุบันทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชน นำประเทศสู่การปฏิรูป
วันอังคารที่ 4 กันยายน 2561
นายกรัฐมนตรีเผยรอตัดสินใจอนาคตการเมือง ยืนยันปัจจุบันทําเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชน นําประเทศสู่การปฏิรูป
นายกรัฐมนตรีเผยรอตัดสินใจอนาคตการเมือง ยืนยันปัจจุบันทําเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชน นําประเทศสู่การปฏิรูป
วันนี้ (4 กันยายน 2561) เวลา 14.10 ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนอนาคตทางการเมืองของตัวเองว่า เมื่อกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีกสองฉบับโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว และเมื่อมีคําสั่ง ม.44 คลายล็อคพรรคการเมือง ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดําเนินการ จากนั้นขั้นตอนต่อไป คือการเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง เพื่อนําไปสู่การเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ที่จะต้องได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล โดยสถานการณ์ในช่วงนั้น จะเป็นผลในการตัดสินใจของตน ว่าจําเป็นต้องอยู่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามรัฐธรรมนูญ หรือด้วยกลไกของรัฐธรรมนูญหรือไม่ และถ้าจําเป็น แล้วจะเป็นได้อย่างไร ซึ่งจะตัดสินใจอีกครั้งในสถานการณ์ช่วงนั้น เพราะวันนี้คงตอบได้เท่านี้ ทั้งนี้ ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและประชาชน นําประเทศชาติไปสู่การปฏิรูป และเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติที่ได้เริ่มดําเนินการไปแล้ว ดังนั้น ขอร้องอย่าถามบ่อยนัก เพราะวันนี้ยังไปไม่ถึงไหนเลย
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายสุพร อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ร้องเรียนกรณีที่พรรคภูมิใจไทย เก็บบัตรประชาชนจากสมาชิก อสม. อ้างนําไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคซึ่งเหมือนการหาเสียง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นเรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะพิจารณา ในส่วนของ คสช. และฝ่ายกฎหมายก็กําลังพิจารณาตรวจสอบ ในช่วงนี้ว่ามีข้อเท็จจริงหรือไม่อย่างไร โดยเป็นขั้นตอนทางกฎหมาย
-------------------------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15148
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2562
|
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนกุมภาพันธ์ 2562
“ดัชนี RSI เดือนกุมภาพันธ์ 2562 ชี้แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจที่ยังคงขยายตัวดีทั่วทุกภูมิภาค นําโดยภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออก โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร”
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ว่า “การประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดล่าสุด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) อยู่ในเกณฑ์ที่ดีทุกภูมิภาค
นําโดยภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออก โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร เป็นสําคัญ”
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก มีทิศทางการขยายตัวดีอยู่ที่ระดับ 71.2 โดยใน 6 เดือนข้างหน้า จะได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตร เนื่องจากมีโครงการสร้างนิคมอุตสาหกรรม ประกอบกับเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะส่งผลให้การคมนาคมสะดวก และส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้นในด้านราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการดําเนินนโยบายด้านการเกษตรเพื่อปฏิรูปกาคเกษตรที่มีมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ส่งผลให้แนวโน้มการจ้างงานและการลงทุนภาคเกษตรดีขึ้นด้วย สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลางขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 71.0 จากแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมและภาคการลงทุนที่ดี เนื่องจากนักลงทุนยังเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจ ทําให้ยังมียอดคําสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าเพิ่มขึ้น สําหรับภาคการลงทุน คาดว่าจะมีการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนในโครงสร้างพื้นฐาน อีกทั้งการประกาศการเลือกตั้งทําให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือ ยังอยู่ในเกณฑ์ดีที่ 69.3 เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มที่ดีของภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตร โดยภาคอุตสาหกรรม คาดว่าหลังเลือกตั้ง รัฐบาลจะมีนโยบายหรือมาตรการสําคัญที่ส่งเสริมและสนับสนุนเศรษฐกิจ ในส่วนของการเกษตร คาดว่าจะขยายตัวเนื่องจากเป็นช่วงที่พืชผลทางการเกษตรหลายชนิดออกสู่ตลาด เช่น ข้าวนาปรัง ข้าวโพด มันสําปะหลัง สับปะรด เป็นต้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันตกมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเดือนก่อนอยู่ที่ระดับ 68.5 โดยจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการลงทุนและการบริการเป็นหลัก ในส่วนของภาคการลงทุน คาดว่าจะขยายตัวจากการเร่งดําเนินการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และมีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้ง ในส่วนของภาคบริการ มีจํานวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เนื่องจากยังอยู่ในฤดูท่องเที่ยว และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของภูมิภาคที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้ มีแนวโน้มการเติบโตอยู่ที่ 65.1 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการลงทุนและภาคบริการเป็นหลัก ในส่วนของธุรกิจภาคบริการ มีสัญญาณขยายตัวดี เนื่องจากภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันจัดกิจกรรมต่างๆ ประกอบกับได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงและสร้างถนนเข้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของภาคการลงทุน คาดว่าบริษัทเอกชนภาคบริการเริ่มมีการตื่นตัวในพัฒนา และเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมห้องพัก และบริษัทนําเที่ยว สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 63.7 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม
ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2562 (ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2562)
กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก
ภาพรวม
ดัชนีความเชื่อมั่น
อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 63.7 71.2 67.7 65.1 71.0 69.3 68.5
ดัชนีแนวโน้มรายภาค
1) ภาคเกษตร 69.9 70.7 65.4 62.7 56.8 71.5 62.1
2) ภาคอุตสาหกรรม 69.8 86.9 74.8 60.0 78.4 80.4 68.3
3) ภาคบริการ 62.0 66.9 70.8 72.7 73.8 69.5 79.6
4) ภาคการจ้างงาน 56.1 66.6 62.5 60.2 70.1 60.2 63.4
5) ภาคการลงทุน 60.7 64.9 65.1 70.0 75.8 65.0 69.0
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254 หรือ 3223
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2562
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนกุมภาพันธ์ 2562
“ดัชนี RSI เดือนกุมภาพันธ์ 2562 ชี้แนวโน้มอนาคตเศรษฐกิจที่ยังคงขยายตัวดีทั่วทุกภูมิภาค นําโดยภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออก โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตร”
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ว่า “การประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดล่าสุด จากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ (คาดการณ์ 6 เดือนข้างหน้า) อยู่ในเกณฑ์ที่ดีทุกภูมิภาค
นําโดยภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออก โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร เป็นสําคัญ”
ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออก มีทิศทางการขยายตัวดีอยู่ที่ระดับ 71.2 โดยใน 6 เดือนข้างหน้า จะได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตร เนื่องจากมีโครงการสร้างนิคมอุตสาหกรรม ประกอบกับเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะส่งผลให้การคมนาคมสะดวก และส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้นในด้านราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการดําเนินนโยบายด้านการเกษตรเพื่อปฏิรูปกาคเกษตรที่มีมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ส่งผลให้แนวโน้มการจ้างงานและการลงทุนภาคเกษตรดีขึ้นด้วย สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลางขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 71.0 จากแนวโน้มภาคอุตสาหกรรมและภาคการลงทุนที่ดี เนื่องจากนักลงทุนยังเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจ ทําให้ยังมียอดคําสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าเพิ่มขึ้น สําหรับภาคการลงทุน คาดว่าจะมีการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนในโครงสร้างพื้นฐาน อีกทั้งการประกาศการเลือกตั้งทําให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนือ ยังอยู่ในเกณฑ์ดีที่ 69.3 เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มที่ดีของภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตร โดยภาคอุตสาหกรรม คาดว่าหลังเลือกตั้ง รัฐบาลจะมีนโยบายหรือมาตรการสําคัญที่ส่งเสริมและสนับสนุนเศรษฐกิจ ในส่วนของการเกษตร คาดว่าจะขยายตัวเนื่องจากเป็นช่วงที่พืชผลทางการเกษตรหลายชนิดออกสู่ตลาด เช่น ข้าวนาปรัง ข้าวโพด มันสําปะหลัง สับปะรด เป็นต้น สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันตกมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเดือนก่อนอยู่ที่ระดับ 68.5 โดยจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการลงทุนและการบริการเป็นหลัก ในส่วนของภาคการลงทุน คาดว่าจะขยายตัวจากการเร่งดําเนินการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และมีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้ง ในส่วนของภาคบริการ มีจํานวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น เนื่องจากยังอยู่ในฤดูท่องเที่ยว และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวของภูมิภาคที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้ มีแนวโน้มการเติบโตอยู่ที่ 65.1 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการลงทุนและภาคบริการเป็นหลัก ในส่วนของธุรกิจภาคบริการ มีสัญญาณขยายตัวดี เนื่องจากภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันจัดกิจกรรมต่างๆ ประกอบกับได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงและสร้างถนนเข้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของภาคการลงทุน คาดว่าบริษัทเอกชนภาคบริการเริ่มมีการตื่นตัวในพัฒนา และเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมห้องพัก และบริษัทนําเที่ยว สําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจ กทม. และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 63.7 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม
ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2562 (ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2562)
กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก
ภาพรวม
ดัชนีความเชื่อมั่น
อนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 63.7 71.2 67.7 65.1 71.0 69.3 68.5
ดัชนีแนวโน้มรายภาค
1) ภาคเกษตร 69.9 70.7 65.4 62.7 56.8 71.5 62.1
2) ภาคอุตสาหกรรม 69.8 86.9 74.8 60.0 78.4 80.4 68.3
3) ภาคบริการ 62.0 66.9 70.8 72.7 73.8 69.5 79.6
4) ภาคการจ้างงาน 56.1 66.6 62.5 60.2 70.1 60.2 63.4
5) ภาคการลงทุน 60.7 64.9 65.1 70.0 75.8 65.0 69.0
สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254 หรือ 3223
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19005
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดแรงงาน ย้ำ! แรงงานนอกระบบสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ สิทธิประโยชน์ต้องเท่าเทียม
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2560
ปลัดแรงงาน ย้ํา! แรงงานนอกระบบสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจ สิทธิประโยชน์ต้องเท่าเทียม
ปลัดกระทรวงแรงงาน ย้ํา แรงงานนอกระบบมีความสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ต้องได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเทียมแรงงานในระบบ เตรียมพร้อมจัดงานสมัชชาแรงงานนอกระบบ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ร่วมกันพัฒนา สร้างความมั่นคงยั่งยืน
วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน พบนางสุจิน รุ่งสว่าง ประธานศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบ พร้อมด้วยนางอรพินท์ วิมลภูษิต ผู้แทนสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และตัวแทนเครือข่ายแรงงานนอกระบบ ๕ ภูมิภาค ที่ขอเข้าพบเพื่อหารือและติดตามความคืบหน้าในประเด็นการดําเนินงานด้านสิทธิประโยชน์ประกันสังคม ตามมาตรา ๔๐ ความปลอดภัยในการทํางานของแรงงานนอกระบบ การพัฒนาศักยภาพแกนนําแรงงานนอกระบบ และความคืบหน้าในการดําเนินงานการจัดตั้งอาสาสมัครแรงงานในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น ๕ อาคารกระทรวงแรงงาน
โดยในโอกาสนี้ประธานศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบ ได้ยื่นข้อเสนอต่อปลัดกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับการพัฒนาสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ในกรณีต่างๆ การสนับสนุนการจัดตั้งหน่วยบริการชุมชน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ การแต่งตั้งให้มีอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) ในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมถึงการส่งเสริมศักยภาพด้านอาชีวอนามัยแก่กลุ่มแรงงานนอกระบบ
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการหารือว่า ข้อเสนอที่กลุ่มตัวแทนแรงงานนอกระบบเสนอ ทางกระทรวงแรงงานขอรับไว้พิจารณาและจะพยายามขับเคลื่อนให้ได้มากที่สุด เนื่องจากกลุ่มแรงงานนอกระบบเป็นกลุ่มที่มีความสําคัญและมีจํานวนมากถึง ๒๐ ล้านคน ถือเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศและเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานต่างด้าว ซึ่งเป็นเป้าหมายของกระทรวงแรงงานที่ต้องการให้คนไทยมีงานทํา มีรายได้ที่มั่นคงและได้รับสวัสดิการสังคมเช่นเดียวกันทุกกลุ่ม ทั้งนี้ สํานักงานประกันสังคม ได้เสนอปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ที่มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างนําเรื่องเข้าครม.เพื่อพิจารณา นอกจากนี้กระทรวงแรงงานยังได้เตรียมจัดงานสมัชชาแรงงานนอกระบบ เปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและระดมความคิดเห็นจากกลุ่มแรงงานนอกระบบ รวมถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดแรงงาน ย้ำ! แรงงานนอกระบบสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ สิทธิประโยชน์ต้องเท่าเทียม
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2560
ปลัดแรงงาน ย้ํา! แรงงานนอกระบบสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจ สิทธิประโยชน์ต้องเท่าเทียม
ปลัดกระทรวงแรงงาน ย้ํา แรงงานนอกระบบมีความสําคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ต้องได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเทียมแรงงานในระบบ เตรียมพร้อมจัดงานสมัชชาแรงงานนอกระบบ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ร่วมกันพัฒนา สร้างความมั่นคงยั่งยืน
วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน พบนางสุจิน รุ่งสว่าง ประธานศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบ พร้อมด้วยนางอรพินท์ วิมลภูษิต ผู้แทนสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และตัวแทนเครือข่ายแรงงานนอกระบบ ๕ ภูมิภาค ที่ขอเข้าพบเพื่อหารือและติดตามความคืบหน้าในประเด็นการดําเนินงานด้านสิทธิประโยชน์ประกันสังคม ตามมาตรา ๔๐ ความปลอดภัยในการทํางานของแรงงานนอกระบบ การพัฒนาศักยภาพแกนนําแรงงานนอกระบบ และความคืบหน้าในการดําเนินงานการจัดตั้งอาสาสมัครแรงงานในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น ๕ อาคารกระทรวงแรงงาน
โดยในโอกาสนี้ประธานศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบ ได้ยื่นข้อเสนอต่อปลัดกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับการพัฒนาสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ในกรณีต่างๆ การสนับสนุนการจัดตั้งหน่วยบริการชุมชน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ การแต่งตั้งให้มีอาสาสมัครแรงงาน (อสร.) ในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมถึงการส่งเสริมศักยภาพด้านอาชีวอนามัยแก่กลุ่มแรงงานนอกระบบ
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังการหารือว่า ข้อเสนอที่กลุ่มตัวแทนแรงงานนอกระบบเสนอ ทางกระทรวงแรงงานขอรับไว้พิจารณาและจะพยายามขับเคลื่อนให้ได้มากที่สุด เนื่องจากกลุ่มแรงงานนอกระบบเป็นกลุ่มที่มีความสําคัญและมีจํานวนมากถึง ๒๐ ล้านคน ถือเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศและเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานต่างด้าว ซึ่งเป็นเป้าหมายของกระทรวงแรงงานที่ต้องการให้คนไทยมีงานทํา มีรายได้ที่มั่นคงและได้รับสวัสดิการสังคมเช่นเดียวกันทุกกลุ่ม ทั้งนี้ สํานักงานประกันสังคม ได้เสนอปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ ที่มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างนําเรื่องเข้าครม.เพื่อพิจารณา นอกจากนี้กระทรวงแรงงานยังได้เตรียมจัดงานสมัชชาแรงงานนอกระบบ เปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและระดมความคิดเห็นจากกลุ่มแรงงานนอกระบบ รวมถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป
------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7953
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ มอบถ้วยรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน ประจำปี 2561
|
วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561
รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ มอบถ้วยรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน ประจําปี 2561
รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ มอบถ้วยรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน ประจําปี 2561
วันนี้ (9 พฤศจิกายน 2561) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นําทีมฟุตบอลชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน ประจําปี 2561 (14th THAILAND PRIME MINISTER CUP 2018) เข้าพบเพื่อรับถ้วยรางวัลชนะเลิศจากพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดยมีอธิบดีกรมพลศึกษา คณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่และนักกีฬา เข้าร่วมงานในครั้งนี้
สําหรับโครงการจัดการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน ประจําปี 2561 นั้น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกรมพลศึกษาดําเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีมาโดยตลอดเป็นเวลา 14 ปี (ปี2548 -2561) ได้จัดทําโครงการจัดการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน (THAILAND PRIME MINISTER CUP 2018) ชิงถ้วยนายกรัฐมนตรี ซึ่งการดําเนินการจัดการแข่งขันมีทั้งหมด 6 รุ่นอายุ โดยกําหนดให้จัดการแข่งขันช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม ของทุกปี มีทีมสมัครทั้งสิ้น 5,062 ทีม ดังนี้
รุ่นอายุ 12 ปี จํานวนทีมสมัครทั้งสิ้น 120 ทีม
รุ่นอายุ 14 ปี จํานวนทีมสมัครทั้งสิ้น 1,048 ทีม
รุ่นอายุ 16 ปี จํานวนทีมสมัครทั้งสิ้น 1,068 ทีม
รุ่น 18 ปี จํานวนทีมสมัครทั้งสิ้น 862 ทีม
ประเภทประชาชนชาย จํานวนทีมสมัครทั้งสิ้น 936 ทีม
และ 6) ประเภทประชาชนหญิง จํานวนทีมสมัครทั้งสิ้น 328 ทีม
ทั้งนี้ ในรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ กรมพลศึกษา ได้คัดเลือกจังหวัดที่แจ้งความประสงค์ขอรับการเป็น
เจ้าภาพจัดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย จํานวน 6 รุ่น 6 จังหวัด ดําเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคม 2561 จังหวัดที่ขอรับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฯ ในรอบชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ได้แก่
รุ่นอายุ 12 ปี จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ เขต 4 จังหวัด
หนองบังลําภู
2) รุ่นอายุ 14 ปี จังหวัดสุรินทร์ เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ เขต 4 จังหวัดอุดรธานี
3) รุ่นอายุ 16 ปี จังหวัดชุมพร เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ เขต 4 จังหวัดอุดรธานี
4) รุ่นอายุ 18 ปี จังหวัดพะเยา เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ เขต 10 กรุงเทพมหานคร
5) ประเภทประชาชนชาย จังหวัดอุดรธานี เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ เขต 4 จังหวัดอุดรธานี
และ 6) ประเภทประชาชนหญิง จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ เขต 2 จังหวัดชลบุรี
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบถ้วยรางวัลชนะเลิศให้แก่ทีมชนะเลิศจากการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน ประจําปี 2561 พร้อมกล่าวในตอนหนึ่งว่า รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการกีฬา เพื่อพัฒนาและกระตุ้นให้เยาวชนไทยและประชาชน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ สนใจเล่นกีฬา มุ่งออกกําลังกาย เพื่อพัฒนาสุขภาพลานามัย รู้จักใช้เวลาว่างเพื่อฝึกซ้อมและแข่งขัน โดยใช้กิจกรรมกีฬาเป็นสื่อกลาง โดยเน้นกีฬาฟุตบอลเป็นหลักตลอดจนเป็นการยกระดับมาตรฐานกีฬาฟุตบอลไปสู่อาชีพต่อไปในอนาคต
...........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ มอบถ้วยรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน ประจำปี 2561
วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2561
รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ มอบถ้วยรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน ประจําปี 2561
รองนรม. พล.อ.ประวิตรฯ มอบถ้วยรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน ประจําปี 2561
วันนี้ (9 พฤศจิกายน 2561) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นําทีมฟุตบอลชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน ประจําปี 2561 (14th THAILAND PRIME MINISTER CUP 2018) เข้าพบเพื่อรับถ้วยรางวัลชนะเลิศจากพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดยมีอธิบดีกรมพลศึกษา คณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่และนักกีฬา เข้าร่วมงานในครั้งนี้
สําหรับโครงการจัดการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน ประจําปี 2561 นั้น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกรมพลศึกษาดําเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีมาโดยตลอดเป็นเวลา 14 ปี (ปี2548 -2561) ได้จัดทําโครงการจัดการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน (THAILAND PRIME MINISTER CUP 2018) ชิงถ้วยนายกรัฐมนตรี ซึ่งการดําเนินการจัดการแข่งขันมีทั้งหมด 6 รุ่นอายุ โดยกําหนดให้จัดการแข่งขันช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม ของทุกปี มีทีมสมัครทั้งสิ้น 5,062 ทีม ดังนี้
รุ่นอายุ 12 ปี จํานวนทีมสมัครทั้งสิ้น 120 ทีม
รุ่นอายุ 14 ปี จํานวนทีมสมัครทั้งสิ้น 1,048 ทีม
รุ่นอายุ 16 ปี จํานวนทีมสมัครทั้งสิ้น 1,068 ทีม
รุ่น 18 ปี จํานวนทีมสมัครทั้งสิ้น 862 ทีม
ประเภทประชาชนชาย จํานวนทีมสมัครทั้งสิ้น 936 ทีม
และ 6) ประเภทประชาชนหญิง จํานวนทีมสมัครทั้งสิ้น 328 ทีม
ทั้งนี้ ในรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศ กรมพลศึกษา ได้คัดเลือกจังหวัดที่แจ้งความประสงค์ขอรับการเป็น
เจ้าภาพจัดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย จํานวน 6 รุ่น 6 จังหวัด ดําเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคม 2561 จังหวัดที่ขอรับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฯ ในรอบชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ได้แก่
รุ่นอายุ 12 ปี จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ เขต 4 จังหวัด
หนองบังลําภู
2) รุ่นอายุ 14 ปี จังหวัดสุรินทร์ เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ เขต 4 จังหวัดอุดรธานี
3) รุ่นอายุ 16 ปี จังหวัดชุมพร เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ เขต 4 จังหวัดอุดรธานี
4) รุ่นอายุ 18 ปี จังหวัดพะเยา เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ เขต 10 กรุงเทพมหานคร
5) ประเภทประชาชนชาย จังหวัดอุดรธานี เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ เขต 4 จังหวัดอุดรธานี
และ 6) ประเภทประชาชนหญิง จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ เขต 2 จังหวัดชลบุรี
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้มอบถ้วยรางวัลชนะเลิศให้แก่ทีมชนะเลิศจากการแข่งขันฟุตบอลเยาวชนและประชาชน ประจําปี 2561 พร้อมกล่าวในตอนหนึ่งว่า รัฐบาลได้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการกีฬา เพื่อพัฒนาและกระตุ้นให้เยาวชนไทยและประชาชน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ สนใจเล่นกีฬา มุ่งออกกําลังกาย เพื่อพัฒนาสุขภาพลานามัย รู้จักใช้เวลาว่างเพื่อฝึกซ้อมและแข่งขัน โดยใช้กิจกรรมกีฬาเป็นสื่อกลาง โดยเน้นกีฬาฟุตบอลเป็นหลักตลอดจนเป็นการยกระดับมาตรฐานกีฬาฟุตบอลไปสู่อาชีพต่อไปในอนาคต
...........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16672
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยัน โครงการบัตรทองปัจจุบันไม่ได้แยกคนรวยออกจากคนจน แต่เป็นการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลดีขึ้น
|
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
รัฐบาลยืนยัน โครงการบัตรทองปัจจุบันไม่ได้แยกคนรวยออกจากคนจน แต่เป็นการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลดีขึ้น
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยืนยันโครงการบัตรทองปัจจุบันไม่ได้แยกคนรวยออกจากคนจน แต่เป็นการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลดีขึ้น และเป็นการรักษาพยาบาลในมาตรฐานเดียวกัน
วันนี้ ( 16 ต.ค. 61 ) เวลา 13.40 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงกรณีที่มีนักการเมืองโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกล่าวถึงบัตร 30บาท รักษาทุกโรค หรือบัตรทอง ระบุรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พยายามที่จะแบ่งแยกคนจนกับคนรวมออกจากกัน ในการใช้บัตรดังกล่าวว่า การโพสต์ข้อความดังกล่าวคงเป็นความเข้าใจที่อาจจะไม่ได้มีการศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้ โดยความเป็นจริงแล้วบัตรทองไม่ได้มีลักษณะที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะพื้นฐานมาจากบัตร 30บาท รักษาทุกโรค แต่มีการเพิ่มค่าใช้จ่ายเป็นรายหัวให้กับประชาชนที่ได้รับการดูแลรักษา เพื่อให้คุณภาพของการดูแลรักษาของแพทย์ต่อผู้เจ็บป่วยดีขึ้น ขณะเดียวกันบัตรทองยังได้เพิ่มโรคในการที่จะได้สิทธิในการรักษาพยาบาลให้ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งเดิมมีหลายโรคที่บัตร 30 บาทฯ ไม่ได้ครอบคลุมการรักษาพยาบาลเอาไว้ รวมไปถึงบัตรทองยังมีการดูแลรักษาพยาบาลในเรื่องของการเจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือได้รับอุบัติเหตุ (ใน 72 ชั่วโมงแรกไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย) สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุที่สุด โดยไม่จําเป็นต้องไปโรงพยาบาลที่ตนเองผูกพันไว้ ดังนั้น รัฐบาลขอยืนยันว่าสิ่งที่ได้มีการดําเนินการในบัตรทอง เป็นความพยายามในการที่จะดูแลและช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย ให้สามารถเข้าถึงบริการและการรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุด ซึ่งรัฐบาลนี้ไม่เคยใช้คําพูดที่จะไปแบ่งแยกคนจนกับคนรวยแต่อย่างใด โดยย้ําโครงการบัตรทองปัจจุบันไม่ได้เป็นการแยกคนรวยออกจากคนจน เป็นการรักษาพยาบาลในมาตรฐานเดียวกัน เว้นผู้ที่เข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนก็ต้องจ่ายในราคาที่แพงตรงนี้ก็เป็นอีกมาตรฐานหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดหรือประเทศไหน
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยัน โครงการบัตรทองปัจจุบันไม่ได้แยกคนรวยออกจากคนจน แต่เป็นการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลดีขึ้น
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
รัฐบาลยืนยัน โครงการบัตรทองปัจจุบันไม่ได้แยกคนรวยออกจากคนจน แต่เป็นการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลดีขึ้น
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยืนยันโครงการบัตรทองปัจจุบันไม่ได้แยกคนรวยออกจากคนจน แต่เป็นการดูแลประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลดีขึ้น และเป็นการรักษาพยาบาลในมาตรฐานเดียวกัน
วันนี้ ( 16 ต.ค. 61 ) เวลา 13.40 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชี้แจงกรณีที่มีนักการเมืองโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกล่าวถึงบัตร 30บาท รักษาทุกโรค หรือบัตรทอง ระบุรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พยายามที่จะแบ่งแยกคนจนกับคนรวมออกจากกัน ในการใช้บัตรดังกล่าวว่า การโพสต์ข้อความดังกล่าวคงเป็นความเข้าใจที่อาจจะไม่ได้มีการศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้ โดยความเป็นจริงแล้วบัตรทองไม่ได้มีลักษณะที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะพื้นฐานมาจากบัตร 30บาท รักษาทุกโรค แต่มีการเพิ่มค่าใช้จ่ายเป็นรายหัวให้กับประชาชนที่ได้รับการดูแลรักษา เพื่อให้คุณภาพของการดูแลรักษาของแพทย์ต่อผู้เจ็บป่วยดีขึ้น ขณะเดียวกันบัตรทองยังได้เพิ่มโรคในการที่จะได้สิทธิในการรักษาพยาบาลให้ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งเดิมมีหลายโรคที่บัตร 30 บาทฯ ไม่ได้ครอบคลุมการรักษาพยาบาลเอาไว้ รวมไปถึงบัตรทองยังมีการดูแลรักษาพยาบาลในเรื่องของการเจ็บป่วยฉุกเฉิน หรือได้รับอุบัติเหตุ (ใน 72 ชั่วโมงแรกไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย) สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุที่สุด โดยไม่จําเป็นต้องไปโรงพยาบาลที่ตนเองผูกพันไว้ ดังนั้น รัฐบาลขอยืนยันว่าสิ่งที่ได้มีการดําเนินการในบัตรทอง เป็นความพยายามในการที่จะดูแลและช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย ให้สามารถเข้าถึงบริการและการรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุด ซึ่งรัฐบาลนี้ไม่เคยใช้คําพูดที่จะไปแบ่งแยกคนจนกับคนรวยแต่อย่างใด โดยย้ําโครงการบัตรทองปัจจุบันไม่ได้เป็นการแยกคนรวยออกจากคนจน เป็นการรักษาพยาบาลในมาตรฐานเดียวกัน เว้นผู้ที่เข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนก็ต้องจ่ายในราคาที่แพงตรงนี้ก็เป็นอีกมาตรฐานหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดหรือประเทศไหน
-------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16114
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม คุมเข้มสั่งตรวจสอบการตั้งโรงงานบ่อขยะไม่โปร่งใส
|
วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม คุมเข้มสั่งตรวจสอบการตั้งโรงงานบ่อขยะไม่โปร่งใส
กรุงเทพฯ 6 มีนาคม 2560 – กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมชี้แจงกรณีชาวบ้านร้องเรียนคัดค้านการทําประชาคมไม่โปร่งใสของโรงงานคัดแยกและฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตราย โดยคาดว่าจะเร่งดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม คุมเข้มสั่งตรวจสอบการตั้งโรงงานบ่อขยะไม่โปร่งใส
วันอังคารที่ 7 มีนาคม 2560
กระทรวงอุตสาหกรรม คุมเข้มสั่งตรวจสอบการตั้งโรงงานบ่อขยะไม่โปร่งใส
กรุงเทพฯ 6 มีนาคม 2560 – กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมชี้แจงกรณีชาวบ้านร้องเรียนคัดค้านการทําประชาคมไม่โปร่งใสของโรงงานคัดแยกและฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตราย โดยคาดว่าจะเร่งดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2230
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ประกาศเลื่อนการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ งวดวันที่ 16 เมษายน 2563 เป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2563
|
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563
ธอส. ประกาศเลื่อนการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ งวดวันที่ 16 เมษายน 2563 เป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2563
ธอส. เลื่อนการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ของธนาคารทั้ง 3 ชุด งวดประจําวันที่ 16 เมษายน 2563 ออกไปเป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 ประกอบด้วย ชุดวิมานเมฆ (หน่วยละ 1 ล้านบาท) ชุดพราวพิมาน (หน่วยละ 10 ล้านบาท) และชุดพิมานมาศ (หน่วยละ 50,000
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลประกาศเปลี่ยนแปลงการออกรางวัลของสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นหน่วยงานที่ดําเนินการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ด้วยนั้น ธอส. พิจารณาแล้วจึงเห็นสมควรให้เลื่อนการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ของธนาคารทั้ง 3 ชุด งวดประจําวันที่ 16 เมษายน 2563 ออกไปเป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 ประกอบด้วย ชุดวิมานเมฆ (หน่วยละ 1 ล้านบาท) ชุดพราวพิมาน (หน่วยละ 10 ล้านบาท) และชุดพิมานมาศ (หน่วยละ 50,000 บาท) และหากมีการเปลี่ยนแปลงวันออกรางวัลเพิ่มเติม ธนาคารจะประกาศให้ลูกค้าทราบล่วงหน้าต่อไป โดย ธอส. จะพิจารณาถึงความปลอดภัยของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แนวทางของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และนโยบายของภาครัฐ ซึ่งการเลื่อนการออกรางวัลในครั้งนี้ จะไม่มีผลกระทบต่อผลตอบแทนและโอกาสในการถูกรางวัลของผู้ซื้อสลากทุกหน่วย ตามเงื่อนไขของสลากออมทรัพย์ ธอส. ในแต่ละชุด สอบถามรายละเอียดหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbank.co.th หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร.0-2645-9000
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. ประกาศเลื่อนการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ งวดวันที่ 16 เมษายน 2563 เป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2563
วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม 2563
ธอส. ประกาศเลื่อนการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ งวดวันที่ 16 เมษายน 2563 เป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2563
ธอส. เลื่อนการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ของธนาคารทั้ง 3 ชุด งวดประจําวันที่ 16 เมษายน 2563 ออกไปเป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 ประกอบด้วย ชุดวิมานเมฆ (หน่วยละ 1 ล้านบาท) ชุดพราวพิมาน (หน่วยละ 10 ล้านบาท) และชุดพิมานมาศ (หน่วยละ 50,000
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ตามที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลประกาศเปลี่ยนแปลงการออกรางวัลของสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดวันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นหน่วยงานที่ดําเนินการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ด้วยนั้น ธอส. พิจารณาแล้วจึงเห็นสมควรให้เลื่อนการออกรางวัลสลากออมทรัพย์ของธนาคารทั้ง 3 ชุด งวดประจําวันที่ 16 เมษายน 2563 ออกไปเป็นวันที่ 2 พฤษภาคม 2563 ประกอบด้วย ชุดวิมานเมฆ (หน่วยละ 1 ล้านบาท) ชุดพราวพิมาน (หน่วยละ 10 ล้านบาท) และชุดพิมานมาศ (หน่วยละ 50,000 บาท) และหากมีการเปลี่ยนแปลงวันออกรางวัลเพิ่มเติม ธนาคารจะประกาศให้ลูกค้าทราบล่วงหน้าต่อไป โดย ธอส. จะพิจารณาถึงความปลอดภัยของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แนวทางของสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และนโยบายของภาครัฐ ซึ่งการเลื่อนการออกรางวัลในครั้งนี้ จะไม่มีผลกระทบต่อผลตอบแทนและโอกาสในการถูกรางวัลของผู้ซื้อสลากทุกหน่วย ตามเงื่อนไขของสลากออมทรัพย์ ธอส. ในแต่ละชุด สอบถามรายละเอียดหรือติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารเพิ่มเติมได้ที่ www.ghbank.co.th หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร.0-2645-9000
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27869
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เปิดศูนย์ให้บริการ SMEs-ITC นิคมฯ ลำพูน ผนึกเครือข่ายจังหวัด ปั้น เอสเอ็มอี-สตาร์ทอัพเข้มแข็ง
|
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เปิดศูนย์ให้บริการ SMEs-ITC นิคมฯ ลําพูน ผนึกเครือข่ายจังหวัด ปั้น เอสเอ็มอี-สตาร์ทอัพเข้มแข็ง
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดศูนย์ SMEs Industry Transformation Center หรือ ศูนย์ SMEs–ITC ที่นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลําพูน ณ สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลําพูน
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดศูนย์ SMEs Industry Transformation Center หรือ ศูนย์ SMEs–ITC ที่นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลําพูน ณ สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลําพูน
โดยมีนางเบญจมาพร เอกฉัตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายอุดม สอนจิตต์ อุตสาหกรรมจังหวัดลําพูน นางจันทรรัตน์ ปิยพัทธไชย อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเปิดงาน และนางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ให้การต้อนรับ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ศูนย์ SMEs Industry Transformation Center หรือ SMEs-ITC ที่จังหวัดลําพูน ศูนย์แห่งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ร่วมกับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมภาคเหนือ สํานักงานพาณิชย์จังหวัดลําพูน และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการทํางานร่วมกันเพื่อส่งเสริมและผลักดันผู้ประกอบการในพื้นที่ทั้งกลุ่ม SMEs และ Startup หน้าใหม่ที่มีศักยภาพ ให้สามารถเติบโตแข่งขันได้ในระดับสากล พร้อมทั้งปรับตัวให้ก้าวทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
ศูนย์ SMEs Industry Transformation Center หรือ SMEs-ITC เป็นรูปแบบหนึ่งของศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม หรือ ITC ซึ่งเป็น 1 ใน 9 มาตรการ ด้านส่งเสริมพัฒนา SMEs ของกระทรวงอุตสาหกรรม
และเป็นเครื่องมือและกลไกสําคัญในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ที่จะช่วยอํานวยความสะดวกแก่ SMEs ที่ต้องการปฏิรูปและปรับเปลี่ยนธุรกิจของตนเองผ่านกระบวนการ Transformation ตาม Platform ต่างๆ ที่เหมาะสม โดย ITC จะเข้ามาร่วมพัฒนาและผลักดันให้เกิดการต่อยอดนวัตกรรมหรืองานวิจัยให้ไปสู่เชิงพาณิชย์ได้และที่สําคัญ คือ แต่ละแห่งจะมีรูปแบบการให้บริการที่แตกต่างกันจะเน้นด้านที่มีความสอดคล้องกับศักยภาพ และความต้องการของพื้นที่เป็นหลักโดยมีกระบวนการส่งเสริม SMEs ที่สําคัญ คือ 1. ITC ช่วยเหลือ SMEs ตั้งแต่การวิเคราะห์และคัดเลือกผลิตภัณฑ์การให้บริการทางวิศวกรรม การหาผู้รับจ้างผลิต การทดสอบและรับรองมาตรฐาน ไปจนถึงการทดสอบตลาด 2. ITC เปรียบเหมือนกับผู้ช่วยทางวิศวกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งยังบ่มเพาะให้SMEs สามารถนําไปประยุกต์ใช้ พัฒนา และดําเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต 3. ITC อาศัยการดําเนินงานตามแนวทางประชารัฐ โดยอาศัยความชํานาญในการออกแบบและวิศวกรรมของหน่วยงานเครือข่ายต่างๆ มาให้บริการแก่ SMEs ในลักษณะเป็นพี่เลี้ยง หรือ Big Brother
โดยให้บริการเครื่องจักรและอุปกรณ์แก่ SMEs โดยไม่จําเป็นต้องไปลงทุนด้วยตนเองก่อนที่จะได้ผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 หรือ ITC ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม และนิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวม 23 แห่งทั่วประเทศ และมีการให้บริการโดยการจัดตั้ง ITC ระดับจังหวัด หรือ Mini ITC เพื่อช่วยเหลือ SMEs ทั่วประเทศในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
สําหรับศูนย์ SMEs-ITC ณ นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลําพูน ถือเป็นแห่งที่ 2 ที่อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของ กนอ. ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับมอบนโยบายให้ดําเนินการจัดตั้งศูนย์ SMEs Industry Transformation Center หรือ SMEs-ITC ขึ้นในนิคมอุตสาหกรรม โดยนําร่องในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังเป็นแห่งแรก ซึ่งได้มีการจัดพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อปลายปี 2560 และจะมีการเปิดศูนย์ SMEs-ITC ในนิคมอุตสาหกรรมในลําดับต่อๆ ไปอีกด้วย
#นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ# ITC#ช่วยเหลือ SMEs#prindustry
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เปิดศูนย์ให้บริการ SMEs-ITC นิคมฯ ลำพูน ผนึกเครือข่ายจังหวัด ปั้น เอสเอ็มอี-สตาร์ทอัพเข้มแข็ง
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561
รัฐมนตรีช่วย สมชายฯ เปิดศูนย์ให้บริการ SMEs-ITC นิคมฯ ลําพูน ผนึกเครือข่ายจังหวัด ปั้น เอสเอ็มอี-สตาร์ทอัพเข้มแข็ง
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดศูนย์ SMEs Industry Transformation Center หรือ ศูนย์ SMEs–ITC ที่นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลําพูน ณ สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลําพูน
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2561) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดศูนย์ SMEs Industry Transformation Center หรือ ศูนย์ SMEs–ITC ที่นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลําพูน ณ สํานักงานนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลําพูน
โดยมีนางเบญจมาพร เอกฉัตร ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายอุดม สอนจิตต์ อุตสาหกรรมจังหวัดลําพูน นางจันทรรัตน์ ปิยพัทธไชย อุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเปิดงาน และนางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ให้การต้อนรับ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ศูนย์ SMEs Industry Transformation Center หรือ SMEs-ITC ที่จังหวัดลําพูน ศูนย์แห่งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ร่วมกับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมภาคเหนือ สํานักงานพาณิชย์จังหวัดลําพูน และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการทํางานร่วมกันเพื่อส่งเสริมและผลักดันผู้ประกอบการในพื้นที่ทั้งกลุ่ม SMEs และ Startup หน้าใหม่ที่มีศักยภาพ ให้สามารถเติบโตแข่งขันได้ในระดับสากล พร้อมทั้งปรับตัวให้ก้าวทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
ศูนย์ SMEs Industry Transformation Center หรือ SMEs-ITC เป็นรูปแบบหนึ่งของศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม หรือ ITC ซึ่งเป็น 1 ใน 9 มาตรการ ด้านส่งเสริมพัฒนา SMEs ของกระทรวงอุตสาหกรรม
และเป็นเครื่องมือและกลไกสําคัญในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ที่จะช่วยอํานวยความสะดวกแก่ SMEs ที่ต้องการปฏิรูปและปรับเปลี่ยนธุรกิจของตนเองผ่านกระบวนการ Transformation ตาม Platform ต่างๆ ที่เหมาะสม โดย ITC จะเข้ามาร่วมพัฒนาและผลักดันให้เกิดการต่อยอดนวัตกรรมหรืองานวิจัยให้ไปสู่เชิงพาณิชย์ได้และที่สําคัญ คือ แต่ละแห่งจะมีรูปแบบการให้บริการที่แตกต่างกันจะเน้นด้านที่มีความสอดคล้องกับศักยภาพ และความต้องการของพื้นที่เป็นหลักโดยมีกระบวนการส่งเสริม SMEs ที่สําคัญ คือ 1. ITC ช่วยเหลือ SMEs ตั้งแต่การวิเคราะห์และคัดเลือกผลิตภัณฑ์การให้บริการทางวิศวกรรม การหาผู้รับจ้างผลิต การทดสอบและรับรองมาตรฐาน ไปจนถึงการทดสอบตลาด 2. ITC เปรียบเหมือนกับผู้ช่วยทางวิศวกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งยังบ่มเพาะให้SMEs สามารถนําไปประยุกต์ใช้ พัฒนา และดําเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต 3. ITC อาศัยการดําเนินงานตามแนวทางประชารัฐ โดยอาศัยความชํานาญในการออกแบบและวิศวกรรมของหน่วยงานเครือข่ายต่างๆ มาให้บริการแก่ SMEs ในลักษณะเป็นพี่เลี้ยง หรือ Big Brother
โดยให้บริการเครื่องจักรและอุปกรณ์แก่ SMEs โดยไม่จําเป็นต้องไปลงทุนด้วยตนเองก่อนที่จะได้ผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 หรือ ITC ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สถาบันเครือข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรม และนิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวม 23 แห่งทั่วประเทศ และมีการให้บริการโดยการจัดตั้ง ITC ระดับจังหวัด หรือ Mini ITC เพื่อช่วยเหลือ SMEs ทั่วประเทศในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
