title
stringlengths
0
33.4k
context
stringlengths
0
133k
raw
stringlengths
39
133k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชมนาย อีลอน มัสก์ ที่เดินทางมาให้ความช่วยเหลือสำหรับการปฏิบัติการช่วยเหลือนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่าอะคาเดมี
วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีชื่นชมนาย อีลอน มัสก์ ที่เดินทางมาให้ความช่วยเหลือสําหรับการปฏิบัติการช่วยเหลือนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่าอะคาเดมี ในวนอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน จังหวัดเชียงรายครั้งนี้ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยวานนี้ว่า (10 ก.ค. 2561) นายกรัฐมนตรีขอบคุณสําหรับข้อเสนอแนะของนายมัสก์ในการให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดที่จะนําเทคโนโลยีสํารวจอวกาศมาปรับใช้อย่างสร้างสรรค์ นายกรัฐมนตรียังรู้สึกชื่นชมอย่างยิ่งที่ทราบว่า นายมัสก์ได้เดินทางมายังจังหวัดเชียงรายด้วยตนเอง เพื่อให้คําแนะนํา รวมทั้งมอบอุปกรณ์สําหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้ รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีรู้สึกซาบซึ้งถึงความปรารถนาดีและความมุ่งมั่นของนายมัสก์ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือสําหรับการปฏิบัติการที่ถือว่ามีความยุ่งยากและซับซ้อนมากที่สุดในครั้งนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชมนาย อีลอน มัสก์ ที่เดินทางมาให้ความช่วยเหลือสำหรับการปฏิบัติการช่วยเหลือนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่าอะคาเดมี วันพุธที่ 11 กรกฎาคม 2561 นายกรัฐมนตรีชื่นชมนาย อีลอน มัสก์ ที่เดินทางมาให้ความช่วยเหลือสําหรับการปฏิบัติการช่วยเหลือนักฟุตบอลและผู้ฝึกสอนทีมหมูป่าอะคาเดมี ในวนอุทยานแห่งชาติถ้ําหลวง-ขุนน้ํานางนอน จังหวัดเชียงรายครั้งนี้ พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยวานนี้ว่า (10 ก.ค. 2561) นายกรัฐมนตรีขอบคุณสําหรับข้อเสนอแนะของนายมัสก์ในการให้ความช่วยเหลือครั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดที่จะนําเทคโนโลยีสํารวจอวกาศมาปรับใช้อย่างสร้างสรรค์ นายกรัฐมนตรียังรู้สึกชื่นชมอย่างยิ่งที่ทราบว่า นายมัสก์ได้เดินทางมายังจังหวัดเชียงรายด้วยตนเอง เพื่อให้คําแนะนํา รวมทั้งมอบอุปกรณ์สําหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้ รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีรู้สึกซาบซึ้งถึงความปรารถนาดีและความมุ่งมั่นของนายมัสก์ที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือสําหรับการปฏิบัติการที่ถือว่ามีความยุ่งยากและซับซ้อนมากที่สุดในครั้งนี้
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13753
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ร่วมกับ C.P.Group จัดอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพการทำงานเป็นทีม "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม” (The Synergy Teamwork) กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและทีมงาน ครั้งที่ 3
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560 ศธ.ร่วมกับ C.P.Group จัดอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพการทํางานเป็นทีม "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม” (The Synergy Teamwork) กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและทีมงาน ครั้งที่ 3 กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (C.P.Group) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและทีมงาน ครั้งที่ 3 ตามโครงการเสริมสร้างศักยภาพการทํางานเป็นทีม “รวมพลังสร้างสรรค์ทีม” ภายใต้คอนเซ็ปท์ "MOE One Team" เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการทํางานเป็นทีมให้เกิดพลังขององค์กร (Synergy) รวมทั้งเพื่อพัฒนาทักษะการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิผล (Effective Team Building Skill) ตลอดจนทักษะภาวะผู้นําที่จําเป็นสําหรับผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 (Essential Leadership Skills in the 21st Century) โดยมีผู้อํานวยการโรงเรียน รองผู้อํานวยการโรงเรียน/ครูวิชาการ และครู ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าอบรมในรุ่นนี้ 20 Cluster แยกเป็นส่วนกลาง/18 เขตตรวจราชการ/การศึกษาพิเศษ จํานวน 60 คน พร้อมทั้งคณะทํางาน (Observer)จํานวน 37 คน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-23 เมษายน 2560 ณ สถาบันพัฒนาผู้นําเครือเจริญโภคภัณฑ์ (C.P.Leadership Institute หรือ CPLI) อําเภอปากช่อง เมื่อวันศุกร์ที่21 เมษายน 2560 เวลา9.00น.นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นประธานพิธีเปิดในครั้งนี้กล่าวตอนหนึ่งว่า ทุกท่านที่เข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและทีมงาน ครั้งที่ 3ถือว่าเป็นผู้โชคดี เพราะ 60 ชีวิตทั้ง 20 โรงเรียนที่เข้ารับการอบรมในครั้งนี้ คือ"ผู้นําแห่งการเปลี่ยนแปลง"ซึ่งหลักสูตรอบรมจะเน้นการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้เป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงให้ได้มากที่สุด ให้ดีที่สุด โดยการเป็นผู้นําของการเปลี่ยนแปลงจะต้องเริ่มจากการยกระดับพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้เพราะเด็กนักเรียนของเรามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยไม่ถึง 50% รวมทั้งคะแนนผลสอบ O-NET วิชาภาษาไทย แม้จะได้เพิ่มขึ้นเป็น 53% แต่วิชาคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์กลับลดลงไปอีก 3% รวมถึงผลการทดสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) ของเราอยู่ในลําดับที่ 47 ของโลก ดังนั้น เราจึงต้องร่วมมือกันภายในองค์กรและสถานศึกษา ไม่ว่าจะเป็นผู้อํานวยการเขตพื้นที่การศึกษาผู้อํานวยการโรงเรียน และครู ต้องปรับระบบการเรียน เปลี่ยนการสอน ให้เกิดการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง โดยเริ่มต้นพัฒนาการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมทั้งเร่งรัดพัฒนาครูและลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา ทั้งนี้ ขอฝากให้ช่วยกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วโดยหน้าที่หลักของเราในขณะนี้คือ "การสร้างความมั่นคงของชาติในเรื่องของการปรองดอง ความสามัคคี" ที่จะต้องจัดการเรียนการสอนอย่างไรให้เด็กรู้ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเราจะต้องสร้างรากฐานความมั่นคงของประเทศชาติที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแกนกลางให้ได้ รวมถึงการดํารงไว้ซึ่งความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายการเร่งรัดการปฏิรูปครูที่จะมีการพัฒนาครูผู้สอนกว่า 400,000 คน โดยให้มีการสนับสนุนคูปองเพื่อการพัฒนาศักยภาพครูท่านละ 10,000 บาท ให้เลือกอบรมตามหลักสูตรที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กมากที่สุด โดยจะมีหลักสูตรให้เลือกมากกว่า 1,000 หลักสูตรในเวลานี้ เพื่อนําไปจัดการเรียนการสอนและนําไปพัฒนาเด็กให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด จึงขอฝากครูให้เลือกหลักสูตรใหม่ที่จะนํามาพัฒนาให้เหมาะสมสําหรับเด็กนักเรียนให้มากที่สุด สําหรับเรื่องของการประกันคุณภาพนั้นเราจะใช้โรงเรียนเป็นฐานในการดําเนินการประกันคุณภาพ ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะมีหน้าที่ในการกําหนดมาตรฐานกลางเอง แต่จะกําหนดตามที่โรงเรียนแจ้งมาว่าจะกําหนดการประกันคุณภาพอย่างไรบ้าง โดยท่านจะต้องแจ้งว่าแต่ละโรงเรียนต้องการประกันคุณภาพอยู่ในระดับใด พร้อมทั้งมีหลักฐานเอกสารหลายด้านที่จะประกอบการกําหนดการประกันคุณภาพ เช่น คะแนน O-NET สุขภาพเด็กนักเรียน อาหารการกิน ระเบียบวินัยของเด็กนักเรียน เป็นต้น เรื่องสําคัญอีกเรื่องคือ "ร่วมการสร้างอุดมการณ์ ร่วมมือกันทลายไซโล"เพราะหากเรายังคงมีการแบ่งเป็นฝักฝ่ายภายในโรงเรียนหรือองค์กรมีความแตกแยกภายในอยู่ ก็จะไม่สามารถทลายไซโลได้ เราจึงต้องเป็นพวกเดียวกัน ต้องทํางานร่วมกันเป็นทีม ร่วมมือกัน เพราะประเทศไทยติดกับดักความแตกแยกมานาน เราจึงต้องช่วยกันแก้ปัญหานี้ให้ได้ โดยขอให้เราพยายามนึกถึงว่าเป้าหมายของเราเป็นเป้าหมายเดียวกันนั่นคือเด็กนักเรียน ซึ่งเด็กนักเรียนรอการเติมเต็มจากพวกเราอยู่ เราจึงต้องร่วมมือกันเพื่อที่จะให้เด็กนักเรียนก้าวไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมั่นคง อีกเรื่องที่สําคัญซึ่งนายการุณ ได้ฝากให้ผู้เข้าอบรมดําเนินการ คือ "การพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ หรือProfessional Learning Community (PLC)"โดยขอให้ผู้เข้าอบรมทั้ง 20 โรงเรียนนําไปต่อยอดให้เพื่อนครูภายในโรงเรียนและโรงเรียนอื่น ๆ ในเขตพื้นที่การศึกษา ให้ไปแชร์ความคิดเห็น แชร์ปัญหากันในโรงเรียน และแชร์แนวทางการช่วยเหลือกันระหว่างโรงเรียนภายในเขตพื้นที่การศึกษา หากทุกโรงเรียนสามารถสร้างสังคมทางการเรียนรู้ได้เช่นนี้ การศึกษาของไทยจะก้าวพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว อนึ่ง ภายหลังพิธีเปิด ผู้เข้ารับการอบรมได้จัดพิธีรดน้ําขอพรเนื่องในประเพณีสงกรานต์จากนายการุณ สกุลประดิษฐ์ และผู้บริหารสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และคณะวิทยากรฝึกอบรมณ ห้องโถงกลางCPLIเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ ผู้ที่เคารพนับถือ ผู้มีพระคุณ พร้อมกับขอขมาและขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและเป็นขวัญกําลังใจในการปฏิบัติงานต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศธ.ร่วมกับ C.P.Group จัดอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพการทำงานเป็นทีม "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม” (The Synergy Teamwork) กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและทีมงาน ครั้งที่ 3 วันจันทร์ที่ 24 เมษายน 2560 ศธ.ร่วมกับ C.P.Group จัดอบรมโครงการเสริมสร้างศักยภาพการทํางานเป็นทีม "รวมพลังสร้างสรรค์ทีม” (The Synergy Teamwork) กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและทีมงาน ครั้งที่ 3 กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ร่วมกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (C.P.Group) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและทีมงาน ครั้งที่ 3 ตามโครงการเสริมสร้างศักยภาพการทํางานเป็นทีม “รวมพลังสร้างสรรค์ทีม” ภายใต้คอนเซ็ปท์ "MOE One Team" เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการทํางานเป็นทีมให้เกิดพลังขององค์กร (Synergy) รวมทั้งเพื่อพัฒนาทักษะการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิผล (Effective Team Building Skill) ตลอดจนทักษะภาวะผู้นําที่จําเป็นสําหรับผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 (Essential Leadership Skills in the 21st Century) โดยมีผู้อํานวยการโรงเรียน รองผู้อํานวยการโรงเรียน/ครูวิชาการ และครู ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าอบรมในรุ่นนี้ 20 Cluster แยกเป็นส่วนกลาง/18 เขตตรวจราชการ/การศึกษาพิเศษ จํานวน 60 คน พร้อมทั้งคณะทํางาน (Observer)จํานวน 37 คน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-23 เมษายน 2560 ณ สถาบันพัฒนาผู้นําเครือเจริญโภคภัณฑ์ (C.P.Leadership Institute หรือ CPLI) อําเภอปากช่อง เมื่อวันศุกร์ที่21 เมษายน 2560 เวลา9.00น.นายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นประธานพิธีเปิดในครั้งนี้กล่าวตอนหนึ่งว่า ทุกท่านที่เข้ารับการอบรมเชิงปฏิบัติการกลุ่มผู้บริหารสถานศึกษาและทีมงาน ครั้งที่ 3ถือว่าเป็นผู้โชคดี เพราะ 60 ชีวิตทั้ง 20 โรงเรียนที่เข้ารับการอบรมในครั้งนี้ คือ"ผู้นําแห่งการเปลี่ยนแปลง"ซึ่งหลักสูตรอบรมจะเน้นการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้เป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงให้ได้มากที่สุด ให้ดีที่สุด โดยการเป็นผู้นําของการเปลี่ยนแปลงจะต้องเริ่มจากการยกระดับพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ในขณะนี้เพราะเด็กนักเรียนของเรามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยไม่ถึง 50% รวมทั้งคะแนนผลสอบ O-NET วิชาภาษาไทย แม้จะได้เพิ่มขึ้นเป็น 53% แต่วิชาคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์กลับลดลงไปอีก 3% รวมถึงผลการทดสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) ของเราอยู่ในลําดับที่ 47 ของโลก ดังนั้น เราจึงต้องร่วมมือกันภายในองค์กรและสถานศึกษา ไม่ว่าจะเป็นผู้อํานวยการเขตพื้นที่การศึกษาผู้อํานวยการโรงเรียน และครู ต้องปรับระบบการเรียน เปลี่ยนการสอน ให้เกิดการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง โดยเริ่มต้นพัฒนาการศึกษาตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย รวมทั้งเร่งรัดพัฒนาครูและลดความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา ทั้งนี้ ขอฝากให้ช่วยกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วโดยหน้าที่หลักของเราในขณะนี้คือ "การสร้างความมั่นคงของชาติในเรื่องของการปรองดอง ความสามัคคี" ที่จะต้องจัดการเรียนการสอนอย่างไรให้เด็กรู้ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเราจะต้องสร้างรากฐานความมั่นคงของประเทศชาติที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแกนกลางให้ได้ รวมถึงการดํารงไว้ซึ่งความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายการเร่งรัดการปฏิรูปครูที่จะมีการพัฒนาครูผู้สอนกว่า 400,000 คน โดยให้มีการสนับสนุนคูปองเพื่อการพัฒนาศักยภาพครูท่านละ 10,000 บาท ให้เลือกอบรมตามหลักสูตรที่เป็นประโยชน์ต่อเด็กมากที่สุด โดยจะมีหลักสูตรให้เลือกมากกว่า 1,000 หลักสูตรในเวลานี้ เพื่อนําไปจัดการเรียนการสอนและนําไปพัฒนาเด็กให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด จึงขอฝากครูให้เลือกหลักสูตรใหม่ที่จะนํามาพัฒนาให้เหมาะสมสําหรับเด็กนักเรียนให้มากที่สุด สําหรับเรื่องของการประกันคุณภาพนั้นเราจะใช้โรงเรียนเป็นฐานในการดําเนินการประกันคุณภาพ ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะมีหน้าที่ในการกําหนดมาตรฐานกลางเอง แต่จะกําหนดตามที่โรงเรียนแจ้งมาว่าจะกําหนดการประกันคุณภาพอย่างไรบ้าง โดยท่านจะต้องแจ้งว่าแต่ละโรงเรียนต้องการประกันคุณภาพอยู่ในระดับใด พร้อมทั้งมีหลักฐานเอกสารหลายด้านที่จะประกอบการกําหนดการประกันคุณภาพ เช่น คะแนน O-NET สุขภาพเด็กนักเรียน อาหารการกิน ระเบียบวินัยของเด็กนักเรียน เป็นต้น เรื่องสําคัญอีกเรื่องคือ "ร่วมการสร้างอุดมการณ์ ร่วมมือกันทลายไซโล"เพราะหากเรายังคงมีการแบ่งเป็นฝักฝ่ายภายในโรงเรียนหรือองค์กรมีความแตกแยกภายในอยู่ ก็จะไม่สามารถทลายไซโลได้ เราจึงต้องเป็นพวกเดียวกัน ต้องทํางานร่วมกันเป็นทีม ร่วมมือกัน เพราะประเทศไทยติดกับดักความแตกแยกมานาน เราจึงต้องช่วยกันแก้ปัญหานี้ให้ได้ โดยขอให้เราพยายามนึกถึงว่าเป้าหมายของเราเป็นเป้าหมายเดียวกันนั่นคือเด็กนักเรียน ซึ่งเด็กนักเรียนรอการเติมเต็มจากพวกเราอยู่ เราจึงต้องร่วมมือกันเพื่อที่จะให้เด็กนักเรียนก้าวไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมั่นคง อีกเรื่องที่สําคัญซึ่งนายการุณ ได้ฝากให้ผู้เข้าอบรมดําเนินการ คือ "การพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ หรือProfessional Learning Community (PLC)"โดยขอให้ผู้เข้าอบรมทั้ง 20 โรงเรียนนําไปต่อยอดให้เพื่อนครูภายในโรงเรียนและโรงเรียนอื่น ๆ ในเขตพื้นที่การศึกษา ให้ไปแชร์ความคิดเห็น แชร์ปัญหากันในโรงเรียน และแชร์แนวทางการช่วยเหลือกันระหว่างโรงเรียนภายในเขตพื้นที่การศึกษา หากทุกโรงเรียนสามารถสร้างสังคมทางการเรียนรู้ได้เช่นนี้ การศึกษาของไทยจะก้าวพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว อนึ่ง ภายหลังพิธีเปิด ผู้เข้ารับการอบรมได้จัดพิธีรดน้ําขอพรเนื่องในประเพณีสงกรานต์จากนายการุณ สกุลประดิษฐ์ และผู้บริหารสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และคณะวิทยากรฝึกอบรมณ ห้องโถงกลางCPLIเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ ผู้ที่เคารพนับถือ ผู้มีพระคุณ พร้อมกับขอขมาและขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและเป็นขวัญกําลังใจในการปฏิบัติงานต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3236
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทย์ฯ เปิดพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ มรดกผืนป่าชายเลนตะวันออกและการบริหารจัดการ 3 น้ำ
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงวิทย์ฯ เปิดพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ําชุมชนตามแนวพระราชดําริ มรดกผืนป่าชายเลนตะวันออกและการบริหารจัดการ 3 น้ํา ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นประธานในพิธีเปิด “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ําชุมชนตามแนวพระราชดําริ บ้านเปร็ดใน ตําบลห้วงน้ําขาว อําเภอเมือง จังหวัดตราด” วันที่ 3 พฤศจิกายน 2560 / ดร.สุเมธตันติเวชกุลประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นประธานในพิธีเปิด “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ําชุมชนตามแนวพระราชดําริบ้านเปร็ดในตําบลห้วงน้ําขาวอําเภอเมืองจังหวัดตราด”โดยมี ดร.อรรชกา สีบุญเรืองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคณะผู้บริหารและข้าราชการทั้งจากส่วนราชการในจังหวัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่มาร่วมงานจํานวนมากโอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้กล่าวมอบนโยบายในการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปสนับสนุนการบริหารจัดการน้ําตามแนวพระราชดําริเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาอาชีพและขยายผลไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งตรงตามแผนการดําเนินงานสําคัญ ด้านยุทธศาสตร์กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี 2561 เรื่องการผลักดันเทคโนโลยี เพื่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในด้านการบริหารจัดการทรัพยกร พัฒนาเกษตรกรด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ําชุมชน ตามแนวพระราชดําริ บ้านเปร็ดใน เป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้จากความสําเร็จของชุมชน ที่ได้น้อมนําแนวพระราชดําริ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา กรอบคิด ในเรื่องการพึ่งตนเอง การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชายเลน และการบริหารจัดการน้ํา ทั้งน้ําเค็ม น้ําจืด น้ํากร่อย กรอบงาน ในเรื่องการนําวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาผนวกกับ ภูมิปัญญาท้องถิ่น พัฒนาการจัดการน้ําชุมชนและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําจืดจนประสบผลสําเร็จ เป็นแบบอย่างให้ชุมชนอื่นได้มาศึกษาเรียนรู้ โดยใช้พื้นที่จริงของชุมชน อธิบายผ่านแผนที่และภาพความเปลี่ยนแปลง ให้เข้าใจง่าย และสามารถนําไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม โดยมีจุดศึกษาดูงานในพื้นที่ 4 จุด ได้แก่ จุดศึกษาดูงานที่ 1 ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน มรดกผืนป่าตะวันออกมีพื้นที่กว่า 1,500 ไร่ มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศไทย จุดดูงานที่ 2 พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ําชุมชน ตามแนวพระราชดําริ โดยใช้ฝายกั้นน้ําจืดกับน้ําเค็มตามแนวพระราชดําริ จุดดูงานที่ 3 การบริหารจัดการ 3 น้ํา คือการดักน้ําจืด ดุลน้ํากร่อย ดันน้ําเค็ม และจุดดูงานที่ 4 เกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ ระบบการสํารองน้ําจืดด้วยนากุ้งร้างและร่องสวน ชุมชนบ้านเปร็ดใน ตําบลห้วงน้ําขาว อําเภอเมือง จังหวัดตราด เป็นชุมชนที่มีระบบนิเวศป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์เป็นอันดับสองของประเทศ ชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร เดิมชุมชนบ้านเปร็ดในประสบปัญหาป่าชายเลนถูกทําลายเพราะการทํานากุ้ง ระบบนิเวศป่าชายเลนเสื่อมโทรม และปัญหาน้ําเค็มรุกเข้าพื้นที่สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่การเกษตร ปริมาณน้ําจืดมีไม่เพียงพอต่อการอุปโภค บริโภค และการเกษตร ต่อมาในปี 2552 ชุมชนได้จัดตั้งคณะกรรมการกลุ่มบริหารจัดการน้ําบ้านเปร็ดใน เพื่อร่วมกันบริหารจัดการ 3 น้ํา คือ น้ําเค็ม น้ําจืด และน้ํากร่อย อย่างจริงจัง และ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สสนก. ได้คัดเลือกให้เป็นชุมชนบ้านเปร็ดใน เป็นชุมชนแม่ข่ายการจัดการน้ําชุมชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และยังได้รับคัดเลือกจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็นหมู่บ้านต้นแบบระดับแม่ข่ายในการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต และมีการขยายผลไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียง ในปี พ.ศ. 2556
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวิทย์ฯ เปิดพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ มรดกผืนป่าชายเลนตะวันออกและการบริหารจัดการ 3 น้ำ วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2560 กระทรวงวิทย์ฯ เปิดพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ําชุมชนตามแนวพระราชดําริ มรดกผืนป่าชายเลนตะวันออกและการบริหารจัดการ 3 น้ํา ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นประธานในพิธีเปิด “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ําชุมชนตามแนวพระราชดําริ บ้านเปร็ดใน ตําบลห้วงน้ําขาว อําเภอเมือง จังหวัดตราด” วันที่ 3 พฤศจิกายน 2560 / ดร.สุเมธตันติเวชกุลประธานกรรมการมูลนิธิอุทกพัฒน์ในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นประธานในพิธีเปิด “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ําชุมชนตามแนวพระราชดําริบ้านเปร็ดในตําบลห้วงน้ําขาวอําเภอเมืองจังหวัดตราด”โดยมี ดร.อรรชกา สีบุญเรืองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคณะผู้บริหารและข้าราชการทั้งจากส่วนราชการในจังหวัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่มาร่วมงานจํานวนมากโอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้กล่าวมอบนโยบายในการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมไปสนับสนุนการบริหารจัดการน้ําตามแนวพระราชดําริเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาอาชีพและขยายผลไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งตรงตามแผนการดําเนินงานสําคัญ ด้านยุทธศาสตร์กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี 2561 เรื่องการผลักดันเทคโนโลยี เพื่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในด้านการบริหารจัดการทรัพยกร พัฒนาเกษตรกรด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ําชุมชน ตามแนวพระราชดําริ บ้านเปร็ดใน เป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้จากความสําเร็จของชุมชน ที่ได้น้อมนําแนวพระราชดําริ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา กรอบคิด ในเรื่องการพึ่งตนเอง การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชายเลน และการบริหารจัดการน้ํา ทั้งน้ําเค็ม น้ําจืด น้ํากร่อย กรอบงาน ในเรื่องการนําวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาผนวกกับ ภูมิปัญญาท้องถิ่น พัฒนาการจัดการน้ําชุมชนและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําจืดจนประสบผลสําเร็จ เป็นแบบอย่างให้ชุมชนอื่นได้มาศึกษาเรียนรู้ โดยใช้พื้นที่จริงของชุมชน อธิบายผ่านแผนที่และภาพความเปลี่ยนแปลง ให้เข้าใจง่าย และสามารถนําไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม โดยมีจุดศึกษาดูงานในพื้นที่ 4 จุด ได้แก่ จุดศึกษาดูงานที่ 1 ป่าชายเลนบ้านเปร็ดใน มรดกผืนป่าตะวันออกมีพื้นที่กว่า 1,500 ไร่ มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศไทย จุดดูงานที่ 2 พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติจัดการน้ําชุมชน ตามแนวพระราชดําริ โดยใช้ฝายกั้นน้ําจืดกับน้ําเค็มตามแนวพระราชดําริ จุดดูงานที่ 3 การบริหารจัดการ 3 น้ํา คือการดักน้ําจืด ดุลน้ํากร่อย ดันน้ําเค็ม และจุดดูงานที่ 4 เกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ ระบบการสํารองน้ําจืดด้วยนากุ้งร้างและร่องสวน ชุมชนบ้านเปร็ดใน ตําบลห้วงน้ําขาว อําเภอเมือง จังหวัดตราด เป็นชุมชนที่มีระบบนิเวศป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์เป็นอันดับสองของประเทศ ชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร เดิมชุมชนบ้านเปร็ดในประสบปัญหาป่าชายเลนถูกทําลายเพราะการทํานากุ้ง ระบบนิเวศป่าชายเลนเสื่อมโทรม และปัญหาน้ําเค็มรุกเข้าพื้นที่สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่การเกษตร ปริมาณน้ําจืดมีไม่เพียงพอต่อการอุปโภค บริโภค และการเกษตร ต่อมาในปี 2552 ชุมชนได้จัดตั้งคณะกรรมการกลุ่มบริหารจัดการน้ําบ้านเปร็ดใน เพื่อร่วมกันบริหารจัดการ 3 น้ํา คือ น้ําเค็ม น้ําจืด และน้ํากร่อย อย่างจริงจัง และ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ําและการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สสนก. ได้คัดเลือกให้เป็นชุมชนบ้านเปร็ดใน เป็นชุมชนแม่ข่ายการจัดการน้ําชุมชนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และยังได้รับคัดเลือกจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็นหมู่บ้านต้นแบบระดับแม่ข่ายในการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต และมีการขยายผลไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียง ในปี พ.ศ. 2556
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7850
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งทุกหน่วยงานเร่งให้ความช่วยเหลือ สำรวจความเสียหาย และฟื้นฟู หลังสถานการ์ณอุทกภัยเริ่มคลี่คลาย
วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2562 นายกฯ สั่งทุกหน่วยงานเร่งให้ความช่วยเหลือ สํารวจความเสียหาย และฟื้นฟู หลังสถานการ์ณอุทกภัยเริ่มคลี่คลาย โฆษกรัฐบาล เผยนายกรัฐมนตรี สั่งทุกหน่วยงานเร่งให้ความช่วยเหลือ สํารวจความเสียหาย และฟื้นฟู หลังสถานการ์ณอุทกภัยเริ่มคลี่คลาย วันนี้(1ก.ย.62)ศาตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัยฉับพลันจากพายุโพดุลอย่างใกล้ชิดรวมทั้งกํากับดูแลการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่างๆทั้ง16จังหวัดตั้งแต่วันที่30สิงหาคมที่ผ่านมาจนขณะนี้ได้รับรายงานว่าสถานการณ์อุทกภัยเริ่มคลี่คลายระดับน้ําได้ลดลงในเกือบทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบซึ่งจากนี้จะต้องเร่งสํารวจความเสียหายทั้งอาคารบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรมโดยได้กําชับให้ทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกันทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเสียหายและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทั่วถึงและทันเวลา นายกรัฐมนตรียังได้ย้ําขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ต่อไปและขอประชาชนที่ได้รับความเสียหายและยังไม่ได้รับความช่วยเหลือติดต่อได้ที่สายด่วน1784ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด24ชั่วโมง ——————— สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่งทุกหน่วยงานเร่งให้ความช่วยเหลือ สำรวจความเสียหาย และฟื้นฟู หลังสถานการ์ณอุทกภัยเริ่มคลี่คลาย วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน 2562 นายกฯ สั่งทุกหน่วยงานเร่งให้ความช่วยเหลือ สํารวจความเสียหาย และฟื้นฟู หลังสถานการ์ณอุทกภัยเริ่มคลี่คลาย โฆษกรัฐบาล เผยนายกรัฐมนตรี สั่งทุกหน่วยงานเร่งให้ความช่วยเหลือ สํารวจความเสียหาย และฟื้นฟู หลังสถานการ์ณอุทกภัยเริ่มคลี่คลาย วันนี้(1ก.ย.62)ศาตราจารย์นฤมลภิญโญสินวัฒน์โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัยฉับพลันจากพายุโพดุลอย่างใกล้ชิดรวมทั้งกํากับดูแลการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่างๆทั้ง16จังหวัดตั้งแต่วันที่30สิงหาคมที่ผ่านมาจนขณะนี้ได้รับรายงานว่าสถานการณ์อุทกภัยเริ่มคลี่คลายระดับน้ําได้ลดลงในเกือบทุกจังหวัดที่ได้รับผลกระทบซึ่งจากนี้จะต้องเร่งสํารวจความเสียหายทั้งอาคารบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรกรรมโดยได้กําชับให้ทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกันทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาความเสียหายและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทั่วถึงและทันเวลา นายกรัฐมนตรียังได้ย้ําขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ต่อไปและขอประชาชนที่ได้รับความเสียหายและยังไม่ได้รับความช่วยเหลือติดต่อได้ที่สายด่วน1784ที่พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด24ชั่วโมง ——————— สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22673
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนประชาชน เตรียมพร้อมรับมืออิทธิพลพายุโซนร้อน “ฮาโตะ” เกิดฝนตกหนัก ระหว่างวันที่ 23-28 ส.ค. 2560
วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 เตือนประชาชน เตรียมพร้อมรับมืออิทธิพลพายุโซนร้อน “ฮาโตะ” เกิดฝนตกหนัก ระหว่างวันที่ 23-28 ส.ค. 2560 เตือนประชาชน เตรียมพร้อมรับมืออิทธิพลพายุโซนร้อน “ฮาโตะ” เกิดฝนตกหนัก ระหว่างวันที่ 23-28 ส.ค. 2560 รมว.เกษตรฯ สั่งทุกโครงการชลประทานจับตาอย่างใกล้ชิด พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การเกิดอุทกภัยในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความห่วงใยประชาชนที่อาจจะประสบอุทกภัยดังกล่าว และจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนเซินกา ทําให้มีผลกระทบกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งขณะนี้สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่เนื่องจากมีฝนตกต่อเนื่องติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ทําให้ยังมีน้ําท่วมขังในบางพื้นที่ จึงได้สั่งการให้กรมชลประทานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้การช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุดทั้งนี้ แม้สถานการณ์จะดีขึ้นแต่ก็ไม่ประมาท กรมชลประทานจึงได้วางเครื่องสูบน้ํา เครื่องผลักดันน้ํา และสถานีสูบน้ํา กระจายตามจุดต่าง ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยติดตั้งเครื่องสูบน้ํา เครื่องผลักดันน้ํา และเดินเครื่องสถานีสูบน้ํา ในลุ่มน้ําชี-มูล ในจังหวัดบึงกาฬ หนองคาย หนองบัวลําพู นครพนม สกลนคร อุดรธานี กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ยโสธร อํานาจเจริญ และอุบลราชธานี รวมเครื่องสูบน้ํา 122 เครื่องเครื่องผลักดันน้ํา 64 เครื่อง และสํารองเครื่องผลักดันน้ํา 56 เครื่องสําหรับการสํารองเครื่องจักร เครื่องมือใน จ.ขอนแก่น ประกอบด้วย รถบรรทุก 13 คัน เครื่องผลักดันน้ํา 2 เครื่องเครื่องสูบน้ํา 137 เครื่องและใน จ.อุบลราชธานี ประกอบด้วย เครื่องขุดแขนยาว 5 คัน เครื่องสูบน้ํา 30 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ํา 22 เครื่องซึ่งคาดการณ์ว่าหากมีฝนตกเพิ่ม จะสามารถช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็ว สําหรับสถานการณ์น้ําลุ่มน้ําชี-มูล ขณะนี้ลุ่มน้ําอูนและลุ่มน้ําก่ําระดับน้ําลดลงเข้าสู่ภาวะปกติแล้วส่วนลุ่มน้ําชีตอนบน ลุ่มน้ํามูลตอนบน ระดับน้ําลดลงต่ํากว่าตลิ่งอย่างไรก็ตามบริเวณที่ยังมีผลกระทบได้แก่ลําน้ําชีตอนล่างบริเวณ จ.กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และยโสธรลําน้ํามูลที่บริเวณ จ.อุบลราชธานีทั้งนี้สถานการณ์น้ําท่วมคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติภายในต้นเดือนกันยายน นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์น้ําในแม่น้ําเจ้าพระยา ปัจจุบันมีปริมาณน้ําไหลผ่านที่สถานีC.2 อ.เมืองนครสวรรค์ 1,778 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ําต่ํากว่าตลิ่ง 3.45 เมตร มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และมีน้ําไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 1,498 ลบ.ม./วินาที รับน้ําเข้าระบบชลประทานฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก รวมประมาณ 287 ลบ.ม./วินาที ทั้งนี้ กรมชลประทานจะบริหารน้ําเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ให้เข้าคลองชลประทานให้มากที่สุดตามศักยภาพของพื้นที่ เพื่อควบคุมปริมาณน้ําให้ไหลลงสู่ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาไม่เกิน 1,500 ลบ.ม./วินาที และมีปริมาณน้ําไหลผ่านที่ อ.บางไทร 1,518 ลบ.ม./วินาที ซึ่งต่ํากว่าความจุที่สามารถรับน้ําได้ถึง 3,500ลบ.ม./วินาทีอย่างไรก็ตามจะใช้ประโยชน์จากประตูระบายน้ําคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดําริ ช่วยเร่งระบายน้ําออกสู่ทะเลให้เร็วขึ้น และจากการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ําขณะนี้ ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อลุ่มน้ําเจ้าพระยา จึงไม่ทําให้เกิดน้ําท่วมในพื้นที่ภาคกลาง สําหรับอิทธิพลของพายุโซนร้อนฮาโตะนั้น ไม่มีผลกระทบโดยตรงกับประเทศไทย เนื่องจากพายุดังกล่าวขึ้นที่ฝั่งประเทศจีน แต่จะเกิดอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เพิ่มกําลังแรงขึ้น ทําให้เกิดฝนตกเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ภาคเหลือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันอออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก วันที่ 26–27 ส.ค. 60 มีฝนตกกระจาย10–35 มม. วันที่ 28 ส.ค. 60 ภาคเหนือ 10-35 มม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10-60 มม. ภาคตะวันออก 60–90 มม. ดังนั้น กรมชลประทานจึงได้เตรียมพร้อมรับมือโดยให้โครงการชลประทานทุกแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ําท่วมเดิม เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ําท่วมที่อาจจะเกิดขึ้น ด้วยการกําชับเจ้าหน้าที่ให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ําในพื้นที่ของตนอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้ตรวจสอบระบบและอาคารชลประทาน ให้สามารถรองรับสถานการณ์น้ําได้อย่างเต็มศักยภาพ พร้อมกับให้บริหารจัดการน้ําในอ่างเก็บน้ําให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุมอย่างเคร่งครัด สําหรับพื้นที่ที่เกิดน้ําท่วมเป็นประจํา ให้ติดตั้งเครื่องสูบน้ําประจําไว้ในพื้นที่ ตลอดจนบูรณาการร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแจ้งเตือนประชาชน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือนประชาชน เตรียมพร้อมรับมืออิทธิพลพายุโซนร้อน “ฮาโตะ” เกิดฝนตกหนัก ระหว่างวันที่ 23-28 ส.ค. 2560 วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 เตือนประชาชน เตรียมพร้อมรับมืออิทธิพลพายุโซนร้อน “ฮาโตะ” เกิดฝนตกหนัก ระหว่างวันที่ 23-28 ส.ค. 2560 เตือนประชาชน เตรียมพร้อมรับมืออิทธิพลพายุโซนร้อน “ฮาโตะ” เกิดฝนตกหนัก ระหว่างวันที่ 23-28 ส.ค. 2560 รมว.เกษตรฯ สั่งทุกโครงการชลประทานจับตาอย่างใกล้ชิด พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การเกิดอุทกภัยในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีความห่วงใยประชาชนที่อาจจะประสบอุทกภัยดังกล่าว และจากอิทธิพลของพายุโซนร้อนเซินกา ทําให้มีผลกระทบกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งขณะนี้สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่เนื่องจากมีฝนตกต่อเนื่องติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ทําให้ยังมีน้ําท่วมขังในบางพื้นที่ จึงได้สั่งการให้กรมชลประทานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งให้การช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุดทั้งนี้ แม้สถานการณ์จะดีขึ้นแต่ก็ไม่ประมาท กรมชลประทานจึงได้วางเครื่องสูบน้ํา เครื่องผลักดันน้ํา และสถานีสูบน้ํา กระจายตามจุดต่าง ๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยติดตั้งเครื่องสูบน้ํา เครื่องผลักดันน้ํา และเดินเครื่องสถานีสูบน้ํา ในลุ่มน้ําชี-มูล ในจังหวัดบึงกาฬ หนองคาย หนองบัวลําพู นครพนม สกลนคร อุดรธานี กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ยโสธร อํานาจเจริญ และอุบลราชธานี รวมเครื่องสูบน้ํา 122 เครื่องเครื่องผลักดันน้ํา 64 เครื่อง และสํารองเครื่องผลักดันน้ํา 56 เครื่องสําหรับการสํารองเครื่องจักร เครื่องมือใน จ.ขอนแก่น ประกอบด้วย รถบรรทุก 13 คัน เครื่องผลักดันน้ํา 2 เครื่องเครื่องสูบน้ํา 137 เครื่องและใน จ.อุบลราชธานี ประกอบด้วย เครื่องขุดแขนยาว 5 คัน เครื่องสูบน้ํา 30 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ํา 22 เครื่องซึ่งคาดการณ์ว่าหากมีฝนตกเพิ่ม จะสามารถช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างรวดเร็ว สําหรับสถานการณ์น้ําลุ่มน้ําชี-มูล ขณะนี้ลุ่มน้ําอูนและลุ่มน้ําก่ําระดับน้ําลดลงเข้าสู่ภาวะปกติแล้วส่วนลุ่มน้ําชีตอนบน ลุ่มน้ํามูลตอนบน ระดับน้ําลดลงต่ํากว่าตลิ่งอย่างไรก็ตามบริเวณที่ยังมีผลกระทบได้แก่ลําน้ําชีตอนล่างบริเวณ จ.กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และยโสธรลําน้ํามูลที่บริเวณ จ.อุบลราชธานีทั้งนี้สถานการณ์น้ําท่วมคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติภายในต้นเดือนกันยายน นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์น้ําในแม่น้ําเจ้าพระยา ปัจจุบันมีปริมาณน้ําไหลผ่านที่สถานีC.2 อ.เมืองนครสวรรค์ 1,778 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ําต่ํากว่าตลิ่ง 3.45 เมตร มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และมีน้ําไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา 1,498 ลบ.ม./วินาที รับน้ําเข้าระบบชลประทานฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก รวมประมาณ 287 ลบ.ม./วินาที ทั้งนี้ กรมชลประทานจะบริหารน้ําเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ให้เข้าคลองชลประทานให้มากที่สุดตามศักยภาพของพื้นที่ เพื่อควบคุมปริมาณน้ําให้ไหลลงสู่ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาไม่เกิน 1,500 ลบ.ม./วินาที และมีปริมาณน้ําไหลผ่านที่ อ.บางไทร 1,518 ลบ.ม./วินาที ซึ่งต่ํากว่าความจุที่สามารถรับน้ําได้ถึง 3,500ลบ.ม./วินาทีอย่างไรก็ตามจะใช้ประโยชน์จากประตูระบายน้ําคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดําริ ช่วยเร่งระบายน้ําออกสู่ทะเลให้เร็วขึ้น และจากการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ําขณะนี้ ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อลุ่มน้ําเจ้าพระยา จึงไม่ทําให้เกิดน้ําท่วมในพื้นที่ภาคกลาง สําหรับอิทธิพลของพายุโซนร้อนฮาโตะนั้น ไม่มีผลกระทบโดยตรงกับประเทศไทย เนื่องจากพายุดังกล่าวขึ้นที่ฝั่งประเทศจีน แต่จะเกิดอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เพิ่มกําลังแรงขึ้น ทําให้เกิดฝนตกเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ภาคเหลือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันอออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก วันที่ 26–27 ส.ค. 60 มีฝนตกกระจาย10–35 มม. วันที่ 28 ส.ค. 60 ภาคเหนือ 10-35 มม. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10-60 มม. ภาคตะวันออก 60–90 มม. ดังนั้น กรมชลประทานจึงได้เตรียมพร้อมรับมือโดยให้โครงการชลประทานทุกแห่ง โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ําท่วมเดิม เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ําท่วมที่อาจจะเกิดขึ้น ด้วยการกําชับเจ้าหน้าที่ให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ําในพื้นที่ของตนอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้ตรวจสอบระบบและอาคารชลประทาน ให้สามารถรองรับสถานการณ์น้ําได้อย่างเต็มศักยภาพ พร้อมกับให้บริหารจัดการน้ําในอ่างเก็บน้ําให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุมอย่างเคร่งครัด สําหรับพื้นที่ที่เกิดน้ําท่วมเป็นประจํา ให้ติดตั้งเครื่องสูบน้ําประจําไว้ในพื้นที่ ตลอดจนบูรณาการร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแจ้งเตือนประชาชน กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6145
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560
วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560 รมต.นร.สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 รมต.นร.สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 วันนี้ (31 กรกฎาคม 2560) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติอนุมัติโครงการและงบประมาณโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่มีความพร้อม และเสนอโครงการจาก 48 จังหวัด จํานวน 4,609 กองทุน (4,741 โครงการ) ในวงเงินงบประมาณ 921,776,000 บาท โดยเป็นโครงการที่ต่อยอดจากโครงการที่ดําเนินการในปี 2559 จํานวน 3,005 โครงการ (2,975 กองทุน) และเป็นโครงการที่ขอดําเนินการใหม่ในปีนี้ จํานวน 1,631 โครงการ (1,582 กองทุน) โดย 5 อันดับแรกเป็นโครงการเกี่ยวกับร้านค้าชุมชน วัสดุการเกษตร บริการชุมชน น้ําดื่มชุมชน และบริการน้ํามันเชื้อเพลิง พร้อมทั้งอนุมัติการเปลี่ยนแปลงโครงการที่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองขอเปลี่ยนแปลงการดําเนินโครงการในปี 2559 จํานวน 444 กองทุน อีกด้วย ทั้งนี้ ประธานได้เน้นย้ําให้การอนุมัติโครงการให้กองทุนหมู่บ้านฯ ดังกล่าว เป็นการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐปี 2560 โดยพร้อมโอนเงินให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศให้มากที่สุดภายในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 และจะทําให้เศรษฐกิจฐานรากโดยรวมของสมาชิกกองทุนฯ มีความเข้มแข็งอย่างมั่นคง และยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติอนุมัติให้จัดตั้งกองทุนอีก 2 แห่ง ได้แก่ กองทุนชุมชนวัดน้อยพัฒนา และกองทุนชุมชนบึงพระจันทร์ 40 ซึ่งเป็นกองทุนที่อยู่ในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก โดยมีผลทําให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศในปัจจุบันมีจํานวนทั้งสิ้น 79,595 กองทุน ได้แก่ กองทุนหมู่บ้าน 75,000 กองทุน กองทุนชุมชนเมือง 3,857 กองทุน และกองทุนชุมชนทหาร 738 กองทุนตามลําดับ ตอนท้ายของการประชุม ประธานได้แสดงความห่วงใยประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยซึ่งกําลังเกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือบางส่วน โดยประธานได้มอบหมายให้สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เร่งสํารวจความเสียหายและติดตามช่วยเหลือกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ตลอดจนสมาชิกกองทุนอื่นที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะการเตรียมมาตรการเร่งด่วน มาตรการระยะสั้น และมาตรการระยะยาว เพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูให้เหมาะสมและทันท่วงที โดยในเบื้องต้นได้มอบหมายให้ประสานเครือข่ายและกองทุนที่ดูแลร้านค้าประชารัฐ ได้ช่วยกันสนับสนุนสิ่งจําเป็น ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย ด้วยสินค้าประชารัฐของกองทุนทั่วประเทศโดยเร็ว **************************** กลุ่มประชาสัมพันธและเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร.สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2560 รมต.นร.สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 รมต.นร.สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 วันนี้ (31 กรกฎาคม 2560) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติอนุมัติโครงการและงบประมาณโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่มีความพร้อม และเสนอโครงการจาก 48 จังหวัด จํานวน 4,609 กองทุน (4,741 โครงการ) ในวงเงินงบประมาณ 921,776,000 บาท โดยเป็นโครงการที่ต่อยอดจากโครงการที่ดําเนินการในปี 2559 จํานวน 3,005 โครงการ (2,975 กองทุน) และเป็นโครงการที่ขอดําเนินการใหม่ในปีนี้ จํานวน 1,631 โครงการ (1,582 กองทุน) โดย 5 อันดับแรกเป็นโครงการเกี่ยวกับร้านค้าชุมชน วัสดุการเกษตร บริการชุมชน น้ําดื่มชุมชน และบริการน้ํามันเชื้อเพลิง พร้อมทั้งอนุมัติการเปลี่ยนแปลงโครงการที่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองขอเปลี่ยนแปลงการดําเนินโครงการในปี 2559 จํานวน 444 กองทุน อีกด้วย ทั้งนี้ ประธานได้เน้นย้ําให้การอนุมัติโครงการให้กองทุนหมู่บ้านฯ ดังกล่าว เป็นการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐปี 2560 โดยพร้อมโอนเงินให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศให้มากที่สุดภายในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 และจะทําให้เศรษฐกิจฐานรากโดยรวมของสมาชิกกองทุนฯ มีความเข้มแข็งอย่างมั่นคง และยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติอนุมัติให้จัดตั้งกองทุนอีก 2 แห่ง ได้แก่ กองทุนชุมชนวัดน้อยพัฒนา และกองทุนชุมชนบึงพระจันทร์ 40 ซึ่งเป็นกองทุนที่อยู่ในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก โดยมีผลทําให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศในปัจจุบันมีจํานวนทั้งสิ้น 79,595 กองทุน ได้แก่ กองทุนหมู่บ้าน 75,000 กองทุน กองทุนชุมชนเมือง 3,857 กองทุน และกองทุนชุมชนทหาร 738 กองทุนตามลําดับ ตอนท้ายของการประชุม ประธานได้แสดงความห่วงใยประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยซึ่งกําลังเกิดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือบางส่วน โดยประธานได้มอบหมายให้สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ เร่งสํารวจความเสียหายและติดตามช่วยเหลือกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ตลอดจนสมาชิกกองทุนอื่นที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะการเตรียมมาตรการเร่งด่วน มาตรการระยะสั้น และมาตรการระยะยาว เพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูให้เหมาะสมและทันท่วงที โดยในเบื้องต้นได้มอบหมายให้ประสานเครือข่ายและกองทุนที่ดูแลร้านค้าประชารัฐ ได้ช่วยกันสนับสนุนสิ่งจําเป็น ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย ด้วยสินค้าประชารัฐของกองทุนทั่วประเทศโดยเร็ว **************************** กลุ่มประชาสัมพันธและเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/5594
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผลิตหน้ากากผ้า 100,000 ชิ้น ให้ สภากาชาดไทย แจกประชาชนป้องกันโควิด-19 [กระทรวงแรงงาน]
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563 ก.แรงงาน ผลิตหน้ากากผ้า 100,000 ชิ้น ให้ สภากาชาดไทย แจกประชาชนป้องกันโควิด-19 [กระทรวงแรงงาน] กระทรวงแรงงาน ผลิตหน้ากากผ้า จํานวน 100,000 ชิ้น ส่งคืนให้ สภากาชาดไทย เพื่อนําไปส่งมอบแก่ประชาชนป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 วันนี้ (30 เม.ย. 63) เวลา 09.00 น.ดร.ดวงฤทธิ์ เบญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงานพร้อมด้วยนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงานและผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ส่งคืนหน้ากากผ้า จํานวน 100,000 ชิ้น ที่สภากาชาดไทย ได้มอบผ้าสาลูแก่กระทรวงแรงงาน จํานวน 67 ม้วน นําไปให้สถาบัน/สํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ ตัดเย็บเป็นหน้ากากอนามัย เมื่อวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา ให้กับนางสุนันทา ศรอนุสิน ผู้อํานวยการสํานักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทยและคณะ ณ ห้องรับรองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน เพื่อนําไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ต่อไป +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว 30 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผลิตหน้ากากผ้า 100,000 ชิ้น ให้ สภากาชาดไทย แจกประชาชนป้องกันโควิด-19 [กระทรวงแรงงาน] วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2563 ก.แรงงาน ผลิตหน้ากากผ้า 100,000 ชิ้น ให้ สภากาชาดไทย แจกประชาชนป้องกันโควิด-19 [กระทรวงแรงงาน] กระทรวงแรงงาน ผลิตหน้ากากผ้า จํานวน 100,000 ชิ้น ส่งคืนให้ สภากาชาดไทย เพื่อนําไปส่งมอบแก่ประชาชนป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19 วันนี้ (30 เม.ย. 63) เวลา 09.00 น.ดร.ดวงฤทธิ์ เบญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงานพร้อมด้วยนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงานและผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ส่งคืนหน้ากากผ้า จํานวน 100,000 ชิ้น ที่สภากาชาดไทย ได้มอบผ้าสาลูแก่กระทรวงแรงงาน จํานวน 67 ม้วน นําไปให้สถาบัน/สํานักงานพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ ตัดเย็บเป็นหน้ากากอนามัย เมื่อวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา ให้กับนางสุนันทา ศรอนุสิน ผู้อํานวยการสํานักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทยและคณะ ณ ห้องรับรองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงาน ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน เพื่อนําไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ต่อไป +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ปริยรณ พรหมสาขา ณ สกลนคร ภาพและข่าว 30 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30057
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ ศบค. เผย พื้นที่ควบคุมโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) เป็นทางเลือกเพิ่มเติม สำหรับผู้มีศักยภาพที่ต้องการเดินทางกลับเข้ามาในประเทศ
วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 โฆษกฯ ศบค. เผย พื้นที่ควบคุมโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) เป็นทางเลือกเพิ่มเติม สําหรับผู้มีศักยภาพที่ต้องการเดินทางกลับเข้ามาในประเทศ โฆษกฯ ศบค. เผย พื้นที่ควบคุมโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) เป็นทางเลือกเพิ่มเติม สําหรับผู้มีศักยภาพที่ต้องการเดินทางกลับเข้ามาในประเทศ วันนี้ (24 มิ.ย. 63) เวลา 12.10 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนที่สอบถามผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. กล่าวถึงจํานวนคนไทยที่ต้องการเดินทางกลับเข้ามาในประเทศนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและความเหมาะสมของพื้นที่รองรับ โดยในขณะนี้ได้มีการจํากัดจํานวนไว้ที่ 500 คนต่อวัน ซึ่งหากมีพื้นที่รองรับที่มากขึ้นก็อาจจะทําให้สามารถปรับจํานวนของผู้ที่ต้องการเดินทางเพิ่มขึ้นได้ ขณะเดียวกันยังมีโครงการพื้นที่ควบคุมโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาลเอกชนและโรงแรม เป็นทางเลือกเพิ่มเติมสําหรับผู้ที่มีศักยภาพที่ต้องการเดินทางกลับเข้ามาในประเทศ นอกจากนี้ โฆษก ศบค. ยังย้ําว่า การผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 5 จะต้องผ่านการพิจารณาจากที่ประชุม ศบค. ในวันจันทร์ 29 มิถุนายน นี้ ในตอนท้าย โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 36 โดยมีประเทศเวียดนามเป็นเจ้าภาพ เป็นการประชุมอย่างเต็มรูปแบบผ่านระบบทางไกล ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้มีความเข้มแข็ง แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือกันหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องในการควบคุมรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งการหารือเกี่ยวกับการจัดทําแผนงานที่เกี่ยวข้องของการฟื้นตัวอาเซียนหลังยุคโควิด-19 ทั้งนี้ สามารถติดตามการถ่ายทอดสดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 36 ได้ทาง Facebook ไทยคู่ฟ้า ....................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกฯ ศบค. เผย พื้นที่ควบคุมโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) เป็นทางเลือกเพิ่มเติม สำหรับผู้มีศักยภาพที่ต้องการเดินทางกลับเข้ามาในประเทศ วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2563 โฆษกฯ ศบค. เผย พื้นที่ควบคุมโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) เป็นทางเลือกเพิ่มเติม สําหรับผู้มีศักยภาพที่ต้องการเดินทางกลับเข้ามาในประเทศ โฆษกฯ ศบค. เผย พื้นที่ควบคุมโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) เป็นทางเลือกเพิ่มเติม สําหรับผู้มีศักยภาพที่ต้องการเดินทางกลับเข้ามาในประเทศ วันนี้ (24 มิ.ย. 63) เวลา 12.10 น. ณ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) โถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ตอบคําถามสื่อมวลชนที่สอบถามผ่านโซเชียลมีเดียช่วงการแถลงข่าวของศูนย์ข่าวโควิด-19 และสรุปสาระสําคัญ ดังนี้ โฆษก ศบค. กล่าวถึงจํานวนคนไทยที่ต้องการเดินทางกลับเข้ามาในประเทศนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและความเหมาะสมของพื้นที่รองรับ โดยในขณะนี้ได้มีการจํากัดจํานวนไว้ที่ 500 คนต่อวัน ซึ่งหากมีพื้นที่รองรับที่มากขึ้นก็อาจจะทําให้สามารถปรับจํานวนของผู้ที่ต้องการเดินทางเพิ่มขึ้นได้ ขณะเดียวกันยังมีโครงการพื้นที่ควบคุมโรคแห่งรัฐทางเลือก (Alternative State Quarantine) ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาลเอกชนและโรงแรม เป็นทางเลือกเพิ่มเติมสําหรับผู้ที่มีศักยภาพที่ต้องการเดินทางกลับเข้ามาในประเทศ นอกจากนี้ โฆษก ศบค. ยังย้ําว่า การผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 5 จะต้องผ่านการพิจารณาจากที่ประชุม ศบค. ในวันจันทร์ 29 มิถุนายน นี้ ในตอนท้าย โฆษก ศบค. กล่าวเพิ่มเติมถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 36 โดยมีประเทศเวียดนามเป็นเจ้าภาพ เป็นการประชุมอย่างเต็มรูปแบบผ่านระบบทางไกล ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้มีความเข้มแข็ง แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือกันหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องในการควบคุมรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งการหารือเกี่ยวกับการจัดทําแผนงานที่เกี่ยวข้องของการฟื้นตัวอาเซียนหลังยุคโควิด-19 ทั้งนี้ สามารถติดตามการถ่ายทอดสดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 36 ได้ทาง Facebook ไทยคู่ฟ้า ....................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32701
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ อนุทินเน้นย้ำสถานประกอบการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตคนวัยทำงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้ 10 Packages “ปลอดภัยดี สุขภาพดี งานดี มีความสุข ในสถานประกอบการ”
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563 รองนายกฯ อนุทินเน้นย้ําสถานประกอบการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตคนวัยทํางานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้ 10 Packages “ปลอดภัยดี สุขภาพดี งานดี มีความสุข ในสถานประกอบการ” รองนายกฯ อนุทินเน้นย้ําสถานประกอบการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตคนวัยทํางานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้ 10 Packages “ปลอดภัยดี สุขภาพดี งานดี มีความสุข ในสถานประกอบการ” วันนี้ (30 มกราคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับ มอบหมายจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมอบรางวัลเชิดชูเกียรติเครือข่ายสถานประกอบการยอดเยี่ยมในพื้นที่นําร่องการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคคนวัยทํางานในสถานประกอบการด้วย 10 Packages โดยมีนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงาน และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จํานวน 350 คน ภายหลังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน เพื่อเชิดชูเกียรติสถานประการที่มีความมุ่งมั่นและให้ความสําคัญกับสุขภาพของพนักงาน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดําเนินงานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคคนวัยทํางานในสถานประกอบการ โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมเครือข่ายสถานประกอบการที่ได้รับรางวัลที่ให้ความร่วมมือและเล็งเห็นถึงความสําคัญในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้แก่ประชากรวัยทํางานที่อยู่ในสถานประกอบการ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรวัยทํางานที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปี ถึง 59 ปี ประมาณ 56 ล้านคน คิดประมาณ 2 ใน 3 ของประเทศ และพบว่า ทํางานในสถานประกอบการ ประมาณ 15 ล้านคน เป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม สร้างผลผลิตให้แก่ประเทศชาติ จึงควรให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มนี้ ในทุกๆ ด้าน รัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยได้กําหนดนโยบายในการพัฒนาที่มุ่งพัฒนาคนในทุกมิติตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงวัยให้มีความสมบูรณ์ มีสุขภาวะที่ดี ทั้งด้านกายใจ สติปัญญา และสังคม อีกทั้ง ยังพบว่าวัยทํางานส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ในที่ทํางานไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หากไม่มีการดูแลสุขภาพของตนเองที่เหมาะสมจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพ ได้แก่ โรคอ้วน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง มะเร็งระบบสืบพันธุ์ โรคจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ และโรคเครียด อย่างไรก็ตาม การดูแลส่งเสริมสุขภาพคนวัยทํางาน ไม่เฉพาะที่อยู่ในสถานประกอบการเท่านั้น แต่ต้องครอบคลุมในทุกมิติของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยแม้จะยังอยู่ในช่วงของการได้เปรียบทางประชากร คือ มีวัยแรงงาน ซึ่งเป็นวัยที่ก่อให้เกิดผลผลิตทางด้านเศรษฐกิจ และมีส่วนสําคัญต่อฐานะทางเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ ขอให้ขยายรูปแบบการดําเนินงานให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และต่อยอดการดําเนินงานให้มีความต่อเนื่อง เกิดความยั่งยืนต่อไป เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเป็นธรรม ฐานทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน” ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานการณ์โรคปอดอักเสบอู่ฮั่น ที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า การระบาดของโรคใดๆ เป็นสิ่งที่เกิดได้ทุกประเทศ ทุกเวลา แต่ขอให้มั่นใจระบบการสาธารณสุขของไทย เป็นระบบบูรณาทุกภาคส่วนของราชการ มีความมั่นคงและชํานาญเชี่ยวชาญในการรองรับสถานการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งระบบการแพทย์ และความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข เวชภัณฑ์ การส่งต่อ การรับส่งข้องมูลข่าวสาร การติดตาม ผู้ป่วย เรามีมาตรการและมาตรฐานเชื่อถือได้ และสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ เมื่อพบผู้ป่วยโรคติดต่อ ยิ่งใช้มาตรการเข้มข้นในการค้นหาก็ยิ่งพบมากขึ้น สะท้อนประสิทธิภาพของการควบคุมโรคติดต่อ ซึ่งไม่ได้วัดจํานวนผู้ป่วย แต่เป็นการวัดจากการพบผู้ป่วยและรักษาได้ ไม่แพร่กระจายโรคไปยังคนอื่น ๆ ได้ รัฐบาลพร้อมดูแลผู้ป่วยทุกคนไม่ว่าชาติไหนก็ตามและจะเชื่อมั่นว่าผู้ป่วยเหล่านั้นสามารถรักษาได้ ซึ่งจะยิ่งเป็นการเพิ่มประสบการณ์แก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขที่จะได้รับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอนาคต ด้วย วันนี้รัฐบาลได้ยกระดับในการต่อสู้กับโรคไวรัสอู่ฮั่นขึ้นมาเป็นระดับชาติ นายกรัฐมนตรีได้รับทราบสถานการณ์ทุกอย่าง โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอํานวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ โดยได้มอบหมายให้ตนเองเป็นประธานในชุดนี้ พร้อมกันนี้ ขอให้ผู้ประกอบการทุกคนย้ําบุคลากรของตนเองในเรื่อง กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อโรค การออกกําลังกายจะทําให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนต่อสถานการณ์นี้ และได้สั่งให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุดโดยไม่ต้องมีการปิดบังใด ๆ เพื่อเผยแพร่สู่ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารอย่างแท้จริง ............... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกฯ อนุทินเน้นย้ำสถานประกอบการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตคนวัยทำงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้ 10 Packages “ปลอดภัยดี สุขภาพดี งานดี มีความสุข ในสถานประกอบการ” วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2563 รองนายกฯ อนุทินเน้นย้ําสถานประกอบการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตคนวัยทํางานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้ 10 Packages “ปลอดภัยดี สุขภาพดี งานดี มีความสุข ในสถานประกอบการ” รองนายกฯ อนุทินเน้นย้ําสถานประกอบการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตคนวัยทํางานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ภายใต้ 10 Packages “ปลอดภัยดี สุขภาพดี งานดี มีความสุข ในสถานประกอบการ” วันนี้ (30 มกราคม 2563) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้รับ มอบหมายจากพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และมอบรางวัลเชิดชูเกียรติเครือข่ายสถานประกอบการยอดเยี่ยมในพื้นที่นําร่องการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคคนวัยทํางานในสถานประกอบการด้วย 10 Packages โดยมีนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงาน และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จํานวน 350 คน ภายหลังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน เพื่อเชิดชูเกียรติสถานประการที่มีความมุ่งมั่นและให้ความสําคัญกับสุขภาพของพนักงาน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดําเนินงานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคคนวัยทํางานในสถานประกอบการ โอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมเครือข่ายสถานประกอบการที่ได้รับรางวัลที่ให้ความร่วมมือและเล็งเห็นถึงความสําคัญในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้แก่ประชากรวัยทํางานที่อยู่ในสถานประกอบการ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรวัยทํางานที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปี ถึง 59 ปี ประมาณ 56 ล้านคน คิดประมาณ 2 ใน 3 ของประเทศ และพบว่า ทํางานในสถานประกอบการ ประมาณ 15 ล้านคน เป็นกําลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม สร้างผลผลิตให้แก่ประเทศชาติ จึงควรให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรกลุ่มนี้ ในทุกๆ ด้าน รัฐบาลให้ความสําคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยได้กําหนดนโยบายในการพัฒนาที่มุ่งพัฒนาคนในทุกมิติตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงวัยให้มีความสมบูรณ์ มีสุขภาวะที่ดี ทั้งด้านกายใจ สติปัญญา และสังคม อีกทั้ง ยังพบว่าวัยทํางานส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ในที่ทํางานไม่น้อยกว่า 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หากไม่มีการดูแลสุขภาพของตนเองที่เหมาะสมจะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงด้านสุขภาพ ได้แก่ โรคอ้วน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง มะเร็งระบบสืบพันธุ์ โรคจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ และโรคเครียด อย่างไรก็ตาม การดูแลส่งเสริมสุขภาพคนวัยทํางาน ไม่เฉพาะที่อยู่ในสถานประกอบการเท่านั้น แต่ต้องครอบคลุมในทุกมิติของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยแม้จะยังอยู่ในช่วงของการได้เปรียบทางประชากร คือ มีวัยแรงงาน ซึ่งเป็นวัยที่ก่อให้เกิดผลผลิตทางด้านเศรษฐกิจ และมีส่วนสําคัญต่อฐานะทางเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ ขอให้ขยายรูปแบบการดําเนินงานให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และต่อยอดการดําเนินงานให้มีความต่อเนื่อง เกิดความยั่งยืนต่อไป เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศ ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคมเป็นธรรม ฐานทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน” ในตอนท้าย รองนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานการณ์โรคปอดอักเสบอู่ฮั่น ที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า การระบาดของโรคใดๆ เป็นสิ่งที่เกิดได้ทุกประเทศ ทุกเวลา แต่ขอให้มั่นใจระบบการสาธารณสุขของไทย เป็นระบบบูรณาทุกภาคส่วนของราชการ มีความมั่นคงและชํานาญเชี่ยวชาญในการรองรับสถานการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี ทั้งระบบการแพทย์ และความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข เวชภัณฑ์ การส่งต่อ การรับส่งข้องมูลข่าวสาร การติดตาม ผู้ป่วย เรามีมาตรการและมาตรฐานเชื่อถือได้ และสามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้ เมื่อพบผู้ป่วยโรคติดต่อ ยิ่งใช้มาตรการเข้มข้นในการค้นหาก็ยิ่งพบมากขึ้น สะท้อนประสิทธิภาพของการควบคุมโรคติดต่อ ซึ่งไม่ได้วัดจํานวนผู้ป่วย แต่เป็นการวัดจากการพบผู้ป่วยและรักษาได้ ไม่แพร่กระจายโรคไปยังคนอื่น ๆ ได้ รัฐบาลพร้อมดูแลผู้ป่วยทุกคนไม่ว่าชาติไหนก็ตามและจะเชื่อมั่นว่าผู้ป่วยเหล่านั้นสามารถรักษาได้ ซึ่งจะยิ่งเป็นการเพิ่มประสบการณ์แก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขที่จะได้รับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอนาคต ด้วย วันนี้รัฐบาลได้ยกระดับในการต่อสู้กับโรคไวรัสอู่ฮั่นขึ้นมาเป็นระดับชาติ นายกรัฐมนตรีได้รับทราบสถานการณ์ทุกอย่าง โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอํานวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ โดยได้มอบหมายให้ตนเองเป็นประธานในชุดนี้ พร้อมกันนี้ ขอให้ผู้ประกอบการทุกคนย้ําบุคลากรของตนเองในเรื่อง กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อโรค การออกกําลังกายจะทําให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนต่อสถานการณ์นี้ และได้สั่งให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุดโดยไม่ต้องมีการปิดบังใด ๆ เพื่อเผยแพร่สู่ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารอย่างแท้จริง ............... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26170
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 10
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 10 กระทรวงการคลังมอบโชคเงินล้านในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนและร้านค้าไปสู่ทางเลือกใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทดแทนเงินสด นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมอบโชคเงินล้านในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนและร้านค้าไปสู่ทางเลือกใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทดแทนเงินสด โดยตลอดการดําเนินโครงการได้รับการตอบรับอย่างดี ทั้งจากประชาชนซึ่งมีแนวโน้มหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้จ่ายรายการย่อยในชีวิตประจําวัน และจากร้านค้าที่มีการวางเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ EDC เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น การแจกโชคในครั้งนี้ นับเป็นเดือนที่ 3 ที่ได้เปิดโอกาสในการขยายสิทธิ์ไปถึงผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้สามารถลุ้นโชคได้ โดยการใช้จ่ายผ่านบัตร 1 ครั้ง เท่ากับ 1 สิทธิ์ สําหรับผู้ที่ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบการเกษตร (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในสวัสดิการเดินทางผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) เพื่อเป็นการขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้ได้เริ่มต้นสร้างความคุ้นเคยกับการรับสวัสดิการและใช้จ่ายผ่านบัตรทดแทนเงินสด และยังเป็นการช่วยให้การส่งผ่านสวัสดิการจากภาครัฐสู่ประชาชน ถูกต้อง ตรงตัว รวดเร็ว และโปร่งใสอีกด้วย นายพรชัยฯ กล่าวต่ออีกว่า เป็นที่น่ายินดีกับนายสงัด เกษก้าน ซึ่งเป็นผู้โชคดีจากการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐจากจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1,000,000 บาท และร้านอดิเรก ซึ่งเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐจากจังหวัดชัยภูมิ ที่ได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1,000,000 บาท ทั้งนี้ โครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตจะมีขึ้นทั้งหมด 12 ครั้ง ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2561 (ข้อมูลธุรกรรมในเดือนเมษายน 2561) รวมเงินรางวัล 84 ล้านบาท ได้รับการสนับสนุนจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตแทนเงินสด และร้านค้าเร่งติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อรับชําระเงินด้วยบัตรเดบิต ซึ่งจะได้ร่วมลุ้นโชคเงินล้านและรางวัลอื่นอีกกว่า 1,022 รางวัลต่อเดือนในช่วงที่เหลืออีก 2 ครั้งสุดท้ายของโครงการ โดยมีการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับรางวัลเป็นประจําทุกเดือนที่ www.epayment.go.th โดยธนาคารจะติดต่อผู้มีสิทธิ์ได้รับรางวัลโดยตรงต่อไป เลขานุการคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการให้ความรู้และส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โทร 02 273 9020 ต่อ 3289 3229 และ 3315
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 10 วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2561 ประกาศรายชื่อผู้โชคดีจากโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต ครั้งที่ 10 กระทรวงการคลังมอบโชคเงินล้านในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนและร้านค้าไปสู่ทางเลือกใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทดแทนเงินสด นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมอบโชคเงินล้านในโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 เพื่อสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนและร้านค้าไปสู่ทางเลือกใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ทดแทนเงินสด โดยตลอดการดําเนินโครงการได้รับการตอบรับอย่างดี ทั้งจากประชาชนซึ่งมีแนวโน้มหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้จ่ายรายการย่อยในชีวิตประจําวัน และจากร้านค้าที่มีการวางเครื่องรับชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์หรือ EDC เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น การแจกโชคในครั้งนี้ นับเป็นเดือนที่ 3 ที่ได้เปิดโอกาสในการขยายสิทธิ์ไปถึงผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้สามารถลุ้นโชคได้ โดยการใช้จ่ายผ่านบัตร 1 ครั้ง เท่ากับ 1 สิทธิ์ สําหรับผู้ที่ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบการเกษตร (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในสวัสดิการเดินทางผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) เพื่อเป็นการขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้ได้เริ่มต้นสร้างความคุ้นเคยกับการรับสวัสดิการและใช้จ่ายผ่านบัตรทดแทนเงินสด และยังเป็นการช่วยให้การส่งผ่านสวัสดิการจากภาครัฐสู่ประชาชน ถูกต้อง ตรงตัว รวดเร็ว และโปร่งใสอีกด้วย นายพรชัยฯ กล่าวต่ออีกว่า เป็นที่น่ายินดีกับนายสงัด เกษก้าน ซึ่งเป็นผู้โชคดีจากการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐจากจังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1,000,000 บาท และร้านอดิเรก ซึ่งเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐจากจังหวัดชัยภูมิ ที่ได้รับรางวัลที่ 1 มูลค่า 1,000,000 บาท ทั้งนี้ โครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิตจะมีขึ้นทั้งหมด 12 ครั้ง ไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2561 (ข้อมูลธุรกรรมในเดือนเมษายน 2561) รวมเงินรางวัล 84 ล้านบาท ได้รับการสนับสนุนจากสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตแทนเงินสด และร้านค้าเร่งติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อรับชําระเงินด้วยบัตรเดบิต ซึ่งจะได้ร่วมลุ้นโชคเงินล้านและรางวัลอื่นอีกกว่า 1,022 รางวัลต่อเดือนในช่วงที่เหลืออีก 2 ครั้งสุดท้ายของโครงการ โดยมีการประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ได้รับรางวัลเป็นประจําทุกเดือนที่ www.epayment.go.th โดยธนาคารจะติดต่อผู้มีสิทธิ์ได้รับรางวัลโดยตรงต่อไป เลขานุการคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการให้ความรู้และส่งเสริมธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โทร 02 273 9020 ต่อ 3289 3229 และ 3315
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10830
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลยืนยัน นายกฯ ไม่เกี่ยวข้องกับการขึ้นป้ายที่ จ.ราชบุรี ย้ำเป็นเรื่องส่วนบุคคล เตือนระมัดระวังทำผิดกฎหมาย แม้ชื่นชอบการทำงานของนายกฯ
วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561 โฆษกรัฐบาลยืนยัน นายกฯ ไม่เกี่ยวข้องกับการขึ้นป้ายที่ จ.ราชบุรี ย้ําเป็นเรื่องส่วนบุคคล เตือนระมัดระวังทําผิดกฎหมาย แม้ชื่นชอบการทํางานของนายกฯ โฆษกรัฐบาลยืนยัน นายกฯ ไม่เกี่ยวข้องกับการขึ้นป้ายที่ จ.ราชบุรี ย้ําเป็นเรื่องส่วนบุคคล เตือนระมัดระวังทําผิดกฎหมาย แม้ชื่นชอบการทํางานของนายกฯ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่โซเชียลมีเดียเผยแพร่ภาพถ่ายป้ายขนาดใหญ่ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คล้ายกับป้ายหาเสียงที่จ.ราชบุรี โดยมีข้อความสนับสนุนนายกรัฐมนตรีที่ไม่โกงกิน ว่า นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานว่า ขณะนี้ป้ายดังกล่าวถูกปลดลงแล้ว พร้อมทั้งยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขึ้นป้ายดังกล่าวแต่อย่างใด และส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการกระทําเช่นนี้ “นายกฯ เน้นย้ําว่าการกระทําดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนบุคคล และท่านไม่มีส่วนรู้เห็น แต่เข้าใจถึงเจตนาดีที่ผู้กระทําต้องการเห็นบ้านเมืองปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน อย่างไรก็ตาม แม้จะชื่นชอบหรือให้การสนับสนุนท่านนายก ท่านก็ได้ฝากเตือนให้ระมัดระวัง โดยจะต้องศึกษาข้อกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ และทําด้วยความรอบคอบหรือไม่ทําเลย เพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายเลือกตั้ง” นายกรัฐมนตรียืนยันด้วยว่า ส่วนตัวท่านเคารพกฎหมายและจะไม่ทําผิดกฎหมายเด็ดขาด รวมทั้งกําชับให้ตรวจสอบหากมีการร้องเรียน เพื่อความถูกต้องและโปร่งใส ................................... สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลยืนยัน นายกฯ ไม่เกี่ยวข้องกับการขึ้นป้ายที่ จ.ราชบุรี ย้ำเป็นเรื่องส่วนบุคคล เตือนระมัดระวังทำผิดกฎหมาย แม้ชื่นชอบการทำงานของนายกฯ วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม 2561 โฆษกรัฐบาลยืนยัน นายกฯ ไม่เกี่ยวข้องกับการขึ้นป้ายที่ จ.ราชบุรี ย้ําเป็นเรื่องส่วนบุคคล เตือนระมัดระวังทําผิดกฎหมาย แม้ชื่นชอบการทํางานของนายกฯ โฆษกรัฐบาลยืนยัน นายกฯ ไม่เกี่ยวข้องกับการขึ้นป้ายที่ จ.ราชบุรี ย้ําเป็นเรื่องส่วนบุคคล เตือนระมัดระวังทําผิดกฎหมาย แม้ชื่นชอบการทํางานของนายกฯ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่โซเชียลมีเดียเผยแพร่ภาพถ่ายป้ายขนาดใหญ่ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คล้ายกับป้ายหาเสียงที่จ.ราชบุรี โดยมีข้อความสนับสนุนนายกรัฐมนตรีที่ไม่โกงกิน ว่า นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานว่า ขณะนี้ป้ายดังกล่าวถูกปลดลงแล้ว พร้อมทั้งยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขึ้นป้ายดังกล่าวแต่อย่างใด และส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการกระทําเช่นนี้ “นายกฯ เน้นย้ําว่าการกระทําดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนบุคคล และท่านไม่มีส่วนรู้เห็น แต่เข้าใจถึงเจตนาดีที่ผู้กระทําต้องการเห็นบ้านเมืองปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน อย่างไรก็ตาม แม้จะชื่นชอบหรือให้การสนับสนุนท่านนายก ท่านก็ได้ฝากเตือนให้ระมัดระวัง โดยจะต้องศึกษาข้อกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ และทําด้วยความรอบคอบหรือไม่ทําเลย เพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายเลือกตั้ง” นายกรัฐมนตรียืนยันด้วยว่า ส่วนตัวท่านเคารพกฎหมายและจะไม่ทําผิดกฎหมายเด็ดขาด รวมทั้งกําชับให้ตรวจสอบหากมีการร้องเรียน เพื่อความถูกต้องและโปร่งใส ................................... สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17356
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณน้ำใจคนไทยหลั่งไหลช่วยชาวใต้ ดันยอดบริจาคแตะ 329 ลบ.เตรียมส่งเยียวยาผู้เดือดร้อน พร้อมชื่นชมสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง พิธีกรศิลปินดารา นักศึกษา รวมพลังประชารัฐจัดงานสำเร็จลุ
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2560 นายกฯ ขอบคุณน้ําใจคนไทยหลั่งไหลช่วยชาวใต้ ดันยอดบริจาคแตะ 329 ลบ.เตรียมส่งเยียวยาผู้เดือดร้อน พร้อมชื่นชมสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง พิธีกรศิลปินดารา นักศึกษา รวมพลังประชารัฐจัดงานสําเร็จลุ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ที่ได้ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ วันนี้ (16 มกราคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ที่ได้ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ในงาน“ประชารัฐร่วมใจ ช่วยอุทกภัยภาคใต้”ซึ่งจัดขึ้นวานนี้ที่ทําเนียบรัฐบาล แม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้นเพียงประมาณ 2 ชม.แต่ก็เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความรักความสามัคคีและไม่ทอดทิ้งกันของคนไทย เวลาที่ผู้อื่นตกทุกข์ได้ยาก “เมื่อสิ้นสุดการรับบริจาค ในเวลาประมาณ 20.30 น. มียอดเงินบริจาครวมทั้งสิ้น 329,305,809 บาท โดยรัฐบาลจะเตรียมส่งไปช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้ตามระเบียบของทางราชการ เพิ่มเติมจากงบประมาณที่แต่ละจังหวัดมีอยู่แล้ว 100 ลบ. อย่างไรก็ตาม พี่น้องประชาชนยังสามารถบริจาคเงินเข้าบัญชีได้อย่างต่อเนื่องผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยสํานักนายกรัฐมนตรี ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0" พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรียังฝากชื่นชมสถานีโทรทัศน์ทุกช่องที่ร่วมถ่ายทอดสดการจัดงานดังกล่าวไปยังผู้ชมทางบ้านให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสที่เป็นสถานีหลักในการดําเนินงาน และถ่ายทอดสดจนจบภารกิจร่วมกับสถานีโทรทัศน์NBTและสถานีโทรทัศน์รัฐสภา “ที่สําคัญท่านนายกฯ ได้ขอบคุณคณะรัฐมนตรี ศิลปินดารานักร้อง นักแสดง นักศึกษา นักเรียนนายร้อย และนักเรียนพยาบาลทหาร ที่มาร่วมรับโทรศัพท์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังความสําเร็จของงานในครั้งนี้ ทําให้พลังความห่วงใยของพี่น้องไทยส่งไปถึงชาวภาคใต้ได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมมากที่สุด" ---------------------------------------------- สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ขอบคุณน้ำใจคนไทยหลั่งไหลช่วยชาวใต้ ดันยอดบริจาคแตะ 329 ลบ.เตรียมส่งเยียวยาผู้เดือดร้อน พร้อมชื่นชมสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง พิธีกรศิลปินดารา นักศึกษา รวมพลังประชารัฐจัดงานสำเร็จลุ วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2560 นายกฯ ขอบคุณน้ําใจคนไทยหลั่งไหลช่วยชาวใต้ ดันยอดบริจาคแตะ 329 ลบ.เตรียมส่งเยียวยาผู้เดือดร้อน พร้อมชื่นชมสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง พิธีกรศิลปินดารา นักศึกษา รวมพลังประชารัฐจัดงานสําเร็จลุ พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ที่ได้ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ วันนี้ (16 มกราคม 2560) พลโท สรรเสริญ แก้วกําเนิด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอบคุณพี่น้องคนไทยทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ที่ได้ร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ําท่วมภาคใต้ในงาน“ประชารัฐร่วมใจ ช่วยอุทกภัยภาคใต้”ซึ่งจัดขึ้นวานนี้ที่ทําเนียบรัฐบาล แม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้นเพียงประมาณ 2 ชม.แต่ก็เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความรักความสามัคคีและไม่ทอดทิ้งกันของคนไทย เวลาที่ผู้อื่นตกทุกข์ได้ยาก “เมื่อสิ้นสุดการรับบริจาค ในเวลาประมาณ 20.30 น. มียอดเงินบริจาครวมทั้งสิ้น 329,305,809 บาท โดยรัฐบาลจะเตรียมส่งไปช่วยเหลือพี่น้องชาวใต้ตามระเบียบของทางราชการ เพิ่มเติมจากงบประมาณที่แต่ละจังหวัดมีอยู่แล้ว 100 ลบ. อย่างไรก็ตาม พี่น้องประชาชนยังสามารถบริจาคเงินเข้าบัญชีได้อย่างต่อเนื่องผ่านกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยสํานักนายกรัฐมนตรี ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาทําเนียบรัฐบาล เลขที่บัญชี 067-0-06895-0" พลโท สรรเสริญ กล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรียังฝากชื่นชมสถานีโทรทัศน์ทุกช่องที่ร่วมถ่ายทอดสดการจัดงานดังกล่าวไปยังผู้ชมทางบ้านให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสที่เป็นสถานีหลักในการดําเนินงาน และถ่ายทอดสดจนจบภารกิจร่วมกับสถานีโทรทัศน์NBTและสถานีโทรทัศน์รัฐสภา “ที่สําคัญท่านนายกฯ ได้ขอบคุณคณะรัฐมนตรี ศิลปินดารานักร้อง นักแสดง นักศึกษา นักเรียนนายร้อย และนักเรียนพยาบาลทหาร ที่มาร่วมรับโทรศัพท์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังความสําเร็จของงานในครั้งนี้ ทําให้พลังความห่วงใยของพี่น้องไทยส่งไปถึงชาวภาคใต้ได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมมากที่สุด" ---------------------------------------------- สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1362
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับข้อมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชน 2562 มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างพลังเพื่อสังคมที่เข้มแข็ง
วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562 รมว.พม. รับข้อมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชน 2562 มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างพลังเพื่อสังคมที่เข้มแข็ง รมว.พม. รับข้อมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชน 2562 มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างพลังเพื่อสังคมที่เข้มแข็ง วันนี้ (9 ส.ค. 62) เวลา 14.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีปิดการประชุมสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ประจําปี 2562 ภายใต้หัวข้อ “นวัตกรรมทางความคิดกับการพัฒนาเด็กและเยาวชน” พร้อมรับข้อมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจําปี 2562 เพื่อนําไปขับเคลื่อนและพัฒนางานด้านเด็กและเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ณ โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า สมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน แกนนําเด็กและเยาวชน และองค์กรภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมจากทั่วประเทศ ได้มีโอกาสมาพบปะและแลกเปลี่ยน ทั้งความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนในหลากหลายมิติ โดยมาร่วมกันคิดวิเคราะห์สถานการณ์ด้านเด็กและเยาวชน ทบทวนกลไกและกระบวนการทํางาน การพัฒนาองค์ความรู้และทักษะที่จําเป็นต่อการทํางาน และทัศนคติในการพัฒนาเด็กและเยาวชนของประเทศ สําหรับสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจําปี 2562 ภายใต้หัวข้อ “นวัตกรรมทางความคิดกับการพัฒนาเด็กและเยาวชน” ได้ให้ความสําคัญต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้มี Mindset แบบ Growth Mindset หรือกรอบความคิดแบบเติบโต ซึ่งจะส่งผลให้มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าเผชิญปัญหา มีความพยายาม และสามารถคิดหาวิธีการเพื่อพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง และใช้ชีวิตได้อย่างมีเป้าหมาย นําไปสู่การเป็นผู้สร้างนวัตกรรมให้กับสังคมได้ต่อไป นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับข้อมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจําปี 2562 ที่ได้รับในวันนี้ มีจํานวน 5 ข้อ ประกอบด้วย ข้อ 1 ส่งเสริม สนับสนุนให้เด็กและเยาวชนเรียนรู้การสร้างนวัตกรรม โดยคํานึงบริบทและทรัพยากรในพื้นที่อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ ข้อ 2 ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทางเลือกในการเรียนรู้ ตามทักษะ ความถนัด ความสนใจ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลดการแข่งขันด้านการศึกษาของเด็กและเยาวชนทุกระดับ ข้อ 3 เปิดพื้นที่สร้างสรรค์เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้แสดงศักยภาพในการแสดงออกด้านความคิด ความสามารถที่หลากหลายของเด็กและเยาวชนทุกกลุ่ม ข้อ 4 เสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนให้มีทักษะที่จําเป็นในศตวรรษที่ 21 ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม และ ข้อ 5 จัดตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนระดับจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนกลไกในการพัฒนาเด็กและเยาวชนระดับจังหวัด “การทํางานให้ประสบผลสําเร็จนั้น เราไม่สามารถทํางานเพียงคนเดียวได้ จําเป็นต้องร่วมมือกันทํางานเป็น Team Work ไม่มีเส้นแบ่งว่ามาจากไหน พรรคไหน เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือประเทศชาติ ซึ่งการสนับสนุนและส่งเสริมมติ 5 ข้อ ที่สมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนได้เสนอในวันนี้ ทางผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้เกี่ยวข้อง จะเข้ามามีส่วนช่วยในการผลักดันโครงการต่างๆ ให้ประสบผลสําเร็จ เนื่องจากเด็กและเยาวชนเป็นอนาคตของประเทศชาติ โดยผู้ใหญ่เป็นเพียงผู้นําทาง แต่พลังของประเทศชาติต้องมาจากเด็กและเยาวชนอย่างท่านทุกคนและจากทั้งประเทศ ดังนั้น อนาคตของประเทศชาติอยู่ในมือของทุกท่าน เพราะทรัพยากรธรรมชาติค่อยๆ หมดไป แต่ทรัพยากรมนุษย์นั้นเราสามรถรักษาและพัฒนาได้ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกระทรวง พม. และขอให้ทุกท่านคิดเสมอว่า ทุกท่านเป็นพลังและหุ้นส่วนสําคัญของประเทศชาติ เพื่อสร้างสังคมและประเทศชาติที่มีความเข้มแข็งและแข็งแกร่งต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.พม. รับข้อมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชน 2562 มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างพลังเพื่อสังคมที่เข้มแข็ง วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม 2562 รมว.พม. รับข้อมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชน 2562 มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างพลังเพื่อสังคมที่เข้มแข็ง รมว.พม. รับข้อมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชน 2562 มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างพลังเพื่อสังคมที่เข้มแข็ง วันนี้ (9 ส.ค. 62) เวลา 14.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีปิดการประชุมสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ ประจําปี 2562 ภายใต้หัวข้อ “นวัตกรรมทางความคิดกับการพัฒนาเด็กและเยาวชน” พร้อมรับข้อมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจําปี 2562 เพื่อนําไปขับเคลื่อนและพัฒนางานด้านเด็กและเยาวชนอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ณ โรงแรมปริ๊นซ์ พาเลซ มหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ นายจุติ กล่าวว่า สมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน แกนนําเด็กและเยาวชน และองค์กรภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมจากทั่วประเทศ ได้มีโอกาสมาพบปะและแลกเปลี่ยน ทั้งความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนในหลากหลายมิติ โดยมาร่วมกันคิดวิเคราะห์สถานการณ์ด้านเด็กและเยาวชน ทบทวนกลไกและกระบวนการทํางาน การพัฒนาองค์ความรู้และทักษะที่จําเป็นต่อการทํางาน และทัศนคติในการพัฒนาเด็กและเยาวชนของประเทศ สําหรับสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจําปี 2562 ภายใต้หัวข้อ “นวัตกรรมทางความคิดกับการพัฒนาเด็กและเยาวชน” ได้ให้ความสําคัญต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยให้มี Mindset แบบ Growth Mindset หรือกรอบความคิดแบบเติบโต ซึ่งจะส่งผลให้มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าเผชิญปัญหา มีความพยายาม และสามารถคิดหาวิธีการเพื่อพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง และใช้ชีวิตได้อย่างมีเป้าหมาย นําไปสู่การเป็นผู้สร้างนวัตกรรมให้กับสังคมได้ต่อไป นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับข้อมติสมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจําปี 2562 ที่ได้รับในวันนี้ มีจํานวน 5 ข้อ ประกอบด้วย ข้อ 1 ส่งเสริม สนับสนุนให้เด็กและเยาวชนเรียนรู้การสร้างนวัตกรรม โดยคํานึงบริบทและทรัพยากรในพื้นที่อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ ข้อ 2 ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทางเลือกในการเรียนรู้ ตามทักษะ ความถนัด ความสนใจ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลดการแข่งขันด้านการศึกษาของเด็กและเยาวชนทุกระดับ ข้อ 3 เปิดพื้นที่สร้างสรรค์เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้แสดงศักยภาพในการแสดงออกด้านความคิด ความสามารถที่หลากหลายของเด็กและเยาวชนทุกกลุ่ม ข้อ 4 เสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนให้มีทักษะที่จําเป็นในศตวรรษที่ 21 ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม และ ข้อ 5 จัดตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนระดับจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนกลไกในการพัฒนาเด็กและเยาวชนระดับจังหวัด “การทํางานให้ประสบผลสําเร็จนั้น เราไม่สามารถทํางานเพียงคนเดียวได้ จําเป็นต้องร่วมมือกันทํางานเป็น Team Work ไม่มีเส้นแบ่งว่ามาจากไหน พรรคไหน เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือประเทศชาติ ซึ่งการสนับสนุนและส่งเสริมมติ 5 ข้อ ที่สมัชชาการพัฒนาเด็กและเยาวชนได้เสนอในวันนี้ ทางผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้เกี่ยวข้อง จะเข้ามามีส่วนช่วยในการผลักดันโครงการต่างๆ ให้ประสบผลสําเร็จ เนื่องจากเด็กและเยาวชนเป็นอนาคตของประเทศชาติ โดยผู้ใหญ่เป็นเพียงผู้นําทาง แต่พลังของประเทศชาติต้องมาจากเด็กและเยาวชนอย่างท่านทุกคนและจากทั้งประเทศ ดังนั้น อนาคตของประเทศชาติอยู่ในมือของทุกท่าน เพราะทรัพยากรธรรมชาติค่อยๆ หมดไป แต่ทรัพยากรมนุษย์นั้นเราสามรถรักษาและพัฒนาได้ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกระทรวง พม. และขอให้ทุกท่านคิดเสมอว่า ทุกท่านเป็นพลังและหุ้นส่วนสําคัญของประเทศชาติ เพื่อสร้างสังคมและประเทศชาติที่มีความเข้มแข็งและแข็งแกร่งต่อไป” นายจุติ กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22130
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ย้ำเคร่งครัดที่มีอยู่จำกัดอย่างต่อเนื่องเผยตัวเลขน้ำใช้ได้ล่าสุด มี 16,834 ล้าน ลบ.ม.
วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ ย้ําเคร่งครัดที่มีอยู่จํากัดอย่างต่อเนื่องเผยตัวเลขน้ําใช้ได้ล่าสุด มี 16,834 ล้าน ลบ.ม. กระทรวงเกษตรฯ ย้ําเคร่งครัดที่มีอยู่จํากัดอย่างต่อเนื่องเผยตัวเลขน้ําใช้ได้ล่าสุด มี 16,834 ล้าน ลบ.ม. ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือใช้อย่างประหยัด นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่า สําหรับสถานการณ์น้ําในอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศจํานวน 447 แห่ง ปัจจุบัน(10 มี.ค.63) มีปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ํารวมกัน 40,568 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 53 ของความจุเก็บกักรวมกัน เป็นปริมาณน้ําใช้การได้ประมาณ16,834 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 32 ของปริมาณน้ําใช้การได้ นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า สําหรับในส่วนของ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ําเจ้าพระยา ประกอบด้วย เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบํารุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ําเก็บกักรวมกัน 9,741 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 39 ของความจุอ่างรวมกัน เป็นน้ําใช้การได้รวมกันประมาณ 3,045 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ17 ของความจุน้ําใช้การระบายน้ํารวมกันวันละประมาณ 17 ล้าน ลบ.ม. สถานการณ์น้ําในอ่างเก็บน้ําอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างน้อย จึงต้องบริหารจัดการน้ําตามความเหมาะสม ซึ่งปริมาณน้ําต้นทุนที่มีอยู่จะใช้สําหรับการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศเป็นหลัก ด้าน นายประยูร เย็นใจ ผู้เชี่ยวชาญฯ ด้านจัดสรรน้ํา กรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมชลประทาน ยังคงเคร่งครัดในการบริหารจัดการน้ําต้นทุนที่มีอยู่จํากัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความมั่นคง และรักษาเสถียรภาพด้านน้ํา จําเป็นต้องสํารองน้ําเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อน้ําอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศ ทั้งนี้ ต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนใช้น้ําอย่างประหยัดที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงขาดแคลนน้ําในอนาคต
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ ย้ำเคร่งครัดที่มีอยู่จำกัดอย่างต่อเนื่องเผยตัวเลขน้ำใช้ได้ล่าสุด มี 16,834 ล้าน ลบ.ม. วันพุธที่ 11 มีนาคม 2563 กระทรวงเกษตรฯ ย้ําเคร่งครัดที่มีอยู่จํากัดอย่างต่อเนื่องเผยตัวเลขน้ําใช้ได้ล่าสุด มี 16,834 ล้าน ลบ.ม. กระทรวงเกษตรฯ ย้ําเคร่งครัดที่มีอยู่จํากัดอย่างต่อเนื่องเผยตัวเลขน้ําใช้ได้ล่าสุด มี 16,834 ล้าน ลบ.ม. ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือใช้อย่างประหยัด นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่า สําหรับสถานการณ์น้ําในอ่างเก็บน้ําขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศจํานวน 447 แห่ง ปัจจุบัน(10 มี.ค.63) มีปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ํารวมกัน 40,568 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 53 ของความจุเก็บกักรวมกัน เป็นปริมาณน้ําใช้การได้ประมาณ16,834 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 32 ของปริมาณน้ําใช้การได้ นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า สําหรับในส่วนของ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ําเจ้าพระยา ประกอบด้วย เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบํารุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ําเก็บกักรวมกัน 9,741 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 39 ของความจุอ่างรวมกัน เป็นน้ําใช้การได้รวมกันประมาณ 3,045 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ17 ของความจุน้ําใช้การระบายน้ํารวมกันวันละประมาณ 17 ล้าน ลบ.ม. สถานการณ์น้ําในอ่างเก็บน้ําอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างน้อย จึงต้องบริหารจัดการน้ําตามความเหมาะสม ซึ่งปริมาณน้ําต้นทุนที่มีอยู่จะใช้สําหรับการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศเป็นหลัก ด้าน นายประยูร เย็นใจ ผู้เชี่ยวชาญฯ ด้านจัดสรรน้ํา กรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมชลประทาน ยังคงเคร่งครัดในการบริหารจัดการน้ําต้นทุนที่มีอยู่จํากัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความมั่นคง และรักษาเสถียรภาพด้านน้ํา จําเป็นต้องสํารองน้ําเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อน้ําอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศ ทั้งนี้ ต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนใช้น้ําอย่างประหยัดที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงขาดแคลนน้ําในอนาคต
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27073
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” Kick off สิทธิทางกฎหมายเพื่อความเสมอภาค ในงานมหกรรม “อารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อคนทั้งมวล” ครั้งที่ ๑
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2559 “ยุติธรรม” Kick off สิทธิทางกฎหมายเพื่อความเสมอภาค ในงานมหกรรม “อารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อคนทั้งมวล” ครั้งที่ ๑ พิธี Kick off สิทธิทางกฎหมายเพื่อความเสมอภาค ในงานมหกรรม “อารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อคนทั้งมวล” ครั้งที่ ๑ (1st Thailand Friendly Design Expo 2016) นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธี Kick off สิทธิทางกฎหมายเพื่อความเสมอภาค ในงานมหกรรม “อารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อคนทั้งมวล” ครั้งที่ ๑ (1st Thailand Friendly Design Expo 2016) เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดําเนินงานของกระทรวงยุติธรรม ในด้านการส่งเสริมสิทธิทางกฎหมายในมิติด้านอารยสถาปัตย์ รวมทั้งการอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นแก่สมาชิกทุกกลุ่มในสังคม โอกาสนี้ กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้ร่วมออกบูธให้บริการคําปรึกษาด้านกฎหมายแก่ประชาชนที่เข้าร่วมงานดังกล่าว ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจัดโดยมูลนิธิอารยสถาปัตย์ โดยความร่วมมือของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสํานักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่าย จํานวน ๑๑๗ องค์กร ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน - ๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ ๖
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ยุติธรรม” Kick off สิทธิทางกฎหมายเพื่อความเสมอภาค ในงานมหกรรม “อารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อคนทั้งมวล” ครั้งที่ ๑ วันอังคารที่ 6 ธันวาคม 2559 “ยุติธรรม” Kick off สิทธิทางกฎหมายเพื่อความเสมอภาค ในงานมหกรรม “อารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อคนทั้งมวล” ครั้งที่ ๑ พิธี Kick off สิทธิทางกฎหมายเพื่อความเสมอภาค ในงานมหกรรม “อารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อคนทั้งมวล” ครั้งที่ ๑ (1st Thailand Friendly Design Expo 2016) นางกรรณิการ์ แสงทอง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธี Kick off สิทธิทางกฎหมายเพื่อความเสมอภาค ในงานมหกรรม “อารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อคนทั้งมวล” ครั้งที่ ๑ (1st Thailand Friendly Design Expo 2016) เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดําเนินงานของกระทรวงยุติธรรม ในด้านการส่งเสริมสิทธิทางกฎหมายในมิติด้านอารยสถาปัตย์ รวมทั้งการอํานวยความยุติธรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ํา และสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นแก่สมาชิกทุกกลุ่มในสังคม โอกาสนี้ กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้ร่วมออกบูธให้บริการคําปรึกษาด้านกฎหมายแก่ประชาชนที่เข้าร่วมงานดังกล่าว ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจัดโดยมูลนิธิอารยสถาปัตย์ โดยความร่วมมือของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสํานักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่าย จํานวน ๑๑๗ องค์กร ซึ่งกําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน - ๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ ๖
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/966
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงข่าวผลการประเมิน PISA 2015
วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2559 แถลงข่าวผลการประเมิน PISA 2015 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จัดงานแถลงข่าวผลการประเมิน "โครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ" (Programme for International Student Assessment : PISA) ประจําปี 2015
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แถลงข่าวผลการประเมิน PISA 2015 วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม 2559 แถลงข่าวผลการประเมิน PISA 2015 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จัดงานแถลงข่าวผลการประเมิน "โครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ" (Programme for International Student Assessment : PISA) ประจําปี 2015
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/991
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ปวท. เปิดงานมหกรรมสินค้านวัตกรรม และผลงาน Startup อุบลราชธานี (RISE 2017)
วันพุธที่ 5 เมษายน 2560 รอง ปวท. เปิดงานมหกรรมสินค้านวัตกรรม และผลงาน Startup อุบลราชธานี (RISE 2017) รอง ปวท. เปิดงานมหกรรมสินค้านวัตกรรม และผลงาน Startup อุบลราชธานี (RISE 2017) 31 มีนาคม 2560 นายสมชาย เทียมบุญประเสริฐ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในพิธีเปิดมหกรรมสินค้านวัตกรรม และผลงาน Startup อุบลราชธานี (RISE 2017) จัดโดยอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เพื่อนําผลงานนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยออกมาเผยแพร่ให้เกิดการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา Startup ในพื้นที่ ณ เซนทรัลพลาซ่า อุบลราชธานี กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่พร้อมให้เอกชนนําไปต่อยอดทางธุรกิจ ประกอบด้วย ผลงานวิจัยด้านวิศวกรรมศาสตร์ ด้านอาหารและเภสัชกรรม ด้านเกษตรกรรม และด้านคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ซึ่งมีจํานวนผลงานกว่า 40 ผลงาน แต่ละผลงานล้วนมีศักยภาพในการนําไปต่อยอดสําหรับผู้ที่มองหาโอกาสทางธุรกิจ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail : pr@most.go.th Facebook : sciencethailand
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง ปวท. เปิดงานมหกรรมสินค้านวัตกรรม และผลงาน Startup อุบลราชธานี (RISE 2017) วันพุธที่ 5 เมษายน 2560 รอง ปวท. เปิดงานมหกรรมสินค้านวัตกรรม และผลงาน Startup อุบลราชธานี (RISE 2017) รอง ปวท. เปิดงานมหกรรมสินค้านวัตกรรม และผลงาน Startup อุบลราชธานี (RISE 2017) 31 มีนาคม 2560 นายสมชาย เทียมบุญประเสริฐ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในพิธีเปิดมหกรรมสินค้านวัตกรรม และผลงาน Startup อุบลราชธานี (RISE 2017) จัดโดยอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี เพื่อนําผลงานนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยออกมาเผยแพร่ให้เกิดการใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา Startup ในพื้นที่ ณ เซนทรัลพลาซ่า อุบลราชธานี กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่พร้อมให้เอกชนนําไปต่อยอดทางธุรกิจ ประกอบด้วย ผลงานวิจัยด้านวิศวกรรมศาสตร์ ด้านอาหารและเภสัชกรรม ด้านเกษตรกรรม และด้านคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ ซึ่งมีจํานวนผลงานกว่า 40 ผลงาน แต่ละผลงานล้วนมีศักยภาพในการนําไปต่อยอดสําหรับผู้ที่มองหาโอกาสทางธุรกิจ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728 - 3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail : pr@most.go.th Facebook : sciencethailand
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2906
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขา สดช.รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบรรยายในงาน “CEBIT ASEAN Thailand 2018”
วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2561 เลขา สดช.รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบรรยายในงาน “CEBIT ASEAN Thailand 2018” เลขา สดช.รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นวิทยากรบรรยาย เรื่อง การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งชาติ ในงาน “CEBIT ASEAN Thailand 2018” ณ ห้อง Phoenix อาคาร 7-8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561 โดยได้บรรยายเนื้อหาเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย ดิจิทัลไทยแลนด์ : แผนงานด้านดิจิทัล ปี 2561, โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล : เน็ตประชารัฐ, ปรับปรุงเคเบิลใยแก้วนําแสงใต้น้ํา การพัฒนาด้านกฎหมายและดิจิทัลไอดี (Digital ID) โดยส่งเสริมกําลังคนด้านดิจิทัล เมืองอัจฉริยะ และรัฐบาลดิจิทัล พร้อมบรรยายเรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ประกอบด้วย คําสั่งที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการด้านไซเบอร์ (องค์ประกอบคณะกรรมการเตรียมการฯ และอํานาจหน้าที่) มติที่ประชุมคณะกรรมการเตรียมการต่างๆ เช่น Critical Services ของประเทศไทย และตัวอย่างวิธีการประเมินระดับผลกระทบ เป็นต้น ทั้งนี้ มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังเป็นจํานวนมาก จากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน จํานวนกว่า 150 คน ***********************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขา สดช.รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบรรยายในงาน “CEBIT ASEAN Thailand 2018” วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2561 เลขา สดช.รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมบรรยายในงาน “CEBIT ASEAN Thailand 2018” เลขา สดช.รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; font: 18.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000; min-height: 22.0px} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 10.0px 0.0px; text-align: center; font: 16.0px Helvetica; -webkit-text-stroke: #000000} span.s1 {font-kerning: none} นางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นวิทยากรบรรยาย เรื่อง การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งชาติ ในงาน “CEBIT ASEAN Thailand 2018” ณ ห้อง Phoenix อาคาร 7-8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561 โดยได้บรรยายเนื้อหาเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย ดิจิทัลไทยแลนด์ : แผนงานด้านดิจิทัล ปี 2561, โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล : เน็ตประชารัฐ, ปรับปรุงเคเบิลใยแก้วนําแสงใต้น้ํา การพัฒนาด้านกฎหมายและดิจิทัลไอดี (Digital ID) โดยส่งเสริมกําลังคนด้านดิจิทัล เมืองอัจฉริยะ และรัฐบาลดิจิทัล พร้อมบรรยายเรื่องการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ประกอบด้วย คําสั่งที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการด้านไซเบอร์ (องค์ประกอบคณะกรรมการเตรียมการฯ และอํานาจหน้าที่) มติที่ประชุมคณะกรรมการเตรียมการต่างๆ เช่น Critical Services ของประเทศไทย และตัวอย่างวิธีการประเมินระดับผลกระทบ เป็นต้น ทั้งนี้ มีผู้สนใจเข้าร่วมฟังเป็นจํานวนมาก จากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน จํานวนกว่า 150 คน ***********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16225
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นตัวแทนรับรางวัล “Thailand Zocial Awards 2018”
วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561 รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นตัวแทนรับรางวัล “Thailand Zocial Awards 2018” รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นตัวแทนศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (สายด่วน GCC 1111) ซึ่งดําเนินการโดย บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้รับรางวัลสาขา Best Brand Performance by Pantip ในงาน “Thailand Zocial Awards 2018” โดย บริษัท โธธ โซเชียล จํากัด และ บริษัท วันบิต แมทเทอร์ จํากัด ร่วมกันจัดขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสําคัญของสื่อโซเชียลมีเดียที่เข้ามามีอิทธิพลต่อทุกธุรกิจ รวมถึงความต้องการเชิดชูแบรนด์ เอเจนซี่ และคนบันเทิงที่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีต่อไป เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงละครเคแบงค์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ***********************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นตัวแทนรับรางวัล “Thailand Zocial Awards 2018” วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม 2561 รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นตัวแทนรับรางวัล “Thailand Zocial Awards 2018” รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นตัวแทนศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (สายด่วน GCC 1111) ซึ่งดําเนินการโดย บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลฯ ได้รับรางวัลสาขา Best Brand Performance by Pantip ในงาน “Thailand Zocial Awards 2018” โดย บริษัท โธธ โซเชียล จํากัด และ บริษัท วันบิต แมทเทอร์ จํากัด ร่วมกันจัดขึ้น เนื่องจากเล็งเห็นถึงความสําคัญของสื่อโซเชียลมีเดียที่เข้ามามีอิทธิพลต่อทุกธุรกิจ รวมถึงความต้องการเชิดชูแบรนด์ เอเจนซี่ และคนบันเทิงที่ใช้โซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีต่อไป เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ณ โรงละครเคแบงค์สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ ***********************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10498
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทินส่งทีมแพทย์-พยาบาล รับคนไทยจากเมืองอู่ฮั่น ทุกคนภูมิใจทำหน้าที่เพื่อชาติ
วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 อนุทินส่งทีมแพทย์-พยาบาล รับคนไทยจากเมืองอู่ฮั่น ทุกคนภูมิใจทําหน้าที่เพื่อชาติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมแพทย์ พยาบาล พร้อมลูกเรือเดินทางรับคนไทยจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ทุกคนภูมิใจที่ได้ร่วมปฏิบัติการเพื่อประเทศชาติ คาดเดินทางถึงไทยเย็นวันนี้ จะไปรอรับด้วยตนเอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมแพทย์ พยาบาล พร้อมลูกเรือเดินทางรับคนไทยจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ทุกคนภูมิใจที่ได้ร่วมปฏิบัติการเพื่อประเทศชาติ คาดเดินทางถึงไทยเย็นวันนี้ จะไปรอรับด้วยตนเอง วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังส่งทีมแพทย์ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ว่า วันนี้ได้ส่งทีมแพทย์ พยาบาล เดินทางไปสนับสนุนการทํางานนําคนไทยจากเมืองอู่ฮั่นกลับประเทศไทย จากการพูดคุยกับทีมแพทย์ทุกคน มีความพร้อม สภาพจิตใจ ปกติดีมาก ทุกคนตั้งใจอาสาที่จะไป ดีใจและมีความภูมิใจที่ได้ทําหน้าที่เพื่อประเทศชาติ นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ติดต่อกับทางคนไทยที่อู่ฮั่น ขณะนี้รับทราบว่า มีการเตรียมการพร้อมที่จะนําคนไทยกลับบ้าน โดยก่อนเดินทางทุกคนจะได้รับการตรวจคัดกรองหากมีไข้จะยังไม่อนุญาตให้ขึ้นเครื่อง และระหว่างอยู่บนเครื่อง จะมีการวัดไข้ อีก 3 ครั้ง และหลังลงจากเครื่องบินแล้วจะรับตัวคนไทยทั้งหมดไปยังสถานที่ที่ได้จัดเตรียมไว้ เพื่อเฝ้าระวังโรคต่อเนื่องอีก 14 วัน ขอให้คนไทยในประเทศมั่นใจทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐาน ของการควบคุมโรค “ทุกภาคส่วนได้มีการเตรียมพร้อมหลังจากที่ได้รับฟังแผนการปฏิบัติและรับชมสาธิตการปฏิบัติขั้นตอนการลําเลียง รู้สึกมั่นใจในการปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งเย็นวันนี้จะเดินทางไปรับด้วยตนเอง คนไทยทางโน้นก็คิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารไทย เพราะต้องอยู่ในสภาพที่ถูกจํากัด ถ้าเป็นไปได้จะพยายามจัดเตรียมอาหาร เตรียมอุปกรณ์สื่อสารให้ผู้เดินทางและญาติได้พูดคุยกันเพื่อคลายความคิดถึง” ทั้งนี้ ได้รับการติดต่อจากสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ อาสาที่จะรับคนไทยที่อาจยังตกค้างและต้องการจะกลับประเทศไทย ในเมืองที่มีเส้นทางบิน ช่วงระหว่างวันที่ 5 – 8 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งน่าชื่นชมและจะมีการแถลงรายละเอียดอีกครั้ง ในส่วนทีมที่ไปรับกลับทุกคน ทั้งเจ้าหน้าที่และลูกเรือ จะต้องรับตัวไว้ เฝ้าสังเกตอาการ เป็นเวลา 14 วัน เช่นเดียวกัน ส่วนเครื่องบินจะต้องทําความสะอาดตามมาตรฐานของสายการบิน ***************************** 4 กุมภาพันธ์ 2563 ***************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทินส่งทีมแพทย์-พยาบาล รับคนไทยจากเมืองอู่ฮั่น ทุกคนภูมิใจทำหน้าที่เพื่อชาติ วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 อนุทินส่งทีมแพทย์-พยาบาล รับคนไทยจากเมืองอู่ฮั่น ทุกคนภูมิใจทําหน้าที่เพื่อชาติ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมแพทย์ พยาบาล พร้อมลูกเรือเดินทางรับคนไทยจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ทุกคนภูมิใจที่ได้ร่วมปฏิบัติการเพื่อประเทศชาติ คาดเดินทางถึงไทยเย็นวันนี้ จะไปรอรับด้วยตนเอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมแพทย์ พยาบาล พร้อมลูกเรือเดินทางรับคนไทยจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ทุกคนภูมิใจที่ได้ร่วมปฏิบัติการเพื่อประเทศชาติ คาดเดินทางถึงไทยเย็นวันนี้ จะไปรอรับด้วยตนเอง วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังส่งทีมแพทย์ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ว่า วันนี้ได้ส่งทีมแพทย์ พยาบาล เดินทางไปสนับสนุนการทํางานนําคนไทยจากเมืองอู่ฮั่นกลับประเทศไทย จากการพูดคุยกับทีมแพทย์ทุกคน มีความพร้อม สภาพจิตใจ ปกติดีมาก ทุกคนตั้งใจอาสาที่จะไป ดีใจและมีความภูมิใจที่ได้ทําหน้าที่เพื่อประเทศชาติ นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ติดต่อกับทางคนไทยที่อู่ฮั่น ขณะนี้รับทราบว่า มีการเตรียมการพร้อมที่จะนําคนไทยกลับบ้าน โดยก่อนเดินทางทุกคนจะได้รับการตรวจคัดกรองหากมีไข้จะยังไม่อนุญาตให้ขึ้นเครื่อง และระหว่างอยู่บนเครื่อง จะมีการวัดไข้ อีก 3 ครั้ง และหลังลงจากเครื่องบินแล้วจะรับตัวคนไทยทั้งหมดไปยังสถานที่ที่ได้จัดเตรียมไว้ เพื่อเฝ้าระวังโรคต่อเนื่องอีก 14 วัน ขอให้คนไทยในประเทศมั่นใจทุกอย่างเป็นไปตามมาตรฐาน ของการควบคุมโรค “ทุกภาคส่วนได้มีการเตรียมพร้อมหลังจากที่ได้รับฟังแผนการปฏิบัติและรับชมสาธิตการปฏิบัติขั้นตอนการลําเลียง รู้สึกมั่นใจในการปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งเย็นวันนี้จะเดินทางไปรับด้วยตนเอง คนไทยทางโน้นก็คิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารไทย เพราะต้องอยู่ในสภาพที่ถูกจํากัด ถ้าเป็นไปได้จะพยายามจัดเตรียมอาหาร เตรียมอุปกรณ์สื่อสารให้ผู้เดินทางและญาติได้พูดคุยกันเพื่อคลายความคิดถึง” ทั้งนี้ ได้รับการติดต่อจากสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ อาสาที่จะรับคนไทยที่อาจยังตกค้างและต้องการจะกลับประเทศไทย ในเมืองที่มีเส้นทางบิน ช่วงระหว่างวันที่ 5 – 8 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งน่าชื่นชมและจะมีการแถลงรายละเอียดอีกครั้ง ในส่วนทีมที่ไปรับกลับทุกคน ทั้งเจ้าหน้าที่และลูกเรือ จะต้องรับตัวไว้ เฝ้าสังเกตอาการ เป็นเวลา 14 วัน เช่นเดียวกัน ส่วนเครื่องบินจะต้องทําความสะอาดตามมาตรฐานของสายการบิน ***************************** 4 กุมภาพันธ์ 2563 ***************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26277
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจงแนวทางการเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย “อาสาสมัคร” ในงานสาธารณภัยย้ำต้องมีคำสั่งใช้ และถือปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด
วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2560 มหาดไทยแจงแนวทางการเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย “อาสาสมัคร” ในงานสาธารณภัยย้ําต้องมีคําสั่งใช้ และถือปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด มหาดไทยแจงแนวทางการเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย “อาสาสมัคร” ในงานสาธารณภัยย้ําต้องมีคําสั่งใช้ และถือปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด วันนี้ (12 มิ.ย. 60) นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภช.) ได้เห็นความสําคัญของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ในการสั่งใช้และให้มีการเบิกค่าใช้จ่ายให้แก่อาสาสมัครในการปฏิบัติงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย จึงได้เสนอ กปภช. ใช้อํานาจตามบทบัญญัติในมาตรา 7 (5) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ออกระเบียบคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติว่าด้วยค่าใช้จ่ายของอาสาสมัครในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2560 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ถือปฏิบัติในการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามกฎหมายกําหนด ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการเบิกค่าใช้จ่ายให้แก่อาสาสมัครกรณีมีคําสั่งใช้ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องมีระเบียบรองรับในการดําเนินการ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะศูนย์ อปพร.กลาง ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทําร่างระเบียบคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติว่าด้วยค่าใช้จ่ายของอาสาสมัครในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขึ้น เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติในการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามกฎหมายกําหนด และเป็นค่าป่วยการชดเชยการงานหรือเวลาที่เสียไป เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งขณะนี้ ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติว่าด้วยค่าใช้จ่ายของอาสาสมัครในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2560 ได้ผ่านความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และลงประกาศในราชกิจจานุเบิกษา เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนด 60 วัน นับแต่วันประกาศ โดยมีสาระสําคัญ คือ1) กําหนดคํานิยามสําคัญเช่น คําว่า “ค่าใช้จ่าย”หมายความว่า เงินที่มอบให้แก่อาสาสมัครเพื่อเป็นค่าป่วยการชดเชยการงานหรือเวลาที่เสียไป เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย“อาสาสมัคร”หมายความว่า อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยกิจการอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน พ.ศ.2553“การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย”หมายความว่า การปฏิบัติการตามอํานาจหน้าที่ที่กําหนดในพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยกิจการอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน พ.ศ.2553 และตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานครแผนปฏิบัติการในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น2) ผู้มีอํานาจสั่งใช้อาสาสมัครในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้แก่ผู้อํานวยการ ประกอบด้วย ผู้อํานวยการท้องถิ่น ผู้อํานวยการอําเภอ ผู้อํานวยการจังหวัดผู้อํานวยการกรุงเทพมหานคร และผู้อํานวยการกลาง (อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ผู้บัญชาการ(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) และ นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย3) ค่าใช้จ่ายตอบแทนในการปฏิบัติงานดังนี้ กรณีการปฏิบัติหน้าที่ไม่เกิน 4 ชั่วโมง ให้ได้รับค่าใช้จ่าย จํานวน 100 บาทกรณีการปฏิบัติหน้าที่เกิน 4 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 8 ชั่วโมง ให้ได้รับค่าใช้จ่าย จํานวน 200 บาทกรณีการปฏิบัติหน้าที่เกิน 8 ชั่วโมงขึ้นไป ให้ได้รับค่าใช้จ่าย จํานวน 300 บาท และ4) หน่วยงานที่รับผิดชอบเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งนี้โดยมีอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอํานาจตีความและวินิจฉัยปัญหา กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเพื่อดําเนินการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับการปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติดังกล่าว ได้กําหนดให้มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีเวลาเตรียมการเพื่อบังคับใช้ระเบียบฯ นี้ ได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และ กรุงเทพมหานคร เพื่อเตรียมการออกข้อบัญญัติ ข้อระเบียบ หลักเกณฑ์วิธีการต่างๆ เพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามระเบียบนี้. ครั้งที่ 86/2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทยแจงแนวทางการเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย “อาสาสมัคร” ในงานสาธารณภัยย้ำต้องมีคำสั่งใช้ และถือปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน 2560 มหาดไทยแจงแนวทางการเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย “อาสาสมัคร” ในงานสาธารณภัยย้ําต้องมีคําสั่งใช้ และถือปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด มหาดไทยแจงแนวทางการเบิกจ่ายค่าใช้จ่าย “อาสาสมัคร” ในงานสาธารณภัยย้ําต้องมีคําสั่งใช้ และถือปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด วันนี้ (12 มิ.ย. 60) นายชยพล ธิติศักดิ์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภช.) ได้เห็นความสําคัญของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ในการสั่งใช้และให้มีการเบิกค่าใช้จ่ายให้แก่อาสาสมัครในการปฏิบัติงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย จึงได้เสนอ กปภช. ใช้อํานาจตามบทบัญญัติในมาตรา 7 (5) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ออกระเบียบคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติว่าด้วยค่าใช้จ่ายของอาสาสมัครในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2560 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ถือปฏิบัติในการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามกฎหมายกําหนด ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการเบิกค่าใช้จ่ายให้แก่อาสาสมัครกรณีมีคําสั่งใช้ ให้เป็นไปอย่างถูกต้องมีระเบียบรองรับในการดําเนินการ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ในฐานะศูนย์ อปพร.กลาง ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทําร่างระเบียบคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติว่าด้วยค่าใช้จ่ายของอาสาสมัครในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขึ้น เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติในการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามกฎหมายกําหนด และเป็นค่าป่วยการชดเชยการงานหรือเวลาที่เสียไป เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งขณะนี้ ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติว่าด้วยค่าใช้จ่ายของอาสาสมัครในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2560 ได้ผ่านความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และลงประกาศในราชกิจจานุเบิกษา เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนด 60 วัน นับแต่วันประกาศ โดยมีสาระสําคัญ คือ1) กําหนดคํานิยามสําคัญเช่น คําว่า “ค่าใช้จ่าย”หมายความว่า เงินที่มอบให้แก่อาสาสมัครเพื่อเป็นค่าป่วยการชดเชยการงานหรือเวลาที่เสียไป เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย“อาสาสมัคร”หมายความว่า อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยกิจการอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน พ.ศ.2553“การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย”หมายความว่า การปฏิบัติการตามอํานาจหน้าที่ที่กําหนดในพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยกิจการอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน พ.ศ.2553 และตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานครแผนปฏิบัติการในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น2) ผู้มีอํานาจสั่งใช้อาสาสมัครในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้แก่ผู้อํานวยการ ประกอบด้วย ผู้อํานวยการท้องถิ่น ผู้อํานวยการอําเภอ ผู้อํานวยการจังหวัดผู้อํานวยการกรุงเทพมหานคร และผู้อํานวยการกลาง (อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ผู้บัญชาการ(รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย) และ นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย3) ค่าใช้จ่ายตอบแทนในการปฏิบัติงานดังนี้ กรณีการปฏิบัติหน้าที่ไม่เกิน 4 ชั่วโมง ให้ได้รับค่าใช้จ่าย จํานวน 100 บาทกรณีการปฏิบัติหน้าที่เกิน 4 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 8 ชั่วโมง ให้ได้รับค่าใช้จ่าย จํานวน 200 บาทกรณีการปฏิบัติหน้าที่เกิน 8 ชั่วโมงขึ้นไป ให้ได้รับค่าใช้จ่าย จํานวน 300 บาท และ4) หน่วยงานที่รับผิดชอบเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งนี้โดยมีอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นผู้รักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอํานาจตีความและวินิจฉัยปัญหา กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเพื่อดําเนินการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่าสําหรับการปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติดังกล่าว ได้กําหนดให้มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกําหนดหกสิบวันนับแต่วันประกาศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีเวลาเตรียมการเพื่อบังคับใช้ระเบียบฯ นี้ ได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และ กรุงเทพมหานคร เพื่อเตรียมการออกข้อบัญญัติ ข้อระเบียบ หลักเกณฑ์วิธีการต่างๆ เพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามระเบียบนี้. ครั้งที่ 86/2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4456
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ประกาศ มาตรการพึงปฏิบัติการจัดการระบบขนส่งทางราง ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 [กระทรวงคมนาคม]
วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 กรมการขนส่งทางราง ประกาศ มาตรการพึงปฏิบัติการจัดการระบบขนส่งทางราง ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 [กระทรวงคมนาคม] กรมการขนส่งทางราง ประกาศ มาตรการพึงปฏิบัติการจัดการระบบขนส่งทางราง ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกาศกรมการขนส่งทางราง เรื่อง มาตรการพึงปฏิบัติการจัดการระบบขนส่งทางราง ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ ทั่วราชอาณาจักรเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID - 19) (ฉบับที่ ๔) ตามที่รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๓ และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศดังกล่าวออกไปจนถึง ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกําหนดเป็นการทั่วไปและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลาย (ฉบับที่ ๗) ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เพื่อผ่อนคลายการบังคับใช้บางมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 เพิ่มเติมจากที่เคยผ่อนคลายไว้แล้วเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน ภายใต้เงื่อนไขว่ายังคงให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคและคําแนะนําของทางราชการต่อไปโดยเคร่งครัด และห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา ๒๓.๐๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๐๔.๐๐ นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น กรมการขนส่งทางรางจึงประกาศมาตรการพึงปฏิบัติ การจัดการระบบขนส่งทางราง เพื่อขอความร่วมมือผู้ให้บริการระบบขนส่งทางราง ทั้งรถไฟและรถไฟฟ้าปฏิบัติเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ ​ ข้อ ๑​ ดําเนินการเปิดให้บริการให้สอดคล้องตามข้อกําหนดโดยสมควรเปิดให้บริการเดินระบบรถไฟและรถไฟฟ้า ระหว่างวันภายหลังเวลา ๐๔.๐๐ นาฬิกา โดยปิดให้บริการ ณ สถานีปลายทางในเวลา ๒๒.๓๐ นาฬิกา โดยประมาณ เพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทางของผู้โดยสารให้สามารถกลับถึงเคหสถานก่อนเวลา ๒๓.๐๐ น. ​ ข้อ ๒​ บริหารจัดการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารให้เพียงพอสอดคล้องกับปริมาณความต้องการเดินทางในแต่ละวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้าและเย็น ควบคู่กับการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ภายในสถานีและในขบวนรถอย่างเคร่งครัด ​ ข้อ ๓​ เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาสภาพรถ สภาพทาง และอุปกรณ์ เพื่อมิให้เกิดความขัดข้องในการบริการและให้มีแผนปฏิบัติการรองรับกรณีเกิดเหตุขัดข้องหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมทั้งประสานแจ้งกรมการขนส่งทางรางทันที เพื่อบูรณาการการดําเนินงานได้อย่างรวดเร็วทันการณ์ ​ ข้อ ๔​ เพิ่มช่องทางในการประชาสัมพันธ์ข้อพึงปฏิบัติสําหรับผู้โดยสาร และแจ้งให้ทราบ กรณีมีเหตุขัดข้องหรือสถานการณ์ฉุกเฉินอันก่อให้เกิดความล่าช้าหรือความไม่สะดวกในการใช้บริการ เพื่อประกอบการวางแผนการเดินทางและการเผื่อเวลาในการเดินทาง ​ ข้อ ๕​ เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันและเฝ้าระวังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID - 19) ของผู้ปฏิบัติงานภายในสถานีและขบวนรถที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้โดยสารจํานวนมาก จะต้องสวมหน้ากากอนามัยถุงมือ หรืออุปกรณ์ป้องกันตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งจัดทําทะเบียนข้อมูลผู้ปฏิบัติงานในแต่ละวันและช่วงเวลา สําหรับกรณีจําเป็นต้องมีการสอบสวนโรค ​ทั้งนี้ การดําเนินการให้ถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID - 19) จะคลี่คลายหรือมีประกาศเปลี่ยนแปลง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางราง ประกาศ มาตรการพึงปฏิบัติการจัดการระบบขนส่งทางราง ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 [กระทรวงคมนาคม] วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 กรมการขนส่งทางราง ประกาศ มาตรการพึงปฏิบัติการจัดการระบบขนส่งทางราง ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 [กระทรวงคมนาคม] กรมการขนส่งทางราง ประกาศ มาตรการพึงปฏิบัติการจัดการระบบขนส่งทางราง ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกาศกรมการขนส่งทางราง เรื่อง มาตรการพึงปฏิบัติการจัดการระบบขนส่งทางราง ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ ทั่วราชอาณาจักรเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID - 19) (ฉบับที่ ๔) ตามที่รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๓ และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศดังกล่าวออกไปจนถึง ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกําหนดเป็นการทั่วไปและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลาย (ฉบับที่ ๗) ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เพื่อผ่อนคลายการบังคับใช้บางมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 เพิ่มเติมจากที่เคยผ่อนคลายไว้แล้วเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน ภายใต้เงื่อนไขว่ายังคงให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคและคําแนะนําของทางราชการต่อไปโดยเคร่งครัด และห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา ๒๓.๐๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๐๔.๐๐ นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น กรมการขนส่งทางรางจึงประกาศมาตรการพึงปฏิบัติ การจัดการระบบขนส่งทางราง เพื่อขอความร่วมมือผู้ให้บริการระบบขนส่งทางราง ทั้งรถไฟและรถไฟฟ้าปฏิบัติเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้ ​ ข้อ ๑​ ดําเนินการเปิดให้บริการให้สอดคล้องตามข้อกําหนดโดยสมควรเปิดให้บริการเดินระบบรถไฟและรถไฟฟ้า ระหว่างวันภายหลังเวลา ๐๔.๐๐ นาฬิกา โดยปิดให้บริการ ณ สถานีปลายทางในเวลา ๒๒.๓๐ นาฬิกา โดยประมาณ เพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทางของผู้โดยสารให้สามารถกลับถึงเคหสถานก่อนเวลา ๒๓.๐๐ น. ​ ข้อ ๒​ บริหารจัดการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารให้เพียงพอสอดคล้องกับปริมาณความต้องการเดินทางในแต่ละวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนเช้าและเย็น ควบคู่กับการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ภายในสถานีและในขบวนรถอย่างเคร่งครัด ​ ข้อ ๓​ เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาสภาพรถ สภาพทาง และอุปกรณ์ เพื่อมิให้เกิดความขัดข้องในการบริการและให้มีแผนปฏิบัติการรองรับกรณีเกิดเหตุขัดข้องหรือสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมทั้งประสานแจ้งกรมการขนส่งทางรางทันที เพื่อบูรณาการการดําเนินงานได้อย่างรวดเร็วทันการณ์ ​ ข้อ ๔​ เพิ่มช่องทางในการประชาสัมพันธ์ข้อพึงปฏิบัติสําหรับผู้โดยสาร และแจ้งให้ทราบ กรณีมีเหตุขัดข้องหรือสถานการณ์ฉุกเฉินอันก่อให้เกิดความล่าช้าหรือความไม่สะดวกในการใช้บริการ เพื่อประกอบการวางแผนการเดินทางและการเผื่อเวลาในการเดินทาง ​ ข้อ ๕​ เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันและเฝ้าระวังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID - 19) ของผู้ปฏิบัติงานภายในสถานีและขบวนรถที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้โดยสารจํานวนมาก จะต้องสวมหน้ากากอนามัยถุงมือ หรืออุปกรณ์ป้องกันตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งจัดทําทะเบียนข้อมูลผู้ปฏิบัติงานในแต่ละวันและช่วงเวลา สําหรับกรณีจําเป็นต้องมีการสอบสวนโรค ​ทั้งนี้ การดําเนินการให้ถือปฏิบัติตั้งแต่วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID - 19) จะคลี่คลายหรือมีประกาศเปลี่ยนแปลง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30952
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุฬาลงกรณ์ฯ -ปขมท.จัดประชุมวิชาการ "Thailand 4.0 กับอุดมศึกษาไทย"
วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 จุฬาลงกรณ์ฯ -ปขมท.จัดประชุมวิชาการ "Thailand 4.0 กับอุดมศึกษาไทย" หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ ปขมท. ประจําปี 2560 และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาการศึกษา" จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับที่ประชุมสภาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปขมท.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการ ปขมท. ประจําปี 2560 ภายใต้หัวข้อ "Thailand 4.0 กับอุดมศึกษาไทย" ระหว่างวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2560 ณ โรงแรมเอเชีย เขตราชเทวี กรุงเทพฯ เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษาเข้าใจบทบาทกับเป้าหมายมหาวิทยาลัย 4.0 และกําหนดทิศทางที่สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 รวมทั้งเป็นเวทีเชิดชูเกียรติผู้ได้รับรางวัลบุคลากรสายสนับสนุนผู้มีผลงานดีเด่น ปขมท. ประจําปี 2559 เมื่อวันพฤหัสบดีที่25พฤษภาคม2560ณโรงแรมเอเชียหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ ปขมท. ประจําปี 2560และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาการศึกษา" พร้อมทั้งเป็นประธานในพิธีมอบเข็มรางวัลและเกียรติบัตรแก่บุคลากรสายสนับสนุนผู้มีผลงานดีเด่น ปขมท.ประจําปี 2559 ม.ล.ปนัดดากล่าวตอนหนึ่งว่า ความดีงามของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ยังคงสถิตเสถียรอยู่ในดวงจิต และคงอยู่ในใจเราทุกคน แม้จะเป็นช่วงเวลาอีก 50 หรือ 100 ปีข้างหน้าก็ตาม ก็ยังเชื่อว่าในช่วงเวลานั้นยังมีผู้คนพูดถึงพระองค์ ดั่งเช่นในเวลานี้ที่เราคนไทยยังกล่าวถึงในหลวงรัชกาลที่ 5 และในหลวงรัชกาลที่ 6 ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงมีพระราชดําริและพระราชกระแสรับสั่งมากมายในด้านการศึกษา รวมทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเจ้าภาพที่จัดการประชุมในปีนี้อีกด้วย ดังนั้น หากเรายึดมั่นในคําสอนตามศาสตร์พระราชา ก็เชื่อมั่นว่าเราจะตกน้ําไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นเยาวชน คนดีของประเทศชาติสืบไป นอกจากนี้ ฝากให้พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก ๆและช่วยกันเตรียมความพร้อมและความดีให้เกิดขึ้นในตัวลูกหลานของตน เพื่อที่จะเติบโตเป็นคนที่ดีของสังคม อย่าปล่อยปละละเลยให้เป็นเรื่องของครูหรือโรงเรียนที่จะอบรมสั่งสอนแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น อีกเรื่องที่ฝากไว้คือ การใช้ Social Mediaขอให้เราช่วยกลั่นกรองความคิดในเรื่องสร้างสรรค์ที่กลั่นออกมาจากในใจเรา ก่อนที่จะโพสต์หรือแชร์อะไรออกมา ดังนั้น สิ่งสําคัญที่อยากให้โรงเรียนให้ความสําคัญคือ "ชั่วโมงโฮมรูม"ในตอนเช้า ๆ ซึ่งครูจะใช้เวลาเพียง 15-20 นาทีต่อวันเท่านั้นในการพบปะพูดคุยแนะนํากับเด็กนักเรียน เพราะระยะหลังทราบว่ากิจกรรมโฮมรูมต่างลดน้อยหรือเลือนหายไปในหลาย ๆ โรงเรียน ซึ่งกิจกรรมโฮมรูมจะช่วยแนะนําเด็กในเรื่องต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เด็กฝึกฝนการ "ย่อความ" ประจําวันส่งครู เพราะการย่อความบ่อย ๆ จะทําให้เด็กได้ฝึกฝนเรียนรู้หลายด้าน ทั้งการใช้ภาษา การเขียน ตัวสะกด ประเด็นเนื้อหาสาระ อันเป็นพื้นฐานที่สําคัญอย่างมากต่อการเรียนของเด็กต่อไปในอนาคต ม.ล.ปนัดดา กล่าวด้วยว่า การที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ปขมท. ร่วมจัดการประชุมวิชาการในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างมาก เพราะนอกจากเนื้อหาและกิจกรรมในการประชุมจะส่งเสริมให้สถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเป็น "สถานศึกษาคุณธรรม" แล้ว ยังมีเรื่องของวิทยาการสมัยใหม่เกี่ยวกับการเป็น "มหาวิทยาลัย 4.0" ที่จะทําให้เด็กที่จบออกไปมีคุณภาพและคุณธรรม เพราะหากเด็กที่จบออกไปเก่งและดีจริง เพราะตามข้อเท็จจริงที่ทราบมา แม้จะยังเรียนไม่จบก็จะถูกบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ แย่งจองตัวกันไว้ก่อนแล้ว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จุฬาลงกรณ์ฯ -ปขมท.จัดประชุมวิชาการ "Thailand 4.0 กับอุดมศึกษาไทย" วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 จุฬาลงกรณ์ฯ -ปขมท.จัดประชุมวิชาการ "Thailand 4.0 กับอุดมศึกษาไทย" หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ ปขมท. ประจําปี 2560 และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาการศึกษา" จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับที่ประชุมสภาข้าราชการ พนักงาน และลูกจ้างมหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย (ปขมท.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมวิชาการ ปขมท. ประจําปี 2560 ภายใต้หัวข้อ "Thailand 4.0 กับอุดมศึกษาไทย" ระหว่างวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2560 ณ โรงแรมเอเชีย เขตราชเทวี กรุงเทพฯ เพื่อให้บุคลากรทางการศึกษาเข้าใจบทบาทกับเป้าหมายมหาวิทยาลัย 4.0 และกําหนดทิศทางที่สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 รวมทั้งเป็นเวทีเชิดชูเกียรติผู้ได้รับรางวัลบุคลากรสายสนับสนุนผู้มีผลงานดีเด่น ปขมท. ประจําปี 2559 เมื่อวันพฤหัสบดีที่25พฤษภาคม2560ณโรงแรมเอเชียหม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมวิชาการ ปขมท. ประจําปี 2560และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "ศาสตร์พระราชากับการพัฒนาการศึกษา" พร้อมทั้งเป็นประธานในพิธีมอบเข็มรางวัลและเกียรติบัตรแก่บุคลากรสายสนับสนุนผู้มีผลงานดีเด่น ปขมท.ประจําปี 2559 ม.ล.ปนัดดากล่าวตอนหนึ่งว่า ความดีงามของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ยังคงสถิตเสถียรอยู่ในดวงจิต และคงอยู่ในใจเราทุกคน แม้จะเป็นช่วงเวลาอีก 50 หรือ 100 ปีข้างหน้าก็ตาม ก็ยังเชื่อว่าในช่วงเวลานั้นยังมีผู้คนพูดถึงพระองค์ ดั่งเช่นในเวลานี้ที่เราคนไทยยังกล่าวถึงในหลวงรัชกาลที่ 5 และในหลวงรัชกาลที่ 6 ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงมีพระราชดําริและพระราชกระแสรับสั่งมากมายในด้านการศึกษา รวมทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเจ้าภาพที่จัดการประชุมในปีนี้อีกด้วย ดังนั้น หากเรายึดมั่นในคําสอนตามศาสตร์พระราชา ก็เชื่อมั่นว่าเราจะตกน้ําไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นเยาวชน คนดีของประเทศชาติสืบไป นอกจากนี้ ฝากให้พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก ๆและช่วยกันเตรียมความพร้อมและความดีให้เกิดขึ้นในตัวลูกหลานของตน เพื่อที่จะเติบโตเป็นคนที่ดีของสังคม อย่าปล่อยปละละเลยให้เป็นเรื่องของครูหรือโรงเรียนที่จะอบรมสั่งสอนแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น อีกเรื่องที่ฝากไว้คือ การใช้ Social Mediaขอให้เราช่วยกลั่นกรองความคิดในเรื่องสร้างสรรค์ที่กลั่นออกมาจากในใจเรา ก่อนที่จะโพสต์หรือแชร์อะไรออกมา ดังนั้น สิ่งสําคัญที่อยากให้โรงเรียนให้ความสําคัญคือ "ชั่วโมงโฮมรูม"ในตอนเช้า ๆ ซึ่งครูจะใช้เวลาเพียง 15-20 นาทีต่อวันเท่านั้นในการพบปะพูดคุยแนะนํากับเด็กนักเรียน เพราะระยะหลังทราบว่ากิจกรรมโฮมรูมต่างลดน้อยหรือเลือนหายไปในหลาย ๆ โรงเรียน ซึ่งกิจกรรมโฮมรูมจะช่วยแนะนําเด็กในเรื่องต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้เด็กฝึกฝนการ "ย่อความ" ประจําวันส่งครู เพราะการย่อความบ่อย ๆ จะทําให้เด็กได้ฝึกฝนเรียนรู้หลายด้าน ทั้งการใช้ภาษา การเขียน ตัวสะกด ประเด็นเนื้อหาสาระ อันเป็นพื้นฐานที่สําคัญอย่างมากต่อการเรียนของเด็กต่อไปในอนาคต ม.ล.ปนัดดา กล่าวด้วยว่า การที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ปขมท. ร่วมจัดการประชุมวิชาการในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างมาก เพราะนอกจากเนื้อหาและกิจกรรมในการประชุมจะส่งเสริมให้สถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเป็น "สถานศึกษาคุณธรรม" แล้ว ยังมีเรื่องของวิทยาการสมัยใหม่เกี่ยวกับการเป็น "มหาวิทยาลัย 4.0" ที่จะทําให้เด็กที่จบออกไปมีคุณภาพและคุณธรรม เพราะหากเด็กที่จบออกไปเก่งและดีจริง เพราะตามข้อเท็จจริงที่ทราบมา แม้จะยังเรียนไม่จบก็จะถูกบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ แย่งจองตัวกันไว้ก่อนแล้ว
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4037
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กระทรวงยุติธรรม” ขับเคลื่อนนโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562 “กระทรวงยุติธรรม” ขับเคลื่อนนโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการอํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ ในวันจันทร์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการอํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เพื่อให้ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ยาเสพติด และผลการดําเนินงาน ป้องกัน ปราบปราม และบําบัดรักษายาเสพติด ปี ๒๕๖๒ โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทําหน้าที่กรรมการและเลขานุการ ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย คณะกรรมการอํานวยการ ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ศอ.ปส.) และผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เห็นชอบในแนวทางการดําเนินการ ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ประจําปี ๒๕๖๓ และขอให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด นําข้อสังเกต ข้อแนะนํา ของคณะกรรมการอํานวยการ ศอ.ปส. เพื่อไปประกอบการดําเนินการให้สมบูรณ์ เป็นรูปธรรม โดยให้ทุกหน่วยงานในที่ประชุมถือปฏิบัติตามมติที่ประชุม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กระทรวงยุติธรรม” ขับเคลื่อนนโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562 “กระทรวงยุติธรรม” ขับเคลื่อนนโยบายการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการอํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ ในวันจันทร์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมกระทรวงยุติธรรม ๑ ชั้น ๙ อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการอํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เพื่อให้ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ยาเสพติด และผลการดําเนินงาน ป้องกัน ปราบปราม และบําบัดรักษายาเสพติด ปี ๒๕๖๒ โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทําหน้าที่กรรมการและเลขานุการ ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย คณะกรรมการอํานวยการ ศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ศอ.ปส.) และผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร สํานักงานตํารวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เห็นชอบในแนวทางการดําเนินการ ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ประจําปี ๒๕๖๓ และขอให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด นําข้อสังเกต ข้อแนะนํา ของคณะกรรมการอํานวยการ ศอ.ปส. เพื่อไปประกอบการดําเนินการให้สมบูรณ์ เป็นรูปธรรม โดยให้ทุกหน่วยงานในที่ประชุมถือปฏิบัติตามมติที่ประชุม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24121
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการ คปภ. เตือน..! อย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อเลขาธิการ คปภ. และ สำนักงาน คปภ. ติดต่อทำธุรกรรมการลงทุนทางอินเตอร์เน็ต
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563 เลขาธิการ คปภ. เตือน..! อย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อเลขาธิการ คปภ. และ สํานักงาน คปภ. ติดต่อทําธุรกรรมการลงทุนทางอินเตอร์เน็ต • สั่งการให้ดําเนินการตามกฎหมายต่อกลุ่มมิจฉาชีพในทุกกรณีความผิด ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ด้วยมีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างใช้ชื่อสํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย โดยการสร้างอีเมล์ปลอมชื่อ Suthiphon Thaveechaiyagarn suthiphon@oicofficial.com เว็บไซต์ปลอมชื่อ www.oicofficial.com และแอบอ้างใช้ชื่อ Dr. Suthiphon Thaveechaiyagarn ตําแหน่ง Secretary-General of OIC Risk Compliance Manager ในการหลอกลวงเพื่อเสนอขายผลิตภัณฑ์การลงทุนใน “Bond” ที่รับรองและรับประกันผลประโยชน์จากการลงทุนและปลอมแปลงเอกสาร ในนามของสํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สํานักงาน คปภ.) ซึ่งการกระทําดังกล่าว ทําให้ประชาชนหลงผิด ด้วยหวังจะสร้างความน่าเชื่อถือในการหลอกลวงให้ลงทุน เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า สํานักงาน คปภ. เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริม กํากับดูแลและคุ้มครองสิทธิของประชาชนด้านการประกันภัย มิได้เป็นหน่วยงานที่แสวงหาผลกําไร จึงไม่มีบทบาทหน้าที่ในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ได้สั่งการให้สายกฎหมายและคดี ดําเนินคดีร้องทุกข์กล่าวโทษและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดําเนินการทางกฎหมายต่อกลุ่มมิจฉาชีพในทุกกรณีความผิด ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ การกระทําผิดของกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว หากได้รับการติดต่อเพื่อเสนอขายผลิตภัณฑ์ใด ๆ โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สํานักงาน คปภ. ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ อีเมล์ หรือช่องทางใด ๆ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นการหลอกลวงประชาชน และขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลไปยังสํานักงาน คปภ. โดยตรง ผ่านสายด่วน คปภ. 1186
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขาธิการ คปภ. เตือน..! อย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อเลขาธิการ คปภ. และ สำนักงาน คปภ. ติดต่อทำธุรกรรมการลงทุนทางอินเตอร์เน็ต วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม 2563 เลขาธิการ คปภ. เตือน..! อย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อเลขาธิการ คปภ. และ สํานักงาน คปภ. ติดต่อทําธุรกรรมการลงทุนทางอินเตอร์เน็ต • สั่งการให้ดําเนินการตามกฎหมายต่อกลุ่มมิจฉาชีพในทุกกรณีความผิด ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ด้วยมีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างใช้ชื่อสํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย โดยการสร้างอีเมล์ปลอมชื่อ Suthiphon Thaveechaiyagarn suthiphon@oicofficial.com เว็บไซต์ปลอมชื่อ www.oicofficial.com และแอบอ้างใช้ชื่อ Dr. Suthiphon Thaveechaiyagarn ตําแหน่ง Secretary-General of OIC Risk Compliance Manager ในการหลอกลวงเพื่อเสนอขายผลิตภัณฑ์การลงทุนใน “Bond” ที่รับรองและรับประกันผลประโยชน์จากการลงทุนและปลอมแปลงเอกสาร ในนามของสํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สํานักงาน คปภ.) ซึ่งการกระทําดังกล่าว ทําให้ประชาชนหลงผิด ด้วยหวังจะสร้างความน่าเชื่อถือในการหลอกลวงให้ลงทุน เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า สํานักงาน คปภ. เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีบทบาทหน้าที่ในการส่งเสริม กํากับดูแลและคุ้มครองสิทธิของประชาชนด้านการประกันภัย มิได้เป็นหน่วยงานที่แสวงหาผลกําไร จึงไม่มีบทบาทหน้าที่ในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ได้สั่งการให้สายกฎหมายและคดี ดําเนินคดีร้องทุกข์กล่าวโทษและแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดําเนินการทางกฎหมายต่อกลุ่มมิจฉาชีพในทุกกรณีความผิด ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ การกระทําผิดของกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว หากได้รับการติดต่อเพื่อเสนอขายผลิตภัณฑ์ใด ๆ โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สํานักงาน คปภ. ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์ อีเมล์ หรือช่องทางใด ๆ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นการหลอกลวงประชาชน และขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงของข้อมูลไปยังสํานักงาน คปภ. โดยตรง ผ่านสายด่วน คปภ. 1186
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34026
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่างประกาศสธ. ให้วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (XDR-TB) เป็นโรคติดต่ออันตราย
วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2560 คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่างประกาศสธ. ให้วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (XDR-TB) เป็นโรคติดต่ออันตราย คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการที่สําคัญของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. ... ให้วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก(XDR-TB)เป็นโรคติดต่ออันตราย ภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่3/2560และให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการที่สําคัญของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่2) พ.ศ. ... ให้วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก(XDR-TB)เป็นโรคติดต่ออันตราย ภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558โดยมอบให้กรมควบคุมโรค นําข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปปรับปรุงแนวทางการปฏิบัติงานรองรับเมื่อประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ นายแพทย์ธวัช กล่าวต่อว่า การประกาศให้วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (XDR-TB) เป็นโรคติดต่ออันตราย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยโรคนี้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างถูกต้องครบถ้วนตามมาตรฐานสากล รวมถึงการนําผู้สัมผัสโรค มารับการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยอย่างรวดเร็ว และเข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาลได้ทันที โดยการประกาศเป็นโรคติดต่ออันตราย จะทําให้สามารถใช้ข้อมูลเท่าที่จําเป็นของผู้ป่วยเพื่อประโยชน์ในการควบคุมวัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก ลดการแพร่กระจายของเชื้อวัณโรคในหมู่ประชาชน ตลอดจนเพิ่มความครอบคลุมในการค้นหาและตรวจคัดกรองผู้สัมผัสโรค และสนับสนุนช่วยเหลือผู้ป่วยและครอบครัวให้ได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติ ทั้งนี้ จากรายงานองค์การอนามัยโลก ปี 2559 พบว่า ประเทศไทยติดอันดับในกลุ่ม 14 ประเทศที่มีปัญหาภาระวัณโรคสูงทั้งวัณโรคทั่วไป วัณโรคร่วมกับการติดเชื้อเอชไอวี และวัณโรคดื้อยาหลายขนาน องค์การอนามัยโลก คาดประมาณจํานวนผู้ป่วยวัณโรคในประเทศไทย มีประมาณ 120,000 รายมีผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนาน (MDR-TB) 4,500 ราย และผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (XDR-TB) 450 ราย ค่ายารักษาผู้ป่วยXDR-TBสูงถึง 1.2 ล้านบาทต่อราย แต่มีอัตราการรักษาหายต่ํา ผู้ป่วยXDR-TBมักมีประวัติการรักษาไม่สม่ําเสมอหรือขาดการรักษามาก่อน ทําให้เกิดการดื้อยาเพิ่มขึ้นถึงระดับรุนแรงมาก *********************************** 24 กันยายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่างประกาศสธ. ให้วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (XDR-TB) เป็นโรคติดต่ออันตราย วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2560 คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่างประกาศสธ. ให้วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (XDR-TB) เป็นโรคติดต่ออันตราย คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการที่สําคัญของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. ... ให้วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก(XDR-TB)เป็นโรคติดต่ออันตราย ภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 นายแพทย์ธวัช สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ครั้งที่3/2560และให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการที่สําคัญของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่2) พ.ศ. ... ให้วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก(XDR-TB)เป็นโรคติดต่ออันตราย ภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558โดยมอบให้กรมควบคุมโรค นําข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปปรับปรุงแนวทางการปฏิบัติงานรองรับเมื่อประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้ นายแพทย์ธวัช กล่าวต่อว่า การประกาศให้วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (XDR-TB) เป็นโรคติดต่ออันตราย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ป่วยโรคนี้ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างถูกต้องครบถ้วนตามมาตรฐานสากล รวมถึงการนําผู้สัมผัสโรค มารับการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยอย่างรวดเร็ว และเข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาลได้ทันที โดยการประกาศเป็นโรคติดต่ออันตราย จะทําให้สามารถใช้ข้อมูลเท่าที่จําเป็นของผู้ป่วยเพื่อประโยชน์ในการควบคุมวัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก ลดการแพร่กระจายของเชื้อวัณโรคในหมู่ประชาชน ตลอดจนเพิ่มความครอบคลุมในการค้นหาและตรวจคัดกรองผู้สัมผัสโรค และสนับสนุนช่วยเหลือผู้ป่วยและครอบครัวให้ได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติ ทั้งนี้ จากรายงานองค์การอนามัยโลก ปี 2559 พบว่า ประเทศไทยติดอันดับในกลุ่ม 14 ประเทศที่มีปัญหาภาระวัณโรคสูงทั้งวัณโรคทั่วไป วัณโรคร่วมกับการติดเชื้อเอชไอวี และวัณโรคดื้อยาหลายขนาน องค์การอนามัยโลก คาดประมาณจํานวนผู้ป่วยวัณโรคในประเทศไทย มีประมาณ 120,000 รายมีผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนาน (MDR-TB) 4,500 ราย และผู้ป่วยวัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (XDR-TB) 450 ราย ค่ายารักษาผู้ป่วยXDR-TBสูงถึง 1.2 ล้านบาทต่อราย แต่มีอัตราการรักษาหายต่ํา ผู้ป่วยXDR-TBมักมีประวัติการรักษาไม่สม่ําเสมอหรือขาดการรักษามาก่อน ทําให้เกิดการดื้อยาเพิ่มขึ้นถึงระดับรุนแรงมาก *********************************** 24 กันยายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6911
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“ปิยะสกล”ชู เศรษฐกิจจะยั่งยืนได้ ประชาชนต้องมีสุขภาพดี ในเวทีเอเปค
วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 ​“ปิยะสกล”ชู เศรษฐกิจจะยั่งยืนได้ ประชาชนต้องมีสุขภาพดี ในเวทีเอเปค วันนี้ (23 สิงหาคม 2560) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเอเปคด้านสุขภาพและเขตเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7 วันนี้ (23 สิงหาคม 2560) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทรรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเอเปคด้านสุขภาพและเขตเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7 (7thAPEC High-Level Meeting on Health and the Economy)ณ นครโฮจิมินห์ ตามคําเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเวียดนาม ซึ่งเป็นการประชุมระหว่างรัฐบาลของเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปค ในระดับรัฐมนตรีสาธารณสุข เศรษฐกิจ และคลัง เพื่อหาวิธีเชื่อมต่อประเด็นด้านสุขภาพระหว่างเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปค และเพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่ระดับสูงให้สนใจประเด็นสําคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้นําเสนอประสบการณ์ของไทยเกี่ยวกับการปฏิรูปด้านการคลังสุขภาพสําหรับชุมชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ร่วมกับรัฐมนตรีสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่อาวุโสของฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น จีนไทเป ปาปัวนิวกินี และอินโดนีเซีย ว่า ประเทศไทยประสบผลสําเร็จในการดําเนินการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ตั้งแต่ปี2545สามารถครอบคลุมคนไทยทุกคน ตั้งแต่การได้รับการบริการสุขภาพพื้นฐานที่จําเป็น การได้รับวัคซีน การดูแลสุขภาพมารดาและเด็ก การเจ็บป่วยทั่วไป และรวมถึงการผ่าตัดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีเช่น การผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ รัฐบาลไทยให้ความสําคัญกับงบประมาณด้านสุขภาพ จะเห็นได้จากสัดส่วนงบประมาณสุขภาพที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพทําให้มีหน่วยบริการทางการแพทย์กระจายอยู่ทั่วประเทศ นอกจากการลงทุนที่มีเพิ่มขึ้นแล้ว ประเทศไทยยังวางแนวทางการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า การมองหากลไกการเงินใหม่ที่จะสามารถมาสนับสนุนงานสุขภาพให้เพียงพอ เช่น การจัดตั้งกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพที่มีรายได้จากภาษีบุหรี่หรือสุรา นํามาพัฒนาการสร้างเสริมสุขภาพของประเทศ การตั้งกองทุนสุขภาพในชุมชนซึ่งเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนและท้องถิ่น ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล ได้กล่าวย้ําว่า ปัจจัยสําคัญที่ทําให้ไทยประสบผลสําเร็จในการปฏิรูปคือ การมีนโยบายทางการเมืองที่เข้มแข็งและยั่งยืน การมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาสังคมและการรู้สึกถึงเป็นเจ้าของ ความสงบภายในจากการประนีประนอมและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนจากความสําเร็จด้านการค้าระหว่างประเทศซึ่งทําให้มีงบประมาณเพิ่มขึ้น ศักยภาพในการวิจัยด้านการคลังสุขภาพและเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข และที่ขาดไม่ได้ คือบุคลากรสุขภาพที่เสียสละทุ่มเท เพื่อดูแลประชาชนให้มีสุขภาพดี ก่อนจะจบการเสวนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขฝากให้เขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคร่วมมือกันพัฒนาหลักประกันสุขภาพ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยการแบ่งปันประสบการณ์ผ่านเครือข่ายต่างๆ เช่น เครือข่ายอาเซียนบวกสาม ให้มีการวิจัยร่วม และกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพ ทั้งนี้ เพื่อร่วมมือกันให้ประชาคมโลกสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“ปิยะสกล”ชู เศรษฐกิจจะยั่งยืนได้ ประชาชนต้องมีสุขภาพดี ในเวทีเอเปค วันพุธที่ 23 สิงหาคม 2560 ​“ปิยะสกล”ชู เศรษฐกิจจะยั่งยืนได้ ประชาชนต้องมีสุขภาพดี ในเวทีเอเปค วันนี้ (23 สิงหาคม 2560) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเอเปคด้านสุขภาพและเขตเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7 วันนี้ (23 สิงหาคม 2560) ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทรรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเอเปคด้านสุขภาพและเขตเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7 (7thAPEC High-Level Meeting on Health and the Economy)ณ นครโฮจิมินห์ ตามคําเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเวียดนาม ซึ่งเป็นการประชุมระหว่างรัฐบาลของเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปค ในระดับรัฐมนตรีสาธารณสุข เศรษฐกิจ และคลัง เพื่อหาวิธีเชื่อมต่อประเด็นด้านสุขภาพระหว่างเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปค และเพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่ระดับสูงให้สนใจประเด็นสําคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในการประชุมครั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้นําเสนอประสบการณ์ของไทยเกี่ยวกับการปฏิรูปด้านการคลังสุขภาพสําหรับชุมชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ร่วมกับรัฐมนตรีสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่อาวุโสของฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น จีนไทเป ปาปัวนิวกินี และอินโดนีเซีย ว่า ประเทศไทยประสบผลสําเร็จในการดําเนินการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ตั้งแต่ปี2545สามารถครอบคลุมคนไทยทุกคน ตั้งแต่การได้รับการบริการสุขภาพพื้นฐานที่จําเป็น การได้รับวัคซีน การดูแลสุขภาพมารดาและเด็ก การเจ็บป่วยทั่วไป และรวมถึงการผ่าตัดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีเช่น การผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ รัฐบาลไทยให้ความสําคัญกับงบประมาณด้านสุขภาพ จะเห็นได้จากสัดส่วนงบประมาณสุขภาพที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพทําให้มีหน่วยบริการทางการแพทย์กระจายอยู่ทั่วประเทศ นอกจากการลงทุนที่มีเพิ่มขึ้นแล้ว ประเทศไทยยังวางแนวทางการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่า การมองหากลไกการเงินใหม่ที่จะสามารถมาสนับสนุนงานสุขภาพให้เพียงพอ เช่น การจัดตั้งกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพที่มีรายได้จากภาษีบุหรี่หรือสุรา นํามาพัฒนาการสร้างเสริมสุขภาพของประเทศ การตั้งกองทุนสุขภาพในชุมชนซึ่งเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนและท้องถิ่น ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล ได้กล่าวย้ําว่า ปัจจัยสําคัญที่ทําให้ไทยประสบผลสําเร็จในการปฏิรูปคือ การมีนโยบายทางการเมืองที่เข้มแข็งและยั่งยืน การมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาสังคมและการรู้สึกถึงเป็นเจ้าของ ความสงบภายในจากการประนีประนอมและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนจากความสําเร็จด้านการค้าระหว่างประเทศซึ่งทําให้มีงบประมาณเพิ่มขึ้น ศักยภาพในการวิจัยด้านการคลังสุขภาพและเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข และที่ขาดไม่ได้ คือบุคลากรสุขภาพที่เสียสละทุ่มเท เพื่อดูแลประชาชนให้มีสุขภาพดี ก่อนจะจบการเสวนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขฝากให้เขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคร่วมมือกันพัฒนาหลักประกันสุขภาพ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยการแบ่งปันประสบการณ์ผ่านเครือข่ายต่างๆ เช่น เครือข่ายอาเซียนบวกสาม ให้มีการวิจัยร่วม และกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพ ทั้งนี้ เพื่อร่วมมือกันให้ประชาคมโลกสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6136
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เปิดแล้วอย่างยิ่งใหญ่งาน "โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2560"
วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560 เปิดแล้วอย่างยิ่งใหญ่งาน "โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2560" เปิดแล้วอย่างยิ่งใหญ่งาน "โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2560" กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมด้วยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกระทรวงคมนาคม และกรุงเทพมหานคร เปิดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติ "โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2560" หรือ "SETA 2017" ปีที่ 2 ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สําหรับงานนี้ จัดขึ้นภายใต้ธีม "Towards A Low-Carbon Society" ใน 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ นโยบายและการวางแผนด้านพลังงาน เทคโนโลยีระบบผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อปล่อยคาร์บอนต่ํา พลังงานเพื่อการคมนาคมขนส่งเพื่อปล่อยคาร์บอนต่ํา และเมืองอัจฉริยะและอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อผลักดันและพัฒนาองค์ความรู้ด้านพลังงานและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีการดําเนินการเพื่อให้พลังงานมีเสถียรภาพที่เหมาะสม โดยการสร้างความมั่นคงในด้านพลังงานทุกรูปแบบของประเทศ ที่ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการผลิต ขนส่ง จําหน่าย และการกระจาย ให้ต้นทุนราคาพลังงานอยู่ในระดับที่เหมาะสม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ประชาชนไม่แบกรับภาระมากเกินไป ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมการประหยัดพลังงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน พล.อ.ประจิน กล่าวต่ออีกว่า สําหรับงาน SETA 2017 นับเป็นปีที่ 2 แล้ว ที่ประเทศไทยจะได้แสดงถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาภาคพลังงานของประเทศ และศักยภาพในการพัฒนาสู่ความเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาคเอเชีย เชื่อมความร่วมมือของประเทศในเอเชีย โดยมีผู้นําประเทศและผู้นําทางความคิดจากทั่วโลกเข้าร่วมประชุม เปิดโอกาสให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ได้เรียนรู้แนวคิด การพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการประชุม อภิปราย และการจับคู่เพื่อเจรจาทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในงานนี้ ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทย ได้มองเห็นโอกาสในการขยายการลงทุนด้านพลังงานและเทคโนโลยีในต่างประเทศอีกด้วย ด้าน ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ยังคงเดินหน้าสนับสนุนการวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และให้ความสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ซึ่งต้องการเพิ่มขีดความสามารถด้านเศรษฐกิจของประเทศสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนโดยใช้องค์ความรู้เพื่อเป็นพื้นฐานในการเพิ่มขีดความสามารถ ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับด้านเกษตร อาหารและพลังงานทดแทน อีกทั้งนําวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถ่ายทอดไปสู่โรงเรียน ชุมชน ทั่วประเทศ ทั้งนี้ งานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติ "โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2560" หรือ "SETA 2017 มีผู้เข้าร่วมงานเป็นผู้บริหาร ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ผู้ผลิต แ บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้า นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ บริษัทผู้ผลิตพลังงาน ทดแทน ธนาคาร นักลงทุน จากทุกภาคส่วนและผู้สนใจทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ กว่า 5000 คน โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-10 มีนาคม 2560 เวลา 10.00-18.00 น. ณ ฮอลล์ 103-104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา ข่าวโดย : นางสาวศิริวรรณ หมินหมัน ภาพโดยและวีดิโอ : นายธนฉัตร มาลาเจริญ, นายสุเมธ บุญเอื้อ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728-3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail:pr@most.go.thFacebook : sciencethailand Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- เปิดแล้วอย่างยิ่งใหญ่งาน "โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2560" วันพุธที่ 15 มีนาคม 2560 เปิดแล้วอย่างยิ่งใหญ่งาน "โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2560" เปิดแล้วอย่างยิ่งใหญ่งาน "โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2560" กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมด้วยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกระทรวงคมนาคม และกรุงเทพมหานคร เปิดงานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติ "โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2560" หรือ "SETA 2017" ปีที่ 2 ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ชั้น 2 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สําหรับงานนี้ จัดขึ้นภายใต้ธีม "Towards A Low-Carbon Society" ใน 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ นโยบายและการวางแผนด้านพลังงาน เทคโนโลยีระบบผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อปล่อยคาร์บอนต่ํา พลังงานเพื่อการคมนาคมขนส่งเพื่อปล่อยคาร์บอนต่ํา และเมืองอัจฉริยะและอุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อผลักดันและพัฒนาองค์ความรู้ด้านพลังงานและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีการดําเนินการเพื่อให้พลังงานมีเสถียรภาพที่เหมาะสม โดยการสร้างความมั่นคงในด้านพลังงานทุกรูปแบบของประเทศ ที่ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการผลิต ขนส่ง จําหน่าย และการกระจาย ให้ต้นทุนราคาพลังงานอยู่ในระดับที่เหมาะสม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ประชาชนไม่แบกรับภาระมากเกินไป ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดยส่งเสริมการประหยัดพลังงาน เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน พล.อ.ประจิน กล่าวต่ออีกว่า สําหรับงาน SETA 2017 นับเป็นปีที่ 2 แล้ว ที่ประเทศไทยจะได้แสดงถึงความก้าวหน้าในการพัฒนาภาคพลังงานของประเทศ และศักยภาพในการพัฒนาสู่ความเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาคเอเชีย เชื่อมความร่วมมือของประเทศในเอเชีย โดยมีผู้นําประเทศและผู้นําทางความคิดจากทั่วโลกเข้าร่วมประชุม เปิดโอกาสให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ได้เรียนรู้แนวคิด การพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัยและนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการประชุม อภิปราย และการจับคู่เพื่อเจรจาทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในงานนี้ ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทย ได้มองเห็นโอกาสในการขยายการลงทุนด้านพลังงานและเทคโนโลยีในต่างประเทศอีกด้วย ด้าน ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ยังคงเดินหน้าสนับสนุนการวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และให้ความสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ซึ่งต้องการเพิ่มขีดความสามารถด้านเศรษฐกิจของประเทศสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนโดยใช้องค์ความรู้เพื่อเป็นพื้นฐานในการเพิ่มขีดความสามารถ ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับด้านเกษตร อาหารและพลังงานทดแทน อีกทั้งนําวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถ่ายทอดไปสู่โรงเรียน ชุมชน ทั่วประเทศ ทั้งนี้ งานประชุมวิชาการและนิทรรศการนานาชาติ "โครงการพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืนแห่งเอเชีย 2560" หรือ "SETA 2017 มีผู้เข้าร่วมงานเป็นผู้บริหาร ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ผู้ผลิต แ บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้า นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ บริษัทผู้ผลิตพลังงาน ทดแทน ธนาคาร นักลงทุน จากทุกภาคส่วนและผู้สนใจทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ กว่า 5000 คน โดยงานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-10 มีนาคม 2560 เวลา 10.00-18.00 น. ณ ฮอลล์ 103-104 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา ข่าวโดย : นางสาวศิริวรรณ หมินหมัน ภาพโดยและวีดิโอ : นายธนฉัตร มาลาเจริญ, นายสุเมธ บุญเอื้อ กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 02 333 3728-3732 โทรสาร 02 333 3834 E-Mail:pr@most.go.thFacebook : sciencethailand Call Center กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โทร. 1313
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2396
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ หารือรัฐมนตรีพลังงาน ถกแผนเช็ค 15 บริษัทวินด์ฟาร์มในที่ ส.ป.ก. ยันหลัง 45 วันพร้อมส่งผลให้ก.พลังงาน
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 รัฐมนตรีเกษตรฯ หารือรัฐมนตรีพลังงาน ถกแผนเช็ค 15 บริษัทวินด์ฟาร์มในที่ ส.ป.ก. ยันหลัง 45 วันพร้อมส่งผลให้ก.พลังงาน รัฐมนตรีเกษตรฯ หารือรัฐมนตรีพลังงาน ถกแผนเช็ค 15 บริษัทวินด์ฟาร์มในที่ ส.ป.ก. ยันหลัง 45 วันพร้อมส่งผลให้ก.พลังงาน เตรียมแผนหาพลังงานทดแทนหากพบไม่เข้าเงื่อนไขเกษตรกรได้ประโยชน์ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับ พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่า การประชุมครั้งนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพลังงานหารือร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจให้ตรงกันว่าปัจจุบันมีกี่บริษัทเอกชนที่เช่าพื้นที่ของสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ( ส.ป.ก.) ดําเนินการเกี่ยวกับการผลิตกระแสไฟฟ้าจากกังหันลม หรือ วินด์ฟาร์ม ซึ่งปัจจุบันได้ข้อยุติแล้วว่ามีทั้งหมด 15 บริษัท แบ่งเป็น ดําเนินการผลิตและจําหน่ายไฟแล้ว 5 บริษัท อีก 10 บริษัทอยู่ระหว่างดําเนินการก่อสร้าง ขณะเดียวกัน ยังได้แจ้งขั้นตอนดําเนินการของ ส.ป.ก.ให้ทางกระทรวงพลังงานรับทราบว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้เลขาฯ ส.ป.ก.เร่งดําเนินการสํารวจข้อเท็จจริงว่าทั้ง 15 บริษัทได้ดําเนินการตามสัญญาหรือไม่ ในระยะเวลา 45 วัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและความถูกต้องเป็นไปตามข้อกําหนดกฎหมาย ก็ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งอย่างละเอียดทั้ง 15 บริษัท โดยแบ่งการตรวจสอบเป็น 2 ส่วน คือ 1. รายละเอียดในสัญญาของทั้ง 15 บริษัท และหลักฐานที่แต่ละบริษัทสามารถแสดงได้ว่าได้ดําเนินการที่เกษตรกรได้รับประโยชน์จริงตามสัญญา และ 2. การตรวจสอบข้อมูลจากเกษตรกรในพื้นที่ว่าได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจริงหรือไม่อย่างไร โดยยึดเอาบรรทัดฐานจากศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งยกเลิกโครงการกังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าของ บริษัท เทพสถิต วินด์ฟาร์ม เนื่องจากชี้ชัดว่าเกษตรกรไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากกิจกรรมของบริษัท” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว นอกจากนี้ ยังได้หารือกับรมว.พลังงาน ว่ากรณีบริษัทใดไม่ปฏิบัติตามที่ได้ตกลงไว้ ทางกระทรวงพลังงานจะเตรียมการหาพลังงานทดแทนต่อไป ซึ่งทั้งสองกระทรวงจะทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยหลังจากได้ผลการตรวจสอบ ครบ 45 วัน กระทรวงเกษตรฯ ก็จะรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรว่าบริษัทใดทําอย่างถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร เพื่อจะได้เตรียมการในส่วนเกี่ยวข้องต่อไป พลเอกฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า กรอบระยะเวลา 45 วันที่กระทรวงเกษตรฯ กําหนดไว้ ทางกระทรวงพลังงานก็เห็นด้วยว่าเหมาะสม เนื่องจากหลายบริษัทมีห้วงสัญญาว่าต้องจ่ายไฟเมื่อไหร่อย่างไร ซึ่งระหว่างการตรวจสอบระยะเวลาของสัญญาก็เดินไป จึงคาดว่าระยะเวลา 45 วัน เพื่อตรวจสอบทั้งข้อมูลที่ได้จากบริษัท และภาคสนามที่จะไปสอบถามเกษตรกร ดูจากข้อมูลจริงในพื้นที่ว่าให้ประโยชน์กับเกษตรกรโดยตรง เช่น มีการจัดตั้งกองทุนฯ การสนับสนุนปัจจัยการผลิต ที่หรือทางอ้อม เช่น มีการสร้างถนน เกิดเส้นทางที่สามารถขนส่งสินค้าเกษตรได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ทางอ้อม ทั้งหมดก็ต้องเอามาพิจารณากัน โดยระหว่างการตรวจสอบทั้ง 5 บริษัทที่ดําเนินการอยู่ก็ดําเนินการต่อไปได้ตามปกติจนกว่าจะได้ข้อสรุปจากผลการตรวจสอบอีกครั้ง กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ หารือรัฐมนตรีพลังงาน ถกแผนเช็ค 15 บริษัทวินด์ฟาร์มในที่ ส.ป.ก. ยันหลัง 45 วันพร้อมส่งผลให้ก.พลังงาน วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 รัฐมนตรีเกษตรฯ หารือรัฐมนตรีพลังงาน ถกแผนเช็ค 15 บริษัทวินด์ฟาร์มในที่ ส.ป.ก. ยันหลัง 45 วันพร้อมส่งผลให้ก.พลังงาน รัฐมนตรีเกษตรฯ หารือรัฐมนตรีพลังงาน ถกแผนเช็ค 15 บริษัทวินด์ฟาร์มในที่ ส.ป.ก. ยันหลัง 45 วันพร้อมส่งผลให้ก.พลังงาน เตรียมแผนหาพลังงานทดแทนหากพบไม่เข้าเงื่อนไขเกษตรกรได้ประโยชน์ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับ พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่า การประชุมครั้งนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากทั้งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพลังงานหารือร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจให้ตรงกันว่าปัจจุบันมีกี่บริษัทเอกชนที่เช่าพื้นที่ของสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ( ส.ป.ก.) ดําเนินการเกี่ยวกับการผลิตกระแสไฟฟ้าจากกังหันลม หรือ วินด์ฟาร์ม ซึ่งปัจจุบันได้ข้อยุติแล้วว่ามีทั้งหมด 15 บริษัท แบ่งเป็น ดําเนินการผลิตและจําหน่ายไฟแล้ว 5 บริษัท อีก 10 บริษัทอยู่ระหว่างดําเนินการก่อสร้าง ขณะเดียวกัน ยังได้แจ้งขั้นตอนดําเนินการของ ส.ป.ก.ให้ทางกระทรวงพลังงานรับทราบว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้เลขาฯ ส.ป.ก.เร่งดําเนินการสํารวจข้อเท็จจริงว่าทั้ง 15 บริษัทได้ดําเนินการตามสัญญาหรือไม่ ในระยะเวลา 45 วัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนและความถูกต้องเป็นไปตามข้อกําหนดกฎหมาย ก็ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งอย่างละเอียดทั้ง 15 บริษัท โดยแบ่งการตรวจสอบเป็น 2 ส่วน คือ 1. รายละเอียดในสัญญาของทั้ง 15 บริษัท และหลักฐานที่แต่ละบริษัทสามารถแสดงได้ว่าได้ดําเนินการที่เกษตรกรได้รับประโยชน์จริงตามสัญญา และ 2. การตรวจสอบข้อมูลจากเกษตรกรในพื้นที่ว่าได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจริงหรือไม่อย่างไร โดยยึดเอาบรรทัดฐานจากศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งยกเลิกโครงการกังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าของ บริษัท เทพสถิต วินด์ฟาร์ม เนื่องจากชี้ชัดว่าเกษตรกรไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากกิจกรรมของบริษัท” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว นอกจากนี้ ยังได้หารือกับรมว.พลังงาน ว่ากรณีบริษัทใดไม่ปฏิบัติตามที่ได้ตกลงไว้ ทางกระทรวงพลังงานจะเตรียมการหาพลังงานทดแทนต่อไป ซึ่งทั้งสองกระทรวงจะทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยหลังจากได้ผลการตรวจสอบ ครบ 45 วัน กระทรวงเกษตรฯ ก็จะรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรว่าบริษัทใดทําอย่างถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร เพื่อจะได้เตรียมการในส่วนเกี่ยวข้องต่อไป พลเอกฉัตรชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า กรอบระยะเวลา 45 วันที่กระทรวงเกษตรฯ กําหนดไว้ ทางกระทรวงพลังงานก็เห็นด้วยว่าเหมาะสม เนื่องจากหลายบริษัทมีห้วงสัญญาว่าต้องจ่ายไฟเมื่อไหร่อย่างไร ซึ่งระหว่างการตรวจสอบระยะเวลาของสัญญาก็เดินไป จึงคาดว่าระยะเวลา 45 วัน เพื่อตรวจสอบทั้งข้อมูลที่ได้จากบริษัท และภาคสนามที่จะไปสอบถามเกษตรกร ดูจากข้อมูลจริงในพื้นที่ว่าให้ประโยชน์กับเกษตรกรโดยตรง เช่น มีการจัดตั้งกองทุนฯ การสนับสนุนปัจจัยการผลิต ที่หรือทางอ้อม เช่น มีการสร้างถนน เกิดเส้นทางที่สามารถขนส่งสินค้าเกษตรได้ ซึ่งเป็นประโยชน์ทางอ้อม ทั้งหมดก็ต้องเอามาพิจารณากัน โดยระหว่างการตรวจสอบทั้ง 5 บริษัทที่ดําเนินการอยู่ก็ดําเนินการต่อไปได้ตามปกติจนกว่าจะได้ข้อสรุปจากผลการตรวจสอบอีกครั้ง กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1882
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.ดันลดเบี้ยประกันภัยข้าวนาปีเหลือ90บาทต่อไร่-เพิ่มความคุ้มครองสูงขึ้น
วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 คปภ.ดันลดเบี้ยประกันภัยข้าวนาปีเหลือ90บาทต่อไร่-เพิ่มความคุ้มครองสูงขึ้น • ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีให้ความรู้เกษตรกร - พร้อมกระตุ้นให้นําระบบประกันภัยบริหารความเสี่ยงแบบครบวงจร ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากการที่ สํานักงาน คปภ. บูรณาการทํางานกับหลายภาคส่วน โดยได้เสนอแนวทางการปฏิรูปการประกันภัยการเกษตรให้เป็นวาระแห่งชาติและเสนอให้มีการพัฒนากฎหมายเฉพาะเพื่อแก้ไขจุดอ่อนและข้อจํากัดในการดําเนินการประกันภัยการเกษตร ทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ยั่งยืน และครบวงจร ซึ่งในปี 2559 สํานักงาน คปภ. ได้ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งได้จัดอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการประกันภัยพืชผลในทุกมิติ และประสบผลสําเร็จอย่างดียิ่ง ส่งผลให้มีเกษตรกรทําประกันภัยข้าวนาปีในปี 2559 รวมทั้งสิ้น 1.51 ล้านราย มีพื้นที่เอาประกันภัย จํานวน 27.17 ล้านไร่ อันเป็นการทุบสถิติการทําประกันภัยข้าวสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของ ประเทศไทย ในปีนี้ สํานักงาน คปภ. ยังคงขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลเรื่องการประกันภัยข้าวนาปีในเชิงรุก โดยเร่งเตรียมมาตรการต่างๆเพื่อนําระบบประกันภัยไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวนา สําหรับโครงการอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) ปี 2560 ได้เลือกจัดในจังหวัดที่ไม่ซ้ํากับปีก่อนจํานวน 9 จังหวัด ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดการทําประกันภัยข้าวนาปีให้มากยิ่งขึ้น โดยได้มีการจัดไปแล้ว 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น นครสวรรค์ สุโขทัย ฉะเชิงเทรา และจังหวัดเพชรบุรี เป็นจังหวัดที่ 5 ต่อจากนั้นก็จะจัดที่จังหวัดบุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด สกลนคร และ สงขลา ตามลําดับ การอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) เพื่อให้ความรู้กับตัวแทนหน่วยงานต่างๆ เพื่อนําองค์ความรู้ด้านประกันภัยไปถ่ายทอดกับเกษตรกรต่อไปนั้น ในปีนี้มีความเข้มข้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยคณะผู้บริหารของสํานักงาน คปภ.จะลงพื้นที่ตามหมู่บ้านของจังหวัดที่จัดโครงการอบรมฯก่อนวันจัดอบรมฯ 1 วัน เพื่อรับฟังสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะจากเกษตรกรในพื้นที่ สําหรับการจัดอบรมความรู้ประกันภัยที่จังหวัดเพชรบุรีได้ไปลงพื้นที่และร่วมประชุมกับเกษตรกร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ภายในชุมชน อบต. ไร่มะขาม ต.ไร่มะขาม อ.บ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ในวันที่ 19 มิถุนายน 2560 ส่วนในวันที่ 20 มิถุนายน 2560 เป็นการจัดอบรมความรู้ประกันภัยที่โรงแรมลองบีช ชะอํา จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเลขาธิการคปภ.เป็นประธานเปิดและได้รับเกียรติจาก นางฉัตรพร ราษฎร์ดุษดี ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เข้าร่วมและกล่าวต้อนรับ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดเพชรบุรีและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับการอบรมฯในครั้งนี้เป็นจํานวนมาก ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัด ได้กล่าวขอบคุณที่สํานักงานคปภ.เห็นความสําคัญของจังหวัดเพชรบุรีและเลือกจังหวัดเพชรบุรีเป็นสถานที่จัดการอบรมความรู้ประกันภัย ซึ่งเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวนาผู้ปลูกข้าวที่จะนําเอาระบบประกันภัยเข้ามาช่วยในการบริหารความเสี่ยงกับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ทั้งนี้จากข้อมูลการทําประกันภัยข้าวนาปี ในปีที่ผ่านมา พบว่าประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งสิ้น 56.50 ล้านไร่ มีพื้นที่เอาประกันภัย จํานวน 27.17 ล้านไร่ คิดเป็น ร้อยละ 48.09 เมื่อพิจารณาอัตราการทําประกันภัยข้าวนาปีของจังหวัดเพชรบุรี พบว่า มีพื้นที่ปลูกข้าว 265,336 ไร่ มีพื้นที่ที่ทําประกันภัย 104,183 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 39.26 ซึ่งมีอัตราการทําประกันภัยที่ต่ํากว่าค่าเฉลี่ยของการทําประกันภัยข้าวนาปีของภาคตะวันตก ที่มีพื้นที่ทําประกันภัย คิดเป็นร้อยละ 43.72 ดังนั้น สํานักงาน คปภ จึงได้เร่งดําเนินการเชิงรุกสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ตระหนักถึงความสําคัญของการประกันภัยและประโยชน์ของการนําเอาระบบประกันภัยเข้ามาเป็นตัวช่วยเพื่อบริหารความเสี่ยงภัยในการปลูกข้าวนาปี เลขาธิการ คปภ. กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 ว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 3/2560 ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ได้มีมติเห็นชอบให้มีการปรับอัตราค่าเบี้ยประกันภัยตามที่ สํานักงาน คปภ และสมาคมประกันวินาศภัยไทยเสนอ จากเดิมอัตราเบี้ยประกันภัย 100 บาทต่อไร่ ลดลงเป็น 90 บาทต่อไร่ เท่ากันทุกพื้นที่ และเพิ่มวงเงินคุ้มครองจากเดิม 1,111 บาทต่อไร่ เพิ่มเป็น 1,260 บาทอต่อไร่ ซึ่งเสนอให้รัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในอัตรา 61.37 บาทต่อไร่ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) และเสนอให้ ธ.ก.ส. อุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เหลือ 36 บาทต่อไร่ ให้กับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อของ ธ.ก.ส. เพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 โดยที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงการคลังนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป เมื่อครม.มีมติเห็นชอบแล้วสํานักงานคปภ.จะบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งเดินหน้าโครงการนี้ทันที ทั้งนี้ ในส่วนของความคุ้มครองตามตารางกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 สําหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรรันส์) แบ่งความคุ้มครองออกเป็น 2 หมวด ได้แก่ ความคุ้มครองหมวดที่ 1 ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากน้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ และไฟไหม้ วงเงินคุ้มครอง 1,260 บาทต่อไร่ และความคุ้มครองหมวดที่ 2 ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากศตรูพืช หรือโรคระบาด โดยมีวงเงินความคุ้มครอง 630 บาทต่อไร่ นอกจากนี้หากเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้ประกาศภัยพิบัติ อันเนื่องจากมีจํานวนพื้นที่ความเสียหายไม่เพียงพอต่อการประกาศเป็นสาธารณภัย ทางเกษตรอําเภอจะมีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยว่าเกษตรกรมีความเสียหายเกิดขึ้นจริง เพื่อที่จะได้ดําเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าระบบประกันภัยได้เข้าไปมีส่วนช่วยเหลือเกษตรกรหรือชาวนาไทยในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.ดันลดเบี้ยประกันภัยข้าวนาปีเหลือ90บาทต่อไร่-เพิ่มความคุ้มครองสูงขึ้น วันพุธที่ 21 มิถุนายน 2560 คปภ.ดันลดเบี้ยประกันภัยข้าวนาปีเหลือ90บาทต่อไร่-เพิ่มความคุ้มครองสูงขึ้น • ลงพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีให้ความรู้เกษตรกร - พร้อมกระตุ้นให้นําระบบประกันภัยบริหารความเสี่ยงแบบครบวงจร ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า จากการที่ สํานักงาน คปภ. บูรณาการทํางานกับหลายภาคส่วน โดยได้เสนอแนวทางการปฏิรูปการประกันภัยการเกษตรให้เป็นวาระแห่งชาติและเสนอให้มีการพัฒนากฎหมายเฉพาะเพื่อแก้ไขจุดอ่อนและข้อจํากัดในการดําเนินการประกันภัยการเกษตร ทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ยั่งยืน และครบวงจร ซึ่งในปี 2559 สํานักงาน คปภ. ได้ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมทั้งได้จัดอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) เพื่อขับเคลื่อนการปฏิรูปการประกันภัยพืชผลในทุกมิติ และประสบผลสําเร็จอย่างดียิ่ง ส่งผลให้มีเกษตรกรทําประกันภัยข้าวนาปีในปี 2559 รวมทั้งสิ้น 1.51 ล้านราย มีพื้นที่เอาประกันภัย จํานวน 27.17 ล้านไร่ อันเป็นการทุบสถิติการทําประกันภัยข้าวสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของ ประเทศไทย ในปีนี้ สํานักงาน คปภ. ยังคงขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลเรื่องการประกันภัยข้าวนาปีในเชิงรุก โดยเร่งเตรียมมาตรการต่างๆเพื่อนําระบบประกันภัยไปช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวนา สําหรับโครงการอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) ปี 2560 ได้เลือกจัดในจังหวัดที่ไม่ซ้ํากับปีก่อนจํานวน 9 จังหวัด ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดการทําประกันภัยข้าวนาปีให้มากยิ่งขึ้น โดยได้มีการจัดไปแล้ว 4 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น นครสวรรค์ สุโขทัย ฉะเชิงเทรา และจังหวัดเพชรบุรี เป็นจังหวัดที่ 5 ต่อจากนั้นก็จะจัดที่จังหวัดบุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด สกลนคร และ สงขลา ตามลําดับ การอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) เพื่อให้ความรู้กับตัวแทนหน่วยงานต่างๆ เพื่อนําองค์ความรู้ด้านประกันภัยไปถ่ายทอดกับเกษตรกรต่อไปนั้น ในปีนี้มีความเข้มข้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยคณะผู้บริหารของสํานักงาน คปภ.จะลงพื้นที่ตามหมู่บ้านของจังหวัดที่จัดโครงการอบรมฯก่อนวันจัดอบรมฯ 1 วัน เพื่อรับฟังสภาพปัญหาและข้อเสนอแนะจากเกษตรกรในพื้นที่ สําหรับการจัดอบรมความรู้ประกันภัยที่จังหวัดเพชรบุรีได้ไปลงพื้นที่และร่วมประชุมกับเกษตรกร ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ภายในชุมชน อบต. ไร่มะขาม ต.ไร่มะขาม อ.บ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ในวันที่ 19 มิถุนายน 2560 ส่วนในวันที่ 20 มิถุนายน 2560 เป็นการจัดอบรมความรู้ประกันภัยที่โรงแรมลองบีช ชะอํา จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเลขาธิการคปภ.เป็นประธานเปิดและได้รับเกียรติจาก นางฉัตรพร ราษฎร์ดุษดี ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี เข้าร่วมและกล่าวต้อนรับ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดเพชรบุรีและผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับการอบรมฯในครั้งนี้เป็นจํานวนมาก ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัด ได้กล่าวขอบคุณที่สํานักงานคปภ.เห็นความสําคัญของจังหวัดเพชรบุรีและเลือกจังหวัดเพชรบุรีเป็นสถานที่จัดการอบรมความรู้ประกันภัย ซึ่งเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวนาผู้ปลูกข้าวที่จะนําเอาระบบประกันภัยเข้ามาช่วยในการบริหารความเสี่ยงกับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ทั้งนี้จากข้อมูลการทําประกันภัยข้าวนาปี ในปีที่ผ่านมา พบว่าประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งสิ้น 56.50 ล้านไร่ มีพื้นที่เอาประกันภัย จํานวน 27.17 ล้านไร่ คิดเป็น ร้อยละ 48.09 เมื่อพิจารณาอัตราการทําประกันภัยข้าวนาปีของจังหวัดเพชรบุรี พบว่า มีพื้นที่ปลูกข้าว 265,336 ไร่ มีพื้นที่ที่ทําประกันภัย 104,183 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 39.26 ซึ่งมีอัตราการทําประกันภัยที่ต่ํากว่าค่าเฉลี่ยของการทําประกันภัยข้าวนาปีของภาคตะวันตก ที่มีพื้นที่ทําประกันภัย คิดเป็นร้อยละ 43.72 ดังนั้น สํานักงาน คปภ จึงได้เร่งดําเนินการเชิงรุกสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อให้เกษตรกรในพื้นที่ตระหนักถึงความสําคัญของการประกันภัยและประโยชน์ของการนําเอาระบบประกันภัยเข้ามาเป็นตัวช่วยเพื่อบริหารความเสี่ยงภัยในการปลูกข้าวนาปี เลขาธิการ คปภ. กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 ว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 3/2560 ที่มี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ได้มีมติเห็นชอบให้มีการปรับอัตราค่าเบี้ยประกันภัยตามที่ สํานักงาน คปภ และสมาคมประกันวินาศภัยไทยเสนอ จากเดิมอัตราเบี้ยประกันภัย 100 บาทต่อไร่ ลดลงเป็น 90 บาทต่อไร่ เท่ากันทุกพื้นที่ และเพิ่มวงเงินคุ้มครองจากเดิม 1,111 บาทต่อไร่ เพิ่มเป็น 1,260 บาทอต่อไร่ ซึ่งเสนอให้รัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในอัตรา 61.37 บาทต่อไร่ (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) และเสนอให้ ธ.ก.ส. อุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เหลือ 36 บาทต่อไร่ ให้กับเกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อของ ธ.ก.ส. เพื่อการเพาะปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 โดยที่ประชุมมอบหมายให้กระทรวงการคลังนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป เมื่อครม.มีมติเห็นชอบแล้วสํานักงานคปภ.จะบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งเดินหน้าโครงการนี้ทันที ทั้งนี้ ในส่วนของความคุ้มครองตามตารางกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2560 สําหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรรันส์) แบ่งความคุ้มครองออกเป็น 2 หมวด ได้แก่ ความคุ้มครองหมวดที่ 1 ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากน้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ และไฟไหม้ วงเงินคุ้มครอง 1,260 บาทต่อไร่ และความคุ้มครองหมวดที่ 2 ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากศตรูพืช หรือโรคระบาด โดยมีวงเงินความคุ้มครอง 630 บาทต่อไร่ นอกจากนี้หากเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้ประกาศภัยพิบัติ อันเนื่องจากมีจํานวนพื้นที่ความเสียหายไม่เพียงพอต่อการประกาศเป็นสาธารณภัย ทางเกษตรอําเภอจะมีหนังสือแจ้งยืนยันไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยว่าเกษตรกรมีความเสียหายเกิดขึ้นจริง เพื่อที่จะได้ดําเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อไป ซึ่งจะเห็นได้ว่าระบบประกันภัยได้เข้าไปมีส่วนช่วยเหลือเกษตรกรหรือชาวนาไทยในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติอย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ที่มา : กระทรวงการคลัง ผู้นําเสนอ : กลุ่มสารนิเทศการคลัง สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4676
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรช่วยบุคคลและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ผ่านมาตรการภาษีต่างๆ มูลค่ากว่าแสนล้านบาท
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 สรรพากรช่วยบุคคลและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ผ่านมาตรการภาษีต่างๆ มูลค่ากว่าแสนล้านบาท ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการดําเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังโดย ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงผลการดําเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง โดยมีกรมสรรพากร และส่วนราชการต่างๆ เข้าร่วมแถลงข่าว ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสรรพากรผลักดันมาตรการภาษีและการเร่งคืนภาษีกว่าแสนล้านบาท เยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 ต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งอยู่บนหลักปฏิบัติ 4 ประการ ได้แก่ “เลื่อน เร่ง ลด และแรงจูงใจ” สามารถสรุปได้ดังนี้ 1. “เลื่อน” กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรได้ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ การนําส่ง และการชําระภาษีอากร เพื่อให้เงินหรือสภาพคล่องอยู่ในมือประชาชนและผู้ประกอบการให้ยาวนานขึ้น ในระหว่างที่ภาครัฐให้ความช่วยเหลือและเยียวยา เช่น ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90, 91, 93 และ 95) จากวันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นวันที่ 31 สิงหาคม 2563 นอกจากนี้ ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50 และ 55) ที่ต้องชําระภายในเดือนเมษายน - สิงหาคม 2563 เป็นวันที่ 31 สิงหาคม 2563 รวมทั้งขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 51) ที่ต้องชําระภายในเดือนเมษายน - กันยายน 2563 เป็นวันที่ 30 กันยายน 2563 นอกจากนี้ กรมสรรพากรได้ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการฯ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ต้องชําระภายในวันที่ 15 หรือ 23 ของเดือนพฤษภาคม - กันยายน 2563 ขยายออกไปเป็นภายในสิ้นเดือนนั้นๆ เพื่อลดความเสี่ยง และมีความคล่องตัวในการทํางานเพิ่มขึ้น รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้ทุกคนอยู่บ้านภายใต้แนวคิด“อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ของรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วย 2. “เร่ง” กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรผลักดันมาตรการเร่งคืนภาษีประชาชน และผู้ประกอบการให้เร็วที่สุด เพื่อเพิ่มเงินหรือสภาพคล่องให้อยู่ในมือประชาชนและผู้ประกอบการอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมสรรพากรได้เร่งคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปแล้วกว่าร้อยละ 95 จากผู้ขอคืนทั้งหมดประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นภาษีที่คืนประมาณ 2๘,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ในช่วง 7 เดือนแรก ของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม 2562 – เมษายน 2563) กรมสรรพากรเร่งคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลกว่า 27,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.7 จากปีก่อน 3. “ลด” กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรได้ผลักดันมาตรการคืนสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศ โดยการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่มีอัตราร้อยละ 3 ให้เหลือในอัตราร้อยละ 1.5 สําหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 กันยายน 2563 เพื่อให้ผู้ประกอบการทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และเพื่อช่วยสนับสนุนการชําระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (e – Payment) โดยเฉพาะระบบ e – Withholding Tax กรมสรรพากรได้ผลักดันนโยบายลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ที่มีอัตราร้อยละ 3 ให้เหลือในอัตราร้อยละ 2 สําหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 ธันวาคม 2564 ที่จ่ายผ่านระบบ e – Withholding Tax นอกจากนี้กรมสรรพากรได้ผลักดันมาตรการภาษีเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคลที่มีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท และมีการจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน ตามมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) สามารถหักรายจ่ายได้ 1.5 เท่า สําหรับรายจ่ายดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม 2563 ตามมาตรการข้างต้น 4. “แรงจูงใจ” กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรได้ผลักดันมาตรการภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชน ผู้ประกอบการ และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขดําเนินกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ • แรงจูงใจให้ผู้ประกอบการคงการจ้างงานในช่วงสถานการณ์ที่การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยผู้ประกอบการที่มีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท และมีการจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน สามารถหักรายจ่ายได้ 3 เท่า สําหรับรายจ่ายค่าจ้างในช่วงเดือนเมษายน – กรกฎาคม 2563 • แรงจูงใจให้เจ้าหนี้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ที่ไม่สามารถชําระหนี้ได้เนื่องจากผลกระทบของ COVID-19 โดยการยกเว้นภาษีที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ • แรงจูงใจให้มีการนําเข้า ยา เวชภัณฑ์ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษา COVID-19 มาเพื่อบริจาคให้แก่สถานพยาบาล หน่วยงานของรัฐ ฯลฯ โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ผู้นําเข้า • แรงจูงใจให้ประชาชนดูแลสุขภาพ โดยการเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่จ่ายจริงเพิ่มขึ้นจากไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 25,000 บาท แต่เมื่อรวมกับค่าเบี้ยประกันชีวิตและเงินฝากประเภทสงเคราะห์ชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท • แรงจูงใจสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับค่าตอบแทนที่ได้รับจากกระทรวงสาธารณสุข ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า มาตรการข้างต้นเป็นมาตรการระยะสั้นเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 สําหรับในระยะต่อไปกรมสรรพากร จะเร่งนําเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้นทั้งในช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติไปจนถึงเมื่อสถานการณ์เป็นปกติแล้วเพื่อให้เกิด Digital Transformation ในทุกภาคส่วน โดยจัดทําระบบ Tax From Home ให้การยื่นแบบ แสดงรายการภาษี การชําระภาษี การคืนภาษี และการจดทะเบียนต่างๆ เป็นอิเล็กทรอนิกส์โดยสมบูรณ์ ซึ่งช่วยอํานวยความสะดวกและลดต้นทุนของผู้เสียภาษี และยังทําให้การดําเนินการทางภาษีเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น นอกจากนี้ กรมสรรพากรมุ่งเน้นการออกนโยบายภาษีที่ตรงกลุ่ม ให้บริการที่ตรงใจ และสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี และเราจะผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน “เราไม่ทิ้งกัน”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรช่วยบุคคลและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ผ่านมาตรการภาษีต่างๆ มูลค่ากว่าแสนล้านบาท วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม 2563 สรรพากรช่วยบุคคลและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ผ่านมาตรการภาษีต่างๆ มูลค่ากว่าแสนล้านบาท ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการดําเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังโดย ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงผลการดําเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 4 กระทรวงการคลัง โดยมีกรมสรรพากร และส่วนราชการต่างๆ เข้าร่วมแถลงข่าว ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสรรพากรผลักดันมาตรการภาษีและการเร่งคืนภาษีกว่าแสนล้านบาท เยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 ต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งอยู่บนหลักปฏิบัติ 4 ประการ ได้แก่ “เลื่อน เร่ง ลด และแรงจูงใจ” สามารถสรุปได้ดังนี้ 1. “เลื่อน” กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรได้ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการ การนําส่ง และการชําระภาษีอากร เพื่อให้เงินหรือสภาพคล่องอยู่ในมือประชาชนและผู้ประกอบการให้ยาวนานขึ้น ในระหว่างที่ภาครัฐให้ความช่วยเหลือและเยียวยา เช่น ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90, 91, 93 และ 95) จากวันที่ 31 มีนาคม 2563 เป็นวันที่ 31 สิงหาคม 2563 นอกจากนี้ ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50 และ 55) ที่ต้องชําระภายในเดือนเมษายน - สิงหาคม 2563 เป็นวันที่ 31 สิงหาคม 2563 รวมทั้งขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 51) ที่ต้องชําระภายในเดือนเมษายน - กันยายน 2563 เป็นวันที่ 30 กันยายน 2563 นอกจากนี้ กรมสรรพากรได้ขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการฯ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ต้องชําระภายในวันที่ 15 หรือ 23 ของเดือนพฤษภาคม - กันยายน 2563 ขยายออกไปเป็นภายในสิ้นเดือนนั้นๆ เพื่อลดความเสี่ยง และมีความคล่องตัวในการทํางานเพิ่มขึ้น รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้ทุกคนอยู่บ้านภายใต้แนวคิด“อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ของรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วย 2. “เร่ง” กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรผลักดันมาตรการเร่งคืนภาษีประชาชน และผู้ประกอบการให้เร็วที่สุด เพื่อเพิ่มเงินหรือสภาพคล่องให้อยู่ในมือประชาชนและผู้ประกอบการอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมสรรพากรได้เร่งคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปแล้วกว่าร้อยละ 95 จากผู้ขอคืนทั้งหมดประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นภาษีที่คืนประมาณ 2๘,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ในช่วง 7 เดือนแรก ของปีงบประมาณ 2563 (ตุลาคม 2562 – เมษายน 2563) กรมสรรพากรเร่งคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลกว่า 27,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.7 จากปีก่อน 3. “ลด” กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรได้ผลักดันมาตรการคืนสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศ โดยการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่มีอัตราร้อยละ 3 ให้เหลือในอัตราร้อยละ 1.5 สําหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 กันยายน 2563 เพื่อให้ผู้ประกอบการทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และเพื่อช่วยสนับสนุนการชําระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (e – Payment) โดยเฉพาะระบบ e – Withholding Tax กรมสรรพากรได้ผลักดันนโยบายลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ที่มีอัตราร้อยละ 3 ให้เหลือในอัตราร้อยละ 2 สําหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 31 ธันวาคม 2564 ที่จ่ายผ่านระบบ e – Withholding Tax นอกจากนี้กรมสรรพากรได้ผลักดันมาตรการภาษีเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคลที่มีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท และมีการจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน ตามมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ําเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) สามารถหักรายจ่ายได้ 1.5 เท่า สําหรับรายจ่ายดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม 2563 ตามมาตรการข้างต้น 4. “แรงจูงใจ” กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรได้ผลักดันมาตรการภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชน ผู้ประกอบการ และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขดําเนินกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ • แรงจูงใจให้ผู้ประกอบการคงการจ้างงานในช่วงสถานการณ์ที่การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยผู้ประกอบการที่มีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาท และมีการจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน สามารถหักรายจ่ายได้ 3 เท่า สําหรับรายจ่ายค่าจ้างในช่วงเดือนเมษายน – กรกฎาคม 2563 • แรงจูงใจให้เจ้าหนี้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับลูกหนี้ที่ไม่สามารถชําระหนี้ได้เนื่องจากผลกระทบของ COVID-19 โดยการยกเว้นภาษีที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ • แรงจูงใจให้มีการนําเข้า ยา เวชภัณฑ์ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษา COVID-19 มาเพื่อบริจาคให้แก่สถานพยาบาล หน่วยงานของรัฐ ฯลฯ โดยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ผู้นําเข้า • แรงจูงใจให้ประชาชนดูแลสุขภาพ โดยการเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพในการคํานวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่จ่ายจริงเพิ่มขึ้นจากไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 25,000 บาท แต่เมื่อรวมกับค่าเบี้ยประกันชีวิตและเงินฝากประเภทสงเคราะห์ชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท • แรงจูงใจสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสําหรับค่าตอบแทนที่ได้รับจากกระทรวงสาธารณสุข ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า มาตรการข้างต้นเป็นมาตรการระยะสั้นเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 สําหรับในระยะต่อไปกรมสรรพากร จะเร่งนําเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้นทั้งในช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติไปจนถึงเมื่อสถานการณ์เป็นปกติแล้วเพื่อให้เกิด Digital Transformation ในทุกภาคส่วน โดยจัดทําระบบ Tax From Home ให้การยื่นแบบ แสดงรายการภาษี การชําระภาษี การคืนภาษี และการจดทะเบียนต่างๆ เป็นอิเล็กทรอนิกส์โดยสมบูรณ์ ซึ่งช่วยอํานวยความสะดวกและลดต้นทุนของผู้เสียภาษี และยังทําให้การดําเนินการทางภาษีเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น นอกจากนี้ กรมสรรพากรมุ่งเน้นการออกนโยบายภาษีที่ตรงกลุ่ม ให้บริการที่ตรงใจ และสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี และเราจะผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน “เราไม่ทิ้งกัน”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31430
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.ลงนามเอ็มโอยู กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พ.ม.)
วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2560 คปภ.ลงนามเอ็มโอยู กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พ.ม.) • บูรณาการความร่วมมือเพื่อนําระบบประกันภัยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีเพื่อคนพิการ เด็ก และเยาวชนของชาติ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ. ได้รับเกียรติจาก พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสํานักงาน คปภ.กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีนางนภา เศรษฐกร รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งสํานักงาน คปภ. และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) และกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จะบูรณาการความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยให้กับคนพิการ เด็กและเยาวชน เจ้าหน้าที่ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงประโยชน์ของการสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินให้กับตนเองและครอบครัวโดยใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง อันเป็นการส่งเสริมให้ประชาชน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สําหรับกรอบความร่วมมือในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก เป็นความร่วมมือกับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ซึ่งสํานักงาน คปภ. จะให้คําปรึกษาแนะนําข้อมูล หรือข้อกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้กับเจ้าหน้าที่ของ พก. และกลุ่มคนพิการ ในส่วนของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) จะให้ความร่วมมืออํานวยความสะดวกและให้การสนับสนุน สํานักงาน คปภ. เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองของระบบการประกันภัยให้กับเจ้าหน้าที่ของ พก. และกลุ่มคนพิการ ส่วนที่สอง เป็นความร่วมมือกับกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) โดยสํานักงาน คปภ.จะให้คําปรึกษาแนะนําข้อมูลหรือข้อกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้กับเจ้าหน้าที่ของ ดย. กลุ่มผู้ประกอบกิจการหอพัก รวมทั้งนักเรียน หรือนักศึกษาที่อาศัยอยู่ในหอพัก และกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ในส่วนของกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จะให้ความร่วมมือ อํานวยความสะดวกและให้การสนับสนุนสํานักงาน คปภ. เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัย และสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองของระบบการประกันภัย ให้กับเจ้าหน้าที่ของ ดย. กลุ่มผู้ประกอบกิจการหอพัก รวมทั้งนักเรียน หรือนักศึกษาที่อาศัยอยู่ในหอพัก เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า การทํา MOU ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการความร่วมมือกันอย่างเป็นระบบระหว่าง สํานักงาน คปภ. กับ พม. ซึ่งนับเป็นก้าวสําคัญในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างสํานักงาน คปภ. กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมใน 5 ประการหลักๆ คือ ประการแรกมีการเชื่อมเครือข่ายระหว่างสํานักงานคปภ.กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีครอบคลุมทั่วประเทศเข้าด้วยกันเพื่อส่งเสริมความรู้ด้านการประกันภัยให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เช่นกลุ่มคนพิการ กลุ่มผู้ประกอบกิจการหอพัก นักเรียน นักศึกษาที่อาศัยอยู่ในหอพัก และการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับการประกันภัย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคนพิการและพรบ.หอพักให้กับเจ้าหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงาน ประการที่ 2 ร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยจะมีการตั้งคณะทํางานร่วมกันระหว่างสํานักงาน คปภ. กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมกิจการเด็กและเยาวชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้เหมาะสม และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ประการที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองสิทธิด้านการประกันภัย โดยเจ้าหน้าที่ของสํานักงาน คปภ. กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมกิจการเด็กและเยาวชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งทําให้เจ้าหน้าที่สามารถนําความรู้ไปถ่ายทอดให้ประชาชนได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรม รวมทั้ง ประชาชนที่เข้าร่วมรับการอบรมความรู้ก็สามารถนําความรู้ไปถ่ายทอดให้กับครอบครัว ชุมชนของตนเองได้ ซึ่งเป็นแนวทางในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์เบื้องต้นของประชาชนและชุมชนได้ดียิ่งขึ้น ประการที่ 4 เพิ่มความร่วมมือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสํานักงาน คปภ. ได้จัดทําแผนงานในปี 2561 เพื่อบูรณาการร่วมกันระหว่างสํานักงาน คปภ.ภาค/จังหวัด กับสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะมีแนวทางการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อตอบสนองกับประชาชนกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ ประการที่ 5 สร้างความรู้ความเข้าใจเชิงรุก โดยสํานักงาน คปภ. ได้จัดทําโครงการ “คปภ. เพื่อชุมชน” โดยการลงพื้นที่รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจเชิงรุกให้แก่ประชาชนในชุมชน เพื่อให้ประชาชนในชุมชนได้ตระหนัก เห็นคุณค่า และคุณประโยชน์ของการทําประกันภัย โดยเฉพาะประกันภัยสําหรับรายย่อย หรือ ไมโครอินชัวรันส์ ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันภัยราคาถูกเหมาะสําหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางให้สามารถเข้าถึงกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว อันเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีสวัสดิการที่ครอบคลุมและเกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น ซึ่งสํานักงาน คปภ. จะร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการขับเคลื่อนโครงการต่อไป “สํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานของรัฐ ที่มีภารกิจในการกํากับดูแลและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้ให้ความสําคัญในการส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มในประเทศ ได้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถเข้าถึงการประกันภัย และเลือกใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสําหรับรายย่อย เพื่อให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้เข้าถึงการประกันภัย รวมถึงพัฒนาช่องทางการจําหน่ายให้สามารถตอบสนองการดําเนินชีวิตของประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนพิการ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิพื้นฐานบางอย่าง ฉะนั้นจึงควรที่จะได้รับสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อช่วยเหลือและให้ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง และได้รับการส่งเสริมโอกาสการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างเต็มที่ต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ.ลงนามเอ็มโอยู กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พ.ม.) วันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2560 คปภ.ลงนามเอ็มโอยู กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พ.ม.) • บูรณาการความร่วมมือเพื่อนําระบบประกันภัยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีเพื่อคนพิการ เด็ก และเยาวชนของชาติ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สํานักงาน คปภ. ได้รับเกียรติจาก พลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นประธานสักขีพยานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสํานักงาน คปภ.กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีนางนภา เศรษฐกร รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งสํานักงาน คปภ. และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) และกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จะบูรณาการความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยให้กับคนพิการ เด็กและเยาวชน เจ้าหน้าที่ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักถึงประโยชน์ของการสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตและทรัพย์สินให้กับตนเองและครอบครัวโดยใช้ระบบประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง อันเป็นการส่งเสริมให้ประชาชน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สําหรับกรอบความร่วมมือในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก เป็นความร่วมมือกับกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ซึ่งสํานักงาน คปภ. จะให้คําปรึกษาแนะนําข้อมูล หรือข้อกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้กับเจ้าหน้าที่ของ พก. และกลุ่มคนพิการ ในส่วนของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) จะให้ความร่วมมืออํานวยความสะดวกและให้การสนับสนุน สํานักงาน คปภ. เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัยและสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองของระบบการประกันภัยให้กับเจ้าหน้าที่ของ พก. และกลุ่มคนพิการ ส่วนที่สอง เป็นความร่วมมือกับกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) โดยสํานักงาน คปภ.จะให้คําปรึกษาแนะนําข้อมูลหรือข้อกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยให้กับเจ้าหน้าที่ของ ดย. กลุ่มผู้ประกอบกิจการหอพัก รวมทั้งนักเรียน หรือนักศึกษาที่อาศัยอยู่ในหอพัก และกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ในส่วนของกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) จะให้ความร่วมมือ อํานวยความสะดวกและให้การสนับสนุนสํานักงาน คปภ. เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกันภัย และสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองของระบบการประกันภัย ให้กับเจ้าหน้าที่ของ ดย. กลุ่มผู้ประกอบกิจการหอพัก รวมทั้งนักเรียน หรือนักศึกษาที่อาศัยอยู่ในหอพัก เลขาธิการ คปภ. กล่าวด้วยว่า การทํา MOU ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการบูรณาการความร่วมมือกันอย่างเป็นระบบระหว่าง สํานักงาน คปภ. กับ พม. ซึ่งนับเป็นก้าวสําคัญในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างสํานักงาน คปภ. กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมใน 5 ประการหลักๆ คือ ประการแรกมีการเชื่อมเครือข่ายระหว่างสํานักงานคปภ.กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีครอบคลุมทั่วประเทศเข้าด้วยกันเพื่อส่งเสริมความรู้ด้านการประกันภัยให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย เช่นกลุ่มคนพิการ กลุ่มผู้ประกอบกิจการหอพัก นักเรียน นักศึกษาที่อาศัยอยู่ในหอพัก และการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องเกี่ยวกับการประกันภัย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคนพิการและพรบ.หอพักให้กับเจ้าหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงาน ประการที่ 2 ร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยจะมีการตั้งคณะทํางานร่วมกันระหว่างสํานักงาน คปภ. กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมกิจการเด็กและเยาวชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้เหมาะสม และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ประการที่ 3 เพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองสิทธิด้านการประกันภัย โดยเจ้าหน้าที่ของสํานักงาน คปภ. กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมกิจการเด็กและเยาวชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งทําให้เจ้าหน้าที่สามารถนําความรู้ไปถ่ายทอดให้ประชาชนได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรม รวมทั้ง ประชาชนที่เข้าร่วมรับการอบรมความรู้ก็สามารถนําความรู้ไปถ่ายทอดให้กับครอบครัว ชุมชนของตนเองได้ ซึ่งเป็นแนวทางในการคุ้มครองสิทธิประโยชน์เบื้องต้นของประชาชนและชุมชนได้ดียิ่งขึ้น ประการที่ 4 เพิ่มความร่วมมือร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสํานักงาน คปภ. ได้จัดทําแผนงานในปี 2561 เพื่อบูรณาการร่วมกันระหว่างสํานักงาน คปภ.ภาค/จังหวัด กับสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะมีแนวทางการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัย ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อตอบสนองกับประชาชนกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ ประการที่ 5 สร้างความรู้ความเข้าใจเชิงรุก โดยสํานักงาน คปภ. ได้จัดทําโครงการ “คปภ. เพื่อชุมชน” โดยการลงพื้นที่รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจเชิงรุกให้แก่ประชาชนในชุมชน เพื่อให้ประชาชนในชุมชนได้ตระหนัก เห็นคุณค่า และคุณประโยชน์ของการทําประกันภัย โดยเฉพาะประกันภัยสําหรับรายย่อย หรือ ไมโครอินชัวรันส์ ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันภัยราคาถูกเหมาะสําหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางให้สามารถเข้าถึงกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว อันเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีสวัสดิการที่ครอบคลุมและเกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น ซึ่งสํานักงาน คปภ. จะร่วมมือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการขับเคลื่อนโครงการต่อไป “สํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานของรัฐ ที่มีภารกิจในการกํากับดูแลและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้ให้ความสําคัญในการส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มในประเทศ ได้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถเข้าถึงการประกันภัย และเลือกใช้การประกันภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยสําหรับรายย่อย เพื่อให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้เข้าถึงการประกันภัย รวมถึงพัฒนาช่องทางการจําหน่ายให้สามารถตอบสนองการดําเนินชีวิตของประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนพิการ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงสิทธิพื้นฐานบางอย่าง ฉะนั้นจึงควรที่จะได้รับสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อช่วยเหลือและให้ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง และได้รับการส่งเสริมโอกาสการมีส่วนร่วมในสังคมอย่างเต็มที่ต่อไป” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6408
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ.เผย ผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลที่ดอยเต่าและกระทุ่มแบน ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 โฆษก สธ.เผย ผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลที่ดอยเต่าและกระทุ่มแบน ถูกดําเนินคดีทางกฎหมาย โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลดอยเต่า จ.เชียงใหม่ และโรงพยาบาลกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ถูกดําเนินคดีตามกฎหมายทุกคน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลดอยเต่า จ.เชียงใหม่ และโรงพยาบาลกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ถูกดําเนินคดีตามกฎหมายทุกคน นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้ากรณีวัยรุ่นก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาล ว่า โรงพยาบาลกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ได้ดําเนินการดังนี้ 1.ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมและเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 2.ปรับปรุงตัวอาคารติดตั้งประตูล็อค 2 ชั้น 3.จัดระบบคู่เจ้าหน้าที่บัดดี้เตือนภัยในโรงพยาบาล 3.อบรมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พร้อมประสานไปยังสถานีตํารวจ ผ่านแอปพลิเคชั่นPolice i lert uส่งเจ้าหน้าที่มาดูแลความปลอดภัยทุกๆ 2 ชั่วโมง พร้อมเตรียมประสานหน่วยทหารในพื้นที่ร่วมดูแล นอกจากนี้ ได้เตรียมจัดอบรมเจ้าหน้าที่ประจําห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน เรื่องทักษะการสื่อสาร และการตรวจจับอารมณ์ผู้รับบริการที่มีปัญหาจากการรอการรักษานานๆ ในส่วนการดําเนินคดีกับกลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุ อยู่ในขั้นตอนส่งฟ้องศาลคาดว่าโทษสูงสุดคือจําคุก 5 ปี สําหรับโรงพยาบาลดอยเต่า อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่สถานีตํารวจ ได้ดําเนินคดีแก่กลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในที่สาธารณะและข้อหาทําร้ายร่างกาย พร้อมนํากลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุทั้งหมดไปขอโทษผู้อํานวยการโรงพยาบาลดอยเต่าและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล รวมทั้งให้บําเพ็ญประโยชน์ ทําความสะอาดและตัดหญ้าในบริเวณโรงพยาบาลดอยเต่า เป็นการสร้างจิตสํานึกและให้โอกาสแก่กลุ่มผู้ก่อเหตุซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชน ทั้งนี้ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ได้ให้ทุกโรงพยาบาลปรับปรุงแผนเผชิญเหตุของโรงพยาบาลทุกแห่ง ดังนี้ 1.ปรับปรุงแนวทางการแจ้งเหตุ 2.อบรมเจ้าหน้าที่เพื่อรับมือเมื่อเกิดเหตุทะเลาะวิวาท 3.จัดทําเครือข่ายประสานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองช่วยระงับเหตุ โดยแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นในที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและกํานันผู้ใหญ่บ้าน เพื่อขอแนวทางป้องกันการเกิดเหตุ 4.ปรับปรุงระบบป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาในจุดให้บริการในยามวิกาล เช่น การปิดล็อคประตูหลังหมดเวลาเยี่ยมผู้ป่วย *********************** 10 พฤศจิกายน 2560
