title
stringlengths 0
33.4k
| context
stringlengths 0
133k
| raw
stringlengths 39
133k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561
|
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา
สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน
2561 เวลา 20.15 น. ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
เนื่องในโอกาสวันอานันทมหิดล (9 มิ.ย. 61) ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ผู้ทรงให้กําเนิดวงการแพทยศาสตร์ ซึ่งให้กําเนิด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย โดยทรงมีพระราชปรารภให้มีการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ปัจจุบัน นโยบายด้านการแพทย์ ได้มีการต่อยอดขยายผล พร้อมทั้งการผลักดันมาตรการใหม่ ๆ ที่ต้องอาศัยการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนเป็นผลสําเร็จ ได้แก่ “นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (UCEP) เพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตในช่วง 72 ชั่วโมงแรก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการมีชีวิตรอด ต้องได้รับการปฐมพยาบาลทันที โดยสามารถเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ ทั้งนี้มีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารับบริการและรอดชีวิตจากวินาทีวิกฤติได้ กว่า 15,000 รายแล้ว ซึ่งเป็นความเสมอภาคทางสังคม พร้อมด้วยการรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ สามารถโทรปรึกษารับคําแนะนํา
ได้ที่ “สายด่วน 1669” สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมานั้น การคืนความสุขของคนในชาติ ไม่ได้ตีความ “ความสุข” แต่เพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ ใช้อ้างอิงในวิชาการ การธุรกิจ หรือเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจต่าง ๆ เท่านั้นแต่ให้ความสําคัญเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิต ในการดํารงชีวิตประจําวันเพื่อพัฒนาตนเองและครอบครัว สําหรับการขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ที่มั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งมีความสําคัญและต้องได้รับการแก้ไข เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ําที่ไม่เท่าเทียมกัน และเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขเป็นลําดับต้น ๆ ที่ได้ถูกบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 รวมถึงแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี และถือเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิตเพื่อให้มีแรงกายและแรงใจในการประกอบอาชีพเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างมั่นคง
ในปัจจุบันครัวเรือนไทยกว่า 5 ล้านครัวเรือนไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ซึ่ง 3 ล้านครัวเรือนนั้น เป็นผู้มีรายได้น้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งรัฐบาลมีทั้งมาตรการระยะสั้น ในการช่วยจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ด้อยโอกาส พร้อมกับพัฒนาสิ่งแวดล้อมในชุมชน เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต สําหรับมาตรการระยะยาว ได้จัดทําแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) โดยมีเป้าหมายให้ “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่ว และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในปี 2579” ซึ่งมีหลักในการดําเนินการพัฒนาและสนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน และขับเคลื่อนนโยบายนี้ไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสการมีที่อยู่อาศัยในทุกระดับ รวมถึงจัดตั้งศูนย์บริการร่วมแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้ง การจัดสวัสดิการในชุมชนเพื่อให้เกิดการพึ่งพากันภายในและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน รวมทั้งระบบสาธารณูปโภค อีกทั้งมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงโครงการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมือง คือ บ้านประชารัฐริมคลองลาดพร้าว โดยที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นการปลูกสร้างบ้านเรือนโดยไม่ได้รับสิทธิการเช่าที่ดินจากทางการอย่างถูกต้อง และบ้านเรือนทรุดโทรมเพราะปลูกสร้างในน้ํา ซึ่งโครงการบ้านประชารัฐ ได้ทําให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับพี่น้องประชาชน ในการย้ายบ้านเรือนออกจากแนวก่อสร้างเขื่อน แล้วรวมตัวกันเช่าที่ดินอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพี่น้องชุมชนริมคลอง พร้อมทั้งส่งเสริมการฝึกอาชีพให้กับกลุ่มแม่บ้านได้ประกอบอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ในหลายชุมชน ทั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องในชุมชนริมคลองเท่านั้น แต่จะเป็นการแก้ปัญหาน้ําท่วมได้อีกด้วย
สําหรับโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง จากพื้นที่อาคารแฟลตดินแดงเดิมที่ทรุดโทรม และไม่ปลอดภัยแก่การอยู่อาศัย รวมถึงปรับเปลี่ยนให้มีคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยของคนในพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังจัดพื้นที่ร้านค้าชุมชน เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้อยู่อาศัยในชุมชนมีรายได้ มีสุขภาพที่ดีทั้งด้านจิตใจและร่างกาย รวมทั้งมีเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีอีกด้วย ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในเมืองที่ไร้บ้าน เพื่อฟื้นฟูศักยภาพบุคคลและช่วยเหลือให้คนไร้บ้าน ได้กลับคืนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและสังคม ในพื้นที่ 3 จังหวัด ของเมืองขนาดใหญ่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และขอนแก่นตามลําดับ
อีกทั้ง มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสําหรับคนพิการ เพื่อขจัดอุปสรรคและสนับสนุนให้ คนพิการสามารถดํารงชีวิต และปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจําวันได้ ซึ่งเป็นการบูรณาการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินให้กับเกษตรกร รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากโครงการที่ภาครัฐดําเนินการโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ สนับสนุนให้พี่น้องประชาชนในทุกกลุ่ม มีโอกาสได้ปรับปรุงที่อยู่อาศัยและยกระดับการดํารงชีวิตให้ดีขึ้น ตลอดจนมีการซ่อมแซมและปรับปรุงที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุ ราษฎรยากจนและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีให้กับการขับเคลื่อนแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการลดความเหลื่อมล้ํา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ รวมถึงการยกระดับความเป็นอยู่และสร้างภาวะแวดล้อมที่ดีให้กับลูกหลานของทุกคนอย่างยั่งยืนต่อไป
ตอนท้ายนายกรัฐมนตรีได้ร่วมแสดงความยินดีกับนายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ “ตูน บอดี้สแลม” ที่ได้รับการพิจารณาให้เข้ารับรางวัลพระราชทาน “บันเทิงเทิดธรรม” รางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจําปีนี้ อีกด้วย ซึ่งถือเป็นรางวัลสําคัญที่สุดของเวทีไนน์เอ็นเตอร์เทน อวอร์ด จากกิจกรรมเพื่อสังคม “ก้าวคนละก้าว เพื่อ11โรงพยาบาลทั่วประเทศ” นับได้ว่าเป็นการปฏิรูปของคนบันเทิง ครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ ตามแนวคิด “หน้าม่านคุณภาพ หลังม่านคุณธรรม” โดยมุ่งเน้นให้วงการบันเทิงให้ความสําคัญในการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคนในสังคม ทําให้คนไทยตระหนักถึงการรักสุขภาพด้วยการออกกําลังกาย และการมีจิตอาสาทําความดีเพื่อส่วนรวม
.........................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561
วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561
สรุปประเด็นนายกรัฐมนตรีกล่าวในรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ “ศาสตร์พระราชา
สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน
2561 เวลา 20.15 น. ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
เนื่องในโอกาสวันอานันทมหิดล (9 มิ.ย. 61) ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ผู้ทรงให้กําเนิดวงการแพทยศาสตร์ ซึ่งให้กําเนิด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย โดยทรงมีพระราชปรารภให้มีการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ปัจจุบัน นโยบายด้านการแพทย์ ได้มีการต่อยอดขยายผล พร้อมทั้งการผลักดันมาตรการใหม่ ๆ ที่ต้องอาศัยการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนเป็นผลสําเร็จ ได้แก่ “นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (UCEP) เพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตในช่วง 72 ชั่วโมงแรก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการมีชีวิตรอด ต้องได้รับการปฐมพยาบาลทันที โดยสามารถเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ ทั้งนี้มีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารับบริการและรอดชีวิตจากวินาทีวิกฤติได้ กว่า 15,000 รายแล้ว ซึ่งเป็นความเสมอภาคทางสังคม พร้อมด้วยการรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ สามารถโทรปรึกษารับคําแนะนํา
ได้ที่ “สายด่วน 1669” สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมานั้น การคืนความสุขของคนในชาติ ไม่ได้ตีความ “ความสุข” แต่เพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ ใช้อ้างอิงในวิชาการ การธุรกิจ หรือเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจต่าง ๆ เท่านั้นแต่ให้ความสําคัญเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิต ในการดํารงชีวิตประจําวันเพื่อพัฒนาตนเองและครอบครัว สําหรับการขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนมีรายได้ที่มั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งมีความสําคัญและต้องได้รับการแก้ไข เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ําที่ไม่เท่าเทียมกัน และเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขเป็นลําดับต้น ๆ ที่ได้ถูกบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 รวมถึงแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี และถือเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิตเพื่อให้มีแรงกายและแรงใจในการประกอบอาชีพเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างมั่นคง
ในปัจจุบันครัวเรือนไทยกว่า 5 ล้านครัวเรือนไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ซึ่ง 3 ล้านครัวเรือนนั้น เป็นผู้มีรายได้น้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งรัฐบาลมีทั้งมาตรการระยะสั้น ในการช่วยจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ด้อยโอกาส พร้อมกับพัฒนาสิ่งแวดล้อมในชุมชน เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต สําหรับมาตรการระยะยาว ได้จัดทําแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) โดยมีเป้าหมายให้ “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่ว และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในปี 2579” ซึ่งมีหลักในการดําเนินการพัฒนาและสนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน และขับเคลื่อนนโยบายนี้ไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสการมีที่อยู่อาศัยในทุกระดับ รวมถึงจัดตั้งศูนย์บริการร่วมแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้ง การจัดสวัสดิการในชุมชนเพื่อให้เกิดการพึ่งพากันภายในและสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน รวมทั้งระบบสาธารณูปโภค อีกทั้งมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงโครงการที่อยู่อาศัยสําหรับผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมือง คือ บ้านประชารัฐริมคลองลาดพร้าว โดยที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นการปลูกสร้างบ้านเรือนโดยไม่ได้รับสิทธิการเช่าที่ดินจากทางการอย่างถูกต้อง และบ้านเรือนทรุดโทรมเพราะปลูกสร้างในน้ํา ซึ่งโครงการบ้านประชารัฐ ได้ทําให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับพี่น้องประชาชน ในการย้ายบ้านเรือนออกจากแนวก่อสร้างเขื่อน แล้วรวมตัวกันเช่าที่ดินอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพี่น้องชุมชนริมคลอง พร้อมทั้งส่งเสริมการฝึกอาชีพให้กับกลุ่มแม่บ้านได้ประกอบอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ในหลายชุมชน ทั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องในชุมชนริมคลองเท่านั้น แต่จะเป็นการแก้ปัญหาน้ําท่วมได้อีกด้วย
สําหรับโครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง จากพื้นที่อาคารแฟลตดินแดงเดิมที่ทรุดโทรม และไม่ปลอดภัยแก่การอยู่อาศัย รวมถึงปรับเปลี่ยนให้มีคุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยของคนในพื้นที่ให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังจัดพื้นที่ร้านค้าชุมชน เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้อยู่อาศัยในชุมชนมีรายได้ มีสุขภาพที่ดีทั้งด้านจิตใจและร่างกาย รวมทั้งมีเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีอีกด้วย ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในเมืองที่ไร้บ้าน เพื่อฟื้นฟูศักยภาพบุคคลและช่วยเหลือให้คนไร้บ้าน ได้กลับคืนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและสังคม ในพื้นที่ 3 จังหวัด ของเมืองขนาดใหญ่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และขอนแก่นตามลําดับ
อีกทั้ง มีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสําหรับคนพิการ เพื่อขจัดอุปสรรคและสนับสนุนให้ คนพิการสามารถดํารงชีวิต และปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจําวันได้ ซึ่งเป็นการบูรณาการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทํากินให้กับเกษตรกร รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย ตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากโครงการที่ภาครัฐดําเนินการโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ สนับสนุนให้พี่น้องประชาชนในทุกกลุ่ม มีโอกาสได้ปรับปรุงที่อยู่อาศัยและยกระดับการดํารงชีวิตให้ดีขึ้น ตลอดจนมีการซ่อมแซมและปรับปรุงที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุ ราษฎรยากจนและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีให้กับการขับเคลื่อนแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการลดความเหลื่อมล้ํา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ รวมถึงการยกระดับความเป็นอยู่และสร้างภาวะแวดล้อมที่ดีให้กับลูกหลานของทุกคนอย่างยั่งยืนต่อไป
ตอนท้ายนายกรัฐมนตรีได้ร่วมแสดงความยินดีกับนายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ “ตูน บอดี้สแลม” ที่ได้รับการพิจารณาให้เข้ารับรางวัลพระราชทาน “บันเทิงเทิดธรรม” รางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจําปีนี้ อีกด้วย ซึ่งถือเป็นรางวัลสําคัญที่สุดของเวทีไนน์เอ็นเตอร์เทน อวอร์ด จากกิจกรรมเพื่อสังคม “ก้าวคนละก้าว เพื่อ11โรงพยาบาลทั่วประเทศ” นับได้ว่าเป็นการปฏิรูปของคนบันเทิง ครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ ตามแนวคิด “หน้าม่านคุณภาพ หลังม่านคุณธรรม” โดยมุ่งเน้นให้วงการบันเทิงให้ความสําคัญในการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคนในสังคม ทําให้คนไทยตระหนักถึงการรักสุขภาพด้วยการออกกําลังกาย และการมีจิตอาสาทําความดีเพื่อส่วนรวม
.........................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12892
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2560
|
วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2560
รมต.นร. ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2560
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย
วันนี้ (11 มกราคม 2560) เวลา 17.00 น. ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 สํานักงานปลัด สํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2560
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมเวลาประมาณ 18.50 น. รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวสรุปประเด็นสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการในการจัดงานที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาลเพื่อรับบริจาคการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไปในวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2560 โดยเนื้อหาของงานดังกล่าวจะเน้นการให้ข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ ในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นหลัก สําหรับหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามหลักเกณฑ์ที่เคยปฏิบัติเมื่อคราวน้ําท่วมใหญ่กรุงเทพมหานครและบางจังหวัดในภาคกลางในปี 2554 เช่น การช่วยเหลือผู้เสียชีวิตรายละ 50,000 บาท บ้านเสียหายทั้งหลัง จะสร้างบ้านหลังใหม่ทดแทน ส่วนบ้านที่เสียหายบางส่วนจะมีการซ่อมแซมให้เสร็จสมบูรณ์
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลเน้นให้ความช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อะไรที่ช่วยเหลือได้ก่อนจะดําเนินการอย่างเร่งด่วน เช่นการเสียชีวิตของประชาชนสามารถช่วยเหลือได้ทันที ส่วนอะไรที่จําเป็นต้องช่วยหลังน้ําลด เช่น บ้านหรืออาคาร ก็จะดําเนินการในช่วงสถานการณ์น้ําลดจนหมดแล้ว
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําในตอนท้ายอีกว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ได้ห่วงใยประชาชนอย่างมากในสถานการณ์น้ําท่วมภาคใต้ ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมบริหารจัดการเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนใหม่ไม่ให้กีดขวางทางน้ําที่ไหลลงจากภูเขาสู่ทะเลด้วยการสร้างถนนอยู่ด้านบนและสร้างอุโมงค์ทางลอดน้ําอยู่ด้านล่างเพื่อให้น้ําระบายผ่านลงสู่ทะเลสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นจึงจะแก้ปัญหาน้ําท่วมภาคใต้ได้อย่างยั่งยืน เพราะว่าปัจจุบันสภาพจังหวัดต่าง ๆ ขยายตัวเมืองมากขึ้น ส่งผลให้มีการวางผังเมืองที่ไม่เหมาะสมไปขวางทางน้ําไหลสู่ทะเล จึงมีความยากลําบากทําให้เกิดสถานการณ์น้ําเอ่อล้นดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้
อนึ่ง ประชาชนทุกภาคส่วนที่ประสงค์ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้สามารถบริจาคได้ที่ “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้” สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี หรือภาคีเครือข่ายอีกจํานวน 3 แห่ง ได้แก่ กองทัพเรือ การยางแห่งประเทศไทย และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ตลอดเวลาที่โทรสายด่วน 1111
********************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2560
วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2560
รมต.นร. ออมสินฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2560
นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย
วันนี้ (11 มกราคม 2560) เวลา 17.00 น. ณ ห้องประชุม 109 ชั้น 1 สํานักงานปลัด สํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2560
ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมเวลาประมาณ 18.50 น. รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวสรุปประเด็นสําคัญ ดังนี้
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการในการจัดงานที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาลเพื่อรับบริจาคการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไปในวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2560 โดยเนื้อหาของงานดังกล่าวจะเน้นการให้ข้อมูลและรายละเอียดต่าง ๆ ในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นหลัก สําหรับหลักเกณฑ์ในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนนั้น ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามหลักเกณฑ์ที่เคยปฏิบัติเมื่อคราวน้ําท่วมใหญ่กรุงเทพมหานครและบางจังหวัดในภาคกลางในปี 2554 เช่น การช่วยเหลือผู้เสียชีวิตรายละ 50,000 บาท บ้านเสียหายทั้งหลัง จะสร้างบ้านหลังใหม่ทดแทน ส่วนบ้านที่เสียหายบางส่วนจะมีการซ่อมแซมให้เสร็จสมบูรณ์
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลเน้นให้ความช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อะไรที่ช่วยเหลือได้ก่อนจะดําเนินการอย่างเร่งด่วน เช่นการเสียชีวิตของประชาชนสามารถช่วยเหลือได้ทันที ส่วนอะไรที่จําเป็นต้องช่วยหลังน้ําลด เช่น บ้านหรืออาคาร ก็จะดําเนินการในช่วงสถานการณ์น้ําลดจนหมดแล้ว
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวย้ําในตอนท้ายอีกว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี ได้ห่วงใยประชาชนอย่างมากในสถานการณ์น้ําท่วมภาคใต้ ได้มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมบริหารจัดการเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนใหม่ไม่ให้กีดขวางทางน้ําที่ไหลลงจากภูเขาสู่ทะเลด้วยการสร้างถนนอยู่ด้านบนและสร้างอุโมงค์ทางลอดน้ําอยู่ด้านล่างเพื่อให้น้ําระบายผ่านลงสู่ทะเลสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นจึงจะแก้ปัญหาน้ําท่วมภาคใต้ได้อย่างยั่งยืน เพราะว่าปัจจุบันสภาพจังหวัดต่าง ๆ ขยายตัวเมืองมากขึ้น ส่งผลให้มีการวางผังเมืองที่ไม่เหมาะสมไปขวางทางน้ําไหลสู่ทะเล จึงมีความยากลําบากทําให้เกิดสถานการณ์น้ําเอ่อล้นดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้
อนึ่ง ประชาชนทุกภาคส่วนที่ประสงค์ให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้สามารถบริจาคได้ที่ “ศูนย์ช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้” สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี หรือภาคีเครือข่ายอีกจํานวน 3 แห่ง ได้แก่ กองทัพเรือ การยางแห่งประเทศไทย และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ตลอดเวลาที่โทรสายด่วน 1111
********************************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1310
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ จับมือ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา
|
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
เกษตรฯ จับมือ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทํานา
เกษตรฯ จับมือ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทํานา
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือแนวทางการดําเนินงานเชื่อมโยงตลาดภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทํานาว่าทางสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เข้าใจโครงการเป็นอย่างดี และอยากมีส่วนช่วยเกษตรกร เพื่อปรับสมดุลการผลิตข้าวทั้งนี้คณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ พิจารณาแนวทางผู้รับซื้อ 3แนวทาง ได้แก่ 1. การกําหนดราคารับซื้อ 2. คุณภาพผลผลิต และ 3.ขอให้โรงงานอาหารสัตว์กําหนดผู้ซื้อ ในแต่ละจุด ทุกอําเภอโดยมีสหกรณ์ในพื้นที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงการทํางานในครั้งนี้
สําหรับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังมีปริมาณความต้องการอีกมากแต่การประกาศราคารับซื้อจะเป็นไปตามกลไกตลาด และไม่ต่ํากว่า 8 บาท ที่ความชื้น 14.5 % ณ หน้าโรงงานอาหารสัตว์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการของกระทรวงพาณิชย์ที่กําหนดให้แสดงราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของผู้ประกอบการที่จะต้องระบุราคารับซื้อตามมาตรฐานความชื้นที่รับซื้อให้ชัดเจนเพื่อให้เกษตรกรมั่นใจมากขึ้น โดยกําหนดความชื้นไม่เกินร้อยละ14.5 ถึง ความชื้นร้อยละ 30และแสดงอัตราการหักลดน้ําหนักความชื้นไว้หน้าโรงงานและขอให้ทุกบริษัทที่รับซื้อในจังหวัดเดียวกันกําหนดมาตรฐานการรับซื้อให้เหมือนกัน ในส่วนของคุณภาพผลผลิตขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการกําหนดคุณภาพข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ชัดเจนเช่น เมล็ดเสีย เมล็ดเสียจากเชื้อรา เมล็ดมอดเจาะ เมล็ดแตกและเมล็ดลีบรวมกัน รวมถึงสิ่งเจือปนเพื่อให้เป็นมาตรฐานในการรับซื้อและต้องแจ้งให้เกษตรกรทราบอย่างชัดเจนหากคุณภาพมาตรฐานไม่เป็นไปตามที่กําหนดผู้ประกอบการจะมีวิธีการดําเนินการหรือ รับซื้อผลผลิตอย่างไร นอกจากนี้ยังได้ย้ําไปถึงการให้สหกรณ์ในพื้นที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยง กําหนดจุดรับซื้อแต่ละจุด และจะประกาศ ภายใน 25 ตุลาคมนี้ ต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ จับมือ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2561
เกษตรฯ จับมือ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทํานา
เกษตรฯ จับมือ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทํานา
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือแนวทางการดําเนินงานเชื่อมโยงตลาดภายใต้โครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทํานาว่าทางสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เข้าใจโครงการเป็นอย่างดี และอยากมีส่วนช่วยเกษตรกร เพื่อปรับสมดุลการผลิตข้าวทั้งนี้คณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ พิจารณาแนวทางผู้รับซื้อ 3แนวทาง ได้แก่ 1. การกําหนดราคารับซื้อ 2. คุณภาพผลผลิต และ 3.ขอให้โรงงานอาหารสัตว์กําหนดผู้ซื้อ ในแต่ละจุด ทุกอําเภอโดยมีสหกรณ์ในพื้นที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงการทํางานในครั้งนี้
สําหรับการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังมีปริมาณความต้องการอีกมากแต่การประกาศราคารับซื้อจะเป็นไปตามกลไกตลาด และไม่ต่ํากว่า 8 บาท ที่ความชื้น 14.5 % ณ หน้าโรงงานอาหารสัตว์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการของกระทรวงพาณิชย์ที่กําหนดให้แสดงราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของผู้ประกอบการที่จะต้องระบุราคารับซื้อตามมาตรฐานความชื้นที่รับซื้อให้ชัดเจนเพื่อให้เกษตรกรมั่นใจมากขึ้น โดยกําหนดความชื้นไม่เกินร้อยละ14.5 ถึง ความชื้นร้อยละ 30และแสดงอัตราการหักลดน้ําหนักความชื้นไว้หน้าโรงงานและขอให้ทุกบริษัทที่รับซื้อในจังหวัดเดียวกันกําหนดมาตรฐานการรับซื้อให้เหมือนกัน ในส่วนของคุณภาพผลผลิตขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการกําหนดคุณภาพข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้ชัดเจนเช่น เมล็ดเสีย เมล็ดเสียจากเชื้อรา เมล็ดมอดเจาะ เมล็ดแตกและเมล็ดลีบรวมกัน รวมถึงสิ่งเจือปนเพื่อให้เป็นมาตรฐานในการรับซื้อและต้องแจ้งให้เกษตรกรทราบอย่างชัดเจนหากคุณภาพมาตรฐานไม่เป็นไปตามที่กําหนดผู้ประกอบการจะมีวิธีการดําเนินการหรือ รับซื้อผลผลิตอย่างไร นอกจากนี้ยังได้ย้ําไปถึงการให้สหกรณ์ในพื้นที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยง กําหนดจุดรับซื้อแต่ละจุด และจะประกาศ ภายใน 25 ตุลาคมนี้ ต่อไป
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16186
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อภ. ผลิต จัดหา พัฒนายารักษาโควิด 19 เพียงพอใช้ในระยะยาว [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
อภ. ผลิต จัดหา พัฒนายารักษาโควิด 19 เพียงพอใช้ในระยะยาว [กระทรวงสาธารณสุข]
อภ. ผลิต จัดหา พัฒนายารักษาโควิด 19 เพียงพอใช้ในระยะยาว
องค์การเภสัชกรรม จัดเตรียมยารักษาโควิด 19 ทั้ง 7 รายการให้เพียงพอดูแลรักษาผู้ป่วย ผลิตได้เอง 5 รายการ พร้อมวิจัยและพัฒนายาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) คาดปี 64 พร้อมยื่นขึ้นทะเบียน ขณะนี้นําเข้ามาแล้ว จํานวน 187,000 เม็ด และในเดือนพฤษภาคมนี้ นําเข้าจากจีนและญี่ปุ่นอีกจํานวน 303,860 เม็ด
บ่ายวันนี้ (19 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรม ได้วางแผนบริหารจัดการเพื่อให้มียาที่จําเป็นสําหรับการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อโควิด 19 ภายในประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งในภาวะวิกฤติและระยะยาว ซึ่งมียาที่ใช้ร่วมกัน 7 รายการ โดยองค์การเภสัชกรรมผลิตเอง 5 รายการ ประกอบด้วย 1. ยาคลอโรควิน รักษาโรคมาลาเรีย สํารองไว้ 1.8 ล้านเม็ด 2. ยาต้านไวรัสเอดส์สูตรผสม โลพินาเวียร์ และริโทรนาเวียร์ (Lopinavir / Ritonavir) สํารองไว้ 30.6 ล้านเม็ด 3. ยาต้านไวรัสเอดส์ดารุนาเวียร์ (Darunavir) สํารองไว้ 1.9 ล้านเม็ด 4. ยาต้านไวรัสเอดส์ริโทรนาเวียร์ (Ritonavir) สํารองไว้ 1.9 ล้านเม็ด 5. ยาอะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) ยาปฏิชีวนะใช้รักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรีย สํารองไว้ 3.4 ล้านเม็ด
ส่วนยาอีก 2 รายการคือ ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน ได้จัดซื้อจากผู้ผลิตในประเทศแล้ว 1.09 ล้านเม็ด และยาฟาวิพิราเวียร์ ( Favipiravir ) ซึ่งเป็นยาสําคัญตัวหนึ่งที่ใช้ในการรักษา อภ.และกรมควบคุมโรค ได้มีการจัดซื้อแล้ว 187,000 เม็ด จาก 2 แหล่งผลิตหลัก คือบริษัท FUJIFILM Toyama Chemical Co.,Ltd. ประเทศญี่ปุ่นเจ้าของสิทธิบัตรและบริษัท Zhejiang Hisun Pharmaceutical Company ประเทศจีนซึ่งได้รับใบอนุญาตผลิตจากญี่ปุ่น โดยได้กระจายไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ แล้วประมาณ 100,000 เม็ด ยังคงมียาสํารองในคลังของ อภ. ประมาณ 87,000 เม็ด และจะส่งมอบเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคมเพื่อสํารองไว้อีก 303,860 เม็ด (จากประเทศญี่ปุ่น 103,860 เม็ด ที่เลื่อนการส่งมอบมาจากในปลายเดือนเมษายน และส่งมอบจากสาธารณรัฐประชาชนจีน 200,000 เม็ด) ซึ่งจะทําให้มียาฟาวิพิราเวียร์ใช้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
สําหรับความคืบหน้าการพัฒนายาเม็ดฟาวิพิราเวียร์ขณะนี้อยู่ระหว่างการสั่งซื้อวัตถุดิบเพื่อนํามาพัฒนาสูตรตํารับ ขยายขนาดการผลิต ศึกษาความคงสภาพและประสิทธิผลทางชีวสมมูล (Bioequivalence study) เพื่อศึกษาระดับยาในเลือดเทียบกับยาต้นแบบต่อไป คาดว่าใช้เวลาประมาณ 1 ปีจะมีข้อมูลพร้อมยื่นขึ้นทะเบียน ขณะเดียวกันได้ร่วมมือกับสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)วิจัยพัฒนาการสังเคราะห์วัตถุดิบยาฟาวิพิราเวียร์ คาดจะแล้วเสร็จภายใน 3 – 6 เดือน และจะสามารถเริ่มผลิตวัตถุดิบในระดับกึ่งอุตสาหกรรมได้ในเดือนมิถุนายน 2564 ทั้งนี้ ในส่วนของสิทธิบัตรยานั้น อภ.จะต้องมีการเจรจาทํา Voluntary Licensing กับบริษัทเจ้าของสิทธิบัตร เพื่อให้สามารถผลิตและจําหน่ายได้
“ขอเตือนว่ายาเหล่านี้เป็นยาที่ใช้เฉพาะโรค เป็นยาอันตราย การสั่งใช้ต้องเป็นไปตามการสั่งของแพทย์เท่านั้น ประชาชนห้ามซื้อมากินเองเด็ดขาด” ดร.ภญ.นันทกาญจน์กล่าว
************************************
19 พฤษภาคม 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อภ. ผลิต จัดหา พัฒนายารักษาโควิด 19 เพียงพอใช้ในระยะยาว [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม 2563
อภ. ผลิต จัดหา พัฒนายารักษาโควิด 19 เพียงพอใช้ในระยะยาว [กระทรวงสาธารณสุข]
อภ. ผลิต จัดหา พัฒนายารักษาโควิด 19 เพียงพอใช้ในระยะยาว
องค์การเภสัชกรรม จัดเตรียมยารักษาโควิด 19 ทั้ง 7 รายการให้เพียงพอดูแลรักษาผู้ป่วย ผลิตได้เอง 5 รายการ พร้อมวิจัยและพัฒนายาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) คาดปี 64 พร้อมยื่นขึ้นทะเบียน ขณะนี้นําเข้ามาแล้ว จํานวน 187,000 เม็ด และในเดือนพฤษภาคมนี้ นําเข้าจากจีนและญี่ปุ่นอีกจํานวน 303,860 เม็ด
บ่ายวันนี้ (19 พฤษภาคม 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.ภญ.นันทกาญจน์ สุวรรณปิฎกกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ องค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรม ได้วางแผนบริหารจัดการเพื่อให้มียาที่จําเป็นสําหรับการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อโควิด 19 ภายในประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งในภาวะวิกฤติและระยะยาว ซึ่งมียาที่ใช้ร่วมกัน 7 รายการ โดยองค์การเภสัชกรรมผลิตเอง 5 รายการ ประกอบด้วย 1. ยาคลอโรควิน รักษาโรคมาลาเรีย สํารองไว้ 1.8 ล้านเม็ด 2. ยาต้านไวรัสเอดส์สูตรผสม โลพินาเวียร์ และริโทรนาเวียร์ (Lopinavir / Ritonavir) สํารองไว้ 30.6 ล้านเม็ด 3. ยาต้านไวรัสเอดส์ดารุนาเวียร์ (Darunavir) สํารองไว้ 1.9 ล้านเม็ด 4. ยาต้านไวรัสเอดส์ริโทรนาเวียร์ (Ritonavir) สํารองไว้ 1.9 ล้านเม็ด 5. ยาอะซิโธรมัยซิน (Azithromycin) ยาปฏิชีวนะใช้รักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรีย สํารองไว้ 3.4 ล้านเม็ด
ส่วนยาอีก 2 รายการคือ ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน ได้จัดซื้อจากผู้ผลิตในประเทศแล้ว 1.09 ล้านเม็ด และยาฟาวิพิราเวียร์ ( Favipiravir ) ซึ่งเป็นยาสําคัญตัวหนึ่งที่ใช้ในการรักษา อภ.และกรมควบคุมโรค ได้มีการจัดซื้อแล้ว 187,000 เม็ด จาก 2 แหล่งผลิตหลัก คือบริษัท FUJIFILM Toyama Chemical Co.,Ltd. ประเทศญี่ปุ่นเจ้าของสิทธิบัตรและบริษัท Zhejiang Hisun Pharmaceutical Company ประเทศจีนซึ่งได้รับใบอนุญาตผลิตจากญี่ปุ่น โดยได้กระจายไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ แล้วประมาณ 100,000 เม็ด ยังคงมียาสํารองในคลังของ อภ. ประมาณ 87,000 เม็ด และจะส่งมอบเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคมเพื่อสํารองไว้อีก 303,860 เม็ด (จากประเทศญี่ปุ่น 103,860 เม็ด ที่เลื่อนการส่งมอบมาจากในปลายเดือนเมษายน และส่งมอบจากสาธารณรัฐประชาชนจีน 200,000 เม็ด) ซึ่งจะทําให้มียาฟาวิพิราเวียร์ใช้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
สําหรับความคืบหน้าการพัฒนายาเม็ดฟาวิพิราเวียร์ขณะนี้อยู่ระหว่างการสั่งซื้อวัตถุดิบเพื่อนํามาพัฒนาสูตรตํารับ ขยายขนาดการผลิต ศึกษาความคงสภาพและประสิทธิผลทางชีวสมมูล (Bioequivalence study) เพื่อศึกษาระดับยาในเลือดเทียบกับยาต้นแบบต่อไป คาดว่าใช้เวลาประมาณ 1 ปีจะมีข้อมูลพร้อมยื่นขึ้นทะเบียน ขณะเดียวกันได้ร่วมมือกับสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)วิจัยพัฒนาการสังเคราะห์วัตถุดิบยาฟาวิพิราเวียร์ คาดจะแล้วเสร็จภายใน 3 – 6 เดือน และจะสามารถเริ่มผลิตวัตถุดิบในระดับกึ่งอุตสาหกรรมได้ในเดือนมิถุนายน 2564 ทั้งนี้ ในส่วนของสิทธิบัตรยานั้น อภ.จะต้องมีการเจรจาทํา Voluntary Licensing กับบริษัทเจ้าของสิทธิบัตร เพื่อให้สามารถผลิตและจําหน่ายได้
“ขอเตือนว่ายาเหล่านี้เป็นยาที่ใช้เฉพาะโรค เป็นยาอันตราย การสั่งใช้ต้องเป็นไปตามการสั่งของแพทย์เท่านั้น ประชาชนห้ามซื้อมากินเองเด็ดขาด” ดร.ภญ.นันทกาญจน์กล่าว
************************************
19 พฤษภาคม 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31105
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส รับฟังบรรยายผลการปฏิบัติการฝนหลวง
|
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563
รมช.ธรรมนัส รับฟังบรรยายผลการปฏิบัติการฝนหลวง
รมช.ธรรมนัส รับฟังบรรยายผลการปฏิบัติการฝนหลวง แก้ไขสถานการณ์ภัยแล้ง ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ภัยแล้งพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และดําเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพื้นที่การเกษตรที่เกิดจากการขาดแคลนน้ํา ณ ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมฝนหลวงและการบินเกษตร พบถึงปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรจากฝนทิ้งช่วงและฝนแล้งเป็นเวลานาน จึงมีแผนการปฏิบัติการฝนหลวงประจําปี 2563 เพื่อบรรเทาปัญหาฝนทิ้งช่วงและพื้นที่เกษตรที่มีน้ําไม่เพียงพอ โดยได้เร่งทําฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่เกษตรและเติมน้ําในอ่างเก็บน้ําเมื่อสภาพอากาศเอื้ออํานวย ปฏิบัติการฝนหลวงนั้นจะครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่ที่ประสบปัญหา ทั้งพื้นที่การเกษตร และพื้นที่ลุ่มรับน้ําที่มีปริมาณน้ําต่ํากว่าเกณฑ์และส่งผลกระทบต่อการใช้น้ําอุปโภค - บริโภคของประชาชนด้วย
ในส่วนของการปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) มีวันขึ้นปฏิบัติการฝนหลวง รวม 137 วัน ขึ้นปฏิบัติการรวม 670 เที่ยวบิน วันฝนตกจากการปฏิบัติการฝนหลวงคิดเป็นร้อยละ 97.08 มีพื้นที่การเกษตรที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติการฝนหลวง จํานวน 17.88 ล้านไร่ ยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บทั้งสิ้น 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดกาฬสินธุ์จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครพนม และจังหวัดชัยภูมิ เติมน้ําต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ําระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2563 จํานวน 6 เขื่อน และเติมน้ําต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ําระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – 14 สิงหาคม 2563 จํานวน 5 เขื่อน และในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนล่าง) มีวันขึ้นปฏิบัติการฝนหลวง รวม 142 วัน ขึ้นปฏิบัติการรวม 805 เที่ยวบิน วันฝนตกจากการปฏิบัติการฝนหลวงคิดเป็นร้อยละ 92.96 มีพื้นที่การเกษตรที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติการฝนหลวง จานวน 43.38 ล้านไร่ เติมน้ําต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ําระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2563 จํานวน 62 เขื่อน และเติมน้ําต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ําระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – 14 สิงหาคม 2563 จํานวน 52 เขื่อน
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลรวมการปฏิบัติการฝนหลวงระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ – 14 สิงหาคม 2563 นั้นมีการตั้งหน่วยปฏิบัติการ รวม 12 หน่วย รวมวันขึ้นปฏิบัติการฝนหลวงทั้งสิ้น 177 วัน ขึ้นปฏิบัติการรวม 4,582 เที่ยวบิน มีวันฝนตกจากการปฏิบัติการ รวม 175 วัน คิดเป็นร้อยละ 98.87 จังหวัดที่มีรายงานฝนตก รวม 67จังหวัด ทําให้มีพื้นที่การเกษตรที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติการฝนหลวง 193.75 ล้านไร่ มีฝนตกในพื้นที่ลุ่มรับน้ําเขื่อนและอ่างเก็บน้ํา รวม 204 แห่ง แบ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ 34 แห่ง และเขื่อนขนาดกลาง 170 แห่ง สามารถเติมน้ําต้นทุนให้กับเขื่อนและอ่างเก็บน้ํา รวม 1,313.706 ล้าน ลบ.ม.
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส รับฟังบรรยายผลการปฏิบัติการฝนหลวง
วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563
รมช.ธรรมนัส รับฟังบรรยายผลการปฏิบัติการฝนหลวง
รมช.ธรรมนัส รับฟังบรรยายผลการปฏิบัติการฝนหลวง แก้ไขสถานการณ์ภัยแล้ง ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ภัยแล้งพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และดําเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพื้นที่การเกษตรที่เกิดจากการขาดแคลนน้ํา ณ ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กรมฝนหลวงและการบินเกษตร พบถึงปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรจากฝนทิ้งช่วงและฝนแล้งเป็นเวลานาน จึงมีแผนการปฏิบัติการฝนหลวงประจําปี 2563 เพื่อบรรเทาปัญหาฝนทิ้งช่วงและพื้นที่เกษตรที่มีน้ําไม่เพียงพอ โดยได้เร่งทําฝนหลวงช่วยเหลือพื้นที่เกษตรและเติมน้ําในอ่างเก็บน้ําเมื่อสภาพอากาศเอื้ออํานวย ปฏิบัติการฝนหลวงนั้นจะครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่ที่ประสบปัญหา ทั้งพื้นที่การเกษตร และพื้นที่ลุ่มรับน้ําที่มีปริมาณน้ําต่ํากว่าเกณฑ์และส่งผลกระทบต่อการใช้น้ําอุปโภค - บริโภคของประชาชนด้วย
ในส่วนของการปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนบน) มีวันขึ้นปฏิบัติการฝนหลวง รวม 137 วัน ขึ้นปฏิบัติการรวม 670 เที่ยวบิน วันฝนตกจากการปฏิบัติการฝนหลวงคิดเป็นร้อยละ 97.08 มีพื้นที่การเกษตรที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติการฝนหลวง จํานวน 17.88 ล้านไร่ ยับยั้งการเกิดพายุลูกเห็บทั้งสิ้น 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดกาฬสินธุ์จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดนครพนม และจังหวัดชัยภูมิ เติมน้ําต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ําระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2563 จํานวน 6 เขื่อน และเติมน้ําต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ําระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – 14 สิงหาคม 2563 จํานวน 5 เขื่อน และในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตอนล่าง) มีวันขึ้นปฏิบัติการฝนหลวง รวม 142 วัน ขึ้นปฏิบัติการรวม 805 เที่ยวบิน วันฝนตกจากการปฏิบัติการฝนหลวงคิดเป็นร้อยละ 92.96 มีพื้นที่การเกษตรที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติการฝนหลวง จานวน 43.38 ล้านไร่ เติมน้ําต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ําระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2563 จํานวน 62 เขื่อน และเติมน้ําต้นทุนให้เขื่อนกักเก็บน้ําระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน – 14 สิงหาคม 2563 จํานวน 52 เขื่อน
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลรวมการปฏิบัติการฝนหลวงระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ – 14 สิงหาคม 2563 นั้นมีการตั้งหน่วยปฏิบัติการ รวม 12 หน่วย รวมวันขึ้นปฏิบัติการฝนหลวงทั้งสิ้น 177 วัน ขึ้นปฏิบัติการรวม 4,582 เที่ยวบิน มีวันฝนตกจากการปฏิบัติการ รวม 175 วัน คิดเป็นร้อยละ 98.87 จังหวัดที่มีรายงานฝนตก รวม 67จังหวัด ทําให้มีพื้นที่การเกษตรที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติการฝนหลวง 193.75 ล้านไร่ มีฝนตกในพื้นที่ลุ่มรับน้ําเขื่อนและอ่างเก็บน้ํา รวม 204 แห่ง แบ่งเป็นเขื่อนขนาดใหญ่ 34 แห่ง และเขื่อนขนาดกลาง 170 แห่ง สามารถเติมน้ําต้นทุนให้กับเขื่อนและอ่างเก็บน้ํา รวม 1,313.706 ล้าน ลบ.ม.
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34263
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563
|
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562
แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2563
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2563 (แผนฯ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2563 (แผนฯ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอซึ่งประกอบด้วย 1) แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน 894,005.65 ล้านบาท 2) แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน 831,150.32 ล้านบาท และ 3) แผนการชําระหนี้ วงเงิน 398,372.55 ล้านบาทโดยมีรายละเอียด ดังนี้
ทั้งนี้ แผนฯ ดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนการดําเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวของรัฐบาล (Expansionary Fiscal Policy) การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐให้สามารถดําเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นกลไกขับเคลื่อนการลงทุนของภาครัฐได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ 2563 เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวและเติบโตได้ตามศักยภาพ รวมถึงสนับสนุนมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นการบริโภคและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นของรัฐบาล ในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปีงบประมาณ 2563 โดยแผนการก่อหนี้ใหม่
ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ วงเงิน 894,005.65 ล้านบาท แบ่งเป็น
1) การกู้เงินเพื่อลงทุน วงเงิน 711,235.53ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 79.56 ของแผนการก่อหนี้ใหม่ เช่น การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณโครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟฟ้า โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค และโครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า เป็นต้น
2) การกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องและดําเนินกิจการทั่วไป วงเงิน 182,770.12ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20.44 ของแผนการก่อหนี้ใหม่
สําหรับแผนการชําระหนี้ของรัฐบาลและหนี้หน่วยงานของรัฐจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วงเงิน 309,118.39 ล้านบาทประกอบด้วย
1) การชําระคืนต้นเงินกู้ จํานวน 89,170.4ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.8 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2563ซึ่งสอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กําหนดสัดส่วนต่างๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2561 ซึ่งได้กําหนดสัดส่วนงบประมาณเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐซึ่งรัฐบาลรับภาระต้องตั้งไม่ต่ํากว่าร้อยละ 2.5 แต่ไม่เกินร้อยละ 3.5 ของงบประมาณรายจ่ายประจําปี
2) การชําระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน จํานวน 219,947.99 ล้านบาท
ทั้งนี้ การดําเนินการตามแผนฯ ดังกล่าวอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1) พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561: ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ อยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
2) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม: การดําเนินการตามแผนฯ อยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่ พ.ร.บ.หนี้ฯ กําหนด
สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563
วันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2562
แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2563
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2563 (แผนฯ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2562 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจําปีงบประมาณ 2563 (แผนฯ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอซึ่งประกอบด้วย 1) แผนการก่อหนี้ใหม่ วงเงิน 894,005.65 ล้านบาท 2) แผนการบริหารหนี้เดิม วงเงิน 831,150.32 ล้านบาท และ 3) แผนการชําระหนี้ วงเงิน 398,372.55 ล้านบาทโดยมีรายละเอียด ดังนี้
ทั้งนี้ แผนฯ ดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนการดําเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวของรัฐบาล (Expansionary Fiscal Policy) การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐให้สามารถดําเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นกลไกขับเคลื่อนการลงทุนของภาครัฐได้ตั้งแต่เริ่มปีงบประมาณ 2563 เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวและเติบโตได้ตามศักยภาพ รวมถึงสนับสนุนมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นการบริโภคและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้นของรัฐบาล ในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปีงบประมาณ 2563 โดยแผนการก่อหนี้ใหม่
ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ วงเงิน 894,005.65 ล้านบาท แบ่งเป็น
1) การกู้เงินเพื่อลงทุน วงเงิน 711,235.53ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 79.56 ของแผนการก่อหนี้ใหม่ เช่น การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณโครงการรถไฟทางคู่ โครงการรถไฟฟ้า โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาค และโครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า เป็นต้น
2) การกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องและดําเนินกิจการทั่วไป วงเงิน 182,770.12ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 20.44 ของแผนการก่อหนี้ใหม่
สําหรับแผนการชําระหนี้ของรัฐบาลและหนี้หน่วยงานของรัฐจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วงเงิน 309,118.39 ล้านบาทประกอบด้วย
1) การชําระคืนต้นเงินกู้ จํานวน 89,170.4ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.8 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2563ซึ่งสอดคล้องกับประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กําหนดสัดส่วนต่างๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2561 ซึ่งได้กําหนดสัดส่วนงบประมาณเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐซึ่งรัฐบาลรับภาระต้องตั้งไม่ต่ํากว่าร้อยละ 2.5 แต่ไม่เกินร้อยละ 3.5 ของงบประมาณรายจ่ายประจําปี
2) การชําระดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน จํานวน 219,947.99 ล้านบาท
ทั้งนี้ การดําเนินการตามแผนฯ ดังกล่าวอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1) พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561: ณ สิ้นปีงบประมาณ 2563 กรอบการบริหารหนี้สาธารณะ อยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
2) พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม: การดําเนินการตามแผนฯ อยู่ภายใต้กรอบวงเงินที่ พ.ร.บ.หนี้ฯ กําหนด
สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ
โทร. 02 265 8050
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23453
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีสารแสดงความยินดีถึงนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนในโอกาสครบรอบ 45 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
นายกรัฐมนตรีมีสารแสดงความยินดีถึงนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนในโอกาสครบรอบ 45 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีสารแสดงความยินดีถึงนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนในโอกาสครบรอบ 45 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ดังนี้
- คําแปลอย่างไม่เป็นทางการ –
สารแสดงความยินดีจากนายกรัฐมนตรี
ถึงนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในโอกาสครบรอบ 45ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต
ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
วันที่ 1กรกฎาคม 2563
* * * * *
ฯพณฯ
วันที่ 1กรกฎาคม 2563ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนจะครบรอบ 45ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในโอกาสพิเศษอันเป็นมงคลนี้ ในนามของรัฐบาลและประชาชนแห่งราชอาณาจักรไทย ข้าพเจ้าถือเป็นเกียรติที่จะส่งคําอวยพรอย่างจริงใจมาถึงท่าน และผ่านท่านไปยังรัฐบาลและประชาชนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ ข้าพเจ้าขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิงและท่านที่ได้ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสองประเทศ
เมื่อมองย้อนกลับไปบนเส้นทางแห่งมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างไทยกับจีน นับเป็นความพิเศษที่ทั้งสองประเทศได้แบ่งปันความทรงจําอันล้ําค่าและฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลําบากร่วมกัน สิ่งนี้ได้ช่วยหล่อหลอมเป็นความผูกพันอันใกล้ชิดและลึกซึ้งระหว่างไทยกับจีนที่ไม่เพียงครอบคลุมความสัมพันธ์ระดับรัฐบาลกลาง แต่ยังได้ขยายไปสู่รัฐบาลระดับมณฑล ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนของพวกเรา ความสัมพันธ์พิเศษนี้เหมาะสมอย่างยิ่งกับคํากล่าวในภาษาจีนที่ว่า “ไทยกับจีนใช่อื่นไกล เป็นพี่น้องกัน” (Zhong-Tai Yi Jia Qin)
ตลอดระยะเวลา 45ปีที่ผ่านมา ไทยกับจีนได้ร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ให้มีความก้าวหน้าอย่างเด่นชัด อันนํามาซึ่ง “การเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของ "นโยบายจีนเดียว"
ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน การเคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันต่อสันติภาพ
ความเจริญรุ่งเรือง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ที่ผ่านมา ผู้นําและเจ้าหน้าที่ระดับสูงไทยและจีนต่างมีมิตรไมตรีต่อกันและติดต่อสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งได้กระชับให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือน ในด้านเศรษฐกิจ นับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ปริมาณการค้าทวิภาคีได้เพิ่มขึ้นถึง 3,000เท่า ขณะที่การลงทุนสะสมระหว่างกันมีมูลค่ามากกว่า 12พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทย ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีนมีสัดส่วนมากที่สุดในจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาเยือนไทย ทั้งสองประเทศต่างให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันและภายในภูมิภาคผ่านโครงการความร่วมมือรถไฟไทย - จีน เพื่อส่งเสริมการดําเนินการตามข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) และยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทย 4.0 ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนก็มีพลวัตเช่นกัน โดยมีการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษา กีฬา และวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดีและมิตรภาพระหว่างสองประเทศ การเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยกับจีนยังครอบคลุมความร่วมมือในกรอบอาเซียน - จีน กรอบความร่วมมือล้านช้าง - แม่โขง และกรอบ ACMECS รวมทั้งเวทีพหุภาคีอื่น ๆ ในการนี้ ไทยสนับสนุนบทบาทอันสร้างสรรค์และในเชิงรุกของจีน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจหลักของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงที่จะแสดงบทบาทของจีนในฐานะประเทศมหาอํานาจที่มีความรับผิดชอบในเวทีระหว่างประเทศ
ขณะที่เรากําลังก้าวสู่ความสัมพันธ์ในทศวรรษถัดไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก ซึ่งรวมถึงสถานการณ์ COVID-19 ในปัจจุบัน มีความจําเป็นมากยิ่งขึ้นที่ไทยและจีนจะร่วมมือกันรับมือกับความท้าทายที่เราจะต้องเผชิญด้วยจิตวิญญาณแห่งมิตรภาพและความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ในการนี้ ข้าพเจ้าขอยืนยันความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของรัฐบาลไทยที่จะทํางานอย่างใกล้ชิดร่วมกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อยกระดับและขยายขอบเขตของการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมีสารแสดงความยินดีถึงนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนในโอกาสครบรอบ 45 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
นายกรัฐมนตรีมีสารแสดงความยินดีถึงนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนในโอกาสครบรอบ 45 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีสารแสดงความยินดีถึงนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนในโอกาสครบรอบ 45 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ดังนี้
- คําแปลอย่างไม่เป็นทางการ –
สารแสดงความยินดีจากนายกรัฐมนตรี
ถึงนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในโอกาสครบรอบ 45ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต
ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
วันที่ 1กรกฎาคม 2563
* * * * *
ฯพณฯ
วันที่ 1กรกฎาคม 2563ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนจะครบรอบ 45ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในโอกาสพิเศษอันเป็นมงคลนี้ ในนามของรัฐบาลและประชาชนแห่งราชอาณาจักรไทย ข้าพเจ้าถือเป็นเกียรติที่จะส่งคําอวยพรอย่างจริงใจมาถึงท่าน และผ่านท่านไปยังรัฐบาลและประชาชนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ ข้าพเจ้าขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อประธานาธิบดีสี จิ้นผิงและท่านที่ได้ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งสองประเทศ
เมื่อมองย้อนกลับไปบนเส้นทางแห่งมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างไทยกับจีน นับเป็นความพิเศษที่ทั้งสองประเทศได้แบ่งปันความทรงจําอันล้ําค่าและฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลําบากร่วมกัน สิ่งนี้ได้ช่วยหล่อหลอมเป็นความผูกพันอันใกล้ชิดและลึกซึ้งระหว่างไทยกับจีนที่ไม่เพียงครอบคลุมความสัมพันธ์ระดับรัฐบาลกลาง แต่ยังได้ขยายไปสู่รัฐบาลระดับมณฑล ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนของพวกเรา ความสัมพันธ์พิเศษนี้เหมาะสมอย่างยิ่งกับคํากล่าวในภาษาจีนที่ว่า “ไทยกับจีนใช่อื่นไกล เป็นพี่น้องกัน” (Zhong-Tai Yi Jia Qin)
ตลอดระยะเวลา 45ปีที่ผ่านมา ไทยกับจีนได้ร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ให้มีความก้าวหน้าอย่างเด่นชัด อันนํามาซึ่ง “การเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน” ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของ "นโยบายจีนเดียว"
ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน การเคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งการมีวิสัยทัศน์ร่วมกันต่อสันติภาพ
ความเจริญรุ่งเรือง และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ที่ผ่านมา ผู้นําและเจ้าหน้าที่ระดับสูงไทยและจีนต่างมีมิตรไมตรีต่อกันและติดต่อสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งได้กระชับให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือน ในด้านเศรษฐกิจ นับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ปริมาณการค้าทวิภาคีได้เพิ่มขึ้นถึง 3,000เท่า ขณะที่การลงทุนสะสมระหว่างกันมีมูลค่ามากกว่า 12พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทย ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีนมีสัดส่วนมากที่สุดในจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาเยือนไทย ทั้งสองประเทศต่างให้ความสําคัญกับการส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกันและภายในภูมิภาคผ่านโครงการความร่วมมือรถไฟไทย - จีน เพื่อส่งเสริมการดําเนินการตามข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI) และยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทย 4.0 ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนก็มีพลวัตเช่นกัน โดยมีการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษา กีฬา และวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดีและมิตรภาพระหว่างสองประเทศ การเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยกับจีนยังครอบคลุมความร่วมมือในกรอบอาเซียน - จีน กรอบความร่วมมือล้านช้าง - แม่โขง และกรอบ ACMECS รวมทั้งเวทีพหุภาคีอื่น ๆ ในการนี้ ไทยสนับสนุนบทบาทอันสร้างสรรค์และในเชิงรุกของจีน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจหลักของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงที่จะแสดงบทบาทของจีนในฐานะประเทศมหาอํานาจที่มีความรับผิดชอบในเวทีระหว่างประเทศ
ขณะที่เรากําลังก้าวสู่ความสัมพันธ์ในทศวรรษถัดไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก ซึ่งรวมถึงสถานการณ์ COVID-19 ในปัจจุบัน มีความจําเป็นมากยิ่งขึ้นที่ไทยและจีนจะร่วมมือกันรับมือกับความท้าทายที่เราจะต้องเผชิญด้วยจิตวิญญาณแห่งมิตรภาพและความเป็นน้ําหนึ่งใจเดียวกัน ในการนี้ ข้าพเจ้าขอยืนยันความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของรัฐบาลไทยที่จะทํางานอย่างใกล้ชิดร่วมกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อยกระดับและขยายขอบเขตของการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้านต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33033
|
รัฐบาลไทย-ทส. เดินหน้าเตรียมรับมือสถานการณ์ปัญหาหมอกควันภาคใต้ ปี 2563 มุ่งเน้นการบูรณาการแก้ไขปัญหาไฟป่าพรุและหมอกควันข้ามแดน
|
วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน 2563
ทส. เดินหน้าเตรียมรับมือสถานการณ์ปัญหาหมอกควันภาคใต้ ปี 2563 มุ่งเน้นการบูรณาการแก้ไขปัญหาไฟป่าพรุและหมอกควันข้ามแดน
ทส. เดินหน้าเตรียมรับมือสถานการณ์ปัญหาหมอกควันภาคใต้ ปี 2563 มุ่งเน้นการบูรณาการแก้ไขปัญหาไฟป่าพรุและหมอกควันข้ามแดน
ทส. เดินหน้าเตรียมรับมือสถานการณ์ปัญหาหมอกควันภาคใต้ ปี 2563 มุ่งเน้นการบูรณาการแก้ไขปัญหาไฟป่าพรุและหมอกควันข้ามแดน
วันนี้ (27 มิ.ย. 63) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคใต้ ปี 2563 เพื่อเตรียมความพร้อมและซักซ้อมแนวทางในการรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคใต้ ปี 2563 โดยเน้นการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในพื้นที่และส่วนกลาง โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ
นายศิริพัฒ พัฒกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้แทนจากกองทัพภาคที่ 4 ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้แทนหน่วยงานใน 14 จังหวัดภาคใต้ เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมศรีวิชัย ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า ปัญหาหมอกควันข้ามแดนทางภาคใต้นั้น ได้มอบให้กรมควบคุมมลพิษ เป็นหน่วยงานหลักในการประสานความร่วมมือการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้กลไกข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน สําหรับสถานการณ์ไฟป่าพรุ รมว.ทส. ได้กล่าวขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช หน่วยงานทุกภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่บูรณาการร่วมกันในการสร้างฝายกันน้ํา และสูบน้ําเข้าป่าพรุนับแสนไร่ ทําให้มีปริมาณน้ําในป่าพรุที่สูงกว่าปีก่อน ซึ่งจะเป็นการป้องกันปัญหาไฟป่าได้ง่าย แต่ก็ต้องมีการเฝ้าระวังไม่ให้น้ําลดและการนําน้ําออกจากพื้นที่ป่ากันต่อไป
รมว.ทส. ยังได้ฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สร้างความเข้าใจกับประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณป่าพรุในเรื่องการบริหารจัดการน้ําในป่าพรุ ทั้งในเรื่องการใช้ทําการเกษตร ซึ่งจะส่งผลทําให้น้ําในป่าพรุลดน้อยลงในช่วงฤดูแล้ง อีกทั้งในช่วงฤดูฝนปริมาณน้ําก็จะสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาอุทกภัยตามมา ดังนั้น จึงต้องสร้างความเข้าให้แก่ประชาชนเพื่อบริหารจัดการน้ําในป่าพรุให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างสมดุลและยังยืน ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ทส. เดินหน้าเตรียมรับมือสถานการณ์ปัญหาหมอกควันภาคใต้ ปี 2563 มุ่งเน้นการบูรณาการแก้ไขปัญหาไฟป่าพรุและหมอกควันข้ามแดน
วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน 2563
ทส. เดินหน้าเตรียมรับมือสถานการณ์ปัญหาหมอกควันภาคใต้ ปี 2563 มุ่งเน้นการบูรณาการแก้ไขปัญหาไฟป่าพรุและหมอกควันข้ามแดน
ทส. เดินหน้าเตรียมรับมือสถานการณ์ปัญหาหมอกควันภาคใต้ ปี 2563 มุ่งเน้นการบูรณาการแก้ไขปัญหาไฟป่าพรุและหมอกควันข้ามแดน
ทส. เดินหน้าเตรียมรับมือสถานการณ์ปัญหาหมอกควันภาคใต้ ปี 2563 มุ่งเน้นการบูรณาการแก้ไขปัญหาไฟป่าพรุและหมอกควันข้ามแดน
วันนี้ (27 มิ.ย. 63) เวลา 09.00 น. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากร
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคใต้ ปี 2563 เพื่อเตรียมความพร้อมและซักซ้อมแนวทางในการรับมือสถานการณ์หมอกควันภาคใต้ ปี 2563 โดยเน้นการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในพื้นที่และส่วนกลาง โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ
นายศิริพัฒ พัฒกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้แทนจากกองทัพภาคที่ 4 ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และผู้แทนหน่วยงานใน 14 จังหวัดภาคใต้ เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมศรีวิชัย ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช
นายวราวุธ ศิลปอาชา กล่าวว่า ปัญหาหมอกควันข้ามแดนทางภาคใต้นั้น ได้มอบให้กรมควบคุมมลพิษ เป็นหน่วยงานหลักในการประสานความร่วมมือการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้กลไกข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน สําหรับสถานการณ์ไฟป่าพรุ รมว.ทส. ได้กล่าวขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช หน่วยงานทุกภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่บูรณาการร่วมกันในการสร้างฝายกันน้ํา และสูบน้ําเข้าป่าพรุนับแสนไร่ ทําให้มีปริมาณน้ําในป่าพรุที่สูงกว่าปีก่อน ซึ่งจะเป็นการป้องกันปัญหาไฟป่าได้ง่าย แต่ก็ต้องมีการเฝ้าระวังไม่ให้น้ําลดและการนําน้ําออกจากพื้นที่ป่ากันต่อไป
รมว.ทส. ยังได้ฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สร้างความเข้าใจกับประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณป่าพรุในเรื่องการบริหารจัดการน้ําในป่าพรุ ทั้งในเรื่องการใช้ทําการเกษตร ซึ่งจะส่งผลทําให้น้ําในป่าพรุลดน้อยลงในช่วงฤดูแล้ง อีกทั้งในช่วงฤดูฝนปริมาณน้ําก็จะสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเกิดปัญหาอุทกภัยตามมา ดังนั้น จึงต้องสร้างความเข้าให้แก่ประชาชนเพื่อบริหารจัดการน้ําในป่าพรุให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างสมดุลและยังยืน ต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32852
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรไทยผนึกกำลังอาเซียน แสดงจุดยืนสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงด้านอาหาร
|
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
เกษตรไทยผนึกกําลังอาเซียน แสดงจุดยืนสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงด้านอาหาร
เกษตรไทยผนึกกําลังอาเซียน แสดงจุดยืนสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงด้านอาหาร และการปรับตัวฟื้นวิกฤตโควิด-19
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีเกษตรอาเซียน 10 ประเทศ (อาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้) ได้ร่วมรับรองถ้อยแถลงว่าด้วยการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เพื่อสร้างความมั่นใจถึงความมั่นคงด้านอาหาร ความปลอดภัยด้านอาหารและคุณค่าทางโภชนาการในอาเซียนว่า อาเซียนจะเร่งผลักดันการดําเนินการตามกลไกที่มีอยู่แล้วภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าประชากรในอาเซียนจะมีอาหารเพียงพอต่อการดํารงชีวิต เป็นอาหารที่ปลอดภัย และมีคุณค่าทางอาหารที่เหมาะสมท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจะดําเนินการเพื่อให้มั่นใจว่ามีการสํารองข้าวฉุกเฉินที่เพียงพอ การมีข้อมูลการตลาดที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ผ่านการดําเนินงานของสํานักเลขานุการระบบข้อมูลสารสนเทศความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคอาเซียน (AFSIS) และองค์กรสํารองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (APTERR) รวมทั้งประเมินสถานการณ์และคาดการณ์สถานการณ์อาหารของภูมิภาคอาเซียนและของโลก ทั้งด้านการค้า ราคา คุณภาพ และปริมาณสํารองของอาหารพื้นฐาน เช่น ข้าว ข้าวโพด และน้ําตาล เป็นต้น โดยมีคณะกรรมการสํารองอาหารเพื่อความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียน (AFSRB) ร่วมกับ AFSIS และ APTERR และประสานงานกับคณะทํางานที่เกี่ยวข้องด้านอาหาร พืช ปศุสัตว์ ประมง และป่าไม้ และส่งเสริมการอํานวยความสะดวก การดําเนินการตามนโยบายด้านความปลอดภัยอาหารของอาเซียน และกรอบการดําเนินงานด้านการกํากับดูแลด้านความปลอดภัยอาหารของอาเซียน
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 ณ นครดานัง ประเทศเวียดนาม ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ 26 ได้ร่วมประกาศ “ถ้อยแถลงการส่งเสริมความร่วมมือของอาเซียนเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-19” อาทิ การรักษาตลาดอาเซียนที่เปิดกว้างสําหรับการค้าและการลงทุน การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและการค้าดิจิทัลเพื่อเอื้อภาคธุรกิจ การเสริมสร้างความยืดหยุ่นและยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน และเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 ในการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี) สมัยพิเศษ ว่าด้วยการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผ่านระบบการประชุมทางไกล อาเซียนได้เห็นชอบร่างฯ 2 ฉบับ ได้แก่ “ร่างปฏิญญาของการประชุมสุดยอดอาเซียน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน +3 สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการเตรียมความพร้อมสําหรับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขและด้านอื่น ๆ ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยพร้อมจะร่วมมือกับนานาประเทศในอาเซียน พลิกวิกฤตจากการระบาดของโควิด-19 ให้เป็นโอกาส และต้องเร่งปรับตัวในทุกด้านเพื่อให้มีความยืดหยุ่นและเข้มแข็ง พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดนิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ที่มา : สํานักการเกษตรต่างประเทศ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรไทยผนึกกำลังอาเซียน แสดงจุดยืนสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงด้านอาหาร
วันพุธที่ 29 เมษายน 2563
เกษตรไทยผนึกกําลังอาเซียน แสดงจุดยืนสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงด้านอาหาร
เกษตรไทยผนึกกําลังอาเซียน แสดงจุดยืนสร้างความมั่นใจด้านความมั่นคงด้านอาหาร และการปรับตัวฟื้นวิกฤตโควิด-19
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีเกษตรอาเซียน 10 ประเทศ (อาเซียนด้านการเกษตรและป่าไม้) ได้ร่วมรับรองถ้อยแถลงว่าด้วยการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เพื่อสร้างความมั่นใจถึงความมั่นคงด้านอาหาร ความปลอดภัยด้านอาหารและคุณค่าทางโภชนาการในอาเซียนว่า อาเซียนจะเร่งผลักดันการดําเนินการตามกลไกที่มีอยู่แล้วภายใต้กรอบความร่วมมือนี้ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าประชากรในอาเซียนจะมีอาหารเพียงพอต่อการดํารงชีวิต เป็นอาหารที่ปลอดภัย และมีคุณค่าทางอาหารที่เหมาะสมท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจะดําเนินการเพื่อให้มั่นใจว่ามีการสํารองข้าวฉุกเฉินที่เพียงพอ การมีข้อมูลการตลาดที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ผ่านการดําเนินงานของสํานักเลขานุการระบบข้อมูลสารสนเทศความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคอาเซียน (AFSIS) และองค์กรสํารองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (APTERR) รวมทั้งประเมินสถานการณ์และคาดการณ์สถานการณ์อาหารของภูมิภาคอาเซียนและของโลก ทั้งด้านการค้า ราคา คุณภาพ และปริมาณสํารองของอาหารพื้นฐาน เช่น ข้าว ข้าวโพด และน้ําตาล เป็นต้น โดยมีคณะกรรมการสํารองอาหารเพื่อความมั่นคงแห่งภูมิภาคอาเซียน (AFSRB) ร่วมกับ AFSIS และ APTERR และประสานงานกับคณะทํางานที่เกี่ยวข้องด้านอาหาร พืช ปศุสัตว์ ประมง และป่าไม้ และส่งเสริมการอํานวยความสะดวก การดําเนินการตามนโยบายด้านความปลอดภัยอาหารของอาเซียน และกรอบการดําเนินงานด้านการกํากับดูแลด้านความปลอดภัยอาหารของอาเซียน
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 ณ นครดานัง ประเทศเวียดนาม ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ 26 ได้ร่วมประกาศ “ถ้อยแถลงการส่งเสริมความร่วมมือของอาเซียนเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของไวรัสโควิด-19” อาทิ การรักษาตลาดอาเซียนที่เปิดกว้างสําหรับการค้าและการลงทุน การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและการค้าดิจิทัลเพื่อเอื้อภาคธุรกิจ การเสริมสร้างความยืดหยุ่นและยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทาน และเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 ในการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี) สมัยพิเศษ ว่าด้วยการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ผ่านระบบการประชุมทางไกล อาเซียนได้เห็นชอบร่างฯ 2 ฉบับ ได้แก่ “ร่างปฏิญญาของการประชุมสุดยอดอาเซียน สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน +3 สมัยพิเศษ ว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อร่วมกันส่งเสริมความร่วมมือและการสนับสนุนซึ่งกันและกันในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งการเตรียมความพร้อมสําหรับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขและด้านอื่น ๆ ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยพร้อมจะร่วมมือกับนานาประเทศในอาเซียน พลิกวิกฤตจากการระบาดของโควิด-19 ให้เป็นโอกาส และต้องเร่งปรับตัวในทุกด้านเพื่อให้มีความยืดหยุ่นและเข้มแข็ง พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดนิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ที่มา : สํานักการเกษตรต่างประเทศ
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29961
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรผนึกกำลังพันธมิตรพร้อมใช้เทคโนโลยี Blockchain คืนภาษีนักท่องเที่ยวประเทศแรกของโลก
|
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563
กรมสรรพากรผนึกกําลังพันธมิตรพร้อมใช้เทคโนโลยี Blockchain คืนภาษีนักท่องเที่ยวประเทศแรกของโลก
กรมสรรพากรพร้อมพันธมิตร (กรมศุลกากร สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เป็นต้น) เปิดตัวและนําระบบเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้ให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยวผ่าน Mobile Application ที่แรกของโลก
กรมสรรพากรพร้อมพันธมิตร (กรมศุลกากร สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เป็นต้น) เปิดตัวและนําระบบเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้ให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยวผ่าน Mobile Application ที่แรกของโลก (The World’s First VAT Refund for Tourists App powered by Blockchain) ในวันที่ 17 มกราคม 2563 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดงานดังกล่าว
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกําลังขับเคลื่อนสู่การเป็น Digital อย่างเต็มรูปแบบ สําหรับการนําระบบเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้ให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยวผ่าน Mobile Application ของกรมสรรพากรและพันธมิตรเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลัง 4 หน่วยงานกับธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ในการดําเนินงานโครงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพระบบงาน นอกจากนี้ ยังมีส่วนสําคัญในการอํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้การพิจารณาคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าให้เพิ่มขึ้น และส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้จากท่าอากาศยานนานาชาติทั้ง 10 แห่ง และตัวแทนให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรในเมืองที่กรมสรรพากรได้อนุมัติ อย่างไรก็ดี จากสถิติการคืนภาษีนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2553-2562) พบว่าจํานวนนักท่องเที่ยวที่ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นสูงถึงกว่า 6 เท่า จาก 352,000 ราย ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 2.6 ล้านราย ในปี 2562 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ มูลค่าการซื้อสินค้าและบริการของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า จาก 10,900 ล้านบาท ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 46,000 ล้านบาท ในปี 2562
ดังนั้น เพื่ออํานวยความสะดวกนักท่องเที่ยวให้สามารถคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย กรมสรรพากรได้นําระบบเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้ให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยวผ่าน “Application Thailand VRT” ระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบ Digital เต็มรูปแบบ อํานวยความสะดวกนักท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวสามารถตรวจสอบข้อมูลการซื้อสินค้าและบริการ รวมทั้งข้อมูลการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน Click เดียวตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ กรมสรรพากรได้ร่วมกับกรมศุลกากร สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และธนาคารกรุงไทยฯ พัฒนาระบบ Web Application เพื่อให้สามารถทํางานได้แบบ Paperless ในการตรวจสอบข้อมูลและยืนยันสถานะสินค้าที่ได้มีการนําออกนอกประเทศ และเปิด API ให้ร้านค้าสามารถส่งข้อมูลการซื้อสินค้าและบริการของนักท่องเที่ยวเข้าสู่ระบบเพื่อการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากรได้ นับว่าเป็นการพัฒนาระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยวแบบ Digital เต็มรูปแบบ
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดําเนินโครงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง โดยในส่วนของการนําเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้กับกรมสรรพากรในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยว ผ่าน Application Thailand VRT นั้น ปัจจุบันพร้อมใช้งาน และธนาคารได้ร่วมกับกรมสรรพากรในการเชื่อมต่อกับร้านค้าต่างๆ โดยคาดว่าภายในไตรมาสแรกของปีนี้จะมีผู้ประกอบการร้านค้าอีกประมาณ 5,000 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการ Vat Refund for Tourists พร้อมเข้าสู่ระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยว
“ธนาคารเชื่อมั่นว่า ระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของธนาคาร จะช่วยอํานวยความสะดวกและเพิ่มความพึงพอใจให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ธนาคารนํามาใช้นั้นมีความปลอดภัย สามารถตรวจสอบการได้รับเงินภาษีมูลค่าเพิ่มคืนผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่นักท่องเที่ยวเลือกไว้ ไม่ว่าจะเป็น Alipay WeChat บัตรวีซ่า มาสเตอร์การ์ด เจซีบี และยูเนี่ยนเพย์ นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ร่วมลงนามกับบริษัทท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) กรมสรรพากร กรมศุลกากร ในการเพิ่มช่องทางสื่อสารประชาสัมพันธ์โครงการ Vat Refund for Tourists ภายใต้ภารกิจของกรมสรรมพากร เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น"
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า การบูรณาการความร่วมมือของ 4 หน่วยงานประกอบด้วย กรมสรรพากร กรมศุลกากร สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และธนาคารกรุงไทยฯ โดยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) นี้ เป็นต้นแบบของการบูรณาการการทํางานภาครัฐและภาคเอกชนอย่างแท้จริง ซึ่งช่วยอํานวยความสะดวก ลดระยะเวลาการดําเนินการ ลดค่าใช้จ่ายการบริการภาครัฐ และมีส่วนสําคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งจะทําให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรผนึกกำลังพันธมิตรพร้อมใช้เทคโนโลยี Blockchain คืนภาษีนักท่องเที่ยวประเทศแรกของโลก
วันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2563
กรมสรรพากรผนึกกําลังพันธมิตรพร้อมใช้เทคโนโลยี Blockchain คืนภาษีนักท่องเที่ยวประเทศแรกของโลก
กรมสรรพากรพร้อมพันธมิตร (กรมศุลกากร สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เป็นต้น) เปิดตัวและนําระบบเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้ให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยวผ่าน Mobile Application ที่แรกของโลก
กรมสรรพากรพร้อมพันธมิตร (กรมศุลกากร สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เป็นต้น) เปิดตัวและนําระบบเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้ให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยวผ่าน Mobile Application ที่แรกของโลก (The World’s First VAT Refund for Tourists App powered by Blockchain) ในวันที่ 17 มกราคม 2563 ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดงานดังกล่าว
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังกําลังขับเคลื่อนสู่การเป็น Digital อย่างเต็มรูปแบบ สําหรับการนําระบบเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้ให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยวผ่าน Mobile Application ของกรมสรรพากรและพันธมิตรเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลัง 4 หน่วยงานกับธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ในการดําเนินงานโครงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ยกระดับเพิ่มประสิทธิภาพระบบงาน นอกจากนี้ ยังมีส่วนสําคัญในการอํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้การพิจารณาคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าให้เพิ่มขึ้น และส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้จากท่าอากาศยานนานาชาติทั้ง 10 แห่ง และตัวแทนให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรในเมืองที่กรมสรรพากรได้อนุมัติ อย่างไรก็ดี จากสถิติการคืนภาษีนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2553-2562) พบว่าจํานวนนักท่องเที่ยวที่ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นสูงถึงกว่า 6 เท่า จาก 352,000 ราย ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 2.6 ล้านราย ในปี 2562 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ มูลค่าการซื้อสินค้าและบริการของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า จาก 10,900 ล้านบาท ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 46,000 ล้านบาท ในปี 2562
ดังนั้น เพื่ออํานวยความสะดวกนักท่องเที่ยวให้สามารถคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย กรมสรรพากรได้นําระบบเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้ให้บริการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้นักท่องเที่ยวผ่าน “Application Thailand VRT” ระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบ Digital เต็มรูปแบบ อํานวยความสะดวกนักท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวสามารถตรวจสอบข้อมูลการซื้อสินค้าและบริการ รวมทั้งข้อมูลการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน Click เดียวตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ กรมสรรพากรได้ร่วมกับกรมศุลกากร สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และธนาคารกรุงไทยฯ พัฒนาระบบ Web Application เพื่อให้สามารถทํางานได้แบบ Paperless ในการตรวจสอบข้อมูลและยืนยันสถานะสินค้าที่ได้มีการนําออกนอกประเทศ และเปิด API ให้ร้านค้าสามารถส่งข้อมูลการซื้อสินค้าและบริการของนักท่องเที่ยวเข้าสู่ระบบเพื่อการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากรได้ นับว่าเป็นการพัฒนาระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยวแบบ Digital เต็มรูปแบบ
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการดําเนินโครงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง โดยในส่วนของการนําเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้กับกรมสรรพากรในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยว ผ่าน Application Thailand VRT นั้น ปัจจุบันพร้อมใช้งาน และธนาคารได้ร่วมกับกรมสรรพากรในการเชื่อมต่อกับร้านค้าต่างๆ โดยคาดว่าภายในไตรมาสแรกของปีนี้จะมีผู้ประกอบการร้านค้าอีกประมาณ 5,000 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการ Vat Refund for Tourists พร้อมเข้าสู่ระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยว
“ธนาคารเชื่อมั่นว่า ระบบการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของธนาคาร จะช่วยอํานวยความสะดวกและเพิ่มความพึงพอใจให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ธนาคารนํามาใช้นั้นมีความปลอดภัย สามารถตรวจสอบการได้รับเงินภาษีมูลค่าเพิ่มคืนผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่นักท่องเที่ยวเลือกไว้ ไม่ว่าจะเป็น Alipay WeChat บัตรวีซ่า มาสเตอร์การ์ด เจซีบี และยูเนี่ยนเพย์ นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ร่วมลงนามกับบริษัทท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) กรมสรรพากร กรมศุลกากร ในการเพิ่มช่องทางสื่อสารประชาสัมพันธ์โครงการ Vat Refund for Tourists ภายใต้ภารกิจของกรมสรรมพากร เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น"
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า การบูรณาการความร่วมมือของ 4 หน่วยงานประกอบด้วย กรมสรรพากร กรมศุลกากร สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และธนาคารกรุงไทยฯ โดยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) นี้ เป็นต้นแบบของการบูรณาการการทํางานภาครัฐและภาคเอกชนอย่างแท้จริง ซึ่งช่วยอํานวยความสะดวก ลดระยะเวลาการดําเนินการ ลดค่าใช้จ่ายการบริการภาครัฐ และมีส่วนสําคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งจะทําให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161
กรมสรรพากร สํานักงานเลขานุการกรม ส่วนประชาสัมพันธ์
โทร. 0 2272 9529-30 โทรสาร 0 2617 3324 หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร 1161 (RD Intelligence Center)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25874
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นักสืบโรคระบาด คือใคร มีหน้าที่อย่างไร ??
|
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
นักสืบโรคระบาด คือใคร มีหน้าที่อย่างไร ??
นักสืบโรคระบาด คืออะไร ??
Q : นักสืบโรคระบาด คือใคร มีหน้าที่อย่างไร ??
A : นักสืบโรคระบาด เป็นผู้ที่ค้นหาผู้ป่วยเพื่อรักษาและสืบต้นตอที่มาที่ไปของการกระจายเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วยสหวิชาชีพ ทั้งแพทย์ พยาบาล ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล ซึ่งหากพบผู้ป่วยและทราบที่มาที่ไปได้รวดเร็ว ก็สามารถทําการรักษาและลดการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นักสืบโรคระบาด คือใคร มีหน้าที่อย่างไร ??
วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2563
นักสืบโรคระบาด คือใคร มีหน้าที่อย่างไร ??
นักสืบโรคระบาด คืออะไร ??
Q : นักสืบโรคระบาด คือใคร มีหน้าที่อย่างไร ??
A : นักสืบโรคระบาด เป็นผู้ที่ค้นหาผู้ป่วยเพื่อรักษาและสืบต้นตอที่มาที่ไปของการกระจายเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วยสหวิชาชีพ ทั้งแพทย์ พยาบาล ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล ซึ่งหากพบผู้ป่วยและทราบที่มาที่ไปได้รวดเร็ว ก็สามารถทําการรักษาและลดการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33267
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ฯ ผนึกกำลังพันธมิตรบน ถ.พระรามที่ 6 จัดงาน “ถนนสายวิทยาศาสตร์” นักวิทย์น้อย ตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทำ รับวันเด็กแห่งชาติ ปี 60
|
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2560
ก.วิทย์ฯ ผนึกกําลังพันธมิตรบน ถ.พระรามที่ 6 จัดงาน “ถนนสายวิทยาศาสตร์” นักวิทย์น้อย ตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทํา รับวันเด็กแห่งชาติ ปี 60
ก.วิทย์ฯ ผนึกกําลังพันธมิตรบน ถ.พระรามที่ 6 จัดงาน “ถนนสายวิทยาศาสตร์” นักวิทย์น้อย ตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทํา รับวันเด็กแห่งชาติ ปี 60
6 มกราคม 2560 / กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับพันธมิตรทางด้านวิทยาศาสตร์ บนถนนโยธี และถนนพระรามที่ 6 แถลงข่าวการจัดงาน"ถนนสายวิทยาศาสตร์" รับวันเด็กแห่งชาติ ปี 2560 ภายใต้แนวคิดนักวิทย์น้อย ตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทําโดยมี ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ นางกรรณิการ์ วงศ์ทองศิริ รองผู้อํานวยการ รักษาการแทนผู้อํานวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ณ ห้องโถงชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวว่า กระทรวงวิทย์ฯ เล็งเห็นว่าการพัฒนากําลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ วทน. มีความสําคัญเป็นอย่างมากต่อการนําประเทศก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพทางด้านนี้ในเด็กและเยาวชน ผ่านการฝึกฝนวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ เป็นพื้นฐานของการสร้างสังคมแห่งความรู้ และสังคมที่มีเหตุมีผลพร้อมกับการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการใฝ่เรียนใฝ่รู้ สามารถนําความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปบูรณาการกับศาสตร์อื่นๆได้ ซึ่งกิจกรรมปีนี้จะเน้นตามแนวคิดนักวิทย์น้อย ตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทํา เพื่อเด็กและเยาวชนได้ตระหนักถึงความสําคัญด้านการทรงงาน ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในด้าน วทน."เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีและสร้างสรรค์นวัตกรรม เปลี่ยนประเทศไทยไปสู่สังคมฐานนวัตกรรม สิ่งสําคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยสู่ความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน เป้าหมายของไทยแลนด์ 4.0" ดร.อรรชกา กล่าว
ด้าน นางกรรณิการ์ วงศ์ทองศิริ รองผู้อํานวยการ รักษาการแทนผู้อํานวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้ยังคงมีสาระและความสนุกสนานอย่างครบครันจากทุกหน่วยงานที่ร่วมจัดเช่นเคย โดยไฮไลท์ของนิทรรศการและกิจกรรมในปีนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้หลักการทรงงานด้าน วทน. ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งจะได้สนุกกับการเดินทางผ่านสถานีต่างๆ อาทิ สถานที่ทําของเล่น ตามรอยพ่อ และยังมีกิจกรรมอีกมากมายจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทย์ฯ ที่รอให้เด็กและเยาวชนมาร่วมเรียนรู้กันอย่างสนุกสนานอีกมากมาย
สําหรับ "งานถนนสายวิทยาศาสตร์" เป็นกิจกรรมสําคัญที่จัดขึ้นเพื่อมุ่งหวังกระตุ้นและจุดประกายให้เยาวชนไทยหันมาสนใจเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยถือเอาวันเด็กแห่งชาติของทุกปีเป็นวาระสําคัญในการจัดงานนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งจัดมาแล้วเป็นปีที่ 11 โดยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์วัดถนนโยธีและพระรามที่ 6 ได้แก่ สํานักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงอุสาหกรรม และกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยในปีนี้ได้มีการสร้างสรรค์นิทรรศการกิจกรรมต่างๆ ขึ้นภายใต้แนวคิด "นักวิทย์น้อย ตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทํา" ซึ่งจะเป็นการน้อมนําหลักการทรงงานและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเฉพาะการทรงงานด้าน วทน.
ทั้งนี้ ขอเชิญผู้ปกครอง พาลูกหลานมาเที่ยวชม "ถนนสายวิทยาศาสตร์รับวันเด็กแห่งชาติ 2560" เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาความคิด รวม 29 สถานี กว่า 100 กิจกรรม ระหว่างวันที่ 12-14 มกราคม 2560 ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพมหานคร
ข่าวโดย : นางสาวศิริวรรณ หมินหมัน
ภาพโดยและวีดิโอ : นายธนฉัตร มาลาเจริญ นายสุเมธ บุญเอื้อ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728-3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail:pr@most.go.thFacebook : sciencethailand
Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.วิทย์ฯ ผนึกกำลังพันธมิตรบน ถ.พระรามที่ 6 จัดงาน “ถนนสายวิทยาศาสตร์” นักวิทย์น้อย ตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทำ รับวันเด็กแห่งชาติ ปี 60
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2560
ก.วิทย์ฯ ผนึกกําลังพันธมิตรบน ถ.พระรามที่ 6 จัดงาน “ถนนสายวิทยาศาสตร์” นักวิทย์น้อย ตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทํา รับวันเด็กแห่งชาติ ปี 60
ก.วิทย์ฯ ผนึกกําลังพันธมิตรบน ถ.พระรามที่ 6 จัดงาน “ถนนสายวิทยาศาสตร์” นักวิทย์น้อย ตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทํา รับวันเด็กแห่งชาติ ปี 60
6 มกราคม 2560 / กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับพันธมิตรทางด้านวิทยาศาสตร์ บนถนนโยธี และถนนพระรามที่ 6 แถลงข่าวการจัดงาน"ถนนสายวิทยาศาสตร์" รับวันเด็กแห่งชาติ ปี 2560 ภายใต้แนวคิดนักวิทย์น้อย ตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทําโดยมี ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รศ.นพ.สรนิต ศิลธรรม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ นางกรรณิการ์ วงศ์ทองศิริ รองผู้อํานวยการ รักษาการแทนผู้อํานวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ณ ห้องโถงชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า สํานักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวว่า กระทรวงวิทย์ฯ เล็งเห็นว่าการพัฒนากําลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ วทน. มีความสําคัญเป็นอย่างมากต่อการนําประเทศก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพทางด้านนี้ในเด็กและเยาวชน ผ่านการฝึกฝนวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ เป็นพื้นฐานของการสร้างสังคมแห่งความรู้ และสังคมที่มีเหตุมีผลพร้อมกับการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการใฝ่เรียนใฝ่รู้ สามารถนําความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไปบูรณาการกับศาสตร์อื่นๆได้ ซึ่งกิจกรรมปีนี้จะเน้นตามแนวคิดนักวิทย์น้อย ตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทํา เพื่อเด็กและเยาวชนได้ตระหนักถึงความสําคัญด้านการทรงงาน ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในด้าน วทน."เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีและสร้างสรรค์นวัตกรรม เปลี่ยนประเทศไทยไปสู่สังคมฐานนวัตกรรม สิ่งสําคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยสู่ความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน เป้าหมายของไทยแลนด์ 4.0" ดร.อรรชกา กล่าว
ด้าน นางกรรณิการ์ วงศ์ทองศิริ รองผู้อํานวยการ รักษาการแทนผู้อํานวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้ยังคงมีสาระและความสนุกสนานอย่างครบครันจากทุกหน่วยงานที่ร่วมจัดเช่นเคย โดยไฮไลท์ของนิทรรศการและกิจกรรมในปีนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้หลักการทรงงานด้าน วทน. ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งจะได้สนุกกับการเดินทางผ่านสถานีต่างๆ อาทิ สถานที่ทําของเล่น ตามรอยพ่อ และยังมีกิจกรรมอีกมากมายจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทย์ฯ ที่รอให้เด็กและเยาวชนมาร่วมเรียนรู้กันอย่างสนุกสนานอีกมากมาย
สําหรับ "งานถนนสายวิทยาศาสตร์" เป็นกิจกรรมสําคัญที่จัดขึ้นเพื่อมุ่งหวังกระตุ้นและจุดประกายให้เยาวชนไทยหันมาสนใจเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยถือเอาวันเด็กแห่งชาติของทุกปีเป็นวาระสําคัญในการจัดงานนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งจัดมาแล้วเป็นปีที่ 11 โดยร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์วัดถนนโยธีและพระรามที่ 6 ได้แก่ สํานักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงอุสาหกรรม และกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยในปีนี้ได้มีการสร้างสรรค์นิทรรศการกิจกรรมต่างๆ ขึ้นภายใต้แนวคิด "นักวิทย์น้อย ตามรอยพ่อ สานต่อที่พ่อทํา" ซึ่งจะเป็นการน้อมนําหลักการทรงงานและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยเฉพาะการทรงงานด้าน วทน.
ทั้งนี้ ขอเชิญผู้ปกครอง พาลูกหลานมาเที่ยวชม "ถนนสายวิทยาศาสตร์รับวันเด็กแห่งชาติ 2560" เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาความคิด รวม 29 สถานี กว่า 100 กิจกรรม ระหว่างวันที่ 12-14 มกราคม 2560 ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพมหานคร
ข่าวโดย : นางสาวศิริวรรณ หมินหมัน
ภาพโดยและวีดิโอ : นายธนฉัตร มาลาเจริญ นายสุเมธ บุญเอื้อ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 02 333 3728-3732 โทรสาร 02 333 3834
E-Mail:pr@most.go.thFacebook : sciencethailand
Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 1313
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1252
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ร่วมเสวนาเรื่อง “พลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) กับตำบลเข้มแข็ง”
|
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563
รมว.พม. ร่วมเสวนาเรื่อง “พลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) กับตําบลเข้มแข็ง”
รมว.พม. ร่วมเสวนาเรื่อง “พลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) กับตําบลเข้มแข็ง”
วันนี้ (20 ส.ค. 63) เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ร่วมเสวนาเรื่อง “พลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) กับตําบลเข้มแข็ง”ซึ่งกระทรวง พม. โดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จัดร่วมกับคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ํา วุฒิสภา คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกองทุนสานพลังเพื่อสังคมสุขภาวะ โดยมี นายแพทย์อําพล จินดาวัฒนะ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ศึกษา เสนอแนะ การแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ําด้านสังคม และประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามการปฏิรูปด้านสังคม กิจการผู้สูงอายุและสังคมสูงวัย เป็นประธานเปิดการเสวนา พร้อมด้วย ศ.นพ. ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เข้าร่วมเสวนา ณ ห้องประชุมไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ชั้น 1 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิกรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า การเสวนา “พลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) กับตําบลเข้มแข็ง” ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสานพลังหน่วยงานและองค์กรต่างๆในการหนุนเสริมให้เกิดพลังพลเมืองโดยเฉพาะการเป็นพลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) ที่มีความตื่นตัวกระตือรือร้น รวมตัว ร่วมคิด ร่วมทํา เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติให้เป็นไปตามเป้าหมาย “ตําบลเข้มแข็ง มั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน” และเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแสวงหาแนวในการหนุนเสริมให้เกิดพลังพลเรือนโดยเฉพาะการเป็นพลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) ที่มีความตื่นตัวกระตือรือร้น รวมตัว ร่วมคิด ร่วมทํา เพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผลไปสู่ชุมชนในระดับตําบลต่างๆต่อไป โดยวันนี้ นับเป็นการมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และวิธีการทํางานในเรื่องการลดปัญหาความเหลื่อมล้ําและความยากจน ซึ่งได้เห็นตรงกันว่าการแก้ปัญหาต้องมาจากฐานราก คือ ชุมชนทั่วประเทศ และทุกคนต้องยอมรับว่าโลกทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก แม้กระทั่งกระทรวง พม. ยังมีการปรับการทํางาน โดยเน้นการบูรณาการทรัพยากรที่มี และฟังวัตถุประสงค์ของประชาชนเป็นหลัก ทั้งนี้ จะมีการขยายชุมชนเข้มแข็งด้วยการสร้างตําบลคู่มิตร โดยจะไปทํางานร่วมกันกับตําบลอื่น เพื่อให้เกิดการบูรณาการกัน และมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้คือการลดความเหลื่อมล้ําและการสร้างโอกาส สร้างรายได้ และสร้างอาชีพให้เกิดขึ้นในชุมชน
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับเป้าหมายของการดําเนินงานนั้น คืออยากให้ทุกชุมชนมีความเข้มแข็ง ทั้งเรื่องของการสื่อสาร การทํางาน และต้องมีความทันสมัย ซึ่งจะนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงติดตามแก้ปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาของความเหลื่อมล้ํา ขณะเดียวกันทุกคนที่ไปทํางานด้านสังคม ด้านชุมชน ต้องให้โอกาส ให้ความเห็นใจ และให้เวลากับปัญหาของประชาชน ส่วนเรื่องทรัพยากรจะมาทีหลังการแก้ปัญหา ในเรื่องของการซ่อมบ้านนับเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งทุกหน่วยงานต้องร่วมกันให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าว ถ้าทุกคนมีบ้านที่มั่นคง ครอบครัวอบอุ่น และสังคมก็จะเข้มแข็ง วันนี้ประเทศไทยต้องการกลับมาซ่อมแซมครอบครัวให้เข้มแข็ง เพราะถ้าแก้ไขปัญหาที่ครอบครัวได้ปัญหาสังคมก็จะน้อยลง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ร่วมเสวนาเรื่อง “พลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) กับตำบลเข้มแข็ง”
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563
รมว.พม. ร่วมเสวนาเรื่อง “พลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) กับตําบลเข้มแข็ง”
รมว.พม. ร่วมเสวนาเรื่อง “พลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) กับตําบลเข้มแข็ง”
วันนี้ (20 ส.ค. 63) เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ร่วมเสวนาเรื่อง “พลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) กับตําบลเข้มแข็ง”ซึ่งกระทรวง พม. โดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. จัดร่วมกับคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ํา วุฒิสภา คณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และกองทุนสานพลังเพื่อสังคมสุขภาวะ โดยมี นายแพทย์อําพล จินดาวัฒนะ ประธานคณะอนุกรรมาธิการ ศึกษา เสนอแนะ การแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ําด้านสังคม และประธานคณะอนุกรรมาธิการติดตามการปฏิรูปด้านสังคม กิจการผู้สูงอายุและสังคมสูงวัย เป็นประธานเปิดการเสวนา พร้อมด้วย ศ.นพ. ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เข้าร่วมเสวนา ณ ห้องประชุมไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ชั้น 1 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิกรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า การเสวนา “พลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) กับตําบลเข้มแข็ง” ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสานพลังหน่วยงานและองค์กรต่างๆในการหนุนเสริมให้เกิดพลังพลเมืองโดยเฉพาะการเป็นพลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) ที่มีความตื่นตัวกระตือรือร้น รวมตัว ร่วมคิด ร่วมทํา เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติให้เป็นไปตามเป้าหมาย “ตําบลเข้มแข็ง มั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน” และเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และแสวงหาแนวในการหนุนเสริมให้เกิดพลังพลเรือนโดยเฉพาะการเป็นพลเมืองกัมมันตะ (Active Citizen) ที่มีความตื่นตัวกระตือรือร้น รวมตัว ร่วมคิด ร่วมทํา เพื่อเป็นต้นแบบในการขยายผลไปสู่ชุมชนในระดับตําบลต่างๆต่อไป โดยวันนี้ นับเป็นการมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และวิธีการทํางานในเรื่องการลดปัญหาความเหลื่อมล้ําและความยากจน ซึ่งได้เห็นตรงกันว่าการแก้ปัญหาต้องมาจากฐานราก คือ ชุมชนทั่วประเทศ และทุกคนต้องยอมรับว่าโลกทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก แม้กระทั่งกระทรวง พม. ยังมีการปรับการทํางาน โดยเน้นการบูรณาการทรัพยากรที่มี และฟังวัตถุประสงค์ของประชาชนเป็นหลัก ทั้งนี้ จะมีการขยายชุมชนเข้มแข็งด้วยการสร้างตําบลคู่มิตร โดยจะไปทํางานร่วมกันกับตําบลอื่น เพื่อให้เกิดการบูรณาการกัน และมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้คือการลดความเหลื่อมล้ําและการสร้างโอกาส สร้างรายได้ และสร้างอาชีพให้เกิดขึ้นในชุมชน
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับเป้าหมายของการดําเนินงานนั้น คืออยากให้ทุกชุมชนมีความเข้มแข็ง ทั้งเรื่องของการสื่อสาร การทํางาน และต้องมีความทันสมัย ซึ่งจะนําเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงติดตามแก้ปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาของความเหลื่อมล้ํา ขณะเดียวกันทุกคนที่ไปทํางานด้านสังคม ด้านชุมชน ต้องให้โอกาส ให้ความเห็นใจ และให้เวลากับปัญหาของประชาชน ส่วนเรื่องทรัพยากรจะมาทีหลังการแก้ปัญหา ในเรื่องของการซ่อมบ้านนับเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งทุกหน่วยงานต้องร่วมกันให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าว ถ้าทุกคนมีบ้านที่มั่นคง ครอบครัวอบอุ่น และสังคมก็จะเข้มแข็ง วันนี้ประเทศไทยต้องการกลับมาซ่อมแซมครอบครัวให้เข้มแข็ง เพราะถ้าแก้ไขปัญหาที่ครอบครัวได้ปัญหาสังคมก็จะน้อยลง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34379
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 1 พฤษภาคม 2561
|
วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 1 พฤษภาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 1 พฤษภาคม 2561
วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 1 พฤษภาคม 2561
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11886
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 22 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 22 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 22 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่22 เมษายน 2563
1. สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่5 มกราคม –22 เมษายน2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยจํานวน 2,554,568 ราย เสียชีวิต 177,402 ราย ประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 817,952 ราย เสียชีวิต 45,279 รายสเปนพบผู้ป่วย 204,178 ราย เสียชีวิต 21,282 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 183,957 ราย เสียชีวิต 24,648 ราย
2. สถานการณ์ในประเทศไทย (21 เมษายน 2563 เวลา 16.00 น.) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 244 ราย รวมถึงวันนี้กลับบ้านไปแล้ว 2,352 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 83 ของผู้ป่วยทั้งหมด ผู้ป่วยรายใหม่รายงานวันนี้
15 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลลดลงเหลือเพียง 425 ราย คิดเป็นร้อยละ 15 ของผู้ป่วยทั้งหมด
โดยผู้ป่วยรายใหม่ 15 ราย นับเป็นลําดับที่ 2,812 - 2,826 จําแนกเป็นกลุ่มได้ดังนี้
กลุ่มที่1เป็นผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว10ราย (พบที่จังหวัดชุมพร, สงขลา, พระนครศรีอยุธยา, กรุงเทพฯ)
กลุ่มที่2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน5ราย มีรายละเอียด ดังนี้
2.1 คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 1 ราย
2.2 เดินทางไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัด, สถานที่ท่องเที่ยว 1 ราย
2.2 อาชีพเสี่ยง 3 ราย (พนักงานโรงแรม, พนักงานขาย, พนักงานขนส่งสินค้า)
วันนี้ ไม่มีรายงานผู้ป่วยที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 แล้ว รวมถึงไม่มีรายงานผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างสอบสวนโรค และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศเข้า State Quarantines
ได้รับรายงานผู้ป่วยเสียชีวิต 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 58 ปี มีโรคประจําตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และภาวะอ้วน มีประวัติเสี่ยงสัมผัสใกล้ชิดคนในครอบครัวที่เป็นผู้ป่วยยืนยัน เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ด้วยอาการไข้ ไอ มีเสมหะ มีน้ํามูก เก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการพบติดเชื้อ
โควิด 19 ขณะรักษามีอาการหอบเหนื่อย ถ่ายเหลว ต่อมาอาการไม่ดีขึ้น และเสียชีวิต (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 49)
โดยสรุปภาพรวมวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม2,352 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 425 รายเสียชีวิตรวม 49 รายรวมมีผู้ป่วยสะสม 2,826 ราย
สําหรับจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโรนา 2019 รายใหม่ ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา (ข้อมูลวันที่ 22 เมษายน 2563) จํานวน 36 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย, เพชรบุรี, เพชรบูรณ์, แพร่, แม่ฮ่องสอน, กาญจนบุรี, กาฬสินธุ์, จันทบุรี, นครนายก, บุรีรัมย์, มหาสารคาม, มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ราชบุรี, ลพบุรี, ลําพูน, ศรีสะเกษ, สมุทรสงคราม, สระบุรี, สุโขทัย, หนองคาย, หนองบัวลําภู, อํานาจเจริญ, อุดรธานี, อุตรดิตถ์, อุทัยธานี, ระยอง, ตาก, ประจวบคีรีขันธ์, สกลนคร, สุรินทร์, สระแก้ว, อุบลราชธานี, สุพรรณบุรี และนครราชสีมา
จากรายงานการสอบสวนโรคผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีประวัติเดินทางไปในสถานที่แออัด หรือที่ชุมนุมชน พบว่า ในเขตกรุงเทพมหานคร สถานที่ที่พบผู้ป่วยส่วนใหญ่ คือ สถานบันเทิง สนามมวย บ่อนการพนัน โรงภาพยนตร์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ฟิตเนส วัด ร้านเสริมสวย มหาวิทยาลัย ร้านอาหาร ย่านการท่องเที่ยว ตลาด ห้างสรรพสินค้า การใช้ขนส่งสาธารณะ สถานที่ทํางาน และสถานพยาบาล ส่วนในต่างจังหวัดพบผู้ป่วยติดเชื้อจาก สถานบันเทิง สนามมวย บ่อนการพนัน ซุปเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า พื้นที่ท่องเที่ยว สถานที่ทํางาน สถานพยาบาล ตลาด วัด และมัสยิด จะเห็นได้ว่าสถานที่ที่มีการติดเชื้อจะมีประชาชนรวมตัวอยู่จํานวนมาก ดังนั้น มาตรการที่แนะนําให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน คนแออัด จึงมีความสําคัญเพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด19
ถึงแม้ว่าขณะนี้สถานการณ์การติดเชื้อในประเทศไทยจะดีขึ้นแล้ว แต่ขอให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตนตามมาตรการอย่างเคร่งครัดต่อไปอีกสักระยะ งดการเดินทางที่ไม่จําเป็น งดการรวมกลุ่ม งดการสังสรรค์ หลีกเลี่ยงการไปในสถานที่แออัด ให้สวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ที่สําคัญให้เว้นระยะห่างระหว่างกัน 2 เมตร
********************************** 22 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 22 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันพุธที่ 22 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 22 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 22 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่22 เมษายน 2563
1. สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่5 มกราคม –22 เมษายน2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยจํานวน 2,554,568 ราย เสียชีวิต 177,402 ราย ประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 817,952 ราย เสียชีวิต 45,279 รายสเปนพบผู้ป่วย 204,178 ราย เสียชีวิต 21,282 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 183,957 ราย เสียชีวิต 24,648 ราย
2. สถานการณ์ในประเทศไทย (21 เมษายน 2563 เวลา 16.00 น.) มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 244 ราย รวมถึงวันนี้กลับบ้านไปแล้ว 2,352 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 83 ของผู้ป่วยทั้งหมด ผู้ป่วยรายใหม่รายงานวันนี้
15 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาลลดลงเหลือเพียง 425 ราย คิดเป็นร้อยละ 15 ของผู้ป่วยทั้งหมด
โดยผู้ป่วยรายใหม่ 15 ราย นับเป็นลําดับที่ 2,812 - 2,826 จําแนกเป็นกลุ่มได้ดังนี้
กลุ่มที่1เป็นผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว10ราย (พบที่จังหวัดชุมพร, สงขลา, พระนครศรีอยุธยา, กรุงเทพฯ)
กลุ่มที่2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน5ราย มีรายละเอียด ดังนี้
2.1 คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 1 ราย
2.2 เดินทางไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัด, สถานที่ท่องเที่ยว 1 ราย
2.2 อาชีพเสี่ยง 3 ราย (พนักงานโรงแรม, พนักงานขาย, พนักงานขนส่งสินค้า)
วันนี้ ไม่มีรายงานผู้ป่วยที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 แล้ว รวมถึงไม่มีรายงานผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างสอบสวนโรค และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศเข้า State Quarantines
ได้รับรายงานผู้ป่วยเสียชีวิต 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 58 ปี มีโรคประจําตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และภาวะอ้วน มีประวัติเสี่ยงสัมผัสใกล้ชิดคนในครอบครัวที่เป็นผู้ป่วยยืนยัน เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ด้วยอาการไข้ ไอ มีเสมหะ มีน้ํามูก เก็บตัวอย่างส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการพบติดเชื้อ
โควิด 19 ขณะรักษามีอาการหอบเหนื่อย ถ่ายเหลว ต่อมาอาการไม่ดีขึ้น และเสียชีวิต (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 49)
โดยสรุปภาพรวมวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม2,352 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 425 รายเสียชีวิตรวม 49 รายรวมมีผู้ป่วยสะสม 2,826 ราย
สําหรับจังหวัดที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโรนา 2019 รายใหม่ ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา (ข้อมูลวันที่ 22 เมษายน 2563) จํานวน 36 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย, เพชรบุรี, เพชรบูรณ์, แพร่, แม่ฮ่องสอน, กาญจนบุรี, กาฬสินธุ์, จันทบุรี, นครนายก, บุรีรัมย์, มหาสารคาม, มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ราชบุรี, ลพบุรี, ลําพูน, ศรีสะเกษ, สมุทรสงคราม, สระบุรี, สุโขทัย, หนองคาย, หนองบัวลําภู, อํานาจเจริญ, อุดรธานี, อุตรดิตถ์, อุทัยธานี, ระยอง, ตาก, ประจวบคีรีขันธ์, สกลนคร, สุรินทร์, สระแก้ว, อุบลราชธานี, สุพรรณบุรี และนครราชสีมา
จากรายงานการสอบสวนโรคผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีประวัติเดินทางไปในสถานที่แออัด หรือที่ชุมนุมชน พบว่า ในเขตกรุงเทพมหานคร สถานที่ที่พบผู้ป่วยส่วนใหญ่ คือ สถานบันเทิง สนามมวย บ่อนการพนัน โรงภาพยนตร์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ฟิตเนส วัด ร้านเสริมสวย มหาวิทยาลัย ร้านอาหาร ย่านการท่องเที่ยว ตลาด ห้างสรรพสินค้า การใช้ขนส่งสาธารณะ สถานที่ทํางาน และสถานพยาบาล ส่วนในต่างจังหวัดพบผู้ป่วยติดเชื้อจาก สถานบันเทิง สนามมวย บ่อนการพนัน ซุปเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า พื้นที่ท่องเที่ยว สถานที่ทํางาน สถานพยาบาล ตลาด วัด และมัสยิด จะเห็นได้ว่าสถานที่ที่มีการติดเชื้อจะมีประชาชนรวมตัวอยู่จํานวนมาก ดังนั้น มาตรการที่แนะนําให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน คนแออัด จึงมีความสําคัญเพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด19
ถึงแม้ว่าขณะนี้สถานการณ์การติดเชื้อในประเทศไทยจะดีขึ้นแล้ว แต่ขอให้ประชาชนยังคงปฏิบัติตนตามมาตรการอย่างเคร่งครัดต่อไปอีกสักระยะ งดการเดินทางที่ไม่จําเป็น งดการรวมกลุ่ม งดการสังสรรค์ หลีกเลี่ยงการไปในสถานที่แออัด ให้สวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ ที่สําคัญให้เว้นระยะห่างระหว่างกัน 2 เมตร
********************************** 22 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29531
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เยี่ยมโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.ศรีสะเกษ
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2560
ปลัด สธ. เยี่ยมโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.ศรีสะเกษ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อําเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ให้เป็นโรงพยาบาลชุมชนที่สง่างาม สมพระเกียรติ ด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
มีระบบการดูแลสุขภาพประชาชนที่ดี ระบบบริการที่ดี บุคลากรให้เป็นคนเก่ง คนดี มีความสุข และระบบบริหารจัดการที่ดี
วันนี้ (22 มิถุนายน 2560)ที่ อ.เบญจลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็น 1 ใน 10 โรงพยาบาล ที่กระทรวงสาธารณสุขสร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลตัวอย่างในการดําเนินการตามแนวพระราชดําริของรัชกาลที่ 9 ให้เป็นโรงพยาบาลชุมชน ที่สง่างาม สมพระเกียรติ มีรูปแบบการดําเนินงานให้ประชาชนมีส่วนร่วม เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ผสมผสานการดําเนินงานด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับประชาชน เป็นสถานบริการใกล้บ้านที่สามารถให้การดูแลครบถ้วนทั้งด้านกาย จิต สังคม อย่างใกล้ชิด ทั้งในระดับบุคคลครอบครัวและชุมชน
โรงพยาบาลชุมชนเฉลิมพระเกียรติฯ ทุกแห่ง มีจุดเด่นที่แตกต่างกันของแต่ละโรงพยาบาล ภายใต้ อัตลักษณ์เดียวกันคือ “โรงพยาบาลที่เป็นมากกว่าโรงพยาบาล” (More then Hospital) ดําเนินงานภายใต้ 4 ยุทธศาสตร์การพัฒนา ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การพัฒนาให้เป็นโรงพยาบาลเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนาระบบการดูแลสุขภาพประชาชนที่ดี พัฒนาระบบบริการที่ดีของโรงพยาบาล พัฒนาบุคลากรให้เป็นคนเก่ง คนดี มีความสุข และพัฒนาระบบบริหารจัดการที่ดีของโรงพยาบาล
โดยขับเคลื่อนภายใต้ 9 โครงการสําคัญ ได้แก่ 1.โครงการสืบสานพระราชดําริ 2.โครงการโรงพยาบาลเศรษฐกิจพอเพียง 3.โครงการพัฒนาระบบคลินิกหมอครอบครัวและการดูแลสุขภาพองค์รวม 4.โครงการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล 5.โครงการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศด้านบริการ 6.โครงการคนของแผ่นดิน 7.โครงการพัฒนาโรงพยาบาลแห่งความสุข 8.โครงการโรงพยาบาลคุณธรรม และ 9.โครงการสิ่งแวดล้อมสร้างเพื่อสุขภาวะ
สําหรับโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มีผลงานโดดเด่นด้านการดูแลผู้ป่วยโรคไต ได้แก่ 1.การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการบําบัดทดแทนไตโดยการล้างไตทางช่องท้อง (CAPD) ซึ่งผ่านการประเมินเพื่อรับรองหน่วยล้างไตทางหน้าท้อง (CAPD) จากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ได้รับรางวัลชนะเลิศหน่วยล้างไตทางช่องท้องดีเด่น ระดับโรงพยาบาลชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2.คลินิกชะลอไตเสื่อม (CKD Clinic) ให้บริการแบบ One Stop Service แบบครอบคลุมครบวงจร มีการสอนและสาธิตอาหารเฉพาะโรค โดยใช้ Food Model ในการสอน เพื่อให้คนไข้มองเห็นภาพจริง และ 3.คลินิกล้างไตทางช่องท้อง (CAPD Clinic) สอนผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยล้างไตช่องท้อง และมีระบบการติดตามเยี่ยมบ้านผู้ป่วยโรคไต โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติฯ ยังเป็นแหล่งศึกษาดูงานด้านการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไตทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเป็นศูนย์รับส่งผู้ป่วยโรคไตระดับจังหวัด
ทั้งนี้ โรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เปิดให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ เป็นศูนย์แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านวิชาการ ในการพิจารณาอนุมัติสูตรให้ยาต้านไวรัสเอดส์และการบริหารจัดการยาต้านไวรัสเอดส์แก่ผู้ติดเชื้อ HIV ในกลุ่มแม่และเด็กและกลุ่มบุคคลทั่วไปของจังหวัดศรีสะเกษ เขตตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขที่ 13 และกรมอนามัย ู
***************************** 22 มิถุนายน 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. เยี่ยมโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.ศรีสะเกษ
วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2560
ปลัด สธ. เยี่ยมโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.ศรีสะเกษ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อําเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ให้เป็นโรงพยาบาลชุมชนที่สง่างาม สมพระเกียรติ ด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
มีระบบการดูแลสุขภาพประชาชนที่ดี ระบบบริการที่ดี บุคลากรให้เป็นคนเก่ง คนดี มีความสุข และระบบบริหารจัดการที่ดี
วันนี้ (22 มิถุนายน 2560)ที่ อ.เบญจลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็น 1 ใน 10 โรงพยาบาล ที่กระทรวงสาธารณสุขสร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลตัวอย่างในการดําเนินการตามแนวพระราชดําริของรัชกาลที่ 9 ให้เป็นโรงพยาบาลชุมชน ที่สง่างาม สมพระเกียรติ มีรูปแบบการดําเนินงานให้ประชาชนมีส่วนร่วม เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ผสมผสานการดําเนินงานด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับประชาชน เป็นสถานบริการใกล้บ้านที่สามารถให้การดูแลครบถ้วนทั้งด้านกาย จิต สังคม อย่างใกล้ชิด ทั้งในระดับบุคคลครอบครัวและชุมชน
โรงพยาบาลชุมชนเฉลิมพระเกียรติฯ ทุกแห่ง มีจุดเด่นที่แตกต่างกันของแต่ละโรงพยาบาล ภายใต้ อัตลักษณ์เดียวกันคือ “โรงพยาบาลที่เป็นมากกว่าโรงพยาบาล” (More then Hospital) ดําเนินงานภายใต้ 4 ยุทธศาสตร์การพัฒนา ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์การพัฒนาให้เป็นโรงพยาบาลเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนาระบบการดูแลสุขภาพประชาชนที่ดี พัฒนาระบบบริการที่ดีของโรงพยาบาล พัฒนาบุคลากรให้เป็นคนเก่ง คนดี มีความสุข และพัฒนาระบบบริหารจัดการที่ดีของโรงพยาบาล
โดยขับเคลื่อนภายใต้ 9 โครงการสําคัญ ได้แก่ 1.โครงการสืบสานพระราชดําริ 2.โครงการโรงพยาบาลเศรษฐกิจพอเพียง 3.โครงการพัฒนาระบบคลินิกหมอครอบครัวและการดูแลสุขภาพองค์รวม 4.โครงการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล 5.โครงการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศด้านบริการ 6.โครงการคนของแผ่นดิน 7.โครงการพัฒนาโรงพยาบาลแห่งความสุข 8.โครงการโรงพยาบาลคุณธรรม และ 9.โครงการสิ่งแวดล้อมสร้างเพื่อสุขภาวะ
สําหรับโรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มีผลงานโดดเด่นด้านการดูแลผู้ป่วยโรคไต ได้แก่ 1.การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการบําบัดทดแทนไตโดยการล้างไตทางช่องท้อง (CAPD) ซึ่งผ่านการประเมินเพื่อรับรองหน่วยล้างไตทางหน้าท้อง (CAPD) จากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ได้รับรางวัลชนะเลิศหน่วยล้างไตทางช่องท้องดีเด่น ระดับโรงพยาบาลชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2.คลินิกชะลอไตเสื่อม (CKD Clinic) ให้บริการแบบ One Stop Service แบบครอบคลุมครบวงจร มีการสอนและสาธิตอาหารเฉพาะโรค โดยใช้ Food Model ในการสอน เพื่อให้คนไข้มองเห็นภาพจริง และ 3.คลินิกล้างไตทางช่องท้อง (CAPD Clinic) สอนผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยล้างไตช่องท้อง และมีระบบการติดตามเยี่ยมบ้านผู้ป่วยโรคไต โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติฯ ยังเป็นแหล่งศึกษาดูงานด้านการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไตทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเป็นศูนย์รับส่งผู้ป่วยโรคไตระดับจังหวัด
ทั้งนี้ โรงพยาบาลเบญจลักษ์เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เปิดให้บริการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ เป็นศูนย์แลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านวิชาการ ในการพิจารณาอนุมัติสูตรให้ยาต้านไวรัสเอดส์และการบริหารจัดการยาต้านไวรัสเอดส์แก่ผู้ติดเชื้อ HIV ในกลุ่มแม่และเด็กและกลุ่มบุคคลทั่วไปของจังหวัดศรีสะเกษ เขตตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขที่ 13 และกรมอนามัย ู
***************************** 22 มิถุนายน 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4713
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. จัดประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ (กอช.)
|
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562
ทส. จัดประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ (กอช.)
ทส. จัดประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ (กอช.)
ทส. จัดประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ (กอช.)
วันนี้ (๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒) เวลา ๑๓.๓๐ น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ (กอช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ ณ ห้องประชุม ๔๐๑ ชั้น ๔ อาคาร สผ. กรุงเทพมหานคร โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) เป็นประธานการประชุม มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวิจารย์ สิมาฉายา)เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นางรวิวรรณ ภูริเดช)และผู้แทนหน่วยงานต่างๆได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม องค์การสวนสัตว์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ สํานักงบประมาณ และผู้ทรงคุณวุฒิโดยที่ประชุมได้ร่วมกันหารือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งด้านกฎหมาย การบริหารจัดการ และความร่วมมือระหว่างประเทศในโอกาสนี้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทส. จัดประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ (กอช.)
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ 2562
ทส. จัดประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ (กอช.)
ทส. จัดประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ (กอช.)
ทส. จัดประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ (กอช.)
วันนี้ (๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒) เวลา ๑๓.๓๐ น. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ (กอช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ ณ ห้องประชุม ๔๐๑ ชั้น ๔ อาคาร สผ. กรุงเทพมหานคร โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์) เป็นประธานการประชุม มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวิจารย์ สิมาฉายา)เลขาธิการสํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นางรวิวรรณ ภูริเดช)และผู้แทนหน่วยงานต่างๆได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม องค์การสวนสัตว์ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สํานักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ สํานักงบประมาณ และผู้ทรงคุณวุฒิโดยที่ประชุมได้ร่วมกันหารือประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งด้านกฎหมาย การบริหารจัดการ และความร่วมมือระหว่างประเทศในโอกาสนี้
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18989
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 เร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงชรา อายุ 65 ปี ไม่มีเอกสารหลักฐานทางราชการ และบ้านที่อาศัยจะถูกรื้อเพื่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ในซอยคู้บอน 27 กทม.
|
วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561
พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 เร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงชรา อายุ 65 ปี ไม่มีเอกสารหลักฐานทางราชการ และบ้านที่อาศัยจะถูกรื้อเพื่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ในซอยคู้บอน 27 กทม.
พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 เร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงชรา อายุ 65 ปี ไม่มีเอกสารหลักฐานทางราชการ และบ้านที่อาศัยจะถูกรื้อเพื่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ในซอยคู้บอน 27 เขตบางเขน กทม.