สําหรับศูนย์ SMEs-ITC ณ นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลําพูน ถือเป็นแห่งที่ 2 ที่อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของ กนอ. ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับมอบนโยบายให้ดําเนินการจัดตั้งศูนย์ SMEs Industry Transformation Center หรือ SMEs-ITC ขึ้นในนิคมอุตสาหกรรม โดยนําร่องในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังเป็นแห่งแรก ซึ่งได้มีการจัดพิธีเปิดอย่างเป็นทางการไปเมื่อปลายปี 2560 และจะมีการเปิดศูนย์ SMEs-ITC ในนิคมอุตสาหกรรมในลําดับต่อๆ ไปอีกด้วย
#นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ# ITC#ช่วยเหลือ SMEs#prindustry
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17026
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ติดตามความคืบหน้า การเชื่อมโยงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในจังหวัดเพชรบูรณ์เกษตรกรพอใจในราคา พร้อมแนะกลุ่มเกษตรผู้ปลูกข้าวหันมาปลูกผักอินทรีย์ส่งขายโมเดิร์นเทรด
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2560
พาณิชย์ติดตามความคืบหน้า การเชื่อมโยงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในจังหวัดเพชรบูรณ์เกษตรกรพอใจในราคา พร้อมแนะกลุ่มเกษตรผู้ปลูกข้าวหันมาปลูกผักอินทรีย์ส่งขายโมเดิร์นเทรด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอภิรดี ตันตราภรณ์) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้นําคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์เพื่อติดตามความก้าวหน้าของ “โมเดลไตรภาคี”
โดยเดินทางไปพบปะกับพี่น้องประชาชนที่สหกรณ์การเกษตรหนองไผ่ (สาขาท่าแดง) จํากัด อําเภอหนองไผ่ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดําเนินการเชื่อมโยงตลาดสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนชี้แจงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งรับฟังปัญหาข้อเสนอของเกษตรกรและผู้ประกอบการ พบว่าเกษตรกรพอใจในราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ขายได้จากการที่กระทรวงพาณิชย์ได้นํา “โมเดลไตรภาคี” เข้ามาบริหารจัดการ โดยราคาผลผลิตที่เกษตรกรขายได้จะอยู่ที่ระหว่าง 7.50 – 7.70 บาท/กิโลกรัม ซึ่งถือได้ว่าเป็นราคาที่เหมาะสม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวต่อไปอีกว่า จากการติดตามความก้าวหน้าในการเชื่อมโยงตลาดสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของจังหวัดเพชรบูรณ์ระหว่างเดือนกันยายน – ตุลาคม 2560 พบว่ามีการเชื่อมโยงในพื้นที่แล้วกว่า 14,000 ตัน ซึ่งถือว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในนําการเชื่อมโยงนี้เป็นตัวอย่างไปขยายผลในจังหวัดอื่นต่อไป จนถึงปัจจุบันขยายผลไปแล้วใน 15 จังหวัด โดยมีการเชื่อมโยงแล้วกว่า 5 แสนตัน และจะดําเนินการเชื่อมโยงตลาดในลักษณะนี้กับสินค้าเกษตรสําคัญอื่นๆ เช่น ข้าว และมันสําปะหลัง ต่อไป นอกจากนั้นแล้ว ยังได้ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับทราบผลการดําเนินงานของรัฐบาล อาทิ การกําหนดสัดส่วนนําเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน ต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ 3 ส่วน การขอความร่วมมือโรงงานอาหารสัตว์เพิ่มปริมาณการรับซื้อ การแก้ปัญหาติดคิวที่หน้าโรงงานรับซื้อ และการเพิ่มช่องทางพิเศษให้เกษตรกรสามารถนําผลผลิตไปจําหน่ายได้โดยตรง สําหรับข้อเสนอแนะจากการลงพื้นที่ซึ่งเกษตรกรและผู้ประกอบการได้ฝากให้รัฐบาลนําไปพิจารณาดําเนินการ อาทิ การพิจารณาปรับเพิ่มปริมาณกําหนดผลผลิตต่อไร่ของสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ผลผลิตในระดับพื้นที่ ซึ่งจะทําให้เกษตรกรสามารถขายผลผลิตที่ผลิตบนพื้นที่ ที่มีเอกสารสิทธิ์ได้มากขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งข้อเสนอแนะดังกล่าวให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดําเนินการพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมโครงการกรีนมาร์เก็ต ที่สหกรณ์ผลิตผักน้ําดุกใต้ อ.หล่มสัก ซึ่งเป็นการดําเนินโครงการส่งเสริมการตลาดในรูปแบบของคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน หรือ “ประชารัฐ” โดยได้น้อมนําหลักคิดตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และหลักปฏิบัติเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 มาเป็นกรอบในการดําเนินงาน ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการรวมตัวของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวซึ่งหันมาปลูกพืชผักปลอดภัยแทน เนื่องจากมีรายได้ดีกว่า ปัจจุบันมีกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมมากกว่า 93 กลุ่ม มีสมาชิกมากกว่า 1,000 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 11 อําเภอ กระทรวงพาณิชย์ได้เชื่อมโยงการตลาด โดยประสานผู้ประกอบการ Modern Trade ให้เข้ามาช่วยรับซื้อ อาทิ ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต บริษัทในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป และเครือเดอะมอลล์ รวมทั้งได้มอบหมายกรมการค้าภายในร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการผลักดันการปลูกพืชผักปลอดภัยให้ยกระดับเข้าสู่กระบวนการผลิตแบบ Organic พร้อมทั้งสนับสนุนให้นําสินค้าไปเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์ระดับโลกซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2561 ที่กรุงเทพฯ และมอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดร่วมกับเกษตรจังหวัดนําโมเดลกรีนมาร์เก็ตเพชรบูรณ์ไปขยายผลให้เกษตรกรในจังหวัดอื่นหันมาเพาะปลูกพืชผักปลอดภัยซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด ทําให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้นและเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรที่เคยปลูกข้าวหันมาพิจารณาทางเลือกอื่นในการทําการเกษตร เพื่อลดพื้นที่ปลูกข้าวตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พาณิชย์ติดตามความคืบหน้า การเชื่อมโยงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในจังหวัดเพชรบูรณ์เกษตรกรพอใจในราคา พร้อมแนะกลุ่มเกษตรผู้ปลูกข้าวหันมาปลูกผักอินทรีย์ส่งขายโมเดิร์นเทรด
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤศจิกายน 2560
พาณิชย์ติดตามความคืบหน้า การเชื่อมโยงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในจังหวัดเพชรบูรณ์เกษตรกรพอใจในราคา พร้อมแนะกลุ่มเกษตรผู้ปลูกข้าวหันมาปลูกผักอินทรีย์ส่งขายโมเดิร์นเทรด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอภิรดี ตันตราภรณ์) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้นําคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์เพื่อติดตามความก้าวหน้าของ “โมเดลไตรภาคี”
โดยเดินทางไปพบปะกับพี่น้องประชาชนที่สหกรณ์การเกษตรหนองไผ่ (สาขาท่าแดง) จํากัด อําเภอหนองไผ่ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดําเนินการเชื่อมโยงตลาดสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนชี้แจงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งรับฟังปัญหาข้อเสนอของเกษตรกรและผู้ประกอบการ พบว่าเกษตรกรพอใจในราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ขายได้จากการที่กระทรวงพาณิชย์ได้นํา “โมเดลไตรภาคี” เข้ามาบริหารจัดการ โดยราคาผลผลิตที่เกษตรกรขายได้จะอยู่ที่ระหว่าง 7.50 – 7.70 บาท/กิโลกรัม ซึ่งถือได้ว่าเป็นราคาที่เหมาะสม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวต่อไปอีกว่า จากการติดตามความก้าวหน้าในการเชื่อมโยงตลาดสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของจังหวัดเพชรบูรณ์ระหว่างเดือนกันยายน – ตุลาคม 2560 พบว่ามีการเชื่อมโยงในพื้นที่แล้วกว่า 14,000 ตัน ซึ่งถือว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในนําการเชื่อมโยงนี้เป็นตัวอย่างไปขยายผลในจังหวัดอื่นต่อไป จนถึงปัจจุบันขยายผลไปแล้วใน 15 จังหวัด โดยมีการเชื่อมโยงแล้วกว่า 5 แสนตัน และจะดําเนินการเชื่อมโยงตลาดในลักษณะนี้กับสินค้าเกษตรสําคัญอื่นๆ เช่น ข้าว และมันสําปะหลัง ต่อไป นอกจากนั้นแล้ว ยังได้ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้รับทราบผลการดําเนินงานของรัฐบาล อาทิ การกําหนดสัดส่วนนําเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน ต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ 3 ส่วน การขอความร่วมมือโรงงานอาหารสัตว์เพิ่มปริมาณการรับซื้อ การแก้ปัญหาติดคิวที่หน้าโรงงานรับซื้อ และการเพิ่มช่องทางพิเศษให้เกษตรกรสามารถนําผลผลิตไปจําหน่ายได้โดยตรง สําหรับข้อเสนอแนะจากการลงพื้นที่ซึ่งเกษตรกรและผู้ประกอบการได้ฝากให้รัฐบาลนําไปพิจารณาดําเนินการ อาทิ การพิจารณาปรับเพิ่มปริมาณกําหนดผลผลิตต่อไร่ของสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ผลผลิตในระดับพื้นที่ ซึ่งจะทําให้เกษตรกรสามารถขายผลผลิตที่ผลิตบนพื้นที่ ที่มีเอกสารสิทธิ์ได้มากขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งข้อเสนอแนะดังกล่าวให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดําเนินการพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมโครงการกรีนมาร์เก็ต ที่สหกรณ์ผลิตผักน้ําดุกใต้ อ.หล่มสัก ซึ่งเป็นการดําเนินโครงการส่งเสริมการตลาดในรูปแบบของคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน หรือ “ประชารัฐ” โดยได้น้อมนําหลักคิดตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และหลักปฏิบัติเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชรัชกาลที่ 9 มาเป็นกรอบในการดําเนินงาน ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการรวมตัวของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกข้าวซึ่งหันมาปลูกพืชผักปลอดภัยแทน เนื่องจากมีรายได้ดีกว่า ปัจจุบันมีกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมมากกว่า 93 กลุ่ม มีสมาชิกมากกว่า 1,000 ราย ครอบคลุมพื้นที่ 11 อําเภอ กระทรวงพาณิชย์ได้เชื่อมโยงการตลาด โดยประสานผู้ประกอบการ Modern Trade ให้เข้ามาช่วยรับซื้อ อาทิ ท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต บริษัทในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป และเครือเดอะมอลล์ รวมทั้งได้มอบหมายกรมการค้าภายในร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการผลักดันการปลูกพืชผักปลอดภัยให้ยกระดับเข้าสู่กระบวนการผลิตแบบ Organic พร้อมทั้งสนับสนุนให้นําสินค้าไปเข้าร่วมงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์ระดับโลกซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2561 ที่กรุงเทพฯ และมอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดร่วมกับเกษตรจังหวัดนําโมเดลกรีนมาร์เก็ตเพชรบูรณ์ไปขยายผลให้เกษตรกรในจังหวัดอื่นหันมาเพาะปลูกพืชผักปลอดภัยซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด ทําให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้นและเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรที่เคยปลูกข้าวหันมาพิจารณาทางเลือกอื่นในการทําการเกษตร เพื่อลดพื้นที่ปลูกข้าวตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7938
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ลงพื้นที่ร่วมกับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ตรวจราชการพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กลุ่มกรุงธนใต้ เขตบางแค และเขตบางขุนเทียน)
|
วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562
ลงพื้นที่ร่วมกับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ตรวจราชการพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กลุ่มกรุงธนใต้ เขตบางแค และเขตบางขุนเทียน)
ในอดีตนั้น ชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนเป็นแนวชายฝั่งที่มีความสมบูรณ์ที่มีทั้งพืชพรรณและสัตว์นานาชนิด โดยดํารงชีวิตในสภาพแวดล้อม ที่เป็นดินเลน น้ํากร่อย และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ตัวอ่อนของสัตว์น้ําหลายชนิด ทั้งกุ้ง หอย ปู
วันที่13 กุมภาพันธ์ 2562นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะรัฐมนตรี นําโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีตรวจราชการพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กลุ่มกรุงธนใต้ เขตบางแค และเขตบางขุนเทียน)
เวลา 13.00 น. ณ ตลาดบางแค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมติดตาม การแก้ไขปัญหาการจราจร บนถนนเพชรเกษมช่วงตลาดบางแค เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่
เวลา 14.30 น. ณ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางขุนเทียน รมว.กก. ได้ร่วมตรวจเยี่ยมแนวทางการแก้ปัญหาน้ําทะเลกัดเซาะชายฝั่งบางขุนเทียน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวความตอนหนึ่งว่า“ในอดีตนั้น ชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนเป็นแนวชายฝั่งที่มีความสมบูรณ์ที่มีทั้งพืชพรรณและสัตว์นานาชนิด โดยดํารงชีวิตในสภาพแวดล้อม ที่เป็นดินเลน น้ํากร่อย และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ตัวอ่อนของสัตว์น้ําหลายชนิด ทั้งกุ้ง หอย ปู ปัจจุบันระบบการคมนาคมมีความสะดวก ทําให้การเดินทางง่าย ระยะทางไม่ไกล ที่สําคัญยังสามารถมาทํากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติหรือเชิงนิเวศได้ด้วย อีกทั้งรัฐบาลดําเนินการฟื้นฟูและบํารุงรักษาป่าชายเลนให้กลับคืนสู่สภาพเดิมที่มีความสมดุล ของระบบนิเวศและให้เป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สําคัญของกรุงเทพฯ” ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่เสียสละ และมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตามพระราโชบายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ขอให้สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ทรัพยากรที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์แก่ท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเช่นเดียวกับทะเล บางขุนเทียน ทุกคนต้องสามารถใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งดูแลประมงพื้นบ้านที่ต้องสอดคล้องกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งบางขุนเทียนเป็นทั้งแหล่งอาหารและการท่องเที่ยวทางเรือ
เวลาต่อมา รมว.กก. ได้ร่วมกิจกกรมปลูกป่าชายเลนในโครงการ“เพิ่มและขยายพันธุ์ไม้ป่าชายเลน”เพื่อป้องกันปัญหาน้ําทะเลกัดเซาะชายฝั่งบางขุนเทียน ณ จุดชมวิวป่าชายเลนทะเลกรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ลงพื้นที่ร่วมกับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ตรวจราชการพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กลุ่มกรุงธนใต้ เขตบางแค และเขตบางขุนเทียน)
วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562
ลงพื้นที่ร่วมกับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ตรวจราชการพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กลุ่มกรุงธนใต้ เขตบางแค และเขตบางขุนเทียน)
ในอดีตนั้น ชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนเป็นแนวชายฝั่งที่มีความสมบูรณ์ที่มีทั้งพืชพรรณและสัตว์นานาชนิด โดยดํารงชีวิตในสภาพแวดล้อม ที่เป็นดินเลน น้ํากร่อย และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ตัวอ่อนของสัตว์น้ําหลายชนิด ทั้งกุ้ง หอย ปู
วันที่13 กุมภาพันธ์ 2562นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ลงพื้นที่ร่วมกับคณะรัฐมนตรี นําโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีตรวจราชการพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กลุ่มกรุงธนใต้ เขตบางแค และเขตบางขุนเทียน)
เวลา 13.00 น. ณ ตลาดบางแค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมติดตาม การแก้ไขปัญหาการจราจร บนถนนเพชรเกษมช่วงตลาดบางแค เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่
เวลา 14.30 น. ณ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางขุนเทียน รมว.กก. ได้ร่วมตรวจเยี่ยมแนวทางการแก้ปัญหาน้ําทะเลกัดเซาะชายฝั่งบางขุนเทียน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวความตอนหนึ่งว่า“ในอดีตนั้น ชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนเป็นแนวชายฝั่งที่มีความสมบูรณ์ที่มีทั้งพืชพรรณและสัตว์นานาชนิด โดยดํารงชีวิตในสภาพแวดล้อม ที่เป็นดินเลน น้ํากร่อย และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ตัวอ่อนของสัตว์น้ําหลายชนิด ทั้งกุ้ง หอย ปู ปัจจุบันระบบการคมนาคมมีความสะดวก ทําให้การเดินทางง่าย ระยะทางไม่ไกล ที่สําคัญยังสามารถมาทํากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติหรือเชิงนิเวศได้ด้วย อีกทั้งรัฐบาลดําเนินการฟื้นฟูและบํารุงรักษาป่าชายเลนให้กลับคืนสู่สภาพเดิมที่มีความสมดุล ของระบบนิเวศและให้เป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่สําคัญของกรุงเทพฯ” ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนที่เสียสละ และมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตามพระราโชบายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ขอให้สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ทรัพยากรที่มีอยู่ ให้เกิดประโยชน์แก่ท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเช่นเดียวกับทะเล บางขุนเทียน ทุกคนต้องสามารถใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งดูแลประมงพื้นบ้านที่ต้องสอดคล้องกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งบางขุนเทียนเป็นทั้งแหล่งอาหารและการท่องเที่ยวทางเรือ
เวลาต่อมา รมว.กก. ได้ร่วมกิจกกรมปลูกป่าชายเลนในโครงการ“เพิ่มและขยายพันธุ์ไม้ป่าชายเลน”เพื่อป้องกันปัญหาน้ําทะเลกัดเซาะชายฝั่งบางขุนเทียน ณ จุดชมวิวป่าชายเลนทะเลกรุงเทพฯ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18890
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งเร่งช่วยเหลือเด็กชาย 2 พี่น้องถูกทอดทิ้ง พร้อมกำชับทุกจังหวัดเอ็กซเรย์ทุกพื้นที่ วอนคนไทยร่วมแจ้งเบาะแส
|
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561
นายกฯ สั่งเร่งช่วยเหลือเด็กชาย 2 พี่น้องถูกทอดทิ้ง พร้อมกําชับทุกจังหวัดเอ็กซเรย์ทุกพื้นที่ วอนคนไทยร่วมแจ้งเบาะแส
นายกฯ สั่งเร่งช่วยเหลือเด็กชาย 2 พี่น้องถูกทอดทิ้ง พร้อมกําชับทุกจังหวัดเอ็กซเรย์ทุกพื้นที่ วอนคนไทยร่วมแจ้งเบาะแส
วันที่ 17 ธันวาคม 2561 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการด่วนให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปให้ความช่วยเหลือเด็กชายวัย 10 ขวบ และน้องชายวัย 1 ปี 5 เดือน ที่ถูกทิ้งไว้ในบ้านเช่าหลังหนึ่งใน อ.เมือง จ.อํานาจเจริญ พร้อมทั้งติดตามหาแม่ของเด็กทั้ง 2 คน หลังมีการแชร์ข่าวในโซเชียลมีเดีย
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนสิ่งจําเป็นในการดํารงชีวิตอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะสิทธิอันพึงมีพึงได้ขั้นพื้นฐานของประชาชน เนื่องจากได้รับรายงานว่า เด็กชายวัย 10 ขวบไม่มีที่เรียน ที่อยู่อาศัยไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีอาหาร และไม่มีคนดูแล พร้อมทั้งย้ําว่าการดูแลผู้ยากไร้และผู้มีรายได้น้อยเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสําคัญอย่างมาก เพื่อให้หลุดพ้นจากวงจรความยากลําบากและบรรเทาภาระค่าครองชีพ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บ้านประชารัฐเพื่อผู้มีรายได้น้อย และการสงเคราะห์ผู้ยากไร้ทุกรูปแบบ
"นายกฯ กําชับให้ทุกจังหวัดเอ็กซเรย์ตรวจสอบในพื้นที่ว่า มีผู้ยากไร้โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนถูกทอดทิ้งไว้ตามลําพังหรือไม่ หากพบให้เร่งช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน อย่าปล่อยให้เด็กหมดอนาคต ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นอนาคตของชาติ ขณะเดียวกันขอให้ประชาชนที่พบเห็นผู้ยากไร้หรือด้อยโอกาสแจ้งข้อมูลไปยังรัฐบาลหรือหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยทันที"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งเร่งช่วยเหลือเด็กชาย 2 พี่น้องถูกทอดทิ้ง พร้อมกำชับทุกจังหวัดเอ็กซเรย์ทุกพื้นที่ วอนคนไทยร่วมแจ้งเบาะแส
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561
นายกฯ สั่งเร่งช่วยเหลือเด็กชาย 2 พี่น้องถูกทอดทิ้ง พร้อมกําชับทุกจังหวัดเอ็กซเรย์ทุกพื้นที่ วอนคนไทยร่วมแจ้งเบาะแส
นายกฯ สั่งเร่งช่วยเหลือเด็กชาย 2 พี่น้องถูกทอดทิ้ง พร้อมกําชับทุกจังหวัดเอ็กซเรย์ทุกพื้นที่ วอนคนไทยร่วมแจ้งเบาะแส
วันที่ 17 ธันวาคม 2561 นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการด่วนให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปให้ความช่วยเหลือเด็กชายวัย 10 ขวบ และน้องชายวัย 1 ปี 5 เดือน ที่ถูกทิ้งไว้ในบ้านเช่าหลังหนึ่งใน อ.เมือง จ.อํานาจเจริญ พร้อมทั้งติดตามหาแม่ของเด็กทั้ง 2 คน หลังมีการแชร์ข่าวในโซเชียลมีเดีย
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนสิ่งจําเป็นในการดํารงชีวิตอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะสิทธิอันพึงมีพึงได้ขั้นพื้นฐานของประชาชน เนื่องจากได้รับรายงานว่า เด็กชายวัย 10 ขวบไม่มีที่เรียน ที่อยู่อาศัยไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีอาหาร และไม่มีคนดูแล พร้อมทั้งย้ําว่าการดูแลผู้ยากไร้และผู้มีรายได้น้อยเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสําคัญอย่างมาก เพื่อให้หลุดพ้นจากวงจรความยากลําบากและบรรเทาภาระค่าครองชีพ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บ้านประชารัฐเพื่อผู้มีรายได้น้อย และการสงเคราะห์ผู้ยากไร้ทุกรูปแบบ
"นายกฯ กําชับให้ทุกจังหวัดเอ็กซเรย์ตรวจสอบในพื้นที่ว่า มีผู้ยากไร้โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนถูกทอดทิ้งไว้ตามลําพังหรือไม่ หากพบให้เร่งช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน อย่าปล่อยให้เด็กหมดอนาคต ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นอนาคตของชาติ ขณะเดียวกันขอให้ประชาชนที่พบเห็นผู้ยากไร้หรือด้อยโอกาสแจ้งข้อมูลไปยังรัฐบาลหรือหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยทันที"
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17541
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย.ฉลองชัย 25 ปี ค้ำประกันสินเชื่อ 7 แสนล้านบาท
|
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2561
บสย.ฉลองชัย 25 ปี ค้ําประกันสินเชื่อ 7 แสนล้านบาท
บสย.ดําเนินงานครบรอบ 25 ปี จึงได้จัดงาน ครบรอบ 25 ปี บสย. ภายใต้แนวคิด “SUCCESS TOGETHER” เพื่อประกาศผลสําเร็จการดําเนินงานค้ําประกันสินเชื่อ ตลอดระยะเวลา 25 ปี โดยมียอดอนุมัติค้ําประกันสะสม ณ 31 พฤษภาคม 2561 กว่า 7 แสนล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถ
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ฉลองชัย 25 ปี หนุน SMEs เข้าถึงสินเชื่อกว่า 3 แสนราย วงเงินอนุมัติค้ําประกันกว่า 7 แสนล้านบาท สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1.74 ล้านล้านบาท ทีดีอาร์ไอ เผยผลวิจัย ”ค้ําประกันสินเชื่อ” สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาล เดินหน้านโยบายพลังประชารัฐ ผนึกแบงก์รัฐ ลงนาม 2 โครงการค้ําประกันสินเชื่อ “สินเชื่อประชารัฐ” และ “สินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ”
นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ บสย. หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลัง มีบทบาทสําคัญด้านการค้ําประกันสินเชื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งทุน ได้ดําเนินงานครบรอบ 25 ปี จึงได้จัดงาน ครบรอบ 25 ปี บสย. ภายใต้แนวคิด “SUCCESS TOGETHER” เพื่อประกาศผลสําเร็จการดําเนินงานค้ําประกันสินเชื่อ ตลอดระยะเวลา 25 ปี โดยมียอดอนุมัติค้ําประกันสะสม ณ 31 พฤษภาคม 2561 กว่า 7 แสนล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อจํานวน 324,000 ราย
โครงการค้ําประกันสินเชื่อ ที่ประสบความสําเร็จ ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs สําหรับผู้ประสบภัย, โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs Transformation Loan และโครงการค้ําประกันสินเชื่อ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากสถาบันการเงิน และรัฐบาลให้การสนับสนุนต่อเนื่อง คือ โครงการค้ําประกันสินเชื่อแบบ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 1-6 (PGS 1- 6) ที่ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ เติบโตอย่างมั่นคง ลดการพึ่งพาเงินนอกระบบ
ภายใต้ยุทธศาตร์การดําเนินงานของ บสย. ที่มุ่งเน้นการทํางานแบบบูรณาการร่วมกับคู่พันธมิตร ในวันนี้ บสย. และสถาบันการเงินของรัฐ ยังได้ผนึกกําลังร่วมกัน ดําเนินโครงการตอบสนองแผนงานของรัฐบาล ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs จัดให้มีพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อดําเนินโครงการ ให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อและค้ําประกันสินเชื่อกับผู้ประกอบการ SMEs รวม 2 โครงการคือ 1. โครงการสินเชื่อประชารัฐ ระหว่าง ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) กับ บสย. และ 2. โครงการสินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยความร่วมมือระหว่าง ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย กับ บสย. เพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ โดยมี บสย.ค้ําประกัน
ในโอกาสครบรอบ 25 ปี บสย. ได้เชิญ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) นําเสนอผลการศึกษา เรื่อง “ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จากการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน” โดย ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อํานวยการวิจัย ด้านการบริการจัดการระบบเศรษฐกิจ ทีดีอาร์ไอ, ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการ และนายวัชรินทร์ ตันติสันต์ นักวิจัยอาวุโส
รายงานผลการศึกษา ในปี พ.ศ. 2558 ระบุว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2552 - 2558 งบประมาณที่รัฐจัดสรรให้ บสย. นํามาใช้ในการค้ําประกันสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ทุกๆ 1 บาท ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจสูงกว่า 4.5 เท่าของวงเงินค้ําประกัน ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม รวม 1.74 ล้านล้านบาท และพบว่า การค้ําประกันสินเชื่อของ บสย. ยังช่วยให้สินเชื่อที่สถาบันการเงินปล่อยให้ SMEs เกิดการขยายตัว 1.7 เท่า ของวงเงินค้ําประกันสินเชื่อ เกิดการจ้างงานจํานวน 3.6 ล้านราย และมีเงินภาษีกลับเข้าสู่รัฐกว่า 2.25 แสนล้านบาท ในด้านสัดส่วนความคุ้มค่าทางการเงิน หรือ Cost-Benefit Ratio จะมีค่าสัมประสิทธิ์ เท่ากับ 0.009 ซึ่งหมายถึง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการค้ําประกัน 100 บาท เกิดจากการใช้ต้นทุนรัฐเพียง 90 สตางค์
นายสุรชัย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 25 ปีของ บสย. ได้ดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ค้ําประกันสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ทําหน้าที่เป็นตัวกลาง เชื่อมโยงผู้ประกอบการ SMEs กับสถาบันการเงินหน่วยงานพันธมิตรหลายภาคส่วน หอการค้า คลังจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด เครดิตบูโร และคู่ความร่วมมือในระดับภูมิภาคร่วมกับ 11 สํานักงานสาขา ผลักดันให้ผู้ประกอบการ SMEs เติบโต แข็งแรง และเป็นฐานรากสําคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
“ก้าวต่อไปของ บสย. มุ่งให้ความสําคัญกับการพัฒนาความเข้มแข็งทางการเงิน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ SMEs สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้งปรับกลยุทธ์การดําเนินงานให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ THAILAND 4.0 ก้าวสู่ยุค Digital Economy สู่การพัฒนานวัตกรรมด้านการค้ําประกันสินเชื่อ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ” นายสุรชัย กล่าว
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2890 9999
ชนิญญา สันสมภาค 081-860-7477 chaninya@tcg.or.th
ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 saranyu@tcg.or.th
วิชุดา ก้องกีรติ 089-605-9870 wichuda@tcg.or.th
www.facebook.com/tcg.or.th www.tcg.or.th
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย.ฉลองชัย 25 ปี ค้ำประกันสินเชื่อ 7 แสนล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน 2561
บสย.ฉลองชัย 25 ปี ค้ําประกันสินเชื่อ 7 แสนล้านบาท
บสย.ดําเนินงานครบรอบ 25 ปี จึงได้จัดงาน ครบรอบ 25 ปี บสย. ภายใต้แนวคิด “SUCCESS TOGETHER” เพื่อประกาศผลสําเร็จการดําเนินงานค้ําประกันสินเชื่อ ตลอดระยะเวลา 25 ปี โดยมียอดอนุมัติค้ําประกันสะสม ณ 31 พฤษภาคม 2561 กว่า 7 แสนล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถ
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ฉลองชัย 25 ปี หนุน SMEs เข้าถึงสินเชื่อกว่า 3 แสนราย วงเงินอนุมัติค้ําประกันกว่า 7 แสนล้านบาท สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1.74 ล้านล้านบาท ทีดีอาร์ไอ เผยผลวิจัย ”ค้ําประกันสินเชื่อ” สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาล เดินหน้านโยบายพลังประชารัฐ ผนึกแบงก์รัฐ ลงนาม 2 โครงการค้ําประกันสินเชื่อ “สินเชื่อประชารัฐ” และ “สินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ”
นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ บสย. หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลัง มีบทบาทสําคัญด้านการค้ําประกันสินเชื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งทุน ได้ดําเนินงานครบรอบ 25 ปี จึงได้จัดงาน ครบรอบ 25 ปี บสย. ภายใต้แนวคิด “SUCCESS TOGETHER” เพื่อประกาศผลสําเร็จการดําเนินงานค้ําประกันสินเชื่อ ตลอดระยะเวลา 25 ปี โดยมียอดอนุมัติค้ําประกันสะสม ณ 31 พฤษภาคม 2561 กว่า 7 แสนล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อจํานวน 324,000 ราย
โครงการค้ําประกันสินเชื่อ ที่ประสบความสําเร็จ ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs สําหรับผู้ประสบภัย, โครงการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs Transformation Loan และโครงการค้ําประกันสินเชื่อ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากสถาบันการเงิน และรัฐบาลให้การสนับสนุนต่อเนื่อง คือ โครงการค้ําประกันสินเชื่อแบบ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 1-6 (PGS 1- 6) ที่ช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ เติบโตอย่างมั่นคง ลดการพึ่งพาเงินนอกระบบ
ภายใต้ยุทธศาตร์การดําเนินงานของ บสย. ที่มุ่งเน้นการทํางานแบบบูรณาการร่วมกับคู่พันธมิตร ในวันนี้ บสย. และสถาบันการเงินของรัฐ ยังได้ผนึกกําลังร่วมกัน ดําเนินโครงการตอบสนองแผนงานของรัฐบาล ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs จัดให้มีพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อดําเนินโครงการ ให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อและค้ําประกันสินเชื่อกับผู้ประกอบการ SMEs รวม 2 โครงการคือ 1. โครงการสินเชื่อประชารัฐ ระหว่าง ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) กับ บสย. และ 2. โครงการสินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยความร่วมมือระหว่าง ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย กับ บสย. เพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อ โดยมี บสย.ค้ําประกัน
ในโอกาสครบรอบ 25 ปี บสย. ได้เชิญ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) นําเสนอผลการศึกษา เรื่อง “ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จากการค้ําประกันสินเชื่อ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน” โดย ดร.เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ ผู้อํานวยการวิจัย ด้านการบริการจัดการระบบเศรษฐกิจ ทีดีอาร์ไอ, ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการ และนายวัชรินทร์ ตันติสันต์ นักวิจัยอาวุโส
รายงานผลการศึกษา ในปี พ.ศ. 2558 ระบุว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2552 - 2558 งบประมาณที่รัฐจัดสรรให้ บสย. นํามาใช้ในการค้ําประกันสินเชื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ทุกๆ 1 บาท ส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจสูงกว่า 4.5 เท่าของวงเงินค้ําประกัน ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม รวม 1.74 ล้านล้านบาท และพบว่า การค้ําประกันสินเชื่อของ บสย. ยังช่วยให้สินเชื่อที่สถาบันการเงินปล่อยให้ SMEs เกิดการขยายตัว 1.7 เท่า ของวงเงินค้ําประกันสินเชื่อ เกิดการจ้างงานจํานวน 3.6 ล้านราย และมีเงินภาษีกลับเข้าสู่รัฐกว่า 2.25 แสนล้านบาท ในด้านสัดส่วนความคุ้มค่าทางการเงิน หรือ Cost-Benefit Ratio จะมีค่าสัมประสิทธิ์ เท่ากับ 0.009 ซึ่งหมายถึง ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการค้ําประกัน 100 บาท เกิดจากการใช้ต้นทุนรัฐเพียง 90 สตางค์
นายสุรชัย กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 25 ปีของ บสย. ได้ดําเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ค้ําประกันสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ทําหน้าที่เป็นตัวกลาง เชื่อมโยงผู้ประกอบการ SMEs กับสถาบันการเงินหน่วยงานพันธมิตรหลายภาคส่วน หอการค้า คลังจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด เครดิตบูโร และคู่ความร่วมมือในระดับภูมิภาคร่วมกับ 11 สํานักงานสาขา ผลักดันให้ผู้ประกอบการ SMEs เติบโต แข็งแรง และเป็นฐานรากสําคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
“ก้าวต่อไปของ บสย. มุ่งให้ความสําคัญกับการพัฒนาความเข้มแข็งทางการเงิน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ SMEs สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้งปรับกลยุทธ์การดําเนินงานให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ THAILAND 4.0 ก้าวสู่ยุค Digital Economy สู่การพัฒนานวัตกรรมด้านการค้ําประกันสินเชื่อ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ” นายสุรชัย กล่าว
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 0-2890 9999
ชนิญญา สันสมภาค 081-860-7477 chaninya@tcg.or.th
ศรัญยู ตันติเสรี 091-771-2885 saranyu@tcg.or.th
วิชุดา ก้องกีรติ 089-605-9870 wichuda@tcg.or.th
www.facebook.com/tcg.or.th www.tcg.or.th
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13236
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมเปิดบริการทันตกรรมในโรงพยาบาล [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563
สธ.เตรียมเปิดบริการทันตกรรมในโรงพยาบาล [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ.เตรียมเปิดบริการทันตกรรมในโรงพยาบาล
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเปิดบริการทันตกรรมในโรงพยาบาลเพิ่มจากกรณีฉุกเฉิน ในกลุ่มมีนัดรักษาต่อเนื่อง ปรับแก้ไขอุปกรณ์ในช่องปาก ผู้ป่วยที่ต้องรักษาร่วมระหว่างแพทย์และทันตแพทย์ ขอให้ประชาชน โทรสอบถาม/ นัดล่วงหน้า ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน และประเมินความเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 ออนไลน์ตามแบบประเมินโรงพยาบาลราชวิถี
บ่ายวันนี้ (14 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคโควิด 19 มีแนวโน้มดีขึ้น กระทรวงสาธารณสุข จึงได้เตรียมเปิดให้บริการทันตกรรมเพิ่มจากเดิมที่ให้บริการเฉพาะกรณีเร่งด่วนฉุกเฉิน เนื่องจากการรักษาทางทันตกรรมส่วนใหญ่มีการทําหัตถการที่ทําให้เกิดละอองฝอยฟุ้งกระจาย อาจเกิดการแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ (Air Borne) ไปสู่ผู้รับบริการและผู้ให้บริการได้ โดยจะเปิดบริการให้กับผู้ป่วยที่มีนัดรักษาต่อเนื่อง หรือจําเป็นต้องมีการปรับแก้ไขอุปกรณ์การรักษาที่ใส่ในช่องปาก ผู้ป่วยที่จําเป็นต้องรับการรักษาร่วมกันระหว่างแพทย์และทันตแพทย์ เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ป่วยมะเร็งบริเวณศีรษะและลําคอ โดยโรงพยาบาลได้ปรับรูปแบบการให้บริการ มีระบบนัดหมายล่วงหน้า ระบบปรึกษาทันตแพทย์ทางไกล เพื่อให้คําปรึกษาก่อนรับบริการ และพิจารณานัดผู้ป่วยตามความจําเป็นของแต่ละหัตถการ รวมทั้งจัดแยกสถานที่บริการ จัดบริการแบบเว้นระยะห่าง การจัดการระบบระบายอากาศ จัดคิวการรักษาเป็นช่วงเวลา ทําความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัส ใส่หน้ากากอนามัย การทําความสะอาดมือ เป็นต้น
สําหรับประชาชนก่อนจะนัดรักษาทางทันตกรรม ขอให้ประเมิน/คัดกรองความเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19 ด้วยตนเอง โดยใช้แบบประเมินบนเว็บไซต์โรงพยาบาลราชวิถีhttps://covid19.rajavithi.go.th/test/th_index.phpหากคัดกรองแล้วอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยง ให้เลื่อนการรักษาทางทันตกรรมไปก่อน และติดต่อเข้ารับการตรวจรักษาที่คลินิกโรคทางเดินหายใจที่โรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ หากเป็นผู้ที่ไม่มีความเสี่ยง โทรสอบถามความพร้อมของสถานพยาบาลใกล้บ้าน และนัดหมายล่วงหน้า หรือขอคําปรึกษา/คําแนะนําเบื้องต้นผ่านระบบปรึกษาทันตแพทย์ทางไกล โดยมาตรการทั้งหมดคํานึงถึงความปลอดภัยสูงสุดผู้ที่มารับบริการ และผู้ให้การรักษา
ทั้งนี้ ในกรณีที่การรักษารอได้ เช่น การตรวจสุขภาพช่องปากประจําปี ขูดหินปูน ทันตกรรมเพื่อความสวยงาม แนะนําให้ดูแลความสะอาดช่องปากแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ ใช้ไหมขัดฟัน หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เหนียว เป็นต้น
***************************** 14 พฤษภาคม 2563
*****************************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.เตรียมเปิดบริการทันตกรรมในโรงพยาบาล [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563
สธ.เตรียมเปิดบริการทันตกรรมในโรงพยาบาล [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ.เตรียมเปิดบริการทันตกรรมในโรงพยาบาล
กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเปิดบริการทันตกรรมในโรงพยาบาลเพิ่มจากกรณีฉุกเฉิน ในกลุ่มมีนัดรักษาต่อเนื่อง ปรับแก้ไขอุปกรณ์ในช่องปาก ผู้ป่วยที่ต้องรักษาร่วมระหว่างแพทย์และทันตแพทย์ ขอให้ประชาชน โทรสอบถาม/ นัดล่วงหน้า ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน และประเมินความเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 ออนไลน์ตามแบบประเมินโรงพยาบาลราชวิถี
บ่ายวันนี้ (14 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคโควิด 19 มีแนวโน้มดีขึ้น กระทรวงสาธารณสุข จึงได้เตรียมเปิดให้บริการทันตกรรมเพิ่มจากเดิมที่ให้บริการเฉพาะกรณีเร่งด่วนฉุกเฉิน เนื่องจากการรักษาทางทันตกรรมส่วนใหญ่มีการทําหัตถการที่ทําให้เกิดละอองฝอยฟุ้งกระจาย อาจเกิดการแพร่กระจายเชื้อทางอากาศ (Air Borne) ไปสู่ผู้รับบริการและผู้ให้บริการได้ โดยจะเปิดบริการให้กับผู้ป่วยที่มีนัดรักษาต่อเนื่อง หรือจําเป็นต้องมีการปรับแก้ไขอุปกรณ์การรักษาที่ใส่ในช่องปาก ผู้ป่วยที่จําเป็นต้องรับการรักษาร่วมกันระหว่างแพทย์และทันตแพทย์ เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ป่วยมะเร็งบริเวณศีรษะและลําคอ โดยโรงพยาบาลได้ปรับรูปแบบการให้บริการ มีระบบนัดหมายล่วงหน้า ระบบปรึกษาทันตแพทย์ทางไกล เพื่อให้คําปรึกษาก่อนรับบริการ และพิจารณานัดผู้ป่วยตามความจําเป็นของแต่ละหัตถการ รวมทั้งจัดแยกสถานที่บริการ จัดบริการแบบเว้นระยะห่าง การจัดการระบบระบายอากาศ จัดคิวการรักษาเป็นช่วงเวลา ทําความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัส ใส่หน้ากากอนามัย การทําความสะอาดมือ เป็นต้น
สําหรับประชาชนก่อนจะนัดรักษาทางทันตกรรม ขอให้ประเมิน/คัดกรองความเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19 ด้วยตนเอง โดยใช้แบบประเมินบนเว็บไซต์โรงพยาบาลราชวิถีhttps://covid19.rajavithi.go.th/test/th_index.phpหากคัดกรองแล้วอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยง ให้เลื่อนการรักษาทางทันตกรรมไปก่อน และติดต่อเข้ารับการตรวจรักษาที่คลินิกโรคทางเดินหายใจที่โรงพยาบาลทุกแห่งทั่วประเทศ หากเป็นผู้ที่ไม่มีความเสี่ยง โทรสอบถามความพร้อมของสถานพยาบาลใกล้บ้าน และนัดหมายล่วงหน้า หรือขอคําปรึกษา/คําแนะนําเบื้องต้นผ่านระบบปรึกษาทันตแพทย์ทางไกล โดยมาตรการทั้งหมดคํานึงถึงความปลอดภัยสูงสุดผู้ที่มารับบริการ และผู้ให้การรักษา
ทั้งนี้ ในกรณีที่การรักษารอได้ เช่น การตรวจสุขภาพช่องปากประจําปี ขูดหินปูน ทันตกรรมเพื่อความสวยงาม แนะนําให้ดูแลความสะอาดช่องปากแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ ใช้ไหมขัดฟัน หลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เหนียว เป็นต้น
***************************** 14 พฤษภาคม 2563
*****************************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30854
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมว.พม. พร้อมศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงชราด้อยโอกาส ที่ย่านพระราม 2 และผู้ประสบเหตุไฟไหม้บ้าน ที่ย่านประชาอุทิศ กทม.
|
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
ผู้ช่วย รมว.พม. พร้อมศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงชราด้อยโอกาส ที่ย่านพระราม 2 และผู้ประสบเหตุไฟไหม้บ้าน ที่ย่านประชาอุทิศ กทม.
ผู้ช่วย รมว.พม. พร้อมศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงชราด้อยโอกาส ที่ย่านพระราม 2 และผู้ประสบเหตุไฟไหม้บ้าน ที่ย่านประชาอุทิศ กทม.
วันที่ 31 ส.ค. 62 เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า จากกรณีหญิงชรารายหนึ่งมีลักษณะอาการหลงลืม สุขภาพไม่แข็งแรง ช่วยเหลือตนเองได้เล็กน้อย ซึ่งไม่สามารถเดินเองได้ ต้องใช้สะโพกและแขนในการเคลื่อนไหว อาศัยอยู่เพียงลําพังในห้องเช่าสภาพไม่ถูกสุขลักษณะ โดยบุตรสาวได้ฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแล ที่ย่านพระราม 2 เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ (30 ส.ค. 62) ได้ลงพื้นที่เยี่ยมหญิงชรารายดังกล่าวร่วมกับนักสังคมสงเคราะห์ ของศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 สังกัดกระทรวง พม. พร้อมทั้งศูนย์บริการสาธารณสุข 42 ถนอม ทองสิมา และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยพบว่า ที่ผ่านมา สํานักงานเขตบางขุนเทียนได้เคยประสานการช่วยเหลือไปยังศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค และได้รับเงินสงเคราะห์ จํานวน 2,000 บาท อีกทั้งทีมแพทย์ พยาบาล และ อสส. ศูนย์บริการสาธารณสุข 42 ถนอม ทองสิมา ได้ให้ความช่วยเหลือด้านการตรวจสุขภาพ มอบผ้าอ้อมสําเร็จรูปสําหรับผู้ใหญ่ มอบข้าวสารอาหารแห้ง และมอบเงินเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวัน จากนั้น ได้ให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจกระทรวง พม. โดยมีการประสานติดตามบุตรสาวของหญิงชราดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ พบว่า ได้ประกอบอาชีพขายของอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี และจะเดินทางกลับมาหาผู้เป็นแม่ในเดือนกันยายน 2562 ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้ร่วมหาแนวทางการช่วยเหลือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยนักสังคมสงเคราะห์ของกระทรวง พม. จะลงพื้นที่เยี่ยมหญิงชราดังกล่าวเป็นระยะอย่างสม่ําเสมอ
นายสากล กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 เกิดเหตุไฟไหม้บ้านเรือนประชาชน ภายใน ซอยประชาอุทิศ 68 แยก 9 เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ทั้งนี้ ในวันนั้น (30 ส.ค. 62) ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุไฟไหม้พร้อมเจ้าหน้าที่บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ธนบุรี) สังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวง พม. โดยพบว่า มีบ้านไม้ 2 ชั้น ปลูกติดกัน 3 หลัง ซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกัน ได้ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด และจากการสอบถามเจ้าของบ้าน พบว่า ขณะไฟไหม้ เจ้าของบ้านได้ไปพักอาศัยอยู่ที่อื่น และไม่มีใครพักอาศัย ทั้งนี้ จึงได้ให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจ กระทรวง พม. ด้วยการมอบเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จําเป็น และร่วมหาแนวทางการช่วยเหลือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการสังคมตามกฎหมายจากภาครัฐต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วย รมว.พม. พร้อมศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงชราด้อยโอกาส ที่ย่านพระราม 2 และผู้ประสบเหตุไฟไหม้บ้าน ที่ย่านประชาอุทิศ กทม.
วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562
ผู้ช่วย รมว.พม. พร้อมศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงชราด้อยโอกาส ที่ย่านพระราม 2 และผู้ประสบเหตุไฟไหม้บ้าน ที่ย่านประชาอุทิศ กทม.
ผู้ช่วย รมว.พม. พร้อมศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงชราด้อยโอกาส ที่ย่านพระราม 2 และผู้ประสบเหตุไฟไหม้บ้าน ที่ย่านประชาอุทิศ กทม.