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ.เผย ผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลที่ดอยเต่าและกระทุ่มแบน ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 โฆษก สธ.เผย ผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลที่ดอยเต่าและกระทุ่มแบน ถูกดําเนินคดีทางกฎหมาย โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลดอยเต่า จ.เชียงใหม่ และโรงพยาบาลกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ถูกดําเนินคดีตามกฎหมายทุกคน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เผยผู้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลดอยเต่า จ.เชียงใหม่ และโรงพยาบาลกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ถูกดําเนินคดีตามกฎหมายทุกคน นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้ากรณีวัยรุ่นก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาล ว่า โรงพยาบาลกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ได้ดําเนินการดังนี้ 1.ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมและเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 2.ปรับปรุงตัวอาคารติดตั้งประตูล็อค 2 ชั้น 3.จัดระบบคู่เจ้าหน้าที่บัดดี้เตือนภัยในโรงพยาบาล 3.อบรมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พร้อมประสานไปยังสถานีตํารวจ ผ่านแอปพลิเคชั่นPolice i lert uส่งเจ้าหน้าที่มาดูแลความปลอดภัยทุกๆ 2 ชั่วโมง พร้อมเตรียมประสานหน่วยทหารในพื้นที่ร่วมดูแล นอกจากนี้ ได้เตรียมจัดอบรมเจ้าหน้าที่ประจําห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน เรื่องทักษะการสื่อสาร และการตรวจจับอารมณ์ผู้รับบริการที่มีปัญหาจากการรอการรักษานานๆ ในส่วนการดําเนินคดีกับกลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุ อยู่ในขั้นตอนส่งฟ้องศาลคาดว่าโทษสูงสุดคือจําคุก 5 ปี สําหรับโรงพยาบาลดอยเต่า อ.ดอยเต่า จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่สถานีตํารวจ ได้ดําเนินคดีแก่กลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในที่สาธารณะและข้อหาทําร้ายร่างกาย พร้อมนํากลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุทั้งหมดไปขอโทษผู้อํานวยการโรงพยาบาลดอยเต่าและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล รวมทั้งให้บําเพ็ญประโยชน์ ทําความสะอาดและตัดหญ้าในบริเวณโรงพยาบาลดอยเต่า เป็นการสร้างจิตสํานึกและให้โอกาสแก่กลุ่มผู้ก่อเหตุซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชน ทั้งนี้ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ได้ให้ทุกโรงพยาบาลปรับปรุงแผนเผชิญเหตุของโรงพยาบาลทุกแห่ง ดังนี้ 1.ปรับปรุงแนวทางการแจ้งเหตุ 2.อบรมเจ้าหน้าที่เพื่อรับมือเมื่อเกิดเหตุทะเลาะวิวาท 3.จัดทําเครือข่ายประสานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองช่วยระงับเหตุ โดยแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้นในที่ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและกํานันผู้ใหญ่บ้าน เพื่อขอแนวทางป้องกันการเกิดเหตุ 4.ปรับปรุงระบบป้องกันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาในจุดให้บริการในยามวิกาล เช่น การปิดล็อคประตูหลังหมดเวลาเยี่ยมผู้ป่วย *********************** 10 พฤศจิกายน 2560
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7980
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลมีเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืน หวังคนไทยมีความกินดีอยู่ดี มีสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งพาตนเองได้
วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2560 นายกรัฐมนตรีย้ํารัฐบาลมีเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืน หวังคนไทยมีความกินดีอยู่ดี มีสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งพาตนเองได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ การขับเคลื่อน Thailand 4.0 ด้านการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ พร้อมให้การสนับสนุน เพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีคุณภาพ วันนี้ (17 มี.ค. 60) เวลา 09.30 น. ณ อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “การขับเคลื่อน Thailand 4.0 ด้านการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ” โดยมีรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิโรจ อิ่มพิทักษ์ นายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นายจงรัก วัชรินทร์รัตน์ รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟัง นายจงรัก วัชรินทร์รัตน์ รักษาราชการแทนอธิการบดี กล่าวรายงานว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มุ่งมั่นศาสตร์แห่งแผ่นดินสร้างความกินดีอยู่ดีให้แก่ชาติ โดยการผลิตบุคลากรและผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยได้ถูกนําไปใช้ในการพัฒนาประเทศด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งล่าสุดผลการจัดอันดับของ QS World University Rankings by Subject 2017 ประกาศให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 29 ของโลก อันดับที่ 4 ของเอเชีย และอันดับ 1 ของเมืองไทย ในสาขาวิชาเกษตรศาสตร์และวนศาสตร์ นับเป็นมหาวิทยาลัยเดียวในประเทศไทยที่มีสาขาติดอันดับ TOP 50 ของโลก นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดําเนินการตามนโยบาย Thailand 4.0 โดยการพัฒนาคนการเข้าร่วมโครงการ STEM โครงการ Start-up โครงการสร้างนวัตกรรม โครงการถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยี ให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการ ภายใต้การสนับสนุนจากหน่วยงานให้ทุนต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของ Food Innopolis ที่จะมาตั้งที่คณะวิทยาศาสตร์ และสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยยังได้นําร่องเพิ่มศาสตร์แห่งแผ่นดิน เพื่อให้นิสิตและนักศึกษานําศาสตร์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาขับเคลื่อนสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ต่อไป โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การขับเคลื่อน Thailand 4.0 ด้านการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ”ว่า วันนี้โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกคนต้องก้าวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ว่าสถานการณ์ภายนอก เช่น สภาพภูมิอากาศโลก โรคระบาด ภัยพิบัติ เป็นต้น ล้วนมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงทําให้ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทุกคนต้องเรียนรู้เท่าทันสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รัฐบาลมีเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน และต้องการให้คนไทยมีความกินดีอยู่ดี มีสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถพึ่งตนเองได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงให้ความสําคัญต่อการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Model) ในทุกมิติ ทั้งภาคธุรกิจ เกษตร การศึกษา ไปสู่โมเดลใหม่ Thailand 4.0 เพื่อมุ่งเน้นการแก้ปัญหาให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งการปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่จากระบบเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตโดยใช้แรงงาน เครื่องจักรและทรัพยากรมาผลิตบนฐานความรู้และเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม เพื่อพัฒนาต่อยอดเศรษฐกิจไทยไปสู่ เศรษฐกิจที่เน้นคุณค่า และ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ โดยมุ่งเน้นการพัฒนา 5 กลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วย 1) กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ 2) กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ 3) กลุ่มเครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์และระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม 4) กลุ่มดิจิทัล เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อการทํางานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว 5) กลุ่มเศรษฐกิจสร้างสรรค์ วัฒนธรรมและบริการที่มีมูลค่าสูง ซึ่งทั้ง 5 กลุ่มนี้ จะต้องพัฒนาด้วยตนเองเป็นหลักและสอดรับกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งยังต้องมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่จะกําหนดมาตรการต่าง ๆ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 12 ซึ่งเป็นแผนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ 6 ด้าน คือ 1) ด้านความมั่นคงเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน 2) ด้านเศรษฐกิจที่สร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 3) ด้านสังคมที่จะสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม 4) ด้านทรัพยากรมนุษย์ที่จะเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพ 5) ด้านสิ่งแวดล้อม และ 6) ด้านการบริหารราชการแผ่นดินที่จะบริหารจัดการในภาครัฐ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยต่อเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของหนอนหัวดําที่เป็นแมลงต่างถิ่นที่ติดมากับพันธุ์ปาล์มนําเข้ามาจากต่างประเทศ โดยกําชับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าไปดูแลและหาทางแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน และให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการระบาดในประเทศไทย นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลได้กําหนดทิศทางการพัฒนาในการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงพร้อมก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อเชื่อมประเทศไทยสู่ประชาคมโลก สําหรับกลุ่มเกษตร อาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีด้านเกษตร อาหารและ เทคโนโลยีชีวภาพ สามารถอาศัยทุนความได้เปรียบของประเทศไทยในความหลากหลายเชิงชีวภาพมาต่อยอดเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ สร้างความกินดี อยู่ดีให้กับประชาชนชาวไทยในทุกภูมิภาค และเป็นการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม โดยให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เร่งดําเนินการพิจารณาทบทวนกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเทคโนโลยีและธุรกิจที่มีการต่อยอด รวมทั้งทบทวนกฎหมายและระเบียบที่ล้าสมัยและทําให้การดําเนินงานมีความล่าช้า ซึ่งไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลจะลดมาตรฐานความปลอดภัยของประชาชน แต่เป็นการปรับปรุงการทํางานให้ทันสมัย รวดเร็วมากขึ้น อีกทั้ง ขอให้กระทรวงแรงงานสนับสนุนสวัสดิการตามความต้องการของนายจ้างและตลาดแรงงาน เพื่อยกระดับการพัฒนาฝีมือแรงงานทุกประเภทให้มีความทันสมัย สามารถใช้ภาษาสื่อสารกับนายจ้างได้ โดยเฉพาะการสอนภาษาต่าง ๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นภาษาที่จําเป็นต้องใช้ในการทํางาน เพื่อยกระดับเป็นหัวหน้างาน พร้อมกับแนะนําส่งเสริมให้ความรู้โดยการทําป้ายสอนภาษาต่าง ๆ ในสถานประกอบการอีกด้วย ในส่วนของสถาบันการศึกษานั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะต้องมีบทบาทในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และโครงสร้างการวิจัยและการพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งถือเป็นองค์กรที่มีส่วนในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตามนโยบายรัฐบาล และต้องนําพาประเทศไทยให้ก้าวหน้าทันเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้มีความทันสมัย นอกจากนี้ควรปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนแบบเดิมเป็นการเรียนแบบ Active Learning โดยการสร้างแรงบันดาลใจให้นักศึกษาเกิดความอยากรู้ อยากทํา และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ โดยมหาวิทยาลัยต้องสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากความรู้และข้อมูลที่มหาวิทยาลัยมีอยู่ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐตั้งแต่ระดับกระทรวงลงมา ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อช่วยให้ SMEs สามารถสร้างหรือใช้นวัตกรรมในการสร้างมูลค่าสินค้าและบริการ อีกทั้ง ช่วยเกษตรกรให้ผันตัวเองจากการเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบทางการเกษตรมาเป็นผู้ประกอบการทางการเกษตรสมัยใหม่ หรือที่เรียกว่า Smart Farmer มีการบริหารจัดการที่ดีมีต้นทุนการผลิตที่ต่ํา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนเครือข่ายของมหาวิทยาลัยต้องกระจายความรู้ออกไปให้ทั่วประเทศสร้างความเจริญ และก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สามารถทํางานในถิ่นฐานบ้านเกิดได้โดยไม่ต้องเข้ามาทํางานในกรุงเทพฯ เนื่องจากมีงานที่ดีกระจายอยู่ทั่วประเทศ และในฐานะที่มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันที่ให้บริการทางวิชาการแก่สังคมทั้งองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ ๆ จะช่วยให้ผู้คนในสังคมและผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ ใช้องค์ความรู้จากนักวิชาการและนักศึกษาให้เกิดประโยชน์ต่อการดําเนินธุรกิจทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและการบริการ ตัวอย่างการกระจายความรู้สู่ภูมิภาคนี้ ได้แก่ โครงการ InnoHub ของประชารัฐ ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีคุณภาพ อีกทั้ง Thailand 4.0 จะต้องขับเคลื่อนด้วยพลังประชารัฐ ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษาและประชาสังคม เป็นหัวใจหลักที่จะนํามาสู่ความสําเร็จ พร้อมที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน ของประเทศ และช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งและเติบโตได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ต่อไป พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ กล่าวชื่นชม CNN ที่ยกย่องกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองแห่งอาหารริมทางดีที่สุดในโลกต่อเนื่อง พร้อมกําชับพ่อค้าแม่ค้ายึดหลักอนามัยจัดให้เป็นระเบียบตรึงใจนักท่องเที่ยว จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานวิจัยนวัตกรรมดีเด่น “เกษตรศาสตร์ รวมพลังขับเคลื่อน Thailand 4.0 จํานวน 50 ผลงาน ที่พร้อมขยายขนาดการผลิต ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม Smart Agriculture กลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปมูลค่าสูง และกลุ่มชุมชนเข้มแข็ง ................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีย้ำรัฐบาลมีเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืน หวังคนไทยมีความกินดีอยู่ดี มีสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งพาตนเองได้ วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2560 นายกรัฐมนตรีย้ํารัฐบาลมีเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืน หวังคนไทยมีความกินดีอยู่ดี มีสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งพาตนเองได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ การขับเคลื่อน Thailand 4.0 ด้านการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ พร้อมให้การสนับสนุน เพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีคุณภาพ วันนี้ (17 มี.ค. 60) เวลา 09.30 น. ณ อาคารจักรพันธ์เพ็ญศิริ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “การขับเคลื่อน Thailand 4.0 ด้านการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ” โดยมีรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิโรจ อิ่มพิทักษ์ นายกสภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นายจงรัก วัชรินทร์รัตน์ รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟัง นายจงรัก วัชรินทร์รัตน์ รักษาราชการแทนอธิการบดี กล่าวรายงานว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มุ่งมั่นศาสตร์แห่งแผ่นดินสร้างความกินดีอยู่ดีให้แก่ชาติ โดยการผลิตบุคลากรและผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยได้ถูกนําไปใช้ในการพัฒนาประเทศด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร ด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งล่าสุดผลการจัดอันดับของ QS World University Rankings by Subject 2017 ประกาศให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 29 ของโลก อันดับที่ 4 ของเอเชีย และอันดับ 1 ของเมืองไทย ในสาขาวิชาเกษตรศาสตร์และวนศาสตร์ นับเป็นมหาวิทยาลัยเดียวในประเทศไทยที่มีสาขาติดอันดับ TOP 50 ของโลก นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ดําเนินการตามนโยบาย Thailand 4.0 โดยการพัฒนาคนการเข้าร่วมโครงการ STEM โครงการ Start-up โครงการสร้างนวัตกรรม โครงการถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยี ให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบการ ภายใต้การสนับสนุนจากหน่วยงานให้ทุนต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของ Food Innopolis ที่จะมาตั้งที่คณะวิทยาศาสตร์ และสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยยังได้นําร่องเพิ่มศาสตร์แห่งแผ่นดิน เพื่อให้นิสิตและนักศึกษานําศาสตร์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาขับเคลื่อนสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ต่อไป โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การขับเคลื่อน Thailand 4.0 ด้านการเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ”ว่า วันนี้โลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกคนต้องก้าวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ว่าสถานการณ์ภายนอก เช่น สภาพภูมิอากาศโลก โรคระบาด ภัยพิบัติ เป็นต้น ล้วนมีผลต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงทําให้ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทุกคนต้องเรียนรู้เท่าทันสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รัฐบาลมีเป้าหมายในการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน และต้องการให้คนไทยมีความกินดีอยู่ดี มีสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถพึ่งตนเองได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงให้ความสําคัญต่อการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ (New Economic Model) ในทุกมิติ ทั้งภาคธุรกิจ เกษตร การศึกษา ไปสู่โมเดลใหม่ Thailand 4.0 เพื่อมุ่งเน้นการแก้ปัญหาให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งการปฏิรูปเศรษฐกิจใหม่จากระบบเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตโดยใช้แรงงาน เครื่องจักรและทรัพยากรมาผลิตบนฐานความรู้และเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม เพื่อพัฒนาต่อยอดเศรษฐกิจไทยไปสู่ เศรษฐกิจที่เน้นคุณค่า และ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต เน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ โดยมุ่งเน้นการพัฒนา 5 กลุ่มเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย ประกอบด้วย 1) กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพ 2) กลุ่มสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ 3) กลุ่มเครื่องมืออุปกรณ์อัจฉริยะ หุ่นยนต์และระบบเครื่องกลที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุม 4) กลุ่มดิจิทัล เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมต่อการทํางานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีสมองกลฝังตัว 5) กลุ่มเศรษฐกิจสร้างสรรค์ วัฒนธรรมและบริการที่มีมูลค่าสูง ซึ่งทั้ง 5 กลุ่มนี้ จะต้องพัฒนาด้วยตนเองเป็นหลักและสอดรับกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งยังต้องมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่จะกําหนดมาตรการต่าง ๆ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 12 ซึ่งเป็นแผนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ 6 ด้าน คือ 1) ด้านความมั่นคงเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่งคั่งและยั่งยืน 2) ด้านเศรษฐกิจที่สร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน 3) ด้านสังคมที่จะสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ําในสังคม 4) ด้านทรัพยากรมนุษย์ที่จะเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพ 5) ด้านสิ่งแวดล้อม และ 6) ด้านการบริหารราชการแผ่นดินที่จะบริหารจัดการในภาครัฐ พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความห่วงใยต่อเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ที่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของหนอนหัวดําที่เป็นแมลงต่างถิ่นที่ติดมากับพันธุ์ปาล์มนําเข้ามาจากต่างประเทศ โดยกําชับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าไปดูแลและหาทางแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน และให้เกิดความยั่งยืนในระยะยาว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการระบาดในประเทศไทย นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลได้กําหนดทิศทางการพัฒนาในการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงพร้อมก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อเชื่อมประเทศไทยสู่ประชาคมโลก สําหรับกลุ่มเกษตร อาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งรัฐบาลให้ความสําคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีด้านเกษตร อาหารและ เทคโนโลยีชีวภาพ สามารถอาศัยทุนความได้เปรียบของประเทศไทยในความหลากหลายเชิงชีวภาพมาต่อยอดเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ สร้างความกินดี อยู่ดีให้กับประชาชนชาวไทยในทุกภูมิภาค และเป็นการลดความเหลื่อมล้ําทางสังคม โดยให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เร่งดําเนินการพิจารณาทบทวนกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเทคโนโลยีและธุรกิจที่มีการต่อยอด รวมทั้งทบทวนกฎหมายและระเบียบที่ล้าสมัยและทําให้การดําเนินงานมีความล่าช้า ซึ่งไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลจะลดมาตรฐานความปลอดภัยของประชาชน แต่เป็นการปรับปรุงการทํางานให้ทันสมัย รวดเร็วมากขึ้น อีกทั้ง ขอให้กระทรวงแรงงานสนับสนุนสวัสดิการตามความต้องการของนายจ้างและตลาดแรงงาน เพื่อยกระดับการพัฒนาฝีมือแรงงานทุกประเภทให้มีความทันสมัย สามารถใช้ภาษาสื่อสารกับนายจ้างได้ โดยเฉพาะการสอนภาษาต่าง ๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเป็นภาษาที่จําเป็นต้องใช้ในการทํางาน เพื่อยกระดับเป็นหัวหน้างาน พร้อมกับแนะนําส่งเสริมให้ความรู้โดยการทําป้ายสอนภาษาต่าง ๆ ในสถานประกอบการอีกด้วย ในส่วนของสถาบันการศึกษานั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะต้องมีบทบาทในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม และโครงสร้างการวิจัยและการพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งถือเป็นองค์กรที่มีส่วนในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ตามนโยบายรัฐบาล และต้องนําพาประเทศไทยให้ก้าวหน้าทันเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้มีความทันสมัย นอกจากนี้ควรปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนแบบเดิมเป็นการเรียนแบบ Active Learning โดยการสร้างแรงบันดาลใจให้นักศึกษาเกิดความอยากรู้ อยากทํา และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ โดยมหาวิทยาลัยต้องสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากความรู้และข้อมูลที่มหาวิทยาลัยมีอยู่ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ของรัฐตั้งแต่ระดับกระทรวงลงมา ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อช่วยให้ SMEs สามารถสร้างหรือใช้นวัตกรรมในการสร้างมูลค่าสินค้าและบริการ อีกทั้ง ช่วยเกษตรกรให้ผันตัวเองจากการเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบทางการเกษตรมาเป็นผู้ประกอบการทางการเกษตรสมัยใหม่ หรือที่เรียกว่า Smart Farmer มีการบริหารจัดการที่ดีมีต้นทุนการผลิตที่ต่ํา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนเครือข่ายของมหาวิทยาลัยต้องกระจายความรู้ออกไปให้ทั่วประเทศสร้างความเจริญ และก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สามารถทํางานในถิ่นฐานบ้านเกิดได้โดยไม่ต้องเข้ามาทํางานในกรุงเทพฯ เนื่องจากมีงานที่ดีกระจายอยู่ทั่วประเทศ และในฐานะที่มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันที่ให้บริการทางวิชาการแก่สังคมทั้งองค์ความรู้และนวัตกรรมใหม่ ๆ จะช่วยให้ผู้คนในสังคมและผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ ใช้องค์ความรู้จากนักวิชาการและนักศึกษาให้เกิดประโยชน์ต่อการดําเนินธุรกิจทั้งภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรมและการบริการ ตัวอย่างการกระจายความรู้สู่ภูมิภาคนี้ ได้แก่ โครงการ InnoHub ของประชารัฐ ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีคุณภาพ อีกทั้ง Thailand 4.0 จะต้องขับเคลื่อนด้วยพลังประชารัฐ ทั้งภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษาและประชาสังคม เป็นหัวใจหลักที่จะนํามาสู่ความสําเร็จ พร้อมที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน ของประเทศ และช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งและเติบโตได้อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ต่อไป พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ กล่าวชื่นชม CNN ที่ยกย่องกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองแห่งอาหารริมทางดีที่สุดในโลกต่อเนื่อง พร้อมกําชับพ่อค้าแม่ค้ายึดหลักอนามัยจัดให้เป็นระเบียบตรึงใจนักท่องเที่ยว จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานวิจัยนวัตกรรมดีเด่น “เกษตรศาสตร์ รวมพลังขับเคลื่อน Thailand 4.0 จํานวน 50 ผลงาน ที่พร้อมขยายขนาดการผลิต ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม Smart Agriculture กลุ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปมูลค่าสูง และกลุ่มชุมชนเข้มแข็ง ................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/2457
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.คลังเยี่ยมคารวะ รมว.กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น พร้อมหารือผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานเศรษฐกิจและบริษัทเอกชนญี่ปุ่น
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562 รมว.คลังเยี่ยมคารวะ รมว.กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น พร้อมหารือผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานเศรษฐกิจและบริษัทเอกชนญี่ปุ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 เพื่อเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่น นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ ได้เข้าพบนาย Hiroshige Seko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 เพื่อเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งสร้างความมั่นใจในการสานต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ซึ่งญี่ปุ่นได้มีส่วนร่วมในโครงการลงทุนต่างๆ ใน EEC นี้ด้วย นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้พบปะผู้บริหารหน่วยงานเศรษฐกิจของญี่ปุ่น อาทิ นาย Kazuho Tanaka ผู้ว่าการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Japan Finance Corporation (JFC) และนาย Nobuhiko Sasaki ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศญี่ปุ่น (JETRO) รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนและสถาบันการเงินของประเทศญี่ปุ่น อาทิ บริษัท Mitsubishi Electric Corporation บริษัท Toyota Motor Corporation และธนาคารมิซูโฮ ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมงานเสวนา เรื่อง ทิศทางนโยบายด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลังของไทยและความต่อเนื่องของ EEC และพบปะภาคเอกชนญี่ปุ่น โดยมีผู้แทนสมาพันธ์ธุรกิจชั้นนําของประเทศญี่ปุ่น (Keidanren) ประมาณ 30 ราย เข้าร่วมรับฟังการเสวนาดังกล่าว ทั้งนี้ ดร. อุตตมฯ ได้กล่าวถึงศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีปัจจัยสําคัญมาจากการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสําคัญต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในด้านกายภาพและด้านดิจิทัล นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสําคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสําคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ทั้งนี้ ได้ย้ําให้นักลงทุนญี่ปุ่นมั่นใจว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยและฐานะการคลังยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง สามารถรองรับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ โดยงานเสวนาดังกล่าวนับว่าประสบความสําเร็จเป็นอย่างมากในการเสริมสร้างความมั่นใจด้านเศรษฐกิจไทยแก่นักลงทุนญี่ปุ่น สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3610
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.คลังเยี่ยมคารวะ รมว.กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น พร้อมหารือผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานเศรษฐกิจและบริษัทเอกชนญี่ปุ่น วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2562 รมว.คลังเยี่ยมคารวะ รมว.กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น พร้อมหารือผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานเศรษฐกิจและบริษัทเอกชนญี่ปุ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 เพื่อเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่น นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะ ได้เข้าพบนาย Hiroshige Seko รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 เพื่อเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งสร้างความมั่นใจในการสานต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ซึ่งญี่ปุ่นได้มีส่วนร่วมในโครงการลงทุนต่างๆ ใน EEC นี้ด้วย นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้พบปะผู้บริหารหน่วยงานเศรษฐกิจของญี่ปุ่น อาทิ นาย Kazuho Tanaka ผู้ว่าการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Japan Finance Corporation (JFC) และนาย Nobuhiko Sasaki ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศญี่ปุ่น (JETRO) รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงของภาคเอกชนและสถาบันการเงินของประเทศญี่ปุ่น อาทิ บริษัท Mitsubishi Electric Corporation บริษัท Toyota Motor Corporation และธนาคารมิซูโฮ ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมงานเสวนา เรื่อง ทิศทางนโยบายด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลังของไทยและความต่อเนื่องของ EEC และพบปะภาคเอกชนญี่ปุ่น โดยมีผู้แทนสมาพันธ์ธุรกิจชั้นนําของประเทศญี่ปุ่น (Keidanren) ประมาณ 30 ราย เข้าร่วมรับฟังการเสวนาดังกล่าว ทั้งนี้ ดร. อุตตมฯ ได้กล่าวถึงศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งมีปัจจัยสําคัญมาจากการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสําคัญต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในด้านกายภาพและด้านดิจิทัล นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสําคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสําคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ทั้งนี้ ได้ย้ําให้นักลงทุนญี่ปุ่นมั่นใจว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยและฐานะการคลังยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง สามารถรองรับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ โดยงานเสวนาดังกล่าวนับว่าประสบความสําเร็จเป็นอย่างมากในการเสริมสร้างความมั่นใจด้านเศรษฐกิจไทยแก่นักลงทุนญี่ปุ่น สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3610
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/21891
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ลงพื้นที่ฝ่าวิกฤตภัยแล้งสุรินทร์-บุรีรัมย์ กำชับเร่งเพิ่มปริมาณน้ำระยะสั้น-ยาว พร้อมช่วยเหลือประชาชน
วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2562 นายกฯ ลงพื้นที่ฝ่าวิกฤตภัยแล้งสุรินทร์-บุรีรัมย์ กําชับเร่งเพิ่มปริมาณน้ําระยะสั้น-ยาว พร้อมช่วยเหลือประชาชน นายกฯ ลงพื้นที่ฝ่าวิกฤตภัยแล้งสุรินทร์-บุรีรัมย์ กําชับเร่งเพิ่มปริมาณ วันนี้ (18 สิงหาคม 2562) ศาตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์ภัยแล้งล่าสุดที่ จ.สุรินทร์และบุรีรัมย์ ก่อนที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะลงพื้นที่ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาในวันพรุ่งนี้ (19 ส.ค.62) โดยอ่างเก็บน้ําสําคัญของ จ.สุรินทร์ คือ “อ่างเก็บน้ําห้วยเสนง” และ “อ่างเก็บน้ําอําปึล” ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บน้ําดิบผลิตประปา มีปริมาณน้ําเพิ่มขึ้น ทําให้สถานการณ์คลี่คลาย แต่ยังคงต้องเฝ้าระวัง โดยอ่างเก็บน้ําห้วยเสนง มีปริมาณน้ํา 9.86% ของความจุ และอ่างเก็บน้ําอําปึล มีปริมาณน้ํา 1.09% ของความจุ บางพื้นที่ยังมีปัญหาขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภค รวมพื้นที่ประสบภัย 2 อําเภอ คือ อ.เมืองสุรินทร์ และ อ.สําโรงทาบ 31 ตําบล 308 หมู่บ้าน 150,995 ไร่ ส่วนที่จ.บุรีรัมย์ มีปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําสําคัญ คือ "อ่างเก็บน้ําห้วยตลาด” และ “อ่างเก็บน้ําห้วยจระเข้มาก” รวม 1.438 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ําประปาในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ รมช.เกษตรฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ไปแก้ไขปัญหาเร่งด่วน โดยเฉพาะการขุดร่องชักน้ําเข้าสู่หัวสูบประปา และสูบน้ําบริเวณรอบอ่างเก็บน้ําให้สามารถผลิตน้ําประปาได้ ขุดเจาะบ่อบาดาลเพิ่มปริมาณน้ํา เร่งปฏิบัติการฝนหลวงเติมน้ําในอ่าง ทําให้สถานการณ์ดีขึ้นเป็นลําดับ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะไปตรวจติดตามปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงาน โดยกําชับเรื่องแผนระยะกลางและระยะยาวเพื่อความยั่งยืน เช่น การเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ําทุกแห่ง โครงการผันน้ําจากแหล่งที่มีศักยภาพสูงกว่า การตั้งสถานีผลิตน้ําประปาในจุดที่มีแหล่งน้ําเพียงพอเพื่อเสริมความมั่นคงด้านน้ําประปา เป็นต้น พร้อมทั้งได้สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะเกษตรกรให้ดีที่สุดด้วย ...... สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ลงพื้นที่ฝ่าวิกฤตภัยแล้งสุรินทร์-บุรีรัมย์ กำชับเร่งเพิ่มปริมาณน้ำระยะสั้น-ยาว พร้อมช่วยเหลือประชาชน วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2562 นายกฯ ลงพื้นที่ฝ่าวิกฤตภัยแล้งสุรินทร์-บุรีรัมย์ กําชับเร่งเพิ่มปริมาณน้ําระยะสั้น-ยาว พร้อมช่วยเหลือประชาชน นายกฯ ลงพื้นที่ฝ่าวิกฤตภัยแล้งสุรินทร์-บุรีรัมย์ กําชับเร่งเพิ่มปริมาณ วันนี้ (18 สิงหาคม 2562) ศาตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงสถานการณ์ภัยแล้งล่าสุดที่ จ.สุรินทร์และบุรีรัมย์ ก่อนที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะลงพื้นที่ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาในวันพรุ่งนี้ (19 ส.ค.62) โดยอ่างเก็บน้ําสําคัญของ จ.สุรินทร์ คือ “อ่างเก็บน้ําห้วยเสนง” และ “อ่างเก็บน้ําอําปึล” ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บน้ําดิบผลิตประปา มีปริมาณน้ําเพิ่มขึ้น ทําให้สถานการณ์คลี่คลาย แต่ยังคงต้องเฝ้าระวัง โดยอ่างเก็บน้ําห้วยเสนง มีปริมาณน้ํา 9.86% ของความจุ และอ่างเก็บน้ําอําปึล มีปริมาณน้ํา 1.09% ของความจุ บางพื้นที่ยังมีปัญหาขาดแคลนน้ําอุปโภคบริโภค รวมพื้นที่ประสบภัย 2 อําเภอ คือ อ.เมืองสุรินทร์ และ อ.สําโรงทาบ 31 ตําบล 308 หมู่บ้าน 150,995 ไร่ ส่วนที่จ.บุรีรัมย์ มีปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําสําคัญ คือ "อ่างเก็บน้ําห้วยตลาด” และ “อ่างเก็บน้ําห้วยจระเข้มาก” รวม 1.438 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ําประปาในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ รมช.เกษตรฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ไปแก้ไขปัญหาเร่งด่วน โดยเฉพาะการขุดร่องชักน้ําเข้าสู่หัวสูบประปา และสูบน้ําบริเวณรอบอ่างเก็บน้ําให้สามารถผลิตน้ําประปาได้ ขุดเจาะบ่อบาดาลเพิ่มปริมาณน้ํา เร่งปฏิบัติการฝนหลวงเติมน้ําในอ่าง ทําให้สถานการณ์ดีขึ้นเป็นลําดับ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะไปตรวจติดตามปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงาน โดยกําชับเรื่องแผนระยะกลางและระยะยาวเพื่อความยั่งยืน เช่น การเพิ่มความจุอ่างเก็บน้ําทุกแห่ง โครงการผันน้ําจากแหล่งที่มีศักยภาพสูงกว่า การตั้งสถานีผลิตน้ําประปาในจุดที่มีแหล่งน้ําเพียงพอเพื่อเสริมความมั่นคงด้านน้ําประปา เป็นต้น พร้อมทั้งได้สั่งการให้ทุกจังหวัดเตรียมการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะเกษตรกรให้ดีที่สุดด้วย ...... สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22310
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คนไทยเกือบครึ่งประเทศขานรับใช้งาน "ไทยชนะ" ยอดทะลุ 30 ล้านคน
วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 คนไทยเกือบครึ่งประเทศขานรับใช้งาน "ไทยชนะ" ยอดทะลุ 30 ล้านคน คนไทยเกือบครึ่งประเทศขานรับใช้งาน "ไทยชนะ" ยอดทะลุ 30 ล้านคน "ไทยชนะ" ปลื้มคนไทยใช้งานเพิ่มต่อเนื่อง ล่าสุดตัวเลขทะลุ 30 ล้านคน พัฒนาเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ๆ จองสถานที่ท่องเที่ยว เน้นตอบทุกโจทย์ของยุคชีวิตปกติวิถีใหม่ ควบคู่ให้ความสําคัญกับการคุ้มครองความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มีนโยบายผลักดัน การจัดทํา“ไทยชนะ” เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค รองรับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ระยะที่ 2 ควรดําเนินการตามมาตรฐานการจัดการข้อมูล ให้เป็นตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล รวมทั้งขั้นตอนในการจัดเก็บต้องไม่เป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ควบคู่กับการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ซึ่งเป็นสิ่งที่แพลตฟอร์ม/แอปไทยชนะให้ความสําคัญมาโดยตลอด ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยความคืบหน้าการใช้งาน “ไทยชนะ”ของประชาชน และร้านค้า ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2563 ว่าขณะนี้มียอดผู้ใช้งาน แล้วกว่า 30,792,286 คน ประเภทกิจการ/ร้านค้า ลงทะเบียน 230,768 ร้าน โดยพบว่า 5 จังหวัด ที่มีสัดส่วนการประเมินกิจการ/กิจกรรมสูงสุด ได้แก่ 1. ปทุมธานี 2. นครปฐม 3. กรุงเทพมหานคร 4. นนทบุรี และ 5. ชลบุรี นพ.พลวรรธน์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือนของการเปิดให้มีการใช้งาน "ไทยชนะ" ได้มีการเพิ่มฟังก์ชั่นเพื่อรองรับความต้องการ ล่าสุดเพิ่มระบบการจองคิวในไทยชนะ สําหรับการจองท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ ที่จะทยอยเริ่มกลับมาเปิดหลังโควิด-19 ซึ่งจะมีการจํากัดนักท่องเที่ยว โดยไทยชนะ จะเป็นเครื่องมือช่วยคัดกรองและติดตามการเข้าพื้นที่ของนักท่องเที่ยวด้วย รองรับนโยบายการท่องเที่ยวแบบ new normal ที่ต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นการอํานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนรูปแบบของชีวิตปกติวิถีใหม่.(New Normal) ทั้งในฟากของประชาชน และกิจการ/กิจกรรมที่เข้ามาลงทะเบียน นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มฟังก์ชั่นการเช็คอินแบบกลุ่ม (Group Check-in) เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานรองรับการเช็คอินพร้อมกันได้ 4 คน โดยในส่วนของแอปไทยชนะ ทั้งบนแอนดรอยด์ และ iOS จะสามารถใช้ฟังก์ชั่นใหม่ได้ในเร็วๆ นี้ โดยจะสามารถเช็คเอาท์แบบกลุ่มได้เช่นกัน “ขอเน้นย้ําข้อควรรู้และแนวปฏิบัติ ในการเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการของร้านค้าโดยใช้สมุดจด ดังนี้ 1.ข้อมูลนี้ใช้เพื่อการสอบสวนโรค กรณีผู้ใช้บริการบางคนป่วยโรคโควิด-19 ขึ้นในภายหลัง 2.ห้ามนําไปใช้เพื่อการอย่างอื่นโดยเด็ดขาด 3.ร้านค้าจัดเก็บในที่ปลอดภัย โดยสามารถสืบค้นย้อนหลังได้ 60 วัน และ 4.เมื่อครบกําหนดให้ร้านค้าทําลายสมุดจดดังกล่าว” นพ.พลวรรธน์กล่าว ***************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คนไทยเกือบครึ่งประเทศขานรับใช้งาน "ไทยชนะ" ยอดทะลุ 30 ล้านคน วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน 2563 คนไทยเกือบครึ่งประเทศขานรับใช้งาน "ไทยชนะ" ยอดทะลุ 30 ล้านคน คนไทยเกือบครึ่งประเทศขานรับใช้งาน "ไทยชนะ" ยอดทะลุ 30 ล้านคน "ไทยชนะ" ปลื้มคนไทยใช้งานเพิ่มต่อเนื่อง ล่าสุดตัวเลขทะลุ 30 ล้านคน พัฒนาเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานใหม่ๆ จองสถานที่ท่องเที่ยว เน้นตอบทุกโจทย์ของยุคชีวิตปกติวิถีใหม่ ควบคู่ให้ความสําคัญกับการคุ้มครองความปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มีนโยบายผลักดัน การจัดทํา“ไทยชนะ” เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันและลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค รองรับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ระยะที่ 2 ควรดําเนินการตามมาตรฐานการจัดการข้อมูล ให้เป็นตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล รวมทั้งขั้นตอนในการจัดเก็บต้องไม่เป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 ควบคู่กับการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ซึ่งเป็นสิ่งที่แพลตฟอร์ม/แอปไทยชนะให้ความสําคัญมาโดยตลอด ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ในฐานะรองหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการด้านข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยความคืบหน้าการใช้งาน “ไทยชนะ”ของประชาชน และร้านค้า ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2563 ว่าขณะนี้มียอดผู้ใช้งาน แล้วกว่า 30,792,286 คน ประเภทกิจการ/ร้านค้า ลงทะเบียน 230,768 ร้าน โดยพบว่า 5 จังหวัด ที่มีสัดส่วนการประเมินกิจการ/กิจกรรมสูงสุด ได้แก่ 1. ปทุมธานี 2. นครปฐม 3. กรุงเทพมหานคร 4. นนทบุรี และ 5. ชลบุรี นพ.พลวรรธน์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 1 เดือนของการเปิดให้มีการใช้งาน "ไทยชนะ" ได้มีการเพิ่มฟังก์ชั่นเพื่อรองรับความต้องการ ล่าสุดเพิ่มระบบการจองคิวในไทยชนะ สําหรับการจองท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ ที่จะทยอยเริ่มกลับมาเปิดหลังโควิด-19 ซึ่งจะมีการจํากัดนักท่องเที่ยว โดยไทยชนะ จะเป็นเครื่องมือช่วยคัดกรองและติดตามการเข้าพื้นที่ของนักท่องเที่ยวด้วย รองรับนโยบายการท่องเที่ยวแบบ new normal ที่ต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ซึ่งเป็นการอํานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนรูปแบบของชีวิตปกติวิถีใหม่.(New Normal) ทั้งในฟากของประชาชน และกิจการ/กิจกรรมที่เข้ามาลงทะเบียน นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มฟังก์ชั่นการเช็คอินแบบกลุ่ม (Group Check-in) เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานรองรับการเช็คอินพร้อมกันได้ 4 คน โดยในส่วนของแอปไทยชนะ ทั้งบนแอนดรอยด์ และ iOS จะสามารถใช้ฟังก์ชั่นใหม่ได้ในเร็วๆ นี้ โดยจะสามารถเช็คเอาท์แบบกลุ่มได้เช่นกัน “ขอเน้นย้ําข้อควรรู้และแนวปฏิบัติ ในการเก็บข้อมูลผู้ใช้บริการของร้านค้าโดยใช้สมุดจด ดังนี้ 1.ข้อมูลนี้ใช้เพื่อการสอบสวนโรค กรณีผู้ใช้บริการบางคนป่วยโรคโควิด-19 ขึ้นในภายหลัง 2.ห้ามนําไปใช้เพื่อการอย่างอื่นโดยเด็ดขาด 3.ร้านค้าจัดเก็บในที่ปลอดภัย โดยสามารถสืบค้นย้อนหลังได้ 60 วัน และ 4.เมื่อครบกําหนดให้ร้านค้าทําลายสมุดจดดังกล่าว” นพ.พลวรรธน์กล่าว ***************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32835
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรยกระดับการทำงานครั้งใหญ่ นำระบบ Agile มาสร้างนวัตกรรมตอบโจทย์บริการผู้เสียภาษี
วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562 สรรพากรยกระดับการทํางานครั้งใหญ่ นําระบบ Agile มาสร้างนวัตกรรมตอบโจทย์บริการผู้เสียภาษี กรมสรรพากรจัดการประชุม/สัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักร ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน 2562 เพื่อมอบนโยบายการเป็นองค์กรที่คล่องตัวรวดเร็ว ยกระดับการทํางานครั้งใหญ่ เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล กรมสรรพากรจัดการประชุม/สัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักร ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน 2562 เพื่อมอบนโยบายการเป็นองค์กรที่คล่องตัวรวดเร็ว (Agile Organization) ยกระดับการทํางานครั้งใหญ่ เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) เดินหน้าสร้างนวัตกรรมที่ยึดผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมการสร้างกระบวนการการทํางานที่มีการปรับตัวและการเรียนรู้ด้วยความรวดเร็ว (Agile) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 นี้ กรมสรรพากรจะนํากระบวนการทํางานแบบ Agile ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ D2RIVE ซึ่งประกอบด้วย (1) Digital Transformation (2) Data Analytics (3) Revenue Collection (4) Innovation (5) Values และ (6) Efficiency เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการจัดเก็บรายได้ให้ตรงเป้า ออกนโยบายภาษีให้ตรงกลุ่ม และบริการผู้เสียภาษีให้ตรงใจ เพื่อสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อผู้เสียภาษี โดยการยึดผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง (Taxpayer – Centric) พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง (Adaptive to change) การทํางานที่เน้นผลลัพธ์ (Output Oriented) และการทํางานเป็นทีม (Teamwork) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการนําร่องในการนําแนวคิด Agile มาใช้กับแผนงาน/โครงการสําคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ D2RIVE ในปี 2563 ดังนี้ D-Digital Transformation –การปรับเปลี่ยนกระบวนงานเพื่อนําไปสู่การเป็นองค์กรนวัตกรรม เช่น (1) แผนการจัดทําสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture: EA) เพื่อเตรียมปรับปรุงระบบทั้งหมด ของกรมสรรพากรให้พร้อมต่อการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงในเชิงกระบวนการทางธุรกิจ (2) แผนงานพัฒนาระบบการกรอกแบบล่วงหน้า (Prefill) เพื่ออํานวยความสะดวกการยื่นแบบภาษีบุคคลธรรมดา D - Data Analytics - การเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น แผนงานการเชื่อมโยงข้อมูล (Data Integration) เพื่ออํานวยความสะดวกผู้เสียภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของกรมสรรพากร R - Revenue Collection - การเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง และเป็นธรรม ได้แก่ (1) แผนควบคุม และติดตามแผนงานสํารวจผู้เสียภาษีรายใหม่ จากการปฏิบัติงานสํารวจและผู้เสียภาษีรายใหม่ ที่มีภาษีชําระเพื่อสร้าง ความเป็นธรรมให้กับผู้เสียภาษีที่เสียภาษีถูกต้องในระบบ (2) แผนงานพัฒนางานกฎหมาย และงานอุทธรณ์ภาษีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของกรมสรรพากรทําให้งานอุทธรณ์มีการพิจารณารวดเร็วขึ้น I - Innovation - การสร้างนวัตกรรมโดยจัดทําโครงการ RD Sandbox เพื่อรองรับการนํานวัตกรรมต่าง ๆ ที่ได้จากการทํา Design thinking และการประกวด Hackathon มาทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง V - Values - การพัฒนากรมสรรพากรให้เป็นองค์กรคุณธรรม โดยจัดทําแผนงานขับเคลื่อน องค์กรคุณธรรมเพื่อนําคุณธรรมของกรมสรรพากร ได้แก่ ซื่อสัตย์ (Honesty) รับผิดชอบ (Accountability) มอบใจบริการ (Service Mind) ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม E - Efficiency - การยกระดับประสิทธิภาพของคนและงาน ได้แก่ (1) แผนงานโรงเรียนสรรพากร เพื่อพัฒนาบุคลากรสรรพากรทุกระดับอย่างต่อเนื่อง (2) แผนงาน RD Branding เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของกรมสรรพากร และสร้างการรับรู้คุณค่าและประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ที่ติดต่อกับกรมสรรพากร (3) แผนงานประชาสัมพันธ์ภายในและภายนอกเพื่อทําให้เรื่องภาษีเป็นเรื่องง่ายคนไทยตระหนักถึงหน้าที่การเสียภาษี (4) แผนงานองค์กรอัจฉริยะ (Smart Office) เพื่อพัฒนาการทํางานของกรมสรรพากรให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า ในการจัดประชุมสัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักรในวันนี้เป็นการเตรียมความพร้อมให้บุคลากรกรมสรรพากรที่มีอยู่ทั่วประเทศเข้าใจ และสามารถนําแนวคิด Agile มาใช้ในการบริหารทรัพยากรและบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยกรมสรรพากรได้เชิญคุณอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานกรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการกํากับความเสี่ยง ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) มาแบ่งปันประสบการณ์การขับเคลื่อนธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ผ่านการทํา Digital Transformation และการปรับเปลี่ยนการทํางานและวัฒนธรรมองค์กรให้เป็น Agile Organization และ คุณวิษณุ ศรีเจริญ FSVP Agile Change Division, Agile Enable Business Unit ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) มาให้ความรู้เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ Agile ในการทํางานและการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร Agile Organization ไปที่สรรพากรระดับภาคและพื้นที่ด้วย เพื่อสู่เป้าหมายการจัดเก็บให้ตรงเป้า ออกนโยบายให้ตรงกลุ่ม และบริการให้ตรงใจต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรยกระดับการทำงานครั้งใหญ่ นำระบบ Agile มาสร้างนวัตกรรมตอบโจทย์บริการผู้เสียภาษี วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562 สรรพากรยกระดับการทํางานครั้งใหญ่ นําระบบ Agile มาสร้างนวัตกรรมตอบโจทย์บริการผู้เสียภาษี กรมสรรพากรจัดการประชุม/สัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักร ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน 2562 เพื่อมอบนโยบายการเป็นองค์กรที่คล่องตัวรวดเร็ว ยกระดับการทํางานครั้งใหญ่ เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล กรมสรรพากรจัดการประชุม/สัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักร ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน 2562 เพื่อมอบนโยบายการเป็นองค์กรที่คล่องตัวรวดเร็ว (Agile Organization) ยกระดับการทํางานครั้งใหญ่ เร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) เดินหน้าสร้างนวัตกรรมที่ยึดผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง ส่งเสริมการสร้างกระบวนการการทํางานที่มีการปรับตัวและการเรียนรู้ด้วยความรวดเร็ว (Agile) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 นี้ กรมสรรพากรจะนํากระบวนการทํางานแบบ Agile ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ D2RIVE ซึ่งประกอบด้วย (1) Digital Transformation (2) Data Analytics (3) Revenue Collection (4) Innovation (5) Values และ (6) Efficiency เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการจัดเก็บรายได้ให้ตรงเป้า ออกนโยบายภาษีให้ตรงกลุ่ม และบริการผู้เสียภาษีให้ตรงใจ เพื่อสร้างความสามารถในการตอบสนองต่อผู้เสียภาษี โดยการยึดผู้เสียภาษีเป็นศูนย์กลาง (Taxpayer – Centric) พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง (Adaptive to change) การทํางานที่เน้นผลลัพธ์ (Output Oriented) และการทํางานเป็นทีม (Teamwork) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการนําร่องในการนําแนวคิด Agile มาใช้กับแผนงาน/โครงการสําคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ D2RIVE ในปี 2563 ดังนี้ D-Digital Transformation –การปรับเปลี่ยนกระบวนงานเพื่อนําไปสู่การเป็นองค์กรนวัตกรรม เช่น (1) แผนการจัดทําสถาปัตยกรรมองค์กร (Enterprise Architecture: EA) เพื่อเตรียมปรับปรุงระบบทั้งหมด ของกรมสรรพากรให้พร้อมต่อการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงในเชิงกระบวนการทางธุรกิจ (2) แผนงานพัฒนาระบบการกรอกแบบล่วงหน้า (Prefill) เพื่ออํานวยความสะดวกการยื่นแบบภาษีบุคคลธรรมดา D - Data Analytics - การเพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น แผนงานการเชื่อมโยงข้อมูล (Data Integration) เพื่ออํานวยความสะดวกผู้เสียภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของกรมสรรพากร R - Revenue Collection - การเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ ถูกต้อง และเป็นธรรม ได้แก่ (1) แผนควบคุม และติดตามแผนงานสํารวจผู้เสียภาษีรายใหม่ จากการปฏิบัติงานสํารวจและผู้เสียภาษีรายใหม่ ที่มีภาษีชําระเพื่อสร้าง ความเป็นธรรมให้กับผู้เสียภาษีที่เสียภาษีถูกต้องในระบบ (2) แผนงานพัฒนางานกฎหมาย และงานอุทธรณ์ภาษีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของกรมสรรพากรทําให้งานอุทธรณ์มีการพิจารณารวดเร็วขึ้น I - Innovation - การสร้างนวัตกรรมโดยจัดทําโครงการ RD Sandbox เพื่อรองรับการนํานวัตกรรมต่าง ๆ ที่ได้จากการทํา Design thinking และการประกวด Hackathon มาทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง V - Values - การพัฒนากรมสรรพากรให้เป็นองค์กรคุณธรรม โดยจัดทําแผนงานขับเคลื่อน องค์กรคุณธรรมเพื่อนําคุณธรรมของกรมสรรพากร ได้แก่ ซื่อสัตย์ (Honesty) รับผิดชอบ (Accountability) มอบใจบริการ (Service Mind) ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม E - Efficiency - การยกระดับประสิทธิภาพของคนและงาน ได้แก่ (1) แผนงานโรงเรียนสรรพากร เพื่อพัฒนาบุคลากรสรรพากรทุกระดับอย่างต่อเนื่อง (2) แผนงาน RD Branding เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของกรมสรรพากร และสร้างการรับรู้คุณค่าและประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ที่ติดต่อกับกรมสรรพากร (3) แผนงานประชาสัมพันธ์ภายในและภายนอกเพื่อทําให้เรื่องภาษีเป็นเรื่องง่ายคนไทยตระหนักถึงหน้าที่การเสียภาษี (4) แผนงานองค์กรอัจฉริยะ (Smart Office) เพื่อพัฒนาการทํางานของกรมสรรพากรให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวสรุปว่า ในการจัดประชุมสัมมนาผู้บริหารกรมสรรพากรทั่วราชอาณาจักรในวันนี้เป็นการเตรียมความพร้อมให้บุคลากรกรมสรรพากรที่มีอยู่ทั่วประเทศเข้าใจ และสามารถนําแนวคิด Agile มาใช้ในการบริหารทรัพยากรและบริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยกรมสรรพากรได้เชิญคุณอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานกรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการกํากับความเสี่ยง ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) มาแบ่งปันประสบการณ์การขับเคลื่อนธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) ผ่านการทํา Digital Transformation และการปรับเปลี่ยนการทํางานและวัฒนธรรมองค์กรให้เป็น Agile Organization และ คุณวิษณุ ศรีเจริญ FSVP Agile Change Division, Agile Enable Business Unit ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) มาให้ความรู้เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ Agile ในการทํางานและการเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร Agile Organization ไปที่สรรพากรระดับภาคและพื้นที่ด้วย เพื่อสู่เป้าหมายการจัดเก็บให้ตรงเป้า ออกนโยบายให้ตรงกลุ่ม และบริการให้ตรงใจต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 3/2561
วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561 รอง นรม.วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 3/2561 ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ มีมติเห็นชอบในหลักการโครงสร้างองค์กรและกรอบอัตรากําลังตามโครงสร้างใหม่ เพื่อให้การปฏิบัติงานด้านพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างยั่งยืน วันนี้ (17 เมษายน 2561) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 3/2561 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับโครงสร้างองค์กรและกรอบอัตรากําลังตามโครงสร้างใหม่ เพื่อให้การปฏิบัติงานด้านพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ที่ประชุมมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับข้อเสนอและความคิดเห็นของคณะกรรมการฯ ในประเด็นโครงสร้างฯไปประกอบการพิจารณาและศึกษาในรายละเอียดพร้อมนําเสนออีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2561-2565 โดยมีวิสัยทัศน์เน้นประชาชนเข้าถึง เข้าใจ และฉลาดใช้สื่ออย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ด้วยนิเวศสื่อที่ดี ซึ่งมี 3 พันธกิจหลักด้วยการส่งเสริม สนับสนุน ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการผลิตและพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ตลอดจนส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้าถึง เข้าใจ และใช้ประโยชน์จากสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์อย่างทั่วถึง พร้อมส่งเสริมให้ประชาชนโดยเฉพาะเด็ก เยาวชน และครอบครัว มีทักษะในการรู้เท่าทันพร้อมเฝ้าระวังสื่อ โดยมุ่งให้ประชาชนทุกกลุ่มและทุกช่วงวัยสามารถเข้าถึง และใช้ประโยชน์จากสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ได้เพิ่มขึ้น โดยมีการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง พร้อมต่อการพัฒนาและเกิดความเข้าใจสังคมที่แตกต่างและหลากหลาย เพื่อสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมาณฉันท์อย่างยั่งยืนต่อไป ................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอง นรม.วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 3/2561 วันอังคารที่ 17 เมษายน 2561 รอง นรม.วิษณุฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 3/2561 ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ มีมติเห็นชอบในหลักการโครงสร้างองค์กรและกรอบอัตรากําลังตามโครงสร้างใหม่ เพื่อให้การปฏิบัติงานด้านพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างยั่งยืน วันนี้ (17 เมษายน 2561) เวลา 14.30 น. ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ครั้งที่ 3/2561 สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับโครงสร้างองค์กรและกรอบอัตรากําลังตามโครงสร้างใหม่ เพื่อให้การปฏิบัติงานด้านพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ที่ประชุมมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับข้อเสนอและความคิดเห็นของคณะกรรมการฯ ในประเด็นโครงสร้างฯไปประกอบการพิจารณาและศึกษาในรายละเอียดพร้อมนําเสนออีกครั้งในการประชุมครั้งต่อไป พร้อมกันนี้ ที่ประชุมได้รับทราบ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. 2561-2565 โดยมีวิสัยทัศน์เน้นประชาชนเข้าถึง เข้าใจ และฉลาดใช้สื่ออย่างปลอดภัยและสร้างสรรค์ด้วยนิเวศสื่อที่ดี ซึ่งมี 3 พันธกิจหลักด้วยการส่งเสริม สนับสนุน ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการผลิตและพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ตลอดจนส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้าถึง เข้าใจ และใช้ประโยชน์จากสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์อย่างทั่วถึง พร้อมส่งเสริมให้ประชาชนโดยเฉพาะเด็ก เยาวชน และครอบครัว มีทักษะในการรู้เท่าทันพร้อมเฝ้าระวังสื่อ โดยมุ่งให้ประชาชนทุกกลุ่มและทุกช่วงวัยสามารถเข้าถึง และใช้ประโยชน์จากสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ได้เพิ่มขึ้น โดยมีการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง พร้อมต่อการพัฒนาและเกิดความเข้าใจสังคมที่แตกต่างและหลากหลาย เพื่อสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสมาณฉันท์อย่างยั่งยืนต่อไป ................................................. กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ร่วมกับ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบ โครงการก่อสร้างถนนสาย ฉ และ ค ผังเมืองรวมเมืองชัยนาท (ช่วงสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา)
วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2560 กรมทางหลวงชนบท ร่วมกับ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบ โครงการก่อสร้างถนนสาย ฉ และ ค ผังเมืองรวมเมืองชัยนาท (ช่วงสะพานข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา) นายสุพร เตไชยา วิศวกรใหญ่ด้านสํารวจและออกแบบ กรมทางหลวงชนบท พร้อมด้วยนายสุรพันธุ์ ไตรรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักก่อสร้างทาง และคณะ ให้การต้อนรับ ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการลงพื้นที่ตรวจสอบหาสาเหตุ โครงการก่อสร้างถนนสาย ฉ และ ค ผังเมืองรวมเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท (ช่วงสะพานข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา) ที่เกิดเหตุสะพานทรุดตัว โดยวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้าร่วมตรวจสอบและหาแนวทางในการแก้ไขตามหลักวิศวกรรม จากการสํารวจพื้นที่เบื้องต้น พบว่า ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัด ซึ่งจําเป็นต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี เมื่อดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้วโครงสร้างนั่งร้านที่นี่มีความแข็งแรงเหมือนกับโครงการอื่นๆ ทั้งนี้ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยจะหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาดังกล่าวซ้ําอีก สําหรับโครงสร้างในส่วนที่ได้รับความเสียหายต้องดําเนินการรื้อทิ้งพร้อมกับตรวจสอบความแข็งแรงเชิงลึกของโครงสร้างที่ยังคงอยู่และเพิ่มเสถียรภาพของนั่งร้านที่อยู่ในแม่น้ําฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นฝั่งที่กระแสน้ํากัดเซาะและอาจมีผลให้เสถียรภาพของนั่งร้านลดลง สําหรับโครงการดังกล่าว มีจุดเริ่มต้นโครงการเชื่อมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 331 กม.ที่ 51+310 และมีจุดสิ้นสุดโครงการเชื่อมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3183 กม.ที่ 9+330 ระยะทางรวม 3.564 กิโลเมตร โดยก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแบบแอสฟัลติกคอนกรีต ขนาด 4 ช่องจราจร พร้อมก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา คู่ขนาน 1 แห่ง ความยาวรวม 574 เมตร (2 ต.ค.60)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ร่วมกับ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบ โครงการก่อสร้างถนนสาย ฉ และ ค ผังเมืองรวมเมืองชัยนาท (ช่วงสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา) วันอังคารที่ 3 ตุลาคม 2560 กรมทางหลวงชนบท ร่วมกับ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ ลงพื้นที่ตรวจสอบ โครงการก่อสร้างถนนสาย ฉ และ ค ผังเมืองรวมเมืองชัยนาท (ช่วงสะพานข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา) นายสุพร เตไชยา วิศวกรใหญ่ด้านสํารวจและออกแบบ กรมทางหลวงชนบท พร้อมด้วยนายสุรพันธุ์ ไตรรัตน์ ผู้อํานวยการสํานักก่อสร้างทาง และคณะ ให้การต้อนรับ ดร.ธเนศ วีระศิริ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการลงพื้นที่ตรวจสอบหาสาเหตุ โครงการก่อสร้างถนนสาย ฉ และ ค ผังเมืองรวมเมืองชัยนาท จังหวัดชัยนาท (ช่วงสะพานข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา) ที่เกิดเหตุสะพานทรุดตัว โดยวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้าร่วมตรวจสอบและหาแนวทางในการแก้ไขตามหลักวิศวกรรม จากการสํารวจพื้นที่เบื้องต้น พบว่า ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัด ซึ่งจําเป็นต้องมีการตรวจสอบเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี เมื่อดูจากสถานการณ์โดยรวมแล้วโครงสร้างนั่งร้านที่นี่มีความแข็งแรงเหมือนกับโครงการอื่นๆ ทั้งนี้ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยจะหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาดังกล่าวซ้ําอีก สําหรับโครงสร้างในส่วนที่ได้รับความเสียหายต้องดําเนินการรื้อทิ้งพร้อมกับตรวจสอบความแข็งแรงเชิงลึกของโครงสร้างที่ยังคงอยู่และเพิ่มเสถียรภาพของนั่งร้านที่อยู่ในแม่น้ําฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นฝั่งที่กระแสน้ํากัดเซาะและอาจมีผลให้เสถียรภาพของนั่งร้านลดลง สําหรับโครงการดังกล่าว มีจุดเริ่มต้นโครงการเชื่อมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 331 กม.ที่ 51+310 และมีจุดสิ้นสุดโครงการเชื่อมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3183 กม.ที่ 9+330 ระยะทางรวม 3.564 กิโลเมตร โดยก่อสร้างเป็นถนนผิวจราจรแบบแอสฟัลติกคอนกรีต ขนาด 4 ช่องจราจร พร้อมก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา คู่ขนาน 1 แห่ง ความยาวรวม 574 เมตร (2 ต.ค.60)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7133
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ พลิกวิกฤต Covid-19 เป็นโอกาส ส่งเสริมการใช้แอพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์ [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์]
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563 เกษตรฯ พลิกวิกฤต Covid-19 เป็นโอกาส ส่งเสริมการใช้แอพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์ [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] เกษตรฯ พลิกวิกฤต Covid-19 เป็นโอกาส ส่งเสริมการใช้แอพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์ ผ่าน DGT Farm และ CoopCare นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid – 19 ที่ประเทศไทยเริ่มมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 106 ราย โดยมียอดสะสมผู้ติดเชื้อล่าสุดอยู่ที่ 847 ราย ทําให้รัฐบาลจะมีการประกาศบังคับใช้พระราชกําหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส Covid – 19 ออกมานั้น กระทรวงเกษตรฯ โดย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นห่วงผลกระทบของโรคระบาดต่อภาคการเกษตร ภาคธุรกิจบริการหยุดชะงักลงถึงกลางเดือนเมษายน ประชาชนเริ่มกลัวการออกมาจับจ่ายใช้สอยนอกบ้าน และหันมาใช้บริการการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น กระทรวงเกษตรฯ จึงใช้โอกาสในวิกฤต Covid – 19 ส่งเสริมให้เกษตรกรขายสินค้าเกษตรผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งผ่านทางช่องทางของภาคเอกชน เช่น LAZADA Shopee และขายผ่านช่องทางของหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ โดยเฉพาะ DGT farm.com ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรเข้ามาลงทะเบียนใช้งานจํานวนมาก มีสินค้าเกษตรทั้งของแปรรูปและของสดให้เลือกซื้อหลากหลายรายการ โดยสินค้าที่อยู่บนแพลตฟอร์ม DGT farm ทั้งหมดเป็นสินค้าที่ได้รับรองมาตรฐาน และมีตราสัญลักษณ์ Q ซึ่งทําให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ถึงความปลอดภัย เหมือนเดินไปเลือกซื้อเองที่ห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต เหมาะกับช่วงที่ต้องเก็บตัวอยู่บ้าน นอกจากจะช่วยชาติ ช่วยบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรงไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง นายอลงกรณ์ พลบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเกษตรกรที่ต้องการขายผ่านสหกรณ์การเกษตร แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร กระทรวงเกษตรฯ มีบริการแอพลิเคชัน CoopCare ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการข้อมูลแก่ประชาชน เป็นข้อมูลเกี่ยวกับสหกรณ์ภาคการเกษตร แหล่งรับซื้อ-ขาย ผลผลิตทางการเกษตรของสหกรณ์ เกษตรกรสามารถค้นหาข้อมูลที่สนใจได้ โดย Application จะแสดงรายละเอียดข้อมูลที่ค้นหา บอกระยะทาง และข้อมูลอื่น ๆ และใช้ระบบ GPS แสดงข้อมูลสหกรณ์บนแผนที่เพื่อให้สามารถนําทางไปยังสหกรณ์ได้ ข้อมูลที่ให้บริการ มีดังนี้ ข้อมูลพื้นฐานสหกรณ์ภาคการเกษตร แหล่งรับซื้อสินค้าเกษตร แหล่งผลิตสินค้าเกษตร และข้อมูลอุปกรณ์การตลาด มั่นใจได้ว่า ช่วงวิกฤตนี้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการขายออนไลน์ เกษตรกรขายได้ ผู้บริโภคได้สินค้าเกษตรคุณภาพ สนใจการขายสินค้าเกษตรออนไลน์ขอข้อมูลเพิ่มได้ที่ 1170 หรือ www.moac.go.th นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังมีระบบการบริการออนไลน์ต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่เกษตรกร และประชาชน อาทิ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ที่ให้บริการประชาชนของกรมประมง ซึ่งประกอบด้วย 1. การแจ้งเข้า – ออกของเรือประมงผ่านระบบ Single window 4 fishing feet 2. การออกใบรับรองการแปรรูปสัตว์น้ํา (Annex IV) และ 3. SMART Fisheries Single Window : FSW ซึ่งเกษตรกรสามารถขอรับบริการผ่านระบบออนไลน์ทั้งจากโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ที่บ้าน โดยไม่ต้องเสียเวลามาติดต่อด้วยตนเอง และยังเป็นการลดความเสี่ยงจากโรค Covid – 19 อีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรฯ พลิกวิกฤต Covid-19 เป็นโอกาส ส่งเสริมการใช้แอพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์ [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] วันพุธที่ 25 มีนาคม 2563 เกษตรฯ พลิกวิกฤต Covid-19 เป็นโอกาส ส่งเสริมการใช้แอพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์ [กระทรวงเกษตรและสหกรณ์] เกษตรฯ พลิกวิกฤต Covid-19 เป็นโอกาส ส่งเสริมการใช้แอพลิเคชันขายสินค้าออนไลน์ ผ่าน DGT Farm และ CoopCare นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid – 19 ที่ประเทศไทยเริ่มมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 106 ราย โดยมียอดสะสมผู้ติดเชื้อล่าสุดอยู่ที่ 847 ราย ทําให้รัฐบาลจะมีการประกาศบังคับใช้พระราชกําหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส Covid – 19 ออกมานั้น กระทรวงเกษตรฯ โดย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นห่วงผลกระทบของโรคระบาดต่อภาคการเกษตร ภาคธุรกิจบริการหยุดชะงักลงถึงกลางเดือนเมษายน ประชาชนเริ่มกลัวการออกมาจับจ่ายใช้สอยนอกบ้าน และหันมาใช้บริการการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น กระทรวงเกษตรฯ จึงใช้โอกาสในวิกฤต Covid – 19 ส่งเสริมให้เกษตรกรขายสินค้าเกษตรผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งผ่านทางช่องทางของภาคเอกชน เช่น LAZADA Shopee และขายผ่านช่องทางของหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ โดยเฉพาะ DGT farm.com ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรเข้ามาลงทะเบียนใช้งานจํานวนมาก มีสินค้าเกษตรทั้งของแปรรูปและของสดให้เลือกซื้อหลากหลายรายการ โดยสินค้าที่อยู่บนแพลตฟอร์ม DGT farm ทั้งหมดเป็นสินค้าที่ได้รับรองมาตรฐาน และมีตราสัญลักษณ์ Q ซึ่งทําให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ถึงความปลอดภัย เหมือนเดินไปเลือกซื้อเองที่ห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต เหมาะกับช่วงที่ต้องเก็บตัวอยู่บ้าน นอกจากจะช่วยชาติ ช่วยบุคลากรทางการแพทย์แล้ว ยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรงไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง นายอลงกรณ์ พลบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเกษตรกรที่ต้องการขายผ่านสหกรณ์การเกษตร แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร กระทรวงเกษตรฯ มีบริการแอพลิเคชัน CoopCare ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อให้บริการข้อมูลแก่ประชาชน เป็นข้อมูลเกี่ยวกับสหกรณ์ภาคการเกษตร แหล่งรับซื้อ-ขาย ผลผลิตทางการเกษตรของสหกรณ์ เกษตรกรสามารถค้นหาข้อมูลที่สนใจได้ โดย Application จะแสดงรายละเอียดข้อมูลที่ค้นหา บอกระยะทาง และข้อมูลอื่น ๆ และใช้ระบบ GPS แสดงข้อมูลสหกรณ์บนแผนที่เพื่อให้สามารถนําทางไปยังสหกรณ์ได้ ข้อมูลที่ให้บริการ มีดังนี้ ข้อมูลพื้นฐานสหกรณ์ภาคการเกษตร แหล่งรับซื้อสินค้าเกษตร แหล่งผลิตสินค้าเกษตร และข้อมูลอุปกรณ์การตลาด มั่นใจได้ว่า ช่วงวิกฤตนี้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการขายออนไลน์ เกษตรกรขายได้ ผู้บริโภคได้สินค้าเกษตรคุณภาพ สนใจการขายสินค้าเกษตรออนไลน์ขอข้อมูลเพิ่มได้ที่ 1170 หรือ www.moac.go.th นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ ยังมีระบบการบริการออนไลน์ต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่เกษตรกร และประชาชน อาทิ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์ที่ให้บริการประชาชนของกรมประมง ซึ่งประกอบด้วย 1. การแจ้งเข้า – ออกของเรือประมงผ่านระบบ Single window 4 fishing feet 2. การออกใบรับรองการแปรรูปสัตว์น้ํา (Annex IV) และ 3. SMART Fisheries Single Window : FSW ซึ่งเกษตรกรสามารถขอรับบริการผ่านระบบออนไลน์ทั้งจากโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ที่บ้าน โดยไม่ต้องเสียเวลามาติดต่อด้วยตนเอง และยังเป็นการลดความเสี่ยงจากโรค Covid – 19 อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27842
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง NCDs Forum 2018
วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561 สธ. ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง NCDs Forum 2018 กระทรวงสาธารณสุข เผยคนไทยมีอัตราการตายด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังชั่วโมงละ 37 คน สาเหตุจากพฤติกรรมสุขภาพ ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ เร่งพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมในการป้องกันและควบคุมรักษาไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กระทรวงสาธารณสุข เผยคนไทยมีอัตราการตายด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังชั่วโมงละ 37 คน สาเหตุจากพฤติกรรมสุขภาพ ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ เร่งพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมในการป้องกันและควบคุมรักษาไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีขึ้น วันนี้ (8 สิงหาคม 2561) ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพค เมืองทองธานี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมมหกรรมสุขภาพด้านโรคไม่ติดต่อ (NCDs Forum 2018 ) ภายใต้แนวคิด “Together, Let’s beat NCDs : ประชารัฐร่วมใจลดภัย NCDs” โดยมุ่งหวังให้ประชาชนคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า ครอบคลุมทุกมิติ ภายใต้การบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน พร้อมมอบโล่เกียรติคุณสถานบริการสุขภาพและหน่วยงานที่มีการดําเนินงานที่มีการควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรังดีเด่นประจําปี 2561 รวม 16 รางวัล ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 36 ล้านคนทั่วโลกในแต่ละปี หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63 ของสาเหตุการตายทั้งหมด คาดประมาณความสูญเสียทางเศรษฐกิจในช่วง 15 ปีข้างหน้า ประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สําหรับประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังถึงร้อยละ 75 หรือประมาณ 320,000 คนต่อปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 37 คน อันดับหนึ่ง คือโรคหลอดเลือดสมองคิดเป็นร้อยละ 4.59 หรือประมาณ 28,000 คน รองลงมาคือโรคหัวใจขาดเลือด โรคทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง เบาหวาน และความดันโลหิตสูง ตามลําดับ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ โดยมีแนวโน้มการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ส่วนมากเป็นกลุ่มประชากรวัยทํางาน ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กระทรวงสาธารณสุข ได้บูรณาการความร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน ภาคีเครือข่าย ตามแนวทางประชารัฐ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับชาติ เพื่อป้องกัน ควบคุม และดูแลรักษา และกําหนดมาตรการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพและวิถีชีวิตประชากรและพัฒนาศักยภาพสถานพยาบาลและบุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์นวัตกรรม และแนวทางปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ รวมทั้งได้พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ในรูปแบบคลินิกหมอครอบครัวที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ร่วมกับทีมสหวิชาชีพเพื่อดูแลสุขภาพประชาชนครอบคลุมงานส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก ให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพตนเองและคนในครอบครัว การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 10 สิงหาคม 2561 โดยมีการอภิปราย เสวนา แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทํางานด้านโรคไม่ติดต่อ แนวทางการปฏิบัติตั้งแต่การดูแลใกล้บ้านใกล้ใจในชุมชน จนถึงการดูแลรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ล่าสุดในโรงพยาบาล และนวัตกรรมต่าง ๆ เช่นการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ในการคัดกรองภาวะเบาหวานเข้าตา การวัดความดันโลหิตที่บ้านโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เครื่องวัดความเค็มในอาหาร และ Application อสม. 4.0 เป็นต้น สําหรับสถานบริการสุขภาพที่ได้รับรางวัล NCSs Clinic Plus ดีเด่น ให้แก่ รพ.ชัยภูมิ รพร.บ้านดุง รพ.ชัยบุรี รางวัลผลการดําเนินงานป้องกันควบคุมโรคหัวใจและหลอดเลือด Best Practice ระดับประเทศ แก่ สสจ.บุรีรัมย์ สสจ.กาญจนบุรี สสจ.อุทัยธานี สสจ.กระบี่ รางวัลการดําเนินงานป้องกันควบคุมโรคไตเรื้อรังดีเด่น แก่ รพ.ศรีสัชนาลัย รพ.แกดํา รพ.ควนขนุน **************** 8 สิงหาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง NCDs Forum 2018 วันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561 สธ. ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายด้านโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง NCDs Forum 2018 กระทรวงสาธารณสุข เผยคนไทยมีอัตราการตายด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังชั่วโมงละ 37 คน สาเหตุจากพฤติกรรมสุขภาพ ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ เร่งพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมในการป้องกันและควบคุมรักษาไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ กระทรวงสาธารณสุข เผยคนไทยมีอัตราการตายด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังชั่วโมงละ 37 คน สาเหตุจากพฤติกรรมสุขภาพ ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ เร่งพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมในการป้องกันและควบคุมรักษาไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ให้ผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีขึ้น วันนี้ (8 สิงหาคม 2561) ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพค เมืองทองธานี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดการประชุมมหกรรมสุขภาพด้านโรคไม่ติดต่อ (NCDs Forum 2018 ) ภายใต้แนวคิด “Together, Let’s beat NCDs : ประชารัฐร่วมใจลดภัย NCDs” โดยมุ่งหวังให้ประชาชนคนไทยสุขภาพดีถ้วนหน้า ครอบคลุมทุกมิติ ภายใต้การบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน พร้อมมอบโล่เกียรติคุณสถานบริการสุขภาพและหน่วยงานที่มีการดําเนินงานที่มีการควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรังดีเด่นประจําปี 2561 รวม 16 รางวัล ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกลกล่าวว่า กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 36 ล้านคนทั่วโลกในแต่ละปี หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63 ของสาเหตุการตายทั้งหมด คาดประมาณความสูญเสียทางเศรษฐกิจในช่วง 15 ปีข้างหน้า ประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สําหรับประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังถึงร้อยละ 75 หรือประมาณ 320,000 คนต่อปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 37 คน อันดับหนึ่ง คือโรคหลอดเลือดสมองคิดเป็นร้อยละ 4.59 หรือประมาณ 28,000 คน รองลงมาคือโรคหัวใจขาดเลือด โรคทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง เบาหวาน และความดันโลหิตสูง ตามลําดับ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีรสหวาน มัน เค็ม ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ โดยมีแนวโน้มการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ส่วนมากเป็นกลุ่มประชากรวัยทํางาน ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ กระทรวงสาธารณสุข ได้บูรณาการความร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน ภาคีเครือข่าย ตามแนวทางประชารัฐ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับชาติ เพื่อป้องกัน ควบคุม และดูแลรักษา และกําหนดมาตรการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพและวิถีชีวิตประชากรและพัฒนาศักยภาพสถานพยาบาลและบุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์นวัตกรรม และแนวทางปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ รวมทั้งได้พัฒนาระบบบริการปฐมภูมิที่อยู่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ในรูปแบบคลินิกหมอครอบครัวที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ร่วมกับทีมสหวิชาชีพเพื่อดูแลสุขภาพประชาชนครอบคลุมงานส่งเสริมสุขภาพเชิงรุก ให้ความรู้ในการดูแลสุขภาพตนเองและคนในครอบครัว การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 10 สิงหาคม 2561 โดยมีการอภิปราย เสวนา แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทํางานด้านโรคไม่ติดต่อ แนวทางการปฏิบัติตั้งแต่การดูแลใกล้บ้านใกล้ใจในชุมชน จนถึงการดูแลรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ล่าสุดในโรงพยาบาล และนวัตกรรมต่าง ๆ เช่นการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ในการคัดกรองภาวะเบาหวานเข้าตา การวัดความดันโลหิตที่บ้านโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เครื่องวัดความเค็มในอาหาร และ Application อสม. 4.0 เป็นต้น สําหรับสถานบริการสุขภาพที่ได้รับรางวัล NCSs Clinic Plus ดีเด่น ให้แก่ รพ.ชัยภูมิ รพร.บ้านดุง รพ.ชัยบุรี รางวัลผลการดําเนินงานป้องกันควบคุมโรคหัวใจและหลอดเลือด Best Practice ระดับประเทศ แก่ สสจ.บุรีรัมย์ สสจ.กาญจนบุรี สสจ.อุทัยธานี สสจ.กระบี่ รางวัลการดําเนินงานป้องกันควบคุมโรคไตเรื้อรังดีเด่น แก่ รพ.ศรีสัชนาลัย รพ.แกดํา รพ.ควนขนุน **************** 8 สิงหาคม 2561
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14441
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจำปีพุทธศักราช 2562
วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี ทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปีพุทธศักราช 2562 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปีพุทธศักราช 2562 วันนี้ (12 สิงหาคม 2562) เวลา 07.15 น. ณ ท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปีพุทธศักราช 2562 โดยมี นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา องคมนตรีและภริยา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรอิสระและภริยา คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี หน่วยราชการในพระองค์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติหัวหน้าส่วนราชการอิสระ ร่วมงานพิธีทําบุญตักบาตรในครั้งนี้ด้วย เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางถึงบริเวณท้องสนามหลวง สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จํานวน 10 รูป ขึ้นนั่งอาสน์สงฆ์ นายกรัฐมนตรีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จํานวน 10 รูป ให้ศีล พระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์ จบแล้วรักษาการประธานองคมนตรีและภริยา นายกรัฐมนตรีและภริยา องคมนตรีและภริยา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานศาลฎีกา และส่วนราชการในพระองค์ ถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ จํานวน 10 รูป นายกรัฐมนตรีถวายผ้าไตร จํานวน 10 ไตร นายกรัฐมนตรีกรวดน้ําแล้วกราบลาพระรัตนตรัยหน้าโต๊ะหมู่บูชา เสร็จแล้วถวายความเคารพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา นําผู้ร่วมงาน ร่วมพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 488 รูป เป็นอันเสร็จพิธี ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจำปีพุทธศักราช 2562 วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2562 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี ทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปีพุทธศักราช 2562 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปีพุทธศักราช 2562 วันนี้ (12 สิงหาคม 2562) เวลา 07.15 น. ณ ท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ประจําปีพุทธศักราช 2562 โดยมี นางนราพร จันทร์โอชา ภริยา องคมนตรีและภริยา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรอิสระและภริยา คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส เลขาธิการนายกรัฐมนตรี หน่วยราชการในพระองค์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติหัวหน้าส่วนราชการอิสระ ร่วมงานพิธีทําบุญตักบาตรในครั้งนี้ด้วย เมื่อนายกรัฐมนตรีและภริยาเดินทางถึงบริเวณท้องสนามหลวง สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จํานวน 10 รูป ขึ้นนั่งอาสน์สงฆ์ นายกรัฐมนตรีจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย เปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ จํานวน 10 รูป ให้ศีล พระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์ จบแล้วรักษาการประธานองคมนตรีและภริยา นายกรัฐมนตรีและภริยา องคมนตรีและภริยา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานศาลฎีกา และส่วนราชการในพระองค์ ถวายเครื่องไทยธรรมแด่พระสงฆ์ จํานวน 10 รูป นายกรัฐมนตรีถวายผ้าไตร จํานวน 10 ไตร นายกรัฐมนตรีกรวดน้ําแล้วกราบลาพระรัตนตรัยหน้าโต๊ะหมู่บูชา เสร็จแล้วถวายความเคารพหน้าพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยา นําผู้ร่วมงาน ร่วมพิธีตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 488 รูป เป็นอันเสร็จพิธี ---------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22151
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. แจ้งผู้ประสงค์แจกอาหาร/สิ่งของแก่ประชาชนผู้เดือดร้อน โปรดแจ้งจังหวัด อำเภอ หรือ อปท.ในพื้นที่ เพื่อช่วยจัดการและขอให้ประชาชนปฏิบัติตามหลัก Social Distancing อย่างเคร่งครัด [กระทรวงมหาดไทย]
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563 ศบค.มท. แจ้งผู้ประสงค์แจกอาหาร/สิ่งของแก่ประชาชนผู้เดือดร้อน โปรดแจ้งจังหวัด อําเภอ หรือ อปท.ในพื้นที่ เพื่อช่วยจัดการและขอให้ประชาชนปฏิบัติตามหลัก Social Distancing อย่างเคร่งครัด [กระทรวงมหาดไทย] #หยุดเชื้อเพื่อทุกคน #เราคนไทยต้องร่วมมือ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค.มท. แจ้งผู้ประสงค์แจกอาหาร/สิ่งของแก่ประชาชนผู้เดือดร้อน โปรดแจ้งจังหวัด อำเภอ หรือ อปท.ในพื้นที่ เพื่อช่วยจัดการและขอให้ประชาชนปฏิบัติตามหลัก Social Distancing อย่างเคร่งครัด [กระทรวงมหาดไทย] วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563 ศบค.มท. แจ้งผู้ประสงค์แจกอาหาร/สิ่งของแก่ประชาชนผู้เดือดร้อน โปรดแจ้งจังหวัด อําเภอ หรือ อปท.ในพื้นที่ เพื่อช่วยจัดการและขอให้ประชาชนปฏิบัติตามหลัก Social Distancing อย่างเคร่งครัด [กระทรวงมหาดไทย] #หยุดเชื้อเพื่อทุกคน #เราคนไทยต้องร่วมมือ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29349
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ “ สุรเชษฐ์ ” หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขับเคลื่อนโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน สร้างการรับรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่
วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2561 ​ “ สุรเชษฐ์ ” หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขับเคลื่อนโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน สร้างการรับรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่ พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ติดตามขับเคลื่อนโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) หน่วยงานทางการศึกษา ส่วนราชการ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้ พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ติดตามขับเคลื่อนโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) หน่วยงานทางการศึกษา ส่วนราชการ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้ร่วมกันจัดนิทรรศการและกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้น รวมทั้งหมด จํานวน ๔๔ อําเภอ ของจังหวัดสตูล จังหวัดสงขลา จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ ๒ – ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ได้ติดตามขับเคลื่อนโครงการฯ ดังกล่าว ดังนี้ โรงเรียนบ้านสุไหงโก-ลก อําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน ณ โรงเรียนบ้านสุไหงโก-ลก อําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดยสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต ๒ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๑๕ สํานักงานการศึกษาเอกชน สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด “๕ ช.” ที่เปิดโอกาสให้เด็กแสดงความสามารถอย่างรอบด้าน ได้แก่ โชว์ : การจัดแสดงนิทรรศการผลงานหรือกิจกรรมเด่น ช้อป : การจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของสถานศึกษา เชิญ : การประชาสัมพันธ์เข้าร่วมชมงาน ชื่น : กิจกรรมสะท้อนความสุข และความสําเร็จร่วมกันของทุกภาคส่วน และ ชิม : การลิ้มรสและลงมือทําด้วยตนเอง นอกจากนี้ได้พร้อมใจกันแปรอักษรเป็นเลข ๑๓ เพื่อให้กําลังใจนักฟุตบอลและโค้ช รวม ๑๓ ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ําหลวงด้วย โรงเรียนสุวรรณไพบูรณ์ อําเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน ณ โรงเรียนสุวรรณไพบูลย์ อําเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ครั้งที่ ๔ โดยสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต ๒ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๑๕ สํานักงานการศึกษาเอกชน สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ศูนย์การศึกษาพิเศษประจําจังหวัดปัตตานี มอ.ปัตตานี วิทยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปัตตานี สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี สํานักงานเกษตรอําเภอยะหริ่ง โรงพยาบาลยะหริ่ง หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ ๔๒ และหน่วยเฉพาะกิจสันติสุข ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมด้วยการนําสิ่งที่ “เด่น ดี มีประโยชน์” มาออกหน่วยให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ โรงเรียนอนุบาลระแงะ อําเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน ณ สนามเด็กเล่นเสริมปัญญา : เล่นตามรอยพระยุคลบาท โรงเรียนอนุบาลระแงะ อําเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส โดยโรงเรียนอนุบาลระแงะ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาสเขต ๓ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ สํานักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย วิทยาลัยชุมชนนราธิวาส โรงเรียนดารุสาลาม โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๙ จังหวัดนราธิวาส โรงเรียนตันหยงมัส สํานักโรงเรียนอนุบาลระแงะ โรงเรียนบ้านเขาพระ โรงเรียนบ้านบ่อทอง โรงเรียนบ้านไอปาเซ โรงเรียนบ้านปาเซ โรงเรียนบ้านมะรือโบตก โรงเรียนบ้านกาลิซา โรงเรียนบ้านลูโบ๊ะกาเยาะ โรงเรียนพิทักษ์วิทยากุมุง โรงเรียนวัดร่อน โรงเรียนบ้านเขาน้อย โรงเรียนบ้านกาเด็ง หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ ๔๕ สถานีตํารวจภูธรระแงะ โรงพยาบาลระแงะ สํานักงานเกษตรอําเภอระแงะ โครงการฟาร์มตัวอย่างในพระราชดําริบ้านตอหลัง กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาลิซาและที่ว่าการอําเภอระแงะ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมตามกรอบ ๕ ช. คือ ได้แก่ เชิญ : ชื่อกิจกรรม หรรษา พาเพลิน ช้อป : ชื่อกิจกรรม Happy Shopping ชิม : ชื่อกิจกรรม ชิมเพลิน เดินเที่ยว โชว์ : ชื่อกิจกรรม Best of the best practice ชื่น : ชื่อกิจกรรม ชื่นใจวัฒนธรรมไทย พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวสรุปในการขับเคลื่อนโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวขอบคุณและขอชื่นชมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม แตกต่างจากภูมิภาคอื่นของประเทศ การจัดการศึกษาต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งวัตถุประสงค์ในการจัดโครงการดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และรับทราบความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเสนอแนวทางการจัดการศึกษา ยกระดับคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ ให้มีประสิทธิภาพ และให้ทุกส่วนสร้างการรับรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันมุ่งสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ดังจะเห็นได้จากผลงาน จากการจัดการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา สถานศึกษาต่างๆ ที่นํากิจกรรมเด่นของดี มาให้บริการด้านความรู้แก่ผู้ที่สนใจ รวมทั้งให้เกิดแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดของนักเรียน นักศึกษา เพื่อพัฒนาตนเองไปสู่ความสําเร็จ และเป็นอนาคตที่ดีของชาติต่อไป และขอให้น้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” พร้อมกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นแนวทางหลักในการดําเนินชีวิต และศาสตร์พระราชา หลักการทรงงาน “ รู้ รัก สามัคคี ” ตลอดจนพระบรมราโชวาทในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งทรงพระราชทานพระราโชบายด้านการศึกษาที่ต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน ๔ ด้าน คือ ๑) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง ๒) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม ๓) มีงานทํา มีอาชีพสุจริต ๔) เป็นพลเมืองดี อันนําไปสู่สันติสุข ความเจริญของสังคมและประเทศชาติต่อไป ในวันที่ ๒๒ – ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่จะถึงนี้ รัฐบาลได้จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๖๖ พรรษา ที่เป็นเดือนมหามงคลของปวงชนชาวไทย และเป็นเดือนเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งทรงพระราชสมภพในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ถือว่าเป็นโอกาสมหามงคลอย่างยิ่ง รัฐบาลมุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมกันเป็นพลังแห่งการทําความดี แสดงความจงรักภักดี และสดุดีพระเกียรติคุณสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นแบบอย่างในเรื่องความกตัญญูที่มีต่อสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี ในการสืบสานรักษาต่อยอดพระราชดําริ พระราชปณิธาน พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ โดยพร้อมเพียงกัน จึงขอให้ชาวใต้ ร่วมถึงปวงชนชาวไทยทุกคน ร่วมทําความดีถวายแด่ในหลวงสืบไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​ “ สุรเชษฐ์ ” หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขับเคลื่อนโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน สร้างการรับรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่ วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม 2561 ​ “ สุรเชษฐ์ ” หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขับเคลื่อนโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน สร้างการรับรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่ พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ติดตามขับเคลื่อนโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) หน่วยงานทางการศึกษา ส่วนราชการ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้ พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล/รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ติดตามขับเคลื่อนโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ (ส่วนหน้า) หน่วยงานทางการศึกษา ส่วนราชการ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้ร่วมกันจัดนิทรรศการและกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้น รวมทั้งหมด จํานวน ๔๔ อําเภอ ของจังหวัดสตูล จังหวัดสงขลา จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา และจังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ ๒ – ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ได้ติดตามขับเคลื่อนโครงการฯ ดังกล่าว ดังนี้ โรงเรียนบ้านสุไหงโก-ลก อําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน ณ โรงเรียนบ้านสุไหงโก-ลก อําเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส โดยสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต ๒ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๑๕ สํานักงานการศึกษาเอกชน สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด “๕ ช.” ที่เปิดโอกาสให้เด็กแสดงความสามารถอย่างรอบด้าน ได้แก่ โชว์ : การจัดแสดงนิทรรศการผลงานหรือกิจกรรมเด่น ช้อป : การจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของสถานศึกษา เชิญ : การประชาสัมพันธ์เข้าร่วมชมงาน ชื่น : กิจกรรมสะท้อนความสุข และความสําเร็จร่วมกันของทุกภาคส่วน และ ชิม : การลิ้มรสและลงมือทําด้วยตนเอง นอกจากนี้ได้พร้อมใจกันแปรอักษรเป็นเลข ๑๓ เพื่อให้กําลังใจนักฟุตบอลและโค้ช รวม ๑๓ ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ําหลวงด้วย โรงเรียนสุวรรณไพบูรณ์ อําเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน ณ โรงเรียนสุวรรณไพบูลย์ อําเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ครั้งที่ ๔ โดยสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต ๒ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต ๑๕ สํานักงานการศึกษาเอกชน สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ศูนย์การศึกษาพิเศษประจําจังหวัดปัตตานี มอ.ปัตตานี วิทยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปัตตานี สํานักงานศึกษาธิการจังหวัดปัตตานี สํานักงานเกษตรอําเภอยะหริ่ง โรงพยาบาลยะหริ่ง หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ ๔๒ และหน่วยเฉพาะกิจสันติสุข ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมด้วยการนําสิ่งที่ “เด่น ดี มีประโยชน์” มาออกหน่วยให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ โรงเรียนอนุบาลระแงะ อําเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เวลา ๑๐.๐๐ น. พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน ณ สนามเด็กเล่นเสริมปัญญา : เล่นตามรอยพระยุคลบาท โรงเรียนอนุบาลระแงะ อําเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส โดยโรงเรียนอนุบาลระแงะ สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาสเขต ๓ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ สํานักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย วิทยาลัยชุมชนนราธิวาส โรงเรียนดารุสาลาม โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๙ จังหวัดนราธิวาส โรงเรียนตันหยงมัส สํานักโรงเรียนอนุบาลระแงะ โรงเรียนบ้านเขาพระ โรงเรียนบ้านบ่อทอง โรงเรียนบ้านไอปาเซ โรงเรียนบ้านปาเซ โรงเรียนบ้านมะรือโบตก โรงเรียนบ้านกาลิซา โรงเรียนบ้านลูโบ๊ะกาเยาะ โรงเรียนพิทักษ์วิทยากุมุง โรงเรียนวัดร่อน โรงเรียนบ้านเขาน้อย โรงเรียนบ้านกาเด็ง หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ ๔๕ สถานีตํารวจภูธรระแงะ โรงพยาบาลระแงะ สํานักงานเกษตรอําเภอระแงะ โครงการฟาร์มตัวอย่างในพระราชดําริบ้านตอหลัง กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกาลิซาและที่ว่าการอําเภอระแงะ ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมตามกรอบ ๕ ช. คือ ได้แก่ เชิญ : ชื่อกิจกรรม หรรษา พาเพลิน ช้อป : ชื่อกิจกรรม Happy Shopping ชิม : ชื่อกิจกรรม ชิมเพลิน เดินเที่ยว โชว์ : ชื่อกิจกรรม Best of the best practice ชื่น : ชื่อกิจกรรม ชื่นใจวัฒนธรรมไทย พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวสรุปในการขับเคลื่อนโครงการกระทรวงศึกษาธิการส่วนหน้าเคลื่อนที่พบปะประชาชน พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ กล่าวขอบคุณและขอชื่นชมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ ที่มีอัตลักษณ์ทางด้านภาษา ศาสนา และวัฒนธรรม แตกต่างจากภูมิภาคอื่นของประเทศ การจัดการศึกษาต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งวัตถุประสงค์ในการจัดโครงการดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และรับทราบความต้องการของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเสนอแนวทางการจัดการศึกษา ยกระดับคุณภาพการศึกษาในพื้นที่ ให้มีประสิทธิภาพ และให้ทุกส่วนสร้างการรับรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันมุ่งสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ดังจะเห็นได้จากผลงาน จากการจัดการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา สถานศึกษาต่างๆ ที่นํากิจกรรมเด่นของดี มาให้บริการด้านความรู้แก่ผู้ที่สนใจ รวมทั้งให้เกิดแรงบันดาลใจและจุดประกายความคิดของนักเรียน นักศึกษา เพื่อพัฒนาตนเองไปสู่ความสําเร็จ และเป็นอนาคตที่ดีของชาติต่อไป และขอให้น้อมนํายุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” พร้อมกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นแนวทางหลักในการดําเนินชีวิต และศาสตร์พระราชา หลักการทรงงาน “ รู้ รัก สามัคคี ” ตลอดจนพระบรมราโชวาทในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งทรงพระราชทานพระราโชบายด้านการศึกษาที่ต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน ๔ ด้าน คือ ๑) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง ๒) มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีคุณธรรมจริยธรรม ๓) มีงานทํา มีอาชีพสุจริต ๔) เป็นพลเมืองดี อันนําไปสู่สันติสุข ความเจริญของสังคมและประเทศชาติต่อไป ในวันที่ ๒๒ – ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่จะถึงนี้ รัฐบาลได้จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๖๖ พรรษา ที่เป็นเดือนมหามงคลของปวงชนชาวไทย และเป็นเดือนเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งทรงพระราชสมภพในวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ถือว่าเป็นโอกาสมหามงคลอย่างยิ่ง รัฐบาลมุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมกันเป็นพลังแห่งการทําความดี แสดงความจงรักภักดี และสดุดีพระเกียรติคุณสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงเป็นแบบอย่างในเรื่องความกตัญญูที่มีต่อสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี ในการสืบสานรักษาต่อยอดพระราชดําริ พระราชปณิธาน พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ ๙ โดยพร้อมเพียงกัน จึงขอให้ชาวใต้ ร่วมถึงปวงชนชาวไทยทุกคน ร่วมทําความดีถวายแด่ในหลวงสืบไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13734
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจำปี 2563 ทำความดี ละเว้นความชั่ว ถวายเป็นพุทธบูชา
วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2563 ทําความดี ละเว้นความชั่ว ถวายเป็นพุทธบูชา รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2563 ทําความดี ละเว้นความชั่ว ถวายเป็นพุทธบูชา วันนี้ (24 มกราคม 2563) เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 ตึกสํานักลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2563 ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาฯ ว่า การประชุมในวันนี้เพื่อเตรียมการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2563 ซึ่งสํานักงานพระพุทธศาสนา ได้ร่วมกับคณะสงฆ์ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมกันจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปีพุทธศักราช 2563 เพื่อน้อมนําหลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนา นํามาปฏิบัติมาปรับใช้ในชีวิตประวัน และยึดในหลักศีล 5 เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา พร้อมหวังว่า การจัดงานดังกล่าวจะเกิดประโยชน์แก่ประชาชนคนไทยทุกคน ที่ประชุมรับทราบการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2563 ที่ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันจัดขึ้น ในส่วนกลาง ระหว่างวันที่ 5-9 กุมภาพันธ์ 2563 ณ พุทธมณฑล อําเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ดังนี้ 1) การปฐมนิเทศการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ โดยพระธรรมโพธิมงคล เจ้าคณะภาค 14 ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ณ อาคารโพธิญาณมหาวิชชาลัย แบ่งออกเป็น การปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ จํานวน 400 รูป การปฏิบัติธรรมของฆราวาส จํานวน 200 คน 2) พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยสมเด็จพระสังฆราช พร้อมพระเถรานุเถระ พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน ในวันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14.00 น. ณ อาคารโพธิญาณมหาวิชชาลัย 3) โครงการจิตอาสา “เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ” กิจกรรม Big Cleaning Day 4) พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 400 รูป ในวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 07.00 น. ณ บริเวณหน้าองค์พระประธานพุทธมณฑล 5) พิธีบําเพ็ญพระราชกุศลเวียนเทียน เนื่องในวันมาฆบูชา ในวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 16.30 น. ณ บริเวณลานรอบองค์พระประธานพุทธมณฑล 6) การแสดงพระธรรมเทศนา การบรรยายธรรม และการสนทนาธรรม ณ วัดต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร ได้กําหนดจัดกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย การปฏิบัติธรรม การแสดงพระธรรมเทศนา การทําบุญตักบาตร การประกอบพิธีเวียนเทียน พร้อมกันนี้ ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ร่วมงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปีพุทธศักราช 2563 จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 5-9 กุมภาพันธ์ 2563 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.onab.go.th สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02 441 7966 ..................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจำปี 2563 ทำความดี ละเว้นความชั่ว ถวายเป็นพุทธบูชา วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2563 รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2563 ทําความดี ละเว้นความชั่ว ถวายเป็นพุทธบูชา รัฐบาลเชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2563 ทําความดี ละเว้นความชั่ว ถวายเป็นพุทธบูชา วันนี้ (24 มกราคม 2563) เวลา 13.00 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 ตึกสํานักลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทําเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2563 ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาฯ ว่า การประชุมในวันนี้เพื่อเตรียมการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2563 ซึ่งสํานักงานพระพุทธศาสนา ได้ร่วมกับคณะสงฆ์ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมกันจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปีพุทธศักราช 2563 เพื่อน้อมนําหลักธรรมคําสอนทางพระพุทธศาสนา นํามาปฏิบัติมาปรับใช้ในชีวิตประวัน และยึดในหลักศีล 5 เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา พร้อมหวังว่า การจัดงานดังกล่าวจะเกิดประโยชน์แก่ประชาชนคนไทยทุกคน ที่ประชุมรับทราบการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปี 2563 ที่ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันจัดขึ้น ในส่วนกลาง ระหว่างวันที่ 5-9 กุมภาพันธ์ 2563 ณ พุทธมณฑล อําเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ดังนี้ 1) การปฐมนิเทศการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ โดยพระธรรมโพธิมงคล เจ้าคณะภาค 14 ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ณ อาคารโพธิญาณมหาวิชชาลัย แบ่งออกเป็น การปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ จํานวน 400 รูป การปฏิบัติธรรมของฆราวาส จํานวน 200 คน 2) พิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยสมเด็จพระสังฆราช พร้อมพระเถรานุเถระ พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชน ในวันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14.00 น. ณ อาคารโพธิญาณมหาวิชชาลัย 3) โครงการจิตอาสา “เราทําความ ดี ด้วยหัวใจ” กิจกรรม Big Cleaning Day 4) พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ จํานวน 400 รูป ในวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 07.00 น. ณ บริเวณหน้าองค์พระประธานพุทธมณฑล 5) พิธีบําเพ็ญพระราชกุศลเวียนเทียน เนื่องในวันมาฆบูชา ในวันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 16.30 น. ณ บริเวณลานรอบองค์พระประธานพุทธมณฑล 6) การแสดงพระธรรมเทศนา การบรรยายธรรม และการสนทนาธรรม ณ วัดต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร ได้กําหนดจัดกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย การปฏิบัติธรรม การแสดงพระธรรมเทศนา การทําบุญตักบาตร การประกอบพิธีเวียนเทียน พร้อมกันนี้ ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ร่วมงานสัปดาห์ส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เนื่องในเทศกาลวันมาฆบูชา ประจําปีพุทธศักราช 2563 จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 5-9 กุมภาพันธ์ 2563 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.onab.go.th สอบถามเพิ่มเติม โทร. 02 441 7966 ..................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26034
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีทำบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2559 กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีทําบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีทําบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทุกวันที่ 13 ของทุกเดือน จนถึงวันที่ 13 ตุลาคม ~กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จัดพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีทําบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้กําหนดจัดขึ้นในวันที่ 13 ของทุกเดือน ไปจนถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2560 โดยในครั้งที่ 1 เริ่มในวันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน 2559 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สําหรับกิจกรรมพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีทําบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เริ่มเวลา 06.30 น.ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ประธานในพิธีจุดธูป เทียนบูชาพระรัตนตรัยหน้าโต๊ะหมู่บูชา จุดเครื่องบูชาทองน้อย และกราบถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์ จากนั้น พระสงฆ์ 10 รูป สวดพุทธมนต์ และประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหารทอดผ้าไตรบังสกุล โดยพระสงฆ์ 10 รูป สดับปกรณ์ ประธานในพิธีถวายเครื่องไทยธรรม กรวดน้ํา กราบลาพระรัตนตรัยหน้าโต๊ะหมู่บูชา และถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์ หน้าโต๊ะบูชา หลังจากนั้น เวลา 07.30 น. ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประชาชน ได้ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร (ข้าวสาร อาหารแห้ง) พระสงฆ์ 89 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีบำเพ็ญกุศลและพิธีทำบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน 2559 กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีทําบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีทําบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทุกวันที่ 13 ของทุกเดือน จนถึงวันที่ 13 ตุลาคม ~กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จัดพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีทําบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้กําหนดจัดขึ้นในวันที่ 13 ของทุกเดือน ไปจนถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2560 โดยในครั้งที่ 1 เริ่มในวันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน 2559 ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สําหรับกิจกรรมพิธีบําเพ็ญกุศลและพิธีทําบุญตักบาตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เริ่มเวลา 06.30 น.ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ ประธานในพิธีจุดธูป เทียนบูชาพระรัตนตรัยหน้าโต๊ะหมู่บูชา จุดเครื่องบูชาทองน้อย และกราบถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์ จากนั้น พระสงฆ์ 10 รูป สวดพุทธมนต์ และประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้บริหารทอดผ้าไตรบังสกุล โดยพระสงฆ์ 10 รูป สดับปกรณ์ ประธานในพิธีถวายเครื่องไทยธรรม กรวดน้ํา กราบลาพระรัตนตรัยหน้าโต๊ะหมู่บูชา และถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์ หน้าโต๊ะบูชา หลังจากนั้น เวลา 07.30 น. ผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประชาชน ได้ร่วมพิธีทําบุญตักบาตร (ข้าวสาร อาหารแห้ง) พระสงฆ์ 89 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/787
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมจุดเทียนเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 ก.อุตฯ ร่วมจุดเทียนเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก.อุตฯ ร่วมจุดเทียนเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2561 เวลา 19.00 น. นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหาร ข้าราชการและพนักงานกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีจุดเทียนเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ บริเวณท้องสนามหลวง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ร่วมจุดเทียนเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2561 ก.อุตฯ ร่วมจุดเทียนเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก.อุตฯ ร่วมจุดเทียนเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2561 เวลา 19.00 น. นายสุรพล ชามาตย์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหาร ข้าราชการและพนักงานกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมพิธีจุดเทียนเพื่อน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ณ บริเวณท้องสนามหลวง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16282
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตำหนิบุคคลทุจริตเงินงบประมาณภาครัฐ พร้อมสั่งการเร่งรัดให้ ปปท.ลงพื้นที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ
วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรีตําหนิบุคคลทุจริตเงินงบประมาณภาครัฐ พร้อมสั่งการเร่งรัดให้ ปปท.ลงพื้นที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ นายกรัฐมนตรีตําหนิบุคคลทุจริตเงินงบประมาณภาครัฐ พร้อมสั่งการเร่งรัดให้ ปปท.ลงพื้นที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ วันนี้ (13 มีนาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการตรวจสอบเงินทุจริตหน่วยงานภาครัฐว่า มีหลายหน่วยงานที่ปรากฎเป็นข่าวออกมา ไม่ใช่รัฐบาลปล่อยปะละเลยการตรวจสอบ แต่ขั้นตอนการตรวจสอบค่อนข้างช้า โดยได้เร่งรัดให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เข้าไปตรวจสอบทุกหน่วยงานภาครัฐที่มีปัญหา เพราะเป็นเรื่องการใช้งบประมาณของภาครัฐโดยตรง ทั้งนี้ การทุจริตขึ้นอยู่กับผู้ที่ได้รับผล เจ้าหน้าที่ และประชาชนส่วนหนึ่งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เข้าไปให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ จึงขอให้ประชาชนช่วยกันให้ความร่วมมือกันเปิดเผยข้อมูลทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพล รัฐบาลพร้อมให้การดูแล พร้อมกล่าวชื่นชมบุคคลที่เปิดเผยข้อมูล และกล่าวตําหนิบุคคลที่ทุจริตเงินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐว่าเป็นบุคคลที่น่าอับอาย ไม่มีศีลธรรม รังแกงบประมาณคนที่ด้อยโอกาส พร้อมกล่าวยืนยันว่าได้สั่งการให้ ปปท.ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้วอย่างเป็นธรรม ---------------------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตำหนิบุคคลทุจริตเงินงบประมาณภาครัฐ พร้อมสั่งการเร่งรัดให้ ปปท.ลงพื้นที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ วันอังคารที่ 13 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรีตําหนิบุคคลทุจริตเงินงบประมาณภาครัฐ พร้อมสั่งการเร่งรัดให้ ปปท.ลงพื้นที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ นายกรัฐมนตรีตําหนิบุคคลทุจริตเงินงบประมาณภาครัฐ พร้อมสั่งการเร่งรัดให้ ปปท.ลงพื้นที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ วันนี้ (13 มีนาคม 2561) เวลา 14.00 น. ณ บริเวณห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงกรณีการตรวจสอบเงินทุจริตหน่วยงานภาครัฐว่า มีหลายหน่วยงานที่ปรากฎเป็นข่าวออกมา ไม่ใช่รัฐบาลปล่อยปะละเลยการตรวจสอบ แต่ขั้นตอนการตรวจสอบค่อนข้างช้า โดยได้เร่งรัดให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เข้าไปตรวจสอบทุกหน่วยงานภาครัฐที่มีปัญหา เพราะเป็นเรื่องการใช้งบประมาณของภาครัฐโดยตรง ทั้งนี้ การทุจริตขึ้นอยู่กับผู้ที่ได้รับผล เจ้าหน้าที่ และประชาชนส่วนหนึ่งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เข้าไปให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ จึงขอให้ประชาชนช่วยกันให้ความร่วมมือกันเปิดเผยข้อมูลทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพล รัฐบาลพร้อมให้การดูแล พร้อมกล่าวชื่นชมบุคคลที่เปิดเผยข้อมูล และกล่าวตําหนิบุคคลที่ทุจริตเงินโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐว่าเป็นบุคคลที่น่าอับอาย ไม่มีศีลธรรม รังแกงบประมาณคนที่ด้อยโอกาส พร้อมกล่าวยืนยันว่าได้สั่งการให้ ปปท.ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้วอย่างเป็นธรรม ---------------------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10732
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โรงพยาบาลชลบุรี โรงพยาบาลระยอง พร้อมรับอุบัติเหตุเส้นทางหลักภาคตะวันออก
วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2562 โรงพยาบาลชลบุรี โรงพยาบาลระยอง พร้อมรับอุบัติเหตุเส้นทางหลักภาคตะวันออก รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ตรวจความพร้อมห้องฉุกเฉิน รถพยาบาลของโรงพยาบาลศูนย์ชลบุรีและโรงพยาบาลระยอง บนเส้นทางหลักสู่ภาคตะวันออก ช่วงเทศกาลปีใหม่ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ตรวจความพร้อมห้องฉุกเฉิน รถพยาบาลของโรงพยาบาลศูนย์ชลบุรีและโรงพยาบาลระยอง บนเส้นทางหลักสู่ภาคตะวันออก ช่วงเทศกาลปีใหม่ วันนี้ (26 ธันวาคม 2562) นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ติดตามความพร้อมการจัดบริการของโรงพยาบาลชลบุรี และโรงพยาบาลระยอง บนเส้นทางหลักสู่พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และสถานที่ท่องเที่ยว นายแพทย์ศุภกิจให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูง มีความพร้อมดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทั้งการเพิ่มจํานวนแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ 2 เท่าตัว ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ 1669 ทีมปฏิบัติการกู้ชีพ ศูนย์ส่งต่อ รถพยาบาลฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ไอซียู เตียงรับผู้ป่วย คลังเลือด ออกซิเจน และสนับสนุนการทํางานของเจ้าหน้าที่ตํารวจตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ โดยที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลชลบุรี มีระบบคัดแยกเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยที่ไม่ฉุกเฉินจะได้รับการตรวจรักษาที่ห้องตรวจอื่น ในกรณีอุบัติเหตุหมู่สามารถระดมเจ้าหน้าที่ได้อย่างทันท่วงที สําหรับที่โรงพยาบาลระยอง เป็นห้องฉุกเฉินคุณภาพระดับต้นของประเทศ มีประตู 2 ชั้น มีทีวีหน้าห้องบริเวณที่พักคอยญาติ บอกระดับความรุนแรงของผู้ป่วยฉุกเฉินและการให้บริการทางการแพทย์ เนื่องจากเขตสุขภาพที่ 6 พื้นที่ภาคตะวันออก มีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม และเป็นเส้นทางหลักสู่สู่พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นร้อยละ 90 มีความรุนแรงสูง ส่วนใหญ่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เกิดจากการขับขี่มอเตอร์ไซค์ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ******************* 26 ธันวาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โรงพยาบาลชลบุรี โรงพยาบาลระยอง พร้อมรับอุบัติเหตุเส้นทางหลักภาคตะวันออก วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม 2562 โรงพยาบาลชลบุรี โรงพยาบาลระยอง พร้อมรับอุบัติเหตุเส้นทางหลักภาคตะวันออก รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ตรวจความพร้อมห้องฉุกเฉิน รถพยาบาลของโรงพยาบาลศูนย์ชลบุรีและโรงพยาบาลระยอง บนเส้นทางหลักสู่ภาคตะวันออก ช่วงเทศกาลปีใหม่ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เยี่ยมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ ตรวจความพร้อมห้องฉุกเฉิน รถพยาบาลของโรงพยาบาลศูนย์ชลบุรีและโรงพยาบาลระยอง บนเส้นทางหลักสู่ภาคตะวันออก ช่วงเทศกาลปีใหม่ วันนี้ (26 ธันวาคม 2562) นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานดูแลประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ติดตามความพร้อมการจัดบริการของโรงพยาบาลชลบุรี และโรงพยาบาลระยอง บนเส้นทางหลักสู่พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และสถานที่ท่องเที่ยว นายแพทย์ศุภกิจให้สัมภาษณ์ว่า โรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูง มีความพร้อมดูแลประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทั้งการเพิ่มจํานวนแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ 2 เท่าตัว ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการ 1669 ทีมปฏิบัติการกู้ชีพ ศูนย์ส่งต่อ รถพยาบาลฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ไอซียู เตียงรับผู้ป่วย คลังเลือด ออกซิเจน และสนับสนุนการทํางานของเจ้าหน้าที่ตํารวจตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ขับขี่กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ โดยที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลชลบุรี มีระบบคัดแยกเฉพาะผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยที่ไม่ฉุกเฉินจะได้รับการตรวจรักษาที่ห้องตรวจอื่น ในกรณีอุบัติเหตุหมู่สามารถระดมเจ้าหน้าที่ได้อย่างทันท่วงที สําหรับที่โรงพยาบาลระยอง เป็นห้องฉุกเฉินคุณภาพระดับต้นของประเทศ มีประตู 2 ชั้น มีทีวีหน้าห้องบริเวณที่พักคอยญาติ บอกระดับความรุนแรงของผู้ป่วยฉุกเฉินและการให้บริการทางการแพทย์ เนื่องจากเขตสุขภาพที่ 6 พื้นที่ภาคตะวันออก มีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม และเป็นเส้นทางหลักสู่สู่พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นร้อยละ 90 มีความรุนแรงสูง ส่วนใหญ่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ เกิดจากการขับขี่มอเตอร์ไซค์ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ******************* 26 ธันวาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25506
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.ร.บ.ควบคุมโรคจากการทำงานและโรคจากมลพิษสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้วันนี้
วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562 พ.ร.บ.ควบคุมโรคจากการทํางานและโรคจากมลพิษสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้วันนี้ กระทรวงสาธารณสุข ออกพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้วันนี้ กําหนดกลไก “ตรวจจับ ฉับไว เตือนภัยเมื่อผิดปกติ” ส่งผลดีต่อลูกจ้างหรือผู้ได้รับผลกระทบได้รับการดูแลและการตรวจสุขภาพได้ กระทรวงสาธารณสุข ออกพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้วันนี้ กําหนดกลไก “ตรวจจับ ฉับไว เตือนภัยเมื่อผิดปกติ” ส่งผลดีต่อลูกจ้างหรือผู้ได้รับผลกระทบได้รับการดูแลและการตรวจสุขภาพได้รับการบริการบนมาตรฐานเดียวกัน วันนี้ (19 กันยายน 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งจัดขึ้นตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 และเป็นวันแรกที่ พ.ร.บ. มีผลใช้บังคับหลังการประกาศในราชกิจจานุเบกษา 120 วัน โดยมีผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อธิบดีกรมอนามัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้แทนสํานักงานประกันสังคม และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมประชุม นายอนุทินกล่าวว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ จะมีประโยชน์กับลูกจ้างเนื่องจากมีกลไกการเฝ้าระวัง การป้องกันและการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม “ตรวจจับ ฉับไว เตือนภัยเมื่อผิดปกติ” ช่วยให้ลูกจ้างหรือผู้ได้รับผลกระทบได้รับการดูแลและการตรวจสุขภาพได้รับการบริการบนมาตรฐานเดียวกัน กรณีมีเหตุสงสัย ผิดปกติ บุคลกรสาธารณสุขสามารถเข้าทําการตรวจสอบ/สอบสวนโรคหาสาเหตุได้ทันที เมื่อพบความเสี่ยงหรือพบผู้ป่วย สามารถส่งต่อวินิจฉัย รักษา อย่างทันท่วงที เนื่องจากปัจจุบันแนวโน้มและความรุนแรงของความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการทํางานและโรคจากสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น ทั้งโรคจากการทํางานที่เกิดขึ้นทันทีหรือเกิดภายหลังจากการทํางานเป็นระยะเวลานาน และโรคที่เกิดแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังจากมลพิษหรือสิ่งปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ทั้งจากธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ นายอนุทินกล่าวต่อว่า การประชุมวันนี้ คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบต่อร่างอนุบัญญัติจํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแต่งตั้ง วาระการดํารงตําแหน่ง และการพ้นจากตําแหน่งของคณะกรรมการในคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมจังหวัดและคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... และ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 อันจะทําให้การจัดตั้งคณะกรรมการ ทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด รวมทั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นไปอย่างสมบูรณ์ตามที่พระราชบัญญัติฯ กําหนดไว้ ************************************19 กันยายน 2562 *************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.ร.บ.ควบคุมโรคจากการทำงานและโรคจากมลพิษสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้วันนี้ วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน 2562 พ.ร.บ.ควบคุมโรคจากการทํางานและโรคจากมลพิษสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้วันนี้ กระทรวงสาธารณสุข ออกพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้วันนี้ กําหนดกลไก “ตรวจจับ ฉับไว เตือนภัยเมื่อผิดปกติ” ส่งผลดีต่อลูกจ้างหรือผู้ได้รับผลกระทบได้รับการดูแลและการตรวจสุขภาพได้ กระทรวงสาธารณสุข ออกพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 มีผลบังคับใช้วันนี้ กําหนดกลไก “ตรวจจับ ฉับไว เตือนภัยเมื่อผิดปกติ” ส่งผลดีต่อลูกจ้างหรือผู้ได้รับผลกระทบได้รับการดูแลและการตรวจสุขภาพได้รับการบริการบนมาตรฐานเดียวกัน วันนี้ (19 กันยายน 2562) ที่กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งจัดขึ้นตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 และเป็นวันแรกที่ พ.ร.บ. มีผลใช้บังคับหลังการประกาศในราชกิจจานุเบกษา 120 วัน โดยมีผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อธิบดีกรมอนามัย อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้แทนสํานักงานประกันสังคม และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมประชุม นายอนุทินกล่าวว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ จะมีประโยชน์กับลูกจ้างเนื่องจากมีกลไกการเฝ้าระวัง การป้องกันและการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม “ตรวจจับ ฉับไว เตือนภัยเมื่อผิดปกติ” ช่วยให้ลูกจ้างหรือผู้ได้รับผลกระทบได้รับการดูแลและการตรวจสุขภาพได้รับการบริการบนมาตรฐานเดียวกัน กรณีมีเหตุสงสัย ผิดปกติ บุคลกรสาธารณสุขสามารถเข้าทําการตรวจสอบ/สอบสวนโรคหาสาเหตุได้ทันที เมื่อพบความเสี่ยงหรือพบผู้ป่วย สามารถส่งต่อวินิจฉัย รักษา อย่างทันท่วงที เนื่องจากปัจจุบันแนวโน้มและความรุนแรงของความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการทํางานและโรคจากสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น ทั้งโรคจากการทํางานที่เกิดขึ้นทันทีหรือเกิดภายหลังจากการทํางานเป็นระยะเวลานาน และโรคที่เกิดแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรังจากมลพิษหรือสิ่งปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ทั้งจากธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ นายอนุทินกล่าวต่อว่า การประชุมวันนี้ คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบต่อร่างอนุบัญญัติจํานวน 3 ฉบับ ได้แก่ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแต่งตั้ง วาระการดํารงตําแหน่ง และการพ้นจากตําแหน่งของคณะกรรมการในคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมจังหวัดและคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมกรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... และ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562 อันจะทําให้การจัดตั้งคณะกรรมการ ทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด รวมทั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นไปอย่างสมบูรณ์ตามที่พระราชบัญญัติฯ กําหนดไว้ ************************************19 กันยายน 2562 *************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/23219
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายแผนการปฏิบัติงาน ประจำปี 2562 ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พร้อมขับเคลื่อนประเทศในทุกด้านตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
วันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2561 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2562 ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พร้อมขับเคลื่อนประเทศในทุกด้านตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและกล่าวมอบนโยบายในงานสรุปผลการปฏิบัติงานประจําปี 2561 และแถลงแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2562 ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) พร้อมขับเคลื่อนประเทศในทุกด้านตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี วันนี้ (11 ธันวาคม 2561) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายงานสรุปผลการปฏิบัติงานประจําปี 2561 และแถลงแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2562 ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หัวหน้าส่วนราชการ ด้านความมั่นคงจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมผลงานนิทรรศการของ กอ.รมน. ประจําปี 2561 ที่นํามาจัดแสดงภายในโถงกลางตึกสันติไมตรี ทั้งนี้ พลเอก ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ เลขาธิการกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวรายงานว่า การประชุมสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจําปี 2561 และแถลงแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2562 เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องด้านความ มั่นคง รับทราบผลการปฏิบัติงานรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร รวมถึงกรอบการดําเนินงานรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรของ กอ.รมน. ประจําปี 2562 เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติงาน บูรณาการและพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้องด้านความมั่นคง นําไปยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติงานต่อไป สําหรับนิทรรศการผลงานของ กอ.รมน. ประกอบด้วย โครงการแก้ไขปัญหาน้ําเน่าเสีย “ประชารัฐช่วยคิด ชุบชีวิตคลองสี่วาฯ”(คลองสี่วาพาสวัสดิ์ จังหวัดสมุทรสาคร) การปลูกข้าวนาถุง การปฏิบัติงานโครงการต่างๆ อาทิ โครงการจิตอาสา พระราชทาน โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ การปฏิบัติงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติด การขับเคลื่อนการช่วยเหลือความเดือดร้อนของประชาชน ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 1 - 5 กอ.รมน. การปฏิบัติงานของ กอ.รมน. ในการรองรับยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิบัติงานโครงการต่างๆ อาทิ โครงการเทิดทูนสถาบันหลักของชาติ โครงการเพชรในตม โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ เป็นต้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายในงานสรุปผลการปฏิบัติงานประจําปี 2561 และแถลงแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2562 ความตอนหนึ่งว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธาน ในการสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจําปี 2561 และแถลงแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2562 ตลอดจนมอบนโยบายการปฏิบัติงานในวันนี้ ขอขอบคุณทุกคน ทั้งในส่วนของ กอ.รมน. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ปฏิบัติงานร่วมกันบูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาจนมีผลงานเป็นที่น่าพึงพอใจ อาทิ 1) การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริที่ บ.บึงกระโตน ต.ประทาย อ.ประทาย จ.นครราชสีมา 2) โครงการบ้านประชารัฐริมคลอง เป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อทําให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง มีสภาพแวดล้อมที่ดี 3) งานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามทางด้านความมั่นคงที่สําคัญ การที่ได้รับความร่วมมือจากมวลชนในพื้นที่นั้น เป็นพลังในการผลักดันการแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี 4) การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายที่ผ่านมา ได้บูรณาการ ประสานการปฏิบัติ จนกระทั่งสามารถดําเนินการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวได้อย่างเป็นรูปธรรม 5) การจัดระเบียบสังคม เช่น สถานบริการสถานบันเทิง บ่อนการพนัน หนี้นอกระบบ การแข่งรถจักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมาย การจัดระเบียบรถรับจ้างสาธารณะ การบุกรุกที่สาธารณะ ตลอดจนการจัดระเบียบพื้นที่ต่าง ๆ เช่นการจัดระเบียบรถตู้ รถจักรยานยนต์ การจัดระเบียบทางเท้า การจัดระเบียบพื้นที่บริเวณชายหาด การจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ ถือเป็นการสร้างบรรยากาศให้กับสังคมเป็นสังคมที่น่าอยู่และปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และ 6) การแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่มีความชัดเจนและมีเอกภาพมากขึ้น โดยบูรณาการร่วมกัน ในการแก้ปัญหา โดยใช้การพัฒนาควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายสามารถสร้างความศรัทธา ความเชื่อมั่นและได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินงานในปีงบประมาณ 2562 ให้เน้นขับเคลื่อนประเทศภายใต้ วิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยการบูรณาการกับทุกส่วนราชการ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และจังหวัด รวมทั้งดําเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยร่วมมือกันทุกภาคส่วนให้เกิดผลสัมฤทธิ์และขยายผลสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน พร้อมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ สร้างความปรองดองและสมานฉันท์ ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ป้องกัน ปราบปราม และบําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ถือว่าเป็นความสําคัญเร่งด่วน ที่ก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ นายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มว่า ผู้นําทุกบทบาทต้องรับทราบปัญหาของชุมชนและประชาชนในท้องถิ่น ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งปัญหาหลัก ปัญหารอง พร้อมทั้งให้ทุกภาคส่วนติดตามสถานการณ์โลกด้วย เพราะมีความเชื่อมโยงด้านตลาดการค้า และความต้องการสินค้าในตลาดโลก พร้อมเร่งรัดแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างรวดเร็วและมีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน สามารถสร้างความเสียหายทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณสําหรับความตั้งใจในการดําเนินงานที่ผ่านมาและขอให้ทุกภาคส่วน ร่วมมือกันผลักดันประเด็นสําคัญ และเร่งแก้ปัญหา เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันและความผาสุกของประชาชนชาวไทยอย่างยั่งยืนต่อไป .......................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายแผนการปฏิบัติงาน ประจำปี 2562 ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พร้อมขับเคลื่อนประเทศในทุกด้านตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี วันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2561 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2562 ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พร้อมขับเคลื่อนประเทศในทุกด้านตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นายกรัฐมนตรี เป็นประธานและกล่าวมอบนโยบายในงานสรุปผลการปฏิบัติงานประจําปี 2561 และแถลงแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2562 ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) พร้อมขับเคลื่อนประเทศในทุกด้านตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี วันนี้ (11 ธันวาคม 2561) เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบนโยบายงานสรุปผลการปฏิบัติงานประจําปี 2561 และแถลงแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2562 ของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หัวหน้าส่วนราชการ ด้านความมั่นคงจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงานด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมผลงานนิทรรศการของ กอ.รมน. ประจําปี 2561 ที่นํามาจัดแสดงภายในโถงกลางตึกสันติไมตรี ทั้งนี้ พลเอก ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ เลขาธิการกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวรายงานว่า การประชุมสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจําปี 2561 และแถลงแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2562 เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องด้านความ มั่นคง รับทราบผลการปฏิบัติงานรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร รวมถึงกรอบการดําเนินงานรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรของ กอ.รมน. ประจําปี 2562 เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติงาน บูรณาการและพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างส่วนราชการ ที่เกี่ยวข้องด้านความมั่นคง นําไปยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติงานต่อไป สําหรับนิทรรศการผลงานของ กอ.รมน. ประกอบด้วย โครงการแก้ไขปัญหาน้ําเน่าเสีย “ประชารัฐช่วยคิด ชุบชีวิตคลองสี่วาฯ”(คลองสี่วาพาสวัสดิ์ จังหวัดสมุทรสาคร) การปลูกข้าวนาถุง การปฏิบัติงานโครงการต่างๆ อาทิ โครงการจิตอาสา พระราชทาน โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ การปฏิบัติงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติด การขับเคลื่อนการช่วยเหลือความเดือดร้อนของประชาชน ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 1 - 5 กอ.รมน. การปฏิบัติงานของ กอ.รมน. ในการรองรับยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิบัติงานโครงการต่างๆ อาทิ โครงการเทิดทูนสถาบันหลักของชาติ โครงการเพชรในตม โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ เป็นต้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายในงานสรุปผลการปฏิบัติงานประจําปี 2561 และแถลงแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2562 ความตอนหนึ่งว่า รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธาน ในการสรุปผลการปฏิบัติงาน ประจําปี 2561 และแถลงแผนการปฏิบัติงาน ประจําปี 2562 ตลอดจนมอบนโยบายการปฏิบัติงานในวันนี้ ขอขอบคุณทุกคน ทั้งในส่วนของ กอ.รมน. และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ปฏิบัติงานร่วมกันบูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาจนมีผลงานเป็นที่น่าพึงพอใจ อาทิ 1) การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริที่ บ.บึงกระโตน ต.ประทาย อ.ประทาย จ.นครราชสีมา 2) โครงการบ้านประชารัฐริมคลอง เป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อทําให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง มีสภาพแวดล้อมที่ดี 3) งานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งถือว่าเป็นภัยคุกคามทางด้านความมั่นคงที่สําคัญ การที่ได้รับความร่วมมือจากมวลชนในพื้นที่นั้น เป็นพลังในการผลักดันการแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี 4) การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายที่ผ่านมา ได้บูรณาการ ประสานการปฏิบัติ จนกระทั่งสามารถดําเนินการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวได้อย่างเป็นรูปธรรม 5) การจัดระเบียบสังคม เช่น สถานบริการสถานบันเทิง บ่อนการพนัน หนี้นอกระบบ การแข่งรถจักรยานยนต์ที่ผิดกฎหมาย การจัดระเบียบรถรับจ้างสาธารณะ การบุกรุกที่สาธารณะ ตลอดจนการจัดระเบียบพื้นที่ต่าง ๆ เช่นการจัดระเบียบรถตู้ รถจักรยานยนต์ การจัดระเบียบทางเท้า การจัดระเบียบพื้นที่บริเวณชายหาด การจัดระเบียบหาบเร่แผงลอยที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ ถือเป็นการสร้างบรรยากาศให้กับสังคมเป็นสังคมที่น่าอยู่และปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และ 6) การแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่มีความชัดเจนและมีเอกภาพมากขึ้น โดยบูรณาการร่วมกัน ในการแก้ปัญหา โดยใช้การพัฒนาควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายสามารถสร้างความศรัทธา ความเชื่อมั่นและได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินงานในปีงบประมาณ 2562 ให้เน้นขับเคลื่อนประเทศภายใต้ วิสัยทัศน์ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยการบูรณาการกับทุกส่วนราชการ ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และจังหวัด รวมทั้งดําเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยร่วมมือกันทุกภาคส่วนให้เกิดผลสัมฤทธิ์และขยายผลสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน พร้อมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ สร้างความปรองดองและสมานฉันท์ ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดการปัญหาแรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ป้องกัน ปราบปราม และบําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ถือว่าเป็นความสําคัญเร่งด่วน ที่ก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ นายกรัฐมนตรียังกล่าวเพิ่มว่า ผู้นําทุกบทบาทต้องรับทราบปัญหาของชุมชนและประชาชนในท้องถิ่น ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งปัญหาหลัก ปัญหารอง พร้อมทั้งให้ทุกภาคส่วนติดตามสถานการณ์โลกด้วย เพราะมีความเชื่อมโยงด้านตลาดการค้า และความต้องการสินค้าในตลาดโลก พร้อมเร่งรัดแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ ซึ่งส่งผลกระทบในวงกว้างอย่างรวดเร็วและมีความรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน สามารถสร้างความเสียหายทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณสําหรับความตั้งใจในการดําเนินงานที่ผ่านมาและขอให้ทุกภาคส่วน ร่วมมือกันผลักดันประเด็นสําคัญ และเร่งแก้ปัญหา เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันและความผาสุกของประชาชนชาวไทยอย่างยั่งยืนต่อไป .......................................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17427
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. เพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย วิจัยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระ ผลสำเร็จจากการนำ วทน. เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้เกษตรกร เสริมแกร่งเศรษฐกิจประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 วว. เพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย วิจัยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระ ผลสําเร็จจากการนํา วทน. เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้เกษตรกร เสริมแกร่งเศรษฐกิจประเทศ วว. เพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย วิจัยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระ ผลสําเร็จจากการนํา วทน. เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้เกษตรกร เสริมแกร่งเศรษฐกิจประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ประสบผลสําเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดสมุนไพรไทย ระบุผลทดสอบผ่านมาตรฐานระดับสากล ปลอดภัยสําหรับผู้บริโภค พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ระบุเป็นผลสําเร็จในการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม เข้าไปเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไทย เสริมแกร่งเศรษฐกิจประเทศยั่งยืน ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า จากความเชี่ยวชาญในการสกัดสารสําคัญจากสมุนไพรของ วว. โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร ประสบผลสําเร็จในการวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระจากสารสําคัญของสมุนไพรที่นํามาเป็นวัตถุดิบตั้งต้น ทั้งนี้หากมีการใช้ผลิตภัณฑ์แพร่หลายทั้งภายในและต่างประเทศ จะเป็นช่องทางหนึ่งในการเพิ่มโอกาสการสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับเกษตรกรจากการปลูกสมุนไพรนําส่งโรงงานอุตสาหกรรม และจะส่งผลต่อเนื่องให้เศรษฐกิจของประเทศเข้มแข็งในที่สุด อันเป็นผลจากการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้าไปช่วยแก้ปัญหาและสร้างโอกาสให้กับห่วงโซ่ธุรกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระผลงานวิจัยพัฒนาของ วว. มีดังนี้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดเม็ดจากขมิ้นชัน หรือ “TISTRAMIN” ผลสําเร็จจากการดําเนิน “โครงการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระจากขมิ้นชันอย่างครบวงจร” โดย วว. ศึกษาวิธีการสกัดและการตรวจควบคุมคุณภาพขององค์ประกอบหลักที่เป็นกลุ่มสารเคอร์คูมินอยด์ (curcuminoids) ในเหง้าขมิ้นชันสด พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสียหายต่อสุขภาพ เช่น การอักเสบของเซลล์และการทําลายเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ช่วยชะลอความเสื่อมชราหรือการแก่ของเซลล์และการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ผลิตภัณฑ์ผ่านกระบวนการทดสอบด้านพิษวิทยาเพื่อประเมินความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ทั้งในระยะเฉียบพลันและระยะกึ่งเรื้อรัง ตามเกณฑ์มาตรฐานการทดสอบที่ระบุใน OECD Guidelines for Testing of Chemicals (2001) ของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีการผลิตในรูปแบบยาเม็ด ที่มีราคาเครื่องจักรในการตอกเม็ดถูกกว่าเครื่องทําแคปซูล จึงมีต้นทุนการผลิตต่ํากว่า ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อแคปซูล รวมทั้งใช้ระยะเวลา และแรงงานในการผลิตน้อยกว่า อีกทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการวิจัยและพัฒนาตามหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างครบวงจร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารปรับภูมิคุ้มกันจากพุงทะลาย หรือ “Scamulan” ผลสําเร็จจากการดําเนิน “โครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากพืช ผัก ผลไม้ สมุนไพรไทย ที่มีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน” โดย วว. ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทําการศึกษาและคัดเลือก สารสกัดพุงทะลายซึ่งให้ผลการกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายได้ดีที่สุด และนํามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปเม็ด มีสรรพคุณให้ฤทธิ์ในการปรับภูมิคุ้มกัน โดยสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายเทียบเท่ายา Levamisole และในขณะเดียวกันสามารถให้ผลต้านการอักเสบที่มีกลไกเกี่ยวเนื่องกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกายได้ใกล้เคียงกับยา Dexamethazone วว. ได้ประเมินความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ โดยทําการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน (LD50) ความเป็นพิษกึ่งเรื้อรัง (OECD subchronic toxicity) ตลอดจนฤทธิ์การก่อกลายพันธุ์ของผลิตภัณฑ์ (Micronucleus assay) พบว่า ผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยต่อการบริโภค ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังก์ชันนัลจากเห็ดพื้นเมืองอีสาน หรือ “รัสซูล่า (RUSSULA)” วิจัยและพัฒนาจากสารสกัดเห็ดน้ําแป้ง (Russula alboareolata) ซึ่งเป็นเห็ดพื้นเมืองอีสาน มีสารสําคัญ คือ 4,5-dicaffeoylquinic acid และมีสรรพคุณทางเภสัชวิทยา ดังนี้ 1.ส่งเสริมประสิทธิภาพการทํางานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด macrophage ในการกําจัดสิ่งแปลกปลอมได้สูงกว่าสารเบต้ากลูแคน (Beta-glucan) 2 เท่า 2.ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง (โดยเฉพาะอนุมูลซุปเปอร์ออกไซด์) 3.มีความเป็นพิษและไวต่อการยับยั้งเซลล์มะเร็งปากมดลูก (HeLa cells) และ 4.สามารถชักนําให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็งแบบ apoptosis โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งปากมดลูก (HeLa) และเซลล์มะเร็งตับ (HepG2) ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ “รัสซูล่า (RUSSULA)” มีคุณสมบัติที่โดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันในท้องตลาด ดังนี้ 1.มีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าอย่างน้อย 2 เท่า และ 2.มีปริมาณสารฟินอลิกรวม (total phenolic) สูงกว่า 2-3 เท่า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตผลงานวิจัยและพัฒนา วว.ได้ที่ Call center วว. โทร.0 2577 9300 ในวันและเวลาราชการ E-mail :marketing_tistr@tistr.or.th ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วว. เพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย วิจัยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระ ผลสำเร็จจากการนำ วทน. เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้เกษตรกร เสริมแกร่งเศรษฐกิจประเทศ วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 วว. เพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย วิจัยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระ ผลสําเร็จจากการนํา วทน. เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้เกษตรกร เสริมแกร่งเศรษฐกิจประเทศ วว. เพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย วิจัยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระ ผลสําเร็จจากการนํา วทน. เพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้เกษตรกร เสริมแกร่งเศรษฐกิจประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ประสบผลสําเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดสมุนไพรไทย ระบุผลทดสอบผ่านมาตรฐานระดับสากล ปลอดภัยสําหรับผู้บริโภค พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ระบุเป็นผลสําเร็จในการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม เข้าไปเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรไทย เสริมแกร่งเศรษฐกิจประเทศยั่งยืน ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการ วว. กล่าวว่า จากความเชี่ยวชาญในการสกัดสารสําคัญจากสมุนไพรของ วว. โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร ประสบผลสําเร็จในการวิจัยและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระจากสารสําคัญของสมุนไพรที่นํามาเป็นวัตถุดิบตั้งต้น ทั้งนี้หากมีการใช้ผลิตภัณฑ์แพร่หลายทั้งภายในและต่างประเทศ จะเป็นช่องทางหนึ่งในการเพิ่มโอกาสการสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับเกษตรกรจากการปลูกสมุนไพรนําส่งโรงงานอุตสาหกรรม และจะส่งผลต่อเนื่องให้เศรษฐกิจของประเทศเข้มแข็งในที่สุด อันเป็นผลจากการนําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้าไปช่วยแก้ปัญหาและสร้างโอกาสให้กับห่วงโซ่ธุรกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระผลงานวิจัยพัฒนาของ วว. มีดังนี้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดเม็ดจากขมิ้นชัน หรือ “TISTRAMIN” ผลสําเร็จจากการดําเนิน “โครงการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระจากขมิ้นชันอย่างครบวงจร” โดย วว. ศึกษาวิธีการสกัดและการตรวจควบคุมคุณภาพขององค์ประกอบหลักที่เป็นกลุ่มสารเคอร์คูมินอยด์ (curcuminoids) ในเหง้าขมิ้นชันสด พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสียหายต่อสุขภาพ เช่น การอักเสบของเซลล์และการทําลายเนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ ช่วยชะลอความเสื่อมชราหรือการแก่ของเซลล์และการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ผลิตภัณฑ์ผ่านกระบวนการทดสอบด้านพิษวิทยาเพื่อประเมินความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ทั้งในระยะเฉียบพลันและระยะกึ่งเรื้อรัง ตามเกณฑ์มาตรฐานการทดสอบที่ระบุใน OECD Guidelines for Testing of Chemicals (2001) ของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีการผลิตในรูปแบบยาเม็ด ที่มีราคาเครื่องจักรในการตอกเม็ดถูกกว่าเครื่องทําแคปซูล จึงมีต้นทุนการผลิตต่ํากว่า ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อแคปซูล รวมทั้งใช้ระยะเวลา และแรงงานในการผลิตน้อยกว่า อีกทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการวิจัยและพัฒนาตามหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างครบวงจร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารปรับภูมิคุ้มกันจากพุงทะลาย หรือ “Scamulan” ผลสําเร็จจากการดําเนิน “โครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากพืช ผัก ผลไม้ สมุนไพรไทย ที่มีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน” โดย วว. ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทําการศึกษาและคัดเลือก สารสกัดพุงทะลายซึ่งให้ผลการกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายได้ดีที่สุด และนํามาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปเม็ด มีสรรพคุณให้ฤทธิ์ในการปรับภูมิคุ้มกัน โดยสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายเทียบเท่ายา Levamisole และในขณะเดียวกันสามารถให้ผลต้านการอักเสบที่มีกลไกเกี่ยวเนื่องกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกายได้ใกล้เคียงกับยา Dexamethazone วว. ได้ประเมินความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ โดยทําการทดสอบความเป็นพิษเฉียบพลัน (LD50) ความเป็นพิษกึ่งเรื้อรัง (OECD subchronic toxicity) ตลอดจนฤทธิ์การก่อกลายพันธุ์ของผลิตภัณฑ์ (Micronucleus assay) พบว่า ผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัยต่อการบริโภค ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มฟังก์ชันนัลจากเห็ดพื้นเมืองอีสาน หรือ “รัสซูล่า (RUSSULA)” วิจัยและพัฒนาจากสารสกัดเห็ดน้ําแป้ง (Russula alboareolata) ซึ่งเป็นเห็ดพื้นเมืองอีสาน มีสารสําคัญ คือ 4,5-dicaffeoylquinic acid และมีสรรพคุณทางเภสัชวิทยา ดังนี้ 1.ส่งเสริมประสิทธิภาพการทํางานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด macrophage ในการกําจัดสิ่งแปลกปลอมได้สูงกว่าสารเบต้ากลูแคน (Beta-glucan) 2 เท่า 2.ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง (โดยเฉพาะอนุมูลซุปเปอร์ออกไซด์) 3.มีความเป็นพิษและไวต่อการยับยั้งเซลล์มะเร็งปากมดลูก (HeLa cells) และ 4.สามารถชักนําให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็งแบบ apoptosis โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งปากมดลูก (HeLa) และเซลล์มะเร็งตับ (HepG2) ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์ “รัสซูล่า (RUSSULA)” มีคุณสมบัติที่โดดเด่นเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันในท้องตลาด ดังนี้ 1.มีฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าอย่างน้อย 2 เท่า และ 2.มีปริมาณสารฟินอลิกรวม (total phenolic) สูงกว่า 2-3 เท่า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตผลงานวิจัยและพัฒนา วว.ได้ที่ Call center วว. โทร.0 2577 9300 ในวันและเวลาราชการ E-mail :marketing_tistr@tistr.or.th ข้อมูลข่าวโดย : สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29182
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๑ เผยแพร่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายละเอียดระบุว่า ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๑ เผยแพร่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายละเอียดระบุว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคําแนะนําและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทําหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒” มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป มาตรา ๓ งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้ตั้งเป็นจํานวน รวมทั้งสิ้น ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (๓ ล้านล้านบาท) จําแนกเป็นรายจ่ายตามที่จะระบุต่อไปในพระราชบัญญัตินี้ สําหรับงบประมาณรายจ่ายสําหรับแผนงานบุคลากรภาครัฐ ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับจัดสรรรวม ๒๙๗,๓๕๕,๘๖๗,๒๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายของกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานในกํากับ จํานวน ๑๗๔,๙๕๘,๓๒๑,๑๐๐ บาท นอกจากนี้ ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการยังได้รับงบประมาณบูรณาการสําหรับแผนงานต่าง ๆ อีก เช่น แผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จํานวน ๑,๔๓๙,๑๕๒,๙๐๐ บาท แผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม และบําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด จํานวน ๒๑๓,๔๑๐,๐๐๐ บาท เป็นต้น Rewriter/Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ วันอังคารที่ 18 กันยายน 2561 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๑ เผยแพร่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายละเอียดระบุว่า ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๑ เผยแพร่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายละเอียดระบุว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคําแนะนําและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติทําหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้ มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒” มาตรา ๒ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป มาตรา ๓ งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้ตั้งเป็นจํานวน รวมทั้งสิ้น ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (๓ ล้านล้านบาท) จําแนกเป็นรายจ่ายตามที่จะระบุต่อไปในพระราชบัญญัตินี้ สําหรับงบประมาณรายจ่ายสําหรับแผนงานบุคลากรภาครัฐ ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับจัดสรรรวม ๒๙๗,๓๕๕,๘๖๗,๒๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายของกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานในกํากับ จํานวน ๑๗๔,๙๕๘,๓๒๑,๑๐๐ บาท นอกจากนี้ ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการยังได้รับงบประมาณบูรณาการสําหรับแผนงานต่าง ๆ อีก เช่น แผนงานบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จํานวน ๑,๔๓๙,๑๕๒,๙๐๐ บาท แผนงานบูรณาการป้องกัน ปราบปราม และบําบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด จํานวน ๒๑๓,๔๑๐,๐๐๐ บาท เป็นต้น Rewriter/Editor บัลลังก์ โรหิตเสถียร
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15490
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชี้แจง กรณีผู้ประกอบการขนส่งได้รับผลกระทบ จากการปิดทางเข้า-ออกทางหลวงพิเศษหมายเลข 7
วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561 กรมทางหลวงชี้แจง กรณีผู้ประกอบการขนส่งได้รับผลกระทบ จากการปิดทางเข้า-ออกทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 กรมทางหลวงชี้แจง กรณีผู้ประกอบการขนส่งได้รับผลกระทบ จากการปิดทางเข้า-ออกทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 วันที่ 20 มกราคม 2561 นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีผู้ประกอบการขนส่งได้รับผลกระทบจากการปิดทางเข้า-ออกทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตามที่นางสุนีย์ ภูติวณิชย์ นายกสมาคมผู้ประกอบการขนส่งแหลมฉบังชลบุรี กล่าวถึงผลกระทบจากการปิดทางเข้า-ออก ถนนมอเตอร์เวย์ สาย 7 กรุงเทพฯ-พัทยา ช่วงชลบุรี-พัทยา นั้น กรมทางหลวงขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ จากการเปิดใช้ด่านเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี-พัทยาในช่วงแรก นั้น ส่งผลให้ทางคู่ขนานของทางหลวงพิเศษที่บริเวณแยกสัญญาณไฟจราจรบนทางหลวงหมายเลข 3701, 3702, 3608 และ 3611 เกิดการจราจรคับคั่ง ซึ่งกรมทางหลวงได้ร่วมกับตํารวจในพื้นที่ เช่น สภ.หนองขาม จ.ชลบุรี และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เก็บรวบรวมข้อมูลจราจร รวมทั้งเรียนรู้พฤติกรรมของการสัญจรที่เข้าใช้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยเฉพาะบริเวณทางแยกที่อยู่บนทางคู่ขนาน ได้แก่ ทางแยกเก้ากิโล ทางแยกซากยายจีน ทางแยกแม่กิมบ๊วย ทางแยกหนองยายบู่ และทางแยกห้วยเฝ้า โดยนําข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์เชิงวิศวกรรม ทําการปรับรอบสัญญาณไฟจราจรที่ทางแยกต่าง ๆ (Phasing) ให้มีความสอดคล้องกับปริมาณจราจรที่เข้าใช้ในแต่ละทิศทาง เช่น ปรับเพิ่มสัญญาณไฟในรถทิศทางหลักให้วิ่งผ่านได้นานขึ้นสอดคล้องกับปริมาณจราจรบนทางหลวง พร้อมทั้งปรับกายภาพของช่องทางเลี้ยวและจุดกลับรถต่าง ๆ 22 จุด ส่งผลให้ในปัจจุบันสามารถบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด ลดการเกิดแถวคอยสะสม ทําให้การจราจรมีความคล่องตัวมากขึ้น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงกรุงเทพ-ชลบุรี เป็นทางสายหลักที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาพื้นที่และการลงทุนภาคอุตสาหกรรมในบริเวณพื้นที่ภาคตะวันออก (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง) เป็นมูลค่ามหาศาลตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โดยกรมทางหลวงได้พัฒนาโครงข่ายทางหลวงอื่น ๆ เพื่อรองรับการเดินทางร่วมกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ด้วย เช่น การเพิ่มช่องจราจรทางหลวงหมายเลข 314 (ฉะเชิงเทรา) จาก 4 มาเป็น 6-8 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 344 จาก 4 มาเป็น 6 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 331 (มาบเอียง) จาก 4 มาเป็น 6-8 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 36 จาก 4 มาเป็น 8 ช่องจราจร ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงทางแยกระดับหนองขาม-ท่าเรือน้ําลึกแหลมฉบัง จาก 4 มาเป็น 14 ช่องจราจร นอกจากนี้ ยังมีทางหลวงแผ่นดินสายใหม่ 3701 / 3702 ขนาด 2-3 ช่องจราจรต่อทิศทางขนานกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 อีกด้วย ปัจจุบันทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กรุงเทพ-ชลบุรี-พัทยา-มาบตาพุด เป็นทางหลวงหลักที่สําคัญของภาคตะวันออก รองรับระบบ Logistics การขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยว ที่ได้มาตรฐานในระดับสากล มีความสะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลาในการเดินทาง ลดต้นทุนในการขนส่งสินค้า ทั้งยังสามารถควบคุมเวลาในการเดินทางและมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ทาง ตลอดจนเป็นโครงข่ายเส้นทางสายหลักสอดรับกับการพัฒนาของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของประเทศไทย (EEC) ทั้งหมดนี้จะส่งเสริมภาพรวมในการลงทุนพัฒนาพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 7 ช่วงชลบุรี-พัทยา มีทางเข้าออกผ่านทางแยกต่างระดับตามมาตรฐานสากลในทุกทิศทาง ได้แก่ ทางแยกต่างระดับบ้านบึง ทางแยกต่างระดับบางพระ (คีรีนคร) ทางแยกต่างระดับหนองขาม ทางแยกต่างระดับโป่ง และทางเข้าออกที่ด่านฯ พัทยา รวมมีจุดทางเข้า-ออกทั้งสิ้น 19 จุด ซึ่งสอดคล้องกับโครงข่ายทางหลวงแผ่นดินดังที่ได้กล่าวในข้างต้น โดยการกําหนดจุดทางเข้า-ออกเป็นระยะ ๆ ตามหลักวิศวกรรมจราจร เพื่อให้เกิดความคล่องตัวของรถในทางสายหลัก และเกิดความปลอดภัยในการขับขี่มากที่สุด โดยเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล ผู้ประกอบการท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวได้เหมือนเดิม เพียงแต่มีการปรับทางเข้า-ออกให้เป็นไปตามมาตรฐานและลดอุบัติเหตุ โดยใช้ทางเข้า-ออกบริเวณทางแยกต่างระดับซึ่งเป็นรูปแบบการเชื่อมโยงทางถนนที่มีความปลอดภัย (Road Safety) สูงสุดตามมาตรฐานสากล ในภาพรวมจึงส่งผลให้รถบัสนักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยในการเดินทางมากยิ่งขึ้น นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งจะส่งเสริมเศรษฐกิจภาคธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคตะวันออกให้ดียิ่งขึ้น การเปิดช่องทางเข้า-ออกทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองกับทางหลวงแผ่นดินในบริเวณใด จะต้องเป็นไปตามมาตรฐาน มีการศึกษาความเหมาะสมด้านวิศวกรรม ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น การเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อก่อสร้างทางเข้า-ออก เป็นต้น -----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชี้แจง กรณีผู้ประกอบการขนส่งได้รับผลกระทบ จากการปิดทางเข้า-ออกทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561 กรมทางหลวงชี้แจง กรณีผู้ประกอบการขนส่งได้รับผลกระทบ จากการปิดทางเข้า-ออกทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 กรมทางหลวงชี้แจง กรณีผู้ประกอบการขนส่งได้รับผลกระทบ จากการปิดทางเข้า-ออกทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 วันที่ 20 มกราคม 2561 นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ชี้แจงกรณีผู้ประกอบการขนส่งได้รับผลกระทบจากการปิดทางเข้า-ออกทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตามที่นางสุนีย์ ภูติวณิชย์ นายกสมาคมผู้ประกอบการขนส่งแหลมฉบังชลบุรี กล่าวถึงผลกระทบจากการปิดทางเข้า-ออก ถนนมอเตอร์เวย์ สาย 7 กรุงเทพฯ-พัทยา ช่วงชลบุรี-พัทยา นั้น กรมทางหลวงขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้ จากการเปิดใช้ด่านเก็บเงินค่าธรรมเนียมผ่านทางของทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงชลบุรี-พัทยาในช่วงแรก นั้น ส่งผลให้ทางคู่ขนานของทางหลวงพิเศษที่บริเวณแยกสัญญาณไฟจราจรบนทางหลวงหมายเลข 3701, 3702, 3608 และ 3611 เกิดการจราจรคับคั่ง ซึ่งกรมทางหลวงได้ร่วมกับตํารวจในพื้นที่ เช่น สภ.หนองขาม จ.ชลบุรี และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เก็บรวบรวมข้อมูลจราจร รวมทั้งเรียนรู้พฤติกรรมของการสัญจรที่เข้าใช้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยเฉพาะบริเวณทางแยกที่อยู่บนทางคู่ขนาน ได้แก่ ทางแยกเก้ากิโล ทางแยกซากยายจีน ทางแยกแม่กิมบ๊วย ทางแยกหนองยายบู่ และทางแยกห้วยเฝ้า โดยนําข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์เชิงวิศวกรรม ทําการปรับรอบสัญญาณไฟจราจรที่ทางแยกต่าง ๆ (Phasing) ให้มีความสอดคล้องกับปริมาณจราจรที่เข้าใช้ในแต่ละทิศทาง เช่น ปรับเพิ่มสัญญาณไฟในรถทิศทางหลักให้วิ่งผ่านได้นานขึ้นสอดคล้องกับปริมาณจราจรบนทางหลวง พร้อมทั้งปรับกายภาพของช่องทางเลี้ยวและจุดกลับรถต่าง ๆ 22 จุด ส่งผลให้ในปัจจุบันสามารถบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด ลดการเกิดแถวคอยสะสม ทําให้การจราจรมีความคล่องตัวมากขึ้น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงกรุงเทพ-ชลบุรี เป็นทางสายหลักที่ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาพื้นที่และการลงทุนภาคอุตสาหกรรมในบริเวณพื้นที่ภาคตะวันออก (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง) เป็นมูลค่ามหาศาลตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โดยกรมทางหลวงได้พัฒนาโครงข่ายทางหลวงอื่น ๆ เพื่อรองรับการเดินทางร่วมกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ด้วย เช่น การเพิ่มช่องจราจรทางหลวงหมายเลข 314 (ฉะเชิงเทรา) จาก 4 มาเป็น 6-8 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 344 จาก 4 มาเป็น 6 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 331 (มาบเอียง) จาก 4 มาเป็น 6-8 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 36 จาก 4 มาเป็น 8 ช่องจราจร ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงทางแยกระดับหนองขาม-ท่าเรือน้ําลึกแหลมฉบัง จาก 4 มาเป็น 14 ช่องจราจร นอกจากนี้ ยังมีทางหลวงแผ่นดินสายใหม่ 3701 / 3702 ขนาด 2-3 ช่องจราจรต่อทิศทางขนานกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 อีกด้วย ปัจจุบันทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กรุงเทพ-ชลบุรี-พัทยา-มาบตาพุด เป็นทางหลวงหลักที่สําคัญของภาคตะวันออก รองรับระบบ Logistics การขนส่งสินค้าและการท่องเที่ยว ที่ได้มาตรฐานในระดับสากล มีความสะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลาในการเดินทาง ลดต้นทุนในการขนส่งสินค้า ทั้งยังสามารถควบคุมเวลาในการเดินทางและมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ทาง ตลอดจนเป็นโครงข่ายเส้นทางสายหลักสอดรับกับการพัฒนาของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของประเทศไทย (EEC) ทั้งหมดนี้จะส่งเสริมภาพรวมในการลงทุนพัฒนาพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หมายเลข 7 ช่วงชลบุรี-พัทยา มีทางเข้าออกผ่านทางแยกต่างระดับตามมาตรฐานสากลในทุกทิศทาง ได้แก่ ทางแยกต่างระดับบ้านบึง ทางแยกต่างระดับบางพระ (คีรีนคร) ทางแยกต่างระดับหนองขาม ทางแยกต่างระดับโป่ง และทางเข้าออกที่ด่านฯ พัทยา รวมมีจุดทางเข้า-ออกทั้งสิ้น 19 จุด ซึ่งสอดคล้องกับโครงข่ายทางหลวงแผ่นดินดังที่ได้กล่าวในข้างต้น โดยการกําหนดจุดทางเข้า-ออกเป็นระยะ ๆ ตามหลักวิศวกรรมจราจร เพื่อให้เกิดความคล่องตัวของรถในทางสายหลัก และเกิดความปลอดภัยในการขับขี่มากที่สุด โดยเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล ผู้ประกอบการท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวได้เหมือนเดิม เพียงแต่มีการปรับทางเข้า-ออกให้เป็นไปตามมาตรฐานและลดอุบัติเหตุ โดยใช้ทางเข้า-ออกบริเวณทางแยกต่างระดับซึ่งเป็นรูปแบบการเชื่อมโยงทางถนนที่มีความปลอดภัย (Road Safety) สูงสุดตามมาตรฐานสากล ในภาพรวมจึงส่งผลให้รถบัสนักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยในการเดินทางมากยิ่งขึ้น นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งจะส่งเสริมเศรษฐกิจภาคธุรกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคตะวันออกให้ดียิ่งขึ้น การเปิดช่องทางเข้า-ออกทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองกับทางหลวงแผ่นดินในบริเวณใด จะต้องเป็นไปตามมาตรฐาน มีการศึกษาความเหมาะสมด้านวิศวกรรม ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น การเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อก่อสร้างทางเข้า-ออก เป็นต้น -----------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9539
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้บริหารร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2561
วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม 2561 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2561 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดฯ ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2561 โดยสํานักพระราชวังจัดขึ้น เพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 ณ พระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ ***************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นำคณะผู้บริหารร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2561 วันพฤหัสบดีที่ 4 มกราคม 2561 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นําคณะผู้บริหารร่วมลงนามถวายพระพร เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ 2561 ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นําคณะผู้บริหารกระทรวงฯ และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดฯ ร่วมลงนามถวายพระพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2561 โดยสํานักพระราชวังจัดขึ้น เพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 ณ พระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ ***************************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9181
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กสาววัย 18 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศและทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมชื่นชมเด็กชายวัย 13 ปี ทำงานหารายได้เลี้ยงน้อง 2 คน ที่ จ.กาญจนบุรี
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กสาววัย 18 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศและทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมชื่นชมเด็กชายวัย 13 ปี ทํางานหารายได้เลี้ยงน้อง 2 คน ที่ จ.กาญจนบุรี พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กสาววัย 18 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศและทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมชื่นชมเด็กชายวัย 13 ปี ยอมออกจากโรงเรียน เพื่อหารายได้เลี้ยงดูน้องๆและครอบครัว ที่ จ.กาญจนบุรี วันนี้ (19 มิ.ย. 61) เวลา 08.30 น.นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รอง ปพม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 86/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากกรณีชายวัย 44 ปี ก่อเหตุข่มขืนกระทําชําเราเด็กสาววัย 16 ปี และทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยการใช้ขวดแก้วตีที่บริเวณศีรษะ และชกต่อยที่ใบหน้าอย่างรุนแรง ที่จังหวัดพิษณุโลก นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก (พมจ.พิษณุโลก) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กสาวคนดังกล่าวอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุดอีกทั้งดูแลช่วยเหลือในเรื่องของการตรวจสุขภาพและการรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บอย่างใกล้ชิด ขณะนี้ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพิษณุโลก กรมกิจการเด็กและเยาชน กระทรวง พม. ได้รับตัวเด็กเข้ามาดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพเรียบร้อยแล้ว ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้ปกครองและบุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้อง หากพบเบาะแสการกระทําความรุนแรงต่อเด็กในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โทรฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป อีกกรณีสามพี่น้องสู้ชีวิต อาศัยอยู่กับตายายแก่ชรา ด้านพี่คนโตวัย 13 ปี ต้องลาออกจากโรงเรียน เพื่อมาทํางานรับจ้างหารายได้จุนเจือครอบครัว และส่งเสียให้น้องชายอีก 2 คน วัย 5 ขวบ และ 12 ปี ให้ได้เรียนหนังสือ ด้านน้อง 2 คน อาศัยเวลาว่างในวันหยุด ช่วยทํางานรับจ้างเพื่อหวังเก็บเงินให้พี่ชายคนโตได้กลับมาเรียนต่อ ที่จังหวัดกาญจนบุรี นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกาญจนบุรี (พมจ.กาญจนบุรี) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและผู้สูงอายุของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กทั้งหมดอย่างต่อเนื่องในระยะยาว รวมทั้งให้คําแนะนําแก่ครอบครัวดังกล่าวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคง สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ในระยะยาวต่อไป สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีชายชราวัย 89 ปี ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก และแผลกดทับ อยู่กับภรรยาวัย 68 ปี ที่ร่างกายไม่แข็งแรง ที่จังหวัดเพชรบุรี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน พร้อมดําเนินการให้ความช่วยเหลือเพื่อออกบัตรประจําตัวคนพิการ และติดตามดูแลรักษาอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง 2) กรณีหญิงรายหนึ่ง มีอาการป่วยโรคซึมเศร้า ต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกวัย 5 ขวบ และ 12 ปี ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น และพิจารณาช่วยเหลือเงินสงเคราะห์เด็ก และการสร้างบ้านพักเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยถาวร รวมถึงติดตามให้ความช่วยเหลือดูแลความเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กสาววัย 18 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศและทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมชื่นชมเด็กชายวัย 13 ปี ทำงานหารายได้เลี้ยงน้อง 2 คน ที่ จ.กาญจนบุรี วันอังคารที่ 19 มิถุนายน 2561 พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กสาววัย 18 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศและทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมชื่นชมเด็กชายวัย 13 ปี ทํางานหารายได้เลี้ยงน้อง 2 คน ที่ จ.กาญจนบุรี พม. เร่งเยียวยาจิตใจเด็กสาววัย 18 ปี ถูกล่วงละเมิดทางเพศและทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ จ.พิษณุโลก พร้อมชื่นชมเด็กชายวัย 13 ปี ยอมออกจากโรงเรียน เพื่อหารายได้เลี้ยงดูน้องๆและครอบครัว ที่ จ.กาญจนบุรี วันนี้ (19 มิ.ย. 61) เวลา 08.30 น.นางไพรวรรณ พลวัน รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รอง ปพม.)เป็นประธานการประชุมศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ศปก.พม.) ครั้งที่ 86/2561 เพื่อรับทราบปัญหาทางสังคม ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และร่วมหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา โดยมีผู้บริหารและผู้แทนจากหน่วยงานในกระทรวง ร่วมการประชุม ณ ห้องประชุมชั้น 8 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากกรณีชายวัย 44 ปี ก่อเหตุข่มขืนกระทําชําเราเด็กสาววัย 16 ปี และทําร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยการใช้ขวดแก้วตีที่บริเวณศีรษะ และชกต่อยที่ใบหน้าอย่างรุนแรง ที่จังหวัดพิษณุโลก นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก (พมจ.พิษณุโลก) พร้อมทีม One Home เร่งลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กของกระทรวง พม. พร้อมเร่งเยียวยาฟื้นฟูสภาพจิตใจเด็กสาวคนดังกล่าวอย่างใกล้ชิดโดยด่วน เพื่อให้เด็กมีสภาพจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น และสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุขโดยเร็วที่สุดอีกทั้งดูแลช่วยเหลือในเรื่องของการตรวจสุขภาพและการรักษาพยาบาลอาการบาดเจ็บอย่างใกล้ชิด ขณะนี้ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดพิษณุโลก กรมกิจการเด็กและเยาชน กระทรวง พม. ได้รับตัวเด็กเข้ามาดูแลคุ้มครองสวัสดิภาพเรียบร้อยแล้ว ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ทั้งนี้ ขอความร่วมมือผู้ปกครองและบุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้อง หากพบเบาะแสการกระทําความรุนแรงต่อเด็กในลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โทรฟรี 24 ชั่วโมง ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการช่วยเหลือต่อไป อีกกรณีสามพี่น้องสู้ชีวิต อาศัยอยู่กับตายายแก่ชรา ด้านพี่คนโตวัย 13 ปี ต้องลาออกจากโรงเรียน เพื่อมาทํางานรับจ้างหารายได้จุนเจือครอบครัว และส่งเสียให้น้องชายอีก 2 คน วัย 5 ขวบ และ 12 ปี ให้ได้เรียนหนังสือ ด้านน้อง 2 คน อาศัยเวลาว่างในวันหยุด ช่วยทํางานรับจ้างเพื่อหวังเก็บเงินให้พี่ชายคนโตได้กลับมาเรียนต่อ ที่จังหวัดกาญจนบุรี นั้น ได้กําชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกาญจนบุรี (พมจ.กาญจนบุรี) พร้อมทีม One Home ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและประเมินทางสังคมของครอบครัวดังกล่าว เพื่อให้การช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจด้านเด็กและผู้สูงอายุของกระทรวง พม. พร้อมมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จําเป็น และอุปกรณ์การศึกษา อีกทั้ง ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ช่วยเหลือดูแลในเรื่องการศึกษาของเด็กทั้งหมดอย่างต่อเนื่องในระยะยาว รวมทั้งให้คําแนะนําแก่ครอบครัวดังกล่าวในเรื่องการส่งเสริมการประกอบอาชีพ เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมั่นคง สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ในระยะยาวต่อไป สําหรับการติดตามความช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและประสบปัญหาทางสังคมตามภารกิจกระทรวง พม. มีดังนี้ 1) กรณีชายชราวัย 89 ปี ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองแตก และแผลกดทับ อยู่กับภรรยาวัย 68 ปี ที่ร่างกายไม่แข็งแรง ที่จังหวัดเพชรบุรี นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน พร้อมดําเนินการให้ความช่วยเหลือเพื่อออกบัตรประจําตัวคนพิการ และติดตามดูแลรักษาอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง 2) กรณีหญิงรายหนึ่ง มีอาการป่วยโรคซึมเศร้า ต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกวัย 5 ขวบ และ 12 ปี ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช นั้น ทางทีม One Home ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น และพิจารณาช่วยเหลือเงินสงเคราะห์เด็ก และการสร้างบ้านพักเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยถาวร รวมถึงติดตามให้ความช่วยเหลือดูแลความเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13171
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยแจ้งข้าราชการในสังกัดส่งความสุขปีใหม่ด้วยความพอเพียง งดรับของขวัญปีใหม่ เน้นย้ำทุกพื้นที่มอบ 14 โครงการเพื่อเป็นของขวัญให้พี่น้องประชาชน
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560 ปลัดมหาดไทยแจ้งข้าราชการในสังกัดส่งความสุขปีใหม่ด้วยความพอเพียง งดรับของขวัญปีใหม่ เน้นย้ําทุกพื้นที่มอบ 14 โครงการเพื่อเป็นของขวัญให้พี่น้องประชาชน ปลัดมหาดไทยแจ้งข้าราชการในสังกัดส่งความสุขปีใหม่ด้วยความพอเพียง งดรับของขวัญปีใหม่ เน้นย้ําทุกพื้นที่มอบ 14 โครงการเพื่อเป็นของขวัญให้พี่น้องประชาชน วันนี้ (24 ธ.ค.60) ที่กระทรวงมหาดไทยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2561 นี้ กระทรวงมหาดไทยมีนโยบายในการส่งความปรารถนาดีในโอกาสดังกล่าว โดยให้ข้าราชการทุกท่านไม่ต้องเดินทางมาอวยพร หรือนํากระเช้าของขวัญหรือสิ่งของมาอวยพรปีใหม่ ซึ่งหากต้องการส่งความปรารถนาดี ขอให้ส่งเพียงบัตรอวยพรปีใหม่ (ส.ค.ส.) ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ และพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนเจ้าหน้าที่ศูนย์ดํารงธรรม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ประจําอยู่ในพื้นที่ เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนที่เดินทางสัญจรภายในพื้นที่จังหวัดให้ได้รับความสะดวก ปลอดภัย และทําการส่งมอบความสุข ความปรารถนาดีให้เป็นของขวัญแก่พี่น้องประชาชน ตามแนวทาง "ของขวัญมหาดไทย ส่งต่อความสุข รับปีใหม่ 2561" จํานวน 14 โครงการ ดังนี้ 1.ตลาดประชารัฐ : สร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้ 2. สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ชุมชน บนวิถีพอเพียง 3. สถานธนานุบาลท้องถิ่นทั่วไทย มอบของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน 4. หมู่บ้านชุมชนสดใส ประชารัฐสุขใจ ปลอดภัยจากขยะอันตราย 5. ศูนย์ดํารงธรรม นําสุข คลายทุกข์ด้านที่ดิน 6. ปีใหม่ปลอดภัย คนไทยปลอดทุกข์ ศูนย์ดํารงธรรมเคลื่อนที่ 7. อํานวยความสะดวก ลดสําเนาเอกสาร ขอรับบริการใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียว 8. ของขวัญปีใหม่ ประชาปลอดภัย บรรเทาอุทกภัยด้วยผังลุ่มน้ํา 9. แบบบ้านสานฝัน ของขวัญปีใหม่ 10. ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร 11. ถนนสวยแห่งความสุข (Sukhumwit Make a Wish) 12. 74 ชุมชนปลอดภัยใช้ไฟ PEA 13. MWA on Mobile แอปฯ ของคนเมือง ครบทุกเรื่องน้ําประปา และ 14. ประปาเพื่อประชารัฐ สุดท้ายนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ข้าราชการ และบุคลากรในสังกัด ให้นํานโยบายการส่งความสุขด้วยความพอเพียงเบื้องต้นใช้เป็นแบบอย่างในการส่งความสุข ความปรารถนาดีต่อกันในพื้นที่ด้วย. ครั้งที่ 199/2560 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทยแจ้งข้าราชการในสังกัดส่งความสุขปีใหม่ด้วยความพอเพียง งดรับของขวัญปีใหม่ เน้นย้ำทุกพื้นที่มอบ 14 โครงการเพื่อเป็นของขวัญให้พี่น้องประชาชน วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม 2560 ปลัดมหาดไทยแจ้งข้าราชการในสังกัดส่งความสุขปีใหม่ด้วยความพอเพียง งดรับของขวัญปีใหม่ เน้นย้ําทุกพื้นที่มอบ 14 โครงการเพื่อเป็นของขวัญให้พี่น้องประชาชน ปลัดมหาดไทยแจ้งข้าราชการในสังกัดส่งความสุขปีใหม่ด้วยความพอเพียง งดรับของขวัญปีใหม่ เน้นย้ําทุกพื้นที่มอบ 14 โครงการเพื่อเป็นของขวัญให้พี่น้องประชาชน วันนี้ (24 ธ.ค.60) ที่กระทรวงมหาดไทยนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวาระดิถีขึ้นปีใหม่ 2561 นี้ กระทรวงมหาดไทยมีนโยบายในการส่งความปรารถนาดีในโอกาสดังกล่าว โดยให้ข้าราชการทุกท่านไม่ต้องเดินทางมาอวยพร หรือนํากระเช้าของขวัญหรือสิ่งของมาอวยพรปีใหม่ ซึ่งหากต้องการส่งความปรารถนาดี ขอให้ส่งเพียงบัตรอวยพรปีใหม่ (ส.ค.ส.) ทั้งนี้ ได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ และพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนเจ้าหน้าที่ศูนย์ดํารงธรรม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้ประจําอยู่ในพื้นที่ เพื่อดูแลพี่น้องประชาชนที่เดินทางสัญจรภายในพื้นที่จังหวัดให้ได้รับความสะดวก ปลอดภัย และทําการส่งมอบความสุข ความปรารถนาดีให้เป็นของขวัญแก่พี่น้องประชาชน ตามแนวทาง "ของขวัญมหาดไทย ส่งต่อความสุข รับปีใหม่ 2561" จํานวน 14 โครงการ ดังนี้ 1.ตลาดประชารัฐ : สร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้ 2. สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้ชุมชน บนวิถีพอเพียง 3. สถานธนานุบาลท้องถิ่นทั่วไทย มอบของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน 4. หมู่บ้านชุมชนสดใส ประชารัฐสุขใจ ปลอดภัยจากขยะอันตราย 5. ศูนย์ดํารงธรรม นําสุข คลายทุกข์ด้านที่ดิน 6. ปีใหม่ปลอดภัย คนไทยปลอดทุกข์ ศูนย์ดํารงธรรมเคลื่อนที่ 7. อํานวยความสะดวก ลดสําเนาเอกสาร ขอรับบริการใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียว 8. ของขวัญปีใหม่ ประชาปลอดภัย บรรเทาอุทกภัยด้วยผังลุ่มน้ํา 9. แบบบ้านสานฝัน ของขวัญปีใหม่ 10. ขับรถมีน้ําใจ รักษาวินัยจราจร 11. ถนนสวยแห่งความสุข (Sukhumwit Make a Wish) 12. 74 ชุมชนปลอดภัยใช้ไฟ PEA 13. MWA on Mobile แอปฯ ของคนเมือง ครบทุกเรื่องน้ําประปา และ 14. ประปาเพื่อประชารัฐ สุดท้ายนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้ข้าราชการ และบุคลากรในสังกัด ให้นํานโยบายการส่งความสุขด้วยความพอเพียงเบื้องต้นใช้เป็นแบบอย่างในการส่งความสุข ความปรารถนาดีต่อกันในพื้นที่ด้วย. ครั้งที่ 199/2560 กองสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย โทร 0-22224131-2
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8969
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เตรียมความพร้อมบริษัทประกันภัยเพื่อรับมือกับข้อกำหนดภายใต้ (ร่าง) พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมาย General Data Protection Regulation (GDPR) ของสหภาพยุโรป
วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2561 คปภ. เตรียมความพร้อมบริษัทประกันภัยเพื่อรับมือกับข้อกําหนดภายใต้ (ร่าง) พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมาย General Data Protection Regulation (GDPR) ของสหภาพยุโรป สืบเนื่องจากสหภาพยุโรปได้ประกาศใช้กฎหมาย General Data Protection Regulation หรือ GDPR เพื่อที่จะควบคุมและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพลเมืองของสหภาพยุโรปไม่ว่าข้อมูลนั้นจะถูกประมวลผลจากที่ใดในโลก ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสหภาพยุโรปได้ประกาศใช้กฎหมาย General Data Protection Regulation หรือ GDPR เพื่อที่จะควบคุมและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพลเมืองของสหภาพยุโรปไม่ว่าข้อมูลนั้นจะถูกประมวลผลจาก ที่ใดในโลก และกฎหมายดังกล่าวมีสภาพบังคับไม่จํากัดเฉพาะต่อประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปเท่านั้น ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 โดยกฎหมายดังกล่าวนี้ อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจภาคการเงินและภาคการประกันภัยที่มีลูกค้าเป็นพลเมืองของสหภาพยุโรป จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายดังกล่าว สําหรับกฎระเบียบเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย อยู่ในระหว่างการยกร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ..... เพื่อที่จะประกาศใช้เป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการทั่วไป และคาดว่าจะมีการบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งจะบังคับใช้กับผู้ประกอบการไทย ที่จะนําข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้ามาใช้ในกิจการ และต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดต่างๆ ที่ปรากฏในร่างกฎหมายฉบับนี้ และสอดคล้องกับกฎหมาย General Data Protection Regulation หรือ GDPR ของสหภาพยุโรป เลขาธิการ คปภ. กล่าวต่อว่า เพื่อให้บริษัทประกันภัยได้ตระหนักและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานกํากับ โดยสํานักงาน คปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องดําเนินการเผยแพร่ความรู้ หลักเกณฑ์ต่างๆ และประเด็นที่สําคัญ เกี่ยวกับ ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมาย GDPR ที่อาจมีผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจประกันภัย ดังนั้น เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2561 ตนได้เป็นประธานเปิดการสัมมนา “การเตรียมความพร้อมของบริษัทประกันภัยเพื่อรับมือกับข้อกําหนดภายใต้(ร่าง) พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมาย General Data Protection Regulation (GDPR) ของสหภาพยุโรป”เพื่อให้บริษัทประกันภัยได้ตระหนักและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วงแรกผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท เบเคอร์ แอนด์ แมคเคนซี่ จํากัด ได้บรรยายความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับข้อกําหนดที่สําคัญของ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ... และข้อกําหนดที่สําคัญของกฎหมาย General Data Protection Regulation หรือ GDPR ของสหภาพยุโรปที่อาจมีผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจประกันภัย จากนั้นเป็นการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อลงรายละเอียดการเตรียมความพร้อมของบริษัทประกันภัยในการรับมือกับร่างกฎหมายและข้อกําหนดดังกล่าว โดยมีผู้เข้าร่วมการสัมมนากว่า 100 คน จากสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย บริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัย ทั้งนี้ ผลจากการสัมมนาเชิงปฏิบัติการดังกล่าว ได้สร้างความตระหนักและระมัดระวังต่อข้อมูลส่วนบุคคลให้กับภาคธุรกิจประกันภัยไทยอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้เอาประกันภัยของบริษัทเอง ก็ต้องมีการให้ความยินยอมทั้งเป็นหนังสือยินยอม หรือยินยอมผ่านอิเล็กทรอนิกส์ ตามมาตรา 19 และมาตรา 27 แห่งพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... และกฎหมายดังกล่าวยังครอบคลุมถึงผู้เยาว์ที่อายุไม่เกิน 10 ปี ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้อํานาจปกครองที่มีอํานาจกระทําการแทน ตามมาตรา 20(2) แห่งพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ....อีกด้วย นอกจากนี้ ในกรณีที่ลูกค้าหรือผู้เอาประกันภัยเป็นพลเมืองของสหภาพยุโรป แม้ว่าได้ทําสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยไทยขณะอาศัยในประเทศไทย แต่หากเมื่อลูกค้าหรือผู้เอาประกันภัยเดินทางกลับประเทศในสหภาพยุโรปและได้มีการขอรับบริการหรือเบิกค่ารักษาพยาบาลจากบริษัทประกันภัยไทย ก็ย่อมส่งผลให้บริษัทประกันภัยไทยอยู่ภายใต้กฎหมาย GDPR เป็นต้น “การจัดสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย General Data Protection Regulation หรือ GDPR และร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... ในครั้งนี้ นอกจากจะทําให้สํานักงาน คปภ. สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย ตลอดจนบริษัทประกันภัยต่างๆ ซึ่งอาจมีข้อมูลที่อยู่ในความรับผิดชอบเป็นข้อมูลส่วนบุคคลเข้าใจหลักเกณฑ์และความรับผิดต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อจะได้ระมัดระวังในการดําเนินการมิให้มีการฝ่าฝืนกฎกติกาดังกล่าวแล้ว ยังถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะนําไปสู่การยกระดับการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนการจัดการข้อมูลของผู้เอาประกันภัยให้กับธุรกิจประกันภัยของไทยมีมาตรฐานสอดคล้องกับกฎหมายที่เป็นสากล” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. เตรียมความพร้อมบริษัทประกันภัยเพื่อรับมือกับข้อกำหนดภายใต้ (ร่าง) พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมาย General Data Protection Regulation (GDPR) ของสหภาพยุโรป วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 2561 คปภ. เตรียมความพร้อมบริษัทประกันภัยเพื่อรับมือกับข้อกําหนดภายใต้ (ร่าง) พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมาย General Data Protection Regulation (GDPR) ของสหภาพยุโรป สืบเนื่องจากสหภาพยุโรปได้ประกาศใช้กฎหมาย General Data Protection Regulation หรือ GDPR เพื่อที่จะควบคุมและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพลเมืองของสหภาพยุโรปไม่ว่าข้อมูลนั้นจะถูกประมวลผลจากที่ใดในโลก ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสหภาพยุโรปได้ประกาศใช้กฎหมาย General Data Protection Regulation หรือ GDPR เพื่อที่จะควบคุมและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพลเมืองของสหภาพยุโรปไม่ว่าข้อมูลนั้นจะถูกประมวลผลจาก ที่ใดในโลก และกฎหมายดังกล่าวมีสภาพบังคับไม่จํากัดเฉพาะต่อประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปเท่านั้น ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 โดยกฎหมายดังกล่าวนี้ อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจภาคการเงินและภาคการประกันภัยที่มีลูกค้าเป็นพลเมืองของสหภาพยุโรป จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายดังกล่าว สําหรับกฎระเบียบเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย อยู่ในระหว่างการยกร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ..... เพื่อที่จะประกาศใช้เป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการทั่วไป และคาดว่าจะมีการบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งจะบังคับใช้กับผู้ประกอบการไทย ที่จะนําข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้ามาใช้ในกิจการ และต้องปฏิบัติตามข้อกําหนดต่างๆ ที่ปรากฏในร่างกฎหมายฉบับนี้ และสอดคล้องกับกฎหมาย General Data Protection Regulation หรือ GDPR ของสหภาพยุโรป เลขาธิการ คปภ. กล่าวต่อว่า เพื่อให้บริษัทประกันภัยได้ตระหนักและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่หน่วยงานกํากับ โดยสํานักงาน คปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องดําเนินการเผยแพร่ความรู้ หลักเกณฑ์ต่างๆ และประเด็นที่สําคัญ เกี่ยวกับ ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมาย GDPR ที่อาจมีผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจประกันภัย ดังนั้น เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2561 ตนได้เป็นประธานเปิดการสัมมนา “การเตรียมความพร้อมของบริษัทประกันภัยเพื่อรับมือกับข้อกําหนดภายใต้(ร่าง) พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมาย General Data Protection Regulation (GDPR) ของสหภาพยุโรป”เพื่อให้บริษัทประกันภัยได้ตระหนักและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วงแรกผู้เชี่ยวชาญจากบริษัท เบเคอร์ แอนด์ แมคเคนซี่ จํากัด ได้บรรยายความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับข้อกําหนดที่สําคัญของ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ... และข้อกําหนดที่สําคัญของกฎหมาย General Data Protection Regulation หรือ GDPR ของสหภาพยุโรปที่อาจมีผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจประกันภัย จากนั้นเป็นการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อลงรายละเอียดการเตรียมความพร้อมของบริษัทประกันภัยในการรับมือกับร่างกฎหมายและข้อกําหนดดังกล่าว โดยมีผู้เข้าร่วมการสัมมนากว่า 100 คน จากสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย บริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัย ทั้งนี้ ผลจากการสัมมนาเชิงปฏิบัติการดังกล่าว ได้สร้างความตระหนักและระมัดระวังต่อข้อมูลส่วนบุคคลให้กับภาคธุรกิจประกันภัยไทยอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้เอาประกันภัยของบริษัทเอง ก็ต้องมีการให้ความยินยอมทั้งเป็นหนังสือยินยอม หรือยินยอมผ่านอิเล็กทรอนิกส์ ตามมาตรา 19 และมาตรา 27 แห่งพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... และกฎหมายดังกล่าวยังครอบคลุมถึงผู้เยาว์ที่อายุไม่เกิน 10 ปี ซึ่งต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้อํานาจปกครองที่มีอํานาจกระทําการแทน ตามมาตรา 20(2) แห่งพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ....อีกด้วย นอกจากนี้ ในกรณีที่ลูกค้าหรือผู้เอาประกันภัยเป็นพลเมืองของสหภาพยุโรป แม้ว่าได้ทําสัญญาประกันภัยกับบริษัทประกันภัยไทยขณะอาศัยในประเทศไทย แต่หากเมื่อลูกค้าหรือผู้เอาประกันภัยเดินทางกลับประเทศในสหภาพยุโรปและได้มีการขอรับบริการหรือเบิกค่ารักษาพยาบาลจากบริษัทประกันภัยไทย ก็ย่อมส่งผลให้บริษัทประกันภัยไทยอยู่ภายใต้กฎหมาย GDPR เป็นต้น “การจัดสัมมนาให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย General Data Protection Regulation หรือ GDPR และร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. .... ในครั้งนี้ นอกจากจะทําให้สํานักงาน คปภ. สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย ตลอดจนบริษัทประกันภัยต่างๆ ซึ่งอาจมีข้อมูลที่อยู่ในความรับผิดชอบเป็นข้อมูลส่วนบุคคลเข้าใจหลักเกณฑ์และความรับผิดต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อจะได้ระมัดระวังในการดําเนินการมิให้มีการฝ่าฝืนกฎกติกาดังกล่าวแล้ว ยังถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะนําไปสู่การยกระดับการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนการจัดการข้อมูลของผู้เอาประกันภัยให้กับธุรกิจประกันภัยของไทยมีมาตรฐานสอดคล้องกับกฎหมายที่เป็นสากล” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16091
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการค้าภายในชี้แจง กรณีข้อกล่าวหาการเอื้อประโยชน์ ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561 กรมการค้าภายในชี้แจง กรณีข้อกล่าวหาการเอื้อประโยชน์ ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์ อธิบดีกรมการค้าภายใน ชี้แจงประเด็นข้อกล่าวหาการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2561 นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงประเด็นข้อกล่าวหาการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์ ตามที่นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข รองโฆษกพรรค ปชป. กล่าวว่าหลังจากเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการจัดเก็บภาษีนําเข้าข้าวสาลี 27% จากต่างประเทศตามหลักขององค์การค้าโลกหรือดับเบิลยูทีโอ ผ่านไป 5 ปี รวมยุครัฐบาล คสช.ด้วย ทําให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีนําเข้าเกือบ 20,000 ล้านบาท โดยมีประเด็นดังนี้ 1. ก.คลัง และ ก.พาณิชย์ เพิกเฉยต่อการจัดเก็บภาษีนําเข้าพืชเศรษฐกิจจากต่างประเทศเข้าข่ายเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ ข้อชี้แจง : ไทยได้ผูกพันภาษีนําเข้าสินค้าข้าวสาลี (พิกัด 1001) ภายใต้ WTO อัตราอากรตามราคา (Ad Valorem +rate) ร้อยละ 27 มาตั้งแต่ปี 2538 ต่อมาได้มีการลดอัตราอากรข้าวสาลีมาตามลําดับตั้งแต่ปี 2542 2546 และ 2550 โดยเมื่อมกราคม 2550 ลดอัตราอากรตามสภาพ (specific rate) จาก กิโลกรัม ละ 2.75 บาท เหลือ กิโลกรัมละ 0.1 บาท จนกระทั่ง 12 กันยายน 2550 กระทรวงการคลัง ได้ดําเนินการปฏิรูปภาษีศุลกากร ออกประกาศยกเลิกอัตราอากรข้าวสาลี เนื่องจากเป็นปัจจัยการผลิตที่ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศและเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากสินค้าข้าวสาลีเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหาร (ใช้ผลิตบะหมี่สําเร็จรูป และขนมปัง ขนมเค้ก เป็นหลัก) และไม่มีการเพาะปลูกในประเทศ จึงจําเป็นต้องนําเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศ โดยขณะนั้นยังไม่มีการแยกพิกัดข้าวสาลีที่เป็นอาหารคนกับอาหารสัตว์ จึงเป็นการลดภาษีวัตถุดิบทั้งหมวด ประเทศไทยจึงไม่มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีนําเข้าจากข้าวสาลีมาตั้งแต่ปี 2550 ข้าวสาลี (พิกัด 1001) ได้มีการแยกรายละเอียดพิกัด เป็นข้าวสาลีอื่น ๆ (สําหรับอาหารสัตว์ พิกัด 10019990000) เมื่อปี 2555 โดยระหว่างปี 2555-2560 มีการนําเข้าข้าวสาลีรวมทุกชนิด (สําหรับอาหารคนและสัตว์) ปริมาณ 17.8 ล้านตัน มูลค่ารวม 153,126 ล้านบาท และเฉพาะข้าวสาลี สําหรับผลิตอาหารสัตว์ (พิกัด 10019990000) มีการนําเข้า 11.8 ล้านตัน มูลค่า 91,793 ล้านบาท การแก้ไขปัญหา กระทรวงพาณิชย์ โดย กรมการค้าภายใน อยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับเพิ่มอัตราภาษีข้าวสาลี ในอัตราที่เหมาะสม โดยจะมีการศึกษาเพื่อพิจารณาผลดีผลเสียของการขึ้นภาษีนําเข้าให้รอบด้านด้วย ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 ที่ได้มอบให้กระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาทบทวนความเป็นไปได้ ในการกําหนดอัตราอากรข้าวสาลีที่นําเข้ามาในราชอาณาจักรให้มีความเหมาะสมและเป็นปัจจุบัน ภายใต้พันธกรณีกับ WTO หรือพันธกรณีระหว่างประเทศอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อคุ้มครองดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดและพืชอื่นที่เกี่ยวข้องในประเทศ 2. กระทรวงพาณิชย์เปลี่ยนแปลงมาตรการการรับซื้อข้าวโพดอาหารสัตว์ของเกษตรกรจากสัดส่วน 1:3 (นําเข้าต่อหนึ่งส่วนรับซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน) เป็นมาตรการ 1:2 โดยอ้างว่าใช้เวลาช่วง 15 มิ.ย.-15 ส.ค.2561 ก่อนกลับมามาตรการเดิม ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่ามีมาตรการออกมาเพื่ออะไร และเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่ ข้อชี้แจง กระทรวงพาณิชย์ได้กําหนดแนวทางบริหารจัดการการนําเข้าข้าวสาลี เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2559 ได้กําหนดให้ข้าวสาลีเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 และ เมื่อ 20 ธันวาคม 2559 ได้ออกระเบียบกระทรวงพาณิชย์กําหนดให้ผู้ขออนุญาตนําเข้าข้าวสาลีเข้ามา ต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ 3 ส่วน อัตราส่วนการนําเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน เพื่อบริหารจัดการและรักษาเสถียรภาพข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเป็นการชั่วคราว ซึ่งจากการดําเนินมาตรการ 1 : 3 พบว่า ในปี 2560 มีปริมาณการนําเข้าข้าวสาลี 1.66 ล้านตัน ขณะที่ปี 2559 มีการนําเข้า 3.55 ล้านตัน โดยมีปริมาณลดลง 1.89 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 53.24 ข้อเท็จจริง 1. สมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําได้มีหนังสือขอให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณายกเลิกมาตรการนี้ เพื่อบรรเทาปัญหาความขาดแคลนวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และเกษตรกรภาคปศุสัตว์สามารถดําเนินธุรกิจได้ 2. คณะกรรมการ นบขพ. ได้หารือและมีการประชุมครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2561 และครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561 มีมติเห็นชอบให้คงการกําหนดสัดส่วนการนําเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอัตรา 1 : 3 ยกเว้นเฉพาะในช่วง 15 มิถุนายน – 15 สิงหาคม 2561 กําหนดสัดส่วนในอัตรา 1 : 2 เนื่องจากช่วงดังกล่าวมีผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย และเพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงเดือนกันยายน 2561 ซึ่งมีผลผลิตออกสู่ตลาดมาก โดยจะกําหนดให้ผู้ขออนุญาตนําเข้าข้าวสาลีสามารถใช้หลักฐานการซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชนิดเมล็ด ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2561 มาแสดงประกอบการขออนุญาตได้ซึ่งใบอนุญาตจะมีอายุไม่เกินวันที่ 15 สิงหาคม 2561 ซึ่งการพิจารณาอยู่บนพื้นฐานข้อมูลอุปสงค์อุปทาน และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเกิดผลดีต่อระบบการผลิตและการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์โดยรวม การแก้ไขปัญหา 1. เหตุผลในการยกเว้นกําหนดสัดส่วนในอัตรา 1 : 2 เฉพาะในช่วง 15 มิถุนายน – 15 สิงหาคม 2561 เนื่องจากการพิจารณาข้อมูลอุปสงค์และอุปทานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และวัตถุดิบทดแทน พบว่าปีการผลิต 2561/62 มีปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และวัตถุดิบทดแทนคงเหลือในช่วงระหว่างเดือนกันยายน 2561 -เมษายน 2562 แต่ในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2561 และเดือนพฤษภาคม 2562 มีปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่เพียงพอในการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รวมทั้งประเทศ ในปี 2561/62 จากข้อมูลของสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ประมาณ 5 ล้านตัน ในขณะที่ความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ ปี 2561 ปริมาณ 8.25 ล้านตัน ผลผลิตจะเริ่มออกสู่ตลาดในเดือนมิถุนายน 261 แต่จะออกกระจุกตัวมากในช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน 2561 ประมาณ 3.37 ล้านตัน (ร้อยละ 66.66 ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด) ในขณะที่ช่วง เดือน มิถุนายน-สิงหาคม 2561 จะมีผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดประมาณ 0.4 ล้านตัน (ร้อยละ 8 ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด) ในขณะที่ความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีประมาณเดือนละ 0.69 ล้านตัน หรือรวม 2.06 ล้านตัน ซึ่งการยกเว้นการนาเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศในอัตรา 1: 2 ในช่วงดังกล่าวจะไม่กระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรได้รับ 2. เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาที่เกษตรกรได้รับ กระทรวงพาณิชย์ยังคงการขอความร่วมมือให้โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ความชื้น 14.5% ในราคาไม่ต่ํากว่า 8 บาท/กก. ณ พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล สําหรับต่างจังหวัดปรับลดตามระยะทางค่าขนส่ง 3. คณะกรรมการ นบขพ. ยังได้มอบหมายคณะทํางานตรวจสอบสต๊อกสินค้าเกษตร และคณะทํางานตรวจสอบปริมาณการรับซื้อข้าวโพด กํากับดูแล ตรวจสอบการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การนําเข้าข้าวสาลีให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ รวมทั้งปริมาณสต๊อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวสาลีขอ ทั้งโรงงานอาหารสัตว์และผู้รวบรวม อย่างใกล้ชิดเคร่งครัด หากพบว่ามีความผิดปกติในการซื้อขายหรือปริมาณสต๊อก จะสั่งระงับการนําเข้าทันที 4. เพื่อคํานึงถึงประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทาน คณะกรรมการ นบขพ. ในการประชุมครั้งที่ 3/2561 จึงได้มอบหมายกรมการค้าภายในหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูลข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งระบบ อาทิ ด้านการผลิต การตลาด การใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และวัตถุดิบทดแทนอื่น ๆ จากแหล่งในประเทศและต่างประเทศในการผลิตอาหารสัตว์ เพื่อกําหนดนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภาพรวมทั้งห่วงโซ่ และนําเสนอคณะกรรมการ นบขพ. เพื่อพิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป -----------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการค้าภายในชี้แจง กรณีข้อกล่าวหาการเอื้อประโยชน์ ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์ วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2561 กรมการค้าภายในชี้แจง กรณีข้อกล่าวหาการเอื้อประโยชน์ ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์ อธิบดีกรมการค้าภายใน ชี้แจงประเด็นข้อกล่าวหาการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2561 นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงประเด็นข้อกล่าวหาการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์ ตามที่นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข รองโฆษกพรรค ปชป. กล่าวว่าหลังจากเรียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการจัดเก็บภาษีนําเข้าข้าวสาลี 27% จากต่างประเทศตามหลักขององค์การค้าโลกหรือดับเบิลยูทีโอ ผ่านไป 5 ปี รวมยุครัฐบาล คสช.ด้วย ทําให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีนําเข้าเกือบ 20,000 ล้านบาท โดยมีประเด็นดังนี้ 1. ก.คลัง และ ก.พาณิชย์ เพิกเฉยต่อการจัดเก็บภาษีนําเข้าพืชเศรษฐกิจจากต่างประเทศเข้าข่ายเอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ ข้อชี้แจง : ไทยได้ผูกพันภาษีนําเข้าสินค้าข้าวสาลี (พิกัด 1001) ภายใต้ WTO อัตราอากรตามราคา (Ad Valorem +rate) ร้อยละ 27 มาตั้งแต่ปี 2538 ต่อมาได้มีการลดอัตราอากรข้าวสาลีมาตามลําดับตั้งแต่ปี 2542 2546 และ 2550 โดยเมื่อมกราคม 2550 ลดอัตราอากรตามสภาพ (specific rate) จาก กิโลกรัม ละ 2.75 บาท เหลือ กิโลกรัมละ 0.1 บาท จนกระทั่ง 12 กันยายน 2550 กระทรวงการคลัง ได้ดําเนินการปฏิรูปภาษีศุลกากร ออกประกาศยกเลิกอัตราอากรข้าวสาลี เนื่องจากเป็นปัจจัยการผลิตที่ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศและเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากสินค้าข้าวสาลีเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหาร (ใช้ผลิตบะหมี่สําเร็จรูป และขนมปัง ขนมเค้ก เป็นหลัก) และไม่มีการเพาะปลูกในประเทศ จึงจําเป็นต้องนําเข้าข้าวสาลีจากต่างประเทศ โดยขณะนั้นยังไม่มีการแยกพิกัดข้าวสาลีที่เป็นอาหารคนกับอาหารสัตว์ จึงเป็นการลดภาษีวัตถุดิบทั้งหมวด ประเทศไทยจึงไม่มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีนําเข้าจากข้าวสาลีมาตั้งแต่ปี 2550 ข้าวสาลี (พิกัด 1001) ได้มีการแยกรายละเอียดพิกัด เป็นข้าวสาลีอื่น ๆ (สําหรับอาหารสัตว์ พิกัด 10019990000) เมื่อปี 2555 โดยระหว่างปี 2555-2560 มีการนําเข้าข้าวสาลีรวมทุกชนิด (สําหรับอาหารคนและสัตว์) ปริมาณ 17.8 ล้านตัน มูลค่ารวม 153,126 ล้านบาท และเฉพาะข้าวสาลี สําหรับผลิตอาหารสัตว์ (พิกัด 10019990000) มีการนําเข้า 11.8 ล้านตัน มูลค่า 91,793 ล้านบาท การแก้ไขปัญหา กระทรวงพาณิชย์ โดย กรมการค้าภายใน อยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับเพิ่มอัตราภาษีข้าวสาลี ในอัตราที่เหมาะสม โดยจะมีการศึกษาเพื่อพิจารณาผลดีผลเสียของการขึ้นภาษีนําเข้าให้รอบด้านด้วย ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 ที่ได้มอบให้กระทรวงพาณิชย์หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาทบทวนความเป็นไปได้ ในการกําหนดอัตราอากรข้าวสาลีที่นําเข้ามาในราชอาณาจักรให้มีความเหมาะสมและเป็นปัจจุบัน ภายใต้พันธกรณีกับ WTO หรือพันธกรณีระหว่างประเทศอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อคุ้มครองดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดและพืชอื่นที่เกี่ยวข้องในประเทศ 2. กระทรวงพาณิชย์เปลี่ยนแปลงมาตรการการรับซื้อข้าวโพดอาหารสัตว์ของเกษตรกรจากสัดส่วน 1:3 (นําเข้าต่อหนึ่งส่วนรับซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน) เป็นมาตรการ 1:2 โดยอ้างว่าใช้เวลาช่วง 15 มิ.ย.-15 ส.ค.2561 ก่อนกลับมามาตรการเดิม ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่ามีมาตรการออกมาเพื่ออะไร และเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่ ข้อชี้แจง กระทรวงพาณิชย์ได้กําหนดแนวทางบริหารจัดการการนําเข้าข้าวสาลี เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2559 ได้กําหนดให้ข้าวสาลีเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตและต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนําเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 และ เมื่อ 20 ธันวาคม 2559 ได้ออกระเบียบกระทรวงพาณิชย์กําหนดให้ผู้ขออนุญาตนําเข้าข้าวสาลีเข้ามา ต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ 3 ส่วน อัตราส่วนการนําเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน เพื่อบริหารจัดการและรักษาเสถียรภาพข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเป็นการชั่วคราว ซึ่งจากการดําเนินมาตรการ 1 : 3 พบว่า ในปี 2560 มีปริมาณการนําเข้าข้าวสาลี 1.66 ล้านตัน ขณะที่ปี 2559 มีการนําเข้า 3.55 ล้านตัน โดยมีปริมาณลดลง 1.89 ล้านตัน หรือลดลงร้อยละ 53.24 ข้อเท็จจริง 1. สมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําได้มีหนังสือขอให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณายกเลิกมาตรการนี้ เพื่อบรรเทาปัญหาความขาดแคลนวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และเกษตรกรภาคปศุสัตว์สามารถดําเนินธุรกิจได้ 2. คณะกรรมการ นบขพ. ได้หารือและมีการประชุมครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2561 และครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน 2561 มีมติเห็นชอบให้คงการกําหนดสัดส่วนการนําเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอัตรา 1 : 3 ยกเว้นเฉพาะในช่วง 15 มิถุนายน – 15 สิงหาคม 2561 กําหนดสัดส่วนในอัตรา 1 : 2 เนื่องจากช่วงดังกล่าวมีผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย และเพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงเดือนกันยายน 2561 ซึ่งมีผลผลิตออกสู่ตลาดมาก โดยจะกําหนดให้ผู้ขออนุญาตนําเข้าข้าวสาลีสามารถใช้หลักฐานการซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชนิดเมล็ด ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2561 มาแสดงประกอบการขออนุญาตได้ซึ่งใบอนุญาตจะมีอายุไม่เกินวันที่ 15 สิงหาคม 2561 ซึ่งการพิจารณาอยู่บนพื้นฐานข้อมูลอุปสงค์อุปทาน และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเกิดผลดีต่อระบบการผลิตและการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์โดยรวม การแก้ไขปัญหา 1. เหตุผลในการยกเว้นกําหนดสัดส่วนในอัตรา 1 : 2 เฉพาะในช่วง 15 มิถุนายน – 15 สิงหาคม 2561 เนื่องจากการพิจารณาข้อมูลอุปสงค์และอุปทานข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และวัตถุดิบทดแทน พบว่าปีการผลิต 2561/62 มีปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และวัตถุดิบทดแทนคงเหลือในช่วงระหว่างเดือนกันยายน 2561 -เมษายน 2562 แต่ในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน – สิงหาคม 2561 และเดือนพฤษภาคม 2562 มีปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่เพียงพอในการผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รวมทั้งประเทศ ในปี 2561/62 จากข้อมูลของสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ประมาณ 5 ล้านตัน ในขณะที่ความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ ปี 2561 ปริมาณ 8.25 ล้านตัน ผลผลิตจะเริ่มออกสู่ตลาดในเดือนมิถุนายน 261 แต่จะออกกระจุกตัวมากในช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน 2561 ประมาณ 3.37 ล้านตัน (ร้อยละ 66.66 ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด) ในขณะที่ช่วง เดือน มิถุนายน-สิงหาคม 2561 จะมีผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดประมาณ 0.4 ล้านตัน (ร้อยละ 8 ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด) ในขณะที่ความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีประมาณเดือนละ 0.69 ล้านตัน หรือรวม 2.06 ล้านตัน ซึ่งการยกเว้นการนาเข้าข้าวสาลีต่อการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศในอัตรา 1: 2 ในช่วงดังกล่าวจะไม่กระทบต่อราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เกษตรกรได้รับ 2. เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาที่เกษตรกรได้รับ กระทรวงพาณิชย์ยังคงการขอความร่วมมือให้โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ความชื้น 14.5% ในราคาไม่ต่ํากว่า 8 บาท/กก. ณ พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล สําหรับต่างจังหวัดปรับลดตามระยะทางค่าขนส่ง 3. คณะกรรมการ นบขพ. ยังได้มอบหมายคณะทํางานตรวจสอบสต๊อกสินค้าเกษตร และคณะทํางานตรวจสอบปริมาณการรับซื้อข้าวโพด กํากับดูแล ตรวจสอบการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การนําเข้าข้าวสาลีให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ รวมทั้งปริมาณสต๊อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และข้าวสาลีขอ ทั้งโรงงานอาหารสัตว์และผู้รวบรวม อย่างใกล้ชิดเคร่งครัด หากพบว่ามีความผิดปกติในการซื้อขายหรือปริมาณสต๊อก จะสั่งระงับการนําเข้าทันที 4. เพื่อคํานึงถึงประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทาน คณะกรรมการ นบขพ. ในการประชุมครั้งที่ 3/2561 จึงได้มอบหมายกรมการค้าภายในหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูลข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งระบบ อาทิ ด้านการผลิต การตลาด การใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และวัตถุดิบทดแทนอื่น ๆ จากแหล่งในประเทศและต่างประเทศในการผลิตอาหารสัตว์ เพื่อกําหนดนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภาพรวมทั้งห่วงโซ่ และนําเสนอคณะกรรมการ นบขพ. เพื่อพิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป -----------------------------
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/13496
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เผยคืบหน้ากรณีกิจการกังหันลมผลิตไฟฟ้าในเขตปฏิรูปที่ดิน ขีดเส้น 45 วัน ลงพื้นที่จริงตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก
วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 กระทรวงเกษตรฯ เผยคืบหน้ากรณีกิจการกังหันลมผลิตไฟฟ้าในเขตปฏิรูปที่ดิน ขีดเส้น 45 วัน ลงพื้นที่จริงตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก กระทรวงเกษตรฯ เผยคืบหน้ากรณีกิจการกังหันลมผลิตไฟฟ้าในเขตปฏิรูปที่ดิน ขีดเส้น 45 วัน ลงพื้นที่จริงตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกให้ครบทุกมิติ ใน 15 บริษัทที่เหลือ ก่อนหาข้อยุติ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีกิจการกังหันลมผลิตไฟฟ้าในเขตปฏิรูปที่ดิน ว่า จากกรณีคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เพิกถอนการอนุญาตให้ บริษัท เทพสถิต วินด์ฟาร์ม จํากัด ซึ่งตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตําบลบ้านไร่ อําเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ เนื้อที่ 39 ไร่ เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาลนั้น กิจการผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันลมมิได้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร ขณะนี้ทางสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้มีหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาเช่ากับบริษัทดังกล่าวแล้ว ซึ่งถือเป็นอันสิ้นสุด นอกจากนี้ ทาง ส.ป.ก.ได้ตรวจสอบต่อเนื่อง ซึ่งพบว่า จาก 20 บริษัทที่อยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา และชัยภูมิ มีบริษัทถูกฟ้องไป 1 บริษัท ยังไม่ทําสัญญา 1 บริษัท และได้ยกเลิกไปอีก 3 บริษัท รวม 5 บริษัท จึงเหลือ 15 บริษัท ที่ต้องดําเนินการตรวจสอบในพื้นที่จริงอย่างละเอียดต่อไป ทั้งนี้ ใน 15 บริษัท มีบริษัทที่ได้ดําเนินการจ่ายกระแสไฟฟ้าแล้ว 5 บริษัท ซึ่งได้ดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2556-2559 ส่วนอีก 10 บริษัทที่เหลืออยู่ระหว่างการดําเนินการ โดยมีการดําเนินการให้ประโยชน์ตอบแทนแก่เกษตรกร มีการทําถนนให้ในบริเวณที่เข้าใช้ประโยชน์ ส่วนบริษัทที่อยู่ระหว่างดําเนินการ อยู่ระหว่างการทําถนน และดําเนินการตามสัญญา “ อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้ทาง เลขาธิการ ส.ป.ก. ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด ว่าเป็นไปตามกฎหมายและข้อสัญญาหรือไม่ โดยกําหนดระยะเวลาตรวจสอบ 45 วัน นับจากวันนี้เป็นต้นไป โดย ส.ป.ก.ต้องดําเนินการตรวจสอบในรายละเอียดแต่ละเรื่องทั้ง 15 บริษัท ซึ่งต้องเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่จริงในแต่ละจังหวัด รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่ด้วย ว่ามีการดําเนินการตามเงื่อนไขอย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งหากทั้ง 15 บริษัท ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างครบถ้วนก็จะสามารถดําเนินการต่อไปได้ แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต้องตามสัญญาก็จะต้องดําเนินการตามระเบียบราชการต่อไป” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว นายสมปอง อินทร์ทอง เลขาธิการสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบข้อมูลทั้ง 15 บริษัท พบว่ามีความแตกต่างจากบริษัทที่ถูกฟ้อง โดยบริษัทที่ถูกฟ้องไม่ได้ดําเนินการที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร แต่อีก 15 บริษัท ได้มีการดําเนินการที่ให้ประโยชน์กับเกษตรกร อย่างไรก็ตาม จาก 7 วันที่ผ่านมา เป็นการตรวจสอบข้อมูลทางเอกสารในเบื้องต้น ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะลงพื้นที่จริงในจังหวัดนครราชสีมา และชัยภูมิ เพื่อตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดให้ครบทุกมิติอีกครั้ง รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลจาก ส.ป.ก.จังหวัดชัยภูมิ และนครราชสีมา เกี่ยวกับการดําเนินงานของแต่ละบริษัทว่าเป็นไปตามเงื่อนไขอย่างถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ เพื่อให้ได้ข้อสรุปในการดําเนินการต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เผยคืบหน้ากรณีกิจการกังหันลมผลิตไฟฟ้าในเขตปฏิรูปที่ดิน ขีดเส้น 45 วัน ลงพื้นที่จริงตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 กระทรวงเกษตรฯ เผยคืบหน้ากรณีกิจการกังหันลมผลิตไฟฟ้าในเขตปฏิรูปที่ดิน ขีดเส้น 45 วัน ลงพื้นที่จริงตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก กระทรวงเกษตรฯ เผยคืบหน้ากรณีกิจการกังหันลมผลิตไฟฟ้าในเขตปฏิรูปที่ดิน ขีดเส้น 45 วัน ลงพื้นที่จริงตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกให้ครบทุกมิติ ใน 15 บริษัทที่เหลือ ก่อนหาข้อยุติ พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีกิจการกังหันลมผลิตไฟฟ้าในเขตปฏิรูปที่ดิน ว่า จากกรณีคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เพิกถอนการอนุญาตให้ บริษัท เทพสถิต วินด์ฟาร์ม จํากัด ซึ่งตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตําบลบ้านไร่ อําเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ เนื้อที่ 39 ไร่ เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาลนั้น กิจการผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันลมมิได้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร ขณะนี้ทางสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้มีหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาเช่ากับบริษัทดังกล่าวแล้ว ซึ่งถือเป็นอันสิ้นสุด นอกจากนี้ ทาง ส.ป.ก.ได้ตรวจสอบต่อเนื่อง ซึ่งพบว่า จาก 20 บริษัทที่อยู่ในเขตจังหวัดนครราชสีมา และชัยภูมิ มีบริษัทถูกฟ้องไป 1 บริษัท ยังไม่ทําสัญญา 1 บริษัท และได้ยกเลิกไปอีก 3 บริษัท รวม 5 บริษัท จึงเหลือ 15 บริษัท ที่ต้องดําเนินการตรวจสอบในพื้นที่จริงอย่างละเอียดต่อไป ทั้งนี้ ใน 15 บริษัท มีบริษัทที่ได้ดําเนินการจ่ายกระแสไฟฟ้าแล้ว 5 บริษัท ซึ่งได้ดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2556-2559 ส่วนอีก 10 บริษัทที่เหลืออยู่ระหว่างการดําเนินการ โดยมีการดําเนินการให้ประโยชน์ตอบแทนแก่เกษตรกร มีการทําถนนให้ในบริเวณที่เข้าใช้ประโยชน์ ส่วนบริษัทที่อยู่ระหว่างดําเนินการ อยู่ระหว่างการทําถนน และดําเนินการตามสัญญา “ อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้ทาง เลขาธิการ ส.ป.ก. ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด ว่าเป็นไปตามกฎหมายและข้อสัญญาหรือไม่ โดยกําหนดระยะเวลาตรวจสอบ 45 วัน นับจากวันนี้เป็นต้นไป โดย ส.ป.ก.ต้องดําเนินการตรวจสอบในรายละเอียดแต่ละเรื่องทั้ง 15 บริษัท ซึ่งต้องเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่จริงในแต่ละจังหวัด รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลจากประชาชนในพื้นที่ด้วย ว่ามีการดําเนินการตามเงื่อนไขอย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งหากทั้ง 15 บริษัท ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างครบถ้วนก็จะสามารถดําเนินการต่อไปได้ แต่หากปฏิบัติไม่ถูกต้องตามสัญญาก็จะต้องดําเนินการตามระเบียบราชการต่อไป” พลเอก ฉัตรชัย กล่าว นายสมปอง อินทร์ทอง เลขาธิการสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบข้อมูลทั้ง 15 บริษัท พบว่ามีความแตกต่างจากบริษัทที่ถูกฟ้อง โดยบริษัทที่ถูกฟ้องไม่ได้ดําเนินการที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร แต่อีก 15 บริษัท ได้มีการดําเนินการที่ให้ประโยชน์กับเกษตรกร อย่างไรก็ตาม จาก 7 วันที่ผ่านมา เป็นการตรวจสอบข้อมูลทางเอกสารในเบื้องต้น ซึ่งขั้นตอนต่อไปจะลงพื้นที่จริงในจังหวัดนครราชสีมา และชัยภูมิ เพื่อตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียดให้ครบทุกมิติอีกครั้ง รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลจาก ส.ป.ก.จังหวัดชัยภูมิ และนครราชสีมา เกี่ยวกับการดําเนินงานของแต่ละบริษัทว่าเป็นไปตามเงื่อนไขอย่างถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ เพื่อให้ได้ข้อสรุปในการดําเนินการต่อไป กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/1881
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนงานเกษตรอุตสาหกรรมภาคเหนือ มุ่งหวังพัฒนาภาคเกษตรสู่ไทยแลนด์ 4.
วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนงานเกษตรอุตสาหกรรมภาคเหนือ มุ่งหวังพัฒนาภาคเกษตรสู่ไทยแลนด์ 4. รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนงานเกษตรอุตสาหกรรมภาคเหนือ มุ่งหวังพัฒนาภาคเกษตรสู่ไทยแลนด์ 4. นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนงานเกษตรอุตสาหกรรมภาคเหนือ ณ อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า ตามที่รัฐบาลให้ความสําคัญในการพัฒนาภาคการเกษตร ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มีการดําเนินนโยบายที่สําคัญต่าง ๆ อาทิ ประชารัฐ และเกษตรแปลงใหญ่ เป็นต้น ภายใต้โมเดลไทยแลนด์ 4.0 ตามแผนพัฒนาภาคการเกษตรภายใน 20 ปีข้างหน้า จึงต้องมีการกําหนดทิศทางภาคเกษตรว่าจะดําเนินไปในทิศทางใด ซึ่งรากฐานที่สําคัญในการจะพัฒนาภาคการเกษตรให้อยู่รอดได้ ต้องอยู่บนปัจจัยที่สําคัญ 3 ด้าน คือ 1) องค์ความรู้กับเทคโนโลยี 2) การตลาด ต้องใช้ตลาดนําการผลิต โดยผลิตสินค้าเกษตรที่ตลาดต้องการ และ 3) การบริหารจัดการ ซึ่งจะสามารถแก้ปัญาหาการตลาดและการจัดการเทคโนโลยีให้เข้าถึงเกษตรกรได้อย่างแท้จริง การดําเนินโครงการ TAK Model โดยจังหวัดตาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เป็นการขับเคลื่อนเกษตรอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดด้านการเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ทําให้เกิดกระบวนการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า และส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรเชิงอุตสาหกรรมที่ปลอดภัย ภายใต้แนวคิด "ขายได้แล้วจึงมีการผลิต มิใช่ผลิตแล้วจึงนํามาขาย" ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบที่เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ในการส่งเสริมเกษตรกรในการผลิต "กล้วยหอมทอง" เป็นการยกระดับชีวิตของเกษตรกร โดยสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรและสร้างมูลค่าเพิ่มภายใต้การดําเนินงานในเรื่องเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ควบคู่กับการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปให้มีความหลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของตลาด "การพัฒนาส่งเสริมเกษตรกรไทยจะเกิดผลสัมฤทธิ์ได้ ต้องเกิดจากความร่วมมือร่วมใจกันจากทุกภาคส่วน ซึ่งจะเป็นการนําพาภาคการเกษตรไทยให้บรรลุวิสัยทัศน์ที่ว่า เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตรมั่งคั่ง ทรัพยากรการเกษตรยั่งยืน" นางสาวชุติมา กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนงานเกษตรอุตสาหกรรมภาคเหนือ มุ่งหวังพัฒนาภาคเกษตรสู่ไทยแลนด์ 4. วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2560 รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนงานเกษตรอุตสาหกรรมภาคเหนือ มุ่งหวังพัฒนาภาคเกษตรสู่ไทยแลนด์ 4. รมช.กษ. ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนงานเกษตรอุตสาหกรรมภาคเหนือ มุ่งหวังพัฒนาภาคเกษตรสู่ไทยแลนด์ 4. นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนงานเกษตรอุตสาหกรรมภาคเหนือ ณ อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า ตามที่รัฐบาลให้ความสําคัญในการพัฒนาภาคการเกษตร ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มีการดําเนินนโยบายที่สําคัญต่าง ๆ อาทิ ประชารัฐ และเกษตรแปลงใหญ่ เป็นต้น ภายใต้โมเดลไทยแลนด์ 4.0 ตามแผนพัฒนาภาคการเกษตรภายใน 20 ปีข้างหน้า จึงต้องมีการกําหนดทิศทางภาคเกษตรว่าจะดําเนินไปในทิศทางใด ซึ่งรากฐานที่สําคัญในการจะพัฒนาภาคการเกษตรให้อยู่รอดได้ ต้องอยู่บนปัจจัยที่สําคัญ 3 ด้าน คือ 1) องค์ความรู้กับเทคโนโลยี 2) การตลาด ต้องใช้ตลาดนําการผลิต โดยผลิตสินค้าเกษตรที่ตลาดต้องการ และ 3) การบริหารจัดการ ซึ่งจะสามารถแก้ปัญาหาการตลาดและการจัดการเทคโนโลยีให้เข้าถึงเกษตรกรได้อย่างแท้จริง การดําเนินโครงการ TAK Model โดยจังหวัดตาก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เป็นการขับเคลื่อนเกษตรอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดด้านการเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ทําให้เกิดกระบวนการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า และส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรเชิงอุตสาหกรรมที่ปลอดภัย ภายใต้แนวคิด "ขายได้แล้วจึงมีการผลิต มิใช่ผลิตแล้วจึงนํามาขาย" ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบที่เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ในการส่งเสริมเกษตรกรในการผลิต "กล้วยหอมทอง" เป็นการยกระดับชีวิตของเกษตรกร โดยสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรและสร้างมูลค่าเพิ่มภายใต้การดําเนินงานในเรื่องเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ควบคู่กับการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปให้มีความหลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของตลาด "การพัฒนาส่งเสริมเกษตรกรไทยจะเกิดผลสัมฤทธิ์ได้ ต้องเกิดจากความร่วมมือร่วมใจกันจากทุกภาคส่วน ซึ่งจะเป็นการนําพาภาคการเกษตรไทยให้บรรลุวิสัยทัศน์ที่ว่า เกษตรกรมั่นคง ภาคการเกษตรมั่งคั่ง ทรัพยากรการเกษตรยั่งยืน" นางสาวชุติมา กล่าว กลุ่มโฆษกและวิเคราะห์ข่าว กองเกษตรสารนิเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โทร 02-2810859 แฟกซ์ 02-2822871 moacnews@gmail.com www.moac.go.th www.facebook.com/kasetthai
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7965
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผลการวิจัยฟ้าทะลายโจรมีผลยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในหลอดทดลอง แนะกินทันทีเมื่อมีไข้ [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563 สธ. เผยผลการวิจัยฟ้าทะลายโจรมีผลยับยั้งการเพิ่มจํานวนของไวรัสในหลอดทดลอง แนะกินทันทีเมื่อมีไข้ [กระทรวงสาธารณสุข] สธ. เผยผลการวิจัยฟ้าทะลายโจรมีผลยับยั้งการเพิ่มจํานวนของไวรัสในหลอดทดลอง แนะกินทันทีเมื่อมีไข้ กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการศึกษาประสิทธิผลของสารสกัดฟ้าทะลายโจร และสารแอนโดรกราโฟไลด์ในฟ้าทะลายโจรในหลอดทดลอง พบมีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจํานวนของไวรัสโควิด-19 ได้ และศึกษานําร่องผลของยาสารสกัดฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโรคโควิด- 19 ระดับความรุนแรงน้อย เดือนเมษายน – กรกฎาคมนี้ แนะกินทันทีเมื่อมีไข้ ไม่ควรกินเพื่อป้องกันโรค วันนี้ (19 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พร้อมด้วยดร.สุภาพร ภูมิอมร ผู้อํานวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงผลการวิจัยฟ้าทะลายโจรกับไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นความร่วมมือของกรมการแพทย์แผนไทยฯ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และองค์การเภสัชกรรม นพ.ปราโมทย์กล่าวว่า ผลการศึกษาสรุปได้ว่า ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อและยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสได้ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการป้องกันเซลล์จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงไม่แนะนําให้รับประทานเพื่อการป้องกันโรค โดยที่ยังไม่มีอาการเพราะไม่มีผลในการป้องกัน แต่ให้รับประทานทันทีเมื่อเริ่มมีอาการคล้ายอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ (flu-like symptoms) ได้แก่ มีไข้ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ก่อโรคไข้หวัดใหญ่ หรือไวรัสก่อโรคทางเดินหายใจอื่น รับประทานครั้งละ 4 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง (ครั้งละประมาณ 1,500 มิลลิกรัม) หลังอาหารและก่อนนอน ส่วนสารสกัดฟ้าทะลายโจร ครั้งละ 1 หรือ 2 แคปซูล เพื่อให้ได้รับสารสําคัญแอนโดรกราโฟไลด์ประมาณ 20 มิลลิกรัม/ครั้ง วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร การรับประทานยาทั้งสองแบบในขนาดที่แนะนํา จะให้สารแอนโดรกราโฟไลด์ประมาณ 60 มิลลิกรัม/วัน แนะนําให้มียาฟ้าทะลายโจรเป็นยาประจําตัว/ประจําบ้าน อาจใช้ร่วมกับยาพาราเซตามอลได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ให้รีบพบแพทย์ นพ.ปราโมทย์กล่าวต่อว่า สําหรับความคืบหน้าการทดลองในคน กรมการแพทย์แผนไทยฯ ร่วมกับสถาบันบําราศนราดูร กรมควบคุมโรค คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และองค์การเภสัชกรรม ศึกษานําร่องผลของยาสารสกัดฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโรคโควิด- 19 ระดับความรุนแรงน้อย ในระหว่างเดือนเมษายน – กรกฎาคม 2563 รวมทั้งได้เตรียมความพร้อมให้เพียงพอกับความต้องการ โดยร่วมกับกรมวิชาการเกษตร ให้เกษตรกรปลูกในพื้นที่ 65 ไร่ ให้ได้วัตถุดิบ 50,000 กิโลกรัม สํารองไว้ 1 ล้านแคปซูลสําหรับบุคลากรสาธารณสุขที่ดูแลรักษาผู้ป่วย และประสานภาคธุรกิจเตรียมการผลิตเพิ่ม ทั้งนี้ ห้ามใช้ยาฟ้าทะลายโจรในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร และผู้ป่วยที่มีอาการไข้เจ็บคอจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มีตุ่มหนองในคอ มีไข้สูง หนาวสั่น หากมีอาการแพ้ฟ้าทะลายโจร เช่น เกิดผื่น ลมพิษ หน้าบวม ริมฝีปากบวม หายใจลําบาก ให้หยุดใช้ยาทันทีและไม่ใช้อีก รวมทั้งควรระวังในผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน แอสไพริน โคลพิโดเกรล ยาลดความดันโลหิต และการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทําให้แขนขาชา หรืออ่อนแรง สอบถามรายละเอียดที่กรมการแพทย์แผนไทยฯ โทร.0 2149 5678หรือเว็บไซต์www.dtam.moph.go.th ด้านดร.สุภาพร ภูมิอมร ผู้อํานวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากการศึกษาศึกษาฤทธิ์ต้านไวรัสโควิด-19 ของสมุนไพรฟ้าทะลายโจรในหลอดทดลอง โดยทําการศึกษาจากสารสกัดหยาบเทียบกับแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ที่เป็นสารสําคัญ พบว่า กลไกต้านไวรัสโควิด-19 สามารถทําลายไวรัสโดยตรง และต้านไม่ให้ไวรัสเพิ่มจํานวนเซลล์ได้ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการชักนําให้เซลล์หลั่งสารที่ช่วยยับยั้งไวรัสโควิด-19 จึงไม่แนะนําให้รับประทานเพื่อการป้องกันโรค และจําเป็นต้องทําการศึกษาวิจัยในคนต่อไป ********************************** 19 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผยผลการวิจัยฟ้าทะลายโจรมีผลยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสในหลอดทดลอง แนะกินทันทีเมื่อมีไข้ [กระทรวงสาธารณสุข] วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2563 สธ. เผยผลการวิจัยฟ้าทะลายโจรมีผลยับยั้งการเพิ่มจํานวนของไวรัสในหลอดทดลอง แนะกินทันทีเมื่อมีไข้ [กระทรวงสาธารณสุข] สธ. เผยผลการวิจัยฟ้าทะลายโจรมีผลยับยั้งการเพิ่มจํานวนของไวรัสในหลอดทดลอง แนะกินทันทีเมื่อมีไข้ กระทรวงสาธารณสุข เผยผลการศึกษาประสิทธิผลของสารสกัดฟ้าทะลายโจร และสารแอนโดรกราโฟไลด์ในฟ้าทะลายโจรในหลอดทดลอง พบมีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจํานวนของไวรัสโควิด-19 ได้ และศึกษานําร่องผลของยาสารสกัดฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโรคโควิด- 19 ระดับความรุนแรงน้อย เดือนเมษายน – กรกฎาคมนี้ แนะกินทันทีเมื่อมีไข้ ไม่ควรกินเพื่อป้องกันโรค วันนี้ (19 เมษายน 2563) ที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พร้อมด้วยดร.สุภาพร ภูมิอมร ผู้อํานวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงผลการวิจัยฟ้าทะลายโจรกับไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นความร่วมมือของกรมการแพทย์แผนไทยฯ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และองค์การเภสัชกรรม นพ.ปราโมทย์กล่าวว่า ผลการศึกษาสรุปได้ว่า ฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อและยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสได้ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการป้องกันเซลล์จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงไม่แนะนําให้รับประทานเพื่อการป้องกันโรค โดยที่ยังไม่มีอาการเพราะไม่มีผลในการป้องกัน แต่ให้รับประทานทันทีเมื่อเริ่มมีอาการคล้ายอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ (flu-like symptoms) ได้แก่ มีไข้ ไอ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ก่อโรคไข้หวัดใหญ่ หรือไวรัสก่อโรคทางเดินหายใจอื่น รับประทานครั้งละ 4 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง (ครั้งละประมาณ 1,500 มิลลิกรัม) หลังอาหารและก่อนนอน ส่วนสารสกัดฟ้าทะลายโจร ครั้งละ 1 หรือ 2 แคปซูล เพื่อให้ได้รับสารสําคัญแอนโดรกราโฟไลด์ประมาณ 20 มิลลิกรัม/ครั้ง วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร การรับประทานยาทั้งสองแบบในขนาดที่แนะนํา จะให้สารแอนโดรกราโฟไลด์ประมาณ 60 มิลลิกรัม/วัน แนะนําให้มียาฟ้าทะลายโจรเป็นยาประจําตัว/ประจําบ้าน อาจใช้ร่วมกับยาพาราเซตามอลได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ให้รีบพบแพทย์ นพ.ปราโมทย์กล่าวต่อว่า สําหรับความคืบหน้าการทดลองในคน กรมการแพทย์แผนไทยฯ ร่วมกับสถาบันบําราศนราดูร กรมควบคุมโรค คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และองค์การเภสัชกรรม ศึกษานําร่องผลของยาสารสกัดฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโรคโควิด- 19 ระดับความรุนแรงน้อย ในระหว่างเดือนเมษายน – กรกฎาคม 2563 รวมทั้งได้เตรียมความพร้อมให้เพียงพอกับความต้องการ โดยร่วมกับกรมวิชาการเกษตร ให้เกษตรกรปลูกในพื้นที่ 65 ไร่ ให้ได้วัตถุดิบ 50,000 กิโลกรัม สํารองไว้ 1 ล้านแคปซูลสําหรับบุคลากรสาธารณสุขที่ดูแลรักษาผู้ป่วย และประสานภาคธุรกิจเตรียมการผลิตเพิ่ม ทั้งนี้ ห้ามใช้ยาฟ้าทะลายโจรในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร และผู้ป่วยที่มีอาการไข้เจ็บคอจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มีตุ่มหนองในคอ มีไข้สูง หนาวสั่น หากมีอาการแพ้ฟ้าทะลายโจร เช่น เกิดผื่น ลมพิษ หน้าบวม ริมฝีปากบวม หายใจลําบาก ให้หยุดใช้ยาทันทีและไม่ใช้อีก รวมทั้งควรระวังในผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน แอสไพริน โคลพิโดเกรล ยาลดความดันโลหิต และการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทําให้แขนขาชา หรืออ่อนแรง สอบถามรายละเอียดที่กรมการแพทย์แผนไทยฯ โทร.0 2149 5678หรือเว็บไซต์www.dtam.moph.go.th ด้านดร.สุภาพร ภูมิอมร ผู้อํานวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากการศึกษาศึกษาฤทธิ์ต้านไวรัสโควิด-19 ของสมุนไพรฟ้าทะลายโจรในหลอดทดลอง โดยทําการศึกษาจากสารสกัดหยาบเทียบกับแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ที่เป็นสารสําคัญ พบว่า กลไกต้านไวรัสโควิด-19 สามารถทําลายไวรัสโดยตรง และต้านไม่ให้ไวรัสเพิ่มจํานวนเซลล์ได้ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการชักนําให้เซลล์หลั่งสารที่ช่วยยับยั้งไวรัสโควิด-19 จึงไม่แนะนําให้รับประทานเพื่อการป้องกันโรค และจําเป็นต้องทําการศึกษาวิจัยในคนต่อไป ********************************** 19 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29348
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปสาระจากการประชุมระดับรัฐมนตรี ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ครั้งที ๓
วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561 สรุปสาระจากการประชุมระดับรัฐมนตรี ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มแม่น้ําโขงตอนล่าง ครั้งที ๓ สรุปสาระจากการประชุมระดับรัฐมนตรี ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มแม่น้ําโขงตอนล่าง ครั้งที ๓ วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑ ณ จังหวัดเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา สรุปสาระจากการประชุมระดับรัฐมนตรี ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มแม่น้ําโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑ ณ จังหวัดเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ฯพณฯ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะ ได้เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ที่จัดขึ้นก่อนการประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มแม่น้ําโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑ ณ โรงแรมสกขา รีสอร์ท แอนด์ คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ จังหวัดเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ร่วมกับผู้แทนจากประเทศสมาชิกกรรมาธิการแม่น้ําโขง อีก ๓ ประเทศ ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ร่วมด้วยผู้แทนจากประเทศคู่เจรจา (สาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา) และหุ้นส่วนการพัฒนา โดยมี ฯพณฯ ลิม คีน ฮอร์ (H.E. Mr.Lim Kean Hor) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ําและอุตุนิยมวิทยาแห่งกัมพูชา เป็นประธานการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบผลการดําเนินงานที่ผ่านมาตามปฏิญญานครโฮ จิ มินห์ (การประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มแม่น้ําโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๒) และพิจารณาร่างปฏิญญาเสียมราฐ ซึ่งจะมีการรับรองปฏิญญาในการประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มน้ําโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบข้อมูล และแผนดําเนินความร่วมมือระหว่างคณะกรรมาธิการแม่น้ําโขงกับ ประเทศคู่เจรจา และหุ้นส่วนการพัฒนา ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ให้ความสําคัญกับการดําเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในลุ่มแม่น้ําโขง พ.ศ. ๒๕๓๘ ที่สอดคล้องกับการเป้าหมายการพัฒนา ที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) ว่าด้วยความมั่นคงด้านน้ํา อาหาร และพลังงาน รวมถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับคณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง และความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนการพัฒนา โดยส่งเสริมให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ระดับภูมิภาคเรื่องการบริหารจัดการลุ่มน้ําข้ามพรมแดนในการแก้ปัญหาน้ําท่วมและภัยแล้ง เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในลุ่มน้ําโขงให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปสาระจากการประชุมระดับรัฐมนตรี ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง ครั้งที ๓ วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561 สรุปสาระจากการประชุมระดับรัฐมนตรี ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มแม่น้ําโขงตอนล่าง ครั้งที ๓ สรุปสาระจากการประชุมระดับรัฐมนตรี ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มแม่น้ําโขงตอนล่าง ครั้งที ๓ วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑ ณ จังหวัดเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา สรุปสาระจากการประชุมระดับรัฐมนตรี ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มแม่น้ําโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ วันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑ ณ จังหวัดเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ฯพณฯ พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะ ได้เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ที่จัดขึ้นก่อนการประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มแม่น้ําโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๑ ณ โรงแรมสกขา รีสอร์ท แอนด์ คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ จังหวัดเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ร่วมกับผู้แทนจากประเทศสมาชิกกรรมาธิการแม่น้ําโขง อีก ๓ ประเทศ ได้แก่ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ร่วมด้วยผู้แทนจากประเทศคู่เจรจา (สาธารณรัฐประชาชนจีน และสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา) และหุ้นส่วนการพัฒนา โดยมี ฯพณฯ ลิม คีน ฮอร์ (H.E. Mr.Lim Kean Hor) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรน้ําและอุตุนิยมวิทยาแห่งกัมพูชา เป็นประธานการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบผลการดําเนินงานที่ผ่านมาตามปฏิญญานครโฮ จิ มินห์ (การประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มแม่น้ําโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๒) และพิจารณาร่างปฏิญญาเสียมราฐ ซึ่งจะมีการรับรองปฏิญญาในการประชุมสุดยอดผู้นําลุ่มน้ําโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบข้อมูล และแผนดําเนินความร่วมมือระหว่างคณะกรรมาธิการแม่น้ําโขงกับ ประเทศคู่เจรจา และหุ้นส่วนการพัฒนา ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ให้ความสําคัญกับการดําเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในลุ่มแม่น้ําโขง พ.ศ. ๒๕๓๘ ที่สอดคล้องกับการเป้าหมายการพัฒนา ที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) ว่าด้วยความมั่นคงด้านน้ํา อาหาร และพลังงาน รวมถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับคณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง และความสัมพันธ์กับหุ้นส่วนการพัฒนา โดยส่งเสริมให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ระดับภูมิภาคเรื่องการบริหารจัดการลุ่มน้ําข้ามพรมแดนในการแก้ปัญหาน้ําท่วมและภัยแล้ง เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในลุ่มน้ําโขงให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/11372
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะกินอาหารปรุงสุก ลดความเสี่ยงโรคพยาธิ
วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม 2561 สธ.แนะกินอาหารปรุงสุก ลดความเสี่ยงโรคพยาธิ กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนกินอาหารปรุงสุก ล้างผักผลไม้ให้สะอาด รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ลดความเสี่ยงเป็นโรคพยาธิ แนะวิธีสังเกต หากหิวบ่อย กินอาหารมาก แต่น้ําหนักลด ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ควรรีบไปพบแพทย์ นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รักษาราชการแทนตําแหน่งรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับโรคหนอนพยาธิว่า พยาธิเป็นปรสิตที่คอยแย่งอาหารจากคนและสัตว์ที่มันอาศัยอยู่ ร่างกายคนที่มีพยาธิจะทรุดโทรมลง หรือเกิดอาการแพ้สารที่ขับออกมาจากตัวพยาธิ หากพยาธิเข้าสู่สมองอาจเป็นอัมพาต และเสียชีวิตได้ พยาธิที่พบบ่อยเช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิปากขอ พยาธิตัวจี๊ด พยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้ โดยพยาธิเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในดิน พื้นหญ้า ในน้ํา เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ํา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ํา รวมทั้งในพืชผัก น้ําดื่ม ส่วนใหญ่จะเข้าสู่ร่างกายทางการกินอาหาร หรือไชเข้าทางผิวหนังเช่นพยาธิปากขอ นายแพทย์ประพนธ์กล่าวต่อว่า หากพบว่ามีอาการผิดปกติเช่น รู้สึกหิวบ่อย กินอาหารมาก แต่น้ําหนักลด ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย เจ็บและบวมตามผิวหนัง เจ็บหน้าอก ไอเป็นเลือด มีอาการแพ้ ทางผิวหนัง มีผื่นคันหรือเป็นแนวแดงๆ บนผิวหนัง มีตุ่มนูนจํานวนมากขึ้นตามผิวหนัง เป็นไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา ไม่ควรซื้อยาถ่ายพยาธิมากินเอง เพราะพยาธิมีหลายชนิดและยาที่ใช้ในการรักษามีหลายขนานเช่นกัน “ขอให้ประชาชนดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะในเด็กซึ่งมักใช้มือหยิบจับอาหารเข้าปากและวิ่งเล่นโดยไม่สวมรองเท้า ขอให้รับประทานอาหารที่สุก สะอาด ดื่มน้ําสะอาด ถ่ายอุจจาระในส้วม ล้างมือด้วยน้ําและสบู่บ่อย ๆ และทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ําห้องส้วม ก่อนปรุงอาหาร และก่อนรับประทานอาหาร ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด ใส่รองเท้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน รักษาความสะอาดในบ้านและบริเวณบ้าน” นายแพทย์ประพนธ์กล่าว ************************************** 6 ตุลาคม 2561
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.แนะกินอาหารปรุงสุก ลดความเสี่ยงโรคพยาธิ วันเสาร์ที่ 6 ตุลาคม 2561 สธ.แนะกินอาหารปรุงสุก ลดความเสี่ยงโรคพยาธิ กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนกินอาหารปรุงสุก ล้างผักผลไม้ให้สะอาด รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ลดความเสี่ยงเป็นโรคพยาธิ แนะวิธีสังเกต หากหิวบ่อย กินอาหารมาก แต่น้ําหนักลด ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ควรรีบไปพบแพทย์ นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รักษาราชการแทนตําแหน่งรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับโรคหนอนพยาธิว่า พยาธิเป็นปรสิตที่คอยแย่งอาหารจากคนและสัตว์ที่มันอาศัยอยู่ ร่างกายคนที่มีพยาธิจะทรุดโทรมลง หรือเกิดอาการแพ้สารที่ขับออกมาจากตัวพยาธิ หากพยาธิเข้าสู่สมองอาจเป็นอัมพาต และเสียชีวิตได้ พยาธิที่พบบ่อยเช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิปากขอ พยาธิตัวจี๊ด พยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้ โดยพยาธิเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในดิน พื้นหญ้า ในน้ํา เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ํา สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ํา รวมทั้งในพืชผัก น้ําดื่ม ส่วนใหญ่จะเข้าสู่ร่างกายทางการกินอาหาร หรือไชเข้าทางผิวหนังเช่นพยาธิปากขอ นายแพทย์ประพนธ์กล่าวต่อว่า หากพบว่ามีอาการผิดปกติเช่น รู้สึกหิวบ่อย กินอาหารมาก แต่น้ําหนักลด ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย เจ็บและบวมตามผิวหนัง เจ็บหน้าอก ไอเป็นเลือด มีอาการแพ้ ทางผิวหนัง มีผื่นคันหรือเป็นแนวแดงๆ บนผิวหนัง มีตุ่มนูนจํานวนมากขึ้นตามผิวหนัง เป็นไข้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา ไม่ควรซื้อยาถ่ายพยาธิมากินเอง เพราะพยาธิมีหลายชนิดและยาที่ใช้ในการรักษามีหลายขนานเช่นกัน “ขอให้ประชาชนดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะในเด็กซึ่งมักใช้มือหยิบจับอาหารเข้าปากและวิ่งเล่นโดยไม่สวมรองเท้า ขอให้รับประทานอาหารที่สุก สะอาด ดื่มน้ําสะอาด ถ่ายอุจจาระในส้วม ล้างมือด้วยน้ําและสบู่บ่อย ๆ และทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ําห้องส้วม ก่อนปรุงอาหาร และก่อนรับประทานอาหาร ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด ใส่รองเท้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน รักษาความสะอาดในบ้านและบริเวณบ้าน” นายแพทย์ประพนธ์กล่าว ************************************** 6 ตุลาคม 2561
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/15921
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ. สานต่อ “ความรักความห่วงใย ชวนคนไทยรักสุขภาพ” สอนทำเจลล้างมือป้องกันไวรัส โควิด-19 ให้กับครู กศน.
วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563 วศ. สานต่อ “ความรักความห่วงใย ชวนคนไทยรักสุขภาพ” สอนทําเจลล้างมือป้องกันไวรัส โควิด-19 ให้กับครู กศน. วศ. สานต่อ “ความรักความห่วงใย ชวนคนไทยรักสุขภาพ” สอนทําเจลล้างมือป้องกันไวรัส โควิด-19 ให้กับครู กศน. เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยนางสาวสุบงกช ทรัพย์แตง หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร ได้รับเชิญเป็นวิทยากรให้ความรู้ในโครงการอบรมให้ความรู้เพื่อสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค เพื่อเป็นการให้ความรู้และสร้างความตระหนักของประชาชนเรื่องโรคอุบัติใหม่ การป้องกัน และลดโรคที่สามารถป้องกันได้ โดยการสอนการทําเจลล้างมืออย่างง่ายให้แก่ครูและบุคลากรการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เพื่อเผยแพร่ให้กับนักศึกษา กศน. และประชาชนที่พื้นที่ต่อไป โดยมีเข้ามีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 200 คน ณ ห้องประชุมเธียร์เตอร์ ชั้น 2 อาคาร 2 ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา เอกมัย (ท้องฟ้าจําลอง) ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศจีน และอีกกว่า 26 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส อีกทั้งเจลล้างมือเพื่อฆ่าเชื้อ และป้องกันโรคกําลังเป็นที่ต้องการเป็นจํานวนมาก จนเกิดปัญหาสินค้าขาดตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร สํานักเทคโนโลยีชุมชนจึงได้เผยแพร่วิธีการทําเจลล้างมือสูตรกรมวิทยาศาสตร์บริการ ซึ่งเป็นสูตรที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน ประชาชนทั่วไปสามารถทําได้ด้วยตนเอง ลดปัญหาเจลล้างมือขาดตลาด อีกทั้งสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันเชื้อไวรัสได้ เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วศ. สานต่อ “ความรักความห่วงใย ชวนคนไทยรักสุขภาพ” สอนทำเจลล้างมือป้องกันไวรัส โควิด-19 ให้กับครู กศน. วันพุธที่ 4 มีนาคม 2563 วศ. สานต่อ “ความรักความห่วงใย ชวนคนไทยรักสุขภาพ” สอนทําเจลล้างมือป้องกันไวรัส โควิด-19 ให้กับครู กศน. วศ. สานต่อ “ความรักความห่วงใย ชวนคนไทยรักสุขภาพ” สอนทําเจลล้างมือป้องกันไวรัส โควิด-19 ให้กับครู กศน. เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 กรมวิทยาศาสตร์บริการ (วศ.) กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยนางสาวสุบงกช ทรัพย์แตง หัวหน้ากลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร ได้รับเชิญเป็นวิทยากรให้ความรู้ในโครงการอบรมให้ความรู้เพื่อสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค เพื่อเป็นการให้ความรู้และสร้างความตระหนักของประชาชนเรื่องโรคอุบัติใหม่ การป้องกัน และลดโรคที่สามารถป้องกันได้ โดยการสอนการทําเจลล้างมืออย่างง่ายให้แก่ครูและบุคลากรการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) เพื่อเผยแพร่ให้กับนักศึกษา กศน. และประชาชนที่พื้นที่ต่อไป โดยมีเข้ามีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 200 คน ณ ห้องประชุมเธียร์เตอร์ ชั้น 2 อาคาร 2 ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา เอกมัย (ท้องฟ้าจําลอง) ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศจีน และอีกกว่า 26 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส อีกทั้งเจลล้างมือเพื่อฆ่าเชื้อ และป้องกันโรคกําลังเป็นที่ต้องการเป็นจํานวนมาก จนเกิดปัญหาสินค้าขาดตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร สํานักเทคโนโลยีชุมชนจึงได้เผยแพร่วิธีการทําเจลล้างมือสูตรกรมวิทยาศาสตร์บริการ ซึ่งเป็นสูตรที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่เหมาะสมกับการใช้งาน ประชาชนทั่วไปสามารถทําได้ด้วยตนเอง ลดปัญหาเจลล้างมือขาดตลาด อีกทั้งสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันเชื้อไวรัสได้ เผยแพร่ : จิรายุ รุจิพงษ์วาที ส่วนสื่อสารองค์กร กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โทรศัพท์ 0 2333 3700 ต่อ 3728 - 3732 โทรสาร 0 2333 3834 Facebook : @MHESIThailand Call Center โทร.1313
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26890
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยสั่งด่วนทุกจังหวัดเพิ่มความเข้มข้นในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ หลังมีเหตุการณ์ทำลายบัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติ - ปล่อยข่าวสร้างความสับสน เร่งสกัดมือป่ว
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2559 กระทรวงมหาดไทยสั่งด่วนทุกจังหวัดเพิ่มความเข้มข้นในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ หลังมีเหตุการณ์ทําลายบัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติ - ปล่อยข่าวสร้างความสับสน เร่งสกัดมือป่ว วันนี้ (17ก.ค.59) นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยกระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานล่าสุดว่าเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีกลุ่มวัยรุ่นเข้าไปฉีกทําลายบัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติ ที่ติดไว้ในบริเวณศาลาประจําหมู่บ้านในพื้นที่ภาคเหนื วันนี้ (17ก.ค.59)นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ด้วยกระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานล่าสุดว่าเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีกลุ่มวัยรุ่นเข้าไปฉีกทําลายบัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติ ที่ติดไว้ในบริเวณศาลาประจําหมู่บ้านในพื้นที่ภาคเหนือ และในวันเดียวกันนี้มีเหตุการณ์ปล่อยข่าวสร้างความสับสนทางสื่อโซเซียมีเดีย(FB/Line)ว่า ให้ระวังการตรวจรายชื่อผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติทางระบบสารสนเทศของกรมการปกครอง(www.khonthai.com) นั้นจะทําให้ข้อมูลประชาชนไม่ปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง และคาดว่าในช่วงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะมีการกระทําด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อสร้างความสับสนในการลงประชามติ หรือบิดเบือนเจตนารมณ์ในการลงประชามติของประชาชนด้วยวิธีการต่างๆซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้จังหวัดทราบไปแล้วนั้น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและรักษาความสงบเรียนร้อยในพื้นที่ กระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้านทุกจังหวัด ดําเนินการ ดังนี้ 1. กรณีการฉีกทําลายบัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนนประชามตินั้น ให้จังหวัดเร่งประสานงานกับ คณะกรรมการการเลือกตั้งในฐานะผู้เสียหาย (เจ้าของกรรมสิทธิ์บัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนน) เพื่อไปแจ้งความกับเจ้าพนักงานตํารวจโดยเร็ว และให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ตรวจสอบบุคคลแปลกหน้าหรือกลุ่มวัยรุ่นที่อาจถูกจ้างวานให้เข้าไปทําลายบัญชีผู้สิทธิลงคะแนนด้วย 2. กําชับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการติดตามข่าวสารต่างๆทางสื่อโซเซียลมีเดียที่ได้สั่งการไว้แล้วให้เริ่มปฎิบัติการตรวจสอบและติดตามรวมทั้งเมื่อพบข่าวสารที่เป็นเท็จให้รีบดําเนินการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในข่าวสารที่ถูกต้องตามที่กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดแนวทางขั้นตอนการปฎิบัติไว้แล้วและให้เพิ่มความเข้มข้นในการดําเนินการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป 3.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดและทุกช่องทางรวมทั้งเครือข่ายของฝ่ายปกครองท้องที่และท้องถิ่นในจังหวัดชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆที่มีผู้พยายามสร้างความสับสนเกี่ยวกับการทําประชามติใน 7สิงหาคม2559ให้ประชาชนในจังหวัดทราบทุกระยะด้วยโดย ไม่ต้องกังวลว่าการชี้แจงจะทําให้ประชาชนผู้รับข่าวสารตื่นตระหนกเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่จะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลต้องการรักษากฎกติกาเพื่อให้มีการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองเพื่อให้ประเทศชาติของเราเดินหน้าต่อไปได้ 4.ขอให้จัดประชุมศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยฯจังหวัดเพื่อติดตามสถานการณ์ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จังหวัดทุกสัปดาห์ด้วย หากพบว่ามีการกระทําดังกล่าวข้างต้นให้รีบดําเนินการตามกฎหมายโดยเฉียบขาดแล้วรายงานให้ กระทรวงมหาดไทยทราบ กระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาได้สั่งการให้ทุกจังหวัดตรวจสอบ และติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ อย่างใกล้ชิด และให้วางมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการสร้างสถานการณ์เพื่อระงับหรือยุติการสร้าง ปล่อยข่าวเท็จ สร้างความสับสนให้กับประชาชนได้อย่างรวดเร็ว โดยกระทรวงมหาดไทยจะเพิ่มความเข้มข้นในการดําเนินการดังกล่าวเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในทุกพื้นที่.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทยสั่งด่วนทุกจังหวัดเพิ่มความเข้มข้นในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ หลังมีเหตุการณ์ทำลายบัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติ - ปล่อยข่าวสร้างความสับสน เร่งสกัดมือป่ว วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม 2559 กระทรวงมหาดไทยสั่งด่วนทุกจังหวัดเพิ่มความเข้มข้นในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ หลังมีเหตุการณ์ทําลายบัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติ - ปล่อยข่าวสร้างความสับสน เร่งสกัดมือป่ว วันนี้ (17ก.ค.59) นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ด้วยกระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานล่าสุดว่าเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีกลุ่มวัยรุ่นเข้าไปฉีกทําลายบัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติ ที่ติดไว้ในบริเวณศาลาประจําหมู่บ้านในพื้นที่ภาคเหนื วันนี้ (17ก.ค.59)นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า ด้วยกระทรวงมหาดไทยได้รับรายงานล่าสุดว่าเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีกลุ่มวัยรุ่นเข้าไปฉีกทําลายบัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติ ที่ติดไว้ในบริเวณศาลาประจําหมู่บ้านในพื้นที่ภาคเหนือ และในวันเดียวกันนี้มีเหตุการณ์ปล่อยข่าวสร้างความสับสนทางสื่อโซเซียมีเดีย(FB/Line)ว่า ให้ระวังการตรวจรายชื่อผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงประชามติทางระบบสารสนเทศของกรมการปกครอง(www.khonthai.com) นั้นจะทําให้ข้อมูลประชาชนไม่ปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริง และคาดว่าในช่วงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะมีการกระทําด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อสร้างความสับสนในการลงประชามติ หรือบิดเบือนเจตนารมณ์ในการลงประชามติของประชาชนด้วยวิธีการต่างๆซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้จังหวัดทราบไปแล้วนั้น ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและรักษาความสงบเรียนร้อยในพื้นที่ กระทรวงมหาดไทยจึงได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้านทุกจังหวัด ดําเนินการ ดังนี้ 1. กรณีการฉีกทําลายบัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนนประชามตินั้น ให้จังหวัดเร่งประสานงานกับ คณะกรรมการการเลือกตั้งในฐานะผู้เสียหาย (เจ้าของกรรมสิทธิ์บัญชีผู้มีสิทธิลงคะแนน) เพื่อไปแจ้งความกับเจ้าพนักงานตํารวจโดยเร็ว และให้กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ตรวจสอบบุคคลแปลกหน้าหรือกลุ่มวัยรุ่นที่อาจถูกจ้างวานให้เข้าไปทําลายบัญชีผู้สิทธิลงคะแนนด้วย 2. กําชับเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการติดตามข่าวสารต่างๆทางสื่อโซเซียลมีเดียที่ได้สั่งการไว้แล้วให้เริ่มปฎิบัติการตรวจสอบและติดตามรวมทั้งเมื่อพบข่าวสารที่เป็นเท็จให้รีบดําเนินการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนในข่าวสารที่ถูกต้องตามที่กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดแนวทางขั้นตอนการปฎิบัติไว้แล้วและให้เพิ่มความเข้มข้นในการดําเนินการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป 3.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดและทุกช่องทางรวมทั้งเครือข่ายของฝ่ายปกครองท้องที่และท้องถิ่นในจังหวัดชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆที่มีผู้พยายามสร้างความสับสนเกี่ยวกับการทําประชามติใน 7สิงหาคม2559ให้ประชาชนในจังหวัดทราบทุกระยะด้วยโดย ไม่ต้องกังวลว่าการชี้แจงจะทําให้ประชาชนผู้รับข่าวสารตื่นตระหนกเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่จะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลต้องการรักษากฎกติกาเพื่อให้มีการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของบ้านเมืองเพื่อให้ประเทศชาติของเราเดินหน้าต่อไปได้ 4.ขอให้จัดประชุมศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยฯจังหวัดเพื่อติดตามสถานการณ์ความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จังหวัดทุกสัปดาห์ด้วย หากพบว่ามีการกระทําดังกล่าวข้างต้นให้รีบดําเนินการตามกฎหมายโดยเฉียบขาดแล้วรายงานให้ กระทรวงมหาดไทยทราบ กระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาได้สั่งการให้ทุกจังหวัดตรวจสอบ และติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ อย่างใกล้ชิด และให้วางมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการสร้างสถานการณ์เพื่อระงับหรือยุติการสร้าง ปล่อยข่าวเท็จ สร้างความสับสนให้กับประชาชนได้อย่างรวดเร็ว โดยกระทรวงมหาดไทยจะเพิ่มความเข้มข้นในการดําเนินการดังกล่าวเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในทุกพื้นที่.