วันนี้ (30 ต.ค. 61) เวลา 10.00 น.นางสุภัชชา สุทธิพล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เยี่ยมและให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น กรณี หญิงชรา อายุ 65 ปี ไม่มีเอกสารหลักฐานทางราชการที่แสดงยืนยันตัวบุคคล และไม่เคยได้รับการศึกษา เนื่องจากมารดาได้ทอดทิ้งหนีหายไปและไม่ทราบญาติพี่น้อง ทําให้ไม่สามารถได้รับสิทธิสวัสดิการสังคมของภาครัฐ ต้องอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเจ้าของที่มีสภาพเก่าทรุดโทรม ไม่มีไฟฟ้า-น้ําประปา ซึ่งกําลังจะถูกรื้อเพื่อก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ภายในซอยคู้บอน 27 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร
นางสุภัชชากล่าวว่า จากกรณี หญิงชรารายหนึ่ง อายุ 65 ปี ไม่มีเอกสารหลักฐานทางราชการที่แสดงยืนยันตัวบุคคล ไม่เคยได้รับการศึกษา และไม่ทราบญาติพี่น้อง เนื่องจากมารดาได้ทอดทิ้งหนีหายไป อีกทั้งไม่มีที่อยู่อาศัยของตนเอง โดยหญิงชราดังกล่าวอาศัยอยู่กับหญิงชรารายหนึ่งอายุ 75 ปี ในบ้านที่มีสภาพเก่าทรุดโทรม ไม่มีไฟฟ้า-น้ําประปา โดยหญิงชราทั้งสองคนทํางานเป็นคนรับใช้ในบ้าน ต่อมาเจ้าของบ้านได้เสียชีวิตและไม่มีญาติพี่น้องของเจ้าของบ้านเข้ามาอยู่อาศัย จึงได้พักอาศัย อยู่ต่อเรื่อยมา ขณะนี้ ที่ดินของบ้านเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทเอกชนและเตรียมจะปรับพื้นที่ก่อสร้างเป็นหมู่บ้านจัดสรร ส่งผลให้หญิงชราทั้งสองคนจะไม่มีที่อยู่อาศัย ภายในซอยคู้บอน 27 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 อาสาสมัครสาธารณสุขเขตบางเขน ร่วมกับอาสาสมัครกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร ได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ด้วยการนําหญิงชราอายุ 65 ปี เข้ารับการตรวจร่างกายที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 24 บางเขน โดยเบื้องต้นพบจุดที่ปอด ทําให้แพทย์ต้องตรวจเสมหะเป็นระยะเวลา 3 วันต่อเนื่อง
นางสุภัชชากล่าวต่อไปว่า สําหรับวันนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พร้อมเจ้าหน้าที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวง พม. ได้แก่ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) สํานักงานเขตบางเขน ศูนย์บริการสาธารณสุข 24 บางเขน และ อพม. เขตบางเขน มีการลงพื้นที่เยี่ยมหญิงชราทั้งสองคน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคม และให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. อาทิ 1) หญิงชรา อายุ 65 ปี มีการมอบเครื่องอุปโภคบริโภคสําหรับใช้ในชีวิตประจําวัน และนําไปตรวจสุขภาพเพื่อให้การรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพบว่ามีอาการป่วยทางสมอง อีกทั้งประสานความร่วมมือไปยังกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อดําเนินการทําบัตรประจําตัวบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน เพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการสังคมที่พึงได้รับจากภาครัฐ และประสาน อพม.เขตบางเขน ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและเฝ้าระวังเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง และ 2) หญิงชรา อายุ 75 ปี มีการมอบเครื่องอุปโภคบริโภคสําหรับใช้ในชีวิตประจําวัน และประสานบุตรชายซึ่งอาศัยอยู่ที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อมารับกลับไปอยู่กับครอบครัว อีกทั้งประสานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสระแก้ว (พมจ.สระแก้ว) ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและติดตามให้ความช่วยเหลือเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ หญิงชราทั้งสองคนยังได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนนายไมตรี อินทุสุต และกองทุนมนัสวานิช เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
"สําหรับแนวทางการช่วยเหลือในระยะต่อไป หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. มีการวางแผนร่วมกันเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือดูแลในเรื่องการจัดสวัสดิการสังคมด้านผู้สูงอายุที่เหมาะสมต่อไป เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างมั่นคง ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นหรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่ง กระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป”นางสุภัชชากล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 เร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงชรา อายุ 65 ปี ไม่มีเอกสารหลักฐานทางราชการ และบ้านที่อาศัยจะถูกรื้อเพื่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ในซอยคู้บอน 27 กทม.
วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561
พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 เร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงชรา อายุ 65 ปี ไม่มีเอกสารหลักฐานทางราชการ และบ้านที่อาศัยจะถูกรื้อเพื่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ในซอยคู้บอน 27 กทม.
พม. โดยศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 เร่งลงพื้นที่ช่วยเหลือหญิงชรา อายุ 65 ปี ไม่มีเอกสารหลักฐานทางราชการ และบ้านที่อาศัยจะถูกรื้อเพื่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ในซอยคู้บอน 27 เขตบางเขน กทม.
วันนี้ (30 ต.ค. 61) เวลา 10.00 น.นางสุภัชชา สุทธิพล รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่เยี่ยมและให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น กรณี หญิงชรา อายุ 65 ปี ไม่มีเอกสารหลักฐานทางราชการที่แสดงยืนยันตัวบุคคล และไม่เคยได้รับการศึกษา เนื่องจากมารดาได้ทอดทิ้งหนีหายไปและไม่ทราบญาติพี่น้อง ทําให้ไม่สามารถได้รับสิทธิสวัสดิการสังคมของภาครัฐ ต้องอาศัยอยู่ในบ้านไม่มีเจ้าของที่มีสภาพเก่าทรุดโทรม ไม่มีไฟฟ้า-น้ําประปา ซึ่งกําลังจะถูกรื้อเพื่อก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ภายในซอยคู้บอน 27 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร
นางสุภัชชากล่าวว่า จากกรณี หญิงชรารายหนึ่ง อายุ 65 ปี ไม่มีเอกสารหลักฐานทางราชการที่แสดงยืนยันตัวบุคคล ไม่เคยได้รับการศึกษา และไม่ทราบญาติพี่น้อง เนื่องจากมารดาได้ทอดทิ้งหนีหายไป อีกทั้งไม่มีที่อยู่อาศัยของตนเอง โดยหญิงชราดังกล่าวอาศัยอยู่กับหญิงชรารายหนึ่งอายุ 75 ปี ในบ้านที่มีสภาพเก่าทรุดโทรม ไม่มีไฟฟ้า-น้ําประปา โดยหญิงชราทั้งสองคนทํางานเป็นคนรับใช้ในบ้าน ต่อมาเจ้าของบ้านได้เสียชีวิตและไม่มีญาติพี่น้องของเจ้าของบ้านเข้ามาอยู่อาศัย จึงได้พักอาศัย อยู่ต่อเรื่อยมา ขณะนี้ ที่ดินของบ้านเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทเอกชนและเตรียมจะปรับพื้นที่ก่อสร้างเป็นหมู่บ้านจัดสรร ส่งผลให้หญิงชราทั้งสองคนจะไม่มีที่อยู่อาศัย ภายในซอยคู้บอน 27 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2561 อาสาสมัครสาธารณสุขเขตบางเขน ร่วมกับอาสาสมัครกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร ได้ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ด้วยการนําหญิงชราอายุ 65 ปี เข้ารับการตรวจร่างกายที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 24 บางเขน โดยเบื้องต้นพบจุดที่ปอด ทําให้แพทย์ต้องตรวจเสมหะเป็นระยะเวลา 3 วันต่อเนื่อง
นางสุภัชชากล่าวต่อไปว่า สําหรับวันนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พร้อมเจ้าหน้าที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวง พม. ได้แก่ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) สํานักงานเขตบางเขน ศูนย์บริการสาธารณสุข 24 บางเขน และ อพม. เขตบางเขน มีการลงพื้นที่เยี่ยมหญิงชราทั้งสองคน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคม และให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของกระทรวง พม. อาทิ 1) หญิงชรา อายุ 65 ปี มีการมอบเครื่องอุปโภคบริโภคสําหรับใช้ในชีวิตประจําวัน และนําไปตรวจสุขภาพเพื่อให้การรักษาพยาบาลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพบว่ามีอาการป่วยทางสมอง อีกทั้งประสานความร่วมมือไปยังกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เพื่อดําเนินการทําบัตรประจําตัวบุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียน เพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการสังคมที่พึงได้รับจากภาครัฐ และประสาน อพม.เขตบางเขน ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและเฝ้าระวังเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง และ 2) หญิงชรา อายุ 75 ปี มีการมอบเครื่องอุปโภคบริโภคสําหรับใช้ในชีวิตประจําวัน และประสานบุตรชายซึ่งอาศัยอยู่ที่จังหวัดสระแก้ว เพื่อมารับกลับไปอยู่กับครอบครัว อีกทั้งประสานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสระแก้ว (พมจ.สระแก้ว) ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านและติดตามให้ความช่วยเหลือเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ หญิงชราทั้งสองคนยังได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนนายไมตรี อินทุสุต และกองทุนมนัสวานิช เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
"สําหรับแนวทางการช่วยเหลือในระยะต่อไป หน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. มีการวางแผนร่วมกันเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือดูแลในเรื่องการจัดสวัสดิการสังคมด้านผู้สูงอายุที่เหมาะสมต่อไป เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างมั่นคง ทั้งนี้ หากประชาชนพบเห็นหรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่ง กระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป”นางสุภัชชากล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16436
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ลงนามความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าในเอเชียพร้อมให้สินเชื่อระหว่างกันเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ
|
วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน 2560
EXIM BANK ลงนามความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าในเอเชียพร้อมให้สินเชื่อระหว่างกันเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ
กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เข้าร่วมประชุมประจําปีธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าในเอเชีย (Asian EXIM Banks Forum) ครั้งที่ 23 ณ นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมประชุมประจําปีธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าในเอเชีย (Asian EXIM Banks Forum) ครั้งที่ 23 ณ นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าในเอเชียจํานวน 11 ประเทศได้ลงนามในข้อตกลงการสนับสนุนสินเชื่อระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าในเอเชีย เพื่อใช้สําหรับธุรกรรมการส่งออกสินค้าหรือบริการ รวมทั้งการลงทุน ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว EXIM BANK จะสามารถสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยส่งออกสินค้าและบริการได้มากขึ้นจากบริการสินเชื่อรูปแบบต่างๆ อาทิ ให้สินเชื่อแก่ผู้ส่งออก สินเชื่อแก่ผู้ซื้อในต่างประเทศ (Buyer’s Credit) สินเชื่อเพื่อย้ายฐานการผลิตหรือขยายการลงทุนของผู้ประกอบการไทยในต่างประเทศ รวมถึงการประกันการส่งออกและการลงทุน เป็นการส่งเสริมการขยายพันธมิตรผ่านความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินของรัฐที่ภารกิจสอดคล้องกันในการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียโดยรวม
นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวเป็นไปโดยสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจของโลกที่ปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2560 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลายประเทศในเอเชีย รวมทั้งไทย ทําให้เกิดความต้องการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและพฤติกรรมผู้บริโภคนํามาซึ่งโอกาสและความท้าทายในเวลาเดียวกัน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าของเอเชีย รวมทั้ง EXIM BANK จึงขยายความร่วมมือระหว่างกัน โดยเชื่อมโยงภาครัฐและเอกชนเข้ามาด้วย เพื่อบูรณาการธุรกิจและบริการที่จะช่วยตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการในการขยายธุรกิจและตลาด ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเติบโตทางการค้าของภูมิภาคเอเชียและโลก
ในการประชุมครั้งนี้ EXIM BANK ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศจีนในการออกพันธบัตรในจีน (Panda Bond) เพื่อระดมทุนมาใช้ในการดําเนินธุรกิจของ EXIM BANK โดยมีธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศจีนเป็นผู้จัดการการจัดจําหน่าย รวมทั้ง EXIM BANK ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือทางธุรกิจกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศตุรกี ในด้านการสนับสนุนทางการเงินเพื่อส่งเสริมการลงทุนไทย-ตุรกี การร่วมทุนในโครงการระหว่างนักธุรกิจไทยกับตุรกีในประเทศที่สาม การประกันการส่งออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางเศรษฐกิจ การค้า อุตสาหกรรม และการจัดกิจกรรมความร่วมมือระหว่างกัน โดยสอดคล้องกับภารกิจของทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้ สมาชิก Asian EXIM Banks Forum จํานวน 11 ประเทศ ประกอบด้วยธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศจีน อินเดีย เกาหลี อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ตุรกี และไทย รวมทั้งธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) องค์กรสนับสนุนการเงินและการรับประกันการส่งออกของออสเตรเลีย (EFIC) และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเวียดนาม โดยมีธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) เป็นผู้สังเกตการณ์ถาวร
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-6
EXIM Thailand Inks Cooperation Pact with Asian EXIM Banks
in Co-financing to Boost International Trade and Investment
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed after attending the 23rd Annual Meeting of Asian EXIM Banks Forum (AEBF) in Sydney, Australia recently that the 11 Asian EXIM Banks had jointly signed a co-financing agreement to promote export of goods or services and investment among the member countries. Under such cooperation, EXIM Thailand would be able to support Thai entrepreneurs’ export of goods and services to a greater extent through various credit facilities, e.g. buyer’s credit, credit for relocation of production base and investment overseas, as well as export credit and investment insurance. This would help expand and strengthen partnerships among fellow EXIM Banks, which are state-owned financial institutions with common missions to promote international trade and investment toward Asian economic growth as a whole.
Mr. Pisit added that the above cooperation pact is in response to the recovering trends of global economies since early 2017, especially those in Asia including Thailand, hence heightened demand for goods and services looking forward. However, global economic volatility and changes in consumer behavior bring both opportunities and challenges. In light of this, Asian EXIM Banks including EXIM Thailand have expanded their cooperation in connection with the public and private sectors to ensure integrated businesses and services that could well meet entrepreneurs’ needs in expanding their businesses and markets, and drive trade and economic growth Asia-wide and worldwide.
During the AEBF Annual Meeting, EXIM Thailand signed an agreement with China EXIM Bank for Panda Bond issuance in the Chinese market, for which China EXIM Bank would act as the lead arranger, in order to raise funds for EXIM Thailand’s business operation. Also, an MOU on business cooperation was signed with Turkey EXIM Bank on provision of financial facilities to foster Thai-Turkish investment and joint venture in Thai-Turkish projects in third countries, export credit insurance, exchange of trade, industrial and economic data, and joint activities between the two institutions in accordance with their missions.
The 11 AEBF members comprise EXIM Banks of China, India, Korea, Indonesia, Malaysia, the Philippines, Turkey and Thailand, Japan Bank for International Cooperation (JBIC), Export Finance & Insurance Corporation (EFIC) of Australia, and Vietnam Development Bank, with Asian Development Bank (ADB) as the permanent observer.
For further information, please contact Public Relations Division, Office of Top Management
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141-6
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK ลงนามความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าในเอเชียพร้อมให้สินเชื่อระหว่างกันเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ
วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน 2560
EXIM BANK ลงนามความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าในเอเชียพร้อมให้สินเชื่อระหว่างกันเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ
กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เข้าร่วมประชุมประจําปีธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าในเอเชีย (Asian EXIM Banks Forum) ครั้งที่ 23 ณ นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมประชุมประจําปีธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าในเอเชีย (Asian EXIM Banks Forum) ครั้งที่ 23 ณ นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าในเอเชียจํานวน 11 ประเทศได้ลงนามในข้อตกลงการสนับสนุนสินเชื่อระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าในเอเชีย เพื่อใช้สําหรับธุรกรรมการส่งออกสินค้าหรือบริการ รวมทั้งการลงทุน ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว EXIM BANK จะสามารถสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยส่งออกสินค้าและบริการได้มากขึ้นจากบริการสินเชื่อรูปแบบต่างๆ อาทิ ให้สินเชื่อแก่ผู้ส่งออก สินเชื่อแก่ผู้ซื้อในต่างประเทศ (Buyer’s Credit) สินเชื่อเพื่อย้ายฐานการผลิตหรือขยายการลงทุนของผู้ประกอบการไทยในต่างประเทศ รวมถึงการประกันการส่งออกและการลงทุน เป็นการส่งเสริมการขยายพันธมิตรผ่านความร่วมมือระหว่างสถาบันการเงินของรัฐที่ภารกิจสอดคล้องกันในการส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียโดยรวม
นายพิศิษฐ์ กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวเป็นไปโดยสอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจของโลกที่ปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2560 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลายประเทศในเอเชีย รวมทั้งไทย ทําให้เกิดความต้องการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและพฤติกรรมผู้บริโภคนํามาซึ่งโอกาสและความท้าทายในเวลาเดียวกัน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าของเอเชีย รวมทั้ง EXIM BANK จึงขยายความร่วมมือระหว่างกัน โดยเชื่อมโยงภาครัฐและเอกชนเข้ามาด้วย เพื่อบูรณาการธุรกิจและบริการที่จะช่วยตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการในการขยายธุรกิจและตลาด ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการเติบโตทางการค้าของภูมิภาคเอเชียและโลก
ในการประชุมครั้งนี้ EXIM BANK ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศจีนในการออกพันธบัตรในจีน (Panda Bond) เพื่อระดมทุนมาใช้ในการดําเนินธุรกิจของ EXIM BANK โดยมีธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศจีนเป็นผู้จัดการการจัดจําหน่าย รวมทั้ง EXIM BANK ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือทางธุรกิจกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศตุรกี ในด้านการสนับสนุนทางการเงินเพื่อส่งเสริมการลงทุนไทย-ตุรกี การร่วมทุนในโครงการระหว่างนักธุรกิจไทยกับตุรกีในประเทศที่สาม การประกันการส่งออก การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางเศรษฐกิจ การค้า อุตสาหกรรม และการจัดกิจกรรมความร่วมมือระหว่างกัน โดยสอดคล้องกับภารกิจของทั้งสองฝ่าย
ทั้งนี้ สมาชิก Asian EXIM Banks Forum จํานวน 11 ประเทศ ประกอบด้วยธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศจีน อินเดีย เกาหลี อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ตุรกี และไทย รวมทั้งธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) องค์กรสนับสนุนการเงินและการรับประกันการส่งออกของออสเตรเลีย (EFIC) และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเวียดนาม โดยมีธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) เป็นผู้สังเกตการณ์ถาวร
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนประชาสัมพันธ์ สํานักบริหาร EXIM BANK สํานักงานใหญ่
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 1141-6
EXIM Thailand Inks Cooperation Pact with Asian EXIM Banks
in Co-financing to Boost International Trade and Investment
Mr. Pisit Serewiwattana, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand), revealed after attending the 23rd Annual Meeting of Asian EXIM Banks Forum (AEBF) in Sydney, Australia recently that the 11 Asian EXIM Banks had jointly signed a co-financing agreement to promote export of goods or services and investment among the member countries. Under such cooperation, EXIM Thailand would be able to support Thai entrepreneurs’ export of goods and services to a greater extent through various credit facilities, e.g. buyer’s credit, credit for relocation of production base and investment overseas, as well as export credit and investment insurance. This would help expand and strengthen partnerships among fellow EXIM Banks, which are state-owned financial institutions with common missions to promote international trade and investment toward Asian economic growth as a whole.
Mr. Pisit added that the above cooperation pact is in response to the recovering trends of global economies since early 2017, especially those in Asia including Thailand, hence heightened demand for goods and services looking forward. However, global economic volatility and changes in consumer behavior bring both opportunities and challenges. In light of this, Asian EXIM Banks including EXIM Thailand have expanded their cooperation in connection with the public and private sectors to ensure integrated businesses and services that could well meet entrepreneurs’ needs in expanding their businesses and markets, and drive trade and economic growth Asia-wide and worldwide.
During the AEBF Annual Meeting, EXIM Thailand signed an agreement with China EXIM Bank for Panda Bond issuance in the Chinese market, for which China EXIM Bank would act as the lead arranger, in order to raise funds for EXIM Thailand’s business operation. Also, an MOU on business cooperation was signed with Turkey EXIM Bank on provision of financial facilities to foster Thai-Turkish investment and joint venture in Thai-Turkish projects in third countries, export credit insurance, exchange of trade, industrial and economic data, and joint activities between the two institutions in accordance with their missions.
The 11 AEBF members comprise EXIM Banks of China, India, Korea, Indonesia, Malaysia, the Philippines, Turkey and Thailand, Japan Bank for International Cooperation (JBIC), Export Finance & Insurance Corporation (EFIC) of Australia, and Vietnam Development Bank, with Asian Development Bank (ADB) as the permanent observer.
For further information, please contact Public Relations Division, Office of Top Management
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 1141-6
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8273
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยประเมินจีดีพีปีนี้โต 1.5% หากไวรัสโคโรนากินเวลา 6 เดือนเต็ม [กระทรวงการคลัง]
|
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
กรุงไทยประเมินจีดีพีปีนี้โต 1.5% หากไวรัสโคโรนากินเวลา 6 เดือนเต็ม [กระทรวงการคลัง]
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตที่ 1.5% หากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เขย่าเศรษฐกิจทั่วโลก กินเวลา 6 เดือนเต็ม เผยรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตที่ 1.5% หากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เขย่าเศรษฐกิจทั่วโลก กินเวลา 6 เดือนเต็ม เผยรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท และหากภัยแล้งรุนแรง อาจทําให้พืชผลการเกษตรหลักสูญเสียรวมถึง 5.8 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม อัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐคาดว่าจะอยู่ที่ 67% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา และมีโอกาสเห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปอยู่ที่ 0.75% ต่อปี ในครึ่งปีแรก ส่วนราคาน้ํามันที่ลดลงแรงอาจทําให้เอกชนชะลอการลงทุน
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลก ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก ที่เป็นเครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวของไทยปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท จํานวนนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีแรกเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในกรุงเทพฯจะลดลงประมาณ 3 ล้านคน ภูเก็ตและเชียงใหม่จะลดลงกว่า 1 ล้านคน โดยรายได้ของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ จะได้รับผลกระทบเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ส่วนด้านการส่งออก คาดว่าจะหดตัว 1.9% โดยผลกระทบต่อการส่งออกคาดว่าจะสั้นกว่าผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่หลายฝ่ายคาด เนื่องจากการแพร่ระบาดไม่ได้จํากัดอยู่แค่ประเทศจีนแล้ว แต่ได้ลามไปประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อื่นๆ ด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอิตาลี โดยขณะนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่งหากใช้เวลา 6 เดือนเต็ม มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตเพียง 1.5% ภาพการลงทุนของเอกชนในปีนี้จึงไม่สดใสนักและมีแนวโน้มจะชะลอเพิ่มเติมเพราะราคาน้ํามันลดลงแรง นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับอีกหลายปัจจัยเสี่ยง ทั้งภัยแล้ง เศรษฐกิจอาเซียนที่ชะลอลง สงครามการค้าที่ยังยืดเยื้อ และข้อตกลง EVFTA ของเวียดนามที่จะเพิ่มอุปสรรคต่อการส่งออกสิ่งทอไทยในตลาดยุโรป โดยเฉพาะภัยแล้งหากรุนแรง อาจทําให้พืชผลการเกษตรหลัก ได้แก่ ข้าว มันสําปะหลัง และอ้อย สูญเสียรวม 5.8 หมื่นล้านบาท กระทบต่อกําลังซื้อของครัวเรือนในภาคเกษตร”
ดร. มานะ นิมิตรวานิช ผู้อํานวยการฝ่าย กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญสําหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ผ่านการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจําปี 2563 ของทุกส่วนราชการ โดยการเบิกจ่ายรายจ่ายประจําจะสามารถเบิกจ่ายเต็มวงเงินที่ 2.4 ล้านล้านบาท ส่วนงบลงทุนจะเบิกจ่ายได้ไม่ต่ํากว่า 67% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ คาดว่าภาครัฐจะระดมมาตรการกระตุ้นการบริโภคออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศหลังโควิด-19 คลี่คลาย การต่อยอดมาตรการกระตุ้นการบริโภค ชิมช้อปใช้ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนและประคับประคองเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีนี้ ส่วนภาวะตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้ จะได้รับประโยชน์จากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมและจดจํานอง
“ด้านนโยบายการเงิน Krungthai COMPASS มองว่ามีแนวโน้มที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะผ่อนคลายเพิ่มเติม และมีโอกาสจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ 0.75% ต่อปี ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งต่ําสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อลดภาระการชําระหนี้ให้กับผู้ประกอบการและครัวเรือน ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาสที่สอง แต่จะกลับมาแข็งค่าขึ้นตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลในระดับสูงเนื่องจากราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก”
ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด
โทร. 02 208 4174 8
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรุงไทยประเมินจีดีพีปีนี้โต 1.5% หากไวรัสโคโรนากินเวลา 6 เดือนเต็ม [กระทรวงการคลัง]
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม 2563
กรุงไทยประเมินจีดีพีปีนี้โต 1.5% หากไวรัสโคโรนากินเวลา 6 เดือนเต็ม [กระทรวงการคลัง]
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตที่ 1.5% หากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เขย่าเศรษฐกิจทั่วโลก กินเวลา 6 เดือนเต็ม เผยรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตที่ 1.5% หากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เขย่าเศรษฐกิจทั่วโลก กินเวลา 6 เดือนเต็ม เผยรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท และหากภัยแล้งรุนแรง อาจทําให้พืชผลการเกษตรหลักสูญเสียรวมถึง 5.8 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม อัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐคาดว่าจะอยู่ที่ 67% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา และมีโอกาสเห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปอยู่ที่ 0.75% ต่อปี ในครึ่งปีแรก ส่วนราคาน้ํามันที่ลดลงแรงอาจทําให้เอกชนชะลอการลงทุน
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อํานวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลก ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก ที่เป็นเครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวของไทยปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท จํานวนนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีแรกเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในกรุงเทพฯจะลดลงประมาณ 3 ล้านคน ภูเก็ตและเชียงใหม่จะลดลงกว่า 1 ล้านคน โดยรายได้ของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ จะได้รับผลกระทบเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ส่วนด้านการส่งออก คาดว่าจะหดตัว 1.9% โดยผลกระทบต่อการส่งออกคาดว่าจะสั้นกว่าผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่หลายฝ่ายคาด เนื่องจากการแพร่ระบาดไม่ได้จํากัดอยู่แค่ประเทศจีนแล้ว แต่ได้ลามไปประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อื่นๆ ด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอิตาลี โดยขณะนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่งหากใช้เวลา 6 เดือนเต็ม มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตเพียง 1.5% ภาพการลงทุนของเอกชนในปีนี้จึงไม่สดใสนักและมีแนวโน้มจะชะลอเพิ่มเติมเพราะราคาน้ํามันลดลงแรง นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับอีกหลายปัจจัยเสี่ยง ทั้งภัยแล้ง เศรษฐกิจอาเซียนที่ชะลอลง สงครามการค้าที่ยังยืดเยื้อ และข้อตกลง EVFTA ของเวียดนามที่จะเพิ่มอุปสรรคต่อการส่งออกสิ่งทอไทยในตลาดยุโรป โดยเฉพาะภัยแล้งหากรุนแรง อาจทําให้พืชผลการเกษตรหลัก ได้แก่ ข้าว มันสําปะหลัง และอ้อย สูญเสียรวม 5.8 หมื่นล้านบาท กระทบต่อกําลังซื้อของครัวเรือนในภาคเกษตร”
ดร. มานะ นิมิตรวานิช ผู้อํานวยการฝ่าย กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญสําหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ผ่านการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจําปี 2563 ของทุกส่วนราชการ โดยการเบิกจ่ายรายจ่ายประจําจะสามารถเบิกจ่ายเต็มวงเงินที่ 2.4 ล้านล้านบาท ส่วนงบลงทุนจะเบิกจ่ายได้ไม่ต่ํากว่า 67% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ คาดว่าภาครัฐจะระดมมาตรการกระตุ้นการบริโภคออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศหลังโควิด-19 คลี่คลาย การต่อยอดมาตรการกระตุ้นการบริโภค ชิมช้อปใช้ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนและประคับประคองเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีนี้ ส่วนภาวะตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้ จะได้รับประโยชน์จากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมและจดจํานอง
“ด้านนโยบายการเงิน Krungthai COMPASS มองว่ามีแนวโน้มที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะผ่อนคลายเพิ่มเติม และมีโอกาสจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ 0.75% ต่อปี ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งต่ําสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อลดภาระการชําระหนี้ให้กับผู้ประกอบการและครัวเรือน ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาสที่สอง แต่จะกลับมาแข็งค่าขึ้นตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลในระดับสูงเนื่องจากราคาน้ํามันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก”
ฝ่ายกลยุทธ์การตลาด
โทร. 02 208 4174 8
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27292
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอล ประจำประเทศไทย ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน
|
วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอล ประจําประเทศไทย ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอล ประจําประเทศไทย ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน
ในวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ
นายเมอีร์ ชโลโม (Mr. Meir Shlomo) เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทย พร้อมคณะ
ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
พร้อมทั้งหารือแนวทางในการสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐอิสราเอลกับประเทศไทย
ในด้านกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งนวัตกรรมด้านทหารและด้านเทคโนโลยีการเกษตร
และการชลประทานที่สามารถนํามาประยุกต์ใช้กับประเทศไทยได้
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอล ประจำประเทศไทย ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน
วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2561
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอล ประจําประเทศไทย ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอล ประจําประเทศไทย ในโอกาสหารือข้อราชการร่วมกัน
ในวันพฤหัสบดีที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ณ ห้องรับรองกระทรวงยุติธรรม อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ
นายเมอีร์ ชโลโม (Mr. Meir Shlomo) เอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจําประเทศไทย พร้อมคณะ
ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะ เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
พร้อมทั้งหารือแนวทางในการสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐอิสราเอลกับประเทศไทย
ในด้านกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งนวัตกรรมด้านทหารและด้านเทคโนโลยีการเกษตร
และการชลประทานที่สามารถนํามาประยุกต์ใช้กับประเทศไทยได้
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10630
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”ชวนซื้อสินค้า GI นำ 45 สินค้า ขายตรงผู้บริโภคผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ GI Thailand [กระทรวงพาณิชย์]
|
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563
“พาณิชย์”ชวนซื้อสินค้า GI นํา 45 สินค้า ขายตรงผู้บริโภคผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ GI Thailand [กระทรวงพาณิชย์]
“พาณิชย์”ชวนซื้อสินค้า GI นํา 45 สินค้า ขายตรงผู้บริโภคผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ GI Thailand
“พาณิชย์”จัดโครงการ “ร่วมใจ ช่วย GI ไทย พ้นภัยโควิด” ใช้ช่องทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ GI Thailand จําหน่ายสินค้า GI เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการท้องถิ่น ให้มีช่องทางการจําหน่ายสินค้าในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เผยมีสินค้าให้เลือกซื้อ 45 รายการ จาก 35 จังหวัดทั่วประเทศ
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้จัดโครงการ “ร่วมใจ ช่วย GI ไทย พ้นภัยโควิด” โดยใช้ Facebook Fanpage : GI Thailand เป็นสื่อกลางแนะนําสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ GI ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้ไม่สามารถจําหน่ายสินค้าได้ตามปกติ จนเกิดความเสียหายและเกิดปัญหาการขาดรายได้ของเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีผลผลิตออกตามฤดูกาล จึงได้ใช้ช่องทางออนไลน์เข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถจําหน่ายสินค้าได้ตามวิถีชีวิตปกติแบบใหม่ (New Normal) ที่คนหันมาใช้ช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น
“กระทรวงพาณิชย์ตระหนักถึงความสําคัญและความจําเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยอาศัยสื่อออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถจําหน่ายสินค้าได้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19”
สําหรับสินค้าที่จะนํามาจําหน่ายผ่านทางเฟซบุ๊ก มีผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในการจัดส่งสินค้าแก่ผู้บริโภคผ่านระบบไปรษณีย์และสถานบริการขนส่งเอกชน ตอบรับเข้าร่วมทั้งสิ้น 104 ราย ประกอบด้วยผู้ประกอบการ 45 สินค้า จาก 35 จังหวัดทั่วประเทศ เช่น ทุเรียนหลงลับแลอุตรดิตถ์ ลิ้นจี่แม่ใจพะเยา ปลากุเลาเค็มตากใบ กาแฟเมืองกระบี่ ศิลาดลเชียงใหม่ ลําไยอบแห้งเนื้อสีทองลําพูน กาแฟดอยตุง ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง และนิลเมืองกาญจน์ เป็นต้น
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า โครงการร่วมใจ ช่วย GI ไทย พ้นภัยโควิด นอกจากจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ผลิตและผู้ประกอบการสินค้า GI ไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด–19 แล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของสินค้าชุมชนให้มีความเข้มแข็ง สามารถปรับตัวและจัดจําหน่ายผ่านช่องทางใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น อันจะนําไปสู่การเติบโตของสินค้า GI อย่างมีคุณภาพ และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคอย่างยั่งยืนต่อไป
ตัวอย่างสินค้าที่นํามาจําหน่าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“พาณิชย์”ชวนซื้อสินค้า GI นำ 45 สินค้า ขายตรงผู้บริโภคผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ GI Thailand [กระทรวงพาณิชย์]
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน 2563
“พาณิชย์”ชวนซื้อสินค้า GI นํา 45 สินค้า ขายตรงผู้บริโภคผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ GI Thailand [กระทรวงพาณิชย์]
“พาณิชย์”ชวนซื้อสินค้า GI นํา 45 สินค้า ขายตรงผู้บริโภคผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ GI Thailand
“พาณิชย์”จัดโครงการ “ร่วมใจ ช่วย GI ไทย พ้นภัยโควิด” ใช้ช่องทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ GI Thailand จําหน่ายสินค้า GI เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการท้องถิ่น ให้มีช่องทางการจําหน่ายสินค้าในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เผยมีสินค้าให้เลือกซื้อ 45 รายการ จาก 35 จังหวัดทั่วประเทศ
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้จัดโครงการ “ร่วมใจ ช่วย GI ไทย พ้นภัยโควิด” โดยใช้ Facebook Fanpage : GI Thailand เป็นสื่อกลางแนะนําสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ GI ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทําให้ไม่สามารถจําหน่ายสินค้าได้ตามปกติ จนเกิดความเสียหายและเกิดปัญหาการขาดรายได้ของเกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่มีผลผลิตออกตามฤดูกาล จึงได้ใช้ช่องทางออนไลน์เข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถจําหน่ายสินค้าได้ตามวิถีชีวิตปกติแบบใหม่ (New Normal) ที่คนหันมาใช้ช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น
“กระทรวงพาณิชย์ตระหนักถึงความสําคัญและความจําเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยอาศัยสื่อออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถจําหน่ายสินค้าได้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19”
สําหรับสินค้าที่จะนํามาจําหน่ายผ่านทางเฟซบุ๊ก มีผู้ประกอบการที่มีความพร้อมในการจัดส่งสินค้าแก่ผู้บริโภคผ่านระบบไปรษณีย์และสถานบริการขนส่งเอกชน ตอบรับเข้าร่วมทั้งสิ้น 104 ราย ประกอบด้วยผู้ประกอบการ 45 สินค้า จาก 35 จังหวัดทั่วประเทศ เช่น ทุเรียนหลงลับแลอุตรดิตถ์ ลิ้นจี่แม่ใจพะเยา ปลากุเลาเค็มตากใบ กาแฟเมืองกระบี่ ศิลาดลเชียงใหม่ ลําไยอบแห้งเนื้อสีทองลําพูน กาแฟดอยตุง ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง และนิลเมืองกาญจน์ เป็นต้น
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า โครงการร่วมใจ ช่วย GI ไทย พ้นภัยโควิด นอกจากจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ผลิตและผู้ประกอบการสินค้า GI ไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด–19 แล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างศักยภาพของสินค้าชุมชนให้มีความเข้มแข็ง สามารถปรับตัวและจัดจําหน่ายผ่านช่องทางใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น อันจะนําไปสู่การเติบโตของสินค้า GI อย่างมีคุณภาพ และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคอย่างยั่งยืนต่อไป
ตัวอย่างสินค้าที่นํามาจําหน่าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31970
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ. (อว.) ร่วมมือเครือข่ายประชุมหารือความคืบหน้างานทดสอบผลิตภัณฑ์ต้าน COVID-19
|
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563
วศ. (อว.) ร่วมมือเครือข่ายประชุมหารือความคืบหน้างานทดสอบผลิตภัณฑ์ต้าน COVID-19
วศ. (อว.) ร่วมมือเครือข่ายประชุมหารือความคืบหน้างานทดสอบผลิตภัณฑ์ต้าน COVID-19
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ พร้อมด้วยทีมนักวิทยาศาสตร์ ได้เข้าร่วมประชุมหารือ เรื่องการพัฒนา PPE. Coverall Lavel 4 แบบ Disposable ร่วมกับ นายสมคิด รัตนประภาพร นายกสมาคมอุตสาหกรรมเส้นใยประดิษฐ์ไทย ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และผู้แทนจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผู้แทนคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาลัยจุฬาฯ ผู้แทนมหาลัยมหิดล ผู้แทนสมาคม Non Woven ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม ผู้แทนบริษัทเทยิน ผู้แทนบริษัท ปตท. ผู้แทนบริษัทบูติกบิวตี้ และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ณ สถาบันสิ่งทอ กรุงเทพฯ
จากการประชุมดังกล่าว วศ (อว.) ได้นําเสนอมาตรฐานการทดสอบชุด Coverall และห้องปฏิบัติการในประเทศไทยที่สามารถตรวจสอบตามมาตรฐานได้ ในด้านของภาคเอกชนได้กล่าวถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในการผลิตชุดที่ทําจากผ้าสปันบอนด์ภายในประเทศ และเน้นการพัฒนาในรายละเอียดที่เป็นจุดสําคัญต่อความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ โดยกรมวิทยาศาสตร์บริการจะเป็นผู้รวบรวมมาตรฐานการทดสอบและจัดทําฐานข้อมูลทางวิชาการเพื่อใช้ในการพัฒนาในครั้งนี้ โดยมีเป้าหมายในการจัดทํา Spec ของชุด PPE Coverall ให้เสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 หลังจากนั้นจะขยายสู่ภาคการผลิต เพื่อจัดจําหน่ายให้กับกระทรวงสาธารณสุขและองค์การเภสัชกรรมต่อไป
ทั้งนี้ ในช่วงพัฒนางานวิจัยดังกล่าว วศ (อว.) สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทดสอบทั้งหมด โดยร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ มหาลัยจุฬาฯ ที่ให้บริการทดสอบโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเช่นกัน
ข้อมูลข่าวโดย : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ. (อว.) ร่วมมือเครือข่ายประชุมหารือความคืบหน้างานทดสอบผลิตภัณฑ์ต้าน COVID-19
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563
วศ. (อว.) ร่วมมือเครือข่ายประชุมหารือความคืบหน้างานทดสอบผลิตภัณฑ์ต้าน COVID-19
วศ. (อว.) ร่วมมือเครือข่ายประชุมหารือความคืบหน้างานทดสอบผลิตภัณฑ์ต้าน COVID-19
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 นางสาวนิสากร จึงเจริญธรรม อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ พร้อมด้วยทีมนักวิทยาศาสตร์ ได้เข้าร่วมประชุมหารือ เรื่องการพัฒนา PPE. Coverall Lavel 4 แบบ Disposable ร่วมกับ นายสมคิด รัตนประภาพร นายกสมาคมอุตสาหกรรมเส้นใยประดิษฐ์ไทย ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และผู้แทนจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผู้แทนคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาลัยจุฬาฯ ผู้แทนมหาลัยมหิดล ผู้แทนสมาคม Non Woven ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม ผู้แทนบริษัทเทยิน ผู้แทนบริษัท ปตท. ผู้แทนบริษัทบูติกบิวตี้ และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง ณ สถาบันสิ่งทอ กรุงเทพฯ
จากการประชุมดังกล่าว วศ (อว.) ได้นําเสนอมาตรฐานการทดสอบชุด Coverall และห้องปฏิบัติการในประเทศไทยที่สามารถตรวจสอบตามมาตรฐานได้ ในด้านของภาคเอกชนได้กล่าวถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในการผลิตชุดที่ทําจากผ้าสปันบอนด์ภายในประเทศ และเน้นการพัฒนาในรายละเอียดที่เป็นจุดสําคัญต่อความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ โดยกรมวิทยาศาสตร์บริการจะเป็นผู้รวบรวมมาตรฐานการทดสอบและจัดทําฐานข้อมูลทางวิชาการเพื่อใช้ในการพัฒนาในครั้งนี้ โดยมีเป้าหมายในการจัดทํา Spec ของชุด PPE Coverall ให้เสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 หลังจากนั้นจะขยายสู่ภาคการผลิต เพื่อจัดจําหน่ายให้กับกระทรวงสาธารณสุขและองค์การเภสัชกรรมต่อไป
ทั้งนี้ ในช่วงพัฒนางานวิจัยดังกล่าว วศ (อว.) สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการทดสอบทั้งหมด โดยร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ มหาลัยจุฬาฯ ที่ให้บริการทดสอบโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเช่นกัน
ข้อมูลข่าวโดย : กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.)
เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที
ส่วนสื่อสารองค์กร
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834
Facebook : @MHESIThailand
Call Center โทร.1313
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30721
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-WHO ชื่นชม ไทยสามารถลดอันดับจำนวนผู้ติดเชื้อ ด้วยไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) กว่า 1,040,000 คน เป็นระบบการดูแลสุขภาพถึงระดับครอบครัว
|
วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563
WHO ชื่นชม ไทยสามารถลดอันดับจํานวนผู้ติดเชื้อ ด้วยไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) กว่า 1,040,000 คน เป็นระบบการดูแลสุขภาพถึงระดับครอบครัว
WHO ชื่นชม ไทยสามารถลดอันดับจํานวนผู้ติดเชื้อ ด้วยไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) กว่า 1,040,000 คน เป็นระบบการดูแลสุขภาพถึงระดับครอบครัว
วันนี้ (14 เม.ย. 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้
1. การประชุมสมัยพิเศษของผู้นําอาเซียนเพื่อหารือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ผ่านระบบ Video Conference
นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ประชุมสมัยพิเศษของผู้นําอาเซียนเพื่อหารือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ผ่านระบบ Video Conference หารือวาระพิเศษเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เป็นประเด็นเร่งด่วนทั้งในพื้นที่เอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และช่วงบ่ายจะมีการประชุมคู่เจรจาที่ประสบปัญหาเดียวกัน ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบ และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว คาดว่าประสบการณ์ของประเทศเหล่านี้ จะสามารถช่วยให้สถานการณ์ประเทศสมาชิกอาเซียนดีขึ้นได้
2. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย
สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในประเทศ พบผู้ป่วยใหม่ 34 ราย มีผู้ที่หายป่วยกลับบ้านได้แล้ว 1,405 ราย ยังมีผู้ที่รักษาตัวอยู่ 1,167 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,613 ราย โดยกลุ่มคนไทยที่กลับจากอินโดนีเซียแล้วเข้า State Quarantine มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก 1 ราย ที่จังหวัดสตูล จากสถิติภาพรวมของผู้ที่หายป่วย ทําให้เตียงในโรงพยาบาลว่างมากขึ้น อย่างไรก็ตามกรุงเทพฯ และนนทบุรี ยังเป็นกลุ่มใหญ่ โดยมีผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ช่วงอายุที่มีการติดเชื้อมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 30-39 ปี รวม 623 ราย ผู้ติดเชื้อน้อยที่สุดอายุ 1 เดือน และสูงสุดอายุ 97 ปี อายุเฉลี่ยของผู้ที่ติดเชื้อ 40 ปี
โฆษก ศบค. กล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมเป็น 41 ราย โดยรายที่ 41 ผู้ป่วยหญิงชาวไทย อายุ 52 ปี อาชีพพนักงานขับรถ ขสมก. สาย 140 มีโรคประจําตัวคือโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจโต มีประวัติสังสรรค์ดื่มสุราในวงเพื่อน ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พบผู้ที่ติดเชื้อจากการสังสรรค์ทั้งหมด 10 ราย วันที่ 26 มีนาคม 63 ผู้ป่วยเริ่มมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก มีเสมหะ ไปตรวจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ แล้วกลับไปปฏิบัติงานได้ตามปกติ ต่อมาวันที่ 3 เมษายน 63 มีอาการไข้ ถ่ายเหลว หอบ หายใจเหนื่อย ผลตรวจยืนยันติดเชื้อโควิด-19 วันที่ 4 เมษายน 63 ต่อมามีอาการแย่ลงเรื่อย ๆ และเสียชีวิต 12 เมษายน 63 ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วย
สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ 34 ราย พบว่ากลุ่มใหญ่ คือ ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ จํานวน 27 ราย คิดเป็น 80% กลุ่มที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ อิตาลี มาเลเซีย ซึ่งสองประเทศนี้ยังมีตัวเลขที่สูงอยู่ และกลุ่มที่มาจากอินโดนีเซียแล้วเข้า State Quarantine มี 1 คน แสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อนี้ยังไม่น่าไว้วางใจ ที่ต้องเน้นย้ําเพราะจะเห็นภาพตัวเลขผู้ติดเชื้อมีจํานวนขึ้น ๆ ลง ๆ ทั้งนี้ การรายงานตัวเลขคนที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในวันนี้ เป็นผลที่เกิดขึ้นจากประมาณ 1-7 วันที่ผ่านมา
เมื่อดูแผนที่แสดงจังหวัดที่รับรักษาผู้ป่วยยืนยันสะสม พบว่า กรุงเทพฯ 1,311 ราย ภูเก็ต 186 ราย นนทบุรี 150 ราย สมุทรปราการ 107 ราย ยะลา 90 ราย และมี 9 จังหวัดที่ยังคงไม่มีรายงานการรับผู้ป่วย อัตราผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต่อประชากรแสนคน จําแนกตามจังหวัดที่รับการรักษา อันดับ 1 ยังเป็น ภูเก็ต รองลงมาคือ กรุงเทพฯ ยะลา นนทบุรี ปัตตานี และในผู้ป่วยรายใหม่ 34 คน มาจากกรุงเทพฯ เป็นอันดับ 1 คือ 8 ราย ยะลา 6 ราย ปัตตานี ภูเก็ต จังหวัดละ 5 ราย นครศรีธรรมราช 4 ราย สมุทรปราการ 2 ราย เลย พังงา สตูล จังหวัดละ 1 ราย และอยู่ในระหว่างการสอบสวนโรคอีก 1 ราย
จํานวนผู้ป่วยรายใหม่ เปรียบเทียบพื้นที่ กรุงเทพฯ นนทบุรี และต่างจังหวัด พบว่า ต่างจังหวัดมีจํานวนเพิ่มขึ้น หลายคนที่กลับบ้านช่วงสงกรานต์ ปรากฏมีการตั้งวงดื่มเหล้า ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อได้ สําหรับกลุ่มคนไทยที่กลับจากอินโดนีเซียแล้วเข้า State Quarantine พบผู้ป่วยแล้ว 61 ราย จาก 70 กว่ารายที่เดินทางกลับมา จึงต้องเน้นย้ํามาตรการ State Quarantine และ Local Quarantine ขอให้ทุกคนสมัครใจ ด้วยภาครัฐมีเจตนาดีและมาตรการดังกล่าว เพื่อให้สามารถควบคุมโรคได้ และเพื่อให้ผู้เดินทางกลับปลอดภัยและสังคมปลอดภัย
โฆษก ศบค. กล่าวถึงแผนภูมิของต่างจังหวัดกับกรุงเทพฯ ว่า กรุงเทพฯ ค่อย ๆ ลดลงมา ภาคใต้มีความพยายามที่จะลดลง หากดูกราฟช่วงเวลาการติดเชื้อของ ผู้ป่วย COVID-19 ใน 4 จังหวัดภาคใต้ ตามปัจจัยเสี่ยง มีนาคม – 12 เมษายน 63 พบว่า ที่จังหวัดสงขลา เริ่มตั้งแต่ 16 มีนาคม 63 มีกลุ่มคนไทยกลับจากร่วมพิธีทางศาสนาที่ประเทศมาเลเซีย แล้วพบผู้ติดเชื้อวันที่ 20-23 มีนาคม 63 ต่อเนื่องถึงต้นเดือนเมษายน 63 นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มที่กลับจากการร่วมพิธีทางศาสนาที่อินโดนีเซียและปากีสถาน ทําให้จํานวนผู้ป่วยสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ ขอให้พี่น้องมุสลิมได้ดูแลสุขภาพ ต้องจัดสมดุลของชีวิต ร่างกาย และพิธีการต่าง ๆ ให้เหมาะสม เพื่อป้องกันการติดโรคและปลอดเชื้อได้ ขณะที่จังหวัดยะลา มีตัวเลขการป่วยตั้งแต่ 16 มีนาคม 63 มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นและสูงสุดวันที่ 23 มีนาคม 63 เริ่มลดลง แต่ต่อมามีกลุ่มคนที่กลับจากอินโดนีเซียและรวมกับพิธีทางศาสนาที่บันนังสตา ทําให้มีตัวเลขผู้ป่วยที่ 82 ราย ฉะนั้น เป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างมาก ผู้ที่ไปร่วมพิธีแล้วเดินทางกลับมาอาจจะแข็งแรงดี แต่คนที่บ้านอาจจะติดเชื้อและทําให้คนอื่นติดเชื้อต่อได้ถึงสามช่วง เช่นเดียวกับจังหวัดนราธิวาส ที่มีรูปแบบที่ใกล้เคียงคล้ายกัน แต่เป็นการติดเชื้อสองช่วง และที่ปัตตานีมี 77 รายที่เป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่สืบเสาะหาผู้ป่วย เพื่อช่วยเหลือพี่น้องทุกชาติทุกกลุ่ม ทุกวัย และทุกศาสนา เพราะทุกคนเป็นพี่น้องกัน
3. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก
ผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1,924,679 ราย อาการหนัก 50,000 กว่าราย หายแล้ว 440,000 กว่าราย เสียชีวิต119,000 กว่าราย โดยประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 1 จํานวน 23,000 กว่าราย โดยเมืองนิวยอร์กยังเป็นเมืองที่มีผู้เสียชีวิตจํานวนมาก อิตาลี เสียชีวิตแล้ว 20,000 กว่าราย ฝรั่งเศส เสียชีวิต 14,900 กว่าราย และอังกฤษ เสียชีวิต 11,300 กว่าราย
โฆษก ศบค. กล่าวว่าแต่ละประเทศดังกล่าวล้วนแล้วมีการสาธารณสุขที่ดีเยี่ยมระดับโลก ขณะที่ไทยอยู่อันดับ 6 ของโลกในการดูแลด้านสาธารณสุข ซึ่งต้องชมประเทศไทยเพราะขณะนี้อันดับผู้ติดเชื้อในประเทศไทยลดลงมาอยู่อันดับที่ 50 ขณะที่สิงคโปร์ปรับขึ้นไปอยู่อันดับที่ 48 โดยวานนี้มีผู้เสียชีวิตวันเดียวถึง 386 ราย เกิดจากกลุ่มที่ไปอยู่ในสถานที่ที่แออัด เช่น หอพัก ต่าง ๆ เป็นต้น
โฆษก ศบค. ยังย้ําหลักการในการจัดการวิกฤตระบุว่า “ต้องโปร่งใส ทุกอย่างพิสูจน์ได้ และเห็นภาพของความเป็นจริงให้มากที่สุด” ซึ่งประเทศไทยได้ทํามาตั้งแต่ต้นไม่มีใครมาคุมตัวเลข เพื่อที่จะให้ประชาชนทราบ และเป็นพลังของทุกคนในประเทศ ลงไปถึงระดับจังหวัด ในการติดตามสถานการณ์เฝ้าระวังตัวเลขในพื้นที่ของตนเอง ถือเป็นพลังสําคัญที่ทําให้อันดับของไทยขึ้นหรือลงได้
WHO หรือองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย ชื่นชมไทยสามารถลดลําดับผู้ติดเชื้อ โดยระบุว่า ไทยมีระบบการดูแลสุขภาพถึงระดับครอบครัว คือ อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) กว่า 1,040,000 คน ทําให้สามารถดูแลคนได้อย่างใกล้ชิด นี่คือความภาคภูมิใจของประเทศไทย ซึ่งองค์กรด้านสาธารณสุขระดับโลกรายงานให้คนทั่วโลกรับทราบ ถึงศักยภาพการดูแลสาธารณสุขของคนไทย ซึ่งต้องขอบคุณ อสม. รวมถึงบุคลากรทุกฝ่ายที่ช่วยกัน
สําหรับจํานวนผู้ติดเชื้อนับจากวันที่มีผู้ติดเชื้อถึง 100 คน นั้น จากภาพแผนภูมิเส้นกราฟแสดงตัวเลขของโลก ฮ่องกงใกล้เคียงกับไทย ขณะที่สิงคโปร์และญี่ปุ่น ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง จึงขอให้ทุกคนช่วยกันให้ไทยรักษาระดับเช่นนี้ได้ไปเรื่อย ๆ ต่อไป
ผู้ป่วยสะสมของไทยที่เข้ารักษาแยกตามสังกัด ดังนี้ โรงพยาบาลเอกชนร้อยละ 42.3 โรงเรียนแพทย์ ประมาณร้อยละ 25.8 กรมการแพทย์และกรมควบคุมโรคซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง ประมาณร้อยละ 10 และร้อยละ 11 ตามลําดับ โดยมีผู้ป่วยที่อาการหนักอยู่ใน ICU (ข้อมูล 13 เม.ย.63) จํานวน 48 ราย ซึ่งผู้ป่วยดังกล่าวแบ่งเป็นภาระงานของทางภาครัฐ จํานวน 37 ราย เอกชน จํานวน 11 ราย ภาพรวมของประเทศไทย ทุกหน่วยงานล้วนมีความกล้าหาญในวิชาชีพ พร้อมช่วยกันที่จะทําให้ประชาชนกลับคืนสู่ปกติ
โฆษก ศบค. ยืนยันให้ประชาชนสบายใจได้ว่า ขณะนี้มีเตียงเพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยได้ รวมทั้งการเตรียมพร้อมเครื่องช่วยหายใจเพียงพอทั่วทุกภาค ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานศูนย์ ศบค. เน้นย้ําให้มีการตรวจสอบจํานวนเตียง เครื่องมือ ให้มีความพร้อมและเพียงพอรองรับกับสถานการณ์อยู่เสมอ
4. รายงานผลการปฏิบัติการจากการประกาศเคอร์ฟิว
รายงานผลการปฏิบัติการจากการประกาศเคอร์ฟิวประจําวันที่ 14 เมษายน 63 พบว่า มีประชาชนที่กระทําความผิดออกนอกเคหะสถาน 806 ราย ชุมนุมมั่วสุม 155 ราย ทั้งนี้ สาเหตุส่วนใหญ่ของการชุมนุมมั่วสุม คือ เล่นพนัน ดื่มสุราและยาเสพติด เหล่านี้เป็นสิ่งผิดกฎหมายและผิดจริยธรรม จากรายงานผู้ละเมิดความผิดของแต่ละจังหวัดพบว่า กรุงเทพมหานคร 500 กว่าคดี ปทุมธานี 325 คดี ภูเก็ต 216 คดี จึงขอวิงวอนประชาชนอย่ามั่วสุม ซึ่งนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว จะทําให้สุขภาพไม่ดีและเสี่ยงต่อการติดโรคไวรัสโควิด-19 ได้อีกด้วย
โฆษก ศบค. ยังย้ําถึงมาตรการการเดินทางเข้า-ออกประเทศของคนไทยว่า ในวันที่ 14 เมษายน 63 จะมีคนไทยที่เดินทางกลับจากเกาหลี จํานวน 135 ราย ในเวลา 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เมื่อเดินทางถึงประเทศไทยแล้วจะต้องเข้ากักกันเฝ้าระวังโรคในพื้นที่ที่รัฐบาลกําหนดทุกกรณี ซึ่งขอให้ผู้ที่เดินทางกลับให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคําแนะนําต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยทั้งของตนเองและผู้อื่นด้วย
*********************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-WHO ชื่นชม ไทยสามารถลดอันดับจำนวนผู้ติดเชื้อ ด้วยไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) กว่า 1,040,000 คน เป็นระบบการดูแลสุขภาพถึงระดับครอบครัว
วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563
WHO ชื่นชม ไทยสามารถลดอันดับจํานวนผู้ติดเชื้อ ด้วยไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) กว่า 1,040,000 คน เป็นระบบการดูแลสุขภาพถึงระดับครอบครัว
WHO ชื่นชม ไทยสามารถลดอันดับจํานวนผู้ติดเชื้อ ด้วยไทยมีอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) กว่า 1,040,000 คน เป็นระบบการดูแลสุขภาพถึงระดับครอบครัว
วันนี้ (14 เม.ย. 2563) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะโฆษก ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ดังนี้
1. การประชุมสมัยพิเศษของผู้นําอาเซียนเพื่อหารือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ผ่านระบบ Video Conference
นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ประชุมสมัยพิเศษของผู้นําอาเซียนเพื่อหารือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ผ่านระบบ Video Conference หารือวาระพิเศษเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เป็นประเด็นเร่งด่วนทั้งในพื้นที่เอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และช่วงบ่ายจะมีการประชุมคู่เจรจาที่ประสบปัญหาเดียวกัน ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบ และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว คาดว่าประสบการณ์ของประเทศเหล่านี้ จะสามารถช่วยให้สถานการณ์ประเทศสมาชิกอาเซียนดีขึ้นได้
2. สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในไทย
สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในประเทศ พบผู้ป่วยใหม่ 34 ราย มีผู้ที่หายป่วยกลับบ้านได้แล้ว 1,405 ราย ยังมีผู้ที่รักษาตัวอยู่ 1,167 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,613 ราย โดยกลุ่มคนไทยที่กลับจากอินโดนีเซียแล้วเข้า State Quarantine มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก 1 ราย ที่จังหวัดสตูล จากสถิติภาพรวมของผู้ที่หายป่วย ทําให้เตียงในโรงพยาบาลว่างมากขึ้น อย่างไรก็ตามกรุงเทพฯ และนนทบุรี ยังเป็นกลุ่มใหญ่ โดยมีผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ช่วงอายุที่มีการติดเชื้อมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 30-39 ปี รวม 623 ราย ผู้ติดเชื้อน้อยที่สุดอายุ 1 เดือน และสูงสุดอายุ 97 ปี อายุเฉลี่ยของผู้ที่ติดเชื้อ 40 ปี
โฆษก ศบค. กล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมเป็น 41 ราย โดยรายที่ 41 ผู้ป่วยหญิงชาวไทย อายุ 52 ปี อาชีพพนักงานขับรถ ขสมก. สาย 140 มีโรคประจําตัวคือโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจโต มีประวัติสังสรรค์ดื่มสุราในวงเพื่อน ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พบผู้ที่ติดเชื้อจากการสังสรรค์ทั้งหมด 10 ราย วันที่ 26 มีนาคม 63 ผู้ป่วยเริ่มมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ํามูก มีเสมหะ ไปตรวจที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ แล้วกลับไปปฏิบัติงานได้ตามปกติ ต่อมาวันที่ 3 เมษายน 63 มีอาการไข้ ถ่ายเหลว หอบ หายใจเหนื่อย ผลตรวจยืนยันติดเชื้อโควิด-19 วันที่ 4 เมษายน 63 ต่อมามีอาการแย่ลงเรื่อย ๆ และเสียชีวิต 12 เมษายน 63 ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วย
สําหรับผู้ป่วยรายใหม่ 34 ราย พบว่ากลุ่มใหญ่ คือ ผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน หรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ จํานวน 27 ราย คิดเป็น 80% กลุ่มที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ อิตาลี มาเลเซีย ซึ่งสองประเทศนี้ยังมีตัวเลขที่สูงอยู่ และกลุ่มที่มาจากอินโดนีเซียแล้วเข้า State Quarantine มี 1 คน แสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อนี้ยังไม่น่าไว้วางใจ ที่ต้องเน้นย้ําเพราะจะเห็นภาพตัวเลขผู้ติดเชื้อมีจํานวนขึ้น ๆ ลง ๆ ทั้งนี้ การรายงานตัวเลขคนที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในวันนี้ เป็นผลที่เกิดขึ้นจากประมาณ 1-7 วันที่ผ่านมา
เมื่อดูแผนที่แสดงจังหวัดที่รับรักษาผู้ป่วยยืนยันสะสม พบว่า กรุงเทพฯ 1,311 ราย ภูเก็ต 186 ราย นนทบุรี 150 ราย สมุทรปราการ 107 ราย ยะลา 90 ราย และมี 9 จังหวัดที่ยังคงไม่มีรายงานการรับผู้ป่วย อัตราผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต่อประชากรแสนคน จําแนกตามจังหวัดที่รับการรักษา อันดับ 1 ยังเป็น ภูเก็ต รองลงมาคือ กรุงเทพฯ ยะลา นนทบุรี ปัตตานี และในผู้ป่วยรายใหม่ 34 คน มาจากกรุงเทพฯ เป็นอันดับ 1 คือ 8 ราย ยะลา 6 ราย ปัตตานี ภูเก็ต จังหวัดละ 5 ราย นครศรีธรรมราช 4 ราย สมุทรปราการ 2 ราย เลย พังงา สตูล จังหวัดละ 1 ราย และอยู่ในระหว่างการสอบสวนโรคอีก 1 ราย
จํานวนผู้ป่วยรายใหม่ เปรียบเทียบพื้นที่ กรุงเทพฯ นนทบุรี และต่างจังหวัด พบว่า ต่างจังหวัดมีจํานวนเพิ่มขึ้น หลายคนที่กลับบ้านช่วงสงกรานต์ ปรากฏมีการตั้งวงดื่มเหล้า ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อได้ สําหรับกลุ่มคนไทยที่กลับจากอินโดนีเซียแล้วเข้า State Quarantine พบผู้ป่วยแล้ว 61 ราย จาก 70 กว่ารายที่เดินทางกลับมา จึงต้องเน้นย้ํามาตรการ State Quarantine และ Local Quarantine ขอให้ทุกคนสมัครใจ ด้วยภาครัฐมีเจตนาดีและมาตรการดังกล่าว เพื่อให้สามารถควบคุมโรคได้ และเพื่อให้ผู้เดินทางกลับปลอดภัยและสังคมปลอดภัย
โฆษก ศบค. กล่าวถึงแผนภูมิของต่างจังหวัดกับกรุงเทพฯ ว่า กรุงเทพฯ ค่อย ๆ ลดลงมา ภาคใต้มีความพยายามที่จะลดลง หากดูกราฟช่วงเวลาการติดเชื้อของ ผู้ป่วย COVID-19 ใน 4 จังหวัดภาคใต้ ตามปัจจัยเสี่ยง มีนาคม – 12 เมษายน 63 พบว่า ที่จังหวัดสงขลา เริ่มตั้งแต่ 16 มีนาคม 63 มีกลุ่มคนไทยกลับจากร่วมพิธีทางศาสนาที่ประเทศมาเลเซีย แล้วพบผู้ติดเชื้อวันที่ 20-23 มีนาคม 63 ต่อเนื่องถึงต้นเดือนเมษายน 63 นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มที่กลับจากการร่วมพิธีทางศาสนาที่อินโดนีเซียและปากีสถาน ทําให้จํานวนผู้ป่วยสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ ขอให้พี่น้องมุสลิมได้ดูแลสุขภาพ ต้องจัดสมดุลของชีวิต ร่างกาย และพิธีการต่าง ๆ ให้เหมาะสม เพื่อป้องกันการติดโรคและปลอดเชื้อได้ ขณะที่จังหวัดยะลา มีตัวเลขการป่วยตั้งแต่ 16 มีนาคม 63 มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นและสูงสุดวันที่ 23 มีนาคม 63 เริ่มลดลง แต่ต่อมามีกลุ่มคนที่กลับจากอินโดนีเซียและรวมกับพิธีทางศาสนาที่บันนังสตา ทําให้มีตัวเลขผู้ป่วยที่ 82 ราย ฉะนั้น เป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างมาก ผู้ที่ไปร่วมพิธีแล้วเดินทางกลับมาอาจจะแข็งแรงดี แต่คนที่บ้านอาจจะติดเชื้อและทําให้คนอื่นติดเชื้อต่อได้ถึงสามช่วง เช่นเดียวกับจังหวัดนราธิวาส ที่มีรูปแบบที่ใกล้เคียงคล้ายกัน แต่เป็นการติดเชื้อสองช่วง และที่ปัตตานีมี 77 รายที่เป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีหน้าที่สืบเสาะหาผู้ป่วย เพื่อช่วยเหลือพี่น้องทุกชาติทุกกลุ่ม ทุกวัย และทุกศาสนา เพราะทุกคนเป็นพี่น้องกัน
3. สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 โลก
ผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1,924,679 ราย อาการหนัก 50,000 กว่าราย หายแล้ว 440,000 กว่าราย เสียชีวิต119,000 กว่าราย โดยประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 1 จํานวน 23,000 กว่าราย โดยเมืองนิวยอร์กยังเป็นเมืองที่มีผู้เสียชีวิตจํานวนมาก อิตาลี เสียชีวิตแล้ว 20,000 กว่าราย ฝรั่งเศส เสียชีวิต 14,900 กว่าราย และอังกฤษ เสียชีวิต 11,300 กว่าราย
โฆษก ศบค. กล่าวว่าแต่ละประเทศดังกล่าวล้วนแล้วมีการสาธารณสุขที่ดีเยี่ยมระดับโลก ขณะที่ไทยอยู่อันดับ 6 ของโลกในการดูแลด้านสาธารณสุข ซึ่งต้องชมประเทศไทยเพราะขณะนี้อันดับผู้ติดเชื้อในประเทศไทยลดลงมาอยู่อันดับที่ 50 ขณะที่สิงคโปร์ปรับขึ้นไปอยู่อันดับที่ 48 โดยวานนี้มีผู้เสียชีวิตวันเดียวถึง 386 ราย เกิดจากกลุ่มที่ไปอยู่ในสถานที่ที่แออัด เช่น หอพัก ต่าง ๆ เป็นต้น
โฆษก ศบค. ยังย้ําหลักการในการจัดการวิกฤตระบุว่า “ต้องโปร่งใส ทุกอย่างพิสูจน์ได้ และเห็นภาพของความเป็นจริงให้มากที่สุด” ซึ่งประเทศไทยได้ทํามาตั้งแต่ต้นไม่มีใครมาคุมตัวเลข เพื่อที่จะให้ประชาชนทราบ และเป็นพลังของทุกคนในประเทศ ลงไปถึงระดับจังหวัด ในการติดตามสถานการณ์เฝ้าระวังตัวเลขในพื้นที่ของตนเอง ถือเป็นพลังสําคัญที่ทําให้อันดับของไทยขึ้นหรือลงได้
WHO หรือองค์การอนามัยโลกประจําประเทศไทย ชื่นชมไทยสามารถลดลําดับผู้ติดเชื้อ โดยระบุว่า ไทยมีระบบการดูแลสุขภาพถึงระดับครอบครัว คือ อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) กว่า 1,040,000 คน ทําให้สามารถดูแลคนได้อย่างใกล้ชิด นี่คือความภาคภูมิใจของประเทศไทย ซึ่งองค์กรด้านสาธารณสุขระดับโลกรายงานให้คนทั่วโลกรับทราบ ถึงศักยภาพการดูแลสาธารณสุขของคนไทย ซึ่งต้องขอบคุณ อสม. รวมถึงบุคลากรทุกฝ่ายที่ช่วยกัน
สําหรับจํานวนผู้ติดเชื้อนับจากวันที่มีผู้ติดเชื้อถึง 100 คน นั้น จากภาพแผนภูมิเส้นกราฟแสดงตัวเลขของโลก ฮ่องกงใกล้เคียงกับไทย ขณะที่สิงคโปร์และญี่ปุ่น ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่อง จึงขอให้ทุกคนช่วยกันให้ไทยรักษาระดับเช่นนี้ได้ไปเรื่อย ๆ ต่อไป
ผู้ป่วยสะสมของไทยที่เข้ารักษาแยกตามสังกัด ดังนี้ โรงพยาบาลเอกชนร้อยละ 42.3 โรงเรียนแพทย์ ประมาณร้อยละ 25.8 กรมการแพทย์และกรมควบคุมโรคซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง ประมาณร้อยละ 10 และร้อยละ 11 ตามลําดับ โดยมีผู้ป่วยที่อาการหนักอยู่ใน ICU (ข้อมูล 13 เม.ย.63) จํานวน 48 ราย ซึ่งผู้ป่วยดังกล่าวแบ่งเป็นภาระงานของทางภาครัฐ จํานวน 37 ราย เอกชน จํานวน 11 ราย ภาพรวมของประเทศไทย ทุกหน่วยงานล้วนมีความกล้าหาญในวิชาชีพ พร้อมช่วยกันที่จะทําให้ประชาชนกลับคืนสู่ปกติ
โฆษก ศบค. ยืนยันให้ประชาชนสบายใจได้ว่า ขณะนี้มีเตียงเพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยได้ รวมทั้งการเตรียมพร้อมเครื่องช่วยหายใจเพียงพอทั่วทุกภาค ซึ่งนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานศูนย์ ศบค. เน้นย้ําให้มีการตรวจสอบจํานวนเตียง เครื่องมือ ให้มีความพร้อมและเพียงพอรองรับกับสถานการณ์อยู่เสมอ
4. รายงานผลการปฏิบัติการจากการประกาศเคอร์ฟิว
รายงานผลการปฏิบัติการจากการประกาศเคอร์ฟิวประจําวันที่ 14 เมษายน 63 พบว่า มีประชาชนที่กระทําความผิดออกนอกเคหะสถาน 806 ราย ชุมนุมมั่วสุม 155 ราย ทั้งนี้ สาเหตุส่วนใหญ่ของการชุมนุมมั่วสุม คือ เล่นพนัน ดื่มสุราและยาเสพติด เหล่านี้เป็นสิ่งผิดกฎหมายและผิดจริยธรรม จากรายงานผู้ละเมิดความผิดของแต่ละจังหวัดพบว่า กรุงเทพมหานคร 500 กว่าคดี ปทุมธานี 325 คดี ภูเก็ต 216 คดี จึงขอวิงวอนประชาชนอย่ามั่วสุม ซึ่งนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว จะทําให้สุขภาพไม่ดีและเสี่ยงต่อการติดโรคไวรัสโควิด-19 ได้อีกด้วย
โฆษก ศบค. ยังย้ําถึงมาตรการการเดินทางเข้า-ออกประเทศของคนไทยว่า ในวันที่ 14 เมษายน 63 จะมีคนไทยที่เดินทางกลับจากเกาหลี จํานวน 135 ราย ในเวลา 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เมื่อเดินทางถึงประเทศไทยแล้วจะต้องเข้ากักกันเฝ้าระวังโรคในพื้นที่ที่รัฐบาลกําหนดทุกกรณี ซึ่งขอให้ผู้ที่เดินทางกลับให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคําแนะนําต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยทั้งของตนเองและผู้อื่นด้วย
*********************
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29049
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม พักชำระหนี้ SME กองทุน ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และ COVID-19 [กระทรวงอุตสาหกรรม]
|
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2563
กระทรวงอุตสาหกรรม พักชําระหนี้ SME กองทุน ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และ COVID-19 [กระทรวงอุตสาหกรรม]
กระทรวงอุตสาหกรรม พักชําระหนี้ SME กองทุน ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และ COVID-19
คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ (กอป.) มีมติอนุมัติมาตรการช่วยเหลือ SME ที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง และการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม พักชำระหนี้ SME กองทุน ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และ COVID-19 [กระทรวงอุตสาหกรรม]
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม 2563
กระทรวงอุตสาหกรรม พักชําระหนี้ SME กองทุน ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และ COVID-19 [กระทรวงอุตสาหกรรม]
กระทรวงอุตสาหกรรม พักชําระหนี้ SME กองทุน ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และ COVID-19
คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ (กอป.) มีมติอนุมัติมาตรการช่วยเหลือ SME ที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง และการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30317
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในการประชุมความร่วมมือระหว่าง อาเซียน กับ ออสเตรเลีย ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์อาเซียน
|
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในการประชุมความร่วมมือระหว่าง อาเซียน กับ ออสเตรเลีย ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์อาเซียน
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานเลี้ยงอาหารค่ํา เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับออสเตรเลียด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ในหัวข้อ “ASEAN-Australia Cybersecurity Workshop : Strengthening Legal Implementation in Tackling Cybersecurity Challenges in the Region” โดยกระทรวงดิจิทัลฯ และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับ ประเทศออสเตรเลีย จัดขึ้น สําหรับการประชุมดังกล่าว มีผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียนและออสเตรเลีย รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนเข้าร่วมการประชุมฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและออสเตรเลียเกี่ยวกับกลไกและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศเกี่ยวกับกลไกกํากับดูแลด้านไซเบอร์ และปฏิบัติการรับมือกรณีที่มีการโจมตีทางไซเบอร์ในระดับภูมิภาค โดยจําลองสถานการณ์วิกฤติด้านไซเบอร์ในภูมิภาค เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมการประชุมหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน และนํายุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ รวมถึงกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ มาปรับใช้เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันการณ์ เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงแรมดุสิตธานี ถนนพระราม 4 เขตบางรัก กรุงเทพฯ
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในการประชุมความร่วมมือระหว่าง อาเซียน กับ ออสเตรเลีย ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์อาเซียน
วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561
รมว.ดิจิทัลฯ ปาฐกถาพิเศษในการประชุมความร่วมมือระหว่าง อาเซียน กับ ออสเตรเลีย ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์อาเซียน
รมว.ดิจิทัลฯ
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานเลี้ยงอาหารค่ํา เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนกับออสเตรเลียด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ในหัวข้อ “ASEAN-Australia Cybersecurity Workshop : Strengthening Legal Implementation in Tackling Cybersecurity Challenges in the Region” โดยกระทรวงดิจิทัลฯ และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับ ประเทศออสเตรเลีย จัดขึ้น สําหรับการประชุมดังกล่าว มีผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียนและออสเตรเลีย รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนเข้าร่วมการประชุมฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและออสเตรเลียเกี่ยวกับกลไกและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางไซเบอร์ พร้อมส่งเสริมความร่วมมือด้านกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศเกี่ยวกับกลไกกํากับดูแลด้านไซเบอร์ และปฏิบัติการรับมือกรณีที่มีการโจมตีทางไซเบอร์ในระดับภูมิภาค โดยจําลองสถานการณ์วิกฤติด้านไซเบอร์ในภูมิภาค เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมการประชุมหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน และนํายุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ รวมถึงกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ มาปรับใช้เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันการณ์ เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงแรมดุสิตธานี ถนนพระราม 4 เขตบางรัก กรุงเทพฯ
**********************
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10080
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมรับมือ พายุโซนร้อน ตาลัส พร้อม ให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างทันท่วงที
|
วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2560
ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมรับมือ พายุโซนร้อน ตาลัส พร้อม ให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างทันท่วงที
พันเอกหญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยนายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมรับมือ พายุโซนร้อน ตาลัส พร้อมให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างทันท่วงที
วันนี้ ( 17 ก.ค. 60 ) เวลา 13.40 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีสั่งการต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งกรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกระทรวงมหาดไทย ฯลฯ เตรียมความพร้อมรับพายุโซนร้อน"ตาลัส" ที่กําลังจะเคลื่อนผ่านเข้าปกคลุมในบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยขอให้มีการแจ้งเตือนประชาชนรับทราบล่วงหน้าก่อนที่ฝนจะตก รวมถึงการเตรียมแผนงานให้พร้อมในการช่วยเหลือประชาชนให้เป็นไปอย่างทันท่วงที และหากเกิดน้ําท่วมฉับพลันให้เร่งดําเนินการการบริหารจัดการสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็ว ขณะเดียวกันระหว่างนี้ให้เตรียมหาแหล่งเก็บกับน้ําขนาดเล็กไว้ใช้ในช่วงที่จําเป็นหรือฤดูแล้ง เช่น การเก็บกับน้ําในลักษณะหลุมขนมครก
พร้อมทั้ง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจจะมีปริมาณน้ําจํานวนมากทางภาคเหนือไหลลงมาสู่ภาคกลาง จนส่งผลกระทบต่อประชาชนบริเวณดังกล่าวได้
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมรับมือ พายุโซนร้อน ตาลัส พร้อม ให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างทันท่วงที
วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2560
ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาลเผยนายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมรับมือ พายุโซนร้อน ตาลัส พร้อม ให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างทันท่วงที
พันเอกหญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยนายกรัฐมนตรีสั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมรับมือ พายุโซนร้อน ตาลัส พร้อมให้การช่วยเหลือประชาชนเป็นไปอย่างทันท่วงที
วันนี้ ( 17 ก.ค. 60 ) เวลา 13.40 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พันเอกหญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีสั่งการต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ทั้งกรมอุตุนิยมวิทยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกระทรวงมหาดไทย ฯลฯ เตรียมความพร้อมรับพายุโซนร้อน"ตาลัส" ที่กําลังจะเคลื่อนผ่านเข้าปกคลุมในบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยขอให้มีการแจ้งเตือนประชาชนรับทราบล่วงหน้าก่อนที่ฝนจะตก รวมถึงการเตรียมแผนงานให้พร้อมในการช่วยเหลือประชาชนให้เป็นไปอย่างทันท่วงที และหากเกิดน้ําท่วมฉับพลันให้เร่งดําเนินการการบริหารจัดการสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็ว ขณะเดียวกันระหว่างนี้ให้เตรียมหาแหล่งเก็บกับน้ําขนาดเล็กไว้ใช้ในช่วงที่จําเป็นหรือฤดูแล้ง เช่น การเก็บกับน้ําในลักษณะหลุมขนมครก
พร้อมทั้ง ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจจะมีปริมาณน้ําจํานวนมากทางภาคเหนือไหลลงมาสู่ภาคกลาง จนส่งผลกระทบต่อประชาชนบริเวณดังกล่าวได้
----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5288
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เปิดตัวเพิ่ม 2 โครงการ Flagship มุ่งพัฒนาบุคลากรสู่ผู้นำทางสังคมด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อสังคมคุณภาพ
|
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561
รมว.พม. เปิดตัวเพิ่ม 2 โครงการ Flagship มุ่งพัฒนาบุคลากรสู่ผู้นําทางสังคมด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อสังคมคุณภาพ
รมว.พม. เปิดตัวเพิ่ม 2 โครงการ Flagship มุ่งพัฒนาบุคลากรสู่ผู้นําทางสังคมด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อสังคมคุณภาพ
วันนี้ (2 ก.ค. 61) เวลา 13.30 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานเปิดตัวโครงการ Flagship "พัฒนาบุคลากรรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม” และ " พัฒนาระบบควบคุมภายในเพื่อยกระดับธรรมาภิบาล” ภายใต้โครงการสําคัญตามยุทธศาสตร์ (Flagship Project) พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ เรื่อง "ผู้นําทางด้านสังคมกับธรรมาภิบาล” โดยมีผู้บริหารและผู้อํานวยการกลุ่มขึ้นไป สังกัดหน่วยงานกระทรวง พม. ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ
ด้วยรัฐบาลได้กําหนดกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยให้มี ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน สู่ประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งได้ให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจน เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมในสังคม และการสร้างโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและบริการของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในการประกอบอาชีพ และการมีรายได้ที่มั่นคงแก่ประชาชน เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลด้วยความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ตามแนวคิดประชารัฐ และน้อมนําแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการพัฒนางานด้านสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ "พม.เป็นผู้นําด้านสังคมของไทยและอาเซียน มุ่งสู่คนอยู่ดีมีสุขในสังคมคุณภาพ” ด้วยโครงการที่สําคัญตามยุทธศาสตร์กระทรวง พม. (Flagship Project) พ.ศ. 2560 – 2564 จํานวน 13 โครงการ สําหรับวันนี้ ได้กําหนดการเปิดตัวโครงการ Flagship "พัฒนาบุคลากรรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม” และ " พัฒนาระบบควบคุมภายในเพื่อยกระดับธรรมาภิบาล” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรของกระทรวง พม. มีการพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นําทางสังคมด้วยองค์กรธรรมาภิบาล อีกทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวให้บุคลากรทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ได้ตระหนักและเห็นความสําคัญในการพัฒนาตนเองและองค์กรร่วมกันตามแผนการดําเนินงานของ Flagship Project ทั้ง 2 โครงการ
สําหรับการก้าวสู่การเป็นผู้นําด้านสังคมและการพัฒนาทรัพยากรบุคคลสู่ความเป็นเลิศ นับว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งของความสําเร็จในการบริหารจัดการองค์กร เพื่อนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ และมาตรการกลไกต่างๆ ได้อย่างมีผลสัมฤทธิ์ โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรยุคใหม่ จําเป็นต้องมีวิธีการปรับเปลี่ยนใน 3 เรื่องสําคัญ ได้แก่ 1) การปรับเปลี่ยนความคิดของบุคลากร 2) การสร้างค่านิยมที่เป็นวัฒนธรรมขององค์กรที่เข้มแข็ง และ 3) ทักษะในการปฏิบัติงานได้อย่างมืออาชีพ นอกจากนี้ บุคลากรจําเป็นต้อง มีทักษะแห่งอนาคตใหม่ ในศตวรรษที่ 21 ใน 3 ด้าน คือ 1) ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning skill and Innovation) 2) ทักษะชีวิตและ การประกอบอาชีพ (Life skill and career skill) และ 3) ทักษะด้านข้อมูลข่าวสาร การสื่อสารเทคโนโลยี (Information and Technology skill)
นอกจากการพัฒนาศักยภาพดังกล่าวแล้ว สิ่งจําเป็นที่บุคลากรของกระทรวง พม. ทุกคนจะต้องให้ความสําคัญคือ "หลักธรรมาภิบาล (Good Governance)” ซึ่งเป็นหลักการสําคัญเพื่อการอยู่ร่วมกันในบ้านเมืองและสังคมอย่างมีความสงบสุข สามารถประสานประโยชน์และคลี่คลายปัญหา ข้อขัดแย้ง โดยสันติวิธี เพื่อการพัฒนาสังคมให้มีความยั่งยืน ทั้งนี้ องค์ประกอบของหลักธรรมาภิบาล มี 6 ประการ ดังนี้ 1) หลักนิติธรรม การตรากฎหมาย กฎ ระเบียบข้อบังคับและกติกาต่างๆ ให้ทันสมัยและเป็นธรรม ตลอดจนเป็นที่ยอมรับของสังคมและสมาชิก โดยมีการยินยอมพร้อมใจและถือปฏิบัติร่วมกันอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม 2) หลักคุณธรรม การยึดถือและ เชื่อมั่นในความถูกต้องดีงาม โดยการรณรงค์เพื่อสร้างค่านิยมที่ดีงามให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรหรือสมาชิกของสังคมถือปฏิบัติ 3) หลักความโปร่งใส การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา และสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ โดยการปรับปรุงระบบและกลไก การทํางานขององค์กรให้มีความโปร่งใส มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารหรือเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวก ตลอดจนมีระบบหรือกระบวนการตรวจสอบและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ 4) หลักความมีส่วนร่วม ประชาชนมีส่วนร่วม รับรู้ และร่วมเสนอความเห็นในการตัดสินใจสําคัญๆของสังคม โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีช่องทางในการเข้ามามีส่วนร่วม 5) หลักความรับผิดชอบ ผู้บริหารและบุคลากรทุกคนต้องตั้งใจปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยมุ่งให้บริการแก่ผู้มารับบริการ เพื่ออํานวยความสะดวกต่างๆ และ 6) หลักความคุ้มค่า ผู้บริหารต้องตระหนักว่ามีทรัพยากรค่อนข้างจํากัด ดังนั้น การบริหารจัดการจําเป็นต้องยึดหลักความประหยัดและความคุ้มค่า มีจุดมุ่งหมายไปที่ผู้รับบริการหรือประชาชนโดยส่วนรวม
อย่างไรก็ตาม สิ่งสําคัญที่ทําให้องค์กรมุ่งไปสู่วิสัยทัศน์ที่กําหนดร่วมกัน จําเป็นต้องเกิดจากการรวมพลังและความร่วมมือของทุกคนและทุกฝ่าย โดยยึดหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการทํางาน โดยต้องเป็นผู้นําด้านสังคมที่สามารถขับเคลื่อนงาน และบูรณาการการทํางานร่วมกับภาคีทุกภาคส่วนอย่างมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม เพื่อสร้างความเป็นธรรมและความเสมอภาค ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนมีกําลังใจ กําลังกาย และกําลังสติปัญญาอันเข้มแข็งในการปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งและเต็มที่ในการสร้างสรรค์ผลงาน โดยยึดหลักธรรมาภิบาล เพื่อทําให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน อันนําไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. เปิดตัวเพิ่ม 2 โครงการ Flagship มุ่งพัฒนาบุคลากรสู่ผู้นำทางสังคมด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อสังคมคุณภาพ
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561
รมว.พม. เปิดตัวเพิ่ม 2 โครงการ Flagship มุ่งพัฒนาบุคลากรสู่ผู้นําทางสังคมด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อสังคมคุณภาพ
รมว.พม. เปิดตัวเพิ่ม 2 โครงการ Flagship มุ่งพัฒนาบุคลากรสู่ผู้นําทางสังคมด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อสังคมคุณภาพ
วันนี้ (2 ก.ค. 61) เวลา 13.30 น.พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานเปิดตัวโครงการ Flagship "พัฒนาบุคลากรรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม” และ " พัฒนาระบบควบคุมภายในเพื่อยกระดับธรรมาภิบาล” ภายใต้โครงการสําคัญตามยุทธศาสตร์ (Flagship Project) พร้อมทั้งบรรยายพิเศษ เรื่อง "ผู้นําทางด้านสังคมกับธรรมาภิบาล” โดยมีผู้บริหารและผู้อํานวยการกลุ่มขึ้นไป สังกัดหน่วยงานกระทรวง พม. ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สะพานขาว กรุงเทพฯ
ด้วยรัฐบาลได้กําหนดกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยให้มี ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน สู่ประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งได้ให้ความสําคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจน เพื่อลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมในสังคม และการสร้างโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและบริการของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจในการประกอบอาชีพ และการมีรายได้ที่มั่นคงแก่ประชาชน เพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาลด้วยความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ตามแนวคิดประชารัฐ และน้อมนําแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการพัฒนางานด้านสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ "พม.เป็นผู้นําด้านสังคมของไทยและอาเซียน มุ่งสู่คนอยู่ดีมีสุขในสังคมคุณภาพ” ด้วยโครงการที่สําคัญตามยุทธศาสตร์กระทรวง พม. (Flagship Project) พ.ศ. 2560 – 2564 จํานวน 13 โครงการ สําหรับวันนี้ ได้กําหนดการเปิดตัวโครงการ Flagship "พัฒนาบุคลากรรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม” และ " พัฒนาระบบควบคุมภายในเพื่อยกระดับธรรมาภิบาล” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บุคลากรของกระทรวง พม. มีการพัฒนาศักยภาพความเป็นผู้นําทางสังคมด้วยองค์กรธรรมาภิบาล อีกทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์โครงการดังกล่าวให้บุคลากรทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ได้ตระหนักและเห็นความสําคัญในการพัฒนาตนเองและองค์กรร่วมกันตามแผนการดําเนินงานของ Flagship Project ทั้ง 2 โครงการ
สําหรับการก้าวสู่การเป็นผู้นําด้านสังคมและการพัฒนาทรัพยากรบุคคลสู่ความเป็นเลิศ นับว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งของความสําเร็จในการบริหารจัดการองค์กร เพื่อนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ และมาตรการกลไกต่างๆ ได้อย่างมีผลสัมฤทธิ์ โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรยุคใหม่ จําเป็นต้องมีวิธีการปรับเปลี่ยนใน 3 เรื่องสําคัญ ได้แก่ 1) การปรับเปลี่ยนความคิดของบุคลากร 2) การสร้างค่านิยมที่เป็นวัฒนธรรมขององค์กรที่เข้มแข็ง และ 3) ทักษะในการปฏิบัติงานได้อย่างมืออาชีพ นอกจากนี้ บุคลากรจําเป็นต้อง มีทักษะแห่งอนาคตใหม่ ในศตวรรษที่ 21 ใน 3 ด้าน คือ 1) ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning skill and Innovation) 2) ทักษะชีวิตและ การประกอบอาชีพ (Life skill and career skill) และ 3) ทักษะด้านข้อมูลข่าวสาร การสื่อสารเทคโนโลยี (Information and Technology skill)
นอกจากการพัฒนาศักยภาพดังกล่าวแล้ว สิ่งจําเป็นที่บุคลากรของกระทรวง พม. ทุกคนจะต้องให้ความสําคัญคือ "หลักธรรมาภิบาล (Good Governance)” ซึ่งเป็นหลักการสําคัญเพื่อการอยู่ร่วมกันในบ้านเมืองและสังคมอย่างมีความสงบสุข สามารถประสานประโยชน์และคลี่คลายปัญหา ข้อขัดแย้ง โดยสันติวิธี เพื่อการพัฒนาสังคมให้มีความยั่งยืน ทั้งนี้ องค์ประกอบของหลักธรรมาภิบาล มี 6 ประการ ดังนี้ 1) หลักนิติธรรม การตรากฎหมาย กฎ ระเบียบข้อบังคับและกติกาต่างๆ ให้ทันสมัยและเป็นธรรม ตลอดจนเป็นที่ยอมรับของสังคมและสมาชิก โดยมีการยินยอมพร้อมใจและถือปฏิบัติร่วมกันอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม 2) หลักคุณธรรม การยึดถือและ เชื่อมั่นในความถูกต้องดีงาม โดยการรณรงค์เพื่อสร้างค่านิยมที่ดีงามให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรหรือสมาชิกของสังคมถือปฏิบัติ 3) หลักความโปร่งใส การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา และสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ โดยการปรับปรุงระบบและกลไก การทํางานขององค์กรให้มีความโปร่งใส มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารหรือเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวก ตลอดจนมีระบบหรือกระบวนการตรวจสอบและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ 4) หลักความมีส่วนร่วม ประชาชนมีส่วนร่วม รับรู้ และร่วมเสนอความเห็นในการตัดสินใจสําคัญๆของสังคม โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีช่องทางในการเข้ามามีส่วนร่วม 5) หลักความรับผิดชอบ ผู้บริหารและบุคลากรทุกคนต้องตั้งใจปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยมุ่งให้บริการแก่ผู้มารับบริการ เพื่ออํานวยความสะดวกต่างๆ และ 6) หลักความคุ้มค่า ผู้บริหารต้องตระหนักว่ามีทรัพยากรค่อนข้างจํากัด ดังนั้น การบริหารจัดการจําเป็นต้องยึดหลักความประหยัดและความคุ้มค่า มีจุดมุ่งหมายไปที่ผู้รับบริการหรือประชาชนโดยส่วนรวม
อย่างไรก็ตาม สิ่งสําคัญที่ทําให้องค์กรมุ่งไปสู่วิสัยทัศน์ที่กําหนดร่วมกัน จําเป็นต้องเกิดจากการรวมพลังและความร่วมมือของทุกคนและทุกฝ่าย โดยยึดหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการทํางาน โดยต้องเป็นผู้นําด้านสังคมที่สามารถขับเคลื่อนงาน และบูรณาการการทํางานร่วมกับภาคีทุกภาคส่วนอย่างมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคม เพื่อสร้างความเป็นธรรมและความเสมอภาค ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนมีกําลังใจ กําลังกาย และกําลังสติปัญญาอันเข้มแข็งในการปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งและเต็มที่ในการสร้างสรรค์ผลงาน โดยยึดหลักธรรมาภิบาล เพื่อทําให้ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน อันนําไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13528
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 17-23 สิงหาคม 2561 พบการกระทำผิด จำนวน 509 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.56 ล้านบาท
|
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 17-23 สิงหาคม 2561 พบการกระทําผิด จํานวน 509 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.56 ล้านบาท
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 17-23 สิงหาคม 2561 พบการกระทําผิด จํานวน 509 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.56 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2561 (ระหว่างวันที่ 17-23 สิงหาคม 2561) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 509 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.56 ล้านบาท โดยแยกเป็น - สุรา จํานวน 339 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 2.77 ล้านบาท
- ยาสูบ จํานวน 88 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 2.80 ล้านบาท
- ไพ่ จํานวน 16 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.21 ล้านบาท
- น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 26 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.79 ล้านบาท
- น้ําหอม จํานวน 3 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.013 ล้านบาท
- รถจักรยานยนต์ จํานวน 23 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ จํานวน 0.32 ล้านบาท
- สินค้าอื่น ๆ จํานวน 14 คดี รวมเป็นเงินค่าปรับ 0.67 ล้านบาท
โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,177.985 ลิตร ยาสูบ จํานวน 7,993 ซอง ไพ่ จํานวน 872 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 31,550 ลิตร น้ําหอม จํานวน 857 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 27 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th หรือแจ้งที่ตู้ ป.ณ. 10 เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 17-23 สิงหาคม 2561 พบการกระทำผิด จำนวน 509 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.56 ล้านบาท
วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม 2561
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 17-23 สิงหาคม 2561 พบการกระทําผิด จํานวน 509 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.56 ล้านบาท
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ระหว่างวันที่ 17-23 สิงหาคม 2561 พบการกระทําผิด จํานวน 509 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.56 ล้านบาท
กรมสรรพสามิตดําเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายสรรพสามิต เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมากรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่ทั่วประเทศ พร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากการบริโภคสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษีจะเป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าสินค้าโดยทั่วไป
จากผลการตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2561 (ระหว่างวันที่ 17-23 สิงหาคม 2561) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 509 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 7.56 ล้านบาท โดยแยกเป็น - สุรา จํานวน 339 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 2.77 ล้านบาท
- ยาสูบ จํานวน 88 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 2.80 ล้านบาท
- ไพ่ จํานวน 16 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.21 ล้านบาท
- น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 26 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.79 ล้านบาท
- น้ําหอม จํานวน 3 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 0.013 ล้านบาท
- รถจักรยานยนต์ จํานวน 23 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ จํานวน 0.32 ล้านบาท
- สินค้าอื่น ๆ จํานวน 14 คดี รวมเป็นเงินค่าปรับ 0.67 ล้านบาท
โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,177.985 ลิตร ยาสูบ จํานวน 7,993 ซอง ไพ่ จํานวน 872 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 31,550 ลิตร น้ําหอม จํานวน 857 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 27 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th หรือแจ้งที่ตู้ ป.ณ. 10 เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ และจะมอบสินบนนําจับให้ ภายหลังจากคดีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14880
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ
|
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562
ก.แรงงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ
กระทรวงแรงงาน จัดงาน Informal Labour Fair 2019 สร้างโอกาส สร้างอาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานแรงงานนอกระบบ ร่วมเป็นกลไกในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน Informal Labour Fair 2019 แรงงานนอกระบบ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงแรมเดอะบาซาร์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯว่า แรงงานนอกระบบเป็นแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งมีจํานวนถึง 21.2 ล้านคน และเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อให้แรงงานกลุ่มนี้ได้รับความคุ้มครองและเข้าถึงระบบสวัสดิการภาคสังคมต่างๆ ทัดเทียมกับแรงงานในระบบ กระทรวงแรงงานได้กําหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนในการส่งเสริมและพัฒนาแรงงานนอกระบบให้มีอาชีพ มีรายได้ มีหลักประกันทางสังคม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานในสังกัด ในการเพิ่มทักษะฝีมือ การส่งเสริมให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและตลาด การสร้างหลักประกันในการดํารงชีพเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 การคุ้มครองและสร้างความปลอดภัยในการทํางาน อย่างไรก็ตามการขับเคลื่อนการดําเนินการดังกล่าวต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของแรงงานนอกระบบและภาคประชาสังคมในท้องถิ่นตั้งแต่ระดับชุมชน อําเภอ ไปจนถึงระดับจังหวัด ในการสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายแรงงานนอกระบบในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลให้แรงงานนอกระบบได้เข้าถึงบริการของภาครัฐได้อย่างทั่วถึง
รมว.แรงงาน กล่าวเพิ่มว่า การจัดงานในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แรงงานนอกระบบ ผู้นําในระดับชุมชน เจ้าหน้าที่ภาครัฐ และประชาชนทั่วไป ได้มีความรู้ ความเข้าใจสถานการณ์ด้านแรงงานนอกระบบ กฎหมายและสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง ตระหนักถึงความสําคัญในการสร้างและรวมตัวเป็นเครือข่ายในระดับพื้นที่ เพื่อร่วมกับกระทรวงแรงงานในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานนอกระบบให้เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562
ก.แรงงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ
กระทรวงแรงงาน จัดงาน Informal Labour Fair 2019 สร้างโอกาส สร้างอาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานแรงงานนอกระบบ ร่วมเป็นกลไกในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน Informal Labour Fair 2019 แรงงานนอกระบบ สร้างโอกาส สร้างอาชีพ วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงแรมเดอะบาซาร์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯว่า แรงงานนอกระบบเป็นแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งมีจํานวนถึง 21.2 ล้านคน และเป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพื่อให้แรงงานกลุ่มนี้ได้รับความคุ้มครองและเข้าถึงระบบสวัสดิการภาคสังคมต่างๆ ทัดเทียมกับแรงงานในระบบ กระทรวงแรงงานได้กําหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนในการส่งเสริมและพัฒนาแรงงานนอกระบบให้มีอาชีพ มีรายได้ มีหลักประกันทางสังคม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานในสังกัด ในการเพิ่มทักษะฝีมือ การส่งเสริมให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนและตลาด การสร้างหลักประกันในการดํารงชีพเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 การคุ้มครองและสร้างความปลอดภัยในการทํางาน อย่างไรก็ตามการขับเคลื่อนการดําเนินการดังกล่าวต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของแรงงานนอกระบบและภาคประชาสังคมในท้องถิ่นตั้งแต่ระดับชุมชน อําเภอ ไปจนถึงระดับจังหวัด ในการสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายแรงงานนอกระบบในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลให้แรงงานนอกระบบได้เข้าถึงบริการของภาครัฐได้อย่างทั่วถึง
รมว.แรงงาน กล่าวเพิ่มว่า การจัดงานในวันนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้แรงงานนอกระบบ ผู้นําในระดับชุมชน เจ้าหน้าที่ภาครัฐ และประชาชนทั่วไป ได้มีความรู้ ความเข้าใจสถานการณ์ด้านแรงงานนอกระบบ กฎหมายและสิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง ตระหนักถึงความสําคัญในการสร้างและรวมตัวเป็นเครือข่ายในระดับพื้นที่ เพื่อร่วมกับกระทรวงแรงงานในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานนอกระบบให้เป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18756
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งเสริมการจ้างงานคนพิการอย่างเท่าเทียม เพิ่ม 10,000 อัตราในปีนี้ พร้อมให้หน่วยงานรัฐและเอกชนร่วมดูแลคุณภาพชีวิตคนพิการ
|
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560
รัฐบาลส่งเสริมการจ้างงานคนพิการอย่างเท่าเทียม เพิ่ม 10,000 อัตราในปีนี้ พร้อมให้หน่วยงานรัฐและเอกชนร่วมดูแลคุณภาพชีวิตคนพิการ
พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดูแลคุณภาพชีวิตคนพิการ
วันนี้ (26 มีนาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดูแลคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยเฉพาะเรื่องการจ้างงานให้คนพิการมีโอกาสประกอบอาชีพสร้างรายได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับคนอื่น ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ
"ในปีนี้รัฐบาลตั้งเป้าส่งเสริมให้คนพิการได้ประกอบอาชีพเพิ่มขึ้นอีก 10,000 คน จากเมื่อปีที่แล้วคนพิการวัยทํางานมีงานทําแล้ว 192,393 คน จากทั้งหมด 799,342 คน โดยจะรณรงค์และบังคับใช้กฎหมายการจ้างงานคนพิการอย่างจริงจัง เพื่อให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมกันสนับสนุนการสร้างอาชีพให้แก่คนพิการ
ทั้งนี้ แต่ละหน่วยงานมี 3 ทางเลือก ได้แก่ 1) จ้างงานคนพิการในสัดส่วนลูกจ้างคนพิการ 1 คน ต่อลูกจ้าง 100 คน หรือ 2) ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือ 3) ให้สัมปทานแก่คนพิการเข้าไปขายสินค้าและบริการในพื้นที่ของหน่วยงานได้ โดยทางเลือกที่ 3 นี้ ขอให้หน่วยงานหรือองค์กรแจ้งความจํานงกับทางราชการเพื่อบันทึกเป็นข้อมูลไว้ โดยหากอยู่ในเขต กทม.ให้แจ้งต่อกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ส่วนในภูมิภาคแจ้งที่ สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ภายใน 31 มี.ค. 60 นี้”
สําหรับคนพิการที่กําลังมองหางานสามารถดูข้อมูลหน่วยงานที่เปิดรับสมัครงาน หรือหน่วยงานที่เปิดพื้นที่ให้คนพิการเข้าไปประกอบอาชีพได้ที่ www.ตลาดงานคนพิการ.com และหากต้องการร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือเรื่องการจ้างงานสามารถติดต่อศูนย์บริการคนพิการ โทร. 0 2354 4542 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
“ท่านนายกฯ เน้นย้ําให้หน่วยงานของรัฐไปสํารวจว่าพื้นที่ของตนได้ปรับปรุงให้มีสิ่งอํานวยความสะดวกแก่คนพิการเพียงพอแล้วหรือยัง เช่น ทางเดิน ทางขึ้นอาคาร ห้องน้ํา ลานจอดรถ ฯลฯ ส่วนสถานที่สาธารณะ แหล่งท่องเที่ยวให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดําเนินการในลักษณะเดียวกัน เพื่อส่งเสริมให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป”
.........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลส่งเสริมการจ้างงานคนพิการอย่างเท่าเทียม เพิ่ม 10,000 อัตราในปีนี้ พร้อมให้หน่วยงานรัฐและเอกชนร่วมดูแลคุณภาพชีวิตคนพิการ
วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560
รัฐบาลส่งเสริมการจ้างงานคนพิการอย่างเท่าเทียม เพิ่ม 10,000 อัตราในปีนี้ พร้อมให้หน่วยงานรัฐและเอกชนร่วมดูแลคุณภาพชีวิตคนพิการ
พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดูแลคุณภาพชีวิตคนพิการ
วันนี้ (26 มีนาคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดูแลคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยเฉพาะเรื่องการจ้างงานให้คนพิการมีโอกาสประกอบอาชีพสร้างรายได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกับคนอื่น ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ
"ในปีนี้รัฐบาลตั้งเป้าส่งเสริมให้คนพิการได้ประกอบอาชีพเพิ่มขึ้นอีก 10,000 คน จากเมื่อปีที่แล้วคนพิการวัยทํางานมีงานทําแล้ว 192,393 คน จากทั้งหมด 799,342 คน โดยจะรณรงค์และบังคับใช้กฎหมายการจ้างงานคนพิการอย่างจริงจัง เพื่อให้ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนร่วมกันสนับสนุนการสร้างอาชีพให้แก่คนพิการ
ทั้งนี้ แต่ละหน่วยงานมี 3 ทางเลือก ได้แก่ 1) จ้างงานคนพิการในสัดส่วนลูกจ้างคนพิการ 1 คน ต่อลูกจ้าง 100 คน หรือ 2) ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือ 3) ให้สัมปทานแก่คนพิการเข้าไปขายสินค้าและบริการในพื้นที่ของหน่วยงานได้ โดยทางเลือกที่ 3 นี้ ขอให้หน่วยงานหรือองค์กรแจ้งความจํานงกับทางราชการเพื่อบันทึกเป็นข้อมูลไว้ โดยหากอยู่ในเขต กทม.ให้แจ้งต่อกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ส่วนในภูมิภาคแจ้งที่ สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ภายใน 31 มี.ค. 60 นี้”
สําหรับคนพิการที่กําลังมองหางานสามารถดูข้อมูลหน่วยงานที่เปิดรับสมัครงาน หรือหน่วยงานที่เปิดพื้นที่ให้คนพิการเข้าไปประกอบอาชีพได้ที่ www.ตลาดงานคนพิการ.com และหากต้องการร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือเรื่องการจ้างงานสามารถติดต่อศูนย์บริการคนพิการ โทร. 0 2354 4542 หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694
“ท่านนายกฯ เน้นย้ําให้หน่วยงานของรัฐไปสํารวจว่าพื้นที่ของตนได้ปรับปรุงให้มีสิ่งอํานวยความสะดวกแก่คนพิการเพียงพอแล้วหรือยัง เช่น ทางเดิน ทางขึ้นอาคาร ห้องน้ํา ลานจอดรถ ฯลฯ ส่วนสถานที่สาธารณะ แหล่งท่องเที่ยวให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดําเนินการในลักษณะเดียวกัน เพื่อส่งเสริมให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป”
.........................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2646
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ให้สถานบริการในกทม.-นนทบุรีเปิดบริการปกติ 4-5 พ.ย. ลดผลกระทบต่อผู้รับบริการ
|
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562
สธ.ให้สถานบริการในกทม.-นนทบุรีเปิดบริการปกติ 4-5 พ.ย. ลดผลกระทบต่อผู้รับบริการ
กระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้สถานบริการในสังกัดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ กทม.และนนทบุรี เปิดให้บริการตามปกติ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการให้บริการประชาชน และเกิดความเสียหายต่อทางราชการ
กระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้สถานบริการในสังกัดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ กทม.และนนทบุรี เปิดให้บริการตามปกติ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการให้บริการประชาชน และเกิดความเสียหายต่อทางราชการ
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ วันที่ 4- 5 พฤศจิกายน 2562 ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ที่ อิมแพค เมืองทอง จังหวัดนนทบุรี กระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้สถานบริการในสังกัด ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดนนทบุรี ยังคงเปิดให้บริการประชาชนตามปกติ ในช่วงวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการให้บริการประชาชน และเกิดความเสียหายต่อทางราชการ
โดยผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน ผู้ป่วยทั่วไป ผู้ป่วยนัดหมายผ่าตัด นัดหมายตรวจพิเศษ สามารถเข้ารับบริการได้ตามปกติ
************************ 1 พฤศจิกายน 2562
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ให้สถานบริการในกทม.-นนทบุรีเปิดบริการปกติ 4-5 พ.ย. ลดผลกระทบต่อผู้รับบริการ
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562
สธ.ให้สถานบริการในกทม.-นนทบุรีเปิดบริการปกติ 4-5 พ.ย. ลดผลกระทบต่อผู้รับบริการ
กระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้สถานบริการในสังกัดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ กทม.และนนทบุรี เปิดให้บริการตามปกติ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการให้บริการประชาชน และเกิดความเสียหายต่อทางราชการ
กระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้สถานบริการในสังกัดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ กทม.และนนทบุรี เปิดให้บริการตามปกติ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการให้บริการประชาชน และเกิดความเสียหายต่อทางราชการ
นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ วันที่ 4- 5 พฤศจิกายน 2562 ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ที่ อิมแพค เมืองทอง จังหวัดนนทบุรี กระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการให้สถานบริการในสังกัด ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดนนทบุรี ยังคงเปิดให้บริการประชาชนตามปกติ ในช่วงวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการให้บริการประชาชน และเกิดความเสียหายต่อทางราชการ
โดยผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน ผู้ป่วยทั่วไป ผู้ป่วยนัดหมายผ่าตัด นัดหมายตรวจพิเศษ สามารถเข้ารับบริการได้ตามปกติ
************************ 1 พฤศจิกายน 2562
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24209
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ ขนทัพมืออาชีพด้านการตลาด ติวเข้มเกษตรกรสู่นักขายออนไลน์
|
วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563
เกษตรฯ ขนทัพมืออาชีพด้านการตลาด ติวเข้มเกษตรกรสู่นักขายออนไลน์
เกษตรฯ ขนทัพมืออาชีพด้านการตลาด ติวเข้มเกษตรกรสู่นักขายออนไลน์บนแพลทฟอร์มยักษ์ใหญ่ LAZADA ตอกย้ําตลาดนําการเกษตร ลั่น !! ไม่ใช่แค่ขายเป็น แต่ต้องขายได้ พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดตัวโครงการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ “เปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ” ณ สํานักบริหารคอมพิวเตอร์ ชั้น 3 Auditorium 306 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ว่า ปัจจุบันเทรนด์การค้าออนไลน์กําลังเป็นที่นิยมและมีอัตราการเติบโตที่สูงยิ่งขึ้น โดยการซื้อขายผ่านทางช่องทางออนไลน์บนแพลตฟอร์ม ซึ่งจากการสํารวจพบว่า ปัจจุบันมีจํานวนผู้ซื้อผ่านระบบออนไลน์มากถึง 4 - 5 ล้านคน/วัน นับเป็นโอกาสทางการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ของไทย ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ จึงจัดทําโครงการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ขึ้น ตามนโยบายตลาดนําการเกษตร โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ ซึ่งมี นายนราพัฒน์ แก้วทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ผสานความร่วมมือกับแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ที่มีศักยภาพและมีชื่อเสียงอย่าง LAZADA ซึ่งมีจํานวนผู้เข้าชมมากกว่าวันละ 2 ล้านคน/วัน เพื่อเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าเกษตรให้กับเกษตรกรได้ขายผลผลิตแปรรูป ผลิตภัณฑ์เกษตร และกระจายผลผลิตสินค้าเกษตรในรูปผลสดในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ซึ่งจะทําให้ราคาสินค้าเกษตรมีเสถียรภาพ เกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาและมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยคัดเลือกสินค้าที่มีศักยภาพจากกลุ่มเกษตรกร 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มเกษตรกรในระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร และกลุ่ม Young Smart Farmer มีวัตุประสงค์หลัก คือ 1) เพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าเกษตรให้กับกลุ่มเกษตรกรสามารถขายผลผลิตแปรรูป ผลิตภัณฑ์เกษตร และกระจายผลผลิตสินค้าเกษตรในรูปผลสดในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก 2) จัดอบรมเกษตรกรให้เป็นผู้ขายสินค้าเกษตรออนไลน์อย่างมืออาชีพ 3) สร้างการรับรู้นโยบายการตลาดนําการเกษตรด้วยการพัฒนาเกษตรกรมาเป็นผู้ค้าออนไลน์ และ 4) เพื่อให้ผู้บริโภคทั่วประเทศเข้าถึงสินค้าเกษตรได้สะดวก ง่าย และได้บริโภคสินค้าดี มีคุณภาพ ราคาดี ส่งตรงจากเกษตรกร
รมว.เกษตรฯ กล่าวต่อไปว่า จากความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และบริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จํากัด ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์อันดับหนึ่งของไทย มาเป็นกําลังสําคัญในการช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดในการขายสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพจากกลุ่มเป้าหมาย ทําให้วันนี้เป็นโอกาสดีที่จะ Kick off เปิดตัวโครงการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ “เปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ” อย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับเกษตรกรกลุ่มต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่ภาครัฐได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงการค้าสินค้าในปัจจุบัน ที่นิยมซื้อขายบนออนไลน์เพิ่มขึ้น มีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน นอกจากนี้ในวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา มีการจัดกิจกรรมฝึกอบกรมเกษตรกร 4 กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเข้าร่วม จํานวน 107 คน รวมถึงข้าราชการเข้าร่วมด้วย เพื่อให้ไปสอนขยายความรู้ต่ออีกกว่า 80 คน โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีกับ LAZADA เป็นผู้สอนด้านการตลาดทั้งการนําสินค้าเกษตรขึ้นขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เทคนิคการถ่ายภาพ และการเขียน Story ให้ดูน่าสนใจ รวมถึงการทําโปรโมชั่นสินค้าเกษตรของตนเองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่ไม่เพียงแค่ให้เกษตรกรขายเป็นเท่านั้น แต่เกษตรกรจะต้องขายได้ และมีเงินเข้ากระเป๋าเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในอนาคตกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะร่วมมือกับ LAZADA และพันธมิตรในการขยายความร่วมมือกันโดยจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ แต่จะพัฒนาไปสู่ Platform อื่น ๆ ต่อไป โดยมุ่งหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยทําให้เกษตรกรมีช่องการทางจําหน่ายที่กว้างขึ้น พร้อมทั้งจะดําเนินการฝึกอบรม สร้างองค์ความรู้ จัดอบรมให้กับเกษตรกรแปลงใหญ่ กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ Young Smart Farmer รวมถึงเกษตรกรอื่น ๆ นับเป็นความร่วมมือมิติใหม่ที่เป็นประโยชน์กับเกษตรกรให้ทั่วถึงทุกภูมิภาค โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นพี่เลี้ยงด้านวิชาการ การปลูก การแปรรูปให้ได้มาตรฐาน และ LAZADA ให้องค์ความรู้ด้านการตลาดเพื่อเพิ่มศักยภาพการขายออนไลน์ให้กับเกษตรกร หากเกษตรกรท่านใดสนใจ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่ของท่านได้
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ ขนทัพมืออาชีพด้านการตลาด ติวเข้มเกษตรกรสู่นักขายออนไลน์
วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563
เกษตรฯ ขนทัพมืออาชีพด้านการตลาด ติวเข้มเกษตรกรสู่นักขายออนไลน์
เกษตรฯ ขนทัพมืออาชีพด้านการตลาด ติวเข้มเกษตรกรสู่นักขายออนไลน์บนแพลทฟอร์มยักษ์ใหญ่ LAZADA ตอกย้ําตลาดนําการเกษตร ลั่น !! ไม่ใช่แค่ขายเป็น แต่ต้องขายได้ พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานเปิดตัวโครงการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ “เปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ” ณ สํานักบริหารคอมพิวเตอร์ ชั้น 3 Auditorium 306 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ว่า ปัจจุบันเทรนด์การค้าออนไลน์กําลังเป็นที่นิยมและมีอัตราการเติบโตที่สูงยิ่งขึ้น โดยการซื้อขายผ่านทางช่องทางออนไลน์บนแพลตฟอร์ม ซึ่งจากการสํารวจพบว่า ปัจจุบันมีจํานวนผู้ซื้อผ่านระบบออนไลน์มากถึง 4 - 5 ล้านคน/วัน นับเป็นโอกาสทางการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ของไทย ดังนั้น กระทรวงเกษตรฯ จึงจัดทําโครงการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ขึ้น ตามนโยบายตลาดนําการเกษตร โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ ซึ่งมี นายนราพัฒน์ แก้วทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ผสานความร่วมมือกับแพลตฟอร์มการขายออนไลน์ที่มีศักยภาพและมีชื่อเสียงอย่าง LAZADA ซึ่งมีจํานวนผู้เข้าชมมากกว่าวันละ 2 ล้านคน/วัน เพื่อเพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าเกษตรให้กับเกษตรกรได้ขายผลผลิตแปรรูป ผลิตภัณฑ์เกษตร และกระจายผลผลิตสินค้าเกษตรในรูปผลสดในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ซึ่งจะทําให้ราคาสินค้าเกษตรมีเสถียรภาพ เกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาและมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยคัดเลือกสินค้าที่มีศักยภาพจากกลุ่มเกษตรกร 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มเกษตรกรในระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร และกลุ่ม Young Smart Farmer มีวัตุประสงค์หลัก คือ 1) เพิ่มช่องทางการจําหน่ายสินค้าเกษตรให้กับกลุ่มเกษตรกรสามารถขายผลผลิตแปรรูป ผลิตภัณฑ์เกษตร และกระจายผลผลิตสินค้าเกษตรในรูปผลสดในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก 2) จัดอบรมเกษตรกรให้เป็นผู้ขายสินค้าเกษตรออนไลน์อย่างมืออาชีพ 3) สร้างการรับรู้นโยบายการตลาดนําการเกษตรด้วยการพัฒนาเกษตรกรมาเป็นผู้ค้าออนไลน์ และ 4) เพื่อให้ผู้บริโภคทั่วประเทศเข้าถึงสินค้าเกษตรได้สะดวก ง่าย และได้บริโภคสินค้าดี มีคุณภาพ ราคาดี ส่งตรงจากเกษตรกร
รมว.เกษตรฯ กล่าวต่อไปว่า จากความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงเกษตรฯ และบริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย จํากัด ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์อันดับหนึ่งของไทย มาเป็นกําลังสําคัญในการช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดในการขายสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพจากกลุ่มเป้าหมาย ทําให้วันนี้เป็นโอกาสดีที่จะ Kick off เปิดตัวโครงการตลาดสินค้าเกษตรออนไลน์ “เปลี่ยนเกษตรกรให้เป็นผู้ค้าออนไลน์มืออาชีพ” อย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับเกษตรกรกลุ่มต่าง ๆ และเจ้าหน้าที่ภาครัฐได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงการค้าสินค้าในปัจจุบัน ที่นิยมซื้อขายบนออนไลน์เพิ่มขึ้น มีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน นอกจากนี้ในวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา มีการจัดกิจกรรมฝึกอบกรมเกษตรกร 4 กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเข้าร่วม จํานวน 107 คน รวมถึงข้าราชการเข้าร่วมด้วย เพื่อให้ไปสอนขยายความรู้ต่ออีกกว่า 80 คน โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีกับ LAZADA เป็นผู้สอนด้านการตลาดทั้งการนําสินค้าเกษตรขึ้นขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เทคนิคการถ่ายภาพ และการเขียน Story ให้ดูน่าสนใจ รวมถึงการทําโปรโมชั่นสินค้าเกษตรของตนเองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ที่ไม่เพียงแค่ให้เกษตรกรขายเป็นเท่านั้น แต่เกษตรกรจะต้องขายได้ และมีเงินเข้ากระเป๋าเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในอนาคตกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะร่วมมือกับ LAZADA และพันธมิตรในการขยายความร่วมมือกันโดยจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ แต่จะพัฒนาไปสู่ Platform อื่น ๆ ต่อไป โดยมุ่งหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยทําให้เกษตรกรมีช่องการทางจําหน่ายที่กว้างขึ้น พร้อมทั้งจะดําเนินการฝึกอบรม สร้างองค์ความรู้ จัดอบรมให้กับเกษตรกรแปลงใหญ่ กลุ่มสหกรณ์ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และ Young Smart Farmer รวมถึงเกษตรกรอื่น ๆ นับเป็นความร่วมมือมิติใหม่ที่เป็นประโยชน์กับเกษตรกรให้ทั่วถึงทุกภูมิภาค โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นพี่เลี้ยงด้านวิชาการ การปลูก การแปรรูปให้ได้มาตรฐาน และ LAZADA ให้องค์ความรู้ด้านการตลาดเพื่อเพิ่มศักยภาพการขายออนไลน์ให้กับเกษตรกร หากเกษตรกรท่านใดสนใจ สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมกับหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในพื้นที่ของท่านได้
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว
กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โทร 02 281 0859 ต่อ 137
แฟกส์ 02 2822871
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26902
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ ร่วมเสวนา “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล” ในงานสัมมนาใหญ่สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ประจำปี 2560
|
วันพุธที่ 10 มกราคม 2561
รัฐมนตรี ก.อุตฯ ร่วมเสวนา “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล” ในงานสัมมนาใหญ่สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ประจําปี 2560
รัฐมนตรี ก.อุตฯ ร่วมเสวนา “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล” ในงานสัมมนาใหญ่สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ประจําปี 2560 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
วันนี้ (10 มกราคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมเสวนาในหัวข้อ “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล” ในงานสัมมนาใหญ่สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ประจําปี 2560 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวถึงบทบาทของกระทรวงอุตสาหกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและส่งเสริมเอสเอ็มอี ปรับตัวสู่ยุค 4.0 โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจกิจภาคตะวันออก (EEC) ปี 2561 กับการสร้างความมั่นใจให้กับต่างประเทศ พร้อมทั้งมองจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี ก.อุตฯ ร่วมเสวนา “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล” ในงานสัมมนาใหญ่สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ประจำปี 2560
วันพุธที่ 10 มกราคม 2561
รัฐมนตรี ก.อุตฯ ร่วมเสวนา “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล” ในงานสัมมนาใหญ่สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ประจําปี 2560
รัฐมนตรี ก.อุตฯ ร่วมเสวนา “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล” ในงานสัมมนาใหญ่สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ประจําปี 2560 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
วันนี้ (10 มกราคม 2561) นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมเสวนาในหัวข้อ “พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล” ในงานสัมมนาใหญ่สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ประจําปี 2560 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท ลาดพร้าว กรุงเทพฯ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวถึงบทบาทของกระทรวงอุตสาหกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและส่งเสริมเอสเอ็มอี ปรับตัวสู่ยุค 4.0 โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจกิจภาคตะวันออก (EEC) ปี 2561 กับการสร้างความมั่นใจให้กับต่างประเทศ พร้อมทั้งมองจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย สู่ยุคดิจิทัล
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9289
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความพร้อมของการดำเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
|
วันพุธที่ 31 มกราคม 2561
ความพร้อมของการดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
รองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความพร้อมของการดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ) ที่จะเริ่มในวันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 นี้
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความพร้อมของการดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ) ที่จะเริ่มในวันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้จัดเตรียมกลไกการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งในระดับจังหวัดและระดับอําเภอไว้พร้อมแล้ว รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีความพร้อมสําหรับการรับแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั่วประเทศ ตลอดจนได้จัดเตรียมโครงการรองรับของกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ไว้แล้วเช่นกัน โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้
1. นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการต่างๆ แล้ว ประกอบด้วย
1) คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คนส.) (คําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรีที่ 22/2561 ลงวันที่ 23 มกราคม 2561)
2) คณะอนุกรรมการติดตามการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คอต.) (คําสั่งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ 1/2561 ลงวันที่ 23 มกราคม 2561)
3) คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจําจังหวัด (คอจ.) (คําสั่งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ 2/2561 ลงวันที่ 23 มกราคม 2561)
2. ปลัดกระทรวงการคลังได้ประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) เพื่อเตรียมการและซักซ้อมความเข้าใจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารเชิงพื้นที่ ณ ห้องประชุมราชสีห์ กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561
3. ผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ ทยอยดําเนินการประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในจังหวัด นายอําเภอทุกอําเภอ และปลัดจังหวัดในฐานะเลขานุการ คอจ. เพื่อชี้แจงการดําเนินการและเตรียมการขับเคลื่อนมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ
4. หน่วยงานที่มีบทบาทหลักในการดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ได้เร่งชี้แจงหลักการและการเตรียมการดําเนินการของมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ให้สาขา/หน่วยงาน สายกิจการสาขาในพื้นที่ทราบ และอยู่ระหว่างการจัดจ้างผู้ช่วยผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer : AO) และทําการอบรมการปฏิบัติงานให้ AO เพื่อร่วมปฏิบัติงานกับทีมหมอประชารัฐสุขใจ (ทีม ปรจ.) ที่มีผู้อํานวยการเขต/นายอําเภอ เป็นหัวหน้าคณะทํางาน
สําหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ขอให้ดําเนินการดังนี้
1. การตรวจสอบสถานที่ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถเข้าไปตรวจสอบสถานที่ในการแสดงความประสงค์ได้ที่ http://welfare2560.epayment.go.th/ ระบบจะแจ้งว่า ต้องไปติดต่อ ณ สาขาของ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน หรือสถานที่ที่ผู้อํานวยการเขต (กรณีกรุงเทพมหานคร) หรือนายอําเภอ (กรณีจังหวัดอื่น ๆ) กําหนด ซึ่งเป็นเขตหรืออําเภอ ของ “ที่อยู่ปัจจุบัน” ที่เคยแจ้งไว้เมื่อคราวลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
จากตัวอย่างในรูปด้านล่าง ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐผู้นี้ต้องไปติดต่อ ณ ธนาคารออมสิน หรือ ธ.ก.ส. ภายในเขตอําเภอเมืองลพบุรี หรือสถานที่อื่น ๆ ที่นายอําเภอเมือง จังหวัดลพบุรีกําหนด
2. สถานที่แสดงความประสงค์ ให้ไปแจ้งความประสงค์ ณ สถานที่ที่ผู้อํานวยการเขต/นายอําเภอกําหนด และสาขาของธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ในเขต/อําเภอ ซึ่งเป็นเขต/อําเภอของ “ที่อยู่ปัจจุบัน” ที่เคยแจ้งไว้เมื่อคราวลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
ทั้งนี้ ในส่วนของกรุงเทพมหานครจะมีประกาศสํานักงานเขตแจ้งสถานที่ที่รับแจ้งความประสงค์ ณ สาขาของธนาคารออมสิน สาขาของ ธ.ก.ส. และสํานักงานเขต และเว็บไซต์ของสํานักงานเขต
3. เอกสารที่ต้องเตรียม บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
4. ช่วงเวลาแจ้งความประสงค์ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถมาแสดงความประสงค์ได้ระหว่างวันที่ 1 - 28 กุมภาพันธ์ 2561
5. เอกสารที่จะได้รับภายหลังการแจ้งความประสงค์ เมื่อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้กรอกข้อมูลลงในแบบแสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ แล้ว จะได้รับเอกสาร (หางตั๋ว) 1 แผ่นเล็กโดยขอให้เก็บเอกสารนี้ไว้เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการแสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ
ทั้งนี้ ภายหลังจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้มาแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ แล้ว ทีม ปรจ. เขต/อําเภอ จะมอบหมายให้ AO ดําเนินการสัมภาษณ์ข้อเท็จจริง ความประสงค์ (เช่น ทํางาน หรือฝึกอบรมที่ต้องการ) และให้คําแนะนํา/วางแผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นรายบุคคลต่อไป ซึ่งกระบวนการสัมภาษณ์ทั้งหมดจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2561
รองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้กล่าวทิ้งท้ายเพื่อแจ้งเตือนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า ขณะนี้มีผู้แอบอ้างการให้สิทธิในการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในลักษณะของการโทรศัพท์ไปแจ้งว่า ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายนั้นเป็นผู้โชคดีที่จะได้รับการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และขอไปพบผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รายนั้นที่บ้าน กระทรวงการคลังขอแจ้งว่า กระทรวงการคลังไม่ได้มีการดําเนินการในลักษณะดังกล่าว ดังนั้น ขอให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้ความระมัดระวัง และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารทางการจากหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ทั้งนี้ การได้รับการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะมีสิทธิได้รับการเติมเงิน ทุกคนหากได้มาแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ตามแผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตรายบุคคลตามที่ได้ทําการตกลงไว้กับ AO อย่างครบถ้วน
สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3509
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความพร้อมของการดำเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันพุธที่ 31 มกราคม 2561
ความพร้อมของการดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
รองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความพร้อมของการดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ) ที่จะเริ่มในวันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 นี้
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความพร้อมของการดําเนินการตามมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ) ที่จะเริ่มในวันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังได้จัดเตรียมกลไกการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดทั้งในระดับจังหวัดและระดับอําเภอไว้พร้อมแล้ว รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีความพร้อมสําหรับการรับแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั่วประเทศ ตลอดจนได้จัดเตรียมโครงการรองรับของกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ไว้แล้วเช่นกัน โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้
1. นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการต่างๆ แล้ว ประกอบด้วย
1) คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คนส.) (คําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรีที่ 22/2561 ลงวันที่ 23 มกราคม 2561)
2) คณะอนุกรรมการติดตามการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (คอต.) (คําสั่งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ 1/2561 ลงวันที่ 23 มกราคม 2561)
3) คณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจําจังหวัด (คอจ.) (คําสั่งคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ 2/2561 ลงวันที่ 23 มกราคม 2561)
2. ปลัดกระทรวงการคลังได้ประชุมผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) เพื่อเตรียมการและซักซ้อมความเข้าใจร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารเชิงพื้นที่ ณ ห้องประชุมราชสีห์ กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2561
3. ผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ ทยอยดําเนินการประชุมร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในจังหวัด นายอําเภอทุกอําเภอ และปลัดจังหวัดในฐานะเลขานุการ คอจ. เพื่อชี้แจงการดําเนินการและเตรียมการขับเคลื่อนมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ
4. หน่วยงานที่มีบทบาทหลักในการดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ได้เร่งชี้แจงหลักการและการเตรียมการดําเนินการของมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ให้สาขา/หน่วยงาน สายกิจการสาขาในพื้นที่ทราบ และอยู่ระหว่างการจัดจ้างผู้ช่วยผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer : AO) และทําการอบรมการปฏิบัติงานให้ AO เพื่อร่วมปฏิบัติงานกับทีมหมอประชารัฐสุขใจ (ทีม ปรจ.) ที่มีผู้อํานวยการเขต/นายอําเภอ เป็นหัวหน้าคณะทํางาน
สําหรับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ขอให้ดําเนินการดังนี้
1. การตรวจสอบสถานที่ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถเข้าไปตรวจสอบสถานที่ในการแสดงความประสงค์ได้ที่ http://welfare2560.epayment.go.th/ ระบบจะแจ้งว่า ต้องไปติดต่อ ณ สาขาของ ธ.ก.ส. ธนาคารออมสิน หรือสถานที่ที่ผู้อํานวยการเขต (กรณีกรุงเทพมหานคร) หรือนายอําเภอ (กรณีจังหวัดอื่น ๆ) กําหนด ซึ่งเป็นเขตหรืออําเภอ ของ “ที่อยู่ปัจจุบัน” ที่เคยแจ้งไว้เมื่อคราวลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
จากตัวอย่างในรูปด้านล่าง ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐผู้นี้ต้องไปติดต่อ ณ ธนาคารออมสิน หรือ ธ.ก.ส. ภายในเขตอําเภอเมืองลพบุรี หรือสถานที่อื่น ๆ ที่นายอําเภอเมือง จังหวัดลพบุรีกําหนด
2. สถานที่แสดงความประสงค์ ให้ไปแจ้งความประสงค์ ณ สถานที่ที่ผู้อํานวยการเขต/นายอําเภอกําหนด และสาขาของธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. ในเขต/อําเภอ ซึ่งเป็นเขต/อําเภอของ “ที่อยู่ปัจจุบัน” ที่เคยแจ้งไว้เมื่อคราวลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560
ทั้งนี้ ในส่วนของกรุงเทพมหานครจะมีประกาศสํานักงานเขตแจ้งสถานที่ที่รับแจ้งความประสงค์ ณ สาขาของธนาคารออมสิน สาขาของ ธ.ก.ส. และสํานักงานเขต และเว็บไซต์ของสํานักงานเขต
3. เอกสารที่ต้องเตรียม บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
4. ช่วงเวลาแจ้งความประสงค์ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถมาแสดงความประสงค์ได้ระหว่างวันที่ 1 - 28 กุมภาพันธ์ 2561
5. เอกสารที่จะได้รับภายหลังการแจ้งความประสงค์ เมื่อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้กรอกข้อมูลลงในแบบแสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ แล้ว จะได้รับเอกสาร (หางตั๋ว) 1 แผ่นเล็กโดยขอให้เก็บเอกสารนี้ไว้เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันการแสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ
ทั้งนี้ ภายหลังจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้มาแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ แล้ว ทีม ปรจ. เขต/อําเภอ จะมอบหมายให้ AO ดําเนินการสัมภาษณ์ข้อเท็จจริง ความประสงค์ (เช่น ทํางาน หรือฝึกอบรมที่ต้องการ) และให้คําแนะนํา/วางแผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นรายบุคคลต่อไป ซึ่งกระบวนการสัมภาษณ์ทั้งหมดจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2561
รองโฆษกกระทรวงการคลัง ได้กล่าวทิ้งท้ายเพื่อแจ้งเตือนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า ขณะนี้มีผู้แอบอ้างการให้สิทธิในการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในลักษณะของการโทรศัพท์ไปแจ้งว่า ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายนั้นเป็นผู้โชคดีที่จะได้รับการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และขอไปพบผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รายนั้นที่บ้าน กระทรวงการคลังขอแจ้งว่า กระทรวงการคลังไม่ได้มีการดําเนินการในลักษณะดังกล่าว ดังนั้น ขอให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้ความระมัดระวัง และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารทางการจากหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ทั้งนี้ การได้รับการเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะมีสิทธิได้รับการเติมเงิน ทุกคนหากได้มาแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ตามแผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตรายบุคคลตามที่ได้ทําการตกลงไว้กับ AO อย่างครบถ้วน
สํานักนโยบายภาษี สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3509
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9747
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีพบข้าราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
|
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562
รัฐมนตรีพบข้าราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
"งานยาก : ต้องไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ยาก ทุกอย่างเราต้องฟันฝ่าให้ได้ เมื่อรับมอบหน้าที่แล้วเราต้องทํา ให้ดีที่สุด ผมจะดูตัวอย่างจากรัฐมนตรีที่ผ่านมาเป็นแบบอย่าง อะไรที่ดีเราคงไว้ อะไรยังไม่ดีจะพัฒนาให้ดีขึ้น"
วันที่ 18 ก.ค. 62นายพิพัฒน์ รัชกิจประการรมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางมายังกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอย่างเป็นทางการ ลําดับแรกได้เข้าสักการะศาลพระภูมิซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวงฯ บริเวณสวน 4 ภาคทั้งนี้ รมว.พิพัฒน์ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนถึงเรื่องที่ต้องการทําเป็นลําดับแรก คือ ทําให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยยังคงเป็นรายได้หลัก ทําให้มีจํานวนนักท่องเที่ยว และรายได้เพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
วาระเร่งด่วนทําให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยมุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลายกลุ่ม และสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยมากขึ้น พร้อมอํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะถือว่านักท่องเที่ยวนํารายได้มาสู่ประเทศไทยและจะเน้นการท่องเที่ยวชุมชน ให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้จํานวนนักท่องเที่ยวกระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง
วาระพิเศษจะเน้นเรื่องความปลอดภัยโดยมีแนวทางคือจะสร้างอาสาสมัครตามชุมชนเพื่อให้มีส่วนร่วมในการดูแลนักท่องเที่ยวดูแลนักท่องเที่ยว เพราะกําลังเจ้าหน้าที่ตํารวจไม่เพียงพอ
ด้านกีฬา จะพัฒนากีฬาเยาวชนสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพSport Tourism จะพยายามจัดทัวร์นาเม้นท์ ระดับโลกให้มาจัดในเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการจัดการแข่งขัน Moto GP ในอนาคตก็จะพัฒนาการวิ่ง Trail ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และเรื่อง E-Sport โดยจะดึงทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ๆ เข้ามาจัดในประเทศไทยมากขึ้นซึ่งจะเป็นการนํารายได้เข้าสู่ประเทศไทยอีกด้วย
"งานยาก : ต้องไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ยาก ทุกอย่างเราต้องฟันฝ่าให้ได้ เมื่อรับมอบหน้าที่แล้วเราต้องทําให้ดีที่สุด ผมจะดูตัวอย่างจากรัฐมนตรีที่ผ่านมาเป็นแบบอย่าง อะไรที่ดีเราคงไว้ อะไรยังไม่ดีจะพัฒนาให้ดีขึ้น" รัฐมนตรี.กล่าวทิ้งท้าย...