วันที่ 31 ส.ค. 62 เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายสากล ม่วงศิริ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า จากกรณีหญิงชรารายหนึ่งมีลักษณะอาการหลงลืม สุขภาพไม่แข็งแรง ช่วยเหลือตนเองได้เล็กน้อย ซึ่งไม่สามารถเดินเองได้ ต้องใช้สะโพกและแขนในการเคลื่อนไหว อาศัยอยู่เพียงลําพังในห้องเช่าสภาพไม่ถูกสุขลักษณะ โดยบุตรสาวได้ฝากให้เพื่อนบ้านช่วยดูแล ที่ย่านพระราม 2 เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ (30 ส.ค. 62) ได้ลงพื้นที่เยี่ยมหญิงชรารายดังกล่าวร่วมกับนักสังคมสงเคราะห์ ของศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 สังกัดกระทรวง พม. พร้อมทั้งศูนย์บริการสาธารณสุข 42 ถนอม ทองสิมา และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยพบว่า ที่ผ่านมา สํานักงานเขตบางขุนเทียนได้เคยประสานการช่วยเหลือไปยังศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค และได้รับเงินสงเคราะห์ จํานวน 2,000 บาท อีกทั้งทีมแพทย์ พยาบาล และ อสส. ศูนย์บริการสาธารณสุข 42 ถนอม ทองสิมา ได้ให้ความช่วยเหลือด้านการตรวจสุขภาพ มอบผ้าอ้อมสําเร็จรูปสําหรับผู้ใหญ่ มอบข้าวสารอาหารแห้ง และมอบเงินเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวัน จากนั้น ได้ให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจกระทรวง พม. โดยมีการประสานติดตามบุตรสาวของหญิงชราดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ พบว่า ได้ประกอบอาชีพขายของอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี และจะเดินทางกลับมาหาผู้เป็นแม่ในเดือนกันยายน 2562 ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้ร่วมหาแนวทางการช่วยเหลือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยนักสังคมสงเคราะห์ของกระทรวง พม. จะลงพื้นที่เยี่ยมหญิงชราดังกล่าวเป็นระยะอย่างสม่ําเสมอ
นายสากล กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 เกิดเหตุไฟไหม้บ้านเรือนประชาชน ภายใน ซอยประชาอุทิศ 68 แยก 9 เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ทั้งนี้ ในวันนั้น (30 ส.ค. 62) ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุไฟไหม้พร้อมเจ้าหน้าที่บ้านมิตรไมตรี 4 มุมเมือง กรุงเทพมหานคร (ธนบุรี) สังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กระทรวง พม. โดยพบว่า มีบ้านไม้ 2 ชั้น ปลูกติดกัน 3 หลัง ซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกัน ได้ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด และจากการสอบถามเจ้าของบ้าน พบว่า ขณะไฟไหม้ เจ้าของบ้านได้ไปพักอาศัยอยู่ที่อื่น และไม่มีใครพักอาศัย ทั้งนี้ จึงได้ให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจ กระทรวง พม. ด้วยการมอบเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จําเป็น และร่วมหาแนวทางการช่วยเหลือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการสังคมตามกฎหมายจากภาครัฐต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22715
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ และคำสั่ง ศบค. โดยเคร่งครัด พร้อมให้รายงานผลการปฏิบัติงานปัญหา-ข้อแนะนำอย่างต่อเนื่อง [กระทรวงมหาดไทย]
|
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563
ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกําหนดฯ และคําสั่ง ศบค. โดยเคร่งครัด พร้อมให้รายงานผลการปฏิบัติงานปัญหา-ข้อแนะนําอย่างต่อเนื่อง [กระทรวงมหาดไทย]
ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกําหนดฯ และคําสั่ง ศบค. โดยเคร่งครัด พร้อมให้รายงานผลการปฏิบัติงานปัญหา-ข้อแนะนําอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (17พ.ค.63)ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มีข้อกําหนดและคําสั่ง จํานวน2ฉบับ คือ
1.ข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา9แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่7)ลงวันที่15พ.ค.2563ซึ่งมีสาระสําคัญ คือ
1)การห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา23.00 - 04.00น. ของวันรุ่งขึ้น และให้ข้อยกเว้นตามข้อกําหนด (ฉบับที่3)ลงวันที่10เม.ย.2563ยังคงใช้บังคับต่อไป
2)ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผว.กทม.) หรือผู้ว่าราชการจังหวัด (ผวจ.) มีอํานาจพิจารณาผ่อนผันการใช้อาคารสถานที่ของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา เฉพาะการให้ความช่วยเหลือเด็กกําพร้า เด็กยากไร้ หรือเด็กด้อยโอกาส หรือเพื่อกิจกรรมอันเป็นประโยชน์สาธารณะ โดยยังงดเว้นการใช้เพื่อการจัดการเรียนการสอน การสอบ หรือการฝึกอบรม
3)การผ่อนคลายให้ดําเนินการหรือทํากิจกรรมบางอย่างได้ ภายใต้การดําเนินการตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด รวมทั้งการจัดระเบียบและระบบต่างๆ ให้สถานที่หรือการดําเนินกิจกรรมที่ ผว.กทม. และ ผวจ. เคยมีคําสั่งปิดสถานที่ไว้เป็นการชั่วคราว ตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา9แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่5)ลงวันที่1พ.ค.2563สามารถเปิดดําเนินการหรือทํากิจกรรมบางอย่างเพิ่มเติมได้ทั่วราชอาณาจักรตามความสมัครใจและความพร้อม
4)ให้เจ้าของหรือผู้จัดการสถานที่ตาม3)มีหน้าที่รับผิดชอบในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค รวมทั้งจัดระเบียบตามคําแนะนํา เงื่อนไข และเงื่อนเวลาที่ ผว.กทม. ผวจ. หรือที่ทางราชการกําหนด ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถเข้าตรวจสอบ แนะนํา ตักเตือน ห้ามปราม หรือดําเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมาย
5)ให้ ผว.กทม. และ ผวจ. อาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558มีคําสั่งปิดสนามชนโค สนามกัดปลา หรือสนามการแข่งขันอื่นในลักษณะทํานองเดียวกันเพิ่มเติม รวมทั้งดําเนินการอื่นใดให้สอดคล้องกับข้อกําหนดนี้ และ
2.คําสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)ที่3/2563เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา9แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ. ศ.2548 (ฉบับที่2)ให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและพนักงานเจ้าหน้าที่ดําเนินการให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคโดยเคร่งครัด
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด รับทราบ ถือปฏิบัติ และออกคําสั่ง ตามข้อกําหนดฯ และคําสั่งฯ ทั้ง2ฉบับ โดยเคร่งครัด และไม่ต้องเพิ่มเติมกิจการ/กิจกรรมใด ๆ แต่อาจเสริมมาตรการในทางปฏิบัติได้ และให้สร้างการรับรู้ตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกําหนด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ตามคําสั่งฯ แก่ผู้ประกอบการ พนักงาน ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ โดยหากผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาและมีความเห็นจะดําเนินการอื่นใดต่างไปจากข้อกําหนดฯ ให้รายงาน ศบค.มท. เพื่อจะได้รายงาน ศบค. เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในการตรวจสอบ และให้ทุกส่วนงานของ ศบค. ได้รับทราบ ก่อนดําเนินการ เพื่อประสานการปฏิบัติไม่ให้เกิดความลักลั่นรวมทั้งไม่ให้เกิดความสับสนต่อประชาชน และผู้ปฏิบัติงานได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548ทั้งนี้ ให้รายงานผลการปฏิบัติงาน ปัญหา/อุปสรรค และข้อแนะนํามายัง ศบค.มท. ต่อเนื่องเป็นประจําทุกวัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกำหนดฯ และคำสั่ง ศบค. โดยเคร่งครัด พร้อมให้รายงานผลการปฏิบัติงานปัญหา-ข้อแนะนำอย่างต่อเนื่อง [กระทรวงมหาดไทย]
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม 2563
ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกําหนดฯ และคําสั่ง ศบค. โดยเคร่งครัด พร้อมให้รายงานผลการปฏิบัติงานปัญหา-ข้อแนะนําอย่างต่อเนื่อง [กระทรวงมหาดไทย]
ศบค.มท. สั่งการทุกจังหวัดปฏิบัติตามข้อกําหนดฯ และคําสั่ง ศบค. โดยเคร่งครัด พร้อมให้รายงานผลการปฏิบัติงานปัญหา-ข้อแนะนําอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ (17พ.ค.63)ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ด้วย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มีข้อกําหนดและคําสั่ง จํานวน2ฉบับ คือ
1.ข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา9แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่7)ลงวันที่15พ.ค.2563ซึ่งมีสาระสําคัญ คือ
1)การห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา23.00 - 04.00น. ของวันรุ่งขึ้น และให้ข้อยกเว้นตามข้อกําหนด (ฉบับที่3)ลงวันที่10เม.ย.2563ยังคงใช้บังคับต่อไป
2)ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผว.กทม.) หรือผู้ว่าราชการจังหวัด (ผวจ.) มีอํานาจพิจารณาผ่อนผันการใช้อาคารสถานที่ของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา เฉพาะการให้ความช่วยเหลือเด็กกําพร้า เด็กยากไร้ หรือเด็กด้อยโอกาส หรือเพื่อกิจกรรมอันเป็นประโยชน์สาธารณะ โดยยังงดเว้นการใช้เพื่อการจัดการเรียนการสอน การสอบ หรือการฝึกอบรม
3)การผ่อนคลายให้ดําเนินการหรือทํากิจกรรมบางอย่างได้ ภายใต้การดําเนินการตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกําหนด รวมทั้งการจัดระเบียบและระบบต่างๆ ให้สถานที่หรือการดําเนินกิจกรรมที่ ผว.กทม. และ ผวจ. เคยมีคําสั่งปิดสถานที่ไว้เป็นการชั่วคราว ตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา9แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่5)ลงวันที่1พ.ค.2563สามารถเปิดดําเนินการหรือทํากิจกรรมบางอย่างเพิ่มเติมได้ทั่วราชอาณาจักรตามความสมัครใจและความพร้อม
4)ให้เจ้าของหรือผู้จัดการสถานที่ตาม3)มีหน้าที่รับผิดชอบในการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค รวมทั้งจัดระเบียบตามคําแนะนํา เงื่อนไข และเงื่อนเวลาที่ ผว.กทม. ผวจ. หรือที่ทางราชการกําหนด ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถเข้าตรวจสอบ แนะนํา ตักเตือน ห้ามปราม หรือดําเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมาย
5)ให้ ผว.กทม. และ ผวจ. อาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558มีคําสั่งปิดสนามชนโค สนามกัดปลา หรือสนามการแข่งขันอื่นในลักษณะทํานองเดียวกันเพิ่มเติม รวมทั้งดําเนินการอื่นใดให้สอดคล้องกับข้อกําหนดนี้ และ
2.คําสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)ที่3/2563เรื่อง แนวปฏิบัติตามข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา9แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ. ศ.2548 (ฉบับที่2)ให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินและพนักงานเจ้าหน้าที่ดําเนินการให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันโรคโดยเคร่งครัด
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด รับทราบ ถือปฏิบัติ และออกคําสั่ง ตามข้อกําหนดฯ และคําสั่งฯ ทั้ง2ฉบับ โดยเคร่งครัด และไม่ต้องเพิ่มเติมกิจการ/กิจกรรมใด ๆ แต่อาจเสริมมาตรการในทางปฏิบัติได้ และให้สร้างการรับรู้ตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกําหนด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ตามคําสั่งฯ แก่ผู้ประกอบการ พนักงาน ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ประชาชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกระดับ โดยหากผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาและมีความเห็นจะดําเนินการอื่นใดต่างไปจากข้อกําหนดฯ ให้รายงาน ศบค.มท. เพื่อจะได้รายงาน ศบค. เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในการตรวจสอบ และให้ทุกส่วนงานของ ศบค. ได้รับทราบ ก่อนดําเนินการ เพื่อประสานการปฏิบัติไม่ให้เกิดความลักลั่นรวมทั้งไม่ให้เกิดความสับสนต่อประชาชน และผู้ปฏิบัติงานได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548ทั้งนี้ ให้รายงานผลการปฏิบัติงาน ปัญหา/อุปสรรค และข้อแนะนํามายัง ศบค.มท. ต่อเนื่องเป็นประจําทุกวัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31054
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดการนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
|
วันพุธที่ 13 กันยายน 2560
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดการนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดการนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันนี้ (วันพุธที่ 13 กันยายน 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมดํารงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดการนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประจําสํานักพระราชวังพิเศษ สํานักพระราชวัง นายนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมและกรรมการฯ เข้าร่วมประชุมโดยอนุกรรมการแต่ละฝ่ายชี้แจงแนวทางการดําเนินงานที่รับผิดชอบเช่นการจัดนิทรรศการ การเข้าชม การรักษาความปลอดภัย เป็นต้น
หลังจากนั้น ไปตรวจความคืบน้าในการก่อสร้างพระเมรุมาศ ซึ่งภาพรวมก้าวหน้าร้อยละ 90 และจะดําเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดการนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันพุธที่ 13 กันยายน 2560
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดการนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดการนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
วันนี้ (วันพุธที่ 13 กันยายน 2560) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมดํารงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายจัดการนิทรรศการงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยมีนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ ประจําสํานักพระราชวังพิเศษ สํานักพระราชวัง นายนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรมและกรรมการฯ เข้าร่วมประชุมโดยอนุกรรมการแต่ละฝ่ายชี้แจงแนวทางการดําเนินงานที่รับผิดชอบเช่นการจัดนิทรรศการ การเข้าชม การรักษาความปลอดภัย เป็นต้น
หลังจากนั้น ไปตรวจความคืบน้าในการก่อสร้างพระเมรุมาศ ซึ่งภาพรวมก้าวหน้าร้อยละ 90 และจะดําเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6659
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การศึกษาคนพิการ
|
วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561
การศึกษาคนพิการ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ ครั้งที่ 1/2561
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) แผนการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ ฉบับที่ 3 พ.ศ.2560-2564 โดยสาระสําคัญของแผนมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 เพื่อให้คนพิการได้รับโอกาสและบริการทางการศึกษาสําหรับคนพิการอย่างทั่วถึง ภายใต้วิสัยทัศน์ "คนพิการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยวิถีพอเพียง" ประกอบด้วยยุทธศาสตร์หลัก 8 ยุทธศาสตร์ คือ
1)การขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
2) การยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาพิเศษ ทุกระดับ ทุกระบบ
3) พัฒนาระบบเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร รองรับการจัดการศึกษาระบบดิจิทัล
4) ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและองค์ความรู้ ที่มุ่งยกระดับมาตรฐานการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ
5) เร่งผลิต พัฒนา และจัดระบบบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพ
6) พัฒนาประสิทธิภาพการเรียนรู้สู่ความเป็นเลิศ
7) พัฒนาระบบงบประมาณ และทรัพยากรทางการศึกษาสําหรับคนพิการ
8) พัฒนาระบบบริหารจัดการแบบองค์รวมเชิงบูรณาการโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีมติให้ตั้ง "คณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาสําหรับผู้มีความต้องการจําเป็นพิเศษ" โดยมีเลขาธิการสภาการศึกษา เป็นประธาน และมีผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาพิเศษและหลากหลายด้าน เป็นกรรมการ เพื่อนําเสนอภาพการจัดการศึกษาพิเศษ ในมุมมองของกระทรวงศึกษาธิการเชื่อมโยงกับคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) พร้อมเสนอโครงสร้างจัดการศึกษาพิเศษที่ทําได้จริงว่าควรเป็นแบบใด เช่น ยกสถานะสํานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ให้มีสถานะเทียบเท่ากรม เช่นเดียวกับสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) หรืออาจเป็นหน่วยงานอิสระ เป็นต้น
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการสภาการศึกษากล่าวด้วยว่า การดําเนินงานของคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาสําหรับผู้มีความต้องการจําเป็นพิเศษ จะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายคนพิการ และคนที่มีความสามารถพิเศษ ตั้งแต่เกิดจนตลอดชีวิต พร้อมพิจารณาโครงสร้างการบริหารจัดการว่าควรมีหน่วยงานขึ้นมาหรือไม่ และจะมีสถานะแบบใด เป็นหน่วยงานในกํากับหรือหน่วยงานอิสระ ตลอดจนมีขอบเขตหน้าที่เพียงใด (หน่วยปฏิบัติ หน่วยสนับสนุน หรือหน่วยควบคุม) โดยคณะกรรมการจะทํางานแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงเดือนแรกต้องหาข้อสรุปเพื่อนําเสนอคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) พิจารณา และช่วงที่ 2 ต้องจัดทําข้อเสนอแนะเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา
ทั้งนี้ที่ประชุมยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดทําแผนปฏิบัติการให้สอดรับกับแผนการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ ฉบับที่ 3 และให้ถือโอกาสในช่วงระหว่างการปฏิรูปการศึกษานี้ เปลี่ยนแปลงการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ โดยมีการหารือการจัดการศึกษาพิเศษในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการศึกษาสําหรับคนพิการ การศึกษาสําหรับผู้มีความสามารถพิเศษ และการศึกษาสําหรับผู้ด้อยโอกาส ที่จะต้องมีการนิยามคําที่ชัดเจน โดยให้ใช้คําว่า "การศึกษาสําหรับผู้ที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ" พร้อมเจาะเฉพาะกลุ่มคนพิการและกลุ่มผู้ที่มีความสามารถพิเศษ และแยกกลุ่มด้อยโอกาสออกมาอีกหนึ่งกลุ่ม
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี: รายงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การศึกษาคนพิการ
วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561
การศึกษาคนพิการ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ ครั้งที่ 1/2561
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ ครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) แผนการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ ฉบับที่ 3 พ.ศ.2560-2564 โดยสาระสําคัญของแผนมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 เพื่อให้คนพิการได้รับโอกาสและบริการทางการศึกษาสําหรับคนพิการอย่างทั่วถึง ภายใต้วิสัยทัศน์ "คนพิการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยวิถีพอเพียง" ประกอบด้วยยุทธศาสตร์หลัก 8 ยุทธศาสตร์ คือ
1)การขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
2) การยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาพิเศษ ทุกระดับ ทุกระบบ
3) พัฒนาระบบเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร รองรับการจัดการศึกษาระบบดิจิทัล
4) ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและองค์ความรู้ ที่มุ่งยกระดับมาตรฐานการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ
5) เร่งผลิต พัฒนา และจัดระบบบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพ
6) พัฒนาประสิทธิภาพการเรียนรู้สู่ความเป็นเลิศ
7) พัฒนาระบบงบประมาณ และทรัพยากรทางการศึกษาสําหรับคนพิการ
8) พัฒนาระบบบริหารจัดการแบบองค์รวมเชิงบูรณาการโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีมติให้ตั้ง "คณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาสําหรับผู้มีความต้องการจําเป็นพิเศษ" โดยมีเลขาธิการสภาการศึกษา เป็นประธาน และมีผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาพิเศษและหลากหลายด้าน เป็นกรรมการ เพื่อนําเสนอภาพการจัดการศึกษาพิเศษ ในมุมมองของกระทรวงศึกษาธิการเชื่อมโยงกับคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) พร้อมเสนอโครงสร้างจัดการศึกษาพิเศษที่ทําได้จริงว่าควรเป็นแบบใด เช่น ยกสถานะสํานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ให้มีสถานะเทียบเท่ากรม เช่นเดียวกับสํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) หรืออาจเป็นหน่วยงานอิสระ เป็นต้น
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการสภาการศึกษากล่าวด้วยว่า การดําเนินงานของคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาสําหรับผู้มีความต้องการจําเป็นพิเศษ จะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายคนพิการ และคนที่มีความสามารถพิเศษ ตั้งแต่เกิดจนตลอดชีวิต พร้อมพิจารณาโครงสร้างการบริหารจัดการว่าควรมีหน่วยงานขึ้นมาหรือไม่ และจะมีสถานะแบบใด เป็นหน่วยงานในกํากับหรือหน่วยงานอิสระ ตลอดจนมีขอบเขตหน้าที่เพียงใด (หน่วยปฏิบัติ หน่วยสนับสนุน หรือหน่วยควบคุม) โดยคณะกรรมการจะทํางานแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงเดือนแรกต้องหาข้อสรุปเพื่อนําเสนอคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) พิจารณา และช่วงที่ 2 ต้องจัดทําข้อเสนอแนะเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา
ทั้งนี้ที่ประชุมยังมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดทําแผนปฏิบัติการให้สอดรับกับแผนการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ ฉบับที่ 3 และให้ถือโอกาสในช่วงระหว่างการปฏิรูปการศึกษานี้ เปลี่ยนแปลงการจัดการศึกษาสําหรับคนพิการ โดยมีการหารือการจัดการศึกษาพิเศษในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการศึกษาสําหรับคนพิการ การศึกษาสําหรับผู้มีความสามารถพิเศษ และการศึกษาสําหรับผู้ด้อยโอกาส ที่จะต้องมีการนิยามคําที่ชัดเจน โดยให้ใช้คําว่า "การศึกษาสําหรับผู้ที่มีความต้องการจําเป็นพิเศษ" พร้อมเจาะเฉพาะกลุ่มคนพิการและกลุ่มผู้ที่มีความสามารถพิเศษ และแยกกลุ่มด้อยโอกาสออกมาอีกหนึ่งกลุ่ม
นวรัตน์ รามสูต: สรุป/เรียบเรียง
ยุทธพงศ์ เลือกกลั่นดี: ถ่ายภาพ
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานรัฐมนตรี: รายงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10134
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมคนไทยเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี พร้อมขอให้นำหลัก 3 ประการไปปรับใช้ในชีวิต ลดมูลเหตุความขัดแย้ง ชี้ปี 60 เริ่มต้นเป็นมงคล วอนทุกฝ่ายร่วมมือนำพาชาติสงบร่มเย็น
|
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมคนไทยเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี พร้อมขอให้นําหลัก 3 ประการไปปรับใช้ในชีวิต ลดมูลเหตุความขัดแย้ง ชี้ปี 60 เริ่มต้นเป็นมงคล วอนทุกฝ่ายร่วมมือนําพาชาติสงบร่มเย็น
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมคนไทยเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี พร้อมขอให้นําหลัก 3 ประการไปปรับใช้ในชีวิต ลดมูลเหตุความขัดแย้ง ชี้ปี 60 เริ่มต้นเป็นมงคล วอนทุกฝ่ายร่วมมือนําพาชาติสงบร่มเย็น
พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชื่นชมพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่ได้ใช้โอกาสวันมาฆบูชาปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีด้วยการทําบุญตักบาตรตั้งแต่ช่วงเช้า ฟังเทศน์ฟังธรรม เจริญสมาธิภาวนา และเวียนเทียน ระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในช่วงบ่ายและค่ํา
“เนื่องจากวันมาฆบูชาปีนี้เป็นช่วงวันหยุดยาวติดต่อกัน 3 วัน ประชาชนจึงเดินทางออกไปทําบุญและทํากิจกรรมร่วมกับครอบครัวตามสถานที่ต่าง ๆ กันเป็นจํานวนมาก ซึ่งท่านนายกฯ เห็นว่าเป็นภาพบรรยากาศที่งดงาม แสดงออกถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของชาวพุทธ และช่วยธํารงรักษาพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน
โดยอยากให้ทุกคนน้อมนําหลัก 3 ประการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโอวาทปาติโมกข์อันเป็นหัวใจสําคัญของพระพุทธศาสนา คือ การไม่ทําบาปทั้งปวง การทํากุศลให้ถึงพร้อม และการทําจิตใจให้ผ่องใส ใช้เตือนสติตนเองและปรับใช้ในการดําเนินชีวิตทุกขณะ ลดมูลเหตุที่ทําให้เกิดความโลภ โกรธ หลง อันเป็นชนวนของการทะเลาะเบาะแว้ง หรือความขัดแย้งในสังคม”
พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ในช่วงวันพระใหญ่ต้นปีนี้ ยังมีเรื่องอันเป็นมงคลและสําคัญของประเทศ นั่นคือ พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจากสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานของฝ่ายสงฆ์และทรงเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จะเสด็จพระราชดําเนินทรงประกอบพระราชพิธีดังกล่าวในช่วงเย็นของวันอาทิตย์ที่ 12 ก.พ.60 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
“ท่านนายกฯ ถือว่าปี 2560 เป็นปีที่มีจุดเริ่มต้นที่ดี เป็นสิริมงคล จึงขอให้พี่น้องไทยทุกคนทุกฝ่ายทําหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด ร่วมกันปกปักรักษาประเทศชาติไม่ให้มัวหมอง และเป็นพลังนําพาบ้านเมืองไปสู่ความสงบร่มเย็น ช่วยกันปฏิรูป และสร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้นต่อไป”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมคนไทยเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี พร้อมขอให้นำหลัก 3 ประการไปปรับใช้ในชีวิต ลดมูลเหตุความขัดแย้ง ชี้ปี 60 เริ่มต้นเป็นมงคล วอนทุกฝ่ายร่วมมือนำพาชาติสงบร่มเย็น
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมคนไทยเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี พร้อมขอให้นําหลัก 3 ประการไปปรับใช้ในชีวิต ลดมูลเหตุความขัดแย้ง ชี้ปี 60 เริ่มต้นเป็นมงคล วอนทุกฝ่ายร่วมมือนําพาชาติสงบร่มเย็น
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมคนไทยเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี พร้อมขอให้นําหลัก 3 ประการไปปรับใช้ในชีวิต ลดมูลเหตุความขัดแย้ง ชี้ปี 60 เริ่มต้นเป็นมงคล วอนทุกฝ่ายร่วมมือนําพาชาติสงบร่มเย็น
พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชื่นชมพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่ได้ใช้โอกาสวันมาฆบูชาปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีด้วยการทําบุญตักบาตรตั้งแต่ช่วงเช้า ฟังเทศน์ฟังธรรม เจริญสมาธิภาวนา และเวียนเทียน ระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในช่วงบ่ายและค่ํา
“เนื่องจากวันมาฆบูชาปีนี้เป็นช่วงวันหยุดยาวติดต่อกัน 3 วัน ประชาชนจึงเดินทางออกไปทําบุญและทํากิจกรรมร่วมกับครอบครัวตามสถานที่ต่าง ๆ กันเป็นจํานวนมาก ซึ่งท่านนายกฯ เห็นว่าเป็นภาพบรรยากาศที่งดงาม แสดงออกถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของชาวพุทธ และช่วยธํารงรักษาพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน
โดยอยากให้ทุกคนน้อมนําหลัก 3 ประการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโอวาทปาติโมกข์อันเป็นหัวใจสําคัญของพระพุทธศาสนา คือ การไม่ทําบาปทั้งปวง การทํากุศลให้ถึงพร้อม และการทําจิตใจให้ผ่องใส ใช้เตือนสติตนเองและปรับใช้ในการดําเนินชีวิตทุกขณะ ลดมูลเหตุที่ทําให้เกิดความโลภ โกรธ หลง อันเป็นชนวนของการทะเลาะเบาะแว้ง หรือความขัดแย้งในสังคม”
พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ในช่วงวันพระใหญ่ต้นปีนี้ ยังมีเรื่องอันเป็นมงคลและสําคัญของประเทศ นั่นคือ พระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจากสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานของฝ่ายสงฆ์และทรงเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร จะเสด็จพระราชดําเนินทรงประกอบพระราชพิธีดังกล่าวในช่วงเย็นของวันอาทิตย์ที่ 12 ก.พ.60 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
“ท่านนายกฯ ถือว่าปี 2560 เป็นปีที่มีจุดเริ่มต้นที่ดี เป็นสิริมงคล จึงขอให้พี่น้องไทยทุกคนทุกฝ่ายทําหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุด ร่วมกันปกปักรักษาประเทศชาติไม่ให้มัวหมอง และเป็นพลังนําพาบ้านเมืองไปสู่ความสงบร่มเย็น ช่วยกันปฏิรูป และสร้างความสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้นต่อไป”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1825
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน โชว์บริการความเป็นเลิศ 6 ด้านการแพทย์ และนวดไทย ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจไทย
|
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562
อนุทิน โชว์บริการความเป็นเลิศ 6 ด้านการแพทย์ และนวดไทย ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจไทย
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส่งเสริมความเป็นเลิศบริการทางการแพทย์ 6 ด้าน นวดไทย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้เข้าประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจ
วันนี้ (27 ธันวาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ครั้งที่ 3/2562 โดยมีคณะกรรมการทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมประชุม
นายอนุทินกล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณามาตรการสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ และเห็นชอบในหลักการส่งเสริมบริการรักษาพยาบาลบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ การศึกษา และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีศักยภาพสูงและดึงดูดชาวต่างชาติ (Magnet) ได้แก่ การพัฒนาความเป็นเลิศบริการรักษาพยาบาล 6 ด้าน ได้แก่ ด้านความงาม การแปลงเพศ ข้อเข่า หัวใจ ผู้มีบุตรยาก และทันตกรรม เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติให้มาใช้บริการรักษาพยาบาล รวมทั้งการยกระดับมาตรฐานนวดไทยจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ให้เป็นมรดกโลก ในการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐบาลตามภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก ครั้งที่ 14 วันที่ 12 ธ.ค.2562 ณ กรุงโบโกตา สาธารณรัฐโคลอมเบีย
นายอนุทินกล่าวต่อว่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการบริการทางการแพทย์ ได้ดําเนินการสอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่จะพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต และผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยต่อยอดอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ อาทิ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ซึ่งมีความสอดคล้องตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ด้านการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา องค์กรระหว่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน จะจัดงานมหกรรมสินค้าและบริการสุขภาพ (Thailand Health Expo) ประจําปี 2563 ขึ้นระหว่างวันที่ 4 – 8 มีนาคม 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เพื่อแสดงศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลก รวมทั้งสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านบริการสุขภาพของประเทศไทยได้ดําเนินกิจกรรมการตลาดต่างประเทศและการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) เพื่อเพิ่มส่งเสริมศักยภาพธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพไทย
************************************** 27 ธันวาคม 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน โชว์บริการความเป็นเลิศ 6 ด้านการแพทย์ และนวดไทย ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจไทย
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2562
อนุทิน โชว์บริการความเป็นเลิศ 6 ด้านการแพทย์ และนวดไทย ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจไทย
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส่งเสริมความเป็นเลิศบริการทางการแพทย์ 6 ด้าน นวดไทย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างรายได้เข้าประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจ
วันนี้ (27 ธันวาคม 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ครั้งที่ 3/2562 โดยมีคณะกรรมการทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมประชุม
นายอนุทินกล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณามาตรการสร้างรายได้กระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ และเห็นชอบในหลักการส่งเสริมบริการรักษาพยาบาลบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ การศึกษา และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีศักยภาพสูงและดึงดูดชาวต่างชาติ (Magnet) ได้แก่ การพัฒนาความเป็นเลิศบริการรักษาพยาบาล 6 ด้าน ได้แก่ ด้านความงาม การแปลงเพศ ข้อเข่า หัวใจ ผู้มีบุตรยาก และทันตกรรม เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติให้มาใช้บริการรักษาพยาบาล รวมทั้งการยกระดับมาตรฐานนวดไทยจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ให้เป็นมรดกโลก ในการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐบาลตามภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก ครั้งที่ 14 วันที่ 12 ธ.ค.2562 ณ กรุงโบโกตา สาธารณรัฐโคลอมเบีย
นายอนุทินกล่าวต่อว่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการบริการทางการแพทย์ ได้ดําเนินการสอดรับกับนโยบายรัฐบาลที่จะพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต และผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยต่อยอดอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ อาทิ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ซึ่งมีความสอดคล้องตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ด้านการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา องค์กรระหว่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน จะจัดงานมหกรรมสินค้าและบริการสุขภาพ (Thailand Health Expo) ประจําปี 2563 ขึ้นระหว่างวันที่ 4 – 8 มีนาคม 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี เพื่อแสดงศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลก รวมทั้งสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านบริการสุขภาพของประเทศไทยได้ดําเนินกิจกรรมการตลาดต่างประเทศและการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) เพื่อเพิ่มส่งเสริมศักยภาพธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพไทย
************************************** 27 ธันวาคม 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25532
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนประชาชนระมัดระวังการลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่
|
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562
เตือนประชาชนระมัดระวังการลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่
สศค.จ้งย้ําเตือนอีกครั้งหนึ่งถึงการถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ โดยอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูง เพื่อให้ประชาชนระมัดระวังในการถูกชักชวนและถูกหลอกลวงจนสูญเสียทรัพย์สิน
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แจ้งย้ําเตือนอีกครั้งหนึ่งถึงการถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ โดยอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูง เพื่อให้ประชาชนระมัดระวังในการถูกชักชวนและถูกหลอกลวงจนสูญเสียทรัพย์สิน ซึ่ง สศค. ได้เน้นย้ําให้ระมัดระวังและหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด เนื่องจากการชักชวนผู้อื่นเข้าร่วมลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่อาจเข้าข่ายกระทําความผิดตามพระราชกําหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 (พระราชกําหนดการกู้ยืมเงินฯ) ซึ่งปัจจุบันมีบุคคลโฆษณาชี้ชวนให้ประชาชนทั่วไปเล่นแชร์ผ่านทางเฟซบุ๊ค หรือแอปพลิเคชันไลน์ซึ่งแพร่หลายในกลุ่มบุคคลที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว เช่น กรณีคดีแชร์แม่มณี เป็นต้น
สศค. ขอแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังและอย่าหลงเชื่อกับการชักชวนให้เข้าร่วมลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการกระทําความผิดตามพระราชกําหนดการกู้ยืมเงินฯ โดยวิธีสังเกตลักษณะของแชร์ลูกโซ่มีดังนี้ (1) มีการชักชวนให้ประชาชนเข้าร่วมลงทุน (2) เสนอผลตอบแทนสูงในระยะเวลาอันสั้น (3) ผู้ที่ชักชวนประกอบธุรกิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ได้ประกอบธุรกิจใด ๆ แต่ใช้วิธีการหมุนเวียนเงิน (4) เมื่อไม่สามารถหาสมาชิกมาลงทุนเพิ่มได้ก็จะปิดกิจการหนีไป
การชักชวนให้ร่วมลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ส่งผลให้สมาชิกที่ร่วมลงทุนเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินจํานวนมาก สําหรับประชาชนที่ถูกชักชวนหรือถูกหลอกลวงให้เข้าร่วมลงทุนในแชร์ออนไลน์ไปแล้วและรู้ตัวว่าจะเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของท่าน ขอให้ท่านแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และสถานีตํารวจในท้องที่ที่เกิดเหตุ (เพื่อไม่ให้คดีขาดอายุความ) หรือส่งเรื่องร้องเรียนมาที่สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สศค. ซึ่ง สศค. จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุด
หากท่านมีข้อสงสัยประการใด สามารถสอบถามได้ที่ ส่วนป้องปรามการเงินนอกระบบ สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ถนนพระรามที่ 6 เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2169 7128 ถึง 36 ต่อ 153 - 161 หรือศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ โทร. 1359 หรือ ตู้ปณ.1359 ปณจ.บางรัก กรุงเทพฯ 10500 หรือ e-mail 1359@mof.go.th
สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 169 7127 ถึง 36 ต่อ 158 หรือศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สายด่วน 1359 กด 1
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนประชาชนระมัดระวังการลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562
เตือนประชาชนระมัดระวังการลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่
สศค.จ้งย้ําเตือนอีกครั้งหนึ่งถึงการถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ โดยอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูง เพื่อให้ประชาชนระมัดระวังในการถูกชักชวนและถูกหลอกลวงจนสูญเสียทรัพย์สิน
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แจ้งย้ําเตือนอีกครั้งหนึ่งถึงการถูกชักชวนให้ร่วมลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ โดยอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนสูง เพื่อให้ประชาชนระมัดระวังในการถูกชักชวนและถูกหลอกลวงจนสูญเสียทรัพย์สิน ซึ่ง สศค. ได้เน้นย้ําให้ระมัดระวังและหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด เนื่องจากการชักชวนผู้อื่นเข้าร่วมลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่อาจเข้าข่ายกระทําความผิดตามพระราชกําหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 (พระราชกําหนดการกู้ยืมเงินฯ) ซึ่งปัจจุบันมีบุคคลโฆษณาชี้ชวนให้ประชาชนทั่วไปเล่นแชร์ผ่านทางเฟซบุ๊ค หรือแอปพลิเคชันไลน์ซึ่งแพร่หลายในกลุ่มบุคคลที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ในวงกว้างอย่างรวดเร็ว เช่น กรณีคดีแชร์แม่มณี เป็นต้น
สศค. ขอแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังและอย่าหลงเชื่อกับการชักชวนให้เข้าร่วมลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการกระทําความผิดตามพระราชกําหนดการกู้ยืมเงินฯ โดยวิธีสังเกตลักษณะของแชร์ลูกโซ่มีดังนี้ (1) มีการชักชวนให้ประชาชนเข้าร่วมลงทุน (2) เสนอผลตอบแทนสูงในระยะเวลาอันสั้น (3) ผู้ที่ชักชวนประกอบธุรกิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ได้ประกอบธุรกิจใด ๆ แต่ใช้วิธีการหมุนเวียนเงิน (4) เมื่อไม่สามารถหาสมาชิกมาลงทุนเพิ่มได้ก็จะปิดกิจการหนีไป
การชักชวนให้ร่วมลงทุนในแชร์ออนไลน์ที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ส่งผลให้สมาชิกที่ร่วมลงทุนเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินจํานวนมาก สําหรับประชาชนที่ถูกชักชวนหรือถูกหลอกลวงให้เข้าร่วมลงทุนในแชร์ออนไลน์ไปแล้วและรู้ตัวว่าจะเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของท่าน ขอให้ท่านแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และสถานีตํารวจในท้องที่ที่เกิดเหตุ (เพื่อไม่ให้คดีขาดอายุความ) หรือส่งเรื่องร้องเรียนมาที่สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สศค. ซึ่ง สศค. จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุด
หากท่านมีข้อสงสัยประการใด สามารถสอบถามได้ที่ ส่วนป้องปรามการเงินนอกระบบ สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ถนนพระรามที่ 6 เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2169 7128 ถึง 36 ต่อ 153 - 161 หรือศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ โทร. 1359 หรือ ตู้ปณ.1359 ปณจ.บางรัก กรุงเทพฯ 10500 หรือ e-mail 1359@mof.go.th
สํานักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 169 7127 ถึง 36 ต่อ 158 หรือศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สายด่วน 1359 กด 1
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24179
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อุตฯ มอบนโยบาย กสอ.เน้นส่งเสริมและพัฒนาอุตฯเป้าหมาย ดันผู้ประกอบการสู่ยุค 4.0
|
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562
รมว.อุตฯ มอบนโยบาย กสอ.เน้นส่งเสริมและพัฒนาอุตฯเป้าหมาย ดันผู้ประกอบการสู่ยุค 4.0
รมว.อุตฯ มอบนโยบาย กสอ.เน้นส่งเสริมและพัฒนาอุตฯเป้าหมาย ดันผู้ประกอบการสู่ยุค 4.0
วันที่ 9 ส.ค. 62 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ โดยนายสุริยะฯ ระบุว่า กระทรวงฯเล็งเห็นความจําเป็นเร่งด่วนในส่วนของการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่อาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจโลกผันผวนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เน้นให้ความรู้เพิ่มช่องทางการตลาด เทคโนโลยีรวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เพื่อให้เกิดสภาพคล่องในด้านการดําเนินธุรกิจ พร้อมผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ยุค 4.0 โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย #กระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อุตฯ มอบนโยบาย กสอ.เน้นส่งเสริมและพัฒนาอุตฯเป้าหมาย ดันผู้ประกอบการสู่ยุค 4.0
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562
รมว.อุตฯ มอบนโยบาย กสอ.เน้นส่งเสริมและพัฒนาอุตฯเป้าหมาย ดันผู้ประกอบการสู่ยุค 4.0
รมว.อุตฯ มอบนโยบาย กสอ.เน้นส่งเสริมและพัฒนาอุตฯเป้าหมาย ดันผู้ประกอบการสู่ยุค 4.0
วันที่ 9 ส.ค. 62 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) โดยมีนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ให้การต้อนรับ โดยนายสุริยะฯ ระบุว่า กระทรวงฯเล็งเห็นความจําเป็นเร่งด่วนในส่วนของการส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่อาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจโลกผันผวนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เน้นให้ความรู้เพิ่มช่องทางการตลาด เทคโนโลยีรวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เพื่อให้เกิดสภาพคล่องในด้านการดําเนินธุรกิจ พร้อมผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ยุค 4.0 โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย #กระทรวงอุตสาหกรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22155
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( Novel Coronavirus 2019) ประจำวันที่ 27 มกราคม 2563
|
วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( Novel Coronavirus 2019) ประจําวันที่ 27 มกราคม 2563
สถานการณ์ ถึงวันที่ 27 มกราคม 2563 ณ เวลา 08.00 น. พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจากต่างประเทศ 8 ราย (กลับบ้านแล้ว 5 ราย อีก 3 รายนอนโรงพยาบาล ) ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย
1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 27 มกราคม 2563 ณ เวลา 08.00 น.
1.พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจากต่างประเทศ 8 ราย (กลับบ้านแล้ว 5 ราย อีก 3 รายนอนโรงพยาบาล ) ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย
2.มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ถึง 26 มกราคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 102 ราย คัดกรองจากสนามบิน 24 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 78 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 54 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรับไว้ในห้องแยกโรค 48 ราย
3.สถานการณ์ทั่วโลก ข้อมูล ตั้งแต่ 5 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 26 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 40 ราย ใน 12 ประเทศ และ 3 เขตปกครองพิเศษ ส่วนประเทศจีน ข้อมูล ณ วันที่ 26 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 1,975 ราย เสียชีวิต 56 ราย
4. ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ข้อมูลผู้ป่วยทางสื่อออนไลน์ เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โปรดติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@ / เพจเฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรค, เพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
2. สธ.เข้มคัดกรองผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยงเพิ่มอีก 2 เมือง
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขยกระดับศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขภาวะฉุกเฉินเป็นระดับกระทรวง โดยให้กรม/สํานักเขตสุขภาพ/สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมพร้อมบุคลากรการแพทย์ของกรมการแพทย์และสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนการทํางานของกรมควบคุมโรค สํารองทรัพยากร ยา เวชภัณฑ์ ช่องทางการประสานงาน การเฝ้าระวังและรายงานข้อมูล โดยจังหวัดที่มีสนามบินและจังหวัดท่องเที่ยว ให้บูรณาการทรัพยากรในพื้นที่และประสานการทํางานกับหน่วยราชการอื่นอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ความสําเร็จของการรับมือกับโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 มี 3 ส่วนหลัก คือ 1.การคัดกรองผู้เดินทางจากพื้นที่ระบาดทําเต็มที่แต่ต้องยอมรับว่าบางรายอยู่ในระยะฟักตัวของโรคหรือรับประทานยาลดไข้ก่อนเดินทาง 2.การรักษาพยาบาลและส่งต่อที่กําลังพัฒนาเพื่อให้ครอบคลุม และ 3.ความร่วมมือของประชาชน ชุมชน สื่อมวลชน เป็นส่วนสําคัญที่ช่วยให้การรับมือโรคมีประสิทธิภาพ ไม่ตื่นตระหนก รับฟังข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ช่วยแจ้งเตือน ส่งต่อข้อมูลที่เป็นจริง เพื่อเป้าหมายให้ประชาชนในประเทศปลอดภัย และไม่มีการระบาดของโรคในประเทศ
ด้านนายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ องค์การอนามัยโลกยังไม่ประกาศให้โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ แต่เพื่อความไม่ประมาทประเทศไทยคงคุมเข้มมาตรการทั้งการเฝ้าระวังคัดกรองผู้ป่วยสงสัยฯ จากพื้นที่แพร่ระบาดของโรค ที่สนามบิน โดยขณะนี้ เพิ่มการคัดกรองผู้เดินทางจากจีนอีก 2 เมืองคือกว่างโจวและฉางชุน และจะปรับเพิ่มตามการคัดกรองประกาศของทางการจีน ในส่วนสถานพยาบาลรัฐ/เอกชน ได้เข้มงวดการคัดกรองผู้มีไข้ ไอ และมีประวัติการเดินทางจากพื้นเสี่ยง ส่วนในชุมชน โรงแรม/ที่พัก ขอความร่วมมือให้เป็นจุดเฝ้าระวัง
โดยเมื่อวานนี้ (26 มกราคม 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ประชุมร่วม 3 กระทรวง เพื่อหารือและเตรียมการในระดับนโยบาย ด้าน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของด่านควบคุมโรค จ.ตาก และในวันนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าร่วมประชุมชี้แจงมาตรการควบคุมป้องกันโรคกับผู้ประกอบการทัวร์ โรงแรมและผู้ขับขี่รถสาธารณะ
3. ผลการดําเนินงานที่ด่านควบคุมโรค
- จากการตรวจคัดกรอง 5 สนามบิน ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ ได้ตรวจคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิ สะสมตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ถึง วันที่ 25 มกราคม 2563 จํานวน 21,522 คน และในวันที่ 24-26 มกราคม สนามเชียงราย เชียงใหม่ และบินสุวรรณภูมิ 2563 ได้คัดกรองเที่ยวบินจากกว่างโจว 24 เที่ยวบิน มีผู้เดินทางและลูกเรือ 3,186 คน และท่าอากาศยานกระบี่ คัดกรองผู้โดยสารจากฉางชุน 1 เที่ยวบิน มีผู้เดินทางและลูกเรือ 363 คน
- นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับแจกคําแนะนํา (health beware card) จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค
4. ข้อแนะนําประจําวันในการป้องกันตนเองจากโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
สาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศปิดการเดินทางสาธารณะที่เข้าออกเมืองอู่ฮั่นและพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทุกช่องทาง และประชาชนควรปฏิบัติตามคําแนะนําดังนี้
• ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่นและเมืองที่มีการระบาดตามคําประกาศของทางการจีน
• ระหว่างเดินทางในต่างประเทศขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม แนะนําควรสวมหน้ากากอนามัย
• หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรวมถึงเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกดี
• หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ํา และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นํามือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จําเป็น และปฏิบัติตามคําแนะนํา “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” อย่างเคร่งครัด
• ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ํา ผ้าเช็ดตัว) เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
• รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
• หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้
• หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@/เพจเฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรคเพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
******************************** 27 มกราคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( Novel Coronavirus 2019) ประจำวันที่ 27 มกราคม 2563
วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563
รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( Novel Coronavirus 2019) ประจําวันที่ 27 มกราคม 2563
สถานการณ์ ถึงวันที่ 27 มกราคม 2563 ณ เวลา 08.00 น. พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจากต่างประเทศ 8 ราย (กลับบ้านแล้ว 5 ราย อีก 3 รายนอนโรงพยาบาล ) ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย
1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 27 มกราคม 2563 ณ เวลา 08.00 น.
1.พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจากต่างประเทศ 8 ราย (กลับบ้านแล้ว 5 ราย อีก 3 รายนอนโรงพยาบาล ) ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในประเทศไทย
2.มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ถึง 26 มกราคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 102 ราย คัดกรองจากสนามบิน 24 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 78 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 54 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรับไว้ในห้องแยกโรค 48 ราย
3.สถานการณ์ทั่วโลก ข้อมูล ตั้งแต่ 5 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 26 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 40 ราย ใน 12 ประเทศ และ 3 เขตปกครองพิเศษ ส่วนประเทศจีน ข้อมูล ณ วันที่ 26 มกราคม 2563 พบผู้ป่วย 1,975 ราย เสียชีวิต 56 ราย
4. ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคําแนะนําของกระทรวงสาธารณสุข สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” ข้อมูลผู้ป่วยทางสื่อออนไลน์ เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โปรดติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@ / เพจเฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรค, เพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
2. สธ.เข้มคัดกรองผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยงเพิ่มอีก 2 เมือง
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขยกระดับศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขภาวะฉุกเฉินเป็นระดับกระทรวง โดยให้กรม/สํานักเขตสุขภาพ/สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมพร้อมบุคลากรการแพทย์ของกรมการแพทย์และสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสนับสนุนการทํางานของกรมควบคุมโรค สํารองทรัพยากร ยา เวชภัณฑ์ ช่องทางการประสานงาน การเฝ้าระวังและรายงานข้อมูล โดยจังหวัดที่มีสนามบินและจังหวัดท่องเที่ยว ให้บูรณาการทรัพยากรในพื้นที่และประสานการทํางานกับหน่วยราชการอื่นอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ความสําเร็จของการรับมือกับโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 มี 3 ส่วนหลัก คือ 1.การคัดกรองผู้เดินทางจากพื้นที่ระบาดทําเต็มที่แต่ต้องยอมรับว่าบางรายอยู่ในระยะฟักตัวของโรคหรือรับประทานยาลดไข้ก่อนเดินทาง 2.การรักษาพยาบาลและส่งต่อที่กําลังพัฒนาเพื่อให้ครอบคลุม และ 3.ความร่วมมือของประชาชน ชุมชน สื่อมวลชน เป็นส่วนสําคัญที่ช่วยให้การรับมือโรคมีประสิทธิภาพ ไม่ตื่นตระหนก รับฟังข้อมูลข่าวสารของทางราชการ ช่วยแจ้งเตือน ส่งต่อข้อมูลที่เป็นจริง เพื่อเป้าหมายให้ประชาชนในประเทศปลอดภัย และไม่มีการระบาดของโรคในประเทศ
ด้านนายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า แม้ว่าขณะนี้ องค์การอนามัยโลกยังไม่ประกาศให้โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ แต่เพื่อความไม่ประมาทประเทศไทยคงคุมเข้มมาตรการทั้งการเฝ้าระวังคัดกรองผู้ป่วยสงสัยฯ จากพื้นที่แพร่ระบาดของโรค ที่สนามบิน โดยขณะนี้ เพิ่มการคัดกรองผู้เดินทางจากจีนอีก 2 เมืองคือกว่างโจวและฉางชุน และจะปรับเพิ่มตามการคัดกรองประกาศของทางการจีน ในส่วนสถานพยาบาลรัฐ/เอกชน ได้เข้มงวดการคัดกรองผู้มีไข้ ไอ และมีประวัติการเดินทางจากพื้นเสี่ยง ส่วนในชุมชน โรงแรม/ที่พัก ขอความร่วมมือให้เป็นจุดเฝ้าระวัง
โดยเมื่อวานนี้ (26 มกราคม 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ประชุมร่วม 3 กระทรวง เพื่อหารือและเตรียมการในระดับนโยบาย ด้าน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานของด่านควบคุมโรค จ.ตาก และในวันนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าร่วมประชุมชี้แจงมาตรการควบคุมป้องกันโรคกับผู้ประกอบการทัวร์ โรงแรมและผู้ขับขี่รถสาธารณะ
3. ผลการดําเนินงานที่ด่านควบคุมโรค
- จากการตรวจคัดกรอง 5 สนามบิน ได้แก่ สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ ได้ตรวจคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิ สะสมตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2563 ถึง วันที่ 25 มกราคม 2563 จํานวน 21,522 คน และในวันที่ 24-26 มกราคม สนามเชียงราย เชียงใหม่ และบินสุวรรณภูมิ 2563 ได้คัดกรองเที่ยวบินจากกว่างโจว 24 เที่ยวบิน มีผู้เดินทางและลูกเรือ 3,186 คน และท่าอากาศยานกระบี่ คัดกรองผู้โดยสารจากฉางชุน 1 เที่ยวบิน มีผู้เดินทางและลูกเรือ 363 คน
- นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับแจกคําแนะนํา (health beware card) จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค
4. ข้อแนะนําประจําวันในการป้องกันตนเองจากโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
สาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศปิดการเดินทางสาธารณะที่เข้าออกเมืองอู่ฮั่นและพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทุกช่องทาง และประชาชนควรปฏิบัติตามคําแนะนําดังนี้
• ประชาชนควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่นและเมืองที่มีการระบาดตามคําประกาศของทางการจีน
• ระหว่างเดินทางในต่างประเทศขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม แนะนําควรสวมหน้ากากอนามัย
• หลีกเลี่ยงการเข้าไปตลาดค้าสัตว์มีชีวิต การสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกับสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์ที่ป่วย หรือตาย และหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรวมถึงเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกดี
• หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ํา และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นํามือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จําเป็น และปฏิบัติตามคําแนะนํา “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” อย่างเคร่งครัด
• ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ํา ผ้าเช็ดตัว) เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
• รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
• หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้
• หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php และ Line@/เพจเฟสบุ๊ค : รู้กันทันโรคเพจเฟสบุ๊ค : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
******************************** 27 มกราคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26094
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. แนะลูกค้าทำธุรกรรมผ่าน Application : GHB ALL ลดความเสี่ยงไวรัสโคโรนา 2019
|
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563
ธอส. แนะลูกค้าทําธุรกรรมผ่าน Application : GHB ALL ลดความเสี่ยงไวรัสโคโรนา 2019
ธอส.ห่วงใยและใส่ใจในสุขภาพลูกค้าธนาคาร แนะนําวิธีการลดความเสี่ยงจากการเดินทางไปในพื้นที่สาธารณะ และสถานที่แออัด เพื่อความปลอดภัยไร้กังวลกับการใกล้ชิดกับผู้อื่น และสถานการณ์ Covid-19 สามารถทําธุรกรรมกับ ธอส.ด้วย Mobile Application : GHB ALL แอปเดียวจบ
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ห่วงใยและใส่ใจในสุขภาพของลูกค้าธนาคาร แนะนําวิธีการลดความเสี่ยงจากการเดินทางไปในพื้นที่สาธารณะ และสถานที่แออัด เพื่อความปลอดภัยไร้กังวลกับการใกล้ชิดกับผู้อื่น และสถานการณ์ไวรัสโคโรนา(Covid-19) สามารถทําธุรกรรมกับ ธอส.ด้วย Mobile Application : GHB ALL แอปเดียวครบจบ รวมทุกบริการ ธอส.ไว้ในมือคุณ อาทิ ชําระเงินกู้ ดูใบเสร็จ บริการโอนเงินภายใน และต่างธนาคาร บริการ PromptPay ดู statement ชําระค่าสินค้าและบริการ ดูรายการทรัพย์ NPA และค้นหาที่ตั้งสาขา เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถสะสมคะแนนเพื่อแลกสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลสร้องคอทองคําในโครงการ GHB Reward เพียงลงทะเบียนสมัครใช้บริการ GHB ALL ครั้งแรก หรือ ชําระหนี้เงินกู้ตามเงื่อนไขที่ธนาคารกําหนดผ่าน GHB ALL ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถลงทะเบียนโครงการ GHB Reward ได้ที่เว็บไซต์reward.ghbank.co.th และดาวน์โหลด GHB ALL ได้ทั้งที่ App Store หรือ Play Store สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. แนะลูกค้าทำธุรกรรมผ่าน Application : GHB ALL ลดความเสี่ยงไวรัสโคโรนา 2019
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563
ธอส. แนะลูกค้าทําธุรกรรมผ่าน Application : GHB ALL ลดความเสี่ยงไวรัสโคโรนา 2019
ธอส.ห่วงใยและใส่ใจในสุขภาพลูกค้าธนาคาร แนะนําวิธีการลดความเสี่ยงจากการเดินทางไปในพื้นที่สาธารณะ และสถานที่แออัด เพื่อความปลอดภัยไร้กังวลกับการใกล้ชิดกับผู้อื่น และสถานการณ์ Covid-19 สามารถทําธุรกรรมกับ ธอส.ด้วย Mobile Application : GHB ALL แอปเดียวจบ
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ห่วงใยและใส่ใจในสุขภาพของลูกค้าธนาคาร แนะนําวิธีการลดความเสี่ยงจากการเดินทางไปในพื้นที่สาธารณะ และสถานที่แออัด เพื่อความปลอดภัยไร้กังวลกับการใกล้ชิดกับผู้อื่น และสถานการณ์ไวรัสโคโรนา(Covid-19) สามารถทําธุรกรรมกับ ธอส.ด้วย Mobile Application : GHB ALL แอปเดียวครบจบ รวมทุกบริการ ธอส.ไว้ในมือคุณ อาทิ ชําระเงินกู้ ดูใบเสร็จ บริการโอนเงินภายใน และต่างธนาคาร บริการ PromptPay ดู statement ชําระค่าสินค้าและบริการ ดูรายการทรัพย์ NPA และค้นหาที่ตั้งสาขา เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถสะสมคะแนนเพื่อแลกสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลสร้องคอทองคําในโครงการ GHB Reward เพียงลงทะเบียนสมัครใช้บริการ GHB ALL ครั้งแรก หรือ ชําระหนี้เงินกู้ตามเงื่อนไขที่ธนาคารกําหนดผ่าน GHB ALL ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถลงทะเบียนโครงการ GHB Reward ได้ที่เว็บไซต์reward.ghbank.co.th และดาวน์โหลด GHB ALL ได้ทั้งที่ App Store หรือ Play Store สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27437
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ นำร่อง "Smart Farmer" ใช้เทคโนโลยีระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรนิกส์ (E-Card)
|
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
กระทรวงเกษตรฯ นําร่อง "Smart Farmer" ใช้เทคโนโลยีระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรนิกส์ (E-Card)
กระทรวงเกษตรฯ นําร่อง "Smart Farmer" ใช้เทคโนโลยีระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรนิกส์ (E-Card) ให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ ตอบสนองการสื่อสาร 2 ทาง เพื่อให้เกษตรกรได้รับบริการฉับไวและตรงจุด
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการทดสอบการใช้บัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card) ณ วัดลานตากฟ้า ตําบลลานตากฟ้า อําเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรดําเนินการปรับปรุงและพัฒนาเกี่ยวกับทะเบียนเกษตรกรใน 3 กิจกรรม คือ 1) ฐานข้อมูลเครื่องจักรกลการเกษตร ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ 2) ระบบฐานข้อมูลเกษตรอินทรีย์ ร่วมกับกรมวิชาการเกษตรเป็นเจ้าภาพหลัก และ 3) ระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card) ร่วมกับ สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และบริษัทอีการ์ดสตูดิโอ
สําหรับระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card) นั้น ได้ดําเนินการโครงการนําร่องสําหรับเกษตรกร “Smart Farmer” เพื่อให้เกษตรกรก้าวทันยุคดิจิตอล โดยการนําเทคโนโลยี GEO Location หรือระบบแผนที่ และบัตรประจําตัวเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card) มาใช้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการอํานวยความสะดวกสําหรับเกษตรกรในการแจ้งการเพาะปลูก การแจ้งขึ้นทะเบียนเกษตรกร ตลอดจนการรับสวัสดิการของรัฐ เพื่อประโยชน์ของภาครัฐในด้านการบริหารจัดการภาคการเกษตรของสินค้าเกษตร และโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรอย่างรวดเร็วผ่านการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว
นายประสงค์ ประไพตระกูล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับ บริษัท อีคาร์ท สตูดิโอ จัดทดสอบระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์เพื่อประยุกต์ใช้ในการขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยวิเคราะห์ ออกแบบ และพัฒนาระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ให้รองรับระบบขึ้นทะเบียนเกษตรกรผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งทดสอบกับกลุ่มเป้าหมาย 256 ครัวเรือน ณ วัดลานตากฟ้า ตําบลลานตากฟ้า อําเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม โดยการทดสอบครั้งนี้ จะเป็นการรับทราบข้อคิดเห็น และพิจารณาทิศทางการยอมรับของเกษตรกร เพื่อทําการปรับปรุงระบบต่อไป นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกเครือข่ายพิจารณายกเว้นค่าบริการเครือข่ายและสนับสนุนการเปลี่ยนอุปกรณ์มือถือสมาร์ทโฟน และสนับสนุนขั้นตอนการเปิดใช้บริการหากเกษตรกรมีความประสงค์ สําหรับการเข้าถึงเว็บไซต์แจ้งปลูกผ่านระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่เกษตรกรที่ใช้บริการดังกล่าว
ทั้งนี้ หากการทดสอบระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ประสบผลสําเร็จ จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งในการเพิ่มช่องทางการขึ้นทะเบียนเกษตรกรได้โดยตนเอง ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางและสามารถตอบสนองการให้บริการของรัฐได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ นำร่อง "Smart Farmer" ใช้เทคโนโลยีระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรนิกส์ (E-Card)
วันจันทร์ที่ 10 เมษายน 2560
กระทรวงเกษตรฯ นําร่อง "Smart Farmer" ใช้เทคโนโลยีระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรนิกส์ (E-Card)
กระทรวงเกษตรฯ นําร่อง "Smart Farmer" ใช้เทคโนโลยีระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรนิกส์ (E-Card) ให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ ตอบสนองการสื่อสาร 2 ทาง เพื่อให้เกษตรกรได้รับบริการฉับไวและตรงจุด
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการทดสอบการใช้บัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card) ณ วัดลานตากฟ้า ตําบลลานตากฟ้า อําเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตรดําเนินการปรับปรุงและพัฒนาเกี่ยวกับทะเบียนเกษตรกรใน 3 กิจกรรม คือ 1) ฐานข้อมูลเครื่องจักรกลการเกษตร ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ 2) ระบบฐานข้อมูลเกษตรอินทรีย์ ร่วมกับกรมวิชาการเกษตรเป็นเจ้าภาพหลัก และ 3) ระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card) ร่วมกับ สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และบริษัทอีการ์ดสตูดิโอ
สําหรับระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card) นั้น ได้ดําเนินการโครงการนําร่องสําหรับเกษตรกร “Smart Farmer” เพื่อให้เกษตรกรก้าวทันยุคดิจิตอล โดยการนําเทคโนโลยี GEO Location หรือระบบแผนที่ และบัตรประจําตัวเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ (E-Card) มาใช้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการอํานวยความสะดวกสําหรับเกษตรกรในการแจ้งการเพาะปลูก การแจ้งขึ้นทะเบียนเกษตรกร ตลอดจนการรับสวัสดิการของรัฐ เพื่อประโยชน์ของภาครัฐในด้านการบริหารจัดการภาคการเกษตรของสินค้าเกษตร และโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรอย่างรวดเร็วผ่านการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว
นายประสงค์ ประไพตระกูล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับ บริษัท อีคาร์ท สตูดิโอ จัดทดสอบระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์เพื่อประยุกต์ใช้ในการขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยวิเคราะห์ ออกแบบ และพัฒนาระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ให้รองรับระบบขึ้นทะเบียนเกษตรกรผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งทดสอบกับกลุ่มเป้าหมาย 256 ครัวเรือน ณ วัดลานตากฟ้า ตําบลลานตากฟ้า อําเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม โดยการทดสอบครั้งนี้ จะเป็นการรับทราบข้อคิดเห็น และพิจารณาทิศทางการยอมรับของเกษตรกร เพื่อทําการปรับปรุงระบบต่อไป นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกเครือข่ายพิจารณายกเว้นค่าบริการเครือข่ายและสนับสนุนการเปลี่ยนอุปกรณ์มือถือสมาร์ทโฟน และสนับสนุนขั้นตอนการเปิดใช้บริการหากเกษตรกรมีความประสงค์ สําหรับการเข้าถึงเว็บไซต์แจ้งปลูกผ่านระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่เกษตรกรที่ใช้บริการดังกล่าว
ทั้งนี้ หากการทดสอบระบบบัตรเกษตรกรอิเล็กทรอนิกส์ประสบผลสําเร็จ จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งในการเพิ่มช่องทางการขึ้นทะเบียนเกษตรกรได้โดยตนเอง ลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางและสามารถตอบสนองการให้บริการของรัฐได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2991
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ดูแลแรงงานเมียนมาร์ที่ประสบอุบัติเหตุไฟไหม้รถบัส ที่จังหวัดตาก
|
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561
สธ.ดูแลแรงงานเมียนมาร์ที่ประสบอุบัติเหตุไฟไหม้รถบัส ที่จังหวัดตาก
กระทรวงสาธารณสุข ให้การดูแลรักษาแรงงานชาวเมียนมาร์ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุไฟไหม้รถบัสที่จังหวัดตาก ขณะนี้ พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 1 ราย ส่งต่อไปรักษาที่หน่วยไฟไหม้น้ําร้อนลวก โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก 1 ราย
กระทรวงสาธารณสุข ให้การดูแลรักษาแรงงานชาวเมียนมาร์ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุไฟไหม้รถบัสที่จังหวัดตาก ขณะนี้ พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 1 ราย ส่งต่อไปรักษาที่หน่วยไฟไหม้น้ําร้อนลวก โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก 1 ราย และอีก 1 รายใส่เฝือกขาที่หัก กลับบ้านแล้ว
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีรถทัวร์โดยสาร 2 ชั้นเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้เมื่อเช้ามืดวันนี้ (30 มีนาคม 2561) บริเวณปากทางเข้าอุทยานพระเจ้าตากสิน ถ.ตาก-แม่สอด ต.แม่ท้อ อ.เมือง จ.ตาก ว่า ได้รับรายงานจากนพ.จรัล วิวัฒน์คุณูปการ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จ.ตาก ว่า มีแรงงานชาวเมียนมาร์เสียชีวิต 20 ราย และได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ในจํานวนนี้ 1 ราย อาการสาหัส มีแผลไฟไหม้รุนแรงที่บริเวณใบหน้าและลําตัว สําลักควันไฟส่งตัวไปรักษาที่หน่วยไฟไหม้น้ําร้อนลวก(Burn Unit)โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก รายที่ 2 กระดูกข้อเท้าหักใส่เฝือกที่ข้อเท้า กลับบ้านได้ และรายที่ 3 สูดดมควันไฟ รับตัวไว้นอนสังเกตอาการที่โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดตาก ซึ่งนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้กําชับให้ทีมแพทย์ดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด
**************************************30 มีนาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ดูแลแรงงานเมียนมาร์ที่ประสบอุบัติเหตุไฟไหม้รถบัส ที่จังหวัดตาก
วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม 2561
สธ.ดูแลแรงงานเมียนมาร์ที่ประสบอุบัติเหตุไฟไหม้รถบัส ที่จังหวัดตาก
กระทรวงสาธารณสุข ให้การดูแลรักษาแรงงานชาวเมียนมาร์ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุไฟไหม้รถบัสที่จังหวัดตาก ขณะนี้ พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 1 ราย ส่งต่อไปรักษาที่หน่วยไฟไหม้น้ําร้อนลวก โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก 1 ราย
กระทรวงสาธารณสุข ให้การดูแลรักษาแรงงานชาวเมียนมาร์ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุไฟไหม้รถบัสที่จังหวัดตาก ขณะนี้ พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 1 ราย ส่งต่อไปรักษาที่หน่วยไฟไหม้น้ําร้อนลวก โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก 1 ราย และอีก 1 รายใส่เฝือกขาที่หัก กลับบ้านแล้ว
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณีรถทัวร์โดยสาร 2 ชั้นเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้เมื่อเช้ามืดวันนี้ (30 มีนาคม 2561) บริเวณปากทางเข้าอุทยานพระเจ้าตากสิน ถ.ตาก-แม่สอด ต.แม่ท้อ อ.เมือง จ.ตาก ว่า ได้รับรายงานจากนพ.จรัล วิวัฒน์คุณูปการ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จ.ตาก ว่า มีแรงงานชาวเมียนมาร์เสียชีวิต 20 ราย และได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ในจํานวนนี้ 1 ราย อาการสาหัส มีแผลไฟไหม้รุนแรงที่บริเวณใบหน้าและลําตัว สําลักควันไฟส่งตัวไปรักษาที่หน่วยไฟไหม้น้ําร้อนลวก(Burn Unit)โรงพยาบาลพุทธชินราช จ.พิษณุโลก รายที่ 2 กระดูกข้อเท้าหักใส่เฝือกที่ข้อเท้า กลับบ้านได้ และรายที่ 3 สูดดมควันไฟ รับตัวไว้นอนสังเกตอาการที่โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จังหวัดตาก ซึ่งนายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้กําชับให้ทีมแพทย์ดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด
**************************************30 มีนาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11214
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษแก่นักศึกษาผู้บัญชาการเรือนจำ (นผบ.รุ่นที่ ๓๑)
|
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561
ปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษแก่นักศึกษาผู้บัญชาการเรือนจํา (นผบ.รุ่นที่ ๓๑)
ปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษแก่นักศึกษาผู้บัญชาการเรือนจํา (นผบ.รุ่นที่ ๓๑)
ในวันจันทร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกรมราชทัณฑ์ ชั้น ๒ อาคารกรมราชทัณฑ์ จังหวัดนนทบุรี
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
บรรยายพิเศษในหัวข้อ “การนํายุทธศาสตร์สู่การบริหารงานราชทัณฑ์”
ให้แก่ข้าราชกรมราชทัณฑ์ ที่เข้าฝึกอบรมหลักสูตรนักศึกษาผู้บัญชาการเรือนจํา (นผบ.รุ่นที่ ๓๑) จํานวน ๕๐ คน
เพื่อให้นักศึกษาผู้บัญชาการเรือนจํา นําองค์ความรู้ แนวคิด ด้านการบริหารงาน บริหารคน และบริหารจิตใจ
ไปปรับใช้ ถ่ายทอดและขยายผลสู่แนวทางการปฏิบัติงานราชทัณฑ์ต่อไป
โดยปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวสรุปใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า
การจะแก้ไขปัญหาในงานพัฒนาพฤตินิสัยให้สําเร็จนั้น จะต้องมีการตั้งเป้าหมายที่แน่ชัด
ใช้องค์ความรู้ที่ทันสมัย รวมทั้งจะต้องมีการกําหนดตัวชี้วัดเพื่อให้สามารถประเมินผลและนําไปสู่การแก้ปัญหาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยนทัศนคติความคิด เป็นส่วนสําคัญที่จะขับเคลื่อนงานให้ประสบผลสําเร็จได้
ทั้งนี้ การใช้ปัจจัยเชิงบวก เช่น การสนับสนุนให้ผู้ต้องขังสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้
ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานและสามารถต่อยอดในการพัฒนาเป็นอาชีพที่ยั่งยืนเมื่อพ้นโทษ
และเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาไม่ให้หวนกลับมากระทําผิดซ้ํา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษแก่นักศึกษาผู้บัญชาการเรือนจำ (นผบ.รุ่นที่ ๓๑)
วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2561
ปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษแก่นักศึกษาผู้บัญชาการเรือนจํา (นผบ.รุ่นที่ ๓๑)
ปลัดกระทรวงยุติธรรม บรรยายพิเศษแก่นักศึกษาผู้บัญชาการเรือนจํา (นผบ.รุ่นที่ ๓๑)
ในวันจันทร์ที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องประชุมกรมราชทัณฑ์ ชั้น ๒ อาคารกรมราชทัณฑ์ จังหวัดนนทบุรี
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
บรรยายพิเศษในหัวข้อ “การนํายุทธศาสตร์สู่การบริหารงานราชทัณฑ์”
ให้แก่ข้าราชกรมราชทัณฑ์ ที่เข้าฝึกอบรมหลักสูตรนักศึกษาผู้บัญชาการเรือนจํา (นผบ.รุ่นที่ ๓๑) จํานวน ๕๐ คน
เพื่อให้นักศึกษาผู้บัญชาการเรือนจํา นําองค์ความรู้ แนวคิด ด้านการบริหารงาน บริหารคน และบริหารจิตใจ
ไปปรับใช้ ถ่ายทอดและขยายผลสู่แนวทางการปฏิบัติงานราชทัณฑ์ต่อไป
โดยปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวสรุปใจความสําคัญตอนหนึ่งว่า
การจะแก้ไขปัญหาในงานพัฒนาพฤตินิสัยให้สําเร็จนั้น จะต้องมีการตั้งเป้าหมายที่แน่ชัด
ใช้องค์ความรู้ที่ทันสมัย รวมทั้งจะต้องมีการกําหนดตัวชี้วัดเพื่อให้สามารถประเมินผลและนําไปสู่การแก้ปัญหาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเปลี่ยนทัศนคติความคิด เป็นส่วนสําคัญที่จะขับเคลื่อนงานให้ประสบผลสําเร็จได้
ทั้งนี้ การใช้ปัจจัยเชิงบวก เช่น การสนับสนุนให้ผู้ต้องขังสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้
ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานและสามารถต่อยอดในการพัฒนาเป็นอาชีพที่ยั่งยืนเมื่อพ้นโทษ
และเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาไม่ให้หวนกลับมากระทําผิดซ้ํา
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13715
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ประกาศปรับกระบวนการ เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์
|
วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560
กระทรวงเกษตรฯ ประกาศปรับกระบวนการ เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์
กระทรวงเกษตรฯ ประกาศปรับกระบวนการ เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ รวดเร็วกว่าเดิม
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ประกาศปรับลดขั้นตอนการตรวจรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจรับรองให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ผลิตที่ได้รับการรับรองมาตฐานเกษตรอินทรีย์สากลแล้ว แต่ประสงค์จะได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของไทย ตราออร์แกนิคไทยแลนด์ (Organic Thailand)ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะได้รับการตรวจเพิ่มเติม เพียง5รายการ แทนที่จะต้องตรวจใหม่ทั้งหมด15รายการ ทั้งนี้ การเร่งรัดการปรับปรุงกระบวนการตรวจรับรองให้มีประสิทธิภาพ โดยจะลดขั้นตอนการทํางาน และถ่ายโอนภารกิจตรวจรับรองให้เอกชนดําเนินการมากขึ้น เช่นเดียวกับการเร่งรัดยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ให้เกิดผลเชิงรูปธรรม โดยตั้งเป้าภายในระยะเวลา5ปี จะต้องมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว รวมถึงผลักดันให้ผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ขอรับการรับรองให้มากขึ้น
นางสาวชุติมา กล่าวต่อไปว่า การลดขั้นตอนดังกล่าว เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเพิ่มเติม เรื่อง1)เอกสารสิทธิ์ ทุกแปลงที่ขอการรับรองจากทางราชการ ต้องมีเอกสารหรือหลักฐานยืนยันว่าทําการเพาะปลูกบนพื้นที่ที่ถูกกฎหมาย ไม่บุกรุกป่าหรือพื้นที่สาธารณะ2)การทําแนวกันชนกรณีพื้นที่ข้างเคียงใช้สารเคมี เช่น การปลูกพืชที่มีความสูงกั้นสารเคมี หรือสิ่งปนเปื้อนที่อาจปลิวมาจากแปลงข้างเคียง หรือทําคันดิน กั้นสิ่งปนเปื้อนที่อาจมากับน้ําหรือวิธีการอื่นๆ ที่สามารถป้องกันสารเคมี หรือสิ่งปนเปื้อนที่อาจมาทางน้ํา ทางอากาศได้3)ตรวจน้ําใช้ หากพบว่ามีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน จะตรวจวิธีการในการลดการปนเปื้อนสารเคมี/โลหะหนักที่อาจปนเปื้อนมา4)ตรวจสอบให้มั่นใจว่าปุ๋ยอินทรีย์ หรือสารอินทรีย์อื่นที่นําเข้ามาใช้ในฟาร์มเป็นอินทรีย์จริง และ5)ตรวจสอบว่าไม่มีการนําของเสียจากมนุษย์มาใช้ในการผลิต โดยมาตรการดังกล่าวได้เริ่มดําเนินการแล้วตั้งแต่วันที่1พฤษภาคม2560
สําหรับการเพิ่มความสามารถในการตรวจรับรองเกษตรอินทรีย์ให้รวดเร็วและทันกับความต้องการ ขณะนี้กําลังเร่งดําเนินการอยู่ โดยทยอยถ่ายโอนภารกิจให้หน่วยตรวจรับรองเอกชนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งกําลังศึกษารูปแบบการบริหารจัดการ การสนับสนุนงบประมาณการตรวจรับรองที่เหมาะสมที่จะขับเคลื่อนภารกิจการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งการให้คําปรึกษาแนะนํา และให้บริการการฝึกอบรม คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้
ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกษ.9000)ของกระทรวงเกษตรฯ จะสามารถแสดง เครื่องหมายรับรอง ออร์แกนิคไทยแลนด์ ซึ่งแสดงถึงคุณภาพของสินค้าว่าได้รับการรับรองตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ สร้างความมั่นใจและเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค ได้เลือกซื้อสินค้าตามคุณภาพที่ตนเองต้องการ ซึ่งเกษตรกรที่ต้องการขอรับการรับรองสามารถขอรับการตรวจรับรองได้จากกรมวิชาการเกษตร หรือหน่วยตรวจรับรองเอกชน (CB)ที่ขึ้นทะเบียนกับสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ประกาศปรับกระบวนการ เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์
วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560
กระทรวงเกษตรฯ ประกาศปรับกระบวนการ เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์
กระทรวงเกษตรฯ ประกาศปรับกระบวนการ เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ รวดเร็วกว่าเดิม
นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ประกาศปรับลดขั้นตอนการตรวจรับรองสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจรับรองให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ผลิตที่ได้รับการรับรองมาตฐานเกษตรอินทรีย์สากลแล้ว แต่ประสงค์จะได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของไทย ตราออร์แกนิคไทยแลนด์ (Organic Thailand)ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะได้รับการตรวจเพิ่มเติม เพียง5รายการ แทนที่จะต้องตรวจใหม่ทั้งหมด15รายการ ทั้งนี้ การเร่งรัดการปรับปรุงกระบวนการตรวจรับรองให้มีประสิทธิภาพ โดยจะลดขั้นตอนการทํางาน และถ่ายโอนภารกิจตรวจรับรองให้เอกชนดําเนินการมากขึ้น เช่นเดียวกับการเร่งรัดยุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ให้เกิดผลเชิงรูปธรรม โดยตั้งเป้าภายในระยะเวลา5ปี จะต้องมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว รวมถึงผลักดันให้ผู้ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ขอรับการรับรองให้มากขึ้น
นางสาวชุติมา กล่าวต่อไปว่า การลดขั้นตอนดังกล่าว เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเพิ่มเติม เรื่อง1)เอกสารสิทธิ์ ทุกแปลงที่ขอการรับรองจากทางราชการ ต้องมีเอกสารหรือหลักฐานยืนยันว่าทําการเพาะปลูกบนพื้นที่ที่ถูกกฎหมาย ไม่บุกรุกป่าหรือพื้นที่สาธารณะ2)การทําแนวกันชนกรณีพื้นที่ข้างเคียงใช้สารเคมี เช่น การปลูกพืชที่มีความสูงกั้นสารเคมี หรือสิ่งปนเปื้อนที่อาจปลิวมาจากแปลงข้างเคียง หรือทําคันดิน กั้นสิ่งปนเปื้อนที่อาจมากับน้ําหรือวิธีการอื่นๆ ที่สามารถป้องกันสารเคมี หรือสิ่งปนเปื้อนที่อาจมาทางน้ํา ทางอากาศได้3)ตรวจน้ําใช้ หากพบว่ามีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน จะตรวจวิธีการในการลดการปนเปื้อนสารเคมี/โลหะหนักที่อาจปนเปื้อนมา4)ตรวจสอบให้มั่นใจว่าปุ๋ยอินทรีย์ หรือสารอินทรีย์อื่นที่นําเข้ามาใช้ในฟาร์มเป็นอินทรีย์จริง และ5)ตรวจสอบว่าไม่มีการนําของเสียจากมนุษย์มาใช้ในการผลิต โดยมาตรการดังกล่าวได้เริ่มดําเนินการแล้วตั้งแต่วันที่1พฤษภาคม2560
สําหรับการเพิ่มความสามารถในการตรวจรับรองเกษตรอินทรีย์ให้รวดเร็วและทันกับความต้องการ ขณะนี้กําลังเร่งดําเนินการอยู่ โดยทยอยถ่ายโอนภารกิจให้หน่วยตรวจรับรองเอกชนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งกําลังศึกษารูปแบบการบริหารจัดการ การสนับสนุนงบประมาณการตรวจรับรองที่เหมาะสมที่จะขับเคลื่อนภารกิจการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งการให้คําปรึกษาแนะนํา และให้บริการการฝึกอบรม คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายปีนี้
ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกษ.9000)ของกระทรวงเกษตรฯ จะสามารถแสดง เครื่องหมายรับรอง ออร์แกนิคไทยแลนด์ ซึ่งแสดงถึงคุณภาพของสินค้าว่าได้รับการรับรองตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ สร้างความมั่นใจและเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค ได้เลือกซื้อสินค้าตามคุณภาพที่ตนเองต้องการ ซึ่งเกษตรกรที่ต้องการขอรับการรับรองสามารถขอรับการตรวจรับรองได้จากกรมวิชาการเกษตร หรือหน่วยตรวจรับรองเอกชน (CB)ที่ขึ้นทะเบียนกับสํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3626
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดศูนย์บริการจัดหางานฯ แห่งใหม่ ช่วยประชาชนเข้าถึงบริการหางานทำครบวงจร
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2562
เปิดศูนย์บริการจัดหางานฯ แห่งใหม่ ช่วยประชาชนเข้าถึงบริการหางานทําครบวงจร
วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยมีงานทํา โดยเปิดศูนย์บริการจัดหางานและคุ้มครองคนหางานเพิ่มขึ้นเป็นแห่งที่ 3 ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ใหม่ จากเดิมที่ให้บริการแล้ว 2 แห่ง คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต 2 และสถานีรถไฟหัวลําโพง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ครอบคลุมทั้งบริการจัดหางานในประเทศแก่ผู้ที่ต้องการมีงานทํา นายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการจ้างงาน การรับขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงาน รับขึ้นทะเบียนผู้ต้องการไปทํางานต่างประเทศ ให้คําแนะนําแก่นายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการจ้างงานแรงงานต่างด้าว และรับเรื่องราวร้องทุกข์ ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการขอรับบริการสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงานโทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดศูนย์บริการจัดหางานฯ แห่งใหม่ ช่วยประชาชนเข้าถึงบริการหางานทำครบวงจร
วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม 2562
เปิดศูนย์บริการจัดหางานฯ แห่งใหม่ ช่วยประชาชนเข้าถึงบริการหางานทําครบวงจร
วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม 2562
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลส่งเสริมให้คนไทยมีงานทํา โดยเปิดศูนย์บริการจัดหางานและคุ้มครองคนหางานเพิ่มขึ้นเป็นแห่งที่ 3 ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารสายใต้ใหม่ จากเดิมที่ให้บริการแล้ว 2 แห่ง คือ สถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิต 2 และสถานีรถไฟหัวลําโพง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ครอบคลุมทั้งบริการจัดหางานในประเทศแก่ผู้ที่ต้องการมีงานทํา นายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการจ้างงาน การรับขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงาน รับขึ้นทะเบียนผู้ต้องการไปทํางานต่างประเทศ ให้คําแนะนําแก่นายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการจ้างงานแรงงานต่างด้าว และรับเรื่องราวร้องทุกข์ ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการขอรับบริการสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่สายด่วนกระทรวงแรงงานโทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24017
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางวิชาชีพให้เด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม
|
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561
“ยุติธรรม” ส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางวิชาชีพให้เด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการแข่งขันทักษะวิชาชีพเด็กและเยาวชน ครั้งที่ ๓ ประจําปี ๒๕๖๑
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น.
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการแข่งขันทักษะวิชาชีพเด็กและเยาวชน ครั้งที่ ๓ ประจําปี ๒๕๖๑
(DJOP Vocational Skills Competition : DJOP VSC ๒๐๑๘)
เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะวิชาชีพให้แก่เด็กและเยาวชน และเพิ่มพูนประสบการณ์
ตลอดจนการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
ในด้านการดูแลเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
โดยมี นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
ผู้แทนกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
และผู้แทนจากภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุน เข้าร่วมโครงการฯ
ณ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านมุทิตา
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมได้ให้ความสําคัญ
กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนให้ดีขึ้น โดยอาศัยขั้นตอนและกระบวนการต่าง ๆ
อย่างเป็นองค์รวม ซึ่งการที่จะทําให้เด็กและเยาวชนมีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงตนเอง
จําเป็นต้องอาศัยปัจจัยรอบด้าน โดยเฉพาะสังคมภายนอก อาทิ สถานประกอบการ และสถานศึกษา
ที่จะให้โอกาสเด็กและเยาวชนได้เข้าทํางาน เข้าไปศึกษาต่อและได้แสดงศักยภาพ
ในการพัฒนาตนเอง โดยการสนับสนุนกิจกรรมด้านวิชาชีพจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน
เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้พัฒนาตนเองเข้าสู่ตลาดแรงงานจริงได้อย่างมั่นคง
เกิดความยั่งยืนในการทํางาน และเกิดทัศนคติที่ดีต่อสังคมที่ให้การยอมรับเยาวชน
กลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบของที่ระลึกและโล่เกียรติคุณแก่ผู้แทนหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมและโครงการของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
จํานวน ๑๙ ราย
ต่อจากนั้น เวลา ๑๑.๓๐ น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เดินทางไปเยี่ยมชมการแข่งขันทักษะวิชาชีพการประกอบเคาน์เตอร์อเนกประสงค์ ณ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนสิรินทร และเยี่ยมชมการแข่งขันทักษะวิชาชีพจัดสวนถาด และการตัดผมชายทรงวินเทจ ณ สถาบันพัฒนาบุคลากร
ในกระบวนการยุติธรรมเด็กและเยาวชน
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๖ - ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๑
ณ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านมุทิตา ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนสิรินธร
และสถาบันพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมเด็กและเยาวชน ตําบลคลองโยง
อําเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น ๓ หมวดวิชาชีพ ๘ ประเภทการแข่งขัน ประกอบด้วย
๑) หมวดวิชาชีพช่าง ประกอบด้วย การแข่งขันทําเคาน์เตอร์อเนกประสงค์เคลื่อนที่ได้ การแข่งขันจัดสวนถาด และการแข่งขันตัดผมชายทรงวินเทจ ๒) หมวดวิชาชีพคหกรรม ประกอบด้วย การแข่งขันทําขนมจีนน้ําพริก การแข่งขันทําขนมสอดไส้ และการแข่งขันชงกาแฟ (Juvenile Barista Championship ๒๐๑๘)
และ ๓) หมวดวิชาชีพคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย การแข่งขันออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการแข่งขันออกแบบผลิตชิ้นงานโฆษณา (Print ad.)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางวิชาชีพให้เด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2561
“ยุติธรรม” ส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางวิชาชีพให้เด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการแข่งขันทักษะวิชาชีพเด็กและเยาวชน ครั้งที่ ๓ ประจําปี ๒๕๖๑
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๑ เวลา ๐๙.๓๐ น.
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการแข่งขันทักษะวิชาชีพเด็กและเยาวชน ครั้งที่ ๓ ประจําปี ๒๕๖๑
(DJOP Vocational Skills Competition : DJOP VSC ๒๐๑๘)
เพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะวิชาชีพให้แก่เด็กและเยาวชน และเพิ่มพูนประสบการณ์
ตลอดจนการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
ในด้านการดูแลเด็กและเยาวชนที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
โดยมี นายวิทยา สุริยะวงค์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
ผู้แทนกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
และผู้แทนจากภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุน เข้าร่วมโครงการฯ
ณ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านมุทิตา
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า กระทรวงยุติธรรมได้ให้ความสําคัญ
กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนให้ดีขึ้น โดยอาศัยขั้นตอนและกระบวนการต่าง ๆ
อย่างเป็นองค์รวม ซึ่งการที่จะทําให้เด็กและเยาวชนมีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงตนเอง
จําเป็นต้องอาศัยปัจจัยรอบด้าน โดยเฉพาะสังคมภายนอก อาทิ สถานประกอบการ และสถานศึกษา
ที่จะให้โอกาสเด็กและเยาวชนได้เข้าทํางาน เข้าไปศึกษาต่อและได้แสดงศักยภาพ
ในการพัฒนาตนเอง โดยการสนับสนุนกิจกรรมด้านวิชาชีพจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน
เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้พัฒนาตนเองเข้าสู่ตลาดแรงงานจริงได้อย่างมั่นคง
เกิดความยั่งยืนในการทํางาน และเกิดทัศนคติที่ดีต่อสังคมที่ให้การยอมรับเยาวชน
กลับไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบของที่ระลึกและโล่เกียรติคุณแก่ผู้แทนหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมและโครงการของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
จํานวน ๑๙ ราย
ต่อจากนั้น เวลา ๑๑.๓๐ น. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เดินทางไปเยี่ยมชมการแข่งขันทักษะวิชาชีพการประกอบเคาน์เตอร์อเนกประสงค์ ณ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนสิรินทร และเยี่ยมชมการแข่งขันทักษะวิชาชีพจัดสวนถาด และการตัดผมชายทรงวินเทจ ณ สถาบันพัฒนาบุคลากร
ในกระบวนการยุติธรรมเด็กและเยาวชน
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๖ - ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๑
ณ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านมุทิตา ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนสิรินธร
และสถาบันพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมเด็กและเยาวชน ตําบลคลองโยง
อําเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น ๓ หมวดวิชาชีพ ๘ ประเภทการแข่งขัน ประกอบด้วย
๑) หมวดวิชาชีพช่าง ประกอบด้วย การแข่งขันทําเคาน์เตอร์อเนกประสงค์เคลื่อนที่ได้ การแข่งขันจัดสวนถาด และการแข่งขันตัดผมชายทรงวินเทจ ๒) หมวดวิชาชีพคหกรรม ประกอบด้วย การแข่งขันทําขนมจีนน้ําพริก การแข่งขันทําขนมสอดไส้ และการแข่งขันชงกาแฟ (Juvenile Barista Championship ๒๐๑๘)
และ ๓) หมวดวิชาชีพคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย การแข่งขันออกแบบบรรจุภัณฑ์ และการแข่งขันออกแบบผลิตชิ้นงานโฆษณา (Print ad.)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14666
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.จ่ายคืนดอกเบี้ยเกษตรกรแล้ว 2,091ล้านบาท ช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน 961,399 ราย ผลประเมินพบเกษตรกรพึงพอใจ”โครงการชำระดีมีคืน”สร้างความสุขอยากให้สานต่อ
|
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560
ธ.ก.ส.จ่ายคืนดอกเบี้ยเกษตรกรแล้ว 2,091ล้านบาท ช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน 961,399 ราย ผลประเมินพบเกษตรกรพึงพอใจ”โครงการชําระดีมีคืน”สร้างความสุขอยากให้สานต่อ
ธ.ก.ส. จัด”โครงการชําระดีมีคืน”คลายปัญหาหนี้ ลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องเกษตรกร สร้างวินัยการเงินฐานราก ล่าสุด! จ่ายคืนดอกเบี้ยให้เกษตรกรที่มีวินัยการเงินดีแล้ว จํานวน 961,399 ราย วงเงิน 2,091ล้านบาท เดินหน้าจ่ายครบทุกรายตุลาคมนี้
ธ.ก.ส. จัด”โครงการชําระดีมีคืน”คลายปัญหาหนี้ ลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องเกษตรกร สร้างวินัยการเงินฐานราก ล่าสุด! จ่ายคืนดอกเบี้ยให้เกษตรกรที่มีวินัยการเงินดีแล้ว จํานวน 961,399 ราย วงเงิน 2,091ล้านบาท เดินหน้าจ่ายครบทุกรายตุลาคมนี้ ด้านเกษตรกรลูกค้าออกความเห็นมีความสุข ส่งชําระดีมีวินัยได้สิทธิพิเศษอยากให้สานต่อ
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า “ธ.ก.ส. ได้ดําเนินมาตรการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรรายย่อยผ่าน ธ.ก.ส. ตามนโยบายรัฐบาลใน โครงการชําระดีมีคืนแก่เกษตรกรที่ไม่มีปัญหาการชําระหนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนและสร้างกําลังใจให้กับเกษตรกรรายย่อยที่มีประวัติการชําระหนี้ดี ที่มีหนี้ ณ วันที่ 15 กันยายน 2559 ไม่เกินรายละ 300,000 บาท โดย ธ.ก.ส.จะคืนดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับเกษตรกรลูกค้าที่มาชําระหนี้ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 – 31 ตุลาคม 2560 ในอัตราร้อยละ 30 ของจํานวนดอกเบี้ยที่ชําระ การคืนดอกเบี้ยดังกล่าวในโครงการนี้จะไม่คืนเป็นเงินสด แต่จะนําไปชําระหนี้ต้นเงินกู้ที่เหลืออยู่ของสัญญาที่ชําระหนี้ หากมีจํานวนเงินเหลือหรือลูกค้าไม่มีหนี้เงินกู้คงเหลือแล้ว ธ.ก.ส.จะโอนเข้าบัญชีเงินฝากของลูกค้า”
นายอภิรมย์ กล่าวต่อว่า “ธ.ก.ส.ได้ดําเนินการจ่ายคืนดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรลูกค้าในโครงการชําระดีมีคืนแล้ว ในเดือนเมษายน 2560 จํานวน 961,399 ราย วงเงิน 2,091,826,453 บาท สําหรับรอบต่อไปลูกค้าที่ชําระหนี้ตั้งแต่เดือนเมษายน
– ตุลาคม 2560 ธ.ก.ส.จะจ่ายดอกเบี้ยคืนในเดือนตุลาคม 2560 เพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ร้อนด้านภาระหนี้สินให้กับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าของ ธ.ก.ส. ที่มีประวัติการชําระดีจํานวน 2.2 ล้านราย ถือเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน สร้างกําลังใจให้กับเกษตรกรที่มีวินัยการเงินดี ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร สร้างวินัยการเงินในระดับฐานราก ”
“โครงการชําระดีมีคืนนี้ ทางศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส.ได้สรุปผลงานวิจัยและประเมินผลจากเกษตรกรในโครงการฯ พบว่า ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อโครงการมีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยเกษตรกรมีคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ย 4.07 และกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์มีคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ย 3.98 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน รวมทั้งพบว่าเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ ต่างเห็นพ้องกันว่าเป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์โดยตรงกับลูกค้า ต้องการให้มีโครงการนี้ต่อไป
ธ.ก.ส.เห็นว่าโครงการนี้ช่วยตอบโจทย์ ช่วยแก้ปัญหาภาระหนี้ให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี หากระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศมีวินัยทางการเงินที่เข้มแข็ง จะส่งผลบวกต่อระบบเศรษฐกิจในประเทศด้วย” นายอภิรมย์กล่าว
ที่มาข้อมูล:กลุ่มงานประเมินผล ศูนย์วิจัยและพัฒนา โทรศัพท์ 02 2800180 ต่อ 2640
สํานักสื่อสารการตลาดและประชาสัมพันธ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.จ่ายคืนดอกเบี้ยเกษตรกรแล้ว 2,091ล้านบาท ช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน 961,399 ราย ผลประเมินพบเกษตรกรพึงพอใจ”โครงการชำระดีมีคืน”สร้างความสุขอยากให้สานต่อ
วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2560
ธ.ก.ส.จ่ายคืนดอกเบี้ยเกษตรกรแล้ว 2,091ล้านบาท ช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน 961,399 ราย ผลประเมินพบเกษตรกรพึงพอใจ”โครงการชําระดีมีคืน”สร้างความสุขอยากให้สานต่อ
ธ.ก.ส. จัด”โครงการชําระดีมีคืน”คลายปัญหาหนี้ ลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องเกษตรกร สร้างวินัยการเงินฐานราก ล่าสุด! จ่ายคืนดอกเบี้ยให้เกษตรกรที่มีวินัยการเงินดีแล้ว จํานวน 961,399 ราย วงเงิน 2,091ล้านบาท เดินหน้าจ่ายครบทุกรายตุลาคมนี้
ธ.ก.ส. จัด”โครงการชําระดีมีคืน”คลายปัญหาหนี้ ลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องเกษตรกร สร้างวินัยการเงินฐานราก ล่าสุด! จ่ายคืนดอกเบี้ยให้เกษตรกรที่มีวินัยการเงินดีแล้ว จํานวน 961,399 ราย วงเงิน 2,091ล้านบาท เดินหน้าจ่ายครบทุกรายตุลาคมนี้ ด้านเกษตรกรลูกค้าออกความเห็นมีความสุข ส่งชําระดีมีวินัยได้สิทธิพิเศษอยากให้สานต่อ
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า “ธ.ก.ส. ได้ดําเนินมาตรการส่งเสริมคุณภาพชีวิตเกษตรรายย่อยผ่าน ธ.ก.ส. ตามนโยบายรัฐบาลใน โครงการชําระดีมีคืนแก่เกษตรกรที่ไม่มีปัญหาการชําระหนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนและสร้างกําลังใจให้กับเกษตรกรรายย่อยที่มีประวัติการชําระหนี้ดี ที่มีหนี้ ณ วันที่ 15 กันยายน 2559 ไม่เกินรายละ 300,000 บาท โดย ธ.ก.ส.จะคืนดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับเกษตรกรลูกค้าที่มาชําระหนี้ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 – 31 ตุลาคม 2560 ในอัตราร้อยละ 30 ของจํานวนดอกเบี้ยที่ชําระ การคืนดอกเบี้ยดังกล่าวในโครงการนี้จะไม่คืนเป็นเงินสด แต่จะนําไปชําระหนี้ต้นเงินกู้ที่เหลืออยู่ของสัญญาที่ชําระหนี้ หากมีจํานวนเงินเหลือหรือลูกค้าไม่มีหนี้เงินกู้คงเหลือแล้ว ธ.ก.ส.จะโอนเข้าบัญชีเงินฝากของลูกค้า”
นายอภิรมย์ กล่าวต่อว่า “ธ.ก.ส.ได้ดําเนินการจ่ายคืนดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรลูกค้าในโครงการชําระดีมีคืนแล้ว ในเดือนเมษายน 2560 จํานวน 961,399 ราย วงเงิน 2,091,826,453 บาท สําหรับรอบต่อไปลูกค้าที่ชําระหนี้ตั้งแต่เดือนเมษายน
– ตุลาคม 2560 ธ.ก.ส.จะจ่ายดอกเบี้ยคืนในเดือนตุลาคม 2560 เพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ร้อนด้านภาระหนี้สินให้กับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าของ ธ.ก.ส. ที่มีประวัติการชําระดีจํานวน 2.2 ล้านราย ถือเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน สร้างกําลังใจให้กับเกษตรกรที่มีวินัยการเงินดี ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร สร้างวินัยการเงินในระดับฐานราก ”
“โครงการชําระดีมีคืนนี้ ทางศูนย์วิจัยและพัฒนา ธ.ก.ส.ได้สรุปผลงานวิจัยและประเมินผลจากเกษตรกรในโครงการฯ พบว่า ความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อโครงการมีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยเกษตรกรมีคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ย 4.07 และกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์มีคะแนนความพึงพอใจเฉลี่ย 3.98 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน รวมทั้งพบว่าเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ ต่างเห็นพ้องกันว่าเป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์โดยตรงกับลูกค้า ต้องการให้มีโครงการนี้ต่อไป
ธ.ก.ส.เห็นว่าโครงการนี้ช่วยตอบโจทย์ ช่วยแก้ปัญหาภาระหนี้ให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี หากระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศมีวินัยทางการเงินที่เข้มแข็ง จะส่งผลบวกต่อระบบเศรษฐกิจในประเทศด้วย” นายอภิรมย์กล่าว
ที่มาข้อมูล:กลุ่มงานประเมินผล ศูนย์วิจัยและพัฒนา โทรศัพท์ 02 2800180 ต่อ 2640
สํานักสื่อสารการตลาดและประชาสัมพันธ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4084
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. ร่วมการประชุม WAITRO MEETINGS ณ ประเทศบอตสวานา
|
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562
วว. ร่วมการประชุม WAITRO MEETINGS ณ ประเทศบอตสวานา
วว. ร่วมการประชุม WAITRO MEETINGS ณ ประเทศบอตสวานา
ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารWAITRO Board-Regional Focal Point (RFP) Meetings ครั้งที่ 26 และการประชุม RFP Meetings ทั้งนี้ กิจกรรมการประชุมดังกล่าว กําหนดจัดขึ้น 2 ครั้งต่อปี เพื่อติดตามผลการดําเนินงานของคณะกรรมการบริหารและหน่วยงาน Regional Focal Point 2019 - 2020 ของ WAITRO รวมถึงแผนงานการดําเนินงานในอนาคต วว. ในฐานะ RFP ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ได้ดําเนินการ เป็นผู้ประสานงานระหว่างสมาชิกในภูมิภาค สนับสนุนภาพลักษณ์ โครงการ และกิจกรรมของ WAITRO แก่สมาชิก รวมถึงแสวงหาหน่วยงานวิจัยและเทคโนโลยีเพื่อเชิญเป็นสมาชิก WAITRO นอกจากนี้ วว. ยังเข้าร่วมโครงการสําคัญต่างๆ ของ WAITRO ที่จัดให้แก่สมาชิกในปี 2019 - 2020 เช่นSAIRA Water Campaign & Innovation Award, Horizon 2020 เป็นต้น(วันที่6-8 พฤศจิกายน 2562 ณ เมือง Kasane ประเทศบอตสวานา)
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. ร่วมการประชุม WAITRO MEETINGS ณ ประเทศบอตสวานา
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2562
วว. ร่วมการประชุม WAITRO MEETINGS ณ ประเทศบอตสวานา
วว. ร่วมการประชุม WAITRO MEETINGS ณ ประเทศบอตสวานา
ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารWAITRO Board-Regional Focal Point (RFP) Meetings ครั้งที่ 26 และการประชุม RFP Meetings ทั้งนี้ กิจกรรมการประชุมดังกล่าว กําหนดจัดขึ้น 2 ครั้งต่อปี เพื่อติดตามผลการดําเนินงานของคณะกรรมการบริหารและหน่วยงาน Regional Focal Point 2019 - 2020 ของ WAITRO รวมถึงแผนงานการดําเนินงานในอนาคต วว. ในฐานะ RFP ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ได้ดําเนินการ เป็นผู้ประสานงานระหว่างสมาชิกในภูมิภาค สนับสนุนภาพลักษณ์ โครงการ และกิจกรรมของ WAITRO แก่สมาชิก รวมถึงแสวงหาหน่วยงานวิจัยและเทคโนโลยีเพื่อเชิญเป็นสมาชิก WAITRO นอกจากนี้ วว. ยังเข้าร่วมโครงการสําคัญต่างๆ ของ WAITRO ที่จัดให้แก่สมาชิกในปี 2019 - 2020 เช่นSAIRA Water Campaign & Innovation Award, Horizon 2020 เป็นต้น(วันที่6-8 พฤศจิกายน 2562 ณ เมือง Kasane ประเทศบอตสวานา)
เผยแพร่ข่าว : นายธัชนนท์ บุญหล้า
ส่วนสื่อสารองค์กร สํานักบริหารกลาง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24430
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผย ชีวิตวิถีใหม่ New Normal การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ทันต่อสถานการณ์ สามารถทำให้ชีวิตมีความสุขได้
|
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
โฆษก ศบค. เผย ชีวิตวิถีใหม่ New Normal การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ทันต่อสถานการณ์ สามารถทําให้ชีวิตมีความสุขได้
โฆษก ศบค. เผย ชีวิตวิถีใหม่ New Normal การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ทันต่อสถานการณ์ สามารถทําให้ชีวิตมีความสุขได้
วันนี้ (24 เม.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนผ่านโซเซียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีที่ประเทศไทยมีการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโควิด–19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าเปรียบเทียบมาตรการแล้วคล้ายกับต่างประเทศ แต่จํานวนผู้ติดเชื้อของเรายังอยู่ที่ 10 – 30 คน เนื่องจากประเทศไทยมีมาตรการต่าง ๆ หลายส่วนประกอบกัน ด้านหนึ่งคือการให้ความสําคัญกับชุดข้อมูล ที่ได้มีการรายงานกันทุกวัน และมีการนําชุดข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ การที่ได้รายงานข้อมูลต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนได้ทราบ เช่น จํานวนผู้ติดเชื้อ หรือสถานการณ์ต่าง ๆ เมื่อทราบแล้วประชาชนก็จะเกิดความเข้าใจ และจะส่งผลให้เกิดเป็นความร่วมมือกัน เพราะฉะนั้นข้อมูลข่าวสารจึงมีความสําคัญ ด้านที่สองคือเรื่องของระบบบริหารจัดการ ตั้งแต่ระดับสูงสุดคือระดับประเทศ รัฐบาล และศูนย์ ศบค. ลงไปถึงระดับของจังหวัด ซึ่งเป็นจุดปฏิบัติการที่เบ็ดเสร็จสําเร็จ สามารถสั่งการลงไปได้ถึงระดับบุคคลได้ รวมไปถึงตัวบุคคลคือพี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดี เรามีความภูมิใจในประเทศของเรา ที่มีทั้งระบบสาธารณสุขที่วางรากฐานไว้เป็น 100 ปี ขณะเดียวกันก็มีระบบของ อสม. ที่ดูแลในระดับล่างสุด คือ 1 คน ต่อ 10 ครัวเรือน ที่สําคัญที่สุดคือประชาชนอีกประมาณ 60 กว่าล้านคนที่จะต้องร่วมมือกับเราให้ได้ใกล้เคียง 90% หรือ 100% จึงจะประสบความสําเร็จในการควบคุมป้องกันโรค เพราะฉะนั้นเครดิตตรงนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทุกคน ที่ต้องได้รับรางวัลความสําเร็จนี้ไปพร้อม ๆ กัน
สําหรับกรณีแนวโน้มการคลายล็อกของแต่ละจังหวัดที่เริ่มมีการประกาศให้สถานประกอบการ หรือสถานที่บางประเภทกลับมาเปิดให้บริการได้ โดยแต่ละจังหวัดสามารถประกาศได้เอง หรือต้องประสานกับทาง ศบค. ก่อน หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศูนย์ฯ ศบค. จะเป็นผู้ที่ตัดสินใจในระดับสูงสุด และนําเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก่อนจึงมีการประกาศออกมาเป็นกฎใหญ่ของทั้งประเทศ ส่วนเรื่องการผ่อนคลายของแต่ละจังหวัด จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น ซึ่งคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มีเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธาน มีภาคเอกชนเป็นที่ปรึกษา กําลังทํางานกันอยู่ โดยขณะนี้การควบคุมโรคเป็นรูปแบบควบคุมพฤติกรรมของคน ทําให้ระบบของงานต่าง ๆ ถูกกระทบจากการควบคุมคน เกิดผลกระทบต่อด้านเศรษฐกิจตามมา ฉะนั้นถ้าจะต้องผ่อนปรนหรือคลายมาตรการต่าง ๆ จะต้องมีการประชุมปรึกษากัน โดยคณะที่ปรึกษาฯ จะนําเสนอให้ ศบค. ตัดสินใจ และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ กิจการกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทําได้หรือไม่ได้ก็จะค่อย ๆ ทยอยแจ้งออกมา สิ่งต่าง ๆ จะถูกคิดตรองอย่างรอบด้าน เมื่อออกมาแล้วคนส่วนใหญ่ต้องเห็นด้วย มาตรการทั้งหลายต้องไม่กระทบต่อการแพร่ระบาดของโรค เพราะจะให้เกิดการแพร่รอบ 2 หรือรอบ 3 ตามมาอีกไม่ได้ เนื่องจากจะเกิดการสูญเสียทั้งเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย เสียชีวิต รวมถึงงบประมาณ แม้ตอนนี้การเสียเงินเรื่องของการรักษาลดลง แต่ก็ยังมีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ จึงต้องมีการตัดสินใจร่วมกันอย่างรอบคอบ
โฆษก ศบค. กล่าวชี้แจงย้ําถึงกรณีหากประชาชนสงสัยว่าตนเองอาจจะได้รับเชื้อโควิด-19 จะสามารถได้รับการตรวจหาเชื้อฟรีหรือไม่ว่า บุคคลที่จะได้รับการตรวจฟรีจะต้องมีอาการและปัจจัยเสี่ยง คือ 1. มีไข้หรือมีประวัติว่ามีไข้ 2. มีอาการไอ เจ็บคอ น้ํามูก หายใจเหนื่อยหอบ ปอดอักเสบ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีประวัติเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง ประกอบอาชีพที่ต้องติดต่อกับคนจํานวนมาก การเดินทางไปห้างสรรพสินค้า ตลาด หรือพื้นที่ชุมชนที่มีความแออัด มีประวัติการสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน เมื่อมีอาการดังกล่าวข้างต้นจะทําให้สามารถเข้าถึงการตรวจรักษาได้ โดยเข้ารับการตรวจรักษาได้ที่โรงพยาบาลตามสิทธิ ทั้งข้าราชการ ประกันสังคม บัตรทอง สําหรับบุคคลใดที่มีอาการฉุกเฉิน เช่น มีไข้สูง สามารถเข้ารับการตรวจได้ทุกโรงพยาบาลทั้งภาครัฐ และเอกชน ทั้งนี้ ภาครัฐจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้ในส่วนนี้ด้วย
โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ประชาชนที่มีความประสงค์จะบริจาคสิ่งของให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 สามารถนําไปบริจาคได้ แต่ต้องมีมาตรการป้องกันปฏิบัติอย่างเป็นระบบเพื่อไม่ให้เกิดความแออัดเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อ ซึ่งในขณะนี้มีหลายสถานที่ที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการจัดระบบการบริจาค ยกตัวอย่างวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ที่มีการสํารวจตามพื้นที่ชุมชนว่ามีความต้องการในระดับไหน จัดระบบในวันที่มีการรับมอบของบริจาค เช่น ระบบพักคอยเว้นระยะห่างสําหรับบุคคล จุดตรวจวัดอุณหภูมิ เพื่อลดความแออัด ขณะเดียวกันกรุงเทพมหานครมีการเปิดระบบลงทะเบียนออนไลน์เพื่อเลือกพื้นที่ที่จะเข้าไปบริจาค ที่มีมากกว่า 71 จุด ผ่านเว็บไซต์ http://bkkhelp.bangkok.go.th/ สามารถเลือกจุดบริจาคได้และมีหมายเลขโทรศัพท์ผู้ประสานงานจากสํานักงานเขตพื้นที่ เพื่อให้ผู้บริจาคดําเนินการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง ในพื้นที่ต่างจังหวัดให้ติดต่อหน่วยราชการ ศาลากลางทุกแห่ง ซึ่งจะมีการประสานงานให้ความร่วมมือ อํานวยความสะดวกในการจัดสถานที่ พร้อมทั้งแนะวิธีการแจกของอย่างถูกต้อง เพื่อให้ปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับ
นอกจากนี้ โฆษก ศบค. กล่าวถึงแนวทางการสนับสนุนดูแลบุคลากรทางด้านสาธารณสุข ทั้งค่ารักษาพยาบาล สิทธิพิเศษสําหรับบุคลากรที่ปฏิบัติงานมาเป็นระยะเวลานาน รวมถึงการฌาปนกิจสงเคราะห์ และสงเคราะห์ครอบครัว โดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) ได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ ผอ.ศูนย์ฯ เพื่อมอบให้แก่บุคลากรทางด้านสาธารณสุข เพื่อเป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้แก่บุคลากรดังกล่าวต่อไป
ในตอนท้าย โฆษก ศบค. กล่าวถึง ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่เป็นแนวทางที่หลายคนต้องปรับเปลี่ยนชุดพฤติกรรม ทั้งการใส่หน้ากากเพื่อป้องกันโรค รวมถึงการปรับเปลี่ยนทางด้านธุรกิจต่าง ๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมฝากว่า วิถีชีวิตใหม่ของท่านจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบ ทั้งตนเอง ครอบครัว การงาน และเราจะมีชีวิตอย่างมีความสุขไปด้วยกัน
..........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. เผย ชีวิตวิถีใหม่ New Normal การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ทันต่อสถานการณ์ สามารถทำให้ชีวิตมีความสุขได้
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
โฆษก ศบค. เผย ชีวิตวิถีใหม่ New Normal การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ทันต่อสถานการณ์ สามารถทําให้ชีวิตมีความสุขได้
โฆษก ศบค. เผย ชีวิตวิถีใหม่ New Normal การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ทันต่อสถานการณ์ สามารถทําให้ชีวิตมีความสุขได้
วันนี้ (24 เม.ย. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนผ่านโซเซียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. ชี้แจงกรณีที่ประเทศไทยมีการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโควิด–19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าเปรียบเทียบมาตรการแล้วคล้ายกับต่างประเทศ แต่จํานวนผู้ติดเชื้อของเรายังอยู่ที่ 10 – 30 คน เนื่องจากประเทศไทยมีมาตรการต่าง ๆ หลายส่วนประกอบกัน ด้านหนึ่งคือการให้ความสําคัญกับชุดข้อมูล ที่ได้มีการรายงานกันทุกวัน และมีการนําชุดข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ การที่ได้รายงานข้อมูลต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนได้ทราบ เช่น จํานวนผู้ติดเชื้อ หรือสถานการณ์ต่าง ๆ เมื่อทราบแล้วประชาชนก็จะเกิดความเข้าใจ และจะส่งผลให้เกิดเป็นความร่วมมือกัน เพราะฉะนั้นข้อมูลข่าวสารจึงมีความสําคัญ ด้านที่สองคือเรื่องของระบบบริหารจัดการ ตั้งแต่ระดับสูงสุดคือระดับประเทศ รัฐบาล และศูนย์ ศบค. ลงไปถึงระดับของจังหวัด ซึ่งเป็นจุดปฏิบัติการที่เบ็ดเสร็จสําเร็จ สามารถสั่งการลงไปได้ถึงระดับบุคคลได้ รวมไปถึงตัวบุคคลคือพี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดี เรามีความภูมิใจในประเทศของเรา ที่มีทั้งระบบสาธารณสุขที่วางรากฐานไว้เป็น 100 ปี ขณะเดียวกันก็มีระบบของ อสม. ที่ดูแลในระดับล่างสุด คือ 1 คน ต่อ 10 ครัวเรือน ที่สําคัญที่สุดคือประชาชนอีกประมาณ 60 กว่าล้านคนที่จะต้องร่วมมือกับเราให้ได้ใกล้เคียง 90% หรือ 100% จึงจะประสบความสําเร็จในการควบคุมป้องกันโรค เพราะฉะนั้นเครดิตตรงนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของทุกคน ที่ต้องได้รับรางวัลความสําเร็จนี้ไปพร้อม ๆ กัน
สําหรับกรณีแนวโน้มการคลายล็อกของแต่ละจังหวัดที่เริ่มมีการประกาศให้สถานประกอบการ หรือสถานที่บางประเภทกลับมาเปิดให้บริการได้ โดยแต่ละจังหวัดสามารถประกาศได้เอง หรือต้องประสานกับทาง ศบค. ก่อน หรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศูนย์ฯ ศบค. จะเป็นผู้ที่ตัดสินใจในระดับสูงสุด และนําเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีก่อนจึงมีการประกาศออกมาเป็นกฎใหญ่ของทั้งประเทศ ส่วนเรื่องการผ่อนคลายของแต่ละจังหวัด จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น ซึ่งคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชนในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มีเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธาน มีภาคเอกชนเป็นที่ปรึกษา กําลังทํางานกันอยู่ โดยขณะนี้การควบคุมโรคเป็นรูปแบบควบคุมพฤติกรรมของคน ทําให้ระบบของงานต่าง ๆ ถูกกระทบจากการควบคุมคน เกิดผลกระทบต่อด้านเศรษฐกิจตามมา ฉะนั้นถ้าจะต้องผ่อนปรนหรือคลายมาตรการต่าง ๆ จะต้องมีการประชุมปรึกษากัน โดยคณะที่ปรึกษาฯ จะนําเสนอให้ ศบค. ตัดสินใจ และเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ กิจการกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทําได้หรือไม่ได้ก็จะค่อย ๆ ทยอยแจ้งออกมา สิ่งต่าง ๆ จะถูกคิดตรองอย่างรอบด้าน เมื่อออกมาแล้วคนส่วนใหญ่ต้องเห็นด้วย มาตรการทั้งหลายต้องไม่กระทบต่อการแพร่ระบาดของโรค เพราะจะให้เกิดการแพร่รอบ 2 หรือรอบ 3 ตามมาอีกไม่ได้ เนื่องจากจะเกิดการสูญเสียทั้งเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย เสียชีวิต รวมถึงงบประมาณ แม้ตอนนี้การเสียเงินเรื่องของการรักษาลดลง แต่ก็ยังมีผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ จึงต้องมีการตัดสินใจร่วมกันอย่างรอบคอบ
โฆษก ศบค. กล่าวชี้แจงย้ําถึงกรณีหากประชาชนสงสัยว่าตนเองอาจจะได้รับเชื้อโควิด-19 จะสามารถได้รับการตรวจหาเชื้อฟรีหรือไม่ว่า บุคคลที่จะได้รับการตรวจฟรีจะต้องมีอาการและปัจจัยเสี่ยง คือ 1. มีไข้หรือมีประวัติว่ามีไข้ 2. มีอาการไอ เจ็บคอ น้ํามูก หายใจเหนื่อยหอบ ปอดอักเสบ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีประวัติเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง ประกอบอาชีพที่ต้องติดต่อกับคนจํานวนมาก การเดินทางไปห้างสรรพสินค้า ตลาด หรือพื้นที่ชุมชนที่มีความแออัด มีประวัติการสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน เมื่อมีอาการดังกล่าวข้างต้นจะทําให้สามารถเข้าถึงการตรวจรักษาได้ โดยเข้ารับการตรวจรักษาได้ที่โรงพยาบาลตามสิทธิ ทั้งข้าราชการ ประกันสังคม บัตรทอง สําหรับบุคคลใดที่มีอาการฉุกเฉิน เช่น มีไข้สูง สามารถเข้ารับการตรวจได้ทุกโรงพยาบาลทั้งภาครัฐ และเอกชน ทั้งนี้ ภาครัฐจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้ในส่วนนี้ด้วย
โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ประชาชนที่มีความประสงค์จะบริจาคสิ่งของให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 สามารถนําไปบริจาคได้ แต่ต้องมีมาตรการป้องกันปฏิบัติอย่างเป็นระบบเพื่อไม่ให้เกิดความแออัดเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อ ซึ่งในขณะนี้มีหลายสถานที่ที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการจัดระบบการบริจาค ยกตัวอย่างวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ที่มีการสํารวจตามพื้นที่ชุมชนว่ามีความต้องการในระดับไหน จัดระบบในวันที่มีการรับมอบของบริจาค เช่น ระบบพักคอยเว้นระยะห่างสําหรับบุคคล จุดตรวจวัดอุณหภูมิ เพื่อลดความแออัด ขณะเดียวกันกรุงเทพมหานครมีการเปิดระบบลงทะเบียนออนไลน์เพื่อเลือกพื้นที่ที่จะเข้าไปบริจาค ที่มีมากกว่า 71 จุด ผ่านเว็บไซต์ http://bkkhelp.bangkok.go.th/ สามารถเลือกจุดบริจาคได้และมีหมายเลขโทรศัพท์ผู้ประสานงานจากสํานักงานเขตพื้นที่ เพื่อให้ผู้บริจาคดําเนินการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง ในพื้นที่ต่างจังหวัดให้ติดต่อหน่วยราชการ ศาลากลางทุกแห่ง ซึ่งจะมีการประสานงานให้ความร่วมมือ อํานวยความสะดวกในการจัดสถานที่ พร้อมทั้งแนะวิธีการแจกของอย่างถูกต้อง เพื่อให้ปลอดภัยทั้งผู้ให้และผู้รับ
นอกจากนี้ โฆษก ศบค. กล่าวถึงแนวทางการสนับสนุนดูแลบุคลากรทางด้านสาธารณสุข ทั้งค่ารักษาพยาบาล สิทธิพิเศษสําหรับบุคลากรที่ปฏิบัติงานมาเป็นระยะเวลานาน รวมถึงการฌาปนกิจสงเคราะห์ และสงเคราะห์ครอบครัว โดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จํากัด (มหาชน) ได้ส่งมอบกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะ ผอ.ศูนย์ฯ เพื่อมอบให้แก่บุคลากรทางด้านสาธารณสุข เพื่อเป็นการสร้างขวัญกําลังใจให้แก่บุคลากรดังกล่าวต่อไป
ในตอนท้าย โฆษก ศบค. กล่าวถึง ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่เป็นแนวทางที่หลายคนต้องปรับเปลี่ยนชุดพฤติกรรม ทั้งการใส่หน้ากากเพื่อป้องกันโรค รวมถึงการปรับเปลี่ยนทางด้านธุรกิจต่าง ๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมฝากว่า วิถีชีวิตใหม่ของท่านจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบ ทั้งตนเอง ครอบครัว การงาน และเราจะมีชีวิตอย่างมีความสุขไปด้วยกัน
..........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29698
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- พม. เร่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจหญิงสาววัย 19 ปี ถูกบังคับค้าประเวณี ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
|
วันพุธที่ 26 เมษายน 2560
พม. เร่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจหญิงสาววัย 19 ปี ถูกบังคับค้าประเวณี ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
พม. เร่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจหญิงสาววัย 19 ปี ถูกบังคับค้าประเวณี ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
วันนี้ (26 เม.ย. 60) เวลา 15.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)
เปิดเผยว่า จากกรณีของหญิง อายุ 43 ปี ชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอน เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่า บุตรสาววัย 19 ปี ถูกบังคับ
ให้ค้าประเวณีในจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้น ตนได้กําชับให้เจ้าหน้าที่กองต่อต้านการค้ามนุษย์ พร้อมด้วยพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน (พมจ. แม่ฮ่องสอน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่
เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและติดตามความคืบหน้าของการดําเนินคดีอย่างต่อเนื่อง
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าหญิงสาวดังกล่าวเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
โดยปัจจุบันได้เข้ารับการคุ้มครองพยานจากเจ้าหน้าที่ตํารวจ ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจให้การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ได้มอบหมายให้ พมจ.แม่ฮ่องสอน ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือและเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้เสียหายฯ อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งมอบเงินค่าครองชีพจากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จํานวน 3,000 บาท (จะได้รับปีละ 3 ครั้งครั้งละ 3,000 บาท) และเงินค่าเครื่องอุปโภคบริโภค 3,000 บาท ทั้งนี้ หลังจากฟื้นฟูสภาพจิตใจแล้ว ในระยะยาวจะมีการฝึกอาชีพให้ผู้เสียหายฯ เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพและกลับสู่สังคมได้อย่างปกติสุขต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- พม. เร่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจหญิงสาววัย 19 ปี ถูกบังคับค้าประเวณี ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
วันพุธที่ 26 เมษายน 2560
พม. เร่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจหญิงสาววัย 19 ปี ถูกบังคับค้าประเวณี ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
พม. เร่งช่วยเหลือเยียวยาจิตใจหญิงสาววัย 19 ปี ถูกบังคับค้าประเวณี ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
วันนี้ (26 เม.ย. 60) เวลา 15.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)
เปิดเผยว่า จากกรณีของหญิง อายุ 43 ปี ชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอน เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่า บุตรสาววัย 19 ปี ถูกบังคับ
ให้ค้าประเวณีในจังหวัดแม่ฮ่องสอนนั้น ตนได้กําชับให้เจ้าหน้าที่กองต่อต้านการค้ามนุษย์ พร้อมด้วยพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน (พมจ. แม่ฮ่องสอน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งลงพื้นที่
เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและติดตามความคืบหน้าของการดําเนินคดีอย่างต่อเนื่อง
พลตํารวจเอก อดุลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าหญิงสาวดังกล่าวเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
โดยปัจจุบันได้เข้ารับการคุ้มครองพยานจากเจ้าหน้าที่ตํารวจ ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจให้การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ได้มอบหมายให้ พมจ.แม่ฮ่องสอน ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือและเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจผู้เสียหายฯ อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งมอบเงินค่าครองชีพจากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จํานวน 3,000 บาท (จะได้รับปีละ 3 ครั้งครั้งละ 3,000 บาท) และเงินค่าเครื่องอุปโภคบริโภค 3,000 บาท ทั้งนี้ หลังจากฟื้นฟูสภาพจิตใจแล้ว ในระยะยาวจะมีการฝึกอาชีพให้ผู้เสียหายฯ เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพและกลับสู่สังคมได้อย่างปกติสุขต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3321
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จไปทรงติดตามการดำเนินงานตามโครงการกำลังใจฯ ณ จังหวัดเชียงราย
|
วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จไปทรงติดตามการดําเนินงานตามโครงการกําลังใจฯ ณ จังหวัดเชียงราย
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จไปทรงติดตามการดําเนินงานตามโครงการกําลังใจฯ ณ จังหวัดเชียงราย
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๒.๑๕ น.