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/3
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2563
วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่16 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย วันนี้ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่และไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ผู้ป่วยกลับบ้านได้ 1 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,855 ราย คิดเป็นร้อยละ 94.38 ของผู้ป่วยทั้งหมด ทําให้ขณะนี้มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 114 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 3.77 ของผู้ป่วยทั้งหมด ผู้เสียชีวิตสะสม 56 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 3,025 ราย รัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการในระยะที่ 2 อนุญาตให้เปิดกิจการบางแห่งเพิ่มเติมในวันพรุ่งนี้ (17 พฤษภาคม 2563) อาทิ ร้านอาหาร / เครื่องดื่มในอาคารสํานักงาน โรงยิม สนามกีฬา ฟิตเนส สถานทันตกรรม คลินิกเวชกรรมเสริมความงานที่ทําเฉพาะเรือนร่าง และห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของประชาชนเมื่อไปใช้บริการในสถานที่ดังกล่าว ขอให้เข้มในมาตรการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ และการเว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร และปฏิบัติตามข้อกําหนดของสถานที่อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทําให้วันนี้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 68 ของโลก ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของโรค เช่น การจัดตั้งศูนย์กักตัวผู้ที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ การลงพื้นที่หาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชนที่มีความเสี่ยง และปัจจัยความสําเร็จที่สําคัญคือต้องขอขอบคุณความร่วมมือของคนไทยที่ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด “การ์ดไม่ตก” ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ ซึ่งส่งผลดีคือ ทําให้จํานวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจํานวนผู้ป่วยจากโรคติดต่ออื่นๆ ก็ลดลงเช่นกัน จึงขอให้คนไทยทุกคนร่วมกันสร้างมาตรฐานการดําเนินชีวิตใหม่ด้านสุขภาพ นําสิ่งดีๆ ที่ทําในช่วงที่มีการระบาดของโรคปฏิบัติต่อเนื่องให้เป็นนิสัย เพื่อการดํารงชีวิตแบบวิถีใหม่ที่มีความปลอดภัยห่างไกลจากโรคติดต่อ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ประจําวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่16 พฤษภาคม 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย วันนี้ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่และไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม ผู้ป่วยกลับบ้านได้ 1 ราย รวมกลับบ้านสะสม 2,855 ราย คิดเป็นร้อยละ 94.38 ของผู้ป่วยทั้งหมด ทําให้ขณะนี้มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 114 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 3.77 ของผู้ป่วยทั้งหมด ผู้เสียชีวิตสะสม 56 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 3,025 ราย รัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการในระยะที่ 2 อนุญาตให้เปิดกิจการบางแห่งเพิ่มเติมในวันพรุ่งนี้ (17 พฤษภาคม 2563) อาทิ ร้านอาหาร / เครื่องดื่มในอาคารสํานักงาน โรงยิม สนามกีฬา ฟิตเนส สถานทันตกรรม คลินิกเวชกรรมเสริมความงานที่ทําเฉพาะเรือนร่าง และห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของประชาชนเมื่อไปใช้บริการในสถานที่ดังกล่าว ขอให้เข้มในมาตรการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ และการเว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร และปฏิบัติตามข้อกําหนดของสถานที่อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทําให้วันนี้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 68 ของโลก ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของโรค เช่น การจัดตั้งศูนย์กักตัวผู้ที่เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ การลงพื้นที่หาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชนที่มีความเสี่ยง และปัจจัยความสําเร็จที่สําคัญคือต้องขอขอบคุณความร่วมมือของคนไทยที่ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด “การ์ดไม่ตก” ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ล้างมือบ่อยๆ ซึ่งส่งผลดีคือ ทําให้จํานวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจํานวนผู้ป่วยจากโรคติดต่ออื่นๆ ก็ลดลงเช่นกัน จึงขอให้คนไทยทุกคนร่วมกันสร้างมาตรฐานการดําเนินชีวิตใหม่ด้านสุขภาพ นําสิ่งดีๆ ที่ทําในช่วงที่มีการระบาดของโรคปฏิบัติต่อเนื่องให้เป็นนิสัย เพื่อการดํารงชีวิตแบบวิถีใหม่ที่มีความปลอดภัยห่างไกลจากโรคติดต่อ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30964
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีทำความสะอาด Face Shield
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 วิธีทําความสะอาด Face Shield มีวิธีการอย่างไรบ้าง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วิธีทำความสะอาด Face Shield วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563 วิธีทําความสะอาด Face Shield มีวิธีการอย่างไรบ้าง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32502
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสัมนาการขับเคลื่อนการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลหรือ EDU digital
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561 การสัมนาการขับเคลื่อนการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลหรือ EDU digital โดย พลเอกสุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลได้เปิดการสัมนาการขับเคลื่อนการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลหรือ EDU digita2018 การสัมนาการขับเคลื่อนการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลหรือ EDU digital โดย พลเอกสุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลได้เปิดการสัมนาการขับเคลื่อนการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลหรือ EDU digita2018 โดยได้กล่าวชื่นชมถึงความตั้งใจของภาคส่วนการศึกษาในพื้นที่ต่อการขับเคลื่อนระบบการศึกษาด้วยเทคนิคดิจิทัล ทั้งนี้ยังได้เสริมสร้างการรับรู้ถึงศาสตร์ของพระราชาที่ทําให้ระบบการศึกษาของไทยมีคุณภาพเข้มแข็ง EDU strong ทั้งยังได้เยี่ยมชมนิทรรศการนวัตกรรมด้านการศึกษาของเด็กนักเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่แสดงถึงการยกระดับการศึกษาในระดับสากล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสัมนาการขับเคลื่อนการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลหรือ EDU digital วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561 การสัมนาการขับเคลื่อนการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลหรือ EDU digital โดย พลเอกสุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลได้เปิดการสัมนาการขับเคลื่อนการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลหรือ EDU digita2018 การสัมนาการขับเคลื่อนการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลหรือ EDU digital โดย พลเอกสุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาลได้เปิดการสัมนาการขับเคลื่อนการศึกษาด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลหรือ EDU digita2018 โดยได้กล่าวชื่นชมถึงความตั้งใจของภาคส่วนการศึกษาในพื้นที่ต่อการขับเคลื่อนระบบการศึกษาด้วยเทคนิคดิจิทัล ทั้งนี้ยังได้เสริมสร้างการรับรู้ถึงศาสตร์ของพระราชาที่ทําให้ระบบการศึกษาของไทยมีคุณภาพเข้มแข็ง EDU strong ทั้งยังได้เยี่ยมชมนิทรรศการนวัตกรรมด้านการศึกษาของเด็กนักเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่แสดงถึงการยกระดับการศึกษาในระดับสากล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/17185
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รปอ.ภานุวัฒน์ฯ เป็นวิทยากรบรรยายโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 74 ของกระทรวงมหาดไทย
วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 รปอ.ภานุวัฒน์ฯ เป็นวิทยากรบรรยายโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 74 ของกระทรวงมหาดไทย นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นวิทยากรบรรยายโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 74 ของกระทรวงมหาดไทย ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี 17 มีนาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 74 ในหัวข้อ “การบริหารราชการสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 กับการจัดองค์กร กลไก ระบบ เทคนิคและเครื่องมือในการบริหารจัดการ” ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 74 มีผู้เข้าอบรมจํานวน 100 คน มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการหรือเทียบเท่าในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ในการเข้าสู่ตําแหน่งประเภทบริหาร ให้มีทักษะ สมรรถนะทางการบริหารจัดการ และเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามภารกิจขององค์กร สร้างเครือข่ายผู้นํา บริหารจัดการเชิงบูรณาการเพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงสุขของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยเรียนรู้ได้อย่างครบถ้วนสมดุลในทุกมิติ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รปอ.ภานุวัฒน์ฯ เป็นวิทยากรบรรยายโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 74 ของกระทรวงมหาดไทย วันพุธที่ 18 มีนาคม 2563 รปอ.ภานุวัฒน์ฯ เป็นวิทยากรบรรยายโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 74 ของกระทรวงมหาดไทย นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นวิทยากรบรรยายโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 74 ของกระทรวงมหาดไทย ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี 17 มีนาคม 2563 นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายโครงการศึกษาอบรมหลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 74 ในหัวข้อ “การบริหารราชการสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 กับการจัดองค์กร กลไก ระบบ เทคนิคและเครื่องมือในการบริหารจัดการ” ณ วิทยาลัยมหาดไทย อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี หลักสูตรนักปกครองระดับสูง (นปส.) รุ่นที่ 74 มีผู้เข้าอบรมจํานวน 100 คน มีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการหรือเทียบเท่าในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ในการเข้าสู่ตําแหน่งประเภทบริหาร ให้มีทักษะ สมรรถนะทางการบริหารจัดการ และเพิ่มขีดความสามารถในการขับเคลื่อนการดําเนินงานตามภารกิจขององค์กร สร้างเครือข่ายผู้นํา บริหารจัดการเชิงบูรณาการเพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงสุขของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยเรียนรู้ได้อย่างครบถ้วนสมดุลในทุกมิติ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/27433
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเฝ้าระวังภัยจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ช่วงวันที่ 29 - 31 ก.ค.61
วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561 ปลัดกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเฝ้าระวังภัยจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ช่วงวันที่ 29 - 31 ก.ค.61 ปลัดกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเฝ้าระวังภัยจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ช่วงวันที่ 29 - 31 ก.ค.61 เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2561 นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บก.ปภ.ช.) เปิดเผยว่า กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติได้ติดตามสถานการณ์ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ในช่วงวันที่ 28 – 31 ก.ค. 2561 หย่อมความกดอากาศต่ําปกคลุมอ่าวตังเกี๋ย ทําให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกหนักบางแห่ง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกําลังแรงขึ้น ทําให้ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2 – 4 เมตร และอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ กระทรวงมหาดไทย โดยกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธาณภัยแห่งชาติ ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ดําเนินการดังนี้ 1. สร้างการรับรู้ แจ้งเตือนประชาชนให้ในพื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบ ระมัดระวังอันตรายจากสถานการณ์ภัยในช่วงฝนตกหนัก ผ่านสื่อทุกช่องทาง ตลอดจนกําชับกํานันผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร แจ้งข้อมูลข่าวสารและสถานการณ์ภัยให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง 2. ประสานการปฏิบัติกับหน่วยทหารในพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานและเครือข่ายอาสาสมัครทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด โดยเตรียมความพร้อมด้านสรรพกําลัง เครื่องจักรกลสาธารณภัย และจัดชุดเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเข้าถึงพื้นที่เกิดเหตุและให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีตลอด 24 ชม. 3. ในกรณีฝนตกหนักหรือมีฝนตกสะสมในพื้นที่และประเมินสถานการณ์แล้วมีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบ ให้กําหนดจุดปลอดภัยและจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการอพยพ ประชาชาตามแผนเผชิญเหตุ 4. กรณีเกิดฝนตกหนักในพื้นที่เสียงภัยดินโคลนถล่มให้แจ้งเตือนประชาชนทราบถึงความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และชี้แจงถึงความจําเป็นในการต้องอพยพประชาชนไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัย 5. ในกรณีคลื่นลมแรงซัดชายฝั่งหรือมีคลื่นสูง ให้ประสานหน่วยงานทางน้ํา เช่น กรมเจ้าท่า กรมประมง ตํารวจน้ํา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกลาดตระเวนแจ้งเตือนการเดินเรือ ทั้งเรือเล็กเรือประมง เรือท่องเที่ยว เรือข้ามฟาก หรือเรือเฟอร์รี่ ให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง มีเสื้อชูชีพและอุปกรณ์ความปลอดภัยให้เพียงพอ โดยให้ถือปฏิบัติอย่างเข้มงวดในการตรวจตราและเตือนควรงดหรือห้ามเรือออกจากฝั่งหากมีสถานการณ์คลื่นลมและคลื่นทะเลสูง ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยมีความห่วงใยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ หากเกิดภัยในพื้นที่สามารถติดต่อแจ้งเหตุและติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเฝ้าระวังภัยจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ช่วงวันที่ 29 - 31 ก.ค.61 วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม 2561 ปลัดกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเฝ้าระวังภัยจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ช่วงวันที่ 29 - 31 ก.ค.61 ปลัดกระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดเฝ้าระวังภัยจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ช่วงวันที่ 29 - 31 ก.ค.61 เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2561 นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บก.ปภ.ช.) เปิดเผยว่า กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติได้ติดตามสถานการณ์ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ในช่วงวันที่ 28 – 31 ก.ค. 2561 หย่อมความกดอากาศต่ําปกคลุมอ่าวตังเกี๋ย ทําให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกหนักบางแห่ง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกําลังแรงขึ้น ทําให้ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีฝนเพิ่มมากขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2 – 4 เมตร และอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2 – 3 เมตร เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ กระทรวงมหาดไทย โดยกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธาณภัยแห่งชาติ ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้อํานวยการกองอํานวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ดําเนินการดังนี้ 1. สร้างการรับรู้ แจ้งเตือนประชาชนให้ในพื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบ ระมัดระวังอันตรายจากสถานการณ์ภัยในช่วงฝนตกหนัก ผ่านสื่อทุกช่องทาง ตลอดจนกําชับกํานันผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร แจ้งข้อมูลข่าวสารและสถานการณ์ภัยให้ประชาชนรับทราบอย่างต่อเนื่อง 2. ประสานการปฏิบัติกับหน่วยทหารในพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานและเครือข่ายอาสาสมัครทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด โดยเตรียมความพร้อมด้านสรรพกําลัง เครื่องจักรกลสาธารณภัย และจัดชุดเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเข้าถึงพื้นที่เกิดเหตุและให้ความช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงทีตลอด 24 ชม. 3. ในกรณีฝนตกหนักหรือมีฝนตกสะสมในพื้นที่และประเมินสถานการณ์แล้วมีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบ ให้กําหนดจุดปลอดภัยและจัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการอพยพ ประชาชาตามแผนเผชิญเหตุ 4. กรณีเกิดฝนตกหนักในพื้นที่เสียงภัยดินโคลนถล่มให้แจ้งเตือนประชาชนทราบถึงความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน และชี้แจงถึงความจําเป็นในการต้องอพยพประชาชนไปอยู่ในจุดที่ปลอดภัย 5. ในกรณีคลื่นลมแรงซัดชายฝั่งหรือมีคลื่นสูง ให้ประสานหน่วยงานทางน้ํา เช่น กรมเจ้าท่า กรมประมง ตํารวจน้ํา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกลาดตระเวนแจ้งเตือนการเดินเรือ ทั้งเรือเล็กเรือประมง เรือท่องเที่ยว เรือข้ามฟาก หรือเรือเฟอร์รี่ ให้เดินเรือด้วยความระมัดระวัง มีเสื้อชูชีพและอุปกรณ์ความปลอดภัยให้เพียงพอ โดยให้ถือปฏิบัติอย่างเข้มงวดในการตรวจตราและเตือนควรงดหรือห้ามเรือออกจากฝั่งหากมีสถานการณ์คลื่นลมและคลื่นทะเลสูง ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยมีความห่วงใยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ หากเกิดภัยในพื้นที่สามารถติดต่อแจ้งเหตุและติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14235
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ร่วมประชุมบอร์ดดีอี รับทราบผลการจัดอันดับให้คะแนนปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี Technology Infrastructure) ไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 34
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563 นายกฯ ร่วมประชุมบอร์ดดีอี รับทราบผลการจัดอันดับให้คะแนนปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี Technology Infrastructure) ไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 34 นายกฯ ร่วมประชุมบอร์ดดีอี รับทราบผลการจัดอันดับให้คะแนนปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี Technology Infrastructure) ไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 34 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล ในวันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้กํากับดูแลการดําเนินงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด เข้าร่วมประชุมด้วย ได้รับทราบรายงานผลการจัดอันดับจากสถาบัน IMD ให้คะแนนปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี Technology Infrastructure) ไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 34 ขณะที่ ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของเขตเศรษฐกิจทั่วโลก (IMD World Competitiveness Ranking) ประจําปี 2563 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 29 จาก 63 ประเทศ (เป็นอันดับที่สามของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย) พร้อมย้ําโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมีความสําคัญมากในปัจจุบัน ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ กําหนดทิศทางการพัฒนาการบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ และระบบคลาวด์กลางภาครัฐของประเทศ ต้องมุ่งที่ประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพราะในยุคหลัง New Normal ข้อมูลต้องมีความรวดเร็วและทันสมัย รองรับการพัฒนาดิจิทัลของประเทศให้ไปสู่การเป็นดิจิทัลไทยแลนด์เต็มรูปแบบต่อไป ****************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ร่วมประชุมบอร์ดดีอี รับทราบผลการจัดอันดับให้คะแนนปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี Technology Infrastructure) ไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 34 วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563 นายกฯ ร่วมประชุมบอร์ดดีอี รับทราบผลการจัดอันดับให้คะแนนปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี Technology Infrastructure) ไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 34 นายกฯ ร่วมประชุมบอร์ดดีอี รับทราบผลการจัดอันดับให้คะแนนปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี Technology Infrastructure) ไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 34 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2563 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทําเนียบรัฐบาล ในวันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม 2563 โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้กํากับดูแลการดําเนินงานของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด เข้าร่วมประชุมด้วย ได้รับทราบรายงานผลการจัดอันดับจากสถาบัน IMD ให้คะแนนปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี Technology Infrastructure) ไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 34 ขณะที่ ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของเขตเศรษฐกิจทั่วโลก (IMD World Competitiveness Ranking) ประจําปี 2563 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 29 จาก 63 ประเทศ (เป็นอันดับที่สามของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย) พร้อมย้ําโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมีความสําคัญมากในปัจจุบัน ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม และการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ กําหนดทิศทางการพัฒนาการบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ และระบบคลาวด์กลางภาครัฐของประเทศ ต้องมุ่งที่ประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง เพราะในยุคหลัง New Normal ข้อมูลต้องมีความรวดเร็วและทันสมัย รองรับการพัฒนาดิจิทัลของประเทศให้ไปสู่การเป็นดิจิทัลไทยแลนด์เต็มรูปแบบต่อไป ****************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/33344
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนภาคเอกชนออสเตรเลียลงทุนในไทย โดยเฉพาะ EEC พร้อมยืนยันความร่วมมือกับออสเตรเลียเพื่อความรุ่งเรืองของอาเซียนในทุกด้าน
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนภาคเอกชนออสเตรเลียลงทุนในไทย โดยเฉพาะ EEC พร้อมยืนยันความร่วมมือกับออสเตรเลียเพื่อความรุ่งเรืองของอาเซียนในทุกด้าน นายกรัฐมนตรีเชิญชวนภาคเอกชนออสเตรเลียลงทุนในไทย โดยเฉพาะ EEC พร้อมยืนยันความร่วมมือกับออสเตรเลียเพื่อความรุ่งเรืองของอาเซียนในทุกด้าน วันนี้ (15 พ.ย. 2561) เวลา 10.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนายสกอตต์ มอร์ริสัน (The Honourable Scott Morrison) นายกรัฐมนตรีเครือรัฐออสเตรเลียระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องหารือทวิภาคี ศูนย์การประชุมและนิทรรศการซันเทค สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดย พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรเลียมีความใกล้ชิดและแน่นแฟ้นในทุกระดับ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกันเป็นประจําในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยหวังว่าจะสามารถรักษาพลวัตอันดีนี้ต่อไป โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวเชิญนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเยือนไทยอย่างเป็นทางการในโอกาสแรกที่เหมาะสม ไทยยินดีที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในการฝึกอบรมด้านการค้นหาและกู้ภัย และหวังว่าจะสามารถกระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านการประสานงานเพื่อบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤติในภูมิภาค นอกจากนี้ ไทยหวังที่จะร่วมมือกับออสเตรเลียในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยฌพาะด้านความมั่นคงไซเบอร์ และด้านเทคโนโลยีการเงินและการเกษตร ด้านการค้าทั้งสองฝ่ายยินดีที่มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มถึง 3 เท่า โดยในปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยพร้อมอํานวยความสะดวกแก่นักลงทุนออสเตรเลีย พร้อมกล่าวเชิญชวนภาคเอกชนออสเตรเลียให้เข้าไปลงทุนในไทย โดยเฉพาะใน EEC นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียสนับสนุนบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียนในปี 2562 และยืนยันว่าออสเตรเลียพร้อมให้ความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการเติบโตของอาเซียนทุกด้าน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยมุ่งส่งเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ เพื่ออาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยมีเป้าหมายในการสร้างความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ และพร้อมจะร่วมมือกับออสเตรเลียในด้านที่ออสเตรเลียมีความเชี่ยวชาญ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเชิญชวนภาคเอกชนออสเตรเลียลงทุนในไทย โดยเฉพาะ EEC พร้อมยืนยันความร่วมมือกับออสเตรเลียเพื่อความรุ่งเรืองของอาเซียนในทุกด้าน วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน 2561 นายกรัฐมนตรีเชิญชวนภาคเอกชนออสเตรเลียลงทุนในไทย โดยเฉพาะ EEC พร้อมยืนยันความร่วมมือกับออสเตรเลียเพื่อความรุ่งเรืองของอาเซียนในทุกด้าน นายกรัฐมนตรีเชิญชวนภาคเอกชนออสเตรเลียลงทุนในไทย โดยเฉพาะ EEC พร้อมยืนยันความร่วมมือกับออสเตรเลียเพื่อความรุ่งเรืองของอาเซียนในทุกด้าน วันนี้ (15 พ.ย. 2561) เวลา 10.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบหารือกับนายสกอตต์ มอร์ริสัน (The Honourable Scott Morrison) นายกรัฐมนตรีเครือรัฐออสเตรเลียระหว่างการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องหารือทวิภาคี ศูนย์การประชุมและนิทรรศการซันเทค สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดย พลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรเลียมีความใกล้ชิดและแน่นแฟ้นในทุกระดับ โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างกันเป็นประจําในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยหวังว่าจะสามารถรักษาพลวัตอันดีนี้ต่อไป โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวเชิญนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเยือนไทยอย่างเป็นทางการในโอกาสแรกที่เหมาะสม ไทยยินดีที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในการฝึกอบรมด้านการค้นหาและกู้ภัย และหวังว่าจะสามารถกระชับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านการประสานงานเพื่อบริหารจัดการสถานการณ์วิกฤติในภูมิภาค นอกจากนี้ ไทยหวังที่จะร่วมมือกับออสเตรเลียในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยฌพาะด้านความมั่นคงไซเบอร์ และด้านเทคโนโลยีการเงินและการเกษตร ด้านการค้าทั้งสองฝ่ายยินดีที่มูลค่าการค้าระหว่างกันเพิ่มถึง 3 เท่า โดยในปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยพร้อมอํานวยความสะดวกแก่นักลงทุนออสเตรเลีย พร้อมกล่าวเชิญชวนภาคเอกชนออสเตรเลียให้เข้าไปลงทุนในไทย โดยเฉพาะใน EEC นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียสนับสนุนบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียนในปี 2562 และยืนยันว่าออสเตรเลียพร้อมให้ความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการเติบโตของอาเซียนทุกด้าน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยมุ่งส่งเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ เพื่ออาเซียนที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยมีเป้าหมายในการสร้างความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ และพร้อมจะร่วมมือกับออสเตรเลียในด้านที่ออสเตรเลียมีความเชี่ยวชาญ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16817
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 26 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข]
วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 26 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 26 เมษายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่26 เมษายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทย (25 เมษายน 2563 เวลา 16.00 น.) โดยสรุปภาพรวมวันนี้มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 47 ราย กลับบ้านสะสม 2,594 ราย (คิดเป็นร้อยละ 88.77 ของผู้ป่วยทั้งหมด) ยังรักษาในโรงพยาบาล 277 ราย (คิดเป็นร้อยละ 9.48 ของผู้ป่วยทั้งหมด) เสียชีวิตรวม 51 รายผู้ป่วยรายใหม่ 15 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสม 2,922 ราย สําหรับผู้ป่วยรายใหม่รายงานวันนี้ 15 ราย (ลําดับที่ 2,908 – 2,922) จําแนกได้ดังนี้ เป็นผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว4ราย (ทุกรายพบที่จังหวัดภูเก็ต) เป็นผู้เดินทางไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัดสถานที่ท่องเที่ยว 3 ราย อาชีพเสี่ยง 1 ราย (ขับรถโดยสารรับจ้าง) จากการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชน ที่จังหวัดยะลา 2 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้า State Quarantine 5 ราย (เดินทางจากสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ เข้า State Quarantine ที่กรุงเทพฯ 4 ราย, เดินทางจากเนเธอร์แลนด์ เข้า State Quarantine ที่ชลบุรี 1 ราย) วันนี้ ไม่มีรายงานผู้ป่วยที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 แล้ว และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต สําหรับสถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม –26 เมษายน2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วย 2,920,738 ราย เสียชีวิต 203,355 ราย ประเทศที่มีผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 960,651 ราย เสียชีวิต 54,256 รายสเปนพบผู้ป่วย 223,759 ราย เสียชีวิต 22,902 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 195,351 ราย เสียชีวิต 26,384 ราย ******************************** 26 เมษายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจำวันที่ 26 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 26 เมษายน 2563 [กระทรวงสาธารณสุข] รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ประจําวันที่ 26 เมษายน 2563 รายงานข่าวกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(COVID-19) ประจําวันที่26 เมษายน 2563 สถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019ในประเทศไทย (25 เมษายน 2563 เวลา 16.00 น.) โดยสรุปภาพรวมวันนี้มีผู้ป่วยกลับบ้านได้ 47 ราย กลับบ้านสะสม 2,594 ราย (คิดเป็นร้อยละ 88.77 ของผู้ป่วยทั้งหมด) ยังรักษาในโรงพยาบาล 277 ราย (คิดเป็นร้อยละ 9.48 ของผู้ป่วยทั้งหมด) เสียชีวิตรวม 51 รายผู้ป่วยรายใหม่ 15 ราย ทําให้มีผู้ป่วยสะสม 2,922 ราย สําหรับผู้ป่วยรายใหม่รายงานวันนี้ 15 ราย (ลําดับที่ 2,908 – 2,922) จําแนกได้ดังนี้ เป็นผู้สัมผัสกับผู้ป่วยที่มีรายงานมาแล้ว4ราย (ทุกรายพบที่จังหวัดภูเก็ต) เป็นผู้เดินทางไปสถานที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัดสถานที่ท่องเที่ยว 3 ราย อาชีพเสี่ยง 1 ราย (ขับรถโดยสารรับจ้าง) จากการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชน ที่จังหวัดยะลา 2 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ เข้า State Quarantine 5 ราย (เดินทางจากสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ เข้า State Quarantine ที่กรุงเทพฯ 4 ราย, เดินทางจากเนเธอร์แลนด์ เข้า State Quarantine ที่ชลบุรี 1 ราย) วันนี้ ไม่มีรายงานผู้ป่วยที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 แล้ว และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต สําหรับสถานการณ์ทั่วโลกข้อมูลตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม –26 เมษายน2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วย 2,920,738 ราย เสียชีวิต 203,355 ราย ประเทศที่มีผู้ป่วยมาก 3 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วย 960,651 ราย เสียชีวิต 54,256 รายสเปนพบผู้ป่วย 223,759 ราย เสียชีวิต 22,902 ราย และอิตาลีพบผู้ป่วย 195,351 ราย เสียชีวิต 26,384 ราย ******************************** 26 เมษายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29796
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดคำอธิบายรายละเอียด ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ.2562
วันพุธที่ 13 มีนาคม 2562 เปิดคําอธิบายรายละเอียด ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ.2562 -- ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ประกอบด้วยอักษรพระปรมาภิไธย วปร อยู่ตรงกลาง พื้นอักษรสีขาวขอบเดินทอง อันเป็นสีของวันจันทร์ซึ่งเป็นวันพระบรมราชสมภพ ภายในอักษรประดับเพชร ตามความหมายแห่งพระนามมหาวชิราลงกรณ อักษร วปร อยู่บนพื้นสีขาบ (น้ําเงินเข้ม) อันเป็นสีของขัตติยกษัตริย์ ภายในกรอบพุ่มข้าวบิณฑ์สีทองสอดสีเขียว อันเป็นสีซึ่งเป็นเดชแห่งวันพระบรมราชสมภพ กรอบทรงพุ่มข้าวบิณฑ์อัญเชิญมาจากกรอบที่ประดิษฐานพระมหาอุณาโลม อันเป็นพระราชลัญจกรประจําพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ แวดล้อมด้วยเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ อันเป็นเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์และเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราช ได้แก่ พระมหาพิชัยมงกุฎพร้อมอุณาโลมประกอบเลขมหามงคลประจํารัชกาล อยู่เบื้องบนพระแสงขรรค์ชัยศรีกับพระแส้จามรี ทอดไขว้อยู่เบื้องขวา ธารพระกรกับพัดวาลวิชนี ทอดไขว้อยู่เบื้องซ้ายและฉลองพระบาทเชิงงอน อยู่เบื้องล่าง พระมหาพิชัยมงกุฎ หมายถึง ทรงรับพระราชภาระอันหนักยิ่งของแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน พระแสงขรรค์ชัยศรี หมายถึง ทรงรับพระราชภาระปกป้องแผ่นดินให้พ้นจากภยันตราย ธารพระกร หมายถึง ทรงดํารงราชธรรมเพื่อค้ําจุนบ้านเมืองให้ผาสุกมั่นคง พระแส้จามรีกับพัดวาลวิชนี หมายถึง ทรงขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร์ ฉลองพระบาทเชิงงอน หมายถึง ทรงทํานุบํารุงปวงประชาทั่วรัฐสีมาอาณาจักร เบื้องหลังพระมหาพิชัยมงกุฎ ประดิษฐานพระมหาเศวตฉัตรอันมีระบายขลิบทอง จงกลยอดฉัตรประกอบรูปพรหมพักตร์อันวิเศษสุด ระบายชั้นล่างสุดห้อยอุบะจําปาทอง แสดงถึงพระบารมีและพระบรมเดชานุภาพที่ปกแผ่ไปทั่วทิศานุทิศ เบื้องล่างกรอบอักษรพระปรมาภิไธยมีแถบแพรพื้นสีเขียว ถนิมทอง ขอบขลิบทอง มีอักษรสีทองความว่า "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒" ปลายแถบแพรเบื้องขวามีรูปคชสีห์กายม่วงอ่อน ประคองฉัตร ๗ ชั้น หมายถึงข้าราชการฝ่ายทหาร เบื้องซ้ายมีรูปราชสีห์กายขาวประคองฉัตร ๗ ชั้น หมายถึงข้าราชการฝ่ายพลเรือน ผู้ปฏิบัติราชการสนองงานแผ่นดินอยู่ด้วยกัน ข้างคันฉัตรด้านในทั้งสองข้างมีดอกลอยกนกนาค แสดงถึงปีมะโรงนักษัตรอันเป็นปีพระบรมราชสมภพ สีทองหมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งของประเทศชาติและประชาชน สําหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาขออนุญาตใช้ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (www.opm.go.th) ที่มา : สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดคำอธิบายรายละเอียด ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ.2562 วันพุธที่ 13 มีนาคม 2562 เปิดคําอธิบายรายละเอียด ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ.2562 -- ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ประกอบด้วยอักษรพระปรมาภิไธย วปร อยู่ตรงกลาง พื้นอักษรสีขาวขอบเดินทอง อันเป็นสีของวันจันทร์ซึ่งเป็นวันพระบรมราชสมภพ ภายในอักษรประดับเพชร ตามความหมายแห่งพระนามมหาวชิราลงกรณ อักษร วปร อยู่บนพื้นสีขาบ (น้ําเงินเข้ม) อันเป็นสีของขัตติยกษัตริย์ ภายในกรอบพุ่มข้าวบิณฑ์สีทองสอดสีเขียว อันเป็นสีซึ่งเป็นเดชแห่งวันพระบรมราชสมภพ กรอบทรงพุ่มข้าวบิณฑ์อัญเชิญมาจากกรอบที่ประดิษฐานพระมหาอุณาโลม อันเป็นพระราชลัญจกรประจําพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ แวดล้อมด้วยเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ อันเป็นเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์และเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราช ได้แก่ พระมหาพิชัยมงกุฎพร้อมอุณาโลมประกอบเลขมหามงคลประจํารัชกาล อยู่เบื้องบนพระแสงขรรค์ชัยศรีกับพระแส้จามรี ทอดไขว้อยู่เบื้องขวา ธารพระกรกับพัดวาลวิชนี ทอดไขว้อยู่เบื้องซ้ายและฉลองพระบาทเชิงงอน อยู่เบื้องล่าง พระมหาพิชัยมงกุฎ หมายถึง ทรงรับพระราชภาระอันหนักยิ่งของแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน พระแสงขรรค์ชัยศรี หมายถึง ทรงรับพระราชภาระปกป้องแผ่นดินให้พ้นจากภยันตราย ธารพระกร หมายถึง ทรงดํารงราชธรรมเพื่อค้ําจุนบ้านเมืองให้ผาสุกมั่นคง พระแส้จามรีกับพัดวาลวิชนี หมายถึง ทรงขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎร์ ฉลองพระบาทเชิงงอน หมายถึง ทรงทํานุบํารุงปวงประชาทั่วรัฐสีมาอาณาจักร เบื้องหลังพระมหาพิชัยมงกุฎ ประดิษฐานพระมหาเศวตฉัตรอันมีระบายขลิบทอง จงกลยอดฉัตรประกอบรูปพรหมพักตร์อันวิเศษสุด ระบายชั้นล่างสุดห้อยอุบะจําปาทอง แสดงถึงพระบารมีและพระบรมเดชานุภาพที่ปกแผ่ไปทั่วทิศานุทิศ เบื้องล่างกรอบอักษรพระปรมาภิไธยมีแถบแพรพื้นสีเขียว ถนิมทอง ขอบขลิบทอง มีอักษรสีทองความว่า "พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒" ปลายแถบแพรเบื้องขวามีรูปคชสีห์กายม่วงอ่อน ประคองฉัตร ๗ ชั้น หมายถึงข้าราชการฝ่ายทหาร เบื้องซ้ายมีรูปราชสีห์กายขาวประคองฉัตร ๗ ชั้น หมายถึงข้าราชการฝ่ายพลเรือน ผู้ปฏิบัติราชการสนองงานแผ่นดินอยู่ด้วยกัน ข้างคันฉัตรด้านในทั้งสองข้างมีดอกลอยกนกนาค แสดงถึงปีมะโรงนักษัตรอันเป็นปีพระบรมราชสมภพ สีทองหมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งของประเทศชาติและประชาชน สําหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาขออนุญาตใช้ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี (www.opm.go.th) ที่มา : สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/19256
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จัดงานเปิดตัวสลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2562 ธ.ก.ส. จัดงานเปิดตัวสลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน ธ.ก.ส.จัดงานเปิดตัว “สลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน” ในรูปแบบสลากดิจิทัล หน่วยละ 20 บาท จํานวน 10,000 ล้านบาท หนุนลูกค้ารายย่อยออมเงิน ครบ 2 ปี ได้รับดอกเบี้ยและลุ้นรางวัล 2,000 บาท และรางวัลใหญ่ 2 ล้านบาทในงวดที่ออม ธ.ก.ส.จัดงานเปิดตัว “สลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน” ในรูปแบบสลากดิจิทัล หน่วยละ 20 บาท จํานวน 10,000 ล้านบาท หนุนลูกค้ารายย่อยออมเงิน ครบ 2 ปี ได้รับดอกเบี้ยและลุ้นรางวัล 2,000 บาท และรางวัลใหญ่ 2 ล้านบาทในงวดที่ออม ออมได้ง่าย ๆ ผ่าน ธ.ก.ส. A-Mobile และเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ร้าน 7-Eleven เผยเปิดเพียง 10 วัน มียอดรับฝากแล้วกว่า 267 ล้านบาท จํานวนผู้ขึ้นทะเบียนเกือบ 40,000 ราย วันนี้ (29 สิงหาคม 2562) นายภิญโญ ประกอบผล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และนายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นประธานในงานเปิดตัว “สลาก ออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน” หน่วยละ 20 บาท และกิจกรรมโชว์พิเศษ มินิคอนเสิร์ต “ตุ๊กกี้ โชว์” ณ ลานจอดรถตลาดโต้รุ่ง องค์พระปฐมเจดีย์ อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. เปิดรับฝาก “สลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน” ซึ่งเป็นสลากชนิดไร้ใบตราสาร จํานวน 50,000 หมวด หมวดละ 10,000 หน่วย รวม 500 ล้านหน่วย หน่วยละ 20 บาท รวมเป็นเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกในการออมเงินของเกษตรกรผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ฝากรายย่อย โดยการจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนเสี่ยงโชคที่มีความเสี่ยงสูงในการสูญเสียเงินทุน ไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินด้วยการออม “ออมน้อย ฝากง่าย คืนทุน ลุ้นโชค ออมทุกเดือน ลุ้นทุกเดือน” สลากมีอายุการรับฝาก 2 ปี ฝากขั้นต่ํา 20 บาท สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท/งวด เมื่อฝากครบกําหนดจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.20 บาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 0.5 ต่อปี (ไถ่ถอนคืนได้เมื่อครบกําหนด) หมวดสลากประกอบด้วยอักษรภาษาไทย 4 หลักและตามด้วยหมายเลขสลาก 4 หลัก (0000 ถึง 9999) โดยผู้ฝากสามารถลุ้นรางวัลเลข 4 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท และรางวัลเลข 4 ตัว เสี่ยงหมวดมูลค่า 2,000,000 บาท ได้ในงวดที่ฝาก ถ้าต้องการลุ้นรางวัลใหญ่ทุกงวด ต้องออมทุกงวด นอกจากนี้ ผู้ฝากยังมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลเลข 4 ตัว ไม่เสี่ยงหมวด มูลค่ารางวัลละ 20 บาท ตลอดระยะเวลาที่ฝาก 24 งวด ออกรางวัลทุกวันที่ 16 ของทุกเดือน (ครั้งแรกวันที่ 16 กันยายน 2562) และพิเศษ! สําหรับผู้ที่ฝากอย่างน้อย 6 งวดขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2562 – 15 กรกฎาคม 2563 มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลทองคําแท่งมูลค่า รางวัลละ 1,000,000 บาท จํานวน 2 รางวัล รวม 2,000,000 บาท เงื่อนไขตามที่ธนาคารกําหนด ธนาคารนับรอบในการออม โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 17 ของเดือนที่ออมและสิ้นสุดวันที่ 15 ของเดือนถัดไปเวลา 23.00 น. ทั้งนี้ สามารถตรวจผลการออกรางวัลได้ผ่านทางเว็บไซต์ www.baac.or.th วิทยุกระจายเสียงคลื่นความถี่ AM 891 กิโลเฮิรตซ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1900 1901 98 และ 1900 222 299 โทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกเครือข่าย กด *499222 หรือผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ธ.ก.ส. เริ่มเปิดรับขึ้นทะเบียนผู้ฝาก ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562 และเปิดรับฝากตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2562 เป็นต้นมา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีลูกค้าสนใจฝากสลากเป็นจํานวนมาก โดย ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2562 มีจํานวนผู้ขึ้นทะเบียนแล้ว 39,628 ราย มียอดฝากกว่า 13,393,054 หน่วย คิดเป็นเงิน 267,861,080 บาท สําหรับผู้ที่ต้องการฝากสลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน ต้องขึ้นทะเบียนผู้ฝากสลากที่ ธ.ก.ส. สาขา (เฉพาะครั้งแรกก่อนฝากสลากผ่านทุกช่องทาง) และเพื่อเพิ่มความสะดวกยิ่งขึ้น ธ.ก.ส. ได้เพิ่มช่องทางในการรับฝากสลากโดยสามารถฝากผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile เคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้าน 7-Eleven (ค่าธรรมเนียมตามผู้ให้บริการกําหนด) ธ.ก.ส.ทุกสาขา และเร็ว ๆ นี้ ธ.ก.ส. จะเปิดช่องทางในการรับฝากสลากผ่านตู้เติมเงิน “ตู้บุญเติม” และ “ตู้เติมสบาย” สําหรับท่านที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. จัดงานเปิดตัวสลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2562 ธ.ก.ส. จัดงานเปิดตัวสลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน ธ.ก.ส.จัดงานเปิดตัว “สลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน” ในรูปแบบสลากดิจิทัล หน่วยละ 20 บาท จํานวน 10,000 ล้านบาท หนุนลูกค้ารายย่อยออมเงิน ครบ 2 ปี ได้รับดอกเบี้ยและลุ้นรางวัล 2,000 บาท และรางวัลใหญ่ 2 ล้านบาทในงวดที่ออม ธ.ก.ส.จัดงานเปิดตัว “สลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน” ในรูปแบบสลากดิจิทัล หน่วยละ 20 บาท จํานวน 10,000 ล้านบาท หนุนลูกค้ารายย่อยออมเงิน ครบ 2 ปี ได้รับดอกเบี้ยและลุ้นรางวัล 2,000 บาท และรางวัลใหญ่ 2 ล้านบาทในงวดที่ออม ออมได้ง่าย ๆ ผ่าน ธ.ก.ส. A-Mobile และเคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ร้าน 7-Eleven เผยเปิดเพียง 10 วัน มียอดรับฝากแล้วกว่า 267 ล้านบาท จํานวนผู้ขึ้นทะเบียนเกือบ 40,000 ราย วันนี้ (29 สิงหาคม 2562) นายภิญโญ ประกอบผล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และนายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นประธานในงานเปิดตัว “สลาก ออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน” หน่วยละ 20 บาท และกิจกรรมโชว์พิเศษ มินิคอนเสิร์ต “ตุ๊กกี้ โชว์” ณ ลานจอดรถตลาดโต้รุ่ง องค์พระปฐมเจดีย์ อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. เปิดรับฝาก “สลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน” ซึ่งเป็นสลากชนิดไร้ใบตราสาร จํานวน 50,000 หมวด หมวดละ 10,000 หน่วย รวม 500 ล้านหน่วย หน่วยละ 20 บาท รวมเป็นเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกในการออมเงินของเกษตรกรผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้ฝากรายย่อย โดยการจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุนเสี่ยงโชคที่มีความเสี่ยงสูงในการสูญเสียเงินทุน ไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินด้วยการออม “ออมน้อย ฝากง่าย คืนทุน ลุ้นโชค ออมทุกเดือน ลุ้นทุกเดือน” สลากมีอายุการรับฝาก 2 ปี ฝากขั้นต่ํา 20 บาท สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท/งวด เมื่อฝากครบกําหนดจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.20 บาท คิดเป็นอัตราร้อยละ 0.5 ต่อปี (ไถ่ถอนคืนได้เมื่อครบกําหนด) หมวดสลากประกอบด้วยอักษรภาษาไทย 4 หลักและตามด้วยหมายเลขสลาก 4 หลัก (0000 ถึง 9999) โดยผู้ฝากสามารถลุ้นรางวัลเลข 4 ตัว รางวัลละ 2,000 บาท และรางวัลเลข 4 ตัว เสี่ยงหมวดมูลค่า 2,000,000 บาท ได้ในงวดที่ฝาก ถ้าต้องการลุ้นรางวัลใหญ่ทุกงวด ต้องออมทุกงวด นอกจากนี้ ผู้ฝากยังมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลเลข 4 ตัว ไม่เสี่ยงหมวด มูลค่ารางวัลละ 20 บาท ตลอดระยะเวลาที่ฝาก 24 งวด ออกรางวัลทุกวันที่ 16 ของทุกเดือน (ครั้งแรกวันที่ 16 กันยายน 2562) และพิเศษ! สําหรับผู้ที่ฝากอย่างน้อย 6 งวดขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2562 – 15 กรกฎาคม 2563 มีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลทองคําแท่งมูลค่า รางวัลละ 1,000,000 บาท จํานวน 2 รางวัล รวม 2,000,000 บาท เงื่อนไขตามที่ธนาคารกําหนด ธนาคารนับรอบในการออม โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 17 ของเดือนที่ออมและสิ้นสุดวันที่ 15 ของเดือนถัดไปเวลา 23.00 น. ทั้งนี้ สามารถตรวจผลการออกรางวัลได้ผ่านทางเว็บไซต์ www.baac.or.th วิทยุกระจายเสียงคลื่นความถี่ AM 891 กิโลเฮิรตซ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1900 1901 98 และ 1900 222 299 โทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกเครือข่าย กด *499222 หรือผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ธ.ก.ส. เริ่มเปิดรับขึ้นทะเบียนผู้ฝาก ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562 และเปิดรับฝากตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2562 เป็นต้นมา ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีลูกค้าสนใจฝากสลากเป็นจํานวนมาก โดย ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2562 มีจํานวนผู้ขึ้นทะเบียนแล้ว 39,628 ราย มียอดฝากกว่า 13,393,054 หน่วย คิดเป็นเงิน 267,861,080 บาท สําหรับผู้ที่ต้องการฝากสลากออมทรัพย์เกษตรยั่งยืน ต้องขึ้นทะเบียนผู้ฝากสลากที่ ธ.ก.ส. สาขา (เฉพาะครั้งแรกก่อนฝากสลากผ่านทุกช่องทาง) และเพื่อเพิ่มความสะดวกยิ่งขึ้น ธ.ก.ส. ได้เพิ่มช่องทางในการรับฝากสลากโดยสามารถฝากผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile เคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้าน 7-Eleven (ค่าธรรมเนียมตามผู้ให้บริการกําหนด) ธ.ก.ส.ทุกสาขา และเร็ว ๆ นี้ ธ.ก.ส. จะเปิดช่องทางในการรับฝากสลากผ่านตู้เติมเงิน “ตู้บุญเติม” และ “ตู้เติมสบาย” สําหรับท่านที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/22637
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทัพชี้แจงเรื่องการจัดซื้อยานเกราะล้อยาง 4.5 พันล้าน
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563 กองทัพชี้แจงเรื่องการจัดซื้อยานเกราะล้อยาง 4.5 พันล้าน กองทัพชี้แจงเรื่องการจัดซื้อยานเกราะล้อยาง 4.5 พันล้าน วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2563 พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีการเผยแพร่เอกสารของกรมสรรพาวุธ เกี่ยวกับการเดินหน้าโครงการจัดซื้อรถยานเกราะสไตร์เกอร์ ติดอาวุธ 50 คันด้วยงบประมาณ 4.5 พันล้าน ตามโครงการความช่วยเหลือทางการทหาร Foreign Military Sales -FMS จากสหรัฐอเมริกา ว่า กองทัพบก ชี้แจงว่าภาพรวมกระทรวงกลาโหม มีปรับลดงบฯ ทั้งสิ้นจาก 7 หน่วยงาน ยอดเงินรวม 1.8 หมื่นล้าน (ทบ.หน่วยเดียวเกือบ 1 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับหลาย ๆ กระทรวง การดําเนินการปรับลดนั้น ภายใต้หลักเกณฑ์โครงการใดที่ยังไม่ผูกพันให้ชะลอตัดออกไปทั้งหมด ส่วนโครงการใดผูกพันแล้ว ให้ตัดเหลือเพียงครึ่งเดียว ทําให้โครงการขนาดใหญ่ 4 โครงการ เช่น โครงการรถถัง ปืนใหญ่หรือเรดาร์ รวมถึง โครงการปกติอื่น ๆ อีกประมาณ 26 โครงการ ถูกชะลอตัดออกไป ส่วนกรณีเรื่องของยานเกราะล้อยางสไตร์เกอร์นั้น เนื่องจากโครงการนี้ เป็นหนึ่งในโครงการที่ผูกพันแล้ว โดยแผนเดิมจะมีใช้งบฯ ปี 63 จํานวน 900 ล้านบาท แต่ต้องตัดลดงบฯ ออกไปครึ่งหนึ่งตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงกลาโหม ทําให้เหลือใช้งบปี 63 เพียง 450 ล้านบาท เท่านั้น ทั้งนี้โครงการฯ จัดซื้อด้วยระบบ FMS เป็นไปตามความช่วยเหลือทางทหารระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ได้รับอนุมัติงบประมาณไว้ 4,515 ล้าน ได้จํานวนยานเกราะฯ รวมแล้วกว่า 100 คัน รวมที่สหรัฐฯ ได้ช่วยเหลือในลักษณะให้เปล่า โดยลักษณะการใช้งบฯ เป็นแบบผูกพันข้ามปี ตั้งแต่ปี 63-65 ทําให้ปี 63 เดิมก่อนถูกปรับลด จึงมีแผนใช้เพียง 900 ล้านบาทและด้วยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 2 กองทัพ ในจํานวนงบประมาณที่ตั้งไว้สําหรับโครงการนี้ ไม่ใช่เป็นการจัดหาเฉพาะรถเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความร่วมมือทุกมิติที่ครอบคลุมการใช้รถยานเกราะฯ และการฝึกบุคลากร ยืนยัน ทบ.ดําเนินการยึดเอาประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสําคัญ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กองทัพชี้แจงเรื่องการจัดซื้อยานเกราะล้อยาง 4.5 พันล้าน วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563 กองทัพชี้แจงเรื่องการจัดซื้อยานเกราะล้อยาง 4.5 พันล้าน กองทัพชี้แจงเรื่องการจัดซื้อยานเกราะล้อยาง 4.5 พันล้าน วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2563 พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีการเผยแพร่เอกสารของกรมสรรพาวุธ เกี่ยวกับการเดินหน้าโครงการจัดซื้อรถยานเกราะสไตร์เกอร์ ติดอาวุธ 50 คันด้วยงบประมาณ 4.5 พันล้าน ตามโครงการความช่วยเหลือทางการทหาร Foreign Military Sales -FMS จากสหรัฐอเมริกา ว่า กองทัพบก ชี้แจงว่าภาพรวมกระทรวงกลาโหม มีปรับลดงบฯ ทั้งสิ้นจาก 7 หน่วยงาน ยอดเงินรวม 1.8 หมื่นล้าน (ทบ.หน่วยเดียวเกือบ 1 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเทียบกับหลาย ๆ กระทรวง การดําเนินการปรับลดนั้น ภายใต้หลักเกณฑ์โครงการใดที่ยังไม่ผูกพันให้ชะลอตัดออกไปทั้งหมด ส่วนโครงการใดผูกพันแล้ว ให้ตัดเหลือเพียงครึ่งเดียว ทําให้โครงการขนาดใหญ่ 4 โครงการ เช่น โครงการรถถัง ปืนใหญ่หรือเรดาร์ รวมถึง โครงการปกติอื่น ๆ อีกประมาณ 26 โครงการ ถูกชะลอตัดออกไป ส่วนกรณีเรื่องของยานเกราะล้อยางสไตร์เกอร์นั้น เนื่องจากโครงการนี้ เป็นหนึ่งในโครงการที่ผูกพันแล้ว โดยแผนเดิมจะมีใช้งบฯ ปี 63 จํานวน 900 ล้านบาท แต่ต้องตัดลดงบฯ ออกไปครึ่งหนึ่งตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงกลาโหม ทําให้เหลือใช้งบปี 63 เพียง 450 ล้านบาท เท่านั้น ทั้งนี้โครงการฯ จัดซื้อด้วยระบบ FMS เป็นไปตามความช่วยเหลือทางทหารระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ได้รับอนุมัติงบประมาณไว้ 4,515 ล้าน ได้จํานวนยานเกราะฯ รวมแล้วกว่า 100 คัน รวมที่สหรัฐฯ ได้ช่วยเหลือในลักษณะให้เปล่า โดยลักษณะการใช้งบฯ เป็นแบบผูกพันข้ามปี ตั้งแต่ปี 63-65 ทําให้ปี 63 เดิมก่อนถูกปรับลด จึงมีแผนใช้เพียง 900 ล้านบาทและด้วยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง 2 กองทัพ ในจํานวนงบประมาณที่ตั้งไว้สําหรับโครงการนี้ ไม่ใช่เป็นการจัดหาเฉพาะรถเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความร่วมมือทุกมิติที่ครอบคลุมการใช้รถยานเกราะฯ และการฝึกบุคลากร ยืนยัน ทบ.ดําเนินการยึดเอาประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสําคัญ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29625
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงนายกรัฐมนตรีเตรียมลงเรือล่องคลองเปรมประชากร ตรวจเยี่ยมการพัฒนาชุมชนริมคลอง พร้อมด้วยการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 และงาน "พลังสวัสดิการชุมชน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2020"
วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2563 พม. แถลงนายกรัฐมนตรีเตรียมลงเรือล่องคลองเปรมประชากร ตรวจเยี่ยมการพัฒนาชุมชนริมคลอง พร้อมด้วยการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 และงาน "พลังสวัสดิการชุมชน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2020" พม. แถลงนายกรัฐมนตรีเตรียมลงเรือล่องคลองเปรมประชากร ตรวจเยี่ยมการพัฒนาชุมชนริมคลอง พร้อมด้วยการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 และงาน "พลังสวัสดิการชุมชน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2020" วันนี้ (9 ม.ค. 63) เวลา 13.30 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นางเทพวัลย์ ภรณวลัย รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน นายธนัช นฤพรพงศ์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และ นายปาลิน ธํารงรัตนศิลป์ คณะทํางานติดตามและพัฒนากองทุนสวัสดิการชุมชน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ร่วมแถลงข่าวการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญของกระทรวง พม. ดังนี้ 1) การจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 2) การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนคลองเปรมประชากร และ 3) การพัฒนากองทุนสวัสดิการชุมชน ยกระดับการยกร่างกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมระบบสวัสดิการชุมชน โดยมี นายแฉล้ม ทองเกลา ผู้อํานวยการกองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สํานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมันคงของมนุษย์ เป็นผู้ดําเนินการแถลงข่าว นางเทพวัลย์ กล่าวว่า ด้วยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507 กําหนดให้วันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ โดยมีหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมจัดกิจกรรมดังกล่าว และในปี 2563 พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้คําขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี 2563 ว่า เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย โดยใช้ ฮีโร่ตัวจิ๋ว เป็นตราสัญลักษณ์ในการจัดงานวันเด็กแห่งชาติต่อเนื่องกันเป็นเวลา 5 ปี ระหว่างปี 2561 - 2565 ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้รับมอบหมายให้ดําเนินการจัดงานวันเด็กแห่งชาติเป็นประจําทุกปีในภาพรวมของกระทรวง พม. ร่วมกับหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ภายใต้แนวคิด สุดยอดเด็กไทย ประกอบด้วย 3 เรื่อง คือ 1) พลเมืองเด็กดี 2) เด็กยุคดิจิตอล และ 3) เด็กรักสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาตนเอง ผ่านการเรียนรู้จากกิจกรรมควบคู่ไปกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ทําให้เด็กกล้าคิด กล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ และเหมาะสมตามวัย สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมในปัจจุบัน ซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 เวลา 07.30 - 15.30 น. ณ ภายในบริเวณสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ซึ่งมีกิจกรรมที่สําคัญ ประกอบด้วย 1) โซนกิจกรรมสร้างสรรค์ (KID THINK) ประกอบด้วยกิจกรรมจากหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. การแสดงความสามารถของนักฟุตบอลเยาวชนจากสถานสงเคราะห์เยาวชนมูลนิธิมหาราชและสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี 2) โซนกิจกรรมภาคเอกชนและองค์กรเครือข่าย ประกอบด้วย กิจกรรมจาก บริษัท ซี พี แรม จํากัด บริษัท ธนชาติโบรกเกอร์ จํากัด บริษัท ไทยน้ําทิพย์ จํากัด มูลนิธิลมมายใจไร้มลทิน บริษัท แลคตาซอย จํากัด และสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 3) โซนกิจกรรมกลางแจ้ง (HAPPY KID) ประกอบด้วยเครื่องเล่นสําหรับเด็ก ได้แก่ ผาจําลองบ้านลม รถไฟเด็ก และปีนผาจําลอง 4) โซนกิจกรรมบนเวที (KID STAGE) ประกอบด้วย การแสดงบนเวทีของเด็กในสถานรองรับสังกัดกระทรวง พม. สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ตัวแทนเครือข่ายเด็กและเยาวชน และศิลปินนักร้อง อาทิ ใบเฟิร์น ไมค์ทองคํา และเอ อภิรักษ์ ไมค์ทองคํา และ 5) โซนอาหารและเครื่องดื่ม บริการฟรีสําหรับเด็กและผู้ปกครอง เช่น ไส้กรอก เฟรนฟราย ลูกชิ้นทอด และข้าวผัด เป็นต้น นายธนัช กล่าวว่า สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ได้กําหนดจัดงาน คืนบ้านใหม่ให้พี่น้อง คืนสายคลองให้ส่วนรวม ที่ชุมชนประชาร่วมใจ 2 เขตหลักสี่ กทม. ในวันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563 นับเป็นความร่วมมือของ ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพัฒนาคลองเปรมประชากรให้เป็นไปตามแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2562 โดยในวันนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางลงพื้นที่เพื่อเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพินิจ บุญเลิศ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และพลโท ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมด้วยผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะ จะลงเรือตรวจเยี่ยมพื้นที่จากท่าเรือวัดเสมียนนารี เขตจตุจักร ไปยังชุมชนประชาร่วมใจ 2 เขตจตุจักร เพื่อทําพิธียกเสาเอกสร้างบ้านใหม่ให้แก่ประชาชนที่รื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวคลองเปรมประชากร อีกทั้งมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ เนื้อที่ 10 ไร่เศษ และมอบใบอนุญาตก่อสร้างบ้าน 210 หลัง ให้แก่ผู้แทนชุมชนประชาร่วมใจ 2 นายธนัช กล่าวต่อไปว่า ชุมชนประชาร่วมใจ 2 ถือเป็นชุมชนแห่งแรกในคลองเปรมประชากรที่ชาวชุมชนร่วมใจกันรื้อย้าย บ้านเรือนออกจากแนวคลอง เพื่อให้รัฐบาลดําเนินการพัฒนาคลองเปรมประชากรทั้งระบบ โดยมีชุมชนที่เข้าร่วมทั้งหมด 32 ชุมชน ในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และ 6 หมู่บ้านในพื้นที่เขตจังหวัดปทุมธานี รวมทั้งหมด 6,386 ครัวเรือน ซึ่งชุมชนทั้งหมดที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาคลองเปรมประชากร จะต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวคลองและแนวก่อสร้างเขื่อนระบายน้ํา และปรับผังชุมชนเพื่อก่อสร้างบ้านและชุมชนใหม่ในที่ดินเดิม ซึ่งชุมชนจะต้องรวมตัวกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์เคหสถานเพื่อให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลและร่วมกันบริหารจัดการโครงการฯ โดยทําสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุจากกรมธนารักษ์อย่างถูกต้อง เป็นระยะเวลาเช่าช่วงแรก 30 ปีในอัตรา ค่าเช่าผ่อนปรน ส่งผลให้มีการเปลี่ยนสถานะจากผู้บุกรุกเป็นชุมชนที่เช่าที่ดินอย่างถูกกฎหมาย ซึ่ง พอช.จะให้การสนับงบประมาณแก่ชุมชนดําเนินการภายในปี 2563 - 2564 โดยคาดการณ์ว่าจะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 3,514.46 ล้านบาท แบ่งออกเป็น งบสนับสนุนประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 1,215.50 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อปลูกสร้างบ้าน 2,298.96 ล้านบาท นายปาลิน กล่าวว่า นอกจากนี้ พอช. ได้กําหนดจัดงาน พลังสวัสดิการชุมชน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2020 ระหว่างวันที่ 14-15 มกราคม 2563 ณ ห้องประชุมไพบูลย์วัฒนศิริธรรม ชั้น 1 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เขตบางกะปิ กทม. โดยมีการลงนามความร่วมมือร่วมกันระหว่างองค์กรภาคีเครือข่าย 4 องค์กร ได้แก่ 1) เครือข่ายสวัสดิการชุมชน 2) พอช. 3) สถาบันพระปกเกล้า และ 4) วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อน ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมสวัสดิการของชุมชน พ.ศ...... เป็นเป้าหมายในการยกระดับสวัสดิการชุมชนให้เข้มแข็ง โดยมีกฎหมายรองรับให้เป็นระบบหนึ่งของสวัสดิการสังคมของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2561 หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของ ปวงชนชาวไทย มาตรา 43 ที่ระบุว่า บุคคลและชุมชนมีสิทธิ (4) จัดให้มีระบบสวัสดิการของชุมชน สิทธิการจัดให้มีระบบสวัสดิการของชุมชน หมายรวมถึงสิทธิที่จะร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือรัฐในการดําเนินการดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ยังมีการเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมระบบสวัสดิการของชุมชนแห่งชาติ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. เป็นประธาน ทําหน้าที่เสนอแนะและให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีด้านนโยบายการจัดสวัสดิการของชุมชน สร้างความร่วมมือกับ ภาคีเครือข่าย รวมทั้งมีมาตรการส่งเสริม สนับสนุนการจัดตั้งและพัฒนาความเข้มแข็งของกองทุนสวัสดิการชุมชน เป็นต้น นายปาลิน กล่าวต่อไปว่า สําหรับการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เกิดจากกลุ่มและองค์กรชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ได้รวมตัวกันจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนในระดับตําบล เพื่อนําเงินกองทุนมาช่วยเหลือกันตั้งแต่ปี 2548 ด้วยแนวคิดหลักคือ การให้อย่างมีคุณค่าและรับอย่างมีศักดิ์ศรี โดยสมาชิกกองทุนจะต้องสมทบเงิน วันละ 1 บาท หรือปีละ 365 บาท โดยมีองค์กรปกครองท้องถิ่นและหน่วยงานรัฐ เช่น พอช. ร่วมสมทบเงินเข้ากองทุนในสัดส่วน 1 ต่อ 1 และได้เปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามาสนับสนุนกิจการของกองทุนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและสังคมในด้านต่างๆ ทั้งนี้ ปัจจุบัน มีการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนตําบล ทั่วประเทศแล้ว 5,997 กองทุน มีสมาชิกรวมกัน 5,911,137 คน มีหมู่บ้านที่ร่วมจัดตั้งกองทุน 52,784 หมู่บ้าน มีเงินกองทุนรวมกัน 15,987 ล้านบาท และมีการช่วยเหลือสมาชิกตั้งแต่เกิดจนตาย จํานวน 2,024,788 คน รวมเป็นเงินกว่า 2,100 ล้านบาท นายปาลิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายในงานยังมีกิจกรรมสําคัญ ได้แก่ นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้ามาให้ความรู้เรื่องกระบวนการและขั้นตอนในการเสนอ (ร่าง) กฎหมายโดยการเข้าชื่อของประชาชน การนําร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวมาให้ผู้แทนกองทุนสวัสดิการชุมชนทั่วประเทศได้พิจารณาเพื่อให้ความเห็นและแก้ไขเพิ่มเติม การพิจารณารางวัลองค์กรสวัสดิการชุมชน ผู้สรรค์สร้างความมั่นคงของมนุษย์ตามแนวคิดของศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ประจําปี 2563 สําหรับปีนี้ มีกองทุนที่ผ่านการกลั่นกรองระดับภาคแล้ว จํานวน 36 กองทุน โดยมีการมอบรางวัลให้กับกองทุนที่มีผลงานดีเด่น 10 ด้าน อาทิ ด้านการสร้างครอบครัวอบอุ่น การส่งเสริมดูแลสุขภาพ และการดูแลเด็กและเยาวชน เป็นต้น โดยจะมีพิธีมอบรางวัลในวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิด ดร.ป๋วย ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. แถลงนายกรัฐมนตรีเตรียมลงเรือล่องคลองเปรมประชากร ตรวจเยี่ยมการพัฒนาชุมชนริมคลอง พร้อมด้วยการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 และงาน "พลังสวัสดิการชุมชน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2020" วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2563 พม. แถลงนายกรัฐมนตรีเตรียมลงเรือล่องคลองเปรมประชากร ตรวจเยี่ยมการพัฒนาชุมชนริมคลอง พร้อมด้วยการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 และงาน "พลังสวัสดิการชุมชน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2020" พม. แถลงนายกรัฐมนตรีเตรียมลงเรือล่องคลองเปรมประชากร ตรวจเยี่ยมการพัฒนาชุมชนริมคลอง พร้อมด้วยการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2563 และงาน "พลังสวัสดิการชุมชน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2020" วันนี้ (9 ม.ค. 63) เวลา 13.30 น. ที่บริเวณโถงชั้น 1 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นางเทพวัลย์ ภรณวลัย รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน นายธนัช นฤพรพงศ์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) และ นายปาลิน ธํารงรัตนศิลป์ คณะทํางานติดตามและพัฒนากองทุนสวัสดิการชุมชน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ร่วมแถลงข่าวการดําเนินงานตามภารกิจสําคัญของกระทรวง พม. ดังนี้ 1) การจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ประจําปี 2563 2) การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนคลองเปรมประชากร และ 3) การพัฒนากองทุนสวัสดิการชุมชน ยกระดับการยกร่างกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมระบบสวัสดิการชุมชน โดยมี นายแฉล้ม ทองเกลา ผู้อํานวยการกองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สํานักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมันคงของมนุษย์ เป็นผู้ดําเนินการแถลงข่าว นางเทพวัลย์ กล่าวว่า ด้วยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2507 กําหนดให้วันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ โดยมีหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมจัดกิจกรรมดังกล่าว และในปี 2563 พลเอกประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้คําขวัญเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ปี 2563 ว่า เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย โดยใช้ ฮีโร่ตัวจิ๋ว เป็นตราสัญลักษณ์ในการจัดงานวันเด็กแห่งชาติต่อเนื่องกันเป็นเวลา 5 ปี ระหว่างปี 2561 - 2565 ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้รับมอบหมายให้ดําเนินการจัดงานวันเด็กแห่งชาติเป็นประจําทุกปีในภาพรวมของกระทรวง พม. ร่วมกับหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ภายใต้แนวคิด สุดยอดเด็กไทย ประกอบด้วย 3 เรื่อง คือ 1) พลเมืองเด็กดี 2) เด็กยุคดิจิตอล และ 3) เด็กรักสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาตนเอง ผ่านการเรียนรู้จากกิจกรรมควบคู่ไปกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน ทําให้เด็กกล้าคิด กล้าแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ และเหมาะสมตามวัย สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคมในปัจจุบัน ซึ่งจะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม 2563 เวลา 07.30 - 15.30 น. ณ ภายในบริเวณสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ซึ่งมีกิจกรรมที่สําคัญ ประกอบด้วย 1) โซนกิจกรรมสร้างสรรค์ (KID THINK) ประกอบด้วยกิจกรรมจากหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. การแสดงความสามารถของนักฟุตบอลเยาวชนจากสถานสงเคราะห์เยาวชนมูลนิธิมหาราชและสถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี 2) โซนกิจกรรมภาคเอกชนและองค์กรเครือข่าย ประกอบด้วย กิจกรรมจาก บริษัท ซี พี แรม จํากัด บริษัท ธนชาติโบรกเกอร์ จํากัด บริษัท ไทยน้ําทิพย์ จํากัด มูลนิธิลมมายใจไร้มลทิน บริษัท แลคตาซอย จํากัด และสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 3) โซนกิจกรรมกลางแจ้ง (HAPPY KID) ประกอบด้วยเครื่องเล่นสําหรับเด็ก ได้แก่ ผาจําลองบ้านลม รถไฟเด็ก และปีนผาจําลอง 4) โซนกิจกรรมบนเวที (KID STAGE) ประกอบด้วย การแสดงบนเวทีของเด็กในสถานรองรับสังกัดกระทรวง พม. สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ตัวแทนเครือข่ายเด็กและเยาวชน และศิลปินนักร้อง อาทิ ใบเฟิร์น ไมค์ทองคํา และเอ อภิรักษ์ ไมค์ทองคํา และ 5) โซนอาหารและเครื่องดื่ม บริการฟรีสําหรับเด็กและผู้ปกครอง เช่น ไส้กรอก เฟรนฟราย ลูกชิ้นทอด และข้าวผัด เป็นต้น นายธนัช กล่าวว่า สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ได้กําหนดจัดงาน คืนบ้านใหม่ให้พี่น้อง คืนสายคลองให้ส่วนรวม ที่ชุมชนประชาร่วมใจ 2 เขตหลักสี่ กทม. ในวันจันทร์ที่ 13 มกราคม 2563 นับเป็นความร่วมมือของ ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพัฒนาคลองเปรมประชากรให้เป็นไปตามแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานระบบคลองและการพัฒนาชุมชนริมคลองเปรมประชากร ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2562 โดยในวันนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางลงพื้นที่เพื่อเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พลตํารวจเอก อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพินิจ บุญเลิศ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี และพลโท ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมด้วยผู้บริหารและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะ จะลงเรือตรวจเยี่ยมพื้นที่จากท่าเรือวัดเสมียนนารี เขตจตุจักร ไปยังชุมชนประชาร่วมใจ 2 เขตจตุจักร เพื่อทําพิธียกเสาเอกสร้างบ้านใหม่ให้แก่ประชาชนที่รื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวคลองเปรมประชากร อีกทั้งมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ เนื้อที่ 10 ไร่เศษ และมอบใบอนุญาตก่อสร้างบ้าน 210 หลัง ให้แก่ผู้แทนชุมชนประชาร่วมใจ 2 นายธนัช กล่าวต่อไปว่า ชุมชนประชาร่วมใจ 2 ถือเป็นชุมชนแห่งแรกในคลองเปรมประชากรที่ชาวชุมชนร่วมใจกันรื้อย้าย บ้านเรือนออกจากแนวคลอง เพื่อให้รัฐบาลดําเนินการพัฒนาคลองเปรมประชากรทั้งระบบ โดยมีชุมชนที่เข้าร่วมทั้งหมด 32 ชุมชน ในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และ 6 หมู่บ้านในพื้นที่เขตจังหวัดปทุมธานี รวมทั้งหมด 6,386 ครัวเรือน ซึ่งชุมชนทั้งหมดที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาคลองเปรมประชากร จะต้องรื้อย้ายบ้านเรือนออกจากแนวคลองและแนวก่อสร้างเขื่อนระบายน้ํา และปรับผังชุมชนเพื่อก่อสร้างบ้านและชุมชนใหม่ในที่ดินเดิม ซึ่งชุมชนจะต้องรวมตัวกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์เคหสถานเพื่อให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลและร่วมกันบริหารจัดการโครงการฯ โดยทําสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุจากกรมธนารักษ์อย่างถูกต้อง เป็นระยะเวลาเช่าช่วงแรก 30 ปีในอัตรา ค่าเช่าผ่อนปรน ส่งผลให้มีการเปลี่ยนสถานะจากผู้บุกรุกเป็นชุมชนที่เช่าที่ดินอย่างถูกกฎหมาย ซึ่ง พอช.จะให้การสนับงบประมาณแก่ชุมชนดําเนินการภายในปี 2563 - 2564 โดยคาดการณ์ว่าจะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 3,514.46 ล้านบาท แบ่งออกเป็น งบสนับสนุนประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 1,215.50 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อปลูกสร้างบ้าน 2,298.96 ล้านบาท นายปาลิน กล่าวว่า นอกจากนี้ พอช. ได้กําหนดจัดงาน พลังสวัสดิการชุมชน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2020 ระหว่างวันที่ 14-15 มกราคม 2563 ณ ห้องประชุมไพบูลย์วัฒนศิริธรรม ชั้น 1 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เขตบางกะปิ กทม. โดยมีการลงนามความร่วมมือร่วมกันระหว่างองค์กรภาคีเครือข่าย 4 องค์กร ได้แก่ 1) เครือข่ายสวัสดิการชุมชน 2) พอช. 3) สถาบันพระปกเกล้า และ 4) วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อน ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมสวัสดิการของชุมชน พ.ศ...... เป็นเป้าหมายในการยกระดับสวัสดิการชุมชนให้เข้มแข็ง โดยมีกฎหมายรองรับให้เป็นระบบหนึ่งของสวัสดิการสังคมของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2561 หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของ ปวงชนชาวไทย มาตรา 43 ที่ระบุว่า บุคคลและชุมชนมีสิทธิ (4) จัดให้มีระบบสวัสดิการของชุมชน สิทธิการจัดให้มีระบบสวัสดิการของชุมชน หมายรวมถึงสิทธิที่จะร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือรัฐในการดําเนินการดังกล่าวด้วย นอกจากนี้ ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ยังมีการเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมระบบสวัสดิการของชุมชนแห่งชาติ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พม. เป็นประธาน ทําหน้าที่เสนอแนะและให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีด้านนโยบายการจัดสวัสดิการของชุมชน สร้างความร่วมมือกับ ภาคีเครือข่าย รวมทั้งมีมาตรการส่งเสริม สนับสนุนการจัดตั้งและพัฒนาความเข้มแข็งของกองทุนสวัสดิการชุมชน เป็นต้น นายปาลิน กล่าวต่อไปว่า สําหรับการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เกิดจากกลุ่มและองค์กรชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ได้รวมตัวกันจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนในระดับตําบล เพื่อนําเงินกองทุนมาช่วยเหลือกันตั้งแต่ปี 2548 ด้วยแนวคิดหลักคือ การให้อย่างมีคุณค่าและรับอย่างมีศักดิ์ศรี โดยสมาชิกกองทุนจะต้องสมทบเงิน วันละ 1 บาท หรือปีละ 365 บาท โดยมีองค์กรปกครองท้องถิ่นและหน่วยงานรัฐ เช่น พอช. ร่วมสมทบเงินเข้ากองทุนในสัดส่วน 1 ต่อ 1 และได้เปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามาสนับสนุนกิจการของกองทุนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและสังคมในด้านต่างๆ ทั้งนี้ ปัจจุบัน มีการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนตําบล ทั่วประเทศแล้ว 5,997 กองทุน มีสมาชิกรวมกัน 5,911,137 คน มีหมู่บ้านที่ร่วมจัดตั้งกองทุน 52,784 หมู่บ้าน มีเงินกองทุนรวมกัน 15,987 ล้านบาท และมีการช่วยเหลือสมาชิกตั้งแต่เกิดจนตาย จํานวน 2,024,788 คน รวมเป็นเงินกว่า 2,100 ล้านบาท นายปาลิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายในงานยังมีกิจกรรมสําคัญ ได้แก่ นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้ามาให้ความรู้เรื่องกระบวนการและขั้นตอนในการเสนอ (ร่าง) กฎหมายโดยการเข้าชื่อของประชาชน การนําร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวมาให้ผู้แทนกองทุนสวัสดิการชุมชนทั่วประเทศได้พิจารณาเพื่อให้ความเห็นและแก้ไขเพิ่มเติม การพิจารณารางวัลองค์กรสวัสดิการชุมชน ผู้สรรค์สร้างความมั่นคงของมนุษย์ตามแนวคิดของศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ประจําปี 2563 สําหรับปีนี้ มีกองทุนที่ผ่านการกลั่นกรองระดับภาคแล้ว จํานวน 36 กองทุน โดยมีการมอบรางวัลให้กับกองทุนที่มีผลงานดีเด่น 10 ด้าน อาทิ ด้านการสร้างครอบครัวอบอุ่น การส่งเสริมดูแลสุขภาพ และการดูแลเด็กและเยาวชน เป็นต้น โดยจะมีพิธีมอบรางวัลในวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิด ดร.ป๋วย ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25692
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​แนวทางรับมือสถานการณ์ภัยแล้ง
วันพุธที่ 8 มกราคม 2563 ​แนวทางรับมือสถานการณ์ภัยแล้ง วันพุธที่ 8 มกราคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยสถานการณ์ภัยแล้งที่คาดว่าจะมีความรุนแรงมากกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณฝนที่ตกน้อยลง โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาพร้อมให้ข้อมูลเกษตรกรเพื่อระมัดระวังการเพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพิจารณาแนวทางช่วยเหลือ และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เช่น การขุดบ่อน้ําบาดาล จัดหาแหล่งน้ําสํารอง ตั้งจุดแจกจ่ายน้ําประปา จ้างงานหาอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกร และประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือให้ทุกคนใช้น้ําอย่างประหยัด เพื่อก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ​ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​แนวทางรับมือสถานการณ์ภัยแล้ง วันพุธที่ 8 มกราคม 2563 ​แนวทางรับมือสถานการณ์ภัยแล้ง วันพุธที่ 8 มกราคม 2563 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยสถานการณ์ภัยแล้งที่คาดว่าจะมีความรุนแรงมากกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณฝนที่ตกน้อยลง โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาพร้อมให้ข้อมูลเกษตรกรเพื่อระมัดระวังการเพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพิจารณาแนวทางช่วยเหลือ และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เช่น การขุดบ่อน้ําบาดาล จัดหาแหล่งน้ําสํารอง ตั้งจุดแจกจ่ายน้ําประปา จ้างงานหาอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกร และประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจและขอความร่วมมือให้ทุกคนใช้น้ําอย่างประหยัด เพื่อก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ​ ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25657
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล”
วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม 2560 ปลัด พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” ปลัด พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” พร้อมชูชุมชนแก้วนิมิตรเป็นชุมชนตัวอย่าง ตามแนวทาง “ประชารัฐ” หลังรื้อย้ายแล้วก่อสร้างชุมชนใหม่ 98 หลัง วันนี้ (1 ก.ค.60) เวลา 09.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย “ปทุมธานีโมเดล” ชุมชนแก้วนิมิตร ซึ่งเป็นชุมชนแรกที่เข้าร่วมโครงการ และได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เพื่อจัดซื้อที่ดินและสร้างบ้านใหม่ จํานวน 98 หลังคาเรือน (100 ครอบครัว) ซึ่งเริ่มก่อสร้างบ้านตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2559 ปัจจุบัน การก่อสร้างบ้านใหม่เกือบแล้วเสร็จทั้งโครงการ ณ ชุมชนแก้วนิมิตร ตําบลคลองหนึ่ง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี นายไมตรี กล่าวว่า ชุมชนแก้วนิมิตร เดิมปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ริมคลองหนึ่ง ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป เมื่อรัฐบาลมีโครงการแก้ไขปัญหาชุมชนที่รุกล้ําลําคลองสาธารณะในจังหวัดปทุมธานี โดยเฉพาะในบริเวณริมคลองหนึ่ง ชุมชนแก้วนิมิตรเป็นชุมชนแรกที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย “ปทุมธานีโมเดล” โดยรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ และในเวลาต่อมาได้จัดตั้งเป็นสหกรณ์เคหสถาน ใช้ชื่อว่า “สหกรณ์บ้านมั่นคงไทยมุสลิมสามัคคี จํากัด” มีสมาชิกจํานวน 100 ครัวเรือน จัดซื้อที่ดินแปลงใหม่ขนาด 5 ไร่ 42 ตารางวา (อยู่ห่างจากชุมชนเดิมประมาณ 5 กิโลเมตร) เพื่อก่อสร้างบ้านใหม่จํานวน 98 หลังคาเรือน (100 ครอบครัว) ทั้งนี้ พอช. ได้สนับสนุนการจัดสร้างบ้านใหม่ โดยมีแบบบ้านทั้งหมด 3 แบบ คือ 1) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 56 ตารางเมตร 2) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 63 ตารางเมตร และ 3) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 77 ตารางเมตร ซึ่งราคาก่อสร้างพร้อมที่ดินต่อหลังประมาณ 272,000 - 295,000 บาท ระยะเวลาผ่อนส่ง 15 ปี อัตราผ่อนส่งเดือนละ 2,500 - 3,000 บาท นายไมตรี กล่าวต่อไปว่า พอช. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่อยู่อาศัยปทุมธานีโมเดล (ศปก.ทปม.) เพื่อบูรณาการดําเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาและจัดสร้างบ้านมั่นคงรองรับชาวบ้านริมคลองในจังหวัดปทุมธานี จํานวน 16 ชุมชน รวม 1,084 ครัวเรือน โดย ศปก.ทปม. มีแผนรองรับเรื่องที่อยู่อาศัยของชาวบ้านอยู่ที่รุกล้ําลําคลอง 4 แนวทาง คือ แนวทางที่ 1 จัดทําโครงการบ้านมั่นคงในที่ดินราชพัสดุบริเวณคลองเชียงรากใหญ่ พื้นที่ 30 ไร่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบผังชุมชนและออกแบบบ้าน เบื้องต้นมีชาวบ้านที่จะเข้าร่วมจํานวน 289 ครัวเรือน แนวทางที่ 2 พัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิม รวม 65 ครัวเรือน แนวทางที่ 3 จัดซื้อที่ดินแปลงใหม่จากเอกชน เพื่อสร้าง บ้าน รองรับชาวบ้าน จํานวน 129 ครัวเรือน เช่น ชุมชนแก้วนิมิตร ซื้อที่ดินเนื้อที่ 5 ไร่เศษ ขณะนี้ การสร้างบ้าน 98 หลังคาเรือน (100 ครัวเรือน) ใกล้จะแล้วเสร็จทั้งชุมชน และ แนวทางที่ 4 เช่าหรือซื้ออาคารในโครงการที่มีอยู่แล้ว “ชุมชนแก้วนิมิตร เป็นชุมชนตัวอย่างที่ชาวชุมชนให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการจัดระเบียบชุมชนที่ปลูกสร้างบ้านเรือนรุกล้ําลําคลอง ซึ่งถือว่าเป็นการคืนคลองให้แก่สังคม เพื่อให้การระบายน้ําคล่องตัว น้ําในคลองไหลได้สะดวก เพราะไม่มีบ้านเรือนตั้งขวางทางเดินของน้ํา สภาพแวดล้อมในคลองจะกลับคืนมา ขณะเดียวกันพี่น้องจะได้มีที่อยู่อาศัยใหม่เป็นของตนเองอย่างมั่นคงถาวรและปลอดภัย ด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อการอยู่อาศัยอย่างมีความสุขในระยะยาว” นายไมตรี กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” วันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม 2560 ปลัด พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” ปลัด พม. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการ “ปทุมธานีโมเดล” พร้อมชูชุมชนแก้วนิมิตรเป็นชุมชนตัวอย่าง ตามแนวทาง “ประชารัฐ” หลังรื้อย้ายแล้วก่อสร้างชุมชนใหม่ 98 หลัง วันนี้ (1 ก.ค.60) เวลา 09.00 น. นายณรงค์ คงคํา โฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า นายไมตรี อินทุสุต ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยมความคืบหน้าโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย “ปทุมธานีโมเดล” ชุมชนแก้วนิมิตร ซึ่งเป็นชุมชนแรกที่เข้าร่วมโครงการ และได้รับการสนับสนุนสินเชื่อจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เพื่อจัดซื้อที่ดินและสร้างบ้านใหม่ จํานวน 98 หลังคาเรือน (100 ครอบครัว) ซึ่งเริ่มก่อสร้างบ้านตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2559 ปัจจุบัน การก่อสร้างบ้านใหม่เกือบแล้วเสร็จทั้งโครงการ ณ ชุมชนแก้วนิมิตร ตําบลคลองหนึ่ง อําเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี นายไมตรี กล่าวว่า ชุมชนแก้วนิมิตร เดิมปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ริมคลองหนึ่ง ชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป เมื่อรัฐบาลมีโครงการแก้ไขปัญหาชุมชนที่รุกล้ําลําคลองสาธารณะในจังหวัดปทุมธานี โดยเฉพาะในบริเวณริมคลองหนึ่ง ชุมชนแก้วนิมิตรเป็นชุมชนแรกที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย “ปทุมธานีโมเดล” โดยรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ และในเวลาต่อมาได้จัดตั้งเป็นสหกรณ์เคหสถาน ใช้ชื่อว่า “สหกรณ์บ้านมั่นคงไทยมุสลิมสามัคคี จํากัด” มีสมาชิกจํานวน 100 ครัวเรือน จัดซื้อที่ดินแปลงใหม่ขนาด 5 ไร่ 42 ตารางวา (อยู่ห่างจากชุมชนเดิมประมาณ 5 กิโลเมตร) เพื่อก่อสร้างบ้านใหม่จํานวน 98 หลังคาเรือน (100 ครอบครัว) ทั้งนี้ พอช. ได้สนับสนุนการจัดสร้างบ้านใหม่ โดยมีแบบบ้านทั้งหมด 3 แบบ คือ 1) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 56 ตารางเมตร 2) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 63 ตารางเมตร และ 3) บ้านแฝดสองชั้น ขนาด 77 ตารางเมตร ซึ่งราคาก่อสร้างพร้อมที่ดินต่อหลังประมาณ 272,000 - 295,000 บาท ระยะเวลาผ่อนส่ง 15 ปี อัตราผ่อนส่งเดือนละ 2,500 - 3,000 บาท นายไมตรี กล่าวต่อไปว่า พอช. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการที่อยู่อาศัยปทุมธานีโมเดล (ศปก.ทปม.) เพื่อบูรณาการดําเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาและจัดสร้างบ้านมั่นคงรองรับชาวบ้านริมคลองในจังหวัดปทุมธานี จํานวน 16 ชุมชน รวม 1,084 ครัวเรือน โดย ศปก.ทปม. มีแผนรองรับเรื่องที่อยู่อาศัยของชาวบ้านอยู่ที่รุกล้ําลําคลอง 4 แนวทาง คือ แนวทางที่ 1 จัดทําโครงการบ้านมั่นคงในที่ดินราชพัสดุบริเวณคลองเชียงรากใหญ่ พื้นที่ 30 ไร่ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการออกแบบผังชุมชนและออกแบบบ้าน เบื้องต้นมีชาวบ้านที่จะเข้าร่วมจํานวน 289 ครัวเรือน แนวทางที่ 2 พัฒนาที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิม รวม 65 ครัวเรือน แนวทางที่ 3 จัดซื้อที่ดินแปลงใหม่จากเอกชน เพื่อสร้าง บ้าน รองรับชาวบ้าน จํานวน 129 ครัวเรือน เช่น ชุมชนแก้วนิมิตร ซื้อที่ดินเนื้อที่ 5 ไร่เศษ ขณะนี้ การสร้างบ้าน 98 หลังคาเรือน (100 ครัวเรือน) ใกล้จะแล้วเสร็จทั้งชุมชน และ แนวทางที่ 4 เช่าหรือซื้ออาคารในโครงการที่มีอยู่แล้ว “ชุมชนแก้วนิมิตร เป็นชุมชนตัวอย่างที่ชาวชุมชนให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการจัดระเบียบชุมชนที่ปลูกสร้างบ้านเรือนรุกล้ําลําคลอง ซึ่งถือว่าเป็นการคืนคลองให้แก่สังคม เพื่อให้การระบายน้ําคล่องตัว น้ําในคลองไหลได้สะดวก เพราะไม่มีบ้านเรือนตั้งขวางทางเดินของน้ํา สภาพแวดล้อมในคลองจะกลับคืนมา ขณะเดียวกันพี่น้องจะได้มีที่อยู่อาศัยใหม่เป็นของตนเองอย่างมั่นคงถาวรและปลอดภัย ด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อการอยู่อาศัยอย่างมีความสุขในระยะยาว” นายไมตรี กล่าวในตอนท้าย
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/4938
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกฯ ไตรศุลีฯ เผยประธานาธิบดีสหรัฐฯ แจงลิสต์ประเทศไทยมีระบบป้องกันดีที่สุดอันดับ 6 ของโลก
วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 รองโฆษกฯ ไตรศุลีฯ เผยประธานาธิบดีสหรัฐฯ แจงลิสต์ประเทศไทยมีระบบป้องกันดีที่สุดอันดับ 6 ของโลก รองโฆษกฯ ไตรศุลีฯ เผยประธานาธิบดีสหรัฐฯ แจงลิสต์ประเทศไทยมีระบบป้องกันดีที่สุดอันดับ 6 ของโลก วันที่ 27 ก.พ. 2563 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา โดยเปิดเผยรายงานจากมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ ได้รับการจัดอันดับทุกประเทศในโลก โดยให้เป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งด้านความมั่นคงด้านสุขภาพ (Health security) ประเทศไทยติดท็อปเท็นเป็นอันดับที่ 6 จากทั้งหมด 195 ประเทศ และเป็นประเทศกําลังพัฒนาประเทศเดียวที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับท็อปเท็นของโลกอันดับที่ 1 ในเอเชีย สําหรับประเทศที่มีความพร้อมในการเตรียมตัวรับมือโรคระบาดดีที่สุดในโลก และมีระบบการป้องกันการติดเชื้อที่ดีที่สุดอย่างรอบคอบ สะท้อนถึงความสามารถของไทยในการรับมือโรคระบาด ทําให้ไทยในขณะนี้ยังไม่เข้าสู่การแพร่ระบาดระดับ 3 และคนไทยติดเชื้อน้อยมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลก น.ส.ไตรศุลี กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ถูกประกาศให้เป็นโรคติดต่ออันตรายลําดับที่ 14 โดยขอความร่วมมือบุคคลที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงให้กักตัวเองอย่างน้อย 14 วัน ปิดกั้นการเกิด Super Spread มั่นใจทุกคนสามารถร่วมรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกฯ ไตรศุลีฯ เผยประธานาธิบดีสหรัฐฯ แจงลิสต์ประเทศไทยมีระบบป้องกันดีที่สุดอันดับ 6 ของโลก วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 รองโฆษกฯ ไตรศุลีฯ เผยประธานาธิบดีสหรัฐฯ แจงลิสต์ประเทศไทยมีระบบป้องกันดีที่สุดอันดับ 6 ของโลก รองโฆษกฯ ไตรศุลีฯ เผยประธานาธิบดีสหรัฐฯ แจงลิสต์ประเทศไทยมีระบบป้องกันดีที่สุดอันดับ 6 ของโลก วันที่ 27 ก.พ. 2563 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา โดยเปิดเผยรายงานจากมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ ได้รับการจัดอันดับทุกประเทศในโลก โดยให้เป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งด้านความมั่นคงด้านสุขภาพ (Health security) ประเทศไทยติดท็อปเท็นเป็นอันดับที่ 6 จากทั้งหมด 195 ประเทศ และเป็นประเทศกําลังพัฒนาประเทศเดียวที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับท็อปเท็นของโลกอันดับที่ 1 ในเอเชีย สําหรับประเทศที่มีความพร้อมในการเตรียมตัวรับมือโรคระบาดดีที่สุดในโลก และมีระบบการป้องกันการติดเชื้อที่ดีที่สุดอย่างรอบคอบ สะท้อนถึงความสามารถของไทยในการรับมือโรคระบาด ทําให้ไทยในขณะนี้ยังไม่เข้าสู่การแพร่ระบาดระดับ 3 และคนไทยติดเชื้อน้อยมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในโลก น.ส.ไตรศุลี กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ถูกประกาศให้เป็นโรคติดต่ออันตรายลําดับที่ 14 โดยขอความร่วมมือบุคคลที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงให้กักตัวเองอย่างน้อย 14 วัน ปิดกั้นการเกิด Super Spread มั่นใจทุกคนสามารถร่วมรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26786
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้วโครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ปี 6 อัดฉีดเพิ่มทุนประเดิม รวมมูลค่ากว่า 3 ลบ. พร้อมเปิดตัว 10 กูรูคนรุ่นใหม่แนะแนวธุรกิจ
วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2561 เริ่มแล้วโครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ปี 6 อัดฉีดเพิ่มทุนประเดิม รวมมูลค่ากว่า 3 ลบ. พร้อมเปิดตัว 10 กูรูคนรุ่นใหม่แนะแนวธุรกิจ ออมสินเปิดตัวโครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ปี 6 ภายใต้แนวคิด SMEs Startup Wow! “ทําได้เลย ทําได้เร็ว ทําได้จริง” อัดฉีดทุนประเดิมมากขึ้น มูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท ออมสินเปิดตัวโครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ปี 6 ภายใต้แนวคิด SMEs Startup Wow! “ทําได้เลย ทําได้เร็ว ทําได้จริง” อัดฉีดทุนประเดิมมากขึ้น มูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท สร้างมิติใหม่จัด 10 กูรูธุรกิจคนรุ่นใหม่ร่วมให้คําปรึกษาตลอดโครงการ เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ หมดเขตส่งแผนงาน 10 ส.ค.ศกนี้ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้เปิดตัวโครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ภายใต้แนวคิด SMEs Startup Wow! “ทําได้เลย ทําได้เร็ว ทําได้จริง” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 เพื่อเป็นเวทีสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ SMEs หรือ Startup ที่มีอายุไม่เกิน 35 ปี นําเสนอแนวคิดธุรกิจที่มีความโดดเด่น แตกต่าง สร้างสรรค์ไอเดียธุรกิจ เพื่อชิงเงินทุนประเดิมมูลค่ารวมกว่า 3,000,000 บาท เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 10 สิงหาคม และมีกําหนดวันนําเสนอผลงานและประกาศผลรอบชิงชนะเลิศปลายเดือนตุลาคม 2561 ซึ่งในปีนี้ นอกจากจะมีการเพิ่มทุนประเดิม หรือเงินรางวัลมากขึ้นแล้ว ยังมีการคัดเลือก สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง หรือแบ่งประเภทสายงานธุรกิจให้มีความชัดเจนและบูรณาการมากยิ่งขึ้น ได้แก่ ด้านนวัตกรรมต้นแบบ(Prototype) และแนวคิดนวัตกรรม(Idea) เป็นต้น “โครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ภายใต้แนวคิด SMEs Startup Wow! “ทําได้เลย ทําได้เร็ว ทําได้จริง” เป็นเวทีแห่งโอกาสที่ธนาคารออมสินมุ่งส่งเสริมให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ธุรกิจ ที่มีความโดดเด่น แตกต่าง นําเสนอแผนงานเข้ามา เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะเพิ่มโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ โดยธนาคาร ออมสินพร้อมส่งเสริมทุกด้าน ทั้งการเข้าสู่กระบวนการบ่มเพาะธุรกิจ สนับสนุนองค์ความรู้ที่จะได้รับจากการสัมมนาให้ความรู้ทางธุรกิจ มีการจัดบิสนิเนส แมทชิ่ง ที่อาจนําไปสู่การจับมือทางธุรกิจ ไปจนถึงการร่วมลงทุนผ่าน VC (Venture Capital) ของธนาคารฯ ที่พร้อมสนับสนุนด้านสินเชื่ออย่างเต็มที่ นับเป็นการสนองนโยบายที่รัฐบาลมอบหมายให้เป็นหน่วยงานที่ช่วยเหลือดูแลผู้ประกอบการวิสาหกิจรายกลางและรายย่อย หรือ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อความแข็งแรงที่จะสามารถแข่งขันในตลาดได้ ทั้งนี้ จากการรวบรวมสถิติจาก 5 ปีที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากผู้สมัครทั่วประเทศรวมแล้วกว่า 6,127 ทีม คิดเป็นจํานวนผู้เข้าร่วมกว่า 13,342 คน และมีผู้ที่สนใจติดตามโครงการมากกว่า 107,000 คน และตัวเลขจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป” ผู้อํานวยการธนาคารออมสินกล่าว โครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ปีที่ 6 มีรางวัลเป็นทุนประเดิมมูลค่ารวมสูงถึง 3,000,000 บาท ประกอบด้วย ผลงานชนะเลิศ ได้รับเงินทุนประเดิม 1,000,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 ผลงานละ 500,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 2 ผลงานละ 200,000 บาท รางวัลชมเชย 7 ผลงาน ซึ่งปีนี้มีการเพิ่มทุนประเดิมเป็นผลงานละ 100,000 บาท (จากเดิม 50,000 บาท) ส่วนผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 100 ผลงาน ได้รับทุนประเดิมผลงานละ 5,000 บาท นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มรางวัลพิเศษอีกสําหรับปีนี้ คือ ผลงานสุดยอดนวัตกรรมต้นแบบ (Prototype) จํานวน 3 ผลงาน ผลงานละ 50,000 บาท และ ผลงานสุดยอดแนวคิดทางด้านนวัตกรรม (Idea) 3 ผลงาน ผลงานละ 30,000 บาท นอกจากเงินทุนที่จะนําไปต่อยอดธุรกิจ รวมถึงการอบรมความรู้ทางธุรกิจ สําหรับผู้เข้ารอบ 100 ผลงาน และการติวเข้มสําหรับผู้เข้ารอบ 10 ผลงานสุดท้าย (Guru Coaching 1 กูรูต่อ 1 ทีม) ซึ่งทั้ง 10 ทีมยังจะได้เข้าร่วมโปรแกรมเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ต่างประเทศ เพื่อเพิ่มประสบการณ์และเตรียมความพร้อมในเป็นผู้ประกอบการต่อไป ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูล หรือดาวน์โหลดเอกสารการสมัคร หรือติดตามความเคลื่อนไหวโครงการประกวดได้ที่ www.gsb100tomillion.com หรือwww.facebook.com/gsb100tomillion ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 092 247 0426-8
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เริ่มแล้วโครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ปี 6 อัดฉีดเพิ่มทุนประเดิม รวมมูลค่ากว่า 3 ลบ. พร้อมเปิดตัว 10 กูรูคนรุ่นใหม่แนะแนวธุรกิจ วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม 2561 เริ่มแล้วโครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ปี 6 อัดฉีดเพิ่มทุนประเดิม รวมมูลค่ากว่า 3 ลบ. พร้อมเปิดตัว 10 กูรูคนรุ่นใหม่แนะแนวธุรกิจ ออมสินเปิดตัวโครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ปี 6 ภายใต้แนวคิด SMEs Startup Wow! “ทําได้เลย ทําได้เร็ว ทําได้จริง” อัดฉีดทุนประเดิมมากขึ้น มูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท ออมสินเปิดตัวโครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ปี 6 ภายใต้แนวคิด SMEs Startup Wow! “ทําได้เลย ทําได้เร็ว ทําได้จริง” อัดฉีดทุนประเดิมมากขึ้น มูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท สร้างมิติใหม่จัด 10 กูรูธุรกิจคนรุ่นใหม่ร่วมให้คําปรึกษาตลอดโครงการ เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ หมดเขตส่งแผนงาน 10 ส.ค.ศกนี้ นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินได้เปิดตัวโครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ภายใต้แนวคิด SMEs Startup Wow! “ทําได้เลย ทําได้เร็ว ทําได้จริง” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 เพื่อเป็นเวทีสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ SMEs หรือ Startup ที่มีอายุไม่เกิน 35 ปี นําเสนอแนวคิดธุรกิจที่มีความโดดเด่น แตกต่าง สร้างสรรค์ไอเดียธุรกิจ เพื่อชิงเงินทุนประเดิมมูลค่ารวมกว่า 3,000,000 บาท เปิดรับสมัครแล้วตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 10 สิงหาคม และมีกําหนดวันนําเสนอผลงานและประกาศผลรอบชิงชนะเลิศปลายเดือนตุลาคม 2561 ซึ่งในปีนี้ นอกจากจะมีการเพิ่มทุนประเดิม หรือเงินรางวัลมากขึ้นแล้ว ยังมีการคัดเลือก สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง หรือแบ่งประเภทสายงานธุรกิจให้มีความชัดเจนและบูรณาการมากยิ่งขึ้น ได้แก่ ด้านนวัตกรรมต้นแบบ(Prototype) และแนวคิดนวัตกรรม(Idea) เป็นต้น “โครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ภายใต้แนวคิด SMEs Startup Wow! “ทําได้เลย ทําได้เร็ว ทําได้จริง” เป็นเวทีแห่งโอกาสที่ธนาคารออมสินมุ่งส่งเสริมให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ที่มีความคิดสร้างสรรค์ธุรกิจ ที่มีความโดดเด่น แตกต่าง นําเสนอแผนงานเข้ามา เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะเพิ่มโอกาสในการต่อยอดธุรกิจ โดยธนาคาร ออมสินพร้อมส่งเสริมทุกด้าน ทั้งการเข้าสู่กระบวนการบ่มเพาะธุรกิจ สนับสนุนองค์ความรู้ที่จะได้รับจากการสัมมนาให้ความรู้ทางธุรกิจ มีการจัดบิสนิเนส แมทชิ่ง ที่อาจนําไปสู่การจับมือทางธุรกิจ ไปจนถึงการร่วมลงทุนผ่าน VC (Venture Capital) ของธนาคารฯ ที่พร้อมสนับสนุนด้านสินเชื่ออย่างเต็มที่ นับเป็นการสนองนโยบายที่รัฐบาลมอบหมายให้เป็นหน่วยงานที่ช่วยเหลือดูแลผู้ประกอบการวิสาหกิจรายกลางและรายย่อย หรือ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อความแข็งแรงที่จะสามารถแข่งขันในตลาดได้ ทั้งนี้ จากการรวบรวมสถิติจาก 5 ปีที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากผู้สมัครทั่วประเทศรวมแล้วกว่า 6,127 ทีม คิดเป็นจํานวนผู้เข้าร่วมกว่า 13,342 คน และมีผู้ที่สนใจติดตามโครงการมากกว่า 107,000 คน และตัวเลขจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป” ผู้อํานวยการธนาคารออมสินกล่าว โครงการประกวด GSB สุดยอด SMEs Startup ตัวจริง ปีที่ 6 มีรางวัลเป็นทุนประเดิมมูลค่ารวมสูงถึง 3,000,000 บาท ประกอบด้วย ผลงานชนะเลิศ ได้รับเงินทุนประเดิม 1,000,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 ผลงานละ 500,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 2 ผลงานละ 200,000 บาท รางวัลชมเชย 7 ผลงาน ซึ่งปีนี้มีการเพิ่มทุนประเดิมเป็นผลงานละ 100,000 บาท (จากเดิม 50,000 บาท) ส่วนผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 100 ผลงาน ได้รับทุนประเดิมผลงานละ 5,000 บาท นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มรางวัลพิเศษอีกสําหรับปีนี้ คือ ผลงานสุดยอดนวัตกรรมต้นแบบ (Prototype) จํานวน 3 ผลงาน ผลงานละ 50,000 บาท และ ผลงานสุดยอดแนวคิดทางด้านนวัตกรรม (Idea) 3 ผลงาน ผลงานละ 30,000 บาท นอกจากเงินทุนที่จะนําไปต่อยอดธุรกิจ รวมถึงการอบรมความรู้ทางธุรกิจ สําหรับผู้เข้ารอบ 100 ผลงาน และการติวเข้มสําหรับผู้เข้ารอบ 10 ผลงานสุดท้าย (Guru Coaching 1 กูรูต่อ 1 ทีม) ซึ่งทั้ง 10 ทีมยังจะได้เข้าร่วมโปรแกรมเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ต่างประเทศ เพื่อเพิ่มประสบการณ์และเตรียมความพร้อมในเป็นผู้ประกอบการต่อไป ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูล หรือดาวน์โหลดเอกสารการสมัคร หรือติดตามความเคลื่อนไหวโครงการประกวดได้ที่ www.gsb100tomillion.com หรือwww.facebook.com/gsb100tomillion ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 092 247 0426-8
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/12066
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาประจำประเทศไทย
วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2560 รมว.ศธ.ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาประจําประเทศไทย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนายเอกตอร์ กอนเด อัลเมย์ดา (HE Mr Hector Conde Almeida) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาประจําประเทศไทย นายเอกตอร์ กอนเด อัลเมย์ดากล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้มาดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาประจําประเทศไทย โดยเข้ามาดํารงตําแหน่งเป็นระยะเวลาประมาณ 5 เดือนแล้ว ด้วยประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนและมีชื่อเสียงในหลายด้าน อาทิ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว อาหาร เป็นต้น ปัจจุบันไทยและคิวบามีความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเช่น บริษัทของคิวบามีความร่วมมือด้านเทคโนโลยีชีวภาพและเภสัชกรรมกับบริษัท Siam Bioscience อีกทั้งมีนักวิทยาศาสตร์คิวบาอาศัยอยู่ในประเทศไทยจํานวนมาก โดยคิวบาเป็นประเทศที่ให้ความสําคัญกับการศึกษา การฝึกอบรมครู การแพทย์ สุขภาพ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยคาดหวังว่าจะสามารถแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในสาขาที่มีความเชี่ยวชาญกับประเทศไทยได้ ด้านการศึกษาคิวบาใช้ระบบการศึกษาเป็นตัวขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศสู่ยุค 4.0 เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ให้ความสําคัญกับการศึกษาในการพัฒนาประเทศให้เป็น Thailand 4.0 จึงมีความยินดีที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ต่าง ๆ กับประเทศไทย โดยคิวบามีรัฐมนตรีด้านการศึกษาสองท่านคือ Minister of Education และ Minister of Higher Education นอกจากนี้ นักเรียนนักศึกษาคิวบาที่มีผลการเรียนดีสามารถเรียนฟรีได้จนถึงระดับ PhD โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้เสนอความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนากีฬามวยสากลระหว่างคิวบาและไทย เนื่องจากนักมวยคิวบาและนักมวยไทยต่างก็มีชื่อเสียงในระดับโลก และได้เรียนเชิญ รมว.ศึกษาธิการ เข้าร่วมการประชุม University 2018 ในช่วงเดือนมกราคม 2561 ที่คิวบาด้วย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า ในนามของกระทรวงศึกษาธิการ ขอแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาประจําประเทศไทยสําหรับการเข้ารับตําแหน่งในครั้งนี้ โดยในระหว่างการสนทนาได้แนะนําประวัติความเป็นมาของวังจันทรเกษม ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน รวมทั้งขอบคุณความร่วมมือด้านการศึกษาที่คิวบาได้ดําเนินการร่วมกับไทยมาอย่างต่อเนื่อง สําหรับการเรียนเชิญเข้าร่วมการประชุม University 2018 ขอให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาฯ เสนอข้อมูลและรายละเอียดมาที่สํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อดําเนินการตามขั้นตอน พร้อมทั้งขอให้เรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของไทย และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ไปเข้าร่วมการประชุมด้านการแพทย์และสาธารณสุขของคิวบาด้วย เนื่องจากหน่วยงานทั้งสองมีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ซึ่งจะทําให้การเข้าร่วมประชุมดังกล่าวเกิดประโยชน์อย่างมาก อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาประจำประเทศไทย วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน 2560 รมว.ศธ.ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาประจําประเทศไทย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมคณะ ให้การต้อนรับและหารือความร่วมมือด้านการศึกษากับนายเอกตอร์ กอนเด อัลเมย์ดา (HE Mr Hector Conde Almeida) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาประจําประเทศไทย นายเอกตอร์ กอนเด อัลเมย์ดากล่าวว่า รู้สึกยินดีที่ได้มาดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาประจําประเทศไทย โดยเข้ามาดํารงตําแหน่งเป็นระยะเวลาประมาณ 5 เดือนแล้ว ด้วยประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนและมีชื่อเสียงในหลายด้าน อาทิ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว อาหาร เป็นต้น ปัจจุบันไทยและคิวบามีความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเช่น บริษัทของคิวบามีความร่วมมือด้านเทคโนโลยีชีวภาพและเภสัชกรรมกับบริษัท Siam Bioscience อีกทั้งมีนักวิทยาศาสตร์คิวบาอาศัยอยู่ในประเทศไทยจํานวนมาก โดยคิวบาเป็นประเทศที่ให้ความสําคัญกับการศึกษา การฝึกอบรมครู การแพทย์ สุขภาพ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยคาดหวังว่าจะสามารถแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในสาขาที่มีความเชี่ยวชาญกับประเทศไทยได้ ด้านการศึกษาคิวบาใช้ระบบการศึกษาเป็นตัวขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศสู่ยุค 4.0 เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ให้ความสําคัญกับการศึกษาในการพัฒนาประเทศให้เป็น Thailand 4.0 จึงมีความยินดีที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ต่าง ๆ กับประเทศไทย โดยคิวบามีรัฐมนตรีด้านการศึกษาสองท่านคือ Minister of Education และ Minister of Higher Education นอกจากนี้ นักเรียนนักศึกษาคิวบาที่มีผลการเรียนดีสามารถเรียนฟรีได้จนถึงระดับ PhD โอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้เสนอความร่วมมือในการส่งเสริมและพัฒนากีฬามวยสากลระหว่างคิวบาและไทย เนื่องจากนักมวยคิวบาและนักมวยไทยต่างก็มีชื่อเสียงในระดับโลก และได้เรียนเชิญ รมว.ศึกษาธิการ เข้าร่วมการประชุม University 2018 ในช่วงเดือนมกราคม 2561 ที่คิวบาด้วย นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์กล่าวว่า ในนามของกระทรวงศึกษาธิการ ขอแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาประจําประเทศไทยสําหรับการเข้ารับตําแหน่งในครั้งนี้ โดยในระหว่างการสนทนาได้แนะนําประวัติความเป็นมาของวังจันทรเกษม ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน รวมทั้งขอบคุณความร่วมมือด้านการศึกษาที่คิวบาได้ดําเนินการร่วมกับไทยมาอย่างต่อเนื่อง สําหรับการเรียนเชิญเข้าร่วมการประชุม University 2018 ขอให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐคิวบาฯ เสนอข้อมูลและรายละเอียดมาที่สํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สํานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อดําเนินการตามขั้นตอน พร้อมทั้งขอให้เรียนเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของไทย และอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ไปเข้าร่วมการประชุมด้านการแพทย์และสาธารณสุขของคิวบาด้วย เนื่องจากหน่วยงานทั้งสองมีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ซึ่งจะทําให้การเข้าร่วมประชุมดังกล่าวเกิดประโยชน์อย่างมาก อรพรรณ ฤทธิ์มั่น, บัลลังก์ โรหิตเสถียร: สรุป/รายงาน อิทธิพล รุ่งก่อน: ถ่ายภาพ
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/6490
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากลเพื่อประกาศ “วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”
วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากลเพื่อประกาศ “วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” นายกรัฐมนตรีเป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากลเพื่อประกาศ “วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” วันนี้ (12 ก.พ. 61) เวลา 9.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากล และกล่าวปาฐกถาพิเศษเพื่อประกาศ “วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยพลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีมีความยินดีที่ได้มาเป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากล เพื่อประกาศ “วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ปัจจุบันเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นประเด็นที่แต่ละประเทศให้ความสําคัญเพราะเป็นหลักการสากลที่ทั่วโลกต่างให้การยอมรับที่จะช่วยทําให้เกิดสันติภาพและความเจริญก้าวหน้าต่อมวลมนุษยชาติ ทั้งนี้รัฐบาลมีเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการส่งเสริม คุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับนานาประเทศ และมุ่งหวังให้ประเทศไทยเกิดความสงบสุข สันติสุข ให้ทุกคนมีความรักสามัคคี รู้สิทธิ รู้หน้าที่ เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน และไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น โดยคํานึงถึงหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declarations of Human Rights) ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ละเลยต่อการดําเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน จะเห็นได้จากการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 นโยบายลดความเหลื่อมล้ําในด้านต่างๆ การประกาศใช้กฎหมายหลายฉบับ ตลอดจนการประกาศใช้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2557-2561) เพื่อส่งเสริมคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 เห็นชอบและประกาศวาระแห่งชาติ “สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ในการยกระดับสิทธิมนุษยชนให้เป็นวาระแห่งชาติ สนับสนุนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติและนโยบาย Thailand 4.0 ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายที่ต้องการ ให้ “สังคมไทยเป็นสังคมที่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกันโดยคํานึง ถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อนําไปสู่สังคมสันติสุข” ภายใต้กรอบนโยบาย ถอดรหัสวาระแห่งชาติ 4 สร้าง 3 ปรับ 2 ขับ 1 ลด = กุญแจสู่สังคมสันติสุข นายกรัฐมนตรีหวังว่าทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จะร่วมมือกันนํากรอบนโยบายของวาระแห่งชาตินี้ ไปเพิ่มขีดความสามารถการทํางานด้านสิทธิมนุษยชน และบูรณาการการทํางานร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม โดยมีการดําเนินการดังนี้ (1) การดําเนินการป้องกันและจัดการการค้ามนุษย์ด้วยการประกาศวาระแห่งชาติ ภายใต้ “ประชารัฐ ร่วมใจ ต้านภัย การค้ามนุษย์ อย่างเข้มแข็ง” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง ภายใต้มาตรการ 3P คือ 1. การดําเนินคดี Prosecution/ 2. การคุ้มครองช่วยเหลือ Protection/และ 3. การป้องกัน Prevention (2) ด้านสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยคํานึงถึงผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ความมั่นคง ศีลธรรมอันดี และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคน (3) ด้านสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (4) ด้านสิทธิของผู้ต้องหาหรือผู้ถูกควบคุมที่มีความเสี่ยงหรือมีโอกาสที่จะถูกซ้อมทรมาน ประเทศไทยต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ํายีศักดิ์ศรี ในโอกาสที่ปีนี้จะครบรอบ 70 ปี ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน นายกรัฐมนตรีเห็นว่าหากทุกภาคส่วนให้ความสําคัญของการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ก็จะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นสังคมที่มีคุณภาพ มีความเป็นอยู่ที่ดี มีสุขอย่างยั่งยืน ดังหลักคิดของนายกรัฐมนตรีที่ได้เคยกล่าวไว้ว่า “เราจะเดินหน้าไปด้วยกันและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (Stronger, Together and Leave No One Behind) อนึ่ง ก่อนเข้าร่วมงานนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการ และได้รับการต้อนรับจากคณะเยาวชนที่ได้ร้องเพลงเพื่อเป็นกําลังใจให้แก่นายกรัฐมนตรี โดยมีเนื้อเพลง ยืนยันว่า เยาวชนไทยและประเทศไทยยืนหยัด คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ดังนี้ ดีเกร์ฮูลูสิทธิและเสรีภาพ เยาวชน ของคนไทย มุ่งมั่นด้วยใจ สานรักสามัคคี ได้รัฐบาลดี มาช่วยเสริมสร้าง เป็นแนวทาง คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ไม่ละเมิด สิทธิเสรีภาพ ไม่เป็นปฏิปักษ์ ต่อรัฐธรรมนูญ ช่วยเพิ่มพูน ศีลธรรม อันดีงาม ของเยาวชนไทย ไทยแลนด์ 4.0 กระทรวงยุติธรรม ช่วยผลักดัน วาระชาติ สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน เพื่อพัฒนาคม ไทยให้ยั่งยืน ขอขอบคุณ ผู้ชมทุกท่าน ที่มาชม ดีเกร์ของพวกเรา ดีเกร์ฮูลู รร.รณ. ร่วมสืบสาน วัฒนธรรมไทย *************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากลเพื่อประกาศ “วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 นายกรัฐมนตรีเป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากลเพื่อประกาศ “วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” นายกรัฐมนตรีเป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากลเพื่อประกาศ “วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” วันนี้ (12 ก.พ. 61) เวลา 9.30 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากล และกล่าวปาฐกถาพิเศษเพื่อประกาศ “วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยพลโท วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวสรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรีมีความยินดีที่ได้มาเป็นประธานงานวันสิทธิมนุษยชนสากล เพื่อประกาศ “วาระแห่งชาติ: สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ปัจจุบันเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นประเด็นที่แต่ละประเทศให้ความสําคัญเพราะเป็นหลักการสากลที่ทั่วโลกต่างให้การยอมรับที่จะช่วยทําให้เกิดสันติภาพและความเจริญก้าวหน้าต่อมวลมนุษยชาติ ทั้งนี้รัฐบาลมีเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการส่งเสริม คุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับนานาประเทศ และมุ่งหวังให้ประเทศไทยเกิดความสงบสุข สันติสุข ให้ทุกคนมีความรักสามัคคี รู้สิทธิ รู้หน้าที่ เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน และไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น โดยคํานึงถึงหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declarations of Human Rights) ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ละเลยต่อการดําเนินงานด้านสิทธิมนุษยชน จะเห็นได้จากการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 นโยบายลดความเหลื่อมล้ําในด้านต่างๆ การประกาศใช้กฎหมายหลายฉบับ ตลอดจนการประกาศใช้แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2557-2561) เพื่อส่งเสริมคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ล่าสุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 เห็นชอบและประกาศวาระแห่งชาติ “สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ในการยกระดับสิทธิมนุษยชนให้เป็นวาระแห่งชาติ สนับสนุนการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติและนโยบาย Thailand 4.0 ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายที่ต้องการ ให้ “สังคมไทยเป็นสังคมที่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกันโดยคํานึง ถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อนําไปสู่สังคมสันติสุข” ภายใต้กรอบนโยบาย ถอดรหัสวาระแห่งชาติ 4 สร้าง 3 ปรับ 2 ขับ 1 ลด = กุญแจสู่สังคมสันติสุข นายกรัฐมนตรีหวังว่าทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จะร่วมมือกันนํากรอบนโยบายของวาระแห่งชาตินี้ ไปเพิ่มขีดความสามารถการทํางานด้านสิทธิมนุษยชน และบูรณาการการทํางานร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม โดยมีการดําเนินการดังนี้ (1) การดําเนินการป้องกันและจัดการการค้ามนุษย์ด้วยการประกาศวาระแห่งชาติ ภายใต้ “ประชารัฐ ร่วมใจ ต้านภัย การค้ามนุษย์ อย่างเข้มแข็ง” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 เป็นต้นมา เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาการค้ามนุษย์อย่างจริงจัง ภายใต้มาตรการ 3P คือ 1. การดําเนินคดี Prosecution/ 2. การคุ้มครองช่วยเหลือ Protection/และ 3. การป้องกัน Prevention (2) ด้านสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยคํานึงถึงผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย ความมั่นคง ศีลธรรมอันดี และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคน (3) ด้านสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (4) ด้านสิทธิของผู้ต้องหาหรือผู้ถูกควบคุมที่มีความเสี่ยงหรือมีโอกาสที่จะถูกซ้อมทรมาน ประเทศไทยต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ํายีศักดิ์ศรี ในโอกาสที่ปีนี้จะครบรอบ 70 ปี ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน นายกรัฐมนตรีเห็นว่าหากทุกภาคส่วนให้ความสําคัญของการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ สิทธิมนุษยชนร่วมขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ก็จะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นสังคมที่มีคุณภาพ มีความเป็นอยู่ที่ดี มีสุขอย่างยั่งยืน ดังหลักคิดของนายกรัฐมนตรีที่ได้เคยกล่าวไว้ว่า “เราจะเดินหน้าไปด้วยกันและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (Stronger, Together and Leave No One Behind) อนึ่ง ก่อนเข้าร่วมงานนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการ และได้รับการต้อนรับจากคณะเยาวชนที่ได้ร้องเพลงเพื่อเป็นกําลังใจให้แก่นายกรัฐมนตรี โดยมีเนื้อเพลง ยืนยันว่า เยาวชนไทยและประเทศไทยยืนหยัด คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ดังนี้ ดีเกร์ฮูลูสิทธิและเสรีภาพ เยาวชน ของคนไทย มุ่งมั่นด้วยใจ สานรักสามัคคี ได้รัฐบาลดี มาช่วยเสริมสร้าง เป็นแนวทาง คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ไม่ละเมิด สิทธิเสรีภาพ ไม่เป็นปฏิปักษ์ ต่อรัฐธรรมนูญ ช่วยเพิ่มพูน ศีลธรรม อันดีงาม ของเยาวชนไทย ไทยแลนด์ 4.0 กระทรวงยุติธรรม ช่วยผลักดัน วาระชาติ สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน เพื่อพัฒนาคม ไทยให้ยั่งยืน ขอขอบคุณ ผู้ชมทุกท่าน ที่มาชม ดีเกร์ของพวกเรา ดีเกร์ฮูลู รร.รณ. ร่วมสืบสาน วัฒนธรรมไทย *************
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/10019
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 28 มกราคม 2563
วันอังคารที่ 28 มกราคม 2563 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 28 มกราคม 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี http://www.thaigov.go.th วันนี้ (28 มกราคม 2563) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การแก้ไขเพิ่มเติมการแบ่งส่วน ราชการตํารวจภูธรภาค 1 – 9 ในสังกัดสํานักงานตํารวจแห่งชาติ) 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียน การออกใบแทนการขึ้นทะเบียน การเพิกถอนทะเบียน การกําหนดค่าบริการและวิธีการให้บริการ การขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดอัตราเงินค่าทําศพ พ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จํานวน 2 ฉบับ 8. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กําหนดชนิดและแหล่งกําเนิดวัตถุดิบที่จะนํามาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสําหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐานรวม 3 ฉบับ 11. เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2553 12. เรื่อง การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบหรือมีคําสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้อง ดําเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดําเนินการอันจํากัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 เศรษฐกิจ - สังคม 13. เรื่อง มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 14. เรื่อง ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 15. เรื่อง การรับรายงานผลการดําเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต 16. เรื่อง มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ 17. เรื่อง สถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา 18. เรื่อง ขอความเห็นชอบแนวทางการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการ ต่างประเทศ 19. เรื่อง การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหารและสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 27 20. เรื่อง การขอเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงสาธารณรัฐคาซัคสถาน แต่งตั้ง 21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) 23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) 24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) 25. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่ง ประเทศไทย 26. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 27. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง 28. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ 29. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ 30. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. 2559 เพื่อกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. 2559 2. แก้ไขเพิ่มเติมคํานิยามคําว่า “ประโยชน์ในครัวเรือน” และ “เมล็ดพันธุ์” ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น 3. กําหนดเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในการขออนุญาต “ผลิต” “จําหน่าย” “มีไว้ในครอบครอง” และ “นําเข้า ส่งออก” เพื่อประโยชน์ของทางราชการ ในการศึกษา วิเคราะห์วิจัย ทางการแพทย์ เภสัชกรรม วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และเพื่อนําเข้า ส่งออกในเชิงพาณิชย์ เป็นต้น 4. กําหนดวิธีดําเนินการเกี่ยวกับการนําเข้าหรือส่งออกเฉพาะคราว โดยต้องได้รับใบอนุญาตเฉพาะคราวทุกครั้งที่นําเข้าหรือส่งออก โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวงนี้ 5. กําหนดข้อยกเว้นให้ผู้อนุญาตไม่ต้องดําเนินการตามเงื่อนไขที่กําหนดไว้ ในกรณีเพื่อประโยชน์ของทางราชการในการป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิด หรือความร่วมมือระหว่างประเทศเกี่ยวกับยาเสพติด 6. แก้ไขเพิ่มเติมบทเฉพาะกาล ดังนี้ 6.1 กําหนดให้การขออนุญาตผลิต จําหน่าย ครอบครอง หรือส่งออกกัญชง (Hemp) จะต้องดําเนินการภายในระยะเวลา 5 ปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ เพื่อเป็นการส่งเสริมการปลูกกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจและการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์กัญชงในประเทศไทย ป้องกันการนําเข้าสินค้าสําเร็จรูปและวัตถุดิบจากต่างประเทศ 6.2 กําหนดให้หนังสือสําคัญแสดงการอนุญาตนําเข้า ผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ที่ออกตามกฎหมายเดิม ให้ถือว่าเป็นใบอนุญาตตามกฎกระทรวงนี้และให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าหนังสือสําคัญนั้นจะสิ้นอายุ 6.3 กําหนดให้บรรดาคําขอรับหนังสือสําคัญและคําขอรับใบแทนหนังสือสําคัญแสดงการอนุญาตตามกฎหมายเดิม ที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ และยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของผู้อนุญาต ให้ถือว่าเป็นคําขอรับใบอนุญาตหรือคําขอรับใบแทนใบอนุญาตตามกฎกระทรวงนี้โดยอนุโลม 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การแก้ไขเพิ่มเติมการแบ่งส่วนราชการตํารวจภูธรภาค 1 – 9 ในสังกัดสํานักงานตํารวจแห่งชาติ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติรับความเห็นของสํานักงาน ก.พ.ร. สํานักงาน ก.พ. และสํานักงบประมาณไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง จัดตั้งกองบังคับการกฎหมายและคดี เป็นส่วนราชการระดับกองบังคับการ สังกัดตํารวจภูธรภาค 1 – 9 โดยมีหน่วยงานภายในประกอบด้วย ฝ่ายอํานวยการ ฝ่ายกฎหมายคดีปกครองและคดีแพ่ง และกลุ่มงานตรวจสอบสํานวนคดี โดยมีอํานาจหน้าที่ เช่น พิจารณาตรวจร่างกฎหมาย ให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่สมาชิกรัฐสภาหรือส่วนราชการต่าง ๆ เสนอ พิจารณาตรวจร่างสัญญาดําเนินการเกี่ยวกับงานคดีที่อยู่ในอํานาจหน้าที่ของตํารวจภูธรภาค พิจารณาหารือปัญหาข้อกฎหมาย เสนอแนะปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ คค. เสนอว่า 1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการก่อสร้างของเมียนมา ได้ร่วมลงนามในความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการบริหาร การบํารุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2562 ซึ่งสาระสําคัญของความตกลงดังกล่าวเป็นการกําหนดแนวทางพื้นฐานทางกฎหมายที่จําเป็นเพื่อ การบริหาร บํารุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 โดยมีการกําหนดรายละเอียดเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ของสะพาน เขตแดน การบริหารและบํารุงรักษา การจัดตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อปรึกษาหารือและตกลงวิธีการบริหาร การบํารุงรักษา และการใช้สะพาน การจัดตั้งหน่วยบํารุงรักษาสะพานการกําหนดอัตราค่าผ่านสะพาน และการปรับปรุงระเบียบการผ่านแดน 2. ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาฯ ในข้อ 1. นั้น ได้กําหนดให้คณะกรรมาธิการบริหารบํารุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 ที่จัดตั้งขึ้น ร่วมกันกําหนดอัตราค่าผ่านสะพาน โดยจะเก็บเพียงครั้งเดียวเมื่อยานพาหนะข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ตามอัตราที่กําหนดไว้สําหรับยานพาหนะแต่ละประเภทและอาจจะเปลี่ยนได้เมื่อมีความจําเป็น โดยได้รับความเห็นชอบร่วมกันจากคณะกรรมาธิการของทั้งสองฝ่าย ซึ่งคณะกรรมาธิการของทั้งสองฝ่ายได้มีการประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2562 ณ กระทรวงการก่อสร้างสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยคณะกรรมาธิการทั้งสองฝ่ายร่วมกันกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมผ่านสะพานและการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านสะพาน และมีมติเห็นชอบร่วมกันในการเปิดใช้สะพานฯ ในวันที่ 30 ตุลาคม 2562 และสรุปผลการพิจารณากําหนดอัตราค่าธรรมเนียมและการยกเว้นค่าธรรมเนียมได้ ดังนี้ 2.1 กําหนดอัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานตามประเภทของยานยนตร์และตามอัตราดังต่อไปนี้ ลําดับที่ ประเภทยานยนตร์ ที่จะต้องเสียค่าธรรมเนียม อัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานต่อหนึ่งครั้ง รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง 50.00 บาท รถโดยสารขนาดเล็กไม่เกิน 7 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 12 ที่นั่ง 100.00 บาท รถโดยสารขนาดกลางเกิน 12 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 24 ที่นั่ง 150.00 บาท รถโดยสารขนาดใหญ่เกิน 24 ที่นั่ง 200.00 บาท รถบรรทุก 4 ล้อ 50.00 บาท รถบรรทุก 6 ล้อ 250.00 บาท รถบรรทุก 10 ล้อ 350.00 บาท รถบรรทุกเกิน 10 ล้อ 500.00 บาท 2.2 กําหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่ยานยนตร์ ดังต่อไปนี้ 1) รถโดยสารประจําทางระหว่างประเทศที่มีความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาให้เดินรถผ่านสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 2) รถยนต์รับจ้างขนส่งผู้โดยสารที่เดินรถให้บริการอยู่ภายในบริเวณระหว่างด่านพรมแดนราชอาณาจักรไทยและด่านพรมแดนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา 3) รถยนต์ของเจ้าหน้าที่ของราชอาณาจักรไทย จํานวนไม่เกิน 50 คัน และรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จํานวนไม่เกิน 50 คัน ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยบํารุงรักษาสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 ของทั้งสองประเทศได้กําหนดรูปแบบของบัตรยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์ร่วมกัน 3. ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมาธิการบริหาร บํารุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 กรมทางหลวง คค. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. .... ขึ้น ซึ่งกรมทางหลวงได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยเผยแพร่ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ของกรมทางหลวงเป็นเวลาติดต่อกัน 15 วัน ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 แล้ว ปรากฏว่าไม่มีผู้ไม่เห็นด้วยและไม่มีผู้ใดแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงฯ มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดให้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม้น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 ต่อจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 130 เป็นสะพานที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพาน 2. กําหนดอัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานตามประเภทของยานยนตร์ 3. กําหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่ยานยนตร์ 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดําเนินการต่อไป สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวง โดยกําหนดค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมตามระยะทางที่ใช้จริง ตามประเภทของยานยนตร์ 2. กําหนดให้มีการปรับอัตราค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นทุก 5 ปี 3. กําหนดให้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับนับแต่วันที่อธิบดีกรมทางหลวงประกาศกําหนดเป็นต้นไป 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียน การออกใบแทนการขึ้นทะเบียน การเพิกถอนทะเบียน การกําหนดค่าบริการและวิธีการให้บริการ การขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียน การออกใบแทนการขึ้นทะเบียน การเพิกถอนทะเบียน การกําหนดค่าบริการและวิธีการให้บริการ การขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสํานักงบประมาณไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลผู้ขอขึ้นทะเบียน หรือนิติบุคคลผู้ขออนุญาตที่ประสงค์จะให้บริการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน 2. กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขึ้นทะเบียน หรือการขออนุญาตในการให้บริการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน รวมทั้งกําหนดให้ใบสําคัญการขึ้นทะเบียนและใบอนุญาตมีอายุ 3 ปี นับแต่วันที่ออกใบสําคัญหรือใบอนุญาตแล้วแต่กรณี 3. กําหนดวิธีการและระยะเวลาในการขอต่ออายุใบสําคัญการขึ้นทะเบียนหรือใบอนุญาต ตลอดจนการออกใบแทน ใบสําคัญการขึ้นทะเบียนหรือใบอนุญาตกรณีที่ใบสําคัญการขึ้นทะเบียนหรือใบอนุญาตสูญหาย ถูกทําลาย หรือชํารุดในสาระสําคัญ 4. กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการให้บริการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับการตรวจและรับรอง การประเมินความเสี่ยง การจัดฝึกอบรมหรือการให้คําปรึกษา ตลอดจนกําหนดให้อธิบดีมีอํานาจกําหนดค่าบริการในการให้บริการของผู้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนหรือผู้ที่ได้รับใบอนุญาตแต่ละประเภท เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการให้บริการ 5. กําหนดให้ผู้อํานวยการกองความปลอดภัยแรงงานมีอํานาจเพิกถอนใบสําคัญการขึ้นทะเบียน และอธิบดีมีอํานาจสั่งพักใช้ใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาต ตลอดจนกําหนดสิทธิในการอุทธรณ์คําสั่งเพิกถอนใบสําคัญการขึ้นทะเบียนหรือพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต 6. กําหนดค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนหรือขอใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การออกใบแทนใบสําคัญการขึ้นทะเบียน ใบสําคัญการต่ออายุนิติบุคคล ใบสําคัญการต่ออายุการขึ้นทะเบียนบุคคล อาทิ ใบอนุญาตนิติบุคคลให้บริการฯ ฉบับละ 20,000 บาท ใบสําคัญการขึ้นทะเบียนบุคคลผู้ให้บริการฯ ฉบับละ 5,000 บาท รวมทั้งการยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่นิติบุคคลที่เป็นราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หรือบุคคล หรือนิติบุคคลที่ได้รับใบอนุญาตหรือหลักฐานรับรองในลักษณะเดียวกันตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบวิชาชีพ 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดอัตราเงินค่าทําศพ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดอัตราเงินค่าทําศพ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสํานักงบประมาณไปพิจารณาดําเนินการต่อไป รง. เสนอว่า 1. ได้มีกฎกระทรวงกําหนดอัตราเงินค่าทําศพ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นการกําหนดให้จ่ายเงินค่าทําศพในกรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย โดยมิใช่ประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทํางาน โดยให้จ่ายเงินค่าทําศพเป็นจํานวนเงิน 40,000 บาท ให้แก่บุคคล ซึ่งผู้ประกันตนทําหนังสือระบุให้เป็นผู้จัดการศพและได้เป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน หรือสามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน หรือบุคคลอื่นซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน 2. ผู้ประกันตนตามกฎกระทรวงในข้อ 1. นั้น ได้แก่ ผู้ประกันตนซึ่งเป็นลูกจ้างตามมาตรา 33 และผู้เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และประสงค์จะเป็นผู้ประกันตนต่อไป ตามมาตรา 39 ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม 3. รง. พิจารณาแล้วเห็นว่า อัตราเงินค่าทําศพตามกฎกระทรวงในข้อ 1. ไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป สมควรปรับปรุงอัตราเงินค่าทําศพ จาก 40,000 บาท เป็น 50,000 บาท 4. คณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 13) ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2562 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มประโยชน์ทดแทนเงินค่าทําศพดังกล่าวแล้ว จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดอัตราเงินค่าทําศพ พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ปรับเพิ่มอัตราเงินค่าทําศพที่จ่ายให้แก่ผู้จัดการศพของผู้ประกันตนตามมาตรา 73 (1) ในกรณีที่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ถึงแก่ความตายโดยมิใช่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทํางาน จากเดิมอัตรา 40,000 บาท เป็น 50,000 บาท 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จํานวน 2 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จํานวน 2 ฉบับ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ประเด็นที่ขอแก้ไขเพิ่มเติม รายละเอียดและเหตุผล หมายเหตุ 1. ให้รัฐมนตรี อก. มีอํานาจในการออกประกาศตามกฎกระทรวง - กําหนดให้รัฐมนตรี อก. มีอํานาจในการออกประกาศกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการอนุญาตให้โรงงานสามารถระบายน้ําทิ้งโดยวิธีการเจือจางได้ - กําหนดให้รัฐมนตรี อก. มีอํานาจออกประกาศกําหนดค่ามาตรฐานของปริมาณสารเจือปนในอากาศเสียที่ระบายออกจากโรงงาน และการควบคุมสารเคมีหรือสารมลพิษ แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 14 และเพิ่มข้อ 16 จัตวาของกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 2. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ประเด็นที่ขอแก้ไขเพิ่มเติม รายละเอียดและเหตุผล หมายเหตุ 1. ให้รัฐมนตรี อก. มีอํานาจในการออกประกาศตามกฎกระทรวง - กําหนดให้รัฐมนตรี อก. มีอํานาจในการออกประกาศประเภทโรงงานที่มีสารเคมีหรือสารมลพิษต้องจัดทํารายงานข้อมูลปริมาณการผลิต การใช้ การครอบครอง การปลดปล่อย การเคลื่อนย้ายสารเคมีหรือสารมลพิษออกนอกโรงงาน เพิ่มข้อ 7 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 8. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กําหนดชนิดและแหล่งกําเนิดวัตถุดิบที่จะนํามาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กําหนดชนิดและแหล่งกําเนิดวัตถุดิบที่จะนํามาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างประกาศ ห้ามมิให้โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานนําชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หรือเศษ (ไม่รวมเศษจากเครื่องกําเนิดไฟฟ้า) ที่มีส่วนประกอบ ซึ่งได้แก่ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า และแบตเตอรี่อื่น ๆ สวิตช์ที่มีปรอทเป็นองค์ประกอบในการทํางาน เศษแก้วจากหลอดรังสีแคโทด และแอกติเวเต็ดกลาสอื่น ๆ ตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่มีสารพีซีบี หรือที่ปนเปื้อนด้วยแคดเมียม ปรอท ตะกั่ว โพลีคลอริเนทเต็ดไบฟีนิล ตามบัญชี 5.2 ลําดับที่ 2.18 ของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 ออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 รวมถึงที่ปนเปื้อนสารอันตรายตามที่ อก. กําหนดที่นําเข้าจากต่างประเทศ มาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงาน 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสําหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสําหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสําหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... เป็นการออกกฎกระทรวงตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 เป็นการกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสําหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน อันเป็นการสอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน รวม 3 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ 1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กําหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสําหรับงานทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสําหรับงานถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับ ที่ อก. เสนอ เป็นการออกกฎกระทรวงตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 เป็นการกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กําหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสําหรับงานทั่วไป ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สําหรับงานถังก๊าซและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนแผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของประเทศ และสอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวแล้ว สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กําหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสําหรับงานทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... กําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 450/750 โวลต์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เลขที่ มอก. 11 เล่ม 101 – 2559 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5093 (พ.ศ. 2561) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกและกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สายไฟฟ้าทองแดงมีเปลือกพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กําหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสําหรับงานทั่วไป ประกาศ ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5501 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง แก้ไขประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5093 (พ.ศ. 2561) ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 เรื่อง ยกเลิกและกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กําหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือก สําหรับงานทั่วไป ประกาศ ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสําหรับงาน ถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... กําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สําหรับงานถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 2060 – 2560 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5077 (พ.ศ. 2561) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าคาร์บอนรีดร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นหนา และแผ่นบาง สําหรับงานถังก๊าซ และกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สําหรับงานถังก๊าซ ลงวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561 และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5498 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง แก้ไขประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5077 (พ.ศ. 2561) ลงวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าคาร์บอนรีดร้อนแผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นหนา และแผ่นบาง สําหรับงานถังก๊าซ และกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้า ทรงแบนรีดร้อน สําหรับงานถังก๊าซ ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562 3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... กําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 50 – 2561 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5188 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก และกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5520 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562 เรื่อง แก้ไขประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5188 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก และกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก 11. เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขการจัดลําดับให้หน่วยงานเป็นหน่วยงานราชการให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงเพื่อให้สอดคล้องกับกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน ของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการมและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2553 โดยกําหนดให้สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สํานักงาน กกต.) และสํานักงานศาลปกครอง (ศป.) เป็นหน่วยงานราชการตามกฎกระทรวงฯ โดยไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 12. เรื่อง การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบหรือมีคําสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดําเนินการอันจํากัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคําสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดําเนินการอันจํากัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ตามที่สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ สาระสําคัญของเรื่อง โดยที่ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น จะมีระยะเวลาดําเนินการค่อนข้างจํากัด ประกอบกับเป็นเรื่องที่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนอยู่แล้ว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติ วันที่ 25 สิงหาคม 2554 มอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นอนุมัติ ให้ความเห็นชอบหรือมีคําสั่งแทนคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่อง และการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวดําเนินไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงเสนอขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติให้ความเห็นชอบ หรือมีคําสั่งแทนคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดําเนินการอันจํากัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 เศรษฐกิจ - สังคม 13. เรื่อง มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานตามที่ระบุ ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 2. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จํานวน 1 ฉบับ 3. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) จํานวน 1 ฉบับ 4. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2562 ไปพลางก่อน และปีต่อ ๆ ไป จํานวน 350.67 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสําหรับมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (มาตรการสินเชื่อฯ) ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ สําหรับภาระงบประมาณในการดําเนินการตามมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) สนับสนุนสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษและเงื่อนไขผ่อนปรน และรัฐบาลชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้แก่ ธสน. ภายในกรอบวงเงิน 350.67 ล้านบาท นั้น เห็นสมควรให้ ธสน. จัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามความจําเป็นและเหมาะสมตามผลการดําเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยตลอดปี 2562 เผชิญกับความไม่แน่นอนจากภายนอกประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจประสบสภาวะชะลอตัวและอาจส่งผลกระทบการลงทุนในปี 2563 กระทรวงการคลังจึงเห็นสมควรเสนอมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ 1)วัตถุประสงค์:ช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นในปี 2563 2)กลุ่มเป้าหมาย:บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล 3)ระยะเวลาดําเนินงาน:สําหรับรายจ่ายที่จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 4)วิธีดําเนินงาน:ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักรได้ร้อยละ 250 หรือ 2.5 เท่า ของรายจ่ายตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่ไม่รวมถึงกรณีที่เป็นธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งและลงทุนในเครื่องจักรเพื่อให้เช่าเครื่องจักรนั้นแบบลีสซิ่ง โดยให้หักรายจ่ายร้อยละ 100 แรก หรือ 1 เท่าแรกของรายจ่ายตามจํานวนที่จ่ายจริง เป็นค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามเกณฑ์ที่ประมวลรัษฎากรกําหนด และทยอยหักรายจ่ายส่วนเพิ่มเป็นเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ทั้งนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกําหนด ทั้งนี้ การใช้สิทธิประโยชน์สามารถดําเนินการได้โดยการตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จํานวน 1 ฉบับ 5)สูญเสียรายได้:คาดว่าจะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 6,600 ล้านบาทต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี อนึ่ง ในส่วนของการหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในอาคาร กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมในการให้สิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้ 2.มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร 1)วัตถุประสงค์:เพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการ 2)กลุ่มเป้าหมาย:ผู้ประกอบการ 3)ระยะเวลาดําเนินงาน:การนําเข้าเครื่องจักรตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลังมีผลบังคับใช้ – 31 ธันวาคม 2563 4)วิธีดําเนินงาน:ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร 146 ประเภทย่อย โดยการออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) จํานวน 1 ฉบับ 5)สูญเสียรายได้:คาดว่าจะสูญเสียรายได้อากรขาเข้าประมาณ 2,000 ล้านบาท 3.มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (มาตรการสินเชื่อฯ) 1)วัตถุประสงค์:เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ในอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน โดยเฉพาะผู้ประกอบการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Supply Chain) รวมถึงผู้ประกอบการที่มีการนําเข้าเครื่องจักรเพื่อการพัฒนาประเทศ เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตและเพิ่มศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยไปสู่Industry4.0 และมีการเติบโตอย่างยั่งยืน 2)กลุ่มเป้าหมาย :ผู้ประกอบการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และผู้นําเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อพัฒนาประเทศ 3)ระยะเวลาดําเนินงาน:ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ หรือตามที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) กําหนด และกําหนดระยะเวลาสิ้นสุดการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเมื่อ ธสน. ให้สินเชื่อเต็มกรอบวงเงินของมาตรการ ทั้งนี้ ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2563 4) สิทธิประโยชน์ : อัตราดอกเบี้ย (ต่อปี) - ปีที่ 1-2 : ร้อยละ 2 - ปีที่ 3-5 : Prime Rate – ร้อยละ 2 - ปีที่ 6-7 : Prime Rate ณ วันที่ 22 มกราคม 2563 Prime Rate = ร้อยละ 6 5) งบประมาณ : รัฐบาลชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้แก่ ธสน. เป็นจํานวนทั้งสิ้น 350.67 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธสน. ทําความตกลงในการเบิกจ่ายงบประมาณกับสํานักงบประมาณต่อไป 4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ มาตรการดังกล่าวจะส่งผลก่อให้เกิดการลงทุนกว่า 110,000 ล้านบาท สนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 0.25 นอกจากนี้ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรตามมาตรการนี้ ในระยะสั้น จะส่งผลให้ผู้ผลิตในประเทศได้รับความคุ้มครองลดลง ต้องแข่งขันกับของที่นําเข้ามากขึ้น แต่เมื่อสิ้นสุดมาตรการแล้วจะได้รับความคุ้มครองเท่าเดิม และจะมีประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มสูงขึ้น 14. เรื่อง ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการนโยบายฯ) เสนอดังนี้ 1. อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และวงเงินงบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ปี 2556) ดังนี้ 1.1 อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ ส่วนตะวันตก และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธาโครงการฯ ส่วนตะวันตก และค่างานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบํารุงรักษาทั้งเส้นทาง ตั้งแต่ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) รวมทั้งค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ โดยมีระยะเวลาเดินรถ 30 ปี นับจากเริ่มเปิดให้บริการโครงการฯ ส่วนตะวันออก เป็นต้นไป เอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร รายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานทั้งหมด โดยภาครัฐไม่มีภาระสนับสนุนทางการเงิน (Subsidy) แก่เอกชนในส่วนงานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถและงานเดินรถและซ่อมบํารุงรักษาของโครงการฯ 1.2 อนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสํารวจอสังหาริมทรัพย์โครงการฯ ส่วนตะวันตก ในกรอบวงเงิน 14,661 ล้านบาท โดยให้สํานักงบประมาณ (สงป.) จัดสรรงบประมาณตามความจําเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินจริง ทั้งนี้ ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560 อย่างเคร่งครัด โดยกําหนดราคาเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ถ้ามี) ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและราคาตลาดของแต่ละพื้นที่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนอย่างแท้จริง รวมทั้งกําหนดมาตรการป้องกันการแสวงหากําไรจากราคาที่ดินเกินจริงเพื่อไม่ให้เกิดภาระค่าเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย 1.3 อนุมัติกรอบวงเงินสนับสนุนให้เอกชนตามที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินค่างานโยธาของโครงการฯ ส่วนตะวันตก จํานวน 96,012 ล้านบาท ตามที่ รฟม. ได้ดําเนินการทบทวนโดยคํานึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัด และผ่านการพิจารณาจากกระทรวงคมนาคม (คค.) แล้วเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2562 โดยรัฐทยอยชําระคืนให้เอกชนหลังจากเปิดเดินรถทั้งเส้นทางแล้ว และแบ่งจ่ายเป็นรายปี กําหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายไม่ต่ํากว่า 10 ปี พร้อมดอกเบี้ย โดยใช้อัตราส่วนลดหรืออัตราดอกเบี้ยตามความเห็นของ สงป. ทั้งนี้ ในกรณีที่มีข้อจํากัดเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เห็นควรให้ รฟม. พิจารณาแนวทางในการดําเนินการอย่างรอบด้านตามความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต่อไป 2. รับทราบหลักการขอบเขตและเงื่อนไขในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ตามมติคณะกรรมการ รฟม. ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561 และความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2561 3. มอบหมายให้ รฟม. คค. และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562) ของโครงการฯ รับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายฯ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ดําเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สาระสําคัญของเรื่อง โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะของกรุงเทพมหานครระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ซึ่งอยู่ภายใต้แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (Mass Rapid Transit Master Plan in Bangkok Metropolitan Region : M-MAP) โดยที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้เคยมีอนุมัติให้ดําเนินการก่อสร้างงานโยธาของส่วนตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ไปแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 สําหรับในครั้งนี้เป็นการขออนุมัติการดําเนินงานก่อสร้างงานโยธาของฝั่งตะวันตกและการบริหารจัดการการเดินรถและซ่อมบํารุงของรถไฟฟ้าสายสีส้มทั้งระบบ ทั้งนี้ ภาพรวมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) สามารถสรุปได้ ดังนี้ 1.1 ภาพรวมโครงการฯ หัวข้อ สายสีส้มทั้งระบบ ส่วนตะวันออก ส่วนตะวันตก ระยะทาง 35.9 กม. (ใต้ดิน 27 กม. + ยกระดับ 8.9 กม.) 22.5 กม. (ใต้ดิน 13.6 กม. + ยกระดับ 8.9 กม.) 13.4 กม. (ใต้ดินตลอดสาย) สถานี 28 สถานี (21 สถานีใต้ดิน + 7 สถานียกระดับ) 17 สถานี (10 สถานีใต้ดิน + 7 สถานียกระดับ) 11 สถานี (ใต้ดินตลอดสาย) ระบบไฟฟ้า Heavy Rail Transit System (4 ตู้/ขบวน ในปีที่เปิด) ผู้โดยสาร 439,736 คน/เที่ยว/วัน (ปี 69) 121,599 คน/เที่ยว/วัน (ปี 66) 439,736 คน/เที่ยว/วัน (ปี 69) ผลตอบแทน ด้านเศรษฐกิจ* EIRR = ร้อยละ 19.06 (NPV = 107,564 ล้านบาท) EIRR = ร้อยละ 13.96 (NPV = 15,185 ล้านบาท) EIRR = ร้อยละ 19.45 (NPV = 67,640 ล้านบาท) ผลตอบแทน ด้านการเงิน* FIRR = ร้อยละ 0.40 (NVP = -107,556 ล้านบาท) FIRR = ร้อยละ – 5.87 (NVP = - 95,234 ล้านบาท) FIRR = ร้อยละ 0.00 (NVP = - 60,714 ล้านบาท) การจัดทํา รายงาน EIA จัดทํารายงาน EIA 2 เล่ม (ส่วนตะวันออกและ ส่วนตะวันตก) คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบแล้ว อยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไขตามความเห็นของ คชก. การจัด กรรมสิทธิ์ที่ดิน พื้นที่รวม 1,099 แปลง รวม 553 หลัง พื้นที่รวม 594 แปลง รวม 222 หลัง พื้นที่รวม 505 แปลง (41 ไร่ 1 งาน 96 ตร.ว.) รวม 331 หลัง มูลค่ารวม 24,286 ล้านบาท มูลค่า 9,625 ล้านบาท มูลค่า 14,661 ล้านบาท เปิดบริการ เต็มรูปแบบ ปี 2569 ปี 2566 ปี 2569 ที่มา : รฟม. หมายเหตุ: * มาจากผลการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเศรษฐกิจและการเงินระยะเวลา 30 ปี ที่อัตราคิดลด ร้อยละ 12 และร้อยละ 5 ตามลําดับ บนสมมติฐาน MRT Assessment Standardization (ยังไม่รวมกรณีจํากัดอัตราค่าโดยสารสูงสุดที่ 12 สถานี) ทั้งนี้ กรณีจํากัดอัตราค่าโดยสารสูงสุดที่ 12 สถานี IRR ของทั้งโครงการฯ คือ ร้อยละ 0.40 (NPV = - 107,556 ล้านบาท) ในขณะที่ EIRR คือ ร้อยละ – 2.26 (NPV = 107,564 ล้านบาท) 1.2 มูลค่าโครงการฯ รายการ ส่วนตะวันออก ส่วนตะวันตก รวม การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน/ค่าจ้างสํารวจอสังหาริมทรัพย์ 9,625 ล้านบาท (เงินงบประมาณ) 14,661 ล้านบาท (เงินงบประมาณ) 24,286 ล้านบาท การก่อสร้างงานโยธา/ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานโยธา 82,907 ล้านบาท (เงินกู้ภายในประเทศ) 96,012 ล้านบาท* (เงินงบประมาณ) 178,919 ล้านบาท งานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบํารุงรักษาทั้งโครงการ/ค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ 32,116 ล้านบาท (เงินลงทุนจากภาคเอกชน) 32,116 ล้านบาท รวม 235,321 ล้านบาท 1.3 รูปแบบการลงทุนโครงการฯ รายการ รูปแบบการลงทุน ส่วนตะวันออก ส่วนตะวันตก การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน - รัฐเป็นผู้รับผิดชอบจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินสําหรับโครงการฯ ทั้งส่วนตะวันตกและตะวันออก PPP Net Cost โดยแบ่งการร่วมทุน ดังนี้ - ภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ ส่วนตะวันตก - ภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธาโครงการฯ ส่วนตะวันตก โดยภาครัฐจะทยอยจ่ายคืนหลังเปิดให้บริการเดินรถ เป็นระยะเวลาไม่ต่ําว่า 10 ปี (อัตราคิดลดร้อยละ 5) การก่อสร้างงานโยธา - ให้ กค. จัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และให้ สงป. พิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณให้เป็นรายได้แก่ รฟม. ให้เพียงพอต่อการดําเนินการ การบริหารงาน การลงทุน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และการชําระหนี้แก่แหล่งเงินกู้ทั้งในส่วนของเงินต้น ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง งานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหาร การเดินรถ และซ่อมบํารุงรักษาทั้งโครงการ - ภาคเอกชนลงทุนค่างานระบบไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบํารุงรักษาทั้งเส้นทาง ระยะเวลาเดินรถ 30 ปี นับจากเริ่มเปิดให้บริการโครงการฯ ส่วนตะวันออก เป็นต้นไป และเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร รายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานทั้งหมด โดยภาครัฐไม่มีภาระสนับสนุนทางการเงิน (Subsidy) แก่เอกชนในส่วนงานนี้ 1.4 การเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ สถานีโครงการฯ โครงการรถไฟฟ้า หน่วยงาน สถานีเชื่อมต่อ ปีเปิดให้บริการ 1. บางขุนนนท์ สายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช รฟท. บางขุนนนท์ สายสีน้ําเงิน รฟม. 2. ศิริราช สายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช รฟท. ศิริราช 3. อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) รฟม. ผ่านฟ้า 4. ยมราช สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-หัวลําโพง รฟท. ยมราช 5. ราชเทวี สายสีเขียวอ่อน ช่วงหมอชิต-แบริ่ง กทม. ราชเทวี เปิดให้บริการแล้ว 6. ราชปรารภ สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก รฟท. ราชปรารภ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ รฟท. เปิดให้บริการแล้ว 7. ศูนย์วัฒนธรรมฯ สายสีน้ําเงิน รฟม. ศูนย์วัฒนธรรมฯ เปิดให้บริการแล้ว 8. วัดพระราม 9 สายสีเทา ช่วงวัชรพล – ทองหล่อ - พระราม 9 อนาคต 9. ลําสาลี สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สําโรง สายสีน้ําตาล ช่วงแคราย – ลําสาลี (บึงกุ่ม) รฟม. ลําสาลี 10. มีนบุรี สายสีชมพู รฟม. มีนบุรี 2. คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนได้ขอให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในรูปแบบ PPP Net Cost มีระยะเวลาเดินรถ 30 ปีนับจากเริ่มเปิดให้บริการโครงการฯ ส่วนตะวันออกเป็นต้นไป โดยเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบค่างานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบํารุงรักษาทั้งเส้นทาง ซึ่งมีมูลค่ารวม 32,116 ล้านบาท รวมทั้งเป็น ผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร รายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานทั้งหมด โดยภาครัฐไม่มีภาระสนับสนุนทางการเงินแก่เอกชนในส่วนงานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถและงานเดินรถและซ่อมบํารุงรักษา 15. เรื่อง การรับรายงานผลการดําเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต คณะรัฐมนตรีพิจารณาการรับรายงานผลการดําเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ตามที่สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สํานักงาน ป.ป.ท.) เสนอ แล้วมีมติดังนี้ 1. มอบหมายให้สํานักงาน ป.ป.ท. ทําหน้าที่ในการประสานงานเกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียนหรือพบเหตุอันควรสงสัยว่าข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดกระทําการหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบ และการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 27 มีนาคม 2561 โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของแต่ละหน่วยงานมีหน้าที่ในการรายงานผลการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐซึ่งอยู่ในสังกัดหรือกํากับ ประกอบด้วย ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน มายังสํานักงาน ป.ป.ท. ตามรูปแบบวิธีการที่สํานักงาน ป.ป.ท. กําหนด 2. สําหรับการมอบหมายให้สํานักงาน ป.ป.ท. ตรวจสอบ เร่งรัด ติดตามการดําเนินงานของหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐในการดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ในกรณีข้อร้องเรียนหรือพบเหตุอันควรสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดกระทําการหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบฯ นั้น ให้สํานักงาน ป.ป.ท. ดําเนินการตามมาตรการ 51 (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 ตามความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสํานักงาน ก.พ.ร. ต่อไป ทั้งนี้ ให้ สํานักงาน ป.ป.ท. รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และสํานักงบประมาณไปดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย 16. เรื่อง มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ และมอบหมายกระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง ทส. รายงานว่า 1. มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะใช้แนวทางการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากอากาศยานอย่างสมดุลที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ได้เสนอ ประกอบกับมาตรการการจัดการมลพิษทางอากาศและเสียงจากท่าอากาศยานที่ได้จัดทําในปี 2547 และผลการดําเนินงานตามมาตรการดังกล่าว รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่ผ่านมาเป็นแนวทางการพิจารณา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการบิน ด้านผังเมือง ด้านสุขภาพ และท้องถิ่น ใช้เป็นกรอบการดําเนินงานในลักษณะงานบูรณาการร่วมกันในการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ 2. มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะมีเป้าหมาย คือ สนามบินสาธารณะทุกแห่งที่ได้รับความเห็นชอบแผนพัฒนาสนามบิน เพื่อรองรับการเดินทางทางอากาศ มีการดําเนินงานป้องกันปัญหามลพิษทางเสียงที่จะเกิดผลกระทบกับประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบสนามบินภายในปี 2566 โดยประกอบด้วย 4 มาตรการ ดังนี้ 2.1 มาตรการการนําแผนที่เส้นเท่าระดับเสียง ไปใช้ในการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบสนามบิน มี 2 มาตรการย่อย ได้แก่ (1) ให้มีการจัดทําแผนที่เส้นเท่าระดับเสียงที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาสนามบินในระยะยาว และ (2) การนําแผนที่เส้นเท่าระดับเสียงไปใช้ในการจัดทําผังเมืองและการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบสนามบินทั้งสนามบินเก่าและสนามบินใหม่ โดยสนามบินเก่าที่เป็นสนามบินระดับภาค ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี สนามบินระดับจังหวัด ให้แล้วเสร็จภายใน 4 ปี 2.2 มาตรการการจัดการผลกระทบด้านเสียงจากอากาศยานและวิธีปฏิบัติการบิน มี 1 มาตรการย่อย ได้แก่ ให้กําหนดวิธีปฏิบัติการบินโดยรอบสนามบินในการจัดการผลกระทบด้านเสียงที่เหมาะสมให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยมีกิจกรรมหรือขั้นตอนการดําเนินงานสําหรับใช้กับทั้งสนามบินเก่าและสนามบินใหม่ เช่น รวบรวมและพัฒนาฐานข้อมูลการปฏิบัติการบินโดยรอบสนามบิน กําหนดวิธีปฏิบัติการบิน วิเคราะห์การปฏิบัติการบินกับพื้นที่อ่อนไหวโดยรอบสนามบิน และให้สนามบินเลือกวิธีปฏิบัติการบินที่เหมาะสม เป็นต้น 2.3 มาตรการการพัฒนาเครื่องมือในการบริหารจัดการมลพิษทางเสียงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน มี 4 มาตรการย่อย ได้แก่ (1) ให้ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเสียงอากาศยานและการลดผลกระทบทางเสียงให้ทันสมัยและเหมาะสม (2) ให้พัฒนาระบบการดําเนินงานเพื่อตรวจสอบและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนจากประชาชนที่รวดเร็วและถูกต้อง (3) ให้มีระบบการตรวจสอบระดับเสียง และ (4) ให้ศึกษาวิจัยเพื่อสนับสนุนการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบิน 2.4 มาตรการการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเผยแพร่ข้อมูลการจัดการเสียงสนามบิน มีกิจกรรมหรือขั้นตอนการดําเนินงานสําหรับใช้กับทั้งสนามบินเก่าและสนามบินใหม่ เช่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างความเข้าใจแก่จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนด้านการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบิน และจัดทําหลักเกณฑ์การเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการมลพิษทางเสียงจากสนามบิน เป็นต้น 3. มาตรการการจัดการปัญหามลพิเษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะจัดทําขึ้นโดยคณะทํางานจัดการปัญหามลพิษทางอากาศและเสียงจากสนามบิน ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการควบคุมมลพิษ (โดยมีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธาน) ในการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุมครั้งที่ 6/2562 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2562 มีมติเห็นชอบต่อมาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะตามที่ ทส.เสนอ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ทั้งนี้ กก.วล. ได้มอบหมายให้ คค. กห. มท. และ สธ. นํามาตรการดังกล่าวไปดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 17. เรื่อง สถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ โดยให้กระทรวงยุติธรรม (สํานักงานกิจการยุติธรรม) นํากรอบแนวทางฯ เสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติพิจารณาก่อนดําเนินการต่อไป โดยให้กระทรวงยุติธรรม (สํานักงานกิจการยุติธรรม) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย โดยดําเนินการให้สอดคล้องเป็นไปตามแผนแม่บทฯ รวมทั้ง การกําหนดกรอบแนวทางดังกล่าวควรคํานึงให้ครอบคลุมถึงมาตรการรองรับการลดจํานวนผู้ต้องขังทั่วประเทศในระยะยาวต่อไป ในกรณีที่มีความจําเป็นต้องจัดหาเครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) เพื่อรองรับการดําเนินการตามแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการโดยคํานึงถึงการจัดหาในปริมาณที่เหมาะสมและจําเป็นต่อการใช้งานจริง ประสิทธิภาพการใช้งานความคุ้มค่า ความเหมาะสมของราคา รวมทั้งความโปร่งใสในการดําเนินการด้วย สาระสําคัญของเรื่อง กระทรวงยุติธรรม เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อรับทราบสถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา โดยมีสาระสําคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น 1) สถานการณ์จํานวนผู้ต้องขังในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมีผู้อยู่ในเรือนจําทั่วประเทศ จํานวน 374,052 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2562) รวมถึงผู้ต้องราชทัณฑ์ จํานวน 364,488 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องราชทัณฑ์ที่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด/สารระเหย (288,648 คน) 2) สถานการณ์ความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจําทั่วประเทศเกี่ยวกับพื้นที่เรือนนอนของผู้ต้องขังที่เกินความจุที่เรือนจํารองรับผู้ต้องขังได้ (เกินประมาณ 115,698 คน) ส่งผลให้เกิดปัญหาความแออัดในเรือนจําสรุปได้ ดังนี้ ขนาดพื้นที่เรือนนอนของผู้ต้องขังในเรือนจํา ทั่วประเทศ ผู้ต้องขังในปัจจุบัน รวมจํานวน 305,312.42 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้ต้องขัง จํานวน 254,302 คน ประมาณ 374,052 คน (ข้อมูล ณ 1 ตุลาคม 2562) ประเด็น : จํานวนผู้ต้องขังในปัจจุบันเกินกว่าความสามารถที่เรือนจําจะรองรับพื้นที่เรือนนอนให้กับผู้ต้องขังได้อย่างเหมาะสม ทําให้เกิดปัญหาความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจําทั่วประเทศ ดังนั้น กระทรวงยุติธรรมจึงได้จัดทําแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา ประกอบด้วย 5 กรอบการดําเนินงาน สรุปได้ ดังนี้ กรอบที่ 1 กฎหมาย เป็นการพิจารณากฎหมายในเชิงระบบตั้งแต่กระบวนการป้องกันมิให้คนเข้าสู่เรือนจํา การกําหนดมาตรการทางเลือกอื่นแทนการจําคุก การหาสถานที่อื่นแทนการจําคุก การปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานเรือนจําเพื่อให้เกิดกระบวนการจําแนกและคัดกรองผู้ต้องขังชั้นดีให้ได้รับการลดโทษ พักโทษ รวมไปถึงมาตรการทางกฎหมายอื่น ๆ เมื่อผู้กระทําความผิดได้พ้นโทษเพื่อให้โอกาสผู้กระทําความผิดได้กลับตัวและไม่หวนกลับมากระทําผิดซ้ํา กรอบที่ 2 พักโทษ ลดโทษ และการใช้เครื่องมืองติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ เป็นกระบวนการลดความแอดอัดในเรือนจําของผู้ต้องขังในประเภทต่าง ๆ ผ่านการปล่อยตัวชั่วคราว (ผู้ต้องขังระหว่าง) การคุมประพฤติ (รอการลงโทษ หรือรอการกําหนดโทษ) และการพักการลงโทษทั้งแบบปกติและแบบเหตุพิเศษ กรอบที่ 3 อาชีพ และการสร้างเรือนจํารูปแบบใหม่ เป็นการกําหนดแนวทางการสร้างอาชีพ รวมไปถึงการสร้างเรือนจํารูปแบบใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย การฝึกอาชีพที่เหมาะสมกับความถนัดของผู้ต้องขัง และความต้องการของผู้ประกอบการ หรือตลาดแรงงาน เพื่อให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษได้เตรียมพร้อมทั้งในด้านสภาพจิตใจและการฝึกอาชีพที่เหมาะสมกับความถนัดก่อนออกจากเรือนจํา รวมไปถึงการปรับปรุงสภาพเรือนนอนเพื่อลดความแออัดในเรือนจําในเบื้องต้น กรอบที่ 4 การบําบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ปรับปรุงและบูรณาการการดําเนินการเพื่อบําบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพทั้งในระบบสมัครใจ ระบบบังคับบําบัดและระบบต้องโทษ ปรับปรุงระยะเวลาการตรวจพิสูจน์กําหนดสถานที่หรือมาตรการควบคุมตัวเพื่อรอตรวจพิสูจน์ ระบบติดตามและประเมินผล รวมทั้งหน่วยงานรับผิดชอบหลักและที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาหลักสูตรบําบัดรักษา การเพิ่มโอกาสแก่ผู้เสพในการเข้าสู่กระบวนการบําบัดฟื้นฟู กรอบที่ 5 การป้องกันยาเสพติด ขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันยาเสพติด โดยการสนับสนุนการป้องกันยาเสพติดระดับชุมชน/หมู่บ้าน การจัดทําโครงการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน / ชุมชน เป็นเป้าหมายระยะแรก ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมแจ้งว่า เรื่องที่จําเป็นต้องเร่งดําเนินการเพื่อการแก้ไขปัญหาข้างต้น จํานวน 2 เรื่อง ดังนี้ 1) การปรับปรุงเพิ่มพื้นที่นอนในห้องขังทั่วประเทศให้เป็น 2 ชั้น จํานวน 94 แห่ง (รวม 1,906 ห้อง คิดเป็นพื้นที่ที่จะปรับปรุง 103,731.50 ตารางเมตร ซึ่งสามารถรองรับการใช้พื้นที่เรือนนอนของผู้ต้องขังได้ จํานวน 86,442 คน) เพื่อบรรเทาความแออัดในระยะเริ่มแรก 2) การจัดหาเครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) จํานวน 30,000 เครื่อง เพื่อรองรับการคุมประพฤติและการพักการลงโทษ และเพื่อขับเคลื่อนการดําเนินการตามแนวทางดังกล่าว กระทรวงยุติธรรมเห็นควรมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ คณะกรรมการกําหนดแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา ในการประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2562 ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว 18. เรื่อง ขอความเห็นชอบแนวทางการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการจากจํานวน 800 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นจํานวน 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน ในเบื้องต้นเฉพาะคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการและผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พิจารณาดําเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง และจัดทําแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม และให้ถือว่าเป็นคําขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าว เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญของเรื่อง พม. รายงานว่า 1. พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้มีการจัดประชุมสมัชชาเครือข่ายคนพิการระดับภูมิภาคประจําปี พ.ศ. 2562 เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการระดับจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ และเครือข่ายคนพิการทั่วประเทศ พบว่า มีการเสนอแนวทางความเป็นไปได้ในการปรับเพิ่มเบี้ยความพิการในอัตราที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความจําเป็นของคนพิการแต่ละบุคคลเพื่อเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานให้คนพิการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐมากยิ่งขึ้น นอกจากข้อเสนอจากการจัดสมัชชาคนพิการดังกล่าวแล้วพบว่า คนพิการจํานวนมากได้มีข้อเสนอและข้อร้องเรียนไปยัง Web Portal ระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ให้รัฐบาลมีการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการเพิ่มขึ้นในอัตราที่เหมาะสม 2. ต่อมา พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ได้ดําเนินการศึกษาและพัฒนาแนวทางการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการโดยพบว่า การปรับเพิ่มเบี้ยความพิการจากปัจจุบัน 800 บาทต่อคนต่อเดือน เป็น 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน มีความสอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน เพราะจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวันของคนพิการได้ และไม่ทําให้ค่าใช้จ่ายทางการคลังเพิ่มมากขึ้นจนเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับผลการสํารวจความคิดเห็นของคนพิการที่ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 91.84) มีความต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนเบี้ยความพิการเพิ่มขึ้นในอัตรา 1,000 บาทขึ้นไป ทั้งนี้ จากสถานการณ์ในปัจจุบันพบว่า คนพิการส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและมีฐานะยากจน โดยมีรายได้เฉลี่ยเพียงเดือนละ 4,326.52 บาท ถือว่าเป็นผู้ที่มีรายได้น้อยและไม่เพียงพอต่อการดํารงชีวิต นอกจากนี้คนพิการส่วนใหญ่ยังประสบปัญหาและความยากลําบากในการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ และสิ่งอํานวยความสะดวกที่สามารถสนองตอบต่อความต้องการและจําเป็นของคนพิการในทุกประเภทความพิการ ดังนั้น จึงจําเป็นต้องมีการปรับปรุงการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการของประเทศไทยให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่จําเป็นของคนพิการและส่งเสริมให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 3. ปัจจุบันคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการมีจํานวน 2.02 ล้านคน (ข้อมูลจากฐานทะเบียนกลาง กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2562) ซึ่งการจ่ายสวัสดิการเบี้ยความพิการให้แก่คนพิการดังกล่าว หน่วยงานที่รับผิดชอบจะเป็นผู้จัดทําคําขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีอยู่แล้ว แต่ในส่วนที่ปรับอัตราเบี้ยความพิการเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 บาทต่อคนต่อเดือนในครั้งนี้ จะทําให้มีส่วนต่างจํานวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน (1,000 – 800) จึงทําให้ต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น จํานวน 4,852.90 ล้านบาท ดังนี้ จํานวนคนพิการ ที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ (ล้านคน) อัตราเบี้ยความพิการ (บาทต่อคนต่อเดือน) วงเงินงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม/ปี (ล้านบาท) เดิม ปรับเพิ่ม ส่วนต่าง 2.02 4,852.90 จํานวนผู้พิการ × เงินเบี้ยความพิการที่เพิ่มขึ้น × 12 เดือน 2.02 ล้านคน × 200 บาท × 12 เดือน 4. ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2562 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการดังกล่าวแล้ว ต่างประเทศ 19. เรื่อง การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหารและสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 27 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ประเทศไทยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหาร (Council of Administration: CA) และสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ (Postal Operations Council: POC) ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ (Universal Postal Union: UPU) สมัยที่ 27 โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดําเนินการขอเสียงและแลกเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกของ UPU ในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก CA และ POC ของประเทศไทย ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอ สาระสําคัญ ที่ประชุมใหญ่ของ UPU จะจัดขึ้นทุก 4 ปี เพื่อกําหนดนโยบายด้านกิจการไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ปรับปรุงแก้ไขพิธีสารต่าง ๆ และเลือกตั้งผู้บริหารของ UPU ตลอดจนเลือกตั้งสมาชิก CA และ POC ซึ่งจะมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 4 ปี โดย UPU มีกําหนดจัดการประชุมใหญ่ สมัยที่ 27 ระหว่างวันที่ 10 – 28 สิงหาคม 2563 ณ กรุงอาบีจาน สาธารณรัฐโกตดิวัวร์ โดยที่ UPU กําหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ประเทศสมาชิกสามารถเป็นสมาชิก CA ติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 สมัย โดยจะต้องละเว้นการสมัคร 1 สมัย ซึ่งประเทศไทยได้ละเว้นการสมัครในสมัยที่ผ่านมาแล้ว ส่วนการสมัคร POC นั้นไม่มีกฎเกณฑ์ดังกล่าว ดังนั้น ประเทศไทยจึงสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในสภาทั้ง 2 ในครั้งนี้ได้ โดยการที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิก CA และ POC จะเป็นการผลักดันการพัฒนากิจการไปรษณีย์ของไทยให้มีความทันสมัย เป็นไปตามมาตรฐานสากล และมีประสิทธิภาพได้มีส่วนร่วมในการกําหนดทิศทางของ UPU อีกทั้งยังเสริมสร้างบทบาทของไทยเวทีโลก 20. เรื่อง การขอเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงสาธารณรัฐคาซัคสถาน คณะรัฐมนตรีรับทราบการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงของสาธารณรัฐคาซัคสถานจากกรุงอัสตานา (Astana) เป็นกรุงนูร์-ซุลตัน (Nur-Sultan) และการดําเนินการที่จําเป็นในส่วนของ กต. เพื่อเปลี่ยนชื่อสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัสตานา เป็นสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนูร์-ซุลตัน เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงของสาธารณรัฐคาซัคสถานตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ นายคาซีม-โยมาร์ต โตคาเยฟ (Kassym-Jomart Tokayev) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน เสนอให้ใช้ชื่อ นูร์-ซุลตัน เป็นชื่อเมืองหลวงแทนอัสตานาเพื่อให้คนรุ่นใหม่จดจําชื่อของนาย Nursultan Nazarbayev ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐคาซัคสถาน ซึ่งได้ประกอบคุณงามความดีนานัปการให้แก่สาธารณรัฐคาซัคสถานในช่วงระยะเวลาที่ปกครองประเทศ ซึ่งสาธารณรัฐคาซัคสถานได้แก้ไขรัฐธรรมนูญรับรองการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจากกรุงอัสตานาเป็นกรุงนูร์-ซุลตัน โดยมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ลงประกาศเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 แต่งตั้ง 21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นางสาววันเพ็ญ นิโครวนจํารัส รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นายโวสิต วรทรัพย์ รองอธิบดีกรมพิธีการทูต ให้ดํารงตําแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตประจําต่างประเทศดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว 23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 5 ราย ดังนี้ 1. นายอนุกูล ปีดแก้ว รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ดํารงตําแหน่ง รองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 2. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 3. นายชูรินทร์ ขวัญทอง รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 4. นายอนันต์ ดนตรี รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 5. นายธนสุนทร สว่างสาลี รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่ง ที่ว่าง 24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้ง นางสาววันเพ็ญ พูลวงษ์ รองผู้อํานวยการสํานักงานสถิติแห่งชาติ ให้ดํารงตําแหน่ง ผู้อํานวยการสํานักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง 25. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายพิริยะ เข็มพล เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) แทนนายกําจร ตติยกวี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งแทนอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว 26. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 จํานวน 5 คน ดังนี้ 1. นางวิพรรณ ประจวบเหมาะ 2. นายอภิชัย จันทรเสน 3. นายวรเวศม์ สุวรรณระดา 4. นางสุวณี รักธรรม 5. นางศศิพัฒน์ ยอดเพชร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป 27. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง จํานวน 4 คน ดังนี้ 1. นายชวลิต พิชาลัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านธุรกิจน้ํามันเชื้อเพลิง 2. นางสาววิมล ชาตะมีนา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน 3. นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าในประเทศ/ต่างประเทศ และการบริหาร 4. นายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าในประเทศ/สารนิเทศ และการบริหาร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป และให้กระทรวงพลังงานดําเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงในครั้งต่อ ๆ ไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดไว้อย่างเคร่งครัดตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง การดําเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย) 28. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ จํานวน 3 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดํารงตําแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้ 1. นายถวัลย์ วรรณกิจมงคล 2. นางสาวบุหงา โพธิ์พัฒนชัย 3. นางพอตา ยิ้มไตรพร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป 29. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ จํานวน 9 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดํารงตําแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้ 1. ศาสตราจารย์นันทวัฒน์ บรมานันท์ 2. นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ 3. พลตํารวจโท สมชาย พัชรอินโต 4. พันตํารวจโท เธียรรัตน์ วิเชียรสรรค์ 5. นายภพ เอครพานิช 6. นางเบญจวรรณ สร่างนิทร 7. หม่อมราชวงศ์พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์ 8. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ 9. นายมานะ นิมิตรมงคล (ลําดับที่ 1. – 8. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ ลําดับที่ 9. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป 30. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สํานักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สํานักงาน ป.ย.ป.) เสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง จํานวน 5 คน ดังนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง 1. รัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จํานวน 3 คน เป็นกรรมการ 1.1 รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) 1.2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอุตตม สาวนายน) 1.3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา) 2. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จํานวน 2 คน 2.1 นายกฤษฎา บุญราช 2.2 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ..............................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 28 มกราคม 2563 วันอังคารที่ 28 มกราคม 2563 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 28 มกราคม 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี http://www.thaigov.go.th วันนี้ (28 มกราคม 2563) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การแก้ไขเพิ่มเติมการแบ่งส่วน ราชการตํารวจภูธรภาค 1 – 9 ในสังกัดสํานักงานตํารวจแห่งชาติ) 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียน การออกใบแทนการขึ้นทะเบียน การเพิกถอนทะเบียน การกําหนดค่าบริการและวิธีการให้บริการ การขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดอัตราเงินค่าทําศพ พ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จํานวน 2 ฉบับ 8. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กําหนดชนิดและแหล่งกําเนิดวัตถุดิบที่จะนํามาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสําหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐานรวม 3 ฉบับ 11. เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2553 12. เรื่อง การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบหรือมีคําสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้อง ดําเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดําเนินการอันจํากัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 เศรษฐกิจ - สังคม 13. เรื่อง มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 14. เรื่อง ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย 15. เรื่อง การรับรายงานผลการดําเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต 16. เรื่อง มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ 17. เรื่อง สถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา 18. เรื่อง ขอความเห็นชอบแนวทางการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการ ต่างประเทศ 19. เรื่อง การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหารและสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 27 20. เรื่อง การขอเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงสาธารณรัฐคาซัคสถาน แต่งตั้ง 21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) 23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) 24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) 25. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่ง ประเทศไทย 26. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 27. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง 28. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ 29. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ 30. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงฯ ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. 2559 เพื่อกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. 2559 2. แก้ไขเพิ่มเติมคํานิยามคําว่า “ประโยชน์ในครัวเรือน” และ “เมล็ดพันธุ์” ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น 3. กําหนดเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในการขออนุญาต “ผลิต” “จําหน่าย” “มีไว้ในครอบครอง” และ “นําเข้า ส่งออก” เพื่อประโยชน์ของทางราชการ ในการศึกษา วิเคราะห์วิจัย ทางการแพทย์ เภสัชกรรม วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และเพื่อนําเข้า ส่งออกในเชิงพาณิชย์ เป็นต้น 4. กําหนดวิธีดําเนินการเกี่ยวกับการนําเข้าหรือส่งออกเฉพาะคราว โดยต้องได้รับใบอนุญาตเฉพาะคราวทุกครั้งที่นําเข้าหรือส่งออก โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กําหนดในกฎกระทรวงนี้ 5. กําหนดข้อยกเว้นให้ผู้อนุญาตไม่ต้องดําเนินการตามเงื่อนไขที่กําหนดไว้ ในกรณีเพื่อประโยชน์ของทางราชการในการป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิด หรือความร่วมมือระหว่างประเทศเกี่ยวกับยาเสพติด 6. แก้ไขเพิ่มเติมบทเฉพาะกาล ดังนี้ 6.1 กําหนดให้การขออนุญาตผลิต จําหน่าย ครอบครอง หรือส่งออกกัญชง (Hemp) จะต้องดําเนินการภายในระยะเวลา 5 ปีนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ เพื่อเป็นการส่งเสริมการปลูกกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจและการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์กัญชงในประเทศไทย ป้องกันการนําเข้าสินค้าสําเร็จรูปและวัตถุดิบจากต่างประเทศ 6.2 กําหนดให้หนังสือสําคัญแสดงการอนุญาตนําเข้า ผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ที่ออกตามกฎหมายเดิม ให้ถือว่าเป็นใบอนุญาตตามกฎกระทรวงนี้และให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าหนังสือสําคัญนั้นจะสิ้นอายุ 6.3 กําหนดให้บรรดาคําขอรับหนังสือสําคัญและคําขอรับใบแทนหนังสือสําคัญแสดงการอนุญาตตามกฎหมายเดิม ที่ได้ยื่นไว้ก่อนวันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ และยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของผู้อนุญาต ให้ถือว่าเป็นคําขอรับใบอนุญาตหรือคําขอรับใบแทนใบอนุญาตตามกฎกระทรวงนี้โดยอนุโลม 2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การแก้ไขเพิ่มเติมการแบ่งส่วนราชการตํารวจภูธรภาค 1 – 9 ในสังกัดสํานักงานตํารวจแห่งชาติ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้สํานักงานตํารวจแห่งชาติรับความเห็นของสํานักงาน ก.พ.ร. สํานักงาน ก.พ. และสํานักงบประมาณไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง จัดตั้งกองบังคับการกฎหมายและคดี เป็นส่วนราชการระดับกองบังคับการ สังกัดตํารวจภูธรภาค 1 – 9 โดยมีหน่วยงานภายในประกอบด้วย ฝ่ายอํานวยการ ฝ่ายกฎหมายคดีปกครองและคดีแพ่ง และกลุ่มงานตรวจสอบสํานวนคดี โดยมีอํานาจหน้าที่ เช่น พิจารณาตรวจร่างกฎหมาย ให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่สมาชิกรัฐสภาหรือส่วนราชการต่าง ๆ เสนอ พิจารณาตรวจร่างสัญญาดําเนินการเกี่ยวกับงานคดีที่อยู่ในอํานาจหน้าที่ของตํารวจภูธรภาค พิจารณาหารือปัญหาข้อกฎหมาย เสนอแนะปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และปฏิบัติงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ คค. เสนอว่า 1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการก่อสร้างของเมียนมา ได้ร่วมลงนามในความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาว่าด้วยการบริหาร การบํารุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2562 ซึ่งสาระสําคัญของความตกลงดังกล่าวเป็นการกําหนดแนวทางพื้นฐานทางกฎหมายที่จําเป็นเพื่อ การบริหาร บํารุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 โดยมีการกําหนดรายละเอียดเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ของสะพาน เขตแดน การบริหารและบํารุงรักษา การจัดตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อปรึกษาหารือและตกลงวิธีการบริหาร การบํารุงรักษา และการใช้สะพาน การจัดตั้งหน่วยบํารุงรักษาสะพานการกําหนดอัตราค่าผ่านสะพาน และการปรับปรุงระเบียบการผ่านแดน 2. ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาฯ ในข้อ 1. นั้น ได้กําหนดให้คณะกรรมาธิการบริหารบํารุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 ที่จัดตั้งขึ้น ร่วมกันกําหนดอัตราค่าผ่านสะพาน โดยจะเก็บเพียงครั้งเดียวเมื่อยานพาหนะข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ตามอัตราที่กําหนดไว้สําหรับยานพาหนะแต่ละประเภทและอาจจะเปลี่ยนได้เมื่อมีความจําเป็น โดยได้รับความเห็นชอบร่วมกันจากคณะกรรมาธิการของทั้งสองฝ่าย ซึ่งคณะกรรมาธิการของทั้งสองฝ่ายได้มีการประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2562 ณ กระทรวงการก่อสร้างสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยคณะกรรมาธิการทั้งสองฝ่ายร่วมกันกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมผ่านสะพานและการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมผ่านสะพาน และมีมติเห็นชอบร่วมกันในการเปิดใช้สะพานฯ ในวันที่ 30 ตุลาคม 2562 และสรุปผลการพิจารณากําหนดอัตราค่าธรรมเนียมและการยกเว้นค่าธรรมเนียมได้ ดังนี้ 2.1 กําหนดอัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานตามประเภทของยานยนตร์และตามอัตราดังต่อไปนี้ ลําดับที่ ประเภทยานยนตร์ ที่จะต้องเสียค่าธรรมเนียม อัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานต่อหนึ่งครั้ง รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง 50.00 บาท รถโดยสารขนาดเล็กไม่เกิน 7 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 12 ที่นั่ง 100.00 บาท รถโดยสารขนาดกลางเกิน 12 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 24 ที่นั่ง 150.00 บาท รถโดยสารขนาดใหญ่เกิน 24 ที่นั่ง 200.00 บาท รถบรรทุก 4 ล้อ 50.00 บาท รถบรรทุก 6 ล้อ 250.00 บาท รถบรรทุก 10 ล้อ 350.00 บาท รถบรรทุกเกิน 10 ล้อ 500.00 บาท 2.2 กําหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่ยานยนตร์ ดังต่อไปนี้ 1) รถโดยสารประจําทางระหว่างประเทศที่มีความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาให้เดินรถผ่านสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 2) รถยนต์รับจ้างขนส่งผู้โดยสารที่เดินรถให้บริการอยู่ภายในบริเวณระหว่างด่านพรมแดนราชอาณาจักรไทยและด่านพรมแดนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา 3) รถยนต์ของเจ้าหน้าที่ของราชอาณาจักรไทย จํานวนไม่เกิน 50 คัน และรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จํานวนไม่เกิน 50 คัน ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าหน่วยบํารุงรักษาสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 ของทั้งสองประเทศได้กําหนดรูปแบบของบัตรยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์ร่วมกัน 3. ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมาธิการบริหาร บํารุงรักษา และการใช้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 กรมทางหลวง คค. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม่น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. .... ขึ้น ซึ่งกรมทางหลวงได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยเผยแพร่ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวผ่านทางเว็บไซต์ของกรมทางหลวงเป็นเวลาติดต่อกัน 15 วัน ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 แล้ว ปรากฏว่าไม่มีผู้ไม่เห็นด้วยและไม่มีผู้ใดแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงฯ มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดให้สะพานมิตรภาพไทย - เมียนมา ข้ามแม้น้ําเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 ต่อจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 130 เป็นสะพานที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพาน 2. กําหนดอัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานตามประเภทของยานยนตร์ 3. กําหนดให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่ยานยนตร์ 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดําเนินการต่อไป สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ – กาญจนบุรี เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวง โดยกําหนดค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมตามระยะทางที่ใช้จริง ตามประเภทของยานยนตร์ 2. กําหนดให้มีการปรับอัตราค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นทุก 5 ปี 3. กําหนดให้ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับนับแต่วันที่อธิบดีกรมทางหลวงประกาศกําหนดเป็นต้นไป 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียน การออกใบแทนการขึ้นทะเบียน การเพิกถอนทะเบียน การกําหนดค่าบริการและวิธีการให้บริการ การขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียน การออกใบแทนการขึ้นทะเบียน การเพิกถอนทะเบียน การกําหนดค่าบริการและวิธีการให้บริการ การขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสํานักงบประมาณไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลผู้ขอขึ้นทะเบียน หรือนิติบุคคลผู้ขออนุญาตที่ประสงค์จะให้บริการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน 2. กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขึ้นทะเบียน หรือการขออนุญาตในการให้บริการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน รวมทั้งกําหนดให้ใบสําคัญการขึ้นทะเบียนและใบอนุญาตมีอายุ 3 ปี นับแต่วันที่ออกใบสําคัญหรือใบอนุญาตแล้วแต่กรณี 3. กําหนดวิธีการและระยะเวลาในการขอต่ออายุใบสําคัญการขึ้นทะเบียนหรือใบอนุญาต ตลอดจนการออกใบแทน ใบสําคัญการขึ้นทะเบียนหรือใบอนุญาตกรณีที่ใบสําคัญการขึ้นทะเบียนหรือใบอนุญาตสูญหาย ถูกทําลาย หรือชํารุดในสาระสําคัญ 4. กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการให้บริการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับการตรวจและรับรอง การประเมินความเสี่ยง การจัดฝึกอบรมหรือการให้คําปรึกษา ตลอดจนกําหนดให้อธิบดีมีอํานาจกําหนดค่าบริการในการให้บริการของผู้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนหรือผู้ที่ได้รับใบอนุญาตแต่ละประเภท เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการให้บริการ 5. กําหนดให้ผู้อํานวยการกองความปลอดภัยแรงงานมีอํานาจเพิกถอนใบสําคัญการขึ้นทะเบียน และอธิบดีมีอํานาจสั่งพักใช้ใบอนุญาต หรือเพิกถอนใบอนุญาต ตลอดจนกําหนดสิทธิในการอุทธรณ์คําสั่งเพิกถอนใบสําคัญการขึ้นทะเบียนหรือพักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต 6. กําหนดค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนหรือขอใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การออกใบแทนใบสําคัญการขึ้นทะเบียน ใบสําคัญการต่ออายุนิติบุคคล ใบสําคัญการต่ออายุการขึ้นทะเบียนบุคคล อาทิ ใบอนุญาตนิติบุคคลให้บริการฯ ฉบับละ 20,000 บาท ใบสําคัญการขึ้นทะเบียนบุคคลผู้ให้บริการฯ ฉบับละ 5,000 บาท รวมทั้งการยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่นิติบุคคลที่เป็นราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น หรือบุคคล หรือนิติบุคคลที่ได้รับใบอนุญาตหรือหลักฐานรับรองในลักษณะเดียวกันตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบวิชาชีพ 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดอัตราเงินค่าทําศพ พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดอัตราเงินค่าทําศพ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสํานักงบประมาณไปพิจารณาดําเนินการต่อไป รง. เสนอว่า 1. ได้มีกฎกระทรวงกําหนดอัตราเงินค่าทําศพ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นการกําหนดให้จ่ายเงินค่าทําศพในกรณีที่ผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย โดยมิใช่ประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทํางาน โดยให้จ่ายเงินค่าทําศพเป็นจํานวนเงิน 40,000 บาท ให้แก่บุคคล ซึ่งผู้ประกันตนทําหนังสือระบุให้เป็นผู้จัดการศพและได้เป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน หรือสามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน หรือบุคคลอื่นซึ่งมีหลักฐานแสดงว่าเป็นผู้จัดการศพผู้ประกันตน 2. ผู้ประกันตนตามกฎกระทรวงในข้อ 1. นั้น ได้แก่ ผู้ประกันตนซึ่งเป็นลูกจ้างตามมาตรา 33 และผู้เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และประสงค์จะเป็นผู้ประกันตนต่อไป ตามมาตรา 39 ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม 3. รง. พิจารณาแล้วเห็นว่า อัตราเงินค่าทําศพตามกฎกระทรวงในข้อ 1. ไม่สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป สมควรปรับปรุงอัตราเงินค่าทําศพ จาก 40,000 บาท เป็น 50,000 บาท 4. คณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 13) ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2562 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มประโยชน์ทดแทนเงินค่าทําศพดังกล่าวแล้ว จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดอัตราเงินค่าทําศพ พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ปรับเพิ่มอัตราเงินค่าทําศพที่จ่ายให้แก่ผู้จัดการศพของผู้ประกันตนตามมาตรา 73 (1) ในกรณีที่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ถึงแก่ความตายโดยมิใช่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทํางาน จากเดิมอัตรา 40,000 บาท เป็น 50,000 บาท 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จํานวน 2 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จํานวน 2 ฉบับ ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ประเด็นที่ขอแก้ไขเพิ่มเติม รายละเอียดและเหตุผล หมายเหตุ 1. ให้รัฐมนตรี อก. มีอํานาจในการออกประกาศตามกฎกระทรวง - กําหนดให้รัฐมนตรี อก. มีอํานาจในการออกประกาศกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการอนุญาตให้โรงงานสามารถระบายน้ําทิ้งโดยวิธีการเจือจางได้ - กําหนดให้รัฐมนตรี อก. มีอํานาจออกประกาศกําหนดค่ามาตรฐานของปริมาณสารเจือปนในอากาศเสียที่ระบายออกจากโรงงาน และการควบคุมสารเคมีหรือสารมลพิษ แก้ไขเพิ่มเติมข้อ 14 และเพิ่มข้อ 16 จัตวาของกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 2. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 ประเด็นที่ขอแก้ไขเพิ่มเติม รายละเอียดและเหตุผล หมายเหตุ 1. ให้รัฐมนตรี อก. มีอํานาจในการออกประกาศตามกฎกระทรวง - กําหนดให้รัฐมนตรี อก. มีอํานาจในการออกประกาศประเภทโรงงานที่มีสารเคมีหรือสารมลพิษต้องจัดทํารายงานข้อมูลปริมาณการผลิต การใช้ การครอบครอง การปลดปล่อย การเคลื่อนย้ายสารเคมีหรือสารมลพิษออกนอกโรงงาน เพิ่มข้อ 7 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 8. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กําหนดชนิดและแหล่งกําเนิดวัตถุดิบที่จะนํามาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กําหนดชนิดและแหล่งกําเนิดวัตถุดิบที่จะนํามาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างประกาศ ห้ามมิให้โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานนําชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หรือเศษ (ไม่รวมเศษจากเครื่องกําเนิดไฟฟ้า) ที่มีส่วนประกอบ ซึ่งได้แก่ ตัวเก็บประจุไฟฟ้า และแบตเตอรี่อื่น ๆ สวิตช์ที่มีปรอทเป็นองค์ประกอบในการทํางาน เศษแก้วจากหลอดรังสีแคโทด และแอกติเวเต็ดกลาสอื่น ๆ ตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่มีสารพีซีบี หรือที่ปนเปื้อนด้วยแคดเมียม ปรอท ตะกั่ว โพลีคลอริเนทเต็ดไบฟีนิล ตามบัญชี 5.2 ลําดับที่ 2.18 ของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 ออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 รวมถึงที่ปนเปื้อนสารอันตรายตามที่ อก. กําหนดที่นําเข้าจากต่างประเทศ มาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงงาน 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสําหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสําหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสําหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... เป็นการออกกฎกระทรวงตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 เป็นการกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสําหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน อันเป็นการสอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าวแล้ว 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน รวม 3 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ 1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กําหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสําหรับงานทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสําหรับงานถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... 3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับ ที่ อก. เสนอ เป็นการออกกฎกระทรวงตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 เป็นการกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กําหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสําหรับงานทั่วไป ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สําหรับงานถังก๊าซและผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อนแผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของประเทศ และสอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดําเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวแล้ว สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กําหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสําหรับงานทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... กําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 450/750 โวลต์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เลขที่ มอก. 11 เล่ม 101 – 2559 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5093 (พ.ศ. 2561) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกและกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สายไฟฟ้าทองแดงมีเปลือกพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กําหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสําหรับงานทั่วไป ประกาศ ณ วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5501 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง แก้ไขประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5093 (พ.ศ. 2561) ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 เรื่อง ยกเลิกและกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กําหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือก สําหรับงานทั่วไป ประกาศ ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสําหรับงาน ถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... กําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สําหรับงานถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 2060 – 2560 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5077 (พ.ศ. 2561) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าคาร์บอนรีดร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นหนา และแผ่นบาง สําหรับงานถังก๊าซ และกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สําหรับงานถังก๊าซ ลงวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561 และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5498 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง แก้ไขประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5077 (พ.ศ. 2561) ลงวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าคาร์บอนรีดร้อนแผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นหนา และแผ่นบาง สําหรับงานถังก๊าซ และกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้า ทรงแบนรีดร้อน สําหรับงานถังก๊าซ ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562 3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... กําหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 50 – 2561 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5188 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก และกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5520 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562 เรื่อง แก้ไขประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5188 (พ.ศ. 2562) ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กแผ่นรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก และกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก 11. เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขการจัดลําดับให้หน่วยงานเป็นหน่วยงานราชการให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงเพื่อให้สอดคล้องกับกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน ของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการมและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2553 โดยกําหนดให้สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สํานักงาน กกต.) และสํานักงานศาลปกครอง (ศป.) เป็นหน่วยงานราชการตามกฎกระทรวงฯ โดยไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 12. เรื่อง การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบหรือมีคําสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดําเนินการอันจํากัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคําสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดําเนินการอันจํากัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ตามที่สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ สาระสําคัญของเรื่อง โดยที่ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น จะมีระยะเวลาดําเนินการค่อนข้างจํากัด ประกอบกับเป็นเรื่องที่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนอยู่แล้ว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติ วันที่ 25 สิงหาคม 2554 มอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นอนุมัติ ให้ความเห็นชอบหรือมีคําสั่งแทนคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่อง และการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวดําเนินไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงเสนอขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติให้ความเห็นชอบ หรือมีคําสั่งแทนคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดําเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดําเนินการอันจํากัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 เศรษฐกิจ - สังคม 13. เรื่อง มาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 พร้อมทั้งมอบหมายหน่วยงานตามที่ระบุ ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 2. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จํานวน 1 ฉบับ 3. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) จํานวน 1 ฉบับ 4. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2562 ไปพลางก่อน และปีต่อ ๆ ไป จํานวน 350.67 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสําหรับมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (มาตรการสินเชื่อฯ) ตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ สําหรับภาระงบประมาณในการดําเนินการตามมาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) สนับสนุนสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษและเงื่อนไขผ่อนปรน และรัฐบาลชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้แก่ ธสน. ภายในกรอบวงเงิน 350.67 ล้านบาท นั้น เห็นสมควรให้ ธสน. จัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามความจําเป็นและเหมาะสมตามผลการดําเนินงานจริงต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยตลอดปี 2562 เผชิญกับความไม่แน่นอนจากภายนอกประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจประสบสภาวะชะลอตัวและอาจส่งผลกระทบการลงทุนในปี 2563 กระทรวงการคลังจึงเห็นสมควรเสนอมาตรการการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศ ปี 2563 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศ 1)วัตถุประสงค์:ช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นในปี 2563 2)กลุ่มเป้าหมาย:บริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล 3)ระยะเวลาดําเนินงาน:สําหรับรายจ่ายที่จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 4)วิธีดําเนินงาน:ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักรได้ร้อยละ 250 หรือ 2.5 เท่า ของรายจ่ายตามจํานวนที่จ่ายจริง แต่ไม่รวมถึงกรณีที่เป็นธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งและลงทุนในเครื่องจักรเพื่อให้เช่าเครื่องจักรนั้นแบบลีสซิ่ง โดยให้หักรายจ่ายร้อยละ 100 แรก หรือ 1 เท่าแรกของรายจ่ายตามจํานวนที่จ่ายจริง เป็นค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามเกณฑ์ที่ประมวลรัษฎากรกําหนด และทยอยหักรายจ่ายส่วนเพิ่มเป็นเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชี ทั้งนี้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกําหนด ทั้งนี้ การใช้สิทธิประโยชน์สามารถดําเนินการได้โดยการตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จํานวน 1 ฉบับ 5)สูญเสียรายได้:คาดว่าจะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 6,600 ล้านบาทต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี อนึ่ง ในส่วนของการหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในอาคาร กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมในการให้สิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้ 2.มาตรการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร 1)วัตถุประสงค์:เพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการ 2)กลุ่มเป้าหมาย:ผู้ประกอบการ 3)ระยะเวลาดําเนินงาน:การนําเข้าเครื่องจักรตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลังมีผลบังคับใช้ – 31 ธันวาคม 2563 4)วิธีดําเนินงาน:ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร 146 ประเภทย่อย โดยการออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) จํานวน 1 ฉบับ 5)สูญเสียรายได้:คาดว่าจะสูญเสียรายได้อากรขาเข้าประมาณ 2,000 ล้านบาท 3.มาตรการสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต (มาตรการสินเชื่อฯ) 1)วัตถุประสงค์:เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ในอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน โดยเฉพาะผู้ประกอบการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Supply Chain) รวมถึงผู้ประกอบการที่มีการนําเข้าเครื่องจักรเพื่อการพัฒนาประเทศ เพื่อยกระดับกระบวนการผลิตและเพิ่มศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยไปสู่Industry4.0 และมีการเติบโตอย่างยั่งยืน 2)กลุ่มเป้าหมาย :ผู้ประกอบการส่งออกและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และผู้นําเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อพัฒนาประเทศ 3)ระยะเวลาดําเนินงาน:ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ หรือตามที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) กําหนด และกําหนดระยะเวลาสิ้นสุดการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเมื่อ ธสน. ให้สินเชื่อเต็มกรอบวงเงินของมาตรการ ทั้งนี้ ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2563 4) สิทธิประโยชน์ : อัตราดอกเบี้ย (ต่อปี) - ปีที่ 1-2 : ร้อยละ 2 - ปีที่ 3-5 : Prime Rate – ร้อยละ 2 - ปีที่ 6-7 : Prime Rate ณ วันที่ 22 มกราคม 2563 Prime Rate = ร้อยละ 6 5) งบประมาณ : รัฐบาลชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้แก่ ธสน. เป็นจํานวนทั้งสิ้น 350.67 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ธสน. ทําความตกลงในการเบิกจ่ายงบประมาณกับสํานักงบประมาณต่อไป 4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ มาตรการดังกล่าวจะส่งผลก่อให้เกิดการลงทุนกว่า 110,000 ล้านบาท สนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 0.25 นอกจากนี้ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรตามมาตรการนี้ ในระยะสั้น จะส่งผลให้ผู้ผลิตในประเทศได้รับความคุ้มครองลดลง ต้องแข่งขันกับของที่นําเข้ามากขึ้น แต่เมื่อสิ้นสุดมาตรการแล้วจะได้รับความคุ้มครองเท่าเดิม และจะมีประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มสูงขึ้น 14. เรื่อง ขออนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการนโยบายฯ) เสนอดังนี้ 1. อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) และวงเงินงบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พ.ร.บ. การให้เอกชนร่วมลงทุนฯ ปี 2556) ดังนี้ 1.1 อนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ ส่วนตะวันตก และภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธาโครงการฯ ส่วนตะวันตก และค่างานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบํารุงรักษาทั้งเส้นทาง ตั้งแต่ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) รวมทั้งค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ โดยมีระยะเวลาเดินรถ 30 ปี นับจากเริ่มเปิดให้บริการโครงการฯ ส่วนตะวันออก เป็นต้นไป เอกชนเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร รายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานทั้งหมด โดยภาครัฐไม่มีภาระสนับสนุนทางการเงิน (Subsidy) แก่เอกชนในส่วนงานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถและงานเดินรถและซ่อมบํารุงรักษาของโครงการฯ 1.2 อนุมัติค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสํารวจอสังหาริมทรัพย์โครงการฯ ส่วนตะวันตก ในกรอบวงเงิน 14,661 ล้านบาท โดยให้สํานักงบประมาณ (สงป.) จัดสรรงบประมาณตามความจําเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายเงินจริง ทั้งนี้ ให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560 อย่างเคร่งครัด โดยกําหนดราคาเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ถ้ามี) ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและราคาตลาดของแต่ละพื้นที่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืนอย่างแท้จริง รวมทั้งกําหนดมาตรการป้องกันการแสวงหากําไรจากราคาที่ดินเกินจริงเพื่อไม่ให้เกิดภาระค่าเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย 1.3 อนุมัติกรอบวงเงินสนับสนุนให้เอกชนตามที่เกิดขึ้นจริงแต่ไม่เกินวงเงินค่างานโยธาของโครงการฯ ส่วนตะวันตก จํานวน 96,012 ล้านบาท ตามที่ รฟม. ได้ดําเนินการทบทวนโดยคํานึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัด และผ่านการพิจารณาจากกระทรวงคมนาคม (คค.) แล้วเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2562 โดยรัฐทยอยชําระคืนให้เอกชนหลังจากเปิดเดินรถทั้งเส้นทางแล้ว และแบ่งจ่ายเป็นรายปี กําหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายไม่ต่ํากว่า 10 ปี พร้อมดอกเบี้ย โดยใช้อัตราส่วนลดหรืออัตราดอกเบี้ยตามความเห็นของ สงป. ทั้งนี้ ในกรณีที่มีข้อจํากัดเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เห็นควรให้ รฟม. พิจารณาแนวทางในการดําเนินการอย่างรอบด้านตามความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต่อไป 2. รับทราบหลักการขอบเขตและเงื่อนไขในการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการฯ ตามมติคณะกรรมการ รฟม. ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561 และความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2561 3. มอบหมายให้ รฟม. คค. และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 (พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562) ของโครงการฯ รับข้อสังเกตของคณะกรรมการนโยบายฯ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ดําเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. การร่วมลงทุนฯ ปี 2562 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สาระสําคัญของเรื่อง โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะของกรุงเทพมหานครระหว่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ซึ่งอยู่ภายใต้แผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (Mass Rapid Transit Master Plan in Bangkok Metropolitan Region : M-MAP) โดยที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้เคยมีอนุมัติให้ดําเนินการก่อสร้างงานโยธาของส่วนตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ไปแล้ว และขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 สําหรับในครั้งนี้เป็นการขออนุมัติการดําเนินงานก่อสร้างงานโยธาของฝั่งตะวันตกและการบริหารจัดการการเดินรถและซ่อมบํารุงของรถไฟฟ้าสายสีส้มทั้งระบบ ทั้งนี้ ภาพรวมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) สามารถสรุปได้ ดังนี้ 1.1 ภาพรวมโครงการฯ หัวข้อ สายสีส้มทั้งระบบ ส่วนตะวันออก ส่วนตะวันตก ระยะทาง 35.9 กม. (ใต้ดิน 27 กม. + ยกระดับ 8.9 กม.) 22.5 กม. (ใต้ดิน 13.6 กม. + ยกระดับ 8.9 กม.) 13.4 กม. (ใต้ดินตลอดสาย) สถานี 28 สถานี (21 สถานีใต้ดิน + 7 สถานียกระดับ) 17 สถานี (10 สถานีใต้ดิน + 7 สถานียกระดับ) 11 สถานี (ใต้ดินตลอดสาย) ระบบไฟฟ้า Heavy Rail Transit System (4 ตู้/ขบวน ในปีที่เปิด) ผู้โดยสาร 439,736 คน/เที่ยว/วัน (ปี 69) 121,599 คน/เที่ยว/วัน (ปี 66) 439,736 คน/เที่ยว/วัน (ปี 69) ผลตอบแทน ด้านเศรษฐกิจ* EIRR = ร้อยละ 19.06 (NPV = 107,564 ล้านบาท) EIRR = ร้อยละ 13.96 (NPV = 15,185 ล้านบาท) EIRR = ร้อยละ 19.45 (NPV = 67,640 ล้านบาท) ผลตอบแทน ด้านการเงิน* FIRR = ร้อยละ 0.40 (NVP = -107,556 ล้านบาท) FIRR = ร้อยละ – 5.87 (NVP = - 95,234 ล้านบาท) FIRR = ร้อยละ 0.00 (NVP = - 60,714 ล้านบาท) การจัดทํา รายงาน EIA จัดทํารายงาน EIA 2 เล่ม (ส่วนตะวันออกและ ส่วนตะวันตก) คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบแล้ว อยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไขตามความเห็นของ คชก. การจัด กรรมสิทธิ์ที่ดิน พื้นที่รวม 1,099 แปลง รวม 553 หลัง พื้นที่รวม 594 แปลง รวม 222 หลัง พื้นที่รวม 505 แปลง (41 ไร่ 1 งาน 96 ตร.ว.) รวม 331 หลัง มูลค่ารวม 24,286 ล้านบาท มูลค่า 9,625 ล้านบาท มูลค่า 14,661 ล้านบาท เปิดบริการ เต็มรูปแบบ ปี 2569 ปี 2566 ปี 2569 ที่มา : รฟม. หมายเหตุ: * มาจากผลการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเศรษฐกิจและการเงินระยะเวลา 30 ปี ที่อัตราคิดลด ร้อยละ 12 และร้อยละ 5 ตามลําดับ บนสมมติฐาน MRT Assessment Standardization (ยังไม่รวมกรณีจํากัดอัตราค่าโดยสารสูงสุดที่ 12 สถานี) ทั้งนี้ กรณีจํากัดอัตราค่าโดยสารสูงสุดที่ 12 สถานี IRR ของทั้งโครงการฯ คือ ร้อยละ 0.40 (NPV = - 107,556 ล้านบาท) ในขณะที่ EIRR คือ ร้อยละ – 2.26 (NPV = 107,564 ล้านบาท) 1.2 มูลค่าโครงการฯ รายการ ส่วนตะวันออก ส่วนตะวันตก รวม การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน/ค่าจ้างสํารวจอสังหาริมทรัพย์ 9,625 ล้านบาท (เงินงบประมาณ) 14,661 ล้านบาท (เงินงบประมาณ) 24,286 ล้านบาท การก่อสร้างงานโยธา/ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานโยธา 82,907 ล้านบาท (เงินกู้ภายในประเทศ) 96,012 ล้านบาท* (เงินงบประมาณ) 178,919 ล้านบาท งานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบํารุงรักษาทั้งโครงการ/ค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ 32,116 ล้านบาท (เงินลงทุนจากภาคเอกชน) 32,116 ล้านบาท รวม 235,321 ล้านบาท 1.3 รูปแบบการลงทุนโครงการฯ รายการ รูปแบบการลงทุน ส่วนตะวันออก ส่วนตะวันตก การจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน - รัฐเป็นผู้รับผิดชอบจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินสําหรับโครงการฯ ทั้งส่วนตะวันตกและตะวันออก PPP Net Cost โดยแบ่งการร่วมทุน ดังนี้ - ภาครัฐลงทุนค่างานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินโครงการฯ ส่วนตะวันตก - ภาคเอกชนลงทุนค่างานโยธาโครงการฯ ส่วนตะวันตก โดยภาครัฐจะทยอยจ่ายคืนหลังเปิดให้บริการเดินรถ เป็นระยะเวลาไม่ต่ําว่า 10 ปี (อัตราคิดลดร้อยละ 5) การก่อสร้างงานโยธา - ให้ กค. จัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และให้ สงป. พิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณให้เป็นรายได้แก่ รฟม. ให้เพียงพอต่อการดําเนินการ การบริหารงาน การลงทุน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และการชําระหนี้แก่แหล่งเงินกู้ทั้งในส่วนของเงินต้น ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง งานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหาร การเดินรถ และซ่อมบํารุงรักษาทั้งโครงการ - ภาคเอกชนลงทุนค่างานระบบไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบํารุงรักษาทั้งเส้นทาง ระยะเวลาเดินรถ 30 ปี นับจากเริ่มเปิดให้บริการโครงการฯ ส่วนตะวันออก เป็นต้นไป และเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร รายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานทั้งหมด โดยภาครัฐไม่มีภาระสนับสนุนทางการเงิน (Subsidy) แก่เอกชนในส่วนงานนี้ 1.4 การเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ สถานีโครงการฯ โครงการรถไฟฟ้า หน่วยงาน สถานีเชื่อมต่อ ปีเปิดให้บริการ 1. บางขุนนนท์ สายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช รฟท. บางขุนนนท์ สายสีน้ําเงิน รฟม. 2. ศิริราช สายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช รฟท. ศิริราช 3. อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) รฟม. ผ่านฟ้า 4. ยมราช สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-หัวลําโพง รฟท. ยมราช 5. ราชเทวี สายสีเขียวอ่อน ช่วงหมอชิต-แบริ่ง กทม. ราชเทวี เปิดให้บริการแล้ว 6. ราชปรารภ สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-หัวหมาก รฟท. ราชปรารภ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ รฟท. เปิดให้บริการแล้ว 7. ศูนย์วัฒนธรรมฯ สายสีน้ําเงิน รฟม. ศูนย์วัฒนธรรมฯ เปิดให้บริการแล้ว 8. วัดพระราม 9 สายสีเทา ช่วงวัชรพล – ทองหล่อ - พระราม 9 อนาคต 9. ลําสาลี สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สําโรง สายสีน้ําตาล ช่วงแคราย – ลําสาลี (บึงกุ่ม) รฟม. ลําสาลี 10. มีนบุรี สายสีชมพู รฟม. มีนบุรี 2. คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนได้ขอให้นําเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ในรูปแบบ PPP Net Cost มีระยะเวลาเดินรถ 30 ปีนับจากเริ่มเปิดให้บริการโครงการฯ ส่วนตะวันออกเป็นต้นไป โดยเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบค่างานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถและซ่อมบํารุงรักษาทั้งเส้นทาง ซึ่งมีมูลค่ารวม 32,116 ล้านบาท รวมทั้งเป็น ผู้จัดเก็บค่าโดยสารและรับความเสี่ยงด้านรายได้ค่าโดยสาร รายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานทั้งหมด โดยภาครัฐไม่มีภาระสนับสนุนทางการเงินแก่เอกชนในส่วนงานระบบรถไฟฟ้าและขบวนรถและงานเดินรถและซ่อมบํารุงรักษา 15. เรื่อง การรับรายงานผลการดําเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต คณะรัฐมนตรีพิจารณาการรับรายงานผลการดําเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ตามที่สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สํานักงาน ป.ป.ท.) เสนอ แล้วมีมติดังนี้ 1. มอบหมายให้สํานักงาน ป.ป.ท. ทําหน้าที่ในการประสานงานเกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียนหรือพบเหตุอันควรสงสัยว่าข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดกระทําการหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบ และการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 27 มีนาคม 2561 โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของแต่ละหน่วยงานมีหน้าที่ในการรายงานผลการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐซึ่งอยู่ในสังกัดหรือกํากับ ประกอบด้วย ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน มายังสํานักงาน ป.ป.ท. ตามรูปแบบวิธีการที่สํานักงาน ป.ป.ท. กําหนด 2. สําหรับการมอบหมายให้สํานักงาน ป.ป.ท. ตรวจสอบ เร่งรัด ติดตามการดําเนินงานของหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐในการดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ในกรณีข้อร้องเรียนหรือพบเหตุอันควรสงสัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดกระทําการหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบฯ นั้น ให้สํานักงาน ป.ป.ท. ดําเนินการตามมาตรการ 51 (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2551 ตามความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสํานักงาน ก.พ.ร. ต่อไป ทั้งนี้ ให้ สํานักงาน ป.ป.ท. รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และสํานักงบประมาณไปดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย 16. เรื่อง มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ และมอบหมายกระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงกลาโหม (กห.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ สาระสําคัญของเรื่อง ทส. รายงานว่า 1. มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะใช้แนวทางการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากอากาศยานอย่างสมดุลที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ได้เสนอ ประกอบกับมาตรการการจัดการมลพิษทางอากาศและเสียงจากท่าอากาศยานที่ได้จัดทําในปี 2547 และผลการดําเนินงานตามมาตรการดังกล่าว รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่ผ่านมาเป็นแนวทางการพิจารณา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการบิน ด้านผังเมือง ด้านสุขภาพ และท้องถิ่น ใช้เป็นกรอบการดําเนินงานในลักษณะงานบูรณาการร่วมกันในการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ 2. มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะมีเป้าหมาย คือ สนามบินสาธารณะทุกแห่งที่ได้รับความเห็นชอบแผนพัฒนาสนามบิน เพื่อรองรับการเดินทางทางอากาศ มีการดําเนินงานป้องกันปัญหามลพิษทางเสียงที่จะเกิดผลกระทบกับประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบสนามบินภายในปี 2566 โดยประกอบด้วย 4 มาตรการ ดังนี้ 2.1 มาตรการการนําแผนที่เส้นเท่าระดับเสียง ไปใช้ในการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบสนามบิน มี 2 มาตรการย่อย ได้แก่ (1) ให้มีการจัดทําแผนที่เส้นเท่าระดับเสียงที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาสนามบินในระยะยาว และ (2) การนําแผนที่เส้นเท่าระดับเสียงไปใช้ในการจัดทําผังเมืองและการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบสนามบินทั้งสนามบินเก่าและสนามบินใหม่ โดยสนามบินเก่าที่เป็นสนามบินระดับภาค ดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี สนามบินระดับจังหวัด ให้แล้วเสร็จภายใน 4 ปี 2.2 มาตรการการจัดการผลกระทบด้านเสียงจากอากาศยานและวิธีปฏิบัติการบิน มี 1 มาตรการย่อย ได้แก่ ให้กําหนดวิธีปฏิบัติการบินโดยรอบสนามบินในการจัดการผลกระทบด้านเสียงที่เหมาะสมให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยมีกิจกรรมหรือขั้นตอนการดําเนินงานสําหรับใช้กับทั้งสนามบินเก่าและสนามบินใหม่ เช่น รวบรวมและพัฒนาฐานข้อมูลการปฏิบัติการบินโดยรอบสนามบิน กําหนดวิธีปฏิบัติการบิน วิเคราะห์การปฏิบัติการบินกับพื้นที่อ่อนไหวโดยรอบสนามบิน และให้สนามบินเลือกวิธีปฏิบัติการบินที่เหมาะสม เป็นต้น 2.3 มาตรการการพัฒนาเครื่องมือในการบริหารจัดการมลพิษทางเสียงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน มี 4 มาตรการย่อย ได้แก่ (1) ให้ปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับเสียงอากาศยานและการลดผลกระทบทางเสียงให้ทันสมัยและเหมาะสม (2) ให้พัฒนาระบบการดําเนินงานเพื่อตรวจสอบและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนจากประชาชนที่รวดเร็วและถูกต้อง (3) ให้มีระบบการตรวจสอบระดับเสียง และ (4) ให้ศึกษาวิจัยเพื่อสนับสนุนการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบิน 2.4 มาตรการการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเผยแพร่ข้อมูลการจัดการเสียงสนามบิน มีกิจกรรมหรือขั้นตอนการดําเนินงานสําหรับใช้กับทั้งสนามบินเก่าและสนามบินใหม่ เช่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างความเข้าใจแก่จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนด้านการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบิน และจัดทําหลักเกณฑ์การเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการมลพิษทางเสียงจากสนามบิน เป็นต้น 3. มาตรการการจัดการปัญหามลพิเษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะจัดทําขึ้นโดยคณะทํางานจัดการปัญหามลพิษทางอากาศและเสียงจากสนามบิน ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการควบคุมมลพิษ (โดยมีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธาน) ในการประชุมครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในการประชุมครั้งที่ 6/2562 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2562 มีมติเห็นชอบต่อมาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะตามที่ ทส.เสนอ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ทั้งนี้ กก.วล. ได้มอบหมายให้ คค. กห. มท. และ สธ. นํามาตรการดังกล่าวไปดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป 17. เรื่อง สถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ โดยให้กระทรวงยุติธรรม (สํานักงานกิจการยุติธรรม) นํากรอบแนวทางฯ เสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติพิจารณาก่อนดําเนินการต่อไป โดยให้กระทรวงยุติธรรม (สํานักงานกิจการยุติธรรม) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย โดยดําเนินการให้สอดคล้องเป็นไปตามแผนแม่บทฯ รวมทั้ง การกําหนดกรอบแนวทางดังกล่าวควรคํานึงให้ครอบคลุมถึงมาตรการรองรับการลดจํานวนผู้ต้องขังทั่วประเทศในระยะยาวต่อไป ในกรณีที่มีความจําเป็นต้องจัดหาเครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (EM) เพื่อรองรับการดําเนินการตามแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการโดยคํานึงถึงการจัดหาในปริมาณที่เหมาะสมและจําเป็นต่อการใช้งานจริง ประสิทธิภาพการใช้งานความคุ้มค่า ความเหมาะสมของราคา รวมทั้งความโปร่งใสในการดําเนินการด้วย สาระสําคัญของเรื่อง กระทรวงยุติธรรม เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อรับทราบสถานการณ์และแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา โดยมีสาระสําคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น 1) สถานการณ์จํานวนผู้ต้องขังในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมีผู้อยู่ในเรือนจําทั่วประเทศ จํานวน 374,052 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2562) รวมถึงผู้ต้องราชทัณฑ์ จํานวน 364,488 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องราชทัณฑ์ที่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด/สารระเหย (288,648 คน) 2) สถานการณ์ความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจําทั่วประเทศเกี่ยวกับพื้นที่เรือนนอนของผู้ต้องขังที่เกินความจุที่เรือนจํารองรับผู้ต้องขังได้ (เกินประมาณ 115,698 คน) ส่งผลให้เกิดปัญหาความแออัดในเรือนจําสรุปได้ ดังนี้ ขนาดพื้นที่เรือนนอนของผู้ต้องขังในเรือนจํา ทั่วประเทศ ผู้ต้องขังในปัจจุบัน รวมจํานวน 305,312.42 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้ต้องขัง จํานวน 254,302 คน ประมาณ 374,052 คน (ข้อมูล ณ 1 ตุลาคม 2562) ประเด็น : จํานวนผู้ต้องขังในปัจจุบันเกินกว่าความสามารถที่เรือนจําจะรองรับพื้นที่เรือนนอนให้กับผู้ต้องขังได้อย่างเหมาะสม ทําให้เกิดปัญหาความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจําทั่วประเทศ ดังนั้น กระทรวงยุติธรรมจึงได้จัดทําแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา ประกอบด้วย 5 กรอบการดําเนินงาน สรุปได้ ดังนี้ กรอบที่ 1 กฎหมาย เป็นการพิจารณากฎหมายในเชิงระบบตั้งแต่กระบวนการป้องกันมิให้คนเข้าสู่เรือนจํา การกําหนดมาตรการทางเลือกอื่นแทนการจําคุก การหาสถานที่อื่นแทนการจําคุก การปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานเรือนจําเพื่อให้เกิดกระบวนการจําแนกและคัดกรองผู้ต้องขังชั้นดีให้ได้รับการลดโทษ พักโทษ รวมไปถึงมาตรการทางกฎหมายอื่น ๆ เมื่อผู้กระทําความผิดได้พ้นโทษเพื่อให้โอกาสผู้กระทําความผิดได้กลับตัวและไม่หวนกลับมากระทําผิดซ้ํา กรอบที่ 2 พักโทษ ลดโทษ และการใช้เครื่องมืองติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ เป็นกระบวนการลดความแอดอัดในเรือนจําของผู้ต้องขังในประเภทต่าง ๆ ผ่านการปล่อยตัวชั่วคราว (ผู้ต้องขังระหว่าง) การคุมประพฤติ (รอการลงโทษ หรือรอการกําหนดโทษ) และการพักการลงโทษทั้งแบบปกติและแบบเหตุพิเศษ กรอบที่ 3 อาชีพ และการสร้างเรือนจํารูปแบบใหม่ เป็นการกําหนดแนวทางการสร้างอาชีพ รวมไปถึงการสร้างเรือนจํารูปแบบใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย การฝึกอาชีพที่เหมาะสมกับความถนัดของผู้ต้องขัง และความต้องการของผู้ประกอบการ หรือตลาดแรงงาน เพื่อให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษได้เตรียมพร้อมทั้งในด้านสภาพจิตใจและการฝึกอาชีพที่เหมาะสมกับความถนัดก่อนออกจากเรือนจํา รวมไปถึงการปรับปรุงสภาพเรือนนอนเพื่อลดความแออัดในเรือนจําในเบื้องต้น กรอบที่ 4 การบําบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ปรับปรุงและบูรณาการการดําเนินการเพื่อบําบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพทั้งในระบบสมัครใจ ระบบบังคับบําบัดและระบบต้องโทษ ปรับปรุงระยะเวลาการตรวจพิสูจน์กําหนดสถานที่หรือมาตรการควบคุมตัวเพื่อรอตรวจพิสูจน์ ระบบติดตามและประเมินผล รวมทั้งหน่วยงานรับผิดชอบหลักและที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาหลักสูตรบําบัดรักษา การเพิ่มโอกาสแก่ผู้เสพในการเข้าสู่กระบวนการบําบัดฟื้นฟู กรอบที่ 5 การป้องกันยาเสพติด ขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันยาเสพติด โดยการสนับสนุนการป้องกันยาเสพติดระดับชุมชน/หมู่บ้าน การจัดทําโครงการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน / ชุมชน เป็นเป้าหมายระยะแรก ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมแจ้งว่า เรื่องที่จําเป็นต้องเร่งดําเนินการเพื่อการแก้ไขปัญหาข้างต้น จํานวน 2 เรื่อง ดังนี้ 1) การปรับปรุงเพิ่มพื้นที่นอนในห้องขังทั่วประเทศให้เป็น 2 ชั้น จํานวน 94 แห่ง (รวม 1,906 ห้อง คิดเป็นพื้นที่ที่จะปรับปรุง 103,731.50 ตารางเมตร ซึ่งสามารถรองรับการใช้พื้นที่เรือนนอนของผู้ต้องขังได้ จํานวน 86,442 คน) เพื่อบรรเทาความแออัดในระยะเริ่มแรก 2) การจัดหาเครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) จํานวน 30,000 เครื่อง เพื่อรองรับการคุมประพฤติและการพักการลงโทษ และเพื่อขับเคลื่อนการดําเนินการตามแนวทางดังกล่าว กระทรวงยุติธรรมเห็นควรมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ คณะกรรมการกําหนดแนวทางการลดความแออัดของผู้ต้องขังในเรือนจํา ในการประชุมครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2562 ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว 18. เรื่อง ขอความเห็นชอบแนวทางการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการจากจํานวน 800 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นจํานวน 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน ในเบื้องต้นเฉพาะคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการและผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) พิจารณาดําเนินการร่วมกับกระทรวงการคลัง และจัดทําแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณผ่านกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม และให้ถือว่าเป็นคําขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของหน่วยรับงบประมาณดังกล่าว เพื่อดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ สาระสําคัญของเรื่อง พม. รายงานว่า 1. พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ได้มีการจัดประชุมสมัชชาเครือข่ายคนพิการระดับภูมิภาคประจําปี พ.ศ. 2562 เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการระดับจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ และเครือข่ายคนพิการทั่วประเทศ พบว่า มีการเสนอแนวทางความเป็นไปได้ในการปรับเพิ่มเบี้ยความพิการในอัตราที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความจําเป็นของคนพิการแต่ละบุคคลเพื่อเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานให้คนพิการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการของรัฐมากยิ่งขึ้น นอกจากข้อเสนอจากการจัดสมัชชาคนพิการดังกล่าวแล้วพบว่า คนพิการจํานวนมากได้มีข้อเสนอและข้อร้องเรียนไปยัง Web Portal ระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ให้รัฐบาลมีการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการเพิ่มขึ้นในอัตราที่เหมาะสม 2. ต่อมา พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ได้ดําเนินการศึกษาและพัฒนาแนวทางการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการโดยพบว่า การปรับเพิ่มเบี้ยความพิการจากปัจจุบัน 800 บาทต่อคนต่อเดือน เป็น 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน มีความสอดคล้องกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน เพราะจะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวันของคนพิการได้ และไม่ทําให้ค่าใช้จ่ายทางการคลังเพิ่มมากขึ้นจนเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับผลการสํารวจความคิดเห็นของคนพิการที่ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 91.84) มีความต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนเบี้ยความพิการเพิ่มขึ้นในอัตรา 1,000 บาทขึ้นไป ทั้งนี้ จากสถานการณ์ในปัจจุบันพบว่า คนพิการส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและมีฐานะยากจน โดยมีรายได้เฉลี่ยเพียงเดือนละ 4,326.52 บาท ถือว่าเป็นผู้ที่มีรายได้น้อยและไม่เพียงพอต่อการดํารงชีวิต นอกจากนี้คนพิการส่วนใหญ่ยังประสบปัญหาและความยากลําบากในการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการ และสิ่งอํานวยความสะดวกที่สามารถสนองตอบต่อความต้องการและจําเป็นของคนพิการในทุกประเภทความพิการ ดังนั้น จึงจําเป็นต้องมีการปรับปรุงการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการของประเทศไทยให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่จําเป็นของคนพิการและส่งเสริมให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 3. ปัจจุบันคนพิการที่มีบัตรประจําตัวคนพิการมีจํานวน 2.02 ล้านคน (ข้อมูลจากฐานทะเบียนกลาง กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2562) ซึ่งการจ่ายสวัสดิการเบี้ยความพิการให้แก่คนพิการดังกล่าว หน่วยงานที่รับผิดชอบจะเป็นผู้จัดทําคําขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจําปีอยู่แล้ว แต่ในส่วนที่ปรับอัตราเบี้ยความพิการเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 บาทต่อคนต่อเดือนในครั้งนี้ จะทําให้มีส่วนต่างจํานวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน (1,000 – 800) จึงทําให้ต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น จํานวน 4,852.90 ล้านบาท ดังนี้ จํานวนคนพิการ ที่มีบัตรประจําตัวคนพิการ (ล้านคน) อัตราเบี้ยความพิการ (บาทต่อคนต่อเดือน) วงเงินงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม/ปี (ล้านบาท) เดิม ปรับเพิ่ม ส่วนต่าง 2.02 4,852.90 จํานวนผู้พิการ × เงินเบี้ยความพิการที่เพิ่มขึ้น × 12 เดือน 2.02 ล้านคน × 200 บาท × 12 เดือน 4. ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2562 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับสวัสดิการเบี้ยความพิการดังกล่าวแล้ว ต่างประเทศ 19. เรื่อง การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหารและสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 27 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ประเทศไทยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหาร (Council of Administration: CA) และสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ (Postal Operations Council: POC) ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ (Universal Postal Union: UPU) สมัยที่ 27 โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดําเนินการขอเสียงและแลกเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกของ UPU ในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก CA และ POC ของประเทศไทย ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอ สาระสําคัญ ที่ประชุมใหญ่ของ UPU จะจัดขึ้นทุก 4 ปี เพื่อกําหนดนโยบายด้านกิจการไปรษณีย์ระหว่างประเทศ ปรับปรุงแก้ไขพิธีสารต่าง ๆ และเลือกตั้งผู้บริหารของ UPU ตลอดจนเลือกตั้งสมาชิก CA และ POC ซึ่งจะมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 4 ปี โดย UPU มีกําหนดจัดการประชุมใหญ่ สมัยที่ 27 ระหว่างวันที่ 10 – 28 สิงหาคม 2563 ณ กรุงอาบีจาน สาธารณรัฐโกตดิวัวร์ โดยที่ UPU กําหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ประเทศสมาชิกสามารถเป็นสมาชิก CA ติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 สมัย โดยจะต้องละเว้นการสมัคร 1 สมัย ซึ่งประเทศไทยได้ละเว้นการสมัครในสมัยที่ผ่านมาแล้ว ส่วนการสมัคร POC นั้นไม่มีกฎเกณฑ์ดังกล่าว ดังนั้น ประเทศไทยจึงสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในสภาทั้ง 2 ในครั้งนี้ได้ โดยการที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิก CA และ POC จะเป็นการผลักดันการพัฒนากิจการไปรษณีย์ของไทยให้มีความทันสมัย เป็นไปตามมาตรฐานสากล และมีประสิทธิภาพได้มีส่วนร่วมในการกําหนดทิศทางของ UPU อีกทั้งยังเสริมสร้างบทบาทของไทยเวทีโลก 20. เรื่อง การขอเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงสาธารณรัฐคาซัคสถาน คณะรัฐมนตรีรับทราบการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงของสาธารณรัฐคาซัคสถานจากกรุงอัสตานา (Astana) เป็นกรุงนูร์-ซุลตัน (Nur-Sultan) และการดําเนินการที่จําเป็นในส่วนของ กต. เพื่อเปลี่ยนชื่อสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอัสตานา เป็นสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนูร์-ซุลตัน เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงของสาธารณรัฐคาซัคสถานตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ นายคาซีม-โยมาร์ต โตคาเยฟ (Kassym-Jomart Tokayev) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน เสนอให้ใช้ชื่อ นูร์-ซุลตัน เป็นชื่อเมืองหลวงแทนอัสตานาเพื่อให้คนรุ่นใหม่จดจําชื่อของนาย Nursultan Nazarbayev ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐคาซัคสถาน ซึ่งได้ประกอบคุณงามความดีนานัปการให้แก่สาธารณรัฐคาซัคสถานในช่วงระยะเวลาที่ปกครองประเทศ ซึ่งสาธารณรัฐคาซัคสถานได้แก้ไขรัฐธรรมนูญรับรองการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจากกรุงอัสตานาเป็นกรุงนูร์-ซุลตัน โดยมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ลงประกาศเป็นทางการ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 แต่งตั้ง 21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงพาณิชย์) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นางสาววันเพ็ญ นิโครวนจํารัส รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้ดํารงตําแหน่ง ที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชาการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นายโวสิต วรทรัพย์ รองอธิบดีกรมพิธีการทูต ให้ดํารงตําแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกาฐมาณฑุ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดํารงตําแหน่งเอกอัครราชทูตประจําต่างประเทศดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว 23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จํานวน 5 ราย ดังนี้ 1. นายอนุกูล ปีดแก้ว รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน ดํารงตําแหน่ง รองปลัดกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 2. นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 3. นายชูรินทร์ ขวัญทอง รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 4. นายอนันต์ ดนตรี รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง 5. นายธนสุนทร สว่างสาลี รองอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ดํารงตําแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สํานักงานปลัดกระทรวง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่ง ที่ว่าง 24. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอแต่งตั้ง นางสาววันเพ็ญ พูลวงษ์ รองผู้อํานวยการสํานักงานสถิติแห่งชาติ ให้ดํารงตําแหน่ง ผู้อํานวยการสํานักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตําแหน่งที่ว่าง 25. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายพิริยะ เข็มพล เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) แทนนายกําจร ตติยกวี ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งแทนอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งไว้แล้ว 26. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามมาตรา 4 (6) แห่งพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 จํานวน 5 คน ดังนี้ 1. นางวิพรรณ ประจวบเหมาะ 2. นายอภิชัย จันทรเสน 3. นายวรเวศม์ สุวรรณระดา 4. นางสุวณี รักธรรม 5. นางศศิพัฒน์ ยอดเพชร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป 27. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง จํานวน 4 คน ดังนี้ 1. นายชวลิต พิชาลัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านธุรกิจน้ํามันเชื้อเพลิง 2. นางสาววิมล ชาตะมีนา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน 3. นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าในประเทศ/ต่างประเทศ และการบริหาร 4. นายเกียรติคุณ ชาติประเสริฐ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าในประเทศ/สารนิเทศ และการบริหาร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป และให้กระทรวงพลังงานดําเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงในครั้งต่อ ๆ ไปให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดไว้อย่างเคร่งครัดตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง การดําเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย) 28. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ จํานวน 3 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดํารงตําแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้ 1. นายถวัลย์ วรรณกิจมงคล 2. นางสาวบุหงา โพธิ์พัฒนชัย 3. นางพอตา ยิ้มไตรพร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป 29. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ จํานวน 9 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ดํารงตําแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้ 1. ศาสตราจารย์นันทวัฒน์ บรมานันท์ 2. นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ 3. พลตํารวจโท สมชาย พัชรอินโต 4. พันตํารวจโท เธียรรัตน์ วิเชียรสรรค์ 5. นายภพ เอครพานิช 6. นางเบญจวรรณ สร่างนิทร 7. หม่อมราชวงศ์พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์ 8. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ 9. นายมานะ นิมิตรมงคล (ลําดับที่ 1. – 8. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ ลําดับที่ 9. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชน) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป 30. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สํานักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สํานักงาน ป.ย.ป.) เสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง จํานวน 5 คน ดังนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง 1. รัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จํานวน 3 คน เป็นกรรมการ 1.1 รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) 1.2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายอุตตม สาวนายน) 1.3 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา) 2. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคเอกชนโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จํานวน 2 คน 2.1 นายกฤษฎา บุญราช 2.2 นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ..............................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/26116
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานอย่างต่อเนื่อง
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 รัฐบาลแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนไร้ที่พึ่งได้รับโอกาสที่จะกลับมายืนหยัดด้วยตนเอง และดํารงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขได้อีกครั้ง ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งและคนขอทาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐด้วยการส่งเสริมให้มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งภายใต้โครงการบ้านมิตรไมตรี พร้อมทั้งจัดบริการสวัสดิการสังคมเบื้องต้น เช่น ให้คําปรึกษาด้านสุขภาพ พัฒนาอาชีพและรายได้ เป็นต้น โดยล่าสุดได้เปิดให้บริการบ้านมิตรไมตรีเพิ่มเติมใน กทม. ในเขตสายไหม ห้วยขวาง อ่อนนุช และธนบุรี รวมการให้บริการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงปัจจุบัน มียอดผู้ใช้บริการสะสม 3,300 คน ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานให้ได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลืออย่างถูกต้อง รวมทั้งใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข โดยหากประชาชนพบผู้ด้อยโอกาสทางสังคมสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานอย่างต่อเนื่อง วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2561 รัฐบาลแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนไร้ที่พึ่งได้รับโอกาสที่จะกลับมายืนหยัดด้วยตนเอง และดํารงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขได้อีกครั้ง ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ รัฐบาลแก้ไขปัญหาคนไร้ที่พึ่งและคนขอทาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ําและสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐด้วยการส่งเสริมให้มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งภายใต้โครงการบ้านมิตรไมตรี พร้อมทั้งจัดบริการสวัสดิการสังคมเบื้องต้น เช่น ให้คําปรึกษาด้านสุขภาพ พัฒนาอาชีพและรายได้ เป็นต้น โดยล่าสุดได้เปิดให้บริการบ้านมิตรไมตรีเพิ่มเติมใน กทม. ในเขตสายไหม ห้วยขวาง อ่อนนุช และธนบุรี รวมการให้บริการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 จนถึงปัจจุบัน มียอดผู้ใช้บริการสะสม 3,300 คน ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไร้ที่พึ่งและคนขอทานให้ได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลืออย่างถูกต้อง รวมทั้งใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข โดยหากประชาชนพบผู้ด้อยโอกาสทางสังคมสามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง ร่วมเดินหน้าประเทศไทย กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/9191
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ถวายหน้ากากอนามัย 5,000 ชิ้น สนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงห่วงใยพระภิกษุสามเณรและประชาชนทั่วประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ถวายหน้ากากอนามัย 5,000 ชิ้น สนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงห่วงใยพระภิกษุสามเณรและประชาชนทั่วประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ถวายหน้ากากอนามัย 5,000 ชิ้น สนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงห่วงใยพระภิกษุสามเณรและประชาชนทั่วประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ (14 พฤษภาคม 2563) เวลา 14.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฎฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และนายธงชัย ลืออดุลย์ เลขานุการรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เดินทางไปยัง วัดเจษฎาราม พระอารามหลวง อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร เพื่อถวายหน้ากากอนามัย เจลและแอลกอฮอล์ล้างมือแด่เจ้าคณะจังหวัดธรรมยุตนิกายและมหานิกาย ตามพระบัญชาของ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงห่วงใยสุขภาพอนามัยของพระภิกษุสามเณร ตลอดจนประชาชนทั่วไป จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์มลภาวะทางอากาศ โดยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 ทรงประทานพระวโรกาสให้รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้กํากับดูแลสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเข้าเฝ้า ทรงโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยกัณฑ์เท่าจํานวน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) เป็นทุนประเดิมสําหรับสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดหาหน้ากากอนามัย ประทานแก่พระภิกษุสามเณร และประชาชน ในชุมชนใกล้เคียงวัดทั่วประเทศ สําหรับหน้ากากอนามัยที่รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีนํามาถวายในวันนี้ มีจํานวน 5,000 ชิ้น เป็นเงินมูลค่า 50,000 บาทถ้วน (ห้าหมื่นบาทถ้วน) พร้อมเจลและแอลกอฮอล์ล้างมือ จํานวน 560 ขวด โดยถวายแด่พระเทพสาครมุนี เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร มหานิกาย และถวายแด่พระรามัญมุนี เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร ธรรมยุตนิกาย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาได้เดินทางไปถวายหน้ากากอนามัยแล้ว จํานวนกว่า 160,000 ชิ้น ทั่วประเทศ ทั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระปรารภสนับสนุนให้วัดซึ่งมีอยู่คู่ชุมชนทั่วประเทศเป็นศูนย์กลางแจกจ่ายหน้ากากอนามัยแก่ประชาชนผู้ประสบความเดือดร้อนหรือมีความเสี่ยงต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยไม่จํากัดสัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา นอกจากนี้ ยังทรงมีพระดําริให้วัดที่มีศักยภาพสามารถช่วยเหลือชุมชนได้ จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ โรงทาน เพื่อแจกจ่ายอาหารและ เครื่องอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวอีกด้วย ................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ถวายหน้ากากอนามัย 5,000 ชิ้น สนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงห่วงใยพระภิกษุสามเณรและประชาชนทั่วประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2563 รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ถวายหน้ากากอนามัย 5,000 ชิ้น สนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงห่วงใยพระภิกษุสามเณรและประชาชนทั่วประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ลงพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ถวายหน้ากากอนามัย 5,000 ชิ้น สนองพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงห่วงใยพระภิกษุสามเณรและประชาชนทั่วประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 วันนี้ (14 พฤษภาคม 2563) เวลา 14.00 น. นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายณัฎฐชัย ศรีรุ่งสุขพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี และนายธงชัย ลืออดุลย์ เลขานุการรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เดินทางไปยัง วัดเจษฎาราม พระอารามหลวง อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร เพื่อถวายหน้ากากอนามัย เจลและแอลกอฮอล์ล้างมือแด่เจ้าคณะจังหวัดธรรมยุตนิกายและมหานิกาย ตามพระบัญชาของ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงห่วงใยสุขภาพอนามัยของพระภิกษุสามเณร ตลอดจนประชาชนทั่วไป จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์มลภาวะทางอากาศ โดยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 ทรงประทานพระวโรกาสให้รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ผู้กํากับดูแลสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเข้าเฝ้า ทรงโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยกัณฑ์เท่าจํานวน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) เป็นทุนประเดิมสําหรับสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดหาหน้ากากอนามัย ประทานแก่พระภิกษุสามเณร และประชาชน ในชุมชนใกล้เคียงวัดทั่วประเทศ สําหรับหน้ากากอนามัยที่รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีนํามาถวายในวันนี้ มีจํานวน 5,000 ชิ้น เป็นเงินมูลค่า 50,000 บาทถ้วน (ห้าหมื่นบาทถ้วน) พร้อมเจลและแอลกอฮอล์ล้างมือ จํานวน 560 ขวด โดยถวายแด่พระเทพสาครมุนี เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร มหานิกาย และถวายแด่พระรามัญมุนี เจ้าคณะจังหวัดสมุทรสาคร ธรรมยุตนิกาย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาได้เดินทางไปถวายหน้ากากอนามัยแล้ว จํานวนกว่า 160,000 ชิ้น ทั่วประเทศ ทั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระปรารภสนับสนุนให้วัดซึ่งมีอยู่คู่ชุมชนทั่วประเทศเป็นศูนย์กลางแจกจ่ายหน้ากากอนามัยแก่ประชาชนผู้ประสบความเดือดร้อนหรือมีความเสี่ยงต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยไม่จํากัดสัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา นอกจากนี้ ยังทรงมีพระดําริให้วัดที่มีศักยภาพสามารถช่วยเหลือชุมชนได้ จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ โรงทาน เพื่อแจกจ่ายอาหารและ เครื่องอุปโภคบริโภคแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวอีกด้วย ................................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/30833
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 19 พฤศจิกายน 2562
วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2562 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 19 พฤศจิกายน 2562 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี http://www.thaigov.go.th วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2562) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติ ประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่นเขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตําแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และป่าภูเรือบางส่วน ในท้องที่ตําบลแสงภา อําเภอนาแห้ว จังหวัดเลย พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดวิธีปฏิบัติของเจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทําการประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ํา พ.ศ. .... 8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการ สอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารบางชนิดหรือบางประเภท ภายในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก พื้นที่ต่อเนื่อง และฝั่งธนบุรี ตรงข้ามกรุงรัตนโกสินทร์ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ แขวงบวรนิเวศ แขวงเสาชิงช้า แขวงราชบพิธ แขวงสําราญราษฎร์ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงบ้านพานถม แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ์ แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร แขวงคลองมหานาค แขวงวัดเทพศิรินทร์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี และแขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับความปลอดภัยและความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีในการขนส่ง พ.ศ. .... 11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 รวม 3 ฉบับ เศรษฐกิจ - สังคม 12. เรื่อง ขอสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ทหารผ่านศึก 13. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีกรณีการชดเชยส่วนต่างจากการรับซื้อน้ํามันปาล์มดิบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 14. เรื่อง ขออนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดําเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปเเบบการขนส่งสินค้า เชียงของ จังหวัดเชียงราย 15. เรื่อง การลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 16. เรื่อง รายงานสรุปผลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ประจําปี 2561 (อว.) 17. เรื่อง การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงิน 18. เรื่อง รายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิในกระบวนการยุติธรรมกรณีกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ทหารซ้อมทรมานบุคคลผู้ต้องสงสัยในระหว่างถูกควบคุมตัว) 19. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคําสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน [กรณีกรมวิชาการเกษตรดําเนินการต่ออายุใบสําคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายพาราควอต (paraquat) ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่อาจจะประกาศห้ามใช้] 20. เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2562 และแนวโน้มปี 2562 – 2563 ต่างประเทศ 21. เรื่อง การเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) 22. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (MOU between The Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation of the Kingdom of Thailand and The Ministry of Science and ICT of the Republic of Korea on Cooperation in Science, Technology and Innovation) 23. เรื่อง ร่างอนุสัญญาโลกว่าด้วยการรับรองคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา (Global Convention on the Recognition of Qualifications concerning Higher Education) 24. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ค.ศ. 1989 25. เรื่อง การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 3 26. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสํานักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนา พิเศษภาคตะวันออก 27. เรื่อง ขออนุมัติกรอบการหารือสําหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ครั้งที่ 26 28. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และ ร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 6 29. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน- สาธารณรัฐเกาหลีสมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 30. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 แต่งตั้ง 31. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และผู้ช่วยโฆษกของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงยุติธรรม 32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) 33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 34. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก 35. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ 36. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ํา 37. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้นําไปรวมกับร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (ตามมติคณะรัฐมนตรี 26 พฤศจิกายน 2561) โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สํานักงานศาลยุติธรรม และสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ ร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวมีสาระสําคัญเป็นการปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ ควบคู่กันทั้ง 2 ฉบับ ดังนี้ 1. เพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการโอนกิจการที่มีผลให้ต้องมีการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ผู้รับประกันภัย เมื่อบริษัทผู้รับโอนกิจการมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้เอาประกันภัย พร้อมแจ้งสิทธิให้ผู้เอาประกันภัยคัดค้านแล้ว หากไม่มีการคัดค้านให้ถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ผู้รับประกันภัย 2. เพิ่มเติมบทบัญญัติให้บริษัทสามารถจดทะเบียนควบรวมกิจการได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้ทุกรายให้ ความยินยอมเป็นหนังสือโดยไม่ต้องรอให้พ้นระยะเวลาคัดค้าน 3. เพิ่มเติมบทบัญญัติให้บริษัที่รับโอนกิจการสามารถเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนบริษัทที่โอนกิจการในคดีที่มีการฟ้องร้องในศาลได้ และสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ 4. เพิ่มเติมบทกําหนดโทษในกรณีดังต่อไปนี้ 4.1 กรรมการ ผู้มีอํานาจในการจัดการ พนักงานของบริษัท และบุคคลที่บริษัทมอบหมาย แสวงหาประโยชน์อันมิชอบหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัท ผู้เอาประกันภัย หรือประชาชน 4.2 ผู้ก่อให้หรือสนับสนุนให้ผู้สอบบัญชีหรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยไม่แจ้งให้นายทะเบียนทราบเมื่อพบเหตุอันควรสงสัยว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในบริษัท หรือก่อให้หรือสนับสนุนให้นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจัดทํารายงาน รับรอง หรือแสดงความเห็นเกี่ยวกับการดําเนินการของบริษัทเป็นเท็จ หรือก่อให้หรือสนับสนุนให้กรรมการหรือผู้มีอํานาจในการจัดการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัท ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน (ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิตฯ) 4.3 ผู้ก่อให้หรือสนับสนุนให้ผู้ประเมินวินาศภัยทํารายงานการตรวจสอบและประเมินวินาศภัยเป็นเท็จ หรือก่อให้ผู้สอบบัญชีหรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยไม่แจ้งให้นายทะเบียนทราบเมื่อพบเหตุอันควรสงสัยว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในบริษัท หรือก่อให้หรือสนับสนุนให้นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจัดทํารายงาน รับรอง หรือแสดงความเห็นเกี่ยวกับการดําเนินการของบริษัทเป็นเท็จ หรือก่อให้หรือสนับสนุนให้กรรมการหรือผู้มีอํานาจในการจัดการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้เอาประภันภัยหรือประชาชน (ร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยฯ) 4.4 ผู้ให้ถ้อยคําอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ 4.5 ผู้ทําลาย ทําให้เสียหาย ซึ่งตราหรือเครื่องหมายที่นายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประทับไว้ 5. แก้ไขบทบัญญัติให้การกระทําความผิดของกรรมการ ผู้มีอํานาจในการจัดการ พนักงานของบริษัท บุคคลที่บริษัทมอบหมาย บุคคลที่ก่อหรือสนับสนุนให้ผู้สอบบัญชีหรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยทําผิดกฎหมาย และผู้ซึ่งกระทําความผิดต่อนายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ รวมถึงผู้ที่กระทําความผิดเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผย เป็นความผิดที่คณะกรรมการเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 ไม่อาจเปรียบเทียบได้ 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตําแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตําแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สํานักงาน กกต.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดําเนินการต่อไปได้ สํานักงาน กกต. เสนอว่า 1. ศาลรัฐธรรมนูญ (ศร.) ได้มีคําวินิจฉัย เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 ว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 7 ของ นายนวัธ เตาะเจริญสุข ผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (6) นับแต่วันที่ ศร. มีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 82 วรรคสอง คือ วันที่ 16 ตุลาคม 2562 2. เมื่อสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นายนวัธ เตาะเจริญสุข สิ้นสุดลงทําให้มีตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลง จึงต้องดําเนินการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีกการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งขึ้นแทนตําแหน่งที่ว่างภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 105 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 102 โดยให้ถือว่าวันที่ตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลง คือวันที่ ศร. มีคําวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 76 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้คําวินิจฉัยของศาลมีผลในวันอ่าน คือวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กําหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตําแหน่งที่ว่าง 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และป่าภูเรือ บางส่วน ในท้องที่ตําบลแสงภา อําเภอนาแห้ว จังหวัดเลย พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และป่าภูเรือ บางส่วน ในท้องที่ตําบลแสงภา อําเภอนาแห้ว จังหวัดเลย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กําหนดให้เพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และป่าภูเรือ บางส่วน ในท้องที่ตําบลแสงภา อําเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ออกจากการเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามที่กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกากําหนดบริเวณที่ดินป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และป่าภูเรือ บางส่วน ในท้องที่ตําบลแสงภา ตําบลเหล่ากอหก และตําบลนาแห้ว อําเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2537 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงวัฒนธรรมรับข้อสังเกตของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. 2557 ดังนี้ การแบ่งส่วนราชการเดิม การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง ก. ราชการบริหารส่วนกลาง 1. กองกลาง 2. กองกฎหมาย 3. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 4. สํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ 5. สํานักตรวจและประเมินผล 6. สํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ 7. สํานักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ข. ราชการบริหารส่วนภูมิภาค สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด ก. ราชการบริหารส่วนกลาง 1. กองกลาง (คงเดิม) 2. กองกฎหมาย (คงเดิม) 3. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (คงเดิม) 4. กองการต่างประเทศ (เปลี่ยนชื่อ) 5. กองตรวจราชการ (เปลี่ยนชื่อ) 6. กองยุทธศาสตร์และแผนงาน (เปลี่ยนชื่อ) 7. กองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม (เปลี่ยนชื่อ) 8. กองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ตั้งใหม่ ข. ราชการบริหารส่วนภูมิภาค สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2552 ดังนี้ การแบ่งส่วนราชการปัจจุบัน การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง 1. สํานักงานเลขานุการกรม 2. กองควบคุมเครื่องมือแพทย์ 3. กองควบคุมวัตถุเสพติด 4. กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค 5. กองส่งเสริมงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น 6. กลุ่มตรวจสอบภายใน 7. กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร 8. กองแผนงานและวิชาการ 9. สํานักควบคุมเครื่องสําอางและวัตถุอันตราย 10. สํานักด่านอาหารและยา 11. สํานักยา 12. สํานักอาหาร 1. สํานักงานเลขานุการกรม (คงเดิม) 2. กองควบคุมเครื่องมือแพทย์ (คงเดิม) 3. กองควบคุมวัตถุเสพติด (คงเดิม) 4. กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค (คงเดิม) 5. กองส่งเสริมงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น (คงเดิม) 6. กลุ่มตรวจสอบภายใน (คงเดิม) 7. กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร (คงเดิม) 8. กองยุทธศาสตร์และแผนงาน (เปลี่ยนชื่อ) 9. กองควบคุมเครื่องสําอางและวัตถุอันตราย (เปลี่ยนชื่อ) 10. กองด่านอาหารและยา (เปลี่ยนชื่อ) 11. กองยา (เปลี่ยนชื่อ) 12. กองอาหาร (เปลี่ยนชื่อ) 13. กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร (ตั้งใหม่) 14. กองผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรมและการบริการ (ตั้งใหม่) 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2552 ดังนี้ การแบ่งส่วนราชการปัจจุบัน การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง 1. สํานักบริหาร 2. กองแบบแผน 3. กองวิศวกรรมการแพทย์ 4. กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน 5. กองสุขศึกษา 6. กลุ่มตรวจสอบภายใน 7. กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร 8. สํานักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ 1. สํานักงานเลขานุการกรม (เปลี่ยนชื่อ) 2. กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ (เปลี่ยนชื่อ) 3. กองแบบแผน (คงเดิม) 4. กองวิศวกรรมการแพทย์ (คงเดิม) 5. กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน (คงเดิม) 6. กองสุขศึกษา (คงเดิม) 7. กลุ่มตรวจสอบภายใน (คงเดิม) 8. กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร (คงเดิม) 9. กองกฎหมาย (ตั้งใหม่) 10. กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ตั้งใหม่) 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดวิธีปฏิบัติของเจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทําการประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ํา พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดวิธีปฏิบัติของเจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทําการประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ํา พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดให้เรือที่จดทะเบียนเป็นเรือกลเดินทะเลตามประเภทการใช้เรือ ต้องติดตั้งระบบติดตามเรือประมงตามมาตรฐานสมรรถนะของอุปกรณ์และข้อกําหนดเชิงหน้าที่ของระบบติดตามเรือประมง 2. กําหนดให้เจ้าของเรือสนับสนุนที่ติดตั้งระบบติดตามเรือประมงแล้วต้องแจ้งข้อมูล รหัสกล่องหรือรหัสอุปกรณ์ ชื่อหรือหมายเลขทะเบียนเรือ ภาพถ่ายเรือสนับสนุน และพื้นที่จอดเรือต่อเจ้าหน้าที่ประจําศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทําการประมง 3. กําหนดให้เจ้าของเรือสนับสนุนต้องดูแลระบบติดตามเรือประมงให้เปิดใช้งานได้ตลอดเวลากรณีจะปิดระบบติดตามเรือประมงให้กระทําได้เฉพาะกรณีที่กําหนดไว้ 4. กําหนดหลักเกณฑ์และการดําเนินการให้เจ้าของเรือสนับสนุนต้องปฏิบัติเมื่อสัญญาณระบบติดตามเรือประมงขัดข้องจนไม่สามารถใช้การได้เป็นปกติ 5. กําหนดให้เรือสนับสนุนต้องแจ้งการเข้าออกท่าเทียบเรือทุกครั้งตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ 6. กําหนดบทเฉพาะกาลรองรับกรณีเรือสนับสนุนที่ได้มีการติดตั้งระบบติดตามเรือประมงตามมาตรฐานเดิมโดยให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะชํารุดจนต้องมีการเปลี่ยนใหม่ รวมทั้งกําหนดระยะเวลาให้เรือสนับสนุนที่ยังไม่ได้ล็อคตรึงและตีตราอุปกรณ์ระบุตําแหน่งเรือแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดําเนินการดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กําหนด 8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พ.ศ. .... มีสาระสําคัญ ดังนี้ 1.1 กําหนดให้ใช้บังคับกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ได้แก่ กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา 1.2 กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดําเนินการสอบสวนและวินิจฉัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและ ความเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสิ้นสุดลง 1.3 กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดําเนินการสอบสวนและวินิจฉัยของผู้ว่าราชการจังหวัด กรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกสภาเมืองพัทยา และความเป็นนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา ประธานที่ปรึกษานายกเมืองพัทยา และที่ปรึกษานายกเมืองพัทยาสิ้นสุดลง 1.4 กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดําเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน นายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา ประธานสภาเมืองพัทยา และรองประธานสภาเมืองพัทยา กรณีจงใจทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามอํานาจหน้าที่ อันจะเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอํานาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย หรือฝ่าฝืนคําสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดที่สั่งการเพิกถอนการกระทําหรือให้ระงับการปฏิบัติตามที่กฎหมายกําหนด 2. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป พ.ศ. .... มีสาระสําคัญ ดังนี้ 2.1 กําหนดให้ใช้บังคับกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตําบล 2.2 กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดําเนินการสอบสวนและวินิจฉัยของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอ กรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตําบลสิ้นสุดลง กรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี และนายกองค์การบริหารส่วนตําบลสิ้นสุดลง และกรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกเทศมนตรี เลขานุการนายกเทศมนตรี และที่ปรึกษานายกเทศมนตรี รองนายกองค์การบริหารส่วนตําบล และเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตําบลสิ้นสุดลง 2.3 กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดําเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด และรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี ประธานสภาเทศบาล และรองประธานสภาเทศบาล นายกองค์การบริหารส่วนตําบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตําบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตําบล และรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตําบล กรณีจงใจทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามอํานาจหน้าที่อันจะเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอํานาจหน้าที่ หรือปฏิบัติฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย หรือฝ่าฝืนคําสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด หรือนายอําเภอที่สั่งการตามกฎหมาย 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารบางชนิดหรือบางประเภท ภายในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก พื้นที่ต่อเนื่อง และฝั่งธนบุรี ตรงข้ามกรุงรัตนโกสินทร์ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ แขวงบวรนิเวศ แขวงเสาชิงช้า แขวงราชบพิธ แขวงสําราญราษฎร์ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงบ้านพานถม แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ์ แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร แขวงคลองมหานาค แขวงวัดเทพศิรินทร์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี และแขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารบางชนิดหรือบางประเภท ภายในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก พื้นที่ต่อเนื่อง และฝั่งธนบุรี ตรงข้ามกรุงรัตนโกสินทร์ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ แขวงบวรนิเวศ แขวงเสาชิงช้า แขวงราชบพิธ แขวงสําราญราษฎร์ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงบ้านพานถม แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ์ แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร แขวงคลองมหานาค แขวงวัดเทพศิรินทร์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี และแขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไป สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง กําหนดบริเวณห้ามก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ แขวงบวรนิเวศ แขวงเสาชิงช้า แขวงราชบพิธ แขวงสําราญราษฎร์ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงบ้านพานถม แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ์ แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร แขวงคลองมหานาค แขวงวัดเทพศิรินทร์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี และแขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร โดยกําหนดรายละเอียดเกี่ยวกับสีของผนังภายนอกอาคารเป็นโทนสีครีม และห้ามใช้วัสดุสะท้อนแสงหรือวัสดุมันวาว สีของหลังคาอาคารเป็นโทนสีเทาเข้ม และด้านหน้าอาคารห้ามติดตั้งหรือวางอุปกรณ์ประเภทกันสาด เครื่องปรับอากาศ เสาอากาศโทรทัศน์หรือวิทยุ หรือส่วนยื่นอื่น ๆ 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับความปลอดภัยและความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีในการขนส่ง พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับความปลอดภัยและความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีในการขนส่ง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของสํานักงานตํารวจแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดบทนิยาม คําว่า “การขนส่ง” “การใช้แต่ผู้เดียว” “ดัชนีการขนส่ง” “การก่อวินาศกรรม” “ความมั่นคงปลอดภัย” เป็นต้น 2. กําหนดมาตรการความมั่นคงปลอดภัย 2.1 ความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีในการขนส่งวัสดุกัมมันตรังสี วัสดุ นิวเคลียร์ กากกัมมันตรังสี เชื้อเพลิงนิวเคลียร์และเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว โดยกําหนดหน้าที่ของผู้ส่งของและผู้รับขนส่ง เช่น ผู้ส่งของต้องตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ก่อนการใช้เป็นครั้งแรกในการขนส่ง ผู้รับขนส่งต้องแยกสิ่งที่ขนส่งจากสินค้าอันตรายอื่น ๆ และต้องตรวจสอบระดับการปนเปื้อนเป็นระยะ ๆ เป็นต้น 2.2 ความมั่นคงปลอดภัยทางรังสีในการขนส่งวัสดุกัมมันตรังสีหรือกากกัมมันตรังสี โดยแบ่งระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเป็น 3 ระดับ ตามความเป็นอันตรายของวัสดุกัมมันตรังสี มีวัตถุประสงค์ในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยแบบการจัดการอย่างรอบคอบ ทั้งในระหว่างการขนส่งและขณะการจัดเก็บ ให้ผู้ส่งของต้องจัดทําแผนความมั่นคงปลอดภัยการขนส่ง เพื่อใช้ในการขนส่งวัสดุกัมมันตรังสีระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยขั้นสูงทุกการขนส่ง ฯลฯ และให้ผู้ส่งของหรือผู้รับขนส่งต้องรายงานเหตุการณ์เป็นลายลักษณ์อักษรต่อสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติในทันทีที่เป็นไปได้ 2.3 ความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ในการขนส่งวัสดุนิวเคลียร์ เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ และเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว โดยกําหนดวิธีป้องกันการเอาไปซึ่งวัสดุนิวเคลียร์โดยมิชอบในระหว่างการขนส่งวัสดุนิวเคลียร์ประเภทที่ 1 ประเภทที่ 2 ประเภทที่ 3 และประเภทที่ 4 การค้นหาและการนํากลับมาซึ่งวัสดุนิวเคลียร์ที่สูญหายหรือถูกลักไปในระหว่างการขนส่ง การป้องกันการก่อวินาศกรรมในระหว่างการขนส่ง และการบรรเทาผลกระทบทางรังสีหลังมีการก่อการวินาศกรรมในระหว่างการขนส่ง 11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 รวม 3 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 รวม 3 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตผลิต นําเข้า หรือขายผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนตํารับ การแจ้งรายละเอียดและการจดแจ้งผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... และ 3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียม ลด ยกเว้นค่าธรรมเนียมการดําเนินการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตผลิต นําเข้า หรือขายผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต และการออกใบอนุญาตการขอแก้ไขรายการและการอนุญาตให้แก้ไขรายการในใบอนุญาต การย้ายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่นําเข้า ขาย หรือเก็บรักษาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นการชั่วคราว การขอต่ออายุ และการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาต การขอรับและการออกใบแทนใบอนุญาต และการขอโอนใบอนุญาตผลิต นําเข้า หรือขายผลิตภัณฑ์สมุนไพร 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนตํารับ การแจ้งรายละเอียดและการจดแจ้งผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอขึ้นทะเบียนตํารับและการออกใบสําคัญการขึ้นทะเบียนตํารับ การขอแก้ไขรายการและการอนุญาตให้แก้ไขรายการในทะเบียนตํารับ การขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบสําคัญการขึ้นทะเบียนตํารับ และการขอรับและการออกใบแทนใบสําคัญการขึ้นทะเบียนตํารับผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแจ้งรายละเอียดและการออกใบรับแจ้งรายละเอียด การจดแจ้งและการออกใบรับจดแจ้ง การแก้ไขการแจ้งรายละเอียด การแก้ไขการจดแจ้ง การต่ออายุใบรับแจ้งรายละเอียดและการต่ออายุใบรับจดแจ้ง และการขอรับและออกใบแทนใบรับแจ้งรายละเอียดหรือใบรับจดแจ้งผลิตภัณฑ์สมุนไพร 3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียม ลด ยกเว้นค่าธรรมเนียมการดําเนินการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... เป็นการกําหนดค่าธรรมเนียม ลด ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการดําเนินการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร เศรษฐกิจ - สังคม 12. เรื่อง ขอสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ทหารผ่านศึก คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอการขอปรับเพิ่มสิทธิลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ ผู้ที่ไปร่วมรบกับสหประชาชาติ ณ สาธารณรัฐเกาหลีและครอบครัว ผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญสมรภูมิและครอบครัวในกรณีสงครามต่าง ๆ (เช่น หน่วยต่อเดือนดิม ครอบครัวละ 45 หน่วยต่อเดือน เป็น ครอบครัวละ 50 หนู้่ก่อนแล้ว (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 สิงหาคม 2496 24 พฤษภาคม สงครามเวียดนาม สงครามในทวีปยุโรป สงครามอินโดจีน สงครามมหาเอเชียบูรพา เป็นต้น) ผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญและครอบครัว ผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 ผู้ได้รับบัตรประจําตัวทหารผ่านศึกฯ บัตรชั้นที่ 2 ทหารผ่านศึกฯ บัตรชั้นที่ 1 และครอบครัว รวมถึงครอบครัวทหารผ่านศึก บัตรชั้นที่ 1 รวมจํานวนทั้งสิ้น 27,307 ราย ซึ่งได้สิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าตามมติคณะรัฐมนตรีอยู่ ก่อนแล้ว (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 สิงหาคม 2496 24 พฤษภาคม 2531 และ 12 กรกฎาคม 2537) จากเดิม ครอบครัวละ 45 หน่วยต่อเดือน เป็น ครอบครัวละ 50 หน่วยต่อเดือนและให้กระทรวงกลาโหมกํากับดูแลให้องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในการดําเนินการดังกล่าวด้วยความรอบคอบ ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย สําหรับการขอสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 หรือเหรียญราชการชายแดน หรือเหรียญอื่นที่เทียบเท่าที่มีคุณสมบัติเป็นทหารผ่านศึกและได้รับบัตรประจําตัวทหารผ่านศึกนอกประจําการบัตรชั้นที่ 3 แล้วเท่านั้น จํานวน 102,000 ราย ให้ได้รับสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสฟ้ารายละ 50 หน่วยต่อเดือน (ใช้งบประมาณจํานวน 204 ล้านบาทต่อปี) นั้น ให้กระทรวงกลาโหม (องค์การทหารผ่านศึก) พิจารณาดําเนินการตามความเห็นของสํานักงบประมาณและสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก่อนดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กรณีการขยายสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้ครอบคลุมทหารผ่านศึกนอกประจําการ บัตรชั้นที่ 3 เพิ่มขึ้นในแต่ละปีนั้น องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกควรพิจารณาการให้สิทธิพิเศษและบริหารจัดการงบประมาณอย่างรอบคอบ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมิให้เป็นภาระงบประมาณที่สูงเกินไป รวมทั้งสํานักงบประมาณพิจารณาแล้วเห็นว่า การขอสิทธิพิเศษดังกล่าว ควรที่จะพิจารณาประเภทการสงเคราะห์ตามสิทธิที่พึงได้รับลดหลั่นตามชั้นบัตร เช่นเดียวกับแนวทางการให้สวัสดิการอื่น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ํา และการพิจารณากรอบอัตราการเพิ่มจํานวนของทหารผ่านศึกนอกประจําการบัตรชั้นที่ 3 ในอนาคต ให้ครอบคลุม ครบถ้วน รวมถึงการขอสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้ถือบัตรชั้นที่ 3 กระทรวงกลาโหมควรพิจารณาการจัดลําดับหรือกลุ่มผู้ถือบัตรตามฐานรายได้ที่ได้รับในการให้สิทธิพิเศษดังกล่าว รวมทั้งการพิจารณาแหล่งเงินขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกที่สามารถนํามาใช้จ่ายได้ด้วย 13. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีกรณีการชดเชยส่วนต่างจากการรับซื้อน้ํามันปาล์มดิบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 วันที่ 7 พฤษภาคม 2562 และวันที่ 18 มิถุนายน 2562 ดังนี้ 1. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 จากเดิมที่กําหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ขอทําความตกลงกับ กค. และสํานักงบประมาณ (สงป.) เพื่อปรับลดเงินรายได้นําส่งเข้ารัฐหรือเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (Public Service Account : PSA) ในกรณีส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้น้ํามันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า จํานวน 829 ล้านบาท แก้ไขเป็น ให้กระทรวงพลังงาน (พน.) ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี หรืองบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อชดเชยเป็นค่าใช้จ่ายส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ํามันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า จํานวน 829 ล้านบาท ให้แก่ กฟผ. โดยถือปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 27 หรือมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ต่อไป 2. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 และวันที่ 18 มิถุนายน 2562 จากเดิมที่กําหนดให้ กฟผ. ขอทําความตกลงกับ กค. และสํานักงบประมาณ (สงป.) เพื่อบันทึกบัญชีเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (PSA) แก้ไขเป็นให้ พน. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี หรืองบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อชดเชยเป็นค่าใช้จ่ายส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ํามันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า ประมาณ 1,200 ล้านบาท ให้แก่ กฟผ. โดยถือปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 27 หรือมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ต่อไป โดยให้กระทรวงพลังงานเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีเพื่อชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ํามันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า กรอบวงเงิน 2,029,000,000 บาท แทนการปรับลดเงินรายได้นําส่งเข้ารัฐ หรือการบันทึกบัญชีเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (PSA) โดยไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถส่งผ่านไปยังค่าไฟผันแปร (Ft) ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เดิม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานจัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามผลการดําเนินการตามมาตรการฯ เพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามความจําเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ รวมทั้ง คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 เพิ่มเติมในส่วนที่อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อชดเชยส่วนต่างดังกล่าวให้กระทรวงพาณิชย์ กรอบวงเงิน 525,000,000 บาท ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เบิกจ่ายงบประมาณให้กับ กฟผ. แล้ว จํานวน 88,089,953.44 บาท โดยแก้ไขเป็นให้กระทรวงพลังงานเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณในส่วนที่เหลือ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณตรงตามภารกิจของหน่วยงานและสอดคล้องกับข้อเสนอของกระทรวงการคลังในครั้งนี้ ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะต้องคํานึงถึงความครอบคลุมงบประมาณ ศักยภาพ และความสามารถในการบริหารจัดการของ กฟผ. ด้วย เพื่อมิให้เป็นภาระต่อภาพรวมของงบประมาณภาครัฐ โดยการดําเนินการภายใต้มาตรการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายให้ถูกต้องครบถ้วน มีความโปร่งใส คุ้มค่า ความประหยัด ไม่ซ้ําซ้อน โดยพิจารณาความเป็นธรรมในสังคม และความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐต่อประโยชน์ส่วนรวมที่จะเกิดขึ้น รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตลอดจนในโอกาสต่อไป กรณีมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐใดดําเนินโครงการที่รัฐจะต้องรับภาระชดเชยค่าใช้จ่าย หรือมีการสูญเสียรายได้จากการดําเนินการนั้น จะต้องดําเนินการเท่าที่จําเป็น มีความถูกต้องอย่างชัดเจนในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐที่จะส่งผลต่อภาระงบประมาณ หรือภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชน ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ 14. เรื่อง ขออนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดําเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปเเบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่อง ขออนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดําเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของจังหวัดเชียงราย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอแล้วมีมติ ดังนี้ อนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดําเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยใช้ที่ดินถาวร ไม่มีกําหนดระยะเวลา 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดพิจารณาเกี่ยวกับกรณีที่กรมการขนส่งทางบกขอยกเว้นค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินของโครงการฯ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยคํานึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสําคัญ ทั้งนี้ ควรคํานึงถึงผลกระทบต่อต้นทุนที่ใช้ในการคํานวณความคุ้มค่าของโครงการฯ รวมถึงผลวิเคราะห์ผลตอบแทนด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลต่อรูปแบบและแผนงานการดําเนินโครงการฯ ด้วย 3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของเรื่อง 1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (17 เมษายน 2555) อนุมัติในหลักการให้กรมการขนส่งทางบกดําเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด่านพรมแดนเชียงของ บริเวณสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 4 โดยมีพื้นที่ของโครงการฯ บางส่วนเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน จํานวน 206 ไร่ 1 งาน 57.6 ตารางวา โดยเอกชนจะร่วมลงทุนโครงการฯ ในรูปแบบ PPP Net Cost ในส่วนของอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้า อุปกรณ์สํานักงาน และระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ และจะต้องส่งมอบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เอกชนเป็นผู้ลงทุนให้กับกรมการขนส่งทางบกเมื่อสิ้นระยะเวลาสัมปทาน 15 ปี 2. กรมการขนส่งทางบกได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อดําเนินการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ถูกเวนคืนที่ดินเพื่อการยินยอมให้ใช้พื้นที่ จํานวน 779,760,400 บาท โดยเกษตรกรผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินและเกษตรกรผู้ถือครองที่ดิน ได้ยื่นสละสิทธิ์ในที่ดินหรือได้ทําหนังสือยินยอมแล้วครบทุกรายในปี 2560 จึงได้ยื่นคําขออนุญาตใช้ที่ดินดังกล่าวต่อสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 ตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยการมอบหมายให้เลขาธิการสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาอนุญาตการใช้ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภคและกิจการอื่น ๆ ในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2536 ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงรายในการประชุมครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560 ได้มีมติเห็นชอบให้กรมการขนส่งทางบกใช้ที่ดินฯ เพื่อดําเนินโครงการฯ โดยไม่เรียกเก็บค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ยังไม่ได้เสนอคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาอนุญาต ต่อมา กรมการขนส่งทางบกได้มีหนังสือแจ้งสํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงรายให้ทราบถึงการเข้าใช้พื้นที่ของผู้รับจ้างเพื่อดําเนินการก่อสร้างโครงการฯ (เป็นการเข้าใช้พื้นที่ก่อนได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินโดยคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) 3. ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการขอและการพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2560 ให้ไว้ ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2560 โดยอาศัยอํานาจตามคําสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 31/2560 เรื่อง การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2560 แต่โดยที่กรมการขนส่งทางบกยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินโดยคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ภายใต้ระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินว่าด้วยการมอบหมายให้เลขาธิการสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาอนุญาตการใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน จึงต้องดําเนินการขอความยินยอมหรือขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินฯ อีกครั้งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 ตามกฎกระทรวงฯ ข้อ 2 (3) (ก) ซึ่งกําหนดให้การขอความยินยอมหรือขออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินฯ ต้องเป็นโครงการของรัฐ ซึ่งเป็นประโยชน์ส่วนรวมของประเทศด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ 4. โดยที่นายกรัฐมนตรีได้มีคําสั่งการเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเร่งรัดพิจารณาเกี่ยวกับกรณีที่กรมการขนส่งทางบกขอยกเว้นค่าตอบแทนฯ ของโครงการฯ ให้เกิดความชัดเจนให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือนและกรมการขนส่งทางบกได้มีหนังสือถึงสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2562 ยืนยันการของดเว้นค่าตอบแทนฯ เพื่อให้เป็นไปตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ และไม่ให้ต้นทุนที่ใช้ในการคํานวณความคุ้มค่าของโครงการฯ เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะส่งผลต่อกระทบต่อแผนการดําเนินโครงการฯ ต่อมา ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตการใช้ประโยชน์ที่ดินฯ ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบการขอรับความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน พร้อมเห็นชอบให้เก็บค่าตอบแทนฯ ตามข้อ 9 (3) ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการใช้และค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2561 เนื่องจากระเบียบดังกล่าวไม่มีบทยกเว้นการเรียกเก็บค่าตอบแทนฯ ก่อนเสนอคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาต่อไป 5. คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2562 ได้พิจารณาประเด็นที่กรมการขนส่งทางบกขอรับความยินยอมหรือขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินฯ เพื่อดําเนินโครงการฯ แล้ว มีมติอนุมัติให้นําเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะพิจารณาให้ความยินยอม หรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ที่ดินฯ เพื่อดําเนินโครงการฯ และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประเมินมูลค่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ พิจารณาหลักเกณฑ์การกําหนดค่าตอบแทนฯ ตามระเบียบฯ และนําเสนอคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาภายหลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กรมการขนส่งทางบกใช้ที่ดินฯ เพื่อดําเนินโครงการฯ แล้ว เนื่องจากเห็นว่า ประเด็นค่าตอบแทนฯ ควรมีการทบทวนอีกครั้ง 6. กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์กระทรวงมหาดไทย สํานักงบประมาณ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนพิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่มีข้อขัดข้องตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และมีความเห็นเพิ่มเติมให้เร่งรัดการพิจารณาเกี่ยวกับค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว เพื่อให้การดําเนินโครงการฯ เป็นไปตามแผนงาน และเพื่อให้กรมการขนส่งทางบกสามารถจัดเตรียมแผนบริหารงบประมาณสําหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ นอกจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า โครงการดังกล่าวไม่เข้าข่ายต้องจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กําหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ 24 เมษายน 2555 อย่างไรก็ตามพื้นที่ดังกล่าวยังมีสถานะเป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย 15. เรื่อง การลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติ ดังนี้ 1. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามอัตราการเรียกเก็บค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้เหลือในอัตราร้อยละ 0.01 ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ 2. อนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดินสําหรับกรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของเรื่อง 1. สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้มีแผนงานในการดําเนินการจัดที่ดิน ซึ่ง ส.ป.ก. ได้จัดซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินเอกชนเพื่อให้เกษตรกรมีที่ดินทํากินโดยการเช่าซื้อ เมื่อเกษตรกรได้ชําระค่าเช่าซื้อครบถ้วน ส.ป.ก. จะดําเนินการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่เกษตรกร โดยการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้เกษตรกรดังกล่าวจะต้องมีการชําระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามที่กรมที่ดินกําหนด โดย ส.ป.ก. จะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ส่วนเกษตรกรไม่ได้รับการยกเว้นและต้องชําระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 1 ของราคาประเมินทุนทรัพย์ ซึ่งเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินส่วนใหญ่มีฐานะยากจนไม่สามารถชําระค่าธรรมเนียมได้ ส.ป.ก. จึงเสนอมาตรการในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้เหลือในอัตราร้อยละ 0.01 ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ จากปกติจะเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 1 ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจะต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบตามกฎกระทรวงฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 2 (7) (ฎ) และดําเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป 2. ปัจจุบัน ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียม จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สําหรับกรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2561 ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แจ้งว่า มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมฯ ตามประกาศดังกล่าวยังมีความจําเป็นต่อการดําเนินการของ ส.ป.ก. จึงขอขยายกําหนดเวลาใช้บังคับออกไปอีกจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เพื่อเป็นการลดภาระในการชําระค่าธรรมเนียมฯ ให้แก่เกษตรกรที่ยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์และสนับสนุนการดําเนินงานของ ส.ป.ก. ให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปที่ดิน 3. โดยที่การลดหย่อนค่าธรรมเนียมเป็นพิเศษ เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ กฎหมายกําหนดให้เป็นอํานาจของคณะรัฐมนตรี ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นควรอนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ โดยเห็นควรให้ตัดการอ้างข้อ 2 (7) (ฎ) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 47 (พ.ศ 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ 2497 ออก และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้พิจารณาเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยเห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดําเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานในระยะยาวเพื่อให้สามารถใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้ก่อนที่จะครบกําหนดเวลาที่ระบุในประกาศกระทรวงมหาดไทยที่จะขยายออกไป 16. เรื่อง รายงานสรุปผลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ประจําปี 2561 (อว.) คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอรายงานสรุปผลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ประจําปี 2561 ที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ (คณะกรรมการฯ) ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 แล้ว โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. การดําเนินการตามพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2558 คณะกรรมการฯ และสถาบันพัฒนาการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ (สพสว.) ได้ดําเนินการจัดทํากฎหมายลําดับรองประกอบการใช้บังคับการสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการรับแจ้งและรับคําขอใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และทยอยจัดทําระบบการให้บริการแบบออนไลน์ควบคู่ไปกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และสร้างความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ และมีการประกาศนโยบายการกํากับดูแลและส่งเสริมการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อกําหนดทิศทางการพัฒนางานด้านการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ให้เป็นไปอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น 2. ข้อมูลการดําเนินการในปีงบประมาณ 2561 มีการจดแจ้งสถานที่ดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ จํานวน 297 แห่ง จาก 56 องค์กร มีผู้ยื่นขอรับใบอนุญาตใช้สัตว์ จํานวน 7,799 คน มีการใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์หลากหลายชนิด เช่น หนู ไก่ ยุง เป็นต้น โดยในช่วงปี 2561 มีการใช้สัตว์มากกว่า 1,000,000 ตัว ซึ่งมาจากแหล่งผลิตสัตว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3. ปัญหาและอุปสรรคในปีงบประมาณ 2561 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2558 ได้โดยสมบูรณ์เนื่องจากกฎกระทรวงสําคัญที่จะต้องใช้ประกอบการบังคับใช้กฎหมายนั้นยังรอการประกาศในราชกิจจานุเบกษา นอกจากนี้ จากการดําเนินการและรวบรวมข้อมูลพบว่าสถานที่ดําเนินการต่อสัตว์มีจํานวนมากแต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มาตรฐาน มีสัตวแพทย์ไม่เพียงพอ และสัตว์ทดลองยังมีปัญหาในด้านคุณภาพ ชนิด และปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการ งานวิจัยที่จะนําไปสู่นวัตกรรมยังมีน้อย อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกํากับดูแลยังขาดความเข้มแข็งและบุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์ 4. การพัฒนาการดําเนินการในระยะต่อไป ประเด็นสําคัญที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อให้รองรับต่อการพัฒนาประเทศ ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพของสัตว์ทดลอง การส่งเสริมการผลิตสัตว์ทดลองเพื่อทดแทนการนําเข้า การสนับสนุนให้มีหน่วยงานกลางเพื่อตรวจประเมินและรับรองมาตรฐานพันธุกรรมและมาตรฐานสุขภาพ การพัฒนาสถานที่เลี้ยงและใช้สัตว์ให้ได้มาตรฐาน การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาคณะกรรมการกํากับดูแลการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ของสถานที่ดําเนินการ (คกส.) และการสร้างความเข้มแข็งให้หน่วยงานกลางที่กํากับดูแลพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2558 17. เรื่อง การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงิน คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงินให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยคงไว้ที่ร้อยละ 0.46 ต่อปี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 (เรื่อง การดําเนินการตามพระราชกําหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555) ที่กําหนดให้ กค. และ ธปท. พิจารณาความเหมาะสมของอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งของ ธปท. โดยให้แจ้งความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยเป็นรายปี ซึ่ง กค. และ ธปท. ได้พิจารณาแล้วสรุปผลได้ ดังนี้ 1. การกําหนดให้สถาบันการเงินนําส่งเงินให้กับ ธปท. ธปท. มีอํานาจเรียกให้สถาบันการเงินนําส่งเงิน เป็นอัตราร้อยละต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝากตามที่ ธปท. ประกาศกําหนด แต่เมื่อรวมอัตราดังกล่าวกับอัตราที่กําหนดให้สถาบันการเงินนําส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากต้องไม่เกินร้อยละหนึ่งต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝากตามพระราชกําหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 และ ธปท. ยังได้ประกาศกําหนดอัตราเงินนําส่งที่สถาบันการเงินจะต้องนําส่งเงินให้แก่ ธปท. ในอัตราร้อยละ 0.46 ต่อปี ของ (1) ยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง และ (2) ยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน ณ วันที่ 2 พฤษภาคม 2555 (รายละเอียดตามประกาศ ธปท. ที่ สกส. 3/2555 เรื่อง การกําหนดอัตราเงินนําส่ง หลักเกณฑ์ และวิธีการ ในการส่งเงินนําส่ง และการนําส่งเงินเพิ่มเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ประกาศ ณ วันที่ 2 พฤษภาคม 2555) 2. การชําระคืนต้นเงินกู้ที่ กค. กู้ และยอดคงค้างต้นเงินกู้ FIDF1 และ FIDF3 ตั้งแต่พระราชกําหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 มีผลบังคับใช้ (วันที่ 27 มกราคม 2555 – 31 กรกฎาคม 2562) ได้มีการชําระคืนต้นเงินกู้ที่ กค. กู้ ตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2541 (FIDF1) และพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. 2545 (FIDF3) เป็นจํานวน 304,389.68 ล้านบาท แต่ยังมียอดคงค้างต้นเงินกู้ FIDF1 และ FIDF3 อีกจํานวนทั้งสิ้น 819,616.21 ล้านบาท ทั้งนี้ ในส่วนของเงินนําส่งจากสถาบันการเงินให้กับ ธปท. นั้น ธปท. ได้นําเงินดังกล่าวไปชําระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าบริหารจัดการเกี่ยวกับ FIDF1 และ FIDF3 เป็นจํานวนทั้งสิ้น 366,867.67 ล้านบาท 3. การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงินและประเมินระยะเวลาในการชําระคืนเงินกู้ FIDF1 และ FIDF3 ตามความเห็นของ ธปท. ดังนี้ เรื่อง ความเห็น ของ ธปท. 1. อัตราเรียกเก็บเงินนําส่ง เห็นควรให้คงอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงิน ที่ร้อยละ 0.46 ต่อปี สําหรับปี 2562 – 2563 เนื่องจากภาระหนี้ FIDF1 และ FIDF3 ยังคงเป็นภาระต่อระบบเศรษฐกิจการเงินในระดับสูง และเงินนําส่งจากสถาบันการเงินยังเป็นแหล่งเงินสําคัญในการลดต้นเงินและชําระดอกเบี้ย หากปรับลดอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งจะส่งผลกระทบต่อการลดภาระหนี้ ซึ่งปัจจุบันฐานเงินฝากสําหรับคํานวณเงินนําส่งยังมีความเสี่ยงที่จะขยายตัวไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่กําหนดไว้ 2. ระยะเวลาการชําระหนี้ FIDF1 และ FIDF3 คาดว่าจะใช้ระยะเวลาการชําระหนี้ FIDF1 และ FIDF3 เสร็จสิ้นภายในปี 2574 โดยมีสมมติฐานและศักยภาพในการชําระเงินจากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้ (1) เงินนําส่งจากสถาบันการเงิน (แหล่งหลักในการชําระหนี้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ย) โดยมีสมมติฐานอัตราการขยายตัวของฐานการคํานวณเงินนําส่งจากสถาบันการเงินอยู่ที่อัตราเฉลี่ยร้อยละ 4 ต่อปี (ปี 2562 – 2574) (2) ประมาณการชําระหนี้จากแหล่งอื่น ๆ ได้แก่ เงินกําไรสุทธิของ ธปท. (ไม่มีเงินนําส่ง เนื่องจากมีผลขาดทุนสะสมจํานวนสูง) เงินจากบัญชีผลประโยชน์ประจําปี (ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดการเงิน ซึ่งมีความผันผวนสูง และเงินหรือทรัพย์สินของกองทุนฯ [ปีงบประมาณ 2563 กองทุนฯ จะนําส่งจํานวน 6,700 ล้านบาท ปีต่อ ๆ ไป คาดว่าจะนําส่งประมาณ 5,000 ล้านบาท ภายใต้ สมมติฐานที่กองทุนฯ ยังคงถือหุ้นธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน)] (3) ประมาณการดอกเบี้ยจ่ายปีงบประมาณ 2563 – 2574 ประมาณ ปีละ 30,000 ล้านบาท (ทยอยลดลงตามการชําระคืนต้นเงินกู้) 4. ความเห็นของ กค. ไม่ขัดข้องกับผลการพิจารณาของ ธปท. ที่เห็นควรให้คงอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงินให้กับ ธปท. ไว้ที่ร้อยละ 0.46 ต่อปี เนื่องจากยังคงมีความเหมาะสมภายใต้สมมติฐานอัตราการขยายตัวของฐานเงินฝากที่อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและการเงินทั้งในประเทศและตลาดการเงินโลก และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 (เรื่อง การดําเนินการตามพระราชกําหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555) ดังนั้น กค. จึงเห็นควรนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบการคงอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงินให้กับ ธปท. ไวที่ร้อยละ 0.46 ต่อปี 18. เรื่อง รายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิในกระบวนการยุติธรรมกรณีกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ทหารซ้อมทรมานบุคคลผู้ต้องสงสัยในระหว่างถูกควบคุมตัว) คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิในกระบวนการยุติธรรมกรณีกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ทหารซ้อมทรมานบุคคลผู้ต้องสงสัยในระหว่างถูกควบคุมตัว) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติรับทราบต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง ยธ. รายงานว่า ยธ. โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้จัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือแนวทางการดําเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2562 พร้อมทั้งได้ประมวลแนวทางในการดําเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. กรณีกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ทหารซ้อมทรมานบุคคลผู้ต้องสงสัยในระหว่างควบคุมตัวเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี สรุปได้ดังนี้ ข้อเสนอแนะ กสม. สรุปผลการพิจารณา 1. ครม. ควรสร้างกลไกภายในประเทศเพื่อประกันสิทธิของบุคคลตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรีให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นโดย ครม. ควรเร่งรัดการจัดทําร่างกฎหมายเพื่ออนุวัติการตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี เสนอต่อรัฐสภาพิจารณา 1. ยธ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ยกร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... และสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบรับหลักการของร่างพระราชบัญญัติฯ เรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้หมดวาระลง จึงทําให้ไม่สามารถพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ได้ ส่งผลให้ร่างพระราชบัญญัติฯ เป็นร่างกฎหมายที่ค้างการพิจารณาอยู่ในชั้นรัฐสภา ต่อมาเมื่อมีการแต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ยธ. ได้ยืนยันร่างพระราชบัญญัติฯ แก่ ครม. แล้ว และ ครม. ได้เสนอไปยังประธานรัฐสภาด้วยแล้ว 2. ให้ ยธ. เร่งกําหนดมาตรการป้องกันการถูกกระทําทรมาน 2. ยธ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทําทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญตามคําสั่ง นร ที่ 131/60 ลว. 23 พ.ค. 60 และคําสั่ง นร ที่ 198/60 ลว. 18 ส.ค. 60 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานกรรมการ และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการฯ เพื่อทําหน้าที่กําหนดมาตรการป้องกัน การรับเรื่องราวร้องทุกข์ การติดตามตรวจสอบกรณีต่าง ๆ และการเยียวยาผู้เสียหาย จากการถูกกระทําทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญและได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 4 คณะ ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีการกระทําทรมานแล้วเสร็จ จํานวน 53 ราย ไม่ปรากฏว่ามีการกระทําทรมานตามที่กล่าวอ้าง สําหรับกรณีการติดตามตรวจสอบตามบัญชีรายชื่อบุคคลหายสาบสูญของคณะทํางานสหประชาชาติว่าด้วยการสาบสูญโดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจ จํานวน 86 รายนั้น คณะกรรมการฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและรวบรวมข้อมูล พร้อมทั้งได้ส่งข้อมูลไปยังคณะทํางานสหประชาชาติฯ แล้วจํานวน 11 ราย ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีการถูกบังคับให้หายสาบสูญ สําหรับอีก 75 ราย อยู่ระหว่างเร่งรัดรวบรวมข้อมูลและจัดทําคําแปลเพื่อส่งไปยังคณะทํางานฯ ต่อไป เมื่อรัฐบาลได้หมดวาระลงและพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีส่งผลให้คําสั่ง นร ที่ 131/60 และคําสั่ง นร ที่ 198/60 สิ้นสภาพ ดังนั้น เพื่อให้การดําเนินการของคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทําทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ยธ. จะได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อโปรดพิจารณาลงนามในคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฯ ในโอกาสต่อไป 19. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคําสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน [กรณีกรมวิชาการเกษตรดําเนินการต่ออายุใบสําคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายพาราควอต (paraquat) ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่อาจจะประกาศห้ามใช้] คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนรวมตลอดทั้งการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคําสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน [กรณีกรมวิชาการเกษตรดําเนินการต่ออายุใบสําคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย พาราควอต (paraquat) ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่อาจจะประกาศห้ามใช้] ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง 1. สธ. รายงานว่า ได้จัดประชุมหารือร่วมกับ กษ. อก. สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2562 สรุปผลการพิจารณาได้ว่า ตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 กําหนดให้ สธ. เฝ้าระวังโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม เมื่อพิจารณาผลจากการใช้วัตถุอันตรายพาราควอต (paraquat) ไกลโฟเสต (Glyphosate) และคลอร์ไพรีฟอส (Chlorpyriphos) จากข้อมูลพิษวิทยาจากต่างประเทศ รวมถึงข้อมูลจากกองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค พบว่า ทําให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพเกษตรกร โดยผลจากการตรวจระดับเอนไซม์อะซีติลโคลีนเอสเตอเรสในเลือดของเกษตรกรกลุ่มตัวอย่าง ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 – 2562 พบว่า ในแต่ละปีเกษตรกรประมาณร้อยละ 30 ของผู้ได้รับการตรวจมีระดับเอนไซม์ที่แสดงให้เห็นว่ามีการสัมผัสสารเคมีกําจัดศัตรูพืชสูงกว่าคนทั่วไป และอยู่ในระดับเสี่ยงต่อสุขภาพ นอกจากนั้นสัดส่วนของเกษตรกรที่มีความเสี่ยงจะเจ็บป่วยจากสารเคมีกําจัดศัตรูพืชยังมีแนวโน้มสูงขึ้นและสถานการณ์เจ็บป่วยจากพิษสารกําจัดศัตรูพืชที่รายงานสถานการณ์โรคของ สธ. จากหน่วยบริการทั่วประเทศ ในช่วงปี พ.ศ. 2558 – 2562 พบว่า มีอุบัติการณ์ระหว่าง 8.9 – 17.12 รายต่อแสนประชากร หรือ ประชาชนประมาณ 10,000 รายต่อปี ซึ่งเมื่อทําการวิเคราะห์ประวัติการเจ็บป่วยโดยละเอียดพบว่า ในช่วงเดือนกันยายนของทุกปีมักจะเจ็บป่วยจากการฉีดพ่นพาราควอต (paraquat) จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า มีการเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญในช่วงเวลาที่มีการฉีดพ่นยาฆ่าหญ้าในไร่อ้อยหรือในนาข้าวเป็นจํานวนมากแสดงให้เห็นว่าการใช้ยาฆ่าหญ้าทางการเกษตรมีผลต่อการเจ็บป่วยของประชาชนทั้งในส่วนของเกษตรกรผู้ใช้ ผู้สัมผัสและผู้บริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อนวัตถุอันตรายดังกล่าว รวมทั้งข้อมูลงานวิจัยของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบสารพาราควอตในขี้เทาทารกแรกเกิด ซึ่งจะมีผลต่อการถูกทําลายของต่อมไร้ท่อในลูกอัณฑะทําให้มีอสุจิลดลง และต่อมไทรอยด์ทําให้มีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ําที่ทําให้เกิดปัญญาอ่อน ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการและภาวะการเจริญเติบโตของเด็กในอนาคต 2. สธ. เห็นว่า การใช้วัตถุอันตรายทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต (paraquat) ไกลโฟเสต (Glyphosate) และคลอร์ไพรีฟอส (Chlorpyriphos) เป็นการก่อให้เกิดโรคจากสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 จึงมีความจําเป็นที่จะต้องป้องกัน และควบคุมโรคจากสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชนที่ได้รับหรืออาจได้รับมลพิษ จึงเห็นควรยุติการใช้สารเคมีทางการเกษตรทั้ง 3 ชนิด ทันที 20. เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2562 และแนวโน้มปี 2562 – 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2562 และแนวโน้ม ปี 2562 – 2563 ตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2562 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สามของปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 2.4 ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YOY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2562 ขยายตัวจากไตรมาสที่สองของปี 2562 ร้อยละ 0.1 (%QoQ_SA) รวม 9 เดือนแรกของปี 2562 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.5 ด้านการใช้จ่าย มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวในเกณฑ์ดีของการบริโภคภาคเอกชน และการเร่งตัวขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายของรัฐบาล ในขณะที่ปริมาณการส่งออกสินค้าลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวในเกณฑ์ดีร้อยละ 4.2 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 4.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับต่ํารวมทั้งการปรับตัวดีขึ้นของราคาสินค้าเกษตร และการดําเนินมาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในไตรมาสนี้ สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของเครื่องชี้ด้านการใช้จ่ายสําคัญ ๆ โดยเฉพาะดัชนีปริมาณการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือน ดัชนีปริมาณการจําหน่ายน้ํามันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และน้ํามันดีเซล และดัชนีปริมาณการนําเข้าสินค้าหมวดสิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งขยายตัวร้อยละ 8.3 ร้อยละ 4.7 และร้อยละ 5.0 ตามลําดับ ในขณะที่ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลปรับตัวลดลงร้อยละ 6.5 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 60.8 เทียบกับระดับ 64.8 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 1.8 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.1 ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 21.0 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 20.5 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) การลงทุนรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 2.4 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.1 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรที่ขยายตัวร้อยละ 3.1 ในขณะที่การลงทุนในสิ่งก่อสร้างทรงตัว ส่วนการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 เร่งขึ้นจากการเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 5.6 และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 สําหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 21.6 เทียบกับอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 16.8 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 19.9 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน .2 ด้านภาคต่างประเทศ 1.2.1 การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 63,295 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทรงตัว เทียบกับการลดลงร้อยละ 4.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 0.4 และราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าขยายตัว เช่น น้ําตาล (ร้อยละ 5.1) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ร้อยละ 0.3) รถกระบะและรถบรรทุก (ร้อยละ 0.5) รถจักรยานยนต์ (ร้อยละ 19.5) เครื่องปรับอากาศ (ร้อยละ 4.0) และผลไม้ (ร้อยละ 41.4) เป็นต้น กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าลดลง เช่น ข้าว (ลดลงร้อยละ 35.1) มันสําปะหลัง (ลดลงร้อยละ 27.3) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 3.9) แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน (ลดลงร้อยละ 8.4) เครื่องจักรและอุปกรณ์ (ลดลงร้อยละ 7.2) ผลิตภัณฑ์ยาง (ลดลงร้อยละ 14.2) รถยนต์นั่ง (ลดลงร้อยละ 4.4) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ลดลงร้อยละ 10.6) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 29.3) และเคมีภัณฑ์ (ลดลงร้อยละ 18.8) เป็นต้น การนําเข้าสินค้า มีมูลค่า 55,333 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลง ร้อยละ 6.8 (ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สาม) เทียบกับการลดลงร้อยละ 3.4 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการนําเข้าลดลงร้อยละ 6.6 เทียบกับการลดลงร้อยละ 3.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงของปริมาณการนําเข้าในหมวดวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางร้อยละ 3.8 สอดคล้องกับการลดลงของการส่งออก ขณะที่ราคานําเข้าปรับตัวลดลง ร้อยละ 0.2 เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.1 ในไตรมาสก่อนหน้า 1.3 ด้านการผลิต การผลิตสาขาเกษตรกรรมกลับมาขยายตัว การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวเร่งขึ้น การผลิตสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะที่การผลิตสาขาการขายส่ง การขายปลีก และการซ่อมฯ สาขาก่อสร้าง และสาขาไฟฟ้า ก๊าซฯ ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนสาขาอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ขยายตัวร้อยละ 1.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.3 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรร้อยละ 1.1 โดยผลผลิตสินค้าเกษตรสําคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา (ร้อยละ 5.9) มันสําปะหลัง (ร้อยละ 6.9) และปาล์มน้ํามัน (ร้อยละ 10.8) เป็นต้น ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสําคัญที่ลดลง เช่น ข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 6.3) และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ลดลงร้อยละ 5.2) เป็นต้น ด้านหมวดประมงขยายตัวร้อยละ 5.1 ในขณะที่หมวดปศุสัตว์ลดลงร้อยละ 1.0 ดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.1 ในไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือก (ร้อยละ 9.9) ราคาสุกร (ร้อยละ 15.9) และราคากลุ่มไม้ผล (ร้อยละ 5.7) เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของทั้งดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 สาขาการผลิตอุตสาหกรรม ปรับตัวลดลงร้อยละ 1.5 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 0.2 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและมาตรการกีดกันทางการค้า โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 – 60 และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ลดลงร้อยละ 5.9 และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ลดลงร้อยละ 2.3 อัตราการใช้กําลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 65.0 ลดลงจากร้อยละ 65.6 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 68.7 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสําคัญ ๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 6.3) การผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 7.4) และการผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ (ลดลงร้อยละ 18.2) เป็นต้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสําคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การต้ม การกลั่น และการผสมสุรา (ร้อยละ 36.1) การผลิตพลาสติกและยาง (ร้อยละ 3.8) และการผลิตสัตว์น้ําและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ําสด แช่เย็นหรือแช่แข็ง (ร้อยละ 10.3) เป็นต้น สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 6.6 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวในเกณฑ์สูงของจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยในไตรมาสนี้มีจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 9.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว 738.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ประกอบด้วย (1) รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 476.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 โดยรายรับจากนักท่องเที่ยวจากประเทศสําคัญที่ยังขยายตัวสูงประกอบด้วย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน เป็นต้น และ (2) รายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย 261.8 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.0 อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 64.08 ลดลงจากร้อยละ 69.83 ในไตรมาสก่อนหน้า และลดลงจากร้อยละ 65.38 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ขยายตัวร้อยละ 2.5 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวเร่งขึ้นของบริการขนส่งผู้โดยสาร เป็นสําคัญ โดยบริการขนส่งทางบกและท่อลําเลียงขยายตัวร้อยละ 4.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.8 ในไตรมาสก่อนหน้า และบริการขนส่งทางอากาศขยายตัวร้อยละ 2.5 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่บริการขนส่งทางน้ําลดลงร้อยละ 3.0 ส่วนบริการสนับสนุนการขนส่งและบริการไปรษณีย์ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 3.9 และร้อยละ 1.6 ตามลําดับ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 1.1 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.6 บัญชีเดินสะพัดเกินดุล 9.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (2.8 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 6.8 ของ GDP เงินทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ 220.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 มีมูลค่าทั้งสิ้น 6,902 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40.9 ของ GDP แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2562 เศรษฐกิจไทยปี 2562 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.6 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้า จะลดลงร้อยละ 2.0 การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 4.3 และร้อยละ 2.7 ตามลําดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.8 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 6.2 ของ GDP แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2563 เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.7 – 3.7 โดยมีแรงสนับสนุนสําคัญประกอบด้วย (1) แนวโน้มการขยายตัวในเกณฑ์ที่น่าพอใจของอุปสงค์ภายในประเทศทั้งในด้านการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และการลงทุนภาครัฐและเอกชน (2) การปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ของการส่งออกภายใต้แนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจโลก และการปรับตัวของภาคการส่งออกต่อมาตรการกีดกันทางการค้าที่จะมีความชัดเจนมากขึ้น (3) การดําเนินมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ และ (4) การปรับตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ 2.3 การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 3.7 และร้อยละ 4.8 ตามลําดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5 – 1.5 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 5.6 ของ GDP โดยรายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2563 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้ 3.1 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคและบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.7 ชะลอลงจากร้อยละ 4.3 ในปี 2562 โดยเป็นการชะลอตัวจากฐานการขยายตัวสูงโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนประเภทรถยนต์ที่มีการขยายตัวสูง อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ํา และการดําเนินนโยบายของภาครัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.6 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.2 ในปี 2562 สอดคล้องกับกรอบวงเงินงบรายจ่ายประจําภายใต้งบประมาณประจําปีงบประมาณ 2563 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากปีงบประมาณ 2562 EEC) รวมทั้งการลงทุนภายใต้โครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) และแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการ กีดกันทางการค้าที่มีความรุนแรงมากขึ้นตลอดช่วงปี 2562 ภายใต้การดําเนินมาตรการสนับสนุนการลงทุน ของภาครัฐเพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนที่มีความชัดเจนมากขึ้น 3.3 มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.3 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 2.0 ในปี 2562 โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.4 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 2.3 ในปี 2562 ตามแนวโน้มการขยายตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกและการปรับตัวของการส่งออกต่อมาตรการกีดกันทางการค้า ที่มีแนวโน้มชัดเจนมากขึ้น เมื่อรวมกับการส่งออกบริการที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง จากครึ่งหลังของปี 2562 ตามแนวโน้มการขยายตัวเร่งขึ้นของรายรับและจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ คาดว่าจะส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.4 ในปี 2562 ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2562 และปี 2563 การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2562 และปี 2563 ควรให้ความสําคัญกับ 4.1 การขับเคลื่อนการส่งออกให้สามารถขยายตัวได้ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 3.0 โดยให้ความสําคัญกับ (1) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากมาตรการกีดกันทางการค้า (2) การให้ความช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบผ่านความเชื่อมโยงของห่วงโซ่การผลิต (3) การปฏิบัติตามกรอบกติกาการค้าโลก ข้อกําหนด และแนวทางปฏิบัติในประเทศคู่ค้า และ (4) การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า โดยเฉพาะกับประเทศที่มีโอกาสใช้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทิศทางทางการค้า 4.2 การขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้สามารถขยายตัวและสนับสนุนเศรษฐกิจในภาพรวมได้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสําคัญกับการเจาะตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้สูง การกระจายตลาดนักท่องเที่ยวให้มีความสมดุลมากขึ้น การรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว การป้องกันและแก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศ (PM 2.5) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว การอํานวยความสะดวกและลดปัญหาความแออัดของนักท่องเที่ยว และการรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวชาวไทยท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น 4.3 การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐ โดยให้ความสําคัญกับ (1) การเตรียมโครงการให้มีความพร้อมต่อการเบิกจ่ายเมื่องบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 มีผลบังคับใช้ (2) การเร่งรัดอัตราเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปีในปีงบประมาณ 2563 ให้ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 92.3 โดยงบประจํา และงบลงทุน ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 98.0 และร้อยละ 70.0 ตามลําดับ งบเหลื่อมปีไม่ต่ํากว่าร้อยละ 73.0 และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 80.0 (3) การเร่งรัดดําเนินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการเบิกจ่ายจากโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และ (4) การขับเคลื่อนโครงการลงทุนที่มีความสําคัญและจําเป็นต่อการยกระดับศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 4.4 การสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน โดย (1) การขับเคลื่อนการส่งออกเพื่อเพิ่มระดับการใช้กําลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม (2) การผลักดันโครงการลงทุนที่ขอรับและได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนให้มีการลงทุนจริงโดยเร็ว (3) การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มการใช้กําลังการผลิตและย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย โดยเฉพาะการดําเนินการตามนโยบายการส่งเสริมการลงทุนและมาตรการรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ (Thailand Plus Package) ของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (4) การขับเคลื่อนโครงการลงทุนของภาครัฐ และ (5) การเตรียมความพร้อมด้านกําลังแรงงานและคุณภาพแรงงาน 4.5 การดูแลเกษตรกร กําลังแรงงาน ผู้มีรายได้น้อย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และเศรษฐกิจฐานราก ต่างประเทศ 21. เรื่อง การเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เสนออุทยานธรณีโคราชสมัครเข้ารับการรับรองเป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) โดยส่งใบสมัครในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-30 พฤศจิกายน 2562 และมอบหมายให้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ดําเนินการเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกต่อสํานักเลขาธิการยูเนสโก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ [ขั้นตอนการสมัครเป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกกําหนดให้ผู้สมัครเสนอเอกสารประกอบการสมัครผ่านคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-30 พฤศจิกายน 2562] รายละเอียดของอุทยานธรณีโคราช สรุปดังนี้ ข้อมูลทั่วไป : อุทยานธรณีโคราชครอบคลุมพื้นที่ 5 อําเภอ ได้แก่ อําเภอเมืองนครราชสีมา เฉลิมพระเกียรติ ขามทะเลสอ สูงเนิน และสีคิ้ว รวมเนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ 3,167 ตารางกิโลเมตร ความเหมาะสมในการเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก : มีแหล่งธรณีวิทยาแหล่งธรรมชาติ และแหล่งวัฒนธรรมในพื้นที่อุทยานธรณีโคราชจํานวน 35 แหล่ง ในจํานวนนี้เป็นแหล่งธรณีวิทยาที่มีคุณค่าระดับนานาชาติจํานวน 4 แหล่ง คือ 1) แหล่งอนุรักษ์ไม้กลายเป็นหินสมัยไพลสโตซีนตอนต้นแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความหลากหลายของชนิดและสีสัน 2) แหล่งไดโนเสาร์อิกัวโนดอนต์พันธุ์ใหม่ของโลก 3 สกุล และ 3 ชนิด รวมทั้งเต่าทะเลและจระเข้พันธุ์ใหม่ 1 สกุล 2 ชนิด 3) แหล่งฟอสซิลช้างดึกดําบรรพ์มากที่สุดในโลกที่พบถึง 10 สกุล จาก 55 สกุลที่พบทั่วโลก 4) แหล่งฟอสซิลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอายุ 200,000 ปีที่มีความหลากหลายชนิดที่สุด (15 ชนิด) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้อุทยานธรณีโคราชยังมีลักษณะภูมิประเทศเควสตา (Cuesta) หรือรูปอีโต้ที่มีการยกตัวของที่ราบสูงโคราช โดยเส้นทางเขาเควสตามีระยะทาง 60 กิโลเมตร (ตั้งแต่จุดชมวิวเขายายเที่ยง-ปราสาทหินพนมวัน) โดยมีโบราณสถาน วัฒนธรรม วิถีชุมชน และความหลากหลายทางชีวภาพจํานวนมาก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการเป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก ความพร้อมของพื้นที่ : อุทยานธรณีโคราชมีสถานะเป็นอุทยานธรณีประเทศไทย และคณะกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาและจัดตั้งอุทยานธรณีพิจารณาแล้วเห็นชอบให้ยื่นความจํานงและใบสมัคร เนื่องจากมีความพร้อมในการเสนอเพื่อรับรองให้เป็นอุทยานธรณีโลกจากยูเนสโกทั้งในด้านวิชาการธรณีวิทยา ด้านศักยภาพ และองค์ประกอบตามที่ยูเนสโกกําหนด ประกอบกับการประเมินตนเองตามแนวทางของยูเนสโกของอุทยานธรณีโคราชได้ผ่านเกณฑ์กําหนดแล้ว โดยมีผลการประเมิน ร้อยละ 84 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอให้อุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก(UNESCO Global Geoparks) ตามความต้องการของจังหวัดนครราชสีมา และให้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ดําเนินการเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกต่อสํานักเลขาธิการยูเนสโก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยส่งใบสมัครในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-30 พฤศจิกายน 2562 ทั้งนี้ ประเทศที่เป็นสมาชิกของอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกจะต้องชําระค่าสมาชิกปีละ 1,500 ยูโร หรือประมาณ 56,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการประเมินอุทยานธรณีโคราชในภาคสนามและค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมการประชุมเครือข่ายอุทยานธรณีโลกและเครือข่ายอุทยานธรณีในระดับภูมิภาคเชียแปซิฟิกด้วย ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2562 ให้ ทส. รับเรื่องนี้ไปพิจารณาว่า การเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) จะมีผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคตหรือไม่ ทั้งนี้ ทส. ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น จังหวัดนครราชสีมาและคณะกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาและจัดตั้งอุทยานธรณีพิจารณาทบทวนการเสนอให้อุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก สรุปได้ว่า การเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก ไม่มีผลกระทบหรือก่อให้เกิดข้อจํากัดในการเข้าใช้ประโยชน์ บริหารจัดการหรือดําเนินการใดๆ ในพื้นที่ดังกล่าวในอนาคตต่อหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาชนเจ้าของพื้นที่ 22. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (MOU between The Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation of the Kingdom of Thailand and The Ministry of Science and ICT of the Republic of Korea on Cooperation in Science, Technology and Innovation) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่าง อว. แห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําของร่างบันทึกความเข้าใจ ฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสําคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้ อว. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อพิจารณาดําเนินการในเรื่องนั้นๆ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และมอบหมายให้ กต. จัดทําหนังสือมอบอํานาจเต็มให้แก่ผู้ลงนาม ตามที่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอ (บันทึกความเข้าใจ ฯ จะมีการลงนามในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีสมัยพิเศษ ระหว่างวันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2562 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี) เดิมประเทศไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี ได้มีการทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการวางแผนอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลี โดยได้มีการลงนามเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2559 ต่อมาทั้งสองฝ่ายได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อหน่วยงานและขอบเขตความรับผิดชอบ จึงเห็นพ้องกันให้มีการปรับและทบทวนเอกสารบันทึกความเข้าใจดังกล่าว โดยสาระสําคัญส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ มีการปรับในส่วนของหน่วยงานที่รับผิดชอบและปรับเพิ่มสาขาความร่วมมือให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เช่น สาขาชีววิทยาศาสตร์ สารสนเทศทางปัญญา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านอาหาร การบินและอวกาศ โดยจะมีการร่วมวิจัยและพัฒนา แลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัย ร่วมจัดประชุม ฝึกอบรม สัมมนา การจัดพิมพ์และแสดงนิทรรศการของโครงการร่วม 23. เรื่อง ร่างอนุสัญญาโลกว่าด้วยการรับรองคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา (Global Convention on the Recognition of Qualifications concerning Higher Education) คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบต่อร่างอนุสัญญาโลกว่าด้วยการรับรองคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา (Global Convention on the Recognition of Qualifications concerning Higher Education) (ร่างอนุสัญญาฯ) และอนุมัติให้คณะผู้แทนไทยที่จะเข้าร่วมการประชุมเต็มคณะของการประชุมสมัยสามัญขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ครั้งที่ 40 [40th Session of The United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization’s (UNESCO) General Conference] ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-27 พฤศจิกายน 2562 ณ สํานักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ให้ความเห็นชอบต่อร่างอนุสัญญาโลก ฯ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอ (คาดว่าจะมีการให้ความเห็นชอบต่อร่างอนุสัญญาฯ ในการประชุมสมัยสามัญ ฯ ครั้งที่ 40 ระหว่างวันที่ 12-27 พฤศจิกายน 2562 ณ สํานักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส) สาระสําคัญร่างอนุสัญญาฯ แบ่งออกเป็น 6 หมวด (25มาตรา) ประกอบด้วย หมวดที่ 1 นิยามศัพท์ หมวดที่ 2 วัตถุประสงค์ หมวดที่ 3 หลักการพื้นฐานในการรับรองคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา หมวดที่ 4 ข้อผูกพันที่รัฐภาคีมีต่ออนุสัญญาฯ หมวดที่ 5 กรอบการนําอนุสัญญา ฯ ไปปฏิบัติและความร่วมมือ และหมวดที่ 6 บทส่งท้าย ทั้งนี้ ร่างอนุสัญญาฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาคด้วยการเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนและเคลื่อนย้ายนักศึกษาและบุคลากรทั่วโลกในการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมในการรับรองคุณวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษาเพื่อนําไปใช้ในการศึกษาต่อหรือเพื่อการมีงานทํา รวมทั้งสนับสนุนโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้แก่ทุกคนซึ่งรวมถึงผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นด้วย 24. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ค.ศ. 1989 คณะรัฐมนตรีอนุมัติการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ค.ศ. 1989 โดยขอตั้งข้อสงวนตามข้อ 30 (เอ) ในเรื่องขอบเขตการใช้บังคับให้อนุสัญญา ฯ ไม่ใช้บังคับบริเวณน่านน้ําภายในของประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 5 (1) ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล พ.ศ. 2550 และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดําเนินการยื่นตราสาร การภาคยานุวัติ (Instrument of Accession) อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ค.ศ. 1989 ต่อเลขาธิการองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ ตามข้อ 28 ของอนุสัญญาฯ ต่อไป หลังจากที่รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ [คาดว่าจะมีการยื่นตราสารภาคยานุวัติเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ ในช่วงการประชุมสมัชชาสมัยสามัญ ครั้งที่ 31 ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2562 ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ) จะทําหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว] อนุสัญญา ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการช่วยเหลือกู้ภัยโดยกําหนดหน้าที่ให้แก่ผู้ช่วยเหลือกู้ภัย เจ้าของเรือ และนายเรือ และกําหนดมาตรการจูงใจเป็นเงินตอบแทนให้แก่ผู้ช่วยเหลือกู้ภัย เพื่อมุ่งหวังให้การปฏิบัติการช่วยเหลือกู้ภัยเกิดประสิทธิภาพสูงสุด อันจะนําไปสู่ความสามารถในการลดความสูญเสียที่จะเกิดแก่ชีวิต ตลอดจนบรรเทาความเสียหายที่จะเกิดแก่สิ่งแวดล้อมได้ ในส่วนของการดําเนินการเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ ประเทศไทยได้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล พ.ศ. 2550 เพื่อวางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล การปฏิบัติหน้าที่ในการช่วยเหลือกู้ภัยและสิทธิในการได้รับเงินตอบแทนของ ผู้ช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล เพื่อให้สอดคล้องตามหลักการของอนุสัญญาฯ โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2550 แล้ว ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ คือ การก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้ช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเลและจูงใจให้เกิดการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ลดความเสียหายที่จะเกิดแก่เรือ ทรัพย์สิน บุคคลบนเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม อันจะเป็นการช่วยลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ระบบเศรษฐกิจ และยกระดับความน่าเชื่อถือต่อกฎหมายพาณิชนาวีของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ จะเป็นการเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนในการหาเสียงเลือกตั้งคณะมนตรีขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) อีกสมัยหนึ่งในช่วงการประชุมสมัชชาของ IMO เดือนพฤศจิกายน 2562 และจากการที่ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล พ.ศ. 2550 ใช้บังคับอยู่และสอดคล้องกับข้อผูกพันตามอนุสัญญาฯ แล้ว จึงสามารถดําเนินการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ โดยไม่ต้องออกกฎหมายเพื่อรองรับการเป็นภาคีของอนุสัญญาดังกล่าว อย่างไรก็ดี ประเทศไทยจะขอตั้งข้อสงวนตามข้อ 30 (เอ) ในเรื่องขอบเขตการใช้บังคับให้อนุสัญญา ฯ ไม่ใช้บังคับบริเวณน่านน้ําภายในของประเทศไทย (จะใช้บังคับตั้งแต่ทะเลอาณาเขตในระยะ 12 ไมล์ทะเลออกไปจากเส้นฐานเท่านั้น) เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 5 (1) ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล พ.ศ. 2550 ซึ่งสามารถกระทําได้ในขณะที่ยื่นภาคยานุวัติสาร 25. เรื่อง การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 3 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสําหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 3 และเห็นชอบต่อท่าทีของไทยสําหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 3 หากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขท่าทีของไทยฯ ที่มิใช่สาระสําคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณา โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 3 มีกําหนดพิจารณาวาระแรกเพื่อรับรองรายงานและข้อตัดสินใจต่าง ๆ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 สาระสําคัญ 1. องค์ประกอบคณะผู้แทนไทยที่จะเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 3 รวมทั้งสิ้น 25 คน ประกอบด้วย (1) อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยฯ (2) ผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะฯ (3) ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (4) ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม (5) ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข (6) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (7) ผู้แทนกระทรวงพลังงาน (8) ผู้แทนกระทรวงการคลัง และ (9) ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้อนุมัติองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยด้วยแล้ว 2. ท่าทีของไทยสําหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 3 จะสนับสนุนการดําเนินงานให้เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมายของอนุสัญญามินามาตะฯ ในการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศและการปล่อยสู่ดินหรือน้ําของปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 3 จะพิจารณา 6 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1) ประเด็นด้านเทคนิควิชาการ 2)ประเด็นผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 3) ประเด็นกลไกสนับสนุนทางการเงิน 4) ประเด็นการเสริมสร้างขีดความสามารถ ความช่วยเหลือทางเทคนิค และการถ่ายทอดเทคโนโลยี 5) ประเด็นสนับสนุนการดําเนินงานของอนุสัญญามินามาตะฯ และ 6) ประเด็นอื่น ๆ 26. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสํานักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสํานักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําของร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่มิใช่สาระสําคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ สกพอ. สามารถพิจารณาดําเนินการภายใต้หลักการดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวของฝ่ายไทย ตามที่ สกพอ. เสนอ สาระสําคัญ ข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่าง KOTRA และ สกพอ. มีสาระสําคัญ ดังนี้ 1. การสร้างความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการพัฒนาภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมระหว่าง สกพอ. กับ KOTRA เพื่อส่งเสริมการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ระหว่างกัน พร้อมทั้งแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์และทันสมัย ตลอดจนให้การสนับสนุนกันอย่างใกล้ชิด 2. การส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เกษตรกรรมขั้นสูง อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ โลจิสติกส์ อุตสาหกรรมการแพทย์ รวมถึงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ตลอดจนการวิจัยและพัฒนา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีกําหนดเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลีในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 25 – 26 พฤศจิกายน 2562 และทั้งสองฝ่ายมีกําหนดลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่าง สกพอ. กับ KOTRA ในโอกาสการพบหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี 27. เรื่อง ขออนุมัติกรอบการหารือสําหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ครั้งที่ 26 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบการหารือสําหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ครั้งที่ 26 และเห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ตามประเด็นในกรอบการหารือสําหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ครั้งที่ 26 เพื่อสนับสนุนให้การดําเนินงานและความร่วมมือเป็นไปตามพันธกรณีของความตกลงฯ ตามที่ สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เสนอ สาระสําคัญ กรอบการหารือดังกล่าว มีสาระสําคัญเกี่ยวกับการดําเนินงานและความร่วมมือของคณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ภายใต้พันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ําโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2538 ในประเด็นสําคัญได้แก่ 1) แผนปฏิบัติการประจําปี พ.ศ. 2563 – 2564 2) ยุทธศาสตร์การจัดการภัยแล้ง พ.ศ. 2563 – 2568 3) การดําเนินการตามระเบียบปฏิบัติ เรื่อง การแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลง โครงการไฟฟ้าพลังน้ําเขื่อนหลวงพระบาง และ4) ประเด็นอื่นๆ ตามที่ประเทศสมาชิกเห็นชอบให้มีการหารือร่วมกันการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ครั้งที่ 26 จะจัดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 25 – 27 พฤศจิกายน 2562 28. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และ ร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 6 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 6 โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดผลประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดําเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก และหลังจากนั้นให้รายงานผลเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 6 ตามที่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ สาระสําคัญและข้อเท็จจริง 1. ร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 มีสาระสําคัญ ดังนี้ 1.1 การพัฒนาสวัสดิการสังคมเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2568 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (เอสดีจี) ยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2568 และความเชื่อมโยงของวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2568 กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. 2573 และยอมรับถึงความสําคัญของการดําเนินงานแบบพหุภาคีและพหุมิติในการขับเคลื่อนวาระด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาทั้งในระดับภูมิภาค ประเทศ และชุมชน 1.2 การส่งเสริมสวัสดิการสังคมและการพัฒนาที่มีพลวัต ยืนยันถึงบทบาทของสวัสดิการสังคมและการพัฒนาในการขจัดความยากจน เสริมพลังประชาชนและในการลดผลกระทบของการชะลอตัวด้านเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม 1.3 การบูรณาการสิทธิคนพิการ รับทราบรายงานความก้าวหน้าในการดําเนินการตามแผนแม่บทอาเซียน พ.ศ. 2568 เพื่อบูรณาการสิทธิคนพิการ และยอมรับถึงความจําเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนการดําเนินงานจากฐานการสงเคราะห์ไปสู่การดําเนินการเสริมพลังฐานสิทธิในนโยบายและแผนงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ 1.4 การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและเด็ก รับทราบเกี่ยวกับความสําเร็จในการดําเนินการตามแผนงานของคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก พ.ศ. 2559 – 2563 และการรับรองเอกสารผลลัพธ์สําคัญโดยผู้นําอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ซึ่งประกอบด้วย ปฏิญญาว่าด้วยการคุ้มครองเด็กจากการแสวงหาผลประโยชน์ในสื่อออนไลน์ในอาเซียน ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิของเด็กในบริบทของการโยกย้ายถิ่นฐาน แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการยืนยันคํามั่นในความก้าวหน้าการดําเนินงานสิทธิเด็กในอาเซียน 2. ร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและ การพัฒนา ครั้งที่ 6 มีสาระสําคัญ ดังนี้ 2.1 การเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2568 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (เอสดีจี) โดยพิจารณาถึงความคืบหน้าของการเป็นหุ้นส่วนระหว่างอาเซียนและประเทศอาเซียนบวกสามในการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ เด็ก คนพิการ และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสอื่น ๆ ในภูมิภาค 2.2 ความร่วมมือในประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามในประเด็นด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา รับทราบผลการพิจารณาของการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 12 ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 13 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ชื่นชมและยินดีต่อการสนับสนุนของสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี ในด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา และมุ่งหวังต่อการเสริมสร้างความร่วมมือในการเสริมพลังผู้สูงอายุในอาเซียน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย จะรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 6 ในวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2562 และวันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ตามลําดับ 29. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีสมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสาร จํานวน 2 ฉบับ ได้แก่ 1) ร่างถ้อยแถลงวิสัยทัศน์ร่วมของอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีเพื่อสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นหุ้นส่วน 2) ร่างถ้อยแถลงประธานร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลีสมัยพิเศษ และหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก รวมทั้งให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองและออกเอกสารทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สาระสําคัญของร่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งจะมีการเสนอให้ที่ประชุมรับรองและออกระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 สรุปได้ดังนี้ 1. ร่างถ้อยแถลงวิสัยทัศน์ร่วมของอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีเพื่อสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นหุ้นส่วน เพื่อทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐเกาหลีในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาและเสนอวิสัยทัศน์ร่วมของความสัมพันธ์อาเซียนกับสาธารณรัฐเกาหลีในอีก 30 ปีข้างหน้าเกี่ยวกับ (1) การพัฒนาการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐเกาหลีในอนาคต (2) การส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค (3) การเสริมสร้างการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (4) การเสริมสร้างความเชื่อมโยง (5) การส่งเสริมความยั่งยืนและความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และ (6) การเสริมสร้างการเป็นหุ้นส่วนด้านสังคมและวัฒนธรรม 2. ร่างถ้อยแถลงประธานร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลีสมัยพิเศษ เพื่อเป็นเอกสารที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ของการประชุมฯ ที่จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือของอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี ทั้งด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคมและวัฒนธรรม ในโอกาสครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี โดยที่การประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 26 พฤศจิกายน 2562 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี 30. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาแม่น้ําโขง-แม่น้ําฮัน และหากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง โดยให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ร่วมให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สาระสําคัญของเรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของผู้นําประเทศสมาชิกในการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ให้ความสําคัญกับประเด็น ดังนี้ 1. ทบทวนความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลี และติดตามผลลัพธ์ของการดําเนินการตามปฏิญญาแม่น้ําฮันเพื่อสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนที่ครอบคลุมเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี และแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลี 2. ทิศทางความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลีในอนาคต และปรับสาขาความร่วมมือให้สอดคล้องกับนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southern Policy) ของสาธารณรัฐเกาหลีและกระแสการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค บน 3 เสาหลักใหม่ ประกอบด้วย ประชาชน ความเจริญรุ่งเรือง และสันติภาพ และมีความร่วมมือใน 7 สาขาใหม่ ได้แก่ (1) วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว (2) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (3) การพัฒนาชนบทและเกษตรกรรม (4) โครงสร้างพื้นฐาน (5) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (6) สิ่งแวดล้อม (7) ความท้าทายต่อความมั่นคงรูปแบบใหม่ 3. ย้ําเจตนารมณ์ที่ให้ความสําคัญกับ (1) การขับเคลื่อนความร่วมมือที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผ่านความร่วมมือเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ความร่วมมือทางวัฒนธรรมและการแลกเปลี่ยนในระดับประชาชน (2) ความเจริญรุ่งเรืองจากการแบ่งปันประสบการณ์ด้านต่าง ๆ อาทิ การเกษตรและการพัฒนาชนบท การสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาค ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การส่งเสริมความร่วมมือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs (3) การสร้างสันติภาพเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อปกป้องและรักษาสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคผ่านความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา การบริหารจัดการป่าไม้และโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อจัดการกับปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาชญากรรมข้ามชาติ และการกําจัดทุ่นระเบิด โดยใช้กลไกของกรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ตลอดจนกรอบความร่วมมือที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ําโขงอื่น ๆ อาทิ กรอบความร่วมมือ ACMECS ทั้งนี้ จะมีการรับรองเอกสาร ในการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี แต่งตั้ง 31. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และผู้ช่วยโฆษกของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงยุติธรรม คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และผู้ช่วยโฆษก รวม 7 ตําแหน่ง ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงพลังงาน (พน.) และกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ ดังนี้ รายชื่อ ตําแหน่ง ได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็น คําสั่งอ้างอิง กระทรวงมหาดไทย นายสมคิด จันทมฤก รองปลัด มท. โฆษก มท. คําสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 2214/2562 ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2562 เรื่อง แต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และผู้ช่วยโฆษก กระทรวงมหาดไทย นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ตรวจราชการ มท. รองโฆษก มท. นายทรงกลด สว่างวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ช่วยราชการสํานักงานปลัด มท. ผู้ช่วยโฆษก มท. นายชานน วาสิกศิริ ผู้ช่วยปลัด มท. ผู้ช่วยโฆษก มท. กระทรวงพลังงาน นายวัชระ กรรณิการ์ ข้าราชการการเมือง ตําแหน่งประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โฆษก พน. คําสั่งกระทรวงพลังงาน ที่ 30/2562 ลงวันที่ 12 กันยายน 2562 เรื่อง แต่งตั้งโฆษกระทรวงพลังงาน กระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม โฆษก ยธ. คําสั่งกระทรวงยุติธรรม ที่ 281/2562 ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 เรื่อง แต่งตั้งคณะทํางานโฆษกกระทรวงยุติธรรม พันตํารวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ รองปลัด ยธ. รองโฆษก ยธ. 32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นางอุษามาศ ร่วมใจ ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพสามิต ให้ดํารงตําแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ) สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ รวม 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้ 1. นางวิกุล วิสาลเสสถ์ ทันตแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านทันตสาธารณสุข) กรมอนามัย ดํารงตําแหน่ง ทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตสาธารณสุข) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2562 2. นายสมพงษ์ ชัยโอภานนท์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กรมอนามัย ดํารงตําแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ด้านโภชนาการ) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2562 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 34. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก รวม 2 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิม ที่ดํารงตําแหน่งครบวาระสี่ปี เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2562 ดังนี้ 1. นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการ 2. นางณัฐนันท์ อัศวเลิศศักดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านกฎหมาย) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป 35. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้ง นายปิยะมิตร ศรีธรา เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ แทนตําแหน่งที่ว่าง และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป 36. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ํา คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ํา รวม 6 คน ดังนี้ 1. นายรอยล จิตรดอน ประธานกรรมการ 2. นายวิชัย อัศรัสกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3. นายธาดา เตียประเสริฐ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4. นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 5. นายชิดชนก เหลือสินทรัพย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6. นางสาวสิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป 37. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้ง รองศาสตราจารย์จักรพันธ์ วิลาสินีกุล ดํารงตําแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร แทนผู้ที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป .................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 19 พฤศจิกายน 2562 วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2562 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 19 พฤศจิกายน 2562 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี http://www.thaigov.go.th วันนี้ (19 พฤศจิกายน 2562) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติ ประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่นเขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตําแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และป่าภูเรือบางส่วน ในท้องที่ตําบลแสงภา อําเภอนาแห้ว จังหวัดเลย พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดวิธีปฏิบัติของเจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทําการประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ํา พ.ศ. .... 8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการ สอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารบางชนิดหรือบางประเภท ภายในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก พื้นที่ต่อเนื่อง และฝั่งธนบุรี ตรงข้ามกรุงรัตนโกสินทร์ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ แขวงบวรนิเวศ แขวงเสาชิงช้า แขวงราชบพิธ แขวงสําราญราษฎร์ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงบ้านพานถม แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ์ แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร แขวงคลองมหานาค แขวงวัดเทพศิรินทร์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี และแขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับความปลอดภัยและความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีในการขนส่ง พ.ศ. .... 11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 รวม 3 ฉบับ เศรษฐกิจ - สังคม 12. เรื่อง ขอสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ทหารผ่านศึก 13. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีกรณีการชดเชยส่วนต่างจากการรับซื้อน้ํามันปาล์มดิบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 14. เรื่อง ขออนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดําเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปเเบบการขนส่งสินค้า เชียงของ จังหวัดเชียงราย 15. เรื่อง การลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 16. เรื่อง รายงานสรุปผลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ประจําปี 2561 (อว.) 17. เรื่อง การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงิน 18. เรื่อง รายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิในกระบวนการยุติธรรมกรณีกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ทหารซ้อมทรมานบุคคลผู้ต้องสงสัยในระหว่างถูกควบคุมตัว) 19. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคําสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน [กรณีกรมวิชาการเกษตรดําเนินการต่ออายุใบสําคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายพาราควอต (paraquat) ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่อาจจะประกาศห้ามใช้] 20. เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2562 และแนวโน้มปี 2562 – 2563 ต่างประเทศ 21. เรื่อง การเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) 22. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (MOU between The Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation of the Kingdom of Thailand and The Ministry of Science and ICT of the Republic of Korea on Cooperation in Science, Technology and Innovation) 23. เรื่อง ร่างอนุสัญญาโลกว่าด้วยการรับรองคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา (Global Convention on the Recognition of Qualifications concerning Higher Education) 24. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ค.ศ. 1989 25. เรื่อง การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 3 26. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสํานักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนา พิเศษภาคตะวันออก 27. เรื่อง ขออนุมัติกรอบการหารือสําหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ครั้งที่ 26 28. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และ ร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 6 29. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน- สาธารณรัฐเกาหลีสมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 30. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 แต่งตั้ง 31. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และผู้ช่วยโฆษกของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงยุติธรรม 32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) 33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 34. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก 35. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ 36. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ํา 37. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ กลุ่มที่ 3 บทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งเสริมการควบโอนกิจการและความรับผิดของกรรมการ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้นําไปรวมกับร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (ตามมติคณะรัฐมนตรี 26 พฤศจิกายน 2561) โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สํานักงานศาลยุติธรรม และสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ ร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวมีสาระสําคัญเป็นการปรับปรุงและแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ ควบคู่กันทั้ง 2 ฉบับ ดังนี้ 1. เพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการโอนกิจการที่มีผลให้ต้องมีการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ผู้รับประกันภัย เมื่อบริษัทผู้รับโอนกิจการมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้เอาประกันภัย พร้อมแจ้งสิทธิให้ผู้เอาประกันภัยคัดค้านแล้ว หากไม่มีการคัดค้านให้ถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ผู้รับประกันภัย 2. เพิ่มเติมบทบัญญัติให้บริษัทสามารถจดทะเบียนควบรวมกิจการได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้ทุกรายให้ ความยินยอมเป็นหนังสือโดยไม่ต้องรอให้พ้นระยะเวลาคัดค้าน 3. เพิ่มเติมบทบัญญัติให้บริษัที่รับโอนกิจการสามารถเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนบริษัทที่โอนกิจการในคดีที่มีการฟ้องร้องในศาลได้ และสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ 4. เพิ่มเติมบทกําหนดโทษในกรณีดังต่อไปนี้ 4.1 กรรมการ ผู้มีอํานาจในการจัดการ พนักงานของบริษัท และบุคคลที่บริษัทมอบหมาย แสวงหาประโยชน์อันมิชอบหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัท ผู้เอาประกันภัย หรือประชาชน 4.2 ผู้ก่อให้หรือสนับสนุนให้ผู้สอบบัญชีหรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยไม่แจ้งให้นายทะเบียนทราบเมื่อพบเหตุอันควรสงสัยว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในบริษัท หรือก่อให้หรือสนับสนุนให้นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจัดทํารายงาน รับรอง หรือแสดงความเห็นเกี่ยวกับการดําเนินการของบริษัทเป็นเท็จ หรือก่อให้หรือสนับสนุนให้กรรมการหรือผู้มีอํานาจในการจัดการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัท ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน (ร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิตฯ) 4.3 ผู้ก่อให้หรือสนับสนุนให้ผู้ประเมินวินาศภัยทํารายงานการตรวจสอบและประเมินวินาศภัยเป็นเท็จ หรือก่อให้ผู้สอบบัญชีหรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยไม่แจ้งให้นายทะเบียนทราบเมื่อพบเหตุอันควรสงสัยว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในบริษัท หรือก่อให้หรือสนับสนุนให้นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจัดทํารายงาน รับรอง หรือแสดงความเห็นเกี่ยวกับการดําเนินการของบริษัทเป็นเท็จ หรือก่อให้หรือสนับสนุนให้กรรมการหรือผู้มีอํานาจในการจัดการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้เอาประภันภัยหรือประชาชน (ร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัยฯ) 4.4 ผู้ให้ถ้อยคําอันเป็นเท็จต่อนายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ 4.5 ผู้ทําลาย ทําให้เสียหาย ซึ่งตราหรือเครื่องหมายที่นายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ประทับไว้ 5. แก้ไขบทบัญญัติให้การกระทําความผิดของกรรมการ ผู้มีอํานาจในการจัดการ พนักงานของบริษัท บุคคลที่บริษัทมอบหมาย บุคคลที่ก่อหรือสนับสนุนให้ผู้สอบบัญชีหรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยทําผิดกฎหมาย และผู้ซึ่งกระทําความผิดต่อนายทะเบียน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ รวมถึงผู้ที่กระทําความผิดเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่ควรเปิดเผย เป็นความผิดที่คณะกรรมการเปรียบเทียบตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 ไม่อาจเปรียบเทียบได้ 2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตําแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตําแหน่งที่ว่าง พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สํานักงาน กกต.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดําเนินการต่อไปได้ สํานักงาน กกต. เสนอว่า 1. ศาลรัฐธรรมนูญ (ศร.) ได้มีคําวินิจฉัย เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 ว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 7 ของ นายนวัธ เตาะเจริญสุข ผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (6) นับแต่วันที่ ศร. มีคําสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 82 วรรคสอง คือ วันที่ 16 ตุลาคม 2562 2. เมื่อสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ นายนวัธ เตาะเจริญสุข สิ้นสุดลงทําให้มีตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลง จึงต้องดําเนินการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีกการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งขึ้นแทนตําแหน่งที่ว่างภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 105 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 102 โดยให้ถือว่าวันที่ตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลง คือวันที่ ศร. มีคําวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 76 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้คําวินิจฉัยของศาลมีผลในวันอ่าน คือวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กําหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น เขตเลือกตั้งที่ 7 แทนตําแหน่งที่ว่าง 3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และป่าภูเรือ บางส่วน ในท้องที่ตําบลแสงภา อําเภอนาแห้ว จังหวัดเลย พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และป่าภูเรือ บางส่วน ในท้องที่ตําบลแสงภา อําเภอนาแห้ว จังหวัดเลย พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กําหนดให้เพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และป่าภูเรือ บางส่วน ในท้องที่ตําบลแสงภา อําเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ออกจากการเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามที่กําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกากําหนดบริเวณที่ดินป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และป่าภูเรือ บางส่วน ในท้องที่ตําบลแสงภา ตําบลเหล่ากอหก และตําบลนาแห้ว อําเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2537 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงวัฒนธรรมรับข้อสังเกตของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. 2557 ดังนี้ การแบ่งส่วนราชการเดิม การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง ก. ราชการบริหารส่วนกลาง 1. กองกลาง 2. กองกฎหมาย 3. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 4. สํานักความสัมพันธ์ต่างประเทศ 5. สํานักตรวจและประเมินผล 6. สํานักนโยบายและยุทธศาสตร์ 7. สํานักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ข. ราชการบริหารส่วนภูมิภาค สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด ก. ราชการบริหารส่วนกลาง 1. กองกลาง (คงเดิม) 2. กองกฎหมาย (คงเดิม) 3. ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (คงเดิม) 4. กองการต่างประเทศ (เปลี่ยนชื่อ) 5. กองตรวจราชการ (เปลี่ยนชื่อ) 6. กองยุทธศาสตร์และแผนงาน (เปลี่ยนชื่อ) 7. กองเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม (เปลี่ยนชื่อ) 8. กองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ตั้งใหม่ ข. ราชการบริหารส่วนภูมิภาค สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัด 5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุขตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2552 ดังนี้ การแบ่งส่วนราชการปัจจุบัน การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง 1. สํานักงานเลขานุการกรม 2. กองควบคุมเครื่องมือแพทย์ 3. กองควบคุมวัตถุเสพติด 4. กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค 5. กองส่งเสริมงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น 6. กลุ่มตรวจสอบภายใน 7. กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร 8. กองแผนงานและวิชาการ 9. สํานักควบคุมเครื่องสําอางและวัตถุอันตราย 10. สํานักด่านอาหารและยา 11. สํานักยา 12. สํานักอาหาร 1. สํานักงานเลขานุการกรม (คงเดิม) 2. กองควบคุมเครื่องมือแพทย์ (คงเดิม) 3. กองควบคุมวัตถุเสพติด (คงเดิม) 4. กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค (คงเดิม) 5. กองส่งเสริมงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพในส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น (คงเดิม) 6. กลุ่มตรวจสอบภายใน (คงเดิม) 7. กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร (คงเดิม) 8. กองยุทธศาสตร์และแผนงาน (เปลี่ยนชื่อ) 9. กองควบคุมเครื่องสําอางและวัตถุอันตราย (เปลี่ยนชื่อ) 10. กองด่านอาหารและยา (เปลี่ยนชื่อ) 11. กองยา (เปลี่ยนชื่อ) 12. กองอาหาร (เปลี่ยนชื่อ) 13. กองผลิตภัณฑ์สมุนไพร (ตั้งใหม่) 14. กองผลิตภัณฑ์สุขภาพนวัตกรรมและการบริการ (ตั้งใหม่) 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2552 ดังนี้ การแบ่งส่วนราชการปัจจุบัน การแบ่งส่วนราชการที่ขอปรับปรุง 1. สํานักบริหาร 2. กองแบบแผน 3. กองวิศวกรรมการแพทย์ 4. กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน 5. กองสุขศึกษา 6. กลุ่มตรวจสอบภายใน 7. กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร 8. สํานักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ 1. สํานักงานเลขานุการกรม (เปลี่ยนชื่อ) 2. กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ (เปลี่ยนชื่อ) 3. กองแบบแผน (คงเดิม) 4. กองวิศวกรรมการแพทย์ (คงเดิม) 5. กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน (คงเดิม) 6. กองสุขศึกษา (คงเดิม) 7. กลุ่มตรวจสอบภายใน (คงเดิม) 8. กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร (คงเดิม) 9. กองกฎหมาย (ตั้งใหม่) 10. กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (ตั้งใหม่) 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดวิธีปฏิบัติของเจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทําการประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ํา พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกําหนดวิธีปฏิบัติของเจ้าของเรือประมงที่ใช้สนับสนุนเรือที่ใช้ทําการประมงหรือเรือขนถ่ายสัตว์น้ํา พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดให้เรือที่จดทะเบียนเป็นเรือกลเดินทะเลตามประเภทการใช้เรือ ต้องติดตั้งระบบติดตามเรือประมงตามมาตรฐานสมรรถนะของอุปกรณ์และข้อกําหนดเชิงหน้าที่ของระบบติดตามเรือประมง 2. กําหนดให้เจ้าของเรือสนับสนุนที่ติดตั้งระบบติดตามเรือประมงแล้วต้องแจ้งข้อมูล รหัสกล่องหรือรหัสอุปกรณ์ ชื่อหรือหมายเลขทะเบียนเรือ ภาพถ่ายเรือสนับสนุน และพื้นที่จอดเรือต่อเจ้าหน้าที่ประจําศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทําการประมง 3. กําหนดให้เจ้าของเรือสนับสนุนต้องดูแลระบบติดตามเรือประมงให้เปิดใช้งานได้ตลอดเวลากรณีจะปิดระบบติดตามเรือประมงให้กระทําได้เฉพาะกรณีที่กําหนดไว้ 4. กําหนดหลักเกณฑ์และการดําเนินการให้เจ้าของเรือสนับสนุนต้องปฏิบัติเมื่อสัญญาณระบบติดตามเรือประมงขัดข้องจนไม่สามารถใช้การได้เป็นปกติ 5. กําหนดให้เรือสนับสนุนต้องแจ้งการเข้าออกท่าเทียบเรือทุกครั้งตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ 6. กําหนดบทเฉพาะกาลรองรับกรณีเรือสนับสนุนที่ได้มีการติดตั้งระบบติดตามเรือประมงตามมาตรฐานเดิมโดยให้ใช้ได้ต่อไปจนกว่าจะชํารุดจนต้องมีการเปลี่ยนใหม่ รวมทั้งกําหนดระยะเวลาให้เรือสนับสนุนที่ยังไม่ได้ล็อคตรึงและตีตราอุปกรณ์ระบุตําแหน่งเรือแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดําเนินการดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กําหนด 8. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ พ.ศ. .... มีสาระสําคัญ ดังนี้ 1.1 กําหนดให้ใช้บังคับกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ได้แก่ กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา 1.2 กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดําเนินการสอบสวนและวินิจฉัยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกสภากรุงเทพมหานครและ ความเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสิ้นสุดลง 1.3 กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดําเนินการสอบสวนและวินิจฉัยของผู้ว่าราชการจังหวัด กรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกสภาเมืองพัทยา และความเป็นนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา ประธานที่ปรึกษานายกเมืองพัทยา และที่ปรึกษานายกเมืองพัทยาสิ้นสุดลง 1.4 กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดําเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน นายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา ประธานสภาเมืองพัทยา และรองประธานสภาเมืองพัทยา กรณีจงใจทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามอํานาจหน้าที่ อันจะเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอํานาจหน้าที่ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย หรือฝ่าฝืนคําสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดที่สั่งการเพิกถอนการกระทําหรือให้ระงับการปฏิบัติตามที่กฎหมายกําหนด 2. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการสอบสวนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป พ.ศ. .... มีสาระสําคัญ ดังนี้ 2.1 กําหนดให้ใช้บังคับกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบทั่วไป ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตําบล 2.2 กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดําเนินการสอบสวนและวินิจฉัยของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอําเภอ กรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาเทศบาล และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตําบลสิ้นสุดลง กรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี และนายกองค์การบริหารส่วนตําบลสิ้นสุดลง และกรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกเทศมนตรี เลขานุการนายกเทศมนตรี และที่ปรึกษานายกเทศมนตรี รองนายกองค์การบริหารส่วนตําบล และเลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตําบลสิ้นสุดลง 2.3 กําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดําเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด และรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี ประธานสภาเทศบาล และรองประธานสภาเทศบาล นายกองค์การบริหารส่วนตําบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตําบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตําบล และรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตําบล กรณีจงใจทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามอํานาจหน้าที่อันจะเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอํานาจหน้าที่ หรือปฏิบัติฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อย หรือฝ่าฝืนคําสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัด หรือนายอําเภอที่สั่งการตามกฎหมาย 9. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารบางชนิดหรือบางประเภท ภายในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก พื้นที่ต่อเนื่อง และฝั่งธนบุรี ตรงข้ามกรุงรัตนโกสินทร์ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ แขวงบวรนิเวศ แขวงเสาชิงช้า แขวงราชบพิธ แขวงสําราญราษฎร์ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงบ้านพานถม แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ์ แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร แขวงคลองมหานาค แขวงวัดเทพศิรินทร์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี และแขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดบริเวณห้ามก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารบางชนิดหรือบางประเภท ภายในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน กรุงรัตนโกสินทร์ชั้นนอก พื้นที่ต่อเนื่อง และฝั่งธนบุรี ตรงข้ามกรุงรัตนโกสินทร์ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ แขวงบวรนิเวศ แขวงเสาชิงช้า แขวงราชบพิธ แขวงสําราญราษฎร์ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงบ้านพานถม แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ์ แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร แขวงคลองมหานาค แขวงวัดเทพศิรินทร์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี และแขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไป สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง กําหนดบริเวณห้ามก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่แขวงพระบรมมหาราชวัง แขวงชนะสงคราม แขวงตลาดยอด แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ แขวงบวรนิเวศ แขวงเสาชิงช้า แขวงราชบพิธ แขวงสําราญราษฎร์ แขวงวังบูรพาภิรมย์ แขวงบ้านพานถม แขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร แขวงสัมพันธวงศ์ แขวงจักรวรรดิ์ แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ แขวงวัดโสมนัส แขวงบ้านบาตร แขวงคลองมหานาค แขวงวัดเทพศิรินทร์ แขวงป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด แขวงอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี และแขวงสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร โดยกําหนดรายละเอียดเกี่ยวกับสีของผนังภายนอกอาคารเป็นโทนสีครีม และห้ามใช้วัสดุสะท้อนแสงหรือวัสดุมันวาว สีของหลังคาอาคารเป็นโทนสีเทาเข้ม และด้านหน้าอาคารห้ามติดตั้งหรือวางอุปกรณ์ประเภทกันสาด เครื่องปรับอากาศ เสาอากาศโทรทัศน์หรือวิทยุ หรือส่วนยื่นอื่น ๆ 10. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับความปลอดภัยและความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีในการขนส่ง พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับความปลอดภัยและความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีในการขนส่ง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของสํานักงานตํารวจแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดบทนิยาม คําว่า “การขนส่ง” “การใช้แต่ผู้เดียว” “ดัชนีการขนส่ง” “การก่อวินาศกรรม” “ความมั่นคงปลอดภัย” เป็นต้น 2. กําหนดมาตรการความมั่นคงปลอดภัย 2.1 ความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีในการขนส่งวัสดุกัมมันตรังสี วัสดุ นิวเคลียร์ กากกัมมันตรังสี เชื้อเพลิงนิวเคลียร์และเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว โดยกําหนดหน้าที่ของผู้ส่งของและผู้รับขนส่ง เช่น ผู้ส่งของต้องตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ก่อนการใช้เป็นครั้งแรกในการขนส่ง ผู้รับขนส่งต้องแยกสิ่งที่ขนส่งจากสินค้าอันตรายอื่น ๆ และต้องตรวจสอบระดับการปนเปื้อนเป็นระยะ ๆ เป็นต้น 2.2 ความมั่นคงปลอดภัยทางรังสีในการขนส่งวัสดุกัมมันตรังสีหรือกากกัมมันตรังสี โดยแบ่งระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเป็น 3 ระดับ ตามความเป็นอันตรายของวัสดุกัมมันตรังสี มีวัตถุประสงค์ในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยแบบการจัดการอย่างรอบคอบ ทั้งในระหว่างการขนส่งและขณะการจัดเก็บ ให้ผู้ส่งของต้องจัดทําแผนความมั่นคงปลอดภัยการขนส่ง เพื่อใช้ในการขนส่งวัสดุกัมมันตรังสีระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยขั้นสูงทุกการขนส่ง ฯลฯ และให้ผู้ส่งของหรือผู้รับขนส่งต้องรายงานเหตุการณ์เป็นลายลักษณ์อักษรต่อสํานักงานปรมาณูเพื่อสันติในทันทีที่เป็นไปได้ 2.3 ความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ในการขนส่งวัสดุนิวเคลียร์ เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ และเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว โดยกําหนดวิธีป้องกันการเอาไปซึ่งวัสดุนิวเคลียร์โดยมิชอบในระหว่างการขนส่งวัสดุนิวเคลียร์ประเภทที่ 1 ประเภทที่ 2 ประเภทที่ 3 และประเภทที่ 4 การค้นหาและการนํากลับมาซึ่งวัสดุนิวเคลียร์ที่สูญหายหรือถูกลักไปในระหว่างการขนส่ง การป้องกันการก่อวินาศกรรมในระหว่างการขนส่ง และการบรรเทาผลกระทบทางรังสีหลังมีการก่อการวินาศกรรมในระหว่างการขนส่ง 11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 รวม 3 ฉบับ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 รวม 3 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตผลิต นําเข้า หรือขายผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนตํารับ การแจ้งรายละเอียดและการจดแจ้งผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... และ 3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียม ลด ยกเว้นค่าธรรมเนียมการดําเนินการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตผลิต นําเข้า หรือขายผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาต และการออกใบอนุญาตการขอแก้ไขรายการและการอนุญาตให้แก้ไขรายการในใบอนุญาต การย้ายหรือเปลี่ยนแปลงสถานที่นําเข้า ขาย หรือเก็บรักษาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเป็นการชั่วคราว การขอต่ออายุ และการอนุญาตให้ต่ออายุใบอนุญาต การขอรับและการออกใบแทนใบอนุญาต และการขอโอนใบอนุญาตผลิต นําเข้า หรือขายผลิตภัณฑ์สมุนไพร 2. ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขึ้นทะเบียนตํารับ การแจ้งรายละเอียดและการจดแจ้งผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... เป็นการกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอขึ้นทะเบียนตํารับและการออกใบสําคัญการขึ้นทะเบียนตํารับ การขอแก้ไขรายการและการอนุญาตให้แก้ไขรายการในทะเบียนตํารับ การขอต่ออายุและการอนุญาตให้ต่ออายุใบสําคัญการขึ้นทะเบียนตํารับ และการขอรับและการออกใบแทนใบสําคัญการขึ้นทะเบียนตํารับผลิตภัณฑ์สมุนไพร รวมทั้งกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแจ้งรายละเอียดและการออกใบรับแจ้งรายละเอียด การจดแจ้งและการออกใบรับจดแจ้ง การแก้ไขการแจ้งรายละเอียด การแก้ไขการจดแจ้ง การต่ออายุใบรับแจ้งรายละเอียดและการต่ออายุใบรับจดแจ้ง และการขอรับและออกใบแทนใบรับแจ้งรายละเอียดหรือใบรับจดแจ้งผลิตภัณฑ์สมุนไพร 3. ร่างกฎกระทรวงกําหนดค่าธรรมเนียม ลด ยกเว้นค่าธรรมเนียมการดําเนินการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... เป็นการกําหนดค่าธรรมเนียม ลด ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการดําเนินการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สมุนไพร เศรษฐกิจ - สังคม 12. เรื่อง ขอสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ทหารผ่านศึก คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอการขอปรับเพิ่มสิทธิลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ ผู้ที่ไปร่วมรบกับสหประชาชาติ ณ สาธารณรัฐเกาหลีและครอบครัว ผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญสมรภูมิและครอบครัวในกรณีสงครามต่าง ๆ (เช่น หน่วยต่อเดือนดิม ครอบครัวละ 45 หน่วยต่อเดือน เป็น ครอบครัวละ 50 หนู้่ก่อนแล้ว (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 สิงหาคม 2496 24 พฤษภาคม สงครามเวียดนาม สงครามในทวีปยุโรป สงครามอินโดจีน สงครามมหาเอเชียบูรพา เป็นต้น) ผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญและครอบครัว ผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 1 ผู้ได้รับบัตรประจําตัวทหารผ่านศึกฯ บัตรชั้นที่ 2 ทหารผ่านศึกฯ บัตรชั้นที่ 1 และครอบครัว รวมถึงครอบครัวทหารผ่านศึก บัตรชั้นที่ 1 รวมจํานวนทั้งสิ้น 27,307 ราย ซึ่งได้สิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าตามมติคณะรัฐมนตรีอยู่ ก่อนแล้ว (มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 สิงหาคม 2496 24 พฤษภาคม 2531 และ 12 กรกฎาคม 2537) จากเดิม ครอบครัวละ 45 หน่วยต่อเดือน เป็น ครอบครัวละ 50 หน่วยต่อเดือนและให้กระทรวงกลาโหมกํากับดูแลให้องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในการดําเนินการดังกล่าวด้วยความรอบคอบ ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย สําหรับการขอสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้ที่ได้รับพระราชทานเหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 หรือเหรียญราชการชายแดน หรือเหรียญอื่นที่เทียบเท่าที่มีคุณสมบัติเป็นทหารผ่านศึกและได้รับบัตรประจําตัวทหารผ่านศึกนอกประจําการบัตรชั้นที่ 3 แล้วเท่านั้น จํานวน 102,000 ราย ให้ได้รับสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสฟ้ารายละ 50 หน่วยต่อเดือน (ใช้งบประมาณจํานวน 204 ล้านบาทต่อปี) นั้น ให้กระทรวงกลาโหม (องค์การทหารผ่านศึก) พิจารณาดําเนินการตามความเห็นของสํานักงบประมาณและสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก่อนดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วมีความเห็นเพิ่มเติมว่า กรณีการขยายสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้ครอบคลุมทหารผ่านศึกนอกประจําการ บัตรชั้นที่ 3 เพิ่มขึ้นในแต่ละปีนั้น องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกควรพิจารณาการให้สิทธิพิเศษและบริหารจัดการงบประมาณอย่างรอบคอบ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมิให้เป็นภาระงบประมาณที่สูงเกินไป รวมทั้งสํานักงบประมาณพิจารณาแล้วเห็นว่า การขอสิทธิพิเศษดังกล่าว ควรที่จะพิจารณาประเภทการสงเคราะห์ตามสิทธิที่พึงได้รับลดหลั่นตามชั้นบัตร เช่นเดียวกับแนวทางการให้สวัสดิการอื่น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ํา และการพิจารณากรอบอัตราการเพิ่มจํานวนของทหารผ่านศึกนอกประจําการบัตรชั้นที่ 3 ในอนาคต ให้ครอบคลุม ครบถ้วน รวมถึงการขอสิทธิพิเศษลดหย่อนค่ากระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้ถือบัตรชั้นที่ 3 กระทรวงกลาโหมควรพิจารณาการจัดลําดับหรือกลุ่มผู้ถือบัตรตามฐานรายได้ที่ได้รับในการให้สิทธิพิเศษดังกล่าว รวมทั้งการพิจารณาแหล่งเงินขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกที่สามารถนํามาใช้จ่ายได้ด้วย 13. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีกรณีการชดเชยส่วนต่างจากการรับซื้อน้ํามันปาล์มดิบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 วันที่ 7 พฤษภาคม 2562 และวันที่ 18 มิถุนายน 2562 ดังนี้ 1. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 จากเดิมที่กําหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ขอทําความตกลงกับ กค. และสํานักงบประมาณ (สงป.) เพื่อปรับลดเงินรายได้นําส่งเข้ารัฐหรือเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (Public Service Account : PSA) ในกรณีส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้น้ํามันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า จํานวน 829 ล้านบาท แก้ไขเป็น ให้กระทรวงพลังงาน (พน.) ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี หรืองบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อชดเชยเป็นค่าใช้จ่ายส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ํามันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า จํานวน 829 ล้านบาท ให้แก่ กฟผ. โดยถือปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 27 หรือมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ต่อไป 2. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 และวันที่ 18 มิถุนายน 2562 จากเดิมที่กําหนดให้ กฟผ. ขอทําความตกลงกับ กค. และสํานักงบประมาณ (สงป.) เพื่อบันทึกบัญชีเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (PSA) แก้ไขเป็นให้ พน. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี หรืองบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อชดเชยเป็นค่าใช้จ่ายส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ํามันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า ประมาณ 1,200 ล้านบาท ให้แก่ กฟผ. โดยถือปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 27 หรือมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ต่อไป โดยให้กระทรวงพลังงานเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีเพื่อชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้น้ํามันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงกับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้า กรอบวงเงิน 2,029,000,000 บาท แทนการปรับลดเงินรายได้นําส่งเข้ารัฐ หรือการบันทึกบัญชีเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (PSA) โดยไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถส่งผ่านไปยังค่าไฟผันแปร (Ft) ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้เดิม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงานจัดทําแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามผลการดําเนินการตามมาตรการฯ เพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีตามความจําเป็นและเหมาะสม ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ รวมทั้ง คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 เพิ่มเติมในส่วนที่อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อชดเชยส่วนต่างดังกล่าวให้กระทรวงพาณิชย์ กรอบวงเงิน 525,000,000 บาท ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้เบิกจ่ายงบประมาณให้กับ กฟผ. แล้ว จํานวน 88,089,953.44 บาท โดยแก้ไขเป็นให้กระทรวงพลังงานเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณในส่วนที่เหลือ เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณตรงตามภารกิจของหน่วยงานและสอดคล้องกับข้อเสนอของกระทรวงการคลังในครั้งนี้ ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานจะต้องคํานึงถึงความครอบคลุมงบประมาณ ศักยภาพ และความสามารถในการบริหารจัดการของ กฟผ. ด้วย เพื่อมิให้เป็นภาระต่อภาพรวมของงบประมาณภาครัฐ โดยการดําเนินการภายใต้มาตรการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายให้ถูกต้องครบถ้วน มีความโปร่งใส คุ้มค่า ความประหยัด ไม่ซ้ําซ้อน โดยพิจารณาความเป็นธรรมในสังคม และความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐต่อประโยชน์ส่วนรวมที่จะเกิดขึ้น รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ตลอดจนในโอกาสต่อไป กรณีมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐใดดําเนินโครงการที่รัฐจะต้องรับภาระชดเชยค่าใช้จ่าย หรือมีการสูญเสียรายได้จากการดําเนินการนั้น จะต้องดําเนินการเท่าที่จําเป็น มีความถูกต้องอย่างชัดเจนในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อการดําเนินงานของหน่วยงานของรัฐที่จะส่งผลต่อภาระงบประมาณ หรือภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชน ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ต่อไป ตามความเห็นของสํานักงบประมาณ 14. เรื่อง ขออนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดําเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปเเบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย คณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่อง ขออนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดําเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของจังหวัดเชียงราย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอแล้วมีมติ ดังนี้ อนุมัติให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อดําเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย โดยใช้ที่ดินถาวร ไม่มีกําหนดระยะเวลา 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดพิจารณาเกี่ยวกับกรณีที่กรมการขนส่งทางบกขอยกเว้นค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินของโครงการฯ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยคํานึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสําคัญ ทั้งนี้ ควรคํานึงถึงผลกระทบต่อต้นทุนที่ใช้ในการคํานวณความคุ้มค่าของโครงการฯ รวมถึงผลวิเคราะห์ผลตอบแทนด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลต่อรูปแบบและแผนงานการดําเนินโครงการฯ ด้วย 3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย สาระสําคัญของเรื่อง 1. คณะรัฐมนตรีมีมติ (17 เมษายน 2555) อนุมัติในหลักการให้กรมการขนส่งทางบกดําเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด่านพรมแดนเชียงของ บริเวณสะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 4 โดยมีพื้นที่ของโครงการฯ บางส่วนเป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน จํานวน 206 ไร่ 1 งาน 57.6 ตารางวา โดยเอกชนจะร่วมลงทุนโครงการฯ ในรูปแบบ PPP Net Cost ในส่วนของอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้า อุปกรณ์สํานักงาน และระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ และจะต้องส่งมอบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เอกชนเป็นผู้ลงทุนให้กับกรมการขนส่งทางบกเมื่อสิ้นระยะเวลาสัมปทาน 15 ปี 2. กรมการขนส่งทางบกได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อดําเนินการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ถูกเวนคืนที่ดินเพื่อการยินยอมให้ใช้พื้นที่ จํานวน 779,760,400 บาท โดยเกษตรกรผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินและเกษตรกรผู้ถือครองที่ดิน ได้ยื่นสละสิทธิ์ในที่ดินหรือได้ทําหนังสือยินยอมแล้วครบทุกรายในปี 2560 จึงได้ยื่นคําขออนุญาตใช้ที่ดินดังกล่าวต่อสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 ตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยการมอบหมายให้เลขาธิการสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาอนุญาตการใช้ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภคและกิจการอื่น ๆ ในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2536 ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงรายในการประชุมครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560 ได้มีมติเห็นชอบให้กรมการขนส่งทางบกใช้ที่ดินฯ เพื่อดําเนินโครงการฯ โดยไม่เรียกเก็บค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินแต่ยังไม่ได้เสนอคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาอนุญาต ต่อมา กรมการขนส่งทางบกได้มีหนังสือแจ้งสํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเชียงรายให้ทราบถึงการเข้าใช้พื้นที่ของผู้รับจ้างเพื่อดําเนินการก่อสร้างโครงการฯ (เป็นการเข้าใช้พื้นที่ก่อนได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินโดยคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) 3. ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการขอและการพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2560 ให้ไว้ ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2560 โดยอาศัยอํานาจตามคําสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 31/2560 เรื่อง การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกรและประโยชน์สาธารณะของประเทศ ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2560 แต่โดยที่กรมการขนส่งทางบกยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินโดยคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ภายใต้ระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินว่าด้วยการมอบหมายให้เลขาธิการสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาอนุญาตการใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน จึงต้องดําเนินการขอความยินยอมหรือขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินฯ อีกครั้งเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561 ตามกฎกระทรวงฯ ข้อ 2 (3) (ก) ซึ่งกําหนดให้การขอความยินยอมหรือขออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินฯ ต้องเป็นโครงการของรัฐ ซึ่งเป็นประโยชน์ส่วนรวมของประเทศด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งและระบบโลจิสติกส์ 4. โดยที่นายกรัฐมนตรีได้มีคําสั่งการเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเร่งรัดพิจารณาเกี่ยวกับกรณีที่กรมการขนส่งทางบกขอยกเว้นค่าตอบแทนฯ ของโครงการฯ ให้เกิดความชัดเจนให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือนและกรมการขนส่งทางบกได้มีหนังสือถึงสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2562 ยืนยันการของดเว้นค่าตอบแทนฯ เพื่อให้เป็นไปตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ และไม่ให้ต้นทุนที่ใช้ในการคํานวณความคุ้มค่าของโครงการฯ เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะส่งผลต่อกระทบต่อแผนการดําเนินโครงการฯ ต่อมา ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาให้ความยินยอมหรืออนุญาตการใช้ประโยชน์ที่ดินฯ ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบการขอรับความยินยอมหรืออนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน พร้อมเห็นชอบให้เก็บค่าตอบแทนฯ ตามข้อ 9 (3) ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการใช้และค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2561 เนื่องจากระเบียบดังกล่าวไม่มีบทยกเว้นการเรียกเก็บค่าตอบแทนฯ ก่อนเสนอคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาต่อไป 5. คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2562 ได้พิจารณาประเด็นที่กรมการขนส่งทางบกขอรับความยินยอมหรือขออนุญาตใช้ประโยชน์ที่ดินฯ เพื่อดําเนินโครงการฯ แล้ว มีมติอนุมัติให้นําเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะพิจารณาให้ความยินยอม หรืออนุญาตให้กรมการขนส่งทางบกใช้ที่ดินฯ เพื่อดําเนินโครงการฯ และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประเมินมูลค่าที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ พิจารณาหลักเกณฑ์การกําหนดค่าตอบแทนฯ ตามระเบียบฯ และนําเสนอคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณาภายหลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กรมการขนส่งทางบกใช้ที่ดินฯ เพื่อดําเนินโครงการฯ แล้ว เนื่องจากเห็นว่า ประเด็นค่าตอบแทนฯ ควรมีการทบทวนอีกครั้ง 6. กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์กระทรวงมหาดไทย สํานักงบประมาณ สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนพิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่มีข้อขัดข้องตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และมีความเห็นเพิ่มเติมให้เร่งรัดการพิจารณาเกี่ยวกับค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว เพื่อให้การดําเนินโครงการฯ เป็นไปตามแผนงาน และเพื่อให้กรมการขนส่งทางบกสามารถจัดเตรียมแผนบริหารงบประมาณสําหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้ นอกจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า โครงการดังกล่าวไม่เข้าข่ายต้องจัดทํารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กําหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติและแนวทางการจัดทํารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ 24 เมษายน 2555 อย่างไรก็ตามพื้นที่ดังกล่าวยังมีสถานะเป็นป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย 15. เรื่อง การลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติ ดังนี้ 1. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามอัตราการเรียกเก็บค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้เหลือในอัตราร้อยละ 0.01 ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ 2. อนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดินสําหรับกรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดําเนินการต่อไปได้ สาระสําคัญของเรื่อง 1. สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้มีแผนงานในการดําเนินการจัดที่ดิน ซึ่ง ส.ป.ก. ได้จัดซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินเอกชนเพื่อให้เกษตรกรมีที่ดินทํากินโดยการเช่าซื้อ เมื่อเกษตรกรได้ชําระค่าเช่าซื้อครบถ้วน ส.ป.ก. จะดําเนินการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่เกษตรกร โดยการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้เกษตรกรดังกล่าวจะต้องมีการชําระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามที่กรมที่ดินกําหนด โดย ส.ป.ก. จะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมตามมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 ส่วนเกษตรกรไม่ได้รับการยกเว้นและต้องชําระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 1 ของราคาประเมินทุนทรัพย์ ซึ่งเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินส่วนใหญ่มีฐานะยากจนไม่สามารถชําระค่าธรรมเนียมได้ ส.ป.ก. จึงเสนอมาตรการในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้เหลือในอัตราร้อยละ 0.01 ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ จากปกติจะเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 1 ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวจะต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเห็นชอบตามกฎกระทรวงฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 2 (7) (ฎ) และดําเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป 2. ปัจจุบัน ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียม จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สําหรับกรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2561 ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แจ้งว่า มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมฯ ตามประกาศดังกล่าวยังมีความจําเป็นต่อการดําเนินการของ ส.ป.ก. จึงขอขยายกําหนดเวลาใช้บังคับออกไปอีกจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เพื่อเป็นการลดภาระในการชําระค่าธรรมเนียมฯ ให้แก่เกษตรกรที่ยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์และสนับสนุนการดําเนินงานของ ส.ป.ก. ให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปที่ดิน 3. โดยที่การลดหย่อนค่าธรรมเนียมเป็นพิเศษ เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ กฎหมายกําหนดให้เป็นอํานาจของคณะรัฐมนตรี ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นควรอนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ โดยเห็นควรให้ตัดการอ้างข้อ 2 (7) (ฎ) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 47 (พ.ศ 2541) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ 2497 ออก และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้พิจารณาเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยเห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดําเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับการปฏิบัติงานในระยะยาวเพื่อให้สามารถใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้ก่อนที่จะครบกําหนดเวลาที่ระบุในประกาศกระทรวงมหาดไทยที่จะขยายออกไป 16. เรื่อง รายงานสรุปผลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ประจําปี 2561 (อว.) คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอรายงานสรุปผลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ ประจําปี 2561 ที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ (คณะกรรมการฯ) ในคราวประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 แล้ว โดยมีสาระสําคัญสรุปได้ ดังนี้ 1. การดําเนินการตามพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2558 คณะกรรมการฯ และสถาบันพัฒนาการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ (สพสว.) ได้ดําเนินการจัดทํากฎหมายลําดับรองประกอบการใช้บังคับการสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการรับแจ้งและรับคําขอใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และทยอยจัดทําระบบการให้บริการแบบออนไลน์ควบคู่ไปกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และสร้างความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ และมีการประกาศนโยบายการกํากับดูแลและส่งเสริมการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อกําหนดทิศทางการพัฒนางานด้านการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ให้เป็นไปอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น 2. ข้อมูลการดําเนินการในปีงบประมาณ 2561 มีการจดแจ้งสถานที่ดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ จํานวน 297 แห่ง จาก 56 องค์กร มีผู้ยื่นขอรับใบอนุญาตใช้สัตว์ จํานวน 7,799 คน มีการใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์หลากหลายชนิด เช่น หนู ไก่ ยุง เป็นต้น โดยในช่วงปี 2561 มีการใช้สัตว์มากกว่า 1,000,000 ตัว ซึ่งมาจากแหล่งผลิตสัตว์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3. ปัญหาและอุปสรรคในปีงบประมาณ 2561 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2558 ได้โดยสมบูรณ์เนื่องจากกฎกระทรวงสําคัญที่จะต้องใช้ประกอบการบังคับใช้กฎหมายนั้นยังรอการประกาศในราชกิจจานุเบกษา นอกจากนี้ จากการดําเนินการและรวบรวมข้อมูลพบว่าสถานที่ดําเนินการต่อสัตว์มีจํานวนมากแต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มาตรฐาน มีสัตวแพทย์ไม่เพียงพอ และสัตว์ทดลองยังมีปัญหาในด้านคุณภาพ ชนิด และปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการ งานวิจัยที่จะนําไปสู่นวัตกรรมยังมีน้อย อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกํากับดูแลยังขาดความเข้มแข็งและบุคลากรที่มีความรู้และประสบการณ์ 4. การพัฒนาการดําเนินการในระยะต่อไป ประเด็นสําคัญที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อให้รองรับต่อการพัฒนาประเทศ ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพของสัตว์ทดลอง การส่งเสริมการผลิตสัตว์ทดลองเพื่อทดแทนการนําเข้า การสนับสนุนให้มีหน่วยงานกลางเพื่อตรวจประเมินและรับรองมาตรฐานพันธุกรรมและมาตรฐานสุขภาพ การพัฒนาสถานที่เลี้ยงและใช้สัตว์ให้ได้มาตรฐาน การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาคณะกรรมการกํากับดูแลการดําเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ของสถานที่ดําเนินการ (คกส.) และการสร้างความเข้มแข็งให้หน่วยงานกลางที่กํากับดูแลพระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. 2558 17. เรื่อง การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงิน คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงินให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยคงไว้ที่ร้อยละ 0.46 ต่อปี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 (เรื่อง การดําเนินการตามพระราชกําหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555) ที่กําหนดให้ กค. และ ธปท. พิจารณาความเหมาะสมของอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งของ ธปท. โดยให้แจ้งความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยเป็นรายปี ซึ่ง กค. และ ธปท. ได้พิจารณาแล้วสรุปผลได้ ดังนี้ 1. การกําหนดให้สถาบันการเงินนําส่งเงินให้กับ ธปท. ธปท. มีอํานาจเรียกให้สถาบันการเงินนําส่งเงิน เป็นอัตราร้อยละต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝากตามที่ ธปท. ประกาศกําหนด แต่เมื่อรวมอัตราดังกล่าวกับอัตราที่กําหนดให้สถาบันการเงินนําส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากต้องไม่เกินร้อยละหนึ่งต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝากตามพระราชกําหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 และ ธปท. ยังได้ประกาศกําหนดอัตราเงินนําส่งที่สถาบันการเงินจะต้องนําส่งเงินให้แก่ ธปท. ในอัตราร้อยละ 0.46 ต่อปี ของ (1) ยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง และ (2) ยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน ณ วันที่ 2 พฤษภาคม 2555 (รายละเอียดตามประกาศ ธปท. ที่ สกส. 3/2555 เรื่อง การกําหนดอัตราเงินนําส่ง หลักเกณฑ์ และวิธีการ ในการส่งเงินนําส่ง และการนําส่งเงินเพิ่มเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชําระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ประกาศ ณ วันที่ 2 พฤษภาคม 2555) 2. การชําระคืนต้นเงินกู้ที่ กค. กู้ และยอดคงค้างต้นเงินกู้ FIDF1 และ FIDF3 ตั้งแต่พระราชกําหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 มีผลบังคับใช้ (วันที่ 27 มกราคม 2555 – 31 กรกฎาคม 2562) ได้มีการชําระคืนต้นเงินกู้ที่ กค. กู้ ตามพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2541 (FIDF1) และพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. 2545 (FIDF3) เป็นจํานวน 304,389.68 ล้านบาท แต่ยังมียอดคงค้างต้นเงินกู้ FIDF1 และ FIDF3 อีกจํานวนทั้งสิ้น 819,616.21 ล้านบาท ทั้งนี้ ในส่วนของเงินนําส่งจากสถาบันการเงินให้กับ ธปท. นั้น ธปท. ได้นําเงินดังกล่าวไปชําระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าบริหารจัดการเกี่ยวกับ FIDF1 และ FIDF3 เป็นจํานวนทั้งสิ้น 366,867.67 ล้านบาท 3. การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงินและประเมินระยะเวลาในการชําระคืนเงินกู้ FIDF1 และ FIDF3 ตามความเห็นของ ธปท. ดังนี้ เรื่อง ความเห็น ของ ธปท. 1. อัตราเรียกเก็บเงินนําส่ง เห็นควรให้คงอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงิน ที่ร้อยละ 0.46 ต่อปี สําหรับปี 2562 – 2563 เนื่องจากภาระหนี้ FIDF1 และ FIDF3 ยังคงเป็นภาระต่อระบบเศรษฐกิจการเงินในระดับสูง และเงินนําส่งจากสถาบันการเงินยังเป็นแหล่งเงินสําคัญในการลดต้นเงินและชําระดอกเบี้ย หากปรับลดอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งจะส่งผลกระทบต่อการลดภาระหนี้ ซึ่งปัจจุบันฐานเงินฝากสําหรับคํานวณเงินนําส่งยังมีความเสี่ยงที่จะขยายตัวไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่กําหนดไว้ 2. ระยะเวลาการชําระหนี้ FIDF1 และ FIDF3 คาดว่าจะใช้ระยะเวลาการชําระหนี้ FIDF1 และ FIDF3 เสร็จสิ้นภายในปี 2574 โดยมีสมมติฐานและศักยภาพในการชําระเงินจากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้ (1) เงินนําส่งจากสถาบันการเงิน (แหล่งหลักในการชําระหนี้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ย) โดยมีสมมติฐานอัตราการขยายตัวของฐานการคํานวณเงินนําส่งจากสถาบันการเงินอยู่ที่อัตราเฉลี่ยร้อยละ 4 ต่อปี (ปี 2562 – 2574) (2) ประมาณการชําระหนี้จากแหล่งอื่น ๆ ได้แก่ เงินกําไรสุทธิของ ธปท. (ไม่มีเงินนําส่ง เนื่องจากมีผลขาดทุนสะสมจํานวนสูง) เงินจากบัญชีผลประโยชน์ประจําปี (ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดการเงิน ซึ่งมีความผันผวนสูง และเงินหรือทรัพย์สินของกองทุนฯ [ปีงบประมาณ 2563 กองทุนฯ จะนําส่งจํานวน 6,700 ล้านบาท ปีต่อ ๆ ไป คาดว่าจะนําส่งประมาณ 5,000 ล้านบาท ภายใต้ สมมติฐานที่กองทุนฯ ยังคงถือหุ้นธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน)] (3) ประมาณการดอกเบี้ยจ่ายปีงบประมาณ 2563 – 2574 ประมาณ ปีละ 30,000 ล้านบาท (ทยอยลดลงตามการชําระคืนต้นเงินกู้) 4. ความเห็นของ กค. ไม่ขัดข้องกับผลการพิจารณาของ ธปท. ที่เห็นควรให้คงอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงินให้กับ ธปท. ไว้ที่ร้อยละ 0.46 ต่อปี เนื่องจากยังคงมีความเหมาะสมภายใต้สมมติฐานอัตราการขยายตัวของฐานเงินฝากที่อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและการเงินทั้งในประเทศและตลาดการเงินโลก และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 (เรื่อง การดําเนินการตามพระราชกําหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555) ดังนั้น กค. จึงเห็นควรนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบการคงอัตราเรียกเก็บเงินนําส่งจากสถาบันการเงินให้กับ ธปท. ไวที่ร้อยละ 0.46 ต่อปี 18. เรื่อง รายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิในกระบวนการยุติธรรมกรณีกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ทหารซ้อมทรมานบุคคลผู้ต้องสงสัยในระหว่างถูกควบคุมตัว) คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน (เรื่อง สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย และสิทธิในกระบวนการยุติธรรมกรณีกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ทหารซ้อมทรมานบุคคลผู้ต้องสงสัยในระหว่างถูกควบคุมตัว) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติรับทราบต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง ยธ. รายงานว่า ยธ. โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้จัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือแนวทางการดําเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2562 พร้อมทั้งได้ประมวลแนวทางในการดําเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. กรณีกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ทหารซ้อมทรมานบุคคลผู้ต้องสงสัยในระหว่างควบคุมตัวเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี สรุปได้ดังนี้ ข้อเสนอแนะ กสม. สรุปผลการพิจารณา 1. ครม. ควรสร้างกลไกภายในประเทศเพื่อประกันสิทธิของบุคคลตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรีให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นโดย ครม. ควรเร่งรัดการจัดทําร่างกฎหมายเพื่ออนุวัติการตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ํายีศักดิ์ศรี เสนอต่อรัฐสภาพิจารณา 1. ยธ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ยกร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทําให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... และสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบรับหลักการของร่างพระราชบัญญัติฯ เรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้หมดวาระลง จึงทําให้ไม่สามารถพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ได้ ส่งผลให้ร่างพระราชบัญญัติฯ เป็นร่างกฎหมายที่ค้างการพิจารณาอยู่ในชั้นรัฐสภา ต่อมาเมื่อมีการแต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ยธ. ได้ยืนยันร่างพระราชบัญญัติฯ แก่ ครม. แล้ว และ ครม. ได้เสนอไปยังประธานรัฐสภาด้วยแล้ว 2. ให้ ยธ. เร่งกําหนดมาตรการป้องกันการถูกกระทําทรมาน 2. ยธ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทําทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญตามคําสั่ง นร ที่ 131/60 ลว. 23 พ.ค. 60 และคําสั่ง นร ที่ 198/60 ลว. 18 ส.ค. 60 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานกรรมการ และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการฯ เพื่อทําหน้าที่กําหนดมาตรการป้องกัน การรับเรื่องราวร้องทุกข์ การติดตามตรวจสอบกรณีต่าง ๆ และการเยียวยาผู้เสียหาย จากการถูกกระทําทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญและได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 4 คณะ ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบกรณีการกระทําทรมานแล้วเสร็จ จํานวน 53 ราย ไม่ปรากฏว่ามีการกระทําทรมานตามที่กล่าวอ้าง สําหรับกรณีการติดตามตรวจสอบตามบัญชีรายชื่อบุคคลหายสาบสูญของคณะทํางานสหประชาชาติว่าด้วยการสาบสูญโดยถูกบังคับหรือไม่สมัครใจ จํานวน 86 รายนั้น คณะกรรมการฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและรวบรวมข้อมูล พร้อมทั้งได้ส่งข้อมูลไปยังคณะทํางานสหประชาชาติฯ แล้วจํานวน 11 ราย ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีการถูกบังคับให้หายสาบสูญ สําหรับอีก 75 ราย อยู่ระหว่างเร่งรัดรวบรวมข้อมูลและจัดทําคําแปลเพื่อส่งไปยังคณะทํางานฯ ต่อไป เมื่อรัฐบาลได้หมดวาระลงและพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งนายกรัฐมนตรีส่งผลให้คําสั่ง นร ที่ 131/60 และคําสั่ง นร ที่ 198/60 สิ้นสภาพ ดังนั้น เพื่อให้การดําเนินการของคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์กรณีถูกกระทําทรมานและถูกบังคับให้หายสาบสูญเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ยธ. จะได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อโปรดพิจารณาลงนามในคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการฯ ในโอกาสต่อไป 19. เรื่อง รายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมตลอดทั้งการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคําสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน [กรณีกรมวิชาการเกษตรดําเนินการต่ออายุใบสําคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายพาราควอต (paraquat) ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่อาจจะประกาศห้ามใช้] คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนรวมตลอดทั้งการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคําสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน [กรณีกรมวิชาการเกษตรดําเนินการต่ออายุใบสําคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย พาราควอต (paraquat) ซึ่งเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 โดยไม่รอผลการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่อาจจะประกาศห้ามใช้] ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป สาระสําคัญของเรื่อง 1. สธ. รายงานว่า ได้จัดประชุมหารือร่วมกับ กษ. อก. สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2562 สรุปผลการพิจารณาได้ว่า ตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 กําหนดให้ สธ. เฝ้าระวังโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม เมื่อพิจารณาผลจากการใช้วัตถุอันตรายพาราควอต (paraquat) ไกลโฟเสต (Glyphosate) และคลอร์ไพรีฟอส (Chlorpyriphos) จากข้อมูลพิษวิทยาจากต่างประเทศ รวมถึงข้อมูลจากกองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค พบว่า ทําให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพเกษตรกร โดยผลจากการตรวจระดับเอนไซม์อะซีติลโคลีนเอสเตอเรสในเลือดของเกษตรกรกลุ่มตัวอย่าง ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 – 2562 พบว่า ในแต่ละปีเกษตรกรประมาณร้อยละ 30 ของผู้ได้รับการตรวจมีระดับเอนไซม์ที่แสดงให้เห็นว่ามีการสัมผัสสารเคมีกําจัดศัตรูพืชสูงกว่าคนทั่วไป และอยู่ในระดับเสี่ยงต่อสุขภาพ นอกจากนั้นสัดส่วนของเกษตรกรที่มีความเสี่ยงจะเจ็บป่วยจากสารเคมีกําจัดศัตรูพืชยังมีแนวโน้มสูงขึ้นและสถานการณ์เจ็บป่วยจากพิษสารกําจัดศัตรูพืชที่รายงานสถานการณ์โรคของ สธ. จากหน่วยบริการทั่วประเทศ ในช่วงปี พ.ศ. 2558 – 2562 พบว่า มีอุบัติการณ์ระหว่าง 8.9 – 17.12 รายต่อแสนประชากร หรือ ประชาชนประมาณ 10,000 รายต่อปี ซึ่งเมื่อทําการวิเคราะห์ประวัติการเจ็บป่วยโดยละเอียดพบว่า ในช่วงเดือนกันยายนของทุกปีมักจะเจ็บป่วยจากการฉีดพ่นพาราควอต (paraquat) จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า มีการเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญในช่วงเวลาที่มีการฉีดพ่นยาฆ่าหญ้าในไร่อ้อยหรือในนาข้าวเป็นจํานวนมากแสดงให้เห็นว่าการใช้ยาฆ่าหญ้าทางการเกษตรมีผลต่อการเจ็บป่วยของประชาชนทั้งในส่วนของเกษตรกรผู้ใช้ ผู้สัมผัสและผู้บริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อนวัตถุอันตรายดังกล่าว รวมทั้งข้อมูลงานวิจัยของคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่พบสารพาราควอตในขี้เทาทารกแรกเกิด ซึ่งจะมีผลต่อการถูกทําลายของต่อมไร้ท่อในลูกอัณฑะทําให้มีอสุจิลดลง และต่อมไทรอยด์ทําให้มีภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ําที่ทําให้เกิดปัญญาอ่อน ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการและภาวะการเจริญเติบโตของเด็กในอนาคต 2. สธ. เห็นว่า การใช้วัตถุอันตรายทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ พาราควอต (paraquat) ไกลโฟเสต (Glyphosate) และคลอร์ไพรีฟอส (Chlorpyriphos) เป็นการก่อให้เกิดโรคจากสิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 จึงมีความจําเป็นที่จะต้องป้องกัน และควบคุมโรคจากสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชนที่ได้รับหรืออาจได้รับมลพิษ จึงเห็นควรยุติการใช้สารเคมีทางการเกษตรทั้ง 3 ชนิด ทันที 20. เรื่อง ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2562 และแนวโน้มปี 2562 – 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2562 และแนวโน้ม ปี 2562 – 2563 ตามที่สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2562 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สามของปี 2562 ขยายตัวร้อยละ 2.4 ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YOY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2562 ขยายตัวจากไตรมาสที่สองของปี 2562 ร้อยละ 0.1 (%QoQ_SA) รวม 9 เดือนแรกของปี 2562 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 2.5 ด้านการใช้จ่าย มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวในเกณฑ์ดีของการบริโภคภาคเอกชน และการเร่งตัวขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายของรัฐบาล ในขณะที่ปริมาณการส่งออกสินค้าลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า การบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวในเกณฑ์ดีร้อยละ 4.2 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 4.