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีพบข้าราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562
รัฐมนตรีพบข้าราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
"งานยาก : ต้องไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ยาก ทุกอย่างเราต้องฟันฝ่าให้ได้ เมื่อรับมอบหน้าที่แล้วเราต้องทํา ให้ดีที่สุด ผมจะดูตัวอย่างจากรัฐมนตรีที่ผ่านมาเป็นแบบอย่าง อะไรที่ดีเราคงไว้ อะไรยังไม่ดีจะพัฒนาให้ดีขึ้น"
วันที่ 18 ก.ค. 62นายพิพัฒน์ รัชกิจประการรมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางมายังกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาอย่างเป็นทางการ ลําดับแรกได้เข้าสักการะศาลพระภูมิซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจํากระทรวงฯ บริเวณสวน 4 ภาคทั้งนี้ รมว.พิพัฒน์ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนถึงเรื่องที่ต้องการทําเป็นลําดับแรก คือ ทําให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยยังคงเป็นรายได้หลัก ทําให้มีจํานวนนักท่องเที่ยว และรายได้เพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
วาระเร่งด่วนทําให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยมุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลายกลุ่ม และสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยมากขึ้น พร้อมอํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวมากที่สุด เพราะถือว่านักท่องเที่ยวนํารายได้มาสู่ประเทศไทยและจะเน้นการท่องเที่ยวชุมชน ให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้จํานวนนักท่องเที่ยวกระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง
วาระพิเศษจะเน้นเรื่องความปลอดภัยโดยมีแนวทางคือจะสร้างอาสาสมัครตามชุมชนเพื่อให้มีส่วนร่วมในการดูแลนักท่องเที่ยวดูแลนักท่องเที่ยว เพราะกําลังเจ้าหน้าที่ตํารวจไม่เพียงพอ
ด้านกีฬา จะพัฒนากีฬาเยาวชนสู่การเป็นนักกีฬาอาชีพSport Tourism จะพยายามจัดทัวร์นาเม้นท์ ระดับโลกให้มาจัดในเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการจัดการแข่งขัน Moto GP ในอนาคตก็จะพัฒนาการวิ่ง Trail ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และเรื่อง E-Sport โดยจะดึงทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ๆ เข้ามาจัดในประเทศไทยมากขึ้นซึ่งจะเป็นการนํารายได้เข้าสู่ประเทศไทยอีกด้วย
"งานยาก : ต้องไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ยาก ทุกอย่างเราต้องฟันฝ่าให้ได้ เมื่อรับมอบหน้าที่แล้วเราต้องทําให้ดีที่สุด ผมจะดูตัวอย่างจากรัฐมนตรีที่ผ่านมาเป็นแบบอย่าง อะไรที่ดีเราคงไว้ อะไรยังไม่ดีจะพัฒนาให้ดีขึ้น" รัฐมนตรี.กล่าวทิ้งท้าย...
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21880
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงคมนาคม]
|
วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2563
กรมการขนส่งทางบก ดําเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงคมนาคม]
กรมการขนส่งทางบก ดําเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบกเปิดเผยถึงการดําเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)โดยได้เพิ่มมาตรการ ด้านใบอนุญาตขับรถ อาทิ จํากัดจํานวนผู้เข้ารับบริการด้านใบอนุญาตขับรถไม่เกิน 50 คนต่อรอบ จัดที่นั่งเว้น 1 ที่นั่ง หรือเว้นระยะระหว่างคนอย่างน้อย 1 เมตร ทําความสะอาดเครื่องมืออุปกรณ์การทดสอบที่ต้องสัมผัสร่างกาย เช่น รถที่ใช้ทดสอบ เครื่องE-examและเครื่องมือทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายหรือสายตา ด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อทุกครั้งที่เสร็จสิ้นการทดสอบและจะเริ่มทดสอบคนต่อไป
โดยวันนี้ (20 มีนาคม 2563) สํานักงานขนส่งทั่วประเทศ เช่น หนองคาย, อุตรดิตถ์, สุโขทัย, ศรีสะเกษ, ลพบุรี, เลย, อํานาจเจริญ, อุบลราชธานี, พิษณุโลก, ระนอง, ตราด, พังงา, ยโสธร ดําเนินการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายประชาชนผู้มาติดต่อใช้บริการ ณ สํานักงานขนส่ง เพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดเครื่องมืออุปกรณ์ด้วยแอลกอฮอล์ เช่น ทดสอบขับรถ ทดสอบE-examทดสอบทางสมรรถนะทางร่างกาย เว้นระยะห่างของการเข้าคิว การทดสอบ และการจัดวางที่นั่งพักคอยตลอดจนประชาสัมพันธ์ประชาชนในทุกช่องทางให้เสียภาษีในช่องทางอื่นเพื่อลดความแออัดและลดความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของเชื้อโรค
สํานักงานขนส่งจังหวัดหนองคาย หน่วยงานภายในจังหวัดหนองคาย ประกอบด้วย สํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด สํานักงานจังหวัด เทศบาลเมือง สํานักงานท้องถิ่นจังหวัด สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด แขวงทางหลวง แขวงทางหลวงชนบท สํานักงานขนส่งจังหวัด คปภ. บขส. สื่อมวลชน และผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถโดยสารประจําทาง จัดกิจกรรมBIG CLEANINGณ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดหนองคาย ทําความสะอาดพื้นที่บริเวณโดยรอบสถานีขนส่งฯ สิ่งอํานวยความสะดวกต่างๆ ห้องน้ํา จุดจําหน่ายตั๋ว และตัวรถโดยสารประจําทาง เป็นต้น เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้โดยสาร ต่อมาตรการป้องกันและลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ในระบบการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะ ตามนโยบายรัฐบาล และจังหวัดหนองคาย
ด้าน สํานักงานขนส่งจังหวัดมุกดาหาร บูรณาการดําเนินงานร่วมกับสาธารณสุขจังหวัด องค์การบริหารจังหวัดมุกดาหาร อธิบายและให้ความรู้และสร้างความเข้าใจในการร่วมป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารและมีการฉีดน้ํายาฆ่าเชื้อโรคในบริเวณชานชาลาสถานีขนส่งผู้โดยสาร ห้องน้ํา ห้องเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว ภายในตัวรถโดยสารทุกประเภทให้ปลอดเชื้อและสร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการแก่ประชาชนที่สถานีฯ และกําหนดจุดตรวจคัดกรองประชาชนบริเวณทางเข้าสถานีฯ เพื่อตรวจผู้โดยสารก่อนเข้าสถานีฯ และก่อนขึ้นรถโดยสาร โดยเฉพาะรถระหว่างประเทศและรถระหว่างจังหวัดจะเข้มงวดในการให้พนักงานขับรถใส่หน้ากากอนามัยและให้เช็ดทําความสะอาดตัวรถเบาะและราวจับให้ทําตลอดหลังจากส่งผู้โดยสารลงหมดแล้วในแต่ละเที่ยว
ทั้งนี้ สําหรับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ของกรมการขนส่งทางบก ประกอบด้วยมาตรการต่างๆ ดังนี้
1)สํานักงานขนส่งทุกแห่ง ดําเนินการตรวจวัดอุณหภูมิผู้เข้าไปในสถานที่และการบริการสาธารณะ หากพบประชาชนที่มีอาการไข้ หรืออาการต้องสงสัยเข้าข่ายอาการโรคดังกล่าวให้ประสานหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่โดยเร็ว
2) ด้านอาคารสถานที่และสิ่งอํานวยความสะดวกในหน่วยงาน สํานักงานขนส่งทุกแห่ง ทําความสะอาดฆ่าเชื้อโรคพื้นที่ให้บริการภายในสํานักงานขนส่งทุกวัน โดยเฉพาะอุปกรณ์ทดสอบสมรรถภาพร่างกายและสายตา เครื่องทดสอบภาคทฤษฎี (E-exam)ห้องอบรมและทดสอบ ด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เช่น เคาน์เตอร์บริการ ที่จับประตู ที่จับราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ เป็นต้น และจัดให้มีสบู่ในห้องน้ํา เจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่เคาน์เตอร์ให้บริการและจุดประชาสัมพันธ์
3) ด้านผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถสาธารณะ ขอความร่วมมือให้ทําความสะอาดตัวรถเป็นพิเศษด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ กําชับให้พนักงานขับรถ และพนักงานจําหน่ายตั๋ว สวมใส่หน้ากากอนามัยในขณะปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลา
4) ด้านสถานีขนส่งผู้โดยสาร/จุดจอดรถ/จุดChecking Point/ท่ารถต่างๆ ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) และเอกชนอื่น ซึ่งเป็นผู้บริหารและดําเนินการสถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่งในพื้นที่รับผิดชอบ ดําเนินการทําความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารเป็นประจําทุกวัน และให้ความร่วมมือสนับสนุนการดําเนินมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่
5) ด้านการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และวิธีป้องกันตนเองที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ผ่านสื่อต่างๆป้ายประชาสัมพันธ์ และทางจอSmart Bus Terminalแนะนําให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยเวลาอยู่ในแหล่งชุมชน โดยมีการแจกหน้ากากอนามัยฟรีให้แก่ประชาชนที่มาใช้บริการในสํานักงานขนส่งและที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก ดำเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงคมนาคม]
วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2563
กรมการขนส่งทางบก ดําเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) [กระทรวงคมนาคม]
กรมการขนส่งทางบก ดําเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบกเปิดเผยถึงการดําเนินการตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)โดยได้เพิ่มมาตรการ ด้านใบอนุญาตขับรถ อาทิ จํากัดจํานวนผู้เข้ารับบริการด้านใบอนุญาตขับรถไม่เกิน 50 คนต่อรอบ จัดที่นั่งเว้น 1 ที่นั่ง หรือเว้นระยะระหว่างคนอย่างน้อย 1 เมตร ทําความสะอาดเครื่องมืออุปกรณ์การทดสอบที่ต้องสัมผัสร่างกาย เช่น รถที่ใช้ทดสอบ เครื่องE-examและเครื่องมือทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายหรือสายตา ด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อทุกครั้งที่เสร็จสิ้นการทดสอบและจะเริ่มทดสอบคนต่อไป
โดยวันนี้ (20 มีนาคม 2563) สํานักงานขนส่งทั่วประเทศ เช่น หนองคาย, อุตรดิตถ์, สุโขทัย, ศรีสะเกษ, ลพบุรี, เลย, อํานาจเจริญ, อุบลราชธานี, พิษณุโลก, ระนอง, ตราด, พังงา, ยโสธร ดําเนินการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายประชาชนผู้มาติดต่อใช้บริการ ณ สํานักงานขนส่ง เพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดเครื่องมืออุปกรณ์ด้วยแอลกอฮอล์ เช่น ทดสอบขับรถ ทดสอบE-examทดสอบทางสมรรถนะทางร่างกาย เว้นระยะห่างของการเข้าคิว การทดสอบ และการจัดวางที่นั่งพักคอยตลอดจนประชาสัมพันธ์ประชาชนในทุกช่องทางให้เสียภาษีในช่องทางอื่นเพื่อลดความแออัดและลดความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของเชื้อโรค
สํานักงานขนส่งจังหวัดหนองคาย หน่วยงานภายในจังหวัดหนองคาย ประกอบด้วย สํานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด สํานักงานจังหวัด เทศบาลเมือง สํานักงานท้องถิ่นจังหวัด สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด แขวงทางหลวง แขวงทางหลวงชนบท สํานักงานขนส่งจังหวัด คปภ. บขส. สื่อมวลชน และผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถโดยสารประจําทาง จัดกิจกรรมBIG CLEANINGณ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดหนองคาย ทําความสะอาดพื้นที่บริเวณโดยรอบสถานีขนส่งฯ สิ่งอํานวยความสะดวกต่างๆ ห้องน้ํา จุดจําหน่ายตั๋ว และตัวรถโดยสารประจําทาง เป็นต้น เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน นักท่องเที่ยว และผู้โดยสาร ต่อมาตรการป้องกันและลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ในระบบการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะ ตามนโยบายรัฐบาล และจังหวัดหนองคาย
ด้าน สํานักงานขนส่งจังหวัดมุกดาหาร บูรณาการดําเนินงานร่วมกับสาธารณสุขจังหวัด องค์การบริหารจังหวัดมุกดาหาร อธิบายและให้ความรู้และสร้างความเข้าใจในการร่วมป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารและมีการฉีดน้ํายาฆ่าเชื้อโรคในบริเวณชานชาลาสถานีขนส่งผู้โดยสาร ห้องน้ํา ห้องเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว ภายในตัวรถโดยสารทุกประเภทให้ปลอดเชื้อและสร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการแก่ประชาชนที่สถานีฯ และกําหนดจุดตรวจคัดกรองประชาชนบริเวณทางเข้าสถานีฯ เพื่อตรวจผู้โดยสารก่อนเข้าสถานีฯ และก่อนขึ้นรถโดยสาร โดยเฉพาะรถระหว่างประเทศและรถระหว่างจังหวัดจะเข้มงวดในการให้พนักงานขับรถใส่หน้ากากอนามัยและให้เช็ดทําความสะอาดตัวรถเบาะและราวจับให้ทําตลอดหลังจากส่งผู้โดยสารลงหมดแล้วในแต่ละเที่ยว
ทั้งนี้ สําหรับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ของกรมการขนส่งทางบก ประกอบด้วยมาตรการต่างๆ ดังนี้
1)สํานักงานขนส่งทุกแห่ง ดําเนินการตรวจวัดอุณหภูมิผู้เข้าไปในสถานที่และการบริการสาธารณะ หากพบประชาชนที่มีอาการไข้ หรืออาการต้องสงสัยเข้าข่ายอาการโรคดังกล่าวให้ประสานหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่โดยเร็ว
2) ด้านอาคารสถานที่และสิ่งอํานวยความสะดวกในหน่วยงาน สํานักงานขนส่งทุกแห่ง ทําความสะอาดฆ่าเชื้อโรคพื้นที่ให้บริการภายในสํานักงานขนส่งทุกวัน โดยเฉพาะอุปกรณ์ทดสอบสมรรถภาพร่างกายและสายตา เครื่องทดสอบภาคทฤษฎี (E-exam)ห้องอบรมและทดสอบ ด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อจุดที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เช่น เคาน์เตอร์บริการ ที่จับประตู ที่จับราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ เป็นต้น และจัดให้มีสบู่ในห้องน้ํา เจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่เคาน์เตอร์ให้บริการและจุดประชาสัมพันธ์
3) ด้านผู้ประกอบการขนส่งด้วยรถสาธารณะ ขอความร่วมมือให้ทําความสะอาดตัวรถเป็นพิเศษด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อ กําชับให้พนักงานขับรถ และพนักงานจําหน่ายตั๋ว สวมใส่หน้ากากอนามัยในขณะปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลา
4) ด้านสถานีขนส่งผู้โดยสาร/จุดจอดรถ/จุดChecking Point/ท่ารถต่างๆ ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) และเอกชนอื่น ซึ่งเป็นผู้บริหารและดําเนินการสถานีขนส่งผู้โดยสารทุกแห่งในพื้นที่รับผิดชอบ ดําเนินการทําความสะอาดฆ่าเชื้อโรคภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารเป็นประจําทุกวัน และให้ความร่วมมือสนับสนุนการดําเนินมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่
5) ด้านการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และวิธีป้องกันตนเองที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการ ผ่านสื่อต่างๆป้ายประชาสัมพันธ์ และทางจอSmart Bus Terminalแนะนําให้ประชาชนใส่หน้ากากอนามัยเวลาอยู่ในแหล่งชุมชน โดยมีการแจกหน้ากากอนามัยฟรีให้แก่ประชาชนที่มาใช้บริการในสํานักงานขนส่งและที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27629
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ เบญจมาพร ลงพื้นที่เมืองกรุงเก่าตั้งเป้า 3 เดือน ยุติปัญหาบ.ซีฟี้ฯ ปล่อยกลิ่นรบกวนชุมชน
|
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
ผู้ตรวจฯ เบญจมาพร ลงพื้นที่เมืองกรุงเก่าตั้งเป้า 3 เดือน ยุติปัญหาบ.ซีฟี้ฯ ปล่อยกลิ่นรบกวนชุมชน
ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย คณะทํางานดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนซ้ําซากของโรงงานและเหมืองแร่ เขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง1 และ2 และภาคกลางตอนบน
4 มิ.ย.61/ จ.พระนครศรีอยุธยา เวลา9.00-16.00น. นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย คณะทํางานดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนซ้ําซากของโรงงานและเหมืองแร่ เขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง1 และ2 และภาคกลางตอนบน นําโดย อุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (นายประเสริฐ โฆษิตพิรุณ) นายชูสง่า วัชรสินธุ์ ผอ.กลุ่มจัดการกากอุตสาหกรรม 1 ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม สอจ.อ่างทอง ดต.ลพ บุตรดี นายกเทศมนตรีตําบลลาดบัวหลวง ฝ่ายปกครอง กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้ง พ.ท.เฉลิมชัย ทับทิมทอง รอง ผบ.กกล.รส.จว.พระนครศรีอยุธยา ได้ร่วมประชุมเพื่อแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นของ บริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ จํากัด ที่ประชุมตั้งเป้าหมายยุติเรื่องดังกล่าวให้ได้ภายใน 3 เดือน ณ ห้องประชุมสํานักงานเทศบาลตําบลลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นคณะทํางานฯ ได้ตรวจเยี่ยมโรงงาน เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหา และพบปะผู้ร้องเรียน โดยมี นายเซิ่ง ย่ง เห่อ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ จํากัด ให้การต้อนรับและติดตามไปด้วย โดยรับจะปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะของคณะทํางานฯ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ เบญจมาพร ลงพื้นที่เมืองกรุงเก่าตั้งเป้า 3 เดือน ยุติปัญหาบ.ซีฟี้ฯ ปล่อยกลิ่นรบกวนชุมชน
วันอังคารที่ 5 มิถุนายน 2561
ผู้ตรวจฯ เบญจมาพร ลงพื้นที่เมืองกรุงเก่าตั้งเป้า 3 เดือน ยุติปัญหาบ.ซีฟี้ฯ ปล่อยกลิ่นรบกวนชุมชน
ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย คณะทํางานดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนซ้ําซากของโรงงานและเหมืองแร่ เขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง1 และ2 และภาคกลางตอนบน
4 มิ.ย.61/ จ.พระนครศรีอยุธยา เวลา9.00-16.00น. นางเบญจมาพร เอกฉัตร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย คณะทํางานดําเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนซ้ําซากของโรงงานและเหมืองแร่ เขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง1 และ2 และภาคกลางตอนบน นําโดย อุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (นายประเสริฐ โฆษิตพิรุณ) นายชูสง่า วัชรสินธุ์ ผอ.กลุ่มจัดการกากอุตสาหกรรม 1 ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม สอจ.อ่างทอง ดต.ลพ บุตรดี นายกเทศมนตรีตําบลลาดบัวหลวง ฝ่ายปกครอง กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้ง พ.ท.เฉลิมชัย ทับทิมทอง รอง ผบ.กกล.รส.จว.พระนครศรีอยุธยา ได้ร่วมประชุมเพื่อแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นของ บริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ จํากัด ที่ประชุมตั้งเป้าหมายยุติเรื่องดังกล่าวให้ได้ภายใน 3 เดือน ณ ห้องประชุมสํานักงานเทศบาลตําบลลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นคณะทํางานฯ ได้ตรวจเยี่ยมโรงงาน เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหา และพบปะผู้ร้องเรียน โดยมี นายเซิ่ง ย่ง เห่อ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีฟี้ อินดัสตรี้ จํากัด ให้การต้อนรับและติดตามไปด้วย โดยรับจะปรับปรุงแก้ไข ตามข้อเสนอแนะของคณะทํางานฯ
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12768
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออท.สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เข้าเยี่ยมคำนับ รมช.กห.
|
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562
ออท.สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห.
เมื่อ 7 ม.ค.62 เวลา 0930 พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. ได้ให้การต้อนรับ นาย Geoffrey Quinton Mitchell Doidge (เจฟฟรีย์ ควินตัน มิตเชล ดอยจ์) ออท.สาธารณรัฐแอฟริกาใต้/ไทยและคณะ เพื่อเข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห. ณ ศาลาว่าการกลาโหม
เมื่อ 7 ม.ค.62 เวลา 0930 พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. ได้ให้การต้อนรับ นาย Geoffrey Quinton Mitchell Doidge (เจฟฟรีย์ ควินตัน มิตเชล ดอยจ์) ออท.สาธารณรัฐแอฟริกาใต้/ไทยและคณะ เพื่อเข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห. ณ ศาลาว่าการกลาโหม
พล.อ.ชัยชาญ ได้กล่าวต้อนรับและกล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับแอฟริกาใต้ที่ดําเนินมาอย่างราบรื่นตลอด
25 ปีที่ผ่านมา โดยทั้ง 2 ประเทศได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพร้อมที่จะร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ และเทคโนโลยีในด้านการป้องกันประเทศร่วมกันโดยในช่วงท้ายของการสนทนาทั้งสองประเทศได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นความร่วมมือด้านการทหารระหว่างไทยกับแอฟริกาใต้และแสดงออกถึงเจตนารมณ์ร่วมกันในอันที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศให้ยั่งยืนสืบไป
พล.อ.ชัยชาญ ได้กล่าวขอบคุณ ออท. แอฟริกาใต้/ไทย ที่ได้กรุณาให้เกียรติมาร่วมสนทนาในครั้งนี้และยินดีที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนแนวความคิดที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินความสัมพันธ์ระหว่างกันต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออท.สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เข้าเยี่ยมคำนับ รมช.กห.
วันพุธที่ 9 มกราคม 2562
ออท.สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ เข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห.
เมื่อ 7 ม.ค.62 เวลา 0930 พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. ได้ให้การต้อนรับ นาย Geoffrey Quinton Mitchell Doidge (เจฟฟรีย์ ควินตัน มิตเชล ดอยจ์) ออท.สาธารณรัฐแอฟริกาใต้/ไทยและคณะ เพื่อเข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห. ณ ศาลาว่าการกลาโหม
เมื่อ 7 ม.ค.62 เวลา 0930 พล.อ. ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. ได้ให้การต้อนรับ นาย Geoffrey Quinton Mitchell Doidge (เจฟฟรีย์ ควินตัน มิตเชล ดอยจ์) ออท.สาธารณรัฐแอฟริกาใต้/ไทยและคณะ เพื่อเข้าเยี่ยมคํานับ รมช.กห. ณ ศาลาว่าการกลาโหม
พล.อ.ชัยชาญ ได้กล่าวต้อนรับและกล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับแอฟริกาใต้ที่ดําเนินมาอย่างราบรื่นตลอด
25 ปีที่ผ่านมา โดยทั้ง 2 ประเทศได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพร้อมที่จะร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ และเทคโนโลยีในด้านการป้องกันประเทศร่วมกันโดยในช่วงท้ายของการสนทนาทั้งสองประเทศได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นความร่วมมือด้านการทหารระหว่างไทยกับแอฟริกาใต้และแสดงออกถึงเจตนารมณ์ร่วมกันในอันที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศให้ยั่งยืนสืบไป
พล.อ.ชัยชาญ ได้กล่าวขอบคุณ ออท. แอฟริกาใต้/ไทย ที่ได้กรุณาให้เกียรติมาร่วมสนทนาในครั้งนี้และยินดีที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนแนวความคิดที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินความสัมพันธ์ระหว่างกันต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18005
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งรัดการดำเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศ
|
วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560
$("#video-player3").css("background-color", "#000000");
var container = document.getElementById("video-player3");
flowplayer.conf = {
share :false, // --> set share button
// facebook :true,
// ratio :9/16, // --> set ratio
// seekable :true,
// autoplay :false,
// splash : true,
// chromecast :true,
// auto quality
// hlsQualities:true,
poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/04/3382_act01130856p1.jpg", //poster
// swf :"flowplayer.swf",
// hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}],
};
flowplayer(container, {
clip: {
sources: [
{
// type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
// src: "vod/testcar.mp4"
// type: "application/x-mpegurl",
// file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8",
type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
src: "https://media.thaigov.go.th/uploads/vod/155/2017/04/mp3/07รัฐบาลเร่งรัดการดําเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศ.mp3"
}
],
title: "รัฐบาลเร่งรัดการดําเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศ ",
// qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"],
// defaultQuality: "260p"
}
});
รัฐบาลเร่งรัดการดําเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศ
รัฐบาลเร่งปฏิรูปประเทศตามแผนของ สปท. เพื่อวางรากฐานสู่อนาคต
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเร่งรัดการดําเนินงานปฏิรูปประเทศตามแผนของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ใน 5 ประเด็น คือ 1) ปฏิรูปทนายอาสา ทนายขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชนให้มีมาตรฐานและคุณภาพ 2) ปฏิรูปประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย 3) ปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.พลังงานทดแทน และจัดประชุมรับฟังความเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึง 4) ปฏิรูปการบริหารจัดการดูแลต้นไม้ในพื้นที่ป่าชุมชน และ 5) เสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยผ่านหลักสูตรอบรม เช่น โครงการศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง การจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศในอนาคต
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งรัดการดำเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศ
วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2560
$("#video-player3").css("background-color", "#000000");
var container = document.getElementById("video-player3");
flowplayer.conf = {
share :false, // --> set share button
// facebook :true,
// ratio :9/16, // --> set ratio
// seekable :true,
// autoplay :false,
// splash : true,
// chromecast :true,
// auto quality
// hlsQualities:true,
poster :"https://media.thaigov.go.th/uploads/thumbnail/news/2017/04/3382_act01130856p1.jpg", //poster
// swf :"flowplayer.swf",
// hlsQualities:[{level: -1, label: "ABR"},{level: 1, label: "SD"}, {level: 6, label: "HD"}],
};
flowplayer(container, {
clip: {
sources: [
{
// type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
// src: "vod/testcar.mp4"
// type: "application/x-mpegurl",
// file: "smil.php?filename=hp_2.mp4/playlist.m3u8",
type: "video/mp4",//ถ้า เป็น streamming application/x-mpegurl
src: "https://media.thaigov.go.th/uploads/vod/155/2017/04/mp3/07รัฐบาลเร่งรัดการดําเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศ.mp3"
}
],
title: "รัฐบาลเร่งรัดการดําเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศ ",
// qualities: ["160p", "260p", "530p", "800p"],
// defaultQuality: "260p"
}
});
รัฐบาลเร่งรัดการดําเนินงานด้านการปฏิรูปประเทศ
รัฐบาลเร่งปฏิรูปประเทศตามแผนของ สปท. เพื่อวางรากฐานสู่อนาคต
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลเร่งรัดการดําเนินงานปฏิรูปประเทศตามแผนของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ใน 5 ประเด็น คือ 1) ปฏิรูปทนายอาสา ทนายขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชนให้มีมาตรฐานและคุณภาพ 2) ปฏิรูปประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย 3) ปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.พลังงานทดแทน และจัดประชุมรับฟังความเห็นของประชาชนอย่างทั่วถึง 4) ปฏิรูปการบริหารจัดการดูแลต้นไม้ในพื้นที่ป่าชุมชน และ 5) เสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยผ่านหลักสูตรอบรม เช่น โครงการศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง การจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิรูปประเทศเดินหน้าอย่างต่อเนื่องและเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศในอนาคต
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3382
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กสทช. จัดการแถลงข่าวมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือช่วง โควิด-19
|
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กสทช. จัดการแถลงข่าวมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือช่วง โควิด-19
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กสทช. จัดการแถลงข่าวมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือช่วง โควิด-19
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า วันนี้ ได้มาร่วมกับทาง กสทช ในการจัดแถลงข่าวให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบมาตรการที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมือ กสทช และโอเปอเรเตอร์ 5 รายในเรื่องการแบ่งเบาภาระลดค่าใช้จ่ายค่าโทรศัพท์มือถือให้พี่น้องประชาชน ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถเข้ามาลงทะเบียนเพื่อยืนยันสิทธิ์ในการโทรฟรี 100 นาทีเป็นระยะเวลา 45 วัน ซึ่งจะให้ลงทะเบียนระหว่างวันวันที่ 1- 15 พฤษภาคม 2563 เมื่อลงทะเบียนแล้วจะได้ SMS ยืนยันสิทธิ์ นับตั้งแต่วันที่ได้ SMS เป็นเวลา 45 วันจะได้ใช้ฟรี 100 นาที ซึ่งทุกคนจะได้สิทธิ์นี้ และสามารถโทรข้ามเครือข่ายได้ ยกเว้นเพียง 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่จดทะเบียนในนามนิติบุคคล และผู้จดทะเบียนเป็นชาวต่างชาติ เนื่องจากเป็นนโยบายที่ตั้งใจมอบให้ประชาชนคนไทยในช่วงสถานการณ์โควิด
**********************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กสทช. จัดการแถลงข่าวมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือช่วง โควิด-19
วันอังคารที่ 21 เมษายน 2563
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กสทช. จัดการแถลงข่าวมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือช่วง โควิด-19
กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กสทช. จัดการแถลงข่าวมาตรการช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายประชาชนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือช่วง โควิด-19
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า วันนี้ ได้มาร่วมกับทาง กสทช ในการจัดแถลงข่าวให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบมาตรการที่รัฐบาลได้ขอความร่วมมือ กสทช และโอเปอเรเตอร์ 5 รายในเรื่องการแบ่งเบาภาระลดค่าใช้จ่ายค่าโทรศัพท์มือถือให้พี่น้องประชาชน ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถเข้ามาลงทะเบียนเพื่อยืนยันสิทธิ์ในการโทรฟรี 100 นาทีเป็นระยะเวลา 45 วัน ซึ่งจะให้ลงทะเบียนระหว่างวันวันที่ 1- 15 พฤษภาคม 2563 เมื่อลงทะเบียนแล้วจะได้ SMS ยืนยันสิทธิ์ นับตั้งแต่วันที่ได้ SMS เป็นเวลา 45 วันจะได้ใช้ฟรี 100 นาที ซึ่งทุกคนจะได้สิทธิ์นี้ และสามารถโทรข้ามเครือข่ายได้ ยกเว้นเพียง 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่จดทะเบียนในนามนิติบุคคล และผู้จดทะเบียนเป็นชาวต่างชาติ เนื่องจากเป็นนโยบายที่ตั้งใจมอบให้ประชาชนคนไทยในช่วงสถานการณ์โควิด
**********************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29435
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนมีนาคม 2563
|
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนมีนาคม 2563
ศูนย์วิจัยฯ ธ.ก.ส.คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตร มี.ค.2563 ทั้งข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว น้ําตาลทรายดิบ ยางพาราแผ่นดิบ และปาล์มน้ํามัน แนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเจ้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสําปะหลัง สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาปรับลดลง
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตร เดือนมีนาคม 2563 ทั้งข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว น้ําตาลทรายดิบ ยางพาราแผ่นดิบ และปาล์มน้ํามัน มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเจ้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสําปะหลัง สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในช่วงเดือนมีนาคม 2563 ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 13,796-13,930 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.04-1.02 ซึ่งเป็นผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ทําให้เกิดความต้องการข้าวหอมมะลิมากขึ้น เพื่อสํารองไว้บริโภคในประเทศฮ่องกง ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 14,699-14,717 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.31-0.43 เนื่องจากปัญหาภัยแล้งอาจส่งผลให้ผลผลิตข้าวเหนียวนาปรังลดลง น้ําตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ 15.63-15.71 เซนต์/ปอนด์ (10.92-10.98 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.50-2.00 เนื่องจากความกังวลผลผลิตน้ําตาลโลกปรับตัวลดลงจากภาวะภัยแล้งของประเทศไทย ซึ่งคาดว่าผลผลิตน้ําตาล ปี 2562/63 ของไทยอาจลดลงเหลือร้อยละ 30 หรือประมาณ 10 ล้านตัน (จากปีการผลิตก่อน 14.52 ล้านตัน) ในขณะที่ผลผลิตอ้อยคาดว่าจะลดลงต่ํากว่า 90 ล้านตัน (จากปีการผลิตก่อน 130 ล้านตัน) เป็นผลมาจากความ แห้งแล้งที่รุนแรงและต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี 2562 ยางพาราแผ่นดิบ ราคาอยู่ที่ 40.03-40.35บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 5.23-6.06 เนื่องจากราคาซื้อขายยางพาราในตลาดซื้อขายล่วงหน้าโตเกียว (TOCOM) เพิ่มขึ้น เพราะสต็อกยางพาราของประเทศญี่ปุ่นปรับตัวลดลงร้อยละ 3.55 และประเทศไทยเข้าสู่ช่วงฤดูกาลปิดกรีดยางพาราในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ทําให้ปริมาณผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดลดลง และปาล์มน้ํามัน ราคาอยู่ที่ 5.40 -5.50 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.37 – 2.23 เนื่องจากความต้องการใช้ปาล์มน้ํามันในประเทศยังมีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการใช้น้ํามันดีเซล B10 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากนโยบายของกระทรวงพลังงานที่กําหนดให้ราคาจําหน่ายต่ํากว่าน้ํามันดีเซล B7
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 7,898-8,031 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.13-1.81 เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปรังของประเทศไทยเริ่มออกสู่ตลาด ประกอบกับผลผลิตข้าวช่วงฤดูหนาวของประเทศเวียดนามออกสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2563 ถึงร้อยละ 48 ของปริมาณการผลิตข้าวเวียดนามทั้งหมด ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 7.55-7.62 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.00-2.00 เนื่องจากปริมาณผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลูกในฤดูแล้ง (เดือนมีนาคม-เมษายน) และผลกระทบจากภัยแล้งที่ยังคงส่งผลให้คุณภาพข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลดลง มันสําปะหลัง ราคาอยู่ที่ 1.88-1.93 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ
0.52 – 3.09 เนื่องจากยังอยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตทําให้ผลผลิตมันสําปะหลังออกสู่ตลาดต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังลดลง โดยเฉพาะการส่งออกไปจีนที่ได้รับผลกระทบระยะสั้นจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 สุกร ราคาอยู่ที่ 67.00 – 71.00 บาท/กก. ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.60 – 6.2 เนื่องจากคาดว่าภาวะการค้าภายในประเทศจะชะลอตัวลง จากผลกระทบการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรปรับลดลงตามจํานวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง และกุ้งขาวแวนนาไม ขนาด 70 ตัว/กก. ราคาอยู่ที่ 135.00 – 141.00 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.71- 4.93 เนื่องจากความต้องการในประเทศยังชะลอตัวจากปัญหาไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวซบเซา และผลผลิตกุ้งของภาคใต้เริ่มออกสู่ตลาด ส่งผลให้ราคากุ้งมีแนวโน้มลดลง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนมีนาคม 2563
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563
ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรเดือนมีนาคม 2563
ศูนย์วิจัยฯ ธ.ก.ส.คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตร มี.ค.2563 ทั้งข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว น้ําตาลทรายดิบ ยางพาราแผ่นดิบ และปาล์มน้ํามัน แนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเจ้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสําปะหลัง สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาปรับลดลง
ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตร เดือนมีนาคม 2563 ทั้งข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกเหนียว น้ําตาลทรายดิบ ยางพาราแผ่นดิบ และปาล์มน้ํามัน มีแนวโน้มราคาเพิ่มขึ้น ด้านข้าวเปลือกเจ้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสําปะหลัง สุกร และกุ้งขาวแวนนาไม มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง
นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. คาดการณ์ราคาสินค้าเกษตรในช่วงเดือนมีนาคม 2563 ที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 13,796-13,930 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.04-1.02 ซึ่งเป็นผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ทําให้เกิดความต้องการข้าวหอมมะลิมากขึ้น เพื่อสํารองไว้บริโภคในประเทศฮ่องกง ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 14,699-14,717 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.31-0.43 เนื่องจากปัญหาภัยแล้งอาจส่งผลให้ผลผลิตข้าวเหนียวนาปรังลดลง น้ําตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก ราคาอยู่ที่ 15.63-15.71 เซนต์/ปอนด์ (10.92-10.98 บาท/กก.) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 1.50-2.00 เนื่องจากความกังวลผลผลิตน้ําตาลโลกปรับตัวลดลงจากภาวะภัยแล้งของประเทศไทย ซึ่งคาดว่าผลผลิตน้ําตาล ปี 2562/63 ของไทยอาจลดลงเหลือร้อยละ 30 หรือประมาณ 10 ล้านตัน (จากปีการผลิตก่อน 14.52 ล้านตัน) ในขณะที่ผลผลิตอ้อยคาดว่าจะลดลงต่ํากว่า 90 ล้านตัน (จากปีการผลิตก่อน 130 ล้านตัน) เป็นผลมาจากความ แห้งแล้งที่รุนแรงและต่อเนื่องมาตั้งแต่กลางปี 2562 ยางพาราแผ่นดิบ ราคาอยู่ที่ 40.03-40.35บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 5.23-6.06 เนื่องจากราคาซื้อขายยางพาราในตลาดซื้อขายล่วงหน้าโตเกียว (TOCOM) เพิ่มขึ้น เพราะสต็อกยางพาราของประเทศญี่ปุ่นปรับตัวลดลงร้อยละ 3.55 และประเทศไทยเข้าสู่ช่วงฤดูกาลปิดกรีดยางพาราในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ทําให้ปริมาณผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาดลดลง และปาล์มน้ํามัน ราคาอยู่ที่ 5.40 -5.50 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.37 – 2.23 เนื่องจากความต้องการใช้ปาล์มน้ํามันในประเทศยังมีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการใช้น้ํามันดีเซล B10 ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากนโยบายของกระทรวงพลังงานที่กําหนดให้ราคาจําหน่ายต่ํากว่าน้ํามันดีเซล B7
ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% ราคาอยู่ที่ 7,898-8,031 บาท/ตัน ลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.13-1.81 เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปรังของประเทศไทยเริ่มออกสู่ตลาด ประกอบกับผลผลิตข้าวช่วงฤดูหนาวของประเทศเวียดนามออกสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน 2563 ถึงร้อยละ 48 ของปริมาณการผลิตข้าวเวียดนามทั้งหมด ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ราคาอยู่ที่ 7.55-7.62 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.00-2.00 เนื่องจากปริมาณผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลูกในฤดูแล้ง (เดือนมีนาคม-เมษายน) และผลกระทบจากภัยแล้งที่ยังคงส่งผลให้คุณภาพข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลดลง มันสําปะหลัง ราคาอยู่ที่ 1.88-1.93 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ
0.52 – 3.09 เนื่องจากยังอยู่ในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวผลผลิตทําให้ผลผลิตมันสําปะหลังออกสู่ตลาดต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสําปะหลังลดลง โดยเฉพาะการส่งออกไปจีนที่ได้รับผลกระทบระยะสั้นจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 สุกร ราคาอยู่ที่ 67.00 – 71.00 บาท/กก. ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ร้อยละ 0.60 – 6.2 เนื่องจากคาดว่าภาวะการค้าภายในประเทศจะชะลอตัวลง จากผลกระทบการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการบริโภคเนื้อสุกรปรับลดลงตามจํานวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง และกุ้งขาวแวนนาไม ขนาด 70 ตัว/กก. ราคาอยู่ที่ 135.00 – 141.00 บาท/กก. ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.71- 4.93 เนื่องจากความต้องการในประเทศยังชะลอตัวจากปัญหาไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวซบเซา และผลผลิตกุ้งของภาคใต้เริ่มออกสู่ตลาด ส่งผลให้ราคากุ้งมีแนวโน้มลดลง
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26810
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เชิญ NGOs และองค์การระหว่างประเทศ ร่วมหารือเพื่อขับเคลื่อนการต่อต้านการค้ามนุษย์
|
วันพุธที่ 18 เมษายน 2561
พม. เชิญ NGOs และองค์การระหว่างประเทศ ร่วมหารือเพื่อขับเคลื่อนการต่อต้านการค้ามนุษย์
พม. เชิญ NGOs และองค์การระหว่างประเทศ ร่วมหารือเพื่อขับเคลื่อนการต่อต้านการค้ามนุษย์
วันนี้ (18 เม.ย. 61) เวลา 11.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมหารือกับภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยมีผู้แทนหน่วยงาน NGOs และองค์การระหว่างประเทศ เข้าร่วมประชุม ได้แก่ ผู้แทนมูลนิธิไนท์ไลท์ มูลนิธิเพื่อความเข้าใจเด็ก (FOCUS) มูลนิธิเอ-ทเวนตี้วัน มูลนิธิโซเอ อินเตอร์เนชั่นแนล มูลนิธิพัฒนาการคุ้มครองเด็ก (FACE) มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) สํานักงานกฎหมาย เอส. อาร์. ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเล ศรีราชา และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยกําหนดเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สามารถบรรลุผลสําเร็จได้เพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกองต่อต้านการค้ามนุษย์ (กคม.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน ได้ประสานความร่วมมือกับทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ตามแนวทางประชารัฐของรัฐบาล ทั้งนี้ การประชุมหารือกับภาคีเครือข่ายในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพบปะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ NGOs และองค์การระหว่างประเทศ ที่มีบทบาทนําในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รับฟังปัญหา อุปสรรค ข้อท้าทาย พร้อมทั้งร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ตลอดจนให้ข้อเสนอต่อรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็นการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกระทรวง พม. เพื่อจะได้นําไปเป็นข้อมูลประกอบการดําเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
สําหรับผลการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมมีการขอความร่วมมือในด้านต่างๆ อาทิ ขอเชิญชวนให้หน่วยงาน NGOs จดทะเบียนเป็นสถานคุ้มครองเอกชน เพื่อให้การคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายฯ ได้มีทางเลือกในการเข้ารับการคุ้มครองนอกเหนือจากสถานที่ของรัฐ โดยได้รับสิทธิทางกฎหมายทุกประการเช่นเดียวกับผู้เสียหายฯ ที่เข้ารับการคุ้มครองในหน่วยงานของกระทรวง พม. เช่น เงินเยียวยาจากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ การส่งกลับภูมิลําเนาหรือประเทศต้นทางอย่างปลอดภัย การได้รับอนุญาตให้อยู่ในเมืองไทยและทํางานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ฯลฯ ส่วนหน่วยงานที่ประสงค์จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ สามารถขอรับเงินสนับสนุนได้จากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ได้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนด อย่างไรก็ตาม กระทรวง พม. พร้อมให้คําแนะนําและช่วยเหลือในการจัดทําโครงการฯ เพื่อขอรับเงินสนับสนุน
ทั้งนี้ รัฐบาลมีความพยายามเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หากหน่วยงานใดมีปัญหาอุปสรรคหรือข้อขัดข้องในการดําเนินงาน รวมทั้งการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ กระทรวง พม. พร้อมประสานงานและให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งนี้ ขอขอบคุณองค์กรพัฒนาเอกชน และองค์การระหว่างประเทศ ที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินงานกับรัฐบาล และกระทรวง พม. สําหรับการต่อต้าน การค้ามนุษย์เป็นอย่างดีมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสหรัฐอเมริกาจะจัดสถานะของประเทศไทย ให้อยู่ในระดับใดก็ตามในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือ TIP Report ขอให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนร่วมมือร่วมใจกันอย่างเต็มที่ในการเดินหน้าแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เพื่อคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เชิญ NGOs และองค์การระหว่างประเทศ ร่วมหารือเพื่อขับเคลื่อนการต่อต้านการค้ามนุษย์
วันพุธที่ 18 เมษายน 2561
พม. เชิญ NGOs และองค์การระหว่างประเทศ ร่วมหารือเพื่อขับเคลื่อนการต่อต้านการค้ามนุษย์
พม. เชิญ NGOs และองค์การระหว่างประเทศ ร่วมหารือเพื่อขับเคลื่อนการต่อต้านการค้ามนุษย์
วันนี้ (18 เม.ย. 61) เวลา 11.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เป็นประธานการประชุมหารือกับภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนการต่อต้านการค้ามนุษย์ โดยมีผู้แทนหน่วยงาน NGOs และองค์การระหว่างประเทศ เข้าร่วมประชุม ได้แก่ ผู้แทนมูลนิธิไนท์ไลท์ มูลนิธิเพื่อความเข้าใจเด็ก (FOCUS) มูลนิธิเอ-ทเวนตี้วัน มูลนิธิโซเอ อินเตอร์เนชั่นแนล มูลนิธิพัฒนาการคุ้มครองเด็ก (FACE) มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) สํานักงานกฎหมาย เอส. อาร์. ศูนย์อภิบาลผู้เดินทางทะเล ศรีราชา และมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (HRDF)
รัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยกําหนดเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สามารถบรรลุผลสําเร็จได้เพียงหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกองต่อต้านการค้ามนุษย์ (กคม.) ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ตามหลักสิทธิมนุษยชน ได้ประสานความร่วมมือกับทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ตามแนวทางประชารัฐของรัฐบาล ทั้งนี้ การประชุมหารือกับภาคีเครือข่ายในวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพบปะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ NGOs และองค์การระหว่างประเทศ ที่มีบทบาทนําในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รับฟังปัญหา อุปสรรค ข้อท้าทาย พร้อมทั้งร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ตลอดจนให้ข้อเสนอต่อรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็นการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกระทรวง พม. เพื่อจะได้นําไปเป็นข้อมูลประกอบการดําเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
สําหรับผลการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมมีการขอความร่วมมือในด้านต่างๆ อาทิ ขอเชิญชวนให้หน่วยงาน NGOs จดทะเบียนเป็นสถานคุ้มครองเอกชน เพื่อให้การคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายฯ ได้มีทางเลือกในการเข้ารับการคุ้มครองนอกเหนือจากสถานที่ของรัฐ โดยได้รับสิทธิทางกฎหมายทุกประการเช่นเดียวกับผู้เสียหายฯ ที่เข้ารับการคุ้มครองในหน่วยงานของกระทรวง พม. เช่น เงินเยียวยาจากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ การส่งกลับภูมิลําเนาหรือประเทศต้นทางอย่างปลอดภัย การได้รับอนุญาตให้อยู่ในเมืองไทยและทํางานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ฯลฯ ส่วนหน่วยงานที่ประสงค์จะขอรับการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดําเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ สามารถขอรับเงินสนับสนุนได้จากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ได้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนด อย่างไรก็ตาม กระทรวง พม. พร้อมให้คําแนะนําและช่วยเหลือในการจัดทําโครงการฯ เพื่อขอรับเงินสนับสนุน
ทั้งนี้ รัฐบาลมีความพยายามเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หากหน่วยงานใดมีปัญหาอุปสรรคหรือข้อขัดข้องในการดําเนินงาน รวมทั้งการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ กระทรวง พม. พร้อมประสานงานและให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งนี้ ขอขอบคุณองค์กรพัฒนาเอกชน และองค์การระหว่างประเทศ ที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดําเนินงานกับรัฐบาล และกระทรวง พม. สําหรับการต่อต้าน การค้ามนุษย์เป็นอย่างดีมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสหรัฐอเมริกาจะจัดสถานะของประเทศไทย ให้อยู่ในระดับใดก็ตามในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ หรือ TIP Report ขอให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนร่วมมือร่วมใจกันอย่างเต็มที่ในการเดินหน้าแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ เพื่อคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ต่อไป
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11575
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต เตรียมพร้อมเปิดเมืองภูเก็ต ต้นแบบเมืองท่องเที่ยว
|
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563
ดร.สาธิต เตรียมพร้อมเปิดเมืองภูเก็ต ต้นแบบเมืองท่องเที่ยว
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจผู้ปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 จังหวัดภูเก็ต ชื่นชมสมรรถนะทีมงานบริหารจัดการสถานการณ์เร็ว ทั้งการค้นหาเชิงรุก การดูแลแยกกักผู้ป่วย มอบนโยบายเป็นต้นแบบเมืองท่องเที่ยว เตรียมพร้อมเปิดเมืองอย่าง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจผู้ปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 จังหวัดภูเก็ต ชื่นชมสมรรถนะทีมงานบริหารจัดการสถานการณ์เร็ว ทั้งการค้นหาเชิงรุก การดูแลแยกกักผู้ป่วย มอบนโยบายเป็นต้นแบบเมืองท่องเที่ยว เตรียมพร้อมเปิดเมืองอย่างปลอดภัย
วันนี้ (14 พฤษภาคม 2563) ที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย และคณะ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) มอบนโยบายเตรียมความพร้อมเปิดเมืองภูเก็ตอย่างปลอดภัยได้มาตรฐาน พร้อมมอบประกาศรับรองกิจการผ่อนปรนผ่านการรับรองจากกรมอนามัยจํานวน 20 แห่ง
ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสําคัญในการสร้างความเข้มแข็งด้านการป้องกันและควบคุมโรค เพื่อให้ภูเก็ตเป็นจังหวัดต้นแบบทั้งในระยะที่มีโควิด 19 ระบาดและในระยะยาว เนื่องจากภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีสถิตินักท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในระดับภูมิภาค มีอัตราการป่วยเป็นอันดับต้นของประเทศ แต่มีทีมงานที่มีสมรรถนะในการบริหารจัดการ ทั้งการควบคุมป้องกันโรคด้วยการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก การดูแลแยกกักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ในโรงแรมหรือสถานที่ที่ปรับเป็นสถานที่แยกดูแลผู้ป่วย ทําให้สามารถจัดการสถานการณ์ได้โดยเร็ว สามารถนําบทเรียนมาวางระบบในระยะยาวให้ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีความมั่นคงในการท่องเที่ยว
และให้ยกระดับมาตรการการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ณ ด่านทางเข้าและออก ทั้งทางอากาศ ทางบก และทางน้ํา โดยด่านทางอากาศ มีระบบประสานข้อมูลกับประเทศต้นทางที่อาจมีโรคติดต่อเพื่อเฝ้าระวัง ระบบคัดกรองตั้งแต่ต้นทาง และมีระบบติดตามตัวโดยให้ผู้เดินทางลงทะเบียนข้อมูลการเดินทางบนแอปพลิเคชัน AOT Airport ด่านทางบก ที่ด่านท่าฉัตรไชย มีระบบคัดกรอง Phuket Smart Check Point ให้ผู้เดินทางลงทะเบียนก่อนเข้าภูเก็ตล่วงหน้าทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน รวมทั้งมีระบบตรวจจับใบหน้าผู้ป่วยเฝ้าระวัง ณ จุดตรวจ เชื่อมกับฐานข้อมูลสาธารณสุข จะแจ้งเตือนเมื่อเดินทางออกนอกจังหวัด และด่านทางน้ํา พัฒนาให้มีมาตรฐานป้องกันการนําเชื้อมาแพร่ในประเทศ โดยเน้นเฝ้าระวังโรคประเทศต้นทางและคัดกรองผู้ผ่านด่านทุกทางเข้าหลัก จัดพื้นที่เว้นระยะห่างในท่าเทียบเรือและบนเรือ
รวมทั้งประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในการผ่อนปรนเปิดกิจการอย่างเข้มงวด ได้แก่ ตลาดสด ตลาดชุมชน และกิจการรองรับการท่องเที่ยว ได้แก่ ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก โดยประเมินกิจการ/สถานประกอบการด้วยแอปพลิเคชัน Thai stop COVID-19ว่าได้ปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันโควิด 19 และปักหมุดพิกัดสถานประกอบการไว้ในแพลตฟอร์มนี้ เพื่อผู้บริโภคสามารถตรวจสอบ เลือกการใช้บริการ นอกจากนี้ให้จัดทําแผนพัฒนาความเข้มแข็งในการเป็นเมืองต้นแบบท่องเที่ยวเชิงความปลอดภัยและสุขภาพ โดยเฉพาะพิจารณาให้มีโรงพยาบาลดูแลรักษาโรคติดต่อและภัยนักท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในทําเลยุทธศาสตร์ที่จะอํานวยความปลอดภัยได้ทันเวลา พร้อมทั้งให้การดูแลขวัญและกําลังใจเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และภาคส่วนต่างๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันควบคุมโรค
จากนั้น ในช่วงบ่ายได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานประกอบการและกิจการผ่อนปรน ได้แก่ ร้านตัดผม Hello studio salon, ร้านอาหารฉ่ายเชียงฟง ติ่มซํา, ตลาดบันซ้าน ป่าตอง, ตลาดนัดวัดเทพตําบลวิชิต, สวนสาธารณะสะพานหิน และโรงแรมสุรินทร์บีช
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.สาธิต เตรียมพร้อมเปิดเมืองภูเก็ต ต้นแบบเมืองท่องเที่ยว
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563
ดร.สาธิต เตรียมพร้อมเปิดเมืองภูเก็ต ต้นแบบเมืองท่องเที่ยว
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจผู้ปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 จังหวัดภูเก็ต ชื่นชมสมรรถนะทีมงานบริหารจัดการสถานการณ์เร็ว ทั้งการค้นหาเชิงรุก การดูแลแยกกักผู้ป่วย มอบนโยบายเป็นต้นแบบเมืองท่องเที่ยว เตรียมพร้อมเปิดเมืองอย่าง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เยี่ยมให้กําลังใจผู้ปฏิบัติงานป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 จังหวัดภูเก็ต ชื่นชมสมรรถนะทีมงานบริหารจัดการสถานการณ์เร็ว ทั้งการค้นหาเชิงรุก การดูแลแยกกักผู้ป่วย มอบนโยบายเป็นต้นแบบเมืองท่องเที่ยว เตรียมพร้อมเปิดเมืองอย่างปลอดภัย
วันนี้ (14 พฤษภาคม 2563) ที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย และคณะ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) มอบนโยบายเตรียมความพร้อมเปิดเมืองภูเก็ตอย่างปลอดภัยได้มาตรฐาน พร้อมมอบประกาศรับรองกิจการผ่อนปรนผ่านการรับรองจากกรมอนามัยจํานวน 20 แห่ง
ดร.สาธิตกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสําคัญในการสร้างความเข้มแข็งด้านการป้องกันและควบคุมโรค เพื่อให้ภูเก็ตเป็นจังหวัดต้นแบบทั้งในระยะที่มีโควิด 19 ระบาดและในระยะยาว เนื่องจากภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีสถิตินักท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในระดับภูมิภาค มีอัตราการป่วยเป็นอันดับต้นของประเทศ แต่มีทีมงานที่มีสมรรถนะในการบริหารจัดการ ทั้งการควบคุมป้องกันโรคด้วยการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก การดูแลแยกกักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ในโรงแรมหรือสถานที่ที่ปรับเป็นสถานที่แยกดูแลผู้ป่วย ทําให้สามารถจัดการสถานการณ์ได้โดยเร็ว สามารถนําบทเรียนมาวางระบบในระยะยาวให้ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีความมั่นคงในการท่องเที่ยว
และให้ยกระดับมาตรการการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ณ ด่านทางเข้าและออก ทั้งทางอากาศ ทางบก และทางน้ํา โดยด่านทางอากาศ มีระบบประสานข้อมูลกับประเทศต้นทางที่อาจมีโรคติดต่อเพื่อเฝ้าระวัง ระบบคัดกรองตั้งแต่ต้นทาง และมีระบบติดตามตัวโดยให้ผู้เดินทางลงทะเบียนข้อมูลการเดินทางบนแอปพลิเคชัน AOT Airport ด่านทางบก ที่ด่านท่าฉัตรไชย มีระบบคัดกรอง Phuket Smart Check Point ให้ผู้เดินทางลงทะเบียนก่อนเข้าภูเก็ตล่วงหน้าทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน รวมทั้งมีระบบตรวจจับใบหน้าผู้ป่วยเฝ้าระวัง ณ จุดตรวจ เชื่อมกับฐานข้อมูลสาธารณสุข จะแจ้งเตือนเมื่อเดินทางออกนอกจังหวัด และด่านทางน้ํา พัฒนาให้มีมาตรฐานป้องกันการนําเชื้อมาแพร่ในประเทศ โดยเน้นเฝ้าระวังโรคประเทศต้นทางและคัดกรองผู้ผ่านด่านทุกทางเข้าหลัก จัดพื้นที่เว้นระยะห่างในท่าเทียบเรือและบนเรือ
รวมทั้งประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนป้องกันการแพร่กระจายเชื้อในการผ่อนปรนเปิดกิจการอย่างเข้มงวด ได้แก่ ตลาดสด ตลาดชุมชน และกิจการรองรับการท่องเที่ยว ได้แก่ ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก โดยประเมินกิจการ/สถานประกอบการด้วยแอปพลิเคชัน Thai stop COVID-19ว่าได้ปฏิบัติตามมาตรการในการป้องกันโควิด 19 และปักหมุดพิกัดสถานประกอบการไว้ในแพลตฟอร์มนี้ เพื่อผู้บริโภคสามารถตรวจสอบ เลือกการใช้บริการ นอกจากนี้ให้จัดทําแผนพัฒนาความเข้มแข็งในการเป็นเมืองต้นแบบท่องเที่ยวเชิงความปลอดภัยและสุขภาพ โดยเฉพาะพิจารณาให้มีโรงพยาบาลดูแลรักษาโรคติดต่อและภัยนักท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในทําเลยุทธศาสตร์ที่จะอํานวยความปลอดภัยได้ทันเวลา พร้อมทั้งให้การดูแลขวัญและกําลังใจเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร และภาคส่วนต่างๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันควบคุมโรค
จากนั้น ในช่วงบ่ายได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานประกอบการและกิจการผ่อนปรน ได้แก่ ร้านตัดผม Hello studio salon, ร้านอาหารฉ่ายเชียงฟง ติ่มซํา, ตลาดบันซ้าน ป่าตอง, ตลาดนัดวัดเทพตําบลวิชิต, สวนสาธารณะสะพานหิน และโรงแรมสุรินทร์บีช
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30859
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ อนุทิน ขอบคุณทุกภาคส่วน เห็นสุขภาพประชาชนมาก่อน เผย กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าออกกฎกระทรวง หลัง คกก.วัตถุอันตรายมีมติแบน 3 สาร
|
วันพุธที่ 23 ตุลาคม 2562
รองนายกฯ อนุทิน ขอบคุณทุกภาคส่วน เห็นสุขภาพประชาชนมาก่อน เผย กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าออกกฎกระทรวง หลัง คกก.วัตถุอันตรายมีมติแบน 3 สาร
รองนายกฯ อนุทิน ขอบคุณทุกภาคส่วน เห็นสุขภาพประชาชนมาก่อน เผย กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าออกกฎกระทรวง หลัง คกก.วัตถุอันตรายมีมติแบน 3 สาร
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอบคุณคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่มีมติปรับวัตถุอันตราย 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามผลิต นําเข้า ส่งออกและมีไว้ครอบครอง ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 สอดคล้องกับที่กระทรวงสาธารณสุข รับนโยบายในเรื่องดังกล่าวจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยให้คํานึงถึงสุขภาพของประชาชนเป็นลําดับแรก
ทั้งนี้ นายอนุทิน ขอบคุณคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่ตระหนักถึงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรที่ต้องเผชิญกับการใช้สารเคมีโดยตรง และยังส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคอีกด้วย นอกจากนี้ ยังขอบคุณทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ นักวิชาการ รวมถึงศิลปิน อาทิ นายยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ที่ช่วยกันรณรงค์เพื่อแก้แก้ปัญหาสุขภาพของประชนชนอย่างเข้มแข็ง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า หลังจากนี้ จะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างครบถ้วนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย รวมถึงรับฟังข้อเสนอแนะว่าเมื่อแบนการใช้สารเคมี 3 ชนิดแล้ว จะมีการทดแทนอย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบต่อวิถีชีวิตของเกษตรกร พร้อมกันนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะดําเนินการออกกฎกระทรวงว่าด้วยการปรับวัตถุอันตราย 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามผลิต นําเข้า ส่งออกและมีไว้ครอบครอง เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ อนุทิน ขอบคุณทุกภาคส่วน เห็นสุขภาพประชาชนมาก่อน เผย กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าออกกฎกระทรวง หลัง คกก.วัตถุอันตรายมีมติแบน 3 สาร
วันพุธที่ 23 ตุลาคม 2562
รองนายกฯ อนุทิน ขอบคุณทุกภาคส่วน เห็นสุขภาพประชาชนมาก่อน เผย กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าออกกฎกระทรวง หลัง คกก.วัตถุอันตรายมีมติแบน 3 สาร
รองนายกฯ อนุทิน ขอบคุณทุกภาคส่วน เห็นสุขภาพประชาชนมาก่อน เผย กระทรวงเกษตรฯ เดินหน้าออกกฎกระทรวง หลัง คกก.วัตถุอันตรายมีมติแบน 3 สาร
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขอบคุณคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่มีมติปรับวัตถุอันตราย 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามผลิต นําเข้า ส่งออกและมีไว้ครอบครอง ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 สอดคล้องกับที่กระทรวงสาธารณสุข รับนโยบายในเรื่องดังกล่าวจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยให้คํานึงถึงสุขภาพของประชาชนเป็นลําดับแรก
ทั้งนี้ นายอนุทิน ขอบคุณคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่ตระหนักถึงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรที่ต้องเผชิญกับการใช้สารเคมีโดยตรง และยังส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคอีกด้วย นอกจากนี้ ยังขอบคุณทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม ข้าราชการ นักวิชาการ รวมถึงศิลปิน อาทิ นายยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว ที่ช่วยกันรณรงค์เพื่อแก้แก้ปัญหาสุขภาพของประชนชนอย่างเข้มแข็ง
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า หลังจากนี้ จะมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างครบถ้วนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย รวมถึงรับฟังข้อเสนอแนะว่าเมื่อแบนการใช้สารเคมี 3 ชนิดแล้ว จะมีการทดแทนอย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบต่อวิถีชีวิตของเกษตรกร พร้อมกันนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะดําเนินการออกกฎกระทรวงว่าด้วยการปรับวัตถุอันตราย 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ห้ามผลิต นําเข้า ส่งออกและมีไว้ครอบครอง เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24009
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.อ.ประจินฯ พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการเน็ตประชารัฐ จ.น่าน
|
วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561
พล.อ.อ.ประจินฯ พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการเน็ตประชารัฐ จ.น่าน
พล.อ.อ.ประจินฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p4 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
span.s2 {font: 16.0px Helvetica; font-kerning: none}
span.s3 {font-kerning: none; color: #232323; -webkit-text-stroke: 0px #232323}
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p4 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
span.s2 {font: 16.0px Helvetica; font-kerning: none}
span.s3 {font-kerning: none; color: #232323; -webkit-text-stroke: 0px #232323}
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none; color: #232323; -webkit-text-stroke: 0px #232323}
span.s2 {font-kerning: none}
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none; color: #232323; -webkit-text-stroke: 0px #232323}
span.s2 {font-kerning: none}
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายวรกิตติ ศรีทิพากร ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และนายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ร่วมตรวจเยี่ยมโครงการเน็ตประชารัฐที่บ้านซาวหลวง ตําบลบ่อสวก อําเภอเมือง จังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2561 เพื่อติดตามความก้าวหน้าการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ในการขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักธรรมาภิบาลด้วยเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนชุมชนในพื้นที่ สร้างโอกาส สร้างรายได้ให้กับชุมชน โดย “ต่อยอดอดีต” นําอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และจุดเด่นทางทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมกับการ “ปรับปัจจุบัน” โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้สอดรับกับเศรษฐกิจและสังคมโลกสมัยใหม่ และรวมถึงการสร้าง “คุณค่าใหม่ในอนาคต” รวมถึงการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบวิสาหกิจในชุมชน ปรับรูปแบบธุรกิจ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด นําไปสู่การยกระดับรายได้ การกินดีอยู่ดี และความยั่งยืนของชุมชนต่อไป
**********************
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none; color: #232323; -webkit-text-stroke: 0px #232323}
span.s2 {font-kerning: none}
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พล.อ.อ.ประจินฯ พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการเน็ตประชารัฐ จ.น่าน
วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561
พล.อ.อ.ประจินฯ พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการเน็ตประชารัฐ จ.น่าน
พล.อ.อ.ประจินฯ
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p4 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
span.s2 {font: 16.0px Helvetica; font-kerning: none}
span.s3 {font-kerning: none; color: #232323; -webkit-text-stroke: 0px #232323}
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 19.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p4 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none}
span.s2 {font: 16.0px Helvetica; font-kerning: none}
span.s3 {font-kerning: none; color: #232323; -webkit-text-stroke: 0px #232323}
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none; color: #232323; -webkit-text-stroke: 0px #232323}
span.s2 {font-kerning: none}
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none; color: #232323; -webkit-text-stroke: 0px #232323}
span.s2 {font-kerning: none}
พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายวรกิตติ ศรีทิพากร ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน และนายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) ร่วมตรวจเยี่ยมโครงการเน็ตประชารัฐที่บ้านซาวหลวง ตําบลบ่อสวก อําเภอเมือง จังหวัดน่าน เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2561 เพื่อติดตามความก้าวหน้าการใช้ประโยชน์จากโครงข่ายเน็ตประชารัฐ ในการขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี พัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักธรรมาภิบาลด้วยเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนชุมชนในพื้นที่ สร้างโอกาส สร้างรายได้ให้กับชุมชน โดย “ต่อยอดอดีต” นําอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และจุดเด่นทางทรัพยากรธรรมชาติ พร้อมกับการ “ปรับปัจจุบัน” โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้สอดรับกับเศรษฐกิจและสังคมโลกสมัยใหม่ และรวมถึงการสร้าง “คุณค่าใหม่ในอนาคต” รวมถึงการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบวิสาหกิจในชุมชน ปรับรูปแบบธุรกิจ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด นําไปสู่การยกระดับรายได้ การกินดีอยู่ดี และความยั่งยืนของชุมชนต่อไป
**********************
p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px}
p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: center; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000}
span.s1 {font-kerning: none; color: #232323; -webkit-text-stroke: 0px #232323}
span.s2 {font-kerning: none}
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16443
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ติดตามการตรวจคัดกรองแรงงานไทยเดินทางกลับประเทศและการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
|
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563
รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ติดตามการตรวจคัดกรองแรงงานไทยเดินทางกลับประเทศและการดําเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามการตรวจคัดกรองแรงงานไทยเดินทางกลับประเทศและการดําเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
เมื่อคืนที่ผ่านมา (14 เมษายน 2563) เวลา 21.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อติดตามการดําเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) โดยมี พลเอก ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ รองเสนาธิการทหาร เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ พร้อมคณะให้การต้อนรับและบรรยายสรุปสถานการณ์และการดําเนินงานของศูนย์ภายหลังที่มีการจัดตั้งเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา
ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน(EOC) จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เกิดการบูรณาการและประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงท่าอากาศยาน รวมทั้งดําเนินการอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมอบหมาย มีภารกิจในการอํานวยการ ประสานงาน กํากับดูแล และให้การสนับสนุนช่วยเหลือการปฏิบัติส่วน ราชการที่เกี่ยวข้อง ในการคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศที่ผ่านเข้ามาคัดกรองตามระบบ ตรวจคนเข้าเมือง และกระทรวงสาธารณสุข วางแผนระบบความคุม ติดตาม การเคลื่อนย้าย การระวังป้องกัน การรวบรวมและคัดแยกผู้เดินทางขึ้นยานพาหนะไปส่งยังสถานที่ควบคุมเพื่อสังเกตอาการของรัฐ รวมถึงการประสานงานและประชาสัมพันธ์ ทําความเข้าใจกับผู้เดินทางและ ประชาชน การป้องปราม ยับยั้งการก่อเหตุ รวมทั้งปฏิบัติการตอบโต้ สถานการณ์เมื่อจําเป็น รวมถึงการปฏิบัติการอื่น ๆ
โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมสังเกตการณ์การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่คัดกรองกลุ่มแรงงานไทย ที่เดินทางมาจากสาธารณรัฐเกาหลีใต้ โดยสายการบิน Jeju Air เที่ยวบินที่ 7C2201 เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลา 21.40 น. จํานวน 135 คน ซึ่งผู้โดยสารทุกคนต้องผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง รวมถึงระบบคัดกรองด้านสุขภาพ (Health Control) จนกระทั่งผ่านกระบวนการคัดกรองของศุลกากร
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กลุ่มคนไทยที่เดินทางเข้าประเทศทุกกลุ่ม ต้องเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine ที่รัฐกําหนด สําหรับกลุ่มแรงงานไทย จํานวน 135 ที่เพิ่งเดินทางมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อผ่านการตรวจสอบครบถ้วนตามมาตรฐานของศูนย์ EOC แล้ว ภาครัฐได้จัดรถบัสโดยสารบริการไปยังสถานที่ State Quarantine โดยต้องผ่านกระบวนการทําลายล้างพิษให้กับผู้เดินทางและสัมภาระก่อนขึ้นรถ เมื่อไปถึงที่พักแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุขตรวจคัดกรองอีกครั้ง ก่อนแยกย้ายเข้าห้องพักโดยจัดให้พักห้องละ 1 คน หรือท่านใดประสงค์จะเข้าพักด้วยกันก็ต้องกรอกเอกสารยืนยันให้เจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ที่ผ่านการปฏิบัติงานคัดกรองผู้โดยสารในท่าอากาศยานทุกแห่ง จะต้องเข้ากระบวนการทําลายล้างพิษก่อนเดินทางกลับหรือเริ่มปฏิบัติงานครั้งต่อไป
..........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ติดตามการตรวจคัดกรองแรงงานไทยเดินทางกลับประเทศและการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563
รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ติดตามการตรวจคัดกรองแรงงานไทยเดินทางกลับประเทศและการดําเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ติดตามการตรวจคัดกรองแรงงานไทยเดินทางกลับประเทศและการดําเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
เมื่อคืนที่ผ่านมา (14 เมษายน 2563) เวลา 21.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายณัฏฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อติดตามการดําเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) โดยมี พลเอก ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ รองเสนาธิการทหาร เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ พร้อมคณะให้การต้อนรับและบรรยายสรุปสถานการณ์และการดําเนินงานของศูนย์ภายหลังที่มีการจัดตั้งเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา
ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน(EOC) จัดตั้งขึ้นเพื่อให้เกิดการบูรณาการและประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคงท่าอากาศยาน รวมทั้งดําเนินการอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมอบหมาย มีภารกิจในการอํานวยการ ประสานงาน กํากับดูแล และให้การสนับสนุนช่วยเหลือการปฏิบัติส่วน ราชการที่เกี่ยวข้อง ในการคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศที่ผ่านเข้ามาคัดกรองตามระบบ ตรวจคนเข้าเมือง และกระทรวงสาธารณสุข วางแผนระบบความคุม ติดตาม การเคลื่อนย้าย การระวังป้องกัน การรวบรวมและคัดแยกผู้เดินทางขึ้นยานพาหนะไปส่งยังสถานที่ควบคุมเพื่อสังเกตอาการของรัฐ รวมถึงการประสานงานและประชาสัมพันธ์ ทําความเข้าใจกับผู้เดินทางและ ประชาชน การป้องปราม ยับยั้งการก่อเหตุ รวมทั้งปฏิบัติการตอบโต้ สถานการณ์เมื่อจําเป็น รวมถึงการปฏิบัติการอื่น ๆ
โดยการลงพื้นที่ครั้งนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมสังเกตการณ์การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่คัดกรองกลุ่มแรงงานไทย ที่เดินทางมาจากสาธารณรัฐเกาหลีใต้ โดยสายการบิน Jeju Air เที่ยวบินที่ 7C2201 เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลา 21.40 น. จํานวน 135 คน ซึ่งผู้โดยสารทุกคนต้องผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมือง รวมถึงระบบคัดกรองด้านสุขภาพ (Health Control) จนกระทั่งผ่านกระบวนการคัดกรองของศุลกากร
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กลุ่มคนไทยที่เดินทางเข้าประเทศทุกกลุ่ม ต้องเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine ที่รัฐกําหนด สําหรับกลุ่มแรงงานไทย จํานวน 135 ที่เพิ่งเดินทางมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อผ่านการตรวจสอบครบถ้วนตามมาตรฐานของศูนย์ EOC แล้ว ภาครัฐได้จัดรถบัสโดยสารบริการไปยังสถานที่ State Quarantine โดยต้องผ่านกระบวนการทําลายล้างพิษให้กับผู้เดินทางและสัมภาระก่อนขึ้นรถ เมื่อไปถึงที่พักแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุขตรวจคัดกรองอีกครั้ง ก่อนแยกย้ายเข้าห้องพักโดยจัดให้พักห้องละ 1 คน หรือท่านใดประสงค์จะเข้าพักด้วยกันก็ต้องกรอกเอกสารยืนยันให้เจ้าหน้าที่ ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ที่ผ่านการปฏิบัติงานคัดกรองผู้โดยสารในท่าอากาศยานทุกแห่ง จะต้องเข้ากระบวนการทําลายล้างพิษก่อนเดินทางกลับหรือเริ่มปฏิบัติงานครั้งต่อไป
..........................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29094
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 กระทรวง - ภาคีเครือข่าย ชวนประชาชนร่วมงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3
|
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561
3 กระทรวง - ภาคีเครือข่าย ชวนประชาชนร่วมงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3
ระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่าย ร่วมขับเคลื่อนนโยบายเกษตรกรรมยั่งยืน เชิญชวนประชาชนร่วมงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย...กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน”
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่าย ร่วมขับเคลื่อนนโยบายเกษตรกรรมยั่งยืน เชิญชวนประชาชนร่วมงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย...กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน” ที่อิมแพค เมืองทองธานี วันที่ 29 สิงหาคม ถึง 2 กันยายน 2561
บ่ายวันนี้ (14 สิงหาคม 2561) ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรุงเทพฯ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าวงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 กินเปลี่ยนวัย...กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน จัดโดยกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภาคีเครือข่ายด้านเกษตรกรรมยั่งยืน คณะกรรมการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม ถึง 2 กันยายน 2561 ณ ฮอลล์ 7 – 8 อิมแพค เมืองทองธานี
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายเกษตรกรรมยั่งยืนของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนได้รับประทานอาหาร และยาสมุนไพรที่ปลอดภัย มีคุณภาพ ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคมะเร็งที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากอาหารมีสารเคมีตกค้าง กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ให้ความสําคัญกับวัตถุดิบอาหารที่จะนํามาประกอบอาหารให้ผู้ป่วย และวัตถุดิบที่นํามาผลิตเป็นยาสมุนไพรที่ปลอดภัย โดยมีนโยบายให้โรงพยาบาลทุกแห่ง เป็น “โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย” ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ จัดหาวัตถุดิบสําหรับประกอบอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมีให้กับผู้ป่วย ซึ่งโรงพยาบาลจะรับซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์จากกลุ่มเกษตรกร และจัดตลาดจําหน่ายสินค้าปลอดสารเคมี เพื่อให้บุคลากรและประชาชนเข้าถึงอาหาร ผัก ผลไม้ สมุนไพรที่ปลอดภัย สนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตรายย่อยให้มีตลาดใกล้บ้าน ขณะนี้ ดําเนินการในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปครบทั้ง 116 แห่ง โรงพยาบาลชุมชนมากกว่าร้อยละ 50 ในระยะต่อไป จะพัฒนาโรงพยาบาลชุมชนต้นแบบเขตสุขภาพละ 1 แห่ง เพิ่มสัดส่วนของผักผลไม้อินทรีย์ให้มากกว่าร้อยละ 30 อีกร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ผักผลไม้ปลอดภัย และเพิ่มชนิดของวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารปลอดภัย เช่นเนื้อสัตว์ น้ํามัน เครื่องปรุงทุกชนิด
สําหรับพืชสมุนไพร ได้กําหนดให้มีการส่งเสริมการปลูกและแปรรูปสมุนไพรที่ได้มาตรฐานสากล GAP และเกษตรอินทรีย์ (Organic) ไว้ในยุทธศาสตร์ของแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพร โดยร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงทรัพยากรฯ เพิ่มพื้นที่ปลูกสมุนไพร 4 ชนิด คือ กระชายดํา ไพล บัวบก และขมิ้นชัน ตามมาตรฐาน GAP/Organic จํานวน 3,780 ไร่ ให้โรงพยาบาลในสังกัดซื้อวัตถุดิบสมุนไพรที่เป็นเกษตรอินทรีย์ มีการทําสัญญาจัดซื้อสมุนไพร (Contract Farming) กับเกษตรกรปลูกสมุนไพร Organic ซึ่งช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจําหน่ายวัตถุดิบสมุนไพรเฉลี่ย ครัวเรือนละ 80,000 บาทต่อปี
ด้านนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลักในการประสานการขับเคลื่อนงานเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทํางานร่วมกันของทุกภาคส่วน และทุกสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องในจังหวัด ตั้งแต่เกษตรกรผู้ผลิต ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และผู้บริโภค เกิดความตระหนักในการผลิตและบริโภค ที่ทําให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชน โดยนําองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ คํานึงถึงภูมิสังคมท้องถิ่น ทุกภาคส่วนบูรณาการแบบมีส่วนร่วม และดําเนินการลักษณะพื้นที่เป็นองค์กรเดียวกัน ร้อยใจเป็นหนึ่งเดียว
ด้านนายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายเร่งขับเคลื่อนงานเกษตรกรรมยั่งยืนให้บรรลุเป้าหมายแผนชาติที่กําหนดให้เพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนให้ได้ 5 ล้านไร่ ในปี 2564 ยึดหลักการขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชา เป็นการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และภาคีอื่น ๆ ร่วมบูรณาการเพื่อเสริมกลไกของรัฐที่มีอยู่ โดยขับเคลื่อนทั้งระดับชุมชน จังหวัด และชาติ หนุนเสริมให้เกิดการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สนับสนุนให้เกิดข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อนพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนใน 4 จังหวัดภาคอีสาน ไม่น้อยกว่า 1,000,000 ไร่ในปี 2561 ได้แก่ ยโสธร อํานาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และจะขยายผลไปจังหวัดอื่น ๆ ต่อไปในระยะต่อไป จะเร่งรัดดําเนินการ 3 เรื่อง คือ 1.การออก พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน2.การจัดทํา Road Map ขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนของประเทศ และ 3.การจัดทําฐานข้อมูลกลางเกษตรกรรมยั่งยืน คาดว่า จะมีการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนเกิดขึ้นมากกว่า 5 ล้านไร่ เมื่อสิ้นสุดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ในปี 2564
ทั้งนี้ งานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 จัดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้สมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง สามารถนําพืชผัก สมุนไพรใกล้ตัว มาใช้ประโยชน์ทั้งเป็นอาหารและยาได้ กิจกรรมประกอบด้วย นิทรรศการ สวนสมุนไพรชะลอวัยดูแลสุขภาพร่างกาย กิจกรรม Workshop สมุนไพรและการดูแลสุขภาพ การอบรมระยะสั้นมากกว่า 50 หลักสูตร แจกพันธุ์สมุนไพรหายากวันละ 300 ต้นและหนังสือสมุนไพรวันละ 200 เล่ม บริการตรวจ ให้คําปรึกษาสุขภาพกับแพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน หมอพื้นบ้าน การจําหน่ายสินค้าสมุนไพรคุณภาพ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหารสุขภาพ และอาหารพื้นถิ่น
***************************** 14 สิงหาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 กระทรวง - ภาคีเครือข่าย ชวนประชาชนร่วมงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2561
3 กระทรวง - ภาคีเครือข่าย ชวนประชาชนร่วมงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3
ระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่าย ร่วมขับเคลื่อนนโยบายเกษตรกรรมยั่งยืน เชิญชวนประชาชนร่วมงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย...กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน”
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และภาคีเครือข่าย ร่วมขับเคลื่อนนโยบายเกษตรกรรมยั่งยืน เชิญชวนประชาชนร่วมงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 “กินเปลี่ยนวัย...กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน” ที่อิมแพค เมืองทองธานี วันที่ 29 สิงหาคม ถึง 2 กันยายน 2561
บ่ายวันนี้ (14 สิงหาคม 2561) ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรุงเทพฯ ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แถลงข่าวงานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 กินเปลี่ยนวัย...กินอย่างมั่นใจ ด้วยเกษตรกรรมยั่งยืน จัดโดยกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภาคีเครือข่ายด้านเกษตรกรรมยั่งยืน คณะกรรมการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม ถึง 2 กันยายน 2561 ณ ฮอลล์ 7 – 8 อิมแพค เมืองทองธานี
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายเกษตรกรรมยั่งยืนของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนได้รับประทานอาหาร และยาสมุนไพรที่ปลอดภัย มีคุณภาพ ลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคมะเร็งที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากอาหารมีสารเคมีตกค้าง กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ให้ความสําคัญกับวัตถุดิบอาหารที่จะนํามาประกอบอาหารให้ผู้ป่วย และวัตถุดิบที่นํามาผลิตเป็นยาสมุนไพรที่ปลอดภัย โดยมีนโยบายให้โรงพยาบาลทุกแห่ง เป็น “โรงพยาบาลอาหารปลอดภัย” ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรฯ จัดหาวัตถุดิบสําหรับประกอบอาหารที่ปลอดภัยจากสารเคมีให้กับผู้ป่วย ซึ่งโรงพยาบาลจะรับซื้อผลผลิตเกษตรอินทรีย์จากกลุ่มเกษตรกร และจัดตลาดจําหน่ายสินค้าปลอดสารเคมี เพื่อให้บุคลากรและประชาชนเข้าถึงอาหาร ผัก ผลไม้ สมุนไพรที่ปลอดภัย สนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตรายย่อยให้มีตลาดใกล้บ้าน ขณะนี้ ดําเนินการในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปครบทั้ง 116 แห่ง โรงพยาบาลชุมชนมากกว่าร้อยละ 50 ในระยะต่อไป จะพัฒนาโรงพยาบาลชุมชนต้นแบบเขตสุขภาพละ 1 แห่ง เพิ่มสัดส่วนของผักผลไม้อินทรีย์ให้มากกว่าร้อยละ 30 อีกร้อยละ 70 ผ่านเกณฑ์ผักผลไม้ปลอดภัย และเพิ่มชนิดของวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารปลอดภัย เช่นเนื้อสัตว์ น้ํามัน เครื่องปรุงทุกชนิด
สําหรับพืชสมุนไพร ได้กําหนดให้มีการส่งเสริมการปลูกและแปรรูปสมุนไพรที่ได้มาตรฐานสากล GAP และเกษตรอินทรีย์ (Organic) ไว้ในยุทธศาสตร์ของแผนแม่บทแห่งชาติ ว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพร โดยร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงทรัพยากรฯ เพิ่มพื้นที่ปลูกสมุนไพร 4 ชนิด คือ กระชายดํา ไพล บัวบก และขมิ้นชัน ตามมาตรฐาน GAP/Organic จํานวน 3,780 ไร่ ให้โรงพยาบาลในสังกัดซื้อวัตถุดิบสมุนไพรที่เป็นเกษตรอินทรีย์ มีการทําสัญญาจัดซื้อสมุนไพร (Contract Farming) กับเกษตรกรปลูกสมุนไพร Organic ซึ่งช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการจําหน่ายวัตถุดิบสมุนไพรเฉลี่ย ครัวเรือนละ 80,000 บาทต่อปี
ด้านนายสุธี มากบุญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลักในการประสานการขับเคลื่อนงานเกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทํางานร่วมกันของทุกภาคส่วน และทุกสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องในจังหวัด ตั้งแต่เกษตรกรผู้ผลิต ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และผู้บริโภค เกิดความตระหนักในการผลิตและบริโภค ที่ทําให้เกิดความสมดุลและยั่งยืนเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชน โดยนําองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ คํานึงถึงภูมิสังคมท้องถิ่น ทุกภาคส่วนบูรณาการแบบมีส่วนร่วม และดําเนินการลักษณะพื้นที่เป็นองค์กรเดียวกัน ร้อยใจเป็นหนึ่งเดียว
ด้านนายวิวัฒน์ ศัลยกําธร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายเร่งขับเคลื่อนงานเกษตรกรรมยั่งยืนให้บรรลุเป้าหมายแผนชาติที่กําหนดให้เพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนให้ได้ 5 ล้านไร่ ในปี 2564 ยึดหลักการขับเคลื่อนสืบสานศาสตร์พระราชา เป็นการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และภาคีอื่น ๆ ร่วมบูรณาการเพื่อเสริมกลไกของรัฐที่มีอยู่ โดยขับเคลื่อนทั้งระดับชุมชน จังหวัด และชาติ หนุนเสริมให้เกิดการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สนับสนุนให้เกิดข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อนพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนใน 4 จังหวัดภาคอีสาน ไม่น้อยกว่า 1,000,000 ไร่ในปี 2561 ได้แก่ ยโสธร อํานาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และจะขยายผลไปจังหวัดอื่น ๆ ต่อไปในระยะต่อไป จะเร่งรัดดําเนินการ 3 เรื่อง คือ 1.การออก พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน2.การจัดทํา Road Map ขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนของประเทศ และ 3.การจัดทําฐานข้อมูลกลางเกษตรกรรมยั่งยืน คาดว่า จะมีการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนเกิดขึ้นมากกว่า 5 ล้านไร่ เมื่อสิ้นสุดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ในปี 2564
ทั้งนี้ งานมหกรรมสมุนไพรและอาหาร ครั้งที่ 3 จัดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้สมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตนเอง สามารถนําพืชผัก สมุนไพรใกล้ตัว มาใช้ประโยชน์ทั้งเป็นอาหารและยาได้ กิจกรรมประกอบด้วย นิทรรศการ สวนสมุนไพรชะลอวัยดูแลสุขภาพร่างกาย กิจกรรม Workshop สมุนไพรและการดูแลสุขภาพ การอบรมระยะสั้นมากกว่า 50 หลักสูตร แจกพันธุ์สมุนไพรหายากวันละ 300 ต้นและหนังสือสมุนไพรวันละ 200 เล่ม บริการตรวจ ให้คําปรึกษาสุขภาพกับแพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน หมอพื้นบ้าน การจําหน่ายสินค้าสมุนไพรคุณภาพ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหารสุขภาพ และอาหารพื้นถิ่น
***************************** 14 สิงหาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14600
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"พุทธิพงษ์” ถกบิ๊กเอกชน กะเทาะแนวทางความร่วมมือ ช่วยประชาชนไทยมีงานทำ หลังสิ้นสุดวิกฤตCOVID-19 พร้อมรับยุคเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัล และสภาวะ New Normal
|
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563
"พุทธิพงษ์” ถกบิ๊กเอกชน กะเทาะแนวทางความร่วมมือ ช่วยประชาชนไทยมีงานทํา หลังสิ้นสุดวิกฤตCOVID-19 พร้อมรับยุคเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัล และสภาวะ New Normal
"พุทธิพงษ์” ถกบิ๊กเอกชน กะเทาะแนวทางความร่วมมือ ช่วยประชาชนไทยมีงานทํา หลังสิ้นสุดวิกฤตCOVID-19 พร้อมรับยุคเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัล และสภาวะ New Normal
9 พฤษภาคม 2563, อาคารดีป้า ลาดพร้าว – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมหารือภาคเอกชน-รัฐวิสาหกิจหาแนวทางความร่วมมือในการบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ว่างงานนัดแรก หวังช่วยให้ประชาชนไทยมีงานทํา หลังสิ้นสุดวิกฤต COVID-19 พร้อมรองรับยุคเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัล และสภาวะ New Normal
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วย ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการใหญ่ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ประชุมหารือแนวทางความร่วมมือในการบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ว่างงานจากผลกระทบสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ครั้งที่ 1ร่วมกับคณะผู้บริหารจากบริษัทเอกชนขนาดใหญ่และรัฐวิสาหกิจ รวม 19 บริษัทวานนี้ ประกอบด้วย บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จํากัดบริษัท เดลล์ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท เด็นโซ่ (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท ฮิตาชิ เอเชีย (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จํากัด บริษัท ทีวี ไดเร็ค จํากัด (มหาชน)บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) (AIS) บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จํากัด (มหาชน)(DTAC)บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) (TRUE)บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (CAT)บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) (TOT) ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน)ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) และ บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป
โดย นายพุทธิพงษ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีการหารือใน 3 ประเด็นหลักคือ ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน3 กลุ่ม ประกอบด้วย ผู้ว่างงาน พนักงานที่ถูกลดค่าตอบแทน และนักศึกษาจบใหม่ที่กําลังหางานหรือเริ่มประกอบธุรกิจ อีกทั้งการพัฒนา National Digital Workplace Platform ซึ่งดีป้า จะเป็นตัวแทนของรัฐบาลในการพัฒนาระบบ พร้อมร่วมมือกับบริษัทด้านดิจิทัลในการจับคู่งาน (Matching) กับผู้ที่ต้องการงาน ทั้งในรูปแบบ Digital Supporter (Non-technical) ไปจนถึง Programmer และ Data Scientist ซึ่งรัฐบาลได้ขอความร่วมมือจากภาคเอกชนในการนําส่งข้อมูลตําแหน่งงานว่างด้านดิจิทัล และนอกเหนือจากดิจิทัล เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยบริษัทจะมีสิทธิ์ในการเป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติและคัดเลือกผู้สมัครด้วยตนเอง
ประเด็นถัดมาคือ การช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการพัฒนาทักษะและความสามารถด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม Reskill และ Upskill เพื่อให้ตรงตามความต้องการของตลาด รองรับการก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล รวมถึงสภาวะ New Normal โดยดีป้าจะดําเนินการช่วยเหลือและประสานงานกับบริษัทด้านดิจิทัลในการพัฒนาหลักสูตร และมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้สําเร็จการศึกษา ประเด็นสุดท้ายคือข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการและข้อเรียกร้องที่ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือ โดยคณะผู้บริหารจะนําผลการประชุมครั้งนี้กลับไปหารือและนําข้อสรุปกลับมาประชุมร่วมกันอีกครั้งหลังจากนี้
ด้าน ดร.ณัฐพลกล่าวว่า ดีป้า คาดหวังว่า การประชุมนัดแรกในวันนี้จะส่งผลให้คน IT คน Non IT รวมถึงผู้ที่ต้องการยกระดับทักษะเพื่อประกอบอาชีพใหม่มีช่องทางการหางานผ่านแพลตฟอร์มที่รัฐและเอกชนบูรณาการการทํางาน โดยมี ดีป้า เป็นผู้ดําเนินการ ทั้งในเรื่องของการสร้างสังคมดิจิทัลเพื่อให้ประชาชนไทยสามารถปรับตัวรับยุค New Normal และสามารถสืบค้นงานที่ตรงตามความเชี่ยวชาญและทักษะที่เปลี่ยนไปได้
******************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"พุทธิพงษ์” ถกบิ๊กเอกชน กะเทาะแนวทางความร่วมมือ ช่วยประชาชนไทยมีงานทำ หลังสิ้นสุดวิกฤตCOVID-19 พร้อมรับยุคเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัล และสภาวะ New Normal
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2563
"พุทธิพงษ์” ถกบิ๊กเอกชน กะเทาะแนวทางความร่วมมือ ช่วยประชาชนไทยมีงานทํา หลังสิ้นสุดวิกฤตCOVID-19 พร้อมรับยุคเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัล และสภาวะ New Normal
"พุทธิพงษ์” ถกบิ๊กเอกชน กะเทาะแนวทางความร่วมมือ ช่วยประชาชนไทยมีงานทํา หลังสิ้นสุดวิกฤตCOVID-19 พร้อมรับยุคเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัล และสภาวะ New Normal
9 พฤษภาคม 2563, อาคารดีป้า ลาดพร้าว – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมหารือภาคเอกชน-รัฐวิสาหกิจหาแนวทางความร่วมมือในการบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ว่างงานนัดแรก หวังช่วยให้ประชาชนไทยมีงานทํา หลังสิ้นสุดวิกฤต COVID-19 พร้อมรองรับยุคเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัล และสภาวะ New Normal
นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) พร้อมด้วย ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อํานวยการใหญ่ สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ประชุมหารือแนวทางความร่วมมือในการบรรเทาความเดือดร้อนและช่วยเหลือผู้ว่างงานจากผลกระทบสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)ครั้งที่ 1ร่วมกับคณะผู้บริหารจากบริษัทเอกชนขนาดใหญ่และรัฐวิสาหกิจ รวม 19 บริษัทวานนี้ ประกอบด้วย บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จํากัดบริษัท เดลล์ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท ซิสโก้ ซีสเต็มส์ (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท เด็นโซ่ (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท ฮิตาชิ เอเชีย (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค แฟคทอรี่ ออโตเมชั่น (ประเทศไทย) จํากัดบริษัท สยามคูโบต้าคอร์ปอเรชั่น จํากัด บริษัท ทีวี ไดเร็ค จํากัด (มหาชน)บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จํากัด (มหาชน) (AIS) บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จํากัด (มหาชน)(DTAC)บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) (TRUE)บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (CAT)บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) (TOT) ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน)ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จํากัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) และ บริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป
โดย นายพุทธิพงษ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีการหารือใน 3 ประเด็นหลักคือ ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน3 กลุ่ม ประกอบด้วย ผู้ว่างงาน พนักงานที่ถูกลดค่าตอบแทน และนักศึกษาจบใหม่ที่กําลังหางานหรือเริ่มประกอบธุรกิจ อีกทั้งการพัฒนา National Digital Workplace Platform ซึ่งดีป้า จะเป็นตัวแทนของรัฐบาลในการพัฒนาระบบ พร้อมร่วมมือกับบริษัทด้านดิจิทัลในการจับคู่งาน (Matching) กับผู้ที่ต้องการงาน ทั้งในรูปแบบ Digital Supporter (Non-technical) ไปจนถึง Programmer และ Data Scientist ซึ่งรัฐบาลได้ขอความร่วมมือจากภาคเอกชนในการนําส่งข้อมูลตําแหน่งงานว่างด้านดิจิทัล และนอกเหนือจากดิจิทัล เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยบริษัทจะมีสิทธิ์ในการเป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติและคัดเลือกผู้สมัครด้วยตนเอง
ประเด็นถัดมาคือ การช่วยเหลือประชาชนที่ต้องการพัฒนาทักษะและความสามารถด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม Reskill และ Upskill เพื่อให้ตรงตามความต้องการของตลาด รองรับการก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล รวมถึงสภาวะ New Normal โดยดีป้าจะดําเนินการช่วยเหลือและประสานงานกับบริษัทด้านดิจิทัลในการพัฒนาหลักสูตร และมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้สําเร็จการศึกษา ประเด็นสุดท้ายคือข้อเสนอแนะจากผู้ประกอบการและข้อเรียกร้องที่ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือ โดยคณะผู้บริหารจะนําผลการประชุมครั้งนี้กลับไปหารือและนําข้อสรุปกลับมาประชุมร่วมกันอีกครั้งหลังจากนี้
ด้าน ดร.ณัฐพลกล่าวว่า ดีป้า คาดหวังว่า การประชุมนัดแรกในวันนี้จะส่งผลให้คน IT คน Non IT รวมถึงผู้ที่ต้องการยกระดับทักษะเพื่อประกอบอาชีพใหม่มีช่องทางการหางานผ่านแพลตฟอร์มที่รัฐและเอกชนบูรณาการการทํางาน โดยมี ดีป้า เป็นผู้ดําเนินการ ทั้งในเรื่องของการสร้างสังคมดิจิทัลเพื่อให้ประชาชนไทยสามารถปรับตัวรับยุค New Normal และสามารถสืบค้นงานที่ตรงตามความเชี่ยวชาญและทักษะที่เปลี่ยนไปได้
******************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30702
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พักชำระหนี้ลูกค้า ธก.ส. เป็นเวลา 1 ปี
|
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563
พักชําระหนี้ลูกค้า ธก.ส. เป็นเวลา 1 ปี
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นลูกค้าของธนาคาร ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการระบาดของโรคโควิด-19 โดยพักชําระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้ ที่ถึงกําหนดชําระตั้งแต่งวดเดือนเม.ย. 63 – งวดเดือนมี.ค. 64 เป็นเวลา 1 ปี โดยอัตโนมัติ ครอบคลุมทั้งบุคคล ผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ราว 3,300,000 ราย นอกจากนี้ ยังมีมาตรการช่วยเหลือก่อนหน้านี้ เช่น ขยายระยะเวลาชําระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย ปลอดชําระต้นเงินใน 3 ปีแรก ให้กับลูกหนี้ปกติ และลูกหนี้ NPL ให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนและสินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายจําเป็นในครัวเรือน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนประกอบอาชีพ เป็นต้น
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พักชำระหนี้ลูกค้า ธก.ส. เป็นเวลา 1 ปี
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2563
พักชําระหนี้ลูกค้า ธก.ส. เป็นเวลา 1 ปี
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่เป็นลูกค้าของธนาคาร ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการระบาดของโรคโควิด-19 โดยพักชําระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้ ที่ถึงกําหนดชําระตั้งแต่งวดเดือนเม.ย. 63 – งวดเดือนมี.ค. 64 เป็นเวลา 1 ปี โดยอัตโนมัติ ครอบคลุมทั้งบุคคล ผู้ประกอบการ กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ราว 3,300,000 ราย นอกจากนี้ ยังมีมาตรการช่วยเหลือก่อนหน้านี้ เช่น ขยายระยะเวลาชําระหนี้ ลดอัตราดอกเบี้ย ปลอดชําระต้นเงินใน 3 ปีแรก ให้กับลูกหนี้ปกติ และลูกหนี้ NPL ให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนและสินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายจําเป็นในครัวเรือน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนประกอบอาชีพ เป็นต้น
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30586
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อุตตมฯ ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตรไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก จ.อำนาจเจริญ
|
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561
รมต.อุตตมฯ ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตรไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก จ.อํานาจเจริญ
รมต.อุตตมฯ ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตรไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก จ.อํานาจเจริญ
จ. อํานาจเจริญ : วันนี้ (23 กรกฎาคม 2561) เวลา 09.00 น. นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) เยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตรไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก จ.อํานาจเจริญ โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปผลการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์ฯ พร้อมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตและการดําเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์ “ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม” โดยมีนายสุวินัย ต่อศิริสุข เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะ
ศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม เป็นต้นแบบหมู่บ้านผักอินทรีย์ของจังหวัดที่ส่งเสริมให้เกษตรกรในชุมชนหันมาปลูกผักอินทรีย์และรวบรวมผลผลิตจากสมาชิกส่งขายตลาด "ใช้แนวทางการตลาดนําการผลิต” ด้วยการทําแปลงปลูกผักเชิงพาณิชย์ วางแผนการผลิตอย่างเป็นระบบ ให้มีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดได้ตลอดทั้งปี สินค้าปัจจุบัน “ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิค ฟาร์ม” มีผักสลัดอินทรีย์ เป็นสินค้าหลักของกลุ่ม มีสมาชิกลูกไร่ที่ปลูกผักอินทรีย์รวมกันประมาณ 100 ไร่ โดยเน้นปลูกพืชผักอินทรีย์ในโรงเรือนระบบปิดเรียกว่า “โรงเรือนกรีนเฮ้าส์” มีหลังคาและมุ้งกันแมลง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อุตตมฯ ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตรไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก จ.อำนาจเจริญ
วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม 2561
รมต.อุตตมฯ ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตรไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก จ.อํานาจเจริญ
รมต.อุตตมฯ ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตรไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก จ.อํานาจเจริญ
จ. อํานาจเจริญ : วันนี้ (23 กรกฎาคม 2561) เวลา 09.00 น. นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) เยี่ยมชมการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตรไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม บ้านหนองเม็ก จ.อํานาจเจริญ โดยได้รับฟังการบรรยายสรุปผลการดําเนินงานของศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์ฯ พร้อมเยี่ยมชมกระบวนการผลิตและการดําเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์ “ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม” โดยมีนายสุวินัย ต่อศิริสุข เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุรพล ชามาตย์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมคณะ
ศูนย์เรียนรู้ผักอินทรีย์เมืองธรรมเกษตร ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิคฟาร์ม เป็นต้นแบบหมู่บ้านผักอินทรีย์ของจังหวัดที่ส่งเสริมให้เกษตรกรในชุมชนหันมาปลูกผักอินทรีย์และรวบรวมผลผลิตจากสมาชิกส่งขายตลาด "ใช้แนวทางการตลาดนําการผลิต” ด้วยการทําแปลงปลูกผักเชิงพาณิชย์ วางแผนการผลิตอย่างเป็นระบบ ให้มีผลผลิตป้อนเข้าสู่ตลาดได้ตลอดทั้งปี สินค้าปัจจุบัน “ไร่ภูตะวัน ออร์แกนิค ฟาร์ม” มีผักสลัดอินทรีย์ เป็นสินค้าหลักของกลุ่ม มีสมาชิกลูกไร่ที่ปลูกผักอินทรีย์รวมกันประมาณ 100 ไร่ โดยเน้นปลูกพืชผักอินทรีย์ในโรงเรือนระบบปิดเรียกว่า “โรงเรือนกรีนเฮ้าส์” มีหลังคาและมุ้งกันแมลง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14063
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. ร่วมกับ SAM จัดโครงการคลินิกแก้หนี้เพื่อสมาชิก กบข.
|
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562
กบข. ร่วมกับ SAM จัดโครงการคลินิกแก้หนี้เพื่อสมาชิก กบข.
เปิดโอกาสสมาชิก กบข. ที่มีหนี้สินกับเจ้าหนี้หลายรายสามารถสมัครเข้าโครงการเพื่อรับบริการแก้ไขปัญหาหนี้สินแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว โดย SAM จะพิจารณาคุณสมบัติของสมาชิก ก่อนเจรจากับธนาคารและสถาบันการเงินเพื่อทําการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับสมาชิก
นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ให้ความสําคัญเรื่องการให้ความรู้และการวางแผนการเงินให้กับสมาชิก โดยเฉพาะเรื่องการบริหารหนี้สิน เพื่อให้สมาชิกมีความมั่นคงทางการเงิน และมีเงินเพียงพอสําหรับวัยเกษียณ โดยล่าสุดได้ทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จํากัด (บสส.) หรือ SAM จัดโครงการคลินิกแก้หนี้เพื่อสมาชิก กบข. เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินแบบองค์รวมให้กับสมาชิก โดย SAM จะพิจารณารายละเอียดหนี้และดําเนินการเจรจากับเจ้าหนี้แต่ละราย ไม่ว่าจะเป็นหนี้จาก บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน พร้อมให้คําแนะนําและแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้แก่สมาชิก กบข.
นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จํากัด (บสส.) หรือ SAM กล่าวว่า SAM ในฐานะหน่วยงานภายใต้การกํากับของธนาคารแห่งประเทศไทยและได้รับมอบหมายให้ดูแลแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับภาคประชาชน โดยเป็นหน่วยงานกลางในการดําเนินโครงการคลินิกแก้หนี้ เพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้สินระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้หลายรายแบบเบ็ดเสร็จครบวงจรในที่เดียว ซึ่งการร่วมมือกับ กบข. ในครั้งนี้ เพื่อสานต่อเจตนารมณ์และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับบุคลากรภาครัฐ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
สมาชิก กบข. ที่ต้องการสมัครร่วมโครงการ ต้องเป็นผู้มีรายได้ อายุไม่เกิน 65 ปี มียอดหนี้เงินต้นค้างชําระกับเจ้าหนี้ 2 แห่งขึ้นไปทั้งที่เป็นธนาคาร และ/หรือ Non-bank รวมไม่เกิน 2 ล้านบาท ไม่ถูกดําเนินคดี หรือ หากถูกดําเนินคดีอยู่ ต้องยังไม่มีคําพิพากษา โดยหนี้ที่เป็นนั้นต้องเป็นหนี้เสีย คือไม่ได้ชําระหนี้หรือไม่ได้ชําระขั้นต่ํา ให้กับบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ และ/ หรือผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน ที่เรียกว่า Non- bank รวม 35 แห่งที่เข้าร่วมโครงการ เป็นระยะเวลานานติดต่อกันมากกว่า 90 วัน และก่อนวันที่ 1 มกราคม 2562 โดยสมาชิกที่มีคุณสมบัติดังกล่าว สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการผ่าน My GPF Application เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนที่ SAM กําหนด เมื่อสมาชิกผ่านการพิจารณาความสามารถในการชําระหนี้และได้รับการยืนยันจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน (Non-bank) เจ้าหนี้ให้เข้าร่วมโครงการได้ ทางเจ้าหน้าที่โครงการจะนัดหมายสมาชิกเพื่อลงนามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการรับบริการดังกล่าว หรือติดต่อสอบถามได้โดยตรงในหลากหลายช่องทาง ทั้ง Call Center 02-610-2266 หรือเฟซบุ๊ก คลินิกแก้หนี้ และเว็บไซต์ www.คลินิกแก้หนี้.com
อนึ่ง ในปีนี้ กบข. ได้จัดโครงการสร้างเสริมวินัยทางการเงินเพื่อลดภาระหนี้ให้ข้าราชการสมาชิก กบข. เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. 2562 ซึ่งโครงการคลินิกแก้หนี้เพื่อสมาชิก กบข. เป็นส่วนหนึ่งของโครงการดังกล่าว นอกจากการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันแล้ว กบข. ยังเน้นการให้ความรู้และส่งเสริมการสร้างวินัยทางการเงินให้กับสมาชิก โดยจัดการอบรมหัวข้อ ‘เป็นหนี้... ปลดหนี้’ ให้สมาชิกใน 10 จังหวัด พร้อมให้คําแนะนําแบบส่วนบุคคลแก่สมาชิกผ่านศูนย์ข้อมูลการเงิน กบข. เพื่อร่วมวางแผนลดหนี้ ตลอดทั้งปีอีกด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Facebook กบข. หรือ Line@GPFCommunity หรือที่ศูนย์บริการสมาชิก โทร. 1179
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 927,602 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 2562)
เกี่ยวกับ SAM : บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (บสส.) หรือ SAM รัฐวิสาหกิจภายใต้การกํากับของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ระดับชาติที่มีบทบาทในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของระบบสถาบันการเงินอย่างมีธรรมภิบาล เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสําหรับสื่อมวลชน :
1. ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร กบข: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 มือถือ 099-465-6249, raviwan@gpf.or.th
2. ฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และสื่อสาร บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จํากัด (บสส.) หรือ SAM โทร. 02-686-1839, 02-686-1832 และ 02-686-1800 # 2862
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. ร่วมกับ SAM จัดโครงการคลินิกแก้หนี้เพื่อสมาชิก กบข.
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562
กบข. ร่วมกับ SAM จัดโครงการคลินิกแก้หนี้เพื่อสมาชิก กบข.
เปิดโอกาสสมาชิก กบข. ที่มีหนี้สินกับเจ้าหนี้หลายรายสามารถสมัครเข้าโครงการเพื่อรับบริการแก้ไขปัญหาหนี้สินแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว โดย SAM จะพิจารณาคุณสมบัติของสมาชิก ก่อนเจรจากับธนาคารและสถาบันการเงินเพื่อทําการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับสมาชิก
นายวิทัย รัตนากร เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ให้ความสําคัญเรื่องการให้ความรู้และการวางแผนการเงินให้กับสมาชิก โดยเฉพาะเรื่องการบริหารหนี้สิน เพื่อให้สมาชิกมีความมั่นคงทางการเงิน และมีเงินเพียงพอสําหรับวัยเกษียณ โดยล่าสุดได้ทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จํากัด (บสส.) หรือ SAM จัดโครงการคลินิกแก้หนี้เพื่อสมาชิก กบข. เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินแบบองค์รวมให้กับสมาชิก โดย SAM จะพิจารณารายละเอียดหนี้และดําเนินการเจรจากับเจ้าหนี้แต่ละราย ไม่ว่าจะเป็นหนี้จาก บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน พร้อมให้คําแนะนําและแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้แก่สมาชิก กบข.
นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จํากัด (บสส.) หรือ SAM กล่าวว่า SAM ในฐานะหน่วยงานภายใต้การกํากับของธนาคารแห่งประเทศไทยและได้รับมอบหมายให้ดูแลแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับภาคประชาชน โดยเป็นหน่วยงานกลางในการดําเนินโครงการคลินิกแก้หนี้ เพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้สินระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้หลายรายแบบเบ็ดเสร็จครบวงจรในที่เดียว ซึ่งการร่วมมือกับ กบข. ในครั้งนี้ เพื่อสานต่อเจตนารมณ์และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับบุคลากรภาครัฐ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม
สมาชิก กบข. ที่ต้องการสมัครร่วมโครงการ ต้องเป็นผู้มีรายได้ อายุไม่เกิน 65 ปี มียอดหนี้เงินต้นค้างชําระกับเจ้าหนี้ 2 แห่งขึ้นไปทั้งที่เป็นธนาคาร และ/หรือ Non-bank รวมไม่เกิน 2 ล้านบาท ไม่ถูกดําเนินคดี หรือ หากถูกดําเนินคดีอยู่ ต้องยังไม่มีคําพิพากษา โดยหนี้ที่เป็นนั้นต้องเป็นหนี้เสีย คือไม่ได้ชําระหนี้หรือไม่ได้ชําระขั้นต่ํา ให้กับบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ และ/ หรือผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน ที่เรียกว่า Non- bank รวม 35 แห่งที่เข้าร่วมโครงการ เป็นระยะเวลานานติดต่อกันมากกว่า 90 วัน และก่อนวันที่ 1 มกราคม 2562 โดยสมาชิกที่มีคุณสมบัติดังกล่าว สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการผ่าน My GPF Application เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนที่ SAM กําหนด เมื่อสมาชิกผ่านการพิจารณาความสามารถในการชําระหนี้และได้รับการยืนยันจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน (Non-bank) เจ้าหนี้ให้เข้าร่วมโครงการได้ ทางเจ้าหน้าที่โครงการจะนัดหมายสมาชิกเพื่อลงนามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการรับบริการดังกล่าว หรือติดต่อสอบถามได้โดยตรงในหลากหลายช่องทาง ทั้ง Call Center 02-610-2266 หรือเฟซบุ๊ก คลินิกแก้หนี้ และเว็บไซต์ www.คลินิกแก้หนี้.com
อนึ่ง ในปีนี้ กบข. ได้จัดโครงการสร้างเสริมวินัยทางการเงินเพื่อลดภาระหนี้ให้ข้าราชการสมาชิก กบข. เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. 2562 ซึ่งโครงการคลินิกแก้หนี้เพื่อสมาชิก กบข. เป็นส่วนหนึ่งของโครงการดังกล่าว นอกจากการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันแล้ว กบข. ยังเน้นการให้ความรู้และส่งเสริมการสร้างวินัยทางการเงินให้กับสมาชิก โดยจัดการอบรมหัวข้อ ‘เป็นหนี้... ปลดหนี้’ ให้สมาชิกใน 10 จังหวัด พร้อมให้คําแนะนําแบบส่วนบุคคลแก่สมาชิกผ่านศูนย์ข้อมูลการเงิน กบข. เพื่อร่วมวางแผนลดหนี้ ตลอดทั้งปีอีกด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Facebook กบข. หรือ Line@GPFCommunity หรือที่ศูนย์บริการสมาชิก โทร. 1179
เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 927,602 ล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 2562)
เกี่ยวกับ SAM : บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (บสส.) หรือ SAM รัฐวิสาหกิจภายใต้การกํากับของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ระดับชาติที่มีบทบาทในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของระบบสถาบันการเงินอย่างมีธรรมภิบาล เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสําหรับสื่อมวลชน :
1. ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร กบข: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 มือถือ 099-465-6249, raviwan@gpf.or.th
2. ฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และสื่อสาร บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จํากัด (บสส.) หรือ SAM โทร. 02-686-1839, 02-686-1832 และ 02-686-1800 # 2862
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21888
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ครั้งที่ 2/2561
|
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ครั้งที่ 2/2561
ประชุมรับทราบการรายงานผลการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐในส่วนภูมิภาค
ซึ่งสอดคล้องกับตัวชี้วัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561
วันนี้ (16 พฤษภาคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 109 อาคารสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบการรายงานผลการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานภาครัฐในส่วนภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับตัวชี้วัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของสํานักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เรื่อง ระดับความสําเร็จของการดําเนินงานจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการ โดยเร่งรัดให้สํานักงานจังหวัดและอําเภอทุกแห่งทั่วประเทศรายงานผลการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการและผลการประเมินตนเองตามเกณฑ์การประเมินศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ (เกณฑ์มาตรฐาน) ซึ่งกําหนดให้รายงานผลภายในเดือนมิถุนายน 2561
..................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ครั้งที่ 2/2561
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม 2561
รมต.นร.สุวพันธุ์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ครั้งที่ 2/2561
ประชุมรับทราบการรายงานผลการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานรัฐในส่วนภูมิภาค
ซึ่งสอดคล้องกับตัวชี้วัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561
วันนี้ (16 พฤษภาคม 2561) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม 109 อาคารสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
ที่ประชุมรับทราบการรายงานผลการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานภาครัฐในส่วนภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับตัวชี้วัดตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ของสํานักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เรื่อง ระดับความสําเร็จของการดําเนินงานจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการ โดยเร่งรัดให้สํานักงานจังหวัดและอําเภอทุกแห่งทั่วประเทศรายงานผลการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการและผลการประเมินตนเองตามเกณฑ์การประเมินศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ (เกณฑ์มาตรฐาน) ซึ่งกําหนดให้รายงานผลภายในเดือนมิถุนายน 2561
..................................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12293
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำและกำหนดนโยบายด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
|
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
ก.อุตฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทําและกําหนดนโยบายด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
ก.อุตฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทําและกําหนดนโยบายด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
วันนี้ (2 กรกฎาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการสําหรับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการกําหนดนโยบายด้านข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรม (Data-driven Decision for Executives) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ให้สามารถนํามาพัฒนาใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์และนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการข้อมูล โดยมีนายสุรพล ชามาตย์ นายจุลพงษ์ ทวีศรี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมสัมมนา ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำและกำหนดนโยบายด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563
ก.อุตฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทําและกําหนดนโยบายด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
ก.อุตฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทําและกําหนดนโยบายด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
วันนี้ (2 กรกฎาคม 2563) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการสําหรับผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการกําหนดนโยบายด้านข้อมูลของกระทรวงอุตสาหกรรม (Data-driven Decision for Executives) เพื่อศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ให้สามารถนํามาพัฒนาใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์และนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการข้อมูล โดยมีนายสุรพล ชามาตย์ นายจุลพงษ์ ทวีศรี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมสัมมนา ณ ห้องประชุม อก. 1 ชั้น 2 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33074
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการป้องกันการใช้สารพาราควอต เน้นย้ำให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิต ไม่ให้เกษตรกรใช้สารเคมีมากเกินไป
|
วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561
นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการป้องกันการใช้สารพาราควอต เน้นย้ําให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิต ไม่ให้เกษตรกรใช้สารเคมีมากเกินไป
นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการป้องกันการใช้สารพาราควอต เน้นย้ําให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิต ไม่ให้เกษตรกรใช้สารเคมีมากเกินไป
วันนี้ (30 มกราคม 2560) เวลา 13.50 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ครั้งที่ 4/2560 มีมติให้ยกเลิกการใช้สารเคมีพาราควอต ซึ่งถูกกําหนดเป็นวัตถุอันตราย และระหว่างนี้จะไม่อนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียนเพิ่ม ไม่ต่ออายุทะเบียนว่า ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาหารือถึงผลกระทบเกี่ยวกับการใช้สารดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ต้องรับฟังเสียงจากภาคเกษตรกรด้วย เพราะเกษตรกรยังมีปัญหาเรื่องการกําจัดวัชพืช ซึ่งยังมีความจําเป็นต้องใช้สารดังกล่าวในการกําจัดวัชพืชอยู่ โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาว่าจะทําอย่างไรให้เกิดความปลอดภัย ไม่ให้เกษตรกรใช้สารเคมีมากเกินไป พร้อมกับสั่งการให้เร่งสร้างความเข้าใจต่อเกษตรกร และเพิ่มมาตรการการป้องกันการใช้สารพาราควอต รวมถึงหาวิธีการถ้าไม่มีการนําเข้าสารดังกล่าว จะลดการใช้สารอย่างไร
-------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการป้องกันการใช้สารพาราควอต เน้นย้ำให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิต ไม่ให้เกษตรกรใช้สารเคมีมากเกินไป
วันอังคารที่ 30 มกราคม 2561
นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการป้องกันการใช้สารพาราควอต เน้นย้ําให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิต ไม่ให้เกษตรกรใช้สารเคมีมากเกินไป
นายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มมาตรการป้องกันการใช้สารพาราควอต เน้นย้ําให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิต ไม่ให้เกษตรกรใช้สารเคมีมากเกินไป
วันนี้ (30 มกราคม 2560) เวลา 13.50 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ครั้งที่ 4/2560 มีมติให้ยกเลิกการใช้สารเคมีพาราควอต ซึ่งถูกกําหนดเป็นวัตถุอันตราย และระหว่างนี้จะไม่อนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียนเพิ่ม ไม่ต่ออายุทะเบียนว่า ได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาหารือถึงผลกระทบเกี่ยวกับการใช้สารดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ต้องรับฟังเสียงจากภาคเกษตรกรด้วย เพราะเกษตรกรยังมีปัญหาเรื่องการกําจัดวัชพืช ซึ่งยังมีความจําเป็นต้องใช้สารดังกล่าวในการกําจัดวัชพืชอยู่ โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาว่าจะทําอย่างไรให้เกิดความปลอดภัย ไม่ให้เกษตรกรใช้สารเคมีมากเกินไป พร้อมกับสั่งการให้เร่งสร้างความเข้าใจต่อเกษตรกร และเพิ่มมาตรการการป้องกันการใช้สารพาราควอต รวมถึงหาวิธีการถ้าไม่มีการนําเข้าสารดังกล่าว จะลดการใช้สารอย่างไร
-------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9712
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank ยกทัพสินเชื่อวงเงินรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาทในงาน SME REVOLUTION เปิดบูธให้บริการครบวงจรตอบโจทย์ทุกมิติ เพื่อผู้ประกอบการยุค 4.0 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
|
วันพุธที่ 8 มีนาคม 2560
SME Development Bank ยกทัพสินเชื่อวงเงินรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาทในงาน SME REVOLUTION เปิดบูธให้บริการครบวงจรตอบโจทย์ทุกมิติ เพื่อผู้ประกอบการยุค 4.0 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
SME Development Bank ยกทัพสินเชื่อวงเงินรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาทในงาน SME REVOLUTION เปิดบูธให้บริการครบวงจรตอบโจทย์ทุกมิติ เพื่อผู้ประกอบการยุค 4.0 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) ร่วมเปิดบูธในงาน“SME REVOLUTION เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0” ระหว่างวันที่ 10 – 12 มีนาคม 2560 ณ ห้องเพลนารี ฮอลล์ 1-3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ธนาคารพร้อมนําสินเชื่อและบริการแบบครบเครื่องเรื่องเงินทุน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการทุกมิติ ทั้งด้านการเงินการร่วมลงทุน นวัตกรรม และการตลาด พร้อมพัฒนาขับเคลื่อนพลิกโฉม SME ตามแนวประชารัฐสู่ยุค 4.0 โดยคาดว่าจะมีวงเงินสินเชื่อสะพัดกว่า 4 หมื่นล้านบาท อาทิ สินเชื่อ SMART SMEs บัญชีเดียว สนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่ SMEs ที่เป็นนิติบุคคล สินเชื่อแฟคตอริ่ง สนับสนุนเครดิตการค้าทั้งภาครัฐและเอกชน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan) สนับสนุนเงินทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ที่ธนาคารพร้อมสนับสนุน ร่วมลงทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน บริการจัดเสวนา ฟรี! จากกูรูแนวหน้ายุค 4.0 โดยภายในงานผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานยังจะได้รับประโยชน์และสิทธิพิเศษ พร้อมลุ้นรับรางวัลสมนาคุณอีกมากมาย
ผู้ที่สนใจข่าวสารหรือกิจกรรมต่างๆ ของธนาคาร สามารถติดตามผ่านช่องทาง Facebook.com : ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ Call Center 1357
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861 หรือ 0-265-4574-5
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-SME Development Bank ยกทัพสินเชื่อวงเงินรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาทในงาน SME REVOLUTION เปิดบูธให้บริการครบวงจรตอบโจทย์ทุกมิติ เพื่อผู้ประกอบการยุค 4.0 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
วันพุธที่ 8 มีนาคม 2560
SME Development Bank ยกทัพสินเชื่อวงเงินรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาทในงาน SME REVOLUTION เปิดบูธให้บริการครบวงจรตอบโจทย์ทุกมิติ เพื่อผู้ประกอบการยุค 4.0 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
SME Development Bank ยกทัพสินเชื่อวงเงินรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาทในงาน SME REVOLUTION เปิดบูธให้บริการครบวงจรตอบโจทย์ทุกมิติ เพื่อผู้ประกอบการยุค 4.0 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME Development Bank) ร่วมเปิดบูธในงาน“SME REVOLUTION เส้นทางสายโอกาสเอสเอ็มอี 4.0” ระหว่างวันที่ 10 – 12 มีนาคม 2560 ณ ห้องเพลนารี ฮอลล์ 1-3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ธนาคารพร้อมนําสินเชื่อและบริการแบบครบเครื่องเรื่องเงินทุน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการทุกมิติ ทั้งด้านการเงินการร่วมลงทุน นวัตกรรม และการตลาด พร้อมพัฒนาขับเคลื่อนพลิกโฉม SME ตามแนวประชารัฐสู่ยุค 4.0 โดยคาดว่าจะมีวงเงินสินเชื่อสะพัดกว่า 4 หมื่นล้านบาท อาทิ สินเชื่อ SMART SMEs บัญชีเดียว สนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่ SMEs ที่เป็นนิติบุคคล สินเชื่อแฟคตอริ่ง สนับสนุนเครดิตการค้าทั้งภาครัฐและเอกชน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan) สนับสนุนเงินทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs ที่ธนาคารพร้อมสนับสนุน ร่วมลงทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน บริการจัดเสวนา ฟรี! จากกูรูแนวหน้ายุค 4.0 โดยภายในงานผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานยังจะได้รับประโยชน์และสิทธิพิเศษ พร้อมลุ้นรับรางวัลสมนาคุณอีกมากมาย
ผู้ที่สนใจข่าวสารหรือกิจกรรมต่างๆ ของธนาคาร สามารถติดตามผ่านช่องทาง Facebook.com : ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ Call Center 1357
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : นางอุบลรัตน์ ค่าแพง ผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม โทร. 085-980-7861 หรือ 0-265-4574-5
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2262
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติเพิ่มเงินค่าทำศพให้ผู้ประกันตน
|
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
ครม. อนุมัติเพิ่มเงินค่าทําศพให้ผู้ประกันตน
วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ครม. อนุมัติเพิ่มประโยชน์ทดแทนเงินค่าทําศพ กรณีที่ผู้ประกันตนซึ่งเป็นลูกจ้างตามมาตรา 33 และผู้เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และประสงค์จะเป็นผู้ประกันตนต่อ ตามมาตรา 39 ถึงแก่ความตาย โดยจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิรับประโยชน์ตามกฎหมาย คือ บิดา มารดา สามีหรือภรรยา และบุตรของผู้ประกันตน หรือผู้จัดการศพ จากเดิมกําหนดไว้ 40,000 บาท ปรับเพิ่มเป็น 50,000 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน และช่วยสร้างหลักประกันให้กับผู้ประกันตนว่าจะได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐมากขึ้น สําหรับผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 12 แห่ง และสํานักงานประกันสังคมจังหวัด หรือโทร.สายด่วน 1506
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติเพิ่มเงินค่าทำศพให้ผู้ประกันตน
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
ครม. อนุมัติเพิ่มเงินค่าทําศพให้ผู้ประกันตน
วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2563
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ครม. อนุมัติเพิ่มประโยชน์ทดแทนเงินค่าทําศพ กรณีที่ผู้ประกันตนซึ่งเป็นลูกจ้างตามมาตรา 33 และผู้เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และประสงค์จะเป็นผู้ประกันตนต่อ ตามมาตรา 39 ถึงแก่ความตาย โดยจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิรับประโยชน์ตามกฎหมาย คือ บิดา มารดา สามีหรือภรรยา และบุตรของผู้ประกันตน หรือผู้จัดการศพ จากเดิมกําหนดไว้ 40,000 บาท ปรับเพิ่มเป็น 50,000 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน และช่วยสร้างหลักประกันให้กับผู้ประกันตนว่าจะได้รับความคุ้มครองจากภาครัฐมากขึ้น สําหรับผู้ที่ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ทั้ง 12 แห่ง และสํานักงานประกันสังคมจังหวัด หรือโทร.สายด่วน 1506
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26225
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ตั้งเป้าให้ไทยเป็นผู้นำการส่งออกสมุนไพรในอาเซียนภายในปี 2564
|
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2561
สธ. ตั้งเป้าให้ไทยเป็นผู้นําการส่งออกสมุนไพรในอาเซียนภายในปี 2564
กระทรวงสาธารณสุข เปิดเวทีให้ผู้ประกอบการสมุนไพรและผู้วิจัยทั้งในและต่างประเทศได้พบกันพัฒนา คุณภาพมาตรฐานวัตถุดิบ สารสกัดสมุนไพรไทยครบวงจร ตั้งเป้าให้ประเทศไทยส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนําของภูมิภาคอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2564
กระทรวงสาธารณสุข เปิดเวทีให้ผู้ประกอบการสมุนไพรและผู้วิจัยทั้งในและต่างประเทศได้พบกันพัฒนา คุณภาพมาตรฐานวัตถุดิบ สารสกัดสมุนไพรไทยครบวงจร ตั้งเป้าให้ประเทศไทยส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนําของภูมิภาคอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2564
วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2561) ที่โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กทม. นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อ “สารสกัดและการควบคุมคุณภาพสมุนไพร : ความท้าทายของอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย” โดยมีผู้บริหารภาครัฐและภาคเอกชน ผู้ประกอบการด้านสมุนไพร นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร คณาจารย์จากมหาวิทยาลัย คณะวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านสารสกัดสมุนไพรทั้งในและต่างประเทศ จํานวน 400 คนเข้าร่วมประชุม
นายแพทย์ประพนธ์กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดสมุนไพรในโลกมีมูลค่ารวมกันประมาณ 91,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาท มีอัตราการขยายตัวของการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรในแต่ละประเภทอยู่ที่ร้อยละ 3-12 ซึ่งกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพมากที่สุดในตลาดสมุนไพร ได้แก่ อาหารเสริม และเวชสําอาง ไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตด้านการบริโภคสมุนไพรสูงเป็นลําดับที่ 8 ของโลก
กระทรวงสาธารณสุขได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นแกนกลางร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาพืชสมุนไพรไทยให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับ สร้างรายได้สร้างเศรษฐกิจประเทศ โดยตั้งเป้าส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนําของภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2564 และสามารถสร้างมูลค่าของวัตถุดิบสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในประเทศเพิ่มขึ้นจาก 1.8 แสนล้านบาท เป็น 3.6 แสนล้านบาท ซึ่งในปี 2560 ได้คัดเลือกให้กระชายดํา ขมิ้นชัน บัวบก และไพล เป็นสมุนไพรเชิงเศรษฐกิจต่อยอดผลิตหลายรูปแบบทั้งเวชสําอาง อาหารเสริม เครื่องดื่ม ทําให้ตลาดสมุนไพรของประเทศโตขึ้นกว่าร้อยละ 30 ส่งออกสมุนไพรและสารสกัดปีละกว่า 1,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีในเชิงเศรษฐกิจ
ด้านนายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า การจัดงานประชุมวิชาการสมุนไพรแห่งชาติ ปี 2561 เป็นการเปิดโอกาสให้นักวิจัยได้พบกับผู้ประกอบการด้านสมุนไพร เพื่อพัฒนาขีดความสามารถ แลกเปลี่ยนเรียนรู้การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของวัตถุดิบและสารสกัดจากสมุนไพร พัฒนาวิชาการ การวิจัย และนวัตกรรมด้านสารสกัดสมุนไพรไทย ตลอดจนวางแผนพัฒนาด้านคุณภาพและมาตรฐานของวัตถุดิบและสารสกัดจากสมุนไพรไทย การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 – 27 พฤศจิกายน 2561 เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยคณะเภสัชศาสตร์ มีการบรรยายพิเศษเรื่อง ทิศทางการพัฒนาสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ การเสวนา เรื่องมาตรฐานสารสกัดสมุนไพร Product Champions : ศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนการนําเสนองานวิจัยการปรับปรุงคุณภาพของสมุนไพรผลิตภัณฑ์ : ประเทศในกลุ่มอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ การพัฒนาตํารายาสมุนไพรจีน เป็นต้น
************************* 26 พฤศจิกายน 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ตั้งเป้าให้ไทยเป็นผู้นำการส่งออกสมุนไพรในอาเซียนภายในปี 2564
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2561
สธ. ตั้งเป้าให้ไทยเป็นผู้นําการส่งออกสมุนไพรในอาเซียนภายในปี 2564
กระทรวงสาธารณสุข เปิดเวทีให้ผู้ประกอบการสมุนไพรและผู้วิจัยทั้งในและต่างประเทศได้พบกันพัฒนา คุณภาพมาตรฐานวัตถุดิบ สารสกัดสมุนไพรไทยครบวงจร ตั้งเป้าให้ประเทศไทยส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนําของภูมิภาคอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2564
กระทรวงสาธารณสุข เปิดเวทีให้ผู้ประกอบการสมุนไพรและผู้วิจัยทั้งในและต่างประเทศได้พบกันพัฒนา คุณภาพมาตรฐานวัตถุดิบ สารสกัดสมุนไพรไทยครบวงจร ตั้งเป้าให้ประเทศไทยส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนําของภูมิภาคอาเซียน ภายในปี พ.ศ. 2564
วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2561) ที่โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กทม. นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อ “สารสกัดและการควบคุมคุณภาพสมุนไพร : ความท้าทายของอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย” โดยมีผู้บริหารภาครัฐและภาคเอกชน ผู้ประกอบการด้านสมุนไพร นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร คณาจารย์จากมหาวิทยาลัย คณะวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านสารสกัดสมุนไพรทั้งในและต่างประเทศ จํานวน 400 คนเข้าร่วมประชุม
นายแพทย์ประพนธ์กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดสมุนไพรในโลกมีมูลค่ารวมกันประมาณ 91,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาท มีอัตราการขยายตัวของการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรในแต่ละประเภทอยู่ที่ร้อยละ 3-12 ซึ่งกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพมากที่สุดในตลาดสมุนไพร ได้แก่ อาหารเสริม และเวชสําอาง ไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตด้านการบริโภคสมุนไพรสูงเป็นลําดับที่ 8 ของโลก
กระทรวงสาธารณสุขได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นแกนกลางร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาพืชสมุนไพรไทยให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับ สร้างรายได้สร้างเศรษฐกิจประเทศ โดยตั้งเป้าส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรคุณภาพและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนําของภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2564 และสามารถสร้างมูลค่าของวัตถุดิบสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในประเทศเพิ่มขึ้นจาก 1.8 แสนล้านบาท เป็น 3.6 แสนล้านบาท ซึ่งในปี 2560 ได้คัดเลือกให้กระชายดํา ขมิ้นชัน บัวบก และไพล เป็นสมุนไพรเชิงเศรษฐกิจต่อยอดผลิตหลายรูปแบบทั้งเวชสําอาง อาหารเสริม เครื่องดื่ม ทําให้ตลาดสมุนไพรของประเทศโตขึ้นกว่าร้อยละ 30 ส่งออกสมุนไพรและสารสกัดปีละกว่า 1,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีในเชิงเศรษฐกิจ
ด้านนายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า การจัดงานประชุมวิชาการสมุนไพรแห่งชาติ ปี 2561 เป็นการเปิดโอกาสให้นักวิจัยได้พบกับผู้ประกอบการด้านสมุนไพร เพื่อพัฒนาขีดความสามารถ แลกเปลี่ยนเรียนรู้การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของวัตถุดิบและสารสกัดจากสมุนไพร พัฒนาวิชาการ การวิจัย และนวัตกรรมด้านสารสกัดสมุนไพรไทย ตลอดจนวางแผนพัฒนาด้านคุณภาพและมาตรฐานของวัตถุดิบและสารสกัดจากสมุนไพรไทย การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 – 27 พฤศจิกายน 2561 เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยโดยคณะเภสัชศาสตร์ มีการบรรยายพิเศษเรื่อง ทิศทางการพัฒนาสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ การเสวนา เรื่องมาตรฐานสารสกัดสมุนไพร Product Champions : ศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนการนําเสนองานวิจัยการปรับปรุงคุณภาพของสมุนไพรผลิตภัณฑ์ : ประเทศในกลุ่มอาเซียน ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ การพัฒนาตํารายาสมุนไพรจีน เป็นต้น
************************* 26 พฤศจิกายน 2561
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17086
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ณ จังหวัดบุรีรัมย์
|
วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561
โครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ณ จังหวัดบุรีรัมย์
กระทรวงการคลังได้จัดให้มีโครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในวันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรมเทพนคร อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีประชาชนชาวบุรีรัมย์เข้าร่วมงานจํานวนประมาณ 300 คน
นายพรชัย ฐีระเวช รองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้จัดให้มีโครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในวันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรมเทพนคร อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีประชาชนชาวบุรีรัมย์เข้าร่วมงานจํานวนประมาณ 300 คน ซึ่งเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แจ้งความประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกับทางรัฐบาลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา และในจํานวนนี้ส่วนใหญ่ประสบปัญหาหนี้นอกระบบด้วย
ในการนี้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโครงการเพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของกระทรวงการคลังใน 2 เรื่องควบคู่กันไป ได้แก่ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและการดําเนินมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ หรือมาตรการคนไทยไม่ทิ้งกัน) กล่าวคือ ทีมหมอประชารัฐสุขใจ (ทีม ปรจ.) และผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer: AO) ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ของรัฐจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และเจ้าหน้าที่ของธนาคารออมสิน ได้ปฏิบัติงานสัมภาษณ์ข้อเท็จจริง สอบถามความประสงค์ของการพัฒนา แล้วทําการประเมิน วิเคราะห์ และให้คําแนะนําแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เข้าร่วมงานเป็นรายบุคคล ซึ่งเมื่อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้รับแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมกับตนเองแล้ว ทีม ปรจ. จะดําเนินการประสานคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจําจังหวัดบุรีรัมย์ (คอจ.จังหวัดบุรีรัมย์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการตามแผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแต่ละรายต่อไป ทั้งนี้ จังหวัดบุรีรัมย์มีผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ต้องเข้ารับการสัมภาษณ์เพื่อเข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ จํานวน 284,734 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ AO ได้เข้าไปประเมินแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตแล้ว 234,098 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 82 โดยจะดําเนินการในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2561
ในส่วนของการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบนั้น เมื่อพบว่าผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เข้าร่วมสัมภาษณ์ข้อเท็จจริงและประเมินผลพัฒนาคุณภาพชีวิตรายใดมีปัญหาหนี้นอกระบบ เจ้าหน้าที่ของ ธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน จะเข้าสัมภาษณ์และแนะนําเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบ การเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารและสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ การฟื้นฟูศักยภาพและการให้ความรู้ทางการเงิน เป็นการเพิ่มเติม รวมถึงจะได้มีการประสานส่งลูกหนี้นอกระบบไปยังคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจําจังหวัด และคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการหารายได้ของลูกหนี้นอกระบบประจําจังหวัดเพื่อให้การช่วยเหลือตามแต่กรณีต่อไป ทั้งนี้ จังหวัดบุรีรัมย์มีผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบจํานวน 56,024 คน มีมูลหนี้นอกระบบรวมกันเป็นเงิน 2,909.63 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 51,935.42 บาทต่อคน ซึ่งเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน อยู่ระหว่างติดตามตัวเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบแต่ละรายดังกล่าวต่อไป
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้เกียรติมอบนโยบาย เรื่อง “แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” โดยกล่าวว่า กระทรวงการคลังมุ่งมั่นจะแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบแบบครบวงจรและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถดํารงชีพในระยะยาว เพื่อให้สามารถหลุดพ้นจากความยากจนและมีความสุขได้อย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้เปิดโอกาสให้เจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์อย่างถูกต้องโดยได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมในอัตราร้อยละ 36 ต่อปี (แบบลดต้นลดดอก) ควบคู่กับการจัดให้มีสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินเป็นแหล่งเงินทุนทดแทนการกู้ยืมเงินนอกระบบ นอกจากนี้ ผู้มีรายได้น้อยยังได้รับประโยชน์จากการใช้วงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและค่าเดินทาง ตลอดจนได้รับโอกาส 4 มิติจากการเข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้แก่ การมีงานทํา การฝึกอาชีพและการศึกษา การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และการเข้าถึงสิ่งจําเป็นพื้นฐาน ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําว่า เมื่อผู้มีรายได้น้อยได้รับโอกาสการช่วยเหลือต่าง ๆ ดังกล่าวจากภาครัฐแล้ว ขอให้เสริมสร้างวินัยทางการเงินโดยการทําบัญชีครัวเรือน เก็บสะสมเงินออม และน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดําเนินชีวิตต่อไปด้วย
อนึ่ง ภายในงานยังมีบูธและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การให้คําปรึกษาทางการเงิน การให้คําปรึกษาทางกฎหมายสําหรับลูกหนี้นอกระบบ การสาธิตโมเดลอาชีพ 8 อาชีพ การรณรงค์ส่งเสริมการออม การประชาสัมพันธ์ประโยชน์ที่ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับจากโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของรัฐบาล เป็นต้น เพื่อเสริมให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับความรู้และประโยชน์อย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการมอบสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินแก่ผู้มีรายได้น้อยจาก ธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน และการมอบใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับผู้ประกอบการในจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดใกล้เคียงจํานวน 6 ราย อนึ่ง ปัจจุบันในจังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดําเนินการแล้วทั้งสิ้น 6 ราย โดยได้ปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนเพื่อทดแทนการกู้ยืมเงินนอกระบบแล้ว 676 ราย คิดเป็นวงเงิน 21.62 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณ 32,000 บาทต่อราย
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทรศัพท์สายด่วน 1359
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ณ จังหวัดบุรีรัมย์
วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561
โครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ณ จังหวัดบุรีรัมย์
กระทรวงการคลังได้จัดให้มีโครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในวันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรมเทพนคร อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีประชาชนชาวบุรีรัมย์เข้าร่วมงานจํานวนประมาณ 300 คน
นายพรชัย ฐีระเวช รองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้จัดให้มีโครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในวันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม 2561 ณ โรงแรมเทพนคร อําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีประชาชนชาวบุรีรัมย์เข้าร่วมงานจํานวนประมาณ 300 คน ซึ่งเป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แจ้งความประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐกับทางรัฐบาลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา และในจํานวนนี้ส่วนใหญ่ประสบปัญหาหนี้นอกระบบด้วย
ในการนี้ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโครงการเพื่อเป็นการขับเคลื่อนนโยบายสําคัญของกระทรวงการคลังใน 2 เรื่องควบคู่กันไป ได้แก่ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและการดําเนินมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ หรือมาตรการคนไทยไม่ทิ้งกัน) กล่าวคือ ทีมหมอประชารัฐสุขใจ (ทีม ปรจ.) และผู้ดูแลผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (Account Officer: AO) ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ของรัฐจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และเจ้าหน้าที่ของธนาคารออมสิน ได้ปฏิบัติงานสัมภาษณ์ข้อเท็จจริง สอบถามความประสงค์ของการพัฒนา แล้วทําการประเมิน วิเคราะห์ และให้คําแนะนําแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เข้าร่วมงานเป็นรายบุคคล ซึ่งเมื่อผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้รับแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมกับตนเองแล้ว ทีม ปรจ. จะดําเนินการประสานคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประจําจังหวัดบุรีรัมย์ (คอจ.จังหวัดบุรีรัมย์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการตามแผนการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแต่ละรายต่อไป ทั้งนี้ จังหวัดบุรีรัมย์มีผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ต้องเข้ารับการสัมภาษณ์เพื่อเข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตฯ จํานวน 284,734 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ AO ได้เข้าไปประเมินแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตแล้ว 234,098 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 82 โดยจะดําเนินการในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2561
ในส่วนของการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบนั้น เมื่อพบว่าผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เข้าร่วมสัมภาษณ์ข้อเท็จจริงและประเมินผลพัฒนาคุณภาพชีวิตรายใดมีปัญหาหนี้นอกระบบ เจ้าหน้าที่ของ ธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน จะเข้าสัมภาษณ์และแนะนําเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบ การเข้าถึงสินเชื่อของธนาคารและสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ การฟื้นฟูศักยภาพและการให้ความรู้ทางการเงิน เป็นการเพิ่มเติม รวมถึงจะได้มีการประสานส่งลูกหนี้นอกระบบไปยังคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจําจังหวัด และคณะอนุกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการหารายได้ของลูกหนี้นอกระบบประจําจังหวัดเพื่อให้การช่วยเหลือตามแต่กรณีต่อไป ทั้งนี้ จังหวัดบุรีรัมย์มีผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้นอกระบบจํานวน 56,024 คน มีมูลหนี้นอกระบบรวมกันเป็นเงิน 2,909.63 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 51,935.42 บาทต่อคน ซึ่งเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน อยู่ระหว่างติดตามตัวเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบแต่ละรายดังกล่าวต่อไป
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้เกียรติมอบนโยบาย เรื่อง “แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” โดยกล่าวว่า กระทรวงการคลังมุ่งมั่นจะแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบแบบครบวงจรและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถดํารงชีพในระยะยาว เพื่อให้สามารถหลุดพ้นจากความยากจนและมีความสุขได้อย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้เปิดโอกาสให้เจ้าหนี้นอกระบบเข้ามาประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์อย่างถูกต้องโดยได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมในอัตราร้อยละ 36 ต่อปี (แบบลดต้นลดดอก) ควบคู่กับการจัดให้มีสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินเป็นแหล่งเงินทุนทดแทนการกู้ยืมเงินนอกระบบ นอกจากนี้ ผู้มีรายได้น้อยยังได้รับประโยชน์จากการใช้วงเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและค่าเดินทาง ตลอดจนได้รับโอกาส 4 มิติจากการเข้าร่วมมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้แก่ การมีงานทํา การฝึกอาชีพและการศึกษา การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และการเข้าถึงสิ่งจําเป็นพื้นฐาน ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําว่า เมื่อผู้มีรายได้น้อยได้รับโอกาสการช่วยเหลือต่าง ๆ ดังกล่าวจากภาครัฐแล้ว ขอให้เสริมสร้างวินัยทางการเงินโดยการทําบัญชีครัวเรือน เก็บสะสมเงินออม และน้อมนําหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการดําเนินชีวิตต่อไปด้วย
อนึ่ง ภายในงานยังมีบูธและกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การให้คําปรึกษาทางการเงิน การให้คําปรึกษาทางกฎหมายสําหรับลูกหนี้นอกระบบ การสาธิตโมเดลอาชีพ 8 อาชีพ การรณรงค์ส่งเสริมการออม การประชาสัมพันธ์ประโยชน์ที่ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับจากโครงการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของรัฐบาล เป็นต้น เพื่อเสริมให้ผู้เข้าร่วมงานได้รับความรู้และประโยชน์อย่างครบวงจรมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการมอบสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินแก่ผู้มีรายได้น้อยจาก ธ.ก.ส. และธนาคารออมสิน และการมอบใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ให้กับผู้ประกอบการในจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดใกล้เคียงจํานวน 6 ราย อนึ่ง ปัจจุบันในจังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่เปิดดําเนินการแล้วทั้งสิ้น 6 ราย โดยได้ปล่อยสินเชื่อให้ประชาชนเพื่อทดแทนการกู้ยืมเงินนอกระบบแล้ว 676 ราย คิดเป็นวงเงิน 21.62 ล้านบาท หรือเฉลี่ยประมาณ 32,000 บาทต่อราย
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทรศัพท์สายด่วน 1359
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12045
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การบินไทยเสิร์ฟขนมไทยและขนมหวานเมนูพิเศษฉลองวันแม่แห่งชาติ
|
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560
การบินไทยเสิร์ฟขนมไทยและขนมหวานเมนูพิเศษฉลองวันแม่แห่งชาติ
บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา และร่วมเฉลิมฉลองวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2560
โดยจัดขนมไทยและขนมหวานเมนูพิเศษที่ได้รับการสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถันจากเชฟของครัวการบินไทย มอบให้ผู้โดยสารในเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เดินทางในวันที่ 12 สิงหาคม 2560 โดยให้บริการทุกเที่ยวบินขาออกจากกรุงเทพฯ เฉพาะมื้อกลางวันและมื้อเย็น สําหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งให้บริการด้วยขนมบุหลันดั้นเมฆ ทาร์ตมะพร้าวกับซอสกะทิอัญชัน และขนมไข่มุกดา ให้บริการผู้โดยสารชั้นธุรกิจด้วยทาร์ตมะพร้าว และขนมไข่มุกดา ส่วนผู้โดยสารชั้นประหยัดจะได้รับบริการทาร์ตมะพร้าว
ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถดูรายละเอียดตารางบินพร้อมทั้งสํารองที่นั่งและออกบัตรโดยสารได้ที่เว็บไซต์ thaiairways.com หรือ สํานักงานขายการบินไทยและตัวแทนจําหน่ายทั่วประเทศ หรือ THAI Contact Center (02) 356-1111 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การบินไทยเสิร์ฟขนมไทยและขนมหวานเมนูพิเศษฉลองวันแม่แห่งชาติ
วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม 2560
การบินไทยเสิร์ฟขนมไทยและขนมหวานเมนูพิเศษฉลองวันแม่แห่งชาติ
บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา และร่วมเฉลิมฉลองวันแม่แห่งชาติ ประจําปี 2560
โดยจัดขนมไทยและขนมหวานเมนูพิเศษที่ได้รับการสร้างสรรค์อย่างพิถีพิถันจากเชฟของครัวการบินไทย มอบให้ผู้โดยสารในเที่ยวบินระหว่างประเทศที่เดินทางในวันที่ 12 สิงหาคม 2560 โดยให้บริการทุกเที่ยวบินขาออกจากกรุงเทพฯ เฉพาะมื้อกลางวันและมื้อเย็น สําหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งให้บริการด้วยขนมบุหลันดั้นเมฆ ทาร์ตมะพร้าวกับซอสกะทิอัญชัน และขนมไข่มุกดา ให้บริการผู้โดยสารชั้นธุรกิจด้วยทาร์ตมะพร้าว และขนมไข่มุกดา ส่วนผู้โดยสารชั้นประหยัดจะได้รับบริการทาร์ตมะพร้าว
ทั้งนี้ ผู้โดยสารสามารถดูรายละเอียดตารางบินพร้อมทั้งสํารองที่นั่งและออกบัตรโดยสารได้ที่เว็บไซต์ thaiairways.com หรือ สํานักงานขายการบินไทยและตัวแทนจําหน่ายทั่วประเทศ หรือ THAI Contact Center (02) 356-1111 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5877
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. เตือนประชาชนดูแลสุขภาพ ระวังโรคที่มากับน้ำท่วม
|
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561
ปลัดสธ. เตือนประชาชนดูแลสุขภาพ ระวังโรคที่มากับน้ําท่วม
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนดูแลสุขภาพ ระวังโรคและภัยสุขภาพที่มากับน้ําท่วม โดยเฉพาะไฟฟ้าดูด การจมน้ําเสียชีวิต และถูกสัตว์มีพิษกัด ส่วนกลางสํารองยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนจังหวัด 2 แสนชุด
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนดูแลสุขภาพ ระวังโรคและภัยสุขภาพที่มากับน้ําท่วม โดยเฉพาะไฟฟ้าดูด การจมน้ําเสียชีวิต และถูกสัตว์มีพิษกัด ส่วนกลางสํารองยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนจังหวัด 2 แสนชุด
นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ ประเทศไทยยังมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ได้สั่งการให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นน้ําท่วม รวมทั้งจังหวัดที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ 9 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี เพชรบุรี ราชบุรี ชัยภูมิ บึงกาฬ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร ยโสธร เฝ้าระวังและเตรียมการรับมือน้ําท่วมโรงพยาบาล จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชนต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรคและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากฝนตก และน้ําท่วม ส่วนกลางได้สํารองยาและเวชภัณฑ์เพื่อให้การสนับสนุนจังหวัด 2 แสนชุด
นายแพทย์เจษฎากล่าวต่อว่า ในช่วงน้ําท่วม ขอให้ประชาชนเก็บสิ่งของและเครื่องใช้ต่าง ๆ ขึ้นที่สูง ภายในบ้านให้เป็นระเบียบ ป้องกันสัตว์มีพิษที่อาจหนีน้ํามาอยู่ในบ้านกัด และใส่รองเท้าบู๊ทเมื่อต้องลุยน้ํา ป้องกันอุบัติเหตุจากของมีคมระมัดระวังเรื่องกระแสไฟฟ้าภายในบ้าน ขนย้ายอุปกรณ์ไฟฟ้าไว้ที่สูง ถอดปลั๊ก ควรตัดไฟชั้นล่าง หากเป็นบ้านชั้นเดียวงดใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ใหญ่ ต้องระมัดระวังเรื่องการเล่นน้ําหรือออกหาปลา เพราะแต่ละปีมีรายงานการจมน้ําเสียชีวิตจากการออกหาปลาช่วงน้ําท่วม จึงขอให้มีเพื่อนไปด้วยและเตรียมอุปกรณ์ช่วยพยุงตัว เช่นห่วงยาง แกลลอนเปล่า และดูแลเด็ก ๆ ไม่ให้เล่นน้ําท่วม
สําหรับโรคที่พบบ่อยช่วงน้ําท่วม เช่น ไข้หวัด ตาแดง โรคอุจจาระร่วงอาหารเป็นพิษ โรคฉี่หนู ขอให้สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่เปียกชื้น รักษาร่างกายให้อบอุ่น ล้างมือบ่อย ๆ ควรสวมรองเท้าบู๊ท ล้างทําความสะอาดมือ เท้า ด้วยสบู่และเช็ดให้แห้งทุกครั้งหลังลุยน้ําย่ําโคลน แต่หากมีอาการปวดศีรษะ มีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะที่น่องและโคนขาคลื่นไส้ ท้องเสีย ให้สงสัยว่าอาจเป็นโรคฉี่หนู ให้รีบพบแพทย์ทันที รวมทั้งนอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวด ป้องกันยุงกัดเป็นไข้เลือดออกหากเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทร 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง
นายแพทย์เจษฎากล่าวต่อไปว่า สําหรับจังหวัดเพชรบุรี ได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดว่า ได้แจ้งเตือนหน่วยบริการสาธารณสุขทุกแห่ง โดยเฉพาะใน 5 อําเภอที่เสี่ยงน้ําท่วม ได้แก่ อ.เมือง อ.แก่งกระจาน อ.ท่ายาง อ.บ้านลาด และอ.บ้านแหลม เตรียมการป้องกันน้ําท่วมสถานบริการ โดยที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี และโรงพยาบาลพระจอมเกล้าฯ ได้เตรียมกั้นกระสอบทราย ติดตั้งเครื่องสูบน้ํา รวมทั้งให้แต่ละอําเภอ สํารวจ เวชภัณฑ์ยา จํานวนผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุในพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ประชาชนในการป้องกันโรคและภัยสุขภาพที่มากับน้ํา และประสานขอรับการสนับสนุนรถขับเคลื่อน 4 ล้อยกสูง เพื่อรับส่งผู้ป่วย
************************************* 6 สิงหาคม 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดสธ. เตือนประชาชนดูแลสุขภาพ ระวังโรคที่มากับน้ำท่วม
วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2561
ปลัดสธ. เตือนประชาชนดูแลสุขภาพ ระวังโรคที่มากับน้ําท่วม
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนดูแลสุขภาพ ระวังโรคและภัยสุขภาพที่มากับน้ําท่วม โดยเฉพาะไฟฟ้าดูด การจมน้ําเสียชีวิต และถูกสัตว์มีพิษกัด ส่วนกลางสํารองยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนจังหวัด 2 แสนชุด
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนดูแลสุขภาพ ระวังโรคและภัยสุขภาพที่มากับน้ําท่วม โดยเฉพาะไฟฟ้าดูด การจมน้ําเสียชีวิต และถูกสัตว์มีพิษกัด ส่วนกลางสํารองยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนจังหวัด 2 แสนชุด
นายแพทย์เจษฎา โชคดํารงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ ประเทศไทยยังมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ได้สั่งการให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นน้ําท่วม รวมทั้งจังหวัดที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ 9 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี เพชรบุรี ราชบุรี ชัยภูมิ บึงกาฬ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร ยโสธร เฝ้าระวังและเตรียมการรับมือน้ําท่วมโรงพยาบาล จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชนต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรคและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากฝนตก และน้ําท่วม ส่วนกลางได้สํารองยาและเวชภัณฑ์เพื่อให้การสนับสนุนจังหวัด 2 แสนชุด
นายแพทย์เจษฎากล่าวต่อว่า ในช่วงน้ําท่วม ขอให้ประชาชนเก็บสิ่งของและเครื่องใช้ต่าง ๆ ขึ้นที่สูง ภายในบ้านให้เป็นระเบียบ ป้องกันสัตว์มีพิษที่อาจหนีน้ํามาอยู่ในบ้านกัด และใส่รองเท้าบู๊ทเมื่อต้องลุยน้ํา ป้องกันอุบัติเหตุจากของมีคมระมัดระวังเรื่องกระแสไฟฟ้าภายในบ้าน ขนย้ายอุปกรณ์ไฟฟ้าไว้ที่สูง ถอดปลั๊ก ควรตัดไฟชั้นล่าง หากเป็นบ้านชั้นเดียวงดใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ใหญ่ ต้องระมัดระวังเรื่องการเล่นน้ําหรือออกหาปลา เพราะแต่ละปีมีรายงานการจมน้ําเสียชีวิตจากการออกหาปลาช่วงน้ําท่วม จึงขอให้มีเพื่อนไปด้วยและเตรียมอุปกรณ์ช่วยพยุงตัว เช่นห่วงยาง แกลลอนเปล่า และดูแลเด็ก ๆ ไม่ให้เล่นน้ําท่วม
สําหรับโรคที่พบบ่อยช่วงน้ําท่วม เช่น ไข้หวัด ตาแดง โรคอุจจาระร่วงอาหารเป็นพิษ โรคฉี่หนู ขอให้สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่เปียกชื้น รักษาร่างกายให้อบอุ่น ล้างมือบ่อย ๆ ควรสวมรองเท้าบู๊ท ล้างทําความสะอาดมือ เท้า ด้วยสบู่และเช็ดให้แห้งทุกครั้งหลังลุยน้ําย่ําโคลน แต่หากมีอาการปวดศีรษะ มีไข้สูง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะที่น่องและโคนขาคลื่นไส้ ท้องเสีย ให้สงสัยว่าอาจเป็นโรคฉี่หนู ให้รีบพบแพทย์ทันที รวมทั้งนอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวด ป้องกันยุงกัดเป็นไข้เลือดออกหากเจ็บป่วยฉุกเฉิน โทร 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง
นายแพทย์เจษฎากล่าวต่อไปว่า สําหรับจังหวัดเพชรบุรี ได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดว่า ได้แจ้งเตือนหน่วยบริการสาธารณสุขทุกแห่ง โดยเฉพาะใน 5 อําเภอที่เสี่ยงน้ําท่วม ได้แก่ อ.เมือง อ.แก่งกระจาน อ.ท่ายาง อ.บ้านลาด และอ.บ้านแหลม เตรียมการป้องกันน้ําท่วมสถานบริการ โดยที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี และโรงพยาบาลพระจอมเกล้าฯ ได้เตรียมกั้นกระสอบทราย ติดตั้งเครื่องสูบน้ํา รวมทั้งให้แต่ละอําเภอ สํารวจ เวชภัณฑ์ยา จํานวนผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุในพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ประชาชนในการป้องกันโรคและภัยสุขภาพที่มากับน้ํา และประสานขอรับการสนับสนุนรถขับเคลื่อน 4 ล้อยกสูง เพื่อรับส่งผู้ป่วย
************************************* 6 สิงหาคม 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14385
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลมุ่งหวังให้ละครโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ชุด “ค่าของแผ่นดิน” เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคนในสังคมสืบไป
|
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560
รัฐบาลมุ่งหวังให้ละครโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ชุด “ค่าของแผ่นดิน” เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคนในสังคมสืบไป
รัฐบาลมุ่งหวังให้ละครโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ชุด “ค่าของแผ่นดิน” เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคนในสังคมสืบไป
วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 14.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวเปิดละครโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ชุด “ค่าของแผ่นดิน Pride and Dignity of Thais” เนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559 โดยมีผู้ร่วมงานประกอบด้วย นายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี นายสมพาศ นิลพันธ์ รองปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ศิลปินแห่งชาติ ดารานักแสดง และสื่อมวลชน
ทั้งนี้ ละครโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ชุด ค่าของแผ่นดิน เป็นละครที่สร้างมาจากเรื่องราวชีวิตจริง ของบุคคลต้นแบบจากหลากหลายอาชีพจํานวน 15 คน ที่ได้ดําเนินชีวิตและปฎิบัติตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งนํามาร้อยเรียงโดยศิลปินแห่งชาติ และศิลปินผู้มีชื่อเสียง ซึ่งนํามาถ่ายทอดเป็นละครโทรทัศน์ โดยผู้กํากับการแสดงและนักแสดงคุณภาพ พร้อมออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์และทีวีดิจิทัล ภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวว่า ละครโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ชุด “ค่าของแผ่นดิน” นี้ เป็นละครที่สืบสานปณิธานความดี ความมีคุณธรรม โดยนําเสนอผ่านชีวิตและเรื่องราวของบุคคลทั้ง 7 คน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนตั้งมั่นในคุณงามความดี 7 ประการ ประกอบด้วย ความเมตตาการุณย์ ความเสียสละ กล้าหาญ ความเพียร ความอดทน ความรักสามัคคี ความมุ่งมั่น และความซื่อสัตย์สุจริต ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ ที่น้อมนําและยึดมั่นในความดี อีกทั้งเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อน้อมนําพระบรมราโชวาทและแนวพระราชดําริไปเป็นแบบอย่างในการดํารงชีวิต โดยสะท้อนให้ผู้รับชมได้เห็นถึงความดีในจิตใจของคนไทยที่ยังปรากฏอยู่ทั่วไปในสังคมปัจจุบัน ในการอุทิศตนเพื่อสังคมและประเทศชาติ ทําให้เกิดกระแสความศรัทธา ยกย่องสรรเสริญ และขยายผลการปฎิบัติตามในการสรรค์สร้างความดีและความมีน้ําใจของคนไทยให้คงอยู่สืบต่อไป
ตอนท้ายของการแถลงข่าว รองนายกรัฐมนตรี ได้ฝากพี่น้องประชาชนว่า ถ้าหากพบเห็นบุคคลตัวอย่างที่ได้ดําเนินชีวิตด้วยคุณธรรม นอกเหนือจากที่ได้กล่าวมานี้ ให้ช่วยแจ้งทางสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อรวบรวมคุณงามความดีของบุคคลเหล่านี้ไว้เป็นแบบอย่างของคนไทยต่อไป
------------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลมุ่งหวังให้ละครโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ชุด “ค่าของแผ่นดิน” เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคนในสังคมสืบไป
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560
รัฐบาลมุ่งหวังให้ละครโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ชุด “ค่าของแผ่นดิน” เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคนในสังคมสืบไป
รัฐบาลมุ่งหวังให้ละครโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ชุด “ค่าของแผ่นดิน” เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคนในสังคมสืบไป
วันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2560) เวลา 14.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแถลงข่าวเปิดละครโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ชุด “ค่าของแผ่นดิน Pride and Dignity of Thais” เนื่องในโอกาสมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี 9 มิถุนายน 2559 โดยมีผู้ร่วมงานประกอบด้วย นายจิรชัย มูลทองโร่ย ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี นายสมพาศ นิลพันธ์ รองปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ศิลปินแห่งชาติ ดารานักแสดง และสื่อมวลชน
ทั้งนี้ ละครโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ชุด ค่าของแผ่นดิน เป็นละครที่สร้างมาจากเรื่องราวชีวิตจริง ของบุคคลต้นแบบจากหลากหลายอาชีพจํานวน 15 คน ที่ได้ดําเนินชีวิตและปฎิบัติตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งนํามาร้อยเรียงโดยศิลปินแห่งชาติ และศิลปินผู้มีชื่อเสียง ซึ่งนํามาถ่ายทอดเป็นละครโทรทัศน์ โดยผู้กํากับการแสดงและนักแสดงคุณภาพ พร้อมออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์และทีวีดิจิทัล ภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้
โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวว่า ละครโทรทัศน์เฉลิมพระเกียรติ ชุด “ค่าของแผ่นดิน” นี้ เป็นละครที่สืบสานปณิธานความดี ความมีคุณธรรม โดยนําเสนอผ่านชีวิตและเรื่องราวของบุคคลทั้ง 7 คน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนตั้งมั่นในคุณงามความดี 7 ประการ ประกอบด้วย ความเมตตาการุณย์ ความเสียสละ กล้าหาญ ความเพียร ความอดทน ความรักสามัคคี ความมุ่งมั่น และความซื่อสัตย์สุจริต ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ ที่น้อมนําและยึดมั่นในความดี อีกทั้งเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อน้อมนําพระบรมราโชวาทและแนวพระราชดําริไปเป็นแบบอย่างในการดํารงชีวิต โดยสะท้อนให้ผู้รับชมได้เห็นถึงความดีในจิตใจของคนไทยที่ยังปรากฏอยู่ทั่วไปในสังคมปัจจุบัน ในการอุทิศตนเพื่อสังคมและประเทศชาติ ทําให้เกิดกระแสความศรัทธา ยกย่องสรรเสริญ และขยายผลการปฎิบัติตามในการสรรค์สร้างความดีและความมีน้ําใจของคนไทยให้คงอยู่สืบต่อไป
ตอนท้ายของการแถลงข่าว รองนายกรัฐมนตรี ได้ฝากพี่น้องประชาชนว่า ถ้าหากพบเห็นบุคคลตัวอย่างที่ได้ดําเนินชีวิตด้วยคุณธรรม นอกเหนือจากที่ได้กล่าวมานี้ ให้ช่วยแจ้งทางสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี เพื่อรวบรวมคุณงามความดีของบุคคลเหล่านี้ไว้เป็นแบบอย่างของคนไทยต่อไป
------------------------------------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1760
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 26 พฤษภาคม 2563
|
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 26 พฤษภาคม 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (26 พฤษภาคม 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะเข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา
ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลําปาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. ....
7. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการ เลขานุการ คณะกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
8. เรื่อง ร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์ พ.ศ. ....
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 รวม 7 ฉบับ
10. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวงในจังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวง ในจังหวัดตรัง พ.ศ. .... และร่างพะราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสําหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ (กําหนดวันเปิดทําการศาลแขวงกระบี่และศาลแขวงตรัง วันที่ 1 ตุลาคม 2563 และกําหนดให้ศาลจังหวัดซึ่งยังมิได้มีศาลแขวงเปิดทําการสามารถนําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดสําหรับคดีอาญาที่อยู่ในอํานาจศาลแขวงซึ่งเกิดขึ้นในบางท้องที่ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป)
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ - สังคม
12. เรื่อง ขออนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง
13. เรื่อง โครงการพัฒนาระบบส่งและจําหน่าย ระยะที่ 2 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบแผนความต้องการอัตรากําลังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (พ.ศ. 2564 - 2566) ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่ม แห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2556 - 2560)
15. เรื่อง เสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน (หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชน ศึกษา สําหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน)
16. เรื่อง ข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกรณีผู้ประกอบอาชีพประมงได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing)
17. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสําหรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
18. เรื่อง การดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับปัญหาบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)
19. เรื่อง การขยายกรอบระยะเวลาและของบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562/63 (เพิ่มเติม)
20. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
21. เรื่อง แนวทางการนํายางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท
22. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
23. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และ การเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 2
24. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 4/2563
25. เรื่อง ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
26. เรื่อง การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ SMEs อย่างทั่วถึง
ต่างประเทศ
27. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจําประเทศไทย และสํานักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) สําหรับความร่วมมือ ในการกํากับดูแลธนาคารพาณิชย์
28. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีนว่าด้วยการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) และการกระชับความร่วมมือภายใต้ความตกลงการค้าอาเซียน-จีน
แต่งตั้ง
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สํานักนายกรัฐมนตรี)
32. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
*******************
สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ตราขึ้นเพื่อดําเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2. รับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ออกตามความในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กําหนดบทนิยามคําว่า “การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย” “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” และ “ผู้เชิญชวน” โดยมีประธานรัฐสภาเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
2. กําหนดให้ในการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน และการเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน
3. กําหนดให้ก่อนดําเนินการตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ให้สํานักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่เผยแพร่ร่างพระราชบัญญัติ จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นวิเคราะห์ผลกระทบอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นต่อสาธารณะ พร้อมกับเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐสภา
4. กําหนดให้หากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรหรืออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงและคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปไม่ได้ร้องขอให้มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อไปหากผู้แทนเข้าชื่อยืนยันเป็นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่เรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกให้ถือว่าเป็นการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติใหม่ โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรจะต้องดําเนินการตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
5. การเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทํามิได้ และให้นําบทบัญญัติเกี่ยวกับการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติมาใช้บังคับกับการเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมด้วยโดยอนุโลม ยกเว้นจํานวนผู้เข้าชื่อร้องขอตามมาตรา 7 ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบคน
6. กําหนดบทเฉพาะกาลรองรับการดําเนินการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 ที่ได้ดําเนินการไปแล้วในวันก่อนวันที่ร่างพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เป็นอันใช้ได้ ส่วนการดําเนินการต่อไปให้ดําเนินการตามร่างพระราชบัญญัติ และกรณีการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติสิ้นสุดลง ให้ถือว่าการเข้าชื่อเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติยังมีผลอยู่ต่อไป โดยให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปตามร่างพระราชบัญญัตินี้
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดงกล่าว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ
3. ให้ อก. รับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสําคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย ให้มีกลไกในการพิจารณาที่มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 77/2559 เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ลงวันที่ 27 ธันวาคม พุทธศักราช 2559
สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ สรุปได้ดังนี้
1. วันบังคับใช้ ให้พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
2. บทนิยาม เพิ่มนิยามคําว่า “กระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย” เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติ
3. เพิ่มหมวด 2/1 มาตรการพิเศษในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย
- กําหนดให้ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นเพื่อให้กระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย นอกจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานผู้รับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายให้ทํากิจการในอํานาจหน้าที่ของหน่วยงานนั้น ๆ แล้ว ให้มีผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ หรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งทําหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ หรือการตรวจสอบในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายของส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ บุคคล หน่วยงาน หรือองค์กรดังกล่าว ต้องได้รับการขึ้นบัญชีจากหน่วยงานผู้รับผิดชอบ
- กําหนดให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ โดยคําแนะนําของคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีอํานาจประกาศกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการได้มาซึ่งผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ หรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศ อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดและค่าขึ้นบัญชีที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดและค่าใช้จ่ายที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคําขอในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย ตลอดจนกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายในความรับผิดชอบ
- กําหนดให้ค่าขึ้นบัญชีและค่าใช้จ่ายที่จัดเก็บตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เป็นเงินของหน่วยงานผู้รับผิดชอบหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ทําภารกิจในอํานาจหน้าที่ของหน่วยงานผู้รับผิดชอบแล้วแต่กรณี โดยไม่ต้องนําส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน และให้ใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กําหนด ทั้งนี้ การรับเงินหรือการจ่ายเงินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบประกาศกําหนดในราชกิจจานุเบกษา โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
4. บทเฉพาะกาล
- ให้บรรดาคําขอ หรือกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย หรือกระบวนการให้ได้มาซึ่งผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณา หรือที่ได้ดําเนินการไปแล้ว ให้ถือว่าเป็นคําขอ หรือกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฉบับนี้
- ให้บรรดาประกาศกระทรวงสาธารณสุขและประกาศสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาที่ออกตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 77/2559 เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุอันตราย ที่สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยารับผิดชอบ ให้มีผลใช้บังคับได้ต่อไป และให้ถือเป็นกฎหมายลําดับรองตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ด้วย
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสํานักงบประมาณและสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย
3. รับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
กษ. เสนอว่า
1. พระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. 2551 มีบทบัญญัติบางมาตราไม่เป็นไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งบทบัญญัติการอนุรักษ์ดินและน้ําไม่ครอบคลุมถึงการพัฒนาและเก็บรักษาน้ําในดินและน้ําบนดิน องค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาที่ดินไม่คลอบคลุมถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องทรัพยากรน้ํา รวมถึงปัญหาการขอรับบริการวิเคราะห์ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือสิ่งปรับปรุงดินของเกษตรกรซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายจะถูกถ่ายโอนไปยังภาคเอกชนหรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยจะมีค่าใช้จ่ายในการขอรับบริการ จึงมีปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่เกษตรกรรมไม่ว่าจะเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือการชะล้างพังทลายของดิน รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดิน
2. ดังนั้น เพื่อให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินซึ่งสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันในอันที่จะคุ้มครองพื้นที่ทางการเกษตรของประเทศไม่ให้ถูกทําลายไม่ว่าจะเกิดจากการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือการชะล้างพังทลายของดิน จึงมีความจําเป็นต้องแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการพัฒนาที่ดินในเรื่องการอนุรักษ์ดินและน้ําเพื่อให้ครอบคลุมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นดังนี้
2.1 แก้ไขบทนิยาม “การอนุรักษ์ดินและน้ํา” ให้ครอบคลุมถึงการพัฒนาและเก็บรักษาน้ําในดินและน้ําบนดิน
2.2 แก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาที่ดินให้ครอบคลุมถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องทรัพยากรน้ํา และแก้ไขให้คณะกรรมการฯ มีอํานาจหน้าที่ในการออกระเบียบเกี่ยวกับคําขอให้วิเคราะห์ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือ สิ่งปรับปรุงดิน หรือคําขอให้ปรับปรุงดินหรือที่ดินหรือคําขอให้อนุรักษ์ดินและน้ํา หรือคําขอให้บริการแผนที่ ข้อมูลทางแผนที่
2.3 เพิ่มเติมหน้าที่กรมพัฒนาที่ดินในการทําสํามะโนที่ดิน การพัฒนาและเก็บรักษาน้ําในดินและน้ําบนดินเพื่อการเกษตร ตลอดจนการให้บริการ สาธิต ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดินเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของกรมพัฒนาที่ดิน
2.4 แก้ไขให้เกษตรกรสามารถขอใช้บริการวิเคราะห์ ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือสิ่งปรับปรุงดิน จากเดิมที่ต้องยื่นคําขอต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ แต่หากไม่มีหน่วยงานดังกล่าวให้ยื่นต่อเขตหรือที่ว่าการอําเภอ เป็นยื่นคําขอต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ เนื่องจากมีหน่วยงานของกรมพัฒนาที่ดินครอบคลุมทุกจังหวัดแล้ว ทั้งนี้ กรมพัฒนาที่ดินเตรียมการถ่ายโอนภารกิจด้านการวิเคราะห์ ตรวจสอบ และให้คําปรึกษา แนะนํา เกี่ยวกับดิน น้ํา พืช ปุ๋ย และอื่น ๆ ให้แก่ภาคเอกชนหรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ดําเนินการแทน โดยยกเว้นค่าใช้จ่ายให้แก่เกษตรกรและงานวิจัยที่มาขอใช้บริการ
2.5 แก้ไขให้เกษตรกร ผู้ศึกษาวิจัย และประชาชนที่ประสงค์จะให้กรมพัฒนาที่ดินปรับปรุงดินหรือที่ดิน หรืออนุรักษ์ดินและน้ํา หรือบริการแผนที่ ข้อมูลทางแผนที่ จากเดิมที่ต้องยื่นคําขอต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ แต่หากไม่มีหน่วยงานดังกล่าวให้ยื่นต่อเขตหรือที่ว่าการอําเภอ เป็นยื่นคําขอต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่โดยการเสียค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามกฎกระทรวง
3. กษ. ได้ดําเนินการตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยรายงานว่า การตรากฎหมายข้างต้นเป็นการเตรียมการถ่ายโอนงานวิเคราะห์ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือสิ่งปรับปรุงดิน ให้ภาคเอกชน หรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ดําเนินการแทนส่วนราชการ โดยจะยกเว้นค่าใช้จ่ายให้เฉพาะเกษตรกรและงานวิจัยที่มาขอใช้บริการ ซึ่งจะช่วยให้ผู้รับบริการซึ่งเป็นเกษตรกรและงานศึกษาวิจัยได้รับบริการการวิเคราะห์ ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือสิ่งปรับปรุงดิน ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง อันเป็นการขยายโอกาสให้เกษตรกรพัฒนาอาชีพและรายได้อย่างยั่งยืนต่อไป และเป็นประโยชน์กับการศึกษาวิจัย รวมทั้งโครงการงานนโยบายของหน่วยงานของรัฐ แต่อย่างไรก็ตาม การถ่ายโอนงานดังกล่าวจะส่งผลให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จากการเก็บค่าใช้จ่ายหรือค่าใช้บริการ จากเฉลี่ยประมาณ 344,730 บาท/ต่อปี
4. กษ. ได้ดําเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้แล้ว โดยดําเนินการผ่านเว็บไซต์ของกรมพัฒนาที่ดิน www.ldd.go.th ระหว่างวันที่ 21 สิงหาคม 2562 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2562 และได้มีหนังสือส่งไปยังหน่วยงานราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้แสดงความคิดเห็นในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ (วันที่ 8 สิงหาคม 2562) จังหวัดสงขลา (วันที่ 28 สิงหาคม 2562) และจังหวัดอุบลราชธานี (วันที่ 4 กันยายน 2562) ทั้งนี้ ได้ทําสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายพร้อมทั้งเปิดเผยเอกสารดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ www.ldd.go.th ตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดําเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทําร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว
จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ
สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กําหนดบทนิยามคําว่า “การอนุรักษ์ดินและน้ํา” โดยให้ครอบคลุมถึงการพัฒนาและเก็บรักษาน้ําในดินและน้ําบนดิน
2. กําหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน โดยเพิ่มเติมให้อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา อธิบดีกรมทรัพยากรน้ําบาดาล และเลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เป็นกรรมการ และแก้ไขชื่อเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
3. กําหนดให้คณะกรรมการพัฒนาที่ดินมีอํานาจในการออกระเบียบเกี่ยวกับคําขอให้วิเคราะห์ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือ สิ่งปรับปรุงดิน หรือคําขอให้ปรับปรุงดิน หรือที่ดินหรือคําขอให้การอนุรักษ์ดินและน้ํา หรือคําขอให้การบริการแผนที่ ข้อมูลทางแผนที่
4. กําหนดให้กรมพัฒนาที่ดินมีหน้าที่ในการทําสํามะโนที่ดิน การพัฒนาและเก็บรักษาน้ําในดินและน้ําบนดินเพื่อการเกษตร ตลอดจนการให้บริการ สาธิต ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดิน
5. กําหนดให้เกษตรกรผู้ใดประสงค์จะให้กรมพัฒนาที่ดินวิเคราะห์ ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือ สิ่งปรับปรุงดินให้ติดต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
6. กําหนดให้ผู้ใดที่ประสงค์จะให้กรมพัฒนาที่ดินปรับปรุงดินหรือที่ดิน หรืออนุรักษ์ดินและน้ํา หรือให้บริการแผนที่ ข้อมูลทางแผนที่ ให้ยื่นคําขอต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ โดยให้เป็นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข และเสียค่าใช้จ่ายตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะเข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาประเด็นตามความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะและครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พ.ศ. 2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกําหนดให้เพิ่มปริญญาในสาขาวิชาเทคโนโลยี สาขาวิชาศิลปกรรมศาสตร์ และสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ และอักษรย่อสําหรับสาขาวิชา รวมทั้งกําหนดสีประจําสาขาวิชาดังกล่าว และสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว ซึ่งเป็นการดําเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลําปาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลําปาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลําปาง พ.ศ. 2563 โดยกําหนดให้เพิ่มปริญญาในสาขาวิชาการจัดการ สาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ และสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ และอักษรย่อสําหรับสาขาวิชา รวมทั้งกําหนดสีประจําสาขาวิชาดังกล่าว ซึ่งสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลําปางได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว และ เป็นการดําเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547
6. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
1. กําหนดให้ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. 2543 และระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548
2. กําหนดนิยามของคําว่า “หน่วยงานของรัฐ” “ความหลากหลายทางชีวภาพ” “ทรัพยากรชีวภาพ” และ “ความปลอดภัยทางชีวภาพ” และ “การเข้าถึง” เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
3. ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) โดยเพิ่มผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้แทนสํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้แทนกรมการพัฒนาชุมชน ผู้แทนกรมการท่องเที่ยว ผู้แทนกรมทรัพย์สินทางปัญญา ผู้แทนกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และผู้แทนกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยปรับปรุงหน้าที่และอํานาจ กอช. ให้ครอบคลุมการกําหนดและเสนอแนะนโยบาย มาตรการและแผนการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ รวมถึง การพัฒนาระบบและเครือข่ายข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ตามที่กําหนดไว้ในแผนการปฏิรูปประเทศ และสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน
4. กําหนดให้สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทําหน้าที่เป็นสํานักงานเลขานุการคณะกรรมการฯ โดยให้มีหน้าที่และอํานาจในการเสนอแนะแนวทาง นโยบาย มาตรการ และแผนการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ต่อคณะกรรมการฯ ประสานงาน ให้คําแนะนํา สนับสนุน และส่งเสริมความร่วมมือในการดําเนินการตามแนวทาง นโยบาย มาตรการ และแผนการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และประสานการอนุวัติและติดตามการดําเนินงานตามพันธกรณีของข้อตกลงหรือ ความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ และดําเนินการร่วมกับหน่วยงานของรัฐในการเจรจาเพื่อต่อรองเงื่อนไขในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพ
5. กําหนดให้ระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความในข้อ 9 (4) แห่งระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. 2543 มีผลบังคับใช้ได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีนี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะมีระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติที่ออกตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีนี้ใช้บังคับ
7. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการ เลขานุการคณะกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สํานักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการ เลขานุการคณะกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สํานักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ โดยให้ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีผลใช้บังคับไม่ก่อนวันที่ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับ
สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติและร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
1.1 แก้ไขเพิ่มเติมกรอบระยะเวลาของกระบวนการโต้แย้งเขตอํานาจศาล สําหรับการฟ้องคดีต่อศาลปกครองหรือศาลอื่นที่ไม่ใช่ศาลยุติธรรมและศาลทหาร และในระหว่างเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัยชี้ขาดเขตอํานาจศาล ให้ศาลที่รับฟ้องมีดุลพินิจในการพิจารณาคดีต่อไปได้
1.2 แก้ไขเพิ่มเติมระยะเวลาการพิจารณาคําร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด กรณีคําพิพากษาหรือคําสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน
1.3 กําหนดให้มีผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล เพื่อทําหน้าที่ช่วยเหลืองานของเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล ในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาลกําหนด
1.4 แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาลได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา
2. ร่างพระราชกฤษฎีกาประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการ เลขานุการคณะกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ....
ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2546 ดังนี้
บัญชีอัตราประโยชน์ตอบแทน
ตําแหน่ง
อัตราประโยชน์ตอบแทน/เดือน
พระราชกฤษฎีกาฯ พ.ศ. 2546
ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ พ.ศ. ....
ประธานกรรมการ
10,000 บาท
15,000 บาท
กรรมการ
8,000 บาท
12,000 บาท
เลขานุการคณะกรรมการ
8,000 บาท
10,000 บาท
ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการ
-
5,000 บาท
8. เรื่อง ร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
กค. เสนอว่า
1. เนื่องจากกรมธนารักษ์มีภารกิจตามกฎหมายกําหนดหลายด้าน ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 ด้านการประเมินราคาทรัพย์สิน ตามพระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. 2562 ด้านการผลิตเหรียญและบริหารเงินตรา ตามพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 และพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และด้านการอนุรักษ์และเผยแพร่ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน ซึ่งการดําเนินการตามภารกิจของกรมธนารักษ์จําเป็นต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับประชาชน และต้องปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตํารวจและหน่วยงานราชการอื่น ๆ โดยภารกิจบางส่วนกฎหมายกําหนดให้เจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา รวมทั้งการมีหน้าที่ในการดูแลรักษาเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่าของรัฐจํานวนมาก
2. ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติงานของกรมธนารักษ์มีความคล่องตัวและเหมาะสมกับภารกิจที่เพิ่มขึ้น จึงมีความจําเป็นต้องกําหนดให้ข้าราชการกรมธนารักษ์มีเครื่องแบบพิเศษเพิ่มขึ้นจากเครื่องแบบข้าราชการพลเรือน เพื่อให้เหมาะสมในการปฏิบัติงานและความเป็นอัตลักษณ์เดียวกันของข้าราชการกรมธนารักษ์
3. กรมธนารักษ์มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการกําหนดเครื่องแบบพิเศษของกรมธนารักษ์ ที่ 640/2562 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2562 เพื่อยกร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์ พ.ศ. .... เสนอคณะกรรมการกลั่นกรองการกําหนดเครื่องแบบพิเศษของส่วนราชการพิจารณา ซึ่งต่อมาคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีฯ ดังกล่าว โดยมีการแก้ไขรายละเอียด ดังนี้
3.1 เครื่องแบบพิเศษของข้าราชการหญิงมีเพียงเสื้อคอพับสีน้ําเงินและคอพับสีขาว
3.2 ปรับหมวกของข้าราชการหญิงจาก “หมวกทรงหม้อตาล” เป็น “หมวกแก๊ปทรงอ่อนพับปีกสีขาว”
3.3 เพิ่มเติมรายละเอียดการใช้ผ้าคลุมศีรษะของข้าราชการหญิงมุสลิม โดยให้ชายผ้าคลุมศีรษะสอดไว้ในปกคอเสื้อ
3.4 ปรับรายละเอียดของกระโปรงให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยให้กรมธนารักษ์ดําเนินการปรับปรุงข้อความในร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีฯ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ดังกล่าว เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ดําเนินการตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ แล้ว
จึงได้เสนอร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์ พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ
สาระสําคัญของร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี
กําหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษข้าราชการกรมธนารักษ์กับการแต่งเครื่องแบบ ดังนี้
1. เครื่องแบบพิเศษข้าราชการกรมธนารักษ์ชาย ได้แก่ หมวกทรงหม้อตาล หรือหมวกทรงอ่อนมีกะบังสีน้ําเงินดํา เสื้อคอพับสีน้ําเงินดํา แขนสั้นหรือแขนยาว และกางเกงขายาวสีน้ําเงินดํา เป็นต้น
2. เครื่องแบบพิเศษข้าราชการกรมธนารักษ์หญิง ได้แก่ หมวกแก๊ปทรงอ่อนพับปีกสีขาว หรือหมวกแก๊ปทรงอ่อนสีน้ําเงินดํา เสื้อคอพับสีน้ําเงินดํา แขนยาว หรือคอพับสีขาวแขนสั้น และกระโปรงหรือกางเกงสีน้ําเงินดํา เป็นต้น
3. อินทรธนูและเครื่องหมายตําแหน่ง กําหนดให้อินทรธนูมีลักษณะแข็งทําด้วยไหมสีทองหรือ วัตถุเทียมไหมสีทองและทําด้วยสักหลาดสีน้ําเงินดําเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าปลายตัดสําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์ชาย กว้าง 5 เซนติเมตร ยาว 13 เซนติเมตร สําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์หญิง กว้าง 4.5 เซนติเมตร ยาว 11 เซนติเมตร
4. เครื่องหมายตําแหน่งบนอินทรธนู เช่น “ดอกพุดตาน” ทําด้วยพลาสติกสีทอง มีลักษณะเป็นดอก 6 แฉก ซ้อนสลับกัน 3 ช้อน กว้าง 1.6 เซนติเมตร สูง 0.5 เซนติเมตร และ “ช่อชัยพฤกษ์” ทําด้วยพลาสติกสีทอง มีก้านมาบรรจบกันตรงกลาง มัดรวมก้านด้วยดิ้นทองเป็นขมวด 3 ปม มีเชือกผูกโบว์ 2 เส้นห้อยลงมา กว้าง 3.62 เซนติเมตร สูง 2.46 เซนติเมตร เป็นต้น
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 รวม 7 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 รวม 7 ฉบับ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดข้อมูลและรายละเอียดของรายงานวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ฉบับเบื้องต้น ประเภทสถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการผลิตพลังงานและสถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย พ.ศ. ....
กําหนดให้รายงานวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ฉบับเบื้องต้น ประเภทสถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการผลิตพลังงาน และสถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยต้องจัดทําเป็นเอกสาร และประกอบด้วยสาระสําคัญ เช่น บทนําและคําอธิบายทั่วไป คําอธิบายสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ทั่วไป การบริหารจัดการคุณภาพ การประเมินสถานที่ตั้ง การออกแบบทั่วไป ลักษณะสถานประกอบการ การวิเคราะห์ความปลอดภัย การทดสอบการเดินเครื่อง การใช้งานเครื่อง ขีดจํากัดและเงื่อนไขในการดําเนินการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ การป้องกันอันตรายทางรังสี การเตรียมความพร้อมกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี ข้อพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการกากกัมมันตรังสีและการเลิกดําเนินการ
2. ร่างกฎกระทรวงการเลิกดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ พ.ศ. ....
กําหนดให้ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้รับโอนใบอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่ประสงค์จะเลิกดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ให้ยื่นคําขอเลิกดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ต่อเลขาธิการสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ ก่อนการเลิกดําเนินการไม่น้อยกว่าสามปี พร้อมแผนการเลิกดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์และเอกสารทางการเงินเกี่ยวกับการดําเนินการตามแผนการเลิกดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ โดยการเลิกดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ให้กระทําการรื้อถอนด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) รื้อถอนทั้งหมดทันที (2) รื้อถอนทั้งหมดตามระยะเวลาที่กําหนด (3) รื้อถอนบางส่วนทันทีและรื้อถอนส่วนที่เหลือตามระยะเวลาที่กําหนด โดยทั้งสามวิธีดังกล่าวจะใช้การฝังกลบไม่ได้
3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดศักยภาพทางเทคนิคและการเงินของผู้ตั้งสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ พ.ศ. ....
กําหนดให้ผู้ตั้งสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ต้องมีศักยภาพทางเทคนิคตามรายงานวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ต้องมีความสามารถในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับการดําเนินการของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ตามที่ได้รับใบอนุญาต และต้องมีความสามารถในการดํารงสภาพคล่องทางการเงินที่จะดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ตามที่ได้รับใบอนุญาตได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง
4. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ พ.ศ. ....
กําหนดให้ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้รับโอนใบอนุญาตก่อสร้างสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่ประสงค์จะดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ ต้องยื่นคําขอรับใบอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานทางการเงิน ใบอนุญาตก่อสร้างสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่ระบุชื่อผู้ขอรับใบอนุญาตและยังไม่สิ้นอายุ และรายงานวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ฉบับสมบูรณ์ ส่วนผู้รับใบอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่ประสงค์จะต่ออายุใบอนุญาต ให้ยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุไม่น้อยกว่าสามปีแต่ไม่เกินสิบห้าปี
5. ร่างกฎกระทรวงกําหนดระยะเวลาและกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ต้องทบทวนและปรับปรุงรายงานการวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ พ.ศ. ....
กําหนดให้ผู้รับใบอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ ต้องทบทวนและปรับปรุงรายงานวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ทุกสิบปีนับแต่ได้รับใบอนุญาต และต้องยื่นเอกสารแผนการทบทวนและปรับปรุงรายงานดังกล่าว ก่อนครบกําหนดสิบปีนับแต่วันที่ได้รับใบอนุญาตอย่างน้อยสามปีเป็นการล่วงหน้า โดยระบุหัวข้อ ขอบเขต และกําหนดระยะเวลาดําเนินการให้ชัดเจน รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าของการทบทวนและปรับปรุงรายงานดังกล่าวต่อเลขาธิการสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ
6. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตก่อสร้างสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ พ.ศ. ....
กําหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตต้องยื่นคําขอรับใบอนุญาตและชําระค่าธรรมเนียมต่อเลขาธิการ พร้อมด้วยใบอนุญาตให้ใช้พื้นที่เพื่อตั้งสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ รายงานวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ฉบับเบื้องต้น และเอกสารหลักฐานทางการเงิน รวมทั้งเอกสารหรือหลักฐานที่กําหนดในกฎกระทรวงฉบับนี้
7. ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาต การบรรจุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ วัสดุนิวเคลียร์ หรือเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว การทดสอบการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ หรือการทดสอบการบรรจุวัสดุนิวเคลียร์ หรือเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว และการรายงานการทดสอบ พ.ศ. ....
กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบรรจุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ วัสดุนิวเคลียร์ หรือเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว การทดสอบการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หรือการทดสอบการบรรจุวัสดุนิวเคลียร์หรือเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว และการรายงานการทดสอบโดยต้องได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ ในกรณีการบรรจุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และทดสอบการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และกรณีการบรรจุวัสดุนิวเคลียร์ในกระบวนการเสริมสมรรถนะวัสดุนิวเคลียร์หรือการบรรจุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว ในกระบวนการแปรสภาพเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว ทั้งนี้ ผู้รับใบอนุญาตก่อสร้างสถานประกอบการทางนิวเคลียร์จะต้องจัดทํารายงานการทดสอบให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวงฉบับนี้
10. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวงในจังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวง ในจังหวัดตรัง พ.ศ. .... และร่างพะราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสําหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ (กําหนดวันเปิดทําการศาลแขวงกระบี่และศาลแขวงตรัง วันที่ 1 ตุลาคม 2563 และกําหนดให้ศาลจังหวัดซึ่งยังมิได้มีศาลแขวงเปิดทําการสามารถนําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดสําหรับคดีอาญาที่อยู่ในอํานาจศาลแขวงซึ่งเกิดขึ้นในบางท้องที่ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวงในจังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวง ในจังหวัดตรัง พ.ศ. .... และร่างพะราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสําหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ ตามที่สํานักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยมอบหมายสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา ทั้ง 3 ฉบับ ให้สอดคล้องไปคราวเดียวกัน รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวงในจังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวง ในจังหวัดตรัง พ.ศ. .... เป็นการกําหนดให้มีศาลแขวงกระบี่ในจังหวัดกระบี่ และศาลแขวงตรังในจังหวัดตรัง โดยให้แต่ละศาลมีเขตอํานาจในอําเภอทุกอําเภอ และให้เปิดทําการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของศาลจังหวัด และเพื่อเป็นการอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนในท้องที่ให้สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว เสมอภาค เป็นธรรม ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ศาลยุติธรรม พ.ศ. 2561 – 2564
2. ร่างพะราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสําหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการกําหนดให้นําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดสําหรับคดีอาญาที่อยู่ในอํานาจศาลแขวงซึ่งเกิดขึ้นในท้องที่ทุกอําเภอของจังหวัดกระบี่ จังหวัดตาก จังหวัดพังงา จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดลําพูน จังหวัดเลย และจังหวัดอุตรดิตถ์ รวมทั้งในท้องที่อําเภอขุนตาล อําเภอเชียงของ อําเภอเทิง อําเภอป่าแดด อําเภอพญาเม็งราย และอําเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ในท้องที่อําเภอเฉลิมพระเกียรติ อําเภอเชียรใหญ่ อําเภอปากพนัง และอําเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ในท้องที่อําเภอชุมพลบุรี อําเภอท่าตูม อําเภอโนนนารายณ์ อําเภอรัตนบุรี อําเภอสนม และอําเภอสําโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ และในท้องที่อําเภอเดชอุดม อําเภอทุ่งศรีอุดม อําเภอนาจะหลวย อําเภอนาเยีย อําเภอน้ําขุ่น อําเภอน้ํายืน และอําเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี และยกเลิกในท้องที่อําเภอบางละมุง อําเภอสัตหีบ และอําเภอศรีราชา เฉพาะตําบลทุ่งสุขลา ตําบลบึง และตําบลบ่อวิน จังหวัดชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว เสมอภาค เป็นธรรม และเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปโดยเสมอภาคและรวดเร็วยิ่งขึ้น
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. .... ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียม และกําหนดคุณสมบัติของผู้ถือประทานบัตรผู้รับใบอนุญาตแต่งแร่ หรือผู้รับใบอนุญาตประกอบโลหกรรมที่มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมรายปี โดยต้องเป็นผู้ประกอบกิจการที่รับผิดชอบต่อสังคม มีการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านสิ่งแวดล้อม และผ่านเกณฑ์มาตรฐานเหมืองแร่สีเขียว หรือตามหลักเกณฑ์ที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กําหนด และได้รับการประกาศรายชื่อจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือได้รับรางวัลหรือประกาศนียบัตรที่มีมาตรฐานสูงกว่าหรือเทียบเท่า
2. กรณีที่ผู้ประกอบกิจการยังคงรักษาเกณฑ์มาตรฐานการประกอบกิจการได้สูงกว่ามาตรฐานที่กฎหมายกําหนด หรือเทียบเท่าอย่างต่อเนื่องและได้รับการประกาศรายชื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลหรือประกาศนียบัตร ให้ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีถัดไปจากปีที่มีการประกาศรายชื่อ รวมถึงการต่ออายุให้ได้รับการลดค่าธรรมเนียมเป็นจํานวนกึ่งหนึ่งของอัตราค่าธรรมเนียมตามที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวง
3. กรณีสถานประกอบกิจการประสบเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือได้รับอุบัติภัย หรือต้องหยุดประกอบกิจการอันเนื่องมาจากโรคระบาดหรือโรคติดต่อ และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ประกาศรายชื่อให้เป็นผู้ประสบเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย หรือได้รับผลกระทบจากโรคระบาดหรือโรคติดต่อ ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย หรือต้องหยุดประกอบกิจการอันเนื่องมาจากโรคระบาดหรือโรคติดต่อ หากในปีนั้นได้ชําระค่าธรรมเนียมรายปีไว้แล้วให้ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีถัดไปจากปีที่ประสบเหตุทางธรรมชาติ รวมถึงการต่ออายุให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุประทานบัตรและใบอนุญาตด้วย
เศรษฐกิจ - สังคม
12. เรื่อง ขออนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องขออนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมงตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ แล้วมีมติอนุมัติตามความเห็นของสํานักงบประมาณ (สงป.) ดังนี้
1. เห็นชอบโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง วงเงินสินเชื่อรวม 10,300 ล้านบาท และกรอบวงเงินงบประมาณในการดําเนินโครงการ จํานวน 2,164.1 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าชดเชยดอกเบี้ย จํานวน 2,163 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการประมงกู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี และผู้ประกอบการประมงสมทบร้อยละ 4 ต่อปี เป็นระยะเวลา 7 ปี นับแต่วันที่กู้ แบ่งเป็น (1) ธนาคารออมสิน ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย จํานวน 1,050 ล้านบาท และ (2) ธ.ก.ส. ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงขนาดต่ํากว่า 60 ตันกรอส วงเงินสินเชื่อ 5,300 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย จํานวน 1,113 ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. จัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป สําหรับค่าใช้จ่ายในการชี้แจง ประชาสัมพันธ์ และติดตามโครงการ จํานวน 1.1 ล้านบาท นั้น เห็นสมควรให้ กษ. โดยกรมประมงพิจารณาโอนเงินจัดสรร เปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนแล้วแต่กรณีไป
2. ให้ กษ. โดยกรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมถึงการตรวจสอบรายละเอียดคุณสมบัติผู้ประกอบการประมงในการขอสินเชื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดอย่างเคร่งครัด โดยคํานึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ตลอดจนมีการประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับจากการดําเนินโครงการเป็นรายปี เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน สําหรับประกอบการกําหนดนโยบายของภาครัฐที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ
สาระสําคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. จากการประชุมหารือฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย 6 ครั้งที่ประชุมได้นําประเด็นปัญหาการทําประมงจากสมาคมประมงต่าง ๆ และจากชาวประมง จัดลําดับความเร่งด่วนของปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหาเรื่องสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องของผู้ประกอบการปัญหาเรื่องแรงงานขาดแคลน ปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย และอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงเรื่องการชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, unreported and unregulated fishing - IUU) โดยที่ประชุมได้หารือกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย สรุปได้ ดังนี้
1.1 จัดหาแหล่งสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ โดยผลการสํารวจความต้องการสินเชื่อของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย วงเงินสินเชื่อทั้งหมดที่ต้องการ 10,048.44 ล้านบาท เจ้าของเรือที่แจ้งความต้องการ 2,820 ราย เรือประมง 4,822 ลํา แบ่งเป็นเรือประมงพาณิชย์ 4,384 ลํา และเรือประมงพื้นบ้าน 438 ลํา ซึ่งกรมประมงได้ร่างโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง และอยู่ระหว่างการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง (รวมถึงการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติในคราวนี้)
1.2 เร่งรัดโครงการนําเรือออกนอกระบบ โดยกรมประมงได้ดําเนินการตรวจสอบเรือประมงที่จะนําออกนอกระบบเพื่อจัดทํางบประมาณโดยใช้เกณฑ์ในการชดเชยตามเกณฑ์การประเมินราคาเรือประมง รวม 2,768 ลํา เป็นเงินทั้งสิ้น 7,143.85 ล้านบาท
1.3 แก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคกิจการประมงทะเลตามมาตรา 83 แห่งพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 กษ. โดยกรมประมงได้ดําเนินการทําหนังสือเสนอต่อกระทรวงแรงงาน (รง.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อนําเข้าคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว (คบต.) และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปโดยทําควบคู่กับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ที่ดีเกี่ยวกับแรงงานที่ทํางานในเรือประมง
1.4 พิจารณาทบทวน ปรับปรุง แก้ไขกฎหมายพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกรมประมงดําเนินการประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประมงพาณิชย์ ประมงพื้นบ้าน และประมงนอกน่านน้ํา เพื่อพิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎหมายหลัก กฎหมายลําดับรอง และกฎหมายเกี่ยวข้องกับการทําประมงนอกน่านน้ําด้วย ในกรอบระยะเวลา 1 เดือน เพื่อนําเสนอต่อ กษ.
1.5 รวบรวมปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมง ดําเนินการรวบรวมประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมง จํานวน 32 ประเด็น เช่น การแก้ไขปัญหาการทําประมงนอกน่านน้ํา การพิจารณาการทําประมงแมงกระพรุนในเขตทะเลชายฝั่ง การขอลดความห่างซี่คราดหอย ความเดือดร้อนในเรื่องการเปิดระบบการติดตามตําแหน่งเรือประมง (Vessel Monitoring System - VMS) ของเรือที่มีใบอนุญาตถูกกฎหมาย แต่ไม่ได้ออกไปทําการประมงเป็นเวลาหลายปี เป็นต้น
2. การปฏิรูปภาคการประมงไทยในช่วงที่ผ่านมาเป็นการบริหารจัดการด้านการประมงและการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ํา ปกป้องคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพการประมงแบบมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากร การใช้ประโยชน์จากสัตว์น้ําเพื่อนําไปสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และดําเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ํา อันจะนําไปสู่การรักษาและฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ําให้อยู่ในระดับที่สามารถก่อให้เกิดผลผลิตสูงสุดของสัตว์น้ําที่สามารถทําการประมงได้อย่างยั่งยืน โดยได้มีการประกาศใช้พระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2558 และพระราชกําหนดการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2560 เพื่อจัดระเบียบการประมงของไทยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการปฏิรูปภาคการประมงไทย ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการประมงรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการปรับปรุงเรือ เครื่องมือ และอุปกรณ์ทําการประมง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงาน เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการประมงประสบปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน ขาดเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพและบางรายอาจต้องใช้สินเชื่อนอกระบบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทําการประมง เนื่องจากผู้ประกอบการประมงไม่สามารถนําเรือประมงมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ําประกันการกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีความเป็นไปได้มากขึ้นในการนําเรือมาเป็นหลักทรัพย์ค้ําประกัน เนื่องจากมีระบบในการควบคุมเรือ เช่น มีการขึ้นทะเบียนเรือกับกรมเจ้าท่า และมีการติดตั้งระบบติดตามตําแหน่งเรือ (Vessel Monitoring System - VMS) ตามพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งสามารถทําให้ทราบตําแหน่งเรือได้
3. ในระยะเร่งด่วน กษ. ได้พิจารณาถึงแนวทางในการช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านเพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพด้วยการจัดหาแหล่งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการประมงให้สามารถกลับมาประกอบอาชีพประมงเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอาชีพต่อไป โดยจากการสํารวจข้อมูลความต้องการสินเชื่อโดยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ในเบื้องต้นพบว่าผู้ประกอบการประมงมีความต้องการสินเชื่อ ประมาณ 10,048 ล้านบาท กษ. จึงได้จัดทําโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง ซึ่งได้ผ่านการประชุมหารือฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย 6 ครั้ง (ตามข้อ 1) และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2562 ด้วยแล้ว
4. โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง มีรายละเอียดดังนี้
4.1 วัตถุประสงค์ : เพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพการทําการประมงโดยสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําให้แก่ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้าน
4.2 เป้าหมาย : สนับสนุนสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ วงเงินสินเชื่อรวม 10,300 ล้านบาท
4.3 ระยะเวลาดําเนินการ :
(1) ระยะเวลาโครงการ 8 ปี นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการ
(2) ระยะเวลาการยื่นความประสงค์เข้าร่วมโครงการ 1 ปี หรือภายในกรอบวงเงินสินเชื่อตามที่กําหนด
(3) กําหนดชําระคืนเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายใน 7 ปี นับแต่วันกู้
4.4 หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการขอรับการสนับสนุนสินเชื่อ : ให้ผู้ประกอบการประมงที่ประสงค์ขอรับการสนับสนุนสินเชื่อ ติดต่อขอสินเชื่อกับธนาคารออมสิน หรือ ธ.ก.ส. ตามขนาดเรือประมง กรณีเจ้าของเรือที่มีขนาดเรือประมงทั้ง 2 ประเภท ให้สามารถขอรับการสนับสนุนสินเชื่อจากธนาคารได้เพียงแห่งเดียว ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
หลักเกณฑ์และเงื่อนไข
กรณีผู้ประกอบการที่มีเรือประมง
ขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอส ขึ้นไป
ขนาดต่ํากว่า 60 ตันกรอส
ธนาคารผู้ให้กู้
ธนาคารออมสิน
ธ.ก.ส.
คุณสมบัติของ
ผู้ประกอบการประมง
(1) เป็นบุคคลธรรมดาอายุไม่ต่ํากว่า 20 ปีบริบูรณ์ มีสัญชาติไทย หรือเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย
(2) เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในเรือประมงที่มีทะเบียนเรือไทย
(3) เป็นผู้ประกอบการประมงที่มีประสบการณ์ในการประกอบอาชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี
(4) เป็นผู้ประกอบการประมงที่มีใบอนุญาตทําการประมงพาณิชย์
(4) กรณีผู้ประกอบการประมงพาณิชย์ต้องมีใบอนุญาตทําการประมงพาณิชย์
ประเภทสินเชื่อ
(1) เงินกู้ระยะสั้น ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน หรืออื่นๆ ตามที่ธนาคารกําหนด เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ
(2) เงินกู้ระยะยาว เพื่อเป็นเงินทุนในการปรับปรุงเรือประมง ปรับเปลี่ยนเครื่องมือและอุปกรณ์ทําการประมง
วงเงินสินเชื่อ
สูงสุดไม่เกินรายละ 10 ล้านบาท
สูงสุดไม่เกินรายละ 5 ล้านบาท
อัตราดอกเบี้ย
ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี โดยเรียกเก็บจากผู้กู้ ร้อยละ 4 ต่อปี และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส อัตราร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่วันกู้ เป็นระยะเวลา 7 ปี
ระยะการชําระคืนเงินกู้
ไม่เกิน 7 ปี นับแต่วันกู้
หลักประกันการกู้เงิน
ให้ใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ดังนี้
(1) ที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่มีหนังสือแสดงเอกสารสิทธิสามารถจดทะเบียนจํานองได้ หรืออาคารชุด
(2) เรือประมง
(3) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
(4) บุคคลค้ําประกัน
(5) หลักประกันอื่น ๆ ตามที่ธนาคารประกาศกําหนด
หลักเกณฑ์การให้สินเชื่อ
ตามเงื่อนไขของธนาคารออมสิน
ตามเงื่อนไขของ ธ.ก.ส.
การค้ําประกันสินเชื่อ โดย บสย.
บสย. ควรพิจารณาคุณสมบัติของผู้ประกอบการประมง ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการค้ําประกันสินเชื่อ และวิธีปฏิบัติในการค้ําประกันสินเชื่อของ บสย.
4.5 วงเงินสินเชื่อโครงการ : รวม 10,300 ล้านบาท ดังนี้
(1) วงเงินสินเชื่อของธนาคารออมสิน จํานวน 5,000 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป กู้เพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพการทําประมง
(2) วงเงินสินเชื่อของ ธ.ก.ส. จํานวน 5,300 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงต่ํากว่า 60 ตันกรอส กู้เพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพการทําการประมง
4.6 วงเงินงบประมาณและแหล่งที่มา : 2,164.1 ล้านบาท ดังนี้
(1) วงเงินชดเชยดอกเบี้ยของธนาคารออมสิน อัตราร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่วันกู้ เป็นระยะเวลา 7 ปี จากวงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ปีละ 150 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย 1,050 ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสินขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีจากสํานักงบประมาณ (สงป.) ตามที่เกิดขึ้นจริงจากการดําเนินการโครงการ
(2) วงเงินชดเชยดอกเบี้ยของ ธ.ก.ส. อัตราร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่วันกู้ เป็นระยะเวลา 7 ปี จากวงเงินสินเชื่อ 5,300 ล้านบาท ปีละ 159 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย 1,113 ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีจาก สงป. ตามที่เกิดขึ้นจริงจากการดําเนินการโครงการ
(3) ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการโครงการของกรมประมงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประชุมชี้แจง ประชาสัมพันธ์โครงการ และติดตามโครงการ รวมเป็นวงเงินดําเนินงาน 1.1 ล้านบาท
4.7 การแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ : ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. สามารถนําค่าใช้จ่ายในการกันสํารองที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้เพื่อบวกกลับเป็นรายได้ของธนาคาร และเป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดําเนินงานรัฐวิสาหกิจได้ และให้แยกบัญชีการดําเนินงานตามโครงการนี้ออกจากการดําเนินงานปกติ เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account - PSA)
13. เรื่อง โครงการพัฒนาระบบส่งและจําหน่าย ระยะที่ 2 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอดังนี้
1. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดําเนินโครงการพัฒนาระบบส่งและจําหน่าย ระยะที่ 2 วงเงินลงทุนรวม 77,334 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศจํานวน 57,999 ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จํานวน 19,335 ล้านบาท
2. เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน 57,999 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดําเนินการกู้เงินตามความจําเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ
สาระสําคัญของเรื่อง
มท. รายงานว่า
1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติโครงการพัฒนาระบบส่งและจําหน่าย ระยะที่ 1 (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าและก่อสร้างสถานีไฟฟ้าให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นได้อย่างเพียงพอ และเพิ่มประสิทธิภาพ ความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า และลดปัญหาในการปฏิบัติการ และบํารุงรักษา เป็นต้น นั้น โครงการดังกล่าวมีผลความคืบหน้าในภาพรวมของทั้งโครงการ (เดือนธันวาคม 2562) คิดเป็นร้อยละ 13.54 โดยมีวงเงินที่เบิกจ่ายแล้ว 20,226.99 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32.27 และวงเงินอยู่ระหว่างดําเนินการ 40,567.66 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.72 คงเหลือ 1,884.06 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.01 อย่างไรก็ตาม พื้นที่ให้บริการของ กฟภ. มีมากถึงร้อยละ 99 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ประกอบกับการใช้พลังงานไฟฟ้าและจํานวนผู้ใช้ไฟฟ้ามีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้จํานวนสถานีไฟฟ้ามีไม่เพียงพอ และสายจําหน่ายแต่ละวงจรต้องจ่ายไฟเป็นระยะทางไกลจึงเกิดปัญหาไฟตกไฟดับและหน่วยสูญเสียสูง ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมการกระจายกิจการอุตสาหกรรมไปสู่ส่วนภูมิภาค ทําให้ความต้องการไฟฟ้ามีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น กฟภ. จําเป็นต้องมีการลงทุนก่อสร้างสถานีไฟฟ้า ระบบสายส่ง และระบบจําหน่าย รวมถึงการเพิ่มเสถียรภาพการจ่ายไฟเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถรองรับและตอบสนองต่อแผนการพัฒนาประเทศของรัฐบาลในการพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรมทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างเหมาะสม เพียงพอ กฟภ. จึงได้จัดทําโครงการพัฒนาระบบส่งและจําหน่าย ระยะที่ 2
2. โครงการพัฒนาระบบส่งและจําหน่าย ระยะที่ 2 ของ กฟภ. ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กฟภ. ในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2562 แล้ว มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ
รายละเอียด
วัตถุประสงค์
1. พัฒนาระบบไฟฟ้าและก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแห่งใหม่ ให้เป็นสถานีไฟฟ้าอัตโนมัติ (Substation Automation System) ตามมาตรฐาน International Electrotechnical Commission 61850 (IEC 61850) เพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย สอดคล้องตามมาตรฐานสากล และรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นได้อย่างเพียงพอ
2. เพิ่มประสิทธิภาพความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ลดปัญหาการปฏิบัติการและบํารุงรักษา และลดหน่วยสูญเสียในระบบจําหน่าย
3. ปรับปรุงและเชื่อมโยงระบบจําหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ธุรกิจ อุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม และพื้นที่สําคัญให้มีขีดความมั่นคงของระบบไฟฟ้าที่สูงขึ้น
เป้าหมาย
ก่อสร้างสถานีไฟฟ้า ระบบสายส่ง 115 เควี ระบบจําหน่ายแรงสูง 22/33 เควี และระบบจําหน่ายแรงต่ํา
พื้นที่ดําเนินการ
ประกอบด้วยพื้นที่รับผิดชอบของ กฟภ. 12 เขต ทั่วประเทศ สรุปได้ ดังนี้
1. ภาคเหนือ 3 การไฟฟ้าเขต ประกอบด้วย กฟภ. เขต 1 จังหวัดเชียงใหม่ กฟภ. เขต 2 จังหวัดพิษณุโลก และ กฟภ. เขต 3 จังหวัดลพบุรี
2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 การไฟฟ้าเขต ประกอบด้วย กฟภ. เขต 1 จังหวัดอุดรธานี กฟภ. เขต 2 จังหวัดอุบลราชธานี และ กฟภ. เขต 3 จังหวัดนครราชสีมา
3. ภาคกลาง 3 การไฟฟ้าเขต ประกอบด้วย กฟภ. เขต 1 จังหวัดอยุธยา กฟภ. เขต 2 จังหวัดชลบุรี และ กฟภ. เขต 3 จังหวัดนครปฐม
4. ภาคใต้ 3 การไฟฟ้าเขต ประกอบด้วย กฟภ. เขต 1 จังหวัดเพชรบุรี กฟภ. เขต 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช และ กฟภ. เขต 3 จังหวัดยะลา
ปริมาณงาน
รายการ
ภาค
เหนือ
ตะวันออก
เฉียงเหนือ
กลาง
ใต้
รวม
1. ปริมาณงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าและระบบสายส่ง 115 เควี
1. ก่อสร้างสถานีไฟฟ้า/ลานไก (สถานีแปลงไฟฟ้า)(แห่ง)
2) เพิ่ม/เปลี่ยน หม้อแปลง
(เอ็มวีเอ)
3) สายส่งรองรับสถานีไฟฟ้า (วงจร-กิโลเมตร)
4) ติดตั้ง
Capacitor1 115
เควี (ชุด)
-
-
2. ปริมาณงานก่อสร้าง/ปรับปรุงสถานีไฟฟ้า และระบบไฟฟ้า 115 เควี เพื่อเพิ่มความมั่นคง
1) สายส่งลูปไลน์2 (วงจร-กิโลเมตร)
2) ปรับปรุงสถานีไฟฟ้า (แห่ง)
-
3) ติดตั้ง Load Break Switch3
115 เควี (ชุด)
-
3. ปริมาณงานก่อสร้าง/ปรับปรุงระบบจําหน่ายแรงสูง 22/33 เควี
1) ก่อสร้าง/ปรับปรุงระบบจําหน่ายแรงสูง (วงจร-กิโลเมตร )
2) ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน/ตัดตอน (ชุด)
3) ติดตั้งอุปกรณ์ปรับปรุงแรงดัน (ชุด)
4) ติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารสําหรับการควบคุมระยะไกล (ชุด)
4. ปริมาณงานก่อสร้าง/ปรับปรุงระบบจําหน่ายแรงต่ํา
1) ก่อสร้าง/ปรับปรุงระบบจําหน่ายแรงต่ํา
(วงจร-กิโลเมตร)
2) ก่อสร้าง/ปรับปรุงระบบจําหน่ายแรงสูงสายแยกย่อย (วงจร-กิโลเมตร)
3) ติดตั้ง/ปรับปรุงหม้อแปลงจําหน่าย (เอ็มวีเอ)
4) ติดตั้งอุปกรณ์อื่น ๆ (ชุด)
หมายเหตุ : 1Capacitor หมายถึง ตัวเก็บประจุ
2ลูปไลน์ หมายถึง สายส่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการจําหน่ายไฟฟ้า
3Load Break Switch หมายถึง อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร
ระยะเวลาดําเนินการ
6 ปี (พ.ศ. 2563 - 2568)
แผนการดําเนินการ
1. การจัดโครงสร้างองค์กรเพื่อใช้ในการบริหารโครงการ : ประกอบด้วยคณะทํางาน 2 ส่วน คือ ส่วนกลางและการไฟฟ้าเขต โดยส่วนกลางจะดูแลรับผิดชอบด้านการจัดหาอุปกรณ์หลัก งบประมาณ และภาพรวมของโครงการ ส่วนการไฟฟ้าเขตจะดูแลรับผิดชอบด้านระบบจําหน่ายทั้งด้านการเบิกจ่ายงบประมาณ และการดําเนินงานให้เป็นไปตามโครงการ
2. การจัดซื้อที่ดิน : จะดําเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและวิธีปฏิบัติของ กฟภ. โดยวิธีเฉพาะเจาะจง ซึ่งในการดําเนินการจัดหาที่ดิน ผู้อํานวยการ กฟภ. เขต จะแต่งตั้งคณะกรรมการจัดหาที่ดินเพื่อดําเนินการจัดหา ตรวจสอบ และสํารวจบริเวณหรือตําแหน่งที่ดินเป้าหมาย สอบถามราคาที่ดิน ประเมินราคาที่ดิน และสรุปข้อมูลจัดหาที่ดินที่เหมาะสมสําหรับการก่อสร้างสถานีไฟฟ้า เสนอคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อพิจารณานําเสนอขออนุมัติจัดซื้อที่ดินต่อไป โดยเมื่อได้รับอนุมัติให้จัดซื้อที่ดินแล้ว คณะกรรมการตรวจรับที่ดินจะดําเนินการตรวจสอบที่ดิน และโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของ กฟภ. ต่อไป
3. การจัดหาวัสดุอุปกรณ์และจ้างเหมาดําเนินการ : วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างจะเป็นไปตามมาตรฐานของ กฟภ. ซึ่งส่วนใหญ่จะซื้อจากภายในประเทศเป็นหลัก โดยการจัดหาจะดําเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
4. การก่อสร้าง : ดําเนินการตามมาตรฐาน กฟภ. และมีวิศวกรของ กฟภ. เป็นผู้ควบคุมดูแลให้คําแนะนําและแก้ไขปัญหาอุปสรรคอย่างใกล้ชิด สําหรับการก่อสร้างระบบจําหน่ายจะดําเนินการโดยหน่วยธุรกิจก่อสร้างของ กฟภ. หรือจ้างเหมาเอกชน ทั้งนี้ จะต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของการไฟฟ้าเขต
5. การติดตามผลการดําเนินการ : สํานักงานโครงการจะติดตามประสานงานกับการไฟฟ้าเขต ฝ่ายปฏิบัติการและบํารุงรักษา การไฟฟ้าหน้างาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลและสรุปรายงานผลการดําเนินงานตลอดเวลาของการดําเนินโครงการจัดส่งให้กองโครงการ ฝ่ายวางแผนระบบไฟฟ้า รวบรวมจัดทํารายงานผลความก้าวหน้าของโครงการทุกไตรมาส เพื่อรายงานผู้บริหารระดับสูงของ กฟภ. และจัดส่งให้ สศช. สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กค. และสํานักงานคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน (สํานักงาน กกพ.) โดยรายงานผลความกาวหน้าของโครงการจะประกอบด้วย แผนการดําเนินโครงการ สถานะการจัดซื้อ/จัดจ้าง จัดทําสัญญา ผลการก่อสร้างและการเบิกจ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งปัญหาอุปสรรคในการดําเนินโครงการ ทั้งนี้ ในระหว่างการดําเนินโครงการ กฟภ. จะติดตามและตรวจสอบความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจริงกับที่ได้คาดคะเนไว้ตอนเริ่มจัดทําโครงการตลอดเวลาเพื่อปรับเปลี่ยนแผนดําเนินโครงการ เช่น การออกแบบ การกําหนดแผนการก่อสร้าง การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนไป เพื่อให้การดําเนินโครงการบรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา
วงเงินลงทุนรวม 77,334 ล้านบาท ประกอบด้วย
1. เงินกู้ในประเทศ 57,999 ล้านบาท
2. เงินรายได้ กฟภ. 19,335 ล้านบาท
ทั้งนี้ การดําเนินการโครงการฯ ไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณ หรือภาระทางการคลังในอนาคต ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. 2561 มาตรา 27
ผลตอบแทนของโครงการ
1. ผลตอบแทนทางการเงินของโครงการ สรุปได้ ดังนี้
ผลตอบแทน
อัตรา
ผลตอบแทน (ร้อยละ)
อัตราส่วน
ผลประโยชน์ต่อเงินลงทุน
(B/C Ratio)
มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) (ล้านบาท)
ทางการเงิน (FIRR)
9.55
1.03
ทาง
เศรษฐศาสตร์
(EIRR)
17.18
17.18
2. ผลตอบแทนของโครงการแยกตามภาคต่าง ๆ ได้ ดังนี้
ภาค
ผลตอบแทน
ทางการเงิน
ผลตอบแทน
ทางเศรษฐศาสตร์
FIRR (ร้อยละ)
B/C Ratio
EIRR
(ร้อยละ)
B/C Ratio
เหนือ
6.05
0.99
10.35
1.00
ตะวันออกเฉียงเหนือ
9.25
1.02
15.99
1.05
กลาง
13.12
1.07
23.30
1.18
ใต้
5.84
0.98
10.83
1.01
รวม
9.55
1.03
17.18
1.09
ประโยชน์
ของโครงการ
1. รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจาก 21,354 เมกะวัตต์ ในปี 2561 เป็น 26,466 เมกะวัตต์ ในปี 2568 หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มเฉลี่ยต่อปี
ร้อยละ 3.11
2. การให้บริการ คาดว่าจะมีผู้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 19.52 ล้านราย ในปี 2561 เป็น 23.09 ล้านราย ในปี 2568 หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 2.43
3. ระบบไฟฟ้ามีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ไฟฟ้า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
4. ลดปัญหาไฟฟ้าตก ไฟฟ้าดับ และหน่วยสูญเสียในระบบไฟฟ้า
5. ลดปัญหาในด้านการปฏิบัติ และการซ่อมบํารุงรักษาระบบไฟฟ้า
6. สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะทางภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม ที่กระจายไปสู่ส่วนภูมิภาคตามนโยบายของรัฐบาล
ฯลฯ
การประเมิน
ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
การก่อสร้างสถานีไฟฟ้าเป็นการก่อสร้างในพื้นที่ของ กฟภ. ไม่มีการดําเนินงานที่จะขัดต่อระเบียบ ข้อบังคับ หรือข้อห้ามทางกฎหมาย รวมทั้งไม่มีการดําเนินการที่จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมหรือพื้นที่ข้างเคียง และการก่อสร้างสายส่งและระบบจําหน่ายไฟฟ้าดําเนินการในพื้นที่ริมถนนทางหลวง (Right of Way) โดยการก่อสร้างดังกล่าวเป็นการดําเนินการในพื้นที่ที่จํากัดและระยะเวลาสั้น ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อพื้นที่ข้างเคียงที่สามารถเห็นได้ชัดเจน ได้แก่ ผลกระทบในเรื่องเสียง ฝุ่น และของเสียในช่วงระยะเวลาก่อสร้างที่จะมีปริมาณมากกว่าในช่วงเวลาปกติเล็กน้อยและไม่ส่งผลกระทบกับชุมชนในช่วงเวลากลางคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของผู้คน อย่างไรก็ตาม กฟภ. มีมาตรการดูแลให้การก่อสร้างดําเนินไปอย่างปลอดภัย มีอาชีวอนามัยและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและพื้นที่ใกล้เคียงให้น้อยที่สุดในช่วงระยะเวลาการจ่ายไฟและการบํารุงรักษาอุปกรณ์ ซึ่งอาจเกิดผลกระทบเนื่องจากเกิดการรั่วซึมของน้ํามันหม้อแปลงที่ปนเปื้อนสู่ดินและแหล่งน้ํา หรือเกิดก๊าซซึ่งก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก ทั้งนี้ กฟภ. มีการวางแผนงานติดตามเฝ้าระวังและตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่สถานีไฟฟ้าเป็นประจําเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบแผนความต้องการอัตรากําลังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (พ.ศ. 2564 - 2566) ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2556 - 2560)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนความต้องการอัตรากําลังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (รพศ.มฟล.) (พ.ศ. 2564 - 2566) ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2556 - 2560) จํานวน 1,575 อัตรา งบประมาณทั้งสิ้น 401.87 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ
ทั้งนี้ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีเพื่อรองรับแผนความต้องการอัตรากําลังของโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ดังกล่าว เห็นควรให้มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามความจําเป็นเหมาะสม โดยคํานึงถึงศักยภาพในการสรรหา ความสามารถในการบรรจุอัตรากําลังและพิจารณานําเงินนอกงบประมาณมาสมทบ อย่างไรก็ดี หากในอนาคตโรงพยาบาลมีเงินรายได้เพียงพอต่อการจัดบริการตามแผนการเปิดให้บริการโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงแล้ว ให้เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายบุคลากร ตามแผนความต้องการอัตรากําลังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จากเงินรายได้ดังกล่าว สําหรับอัตราค่าจ้างให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ
สาระสําคัญของเรื่อง
อว. รายงานว่า
1. รพศ.มฟล. ได้ดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2561 โดยตั้งอยู่บนพื้นที่จํานวน 137 ไร่ มีจํานวนอาคารทั้งหมด 2 หลัง เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 ในแผนกผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน สูตินารี กุมารเวช อายุรกรรม ศัลยกรรมทั่วไป ศัลยกรรมกระดูก จักษุ หู คอ จมูก อายุรกรรมโรคหัวใจและหลอดเลือด พยาธิวิทยา รังสีวิทยา กายภาพบําบัด รวมถึงอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ปัจจุบันมีจํานวนผู้มารับบริการในส่วนของผู้ป่วยนอกเฉลี่ยจํานวน 500 คน/วัน ผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉินเฉลี่ย จํานวน 90 คน/วัน รวมทั้งสิ้น 590 คน/วัน คิดเป็น 215,350 คน/ปี มีจํานวนเตียงที่เปิดให้บริการ 156 เตียง และมีอัตรากําลังจากการสนับสนุนของสํานักงบประมาณ (สงป.) จํานวน 70 อัตรา ประกอบด้วยบุคลากรกลุ่มบริการเฉพาะทาง 52 อัตรา และกลุ่มสนับสนุน 18 อัตรา อย่างไรก็ดี จํานวนเตียงและอัตรากําลังดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานของ รพศ.มฟล. ในการรองรับการให้บริการตรวจรักษาเพื่อผู้ป่วยในเขตภาคเหนือตอนบน (เขตสุขภาพที่ 1) และเขตอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงและโดยที่ รพศ.มฟล. เป็นโรงพยาบาลที่ มฟล. ได้รับอนุมัติให้ดําเนินการก่อสร้างภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2556 – 2560 (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 18 ธันวาคม 2555 และ 14 ตุลาคม 2557) ซึ่งต้องมีอัตรากําลังบุคลากรทั้งฝ่ายแพทย์ ฝ่ายพยาบาล ฝ่ายเทคนิค ฝ่ายสหวิชาชีพ ตลอดจนฝ่ายสนับสนุน รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,500 อัตรา ดังนั้น รพศ.มฟล. จึงได้จัดทําแผนความต้องการอัตรากําลัง ตามแนวทางการวิเคราะห์ภาระงานของสถานบริการในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อคํานวณอัตรากําลังที่จําเป็นในการขยายขนาดการให้บริการ จาก อัตรากําลัง 70 อัตรา ในปัจจุบัน เป็น อัตรากําลัง 1,645 อัตรา (เพิ่มขึ้น 1,575 อัตรา) ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
2. การขออัตรากําลังของ รพศ.มฟล. ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์
2.1 จัดหาบุคลากรทางการแพทย์และวิชาชีพด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เพียงพอต่อการให้บริการรักษาแก่ประชาชน และผู้ป่วยได้ไม่ต่ํากว่าปีละ 460,000 คน1
2.2 จัดหาบุคลากรทางการแพทย์เพื่อรองรับการเป็นสถานฝึกปฏิบัติการในชั้นคลินิก สําหรับนักศึกษาแพทย์ มฟล. ตามโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2556 – 2560
2.3 จัดหาบุคลากรทางการแพทย์เพื่อรองรับภารกิจด้านวิจัยทางคลินิกและการวิจัยด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องตามบทบาทและสถานภาพของ รพศ.มฟล. และในฐานะที่เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิชั้นสูง ที่มีภารกิจวิจัยทางการแพทย์รวมอยู่ด้วย ตลอดจนรองรับภารกิจทั้งด้านการให้บริการและการวิจัยของศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านต่าง ๆ ได้แก่ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด ศูนย์ความเป็นเลิศด้านออร์โธปิดิกส์ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็งวิทยา ศูนย์ความเป็นเลิศด้านอายุรศาสตร์โลหิตวิทยา
3. อัตรากําลังที่ รพศ.มฟล. เสนอขอรวมทั้งสิ้น 1,575 อัตรา แบ่งเป็นกลุ่มผู้บริหาร 5 อัตรา กลุ่มบริการเฉพาะทาง 1,112 อัตรา กลุ่มสนับสนุน 332 อัตรา และกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 126 อัตรา และจําแนกตามกลุ่มภารกิจได้ ดังนี้
หน่วย : อัตรา
ตําแหน่ง
แผนปี 2564
แผนปี 2565
แผนปี 2566
รวมทั้งสิ้น
กลุ่มผู้บริหาร
-
-
1) ภารกิจด้านอํานวยการ
กลุ่มสนับสนุน
2) ภารกิจด้านบริการปฐมภูมิ2
กลุ่มบริการเฉพาะทาง
กลุ่มสนับสนุน
-
3) ภารกิจด้านสนับสนุนบริการสุขภาพและพัฒนาระบบบริการ3
กลุ่มบริการเฉพาะทาง
กลุ่มสนับสนุน
4) ภารกิจด้านบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ4
กลุ่มบริการเฉพาะทาง
กลุ่มสนับสนุน
กลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
5) ภารกิจด้านบริการพยาบาล
กลุ่มบริการเฉพาะทาง
กลุ่มสนับสนุน
6) ภารกิจด้านผลิตบุคลากรทางการแพทย์
กลุ่มสนับสนุน
รวมกลุ่มผู้บริหาร
-
-
รวมกลุ่มบริการเฉพาะทาง
รวมกลุ่มสนับสนุน
รวมกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
รวมทั้งสิ้น
4. ด้านงบประมาณ โรงพยาบาลฯ มีความจําเป็นที่จะต้องขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของอัตรากําลังรวมทั้งสิ้น 401.87 ล้านบาท
ความต้องการ
อัตรากําลัง
แผนการให้บริการของ
รพ.ศูนย์การแพทย์
มฟล. (เตียง)
อัตรากําลังที่เสนอขอ
(อัตรา)
งบประมาณที่เสนอขอ
(ล้านบาท)
ปีงบประมาณ 2564
244 (เพิ่มขึ้น 88)
162.85
ปีงบประมาณ 2565
323 (เพิ่มขึ้น 79)
128.05
ปีงบประมาณ 2566
411 (เพิ่มขึ้น 88)
110.97
รวม
401.87
5. กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เห็นชอบกับแผนความต้องการอัตรากําลัง รพศ.มฟล. (พ.ศ. 2564 - 2566) ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2556 – 2560 ตามที่ มฟล. เสนอ เนื่องจากมีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์และสถาบันทางการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศ ในระยะยาว (5 – 10 ปี) ที่ สธ. กําลังดําเนินการ [ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสํานักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป]
5.1 ในระยะแรก ปี พ.ศ. 2564 ซึ่งจะเปิดบริการ 244 เตียง ต้องการอัตรากําลัง 635 คน โดยอ้างอิงกรอบอัตรากําลังของโรงพยาบาลศูนย์ระดับตติยภูมิชั้นสูง ขนาดน้อยกว่า 700 เตียง ตามเกณฑ์ สธ. ที่เสนอได้ ส่วนการจัดสรรงบประมาณด้านบุคลากรให้เป็นไปตามการพิจารณาของ สงป.