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
เสด็จไปทรงติดตามการดําเนินงานตามโครงการกําลังใจฯ ณ อําเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
ทรงเยี่ยมนายวีรภาพ กันแก้ว คนต้นแบบโครงการกําลังใจฯ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวกําลังใจ
โดยมีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เฝ้ารับเสด็จ
ต่อจากนั้น เวลา ๑๓.๓๐ น.
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเชิญพระประธานประจําลานปฏิบัติธรรมขึ้นประดิษฐานบนแท่น
และพิธีเบิกเนตรพระพุทธรูปที่ผู้เข้าร่วมโครงการกําลังใจฯ สร้างถวาย
ณ สํานักปฏิบัติธรรมอรัญญะมุนี สาขาวัดป่าซางงาม จังหวัดเชียงราย
ทั้งนี้ โครงการพุทธอุทยานในเขตสํานักปฏิบัติธรรมอรัญญะมุนี ถือเป็นความสําเร็จของโครงการกําลังใจฯ
ที่เป็นต้นแบบของศูนย์รวมด้านจิตใจโดยใช้พระพุทธศาสนาเป็นแกนหลัก
โดยผู้เข้าร่วมโครงการกําลังใจฯ ในรุ่นแรก จํานวน ๑ ราย ได้นําแนวทางตามโครงการกําลังใจฯ
ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การปลูกป่า และพัฒนาป่าไม้ให้เป็นสถานที่สําหรับการศึกษาธรรมชาติ
ซึ่งกรมป่าไม้ได้อนุญาตให้ประชาชนกับวัดป่าซางงาม ภายใต้สํานักปฏิบัติธรรมอรัญญะมุนี
ฟื้นฟูอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าสบกกฝั่งขวา
บ้านป่าซางงาม อําเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย จํานวน ๙ ไร่ ๙๖ ตารางวา
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วม “โครงการปั้นดินให้เป็นบุญ” จากเรือนจํากลางบางขวาง
ได้ปั้นพระพุทธรูปเพื่อนํามาประดิษฐาน ณ ลานธรรมของสํานักปฏิบัติธรรมอรัญญะมุนี
นับเป็นการเชื่อมโยงบุคคลที่อยู่ภายในเรือนจํากับภายนอกเรือนจําด้วย “ธรรมะ”
ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่โครงการกําลังใจฯ ได้นํามาเพื่อการฟื้นฟู
เยียวยาจิตใจให้กับผู้ที่เคยก้าวพลาด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จไปทรงติดตามการดำเนินงานตามโครงการกำลังใจฯ ณ จังหวัดเชียงราย
วันอังคารที่ 9 พฤษภาคม 2560
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จไปทรงติดตามการดําเนินงานตามโครงการกําลังใจฯ ณ จังหวัดเชียงราย
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จไปทรงติดตามการดําเนินงานตามโครงการกําลังใจฯ ณ จังหวัดเชียงราย
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๒.๑๕ น.
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
เสด็จไปทรงติดตามการดําเนินงานตามโครงการกําลังใจฯ ณ อําเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
ทรงเยี่ยมนายวีรภาพ กันแก้ว คนต้นแบบโครงการกําลังใจฯ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวกําลังใจ
โดยมีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เฝ้ารับเสด็จ
ต่อจากนั้น เวลา ๑๓.๓๐ น.
พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา
เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเชิญพระประธานประจําลานปฏิบัติธรรมขึ้นประดิษฐานบนแท่น
และพิธีเบิกเนตรพระพุทธรูปที่ผู้เข้าร่วมโครงการกําลังใจฯ สร้างถวาย
ณ สํานักปฏิบัติธรรมอรัญญะมุนี สาขาวัดป่าซางงาม จังหวัดเชียงราย
ทั้งนี้ โครงการพุทธอุทยานในเขตสํานักปฏิบัติธรรมอรัญญะมุนี ถือเป็นความสําเร็จของโครงการกําลังใจฯ
ที่เป็นต้นแบบของศูนย์รวมด้านจิตใจโดยใช้พระพุทธศาสนาเป็นแกนหลัก
โดยผู้เข้าร่วมโครงการกําลังใจฯ ในรุ่นแรก จํานวน ๑ ราย ได้นําแนวทางตามโครงการกําลังใจฯ
ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การปลูกป่า และพัฒนาป่าไม้ให้เป็นสถานที่สําหรับการศึกษาธรรมชาติ
ซึ่งกรมป่าไม้ได้อนุญาตให้ประชาชนกับวัดป่าซางงาม ภายใต้สํานักปฏิบัติธรรมอรัญญะมุนี
ฟื้นฟูอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าสบกกฝั่งขวา
บ้านป่าซางงาม อําเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย จํานวน ๙ ไร่ ๙๖ ตารางวา
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วม “โครงการปั้นดินให้เป็นบุญ” จากเรือนจํากลางบางขวาง
ได้ปั้นพระพุทธรูปเพื่อนํามาประดิษฐาน ณ ลานธรรมของสํานักปฏิบัติธรรมอรัญญะมุนี
นับเป็นการเชื่อมโยงบุคคลที่อยู่ภายในเรือนจํากับภายนอกเรือนจําด้วย “ธรรมะ”
ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่โครงการกําลังใจฯ ได้นํามาเพื่อการฟื้นฟู
เยียวยาจิตใจให้กับผู้ที่เคยก้าวพลาด
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3635
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทำงานกรมคุมประพฤติ
|
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทํางานกรมคุมประพฤติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทํางานกรมคุมประพฤติ
ในวันศุกร์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมกรมคุมประพฤติ ชั้น ๔
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
พร้อมด้วยว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
คณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
ตรวจเยี่ยมและรับฟังการบรรยายบทบาทภารกิจของกรมคุมประพฤติ
รวมถึงติดตามการดําเนินงานในภาพรวม ในภารกิจด้านคุมประพฤติ
งานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดในระบบบังคับที่เป็นมาตรการทางเลือก
ในการดําเนินการกับผู้กระทําผิดในฐานเสพยาเสพติดภายใต้หลักการผู้เสพและผู้ป่วย
งานแก้ไขฟื้นฟูเพื่อลดความเสี่ยงในการทําผิดซ้ําและให้ผู้กระทําผิดสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้
รวมทั้งการช่วยเหลือผู้สงเคราะห์ ทั้งด้านการฝึกทักษะอาชีพ/จัดหางาน
สงเคราะห์เงินทุนประกอบอาชีพ/อาหาร/ค่าพาหนะ/การศึกษา/ค่ารักษาพยาบาล
การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนงานคุมประพฤติ
เช่น อาสาสมัครคุมประพฤติ การบูรณาการกับภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน
รวมทั้งภารกิจที่ได้รับมอบหมายในบทบาทและภารกิจของยุติธรรมจังหวัด
ใน ๕๗ จังหวัด ๓ สาขา รวม ๖๐ แห่ง
ในด้านการอํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ําแก่ประชาชน
ให้บริการประชาชนในงานกระทรวงยุติธรรมระดับจังหวัด
และการประสานความร่วมมือกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อีกทั้งสรุปการดําเนินงานโครงการสําคัญ เช่น โครงการบ้านกึ่งวิถีเพื่อกําหนดให้เป็นสถานที่
เพื่อให้การสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติคุมประพฤติ พ.ศ. ๒๕๕๙
การสร้างงานสร้างอาชีพ ในโครงการคืนคนดีสู่สังคม
และโครงการช่วยเหลือโดยศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทํา (Care Center)
รวมทั้งเยี่ยมชมบูธศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดลาดหลุมแก้ว
บูธสร้างงานสร้างอาชีพของกรมคุมประพฤติ พร้อมทั้งเยี่ยมชม
ศูนย์ควบคุมการติดตามตัวด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring Center)
ที่เฝ้าระวัง ติดตามความเคลื่อนไหว ตรวจสอบข้อเท็จจริง
เมื่อมีการแจ้งเตือนผู้ถูกคุมประพฤติตามเงื่อนไขที่ศาล/ผู้มีอํานาจ
สั่งใช้กําหนดตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง ควบคู่กับสํานักงานคุมประพฤติทั่วประเทศ
โดยมีคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมคุมประพฤติ ให้การต้อนรับ
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า แนวทางการดําเนินงานของกรมคุมประพฤติ
จะต้องพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการทํางานให้เข้มข้นขึ้นเพื่อรองรับการทํางานที่เชื่อมโยงกับกรมราชทัณฑ์
ในการนําผู้ต้องขังเข้ามาอยู่ในระบบการคุมประพฤติ เพื่อลดปัญหาความหนาแน่นของผู้ต้องขังในเรือนจํา
โดยใช้การบูรณาการเชื่อมโยงปรับแก้ไขกฎหมายให้มีความสัมพันธ์กัน
รวมทั้งมุ่งเน้นให้มีการฝึกอาชีพให้แก่ผู้ต้องขัง การสร้างสังคมให้เปิดรับและให้โอกาสผู้ต้องขังที่พ้นโทษ
พร้อมทั้งเชื่อว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring หรือกําไล EM)
จะเป็นอุปกรณ์ที่จะแก้ปัญหาการดําเนินการควบคุมผู้กระทําผิดในภาพรวมให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้
ในส่วนประเด็นข้อร้องเรียนเรื่องกําไล EM นั้นได้มอบหมายให้ตั้งคณะกรรมการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ
ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นข้อสงสัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านภายใน ๒ สัปดาห์
เพื่อสร้างความเข้าใจในประเด็นดังกล่าวต่อสาธารณชนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทำงานกรมคุมประพฤติ
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทํางานกรมคุมประพฤติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการทํางานกรมคุมประพฤติ
ในวันศุกร์ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมกรมคุมประพฤติ ชั้น ๔
อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ กรุงเทพฯ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
พร้อมด้วยว่าที่ร้อยตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม
คณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
ตรวจเยี่ยมและรับฟังการบรรยายบทบาทภารกิจของกรมคุมประพฤติ
รวมถึงติดตามการดําเนินงานในภาพรวม ในภารกิจด้านคุมประพฤติ
งานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดในระบบบังคับที่เป็นมาตรการทางเลือก
ในการดําเนินการกับผู้กระทําผิดในฐานเสพยาเสพติดภายใต้หลักการผู้เสพและผู้ป่วย
งานแก้ไขฟื้นฟูเพื่อลดความเสี่ยงในการทําผิดซ้ําและให้ผู้กระทําผิดสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้
รวมทั้งการช่วยเหลือผู้สงเคราะห์ ทั้งด้านการฝึกทักษะอาชีพ/จัดหางาน
สงเคราะห์เงินทุนประกอบอาชีพ/อาหาร/ค่าพาหนะ/การศึกษา/ค่ารักษาพยาบาล
การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนงานคุมประพฤติ
เช่น อาสาสมัครคุมประพฤติ การบูรณาการกับภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน
รวมทั้งภารกิจที่ได้รับมอบหมายในบทบาทและภารกิจของยุติธรรมจังหวัด
ใน ๕๗ จังหวัด ๓ สาขา รวม ๖๐ แห่ง
ในด้านการอํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ําแก่ประชาชน
ให้บริการประชาชนในงานกระทรวงยุติธรรมระดับจังหวัด
และการประสานความร่วมมือกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อีกทั้งสรุปการดําเนินงานโครงการสําคัญ เช่น โครงการบ้านกึ่งวิถีเพื่อกําหนดให้เป็นสถานที่
เพื่อให้การสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติคุมประพฤติ พ.ศ. ๒๕๕๙
การสร้างงานสร้างอาชีพ ในโครงการคืนคนดีสู่สังคม
และโครงการช่วยเหลือโดยศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทํา (Care Center)
รวมทั้งเยี่ยมชมบูธศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดลาดหลุมแก้ว
บูธสร้างงานสร้างอาชีพของกรมคุมประพฤติ พร้อมทั้งเยี่ยมชม
ศูนย์ควบคุมการติดตามตัวด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring Center)
ที่เฝ้าระวัง ติดตามความเคลื่อนไหว ตรวจสอบข้อเท็จจริง
เมื่อมีการแจ้งเตือนผู้ถูกคุมประพฤติตามเงื่อนไขที่ศาล/ผู้มีอํานาจ
สั่งใช้กําหนดตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมง ควบคู่กับสํานักงานคุมประพฤติทั่วประเทศ
โดยมีคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กรมคุมประพฤติ ให้การต้อนรับ
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า แนวทางการดําเนินงานของกรมคุมประพฤติ
จะต้องพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการทํางานให้เข้มข้นขึ้นเพื่อรองรับการทํางานที่เชื่อมโยงกับกรมราชทัณฑ์
ในการนําผู้ต้องขังเข้ามาอยู่ในระบบการคุมประพฤติ เพื่อลดปัญหาความหนาแน่นของผู้ต้องขังในเรือนจํา
โดยใช้การบูรณาการเชื่อมโยงปรับแก้ไขกฎหมายให้มีความสัมพันธ์กัน
รวมทั้งมุ่งเน้นให้มีการฝึกอาชีพให้แก่ผู้ต้องขัง การสร้างสังคมให้เปิดรับและให้โอกาสผู้ต้องขังที่พ้นโทษ
พร้อมทั้งเชื่อว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring หรือกําไล EM)
จะเป็นอุปกรณ์ที่จะแก้ปัญหาการดําเนินการควบคุมผู้กระทําผิดในภาพรวมให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้
ในส่วนประเด็นข้อร้องเรียนเรื่องกําไล EM นั้นได้มอบหมายให้ตั้งคณะกรรมการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ
ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นข้อสงสัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านภายใน ๒ สัปดาห์
เพื่อสร้างความเข้าใจในประเด็นดังกล่าวต่อสาธารณชนต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22132
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เคาะมาตรการช่วยสถานประกอบกิจการ บรรเทาผลกระทบโควิด 19
|
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
ก.แรงงาน เคาะมาตรการช่วยสถานประกอบกิจการ บรรเทาผลกระทบโควิด 19
ก.แรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กําหนดมาตรการช่วยเหลือสถานประกอบกิจการ ภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ 2545 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19
นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถานประกอบกิจการเป็นจํานวนมาก รัฐบาลจึงสั่งการให้หน่วยงานภาครัฐกําหนดมาตรการช่วยเหลือแรงงานและสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ โดยในส่วนของกพร. ได้กําหนดมาตรการช่วยเหลือสถานประกอบกิจการอยู่ในข่ายบังคับตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2557 รวม 4 มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ 1 ลดสัดส่วนของจํานวนลูกจ้างที่ผู้ประกอบกิจการต้องจัดให้มีการฝึกอบรมหรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ หรือผ่านการรับรองความรู้ความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง จากเดิมในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ลดลงเหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 มาตรการที่ 2 ขยายเวลาการยื่นขอรับรองหลักสูตรและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของสถานประกอบกิจการที่ฝึกอบรมลูกจ้างระหว่างเดือนมกราคม 2563 ถึงธันวาคม 2563 จากเดิมต้องยื่นรับรองหลักสูตรเสนอนายทะเบียนให้ความเห็นชอบภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ฝึกอบรมเสร็จสิ้น เป็นภายใน 120 วัน นับตั้งแต่วันที่ฝึกอบรมเสร็จสิ้น
มาตรการที่ 3 ขยายเวลาการประเมินเงินสมทบ ประจําปี 2562 จากเดิม กําหนดต้องยื่นแบบแสดงการส่งเงินสมทบ (สท.2) ภายใน 31 มีนาคม 2563 ขยายเวลาเป็นภายใน 31 กรกฎาคม 2563 และมาตรการที่ 4 ขยายเวลาการชําระหนี้เงินกู้ยืมกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานให้สถานประกอบกิจการเป็นเวลา 6 เดือน (พักชําระหนี้ตั้งแต่เมษายน4 ถึงเดือนกันยายน 2563) โดยเริ่มชําระหนี้ในเดือนตุลาคม 2563
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน 0 2643 6039 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน เคาะมาตรการช่วยสถานประกอบกิจการ บรรเทาผลกระทบโควิด 19
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
ก.แรงงาน เคาะมาตรการช่วยสถานประกอบกิจการ บรรเทาผลกระทบโควิด 19
ก.แรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กําหนดมาตรการช่วยเหลือสถานประกอบกิจการ ภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมฯ 2545 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19
นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสถานประกอบกิจการเป็นจํานวนมาก รัฐบาลจึงสั่งการให้หน่วยงานภาครัฐกําหนดมาตรการช่วยเหลือแรงงานและสถานประกอบกิจการที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ โดยในส่วนของกพร. ได้กําหนดมาตรการช่วยเหลือสถานประกอบกิจการอยู่ในข่ายบังคับตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2557 รวม 4 มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ 1 ลดสัดส่วนของจํานวนลูกจ้างที่ผู้ประกอบกิจการต้องจัดให้มีการฝึกอบรมหรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ หรือผ่านการรับรองความรู้ความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง จากเดิมในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ลดลงเหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 มาตรการที่ 2 ขยายเวลาการยื่นขอรับรองหลักสูตรและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมของสถานประกอบกิจการที่ฝึกอบรมลูกจ้างระหว่างเดือนมกราคม 2563 ถึงธันวาคม 2563 จากเดิมต้องยื่นรับรองหลักสูตรเสนอนายทะเบียนให้ความเห็นชอบภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ฝึกอบรมเสร็จสิ้น เป็นภายใน 120 วัน นับตั้งแต่วันที่ฝึกอบรมเสร็จสิ้น
มาตรการที่ 3 ขยายเวลาการประเมินเงินสมทบ ประจําปี 2562 จากเดิม กําหนดต้องยื่นแบบแสดงการส่งเงินสมทบ (สท.2) ภายใน 31 มีนาคม 2563 ขยายเวลาเป็นภายใน 31 กรกฎาคม 2563 และมาตรการที่ 4 ขยายเวลาการชําระหนี้เงินกู้ยืมกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานให้สถานประกอบกิจการเป็นเวลา 6 เดือน (พักชําระหนี้ตั้งแต่เมษายน4 ถึงเดือนกันยายน 2563) โดยเริ่มชําระหนี้ในเดือนตุลาคม 2563
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กองส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน 0 2643 6039 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28668
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องมือแพทย์พระราชทาน เพื่อรับมือสถานการณ์โควิด-19 ให้แก่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า กรมแพทย์ทหารบก
|
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องมือแพทย์พระราชทาน เพื่อรับมือสถานการณ์โควิด-19 ให้แก่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า กรมแพทย์ทหารบก
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้แก่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
เพื่อรับมือสถานการณ์การแพร่เชื้อโควิด-19 โดยมี พลโท ชาญชัย ติกขะปัญโญ เจ้ากรมแพทย์ทหารบก พลโท ธารา พูนประชา ผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า พลตรี สุพัษชัย เมฆะสุวรรณดิษฐ์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และคณะผู้บริหารโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เป็นผู้แทนรับมอบเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ทางการแพทย์พระราชทาน ประกอบด้วย เครื่องช่วยหายใจ Draeger จํานวน ๓ เครื่อง เครื่องช่วยหายใจ Puritan Bennett จํานวน ๔ เครื่อง เครื่องช่วยหายใจ Event จํานวน ๔ เครื่อง เครื่องช่วยหายใจ Maquet จํานวน ๑ เครื่อง รวม ๑๒ เครื่อง และเครื่องวัดออกซิเจนแบบปลายนิ้ว จํานวน ๑๓ เครื่อง เมื่อวันศุกร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องประชุมดุสิตธานี ชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
การได้รับพระราชทานในครั้งนี้ยังความปลาบปลื้มปีติในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีต่อบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า กรมแพทย์ทหารบก ตลอดจนประชาชนทั่วไป อย่างหาที่สุดมิได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องมือแพทย์พระราชทาน เพื่อรับมือสถานการณ์โควิด-19 ให้แก่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า กรมแพทย์ทหารบก
วันพุธที่ 8 เมษายน 2563
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องมือแพทย์พระราชทาน เพื่อรับมือสถานการณ์โควิด-19 ให้แก่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า กรมแพทย์ทหารบก
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้แก่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า
เพื่อรับมือสถานการณ์การแพร่เชื้อโควิด-19 โดยมี พลโท ชาญชัย ติกขะปัญโญ เจ้ากรมแพทย์ทหารบก พลโท ธารา พูนประชา ผู้อํานวยการศูนย์อํานวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า พลตรี สุพัษชัย เมฆะสุวรรณดิษฐ์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า และคณะผู้บริหารโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เป็นผู้แทนรับมอบเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ทางการแพทย์พระราชทาน ประกอบด้วย เครื่องช่วยหายใจ Draeger จํานวน ๓ เครื่อง เครื่องช่วยหายใจ Puritan Bennett จํานวน ๔ เครื่อง เครื่องช่วยหายใจ Event จํานวน ๔ เครื่อง เครื่องช่วยหายใจ Maquet จํานวน ๑ เครื่อง รวม ๑๒ เครื่อง และเครื่องวัดออกซิเจนแบบปลายนิ้ว จํานวน ๑๓ เครื่อง เมื่อวันศุกร์ที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องประชุมดุสิตธานี ชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
การได้รับพระราชทานในครั้งนี้ยังความปลาบปลื้มปีติในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีต่อบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า กรมแพทย์ทหารบก ตลอดจนประชาชนทั่วไป อย่างหาที่สุดมิได้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28614
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-6 ข้อ New normal สำหรับผู้ประกอบกิจการเพื่อการท่องเที่ยว
|
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563
6 ข้อ New normal สําหรับผู้ประกอบกิจการเพื่อการท่องเที่ยว
มีวิธีการอะไรบ้างนะ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-6 ข้อ New normal สำหรับผู้ประกอบกิจการเพื่อการท่องเที่ยว
วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม 2563
6 ข้อ New normal สําหรับผู้ประกอบกิจการเพื่อการท่องเที่ยว
มีวิธีการอะไรบ้างนะ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33693
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่างพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงตามมาตรการสร้างความเป็นกลางทางภาษี กรณีผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลาม
|
วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2560
ร่างพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงตามมาตรการสร้างความเป็นกลางทางภาษี กรณีผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลาม
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงตามมาตรการสร้างความเป็นกลางทางภาษีกรณีผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลาม
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงตามมาตรการสร้างความเป็นกลางทางภาษีกรณีผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลาม เนื่องจากหลักการของศาสนาอิสลาม (หลักชาริอะฮ์) มิให้มีการจ่ายหรือรับดอกเบี้ย แต่ใช้การแบ่งปันผลกําไรหรือขาดทุนจากผลตอบแทนจากการค้าและการลงทุน และการรับความเสี่ยงร่วมกันระหว่างลูกค้ากับธนาคาร อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์เงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามมีลักษณะทํานองเดียวกับเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจํา ผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลามจึงควรได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเช่นเดียวกับผลตอบแทนจากการฝากเงินกับสถาบันการเงินอื่น ดังนี้
1. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับผลตอบแทนจากการฝากเงินเป็นรายเดือนติดต่อกันไม่น้อยกว่า 24 เดือน โดยมียอดเงินฝากแต่ละคราวเท่ากัน แต่ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน และรวมแล้วไม่เกิน 600,000 บาท
2. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับผลตอบแทนจากการฝากเงินทํานองเดียวกับเงินฝากออมทรัพย์ เฉพาะกรณีได้รับผลตอบแทนรวมไม่เกิน 20,000 บาท
3. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับผลตอบแทนจากการฝากเงินทํานองเดียวกับเงินฝากประจําที่มีระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป แต่รวมแล้วไม่เกิน 30,000 บาทและได้รับผลตอบแทนเมื่ออายุไม่ต่ํากว่า 55 ปี
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะทําให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาระหว่างผลตอบแทนจากการฝากเงินทั่วไปกับการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลามมีความเท่าเทียมกัน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางการออมของประชาชนโดยทั่วไป เนื่องจากการรับฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลามไม่ได้จํากัดเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านการให้บริการทางการเงิน
ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) กรมสรรพากร
โทร. 1161
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ร่างพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงตามมาตรการสร้างความเป็นกลางทางภาษี กรณีผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลาม
วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2560
ร่างพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงตามมาตรการสร้างความเป็นกลางทางภาษี กรณีผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลาม
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงตามมาตรการสร้างความเป็นกลางทางภาษีกรณีผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลาม
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงตามมาตรการสร้างความเป็นกลางทางภาษีกรณีผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลาม เนื่องจากหลักการของศาสนาอิสลาม (หลักชาริอะฮ์) มิให้มีการจ่ายหรือรับดอกเบี้ย แต่ใช้การแบ่งปันผลกําไรหรือขาดทุนจากผลตอบแทนจากการค้าและการลงทุน และการรับความเสี่ยงร่วมกันระหว่างลูกค้ากับธนาคาร อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์เงินฝากตามหลักการของศาสนาอิสลามมีลักษณะทํานองเดียวกับเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจํา ผลตอบแทนจากการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลามจึงควรได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเช่นเดียวกับผลตอบแทนจากการฝากเงินกับสถาบันการเงินอื่น ดังนี้
1. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับผลตอบแทนจากการฝากเงินเป็นรายเดือนติดต่อกันไม่น้อยกว่า 24 เดือน โดยมียอดเงินฝากแต่ละคราวเท่ากัน แต่ไม่เกิน 25,000 บาทต่อเดือน และรวมแล้วไม่เกิน 600,000 บาท
2. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับผลตอบแทนจากการฝากเงินทํานองเดียวกับเงินฝากออมทรัพย์ เฉพาะกรณีได้รับผลตอบแทนรวมไม่เกิน 20,000 บาท
3. ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับผลตอบแทนจากการฝากเงินทํานองเดียวกับเงินฝากประจําที่มีระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป แต่รวมแล้วไม่เกิน 30,000 บาทและได้รับผลตอบแทนเมื่ออายุไม่ต่ํากว่า 55 ปี
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะทําให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาระหว่างผลตอบแทนจากการฝากเงินทั่วไปกับการฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลามมีความเท่าเทียมกัน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางการออมของประชาชนโดยทั่วไป เนื่องจากการรับฝากเงินตามหลักการของศาสนาอิสลามไม่ได้จํากัดเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านการให้บริการทางการเงิน
ศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) กรมสรรพากร
โทร. 1161
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8724
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
|
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
ประเทศไทยเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ํามีปลา ในนามีข้าว ประชากรกว่า 30 ล้านคน หรือเกือบ 50% ของคนทั้งประเทศ จะมีอาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และทําประมง โดยเชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ ตั้งแต่ผู้ผลิต อุตสาหกรรมแปรรูป ไปจนถึงการค้าขาย ส่งออก ไปสู่ตลาดภายในและภายนอกประเทศแต่ทําไมปัญหาชาวนาไทย ชาวสวน ชาวประมง ยังคงวนเวียนอยู่กับการฝันร้ายด้วยราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ําบ้าง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ําท่วม ฝนแล้ง แมลงลง โรคระบาดบ้าง เป็นหนี้เป็นสิน ต้องเช่าที่ดินของตนเองทํากินบ้างการทํามาก ลงทุนมาก แต่ได้ผลผลิตน้อย ไม่คุ้มค่าเหนื่อยบ้าง สิ่งเหล่านี้ คือความเสี่ยง ความไม่มั่นคงในชีวิตและอาชีพของพี่น้องเกษตรกรไทยนะครับ
วันนี้ ผมอยากจะมาพูดคุยกับพี่น้องเกษตรกร และผู้ที่อยู่ในแวดวงการเกษตรของเราเป็นการเฉพาะ อาทิ ข้าราชการที่นํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยจะต้องสร้างการรับรู้ ทําความเข้าใจ แล้วชักชวนให้มาร่วมมือ ไปสู่การเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ นานา ที่ผมได้กล่าวไป ภาคเอกชน ผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัว หันมาร่วมมือ สนับสนุนนโยบายของภาครัฐ ในรูปแบบของประชารัฐ เพราะท่านก็เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิต แปรรูป การตลาดของเกษตรกรรมไทย เช่นกัน รวมไปถึงนักวิชาการเกษตรที่เป็นแหล่งความรู้ และธนาคารที่เป็นแหล่งเงินทุน ที่จะคอยส่งเสริมการยกระดับอาชีพเกษตรกรได้เช่นกัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม
นโยบายหลักด้านการเกษตรของรัฐบาลในปัจจุบัน ก็คือ “ตลาดนําการผลิต” เป็นการกําหนด โควตาเกษตรกรรมด้วยการอาศัยข้อมูลของ (1) พื้นที่เพาะปลูกทั้งประเทศ (2) ความอุดมสมบูรณ์ของน้ํา (3) ลักษณะของดิน และ(4) ความต้องการของตลาดในประเทศและนอกประเทศ เช่น ที่ลุ่ม น้ําดี ก็ควรปลูกข้าว ที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ แถมน้ําน้อยก็อย่าฝืนปลูกข้าว ควรหันไปปลูกข้าวโพด หรือพืชชนิดอื่นก็ได้ ปัจจุบันยังมีความต้องการมาก ราว 4 ล้านตัน แต่เราผลิตได้เองเพียง 2 ล้านตัน อีก 2 ล้านตันต้องนําเข้า ส่วนข้าวนั้น ในแต่ละปีเราผลิตข้าวได้ 33 – 34 ล้านตันข้าวเปลือก กินเองในประเทศ 20 ล้านตัน ที่เหลือก็ต้องส่งออก แต่ถ้าตลาดผันผวน ค่าเงินบาทแข็งค่า เราก็จะมีปัญหาราคาข้าวไม่มีเสถียรภาพ การแก้ไขที่ยั่งยืนก็คือ การจํากัดพื้นที่การปลูกข้าว ร่วมกับการส่งเสริมการปลูกข้าวพันธุ์ข้าวที่ราคาดี ราคาสูง ที่เป็นความต้องการของตลาด เช่น ข้าวหอมมะลิที่ทั่วโลกนิยม ข้าว กข 43 ซึ่งมีดัชนีน้ําตาลต่ํา เป็นอาหารสุขภาพเหมาะสําหรับผู้ต้องการควบคุมปริมาณน้ําตาลในเลือดและผู้ป่วยโรคเบาหวาน รวมไปถึงข้าวที่ปลูกแบบอินทรีย์ซึ่งขายได้ราคาสูงกว่าข้าวที่ใช้สารเคมีหลายเท่าตัว เป็นต้น
ดังนั้น ในการส่งเสริมพี่น้องเกษตรกร ต่อไปเราจะไม่เพียงแนะนําแต่เรื่องการเพาะปลูก แต่จะต้องดูเรื่องดิน น้ํา อากาศ ไปจนถึงตลาดด้วย ซึ่งการจะทําอย่างนั้นได้ เราต้องพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (Big Data) และมีแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri - Map) ซึ่งนําข้อมูลมาจากทุกแหล่ง มาบูรณาการกัน ทั้งเกษตร พาณิชย์ นายอําเภอ ธ.ก.ส. พัฒนาที่ดิน ส่วนตลาดต่างประเทศ “ทูตเกษตร” กับ “ทูตพาณิชย์” ก็ต้องทํางานร่วมกัน คู่ขนานกัน โดยจะต้องออกสํารวจความต้องการตลาดและขยายตลาดทั่วโลกเพิ่มด้วยเราจะต้องไม่ปล่อยให้เป็นปัญหาเหมือนยางพารา ที่มีการส่งเสริมโดยไม่มีแผนการรองรับเหมือนในอดีต ที่ส่งผลในปัจจุบัน
เราจะต้องใช้ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ที่เรียกว่า ศพก. และระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่เป็นเครื่องมือสําคัญ รวมทั้งการสร้าง Smart Farmers และเกษตรกรรุ่นใหม่ ส่งเสริมการรวมกลุ่มและสถาบันเกษตรกรที่เข้มแข็ง เป็นสหกรณ์ เป็นวิสาหกิจชุมชน ที่เน้นการนํานวัตกรรมมาปรับใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต ปรับตัวไปสู่การค้าออนไลน์ ตลาดอีคอมเมิร์ซ โดยต้องให้ความสําคัญกับมาตรฐาน GAP พืชอาหาร
ที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม สุขภาพ ความปลอดภัย และสวัสดิภาพของเกษตรกรด้วย โดยยึดหลัก Smart & Strong together หรือ ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมทํา ร่วมแก้ไขปัญหาและร่วมรับประโยชน์
นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสําคัญกับอีก 2 เรื่อง ที่แทบจะเป็นปัญหาถาวรไปแล้ว คือ
1. การป้องกันความเสี่ยง ด้วยการประกันพืชผล โดยจัดสรรแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ํา จาก ธ.ก.ส. และรัฐจ่ายค่าเบี้ยประกันราคาถูกให้ (65 บาทต่อไร่) เมื่อเกิดภัยพิบัติ น้ําท่วม น้ําแล้ง โรคหรือแมลงลง รัฐจ่าย 1,000 กว่าบาทต่อไร่ และบริษัทประกันภัย ก็ร่วมจ่าย 1,500 บาทต่อไร่ เกษตรกรก็อุ่นใจ เพราะมีประกันภัยราคาถูกและ 2. หนี้สินเกษตรกร เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุของการสูญเสียที่ดินทํากินของพี่น้องเกษตรกร เนื่องจากการกู้เงินนอกระบบที่ไม่มีการคุ้มครอง ขาดความรู้ทางกฎหมาย รัฐบาลก็แก้ไขอย่างยั่งยืน โดยการผลักดันกฎหมายขายฝาก ที่ช่วยป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบต่าง ๆ เช่นในอดีต นอกจากนี้ ยังใช้มาตรการไกล่เกลี่ยและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม แก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้กับผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกรทั่วประเทศ สามารถส่งคืนทรัพย์สินให้กับประชาชนเกือบ 17,000 ราย มูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท เป็นโฉนดที่ดิน 13,600 ฉบับ เนื้อที่รวม 43,000 ไร่
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
ต้นไม้ถ้าปราศจากราก ก็อาจล้มโดยง่ายด้วยแรงลม ดังนั้น ชนชาติใด หากหลงลืม ละเลย ความเป็นชาติ หมายถึง ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา รากเหง้าทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การทํามาหากิน การสร้างชาติของตนแล้ว ย่อมบั่นทอนความมั่นคงที่เป็นนามธรรม เหล่านี้ แม้จับต้องไม่ได้ แต่มีความสําคัญ ทั้งนี้ ชาติไทยของเราเป็นชาติกสิกรรม เรารวยที่ดิน เรารวยทรัพยากรธรรมชาติ เราก็ควรจะสืบสานและต่อยอดด้วยการบริหารจัดการ และใช้วิชาชีพเกษตรกรรมของเราในการสร้างชาติให้ได้ บางประเทศ อย่างเช่น สิงคโปร์ที่เสียเปรียบเรื่องพื้นที่ และทรัพยากร แต่เขาก็หาจุดแข็งด้วยที่ตั้งของประเทศ และความถนัดในการค้าขาย ก็สามารถสร้างชาติให้เป็นตลาดการเงิน การธนาคารที่สําคัญของโลกได้ อีกทั้ง จะเป็นผู้นําด้าน FINTECH และเทคโนโลยี Smart City ในอนาคต
ดังนั้น ผมจึงขอนําเสนอโครงการที่สําคัญของประเทศ อันจะเป็นเส้นทางสู่การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของเรา ในอนาคต บนพื้นฐานของทรัพยากร และรากเหง้าของเราเอง คือ
(1) โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ซึ่งเป็นการพัฒนาภูมิภาค ที่เกิดจากการวิเคราะห์ความพร้อม และความเชื่อมโยงในด้านต่าง ๆ เพื่อยกระดับการพัฒนา และกระจายความเจริญไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ เช่นเดียวกับ EEC และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ อีก 10 แห่งทั่วประเทศ
(2) โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ซึ่งเป็นศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ แบบครบวงจร ด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมบนพื้นฐานของพืชผลทางการเกษตร ที่เรามีอยู่อย่างมากมาย แต่ที่ผ่านมา เราไม่สามารถแปรรูป หรือสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากนัก ขายออกไปในลักษณะ วัตถุดิบ ไม่ใช่นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ที่มีมูลค่าสูง นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลนี้จึงผลักดันให้เราเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนและส่งออกนวัตกรรมใหม่ ๆ ในวันข้างหน้าให้ได้โดยเร็วครับ
สุดท้ายนี้ ก่อนที่จะชมวีดิทัศน์ ความยาวประมาณ 9 นาที เกี่ยวกับ 2 โครงการดังกล่าว ผมขอฝากความห่วงใยไปยังพี่น้องประชาชนทุกคน เกี่ยวกับปัญหาฝุ่นละออง เกินมาตรฐาน PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพวกเราทุกคน โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ลูกหลาน ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจําตัว โรคภูมิแพ้ รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจเลยนะครับ หรือเพิกเฉยต่อปัญหา นับตั้งแต่วันแรก ๆ จนถึงวันนี้ มาตรการที่ใช้ เราก็จําเป็นต้องเริ่มจากเบาไปหาหนัก หาสาเหตุให้เจอ เนื่องจากเราไม่ต้องการใช้มาตรการที่จะไปส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตโดยปกติของพี่น้องประชาชน จนสร้างความตื่นตระหนก ต้องช่วยกันลดความตื่นตระหนกลงให้ได้ ทุกวันนี้สังคมของเราเริ่มตระหนัก และเรียนรู้กับปัญหาร่วมกันแล้ว ลําดับต่อ ๆ ไป รัฐบาลก็จะมีมาตรการต่าง ๆ ออกมา ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ ต้นตอ โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่หวังเพียงรักษาภาพลักษณ์ แต่ต้องการแก้ปัญหาด้วยความจริงใจ จริงจัง ก็ขอความร่วมมือ ร่วมใจกันจากทุกภาคส่วน ในการแก้ปัญหานี้ร่วมกันให้ได้อย่างยั่งยืน อย่ามาคอยจับผิดจับถูกกันเลย ทุก ๆ คนต้องช่วยกันนะครับ ความคิดเห็นต่าง ๆ ผมก็รับทราบมา แล้วก็จะนํามาปรับ มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยให้ได้ เราต้องนึกถึงคนทุกภาคส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ ทุกครอบครัวมีความสุขทุก ๆ วัน นะครับ สวัสดีครับ
...............................................