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในระดับต่ํารวมทั้งการปรับตัวดีขึ้นของราคาสินค้าเกษตร และการดําเนินมาตรการดูแลผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในไตรมาสนี้ สอดคล้องกับการขยายตัวต่อเนื่องของเครื่องชี้ด้านการใช้จ่ายสําคัญ ๆ โดยเฉพาะดัชนีปริมาณการใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือน ดัชนีปริมาณการจําหน่ายน้ํามันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และน้ํามันดีเซล และดัชนีปริมาณการนําเข้าสินค้าหมวดสิ่งทอเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งขยายตัวร้อยละ 8.3 ร้อยละ 4.7 และร้อยละ 5.0 ตามลําดับ ในขณะที่ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลปรับตัวลดลงร้อยละ 6.5 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 60.8 เทียบกับระดับ 64.8 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 1.8 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.1 ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 21.0 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 20.5 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) การลงทุนรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.9 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 2.4 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.1 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรที่ขยายตัวร้อยละ 3.1 ในขณะที่การลงทุนในสิ่งก่อสร้างทรงตัว ส่วนการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 เร่งขึ้นจากการเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 5.6 และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 สําหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 21.6 เทียบกับอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 16.8 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 19.9 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน .2 ด้านภาคต่างประเทศ 1.2.1 การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 63,295 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทรงตัว เทียบกับการลดลงร้อยละ 4.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 0.4 และราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าขยายตัว เช่น น้ําตาล (ร้อยละ 5.1) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ร้อยละ 0.3) รถกระบะและรถบรรทุก (ร้อยละ 0.5) รถจักรยานยนต์ (ร้อยละ 19.5) เครื่องปรับอากาศ (ร้อยละ 4.0) และผลไม้ (ร้อยละ 41.4) เป็นต้น กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าลดลง เช่น ข้าว (ลดลงร้อยละ 35.1) มันสําปะหลัง (ลดลงร้อยละ 27.3) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 3.9) แผงวงจรรวมและชิ้นส่วน (ลดลงร้อยละ 8.4) เครื่องจักรและอุปกรณ์ (ลดลงร้อยละ 7.2) ผลิตภัณฑ์ยาง (ลดลงร้อยละ 14.2) รถยนต์นั่ง (ลดลงร้อยละ 4.4) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ลดลงร้อยละ 10.6) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 29.3) และเคมีภัณฑ์ (ลดลงร้อยละ 18.8) เป็นต้น การนําเข้าสินค้า มีมูลค่า 55,333 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลง ร้อยละ 6.8 (ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สาม) เทียบกับการลดลงร้อยละ 3.4 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการนําเข้าลดลงร้อยละ 6.6 เทียบกับการลดลงร้อยละ 3.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงของปริมาณการนําเข้าในหมวดวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางร้อยละ 3.8 สอดคล้องกับการลดลงของการส่งออก ขณะที่ราคานําเข้าปรับตัวลดลง ร้อยละ 0.2 เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.1 ในไตรมาสก่อนหน้า 1.3 ด้านการผลิต การผลิตสาขาเกษตรกรรมกลับมาขยายตัว การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวเร่งขึ้น การผลิตสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวต่อเนื่อง ในขณะที่การผลิตสาขาการขายส่ง การขายปลีก และการซ่อมฯ สาขาก่อสร้าง และสาขาไฟฟ้า ก๊าซฯ ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนสาขาอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ขยายตัวร้อยละ 1.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.3 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรร้อยละ 1.1 โดยผลผลิตสินค้าเกษตรสําคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา (ร้อยละ 5.9) มันสําปะหลัง (ร้อยละ 6.9) และปาล์มน้ํามัน (ร้อยละ 10.8) เป็นต้น ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสําคัญที่ลดลง เช่น ข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 6.3) และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ลดลงร้อยละ 5.2) เป็นต้น ด้านหมวดประมงขยายตัวร้อยละ 5.1 ในขณะที่หมวดปศุสัตว์ลดลงร้อยละ 1.0 ดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.1 ในไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือก (ร้อยละ 9.9) ราคาสุกร (ร้อยละ 15.9) และราคากลุ่มไม้ผล (ร้อยละ 5.7) เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของทั้งดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 สาขาการผลิตอุตสาหกรรม ปรับตัวลดลงร้อยละ 1.5 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 0.2 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและมาตรการกีดกันทางการค้า โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 – 60 และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ลดลงร้อยละ 5.9 และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ลดลงร้อยละ 2.3 อัตราการใช้กําลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 65.0 ลดลงจากร้อยละ 65.6 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 68.7 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสําคัญ ๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 6.3) การผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 7.4) และการผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ (ลดลงร้อยละ 18.2) เป็นต้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสําคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การต้ม การกลั่น และการผสมสุรา (ร้อยละ 36.1) การผลิตพลาสติกและยาง (ร้อยละ 3.8) และการผลิตสัตว์น้ําและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ําสด แช่เย็นหรือแช่แข็ง (ร้อยละ 10.3) เป็นต้น สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ขยายตัวในเกณฑ์สูงร้อยละ 6.6 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.7 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวในเกณฑ์สูงของจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยในไตรมาสนี้มีจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 9.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.2 ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว 738.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 2.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ประกอบด้วย (1) รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 476.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 โดยรายรับจากนักท่องเที่ยวจากประเทศสําคัญที่ยังขยายตัวสูงประกอบด้วย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน เป็นต้น และ (2) รายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย 261.8 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.0 อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 64.08 ลดลงจากร้อยละ 69.83 ในไตรมาสก่อนหน้า และลดลงจากร้อยละ 65.38 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ขยายตัวร้อยละ 2.5 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวเร่งขึ้นของบริการขนส่งผู้โดยสาร เป็นสําคัญ โดยบริการขนส่งทางบกและท่อลําเลียงขยายตัวร้อยละ 4.2 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 3.8 ในไตรมาสก่อนหน้า และบริการขนส่งทางอากาศขยายตัวร้อยละ 2.5 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.2 ในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่บริการขนส่งทางน้ําลดลงร้อยละ 3.0 ส่วนบริการสนับสนุนการขนส่งและบริการไปรษณีย์ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 3.9 และร้อยละ 1.6 ตามลําดับ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 1.1 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.6 บัญชีเดินสะพัดเกินดุล 9.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (2.8 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 6.8 ของ GDP เงินทุนสํารองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ 220.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 มีมูลค่าทั้งสิ้น 6,902 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40.9 ของ GDP แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2562 เศรษฐกิจไทยปี 2562 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.6 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้า จะลดลงร้อยละ 2.0 การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 4.3 และร้อยละ 2.7 ตามลําดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.8 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 6.2 ของ GDP แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2563 เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.7 – 3.7 โดยมีแรงสนับสนุนสําคัญประกอบด้วย (1) แนวโน้มการขยายตัวในเกณฑ์ที่น่าพอใจของอุปสงค์ภายในประเทศทั้งในด้านการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และการลงทุนภาครัฐและเอกชน (2) การปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ของการส่งออกภายใต้แนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจโลก และการปรับตัวของภาคการส่งออกต่อมาตรการกีดกันทางการค้าที่จะมีความชัดเจนมากขึ้น (3) การดําเนินมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ และ (4) การปรับตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ 2.3 การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 3.7 และร้อยละ 4.8 ตามลําดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 0.5 – 1.5 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 5.6 ของ GDP โดยรายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2563 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้ 3.1 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคและบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.7 ชะลอลงจากร้อยละ 4.3 ในปี 2562 โดยเป็นการชะลอตัวจากฐานการขยายตัวสูงโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งการบริโภคในหมวดสินค้าคงทนประเภทรถยนต์ที่มีการขยายตัวสูง อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ํา และการดําเนินนโยบายของภาครัฐเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกร การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.6 เร่งขึ้นจากร้อยละ 2.2 ในปี 2562 สอดคล้องกับกรอบวงเงินงบรายจ่ายประจําภายใต้งบประมาณประจําปีงบประมาณ 2563 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากปีงบประมาณ 2562 EEC) รวมทั้งการลงทุนภายใต้โครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) และแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการ กีดกันทางการค้าที่มีความรุนแรงมากขึ้นตลอดช่วงปี 2562 ภายใต้การดําเนินมาตรการสนับสนุนการลงทุน ของภาครัฐเพื่อรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนที่มีความชัดเจนมากขึ้น 3.3 มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.3 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 2.0 ในปี 2562 โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.4 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 2.3 ในปี 2562 ตามแนวโน้มการขยายตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกและการปรับตัวของการส่งออกต่อมาตรการกีดกันทางการค้า ที่มีแนวโน้มชัดเจนมากขึ้น เมื่อรวมกับการส่งออกบริการที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง จากครึ่งหลังของปี 2562 ตามแนวโน้มการขยายตัวเร่งขึ้นของรายรับและจํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ คาดว่าจะส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.4 ในปี 2562 ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2562 และปี 2563 การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2562 และปี 2563 ควรให้ความสําคัญกับ 4.1 การขับเคลื่อนการส่งออกให้สามารถขยายตัวได้ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 3.0 โดยให้ความสําคัญกับ (1) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากมาตรการกีดกันทางการค้า (2) การให้ความช่วยเหลือผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบผ่านความเชื่อมโยงของห่วงโซ่การผลิต (3) การปฏิบัติตามกรอบกติกาการค้าโลก ข้อกําหนด และแนวทางปฏิบัติในประเทศคู่ค้า และ (4) การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า โดยเฉพาะกับประเทศที่มีโอกาสใช้ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทิศทางทางการค้า 4.2 การขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้สามารถขยายตัวและสนับสนุนเศรษฐกิจในภาพรวมได้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสําคัญกับการเจาะตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวรายได้สูง การกระจายตลาดนักท่องเที่ยวให้มีความสมดุลมากขึ้น การรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว การป้องกันและแก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศ (PM 2.5) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว การอํานวยความสะดวกและลดปัญหาความแออัดของนักท่องเที่ยว และการรณรงค์ให้นักท่องเที่ยวชาวไทยท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น 4.3 การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐ โดยให้ความสําคัญกับ (1) การเตรียมโครงการให้มีความพร้อมต่อการเบิกจ่ายเมื่องบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 มีผลบังคับใช้ (2) การเร่งรัดอัตราเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปีในปีงบประมาณ 2563 ให้ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 92.3 โดยงบประจํา และงบลงทุน ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 98.0 และร้อยละ 70.0 ตามลําดับ งบเหลื่อมปีไม่ต่ํากว่าร้อยละ 73.0 และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ ไม่ต่ํากว่าร้อยละ 80.0 (3) การเร่งรัดดําเนินโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการเบิกจ่ายจากโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และ (4) การขับเคลื่อนโครงการลงทุนที่มีความสําคัญและจําเป็นต่อการยกระดับศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 4.4 การสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน โดย (1) การขับเคลื่อนการส่งออกเพื่อเพิ่มระดับการใช้กําลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม (2) การผลักดันโครงการลงทุนที่ขอรับและได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนให้มีการลงทุนจริงโดยเร็ว (3) การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการและนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มการใช้กําลังการผลิตและย้ายฐานการผลิตมาประเทศไทย โดยเฉพาะการดําเนินการตามนโยบายการส่งเสริมการลงทุนและมาตรการรองรับการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ (Thailand Plus Package) ของสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (4) การขับเคลื่อนโครงการลงทุนของภาครัฐ และ (5) การเตรียมความพร้อมด้านกําลังแรงงานและคุณภาพแรงงาน 4.5 การดูแลเกษตรกร กําลังแรงงาน ผู้มีรายได้น้อย วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และเศรษฐกิจฐานราก ต่างประเทศ 21. เรื่อง การเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เสนออุทยานธรณีโคราชสมัครเข้ารับการรับรองเป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) โดยส่งใบสมัครในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-30 พฤศจิกายน 2562 และมอบหมายให้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ดําเนินการเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกต่อสํานักเลขาธิการยูเนสโก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ [ขั้นตอนการสมัครเป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกกําหนดให้ผู้สมัครเสนอเอกสารประกอบการสมัครผ่านคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-30 พฤศจิกายน 2562] รายละเอียดของอุทยานธรณีโคราช สรุปดังนี้ ข้อมูลทั่วไป : อุทยานธรณีโคราชครอบคลุมพื้นที่ 5 อําเภอ ได้แก่ อําเภอเมืองนครราชสีมา เฉลิมพระเกียรติ ขามทะเลสอ สูงเนิน และสีคิ้ว รวมเนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ 3,167 ตารางกิโลเมตร ความเหมาะสมในการเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก : มีแหล่งธรณีวิทยาแหล่งธรรมชาติ และแหล่งวัฒนธรรมในพื้นที่อุทยานธรณีโคราชจํานวน 35 แหล่ง ในจํานวนนี้เป็นแหล่งธรณีวิทยาที่มีคุณค่าระดับนานาชาติจํานวน 4 แหล่ง คือ 1) แหล่งอนุรักษ์ไม้กลายเป็นหินสมัยไพลสโตซีนตอนต้นแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความหลากหลายของชนิดและสีสัน 2) แหล่งไดโนเสาร์อิกัวโนดอนต์พันธุ์ใหม่ของโลก 3 สกุล และ 3 ชนิด รวมทั้งเต่าทะเลและจระเข้พันธุ์ใหม่ 1 สกุล 2 ชนิด 3) แหล่งฟอสซิลช้างดึกดําบรรพ์มากที่สุดในโลกที่พบถึง 10 สกุล จาก 55 สกุลที่พบทั่วโลก 4) แหล่งฟอสซิลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอายุ 200,000 ปีที่มีความหลากหลายชนิดที่สุด (15 ชนิด) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้อุทยานธรณีโคราชยังมีลักษณะภูมิประเทศเควสตา (Cuesta) หรือรูปอีโต้ที่มีการยกตัวของที่ราบสูงโคราช โดยเส้นทางเขาเควสตามีระยะทาง 60 กิโลเมตร (ตั้งแต่จุดชมวิวเขายายเที่ยง-ปราสาทหินพนมวัน) โดยมีโบราณสถาน วัฒนธรรม วิถีชุมชน และความหลากหลายทางชีวภาพจํานวนมาก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการเป็นอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก ความพร้อมของพื้นที่ : อุทยานธรณีโคราชมีสถานะเป็นอุทยานธรณีประเทศไทย และคณะกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาและจัดตั้งอุทยานธรณีพิจารณาแล้วเห็นชอบให้ยื่นความจํานงและใบสมัคร เนื่องจากมีความพร้อมในการเสนอเพื่อรับรองให้เป็นอุทยานธรณีโลกจากยูเนสโกทั้งในด้านวิชาการธรณีวิทยา ด้านศักยภาพ และองค์ประกอบตามที่ยูเนสโกกําหนด ประกอบกับการประเมินตนเองตามแนวทางของยูเนสโกของอุทยานธรณีโคราชได้ผ่านเกณฑ์กําหนดแล้ว โดยมีผลการประเมิน ร้อยละ 84 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอให้อุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก(UNESCO Global Geoparks) ตามความต้องการของจังหวัดนครราชสีมา และให้คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ดําเนินการเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกต่อสํานักเลขาธิการยูเนสโก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยส่งใบสมัครในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-30 พฤศจิกายน 2562 ทั้งนี้ ประเทศที่เป็นสมาชิกของอุทยานธรณีโลกของยูเนสโกจะต้องชําระค่าสมาชิกปีละ 1,500 ยูโร หรือประมาณ 56,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการประเมินอุทยานธรณีโคราชในภาคสนามและค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมการประชุมเครือข่ายอุทยานธรณีโลกและเครือข่ายอุทยานธรณีในระดับภูมิภาคเชียแปซิฟิกด้วย ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2562 ให้ ทส. รับเรื่องนี้ไปพิจารณาว่า การเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก (UNESCO Global Geoparks) จะมีผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคตหรือไม่ ทั้งนี้ ทส. ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น จังหวัดนครราชสีมาและคณะกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาและจัดตั้งอุทยานธรณีพิจารณาทบทวนการเสนอให้อุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก สรุปได้ว่า การเสนออุทยานธรณีโคราชเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก ไม่มีผลกระทบหรือก่อให้เกิดข้อจํากัดในการเข้าใช้ประโยชน์ บริหารจัดการหรือดําเนินการใดๆ ในพื้นที่ดังกล่าวในอนาคตต่อหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาชนเจ้าของพื้นที่ 22. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (MOU between The Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation of the Kingdom of Thailand and The Ministry of Science and ICT of the Republic of Korea on Cooperation in Science, Technology and Innovation) คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่าง อว. แห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําของร่างบันทึกความเข้าใจ ฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสําคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้ อว. หารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อพิจารณาดําเนินการในเรื่องนั้นๆ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และมอบหมายให้ กต. จัดทําหนังสือมอบอํานาจเต็มให้แก่ผู้ลงนาม ตามที่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอ (บันทึกความเข้าใจ ฯ จะมีการลงนามในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีสมัยพิเศษ ระหว่างวันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2562 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี) เดิมประเทศไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี ได้มีการทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและการวางแผนอนาคตแห่งสาธารณรัฐเกาหลี โดยได้มีการลงนามเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2559 ต่อมาทั้งสองฝ่ายได้มีการปรับเปลี่ยนชื่อหน่วยงานและขอบเขตความรับผิดชอบ จึงเห็นพ้องกันให้มีการปรับและทบทวนเอกสารบันทึกความเข้าใจดังกล่าว โดยสาระสําคัญส่วนใหญ่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ มีการปรับในส่วนของหน่วยงานที่รับผิดชอบและปรับเพิ่มสาขาความร่วมมือให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เช่น สาขาชีววิทยาศาสตร์ สารสนเทศทางปัญญา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านอาหาร การบินและอวกาศ โดยจะมีการร่วมวิจัยและพัฒนา แลกเปลี่ยนนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัย ร่วมจัดประชุม ฝึกอบรม สัมมนา การจัดพิมพ์และแสดงนิทรรศการของโครงการร่วม 23. เรื่อง ร่างอนุสัญญาโลกว่าด้วยการรับรองคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา (Global Convention on the Recognition of Qualifications concerning Higher Education) คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบต่อร่างอนุสัญญาโลกว่าด้วยการรับรองคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา (Global Convention on the Recognition of Qualifications concerning Higher Education) (ร่างอนุสัญญาฯ) และอนุมัติให้คณะผู้แทนไทยที่จะเข้าร่วมการประชุมเต็มคณะของการประชุมสมัยสามัญขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ครั้งที่ 40 [40th Session of The United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization’s (UNESCO) General Conference] ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-27 พฤศจิกายน 2562 ณ สํานักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ให้ความเห็นชอบต่อร่างอนุสัญญาโลก ฯ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอ (คาดว่าจะมีการให้ความเห็นชอบต่อร่างอนุสัญญาฯ ในการประชุมสมัยสามัญ ฯ ครั้งที่ 40 ระหว่างวันที่ 12-27 พฤศจิกายน 2562 ณ สํานักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส) สาระสําคัญร่างอนุสัญญาฯ แบ่งออกเป็น 6 หมวด (25มาตรา) ประกอบด้วย หมวดที่ 1 นิยามศัพท์ หมวดที่ 2 วัตถุประสงค์ หมวดที่ 3 หลักการพื้นฐานในการรับรองคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา หมวดที่ 4 ข้อผูกพันที่รัฐภาคีมีต่ออนุสัญญาฯ หมวดที่ 5 กรอบการนําอนุสัญญา ฯ ไปปฏิบัติและความร่วมมือ และหมวดที่ 6 บทส่งท้าย ทั้งนี้ ร่างอนุสัญญาฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาคด้วยการเปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนและเคลื่อนย้ายนักศึกษาและบุคลากรทั่วโลกในการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมในการรับรองคุณวุฒิการศึกษาระดับอุดมศึกษาเพื่อนําไปใช้ในการศึกษาต่อหรือเพื่อการมีงานทํา รวมทั้งสนับสนุนโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้แก่ทุกคนซึ่งรวมถึงผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นด้วย 24. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ค.ศ. 1989 คณะรัฐมนตรีอนุมัติการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ค.ศ. 1989 โดยขอตั้งข้อสงวนตามข้อ 30 (เอ) ในเรื่องขอบเขตการใช้บังคับให้อนุสัญญา ฯ ไม่ใช้บังคับบริเวณน่านน้ําภายในของประเทศไทย ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 5 (1) ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล พ.ศ. 2550 และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ดําเนินการยื่นตราสาร การภาคยานุวัติ (Instrument of Accession) อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ค.ศ. 1989 ต่อเลขาธิการองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ ตามข้อ 28 ของอนุสัญญาฯ ต่อไป หลังจากที่รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ [คาดว่าจะมีการยื่นตราสารภาคยานุวัติเพื่อเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ ในช่วงการประชุมสมัชชาสมัยสามัญ ครั้งที่ 31 ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 2562 ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ) จะทําหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว] อนุสัญญา ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการช่วยเหลือกู้ภัยโดยกําหนดหน้าที่ให้แก่ผู้ช่วยเหลือกู้ภัย เจ้าของเรือ และนายเรือ และกําหนดมาตรการจูงใจเป็นเงินตอบแทนให้แก่ผู้ช่วยเหลือกู้ภัย เพื่อมุ่งหวังให้การปฏิบัติการช่วยเหลือกู้ภัยเกิดประสิทธิภาพสูงสุด อันจะนําไปสู่ความสามารถในการลดความสูญเสียที่จะเกิดแก่ชีวิต ตลอดจนบรรเทาความเสียหายที่จะเกิดแก่สิ่งแวดล้อมได้ ในส่วนของการดําเนินการเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ ประเทศไทยได้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล พ.ศ. 2550 เพื่อวางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล การปฏิบัติหน้าที่ในการช่วยเหลือกู้ภัยและสิทธิในการได้รับเงินตอบแทนของ ผู้ช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล เพื่อให้สอดคล้องตามหลักการของอนุสัญญาฯ โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2550 แล้ว ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ คือ การก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้ช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเลและจูงใจให้เกิดการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล ลดความเสียหายที่จะเกิดแก่เรือ ทรัพย์สิน บุคคลบนเรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม อันจะเป็นการช่วยลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ระบบเศรษฐกิจ และยกระดับความน่าเชื่อถือต่อกฎหมายพาณิชนาวีของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ จะเป็นการเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนในการหาเสียงเลือกตั้งคณะมนตรีขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) อีกสมัยหนึ่งในช่วงการประชุมสมัชชาของ IMO เดือนพฤศจิกายน 2562 และจากการที่ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล พ.ศ. 2550 ใช้บังคับอยู่และสอดคล้องกับข้อผูกพันตามอนุสัญญาฯ แล้ว จึงสามารถดําเนินการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ โดยไม่ต้องออกกฎหมายเพื่อรองรับการเป็นภาคีของอนุสัญญาดังกล่าว อย่างไรก็ดี ประเทศไทยจะขอตั้งข้อสงวนตามข้อ 30 (เอ) ในเรื่องขอบเขตการใช้บังคับให้อนุสัญญา ฯ ไม่ใช้บังคับบริเวณน่านน้ําภายในของประเทศไทย (จะใช้บังคับตั้งแต่ทะเลอาณาเขตในระยะ 12 ไมล์ทะเลออกไปจากเส้นฐานเท่านั้น) เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 5 (1) ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการช่วยเหลือกู้ภัยทางทะเล พ.ศ. 2550 ซึ่งสามารถกระทําได้ในขณะที่ยื่นภาคยานุวัติสาร 25. เรื่อง การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 3 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสําหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 3 และเห็นชอบต่อท่าทีของไทยสําหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 3 หากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขท่าทีของไทยฯ ที่มิใช่สาระสําคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณา โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 3 มีกําหนดพิจารณาวาระแรกเพื่อรับรองรายงานและข้อตัดสินใจต่าง ๆ ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 สาระสําคัญ 1. องค์ประกอบคณะผู้แทนไทยที่จะเข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 3 รวมทั้งสิ้น 25 คน ประกอบด้วย (1) อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยฯ (2) ผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะฯ (3) ผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (4) ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม (5) ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข (6) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (7) ผู้แทนกระทรวงพลังงาน (8) ผู้แทนกระทรวงการคลัง และ (9) ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้อนุมัติองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยด้วยแล้ว 2. ท่าทีของไทยสําหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 3 จะสนับสนุนการดําเนินงานให้เป็นไปตามหลักการและจุดมุ่งหมายของอนุสัญญามินามาตะฯ ในการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศและการปล่อยสู่ดินหรือน้ําของปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ สมัยที่ 3 จะพิจารณา 6 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1) ประเด็นด้านเทคนิควิชาการ 2)ประเด็นผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 3) ประเด็นกลไกสนับสนุนทางการเงิน 4) ประเด็นการเสริมสร้างขีดความสามารถ ความช่วยเหลือทางเทคนิค และการถ่ายทอดเทคโนโลยี 5) ประเด็นสนับสนุนการดําเนินงานของอนุสัญญามินามาตะฯ และ 6) ประเด็นอื่น ๆ 26. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสํานักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างสํานักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและสํานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ทั้งนี้ หากมีความจําเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคําของร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่มิใช่สาระสําคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้ สกพอ. สามารถพิจารณาดําเนินการภายใต้หลักการดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง พร้อมทั้งอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวของฝ่ายไทย ตามที่ สกพอ. เสนอ สาระสําคัญ ข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่าง KOTRA และ สกพอ. มีสาระสําคัญ ดังนี้ 1. การสร้างความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการพัฒนาภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมระหว่าง สกพอ. กับ KOTRA เพื่อส่งเสริมการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ระหว่างกัน พร้อมทั้งแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์และทันสมัย ตลอดจนให้การสนับสนุนกันอย่างใกล้ชิด 2. การส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เกษตรกรรมขั้นสูง อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ โลจิสติกส์ อุตสาหกรรมการแพทย์ รวมถึงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ตลอดจนการวิจัยและพัฒนา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีกําหนดเดินทางเยือนสาธารณรัฐเกาหลีในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 25 – 26 พฤศจิกายน 2562 และทั้งสองฝ่ายมีกําหนดลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่าง สกพอ. กับ KOTRA ในโอกาสการพบหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ณ เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี 27. เรื่อง ขออนุมัติกรอบการหารือสําหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ครั้งที่ 26 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบการหารือสําหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ครั้งที่ 26 และเห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ตามประเด็นในกรอบการหารือสําหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ครั้งที่ 26 เพื่อสนับสนุนให้การดําเนินงานและความร่วมมือเป็นไปตามพันธกรณีของความตกลงฯ ตามที่ สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติ เสนอ สาระสําคัญ กรอบการหารือดังกล่าว มีสาระสําคัญเกี่ยวกับการดําเนินงานและความร่วมมือของคณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ภายใต้พันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ําโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2538 ในประเด็นสําคัญได้แก่ 1) แผนปฏิบัติการประจําปี พ.ศ. 2563 – 2564 2) ยุทธศาสตร์การจัดการภัยแล้ง พ.ศ. 2563 – 2568 3) การดําเนินการตามระเบียบปฏิบัติ เรื่อง การแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลง โครงการไฟฟ้าพลังน้ําเขื่อนหลวงพระบาง และ4) ประเด็นอื่นๆ ตามที่ประเทศสมาชิกเห็นชอบให้มีการหารือร่วมกันการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ําโขง ครั้งที่ 26 จะจัดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 25 – 27 พฤศจิกายน 2562 28. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และ ร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 6 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 6 โดยหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดผลประโยชน์ต่อประเทศไทย ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดําเนินการได้ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก และหลังจากนั้นให้รายงานผลเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 6 ตามที่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ สาระสําคัญและข้อเท็จจริง 1. ร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 มีสาระสําคัญ ดังนี้ 1.1 การพัฒนาสวัสดิการสังคมเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2568 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (เอสดีจี) ยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่มีต่อวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2568 และความเชื่อมโยงของวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2568 กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พ.ศ. 2573 และยอมรับถึงความสําคัญของการดําเนินงานแบบพหุภาคีและพหุมิติในการขับเคลื่อนวาระด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาทั้งในระดับภูมิภาค ประเทศ และชุมชน 1.2 การส่งเสริมสวัสดิการสังคมและการพัฒนาที่มีพลวัต ยืนยันถึงบทบาทของสวัสดิการสังคมและการพัฒนาในการขจัดความยากจน เสริมพลังประชาชนและในการลดผลกระทบของการชะลอตัวด้านเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม 1.3 การบูรณาการสิทธิคนพิการ รับทราบรายงานความก้าวหน้าในการดําเนินการตามแผนแม่บทอาเซียน พ.ศ. 2568 เพื่อบูรณาการสิทธิคนพิการ และยอมรับถึงความจําเป็นเร่งด่วนในการเปลี่ยนการดําเนินงานจากฐานการสงเคราะห์ไปสู่การดําเนินการเสริมพลังฐานสิทธิในนโยบายและแผนงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ 1.4 การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและเด็ก รับทราบเกี่ยวกับความสําเร็จในการดําเนินการตามแผนงานของคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก พ.ศ. 2559 – 2563 และการรับรองเอกสารผลลัพธ์สําคัญโดยผู้นําอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 ซึ่งประกอบด้วย ปฏิญญาว่าด้วยการคุ้มครองเด็กจากการแสวงหาผลประโยชน์ในสื่อออนไลน์ในอาเซียน ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิของเด็กในบริบทของการโยกย้ายถิ่นฐาน แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการยืนยันคํามั่นในความก้าวหน้าการดําเนินงานสิทธิเด็กในอาเซียน 2. ร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและ การพัฒนา ครั้งที่ 6 มีสาระสําคัญ ดังนี้ 2.1 การเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2568 และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (เอสดีจี) โดยพิจารณาถึงความคืบหน้าของการเป็นหุ้นส่วนระหว่างอาเซียนและประเทศอาเซียนบวกสามในการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ เด็ก คนพิการ และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสอื่น ๆ ในภูมิภาค 2.2 ความร่วมมือในประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามในประเด็นด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา รับทราบผลการพิจารณาของการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 12 ณ กรุงย่างกุ้ง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 13 ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ชื่นชมและยินดีต่อการสนับสนุนของสาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี ในด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา และมุ่งหวังต่อการเสริมสร้างความร่วมมือในการเสริมพลังผู้สูงอายุในอาเซียน ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย จะรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 10 และร่างแถลงการณ์ร่วมสําหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 6 ในวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2562 และวันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562 ตามลําดับ 29. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีสมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสาร จํานวน 2 ฉบับ ได้แก่ 1) ร่างถ้อยแถลงวิสัยทัศน์ร่วมของอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีเพื่อสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นหุ้นส่วน 2) ร่างถ้อยแถลงประธานร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลีสมัยพิเศษ และหากมีความจําเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก รวมทั้งให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองและออกเอกสารทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สาระสําคัญของร่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งจะมีการเสนอให้ที่ประชุมรับรองและออกระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 สรุปได้ดังนี้ 1. ร่างถ้อยแถลงวิสัยทัศน์ร่วมของอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลีเพื่อสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นหุ้นส่วน เพื่อทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐเกาหลีในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาและเสนอวิสัยทัศน์ร่วมของความสัมพันธ์อาเซียนกับสาธารณรัฐเกาหลีในอีก 30 ปีข้างหน้าเกี่ยวกับ (1) การพัฒนาการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐเกาหลีในอนาคต (2) การส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค (3) การเสริมสร้างการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (4) การเสริมสร้างความเชื่อมโยง (5) การส่งเสริมความยั่งยืนและความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม และ (6) การเสริมสร้างการเป็นหุ้นส่วนด้านสังคมและวัฒนธรรม 2. ร่างถ้อยแถลงประธานร่วมของการประชุมสุดยอดอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลีสมัยพิเศษ เพื่อเป็นเอกสารที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ของการประชุมฯ ที่จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือของอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลี ทั้งด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคมและวัฒนธรรม ในโอกาสครบรอบ 30 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี โดยที่การประชุมสุดยอดอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี สมัยพิเศษ ครั้งที่ 3 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 26 พฤศจิกายน 2562 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี 30. เรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาแม่น้ําโขง-แม่น้ําฮัน และหากมีความจําเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสําคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดําเนินการได้โดยไม่ต้องนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง โดยให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ร่วมให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สาระสําคัญของเรื่อง ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของผู้นําประเทศสมาชิกในการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี โดยร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ให้ความสําคัญกับประเด็น ดังนี้ 1. ทบทวนความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลี และติดตามผลลัพธ์ของการดําเนินการตามปฏิญญาแม่น้ําฮันเพื่อสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนที่ครอบคลุมเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันของลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี และแผนปฏิบัติการกรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลี 2. ทิศทางความร่วมมือลุ่มน้ําโขง-สาธารณรัฐเกาหลีในอนาคต และปรับสาขาความร่วมมือให้สอดคล้องกับนโยบายมุ่งใต้ใหม่ (New Southern Policy) ของสาธารณรัฐเกาหลีและกระแสการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาค บน 3 เสาหลักใหม่ ประกอบด้วย ประชาชน ความเจริญรุ่งเรือง และสันติภาพ และมีความร่วมมือใน 7 สาขาใหม่ ได้แก่ (1) วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว (2) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (3) การพัฒนาชนบทและเกษตรกรรม (4) โครงสร้างพื้นฐาน (5) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (6) สิ่งแวดล้อม (7) ความท้าทายต่อความมั่นคงรูปแบบใหม่ 3. ย้ําเจตนารมณ์ที่ให้ความสําคัญกับ (1) การขับเคลื่อนความร่วมมือที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ผ่านความร่วมมือเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ความร่วมมือทางวัฒนธรรมและการแลกเปลี่ยนในระดับประชาชน (2) ความเจริญรุ่งเรืองจากการแบ่งปันประสบการณ์ด้านต่าง ๆ อาทิ การเกษตรและการพัฒนาชนบท การสร้างความเชื่อมโยงในภูมิภาค ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การส่งเสริมความร่วมมือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs (3) การสร้างสันติภาพเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อปกป้องและรักษาสิ่งแวดล้อมของภูมิภาคผ่านความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา การบริหารจัดการป่าไม้และโครงสร้างพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อจัดการกับปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาชญากรรมข้ามชาติ และการกําจัดทุ่นระเบิด โดยใช้กลไกของกรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ตลอดจนกรอบความร่วมมือที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ําโขงอื่น ๆ อาทิ กรอบความร่วมมือ ACMECS ทั้งนี้ จะมีการรับรองเอกสาร ในการประชุมผู้นํากรอบความร่วมมือลุ่มน้ําโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ณ นครปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี แต่งตั้ง 31. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และผู้ช่วยโฆษกของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน และกระทรวงยุติธรรม คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และผู้ช่วยโฆษก รวม 7 ตําแหน่ง ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงพลังงาน (พน.) และกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ ดังนี้ รายชื่อ ตําแหน่ง ได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็น คําสั่งอ้างอิง กระทรวงมหาดไทย นายสมคิด จันทมฤก รองปลัด มท. โฆษก มท. คําสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 2214/2562 ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2562 เรื่อง แต่งตั้งโฆษก รองโฆษก และผู้ช่วยโฆษก กระทรวงมหาดไทย นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ตรวจราชการ มท. รองโฆษก มท. นายทรงกลด สว่างวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ช่วยราชการสํานักงานปลัด มท. ผู้ช่วยโฆษก มท. นายชานน วาสิกศิริ ผู้ช่วยปลัด มท. ผู้ช่วยโฆษก มท. กระทรวงพลังงาน นายวัชระ กรรณิการ์ ข้าราชการการเมือง ตําแหน่งประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โฆษก พน. คําสั่งกระทรวงพลังงาน ที่ 30/2562 ลงวันที่ 12 กันยายน 2562 เรื่อง แต่งตั้งโฆษกระทรวงพลังงาน กระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว ผู้อํานวยการสํานักงานกิจการยุติธรรม โฆษก ยธ. คําสั่งกระทรวงยุติธรรม ที่ 281/2562 ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 เรื่อง แต่งตั้งคณะทํางานโฆษกกระทรวงยุติธรรม พันตํารวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ รองปลัด ยธ. รองโฆษก ยธ. 32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นางอุษามาศ ร่วมใจ ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กรมสรรพสามิต ให้ดํารงตําแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรงคุณวุฒิ) สํานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ รวม 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้ 1. นางวิกุล วิสาลเสสถ์ ทันตแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านทันตสาธารณสุข) กรมอนามัย ดํารงตําแหน่ง ทันตแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านทันตสาธารณสุข) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2562 2. นายสมพงษ์ ชัยโอภานนท์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กรมอนามัย ดํารงตําแหน่ง นักวิชาการสาธารณสุขทรงคุณวุฒิ (ด้านโภชนาการ) กรมอนามัย ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2562 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป 34. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก รวม 2 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิม ที่ดํารงตําแหน่งครบวาระสี่ปี เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2562 ดังนี้ 1. นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการ 2. นางณัฐนันท์ อัศวเลิศศักดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านกฎหมาย) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป 35. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้ง นายปิยะมิตร ศรีธรา เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ แทนตําแหน่งที่ว่าง และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตําแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของประธานกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป 36. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ํา คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ํา รวม 6 คน ดังนี้ 1. นายรอยล จิตรดอน ประธานกรรมการ 2. นายวิชัย อัศรัสกร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3. นายธาดา เตียประเสริฐ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4. นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 5. นายชิดชนก เหลือสินทรัพย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 6. นางสาวสิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป 37. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้ง รองศาสตราจารย์จักรพันธ์ วิลาสินีกุล ดํารงตําแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร แทนผู้ที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป .................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/24674
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสัมมนา เรื่อง การคุ้มครองเงินฝากและการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ให้กับประชาชน ภาคธุรกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 6/2561
วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561 การสัมมนา เรื่อง การคุ้มครองเงินฝากและการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ให้กับประชาชน ภาคธุรกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 6/2561 การคุ้มครองเงินฝากและการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินให้กับประชาชน ภาคธุรกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดยสํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงินได้จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561 นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนา เรื่อง การคุ้มครองเงินฝากและการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินให้กับประชาชน ภาคธุรกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดยสํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงินได้จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561 เวลา 08.15 – 15.30 น. ณ ห้องเรืองราษฎร์รังสรรค์ โรงแรมทินิดี อําเภอเมือง จังหวัดระนอง ว่า การสัมมนาครั้งนี้เป็นการจัดสัมมนาวิชาการครั้งที่ 6 ในหัวข้อดังกล่าว และเป็นครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ซึ่งก็ยังคงได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมสัมมนาและประสบผลสําเร็จอย่างดียิ่งเช่นเดียวกับเมื่อ 5 ครั้งก่อนที่ผ่านมา ที่ได้จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดนราธิวาส จังหวัดนครนายก จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดเลย สําหรับการสัมมนาในครั้งนี้ มีผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาตามจํานวนเป้าหมาย 200 คน ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย ผู้บริหารหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย สหกรณ์ ผู้ประกอบการและกลุ่มนักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่จังหวัดระนอง โดยนายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของ สศค. ที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจไทยทั้งในส่วนของนโยบายด้านการคลัง นโยบายด้านภาษี นโยบายทางด้านการเงิน นโยบายด้านการออมและการลงทุน และนโยบายด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ พร้อมทั้งได้กล่าวถึงตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ที่ในปี 2560 ได้ขยายตัวในอัตราร้อยละ 3.9 เป็นไปตามประมาณการที่คาดการณ์ไว้ของ สศค. ในขณะที่ตัวเลขการขยายตัวของ GDP ปี 2561 สศค. คาดการณ์ว่า จะมีอัตราการเติบโตได้สูงถึงร้อยละ 4.5 การสัมมนาภาคเช้า หัวข้อ “ครบถ้วนทุกมิติความรู้และความคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน” โดยวิทยากรประกอบด้วย นางปิยาภรณ์ โพธิ์กลิ่น ผู้ช่วยผู้อํานวยการ สายกลยุทธ์ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก นายวงศ์วริศ ดุลยนิติโกศล รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จํากัด และนายสุรศักดิ์ สุพรรณพงศ์ ผู้ชํานาญการ (ด้านกํากับธุรกิจ Non-Bank และรับเรื่องร้องเรียน) ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีนายอมรศักดิ์ มาลา เศรษฐกรชํานาญการ ส่วนนโยบายคุ้มครองเงินฝาก สํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สศค. ทําหน้าที่เป็นผู้ดําเนินรายการ สาระสําคัญของการสัมมนาในภาคเช้าจะครอบคลุมการขับเคลื่อนนโยบายการคุ้มครองเงินฝากเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสถาบันการเงินในภาพรวม การดําเนินงานในภาพรวมของระบบข้อมูลเครดิต แนวทางในการตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลในกรณีที่ข้อมูลเครดิตไม่ถูกต้อง การคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน สิทธิและหน้าที่ของผู้ใช้บริการทางการเงิน ภัยทางการเงิน รวมถึงแนวทางการร้องเรียนของผู้ใช้บริการทางการเงิน การสัมมนาภาคบ่าย ยังคงเป็นการสัมมนาหัวข้อ “ครบถ้วนทุกมิติความรู้และการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน (ต่อเนื่องจากภาคเช้า)” โดยภาคบ่ายได้แบ่งการสัมมนาออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก เป็นการบรรยายให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องระบบการประกันภัย โดยวิทยากร นายรติ พิมพ์สมาน ผู้เชี่ยวชาญสายกฎหมายและคดี สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ซึ่งสาระสําคัญมีการกล่าวถึงวิวัฒนาการของระบบประกันภัยไทยที่ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการส่งเสริมการทําประกันภัย 200 บาท (Micro Insurance) ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันภัยราคาย่อมเยาเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนในทุกระดับสามารถเข้าถึงระบบการประกันภัยได้อย่างทั่วถึง ส่วนช่วงที่สอง เป็นการบรรยายเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องตลาดทุน โดยวิทยากร นางสาวปิยาภรณ์ ครองจันทร์ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งสาระสําคัญเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการออมและการลงทุนของประชาชนไทยเพื่อวัตถุประสงค์ในการเก็บออมเงินไว้ใช้จ่ายในวัยเกษียณและการให้ความรู้เกี่ยวกับตลาดทุนที่เป็นกลไกสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยทั้ง 2 ช่วงดําเนินรายการโดยนางสาวเมวลี เทียมเทศ เศรษฐกรปฏิบัติการ ส่วนนโยบายการประกันภัย สํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน โดยสรุป การสัมมนาทั้ง 2 ช่วง เป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน อันจะสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนและระบบเศรษฐกิจในภาพรวม นอกจากนี้ เมื่อวันพุธที่ 15 สิงหาคม 2561 เวลา 12.30 – 16.00 น. สศค. ยังได้จัดกิจกรรมโครงการการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการคุ้มครองเงินฝากและการบริหารจัดการทางการเงินแก่เยาวชนให้กับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนพิชัยรัตนาคาร อําเภอเมือง จังหวัดระนอง จํานวน 121 คน ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจและได้รับข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากนักเรียน ผู้บริหาร และคณาจารย์ที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นอย่างมาก รายละเอียดผลการสัมมนา สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ www.fpo.go.th สํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3692 – 3
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การสัมมนา เรื่อง การคุ้มครองเงินฝากและการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ให้กับประชาชน ภาคธุรกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 6/2561 วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561 การสัมมนา เรื่อง การคุ้มครองเงินฝากและการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ให้กับประชาชน ภาคธุรกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 6/2561 การคุ้มครองเงินฝากและการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินให้กับประชาชน ภาคธุรกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดยสํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงินได้จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561 นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นประธานกล่าวเปิดการสัมมนา เรื่อง การคุ้มครองเงินฝากและการคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินให้กับประชาชน ภาคธุรกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดยสํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงินได้จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2561 เวลา 08.15 – 15.30 น. ณ ห้องเรืองราษฎร์รังสรรค์ โรงแรมทินิดี อําเภอเมือง จังหวัดระนอง ว่า การสัมมนาครั้งนี้เป็นการจัดสัมมนาวิชาการครั้งที่ 6 ในหัวข้อดังกล่าว และเป็นครั้งสุดท้ายของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ซึ่งก็ยังคงได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมสัมมนาและประสบผลสําเร็จอย่างดียิ่งเช่นเดียวกับเมื่อ 5 ครั้งก่อนที่ผ่านมา ที่ได้จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย จังหวัดนราธิวาส จังหวัดนครนายก จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดเลย สําหรับการสัมมนาในครั้งนี้ มีผู้สนใจเข้าร่วมการสัมมนาตามจํานวนเป้าหมาย 200 คน ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาประกอบด้วย ผู้บริหารหน่วยงานราชการส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัย สหกรณ์ ผู้ประกอบการและกลุ่มนักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่จังหวัดระนอง โดยนายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของ สศค. ที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจไทยทั้งในส่วนของนโยบายด้านการคลัง นโยบายด้านภาษี นโยบายทางด้านการเงิน นโยบายด้านการออมและการลงทุน และนโยบายด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ พร้อมทั้งได้กล่าวถึงตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ที่ในปี 2560 ได้ขยายตัวในอัตราร้อยละ 3.9 เป็นไปตามประมาณการที่คาดการณ์ไว้ของ สศค. ในขณะที่ตัวเลขการขยายตัวของ GDP ปี 2561 สศค. คาดการณ์ว่า จะมีอัตราการเติบโตได้สูงถึงร้อยละ 4.5 การสัมมนาภาคเช้า หัวข้อ “ครบถ้วนทุกมิติความรู้และความคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน” โดยวิทยากรประกอบด้วย นางปิยาภรณ์ โพธิ์กลิ่น ผู้ช่วยผู้อํานวยการ สายกลยุทธ์ สถาบันคุ้มครองเงินฝาก นายวงศ์วริศ ดุลยนิติโกศล รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จํากัด และนายสุรศักดิ์ สุพรรณพงศ์ ผู้ชํานาญการ (ด้านกํากับธุรกิจ Non-Bank และรับเรื่องร้องเรียน) ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีนายอมรศักดิ์ มาลา เศรษฐกรชํานาญการ ส่วนนโยบายคุ้มครองเงินฝาก สํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สศค. ทําหน้าที่เป็นผู้ดําเนินรายการ สาระสําคัญของการสัมมนาในภาคเช้าจะครอบคลุมการขับเคลื่อนนโยบายการคุ้มครองเงินฝากเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสถาบันการเงินในภาพรวม การดําเนินงานในภาพรวมของระบบข้อมูลเครดิต แนวทางในการตรวจสอบและแก้ไขข้อมูลในกรณีที่ข้อมูลเครดิตไม่ถูกต้อง การคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน สิทธิและหน้าที่ของผู้ใช้บริการทางการเงิน ภัยทางการเงิน รวมถึงแนวทางการร้องเรียนของผู้ใช้บริการทางการเงิน การสัมมนาภาคบ่าย ยังคงเป็นการสัมมนาหัวข้อ “ครบถ้วนทุกมิติความรู้และการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน (ต่อเนื่องจากภาคเช้า)” โดยภาคบ่ายได้แบ่งการสัมมนาออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก เป็นการบรรยายให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องระบบการประกันภัย โดยวิทยากร นายรติ พิมพ์สมาน ผู้เชี่ยวชาญสายกฎหมายและคดี สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ซึ่งสาระสําคัญมีการกล่าวถึงวิวัฒนาการของระบบประกันภัยไทยที่ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงการส่งเสริมการทําประกันภัย 200 บาท (Micro Insurance) ซึ่งเป็นกรมธรรม์ประกันภัยราคาย่อมเยาเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนในทุกระดับสามารถเข้าถึงระบบการประกันภัยได้อย่างทั่วถึง ส่วนช่วงที่สอง เป็นการบรรยายเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องตลาดทุน โดยวิทยากร นางสาวปิยาภรณ์ ครองจันทร์ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งสาระสําคัญเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับการออมและการลงทุนของประชาชนไทยเพื่อวัตถุประสงค์ในการเก็บออมเงินไว้ใช้จ่ายในวัยเกษียณและการให้ความรู้เกี่ยวกับตลาดทุนที่เป็นกลไกสําคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยทั้ง 2 ช่วงดําเนินรายการโดยนางสาวเมวลี เทียมเทศ เศรษฐกรปฏิบัติการ ส่วนนโยบายการประกันภัย สํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน โดยสรุป การสัมมนาทั้ง 2 ช่วง เป็นการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน อันจะสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนและระบบเศรษฐกิจในภาพรวม นอกจากนี้ เมื่อวันพุธที่ 15 สิงหาคม 2561 เวลา 12.30 – 16.00 น. สศค. ยังได้จัดกิจกรรมโครงการการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการคุ้มครองเงินฝากและการบริหารจัดการทางการเงินแก่เยาวชนให้กับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนพิชัยรัตนาคาร อําเภอเมือง จังหวัดระนอง จํานวน 121 คน ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจและได้รับข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์จากนักเรียน ผู้บริหาร และคณาจารย์ที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นอย่างมาก รายละเอียดผลการสัมมนา สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ www.fpo.go.th สํานักนโยบายระบบการคุ้มครองผลประโยชน์ทางการเงิน สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3692 – 3
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14659
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชี้แจง การเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ เป็นไปตามข้อกำหนด พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ยืนยันการใช้เงินโครงการใด ๆ ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ตรวจสอบตามขั้นตอนต่าง ๆ
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563 นายกรัฐมนตรีชี้แจง การเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ เป็นไปตามข้อกําหนด พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ยืนยันการใช้เงินโครงการใด ๆ ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ตรวจสอบตามขั้นตอนต่าง ๆ นายกรัฐมนตรีชี้แจง การเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ เป็นไปตามข้อกําหนด พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ยืนยันการใช้เงินโครงการใด ๆ ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ตรวจสอบตามขั้นตอนต่าง ๆ ก่อนคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วันนี้ (4 มิถุนายน 2563) เวลา 13.54 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชี้แจงเกี่ยวกับการเสนอ พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ การปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม พร้อมขอบคุณ ส.ส. สําหรับข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ รัฐบาลสามารถนําไปพิจารณาการใช้จ่ายเงินดังกล่าว ให้สอดคล้องกับบริบทของความเป็นจริงในปัจจุบันที่สถานการณ์โควิดระบาด รวมทั้งวางแผนงานในอนาคตด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวชี้แจงเกี่ยวกับรายจ่ายตามงบประมาณ คือ งบประมาณรายจ่ายของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจประกอบด้วยงบบุคลากร งบดําเนินงาน งบการลงทุน งบเงินอุดหนุน และงบรายจ่ายอื่น ๆ ซึ่งเป็นงบรายจ่ายของราชการเป็นไปตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ การใช้เงินจากงบกลางก็ประกอบด้วยหลายส่วน ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถนํามาบริหารเพียงแค่นายกรัฐมนตรี เพราะรายการรายจ่ายงบกลาง หมายถึงรายจ่ายที่ตั้งไว้ เพื่อสนับสนุนหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจโดยทั่วไป ตามรายการประกอบด้วย 1. เงินเบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ 2. เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ 3. เงินเลื่อนขั้นเงินเดือนและปรับวุฒิข้าราชการ 4. เงินสํารอง เงินสบทบและเงินชดเชยของข้าราชการ 5. เงินสมทบของลูกจ้างประจํา 6. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ 7. เงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น 8. ค่าใช้จ่ายในการรักษาความมั่นคงของประเทศ 9. ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ 10. ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานของรัฐ นอกจากรายการหลักแล้ว อาจยังมีการตั้งรายจ่ายอื่นไว้ในรายจ่ายงบกลางตามความเหมาะสมในแต่ละปี เช่น เงินรางวัลประจําปี เงินขวัญถุง เงินค่าชดเชยในการก่อสร้าง โครงการเปลี่ยนแปลงชีวิตเกษตรกรกําหนด ค่าใช้จ่ายในการชําระหนี้กองทุนหมู่บ้าน ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงส่วนราชการ ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการโอนเงินงบประมาณตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ตามมาตรา 35 นั้น การโอนงบประมาณออกจากกระทรวง ต้องทําเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น และต้องผ่านการพิจารณาจากสภา 3 วาระ และการจัดสรรงบกลางให้กับหน่วยงานที่มีความจําเป็น กรณีฉุกเฉินโดยอํานาจของคณะรัฐมนตรี ดังนั้น การโอนเงินงบประมาณในช่วงที่ผ่านมานั้น ตั้งแต่ปี 2557-2561 จนถึงปัจจุบัน จัดทําเป็นพระราชบัญญัติโอนงบประมาณทั้งสิ้น นายกรัฐมนตรีชี้แจงถึงสําหรับเหตุจัดทํา พ.ร.บ.โอนเงินงบประมาณฯ รวมทั้งการจัดทําร่างพ.ร.ก.กู้เงิน ว่า เพราะต้องเตรียมประมาณการในอนาคตในหลาย ๆ มิติด้วย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องโควิด ซึ่งรัฐบาลได้ประมาณการใช้จ่ายในการเยียวยาดูแลเป็นวงเงินสูงถึง 5.5 หมื่นล้านบาท โดยงบกลาง ที่มีอยู่แล้วเดิม รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นมีไม่เพียงพอ ประกอบกับ พ.ร.ก. กู้เงินฯ สามารถดําเนินการได้เร็วกว่าการจัดทํา พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ ซึ่งเงินทั้งสองก้อนนี้จะต้องเข้ามาอยู่ในกรอบที่รัฐบาลกําหนดว่าจะใช้จ่าย ทั้งการควบคุมโควิด-19 น้ําท่วมและเรื่องอื่น ๆ ที่จําเป็น ซึ่งรายการใดที่ถูกตัดโอนออกในช่วงแรกสามารถขอกลับมาใหม่ได้ เมื่อพร้อมก็เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่ได้ ตามหลักการของงบประมาณ สําหรับความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่มีผลบังคับใช้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ทําให้การจัดซื้อจัดจ้างและการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 เศรษฐกิจโลกชะลอ ภัยแล้งต่าง ๆ จึงต้องโอนหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพื่อป้องกันควบคุมไวรัสโควิด-19 แก้ปัญหาภัยแล้งและน้ําท่วมที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะเวลาต่อไป ตามข้อจํากัดของกฎหมายพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ 61 ไม่สามารถโอนงบประมาณข้ามหน่วยงานได้ ต้องนําเข้ามางบกลางก่อน ถ้าพิจารณากันใหม่ก็จะพิจารณาโดยคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนการเสนองบประมาณปกติ ซึ่งงบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ถูกใช้ไปแล้วและเหลืออยู่ประมาณ 400 กว่าล้านบาท จึงต้องมีการทํา พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ ปี 63 ที่ดําเนินการไม่ได้ ให้โอนกลับมาเพื่อเข้างบกลาง ตามระเบียบวิธีการบริหารงบประมาณตามกฎหมาย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดําเนินการภายใต้กรอบของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังภาครัฐ ได้พิจารณาร่วมกันและมีกฎหมายที่กําหนดชัดเจนว่า จําเป็นต้องปรับสัดส่วนของงบประมาณรวมถึงรายจ่ายงบประมาณชําระเงินคือเงินกู้ด้วย ซึ่งจะพิจารณาสัดส่วนดังกล่าวเฉพาะช่วงเวลาวิกฤต เมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้วให้มีการทบทวนให้เหมาะสมต่อไป กรณีหนี้สาธารณะก็มีคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาอยู่แล้ว ซึ่งการใช้เงินโครงการใด ๆ ก็ตาม ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน นําเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) ตรวจสอบตามขั้นตอนต่าง ๆ ขึ้นมาจนถึงคณะรัฐมนตรีอนุมัติ นายกรัฐมนตรีกล่าวชี้แจงในส่วนของกระทรวงกลาโหมว่า การปรับลดรายจ่ายลงทุน รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ต่ํากว่าร้อยละ 15 อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถปฏิบัติได้ชะลอได้ในปี 2563 หากทําไม่ได้ไม่สําเร็จ เว้นแต่บางเรื่องที่เป็นการผูกพันไปแล้วทําสัญญาไปแล้ว หรือเป็นการตกลงต่าง ๆ ในกรอบของการจัดหาจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่มีกติกาชัดเจนอยู่ ซึ่งได้พยายามผ่อนลดลงทุกอย่าง ส่วนยุทโธปกรณ์ที่ดีนั้นจําเป็นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของทหาร นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ปี 2563 ที่เดิมตั้งไว้ 96,000 ล้านบาทนั้น ใช้ไปแล้ว 95,546 ล้านบาท แบ่งเป็นสําหรับแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด 56,261 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง 18,348 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายด้านเศรษฐกิจและสังคม 11,184 ล้านบาท ค่าบริหารจัดการภาครัฐ 9,752 ล้านบาท คงเหลืองบประมาณ 453.29 ล้านบาท จึงต้องหางบกลางมาเพิ่มเติม โดยการเสนอ พ.ร.ก.กู้เงิน และ พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ เพื่อให้สอดคล้องกับเวลาและเงินที่มีอยู่ เพื่อนําไปแก้ปัญหา นายกรัฐมนตรีย้ําการทํางานต้องมีความโปร่งใส พร้อมจะลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องที่ไปก้าวล่วงส่วนที่ปฏิบัติงาน ขออย่าได้ยุ่งกับระดับล่าง ระดับที่ปฏิบัติตามขั้นตอน หากพบเจ้าหน้าที่ไม่สุจริต ก็มีกลไกตรวจสอบทั้ง สตง. ปปช. ปปท. ขอให้เข้าใจว่า ประชาชนคือคนไทยทั้งประเทศ 60 กว่าล้านคน นายกรัฐมนตรีต้องดูแลคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมโดยสัดส่วนเหมาะสมตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมาย -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชี้แจง การเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ เป็นไปตามข้อกำหนด พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ยืนยันการใช้เงินโครงการใด ๆ ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ตรวจสอบตามขั้นตอนต่าง ๆ วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2563 นายกรัฐมนตรีชี้แจง การเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ เป็นไปตามข้อกําหนด พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ยืนยันการใช้เงินโครงการใด ๆ ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ตรวจสอบตามขั้นตอนต่าง ๆ นายกรัฐมนตรีชี้แจง การเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ เป็นไปตามข้อกําหนด พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ยืนยันการใช้เงินโครงการใด ๆ ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ตรวจสอบตามขั้นตอนต่าง ๆ ก่อนคณะรัฐมนตรีอนุมัติ วันนี้ (4 มิถุนายน 2563) เวลา 13.54 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชี้แจงเกี่ยวกับการเสนอ พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ การปรับลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม พร้อมขอบคุณ ส.ส. สําหรับข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ รัฐบาลสามารถนําไปพิจารณาการใช้จ่ายเงินดังกล่าว ให้สอดคล้องกับบริบทของความเป็นจริงในปัจจุบันที่สถานการณ์โควิดระบาด รวมทั้งวางแผนงานในอนาคตด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวชี้แจงเกี่ยวกับรายจ่ายตามงบประมาณ คือ งบประมาณรายจ่ายของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจประกอบด้วยงบบุคลากร งบดําเนินงาน งบการลงทุน งบเงินอุดหนุน และงบรายจ่ายอื่น ๆ ซึ่งเป็นงบรายจ่ายของราชการเป็นไปตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ การใช้เงินจากงบกลางก็ประกอบด้วยหลายส่วน ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถนํามาบริหารเพียงแค่นายกรัฐมนตรี เพราะรายการรายจ่ายงบกลาง หมายถึงรายจ่ายที่ตั้งไว้ เพื่อสนับสนุนหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจโดยทั่วไป ตามรายการประกอบด้วย 1. เงินเบี้ยหวัด บําเหน็จ บํานาญ 2. เงินช่วยเหลือข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานของรัฐ 3. เงินเลื่อนขั้นเงินเดือนและปรับวุฒิข้าราชการ 4. เงินสํารอง เงินสบทบและเงินชดเชยของข้าราชการ 5. เงินสมทบของลูกจ้างประจํา 6. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดําเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ 7. เงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น 8. ค่าใช้จ่ายในการรักษาความมั่นคงของประเทศ 9. ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ 10. ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง พนักงานของรัฐ นอกจากรายการหลักแล้ว อาจยังมีการตั้งรายจ่ายอื่นไว้ในรายจ่ายงบกลางตามความเหมาะสมในแต่ละปี เช่น เงินรางวัลประจําปี เงินขวัญถุง เงินค่าชดเชยในการก่อสร้าง โครงการเปลี่ยนแปลงชีวิตเกษตรกรกําหนด ค่าใช้จ่ายในการชําระหนี้กองทุนหมู่บ้าน ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงส่วนราชการ ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุม ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการโอนเงินงบประมาณตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ตามมาตรา 35 นั้น การโอนงบประมาณออกจากกระทรวง ต้องทําเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น และต้องผ่านการพิจารณาจากสภา 3 วาระ และการจัดสรรงบกลางให้กับหน่วยงานที่มีความจําเป็น กรณีฉุกเฉินโดยอํานาจของคณะรัฐมนตรี ดังนั้น การโอนเงินงบประมาณในช่วงที่ผ่านมานั้น ตั้งแต่ปี 2557-2561 จนถึงปัจจุบัน จัดทําเป็นพระราชบัญญัติโอนงบประมาณทั้งสิ้น นายกรัฐมนตรีชี้แจงถึงสําหรับเหตุจัดทํา พ.ร.บ.โอนเงินงบประมาณฯ รวมทั้งการจัดทําร่างพ.ร.ก.กู้เงิน ว่า เพราะต้องเตรียมประมาณการในอนาคตในหลาย ๆ มิติด้วย ไม่ใช่เฉพาะเรื่องโควิด ซึ่งรัฐบาลได้ประมาณการใช้จ่ายในการเยียวยาดูแลเป็นวงเงินสูงถึง 5.5 หมื่นล้านบาท โดยงบกลาง ที่มีอยู่แล้วเดิม รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็นมีไม่เพียงพอ ประกอบกับ พ.ร.ก. กู้เงินฯ สามารถดําเนินการได้เร็วกว่าการจัดทํา พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ ซึ่งเงินทั้งสองก้อนนี้จะต้องเข้ามาอยู่ในกรอบที่รัฐบาลกําหนดว่าจะใช้จ่าย ทั้งการควบคุมโควิด-19 น้ําท่วมและเรื่องอื่น ๆ ที่จําเป็น ซึ่งรายการใดที่ถูกตัดโอนออกในช่วงแรกสามารถขอกลับมาใหม่ได้ เมื่อพร้อมก็เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่ได้ ตามหลักการของงบประมาณ สําหรับความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่มีผลบังคับใช้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 ทําให้การจัดซื้อจัดจ้างและการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 เศรษฐกิจโลกชะลอ ภัยแล้งต่าง ๆ จึงต้องโอนหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพื่อป้องกันควบคุมไวรัสโควิด-19 แก้ปัญหาภัยแล้งและน้ําท่วมที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะเวลาต่อไป ตามข้อจํากัดของกฎหมายพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ 61 ไม่สามารถโอนงบประมาณข้ามหน่วยงานได้ ต้องนําเข้ามางบกลางก่อน ถ้าพิจารณากันใหม่ก็จะพิจารณาโดยคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนการเสนองบประมาณปกติ ซึ่งงบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ถูกใช้ไปแล้วและเหลืออยู่ประมาณ 400 กว่าล้านบาท จึงต้องมีการทํา พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ ปี 63 ที่ดําเนินการไม่ได้ ให้โอนกลับมาเพื่อเข้างบกลาง ตามระเบียบวิธีการบริหารงบประมาณตามกฎหมาย นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดําเนินการภายใต้กรอบของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังภาครัฐ ได้พิจารณาร่วมกันและมีกฎหมายที่กําหนดชัดเจนว่า จําเป็นต้องปรับสัดส่วนของงบประมาณรวมถึงรายจ่ายงบประมาณชําระเงินคือเงินกู้ด้วย ซึ่งจะพิจารณาสัดส่วนดังกล่าวเฉพาะช่วงเวลาวิกฤต เมื่อเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติแล้วให้มีการทบทวนให้เหมาะสมต่อไป กรณีหนี้สาธารณะก็มีคณะกรรมการบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาอยู่แล้ว ซึ่งการใช้เงินโครงการใด ๆ ก็ตาม ต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน นําเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.บ.จ.) ตรวจสอบตามขั้นตอนต่าง ๆ ขึ้นมาจนถึงคณะรัฐมนตรีอนุมัติ นายกรัฐมนตรีกล่าวชี้แจงในส่วนของกระทรวงกลาโหมว่า การปรับลดรายจ่ายลงทุน รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ต่ํากว่าร้อยละ 15 อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถปฏิบัติได้ชะลอได้ในปี 2563 หากทําไม่ได้ไม่สําเร็จ เว้นแต่บางเรื่องที่เป็นการผูกพันไปแล้วทําสัญญาไปแล้ว หรือเป็นการตกลงต่าง ๆ ในกรอบของการจัดหาจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่มีกติกาชัดเจนอยู่ ซึ่งได้พยายามผ่อนลดลงทุกอย่าง ส่วนยุทโธปกรณ์ที่ดีนั้นจําเป็นเพื่อความปลอดภัยในชีวิตของทหาร นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ปี 2563 ที่เดิมตั้งไว้ 96,000 ล้านบาทนั้น ใช้ไปแล้ว 95,546 ล้านบาท แบ่งเป็นสําหรับแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด 56,261 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง 18,348 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายด้านเศรษฐกิจและสังคม 11,184 ล้านบาท ค่าบริหารจัดการภาครัฐ 9,752 ล้านบาท คงเหลืองบประมาณ 453.29 ล้านบาท จึงต้องหางบกลางมาเพิ่มเติม โดยการเสนอ พ.ร.ก.กู้เงิน และ พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯ เพื่อให้สอดคล้องกับเวลาและเงินที่มีอยู่ เพื่อนําไปแก้ปัญหา นายกรัฐมนตรีย้ําการทํางานต้องมีความโปร่งใส พร้อมจะลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องที่ไปก้าวล่วงส่วนที่ปฏิบัติงาน ขออย่าได้ยุ่งกับระดับล่าง ระดับที่ปฏิบัติตามขั้นตอน หากพบเจ้าหน้าที่ไม่สุจริต ก็มีกลไกตรวจสอบทั้ง สตง. ปปช. ปปท. ขอให้เข้าใจว่า ประชาชนคือคนไทยทั้งประเทศ 60 กว่าล้านคน นายกรัฐมนตรีต้องดูแลคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมโดยสัดส่วนเหมาะสมตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมาย -------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/31942
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) คาดการณ์เที่ยวบินและผู้โดยสารสิ้นปีงบ 63 ลดลง และเตรียมจัดตั้งบริษัทจำกัดบริหารโครงการเกี่ยวกับสินค้าเน่าเสียง่าย
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) คาดการณ์เที่ยวบินและผู้โดยสารสิ้นปีงบ 63 ลดลง และเตรียมจัดตั้งบริษัทจํากัดบริหารโครงการเกี่ยวกับสินค้าเน่าเสียง่าย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม คาดการณ์ปริมาณการจราจรทางอากาศในปีงบประมาณ 2563 (เดือนตุลาคม 2562 - กันยายน 2563) ภายหลังจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 มีอัตราการเติบโตของเที่ยวบินและผู้โดยสารที่ลดลงร้อยละ 44.9 และ 53.1 ตามลําดับ และเตรียมพร้อมจัดตั้งบริษัทจํากัด เพื่อบริหารโครงการเกี่ยวกับสินค้าเน่าเสียง่าย ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ทอท. กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 ฝ่ายบริหาร ทอท. รายงานประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศในปีงบประมาณ 2563 จากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 คาดว่าจะมีเที่ยวบินประมาณ 493,800 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารประมาณ 66.58 ล้านคน มีการเติบโตที่ลดลงร้อยละ 44.9 และ 53.1 ตามลําดับ โดยดูจากระยะเวลาการฟื้นตัวของธุรกิจการบินที่จําเป็นต้องพึ่งพาการฟื้นตัวของประเทศปลายทาง ซึ่งประเทศไทยมีประเทศปลายทางที่สําคัญ คือ กลุ่มประเทศจากทวีปเอเชียแปซิฟิกที่คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 80 และคาดว่าการฟื้นตัวของเที่ยวบินภายในประเทศจะเกิดขึ้นก่อนเที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การควบคุมการแพร่ระบาดฯ ในแต่ละประเทศ การค้นพบยาหรือวัคซีนสําหรับรักษาหรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้สําเร็จ เป็นต้น ซึ่งหากสามารถควบคุมการระบาดทั่วโลกได้ เศรษฐกิจของประเทศไทยและประเทศหลัก ๆ เริ่มฟื้นตัวแล้วปริมาณการจราจรจะกลับมามีปริมาณปกติที่ระดับเดิมของปี 2562 ในเดือนตุลาคม 2564 นอกจากนั้น คณะกรรมการ ทอท. มีมติอนุมัติจัดตั้งบริษัทจํากัด เพื่อบริหารโครงการเกี่ยวกับสินค้าเน่าเสียง่าย ณ ทสภ. (Perishable Premium Lane : PPL) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการศูนย์ตรวจสอบสินค้าเกษตรก่อนส่งออก (Certify Hub) โดย ทอท. ถือหุ้นร้อยละ 49 และเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านดังกล่าวถือหุ้นร้อยละ 51 เพื่อเพิ่มความคล่องตัวการบริหารจัดการสินค้าเกษตรของไทยให้คงคุณภาพและมีมาตรฐานตามหลักสากล โดยช่องทาง PPL จะมีพื้นที่สําหรับจัดเตรียมสินค้าแยกออกจากอาคารขนถ่ายสินค้า พร้อมเจ้าหน้าที่ตรวจและเตรียมสินค้าเกษตร เปรียบเสมือนการให้บริการชั้นธุรกิจ (Business Class) สําหรับสินค้า โดยสินค้าในช่องทาง PPL จะได้รับการดูแลและจัดเตรียมสินค้าโดยผู้ที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะเพื่อนําส่งให้อาคารขนถ่ายสินค้าดําเนินการต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทได้ในเดือนมิถุนายน 2563 และเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายน 2563
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) คาดการณ์เที่ยวบินและผู้โดยสารสิ้นปีงบ 63 ลดลง และเตรียมจัดตั้งบริษัทจำกัดบริหารโครงการเกี่ยวกับสินค้าเน่าเสียง่าย วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2563 บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) คาดการณ์เที่ยวบินและผู้โดยสารสิ้นปีงบ 63 ลดลง และเตรียมจัดตั้งบริษัทจํากัดบริหารโครงการเกี่ยวกับสินค้าเน่าเสียง่าย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม คาดการณ์ปริมาณการจราจรทางอากาศในปีงบประมาณ 2563 (เดือนตุลาคม 2562 - กันยายน 2563) ภายหลังจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 มีอัตราการเติบโตของเที่ยวบินและผู้โดยสารที่ลดลงร้อยละ 44.9 และ 53.1 ตามลําดับ และเตรียมพร้อมจัดตั้งบริษัทจํากัด เพื่อบริหารโครงการเกี่ยวกับสินค้าเน่าเสียง่าย ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ทอท. กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 5/2563 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 ฝ่ายบริหาร ทอท. รายงานประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศในปีงบประมาณ 2563 จากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 คาดว่าจะมีเที่ยวบินประมาณ 493,800 เที่ยวบิน และมีผู้โดยสารประมาณ 66.58 ล้านคน มีการเติบโตที่ลดลงร้อยละ 44.9 และ 53.1 ตามลําดับ โดยดูจากระยะเวลาการฟื้นตัวของธุรกิจการบินที่จําเป็นต้องพึ่งพาการฟื้นตัวของประเทศปลายทาง ซึ่งประเทศไทยมีประเทศปลายทางที่สําคัญ คือ กลุ่มประเทศจากทวีปเอเชียแปซิฟิกที่คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 80 และคาดว่าการฟื้นตัวของเที่ยวบินภายในประเทศจะเกิดขึ้นก่อนเที่ยวบินระหว่างประเทศที่มีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การควบคุมการแพร่ระบาดฯ ในแต่ละประเทศ การค้นพบยาหรือวัคซีนสําหรับรักษาหรือป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ได้สําเร็จ เป็นต้น ซึ่งหากสามารถควบคุมการระบาดทั่วโลกได้ เศรษฐกิจของประเทศไทยและประเทศหลัก ๆ เริ่มฟื้นตัวแล้วปริมาณการจราจรจะกลับมามีปริมาณปกติที่ระดับเดิมของปี 2562 ในเดือนตุลาคม 2564 นอกจากนั้น คณะกรรมการ ทอท. มีมติอนุมัติจัดตั้งบริษัทจํากัด เพื่อบริหารโครงการเกี่ยวกับสินค้าเน่าเสียง่าย ณ ทสภ. (Perishable Premium Lane : PPL) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการศูนย์ตรวจสอบสินค้าเกษตรก่อนส่งออก (Certify Hub) โดย ทอท. ถือหุ้นร้อยละ 49 และเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านดังกล่าวถือหุ้นร้อยละ 51 เพื่อเพิ่มความคล่องตัวการบริหารจัดการสินค้าเกษตรของไทยให้คงคุณภาพและมีมาตรฐานตามหลักสากล โดยช่องทาง PPL จะมีพื้นที่สําหรับจัดเตรียมสินค้าแยกออกจากอาคารขนถ่ายสินค้า พร้อมเจ้าหน้าที่ตรวจและเตรียมสินค้าเกษตร เปรียบเสมือนการให้บริการชั้นธุรกิจ (Business Class) สําหรับสินค้า โดยสินค้าในช่องทาง PPL จะได้รับการดูแลและจัดเตรียมสินค้าโดยผู้ที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะเพื่อนําส่งให้อาคารขนถ่ายสินค้าดําเนินการต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทได้ในเดือนมิถุนายน 2563 และเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายน 2563
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/29575
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการศึกษาดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาไตรมาส 4ปี 2561 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล
วันพุธที่ 23 มกราคม 2562 ผลการศึกษาดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาไตรมาส 4ปี 2561 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทําการติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 6 จังหวัด ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทําการติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 6 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม โดยกําหนดให้ปี 2555 เป็นปีฐาน และจัดทําดัชนีเป็นรายไตรมาส ในการศึกษาจะใช้ข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเปล่าของกรมที่ดิน โดยจะคัดเลือกเฉพาะที่ดินเปล่าไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง ที่มีขนาดที่ดินตั้งแต่ 200 ตารางวาขึ้นไป และจะใช้ข้อมูลเฉพาะการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ผู้โอนหรือผู้รับโอนที่เป็น “นิติบุคคล” เท่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นราคาซื้อขายจริง ซึ่งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะต้องบันทึกค่าใช้จ่ายหรือรายได้ให้ถูกต้องเพื่อสามารถคํานวณภาษีและค่าใช้จ่ายในแต่ละปี การคํานวณค่าดัชนีฯ ใช้วิธีการวิเคราะห์แบบ Chain Laspeyres โดยราคาที่ดินเปล่าที่นํามาคํานวณคือ ราคาเฉลี่ยต่อตารางวา ซึ่งถ่วงน้ําหนักด้วยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ตั้งแต่ปี 2555-2559โดยปัจจัยที่นํามาวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ได้แก่ 1) ทําเลที่ตั้งของที่ดิน 2) แผนผังกําหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน 3) เส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนผ่าน ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวถึงผลการจัดทําดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในไตรมาส 4 ปี 2561 ว่า ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 223.2 จุด ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 219.2 จุด และปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 168.3 จุด ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินเปล่าที่อยู่ใกล้แนวเส้นทางการก่อสร้างรถไฟฟ้า โดยเฉพาะแนวเส้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ) เนื่องจากก่อสร้างแล้วเสร็จและเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา (ดูตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 1-2) สําหรับ 5 อันดับทําเลที่มีการปรับราคาของที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในไตรมาส 4 ปี 2561 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนได้แก่ 1) ทําเลเขตพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ61.8 2) ทําเลจังหวัดสมุทรสาครมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.1ราคาที่ดินปรับเพิ่มสูงขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณ อําเภอเมืองและอําเภอกระทุ่มแบน 3) ทําเลเขตราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.2 4) ทําเลจังหวัดนครปฐม มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.1ราคาที่ดินปรับเพิ่มสูงขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณ อําเภอกําแพงแสน อําเภอเมือง และอําเภอสามพราน และ 5) ทําเลบางกรวย-บางใหญ่-บางบัวทอง-ไทรน้อย มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.8จากทําเล 5 อันดับแรกข้างต้นได้สะท้อนให้เห็นแนวโน้มความต้องการที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขยายตัวไปในพื้นที่จังหวัดปริมณฑล และชานเมืองมากขึ้น หากพิจารณาแยกตามทําเลเฉพาะที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่านจะพบว่า 5 อันดับแรกที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด ได้แก่ 1) สายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ 44.6เนื่องจากก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในวันที่ 6 ธันวาคม 2561 มีทั้งหมด 9 สถานี ได้แก่ สถานีสําโรง ปู่เจ้าสมิงพราย ช้างเอราวัณ โรงเรียนนายเรือ ปากน้ํา ศรีนครินทร์ แพรกษา สายลวด และเคหะสมุทรปราการ จึงส่งผลให้ราคาที่ดินในแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวปรับสูงขึ้น ส่วนสายสีเขียวช่วงสมุทรปราการ-บางปูเป็นโครงการในอนาคตยังไม่เริ่มก่อสร้าง มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.6 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นตามช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการที่มีการเปิดให้บริการแล้ว 2) สายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศาลายา) มีปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.1 3) สายสีน้ําเงิน (บางแค-สาย 4)มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.84) BTS สายสุขุมวิทมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.3และ 5) สายสีแดงเข้ม (หัวลําโพง-มหาชัย)มีปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.2 (ดูตารางที่ 2) ข้อความจํากัดความรับผิดชอบ ข้อมูลสถิติ ข้อเขียนใด ๆ ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้รับมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือจากการประมวลผลที่เชื่อถือได้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ตรวจสอบจนมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว แต่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องหรือความเป็นจริงและไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ๆ จากการใช้ข้อมูลผู้นําข้อมูลไปใช้พึงใช้วิจารณญาณ และตรวจสอบตามความเหมาะสม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : ฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ชั้น 18 อาคาร 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สํานักงานใหญ่ 63 ถนนพระราม 9 ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 โทรศัพท์ 02-645-9674-6 โทรสาร 0-2643-1252
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการศึกษาดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาไตรมาส 4ปี 2561 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล วันพุธที่ 23 มกราคม 2562 ผลการศึกษาดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาไตรมาส 4ปี 2561 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทําการติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 6 จังหวัด ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทําการติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 6 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม โดยกําหนดให้ปี 2555 เป็นปีฐาน และจัดทําดัชนีเป็นรายไตรมาส ในการศึกษาจะใช้ข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเปล่าของกรมที่ดิน โดยจะคัดเลือกเฉพาะที่ดินเปล่าไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง ที่มีขนาดที่ดินตั้งแต่ 200 ตารางวาขึ้นไป และจะใช้ข้อมูลเฉพาะการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ผู้โอนหรือผู้รับโอนที่เป็น “นิติบุคคล” เท่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นราคาซื้อขายจริง ซึ่งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะต้องบันทึกค่าใช้จ่ายหรือรายได้ให้ถูกต้องเพื่อสามารถคํานวณภาษีและค่าใช้จ่ายในแต่ละปี การคํานวณค่าดัชนีฯ ใช้วิธีการวิเคราะห์แบบ Chain Laspeyres โดยราคาที่ดินเปล่าที่นํามาคํานวณคือ ราคาเฉลี่ยต่อตารางวา ซึ่งถ่วงน้ําหนักด้วยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ตั้งแต่ปี 2555-2559โดยปัจจัยที่นํามาวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ได้แก่ 1) ทําเลที่ตั้งของที่ดิน 2) แผนผังกําหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน 3) เส้นทางรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนผ่าน ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อํานวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวถึงผลการจัดทําดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในไตรมาส 4 ปี 2561 ว่า ดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 223.2 จุด ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 219.2 จุด และปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 168.3 จุด ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินเปล่าที่อยู่ใกล้แนวเส้นทางการก่อสร้างรถไฟฟ้า โดยเฉพาะแนวเส้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ) เนื่องจากก่อสร้างแล้วเสร็จและเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา (ดูตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 1-2) สําหรับ 5 อันดับทําเลที่มีการปรับราคาของที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในไตรมาส 4 ปี 2561 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนได้แก่ 1) ทําเลเขตพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ61.8 2) ทําเลจังหวัดสมุทรสาครมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 56.1ราคาที่ดินปรับเพิ่มสูงขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณ อําเภอเมืองและอําเภอกระทุ่มแบน 3) ทําเลเขตราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.2 4) ทําเลจังหวัดนครปฐม มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 55.1ราคาที่ดินปรับเพิ่มสูงขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณ อําเภอกําแพงแสน อําเภอเมือง และอําเภอสามพราน และ 5) ทําเลบางกรวย-บางใหญ่-บางบัวทอง-ไทรน้อย มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.8จากทําเล 5 อันดับแรกข้างต้นได้สะท้อนให้เห็นแนวโน้มความต้องการที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขยายตัวไปในพื้นที่จังหวัดปริมณฑล และชานเมืองมากขึ้น หากพิจารณาแยกตามทําเลเฉพาะที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่านจะพบว่า 5 อันดับแรกที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นสูงสุด ได้แก่ 1) สายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ 44.6เนื่องจากก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการในวันที่ 6 ธันวาคม 2561 มีทั้งหมด 9 สถานี ได้แก่ สถานีสําโรง ปู่เจ้าสมิงพราย ช้างเอราวัณ โรงเรียนนายเรือ ปากน้ํา ศรีนครินทร์ แพรกษา สายลวด และเคหะสมุทรปราการ จึงส่งผลให้ราคาที่ดินในแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวปรับสูงขึ้น ส่วนสายสีเขียวช่วงสมุทรปราการ-บางปูเป็นโครงการในอนาคตยังไม่เริ่มก่อสร้าง มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.6 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นตามช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการที่มีการเปิดให้บริการแล้ว 2) สายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศาลายา) มีปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 40.1 3) สายสีน้ําเงิน (บางแค-สาย 4)มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.84) BTS สายสุขุมวิทมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.3และ 5) สายสีแดงเข้ม (หัวลําโพง-มหาชัย)มีปรับราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.2 (ดูตารางที่ 2) ข้อความจํากัดความรับผิดชอบ ข้อมูลสถิติ ข้อเขียนใด ๆ ที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้รับมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้หรือจากการประมวลผลที่เชื่อถือได้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ตรวจสอบจนมั่นใจในระดับหนึ่งแล้ว แต่ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องหรือความเป็นจริงและไม่อาจรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ๆ จากการใช้ข้อมูลผู้นําข้อมูลไปใช้พึงใช้วิจารณญาณ และตรวจสอบตามความเหมาะสม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : ฝ่ายประชาสัมพันธ์และบริการข้อมูล ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ชั้น 18 อาคาร 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สํานักงานใหญ่ 63 ถนนพระราม 9 ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 โทรศัพท์ 02-645-9674-6 โทรสาร 0-2643-1252
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18314
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2560
วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2560 รมต.นร สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2560 รมต.นร สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2560 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบอนุมัติเงิน 5,247.6 ล้านบาท ให้ 26,240 กองทุนเพื่อขับเคลื่อนโครงการตามแนวทางประชารัฐ และเดินหน้าโครงการโฆษกอาสาประชารัฐ วันนี้ (28 กันยายน 2560) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (หลังใหม่) ทําเนียบรัฐบาล นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบอนุมัติงบประมาณสนับสนุนให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จากทุกจังหวัดทั่วประเทศได้ขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพ หมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็ง ของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ จํานวน 26,240 กองทุน 27,470 โครงการในวงเงิน 5,247,699,464 ล้านบาท รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้พิจารณาอนุมัติงบประมาณสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศในการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ในครั้งนี้ จํานวน 26,240 กองทุน 27,470 โครงการในวงเงิน 5,247,699,464 ล้านบาท โดย 5อันดับแรก ได้แก่ โครงการบริการชุมชน (ร้อยละ 19.53) โครงการร้านค้าชุมชน (ร้อยละ 46.28) โครงการปุ๋ยยาเมล็ดพันธุ์ (ร้อยละ13.42) โครงการน้ําดื่มชุมชน (ร้อยละ 11.91) และโครงการบริการน้ํามันเชื้อเพลิง (ร้อยละ 8.81) ตามลําดับ ทั้งนี้ ซึ่งเมื่อรวมกับการอนุมัติทุกครั้งที่ผ่านมาแล้ว สรุปได้ ว่าคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้อนุมัติงบประมาณสนับสนุนให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ ในการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐไปแล้ว จํานวน 55,393 กองทุน ในวงเงิน 11,077,968,035 ล้านบาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันเจ็ดสิบเจ็ดล้านเก้าแสนหกหมื่นแปดพันสามสิบห้าบาทถ้วน) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 74.75 ของเป้าหมายทั้งหมด โดยคณะกรรมการ คาดหวังว่าภายในเดือนตุลาคมนี้ จะสามารถอนุมัติงบประมาณสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ เพื่อการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ได้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของเป้าหมายที่วางไว้ อนึ่ง คณะกรรมการฯได้อนุมัติการเพิ่มทุนอีก 1 ล้านบาท ให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ผ่านการพิจารณาฟื้นฟูและพัฒนาอีกจํานวน 572 กองทุน เป็นเงิน 572 ล้านบาท ทําให้คงเหลือกองทุนที่ยังไม่ได้รับการเพิ่มทุน (ล้านที่ 2 ) อีกจํานวน กองทุนซึ่งจะต้องติดตามช่วยเหลือสนับสนุน หรือการฟื้นฟูและพัฒนาต่อไป รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําว่าการอนุมัติโครงการครั้งนี้เป็นการอนุมัติเพื่อการต่อยอดและขยายผลโครงการที่ได้ดําเนินการเมื่อปีที่แล้วซึ่งมีผลการประเมินให้สนับสนุนการต่อยอดและขยายผลโครงการเหล่านี้ได้โดยคณะกรรมการได้ให้สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติหรือ สทบ. ได้เร่งสรุปการประเมินโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐเมื่อปี 2559 ให้ครบ ทุกโครงการภายในเดือนตุลาคมศกนี้ นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ได้กล่าวถึงโครงการอบรมโฆษกอาสาประชารัฐว่า คณะกรรมการฯ ได้มีมติอนุมัติให้ดําเนินโครงการโฆษกอาสาประชารัฐ โดยจะจัดอบรมผู้แทนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทุกตําบล ประมาณ 8,000 คน เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ ประสานงานเชื่อมโยงและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องไปสู่สมาชิกกองทุนและประชาชนในทุกพื้นที่และรวบรวมข้อคิดความเห็นของสมาชิกและประชาชนส่งให้ สทบ. เพื่อจัดเสนอให้รัฐบาลพิจารณาดําเนินการตามความเหมาะสมต่อไป โดยโครงการนี้จะจัดจ้างบริษัท อสมท. จํากัด (มหาชน) เป็นหน่วยรับผิดชอบดําเนินการ นายนที ขลิบทอง ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ได้รายงานเพิ่มเติมว่านอกจากการอนุมัติการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐและโครงการโฆษกอาสาประชารัฐดังกล่าวข้างต้นแล้ว คณะกรรมการ ได้เห็นชอบให้ สทบ. ดําเนินการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในระหว่างวันที่ 3 - 24 เดือนตุลาคม 2560 ในชื่องาน “ประชารัฐรวมพล สินค้าชุมชนรวมใจ” เพื่อเผยแพร่สินค้าที่มีคุณภาพดีของแต่ละท้องถิ่นที่ได้มาจากโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ที่กองทุนหมู่บ้านฯ ดําเนินการในปี 2559 ให้ประชาชน ได้ใช้ประโยชน์ในราคาที่เหมาะสมซึ่งนอกจากจะเป็นการแสดงถึงภูมิปัญญาไทยในท้องถิ่นและผลงานของรัฐบาลในการสนับสนุนให้กองทุนหมู่บ้านฯ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากแล้วยังเป็นการสร้างอนาคตให้ประชาชนและสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ได้เรียนรู้เรื่องในการตลาดและการพัฒนาสินค้าซึ่งจะทําให้มีแนวทางในการยกระดับคุณภาพสินค้าและตลาดชุมชนให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต *********************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2560 วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2560 รมต.นร สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2560 รมต.นร สุวิทย์ฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2560 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบอนุมัติเงิน 5,247.6 ล้านบาท ให้ 26,240 กองทุนเพื่อขับเคลื่อนโครงการตามแนวทางประชารัฐ และเดินหน้าโครงการโฆษกอาสาประชารัฐ วันนี้ (28 กันยายน 2560) เวลา 10.30 น. ณ ห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 2 อาคารสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (หลังใหม่) ทําเนียบรัฐบาล นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2560 ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบอนุมัติงบประมาณสนับสนุนให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จากทุกจังหวัดทั่วประเทศได้ขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพ หมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็ง ของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ จํานวน 26,240 กองทุน 27,470 โครงการในวงเงิน 5,247,699,464 ล้านบาท รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้พิจารณาอนุมัติงบประมาณสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศในการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ในครั้งนี้ จํานวน 26,240 กองทุน 27,470 โครงการในวงเงิน 5,247,699,464 ล้านบาท โดย 5อันดับแรก ได้แก่ โครงการบริการชุมชน (ร้อยละ 19.53) โครงการร้านค้าชุมชน (ร้อยละ 46.28) โครงการปุ๋ยยาเมล็ดพันธุ์ (ร้อยละ13.42) โครงการน้ําดื่มชุมชน (ร้อยละ 11.91) และโครงการบริการน้ํามันเชื้อเพลิง (ร้อยละ 8.81) ตามลําดับ ทั้งนี้ ซึ่งเมื่อรวมกับการอนุมัติทุกครั้งที่ผ่านมาแล้ว สรุปได้ ว่าคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้อนุมัติงบประมาณสนับสนุนให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ ในการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐไปแล้ว จํานวน 55,393 กองทุน ในวงเงิน 11,077,968,035 ล้านบาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันเจ็ดสิบเจ็ดล้านเก้าแสนหกหมื่นแปดพันสามสิบห้าบาทถ้วน) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 74.75 ของเป้าหมายทั้งหมด โดยคณะกรรมการ คาดหวังว่าภายในเดือนตุลาคมนี้ จะสามารถอนุมัติงบประมาณสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศ เพื่อการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการเพิ่มศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ได้ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของเป้าหมายที่วางไว้ อนึ่ง คณะกรรมการฯได้อนุมัติการเพิ่มทุนอีก 1 ล้านบาท ให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่ผ่านการพิจารณาฟื้นฟูและพัฒนาอีกจํานวน 572 กองทุน เป็นเงิน 572 ล้านบาท ทําให้คงเหลือกองทุนที่ยังไม่ได้รับการเพิ่มทุน (ล้านที่ 2 ) อีกจํานวน กองทุนซึ่งจะต้องติดตามช่วยเหลือสนับสนุน หรือการฟื้นฟูและพัฒนาต่อไป รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ําว่าการอนุมัติโครงการครั้งนี้เป็นการอนุมัติเพื่อการต่อยอดและขยายผลโครงการที่ได้ดําเนินการเมื่อปีที่แล้วซึ่งมีผลการประเมินให้สนับสนุนการต่อยอดและขยายผลโครงการเหล่านี้ได้โดยคณะกรรมการได้ให้สํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติหรือ สทบ. ได้เร่งสรุปการประเมินโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐเมื่อปี 2559 ให้ครบ ทุกโครงการภายในเดือนตุลาคมศกนี้ นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ได้กล่าวถึงโครงการอบรมโฆษกอาสาประชารัฐว่า คณะกรรมการฯ ได้มีมติอนุมัติให้ดําเนินโครงการโฆษกอาสาประชารัฐ โดยจะจัดอบรมผู้แทนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทุกตําบล ประมาณ 8,000 คน เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ ประสานงานเชื่อมโยงและเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องไปสู่สมาชิกกองทุนและประชาชนในทุกพื้นที่และรวบรวมข้อคิดความเห็นของสมาชิกและประชาชนส่งให้ สทบ. เพื่อจัดเสนอให้รัฐบาลพิจารณาดําเนินการตามความเหมาะสมต่อไป โดยโครงการนี้จะจัดจ้างบริษัท อสมท. จํากัด (มหาชน) เป็นหน่วยรับผิดชอบดําเนินการ นายนที ขลิบทอง ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ได้รายงานเพิ่มเติมว่านอกจากการอนุมัติการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐและโครงการโฆษกอาสาประชารัฐดังกล่าวข้างต้นแล้ว คณะกรรมการ ได้เห็นชอบให้ สทบ. ดําเนินการจัดงานตลาดคลองผดุงกรุงเกษมในระหว่างวันที่ 3 - 24 เดือนตุลาคม 2560 ในชื่องาน “ประชารัฐรวมพล สินค้าชุมชนรวมใจ” เพื่อเผยแพร่สินค้าที่มีคุณภาพดีของแต่ละท้องถิ่นที่ได้มาจากโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ที่กองทุนหมู่บ้านฯ ดําเนินการในปี 2559 ให้ประชาชน ได้ใช้ประโยชน์ในราคาที่เหมาะสมซึ่งนอกจากจะเป็นการแสดงถึงภูมิปัญญาไทยในท้องถิ่นและผลงานของรัฐบาลในการสนับสนุนให้กองทุนหมู่บ้านฯ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากแล้วยังเป็นการสร้างอนาคตให้ประชาชนและสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ได้เรียนรู้เรื่องในการตลาดและการพัฒนาสินค้าซึ่งจะทําให้มีแนวทางในการยกระดับคุณภาพสินค้าและตลาดชุมชนให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต *********************************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/7054
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แสดงความเสียใจ ให้การช่วยเหลือ อสม. ที่บาดเจ็บ/เสียชีวิต จากอุบัติเหตุที่นครราชสีมา
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562 สธ. แสดงความเสียใจ ให้การช่วยเหลือ อสม. ที่บาดเจ็บ/เสียชีวิต จากอุบัติเหตุที่นครราชสีมา ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แสดงความเสียใจและให้การช่วยเหลือครอบครัวอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ขณะเดินทางกลับหลังร่วมซ้อมแผนรับมืออุบัติเหตุที่ จ.นครราชสีมา มอบกรมสนับสนุนบริการสุขภาพดูแลช่วยเหลือตามสิทธิ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แสดงความเสียใจและให้การช่วยเหลือครอบครัวอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ขณะเดินทางกลับหลังร่วมซ้อมแผนรับมืออุบัติเหตุที่ จ.นครราชสีมา มอบกรมสนับสนุนบริการสุขภาพดูแลช่วยเหลือตามสิทธิ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา กรณีอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ประสบอุบัติเหตุขณะเดินทางกลับบ้านภายหลังเข้าร่วมการซักซ้อมแผนรับมืออุบัติเหตุ บริเวณถนนสายพิมาย-ตลาดแค อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ทําให้มี อสม.เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 1 คน ได้มอบหมายให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ส่งทีมจากศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 9 ดูแลพร้อมมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ชมรม เครือข่าย อสม. เจ้าหน้าที่ พนักงานกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมบริจาคเข้าบัญชีทายาท สําหรับผู้บาดเจ็บ ขณะนี้พักรักษาที่ห้องพิเศษโรงพยาบาลพิมาย จ.นครราชสีมา อาการปลอดภัย อยู่ในความดูแลของทีมแพทย์และนักจิตวิทยาอย่างใกล้ชิด ให้การรักษาพยาบาลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย “ต้องขอแสดงความเสียใจครอบครัวผู้เสียชีวิต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดูแลช่วยเหลือให้ดีที่สุด”นายแพทย์สุขุมกล่าว ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความสําคัญกับพี่น้อง อสม. ที่เสียสละทํางานเป็นจิตอาสา ช่วยดูแลสุขภาพของประชาชน ขณะนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้สนับสนุนจัดสวัสดิการสําหรับ อสม. โดยตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน แห่งประเทศไทย ขึ้น เพื่อเป็นสวัสดิการช่วยเหลือครอบครัวของ อสม. เมื่อเสียชีวิต จึงขอเชิญชวน อสม. สมัครเป็นสมาชิก โดยขอเอกสารและยื่นความประสงค์ภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2562 ณ สถานบริการสาธารณสุขที่ส่งผลการปฏิบัติงาน (อสม.1) ซึ่งจะมีผลคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2563 เป็นต้นไป *********************************** 17 ธันวาคม 2562
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. แสดงความเสียใจ ให้การช่วยเหลือ อสม. ที่บาดเจ็บ/เสียชีวิต จากอุบัติเหตุที่นครราชสีมา วันอังคารที่ 17 ธันวาคม 2562 สธ. แสดงความเสียใจ ให้การช่วยเหลือ อสม. ที่บาดเจ็บ/เสียชีวิต จากอุบัติเหตุที่นครราชสีมา ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แสดงความเสียใจและให้การช่วยเหลือครอบครัวอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ขณะเดินทางกลับหลังร่วมซ้อมแผนรับมืออุบัติเหตุที่ จ.นครราชสีมา มอบกรมสนับสนุนบริการสุขภาพดูแลช่วยเหลือตามสิทธิ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แสดงความเสียใจและให้การช่วยเหลือครอบครัวอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ขณะเดินทางกลับหลังร่วมซ้อมแผนรับมืออุบัติเหตุที่ จ.นครราชสีมา มอบกรมสนับสนุนบริการสุขภาพดูแลช่วยเหลือตามสิทธิ นายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ได้รับรายงานจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา กรณีอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) ประสบอุบัติเหตุขณะเดินทางกลับบ้านภายหลังเข้าร่วมการซักซ้อมแผนรับมืออุบัติเหตุ บริเวณถนนสายพิมาย-ตลาดแค อ.พิมาย จ.นครราชสีมา ทําให้มี อสม.เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 1 คน ได้มอบหมายให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ส่งทีมจากศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 9 ดูแลพร้อมมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ชมรม เครือข่าย อสม. เจ้าหน้าที่ พนักงานกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมบริจาคเข้าบัญชีทายาท สําหรับผู้บาดเจ็บ ขณะนี้พักรักษาที่ห้องพิเศษโรงพยาบาลพิมาย จ.นครราชสีมา อาการปลอดภัย อยู่ในความดูแลของทีมแพทย์และนักจิตวิทยาอย่างใกล้ชิด ให้การรักษาพยาบาลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย “ต้องขอแสดงความเสียใจครอบครัวผู้เสียชีวิต เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดูแลช่วยเหลือให้ดีที่สุด”นายแพทย์สุขุมกล่าว ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความสําคัญกับพี่น้อง อสม. ที่เสียสละทํางานเป็นจิตอาสา ช่วยดูแลสุขภาพของประชาชน ขณะนี้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้สนับสนุนจัดสวัสดิการสําหรับ อสม. โดยตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน แห่งประเทศไทย ขึ้น เพื่อเป็นสวัสดิการช่วยเหลือครอบครัวของ อสม. เมื่อเสียชีวิต จึงขอเชิญชวน อสม. สมัครเป็นสมาชิก โดยขอเอกสารและยื่นความประสงค์ภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2562 ณ สถานบริการสาธารณสุขที่ส่งผลการปฏิบัติงาน (อสม.1) ซึ่งจะมีผลคุ้มครองตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2563 เป็นต้นไป *********************************** 17 ธันวาคม 2562
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/25282
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี สมชายฯ เยี่ยมชมชุมชนตลาดน้ำบางน้ำผึ้งจ.สมุทรปราการ เตรียมเข้าสู่หมู่บ้าน CIV มี.ค 62 นี้
วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 รัฐมนตรี สมชายฯ เยี่ยมชมชุมชนตลาดน้ําบางน้ําผึ้งจ.สมุทรปราการ เตรียมเข้าสู่หมู่บ้าน CIV มี.ค 62 นี้ รัฐมนตรี สมชายฯ เยี่ยมชมชุมชนตลาดน้ําบางน้ําผึ้งจ.สมุทรปราการ เตรียมเข้าสู่หมู่บ้าน CIV มี.ค 62 นี้ วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมวิถีชุมชนตลาดน้ําบ้านบางน้ําผึ้ง หมู่ที่ 3 ตําบลบางน้ําผึ้ง อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ชุมชนตลาดน้ําบางน้ําผึ้ง มีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหัตถศาสตร์เพื่อสุขภาพและเป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งมีผลิตภัณฑ์เด่น คือ ถุงประคบธัญพืช เกิดจากการสืบทอดภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษที่ใช้พืชสมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่นนํามาใช้ในการบําบัดรักษาในรูปแบบของแพทย์แผนโบราณ โดยแบ่งคุณประโยชน์ของสมุนไพรออกเป็นหลากหลายประเภท ซึ่งลูกประคบธัญพืชเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ใช้หลักของพืชสมุนไพรในธรรมชาติ โดยได้รับมาตรฐาน มผช.1351/2553 จากสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และเคยเข้าร่วมโครงการการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมในภูมิภาคของกระทรวงอุตสาหกรรม และยังร่วมชมกิจกรรมทําธูป/ผ้ามัดย้อม (ร้อน/เย็น) อีกด้วย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ มีความต้องการให้กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การประชาสัมพันธ์และการเพิ่มช่องทางในการจําหน่าย รวมทั้งเพิ่มช่องทางการตลาดแก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น และ SMEs คนตัวเล็กทําให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่าง 1) ผู้ผลิตกับผู้ผลิต (B 2
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี สมชายฯ เยี่ยมชมชุมชนตลาดน้ำบางน้ำผึ้งจ.สมุทรปราการ เตรียมเข้าสู่หมู่บ้าน CIV มี.ค 62 นี้ วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 รัฐมนตรี สมชายฯ เยี่ยมชมชุมชนตลาดน้ําบางน้ําผึ้งจ.สมุทรปราการ เตรียมเข้าสู่หมู่บ้าน CIV มี.ค 62 นี้ รัฐมนตรี สมชายฯ เยี่ยมชมชุมชนตลาดน้ําบางน้ําผึ้งจ.สมุทรปราการ เตรียมเข้าสู่หมู่บ้าน CIV มี.ค 62 นี้ วันนี้ (16 กุมภาพันธ์ 2562) นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เยี่ยมชมวิถีชุมชนตลาดน้ําบ้านบางน้ําผึ้ง หมู่ที่ 3 ตําบลบางน้ําผึ้ง อําเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ชุมชนตลาดน้ําบางน้ําผึ้ง มีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหัตถศาสตร์เพื่อสุขภาพและเป็นแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งมีผลิตภัณฑ์เด่น คือ ถุงประคบธัญพืช เกิดจากการสืบทอดภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษที่ใช้พืชสมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่นนํามาใช้ในการบําบัดรักษาในรูปแบบของแพทย์แผนโบราณ โดยแบ่งคุณประโยชน์ของสมุนไพรออกเป็นหลากหลายประเภท ซึ่งลูกประคบธัญพืชเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ใช้หลักของพืชสมุนไพรในธรรมชาติ โดยได้รับมาตรฐาน มผช.1351/2553 จากสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และเคยเข้าร่วมโครงการการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมในภูมิภาคของกระทรวงอุตสาหกรรม และยังร่วมชมกิจกรรมทําธูป/ผ้ามัดย้อม (ร้อน/เย็น) อีกด้วย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ มีความต้องการให้กระทรวงอุตสาหกรรมเข้าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ การประชาสัมพันธ์และการเพิ่มช่องทางในการจําหน่าย รวมทั้งเพิ่มช่องทางการตลาดแก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น และ SMEs คนตัวเล็กทําให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่าง 1) ผู้ผลิตกับผู้ผลิต (B 2
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/18838
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่
วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2561 รองนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ตามที่นายกรัฐมนตรี กําหนดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ จังหวัดชุมพร ในวันที่ 21 สิงหาคม 2561 นั้น ​​ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กําหนดลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการหน่วยงานในกํากับด้านยุติธรรม ด้านดิจิทัล และด้านพลังงาน ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 20 สิงหาคม 2561 เพื่อเป็นการเตรียมข้อมูลสําหรับการเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพร ในวันที่ 21 สิงหาคม 2561 ต่อไป ทั้งนี้พื้นที่ในการลงตรวจราชการของพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพร้อมด้วยคณะ ได้แก่ ​​เวลา 10.00 น. เดินทางไปยังโรงแยกก๊าซขนอม เพื่อพบปะพูดคุยรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่รอบโรงแยกก๊าซและโรงไฟฟ้าขนอม ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารชัยสนวัฒนา ตําบลท้องเนียน อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ​​เวลา 13.00 น. เดินทางไปตรวจเยี่ยมจุดติดตั้งเน็ตประชารัฐ ที่บ้านศาลาสามหลัง หมู่ 7 ตําบลสระแก้ว อําเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ​​เวลา 15.00 น. เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ ๑๑ พร้อมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานภาคี และพบปะพูดคุยรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ ณ หอประชุมเมือง (ทุ่งท่าลาด) เทศบาลนครศรีธรรมราช ตําบลนาเคียน อําเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ​​จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดชุมพร เพื่อเตรียมเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในวันรุ่งขึ้นต่อไป .......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2561 รองนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ รองนายกรัฐมนตรี ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ตามที่นายกรัฐมนตรี กําหนดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 6/2561 ณ จังหวัดชุมพร ในวันที่ 21 สิงหาคม 2561 นั้น ​​ พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กําหนดลงพื้นที่เพื่อตรวจราชการหน่วยงานในกํากับด้านยุติธรรม ด้านดิจิทัล และด้านพลังงาน ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 20 สิงหาคม 2561 เพื่อเป็นการเตรียมข้อมูลสําหรับการเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง วิทยาเขตชุมพร ในวันที่ 21 สิงหาคม 2561 ต่อไป ทั้งนี้พื้นที่ในการลงตรวจราชการของพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมพร้อมด้วยคณะ ได้แก่ ​​เวลา 10.00 น. เดินทางไปยังโรงแยกก๊าซขนอม เพื่อพบปะพูดคุยรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่รอบโรงแยกก๊าซและโรงไฟฟ้าขนอม ณ ห้องประชุมใหญ่ อาคารชัยสนวัฒนา ตําบลท้องเนียน อําเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ​​เวลา 13.00 น. เดินทางไปตรวจเยี่ยมจุดติดตั้งเน็ตประชารัฐ ที่บ้านศาลาสามหลัง หมู่ 7 ตําบลสระแก้ว อําเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ​​เวลา 15.00 น. เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการยุติธรรมสู่หมู่บ้าน นําบริการรัฐสู่ประชาชน ครั้งที่ ๑๑ พร้อมทั้งเยี่ยมชมนิทรรศการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานภาคี และพบปะพูดคุยรับฟังปัญหาจากประชาชนในพื้นที่ ณ หอประชุมเมือง (ทุ่งท่าลาด) เทศบาลนครศรีธรรมราช ตําบลนาเคียน อําเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ​​จากนั้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดชุมพร เพื่อเตรียมเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ในวันรุ่งขึ้นต่อไป .......................................................... กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก ข้อมูลโดย พลอากาศเอก มณฑล สัชฌุกร โฆษกประจํารองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง)
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/14702
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.บรรยาย "การปฏิรูปการศึกษาไทย : Thailand Education Reform"
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561 รมว.ศธ.บรรยาย "การปฏิรูปการศึกษาไทย : Thailand Education Reform" นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปาฐกถาพิเศษ "การปฏิรูปการศึกษาไทย Thailand Education Reform" ในงานนิทรรศการสื่อการสอนใหม่และการประชุมผู้นําทางการศึกษา"World Class Educational Resources: International Expo and Conference" นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปาฐกถาพิเศษ "การปฏิรูปการศึกษาไทย Thailand Education Reform" ในงานนิทรรศการสื่อการสอนใหม่และการประชุมผู้นําทางการศึกษา "World Class Educational Resources: International Expo and Conference" พร้อมทั้งเป็นประธานเปิดการแข่งขันการควบคุมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเมื่อวันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมี Prof. Dr. Wassilios E. Fthenakis ประธานสมาคม Didacta Germany, Mr. Danny Gauch ประธานกรรมการจัดงานและประธาน Worlddidac Association Switzerland, นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นักวิชาการ ผู้บริหารสถาบันการศึกษา ครูอาจารย์ เข้าร่วมงาน รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้ดําเนินการปฏิรูปการศึกษาไทยในหลายด้าน เช่น - วางระบบการประกันคุณภาพการศึกษารูปแบบใหม่เพื่อประเมินคุณภาพการศึกษาที่เป็นจริง ลดภาระงานของครู และนําผลการประเมินไปต่อยอดพัฒนาสถานศึกษาได้ โดยผู้อํานวยการโรงเรียนจะเป็นผู้ประเมินโรงเรียน ด้วยการเขียนรายงานเพื่อตอบคําถาม 3 ข้อ คือ ปัจจุบันโรงเรียนมีมาตรฐานการศึกษาอยู่ในระดับใด, มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ใดที่แสดงว่าโรงเรียนมีคุณภาพหรือมาตรฐานในระดับนั้น และโรงเรียนมีแนวทางในการพัฒนาคุณภาพให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้นได้อย่างไร โดยสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้โรงเรียนและหน่วยงานต้นสังกัดทราบคุณภาพการศึกษาในปัจจุบัน และสามารถวางแนวทางในการพัฒนาสถานศึกษานั้น ๆ ได้ - โครงการพัฒนาครูรูปแบบครบวงจร (คูปองครู)ซึ่งถือเป็นการลดอํานาจจากส่วนกลาง ให้ครูมีสิทธิ์เลือกหลักสูตรที่จะอบรมผ่านระบบการลงทะเบียนออนไลน์ โดยมีส่วนกลางทําหน้าที่ควบคุมมาตรฐาน และเชิญชวนสถาบันอุดมศึกษาและภาคเอกชน มาเปิดหลักสูตรอบรมต่าง ๆ ที่ผ่านการพิจารณาจากสถาบันคุรุพัฒนา ทําให้ครูได้อบรมในหลักสูตรตามความถนัดและความสนใจของตน ไม่ใช่การอบรมรูปแบบเดียวกันทุกปี อีกทั้งชั่วโมงการอบรมยังเชื่อมโยงกับวิทยฐานะด้วย - การอบรมครูผู้สอนภาษาอังกฤษชาวไทย (Boot Campfor English Teachers)ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาทักษะการสอนภาษาอังกฤษให้กับครูชาวไทย โดยมีผลการดําเนินงานทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ กล่าวคือ ในปี 2560 ได้อบรมครูภาษาอังกฤษ จํานวน 7,500 คน และในปี 2561 อบรมครูภาษาอังกฤษ จํานวน 13,500 คน อีกทั้งได้จัดตั้งศูนย์ Boot Camp ในระดับภูมิภาค จํานวน 15 ศูนย์ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ครูที่เข้ารับการอบรมมีความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น และมีทักษะการสอนภาษาอังกฤษในชั้นเรียนดีขึ้น - การเปิดกว้างให้สถาบันการศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาร่วมจัดการศึกษาในประเทศไทยเนื่องจากการพัฒนาประเทศให้กลายเป็นประเทศไทย 4.0 นั้น ควรมีความร่วมมือจากต่างชาติเพื่อเข้ามาร่วมกันพัฒนาด้านต่าง ๆ โดยปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาต่างประเทศที่มีศักยภาพสูงเข้ามาจัดการศึกษาในประเทศไทย เช่น Carnegie Mellon University สหรัฐอเมริกา ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอกในสาขา Robotics และ Computer Science, National Taiwan University ร่วมกับมหาวิทยาลัยอมตะ เปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทสาขาวิชา Intelligent Manufacturing System, Pearson สหราชอาณาจักร ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดสอนหลักสูตร BTEC ในสาขาวิชาด้าน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และ National Institute of Technology, Japan หรือ KOSEN ที่จะเข้ามาจัดตั้งสถาบัน KOSEN จํานวน 2 แห่ง เปิดสอนหลักสูตร Electrical Engineering (E&E) - การปฏิวัติด้านดิจิทัลจากในอดีตที่ ศธ. ใช้งบประมาณเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานในสถานศึกษากว่า 3 พันล้านบาท ในขณะที่โรงเรียน 2 ใน 3 ของโรงเรียนทั้งหมดไม่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงใช้จัดการเรียนการสอน แต่เมื่อทําการปฏิรูปด้านดิจิทัล ส่งผลให้โรงเรียนร้อยละ 99 มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงใช้ในการบริหารจัดการและจัดการเรียนการสอน นอกจากนี้ ยังได้ดําเนินโครงการ PISA Online, Online English Assessment และการจัดทําฐานข้อมูล (Big Data) สําหรับสถานศึกษาด้วย นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ศธ. ได้ดําเนินโครงการต่าง ๆ ที่เป็นผลสัมฤทธิ์จากการปฏิรูปการศึกษาไทย เช่น การจัดการเรียนการสอน STEM Education, การปฏิรูประบบบริหารจัดการทั้งการคัดเลือกผู้บริหาร การป้องกันการคอร์รัปชัน, โครงการห้องเรียนดนตรี ห้องเรียนกีฬา, โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา, โครงการอาชีวะพันธุ์ใหม่ บัณฑิตพันธุ์ใหม่, การอบรมครูภาษาจีน เป็นต้น ปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ไม่มีใครเก่งที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่สําคัญคือการป้องกันและแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่น เพราะการคอร์รัปชันเปรียบเสมือนรูรั่ว หากมีรูรั่วมากก็จะทําให้เรือร่ม แม้ว่าจะมีนโยบายและแผนดีเพียงใด ก็ไม่สามารถประสบผลสําเร็จได้ โอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เป็นประธานเปิดการแข่งขันการควบคุมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดโดยสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สมาคม Worlddidac และบริษัทผู้ให้การสนับสนุน มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจการฝึกทักษะการควบคุมระบบอัตโนมัติ พร้อมทั้งตอบโจทย์ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ในการนําผลงานไปใช้จริงและเกิดผลสัมฤทธิ์ภายใต้ความร่วมมือตามโครงการประชารัฐ ตลอดจนมุ่งเน้นการผลิตกําลังคนให้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ โดยจัดการแข่งขัน 3 ประเภท คือ การแข่งขันควบคุมระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม 4.0 มีผู้เข้าร่วมแข่งขัน 54 ทีม, การแข่งขันควบคุมหุ่นยนต์แขนกลในงานเชื่อมอุตสาหกรรม 4.0 มีผู้เข้าร่วมแข่งขัน 60 ทีม และการแข่งขันออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ด้วยหุ่นยนต์อุตสาหกรรม มีผู้เข้าร่วมแข่งขัน 25 ทีม Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ศธ.บรรยาย "การปฏิรูปการศึกษาไทย : Thailand Education Reform" วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561 รมว.ศธ.บรรยาย "การปฏิรูปการศึกษาไทย : Thailand Education Reform" นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปาฐกถาพิเศษ "การปฏิรูปการศึกษาไทย Thailand Education Reform" ในงานนิทรรศการสื่อการสอนใหม่และการประชุมผู้นําทางการศึกษา"World Class Educational Resources: International Expo and Conference" นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปาฐกถาพิเศษ "การปฏิรูปการศึกษาไทย Thailand Education Reform" ในงานนิทรรศการสื่อการสอนใหม่และการประชุมผู้นําทางการศึกษา "World Class Educational Resources: International Expo and Conference" พร้อมทั้งเป็นประธานเปิดการแข่งขันการควบคุมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเมื่อวันพุธที่ 10 ตุลาคม 2561ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมี Prof. Dr. Wassilios E. Fthenakis ประธานสมาคม Didacta Germany, Mr. Danny Gauch ประธานกรรมการจัดงานและประธาน Worlddidac Association Switzerland, นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา นักวิชาการ ผู้บริหารสถาบันการศึกษา ครูอาจารย์ เข้าร่วมงาน รมว.ศึกษาธิการกล่าวว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้ดําเนินการปฏิรูปการศึกษาไทยในหลายด้าน เช่น - วางระบบการประกันคุณภาพการศึกษารูปแบบใหม่เพื่อประเมินคุณภาพการศึกษาที่เป็นจริง ลดภาระงานของครู และนําผลการประเมินไปต่อยอดพัฒนาสถานศึกษาได้ โดยผู้อํานวยการโรงเรียนจะเป็นผู้ประเมินโรงเรียน ด้วยการเขียนรายงานเพื่อตอบคําถาม 3 ข้อ คือ ปัจจุบันโรงเรียนมีมาตรฐานการศึกษาอยู่ในระดับใด, มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์ใดที่แสดงว่าโรงเรียนมีคุณภาพหรือมาตรฐานในระดับนั้น และโรงเรียนมีแนวทางในการพัฒนาคุณภาพให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้นได้อย่างไร โดยสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้โรงเรียนและหน่วยงานต้นสังกัดทราบคุณภาพการศึกษาในปัจจุบัน และสามารถวางแนวทางในการพัฒนาสถานศึกษานั้น ๆ ได้ - โครงการพัฒนาครูรูปแบบครบวงจร (คูปองครู)ซึ่งถือเป็นการลดอํานาจจากส่วนกลาง ให้ครูมีสิทธิ์เลือกหลักสูตรที่จะอบรมผ่านระบบการลงทะเบียนออนไลน์ โดยมีส่วนกลางทําหน้าที่ควบคุมมาตรฐาน และเชิญชวนสถาบันอุดมศึกษาและภาคเอกชน มาเปิดหลักสูตรอบรมต่าง ๆ ที่ผ่านการพิจารณาจากสถาบันคุรุพัฒนา ทําให้ครูได้อบรมในหลักสูตรตามความถนัดและความสนใจของตน ไม่ใช่การอบรมรูปแบบเดียวกันทุกปี อีกทั้งชั่วโมงการอบรมยังเชื่อมโยงกับวิทยฐานะด้วย - การอบรมครูผู้สอนภาษาอังกฤษชาวไทย (Boot Campfor English Teachers)ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาทักษะการสอนภาษาอังกฤษให้กับครูชาวไทย โดยมีผลการดําเนินงานทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ กล่าวคือ ในปี 2560 ได้อบรมครูภาษาอังกฤษ จํานวน 7,500 คน และในปี 2561 อบรมครูภาษาอังกฤษ จํานวน 13,500 คน อีกทั้งได้จัดตั้งศูนย์ Boot Camp ในระดับภูมิภาค จํานวน 15 ศูนย์ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ครูที่เข้ารับการอบรมมีความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น และมีทักษะการสอนภาษาอังกฤษในชั้นเรียนดีขึ้น - การเปิดกว้างให้สถาบันการศึกษาจากต่างประเทศเข้ามาร่วมจัดการศึกษาในประเทศไทยเนื่องจากการพัฒนาประเทศให้กลายเป็นประเทศไทย 4.0 นั้น ควรมีความร่วมมือจากต่างชาติเพื่อเข้ามาร่วมกันพัฒนาด้านต่าง ๆ โดยปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาต่างประเทศที่มีศักยภาพสูงเข้ามาจัดการศึกษาในประเทศไทย เช่น Carnegie Mellon University สหรัฐอเมริกา ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทและปริญญาเอกในสาขา Robotics และ Computer Science, National Taiwan University ร่วมกับมหาวิทยาลัยอมตะ เปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทสาขาวิชา Intelligent Manufacturing System, Pearson สหราชอาณาจักร ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดสอนหลักสูตร BTEC ในสาขาวิชาด้าน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ และ National Institute of Technology, Japan หรือ KOSEN ที่จะเข้ามาจัดตั้งสถาบัน KOSEN จํานวน 2 แห่ง เปิดสอนหลักสูตร Electrical Engineering (E&E) - การปฏิวัติด้านดิจิทัลจากในอดีตที่ ศธ. ใช้งบประมาณเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานในสถานศึกษากว่า 3 พันล้านบาท ในขณะที่โรงเรียน 2 ใน 3 ของโรงเรียนทั้งหมดไม่มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงใช้จัดการเรียนการสอน แต่เมื่อทําการปฏิรูปด้านดิจิทัล ส่งผลให้โรงเรียนร้อยละ 99 มีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงใช้ในการบริหารจัดการและจัดการเรียนการสอน นอกจากนี้ ยังได้ดําเนินโครงการ PISA Online, Online English Assessment และการจัดทําฐานข้อมูล (Big Data) สําหรับสถานศึกษาด้วย นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ศธ. ได้ดําเนินโครงการต่าง ๆ ที่เป็นผลสัมฤทธิ์จากการปฏิรูปการศึกษาไทย เช่น การจัดการเรียนการสอน STEM Education, การปฏิรูประบบบริหารจัดการทั้งการคัดเลือกผู้บริหาร การป้องกันการคอร์รัปชัน, โครงการห้องเรียนดนตรี ห้องเรียนกีฬา, โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา, โครงการอาชีวะพันธุ์ใหม่ บัณฑิตพันธุ์ใหม่, การอบรมครูภาษาจีน เป็นต้น ปัจจุบันโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ไม่มีใครเก่งที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่สําคัญคือการป้องกันและแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่น เพราะการคอร์รัปชันเปรียบเสมือนรูรั่ว หากมีรูรั่วมากก็จะทําให้เรือร่ม แม้ว่าจะมีนโยบายและแผนดีเพียงใด ก็ไม่สามารถประสบผลสําเร็จได้ โอกาสนี้ รมว.ศึกษาธิการ ได้เป็นประธานเปิดการแข่งขันการควบคุมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จัดโดยสถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สมาคม Worlddidac และบริษัทผู้ให้การสนับสนุน มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจการฝึกทักษะการควบคุมระบบอัตโนมัติ พร้อมทั้งตอบโจทย์ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม ในการนําผลงานไปใช้จริงและเกิดผลสัมฤทธิ์ภายใต้ความร่วมมือตามโครงการประชารัฐ ตลอดจนมุ่งเน้นการผลิตกําลังคนให้ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ โดยจัดการแข่งขัน 3 ประเภท คือ การแข่งขันควบคุมระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม 4.0 มีผู้เข้าร่วมแข่งขัน 54 ทีม, การแข่งขันควบคุมหุ่นยนต์แขนกลในงานเชื่อมอุตสาหกรรม 4.0 มีผู้เข้าร่วมแข่งขัน 60 ทีม และการแข่งขันออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ด้วยหุ่นยนต์อุตสาหกรรม มีผู้เข้าร่วมแข่งขัน 25 ทีม Writtenbyอรพรรณ ฤทธิ์มั่น Photo Creditอิทธิพล รุ่งก่อน Rewriterนวรัตน์ รามสูต Editorบัลลังก์ โรหิตเสถียร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/16024
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญ ฯ ย้ำชัดการจัดสรรเงินเยียวยา อสมท. จากการเรียกคืนคลื่น 2600 MHz ต้องยึดผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก เร่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา
วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563 รมต.นร. นายเทวัญ ฯ ย้ําชัดการจัดสรรเงินเยียวยา อสมท. จากการเรียกคืนคลื่น 2600 MHz ต้องยึดผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก เร่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ย้ําชัดการจัดสรรเงินเยียวยา อสมท. จากการเรียกคืนคลื่น 2600 MHz ต้องยึดผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก เร่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา วันนี้ (17 มิถุนายน 2563) เวลา 10.00 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน กรณีที่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2563 ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. มีมติเห็นชอบเงินเยียวยาให้กับ อสมท. จากการเรียกคืนคลื่น 2600 MHz ก่อนกําหนดเพื่อนําไปประมูล 5G เป็นจํานวน 3,235.83 ล้านบาท โดย กสทช. ได้รับหนังสือจากนายเขมทัตย์ พลเดช ผู้อํานวยการใหญ่ อสมท. ให้แบ่งเงินจํานวนนี้ครึ่งหนึ่งให้ อสมท. และครึ่งหนึ่งให้กับบริษัทคู่สัญญาคือ บริษัท เพลย์เวิร์ค จํากัด ส่งผลให้คณะกรรมการ อสมท. ทักท้วงโดยมีการทําหนังสือทักท้วงไปยังประธานกรรมการ อสมท. โดยให้เหตุผลว่าการกระทําดังกล่าวเป็นการไม่รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และมองว่าผู้อํานวยการใหญ่ อสมท. ไม่มีอํานาจทําหนังสือถึง กสทช. นอกจากนี้ มีคณะกรรมการ อสมท. บางส่วนที่ไม่เห็นด้วยได้ลาออกจากการทําหน้าที่ ทั้งนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เร่งหารือปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และสรุปให้เร่งดําเนินการ ดังนี้ 1. ตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง 2. ทําหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น 3. ส่งหนังสือถึงประธานคณะกรรมการ อสมท. ให้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง จากประเด็นดังกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กําชับให้ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักในการพิจารณา ด้านรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กําชับให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดําเนินการให้แล้วเสร็จและรายงานภายใน 15 วัน โดยยึดแนวทางตามที่นายกรัฐมนตรีกําชับ ---------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. นายเทวัญ ฯ ย้ำชัดการจัดสรรเงินเยียวยา อสมท. จากการเรียกคืนคลื่น 2600 MHz ต้องยึดผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก เร่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา วันพุธที่ 17 มิถุนายน 2563 รมต.นร. นายเทวัญ ฯ ย้ําชัดการจัดสรรเงินเยียวยา อสมท. จากการเรียกคืนคลื่น 2600 MHz ต้องยึดผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก เร่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา รมต. นร. นายเทวัญ ฯ ย้ําชัดการจัดสรรเงินเยียวยา อสมท. จากการเรียกคืนคลื่น 2600 MHz ต้องยึดผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก เร่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา วันนี้ (17 มิถุนายน 2563) เวลา 10.00 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน กรณีที่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2563 ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. มีมติเห็นชอบเงินเยียวยาให้กับ อสมท. จากการเรียกคืนคลื่น 2600 MHz ก่อนกําหนดเพื่อนําไปประมูล 5G เป็นจํานวน 3,235.83 ล้านบาท โดย กสทช. ได้รับหนังสือจากนายเขมทัตย์ พลเดช ผู้อํานวยการใหญ่ อสมท. ให้แบ่งเงินจํานวนนี้ครึ่งหนึ่งให้ อสมท. และครึ่งหนึ่งให้กับบริษัทคู่สัญญาคือ บริษัท เพลย์เวิร์ค จํากัด ส่งผลให้คณะกรรมการ อสมท. ทักท้วงโดยมีการทําหนังสือทักท้วงไปยังประธานกรรมการ อสมท. โดยให้เหตุผลว่าการกระทําดังกล่าวเป็นการไม่รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และมองว่าผู้อํานวยการใหญ่ อสมท. ไม่มีอํานาจทําหนังสือถึง กสทช. นอกจากนี้ มีคณะกรรมการ อสมท. บางส่วนที่ไม่เห็นด้วยได้ลาออกจากการทําหน้าที่ ทั้งนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ได้เร่งหารือปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และสรุปให้เร่งดําเนินการ ดังนี้ 1. ตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง 2. ทําหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น 3. ส่งหนังสือถึงประธานคณะกรรมการ อสมท. ให้ดําเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง จากประเด็นดังกล่าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กําชับให้ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักในการพิจารณา ด้านรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้กําชับให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดําเนินการให้แล้วเสร็จและรายงานภายใน 15 วัน โดยยึดแนวทางตามที่นายกรัฐมนตรีกําชับ ---------------------------------- กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/32401
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. จ้างล่ามต่างด้าวเสริมทัพตรวจแรงงานศูนย์ PIPO
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 กสร. จ้างล่ามต่างด้าวเสริมทัพตรวจแรงงานศูนย์ PIPO กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เร่งจ้างล่ามลงศูนย์ PIPO ให้ครบ 32 ศูนย์ฯ ใน 22 จังหวัดชายทะเล ช่วยลูกจ้างต่างด้าวเข้าถึงสิทธิตามกฎหมาย ป้องกันปัญหาค้ามนุษย์ด้านแรงงานในกิจการประมงทะเล นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า จากการตรวจเยี่ยมการดําเนินการของศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกเรือประมง (Port in Port Out Control Center : PIPO) จังหวัดสมุทรสาคร ของพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา พบว่าผู้ประสานงานด้านภาษา หรือล่าม ประจําศูนย์ PIPO ยังมีไม่เพียงพอ เนื่องจากศูนย์ PIPO บางแห่งยังขาดล่ามมาปฏิบัติงานและบางแห่งมีจํานวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของแรงงาน โดย กสร.ได้จัดจ้างล่ามเพื่อปฏิบัติการในศูนย์ PIPO ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายทะเลแล้ว 21 จังหวัด 30 ศูนย์ จาก 22 จังหวัด 32 ศูนย์ แต่ยังขาดศูนย์ปัตตานี ปราณบุรี ฉะเชิงเทรา ปากพนัง และศูนย์ประแสร์ ทั้งนี้ ได้สั่งการให้เร่งจัดจ้างให้ครบโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ลูกจ้างได้รับการคุ้มครองสิทธิอย่างทั่วถึง นายอนันต์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประสานงานด้านภาษาหรือล่าม จะเข้าไปเสริมการปฏิบัติงานของพนักงานตรวจแรงงาน ประจําศูนย์ PIPO โดยทําหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างแรงงานต่างด้าวกับเจ้าหน้าที่ในการสื่อสารสิทธิ หน้าที่ตามกฎหมายและแนวทางการดําเนินการของเจ้าหน้าที่ให้กับลูกจ้างต่างด้าวได้ถูกต้อง ชัดเจน เพื่อช่วยลดช่องว่างด้านภาษาที่อาจเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะส่งผลให้ลูกจ้างต่างด้าวได้รับสิทธิประโยชน์และเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สําหรับล่ามภาษาที่ต้องการได้แก่ ล่ามภาษาเมียนมา และภาษากัมพูชา ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 8994 หรือที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดที่ศูนย์ PIPO ตั้งอยู่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. จ้างล่ามต่างด้าวเสริมทัพตรวจแรงงานศูนย์ PIPO วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม 2560 กสร. จ้างล่ามต่างด้าวเสริมทัพตรวจแรงงานศูนย์ PIPO กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เร่งจ้างล่ามลงศูนย์ PIPO ให้ครบ 32 ศูนย์ฯ ใน 22 จังหวัดชายทะเล ช่วยลูกจ้างต่างด้าวเข้าถึงสิทธิตามกฎหมาย ป้องกันปัญหาค้ามนุษย์ด้านแรงงานในกิจการประมงทะเล นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า จากการตรวจเยี่ยมการดําเนินการของศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกเรือประมง (Port in Port Out Control Center : PIPO) จังหวัดสมุทรสาคร ของพลตํารวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา พบว่าผู้ประสานงานด้านภาษา หรือล่าม ประจําศูนย์ PIPO ยังมีไม่เพียงพอ เนื่องจากศูนย์ PIPO บางแห่งยังขาดล่ามมาปฏิบัติงานและบางแห่งมีจํานวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของแรงงาน โดย กสร.ได้จัดจ้างล่ามเพื่อปฏิบัติการในศูนย์ PIPO ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายทะเลแล้ว 21 จังหวัด 30 ศูนย์ จาก 22 จังหวัด 32 ศูนย์ แต่ยังขาดศูนย์ปัตตานี ปราณบุรี ฉะเชิงเทรา ปากพนัง และศูนย์ประแสร์ ทั้งนี้ ได้สั่งการให้เร่งจัดจ้างให้ครบโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ลูกจ้างได้รับการคุ้มครองสิทธิอย่างทั่วถึง นายอนันต์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประสานงานด้านภาษาหรือล่าม จะเข้าไปเสริมการปฏิบัติงานของพนักงานตรวจแรงงาน ประจําศูนย์ PIPO โดยทําหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างแรงงานต่างด้าวกับเจ้าหน้าที่ในการสื่อสารสิทธิ หน้าที่ตามกฎหมายและแนวทางการดําเนินการของเจ้าหน้าที่ให้กับลูกจ้างต่างด้าวได้ถูกต้อง ชัดเจน เพื่อช่วยลดช่องว่างด้านภาษาที่อาจเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะส่งผลให้ลูกจ้างต่างด้าวได้รับสิทธิประโยชน์และเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สําหรับล่ามภาษาที่ต้องการได้แก่ ล่ามภาษาเมียนมา และภาษากัมพูชา ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองคุ้มครองแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 0 2246 8994 หรือที่สํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดที่ศูนย์ PIPO ตั้งอยู่
http://www.thaigov.go.th/news/contents/details/8623