5.2 ในระยะที่ 2 ปี พ.ศ. 2565 – 2566 จะเปิดให้บริการเพิ่มเติมอีก 167 เตียง (79 + 88 เตียง) รวมเป็น 411 เตียง (ครบตามเป้าหมายที่ตั้งไว้) ต้องการอัตรากําลังเพิ่มเติมอีก 940 คน (560 + 434 คน) นั้น ควรพิจารณาถึงจุดเน้นสําคัญของ รพศ.มฟล. ตามความต้องการจําเป็นของบริบทในพื้นที่ และควรคํานึงถึงผลการดําเนินงานของ รพศ.มฟล. พ.ศ. 2561 – 2564 ประกอบการพิจารณาด้วย
5.3 เห็นควรให้โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มฟล. ประสานเชื่อมโยงการบูรณาการการดําเนินงานร่วมกันกับหน่วยงานด้านสุขภาพที่มีอยู่แล้วของ สธ. และหน่วยงานด้านสุขภาพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ ทั้งระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน (น่าน พะเยา เชียงราย แพร่) เพื่อลดความซ้ําซ้อนในการลงทุนและเกิดความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากร รวมทั้งตอบสนองปัญหาสุขภาพของประชาชน
------------------------------------------------------------------------
1 ประมาณการค่าเฉลี่ยของผู้รับบริการของ รพศ.มฟล. ปี 2564 : 346,750 คน ปี 2565 : 485,450 คน และ ปี 2566 : 565,750 คน
2ภารกิจด้านบริการปฐมภูมิ ได้แก่ งานเวชกรรมสังคมและงานสุขศึกษา และงานการพยาบาลชุมชนและหน่วยพื้นที่
3ภารกิจด้านสนับสนุนบริการสุขภาพและพัฒนาระบบบริการ ได้แก่ งานสารสนเทศทางการแพทย์ งานประกันสุขภาพ งานสิทธิประโยชน์ผู้ป่วยและสังคมสงเคราะห์ เป็นต้น
4ภารกิจด้านบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ ได้แก่ งานให้บริการทางการแพทย์ต่าง ๆ เช่น เวชศาสตร์ฉุกเฉิน อายุรกรรม ศัลยกรรม ออร์โธปิดิกส์ นิติเวช จิตเวช เภสัชกรรม เป็นต้น
15. เรื่อง เสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน (หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษา สําหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําแนวทางในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน (หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ไปใช้ประโยชน์ในการสร้างความตระหนักและส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยต่อไป ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับหน้าที่และอํานาจต่อไป
2. เห็นชอบให้ส่งความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนกรรม กระทรวงศึกษาธิการ สํานักงาน ก.พ. สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สํานักงาน ก.พ.ร. และสถาบันพระปกเกล้าให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
สาระสําคัญของเรื่อง
กสม. รายงานว่า กสม. ได้พัฒนาการดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจในการเสริมสร้างทุกภาคส่วนของสังคมให้ตระหนักถึงความสําคัญของสิทธิมนุษยชน อันจะเป็นรากฐานในการสร้างวัฒนธรรมการเคารพสิทธิมนุษยชนให้นํามาซึ่งความผาสุกของสังคมและประเทศชาติต่อไป ทั้งนี้ ได้ดําเนินการโดยมุ่งหมายให้เกิดการส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ ดังนี้
1. การส่งเสริม สนับสนุน และร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐในการเผยแพร่ความรู้และพัฒนาความเข้มแข็งด้านสิทธิมนุษยชน อันจะช่วยสร้างเสริมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเกิดความตระหนักถึงความสําคัญของสิทธิมนุษยชน และทําหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและดําเนินงานต่าง ๆ ตามหน้าที่และอํานาจของแต่ละหน่วยงาน โดยคํานึงถึงผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่อาจะเกิดขึ้นกับประชาชน สร้างความเท่าเทียมกันในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อให้เป็นไปตามความมุ่งหมายดังกล่าว กสม. ได้ดํานินการอย่างมีส่วนร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิทธิมนุษยชนศึกษาใน กสม. ผู้แทนสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาและกระบวนการยุติธรรมจัดทําหลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาในกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ให้เกิดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม และส่งเสริมสิทธิมนุษยชนให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกภาคส่วนในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ที่มุ่งเน้นที่จะก่อให้เกิดสังคมแห่งความเสมอภาค โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลัง สร้างโอกาสที่เป็นธรรม โดยไม่แบ่งแยก และคํานึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์โดยหลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ประกอบด้วย หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาพื้นฐาน หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาในกระบวนการยุติธรรม หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสําหรับนักบริหารระดับสูง และหลักสูตรธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนสําหรับรัฐวิสาหกิจ
2. การส่งเสริมเผยแพร่ให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงสิทธิมนุษยชนของแต่ละบุคคลที่ทัดเทียมกัน และการเคารพสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่นซึ่งอาจแตกต่างกันในทางวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนา โดยได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการซึ่งกํากับดูแลสถานศึกษาในสังกัดกว่า 30,000 แห่ง มีบุคลากรทางการศึกษากว่า 400,000 คน ทําหน้าที่สนับสนุนและให้การศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เด็กนักเรียนในประเทศกว่า 7,000,000 คน ดําเนินการอย่างมีส่วนร่วมในการจัดทําคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อใช้เป็นแนวทางอย่างเป็นระบบในการสร้างเสริมสิทธิมนุษยชนในสถานศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ช่วงวัยเรียน/วัยรุ่นตามยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์โดยคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับการศึกษาพื้นฐาน ประกอบด้วย คู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษา 5 ช่วงชั้น (ระดับปฐมวัย ระดับประถมศึกษาตอนต้น ระดับประถมศึกษาตอนปลาย ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย)
16. เรื่อง ข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกรณีผู้ประกอบอาชีพประมงได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการพิจารณาคําร้องของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวม 4 ประเด็น
2. รับทราบข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีผู้ประกอบอาชีพประมงได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing)
3. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางดังกล่าว ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามข้อ 2 ไปพิจารณาดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาระสําคัญของเรื่อง
1. กสม. รายงานว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายบุญยง นิ่วบุตร นายกสมาคมชาวประมงอําเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ว่าชาวประมงประมาณ 100 ราย ได้รับผลกระทบในการประกอบอาชีพประมงจากการดําเนินการของคณะรัฐมนตรีและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยสหภาพยุโรปได้กล่าวหาประเทศไทยว่า มีการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) ถึงแม้ว่าคณะรัฐมนตรีและ กษ. จะดําเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้การทําประมงสามารถดําเนินการได้อย่างยั่งยืนและเป็นระบบแล้วก็ตาม แต่การดําเนินการดังกล่าวยังขาดความเข้าใจในหลายประเด็น โดยเฉพาะบริบทของประมงวิถีไทย และการแก้ไขปัญหาที่ไม่เป็นธรรมก่อให้เกิดภาระเกินความจําเป็นในการประกอบอาชีพประมง จึงขอให้ตรวจสอบในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1.1 การจัดการ การขึ้นทะเบียน และการตรวจสอบแรงงาน
1.2 การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า – ออก
1.3 ปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล ซึ่งเกี่ยวข้องกับการห้ามและจํากัดการใช้เครื่องมือประมงบางประเภท
1.4 มาตรการเยียวยาผู้ประกอบอาชีพประมงที่ได้รับผลกระทบและแนวทางในการรับซื้อเรือคืน
2. กสม. ได้พิจารณาคําร้อง ในประเด็นต่าง ๆ ตามข้อ 1.1 – 1.4 แล้ว เห็นควรให้ยุติเรื่องทั้ง 4 ประเด็น ดังนี้
2.1 กรณีการจัดการ การขึ้นทะเบียน และการตรวจสอบแรงงานเห็นว่า แม้การกําหนดขั้นตอนและกระบวนการในการจัดการ การขึ้นทะเบียน และการตรวจสอบแรงงานของคณะรัฐมนตรีและ กษ. โดยหน่วยงานในสังกัดจะเป็นการเพิ่มขั้นตอนการดําเนินการในการประกอบอาชีพประมงของสมาชิกสมาคมชาวประมงอําเภอบ้านแหลม แต่เมื่อพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการดําเนินการที่เป็นไปเพื่อการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการใช้แรงงานผิดกฎหมาย และเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพในการทํางานของแรงงานในภาคการประมงทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว
2.2 กรณีการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า-ออก เห็นว่า แม้การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า – ออก จะกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของสมาชิกสมาคมชาวประมงอําเภอบ้านแหลม แต่การดําเนินการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบติดตาม ควบคุมและเฝ้าระวังการทําการประมงให้มีประสิทธิภาพ ทั้งเป็นการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทําการประมงโดย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้จัดทําคู่มือการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้แก้ไขปรับปรุงเป็นระยะและจัดอบรมสร้างความเข้าใจให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง
2.3 กรณีปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล ซึ่งเกี่ยวข้องกับการห้ามและจํากัดการใช้เครื่องมือประมงบางประเภท เห็นว่า กฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้ผู้ประกอบอาชีพประมงใช้เครื่องมือประมงชนิดใดนั้น เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรี และ กษ. พิจารณาถึงเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล และความเหมาะสมของพื้นที่แม้อาจกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของสมาชิกสมาคมชาวประมงอําเภอบ้านแหลม แต่การดําเนินการดังกล่าวเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ําและการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ เพื่อรักษาหรือฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ําและให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทะเลอย่างยั่งยืน
2.4 กรณีมาตรการเยียวยาผู้ประกอบอาชีพประมงที่ได้รับผลกระทบและแนวทางในการรับซื้อเรือประมงคืน เห็นว่า แม้ปัจจุบันการดําเนินการโครงการการนําเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืนโดยกรมประมงจะยังไม่แล้วเสร็จยังคงมีเรือประมงที่เข้าร่วมโครงการและรอการพิจารณาเพื่อรับการชดเชยเยียวยาและบรรเทาผลกระทบ จึงอาจกระทบต่อสิทธิของบุคคลในทรัพย์สินของสมาชิกสมาคมชาวงประมงอําเภอบ้านแหลมแต่เป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ของกรมประมง
3. นอกจากนี้ กสม. ได้มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีผู้ประกอบอาชีพประมงได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) ต่อคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคณะรัฐมนตรีควรมอบหมายให้ กษ. และคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบอาชีพประมงทุกกลุ่ม รวมทั้งประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมาได้นําเสนอปัญหาความเดือดร้อนหรือความเสียหายที่ได้รับ รวมถึงมีส่วนร่วมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลอย่างสมดุลและยั่งยืน และหากมีกรณีใดที่ต้องดําเนินการเยียวยาความเดือดร้อนหรือความเสียหายให้แก่ประชาชนหรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบควรดําเนินการอย่างเป็นธรรมและโดยไม่ชักช้า
17. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสําหรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสําหรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานอันเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ พ.ศ. 2563 และกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2563 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอดังนี้
สาระสําคัญ
ตามที่คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 มีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ รายงานผลการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสําหรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แล้วนั้น กระทรวงแรงงานโดยสํานักงานประกันสังคม ขอรายงานความคืบหน้า ดังนี้
1. กระทรวงแรงงานโดยสํานักงานประกันสังคม ได้พิจารณาวินิจฉัยสั่งจ่ายไปแล้ว ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563 จํานวน 1,095,399 ราย เป็นเงิน 6,052 ล้านบาท
2. กระทรวงแรงงานโดยสํานักงานประกันสังคม ได้มีการติดตามนายจ้างที่ยังไม่ได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทน จํานวน 29,406 ราย โดยให้หน่วยปฏิบัติดําเนินการ ดังนี้
1) จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์/อุทธรณ์ COVID-19 ณ สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ รวมทั้งส่วนกลาง ณ สํานักงานประกันสังคม สํานักงานใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป
2) มีหนังสือแจ้งสถานประกอบการที่ยังไม่ได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทน ให้ตรวจสอบและส่งชื่อลูกจ้างที่ยังไม่ได้รับเงิน เพื่อดําเนินการจ่ายเงินประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน โดยให้ยื่นเรื่องได้ที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ
3) มีหนังสือแจ้งผู้ประกันตนที่ยังไม่ได้รับเงิน ให้ยื่นร้องทุกข์/อุทธรณ์ ได้ที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ
18. เรื่อง การดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับปัญหาบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามผลการหารือระหว่างรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และปลัดกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 กรณีการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับปัญหาบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอดังนี้
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้คําสั่งศาลตามกฎหมายล้มละลาย และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง นั้น รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และปลัดกระกระทรวงการคลังแล้ว เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 มีความเห็นร่วมกันว่า
1. ในขณะที่คณะรัฐมนตรีมีมติเรื่องนี้ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ยังคงมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจและอยู่ในการกํากับดูแลของกระทรวงคมนาคม แต่บัดนี้ กระทรวงการคลังได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทฯ จึงทําให้ บริษัทฯ พ้นจากสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจแล้วโดยเด็ดขาด เพียงแต่กระทรวงการคลังยังคงถือหุ้นจํานวนมากประมาณร้อยละ 48 ส่วนภารกิจที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมให้บริษัทฯ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และดูแลให้บริษัทฯ ตรวจสอบ จัดเตรียมเอกสารและแนวทางที่เกี่ยวข้องนั้น กระทรวงคมนาคมได้มอบให้บริษัทฯ ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ต่อไปแล้ว
2. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้แต่งตั้งคณะทํางานเพื่อติดตามการดําเนินการแก้ไขปัญหาบริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) แล้ว ซึ่งจากการหารือเห็นชอบให้มีคณะกรรมการประกอบด้วยผู้แทนกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และผู้ทรงคุณวุฒิ ตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 143/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามการดําเนินการแก้ไขปัญหา บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)
ส่วนการติดตามดูแลกิจการของบริษัทฯ ตามสัดส่วนของหุ้นย่อมอยู่ในอํานาจหน้าที่ของกระทรวงการคลัง และการประสานงานกับกระทรวงคมนาคม บริษัทฯ ก็สามารถดําเนินการได้โดยตรงอยู่แล้วหรืออาจใช้ช่องทางคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นใหม่ก็ได้
คําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 143/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามการดําเนินการแก้ไขปัญหา บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) โดยการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้คําสั่งศาลตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) รับไปดําเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและความเห็นของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง นั้น
แม้ผลจากการนี้จะทําให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) พ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจโดยเด็ดขาด และกระบวนการฟื้นฟูกิจการจะเป็นไปตามขั้นตอนและอยู่ในอํานาจหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมายโดยเฉพาะก็ตาม แต่โดยที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังคงมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทเป็นจํานวนมาก อีกทั้งการประกอบกิจการของบริษัทซึ่งยังสามารถดําเนินการต่อไปได้ เกี่ยวพันกับกฎหมายและกฎระเบียบของทางราชการ อันต้องอาศัยการอํานวยความสะดวกจากภาครัฐ และการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ และรัฐยังจําเป็นต้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนและประโยชน์สาธารณะ คณะรัฐมนตรีจึงควรมีโอกาสรับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการเป็นระยะ ๆ โดยมีระบบกลั่นกรอง และช่วยตรวจสอบในส่วนของภาครัฐ
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้มีคณะกรรมการติดตามการดําเนินการแก้ไขปัญหา บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ประกอบด้วย
(1) นายวิษณุ เครืองาม ประธาน
รองนายกรัฐมนตรี
(2) นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการ
(3) นายประสงค์ พูนธเนศ กรรมการ
ปลัดกระทรวงการคลัง
(4) นายชัยวัฒน์ ทองคําคูณ กรรมการ
ปลัดกระทรวงคมนาคม
(5) นายชยธรรม์ พรหมศร กรรมการ
ผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและแผน
การขนส่งและจราจร
(6) นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ กรรมการ
ปลัดกระทรวงยุติธรรม
(7) นายปกรณ์ นิลประพันธ์ กรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
(8) นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล กรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์
(9) นายประภาศ คงเอียด กรรมการและเลขานุการ
ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการ
นโยบายรัฐวิสาหกิจ
ข้อ 2 ให้คณะกรรมการมีหน้าที่และอํานาจดังนี้
(1) เป็นตัวแทนภาครัฐในการติดตามการดําเนินการแก้ไขปัญหาบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ในการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้คําสั่งศาลและการดําเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอน
(2) ให้คําแนะนําแก่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการ แก้ไขปัญหาบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่และอํานาจของภาครัฐโดยไม่เกี่ยวกับกระบวนพิจารณาของศาล
(3) กลั่นกรอง ตรวจสอบ และอํานวยความสะดวกหรือประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์แก่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และการดําเนินกิจการของ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ตามที่มีการร้องขอ และไม่ขัดต่อกฎหมาย
(4) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
(5) รายงานการปฏิบัติงานพร้อมทั้งเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ
ข้อ 3 คณะกรรมการอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทํางานเพื่อปฏิบัติงานเฉพาะเรื่องได้
ให้คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทํางานได้รับเบี้ยประชุมหรือค่าใช้จ่ายตามที่กระทรวงการคลังกําหนด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
19. เรื่อง การขยายกรอบระยะเวลาและของบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562/63 (เพิ่มเติม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการการขยายกรอบระยะเวลาโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562/63 (จากเดิม กําหนดช่วงเวลาเพาะปลูกระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 – 31 พฤษภาคม 2563 เป็นระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2562 – 31 พฤษภาคม 2563) ภายในกรอบจํานวนเกษตรกร 452,000 ครัวเรือน ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ โดยในส่วนของงบประมาณให้ พณ. ทําความตกลงกับสํานักงบประมาณ
20. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 – 30 มิถุนายน 2563 ตามที่สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ
สมช. เสนอว่า
เรื่องเดิม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 และสิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เพื่อบังคับใช้อํานาจตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 แก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 ที่เกิดขึ้นในประเทศ
การดําเนินการที่ผ่านมา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563 สํานักงานฯ ในฐานะสํานักงานประสานงานกลาง ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้เชิญหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการตามพระราชกําหนดฯ ในด้านต่าง ๆ ผู้แทนส่วนราชการและประชาคมข่าวกรองเข้าร่วมการประชุม โดยมี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน เพื่อประเมินผลการปฏิบัติของส่วนราชการต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน และพิจารณากําหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมในห้วงต่อไปเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. ที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกันว่าการบังคับใช้อํานาจตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ยังมีความจําเป็น เนื่องจากจะช่วยสร้างระบบการบริหารจัดการในเชิงบูรณาการที่ดีให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อชะลอ ควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด – 19 และยังช่วยสนับสนุนให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มีความเป็นเอกภาพ รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและมีความต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นการสร้างมาตรฐานกลางด้านสาธารณสุขและช่วยเยียวยาประชาชนได้อย่างครอบคลุมภาพรวมของประเทศอีกด้วย
2. ที่ประชุมให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงของการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการบังคับใช้กฎหมายสําหรับในระยะที่ 3 และระยที่ 4 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรคในระดับสูง จึงจําเป็นจะต้องมีการดําเนินการอย่างเป็นระบบ และอยู่ในห้วงระยะเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องมีมาตรการด้านกฎหมายเพื่อกํากับ ดูแล และบริหารจัดการ ให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงมีความจําเป็นจะต้องอาศัยอํานาจตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 บังคับใช้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
3. นอกจากนี้ ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ยังไม่สิ้นสุด โดยมีข้อมูลปรากฏในหลายประเทศว่ายังพบการระบาดและมีจํานวนผู้ติดเชื้อในระดับสูง ดังนั้น เมื่อประเทศไทยได้ดําเนินการมาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายครบทั้ง 4 ระยะ และพร้อมจะเปิดประเทศแล้ว อาจมีความเสี่ยงที่โรคติดเชื้อโควิด-19 จะกลับมาแพร่ระบาดได้อีกครั้งหากไม่มีการเตรียมมาตรการรองรับที่ดีอย่างเพียงพอ ประเทศไทยจึงจําเป็นต้องมีระยะเวลาเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดประเทศในภารกิจที่สําคัญ อาทิ 1) การเตรียมความพร้อมด้านกฎหมายภายหลังยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และ 2) การเตรียมแผนการบริหารวิกฤตการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ที่ประชุมจึงเห็นควรให้คงการบังคับใช้อํานาจตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต่อไป เนื่องจากจะมีส่วนช่วยให้เจ้าหน้าที่มีเวลาเตรียมความพร้อมรองรับกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และยังมีส่วนช่วยซักซ้อมทักษะด้านการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ให้กับเจ้าหน้าที่ได้อีกทางหนึ่งด้วย
4. ที่ประชุมได้เสนอแนะแนวทางดําเนินการควบคู่ไปกับการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในห้วงที่สอง โดยเห็นควรให้ 1) กําหนดมาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้อย่างเป็นปกติยิ่งขึ้น และ 2) มีการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเหมาะสมและทั่วถึง ทั้งนี้ ต้องดําเนินการให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีการชี้แจงประชาชนอย่างชัดเจน
5. สมช. ได้นําผลการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบผลการประชุม และมีมติให้นําเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อไป
21. เรื่อง แนวทางการนํายางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้กระทรวงการคลังดําเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงกําหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พ.ศ. 2563 โดยเพิ่มเติมแผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพาราตามนโยบายรัฐบาลในโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของภาครัฐ
2. อนุมัติให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาจ้างก่อสร้างผิวทางแบบพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต (PARA AC) ที่ได้ลงนามในสัญญาจ้างไปแล้วในปีงบประมาณ 2563 เป็นผิวทางแบบแอสฟัลต์ติกคอนกรีต (AC) ภายในกรอบวงเงิน 2,500 ล้านบาท ประกอบด้วย กรมทางหลวง 1,250 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท 1,250 ล้านบาท โดยมีการปรับลดวงเงินค่าก่อสร้างและไม่ทําให้ส่วนราชการเสียประโยชน์ ตามมาตรา 97 (2) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เพื่อนําไปใช้ในโครงการก่อสร้างกําแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ (RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP)
3. เห็นชอบในหลักการให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กรอบวงเงิน 39,175 ล้านบาท (กรมทางหลวง จํานวน 36,401 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จํานวน 2,774 ล้านบาท) และ ปี พ.ศ. 2565 กรอบวงเงิน 43,995 ล้านบาท (กรมทางหลวง จํานวน 39,934 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จํานวน 4,061 ล้านบาท) เพื่อดําเนินโครงการก่อสร้างกําแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ (RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP)
โดยในส่วนของงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสํานักงบประมาณ
สาระสําคัญ
กระทรวงคมนาคมได้รับรายงานจากกรมทางหลวงชนบทเสนอแนวทางการนํายางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) สรุปสาระสําคัญได้ ดังนี้
1. กระทรวงคมนาคมมีนโยบายในการนํายางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) และสนับสนุนการใช้ยางพาราจากร้านสหกรณ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรองโดยตรง โดยจะบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อช่วยยกระดับราคายางพารา เพิ่มรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยางพารา และระบายผลผลิตยางพาราที่มีอยู่จํานวนมากอย่างเป็นรูปธรรม
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เป็นประธานการประชุมเรื่อง การนํายางพารามาใช้ในงานภารกิจของกระทรวงคมนาคมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพารา จํานวน 6 ครั้ง เมื่อวันที่
28 สิงหาคม 2562 วันที่ 20 กันยายน 2562 วันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 วันที่ 30 มีนาคม 2563 วันที่ 16 เมษายน 2563 และวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 ตามลําดับ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการดําเนินการตามนโยบายเพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนนโดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพารา
3. กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบทเป็นหน่วยงานหลักดําเนินการตามนโยบายรัฐบาลในโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของภาครัฐ และเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ดังนั้น กรมทางหลวงชนบทจึงได้มีคําสั่ง ที่ 1890/2562 ลงวันที่ 2 กันยายน 2562 เรื่อง แต่งตั้งคณะทํางานศึกษาแนวทางการนํายางพารามาใช้ในงานก่อสร้าง และอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย และคําสั่งที่ 2160/2562 ลงวันที่ 30 กันยายน 2562 เรื่อง แต่งตั้งคณะทํางานศึกษาแนวทางการนํายางพารามาใช้ในงานก่อสร้าง และอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย (เพิ่มเติม) ร่วมกันศึกษาวิจัยนํายางพารามาพัฒนาเป็นอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยเพื่อป้องกันหรือลดความรุนแรงของอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยทางถนน
4. จากการศึกษาสภาพถนนของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท พบว่า
มีเกาะกลางถนน รวมทั้งสิ้น ระยะทาง 11,643.454 กิโลเมตร ประกอบด้วย
- เกาะสี จํานวน 1,238.800 กิโลเมตร
- เกาะหลุม จํานวน 4,372.963 กิโลเมตร
- เกาะยก จํานวน 5,133.414 กิโลเมตร
- กําแพงคอนกรีต จํานวน 898.277 กิโลเมตร
โดยบริเวณช่วงเกาะกลางถนนแบบเกาะสีมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้มาก เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจร โดยการเลี้ยวหรือการกลับรถทับเส้นเกาะกลางในบริเวณจุดเสี่ยงอันตราย ทําให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายกรณี มีทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจํานวนมาก ดังนั้น จึงเห็นควรก่อสร้างกําแพงคอนกรีตเพื่อลดจํานวนอุบัติเหตุ อีกทั้งบริเวณทางโค้งได้มีการติดตั้งเสาหลักนําทางคอนกรีต เพื่อให้มองเห็น ในเวลากลางคืน แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุโดยเฉพาะรถจักรยานยนต์เสียหลักไปชนหลักนําโค้งคอนกรีต ผู้ขับขี่ หรือผู้ที่โดยสารมาด้วยอาจได้รับอันตราย จึงมีความจําเป็นต้องหาวิธีการแก้ไขหรือปรับปรุงเรื่องเกาะกลางถนนแบบเกาะสีและหลักนําทางคอนกรีต
จากผลการศึกษาและวิจัยพบว่า มี 2 ผลิตภัณฑ์ที่มีความเหมาะสมและมีปริมาณยางพาราเป็นส่วนผสมจํานวนมาก และสามารถลดความรุนแรงของการชนปะทะได้ คือ แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) โดยมีผลการทดสอบของอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย ดังนี้
1) แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (RFB)
- ทดสอบการชนในประเทศไทย ดําเนินการโดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ผลการทดสอบ : ช่วยในการรับแรงกระแทก ทําให้ลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตของคนขับได้
- นําไปทดสอบการชน ณ สถาบัน Korea Automobile Testing & Research Institute (KATRI) ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นสถาบันทดสอบรถยนต์โดยตรงและเป็นที่ยอมรับของผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนําของโลกในวิธีการทดสอบที่มีความทันสมัย ถูกต้องตามหลักวิชาการ นอกจากนี้ การแสดงผลการทดสอบด้านวิศวกรรมยังเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐาน EN - Euro Standard
ผลการทดสอบ : แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (RFB) ที่ความเร็วในการชน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกิดแรงกระแทกต่ํากว่าค่ามาตรฐาน National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ทําให้มีความปลอดภัยจากการบาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิต
2) หลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP)
- ทดสอบการชนในประเทศไทย ดําเนินการโดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ผลการทดสอบ : ผลจากห้องทดสอบเปรียบเทียบความปลอดภัยในการติดตั้งหลักนําทางยางธรรมชาติ โดยนํารถจักรยานยนต์พร้อมหุ่นติดตั้งเซ็นเซอร์เข้าชน พบว่า หุ่นที่ใช้ทดสอบไม่ได้รับแรงกระแทกถึงขั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต เพราะมีความยืดหยุ่นของยางพารา และเมื่อนําไปทดสอบในห้องทดลอง พบว่า มีความคงทนต่อสภาพอากาศในประเทศไทย ไม่ติดไฟ และไม่สร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม
5. กรมทางหลวงชนบทได้เปรียบเทียบราคาต้นทุนการผลิตกับผลประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับของแผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (RFB) หลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP) และผิวทางแบบพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต (PARA AC) มีดังนี้
ผลิตภัณฑ์
ราคาต้นทุน
ผลประโยชน์
ที่เกษตรกรได้รับ
ผลประโยชน์
ที่เกษตรกรได้รับ
คิดเป็นร้อยละ
แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต
3,140 - 3,757บาท/เมตร
2,189.63 - 2,798.10บาท/เมตร
70 - 74
หลักนําทางยางธรรมชาติ
1,607 - 2,223บาท/ต้น
1,162.58 - 1,778.18บาท/ต้น
72 - 80
ทางแบบพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต(PARA AC)
294.93
บาท/ตารางเมตร
15.04 บาท/ตารางเมตร
5.10
หมายเหตุ : ช่วงราคายางแผ่นรมควัน 35 - 60 บาท/กิโลกรัม และราคาน้ํายางพาราข้น 25 - 60 บาท/กิโลกรัม
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบผลประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับ พบว่า แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (RFB)
และหลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP) มีผลประโยชน์สูงกว่าผิวทางแบบพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต (PARA AC) มาก
6. กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท มีแนวทางในการดําเนินการตามนโยบาย
เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนนโดยใช้ผลผลิตจากยางพารา ดังนี้
1) แผนการดําเนินโครงการก่อสร้างกําแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ (RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ในปีงบประมาณ 2563 - 2565
มี RFB จํานวน 12,282.735 กิโลเมตร RGP จํานวน 1,063,651 ต้น งบประมาณรวม 85,623.774 ล้านบาท คิดเป็นผลประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับ จํานวน 30,108.805 ล้านบาท ดังนี้
(หมายเหตุ : กรุณาดูรายละเอียดแผนการดําเนินโครงการก่อสร้างกําแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ (RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท จากไฟล์แนบ)
2) แผนการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยางพารา โดยใช้ยางพาราในการผลิตแผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต และหลักนําทางยางธรรมชาติ ซึ่งกรมทางหลวงชนบทจะกําหนดรูปแบบและมาตรฐาน ให้ร้านสหกรณ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรอง ตามประกาศกรมส่งเสริมสหกรณ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการออกหนังสือรับรองเป็น “ร้านสหกรณ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรอง” พ.ศ. 2563 เป็นผู้ผลิต ทั้งนี้ กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทจะจัดซื้อแผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีตและหลักนําทางยางธรรมชาติดังกล่าวจากร้านสหกรณ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรองโดยตรง เพื่อนํามาใช้ในงานด้านความปลอดภัยงานทาง รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยางพารา โดยตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงกําหนดวงเงิน การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. 2560 กําหนดให้หน่วยงานของรัฐใช้วิธีเฉพาะเจาะจงในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท แต่เนื่องจากการจัดซื้อยางพาราดังกล่าวจากร้านสหกรณ์มีจํานวนมาก ทําให้วงเงินในการจัดซื้อครั้งหนึ่งเกิน 500,000 บาท ทําให้ไม่อาจจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงจากร้านสหกรณ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรองโดยตรง ดังนั้น จึงต้องมีการกําหนดให้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP) เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุนเพิ่มเติมตามกฎกระทรวงกําหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พ.ศ. 2563
3) กรมทางหลวงชนบทได้จัดทําร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง อุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอํานวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพาราเพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานภาครัฐ ระหว่างกระทรวงคมนาคมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในเบื้องต้นแล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมมีความเห็นว่า
แนวทางการนํายางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ซึ่งได้มีการประชุมหารือร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย การยางแห่งประเทศไทย และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในเบื้องต้น รวมทั้งได้มีการทดสอบการชนทั้งในประเทศไทยและประเทศเกาหลีใต้แล้ว โดยจากผลการศึกษาและวิจัยพบว่า ผู้ขับขี่ได้รับค่าแรงกระแทกน้อยกว่าค่ามาตรฐาน ปลอดภัยจากการบาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิต ประกอบกับ แนวทางการดําเนินการดังกล่าวเป็นการปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน ตลอดจนช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพารา โดยยกระดับราคายางพารา เพิ่มรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยางพารา และระบายผลผลิตยางพาราที่มีอยู่จํานวนมากอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะได้พิจารณาลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ (MOU) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อไป
22. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ ช่วงระหว่างวันที่ 11-15 พฤษภาคม 2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
สาระสําคัญ
รัฐวิสาหกิจภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลังโดย สคร. มีจํานวน 56 แห่ง โดยผลสัมฤทธิ์ฯ ในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ 11-15 พฤษภาคม 2563 ของรัฐวิสาหกิจ สรุปสาระสําคัญได้ดังนี้
1. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ (ปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักหรือสถานที่ตามที่รัฐวิสาหกิจกําหนด)
รัฐวิสาหกิจ 51 แห่ง ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งและมีรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง ได้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จํากัด โรงพิมพ์ตํารวจ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร และองค์การสุรา กรมสรรพสามิต ที่ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว และจากจํานวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งหมดจํานวน 294,955 คน มีพนักงานและลูกจ้างปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง จํานวน 79,080 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 27
2. การปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
รัฐวิสาหกิจ 32 แห่ง ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา โดยมีช่วงเวลาเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา 6.00 น. – 10.30 น.
3. แนวทางการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจ
กรณีที่รัฐวิสาหกิจมีนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง รัฐวิสาหกิจมีการติดตามผลการปฏิบัติงานเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของงาน โดยรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีการกํากับติดตามและบริหารผลการปฏิบัติงานเป็นรายวัน ผ่านแอปพลิเคชัน Line ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และระบบการติดตามงานและการลงเวลาปฏิบัติงานที่องค์กรพัฒนาขึ้นเอง โดยมีการใช้แอปพลิเคชัน Line มาสนับสนุนการปฏิบัติงานมากที่สุด ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจมีข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งว่า ควรเตรียมอุปกรณ์และระบบเพื่อรองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งให้เพียงพอ และควรพัฒนาระบบการปฏิบัติงานขององค์กรให้สามารถรองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งได้ ซึ่งรวมถึงควรให้มีการจัดเก็บข้อมูลหรือเอกสารให้อยู่ในรูปแบบของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น
23. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 2 ตามที่สํานักงาน ก.พ. เสนอ โดยสรุปข้อมูล ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2563 จาก 142 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 100 ของส่วนราชการทั้งหมด 142 ส่วนราชการ ดังนี้
1. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home)
ส่วนราชการร้อยละ 100 (142 ส่วนราชการ) ที่รายงานมีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง โดยส่วนราชการส่วนใหญ่ร้อยละ 54 (76 ส่วนราชการ) กําหนดสัดส่วนให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ร้อยละ 50 ขึ้นไป ปฏิบัติงานที่บ้าน เช่น ส่วนราชการที่เน้นงานระดับนโยบาย เป็นต้น ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีการมอบหมายให้ปฏิบัติงานที่บ้านในหลายรูปแบบ เช่น ปฏิบัติงานที่บ้านสลับกับมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งของส่วนราชการวันเว้นวัน สัปดาห์ละ 1 วัน สัปดาห์ละ 2 วัน สัปดาห์เว้นสัปดาห์ เป็นต้น และส่วนใหญ่เริ่มให้ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563
2. การเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
1) ส่วนราชการกําหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานสําหรับกรณีที่ปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ โดยส่วนราชการส่วนใหญ่ร้อยละ 56 กําหนดการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานเป็น 3 ช่วงเวลา คือ เวลา 07.30 – 15.30 น. เวลา 08.30 – 16.30 น. และ เวลา 09.30 – 17.30 น. ส่วนราชการร้อยละ 15 (22 ส่วนราชการ) กําหนดรูปแบบการเหลื่อมเวลามากกว่า 3 ช่วงเวลา เช่น สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมสรรพสามิต เป็นต้น นอกจากนี้บางส่วนราชการกําหนดรูปแบบการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานอื่น ๆ ได้แก่ 06.00 – 14.00 น. เวลา 11.00 – 19.00 น. เช่น กรมกิจการเด็กและเยาวชน สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
2) ส่วนราชการมีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามวันเวลาปกติในลักษณะงานให้บริการประชาชน งานรักษาพยาบาล งานในห้องปฏิบัติการและข้าราชการซึ่งเป็นผู้บริหารและผู้อํานวยการสํานัก/กองของส่วนราชการ
3. แนวทางการบริหารงานของส่วนราชการ
1) การกํากับดูแลและบริหารผลงาน เป็นหัวใจสําคัญของการบริหารที่ส่วนราชการเน้นเพื่อคงประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานทั้งในและนอกสถานที่ตั้งให้บรรลุผลตามเป้าหมาย ซึ่งส่วนราชการส่วนใหญ่ให้ความสําคัญกับการกํากับดูแลและติดตามงานอย่างเข้มข้น โดยส่วนราชการร้อยละ 57 กําหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รายงานความก้าวหน้าของงานทั้งรายวันและรายสัปดาห์ผ่าน Application LINE ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และ Google Form
2) การนําระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงาน ส่วนราชการมีการนําระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการพิจารณาเลือกใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมากกว่าหนึ่งระบบ โดยส่วนใหญ่เลือกใช้ Application LINE (ร้อยละ 99.3) Zoom (ร้อยละ 61.3) Microsoft Team (ร้อยละ 31) และ Cisco Webex (ร้อยละ 25) ตามลําดับ โดยส่วนใหญ่ใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์แบบพกพาและโทรศัพท์เคลื่อนที่
4. ข้อจํากัดของส่วนราชการในการมอบหมายข้าราชการและเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ได้แก่ การขาดความพร้อมเกี่ยวกับอุปกรณ์ในการปฏิบัติงานและสัญญาณเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสําหรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง และการขาดความพร้อมของเจ้าหน้าที่ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการปฏิบัติงาน ในกรณีส่วนราชการที่มีที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคมีบ้านพักข้าราชการตั้งอยู่ในบริเวณสถานที่ตั้งของสํานักงาน จึงไม่จําเป็นต้องให้ข้าราชการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ลักษณะงานบางประเภทไม่สามารถปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งได้ เช่นงานให้บริการประชาชน งานรักษาพยาบาล งานในห้องปฏิบัติการ งานภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉิน งานความลับ งานควบคุมผู้ต้องขัง งานตรวจสอบบัญชีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เป็นต้น
5. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิบัติงานใน-นอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ได้แก่ การจัดให้มีอุปกรณ์หรือการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่บ้าน เช่น คอมพิวเตอร์ ค่าบริการสัญญาณเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ในกรณีข้าราชการต้องปฏิบัติราชการในสถานที่ตั้งของส่วนราชการควรกําหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่มีการหมุนเวียนสลับกันมาปฏิบัติราชการได้ตามความจําเป็น และจะต้องมีการป้องกันและรักษาความปลอดภัยด้านสุขภาพตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่อย่างเหมาะสม เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าสถานที่ตั้งของส่วนราชการ การเตรียมน้ํายาล้างมือฆ่าเชื้อโรค การสวมหน้ากากอนามัย การสลับเวลาพักรับประทานอาหาร การกําหนดระยะห่างของผู้ปฏิบัติงาน เป็นต้น
24. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกันอีกครั้ง ดังนี้
1. ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2563 ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และการซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับมติคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2/2563 เรื่องแผนงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา 8(1) แห่งพระราชกําหนด ดังนี้ โครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในส่วนของมาตรการช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประกอบด้วย (1) เด็กจากครัวเรือนยากจน (0-6 ปี) 1,451,468 คน (2) ผู้สูงอายุ 9,664,111 คน และ (3) ผู้พิการ 2,027,500 คน รวมทั้งหมด 13,143,079 คน วงเงินรวมไม่เกิน 39,429,237,000 บาท (โดยใช้เงินกู้ตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ไม่เกิน 39,429,237,000 บาท)
2. รับทราบเจตนารมณ์ของผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้ ครั้งที่ 2/2563 เรื่องแผนงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและเกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ ดังนี้
การให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรตามกลุ่มเป้าหมายของแผนงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่มีรายได้หลักมาจากการประกอบอาชีพเกษตรกร และได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลกระทบต่อการดํารงชีพ ซึ่งกรณีที่ข้าราชการ (ข้าราชการประจําและลูกจ้าง รวมถึงข้าราชการบํานาญ) ที่ประกอบอาชีพเกษตรกร ไม่เข้าข่ายเป็นผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือภายใต้มาตรการฯ เนื่องจากได้รับค่าตอบแทนและสวัสดิการของภาครัฐอยู่แล้ว และหากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จ่ายเงินช่วยเหลือให้กับกลุ่มข้าราชการดังกล่าวแล้ว ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกรมบัญชีกลาง ในการพิจารณาดําเนินการหักเงินดังกล่าวจากค่าตอบแทนคืนที่กระทรวงการคลังต่อไป
25. เรื่อง ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สํานักงบประมาณเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
2. เห็นชอบข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อสํานักงบประมาณจะได้ดําเนินการ จัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 16 มิถุนายน 2563 และนําเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
สาระสําคัญของเรื่อง
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ให้ความเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และมอบให้สํานักงบประมาณไปดําเนินการรับฟังความคิดเห็นตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 77 วรรคสอง และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 ให้ความเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และให้สํานักงบประมาณนําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามที่ได้ปรับปรุงรายละเอียดไปดําเนินการรับฟังความคิดเห็น และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งกําหนดให้สํานักงบประมาณสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและจัดทําข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 นั้น
สํานักงบประมาณได้พิจารณาดําเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรี ดังกล่าวข้างต้นแล้วสรุปดังนี้
1. การรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
สํานักงบประมาณได้ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทําร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 รวม 2 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 เป็นการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียด โดยวิธีการรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์สํานักงบประมาณ ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม – 8 เมษายน 2563 และทําหนังสือสอบถามความคิดเห็นไปยังหน่วยรับงบประมาณ
ครั้งที่ 2 เป็นการนําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณเพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระหว่างวันที่ 13-15 พฤษภาคม 2563 โดยวิธีการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 19 ของพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทําร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ผ่านเว็บไซต์สํานักงบประมาณ และทําหนังสือสอบถามความคิดเห็นไปยังหน่วยรับงบประมาณ
ทั้งนี้ สํานักงบประมาณได้นําผลการรับฟังความคิดเห็นไปประกอบการวิเคราะห์ผลกระทบและการจัดทําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และได้จัดทํารายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นการจัดทําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
2. การจัดทําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
สํานักงบประมาณได้จัดทําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยได้ส่งให้สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และนํามาปรับปรุงแก้ไขให้มีความถูกต้องและเหมาะสมยิ่งขึ้นตามแบบการร่างกฎหมาย ตามความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว (หนังสือสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ด่วนที่สุด ที่ นร 0903/211 ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2563)
การจัดทําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบปรมาณ พ.ศ. 2564 มีโครงสร้างแตกต่างจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ดังนี้
(1) เพิ่มหน่วยรับงบประมาณในมาตรา 33 งบประมาณรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จากเดิม 78 หน่วยรับงบประมาณ เป็น 292 หน่วยรับงบประมาณ เพิ่มขึ้น 214 หน่วยรับงบประมาณ ประกอบด้วย เทศบาลนคร 30 หน่วยรับงบประมาณ และเทศบาลเมือง 184 หน่วยรับงบประมาณ
(2) รวมงบประมาณรายจ่ายสําหรับแผนงานบูรณาการ จํานวน 14 แผนงาน ไว้ภายใต้มาตรา 77 งบประมาณรายจ่ายสําหรับแผนงานบูรณาการ
(3) สํานักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง เป็นหน่วยรับงบประมาณอยู่ภายใต้มาตรา 7 งบประมาณรายจ่ายของสํานักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานในกํากับ จากเดิม มาตรา 27 งบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการไม่สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง และหน่วยงานภายใต้การควบคุมดูแลของนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ การปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติตามความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าว มีผลทําให้รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จําแนกตามกลุ่มงบประมาณ เปลี่ยนแปลงไปจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากสภากาชาดไทย มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ดําเนินการอันเป็นสาธารณกุศล และให้ตั้งงบประมาณตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 14 (2) งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ
26. เรื่อง การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ SMEs อย่างทั่วถึง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบการ SMEs ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้
แนวทางการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม
เพื่อให้การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ SMEs ของรัฐบาลเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพสําหรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs กระทรวงการคลังเห็นควรเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ดังนี้
1. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมสําหรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่เคยขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินหรือไม่มีสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 มีรายละเอียดดังนี้
1) เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้จัดสรรวงเงินจํานวน 80,000 ล้านบาท จากมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ให้กับธนาคารออมสินเพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบธุรกิจการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) โดยตรง ในการนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ SMEs ของรัฐบาลเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ เห็นควรให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 ดังนี้
1.1) จัดสรรวงเงินจํานวน 10,000 ล้านบาท จากวงเงิน 80,000 ล้านบาท โดยใช้เงื่อนไขของมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เดิม เพื่อให้ธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อให้กับสถาบันการเงินในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี
1.2) ให้สถาบันการเงินตามข้อ 1.1) ปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่เคยขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินหรือไม่มีสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติไม่เข้าข่ายตาม พ.ร.ก. Soft loan วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย คิดดอกเบี้ยกับผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี สําหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ยังคงเป็นไปตามมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563
2) เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ บสย. ดําเนินโครงการ บสย. SMEs สร้างไทย ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากโครงการค้ําประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 8 (PGS 8) เพื่อรองรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็น NPLs แต่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว โดยที่ปัจจุบันโครงการ บสย. SMEs สร้างไทยมีวงเงินค้ําประกันสินเชื่อเหลืออยู่ 51,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากวงเงินค้ําประกันสินเชื่อของโครงการ PGS 8 ใกล้หมด แต่ยังมีความต้องการใช้การค้ําประกันสินเชื่ออยู่ ประกอบกับการดําเนินโครงการตามข้อ 1) เป็นการให้สินเชื่อกับกลุ่มที่มีความเสี่ยง เนื่องจากไม่เคยมีประวัติในการขอสินเชื่อ สถาบันการเงินไม่เคยเห็นพฤติกรรมและความสามารถในการชําระหนี้ ดังนั้น จึงเห็นควรทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 โดยแบ่งวงเงินค้ําประกันสินเชื่อ 10,000 ล้านบาทจากโครงการ บสย. SMEs สร้างไทย โดยใช้เงื่อนไขของโครงการ PGS 8 เดิม เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติไม่เข้าข่ายตาม พ.ร.ก. Soft loan
2. นอกจากนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็น NPLs ให้สามารถกลับมาดําเนินธุรกิจได้โดยเร็ว เห็นควรมอบหมายสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็น NPLs ตามอํานาจหน้าที่ของ สสว. ในการช่วยเหลืออุดหนุนทางการเงิน การให้กู้ยืมเงิน การร่วมลงทุน หรือการให้ความช่วยเหลือผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อไป โดยให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2563
3. เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นลูกค้าของสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ประโยชน์สูงสุด เห็นควรให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจพิจารณาลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติตามมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan ให้สามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากที่สุด เพื่อให้สภาพคล่องที่เหลืออยู่ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ถูกนําไปใช้เพื่อเสริมการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มที่ไม่เคยขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินหรือไม่มีสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 หรือผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการสินเชื่อเพิ่มเติมจาก พ.ร.ก. Soft loan
4. เห็นควรมอบหมายสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง พิจารณาทบทวนการกําหนดตัวชี้วัดเพื่อประเมินผลการดําเนินงาน และการกําหนดระบบแรงจูงใจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้สอดคล้องกับพันธกิจ และการดําเนินงานตามนโยบายที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจได้รับมอบหมายในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วย
สาระสําคัญของเรื่อง
สืบเนื่องจากการที่รัฐบาลได้มีมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs มาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ช่วงกลางปี 2562 เศรษฐกิจไทยได้ส่งสัญญาณชะลอตัวลงอย่างชัดเจน กระทรวงการคลังจึงได้จัดทํามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 และมาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 และวันที่ 7 มกราคม 2563 ตามลําดับ นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลยังได้มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยได้จัดทํามาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) วงเงิน 150,000 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 และออกพระราชกําหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. Soft loan) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใต้มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 3 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดําเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ของรัฐบาลอย่างทั่วถึง กระทรวงการคลังได้แบ่งการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1. กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan
1.1 คุณสมบัติของผู้ประกอบการ SMEs
ผู้ประกอบการ SMEs ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan มีคุณสมบัติ ดังนี้
1) มีวงเงินสินเชื่อรวมทั้งกลุ่มธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs ที่มีกับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์การกํากับลูกหนี้รายใหญ่ (Single Lending Limit)
2) ไม่มีสถานะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPLs) ของสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ทั้งนี้ การจัดชั้นพิจารณาเป็นรายลูกหนี้ สําหรับลูกหนี้ที่เป็น NPLs หลังวันที่ 31 ธันวาคม 2562 สามารถยื่นขอสินเชื่อตามโครงการนี้ได้ โดยขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง
3) ไม่เป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน
4) ไม่เป็นบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ
1.2 แนวทางการให้ความช่วยเหลือ
มาตรการภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan ประกอบด้วย
1) มาตรการสนับสนุนให้สินเชื่อเพิ่มเติม วงเงิน 500,000 ล้านบาท โดย ธปท. สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ําให้แก่สถาบันการเงินในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 และสถาบันการเงินให้สินเชื่อใหม่แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ระยะเวลากู้ 2 ปี ปลอดชําระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ การให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan เป็นการพิจารณาตามเงื่อนไขของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ทั้งนี้ ธปท. ได้อาศัยอํานาจตาม พ.ร.ก. Soft loan ออกประกาศห้ามไม่ให้สถาบันการเงินเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมถึงดอกเบี้ยผิดนัดจากลูกหนี้ภายใต้มาตรการนี้ ส่งผลให้ลูกหนี้ได้ประโยชน์สูงสุด
2) มาตรการพักชําระหนี้ (Debt Holiday) ให้สถาบันการเงินแต่ละแห่งชะลอการชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกิน 100 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยไม่ถือเป็นการผิดนัดชําระหนี้
2. กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan ได้ แต่สถาบันการเงินไม่ส่งเข้าร่วมมาตรการตาม พ.ร.ก. Soft loan
2.1 คุณสมบัติของผู้ประกอบการ SMEs
เป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติตามข้อ 1.1 สามารถเข้า พ.ร.ก. Soft loan ได้ แต่เนื่องจากสถาบันการเงินพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความเสี่ยงหรือเป็นผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยที่อาจมีหลักประกันไม่เพียงพอ จึงไม่ส่งเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan
2.2 แนวทางการให้ความช่วยเหลือ
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีมาตรการด้านการเงินที่อยู่ระหว่างการดําเนินการซึ่งผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มนี้สามารถเข้าร่วมได้ ได้แก่
1) มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ของธนาคารออมสิน วงเงินโครงการ คงเหลือ 13,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายสูงสุด 20 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี
2) โครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ 2) ของธนาคารออมสิน วงเงินโครงการคงเหลือ 7,500 ล้านบาท วงเงินต่อรายสูงสุด 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลากู้ 7 ปี
3) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) วงเงินโครงการคงเหลือ 14,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายสูงสุด 5 ล้านบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 3 ต่อปี ใน 3 ปีแรก ระยะเวลากู้ 7 ปี
4) โครงการสินเชื่อรายย่อย Extra Cash ของ ธพว. วงเงินโครงการคงเหลือ 9,900 ล้านบาท วงเงินต่อรายสูงสุด 3 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้ 5 ปี
สําหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพแต่มีหลักประกันไม่เพียงพอสามารถเข้าร่วมโครงการค้ําประกันสินเชื่อผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้
3. กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติไม่เข้าข่าย พ.ร.ก. Soft loan
3.1 กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่เคยขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินหรือไม่มีสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ในช่วงที่ผ่านมาไม่เคยขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการดําเนินธุรกิจ หรือเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่มีสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 จึงไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan ได้ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มนี้ สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อและโครงการค้ําประกันสินเชื่อตามข้อ 2.2 ได้ แต่เนื่องจากไม่เคยมีประวัติในการขอสินเชื่อ สถาบันการเงินไม่เคยเห็นพฤติกรรมและความสามารถในการชําระหนี้ ทําให้สถาบันการเงินอาจต้องพิจารณาคุณสมบัติเพิ่มเติม รวมถึงมีความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ หรืออาจไม่อนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มนี้ จึงมีความจําเป็นต้องมีมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือเพิ่มเติม
3.2 กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็น NPLs
ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็น NPLs สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีสถานะเป็น NPLs แต่ยังมีศักยภาพในการดําเนินธุรกิจ และ 2) ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็น NPLs และมีหนี้สินล้นพ้นตัว โดยที่ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางทางการเงินและมีความเสี่ยงสูง ทําให้ไม่ได้รับการพิจารณาให้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน ดังนั้น จึงมีความจําเป็นต้องมีแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มนี้เป็นการเฉพาะ
นอกเหนือจากผู้ประกอบการ SMEs ทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวข้างต้น ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินเกินกว่า 500 ล้านบาท หรือเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ซึ่งไม่เข้าข่ายคุณสมบัติของผู้ประกอบการ SMEs ตามมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan เนื่องจากผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มนี้ถือเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพ มีอํานาจต่อรองกับสถาบันการเงินในการเข้าถึงสินเชื่อปกติของสถาบันการเงิน และสามารถมีช่องทางการระดมทุนที่หลากหลาย เช่น การเพิ่มทุนโดยเจ้าของกิจการ การออกหุ้นกู้ เป็นต้น
ต่างประเทศ
27. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจําประเทศไทย และสํานักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) สําหรับความร่วมมือในการกํากับดูแลธนาคารพาณิชย์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจําประเทศไทย และสํานักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) สําหรับความร่วมมือในการกํากับดูแลธนาคารพาณิชย์ พร้อมทั้งอนุมัติให้ผู้อํานวยการใหญ่สํานักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สาระสําคัญ
ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจําประเทศไทย และสํานักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) สําหรับความร่วมมือในการกํากับดูแลธนาคารพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงินระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับ Financial Services Commission (FSC) ไต้หวัน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้เริ่มเจรจาจัดทําร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวตั้งแต่ปี 2559 โดยการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ อยู่บนพื้นฐานของความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือในการกํากับดูแลสถาบันการเงินระหว่างประเทศไทยและไต้หวัน เพื่อให้การกํากับดูแลสถาบันการเงินเป็นไปอย่างมั่นคงปลอดภัยและมีความสอดคล้องกับมาตรฐาน โดยเฉพาะในกรณีวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจจะส่งผลต่อความเข้มแข็งของระบบการเงินและสถาบันการเงินทั้งสองฝ่าย ซึ่งหน่วยงานทั้งสองจะสามารถร่วมกันพิจารณาปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไขปัญหาได้ ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ไม่มีเจตนาที่ประสงค์จะก่อการผูกมัดใดๆ ทางกฎหมายต่อหน่วยงานทั้งสองและจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันลงนาม โดยมีผลต่อไปเป็นระยะเวลา 1 ปี และจะต่ออายุโดยอัตโนมัติคราวละ 1 ปี จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแจ้งยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า 30 วัน
28. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีนว่าด้วยการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) และการกระชับความร่วมมือภายใต้ความตกลงการค้าอาเซียน-จีน
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีนว่าด้วยการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ASEAN –China Economic Ministers’ Joint Statement on Combating the Coronavirus Disease (COVID-19) and Enhancing ACFTA Cooperation และการกระชับความร่วมมือภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดําเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
สาระสําคัญ
ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีนฯ เป็นเอกสารแสดงเจตจํานงเพื่อร่วมมือกันพลิกฟื้นเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนระดับโลกและภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) โดยมีสาระสําคัญดังนี้
1. ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ASEAN-China Free Trade Agreement: ACFTA) มีส่วนสําคัญในการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับจีน นําไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยจากข้อมูลของสํานักเลขาธิการอาเซียน การค้าของทั้งสองฝ่ายเติบโตจาก 235.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2553 เป็น 497 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 111 อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับความท้าทายในปัจจุบัน การค้าระหว่างอาเซียนและจีนยังมีแนวโน้มในเชิงบวกและจะเป็นตัวขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาค ด้วยเหตุนี้ ทําให้อาเซียนและจีนเล็งเห็นความสําคัญในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นผ่านความตกลง ACFTA
2. การบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-19 อาเซียนและจีนชื่นชมการให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากทั้งสองฝ่ายทั้งในรูปแบบการเงินและการแลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้ ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเน้นย้ําถึงความมุ่งมั่นในการรักษาตลาดที่เปิดกว้าง และส่งเสริมการอํานวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนเพื่อรักษาห่วงโซ่อุปทานทั้งในระดับภูมิภาคและโลก รวมถึงทําให้การเคลื่อนย้ายของสินค้าเกษตร อาหาร ยา อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์สินค้าและบริการที่จําเป็นอื่นๆ เป็นไปอย่างราบรื่น
3. การใช้มาตรการเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นของตลาดและปรับปรุงเสถียรภาพของเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเน้นย้ําการแสวงหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์กับผู้มีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาคเอกชน ธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย เพื่อลดการหยุดชะงักของการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับจีน ซึ่งรวมถึงการระงับการใช้มาตรการทางการค้าที่ไม่จําเป็นเพื่อลดผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค ทั้งนี้หากมีความจําเป็นในการออกมาตรการฉุกเฉินทางการค้าใด ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 จะต้องมีการกําหนดเป้าหมาย อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม มีความโปร่งใสและต้องคํานึงถึงมาตรฐานและข้อเสนอแนะขององค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization: WCO) และสอดคล้องกับสิทธิและพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (World Trades Organization: WTO)
แต่งตั้ง
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ให้ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้ง นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่ง เลขาธิการสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ผู้ครองตําแหน่งอยู่เดิมขอลาออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สํานักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายภูมินทร ปลั่งสมบัติ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สํานักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง
32. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จํานวน 8 คน ซึ่งเป็นการแต่งตั้งตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ดังนี้
1. รองศาสตราจารย์ประภาภัทร นิยม
2. นางปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร
3. นางสาวศุภธิดา พรหมพยัคฆ์
4. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
5. รองศาสตราจารย์ทิศนา แขมมณี
6. นายสมศักดิ์ พะเนียงทอง
7. นางเนตรชนก วิภาตะศิลปิน
8. นายปกรณ์ นิลประพันธ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป และในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงศึกษาธิการ ดําเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง การดําเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
..............
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 26 พฤษภาคม 2563
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 26 พฤษภาคม 2563
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ (26 พฤษภาคม 2563) เวลา 09.00 น.ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. ....
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะเข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ เชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา
ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลําปาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. ....
7. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการ เลขานุการ คณะกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
8. เรื่อง ร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์ พ.ศ. ....
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 รวม 7 ฉบับ
10. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวงในจังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวง ในจังหวัดตรัง พ.ศ. .... และร่างพะราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสําหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ (กําหนดวันเปิดทําการศาลแขวงกระบี่และศาลแขวงตรัง วันที่ 1 ตุลาคม 2563 และกําหนดให้ศาลจังหวัดซึ่งยังมิได้มีศาลแขวงเปิดทําการสามารถนําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดสําหรับคดีอาญาที่อยู่ในอํานาจศาลแขวงซึ่งเกิดขึ้นในบางท้องที่ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป)
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ - สังคม
12. เรื่อง ขออนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง
13. เรื่อง โครงการพัฒนาระบบส่งและจําหน่าย ระยะที่ 2 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบแผนความต้องการอัตรากําลังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (พ.ศ. 2564 - 2566) ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่ม แห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2556 - 2560)
15. เรื่อง เสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน (หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชน ศึกษา สําหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน)
16. เรื่อง ข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกรณีผู้ประกอบอาชีพประมงได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing)
17. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสําหรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
18. เรื่อง การดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับปัญหาบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)
19. เรื่อง การขยายกรอบระยะเวลาและของบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562/63 (เพิ่มเติม)
20. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
21. เรื่อง แนวทางการนํายางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท
22. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
23. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และ การเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 2
24. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 4/2563
25. เรื่อง ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
26. เรื่อง การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ SMEs อย่างทั่วถึง
ต่างประเทศ
27. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจําประเทศไทย และสํานักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) สําหรับความร่วมมือ ในการกํากับดูแลธนาคารพาณิชย์
28. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีนว่าด้วยการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) และการกระชับความร่วมมือภายใต้ความตกลงการค้าอาเซียน-จีน
แต่งตั้ง
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สํานักนายกรัฐมนตรี)
32. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
*******************
สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ตราขึ้นเพื่อดําเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2. รับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ออกตามความในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กําหนดบทนิยามคําว่า “การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย” “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” และ “ผู้เชิญชวน” โดยมีประธานรัฐสภาเป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
2. กําหนดให้ในการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน และการเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน
3. กําหนดให้ก่อนดําเนินการตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ให้สํานักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่เผยแพร่ร่างพระราชบัญญัติ จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นวิเคราะห์ผลกระทบอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นต่อสาธารณะ พร้อมกับเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐสภา
4. กําหนดให้หากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรหรืออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงและคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปไม่ได้ร้องขอให้มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อไปหากผู้แทนเข้าชื่อยืนยันเป็นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่เรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกให้ถือว่าเป็นการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติใหม่ โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรจะต้องดําเนินการตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
5. การเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทํามิได้ และให้นําบทบัญญัติเกี่ยวกับการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติมาใช้บังคับกับการเข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมด้วยโดยอนุโลม ยกเว้นจํานวนผู้เข้าชื่อร้องขอตามมาตรา 7 ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบคน
6. กําหนดบทเฉพาะกาลรองรับการดําเนินการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 ที่ได้ดําเนินการไปแล้วในวันก่อนวันที่ร่างพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เป็นอันใช้ได้ ส่วนการดําเนินการต่อไปให้ดําเนินการตามร่างพระราชบัญญัติ และกรณีการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติสิ้นสุดลง ให้ถือว่าการเข้าชื่อเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติยังมีผลอยู่ต่อไป โดยให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปตามร่างพระราชบัญญัตินี้
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดงกล่าว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ
3. ให้ อก. รับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย
ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสําคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย ให้มีกลไกในการพิจารณาที่มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 77/2559 เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ลงวันที่ 27 ธันวาคม พุทธศักราช 2559
สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ สรุปได้ดังนี้
1. วันบังคับใช้ ให้พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกําหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
2. บทนิยาม เพิ่มนิยามคําว่า “กระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย” เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติ
3. เพิ่มหมวด 2/1 มาตรการพิเศษในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย
- กําหนดให้ในกรณีที่มีเหตุจําเป็นเพื่อให้กระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายเป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย นอกจากพนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานผู้รับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายให้ทํากิจการในอํานาจหน้าที่ของหน่วยงานนั้น ๆ แล้ว ให้มีผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ หรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งทําหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ หรือการตรวจสอบในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายของส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ บุคคล หน่วยงาน หรือองค์กรดังกล่าว ต้องได้รับการขึ้นบัญชีจากหน่วยงานผู้รับผิดชอบ
- กําหนดให้รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ โดยคําแนะนําของคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีอํานาจประกาศกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการได้มาซึ่งผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ หรือองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศ อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดและค่าขึ้นบัญชีที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดและค่าใช้จ่ายที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคําขอในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย ตลอดจนกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายในความรับผิดชอบ
- กําหนดให้ค่าขึ้นบัญชีและค่าใช้จ่ายที่จัดเก็บตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เป็นเงินของหน่วยงานผู้รับผิดชอบหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ทําภารกิจในอํานาจหน้าที่ของหน่วยงานผู้รับผิดชอบแล้วแต่กรณี โดยไม่ต้องนําส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน และให้ใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ตามที่กําหนด ทั้งนี้ การรับเงินหรือการจ่ายเงินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบประกาศกําหนดในราชกิจจานุเบกษา โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
4. บทเฉพาะกาล
- ให้บรรดาคําขอ หรือกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย หรือกระบวนการให้ได้มาซึ่งผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐอื่น ๆ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณา หรือที่ได้ดําเนินการไปแล้ว ให้ถือว่าเป็นคําขอ หรือกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฉบับนี้
- ให้บรรดาประกาศกระทรวงสาธารณสุขและประกาศสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาที่ออกตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 77/2559 เรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุอันตราย ที่สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยารับผิดชอบ ให้มีผลใช้บังคับได้ต่อไป และให้ถือเป็นกฎหมายลําดับรองตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ด้วย
3. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน (ฉบับที่..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสํานักงบประมาณและสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย
3. รับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
กษ. เสนอว่า
1. พระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน พ.ศ. 2551 มีบทบัญญัติบางมาตราไม่เป็นไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งบทบัญญัติการอนุรักษ์ดินและน้ําไม่ครอบคลุมถึงการพัฒนาและเก็บรักษาน้ําในดินและน้ําบนดิน องค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาที่ดินไม่คลอบคลุมถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องทรัพยากรน้ํา รวมถึงปัญหาการขอรับบริการวิเคราะห์ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือสิ่งปรับปรุงดินของเกษตรกรซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายจะถูกถ่ายโอนไปยังภาคเอกชนหรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โดยจะมีค่าใช้จ่ายในการขอรับบริการ จึงมีปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่เกษตรกรรมไม่ว่าจะเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดิน หรือการชะล้างพังทลายของดิน รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดิน
2. ดังนั้น เพื่อให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินซึ่งสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบันในอันที่จะคุ้มครองพื้นที่ทางการเกษตรของประเทศไม่ให้ถูกทําลายไม่ว่าจะเกิดจากการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือการชะล้างพังทลายของดิน จึงมีความจําเป็นต้องแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการพัฒนาที่ดินในเรื่องการอนุรักษ์ดินและน้ําเพื่อให้ครอบคลุมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นดังนี้
2.1 แก้ไขบทนิยาม “การอนุรักษ์ดินและน้ํา” ให้ครอบคลุมถึงการพัฒนาและเก็บรักษาน้ําในดินและน้ําบนดิน
2.2 แก้ไของค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาที่ดินให้ครอบคลุมถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องทรัพยากรน้ํา และแก้ไขให้คณะกรรมการฯ มีอํานาจหน้าที่ในการออกระเบียบเกี่ยวกับคําขอให้วิเคราะห์ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือ สิ่งปรับปรุงดิน หรือคําขอให้ปรับปรุงดินหรือที่ดินหรือคําขอให้อนุรักษ์ดินและน้ํา หรือคําขอให้บริการแผนที่ ข้อมูลทางแผนที่
2.3 เพิ่มเติมหน้าที่กรมพัฒนาที่ดินในการทําสํามะโนที่ดิน การพัฒนาและเก็บรักษาน้ําในดินและน้ําบนดินเพื่อการเกษตร ตลอดจนการให้บริการ สาธิต ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดินเพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจของกรมพัฒนาที่ดิน
2.4 แก้ไขให้เกษตรกรสามารถขอใช้บริการวิเคราะห์ ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือสิ่งปรับปรุงดิน จากเดิมที่ต้องยื่นคําขอต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ แต่หากไม่มีหน่วยงานดังกล่าวให้ยื่นต่อเขตหรือที่ว่าการอําเภอ เป็นยื่นคําขอต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ เนื่องจากมีหน่วยงานของกรมพัฒนาที่ดินครอบคลุมทุกจังหวัดแล้ว ทั้งนี้ กรมพัฒนาที่ดินเตรียมการถ่ายโอนภารกิจด้านการวิเคราะห์ ตรวจสอบ และให้คําปรึกษา แนะนํา เกี่ยวกับดิน น้ํา พืช ปุ๋ย และอื่น ๆ ให้แก่ภาคเอกชนหรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ดําเนินการแทน โดยยกเว้นค่าใช้จ่ายให้แก่เกษตรกรและงานวิจัยที่มาขอใช้บริการ
2.5 แก้ไขให้เกษตรกร ผู้ศึกษาวิจัย และประชาชนที่ประสงค์จะให้กรมพัฒนาที่ดินปรับปรุงดินหรือที่ดิน หรืออนุรักษ์ดินและน้ํา หรือบริการแผนที่ ข้อมูลทางแผนที่ จากเดิมที่ต้องยื่นคําขอต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ แต่หากไม่มีหน่วยงานดังกล่าวให้ยื่นต่อเขตหรือที่ว่าการอําเภอ เป็นยื่นคําขอต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่โดยการเสียค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามกฎกระทรวง
3. กษ. ได้ดําเนินการตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยรายงานว่า การตรากฎหมายข้างต้นเป็นการเตรียมการถ่ายโอนงานวิเคราะห์ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือสิ่งปรับปรุงดิน ให้ภาคเอกชน หรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ดําเนินการแทนส่วนราชการ โดยจะยกเว้นค่าใช้จ่ายให้เฉพาะเกษตรกรและงานวิจัยที่มาขอใช้บริการ ซึ่งจะช่วยให้ผู้รับบริการซึ่งเป็นเกษตรกรและงานศึกษาวิจัยได้รับบริการการวิเคราะห์ ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือสิ่งปรับปรุงดิน ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง อันเป็นการขยายโอกาสให้เกษตรกรพัฒนาอาชีพและรายได้อย่างยั่งยืนต่อไป และเป็นประโยชน์กับการศึกษาวิจัย รวมทั้งโครงการงานนโยบายของหน่วยงานของรัฐ แต่อย่างไรก็ตาม การถ่ายโอนงานดังกล่าวจะส่งผลให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จากการเก็บค่าใช้จ่ายหรือค่าใช้บริการ จากเฉลี่ยประมาณ 344,730 บาท/ต่อปี
4. กษ. ได้ดําเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้แล้ว โดยดําเนินการผ่านเว็บไซต์ของกรมพัฒนาที่ดิน www.ldd.go.th ระหว่างวันที่ 21 สิงหาคม 2562 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2562 และได้มีหนังสือส่งไปยังหน่วยงานราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้แสดงความคิดเห็นในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ (วันที่ 8 สิงหาคม 2562) จังหวัดสงขลา (วันที่ 28 สิงหาคม 2562) และจังหวัดอุบลราชธานี (วันที่ 4 กันยายน 2562) ทั้งนี้ ได้ทําสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายพร้อมทั้งเปิดเผยเอกสารดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ www.ldd.go.th ตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดําเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทําร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว
จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติพัฒนาที่ดิน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ
สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กําหนดบทนิยามคําว่า “การอนุรักษ์ดินและน้ํา” โดยให้ครอบคลุมถึงการพัฒนาและเก็บรักษาน้ําในดินและน้ําบนดิน
2. กําหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน โดยเพิ่มเติมให้อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อธิบดีกรมทรัพยากรน้ํา อธิบดีกรมทรัพยากรน้ําบาดาล และเลขาธิการสํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เป็นกรรมการ และแก้ไขชื่อเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
3. กําหนดให้คณะกรรมการพัฒนาที่ดินมีอํานาจในการออกระเบียบเกี่ยวกับคําขอให้วิเคราะห์ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือ สิ่งปรับปรุงดิน หรือคําขอให้ปรับปรุงดิน หรือที่ดินหรือคําขอให้การอนุรักษ์ดินและน้ํา หรือคําขอให้การบริการแผนที่ ข้อมูลทางแผนที่
4. กําหนดให้กรมพัฒนาที่ดินมีหน้าที่ในการทําสํามะโนที่ดิน การพัฒนาและเก็บรักษาน้ําในดินและน้ําบนดินเพื่อการเกษตร ตลอดจนการให้บริการ สาธิต ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการพัฒนาที่ดิน
5. กําหนดให้เกษตรกรผู้ใดประสงค์จะให้กรมพัฒนาที่ดินวิเคราะห์ ตรวจสอบตัวอย่างดิน น้ํา พืช ปุ๋ย หรือ สิ่งปรับปรุงดินให้ติดต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
6. กําหนดให้ผู้ใดที่ประสงค์จะให้กรมพัฒนาที่ดินปรับปรุงดินหรือที่ดิน หรืออนุรักษ์ดินและน้ํา หรือให้บริการแผนที่ ข้อมูลทางแผนที่ ให้ยื่นคําขอต่อหน่วยงานพัฒนาที่ดินในท้องที่ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ โดยให้เป็นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข และเสียค่าใช้จ่ายตามที่กําหนดในกฎกระทรวง
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะเข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาประเด็นตามความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะและครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พ.ศ. 2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกําหนดให้เพิ่มปริญญาในสาขาวิชาเทคโนโลยี สาขาวิชาศิลปกรรมศาสตร์ และสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ และอักษรย่อสําหรับสาขาวิชา รวมทั้งกําหนดสีประจําสาขาวิชาดังกล่าว และสภามหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว ซึ่งเป็นการดําเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547
5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลําปาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลําปาง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสําหรับสาขาวิชาครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจําตําแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลําปาง พ.ศ. 2563 โดยกําหนดให้เพิ่มปริญญาในสาขาวิชาการจัดการ สาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ และสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ และอักษรย่อสําหรับสาขาวิชา รวมทั้งกําหนดสีประจําสาขาวิชาดังกล่าว ซึ่งสภามหาวิทยาลัยราชภัฏลําปางได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว และ เป็นการดําเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547
6. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
1. กําหนดให้ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. 2543 และระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548
2. กําหนดนิยามของคําว่า “หน่วยงานของรัฐ” “ความหลากหลายทางชีวภาพ” “ทรัพยากรชีวภาพ” และ “ความปลอดภัยทางชีวภาพ” และ “การเข้าถึง” เพื่อให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น
3. ปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติ (กอช.) โดยเพิ่มผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้แทนสํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้แทนกรมการพัฒนาชุมชน ผู้แทนกรมการท่องเที่ยว ผู้แทนกรมทรัพย์สินทางปัญญา ผู้แทนกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และผู้แทนกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยปรับปรุงหน้าที่และอํานาจ กอช. ให้ครอบคลุมการกําหนดและเสนอแนะนโยบาย มาตรการและแผนการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ รวมถึง การพัฒนาระบบและเครือข่ายข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ตามที่กําหนดไว้ในแผนการปฏิรูปประเทศ และสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน
4. กําหนดให้สํานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทําหน้าที่เป็นสํานักงานเลขานุการคณะกรรมการฯ โดยให้มีหน้าที่และอํานาจในการเสนอแนะแนวทาง นโยบาย มาตรการ และแผนการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ ต่อคณะกรรมการฯ ประสานงาน ให้คําแนะนํา สนับสนุน และส่งเสริมความร่วมมือในการดําเนินการตามแนวทาง นโยบาย มาตรการ และแผนการบริหารจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ และประสานการอนุวัติและติดตามการดําเนินงานตามพันธกรณีของข้อตกลงหรือ ความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ และดําเนินการร่วมกับหน่วยงานของรัฐในการเจรจาเพื่อต่อรองเงื่อนไขในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพ
5. กําหนดให้ระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าถึงทรัพยากรชีวภาพและการได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากทรัพยากรชีวภาพ พ.ศ. 2554 ซึ่งออกตามความในข้อ 9 (4) แห่งระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. 2543 มีผลบังคับใช้ได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีนี้ ทั้งนี้ จนกว่าจะมีระเบียบคณะกรรมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพแห่งชาติที่ออกตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีนี้ใช้บังคับ
7. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการ เลขานุการคณะกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สํานักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
2. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการ เลขานุการคณะกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สํานักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ โดยให้ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีผลใช้บังคับไม่ก่อนวันที่ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับ
สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติและร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
1.1 แก้ไขเพิ่มเติมกรอบระยะเวลาของกระบวนการโต้แย้งเขตอํานาจศาล สําหรับการฟ้องคดีต่อศาลปกครองหรือศาลอื่นที่ไม่ใช่ศาลยุติธรรมและศาลทหาร และในระหว่างเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัยชี้ขาดเขตอํานาจศาล ให้ศาลที่รับฟ้องมีดุลพินิจในการพิจารณาคดีต่อไปได้
1.2 แก้ไขเพิ่มเติมระยะเวลาการพิจารณาคําร้องขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาด กรณีคําพิพากษาหรือคําสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน
1.3 กําหนดให้มีผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล เพื่อทําหน้าที่ช่วยเหลืองานของเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล ในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาลกําหนด
1.4 แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาลได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา
2. ร่างพระราชกฤษฎีกาประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการ เลขานุการคณะกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ....
ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยประโยชน์ตอบแทนคณะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2546 ดังนี้
บัญชีอัตราประโยชน์ตอบแทน
ตําแหน่ง
อัตราประโยชน์ตอบแทน/เดือน
พระราชกฤษฎีกาฯ พ.ศ. 2546
ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ พ.ศ. ....
ประธานกรรมการ
10,000 บาท
15,000 บาท
กรรมการ
8,000 บาท
12,000 บาท
เลขานุการคณะกรรมการ
8,000 บาท
10,000 บาท
ผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการ
-
5,000 บาท
8. เรื่อง ร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้
กค. เสนอว่า
1. เนื่องจากกรมธนารักษ์มีภารกิจตามกฎหมายกําหนดหลายด้าน ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 ด้านการประเมินราคาทรัพย์สิน ตามพระราชบัญญัติการประเมินราคาทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พ.ศ. 2562 ด้านการผลิตเหรียญและบริหารเงินตรา ตามพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 และพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และด้านการอนุรักษ์และเผยแพร่ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน ซึ่งการดําเนินการตามภารกิจของกรมธนารักษ์จําเป็นต้องมีการปฏิสัมพันธ์กับประชาชน และต้องปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตํารวจและหน่วยงานราชการอื่น ๆ โดยภารกิจบางส่วนกฎหมายกําหนดให้เจ้าหน้าที่กรมธนารักษ์เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา รวมทั้งการมีหน้าที่ในการดูแลรักษาเหรียญกษาปณ์และทรัพย์สินมีค่าของรัฐจํานวนมาก
2. ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติงานของกรมธนารักษ์มีความคล่องตัวและเหมาะสมกับภารกิจที่เพิ่มขึ้น จึงมีความจําเป็นต้องกําหนดให้ข้าราชการกรมธนารักษ์มีเครื่องแบบพิเศษเพิ่มขึ้นจากเครื่องแบบข้าราชการพลเรือน เพื่อให้เหมาะสมในการปฏิบัติงานและความเป็นอัตลักษณ์เดียวกันของข้าราชการกรมธนารักษ์
3. กรมธนารักษ์มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการกําหนดเครื่องแบบพิเศษของกรมธนารักษ์ ที่ 640/2562 ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2562 เพื่อยกร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์ พ.ศ. .... เสนอคณะกรรมการกลั่นกรองการกําหนดเครื่องแบบพิเศษของส่วนราชการพิจารณา ซึ่งต่อมาคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีฯ ดังกล่าว โดยมีการแก้ไขรายละเอียด ดังนี้
3.1 เครื่องแบบพิเศษของข้าราชการหญิงมีเพียงเสื้อคอพับสีน้ําเงินและคอพับสีขาว
3.2 ปรับหมวกของข้าราชการหญิงจาก “หมวกทรงหม้อตาล” เป็น “หมวกแก๊ปทรงอ่อนพับปีกสีขาว”
3.3 เพิ่มเติมรายละเอียดการใช้ผ้าคลุมศีรษะของข้าราชการหญิงมุสลิม โดยให้ชายผ้าคลุมศีรษะสอดไว้ในปกคอเสื้อ
3.4 ปรับรายละเอียดของกระโปรงให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยให้กรมธนารักษ์ดําเนินการปรับปรุงข้อความในร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีฯ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ดังกล่าว เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ซึ่งกรมธนารักษ์ได้ดําเนินการตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ แล้ว
จึงได้เสนอร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์ พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ
สาระสําคัญของร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี
กําหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษข้าราชการกรมธนารักษ์กับการแต่งเครื่องแบบ ดังนี้
1. เครื่องแบบพิเศษข้าราชการกรมธนารักษ์ชาย ได้แก่ หมวกทรงหม้อตาล หรือหมวกทรงอ่อนมีกะบังสีน้ําเงินดํา เสื้อคอพับสีน้ําเงินดํา แขนสั้นหรือแขนยาว และกางเกงขายาวสีน้ําเงินดํา เป็นต้น
2. เครื่องแบบพิเศษข้าราชการกรมธนารักษ์หญิง ได้แก่ หมวกแก๊ปทรงอ่อนพับปีกสีขาว หรือหมวกแก๊ปทรงอ่อนสีน้ําเงินดํา เสื้อคอพับสีน้ําเงินดํา แขนยาว หรือคอพับสีขาวแขนสั้น และกระโปรงหรือกางเกงสีน้ําเงินดํา เป็นต้น
3. อินทรธนูและเครื่องหมายตําแหน่ง กําหนดให้อินทรธนูมีลักษณะแข็งทําด้วยไหมสีทองหรือ วัตถุเทียมไหมสีทองและทําด้วยสักหลาดสีน้ําเงินดําเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าปลายตัดสําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์ชาย กว้าง 5 เซนติเมตร ยาว 13 เซนติเมตร สําหรับข้าราชการกรมธนารักษ์หญิง กว้าง 4.5 เซนติเมตร ยาว 11 เซนติเมตร
4. เครื่องหมายตําแหน่งบนอินทรธนู เช่น “ดอกพุดตาน” ทําด้วยพลาสติกสีทอง มีลักษณะเป็นดอก 6 แฉก ซ้อนสลับกัน 3 ช้อน กว้าง 1.6 เซนติเมตร สูง 0.5 เซนติเมตร และ “ช่อชัยพฤกษ์” ทําด้วยพลาสติกสีทอง มีก้านมาบรรจบกันตรงกลาง มัดรวมก้านด้วยดิ้นทองเป็นขมวด 3 ปม มีเชือกผูกโบว์ 2 เส้นห้อยลงมา กว้าง 3.62 เซนติเมตร สูง 2.46 เซนติเมตร เป็นต้น
9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 รวม 7 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ. 2559 รวม 7 ฉบับ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดข้อมูลและรายละเอียดของรายงานวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ฉบับเบื้องต้น ประเภทสถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการผลิตพลังงานและสถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย พ.ศ. ....
กําหนดให้รายงานวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ฉบับเบื้องต้น ประเภทสถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการผลิตพลังงาน และสถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยต้องจัดทําเป็นเอกสาร และประกอบด้วยสาระสําคัญ เช่น บทนําและคําอธิบายทั่วไป คําอธิบายสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ทั่วไป การบริหารจัดการคุณภาพ การประเมินสถานที่ตั้ง การออกแบบทั่วไป ลักษณะสถานประกอบการ การวิเคราะห์ความปลอดภัย การทดสอบการเดินเครื่อง การใช้งานเครื่อง ขีดจํากัดและเงื่อนไขในการดําเนินการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ การป้องกันอันตรายทางรังสี การเตรียมความพร้อมกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี ข้อพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม การจัดการกากกัมมันตรังสีและการเลิกดําเนินการ
2. ร่างกฎกระทรวงการเลิกดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ พ.ศ. ....
กําหนดให้ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้รับโอนใบอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่ประสงค์จะเลิกดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ให้ยื่นคําขอเลิกดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ต่อเลขาธิการสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ ก่อนการเลิกดําเนินการไม่น้อยกว่าสามปี พร้อมแผนการเลิกดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์และเอกสารทางการเงินเกี่ยวกับการดําเนินการตามแผนการเลิกดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ โดยการเลิกดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ให้กระทําการรื้อถอนด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) รื้อถอนทั้งหมดทันที (2) รื้อถอนทั้งหมดตามระยะเวลาที่กําหนด (3) รื้อถอนบางส่วนทันทีและรื้อถอนส่วนที่เหลือตามระยะเวลาที่กําหนด โดยทั้งสามวิธีดังกล่าวจะใช้การฝังกลบไม่ได้
3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดศักยภาพทางเทคนิคและการเงินของผู้ตั้งสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ พ.ศ. ....
กําหนดให้ผู้ตั้งสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ต้องมีศักยภาพทางเทคนิคตามรายงานวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ต้องมีความสามารถในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อรองรับการดําเนินการของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ตามที่ได้รับใบอนุญาต และต้องมีความสามารถในการดํารงสภาพคล่องทางการเงินที่จะดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ตามที่ได้รับใบอนุญาตได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง
4. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ พ.ศ. ....
กําหนดให้ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้รับโอนใบอนุญาตก่อสร้างสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่ประสงค์จะดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ ต้องยื่นคําขอรับใบอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์พร้อมด้วยเอกสารหลักฐานทางการเงิน ใบอนุญาตก่อสร้างสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่ระบุชื่อผู้ขอรับใบอนุญาตและยังไม่สิ้นอายุ และรายงานวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ฉบับสมบูรณ์ ส่วนผู้รับใบอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ที่ประสงค์จะต่ออายุใบอนุญาต ให้ยื่นคําขอต่ออายุใบอนุญาตก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุไม่น้อยกว่าสามปีแต่ไม่เกินสิบห้าปี
5. ร่างกฎกระทรวงกําหนดระยะเวลาและกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ต้องทบทวนและปรับปรุงรายงานการวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ พ.ศ. ....
กําหนดให้ผู้รับใบอนุญาตดําเนินการสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ ต้องทบทวนและปรับปรุงรายงานวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ทุกสิบปีนับแต่ได้รับใบอนุญาต และต้องยื่นเอกสารแผนการทบทวนและปรับปรุงรายงานดังกล่าว ก่อนครบกําหนดสิบปีนับแต่วันที่ได้รับใบอนุญาตอย่างน้อยสามปีเป็นการล่วงหน้า โดยระบุหัวข้อ ขอบเขต และกําหนดระยะเวลาดําเนินการให้ชัดเจน รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าของการทบทวนและปรับปรุงรายงานดังกล่าวต่อเลขาธิการสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ
6. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตก่อสร้างสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ พ.ศ. ....
กําหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตต้องยื่นคําขอรับใบอนุญาตและชําระค่าธรรมเนียมต่อเลขาธิการ พร้อมด้วยใบอนุญาตให้ใช้พื้นที่เพื่อตั้งสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ รายงานวิเคราะห์ความปลอดภัยของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ฉบับเบื้องต้น และเอกสารหลักฐานทางการเงิน รวมทั้งเอกสารหรือหลักฐานที่กําหนดในกฎกระทรวงฉบับนี้
7. ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาต การบรรจุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ วัสดุนิวเคลียร์ หรือเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว การทดสอบการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ หรือการทดสอบการบรรจุวัสดุนิวเคลียร์ หรือเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว และการรายงานการทดสอบ พ.ศ. ....
กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบรรจุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ วัสดุนิวเคลียร์ หรือเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว การทดสอบการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หรือการทดสอบการบรรจุวัสดุนิวเคลียร์หรือเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว และการรายงานการทดสอบโดยต้องได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ ในกรณีการบรรจุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และทดสอบการเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และกรณีการบรรจุวัสดุนิวเคลียร์ในกระบวนการเสริมสมรรถนะวัสดุนิวเคลียร์หรือการบรรจุเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว ในกระบวนการแปรสภาพเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว ทั้งนี้ ผู้รับใบอนุญาตก่อสร้างสถานประกอบการทางนิวเคลียร์จะต้องจัดทํารายงานการทดสอบให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวงฉบับนี้
10. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวงในจังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวง ในจังหวัดตรัง พ.ศ. .... และร่างพะราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสําหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ (กําหนดวันเปิดทําการศาลแขวงกระบี่และศาลแขวงตรัง วันที่ 1 ตุลาคม 2563 และกําหนดให้ศาลจังหวัดซึ่งยังมิได้มีศาลแขวงเปิดทําการสามารถนําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดสําหรับคดีอาญาที่อยู่ในอํานาจศาลแขวงซึ่งเกิดขึ้นในบางท้องที่ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวงในจังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวง ในจังหวัดตรัง พ.ศ. .... และร่างพะราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสําหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ ตามที่สํานักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยมอบหมายสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา ทั้ง 3 ฉบับ ให้สอดคล้องไปคราวเดียวกัน รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
1. ร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวงในจังหวัดกระบี่ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากําหนดจํานวน เขตอํานาจ และวันเปิดทําการของศาลแขวง ในจังหวัดตรัง พ.ศ. .... เป็นการกําหนดให้มีศาลแขวงกระบี่ในจังหวัดกระบี่ และศาลแขวงตรังในจังหวัดตรัง โดยให้แต่ละศาลมีเขตอํานาจในอําเภอทุกอําเภอ และให้เปิดทําการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของศาลจังหวัด และเพื่อเป็นการอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนในท้องที่ให้สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว เสมอภาค เป็นธรรม ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ศาลยุติธรรม พ.ศ. 2561 – 2564
2. ร่างพะราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติให้นําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 บังคับสําหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการกําหนดให้นําวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดสําหรับคดีอาญาที่อยู่ในอํานาจศาลแขวงซึ่งเกิดขึ้นในท้องที่ทุกอําเภอของจังหวัดกระบี่ จังหวัดตาก จังหวัดพังงา จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดลําพูน จังหวัดเลย และจังหวัดอุตรดิตถ์ รวมทั้งในท้องที่อําเภอขุนตาล อําเภอเชียงของ อําเภอเทิง อําเภอป่าแดด อําเภอพญาเม็งราย และอําเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ในท้องที่อําเภอเฉลิมพระเกียรติ อําเภอเชียรใหญ่ อําเภอปากพนัง และอําเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ในท้องที่อําเภอชุมพลบุรี อําเภอท่าตูม อําเภอโนนนารายณ์ อําเภอรัตนบุรี อําเภอสนม และอําเภอสําโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ และในท้องที่อําเภอเดชอุดม อําเภอทุ่งศรีอุดม อําเภอนาจะหลวย อําเภอนาเยีย อําเภอน้ําขุ่น อําเภอน้ํายืน และอําเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี และยกเลิกในท้องที่อําเภอบางละมุง อําเภอสัตหีบ และอําเภอศรีราชา เฉพาะตําบลทุ่งสุขลา ตําบลบึง และตําบลบ่อวิน จังหวัดชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็ว เสมอภาค เป็นธรรม และเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปโดยเสมอภาคและรวดเร็วยิ่งขึ้น
11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดค่าธรรมเนียมตามกฎหมายว่าด้วยแร่ พ.ศ. .... ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดําเนินการต่อไปได้
สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง
1. กําหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียม และกําหนดคุณสมบัติของผู้ถือประทานบัตรผู้รับใบอนุญาตแต่งแร่ หรือผู้รับใบอนุญาตประกอบโลหกรรมที่มีสิทธิได้รับการยกเว้นหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมรายปี โดยต้องเป็นผู้ประกอบกิจการที่รับผิดชอบต่อสังคม มีการปฏิบัติตามข้อกําหนดด้านสิ่งแวดล้อม และผ่านเกณฑ์มาตรฐานเหมืองแร่สีเขียว หรือตามหลักเกณฑ์ที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กําหนด และได้รับการประกาศรายชื่อจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือได้รับรางวัลหรือประกาศนียบัตรที่มีมาตรฐานสูงกว่าหรือเทียบเท่า
2. กรณีที่ผู้ประกอบกิจการยังคงรักษาเกณฑ์มาตรฐานการประกอบกิจการได้สูงกว่ามาตรฐานที่กฎหมายกําหนด หรือเทียบเท่าอย่างต่อเนื่องและได้รับการประกาศรายชื่อให้เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลหรือประกาศนียบัตร ให้ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีถัดไปจากปีที่มีการประกาศรายชื่อ รวมถึงการต่ออายุให้ได้รับการลดค่าธรรมเนียมเป็นจํานวนกึ่งหนึ่งของอัตราค่าธรรมเนียมตามที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวง
3. กรณีสถานประกอบกิจการประสบเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือได้รับอุบัติภัย หรือต้องหยุดประกอบกิจการอันเนื่องมาจากโรคระบาดหรือโรคติดต่อ และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ประกาศรายชื่อให้เป็นผู้ประสบเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย หรือได้รับผลกระทบจากโรคระบาดหรือโรคติดต่อ ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือได้รับอุบัติภัย หรือต้องหยุดประกอบกิจการอันเนื่องมาจากโรคระบาดหรือโรคติดต่อ หากในปีนั้นได้ชําระค่าธรรมเนียมรายปีไว้แล้วให้ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมรายปีในปีถัดไปจากปีที่ประสบเหตุทางธรรมชาติ รวมถึงการต่ออายุให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุประทานบัตรและใบอนุญาตด้วย
เศรษฐกิจ - สังคม
12. เรื่อง ขออนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องขออนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมงตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ แล้วมีมติอนุมัติตามความเห็นของสํานักงบประมาณ (สงป.) ดังนี้
1. เห็นชอบโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง วงเงินสินเชื่อรวม 10,300 ล้านบาท และกรอบวงเงินงบประมาณในการดําเนินโครงการ จํานวน 2,164.1 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าชดเชยดอกเบี้ย จํานวน 2,163 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการประมงกู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี และผู้ประกอบการประมงสมทบร้อยละ 4 ต่อปี เป็นระยะเวลา 7 ปี นับแต่วันที่กู้ แบ่งเป็น (1) ธนาคารออมสิน ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย จํานวน 1,050 ล้านบาท และ (2) ธ.ก.ส. ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงขนาดต่ํากว่า 60 ตันกรอส วงเงินสินเชื่อ 5,300 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย จํานวน 1,113 ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. จัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป สําหรับค่าใช้จ่ายในการชี้แจง ประชาสัมพันธ์ และติดตามโครงการ จํานวน 1.1 ล้านบาท นั้น เห็นสมควรให้ กษ. โดยกรมประมงพิจารณาโอนเงินจัดสรร เปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนแล้วแต่กรณีไป
2. ให้ กษ. โดยกรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน รวมถึงการตรวจสอบรายละเอียดคุณสมบัติผู้ประกอบการประมงในการขอสินเชื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดอย่างเคร่งครัด โดยคํานึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ตลอดจนมีการประเมินผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับจากการดําเนินโครงการเป็นรายปี เพื่อให้มีข้อมูลในการบริหารงานอย่างถูกต้องครบถ้วน สําหรับประกอบการกําหนดนโยบายของภาครัฐที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ
สาระสําคัญของเรื่อง
กษ. รายงานว่า
1. จากการประชุมหารือฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย 6 ครั้งที่ประชุมได้นําประเด็นปัญหาการทําประมงจากสมาคมประมงต่าง ๆ และจากชาวประมง จัดลําดับความเร่งด่วนของปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหาเรื่องสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องของผู้ประกอบการปัญหาเรื่องแรงงานขาดแคลน ปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย และอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงเรื่องการชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, unreported and unregulated fishing - IUU) โดยที่ประชุมได้หารือกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย สรุปได้ ดังนี้
1.1 จัดหาแหล่งสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ โดยผลการสํารวจความต้องการสินเชื่อของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย วงเงินสินเชื่อทั้งหมดที่ต้องการ 10,048.44 ล้านบาท เจ้าของเรือที่แจ้งความต้องการ 2,820 ราย เรือประมง 4,822 ลํา แบ่งเป็นเรือประมงพาณิชย์ 4,384 ลํา และเรือประมงพื้นบ้าน 438 ลํา ซึ่งกรมประมงได้ร่างโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง และอยู่ระหว่างการดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง (รวมถึงการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติในคราวนี้)
1.2 เร่งรัดโครงการนําเรือออกนอกระบบ โดยกรมประมงได้ดําเนินการตรวจสอบเรือประมงที่จะนําออกนอกระบบเพื่อจัดทํางบประมาณโดยใช้เกณฑ์ในการชดเชยตามเกณฑ์การประเมินราคาเรือประมง รวม 2,768 ลํา เป็นเงินทั้งสิ้น 7,143.85 ล้านบาท
1.3 แก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคกิจการประมงทะเลตามมาตรา 83 แห่งพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 กษ. โดยกรมประมงได้ดําเนินการทําหนังสือเสนอต่อกระทรวงแรงงาน (รง.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อนําเข้าคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว (คบต.) และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปโดยทําควบคู่กับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ที่ดีเกี่ยวกับแรงงานที่ทํางานในเรือประมง
1.4 พิจารณาทบทวน ปรับปรุง แก้ไขกฎหมายพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกรมประมงดําเนินการประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประมงพาณิชย์ ประมงพื้นบ้าน และประมงนอกน่านน้ํา เพื่อพิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎหมายหลัก กฎหมายลําดับรอง และกฎหมายเกี่ยวข้องกับการทําประมงนอกน่านน้ําด้วย ในกรอบระยะเวลา 1 เดือน เพื่อนําเสนอต่อ กษ.
1.5 รวบรวมปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมง ดําเนินการรวบรวมประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมง จํานวน 32 ประเด็น เช่น การแก้ไขปัญหาการทําประมงนอกน่านน้ํา การพิจารณาการทําประมงแมงกระพรุนในเขตทะเลชายฝั่ง การขอลดความห่างซี่คราดหอย ความเดือดร้อนในเรื่องการเปิดระบบการติดตามตําแหน่งเรือประมง (Vessel Monitoring System - VMS) ของเรือที่มีใบอนุญาตถูกกฎหมาย แต่ไม่ได้ออกไปทําการประมงเป็นเวลาหลายปี เป็นต้น
2. การปฏิรูปภาคการประมงไทยในช่วงที่ผ่านมาเป็นการบริหารจัดการด้านการประมงและการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ํา ปกป้องคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพการประมงแบบมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากร การใช้ประโยชน์จากสัตว์น้ําเพื่อนําไปสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และดําเนินการตามพันธกรณีระหว่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์และบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ํา อันจะนําไปสู่การรักษาและฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ําให้อยู่ในระดับที่สามารถก่อให้เกิดผลผลิตสูงสุดของสัตว์น้ําที่สามารถทําการประมงได้อย่างยั่งยืน โดยได้มีการประกาศใช้พระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2558 และพระราชกําหนดการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2560 เพื่อจัดระเบียบการประมงของไทยให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการปฏิรูปภาคการประมงไทย ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการประมงรับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการปรับปรุงเรือ เครื่องมือ และอุปกรณ์ทําการประมง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงาน เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการประมงประสบปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน ขาดเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพและบางรายอาจต้องใช้สินเชื่อนอกระบบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการทําการประมง เนื่องจากผู้ประกอบการประมงไม่สามารถนําเรือประมงมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ําประกันการกู้เงินจากสถาบันการเงินได้ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีความเป็นไปได้มากขึ้นในการนําเรือมาเป็นหลักทรัพย์ค้ําประกัน เนื่องจากมีระบบในการควบคุมเรือ เช่น มีการขึ้นทะเบียนเรือกับกรมเจ้าท่า และมีการติดตั้งระบบติดตามตําแหน่งเรือ (Vessel Monitoring System - VMS) ตามพระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งสามารถทําให้ทราบตําแหน่งเรือได้
3. ในระยะเร่งด่วน กษ. ได้พิจารณาถึงแนวทางในการช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านเพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพด้วยการจัดหาแหล่งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการประมงให้สามารถกลับมาประกอบอาชีพประมงเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอาชีพต่อไป โดยจากการสํารวจข้อมูลความต้องการสินเชื่อโดยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ในเบื้องต้นพบว่าผู้ประกอบการประมงมีความต้องการสินเชื่อ ประมาณ 10,048 ล้านบาท กษ. จึงได้จัดทําโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง ซึ่งได้ผ่านการประชุมหารือฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย 6 ครั้ง (ตามข้อ 1) และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการประมงไทย ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2562 ด้วยแล้ว
4. โครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง มีรายละเอียดดังนี้
4.1 วัตถุประสงค์ : เพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพการทําการประมงโดยสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําให้แก่ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้าน
4.2 เป้าหมาย : สนับสนุนสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และประมงพื้นบ้านที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ วงเงินสินเชื่อรวม 10,300 ล้านบาท
4.3 ระยะเวลาดําเนินการ :
(1) ระยะเวลาโครงการ 8 ปี นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการ
(2) ระยะเวลาการยื่นความประสงค์เข้าร่วมโครงการ 1 ปี หรือภายในกรอบวงเงินสินเชื่อตามที่กําหนด
(3) กําหนดชําระคืนเงินกู้ให้แล้วเสร็จภายใน 7 ปี นับแต่วันกู้
4.4 หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการขอรับการสนับสนุนสินเชื่อ : ให้ผู้ประกอบการประมงที่ประสงค์ขอรับการสนับสนุนสินเชื่อ ติดต่อขอสินเชื่อกับธนาคารออมสิน หรือ ธ.ก.ส. ตามขนาดเรือประมง กรณีเจ้าของเรือที่มีขนาดเรือประมงทั้ง 2 ประเภท ให้สามารถขอรับการสนับสนุนสินเชื่อจากธนาคารได้เพียงแห่งเดียว ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
หลักเกณฑ์และเงื่อนไข
กรณีผู้ประกอบการที่มีเรือประมง
ขนาดตั้งแต่ 60 ตันกรอส ขึ้นไป
ขนาดต่ํากว่า 60 ตันกรอส
ธนาคารผู้ให้กู้
ธนาคารออมสิน
ธ.ก.ส.
คุณสมบัติของ
ผู้ประกอบการประมง
(1) เป็นบุคคลธรรมดาอายุไม่ต่ํากว่า 20 ปีบริบูรณ์ มีสัญชาติไทย หรือเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย
(2) เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในเรือประมงที่มีทะเบียนเรือไทย
(3) เป็นผู้ประกอบการประมงที่มีประสบการณ์ในการประกอบอาชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี
(4) เป็นผู้ประกอบการประมงที่มีใบอนุญาตทําการประมงพาณิชย์
(4) กรณีผู้ประกอบการประมงพาณิชย์ต้องมีใบอนุญาตทําการประมงพาณิชย์
ประเภทสินเชื่อ
(1) เงินกู้ระยะสั้น ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน หรืออื่นๆ ตามที่ธนาคารกําหนด เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ
(2) เงินกู้ระยะยาว เพื่อเป็นเงินทุนในการปรับปรุงเรือประมง ปรับเปลี่ยนเครื่องมือและอุปกรณ์ทําการประมง
วงเงินสินเชื่อ
สูงสุดไม่เกินรายละ 10 ล้านบาท
สูงสุดไม่เกินรายละ 5 ล้านบาท
อัตราดอกเบี้ย
ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. ให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อปี โดยเรียกเก็บจากผู้กู้ ร้อยละ 4 ต่อปี และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส อัตราร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่วันกู้ เป็นระยะเวลา 7 ปี
ระยะการชําระคืนเงินกู้
ไม่เกิน 7 ปี นับแต่วันกู้
หลักประกันการกู้เงิน
ให้ใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ดังนี้
(1) ที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่มีหนังสือแสดงเอกสารสิทธิสามารถจดทะเบียนจํานองได้ หรืออาคารชุด
(2) เรือประมง
(3) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
(4) บุคคลค้ําประกัน
(5) หลักประกันอื่น ๆ ตามที่ธนาคารประกาศกําหนด
หลักเกณฑ์การให้สินเชื่อ
ตามเงื่อนไขของธนาคารออมสิน
ตามเงื่อนไขของ ธ.ก.ส.
การค้ําประกันสินเชื่อ โดย บสย.
บสย. ควรพิจารณาคุณสมบัติของผู้ประกอบการประมง ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการค้ําประกันสินเชื่อ และวิธีปฏิบัติในการค้ําประกันสินเชื่อของ บสย.