อนึ่ง วิดีทัศน์ ประกอบรายการสัปดาห์นี้ ดังนี้
1. เรื่องแผนพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC : Southern Economic Corridor)
<ดาวน์โหลดhttps://youtu.be/aMlnnyS91ro
การศึกษาความเหมาะสมในรายละเอียดของรูปแบบการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชุมพร-ระนอง และพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช (SEC)
ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางและเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดย
การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่มีความได้เปรียบด้านที่ตั้งในภาคต่าง ๆ ของประเทศจะเป็นเครื่องมือสําคัญเพื่อดึงดูดการลงทุน กระจายความเจริญ และขับเคลื่อนประเทศให้ไปสู่เป้าหมาย
คณะรัฐมนตรีได้เล็งเห็นศักยภาพของภาคใต้และให้มีการพัฒนา 4 จังหวัดภาคใต้ตอนบนเป็นต้นแบบพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่จะเป็นศูนย์กลางความเจริญของภาค หรือการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน Southern Economic Corridor : SEC บนพื้นที่กว่า 32,000 ตารางกิโลเมตร และประชากรกว่า 3.3 ล้านคน ของจังหวัดระนอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช พร้อมโครงข่ายคมนาคมที่มีศักยภาพ มีทะเลขนาบทั้งสองด้าน มีแหล่งท่องเที่ยวสวยงามระดับโลก ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีวัฒนธรรม ภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นแหล่งสัตว์น้ําและพืชเศรษฐกิจสําคัญ เช่น ปาล์มน้ํามัน ยางพารา และผลไม้ ดังนั้น SEC จึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด ที่จะพัฒนาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ของประเทศ
ทั้งนี้ เพื่อให้การพัฒนา SEC เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน 5 ปี รัฐบาลได้กําหนดให้มีการพัฒนา SEC ใน 4 ด้าน ดังนี้
1. การพัฒนาประตูการค้าฝั่งตะวันตก เพื่อให้ระนองมีความพร้อมที่จะเป็น “ประตูเศรษฐกิจด้านตะวันตก” ของประเทศและศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคอย่างครบวงจรทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ อาทิ (1) ท่าเรือระนองจะถูกยกระดับเป็นท่าเรือน้ําลึกของภูมิภาค สามารถรองรับการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวทางทะเลระหว่างประเทศ (2) มีทางรถไฟและถนนเชื่อมโยงท่าเรือระนองกับโครงข่ายคมนาคมขนส่ง (3) ในปี 2565 รถไฟทางคู่จะลงมาถึงชุมพรและเชื่อมไปยังระนอง ซึ่งมีแผนพัฒนาต่อไปยังสุราษฎร์ธานีจนถึงปาดังเบซาร์ (4) ถนนสายหลักจากชุมพรมายังระนองจะเป็น 4 ช่องจราจร ควบคู่กับการพัฒนาถนนสายรองให้ได้มาตรฐาน ซึ่งจะทําให้เกิดโครงข่ายที่สมบูรณ์รองรับการเดินทางท่องเที่ยวและการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (5) นอกจากนี้ท่าอากาศยานในทั้ง 4 จังหวัดจะได้รับการพัฒนาให้รองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 10 ล้านคนต่อปี
ทั้งหมดนี้ จะเป็นการเปิดประตูฝั่งตะวันตกแห่งแรกของไทย เกิดเส้นทางโลจิสติกส์สายใหม่ที่ใช้เวลาและต้นทุนการขนส่งน้อยกว่าการอ้อมผ่านช่องแคบมะละกา และเพิ่มความได้เปรียบของไทยในเวทีการค้าโลก
2. การพัฒนาประตูสู่การท่องเที่ยวอ่าวไทยและอันดามันโดยชุมพรและระนองจะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางทะเลระดับนานาชาติ ด้วยการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยว Royal Coast ตั้งแต่สมุทรสงคราม-เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร และมายังระนองแล้วเสร็จภายในปี 2567 ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับแหล่งท่องเที่ยวในพังงา ภูเก็ต กระบี่ ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลก เกิดเป็นหนึ่งในพื้นที่ท่องเที่ยวต่อเนื่องทางทะเลที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งยังคงมีความบริสุทธิ์ สงบ และสวยงาม
3. การพัฒนาอุตสาหกรรมฐานชีวภาพและการแปรรูปเกษตรมูลค่าสูงด้วยความหลากหลายของพืชเกษตรใน SEC โดยเฉพาะสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช SEC จะเป็นฐานอุตสาหกรรมชีวภาพของภูมิภาคโดยเฉพาะในเรื่องยางพาราและปาล์มน้ํามันเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นสูงของ EEC โดยมีศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยและพัฒนาที่โดดเด่นในระดับสากลที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างครบวงจรตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต ซึ่งจะทําให้เกษตรกร ชุมชนและภาคธุรกิจมีรายได้เพิ่มขึ้นและเติบโตไปด้วยกัน
4. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การส่งเสริมวัฒนธรรม และการพัฒนาเมืองน่าอยู่ พื้นที่ SEC ยังแฝงไปด้วยมนต์เสน่ห์ของวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีจากรุ่นสู่รุ่น รวมทั้งมีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชน การเป็นเมืองน่าอยู่ควบคู่กับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลป่าไม้และป่าชายเลนเพื่อเป็นมรดกโลกและเป็นแหล่งเรียนรู้ในระดับนานาชาติ โดยคนในพื้นที่จะได้รับประโยชน์ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีความภาคภูมิใจในคุณค่าถิ่นฐานของตนเองต่อไป
SEC พื้นที่เศรษฐกิจใหม่ชั้นนําของเอเชีย ต้นแบบการพัฒนาศูนย์กลางความเจริญของภาค ที่จะช่วยยกระดับการพัฒนาภาคใต้และประเทศไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน สืบไป
2. เรื่องโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis)
<ดาวน์โหลดhttps://m.youtube.com/watch?v=-kFoQy36k5A&t=141s
ประเทศไทยตั้งอยู่บนแผ่นพื้นดินที่มีความพร้อมทางด้านการเกษตรเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตอาหารด้านการเกษตรเพื่อตอบสนองความต้องการอาหารของคนทั้งโลก ดังนั้น ยุทธศาสตร์ที่สําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยคือ การสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์การเกษตรในรูปแบบของอาหารที่มีคุณค่าสูง
โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) จัดตั้งขึ้นตามนโยบาย Super Cluster ของรัฐบาล เป็นเมืองนวัตกรรมอาหารเพื่อให้เกิดกิจกรรมวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ให้ได้ผลงานต้นแบบเพื่อนําไปสู่การต่อยอดขยายผลเชิงพาณิชย์
เมืองนวัตกรรมอาหารเป็นศูนย์รวมบริษัทอาหารชั้นนําของโลก บริษัทอาหารขนาดใหญ่ของไทย บริษัทอาหารขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้ง Start Up ด้านอาหารที่เป็น “ห่วงโซ่อุปทาน” เข้ามาอยู่แหล่งเดียวกัน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับห่วงโซมูลค่าอาหารของไทย นอกจากนี้ยังรวบรวมมหาวิทยาลัยชั้นนํา สถาบันวิจัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาเป็นเครือข่ายร่วมสนับสนุนการดําเนินงาน อันจะนําไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดให้สินค้าเกษตรของไทย
ด้วยความพร้อมของทําเลที่ตั้งที่ใกล้สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัยระดับประเทศ นิคมอุตสาหกรรม ตลาดการเกษตรขนาดใหญ่และเทคโนธานี รวมทั้ง ความพร้อมของระบบคมนาคมขนส่ง ประมาณ 20 กิโลเมตรจากสนามบินดอนเมือง มีรถไฟฟ้าหลายสายและถนนซูเปอร์ไฮเวย์บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และพื้นที่ใช้สอยกว่า 20,000 ตารางเมตร สําหรับให้บริการและรองรับบริษัททั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่บริษัทขนาดใหญ่ SME และ Start Up ให้เข้ามาทําวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์อาหารมูลค่าเพิ่มสูงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เช่น นักกีฬา และผู้ป่วย อาหารที่มีคุณสมบัติเป็นยา สารปรุงแต่งอาหาร และสารสกัดทางโภชนาการ วัตถุดิบเพื่อผลิตอาหารคุณภาพสูง และกิจการสนับสนุนนวัตกรรมอาหาร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการสร้างนวัตกรรม
ทั้งนี้ ในเมืองนวัตกรรมอาหารนี้จะมีบริษัทอาหารชั้นนําของโลก บริษัทอาหารชั้นนําของไทย บริษัทอาหารรายย่อย รวมทั้งบริษัท Start Up ด้านอาหารเข้ามาลงทุนทําวิจัยพัฒนา มีมาตรการส่งเสริมและอํานวยความสะดวก เพื่อให้นักวิจัยชั้นนําจากต่างประเทศและไทย เข้ามาทํางานตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหาร ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และการสนับสนุนอื่น ๆ เชื่อมโยงแหล่งเงินทุน และเงินสนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ บูรณาการหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ และใช้กลไกประชารัฐสนับสนุนการดําเนินงาน
ในอนาคต เมืองนวัตกรรมอาหารจะทําให้ไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารชั้นนําของภูมิภาคและของโลก สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ และแข่งขันได้ในระยะยาว อีกทั้ง สร้างรายได้ตลอดห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมอาหาร ตั้งแต่เกษตรกรไปถึงผู้ประกอบการ นําไปสู่ความเป็นส่วนกลางที่ประเทศไทยจะตอบสนองต่อความมั่นคงของอาหาร ความปลอดภัยอาหาร ความยั่งยืนด้านอาหาร
..................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
ประเทศไทยเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ํามีปลา ในนามีข้าว ประชากรกว่า 30 ล้านคน หรือเกือบ 50% ของคนทั้งประเทศ จะมีอาชีพที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และทําประมง โดยเชื่อมโยงกันเป็นห่วงโซ่ ตั้งแต่ผู้ผลิต อุตสาหกรรมแปรรูป ไปจนถึงการค้าขาย ส่งออก ไปสู่ตลาดภายในและภายนอกประเทศแต่ทําไมปัญหาชาวนาไทย ชาวสวน ชาวประมง ยังคงวนเวียนอยู่กับการฝันร้ายด้วยราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ําบ้าง ภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ําท่วม ฝนแล้ง แมลงลง โรคระบาดบ้าง เป็นหนี้เป็นสิน ต้องเช่าที่ดินของตนเองทํากินบ้างการทํามาก ลงทุนมาก แต่ได้ผลผลิตน้อย ไม่คุ้มค่าเหนื่อยบ้าง สิ่งเหล่านี้ คือความเสี่ยง ความไม่มั่นคงในชีวิตและอาชีพของพี่น้องเกษตรกรไทยนะครับ
วันนี้ ผมอยากจะมาพูดคุยกับพี่น้องเกษตรกร และผู้ที่อยู่ในแวดวงการเกษตรของเราเป็นการเฉพาะ อาทิ ข้าราชการที่นํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยจะต้องสร้างการรับรู้ ทําความเข้าใจ แล้วชักชวนให้มาร่วมมือ ไปสู่การเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ นานา ที่ผมได้กล่าวไป ภาคเอกชน ผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัว หันมาร่วมมือ สนับสนุนนโยบายของภาครัฐ ในรูปแบบของประชารัฐ เพราะท่านก็เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิต แปรรูป การตลาดของเกษตรกรรมไทย เช่นกัน รวมไปถึงนักวิชาการเกษตรที่เป็นแหล่งความรู้ และธนาคารที่เป็นแหล่งเงินทุน ที่จะคอยส่งเสริมการยกระดับอาชีพเกษตรกรได้เช่นกัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม
นโยบายหลักด้านการเกษตรของรัฐบาลในปัจจุบัน ก็คือ “ตลาดนําการผลิต” เป็นการกําหนด โควตาเกษตรกรรมด้วยการอาศัยข้อมูลของ (1) พื้นที่เพาะปลูกทั้งประเทศ (2) ความอุดมสมบูรณ์ของน้ํา (3) ลักษณะของดิน และ(4) ความต้องการของตลาดในประเทศและนอกประเทศ เช่น ที่ลุ่ม น้ําดี ก็ควรปลูกข้าว ที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ แถมน้ําน้อยก็อย่าฝืนปลูกข้าว ควรหันไปปลูกข้าวโพด หรือพืชชนิดอื่นก็ได้ ปัจจุบันยังมีความต้องการมาก ราว 4 ล้านตัน แต่เราผลิตได้เองเพียง 2 ล้านตัน อีก 2 ล้านตันต้องนําเข้า ส่วนข้าวนั้น ในแต่ละปีเราผลิตข้าวได้ 33 – 34 ล้านตันข้าวเปลือก กินเองในประเทศ 20 ล้านตัน ที่เหลือก็ต้องส่งออก แต่ถ้าตลาดผันผวน ค่าเงินบาทแข็งค่า เราก็จะมีปัญหาราคาข้าวไม่มีเสถียรภาพ การแก้ไขที่ยั่งยืนก็คือ การจํากัดพื้นที่การปลูกข้าว ร่วมกับการส่งเสริมการปลูกข้าวพันธุ์ข้าวที่ราคาดี ราคาสูง ที่เป็นความต้องการของตลาด เช่น ข้าวหอมมะลิที่ทั่วโลกนิยม ข้าว กข 43 ซึ่งมีดัชนีน้ําตาลต่ํา เป็นอาหารสุขภาพเหมาะสําหรับผู้ต้องการควบคุมปริมาณน้ําตาลในเลือดและผู้ป่วยโรคเบาหวาน รวมไปถึงข้าวที่ปลูกแบบอินทรีย์ซึ่งขายได้ราคาสูงกว่าข้าวที่ใช้สารเคมีหลายเท่าตัว เป็นต้น
ดังนั้น ในการส่งเสริมพี่น้องเกษตรกร ต่อไปเราจะไม่เพียงแนะนําแต่เรื่องการเพาะปลูก แต่จะต้องดูเรื่องดิน น้ํา อากาศ ไปจนถึงตลาดด้วย ซึ่งการจะทําอย่างนั้นได้ เราต้องพัฒนาข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ (Big Data) และมีแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri - Map) ซึ่งนําข้อมูลมาจากทุกแหล่ง มาบูรณาการกัน ทั้งเกษตร พาณิชย์ นายอําเภอ ธ.ก.ส. พัฒนาที่ดิน ส่วนตลาดต่างประเทศ “ทูตเกษตร” กับ “ทูตพาณิชย์” ก็ต้องทํางานร่วมกัน คู่ขนานกัน โดยจะต้องออกสํารวจความต้องการตลาดและขยายตลาดทั่วโลกเพิ่มด้วยเราจะต้องไม่ปล่อยให้เป็นปัญหาเหมือนยางพารา ที่มีการส่งเสริมโดยไม่มีแผนการรองรับเหมือนในอดีต ที่ส่งผลในปัจจุบัน
เราจะต้องใช้ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ที่เรียกว่า ศพก. และระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่เป็นเครื่องมือสําคัญ รวมทั้งการสร้าง Smart Farmers และเกษตรกรรุ่นใหม่ ส่งเสริมการรวมกลุ่มและสถาบันเกษตรกรที่เข้มแข็ง เป็นสหกรณ์ เป็นวิสาหกิจชุมชน ที่เน้นการนํานวัตกรรมมาปรับใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต ปรับตัวไปสู่การค้าออนไลน์ ตลาดอีคอมเมิร์ซ โดยต้องให้ความสําคัญกับมาตรฐาน GAP พืชอาหาร
ที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม สุขภาพ ความปลอดภัย และสวัสดิภาพของเกษตรกรด้วย โดยยึดหลัก Smart & Strong together หรือ ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมทํา ร่วมแก้ไขปัญหาและร่วมรับประโยชน์
นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสําคัญกับอีก 2 เรื่อง ที่แทบจะเป็นปัญหาถาวรไปแล้ว คือ
1. การป้องกันความเสี่ยง ด้วยการประกันพืชผล โดยจัดสรรแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ํา จาก ธ.ก.ส. และรัฐจ่ายค่าเบี้ยประกันราคาถูกให้ (65 บาทต่อไร่) เมื่อเกิดภัยพิบัติ น้ําท่วม น้ําแล้ง โรคหรือแมลงลง รัฐจ่าย 1,000 กว่าบาทต่อไร่ และบริษัทประกันภัย ก็ร่วมจ่าย 1,500 บาทต่อไร่ เกษตรกรก็อุ่นใจ เพราะมีประกันภัยราคาถูกและ 2. หนี้สินเกษตรกร เป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุของการสูญเสียที่ดินทํากินของพี่น้องเกษตรกร เนื่องจากการกู้เงินนอกระบบที่ไม่มีการคุ้มครอง ขาดความรู้ทางกฎหมาย รัฐบาลก็แก้ไขอย่างยั่งยืน โดยการผลักดันกฎหมายขายฝาก ที่ช่วยป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบต่าง ๆ เช่นในอดีต นอกจากนี้ ยังใช้มาตรการไกล่เกลี่ยและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม แก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้กับผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกรทั่วประเทศ สามารถส่งคืนทรัพย์สินให้กับประชาชนเกือบ 17,000 ราย มูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท เป็นโฉนดที่ดิน 13,600 ฉบับ เนื้อที่รวม 43,000 ไร่
พี่น้องประชาชนที่รักครับ
ต้นไม้ถ้าปราศจากราก ก็อาจล้มโดยง่ายด้วยแรงลม ดังนั้น ชนชาติใด หากหลงลืม ละเลย ความเป็นชาติ หมายถึง ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา รากเหง้าทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การทํามาหากิน การสร้างชาติของตนแล้ว ย่อมบั่นทอนความมั่นคงที่เป็นนามธรรม เหล่านี้ แม้จับต้องไม่ได้ แต่มีความสําคัญ ทั้งนี้ ชาติไทยของเราเป็นชาติกสิกรรม เรารวยที่ดิน เรารวยทรัพยากรธรรมชาติ เราก็ควรจะสืบสานและต่อยอดด้วยการบริหารจัดการ และใช้วิชาชีพเกษตรกรรมของเราในการสร้างชาติให้ได้ บางประเทศ อย่างเช่น สิงคโปร์ที่เสียเปรียบเรื่องพื้นที่ และทรัพยากร แต่เขาก็หาจุดแข็งด้วยที่ตั้งของประเทศ และความถนัดในการค้าขาย ก็สามารถสร้างชาติให้เป็นตลาดการเงิน การธนาคารที่สําคัญของโลกได้ อีกทั้ง จะเป็นผู้นําด้าน FINTECH และเทคโนโลยี Smart City ในอนาคต
ดังนั้น ผมจึงขอนําเสนอโครงการที่สําคัญของประเทศ อันจะเป็นเส้นทางสู่การปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของเรา ในอนาคต บนพื้นฐานของทรัพยากร และรากเหง้าของเราเอง คือ
(1) โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) ซึ่งเป็นการพัฒนาภูมิภาค ที่เกิดจากการวิเคราะห์ความพร้อม และความเชื่อมโยงในด้านต่าง ๆ เพื่อยกระดับการพัฒนา และกระจายความเจริญไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ เช่นเดียวกับ EEC และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ อีก 10 แห่งทั่วประเทศ
(2) โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) ซึ่งเป็นศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ แบบครบวงจร ด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรมบนพื้นฐานของพืชผลทางการเกษตร ที่เรามีอยู่อย่างมากมาย แต่ที่ผ่านมา เราไม่สามารถแปรรูป หรือสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากนัก ขายออกไปในลักษณะ วัตถุดิบ ไม่ใช่นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ที่มีมูลค่าสูง นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลนี้จึงผลักดันให้เราเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนและส่งออกนวัตกรรมใหม่ ๆ ในวันข้างหน้าให้ได้โดยเร็วครับ
สุดท้ายนี้ ก่อนที่จะชมวีดิทัศน์ ความยาวประมาณ 9 นาที เกี่ยวกับ 2 โครงการดังกล่าว ผมขอฝากความห่วงใยไปยังพี่น้องประชาชนทุกคน เกี่ยวกับปัญหาฝุ่นละออง เกินมาตรฐาน PM 2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของพวกเราทุกคน โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ลูกหลาน ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจําตัว โรคภูมิแพ้ รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจเลยนะครับ หรือเพิกเฉยต่อปัญหา นับตั้งแต่วันแรก ๆ จนถึงวันนี้ มาตรการที่ใช้ เราก็จําเป็นต้องเริ่มจากเบาไปหาหนัก หาสาเหตุให้เจอ เนื่องจากเราไม่ต้องการใช้มาตรการที่จะไปส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตโดยปกติของพี่น้องประชาชน จนสร้างความตื่นตระหนก ต้องช่วยกันลดความตื่นตระหนกลงให้ได้ ทุกวันนี้สังคมของเราเริ่มตระหนัก และเรียนรู้กับปัญหาร่วมกันแล้ว ลําดับต่อ ๆ ไป รัฐบาลก็จะมีมาตรการต่าง ๆ ออกมา ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่ ต้นตอ โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่หวังเพียงรักษาภาพลักษณ์ แต่ต้องการแก้ปัญหาด้วยความจริงใจ จริงจัง ก็ขอความร่วมมือ ร่วมใจกันจากทุกภาคส่วน ในการแก้ปัญหานี้ร่วมกันให้ได้อย่างยั่งยืน อย่ามาคอยจับผิดจับถูกกันเลย ทุก ๆ คนต้องช่วยกันนะครับ ความคิดเห็นต่าง ๆ ผมก็รับทราบมา แล้วก็จะนํามาปรับ มาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยให้ได้ เราต้องนึกถึงคนทุกภาคส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพ ทุกครอบครัวมีความสุขทุก ๆ วัน นะครับ สวัสดีครับ
...............................................
อนึ่ง วิดีทัศน์ ประกอบรายการสัปดาห์นี้ ดังนี้
1. เรื่องแผนพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC : Southern Economic Corridor)
<ดาวน์โหลดhttps://youtu.be/aMlnnyS91ro
การศึกษาความเหมาะสมในรายละเอียดของรูปแบบการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชุมพร-ระนอง และพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช (SEC)
ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางและเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดย
การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่มีความได้เปรียบด้านที่ตั้งในภาคต่าง ๆ ของประเทศจะเป็นเครื่องมือสําคัญเพื่อดึงดูดการลงทุน กระจายความเจริญ และขับเคลื่อนประเทศให้ไปสู่เป้าหมาย
คณะรัฐมนตรีได้เล็งเห็นศักยภาพของภาคใต้และให้มีการพัฒนา 4 จังหวัดภาคใต้ตอนบนเป็นต้นแบบพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ที่จะเป็นศูนย์กลางความเจริญของภาค หรือการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน Southern Economic Corridor : SEC บนพื้นที่กว่า 32,000 ตารางกิโลเมตร และประชากรกว่า 3.3 ล้านคน ของจังหวัดระนอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช พร้อมโครงข่ายคมนาคมที่มีศักยภาพ มีทะเลขนาบทั้งสองด้าน มีแหล่งท่องเที่ยวสวยงามระดับโลก ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีวัฒนธรรม ภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นแหล่งสัตว์น้ําและพืชเศรษฐกิจสําคัญ เช่น ปาล์มน้ํามัน ยางพารา และผลไม้ ดังนั้น SEC จึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด ที่จะพัฒนาเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ของประเทศ
ทั้งนี้ เพื่อให้การพัฒนา SEC เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน 5 ปี รัฐบาลได้กําหนดให้มีการพัฒนา SEC ใน 4 ด้าน ดังนี้
1. การพัฒนาประตูการค้าฝั่งตะวันตก เพื่อให้ระนองมีความพร้อมที่จะเป็น “ประตูเศรษฐกิจด้านตะวันตก” ของประเทศและศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคอย่างครบวงจรทั้งทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ อาทิ (1) ท่าเรือระนองจะถูกยกระดับเป็นท่าเรือน้ําลึกของภูมิภาค สามารถรองรับการขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยวทางทะเลระหว่างประเทศ (2) มีทางรถไฟและถนนเชื่อมโยงท่าเรือระนองกับโครงข่ายคมนาคมขนส่ง (3) ในปี 2565 รถไฟทางคู่จะลงมาถึงชุมพรและเชื่อมไปยังระนอง ซึ่งมีแผนพัฒนาต่อไปยังสุราษฎร์ธานีจนถึงปาดังเบซาร์ (4) ถนนสายหลักจากชุมพรมายังระนองจะเป็น 4 ช่องจราจร ควบคู่กับการพัฒนาถนนสายรองให้ได้มาตรฐาน ซึ่งจะทําให้เกิดโครงข่ายที่สมบูรณ์รองรับการเดินทางท่องเที่ยวและการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (5) นอกจากนี้ท่าอากาศยานในทั้ง 4 จังหวัดจะได้รับการพัฒนาให้รองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 10 ล้านคนต่อปี
ทั้งหมดนี้ จะเป็นการเปิดประตูฝั่งตะวันตกแห่งแรกของไทย เกิดเส้นทางโลจิสติกส์สายใหม่ที่ใช้เวลาและต้นทุนการขนส่งน้อยกว่าการอ้อมผ่านช่องแคบมะละกา และเพิ่มความได้เปรียบของไทยในเวทีการค้าโลก
2. การพัฒนาประตูสู่การท่องเที่ยวอ่าวไทยและอันดามันโดยชุมพรและระนองจะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางทะเลระดับนานาชาติ ด้วยการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยว Royal Coast ตั้งแต่สมุทรสงคราม-เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร และมายังระนองแล้วเสร็จภายในปี 2567 ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับแหล่งท่องเที่ยวในพังงา ภูเก็ต กระบี่ ซึ่งมีชื่อเสียงระดับโลก เกิดเป็นหนึ่งในพื้นที่ท่องเที่ยวต่อเนื่องทางทะเลที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งยังคงมีความบริสุทธิ์ สงบ และสวยงาม
3. การพัฒนาอุตสาหกรรมฐานชีวภาพและการแปรรูปเกษตรมูลค่าสูงด้วยความหลากหลายของพืชเกษตรใน SEC โดยเฉพาะสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช SEC จะเป็นฐานอุตสาหกรรมชีวภาพของภูมิภาคโดยเฉพาะในเรื่องยางพาราและปาล์มน้ํามันเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นสูงของ EEC โดยมีศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยและพัฒนาที่โดดเด่นในระดับสากลที่จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างครบวงจรตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต ซึ่งจะทําให้เกษตรกร ชุมชนและภาคธุรกิจมีรายได้เพิ่มขึ้นและเติบโตไปด้วยกัน
4. การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การส่งเสริมวัฒนธรรม และการพัฒนาเมืองน่าอยู่ พื้นที่ SEC ยังแฝงไปด้วยมนต์เสน่ห์ของวิถีชีวิตที่เรียบง่าย และยังคงรักษาวัฒนธรรมประเพณีจากรุ่นสู่รุ่น รวมทั้งมีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชน การเป็นเมืองน่าอยู่ควบคู่กับการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลป่าไม้และป่าชายเลนเพื่อเป็นมรดกโลกและเป็นแหล่งเรียนรู้ในระดับนานาชาติ โดยคนในพื้นที่จะได้รับประโยชน์ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีความภาคภูมิใจในคุณค่าถิ่นฐานของตนเองต่อไป
SEC พื้นที่เศรษฐกิจใหม่ชั้นนําของเอเชีย ต้นแบบการพัฒนาศูนย์กลางความเจริญของภาค ที่จะช่วยยกระดับการพัฒนาภาคใต้และประเทศไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน สืบไป
2. เรื่องโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis)
<ดาวน์โหลดhttps://m.youtube.com/watch?v=-kFoQy36k5A&t=141s
ประเทศไทยตั้งอยู่บนแผ่นพื้นดินที่มีความพร้อมทางด้านการเกษตรเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตอาหารด้านการเกษตรเพื่อตอบสนองความต้องการอาหารของคนทั้งโลก ดังนั้น ยุทธศาสตร์ที่สําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยคือ การสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์การเกษตรในรูปแบบของอาหารที่มีคุณค่าสูง
โครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) จัดตั้งขึ้นตามนโยบาย Super Cluster ของรัฐบาล เป็นเมืองนวัตกรรมอาหารเพื่อให้เกิดกิจกรรมวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม ให้ได้ผลงานต้นแบบเพื่อนําไปสู่การต่อยอดขยายผลเชิงพาณิชย์
เมืองนวัตกรรมอาหารเป็นศูนย์รวมบริษัทอาหารชั้นนําของโลก บริษัทอาหารขนาดใหญ่ของไทย บริษัทอาหารขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้ง Start Up ด้านอาหารที่เป็น “ห่วงโซ่อุปทาน” เข้ามาอยู่แหล่งเดียวกัน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับห่วงโซมูลค่าอาหารของไทย นอกจากนี้ยังรวบรวมมหาวิทยาลัยชั้นนํา สถาบันวิจัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาเป็นเครือข่ายร่วมสนับสนุนการดําเนินงาน อันจะนําไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดให้สินค้าเกษตรของไทย
ด้วยความพร้อมของทําเลที่ตั้งที่ใกล้สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัยระดับประเทศ นิคมอุตสาหกรรม ตลาดการเกษตรขนาดใหญ่และเทคโนธานี รวมทั้ง ความพร้อมของระบบคมนาคมขนส่ง ประมาณ 20 กิโลเมตรจากสนามบินดอนเมือง มีรถไฟฟ้าหลายสายและถนนซูเปอร์ไฮเวย์บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และพื้นที่ใช้สอยกว่า 20,000 ตารางเมตร สําหรับให้บริการและรองรับบริษัททั้งในและต่างประเทศ ตั้งแต่บริษัทขนาดใหญ่ SME และ Start Up ให้เข้ามาทําวิจัยพัฒนาและนวัตกรรม เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์อาหารมูลค่าเพิ่มสูงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย เช่น นักกีฬา และผู้ป่วย อาหารที่มีคุณสมบัติเป็นยา สารปรุงแต่งอาหาร และสารสกัดทางโภชนาการ วัตถุดิบเพื่อผลิตอาหารคุณภาพสูง และกิจการสนับสนุนนวัตกรรมอาหาร เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการสร้างนวัตกรรม
ทั้งนี้ ในเมืองนวัตกรรมอาหารนี้จะมีบริษัทอาหารชั้นนําของโลก บริษัทอาหารชั้นนําของไทย บริษัทอาหารรายย่อย รวมทั้งบริษัท Start Up ด้านอาหารเข้ามาลงทุนทําวิจัยพัฒนา มีมาตรการส่งเสริมและอํานวยความสะดวก เพื่อให้นักวิจัยชั้นนําจากต่างประเทศและไทย เข้ามาทํางานตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหาร ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และการสนับสนุนอื่น ๆ เชื่อมโยงแหล่งเงินทุน และเงินสนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ บูรณาการหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ และใช้กลไกประชารัฐสนับสนุนการดําเนินงาน
ในอนาคต เมืองนวัตกรรมอาหารจะทําให้ไทยเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารชั้นนําของภูมิภาคและของโลก สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับอุตสาหกรรมอาหารของประเทศ และแข่งขันได้ในระยะยาว อีกทั้ง สร้างรายได้ตลอดห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมอาหาร ตั้งแต่เกษตรกรไปถึงผู้ประกอบการ นําไปสู่ความเป็นส่วนกลางที่ประเทศไทยจะตอบสนองต่อความมั่นคงของอาหาร ความปลอดภัยอาหาร ความยั่งยืนด้านอาหาร
..................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18538
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” ร่วมหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย หลัง COVID-19 ระบาด
|
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563
“ดีอีเอส” ร่วมหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย หลัง COVID-19 ระบาด
“ดีอีเอส” ร่วมหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย หลัง COVID-19 ระบาด
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับ นาย Leong Seng Tuck กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nectar Consortium เรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ผ่าน Video Conference โดยมี นางสาวกัลยา ชินาธิวร ผู้อํานวยการกองการต่างประเทศ ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อํานวยการใหญ่ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(สศด.) ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 กระทรวงดิจิทัลฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
*************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ดีอีเอส” ร่วมหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย หลัง COVID-19 ระบาด
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2563
“ดีอีเอส” ร่วมหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย หลัง COVID-19 ระบาด
“ดีอีเอส” ร่วมหารือแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย หลัง COVID-19 ระบาด
นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับ นาย Leong Seng Tuck กรรมการผู้จัดการ บริษัท Nectar Consortium เรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ผ่าน Video Conference โดยมี นางสาวกัลยา ชินาธิวร ผู้อํานวยการกองการต่างประเทศ ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อํานวยการใหญ่ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล(สศด.) ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 801 ชั้น 8 กระทรวงดิจิทัลฯ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ
*************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32118
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุทธพล” ที่ปรึกษา รมว.ทส.ร่วมปลูกไม้มีค่า - ป่าชุมชน วัดถ้ำเขาย้อย เพชรบุรี หวัง สร้างรายได้ให้ชุมชน
|
วันพุธที่ 11 กันยายน 2562
“ยุทธพล” ที่ปรึกษา รมว.ทส.ร่วมปลูกไม้มีค่า - ป่าชุมชน วัดถ้ําเขาย้อย เพชรบุรี หวัง สร้างรายได้ให้ชุมชน
นาย ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมกิจกรรมปลูกไม้สัก-ตะเคียน ตามโครงการ"แบ่งปันความรู้ เชิดชูศาสนา พัฒนาแหล่งน้ําลําคลอง" ครั้งที่ 12 ณ วัดถ้ําเขาย้อย อ.เขาย้อย จ.เพชรบุร
“ยุทธพล” ที่ปรึกษา รมว.ทส.ร่วมปลูกไม้มีค่า - ป่าชุมชน วัดถ้ําเขาย้อย เพชรบุรี หวัง สร้างรายได้ให้ชุมชน
วันที่ 11 กันยายน 2562 นาย ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมกิจกรรมปลูกไม้สัก-ตะเคียน ตามโครงการ"แบ่งปันความรู้ เชิดชูศาสนา พัฒนาแหล่งน้ําลําคลอง" ครั้งที่ 12 ณ วัดถ้ําเขาย้อย อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี
พันธุ์กล้าไม้ที่ปลูก คือ ต้นสัก ตะเคียน พะยูง ยางนา จํานวน 300 ต้น พร้อมการมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนโรงเรียนวัดเขาย้อยไพบูลย์อุปถัมภ์ ( แสงส่องหล้า 5 ) มอบเงินเพื่อบูรณะวัด และ เลี้ยงเพลพระสงฆ์
นายยุทธพล กล่าวว่า "รู้สึกยินดี ที่ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการร่วมรณรงค์เรื่องการปลูกต้นไม้ ปลูกจิตสํานึก รักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องทําต่อไปให้ได้มากที่สุด เพราะต้นไม้ 1 ต้น สามารถดูดคาบอนไดออกไซด์ ได้ปีละ 10 กิโลกรัม และยังสามารถช่วยซับน้ํา ลดความรุนแรงของฝน ลดอัตราการเกิดอุทกภัย ไม้มีค่าที่เราปลูกกันในวันนี้ เมื่อถึงเวลาก็สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนได้ด้วย ในฐานะที่เป็นคนเพชรบุรี ผมจะช่วยดูแลต้นไม้ที่ปลูกกันวันนี้ ให้เติบโตให้ร่มเงาแก่ชุมชนวัดถ้ําเขาย้อย อย่างดีที่สุด"
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุทธพล” ที่ปรึกษา รมว.ทส.ร่วมปลูกไม้มีค่า - ป่าชุมชน วัดถ้ำเขาย้อย เพชรบุรี หวัง สร้างรายได้ให้ชุมชน
วันพุธที่ 11 กันยายน 2562
“ยุทธพล” ที่ปรึกษา รมว.ทส.ร่วมปลูกไม้มีค่า - ป่าชุมชน วัดถ้ําเขาย้อย เพชรบุรี หวัง สร้างรายได้ให้ชุมชน
นาย ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมกิจกรรมปลูกไม้สัก-ตะเคียน ตามโครงการ"แบ่งปันความรู้ เชิดชูศาสนา พัฒนาแหล่งน้ําลําคลอง" ครั้งที่ 12 ณ วัดถ้ําเขาย้อย อ.เขาย้อย จ.เพชรบุร
“ยุทธพล” ที่ปรึกษา รมว.ทส.ร่วมปลูกไม้มีค่า - ป่าชุมชน วัดถ้ําเขาย้อย เพชรบุรี หวัง สร้างรายได้ให้ชุมชน
วันที่ 11 กันยายน 2562 นาย ยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ร่วมกิจกรรมปลูกไม้สัก-ตะเคียน ตามโครงการ"แบ่งปันความรู้ เชิดชูศาสนา พัฒนาแหล่งน้ําลําคลอง" ครั้งที่ 12 ณ วัดถ้ําเขาย้อย อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี
พันธุ์กล้าไม้ที่ปลูก คือ ต้นสัก ตะเคียน พะยูง ยางนา จํานวน 300 ต้น พร้อมการมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนโรงเรียนวัดเขาย้อยไพบูลย์อุปถัมภ์ ( แสงส่องหล้า 5 ) มอบเงินเพื่อบูรณะวัด และ เลี้ยงเพลพระสงฆ์
นายยุทธพล กล่าวว่า "รู้สึกยินดี ที่ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการร่วมรณรงค์เรื่องการปลูกต้นไม้ ปลูกจิตสํานึก รักษ์ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องทําต่อไปให้ได้มากที่สุด เพราะต้นไม้ 1 ต้น สามารถดูดคาบอนไดออกไซด์ ได้ปีละ 10 กิโลกรัม และยังสามารถช่วยซับน้ํา ลดความรุนแรงของฝน ลดอัตราการเกิดอุทกภัย ไม้มีค่าที่เราปลูกกันในวันนี้ เมื่อถึงเวลาก็สามารถสร้างรายได้ให้ชุมชนได้ด้วย ในฐานะที่เป็นคนเพชรบุรี ผมจะช่วยดูแลต้นไม้ที่ปลูกกันวันนี้ ให้เติบโตให้ร่มเงาแก่ชุมชนวัดถ้ําเขาย้อย อย่างดีที่สุด"
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23006
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ เผยความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด MRNA เข็มแรกทดสอบในลิงเห็นผลสำเร็จดี เตรียมฉีดเข็มที่ 2 และเตรียมทดสอบในมนุษย์ต่อไป
|
วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2563
ดร.สุวิทย์ เผยความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด MRNA เข็มแรกทดสอบในลิงเห็นผลสําเร็จดี เตรียมฉีดเข็มที่ 2 และเตรียมทดสอบในมนุษย์ต่อไป
ดร.สุวิทย์ เผยความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด MRNA เข็มแรกทดสอบในลิงเห็นผลสําเร็จดี เตรียมฉีดเข็มที่ 2 และเตรียมทดสอบในมนุษย์ต่อไป
วันนี้ (22 มิถุนายน 2563) ณ ห้องประชุมชั้น 22 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) (ถนนศรีอยุธยา) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.)แถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ เรื่องความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด mRNA เข็มแรกที่ทดสอบในลิงเห็นผลสําเร็จดี เตรียมฉีดเข็มที่ 2 และเตรียมทดสอบในมนุษย์ตามแผนต่อไป
ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่เพื่อเป็นสักขีพยานการทดสอบวัคซีนโควิด-19 หรือ mRNA ของประเทศไทย ที่ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ ซึ่งเป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยทีมนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการสนับสนุนของสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวง อว., สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยจะขอแจ้งให้ทราบว่าในขณะนี้พบว่าลิงทุกตัวมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีผลข้างเคียงจากวัคซีนและเมื่อนักวิจัยได้ทําการเจาะเลือดของลิงมาทําการทดสอบการสร้างภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีนั้น มีข่าวดีมากว่าลิงที่ได้รับวัคซีนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับที่น่าพอใจ ดังนั้นวันนี้ทีมนักวิจัยจึงได้เดินหน้าต่อไปตามแผน โดยจะฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็มที่สอง หากเป็นไปตามที่คาดไว้จะทําการทดสอบในมนุษย์ได้ประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งเป็นไปตามแผนการพัฒนาวัคซีนโรคโควิด
"ณ วันนี้ผมได้มอบให้ ศ.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ร่วมกับ นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อํานวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ นําคณะผู้เชี่ยวชาญและสื่อมวลชน ติดตามความคืบหน้าของการทดสอบวัคซีน เพื่อให้คําแนะนําและเตรียมรายละเอียดการดําเนินงานในขั้นต่อไป ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาวัคซีนโรคโควิด-19 โดยท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มอบหมายให้กระทรวง อว. และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันดําเนินงานเชิงรุกในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนให้สําเร็จ เพื่อให้คนไทยสามารถมีวัคซีนใช้ได้อย่างรวดเร็วเป็นลําดับแรก ๆ ของโลก"ดร.สุวิทย์ กล่าว
ขณะนี้ทาง วช. ในฐานะศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ การวิจัยและพัฒนา ของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้ร่วมมือกับสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (NVI) กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนทุนวิจัยให้พัฒนาวัคซีนโควิด-19 แล้ว จํานวน 5 แบบ ซึ่งมีความก้าวหน้าด้วยดี รวมทั้ง อว. และ สธ. ยังได้เจรจาหารือกับหน่วยงานในต่างประเทศในการร่วมมือทางการวิจัย ถ่ายทอดเทคโนโลยีและเตรียมการผลิตไว้ด้วยแล้ว จึงขอขอบคุณคณะนักวิจัยที่ได้ทุ่มเท เสียสละ ในการดําเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาวัคซีนโควิด-19 จนเห็นผลสําเร็จดีตามลําดับ และขอขอบคุณคณะสื่อมวลชนที่เดินทางมาช่วยเผยแพร่ข่าวดีของประเทศไทยในวันนี้ และต่อไปทาง วช. สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะให้รายละเอียดของการทดสอบและแผนการดําเนินงานในขั้นต่อไป
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สุวิทย์ เผยความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด MRNA เข็มแรกทดสอบในลิงเห็นผลสำเร็จดี เตรียมฉีดเข็มที่ 2 และเตรียมทดสอบในมนุษย์ต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม 2563
ดร.สุวิทย์ เผยความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด MRNA เข็มแรกทดสอบในลิงเห็นผลสําเร็จดี เตรียมฉีดเข็มที่ 2 และเตรียมทดสอบในมนุษย์ต่อไป
ดร.สุวิทย์ เผยความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด MRNA เข็มแรกทดสอบในลิงเห็นผลสําเร็จดี เตรียมฉีดเข็มที่ 2 และเตรียมทดสอบในมนุษย์ต่อไป
วันนี้ (22 มิถุนายน 2563) ณ ห้องประชุมชั้น 22 สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) (ถนนศรีอยุธยา) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.)แถลงข่าวผ่านระบบออนไลน์ เรื่องความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด mRNA เข็มแรกที่ทดสอบในลิงเห็นผลสําเร็จดี เตรียมฉีดเข็มที่ 2 และเตรียมทดสอบในมนุษย์ตามแผนต่อไป
ดร.สุวิทย์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่เพื่อเป็นสักขีพยานการทดสอบวัคซีนโควิด-19 หรือ mRNA ของประเทศไทย ที่ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ ซึ่งเป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยทีมนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยการสนับสนุนของสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวง อว., สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยจะขอแจ้งให้ทราบว่าในขณะนี้พบว่าลิงทุกตัวมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีผลข้างเคียงจากวัคซีนและเมื่อนักวิจัยได้ทําการเจาะเลือดของลิงมาทําการทดสอบการสร้างภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีนั้น มีข่าวดีมากว่าลิงที่ได้รับวัคซีนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับที่น่าพอใจ ดังนั้นวันนี้ทีมนักวิจัยจึงได้เดินหน้าต่อไปตามแผน โดยจะฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็มที่สอง หากเป็นไปตามที่คาดไว้จะทําการทดสอบในมนุษย์ได้ประมาณเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งเป็นไปตามแผนการพัฒนาวัคซีนโรคโควิด
"ณ วันนี้ผมได้มอบให้ ศ.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ร่วมกับ นายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อํานวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ นําคณะผู้เชี่ยวชาญและสื่อมวลชน ติดตามความคืบหน้าของการทดสอบวัคซีน เพื่อให้คําแนะนําและเตรียมรายละเอียดการดําเนินงานในขั้นต่อไป ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสําคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาวัคซีนโรคโควิด-19 โดยท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มอบหมายให้กระทรวง อว. และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันดําเนินงานเชิงรุกในการวิจัยและพัฒนาวัคซีนให้สําเร็จ เพื่อให้คนไทยสามารถมีวัคซีนใช้ได้อย่างรวดเร็วเป็นลําดับแรก ๆ ของโลก"ดร.สุวิทย์ กล่าว
ขณะนี้ทาง วช. ในฐานะศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ การวิจัยและพัฒนา ของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้ร่วมมือกับสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (NVI) กระทรวงสาธารณสุข สนับสนุนทุนวิจัยให้พัฒนาวัคซีนโควิด-19 แล้ว จํานวน 5 แบบ ซึ่งมีความก้าวหน้าด้วยดี รวมทั้ง อว. และ สธ. ยังได้เจรจาหารือกับหน่วยงานในต่างประเทศในการร่วมมือทางการวิจัย ถ่ายทอดเทคโนโลยีและเตรียมการผลิตไว้ด้วยแล้ว จึงขอขอบคุณคณะนักวิจัยที่ได้ทุ่มเท เสียสละ ในการดําเนินการวิจัยเพื่อพัฒนาวัคซีนโควิด-19 จนเห็นผลสําเร็จดีตามลําดับ และขอขอบคุณคณะสื่อมวลชนที่เดินทางมาช่วยเผยแพร่ข่าวดีของประเทศไทยในวันนี้ และต่อไปทาง วช. สถาบันวัคซีนแห่งชาติ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะให้รายละเอียดของการทดสอบและแผนการดําเนินงานในขั้นต่อไป
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33226
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำคณะผู้บริหาร พม. เข้าร่วมประชุมคณะทำงานประชารัฐเพื่อสังคม (E6)
|
วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2560
รมว.พม. นําคณะผู้บริหาร พม. เข้าร่วมประชุมคณะทํางานประชารัฐเพื่อสังคม (E6)
รมว.พม. นําคณะผู้บริหาร พม. เข้าร่วมประชุมคณะทํางานประชารัฐเพื่อสังคม (E6) พร้อมจับมือ สสส. หอการค้า ภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม บูรณาการเร่งขับเคลื่อนงานเพื่อพัฒนางานภาคสังคม
วันนี้ (6 มี.ค. 60) เวลา 10.00 น.พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมคณะทํางานประชารัฐเพื่อสังคม ครั้งที่ 1/2560 ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ ร่วมกับนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย หัวหน้าทีมภาคเอกชน และ ดร. สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หัวหน้าทีมภาคประชาสังคม พร้อมด้วยคณะทํางานจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน เข้าร่วมการประชุมเพื่อติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานนโยบายประชารัฐเพื่อสังคม ณ ห้องประชุม 501 อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซอยงามดูพลี เขตสาทร กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นการติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานด้านต่างๆ ตามนโยบายประชารัฐเพื่อสังคม เพื่อเร่งขับเคลื่อนงานเกี่ยวกับ 5 ประเด็นเร่งด่วน ได้แก่ 1) การส่งเสริมการมีรายได้และมีงานทําของคนพิการ 2) การส่งเสริมการมีรายได้และมีงานทําของผู้สูงอายุ 3) การออมเพื่อการเกษียณอายุ 4) ที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมเพื่อการอยู่อาศัย และ 5) ความปลอดภัยทางถนน ซึ่งหัวหน้าทีมคณะทํางานย่อย ภายใต้คณะทํางานประชารัฐเพื่อสังคม ได้รายงานความคืบหน้า ดังนี้ คณะทํางานย่อยด้านการส่งเสริมการมีรายได้และการมีงานทําของคนพิการ โดยหอการค้าไทย และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) มีเป้าหมายจ้างงานคนพิการเพิ่ม 16,000 อัตราในปี 2561 และส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับองค์กรของคนพิการ และวิสาหกิจเพื่อสังคมของคนพิการ คณะทํางานการส่งเสริมการมีรายได้และการมีงานทําของผู้สูงอายุ โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ตั้งเป้าที่จะจ้างงานผู้สูงอายุทั้งในระบบและนอกระบบ รวม 39,000 อัตรา ในปี 2560
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า ส่วนด้านการออมเพื่อการเกษียณอายุตลาดหลักทรัพย์ได้มีการรณรงค์ด้านวินัยทางการเงินการออม และวางแผนที่จะตั้ง WorkingGroups เพื่อส่งเสริมให้เกิดการออมใน 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1) แรงงานในระบบ 2) แรงงานนอกระบบ 3) ข้าราชการ และ 4) ผู้สูงอายุ ขณะที่ผู้แทนจาก SCG ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมภาคเอกชนของคณะทํางานด้านที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมเพื่อการอยู่อาศัย นําเสนอแผนงานที่มุ่งเน้นการปรับปรุงที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ โดยจะมีการรวบรวมแบบบ้านผู้สูงอายุทั้งจากภาครัฐ และเอกชน และการเสริมสร้างทักษะการออกแบบก่อสร้างของวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา ให้มีความรู้ด้าน Universal design สําหรับงานด้านความปลอดภัยทางถนน ปตท. ได้นําเสนอแผนการรณรงค์ เช่น กิจกรรมถนนคนดี การรณรงค์ในช่วงเทศกาลสําคัญ และตลอดจนการให้ความรู้การขับขี่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การสร้างความปลอดภัยทางถนน ต้องบูรณาการกันทุกภาคส่วน เพื่อให้เห็นผลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับในปี 2560 นี้ การดําเนินงานที่เห็นผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน คือการจ้างงานคนพิการ ส่วนการจ้างงานของผู้สูงอายุ ด้านที่อยู่อาศัย และการออมฯ ซึ่งต้องปลูกฝังวินัยการออมตั้งแต่เด็ก จะเร่งขับเคลื่อนงานดังกล่าว ด้วยการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นในระยะต่อไป ทั้งนี้ การที่ภาคีเครือข่าย ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เข้ามาร่วมดําเนินงานจะทําให้การขับเคลื่อนงานเห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรมได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณคณะทํางานทุกภาคส่วนที่ได้ทุ่มเทและเสียสละ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน และสังคม ซึ่งรัฐบาลพร้อมช่วยเหลือ สนับสนุน และอํานวยความสะดวกในการดําเนินการตามนโยบายประชารัฐอย่างเต็มที่
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. นำคณะผู้บริหาร พม. เข้าร่วมประชุมคณะทำงานประชารัฐเพื่อสังคม (E6)
วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2560
รมว.พม. นําคณะผู้บริหาร พม. เข้าร่วมประชุมคณะทํางานประชารัฐเพื่อสังคม (E6)
รมว.พม. นําคณะผู้บริหาร พม. เข้าร่วมประชุมคณะทํางานประชารัฐเพื่อสังคม (E6) พร้อมจับมือ สสส. หอการค้า ภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม บูรณาการเร่งขับเคลื่อนงานเพื่อพัฒนางานภาคสังคม
วันนี้ (6 มี.ค. 60) เวลา 10.00 น.พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมคณะทํางานประชารัฐเพื่อสังคม ครั้งที่ 1/2560 ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ ร่วมกับนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย หัวหน้าทีมภาคเอกชน และ ดร. สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หัวหน้าทีมภาคประชาสังคม พร้อมด้วยคณะทํางานจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน เข้าร่วมการประชุมเพื่อติดตามความก้าวหน้าการดําเนินงานนโยบายประชารัฐเพื่อสังคม ณ ห้องประชุม 501 อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซอยงามดูพลี เขตสาทร กรุงเทพฯ
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ เป็นการติดตามความคืบหน้าการดําเนินงานด้านต่างๆ ตามนโยบายประชารัฐเพื่อสังคม เพื่อเร่งขับเคลื่อนงานเกี่ยวกับ 5 ประเด็นเร่งด่วน ได้แก่ 1) การส่งเสริมการมีรายได้และมีงานทําของคนพิการ 2) การส่งเสริมการมีรายได้และมีงานทําของผู้สูงอายุ 3) การออมเพื่อการเกษียณอายุ 4) ที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมเพื่อการอยู่อาศัย และ 5) ความปลอดภัยทางถนน ซึ่งหัวหน้าทีมคณะทํางานย่อย ภายใต้คณะทํางานประชารัฐเพื่อสังคม ได้รายงานความคืบหน้า ดังนี้ คณะทํางานย่อยด้านการส่งเสริมการมีรายได้และการมีงานทําของคนพิการ โดยหอการค้าไทย และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) มีเป้าหมายจ้างงานคนพิการเพิ่ม 16,000 อัตราในปี 2561 และส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับองค์กรของคนพิการ และวิสาหกิจเพื่อสังคมของคนพิการ คณะทํางานการส่งเสริมการมีรายได้และการมีงานทําของผู้สูงอายุ โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) ตั้งเป้าที่จะจ้างงานผู้สูงอายุทั้งในระบบและนอกระบบ รวม 39,000 อัตรา ในปี 2560
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวต่อไปว่า ส่วนด้านการออมเพื่อการเกษียณอายุตลาดหลักทรัพย์ได้มีการรณรงค์ด้านวินัยทางการเงินการออม และวางแผนที่จะตั้ง WorkingGroups เพื่อส่งเสริมให้เกิดการออมใน 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1) แรงงานในระบบ 2) แรงงานนอกระบบ 3) ข้าราชการ และ 4) ผู้สูงอายุ ขณะที่ผู้แทนจาก SCG ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมภาคเอกชนของคณะทํางานด้านที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมเพื่อการอยู่อาศัย นําเสนอแผนงานที่มุ่งเน้นการปรับปรุงที่อยู่อาศัยสําหรับผู้สูงอายุ โดยจะมีการรวบรวมแบบบ้านผู้สูงอายุทั้งจากภาครัฐ และเอกชน และการเสริมสร้างทักษะการออกแบบก่อสร้างของวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง ในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา ให้มีความรู้ด้าน Universal design สําหรับงานด้านความปลอดภัยทางถนน ปตท. ได้นําเสนอแผนการรณรงค์ เช่น กิจกรรมถนนคนดี การรณรงค์ในช่วงเทศกาลสําคัญ และตลอดจนการให้ความรู้การขับขี่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การสร้างความปลอดภัยทางถนน ต้องบูรณาการกันทุกภาคส่วน เพื่อให้เห็นผลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
พลตํารวจเอก อดุลย์กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับในปี 2560 นี้ การดําเนินงานที่เห็นผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน คือการจ้างงานคนพิการ ส่วนการจ้างงานของผู้สูงอายุ ด้านที่อยู่อาศัย และการออมฯ ซึ่งต้องปลูกฝังวินัยการออมตั้งแต่เด็ก จะเร่งขับเคลื่อนงานดังกล่าว ด้วยการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคาดว่าจะเห็นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นในระยะต่อไป ทั้งนี้ การที่ภาคีเครือข่าย ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เข้ามาร่วมดําเนินงานจะทําให้การขับเคลื่อนงานเห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรมได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณคณะทํางานทุกภาคส่วนที่ได้ทุ่มเทและเสียสละ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน และสังคม ซึ่งรัฐบาลพร้อมช่วยเหลือ สนับสนุน และอํานวยความสะดวกในการดําเนินการตามนโยบายประชารัฐอย่างเต็มที่
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2216
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะผู้ป่วยไข้หวัดสวมหน้ากากอนามัย รับผิดชอบสังคม
|
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563
สธ.แนะผู้ป่วยไข้หวัดสวมหน้ากากอนามัย รับผิดชอบสังคม
กระทรวงสาธารณสุข แนะนําผู้ป่วยมีไข้ น้ํามูก ไอ จาม สวมหน้ากากอนามัย ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค ไม่ไปที่คนหนาแน่น ทําเป็นประจําให้เป็นสุขนิสัย ช่วยกันรับผิดชอบสังคม
กระทรวงสาธารณสุข แนะนําผู้ป่วยมีไข้ น้ํามูก ไอ จาม สวมหน้ากากอนามัย ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค ไม่ไปที่คนหนาแน่น ทําเป็นประจําให้เป็นสุขนิสัย ช่วยกันรับผิดชอบสังคม
นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง นพ.ทรงคุณวุฒิและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง ประชาชนอาจปรับตัวไม่ทัน และป่วยเป็นไข้หวัดซึ่งมักเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่จําเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ําสะอาดบ่อย ๆ ก็สามารถหายได้เอง อย่างไรก็ตาม แนะนําว่า หากป่วยเป็นไข้หวัด มีน้ํามูก ไอ จาม ขอให้แยกตัวเอง แยกสํารับอาหาร ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับสมาชิกในครอบครัวและคนอื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ํา ผ้าเช็ดตัว ที่สําคัญรับผิดชอบสังคมด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ทั้งขณะที่อยู่ในบ้าน หรือไปทํางาน ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ําและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล ไม่นํามือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จําเป็น หากจะสัมผัส ต้องล้างมือให้สะอาดขอให้ทําเป็นประจําจนเป็นสุขนิสัย และไม่ไปอยู่ในที่คนหนาแน่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค แต่หากอาการไม่ดีขึ้นใน 2 วันให้ไปพบแพทย์ เพราะอาจมีโรคแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเป็นไข้หวัดใหญ่หรือโรคอื่น ซึ่งอาจจะมีอาการรุนแรงกว่า และมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัว
ทั้งนี้ ในปี 2562 พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 390,773 ราย เสียชีวิต 27 ราย ในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 17 กุมภาพันธ์ 2563 พบผู้ป่วยแล้ว 60,235 ราย เสียชีวิต 1 ราย
******************** 28 กุมภาพันธ์ 2563
***************************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะผู้ป่วยไข้หวัดสวมหน้ากากอนามัย รับผิดชอบสังคม
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563
สธ.แนะผู้ป่วยไข้หวัดสวมหน้ากากอนามัย รับผิดชอบสังคม
กระทรวงสาธารณสุข แนะนําผู้ป่วยมีไข้ น้ํามูก ไอ จาม สวมหน้ากากอนามัย ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค ไม่ไปที่คนหนาแน่น ทําเป็นประจําให้เป็นสุขนิสัย ช่วยกันรับผิดชอบสังคม
กระทรวงสาธารณสุข แนะนําผู้ป่วยมีไข้ น้ํามูก ไอ จาม สวมหน้ากากอนามัย ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค ไม่ไปที่คนหนาแน่น ทําเป็นประจําให้เป็นสุขนิสัย ช่วยกันรับผิดชอบสังคม
นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง นพ.ทรงคุณวุฒิและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง ประชาชนอาจปรับตัวไม่ทัน และป่วยเป็นไข้หวัดซึ่งมักเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่จําเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ําสะอาดบ่อย ๆ ก็สามารถหายได้เอง อย่างไรก็ตาม แนะนําว่า หากป่วยเป็นไข้หวัด มีน้ํามูก ไอ จาม ขอให้แยกตัวเอง แยกสํารับอาหาร ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับสมาชิกในครอบครัวและคนอื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ํา ผ้าเช็ดตัว ที่สําคัญรับผิดชอบสังคมด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ทั้งขณะที่อยู่ในบ้าน หรือไปทํางาน ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ําและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล ไม่นํามือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จําเป็น หากจะสัมผัส ต้องล้างมือให้สะอาดขอให้ทําเป็นประจําจนเป็นสุขนิสัย และไม่ไปอยู่ในที่คนหนาแน่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค แต่หากอาการไม่ดีขึ้นใน 2 วันให้ไปพบแพทย์ เพราะอาจมีโรคแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเป็นไข้หวัดใหญ่หรือโรคอื่น ซึ่งอาจจะมีอาการรุนแรงกว่า และมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัว
ทั้งนี้ ในปี 2562 พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 390,773 ราย เสียชีวิต 27 ราย ในปีนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 17 กุมภาพันธ์ 2563 พบผู้ป่วยแล้ว 60,235 ราย เสียชีวิต 1 ราย
******************** 28 กุมภาพันธ์ 2563
***************************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26805
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. กำชับพื้นที่ ต้องควบคุมการเผาป่า และพืชไร่ให้ได้ สั่งเฝ้าระวังและคงความต่อเนื่องมาตการควบคุมฝุ่นละอองจนกว่าจะปกติ
|
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562
รอง นรม. และ รมว.กห. กําชับพื้นที่ ต้องควบคุมการเผาป่า และพืชไร่ให้ได้ สั่งเฝ้าระวังและคงความต่อเนื่องมาตการควบคุมฝุ่นละอองจนกว่าจะปกติ
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม.และรมว.กห. ได้กําชับฝ่ายปกครองในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยเฉพาะ จว.ลําปาง แพร่ เลย และขอนแก่น ให้เพิ่มความสําคัญในการควบคุมต้นเหตุของการเกิดไฟป่าและมาตรการคุมเข้มการเผาพืชไร่ในที่โล่งแจ้ง โดยให้ลงพื้นที่ทําความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้น เพื่อลดต้นเหตุของปัญหาฝุ่นและควันที่กระจายตัวในวงกว้าง ในห้วงสภาพอากาศปิด 13 - 15 ก.พ. 62 ที่ยังคงปรากฎอยู่
สําหรับในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมและเมืองใหญ่ โดยเฉพาะ กรุงเทพมหานคร ขอให้ทางจังหวัด และ กทม. ร่วมกันติดตามเฝ้าระวังปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ยังคงความเข้มมาตรการต่างๆ ในระยะเร่งด่วน ทั้งการบังคับใช้กฎหมายและการขอความร่วมมือต่อเนื่องกันไป เพื่อลดหรือหลีกเลี่ยงต้นเหตุของปัญหา โดยเฉพาะ การควบคุมฝุ่นจากการก่อสร้าง รถยนต์ควันดํา และการระบายการจราจรในพื้นที่ควบคุม ทั้งนี้ ขอให้ กทม.และกองทัพ ยังคงสนับสนุนการชําระล้างถนนและพ่นละอองน้ํา ตามเส้นทางในพื้นที่ควบคุมอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาวะการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองขนาดเล็กระดับต่ําที่มีผลต่อประชาชนโดยตรง จนกว่าสถานการณ์ฝุ่นละอองจะคลี่คลาย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม. และ รมว.กห. กำชับพื้นที่ ต้องควบคุมการเผาป่า และพืชไร่ให้ได้ สั่งเฝ้าระวังและคงความต่อเนื่องมาตการควบคุมฝุ่นละอองจนกว่าจะปกติ
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562
รอง นรม. และ รมว.กห. กําชับพื้นที่ ต้องควบคุมการเผาป่า และพืชไร่ให้ได้ สั่งเฝ้าระวังและคงความต่อเนื่องมาตการควบคุมฝุ่นละอองจนกว่าจะปกติ
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม.และรมว.กห. ได้กําชับฝ่ายปกครองในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยเฉพาะ จว.ลําปาง แพร่ เลย และขอนแก่น ให้เพิ่มความสําคัญในการควบคุมต้นเหตุของการเกิดไฟป่าและมาตรการคุมเข้มการเผาพืชไร่ในที่โล่งแจ้ง โดยให้ลงพื้นที่ทําความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้น เพื่อลดต้นเหตุของปัญหาฝุ่นและควันที่กระจายตัวในวงกว้าง ในห้วงสภาพอากาศปิด 13 - 15 ก.พ. 62 ที่ยังคงปรากฎอยู่
สําหรับในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมและเมืองใหญ่ โดยเฉพาะ กรุงเทพมหานคร ขอให้ทางจังหวัด และ กทม. ร่วมกันติดตามเฝ้าระวังปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ยังคงความเข้มมาตรการต่างๆ ในระยะเร่งด่วน ทั้งการบังคับใช้กฎหมายและการขอความร่วมมือต่อเนื่องกันไป เพื่อลดหรือหลีกเลี่ยงต้นเหตุของปัญหา โดยเฉพาะ การควบคุมฝุ่นจากการก่อสร้าง รถยนต์ควันดํา และการระบายการจราจรในพื้นที่ควบคุม ทั้งนี้ ขอให้ กทม.และกองทัพ ยังคงสนับสนุนการชําระล้างถนนและพ่นละอองน้ํา ตามเส้นทางในพื้นที่ควบคุมอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาวะการฟุ้งกระจายของฝุ่นละอองขนาดเล็กระดับต่ําที่มีผลต่อประชาชนโดยตรง จนกว่าสถานการณ์ฝุ่นละอองจะคลี่คลาย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18734
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการเสวนาทิศทางการท่องเที่ยวไทย
|
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการเสวนาทิศทางการท่องเที่ยวไทย
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการเสวนาทิศทางการท่องเที่ยวไทย
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560 เวลา 10.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการเสวนาทิศทางการท่องเที่ยวไทย พร้อมเปิดตัวสมาคมสื่อมวลชนเพื่อการท่องเที่ยว ณ โรงแรมรามาการ์เด้น กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้บริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายกสมาคมสื่อมวลชนเพื่อการท่องเที่ยว เข้าร่วมงาน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการเสวนาทิศทางการท่องเที่ยวไทย
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการเสวนาทิศทางการท่องเที่ยวไทย
รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการเสวนาทิศทางการท่องเที่ยวไทย
วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2560 เวลา 10.00 น. พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการเสวนาทิศทางการท่องเที่ยวไทย พร้อมเปิดตัวสมาคมสื่อมวลชนเพื่อการท่องเที่ยว ณ โรงแรมรามาการ์เด้น กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้บริหารกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนายกสมาคมสื่อมวลชนเพื่อการท่องเที่ยว เข้าร่วมงาน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8329
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยแนะ 3 ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุค New Normal [กระทรวงการคลัง]
|
วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563
กรุงไทยแนะ 3 ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุค New Normal [กระทรวงการคลัง]
กรุงไทยแนะ 3 ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุค New Normal
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินพิษโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้หดตัว 8.8% รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปกว่า 1.57 ล้านล้านบาท ชี้ New Normal ก่อให้เกิดกระแสสวนโลกาภิวัฒน์ ปริมาณการค้าโลกอาจหดตัวถึง 10-30% ธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งออกและการบริโภคในประเทศ ซึ่งมีสัดส่วน 37% ของมูลค่ายอดขายในอุตสาหกรรมไทย จะประสบกับความท้าทายที่รุนแรง เผย CEO ทั่วโลกเชื่อเศรษฐกิจจะกลับมาได้ช้าๆ แบบ U Shape แนะธุรกิจจะรอดต้องหาโอกาสจากการใช้จ่ายภาครัฐ เทรนด์สุขภาพ และการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี
"ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2020 จะหดตัว 8.8 % และหากโควิด-19 กลับมาระบาดในระลอก 2 ทําให้ต้องปิดเมืองอีกครั้ง คาดว่า GDP จะหดตัวรุนแรงถึง 12% ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา เศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทยหดตัวอย่างหนักจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและการปิดเมือง จํานวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยลดลง 60% และยอดจองที่อยู่อาศัยลดลงจาก 36% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เหลือเพียง 14% โควิด-19 ยังทําให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปสู่ New Normal และผลการสํารวจ CEO จากบริษัททั่วโลก จํานวนมากเห็นว่าเศรษฐกิจคงกลับมาได้ช้าๆ แบบ U Shape เมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดําเนินการได้มากขึ้น หลังการค้นพบวัคซีน โดยปีนี้เศรษฐกิจจะหดตัวรุนแรงในช่วงต้นปี และอาจใช้เวลาประมาณ 1-3 ปี ในการกลับมาสู่จุดเดิม สําหรับปริมาณการค้าโลกนั้น ประเมินว่าในปีนี้ อาจหดตัวถึง 10-30%
“วิกฤติต้มยํากุ้งในปี 2540 เป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกมากขึ้น ขณะที่โควิด-19 ก่อให้เกิดกระแสทวนโลกาภิวัฒน์ ที่ทั่วโลกต่างหันว่าพึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น รัฐบาลหลายประเทศสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ และใช้มาตรการทางภาษีปกป้องบริษัทในประเทศมากขึ้น ส่งผลกระทบด้านลบกับกลุ่มธุรกิจที่พึ่งพิงการส่งออกในระดับสูง เช่น ธุรกิจยานยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ ส่วนอีกกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากใน New Normal คือกลุ่มที่พึ่งพาการก่อหนี้ เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธุรกิจในสองกลุ่มนี้มียอดขายรวมกันถึง 37% ของมูลค่ายอดขายในอุตสาหกรรมไทย”
ดร. กิตติพงษ์ เรือนทิพย์ ผู้ร่วมวิจัย กล่าวว่า ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทําให้ภาคครัวเรือนและธุรกิจมีความสามารถในการบริโภคและลงทุนลดลง ธุรกิจจํานวนมากประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและต้องรับภาระค่าใช้จ่ายจํานวนมาก หนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ใน New Normal ต้นทุนของการทําธุรกิจจะสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจที่จะเติบโตได้ คือธุรกิจที่สามารถหาโอกาสได้จาก “GDH” ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ (G) ที่มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท ผ่านการยกระดับสาธารณะสุข การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ การสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีของผู้บริโภค (D) หัวใจของการดําเนินธุรกิจ และกระแสด้านสุขภาพ (H) ซึ่งมีแนวโน้มเป็นพฤติกรรมระยะยาวของผู้บริโภค ได้แก่ ธุรกิจสุขภาพ การแพทย์ บริการด้านเทคโนโลยี เคมีภัณฑ์ ซึ่งมียอดขายรวมกัน 12% ของมูลค่ายอดขายในอุตสาหกรรมไทย
นายณัฐพร ศรีทอง ผู้ร่วมวิจัย กล่าวสรุปว่า ขณะนี้แม้ในมุมการแพร่ระบาดของโรคได้ผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว แต่ในมุมความท้าทายด้านเศรษฐกิจและธุรกิจใน New Normal ถือว่าเพิ่งเริ่มต้น ดังนั้นธุรกิจควรเริ่มปรับตัว โดย กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ให้ความสําคัญกับลดต้นทุน ยกระดับการดําเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยี และที่สําคัญคือต้องปรับกลยุทธ์สร้างผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับเทรนด์ “GDH” ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจและเม็ดเงินของผู้บริโภค ยกตัวอย่างธุรกิจเกษตรที่ควรใช้โอกาสนี้ ในการก้าวไปสู่ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงใน New Normal เช่น ผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์และสุขอนามัย การผลิตยาหรืออาหารเสริมจากพืช (Biopharmaceutical) และการผลิตเครื่องสําอางชีวภาพ (Biocosmetics) เป็นต้น
ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด
โทร. 0 2208 4174-8
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยแนะ 3 ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุค New Normal [กระทรวงการคลัง]
วันพุธที่ 10 มิถุนายน 2563
กรุงไทยแนะ 3 ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุค New Normal [กระทรวงการคลัง]
กรุงไทยแนะ 3 ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุค New Normal
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินพิษโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้หดตัว 8.8% รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปกว่า 1.57 ล้านล้านบาท ชี้ New Normal ก่อให้เกิดกระแสสวนโลกาภิวัฒน์ ปริมาณการค้าโลกอาจหดตัวถึง 10-30% ธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งออกและการบริโภคในประเทศ ซึ่งมีสัดส่วน 37% ของมูลค่ายอดขายในอุตสาหกรรมไทย จะประสบกับความท้าทายที่รุนแรง เผย CEO ทั่วโลกเชื่อเศรษฐกิจจะกลับมาได้ช้าๆ แบบ U Shape แนะธุรกิจจะรอดต้องหาโอกาสจากการใช้จ่ายภาครัฐ เทรนด์สุขภาพ และการใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี
"ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2020 จะหดตัว 8.8 % และหากโควิด-19 กลับมาระบาดในระลอก 2 ทําให้ต้องปิดเมืองอีกครั้ง คาดว่า GDP จะหดตัวรุนแรงถึง 12% ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา เศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทยหดตัวอย่างหนักจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและการปิดเมือง จํานวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยลดลง 60% และยอดจองที่อยู่อาศัยลดลงจาก 36% ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เหลือเพียง 14% โควิด-19 ยังทําให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปสู่ New Normal และผลการสํารวจ CEO จากบริษัททั่วโลก จํานวนมากเห็นว่าเศรษฐกิจคงกลับมาได้ช้าๆ แบบ U Shape เมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดําเนินการได้มากขึ้น หลังการค้นพบวัคซีน โดยปีนี้เศรษฐกิจจะหดตัวรุนแรงในช่วงต้นปี และอาจใช้เวลาประมาณ 1-3 ปี ในการกลับมาสู่จุดเดิม สําหรับปริมาณการค้าโลกนั้น ประเมินว่าในปีนี้ อาจหดตัวถึง 10-30%
“วิกฤติต้มยํากุ้งในปี 2540 เป็นแรงผลักดันให้เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกมากขึ้น ขณะที่โควิด-19 ก่อให้เกิดกระแสทวนโลกาภิวัฒน์ ที่ทั่วโลกต่างหันว่าพึ่งพิงเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น รัฐบาลหลายประเทศสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ และใช้มาตรการทางภาษีปกป้องบริษัทในประเทศมากขึ้น ส่งผลกระทบด้านลบกับกลุ่มธุรกิจที่พึ่งพิงการส่งออกในระดับสูง เช่น ธุรกิจยานยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอ ส่วนอีกกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากใน New Normal คือกลุ่มที่พึ่งพาการก่อหนี้ เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธุรกิจในสองกลุ่มนี้มียอดขายรวมกันถึง 37% ของมูลค่ายอดขายในอุตสาหกรรมไทย”
ดร. กิตติพงษ์ เรือนทิพย์ ผู้ร่วมวิจัย กล่าวว่า ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทําให้ภาคครัวเรือนและธุรกิจมีความสามารถในการบริโภคและลงทุนลดลง ธุรกิจจํานวนมากประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและต้องรับภาระค่าใช้จ่ายจํานวนมาก หนี้ภาคครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ใน New Normal ต้นทุนของการทําธุรกิจจะสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจที่จะเติบโตได้ คือธุรกิจที่สามารถหาโอกาสได้จาก “GDH” ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ (G) ที่มีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท ผ่านการยกระดับสาธารณะสุข การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ การสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีของผู้บริโภค (D) หัวใจของการดําเนินธุรกิจ และกระแสด้านสุขภาพ (H) ซึ่งมีแนวโน้มเป็นพฤติกรรมระยะยาวของผู้บริโภค ได้แก่ ธุรกิจสุขภาพ การแพทย์ บริการด้านเทคโนโลยี เคมีภัณฑ์ ซึ่งมียอดขายรวมกัน 12% ของมูลค่ายอดขายในอุตสาหกรรมไทย
นายณัฐพร ศรีทอง ผู้ร่วมวิจัย กล่าวสรุปว่า ขณะนี้แม้ในมุมการแพร่ระบาดของโรคได้ผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว แต่ในมุมความท้าทายด้านเศรษฐกิจและธุรกิจใน New Normal ถือว่าเพิ่งเริ่มต้น ดังนั้นธุรกิจควรเริ่มปรับตัว โดย กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป ให้ความสําคัญกับลดต้นทุน ยกระดับการดําเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยี และที่สําคัญคือต้องปรับกลยุทธ์สร้างผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับเทรนด์ “GDH” ซึ่งจะช่วยดึงดูดความสนใจและเม็ดเงินของผู้บริโภค ยกตัวอย่างธุรกิจเกษตรที่ควรใช้โอกาสนี้ ในการก้าวไปสู่ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงใน New Normal เช่น ผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์และสุขอนามัย การผลิตยาหรืออาหารเสริมจากพืช (Biopharmaceutical) และการผลิตเครื่องสําอางชีวภาพ (Biocosmetics) เป็นต้น
ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด
โทร. 0 2208 4174-8
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32165
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานแถลง ผลการดำเนินงานของกระทรวงพลังงานในปี 2559 และขับเคลื่อนนโยบาย Energy 4.0 ประจำปี 2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2560
งานแถลง ผลการดําเนินงานของกระทรวงพลังงานในปี 2559 และขับเคลื่อนนโยบาย Energy 4.0 ประจําปี 2560
กระทรวงพลังงาน แถลงผลการดําเนินงานในรอบปี 2559 ย้ํา มุ่งเน้นการบริหารเพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เป็นหลัก ยึดกรอบประโยชน์ประเทศชาติ ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม และประชาชน ชี้ ปี 2560 เดินหน้าขับเคลื่อน Energy 4.0 ควบคู่โครงการประชารัฐ
กระทรวงพลังงาน แถลงผลการดําเนินงานในรอบปี 2559 ย้ํา มุ่งเน้นการบริหารเพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เป็นหลัก ยึดกรอบประโยชน์ประเทศชาติ ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม และประชาชน ชี้ ปี 2560 เดินหน้าขับเคลื่อน Energy 4.0 ควบคู่โครงการประชารัฐ สอดรับนโยบายรัฐ Thailand 4.0
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงผลการดําเนินงานของกระทรวงพลังงานในรอบปี 2559 ว่า ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานมุ่งเน้นการทํางานเพื่อเป้าหมายในการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ให้กับภาคพลังงานของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และประชาชน อย่างรอบด้าน สําหรับภาพรวมผลงานในรอบปี 2559 ของกระทรวงพลังงานแบ่งตามผลงานทั้งด้านความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน รายละเอียด ดังนี้
ผลงานด้านความมั่นคง ได้ดําเนินการการสร้างความมั่นคงด้านไฟฟ้า และการพัฒนาความมั่นคง ด้านปิโตรเลียม โดยในส่วนการสร้างความมั่นคงด้านไฟฟ้า ได้มีการบูรณาการตั้งแต่ระบบผลิตด้วยการเร่งรัด ผลักดัน การพัฒนาโรงไฟฟ้าให้เป็นไปตามแผน PDP 2015 พร้อมทั้งพัฒนาระบบสายส่งให้สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและรองรับพลังงานทดแทนได้ รวมถึงมีการสร้างความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ดําเนินขยายกรอบการรับซื้อไฟฟ้าจาก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จากเดิม 7,000 เมกะวัตต์เพิ่มเป็น 9,000 เมกะวัตต์ ขณะที่การพัฒนาความมั่นคงด้านปิโตรเลียม ได้ดําเนินการต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียม จํานวน 2 แปลง ได้แก่ แปลง B8/32 ในพื้นที่อ่าวไทย และแปลง SW1 ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาระบบขนส่งน้ํามันทางท่อ สายเหนือ เส้นทาง อยุธยา-กําแพงเพชร-ลําปาง และสายอีสาน เส้นทาง สระบุรี-ขอนแก่น
ผลงานด้านความมั่งคั่ง ได้ดําเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน โดยได้มีการปรับลดค่า Ft ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2558 – ธันวาคม 2559 ลงจํานวน 52.68 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ประเทศประหยัดค่าไฟฟ้าได้จํานวน 92,103 ล้านบาท/ปี สนับสนุนให้เกิดการแข่งขันในกิจการ ก๊าซเสรี อาทิ เปิดให้มีการนําเข้า LPG เสรี โดยแบ่งการดําเนินการออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก่อนเปิดเสรีทั้งระบบ และระยะที่ 2 เปิดเสรีทั้งระบบ ซึ่งเบื้องต้นให้ดําเนินการในระยะที่ 1 ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 เป็นต้นไป พร้อมทั้งมีการผลักดันให้เกิดผู้เล่นรายใหม่ในกิจการก๊าซธรรมชาติ โดยอนุมัติให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดําเนินโครงการ Floating Storage and Regasification Unit (FSRU) เพื่อรองรับการนําเข้า LNG ตอนบน และผลักดัน พ.ร.บ.กองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง เพื่อปรับปรุงโครงสร้างในการบริหารกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงให้มีความชัดเจนและมีกฎหมายรองรับ ล่าสุด พ.ร.บ.กองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ผลงานด้านการสร้างความยั่งยืน ได้มีการส่งเสริมพลังงานทดแทน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการผลักดันโครงการประชารัฐ โดยการส่งเสริมพลังงานทดแทนมีการดําเนินการ อาทิ การปรับลดอัตราการ รับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed- in Tariff ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน การเปิดโครงการโซลาร์เสรี จํานวน 100 เมกะวัตต์ และส่งเสริมให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าใช้เองด้วยการติดตั้ง Solar rooftop บนหลังคาบ้านเรือนและอาคารธุรกิจ
รวมถึงการรับซื้อไฟฟ้าจากชีวมวลในพื้นที่ภาคใต้ และการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม ส่วนการดําเนินมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการอนุรักษ์พลังงาน ประกอบด้วย การจัดการพลังงานในโรงงานและอาคารควบคุม จํานวน 8,600 ราย คิดเป็นผลการประหยัดพลังงานอยู่ที่ 320 ktoe การผลักดันการบังคับใช้กฎหมายร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อดําเนินการมาตรการ Building Energy Code โดยเริ่มบังคับอาคารตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตร ภายในปี 2560 การส่งเสริมการติดฉลากอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จํานวน 26 ล้านใบ คิดเป็นผลประหยัดอยู่ที่ 207.9 ktoe นอกจากนี้ยังมีมาตรการสนับสนุนทางการเงิน อาทิ โครงการเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ําเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ปล่อยกู้แล้ว 1,037 ล้านบาท คิดเป็นผลประหยัด 6.84 ktoe ต่อปี ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน จํานวน 210 ล้านบาทต่อปี
สําหรับการผลักดันโครงการประชารัฐ มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้เกษตรกร โดยได้มีการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงพลังงานทดแทน เช่น การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรด้วยระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านโครงการไฟฟ้าพลังน้ําชุมชน การนําของเหลือใช้มาผลิตพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อลดรายจ่ายชุมชน และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรจากพืชพลังงาน สิ่งเหลือใช้ เพื่อผลิตก๊าซชีวภาพและชีวมวล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวต่อว่า สําหรับภาพรวมการขับเคลื่อนนโยบายพลังงานปี 2560 นั้น กระทรวงพลังงานจะขับเคลื่อนภาคพลังงานของประเทศตามแนวนโยบาย Energy 4.0 ซึ่งมีเป้าหมายคือ การสร้างรายได้ให้กับประชาชนและประเทศ เพื่อให้ประเทศชาติในภาพรวมหลุดพ้นจากการเป็นประเทศรายได้ระดับปานกลาง สอดรับกับนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ให้เป็นรูปธรรมตามแผนที่วางไว้
ส่วนแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย Energy 4.0 ของกระทรวงพลังงานในปี 2560 นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนนโยบาย Energy 4.0 มีหลักการ ที่สําคัญ คือ การยกระดับประสิทธิภาพของระบบพลังงานในปัจจุบัน และการนํานวัตกรรมที่เหมาะสม มาใช้ในการพัฒนา ส่วนองค์ประกอบสําคัญในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย กระทรวงพลังงานได้คํานึงให้ครอบคลุมระบบพลังงานทั้งระบบ (Energy Supply Chain) ตั้งแต่การผลิต จัดหา แปรรูป ขนส่งไปจนถึงการใช้ โดยได้แบ่งตาม ประเภทพลังงาน ซึ่งจะครอบคลุมถึงแผนพลังงานระยะยาว ได้แก่ แผนบริหารจัดการน้ํามันเชื้อเพลิง แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ และแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้า ควบคู่ไปกับแนวนโยบายประชารัฐ
โดยในด้านเชื้อเพลิงภาคขนส่ง มาตรการสําคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 2560-2561 อาทิ การส่งเสริมการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งจะดําเนินการศึกษาต้นทุนร่วมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การกําหนดแนวทางการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพอย่างยั่งยืน และการเพิ่มสัดส่วนการใช้เอทานอล และไบโอดีเซลด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีให้ดีขึ้น การเพิ่มศักยภาพการขนส่งน้ํามันทางท่อ โดยในเดือนเมษายน 2560 จะเริ่มดําเนินการก่อสร้างในเส้นทางสายเหนือ คือ อยุธยา –กําแพงเพชร-พิจิตร และกําแพงเพชร-ลําปาง ส่วนในปี 2561 จะเริ่มก่อสร้างในสายอีสาน เส้นทาง สระบุรี-ขอนแก่น นอกจากนี้ยังจะดําเนินการสรุปแนวทางการสํารองน้ํามันทางยุทธศาสตร์ภายในเดือนสิงหาคม 2560
ด้านไฟฟ้า มาตรการสําคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 2560-2561 อาทิ การจัดทําแผนการผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนรายภาค การสร้างตลาดซื้อขายไฟให้โรงไฟฟ้าเก่าที่มีศักยภาพ การบริหารจัดการให้ผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าต้นทุนต่ําให้มากที่สุด การประกวด Smart City ต้นแบบ และการกําหนดรูปแบบทางธุรกิจไมโครกริด และเริ่มโครงการไมโครกริดที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ด้านเชื้อเพลิงผลิตความร้อน มาตรการสําคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 2560-2561 อาทิ การเปิดเสรี ก๊าซธรรมชาติ และการขับเคลื่อน Third Party Access Code การสร้างความต่อเนื่องการผลิต ก๊าซธรรมชาติในประเทศ และการขยาย LNG Terminal และท่อก๊าซธรรมชาติ
สําหรับโครงการประชารัฐ มาตรการสําคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 2560-2561 อาทิ การส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลดการใช้พลังงานในการผลิต 326 แห่ง ส่งเสริมครัวเรือนต้นแบบ 15,200 ครัวเรือนในการลดใช้พลังงานลงให้ได้ 10% และส่งเสริมชุมชนผลิตชีวมวลป้อนภาคอุตสาหกรรม
ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวต่อว่า การขับเคลื่อน Energy 4.0 มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการบริหารจัดการระบบพลังงาน ส่งผลให้การผลิต การจัดหาพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใน ปี 2560-2561 ได้ตั้งเป้าการลดใช้พลังงานในภาคต่างๆ อาทิ ภาคการผลิตไฟฟ้าลดลง 24 ล้านตัน/ปี ภาคพลังงานในครัวเรือนลดลง 4 ล้านตัน/ปี ภาคพลังงานในอาคารลดลง 1 ล้านตัน/ปี ภาคพลังงานพลังงานอุตสาหกรรมลดลง 41 ล้านตัน/ปี และภาคขนส่งลดลง 41 ล้านตัน/ปี เป็นต้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-งานแถลง ผลการดำเนินงานของกระทรวงพลังงานในปี 2559 และขับเคลื่อนนโยบาย Energy 4.0 ประจำปี 2560
วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2560
งานแถลง ผลการดําเนินงานของกระทรวงพลังงานในปี 2559 และขับเคลื่อนนโยบาย Energy 4.0 ประจําปี 2560
กระทรวงพลังงาน แถลงผลการดําเนินงานในรอบปี 2559 ย้ํา มุ่งเน้นการบริหารเพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เป็นหลัก ยึดกรอบประโยชน์ประเทศชาติ ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม และประชาชน ชี้ ปี 2560 เดินหน้าขับเคลื่อน Energy 4.0 ควบคู่โครงการประชารัฐ
กระทรวงพลังงาน แถลงผลการดําเนินงานในรอบปี 2559 ย้ํา มุ่งเน้นการบริหารเพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เป็นหลัก ยึดกรอบประโยชน์ประเทศชาติ ทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม และประชาชน ชี้ ปี 2560 เดินหน้าขับเคลื่อน Energy 4.0 ควบคู่โครงการประชารัฐ สอดรับนโยบายรัฐ Thailand 4.0
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงผลการดําเนินงานของกระทรวงพลังงานในรอบปี 2559 ว่า ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานมุ่งเน้นการทํางานเพื่อเป้าหมายในการสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ให้กับภาคพลังงานของประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และประชาชน อย่างรอบด้าน สําหรับภาพรวมผลงานในรอบปี 2559 ของกระทรวงพลังงานแบ่งตามผลงานทั้งด้านความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน รายละเอียด ดังนี้
ผลงานด้านความมั่นคง ได้ดําเนินการการสร้างความมั่นคงด้านไฟฟ้า และการพัฒนาความมั่นคง ด้านปิโตรเลียม โดยในส่วนการสร้างความมั่นคงด้านไฟฟ้า ได้มีการบูรณาการตั้งแต่ระบบผลิตด้วยการเร่งรัด ผลักดัน การพัฒนาโรงไฟฟ้าให้เป็นไปตามแผน PDP 2015 พร้อมทั้งพัฒนาระบบสายส่งให้สามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและรองรับพลังงานทดแทนได้ รวมถึงมีการสร้างความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ดําเนินขยายกรอบการรับซื้อไฟฟ้าจาก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จากเดิม 7,000 เมกะวัตต์เพิ่มเป็น 9,000 เมกะวัตต์ ขณะที่การพัฒนาความมั่นคงด้านปิโตรเลียม ได้ดําเนินการต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียม จํานวน 2 แปลง ได้แก่ แปลง B8/32 ในพื้นที่อ่าวไทย และแปลง SW1 ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนาระบบขนส่งน้ํามันทางท่อ สายเหนือ เส้นทาง อยุธยา-กําแพงเพชร-ลําปาง และสายอีสาน เส้นทาง สระบุรี-ขอนแก่น
ผลงานด้านความมั่งคั่ง ได้ดําเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน โดยได้มีการปรับลดค่า Ft ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม 2558 – ธันวาคม 2559 ลงจํานวน 52.68 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้ประเทศประหยัดค่าไฟฟ้าได้จํานวน 92,103 ล้านบาท/ปี สนับสนุนให้เกิดการแข่งขันในกิจการ ก๊าซเสรี อาทิ เปิดให้มีการนําเข้า LPG เสรี โดยแบ่งการดําเนินการออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านก่อนเปิดเสรีทั้งระบบ และระยะที่ 2 เปิดเสรีทั้งระบบ ซึ่งเบื้องต้นให้ดําเนินการในระยะที่ 1 ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 เป็นต้นไป พร้อมทั้งมีการผลักดันให้เกิดผู้เล่นรายใหม่ในกิจการก๊าซธรรมชาติ โดยอนุมัติให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดําเนินโครงการ Floating Storage and Regasification Unit (FSRU) เพื่อรองรับการนําเข้า LNG ตอนบน และผลักดัน พ.ร.บ.กองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง เพื่อปรับปรุงโครงสร้างในการบริหารกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงให้มีความชัดเจนและมีกฎหมายรองรับ ล่าสุด พ.ร.บ.กองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ผลงานด้านการสร้างความยั่งยืน ได้มีการส่งเสริมพลังงานทดแทน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการผลักดันโครงการประชารัฐ โดยการส่งเสริมพลังงานทดแทนมีการดําเนินการ อาทิ การปรับลดอัตราการ รับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed- in Tariff ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน การเปิดโครงการโซลาร์เสรี จํานวน 100 เมกะวัตต์ และส่งเสริมให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าใช้เองด้วยการติดตั้ง Solar rooftop บนหลังคาบ้านเรือนและอาคารธุรกิจ
รวมถึงการรับซื้อไฟฟ้าจากชีวมวลในพื้นที่ภาคใต้ และการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม ส่วนการดําเนินมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการอนุรักษ์พลังงาน ประกอบด้วย การจัดการพลังงานในโรงงานและอาคารควบคุม จํานวน 8,600 ราย คิดเป็นผลการประหยัดพลังงานอยู่ที่ 320 ktoe การผลักดันการบังคับใช้กฎหมายร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อดําเนินการมาตรการ Building Energy Code โดยเริ่มบังคับอาคารตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตร ภายในปี 2560 การส่งเสริมการติดฉลากอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จํานวน 26 ล้านใบ คิดเป็นผลประหยัดอยู่ที่ 207.9 ktoe นอกจากนี้ยังมีมาตรการสนับสนุนทางการเงิน อาทิ โครงการเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ําเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ปล่อยกู้แล้ว 1,037 ล้านบาท คิดเป็นผลประหยัด 6.84 ktoe ต่อปี ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน จํานวน 210 ล้านบาทต่อปี
สําหรับการผลักดันโครงการประชารัฐ มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้เกษตรกร โดยได้มีการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงพลังงานทดแทน เช่น การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรด้วยระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านโครงการไฟฟ้าพลังน้ําชุมชน การนําของเหลือใช้มาผลิตพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อลดรายจ่ายชุมชน และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรจากพืชพลังงาน สิ่งเหลือใช้ เพื่อผลิตก๊าซชีวภาพและชีวมวล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวต่อว่า สําหรับภาพรวมการขับเคลื่อนนโยบายพลังงานปี 2560 นั้น กระทรวงพลังงานจะขับเคลื่อนภาคพลังงานของประเทศตามแนวนโยบาย Energy 4.0 ซึ่งมีเป้าหมายคือ การสร้างรายได้ให้กับประชาชนและประเทศ เพื่อให้ประเทศชาติในภาพรวมหลุดพ้นจากการเป็นประเทศรายได้ระดับปานกลาง สอดรับกับนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล ให้เป็นรูปธรรมตามแผนที่วางไว้
ส่วนแนวทางการขับเคลื่อนนโยบาย Energy 4.0 ของกระทรวงพลังงานในปี 2560 นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนนโยบาย Energy 4.0 มีหลักการ ที่สําคัญ คือ การยกระดับประสิทธิภาพของระบบพลังงานในปัจจุบัน และการนํานวัตกรรมที่เหมาะสม มาใช้ในการพัฒนา ส่วนองค์ประกอบสําคัญในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย กระทรวงพลังงานได้คํานึงให้ครอบคลุมระบบพลังงานทั้งระบบ (Energy Supply Chain) ตั้งแต่การผลิต จัดหา แปรรูป ขนส่งไปจนถึงการใช้ โดยได้แบ่งตาม ประเภทพลังงาน ซึ่งจะครอบคลุมถึงแผนพลังงานระยะยาว ได้แก่ แผนบริหารจัดการน้ํามันเชื้อเพลิง แผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ และแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้า ควบคู่ไปกับแนวนโยบายประชารัฐ
โดยในด้านเชื้อเพลิงภาคขนส่ง มาตรการสําคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 2560-2561 อาทิ การส่งเสริมการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งจะดําเนินการศึกษาต้นทุนร่วมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ การกําหนดแนวทางการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพอย่างยั่งยืน และการเพิ่มสัดส่วนการใช้เอทานอล และไบโอดีเซลด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีให้ดีขึ้น การเพิ่มศักยภาพการขนส่งน้ํามันทางท่อ โดยในเดือนเมษายน 2560 จะเริ่มดําเนินการก่อสร้างในเส้นทางสายเหนือ คือ อยุธยา –กําแพงเพชร-พิจิตร และกําแพงเพชร-ลําปาง ส่วนในปี 2561 จะเริ่มก่อสร้างในสายอีสาน เส้นทาง สระบุรี-ขอนแก่น นอกจากนี้ยังจะดําเนินการสรุปแนวทางการสํารองน้ํามันทางยุทธศาสตร์ภายในเดือนสิงหาคม 2560
ด้านไฟฟ้า มาตรการสําคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 2560-2561 อาทิ การจัดทําแผนการผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทนรายภาค การสร้างตลาดซื้อขายไฟให้โรงไฟฟ้าเก่าที่มีศักยภาพ การบริหารจัดการให้ผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าต้นทุนต่ําให้มากที่สุด การประกวด Smart City ต้นแบบ และการกําหนดรูปแบบทางธุรกิจไมโครกริด และเริ่มโครงการไมโครกริดที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ด้านเชื้อเพลิงผลิตความร้อน มาตรการสําคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 2560-2561 อาทิ การเปิดเสรี ก๊าซธรรมชาติ และการขับเคลื่อน Third Party Access Code การสร้างความต่อเนื่องการผลิต ก๊าซธรรมชาติในประเทศ และการขยาย LNG Terminal และท่อก๊าซธรรมชาติ
สําหรับโครงการประชารัฐ มาตรการสําคัญที่จะขับเคลื่อนในปี 2560-2561 อาทิ การส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลดการใช้พลังงานในการผลิต 326 แห่ง ส่งเสริมครัวเรือนต้นแบบ 15,200 ครัวเรือนในการลดใช้พลังงานลงให้ได้ 10% และส่งเสริมชุมชนผลิตชีวมวลป้อนภาคอุตสาหกรรม
ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวต่อว่า การขับเคลื่อน Energy 4.0 มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการบริหารจัดการระบบพลังงาน ส่งผลให้การผลิต การจัดหาพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใน ปี 2560-2561 ได้ตั้งเป้าการลดใช้พลังงานในภาคต่างๆ อาทิ ภาคการผลิตไฟฟ้าลดลง 24 ล้านตัน/ปี ภาคพลังงานในครัวเรือนลดลง 4 ล้านตัน/ปี ภาคพลังงานในอาคารลดลง 1 ล้านตัน/ปี ภาคพลังงานพลังงานอุตสาหกรรมลดลง 41 ล้านตัน/ปี และภาคขนส่งลดลง 41 ล้านตัน/ปี เป็นต้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1306
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ร่วมกับ BEM เพิ่มช่องทางเติมเงินบัตร MRT ผ่านแอปพลิเคชัน ทดแทนเงินสด ลดการสัมผัส ป้องกันการติดเชื้อไวรัส COVID-19 เริ่ม 13 เมษายนนี้ [กระทรวงคมนาคม]
|
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
รฟม. ร่วมกับ BEM เพิ่มช่องทางเติมเงินบัตร MRT ผ่านแอปพลิเคชัน ทดแทนเงินสด ลดการสัมผัส ป้องกันการติดเชื้อไวรัส COVID-19 เริ่ม 13 เมษายนนี้ [กระทรวงคมนาคม]
รฟม. ร่วมกับ BEM เพิ่มช่องทางเติมเงินบัตร MRT ผ่านแอปพลิเคชัน ทดแทนเงินสด ลดการสัมผัส ป้องกันการติดเชื้อไวรัส COVID-19 เริ่ม 13 เมษายนนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ร่วมกับ BEM เพิ่มช่องทางเติมเงินบัตร MRT ผ่านแอปพลิเคชัน ทดแทนเงินสด ลดการสัมผัส ป้องกันการติดเชื้อไวรัส COVID-19 เริ่ม 13 เมษายนนี้ [กระทรวงคมนาคม]
วันจันทร์ที่ 13 เมษายน 2563
รฟม. ร่วมกับ BEM เพิ่มช่องทางเติมเงินบัตร MRT ผ่านแอปพลิเคชัน ทดแทนเงินสด ลดการสัมผัส ป้องกันการติดเชื้อไวรัส COVID-19 เริ่ม 13 เมษายนนี้ [กระทรวงคมนาคม]
รฟม. ร่วมกับ BEM เพิ่มช่องทางเติมเงินบัตร MRT ผ่านแอปพลิเคชัน ทดแทนเงินสด ลดการสัมผัส ป้องกันการติดเชื้อไวรัส COVID-19 เริ่ม 13 เมษายนนี้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28988
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ อีก 1 วัน
|
วันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2562
ครม. เห็นชอบให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ อีก 1 วัน
โฆษกรัฐบาลเผย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ อีก 1 วัน เพื่อให้มีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ และทําให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าว
วันนี้ (29 ต.ค.62) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานายกรัฐมนตรี แถลงว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีการพิจารณากําหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ในปี 2562โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
1. กําหนดให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ อีก 1 วัน ในปี 2562
2. ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจําเป็นหรือราชการสําคัญในวันดังกล่าวโดยได้กําหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดําเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประชาชน
3. ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า การกําหนดให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ในปี 2562 เพื่อให้มีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ทําให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและสนับสนุนภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ อีก 1 วัน
วันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2562
ครม. เห็นชอบให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ อีก 1 วัน
โฆษกรัฐบาลเผย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ อีก 1 วัน เพื่อให้มีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ และทําให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าว
วันนี้ (29 ต.ค.62) เวลา 14.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานายกรัฐมนตรี แถลงว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีการพิจารณากําหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ในปี 2562โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
1. กําหนดให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ อีก 1 วัน ในปี 2562
2. ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจําเป็นหรือราชการสําคัญในวันดังกล่าวโดยได้กําหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดําเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและประชาชน
3. ส่วนรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาความเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่า การกําหนดให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2562 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ในปี 2562 เพื่อให้มีวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ทําให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและสนับสนุนภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวในช่วงเวลาดังกล่าว
------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24139
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 13 มิถุนายน 2560
|
วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 13 มิถุนายน 2560
วันพุธที่ 14 มิถุนายน 2560
| |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เตือนประชาชนตรวจสอบการรับโอนเงินค้าขายออนไลน์อย่างรอบคอบ ป้องกันตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
|
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ เตือนประชาชนตรวจสอบการรับโอนเงินค้าขายออนไลน์อย่างรอบคอบ ป้องกันตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เตือนประชาชนทําธุรกรรมออนไลน์ ต้องตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบ หลังเกิดกรณีมิจฉาชีพส่ง “อี-สลิป” ปลอม ที่มีการแก้ไขตัวเลขการโอนเงินเข้าบัญชีเหยื่อ ชี้การกระทําดังกล่าวเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ มีโทษทั้งจําทั้งปรับ หากประชาชนพบเห็นการกระทําผิด สามารถแจ้งสายด่วน 1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ เจเอเอ็ม บีเอเอส โพสต์ข้อความและภาพ เตือนแม่ค้าออนไลน์ให้ระวังมิจฉาชีพที่แฝงตัวเป็นลูกค้า ส่งอี-สลิปปลอมการโอนเงินมาให้ โดยระบุว่า โอน 1 บาทเพื่อให้ได้สลิป 1 ใบ แล้วแก้ไขยอดเงิน จากนั้นส่งมาให้เพื่อยืนยันการโอนเงิน โดยพบพฤติกรรมนี้เนื่องจากยอดที่เข้าในบัญชีไม่ตรงกับยอดเงินที่ลูกค้าส่งมาให้ เมื่อสอบถามไปยังธนาคารต้นสังกัด จึงพบว่ามีการปลอมแปลงจํานวนเงินในอี-สลิป (e-Slip)
กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นการนําเข้าข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ที่ผู้กระทําความผิดกระทําต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งมีโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และเป็นความผิดอันยอมความได้ โดยกระทรวงดิจิทัลฯ จะได้ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวน ในการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนประชาชน ถึงความเสี่ยงและภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทําธุรกรรมบนโลกออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการทําธุรกรรมทางการเงินใด ๆ ไม่ว่าจะดําเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่ก็ตาม ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะหากเป็นการติดต่อกับผู้ที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว กรณีการซื้อขายต่างๆ ต้องตรวจสอบจํานวนเงิน ที่ได้รับในบัญชีกับจํานวนเงินในสลิปให้ถูกต้องตรงกัน สําหรับผู้ซื้อก็ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ขายก่อนจะมีการโอนเงินด้วย ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นการกระทําที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย สามารถแจ้งไปยังช่องทางของภาครัฐ อาทิ ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC1111) โทร. 1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
******************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ เตือนประชาชนตรวจสอบการรับโอนเงินค้าขายออนไลน์อย่างรอบคอบ ป้องกันตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
วันอังคารที่ 6 มิถุนายน 2560
กระทรวงดิจิทัลฯ เตือนประชาชนตรวจสอบการรับโอนเงินค้าขายออนไลน์อย่างรอบคอบ ป้องกันตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ
กระทรวงดิจิทัลฯ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เตือนประชาชนทําธุรกรรมออนไลน์ ต้องตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบ หลังเกิดกรณีมิจฉาชีพส่ง “อี-สลิป” ปลอม ที่มีการแก้ไขตัวเลขการโอนเงินเข้าบัญชีเหยื่อ ชี้การกระทําดังกล่าวเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ มีโทษทั้งจําทั้งปรับ หากประชาชนพบเห็นการกระทําผิด สามารถแจ้งสายด่วน 1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ เจเอเอ็ม บีเอเอส โพสต์ข้อความและภาพ เตือนแม่ค้าออนไลน์ให้ระวังมิจฉาชีพที่แฝงตัวเป็นลูกค้า ส่งอี-สลิปปลอมการโอนเงินมาให้ โดยระบุว่า โอน 1 บาทเพื่อให้ได้สลิป 1 ใบ แล้วแก้ไขยอดเงิน จากนั้นส่งมาให้เพื่อยืนยันการโอนเงิน โดยพบพฤติกรรมนี้เนื่องจากยอดที่เข้าในบัญชีไม่ตรงกับยอดเงินที่ลูกค้าส่งมาให้ เมื่อสอบถามไปยังธนาคารต้นสังกัด จึงพบว่ามีการปลอมแปลงจํานวนเงินในอี-สลิป (e-Slip)
กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นการนําเข้าข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ที่ผู้กระทําความผิดกระทําต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 14 วรรคสอง ซึ่งมีโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และเป็นความผิดอันยอมความได้ โดยกระทรวงดิจิทัลฯ จะได้ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวน ในการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนประชาชน ถึงความเสี่ยงและภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทําธุรกรรมบนโลกออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการทําธุรกรรมทางการเงินใด ๆ ไม่ว่าจะดําเนินการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือไม่ก็ตาม ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบข้อมูลอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะหากเป็นการติดต่อกับผู้ที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว กรณีการซื้อขายต่างๆ ต้องตรวจสอบจํานวนเงิน ที่ได้รับในบัญชีกับจํานวนเงินในสลิปให้ถูกต้องตรงกัน สําหรับผู้ซื้อก็ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ขายก่อนจะมีการโอนเงินด้วย ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นการกระทําที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย สามารถแจ้งไปยังช่องทางของภาครัฐ อาทิ ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (GCC1111) โทร. 1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
******************************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4308
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ปิดให้บริการชั่วคราวทุกสาขาทั่วประเทศ 26 ตุลาคม 2560 เพื่อให้พนักงานร่วมถวายความอาลัย และเป็นจิตอาสา เนื่องในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
|
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
ธอส.ปิดให้บริการชั่วคราวทุกสาขาทั่วประเทศ 26 ตุลาคม 2560 เพื่อให้พนักงานร่วมถวายความอาลัย และเป็นจิตอาสา เนื่องในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
เนื่องในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ธนาคารขอแจ้งปิดทําการทุกสาขา เคาน์เตอร์การเงิน และ OSS ทั่วประเทศ ในวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2560
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยว่า เนื่องในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ธนาคารขอแจ้งปิดทําการทุกสาขา เคาน์เตอร์การเงิน และ OSS ทั่วประเทศ ในวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2560 โดยลูกค้าสามารถใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารได้แก่ ตู้ชําระเงินกู้(LRM) ตู้ฝากเงิน(CDM) ตู้ปรับสมุดบัญชี และ ตู้ ATM ซึ่งจะเปิดให้บริการตามปกติในวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้พนักงานของธนาคารทุกคนได้ร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดี ถวายความอาลัย และน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ด้วยการเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยพร้อมเพรียงกันกับพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ณ บริเวณซุ้มถวายดอกไม้จันทน์และพระเมรุมาศจําลองที่ภาครัฐได้จัดทําไว้ในสถานที่ต่างๆ หรือ ร่วมทําหน้าที่เป็นจิตอาสาเฉพาะกิจในช่วงพระราชพิธี สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส.ปิดให้บริการชั่วคราวทุกสาขาทั่วประเทศ 26 ตุลาคม 2560 เพื่อให้พนักงานร่วมถวายความอาลัย และเป็นจิตอาสา เนื่องในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2560