4.5 วงเงินสินเชื่อโครงการ : รวม 10,300 ล้านบาท ดังนี้
(1) วงเงินสินเชื่อของธนาคารออมสิน จํานวน 5,000 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงตั้งแต่ 60 ตันกรอสขึ้นไป กู้เพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพการทําประมง
(2) วงเงินสินเชื่อของ ธ.ก.ส. จํานวน 5,300 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการประมงที่มีเรือประมงต่ํากว่า 60 ตันกรอส กู้เพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพการทําการประมง
4.6 วงเงินงบประมาณและแหล่งที่มา : 2,164.1 ล้านบาท ดังนี้
(1) วงเงินชดเชยดอกเบี้ยของธนาคารออมสิน อัตราร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่วันกู้ เป็นระยะเวลา 7 ปี จากวงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ปีละ 150 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย 1,050 ล้านบาท โดยให้ธนาคารออมสินขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีจากสํานักงบประมาณ (สงป.) ตามที่เกิดขึ้นจริงจากการดําเนินการโครงการ
(2) วงเงินชดเชยดอกเบี้ยของ ธ.ก.ส. อัตราร้อยละ 3 ต่อปี นับแต่วันกู้ เป็นระยะเวลา 7 ปี จากวงเงินสินเชื่อ 5,300 ล้านบาท ปีละ 159 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินชดเชยดอกเบี้ย 1,113 ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีจาก สงป. ตามที่เกิดขึ้นจริงจากการดําเนินการโครงการ
(3) ค่าใช้จ่ายในการดําเนินการโครงการของกรมประมงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประชุมชี้แจง ประชาสัมพันธ์โครงการ และติดตามโครงการ รวมเป็นวงเงินดําเนินงาน 1.1 ล้านบาท
4.7 การแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ : ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. สามารถนําค่าใช้จ่ายในการกันสํารองที่เกิดขึ้นจากโครงการนี้เพื่อบวกกลับเป็นรายได้ของธนาคาร และเป็นส่วนหนึ่งในการปรับตัวชี้วัดทางการเงินที่เกี่ยวข้องตามบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดําเนินงานรัฐวิสาหกิจได้ และให้แยกบัญชีการดําเนินงานตามโครงการนี้ออกจากการดําเนินงานปกติ เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Service Account - PSA)
13. เรื่อง โครงการพัฒนาระบบส่งและจําหน่าย ระยะที่ 2 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอดังนี้
1. อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดําเนินโครงการพัฒนาระบบส่งและจําหน่าย ระยะที่ 2 วงเงินลงทุนรวม 77,334 ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศจํานวน 57,999 ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จํานวน 19,335 ล้านบาท
2. เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน 57,999 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดําเนินการกู้เงินตามความจําเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ
สาระสําคัญของเรื่อง
มท. รายงานว่า
1. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติโครงการพัฒนาระบบส่งและจําหน่าย ระยะที่ 1 (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าและก่อสร้างสถานีไฟฟ้าให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นได้อย่างเพียงพอ และเพิ่มประสิทธิภาพ ความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า และลดปัญหาในการปฏิบัติการ และบํารุงรักษา เป็นต้น นั้น โครงการดังกล่าวมีผลความคืบหน้าในภาพรวมของทั้งโครงการ (เดือนธันวาคม 2562) คิดเป็นร้อยละ 13.54 โดยมีวงเงินที่เบิกจ่ายแล้ว 20,226.99 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32.27 และวงเงินอยู่ระหว่างดําเนินการ 40,567.66 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.72 คงเหลือ 1,884.06 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.01 อย่างไรก็ตาม พื้นที่ให้บริการของ กฟภ. มีมากถึงร้อยละ 99 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ประกอบกับการใช้พลังงานไฟฟ้าและจํานวนผู้ใช้ไฟฟ้ามีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้จํานวนสถานีไฟฟ้ามีไม่เพียงพอ และสายจําหน่ายแต่ละวงจรต้องจ่ายไฟเป็นระยะทางไกลจึงเกิดปัญหาไฟตกไฟดับและหน่วยสูญเสียสูง ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมการกระจายกิจการอุตสาหกรรมไปสู่ส่วนภูมิภาค ทําให้ความต้องการไฟฟ้ามีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น กฟภ. จําเป็นต้องมีการลงทุนก่อสร้างสถานีไฟฟ้า ระบบสายส่ง และระบบจําหน่าย รวมถึงการเพิ่มเสถียรภาพการจ่ายไฟเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถรองรับและตอบสนองต่อแผนการพัฒนาประเทศของรัฐบาลในการพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรมทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างเหมาะสม เพียงพอ กฟภ. จึงได้จัดทําโครงการพัฒนาระบบส่งและจําหน่าย ระยะที่ 2
2. โครงการพัฒนาระบบส่งและจําหน่าย ระยะที่ 2 ของ กฟภ. ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กฟภ. ในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2562 แล้ว มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ
รายละเอียด
วัตถุประสงค์
1. พัฒนาระบบไฟฟ้าและก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแห่งใหม่ ให้เป็นสถานีไฟฟ้าอัตโนมัติ (Substation Automation System) ตามมาตรฐาน International Electrotechnical Commission 61850 (IEC 61850) เพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย สอดคล้องตามมาตรฐานสากล และรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นได้อย่างเพียงพอ
2. เพิ่มประสิทธิภาพความมั่นคงและความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ลดปัญหาการปฏิบัติการและบํารุงรักษา และลดหน่วยสูญเสียในระบบจําหน่าย
3. ปรับปรุงและเชื่อมโยงระบบจําหน่ายไฟฟ้าในพื้นที่ธุรกิจ อุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม และพื้นที่สําคัญให้มีขีดความมั่นคงของระบบไฟฟ้าที่สูงขึ้น
เป้าหมาย
ก่อสร้างสถานีไฟฟ้า ระบบสายส่ง 115 เควี ระบบจําหน่ายแรงสูง 22/33 เควี และระบบจําหน่ายแรงต่ํา
พื้นที่ดําเนินการ
ประกอบด้วยพื้นที่รับผิดชอบของ กฟภ. 12 เขต ทั่วประเทศ สรุปได้ ดังนี้
1. ภาคเหนือ 3 การไฟฟ้าเขต ประกอบด้วย กฟภ. เขต 1 จังหวัดเชียงใหม่ กฟภ. เขต 2 จังหวัดพิษณุโลก และ กฟภ. เขต 3 จังหวัดลพบุรี
2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 การไฟฟ้าเขต ประกอบด้วย กฟภ. เขต 1 จังหวัดอุดรธานี กฟภ. เขต 2 จังหวัดอุบลราชธานี และ กฟภ. เขต 3 จังหวัดนครราชสีมา
3. ภาคกลาง 3 การไฟฟ้าเขต ประกอบด้วย กฟภ. เขต 1 จังหวัดอยุธยา กฟภ. เขต 2 จังหวัดชลบุรี และ กฟภ. เขต 3 จังหวัดนครปฐม
4. ภาคใต้ 3 การไฟฟ้าเขต ประกอบด้วย กฟภ. เขต 1 จังหวัดเพชรบุรี กฟภ. เขต 2 จังหวัดนครศรีธรรมราช และ กฟภ. เขต 3 จังหวัดยะลา
ปริมาณงาน
รายการ
ภาค
เหนือ
ตะวันออก
เฉียงเหนือ
กลาง
ใต้
รวม
1. ปริมาณงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าและระบบสายส่ง 115 เควี
1. ก่อสร้างสถานีไฟฟ้า/ลานไก (สถานีแปลงไฟฟ้า)(แห่ง)
2) เพิ่ม/เปลี่ยน หม้อแปลง
(เอ็มวีเอ)
3) สายส่งรองรับสถานีไฟฟ้า (วงจร-กิโลเมตร)
4) ติดตั้ง
Capacitor1 115
เควี (ชุด)
-
-
2. ปริมาณงานก่อสร้าง/ปรับปรุงสถานีไฟฟ้า และระบบไฟฟ้า 115 เควี เพื่อเพิ่มความมั่นคง
1) สายส่งลูปไลน์2 (วงจร-กิโลเมตร)
2) ปรับปรุงสถานีไฟฟ้า (แห่ง)
-
3) ติดตั้ง Load Break Switch3
115 เควี (ชุด)
-
3. ปริมาณงานก่อสร้าง/ปรับปรุงระบบจําหน่ายแรงสูง 22/33 เควี
1) ก่อสร้าง/ปรับปรุงระบบจําหน่ายแรงสูง (วงจร-กิโลเมตร )
2) ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกัน/ตัดตอน (ชุด)
3) ติดตั้งอุปกรณ์ปรับปรุงแรงดัน (ชุด)
4) ติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารสําหรับการควบคุมระยะไกล (ชุด)
4. ปริมาณงานก่อสร้าง/ปรับปรุงระบบจําหน่ายแรงต่ํา
1) ก่อสร้าง/ปรับปรุงระบบจําหน่ายแรงต่ํา
(วงจร-กิโลเมตร)
2) ก่อสร้าง/ปรับปรุงระบบจําหน่ายแรงสูงสายแยกย่อย (วงจร-กิโลเมตร)
3) ติดตั้ง/ปรับปรุงหม้อแปลงจําหน่าย (เอ็มวีเอ)
4) ติดตั้งอุปกรณ์อื่น ๆ (ชุด)
หมายเหตุ : 1Capacitor หมายถึง ตัวเก็บประจุ
2ลูปไลน์ หมายถึง สายส่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการจําหน่ายไฟฟ้า
3Load Break Switch หมายถึง อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร
ระยะเวลาดําเนินการ
6 ปี (พ.ศ. 2563 - 2568)
แผนการดําเนินการ
1. การจัดโครงสร้างองค์กรเพื่อใช้ในการบริหารโครงการ : ประกอบด้วยคณะทํางาน 2 ส่วน คือ ส่วนกลางและการไฟฟ้าเขต โดยส่วนกลางจะดูแลรับผิดชอบด้านการจัดหาอุปกรณ์หลัก งบประมาณ และภาพรวมของโครงการ ส่วนการไฟฟ้าเขตจะดูแลรับผิดชอบด้านระบบจําหน่ายทั้งด้านการเบิกจ่ายงบประมาณ และการดําเนินงานให้เป็นไปตามโครงการ
2. การจัดซื้อที่ดิน : จะดําเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและวิธีปฏิบัติของ กฟภ. โดยวิธีเฉพาะเจาะจง ซึ่งในการดําเนินการจัดหาที่ดิน ผู้อํานวยการ กฟภ. เขต จะแต่งตั้งคณะกรรมการจัดหาที่ดินเพื่อดําเนินการจัดหา ตรวจสอบ และสํารวจบริเวณหรือตําแหน่งที่ดินเป้าหมาย สอบถามราคาที่ดิน ประเมินราคาที่ดิน และสรุปข้อมูลจัดหาที่ดินที่เหมาะสมสําหรับการก่อสร้างสถานีไฟฟ้า เสนอคณะกรรมการจัดซื้อที่ดินโดยวิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อพิจารณานําเสนอขออนุมัติจัดซื้อที่ดินต่อไป โดยเมื่อได้รับอนุมัติให้จัดซื้อที่ดินแล้ว คณะกรรมการตรวจรับที่ดินจะดําเนินการตรวจสอบที่ดิน และโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของ กฟภ. ต่อไป
3. การจัดหาวัสดุอุปกรณ์และจ้างเหมาดําเนินการ : วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างจะเป็นไปตามมาตรฐานของ กฟภ. ซึ่งส่วนใหญ่จะซื้อจากภายในประเทศเป็นหลัก โดยการจัดหาจะดําเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560
4. การก่อสร้าง : ดําเนินการตามมาตรฐาน กฟภ. และมีวิศวกรของ กฟภ. เป็นผู้ควบคุมดูแลให้คําแนะนําและแก้ไขปัญหาอุปสรรคอย่างใกล้ชิด สําหรับการก่อสร้างระบบจําหน่ายจะดําเนินการโดยหน่วยธุรกิจก่อสร้างของ กฟภ. หรือจ้างเหมาเอกชน ทั้งนี้ จะต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของการไฟฟ้าเขต
5. การติดตามผลการดําเนินการ : สํานักงานโครงการจะติดตามประสานงานกับการไฟฟ้าเขต ฝ่ายปฏิบัติการและบํารุงรักษา การไฟฟ้าหน้างาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลและสรุปรายงานผลการดําเนินงานตลอดเวลาของการดําเนินโครงการจัดส่งให้กองโครงการ ฝ่ายวางแผนระบบไฟฟ้า รวบรวมจัดทํารายงานผลความก้าวหน้าของโครงการทุกไตรมาส เพื่อรายงานผู้บริหารระดับสูงของ กฟภ. และจัดส่งให้ สศช. สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ สํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กค. และสํานักงานคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงาน (สํานักงาน กกพ.) โดยรายงานผลความกาวหน้าของโครงการจะประกอบด้วย แผนการดําเนินโครงการ สถานะการจัดซื้อ/จัดจ้าง จัดทําสัญญา ผลการก่อสร้างและการเบิกจ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งปัญหาอุปสรรคในการดําเนินโครงการ ทั้งนี้ ในระหว่างการดําเนินโครงการ กฟภ. จะติดตามและตรวจสอบความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจริงกับที่ได้คาดคะเนไว้ตอนเริ่มจัดทําโครงการตลอดเวลาเพื่อปรับเปลี่ยนแผนดําเนินโครงการ เช่น การออกแบบ การกําหนดแผนการก่อสร้าง การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนไป เพื่อให้การดําเนินโครงการบรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้
ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา
วงเงินลงทุนรวม 77,334 ล้านบาท ประกอบด้วย
1. เงินกู้ในประเทศ 57,999 ล้านบาท
2. เงินรายได้ กฟภ. 19,335 ล้านบาท
ทั้งนี้ การดําเนินการโครงการฯ ไม่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณ หรือภาระทางการคลังในอนาคต ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. 2561 มาตรา 27
ผลตอบแทนของโครงการ
1. ผลตอบแทนทางการเงินของโครงการ สรุปได้ ดังนี้
ผลตอบแทน
อัตรา
ผลตอบแทน (ร้อยละ)
อัตราส่วน
ผลประโยชน์ต่อเงินลงทุน
(B/C Ratio)
มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) (ล้านบาท)
ทางการเงิน (FIRR)
9.55
1.03
ทาง
เศรษฐศาสตร์
(EIRR)
17.18
17.18
2. ผลตอบแทนของโครงการแยกตามภาคต่าง ๆ ได้ ดังนี้
ภาค
ผลตอบแทน
ทางการเงิน
ผลตอบแทน
ทางเศรษฐศาสตร์
FIRR (ร้อยละ)
B/C Ratio
EIRR
(ร้อยละ)
B/C Ratio
เหนือ
6.05
0.99
10.35
1.00
ตะวันออกเฉียงเหนือ
9.25
1.02
15.99
1.05
กลาง
13.12
1.07
23.30
1.18
ใต้
5.84
0.98
10.83
1.01
รวม
9.55
1.03
17.18
1.09
ประโยชน์
ของโครงการ
1. รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจาก 21,354 เมกะวัตต์ ในปี 2561 เป็น 26,466 เมกะวัตต์ ในปี 2568 หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มเฉลี่ยต่อปี
ร้อยละ 3.11
2. การให้บริการ คาดว่าจะมีผู้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 19.52 ล้านราย ในปี 2561 เป็น 23.09 ล้านราย ในปี 2568 หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 2.43
3. ระบบไฟฟ้ามีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ไฟฟ้า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
4. ลดปัญหาไฟฟ้าตก ไฟฟ้าดับ และหน่วยสูญเสียในระบบไฟฟ้า
5. ลดปัญหาในด้านการปฏิบัติ และการซ่อมบํารุงรักษาระบบไฟฟ้า
6. สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะทางภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม ที่กระจายไปสู่ส่วนภูมิภาคตามนโยบายของรัฐบาล
ฯลฯ
การประเมิน
ผลกระทบสิ่งแวดล้อม
การก่อสร้างสถานีไฟฟ้าเป็นการก่อสร้างในพื้นที่ของ กฟภ. ไม่มีการดําเนินงานที่จะขัดต่อระเบียบ ข้อบังคับ หรือข้อห้ามทางกฎหมาย รวมทั้งไม่มีการดําเนินการที่จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมหรือพื้นที่ข้างเคียง และการก่อสร้างสายส่งและระบบจําหน่ายไฟฟ้าดําเนินการในพื้นที่ริมถนนทางหลวง (Right of Way) โดยการก่อสร้างดังกล่าวเป็นการดําเนินการในพื้นที่ที่จํากัดและระยะเวลาสั้น ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อพื้นที่ข้างเคียงที่สามารถเห็นได้ชัดเจน ได้แก่ ผลกระทบในเรื่องเสียง ฝุ่น และของเสียในช่วงระยะเวลาก่อสร้างที่จะมีปริมาณมากกว่าในช่วงเวลาปกติเล็กน้อยและไม่ส่งผลกระทบกับชุมชนในช่วงเวลากลางคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของผู้คน อย่างไรก็ตาม กฟภ. มีมาตรการดูแลให้การก่อสร้างดําเนินไปอย่างปลอดภัย มีอาชีวอนามัยและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและพื้นที่ใกล้เคียงให้น้อยที่สุดในช่วงระยะเวลาการจ่ายไฟและการบํารุงรักษาอุปกรณ์ ซึ่งอาจเกิดผลกระทบเนื่องจากเกิดการรั่วซึมของน้ํามันหม้อแปลงที่ปนเปื้อนสู่ดินและแหล่งน้ํา หรือเกิดก๊าซซึ่งก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก ทั้งนี้ กฟภ. มีการวางแผนงานติดตามเฝ้าระวังและตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่สถานีไฟฟ้าเป็นประจําเพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม
14. เรื่อง ขอความเห็นชอบแผนความต้องการอัตรากําลังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (พ.ศ. 2564 - 2566) ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2556 - 2560)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนความต้องการอัตรากําลังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (รพศ.มฟล.) (พ.ศ. 2564 - 2566) ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2556 - 2560) จํานวน 1,575 อัตรา งบประมาณทั้งสิ้น 401.87 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ
ทั้งนี้ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีเพื่อรองรับแผนความต้องการอัตรากําลังของโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ดังกล่าว เห็นควรให้มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามความจําเป็นเหมาะสม โดยคํานึงถึงศักยภาพในการสรรหา ความสามารถในการบรรจุอัตรากําลังและพิจารณานําเงินนอกงบประมาณมาสมทบ อย่างไรก็ดี หากในอนาคตโรงพยาบาลมีเงินรายได้เพียงพอต่อการจัดบริการตามแผนการเปิดให้บริการโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงแล้ว ให้เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายบุคลากร ตามแผนความต้องการอัตรากําลังโรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จากเงินรายได้ดังกล่าว สําหรับอัตราค่าจ้างให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ
สาระสําคัญของเรื่อง
อว. รายงานว่า
1. รพศ.มฟล. ได้ดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2561 โดยตั้งอยู่บนพื้นที่จํานวน 137 ไร่ มีจํานวนอาคารทั้งหมด 2 หลัง เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2561 ในแผนกผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน สูตินารี กุมารเวช อายุรกรรม ศัลยกรรมทั่วไป ศัลยกรรมกระดูก จักษุ หู คอ จมูก อายุรกรรมโรคหัวใจและหลอดเลือด พยาธิวิทยา รังสีวิทยา กายภาพบําบัด รวมถึงอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ปัจจุบันมีจํานวนผู้มารับบริการในส่วนของผู้ป่วยนอกเฉลี่ยจํานวน 500 คน/วัน ผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉินเฉลี่ย จํานวน 90 คน/วัน รวมทั้งสิ้น 590 คน/วัน คิดเป็น 215,350 คน/ปี มีจํานวนเตียงที่เปิดให้บริการ 156 เตียง และมีอัตรากําลังจากการสนับสนุนของสํานักงบประมาณ (สงป.) จํานวน 70 อัตรา ประกอบด้วยบุคลากรกลุ่มบริการเฉพาะทาง 52 อัตรา และกลุ่มสนับสนุน 18 อัตรา อย่างไรก็ดี จํานวนเตียงและอัตรากําลังดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานของ รพศ.มฟล. ในการรองรับการให้บริการตรวจรักษาเพื่อผู้ป่วยในเขตภาคเหนือตอนบน (เขตสุขภาพที่ 1) และเขตอนุภูมิภาคลุ่มน้ําโขงและโดยที่ รพศ.มฟล. เป็นโรงพยาบาลที่ มฟล. ได้รับอนุมัติให้ดําเนินการก่อสร้างภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2556 – 2560 (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 18 ธันวาคม 2555 และ 14 ตุลาคม 2557) ซึ่งต้องมีอัตรากําลังบุคลากรทั้งฝ่ายแพทย์ ฝ่ายพยาบาล ฝ่ายเทคนิค ฝ่ายสหวิชาชีพ ตลอดจนฝ่ายสนับสนุน รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,500 อัตรา ดังนั้น รพศ.มฟล. จึงได้จัดทําแผนความต้องการอัตรากําลัง ตามแนวทางการวิเคราะห์ภาระงานของสถานบริการในสังกัดสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อคํานวณอัตรากําลังที่จําเป็นในการขยายขนาดการให้บริการ จาก อัตรากําลัง 70 อัตรา ในปัจจุบัน เป็น อัตรากําลัง 1,645 อัตรา (เพิ่มขึ้น 1,575 อัตรา) ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
2. การขออัตรากําลังของ รพศ.มฟล. ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์
2.1 จัดหาบุคลากรทางการแพทย์และวิชาชีพด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เพียงพอต่อการให้บริการรักษาแก่ประชาชน และผู้ป่วยได้ไม่ต่ํากว่าปีละ 460,000 คน1
2.2 จัดหาบุคลากรทางการแพทย์เพื่อรองรับการเป็นสถานฝึกปฏิบัติการในชั้นคลินิก สําหรับนักศึกษาแพทย์ มฟล. ตามโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2556 – 2560
2.3 จัดหาบุคลากรทางการแพทย์เพื่อรองรับภารกิจด้านวิจัยทางคลินิกและการวิจัยด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องตามบทบาทและสถานภาพของ รพศ.มฟล. และในฐานะที่เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิชั้นสูง ที่มีภารกิจวิจัยทางการแพทย์รวมอยู่ด้วย ตลอดจนรองรับภารกิจทั้งด้านการให้บริการและการวิจัยของศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ด้านต่าง ๆ ได้แก่ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านโรคหัวใจและหลอดเลือด ศูนย์ความเป็นเลิศด้านออร์โธปิดิกส์ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านมะเร็งวิทยา ศูนย์ความเป็นเลิศด้านอายุรศาสตร์โลหิตวิทยา
3. อัตรากําลังที่ รพศ.มฟล. เสนอขอรวมทั้งสิ้น 1,575 อัตรา แบ่งเป็นกลุ่มผู้บริหาร 5 อัตรา กลุ่มบริการเฉพาะทาง 1,112 อัตรา กลุ่มสนับสนุน 332 อัตรา และกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 126 อัตรา และจําแนกตามกลุ่มภารกิจได้ ดังนี้
หน่วย : อัตรา
ตําแหน่ง
แผนปี 2564
แผนปี 2565
แผนปี 2566
รวมทั้งสิ้น
กลุ่มผู้บริหาร
-
-
1) ภารกิจด้านอํานวยการ
กลุ่มสนับสนุน
2) ภารกิจด้านบริการปฐมภูมิ2
กลุ่มบริการเฉพาะทาง
กลุ่มสนับสนุน
-
3) ภารกิจด้านสนับสนุนบริการสุขภาพและพัฒนาระบบบริการ3
กลุ่มบริการเฉพาะทาง
กลุ่มสนับสนุน
4) ภารกิจด้านบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ4
กลุ่มบริการเฉพาะทาง
กลุ่มสนับสนุน
กลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
5) ภารกิจด้านบริการพยาบาล
กลุ่มบริการเฉพาะทาง
กลุ่มสนับสนุน
6) ภารกิจด้านผลิตบุคลากรทางการแพทย์
กลุ่มสนับสนุน
รวมกลุ่มผู้บริหาร
-
-
รวมกลุ่มบริการเฉพาะทาง
รวมกลุ่มสนับสนุน
รวมกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
รวมทั้งสิ้น
4. ด้านงบประมาณ โรงพยาบาลฯ มีความจําเป็นที่จะต้องขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของอัตรากําลังรวมทั้งสิ้น 401.87 ล้านบาท
ความต้องการ
อัตรากําลัง
แผนการให้บริการของ
รพ.ศูนย์การแพทย์
มฟล. (เตียง)
อัตรากําลังที่เสนอขอ
(อัตรา)
งบประมาณที่เสนอขอ
(ล้านบาท)
ปีงบประมาณ 2564
244 (เพิ่มขึ้น 88)
162.85
ปีงบประมาณ 2565
323 (เพิ่มขึ้น 79)
128.05
ปีงบประมาณ 2566
411 (เพิ่มขึ้น 88)
110.97
รวม
401.87
5. กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เห็นชอบกับแผนความต้องการอัตรากําลัง รพศ.มฟล. (พ.ศ. 2564 - 2566) ภายใต้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2556 – 2560 ตามที่ มฟล. เสนอ เนื่องจากมีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์และสถาบันทางการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศ ในระยะยาว (5 – 10 ปี) ที่ สธ. กําลังดําเนินการ [ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสํานักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป]
5.1 ในระยะแรก ปี พ.ศ. 2564 ซึ่งจะเปิดบริการ 244 เตียง ต้องการอัตรากําลัง 635 คน โดยอ้างอิงกรอบอัตรากําลังของโรงพยาบาลศูนย์ระดับตติยภูมิชั้นสูง ขนาดน้อยกว่า 700 เตียง ตามเกณฑ์ สธ. ที่เสนอได้ ส่วนการจัดสรรงบประมาณด้านบุคลากรให้เป็นไปตามการพิจารณาของ สงป.
5.2 ในระยะที่ 2 ปี พ.ศ. 2565 – 2566 จะเปิดให้บริการเพิ่มเติมอีก 167 เตียง (79 + 88 เตียง) รวมเป็น 411 เตียง (ครบตามเป้าหมายที่ตั้งไว้) ต้องการอัตรากําลังเพิ่มเติมอีก 940 คน (560 + 434 คน) นั้น ควรพิจารณาถึงจุดเน้นสําคัญของ รพศ.มฟล. ตามความต้องการจําเป็นของบริบทในพื้นที่ และควรคํานึงถึงผลการดําเนินงานของ รพศ.มฟล. พ.ศ. 2561 – 2564 ประกอบการพิจารณาด้วย
5.3 เห็นควรให้โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ มฟล. ประสานเชื่อมโยงการบูรณาการการดําเนินงานร่วมกันกับหน่วยงานด้านสุขภาพที่มีอยู่แล้วของ สธ. และหน่วยงานด้านสุขภาพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ ทั้งระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน (น่าน พะเยา เชียงราย แพร่) เพื่อลดความซ้ําซ้อนในการลงทุนและเกิดความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากร รวมทั้งตอบสนองปัญหาสุขภาพของประชาชน
------------------------------------------------------------------------
1 ประมาณการค่าเฉลี่ยของผู้รับบริการของ รพศ.มฟล. ปี 2564 : 346,750 คน ปี 2565 : 485,450 คน และ ปี 2566 : 565,750 คน
2ภารกิจด้านบริการปฐมภูมิ ได้แก่ งานเวชกรรมสังคมและงานสุขศึกษา และงานการพยาบาลชุมชนและหน่วยพื้นที่
3ภารกิจด้านสนับสนุนบริการสุขภาพและพัฒนาระบบบริการ ได้แก่ งานสารสนเทศทางการแพทย์ งานประกันสุขภาพ งานสิทธิประโยชน์ผู้ป่วยและสังคมสงเคราะห์ เป็นต้น
4ภารกิจด้านบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ ได้แก่ งานให้บริการทางการแพทย์ต่าง ๆ เช่น เวชศาสตร์ฉุกเฉิน อายุรกรรม ศัลยกรรม ออร์โธปิดิกส์ นิติเวช จิตเวช เภสัชกรรม เป็นต้น
15. เรื่อง เสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน (หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษา สําหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนําแนวทางในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน (หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย และคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ไปใช้ประโยชน์ในการสร้างความตระหนักและส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชนในสังคมไทยต่อไป ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับแนวทางดังกล่าวไปพิจารณาใช้ประโยชน์ตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับหน้าที่และอํานาจต่อไป
2. เห็นชอบให้ส่งความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนกรรม กระทรวงศึกษาธิการ สํานักงาน ก.พ. สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สํานักงาน ก.พ.ร. และสถาบันพระปกเกล้าให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
สาระสําคัญของเรื่อง
กสม. รายงานว่า กสม. ได้พัฒนาการดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจในการเสริมสร้างทุกภาคส่วนของสังคมให้ตระหนักถึงความสําคัญของสิทธิมนุษยชน อันจะเป็นรากฐานในการสร้างวัฒนธรรมการเคารพสิทธิมนุษยชนให้นํามาซึ่งความผาสุกของสังคมและประเทศชาติต่อไป ทั้งนี้ ได้ดําเนินการโดยมุ่งหมายให้เกิดการส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ ดังนี้
1. การส่งเสริม สนับสนุน และร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐในการเผยแพร่ความรู้และพัฒนาความเข้มแข็งด้านสิทธิมนุษยชน อันจะช่วยสร้างเสริมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเกิดความตระหนักถึงความสําคัญของสิทธิมนุษยชน และทําหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและดําเนินงานต่าง ๆ ตามหน้าที่และอํานาจของแต่ละหน่วยงาน โดยคํานึงถึงผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่อาจะเกิดขึ้นกับประชาชน สร้างความเท่าเทียมกันในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อให้เป็นไปตามความมุ่งหมายดังกล่าว กสม. ได้ดํานินการอย่างมีส่วนร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิทธิมนุษยชนศึกษาใน กสม. ผู้แทนสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาและกระบวนการยุติธรรมจัดทําหลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาในกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ให้เกิดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม และส่งเสริมสิทธิมนุษยชนให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกภาคส่วนในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ที่มุ่งเน้นที่จะก่อให้เกิดสังคมแห่งความเสมอภาค โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลัง สร้างโอกาสที่เป็นธรรม โดยไม่แบ่งแยก และคํานึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์โดยหลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ประกอบด้วย หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาพื้นฐาน หลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาในกระบวนการยุติธรรม หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสําหรับนักบริหารระดับสูง และหลักสูตรธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนสําหรับรัฐวิสาหกิจ
2. การส่งเสริมเผยแพร่ให้เด็กและเยาวชนตระหนักถึงสิทธิมนุษยชนของแต่ละบุคคลที่ทัดเทียมกัน และการเคารพสิทธิมนุษยชนของบุคคลอื่นซึ่งอาจแตกต่างกันในทางวัฒนธรรม ประเพณี และศาสนา โดยได้ประสานความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการซึ่งกํากับดูแลสถานศึกษาในสังกัดกว่า 30,000 แห่ง มีบุคลากรทางการศึกษากว่า 400,000 คน ทําหน้าที่สนับสนุนและให้การศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เด็กนักเรียนในประเทศกว่า 7,000,000 คน ดําเนินการอย่างมีส่วนร่วมในการจัดทําคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อใช้เป็นแนวทางอย่างเป็นระบบในการสร้างเสริมสิทธิมนุษยชนในสถานศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ช่วงวัยเรียน/วัยรุ่นตามยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์โดยคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษาสําหรับการศึกษาพื้นฐาน ประกอบด้วย คู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษา 5 ช่วงชั้น (ระดับปฐมวัย ระดับประถมศึกษาตอนต้น ระดับประถมศึกษาตอนปลาย ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย)
16. เรื่อง ข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกรณีผู้ประกอบอาชีพประมงได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการพิจารณาคําร้องของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวม 4 ประเด็น
2. รับทราบข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีผู้ประกอบอาชีพประมงได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing)
3. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางดังกล่าว ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามข้อ 2 ไปพิจารณาดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สาระสําคัญของเรื่อง
1. กสม. รายงานว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายบุญยง นิ่วบุตร นายกสมาคมชาวประมงอําเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี ว่าชาวประมงประมาณ 100 ราย ได้รับผลกระทบในการประกอบอาชีพประมงจากการดําเนินการของคณะรัฐมนตรีและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) โดยสหภาพยุโรปได้กล่าวหาประเทศไทยว่า มีการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) ถึงแม้ว่าคณะรัฐมนตรีและ กษ. จะดําเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้การทําประมงสามารถดําเนินการได้อย่างยั่งยืนและเป็นระบบแล้วก็ตาม แต่การดําเนินการดังกล่าวยังขาดความเข้าใจในหลายประเด็น โดยเฉพาะบริบทของประมงวิถีไทย และการแก้ไขปัญหาที่ไม่เป็นธรรมก่อให้เกิดภาระเกินความจําเป็นในการประกอบอาชีพประมง จึงขอให้ตรวจสอบในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1.1 การจัดการ การขึ้นทะเบียน และการตรวจสอบแรงงาน
1.2 การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า – ออก
1.3 ปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล ซึ่งเกี่ยวข้องกับการห้ามและจํากัดการใช้เครื่องมือประมงบางประเภท
1.4 มาตรการเยียวยาผู้ประกอบอาชีพประมงที่ได้รับผลกระทบและแนวทางในการรับซื้อเรือคืน
2. กสม. ได้พิจารณาคําร้อง ในประเด็นต่าง ๆ ตามข้อ 1.1 – 1.4 แล้ว เห็นควรให้ยุติเรื่องทั้ง 4 ประเด็น ดังนี้
2.1 กรณีการจัดการ การขึ้นทะเบียน และการตรวจสอบแรงงานเห็นว่า แม้การกําหนดขั้นตอนและกระบวนการในการจัดการ การขึ้นทะเบียน และการตรวจสอบแรงงานของคณะรัฐมนตรีและ กษ. โดยหน่วยงานในสังกัดจะเป็นการเพิ่มขั้นตอนการดําเนินการในการประกอบอาชีพประมงของสมาชิกสมาคมชาวประมงอําเภอบ้านแหลม แต่เมื่อพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการดําเนินการที่เป็นไปเพื่อการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการใช้แรงงานผิดกฎหมาย และเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพในการทํางานของแรงงานในภาคการประมงทั้งแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว
2.2 กรณีการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า-ออก เห็นว่า แม้การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า – ออก จะกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของสมาชิกสมาคมชาวประมงอําเภอบ้านแหลม แต่การดําเนินการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบติดตาม ควบคุมและเฝ้าระวังการทําการประมงให้มีประสิทธิภาพ ทั้งเป็นการป้องกัน ยับยั้ง และขจัดการทําการประมงโดย ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทําการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) และหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้จัดทําคู่มือการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่โดยได้แก้ไขปรับปรุงเป็นระยะและจัดอบรมสร้างความเข้าใจให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง
2.3 กรณีปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล ซึ่งเกี่ยวข้องกับการห้ามและจํากัดการใช้เครื่องมือประมงบางประเภท เห็นว่า กฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้ผู้ประกอบอาชีพประมงใช้เครื่องมือประมงชนิดใดนั้น เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรี และ กษ. พิจารณาถึงเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล และความเหมาะสมของพื้นที่แม้อาจกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของสมาชิกสมาคมชาวประมงอําเภอบ้านแหลม แต่การดําเนินการดังกล่าวเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ําและการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ เพื่อรักษาหรือฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ําและให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทะเลอย่างยั่งยืน
2.4 กรณีมาตรการเยียวยาผู้ประกอบอาชีพประมงที่ได้รับผลกระทบและแนวทางในการรับซื้อเรือประมงคืน เห็นว่า แม้ปัจจุบันการดําเนินการโครงการการนําเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืนโดยกรมประมงจะยังไม่แล้วเสร็จยังคงมีเรือประมงที่เข้าร่วมโครงการและรอการพิจารณาเพื่อรับการชดเชยเยียวยาและบรรเทาผลกระทบ จึงอาจกระทบต่อสิทธิของบุคคลในทรัพย์สินของสมาชิกสมาคมชาวงประมงอําเภอบ้านแหลมแต่เป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ของกรมประมง
3. นอกจากนี้ กสม. ได้มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กรณีผู้ประกอบอาชีพประมงได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal, Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) ต่อคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคณะรัฐมนตรีควรมอบหมายให้ กษ. และคณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบอาชีพประมงทุกกลุ่ม รวมทั้งประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายแก้ไขปัญหาการทําประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมาได้นําเสนอปัญหาความเดือดร้อนหรือความเสียหายที่ได้รับ รวมถึงมีส่วนร่วมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลอย่างสมดุลและยั่งยืน และหากมีกรณีใดที่ต้องดําเนินการเยียวยาความเดือดร้อนหรือความเสียหายให้แก่ประชาชนหรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบควรดําเนินการอย่างเป็นธรรมและโดยไม่ชักช้า
17. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสําหรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสําหรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตามกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานอันเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจ พ.ศ. 2563 และกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2563 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอดังนี้
สาระสําคัญ
ตามที่คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 มีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ รายงานผลการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานสําหรับผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) แล้วนั้น กระทรวงแรงงานโดยสํานักงานประกันสังคม ขอรายงานความคืบหน้า ดังนี้
1. กระทรวงแรงงานโดยสํานักงานประกันสังคม ได้พิจารณาวินิจฉัยสั่งจ่ายไปแล้ว ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563 จํานวน 1,095,399 ราย เป็นเงิน 6,052 ล้านบาท
2. กระทรวงแรงงานโดยสํานักงานประกันสังคม ได้มีการติดตามนายจ้างที่ยังไม่ได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทน จํานวน 29,406 ราย โดยให้หน่วยปฏิบัติดําเนินการ ดังนี้
1) จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์/อุทธรณ์ COVID-19 ณ สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ รวมทั้งส่วนกลาง ณ สํานักงานประกันสังคม สํานักงานใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป
2) มีหนังสือแจ้งสถานประกอบการที่ยังไม่ได้ออกหนังสือรับรองการขอรับประโยชน์ทดแทน ให้ตรวจสอบและส่งชื่อลูกจ้างที่ยังไม่ได้รับเงิน เพื่อดําเนินการจ่ายเงินประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน โดยให้ยื่นเรื่องได้ที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ
3) มีหนังสือแจ้งผู้ประกันตนที่ยังไม่ได้รับเงิน ให้ยื่นร้องทุกข์/อุทธรณ์ ได้ที่สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทั่วประเทศ
18. เรื่อง การดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับปัญหาบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามผลการหารือระหว่างรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และปลัดกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 กรณีการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับปัญหาบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอดังนี้
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้คําสั่งศาลตามกฎหมายล้มละลาย และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) รับความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง นั้น รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และปลัดกระกระทรวงการคลังแล้ว เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 มีความเห็นร่วมกันว่า
1. ในขณะที่คณะรัฐมนตรีมีมติเรื่องนี้ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ยังคงมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจและอยู่ในการกํากับดูแลของกระทรวงคมนาคม แต่บัดนี้ กระทรวงการคลังได้ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทฯ จึงทําให้ บริษัทฯ พ้นจากสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจแล้วโดยเด็ดขาด เพียงแต่กระทรวงการคลังยังคงถือหุ้นจํานวนมากประมาณร้อยละ 48 ส่วนภารกิจที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม เตรียมความพร้อมให้บริษัทฯ เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และดูแลให้บริษัทฯ ตรวจสอบ จัดเตรียมเอกสารและแนวทางที่เกี่ยวข้องนั้น กระทรวงคมนาคมได้มอบให้บริษัทฯ ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ต่อไปแล้ว
2. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้แต่งตั้งคณะทํางานเพื่อติดตามการดําเนินการแก้ไขปัญหาบริษัทการบินไทย จํากัด (มหาชน) แล้ว ซึ่งจากการหารือเห็นชอบให้มีคณะกรรมการประกอบด้วยผู้แทนกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และผู้ทรงคุณวุฒิ ตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 143/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามการดําเนินการแก้ไขปัญหา บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)
ส่วนการติดตามดูแลกิจการของบริษัทฯ ตามสัดส่วนของหุ้นย่อมอยู่ในอํานาจหน้าที่ของกระทรวงการคลัง และการประสานงานกับกระทรวงคมนาคม บริษัทฯ ก็สามารถดําเนินการได้โดยตรงอยู่แล้วหรืออาจใช้ช่องทางคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นใหม่ก็ได้
คําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ที่ 143/2563 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการติดตามการดําเนินการแก้ไขปัญหา บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน)
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) โดยการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้คําสั่งศาลตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 และให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) รับไปดําเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและความเห็นของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง นั้น
แม้ผลจากการนี้จะทําให้บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) พ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจโดยเด็ดขาด และกระบวนการฟื้นฟูกิจการจะเป็นไปตามขั้นตอนและอยู่ในอํานาจหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องตามกฎหมายโดยเฉพาะก็ตาม แต่โดยที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยังคงมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทเป็นจํานวนมาก อีกทั้งการประกอบกิจการของบริษัทซึ่งยังสามารถดําเนินการต่อไปได้ เกี่ยวพันกับกฎหมายและกฎระเบียบของทางราชการ อันต้องอาศัยการอํานวยความสะดวกจากภาครัฐ และการประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ และรัฐยังจําเป็นต้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนและประโยชน์สาธารณะ คณะรัฐมนตรีจึงควรมีโอกาสรับทราบความคืบหน้าในการดําเนินการเป็นระยะ ๆ โดยมีระบบกลั่นกรอง และช่วยตรวจสอบในส่วนของภาครัฐ
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้มีคณะกรรมการติดตามการดําเนินการแก้ไขปัญหา บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ประกอบด้วย
(1) นายวิษณุ เครืองาม ประธาน
รองนายกรัฐมนตรี
(2) นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการ
(3) นายประสงค์ พูนธเนศ กรรมการ
ปลัดกระทรวงการคลัง
(4) นายชัยวัฒน์ ทองคําคูณ กรรมการ
ปลัดกระทรวงคมนาคม
(5) นายชยธรรม์ พรหมศร กรรมการ
ผู้อํานวยการสํานักงานนโยบายและแผน
การขนส่งและจราจร
(6) นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ กรรมการ
ปลัดกระทรวงยุติธรรม
(7) นายปกรณ์ นิลประพันธ์ กรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
(8) นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล กรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์
(9) นายประภาศ คงเอียด กรรมการและเลขานุการ
ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการ
นโยบายรัฐวิสาหกิจ
ข้อ 2 ให้คณะกรรมการมีหน้าที่และอํานาจดังนี้
(1) เป็นตัวแทนภาครัฐในการติดตามการดําเนินการแก้ไขปัญหาบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ในการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการภายใต้คําสั่งศาลและการดําเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องในทุกขั้นตอน
(2) ให้คําแนะนําแก่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการ แก้ไขปัญหาบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับหน้าที่และอํานาจของภาครัฐโดยไม่เกี่ยวกับกระบวนพิจารณาของศาล
(3) กลั่นกรอง ตรวจสอบ และอํานวยความสะดวกหรือประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์แก่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ และการดําเนินกิจการของ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ตามที่มีการร้องขอ และไม่ขัดต่อกฎหมาย
(4) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
(5) รายงานการปฏิบัติงานพร้อมทั้งเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ
ข้อ 3 คณะกรรมการอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ หรือคณะทํางานเพื่อปฏิบัติงานเฉพาะเรื่องได้
ให้คณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทํางานได้รับเบี้ยประชุมหรือค่าใช้จ่ายตามที่กระทรวงการคลังกําหนด
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป
19. เรื่อง การขยายกรอบระยะเวลาและของบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562/63 (เพิ่มเติม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการการขยายกรอบระยะเวลาโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2562/63 (จากเดิม กําหนดช่วงเวลาเพาะปลูกระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 – 31 พฤษภาคม 2563 เป็นระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2562 – 31 พฤษภาคม 2563) ภายในกรอบจํานวนเกษตรกร 452,000 ครัวเรือน ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ โดยในส่วนของงบประมาณให้ พณ. ทําความตกลงกับสํานักงบประมาณ
20. เรื่อง การขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 – 30 มิถุนายน 2563 ตามที่สํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ
สมช. เสนอว่า
เรื่องเดิม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 และสิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เพื่อบังคับใช้อํานาจตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 แก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 ที่เกิดขึ้นในประเทศ
การดําเนินการที่ผ่านมา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม 2563 สํานักงานฯ ในฐานะสํานักงานประสานงานกลาง ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้เชิญหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการตามพระราชกําหนดฯ ในด้านต่าง ๆ ผู้แทนส่วนราชการและประชาคมข่าวกรองเข้าร่วมการประชุม โดยมี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน เพื่อประเมินผลการปฏิบัติของส่วนราชการต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน และพิจารณากําหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมในห้วงต่อไปเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
1. ที่ประชุมมีความเห็นสอดคล้องกันว่าการบังคับใช้อํานาจตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ยังมีความจําเป็น เนื่องจากจะช่วยสร้างระบบการบริหารจัดการในเชิงบูรณาการที่ดีให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อชะลอ ควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด – 19 และยังช่วยสนับสนุนให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มีความเป็นเอกภาพ รวดเร็ว มีประสิทธิภาพและมีความต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นการสร้างมาตรฐานกลางด้านสาธารณสุขและช่วยเยียวยาประชาชนได้อย่างครอบคลุมภาพรวมของประเทศอีกด้วย
2. ที่ประชุมให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงของการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการบังคับใช้กฎหมายสําหรับในระยะที่ 3 และระยที่ 4 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของเชื้อโรคในระดับสูง จึงจําเป็นจะต้องมีการดําเนินการอย่างเป็นระบบ และอยู่ในห้วงระยะเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องมีมาตรการด้านกฎหมายเพื่อกํากับ ดูแล และบริหารจัดการ ให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จึงมีความจําเป็นจะต้องอาศัยอํานาจตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 บังคับใช้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
3. นอกจากนี้ ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ยังไม่สิ้นสุด โดยมีข้อมูลปรากฏในหลายประเทศว่ายังพบการระบาดและมีจํานวนผู้ติดเชื้อในระดับสูง ดังนั้น เมื่อประเทศไทยได้ดําเนินการมาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายครบทั้ง 4 ระยะ และพร้อมจะเปิดประเทศแล้ว อาจมีความเสี่ยงที่โรคติดเชื้อโควิด-19 จะกลับมาแพร่ระบาดได้อีกครั้งหากไม่มีการเตรียมมาตรการรองรับที่ดีอย่างเพียงพอ ประเทศไทยจึงจําเป็นต้องมีระยะเวลาเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดประเทศในภารกิจที่สําคัญ อาทิ 1) การเตรียมความพร้อมด้านกฎหมายภายหลังยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และ 2) การเตรียมแผนการบริหารวิกฤตการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ที่ประชุมจึงเห็นควรให้คงการบังคับใช้อํานาจตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ต่อไป เนื่องจากจะมีส่วนช่วยให้เจ้าหน้าที่มีเวลาเตรียมความพร้อมรองรับกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น และยังมีส่วนช่วยซักซ้อมทักษะด้านการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ให้กับเจ้าหน้าที่ได้อีกทางหนึ่งด้วย
4. ที่ประชุมได้เสนอแนะแนวทางดําเนินการควบคู่ไปกับการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในห้วงที่สอง โดยเห็นควรให้ 1) กําหนดมาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้อย่างเป็นปกติยิ่งขึ้น และ 2) มีการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเหมาะสมและทั่วถึง ทั้งนี้ ต้องดําเนินการให้ได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีการชี้แจงประชาชนอย่างชัดเจน
5. สมช. ได้นําผลการประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดังกล่าวเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2563 ซึ่งที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบผลการประชุม และมีมติให้นําเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อไป
21. เรื่อง แนวทางการนํายางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้กระทรวงการคลังดําเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎกระทรวงกําหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พ.ศ. 2563 โดยเพิ่มเติมแผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพาราตามนโยบายรัฐบาลในโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของภาครัฐ
2. อนุมัติให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาจ้างก่อสร้างผิวทางแบบพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต (PARA AC) ที่ได้ลงนามในสัญญาจ้างไปแล้วในปีงบประมาณ 2563 เป็นผิวทางแบบแอสฟัลต์ติกคอนกรีต (AC) ภายในกรอบวงเงิน 2,500 ล้านบาท ประกอบด้วย กรมทางหลวง 1,250 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท 1,250 ล้านบาท โดยมีการปรับลดวงเงินค่าก่อสร้างและไม่ทําให้ส่วนราชการเสียประโยชน์ ตามมาตรา 97 (2) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เพื่อนําไปใช้ในโครงการก่อสร้างกําแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ (RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP)
3. เห็นชอบในหลักการให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กรอบวงเงิน 39,175 ล้านบาท (กรมทางหลวง จํานวน 36,401 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จํานวน 2,774 ล้านบาท) และ ปี พ.ศ. 2565 กรอบวงเงิน 43,995 ล้านบาท (กรมทางหลวง จํานวน 39,934 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท จํานวน 4,061 ล้านบาท) เพื่อดําเนินโครงการก่อสร้างกําแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ (RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP)
โดยในส่วนของงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสํานักงบประมาณ
สาระสําคัญ
กระทรวงคมนาคมได้รับรายงานจากกรมทางหลวงชนบทเสนอแนวทางการนํายางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) สรุปสาระสําคัญได้ ดังนี้
1. กระทรวงคมนาคมมีนโยบายในการนํายางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) และสนับสนุนการใช้ยางพาราจากร้านสหกรณ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรองโดยตรง โดยจะบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อช่วยยกระดับราคายางพารา เพิ่มรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยางพารา และระบายผลผลิตยางพาราที่มีอยู่จํานวนมากอย่างเป็นรูปธรรม
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้เป็นประธานการประชุมเรื่อง การนํายางพารามาใช้ในงานภารกิจของกระทรวงคมนาคมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพารา จํานวน 6 ครั้ง เมื่อวันที่
28 สิงหาคม 2562 วันที่ 20 กันยายน 2562 วันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 วันที่ 30 มีนาคม 2563 วันที่ 16 เมษายน 2563 และวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 ตามลําดับ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการดําเนินการตามนโยบายเพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนนโดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพารา
3. กระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบทเป็นหน่วยงานหลักดําเนินการตามนโยบายรัฐบาลในโครงการส่งเสริมการใช้ยางพาราของภาครัฐ และเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ดังนั้น กรมทางหลวงชนบทจึงได้มีคําสั่ง ที่ 1890/2562 ลงวันที่ 2 กันยายน 2562 เรื่อง แต่งตั้งคณะทํางานศึกษาแนวทางการนํายางพารามาใช้ในงานก่อสร้าง และอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย และคําสั่งที่ 2160/2562 ลงวันที่ 30 กันยายน 2562 เรื่อง แต่งตั้งคณะทํางานศึกษาแนวทางการนํายางพารามาใช้ในงานก่อสร้าง และอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย (เพิ่มเติม) ร่วมกันศึกษาวิจัยนํายางพารามาพัฒนาเป็นอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยเพื่อป้องกันหรือลดความรุนแรงของอุบัติเหตุและเพิ่มความปลอดภัยทางถนน
4. จากการศึกษาสภาพถนนของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท พบว่า
มีเกาะกลางถนน รวมทั้งสิ้น ระยะทาง 11,643.454 กิโลเมตร ประกอบด้วย
- เกาะสี จํานวน 1,238.800 กิโลเมตร
- เกาะหลุม จํานวน 4,372.963 กิโลเมตร
- เกาะยก จํานวน 5,133.414 กิโลเมตร
- กําแพงคอนกรีต จํานวน 898.277 กิโลเมตร
โดยบริเวณช่วงเกาะกลางถนนแบบเกาะสีมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้มาก เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจร โดยการเลี้ยวหรือการกลับรถทับเส้นเกาะกลางในบริเวณจุดเสี่ยงอันตราย ทําให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายกรณี มีทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจํานวนมาก ดังนั้น จึงเห็นควรก่อสร้างกําแพงคอนกรีตเพื่อลดจํานวนอุบัติเหตุ อีกทั้งบริเวณทางโค้งได้มีการติดตั้งเสาหลักนําทางคอนกรีต เพื่อให้มองเห็น ในเวลากลางคืน แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุโดยเฉพาะรถจักรยานยนต์เสียหลักไปชนหลักนําโค้งคอนกรีต ผู้ขับขี่ หรือผู้ที่โดยสารมาด้วยอาจได้รับอันตราย จึงมีความจําเป็นต้องหาวิธีการแก้ไขหรือปรับปรุงเรื่องเกาะกลางถนนแบบเกาะสีและหลักนําทางคอนกรีต
จากผลการศึกษาและวิจัยพบว่า มี 2 ผลิตภัณฑ์ที่มีความเหมาะสมและมีปริมาณยางพาราเป็นส่วนผสมจํานวนมาก และสามารถลดความรุนแรงของการชนปะทะได้ คือ แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) โดยมีผลการทดสอบของอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย ดังนี้
1) แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (RFB)
- ทดสอบการชนในประเทศไทย ดําเนินการโดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ผลการทดสอบ : ช่วยในการรับแรงกระแทก ทําให้ลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตของคนขับได้
- นําไปทดสอบการชน ณ สถาบัน Korea Automobile Testing & Research Institute (KATRI) ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นสถาบันทดสอบรถยนต์โดยตรงและเป็นที่ยอมรับของผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนําของโลกในวิธีการทดสอบที่มีความทันสมัย ถูกต้องตามหลักวิชาการ นอกจากนี้ การแสดงผลการทดสอบด้านวิศวกรรมยังเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐาน EN - Euro Standard
ผลการทดสอบ : แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (RFB) ที่ความเร็วในการชน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกิดแรงกระแทกต่ํากว่าค่ามาตรฐาน National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ทําให้มีความปลอดภัยจากการบาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิต
2) หลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP)
- ทดสอบการชนในประเทศไทย ดําเนินการโดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
ผลการทดสอบ : ผลจากห้องทดสอบเปรียบเทียบความปลอดภัยในการติดตั้งหลักนําทางยางธรรมชาติ โดยนํารถจักรยานยนต์พร้อมหุ่นติดตั้งเซ็นเซอร์เข้าชน พบว่า หุ่นที่ใช้ทดสอบไม่ได้รับแรงกระแทกถึงขั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต เพราะมีความยืดหยุ่นของยางพารา และเมื่อนําไปทดสอบในห้องทดลอง พบว่า มีความคงทนต่อสภาพอากาศในประเทศไทย ไม่ติดไฟ และไม่สร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม
5. กรมทางหลวงชนบทได้เปรียบเทียบราคาต้นทุนการผลิตกับผลประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับของแผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (RFB) หลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP) และผิวทางแบบพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต (PARA AC) มีดังนี้
ผลิตภัณฑ์
ราคาต้นทุน
ผลประโยชน์
ที่เกษตรกรได้รับ
ผลประโยชน์
ที่เกษตรกรได้รับ
คิดเป็นร้อยละ
แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต
3,140 - 3,757บาท/เมตร
2,189.63 - 2,798.10บาท/เมตร
70 - 74
หลักนําทางยางธรรมชาติ
1,607 - 2,223บาท/ต้น
1,162.58 - 1,778.18บาท/ต้น
72 - 80
ทางแบบพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต(PARA AC)
294.93
บาท/ตารางเมตร
15.04 บาท/ตารางเมตร
5.10
หมายเหตุ : ช่วงราคายางแผ่นรมควัน 35 - 60 บาท/กิโลกรัม และราคาน้ํายางพาราข้น 25 - 60 บาท/กิโลกรัม
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบผลประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับ พบว่า แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (RFB)
และหลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP) มีผลประโยชน์สูงกว่าผิวทางแบบพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต (PARA AC) มาก
6. กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท มีแนวทางในการดําเนินการตามนโยบาย
เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนนโดยใช้ผลผลิตจากยางพารา ดังนี้
1) แผนการดําเนินโครงการก่อสร้างกําแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ (RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ในปีงบประมาณ 2563 - 2565
มี RFB จํานวน 12,282.735 กิโลเมตร RGP จํานวน 1,063,651 ต้น งบประมาณรวม 85,623.774 ล้านบาท คิดเป็นผลประโยชน์ที่เกษตรกรได้รับ จํานวน 30,108.805 ล้านบาท ดังนี้
(หมายเหตุ : กรุณาดูรายละเอียดแผนการดําเนินโครงการก่อสร้างกําแพงคอนกรีตหุ้มด้วยแผ่นยางธรรมชาติ (RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท จากไฟล์แนบ)
2) แผนการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยางพารา โดยใช้ยางพาราในการผลิตแผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต และหลักนําทางยางธรรมชาติ ซึ่งกรมทางหลวงชนบทจะกําหนดรูปแบบและมาตรฐาน ให้ร้านสหกรณ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรอง ตามประกาศกรมส่งเสริมสหกรณ์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการออกหนังสือรับรองเป็น “ร้านสหกรณ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรอง” พ.ศ. 2563 เป็นผู้ผลิต ทั้งนี้ กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทจะจัดซื้อแผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีตและหลักนําทางยางธรรมชาติดังกล่าวจากร้านสหกรณ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรองโดยตรง เพื่อนํามาใช้ในงานด้านความปลอดภัยงานทาง รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรชาวสวนยางพารา โดยตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงกําหนดวงเงิน การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุโดยวิธีเฉพาะเจาะจง พ.ศ. 2560 กําหนดให้หน่วยงานของรัฐใช้วิธีเฉพาะเจาะจงในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท แต่เนื่องจากการจัดซื้อยางพาราดังกล่าวจากร้านสหกรณ์มีจํานวนมาก ทําให้วงเงินในการจัดซื้อครั้งหนึ่งเกิน 500,000 บาท ทําให้ไม่อาจจัดซื้อโดยวิธีเฉพาะเจาะจงจากร้านสหกรณ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับรองโดยตรง ดังนั้น จึงต้องมีการกําหนดให้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (RGP) เป็นพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุนเพิ่มเติมตามกฎกระทรวงกําหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน พ.ศ. 2563
3) กรมทางหลวงชนบทได้จัดทําร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง อุปกรณ์ทางด้านการจราจรและอํานวยความปลอดภัยทางถนนที่ผลิตจากยางพาราเพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานภาครัฐ ระหว่างกระทรวงคมนาคมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในเบื้องต้นแล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมมีความเห็นว่า
แนวทางการนํายางพารามาใช้เพื่อปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน โดยใช้แผ่นยางธรรมชาติครอบกําแพงคอนกรีต (Rubber Fender Barrier : RFB) และหลักนําทางยางธรรมชาติ (Rubber Guide Post : RGP) ของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ซึ่งได้มีการประชุมหารือร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย การยางแห่งประเทศไทย และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในเบื้องต้น รวมทั้งได้มีการทดสอบการชนทั้งในประเทศไทยและประเทศเกาหลีใต้แล้ว โดยจากผลการศึกษาและวิจัยพบว่า ผู้ขับขี่ได้รับค่าแรงกระแทกน้อยกว่าค่ามาตรฐาน ปลอดภัยจากการบาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิต ประกอบกับ แนวทางการดําเนินการดังกล่าวเป็นการปรับปรุงเพิ่มความปลอดภัยทางถนน ตลอดจนช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางพารา โดยยกระดับราคายางพารา เพิ่มรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยางพารา และระบายผลผลิตยางพาราที่มีอยู่จํานวนมากอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะได้พิจารณาลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ (MOU) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต่อไป
22. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ ช่วงระหว่างวันที่ 11-15 พฤษภาคม 2563 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
สาระสําคัญ
รัฐวิสาหกิจภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลังโดย สคร. มีจํานวน 56 แห่ง โดยผลสัมฤทธิ์ฯ ในสัปดาห์ช่วงระหว่างวันที่ 11-15 พฤษภาคม 2563 ของรัฐวิสาหกิจ สรุปสาระสําคัญได้ดังนี้
1. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ (ปฏิบัติงานที่บ้านหรือที่พักหรือสถานที่ตามที่รัฐวิสาหกิจกําหนด)
รัฐวิสาหกิจ 51 แห่ง ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งและมีรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง ได้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จํากัด โรงพิมพ์ตํารวจ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร และองค์การสุรา กรมสรรพสามิต ที่ให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามปกติแล้ว และจากจํานวนพนักงานและลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจทั้งหมดจํานวน 294,955 คน มีพนักงานและลูกจ้างปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง จํานวน 79,080 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 27
2. การปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งของรัฐวิสาหกิจ
รัฐวิสาหกิจ 32 แห่ง ยังคงดําเนินนโยบายการปฏิบัติงานเหลื่อมเวลา โดยมีช่วงเวลาเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่เวลา 6.00 น. – 10.30 น.
3. แนวทางการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจ
กรณีที่รัฐวิสาหกิจมีนโยบายการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง รัฐวิสาหกิจมีการติดตามผลการปฏิบัติงานเป็นรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของงาน โดยรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มีการกํากับติดตามและบริหารผลการปฏิบัติงานเป็นรายวัน ผ่านแอปพลิเคชัน Line ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และระบบการติดตามงานและการลงเวลาปฏิบัติงานที่องค์กรพัฒนาขึ้นเอง โดยมีการใช้แอปพลิเคชัน Line มาสนับสนุนการปฏิบัติงานมากที่สุด ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจมีข้อเสนอแนะในการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งว่า ควรเตรียมอุปกรณ์และระบบเพื่อรองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งให้เพียงพอ และควรพัฒนาระบบการปฏิบัติงานขององค์กรให้สามารถรองรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งได้ ซึ่งรวมถึงควรให้มีการจัดเก็บข้อมูลหรือเอกสารให้อยู่ในรูปแบบของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น
23. เรื่อง รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ 2 ตามที่สํานักงาน ก.พ. เสนอ โดยสรุปข้อมูล ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2563 จาก 142 ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ 100 ของส่วนราชการทั้งหมด 142 ส่วนราชการ ดังนี้
1. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home)
ส่วนราชการร้อยละ 100 (142 ส่วนราชการ) ที่รายงานมีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง โดยส่วนราชการส่วนใหญ่ร้อยละ 54 (76 ส่วนราชการ) กําหนดสัดส่วนให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ร้อยละ 50 ขึ้นไป ปฏิบัติงานที่บ้าน เช่น ส่วนราชการที่เน้นงานระดับนโยบาย เป็นต้น ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีการมอบหมายให้ปฏิบัติงานที่บ้านในหลายรูปแบบ เช่น ปฏิบัติงานที่บ้านสลับกับมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งของส่วนราชการวันเว้นวัน สัปดาห์ละ 1 วัน สัปดาห์ละ 2 วัน สัปดาห์เว้นสัปดาห์ เป็นต้น และส่วนใหญ่เริ่มให้ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563
2. การเหลื่อมเวลาในการทํางานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ
1) ส่วนราชการกําหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่เหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานสําหรับกรณีที่ปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ โดยส่วนราชการส่วนใหญ่ร้อยละ 56 กําหนดการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานเป็น 3 ช่วงเวลา คือ เวลา 07.30 – 15.30 น. เวลา 08.30 – 16.30 น. และ เวลา 09.30 – 17.30 น. ส่วนราชการร้อยละ 15 (22 ส่วนราชการ) กําหนดรูปแบบการเหลื่อมเวลามากกว่า 3 ช่วงเวลา เช่น สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมสรรพสามิต เป็นต้น นอกจากนี้บางส่วนราชการกําหนดรูปแบบการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานอื่น ๆ ได้แก่ 06.00 – 14.00 น. เวลา 11.00 – 19.00 น. เช่น กรมกิจการเด็กและเยาวชน สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น
2) ส่วนราชการมีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามวันเวลาปกติในลักษณะงานให้บริการประชาชน งานรักษาพยาบาล งานในห้องปฏิบัติการและข้าราชการซึ่งเป็นผู้บริหารและผู้อํานวยการสํานัก/กองของส่วนราชการ
3. แนวทางการบริหารงานของส่วนราชการ
1) การกํากับดูแลและบริหารผลงาน เป็นหัวใจสําคัญของการบริหารที่ส่วนราชการเน้นเพื่อคงประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานทั้งในและนอกสถานที่ตั้งให้บรรลุผลตามเป้าหมาย ซึ่งส่วนราชการส่วนใหญ่ให้ความสําคัญกับการกํากับดูแลและติดตามงานอย่างเข้มข้น โดยส่วนราชการร้อยละ 57 กําหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รายงานความก้าวหน้าของงานทั้งรายวันและรายสัปดาห์ผ่าน Application LINE ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และ Google Form
2) การนําระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงาน ส่วนราชการมีการนําระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้สนับสนุนการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการพิจารณาเลือกใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมากกว่าหนึ่งระบบ โดยส่วนใหญ่เลือกใช้ Application LINE (ร้อยละ 99.3) Zoom (ร้อยละ 61.3) Microsoft Team (ร้อยละ 31) และ Cisco Webex (ร้อยละ 25) ตามลําดับ โดยส่วนใหญ่ใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์แบบพกพาและโทรศัพท์เคลื่อนที่
4. ข้อจํากัดของส่วนราชการในการมอบหมายข้าราชการและเจ้าหน้าที่ให้ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ได้แก่ การขาดความพร้อมเกี่ยวกับอุปกรณ์ในการปฏิบัติงานและสัญญาณเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสําหรับการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง และการขาดความพร้อมของเจ้าหน้าที่ในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการปฏิบัติงาน ในกรณีส่วนราชการที่มีที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคมีบ้านพักข้าราชการตั้งอยู่ในบริเวณสถานที่ตั้งของสํานักงาน จึงไม่จําเป็นต้องให้ข้าราชการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ลักษณะงานบางประเภทไม่สามารถปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งได้ เช่นงานให้บริการประชาชน งานรักษาพยาบาล งานในห้องปฏิบัติการ งานภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉิน งานความลับ งานควบคุมผู้ต้องขัง งานตรวจสอบบัญชีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร เป็นต้น
5. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิบัติงานใน-นอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ได้แก่ การจัดให้มีอุปกรณ์หรือการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่บ้าน เช่น คอมพิวเตอร์ ค่าบริการสัญญาณเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ในกรณีข้าราชการต้องปฏิบัติราชการในสถานที่ตั้งของส่วนราชการควรกําหนดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่มีการหมุนเวียนสลับกันมาปฏิบัติราชการได้ตามความจําเป็น และจะต้องมีการป้องกันและรักษาความปลอดภัยด้านสุขภาพตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่อย่างเหมาะสม เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าสถานที่ตั้งของส่วนราชการ การเตรียมน้ํายาล้างมือฆ่าเชื้อโรค การสวมหน้ากากอนามัย การสลับเวลาพักรับประทานอาหาร การกําหนดระยะห่างของผู้ปฏิบัติงาน เป็นต้น
24. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกันอีกครั้ง ดังนี้
1. ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2563 ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ที่ได้มีการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอโครงการภายใต้แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และการซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับมติคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2/2563 เรื่องแผนงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา 8(1) แห่งพระราชกําหนด ดังนี้ โครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชนซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในส่วนของมาตรการช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประกอบด้วย (1) เด็กจากครัวเรือนยากจน (0-6 ปี) 1,451,468 คน (2) ผู้สูงอายุ 9,664,111 คน และ (3) ผู้พิการ 2,027,500 คน รวมทั้งหมด 13,143,079 คน วงเงินรวมไม่เกิน 39,429,237,000 บาท (โดยใช้เงินกู้ตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 ไม่เกิน 39,429,237,000 บาท)
2. รับทราบเจตนารมณ์ของผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้เงินกู้ ครั้งที่ 2/2563 เรื่องแผนงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและเกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ ดังนี้
การให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรตามกลุ่มเป้าหมายของแผนงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่มีรายได้หลักมาจากการประกอบอาชีพเกษตรกร และได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลกระทบต่อการดํารงชีพ ซึ่งกรณีที่ข้าราชการ (ข้าราชการประจําและลูกจ้าง รวมถึงข้าราชการบํานาญ) ที่ประกอบอาชีพเกษตรกร ไม่เข้าข่ายเป็นผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือภายใต้มาตรการฯ เนื่องจากได้รับค่าตอบแทนและสวัสดิการของภาครัฐอยู่แล้ว และหากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จ่ายเงินช่วยเหลือให้กับกลุ่มข้าราชการดังกล่าวแล้ว ขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานกรมบัญชีกลาง ในการพิจารณาดําเนินการหักเงินดังกล่าวจากค่าตอบแทนคืนที่กระทรวงการคลังต่อไป
25. เรื่อง ข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สํานักงบประมาณเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
2. เห็นชอบข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อสํานักงบประมาณจะได้ดําเนินการ จัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 16 มิถุนายน 2563 และนําเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
สาระสําคัญของเรื่อง
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ให้ความเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และมอบให้สํานักงบประมาณไปดําเนินการรับฟังความคิดเห็นตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 77 วรรคสอง และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 ให้ความเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และให้สํานักงบประมาณนําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามที่ได้ปรับปรุงรายละเอียดไปดําเนินการรับฟังความคิดเห็น และการปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งกําหนดให้สํานักงบประมาณสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและจัดทําข้อเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 26 พฤษภาคม 2563 นั้น
สํานักงบประมาณได้พิจารณาดําเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรี ดังกล่าวข้างต้นแล้วสรุปดังนี้
1. การรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
สํานักงบประมาณได้ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2564 ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทําร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 รวม 2 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 เป็นการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียด โดยวิธีการรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์สํานักงบประมาณ ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม – 8 เมษายน 2563 และทําหนังสือสอบถามความคิดเห็นไปยังหน่วยรับงบประมาณ
ครั้งที่ 2 เป็นการนําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณเพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระหว่างวันที่ 13-15 พฤษภาคม 2563 โดยวิธีการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 19 ของพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทําร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ผ่านเว็บไซต์สํานักงบประมาณ และทําหนังสือสอบถามความคิดเห็นไปยังหน่วยรับงบประมาณ
ทั้งนี้ สํานักงบประมาณได้นําผลการรับฟังความคิดเห็นไปประกอบการวิเคราะห์ผลกระทบและการจัดทําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และได้จัดทํารายงานสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นการจัดทําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
2. การจัดทําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
สํานักงบประมาณได้จัดทําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดยได้ส่งให้สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และนํามาปรับปรุงแก้ไขให้มีความถูกต้องและเหมาะสมยิ่งขึ้นตามแบบการร่างกฎหมาย ตามความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว (หนังสือสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ด่วนที่สุด ที่ นร 0903/211 ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2563)
การจัดทําร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบปรมาณ พ.ศ. 2564 มีโครงสร้างแตกต่างจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ดังนี้
(1) เพิ่มหน่วยรับงบประมาณในมาตรา 33 งบประมาณรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จากเดิม 78 หน่วยรับงบประมาณ เป็น 292 หน่วยรับงบประมาณ เพิ่มขึ้น 214 หน่วยรับงบประมาณ ประกอบด้วย เทศบาลนคร 30 หน่วยรับงบประมาณ และเทศบาลเมือง 184 หน่วยรับงบประมาณ
(2) รวมงบประมาณรายจ่ายสําหรับแผนงานบูรณาการ จํานวน 14 แผนงาน ไว้ภายใต้มาตรา 77 งบประมาณรายจ่ายสําหรับแผนงานบูรณาการ
(3) สํานักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง เป็นหน่วยรับงบประมาณอยู่ภายใต้มาตรา 7 งบประมาณรายจ่ายของสํานักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานในกํากับ จากเดิม มาตรา 27 งบประมาณรายจ่ายของส่วนราชการไม่สังกัดสํานักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง และหน่วยงานภายใต้การควบคุมดูแลของนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ การปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติตามความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าว มีผลทําให้รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จําแนกตามกลุ่มงบประมาณ เปลี่ยนแปลงไปจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เนื่องจากสภากาชาดไทย มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่ดําเนินการอันเป็นสาธารณกุศล และให้ตั้งงบประมาณตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 14 (2) งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ
26. เรื่อง การให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ SMEs อย่างทั่วถึง
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบการ SMEs ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้
แนวทางการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม
เพื่อให้การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ SMEs ของรัฐบาลเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพสําหรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs กระทรวงการคลังเห็นควรเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ดังนี้
1. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมสําหรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่เคยขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินหรือไม่มีสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 มีรายละเอียดดังนี้
1) เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้จัดสรรวงเงินจํานวน 80,000 ล้านบาท จากมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ให้กับธนาคารออมสินเพื่อปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบธุรกิจการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) โดยตรง ในการนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ SMEs ของรัฐบาลเป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ เห็นควรให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 ดังนี้
1.1) จัดสรรวงเงินจํานวน 10,000 ล้านบาท จากวงเงิน 80,000 ล้านบาท โดยใช้เงื่อนไขของมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) เดิม เพื่อให้ธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อให้กับสถาบันการเงินในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี
1.2) ให้สถาบันการเงินตามข้อ 1.1) ปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่เคยขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินหรือไม่มีสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติไม่เข้าข่ายตาม พ.ร.ก. Soft loan วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย คิดดอกเบี้ยกับผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี สําหรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ยังคงเป็นไปตามมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563
2) เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ บสย. ดําเนินโครงการ บสย. SMEs สร้างไทย ซึ่งเป็นการปรับปรุงจากโครงการค้ําประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 8 (PGS 8) เพื่อรองรับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็น NPLs แต่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว โดยที่ปัจจุบันโครงการ บสย. SMEs สร้างไทยมีวงเงินค้ําประกันสินเชื่อเหลืออยู่ 51,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากวงเงินค้ําประกันสินเชื่อของโครงการ PGS 8 ใกล้หมด แต่ยังมีความต้องการใช้การค้ําประกันสินเชื่ออยู่ ประกอบกับการดําเนินโครงการตามข้อ 1) เป็นการให้สินเชื่อกับกลุ่มที่มีความเสี่ยง เนื่องจากไม่เคยมีประวัติในการขอสินเชื่อ สถาบันการเงินไม่เคยเห็นพฤติกรรมและความสามารถในการชําระหนี้ ดังนั้น จึงเห็นควรทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 โดยแบ่งวงเงินค้ําประกันสินเชื่อ 10,000 ล้านบาทจากโครงการ บสย. SMEs สร้างไทย โดยใช้เงื่อนไขของโครงการ PGS 8 เดิม เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติไม่เข้าข่ายตาม พ.ร.ก. Soft loan
2. นอกจากนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็น NPLs ให้สามารถกลับมาดําเนินธุรกิจได้โดยเร็ว เห็นควรมอบหมายสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อหาแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็น NPLs ตามอํานาจหน้าที่ของ สสว. ในการช่วยเหลืออุดหนุนทางการเงิน การให้กู้ยืมเงิน การร่วมลงทุน หรือการให้ความช่วยเหลือผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อไป โดยให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2563
3. เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็นลูกค้าของสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ประโยชน์สูงสุด เห็นควรให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจพิจารณาลูกค้าผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติตามมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan ให้สามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากที่สุด เพื่อให้สภาพคล่องที่เหลืออยู่ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ถูกนําไปใช้เพื่อเสริมการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มที่ไม่เคยขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินหรือไม่มีสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 หรือผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องการสินเชื่อเพิ่มเติมจาก พ.ร.ก. Soft loan
4. เห็นควรมอบหมายสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง พิจารณาทบทวนการกําหนดตัวชี้วัดเพื่อประเมินผลการดําเนินงาน และการกําหนดระบบแรงจูงใจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้สอดคล้องกับพันธกิจ และการดําเนินงานตามนโยบายที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจได้รับมอบหมายในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้วย
สาระสําคัญของเรื่อง
สืบเนื่องจากการที่รัฐบาลได้มีมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs มาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ช่วงกลางปี 2562 เศรษฐกิจไทยได้ส่งสัญญาณชะลอตัวลงอย่างชัดเจน กระทรวงการคลังจึงได้จัดทํามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2562 และมาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทย และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 และวันที่ 7 มกราคม 2563 ตามลําดับ นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลยังได้มีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยได้จัดทํามาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) วงเงิน 150,000 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 และออกพระราชกําหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. Soft loan) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใต้มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 3 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 อย่างไรก็ดี เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดําเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ของรัฐบาลอย่างทั่วถึง กระทรวงการคลังได้แบ่งการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1. กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan
1.1 คุณสมบัติของผู้ประกอบการ SMEs
ผู้ประกอบการ SMEs ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan มีคุณสมบัติ ดังนี้
1) มีวงเงินสินเชื่อรวมทั้งกลุ่มธุรกิจของผู้ประกอบการ SMEs ที่มีกับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์การกํากับลูกหนี้รายใหญ่ (Single Lending Limit)
2) ไม่มีสถานะเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan : NPLs) ของสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ทั้งนี้ การจัดชั้นพิจารณาเป็นรายลูกหนี้ สําหรับลูกหนี้ที่เป็น NPLs หลังวันที่ 31 ธันวาคม 2562 สามารถยื่นขอสินเชื่อตามโครงการนี้ได้ โดยขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง
3) ไม่เป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน
4) ไม่เป็นบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ
1.2 แนวทางการให้ความช่วยเหลือ
มาตรการภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan ประกอบด้วย
1) มาตรการสนับสนุนให้สินเชื่อเพิ่มเติม วงเงิน 500,000 ล้านบาท โดย ธปท. สนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ําให้แก่สถาบันการเงินในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 และสถาบันการเงินให้สินเชื่อใหม่แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ระยะเวลากู้ 2 ปี ปลอดชําระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 6 เดือน ทั้งนี้ การให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan เป็นการพิจารณาตามเงื่อนไขของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ทั้งนี้ ธปท. ได้อาศัยอํานาจตาม พ.ร.ก. Soft loan ออกประกาศห้ามไม่ให้สถาบันการเงินเรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมถึงดอกเบี้ยผิดนัดจากลูกหนี้ภายใต้มาตรการนี้ ส่งผลให้ลูกหนี้ได้ประโยชน์สูงสุด
2) มาตรการพักชําระหนี้ (Debt Holiday) ให้สถาบันการเงินแต่ละแห่งชะลอการชําระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของผู้ประกอบการ SMEs ที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกิน 100 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยไม่ถือเป็นการผิดนัดชําระหนี้
2. กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยที่มีคุณสมบัติสามารถเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan ได้ แต่สถาบันการเงินไม่ส่งเข้าร่วมมาตรการตาม พ.ร.ก. Soft loan
2.1 คุณสมบัติของผู้ประกอบการ SMEs
เป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติตามข้อ 1.1 สามารถเข้า พ.ร.ก. Soft loan ได้ แต่เนื่องจากสถาบันการเงินพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความเสี่ยงหรือเป็นผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยที่อาจมีหลักประกันไม่เพียงพอ จึงไม่ส่งเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan
2.2 แนวทางการให้ความช่วยเหลือ
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีมาตรการด้านการเงินที่อยู่ระหว่างการดําเนินการซึ่งผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มนี้สามารถเข้าร่วมได้ ได้แก่
1) มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ของธนาคารออมสิน วงเงินโครงการ คงเหลือ 13,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายสูงสุด 20 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี
2) โครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ 2) ของธนาคารออมสิน วงเงินโครงการคงเหลือ 7,500 ล้านบาท วงเงินต่อรายสูงสุด 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี ระยะเวลากู้ 7 ปี
3) โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (Local Economy Loan) ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) วงเงินโครงการคงเหลือ 14,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายสูงสุด 5 ล้านบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้นร้อยละ 3 ต่อปี ใน 3 ปีแรก ระยะเวลากู้ 7 ปี
4) โครงการสินเชื่อรายย่อย Extra Cash ของ ธพว. วงเงินโครงการคงเหลือ 9,900 ล้านบาท วงเงินต่อรายสูงสุด 3 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี ใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้ 5 ปี
สําหรับผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพแต่มีหลักประกันไม่เพียงพอสามารถเข้าร่วมโครงการค้ําประกันสินเชื่อผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้
3. กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติไม่เข้าข่าย พ.ร.ก. Soft loan
3.1 กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่เคยขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินหรือไม่มีสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยเป็นกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่ในช่วงที่ผ่านมาไม่เคยขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการดําเนินธุรกิจ หรือเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่ไม่มีสินเชื่อคงค้างกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 จึงไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการสนับสนุนให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan ได้ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มนี้ สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อและโครงการค้ําประกันสินเชื่อตามข้อ 2.2 ได้ แต่เนื่องจากไม่เคยมีประวัติในการขอสินเชื่อ สถาบันการเงินไม่เคยเห็นพฤติกรรมและความสามารถในการชําระหนี้ ทําให้สถาบันการเงินอาจต้องพิจารณาคุณสมบัติเพิ่มเติม รวมถึงมีความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ หรืออาจไม่อนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มนี้ จึงมีความจําเป็นต้องมีมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือเพิ่มเติม
3.2 กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็น NPLs
ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็น NPLs สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีสถานะเป็น NPLs แต่ยังมีศักยภาพในการดําเนินธุรกิจ และ 2) ผู้ประกอบการ SMEs ที่เป็น NPLs และมีหนี้สินล้นพ้นตัว โดยที่ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางทางการเงินและมีความเสี่ยงสูง ทําให้ไม่ได้รับการพิจารณาให้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน ดังนั้น จึงมีความจําเป็นต้องมีแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มนี้เป็นการเฉพาะ
นอกเหนือจากผู้ประกอบการ SMEs ทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวข้างต้น ยังมีผู้ประกอบการ SMEs ขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินเกินกว่า 500 ล้านบาท หรือเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ซึ่งไม่เข้าข่ายคุณสมบัติของผู้ประกอบการ SMEs ตามมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อเพิ่มเติมภายใต้ พ.ร.ก. Soft loan เนื่องจากผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มนี้ถือเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพ มีอํานาจต่อรองกับสถาบันการเงินในการเข้าถึงสินเชื่อปกติของสถาบันการเงิน และสามารถมีช่องทางการระดมทุนที่หลากหลาย เช่น การเพิ่มทุนโดยเจ้าของกิจการ การออกหุ้นกู้ เป็นต้น
ต่างประเทศ
27. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจําประเทศไทย และสํานักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) สําหรับความร่วมมือในการกํากับดูแลธนาคารพาณิชย์
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจําประเทศไทย และสํานักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) สําหรับความร่วมมือในการกํากับดูแลธนาคารพาณิชย์ พร้อมทั้งอนุมัติให้ผู้อํานวยการใหญ่สํานักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สาระสําคัญ
ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสํานักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจําประเทศไทย และสํานักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (ไทเป) สําหรับความร่วมมือในการกํากับดูแลธนาคารพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการกํากับและตรวจสอบสถาบันการเงินระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยกับ Financial Services Commission (FSC) ไต้หวัน ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยได้เริ่มเจรจาจัดทําร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวตั้งแต่ปี 2559 โดยการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ อยู่บนพื้นฐานของความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือในการกํากับดูแลสถาบันการเงินระหว่างประเทศไทยและไต้หวัน เพื่อให้การกํากับดูแลสถาบันการเงินเป็นไปอย่างมั่นคงปลอดภัยและมีความสอดคล้องกับมาตรฐาน โดยเฉพาะในกรณีวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจจะส่งผลต่อความเข้มแข็งของระบบการเงินและสถาบันการเงินทั้งสองฝ่าย ซึ่งหน่วยงานทั้งสองจะสามารถร่วมกันพิจารณาปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไขปัญหาได้ ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ไม่มีเจตนาที่ประสงค์จะก่อการผูกมัดใดๆ ทางกฎหมายต่อหน่วยงานทั้งสองและจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันลงนาม โดยมีผลต่อไปเป็นระยะเวลา 1 ปี และจะต่ออายุโดยอัตโนมัติคราวละ 1 ปี จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแจ้งยกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรล่วงหน้า 30 วัน
28. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีนว่าด้วยการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) และการกระชับความร่วมมือภายใต้ความตกลงการค้าอาเซียน-จีน
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีนว่าด้วยการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ASEAN –China Economic Ministers’ Joint Statement on Combating the Coronavirus Disease (COVID-19) and Enhancing ACFTA Cooperation และการกระชับความร่วมมือภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดําเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงร่วมดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
สาระสําคัญ
ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน-จีนฯ เป็นเอกสารแสดงเจตจํานงเพื่อร่วมมือกันพลิกฟื้นเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนระดับโลกและภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) โดยมีสาระสําคัญดังนี้
1. ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ASEAN-China Free Trade Agreement: ACFTA) มีส่วนสําคัญในการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับจีน นําไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยจากข้อมูลของสํานักเลขาธิการอาเซียน การค้าของทั้งสองฝ่ายเติบโตจาก 235.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2553 เป็น 497 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 111 อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญกับความท้าทายในปัจจุบัน การค้าระหว่างอาเซียนและจีนยังมีแนวโน้มในเชิงบวกและจะเป็นตัวขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาค ด้วยเหตุนี้ ทําให้อาเซียนและจีนเล็งเห็นความสําคัญในการกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นผ่านความตกลง ACFTA
2. การบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-19 อาเซียนและจีนชื่นชมการให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากทั้งสองฝ่ายทั้งในรูปแบบการเงินและการแลกเปลี่ยนข้อมูล องค์ความรู้ ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเน้นย้ําถึงความมุ่งมั่นในการรักษาตลาดที่เปิดกว้าง และส่งเสริมการอํานวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนเพื่อรักษาห่วงโซ่อุปทานทั้งในระดับภูมิภาคและโลก รวมถึงทําให้การเคลื่อนย้ายของสินค้าเกษตร อาหาร ยา อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์สินค้าและบริการที่จําเป็นอื่นๆ เป็นไปอย่างราบรื่น
3. การใช้มาตรการเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นของตลาดและปรับปรุงเสถียรภาพของเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเน้นย้ําการแสวงหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์กับผู้มีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาคเอกชน ธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย เพื่อลดการหยุดชะงักของการค้าและการลงทุนระหว่างอาเซียนกับจีน ซึ่งรวมถึงการระงับการใช้มาตรการทางการค้าที่ไม่จําเป็นเพื่อลดผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค ทั้งนี้หากมีความจําเป็นในการออกมาตรการฉุกเฉินทางการค้าใด ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 จะต้องมีการกําหนดเป้าหมาย อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม มีความโปร่งใสและต้องคํานึงถึงมาตรฐานและข้อเสนอแนะขององค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization: WCO) และสอดคล้องกับสิทธิและพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (World Trades Organization: WTO)
แต่งตั้ง
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ให้ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
30. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้ง นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง ให้ดํารงตําแหน่ง เลขาธิการสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ผู้ครองตําแหน่งอยู่เดิมขอลาออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สํานักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายภูมินทร ปลั่งสมบัติ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้ดํารงตําแหน่ง รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สํานักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง
32. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จํานวน 8 คน ซึ่งเป็นการแต่งตั้งตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ดังนี้
1. รองศาสตราจารย์ประภาภัทร นิยม
2. นางปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร
3. นางสาวศุภธิดา พรหมพยัคฆ์
4. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
5. รองศาสตราจารย์ทิศนา แขมมณี
6. นายสมศักดิ์ พะเนียงทอง
7. นางเนตรชนก วิภาตะศิลปิน
8. นายปกรณ์ นิลประพันธ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป และในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงศึกษาธิการ ดําเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง การดําเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
..............
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31518
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.ออกกฎกระทรวงฯ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา (Visa) ให้แก่นักท่องเที่ยวตามมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวช่วง High Season ของรัฐบาล
|
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2559
มท.ออกกฎกระทรวงฯ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา (Visa) ให้แก่นักท่องเที่ยวตามมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวช่วง High Season ของรัฐบาล
กระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงฯ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา (Visa)
ให้แก่นักท่องเที่ยวตามมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวช่วง High Season ของรัฐบาล
วันนี้ (2ธ.ค.59) ที่กระทรวงมหาดไทย นายชยพลธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับขีดความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และอํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวโดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่22พฤศจิกายน2559ได้มีมติเห็นชอบมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา(Visa)ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทย และปรับลดค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง(Visa on Arrival : VOA )เป็นการชั่วคราวตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวง เพื่อดําเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล กระทรวงมหาดไทยจึงได้อาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522ออกกฎกระทรวงยกเลิกการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมและกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรามาตรา12 (1)ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นการชั่วคราว พ.ศ.2559 โดยมีสรุปสาระสําคัญคือ1.ให้ยกเลิกการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามมาตรา12 (1)ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว สําหรับกรณียื่นขอรับการตรวจลงตรา ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทย2.ให้กําหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามมาตรา12 (1)ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว สําหรับกรณียื่นขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองจาก2,000บาทต่อคน เป็นอัตรา1,000บาทต่อคน สําหรับคนต่างด้าวซึ่งมีสัญชาติของประเทศ ที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด เช่นจีนอินเดีย ยูเครน อุซเบกิสถาน คาซัคสถาน ภูฏาน ซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่1ธันวาคม2559ถึง28กุมภาพันธ์2560ซึ่งจะครอบคลุมระยะเวลา3เดือน
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมและสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยจากการท่องเที่ยวซึ่งถือว่าเป็นรายได้สําคัญ คาดว่าจะทําให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการมีจํานวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวสอดคล้องกับฤดูการท่องเที่ยว(High Season)ที่กําลังจะมาถึง.
ครั้งที่227/2559
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.ออกกฎกระทรวงฯ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา (Visa) ให้แก่นักท่องเที่ยวตามมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวช่วง High Season ของรัฐบาล
วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2559
มท.ออกกฎกระทรวงฯ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา (Visa) ให้แก่นักท่องเที่ยวตามมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวช่วง High Season ของรัฐบาล
กระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงฯ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา (Visa)
ให้แก่นักท่องเที่ยวตามมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวช่วง High Season ของรัฐบาล
วันนี้ (2ธ.ค.59) ที่กระทรวงมหาดไทย นายชยพลธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับขีดความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และอํานวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวโดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่22พฤศจิกายน2559ได้มีมติเห็นชอบมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา(Visa)ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทย และปรับลดค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง(Visa on Arrival : VOA )เป็นการชั่วคราวตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวง เพื่อดําเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล กระทรวงมหาดไทยจึงได้อาศัยอํานาจตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522ออกกฎกระทรวงยกเลิกการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมและกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรามาตรา12 (1)ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว เป็นการชั่วคราว พ.ศ.2559 โดยมีสรุปสาระสําคัญคือ1.ให้ยกเลิกการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามมาตรา12 (1)ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว สําหรับกรณียื่นขอรับการตรวจลงตรา ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทย2.ให้กําหนดอัตราค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราตามมาตรา12 (1)ประเภทนักท่องเที่ยว ชนิดใช้ได้ครั้งเดียว สําหรับกรณียื่นขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองจาก2,000บาทต่อคน เป็นอัตรา1,000บาทต่อคน สําหรับคนต่างด้าวซึ่งมีสัญชาติของประเทศ ที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด เช่นจีนอินเดีย ยูเครน อุซเบกิสถาน คาซัคสถาน ภูฏาน ซาอุดิอาระเบีย เป็นต้น ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่1ธันวาคม2559ถึง28กุมภาพันธ์2560ซึ่งจะครอบคลุมระยะเวลา3เดือน
รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมและสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยจากการท่องเที่ยวซึ่งถือว่าเป็นรายได้สําคัญ คาดว่าจะทําให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการมีจํานวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวสอดคล้องกับฤดูการท่องเที่ยว(High Season)ที่กําลังจะมาถึง.
ครั้งที่227/2559
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/949
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรับราชการของทหารกองประจำการ
|
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563
การรับราชการของทหารกองประจําการ
การรับราชการของทหารกองประจําการ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรับราชการของทหารกองประจำการ
วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563
การรับราชการของทหารกองประจําการ
การรับราชการของทหารกองประจําการ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34364
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"หยุดเชื้อ เพื่อกลับบ้าน"
|
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2563
"หยุดเชื้อ เพื่อกลับบ้าน"
กระทรวงกลาโหม ได้สนับสนุนรัฐบาลแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคโควิด - ๑๙ โดยหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม ยังคงความต่อเนื่องในการสนับสนุนการดําเนินการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - ๑๙ (ศบค.) และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.)
รวมทั้งสนับสนุนการอํานวยการจัดการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) และพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) ตลอดจนพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถการบริหารจัดการมาตรการคัดกรองและสถานที่กักตัวควบคุมโรคดังกล่าว ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และให้เพียงพอสําหรับรองรับคนไทยในต่างประเทศจํานวนมากที่ลงทะเบียนกับกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งชาวต่างประเทศที่มีใบอนุญาตให้ทํางานในประเทศไทย ซึ่งประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยให้พยายามเข้าใจความรู้สึกและดูแลทุกคนตลอดเวลาที่เข้าพักกักตัวควบคุมโรคให้เสมือนคนในครอบครัว และเพิ่มการเฝ้าระวังมากขึ้นกับกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ที่เดินทางเข้าประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดซ้ํา
โดยในวันนี้ พลเอก นภนต์ สร้างสมวงษ์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมพื้นที่ครัวประกอบอาหาร และบริเวณพื้นที่ปฏิบัติงาน
ณ โรงแรม Eleqance Airport โรงแรม The Patra rama 9 และ โรงแรม Ambassdor
ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพ ฯ และ สมุทรปราการ เพื่อรับทราบปัญหาข้อขัดข้อง และแนวทางแก้ปัญหาในแต่ละพื้นที่ต่อไป
#อยู่ในห้อง หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"หยุดเชื้อ เพื่อกลับบ้าน"
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม 2563
"หยุดเชื้อ เพื่อกลับบ้าน"
กระทรวงกลาโหม ได้สนับสนุนรัฐบาลแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคโควิด - ๑๙ โดยหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม ยังคงความต่อเนื่องในการสนับสนุนการดําเนินการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - ๑๙ (ศบค.) และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.)
รวมทั้งสนับสนุนการอํานวยการจัดการพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐ (State Quarantine) และพื้นที่กักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) ตลอดจนพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถการบริหารจัดการมาตรการคัดกรองและสถานที่กักตัวควบคุมโรคดังกล่าว ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และให้เพียงพอสําหรับรองรับคนไทยในต่างประเทศจํานวนมากที่ลงทะเบียนกับกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งชาวต่างประเทศที่มีใบอนุญาตให้ทํางานในประเทศไทย ซึ่งประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยให้พยายามเข้าใจความรู้สึกและดูแลทุกคนตลอดเวลาที่เข้าพักกักตัวควบคุมโรคให้เสมือนคนในครอบครัว และเพิ่มการเฝ้าระวังมากขึ้นกับกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ที่เดินทางเข้าประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดซ้ํา
โดยในวันนี้ พลเอก นภนต์ สร้างสมวงษ์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมพื้นที่ครัวประกอบอาหาร และบริเวณพื้นที่ปฏิบัติงาน
ณ โรงแรม Eleqance Airport โรงแรม The Patra rama 9 และ โรงแรม Ambassdor
ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพ ฯ และ สมุทรปราการ เพื่อรับทราบปัญหาข้อขัดข้อง และแนวทางแก้ปัญหาในแต่ละพื้นที่ต่อไป
#อยู่ในห้อง หยุดเชื้อ เพื่อชาติ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31648
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย – สปป. ลาว มุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการทุจริตร่วมกันต่อไป
|
วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561
ไทย – สปป. ลาว มุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการทุจริตร่วมกันต่อไป
ไทย – สปป. ลาว มุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการทุจริตร่วมกันต่อไป
วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 09.30 น. พลตํารวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นํา ดร. บุนทอง จิดมะนี รองนายกรัฐมนตรีและประธานองค์การตรวจตรารัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (SIAA) เข้าเยี่ยมคารวะพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ในโอกาสเดินทางเยือนไทย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบกับรองนายกรัฐมนตรีและประธานองค์การตรวจตรารัฐบาลแห่ง สปป. ลาว ในวันนี้ พร้อมแสดงความยินดีที่ไทย – สปป. ลาว มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดตลอดมา ซึ่งช่วยให้การทํางานระหว่างสองประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น ขณะที่ รองนายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ยืนยันถึงความสัมพันธ์อันเข้มแข็งตลอดระยะเวลา 67 ปี ที่มีพัฒนาการอย่างเป็นระบบเรื่อยมา โดยหวังว่าทั้งสองประเทศจะสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือที่มีอยู่นี้ต่อไป
ทั้งสองฝ่ายย้ําถึงความสําคัญของการแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นอย่างรอบด้าน และมี ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานหลักฝ่ายไทยที่ร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านนี้กับ SIAA อย่างแข็งขันเสมอมา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองหน่วยงานจะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันทุกระดับ ทั้งทวิภาคี พหุภาคี และอาเซียน เพื่อต่อยอดไปสู่การดําเนินการที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี สปป. ลาว กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งสองหน่วยงานเป็นกลไกสําคัญในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังเป็นส่วนสําคัญในการเชื่อมโยงมิตรภาพระหว่างทั้งสองประเทศ
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายแสดงความประทับใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะความใกล้ชิดและความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งนายกรัฐมนตรีประสงค์ให้ไทยและ สปป. ลาว เติบโตอย่างเข้มแข็งไปด้วยกัน (Stronger Together) และจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Left No One Behind) ซึ่งเป็นหลักคิดสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย – สปป. ลาว มุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการทุจริตร่วมกันต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561
ไทย – สปป. ลาว มุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการทุจริตร่วมกันต่อไป
ไทย – สปป. ลาว มุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาการทุจริตร่วมกันต่อไป
วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2561) เวลา 09.30 น. พลตํารวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นํา ดร. บุนทอง จิดมะนี รองนายกรัฐมนตรีและประธานองค์การตรวจตรารัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (SIAA) เข้าเยี่ยมคารวะพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ในโอกาสเดินทางเยือนไทย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบกับรองนายกรัฐมนตรีและประธานองค์การตรวจตรารัฐบาลแห่ง สปป. ลาว ในวันนี้ พร้อมแสดงความยินดีที่ไทย – สปป. ลาว มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดตลอดมา ซึ่งช่วยให้การทํางานระหว่างสองประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น ขณะที่ รองนายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ยืนยันถึงความสัมพันธ์อันเข้มแข็งตลอดระยะเวลา 67 ปี ที่มีพัฒนาการอย่างเป็นระบบเรื่อยมา โดยหวังว่าทั้งสองประเทศจะสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือที่มีอยู่นี้ต่อไป
ทั้งสองฝ่ายย้ําถึงความสําคัญของการแก้ไขปัญหาการทุจริต โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นอย่างรอบด้าน และมี ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานหลักฝ่ายไทยที่ร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในด้านนี้กับ SIAA อย่างแข็งขันเสมอมา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้งสองหน่วยงานจะเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันทุกระดับ ทั้งทวิภาคี พหุภาคี และอาเซียน เพื่อต่อยอดไปสู่การดําเนินการที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี สปป. ลาว กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งสองหน่วยงานเป็นกลไกสําคัญในการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังเป็นส่วนสําคัญในการเชื่อมโยงมิตรภาพระหว่างทั้งสองประเทศ
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายแสดงความประทับใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะความใกล้ชิดและความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งนายกรัฐมนตรีประสงค์ให้ไทยและ สปป. ลาว เติบโตอย่างเข้มแข็งไปด้วยกัน (Stronger Together) และจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Left No One Behind) ซึ่งเป็นหลักคิดสําคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10265
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
|
วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
นายกฯ ประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 หารือแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 7 ประเด็นหลัก กําชับผู้ว่าฯ-เอกชนท้องถิ่นต้องคํานึงถึงการพัฒนา-สร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการดําเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล
วันนี้ (30 ตุลาคม 2561) เวลา 08.30 น. ณ ห้องประชุมแสนหวี หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ร่วมกับคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด 4 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่และจังหวัดน่าน ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในพื้นที่ เพื่อหารือแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ใน 7 ประเด็นหลัก ได้แก่ การขับเคลื่อนนโยบายเชิงพื้นที่ การท่องเที่ยว การค้าและการลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน การเกษตร การพัฒนาคุณภาพชีวิต และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการตรวจราชการภาคเหนือว่า รัฐบาลให้ความสําคัญสองส่วน คือ งานในหน้าที่ (function) และงานพัฒนา ภาคเหนือมีศักยภาพ คือ มีจุดเด่นด้านการท่องเที่ยว โดยได้กําหนดยุทธศาสตร์ให้มีการพัฒนาการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการต่อเนื่อง ให้มีคุณภาพ สร้างมูลเพิ่มอย่างยั่งยืนและกระจายประโยชน์อย่างทั่วถึง ทั้งยังเป็นประตูการค้าสู่สากล มีวัฒนธรรมล้านนา สินค้าเกษตรปลอดภัย ดังนั้นในการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดนั้น สามารถเน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมและสุขภาพ เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาค GMS BIMSTEC และ AEC แบบ Multidestination ดึงให้นักท่องเที่ยวอาเซียนได้ท่องเที่ยวภายในอาเซียน (ASEAN for ASEAN) และดึงนักท่องเที่ยวจากประเทศที่สามเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว (ASEAN for All) โดยนายกรัฐมนตรีย้ําว่า ต้องให้ความสําคัญกับกฎ ระเบียบ ในการข้ามแดน เพื่อให้ทันต่อการพัฒนาเส้นทางข้ามแดนต่าง ๆ ซึ่งขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พัฒนากิจกรรมต่าง ๆ ตลอดเส้นทางการท่องเที่ยว รวมทั้งการรักษาความสะอาดของแม่น้ํา คูคลองและถนนในพื้นที่ด้วย
นายกรัฐมนตรียังเห็นชอบการขับเคลื่อนนโยบายเชิงพื้นที่ตามข้อเสนอของภาคเอกชน ทั้งการพัฒนาถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลประเด็นต่าง ๆ ทั้งศึกษาออกแบบสิ่งอํานวยความสะดวก และสร้างความเชื่อมโยงร่วมกับแหล่งการท่องเที่ยวอื่น ๆ รวมทั้งการพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นทั้งแหล่งน้ํา แหล่งทรัพยากรประมง ครอบคลุมระบบบําบัดน้ําเสีย เขื่อนป้องกันตลิ่งและไฟส่องสว่าง รวมทั้งการปรับปรุงสนามกีฬาจังหวัดพะเยาให้ได้มาตรฐาน สามารถรองรับการแข่งขันกีฬาระดับชาติแบบ sport complex ได้
ด้านการค้า การลงทุน ตามมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบยกระดับจุดผ่อนปรนบ้านฮวก จังหวัดพะเยา เป็นด่านถาวร เพื่อเป็นการส่งเสริมศักยภาพของด่านบ้านฮวก นายกรัฐมนตรี ยังมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป ด้วยนวัตกรรม SMEs 4.0 เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรแปรรูป ประกอบด้วย ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการผลิตเชื่อมโยงการตลาดและธุรกิจออนไลน์ นายกรัฐมนตรียังกําชับให้นํางานวิจัยมาใช้ในการพัฒนารูปแบบการผลิตอาหารเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ได้
ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จะต้องให้มีการเชื่อมต่อทั้งระบบ (บกและราง) ทั้งการพัฒนาสายทางเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและภายในกลุ่มจังหวัด รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งทางราง (Transit Oriented-Development) จังหวัดพะเยา ออกแบบแผนแม่บทโลจิสติกส์เพื่อรองรับรถไฟทางคู่เชื่อมโยงเด่นชัย-พะเยา-เชียงของ และศึกษาเพื่อกําหนดตําแหน่งจุดพักกระจายสินค้าและจุดพักรถ (Rest Area) ที่เหมาะสมของจังหวัดพะเยา
นายกรัฐมนตรีย้ําว่า รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมด้านการเกษตร ในรูปแบบการพัฒนาเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ เร่งรัดพัฒนาสารกําจัดศัตรูพืชแทนสารเคมี เพื่อเพิ่มพื้นที่และปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรแก่เกษตรกร พัฒนาและส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า พัฒนาระบบการกระจายผลผลิต การส่งเสริมและพัฒนาการตลาด ประกอบด้วย การขยายพื้นที่เกษตรปลอดภัย ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สถาบันเกษตรกร นายกรัฐมนตรียังเสนอให้มีการส่งเสริมการเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้ประกอบการใหม่ (Start up) เพื่อให้เกิดสินค้าเกษตรที่แปลกใหม่
การพัฒนาคุณภาพชีวิต การส่งเสริมให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เป็น “เมืองต้นแบบสุขภาวะในผู้สูงวัย” (Health Aging Smart Cities) พัฒนาบริการชุมชนและบริการสุขภาพและพัฒนาระบบบริการการแพทย์อุบัติเหตุฉุกเฉินรองรับผู้สูงอายุ พัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ พัฒนาอาชีพผู้สูงอายุ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้สมุนไพรครบวงจรสู่เชิงพาณิชย์ ศึกษาวิจัยโภชนาการสมุนไพรพื้นบ้าน และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อสุขภาพ ศึกษาความเหมาะสมการจัดตั้งศูนย์ที่พักอาศัยสาหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร ศึกษาออกแบบรายละเอียดอารยสถาปัตย์ สิ่งอํานวยความสะดวกผู้สูงอายุ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การปฏิรูปสาธารณสุขภาครัฐ คือการเริ่มตั้งแต่การป้องกัน การรักษา และการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการดูแลสุขภาพ
ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เป็นแหล่งต้นน้ําที่สําคัญของภูมิภาคและประเทศ จึงต้องมีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ทั้งการก่อสร้างประตูระบายน้ํา สถานีสูบน้ํา การเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ํา โดยจะต้องดําเนินการให้สอดคล้องกับแผนงานงบประมาณด้วย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบกลุ่มจังหวัด ให้กลับมาติดตามการดําเนินงานที่เป็นผลจากการประชุมในวันนี้ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและเป็นรูปธรรม ทั้งยังกําชับผู้ว่าราชการจังหวัดและเอกชนท้องถิ่น จะต้องคํานึงถึงการพัฒนา ต้องสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการดําเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วย เพราะรัฐบาลต้องสร้างความเจริญให้ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทยด้วย
-------------------------
สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561
นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2
นายกฯ ประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 หารือแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 7 ประเด็นหลัก กําชับผู้ว่าฯ-เอกชนท้องถิ่นต้องคํานึงถึงการพัฒนา-สร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการดําเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล
วันนี้ (30 ตุลาคม 2561) เวลา 08.30 น. ณ ห้องประชุมแสนหวี หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ร่วมกับคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด 4 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่และจังหวัดน่าน ภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในพื้นที่ เพื่อหารือแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ใน 7 ประเด็นหลัก ได้แก่ การขับเคลื่อนนโยบายเชิงพื้นที่ การท่องเที่ยว การค้าและการลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน การเกษตร การพัฒนาคุณภาพชีวิต และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการตรวจราชการภาคเหนือว่า รัฐบาลให้ความสําคัญสองส่วน คือ งานในหน้าที่ (function) และงานพัฒนา ภาคเหนือมีศักยภาพ คือ มีจุดเด่นด้านการท่องเที่ยว โดยได้กําหนดยุทธศาสตร์ให้มีการพัฒนาการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการต่อเนื่อง ให้มีคุณภาพ สร้างมูลเพิ่มอย่างยั่งยืนและกระจายประโยชน์อย่างทั่วถึง ทั้งยังเป็นประตูการค้าสู่สากล มีวัฒนธรรมล้านนา สินค้าเกษตรปลอดภัย ดังนั้นในการพัฒนาและส่งเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดนั้น สามารถเน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมและสุขภาพ เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในอนุภูมิภาค GMS BIMSTEC และ AEC แบบ Multidestination ดึงให้นักท่องเที่ยวอาเซียนได้ท่องเที่ยวภายในอาเซียน (ASEAN for ASEAN) และดึงนักท่องเที่ยวจากประเทศที่สามเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว (ASEAN for All) โดยนายกรัฐมนตรีย้ําว่า ต้องให้ความสําคัญกับกฎ ระเบียบ ในการข้ามแดน เพื่อให้ทันต่อการพัฒนาเส้นทางข้ามแดนต่าง ๆ ซึ่งขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พัฒนากิจกรรมต่าง ๆ ตลอดเส้นทางการท่องเที่ยว รวมทั้งการรักษาความสะอาดของแม่น้ํา คูคลองและถนนในพื้นที่ด้วย
นายกรัฐมนตรียังเห็นชอบการขับเคลื่อนนโยบายเชิงพื้นที่ตามข้อเสนอของภาคเอกชน ทั้งการพัฒนาถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลประเด็นต่าง ๆ ทั้งศึกษาออกแบบสิ่งอํานวยความสะดวก และสร้างความเชื่อมโยงร่วมกับแหล่งการท่องเที่ยวอื่น ๆ รวมทั้งการพัฒนากว๊านพะเยาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นทั้งแหล่งน้ํา แหล่งทรัพยากรประมง ครอบคลุมระบบบําบัดน้ําเสีย เขื่อนป้องกันตลิ่งและไฟส่องสว่าง รวมทั้งการปรับปรุงสนามกีฬาจังหวัดพะเยาให้ได้มาตรฐาน สามารถรองรับการแข่งขันกีฬาระดับชาติแบบ sport complex ได้
ด้านการค้า การลงทุน ตามมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบยกระดับจุดผ่อนปรนบ้านฮวก จังหวัดพะเยา เป็นด่านถาวร เพื่อเป็นการส่งเสริมศักยภาพของด่านบ้านฮวก นายกรัฐมนตรี ยังมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป ด้วยนวัตกรรม SMEs 4.0 เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรแปรรูป ประกอบด้วย ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการผลิตเชื่อมโยงการตลาดและธุรกิจออนไลน์ นายกรัฐมนตรียังกําชับให้นํางานวิจัยมาใช้ในการพัฒนารูปแบบการผลิตอาหารเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ได้
ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จะต้องให้มีการเชื่อมต่อทั้งระบบ (บกและราง) ทั้งการพัฒนาสายทางเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและภายในกลุ่มจังหวัด รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งทางราง (Transit Oriented-Development) จังหวัดพะเยา ออกแบบแผนแม่บทโลจิสติกส์เพื่อรองรับรถไฟทางคู่เชื่อมโยงเด่นชัย-พะเยา-เชียงของ และศึกษาเพื่อกําหนดตําแหน่งจุดพักกระจายสินค้าและจุดพักรถ (Rest Area) ที่เหมาะสมของจังหวัดพะเยา
นายกรัฐมนตรีย้ําว่า รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมด้านการเกษตร ในรูปแบบการพัฒนาเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ เร่งรัดพัฒนาสารกําจัดศัตรูพืชแทนสารเคมี เพื่อเพิ่มพื้นที่และปริมาณการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมการปลูกพืชสมุนไพรแก่เกษตรกร พัฒนาและส่งเสริมการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า พัฒนาระบบการกระจายผลผลิต การส่งเสริมและพัฒนาการตลาด ประกอบด้วย การขยายพื้นที่เกษตรปลอดภัย ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร สถาบันเกษตรกร นายกรัฐมนตรียังเสนอให้มีการส่งเสริมการเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้ประกอบการใหม่ (Start up) เพื่อให้เกิดสินค้าเกษตรที่แปลกใหม่
การพัฒนาคุณภาพชีวิต การส่งเสริมให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เป็น “เมืองต้นแบบสุขภาวะในผู้สูงวัย” (Health Aging Smart Cities) พัฒนาบริการชุมชนและบริการสุขภาพและพัฒนาระบบบริการการแพทย์อุบัติเหตุฉุกเฉินรองรับผู้สูงอายุ พัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ พัฒนาอาชีพผู้สูงอายุ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้สมุนไพรครบวงจรสู่เชิงพาณิชย์ ศึกษาวิจัยโภชนาการสมุนไพรพื้นบ้าน และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อสุขภาพ ศึกษาความเหมาะสมการจัดตั้งศูนย์ที่พักอาศัยสาหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร ศึกษาออกแบบรายละเอียดอารยสถาปัตย์ สิ่งอํานวยความสะดวกผู้สูงอายุ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การปฏิรูปสาธารณสุขภาครัฐ คือการเริ่มตั้งแต่การป้องกัน การรักษา และการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการดูแลสุขภาพ
ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 เป็นแหล่งต้นน้ําที่สําคัญของภูมิภาคและประเทศ จึงต้องมีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ทั้งการก่อสร้างประตูระบายน้ํา สถานีสูบน้ํา การเพิ่มประสิทธิภาพในการกักเก็บน้ํา โดยจะต้องดําเนินการให้สอดคล้องกับแผนงานงบประมาณด้วย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบกลุ่มจังหวัด ให้กลับมาติดตามการดําเนินงานที่เป็นผลจากการประชุมในวันนี้ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและเป็นรูปธรรม ทั้งยังกําชับผู้ว่าราชการจังหวัดและเอกชนท้องถิ่น จะต้องคํานึงถึงการพัฒนา ต้องสร้างการรับรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการดําเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลด้วย เพราะรัฐบาลต้องสร้างความเจริญให้ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศไทยด้วย
-------------------------
สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16428
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 สามารถยื่นขอรับสิทธิการเยียวยาเนื่องจากเหตุสุดวิสัยได้ ภายในระยะเวลากี่ปี ??
|
วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2563
ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 สามารถยื่นขอรับสิทธิการเยียวยาเนื่องจากเหตุสุดวิสัยได้ ภายในระยะเวลากี่ปี ??
ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ สามารถยื่นขอรับสิทธิการเยียวยา ภายในระยะเวลากี่ปี ?
Q : ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 สามารถยื่นขอรับสิทธิการเยียวยาเนื่องจากเหตุสุดวิสัยได้ ภายในระยะเวลากี่ปี ??
A : ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม สามารถยื่นคําขอรับประโยชน์ทดแทนได้ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิ
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 สามารถยื่นขอรับสิทธิการเยียวยาเนื่องจากเหตุสุดวิสัยได้ ภายในระยะเวลากี่ปี ??
วันเสาร์ที่ 25 เมษายน 2563
ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 สามารถยื่นขอรับสิทธิการเยียวยาเนื่องจากเหตุสุดวิสัยได้ ภายในระยะเวลากี่ปี ??
ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ สามารถยื่นขอรับสิทธิการเยียวยา ภายในระยะเวลากี่ปี ?
Q : ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 สามารถยื่นขอรับสิทธิการเยียวยาเนื่องจากเหตุสุดวิสัยได้ ภายในระยะเวลากี่ปี ??
A : ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม สามารถยื่นคําขอรับประโยชน์ทดแทนได้ภายในระยะเวลา 2 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิ
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29738
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 9/2561
|
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561
ผลการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 9/2561
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 9/2561 เมื่อวันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ โดยมีศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 9/2561 เมื่อวันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ โดยมีศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารฝ่ายการเมือง อาทิ นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในกํากับเข้าร่วม
ซักซ้อมแผน Big Data พร้อมเตรียมขับเคลื่อนแผนปฏิรูปประเทศ
รมว.ศึกษาธิการเปิดเผยหลังการประชุมว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ส่งต้นฉบับแผนงานเรื่อง Big Data ซึ่งมีรายละเอียดสําหรับแต่ละหน่วยงานว่าจะต้องทําอะไรบ้าง รวมทั้งแนวทางการซักซ้อมความเข้าใจให้เกิดความชัดเจน
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ได้มีการประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ ทั้ง 11 ด้าน ในราชกิจจานุเบกษาแล้วที่ประชุม ครม.จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละด้านเข้ามาพิจารณาร่วมกัน ในส่วนของ ศธ. ก็มีความเกี่ยวข้องกับหลายด้าน โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนได้มีโอกาสหารือร่วมกับนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปฯ ของ ศธ. ต่อไป
สกสค.-ออมสิน เตรียม MOU ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ช.พ.ค.โครงการ 2-7 สัปดาห์หน้า
นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ครูโครงการ ช.พ.ค. โครงการที่ 2-7 ว่า เดิมมีการตกลงกันว่าในส่วนที่สนับสนุนเงินให้กับ สกสค. นั้น ทาง สกสค. ไม่ขอรับ แต่ขอให้นําไปเป็นส่วนลดอัตราดอกเบี้ยของครูในแต่ละโครงการ ซึ่งทางธนาคารออมสินก็ตกลงตามนั้น แต่ขอนําเงินไปเป็นค่าบริหารจัดการด้วย ทําให้ครูได้ส่วนลดไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
อย่างไรก็ตาม วันนี้ (1 พฤษภาคม 2561) ได้มีการตกลงตามที่ สกสค.ต้องการเรียบร้อยแล้ว และ สกสค. จะพิจารณาเพิ่มเติมด้วยว่าส่วนที่ให้กับสํานักงานฯ นั้น เกี่ยวข้องกับหนี้ไตรมาสด้วยหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะพยายามให้เร็วที่สุด คาดว่าจะสามารถลงนามบันทึกข้อตกลงกับธนาคารออมสินได้ภายในวันศุกร์นี้ หรืออย่างช้าภายในสัปดาห์หน้า
เตรียมผลักดันนักเรียนระดับท็อปของประเทศเข้าสู่โคเซ็น เพื่อปั้นนักนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ในส่วนของการศึกษาระบบโคเซ็น (KOSEN) ได้หารือร่วมกับประธานโคเซ็นของญี่ปุ่นแล้ว โดยอยากให้เข้าใจว่าโคเซ็นไม่ใช่อาชีวะของญี่ปุ่น แต่โคเซ็นคือการเตรียมกําลังคนเข้าสู่ยุค 4.0 เพื่อสร้างนักนวัตกรรม หรือนักเทคโนโลยีในระดับสูงขณะนี้ ศธ.ได้มีการทํางานร่วมกับโคเซ็น โดยเปลี่ยนแผนขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ที่ให้กู้เงินในอัตราดอกเบี้ยต่ํา และมอบหมายให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)รับผิดชอบนําเด็กเก่งที่สุดของประเทศที่กําลังเข้าสู่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 มาใช้ระบบแบบโคเซ็นอย่างจริงจัง
นายพะโยม ชิณวงศ์ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการกล่าวเพิ่มเติมว่า การเตรียมโครงการโคเซ็นนั้น เชื่อมโยงกับงานของศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศธ. ทั้งเรื่องของอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ จึงต้องเตรียมพร้อมตั้งแต่การศึกษาระดับพื้นฐาน โดยที่ผ่านมาหากพูดถึงด้านอุดมศึกษาก็จะว่าด้วยเรื่องของงานวิชาการ ส่วนทางสายอาชีพจะมีทักษะแต่ยังขาดแนวคิดทางเทคโนโลยี วันนี้เราจึงต้องพยายามหาจุดกึ่งกลางในการผลิตอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ซึ่งมาสอดคล้องกับแนวทางโคเซ็นของญี่ปุ่น โดยใช้สถานศึกษาของเราที่มีความพร้อมอยู่แล้ว เพื่อยกระดับให้เป็นอาชีวะพรีเมียมให้ได้
Written byปารัชญ์ ไชยเวช
Photo Creditธนภัทร จันทร์ห้างหว้า, กิตติกร แซ่หมู่
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 9/2561
วันพุธที่ 2 พฤษภาคม 2561
ผลการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 9/2561
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 9/2561 เมื่อวันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ โดยมีศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมองค์กรหลัก ครั้งที่ 9/2561 เมื่อวันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ โดยมีศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ผู้บริหารฝ่ายการเมือง อาทิ นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้บริหารองค์กรหลักและหน่วยงานในกํากับเข้าร่วม
ซักซ้อมแผน Big Data พร้อมเตรียมขับเคลื่อนแผนปฏิรูปประเทศ
รมว.ศึกษาธิการเปิดเผยหลังการประชุมว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ส่งต้นฉบับแผนงานเรื่อง Big Data ซึ่งมีรายละเอียดสําหรับแต่ละหน่วยงานว่าจะต้องทําอะไรบ้าง รวมทั้งแนวทางการซักซ้อมความเข้าใจให้เกิดความชัดเจน
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ได้มีการประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ ทั้ง 11 ด้าน ในราชกิจจานุเบกษาแล้วที่ประชุม ครม.จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละด้านเข้ามาพิจารณาร่วมกัน ในส่วนของ ศธ. ก็มีความเกี่ยวข้องกับหลายด้าน โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนได้มีโอกาสหารือร่วมกับนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในการขับเคลื่อนแผนการปฏิรูปฯ ของ ศธ. ต่อไป
สกสค.-ออมสิน เตรียม MOU ลดดอกเบี้ยเงินกู้ ช.พ.ค.โครงการ 2-7 สัปดาห์หน้า
นายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.)กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ครูโครงการ ช.พ.ค. โครงการที่ 2-7 ว่า เดิมมีการตกลงกันว่าในส่วนที่สนับสนุนเงินให้กับ สกสค. นั้น ทาง สกสค. ไม่ขอรับ แต่ขอให้นําไปเป็นส่วนลดอัตราดอกเบี้ยของครูในแต่ละโครงการ ซึ่งทางธนาคารออมสินก็ตกลงตามนั้น แต่ขอนําเงินไปเป็นค่าบริหารจัดการด้วย ทําให้ครูได้ส่วนลดไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
อย่างไรก็ตาม วันนี้ (1 พฤษภาคม 2561) ได้มีการตกลงตามที่ สกสค.ต้องการเรียบร้อยแล้ว และ สกสค. จะพิจารณาเพิ่มเติมด้วยว่าส่วนที่ให้กับสํานักงานฯ นั้น เกี่ยวข้องกับหนี้ไตรมาสด้วยหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะพยายามให้เร็วที่สุด คาดว่าจะสามารถลงนามบันทึกข้อตกลงกับธนาคารออมสินได้ภายในวันศุกร์นี้ หรืออย่างช้าภายในสัปดาห์หน้า
เตรียมผลักดันนักเรียนระดับท็อปของประเทศเข้าสู่โคเซ็น เพื่อปั้นนักนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง
รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ในส่วนของการศึกษาระบบโคเซ็น (KOSEN) ได้หารือร่วมกับประธานโคเซ็นของญี่ปุ่นแล้ว โดยอยากให้เข้าใจว่าโคเซ็นไม่ใช่อาชีวะของญี่ปุ่น แต่โคเซ็นคือการเตรียมกําลังคนเข้าสู่ยุค 4.0 เพื่อสร้างนักนวัตกรรม หรือนักเทคโนโลยีในระดับสูงขณะนี้ ศธ.ได้มีการทํางานร่วมกับโคเซ็น โดยเปลี่ยนแผนขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ที่ให้กู้เงินในอัตราดอกเบี้ยต่ํา และมอบหมายให้สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)รับผิดชอบนําเด็กเก่งที่สุดของประเทศที่กําลังเข้าสู่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 มาใช้ระบบแบบโคเซ็นอย่างจริงจัง
นายพะโยม ชิณวงศ์ โฆษกกระทรวงศึกษาธิการกล่าวเพิ่มเติมว่า การเตรียมโครงการโคเซ็นนั้น เชื่อมโยงกับงานของศาสตราจารย์คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศธ. ทั้งเรื่องของอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ จึงต้องเตรียมพร้อมตั้งแต่การศึกษาระดับพื้นฐาน โดยที่ผ่านมาหากพูดถึงด้านอุดมศึกษาก็จะว่าด้วยเรื่องของงานวิชาการ ส่วนทางสายอาชีพจะมีทักษะแต่ยังขาดแนวคิดทางเทคโนโลยี วันนี้เราจึงต้องพยายามหาจุดกึ่งกลางในการผลิตอาชีวะพันธุ์ใหม่และบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ซึ่งมาสอดคล้องกับแนวทางโคเซ็นของญี่ปุ่น โดยใช้สถานศึกษาของเราที่มีความพร้อมอยู่แล้ว เพื่อยกระดับให้เป็นอาชีวะพรีเมียมให้ได้
Written byปารัชญ์ ไชยเวช
Photo Creditธนภัทร จันทร์ห้างหว้า, กิตติกร แซ่หมู่
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11927
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
|
วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2560
รัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (24 ก.ค. 2560) เวลา 11.00 น. นายทอดด์ แมกเคลย์ (The Honourable Todd McClay) รัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์ เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่รัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์เดินทางมาเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมพิธีลงนามในพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไทย – นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership Agreement: TNZCEP) ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในช่วงบ่ายของวันนี้ รวมถึงแสดงความขอบคุณรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์ที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลและประชาชนนิวซีแลนด์ในการวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ โดยรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์ได้กล่าว ชื่นชม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ว่าเป็นบุคคลที่น่าชื่นชมและน่ายกย่อง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์ต่างแสดงความยินดีที่ไทยและนิวซีแลนด์มีความสัมพันธ์ที่ดีและมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดกันในหลากหลายสาขา มีความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 60 ปี เมื่อปี 2559 และความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการขยายความร่วมมือทางด้านอื่นๆเพิ่มเติมนอกเหนือจากการค้าและการลงทุน อาทิ ความร่วมมือด้านการศึกษา การท่องเที่ยว การเกษตร เป็นต้น โดยการขยายความร่วมมือไปสู่การเป็นหุ้นส่วนในด้านต่างๆ ในอนาคต
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์หารือถึงความสนใจของไทยในเรื่องความความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans Pacific Partnership : TPP) โดยรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์กล่าวว่า สมาชิกปัจจุบันของ TPP กําลังหารือถึงการเดินหน้าผลักดันความตกลง TPP ต่อไป และเชื่อว่าหากประเทศไทยเข้าร่วมความตกลง TPP จะเกิดผลประโยชน์ต่อไทย ด้านรองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขณะนี้ไทยมีความสนใจความตกลง TPP และ การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรีมองว่า RCEP สามารถที่จะผลักดันการเจรจาให้บรรลุผลสําเร็จได้เร็วกว่า เนื่องจาก RCEP ซึ่งมีสมาชิกได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ และคู่เจรจา 6 ประเทศ คือ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ล้วนมีความตกลงเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกันอยู่แล้ว และหากยกระดับความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันแล้ว RCEP จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อระบบการค้าและเศรษฐกิจครอบคลุมทั้งภูมิภาคและโลกอีกด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม 2560
รัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์เข้าเยี่ยมคารวะรองนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (24 ก.ค. 2560) เวลา 11.00 น. นายทอดด์ แมกเคลย์ (The Honourable Todd McClay) รัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์ เข้าเยี่ยมคารวะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล สรุปสาระสําคัญดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่รัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์เดินทางมาเยือนไทยเพื่อเข้าร่วมพิธีลงนามในพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไทย – นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership Agreement: TNZCEP) ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในช่วงบ่ายของวันนี้ รวมถึงแสดงความขอบคุณรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์ที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลและประชาชนนิวซีแลนด์ในการวางพวงมาลาถวายราชสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ โดยรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์ได้กล่าว ชื่นชม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ว่าเป็นบุคคลที่น่าชื่นชมและน่ายกย่อง
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์ต่างแสดงความยินดีที่ไทยและนิวซีแลนด์มีความสัมพันธ์ที่ดีและมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดกันในหลากหลายสาขา มีความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 60 ปี เมื่อปี 2559 และความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องในการขยายความร่วมมือทางด้านอื่นๆเพิ่มเติมนอกเหนือจากการค้าและการลงทุน อาทิ ความร่วมมือด้านการศึกษา การท่องเที่ยว การเกษตร เป็นต้น โดยการขยายความร่วมมือไปสู่การเป็นหุ้นส่วนในด้านต่างๆ ในอนาคต
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์หารือถึงความสนใจของไทยในเรื่องความความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans Pacific Partnership : TPP) โดยรัฐมนตรีการค้านิวซีแลนด์กล่าวว่า สมาชิกปัจจุบันของ TPP กําลังหารือถึงการเดินหน้าผลักดันความตกลง TPP ต่อไป และเชื่อว่าหากประเทศไทยเข้าร่วมความตกลง TPP จะเกิดผลประโยชน์ต่อไทย ด้านรองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขณะนี้ไทยมีความสนใจความตกลง TPP และ การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) อย่างไรก็ตาม รองนายกรัฐมนตรีมองว่า RCEP สามารถที่จะผลักดันการเจรจาให้บรรลุผลสําเร็จได้เร็วกว่า เนื่องจาก RCEP ซึ่งมีสมาชิกได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ และคู่เจรจา 6 ประเทศ คือ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ ล้วนมีความตกลงเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกันอยู่แล้ว และหากยกระดับความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันแล้ว RCEP จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อระบบการค้าและเศรษฐกิจครอบคลุมทั้งภูมิภาคและโลกอีกด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5415
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ให้นโยบายในการประชุม ส.บ.ม.ท.
|
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561
รมว.ศธ.ให้นโยบายในการประชุม ส.บ.ม.ท.
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายพิเศษ "Education in Thailand Evidence-based Policy" ในโครงการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง "การเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท เพื่อเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน"
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายพิเศษ "Education in Thailand Evidence-based Policy" ในโครงการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง "การเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท เพื่อเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน" และการประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2560 ครั้งที่ 47 ของสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2561 ณ โรงแรมสตาร์ จังหวัดระยอง โดยมี พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, เรือโท ศตวรรษ อนันตกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง, นายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ นายกส.บ.ม.ท.และผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วประเทศ เข้าร่วมงาน
รมว.ศึกษาธิการกล่าวตอนหนึ่งว่า ในเรื่องของการปฏิรูปการศึกษา มักจะมีผู้คอยห่วงใยและมีนักคิดเสนอความเห็น พร้อมมีรายงานด้านการศึกษาต่าง ๆ ประกอบการปฏิรูปเสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีการปฏิรูปใดที่ทําได้สําเร็จด้วยการถอนรากถอนโคน แต่จะต้องดําเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป บนหลักการและข้อมูลพื้นฐานความจริง เป็นไปได้ และคํานึงถึงบริบทที่เกี่ยวข้อง
สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อมูลสําคัญสะท้อนการปฏิรูปการศึกษาไทย คือการวิเคราะห์ผลการสอบ PISAซึ่งเป็นการวัดผลความสามารถของเด็กอายุ 15 ปี ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการอ่าน โดยมีประเทศที่เข้าร่วมกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกําลังพัฒนา ส่วนในภูมิภาคอาเซียนมีประเทศที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น และสําหรับค่าคะแนนเฉลี่ยของ PISA จะอยู่ที่ 500 คะแนน และความห่างทุก 30 คะแนน นั่นหมายถึงความห่าง 1 ปีการศึกษา
สําหรับการสุ่มโรงเรียนไทยเข้าร่วมโครงการ PISAประกอบด้วยโรงเรียนในหลากหลายลักษณะ อาทิ กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์ ได้แก่ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์และโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย, โรงเรียนสาธิตในสังกัด สกอ., โรงเรียนมัธยมฯ ระดับจังหวัดและอําเภอ, โรงเรียนเอกชน, โรงเรียนขยายโอกาสฯ ตลอดจนโรงเรียนสังกัด กทม. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ซึ่งผลการวิเคราะห์คะแนน PISA พบว่าเด็กไทยที่เก่งที่สุด ได้คะแนน PISA สูงในระดับเดียวกับเด็กในประเทศที่ได้อันดับหนึ่ง รวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน เด็กไทยที่เก่งที่สุดมีคะแนนห่างกับเด็กไทยที่อ่อนที่สุด ประมาณ 7 ปีการศึกษา ซึ่งมากกว่าความห่างระหว่างคะแนนเด็กไทยกับเด็กสิงคโปร์ แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาของไทย นอกจากนี้ยังพบว่าความยากจนไม่ใช่ชะตากรรม เด็กที่ยากจนที่สุดและพ่อแม่ไม่สนใจการศึกษา 10% ของเวียดนาม สามารถทําคะแนนได้สูงเท่ากับเด็กในประเทศที่เจริญแล้ว
จากข้อมูลข้างต้น เป็นภาพสะท้อนอย่างดีว่า หากเรายังปฏิรูปแบบเดิม ๆ ผลก็จะออกมาแบบเดิมเช่นกันดังนั้น การจัดประชุมใหญ่สามัญประจําปีในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสอันดีที่ผู้บริหาร ส.บ.ม.ท.จะได้ร่วมคิดร่วมหารือเพื่อยกระดับการศึกษามัธยมศึกษา ให้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษา โดยจัดครูที่เก่งที่สุดให้ไปสอนเด็กที่อ่อนที่สุด ตลอดจนสร้างแรงจูงใจให้เด็กกระตือรือร้นในการเรียนและแสวงหาความรู้ตลอดเวลา พร้อม ๆ กับสร้างแรงบันดาลใจในการค้นหาตัวตนให้เจอ สามารถเลือกเรียนต่อตามความถนัดและความสนใจ เติบโตเป็นกําลังคนที่เก่งวิชาชีพหรือมีทักษะและสมรรถนะตอบโจทย์การพัฒนาประเทศต่อไป
โอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับการจัดการมัธยมศึกษาด้วยว่า เร็ว ๆ นี้ กระทรวงศึกษาธิการจะเร่งสอบบรรจุครู เพื่อแก้ปัญหาบรรจุครูล่าช้า ไม่ให้ส่งผลต่อการจัดการศึกษาในโรงเรียนที่ขาดแคลนส่วนการจัดตั้งสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพิ่มเติม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาด้านข้อกฎหมาย และข้อเสนอให้จัดตั้ง "กรมมัธยมศึกษา" ก็ถือเป็นความคิดที่ดี โดย ส.บ.ม.ท.สามารถหารือในประเด็นนี้กับคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาได้
ส่วนเรื่องการตรวจสอบการทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบให้ พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ ตรวจสอบเกี่ยวกับการทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอล เพื่อให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตจริง ๆ ต้องได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ให้นโยบายในการประชุม ส.บ.ม.ท.
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561
รมว.ศธ.ให้นโยบายในการประชุม ส.บ.ม.ท.
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายพิเศษ "Education in Thailand Evidence-based Policy" ในโครงการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง "การเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท เพื่อเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน"
นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ บรรยายพิเศษ "Education in Thailand Evidence-based Policy" ในโครงการประชุมสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง "การเรียนรู้ตามรอยพระยุคลบาท เพื่อเป็นข้าราชการที่ดี และพลังของแผ่นดิน" และการประชุมใหญ่สามัญประจําปี 2560 ครั้งที่ 47 ของสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม 2561 ณ โรงแรมสตาร์ จังหวัดระยอง โดยมี พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, เรือโท ศตวรรษ อนันตกูล รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง, นายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ นายกส.บ.ม.ท.และผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาทั่วประเทศ เข้าร่วมงาน
รมว.ศึกษาธิการกล่าวตอนหนึ่งว่า ในเรื่องของการปฏิรูปการศึกษา มักจะมีผู้คอยห่วงใยและมีนักคิดเสนอความเห็น พร้อมมีรายงานด้านการศึกษาต่าง ๆ ประกอบการปฏิรูปเสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีการปฏิรูปใดที่ทําได้สําเร็จด้วยการถอนรากถอนโคน แต่จะต้องดําเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป บนหลักการและข้อมูลพื้นฐานความจริง เป็นไปได้ และคํานึงถึงบริบทที่เกี่ยวข้อง
สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อมูลสําคัญสะท้อนการปฏิรูปการศึกษาไทย คือการวิเคราะห์ผลการสอบ PISAซึ่งเป็นการวัดผลความสามารถของเด็กอายุ 15 ปี ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการอ่าน โดยมีประเทศที่เข้าร่วมกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกําลังพัฒนา ส่วนในภูมิภาคอาเซียนมีประเทศที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น และสําหรับค่าคะแนนเฉลี่ยของ PISA จะอยู่ที่ 500 คะแนน และความห่างทุก 30 คะแนน นั่นหมายถึงความห่าง 1 ปีการศึกษา
สําหรับการสุ่มโรงเรียนไทยเข้าร่วมโครงการ PISAประกอบด้วยโรงเรียนในหลากหลายลักษณะ อาทิ กลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์ ได้แก่ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์และโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย, โรงเรียนสาธิตในสังกัด สกอ., โรงเรียนมัธยมฯ ระดับจังหวัดและอําเภอ, โรงเรียนเอกชน, โรงเรียนขยายโอกาสฯ ตลอดจนโรงเรียนสังกัด กทม. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ซึ่งผลการวิเคราะห์คะแนน PISA พบว่าเด็กไทยที่เก่งที่สุด ได้คะแนน PISA สูงในระดับเดียวกับเด็กในประเทศที่ได้อันดับหนึ่ง รวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน เด็กไทยที่เก่งที่สุดมีคะแนนห่างกับเด็กไทยที่อ่อนที่สุด ประมาณ 7 ปีการศึกษา ซึ่งมากกว่าความห่างระหว่างคะแนนเด็กไทยกับเด็กสิงคโปร์ แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ําทางการศึกษาของไทย นอกจากนี้ยังพบว่าความยากจนไม่ใช่ชะตากรรม เด็กที่ยากจนที่สุดและพ่อแม่ไม่สนใจการศึกษา 10% ของเวียดนาม สามารถทําคะแนนได้สูงเท่ากับเด็กในประเทศที่เจริญแล้ว
จากข้อมูลข้างต้น เป็นภาพสะท้อนอย่างดีว่า หากเรายังปฏิรูปแบบเดิม ๆ ผลก็จะออกมาแบบเดิมเช่นกันดังนั้น การจัดประชุมใหญ่สามัญประจําปีในครั้งนี้ จะเป็นโอกาสอันดีที่ผู้บริหาร ส.บ.ม.ท.จะได้ร่วมคิดร่วมหารือเพื่อยกระดับการศึกษามัธยมศึกษา ให้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษา โดยจัดครูที่เก่งที่สุดให้ไปสอนเด็กที่อ่อนที่สุด ตลอดจนสร้างแรงจูงใจให้เด็กกระตือรือร้นในการเรียนและแสวงหาความรู้ตลอดเวลา พร้อม ๆ กับสร้างแรงบันดาลใจในการค้นหาตัวตนให้เจอ สามารถเลือกเรียนต่อตามความถนัดและความสนใจ เติบโตเป็นกําลังคนที่เก่งวิชาชีพหรือมีทักษะและสมรรถนะตอบโจทย์การพัฒนาประเทศต่อไป
โอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้ตอบข้อซักถามเกี่ยวกับการจัดการมัธยมศึกษาด้วยว่า เร็ว ๆ นี้ กระทรวงศึกษาธิการจะเร่งสอบบรรจุครู เพื่อแก้ปัญหาบรรจุครูล่าช้า ไม่ให้ส่งผลต่อการจัดการศึกษาในโรงเรียนที่ขาดแคลนส่วนการจัดตั้งสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพิ่มเติม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาด้านข้อกฎหมาย และข้อเสนอให้จัดตั้ง "กรมมัธยมศึกษา" ก็ถือเป็นความคิดที่ดี โดย ส.บ.ม.ท.สามารถหารือในประเด็นนี้กับคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาได้
ส่วนเรื่องการตรวจสอบการทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบให้ พล.ท.โกศล ประทุมชาติ ที่ปรึกษา รมว.ศึกษาธิการ ตรวจสอบเกี่ยวกับการทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอล เพื่อให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตจริง ๆ ต้องได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
Written byอรพรรณ ฤทธิ์มั่น
Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน
Rewriterนวรัตน์ รามสูต
Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10819
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐหนุนเกษตรกรน้อมนำ “เกษตรทฤษฏีใหม่” สร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
|
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
รัฐหนุนเกษตรกรน้อมนํา “เกษตรทฤษฏีใหม่” สร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
เป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพมากขึ้น รวมถึงเป็นมิตรต่อสุขภาพเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลสนับสนุนให้เกษตรกรน้อมนําแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มาใช้เป็นแนวทางในการทําการเกษตร เช่น ทําไร่นาสวนผสมคู่กับการเลี้ยงสัตว์ เพื่อสร้างรายได้และลดรายจ่าย รวมทั้งปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกโดยใช้พันธุ์ที่มีคุณภาพ ใช้วิธีอินทรีย์และนวัตกรรมเข้ามาช่วย ขณะเดียวกันต้องลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งการจ้างคน การใช้ปุ๋ยเคมีที่ไม่จําเป็น และประหยัดการใช้น้ํา และรวมกลุ่มเพื่อสร้างอํานาจต่อรองเพื่อไม่ให้ถูกกดราคา ทั้งนี้ รัฐบาลยินดีสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ลงไปให้คําแนะนํา และส่งเสริมให้เกษตรกรรับบริการจากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรที่มีอยู่กว่า 880 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ตนเองและครอบครัว
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐหนุนเกษตรกรน้อมนำ “เกษตรทฤษฏีใหม่” สร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561
รัฐหนุนเกษตรกรน้อมนํา “เกษตรทฤษฏีใหม่” สร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
เป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จําเป็น ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพมากขึ้น รวมถึงเป็นมิตรต่อสุขภาพเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลสนับสนุนให้เกษตรกรน้อมนําแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มาใช้เป็นแนวทางในการทําการเกษตร เช่น ทําไร่นาสวนผสมคู่กับการเลี้ยงสัตว์ เพื่อสร้างรายได้และลดรายจ่าย รวมทั้งปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกโดยใช้พันธุ์ที่มีคุณภาพ ใช้วิธีอินทรีย์และนวัตกรรมเข้ามาช่วย ขณะเดียวกันต้องลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งการจ้างคน การใช้ปุ๋ยเคมีที่ไม่จําเป็น และประหยัดการใช้น้ํา และรวมกลุ่มเพื่อสร้างอํานาจต่อรองเพื่อไม่ให้ถูกกดราคา ทั้งนี้ รัฐบาลยินดีสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ลงไปให้คําแนะนํา และส่งเสริมให้เกษตรกรรับบริการจากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรที่มีอยู่กว่า 880 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ตนเองและครอบครัว
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9199
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.Medical Hub เตรียมความพร้อมรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หลังโควิด 19 คลี่คลาย [กระทรวงสาธารณสุข]
|
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563
คกก.Medical Hub เตรียมความพร้อมรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หลังโควิด 19 คลี่คลาย [กระทรวงสาธารณสุข]
คกก.Medical Hub เตรียมความพร้อมรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หลังโควิด 19 คลี่คลาย
คณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) เตรียมความพร้อม 3 ด้าน รับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หากได้รับการผ่อนปรนหลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการจากภาครัฐและภาคเอกชนร่วมประชุม พิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเมื่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) คลี่คลาย
นายแพทย์ธเรศกล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบในหลักการ 3 ด้าน ได้แก่ 1.จัดทําแนวทางการรักษาพยาบาลพร้อมเป็นสถานกักกันในโรงพยาบาล สําหรับผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ารับการรักษาพยาบาลต่อเนื่องในประเทศไทย ซึ่งรวมผู้ติดตาม โดยแบ่งเป็นสถานกักกันในโรงพยาบาล (Hospital Quarantine) กักกันตัวผู้ป่วยชาวไทยที่เดินทางกลับเข้ามาในไทย และสถานกักกันในโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) สําหรับผู้ป่วยชาวต่างชาติและผู้ติดตาม ต้องมีการนัดหมายไว้ล่วงหน้า โดยรักษาและกักกันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ต้องมีผลการตรวจโควิด 19 ก่อนเข้าประเทศไม่เกิน 72 ชั่วโมง เมื่อเข้ามารักษาต้องมีการตรวจอีก 3 ครั้ง (ก่อนรักษา ระหว่างรักษา และหลังการรักษา) เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นําเชื้อมาแพร่ระบาดในไทย โดยค่าใช้จ่ายในการรักษากรณี Hospital Quarantine หากเป็นคนไทยเป็นไปตามสิทธิการรักษา หากเกินสิทธิ์ต้องจ่ายเองโดยสมัครใจ กรณี Alternative Hospital Quarantine ผู้ป่วยต่างชาติและคนไทยที่สมัครใจต้องชําระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
2.เห็นชอบให้ “ประเทศไทยเป็นเมืองหลวงของโลกด้านการดูแลสุขภาพ” โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ตราสัญลักษณ์ Medical Hub ภายใต้แนวคิด “Healthcare Capital of the World” และกําหนดข้อความสําคัญในการสื่อสารว่า “Beyond Healthcare, Trust Thailand” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการกลับเข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย และ 3.มาตรการพัฒนาชุดเครื่องมือแพทย์รองรับการระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อรับมือและลดโอกาสติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ และผู้เข้ารับการตรวจหาเชื้อวิด 19 โดยเน้นการผลิตในประเทศไทย แบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ เครื่องมือแพทย์สําหรับการคัดกรองและตรวจสอบโรค เครื่องมือแพทย์สําหรับการป้องกันและควบคุมโรค เครื่องมือแพทย์สําหรับการคัดแยกและการฆ่าเชื้อ และเครื่องมือแพทย์สําหรับการบําบัดรักษาโรค โดยเน้นการผลิตในประเทศไทย
*************************** 30 มิถุนายน 2563
***********************************
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.Medical Hub เตรียมความพร้อมรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หลังโควิด 19 คลี่คลาย [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2563
คกก.Medical Hub เตรียมความพร้อมรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หลังโควิด 19 คลี่คลาย [กระทรวงสาธารณสุข]
คกก.Medical Hub เตรียมความพร้อมรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หลังโควิด 19 คลี่คลาย
คณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) เตรียมความพร้อม 3 ด้าน รับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หากได้รับการผ่อนปรนหลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลาย
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบาย Medical Hub) ครั้งที่ 1/2563 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการจากภาครัฐและภาคเอกชนร่วมประชุม พิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเมื่อสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) คลี่คลาย
นายแพทย์ธเรศกล่าวว่า ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบในหลักการ 3 ด้าน ได้แก่ 1.จัดทําแนวทางการรักษาพยาบาลพร้อมเป็นสถานกักกันในโรงพยาบาล สําหรับผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ารับการรักษาพยาบาลต่อเนื่องในประเทศไทย ซึ่งรวมผู้ติดตาม โดยแบ่งเป็นสถานกักกันในโรงพยาบาล (Hospital Quarantine) กักกันตัวผู้ป่วยชาวไทยที่เดินทางกลับเข้ามาในไทย และสถานกักกันในโรงพยาบาลทางเลือก (Alternative Hospital Quarantine) สําหรับผู้ป่วยชาวต่างชาติและผู้ติดตาม ต้องมีการนัดหมายไว้ล่วงหน้า โดยรักษาและกักกันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 14 วัน ต้องมีผลการตรวจโควิด 19 ก่อนเข้าประเทศไม่เกิน 72 ชั่วโมง เมื่อเข้ามารักษาต้องมีการตรวจอีก 3 ครั้ง (ก่อนรักษา ระหว่างรักษา และหลังการรักษา) เพื่อความปลอดภัยและเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่นําเชื้อมาแพร่ระบาดในไทย โดยค่าใช้จ่ายในการรักษากรณี Hospital Quarantine หากเป็นคนไทยเป็นไปตามสิทธิการรักษา หากเกินสิทธิ์ต้องจ่ายเองโดยสมัครใจ กรณี Alternative Hospital Quarantine ผู้ป่วยต่างชาติและคนไทยที่สมัครใจต้องชําระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
2.เห็นชอบให้ “ประเทศไทยเป็นเมืองหลวงของโลกด้านการดูแลสุขภาพ” โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ตราสัญลักษณ์ Medical Hub ภายใต้แนวคิด “Healthcare Capital of the World” และกําหนดข้อความสําคัญในการสื่อสารว่า “Beyond Healthcare, Trust Thailand” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการกลับเข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย และ 3.มาตรการพัฒนาชุดเครื่องมือแพทย์รองรับการระบาดของโรคโควิด 19 เพื่อรับมือและลดโอกาสติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ และผู้เข้ารับการตรวจหาเชื้อวิด 19 โดยเน้นการผลิตในประเทศไทย แบ่งเป็น 4 กลุ่มคือ เครื่องมือแพทย์สําหรับการคัดกรองและตรวจสอบโรค เครื่องมือแพทย์สําหรับการป้องกันและควบคุมโรค เครื่องมือแพทย์สําหรับการคัดแยกและการฆ่าเชื้อ และเครื่องมือแพทย์สําหรับการบําบัดรักษาโรค โดยเน้นการผลิตในประเทศไทย
*************************** 30 มิถุนายน 2563
***********************************
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32912
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” มอบนโยบาย ขรก. ขับเคลื่อนงาน ตั้ง ศปก. เป็นเครื่องมือบัญชาการแรงงานทั้งระบบ
|
วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2560
“บิ๊กอู๋” มอบนโยบาย ขรก. ขับเคลื่อนงาน ตั้ง ศปก. เป็นเครื่องมือบัญชาการแรงงานทั้งระบบ
“รัฐมนตรีแรงงาน” มอบนโยบาย ขรก. เน้นย้ํางานเร่งด่วน บริหารการพัฒนา และระดับพื้นที่
ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ เฝ้าฟัง ติดตามสถานการณ์ สั่งการ เป็นเครื่องมือบริหารจัดการแรงงานทั้งระบบ
วันนี้ (2 ธ.ค.60) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและทิศทางการปฏิบัติราชการในปี 2561 ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยได้เน้นหนักนโยบายสําคัญและนโยบายเร่งด่วน (Agenda) คือ การเร่งรัดการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารให้ถูกต้องแล้วเสร็จภายใน 31 มีนาคม 2561 ผลักดันและเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายด้านแรงงาน ตาม IUU Fishing ป้องกันมิให้มีการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย คุ้มครองแรงงานไทยที่ทํางานในต่างประเทศ พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม แก้ปัญหาการหลอกลวงคนหางานไปทํางานต่างประเทศ ส่งเสริมและสนับสนุนให้แรงงานนอกระบบเข้าถึงระบบหลักประกันทางสังคม ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการในสถานประกอบการ และขับเคลื่อนนโยบาย Safety Thailand
พล.ต.อ.อดุลย์ ยังได้มอบนโยบายบริหารการพัฒนา (Administrator) คือ ยกระดับศูนย์ปฏิบัติการกระทรวง (ศปก.) เพื่อเป็นเครื่องมือของผู้บริหารในการอํานวยการติดตาม ควบคุมสั่งการ การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยทั้งระบบ โดยบูรณาการกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดการออกกฎหมายสําคัญเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงาน จํานวน 11 ฉบับ พัฒนาบุคลากรให้มีขีดความสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพพนักงานตรวจแรงงานให้มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่ ยกระดับกระทรวงให้เป็นหน่วยงานที่มีมาตรฐานสากล เพิ่มประสิทธิภาพศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ ด้วยการจัดระบบข้อมูล (Big Data) รวมทั้งพัฒนาประสิทธิภาพการประชาสัมพันธ์และการปฏิบัติการข่าวสารเพื่อสร้างการรับรู้ต่อการดําเนินนโยบายของกระทรวง
ส่วนนโยบายในระดับพื้นที่ (Area) ให้แรงงานจังหวัดเป็นตัวแทนของกระทรวงในภูมิภาคในการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงในระดับพื้นที่ ให้มีการจัดทําแผนปฏิบัติการรายจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ให้มีการจัดระบบการทํางานที่เชื่อมโยง ประสานส่งต่อ และบูรณาการทรัพยากร นอกจากนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ยังได้กําชับให้มีการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติ โดยให้ผู้บริหารทุกหน่วยงานชี้แจงนโยบายและมอบภารกิจที่รับผิดชอบเพื่อสร้างความเข้าใจแก่บุคลากรทุกระดับ ให้ทุกหน่วยงานจัดทําแผนปฏิบัติการ โดยให้บูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภายในและภายนอกกระทรวง ให้ใช้ศูนย์ปฏิบัติการของหน่วยงานเป็นเครื่องมือการอํานวยการติดตาม เฝ้าฟัง แก้ไขสถานการณ์ และใช้กลไกคณะกรรมการระดับชาติและคณะอนุกรรมการระดับชาติในการขับเคลื่อนประเด็นที่เกี่ยวข้องอย่างบูรณาการและเชื่อมโยงกันอีกด้วย
-------------------------------------
กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“บิ๊กอู๋” มอบนโยบาย ขรก. ขับเคลื่อนงาน ตั้ง ศปก. เป็นเครื่องมือบัญชาการแรงงานทั้งระบบ
วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2560
“บิ๊กอู๋” มอบนโยบาย ขรก. ขับเคลื่อนงาน ตั้ง ศปก. เป็นเครื่องมือบัญชาการแรงงานทั้งระบบ
“รัฐมนตรีแรงงาน” มอบนโยบาย ขรก. เน้นย้ํางานเร่งด่วน บริหารการพัฒนา และระดับพื้นที่
ตั้งศูนย์ปฏิบัติการฯ เฝ้าฟัง ติดตามสถานการณ์ สั่งการ เป็นเครื่องมือบริหารจัดการแรงงานทั้งระบบ
วันนี้ (2 ธ.ค.60) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายและทิศทางการปฏิบัติราชการในปี 2561 ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยได้เน้นหนักนโยบายสําคัญและนโยบายเร่งด่วน (Agenda) คือ การเร่งรัดการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารให้ถูกต้องแล้วเสร็จภายใน 31 มีนาคม 2561 ผลักดันและเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายด้านแรงงาน ตาม IUU Fishing ป้องกันมิให้มีการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย คุ้มครองแรงงานไทยที่ทํางานในต่างประเทศ พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม แก้ปัญหาการหลอกลวงคนหางานไปทํางานต่างประเทศ ส่งเสริมและสนับสนุนให้แรงงานนอกระบบเข้าถึงระบบหลักประกันทางสังคม ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการในสถานประกอบการ และขับเคลื่อนนโยบาย Safety Thailand
พล.ต.อ.อดุลย์ ยังได้มอบนโยบายบริหารการพัฒนา (Administrator) คือ ยกระดับศูนย์ปฏิบัติการกระทรวง (ศปก.) เพื่อเป็นเครื่องมือของผู้บริหารในการอํานวยการติดตาม ควบคุมสั่งการ การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยทั้งระบบ โดยบูรณาการกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดการออกกฎหมายสําคัญเพื่อแก้ไขปัญหาแรงงาน จํานวน 11 ฉบับ พัฒนาบุคลากรให้มีขีดความสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพพนักงานตรวจแรงงานให้มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่ ยกระดับกระทรวงให้เป็นหน่วยงานที่มีมาตรฐานสากล เพิ่มประสิทธิภาพศูนย์ข้อมูลแรงงานแห่งชาติ ด้วยการจัดระบบข้อมูล (Big Data) รวมทั้งพัฒนาประสิทธิภาพการประชาสัมพันธ์และการปฏิบัติการข่าวสารเพื่อสร้างการรับรู้ต่อการดําเนินนโยบายของกระทรวง
ส่วนนโยบายในระดับพื้นที่ (Area) ให้แรงงานจังหวัดเป็นตัวแทนของกระทรวงในภูมิภาคในการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงในระดับพื้นที่ ให้มีการจัดทําแผนปฏิบัติการรายจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ให้มีการจัดระบบการทํางานที่เชื่อมโยง ประสานส่งต่อ และบูรณาการทรัพยากร นอกจากนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ยังได้กําชับให้มีการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติ โดยให้ผู้บริหารทุกหน่วยงานชี้แจงนโยบายและมอบภารกิจที่รับผิดชอบเพื่อสร้างความเข้าใจแก่บุคลากรทุกระดับ ให้ทุกหน่วยงานจัดทําแผนปฏิบัติการ โดยให้บูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภายในและภายนอกกระทรวง ให้ใช้ศูนย์ปฏิบัติการของหน่วยงานเป็นเครื่องมือการอํานวยการติดตาม เฝ้าฟัง แก้ไขสถานการณ์ และใช้กลไกคณะกรรมการระดับชาติและคณะอนุกรรมการระดับชาติในการขับเคลื่อนประเด็นที่เกี่ยวข้องอย่างบูรณาการและเชื่อมโยงกันอีกด้วย
-------------------------------------
กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8501
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.3 เดินหน้าขับเคลื่อนแผนพัฒนาพื้นที่ ย้ำ “งานพัฒนาชุมชนที่อยากเห็น” ยุค 4.0 ยึดหลักสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำ
|
วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562
มท.3 เดินหน้าขับเคลื่อนแผนพัฒนาพื้นที่ ย้ํา “งานพัฒนาชุมชนที่อยากเห็น” ยุค 4.0 ยึดหลักสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ํา
มท.3 เดินหน้าขับเคลื่อนแผนพัฒนาพื้นที่ ย้ํา “งานพัฒนาชุมชนที่อยากเห็น” ยุค 4.0 ยึดหลักสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ํา
วันนี้ (16 ส.ค. 62) เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุมแกรน ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานีจ.นนทบุรี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายพร้อมบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “งานพัฒนาชุมชนที่อยากเห็น” ให้แก่บุคลากรของกรมการพัฒนาชุมชน ในการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างความเข้าใจการขับเคลื่อนการจัดทําแผนและประสานแผนพัฒนาพัฒนาในระดับอําเภอและตําบล โดยกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ผู้บริหารของกรมการพัฒนาชุมชน พัฒนาการอําเภอทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟังกว่า 1,000 คน
โอกาสนี้ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงต่าง ๆ ที่จะดําเนินการในพื้นที่เพื่อให้ถึงพี่น้องประชาชน ย่อมต้องผ่านกลไกและบทบาทของบุคลากรกรมการพัฒนาชุมชน ซึ่งมีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนา ดังนั้น จึงขอให้ทุกท่านได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่และภารกิจซึ่งมีความใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้งานบรรลุผลสําเร็จ และในวันนี้เราจะทําอย่างไรให้นโยบายต่างๆ เข้าถึงประชาชนอย่างทั่วถึง โดยได้เน้นย้ําให้มีการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลเกิดผลสําเร็จเห็นเป็นรูปธรรม ภายใต้นโยบายหลักว่าด้วยการสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก กล่าวคือการปฏิบัติงานให้เห็นผลประจักษ์อย่างชัดเจนใน 3 ประเด็นสําคัญ ดังนี้ 1) การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนและผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งมีการดําเนินโครงการส่งเสริมการผลิตสินค้า OTOP เพื่อสร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างงานให้แก่ประชาชน มีการดําเนินโครงการสัมมาชีพชุมชน ด้วยหลักการ “ชาวบ้านสอนชาวบ้าน” และการดําเนินโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี สร้างการกระจายรายได้ให้เกิดขึ้นแก่ชุมชน ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไปเยี่ยมชมวิถิชีวิต อุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน 2) การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน มีการดําเนินโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งหวังให้ประชาชนได้น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่วิถีชีวิต มีชีวิตที่พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุมกัน ใช้ความรู้คู่คุณธรรมในการดําเนินชีวิต รวมถึงการสร้างผู้นํากลุ่ม องค์กร เครือข่าย เพื่อเป็นพลังในการพัฒนาชุมชนอย่างเข้มแข็ง และการส่งเสริมองค์กรการเงินชุมชน แหล่งเงินทุนที่ชุมชนเข้าถึงได้ง่าย สามารถเป็นเงินทุนที่ต่อยอดในการสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง ครอบครัว และชุมชน และ 3) การส่งเสริมบทบาทเอกชนในการส่งเสริมการช่วยพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (SE) บูรณาการร่วมกันจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนต่อไป
นายทรงศักดิ์ ทองศรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในยุคของการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาคนเป็นสิ่งสําคัญที่ต้องคํานึงถึงและต้องเร่งดําเนินการ เช่น 1. การสร้างชุมชนเข้มแข็ง ซึ่งต้องทํางานกับ “ผู้นําชุมชน” จึงต้องมุ่งเน้นการส่งเสริมคนให้มีวินัยมีการเรียนรู้ตลอดเวลา รวมถึงปรับตัวก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ยุคใหม่ พร้อมเป็นแบบอย่างที่ดี สร้างวัฒนธรรมที่ดีงาม มีความตระหนักรู้ในหน้าที่ของตนเอง นําความรู้จากที่ได้รับการฝึกอบรมมาปฏิบัติ และขยายผล ทั้งยังต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม 2. ด้านเศรษฐกิจฐานราก เน้นการพัฒนาอาชีพโดยต้องมี 3 อาชีพ ได้แก่ อาชีพหลัก อาชีพรอง และอาชีพเสริม โดยเฉพาะการผลิตผลทางการเกษตร ที่ต้องเอาชนะฤดูกาล รวมถึงการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐาน และส่งเสริมการตลาด โดยใช้เทคโนโลยีมาประกอบ เช่น Online, การสร้างเครือข่ายโดย OTOP Trader และบริษัท ประชารัฐ 3. ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ต้องสร้างพันธมิตรกับองค์กรเครือข่าย และเชื่อมโยงการท่องเที่ยว พร้อมเปิดโอกาสช่องทางจําหน่าย และการมีเครือข่ายในการพัฒนาสินค้า สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ OTOP ได้พบกับลูกค้าโดยตรง ก่อให้เกิดการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ มี่ตอบสนองต่อความต้องการลูกค้า
ท้ายนี้ นายทรงศักดิ์ ยังได้เน้นย้ําถึงการจัดระบบชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ที่ต้องดําเนินการ เช่น การสร้างความแตกต่างในแต่ละหมู่บ้าน เพื่อเพิ่มมูลค่าอย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งต้องเน้นการประชาสัมพันธ์ในวงกว้างก่อให้เกิดการยอมรับ และชุมชนตระหนักรู้ร่วมเป็นเจ้าภาพ ร่วมกันพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในพื้นที่ตลอดไป
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.3 เดินหน้าขับเคลื่อนแผนพัฒนาพื้นที่ ย้ำ “งานพัฒนาชุมชนที่อยากเห็น” ยุค 4.0 ยึดหลักสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำ
วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562
มท.3 เดินหน้าขับเคลื่อนแผนพัฒนาพื้นที่ ย้ํา “งานพัฒนาชุมชนที่อยากเห็น” ยุค 4.0 ยึดหลักสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ํา
มท.3 เดินหน้าขับเคลื่อนแผนพัฒนาพื้นที่ ย้ํา “งานพัฒนาชุมชนที่อยากเห็น” ยุค 4.0 ยึดหลักสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ํา
วันนี้ (16 ส.ค. 62) เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุมแกรน ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานีจ.นนทบุรี นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายพร้อมบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “งานพัฒนาชุมชนที่อยากเห็น” ให้แก่บุคลากรของกรมการพัฒนาชุมชน ในการประชุมเชิงปฏิบัติการสร้างความเข้าใจการขับเคลื่อนการจัดทําแผนและประสานแผนพัฒนาพัฒนาในระดับอําเภอและตําบล โดยกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย ผู้บริหารของกรมการพัฒนาชุมชน พัฒนาการอําเภอทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับฟังกว่า 1,000 คน
โอกาสนี้ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงต่าง ๆ ที่จะดําเนินการในพื้นที่เพื่อให้ถึงพี่น้องประชาชน ย่อมต้องผ่านกลไกและบทบาทของบุคลากรกรมการพัฒนาชุมชน ซึ่งมีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนา ดังนั้น จึงขอให้ทุกท่านได้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่และภารกิจซึ่งมีความใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้งานบรรลุผลสําเร็จ และในวันนี้เราจะทําอย่างไรให้นโยบายต่างๆ เข้าถึงประชาชนอย่างทั่วถึง โดยได้เน้นย้ําให้มีการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลเกิดผลสําเร็จเห็นเป็นรูปธรรม ภายใต้นโยบายหลักว่าด้วยการสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก กล่าวคือการปฏิบัติงานให้เห็นผลประจักษ์อย่างชัดเจนใน 3 ประเด็นสําคัญ ดังนี้ 1) การส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนและผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งมีการดําเนินโครงการส่งเสริมการผลิตสินค้า OTOP เพื่อสร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างงานให้แก่ประชาชน มีการดําเนินโครงการสัมมาชีพชุมชน ด้วยหลักการ “ชาวบ้านสอนชาวบ้าน” และการดําเนินโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี สร้างการกระจายรายได้ให้เกิดขึ้นแก่ชุมชน ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไปเยี่ยมชมวิถิชีวิต อุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน 2) การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน มีการดําเนินโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งหวังให้ประชาชนได้น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่วิถีชีวิต มีชีวิตที่พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุมกัน ใช้ความรู้คู่คุณธรรมในการดําเนินชีวิต รวมถึงการสร้างผู้นํากลุ่ม องค์กร เครือข่าย เพื่อเป็นพลังในการพัฒนาชุมชนอย่างเข้มแข็ง และการส่งเสริมองค์กรการเงินชุมชน แหล่งเงินทุนที่ชุมชนเข้าถึงได้ง่าย สามารถเป็นเงินทุนที่ต่อยอดในการสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง ครอบครัว และชุมชน และ 3) การส่งเสริมบทบาทเอกชนในการส่งเสริมการช่วยพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (SE) บูรณาการร่วมกันจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ ในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนต่อไป
นายทรงศักดิ์ ทองศรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในยุคของการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาคนเป็นสิ่งสําคัญที่ต้องคํานึงถึงและต้องเร่งดําเนินการ เช่น 1. การสร้างชุมชนเข้มแข็ง ซึ่งต้องทํางานกับ “ผู้นําชุมชน” จึงต้องมุ่งเน้นการส่งเสริมคนให้มีวินัยมีการเรียนรู้ตลอดเวลา รวมถึงปรับตัวก้าวทันต่อความเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ยุคใหม่ พร้อมเป็นแบบอย่างที่ดี สร้างวัฒนธรรมที่ดีงาม มีความตระหนักรู้ในหน้าที่ของตนเอง นําความรู้จากที่ได้รับการฝึกอบรมมาปฏิบัติ และขยายผล ทั้งยังต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม 2. ด้านเศรษฐกิจฐานราก เน้นการพัฒนาอาชีพโดยต้องมี 3 อาชีพ ได้แก่ อาชีพหลัก อาชีพรอง และอาชีพเสริม โดยเฉพาะการผลิตผลทางการเกษตร ที่ต้องเอาชนะฤดูกาล รวมถึงการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐาน และส่งเสริมการตลาด โดยใช้เทคโนโลยีมาประกอบ เช่น Online, การสร้างเครือข่ายโดย OTOP Trader และบริษัท ประชารัฐ 3. ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ต้องสร้างพันธมิตรกับองค์กรเครือข่าย และเชื่อมโยงการท่องเที่ยว พร้อมเปิดโอกาสช่องทางจําหน่าย และการมีเครือข่ายในการพัฒนาสินค้า สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการ OTOP ได้พบกับลูกค้าโดยตรง ก่อให้เกิดการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ มี่ตอบสนองต่อความต้องการลูกค้า
ท้ายนี้ นายทรงศักดิ์ ยังได้เน้นย้ําถึงการจัดระบบชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ที่ต้องดําเนินการ เช่น การสร้างความแตกต่างในแต่ละหมู่บ้าน เพื่อเพิ่มมูลค่าอย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งต้องเน้นการประชาสัมพันธ์ในวงกว้างก่อให้เกิดการยอมรับ และชุมชนตระหนักรู้ร่วมเป็นเจ้าภาพ ร่วมกันพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในพื้นที่ตลอดไป
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22299
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทางหลวงชนบท จัดทำมาตรการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2563 ในสถานการณ์ฉุกเฉินภาวะโรคระบาดโควิด-19 [กระทรวงคมนาคม]
|
วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563
ทางหลวงชนบท จัดทํามาตรการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2563 ในสถานการณ์ฉุกเฉินภาวะโรคระบาดโควิด-19 [กระทรวงคมนาคม]
ทางหลวงชนบท จัดทํามาตรการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2563 ในสถานการณ์ฉุกเฉินภาวะโรคระบาดโควิด-19
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) โดยสํานักอํานวยความปลอดภัย จัดทํามาตรการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยให้กับประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2563 (ในสถานการณ์ฉุกเฉิน) ซึ่งสอดคล้อง ตามนโยบายนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมอํานวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน ให้มีความปลอดภัยและเข้มงวดในเรื่องมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด- 19 ทั้งนี้ ทช.ได้จัดทําแนวทางปฏิบัติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ระหว่างวันที่ 10-19 เมษายน 2563 โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้
1. ด้านบริหารจัดการ
- ตรวจสอบ/ปรับปรุง ป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร ไฟฟ้าแสงสว่าง ไฟสัญญาณจราจรโดยเฉพาะเส้นทางเข้าแหล่งท่องเที่ยว,เส้นทางลัด/เลี่ยง ให้ใช้การได้ดี
- หน่วยงานในพื้นที่ร่วมบูรณาการกับศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนของแต่ละจังหวัด
- จัดชุดตรวจการณ์เฝ้าระวังอุบัติเหตุ อํานวยความสะดวกและปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทางเข้าช่วยเหลือเมื่อพบรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ
2. ด้านการรายงานข้อมูล
- รายงานข้อมูลอุบัติเหตุผ่านระบบรายงานอุบัติเหตุทางหลวงชนบท (ARMS)
- รายงานสถานการณ์/ผลการลาดตระเวนจากชุดตรวจการณ์เฝ้าระวังอุบัติเหตุ
- รายงานผลการวิเคราะห์อุบัติเหตุสําคัญ
3. ด้านการปฏิบัติงาน
- ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และคัดกรองเจ้าหน้าที่ก่อนปฏิบัติงาน
- ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ด้านการป้องกันโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) และกําชับให้เจ้าหน้าที่สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง และหมั่นล้างมือเป็นประจํา
- จัดเจลล้างมือประจํา ณ พื้นที่ส่วนกลาง และบริเวณสํานักงานทุกแห่ง พร้อมทําความสะอาดภายในสํานักงานอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ประชา
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทางหลวงชนบท จัดทำมาตรการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2563 ในสถานการณ์ฉุกเฉินภาวะโรคระบาดโควิด-19 [กระทรวงคมนาคม]
วันอังคารที่ 14 เมษายน 2563
ทางหลวงชนบท จัดทํามาตรการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2563 ในสถานการณ์ฉุกเฉินภาวะโรคระบาดโควิด-19 [กระทรวงคมนาคม]
ทางหลวงชนบท จัดทํามาตรการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2563 ในสถานการณ์ฉุกเฉินภาวะโรคระบาดโควิด-19
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) โดยสํานักอํานวยความปลอดภัย จัดทํามาตรการอํานวยความสะดวกและความปลอดภัยให้กับประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2563 (ในสถานการณ์ฉุกเฉิน) ซึ่งสอดคล้อง ตามนโยบายนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมอํานวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชน ให้มีความปลอดภัยและเข้มงวดในเรื่องมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด- 19 ทั้งนี้ ทช.ได้จัดทําแนวทางปฏิบัติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ระหว่างวันที่ 10-19 เมษายน 2563 โดยแบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้
1. ด้านบริหารจัดการ
- ตรวจสอบ/ปรับปรุง ป้ายจราจร เครื่องหมายจราจร ไฟฟ้าแสงสว่าง ไฟสัญญาณจราจรโดยเฉพาะเส้นทางเข้าแหล่งท่องเที่ยว,เส้นทางลัด/เลี่ยง ให้ใช้การได้ดี
- หน่วยงานในพื้นที่ร่วมบูรณาการกับศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนนของแต่ละจังหวัด
- จัดชุดตรวจการณ์เฝ้าระวังอุบัติเหตุ อํานวยความสะดวกและปลอดภัยแก่ผู้ใช้ทางเข้าช่วยเหลือเมื่อพบรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุ
2. ด้านการรายงานข้อมูล
- รายงานข้อมูลอุบัติเหตุผ่านระบบรายงานอุบัติเหตุทางหลวงชนบท (ARMS)
- รายงานสถานการณ์/ผลการลาดตระเวนจากชุดตรวจการณ์เฝ้าระวังอุบัติเหตุ
- รายงานผลการวิเคราะห์อุบัติเหตุสําคัญ
3. ด้านการปฏิบัติงาน
- ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และคัดกรองเจ้าหน้าที่ก่อนปฏิบัติงาน
- ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ด้านการป้องกันโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) และกําชับให้เจ้าหน้าที่สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง และหมั่นล้างมือเป็นประจํา
- จัดเจลล้างมือประจํา ณ พื้นที่ส่วนกลาง และบริเวณสํานักงานทุกแห่ง พร้อมทําความสะอาดภายในสํานักงานอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ประชา
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29068
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) พร้อม รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.สิงห์บุรี เพื่อชี้แจงแนวทางนโยบายสำคัญต่างๆ ของรัฐบาล พร้อมให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย
|
วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560
รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) พร้อม รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.สิงห์บุรี เพื่อชี้แจงแนวทางนโยบายสําคัญต่างๆ ของรัฐบาล พร้อมให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย
รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) พร้อม รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.สิงห์บุรี เพื่อชี้แจงแนวทางนโยบายสําคัญต่างๆ ของรัฐบาลให้กับประชาชน พร้อมให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
วันนี้ (18 ก.ย. 60) เวลา 13.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรีและพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนในจังหวัดสิงห์บุรี โดยมีพันตํารวจโท หม่องหลวง กิติบดี ประวิตร รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี ให้การต้อนรับ เพื่อชี้แจงแนวทางนโยบายสําคัญต่างๆ ของรัฐบาล ให้ประชาชนรับทราบ พร้อมมอบป้ายซ่อมแซมบ้านผู้สูงอายุ บ้านคนพิการ บ้านพอเพียงชนบท รวมทั้งมอบเงินสงเคราะห์เด็ก เงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุ และมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ด้อยโอกาส เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชน ณ โรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดสิงห์บุรี อําเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
พลเรือเอก ณรงค์กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีความห่วงใยความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน จึงได้มอบหมายให้คณะรัฐมนตรีเดินทางไปพบปะกับประชาชนในพื้นที่ภาคกลาง เพื่อต้องการให้ประชาชนรับทราบถึงนโยบายสําคัญต่างๆ ของรัฐบาล และติดตามความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคของการดําเนินงานตามนโยบายที่ให้ความสําคัญกับ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายในทุกมิติ อีกทั้งรับทราบปัญหาและความต้องการในพื้นที่ อาทิ ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม และการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ประสบปัญหาทางสังคม เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลมีความยินดีในการหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างแท้จริง เพื่อให้ พี่น้องประชาชนทุกคนได้รับความสุข และได้รับบริการต่างๆ จากภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม พลเรือเอก ณรงค์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จึงได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดําเนินการดูแลความเป็นอยู่ประชาชน โดย เริ่มตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาไปจนถึงวัยผู้สูงอายุ โดยจังหวัดสิงห์บุรีเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีความท้าทายเป็นอย่างยิ่งสําหรับ การดําเนินภารกิจของกระทรวง พม. โดยเฉพาะการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุ ซึ่งจังหวัดสิงห์บุรีเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีจุดเด่น หลายประการ โดยเฉพาะความเข้มแข็งของการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีประชากรวัยสูงอายุจํานวนมากถึง 41,130 คน ซึ่งเป็นอันดับ 5 ของประเทศ
พลเรือเอก ณรงค์กล่าวต่อไปว่า สําหรับจังหวัดสิงห์บุรี ได้มีการนําระบบข้อมูลแผนที่ทางภูมิศาสตร์ (GIS) มาใช้ในการวางแผนพัฒนาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เช่น การวางแผนดูแลผู้ป่วยติดเตียง การวางแผนบริหารจัดการกลุ่มอาชีพ และการวางแผนซ่อมบ้านผู้ยากตามประชาคมหมู่บ้าน เป็นต้น ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีแก่จังหวัดอื่นๆ ในการพัฒนาระบบงานเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสังคม โดยในส่วนของกระทรวง พม. ได้ดําเนินงานโครงการสําคัญ อาทิ 1) การดําเนินงานของศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ จํานวน 7 แห่ง เพื่อบูรณาการการดําเนินงานร่วมกับเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และประชาชน 2) ปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมสําหรับผู้สูงอายุ ซึ่งดําเนินการแล้วเป็นจํานวน 1,165 หลัง และดําเนินการปรับปรุงสถานที่ จํานวน 89 แห่ง โดยมีสถานที่ของจังหวัดสิงห์บุรี จํานวน 10 แห่ง 3) การปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสําหรับคนพิการ จํานวน 1,385 หลัง โดยมีที่อยู่อาศัยของจังหวัดสิงห์บุรี จํานวน 14 หลัง 4) พัฒนาโรงเรียนผู้สูงอายุต้นแบบ 20 แห่ง และส่งเสริมการดําเนินงานโรงเรียนผู้สูงอายุ จํานวน 89 แห่ง 5) ผลักดันและส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทํา โดยมีผู้สูงอายุที่ประกอบอาชีพแล้วรวม 34,285 คน ซึ่งได้ทํางานใน หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ จํานวน 9,762 คน ภาคเอกชน จํานวน 6,719 คน และอาชีพอิสระ จํานวน 17,762 คน และ 6) สนับสนุนการจัดตั้งสภาเด็กและเยาวชน โดยจังหวัดสิงห์บุรี ได้จัดตั้งระดับตําบล จํานวน 33 แห่ง และระดับเทศบาล จํานวน 8 แห่ง ซึ่งครบถ้วนตามเป้าหมาย
"นอกจากนี้ ได้เยี่ยมชมบูธผลการดําเนินงานด้านสวัสดิการสังคมแก่ประชาชนของภาคีเครือข่าย อาทิ เครือข่าย อาสาพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ( อพม.) ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) เครือข่ายสวัสดิการชุมชน กลุ่มอาชีพสตรี เครือข่ายสภาเด็กและเยาวชน เป็นต้น และชมการแสดงของสมาชิกโรงเรียน พร้อมรับฟังการนําเสนอระบบข้อมูลแผนที่ทางภูมิศาสตร์สวัสดิการสังคม และมอบของที่ระลึกให้แก่เจ้าหน้าที่เพื่อ เป็นกําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ต่อไป”พลเรือเอก ณรงค์กล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) พร้อม รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.สิงห์บุรี เพื่อชี้แจงแนวทางนโยบายสำคัญต่างๆ ของรัฐบาล พร้อมให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย
วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2560
รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) พร้อม รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.สิงห์บุรี เพื่อชี้แจงแนวทางนโยบายสําคัญต่างๆ ของรัฐบาล พร้อมให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมาย
รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) พร้อม รมว.พม. ลงพื้นที่ จ.สิงห์บุรี เพื่อชี้แจงแนวทางนโยบายสําคัญต่างๆ ของรัฐบาลให้กับประชาชน พร้อมให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
วันนี้ (18 ก.ย. 60) เวลา 13.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่าพลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรีและพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนประชาชนในจังหวัดสิงห์บุรี โดยมีพันตํารวจโท หม่องหลวง กิติบดี ประวิตร รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี ให้การต้อนรับ เพื่อชี้แจงแนวทางนโยบายสําคัญต่างๆ ของรัฐบาล ให้ประชาชนรับทราบ พร้อมมอบป้ายซ่อมแซมบ้านผู้สูงอายุ บ้านคนพิการ บ้านพอเพียงชนบท รวมทั้งมอบเงินสงเคราะห์เด็ก เงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุ และมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ด้อยโอกาส เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชน ณ โรงเรียนผู้สูงอายุจังหวัดสิงห์บุรี อําเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี
พลเรือเอก ณรงค์กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลมีความห่วงใยความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน จึงได้มอบหมายให้คณะรัฐมนตรีเดินทางไปพบปะกับประชาชนในพื้นที่ภาคกลาง เพื่อต้องการให้ประชาชนรับทราบถึงนโยบายสําคัญต่างๆ ของรัฐบาล และติดตามความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคของการดําเนินงานตามนโยบายที่ให้ความสําคัญกับ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายในทุกมิติ อีกทั้งรับทราบปัญหาและความต้องการในพื้นที่ อาทิ ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม และการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ประสบปัญหาทางสังคม เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลมีความยินดีในการหาแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างแท้จริง เพื่อให้ พี่น้องประชาชนทุกคนได้รับความสุข และได้รับบริการต่างๆ จากภาครัฐอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม พลเรือเอก ณรงค์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ รัฐบาลได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จึงได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดําเนินการดูแลความเป็นอยู่ประชาชน โดย เริ่มตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาไปจนถึงวัยผู้สูงอายุ โดยจังหวัดสิงห์บุรีเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีความท้าทายเป็นอย่างยิ่งสําหรับ การดําเนินภารกิจของกระทรวง พม. โดยเฉพาะการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุ ซึ่งจังหวัดสิงห์บุรีเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีจุดเด่น หลายประการ โดยเฉพาะความเข้มแข็งของการดําเนินงานด้านผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีประชากรวัยสูงอายุจํานวนมากถึง 41,130 คน ซึ่งเป็นอันดับ 5 ของประเทศ
พลเรือเอก ณรงค์กล่าวต่อไปว่า สําหรับจังหวัดสิงห์บุรี ได้มีการนําระบบข้อมูลแผนที่ทางภูมิศาสตร์ (GIS) มาใช้ในการวางแผนพัฒนาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เช่น การวางแผนดูแลผู้ป่วยติดเตียง การวางแผนบริหารจัดการกลุ่มอาชีพ และการวางแผนซ่อมบ้านผู้ยากตามประชาคมหมู่บ้าน เป็นต้น ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีแก่จังหวัดอื่นๆ ในการพัฒนาระบบงานเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสังคม โดยในส่วนของกระทรวง พม. ได้ดําเนินงานโครงการสําคัญ อาทิ 1) การดําเนินงานของศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ จํานวน 7 แห่ง เพื่อบูรณาการการดําเนินงานร่วมกับเครือข่ายภาครัฐ เอกชน และประชาชน 2) ปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมสําหรับผู้สูงอายุ ซึ่งดําเนินการแล้วเป็นจํานวน 1,165 หลัง และดําเนินการปรับปรุงสถานที่ จํานวน 89 แห่ง โดยมีสถานที่ของจังหวัดสิงห์บุรี จํานวน 10 แห่ง 3) การปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสําหรับคนพิการ จํานวน 1,385 หลัง โดยมีที่อยู่อาศัยของจังหวัดสิงห์บุรี จํานวน 14 หลัง 4) พัฒนาโรงเรียนผู้สูงอายุต้นแบบ 20 แห่ง และส่งเสริมการดําเนินงานโรงเรียนผู้สูงอายุ จํานวน 89 แห่ง 5) ผลักดันและส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทํา โดยมีผู้สูงอายุที่ประกอบอาชีพแล้วรวม 34,285 คน ซึ่งได้ทํางานใน หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ จํานวน 9,762 คน ภาคเอกชน จํานวน 6,719 คน และอาชีพอิสระ จํานวน 17,762 คน และ 6) สนับสนุนการจัดตั้งสภาเด็กและเยาวชน โดยจังหวัดสิงห์บุรี ได้จัดตั้งระดับตําบล จํานวน 33 แห่ง และระดับเทศบาล จํานวน 8 แห่ง ซึ่งครบถ้วนตามเป้าหมาย
"นอกจากนี้ ได้เยี่ยมชมบูธผลการดําเนินงานด้านสวัสดิการสังคมแก่ประชาชนของภาคีเครือข่าย อาทิ เครือข่าย อาสาพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ( อพม.) ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) เครือข่ายสวัสดิการชุมชน กลุ่มอาชีพสตรี เครือข่ายสภาเด็กและเยาวชน เป็นต้น และชมการแสดงของสมาชิกโรงเรียน พร้อมรับฟังการนําเสนอระบบข้อมูลแผนที่ทางภูมิศาสตร์สวัสดิการสังคม และมอบของที่ระลึกให้แก่เจ้าหน้าที่เพื่อ เป็นกําลังใจในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ต่อไป”พลเรือเอก ณรงค์กล่าวในตอนท้าย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6771
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รุ่นพี่ กยศ. นัดชำระหนี้ ส่งต่อโอกาสรุ่นน้อง”
|
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561
“รุ่นพี่ กยศ. นัดชําระหนี้ ส่งต่อโอกาสรุ่นน้อง”
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) แจ้งเตือนผู้กู้ยืมรุ่นพี่ที่ครบกําหนดชําระหนี้ร่วมส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียน นักศึกษารุ่นน้อง ภายในวันที่ 5 กรกฎาคมของทุกปี
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “ขณะนี้กองทุน มีผู้กู้ยืมที่ครบกําหนดชําระหนี้ประมาณ 3.5 ล้านราย ซึ่งมีหน้าที่ในการชําระเงินคืนหลังจากสําเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษา เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษารุ่นน้องต่อไป โดยผู้กู้ยืมต้องติดต่อชําระเงินคืนตามกําหนดภายในวันที่ 5 กรกฎาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันครบกําหนดชําระเงินคืนกองทุน โดยในปีที่ผู้กู้ยืมครบกําหนดชําระหนี้ครั้งแรก กองทุนจะมีหนังสือแจ้งภาระหนี้ พร้อมรายละเอียดของจํานวนเงินที่ต้องชําระรายเดือนหรือรายปีให้ผู้กู้ยืมทราบ หากผู้กู้ยืมไม่ได้หนังสือแจ้งภาระหนี้สามารถตรวจสอบยอดหนี้ ที่ต้องชําระด้วยตนเองได้ทาง www.studentloan.or.th และนําเงินไปชําระได้ตามช่องทางต่างๆ ได้แก่ ธนาคารที่กองทุนกําหนด เคาน์เตอร์เซอร์วิส ไปรษณีย์ไทย รวมถึงใช้สแกน QR code ผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร ทั้งนี้ หากผู้กู้ยืมชําระล่าช้าจะทําให้ผู้กู้ยืมต้องเสียเบี้ยปรับกรณีผิดนัดชําระหนี้ ในอัตราร้อยละ 12-18 ต่อปี รวมถึงผู้กู้ยืมและผู้ค้ําประกันอาจถูกฟ้องร้องดําเนินคดีตามกฎหมาย
ปัจจุบัน กองทุนมีผู้กู้ยืมทั่วประเทศจํานวนกว่า 5.4 ล้านราย คิดเป็นเงินกว่า 5.7 แสนล้านบาท ในจํานวนนี้มีผู้กู้ยืมที่ชําระหนี้เสร็จสิ้นแล้วจํานวน 8 แสนราย กองทุนขอขอบคุณผู้กู้ยืมรุ่นพี่ทุกท่านที่มีจิตสํานึกความรับผิดชอบในการชําระคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่ รุ่นน้องต่อไป สอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร 0 2016 4888”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รุ่นพี่ กยศ. นัดชำระหนี้ ส่งต่อโอกาสรุ่นน้อง”
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน 2561
“รุ่นพี่ กยศ. นัดชําระหนี้ ส่งต่อโอกาสรุ่นน้อง”
กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) แจ้งเตือนผู้กู้ยืมรุ่นพี่ที่ครบกําหนดชําระหนี้ร่วมส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียน นักศึกษารุ่นน้อง ภายในวันที่ 5 กรกฎาคมของทุกปี
นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยว่า “ขณะนี้กองทุน มีผู้กู้ยืมที่ครบกําหนดชําระหนี้ประมาณ 3.5 ล้านราย ซึ่งมีหน้าที่ในการชําระเงินคืนหลังจากสําเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษา เพื่อส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียน นักศึกษารุ่นน้องต่อไป โดยผู้กู้ยืมต้องติดต่อชําระเงินคืนตามกําหนดภายในวันที่ 5 กรกฎาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันครบกําหนดชําระเงินคืนกองทุน โดยในปีที่ผู้กู้ยืมครบกําหนดชําระหนี้ครั้งแรก กองทุนจะมีหนังสือแจ้งภาระหนี้ พร้อมรายละเอียดของจํานวนเงินที่ต้องชําระรายเดือนหรือรายปีให้ผู้กู้ยืมทราบ หากผู้กู้ยืมไม่ได้หนังสือแจ้งภาระหนี้สามารถตรวจสอบยอดหนี้ ที่ต้องชําระด้วยตนเองได้ทาง www.studentloan.or.th และนําเงินไปชําระได้ตามช่องทางต่างๆ ได้แก่ ธนาคารที่กองทุนกําหนด เคาน์เตอร์เซอร์วิส ไปรษณีย์ไทย รวมถึงใช้สแกน QR code ผ่าน Mobile Banking ของทุกธนาคาร ทั้งนี้ หากผู้กู้ยืมชําระล่าช้าจะทําให้ผู้กู้ยืมต้องเสียเบี้ยปรับกรณีผิดนัดชําระหนี้ ในอัตราร้อยละ 12-18 ต่อปี รวมถึงผู้กู้ยืมและผู้ค้ําประกันอาจถูกฟ้องร้องดําเนินคดีตามกฎหมาย
ปัจจุบัน กองทุนมีผู้กู้ยืมทั่วประเทศจํานวนกว่า 5.4 ล้านราย คิดเป็นเงินกว่า 5.7 แสนล้านบาท ในจํานวนนี้มีผู้กู้ยืมที่ชําระหนี้เสร็จสิ้นแล้วจํานวน 8 แสนราย กองทุนขอขอบคุณผู้กู้ยืมรุ่นพี่ทุกท่านที่มีจิตสํานึกความรับผิดชอบในการชําระคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่ รุ่นน้องต่อไป สอบถามเพิ่มเติมได้ที่โทร 0 2016 4888”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13452
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี แจ้งรัฐบาลไม่ได้อนุญาตเรือสำราญเวสเทอร์ดามเข้าเทียบท่าไทย ยืนยันช่วยเหลือเป็นไปตามหลักมนุษยธรรม
|
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรี แจ้งรัฐบาลไม่ได้อนุญาตเรือสําราญเวสเทอร์ดามเข้าเทียบท่าไทย ยืนยันช่วยเหลือเป็นไปตามหลักมนุษยธรรม
นายกรัฐมนตรี แจงไม่ได้อนุญาตให้เรือสําราญเวสเทอร์ดามเข้าเทียบท่าแหลมฉบัง พร้อมกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอความร่วมมือผู้ประกอบการผลิตหน้ากากอนามัยเร่งผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่มให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
วันนี้ (11ก.พ.63)เวลา13.00น. ณ ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึงเรื่องมาตรการป้องกันและแก้ไขการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา โดยเฉพาะกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางโชเชียลมีเดียระบุเรือสําราญเวสเทอร์ดาม (Westerdam)จะเข้าเทียบท่าที่แหลมฉบังนั้น รัฐบาลไม่ได้มีการอนุญาตให้เข้ามาจอดเทียบท่าดังกล่าวแต่อย่างใด แต่จะให้ความช่วยเหลือเป็นไปตามหลักมนุษยธรรม เช่น การเติมน้ํามัน หรืออาหารและน้ําดื่ม หากต้องการก็จะส่งไปให้ โดยยืนยันการดําเนินการดังกล่าวของรัฐบาลเป็นไปตามที่ต่างประเทศดําเนินการเช่นกันและเป็นไปอย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดเข้าระยะที่3โดยขณะนี้ไทยอยู่ในระยะที่ 2 ซึ่งยังสามารถดูแลควบคุมได้ แต่รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะสามารถควบคุมได้ โดยจะมีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงถึงการเตรียมการรองรับการแพร่ระบาดเพื่อเป็นการเตรียมการขั้นต้น ซึ่งหากทําได้ดีครบถ้วนทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา
พร้อมทั้งได้มอบกมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้ประกอบการผลิตหน้ากากอนามัย ในการที่จะผลิตหน้ากากอนามัยให้มีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้หน้ากากอนามัยกระจายได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อประชาชน และสามารถส่งออกให้ต่างประเทศได้ด้วย และยังมีการให้ความรู้เกี่ยวกับหน้ากากอนามัยที่ทํามาจากผ้า ที่มีความทนทานมากกว่าและสามารถใช้ซ้ําได้ด้วยการซัก ทั้งนี้อยากให้ประชาชนเข้าใจถึงราคาที่แตกต่างกันระหว่างหน้ากากอนามัยที่มาจากองค์การเภสัชกรรม และหน้ากากอนามัยที่ผลิตจากภาคเอกชนซึ่งวันนี้ได้มีการหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในหลายประเด็นทั้งมาตรการระยะสั้น มาตรการระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนของหน้ากากอนามัยที่เกิดขึ้น
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี แจ้งรัฐบาลไม่ได้อนุญาตเรือสำราญเวสเทอร์ดามเข้าเทียบท่าไทย ยืนยันช่วยเหลือเป็นไปตามหลักมนุษยธรรม
วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
นายกรัฐมนตรี แจ้งรัฐบาลไม่ได้อนุญาตเรือสําราญเวสเทอร์ดามเข้าเทียบท่าไทย ยืนยันช่วยเหลือเป็นไปตามหลักมนุษยธรรม
นายกรัฐมนตรี แจงไม่ได้อนุญาตให้เรือสําราญเวสเทอร์ดามเข้าเทียบท่าแหลมฉบัง พร้อมกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอความร่วมมือผู้ประกอบการผลิตหน้ากากอนามัยเร่งผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่มให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
วันนี้ (11ก.พ.63)เวลา13.00น. ณ ตึกบัญชาการ1ทําเนียบรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึงเรื่องมาตรการป้องกันและแก้ไขการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา โดยเฉพาะกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางโชเชียลมีเดียระบุเรือสําราญเวสเทอร์ดาม (Westerdam)จะเข้าเทียบท่าที่แหลมฉบังนั้น รัฐบาลไม่ได้มีการอนุญาตให้เข้ามาจอดเทียบท่าดังกล่าวแต่อย่างใด แต่จะให้ความช่วยเหลือเป็นไปตามหลักมนุษยธรรม เช่น การเติมน้ํามัน หรืออาหารและน้ําดื่ม หากต้องการก็จะส่งไปให้ โดยยืนยันการดําเนินการดังกล่าวของรัฐบาลเป็นไปตามที่ต่างประเทศดําเนินการเช่นกันและเป็นไปอย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดเข้าระยะที่3โดยขณะนี้ไทยอยู่ในระยะที่ 2 ซึ่งยังสามารถดูแลควบคุมได้ แต่รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะสามารถควบคุมได้ โดยจะมีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงถึงการเตรียมการรองรับการแพร่ระบาดเพื่อเป็นการเตรียมการขั้นต้น ซึ่งหากทําได้ดีครบถ้วนทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา
พร้อมทั้งได้มอบกมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้ประกอบการผลิตหน้ากากอนามัย ในการที่จะผลิตหน้ากากอนามัยให้มีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้หน้ากากอนามัยกระจายได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอต่อประชาชน และสามารถส่งออกให้ต่างประเทศได้ด้วย และยังมีการให้ความรู้เกี่ยวกับหน้ากากอนามัยที่ทํามาจากผ้า ที่มีความทนทานมากกว่าและสามารถใช้ซ้ําได้ด้วยการซัก ทั้งนี้อยากให้ประชาชนเข้าใจถึงราคาที่แตกต่างกันระหว่างหน้ากากอนามัยที่มาจากองค์การเภสัชกรรม และหน้ากากอนามัยที่ผลิตจากภาคเอกชนซึ่งวันนี้ได้มีการหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในหลายประเด็นทั้งมาตรการระยะสั้น มาตรการระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนของหน้ากากอนามัยที่เกิดขึ้น
......................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26432
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมการทำงาน พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ที่ State Quarantine ณ โรงแรม Elegant Airport Hotel และด่านตรวจคัดกรอง สน.อุดมสุข
|
วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563
นายกฯ ตรวจเยี่ยมการทํางาน พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ที่ State Quarantine ณ โรงแรม Elegant Airport Hotel และด่านตรวจคัดกรอง สน.อุดมสุข
นายกฯ ตรวจเยี่ยมการทํางาน พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ที่ State Quarantine ณ โรงแรม Elegant Airport Hotel และด่านตรวจคัดกรอง สน.อุดมสุข
วันนี้ (12 เมษายน 2563) ภายหลังเสร็จสิ้นการติดตามงานและภารกิจที่ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการทํางานของเจ้าหน้าที่ ที่ State Quarantine (โรงแรม Elegant Airport Hotel) ซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้รับทราบว่าไม่มีปัญหาอะไรติดขัด ทุกคนให้ความร่วมมืออย่างดี จากนั้นไปตรวจเยี่ยมด่านตรวจคัดกรอง ของสถานีตํารวจอุดมสุข เพื่อให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอย่างเข้มข้น และย้ําให้ยึดตามมาตรการต่าง ๆ อย่างเข้มงวด
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจเยี่ยมการทำงาน พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ที่ State Quarantine ณ โรงแรม Elegant Airport Hotel และด่านตรวจคัดกรอง สน.อุดมสุข
วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2563
นายกฯ ตรวจเยี่ยมการทํางาน พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ที่ State Quarantine ณ โรงแรม Elegant Airport Hotel และด่านตรวจคัดกรอง สน.อุดมสุข
นายกฯ ตรวจเยี่ยมการทํางาน พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ที่ State Quarantine ณ โรงแรม Elegant Airport Hotel และด่านตรวจคัดกรอง สน.อุดมสุข
วันนี้ (12 เมษายน 2563) ภายหลังเสร็จสิ้นการติดตามงานและภารกิจที่ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการทํางานของเจ้าหน้าที่ ที่ State Quarantine (โรงแรม Elegant Airport Hotel) ซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้รับทราบว่าไม่มีปัญหาอะไรติดขัด ทุกคนให้ความร่วมมืออย่างดี จากนั้นไปตรวจเยี่ยมด่านตรวจคัดกรอง ของสถานีตํารวจอุดมสุข เพื่อให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอย่างเข้มข้น และย้ําให้ยึดตามมาตรการต่าง ๆ อย่างเข้มงวด
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28878
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจงผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจออกประกาศคำสั่งตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดของตนเอง
|
วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563
โฆษกรัฐบาลแจงผู้ว่าราชการจังหวัด มีอํานาจออกประกาศคําสั่งตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดของตนเอง
โฆษกรัฐบาลแจงผู้ว่าราชการจังหวัด มีอํานาจออกประกาศคําสั่งตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดของตนเอง
วันนี้ (22 มี.ค. 63) เวลา 10.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ตอบข้อสงสัยของสื่อมวลชนกรณีจังหวัดอื่น ๆ อาจจะมีการประกาศคําสั่งปิดสถานที่คล้ายกับกรุงเทพมหานคร นั้นว่า การประกาศคําสั่งต้องดําเนินการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด และเมื่อมีคําสั่งแล้ว กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดจะทําความเข้าใจกับคนในจังหวัด สําหรับศูนย์แถลงข่าวโควิด-19 ทําเนียบรัฐบาลจะรวบรวมข้อมูลสรุปเพื่อรายงานชี้แจงให้ประชาชนรับทราบอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
สําหรับข้อสงสัยที่ว่า การตัดสินใจของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดต้องประสานมายังรัฐบาลด้วยหรือไม่นั้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวตอบว่า ตามมติและคําสั่งนายกรัฐมนตรี มาตรการอะไรต่าง ๆ ที่ออกไป ต้องประสานมาที่ศูนย์ฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ติดตามและมีการประสานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอยู่ตลอด
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณี นักการเมืองออกมาระบุว่า มีบิ๊กบางคนไปตีกอล์ฟว่า ไม่ทราบว่าหมายถึงบิ๊กไหน ในที่ตนเองทราบเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีนั้น วานนี้ท่านนายกรัฐมนตรีเดินทางเข้าทําเนียบรัฐบาล เพื่อมารับดอกไม้พระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จากนั้นได้เรียกประชุมหารือวงเล็กกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อสั่งการก่อนเดินทางกลับไปทําบุญวันเกิด ซึ่งในวันนี้ท่านนายกรัฐมนตรีเดินทางเข้ามาทํางานในทําเนียบรัฐบาลตั้งแต่ช่วงสายแล้ว
-------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจงผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจออกประกาศคำสั่งตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดของตนเอง
วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม 2563
โฆษกรัฐบาลแจงผู้ว่าราชการจังหวัด มีอํานาจออกประกาศคําสั่งตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดของตนเอง
โฆษกรัฐบาลแจงผู้ว่าราชการจังหวัด มีอํานาจออกประกาศคําสั่งตาม พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ในพื้นที่จังหวัดของตนเอง
วันนี้ (22 มี.ค. 63) เวลา 10.20 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ศาสตราจารย์นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ตอบข้อสงสัยของสื่อมวลชนกรณีจังหวัดอื่น ๆ อาจจะมีการประกาศคําสั่งปิดสถานที่คล้ายกับกรุงเทพมหานคร นั้นว่า การประกาศคําสั่งต้องดําเนินการโดยผู้ว่าราชการจังหวัด และเมื่อมีคําสั่งแล้ว กระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดจะทําความเข้าใจกับคนในจังหวัด สําหรับศูนย์แถลงข่าวโควิด-19 ทําเนียบรัฐบาลจะรวบรวมข้อมูลสรุปเพื่อรายงานชี้แจงให้ประชาชนรับทราบอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
สําหรับข้อสงสัยที่ว่า การตัดสินใจของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดต้องประสานมายังรัฐบาลด้วยหรือไม่นั้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวตอบว่า ตามมติและคําสั่งนายกรัฐมนตรี มาตรการอะไรต่าง ๆ ที่ออกไป ต้องประสานมาที่ศูนย์ฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ติดตามและมีการประสานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอยู่ตลอด
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณี นักการเมืองออกมาระบุว่า มีบิ๊กบางคนไปตีกอล์ฟว่า ไม่ทราบว่าหมายถึงบิ๊กไหน ในที่ตนเองทราบเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีนั้น วานนี้ท่านนายกรัฐมนตรีเดินทางเข้าทําเนียบรัฐบาล เพื่อมารับดอกไม้พระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จากนั้นได้เรียกประชุมหารือวงเล็กกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อสั่งการก่อนเดินทางกลับไปทําบุญวันเกิด ซึ่งในวันนี้ท่านนายกรัฐมนตรีเดินทางเข้ามาทํางานในทําเนียบรัฐบาลตั้งแต่ช่วงสายแล้ว
-------------------------
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27644
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ส่งคนไทยเดินทางกลับประเทศโดยสายการบิน ANA จำนวน 31 คน [กระทรวงการต่างประเทศ]
|
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ส่งคนไทยเดินทางกลับประเทศโดยสายการบิน ANA จํานวน 31 คน [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ส่งคนไทยเดินทางกลับประเทศโดยสายการบิน ANA จํานวน 31 คน
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ส่งคนไทยเดินทางกลับประเทศโดยสายการบิน ANA จํานวน 31 คน
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 คนไทย 31 คนได้เดินทางกลับประเทศไทยโดยเครื่องบินของสายการบิน All Nippon Airways (ANA) เที่ยวบินที่ NH 847 จากท่าอากาศยานฮาเนดะ ถึงประเทศไทยเวลา 15.30 น.
ผู้โดยสารบนเที่ยวบินดังกล่าวประกอบด้วยคนไทยที่ตกค้างในญี่ปุ่น 17 คนซึ่งได้ลงทะเบียนในแบบฟอร์มแจ้งความประสงค์จะเดินทางกลับไทยจากประเทศญี่ปุ่นโดยเร่งด่วนกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และคนไทยที่เป็นผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่องบินจากนครแวนคูเวอร์ 14 คนซึ่งเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และคนไทยในแคนาดาที่ได้รับความเดือดร้อนและมีโรคประจําตัว ทั้งหมดรับทราบเกี่ยวกับมาตรการกักตัว 14 วันหลังจากที่เดินทางถึงประเทศไทย โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในการจัดเตรียมสถานที่ในการกักตัว 14 วัน สําหรับผู้โดยสารทั้งหมดด้วยแล้ว
เที่ยวบินดังกล่าวทําการบินในฐานะเที่ยวบินรับส่งบุคคลกลับประเทศไทยตามประกาศของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ เป็นผู้ประสานงานขอความร่วมมือจากสายการบินและขออนุมัติจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย โดยมีจํานวนผู้โดยสารตามที่ได้รับการจัดสรรตามศักยภาพการรองรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศทั่วโลก 200 คนต่อวันของรัฐบาลไทย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ส่งคนไทยเดินทางกลับประเทศโดยสายการบิน ANA จำนวน 31 คน [กระทรวงการต่างประเทศ]
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน 2563
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ส่งคนไทยเดินทางกลับประเทศโดยสายการบิน ANA จํานวน 31 คน [กระทรวงการต่างประเทศ]
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ส่งคนไทยเดินทางกลับประเทศโดยสายการบิน ANA จํานวน 31 คน
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ส่งคนไทยเดินทางกลับประเทศโดยสายการบิน ANA จํานวน 31 คน
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 คนไทย 31 คนได้เดินทางกลับประเทศไทยโดยเครื่องบินของสายการบิน All Nippon Airways (ANA) เที่ยวบินที่ NH 847 จากท่าอากาศยานฮาเนดะ ถึงประเทศไทยเวลา 15.30 น.
ผู้โดยสารบนเที่ยวบินดังกล่าวประกอบด้วยคนไทยที่ตกค้างในญี่ปุ่น 17 คนซึ่งได้ลงทะเบียนในแบบฟอร์มแจ้งความประสงค์จะเดินทางกลับไทยจากประเทศญี่ปุ่นโดยเร่งด่วนกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และคนไทยที่เป็นผู้โดยสารเปลี่ยนเครื่องบินจากนครแวนคูเวอร์ 14 คนซึ่งเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และคนไทยในแคนาดาที่ได้รับความเดือดร้อนและมีโรคประจําตัว ทั้งหมดรับทราบเกี่ยวกับมาตรการกักตัว 14 วันหลังจากที่เดินทางถึงประเทศไทย โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยในการจัดเตรียมสถานที่ในการกักตัว 14 วัน สําหรับผู้โดยสารทั้งหมดด้วยแล้ว
เที่ยวบินดังกล่าวทําการบินในฐานะเที่ยวบินรับส่งบุคคลกลับประเทศไทยตามประกาศของสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ เป็นผู้ประสานงานขอความร่วมมือจากสายการบินและขออนุมัติจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย โดยมีจํานวนผู้โดยสารตามที่ได้รับการจัดสรรตามศักยภาพการรองรับผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศทั่วโลก 200 คนต่อวันของรัฐบาลไทย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29679
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสิน สนับสนุนบริการพร้อมเพย์ ขอบคุณผู้สมัคร GSB PromptPay 1.3 ล้านราย ด้วยของสมนาคุณกว่า 5,000 รางวัล มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท
|
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2560
ธนาคารออมสิน สนับสนุนบริการพร้อมเพย์ ขอบคุณผู้สมัคร GSB PromptPay 1.3 ล้านราย ด้วยของสมนาคุณกว่า 5,000 รางวัล มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท
ธนาคารออมสินได้จัดกิจกรรม GSB PromptPay “Lucky ID Lucky Prize” สนับสนุนนโยบายการให้บริการ ระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ National e-Payment ของรัฐบาล
วันนี้ (16 มกราคม 2560) ธนาคารออมสินได้จัดกิจกรรม GSB PromptPay “Lucky ID Lucky Prize” ณ หอประชุมบุรฉัตร ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน เพื่อสนับสนุนนโยบายการให้บริการ ระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ National e-Payment ของรัฐบาล ด้วยการมอบของสมนาคุณรวมจํานวนกว่า 5,000 รางวัล คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท โดยมี นายอิสระ วงศ์รุ่ง รองผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าบุคคล เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหาร
นายอิสระ วงศ์รุ่ง รองผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าบุคคล เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ หรือ National e-Payment ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินของประเทศไทยให้มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นทางเลือกใหม่ในการโอนเงินรับเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ สวัสดิการต่างๆ ของภาครัฐ รวมทั้งเป็นช่องทางในการคืนภาษีจากภาครัฐไปถึงประชาชนโดยตรง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กําหนดให้สถาบันการเงินทุกแห่ง เปิดให้บริการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นทางการภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 นี้
ทั้งนี้ ในส่วนของธนาคารออมสิน ได้ร่วมสนับสนุนนโยบายดังกล่าว ด้วยการขับเคลื่อนบริการ PromptPay ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับบริการ PromptPay ของธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ปรากฎว่ามีผู้สนใจลงทะเบียนทั้งสิ้น 1,271,692 ราย และเพื่อเป็นการส่งเสริมการทําธุรกรรมผ่านบริการ PromptPay ธนาคารฯ จึงได้จัดกิจกรรม GSB PromptPay “Lucky ID Lucky Prize” เพื่อเป็นการขอบคุณที่ประชาชนให้ความสนใจลงทะเบียนสมัครใช้บริการ โดยมีของรางวัลจํานวนกว่า 5,000 รางวัล คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท อาทิ รถยนต์ TOYOTA Fortuner 2.4 V จํานวน 1 รางวัล, รถยนต์ TOYOTA Yaris 1.2 J จํานวน 2 รางวัล, รถจักรยานยนต์ YAMAHA Fino จํานวน 50 รางวัล และรางวัลอื่นๆ อีก รวมแล้วกว่า 5,000 รางวัล โดยธนาคารฯ จะประกาศรายชื่อผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ในวันที่ 31 มกราคม 2560 และจะเชิญผู้โชคดี มารับรางวัลในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ต่อไป
นายอิสระ กล่าวอีกว่า ธนาคารออมสินพร้อมที่จะให้บริการ PromptPay ผ่านช่องทางบริการทางการเงินที่ทันสมัยของธนาคารออมสิน ได้แก่ บริการ MyMo (Mobile Banking) ซึ่งเป็นการทําธุรกรรมทางการเงินบนโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนสามารถทําได้ไม่ว่าจะเดินทางหรืออยู่ในสถานที่ใด, บริการ Internet Banking ผ่านคอมพิวเตอร์พื้นฐานที่บ้านหรือสํานักงาน และบริการ ATM ของธนาคารออมสินทั่วประเทศกว่า 7,000 เครื่อง เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าทุกท่านให้สามารถทําธุรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธนาคารออมสิน สนับสนุนบริการพร้อมเพย์ ขอบคุณผู้สมัคร GSB PromptPay 1.3 ล้านราย ด้วยของสมนาคุณกว่า 5,000 รางวัล มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2560
ธนาคารออมสิน สนับสนุนบริการพร้อมเพย์ ขอบคุณผู้สมัคร GSB PromptPay 1.3 ล้านราย ด้วยของสมนาคุณกว่า 5,000 รางวัล มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท
ธนาคารออมสินได้จัดกิจกรรม GSB PromptPay “Lucky ID Lucky Prize” สนับสนุนนโยบายการให้บริการ ระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ National e-Payment ของรัฐบาล
วันนี้ (16 มกราคม 2560) ธนาคารออมสินได้จัดกิจกรรม GSB PromptPay “Lucky ID Lucky Prize” ณ หอประชุมบุรฉัตร ธนาคารออมสินสํานักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน เพื่อสนับสนุนนโยบายการให้บริการ ระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ National e-Payment ของรัฐบาล ด้วยการมอบของสมนาคุณรวมจํานวนกว่า 5,000 รางวัล คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท โดยมี นายอิสระ วงศ์รุ่ง รองผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าบุคคล เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหาร
นายอิสระ วงศ์รุ่ง รองผู้อํานวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าบุคคล เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ หรือ National e-Payment ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระบบการชําระเงินของประเทศไทยให้มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นทางเลือกใหม่ในการโอนเงินรับเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ สวัสดิการต่างๆ ของภาครัฐ รวมทั้งเป็นช่องทางในการคืนภาษีจากภาครัฐไปถึงประชาชนโดยตรง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กําหนดให้สถาบันการเงินทุกแห่ง เปิดให้บริการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นทางการภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2560 นี้
ทั้งนี้ ในส่วนของธนาคารออมสิน ได้ร่วมสนับสนุนนโยบายดังกล่าว ด้วยการขับเคลื่อนบริการ PromptPay ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับบริการ PromptPay ของธนาคารออมสิน ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ปรากฎว่ามีผู้สนใจลงทะเบียนทั้งสิ้น 1,271,692 ราย และเพื่อเป็นการส่งเสริมการทําธุรกรรมผ่านบริการ PromptPay ธนาคารฯ จึงได้จัดกิจกรรม GSB PromptPay “Lucky ID Lucky Prize” เพื่อเป็นการขอบคุณที่ประชาชนให้ความสนใจลงทะเบียนสมัครใช้บริการ โดยมีของรางวัลจํานวนกว่า 5,000 รางวัล คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 ล้านบาท อาทิ รถยนต์ TOYOTA Fortuner 2.4 V จํานวน 1 รางวัล, รถยนต์ TOYOTA Yaris 1.2 J จํานวน 2 รางวัล, รถจักรยานยนต์ YAMAHA Fino จํานวน 50 รางวัล และรางวัลอื่นๆ อีก รวมแล้วกว่า 5,000 รางวัล โดยธนาคารฯ จะประกาศรายชื่อผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลผ่านเว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ในวันที่ 31 มกราคม 2560 และจะเชิญผู้โชคดี มารับรางวัลในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ต่อไป
นายอิสระ กล่าวอีกว่า ธนาคารออมสินพร้อมที่จะให้บริการ PromptPay ผ่านช่องทางบริการทางการเงินที่ทันสมัยของธนาคารออมสิน ได้แก่ บริการ MyMo (Mobile Banking) ซึ่งเป็นการทําธุรกรรมทางการเงินบนโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนสามารถทําได้ไม่ว่าจะเดินทางหรืออยู่ในสถานที่ใด, บริการ Internet Banking ผ่านคอมพิวเตอร์พื้นฐานที่บ้านหรือสํานักงาน และบริการ ATM ของธนาคารออมสินทั่วประเทศกว่า 7,000 เครื่อง เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าทุกท่านให้สามารถทําธุรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว
ที่มา : กระทรวงการคลัง
ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1365
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวมอบโอวาท ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2563
|
วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563
คํากล่าวมอบโอวาท ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563
คํากล่าวมอบโอวาท ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 เวลา 10.40 น.
คํากล่าวมอบโอวาท ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องในโอกาสเป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563
ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล
วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 เวลา 10.40 น.
-----------------
คณะกรรมการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ณ ทําเนียบรัฐบาล ประจําปี 2563
ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ
ผู้มีเกียรติ
เด็กและเยาวชนที่รักทุกคน
ผมมีความยินดีอีกครั้งที่ได้มาพบกับพวกเราในงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ณ ทําเนียบรัฐบาล ประจําปี 2563 ปีนี้ก็นับเป็นปีที่ 6 แล้วที่ผมได้เข้ามา ได้มาพบกับท่านทุกปีในงานวันเด็ก ใกล้ ๆ นี้ก็มีงานวันครู ตั้งแต่ 2 โมงเช้าผมก็ไปเปิดงานมา จนกระทั่งมาที่ห้องนายกรัฐมนตรี ได้พบปะกับเด็กที่มีความรู้ความสามารถ แข่งขันต่าง ๆ ได้พบปะ และได้มีบางส่วน เมื่อวานประมาณ 300 กว่าคน วันนี้ก็ 30 – 40 คนที่นั่งโต๊ะนายกรัฐมนตรี สรุปว่าเรามีนายกรัฐมนตรีใหม่แน่นอนวันหน้าไม่ต้องห่วง เพราะนั่งโต๊ะกันทุกคนแล้ว ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะเรียนหนังสือ จะประสบความสําเร็จในการทําหน้าที่การงานต่อไปในอนาคตอย่างไร
สิ่งที่เรามาร่วมกันวันนี้คือมาทํากิจกรรมร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของการจัดงานวันเด็กให้ทุกคนมีความสุข ถ้าพวกเราทุกคน พ่อแม่พี่น้องทุกคนที่อายุใกล้ ๆ ผม หรือน้อยกว่าผมหน่อยหนึ่งก็จะรู้ว่าสมัยก่อน งานประจําปีมีไม่มากเท่าวันนี้หรอก พอปีใหม่ทีหนึ่งเราก็ดีใจ พ่อแม่พาไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ วันนี้มีหลายอย่างหลากหลายที่ให้เด็กรุ่นใหม่ได้เข้าไปสังสรรค์ ไปร่วมสนุกสนานมากมาย มีทางเลือกมากกว่าสมัยลุง สมัยคุณลุงคุณป้าคุณตาคุณยาย เยอะมาก เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักจัดเวลาเราให้เป็น รู้จักว่าเราจะมีสมาธิในการเรียนหนังสืออย่างไร ในการทําการบ้าน ทํางานบ้านได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญที่สุด เราทุกคนนั้นย่อมสนับสนุนความสําคัญของเด็กและเยาวชนทุกคน ซึ่งถือเป็นทรัพยากรบุคคล ทรัพยากรมีอยู่สองอย่าง คือทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรบุคคล วิทยาศาสตร์มีสองอย่าง คือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ทุกคนต้องเรียนรู้ว่าอะไรคืออะไร ต้องรู้ที่มาที่ไปของแต่ละเรื่อง ไม่อย่างนั้นก็จะพูดกันไปกันมาโดยที่ไม่เข้าใจในสาระสําคัญที่แท้จริง ทําให้เกิดความขัดแย้งกันสูงมากในปัจจุบัน
เพราะสิ่งที่สําคัญที่สุดคือว่าเราจะต้องเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต วันนี้ท่านรัฐมนตรีหลายกระทรวง ปลัดกระทรวง มากันหมด ให้ความสําคัญกับพวกเราทุกคน ก็ถือว่าเป็นกําลังสําคัญ เรามุ่งหมายให้เด็กทุกคนได้รับการพัฒนา เสริมสร้างศักยภาพในทุกมิติ มีสุขภาวะที่ดีทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา เป็นคนดีคนเก่ง มีคุณภาพ มีคุณธรรม และสร้างสรรค์อยู่ในองค์กรที่มีจริยธรรมด้วย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราคาดหวังกับท่าน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคาดหวังกับรัฐบาล เราก็อยากจะทําอย่างเต็มที่ อยากจะบอกเด็ก ๆ ให้เข้าใจว่า รัฐบาลโดยปกติทั่วไปจะทําหน้าที่ในการจัดทําโครงสร้างพื้นฐานในทุกเรื่องไม่ว่าจะการศึกษา ไม่ว่าจะโครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมต่อ ถนนหนทางต่าง ๆ ในระดับพื้นราบถึงพื้นฐาน ทั้งนี้ เพื่อจะเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้าถึงความจําเป็นพื้นฐานให้ได้ทั่วถึงทุกคน ในส่วนของผู้ที่มีรายได้สูง ก็มีทางเลือกขึ้นอีกระดับหนึ่ง ไม่ใช่แบ่งแยกชนชั้น ต้องเข้าใจตรงนี้ เพราะฉะนั้นข้างล่างต้องทําให้ได้มาตรฐาน ต้องมีการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนประจําตําบล โรงเรียนสมัยใหม่ต่าง ๆ ในพื้นที่ให้ได้โดยเร็วที่สุด
ในส่วนของผู้มีขีดความสามารถในการส่งลูกไปเรียนหนังสือในโรงเรียนมีชื่อ หรืออะไรก็แล้วแต่ โรงเรียนนานาชาติก็อีกพวกหนึ่ง เหมือนเราขับรถจราจร ข้างล่างทําให้ดีที่สุด ขสมก. ก็ต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ ในส่วนของวันนี้การจราจรแออัดเพราะคนใช้ถนนเส้นทางเดียวกันหมด ก็ต้องมีการยกระดับขึ้นไปเป็นทางด่วน ทางอะไรบ้าง อะไรที่รัฐบาลทําให้ได้ก็ทําได้ แต่ถ้ายังไม่ได้ช่วงนี้ก็ต้องให้ส่วนที่เขามีรายได้สูงนั้นขึ้นไปก่อน เราก็ใช้ข้างล่างจะได้หนาแน่นน้อยลง ต้องแยกชั้นในการพัฒนาด้วยความเข้าใจกันแบบนี้ ถ้าทําทุกอย่างพร้อมกันหมดเราไม่มีสตางค์พอขนาดนั้น เราต้องพัฒนาเมื่อวันหน้าประเทศชาติมีความพร้อม แล้วจะทําทุกอย่างให้ดีที่สุดได้อย่างที่ทุกคนต้องการ วันนี้ต้องเอาที่เรามีอยู่แล้วเดิมให้ดีขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ส่วนนี้ขึ้นกับหลายส่วนด้วยกัน ทั้งคน ทั้งครู และนักเรียน บุคลากรทางการศึกษา ทั้งหมด ผู้ปกครองด้วย ต้องเข้าใจตรงนี้และหาช่องทางในการสื่อสารกับภาครัฐให้ได้ เราจะได้ดูแลลูก ๆ ของเราให้ได้อย่างดี มีคุณภาพต่อไปในอนาคต
ลุงพูดยาวเพราะต้องการให้พ่อแม่เข้าใจด้วย เด็กยังไม่เข้าใจ พ่อแม่ก็ต้องไปสอนต่อ เพราะฉะนั้นลองดูว่าถ้าพูดแบบลุงจะพูดได้ไหม พูดด้วยเหตุด้วยผล ด้วยหลักการ ด้วยปัญหาต่าง ๆ อย่าไปต่อว่าใครทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าทุกคนเข้าใจกันก็จะเดินหน้าไปด้วยกันได้ เราต้องเดินหน้าไปพร้อม ๆ กัน พ่อจูงลูก เพื่อนจูงเพื่อน พี่จูงน้อง รัฐบาลจูงประชาชน ไปด้วยกัน ถ้าขัดแย้งจะไปไม่ได้สักอย่าง ทุกคนต้องมุ่งหมายไปในสิ่งที่ดีที่สุด อันนี้เราเข้าใจอยู่แล้ว แต่ก็ต้องเข้าใจรัฐบาลด้วย เพราะฉะนั้นสรุปว่าเราเป็นเด็กวันนี้ เราเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า ต้องเป็นคนที่มีสติปัญญา มีสมาธิ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เป็นคนดีคนเก่ง มีคุณภาพและมีคุณธรรม
มอบหมายไปแล้วคําขวัญ “เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย” คงไม่ได้พูดแต่เด็กเท่านั้น นี่คือจริง ๆ แล้วตั้งใจให้ถึงผู้ใหญ่ด้วย เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะเรียบร้อยด้วยสิ่งที่ผมพูด ความรักความสามัคคีเป็นสิ่งเดียวที่ทําให้โลกปลอดภัย เราก็จะเข้มแข็ง ประเทศชาติเราก็เข้มแข็ง เด็กก็เข้มแข็ง เยาวชนเข้มแข็ง ทุกคนเข้มแข็งหมด ความมั่นคงก็อยู่ ก็ตามมาทั้งสิ้น ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเป็นสิ่งสําคัญ ความขัดแย้งจะต้องไปพูดคุยไปหาทางออก ไม่ใช่ไปหาทางออกในวิธีอื่นที่ไม่เหมาะสม สร้างผลกระทบกับสิ่งอื่น ๆ ซึ่งวันนี้ประเทศไทยกําลังมีปัญหาอยู่มากพอสมควร ภายในเราก็ต้องลดปัญหาลงให้มากที่สุด รัฐบาลพยายามจะทําอย่างเต็มที่
เด็กที่ดีเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต วันหน้าต้องเผชิญหน้ากับอะไร การแข่งขันแรงงานเพิ่ม ต่อไปวันหน้า ศตวรรษที่ 21 จะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 โลกแห่งเทคโนโลยี โลกแห่งดิจิทัล โลกที่เกิดการ Disruption ทําให้เกิดทั้งวิกฤตและโอกาสของพวกเราทุกคน อย่าทําโอกาสให้เป็นวิกฤต ต้องทําวิกฤตให้เป็นโอกาส เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่ที่กระบวนการคิด เพราะฉะนั้นเด็กนักเรียน ครู เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องนี้ พ่อแม่ก็มีส่วนสําคัญในการถ่ายทอดให้ทุกคนได้รู้จักว่ากระบวนการคิดเป็นขั้นเป็นตอนนั้นคืออะไร ที่นายกฯ พูดนี้เรียบเรียงไว้ในสมองอย่างไรถึงพูดมาได้แบบนี้ ต้องคิดแบบนี้ ถ้าเราคิดได้ เราก็จะพูดได้ แล้วเราก็จะทําได้ไปตามนั้น นั่นคือเป้าหมายที่เราวางไว้ในสมองของเรา สมองมีคุณภาพมาก มีเซลล์มากมายมหาศาล ไม่มีอะไรทดแทนได้สมองคนนี้ ลองดูศึกษาดู สมองทุกคนมีอยู่แล้ว เกิดมามีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพ่อแม่จะต้องส่งเสริมลูกในทางที่เขาพอใจ เขามีความสุข ให้เขาไปเรียนหนังสือในสิ่งที่เขาชอบ เขาต้องมีงานทํา ดูว่าเขาชอบอะไร ถ้าเขาไปเขาอาจจะได้ดี แล้วก็อาจจะไปเรียน ปวช. ปวส. อะไรก็แล้วแต่ แล้วก็กลับมาเรียนปริญญาทีหลังในระหว่างที่เขามีรายได้มีงานทํา ได้ทั้งนั้น ผมไม่ได้มุ่งหมายไม่ให้คนเรียนมหาวิทยาลัยนะ แต่ถ้าเรียนแล้วไม่มีงานทําปีละหลายแสนคนจะทําอย่างไร นั่นคือปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ ซึ่งรัฐบาลก็ต้องแก้ตรงนี้ว่า เด็กจบมาแล้วทําอย่างไรถึงจะทํางานได้ เพราะฉะนั้นท่านต้องไปจัดกระบวนการคิดของท่าน มีการคิดวิเคราะห์เป็น การสอบเป็นวงกลม ๆ ปรนัยก็ได้แต่สั้น ๆ แต่ท่านเรียบเรียงอัตนัยไม่ได้เลย อันนี้คือปัญหาของเราในการทํางานในวันหน้า การไปทํางานผู้จัดการบริษัทก็ต้องการลูกน้องที่คิดเป็น ต้องสั่งแล้วคิดต่อให้เขา ให้แนวทางแก้แล้วคุณไปคิดต่อ ทําให้รายได้ของบริษัทดีขึ้น เขาต้องการคนอย่างนั้นไปทํางาน ไม่ใช่เป็นคนที่เขาต้องป้อนทุกอย่างให้ตลอด เพราะฉะนั้นเราก็เป็นแรงงานที่ไม่มีคุณภาพ เป็นพนักงานที่ไม่มีคุณภาพ เราก็ไม่เจริญเติบโตในสายงานของแต่ละสายงาน นี่เป็นเรื่องหลักการสําคัญ
สิ่งที่เป็นส่วนประกอบก็คือเรื่องของการกีฬา การดนตรี การแสดงต่าง ๆ อะไรก็แล้วแต่ที่ทําให้ทุกคนมีสมาธิ มีอารมณ์ศิลปิน คนไทยเป็นคนที่มีศิลปวัฒนธรรม ประเทศไทยมีอยู่ยาวนาน และเป็นคนที่ค่อนข้างโรแมนติก มีอารมณ์ค่อนข้างเร็ว อารมณ์รัก อารมณ์ชอบ อารมณ์เกลียด เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะทําให้ทุกคนมีสมาธิขึ้น การเล่นกีฬา หรือการเล่นดนตรีอะไรก็ตาม จะทําให้สังคมมีความสงบสุขมากยิ่งขึ้น เมื่อเด็กทุกคนสงบก็ไม่สร้างความขัดแย้ง ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคม จะตามมาทั้งหมด ฉะนั้น เราเป็นคนในชาติ พ่อแม่ลูกเต้าลูกหลานทั้งหมด นี่คือกําลังของประเทศชาติ นั่นคือสิ่งที่ทําให้สังคมเดินหน้าไปข้างหน้าได้ ถ้าเราขัดแย้ง ถ้าเราไม่มีคุณภาพ ประเทศชาติอย่างไรก็ไปไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเตรียมการอะไรก็ตาม ไม่ว่าผมจะเป็น ใครจะเป็นรัฐบาลก็เหมือนกันหมด ถ้าเราต่างคนต่างมีปัญหากันทั้งหมด ก็ฝากด้วยทุกคนแล้วกัน
เรามุ่งหวังให้ทุกคนได้รับการศึกษาตามช่วงวัยอย่างเหมาะสมและทั่วถึง และนําไปสู่เป้าหมายแห่งความสําเร็จในชีวิต พึ่งพาตนเองได้ ทําคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ สังคม ด้วยความภาคภูมิใจ ทุกคนต้องเข้าใจว่าอะไรคืออะไร คําพูดแต่ละคําหมายความว่าอะไร คําเขียนนี้คืออะไร สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญที่ทุกคนต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของคําพูด คํากล่าว คําเขียน เหล่านี้ให้เข้าใจให้ถ่องแท้ จะได้เป็นหลักยึดมั่นในตัวเอง
ผมก็ฝากทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ จะได้ต่อเนื่อง เรียนหนังสือในห้องเรียน ตํารา อ่านหนังสือนอกตําราบ้าง หนังสือที่เป็นประโยชน์ จะได้ใช้ในเรื่องของการสื่อสาร ในการพูดคุยกัน ในสิ่งที่เป็นสาระเป็นประโยชน์มากกว่าความสนุกสนานแต่เพียงอย่างเดียว หนังสืออะไรก็ได้ ก็หยิบมาอ่าน ให้เกิดทักษะ เพิ่มพูนสติปัญญา อยู่ในระเบียบวินัย คําว่าระเบียบวินัยสําคัญที่สุด ระเบียบวินัยในตัวเอง ระเบียบวินัยภายในบ้าน ระเบียบวินัยในโรงเรียน ระเบียบวินัยในสังคม ก็ตามไปสู่เรื่องกฎหมาย รัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายลูกอีกหลายพัน ถ้ารวมกันแล้วหลาย ๆ อย่างเป็นหมื่นฉบับ เพราะฉะนั้นหลายอย่างก็เกี่ยวข้องกับประชาชน ทุกคนต้องเรียนรู้พวกนี้ กฎหมายเขามีไว้ไม่ให้คนกลุ่มนี้ไปกระทบกับคนกลุ่มนี้ กลุ่มอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง เปิดโอกาสให้คนเข้ามาทั่วถึง เรียกว่าโอกาส กฎหมายเป็นอย่างเดียวที่ทําให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสอย่างทั่วถึง วันนั้นท่านประธานศาลฯ ก็ได้พูดไปแล้วในเรื่องนี้ เรื่องกฎหมาย เรื่องอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ได้ขัดแย้งกันหรอก อยู่ที่เราจะตีความกันอย่างไรเท่านั้นเอง
ความซื่อสัตย์ เคารพ กตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ ประพฤติปฏิบัติตนเป็นด้วยการคิดดี ทําดี มีความรัก ความสามัคคีกลมเกลียว มีน้ําหนึ่งใจเดียวกัน มีความจงรักภักดีในสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ มีจิตอาสาทําความดีด้วยหัวใจ รักพ่อแม่ด้วยหัวใจ รักครูอาจารย์ด้วยหัวใจ รักสามีรักภรรยาด้วยหัวใจ ที่ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อกัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานที่ดีของเราในวันข้างหน้า
ขอให้เด็กและเยาวชนทุกคนได้น้อมนําแนวทางในเรื่องของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีเหตุมีผล มีพอประมาณ มีภูมิคุ้มกันที่ดี โดยเฉพาะในโลกที่เป็นโลกยุคโซเชียลวันนี้ ดิจิทัลวันนี้ ทําอย่างไรเราจะมีภูมิต้านทานในเรื่องนี้ อะไรที่ควรเชื่อ อะไรไม่ควรเชื่อ อะไรไม่ควรทดสอบ สิ่งสําคัญเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่กับพวกเราทุกคน คน มนุษย์โลกมีทั้งสองอย่างคือการสร้างและการทําลาย เราจะอยู่ประเภทไหน เมื่อเช้าพูดไปครั้งหนึ่งแล้วว่าคนเรามีหมาป่าอยู่สองตัวอยู่ในตัวเสมอ ตัวหนึ่งใจร้าย ตัวหนึ่งใจดี เพราะฉะนั้นท่านจะเลี้ยงหมาป่าตัวไหนอยู่ที่ใจท่าน อยู่ที่ตัวท่าน ท่านจะเลี้ยงตัวที่ดุร้าย ท่านก็เลี้ยง มันก็เป็นภาระของสังคมต่อไป ถ้าท่านเลี้ยงหมาป่าใจดี หมาป่าก็จะดูแลคน ดูแลต่าง ๆ ไม่มาทะเลาะเบาะแว้งกับคน เขาเปรียบเทียบเป็นคําของฝรั่งเขาผมอ่านหนังสือมา เขาบอกหมาป่ามีสองตัวเสมอในแต่ละคน อยากเป็นตัวไหนล่ะ ผมคิดว่าทุกคนอยากเป็นหมาป่าใจดีมากกว่า
พลังแห่งความรักความสามัคคีเป็นที่หนึ่ง ที่เราจะต้องนําพาประเทศชาติวันนี้ให้พ้นจากปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ของโลกใบนี้ เรื่อง Disruption เรื่องเทคโนโลยี เรื่องหุ่นยนต์ที่เข้ามาแทนคน เราทําได้ทั้งนั้น รองรับสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยความตั้งใจของพวกเรา ไม่มีใครช่วยท่านได้ถ้าท่านไม่เริ่มจากตัวท่านเองไปด้วย คือสิ่งสําคัญที่อยากจะฝากพวกเราไว้ให้เป็นสังคมแห่งความรัก ความอบอุ่น ความสามัคคี ได้ทําหน้าที่พลเมืองที่ดีของชาติ ขับเคลื่อนการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนให้แก่ชาติบ้านเมืองต่อไป
ปีใหม่ก็เพิ่งผ่านมา 11 วัน ขอให้มีความสุขในปีใหม่ที่ผ่านมาและปีต่อ ๆ ไปทุกปี ให้โตเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม ในโอกาสนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดดลบันดาลให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคน พร้อมทั้งครอบครัว ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง เพื่อร่วมกันพัฒนาสังคมและประเทศชาติของเราให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบไป และผมขอเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ณ ทําเนียบรัฐบาล ประจําปี 2563 ณ บัดนี้ ขอให้ทุกคนมีความสุข ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวมอบโอวาท ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2563
วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563
คํากล่าวมอบโอวาท ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563
คํากล่าวมอบโอวาท ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เนื่องในโอกาสเป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 เวลา 10.40 น.
คํากล่าวมอบโอวาท ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
เนื่องในโอกาสเป็นประธานเปิดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563
ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล
วันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 เวลา 10.40 น.