ธอส.ปิดให้บริการชั่วคราวทุกสาขาทั่วประเทศ 26 ตุลาคม 2560 เพื่อให้พนักงานร่วมถวายความอาลัย และเป็นจิตอาสา เนื่องในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
เนื่องในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ธนาคารขอแจ้งปิดทําการทุกสาขา เคาน์เตอร์การเงิน และ OSS ทั่วประเทศ ในวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2560
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยว่า เนื่องในวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ธนาคารขอแจ้งปิดทําการทุกสาขา เคาน์เตอร์การเงิน และ OSS ทั่วประเทศ ในวันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2560 โดยลูกค้าสามารถใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารได้แก่ ตู้ชําระเงินกู้(LRM) ตู้ฝากเงิน(CDM) ตู้ปรับสมุดบัญชี และ ตู้ ATM ซึ่งจะเปิดให้บริการตามปกติในวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้พนักงานของธนาคารทุกคนได้ร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดี ถวายความอาลัย และน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ด้วยการเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยพร้อมเพรียงกันกับพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ณ บริเวณซุ้มถวายดอกไม้จันทน์และพระเมรุมาศจําลองที่ภาครัฐได้จัดทําไว้ในสถานที่ต่างๆ หรือ ร่วมทําหน้าที่เป็นจิตอาสาเฉพาะกิจในช่วงพระราชพิธี สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) โทร 0-2645-9000 หรือ www.ghbank.co.th และ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7530
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ประภัตร’ ปล่อยพันธุ์ปลา 5 แสนตัว หวังสร้างรายได้ให้ประชาชนในช่วงภัยแล้ง
|
วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563
‘ประภัตร’ ปล่อยพันธุ์ปลา 5 แสนตัว หวังสร้างรายได้ให้ประชาชนในช่วงภัยแล้ง
‘ประภัตร’ ปล่อยพันธุ์ปลา 5 แสนตัว หวังสร้างรายได้ให้ประชาชนในช่วงภัยแล้ง จ.เชียงใหม่
‘ประภัตร’ ปล่อยพันธุ์ปลา 5 แสนตัว หวังสร้างรายได้ให้ประชาชนในช่วงภัยแล้ง จ.เชียงใหม่
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา โครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ําเพื่อเสริมสร้างรายได้จากอาชีพประมงในช่วงฤดูแล้ง โดยมี นายวิรุฬ พรรณเทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายบรรจง จํานงศิตธรรม รองอธิบดีกรมประมง ประมงจังหวัด ผู้อํานวยการโครงการชลประทานเชียงใหม่ ข้าราชการและประชาชนให้การต้อนรับ ณ แม่น้ําปิง บริเวณหน้าประตูระบายน้ําท่าวังตาล ต.ป่าแดด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ว่า จากสถานการณ์น้ําลุ่มน้ําปิงตอนบนมีปริมาณเก็บกักน้ําในเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลและเขื่อนแม่กวงอุดมธารา น้อยกว่าปี 2562 และปริมาณฝนที่ตกสะสมเฉลี่ย ปี 2562 น้อยกว่า ปี 2561 รวมทั้งแผนการบริหารจัดการน้ําของจังหวัดเชียงใหม่ ทําให้สถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และรายได้ของเกษตรกร จึงได้สั่งการให้กรมประมงดําเนินการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา บริเวณฝายและประตูระบายน้ําต่างๆ ของลุ่มน้ําปิง ซึ่งเป็นแม่น้ําสายหลักของจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเพิ่มแหล่งอาหาร เสริมสร้างรายได้ และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและเกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง โดยเป็นความร่วมมือของ กรมประมง กามชลประทาน และจังหวัดเชียงใหม่ ดําเนินการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา รวมทั้งสิ้นจํานวน 500,000 ตัว ประกอบด้วย ปลาตะเพียนขาว ปลาบ้า ปลาสร้อยขาว ปลากระแห และปลาตะเพียนทอง หวังสร้างรายได้ให้เกษตรกรในช่วงภัยแล้ง
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘ประภัตร’ ปล่อยพันธุ์ปลา 5 แสนตัว หวังสร้างรายได้ให้ประชาชนในช่วงภัยแล้ง
วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563
‘ประภัตร’ ปล่อยพันธุ์ปลา 5 แสนตัว หวังสร้างรายได้ให้ประชาชนในช่วงภัยแล้ง
‘ประภัตร’ ปล่อยพันธุ์ปลา 5 แสนตัว หวังสร้างรายได้ให้ประชาชนในช่วงภัยแล้ง จ.เชียงใหม่
‘ประภัตร’ ปล่อยพันธุ์ปลา 5 แสนตัว หวังสร้างรายได้ให้ประชาชนในช่วงภัยแล้ง จ.เชียงใหม่
นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา โครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ําเพื่อเสริมสร้างรายได้จากอาชีพประมงในช่วงฤดูแล้ง โดยมี นายวิรุฬ พรรณเทวี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายบรรจง จํานงศิตธรรม รองอธิบดีกรมประมง ประมงจังหวัด ผู้อํานวยการโครงการชลประทานเชียงใหม่ ข้าราชการและประชาชนให้การต้อนรับ ณ แม่น้ําปิง บริเวณหน้าประตูระบายน้ําท่าวังตาล ต.ป่าแดด อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ว่า จากสถานการณ์น้ําลุ่มน้ําปิงตอนบนมีปริมาณเก็บกักน้ําในเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลและเขื่อนแม่กวงอุดมธารา น้อยกว่าปี 2562 และปริมาณฝนที่ตกสะสมเฉลี่ย ปี 2562 น้อยกว่า ปี 2561 รวมทั้งแผนการบริหารจัดการน้ําของจังหวัดเชียงใหม่ ทําให้สถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และรายได้ของเกษตรกร จึงได้สั่งการให้กรมประมงดําเนินการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา บริเวณฝายและประตูระบายน้ําต่างๆ ของลุ่มน้ําปิง ซึ่งเป็นแม่น้ําสายหลักของจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเพิ่มแหล่งอาหาร เสริมสร้างรายได้ และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและเกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง โดยเป็นความร่วมมือของ กรมประมง กามชลประทาน และจังหวัดเชียงใหม่ ดําเนินการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ํา รวมทั้งสิ้นจํานวน 500,000 ตัว ประกอบด้วย ปลาตะเพียนขาว ปลาบ้า ปลาสร้อยขาว ปลากระแห และปลาตะเพียนทอง หวังสร้างรายได้ให้เกษตรกรในช่วงภัยแล้ง
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26550
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ ยืนยันออกรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม และ จำหน่ายสลากงวด 1 มิถุนายน 2563 ตามปกติ
|
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
สํานักงานสลากฯ ยืนยันออกรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม และ จําหน่ายสลากงวด 1 มิถุนายน 2563 ตามปกติ
สํานักงานสลากฯ ยืนยันตามมติเดิม ที่จะมีการออกสลากงวดวันที่ 1 เมษายน 2563 ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 โดยจะยึดแนวทางในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะมีการจํากัดจํานวนผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ออกรางวัล
นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลว่า สํานักงานสลากฯ ยืนยันตามมติเดิม ที่จะมีการออกสลากงวดวันที่ 1 เมษายน 2563 ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 โดยจะยึดแนวทางในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะมีการจํากัดจํานวนผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ออกรางวัล มีการทําความสะอาดพื้นที่ อุปกรณ์ออกรางวัล และอุปกรณ์ออกรางวัล ด้วยน้ํายาทําความสะอาดและแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ รวมถึงการจัดสถานที่เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เจ้าหน้าที่ทุกคนรวมถึงกรรมการออกรางวัลจะต้องสวมหน้ากากอนามัย และใช้เจลแอลกอฮอส์ทําความสะอาดมือ และจะให้ดําเนินการจําหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ตามปกติ ตั้งแต่งวดวันที่ 1 มิถุนายน เป็นต้นไป และเปิดระบบการซื้อ-จองล่วงหน้าสลากฯ ตามปกติ
สําหรับการซื้อขายสลากในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น โฆษกคณะกรรมการสลากฯ แนะนําและขอความร่วมมือผู้ซื้อและผู้ขาย ร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดของโรค โดยขอความร่วมมือผู้ขายสลากสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และหมั่นทําความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมถึงการรักษาระยะห่างระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ ในส่วนของผู้ซื้อก็ขอความร่วมมือให้รักษาระยะห่างในขณะทําการซื้อ และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา รวมทั้งหมั่นทําความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ด้วยเช่นกัน และขอฝากไปยังผู้ขายสลากทุกท่านว่า ขณะนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจกําลังซื้อของประชาชน ยังคงไม่ปกติ จึงขอให้ผู้ที่ประสงค์จะรับสลากไปจําหน่าย ตระหนักถึงกําลังซื้อของประชาชนในพื้นที่ที่รับสลากไปจําหน่ายด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขายไม่หมดซึ่งจะกลายเป็นภาระที่ต้องแบกรับไว้ โฆษกคณะกรรมการสลากฯ กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ ยืนยันออกรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม และ จำหน่ายสลากงวด 1 มิถุนายน 2563 ตามปกติ
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
สํานักงานสลากฯ ยืนยันออกรางวัลในวันที่ 16 พฤษภาคม และ จําหน่ายสลากงวด 1 มิถุนายน 2563 ตามปกติ
สํานักงานสลากฯ ยืนยันตามมติเดิม ที่จะมีการออกสลากงวดวันที่ 1 เมษายน 2563 ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 โดยจะยึดแนวทางในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะมีการจํากัดจํานวนผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ออกรางวัล
นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลว่า สํานักงานสลากฯ ยืนยันตามมติเดิม ที่จะมีการออกสลากงวดวันที่ 1 เมษายน 2563 ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 โดยจะยึดแนวทางในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะมีการจํากัดจํานวนผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ออกรางวัล มีการทําความสะอาดพื้นที่ อุปกรณ์ออกรางวัล และอุปกรณ์ออกรางวัล ด้วยน้ํายาทําความสะอาดและแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ รวมถึงการจัดสถานที่เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เจ้าหน้าที่ทุกคนรวมถึงกรรมการออกรางวัลจะต้องสวมหน้ากากอนามัย และใช้เจลแอลกอฮอส์ทําความสะอาดมือ และจะให้ดําเนินการจําหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล ตามปกติ ตั้งแต่งวดวันที่ 1 มิถุนายน เป็นต้นไป และเปิดระบบการซื้อ-จองล่วงหน้าสลากฯ ตามปกติ
สําหรับการซื้อขายสลากในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั้น โฆษกคณะกรรมการสลากฯ แนะนําและขอความร่วมมือผู้ซื้อและผู้ขาย ร่วมกันป้องกันการแพร่ระบาดของโรค โดยขอความร่วมมือผู้ขายสลากสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และหมั่นทําความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ รวมถึงการรักษาระยะห่างระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อ ในส่วนของผู้ซื้อก็ขอความร่วมมือให้รักษาระยะห่างในขณะทําการซื้อ และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา รวมทั้งหมั่นทําความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ด้วยเช่นกัน และขอฝากไปยังผู้ขายสลากทุกท่านว่า ขณะนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจกําลังซื้อของประชาชน ยังคงไม่ปกติ จึงขอให้ผู้ที่ประสงค์จะรับสลากไปจําหน่าย ตระหนักถึงกําลังซื้อของประชาชนในพื้นที่ที่รับสลากไปจําหน่ายด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขายไม่หมดซึ่งจะกลายเป็นภาระที่ต้องแบกรับไว้ โฆษกคณะกรรมการสลากฯ กล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29980
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มท. เป็นประธานมอบประกาศนียบัตร เข็มวิทยฐานะและโล่รางวัลเรียนดีแก่ผู้สำเร็จการอบรม หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 70 และ 71
|
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561
รมช.มท. เป็นประธานมอบประกาศนียบัตร เข็มวิทยฐานะและโล่รางวัลเรียนดีแก่ผู้สําเร็จการอบรม หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 70 และ 71
รมช.มท. เป็นประธานมอบประกาศนียบัตร เข็มวิทยฐานะและโล่รางวัลเรียนดีแก่ผู้สําเร็จการอบรม
หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 70 และ 71
วันนี้ (7 ธ.ค. 61) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย
นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตร เข็มวิทยฐานะและโล่รางวัลเรียนดีให้แก่ผู้สําเร็จการศึกษาหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 70 และรุ่นที่ 71 ประจําปี 2561 โดยมี นายปวิณ ชํานิประศาสน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ให้เกียรติเข้าร่วมพิธี
โอกาสนี้ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวให้โอวาทกับผู้สําเร็จการศึกษาว่า “ในนามของกระทรวงมหาดไทย ขอแสดงความยินดีกับผู้สําเร็จการศึกษาหลักสูตรนักปกครองระดับสูงทั้ง 2 รุ่น ซึ่งผ่านการทดสอบในเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่กล่าวว่าการทดสอบในเบื้องต้นนั้น เพราะบททดสอบที่แท้จริงเป็นการทดสอบว่าท่านจะสามารถนําความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาอบรม ไปประยุกต์ใช้สําหรับการทํางานที่อําเภอ จังหวัด หรือหน่วยงานของท่านได้อย่างไร และการเข้ารับการศึกษาอบรมในครั้งนี้ ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนพี่น้องประชาชน ย่อมคาดหวังในตัวท่านทั้งหลายว่าจะสามารถนําแนวคิดหรือวิทยาการใหม่ๆ กลับไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ในราชการ ดังนั้น เมื่อท่านกลับไปแล้วขอให้นําความรู้ที่ได้รับไปช่วยเหลือสนับสนุนการทํางานของท่านอธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้บังคับบัญชาในการบริหางานราชการ และขอให้ทุกท่านพึงระลึกเสมอว่า ท่านต้องเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลง เป็นผู้นําที่จะนําความรู้ต่างๆ ที่ได้เรียนรู้ ไปพัฒนาและขยายผลแก่เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา ขอให้ท่านเป็นผู้นําที่ดีและเก่ง สามารถบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้แก่ประชาชนและสังคมโดยส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขออํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกท่านนับถือ โปรดอํานวยพรให้ผู้สําเร็จการศึกษาอบรมทุกท่านมีกําลังกาย กําลังใจ และกําลังสติปัญญา ที่จะร่วมกันสร้างสรรค์พัฒนาประเทศชาติ อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราให้เจริญรุดหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป”
สําหรับผู้สําเร็จการศึกษาอบรมในครั้งนี้มีจํานวนทั้งสิ้น 200 คน ประกอบด้วย หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 70 จํานวน 100 คน เข้ารับการอบรมระหว่างวันที่ 22 มกราคม – 11 เมษายน 2561 และรุ่นที่ 71 จํานวน 100 คน เข้ารับการอบรมระหว่างวันที่ 4 มิถุนายน – 22 สิงหาคม 2561 ใช้เวลาศึกษาอบรมรุ่นละ 12 สัปดาห์ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ดําเนินการโดยสถาบันดํารงราชานุภาพ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหลักสูตรพัฒนาสมรรถนะการบริหารงานของผู้บริหารให้เป็นผู้นําที่มีวิสัยทัศน์ มีสมรรถนะด้านการบริหารจัดการที่ดี มีคุณธรรมและจริยธรรม มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติราชการ โดยยึดหลักการบริหารราชการภาครัฐ
แนวใหม่ และการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ทําให้ผู้เข้ารับการอบรม สามารถนําความรู้และวิทยาการใหม่ๆ ที่ได้
ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนางานของหน่วยงาน เพื่อประโยชน์สุขแก่พี่น้องประชาชน และประเทศชาติต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.มท. เป็นประธานมอบประกาศนียบัตร เข็มวิทยฐานะและโล่รางวัลเรียนดีแก่ผู้สำเร็จการอบรม หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 70 และ 71
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม 2561
รมช.มท. เป็นประธานมอบประกาศนียบัตร เข็มวิทยฐานะและโล่รางวัลเรียนดีแก่ผู้สําเร็จการอบรม หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 70 และ 71
รมช.มท. เป็นประธานมอบประกาศนียบัตร เข็มวิทยฐานะและโล่รางวัลเรียนดีแก่ผู้สําเร็จการอบรม
หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 70 และ 71
วันนี้ (7 ธ.ค. 61) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมอัษฎางค์ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย
นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตร เข็มวิทยฐานะและโล่รางวัลเรียนดีให้แก่ผู้สําเร็จการศึกษาหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 70 และรุ่นที่ 71 ประจําปี 2561 โดยมี นายปวิณ ชํานิประศาสน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย ให้เกียรติเข้าร่วมพิธี
โอกาสนี้ นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวให้โอวาทกับผู้สําเร็จการศึกษาว่า “ในนามของกระทรวงมหาดไทย ขอแสดงความยินดีกับผู้สําเร็จการศึกษาหลักสูตรนักปกครองระดับสูงทั้ง 2 รุ่น ซึ่งผ่านการทดสอบในเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่กล่าวว่าการทดสอบในเบื้องต้นนั้น เพราะบททดสอบที่แท้จริงเป็นการทดสอบว่าท่านจะสามารถนําความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาอบรม ไปประยุกต์ใช้สําหรับการทํางานที่อําเภอ จังหวัด หรือหน่วยงานของท่านได้อย่างไร และการเข้ารับการศึกษาอบรมในครั้งนี้ ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนพี่น้องประชาชน ย่อมคาดหวังในตัวท่านทั้งหลายว่าจะสามารถนําแนวคิดหรือวิทยาการใหม่ๆ กลับไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ในราชการ ดังนั้น เมื่อท่านกลับไปแล้วขอให้นําความรู้ที่ได้รับไปช่วยเหลือสนับสนุนการทํางานของท่านอธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้บังคับบัญชาในการบริหางานราชการ และขอให้ทุกท่านพึงระลึกเสมอว่า ท่านต้องเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลง เป็นผู้นําที่จะนําความรู้ต่างๆ ที่ได้เรียนรู้ ไปพัฒนาและขยายผลแก่เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา ขอให้ท่านเป็นผู้นําที่ดีและเก่ง สามารถบําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้แก่ประชาชนและสังคมโดยส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขออํานาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกท่านนับถือ โปรดอํานวยพรให้ผู้สําเร็จการศึกษาอบรมทุกท่านมีกําลังกาย กําลังใจ และกําลังสติปัญญา ที่จะร่วมกันสร้างสรรค์พัฒนาประเทศชาติ อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราให้เจริญรุดหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป”
สําหรับผู้สําเร็จการศึกษาอบรมในครั้งนี้มีจํานวนทั้งสิ้น 200 คน ประกอบด้วย หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 70 จํานวน 100 คน เข้ารับการอบรมระหว่างวันที่ 22 มกราคม – 11 เมษายน 2561 และรุ่นที่ 71 จํานวน 100 คน เข้ารับการอบรมระหว่างวันที่ 4 มิถุนายน – 22 สิงหาคม 2561 ใช้เวลาศึกษาอบรมรุ่นละ 12 สัปดาห์ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ดําเนินการโดยสถาบันดํารงราชานุภาพ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นหลักสูตรพัฒนาสมรรถนะการบริหารงานของผู้บริหารให้เป็นผู้นําที่มีวิสัยทัศน์ มีสมรรถนะด้านการบริหารจัดการที่ดี มีคุณธรรมและจริยธรรม มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติราชการ โดยยึดหลักการบริหารราชการภาครัฐ
แนวใหม่ และการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ทําให้ผู้เข้ารับการอบรม สามารถนําความรู้และวิทยาการใหม่ๆ ที่ได้
ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนางานของหน่วยงาน เพื่อประโยชน์สุขแก่พี่น้องประชาชน และประเทศชาติต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17376
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.กระตุ้นก้าวสู่วิถีใหม่ปรับพฤติกรรมสู้โควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
สธ.กระตุ้นก้าวสู่วิถีใหม่ปรับพฤติกรรมสู้โควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ.กระตุ้นก้าวสู่วิถีใหม่ปรับพฤติกรรมสู้โควิด-19
กระทรวงสาธารณสุข ย้ําหลังมาตรการผ่อนคลาย ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินควบคุมโรคโควิด 19 คงเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ จับตาทุกความเสี่ยงที่อาจทําให้ยอดผู้ติดเชื้อกลับมาสูงอีกได้ กระตุ้นหน่วยงานรัฐ-เอกชน ออกแบบระบบ ทบทวนพฤติกรรมการทํางาน ระบบการเรียนการสอนสู่ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์ม รองรับการทํางาน ยอมรับโควิด 19 ยังอยู่อีกนาน ต้องรอวัคซีนพร้อมเพื่อป้องกันโรค
บ่ายวันนี้ (28 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แม้จะมีมาตรการผ่อนคลายบางส่วน แต่ทีมสอบสวนควบคุมโรคและทีมปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน ยังต้องเฝ้าระวังการระบาดอย่างต่อเนื่อง จากนี้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรปรับแนวทางการทํางานที่จะไม่เหมือนเดิม อาทิ การทํางานจากบ้าน (Work from Home) อาจจะกลายเป็นความจําเป็นเพื่อลดความเสี่ยง ภาครัฐควรจะทําให้ได้ถึงร้อยละ 70 ส่วนภาคเอกชนต้องพิจารณาว่าจะปรับส่วนไหนได้บ้าง ต้องจัดให้เหลื่อมเวลาการทํางาน ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง หรือชั่วโมงทํางานแต่ละวันที่ไม่เท่ากัน และต้องยึดหลักเกณฑ์ลดการสัมผัส ไม่สร้างการรวมกลุ่มที่จะเสี่ยงติดเชื้อให้เกิดขึ้นได้อีก เพราะเรายังต้องอยู่กับสถานการณ์โรคโควิด 19
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ยังกล่าวว่า สิ่งที่ต้องทําต่อเนื่องไม่เพียงแต่การเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร การออกแบบทางวิศวกรรมหรือสถาปัตยกรรมที่ต้องให้ความสําคัญเรื่องการป้องกันละอองฝอยของสารคัดหลั่ง การทําความสะอาดพื้นผิวสัมผัสของวัสดุ ระบบคัดกรองคนทํางาน การออกระเบียบให้คนทํางานสามารถหยุดงานได้โดยไม่นับเป็นวันลาป่วยหากมีอาการเข้าได้กับโควิด รวมทั้งการเข้มงวดเรื่องสิ่งป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ สิ่งเหล่านี้จะต้องทําให้เป็นมาตรฐาน และทุกกิจการที่จะเข้าสู่การผ่อนคลายต้องคํานึงถึงความปลอดภัยในการควบคุมการติดเชื้อ และการป้องกันการแพร่กระจายเป็นสําคัญอีกด้วย
“จากนี้ไปอีกประมาณ 2 เดือนที่โรงเรียนจะกลับมาเปิดเรียนเป็นปกติ ยังเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยร่วมกันหลายส่วน แม้สถิติออกมาว่าเด็กไม่ค่อยแสดงอาการหากติดเชื้อ แต่ที่ห่วงคือ ครู อาจารย์ พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือผู้สูงอายุในบ้าน หากเด็กรับเชื้อมาจากโรงเรียนแล้วมาแพร่ที่บ้านจะเป็นความเสี่ยงใหม่ที่ท้าทาย อาจถึงเวลาที่ต้องมาวางแผนเรื่องการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทรานส์ฟอร์ม เพื่อไปสู่วิถีใหม่ทั้งการทํางานและการเรียน น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องทําอย่างเร่งด่วนเช่นกัน” นพ.ธนรักษ์กล่าว
**************************************** 28 เมษายน 2563
******************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.กระตุ้นก้าวสู่วิถีใหม่ปรับพฤติกรรมสู้โควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
สธ.กระตุ้นก้าวสู่วิถีใหม่ปรับพฤติกรรมสู้โควิด-19 [กระทรวงสาธารณสุข]
สธ.กระตุ้นก้าวสู่วิถีใหม่ปรับพฤติกรรมสู้โควิด-19
กระทรวงสาธารณสุข ย้ําหลังมาตรการผ่อนคลาย ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินควบคุมโรคโควิด 19 คงเฝ้าระวังอย่างเต็มที่ จับตาทุกความเสี่ยงที่อาจทําให้ยอดผู้ติดเชื้อกลับมาสูงอีกได้ กระตุ้นหน่วยงานรัฐ-เอกชน ออกแบบระบบ ทบทวนพฤติกรรมการทํางาน ระบบการเรียนการสอนสู่ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์ม รองรับการทํางาน ยอมรับโควิด 19 ยังอยู่อีกนาน ต้องรอวัคซีนพร้อมเพื่อป้องกันโรค
บ่ายวันนี้ (28 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แม้จะมีมาตรการผ่อนคลายบางส่วน แต่ทีมสอบสวนควบคุมโรคและทีมปฏิบัติการการแพทย์ฉุกเฉิน ยังต้องเฝ้าระวังการระบาดอย่างต่อเนื่อง จากนี้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนควรปรับแนวทางการทํางานที่จะไม่เหมือนเดิม อาทิ การทํางานจากบ้าน (Work from Home) อาจจะกลายเป็นความจําเป็นเพื่อลดความเสี่ยง ภาครัฐควรจะทําให้ได้ถึงร้อยละ 70 ส่วนภาคเอกชนต้องพิจารณาว่าจะปรับส่วนไหนได้บ้าง ต้องจัดให้เหลื่อมเวลาการทํางาน ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง หรือชั่วโมงทํางานแต่ละวันที่ไม่เท่ากัน และต้องยึดหลักเกณฑ์ลดการสัมผัส ไม่สร้างการรวมกลุ่มที่จะเสี่ยงติดเชื้อให้เกิดขึ้นได้อีก เพราะเรายังต้องอยู่กับสถานการณ์โรคโควิด 19
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ยังกล่าวว่า สิ่งที่ต้องทําต่อเนื่องไม่เพียงแต่การเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร การออกแบบทางวิศวกรรมหรือสถาปัตยกรรมที่ต้องให้ความสําคัญเรื่องการป้องกันละอองฝอยของสารคัดหลั่ง การทําความสะอาดพื้นผิวสัมผัสของวัสดุ ระบบคัดกรองคนทํางาน การออกระเบียบให้คนทํางานสามารถหยุดงานได้โดยไม่นับเป็นวันลาป่วยหากมีอาการเข้าได้กับโควิด รวมทั้งการเข้มงวดเรื่องสิ่งป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ สิ่งเหล่านี้จะต้องทําให้เป็นมาตรฐาน และทุกกิจการที่จะเข้าสู่การผ่อนคลายต้องคํานึงถึงความปลอดภัยในการควบคุมการติดเชื้อ และการป้องกันการแพร่กระจายเป็นสําคัญอีกด้วย
“จากนี้ไปอีกประมาณ 2 เดือนที่โรงเรียนจะกลับมาเปิดเรียนเป็นปกติ ยังเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยร่วมกันหลายส่วน แม้สถิติออกมาว่าเด็กไม่ค่อยแสดงอาการหากติดเชื้อ แต่ที่ห่วงคือ ครู อาจารย์ พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือผู้สูงอายุในบ้าน หากเด็กรับเชื้อมาจากโรงเรียนแล้วมาแพร่ที่บ้านจะเป็นความเสี่ยงใหม่ที่ท้าทาย อาจถึงเวลาที่ต้องมาวางแผนเรื่องการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทรานส์ฟอร์ม เพื่อไปสู่วิถีใหม่ทั้งการทํางานและการเรียน น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องทําอย่างเร่งด่วนเช่นกัน” นพ.ธนรักษ์กล่าว
**************************************** 28 เมษายน 2563
******************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29946
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประปา-ไฟฟ้าผนึกกำลังเดินหน้าพัฒนางานบริการ เพิ่มช่องทางชำระค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้า อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
|
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560
ประปา-ไฟฟ้าผนึกกําลังเดินหน้าพัฒนางานบริการ เพิ่มช่องทางชําระค่าน้ํา-ค่าไฟฟ้า อํานวยความสะดวกแก่ประชาชน
ประปา-ไฟฟ้าผนึกกําลังเดินหน้าพัฒนางานบริการ เพิ่มช่องทางชําระค่าน้ํา-ค่าไฟฟ้า อํานวยความสะดวกแก่ประชาชน
วันนี้ (16 มิ.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทยนายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่าพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีดําริให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วย การประปานครหลวง (กปน.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) พิจารณาดําเนินการพัฒนาระบบบริการค่าสาธารณูปโภค (ประปา-ไฟฟ้า) โดยเพิ่มช่องทางการชําระเงินเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนผู้ใช้บริการในยุคดิจิตอล
โดยในปัจจุบันมีช่องทางการรับชําระเงินค่าสาธารณูปโภค (ประปา-ไฟฟ้า) ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้ง 4 แห่ง ดังต่อไปนี้
สําหรับการพัฒนาช่องทางการบริการรับชําระเงินค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ํา-ค่าไฟฟ้า) ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในอนาคต จะดําเนินการพัฒนาระบบการชําระเงินผ่านบัตรเดบิต บัตรเครดิต และบัตรสวัสดิการ ผ่านเครื่อง EDC หน้าเคาน์เตอร์บริการของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในเดือนตุลาคม 2560
รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยตระหนักและเห็นความสําคัญในการพัฒนาระบบบริการของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยนําเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ของประชาชนมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการของหน่วยงานเพื่ออํานวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนผู้ใช้บริการเข้าถึงง่าย จ่ายคล่อง รวดเร็วทันใจ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่มุ่งให้ระบบบริการของรัฐเข้าถึงประชาชนในยุค Thailand 4.0.
ครั้งที่ 90/2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประปา-ไฟฟ้าผนึกกำลังเดินหน้าพัฒนางานบริการ เพิ่มช่องทางชำระค่าน้ำ-ค่าไฟฟ้า อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน 2560
ประปา-ไฟฟ้าผนึกกําลังเดินหน้าพัฒนางานบริการ เพิ่มช่องทางชําระค่าน้ํา-ค่าไฟฟ้า อํานวยความสะดวกแก่ประชาชน
ประปา-ไฟฟ้าผนึกกําลังเดินหน้าพัฒนางานบริการ เพิ่มช่องทางชําระค่าน้ํา-ค่าไฟฟ้า อํานวยความสะดวกแก่ประชาชน
วันนี้ (16 มิ.ย.60) ที่กระทรวงมหาดไทยนายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่าพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีดําริให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ประกอบด้วย การประปานครหลวง (กปน.) การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) พิจารณาดําเนินการพัฒนาระบบบริการค่าสาธารณูปโภค (ประปา-ไฟฟ้า) โดยเพิ่มช่องทางการชําระเงินเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนผู้ใช้บริการในยุคดิจิตอล
โดยในปัจจุบันมีช่องทางการรับชําระเงินค่าสาธารณูปโภค (ประปา-ไฟฟ้า) ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้ง 4 แห่ง ดังต่อไปนี้
สําหรับการพัฒนาช่องทางการบริการรับชําระเงินค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ํา-ค่าไฟฟ้า) ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในอนาคต จะดําเนินการพัฒนาระบบการชําระเงินผ่านบัตรเดบิต บัตรเครดิต และบัตรสวัสดิการ ผ่านเครื่อง EDC หน้าเคาน์เตอร์บริการของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในเดือนตุลาคม 2560
รองปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยตระหนักและเห็นความสําคัญในการพัฒนาระบบบริการของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยนําเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ของประชาชนมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการของหน่วยงานเพื่ออํานวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนผู้ใช้บริการเข้าถึงง่าย จ่ายคล่อง รวดเร็วทันใจ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่มุ่งให้ระบบบริการของรัฐเข้าถึงประชาชนในยุค Thailand 4.0.
ครั้งที่ 90/2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4581
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เยี่ยมชมกิจกรรม “ถนนสายศิลป์” และ “ถนนต้องชิม” ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นตามนโยบายรัฐบาล
|
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2562
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เยี่ยมชมกิจกรรม “ถนนสายศิลป์” และ “ถนนต้องชิม” ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นตามนโยบายรัฐบาล
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เยี่ยมชมกิจกรรม “ถนนสายศิลป์” และ “ถนนต้องชิม” ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นตามนโยบายรัฐบาลเพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการอันจะเป็นการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๘.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เยี่ยมชมกิจกรรม “ถนนสายศิลป์” และ “ถนนต้องชิม” ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นตามนโยบายรัฐบาลเพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการอันจะเป็นการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ในงาน Kick of เปิดถนนคนเดิน “เดิน กิน ชิม เที่ยว @ Silom Walking Street ณ ถนนสีลม กรุงเทพฯ ทั้งนี้ ถนนคนเดินสีลมจัดขึ้นเดือนละ ๑ ครั้งในทุกวันอาทิตย์ที่ ๓ ของเดือน ปิดการจราจรตั้งแต่ ๑๒.๐๐ – ๒๒.๐๐ น. โดยกระทรวงวัฒนธรรมนําผู้ประกอบการสินค้าทางวัฒนธรรมและศิลปินเข้าร่วมจัดแสดงงานศิลปะและหัตศิลป์ (Art & Craft) อาทิ การแสดงศิลปะร่วมสมัย การออกร้านสินค้าร่วมสมัย DIY การออกร้านผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย Cpot จากชุมชนคุณธรรมและเครือข่ายวัฒนธรรม การจําหน่ายอาหารไทยโบราณ อาหารอร่อยร้าน ๑๐๐ ปี และร้านอาหารไทย ขนมไทย ที่หาชิมได้ยาก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เยี่ยมชมกิจกรรม “ถนนสายศิลป์” และ “ถนนต้องชิม” ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นตามนโยบายรัฐบาล
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม 2562
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เยี่ยมชมกิจกรรม “ถนนสายศิลป์” และ “ถนนต้องชิม” ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นตามนโยบายรัฐบาล
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เยี่ยมชมกิจกรรม “ถนนสายศิลป์” และ “ถนนต้องชิม” ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นตามนโยบายรัฐบาลเพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการอันจะเป็นการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๘.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยนายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม เยี่ยมชมกิจกรรม “ถนนสายศิลป์” และ “ถนนต้องชิม” ที่กระทรวงวัฒนธรรมจัดขึ้นตามนโยบายรัฐบาลเพื่อสร้างงานและสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการอันจะเป็นการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ในงาน Kick of เปิดถนนคนเดิน “เดิน กิน ชิม เที่ยว @ Silom Walking Street ณ ถนนสีลม กรุงเทพฯ ทั้งนี้ ถนนคนเดินสีลมจัดขึ้นเดือนละ ๑ ครั้งในทุกวันอาทิตย์ที่ ๓ ของเดือน ปิดการจราจรตั้งแต่ ๑๒.๐๐ – ๒๒.๐๐ น. โดยกระทรวงวัฒนธรรมนําผู้ประกอบการสินค้าทางวัฒนธรรมและศิลปินเข้าร่วมจัดแสดงงานศิลปะและหัตศิลป์ (Art & Craft) อาทิ การแสดงศิลปะร่วมสมัย การออกร้านสินค้าร่วมสมัย DIY การออกร้านผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย Cpot จากชุมชนคุณธรรมและเครือข่ายวัฒนธรรม การจําหน่ายอาหารไทยโบราณ อาหารอร่อยร้าน ๑๐๐ ปี และร้านอาหารไทย ขนมไทย ที่หาชิมได้ยาก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25437
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “สักการะพระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าบรมครูแห่งโอสถ”
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “สักการะพระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าบรมครูแห่งโอสถ”
นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “สักการะพระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าบรมครูแห่งโอสถ”
วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “สักการะพระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าบรมครูแห่งโอสถ” โดยมีนายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกรมศิลปากร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนผู้สนใจเข้าร่วม ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “สักการะพระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าบรมครูแห่งโอสถ”
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
ปลัดวธ.เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “สักการะพระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าบรมครูแห่งโอสถ”
นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “สักการะพระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าบรมครูแห่งโอสถ”
วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๓๐ น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายกฤษศญพงษ์ ศิริ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม “สักการะพระไภษัชยคุรุ พระพุทธเจ้าบรมครูแห่งโอสถ” โดยมีนายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร ผู้บริหารกรมศิลปากร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และประชาชนผู้สนใจเข้าร่วม ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33042
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ลงนาม MOU เชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ โดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ในการให้บริการประชาชน
|
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560
“ยุติธรรม” ลงนาม MOU เชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ โดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ในการให้บริการประชาชน
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และนายอดิศักดิ์ ปัตรวลี ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ โดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุม ชั้น ๕ ศาลแพ่งธนบุรี เขตจอมทอง กรุงเทพฯ
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
และนายอดิศักดิ์ ปัตรวลี ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๙
ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ โดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์
โดยมีนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี
และนายโอภาส อนันตสมบูรณ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี ร่วมลงนาม
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานบังคับคดี ให้มีความรวดเร็ว สมบูรณ์ และถูกต้อง
ตามกรอบการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ของธนาคารโลก
และสามารถลดขั้นตอนในการดําเนินการบังคับคดี เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” ลงนาม MOU เชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ โดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ในการให้บริการประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2560
“ยุติธรรม” ลงนาม MOU เชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ โดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ในการให้บริการประชาชน
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และนายอดิศักดิ์ ปัตรวลี ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ โดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๑๐.๐๐ น.
ณ ห้องประชุม ชั้น ๕ ศาลแพ่งธนบุรี เขตจอมทอง กรุงเทพฯ
นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
และนายอดิศักดิ์ ปัตรวลี ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๙
ร่วมเป็นเกียรติในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ โดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์
โดยมีนางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี
และนายโอภาส อนันตสมบูรณ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งธนบุรี ร่วมลงนาม
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานบังคับคดี ให้มีความรวดเร็ว สมบูรณ์ และถูกต้อง
ตามกรอบการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ของธนาคารโลก
และสามารถลดขั้นตอนในการดําเนินการบังคับคดี เพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2438
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. มอบของขวัญวันวาเลนไทน์ ลดดอกเบี้ยสินเชื่อสีเขียว - คืนดอกเบี้ยให้เกษตรกรมีวินัยดี
|
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561
ธ.ก.ส. มอบของขวัญวันวาเลนไทน์ ลดดอกเบี้ยสินเชื่อสีเขียว - คืนดอกเบี้ยให้เกษตรกรมีวินัยดี
ธ.ก.ส. ลดดอกเบี้ยสินเชื่อสีเขียว ขยายเวลาโครงการสินเชื่อ SME เกษตร เพื่อลดต้นทุนการผลิต และสนับสนุนผู้ประกอบการเกษตรให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ํา เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน พร้อมคืนดอกเบี้ยให้เกษตรกรที่มีวินัยดี 30% ทุกเดือนหลังชําระหนี้คืน
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ธ.ก.ส. เห็นชอบให้ธนาคารดําเนินโครงการส่งเสริมและสนับสนุนสินเชื่อสีเขียว (Green Credit) เพื่อส่งเสริมการผลิตเกษตรอินทรีย์ หรืออาหารปลอดภัย (Food Safety) ที่ได้มาตรฐานรับรอง รวมถึงส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน หรือพลังงานสะอาด การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมตลอดจนวิถีชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้ ลดต้นทุนและยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร วงเงิน 5,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1 กรณีลูกค้ารายคน และ MLR–0.5 กรณีลูกค้าสถาบัน รวมถึงได้ขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อ 1 ตําบล 1 SME เกษตร เพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4% ออกไป จากเดิมที่จะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 มีนาคม 2561 เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยยกระดับขึ้นเป็นผู้ประกอบการเกษตร
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยและเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 ธ.ก.ส. ได้ดําเนิน “โครงการชําระดีมีคืน” โดยคืนดอกเบี้ยเงินกู้ 30% ให้กับพี่น้องเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ ณ วันที่ 30 พ.ย. 2560 ไม่เกิน 300,000 บาท จํานวน 2.3 ล้านราย รวมต้นเงินกู้ประมาณ 220,000 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2561 ซึ่งการคืนดอกเบี้ยตามโครงการดังกล่าว เมื่อคิดกลับคืนเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เกษตรกรได้รับจะอยู่ที่ 4.9%
สําหรับขั้นตอนการดําเนินงาน ธนาคารจะคืนดอกเบี้ยในส่วนที่ลูกค้าส่งชําระคืนในอัตรา 30% ของจํานวนดอกเบี้ยที่ชําระในเดือนถัดไปแบบอัตโนมัติเดือนละครั้ง เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 ในกรณีที่มีหนี้คงเหลือจะนําดอกเบี้ยที่คืนให้ลูกค้ามาลดภาระหนี้ด้วยการตัดชําระต้นเงิน กรณีไม่มีหนี้คงเหลือธนาคารจะโอนเข้าบัญชีเงินฝากของลูกค้า พร้อมส่งข้อความสั้น (SMS) ให้เกษตรกรลูกค้าได้รับทราบทุกราย ทั้งนี้โครงการชําระดีมีคืนในปีที่ผ่านมา ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 ธนาคารได้คืนเงินให้แก่ลูกค้าแล้วทั้งสิ้น 2,709 ล้านบาท
“โครงการชําระดีมีคืน ธนาคารมอบให้เป็นของขวัญในวันแห่งความรักแก่เกษตรกรที่ชําระหนี้ได้ตามกําหนดเพื่อสร้างขวัญกําลังใจ ช่วยลดภาระหนี้ และช่วยให้เกษตรกรสามารถมีเงินนําไปใช้จ่ายหมุนเวียนในชีวิตประจําวัน รวมทั้งเป็นการสร้างเสริมให้เกษตรกรลูกค้ารักษาวินัยทางการเงินการคลัง ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของตนเองและประเทศในระยะยาว” นายอภิรมย์กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. มอบของขวัญวันวาเลนไทน์ ลดดอกเบี้ยสินเชื่อสีเขียว - คืนดอกเบี้ยให้เกษตรกรมีวินัยดี
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561
ธ.ก.ส. มอบของขวัญวันวาเลนไทน์ ลดดอกเบี้ยสินเชื่อสีเขียว - คืนดอกเบี้ยให้เกษตรกรมีวินัยดี
ธ.ก.ส. ลดดอกเบี้ยสินเชื่อสีเขียว ขยายเวลาโครงการสินเชื่อ SME เกษตร เพื่อลดต้นทุนการผลิต และสนับสนุนผู้ประกอบการเกษตรให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ํา เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน พร้อมคืนดอกเบี้ยให้เกษตรกรที่มีวินัยดี 30% ทุกเดือนหลังชําระหนี้คืน
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ธ.ก.ส. เห็นชอบให้ธนาคารดําเนินโครงการส่งเสริมและสนับสนุนสินเชื่อสีเขียว (Green Credit) เพื่อส่งเสริมการผลิตเกษตรอินทรีย์ หรืออาหารปลอดภัย (Food Safety) ที่ได้มาตรฐานรับรอง รวมถึงส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน หรือพลังงานสะอาด การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมตลอดจนวิถีชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้ ลดต้นทุนและยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร วงเงิน 5,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-1 กรณีลูกค้ารายคน และ MLR–0.5 กรณีลูกค้าสถาบัน รวมถึงได้ขยายระยะเวลาโครงการสินเชื่อ 1 ตําบล 1 SME เกษตร เพื่อสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรไทย ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4% ออกไป จากเดิมที่จะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 มีนาคม 2561 เพื่อสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยยกระดับขึ้นเป็นผู้ประกอบการเกษตร
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยและเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 ธ.ก.ส. ได้ดําเนิน “โครงการชําระดีมีคืน” โดยคืนดอกเบี้ยเงินกู้ 30% ให้กับพี่น้องเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ ณ วันที่ 30 พ.ย. 2560 ไม่เกิน 300,000 บาท จํานวน 2.3 ล้านราย รวมต้นเงินกู้ประมาณ 220,000 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2561 ซึ่งการคืนดอกเบี้ยตามโครงการดังกล่าว เมื่อคิดกลับคืนเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เกษตรกรได้รับจะอยู่ที่ 4.9%
สําหรับขั้นตอนการดําเนินงาน ธนาคารจะคืนดอกเบี้ยในส่วนที่ลูกค้าส่งชําระคืนในอัตรา 30% ของจํานวนดอกเบี้ยที่ชําระในเดือนถัดไปแบบอัตโนมัติเดือนละครั้ง เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 ในกรณีที่มีหนี้คงเหลือจะนําดอกเบี้ยที่คืนให้ลูกค้ามาลดภาระหนี้ด้วยการตัดชําระต้นเงิน กรณีไม่มีหนี้คงเหลือธนาคารจะโอนเข้าบัญชีเงินฝากของลูกค้า พร้อมส่งข้อความสั้น (SMS) ให้เกษตรกรลูกค้าได้รับทราบทุกราย ทั้งนี้โครงการชําระดีมีคืนในปีที่ผ่านมา ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 ธนาคารได้คืนเงินให้แก่ลูกค้าแล้วทั้งสิ้น 2,709 ล้านบาท
“โครงการชําระดีมีคืน ธนาคารมอบให้เป็นของขวัญในวันแห่งความรักแก่เกษตรกรที่ชําระหนี้ได้ตามกําหนดเพื่อสร้างขวัญกําลังใจ ช่วยลดภาระหนี้ และช่วยให้เกษตรกรสามารถมีเงินนําไปใช้จ่ายหมุนเวียนในชีวิตประจําวัน รวมทั้งเป็นการสร้างเสริมให้เกษตรกรลูกค้ารักษาวินัยทางการเงินการคลัง ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของตนเองและประเทศในระยะยาว” นายอภิรมย์กล่าว
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10085
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เดินหน้าชี้แจงประมงทะเล สร้างความเข้าใจกฎหมายแรงงาน
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
กสร. เดินหน้าชี้แจงประมงทะเล สร้างความเข้าใจกฎหมายแรงงาน
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ลงพื้นที่ชี้แจงนายจ้าง ลูกจ้างประมงทะเล และผู้เกี่ยวข้อง เน้นทําความเข้าใจการทําสัญญาจ้าง และการจ่ายค่าจ้างแรงงานผ่านธนาคารในกิจการประมงทะเล มุ่งสร้างความร่วมมือแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายอย่างยั่งยืน
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า จากที่กสร.ได้ออกประกาศ เรื่อง กําหนดแบบสัญญาจ้างลูกจ้างในงานประมงทะเล โดยให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในอัตรารายเดือนไม่น้อยกว่าเดือนละครั้ง และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้าง ค่าตอบแทนให้กับลูกจ้างโดยวิธีการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร โดยนายจ้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการโอน เป็นต้น ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 และเพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกแก่ลูกจ้าง และผู้ประกอบการ กสร.ได้ประสานกับธนาคารพาณิชย์เพื่อติดตั้งตู้ ATM ที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า – ออก (PIPO) แพปลา หรือบริเวณชุมชนที่มีลูกจ้างเรือประมงพักอาศัยอยู่อย่างครอบคลุมและทั่วถึง
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายภาคส่วนที่ยังกังวลและมีความเข้าใจไม่ถูกต้องในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้การสร้างความรู้ความเข้าใจในแนวทางการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างชัดเจนมากขึ้น พร้อมทั้งเป็นการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ที่จะนําไปสู่ความร่วมมืออันดีระหว่างกัน กสร. ได้จัดประชุมชี้แจงให้แก่เจ้าของเรือ สมาคมประมง ผู้ประกอบการประมงทะเล แรงงานประมงทะเล ธนาคารพาณิชย์ ในเขตจังหวัดชายทะเล 22 จังหวัด รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากภาครัฐ โดยได้ดําเนินการจํานวน 3 รุ่น รุ่นแรก จัดเมื่อวันที่ 27 ก.พ.61 ที่จังหวัดตรัง รุ่นที่ 2 วันที่ 16 มี.ค.61 จังหวัดสมุทรสงคราม และรุ่นที่ 3 จัดขึ้นที่จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา และได้เชิญวิทยากรผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มาบรรยายให้ความรู้ เรื่อง กฎหมายคุ้มครองแรงงาน แบบสัญญาจ้างลูกจ้างประมง การจัดทําบัญชีการจ่ายค่าจ้าง และการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในสถานประกอบกิจการประมงทะเล เพื่อชี้แจงให้เจ้าของเรือและผู้ที่เกี่ยวข้องได้เตรียมตัวปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมการประชุมรวมทั้งสิ้น 760 คน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. เดินหน้าชี้แจงประมงทะเล สร้างความเข้าใจกฎหมายแรงงาน
วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม 2561
กสร. เดินหน้าชี้แจงประมงทะเล สร้างความเข้าใจกฎหมายแรงงาน
อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ลงพื้นที่ชี้แจงนายจ้าง ลูกจ้างประมงทะเล และผู้เกี่ยวข้อง เน้นทําความเข้าใจการทําสัญญาจ้าง และการจ่ายค่าจ้างแรงงานผ่านธนาคารในกิจการประมงทะเล มุ่งสร้างความร่วมมือแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายอย่างยั่งยืน
นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า จากที่กสร.ได้ออกประกาศ เรื่อง กําหนดแบบสัญญาจ้างลูกจ้างในงานประมงทะเล โดยให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างในอัตรารายเดือนไม่น้อยกว่าเดือนละครั้ง และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้าง ค่าตอบแทนให้กับลูกจ้างโดยวิธีการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร โดยนายจ้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการโอน เป็นต้น ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 และเพื่อเป็นการอํานวยความสะดวกแก่ลูกจ้าง และผู้ประกอบการ กสร.ได้ประสานกับธนาคารพาณิชย์เพื่อติดตั้งตู้ ATM ที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า – ออก (PIPO) แพปลา หรือบริเวณชุมชนที่มีลูกจ้างเรือประมงพักอาศัยอยู่อย่างครอบคลุมและทั่วถึง
อธิบดีกสร. กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายภาคส่วนที่ยังกังวลและมีความเข้าใจไม่ถูกต้องในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้การสร้างความรู้ความเข้าใจในแนวทางการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างชัดเจนมากขึ้น พร้อมทั้งเป็นการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ที่จะนําไปสู่ความร่วมมืออันดีระหว่างกัน กสร. ได้จัดประชุมชี้แจงให้แก่เจ้าของเรือ สมาคมประมง ผู้ประกอบการประมงทะเล แรงงานประมงทะเล ธนาคารพาณิชย์ ในเขตจังหวัดชายทะเล 22 จังหวัด รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากภาครัฐ โดยได้ดําเนินการจํานวน 3 รุ่น รุ่นแรก จัดเมื่อวันที่ 27 ก.พ.61 ที่จังหวัดตรัง รุ่นที่ 2 วันที่ 16 มี.ค.61 จังหวัดสมุทรสงคราม และรุ่นที่ 3 จัดขึ้นที่จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา และได้เชิญวิทยากรผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน มาบรรยายให้ความรู้ เรื่อง กฎหมายคุ้มครองแรงงาน แบบสัญญาจ้างลูกจ้างประมง การจัดทําบัญชีการจ่ายค่าจ้าง และการส่งเสริมแรงงานสัมพันธ์ในสถานประกอบกิจการประมงทะเล เพื่อชี้แจงให้เจ้าของเรือและผู้ที่เกี่ยวข้องได้เตรียมตัวปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมการประชุมรวมทั้งสิ้น 760 คน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10954
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.