-----------------
คณะกรรมการจัดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ณ ทําเนียบรัฐบาล ประจําปี 2563
ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรต่าง ๆ
ผู้มีเกียรติ
เด็กและเยาวชนที่รักทุกคน
ผมมีความยินดีอีกครั้งที่ได้มาพบกับพวกเราในงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ณ ทําเนียบรัฐบาล ประจําปี 2563 ปีนี้ก็นับเป็นปีที่ 6 แล้วที่ผมได้เข้ามา ได้มาพบกับท่านทุกปีในงานวันเด็ก ใกล้ ๆ นี้ก็มีงานวันครู ตั้งแต่ 2 โมงเช้าผมก็ไปเปิดงานมา จนกระทั่งมาที่ห้องนายกรัฐมนตรี ได้พบปะกับเด็กที่มีความรู้ความสามารถ แข่งขันต่าง ๆ ได้พบปะ และได้มีบางส่วน เมื่อวานประมาณ 300 กว่าคน วันนี้ก็ 30 – 40 คนที่นั่งโต๊ะนายกรัฐมนตรี สรุปว่าเรามีนายกรัฐมนตรีใหม่แน่นอนวันหน้าไม่ต้องห่วง เพราะนั่งโต๊ะกันทุกคนแล้ว ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะเรียนหนังสือ จะประสบความสําเร็จในการทําหน้าที่การงานต่อไปในอนาคตอย่างไร
สิ่งที่เรามาร่วมกันวันนี้คือมาทํากิจกรรมร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของการจัดงานวันเด็กให้ทุกคนมีความสุข ถ้าพวกเราทุกคน พ่อแม่พี่น้องทุกคนที่อายุใกล้ ๆ ผม หรือน้อยกว่าผมหน่อยหนึ่งก็จะรู้ว่าสมัยก่อน งานประจําปีมีไม่มากเท่าวันนี้หรอก พอปีใหม่ทีหนึ่งเราก็ดีใจ พ่อแม่พาไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ วันนี้มีหลายอย่างหลากหลายที่ให้เด็กรุ่นใหม่ได้เข้าไปสังสรรค์ ไปร่วมสนุกสนานมากมาย มีทางเลือกมากกว่าสมัยลุง สมัยคุณลุงคุณป้าคุณตาคุณยาย เยอะมาก เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักจัดเวลาเราให้เป็น รู้จักว่าเราจะมีสมาธิในการเรียนหนังสืออย่างไร ในการทําการบ้าน ทํางานบ้านได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญที่สุด เราทุกคนนั้นย่อมสนับสนุนความสําคัญของเด็กและเยาวชนทุกคน ซึ่งถือเป็นทรัพยากรบุคคล ทรัพยากรมีอยู่สองอย่าง คือทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรบุคคล วิทยาศาสตร์มีสองอย่าง คือวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้ทุกคนต้องเรียนรู้ว่าอะไรคืออะไร ต้องรู้ที่มาที่ไปของแต่ละเรื่อง ไม่อย่างนั้นก็จะพูดกันไปกันมาโดยที่ไม่เข้าใจในสาระสําคัญที่แท้จริง ทําให้เกิดความขัดแย้งกันสูงมากในปัจจุบัน
เพราะสิ่งที่สําคัญที่สุดคือว่าเราจะต้องเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต วันนี้ท่านรัฐมนตรีหลายกระทรวง ปลัดกระทรวง มากันหมด ให้ความสําคัญกับพวกเราทุกคน ก็ถือว่าเป็นกําลังสําคัญ เรามุ่งหมายให้เด็กทุกคนได้รับการพัฒนา เสริมสร้างศักยภาพในทุกมิติ มีสุขภาวะที่ดีทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา เป็นคนดีคนเก่ง มีคุณภาพ มีคุณธรรม และสร้างสรรค์อยู่ในองค์กรที่มีจริยธรรมด้วย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เราคาดหวังกับท่าน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคาดหวังกับรัฐบาล เราก็อยากจะทําอย่างเต็มที่ อยากจะบอกเด็ก ๆ ให้เข้าใจว่า รัฐบาลโดยปกติทั่วไปจะทําหน้าที่ในการจัดทําโครงสร้างพื้นฐานในทุกเรื่องไม่ว่าจะการศึกษา ไม่ว่าจะโครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมต่อ ถนนหนทางต่าง ๆ ในระดับพื้นราบถึงพื้นฐาน ทั้งนี้ เพื่อจะเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้าถึงความจําเป็นพื้นฐานให้ได้ทั่วถึงทุกคน ในส่วนของผู้ที่มีรายได้สูง ก็มีทางเลือกขึ้นอีกระดับหนึ่ง ไม่ใช่แบ่งแยกชนชั้น ต้องเข้าใจตรงนี้ เพราะฉะนั้นข้างล่างต้องทําให้ได้มาตรฐาน ต้องมีการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก โรงเรียนประจําตําบล โรงเรียนสมัยใหม่ต่าง ๆ ในพื้นที่ให้ได้โดยเร็วที่สุด
ในส่วนของผู้มีขีดความสามารถในการส่งลูกไปเรียนหนังสือในโรงเรียนมีชื่อ หรืออะไรก็แล้วแต่ โรงเรียนนานาชาติก็อีกพวกหนึ่ง เหมือนเราขับรถจราจร ข้างล่างทําให้ดีที่สุด ขสมก. ก็ต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ ในส่วนของวันนี้การจราจรแออัดเพราะคนใช้ถนนเส้นทางเดียวกันหมด ก็ต้องมีการยกระดับขึ้นไปเป็นทางด่วน ทางอะไรบ้าง อะไรที่รัฐบาลทําให้ได้ก็ทําได้ แต่ถ้ายังไม่ได้ช่วงนี้ก็ต้องให้ส่วนที่เขามีรายได้สูงนั้นขึ้นไปก่อน เราก็ใช้ข้างล่างจะได้หนาแน่นน้อยลง ต้องแยกชั้นในการพัฒนาด้วยความเข้าใจกันแบบนี้ ถ้าทําทุกอย่างพร้อมกันหมดเราไม่มีสตางค์พอขนาดนั้น เราต้องพัฒนาเมื่อวันหน้าประเทศชาติมีความพร้อม แล้วจะทําทุกอย่างให้ดีที่สุดได้อย่างที่ทุกคนต้องการ วันนี้ต้องเอาที่เรามีอยู่แล้วเดิมให้ดีขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ส่วนนี้ขึ้นกับหลายส่วนด้วยกัน ทั้งคน ทั้งครู และนักเรียน บุคลากรทางการศึกษา ทั้งหมด ผู้ปกครองด้วย ต้องเข้าใจตรงนี้และหาช่องทางในการสื่อสารกับภาครัฐให้ได้ เราจะได้ดูแลลูก ๆ ของเราให้ได้อย่างดี มีคุณภาพต่อไปในอนาคต
ลุงพูดยาวเพราะต้องการให้พ่อแม่เข้าใจด้วย เด็กยังไม่เข้าใจ พ่อแม่ก็ต้องไปสอนต่อ เพราะฉะนั้นลองดูว่าถ้าพูดแบบลุงจะพูดได้ไหม พูดด้วยเหตุด้วยผล ด้วยหลักการ ด้วยปัญหาต่าง ๆ อย่าไปต่อว่าใครทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าทุกคนเข้าใจกันก็จะเดินหน้าไปด้วยกันได้ เราต้องเดินหน้าไปพร้อม ๆ กัน พ่อจูงลูก เพื่อนจูงเพื่อน พี่จูงน้อง รัฐบาลจูงประชาชน ไปด้วยกัน ถ้าขัดแย้งจะไปไม่ได้สักอย่าง ทุกคนต้องมุ่งหมายไปในสิ่งที่ดีที่สุด อันนี้เราเข้าใจอยู่แล้ว แต่ก็ต้องเข้าใจรัฐบาลด้วย เพราะฉะนั้นสรุปว่าเราเป็นเด็กวันนี้ เราเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า ต้องเป็นคนที่มีสติปัญญา มีสมาธิ มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เป็นคนดีคนเก่ง มีคุณภาพและมีคุณธรรม
มอบหมายไปแล้วคําขวัญ “เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย” คงไม่ได้พูดแต่เด็กเท่านั้น นี่คือจริง ๆ แล้วตั้งใจให้ถึงผู้ใหญ่ด้วย เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะเรียบร้อยด้วยสิ่งที่ผมพูด ความรักความสามัคคีเป็นสิ่งเดียวที่ทําให้โลกปลอดภัย เราก็จะเข้มแข็ง ประเทศชาติเราก็เข้มแข็ง เด็กก็เข้มแข็ง เยาวชนเข้มแข็ง ทุกคนเข้มแข็งหมด ความมั่นคงก็อยู่ ก็ตามมาทั้งสิ้น ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเป็นสิ่งสําคัญ ความขัดแย้งจะต้องไปพูดคุยไปหาทางออก ไม่ใช่ไปหาทางออกในวิธีอื่นที่ไม่เหมาะสม สร้างผลกระทบกับสิ่งอื่น ๆ ซึ่งวันนี้ประเทศไทยกําลังมีปัญหาอยู่มากพอสมควร ภายในเราก็ต้องลดปัญหาลงให้มากที่สุด รัฐบาลพยายามจะทําอย่างเต็มที่
เด็กที่ดีเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต วันหน้าต้องเผชิญหน้ากับอะไร การแข่งขันแรงงานเพิ่ม ต่อไปวันหน้า ศตวรรษที่ 21 จะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 โลกแห่งเทคโนโลยี โลกแห่งดิจิทัล โลกที่เกิดการ Disruption ทําให้เกิดทั้งวิกฤตและโอกาสของพวกเราทุกคน อย่าทําโอกาสให้เป็นวิกฤต ต้องทําวิกฤตให้เป็นโอกาส เพราะสิ่งเหล่านี้อยู่ที่กระบวนการคิด เพราะฉะนั้นเด็กนักเรียน ครู เป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องนี้ พ่อแม่ก็มีส่วนสําคัญในการถ่ายทอดให้ทุกคนได้รู้จักว่ากระบวนการคิดเป็นขั้นเป็นตอนนั้นคืออะไร ที่นายกฯ พูดนี้เรียบเรียงไว้ในสมองอย่างไรถึงพูดมาได้แบบนี้ ต้องคิดแบบนี้ ถ้าเราคิดได้ เราก็จะพูดได้ แล้วเราก็จะทําได้ไปตามนั้น นั่นคือเป้าหมายที่เราวางไว้ในสมองของเรา สมองมีคุณภาพมาก มีเซลล์มากมายมหาศาล ไม่มีอะไรทดแทนได้สมองคนนี้ ลองดูศึกษาดู สมองทุกคนมีอยู่แล้ว เกิดมามีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพ่อแม่จะต้องส่งเสริมลูกในทางที่เขาพอใจ เขามีความสุข ให้เขาไปเรียนหนังสือในสิ่งที่เขาชอบ เขาต้องมีงานทํา ดูว่าเขาชอบอะไร ถ้าเขาไปเขาอาจจะได้ดี แล้วก็อาจจะไปเรียน ปวช. ปวส. อะไรก็แล้วแต่ แล้วก็กลับมาเรียนปริญญาทีหลังในระหว่างที่เขามีรายได้มีงานทํา ได้ทั้งนั้น ผมไม่ได้มุ่งหมายไม่ให้คนเรียนมหาวิทยาลัยนะ แต่ถ้าเรียนแล้วไม่มีงานทําปีละหลายแสนคนจะทําอย่างไร นั่นคือปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ ซึ่งรัฐบาลก็ต้องแก้ตรงนี้ว่า เด็กจบมาแล้วทําอย่างไรถึงจะทํางานได้ เพราะฉะนั้นท่านต้องไปจัดกระบวนการคิดของท่าน มีการคิดวิเคราะห์เป็น การสอบเป็นวงกลม ๆ ปรนัยก็ได้แต่สั้น ๆ แต่ท่านเรียบเรียงอัตนัยไม่ได้เลย อันนี้คือปัญหาของเราในการทํางานในวันหน้า การไปทํางานผู้จัดการบริษัทก็ต้องการลูกน้องที่คิดเป็น ต้องสั่งแล้วคิดต่อให้เขา ให้แนวทางแก้แล้วคุณไปคิดต่อ ทําให้รายได้ของบริษัทดีขึ้น เขาต้องการคนอย่างนั้นไปทํางาน ไม่ใช่เป็นคนที่เขาต้องป้อนทุกอย่างให้ตลอด เพราะฉะนั้นเราก็เป็นแรงงานที่ไม่มีคุณภาพ เป็นพนักงานที่ไม่มีคุณภาพ เราก็ไม่เจริญเติบโตในสายงานของแต่ละสายงาน นี่เป็นเรื่องหลักการสําคัญ
สิ่งที่เป็นส่วนประกอบก็คือเรื่องของการกีฬา การดนตรี การแสดงต่าง ๆ อะไรก็แล้วแต่ที่ทําให้ทุกคนมีสมาธิ มีอารมณ์ศิลปิน คนไทยเป็นคนที่มีศิลปวัฒนธรรม ประเทศไทยมีอยู่ยาวนาน และเป็นคนที่ค่อนข้างโรแมนติก มีอารมณ์ค่อนข้างเร็ว อารมณ์รัก อารมณ์ชอบ อารมณ์เกลียด เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้จะทําให้ทุกคนมีสมาธิขึ้น การเล่นกีฬา หรือการเล่นดนตรีอะไรก็ตาม จะทําให้สังคมมีความสงบสุขมากยิ่งขึ้น เมื่อเด็กทุกคนสงบก็ไม่สร้างความขัดแย้ง ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคม จะตามมาทั้งหมด ฉะนั้น เราเป็นคนในชาติ พ่อแม่ลูกเต้าลูกหลานทั้งหมด นี่คือกําลังของประเทศชาติ นั่นคือสิ่งที่ทําให้สังคมเดินหน้าไปข้างหน้าได้ ถ้าเราขัดแย้ง ถ้าเราไม่มีคุณภาพ ประเทศชาติอย่างไรก็ไปไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเตรียมการอะไรก็ตาม ไม่ว่าผมจะเป็น ใครจะเป็นรัฐบาลก็เหมือนกันหมด ถ้าเราต่างคนต่างมีปัญหากันทั้งหมด ก็ฝากด้วยทุกคนแล้วกัน
เรามุ่งหวังให้ทุกคนได้รับการศึกษาตามช่วงวัยอย่างเหมาะสมและทั่วถึง และนําไปสู่เป้าหมายแห่งความสําเร็จในชีวิต พึ่งพาตนเองได้ ทําคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ สังคม ด้วยความภาคภูมิใจ ทุกคนต้องเข้าใจว่าอะไรคืออะไร คําพูดแต่ละคําหมายความว่าอะไร คําเขียนนี้คืออะไร สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งสําคัญที่ทุกคนต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของคําพูด คํากล่าว คําเขียน เหล่านี้ให้เข้าใจให้ถ่องแท้ จะได้เป็นหลักยึดมั่นในตัวเอง
ผมก็ฝากทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ จะได้ต่อเนื่อง เรียนหนังสือในห้องเรียน ตํารา อ่านหนังสือนอกตําราบ้าง หนังสือที่เป็นประโยชน์ จะได้ใช้ในเรื่องของการสื่อสาร ในการพูดคุยกัน ในสิ่งที่เป็นสาระเป็นประโยชน์มากกว่าความสนุกสนานแต่เพียงอย่างเดียว หนังสืออะไรก็ได้ ก็หยิบมาอ่าน ให้เกิดทักษะ เพิ่มพูนสติปัญญา อยู่ในระเบียบวินัย คําว่าระเบียบวินัยสําคัญที่สุด ระเบียบวินัยในตัวเอง ระเบียบวินัยภายในบ้าน ระเบียบวินัยในโรงเรียน ระเบียบวินัยในสังคม ก็ตามไปสู่เรื่องกฎหมาย รัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายลูกอีกหลายพัน ถ้ารวมกันแล้วหลาย ๆ อย่างเป็นหมื่นฉบับ เพราะฉะนั้นหลายอย่างก็เกี่ยวข้องกับประชาชน ทุกคนต้องเรียนรู้พวกนี้ กฎหมายเขามีไว้ไม่ให้คนกลุ่มนี้ไปกระทบกับคนกลุ่มนี้ กลุ่มอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง เปิดโอกาสให้คนเข้ามาทั่วถึง เรียกว่าโอกาส กฎหมายเป็นอย่างเดียวที่ทําให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสอย่างทั่วถึง วันนั้นท่านประธานศาลฯ ก็ได้พูดไปแล้วในเรื่องนี้ เรื่องกฎหมาย เรื่องอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ได้ขัดแย้งกันหรอก อยู่ที่เราจะตีความกันอย่างไรเท่านั้นเอง
ความซื่อสัตย์ เคารพ กตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ ประพฤติปฏิบัติตนเป็นด้วยการคิดดี ทําดี มีความรัก ความสามัคคีกลมเกลียว มีน้ําหนึ่งใจเดียวกัน มีความจงรักภักดีในสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ มีจิตอาสาทําความดีด้วยหัวใจ รักพ่อแม่ด้วยหัวใจ รักครูอาจารย์ด้วยหัวใจ รักสามีรักภรรยาด้วยหัวใจ ที่ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อกัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานที่ดีของเราในวันข้างหน้า
ขอให้เด็กและเยาวชนทุกคนได้น้อมนําแนวทางในเรื่องของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีเหตุมีผล มีพอประมาณ มีภูมิคุ้มกันที่ดี โดยเฉพาะในโลกที่เป็นโลกยุคโซเชียลวันนี้ ดิจิทัลวันนี้ ทําอย่างไรเราจะมีภูมิต้านทานในเรื่องนี้ อะไรที่ควรเชื่อ อะไรไม่ควรเชื่อ อะไรไม่ควรทดสอบ สิ่งสําคัญเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่กับพวกเราทุกคน คน มนุษย์โลกมีทั้งสองอย่างคือการสร้างและการทําลาย เราจะอยู่ประเภทไหน เมื่อเช้าพูดไปครั้งหนึ่งแล้วว่าคนเรามีหมาป่าอยู่สองตัวอยู่ในตัวเสมอ ตัวหนึ่งใจร้าย ตัวหนึ่งใจดี เพราะฉะนั้นท่านจะเลี้ยงหมาป่าตัวไหนอยู่ที่ใจท่าน อยู่ที่ตัวท่าน ท่านจะเลี้ยงตัวที่ดุร้าย ท่านก็เลี้ยง มันก็เป็นภาระของสังคมต่อไป ถ้าท่านเลี้ยงหมาป่าใจดี หมาป่าก็จะดูแลคน ดูแลต่าง ๆ ไม่มาทะเลาะเบาะแว้งกับคน เขาเปรียบเทียบเป็นคําของฝรั่งเขาผมอ่านหนังสือมา เขาบอกหมาป่ามีสองตัวเสมอในแต่ละคน อยากเป็นตัวไหนล่ะ ผมคิดว่าทุกคนอยากเป็นหมาป่าใจดีมากกว่า
พลังแห่งความรักความสามัคคีเป็นที่หนึ่ง ที่เราจะต้องนําพาประเทศชาติวันนี้ให้พ้นจากปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ของโลกใบนี้ เรื่อง Disruption เรื่องเทคโนโลยี เรื่องหุ่นยนต์ที่เข้ามาแทนคน เราทําได้ทั้งนั้น รองรับสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยความตั้งใจของพวกเรา ไม่มีใครช่วยท่านได้ถ้าท่านไม่เริ่มจากตัวท่านเองไปด้วย คือสิ่งสําคัญที่อยากจะฝากพวกเราไว้ให้เป็นสังคมแห่งความรัก ความอบอุ่น ความสามัคคี ได้ทําหน้าที่พลเมืองที่ดีของชาติ ขับเคลื่อนการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนให้แก่ชาติบ้านเมืองต่อไป
ปีใหม่ก็เพิ่งผ่านมา 11 วัน ขอให้มีความสุขในปีใหม่ที่ผ่านมาและปีต่อ ๆ ไปทุกปี ให้โตเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม ในโอกาสนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากล โปรดดลบันดาลให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคน พร้อมทั้งครอบครัว ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง เพื่อร่วมกันพัฒนาสังคมและประเทศชาติของเราให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบไป และผมขอเปิดงานฉลองวันเด็กแห่งชาติ ณ ทําเนียบรัฐบาล ประจําปี 2563 ณ บัดนี้ ขอให้ทุกคนมีความสุข ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
------------------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25721
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุรัฐธรรมนูญมาตรา 265 บัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดำรงตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ามาทำหน้าที่ จึงไม่สามารถยุบได้
|
วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561
นายกรัฐมนตรีระบุรัฐธรรมนูญมาตรา 265 บัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดํารงตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ามาทําหน้าที่ จึงไม่สามารถยุบได้
นายกรัฐมนตรีระบุรัฐธรรมนูญมาตรา 265 บัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดํารงตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ามาทําหน้าที่ จึงไม่สามารถยุบได้
วันนี้ (13 มีนาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีกลุ่มคนอยากเลือกตั้งเรียกร้องให้ยุบคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 265 บัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดํารงตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ามาทําหน้าที่ ซึ่ง คสช.จะต้องทําหน้าที่ต่อไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ จึงไม่สามารถยุบได้
ส่วนกรณีพรรคการเมืองพรรคใหม่ ๆ ประกาศสนับสนุนนายกรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นเรื่องของการเมือง ซึ่งมีทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายสนับสนุนและไม่สนับสนุน เหมือนกับการปฏิรูปที่มีทั้งฝ่ายที่ต้องการปฏิรูปและฝ่ายที่ไม่ต้องการปฏิรูป จึงทําให้เกิดความวุ่นวายแบบเดิม ซึ่งยังไม่มีความพร้อมดี เป็นสิ่งที่จะชี้ให้เห็นว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้ประชาชนติดตามความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองในขณะนี้ ทั้งนี้ หน้าที่ของ คสช. คือดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นหลัก หากพบพรรคการเมืองและนักการเมืองใดเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย สร้างความขัดแย้ง และทําให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้นต้องดําเนินการตามกฎหมาย
สําหรับสาเหตุที่ทําให้พรรคการเมืองพรรคใหม่ประกาศสนับสนุนนายกรัฐมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป คิดว่านายกรัฐมนตรีมีเสน่ห์ตรงไหนกล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าไม่ได้มีเสน่ห์ และไม่เกี่ยวกับการมีเสน่ห์ และไม่รู้สึกกดดัน เพราะเป็นเรื่องของประชาชนในการตัดสินใจเลือกตั้งผู้แทนขึ้นมาทําหน้าที่ พร้อมกล่าวยืนยันต้องการทํางานเพื่อให้ประเทศชาติเกิดความเปลี่ยนแปลง ไม่ได้หวังผลคะแนนทางการเมือง
------------------------------------------
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีระบุรัฐธรรมนูญมาตรา 265 บัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดำรงตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ามาทำหน้าที่ จึงไม่สามารถยุบได้
วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561
นายกรัฐมนตรีระบุรัฐธรรมนูญมาตรา 265 บัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดํารงตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ามาทําหน้าที่ จึงไม่สามารถยุบได้
นายกรัฐมนตรีระบุรัฐธรรมนูญมาตรา 265 บัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดํารงตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ามาทําหน้าที่ จึงไม่สามารถยุบได้
วันนี้ (13 มีนาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีกลุ่มคนอยากเลือกตั้งเรียกร้องให้ยุบคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 265 บัญญัติให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดํารงตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ามาทําหน้าที่ ซึ่ง คสช.จะต้องทําหน้าที่ต่อไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ จึงไม่สามารถยุบได้
ส่วนกรณีพรรคการเมืองพรรคใหม่ ๆ ประกาศสนับสนุนนายกรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นเรื่องของการเมือง ซึ่งมีทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายสนับสนุนและไม่สนับสนุน เหมือนกับการปฏิรูปที่มีทั้งฝ่ายที่ต้องการปฏิรูปและฝ่ายที่ไม่ต้องการปฏิรูป จึงทําให้เกิดความวุ่นวายแบบเดิม ซึ่งยังไม่มีความพร้อมดี เป็นสิ่งที่จะชี้ให้เห็นว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้ประชาชนติดตามความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองในขณะนี้ ทั้งนี้ หน้าที่ของ คสช. คือดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นหลัก หากพบพรรคการเมืองและนักการเมืองใดเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย สร้างความขัดแย้ง และทําให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้นต้องดําเนินการตามกฎหมาย
สําหรับสาเหตุที่ทําให้พรรคการเมืองพรรคใหม่ประกาศสนับสนุนนายกรัฐมนตรีเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป คิดว่านายกรัฐมนตรีมีเสน่ห์ตรงไหนกล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าไม่ได้มีเสน่ห์ และไม่เกี่ยวกับการมีเสน่ห์ และไม่รู้สึกกดดัน เพราะเป็นเรื่องของประชาชนในการตัดสินใจเลือกตั้งผู้แทนขึ้นมาทําหน้าที่ พร้อมกล่าวยืนยันต้องการทํางานเพื่อให้ประเทศชาติเกิดความเปลี่ยนแปลง ไม่ได้หวังผลคะแนนทางการเมือง
------------------------------------------
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10731
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สคร. นำส่งรายได้จากรัฐวิสาหกิจเดือนแรกของปีสูงกว่าเป้าหมาย 25% ช่วยรักษาเสถียรภาพการคลัง”
|
วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2560
“สคร. นําส่งรายได้จากรัฐวิสาหกิจเดือนแรกของปีสูงกว่าเป้าหมาย 25% ช่วยรักษาเสถียรภาพการคลัง”
ในเดือนตุลาคม 2560 สคร. จัดเก็บรายได้แผ่นดินได้จํานวน 34,546 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย จํานวน 4,444 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ซึ่งมีส่วนรักษาเสถียรภาพการคลังของประเทศ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2561 สคร. ได้รับเป้าหมายการนําส่งรายได้ตามเอกสารงบประมาณ 2561 จํานวน 137,000 ล้านบาท โดยในเดือนตุลาคม 2560 สคร. จัดเก็บรายได้แผ่นดินได้จํานวน 34,546 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย จํานวน 4,444 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ซึ่งมีส่วนรักษาเสถียรภาพการคลังของประเทศ
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. ในฐานะโฆษก สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุหลักที่รัฐวิสาหกิจนําส่งรายได้แผ่นดินสูงกว่าเป้าหมาย เนื่องจากประสิทธิภาพการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีส่วนทําให้ผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจดีขึ้น โดยมีรัฐวิสาหกิจที่นําส่งรายได้สูงสุดในเดือนตุลาคม 2560 ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จํานวน 13,384 ล้านบาท ธนาคารออมสิน จํานวน 5,739 ล้านบาท การไฟฟ้า
ส่วนภูมิภาค จํานวน 5,693 ล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง จํานวน 2,510 ล้านบาท และธนาคารอาคารสงเคราะห์ จํานวน 2,473 ล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ในปีงบประมาณ 2561 สคร. จะเร่งยกระดับประสิทธิภาพการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจผ่านการนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมมาปรับปรุงกระบวนการทํางานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะสามารถนําส่งรายได้แผ่นดินเป็นไปตามเป้าหมายการจัดเก็บตามเอกสารงบประมาณ 2561 ที่กําหนดไว้ 137,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพการคลังให้แก่ประเทศด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สคร. นำส่งรายได้จากรัฐวิสาหกิจเดือนแรกของปีสูงกว่าเป้าหมาย 25% ช่วยรักษาเสถียรภาพการคลัง”
วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2560
“สคร. นําส่งรายได้จากรัฐวิสาหกิจเดือนแรกของปีสูงกว่าเป้าหมาย 25% ช่วยรักษาเสถียรภาพการคลัง”
ในเดือนตุลาคม 2560 สคร. จัดเก็บรายได้แผ่นดินได้จํานวน 34,546 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย จํานวน 4,444 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ซึ่งมีส่วนรักษาเสถียรภาพการคลังของประเทศ
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2561 สคร. ได้รับเป้าหมายการนําส่งรายได้ตามเอกสารงบประมาณ 2561 จํานวน 137,000 ล้านบาท โดยในเดือนตุลาคม 2560 สคร. จัดเก็บรายได้แผ่นดินได้จํานวน 34,546 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย จํานวน 4,444 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ซึ่งมีส่วนรักษาเสถียรภาพการคลังของประเทศ
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อํานวยการ สคร. ในฐานะโฆษก สคร. กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุหลักที่รัฐวิสาหกิจนําส่งรายได้แผ่นดินสูงกว่าเป้าหมาย เนื่องจากประสิทธิภาพการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีส่วนทําให้ผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจดีขึ้น โดยมีรัฐวิสาหกิจที่นําส่งรายได้สูงสุดในเดือนตุลาคม 2560 ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จํานวน 13,384 ล้านบาท ธนาคารออมสิน จํานวน 5,739 ล้านบาท การไฟฟ้า
ส่วนภูมิภาค จํานวน 5,693 ล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง จํานวน 2,510 ล้านบาท และธนาคารอาคารสงเคราะห์ จํานวน 2,473 ล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อํานวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ในปีงบประมาณ 2561 สคร. จะเร่งยกระดับประสิทธิภาพการดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจผ่านการนําระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมมาปรับปรุงกระบวนการทํางานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะสามารถนําส่งรายได้แผ่นดินเป็นไปตามเป้าหมายการจัดเก็บตามเอกสารงบประมาณ 2561 ที่กําหนดไว้ 137,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพการคลังให้แก่ประเทศด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8086
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฉลองครบรอบ 72 ปี บริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด (มหาชน)
|
วันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฉลองครบรอบ 72 ปี บริษัท บางกอก โพสต์ จํากัด (มหาชน)
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฉลองครบรอบ 72 ปี บริษัท บางกอก โพสต์ จํากัด (มหาชน) พร้อมกล่าวย้ําบ้านเมืองจะสามารถเดินหน้าอย่างมั่นคงได้ จะต้องเกิดจากความร่วมมือ ความสามัคคีของคนในชาติ
วันนี้ (1 สิงหาคม 2561) เวลา 18.15 น. ณ ห้องบอลรูม บี ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฉลองครบรอบ 72 ปี บริษัท บางกอก โพสต์ จํากัด (มหาชน)
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานความตอนหนึ่งว่า มีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานครบรอบ 72 ปี ของบริษัทบางกอกโพสต์ ซึ่งเป็นสื่อที่ทําหน้าที่นําเสนอข่าวสารบ้านเมืองเหตุการณ์และทั่วโลกให้กับประชาชนได้รับทราบมาอย่างยาวนาน ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ วันนี้จึงนับเป็นอีกความสําเร็จของบางกอกโพสต์ที่สามารถยืนหยัดเป็นสื่อที่มีคุณภาพมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยในวันนี้ต้องการสื่อที่มีคุณภาพ นําเสนอข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ทํางานด้วยความรัก ความใส่ใจ และความทุ่มเท เพื่อให้ผลงานออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างความรู้ให้กับประชาชนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม การทําหน้าที่ของสื่อจึงเป็นองค์ประกอบสําคัญอีกปัจจัยหนึ่งในการเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมกันพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าอย่างทันสมัยและเท่าทัน สําหรับอนาคตของประเทศไทยได้วางระบบแบบแผน ทั้งการวางแผนแม่บท รูปแบบการพัฒนาเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการปฏิบัติงานอย่างเต็มศักยภาพทั้งในแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งจะครอบคลุมการพัฒนาประเทศในทุกด้าน โดยรัฐบาลได้มีวิสัยทัศน์ในการดําเนินงานให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนมากที่สุด โดยการกําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เป็นปัจจัยสําคัญมากต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ดังนั้นการสร้างรากฐานและการวางแผนที่ดีย่อมนําไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจน
ตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน การออกมาตรการป้องกันการเกิดปัญหา รวมถึงการการพัฒนาประเทศในทุกด้านเพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศไทยให้มีความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างทัดเทียมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เราจะหยุดพัฒนาไม่ได้ ทุกอย่างจะต้องเดินหน้า ต่อไปอย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ขอฝากไว้ในวันนี้ คืออนาคตของประเทศไทยที่อยู่ในมือของประชาชนคนไทยทุกคน บ้านเมืองจะสามารถเดินหน้าอย่างมั่นคงได้ จะต้องเกิดจากความร่วมมือ ความสามัคคีของคนในชาติทุกภาคส่วนที่จะนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ เพื่อดําเนินงานให้ประสบความสําเร็จตามเป้าหมายในเรื่องความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศไทยสืบไป
จากนั้นตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีกับบริษัทบางกอกโพสต์ที่ได้ดําเนินงานมาครบรอบ 72 ปี ซึ่งนับว่าเป็นเวลาที่ยาวนานที่ได้สร้างสรรค์ผลงานในวงการสื่ออย่างมุ่งมั่นและเต็มที่ต่อการทํางานเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม และเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนด้านข้อมูลข่าวสารอย่างมีคุณภาพตลอดมา ผมขออวยพรให้ผู้บริหารบริษัทบางกอกโพสต์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน มีแต่ความสุขความเจริญ มีกําลังกายกําลังใจ และกําลังปัญญาในการทําหน้าที่สื่อที่ดีเพื่อจรรโลงสังคมต่อไป
.............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฉลองครบรอบ 72 ปี บริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด (มหาชน)
วันพุธที่ 1 สิงหาคม 2561
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฉลองครบรอบ 72 ปี บริษัท บางกอก โพสต์ จํากัด (มหาชน)
นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฉลองครบรอบ 72 ปี บริษัท บางกอก โพสต์ จํากัด (มหาชน) พร้อมกล่าวย้ําบ้านเมืองจะสามารถเดินหน้าอย่างมั่นคงได้ จะต้องเกิดจากความร่วมมือ ความสามัคคีของคนในชาติ
วันนี้ (1 สิงหาคม 2561) เวลา 18.15 น. ณ ห้องบอลรูม บี ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานฉลองครบรอบ 72 ปี บริษัท บางกอก โพสต์ จํากัด (มหาชน)
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเปิดงานความตอนหนึ่งว่า มีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานครบรอบ 72 ปี ของบริษัทบางกอกโพสต์ ซึ่งเป็นสื่อที่ทําหน้าที่นําเสนอข่าวสารบ้านเมืองเหตุการณ์และทั่วโลกให้กับประชาชนได้รับทราบมาอย่างยาวนาน ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ วันนี้จึงนับเป็นอีกความสําเร็จของบางกอกโพสต์ที่สามารถยืนหยัดเป็นสื่อที่มีคุณภาพมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยในวันนี้ต้องการสื่อที่มีคุณภาพ นําเสนอข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ทํางานด้วยความรัก ความใส่ใจ และความทุ่มเท เพื่อให้ผลงานออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างความรู้ให้กับประชาชนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม การทําหน้าที่ของสื่อจึงเป็นองค์ประกอบสําคัญอีกปัจจัยหนึ่งในการเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมกันพัฒนาประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้าอย่างทันสมัยและเท่าทัน สําหรับอนาคตของประเทศไทยได้วางระบบแบบแผน ทั้งการวางแผนแม่บท รูปแบบการพัฒนาเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการปฏิบัติงานอย่างเต็มศักยภาพทั้งในแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งจะครอบคลุมการพัฒนาประเทศในทุกด้าน โดยรัฐบาลได้มีวิสัยทัศน์ในการดําเนินงานให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนมากที่สุด โดยการกําหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เป็นปัจจัยสําคัญมากต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งจะต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ดังนั้นการสร้างรากฐานและการวางแผนที่ดีย่อมนําไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจน
ตลอดระยะเวลา 4 ปี ที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน การออกมาตรการป้องกันการเกิดปัญหา รวมถึงการการพัฒนาประเทศในทุกด้านเพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศไทยให้มีความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างทัดเทียมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เราจะหยุดพัฒนาไม่ได้ ทุกอย่างจะต้องเดินหน้า ต่อไปอย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ขอฝากไว้ในวันนี้ คืออนาคตของประเทศไทยที่อยู่ในมือของประชาชนคนไทยทุกคน บ้านเมืองจะสามารถเดินหน้าอย่างมั่นคงได้ จะต้องเกิดจากความร่วมมือ ความสามัคคีของคนในชาติทุกภาคส่วนที่จะนํานโยบายไปสู่การปฏิบัติ เพื่อดําเนินงานให้ประสบความสําเร็จตามเป้าหมายในเรื่องความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศไทยสืบไป
จากนั้นตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีกับบริษัทบางกอกโพสต์ที่ได้ดําเนินงานมาครบรอบ 72 ปี ซึ่งนับว่าเป็นเวลาที่ยาวนานที่ได้สร้างสรรค์ผลงานในวงการสื่ออย่างมุ่งมั่นและเต็มที่ต่อการทํางานเพื่อประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม และเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนด้านข้อมูลข่าวสารอย่างมีคุณภาพตลอดมา ผมขออวยพรให้ผู้บริหารบริษัทบางกอกโพสต์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน มีแต่ความสุขความเจริญ มีกําลังกายกําลังใจ และกําลังปัญญาในการทําหน้าที่สื่อที่ดีเพื่อจรรโลงสังคมต่อไป
.............................................................
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14283
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. ส่งเสริมอาชีพทำเงิน ช่วงวิกฤติ โควิด – 19
|
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
กกจ. ส่งเสริมอาชีพทําเงิน ช่วงวิกฤติ โควิด – 19
กรมการจัดหางาน จัดโครงการส่งเสริมการมีงานทําสู้วิกฤติ Covid-19 ส่งเสริมอาชีพทําเงิน ฝึกทักษะจบ มอบวัสดุอุปกรณ์ให้ไปประกอบอาชีพได้ทันที
หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใย ประชาชน จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทําให้ประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิต และทํางานหารายได้ได้ตามปกติ ส่งกรมการจัดหางาน หามาตรการเสริม เพิ่มการเยียวยา และอาชีพ ผ่านการสาธิตอาชีพทําเงิน เช่น การทําหน้ากากอนามัย และเจลล้างมือ ระบุ ฝึกทักษะเสร็จ มอบอุปกรณ์ให้ไปประกอบอาชีพต่อได้ทันที
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการจัดหางาน ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนจากการว่างงานดังกล่าว จึงหามาตรการเร่งด่วนที่กรมการจัดหางานจะสามารถดําเนินการได้ทันที
“ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความสําคัญกับการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้บรรเทาความเดือดร้อนและสามารถมีอาชีพต่อยอดได้ กรมการจัดหางานจึงได้จัดทําโครงการส่งเสริมการมีงานทําสู้วิกฤติ Covid-19 เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบต้องว่างงานจากโรค Covid-19 ให้มีรายได้สําหรับการดํารงชีพ โดยส่งเสริมความรู้และทักษะในอาชีพอิสระที่สามารถนําไปต่อยอดประกอบอาชีพได้เลย และเป็นที่ต้องการของตลาด สามารถสร้างรายได้ดี เช่น การทําหน้ากากอนามัย การทําเจลล้างมือ เป็นต้น โดยให้ความรู้ สาธิตการทํา พร้อมจัดหาวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพให้
นอกจากนี้ เมื่อจบการฝึก กรมการจัดหางานจะมอบอุปกรณ์ให้ ซึ่งประชาชนสามารถนําไปใช้ประกอบอาชีพได้ทันที โดยตั้งเป้าหมายในการดําเนินการสาธิตการประกอบอาชีพอิสระให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบไว้ 2,000 คน ในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2563 ทั่วประเทศ “ นายสุชาติฯ กล่าว
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กกจ. ส่งเสริมอาชีพทำเงิน ช่วงวิกฤติ โควิด – 19
วันศุกร์ที่ 10 เมษายน 2563
กกจ. ส่งเสริมอาชีพทําเงิน ช่วงวิกฤติ โควิด – 19
กรมการจัดหางาน จัดโครงการส่งเสริมการมีงานทําสู้วิกฤติ Covid-19 ส่งเสริมอาชีพทําเงิน ฝึกทักษะจบ มอบวัสดุอุปกรณ์ให้ไปประกอบอาชีพได้ทันที
หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงใย ประชาชน จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทําให้ประชาชนไม่สามารถใช้ชีวิต และทํางานหารายได้ได้ตามปกติ ส่งกรมการจัดหางาน หามาตรการเสริม เพิ่มการเยียวยา และอาชีพ ผ่านการสาธิตอาชีพทําเงิน เช่น การทําหน้ากากอนามัย และเจลล้างมือ ระบุ ฝึกทักษะเสร็จ มอบอุปกรณ์ให้ไปประกอบอาชีพต่อได้ทันที
ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการจัดหางาน ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนจากการว่างงานดังกล่าว จึงหามาตรการเร่งด่วนที่กรมการจัดหางานจะสามารถดําเนินการได้ทันที
“ ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ให้ความสําคัญกับการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้บรรเทาความเดือดร้อนและสามารถมีอาชีพต่อยอดได้ กรมการจัดหางานจึงได้จัดทําโครงการส่งเสริมการมีงานทําสู้วิกฤติ Covid-19 เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบต้องว่างงานจากโรค Covid-19 ให้มีรายได้สําหรับการดํารงชีพ โดยส่งเสริมความรู้และทักษะในอาชีพอิสระที่สามารถนําไปต่อยอดประกอบอาชีพได้เลย และเป็นที่ต้องการของตลาด สามารถสร้างรายได้ดี เช่น การทําหน้ากากอนามัย การทําเจลล้างมือ เป็นต้น โดยให้ความรู้ สาธิตการทํา พร้อมจัดหาวัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพให้
นอกจากนี้ เมื่อจบการฝึก กรมการจัดหางานจะมอบอุปกรณ์ให้ ซึ่งประชาชนสามารถนําไปใช้ประกอบอาชีพได้ทันที โดยตั้งเป้าหมายในการดําเนินการสาธิตการประกอบอาชีพอิสระให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบไว้ 2,000 คน ในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2563 ทั่วประเทศ “ นายสุชาติฯ กล่าว
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/28743
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. เปิดงานสัมมนาและมอบรางวัลสถานประกอบการอุตสาหกรรมต้นแบบฯด้านการบริหารจัดการน้ำ (ระดับประเทศ)
|
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560
รมว.ทส. เปิดงานสัมมนาและมอบรางวัลสถานประกอบการอุตสาหกรรมต้นแบบฯด้านการบริหารจัดการน้ํา (ระดับประเทศ)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดงานสัมมนาและมอบรางวัลสถานประกอบการอุตสาหกรรมต้นแบบฯ ด้านการบริหารจัดการน้ํา (ระดับประเทศ) งานสัมมนาวิชาการและเผยแพร่ผลงานสถาบันน้ําเพื่อความยั่งยืน ประจําปี 2560 (WIS Forum 2017)
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาและมอบรางวัลสถานประกอบการอุตสาหกรรมต้นแบบฯ ด้านการบริหารจัดการน้ํา (ระดับประเทศ) งานสัมมนาวิชาการและเผยแพร่ผลงานสถาบันน้ําเพื่อความยั่งยืน ประจําปี 2560 (WIS Forum 2017) โดยมี นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อธิบดีกรมทรัพยากรน้ําบาดาล กล่าวรายงาน ณ ห้องบอลรูม ฮอลล์ เอ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร
สถาบันน้ําเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดสัมมนาวิชาการและเผยแพร่ผลงานสถาบันน้ําเพื่อความยั่งยืน ประจําปี 2560 (WIS Forum 2017) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 - 26 มกราคม 2560 ณ ห้องบอลรูม ฮอลล์ เอ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้านการบริหารจัดการน้ํา อันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและพสกนิกรชาวไทยอย่างล้นพ้น และการนําเสนอผลการดําเนินงานโครงการสร้างต้นแบบและขยายเครือข่ายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลอย่างมีประสิทธิภาพ ในภาคอุตสาหกรรมด้วยเครื่องมือทางสังคมที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาน้ําบาดาล กรมทรัพยากรน้ําบาดาล รวมทั้งการส่งเสริมและสนับสนุนความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ําจากกรณีศึกษาของหน่วยงานต่าง ๆ
ทั้งในและต่างประเทศและเผยแพร่ผลงานสถาบันน้ําเพื่อความยั่งยืน ประจําปี 2560 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ กว่า 500 คน ในการนี้ กรมทรัพยากรน้ําบาดาล โดยกองทุนพัฒนาน้ําบาดาล สํานักควบคุมกิจการน้ําบาดาล ได้จัดบูธนิทรรศการเกี่ยวกับกองทุนพัฒนาน้ําบาดาล เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการสนับสนุนทุนในการศึกษาวิจัยด้านน้ําบาดาลและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลในครั้งนี้ด้วย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ทส. เปิดงานสัมมนาและมอบรางวัลสถานประกอบการอุตสาหกรรมต้นแบบฯด้านการบริหารจัดการน้ำ (ระดับประเทศ)
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2560
รมว.ทส. เปิดงานสัมมนาและมอบรางวัลสถานประกอบการอุตสาหกรรมต้นแบบฯด้านการบริหารจัดการน้ํา (ระดับประเทศ)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดงานสัมมนาและมอบรางวัลสถานประกอบการอุตสาหกรรมต้นแบบฯ ด้านการบริหารจัดการน้ํา (ระดับประเทศ) งานสัมมนาวิชาการและเผยแพร่ผลงานสถาบันน้ําเพื่อความยั่งยืน ประจําปี 2560 (WIS Forum 2017)
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาและมอบรางวัลสถานประกอบการอุตสาหกรรมต้นแบบฯ ด้านการบริหารจัดการน้ํา (ระดับประเทศ) งานสัมมนาวิชาการและเผยแพร่ผลงานสถาบันน้ําเพื่อความยั่งยืน ประจําปี 2560 (WIS Forum 2017) โดยมี นายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อธิบดีกรมทรัพยากรน้ําบาดาล กล่าวรายงาน ณ ห้องบอลรูม ฮอลล์ เอ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร
สถาบันน้ําเพื่อความยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดสัมมนาวิชาการและเผยแพร่ผลงานสถาบันน้ําเพื่อความยั่งยืน ประจําปี 2560 (WIS Forum 2017) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 - 26 มกราคม 2560 ณ ห้องบอลรูม ฮอลล์ เอ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร เพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้านการบริหารจัดการน้ํา อันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและพสกนิกรชาวไทยอย่างล้นพ้น และการนําเสนอผลการดําเนินงานโครงการสร้างต้นแบบและขยายเครือข่ายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลอย่างมีประสิทธิภาพ ในภาคอุตสาหกรรมด้วยเครื่องมือทางสังคมที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาน้ําบาดาล กรมทรัพยากรน้ําบาดาล รวมทั้งการส่งเสริมและสนับสนุนความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ําจากกรณีศึกษาของหน่วยงานต่าง ๆ
ทั้งในและต่างประเทศและเผยแพร่ผลงานสถาบันน้ําเพื่อความยั่งยืน ประจําปี 2560 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ กว่า 500 คน ในการนี้ กรมทรัพยากรน้ําบาดาล โดยกองทุนพัฒนาน้ําบาดาล สํานักควบคุมกิจการน้ําบาดาล ได้จัดบูธนิทรรศการเกี่ยวกับกองทุนพัฒนาน้ําบาดาล เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการสนับสนุนทุนในการศึกษาวิจัยด้านน้ําบาดาลและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลในครั้งนี้ด้วย
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1514
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน วางแผนการลงทุน ขยายเม็ดเงินกองทุนประกันสังคม เพิ่มความเชื่อมั่นผู้ประกันตน
|
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560
ก.แรงงาน วางแผนการลงทุน ขยายเม็ดเงินกองทุนประกันสังคม เพิ่มความเชื่อมั่นผู้ประกันตน
ก.แรงงาน เร่งวางแผนการลงทุน บริหารความเสี่ยงอย่างมีระบบ พร้อมขยายเม็ดเงินลงทุนให้กองทุนประกันสังคมได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า สร้างความมั่นคง สร้างเสถียรภาพทางการเงินให้กองทุนเติบโต เพิ่มความเชื่อมั่นผู้ประกันตน
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม และคณะกรรมการประกันสังคม ได้เดินทางไปนครนิวยอร์ก ระหว่างวันที่ 7 - 13 ส.ค. 2560 เพื่อติดตามการลงทุน และศึกษาดูงานโอกาสในการขยายการลงทุนเพิ่มเติมของกองทุนประกันสังคม ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2560 ปลัดกระทรวงแรงงานและคณะได้เข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารบริษัท Black Rock Asset Management ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลการลงทุนอยู่ในปัจจุบันและได้นําเสนอข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาขยายการลงทุนในหลายประเด็น ได้แก่ 1) วิธีการลงทุนผ่านกองทุน ETF2) กระบวนการกํากับการลงทุน 3) การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และ 4) การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
จากนั้นวันที่ 10 ส.ค.2560 ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะ ได้ไปประชุมติดตามผลร่วมกับ JP Morgan ซึ่งเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินที่ลงทุนของกองทุนประกันสังคม ได้ให้ข้อมูลแนวโน้มการลงทุนของกองทุนประกันสังคมในภาพรวมของโลกว่า ได้เพิ่มการลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงการลงทุนทางเลือกมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งประเด็นสําคัญที่กองทุนประกันสังคมหลายประเทศกําลังดําเนินการอยู่ อาทิ การสื่อสารกับสมาชิกเพื่อสร้างการยอมรับในแนวทางการลงทุนรูปแบบใหม่ กองทุนส่วนใหญ่เน้นแผนบํานาญชราภาพที่กําหนดประโยชน์ทดแทน นอกจากนี้ JP Morgan ยังได้ให้คําปรึกษาในการขยายการลงทุนแก่ประกันสังคมอีกด้วย ในวันเดียวกันปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะ ยังได้ติดตามการดําเนินงานของสํานักงานบริหารจัดการระบบบํานาญรัฐนิวยอร์กในสหรัฐฯ ซึ่งแต่ละรัฐมีระบบการบริหารจัดการบํานาญแตกต่างกัน สําหรับระบบบํานาญท้องถิ่นแห่งนครนิวยอร์ก เป็นการให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างภาครัฐทุกคนในรัฐนิวยอร์ก โดยจัดเก็บเงินสมทบจากทั้งนายจ้างและลูกจ้าง นอกจากนี้ หน่วยงานยังมีการวางแผน/ ให้คําปรึกษาก่อนการเกษียณอายุ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับบํานาญจะมีรายได้ที่มั่นคงในอนาคต รวมถึงมีการเผยแพร่ข้อมูลประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสร้างการรับรู้แก่ผู้รับบริการ
ส่วนวันที่ 11 ส.ค.2560 ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะ ได้ประชุมหารือร่วมกับบริษัท Goldman Sachs ซึ่งเป็นธนาคารสําหรับกองทุนขนาดใหญ่ ได้แนะนําการลงทุนแบบ Smart beta หรือการลงทุนแบบใช้กฎการลงทุนที่ชัดเจนแต่เป็นการเลือกหลักทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราผลตอบแทนของตลาดได้ นอกจากนี้ Goldman Sachs ยังได้แนะนําวิธีการการทําธุรกรรมซื้อขายให้สํานักงานประกันสังคมเพื่อขยายการลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย
ผลการติดตามการลงทุนของกองทุนประกันสังคมในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ทําให้การลงทุนในต่างประเทศของกองทุนประกันสังคมมีระบบที่ดี สถาบันที่เกี่ยวข้องมีความน่าเชื่อถือ มีระบบการถ่วงดุลที่เหมาะสมทั้งการจัดหาการลงทุน การบริหารการลงทุนและการเก็บรักษาเงิน เพื่อขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นตามกรอบและแผนงานที่อนุกรรมการด้านการลงทุนและอนุกรรมการด้านความเสี่ยงได้นําเสนอไว้และคณะกรรมการได้เห็นชอบหลักการไว้แล้วต่อไป
-----------------------------
กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
15 สิงหาคม 2560
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน วางแผนการลงทุน ขยายเม็ดเงินกองทุนประกันสังคม เพิ่มความเชื่อมั่นผู้ประกันตน
วันอังคารที่ 15 สิงหาคม 2560
ก.แรงงาน วางแผนการลงทุน ขยายเม็ดเงินกองทุนประกันสังคม เพิ่มความเชื่อมั่นผู้ประกันตน
ก.แรงงาน เร่งวางแผนการลงทุน บริหารความเสี่ยงอย่างมีระบบ พร้อมขยายเม็ดเงินลงทุนให้กองทุนประกันสังคมได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า สร้างความมั่นคง สร้างเสถียรภาพทางการเงินให้กองทุนเติบโต เพิ่มความเชื่อมั่นผู้ประกันตน
หม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสํานักงานประกันสังคม และคณะกรรมการประกันสังคม ได้เดินทางไปนครนิวยอร์ก ระหว่างวันที่ 7 - 13 ส.ค. 2560 เพื่อติดตามการลงทุน และศึกษาดูงานโอกาสในการขยายการลงทุนเพิ่มเติมของกองทุนประกันสังคม ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2560 ปลัดกระทรวงแรงงานและคณะได้เข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารบริษัท Black Rock Asset Management ซึ่งเป็นบริษัทที่ดูแลการลงทุนอยู่ในปัจจุบันและได้นําเสนอข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาขยายการลงทุนในหลายประเด็น ได้แก่ 1) วิธีการลงทุนผ่านกองทุน ETF2) กระบวนการกํากับการลงทุน 3) การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และ 4) การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
จากนั้นวันที่ 10 ส.ค.2560 ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะ ได้ไปประชุมติดตามผลร่วมกับ JP Morgan ซึ่งเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินที่ลงทุนของกองทุนประกันสังคม ได้ให้ข้อมูลแนวโน้มการลงทุนของกองทุนประกันสังคมในภาพรวมของโลกว่า ได้เพิ่มการลงทุนในต่างประเทศ รวมถึงการลงทุนทางเลือกมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งประเด็นสําคัญที่กองทุนประกันสังคมหลายประเทศกําลังดําเนินการอยู่ อาทิ การสื่อสารกับสมาชิกเพื่อสร้างการยอมรับในแนวทางการลงทุนรูปแบบใหม่ กองทุนส่วนใหญ่เน้นแผนบํานาญชราภาพที่กําหนดประโยชน์ทดแทน นอกจากนี้ JP Morgan ยังได้ให้คําปรึกษาในการขยายการลงทุนแก่ประกันสังคมอีกด้วย ในวันเดียวกันปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะ ยังได้ติดตามการดําเนินงานของสํานักงานบริหารจัดการระบบบํานาญรัฐนิวยอร์กในสหรัฐฯ ซึ่งแต่ละรัฐมีระบบการบริหารจัดการบํานาญแตกต่างกัน สําหรับระบบบํานาญท้องถิ่นแห่งนครนิวยอร์ก เป็นการให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างภาครัฐทุกคนในรัฐนิวยอร์ก โดยจัดเก็บเงินสมทบจากทั้งนายจ้างและลูกจ้าง นอกจากนี้ หน่วยงานยังมีการวางแผน/ ให้คําปรึกษาก่อนการเกษียณอายุ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับบํานาญจะมีรายได้ที่มั่นคงในอนาคต รวมถึงมีการเผยแพร่ข้อมูลประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสร้างการรับรู้แก่ผู้รับบริการ
ส่วนวันที่ 11 ส.ค.2560 ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะ ได้ประชุมหารือร่วมกับบริษัท Goldman Sachs ซึ่งเป็นธนาคารสําหรับกองทุนขนาดใหญ่ ได้แนะนําการลงทุนแบบ Smart beta หรือการลงทุนแบบใช้กฎการลงทุนที่ชัดเจนแต่เป็นการเลือกหลักทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราผลตอบแทนของตลาดได้ นอกจากนี้ Goldman Sachs ยังได้แนะนําวิธีการการทําธุรกรรมซื้อขายให้สํานักงานประกันสังคมเพื่อขยายการลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย
ผลการติดตามการลงทุนของกองทุนประกันสังคมในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ทําให้การลงทุนในต่างประเทศของกองทุนประกันสังคมมีระบบที่ดี สถาบันที่เกี่ยวข้องมีความน่าเชื่อถือ มีระบบการถ่วงดุลที่เหมาะสมทั้งการจัดหาการลงทุน การบริหารการลงทุนและการเก็บรักษาเงิน เพื่อขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นตามกรอบและแผนงานที่อนุกรรมการด้านการลงทุนและอนุกรรมการด้านความเสี่ยงได้นําเสนอไว้และคณะกรรมการได้เห็นชอบหลักการไว้แล้วต่อไป
-----------------------------
กลุ่มงานโฆษกและการข่าว/
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์/
ชนินทร เพ็ชรทับ - ข่าว/
15 สิงหาคม 2560
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5929
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรชี้แจงมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร
|
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561
กรมสรรพากรชี้แจงมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร
กรมสรรพากรชี้แจงมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร พร้อมแจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการยื่นงบการเงินสําหรับรอบระยะเวลาบัญชี ปี 2560 ให้ถูกต้อง เพื่อรองรับการดําเนินการของสถาบันการเงิน
วันนี้ (10 พฤษภาคม 2561) นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ได้เปิดการสัมมนา “มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร” ณ ห้องพระอุเทน 1 ชั้น 2 อาคารกรมสรรพากร เพื่อชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล และแนวทางในการบริหารจัดเก็บภาษีอากร รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างถูกต้องและภายในกําหนดเวลา
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า “ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ได้ขยายเวลามาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล โดยได้รับยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องมาจากการโอนทรัพย์สินให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นหุ้นสามัญหรือหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ทั้งนี้ เฉพาะที่ได้กระทําตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป สถาบันการเงินจะใช้ข้อมูลงบการเงินที่นําส่งกรมสรรพากรเป็นหลักฐานในการทําธุรกรรมทางการเงินและการขออนุมัติสินเชื่อ ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องจัดทํางบการเงินของรอบระยะเวลาบัญชี 2560 ให้ถูกต้อง และสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง เพื่อรองรับการดําเนินการของสถาบันการเงิน
สําหรับผู้ประกอบการที่มีรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลพร้อมชําระภาษีภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีซึ่งในปีนี้วันสุดท้ายของการยื่นแบบฯ ตรงกับวันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561 อย่างไรก็ดี สําหรับผู้ที่ยื่นแบบฯ ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th จะได้รับสิทธิขยายเวลาการยื่นแบบฯ และชําระภาษีออกไปถึงวันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 256๑ โดยผู้ที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากร และได้ยื่นงบการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) ที่ Web Site ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th ภายในกําหนดเวลาและมีบุคคลตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ตรวจสอบและรับรองงบการเงินดังกล่าว ถือว่าได้ยื่นงบการเงินต่อกรมสรรพากรแล้ว”
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบันกระทรวงการคลังได้มีการบูรณาการข้อมูล 3 กรมภาษี และหน่วยงานอื่น เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารจัดเก็บภาษี นอกจากนี้ จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน ที่เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการประกอบธุรกิจ กรมสรรพากรได้ตระหนักถึงความสําคัญดังกล่าว จึงได้ศึกษารูปแบบนวัตกรรมทางการเงินเพื่อนํามากําหนดเป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เสียภาษีและประเทศไทยมากที่สุด”
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสรรพากรชี้แจงมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร
วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม 2561
กรมสรรพากรชี้แจงมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร
กรมสรรพากรชี้แจงมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร พร้อมแจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการยื่นงบการเงินสําหรับรอบระยะเวลาบัญชี ปี 2560 ให้ถูกต้อง เพื่อรองรับการดําเนินการของสถาบันการเงิน
วันนี้ (10 พฤษภาคม 2561) นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ได้เปิดการสัมมนา “มาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล และสิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร” ณ ห้องพระอุเทน 1 ชั้น 2 อาคารกรมสรรพากร เพื่อชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบกิจการในรูปแบบนิติบุคคล และแนวทางในการบริหารจัดเก็บภาษีอากร รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างถูกต้องและภายในกําหนดเวลา
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า “ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ได้ขยายเวลามาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคล โดยได้รับยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องมาจากการโอนทรัพย์สินให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นหุ้นสามัญหรือหุ้นของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ทั้งนี้ เฉพาะที่ได้กระทําตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561
นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป สถาบันการเงินจะใช้ข้อมูลงบการเงินที่นําส่งกรมสรรพากรเป็นหลักฐานในการทําธุรกรรมทางการเงินและการขออนุมัติสินเชื่อ ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องจัดทํางบการเงินของรอบระยะเวลาบัญชี 2560 ให้ถูกต้อง และสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง เพื่อรองรับการดําเนินการของสถาบันการเงิน
สําหรับผู้ประกอบการที่มีรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลพร้อมชําระภาษีภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีซึ่งในปีนี้วันสุดท้ายของการยื่นแบบฯ ตรงกับวันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2561 อย่างไรก็ดี สําหรับผู้ที่ยื่นแบบฯ ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตที่ www.rd.go.th จะได้รับสิทธิขยายเวลาการยื่นแบบฯ และชําระภาษีออกไปถึงวันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 256๑ โดยผู้ที่ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 50 ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ตของกรมสรรพากร และได้ยื่นงบการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) ที่ Web Site ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า www.dbd.go.th ภายในกําหนดเวลาและมีบุคคลตามมาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ตรวจสอบและรับรองงบการเงินดังกล่าว ถือว่าได้ยื่นงบการเงินต่อกรมสรรพากรแล้ว”
นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปัจจุบันกระทรวงการคลังได้มีการบูรณาการข้อมูล 3 กรมภาษี และหน่วยงานอื่น เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อประโยชน์ต่อการบริหารจัดเก็บภาษี นอกจากนี้ จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน ที่เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการประกอบธุรกิจ กรมสรรพากรได้ตระหนักถึงความสําคัญดังกล่าว จึงได้ศึกษารูปแบบนวัตกรรมทางการเงินเพื่อนํามากําหนดเป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เสียภาษีและประเทศไทยมากที่สุด”
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12135
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ให้กำลังใจ พร้อมมอบทุนสนับสนุนคณะเยาวชนพิการไทย ก่อนร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล 2561 ณ สาธารณรัฐอินเดีย
|
วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน 2561
รมว.พม. ให้กําลังใจ พร้อมมอบทุนสนับสนุนคณะเยาวชนพิการไทย ก่อนร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล 2561 ณ สาธารณรัฐอินเดีย
รมว.พม. ให้กําลังใจ พร้อมมอบทุนสนับสนุนคณะเยาวชนพิการไทย ก่อนร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล 2561 ณ สาธารณรัฐอินเดีย
วันนี้ (7 พ.ย. 61) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ให้คณะเยาวชนพิการไทย เข้าเยี่ยมคาราวะและให้โอวาทเพื่อเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจ ก่อนการเดินทางไปเข้าร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2561 "2018 Global IT Challenge for Youth with Disabilities”ระหว่างวันที่ 8 - 12 พฤศจิกายน 2561 ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย พร้อมมอบทุนสนับสนุนการเข้าร่วมแข่งขันแก่คณะเยาวชนพิการไทยดังกล่าว
พลเอก อนันตพรกล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจสําคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม สําหรับกลุ่มคนพิการ ทางรัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการให้สามารถดํารงชีวิตประจําวันและมีส่วนร่วมในสังคม ได้เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ด้วยการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จากสิทธิสวัสดิการ ตลอดจนสนับสนุนศักยภาพขององค์กร ด้านคนพิการ ทั้งนี้ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการอย่างยั่งยืนและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม อีกทั้งสร้าง ความภาคภูมิใจให้กับตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการ (พก.) จึงได้จัดค่ายคัดเลือกเยาวชนพิการไทย อายุระหว่าง 13 - 21 ปี เพื่อเข้าเก็บตัวและเตรียมความพร้อมให้กับ คณะเยาวชนพิการไทย ในฐานะตัวแทนประเทศไทย ก่อนเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ระดับสากล ประจําปี 2561 "2018 Global IT Challenge for Youth with Disabilities” โดยแบ่งการแข่งขันเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1)eTool challenge 2) eLifeMap challenge 3) eContent challenge และ 4)eCreative challenge และในวันนี้ กระทรวง พม. โดย พก. จึงได้จัดพิธีให้โอวาทแก่คณะเยาวชนพิการไทยที่เข้าเยี่ยมคารวะก่อนเดินทางไปเข้าร่วมแข่งขันดังกล่าว พร้อมมอบทุนสนับสนุน เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจแก่คณะเยาวชนพิการไทยดังกล่าว จํานวน 8 คน ประกอบด้วย 1) นางสาวนภัทร ประวิทย์ชาติ อายุ 19 ปี พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย จากวิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่พัทยา 2) นายธนกฤต ตาสุขะ อายุ 18 ปี พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย จากโรงเรียนศรีสังวาล จังหวัดเชียงใหม่ 3) นายพงษ์พิทักษ์ ไขรัมย์ อายุ 20 ปี พิการ ทางสติปัญญา จากโรงเรียนนครราชสีมาปัญญานุกูล จังหวัดนครราชสีมา 4) นายธฤต ไพบูลย์วุฒิโชค อายุ 21 ปี พิการ ทางสติปัญญา จากศูนย์พัฒนาเด็กพิเศษพระมหาไถ่ 5) นางสาวศุภากร ชันษา ชันษา อายุ 18 ปี พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จากศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการบ้านศรีวนาไล จังหวัดอุบลราชธานี 6) นางสาวบัวชมพู ศรีวิรัช อายุ 19 ปี พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จากโรงเรียนเศรษฐเสถียรในพระราชูปถัมภ์ 7) นายบุญเหลือ อินมา อายุ 19 ปี พิการทางการเห็น จากโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ ในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดเชียงใหม่ และ 8) นายเจษฎาพร สิงห์ชา อายุ 15 ปี พิการทางการเห็น จากโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ อีกทั้งคณะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมจํานวนทั้งสิ้น 15 คน นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากองค์กร Rehabilitation International Korea (RI Korea) สาธารณรัฐเกาหลี รัฐบาลของสาธารณรัฐอินเดีย และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
"การแข่งขันความท้าทายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศครั้งนี้ ตนหวังว่าเป็นโอกาสอันดีของคณะเยาวชนพิการไทย พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ จะได้เสริมสร้างศักยภาพทางด้านความคิดสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้เยาวชนพิการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลข่าวสารในสังคมได้มากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี โดยขอให้แสดงความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันอย่างเต็มที่ จนประสบความสําเร็จ และนําชื่อเสียงกลับสู่ประเทศไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิ อีกทั้งได้นําประสบการณ์จากการแข่งขันครั้งนี้ มาใช้ประโยชน์ในการสร้างสรรค์และพัฒนาศักยภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งสิ่งที่สําคัญคือต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต เคารพในกติกา การรู้แพ้ รู้ชนะ มีน้ําใจให้กันและกัน และสร้างมิตรภาพที่ดีต่อเพื่อนเยาวชนพิการจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมให้การสนับสนุนเยาวชนพิการทุกคนในระดับนานชาติอย่างเต็มที่และต่อเนื่องต่อไป”พลเอก อนันตพรกล่าวในตอนท้าย
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. ให้กำลังใจ พร้อมมอบทุนสนับสนุนคณะเยาวชนพิการไทย ก่อนร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล 2561 ณ สาธารณรัฐอินเดีย
วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน 2561
รมว.พม. ให้กําลังใจ พร้อมมอบทุนสนับสนุนคณะเยาวชนพิการไทย ก่อนร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล 2561 ณ สาธารณรัฐอินเดีย
รมว.พม. ให้กําลังใจ พร้อมมอบทุนสนับสนุนคณะเยาวชนพิการไทย ก่อนร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล 2561 ณ สาธารณรัฐอินเดีย
วันนี้ (7 พ.ย. 61) เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯพลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)ให้คณะเยาวชนพิการไทย เข้าเยี่ยมคาราวะและให้โอวาทเพื่อเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจ ก่อนการเดินทางไปเข้าร่วมแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสากล ประจําปี 2561 "2018 Global IT Challenge for Youth with Disabilities”ระหว่างวันที่ 8 - 12 พฤศจิกายน 2561 ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย พร้อมมอบทุนสนับสนุนการเข้าร่วมแข่งขันแก่คณะเยาวชนพิการไทยดังกล่าว
พลเอก อนันตพรกล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีภารกิจสําคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสทางสังคม สําหรับกลุ่มคนพิการ ทางรัฐบาลได้ให้ความสําคัญในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการให้สามารถดํารงชีวิตประจําวันและมีส่วนร่วมในสังคม ได้เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ด้วยการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จากสิทธิสวัสดิการ ตลอดจนสนับสนุนศักยภาพขององค์กร ด้านคนพิการ ทั้งนี้ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการอย่างยั่งยืนและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม อีกทั้งสร้าง ความภาคภูมิใจให้กับตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ กระทรวง พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต คนพิการ (พก.) จึงได้จัดค่ายคัดเลือกเยาวชนพิการไทย อายุระหว่าง 13 - 21 ปี เพื่อเข้าเก็บตัวและเตรียมความพร้อมให้กับ คณะเยาวชนพิการไทย ในฐานะตัวแทนประเทศไทย ก่อนเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันความท้าทายทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ระดับสากล ประจําปี 2561 "2018 Global IT Challenge for Youth with Disabilities” โดยแบ่งการแข่งขันเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1)eTool challenge 2) eLifeMap challenge 3) eContent challenge และ 4)eCreative challenge และในวันนี้ กระทรวง พม. โดย พก. จึงได้จัดพิธีให้โอวาทแก่คณะเยาวชนพิการไทยที่เข้าเยี่ยมคารวะก่อนเดินทางไปเข้าร่วมแข่งขันดังกล่าว พร้อมมอบทุนสนับสนุน เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจแก่คณะเยาวชนพิการไทยดังกล่าว จํานวน 8 คน ประกอบด้วย 1) นางสาวนภัทร ประวิทย์ชาติ อายุ 19 ปี พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย จากวิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่พัทยา 2) นายธนกฤต ตาสุขะ อายุ 18 ปี พิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย จากโรงเรียนศรีสังวาล จังหวัดเชียงใหม่ 3) นายพงษ์พิทักษ์ ไขรัมย์ อายุ 20 ปี พิการ ทางสติปัญญา จากโรงเรียนนครราชสีมาปัญญานุกูล จังหวัดนครราชสีมา 4) นายธฤต ไพบูลย์วุฒิโชค อายุ 21 ปี พิการ ทางสติปัญญา จากศูนย์พัฒนาเด็กพิเศษพระมหาไถ่ 5) นางสาวศุภากร ชันษา ชันษา อายุ 18 ปี พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จากศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการบ้านศรีวนาไล จังหวัดอุบลราชธานี 6) นางสาวบัวชมพู ศรีวิรัช อายุ 19 ปี พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย จากโรงเรียนเศรษฐเสถียรในพระราชูปถัมภ์ 7) นายบุญเหลือ อินมา อายุ 19 ปี พิการทางการเห็น จากโรงเรียนสอนคนตาบอดภาคเหนือ ในพระราชูปถัมภ์ จังหวัดเชียงใหม่ และ 8) นายเจษฎาพร สิงห์ชา อายุ 15 ปี พิการทางการเห็น จากโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ อีกทั้งคณะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมจํานวนทั้งสิ้น 15 คน นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากองค์กร Rehabilitation International Korea (RI Korea) สาธารณรัฐเกาหลี รัฐบาลของสาธารณรัฐอินเดีย และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
"การแข่งขันความท้าทายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศครั้งนี้ ตนหวังว่าเป็นโอกาสอันดีของคณะเยาวชนพิการไทย พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่ จะได้เสริมสร้างศักยภาพทางด้านความคิดสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้เยาวชนพิการสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและข้อมูลข่าวสารในสังคมได้มากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี โดยขอให้แสดงความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันอย่างเต็มที่ จนประสบความสําเร็จ และนําชื่อเสียงกลับสู่ประเทศไทยได้อย่างเต็มภาคภูมิ อีกทั้งได้นําประสบการณ์จากการแข่งขันครั้งนี้ มาใช้ประโยชน์ในการสร้างสรรค์และพัฒนาศักยภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งสิ่งที่สําคัญคือต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต เคารพในกติกา การรู้แพ้ รู้ชนะ มีน้ําใจให้กันและกัน และสร้างมิตรภาพที่ดีต่อเพื่อนเยาวชนพิการจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมให้การสนับสนุนเยาวชนพิการทุกคนในระดับนานชาติอย่างเต็มที่และต่อเนื่องต่อไป”พลเอก อนันตพรกล่าวในตอนท้าย
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16626
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ยืนยันถึงการคง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อประโยชน์ในการบูรณาการการทำงานร่วมกันทุกหน่วยงาน
|
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
โฆษก ศบค. ยืนยันถึงการคง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อประโยชน์ในการบูรณาการการทํางานร่วมกันทุกหน่วยงาน
โฆษก ศบค. ยืนยันถึงการคง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อประโยชน์ในการบูรณาการการทํางานร่วมกันทุกหน่วยงาน
วันนี้ (26 พ.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. กล่าวถึงการที่ประชาชนจํานวนมากมีข้อสงสัยว่าขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีจํานวนไม่มาก สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และประเทศไทยมี พ.ร.บ. โรคติดต่อ แต่ทําไมยังไม่ยกเลิกประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ว่าก่อนการมี พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เราใช้ พ.ร.บ. โรคติดต่อเพียงอย่างเดียว ต้องทํางานข้ามกระทรวง ดังนั้นการประชุมสั่งการโดยกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติงานได้ดี แตกต่างจากภายหลังจากที่ประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ซึ่งมีกฎหมายอื่นๆ อีกกว่า 40 ฉบับมาเกี่ยวข้องตามที่นาย วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวไว้ ทําให้เห็นการบูรณาการ ไม่เพียงแต่เป็นการควบคุมโรค แต่ยังคุมเรื่องการคมนาคม เส้นทางผ่านเข้า-ออก ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหมและมหาดไทย หรือการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งการที่หน่วยงานต่างๆ ทํางานร่วมกันจะต้องมีผู้นํา 1 คน ที่เรียกว่า ศปม. หรือ ศูนย์ปฏิบัติการด้านความมั่นคงเกิดขึ้นมา
โฆษก ศบค. ยังได้ยกตัวอย่างเรื่องหน้ากากอนามัย ที่ขาดตลาดในช่วงแรก ซึ่งประชาชนมองว่ากระทรวงสาธารณสุขต้องจัดสรรให้เพียงพอ แต่จริงๆ แล้วแม้จะมีโรงงานหรือมีผู้ผลิตแต่ติดเรื่องสัญญาที่ต้องส่งออกหน้ากากอนามัยให้กับต่างประเทศ ดังนั้นกฎหมายฉบับเดียวไม่สามารถจัดการได้ ต้องบูรณาการกฎหมายอื่นเพื่อให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุมและใช้ภายในประเทศ และเกิดศูนย์ปฏิบัติการด้านต่างๆ เช่นเดียวกับการนําคนไทยกลับประเทศ การคมนาคม การเดินทางข้ามผ่าน นี่คือความสําคัญของการบูรณาการ เพื่อรวบอํานาจ ในการจัดการเบ็ดเสร็จ เพื่อควบคุมโรคให้ได้ โดยใช้กลไกภาครัฐ การจัดการกฎหมาย การให้อํานาจหน้าที่บุคลากรของรัฐไปควบคุม จัดการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขต้องขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาช่วยงานด้านโรคระบาดนี้ทําให้ประสบความสําเร็จ
ในตอนท้าย โฆษก ศบค. กล่าวทิ้งท้ายย้ําถึงความร่วมมือกันว่า "ภาครัฐเข้มข้น เอกชนเข้มแข็ง ประชาชนร่วมแรง ประเทศไทยได้ไปต่อ" เชื่อมั่นว่าด้วยการร่วมแรงร่วมใจ จะทําให้เราชนะในการต่อสู้กับโควิด-19
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก ศบค. ยืนยันถึงการคง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อประโยชน์ในการบูรณาการการทำงานร่วมกันทุกหน่วยงาน
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม 2563
โฆษก ศบค. ยืนยันถึงการคง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อประโยชน์ในการบูรณาการการทํางานร่วมกันทุกหน่วยงาน
โฆษก ศบค. ยืนยันถึงการคง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อประโยชน์ในการบูรณาการการทํางานร่วมกันทุกหน่วยงาน
วันนี้ (26 พ.ค. 63) เวลา 11.30 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้
โฆษก ศบค. กล่าวถึงการที่ประชาชนจํานวนมากมีข้อสงสัยว่าขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีจํานวนไม่มาก สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย และประเทศไทยมี พ.ร.บ. โรคติดต่อ แต่ทําไมยังไม่ยกเลิกประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ว่าก่อนการมี พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เราใช้ พ.ร.บ. โรคติดต่อเพียงอย่างเดียว ต้องทํางานข้ามกระทรวง ดังนั้นการประชุมสั่งการโดยกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติงานได้ดี แตกต่างจากภายหลังจากที่ประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ซึ่งมีกฎหมายอื่นๆ อีกกว่า 40 ฉบับมาเกี่ยวข้องตามที่นาย วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวไว้ ทําให้เห็นการบูรณาการ ไม่เพียงแต่เป็นการควบคุมโรค แต่ยังคุมเรื่องการคมนาคม เส้นทางผ่านเข้า-ออก ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหมและมหาดไทย หรือการตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งการที่หน่วยงานต่างๆ ทํางานร่วมกันจะต้องมีผู้นํา 1 คน ที่เรียกว่า ศปม. หรือ ศูนย์ปฏิบัติการด้านความมั่นคงเกิดขึ้นมา
โฆษก ศบค. ยังได้ยกตัวอย่างเรื่องหน้ากากอนามัย ที่ขาดตลาดในช่วงแรก ซึ่งประชาชนมองว่ากระทรวงสาธารณสุขต้องจัดสรรให้เพียงพอ แต่จริงๆ แล้วแม้จะมีโรงงานหรือมีผู้ผลิตแต่ติดเรื่องสัญญาที่ต้องส่งออกหน้ากากอนามัยให้กับต่างประเทศ ดังนั้นกฎหมายฉบับเดียวไม่สามารถจัดการได้ ต้องบูรณาการกฎหมายอื่นเพื่อให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุมและใช้ภายในประเทศ และเกิดศูนย์ปฏิบัติการด้านต่างๆ เช่นเดียวกับการนําคนไทยกลับประเทศ การคมนาคม การเดินทางข้ามผ่าน นี่คือความสําคัญของการบูรณาการ เพื่อรวบอํานาจ ในการจัดการเบ็ดเสร็จ เพื่อควบคุมโรคให้ได้ โดยใช้กลไกภาครัฐ การจัดการกฎหมาย การให้อํานาจหน้าที่บุคลากรของรัฐไปควบคุม จัดการ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขต้องขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาช่วยงานด้านโรคระบาดนี้ทําให้ประสบความสําเร็จ
ในตอนท้าย โฆษก ศบค. กล่าวทิ้งท้ายย้ําถึงความร่วมมือกันว่า "ภาครัฐเข้มข้น เอกชนเข้มแข็ง ประชาชนร่วมแรง ประเทศไทยได้ไปต่อ" เชื่อมั่นว่าด้วยการร่วมแรงร่วมใจ จะทําให้เราชนะในการต่อสู้กับโควิด-19
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31499
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงอาเซียน-ญี่ปุ่น ในประเด็นเรื่องสังคมเอื้ออาทร ณ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น
|
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562
พม. ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงอาเซียน-ญี่ปุ่น ในประเด็นเรื่องสังคมเอื้ออาทร ณ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น
พม. ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงอาเซียน-ญี่ปุ่น ในประเด็นเรื่องสังคมเอื้ออาทร ณ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 62 นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วย นางศิริลักษณ์ มีมาก ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงอาเซียน-ญี่ปุ่น ในประเด็นเรื่องสังคมเอื้ออาทร ณ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น โดยมีผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงานจากประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
นางสาวสราญภัทร กล่าวว่า การประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงอาเซียน-ญี่ปุ่น เป็นการประชุมที่จัดเป็นประจําทุกปี โดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ประเทศญี่ปุ่น และมีการเชิญผู้แทนจาก 3 สาขาความร่วมมืออาเซียน ได้แก่ สาขาสวัสดิการสังคมและการพัฒนา สาขาแรงงาน และสาขาสาธารณสุข จากประเทศสมาชิกอาเซียน เข้าร่วมการประชุมตามประเด็นหัวข้อที่จะมีการกําหนดในแต่ละปี สําหรับปี 2562 มีการจัดประชุมฯ ขึ้นระหว่างวันที่ 4 - 6 ธันวาคม 2562 ณ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้หัวข้อ คือ การสูงวัยอย่างมีสุขภาพดีและมีคุณภาพสําหรับการเป็นสังคมเพื่อคนทั้งมวล โดยผู้แทนจากทั้งสามกระทรวงของประเทศไทย ได้รับมอบหมายให้นําเสนอรายงานการดําเนินงานของประเทศในหัวข้อการส่งเสริมสุขภาพเพื่อสังคมสูงอายุที่มีคุณภาพ ซึ่งในวันนี้ (4 ธ.ค. 62) ได้รับเกียรติจาก Dr. Yasuhiro Suzuki ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของประเทศญี่ปุ่น ผู้ว่าราชการจังหวัด Aichi และรองเลขาธิการอาเซียนสําหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน กล่าวเปิด การประชุม และกล่าวปาฐกถาในหัวข้อการส่งเสริมการป้องกันอาการสมองเสื่อมเพื่อการสูงวัยอย่างมีสุขภาพและคุณภาพ พร้อมด้วยการนําเสนอจากผู้แทนองค์การอนามัยโลก องค์การแรงงานระหว่างประเทศของญี่ปุ่น และ องค์การไจก้า รวมถึงการนําเสนอรายงาน โดยผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียน
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงอาเซียน-ญี่ปุ่น ในประเด็นเรื่องสังคมเอื้ออาทร ณ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น
วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม 2562
พม. ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงอาเซียน-ญี่ปุ่น ในประเด็นเรื่องสังคมเอื้ออาทร ณ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น
พม. ร่วมประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงอาเซียน-ญี่ปุ่น ในประเด็นเรื่องสังคมเอื้ออาทร ณ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 62 นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมด้วย นางศิริลักษณ์ มีมาก ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ เข้าร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงอาเซียน-ญี่ปุ่น ในประเด็นเรื่องสังคมเอื้ออาทร ณ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น โดยมีผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงแรงงานจากประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
นางสาวสราญภัทร กล่าวว่า การประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงอาเซียน-ญี่ปุ่น เป็นการประชุมที่จัดเป็นประจําทุกปี โดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ประเทศญี่ปุ่น และมีการเชิญผู้แทนจาก 3 สาขาความร่วมมืออาเซียน ได้แก่ สาขาสวัสดิการสังคมและการพัฒนา สาขาแรงงาน และสาขาสาธารณสุข จากประเทศสมาชิกอาเซียน เข้าร่วมการประชุมตามประเด็นหัวข้อที่จะมีการกําหนดในแต่ละปี สําหรับปี 2562 มีการจัดประชุมฯ ขึ้นระหว่างวันที่ 4 - 6 ธันวาคม 2562 ณ เมืองนาโกย่า ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้หัวข้อ คือ การสูงวัยอย่างมีสุขภาพดีและมีคุณภาพสําหรับการเป็นสังคมเพื่อคนทั้งมวล โดยผู้แทนจากทั้งสามกระทรวงของประเทศไทย ได้รับมอบหมายให้นําเสนอรายงานการดําเนินงานของประเทศในหัวข้อการส่งเสริมสุขภาพเพื่อสังคมสูงอายุที่มีคุณภาพ ซึ่งในวันนี้ (4 ธ.ค. 62) ได้รับเกียรติจาก Dr. Yasuhiro Suzuki ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของประเทศญี่ปุ่น ผู้ว่าราชการจังหวัด Aichi และรองเลขาธิการอาเซียนสําหรับประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน กล่าวเปิด การประชุม และกล่าวปาฐกถาในหัวข้อการส่งเสริมการป้องกันอาการสมองเสื่อมเพื่อการสูงวัยอย่างมีสุขภาพและคุณภาพ พร้อมด้วยการนําเสนอจากผู้แทนองค์การอนามัยโลก องค์การแรงงานระหว่างประเทศของญี่ปุ่น และ องค์การไจก้า รวมถึงการนําเสนอรายงาน โดยผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียน
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25056
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลผลักดันโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อ Micro SMEs
|
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560
รัฐบาลผลักดันโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อ Micro SMEs
ผู้ประกอบการรายย่อย และวิสาหกิจชุมชน ขนาดเล็ก มักประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน วันนี้โครงการสินเชื่อประชารัฐ จะช่วยให้ผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลผลักดันโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อ Micro SMEs จัดสรรวงเงิน 500 ล้านบาทให้ผู้ประกอบการรายย่อยและวิสาหกิจชุมชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนําไปใช้หมุนเวียนหรือปรับปรุงกิจการให้ดีขึ้น โดยให้สินเชื่อรายละไม่เกิน 2 แสนบาท ระยะเวลากู้ยืมนาน 10 ปี แบบไม่ต้องมีหลักประกันและไม่คิดดอกเบี้ย ซึ่งผู้ที่จะกู้ยืมจะต้องมีสถานประกอบการเป็นหลักแหล่ง มีการจดทะเบียนการค้าหรือทะเบียนพาณิชย์ ดําเนินกิจการมาแล้วไม่ต่ํากว่า 1 ปี และเป็นลูกค้าของสถาบันการเงินหรือธนาคารทุกประเภท ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าให้ผู้ประกอบการอย่างน้อย 2,500 รายเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ โทร 1357
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลผลักดันโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อ Micro SMEs
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560
รัฐบาลผลักดันโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อ Micro SMEs
ผู้ประกอบการรายย่อย และวิสาหกิจชุมชน ขนาดเล็ก มักประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน วันนี้โครงการสินเชื่อประชารัฐ จะช่วยให้ผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
รัฐบาลผลักดันโครงการสินเชื่อประชารัฐเพื่อ Micro SMEs จัดสรรวงเงิน 500 ล้านบาทให้ผู้ประกอบการรายย่อยและวิสาหกิจชุมชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนําไปใช้หมุนเวียนหรือปรับปรุงกิจการให้ดีขึ้น โดยให้สินเชื่อรายละไม่เกิน 2 แสนบาท ระยะเวลากู้ยืมนาน 10 ปี แบบไม่ต้องมีหลักประกันและไม่คิดดอกเบี้ย ซึ่งผู้ที่จะกู้ยืมจะต้องมีสถานประกอบการเป็นหลักแหล่ง มีการจดทะเบียนการค้าหรือทะเบียนพาณิชย์ ดําเนินกิจการมาแล้วไม่ต่ํากว่า 1 ปี และเป็นลูกค้าของสถาบันการเงินหรือธนาคารทุกประเภท ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งเป้าให้ผู้ประกอบการอย่างน้อย 2,500 รายเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ โทร 1357
ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4048
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 15 เมษายน 2563
|
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 15 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 15 เมษายน 2563 1. สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม – 15 เมษายน 2563 (7.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 1,995,947 ราย เสียชีวิต 126,537 ราย ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่15 เมษายน 2563
1. สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่5 มกราคม –15 เมษายน2563 (7.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 1,995,947 ราย เสียชีวิต 126,537 ราย ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 612,320 ราย เสียชีวิต 25,989 รายสเปนพบผู้ป่วย 174,060 ราย เสียชีวิต 18,255 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 162,488 ราย เสียชีวิต 21,067 ราย
2. สถานการณ์ในประเทศไทย (14 เมษายน 2563 เวลา 16.00 น.) มีจํานวนผู้ป่วยกลับบ้านได้มากกว่าผู้ป่วยรายใหม่ ซึ่งมีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 92 ราย (สะสม 1,497 ราย) ผู้ป่วยรายใหม่ 30 ราย นับเป็นลําดับที่ 2,614-2,643 และมีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 1,103 ราย
โดยผู้ป่วยรายใหม่จําแนกเป็นกลุ่มได้ดังนี้
กลุ่มที่ 1เป็นผู้มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว19ราย (พบผู้ป่วยที่จังหวัดปัตตานี, ยะลา,ชุมพร, ภูเก็ต, นนทบุรี, กรุงเทพฯ)
กลุ่มที่ 2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน3รายมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 1 ราย (กลับจากฝรั่งเศส)
2.2 ไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัด, สถานที่ท่องเที่ยว 2 ราย
กลุ่มที่ 3ยืนยันพบเชื้อ อยู่ระหว่างสอบสวนโรค7ราย
กลุ่มที่ 4เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าState Quarantines1ราย (กลับจากสหรัฐอเมริกา)
วันนี้ ได้รับรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย
รายที่ 1 เป็นหญิงไทย อายุ 65 ปี อาชีพขายอาหาร มีโรคประจําตัว คือ เบาหวาน, ไตเรื้อรัง, ความดันโลหิตสูง และมีประวัติคนในครอบครัวเป็นผู้ป่วยโรคโควิด-19 เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยอาการไข้ ไอ มีน้ํามูก และรับการตรวจหาเชื้อพบเชื้อโควิด-19 จากนั้นจึงส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาลอีกแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ เสียชีวิตวันที่ 13 เมษายน 2563 สาเหตุการเสียชีวิตหลักคือติดเชื้อโควิด-19 สาเหตุรองไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 42)
รายที่ 2 เป็นชายไทย อายุ 60 ปี มีประวัติเดินทางไปร่วมพิธีทางศาสนาอิสลามที่ประเทศอินโดนีเซีย เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้วยอาการไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เก็บสิ่งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตวันที่ 14 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 43)
โดยสรุปภาพรวมวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 1,497 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 1,103 รายเสียชีวิตรวม 43 รายรวมมีผู้ป่วยสะสม 2,643 ราย
***********************************15 เมษายน 2563
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 15 เมษายน 2563
วันพุธที่ 15 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 15 เมษายน 2563
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 15 เมษายน 2563 1. สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม – 15 เมษายน 2563 (7.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 1,995,947 ราย เสียชีวิต 126,537 ราย ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่
รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19)
ประจําวันที่15 เมษายน 2563
1. สถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่5 มกราคม –15 เมษายน2563 (7.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจํานวน 1,995,947 ราย เสียชีวิต 126,537 ราย ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศที่มียอดผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 612,320 ราย เสียชีวิต 25,989 รายสเปนพบผู้ป่วย 174,060 ราย เสียชีวิต 18,255 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 162,488 ราย เสียชีวิต 21,067 ราย
2. สถานการณ์ในประเทศไทย (14 เมษายน 2563 เวลา 16.00 น.) มีจํานวนผู้ป่วยกลับบ้านได้มากกว่าผู้ป่วยรายใหม่ ซึ่งมีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 92 ราย (สะสม 1,497 ราย) ผู้ป่วยรายใหม่ 30 ราย นับเป็นลําดับที่ 2,614-2,643 และมีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 1,103 ราย
โดยผู้ป่วยรายใหม่จําแนกเป็นกลุ่มได้ดังนี้
กลุ่มที่ 1เป็นผู้มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว19ราย (พบผู้ป่วยที่จังหวัดปัตตานี, ยะลา,ชุมพร, ภูเก็ต, นนทบุรี, กรุงเทพฯ)
กลุ่มที่ 2ผู้ป่วยรายใหม่ จํานวน3รายมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 คนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ 1 ราย (กลับจากฝรั่งเศส)
2.2 ไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัด, สถานที่ท่องเที่ยว 2 ราย
กลุ่มที่ 3ยืนยันพบเชื้อ อยู่ระหว่างสอบสวนโรค7ราย
กลุ่มที่ 4เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าState Quarantines1ราย (กลับจากสหรัฐอเมริกา)
วันนี้ ได้รับรายงานผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย
รายที่ 1 เป็นหญิงไทย อายุ 65 ปี อาชีพขายอาหาร มีโรคประจําตัว คือ เบาหวาน, ไตเรื้อรัง, ความดันโลหิตสูง และมีประวัติคนในครอบครัวเป็นผู้ป่วยโรคโควิด-19 เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยอาการไข้ ไอ มีน้ํามูก และรับการตรวจหาเชื้อพบเชื้อโควิด-19 จากนั้นจึงส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาลอีกแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ เสียชีวิตวันที่ 13 เมษายน 2563 สาเหตุการเสียชีวิตหลักคือติดเชื้อโควิด-19 สาเหตุรองไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 42)
รายที่ 2 เป็นชายไทย อายุ 60 ปี มีประวัติเดินทางไปร่วมพิธีทางศาสนาอิสลามที่ประเทศอินโดนีเซีย เข้ารับรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ด้วยอาการไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เก็บสิ่งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตวันที่ 14 เมษายน 2563 (เป็นผู้เสียชีวิตรายที่ 43)
โดยสรุปภาพรวมวันนี้ มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 1,497 ราย ยังรักษาในโรงพยาบาล 1,103 รายเสียชีวิตรวม 43 รายรวมมีผู้ป่วยสะสม 2,643 ราย
***********************************15 เมษายน 2563
|
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29122
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ แจงความคืบหน้ามาตรการเตรียมรับมือภัยแล้ง พร้อมขอความร่วมมือเกษตรกรลุ่มน้ำเจ้าพระยา พักการทำนารอบที่ 3 (นาปรังรอบที่ 2)
|
วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560
กระทรวงเกษตรฯ แจงความคืบหน้ามาตรการเตรียมรับมือภัยแล้ง พร้อมขอความร่วมมือเกษตรกรลุ่มน้ําเจ้าพระยา พักการทํานารอบที่ 3 (นาปรังรอบที่ 2)
กระทรวงเกษตรฯ แจงมาตรการเตรียมรับมือภัยแล้ง 5 แผนงาน พร้อมขอความร่วมมือเกษตรกรลุ่มน้ําเจ้าพระยา พักการทํานารอบที่ 3 (นาปรังรอบที่ 2) หลังพบพื้นที่นาปรังเกินแผนไปแล้วกว่า 2 เท่า ย้ําปริมาณน้ําใน 4 เขื่อนหลัก มีพอใช้เฉพาะการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศ
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดําเนินงานตามแผนเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้งด้านการเกษตร ปี 2559/60 ว่า กระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการสนับสนุนการดําเนินงาน เริ่มจากการวิเคราะห์พื้นที่ที่มีความเสี่ยง หรือมีความต้องการใช้น้ํามากกว่าน้ําต้นทุนที่มีอยู่ จากการวิเคราะห์ (ณ 17 ก.พ. 60) พบว่า มีพื้นที่จํานวน 105 อําเภอ ครอบคลุม34 จังหวัด อยู่นอกเขตชลประทานที่น้ําต้นทุนอาจจะไม่เพียงพอ แม้ว่าจะลดลงจากปี 2559 ที่มี 391 อําเภอ 46 จังหวัด แต่กระทรวงเกษตรฯ ก็ได้จัดทําแผนเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้งด้านการเกษตร ปี 2559/60 ประกอบด้วย 6 มาตรการ 29 โครงการ และเตรียมให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรในพื้นที่อาจได้รับผลกระทบ
นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้วางแนวทางการดําเนินงาน 5 แผนงาน ประกอบด้วย 1) การจัดสรรน้ําฤดูแล้ง ปี 2559/60 2) การเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2559/60 3) แผนการจัดสรรน้ําของรัฐบาล 4) แผนปฏิบัติการฝนหลวง และ 5) การลดความเสี่ยงจากภัยแล้ง รายละเอียดดังนี้
1)แผน-ผลการจัดสรรน้ําฤดูแล้ง ปี 2559/60 กรมชลประทานวางแผนจัดสรรน้ําเพื่อสนับสนุนการใช้น้ําในช่วงฤดูแล้งทั้งประเทศ จํานวนทั้งสิ้น 17,661 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็นเพื่อการอุปโภค-บริโภค 2,339 ล้าน ลบ.ม. เพื่อการรักษาระบบนิเวศและอื่นๆ 5,743 ล้าน ลบ.ม. และเพื่อการเกษตร 9,579 ล้าน ลบ.ม. ผลการจัดสรรน้ําทั้งประเทศ ปัจจุบันมีการใช้น้ําไปแล้ว 12,588 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็นร้อยละ 71 ของแผน ลุ่มน้ําเจ้าพระยา วางแผนใช้น้ําจาก 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) รวมทั้งสิ้น 5,950 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็น เพื่อการอุปโภค-บริโภค 1,100 ล้าน ลบ.ม. เพื่อการรักษาระบบนิเวศและอื่นๆ 1,450 ล้าน ลบ.ม. และเพื่อการเกษตร 3,400 ล้าน ลบ.ม. โดยสํารองน้ําไว้ใช้ต้นฤดูฝน 3,754 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีการใช้น้ําไปแล้ว 4,588 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 77 ของแผนฯ มากกว่าแผนที่วางไว้ในช่วงเวลาเดียวกัน 435 ล้าน ลบ.ม.
2)การเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2559/60 แผนทั้งประเทศ 12.76 ล้านไร่ ปลูกจริง 13.16 ล้านไร่ (+3%) ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรังทั้งประเทศ (ข้อมูล 1 มี.ค. 60) รวมทั้งสิ้น 9.90 ล้านไร่ มากกว่าแผน 2.97 ล้านไร่ แบ่งเป็น ในเขตชลประทานมีการทํานาปรังไปแล้ว 7.33 ล้านไร่ มากกว่าแผนที่วางไว้ 3.33 ล้านไร่ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในลุ่มน้ําเจ้าพระยา (แผนที่วางไว้ 4 ล้านไร่) และนอกเขตชลประทานมีการเพาะปลูกข้าวนาปรังไปแล้ว 2.57 ล้านไร่น้อยกว่าแผน 0.36 ล้านไร่
3)แผนการจัดสรรน้ําของรัฐบาล ซึ่งได้เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี 57 เพิ่มแหล่งน้ําจํานวนมาก ซึ่งสามารถเพิ่มปริมาณน้ําในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะนอกเขตชลประทาน
4) แผนปฏิบัติการฝนหลวง ประจําปี 2560 จํานวน 9 หน่วยปฏิบัติการเครื่องบิน 27 ลํา ในช่วง มี.ค. - พ.ค. 60 เน้นเติมน้ําในเขื่อนที่มีปริมาณต้นทุน ในพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ ลุ่มน้ํายม ลุ่มน้ําแม่กลอง อีสานตอนล่าง และ ภาคตะวันออก ช่วยเหลือบรรเทาหมอกควัน และ ไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่เกษตรกรรมที่ประสบภัยแล้ง ในช่วง มิ.ย. - ต.ค. 60 เน้นที่การเติมน้ําต้นทุนในเขื่อนที่มีน้ําน้อย และพื้นที่การเกษตรที่ฝนทิ้งช่วง
นอกจากนี้ยังรวมถึง มาตรการลดความเสี่ยงจากภัยแล้งด้านการเกษตร (6 มาตรการ 29 โครงการ) งบประมาณรวม 17,174.42 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) มาตรการส่งเสริมความรู้เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้ง โครงการพัฒนาอาชีพการเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสานในเกษตรกรรายย่อย ขณะนี้ได้ดําเนินการอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรแล้ว 8,870 ราย ใน 12 จังหวัด 2) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ําเพื่อการเกษตร โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด งบประมาณ 383.49 ล้านบาท เป้าหมาย 200,000 ไร่ 19 จังหวัด ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้ว 12,513 ราย พื้นที่ 195,289 ไร่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการไถเตรียมดิน 171,696.27 ไร่ คิดเป็น 85.85% โครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวไปปลูกพืชหลากหลายฤดูนาปรัง ปี 2560 งบประมาณ 636.25 ล้านบาท เป้าหมาย 300,000 ไร่ ครอบคลุม 22 จังหวัดลุ่มน้ําเจ้าพระยา ขณะนี้ดําเนินการปลูกแล้ว 194,474 ไร่ เกษตรกร 40,115 ราย คิดเป็น 64.82 % 3) มาตรการเพิ่มปริมาณน้ําต้นทุน โครงการก่อสร้าง ขุดลอก/ปรับปรุงแหล่งน้ําในเขตปฏิรูปที่ดิน งบประมาณ 125.92 ล้านบาท เป้าหมาย 113 แห่ง 33 จังหวัด ดําเนินการแล้วเสร็จ 57 แห่ง 20 จังหวัด คิดเป็น 59.29 % โครงการก่อสร้างแหล่งน้ําในไร่นานอกเขตชลประทาน งบประมาณ 752.40 ล้านบาท เป้าหมาย 44,000 บ่อ ใน 60 จังหวัด ดําเนินการแล้วเสร็จ 34,867 บ่อ คิดเป็น 79.25 % อยู่ระหว่างดําเนินการก่อสร้าง 9,133 บ่อ 4) มาตรการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่เกษตรที่ประสบภัย โครงการเพิ่มขีดความสามารถให้แก่เกษตรกร กิจกรรมหน่วยบริการชาวนาแบบเคลื่อนที่ งบประมาณ 8.30 ล้านบาท จัดตั้งศูนย์ฯแล้ว 51 ศูนย์ อบรมเกษตรกรไปแล้ว 2,408 รายโครงการสํารองเมล็ดพันธุ์พืชไร่เพื่อเตรียมสนับสนุนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติภัยแล้ง งบประมาณ 2.55 ลบ. เป้าหมาย 51 ตัน ขณะนี้ดําเนินการสํารองเมล็ดพันธุ์แล้ว 40 ตัน คิดเป็น 78.43 % การจ้างแรงงานเกษตรกรในพื้นที่ชลประทาน งบประมาณ 2,400 ล้านบาท เป้าหมายจ้างงาน 8 ล้านคน/วัน ขณะนี้ดําเนินการจ้างงานไปแล้ว 41,184 คน คิดเป็น 22.88 %
ด้าน นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ําในเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลาง ทั้งประเทศว่า ปัจจุบัน (14 มี.ค. 60) มีปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ํารวมกันทั้งสิ้น 45,673 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 61 ของความจุอ่างฯรวมกันทั้งหมด และมีปริมาณน้ําใช้การได้ 21,854 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 43 ของความจุอ่างฯรวมกัน มากกว่าปี 2559 รวม 7,941 ล้านลูกบาศก์เมตร ด้านสถานการณ์น้ําในลุ่มน้ําเจ้าพระยา ปัจจุบัน (14 มี.ค. 60) ปริมาณน้ําใน 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) มีปริมาณน้ําใช้การได้ รวมกัน 6,624 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 36 ของปริมาณน้ําใช้การ กรมชลประทาน ได้วางแผนจัดสรรน้ําเพื่อสนับสนุนการใช้น้ําในช่วงฤดูแล้งของลุ่มน้ําเจ้าพระยา (1 พ.ย. 59 – 30 เม.ย 60) รวมทั้งสิ้น 5,950 ล้านลูกบาศก์เมตร ผลการจัดสรรน้ําฤดูแล้งในลุ่มน้ําเจ้าพระยา จนถึงขณะนี้มีการใช้น้ําไปแล้ว 4,694 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 79 ของแผนการจัดสรรน้ําฯ มากกว่าแผนที่วางไว้ รวม 490 ล้านลูกบาศก์เมตร
ส่วนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในลุ่มน้ําเจ้าพระยาว่า ปัจจุบันมีการทํานาปรังไปแล้ว 5.35 ล้านไร่ มากกว่าแผนที่วางไว้ 2.68 ล้านไร่ จากแผนการเพาะปลูกข้าวนาปรังลุ่มน้ําเจ้าพระยากําหนดไว้ 2.67 ล้านไร่ จะเห็นได้ว่าพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังในเขตลุ่มน้ําเจ้าพระยา เกินแผนไปแล้วกว่า 2 เท่า ทําให้มีการดึงน้ําจากภาคการใช้น้ําอื่นๆ ไปใช้ทําการเพาะปลูกมากขึ้น หากยังมีการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก จะกระทบต่อปริมาณน้ําต้นทุนที่มีอยู่อย่างจํากัด และอาจทําให้ผลผลิตเสียหายจากภาวะขาดแคลนน้ําได้ จึงขอให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยา พักการทํานารอบที่ 3 (นาปรังรอบที่ 2) โดยขอให้อดใจรอไปทํานาปีพร้อมกันในช่วงต้นฤดูฝนหน้าที่จะถึงนี้ และขอให้ทุกภาคส่วนรณรงค์ให้มีการใช้น้ําอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ปริมาณน้ําที่มีอยู่เพียงพอใช้ไปจนถึงต้นฤดูฝนหน้าด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ แจงความคืบหน้ามาตรการเตรียมรับมือภัยแล้ง พร้อมขอความร่วมมือเกษตรกรลุ่มน้ำเจ้าพระยา พักการทำนารอบที่ 3 (นาปรังรอบที่ 2)
วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560
กระทรวงเกษตรฯ แจงความคืบหน้ามาตรการเตรียมรับมือภัยแล้ง พร้อมขอความร่วมมือเกษตรกรลุ่มน้ําเจ้าพระยา พักการทํานารอบที่ 3 (นาปรังรอบที่ 2)
กระทรวงเกษตรฯ แจงมาตรการเตรียมรับมือภัยแล้ง 5 แผนงาน พร้อมขอความร่วมมือเกษตรกรลุ่มน้ําเจ้าพระยา พักการทํานารอบที่ 3 (นาปรังรอบที่ 2) หลังพบพื้นที่นาปรังเกินแผนไปแล้วกว่า 2 เท่า ย้ําปริมาณน้ําใน 4 เขื่อนหลัก มีพอใช้เฉพาะการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศ
พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดําเนินงานตามแผนเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้งด้านการเกษตร ปี 2559/60 ว่า กระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการสนับสนุนการดําเนินงาน เริ่มจากการวิเคราะห์พื้นที่ที่มีความเสี่ยง หรือมีความต้องการใช้น้ํามากกว่าน้ําต้นทุนที่มีอยู่ จากการวิเคราะห์ (ณ 17 ก.พ. 60) พบว่า มีพื้นที่จํานวน 105 อําเภอ ครอบคลุม34 จังหวัด อยู่นอกเขตชลประทานที่น้ําต้นทุนอาจจะไม่เพียงพอ แม้ว่าจะลดลงจากปี 2559 ที่มี 391 อําเภอ 46 จังหวัด แต่กระทรวงเกษตรฯ ก็ได้จัดทําแผนเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้งด้านการเกษตร ปี 2559/60 ประกอบด้วย 6 มาตรการ 29 โครงการ และเตรียมให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรในพื้นที่อาจได้รับผลกระทบ
นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงเกษตรฯ ได้วางแนวทางการดําเนินงาน 5 แผนงาน ประกอบด้วย 1) การจัดสรรน้ําฤดูแล้ง ปี 2559/60 2) การเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2559/60 3) แผนการจัดสรรน้ําของรัฐบาล 4) แผนปฏิบัติการฝนหลวง และ 5) การลดความเสี่ยงจากภัยแล้ง รายละเอียดดังนี้
1)แผน-ผลการจัดสรรน้ําฤดูแล้ง ปี 2559/60 กรมชลประทานวางแผนจัดสรรน้ําเพื่อสนับสนุนการใช้น้ําในช่วงฤดูแล้งทั้งประเทศ จํานวนทั้งสิ้น 17,661 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็นเพื่อการอุปโภค-บริโภค 2,339 ล้าน ลบ.ม. เพื่อการรักษาระบบนิเวศและอื่นๆ 5,743 ล้าน ลบ.ม. และเพื่อการเกษตร 9,579 ล้าน ลบ.ม. ผลการจัดสรรน้ําทั้งประเทศ ปัจจุบันมีการใช้น้ําไปแล้ว 12,588 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็นร้อยละ 71 ของแผน ลุ่มน้ําเจ้าพระยา วางแผนใช้น้ําจาก 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) รวมทั้งสิ้น 5,950 ล้าน ลบ.ม. แบ่งเป็น เพื่อการอุปโภค-บริโภค 1,100 ล้าน ลบ.ม. เพื่อการรักษาระบบนิเวศและอื่นๆ 1,450 ล้าน ลบ.ม. และเพื่อการเกษตร 3,400 ล้าน ลบ.ม. โดยสํารองน้ําไว้ใช้ต้นฤดูฝน 3,754 ล้าน ลบ.ม. ปัจจุบันมีการใช้น้ําไปแล้ว 4,588 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 77 ของแผนฯ มากกว่าแผนที่วางไว้ในช่วงเวลาเดียวกัน 435 ล้าน ลบ.ม.
2)การเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2559/60 แผนทั้งประเทศ 12.76 ล้านไร่ ปลูกจริง 13.16 ล้านไร่ (+3%) ผลการเพาะปลูกข้าวนาปรังทั้งประเทศ (ข้อมูล 1 มี.ค. 60) รวมทั้งสิ้น 9.90 ล้านไร่ มากกว่าแผน 2.97 ล้านไร่ แบ่งเป็น ในเขตชลประทานมีการทํานาปรังไปแล้ว 7.33 ล้านไร่ มากกว่าแผนที่วางไว้ 3.33 ล้านไร่ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในลุ่มน้ําเจ้าพระยา (แผนที่วางไว้ 4 ล้านไร่) และนอกเขตชลประทานมีการเพาะปลูกข้าวนาปรังไปแล้ว 2.57 ล้านไร่น้อยกว่าแผน 0.36 ล้านไร่
3)แผนการจัดสรรน้ําของรัฐบาล ซึ่งได้เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี 57 เพิ่มแหล่งน้ําจํานวนมาก ซึ่งสามารถเพิ่มปริมาณน้ําในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะนอกเขตชลประทาน
4) แผนปฏิบัติการฝนหลวง ประจําปี 2560 จํานวน 9 หน่วยปฏิบัติการเครื่องบิน 27 ลํา ในช่วง มี.ค. - พ.ค. 60 เน้นเติมน้ําในเขื่อนที่มีปริมาณต้นทุน ในพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ ลุ่มน้ํายม ลุ่มน้ําแม่กลอง อีสานตอนล่าง และ ภาคตะวันออก ช่วยเหลือบรรเทาหมอกควัน และ ไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่เกษตรกรรมที่ประสบภัยแล้ง ในช่วง มิ.ย. - ต.ค. 60 เน้นที่การเติมน้ําต้นทุนในเขื่อนที่มีน้ําน้อย และพื้นที่การเกษตรที่ฝนทิ้งช่วง
นอกจากนี้ยังรวมถึง มาตรการลดความเสี่ยงจากภัยแล้งด้านการเกษตร (6 มาตรการ 29 โครงการ) งบประมาณรวม 17,174.42 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) มาตรการส่งเสริมความรู้เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยแล้ง โครงการพัฒนาอาชีพการเลี้ยงสัตว์แบบผสมผสานในเกษตรกรรายย่อย ขณะนี้ได้ดําเนินการอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรแล้ว 8,870 ราย ใน 12 จังหวัด 2) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ําเพื่อการเกษตร โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด งบประมาณ 383.49 ล้านบาท เป้าหมาย 200,000 ไร่ 19 จังหวัด ปัจจุบันมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการแล้ว 12,513 ราย พื้นที่ 195,289 ไร่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการไถเตรียมดิน 171,696.27 ไร่ คิดเป็น 85.85% โครงการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวไปปลูกพืชหลากหลายฤดูนาปรัง ปี 2560 งบประมาณ 636.25 ล้านบาท เป้าหมาย 300,000 ไร่ ครอบคลุม 22 จังหวัดลุ่มน้ําเจ้าพระยา ขณะนี้ดําเนินการปลูกแล้ว 194,474 ไร่ เกษตรกร 40,115 ราย คิดเป็น 64.82 % 3) มาตรการเพิ่มปริมาณน้ําต้นทุน โครงการก่อสร้าง ขุดลอก/ปรับปรุงแหล่งน้ําในเขตปฏิรูปที่ดิน งบประมาณ 125.92 ล้านบาท เป้าหมาย 113 แห่ง 33 จังหวัด ดําเนินการแล้วเสร็จ 57 แห่ง 20 จังหวัด คิดเป็น 59.29 % โครงการก่อสร้างแหล่งน้ําในไร่นานอกเขตชลประทาน งบประมาณ 752.40 ล้านบาท เป้าหมาย 44,000 บ่อ ใน 60 จังหวัด ดําเนินการแล้วเสร็จ 34,867 บ่อ คิดเป็น 79.25 % อยู่ระหว่างดําเนินการก่อสร้าง 9,133 บ่อ 4) มาตรการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่เกษตรที่ประสบภัย โครงการเพิ่มขีดความสามารถให้แก่เกษตรกร กิจกรรมหน่วยบริการชาวนาแบบเคลื่อนที่ งบประมาณ 8.30 ล้านบาท จัดตั้งศูนย์ฯแล้ว 51 ศูนย์ อบรมเกษตรกรไปแล้ว 2,408 รายโครงการสํารองเมล็ดพันธุ์พืชไร่เพื่อเตรียมสนับสนุนเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติภัยแล้ง งบประมาณ 2.55 ลบ. เป้าหมาย 51 ตัน ขณะนี้ดําเนินการสํารองเมล็ดพันธุ์แล้ว 40 ตัน คิดเป็น 78.43 % การจ้างแรงงานเกษตรกรในพื้นที่ชลประทาน งบประมาณ 2,400 ล้านบาท เป้าหมายจ้างงาน 8 ล้านคน/วัน ขณะนี้ดําเนินการจ้างงานไปแล้ว 41,184 คน คิดเป็น 22.88 %
ด้าน นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ําในเขื่อนขนาดใหญ่และขนาดกลาง ทั้งประเทศว่า ปัจจุบัน (14 มี.ค. 60) มีปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ํารวมกันทั้งสิ้น 45,673 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 61 ของความจุอ่างฯรวมกันทั้งหมด และมีปริมาณน้ําใช้การได้ 21,854 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 43 ของความจุอ่างฯรวมกัน มากกว่าปี 2559 รวม 7,941 ล้านลูกบาศก์เมตร ด้านสถานการณ์น้ําในลุ่มน้ําเจ้าพระยา ปัจจุบัน (14 มี.ค. 60) ปริมาณน้ําใน 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) มีปริมาณน้ําใช้การได้ รวมกัน 6,624 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 36 ของปริมาณน้ําใช้การ กรมชลประทาน ได้วางแผนจัดสรรน้ําเพื่อสนับสนุนการใช้น้ําในช่วงฤดูแล้งของลุ่มน้ําเจ้าพระยา (1 พ.ย. 59 – 30 เม.ย 60) รวมทั้งสิ้น 5,950 ล้านลูกบาศก์เมตร ผลการจัดสรรน้ําฤดูแล้งในลุ่มน้ําเจ้าพระยา จนถึงขณะนี้มีการใช้น้ําไปแล้ว 4,694 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 79 ของแผนการจัดสรรน้ําฯ มากกว่าแผนที่วางไว้ รวม 490 ล้านลูกบาศก์เมตร
ส่วนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในลุ่มน้ําเจ้าพระยาว่า ปัจจุบันมีการทํานาปรังไปแล้ว 5.35 ล้านไร่ มากกว่าแผนที่วางไว้ 2.68 ล้านไร่ จากแผนการเพาะปลูกข้าวนาปรังลุ่มน้ําเจ้าพระยากําหนดไว้ 2.67 ล้านไร่ จะเห็นได้ว่าพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังในเขตลุ่มน้ําเจ้าพระยา เกินแผนไปแล้วกว่า 2 เท่า ทําให้มีการดึงน้ําจากภาคการใช้น้ําอื่นๆ ไปใช้ทําการเพาะปลูกมากขึ้น หากยังมีการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก จะกระทบต่อปริมาณน้ําต้นทุนที่มีอยู่อย่างจํากัด และอาจทําให้ผลผลิตเสียหายจากภาวะขาดแคลนน้ําได้ จึงขอให้เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ําเจ้าพระยา พักการทํานารอบที่ 3 (นาปรังรอบที่ 2) โดยขอให้อดใจรอไปทํานาปีพร้อมกันในช่วงต้นฤดูฝนหน้าที่จะถึงนี้ และขอให้ทุกภาคส่วนรณรงค์ให้มีการใช้น้ําอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ปริมาณน้ําที่มีอยู่เพียงพอใช้ไปจนถึงต้นฤดูฝนหน้าด้วย
กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ
สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871
moacnews@gmail.com
www.moac.go.th
www.facebook.com/kasetthai
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2414
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงดำเนินการสำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 225 สายนครสวรรค์ - ชัยภูมิ
|
วันพุธที่ 13 กันยายน 2560
กรมทางหลวงดําเนินการสํารวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 225 สายนครสวรรค์ - ชัยภูมิ
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินการสํารวจและออกแบบทางหลวงหมายเลข 225 ช่วงนครสวรรค์ - อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ เพื่อเพิ่มศักยภาพสายทาง และรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งอํานวยความสะดวก และปลอดภัยต่อผู้ใช้ทาง
ทล. โดยสํานักสํารวจและออกแบบ ได้ดําเนินการจ้างที่ปรึกษาโครงการสํารวจและออกแบบทางหลวงหมายเลข 225 สายนครสวรรค์ - ชัยภูมิ ช่วงนครสวรรค์ - อ.ชุมแสง ระยะทาง 21 กิโลเมตร ให้เป็นขนาด 4 ช่องจราจร เนื่องจากทางหลวงหมายเลข 225 สายนครสวรรค์ - ชัยภูมิ เป็นถนนขนาด 2 ช่องจราจร กว้าง 7 เมตร และเป็นเส้นทางสําคัญที่เชื่อมโยงพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันมีปริมาณการจราจรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้ผู้ใช้ทางไม่ได้รับความสะดวกและปลอดภัย สําหรับแนวเส้นทางโครงการมีอาคารบ้านเรือนกระจายตัวอยู่สองข้างทาง ผ่านพื้นที่อ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่สําคัญ คือ บึงบอระเพ็ด และมีจุดตัดกับทางรถไฟสายเหนือ ช่วงสถานีรถไฟปากน้ําโพ - ทับกฤช จํานวน 2 จุด โดยได้พิจารณาการออกแบบเส้นทางให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศและแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวง ตลอดจนแผนการพัฒนาโครงการอื่น ๆ ที่มีในพื้นที่ นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนการพัฒนาทางหลวงระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2550 - 2559) ที่กําหนดให้มีงานก่อสร้างเพิ่มมาตรฐานทางหลวงเป็น 4 ช่องจราจร หรือมากกว่า เพื่อรองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นในอนาคต สอดคล้องกับแผนพัฒนาระบบคมนาคมและขนส่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 เพื่อให้ผู้ใช้เส้นทางได้รับความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทาง โดยเฉพาะการเดินทางของประชาชนในท้องถิ่น
ทั้งนี้ โครงการสํารวจและออกแบบดังกล่าวกําหนดแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2560 จากนั้น ทล. จะนําเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อก่อสร้างต่อไป สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักสํารวจและออกแบบ กรมทางหลวง www.nakhonsawan-chumsaeng225.com โทร. 0 2354 1038 หรือสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงดำเนินการสำรวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 225 สายนครสวรรค์ - ชัยภูมิ
วันพุธที่ 13 กันยายน 2560
กรมทางหลวงดําเนินการสํารวจและออกแบบทางหลวง 4 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 225 สายนครสวรรค์ - ชัยภูมิ
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม ดําเนินการสํารวจและออกแบบทางหลวงหมายเลข 225 ช่วงนครสวรรค์ - อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ เพื่อเพิ่มศักยภาพสายทาง และรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งอํานวยความสะดวก และปลอดภัยต่อผู้ใช้ทาง
ทล. โดยสํานักสํารวจและออกแบบ ได้ดําเนินการจ้างที่ปรึกษาโครงการสํารวจและออกแบบทางหลวงหมายเลข 225 สายนครสวรรค์ - ชัยภูมิ ช่วงนครสวรรค์ - อ.ชุมแสง ระยะทาง 21 กิโลเมตร ให้เป็นขนาด 4 ช่องจราจร เนื่องจากทางหลวงหมายเลข 225 สายนครสวรรค์ - ชัยภูมิ เป็นถนนขนาด 2 ช่องจราจร กว้าง 7 เมตร และเป็นเส้นทางสําคัญที่เชื่อมโยงพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันมีปริมาณการจราจรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้ผู้ใช้ทางไม่ได้รับความสะดวกและปลอดภัย สําหรับแนวเส้นทางโครงการมีอาคารบ้านเรือนกระจายตัวอยู่สองข้างทาง ผ่านพื้นที่อ่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่สําคัญ คือ บึงบอระเพ็ด และมีจุดตัดกับทางรถไฟสายเหนือ ช่วงสถานีรถไฟปากน้ําโพ - ทับกฤช จํานวน 2 จุด โดยได้พิจารณาการออกแบบเส้นทางให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศและแผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวง ตลอดจนแผนการพัฒนาโครงการอื่น ๆ ที่มีในพื้นที่ นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนการพัฒนาทางหลวงระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2550 - 2559) ที่กําหนดให้มีงานก่อสร้างเพิ่มมาตรฐานทางหลวงเป็น 4 ช่องจราจร หรือมากกว่า เพื่อรองรับปริมาณจราจรที่เพิ่มขึ้นในอนาคต สอดคล้องกับแผนพัฒนาระบบคมนาคมและขนส่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2564 เพื่อให้ผู้ใช้เส้นทางได้รับความสะดวก ปลอดภัยในการเดินทาง โดยเฉพาะการเดินทางของประชาชนในท้องถิ่น
ทั้งนี้ โครงการสํารวจและออกแบบดังกล่าวกําหนดแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2560 จากนั้น ทล. จะนําเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อก่อสร้างต่อไป สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สํานักสํารวจและออกแบบ กรมทางหลวง www.nakhonsawan-chumsaeng225.com โทร. 0 2354 1038 หรือสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง)
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6604
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี เยี่ยม รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ต้นแบบบริการการแพทย์ผสมผสาน 4 ด้าน
|
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
องคมนตรี เยี่ยม รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ต้นแบบบริการการแพทย์ผสมผสาน 4 ด้าน
พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุก องคมนตรี ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ ต้นแบบด้านการบริการด้วยการแพทย์ผสมผสานที่มีคุณภาพ 4 ด้าน ได้แก่ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน
แพทย์พื้นบ้าน และแพทย์วิถีธรรม เด่นเรื่องสมุนไพรรักษาพิษงู และรักษาโรคตาด้วยหนามหวาย
เช้าวันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2561) ที่โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสุรินทร์พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข องคมนตรี รองประธานมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล และคณะ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โดยมี นายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และคณะให้การต้อนรับ พร้อมนําเยี่ยมชมการดําเนินงานโรงพยาบาลแห่งนี้เป็น 1ใน 10 โรงพยาบาลอยู่ในความอนุเคราะห์ของมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล โรงพยาบาลชุมชนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาทุกแห่ง มีอัตลักษณ์ร่วมกันคือ “โรงพยาบาลที่เป็นมากกว่าโรงพยาบาล (More than a Hospital)” โดยการเป็นโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีความเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นที่และชุมชน บริการดี มีมาตรฐาน อบอุ่นเป็นกันเอง ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ที่ผ่านมาได้รับรางวัล เช่น เป็นต้นแบบสถานที่ทํางานน่าอยู่น่าทํางาน (Healthy work place) ระดับทองติดต่อกัน 5 ปี ได้รับเลือกเป็นสถานบริการสาธารณสุขต้นแบบลดโลกร้อน ในปี 2558 และผ่านการประเมินมาตรฐาน GREEN and CLEAN Hospital ระดับดีมากในปี 2560 มีผลงานเด่นคือ “พนมดงรักโมเดล” ซึ่งเป็นต้นแบบการบริหารจัดการขยะติดเชื้อของจังหวัดสุรินทร์
โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ เป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง ดูแลประชาชนในเขตพื้นที่ 36,480 คน บริการผู้ป่วยนอก เฉลี่ย 230 คนต่อวัน ผู้ป่วยในเฉลี่ย 34 คนต่อวัน กําหนดวิสัยทัศน์ เป็นโรงพยาบาลคุณภาพที่ให้บริการด้วยการแพทย์ผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้นแบบด้านการบริการด้วยการแพทย์ผสมผสานที่มีคุณภาพ ได้แก่ 1.แพทย์แผนไทย โดยคลินิกเวชกรรมไทย บริการ นวด อบ ประคบ ตรวจรักษา จ่ายยาสมุนไพรเฉพาะราย ผลิตและจําหน่ายยาสมุนไพร 2.แพทย์แผนจีน ให้บริการฝังเข็ม รมยา ครอบแก้ว 3.แพทย์พื้นบ้าน มีการผสมผสานความรู้ของหมอพื้นบ้านเข้ากับการให้บริการทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่โดดเด่นมีสมุนไพรรักษาพิษงู และการรักษาโรคตาด้วยหนามหวาย 4.แพทย์วิถีธรรม เปิดคลินิกให้บริการและอบรมการใช้หลักยา 9 เม็ด ทุกวันศุกร์
นอกจากนี้ ได้ทําวิจัยการใช้สมุนไพรโลดทะนงแดงรักษาผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด ร่วมกับสํานักการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และนําเสนองานวิจัย ในการประชุม The WONCA World Conference 2013 ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเชค
********************************* 7 กุมภาพันธ์ 2561
|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี เยี่ยม รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ต้นแบบบริการการแพทย์ผสมผสาน 4 ด้าน
วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561
องคมนตรี เยี่ยม รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ต้นแบบบริการการแพทย์ผสมผสาน 4 ด้าน
พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุก องคมนตรี ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ ต้นแบบด้านการบริการด้วยการแพทย์ผสมผสานที่มีคุณภาพ 4 ด้าน ได้แก่ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน
แพทย์พื้นบ้าน และแพทย์วิถีธรรม เด่นเรื่องสมุนไพรรักษาพิษงู และรักษาโรคตาด้วยหนามหวาย
เช้าวันนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2561) ที่โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดสุรินทร์พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข องคมนตรี รองประธานมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล และคณะ ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โดยมี นายแพทย์กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และคณะให้การต้อนรับ พร้อมนําเยี่ยมชมการดําเนินงานโรงพยาบาลแห่งนี้เป็น 1ใน 10 โรงพยาบาลอยู่ในความอนุเคราะห์ของมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล โรงพยาบาลชุมชนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาทุกแห่ง มีอัตลักษณ์ร่วมกันคือ “โรงพยาบาลที่เป็นมากกว่าโรงพยาบาล (More than a Hospital)” โดยการเป็นโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีความเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นที่และชุมชน บริการดี มีมาตรฐาน อบอุ่นเป็นกันเอง ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ที่ผ่านมาได้รับรางวัล เช่น เป็นต้นแบบสถานที่ทํางานน่าอยู่น่าทํางาน (Healthy work place) ระดับทองติดต่อกัน 5 ปี ได้รับเลือกเป็นสถานบริการสาธารณสุขต้นแบบลดโลกร้อน ในปี 2558 และผ่านการประเมินมาตรฐาน GREEN and CLEAN Hospital ระดับดีมากในปี 2560 มีผลงานเด่นคือ “พนมดงรักโมเดล” ซึ่งเป็นต้นแบบการบริหารจัดการขยะติดเชื้อของจังหวัดสุรินทร์
โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จ.สุรินทร์ เป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง ดูแลประชาชนในเขตพื้นที่ 36,480 คน บริการผู้ป่วยนอก เฉลี่ย 230 คนต่อวัน ผู้ป่วยในเฉลี่ย 34 คนต่อวัน กําหนดวิสัยทัศน์ เป็นโรงพยาบาลคุณภาพที่ให้บริการด้วยการแพทย์ผสมผสานตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้นแบบด้านการบริการด้วยการแพทย์ผสมผสานที่มีคุณภาพ ได้แก่ 1.แพทย์แผนไทย โดยคลินิกเวชกรรมไทย บริการ นวด อบ ประคบ ตรวจรักษา จ่ายยาสมุนไพรเฉพาะราย ผลิตและจําหน่ายยาสมุนไพร 2.แพทย์แผนจีน ให้บริการฝังเข็ม รมยา ครอบแก้ว 3.แพทย์พื้นบ้าน มีการผสมผสานความรู้ของหมอพื้นบ้านเข้ากับการให้บริการทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่โดดเด่นมีสมุนไพรรักษาพิษงู และการรักษาโรคตาด้วยหนามหวาย 4.แพทย์วิถีธรรม เปิดคลินิกให้บริการและอบรมการใช้หลักยา 9 เม็ด ทุกวันศุกร์
นอกจากนี้ ได้ทําวิจัยการใช้สมุนไพรโลดทะนงแดงรักษาผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด ร่วมกับสํานักการแพทย์พื้นบ้านไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และนําเสนองานวิจัย ในการประชุม The WONCA World Conference 2013 ณ กรุงปราก สาธารณรัฐเชค
********************************* 7 กุมภาพันธ์ 2561
|
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9912
|
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.